Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
CCNA 2 Summary<br />
Dr. Nawaporn Wisitpongphan<br />
1
Static Routing<br />
• นิยมใช้กับระบบเครือข่ายขนาดเล็ก เพราะง่ายต่อการจัดการ<br />
• นิยมใช้ในการสร้างเส้นทางไปยัง หรือ ออกจาก stub network<br />
2
static route<br />
ในตารางเส้นทาง<br />
3
static route<br />
with exit interface<br />
4
การลบ Static Route<br />
5
การท า Route Summary<br />
6
ข้อดีของการท า Route Summary<br />
7
Dynamic Routing:<br />
Routing Protocols<br />
8
Classful vs. Classless Routing<br />
Classless protocol เช่น RIPv2, EIGRP,<br />
OSPF, IS-IS, และ BGP มีการส่ง subnet<br />
mask ไปพร้อมกับ routing update จึง<br />
สามารถรองรับ VLSM ได้<br />
9<br />
Classful protocol เช่น RIPv1 และ<br />
IGRP ถูกคิดค้นในช่วงเวลาที่ระบเครือข่าย<br />
มีเพียง class A, B, และ C จึงไม่มีการส่ง<br />
subnet mask ไปพร้อมกับ routing<br />
update
Classful Routing<br />
10
Classless Routing<br />
11
ค่า Metric และ AD ในตารางเส้นทาง<br />
• RIP (AD = 120): ใช้ Hop Count ในการเลือกเส้นทาง<br />
• IGRP (AD = 100)และ EIGRP (AD = 90) : ใช้ Bandwidth, Delay,<br />
Reliability, และ Load ในการเลือกเส้นทางที่สั้นที่สุด<br />
• IS-IS (AD = 115) และ OSPF (AD = 110)ใช้ cost ที่ค<br />
านวณจากค่า<br />
Bandwidth และ Reference Bandwidth<br />
12
ตารางค่า Administrative Distance<br />
13
การเปรียบเทียบประสิทธิภาพของ routing protocol<br />
• Time to Convergence:<br />
▫ ความเร็วในการหาเส้นทาง<br />
• Scalability:<br />
▫ ความสามารถในการรองรับระบบเครือข่ายขนาดใหญ่<br />
• Classful or Classless:<br />
▫ Classless จะรองรับ Variable Length Subnet Masking (VLSM) และการท า route<br />
summarization เพื่อลดขนาดของตารางเส้นทาง<br />
▫ Classful จะไม่รองรับ VLSM<br />
• Resource Usage<br />
▫ ทรัพยากรที่ใช้ในการหาเส้นทาง<br />
เช่น memory space, CPU utilization และ bandwidth ที่ใช้<br />
• Implementation and Maintenance<br />
▫ ความรู้และทักษะที่จ<br />
าเป็นต้องรู้ในการดูแลและจัดการ<br />
14
คุณสมบัติของ routing protocols ใน CCNA 2<br />
15
Distance Vector Algorithm<br />
• แต่ละโหนดจะส่ง distance vector หรือเส้นทางที่อยู่ในตารางเส้นทางไปยังโหนด<br />
เพื่อนบ้านเป็นช่วงเวลา<br />
(periodic update หรือเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นใน<br />
ตาราง (triggered updates)<br />
• ในการส่ง update จะต้องมี Random Jitter ไว้เพื่อป้องกันการชนกันของ<br />
distance<br />
vector<br />
16
Distance Vector Routing Protocol<br />
• RIP<br />
▫ ใช้ Hop Count เป็น metric ในการเลือกเส้นทาง<br />
▫ ไม่สามารถรองรับระบบเครือข่ายที่มี<br />
Hop Count มากกว่า 15 ได้<br />
▫ Broadcast Routing Update ทุกๆ 30 วินาที<br />
• IGRP<br />
▫ ใช้ bandwidth, delay, load, และค่า reliability ในการค านวณ metric เพื่อใช้ในการ<br />
เลือกเส้นทาง<br />
▫ Broadcast Routing Update ทุกๆ 90 วินาที<br />
▫ ปัจจุบันไม่นิยมใช้เนื่องจากมีการพัฒนาต่อยอดเป็น<br />
EIGRP แล้ว<br />
• EIGRP<br />
▫ สามารถท า unequal cost load balancing<br />
▫ ใช้ Diffusing Update Algorithm (DUAL) ในการค านวณหาเส้นทางที่สั้นที่สุด<br />
▫ ไม่มีการ update เป็นช่วงเวลา แต่จะส่ง update ก็ต่อเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นใน<br />
network เรียกว่าเป็นการท า Bounded Updates<br />
17
RIP Timer<br />
• Invalid<br />
▫ ถ้าไม่ได้รับ update จากเพื่อนบ้านเป็นเวลา<br />
180 วินาที จะก าหนดให้เพื่อนบ้านนั้นเป็น<br />
invalid และให้ metric เป็น 16<br />
• Flush<br />
▫ ถ้าไม่ได้รับ update จากเพื่อนบ้านเป็นเวลา<br />
240 วินาที จะลบเพื่อนบ้านนั้นออกจาก<br />
ตารางเส้นทาง<br />
• Holddown Timer<br />
▫ เป็น timer ที่ใช้ป้องกัน<br />
routing loop<br />
▫ เมื่อตรวจเช็คได้ว่าเส้นทางใดก็ตามในตารางเส้นทางเป็น<br />
invalid หรือไม่สามารถติดต่อได้<br />
จะต้องไม่ update ตารางเส้นทางของตัวเองเป็นเวลา 180 วินาที เพื่อรอให้โหนดอื่นๆรับรู้<br />
ถึงการเปลี่ยนแปลงนี้<br />
18
Count-to-Infinity<br />
Solution: Split Horizon<br />
Node B<br />
Node C<br />
D C N<br />
A 4 A<br />
C 1 C<br />
D C N<br />
A 5 B<br />
B 1 B<br />
:Poison Reverse<br />
D C N<br />
A 6 C<br />
C 1 C<br />
D C N<br />
A 5 B<br />
B 1 B<br />
D C N<br />
A 6 C<br />
C 1 C<br />
D C N<br />
A 7 B<br />
B 1 B<br />
D C N<br />
A 8 C<br />
C 1 C<br />
D C N<br />
A 7 B<br />
B 1 B<br />
60<br />
4<br />
B<br />
1<br />
A C<br />
50<br />
“bad<br />
news<br />
travels<br />
slowly”<br />
time<br />
Link cost changes here; recall that B also maintains<br />
shortest distance to A through C, which is 6. Thus Distance(B, A) becomes 6 !<br />
…<br />
19
Basic RIP Configuration<br />
R3(config)#router rip<br />
R3(config-router)#network 192.168.4.0<br />
R3(config-router)#network 192.168.5.1<br />
20
Automatic Summarization<br />
• RIP เป็น classful routing protocol เพราะฉะนั้นจะท<br />
าการสรุปเส้นทาง<br />
(route summarization) ที่ boundary router<br />
R3’s Table<br />
21
ข้อเสียของการท า Automatic Summarization<br />
• ไม่สามารถรองรับระบบเครือข่ายที่ไม่ต่อเนื่องหรือ<br />
discontiguous networks<br />
R2 มีสองเส้นทางไปยัง 172.30.0.0 แล้วจะท าการ<br />
Load balance บนสองเส้นทางนี้<br />
ท าให้ R1 และ R3 ได้<br />
รับ packet ไม่ครบถ้วน<br />
R1 และ R3 เป็น<br />
boundary routers<br />
ส าหรับ 172.30.0.0/16<br />
R1 จะไม่มีเส้นทางไป LAN บน R3 R3 จะไม่มีเส้นทางไป LAN บน R1<br />
22
Default Route<br />
R2 เป็น gateway ในการออกสู่<br />
ดังนั้นควรมีการ<br />
ตั้งค่า<br />
default route แบบ static ให้ออกไปยัง<br />
R3 เพื่อเข้าสู่<br />
Internet<br />
23
ปัญหาของ RIPv1<br />
ค าสั่งเพื่อให้<br />
R2 ส่ง static route<br />
ไปยัง R1 และ R3 พร้อมกับ update<br />
Null0 เป็นการจ าลองทางออกเข้าสู่<br />
Internet ในการท า lab<br />
Packet ที่ถูกส่งไปยัง<br />
null interface จะถูกทิ้ง<br />
R1 และ R3 จะไม่มีเส้นทางไปยัง static route 192.168.0.0 แม้ว่าจะท า redistribute static แล้วก็ตามเพราะ RIPv1 ที่<br />
อยู่บน<br />
R2 จะไม่ส่งเส้นทางที่มี<br />
subnetmask ต่างกันออกไปยัง network ที่เชื่อมต่ออยู่<br />
24
RIPv2: รองรับ VLSM<br />
25
RIPv2<br />
26
No Auto-Summary<br />
27
Routing Table Structure<br />
Classful<br />
28<br />
Classless
Routing Table Lookup<br />
classful<br />
Drop Packet<br />
ตรงกัน<br />
หรือไม่<br />
ใช่<br />
เป็น Parent Route<br />
หรือไม่<br />
ใช่<br />
เช็คเทียบกับChild Route<br />
ทีละบรรทัด<br />
ตรงกับ Child Route บ้าง<br />
หรือไม่<br />
ไม่ใช่<br />
ไม่ใช่<br />
ไม่ใช่<br />
classless<br />
ใช่<br />
ดูเทียบกับบรรทัดต่อไปในตาราง<br />
จนกว่าจะหมด<br />
(ถ้าหมดจึง drop packet)<br />
ส่งต่อ packet ออกทาง<br />
Exit interface นั้น<br />
29
Longest Match<br />
30
Classful Lookup Example<br />
31
EIGRP<br />
• พัฒนาเพิ่มเติมจาก<br />
IGRP<br />
• ใช้ DUAL ซึ่งเป็น<br />
algorithm ที่ดีกว่า<br />
Dijkstra’s ที่ใช้ใน<br />
RIP ท าให้ค้นหา<br />
เส้นทางได้เร็วขึ้น<br />
ป้องกัน routing loop ได้ ท าให้ค่า AD ต่ากว่า<br />
IGRP และ<br />
RIP<br />
• สามารถท า Authentication ได้ เพื่อให้<br />
router ที่มี<br />
password หรือ<br />
authentication เดียวกัน สื่อสารกันได้<br />
• ท า route summary โดยอัตโนมัติ แต่ก็สามารถปลดออกได้โดยใช้ค าสั่ง<br />
no<br />
auto-summary ได้<br />
• รองรับการท า VLSM โดยการระบุค่า wildcard mask เมื่อใช้ค<br />
าสั่ง<br />
“network”<br />
32
EIGRP vs. Autonomous System<br />
ตัวอย่างการตั้งค่า<br />
EIGRP<br />
CISCO ระบุว่าเลข 1 ในที่นี้เป็น<br />
AS number<br />
แต่จริงๆแล้วค่านี้เป็นเพียง<br />
process ID เท่านั้น<br />
ไม่มีความสัมพันธ์กับค่า AS number เลย<br />
33
Wildcard Mask กับการตั้งค่า<br />
EIGRP<br />
34
EIGRP Metric<br />
ปกติใช้แต่ bandwidth และ Delay<br />
35
EIGRP Metric Calculation :Example<br />
Reference Bandwidth<br />
10,000,000<br />
ใช้ bandwidth ที่น้อยที่สุด<br />
และ delay ของทุกๆ link<br />
36
EIGRP: Reported Distance vs. Feasible Successor<br />
Reported Distance = 2172416<br />
R1 มีเส้นทางไปยัง 192.168.1.0/24 จึงมีสิทธิ<br />
เป็น Feasible Successor ของ R2<br />
R1 บอก R2 ว่ามี FD ไปยัง<br />
192.168.1.0/24 ว่าเป็น 2172416<br />
37<br />
ส าหรับ R2: 2172416 คือ Reported Distance<br />
(RD) ซึ่งมีค่าน้อยกว่า<br />
FD = 3014400<br />
R2 เลือกR1 เป็น Feasible<br />
Successor
EIGRP Backup Path<br />
38
Link State Process<br />
• Router แต่ละตัวจะเรียนรู้ระยะทางไปยังเพื่อนบ้าน<br />
• Router แต่ละตัวจะส่ง hello packet ไปยังเพื่อนบ้าน<br />
• Router จะส่ง Link State Packet (LSP) ซึ่งมีข้อมูลเกี่ยวกับ<br />
link ไปยังเพื่อน<br />
บ้านออกไปโดยวิธีการ Flood ให้กับทุกๆโหนดใน network<br />
• เมื่อได้รับ<br />
LSP จากเพื่อนบ้าน<br />
router แต่ละตัวจะเก็บไว้ใน database (สุดท้าย<br />
จะรู้<br />
topology ทั้งหมด)<br />
• Router แต่ละตัวท าการสร้างตารางเส้นทางเองโดยใช้ Dijkstra’s algorithm<br />
จากข้อมูลที่มีอยู่ใน<br />
database<br />
• ตัวอย่างของ Link State Routing Protocol เช่น OSPF, IS-IS<br />
39
Link State Algorithm: Dijkstra<br />
• L<br />
40
Link State Database<br />
41
ข้อดีข้อเสียของ Link State Protocol<br />
• Router แต่ละตัวจะรู้<br />
topology ของ network ทั้งหมด<br />
• หาเส้นทางได้รวดเร็ว<br />
• LSP จะถูกส่งออกไปเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงค่าใน<br />
topology เท่านั้น<br />
ท าให้ไม่สิ้นเปลืองbandwidth<br />
ในการรักษาเส้นทาง<br />
• สามารถใช้กับระบบเครือข่ายที่มีการแบ่งเป็นล<br />
าดับชั้น<br />
• เปลืองทรัพยากร Memory และ CPU ในการค านวณเส้นทาง และเปลือง bandwidth ในช่วงที่ส่ง<br />
LSP<br />
42
OSPF<br />
AD = 110<br />
43
OSPF: Link State Update<br />
44
การตั้งค่าของ<br />
OSPF<br />
Router ไม่จ าเป็นต้องมี process ID<br />
เหมือนกัน แต่จ าเป็นต้องมี Area เหมือนกัน<br />
เนื่องจาก<br />
OSPF area เดียวกัน จะมี<br />
database เหมือนกัน<br />
ตรงกันข้ามกับ EIGRP ที่<br />
process ID<br />
OSPF ใช้ router ID ในการอ้างถึง router โดยปกติจะเป็นค่า<br />
ของ router แต่ละตัวต้องเหมือนกันเท่านั้น<br />
- IP address ของ router ที่ตั้งค่าโดยใช้ค<br />
าสั่ง<br />
router-id<br />
- หากไม่มีการใช้ค าสั่ง<br />
router-id, router จะใช้ IP ของ loopback interface ที่มากที่สุด<br />
- หากไม่มีการตั้งค่า<br />
IP ให้กับ loopback ให้ใช้ค่า IP ที่มากที่สุดของ<br />
interface ใดก็ได้<br />
Router ID<br />
R1: 192.168.10.5,<br />
R2: 192.168.10.9<br />
R3: 192.168.10.10<br />
45
OSPF Metric<br />
ตั้งค่า<br />
cost เองได้<br />
CISCO ใช้ ผลรวมของ cost ที่ค<br />
านวณจาก<br />
Bandwidth ตั้งแต่ต้นทางไปยังปลายทางเป็น<br />
metric<br />
46