lakmuang 276
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น ข อ ง ส ำ นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์<br />
พล.อ.วันชัย เรืองตระกูล<br />
พล.อ.อ.สุวิช จันทประดิษฐ์<br />
พล.อ.ไพบูลย์ เอมพันธุ์<br />
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา<br />
พล.อ.ธีรเดช มีเพียร<br />
พล.อ.ธวัช เกษร์อังกูร<br />
พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์<br />
พล.อ.อู้ด เบื้องบน<br />
พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ<br />
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล<br />
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ<br />
พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท<br />
พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์<br />
พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์<br />
พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน<br />
ที่ปรึกษา<br />
พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก<br />
พล.ร.อ.พลวัฒน์ สิโรดม ร.น.<br />
พล.อ.อ.ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์<br />
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์<br />
พล.อ.สนธิศักดิ์ วิทยาเอนกนันท์<br />
พล.อ.ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ<br />
พล.อ.ชัชวาลย์ ขำเกษม<br />
พล.อ.สิรวุฒิ สุคันธนาค<br />
พล.อ.อภิชาต แสงรุ่งเรือง<br />
พล.อ.จิระ โกมุทพงศ์<br />
พล.ท.อดุลยเดช อินทะพงษ์<br />
พล.ท.พฤษภะ สุวรรณทัต<br />
พล.ท.ยุทธนา กล้าการยุทธ<br />
พล.ท.พันลึก สุวรรณทัต<br />
พล.ท.บรรเจิด เทียนทองดี<br />
พล.ท.ถเกิงกานต์ ศรีอำไพ<br />
พล.ท.สุวโรจน์ ทิพย์มงคล<br />
พล.ท.พรรณนพ ศักดิ์วงศ์<br />
พล.ท.พัชราวุธ วงษ์เพชร<br />
พล.ท.สรศักดิ์ ขาวกระจ่าง<br />
พล.ต.ทวี พฤกษาไพรบูลย์<br />
พล.ต.สังสิทธิ์ วรชาติกุล<br />
ผู้อำนวยการ<br />
พล.ต.ณภัทร สุขจิตต์<br />
รองผู้อำนวยการ<br />
พ.อ.ณัฐวุฒิ คล้ายโอภาส<br />
พ.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์<br />
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ<br />
พ.อ.ปณิธาน กาญจนวิโรจน์<br />
กองจัดการ<br />
ผู้จัดการ<br />
น.อ.ธวัชชัย รักประยูร<br />
ประจำกองจัดการ<br />
น.อ.กฤษณ์ ไชยสมบัติ<br />
น.ท.วิษุวัติ แสนคำ ร.น.<br />
พ.ต.ไพบูลย์ รุ่งโรจน์<br />
เหรัญญิก<br />
พ.ท.พลพัฒน์ อาขวานนท์<br />
ผู้ช่วยเหรัญญิก<br />
ร.ท.เวช บุญหล้า<br />
ฝ่ายกฎหมาย<br />
น.ท.สุรชัย สลามเต๊ะ<br />
ฝ่ายพิสูจน์อักษร<br />
พ.อ.หญิง วิวรรณ วรวิศิษฏ์ธำรง<br />
ร.อ.หญิง กัญญารัตน์ ชูชาติ ร.น.<br />
ร.ท.หญิง ประภาพันธ์ มูลละ<br />
กองบรรณาธิการ<br />
บรรณาธิการ<br />
น.อ.พรหมเมธ อติแพทย์ ร.น.<br />
รองบรรณาธิการ<br />
พ.อ.ทวี สุดจิตร์<br />
พ.อ.สุวเทพ ศิริสรณ์<br />
ผู้ช่วยบรรณาธิการ<br />
พ.อ.หญิง ใจทิพย์ อุไพพานิช<br />
ประจำกองบรรณาธิการ<br />
น.ท.ณัทวรรษ พรเลิศ<br />
น.ท.วัฒนสิน ปัตพี ร.น.<br />
พ.ท.หญิง ณิชนันทน์ ทองพูล<br />
พ.ต.หญิง สิริณี ศรประทุม<br />
พ.ต.หญิง สมจิตร พวงโต<br />
ร.อ.หญิง อัญชลีพร ชัยชาญกุล<br />
ร.อ.หญิง ลลิดา ดรุนัยธร<br />
ร.ต.หญิง พัชรี ชาญชัยพิชิต<br />
ร.ต.วัชรเทพย์ ปีตะนีละผลิน<br />
จ.ส.อ.หญิง ปาลดา สมพงษ์ผึ้ง<br />
ส.อ.ธีร์นริศวร์ ขอพึ่งธรรม<br />
น.ท.หญิง รสสุคนธ์ ทองใบ ร.น.<br />
พ.ท.ชุมศักดิ์ สมไร่ขิง<br />
พ.ท.ชาตบุตร ศรธรรม<br />
น.ต.ฐิตพร น้อยรักษ์ ร.น.<br />
ร.อ.หญิง ณิชาภา กุหลาบเพ็ชร์<br />
ร.อ.ยอดเยี่ยม สงวนสุข<br />
ร.ต.ศุภกิจ ภาวิไล<br />
ร.ต.จิรวัฒน์ ถนอมธรรม<br />
จ.ส.อ.สมหมาย ภมรนาค<br />
ส.อ.หญิง ศิริพิมพ์มา กาญจนโรจน์
บทบรรณาธิการ<br />
หากนึกถึงสภาพจิตใจของคนไทยในช่วงเวลานี้ ทุกคนคงมีสภาพจิตใจที่เหมือนกัน<br />
คือ ห่วงใยกับสถานการณ์บ้านเมืองที่กำลังเป็นอยู ่ในปัจจุบัน ซึ่งทุกคนคงตั้งคำถามกับ<br />
ตัวเองหรือคนใกล้ชิดว่า เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นอย่างไร ที่สำคัญจะจบอย่างไร และเมื่อ<br />
ใด ซึ่งความขัดแย้ง รวมถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้น กำลังส่งผลกระทบสร้างความเสียหาย<br />
ให้กับประเทศในทุกด้าน และยิ่งความขัดแย้งนี้ยืดเยื้อ มีการสร้างเงื่อนไขและปัจจัย<br />
ที่เป็นเงื่อนปมต่าง ๆ จะยิ่งทำให้การแก้ปัญหา หรือจบปัญหายากยิ่งขึ้น ตลอดจน<br />
จะต้องใช้ระยะเวลาในการเยียวยาผลกระทบที่เกิดขึ้นนานยิ่งขึ้น ประเด็นนี้เป็นส่วน<br />
หนึ่ง แต่ยังมีอีกเรื่องหนึ่งคือความแตกแยกแบ่งฝ่ายของคนในชาติที่เป็นเรื่องที่สำคัญ<br />
ความรุนแรงที่เพิ่มและขยายวงกว้างมากขึ้น การรับข้อมูลข่าวสารด้านเดียว<br />
บทบาทของเทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่รวดเร็ว การสร้างและเกิดเงื่อนไขต่าง ๆ ที่<br />
เพิ่มขึ้น ทำให้โอกาสที่จะเห็นสองฝ่ายหันมาเจรจากันมีน้อยลง หรือเกือบจะไม่มีเลย<br />
ทั้ง ๆ ที่เป็นคนไทยด้วยกัน เชื่อว่าทุกคนที่เป็นคนไทย คงไม่อยากเห็นสงครามกลางเมือง<br />
หรือแบ่งเป็นประเทศไทยเหนือ ไทยใต้ หรือจะเรียกชื่อตัวเองว่าอะไรก็ตามแต่ มีกอง<br />
กำลังเป็นของตนเอง มีอาณาเขตดูแลเป็นของตัวเอง จากสภาวะขณะนี้ ดูจะใกล้กับ<br />
สิ่งที่คนไทยไม่อยากจะเห็นแล้ว แล้วจะหาทางออกให้ประเทศไทยอย่างไรดี...<br />
2
ปีที่ ๒๓ ฉบับที่ ๒๗๖ เดือนมีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๗<br />
๔<br />
สามัคคีธรรม...<br />
นำชาติพ้นวิกฤต<br />
๘<br />
สถิตในหทัยราษฎร์<br />
๑๒<br />
๑๒๗ ปี กรมการเงิน<br />
กลาโหม<br />
๑๔<br />
๒๕ ปี<br />
สำนักงานเลขานุการ<br />
สำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
๑๖<br />
การบังคับใช้กฎหมาย<br />
ในภาวะไม่ปกติ<br />
(ตอนที่ ๒)<br />
๒๐<br />
การเตรียมความ<br />
พร้อมของ กรมการ<br />
อุตสาหกรรมทหาร<br />
ศูนย์การอุตสาหกรรม<br />
ป้องกันประเทศ<br />
และพลังงานทหาร<br />
เข้าสู่ประชาคมอาเซียน<br />
๒๒<br />
จับกระแสความมั่นคง<br />
ของอาเซียนและจีน<br />
๒๖<br />
แนวความคิด<br />
การพัฒนาการเตรียม<br />
กำลังระบบอาสาสมัคร<br />
ของกระทรวงกลาโหม<br />
๓๐<br />
ดุลยภาพทางทหาร<br />
ของประเทศอาเซียน<br />
แนะนำปืนใหญ่สนาม<br />
อัตตาจรล้อยางแบบ<br />
ซีซาร์ขนาด ๑๕๕<br />
มิลลิเมตร<br />
๘<br />
๒๐<br />
๓๐<br />
๔๔<br />
๑๒<br />
๒๒<br />
๓๔<br />
๔๘<br />
๔<br />
๑๔<br />
๒๖<br />
๓๘<br />
๕๔<br />
๓๔<br />
แนวความคิด<br />
การป้องกัน<br />
และบรรเทาภัยพิบัติ<br />
อย่างยั่งยืน<br />
๓๘<br />
เปิดประตูสู่เทคโนโลยี<br />
ป้องกันประเทศ ๑๗<br />
จรวดนำวิถีต่อสู้รถถัง<br />
๔๐<br />
หลักการของนายพล<br />
แพตตัน (ตอนที่ ๒๐)<br />
๔๔<br />
หลักการแห่งอหิงสา<br />
ของมหาตมะ คานธี<br />
๔๘<br />
สงคราม พม่า - อังกฤษ<br />
ครั้งที่ ๓<br />
๕๒<br />
“When You and<br />
Your Friend<br />
Disagree Politically”<br />
๕๔<br />
สาระน่ารู้<br />
ทางการแพทย์<br />
“ผู้ใหญ่วัย ๔๐+...<br />
จำเป็นต้องฉีดวัคซีน<br />
ด้วยหรือ?”<br />
๖๒<br />
กิจกรรมสมาคม<br />
ภริยาข้าราชการ<br />
สำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
ข้อคิดเห็นและบทความที่นำลงในวารสารหลักเมืองเป็นของผู้เขียน มิใช่ข้อคิดเห็นหรือนโยบายของหน่วยงานของรัฐ และมิได้ผูกพันต่อทางราชการแต่อย่างใด<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร./โทรสาร ๐-๒๒๒๕-๘๒๖๒ http://61.19.220.3/opsd/sopsdweb/index_1.htm<br />
พิมพ์ที่ : แผนกโรงพิมพ์ กองบริการ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ออกแบบ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
3
สามัคคีธรรม...<br />
นำชาติพ้นวิกฤต<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
4<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
“...ประวัติศาสตร์ได้แสดงให้ปรากฏตลอดว่า ชาติใดเสื่อมสูญย่อยยับอับปางไป ก็เพราะประชาชาติขาดสามัคคีธรรม<br />
แตกแยกเป็นหมู่คณะ เป็นพรรคเป็นพวก คอยเอารัดเอาเปรียบ ประหัตประหารซึ่งกันและกัน บางพรรคบางพวกถึงกับ<br />
เป็นไส้ศึกให้ศัตรูมาจู่โจมทำลายชาติของตนดังนี้ ข้าพเจ้าจึงขอชักชวนพี่น้องชาวไทยทั้งหลายให้ระลึกถึงพระคุณของ<br />
บรรพบุรุษ ซึ่งได้กอบกู ้รักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเรามานั้นให้จงหนักแล้วถือเอาความสามัคคี ความยินยอมเสียสละส่วนตัว<br />
เพื่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติเป็นคุณธรรมประจำใจอยู่เนืองนิตย์ จึงขอให้ชาวไทยทั้งหลาย จงบำเพ็ญกรณียกิจ<br />
ของตนแต่ละคนด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ขยันหมั่นเพียร อดทนและกล้าหาญ แล้วอุทิศความเสียสละส่วนตัว ความเหน็ดเหนื่อย<br />
ลำบากยากแค้นเป็นพลีบูชาบรรพบุรุษ ผู้ซึ่งได้ก่อสร้างชาติเป็นมรดกตกทอดมาถึงพวกเราชาวไทยจนบัดนี้...”<br />
พระราชด ำรัสที่ผู้เขียนอัญเชิญมา<br />
ถ่ายทอดในโอกาสนี้ เป็นข้อความตอนหนึ่งของ<br />
พระราชดำรัสพระราชทานแก่ประชาชนชาว<br />
ไทยในโอกาสขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช ๒๔๙๔<br />
ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๔๙๓ ซึ่งพระราชดำริ<br />
ที่ทรงถ่ายทอดออกมานั้นเป็นการเตือนสติพสก<br />
นิกรชาวไทยให้มีความตระหนักในเรื่องของ<br />
ความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน การรู้จัก<br />
คำว่าเสียสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อประโยชน์<br />
ของประเทศชาติ และที่สำคัญที่สุดคือโทษของ<br />
การสามัคคีที่ทำลายประเทศชาติ ซึ่งผู ้เขียนใคร่<br />
ขอขยายความในข้อความพระราชดำรัสเพื่อให้<br />
ทุกท่านได้กรุณาประจักษ์ในพระราชปณิธาน<br />
ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรง<br />
พระราชทานถ่ายทอดต่อสาธารณชนเมื่อ ๖๓<br />
ปีก่อน กล่าวคือ<br />
ประการแรก : ลักษณะและโทษของ<br />
การแตกสามัคคี<br />
ประวัติศาสตร์ในอดีตได้บันทึกและแสดง<br />
ให้ปรากฏมาโดยตลอดว่า ความเสื่อมสูญและ<br />
สิ้นสลายลงของประเทศ ของชาติ มีปัจจัย<br />
และสาเหตุสำคัญเนื่องมาจากการที่ประชาชน<br />
ในชาติขาดสามัคคีธรรม โดยมีลักษณะ<br />
พื้นฐานของการแตกสามัคคี โดยการแบ่ง<br />
ฝัก แบ่งฝ่ายของประชาชนจากที่เคยมีความ<br />
กลมเกลียว จากที่เคยมีสายสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน<br />
ให้แตกแยกออกเป็นหมู่เป็นคณะ ก่อตั้งองค์กร<br />
ออกเป็นพรรคเป็นพวกที่คำนึงถึงผลประโยชน์<br />
ร่วมกันเพื่อคอยรักษาประโยชน์ของพวกตน<br />
ในลักษณะต่างๆ อาทิ มุ่งเอารัดเอาเปรียบ<br />
สังคมด้วยการสร้างอุดมการณ์ร่วมที่ดูเสมือน<br />
ว่าเป็นคุณต่อสังคมแต่เคลือบแฝงไปด้วย<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
การปกป้องผลประโยชน์ของฝ่ายตนเอง หรือ<br />
คอยเวลาที่มุ่งจะประหัตประหารฝ่ายตรงกัน<br />
ข้ามกับตนเองให้คงเหลือแต่ฝ่ายของตนเอง<br />
ซ้ำที่ร้ายไปกว่านั้นคือบางพรรคบางพวกถึงกับ<br />
ยอมขายตัวเองหรือขายจิตวิญญาณของตนเอง<br />
เพื่อก้าวไปเป็นไส้ศึกให้ศัตรูเข้ามาจู ่โจมทำลาย<br />
ชาติของตนเอง ดังเช่นที่เคยปรากฏมาแล้วทั้ง<br />
ในประวัติศาสตร์โลกและประวัติศาสตร์ของ<br />
ไทย ซึ่งการแตกสามัคคีนี้เองถือเสมือนกับเป็น<br />
เนื้อร้ายในการทำลายประเทศชาติให้สูญสิ้น<br />
นั่นก็คือ สภาวการณ์ที่ประชาชนในชาติแตก<br />
ความสามัคคี นั่นเอง<br />
ประการที่สอง : คุณธรรมความดีของ<br />
คนในชาติ<br />
สิ่งที่ประชาชนชาวไทยไม่ควรหลงลืมคือ ผืน<br />
แผ่นดินไทยที่เราได้ร่วมกันอาศัยอยู่ในปัจจุบัน<br />
อันเกิดมาจากความมุ ่งมั่น ทุ ่มเทแรงกาย แรงใจ<br />
กอปรกับความเสียสละเลือดเนื้อและชีวิตของ<br />
บรรพบุรุษไทยในอดีต ซึ่งในโอกาสอันเดียว<br />
กันนี้ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้<br />
ทรงชักชวนให้พสกนิกรชาวไทยทั้งหลายได้<br />
ตระหนักและระลึกถึงพระคุณอันงดงามของ<br />
บรรพบุรุษไทยที่ได้เพียรสร้าง เพียรกอบกู้<br />
เพียรรักษาบ้านเกิดเมืองนอนของเราเพื่อดำรง<br />
ไว้ให้แก่ลูกหลานคือคนไทยทุกคน พร้อมกับ<br />
ได้ทรงย้ำเตือนให้พสกนิกรชาวไทยถือเอา<br />
ความสามัคคีเป็นแบบอย่างในการอยู่ร่วมกัน<br />
ของคนในสังคมควบคู่ไปกับการตกลงปลงใจ<br />
ที่จะให้ความยินยอมในการเสียสละประโยชน์<br />
ส่วนตัว เพื่อเกื้อกูลต่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของ<br />
ประเทศชาติ ทั้งนี้ พสกนิกรพึงตระหนักใน<br />
เรื่องของคุณธรรมความสามัคคีและยึดถือไว้<br />
เป็นคุณธรรมประจำใจอยู่ตลอดเวลา เพราะ<br />
จะเป็นหนทางสำคัญที่จะขับเคลื่อนให้ประเทศ<br />
ชาติสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าเพื่ออำนวย<br />
ประโยชน์ของประชาชนและสังคมได้อย่างมี<br />
เสถียรภาพ<br />
5
ประการสุดท้าย : กรณียกิจอันสมควร<br />
แนวทางสำคัญอย่างยิ่งที่องค์พระบาท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงชี้แนะให้พสกนิกร<br />
ชาวไทยพิจารณาปฏิบัติเป็นกรณียกิจ (กิจที่<br />
พึงกระทำ) อันเหมาะสม โดยขอให้พสกนิกร<br />
ชาวไทยทั้งหลาย ต่างบำเพ็ญกรณียกิจของตน<br />
หรือของแต่ละบุคคลบนพื้นฐานของความ<br />
ซื่อสัตย์สุจริต ความขยันหมั่นเพียร ความ<br />
อดทนและกล้าหาญ ในขณะเดียวกัน ก็ให้<br />
อุทิศความเสียสละที่ตนเองบำเพ็ญหรือปฏิบัติ<br />
ด้วยความตั้งมั่นแม้ว่าจะต้องประสบกับความ<br />
เหน็ดเหนื่อยหรือลำบากยากแค้นในทุกกรณี<br />
เพื่อเป็นการบวงสรวงบูชาในคุณงามความดี<br />
ของบรรพบุรุษไทย ผู้ซึ่งได้อุทิศแรงกายแรงใจ<br />
ในการก่อร่างสร้างประเทศ สร้างเสถียรภาพ<br />
และบูรณภาพแห่งประเทศชาติ จนสืบทอด<br />
มาเป็นมรดกตกทอดให้แก่ประชาชนชาวไทย<br />
ในปัจจุบัน หรือพิจารณาอีกนัยหนึ่งคือทรง<br />
ชี้แนะให้พสกนิกรชาวไทยยึดมั่นในคุณธรรม<br />
ความดีและบำเพ็ญเพียรตามหน้าที่ของตน<br />
ด้วยความมุ ่งมั่นศรัทธาโดยมิได้หวังประโยชน์ที่<br />
ตนเองจะได้รับจากการกระทำ ในทางกลับกัน<br />
ผลประโยชน์ที่ได้รับจะบังเกิดแก่สังคมไทย<br />
และประเทศชาติ จึงถือเสมือนกับเป็นการ<br />
อุทิศความดีนี้แด่บรรพบุรุษ ซึ่งนับว่าเป็น<br />
พระราชกุศโลบายอันแยบคายและเป็น<br />
สิริมงคลแก่พสกนิกรชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง<br />
หากนับเวลาที่เดินทางของพระราชดำรัส<br />
พระราชทานบทนี้นับได้ว่าเป็นเวลามากกว่า<br />
๖๓ ปี ซึ่งเหตุการณ์ทางการเมืองในห้วงเวลา<br />
6<br />
ดังกล่าวก็นับเป็นวิกฤตที่บั่นทอนการก้าวเดิน<br />
ไปข้างหน้าของประเทศชาติมากพอสมควร<br />
เพราะประเทศไทยในห้วงเวลาดังกล่าวเป็น<br />
ห้วงเวลาที่เปราะบางทางการเมืองในยุคเริ่มต้น<br />
ของสงครามเย็น จนนำไปสู่การกระทบกระทั่ง<br />
ของกลุ่มชนทางการเมืองที่มีความคิดเห็น<br />
แตกต่างกันอยู่หลายครั้งหลายคราว<br />
แม้กระทั่งวันนี้ สถานการณ์ทางการเมือง<br />
ก็ยังคงเป็นผลกระทบจากความแตกแยก<br />
ทางความคิดของพี่น้องชาวไทยที่มีความเห็น<br />
แตกต่างกันอยู่ หากเปรียบไปแล้วก็เสมือน<br />
กับวงล้อเกวียนที่หมุนทับลงบนรอยเกวียน<br />
เดิมนั่นเอง ผู้เขียนเชื่อว่าสังคมไทยส่วนใหญ่<br />
ต่างน้อมรับความคิดเห็นของทุกฝ่ายที่ต่าง<br />
ฝ่ายต่างแสดงออกให้เห็นถึงความตระหนักใน<br />
ทางการเมืองและอุดมการณ์ทางการเมืองของ<br />
แต่ละฝ่าย โดยต่างหวังว่าวิถีทางของตนเอง<br />
หรือกลุ่มของตนนั้นว่า จะอำนวยประโยชน์<br />
ให้แก่ประเทศชาติและพี่น้องประชาชน แต่ใน<br />
ทางกลับกันอาจตั้งอยู่บนความคิดเห็นที่เป็น<br />
อุดมคติหรือความคิดเห็นที่สุดโต่งไปบ้างหรือ<br />
ไม่ จนทำให้ความคิดเห็นของแต่ละฝ่ายเป็น<br />
เสมือนเป็นเส้นขนานหรือทางขนานกับความ<br />
คิดของกลุ่มอื่นไปโดยปริยาย<br />
ดังนั้น หากว่าเราจะทำให้เส้นขนานนั้นมา<br />
บรรจบกันด้วยวิถีทางที่ตั้งบนพื้นฐานของเสน่ห์<br />
ความเป็นไทยอันเกิดจากการแบ่งปันรอยยิ้ม<br />
การแบ่งปันน้ำใจ การส่งมอบไมตรีและความ<br />
ปรารถนาดีบ้างจะดีหรือไม่ โดยที่หลักคิดนี้อาจ<br />
เริ่มต้นจากแนวทางอันเนื่องมาจากพระราช<br />
ดำรัสข้างต้น ที่เริ่มต้นจากความตระหนัก<br />
ในคุณธรรมความสามัคคี และประยุกต์เอา<br />
ความสามัคคีมาเป็นแบบอย่างในการอยู่ร่วม<br />
กันของคนในสังคม ควบคู่ไปกับการบำเพ็ญ<br />
กรณียกิจในการเสียสละประโยชน์ส่วนตัวเพื่อ<br />
เกื้อกูลต่อประโยชน์ยิ่งใหญ่ของประเทศชาติ<br />
แนวทางนี้อาจเป็นกลไกสำคัญที่จะขับเคลื่อน<br />
ความสงบสุข ความรักใคร่กลมเกลียวของคน<br />
ในชาติให้กลับคืนมาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่<br />
ขาดหายไปหลายปี และคาดหวังได้ว่าเป็น<br />
ความสงบสุขที่ยั่งยืน มีเสถียรภาพ ตลอดจน<br />
ผลักดันให้ประเทศชาติสามารถก้าวเดินไป<br />
ข้างหน้าได้อีกครั้ง<br />
ถือได้ว่า ประชาชนชาวไทยเป็นคนที่โชคดี<br />
ที่เกิดมาบนผืนแผ่นดินไทยที่อุดมสมบูรณ์ มี<br />
ภาษา มีศิลปวัฒนธรรมที่งดงาม มีพื้นฐานทาง<br />
จิตใจที่เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และที่สำคัญที่สุดที่เกิด<br />
ภายใต้ร่มฉัตรแห่งพระเมตตาธรรมขององค์<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทาน<br />
พระราชดำริเพื่อประโยชน์สูงสุดแก่ชาวไทย<br />
มาโดยตลอด และถ้าวันนี้เราลองตั้งสติ ลอง<br />
หันกลับไปดูเหตุการณ์ที่ผ่านมาด้วยใจที่<br />
ปราศจากอคติพร้อมกับอัญเชิญพระราชดำรัส<br />
พระราชทานข้างต้นมาเป็นกรอบแนวทางใน<br />
การคิด ในการดำเนินกิจกรรม และบำเพ็ญ<br />
กรณียกิจ สิ่งเหล่านี้น่าจะเป็นทางออกให้<br />
ประเทศไทยสามารถก้าวผ่านวิกฤตอันเชี่ยว<br />
กรากในครั้งนี้ไปได้ ลองทำดูเถิดครับ! คงไม่<br />
เสียหายอะไรไปมากกว่านี้อีกแล้ว !<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
ช่วยกันเถอะครับ ! ช่วยกันขับเคลื่อน<br />
ประเทศไทยให้กลับคืนมาสู่ความเป็นเสือ<br />
แห่งอาเซียนอีกครั้ง อย่าทำให้ประเทศไทย<br />
อันเป็นที่รักของเราเป็นแมวป่วยของ<br />
อาเซียนอย่างทุกวันนี้เลย และก่อนที่จะจบ<br />
ลงไป ผู ้เขียนขอนำเอาบทประพันธ์ที่ชื่อว่า<br />
เพลงชาติ ของ อาจารย์นภาลัย (ฤกษ์ชนะ)<br />
สุวรรณธาดา ที่ได้กรุณาประพันธ์ไว้เมื่อ<br />
ปีพุทธศักราช ๒๕๑๐ มาทบทวนความ<br />
จำกันอีกครั้ง และขอให้บทสุดท้ายของ<br />
บทประพันธ์เป็นเพียงอนุสติเตือนใจ<br />
พี่น้องชาวไทยของเรา และขออย่าได้เกิด<br />
เหตุการณ์อันเลวร้ายนั้นเลย<br />
ธงชาติไทยไกวกวัดสะบัดพลิ้ว แลริ้วริ้วสลับงามเป็นสามสี<br />
ผ้าผืนน้อยบางเบาเพียงเท่านี้ แต่เป็นที่รวมชีวิตและจิตใจ<br />
ชนรุ่นเยาว์ยืนเรียบระเบียบแถว ดวงตาแน่วนิ่งตรงธงไสว<br />
"ประเทศไทยรวมเลือดเนื้อชาติเชื้อไทย" ฟังคราวใดเลือดซ่านพล่านทั้งทรวง<br />
ผืนแผ่นดินถิ่นนี้ที่พำนัก เราแสนรักและแสนจะแหนหวง<br />
แผ่นดินไทยไทยต้องครองทั้งปวง ชีพไม่ล่วงใครอย่าล้ำมาย่ำยี<br />
เธอร้องเพลงชาติไทยมั่นใจเหลือ พลีชีพเพื่อชาติที่รักทรงศักดิ์ศรี<br />
เพลงกระหึ่มก้องฟ้าก้องธาตรี แม้ไพรีได้ฟังยังถอนใจ<br />
แต่สิ่งหนึ่งซึ่งไทยร้าวใจเหลือ คือเลือดเนื้อเป็นหนอนคอยบ่อนไส้<br />
บ้างหากินบนน้ำตาประชาไทย บ้างฝักใฝ่ลัทธิชั่วน่ากลัวเกรง<br />
ทุกวันนี้ศึกไกลยังไม่ห่วง แต่หวั่นทรวงศึกใกล้ไล่ข่มเหง<br />
ถ้าคนไทยหันมาฆ่ากันเอง<br />
จะร้องเพลงชาติไทยให้ใครฟัง!<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
7
สถิตในหทัยราษฎร์<br />
นาวาอากาศเอกหญิง กาญจนารัตน์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา<br />
ย้<br />
อนหลังกลับไปเมื่อประมาณหกสิบ<br />
กว่าปีที่แล้ว เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๘๙<br />
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ยังทรงดำรงพระอิสริยศเป็นสมเด็จพระเจ้า<br />
น้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพลอดุยเดช ในเช้าวันที่<br />
๙ มิถุนายนเกิดเหตุอันไม่มีใครคาดฝัน<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลเสด็จ<br />
สวรรคต วันเดียวกันรัฐสภามีมติเป็นเอกฉันท์<br />
ที่จะกราบบังคมทูลอัญเชิญสมเด็จพระ<br />
อนุชาผู้มีพระชนมายุเพียง ๑๘ พรรษาเสด็จ<br />
ขึ้นดำรงสิริราชสมบัติ ค่ำนั้น ขณะที่ความ<br />
8<br />
ทุกข์ที่สุดจากการสูญเสียพระบรมเชษฐา<br />
ธิราชอย่างฉับพลันยังท่วมท้นในพระราชหฤทัย<br />
ต้องทรงตัดสินพระทัยว่าจะทรงรับพระราช<br />
ภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้หรือไม่ สมเด็จพระบรม<br />
ราชชนนีทรงถามพระโอรสว่า “รับไหมลูก”<br />
ทรงตอบด้วยพระราชหฤทัยเข้มแข็งว่า “รับ”<br />
ซึ่งต่อมาพระวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยลาภ<br />
พฤฒิยากร อดีตประธานองคมนตรี ทรงเล่า<br />
เหตุการณ์ในวันนั้นว่า “ได้กราบบังคมทูลถาม<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ถึงเรื่องที่ทรง<br />
รับราชสมบัติ มีพระราชดำรัสตอบว่า หน้าที่<br />
และความเป็นคนไทยทำให้ทรงรับ...เพราะ<br />
ฉันเป็นคนไทย ประชาชนเขาต้องการให้ฉัน<br />
ทำหน้าที่....” ในช่วงนั้นนับเป็นช่วงเวลายาก<br />
จะทำใจเมื่อคนไทยต้องสูญเสียพระเจ้าอยู่หัว<br />
รัชกาลที่ ๘ ผู้ทรงเป็นความหวังอันสดใส<br />
ด้วยทรงริเริ่มปฏิบัติพระราชภารกิจอย่าง<br />
“พระเจ้าแผ่นดินยุคใหม่” เสด็จพระราชดำเนิน<br />
ไปเยี่ยมเยียนพสกนิกรอย่างใกล้ชิด โดย<br />
มีพระอนุชาธิราชทรงร่วมปฏิบัติพระราช<br />
ภารกิจอย่างเข้มแข็ง เมื่อเสด็จสู่สวรรคาลัย<br />
รวดเร็วเช่นนี้ ความหวังอันเรืองรองที่อยู่ใน<br />
นาวาอากาศเอกหญิง กาญจนารัตน์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
ใจคนไทยก็ดูคล้ายจะดับวูบไปชั่วขณะว่า<br />
ประเทศไทยไม่มีพระเจ้าอยู่หัวแล้ว และนี่คือ<br />
พระราชดำรัสปลุกปลอบ ที่กลายเป็นเปลว<br />
เทียนจุดสว่างกลางความมืดมนในใจราษฎร์<br />
ว่า “พระเจ้าอยู่หัวยังอยู่ พระอนุชาต่างหาก<br />
ที่ไม่มีแล้ว”<br />
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภาณุพันธุ์<br />
ยุคล ได้กราบบังคมทูลถวายชัยมงคลแทน<br />
พระบรมวงศานุวงศ์เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน<br />
๒๕๑๔ เนื่องในวโรกาสมหามงคลสมัยเถลิง<br />
ถวัลยราชสมบัติครบ ๒๕ ปี โดยมีความตอน<br />
หนึ่งย้อนอดีตกลับไปยังวันที่ทรงรับอัญเชิญขึ้น<br />
ครองราชย์ว่า “...เมื่อ ๒๕ ปี โพ้นต่อหน้ามหา<br />
สมาคมกอปรด้วยประธานสภาผู้แทนราษฎร<br />
นายกรัฐมนตรี พระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่<br />
และข้าราชการผู้ใหญ่ พระราชาพระองค์<br />
หนึ่งตรัสมีความโดยสังเขปว่า ‘ข้าพเจ้าขอ<br />
ขอบใจที่มอบราชสมบัติให้ ข้าพเจ้าจะทำทุก<br />
อย่างเพื่อประเทศชาติและเพื่อความผาสุก<br />
ของประชาชนอย่างเต็มความสามารถ ขอให้<br />
ท่านจงช่วยร่วมกันทำดังกล่าว แล้วก็เสด็จไป<br />
จากมหาสมาคมนั้น ครั้นแล้วทรงหันกลับมา<br />
ใหม่แล้วตรัสอย่างหนักหน่วงว่า และด้วยใจ<br />
สุจริต...’ พระราชกระแสรับสั่งและสีพระพักตร์<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
9
10<br />
ตอนที่รับสั่งนั้น เป็นที่ซาบซึ้งจับจิตและตื้นตัน<br />
ใจแก่ผู้ที่มีวาสนาได้เห็นได้ฟังอย่างยากยิ่งที่จะ<br />
พรรณนาให้ถูกต้องได้เพราะ ประการแรกขณะ<br />
นั้นมีพระชนม์เพียง ๑๘ พรรษา อีกทั้งขณะ<br />
นั้นเป็นยามที่ตื่นตระหนกและยามเศร้าหมอง<br />
อย่างที่สุดที่พระมหากษัตริย์หรือบุคคลใดจะ<br />
พึงกำลังเผชิญในชีวิต อีกทั้งเป็นกาลเวลาที่<br />
บ้านเมืองกำลังปั่นป่วน มิอาจที่จะทรงทราบ<br />
หรือทรงเดาได้ว่าเหตุการณ์ภายในประเทศ<br />
ต่อไป แม้เพียงในชั่วโมงข้างหน้า วันหน้า จะเป็น<br />
อย่างไร ประการที่สอง พระราชกระแส<br />
พระสุรเสียง ตลอดจนสีพระพักตร์ในขณะที่<br />
รับสั่งนั้นแสดงถึงความจริงจัง ความแน่ชัด<br />
และความเด็ดขาดเห็นได้ชัดว่าเป็นพระราช<br />
กระแสรับสั่งที่มาจากเบื้องลึกของพระราช<br />
หฤทัย จึงเป็นราชปฏิภาณที่แน่นอนและเด่น<br />
ชัด และเห็นได้ว่าเป็นพระราชดำรัสที่มิได้ทรง<br />
ตระเตรียมแต่งหรือเขียนไว้ก่อน จึงไม่มีผู้ใดได้<br />
เตรียมบันทึกพระราชกระแสนั้นไว้...”<br />
๑๙ สิงหาคม ๒๔๘๙ หลังจากทรงรับ<br />
อัญเชิญขึ้นครองราชย์ได้สองเดือนก็ต้องทรง<br />
อำลาประเทศไทยเพื่อเสด็จพระราชดำเนินไป<br />
ศึกษาต่อ ณ ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ขณะ<br />
รถยนต์แล่นจากพระบรมมหาราชวังผ่าน<br />
ถนนราชดำเนินกลางมุ่งสนามบินดอนเมือง<br />
ท่ามกลางประชาชนชาวไทยที่มาส่งเสด็จ<br />
สองข้างทาง อาจด้วยอารมณ์อ้างว้างและ<br />
ใจหายผลักดันให้ชายคนหนึ่งในหมู่พสกนิกร<br />
ตะโกนขึ้นมาขณะที่รถพระที่นั่งแล่นผ่านว่า<br />
“ในหลวงอย่าละทิ้งประชาชน” ไม่มีใครรู้<br />
ความในพระราชหฤทัยที่มีต่อเสียงนั้นจนเมื่อ<br />
ได้พระราชทานพระราชนิพนธ์ “เมื่อข้าพเจ้า<br />
จากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์”ลงตีพิมพ์ใน<br />
หนังสือ“วงวรรณคดี”อีกหลายเดือนต่อมาว่า<br />
“...อยากจะร้องบอกเขาลงไปว่า ถ้าประชาชน<br />
ไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งได้อย่างไร..”<br />
แล้วความอ้างว้างทั้งมวลตลอดเวลาที่ทรง<br />
จากไปเพื่อการศึกษาก็มลายหายไปจนหมดสิ้น<br />
เมื่อเสด็จนิวัตพระนครในอีกสี่ปีต่อมา ในครั้ง<br />
นี้ได้พระราชทาน “คำมั่นสัญญา” ที่ไม่เพียง<br />
ทรงกำหนดไว้ในพระราชหฤทัยเพียงลำพังอีก<br />
แล้วแต่ทรงเปล่งพระบรมราชโองการอันหนัก<br />
แน่นยิ่งให้คนไทยรู ้ทั่วกันในวันพระราชพิธีบรม<br />
ราชาภิเษกเมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม ๒๕๙๓ ซึ่ง<br />
ถือเป็นพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า “เราจะ<br />
ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่ง<br />
มหาชนชาวสยาม” ปี ๒๔๙๓ จึงเป็นปีที่หัวใจ<br />
คนไทยได้รับการถมเต็มด้วยความสุขความ<br />
ปลื้มปีติจนอิ่มล้น และได้ทรงตั้งพระราชหฤทัย<br />
อย่างแน่วแน่ว่าจะไม่เสด็จออกนอกประเทศ<br />
ถ้าไม่มีเหตุผลสำคัญ ในฐานะที่ทรงเป็นประมุข<br />
ของชาวไทยสมควรที่จะประทับอยู่ในบ้าน<br />
เมืองเพื่ออยู่ใกล้ชิดราษฎรให้มากที่สุด<br />
นาวาอากาศเอกหญิง กาญจนารัตน์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา
การประทับอยู่ในบ้านเมืองนั้นมิได้หมายถึง<br />
การประทับอยู่ในเมืองหลวงเท่านั้นแต่ยังเสด็จ<br />
ไปเยี่ยมเยียนราษฎรของพระองค์จนแทบทั่ว<br />
ทุกตารางนิ้วที่พระบาทจะย่างไปถึงได้ และเมื่อ<br />
วันที่ ๑๓ กันยายน ๒๔๙๗ ได้ปรากฏว่าเกิด<br />
เหตุการณ์อัคคีภัยครั้งร้ายแรงขึ้นที่ อ.บ้านโป่ง<br />
จ.ราชบุรี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึง<br />
เสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมเยียนราษฎร<br />
ผู้ประสบภัยในท้องที่ ทรงทอดพระเนตร<br />
บริเวณที่เกิดเพลิงไหม้และพระราชทานสิ่งของ<br />
บรรเทาทุกข์ การเสด็จพระราชดำเนินครั้งนั้น<br />
นับได้ว่าเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยม<br />
ราษฎรครั้งแรกในรัชกาลนี้ ต่อมาในปี พ.ศ.<br />
๒๔๙๘ เสด็จเยี่ยมราษฎรต่างจังหวัดเป็นครั้ง<br />
ที่สองที่ จ. สุพรรณบุรีจึงไม่แปลกที่ราษฎรใน<br />
แดนไกลผู้ได้มีโอกาสเข้าเฝ้าพระเจ้าแผ่นดิน<br />
ของเขาเป็นครั้งแรกและอาจเป็นครั้งเดียว<br />
ในชีวิต เมื่อได้ทราบข่าวว่าจะเสด็จลงเรือ<br />
พระที่นั่งเพื่อประพาสในแม่น้ำสุพรรณบุรีจะ<br />
พากันแห่มารอชมพระบารมีทั้งสองฟากฝั่ง<br />
บางคนยอมถึงกับลุยลงไปเฝ้ารออยู่ในน้ำเพื่อ<br />
ให้เห็นพระองค์ใกล้ชิดที่สุด โดยไม่หวั่นว่าจะ<br />
ต้องแช่น้ำอยู่นาน ๆ ท่ามกลางแดดร้อนเปรี้ยง<br />
แต่อย่างใด ปลายปีเดียวกันนั้นเองชาวอีสาน<br />
ทราบข่าวดีว่าในหลวงและพระราชินีของพวก<br />
เขาจะเสด็จฯเยี่ยมอีสานเป็นเวลา ๑๙ วันใน<br />
ระหว่าง ๒ - ๒๐ พฤศจิกายน ๒๔๙๘ ในช่วง<br />
นั้นเป็นช่วงเวลาที่ภาคอีสานแห้งแล้งมากไม่มี<br />
อ่างเก็บน้ำชลประทานดังเช่นปัจจุบัน เส้นทาง<br />
รถยนต์ยังเป็นดินแดงทุรกันดาร น้ำพระราช<br />
หฤทัยที่แสดงออกด้วยการเจาะจงเสด็จเยี่ยม<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
อีสานจึงเสมือนน้ำฝนเย็นฉ่ำที่หยาดลงมาบน<br />
ผืนดินที่แห้งผาก ยังไม่ทันที่ทั้งสองพระองค์จะ<br />
เสด็จฯ มาถึง น้ำพระทัยที่เย็นดุจสายฝนหยด<br />
แรกก็หยาดนำทางลงมาเสียแล้วเมื่อมีข่าวว่า<br />
กรมทางหลวงเตรียมนำ “น้ำ” มาราดถนนทาง<br />
เสด็จพระราชดำเนินเพื่อไม่ให้ถนนเกิดฝุ่นแดง<br />
คลุ้งเมื่อรถพระที่นั่งแล่นผ่าน พระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวมีพระกระแสรับสั่งห้ามว่า “ไม่<br />
ให้นำน้ำซึ่งเป็นของมีค่าหายากมาราดถนน<br />
รับเสด็จ แต่สงวนน้ำไว้ให้ราษฎรใช้อาบกิน”<br />
สมเด็จพระนางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถได้มี<br />
พระราชดำรัสพระราชทานเกี่ยวกับการปฏิบัติ<br />
พระองค์ในการเยี่ยมเยียนราษฎรซึ่งพระบาท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติเป็นแบบ<br />
อย่างว่า “เวลามีพระราชปฏิสันถารกับราษฎร<br />
ซึ่งเป็นชั่วโมง ๆ ทีเดียวทรงคุยกับราษฎรนี่<br />
ไม่โปรดทรงยืน ทรงถือขนบธรรมเนียมไทยที่<br />
จะไม่ยืนค้ำผู้เฒ่าผู้แก่ จะประทับลงรับสั่งกับ<br />
ราษฎรเสมอมา แม้จะเป็นตอนเที่ยงแดดร้อน<br />
เปรี้ยงก็ตาม ซึ่งข้าพเจ้าก็เห็นพระราชจริยวัตร<br />
นี้มาตั้งแต่ตอนต้นรัชกาลแล้ว...”<br />
และเหตุผลที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ต้องทรงงานหนักเพื่อพสกนิกรนั้นสมเด็จพระ<br />
นางเจ้าฯพระบรมราชินีนาถได้พระราชทาน<br />
คำอธิบายไว้ว่า “...รับสั่งว่าเราต้องตอบแทน<br />
ความรักของประชาชนด้วยการกระทำมากกว่า<br />
คำพูด ทำทุกสิ่งทุกอย่างที่จะบำบัดความทุกข์<br />
ของเขา เพราะเขาเป็นหลักพึ่งพาของพระมหา<br />
กษัตริย์ตลอดเวลา จึงตัดสินพระทัยว่าการ<br />
เสด็จไปไหน ๆ แล้วแจกผ้าห่มแจกเสื้อผ้า<br />
เป็นการถมมหาสมุทร อย่างไรก็ช่วยไม่ได้หมด<br />
ทางที่ดีรับสั่งว่าต้องลงไปพูดคุยกับเขาเรียก<br />
ว่าสอบถามถึงความทุกข์ของเขาว่าอยู่ที่ใหน..<br />
ตั้งแต่นั้นมาเมื่อเริ่มตั้งพระทัยเช่นนั้นก็เริ่มทรง<br />
ศึกษาแผนที่ซึ่งกรมแผนที่และกรมชลประทาน<br />
ช่วยเหลืออยู่ตลอดเวลาได้รัฐบาลที่คอย<br />
ช่วยเหลือเกื้อกูลพระองค์ตลอดเวลา เพื่อที่<br />
จะได้ทรงตอบแทนพระคุณประชาชนได้อย่าง<br />
เต็มที่...”<br />
11
๑๒๗ ปี กรมการเงินกลาโหม<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
ห<br />
ากจะกล่าวถึง กรมยุทธนาธิการ<br />
ซึ่งถือได้ว่าส่วนราชการแรกเริ่ม<br />
ในยุคของกิจการทหารยุคใหม่<br />
ข อ ง ป ร ะ เ ท ศ ซึ่ ง ใ น เ ว ล า ต ่ อ ม า ไ ด ้ มี<br />
พัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาจนเป็นกระทรวง<br />
กลาโหมในปัจจุบันที่มีอายุและเกียรติภูมิ<br />
ยืนยาวมาจวบจน ๑๒๗ ปี ในวันที่ ๘ เมษายน<br />
๒๕๕๗ นี้<br />
แต่ท่านทราบหรือไม่ว่ายังมีส่วนราชการ<br />
ในสังกัดกระทรวงกลาโหมอีกหนึ่งหน่วยที่มี<br />
เกียรติประวัติและมีความยืนยาวของหน่วยมา<br />
ถึง ๑๒๗ ปี เช่นเดียวกันกับกระทรวงกลาโหม<br />
ทั้งยังมีวันสถาปนาหน่วยเป็นวันที่ ๘ เมษายน<br />
๒๔๓๐ ซึ่งเป็นวันเดียวกันกับการสถาปนากรม<br />
ยุทธนาธิการอีกด้วย ส่วนราชการที่กล่าวถึงนี้<br />
คือ กรมการเงินกลาโหม นั่นเอง<br />
ในยุคกว่า ๑๓๐ ปีที่ผ่านมา สยามประเทศ<br />
ต้องเผชิญกับปัญหาร้ายแรงที่มีผลกระทบต่อ<br />
เสถียรภาพของประเทศเป็นอย่างยิ่ง กล่าว<br />
คือ ประเทศมหาอำนาจจากโลกตะวันตกที่มี<br />
แสนยานุภาพทางทหารที่สูงมากและทันสมัย<br />
ต่างแสวงหาอาณานิคม และสยามประเทศก็<br />
เป็นที่หมายตาของมหาอำนาจเหล่านั้นด้วย<br />
จึงนับเป็นวิกฤตการณ์สำคัญของประเทศที่อยู่<br />
ท่ามกลางภัยคุกคามที่เหนือกว่าและถือเป็นจุด<br />
ล่อแหลมกับการสูญเสียเอกราชของชาติ หาก<br />
ไม่มีการวางรากฐานของประเทศและดำเนิน<br />
วิเทโศบายอย่างรัดกุม<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงมีพระราชปณิธานที่จะพัฒนาขีดความ<br />
สามารถของกองทัพสยามประเทศให้มีความ<br />
เจริญก้าวหน้าทัดเทียมประเทศโลกตะวันตก<br />
ด้วยการพัฒนากองทัพให้มีแบบธรรมเนียม<br />
วิธีการบริหารจัดการในลักษณะที่เทียบเคียง<br />
ได้กับประเทศโลกตะวันตก เมื่อเป็นเช่นนี้<br />
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีประกาศ<br />
พระบรมราชโองการที่เรียกว่า ประกาศจัดการ<br />
12<br />
ทหาร เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๔๓๐ จัดตั้ง กรม<br />
ยุทธนาธิการ ให้ที่มีหน้าที่บังคับบัญชาทหาร<br />
บกและทหารเรือให้เกิดความเป็นเอกภาพ<br />
ในการบังคับบัญชา รวมทั้งจัดระเบียบการ<br />
บริหารราชการทหารอย่างเป็นมาตรฐานทั้ง<br />
ในเรื่องการเตรียมกำลังและการสนับสนุน<br />
ในด้านต่าง ๆ โดยประกาศจัดการทหาร ได้<br />
มีการจัดส่วนราชการของกรมยุทธนาธิการ<br />
ประกอบด้วย ทหารบก ทหารเรือ กรมใช้จ่าย<br />
และกรมยุทธภัณฑ์ พร้อมทั้งทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งผู้บังคับบัญชาการทั่วไป<br />
สำหรับกรมทหาร เรียกว่า คอมมานเดออินชิฟ<br />
(Commander In Chief) โดย สมเด็จพระบรม<br />
โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎ<br />
ราชกุมาร ทรงดำรงตำแหน่งดังกล่าวนี้ เพื่อ<br />
ให้ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี และมีการ<br />
แต่งตั้งเจ้าพนักงานใหญ่ผู ้จัดการในกรมสำหรับ<br />
ช่วยผู้บัญชาการทั่วไปอีก ๔ ตำแหน่ง ซึ่งมี<br />
ตำแหน่งสำคัญที่น่าสนใจคือ เจ้าพนักงานใหญ่<br />
ผู้บัญชาการใช้จ่าย หรือ เปมาสเตอเยเนอราล<br />
(Paymaster General)<br />
ซึ่งหากพิจารณาให้ถ่องแท้ จะเห็นได้ว่าใน<br />
ประกาศจัดการทหาร ได้ให้ความสำคัญต่อ<br />
การบริหารจัดการและควบคุมการใช้จ่ายของ<br />
กรมยุทธนาธิการเป็นอย่างมาก จนกำหนดให้<br />
มีหน่วยงานระดับกรม มีหน้าที่ดำเนินกิจการ<br />
ในการใช้จ่ายในภาพรวมโดยใช้ชื่อว่า กรมใช้<br />
จ่าย และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง<br />
ให้ นายพลตรี เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมขุนนริศรา<br />
นุวัตติวงศ์ เป็น เจ้าพนักงานใหญ่ผู้บัญชาการ<br />
ใช้จ่าย เพื่อบริหารจัดการในเรื่องการบริหาร<br />
ทรัพยากรประเภทเงิน ๆ ทอง ๆ ของทหาร<br />
ซึ่งกำหนดไว้อย่างชัดเจนในหน้าที่ว่า “...ให้<br />
จัดการทั้งปวง ที่เกี่ยวข้องกับการเบิกเงิน<br />
ใช้สอย จ่าย ที่เกี่ยวข้องด้วยประมาณราคาของ<br />
แลตรวจตราลดหย่อนเติมเงินขึ้นที่จะใช้ใน<br />
กรมทหารทั้งปวง…”<br />
ในเวลาต่อมาเมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๓๓ ได้<br />
มีการตราพระราชบัญญัติจัดการกรมยุทธนาธิ<br />
การ ร.ศ.๑๐๙ ด้วยการยกฐานะกรมยุทธนาธิ<br />
การขึ้นเป็น กระทรวงยุทธนาธิการ ก็ได้มีการ<br />
จัดส่วนราชการให้มี กรมใช้จ่าย ซึ่งมีผู้บังคับ<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
หน่วยใช้ชื่อว่า เจ้ากรมคลัง เป็นผู้รับผิดชอบ<br />
ดำเนินการ ในขณะเดียวกัน ในส่วนของกรม<br />
ทหารเรือได้มีการตั้ง กองบัญชีเงิน ขึ้นเพื่อ<br />
ปฏิบัติงานด้วย<br />
ปีพุทธศักราช ๒๔๓๕ ได้ปรับเปลี่ยน<br />
ส่วนราชการจาก กระทรวงยุทธนาธิการ ให้<br />
คงเหลือเป็นกรมยุทธนาธิการ ดังนั้น กรม<br />
ใช้จ่าย จึงได้เปลี่ยนเป็น กรมคลัง และใน<br />
ส่วนกรมทหารเรือก็ยังคงใช้ กองบัญชีเงิน<br />
เช่นเดิม แม้ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๗ จะได้<br />
มีการรวมกรมยุทธนาธิการและกรมทหาร<br />
เรือมาขึ้นตรงต่อกระทรวงกลาโหมก็ตาม<br />
กรมคลังและกองบัญชีเงินก็ยังคงปฏิบัติใน<br />
ลักษณะเดิม ซึ่งในเวลาต่อมา เมื่อมีการปรับ<br />
ส่วนราชการในกระทรวงกลาโหมในรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอีก<br />
หลายครั้ง กิจการการเงินของทหารเรือยังคง<br />
เดิม แต่สำหรับกิจการการเงินของทหารบกได้มี<br />
การเปลี่ยนแปลงมาเป็น กรมคลังเงินทหารบก<br />
และเป็น กรมปลัดบัญชีทหารบก ตามลำดับ<br />
ต่อมาในปีพุทธศักราช ๒๔๕๓ พระบาท<br />
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้มีพระบรมราชโองการ<br />
ประกาศตั้งกระทรวงทหารบก ทหารเรือ ร.ศ.<br />
๑๒๙ โดยให้ยกฐานะกรมทหารเรือ ขึ้นเป็น<br />
กระทรวงทหารเรือ คู่กับกระทรวงกลาโหม<br />
มีหน้าที่กำกับดูแลทหารบก จึงได้มีการตั้งกรม<br />
ปลัดบัญชีทหารบกและกรมปลัดบัญชีทหาร<br />
เรือ ขึ้นเพื่อกำกับดูแลกิจการการเงินของทั้ง<br />
๒ กระทรวง<br />
หลักจากนั้น ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ<br />
ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีพระบรมราชโองการ ให้<br />
รวม กระทรวงทหารเรือ กับ กระทรวงทหาร<br />
บก เข้าเป็นกระทรวงเดียวกัน ภายใต้นาม<br />
กระทรวงกลาโหม ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๔<br />
จึงทำให้มีการรวมกรมปลัดบัญชีทหารบกและ<br />
กรมปลัดบัญชีทหารเรือ เป็นกรมเดียวกันใน<br />
นาม กรมปลัดบัญชี<br />
ต่อมา ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการ<br />
ปกครอง มีพระบรมราชโองการ ประกาศจัด<br />
ระเบียบป้องกันอาณาจักร พ.ศ. ๒๔๗๕ ให้<br />
จัดส่วนราชการออกเป็น ๓ ส่วน คือ กอง<br />
บังคับการกระทรวงกลาโหม กองทัพบก และ<br />
กรมทหารเรือ โดย กรมปลัดบัญชี ขึ้นอยู่ใน<br />
กองบังคับการกระทรวงกลาโหม มีเจ้ากรมเป็น<br />
ผู้บังคับบัญชา ขึ้นตรงต่อปลัดทูลฉลอง ซึ่งเป็น<br />
ผู้บังคับบัญชาและหัวหน้ากองบังคับการ<br />
ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๖ ได้มีการตราพระ<br />
ราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร<br />
พ.ศ. ๒๔๗๖ มีการเปลี่ยนนามหน่วยและจัด<br />
ส่วนราชการกระทรวงกลาโหมขึ้นใหม่ โดย<br />
กำหนดให้ กรมปลัดบัญชี ขึ้นอยู่ในสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวง ซึ่งมีปลัดกระทรวง เป็นผู้บังคับ<br />
บัญชา และเมื่อกิจการของกองทัพบกได้ขยาย<br />
ตัวมากขึ้น กรมปลัดบัญชี จึงได้มีการพิจารณา<br />
แยกงานออกเป็น ๒ ฝ่าย คือ ฝ่ายกระทรวง<br />
กลาโหม และฝ่ายกองทัพบก ทั้งนี้ เพื่อเป็นการ<br />
เตรียมการแยกงานเบิกจ่ายของกองทัพบก<br />
ออกจากกรมปลัดบัญชีเช่นเดียวกันกับการ<br />
แยกงานเบิกจ่ายของกองทัพเรือ ซึ่งต่อมาฝ่าย<br />
กองทัพบกก็ได้แยกออกไปจัดตั้งเป็น กรมการ<br />
เงินทหารบกขึ้นตรงต่อกองทัพบก เมื่อวันที่ ๖<br />
มิถุนายน ๒๔๘๑<br />
ต่อมา ได้มีการปรับปรุงแก้ไขการจัดแบ่ง<br />
หน้าที่ราชการใหม่ตาม พระราชบัญญัติจัด<br />
ระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๔๙๑<br />
ส่วนราชการภายในสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
จึงได้ปรับเปลี่ยนไปตาม พระราชกฤษฎีกา<br />
จัดวางระเบียบราชการสำนักงานเลขานุการ<br />
รัฐมนตรีและสำนักงานปลัดกระทรวง ใน<br />
กระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๔๙๑ ซึ่งได้ลง<br />
ประกาศในราชกิจจานุเบกษา ตอนที่ ๖๑ เล่ม<br />
๖๕ วันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๔๙๑ เปลี่ยนชื่อ กรม<br />
ปลัดบัญชี เป็น กรมการเงินกลาโหม ซึ่งเจ้ากรม<br />
การเงินกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชา มีหน้าที่<br />
เกี่ยวกับการงบประมาณ การเงิน การบัญชี<br />
และการที่ดินของกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่<br />
วันที่ ๒๐ ตุลาคม ๒๔๙๑ เป็นต้นมา<br />
ตลอดระยะเวลา ๑๒๗ ปี ของการเดิน<br />
ทางในภารกิจการบริหารจัดการธนกิจหรือ<br />
กิจการทางการเงินของกรมยุทธนาธิการจน<br />
สืบทอดมาถึงกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่เริ่มตั้ง<br />
กรมใช้จ่าย มาเป็นกรมคลัง กรมคลังเงิน กรม<br />
ปลัดบัญชี และกรมการเงินกลาโหม ตามลำดับ<br />
ซึ่งผลงานในห้วงเวลาต่าง ๆ ได้สะท้อนให้เห็น<br />
ถึงความมุ่งมั่น ทุ่มเท ในการปฏิบัติภารกิจ<br />
ของผู้บังคับบัญชาและกำลังพลมาโดยตลอด<br />
และในวันนี้แม้ว่ากรมการเงินกลาโหมจะมี<br />
ภารกิจเพิ่มขึ้นมากมายเท่าใดก็ตาม แต่ความ<br />
มุ่งมั่นตั้งใจในการปฏิบัติงานให้สำเร็จลุล่วง<br />
ไปด้วยดีก็มิได้ลดน้อยถอยลง ในทางกลับกัน<br />
ยังจะเพิ่มขึ้นต่อไปอย่างไม่สิ้นสุดเพื่อภารกิจ<br />
สำคัญในการบริหารจัดการธนกิจเพื่อกระทรวง<br />
กลาโหมสืบไป<br />
และในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๗ จะเป็น<br />
วันครบรอบวันสถาปนากรมการเงินกลาโหม<br />
ปีที่ ๑๒๗ กำลังพลสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม ใคร่ขอมอบความปรารถนาดีไปยัง<br />
ผู้บังคับบัญชาและกำลังพล กรมการเงิน<br />
กลาโหม ทุกท่าน ณ โอกาสนี้<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
13
๒๕ ปี<br />
สำนักงานเลขานุการ<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ส<br />
ำนักงานเลขานุการสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นหน่วย<br />
ขึ้นตรงของสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม มีหน้าที่ดำเนินงานด้านการเลขานุการ<br />
และการประชาสัมพันธ์ ตลอดระยะเวลา ๒๕ ปี<br />
ที่ผ่านมา สำนักงานเลขานุการฯ ได้มีการ<br />
พัฒนาศักยภาพและเติบโตอย่างต่อเนื่อง<br />
ทั้งในด้านการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้<br />
ทักษะ และประสบการณ์อย่างมืออาชีพ โดย<br />
มีการใช้เครื่องมืออุปกรณ์และเทคโนโลยี<br />
ต่าง ๆ เพื่อเสริมประสิทธิภาพในการปฏิบัติ<br />
งาน ภายใต้การบริหารจัดการที่มีขอบเขต<br />
และรูปแบบของโครงการและกิจกรรมต่าง ๆ<br />
ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชา และสอดรับ<br />
กับความเปลี่ยนแปลงของสังคมในปัจจุบัน<br />
อันส่งผลให้ประชาชนได้รับรู้ข้อมูลข่าวสาร<br />
อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง เกิดความเชื่อมั่นศรัทธา<br />
และพร้อมให้การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจ<br />
ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม สำหรับ<br />
งานด้านการเลขานุการ ได้มีการพัฒนาการ<br />
กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ให้บริการ การรับรอง และอำนวยความ<br />
สะดวกให้กับผู้บังคับบัญชาในการเข้าร่วมงาน<br />
พระราชพิธี งานพิธีการ ตลอดจนกิจกรรมต่าง ๆ<br />
โดยประสานการดำเนินงานกับสำนักงาน<br />
เลขานุการเหล่าทัพ เพื่อให้การปฏิบัติเป็น<br />
ไปด้วยความถูกต้อง สง่างาม และสมเกียรติ<br />
จนได้รับความไว้วางใจและความเชื่อมั่นจาก<br />
ผู ้บังคับบัญชา และหน่วยงานในสังกัดกระทรวง<br />
กลาโหม ตลอดจนหน่วยงานภายนอก สำหรับ<br />
ผลการดำเนินงานที่สำคัญ มีดังนี้<br />
งานด้านการประชาสัมพันธ์ของ สป. และ<br />
กระทรวงกลาโหมในภาพรวม ซึ่งเป็นภารกิจ<br />
หลักของสำนักงานเลขานุการฯ โดยเน้นให้<br />
ความสำคัญในการประชาสัมพันธ์เชิงรุกด้วย<br />
การใช้สื่อประชาสัมพันธ์ทุกชนิดที่มีอยู่ รวมทั้ง<br />
ประสานงานกับหน่วยงานอื่น ๆ และเครือข่าย<br />
วิทยุชุมชนอย่างเป็นระบบเพื่อกระจายข่าวสาร<br />
อย่างทั่วถึง ถูกต้องและทันต่อเหตุการณ์<br />
14<br />
กองประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
งานการเทิดทูน การป้องกัน รวมทั้ง<br />
ตอบโต้และทำความเข้าใจมิให้มีการล่วงละเมิด<br />
สถาบันพระมหากษัตริย์ โดยดำเนินการจัดทำ<br />
ป้ายประชาสัมพันธ์ Banner และ Cutout เผย<br />
แพร่แก่ประชาชนทั่วไป เพื่อสร้างจิตสำนึกใน<br />
การเทิดทูนและปกป้องสถาบัน รวมทั้ง การจัด<br />
กิจกรรมเฉลิมพระเกียรติในสื่อต่าง ๆ ประกอบ<br />
ด้วย การจัดทำสปอตวิทยุเฉลิมพระเกียรติ<br />
การจัดทำหนังสือเฉลิมพระเกียรติ การผลิต<br />
โปสเตอร์เผยแพร่แก่ประชาชนทั่วไป ตลอดจน<br />
การจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติอย่างต่อเนื่อง<br />
งานการสร้างความปรองดองสมานฉันท์<br />
ของคนในชาติและฟื้นฟูประชาธิปไตยของ<br />
คนในชาติ โดยการจัดกิจกรรมในรูปแบบ<br />
ต่าง ๆ ประกอบด้วย กิจกรรมสื่อสารมวลชน<br />
เพื่อความมั่นคง โดยจัดอบรมหลักสูตร “การ<br />
พัฒนาสัมพันธ์สื่อสารมวลชน เพื่อความ<br />
มั่นคงของชาติ” เพื่อให้ความรู้กับผู้ประกอบ<br />
การวิทยุกระจายเสียงทั่วประเทศ ในการสร้าง<br />
จิตสำนึกและการมีส่วนร่วมในการสนับสนุน<br />
งานด้านความมั่นคงร่วมกับ สป. รวมทั้งได้<br />
ลงพื้นที่เพื่อพบปะและพัฒนาสัมพันธ์กับสื่อ<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
วิทยุกระจายเสียงในทุกภูมิภาคเพื่อการมี<br />
ส่วนร่วมในการสร้างความรัก ความสามัคคี<br />
รวมทั้ง ความเข้าใจในวิถีการปกครองระบอบ<br />
ประชาธิปไตยที่ถูกต้อง นอกจากนี้ ยังได้<br />
ดำเนินโครงการ “สถานีวิทยุสีขาว เทิดไท้<br />
องค์ราชา” ด้วยการขับเคลื่อนเครือข่ายวิทยุ<br />
กระจายเสียงเพื่อความมั่นคงของ สป. ในการ<br />
ปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และ<br />
การดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์ร่วมกัน<br />
และการดำเนิน โครงการจิตสำนึกรักเมือง<br />
ไทย ด้วยการเปิดโอกาสให้เยาวชนทั่วประเทศ<br />
ได้แสดงออกอย่างสร้างสรรค์ ในการสร้าง<br />
ความรัก ความสามัคคีของคนในชาติ สร้าง<br />
จิตสำนึกในการปกป้องประเทศชาติ และ<br />
เทิดทูนสถาบันผ่านกิจกรรมสร้างสรรค์ใน<br />
รูปแบบของการประกวดภาพถ่าย สปอต<br />
โทรทัศน์ และบทเพลง ชิงทุนการศึกษา โดย<br />
นำผลการประกวดขยายผลสู่การรณรงค์สร้าง<br />
จิตสำนึกในการมีส่วนร่วมรับผิดชอบต่อสังคม<br />
ผ่านสื่อมวลชนในรูปแบบต่าง ๆ ซึ่งกิจกรรม<br />
ทั้งหลายเหล่านี้ได้ดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง<br />
เพื่อให้เกิดผลเป็นรูปธรรมอย่างแท้จริง<br />
และในวันที่ ๑ มีนาคม ๒๕๕๗ นี้ เป็นวัน<br />
คล้ายวันสถาปนาสำนักงานเลขานุการสำนัก<br />
งานปลัดกระทรวงกลาโหม ครบรอบปีที่ ๒๕<br />
ซึ่งนับเป็นความสำเร็จอีกก้าวหนึ่งแห่งความ<br />
ภาคภูมิใจของกำลังพลทุกนาย ภายใต้การนำ<br />
ของ พลตรี ณภัทร สุขจิตต์ เลขานุการ<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมท่านปัจจุบัน<br />
ที่ได้มอบนโยบายในการปฏิบัติงานว่า<br />
“รับคำสั่ง ทำทันที ทำดีที่สุด” หรือ<br />
CAN DO นั่นเอง<br />
15
การบังคับใช้กฎหมาย<br />
ในภาวะไม่ปกติ (ตอนที่ ๒)<br />
พลตรี โชคดี เกตสัมพันธ์<br />
16<br />
พลตรี โชคดี เกตสัมพันธ์
ใ<br />
นฉบับที่แล้วได้กล่าวถึงภาพรวม<br />
ๆ<br />
ข อ ง ก ฎ ห ม า ย ใ น ภ า ว ะ ไ ม ่ ป ก ติ<br />
อันประกอบด้วย ๑. พ.ร.บ.การรักษา<br />
ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑<br />
๒. พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์<br />
ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ ๓. พ.ร.บ.กฎอัยการศึก<br />
พ.ศ. ๒๔๕๗ ส่วนในฉบับนี้จะกล่าวถึงข้อ<br />
สังเกต ข้อดี ข้อเสียของกฎหมายในภาวะ<br />
ไม่ปกติทั้ง ๓ ฉบับ ดังต่อไปนี้<br />
เจตนารมณ์ในการ<br />
บังคับใช้กฎหมาย<br />
พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราช<br />
อาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ มีเจตนารมณ์เพื่อ<br />
กำหนดให้ กอ.รมน. เป็นหน่วยงานพิเศษ<br />
ซึ่งเป็นหน่วยงานภาคปฏิบัติที่นำนโยบาย<br />
ความมั่นคงมาแก้ไขหรือบรรเทาเหตุการณ์ซึ่ง<br />
กระทบความมั่นคงภายในราชอาณาจักร<br />
พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์<br />
ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ มีเจตนารมณ์เพื่อใช้ใน<br />
การบริหารราชการในพื้นที่ที่มีการประกาศ<br />
สถานการณ์ฉุกเฉิน<br />
พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ มี<br />
เจตนารมณ์เพื่อให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่ฝ่าย<br />
ทหารในพื้นที่ที่อยู่ในสภาวะสงคราม หรือการ<br />
จลาจล หรือมีเหตุอันจำเป็นเพื่อรักษาความ<br />
เรียบร้อยปราศจากภัย<br />
ข้อสังเกต<br />
พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายในราช<br />
อาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑ กำหนดขึ้นเพื่อให้<br />
กอ.รมน. เป็นส่วนราชการรูปแบบเฉพาะ<br />
อยู่ภายใต้การบังคับบัญชาขึ้นตรงต่อนายก<br />
รัฐมนตรี โดยวิธีการปฏิบัติราชการ การ<br />
บริหารงาน การจัดโครงสร้าง การแบ่งส่วนงาน<br />
อำนาจหน้าที่ และอัตรากำลังเป็นไปตามที่คณะ<br />
รัฐมนตรีกำหนด ได้รับการจัดสรรงบประมาณ<br />
โดยตรงตามที่ ผอ.รมน. ร้องขอ ตามความ<br />
เห็นชอบจากคณะกรรมการอำนวยการรักษา<br />
ความมั่นคงภายในราชอาณาจักร ทั้งนี้ให้ถือว่า<br />
กอ.รมน. เป็นส่วนราชการตามกฎหมาย ว่า<br />
ด้วย วิธีการงบประมาณและเงินคงคลัง การ<br />
มอบอำนาจ นอกจากจะเป็นไปตามระเบียบ<br />
บริหารราชการแผ่นดินแล้ว อำนาจหน้าที่ตาม<br />
กฎหมายฉบับนี้ ผอ.รมน. จะมอบอำนาจให้<br />
ผอ.รมน.ภาค, ผอ.รมน.จังหวัด หรือ ผอ.ศอ.บต.<br />
ปฏิบัติแทนได้ หน่วยงานของรัฐต้องจัดส่ง<br />
เจ้าหน้าที่ของรัฐไปปฏิบัติหน้าที่ใน กอ.รมน.<br />
ตามที่ ผอ.รมน., ผอ.รมน.ภาค, ผอ.รมน.<br />
จังหวัด ร้องขอ หากสถานการณ์ที่ปรากฏ<br />
เหตุการณ์อันกระทบต่อความมั่นคงภายในราช<br />
อาณาจักร ตามกฎหมายนี้สิ้นสุดลงให้นายก<br />
รัฐมนตรีรายงานผลต่อสภาผู้แทนราษฎร และ<br />
วุฒิสภาทราบโดยเร็ว ในการให้ความเห็นทาง<br />
คดีของ ผอ.รมน. เพื่อกำหนดการเข้ารับการ<br />
อบรมให้แก่ผู้กระทำผิด เป็นไปตามที่ กอ.รมน.<br />
กำหนด และเงื่อนไขของศาลที่จะกำหนดแทน<br />
การลงโทษ เป็นไปตามข้อบังคับของประธาน<br />
ศาลฎีกากำหนด พนักงานเจ้าหน้าที่ กอ.รมน.<br />
อาจได้รับค่าตอบแทนพิเศษหรือสิทธิประโยชน์<br />
ต่าง ๆ ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด ข้อกำหนด<br />
ประกาศ คำสั่ง หรือการกระทำในกฎหมายนี้<br />
ไม่อยู่ในบังคับของกฎหมายว่าด้วยวิธีปฏิบัติ<br />
ราชการทางปกครอง กล่าวคือ จะยกขึ้นกล่าว<br />
อ้างเพื่อยกเลิกข้อกำหนด ประกาศ หรือ คำสั่ง<br />
ต่าง ๆ ไม่ได้แม้จะลิดรอนสิทธิเสรีภาพก็ตาม<br />
ในการใช้อำนาจของ กอ.รมน. หากก่อให้เกิด<br />
ความเสียหายแก่ผู้สุจริตจะได้รับการชดเชยค่า<br />
เสียหายตามควรแก่กรณี ตามหลักเกณฑ์และ<br />
เงื่อนไขที่คณะรัฐมนตรีกำหนด การดำเนินคดี<br />
ตามกฎหมายฉบับนี้ให้อยู่ในอำนาจของศาล<br />
ยุติธรรม และสามารถใช้มาตรการคุ้มครอง<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
17
หรือวิธีการคุ้มครองชั่วคราวก่อนพิพากษาได้<br />
คือ การสืบพยานก่อนเริ่มการพิจารณา หรือ<br />
การคุ้มครองพยาน เป็นต้น<br />
พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์<br />
ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘ เป็นการเพิ่มขีดความ<br />
สามารถในการสอบสวนและรวบรวมพยาน<br />
หลักฐานให้กับพนักงานสอบสวน เป็นการ<br />
ใช้อำนาจโดยเพ่งเล็งผู้กระทำการก่อให้เกิด<br />
สถานการณ์ฉุกเฉิน เป็นเพียงผู้ต้องสงสัย จึง<br />
กำหนดให้มีการขอหมายจับ และควบคุมตัว<br />
เพื่อเปลี่ยนทัศนคติเป็นเวลา ๓๐ วัน การที่<br />
รัฐบาลได้ออก พ.ร.ก.ฯ และประกาศใช้ใน<br />
พื้นที่ ๓ จชต. ได้มีข้อคิดเห็นที่ไม่เห็นด้วย อ้าง<br />
ว่า เป็นการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ ให้อำนาจ<br />
กับเจ้าหน้าที่ของรัฐมากเกินไป เป็นการจำกัด<br />
สิทธิและเสรีภาพของประชาชน การประกาศ<br />
ใช้ พ.ร.ก.ฯ ในพื้นที่ ๓ จชต. ฝ่ายตรงข้ามอาจ<br />
ใช้เป็นโอกาสในการโจมตีรัฐบาลและทำลาย<br />
ความเชื่อมั่นต่อกระบวนการปกครองของรัฐ<br />
เป็นการยอมรับโดยปริยายว่าสถานการณ์<br />
การก่อความไม่สงบในพื้นที่ ๓ จชต. เป็น<br />
สถานการณ์ที่ถึงขั้นรุนแรง<br />
พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗ เป็น<br />
กฎหมายที่จะประกาศใช้ได้เฉพาะในเวลาที่มี<br />
สงครามหรือการจลาจล หรือมีความจำเป็น<br />
ที่จะรักษาความสงบเรียบร้อยให้ปราศจาก<br />
ภัย ซึ่งอาจมาจากภายนอกหรือเกิดขึ้นภายใน<br />
ราชอาณาจักร เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจกับ<br />
เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารอย่างค่อนข้างเบ็ดเสร็จ<br />
เด็ดขาดและเป็นการใช้อำนาจแบบเบ็ดเสร็จ<br />
ให้อำนาจกับเจ้าหน้าที่รัฐหรือเจ้าหน้าที่ฝ่าย<br />
ทหารมาก เป็นการจำกัดสิทธิและเสรีภาพของ<br />
ประชาชน ฝ่ายตรงข้ามใช้เป็นเงื่อนไขในการ<br />
โจมตีและทำลายความเชื่อมั่นต่อกระบวนการ<br />
ปกครองของรัฐ ที่ผ่านมาได้รับการต่อต้าน และ<br />
ได้รับการตรวจสอบข้อเท็จจริงจากองค์การ<br />
มุสลิมโลกและองค์การสหประชาชาติ จน<br />
ต้องแก้ไข โดยออก พ.ร.ก.การบริหารราชการ<br />
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน มาแก้ไขสถานการณ์<br />
๓ จชต. เพิ่มเติมจาก พ.ร.บ.กฎอัยการศึกฯ<br />
การเปรียบเทียบผลดีและ<br />
ผลเสียของกฎหมายทั้ง<br />
๓ ฉบับ<br />
พ.ร.บ.การรักษาความมั่นคงภายใน<br />
ราชอาณาจักร พ.ศ. ๒๕๕๑<br />
ผลดี<br />
มีการบูรณาการอำนาจและบุคลากร<br />
ทั้งจากฝ่ายพลเรือน ตำรวจ ทหาร ภายใต้การ<br />
สังกัดของ กอ.รมน. ในการแก้ไขปัญหา<br />
มีบทบัญญัติที่เปิดโอกาสผู้กระทำ<br />
ความผิดไม่ต้องถูกดำเนินคดีตามกระบวนการ<br />
พิจารณาคดีของศาลตามปกติ<br />
การใช้อำนาจตามกฎหมายมีขั้นตอน<br />
การปฏิบัติงานที่ชัดเจน รวมทั้งมีการกำหนด<br />
แผนการปฏิบัติงานเพื่อให้เกิดความรอบคอบ<br />
ในการปฏิบัติงาน<br />
เปิดโอกาสให้ทุกภาคส่วนในสังคม<br />
ทั้งจากฝ่ายการเมือง ฝ่ายข้าราชการ ภาค<br />
ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการปฏิบัติงาน<br />
ของ กอ.รมน.<br />
มีการเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบจาก<br />
การปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่นอกเหนือจาก<br />
กฎหมายปกติที่ได้กำหนดไว้<br />
ผลเสีย<br />
การใช้อำนาจตามกฎหมายมีขั้นตอน<br />
การใช้ตามลำดับความรุนแรงทำให้ผู้ปฏิบัติ<br />
งานอาจเกิดความสับสนในการปฏิบัติงาน<br />
วิธีการใช้อำนาจต้องมีการออกข้อ<br />
กำหนด/จัดทำแผนเสนอ ครม. และคณะ<br />
กรรมการ ดังนั้นอาจทำให้ไม่สามารถนำมาใช้<br />
แก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที<br />
มีระยะเวลาและพื้นที่ที่จำกัดในการ<br />
ปฏิบัติงาน<br />
ผู้ปฏิบัติงานอาจถูกฟ้องในศาลยุติธรรม<br />
ปกติหากการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามข้อ<br />
บัญญัติของกฎหมาย<br />
เป็นกฎหมายที่อาจก่อให้เกิดปัญหา<br />
ในเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจส่ง<br />
ผลกระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ<br />
พ.ร.ก.การบริหารราชการ<br />
ในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ. ๒๕๔๘<br />
18<br />
พลตรี โชคดี เกตสัมพันธ์
ผลดี<br />
มีการรวมศูนย์อำนาจในการแก้ไขปัญหา<br />
เพื่อให้เกิดความรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ<br />
สามารถใช้ผู้ปฏิบัติหน้าที่ตามกฎหมาย<br />
ได้ทั้งจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายพลเรือน ตำรวจ และ<br />
ทหาร รวมทั้งฝ่ายการเมือง<br />
อำนาจในการแก้ไขปัญหาของเจ้าหน้าที่<br />
ได้รับการคุ้มครองจากรัฐธรรมนูญ<br />
ผู้ปฏิบัติงานได้รับการคุ้มครองจากการ<br />
ปฏิบัติงาน หากทำตามหน้าที่โดยสุจริต ไม่<br />
เลือกปฏิบัติ และไม่เกินสมควรแก่เหตุหรือเกิน<br />
กรณีที่จำเป็น<br />
มีอำนาจครอบคลุมการแก้ไขปัญหาทั้ง<br />
ที่เกิดจากการกระทำของมนุษย์และภัยพิบัติ<br />
ทางธรรมชาติ<br />
มีบทบัญญัติที่เปิดให้เจ้าหน้าที่ใช้อำนาจ<br />
ในการควบคุมผู้กระทำความผิดได้มากกว่า<br />
กฎหมายปกติ<br />
ผลเสีย<br />
การใช้อำนาจของเจ้าหน้าที่มีระยะเวลา<br />
และพื้นที่จำกัดในการดำเนินการ<br />
การใช้อำนาจมีขั้นตอนในการปฏิบัติ<br />
อาทิ การออกประกาศ/คำสั่ง ทำให้การแก้ไข<br />
ปัญหาในบางกรณีอาจไม่ทันการณ์<br />
ผู้ปฏิบัติงานอาจถูกฟ้องในศาลยุติธรรม<br />
ปกติหากการปฏิบัติหน้าที่ไม่เป็นไปตามข้อ<br />
บัญญัติของกฎหมาย<br />
ไม่มีข้อบัญญัติที่จะชดเชยให้กับ<br />
ผู้บริสุทธิ์ที่ได้รับผลกระทบจากการปฏิบัติงาน<br />
ของเจ้าหน้าที่<br />
เป็นกฎหมายที่อาจก่อให้เกิดปัญหาใน<br />
เรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจส่งผล<br />
กระทบต่อภาพลักษณ์ของประเทศ<br />
พ.ร.บ.กฎอัยการศึก พ.ศ. ๒๔๕๗<br />
ผลดี<br />
ฝ่ายทหารมีอำนาจเด็ดขาดแต่เพียง<br />
ลำพังในการแก้ไขปัญหาทำให้มีความรวดเร็ว<br />
และมีประสิทธิภาพ<br />
ผู้ปฏิบัติงานมีอำนาจตามกฎหมาย<br />
ที่เด็ดขาด ครอบคลุมการปฏิบัติงาน และ<br />
สามารถดำเนินการได้ทันที<br />
ผู้ปฏิบัติงานไม่ต้องรับผิดจากการ<br />
ปฏิบัติงาน<br />
ผู้ปฏิบัติงานสามารถประกาศใช้<br />
กฎหมายได้ด้วยตนเอง<br />
ผลเสีย<br />
การประกาศใช้กฎหมายสามารถ<br />
ดำเนินการได้โดยง่าย แต่การยกเลิกจะต้อง<br />
เป็นพระบรมราชโองการ<br />
เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจเฉพาะ<br />
เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหาร ทำให้ไม่มีการบูรณาการ<br />
การใช้อำนาจจากองค์กรอื่น ๆ ในสังคม<br />
กฎอัยการศึกเป็นกฎหมายที่ใช้เฉพาะ<br />
กรณีที่เกิดสงครามหรือการจลาจล การนำมาใช้<br />
จึงมีข้อจำกัดในการปฏิบัติงานค่อนข้างสูง<br />
เป็นกฎหมายที่อาจก่อให้เกิดปัญหาใน<br />
เรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งอาจส่งผลกระทบ<br />
ต่อภาพลักษณ์ของประเทศ<br />
สถานการณ์บ้านเมืองของประเทศไทย<br />
ในปัจจุบันมีความจำเป็นที่ต้องนำกฎหมาย<br />
ในภาวะไม่ปกติมาใช้ เมื่อเกิดสถานการณ์<br />
ภัยคุกคามที่มีต่อความมั่นคงของประเทศใน<br />
ระดับที่ไม่สามารถใช้มาตรการตามกฎหมาย<br />
ทั่วไปเข้าไปแก้ไขปัญหาได้ เช่นในพื้นที่จังหวัด<br />
ชายแดนภาคใต้ หรือแม้แต่ในกรุงเทพมหานคร<br />
เองก็ตาม แต่สิ่งที่ควรคำนึงถึงการใช้กฎหมาย<br />
ในภาวะไม่ปกตินี้ คือ ควรใช้ทรัพยากรที่มี<br />
อยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีขั้นตอนการใช้<br />
อำนาจตามกฎหมายอย่างเหมาะสมและมี<br />
การใช้กฎหมายตามลำดับความรุนแรงของ<br />
สถานการณ์ ดังนั้น กฎหมายในภาวะไม่ปกติจึง<br />
เป็นเครื่องมือ (Mean) สำหรับเจ้าหน้าที่ของรัฐ<br />
ที่จะนำไปสู ่เป้าหมาย (End) สูงสุดของประเทศ<br />
คือความสงบเรียบร้อยของประเทศอันนำไปสู่<br />
การใช้ชีวิตอย่างร่มเย็นเป็นสุขของประชาชน<br />
ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตย<br />
อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
19
การเตรียมความพร้อมของ<br />
กรมการอุตสาหกรรมทหาร<br />
ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
และพลังงานทหาร เข้าสู่ประชาคมอาเซียน<br />
กรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
ก<br />
รมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์<br />
ก า ร อุ ต ส า ห ก ร ร ม ป ้ อ ง กั น<br />
ประเทศและพลังงานทหาร มี<br />
ภารกิจในการควบคุมการนำเข้า - ส่งออก<br />
สินค้าประเภทอาวุธยุทธภัณฑ์ และมีภารกิจ<br />
ในการออกหนังสือ / ใบอนุญาตต่าง ๆ ในการ<br />
นำเข้าและส่งออกสินค้าดังกล่าว ภายใต้<br />
กฎหมายความมั่นคง ได้แก่ พระราชบัญญัติ<br />
โรงงานผลิตอาวุธของเอกชน พ.ศ. ๒๕๕๐,<br />
พระราชบัญญัติควบคุมยุทธภัณฑ์ พ.ศ. ๒๕๓๐<br />
และพระราชบัญญัติควบคุมการส่งออกไป<br />
นอกราชอาณาจักร ซึ่งอาวุธยุทธภัณฑ์และ<br />
สิ่งที่ใช้ในการสงคราม พ.ศ. ๒๔๙๕ ซึ่งกรม<br />
การอุตสาหกรรมทหารฯ ได้มีการเตรียม<br />
ความพร้อมในการก้าวเข้าสู่ประชาคม<br />
อาเซียนของประเทศไทย โดยได้มีการส่งเสริม<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศควบคู่ไปกับ<br />
การควบคุมอาวุธยุทธภัณฑ์ โดยกำหนด<br />
มาตรการในการบริหารงานตามอำนาจหน้าที่<br />
ในกฎหมายด้านความมั่นคง เพื่ออำนวยความ<br />
สะดวกให้กับผู้ประกอบการภาคเอกชนและ<br />
เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขัน เช่น การ<br />
20<br />
กรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร
รับมอบอำนาจในการลงนามในหนังสืออนุญาต<br />
ใบอนุญาต, ลดขั้นตอนการดำเนินงาน,<br />
การเปลี่ยนแปลงรูปแบบใบอนุญาต/หนังสือ<br />
อนุญาตโดยปรับปรุงแก้ไข กฎกระทรวง<br />
ระเบียบ คำสั่งที่เกี่ยวข้อง กอปรกับปรับปรุง<br />
ขั้นตอนและลดระยะเวลาการปฏิบัติราชการ<br />
ในเรื่องการตรวจสอบประวัติ และการตรวจ<br />
สอบสถานที่ผลิตและสถานที่เก็บยุทธภัณฑ์<br />
เป็นการลดภาระของผู้ประกอบการที่จะยื่น<br />
ขออนุญาตสั่งเข้ามา นำเข้ามา ผลิตหรือมีซึ่ง<br />
ยุทธภัณฑ์ อีกทั้งยังเป็นการลดขั้นตอนและ<br />
ระยะเวลาทางธุรการที่ไม่จำเป็น<br />
อีกทั้งกรมการอุตสาหกรรมทหารฯ ได้ลง<br />
นามในบันทึกข้อตกลงว่าด้วยการเชื่อมโยง<br />
ข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ (MOU) ร่วมกับกรม<br />
ศุลกากร เพื่อแสดงความตกลงร่วมกันใน<br />
การเชื่อมโยงข้อมูลการนำเข้า-ส่งออกอาวุธ<br />
ยุทธภัณฑ์ระหว่างหน่วยงานผ่านระบบ<br />
National Single Window หรือ NSW เพื่อ<br />
เชื่อมโยงกับระบบ ASEAN Single Window ได้<br />
ในปี ๒๕๕๘ ซึ่งปัจจุบันกรมการอุตสาหกรรม<br />
ทหารฯ ได้ดำเนินการพัฒนาระบบเชื่อมโยง<br />
ข้อมูลใบอนุญาตผ่าน National Single<br />
Window ของ กรมการอุตสาหกรรมทหาร ฯ<br />
โดยเซ็นสัญญาจ้างงานกับบริษัท สมาร์ท<br />
อัลลายแอนส์ จำกัด เมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน<br />
๒๕๕๕ เพื่อจัดทำระบบการควบคุมยุทธภัณฑ์<br />
ทั้งหมด เช่น การตรวจสอบประวัติ การตรวจ<br />
สถานที่เก็บ การยื่นคำขอ และการออกใบ<br />
อนุญาต รวมถึงหนังสือนำเรียนผู้บังคับบัญชา<br />
ด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้ง การออก<br />
รายงานแบบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องรวมถึงการเชื่อม<br />
โยงข้อมูลกับกรมศุลกากรผ่านระบบ NSW<br />
ด้วยเครือข่ายสื่อสารข้อมูลเชื่อมโยงหน่วย<br />
งานภาครัฐ (Government Information<br />
Network : GIN) และได้เริ่มใช้ระบบดังกล่าว<br />
แล้วซึ่งจากการพัฒนาระบบเครือข่ายดังกล่าว<br />
จะส่งผลให้ลดภาระในการกรอกข้อมูลซ้ำซ้อน<br />
ของผู้ประกอบการ โดยสามารถกรอกข้อมูล<br />
เพียงชุดเดียวแล้วสามารถส่งให้กรมศุลกากร<br />
ได้ทางอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ เป็นการ<br />
บูรณาการการเชื่อมโยงเครือข่ายข้อมูลและ<br />
การบริการระหว่างหน่วยงานภาครัฐ เพื่อใช้<br />
ประโยชน์จากข้อมูลร่วมกันตามอำนาจหน้าที่<br />
ของหน่วยงานตนรวมทั้งเป็นการสนับสนุน<br />
และรองรับการทำงานแบบไร้กระดาษ ลด<br />
ขั้นตอนและระยะเวลาการให้บริการเกี่ยวกับ<br />
การนำเข้า - ส่งออก ให้เหลือเท่าที่จำเป็น<br />
และลดปริมาณเอกสาร เป็นการลดต้นทุน<br />
การบริหาร การจัดการ ซึ่งผู้ประกอบการจะ<br />
ได้รับความสะดวก รวดเร็ว ในการดำเนินการ<br />
ขออนุญาตนำเข้า – ส่งออกอาวุธยุทธภัณฑ์<br />
และเป็นการอำนวยความสะดวกด้านศุลกากร<br />
ให้แก่ผู้ประกอบการ ลดต้นทุนค่าใช้จ่ายของ<br />
ผู้ประกอบการในกระบวนการนำเข้าและ<br />
ส่งออก อีกทั้งยังเป็นการช่วยส่งเสริมการค้า<br />
ระหว่างประเทศให้สามารถแข่งขันกับต่าง<br />
ประเทศได้ในภาวะเศรษฐกิจปัจจุบัน รวมทั้ง<br />
เป็นประโยชน์ต่อการส่งเสริมงานอุตสาหกรรม<br />
ป้องกันประเทศภายใต้กฎหมายด้านความ<br />
มั่นคง<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
21
จับกระแสความมั่นคง<br />
ของอาเซียนและจีน<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ<br />
22<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
ใ<br />
นปี ค.ศ. ๒๐๑๕ หรือ พ.ศ. ๒๕๕๘<br />
สมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออก<br />
เฉียงใต้หรือ “อาเซียน” จะรวมตัวกัน<br />
เป็นประชาคมที่มีความยิ่งใหญ่และมีอำนาจ<br />
ต่อรองสูงมากที่สุดประชาคมหนึ่งของโลก<br />
โดยเฉพาะประชาคมการเมืองและความมั่นคง<br />
ซึ่งถือเป็นเสาหลักที่สำคัญของประชาคม<br />
อาเซียนเช่นเดียวกับประชาคมเศรษฐกิจ<br />
อาเซียนหรือ เออีซี ที่เรารู้จักกันดี ในช่วง<br />
เวลาที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่าการเมืองและความ<br />
มั่นคงของกลุ่มประเทศสมาชิกอาเซียนมีความ<br />
เคลื่อนไหวที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่ง โดย<br />
เฉพาะการเสริมสร้างแสนยานุภาพด้วยการ<br />
จัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ ซึ่งกำลังเป็นที่วิพากษ์<br />
วิจารณ์จากสังคมโลกว่า อาจก้าวไปสู่การ<br />
แข่งขันสะสมอาวุธครั้งใหญ่ จนนักวิเคราะห์<br />
ตะวันตกบางคนถึงกับกล่าวว่าปรากฏการณ์นี้<br />
เกิดขึ้นมาจากแนวความคิดที่ว่า “.. อาเซียนคือ<br />
ภูมิภาคแห่งความไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน ..”<br />
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน<br />
กำลังพิสูจน์ให้โลกเห็นว่า คำกล่าวนั้นผิดพลาด<br />
อย่างสิ้นเชิง เพราะอาเซียนกำลังก้าวสู่ความ<br />
เป็นหนึ่งเดียว พร้อม ๆ กับกองทัพของแต่ละ<br />
ประเทศที่กำลังจะก้าวสู่ความเป็นกองทัพ<br />
เดียว ถึงแม้แต่ละประเทศจะมีการเสริม<br />
สร้างแสนยานุภาพอย่างขนานใหญ่ แต่การ<br />
สร้างแสนยานุภาพดังกล่าวก็มีจุดประสงค์<br />
เดียวกัน คือการสร้างความสมดุลย์ทางอำนาจ<br />
(Balance of Power) และเพื่อปกป้องอำนาจ<br />
อธิปไตยตลอดจนผลประโยชน์ของชาติเป็น<br />
สำคัญ โดยเฉพาะการคานอำนาจกับจีน<br />
หาใช่สะสมอาวุธเพื่อนำมาใช้บดขยี้ ห้ำหั่น<br />
กันเองแต่อย่างใด บทความนี้จึงขอเสนอ<br />
ทิศทางด้านความมั่นคงของกองทัพประเทศ<br />
สมาชิกอาเซียนบางประเทศที่มีต่อจีน เพื่อเป็น<br />
ข้อมูลให้กับผู้สนใจได้ใช้ประกอบการศึกษา<br />
ด้านความมั่นคงของอาเซียนต่อไป<br />
เริ่มต้นที่กองทัพฟิลิปปินส์ซึ่งดูจะเป็น<br />
กองทัพที่กำลังประสบปัญหามากที่สุด ภายหลัง<br />
จากที่ต้องเผชิญกับภาวะวิกฤติด้านเศรษฐกิจ<br />
มาเป็นเวลานาน ทำให้การพัฒนาประเทศ<br />
แทบจะหยุดนิ่งอยู่กับที่ จนไม่สามารถพัฒนา<br />
ศักยภาพกองทัพให้มีความแข็งแกร่งทัดเทียม<br />
กับประเทศเพื่อนบ้านอื่น ๆ ได้ มูลนิธิ เจมส์<br />
ทาวน์ (Jamestown Foundation) ในกรุง<br />
วอชิงตัน ดี.ซี. ของสหรัฐฯ ทำการประเมิน<br />
กองทัพฟิลิปปินส์ในปี ค.ศ. ๒๐๐๗ ว่าเป็น<br />
กองทัพที่อ่อนแอที่สุดกองทัพหนึ่ง (one of<br />
the weakest military forces) ในภูมิภาค<br />
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้<br />
แม้ปัจจุบันรัฐบาลของประธานาธิบดี<br />
เบนิกโน อาคิโนที่ ๓ (Benigno Aquino III)<br />
ซึ่งเข้าบริหารประเทศมาตั้งแต่ปี ค.ศ. ๒๐๑๐<br />
ได้ประกาศนโยบายต่อต้านการฉ้อราษฎร์<br />
บังหลวงอย่างเอาจริงเอาจัง ตลอดจนมุ ่งพัฒนา<br />
เศรษฐกิจด้วยการรักษาวินัยทางการเงินอย่าง<br />
เคร่งครัด ส่งผลให้ “ผลิตภัณฑ์มวลรวม” หรือ<br />
จีดีพี (GDP : Gross Domestic Product) พุ่ง<br />
สูงขึ้นจนถึงระดับร้อยละ ๗.๒ ในช่วงเดือน<br />
กรกฎาคมถึงกันยายนของปี ค.ศ. ๒๐๑๒<br />
ซึ่งนับเป็นอัตราที่สูงที่สุดในกลุ่มประเทศ<br />
สมาชิกอาเซียน สวนทางกับประเทศข้างเคียง<br />
ที่ประสบกับภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว<br />
แต่อย่างไรก็ตามในขณะที่การพัฒนา<br />
เศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่นั้น การพัฒนา<br />
กองทัพก็ยังไม่เกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์ตาม<br />
แผนการที่วางไว้ ห้วงเวลานี้ฟิลิปปินส์จึง<br />
พยายามคานอำนาจกับภัยคุกคามจาก<br />
มหาอำนาจดังเช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน<br />
ที่อ้างสิทธิการครอบครองเหนือพื้นที่พิพาท<br />
บริเวณหมู่เกาะสแปรตลีย์ โดยเฉพาะเกาะที่<br />
ฟิลิปปินส์เรียกว่า “ปานาตัค” (Panatag) ส่วน<br />
จีนเรียกว่า “ฮวงหยาน” (Huangyan) อันเชื่อ<br />
ว่าอุดมสมบูรณ์ไปด้วยก๊าซธรรมชาติและน้ำมัน<br />
จำนวนมหาศาล ฟิลิปปินส์จึงวางยุทธศาสตร์<br />
ด้วยการเชื่อมความสัมพันธ์กับสหรัฐฯ ซึ่งนับ<br />
เป็นพันธมิตรที่มีความใกล้ชิดกับฟิลิปปินส์มา<br />
ตั้งแต่อดีต จนถึงระดับที่อาจมีการกลับมาใช้<br />
ฐานทัพเรือในดินแดนฟิลิปปินส์อีกครั้งตาม<br />
นโยบาย “การปรับสมดุล” (Rebalancing)<br />
ของสหรัฐฯ ที่ต้องการหวนกลับมายังภูมิภาค<br />
เอเชียแปซิฟิกเพื่อมุ ่งคานอำนาจกับจีน อันเป็น<br />
วัตถุประสงค์ที่สอดคล้องกันของทั้งฟิลิปปินส์<br />
และสหรัฐฯ นอกจากนี้เมื่อเดือนสิงหาคม<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
23
ค.ศ. ๒๐๑๑ สหรัฐฯ ได้มอบเรือตรวจการณ์<br />
ชายฝั่ง “เกรโกริโอ เดล พิลาร์” (Gregorio<br />
del Pilar) และเรือตรวจการณ์ชายฝั่งอีกลำ<br />
หนึ่งให้กับกองทัพเรือฟิลิปปินส์ ทำให้เรือดัง<br />
กล่าวนี้กลายเป็นเรือที่ใหญ่ที่สุดและใหม่ที่สุด<br />
ในกองทัพเรือฟิลิปปินส์<br />
สิ่งที่ปรากฏออกมาอย่างชัดเจนถึงการ<br />
หวนกลับมาของสหรัฐฯ ในฟิลิปปินส์ คือ<br />
ภายหลังจากที่พายุไต้ฝุ่น “ไห่เยี่ยน” พัด<br />
เข้าถล่มฟิลิปปินส์อย่างรุนแรงช่วงปลายปี<br />
ค.ศ. ๒๐๑๓ นั้น สหรัฐฯ ได้ส่งเรือบรรทุก<br />
เครื่องบิน “ยูเอสเอส จอร์ช วอชิงตัน” (USS<br />
George Washington) นำความช่วยเหลือ<br />
ด้านมนุษยธรรมพร้อมกำลังพลและอากาศยาน<br />
นานาชนิดเดินทางเข้าไปให้ความช่วยเหลือ<br />
เกือบจะในทันที อันเป็นการแสดงให้เห็น<br />
ถึงความสัมพันธ์ที่ใกล้ชิดและแน่นแฟ้นของ<br />
ทั้งสองประเทศได้เป็นอย่างดี<br />
นอกจากนี้ฟิลิปปินส์ยังเร่งพัฒนาความ<br />
สัมพันธ์กับญี่ปุ ่น ซึ่งนับเป็นคู ่กรณีที่มีข้อขัดแย้ง<br />
เรื่องอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนเกาะ<br />
เซนกากุ (Senkaku) กับจีนเช่นเดียวกัน ดัง<br />
จะเห็นได้จากเมื่อครั้งที่ประธานาธิบดี ชินโซ<br />
อะเบะ (Shinzo Abe) ของญี่ปุ่นเดินทาง<br />
ไปเยือนฟิลิปปินส์เมื่อเดือนกรกฎาคม ค.ศ.<br />
๒๐๑๓ ที่ผ่านมาและได้รับการต้อนรับอย่าง<br />
อบอุ ่น จนนิตยสาร “ไทม์” (Time) ฉบับวันที่ ๗<br />
ตุลาคม ค.ศ. ๒๐๑๓ ระบุว่า นับตั้งแต่จีนกลาย<br />
เป็นภัยคุกคามด้านความมั่นคงต่อฟิลิปปินส์<br />
ทำให้ชาวฟิลิปปินส์กว่าร้อยละ ๘๐ หันกลับมา<br />
มองญี่ปุ ่นในแง่บวก แม้จะมีความทรงจำอันเจ็บ<br />
ปวดในสงครามโลกครั้งที่สองก็ตาม นอกจากนี้<br />
ญี่ปุ่นยังเสนอให้ความช่วยเหลือในการพัฒนา<br />
หน่วยยามฝั่งของฟิลิปปินส์โดยจะมอบเรือ<br />
ลาดตระเวนจำนวน ๑๐ ลำ มูลค่าลำละกว่า<br />
๑๑ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ให้แก่ฟิลิปปินส์อีกด้วย<br />
ทางด้านเวียดนามนั้นก็นับเป็นตัวละคร<br />
สำคัญด้านความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียตะวัน<br />
24<br />
ออกเฉียงใต้เช่นกัน เมื่อตกเป็นคู่กรณีกับจีน<br />
ในข้อพิพาทเหนือพื้นที่หมู่เกาะพาราเซลและ<br />
หมู่เกาะสแปรตลีย์ในทะเลจีนใต้ ภายหลัง<br />
จากที่มีปัญหากันมานานนับร้อยปี ซึ่งหมู่เกาะ<br />
สแปรตลีย์หรือที่เวียดนามเรียกว่า “ควาน เด๋า<br />
เตรือง ซา” (Quan Dao Truong Sa) และจีน<br />
เรียกว่า “นาน ชา” (Nan Cha) ประกอบไป<br />
ด้วยเกาะเล็ก เกาะน้อยจำนวนมาก ในปี ค.ศ.<br />
๑๙๗๓ จีนได้ส่งกำลังทหารเข้าครอบครองหมู่<br />
เกาะจำนวนหนึ่ง โดยในจำนวนนี้มี ๒ เกาะ<br />
ที่ยึดไปจากเวียดนามในปี ค.ศ. ๑๙๘๘<br />
ความขัดแย้งดังกล่าวส่งผลให้เวียดนามมี<br />
การสะสมอาวุธยุทโธปกรณ์อย่างขนานใหญ่<br />
เช่น มีการสั่งซื้อเรือดำน้ำพลังงานดีเซลชั้น<br />
“กิโล” (Kilo) ที่ทันสมัยที่สุดชนิดหนึ่งของรัสเซีย<br />
จำนวน ๖ ลำ มูลค่ากว่า ๑,๘๐๐ ล้านเหรียญ<br />
สหรัฐฯ โดยเรือดำน้ำลำแรกหมายเลขประจำ<br />
เรือ เอชคิว-๑๘๒ ฮานอย (HQ-182 Hanoi)<br />
มีการส่งมอบให้กับกองทัพเรือเวียดนามไป<br />
เรียบร้อยแล้ว และจะทยอยส่งมอบต่อไป<br />
ปีละ ๑ ลำจนถึงปี ค.ศ. ๒๐๑๘ ประกอบด้วย<br />
เรือดำน้ำ หมายเลข เอชคิว-๑๘๓ โฮ จิ มินห์ซิตี้<br />
(HQ-183 Ho Chi Minh City), เอชคิว-๑๘๔<br />
ไฮ ฟอง (HQ-184 Hai Phong), เอชคิว-๑๘๕<br />
ดา นัง (HQ-185 Da Nang), เอชคิว-๑๘๖<br />
คานห์ หัว (HQ- (HQ-186 Khanh Hoa) และ<br />
เอชคิว-๑๘๗ บา เรีย - วัง เทา (HQ-187 Ba<br />
Ria - Vung Tau)<br />
นอกจากนี้เวียดนามยังเดินยุทธศาสตร์ด้วย<br />
การร่วมมือกับรัสเซียทำการพัฒนาฐานทัพเรือ<br />
ที่อ่าวคัมรานห์ (Cam Ranh) เพื่อรองรับเรือ<br />
ดำน้ำทั้ง ๖ ลำอีกด้วย พร้อมทั้งยังเดินหมาก<br />
ทางการทูตด้วยการพัฒนาความสัมพันธ์ด้าน<br />
ความมั่นคงกับรัสเซีย โดยเฉพาะการกู้ยืม<br />
เงินจำนวน ๘ พันล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อ<br />
พัฒนาโรงงานไฟฟ้าพลังงานนิวเคลียร์แห่ง<br />
แรกของประเทศ รวมถึงการให้สัมปทานแก่<br />
บริษัทพลังงานก๊าซธรรมชาติของรัสเซียคือ<br />
“แกซพรอม” (Gazprom) ซึ่งเป็นบริษัทของ<br />
รัฐบาลรัสเซียในโครงการพัฒนาแหล่งก๊าซ<br />
ธรรมชาติ บริเวณนอกชายฝั่งเวียดนามจำนวน<br />
๒ โครงการ ซึ่งจะทำให้รัสเซียได้รับสัมปทาน<br />
ก๊าซธรรมชาติ จำนวนร้อยละ ๔๙ ของพลังงาน<br />
ที่มีอยู่หรือประมาณ “สองแสนล้านลูกบาศก์<br />
ฟุต” และก๊าซอัดแน่นอีกกว่า ๒๕ ล้านตัน<br />
ผลประโยชน์มากมายมหาศาลนี้ ได้กลายเป็น<br />
สิ่งที่ชี้ให้เห็นว่ารัสเซียพร้อมจะปกป้องแหล่ง<br />
พลังงานของเวียดนามซึ่งรวมถึงหมู่เกาะ<br />
สแปรตลีย์และพาราเซลด้วย ท่ามกลาง<br />
ความกังวลใจของจีนที่เฝ้ามองการพัฒนา<br />
ความสัมพันธ์ดังกล่าวอย่างใกล้ชิด จน<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
กระทั่งบทบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์<br />
“โกลบอล เดลี่” (Global Daily) ซึ่งเป็น<br />
สื่อของรัฐบาลจีนได้วิจารณ์ความร่วมมือ<br />
ครั้งนี้ว่า “.. ความร่วมมือทั้งหมดก้าวหน้า<br />
ไปไกลเกินกว่าขอบเขตของความร่วมมือ<br />
ทางเศรษฐกิจ มันก้าวล่วงเข้าไปสู่ขอบเขต<br />
ของการเมืองและความมั่นคงอย่างเห็น<br />
ได้ชัด .. ”<br />
ทางด้านมาเลเซียซึ่งมีปัญหาข้อพิพาท<br />
กับจีนบริเวณพื้นที่หมู่เกาะสแปรตลีย์ใน<br />
ทะเลจีนใต้เช่นกัน ได้ส่งกำลังทางเรือเข้าไป<br />
ครอบครองน่านน้ำบริเวณเกาะหินโสโครกที่<br />
อ้างว่าเป็นของตนจำนวน ๓ เกาะตั้งแต่ปี ค.ศ.<br />
๑๙๘๓ และสร้างเป็นสถานีเทียบเรือเรียกว่า<br />
“สถานียูนิฟอร์ม” (Uniform Station) อยู่<br />
ห่างจากเมือง “คินาบาลู” (Kinabalu) ของรัฐ<br />
ซาบาห์ (Sabah) ประมาณ ๓๐๐ กิโลเมตร<br />
โดยมาเลเซียเรียกเกาะแนวหินปะการังนี้ว่า<br />
“แนวหินนกนางแอ่น” (Swallow reef) หรือ<br />
ในภาษามลายูเรียกว่า “ลายัง ลายัง” (Layang<br />
Layang) ส่วนจีนเรียกเกาะเล็ก ๆ ที่มาเลเซีย<br />
ครอบครองนี้ว่า “ดาน วาน เจียว” (Dan<br />
Wan Jiao)<br />
จากความสำเร็จทางเศรษฐกิจของมาเลเซีย<br />
ส่งผลให้มีการพัฒนากองทัพอย่างเข็มแข็ง โดย<br />
การสร้างแสนยานุภาพครั้งใหญ่เริ่มต้นในช่วงปี<br />
ค.ศ. ๒๐๐๓ - ๒๐๑๑ เมื่องบประมาณทางการ<br />
ทหารได้เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าตัว จนอยู่ในลำดับ<br />
ที่ ๔ ของอาเซียน มีการสั่งซื้อเรือดำน้ำสกอร์<br />
ปีเน่ (Scorpene) จำนวน ๒ ลำจากการร่วม<br />
ผลิตของประเทศฝรั่งเศสและสเปน โดยตอน<br />
หน้าของตัวเรือผลิตที่อู่ต่อเรือ “ดีซีเอ็นเอส”<br />
(DCNS) ในเมือง “แชร์บูร์ก” (Charbourg)<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
ของฝรั่งเศส ส่วนตอนหลังของลำเรือผลิตโดย<br />
บริษัท “นาวานเทีย” (Navantia) ที่เมือง “คาร์<br />
ทาจีน่า” (Cartagena) ซึ่งเป็นบริษัทต่อเรือที่<br />
รัฐบาลสเปนเป็นเจ้าของกิจการ และนับเป็น<br />
บริษัทต่อเรือที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับห้าในยุโรป<br />
และเป็นอันดับเก้าในโลก โดยเรือดำน้ำลำแรก<br />
คือ เรือดำน้ำ “เกเด ตุนกู อับดุล ราห์มาน”<br />
(KD Tunku Abdul Rahman) เดินทางมาถึง<br />
มาเลเซียในเดือนกันยายน ค.ศ. ๒๐๐๙ และ<br />
เข้าประจำการในเดือนตุลาคมปีเดียวกันนั้นเอง<br />
ส่วนเรือดำน้ำอีกลำหนึ่งคือเรือดำน้ำ “เกเด<br />
ตุนกู อับดุล ราซัก” (KD Tunku Abdul<br />
Razak) เดินทางมาถึงมาเลเซียในวันที่ ๒<br />
กรกฎาคม ค.ศ. ๒๐๑๐ เรือทั้งสองลำนี้ติด<br />
อาวุธปล่อยนำวิถีจากใต้น้ำต่อต้านเรือผิวน้ำ<br />
แบบ เอ็กโซเซต์ เอสเอ็ม ๓๙ (Exocet SM39)<br />
อันทรงอานุภาพของฝรั่งเศส<br />
สำหรับกองทัพสิงคโปร์นั้น ผลจากความ<br />
สำเร็จในการพัฒนาเศรษฐกิจทำให้มีการ<br />
พัฒนากองทัพอย่างเต็มขีดความสามารถ<br />
จนกลายเป็นกองทัพที่มีอาวุธยุทโธปกรณ์<br />
ที่ดีที่สุดในกลุ่มอาเซียน โดยเฉพาะการใช้<br />
เทคโนโลยีขั้นสูงทดแทนจำนวนกำลังทหาร<br />
ซึ่งเป็นขีดจำกัดของกองทัพสิงคโปร์ ปัจจุบัน<br />
สิ่งที่ต้องจับตามองคือ กองทัพอากาศสิงคโปร์<br />
ได้สั่งซื้อเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์แบบ<br />
ล็อคฮีด มาร์ติน เอฟ-๓๕ (Lockheed Martin<br />
F-35) ซึ่งเป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ ๕ (Fifth<br />
Generation) ที่มีขีดความสามารถหลากหลาย<br />
และใช้เทคโนโลยี “สเตลท์” (Stealth) หรือ<br />
ล่องหนทำให้ยากต่อการตรวจจับด้วยเรดาร์<br />
โดยสิงคโปร์ได้เข้าเป็นหุ้นส่วนด้านความ<br />
มั่นคง (Security Partner) กับสหรัฐฯ ด้าน<br />
การพัฒนาเครื่องบินขับไล่ เอฟ-๓๕ มาตั้งแต่ปี<br />
ค.ศ. ๒๐๐๓ และได้สนับสนุนงบประมาณ ๕๐<br />
ล้านเหรียญสหรัฐฯ เพื่อใช้ในโครงการพัฒนา<br />
เครื่องบินรบรุ่นนี้ ทางด้านสำนักข่าวรอยเตอร์<br />
รายงานเมื่อต้นปี ค.ศ. ๒๐๑๓ ว่า ความสนใจ<br />
ในการสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่แบบ เอฟ-๓๕ ของ<br />
สิงคโปร์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่สัปดาห์ หลังจากที่จีน<br />
ได้เผยโฉมเครื่องบินขับไล่แบบ เจ-๓๑ (J-31)<br />
ซึ่งถูกออกแบบมาเพื่อแข่งขันกับเครื่องบิน<br />
ขับไล่แบบ เอฟ-๓๕ โดยเฉพาะ โดยผู ้เชี่ยวชาญ<br />
ด้านความมั่นคงคนหนึ่งของสหรัฐฯ กล่าวว่า<br />
“.. ทุกครั้งที่จีนทดลองเครื่องบินขับไล่รุ่นใหม่<br />
มันจะเป็นเสมือนโทรศัพท์ปลุก (wake-up<br />
call) ประเทศต่าง ๆ รวมทั้งประเทศสิงคโปร์<br />
ให้ตื่นขึ้นจากภวังค์ ..”<br />
นอกจากนี้่กองทัพเรือของสิงคโปร์ ยัง<br />
สร้างความฮือฮาด้วยการสั่งซื้อเรือดำน้ำ<br />
ชั้น “ชาลเลนเจอร์” (Challenger) จำนวน<br />
๔ ลำจากสวีเดน ในช่วงปี ค.ศ. ๑๙๙๕ -<br />
๑๙๙๗ คือ เรืออาร์เอสเอส ชาลเลนเจอร์,<br />
เรืออาร์เอสเอส คองเคอเรอร์, เรืออาร์เอสเอส<br />
เซนจูเรียน และเรืออาร์เอสเอส ชีฟเทน ต่อ<br />
มาก็สั่งซื้อเรือดำน้ำชั้น อาร์เชอร์ (Archer)<br />
ซึ่งปรับปรุงมาจากเรือดำน้ำชั้น “ฟาสเธอร์<br />
กอทลันด์” (Vastergotland) เพิ่มอีกเป็น<br />
จำนวน ๒ ลำจากกองทัพเรือสวีเดน คือเรือ<br />
อาร์เอสเอส อาร์เชอร์ และเรืออาร์เอสเอส<br />
ซอร์ดส์แมน ที่เพิ่งขึ้นระวางประจำการในเดือน<br />
เมษายน ค.ศ. ๒๐๑๓ โดยเรือดำน้ำทั้งหมดได้<br />
เข้าประจำการในกองเรือดำน้ำที่ ๑๗๑ (171<br />
Squadron)<br />
สิงคโปร์ยังเดินยุทธศาสตร์ด้วยการเปิด<br />
ฐานทัพเรือ ชางงี (Changi Naval Base :<br />
CNB) ให้เป็นจุดเทียบเรือของกองเรือที่ ๗ ของ<br />
กองทัพเรือสหรัฐฯ ภาคพื้นแปซิฟิคที่ส่งเรือรบ<br />
ต่าง ๆ เช่น เรือยูเอสเอส ฟรีดอม (USS<br />
Freedom) เพื่อคานอำนาจกับกองกำลังทาง<br />
เรือของจีน โดยฐานทัพแห่งนี้จะเป็นจุดส่ง<br />
กำลังบำรุงของเรือสหรัฐฯ ตลอดระยะเวลา<br />
ที่ประจำการอยู่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก<br />
เฉียงใต้ตามข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ และ<br />
สิงคโปร์ในฐานะหุ้นส่วนด้านความมั่นคง<br />
ส่งผลให้ฐานทัพเรือชางงีของสิงคโปร์กลาย<br />
เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่มีความสำคัญอีกแห่งหนึ่ง<br />
ในเอเชียไปโดยปริยาย<br />
จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่าง<br />
บางส่วนที่แสดงให้เห็นได้ว่า กองทัพของ<br />
กลุ่มประเทศอาเซียนต่างมีการปรับตัวเพื่อ<br />
เตรียมการรับมือกับการแผ่ขยายอำนาจของ<br />
จีนอย่างเต็มรูปแบบ ทั้งการพัฒนาศักยภาพ<br />
กำลังรบและการเดินเกมทางการทูต ทำให้<br />
สิ่งที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดต่อไปคือ<br />
ความตึงเครียดเหล่านี้จะนำพากลุ่มประเทศ<br />
สมาชิกอาเซียนและจีนมุ่งหน้าไปสู่ทิศทางใด<br />
นั่นเอง<br />
25
แนวความคิด<br />
การพัฒนาการเตรียมกำลัง<br />
ระบบอาสาสมัครของ<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
พันเอก สันทัด เมืองคา<br />
“รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบัน<br />
พระมหากษัตริย์ เอกราชอธิปไตย และ<br />
บูรณภาพแห่งเขตอำนาจรัฐ และต้อง<br />
จัดให้มีกำลังทหาร อาวุธยุทโธปกรณ์<br />
และเทคโนโลยีที่ทันสมัยจำเป็นและ<br />
เพียงพอ เพื่อพิทักษ์รักษาเอกราช<br />
อธิปไตย ความมั่นคงของรัฐ สถาบัน<br />
พระมหากษัตริย์ ผลประโยชน์แห่ง<br />
ชาติ และการปกครองในระบอบ<br />
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์<br />
ทรงเป็นประมุข และเพื่อการพัฒนา<br />
ประเทศ” เป็นข้อความที่กำหนดไว้ใน<br />
มาตรา ๗๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราช<br />
อาณาจักรไทย<br />
กระทรวงกลาโหม เป็นหน่วยงานของรัฐ<br />
มีหน้าที่ในการจัดเตรียมกำลังและใช้กำลังเพื่อ<br />
การป้องกันประเทศ ในการจัดเตรียมและเรียก<br />
ทหารกองเกิน ทหารกองประจำการ ทหารกอง<br />
หนุนหรือกำลังสำรองเข้ารับราชการทหารนั้น<br />
จะดำเนินการตาม พ.ร.บ.รับราชการทหาร ข้อ<br />
บังคับทหารว่าด้วยการแบ่งประเภทนายทหาร<br />
สัญญาบัตร แนวคิดทางยุทธศาสตร์การป้องกัน<br />
ประเทศ แผนผนึกกำลังและทรัพยากรเพื่อการ<br />
ป้องกันประเทศ และแผนแม่บทการพัฒนา<br />
ระบบกำลังสำรองของกระทรวงกลาโหม ที่<br />
กำหนดให้ต้องพัฒนาระบบกำลังสำรองเพื่อ<br />
รองรับการป้องกันประเทศ ด้วยการจัดเตรียม<br />
กำลังสำรองให้ครบตามอัตราของทุกหน่วยที่<br />
อยู่ในระบบกำลังสำรอง สามารถปฏิบัติงาน<br />
ร่วมกับกำลังประจำการได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
รวมทั้งสามารถปฏิบัติภารกิจในการป้องกัน<br />
26<br />
และบรรเทาสาธารณภัยในรูปแบบอื่น ๆ ได้<br />
ในการเรียกทหารกองเกินและทหารกอง<br />
หนุนหรือกำลังสำรอง เข้ารับราชการทหาร<br />
เพื่อให้หน่วยในระบบกำลังสำรองมีความ<br />
พร้อมรบ โดยที่กำลังสำรองสามารถปฏิบัติ<br />
ภารกิจร่วมกับกำลังประจำการได้อย่างมี<br />
ประสิทธิภาพนั้น ในการดำเนินการที่ผ่านมา<br />
ยังไม่สามารถบริหารจัดการให้การเตรียมกำลัง<br />
และการใช้กำลังดังกล่าวมีประสิทธิภาพและ<br />
เป็นรูปธรรมอย่างเป็นระบบได้ ทหารกอง<br />
ประจำการและนักศึกษาวิชาทหาร(นศท.) ซึ่ง<br />
เป็นแหล่งที่มาของทหารกองหนุนหรือกำลัง<br />
สำรองหลัก ก็ไม่ได้เข้ามาสู่ระบบด้วยความ<br />
สมัครใจอย่างแท้จริง ดังนั้น เพื่อให้กองทัพ<br />
มีทหารกองประจำการ ทหารกองหนุน และ<br />
กำลังสำรองที่มีคุณภาพบนพื้นฐานของความ<br />
สมัครใจ มีเวลาในการพัฒนาขีดความสามารถ<br />
ทางทหารอย่างเพียงพอและเป็นระบบ ตลอด<br />
จนสามารถนำทหารกองหนุนและทหารกอง<br />
เกินมารับราชการทหารชั่วคราวในยามปกติ<br />
ได้ จึงกำหนด แนวความคิดในการพัฒนาการ<br />
เตรียมกำลังระบบอาสาสมัคร (ด้านทหารกอง<br />
เกิน ทหารกองประจำการ ทหารกองหนุนและ<br />
กำลังสำรอง) ขึ้นดังนี้<br />
ทหารกองประจำการ ใช้วิธีเข้ารับราชการ<br />
ทหารกองประจำการด้วยวิธีร้องขอ (อาสา<br />
สมัคร)เป็นหลัก โดยกำหนดแรงจูงใจที่<br />
เหมาะสมและเพียงพอที่จะส่งเสริมให้ทหาร<br />
กองเกินร้องขอ (อาสาสมัคร) เข้ามาเป็นทหาร<br />
กองประจำการ และใช้วิธีเรียกมาตรวจเลือก<br />
เป็นวิธีเสริม เมื่อมีผู ้ร้องขอไม่เพียงพอกับความ<br />
ต้องการ<br />
กำลังสำรองและทหารกองหนุน ปรับ<br />
แนวทางการบรรจุกำลังสำรองในบัญชีบรรจุ<br />
พันเอก สันทัด เมืองคา
กำลังของหน่วยทหาร (บัญชี ตพ.๕) ในอัตรา<br />
นายทหารชั้นประทวนและนายทหารชั้น<br />
สัญญาบัตร ที่ปัจจุบันเน้นการใช้ทหารกอง<br />
หนุนจาก นศท. ด้วยการใช้ทหารกองหนุนที่มา<br />
จากทหารกองประจำการ (อาสาสมัคร) ด้วย<br />
อีกส่วนหนึ่ง โดยกำหนดแรงจูงใจที่เหมาะสม<br />
เพียงพอที่จะส่งเสริมให้ทหารกองหนุนสมัคร<br />
ใจเข้ามาเป็นกำลังสำรอง<br />
การเข้ารับราชการทหารชั่วคราว เมื่อ<br />
กำลังสำรองพ้นจากบัญชี ตพ.๕ ให้กองทัพ<br />
สามารถรับสมัครทหารกองหนุนส่วนนี้ รวมทั้ง<br />
ทหารกองเกินที่ผ่านการฝึกวิชาทหารแล้ว<br />
เข้ารับราชการทหารเป็นการชั่วคราว<br />
ทหารกองเกิน เมื่อมีความจำเป็นหรือเกิด<br />
ภัยพิบัติ ให้กองทัพสามารถเรียกทหารกอง<br />
เกินเข้ามาช่วยปฏิบัติงานตามภารกิจหน้าที่ได้<br />
แนวทางดำเนินการตามระบบอาสา<br />
สมัคร (ระบบ ๓:๓:๓)<br />
เพื่อให้เกิดความเข้าใจในการพัฒนาตาม<br />
แนวทางนี้ จึงขอเรียกระบบนี้ว่า การเตรียม<br />
กำลัง “ระบบ ๓:๓:๓” ซึ่งเป็นการเตรียมกำลัง<br />
ทั้งระบบ ทั้งทหารกองเกิน ทหารกองประจำ<br />
การ ทหารกองหนุน และกำลังสำรอง ซึ่ง<br />
เป็นการเข้ามาสู่ระบบด้วยความสมัครใจ ดังนี้<br />
เลข ๓ ตัวที่ ๑ ได้แก่ การเข้ารับราชการ<br />
ทหารกองประจำการด้วยวิธีร้องขอ มีกำหนด<br />
เวลา ๓ ปี โดยผู้ร้องขอจะไม่ใช้สิทธิลดเวลา<br />
รับราชการ และต้องสมัครใจรับราชการต่อ<br />
เพื่อทดแทนการเรียกเกณฑ์อีก ๑ ปี และทหาร<br />
กองเกินที่สมัครเข้ารับการฝึกวิชาทหารตาม<br />
หลักสูตรที่กระทรวงกลาโหมกำหนด<br />
เลข ๓ ตัวที่ ๒ ได้แก่ ทหารกองหนุนที่<br />
สมัครใจเข้าเป็นกำลังสำรองชั้นนายทหาร<br />
ประทวน และได้รับการคัดเลือกให้บรรจุอยู่<br />
ในบัญชี ตพ.๕ ในอัตรานายทหารชั้นประทวน<br />
มีกำหนดเวลา ๓ ปี<br />
เลข ๓ ตัวที่ ๓ ได้แก่ นายทหารสัญญา<br />
บัตรกองหนุน หรือกำลังสำรองชั้นนายทหาร<br />
ประทวน ที่สมัครใจเข้าเป็นกำลังสำรองชั้น<br />
นายทหารสัญญาบัตร และได้รับการคัดเลือก<br />
ให้บรรจุอยู่ในบัญชี ตพ.๕ ในอัตรานายทหาร<br />
ชั้นสัญญาบัตร มีกำหนดเวลา ๓ ปี<br />
ด้านการจัดเตรียมกำลัง<br />
การผลิตทหารกองหนุนหลัก (เลข ๓ ตัวที่๑)<br />
ดำเนินการเป็น ๒ กลุ่ม ดังนี้<br />
กลุ่มที่ ๑ ทหารกองหนุนที่ได้มาจากทหาร<br />
กองประจำการ (อาสาสมัคร)<br />
กองทัพมีความต้องการทหารกองประจำ<br />
การประมาณ ๒๐๐,๐๐๐ นาย ดังนั้นในการ<br />
เตรียมกำลังตามระบบ ๓:๓:๓ จึงกำหนดรับ<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
สมัครทหารกองเกินอายุ ๑๘ - ๒๐ ปีเข้าเป็น<br />
ทหารกองประจำการด้วยวิธีร้องขอ(อาสา<br />
สมัคร) ปีละประมาณ ๖๕,๐๐๐ นาย เพื่อ<br />
ให้มีทหารกองประจำการในวงรอบ ๓ ปีครบ<br />
ตามจำนวนที่กองทัพต้องการ และให้ร้องขอ<br />
ได้โดยไม่จำกัดภูมิลำเนาทหาร ทั้งนี้ เพื่อให้<br />
เป็นไปตามความต้องการของผู้ร้องขอในขั้น<br />
ต้น (ยื่นใบสมัครที่อำเภอภูมิลำเนาทหาร) และ<br />
ทำการการคัดเลือกเป็นส่วนรวมใน ก.พ. ของ<br />
ทุกปี โดยบรรจุทหารกองประจำการส่วนนี้<br />
ให้เข้ารับราชการในหน่วยส่วนกำลังรบ ส่วน<br />
สนับสนุนการรบ ส่วนภูมิภาค ส่วนส่งกำลัง<br />
บำรุง ส่วนพัฒนาประเทศ ส่วนการศึกษา<br />
และส่วนบัญชาการตามลำดับ เป็นเวลา ๓ ปี<br />
แล้วจึงปลดออกมาเป็นทหารกองหนุน หาก<br />
ในปีใดมียอดการร้องขอไม่เพียงพอกับความ<br />
ต้องการ ให้ทำการตรวจเลือกตามปกติ และ<br />
บรรจุทหารกองประจำการส่วนนี้ให้กับหน่วย<br />
ในส่วนบัญชาการ ส่วนการศึกษา ส่วนพัฒนา<br />
ประเทศ และส่วนส่งกำลังบำรุงตามลำดับ<br />
กลุ่มที่ ๒ ทหารกองหนุนที่ได้มาจาก<br />
นักศึกษาวิชาทหาร (นศท.)<br />
รับสมัครนักเรียน/นักศึกษาที่เป็นทหาร<br />
กองเกิน และกำลังศึกษาวิชาที่เป็นคุณวุฒิ<br />
ตามที่กองทัพต้องการ (ในระดับอาชีวะและ<br />
อุดมศึกษา) เข้าเป็น นศท. เมื่อสำเร็จการฝึก<br />
ศึกษาในชั้นปีที่ ๓ ให้แต่งตั้งยศเป็นนายทหาร<br />
ประทวนกองหนุน และมีสิทธิสมัครเข้ารับการ<br />
ฝึกศึกษาในชั้นปีที่ ๔ และชั้นปีที่ ๕ ได้ตามที่<br />
กำหนด และเมื่อสำเร็จการศึกษาให้แต่งตั้ง<br />
ยศเป็นนายทหารชั้นประทวนหรือชั้นสัญญา<br />
บัตรกองหนุน<br />
การผลิตกำลังสำรอง ชั้นพลทหารและชั้น<br />
นายทหารประทวน (เลข ๓ ตัวที่ ๒)<br />
กำลังสำรองชั้นพลทหาร<br />
ได้มาจากทหารกองประจำการ (อาสาสมัคร)<br />
ที่รับราชการครบ ๓ ปี แล้วปลดออกมาเป็น<br />
ทหารกองหนุน โดยกำหนดให้เป็นกำลังสำรอง<br />
พร้อมรบในอัตราพลทหารเป็นเวลา ๓ ปี แล้ว<br />
จึงให้พ้นออกมาเป็นทหารกองหนุนจนกว่าจะ<br />
พ้นราชการ (นับจากปีที่ปลดเป็นทหารกอง<br />
หนุนรวม ๒๓ ปี)<br />
กำลังสำรองชั้นนายทหารประทวน<br />
ได้มาจาก ๒ ช่องทาง โดยกำหนดให้เป็น<br />
กำลังสำรองชั้นนายทหารประทวนเป็นเวลา<br />
๓ ปี ซึ่งจะได้รับการพัฒนาให้มีความรู้ความ<br />
สามารถในระดับนายทหารชั้นประทวนตาม<br />
ตำแหน่งหน้าที่ที่บรรจุ แล้วจึงให้พ้นออกมา<br />
เป็นทหารกองหนุนจนกว่าจะพ้นราชการ (นับ<br />
จากปีที่ปลดเป็นทหารกองหนุนรวม ๒๓ ปี)<br />
ดังนี้<br />
- ช่องทางที่ ๑ ให้มาจากทหารกองประจำ<br />
การ (อาสาสมัคร) ที่รับราชการครบ ๓ ปี แล้ว<br />
ปลดออกมาเป็นทหารกองหนุน โดยพิจารณา<br />
ให้บรรจุอยู่ในบัญชี ตพ.๕ ของหน่วยในส่วน<br />
กำลังรบ ส่วนสนับสนุนการรบ ส่วนภูมิภาค<br />
เป็นหลัก ดังนี้<br />
ปีที่ ๑ บรรจุในบัญชี ตพ. ๕ อัตรา ส.อ.<br />
จ.อ. และแต่งตั้งยศเป็น ส.ต จ.ต. เป็นกำลัง<br />
สำรองชั้นต้น มีหน้าที่เข้ารับการฝึกทบทวน<br />
ฝึกเฉพาะหน้าที่ และฝึกหน่วยทางยุทธวิธี ใน<br />
อัตรา ส.อ. จ.อ.<br />
ปีที่ ๒ เลื่อนยศเป็น ส.ท. จ.ท. และปรับเป็น<br />
กำลังสำรองพร้อมรบ มีหน้าที่เข้ารับการตรวจ<br />
สอบ ทดลองความพรั่งพร้อม และหากมีการ<br />
ระดมพลจะเป็นกำลังสำรองที่เสริมกำลังให้<br />
หน่วยรับการบรรจุมีความพร้อมรบด้านกำลัง<br />
พลตามที่กำหนด<br />
ปีที่ ๓ เลื่อนยศเป็น ส.อ. จ.อ. ปรับเป็น<br />
กำลังสำรองเตรียมพร้อม มีหน้าที่เข้ารับการ<br />
ตรวจสอบ และหากมีการระดมพลจะเป็นกำลัง<br />
สำรองที่ใช้ทดแทนกำลังสำรองพร้อมรบ (ใน<br />
ตำแหน่งเดียวกัน) ที่ต้องจำหน่ายจากบัญชี<br />
ตพ.๕ เพื่อให้หน่วยรับการบรรจุมีความพร้อม<br />
รบด้านกำลังพลตามที่กำหนด ในส่วนกำลัง<br />
สำรองเตรียมพร้อมที่เหลือจะมีหน้าที่ในการ<br />
ทดแทนกำลังที่สูญเสีย<br />
ในปีที่ ๓ นี้จะมีกำลังสำรองพร้อมรบบาง<br />
ส่วนได้รับการพิจารณาให้บรรจุใน ตพ.๕ อัตรา<br />
จ.ส.อ. พ.จ.อ. พ.อ.อ. และได้รับการเลื่อนยศ<br />
เป็น จ.ส.ต. พ.จ.ต. พ.อ.ต. และคงเป็นกำลัง<br />
สำรองพร้อมรบต่อไป มีหน้าที่เข้ารับการตรวจ<br />
สอบ ทดลองความพรั่งพร้อม และหากมีการ<br />
ระดมพลจะเป็นกำลังสำรองที่เสริมกำลังให้<br />
หน่วยรับการบรรจุมีความพร้อมรบด้านกำลัง<br />
พลตามที่กำหนด<br />
- ช่องทางที่ ๒ ให้มาจาก นศท. ที่สำเร็จ<br />
การฝึกศึกษาในชั้นปีที่ ๓ ขึ้นไป ที่ได้รับการ<br />
แต่งตั้งยศเป็นนายทหารชั้นประทวนกองหนุน<br />
แล้ว โดยจะพิจารณาให้บรรจุอยู่ในบัญชี ตพ.<br />
๕ ของหน่วยในส่วนบัญชาการ ส่วนส่งกำลัง<br />
บำรุง ส่วนการศึกษา ส่วนพัฒนาประเทศ เป็น<br />
หลักดังนี้<br />
ปีที่ ๑ บรรจุในบัญชี ตพ. ๕ อัตรา ส.อ.<br />
จ.อ. และ จ.ส.อ. พ.จ.อ. พ.อ.อ. ตามชั้นยศ<br />
เดิม เป็นกำลังสำรองชั้นต้น มีหน้าที่เข้ารับการ<br />
ฝึกทบทวน ฝึกเฉพาะหน้าที่ และฝึกหน่วยทาง<br />
ยุทธวิธีตามตำแหน่งที่บรรจุ<br />
ปีที่๒ ปรับเป็นกำลังสำรองพร้อมรบ มีหน้าที่<br />
เข้ารับการตรวจสอบ ทดลองความพรั่งพร้อม<br />
และหากมีการระดมพลจะเป็นกำลังสำรองที่<br />
เสริมกำลังให้หน่วยรับการบรรจุมีความพร้อม<br />
รบด้านกำลังพลตามที่กำหนด<br />
ปีที่ ๓ ปรับเป็นกำลังสำรองเตรียมพร้อม<br />
มีหน้าที่เข้ารับการตรวจสอบ และหากมีการ<br />
ระดมพลจะเป็นกำลังสำรองที่ใช้ทดแทนกำลัง<br />
27
สำรองพร้อมรบ (ในตำแหน่งเดียวกัน) ที่ต้อง<br />
จำหน่ายจากบัญชี เพื่อให้หน่วยรับการบรรจุ<br />
มีความพร้อมรบด้านกำลังพลตามที่กำหนด<br />
ในส่วนกำลังสำรองเตรียมพร้อมที่เหลือจะ<br />
มีหน้าที่ในการทดแทนกำลังที่สูญเสีย<br />
ในปีที่ ๓ นี้จะมีกำลังสำรองพร้อมรบบาง<br />
ส่วนได้รับการพิจารณาให้บรรจุใน ตพ.๕ อัตรา<br />
จ.ส.อ. พ.จ.อ. พ.อ.อ. และได้รับการเลื่อนยศ<br />
เป็น จ.ส.ต. พ.จ.ต. พ.อ.ต. และคงเป็นกำลัง<br />
สำรองพร้อมรบต่อไป มีหน้าที่เข้ารับการตรวจ<br />
สอบ ทดลองความพรั่งพร้อม และหากมีการ<br />
ระดมพลจะเป็นกำลังสำรองที่เสริมกำลังให้<br />
หน่วยรับการบรรจุมีความพร้อมรบด้านกำลัง<br />
พลตามที่กำหนด<br />
การผลิตกำลังสำรอง ชั้นนายทหารสัญญา<br />
บัตร (เลข ๓ ตัวที่ ๓) ได้มาจาก ๒ ช่องทาง<br />
โดยกำหนดให้เป็นกำลังสำรองชั้นนายทหาร<br />
สัญญาบัตรเป็นเวลา ๓ ปี ซึ่งจะได้รับการ<br />
พัฒนาให้มีความรู้ความสามารถในระดับนาย<br />
ทหารชั้นนายทหารสัญญาบัตรตามตำแหน่ง<br />
หน้าที่ที่บรรจุ แล้วจึงให้พ้นออกมาเป็นทหาร<br />
กองหนุนจนกว่าจะพ้นราชการเมื่อมีอายุครบ<br />
๔๕ ปีบริบูรณ์<br />
28<br />
- ช่องทางที่ ๑ ให้มาจากกำลังสำรองชั้น<br />
นายทหารประทวนที่ได้รับการพัฒนามาแล้ว<br />
เป็นเวลา ๓ ปี ซึ่งมีคุณสมบัติตามที่กำหนดและ<br />
ได้รับการพิจารณาให้บรรจุอยู่ใน บัญชี ตพ.๕<br />
ในอัตรานายทหารชั้นสัญญาบัตร โดยกำหนด<br />
ให้เป็นกำลังสำรองชั้นนายทหารสัญญาบัตร<br />
เป็นระยะเวลา ๓ ปี ดังนี้<br />
ปีที่ ๔ บรรจุในบัญชี ตพ. ๕ อัตรา ร.ท.<br />
และเลื่อนฐานะเป็น ร.ต. เป็นกำลังสำรองชั้น<br />
ต้น มีหน้าที่เข้ารับการฝึกทบทวน ฝึกเฉพาะ<br />
หน้าที่ และฝึกหน่วยทางยุทธวิธีตามตำแหน่ง<br />
หน้าที่ที่บรรจุ<br />
ปีที่ ๕ เลื่อนยศเป็น ร.ท. และปรับเป็นกำลัง<br />
สำรองพร้อมรบ มีหน้าที่เข้ารับการตรวจสอบ<br />
ทดลองความพรั่งพร้อม และหากมีการระดม<br />
พลจะเป็นกำลังสำรองที่เสริมกำลังให้หน่วย<br />
รับการบรรจุมีความพร้อมรบด้านกำลังพล<br />
ตามที่กำหนด<br />
ปีที่ ๖ ปรับเป็นกำลังสำรองเตรียมพร้อม<br />
มีหน้าที่เข้ารับการตรวจสอบ และหากมีการ<br />
ระดมพลจะเป็นกำลังสำรองที่ใช้ทดแทนกำลัง<br />
สำรองพร้อมรบ(ในตำแหน่งเดียวกัน) ที่ต้อง<br />
จำหน่ายจากบัญชี เพื่อให้หน่วยรับการบรรจุ<br />
มีความพร้อมรบด้านกำลังพลตามที่กำหนด<br />
ในส่วนกำลังสำรองเตรียมพร้อมที่เหลือจะมี<br />
หน้าที่ในการทดแทนกำลังที่สูญเสีย<br />
ในปีที่ ๖ นี้จะมีกำลังสำรองพร้อมรบบาง<br />
ส่วนได้รับการพิจารณาให้บรรจุใน ตพ.๕ อัตรา<br />
ร.อ. และได้รับการเลื่อนยศเป็น ร.อ. และคง<br />
เป็นกำลังสำรองพร้อมรบต่อไป มีหน้าที่เข้า<br />
รับการตรวจสอบ ทดลองความพรั่งพร้อม และ<br />
หากมีการระดมพลจะเป็นกำลังสำรองที่เสริม<br />
กำลังให้หน่วยรับการบรรจุมีความพร้อมรบ<br />
ด้านกำลังพลตามที่กำหนด<br />
- ช่องทางที่ ๒ ได้มาจาก นศท. ที่สำเร็จการ<br />
ฝึกศึกษาในชั้นปีที่ ๕ ที่ได้รับการแต่งตั้งยศเป็น<br />
นายทหารชั้นสัญญาบัตรแล้ว ซึ่งมีคุณสมบัติ<br />
ตามที่กำหนดและได้รับการพิจารณาให้บรรจุ<br />
อยู่ในบัญชี ตพ.๕ เป็นกำลังสำรองชั้นนาย<br />
ทหารสัญญาบัตรเป็นระยะเวลา ๓ และออก<br />
มาเป็นนายทหารสัญญาบัตรกองหนุน จนกว่า<br />
จะพ้นราชการ ในระหว่างที่เป็นกำลังสำรอง<br />
จะได้รับการฝึกให้มีความรู้ความสามารถตาม<br />
ตำแหน่งหน้าที่ และได้รับการแต่งตั้งยศและ<br />
เลื่อนยศ ดังนี้<br />
ปีที่ ๑ บรรจุในบัญชี ตพ. ๕ อัตรา ร.ท. /<br />
ร.อ. ตามชั้นยศเดิม เป็นกำลังสำรองชั้นต้น<br />
มีหน้าที่เข้ารับการฝึกทบทวน ฝึกเฉพาะหน้าที่<br />
และฝึกหน่วยทางยุทธวิธีตามตำแหน่งที่บรรจุ<br />
ปีที่ ๒ ปรับเป็นกำลังสำรองพร้อมรบ และ<br />
เลื่อนยศเป็น ร.ท. มีหน้าที่เข้ารับการตรวจสอบ<br />
ทดลองความพรั่งพร้อม และหากมีการ<br />
ระดมพลจะเป็นกำลังสำรองที่เสริมกำลังให้<br />
หน่วยรับการบรรจุมีความพร้อมรบด้านกำลัง<br />
พลตามที่กำหนด<br />
ปีที่ ๓ ปรับเป็นกำลังสำรองเตรียมพร้อม<br />
มีหน้าที่เข้ารับการตรวจสอบ และหากมีการ<br />
ระดมพล จะเป็นกำลังสำรองที่ใช้ทดแทนกำลัง<br />
สำรองพร้อมรบ (ในตำแหน่งเดียวกัน) ที่ต้อง<br />
จำหน่ายจากบัญชี เพื่อให้หน่วยรับการบรรจุ<br />
มีความพร้อมรบด้านกำลังพลตามที่กำหนด<br />
ในส่วนกำลังสำรองเตรียมพร้อมที่เหลือจะ<br />
มีหน้าที่ในการทดแทนกำลังที่สูญเสีย<br />
การควบคุมทหารกองเกิน การดำเนินการ<br />
ต่อชายที่มีสัญชาติเป็นไทยตามกฎหมาย คง<br />
ดำเนินการตาม พ.ร.บ.รับราชการทหารเช่น<br />
เดิม เมื่อมีอายุ ๒๐ ปีบริบูรณ์ ต้องไปรับหมาย<br />
เรียกเข้ารับราชการทหาร (สด.๓๕) ที่อำเภอ<br />
ภูมิลำเนาทหาร และมารายงานตัวต่อคณะ<br />
กรรมการ ฯ ในเดือน เม.ย. ตามปกติ หากใน<br />
ปีใดมีทหารกองเกินร้องขอ (อาสาสมัคร) และ<br />
ได้รับการคัดเลือกเข้าเป็นทหารกองประจำการ<br />
ครบตามจำนวนตามที่กองทัพต้องการ ก็จะงด<br />
การตรวจเลือก แต่หากไม่พอก็จะใช้การตรวจ<br />
เลือกตามปกติ โดยคณะกรรมการฯ จะมีหน้าที่<br />
ในการจัดทำประวัติบุคคลและส่งข้อมูลให้<br />
กับสายงานสัสดีเพื่อนำไปจัดแบ่งกลุ่มไว้ตาม<br />
ความรู้ความสามารถในขั้นต้น และเตรียมการ<br />
เรียกเข้ามาร่วมปฏิบัติงานตามห้วงเวลาและ<br />
สถานการณ์ที่กำหนดในห้วงเวลา ๙ ปี หรือ<br />
จนกว่าจะพ้นสภาพจากการเป็นทหารกองเกิน<br />
ด้านการใช้กำลัง<br />
เมื่อประเทศชาติเกิดภาวะไม่ปกติจนต้องมี<br />
การระดมพล กำลังสำรองที่บรรจุอยู่ในบัญชี<br />
ตพ.๕ ในขณะนั้น ทหารกองหนุน และทหาร<br />
กองเกิน จะต้องเดินทางมารายงานตัวที่หน่วย<br />
ต้นสังกัดในวัน ร. หรือ วัน ต.+๒๐ ซึ่งเป็นวัน<br />
ระดมสรรพกำลังตามที่กระทรวงกลาโหมจะ<br />
ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องกำหนดขึ้น ดังนี้<br />
กำลังสำรองในบัญชี ตพ.๕ (บัญชี ๑) ที่เป็น<br />
กำลังสำรองขั้นต้น (บรรจุกำลังในตำแหน่ง<br />
นั้น ๆ ในปีแรก ซึ่งมีหน้าที่เข้ารับการฝึก เพื่อให้<br />
สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามตำแหน่งที่บรรจุ)<br />
เมื่อมารายงานตัว หน่วยเรียกพลจะร่วมกับ<br />
หน่วยบรรจุกำลัง ส่งมอบกำลังสำรองขั้นต้น<br />
ให้กับกองร้อยกำลังทดแทน(ร้อย กทท.) เพื่อ<br />
เป็นกำลังทดแทนเป็นบุคคลให้กับหน่วยขึ้น<br />
ตรงของหน่วยเหนือต่อไป<br />
กำลังสำรองในบัญชี ตพ.๕ (บัญชี ๒) ที่เป็น<br />
กำลังสำรองพร้อมรบ (บรรจุกำลังในตำแหน่ง<br />
นั้นๆ เป็นปีที่ ๒ ซึ่งมีหน้าที่เสริมกำลังให้หน่วย<br />
นั้นๆ มียอดกำลังพลครบตามอัตราเต็ม เพื่อ<br />
ให้หน่วยมีความพร้อมรบ) เมื่อมารายงานตัว<br />
หน่วยเรียกพลจะส่งมอบกำลังสำรองพร้อม<br />
รบให้กับหน่วยรับการบรรจุกำลังที่เป็นหน่วย<br />
พันเอก สันทัด เมืองคา
ต้นสังกัด นำไปบรรจุกำลังให้เต็มตามอัตรา<br />
เพื่อให้มีความพร้อมรบด้านกำลังพลภายใน<br />
๗๒ ชั่วโมง<br />
กำลังสำรองในบัญชี ตพ.๕ (บัญชี ๓) ที่<br />
เป็นกำลังสำรองเตรียมพร้อม (บรรจุกำลังใน<br />
ตำแหน่งนั้นๆ เป็นปีที่ ๓ ซึ่งมีหน้าที่ทดแทน<br />
กำลังสำรองพร้อมรบที่ต้องจำหน่ายออกจาก<br />
บัญชี ตพ.๕ เพื่อให้หน่วยนั้นๆ มีกำลังพล<br />
ครบตามอัตรา และเป็นกำลังสำรองที่ใช้ใน<br />
การทดแทนกำลังที่สูญเสีย) เมื่อมารายงาน<br />
ตัว หน่วยเรียกพลจะร่วมกับหน่วยรับการ<br />
บรรจุกำลัง พิจารณาเป็นรายบุคคลเพื่อบรรจุ<br />
แทนกำลังสำรองพร้อมรบที่ต้องจำหน่ายออก<br />
จากบัญชีด้วยสาเหตุต่าง ๆ เพื่อให้หน่วยนั้น<br />
ๆ มีความพร้อมรบด้านกำลังพลตามที่กำหนด<br />
ภายใน ๗๒ ชั่วโมง ส่วนกำลังสำรองเตรียม<br />
พร้อมที่เหลือจะส่งมอบให้ ร้อย กทท. ของ<br />
หน่วยเหนือหน่วยรับการบรรจุกำลังนั้น ๆ เพื่อ<br />
ใช้ในการทดแทนกำลังต่อไป<br />
กำลังสำรองที่พ้นจากบัญชี ตพ.๕ และยังมี<br />
สภาพเป็นทหารกองหนุน และทหารกองหนุน<br />
ทหารกองเกิน ที่ไม่ได้ผ่านการบรรจุกำลังใน<br />
บัญชี ตพ.๕ หากมีการระดมพลด้วย ก็จะต้อง<br />
เดินทางมารายงานตัวที่ต้นสังกัด เพื่อส่งมอบ<br />
ให้กับศูนย์ฝึกกำลังทดแทนของเหล่าทัพต่าง ๆ<br />
(ศฝ.กทท.) นำไปใช้ทดแทนกำลังเป็นหน่วย<br />
และการจัดตั้งหน่วยใหม่ในยามสงคราม<br />
การใช้ทหารกองเกิน ในส่วนทหารกองเกิน<br />
ที่ได้รับการจัดแบ่งกลุ่มตามพื้นฐานความรู้<br />
ความสามารถไว้แล้ว จะมีหน้าที่เข้ารับการ<br />
ฝึกวิชาทหารเบื้องต้นเมื่อมีการเรียกพล ทั้งนี้<br />
เพื่อให้มีฐานะเป็นทหารกองเกินที่ได้รับการ<br />
ฝึกวิชาทหารแล้ว โดยให้หน่วยฝึกนักศึกษา<br />
วิชาทหารของเหล่าทัพ เป็นหน่วยฝึกประจำ<br />
พื้นที่ ทั้งนี้ เพื่อใช้เป็นกำลังสำรองส่วนหนึ่ง<br />
ตามความรู้ความสามารถทางด้านพลเรือน<br />
ของแต่ละบุคคล ที่ไม่สามารถผลิตได้จากทหาร<br />
กองประจำการ หรือ นศท. ตลอดจนใช้ในการ<br />
ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยรูปแบบอื่นๆ<br />
การรับบุคคลเข้าทำหน้าที่ทหารเป็นการ<br />
ชั่วคราว เมื่อกองทัพมีความจำเป็นต้องใช้กำลัง<br />
พลในตำแหน่งที่งดบรรจุ ว่าง บรรจุกำลังจาก<br />
กำลังสำรอง ให้รับสมัครจากทหารกองหนุนที่<br />
ได้ผ่านการบรรจุกำลังในบัญชี ตพ.๕ มาแล้ว<br />
และทหารกองเกินที่สำเร็จการฝึกวิชาทหาร<br />
ตามหลักสูตรที่กำหนด เข้าทำหน้าที่ทหาร<br />
เป็นการชั่วคราวได้<br />
ด้านสิทธิประโยชน์ (แรงจูงใจ)<br />
ทหารกองประจำการ ในขณะรับราชการ<br />
กองประจำการ (อาสาสมัคร) ให้ได้รับเงิน<br />
รายได้ประจำเดือนที่ไม่ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำคือ<br />
๙,๐๐๐ บาท (เงินเดือน, เบี้ยเลี้ยงประจำ และ<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
เงินเพิ่มการครองชีพชั่วคราว) รวมทั้งให้ได้รับ<br />
เงินเพิ่ม (ค่าวิชาชีพ) ตามหลักสูตรวิชาทหารที่<br />
สำเร็จการฝึก และมีสิทธิสมัครเข้ารับการศึกษา<br />
นอกเวลาราชการเพื่อให้มีความรู้และวุฒิการ<br />
ศึกษาที่สูงขึ้น<br />
ทหารกองหนุน เมื่อทหารกองประจำการ<br />
(อาสาสมัคร) และ นศท. ออกมาเป็นทหารกอง<br />
หนุน (รับราชการกองประจำการครบ ๓ ปี หรือ<br />
สำเร็จการฝึกศึกษาในชั้นปีที่ ๓ ขึ้นไป) และมี<br />
คุณสมบัติตามที่กำหนด ให้ได้รับสิทธิดังนี้<br />
- เมื่อสมัครเข้าเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ของ<br />
รัฐหรือรัฐวิสาหกิจ ให้ได้รับสิทธิในการรับเข้า<br />
ทำงานก่อนบุคคลอื่น<br />
- มีสิทธิสมัครและสอบคัดเลือกเข้าเป็น<br />
ทหารประจำการ<br />
- มีสิทธิสมัครและสอบเข้าเป็นนักเรียน<br />
นายสิบตำรวจ (ตามจำนวนที่กำหนด)<br />
- ให้มีสิทธิสมัครและสอบเข้าเป็นนักเรียน<br />
ทหารระดับชั้นประทวนของเหล่าทัพ<br />
กำลังสำรอง ทหารกองหนุนผู้ที่ได้รับการ<br />
บรรจุเป็นกำลังสำรองในบัญชี ตพ.๕ ให้ได้รับ<br />
สิทธิประโยชน์ ดังนี้<br />
- เงินค่าตอบแทนรายเดือนที่เหมาะสม การ<br />
เลื่อนยศ/เลื่อนฐานะตามขีดความสามารถ<br />
จนถึงระดับชั้นยศไม่เกิน ร.อ. และได้รับ<br />
สวัสดิการต่าง ๆ เช่น การรักษาพยาบาล การ<br />
โดยสารยานพาหนะของรัฐและรัฐวิสาหกิจ เงิน<br />
ทุนในการประกอบอาชีพ และการลดหย่อน<br />
ภาษีรายได้ประจำปี เป็นต้น<br />
- เมื่อได้รับการเรียกพลหรือระดมพลให้ได้<br />
รับสิทธิประโยชน์เพิ่มเติม<br />
- เมื่อบรรจุอยู่ในบัญชี ตพ.๕ จนครบตาม<br />
กำหนดเวลาแล้ว ให้มีสิทธิสมัครเข้าทำหน้าที่<br />
ทหารเป็นการชั่วคราวตามที่กำหนดได้<br />
ทหารกองเกิน<br />
- ทหารกองเกินที่ได้รับการเรียกพลเพื่อฝึก<br />
วิชาทหารประจำปี จะได้รับสิทธิในการแต่ง<br />
เครื่องแบบทหารตามแผนกและเหล่าที่เข้า<br />
รับการฝึก รวมทั้งสวัสดิการอื่น ๆ และหาก<br />
สำเร็จการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตรและมี<br />
คุณสมบัติตามที่กำหนด จะได้รับการพิจารณา<br />
แต่งตั้งยศทหาร<br />
- เมื่อสำเร็จการฝึกวิชาทหารตามหลักสูตร<br />
และได้รับการแต่งตั้งยศทหารแล้ว ให้มีสิทธิ<br />
สมัครเข้าทำหน้าที่ทหารเป็นการชั่วคราวได้<br />
ซึ่งจะเห็นได้ว่าหากกระทรวงกลาโหม<br />
สามารถบริหารจัดการกับทหารกองเกิน ทหาร<br />
กองประจำการ ทหารกองหนุนหรือกำลัง<br />
สำรองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็จะทำให้<br />
กองทัพมีความพร้อมในการใช้กำลังเพื่อการ<br />
รักษาความมั่นคงและการป้องกันประเทศได้<br />
อย่างแท้จริง ดังนั้น“การพัฒนาการเตรียม<br />
กำลังของกระทรวงกลาโหมด้านทหารกอง<br />
เกิน กองประจำการ ทหารกองหนุนและ<br />
กำลังสำรอง” จึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่<br />
ต้องศึกษาอย่างจริงจังและพัฒนาอย่างเป็น<br />
ระบบ ทั้งนี้ เพื่อให้ ทหารกองเกิน ทหาร กอง<br />
ประจำการ ทหารกองหนุน และกำลังสำรอง<br />
มีคุณภาพเพียงพอที่จะปฏิบัติงานร่วมกับ<br />
กำลังประจำการได้ในทุกสถานการณ์อย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ<br />
29
ดุลยภาพทางทหารของประเทศอาเซียน<br />
แนะนำปืนใหญ่สนามอัตตาจร<br />
ล้อยางแบบซีซาร์<br />
ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์<br />
30<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
ก<br />
องทัพบกอินโดนีเซียจัดซื้อปืนใหญ่<br />
สนามอัตตาจรชนิดล้อยางแบบ<br />
ซีซาร์(Caesar) จำนวน ๓๗ หน่วยยิง<br />
เป็นเงิน ๒๔๐ ล้านเหรียญสหรัฐ จากประเทศ<br />
ฝรั่งเศส ได้รับมอบปืนใหญ่สนามชุดแรกรวม ๒<br />
หน่วยยิง เมื่อกลางเดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๕๖<br />
จะได้รับมอบปืนใหญ่สนามครบตามโครงการ<br />
ในปี พ.ศ. ๒๕๕๗ จึงเป็นการปรับปรุงปืนใหญ่<br />
สนามขนาดกลางของกองทัพบกอินโดนีเซียให้<br />
มีขีดความสามารถในการยิงให้สูงยิ่งขึ้น<br />
ปืนใหญ่สนามอัตตาจรแบบซีซาร์ (Caesar)<br />
ทำการพัฒนาขึ้นโดยประเทศฝรั่งเศสเมื่อ<br />
ปี พ.ศ. ๒๕๓๓ นำออกเผยแพร่ให้ทราบเมื่อ<br />
ปี พ.ศ. ๒๕๓๗ ข้อมูลที่สำคัญคือกว้างปาก<br />
ลำกล้อง ๑๕๕/๕๒ มิลลิเมตร น้ำหนัก ๑๗.๗<br />
ตัน ขนาดยาว ๑๐.๐ เมตร กว้าง ๒.๕๕ เมตร<br />
สูง ๓.๗ เมตร อัตราการยิง ๖ นัดต่อนาที พล<br />
ประจำปืน ๕ นาย (ยามฉุกเฉินใช้พลประจำ<br />
ปืน ๓ นาย) ติดตั้งบนรถยนต์ชนิด ๖x๖ ล้อ<br />
(รถยนต์แบบ Unimog U2450L เครื่องยนต์<br />
ดีเซล) ความเร็วบนถนน ๑๐๐ กิโลเมตรต่อ<br />
ชั่วโมง ความเร็วในภูมิประเทศ ๕๐ กิโลเมตร<br />
ต่อชั่วโมง ระยะปฏิบัติการไกล ๖๐๐ กิโลเมตร<br />
และลูกกระสุนมีระยะยิงไกลสุด ๔๒ กิโลเมตร<br />
(ใช้ลูกกระสุนพิเศษมีระยะยิงไกลสุด ๕๐<br />
กิโลเมตร) เนื่องจากมีน้ำหนักเบาเมื่อเปรียบ<br />
เทียบกับปืนใหญ่อัตตาจรประเภทสายพาน<br />
มีขนาดกว้างปากลำกล้องเท่ากัน จึงใช้การ<br />
เคลื่อนย้ายทางอากาศด้วยเครื่องบินขนส่ง<br />
ทางทหารแบบ ซี-๑๓๐ เฮอร์คิวลิส (C-130<br />
Hercules) ทำการบินไปยังสนามบินทางทหาร<br />
ในเขตหน้าของพื้นที่การรบ และเคลื่อนที่สู่<br />
พื้นที่ตั้งยิงอย่างรวดเร็ว ปัจจัยเวลาจะมีความ<br />
สำคัญยิ่งต่อปฏิบัติการทางทหารในสงคราม<br />
สมัยใหม่ เครื่องบินขนส่งทางทหาร ซี-๑๓๐<br />
(C-130 Hercules) ซึ่งประจำการอย่างแพร่<br />
หลายในกองทัพอากาศพันธมิตรนาโต้<br />
กองทัพบกฝรั่งเศสนำเข้าประจำการครั้ง<br />
แรก ๕ หน่วยยิง เมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน พ.ศ.<br />
๒๕๔๓ ได้รับมอบปืนใหญ่สนามแบบซีซาร์<br />
(Caesar) เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๖ ต่อมากองทัพบก<br />
ฝรั่งเศสจัดซื้อเพิ่มเติมอีก ๗๒ หน่วยยิง เพื่อนำ<br />
เข้าประจำการทดแทนปืนใหญ่สนามอัตตาจร<br />
ชนิดรถสายพานรุ่นเก่าแบบเอยูเอฟ-๑ (AUF-<br />
1) ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตรที่หมดอายุการใช้งาน<br />
ประจำการที่หน่วย กรมปืนใหญ่นาวิกโยธิน<br />
ที่ ๑, กรมทหารปืนใหญ่ที่ ๖๘, กรมทหารปืน<br />
ใหญ่นาวิกโยธินที่ ๓, กรมทหารปืนใหญ่นาวิก<br />
โยธินที่ ๑๑, กรมทหารปืนใหญ่พลร่มที่ ๓๕<br />
และกรมทหารปืนใหญ่ภูเขาที่ ๙๓<br />
กองทัพบกฝรั่งเศสเข้าร่วมปฏิบัติการกับ<br />
กองกำลังรักษาความปลอดภัยนานาชาติใน<br />
อัฟกานิสถาน (ISAF) เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พ.ศ.<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
ทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศสเตรียมการบรรจุลูกกระสุนปืนใหญ่อัตตาจรซีซาร์ (Caesar) ขนาด<br />
๑๕๕ มิลลิเมตร พื้นที่ปฏิบัติการในประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒<br />
๒๕๕๒ พื้นที่ปฏิบัติการจังหวัดกาปิชา (Kapisa)<br />
ทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศ<br />
กำลังทหาร ๔๕๕ คน (ต่อมาเพิ่มกำลังทหาร<br />
เป็น ๒,๔๕๓ คน) กองบัญชาการอยู ่ที่กรุงคาบูล<br />
กองบัญชาการภาคเมืองหลวงกองทัพบก<br />
ฝรั่งเศสนำปืนใหญ่อัตตาจรแบบซีซาร์ (Caesar)<br />
ปฏิบัติการจำนวน ๘ หน่วยยิง (กรมทหารปืน<br />
ใหญ่นาวิกโยธินที่ ๓) เป็นปฏิบัติการทางทหาร<br />
ขนาดใหญ่อีกครั้งหนึ่งของกองทัพฝรั่งเศส โดย<br />
มีกำลังทหารเข้าปฏิบัติการรวมทั้ง ๓ เหล่าทัพ<br />
พื้นที่ปฏิบัติการในอัฟกานิสถานเป็นปฏิบัติ<br />
การทางทหารขนาดใหญ่ของกำลังนานาชาติ<br />
(ISAF) มีกำลังทหารประมาณ ๑๑๒,๕๗๙<br />
คน (พ.ศ. ๒๕๕๕) สนามรบส่วนใหญ่เป็น<br />
ทะเลทรายที่แห้งแล้งร้อนระอุและมีฝุ่นทราย<br />
เป็นจำนวนมาก ซึ่งเป็นอุปสรรคอย่างมากต่อ<br />
ปฏิบัติภารกิจทั้งกำลังทหารและยุทโธปกรณ์<br />
กองทัพบกฝรั่งเศสเข้าร่วมปฏิบัติการ<br />
สันติภาพในประเทศเลบานอน (UNIFIL)<br />
ทางตอนใต้ปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ร่วมกับกองกำลัง<br />
นานาชาติ มีกำลังประมาณ ๑๑,๐๐๐ คน<br />
กองทัพบกฝรั่งเศสส่งปืนใหญ่สนามอัตตาจร<br />
แบบซีซาร์ (Caesar) จากประเทศฝรั่งเศสมา<br />
ทางเรือสู่พื้นที่ปฏิบัติการประเทศเลบานอน<br />
จัดปืนใหญ่ระดับหน่วยขนาดหนึ่งกองร้อยปืน<br />
ใหญ่สนาม<br />
กองทัพบกฝรั่งเศสเข้าร่วมปฏิบัติการ<br />
สันติภาพในประเทศมาลี ทวีปแอฟริกา<br />
ปฏิบัติการสันติภาพกับกำลังนานาชาติ ๑๐<br />
ประเทศ ส่วนใหญ่จากกองกำลังนาโต้ที่มี<br />
ประเทศฝรั่งเศสเป็นแกนนำ มีกำลังทหาร<br />
รวม ๑๒,๖๐๐ คน ตั้งกองบัญชาการอยู่ที่<br />
ปืนใหญ่อัตตาจรชนิดล้อยางแบบซีซาร์ (Caesar) ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร กองทัพบก<br />
ซาอุดิอาระเบีย (กองกำลังรักษาดินแดน รวม ๔ กองพันทหารปืนใหญ่) ใช้สีพลาง ทะเลทราย<br />
31
ทหารฝรั่งเศสพร้อมด้วยปืนใหญ่อัตตาจรแบบซีซาร์ (Caesar) ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร ขณะทำการยิงบริเวณใกล้กับฐานทัพอากาศบากรัม<br />
(Bagram) ประเทศอัฟกานิสถาน เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๒<br />
32<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
ปืนใหญ่สนามอัตตาจรชนิดล้อยางแบบซีซาร์ (Caesar) ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร น้ำหนัก ๑๗.๗ ตัน ยาว ๑๐.๐ เมตร กว้าง ๒.๕๕ เมตร สูง<br />
๓.๗ เมตร อัตราการยิง ๖ นัดต่อนาที พลประจำปืน ๕ นาย ความเร็วบนถนน ๑๐๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง ความเร็วในภูมิประเทศ ๕๐ กิโลเมตร<br />
ต่อชั่วโมง ระยะปฏิบัติการไกล ๖๐๐ กิโลเมตร และลูกกระสุนมีระยะยิงไกลสุด ๔๒ กิโลเมตร<br />
ปืนใหญ่อัตตาจรชนิดล้อยางแบบซีซาร์ (Caesar) ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร ขณะทำการยิงที่<br />
สมรภูมิอัฟกานิสถาน รอบที่ตั้งยิงของปืนใหญ่สนามได้รับการป้องกันจากการยิงเล็งตรงจาก<br />
ฝ่ายข้าศึก<br />
กรุงบามาโก (Bamako) กำลังทหารบกจัดมา<br />
จากกองทัพบกฝรั่งเศสมีปืนใหญ่สนามแบบ<br />
ซีซาร์ (Caesar) หนึ่งกองร้อย (กรมทหารปืน<br />
ใหญ่ที่ ๖๘) เนื่องจากมาลีเคยเป็นเมืองขึ้น<br />
เก่าของประเทศฝรั่งเศส มีพื้นที่ ๑.๒๔ ล้าน<br />
ตารางกิโลเมตร ทางตอนเหนือเป็นทะเลทราย<br />
ซาฮาร่า มีประชากร ๑๔.๕ ล้านคน ประชาชน<br />
ส่วนใหญ่ของประเทศมีฐานะยากจนมีปัญหา<br />
ความขัดแย้งอย่างรุนแรงเกิดขึ้นทางตอนเหนือ<br />
ของประเทศกำลังทหารที่เข้าร่วมปฏิบัติการ<br />
เป็นทหารราบยานยนต์ ฝ่ายต่อต้านรัฐบาลมี<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
กำลังกองโจรหรือฝ่ายต่อต้านรัฐบาลประมาณ<br />
๑๑,๐๐๐ คน มีปฏิบัติการทางทหารที่สำคัญ<br />
คือการรบที่กัว (Goa) ระหว่างวันที่ ๒๖ - ๒๗<br />
มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๕ และมียุทธการเซอร์<br />
วอล (Serval) เริ่มต้นตั้งแต่วันที่ ๑๑ มกราคม<br />
พ.ศ. ๒๕๕๖<br />
ปืนใหญ่สนามอัตตาจรล้อยางแบบซีซาร์<br />
(Caesar) ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร นำเข้า<br />
ประจำการ ๔ ประเทศ คือ ฝรั่งเศส (๗๗),<br />
ซาอุดิอาระเบีย (กองกำลังรักษาดินแดน หน่วย<br />
ขนาดกองทัพน้อย ประจำการ ๔ กองพัน<br />
ปืนใหญ่อัตตาจรชนิดล้อยางแบบซีซาร์<br />
(Caesar) ขนาดกว้างปากลำกล้อง ๑๕๕<br />
มิลลิเมตร ของกองทัพบกฝรั่งเศส ขณะ<br />
ปฏิบัติการสันติภาพในประเทศเลบานอน<br />
(UNIFIL) ทางด้านตอนใต้ของประเทศในปี<br />
พ.ศ. ๒๕๔๙ ร่วมกับกองกำลังนานาชาติ<br />
ทหารปืนใหญ่รวม ๗๖ หน่วยยิง), อินโดนีเซีย<br />
(ประจำการ ๒ กองพันทหารปืนใหญ่ รวม ๓๗<br />
หน่วยยิง) และไทย (รวม ๖ หน่วยยิง)<br />
กองทัพบกไทยนำปืนใหญ่สนามอัตตาจร<br />
ล้อยางแบบซีซาร์ (Caesar) ขนาด ๑๕๕<br />
มิลลิเมตร ประจำการที่กองพันทหารปืนใหญ่ที่<br />
๗๒๑ กองพลทหารปืนใหญ่ ค่ายพิบูลสงคราม<br />
จังหวัดลพบุรี ปี พ.ศ. ๒๕๕๓ นำออกปฏิบัติ<br />
การทางทหารตามแนวชายแดนด้านตะวันออก<br />
เมื่อเดือนเมษายน พ.ศ. ๒๕๕๔<br />
33
แนวความคิดการป้องกัน<br />
และบรรเทาภัยพิบัติอย่างยั่งยืน<br />
ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม<br />
จ<br />
ากสภาวะสิ่งแวดล้อมโลกที่มีการ<br />
เปลี่ยนแปลงและผันผวนอย่างมาก<br />
จนส่งผลกระทบต่อการเกิดภัย<br />
ธรรมชาติที่มีความถี่เพิ่มขึ้นและทวีความ<br />
รุนแรงมากขึ้น ซึ่งเห็นได้จากมหาอุทกภัยที่เกิด<br />
ขึ้นกับประเทศไทยปี พ.ศ.๒๕๕๔ ที่ผ่านมา ซึ่ง<br />
สร้างความสูญเสียอย่างมากให้กับประเทศไทย<br />
ทั้งในภาคการเกษตร อุตสาหกรรม เศรษฐกิจ<br />
และสังคม โดยมีจังหวัดที่ได้รับผลกระทบ<br />
โดยตรงจำนวน ๖๕ จังหวัด และประชาชน<br />
ประมาณ ๑๒ ล้านคน ซึ่งธนาคารโลกได้<br />
ประเมินความเสียหายไว้ประมาณ ๑.๔๔<br />
ล้านล้านบาท และจัดให้เป็นภัยพิบัติที่สร้าง<br />
ความเสียหายมากที่สุดเป็นอันดับที่สี่ของโลก<br />
สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ นี้ ประเทศไทย<br />
ประสบกับปัญหาอุทกภัยในวงกว้างอีกครั้ง<br />
ซึ่งเป็นผลมาจากเกิดผลตกหนักตั้งแต่ช่วง<br />
34<br />
ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม
กลางเดือนกันยายน จนทำให้เกิดน้ำป่าไหล<br />
หลาก น้ำล้นตลิ่ง และ น้ำท่วมขัง ซึ่งส่งผลก<br />
ระทบต่อประชาชนในวงกว้างมากกว่า ๔๐<br />
จังหวัดทั่วประเทศ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคตะวัน<br />
ออกเฉียงเหนือและภาคตะวันออก รวมถึง<br />
ภาคกลางบางส่วน และมีสถานการณ์ต่อเนื่อง<br />
ยาวนานมากกว่า ๑ เดือน รวมทั้งในช่วงเดือน<br />
พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๕๖ ในพื้นที่ภาคใต้ก็ได้<br />
รับผลกระทบจากอุทกภัยซึ่งมีจังหวัดที่ได้รับ<br />
ผลกระทบประมาณ ๑๒ จังหวัด ดังนั้นจึง<br />
อาจกล่าวโดยสรุปได้ว่าในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ นั้น<br />
ประเทศไทยประสบปัญหาภัยพิบัติจากอุทกภัย<br />
ในทุกภาคของประเทศ<br />
นอกจากนี้จากรายงานทางวิชาการ<br />
ขององค์การระหว่างประเทศ อาทิ The<br />
United Nations Office for Disaster Risk<br />
Reduction (UNISDR) ระบุว่า ประเทศใน<br />
ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก มีความเสี่ยงสูงที่จะ<br />
ต้องเผชิญกับภัยพิบัติทางธรรมชาติบ่อยครั้ง<br />
ขึ้นและมีความรุนแรงมากขึ้น และที่สำคัญมี<br />
โอกาสได้รับความสูญเสียจากภัยพิบัติสูงที่สุด<br />
เนื่องจากขาดกระบวนการบริหารจัดการภัย<br />
พิบัติที่มีประสิทธิภาพ จากเหตุผลดังกล่าว<br />
จึงทำให้ประเทศไทยต้องประเมินความพร้อม<br />
และประสิทธิภาพในการป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัยของทุกภาคส่วน โดยผู้แทนจาก<br />
หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง ทั้งภาครัฐ ภาค<br />
เอกชน และภาคประชาชน ที่ได้มีโอกาส<br />
แลกเปลี่ยนประสบการณ์และองค์ความรู้ใน<br />
หลาย ๆ เวที เห็นพ้องกัน ว่า ส่วนราชการต่าง ๆ<br />
ยังขาดการทำงานร่วมกันในเชิงบูรณาการ ขาด<br />
เอกภาพในการบังคับบัญชา ขาดการประสาน<br />
งานที่มีประสิทธิภาพ มองข้ามประเด็นในเรื่อง<br />
การแก้ไขปัญหาอย่างเป็นระบบ และยังไม่ได้<br />
ให้ชุมชนเข้ามามีส่วนร่วมอย่างจริงจังในการ<br />
แก้ไขปัญหา<br />
ปัญหาภัยพิบัติไม่ใช่ปัญหาของชุมชนใด<br />
ชุมชนหนึ่ง หรือประเทศใดประเทศหนึ่งเท่านั้น<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
อีกต่อไป เนื่องจากภัยพิบัติขนาดใหญ่ส่งผล<br />
กระทบในวงกว้างทั้งในระดับท้องถิ่น ระดับ<br />
ประเทศ จนถึงระดับภูมิภาค ซึ่งประชาคมโลก<br />
ได้มองว่า ภัยพิบัติเป็นปัญหาของโลกที่ต้อง<br />
เผชิญมาอย่างต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่จะทวี<br />
ความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น โดยเป็นผลมาจาก<br />
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate<br />
Change) สำหรับประเทศในภูมิภาคเอเชียได้<br />
มีการประชุมระดับรัฐมนตรีเอเชียว่าด้วยการ<br />
ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ (Asian Ministerial<br />
Conference on Disaster Risk Reduction:<br />
AMCDRR) โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อหารือถึง<br />
ผลการดำเนินงานภายใต้กรอบการดำเนิน<br />
งานเฮียวโกะ พ.ศ.๒๕๔๘ – ๒๕๕๘ (Hyogo<br />
Framework for Action 2005 - 2015:<br />
HFA) ซึ่งเป็นเสมือนพิมพ์เขียวของโลกในการ<br />
ลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติที่มีเป้าหมายสูงสุด<br />
คือ “การลดความสูญเสียจากภัยพิบัติที่มีต่อ<br />
ชีวิต สังคม เศรษฐกิจ และสิ่งแวดล้อมของ<br />
ชุมชน และของประเทศ” ที่รัฐบาลของ ๑๖๘<br />
ประเทศได้ตกลงรับรองแผนระยะเวลา ๑๐ ปี<br />
ฉบับนี้ ในการประชุมของโลกว่าด้วยการลดผล<br />
กระทบจากภัยพิบัติ (World Conference on<br />
Disaster Reduction) เมื่อมกราคม ๒๕๔๘<br />
ณ เมืองโกเบ จ.เฮียวโกะ ประเทศญี่ปุ่น โดย<br />
มีแนวทางการปฏิบัติที่สำคัญ ๕ ประการ<br />
ได้แก่ ๑) การกำหนดให้การลดภัยพิบัติมีความ<br />
สำคัญในลำดับแรกของการบริหารจัดการของ<br />
ประเทศทั้งระดับชาติและท้องถิ่น ๒) การ<br />
ระบุ ประเมิน และติดตามความเสี่ยง และ<br />
การพัฒนาการเตือนภัยล่วงหน้า ๓) การใช้<br />
ความรู้ นวัตกรรม และการศึกษาในการสร้าง<br />
วัฒนธรรมความปลอดภัย และความเข้มแข็ง<br />
ให้กับสังคมทุกระดับ โดยเน้นการมีส่วนร่วม<br />
๔) การลดปัจจัยเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง โดยเน้นที่<br />
การวางแผนและการบังคับใช้กฎหมาย และ<br />
๕) การเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับการ<br />
เตรียมความพร้อมรับมือเหตุภัยพิบัติทุกระดับ<br />
สำหรับประเทศไทยนั้น ได้รับประสบการณ์<br />
และบทเรียนอย่างมากขณะเผชิญกับมหา<br />
อุทกภัยในปี พ.ศ. ๒๕๕๔ โดยกระทรวง<br />
กลาโหมในฐานะหน่วยงานสนับสนุนหลัก<br />
ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของ<br />
ประเทศตามแผนการป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัยแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๓ – ๒๕๕๗ ซึ่ง<br />
มีแผนบรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม<br />
๒๕๕๔ เป็นกรอบแนวทางในการปฏิบัติ ได้<br />
จัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื่อง บทเรียน<br />
การปฏิบัติการของทหารสนับสนุนศูนย์<br />
บรรเทาภัยพิบัติของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหา<br />
อุทกภัยปี ๒๕๕๔ ระหว่างวันที่ ๒๐ – ๒๑<br />
มีนาคม พ.ศ. ๒๕๕๕ ณ เซอร์เจมส์ รีสอร์ท<br />
อ.มวกเหล็ก จ.สระบุรี นั้น โดยผลจากการสัม<br />
มนาฯ สรุปได้ว่า กระทรวงกลาโหมจำเป็นต้อง<br />
ปรับปรุงแผนบรรเทาสาธารณภัย กระทรวง<br />
กลาโหม ๒๕๕๔ ให้เข้ากับสถานการณ์ภัย<br />
พิบัติที่เกิดขึ้น โดยเฉพาะการแบ่งมอบพื้นที่<br />
รับผิดชอบ และการประสานงานระหว่างส่วน<br />
ราชการต่างๆ ภาคเอกชน และองค์กรการกุศล<br />
ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือผู้ประสบภัย<br />
พิบัติเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
ต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๕๖ นั้น กรมป้องกัน<br />
และบรรเทาสาธารณภัยในฐานะหน่วยงาน<br />
กลางด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
ของประเทศตามที่กำหนดไว้ใน พ.ร.บ.ป้องกัน<br />
และบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. ๒๕๕๐ และ<br />
แผนการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่ง<br />
ชาติ พ.ศ. ๒๕๕๓ – ๒๕๕๗ ได้จัดการสัมมนา<br />
เชิงปฏิบัติการเพื่อวิพากษ์แผนการป้องกัน<br />
และบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติฉบับปัจจุบัน<br />
เพื่อเตรียมการจัดทำแผนการป้องกันและ<br />
บรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติฉบับใหม่ ซึ่งผล<br />
จากการสัมมนาฯ ดังกล่าวทำให้ ทุกฝ่ายเห็น<br />
พ้องกันว่า ปัจจัยหลักที่สำคัญในการบริหาร<br />
จัดการสาธารณภัย คือ ความมีประสิทธิภาพ<br />
ในการทำงานร่วมกันในเชิงบูรณาการ ความมี<br />
35
เอกภาพในการบังคับบัญชา และการประสาน<br />
งานระหว่างภาครัฐกับภาคเอกชน รวมถึงภาค<br />
ประชาชน ซึ่งมีผลทำให้การจัดการภัยพิบัติ<br />
ขาดประสิทธิภาพ และการช่วยเหลือประชาชน<br />
ในพื้นที่ประสบภัยเป็นไปอย่างไม่ทั่วถึงและ<br />
เกิดความซ้ำซ้อนกัน<br />
กระบวนการการบริหารจัดการภัยพิบัติ<br />
ของประเทศไทย หรือวงจรการบริหาร<br />
จัดการภัยพิบัติ (Disaster Management<br />
Circle) ซึ่งประกอบด้วย ๑) การลดผลกระทบ<br />
(Mitigation) คือ กิจกรรมที่มุ่งในการลด<br />
ผลกระทบและความรุนแรงของภัยพิบัติที่ก่อ<br />
ให้เกิดอันตรายและความสูญเสียแก่ชุมชนและ<br />
ประเทศชาติ ซึ่งบางหน่วยงานใช้เป็นคำว่า การ<br />
ป้องกัน (Prevention) คือ การดำเนินการ<br />
เพื่อหลีกเลี่ยงหรือขัดขวางมิให้ภัยพิบัติและ<br />
ความสูญเสียเกิดขึ้น ๒) การเตรียมความพร้อม<br />
(Preparedness) คือ การเตรียมการล่วงหน้า<br />
เพื่อเพิ่มขีดความสามารถให้กับรัฐบาล องค์กร<br />
ปฏิบัติ ชุมชน และบุคคล ในการเผชิญกับภาว<br />
การณ์เกิดภัยพิบัติ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
มากขึ้น ๓) การตอบโต้ (Response) คือ การ<br />
ปฏิบัติอย่างทันทีทันใดเมื่อภัยพิบัติเกิดขึ้น และ<br />
๔) การฟื้นฟูบูรณะ (Recovery) คือ ขั้นตอน<br />
การดำเนินการเมื่อเหตุการณ์ภัยพิบัติผ่านพ้น<br />
ไปแล้ว เพื่อให้พื้นที่หรือชุมชนที่ได้รับภัยพิบัติ<br />
กลับคืนสู่สภาพที่ดีขึ้น<br />
เมื่อได้พิจารณาวงจรการบริหารจัดการภัย<br />
พิบัติ โดยนำภัยพิบัติ (Disaster) เป็นจุดเริ่มต้น<br />
ของปัญหา จะทราบว่า “ภัยพิบัติ” (Disaster)<br />
เป็นผลที่เกิดขึ้นจากปัจจัยต่าง ๆ รวมกัน อาทิ<br />
การขาดมาตรการรองรับที่มีประสิทธิภาพหรือ<br />
ไม่มีมาตรการรองรับเมื่อเกิดภัยพิบัติ ความ<br />
มีศักยภาพของหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการ<br />
บรรเทาหรือจัดการกับภัยพิบัติ ความเสี่ยงต่อ<br />
การเกิดภัยพิบัติของสภาพภูมิประเทศหรือ<br />
ที่ตั้งของชุมชน การขาดความรู ้ของคนในชุมชน<br />
ที่เกี่ยวกับภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้นกับชุมชนได้<br />
และการมองข้ามประเด็นในการแก้ไขปัญหา<br />
ภัยพิบัติอย่างเป็นระบบ เป็นต้น จึงทำให้ผล<br />
กระทบจากภัยพิบัติมีความสูญเสียมากทั้งใน<br />
ระดับท้องถิ่นจนถึงระดับประเทศ หรือภูมิภาค<br />
อาทิ จำนวนผู้เสียชีวิต จำนวนผู้ได้รับบาดเจ็บ<br />
จำนวนผู้ไร้ที่อยู่อาศัย มูลค่าของทรัพย์สินทั้ง<br />
เป็นบุคคลและภาพรวมของประเทศ ความ<br />
สูญเสียต่อระบบโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ<br />
การเสื่อมสภาพของสิ่งแวดล้อม และ ความ<br />
เสียหายต่อระบบเศรษฐกิจของประเทศ ซึ่ง<br />
สามารถส่งผลต่อระบบเศรษฐกิจของภูมิภาค<br />
หรือของโลกได้<br />
นายโคฟีอานัน อดีตเลขาธิการสหประชาชาติ<br />
กล่าวว่า “เราไม่อาจที่จะหยุดยั้งภัยธรรมชาติ<br />
ได้ แต่เราสามารถที่จะสร้างให้แต่ละคนและ<br />
36<br />
รูปที่ ๑ ภาพแสดงวงจรการบริหารจัดการภัยพิบัติ (Disaster Management Circle)<br />
แต่ละชุมชนมีความสามารถในการเตรียม<br />
พร้อมที่จะเผชิญภัยธรรมชาติเหล่านี้ได้” และ<br />
จากสถานการณ์ภัยพิบัติที่เกิดขึ้นทั่วโลกนั้น<br />
จะเห็นได้ว่า ภัยพิบัติเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยาก<br />
และไม่เลือกประเทศหรือภูมิภาคที่จะเกิด โดย<br />
เฉพาะภัยพิบัติที่เกิดจากภัยธรรมชาติ เช่น<br />
แผ่นดินไหว สึนามิ พายุไต้ฝุ่น พายุเฮอริเคน<br />
พายุโซนร้อน อุทกภัย และดินถล่ม เป็นต้น<br />
อย่างไรก็ตามถึงแม้ว่าเราไม่สามารถห้ามไม่ให้<br />
ภัยธรรมชาติเกิดขึ้นได้ แต่เราสามารถที่จะลด<br />
ขนาดและความรุนแรงของผลกระทบที่จะได้<br />
รับจากภัยพิบัติเหล่านั้นได้ ซึ่งการประชุมทั้งใน<br />
เวทีระดับโลกและระดับภูมิภาค ที่เกี่ยวข้องกับ<br />
การลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ ได้มีการเสนอ<br />
แนวความคิดต่าง ๆ ที่สำคัญ อาทิ การลดความ<br />
เสี่ยงจากภัยพิบัติ (Disaster Risk Reduction:<br />
DRR) การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable<br />
Development: SD) และ การปรับตัวต่อ<br />
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate<br />
Change Adaptation: CCA) เป็นต้น<br />
แนวความคิดการลดความเสี่ยงจากภัยพิบัติ<br />
(DRR) คือการลดปัจจัยที่จะทำให้ได้รับผล<br />
กระทบจากสภาวะที่อาจประสบกับอันตราย<br />
(Harm) หรือการอยู่ในสภาวะที่เกี่ยวข้องกับ<br />
อันตรายจากภัยพิบัติ โดยระดับของความเสี่ยง<br />
(Degree of Risk) ขึ้นอยู่กับโอกาสหรือความถี่<br />
ในการเกิดอันตรายและความรุนแรงจาก<br />
อันตรายนั้น ๆ อาทิ การสร้างบ้านเรือนหรือ<br />
ศูนย์บรรเทาสาธารณภัย กระทรวงกลาโหม
ชุมชนให้มีมาตรฐานโครงสร้างที่แข็งแรงและ<br />
ตั้งอยู่นอกพื้นที่เสี่ยงภัย และการพัฒนาระบบ<br />
การแจ้งเตือนภัยล่วงหน้าให้มีประสิทธิภาพ<br />
เป็นต้น ในขณะที่แนวความคิดการพัฒนา<br />
ที่ยั่งยืน (SD) หมายถึง การพัฒนาที่มีการ<br />
คำนึงถึงความเสียหายของสิ่งแวดล้อม มีการ<br />
ป้องกันปัญหาที่เกิดขึ้นต่อสิ่งแวดล้อม หรือถ้า<br />
จำเป็นจะต้องเกิดความเสียหาย ก็จะต้องจำกัด<br />
ขอบเขตความเสียหายให้เกิดขึ้นน้อยที่สุด การ<br />
พัฒนาที่ยั่งยืนในมิติทางด้านทรัพยากรและ<br />
สิ่งแวดล้อมนี้ จึงเป็นรูปแบบการใช้ทรัพยากร<br />
ที่มีการบำรุงรักษา และมีอัตราการใช้ที่อยู่<br />
ในขอบเขตการอำนวยให้หรือศักยภาพที่<br />
ทรัพยากรนี้จะคืนสู่สภาพปกติได้ นอกจากนี้<br />
แนวความคิดการปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง<br />
สภาพภูมิอากาศ (CCA) ได้อ้างถึงการเข้าสู่<br />
สังคมที่ภาวะคุกคามโดยเฉพาะภัยธรรมชาติใน<br />
อนาคตมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงมีความ<br />
จำเป็นที่ต้องมีการพัฒนาคนและระบบต่าง ๆ<br />
ให้สามารถปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลงต่าง ๆ<br />
ได้ อาทิ ความสามารถในการเรียนรู้และการ<br />
สะสมความรู้และประสบการณ์ ความยืดหยุ่น<br />
ของกระบวนการตัดสินใจ การแก้ปัญหาและ<br />
โครงสร้างอำนาจที่ตอบสนองต่อความต้องการ<br />
ของกลุ ่มคนที่มีส่วนได้ส่วนเสียในทุกระดับและ<br />
ทุกภาคส่วน<br />
ดังนั้นเมื่อนำแนวคิดการลดผลกระทบ<br />
จากภัยพิบัติ (DRR) แนวความคิดการพัฒนา<br />
ที่ยั่งยืน (SD) แนวความคิดการปรับตัวต่อ<br />
การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (CCA)<br />
และบทเรียนของประเทศไทยที่ได้รับจาก<br />
การเผชิญปัญหาอุทกภัย มาเปรียบเทียบ<br />
กับขั้นตอนหรือวงจรการบริหารจัดการภัย<br />
พิบัติ (Disaster Management Circle) นั้น<br />
อาจกล่าวได้ว่า เนื่องจากความจำกัดด้าน<br />
งบประมาณ ดังนั้นในการวางแผนงานโครงการ<br />
เพื่อการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยของ<br />
ประเทศไทยนั้น จึงควรมุ่งไปที่ขั้นตอบการลด<br />
ผลกระทบ (Mitigation) ซึ่งรวมถึงการป้องกัน<br />
(Prevention) และอาจกล่าวได้ว่าขั้นตอน<br />
ดังกล่าวมีสำคัญมากในวงจรการบริหารจัดการ<br />
ภัยพิบัติ (Disaster Management Circle)<br />
โดยการจัดการกับความเสี่ยงในการเกิดภัย<br />
พิบัติ (Disaster Risk Management) ด้วย<br />
การลดโอกาสที่จะเกิดความสูญเสียจากภัย<br />
พิบัติ ทั้งต่อชีวิต ร่างกาย ทรัพย์สิน ความ<br />
เป็นอยู่ และภาคบริหารต่าง ๆ ในชุมชนใด<br />
ชุมชนหนึ่ง ณ ห้วงเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต<br />
โดยการนำบทเรียนต่างที่ได้รับมาใช้ในการ<br />
ปรับปรุงขั้นตอน และวิธีการต่าง ๆ รวมถึงการ<br />
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานที่มีความเสี่ยงต่อภัย<br />
พิบัติให้มีความคงทนแข็งแรงขึ้น หรือ ที่เรียก<br />
ว่า “Build-back-Better” อาทิ การขาดของ<br />
คอสะพาน เมื่อนำบทเรียนหรือประสบการณ์<br />
ต่าง ๆ ที่ได้มีการศึกษาและวิเคราะห์อย่าง<br />
เป็นระบบ ก็จะทำให้เราทราบว่าปัญหาที่<br />
คอสะพานขาดเกิดจากปัจจัยหรือตัวแปร<br />
อะไร ซึ่งภาครัฐโดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้อง<br />
ร่วมกับชุมชนเพื่อประเมินและวิเคราะห์ผล<br />
กระทบที่เกิดขึ้นกับชุมชน แล้วปรับปรุงการ<br />
สร้างสะพานใหม่ทดแทนให้มีความคงทนต่อ<br />
ภาวะน้ำหลากได้ ซึ่งรวมถึงการย้ายพื้นที่อยู่<br />
อาศัยไปยังพื้นที่ที่มีความเสี่ยงน้อยกว่าหรือ<br />
ปลอดภัยมากกว่า พร้อมทั้งสร้างที่อยู่อาศัย<br />
โรงเรียน สถานีอนามัย และอื่น ๆ ของชุมชน<br />
ให้มีความคงทนต่อภัยพิบัติที่อาจจะเกิดขึ้น<br />
ในพื้นที่อย่างเหมาะสมต่อไป เป็นต้น<br />
โดยสรุปเพื่อให้การป้องกันและบรรเทา<br />
ภัยพิบัติของประเทศไทยมีการพัฒนาอย่าง<br />
ยั่งยืนและพร้อมรับกับสถานการณ์ภัยพิบัติ<br />
ที่มีความถี่สูงขึ้นและทวีความรุนแรงมากขึ้น<br />
ในอนาคต จึงจำเป็นที่หน่วยงานต่าง ๆ ที่<br />
เกี่ยวข้องในทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกัน<br />
ศึกษาวิเคราะห์บทเรียนที่ได้รับจากการบริหาร<br />
จัดการภัยพิบัติในแต่ละครั้ง เพื่อนำผลการ<br />
วิเคราะห์อย่างเป็นระบบมาใช้ในการวางแผน<br />
และดำเนินการตั้งแต่การลดผลกระทบจาก<br />
ภัยพิบัติให้เป็นไปได้อย่างยั่งยืนก่อน ซึ่งนำ<br />
ไปสู่การป้องกันที่มีประสิทธิภาพอันจะนำมา<br />
ซึ่งการลดความสูญเสียที่อาจจะเกิดขึ้นทั้งกับ<br />
ชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งระบบ<br />
เศรษฐกิจของประเทศได้ต่อไป เพราะเราไม่<br />
สามารถห้ามการเกิดภัยพิบัติทางธรรมชาติได้<br />
แต่เราสามารถลดอันตรายและความสูญเสีย<br />
ที่อาจจะเกิดกับเราและชุมชนของเรา รวมถึง<br />
ประเทศของเราได้<br />
รูปที่ ๒ กรอบแนวความคิดการรับมือและฟื้นกลับเร็วเมื่อเกิดภัยพิบัติ (Resilience)<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
37
เปิดประตูสู่เทคโนโลยีป้องกันประเทศ ๑๗<br />
จรวดนำวิถีต่อสู้รถถัง<br />
วิ<br />
วัฒนาการของรถถังและยานเกราะ<br />
เป็นไปอย่างรวดเร็ว และขอบเขตขีด<br />
ความสามารถได้ถูกพัฒนาให้หลาก<br />
หลายกว่ายุคแรกมาก จริงอยู่ที่ว่าระบบอาวุธ<br />
ที่สามารถทำลายรถถังได้ดีที่สุดคือ รถถังด้วย<br />
กันเอง แต่จากความหลากหลายของยานเกราะ<br />
ทำให้จรวดต่อสู้รถถังกลายเป็นระบบอาวุธ<br />
ที่กำลังได้รับการพัฒนา เพื่อตามให้ทันกับ<br />
พัฒนาการของรถถังและยานเกราะ ในปัจจุบัน<br />
สภาพแวดล้อมทางยุทธศาสตร์โลกมีแนว<br />
โน้มการเกิดสงครามขนาดใหญ่น้อยลง กลับ<br />
กลายเป็นสงครามนอกแบบที่มีความเด่นชัด<br />
มากขึ้น โอกาสที่จะใช้จรวดต่อสู้รถถังจึงลด<br />
38<br />
น้อยลงไปด้วย ส่งผลให้แนวทางการพัฒนา<br />
จรวดต่อสู้รถถังจะไม่มุ่งเน้นที่การทำลายรถถัง<br />
หรือยานเกราะเท่านั้นแต่จะขยายขอบเขต<br />
ให้สามารถทำลายเป้าหมายอื่นอย่างเช่น<br />
สิ่งปลูกสร้าง หรือบังเกอร์ที่มั่น เป็นต้น สำหรับ<br />
ประเทศไทยคุณสมบัติของจรวดต่อสู้รถถังที่<br />
ต้องการจะเป็นระบบอาวุธที่มีระยะยิงไม่ไกล<br />
(ไม่เกิน ๕ กิโลเมตร) มีน้ำหนักเบา มีอำนาจการ<br />
ทำลายสูงกว่าอาวุธประจำกาย และสามารถ<br />
ใช้สนับสนุนการดำเนินกลยุทธ์ของหน่วย<br />
ทหารราบได้<br />
พัฒนาการของจรวดนำวิถีต่อสู้รถถัง<br />
สามารถแบ่งออกได้เป็น ๓ ยุค ได้แก่<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
ยุคที่ ๑ การนำวิถีแบบแนวสายตา<br />
บังคับเส้นลวดด้วยมือ Wired Manual<br />
Command to Line of Sight (MCLOS)<br />
สำหรับจรวดแบบนี้จะพุ่งเข้าสู่เป้าหมายได้<br />
โดยอาศัยการควบคุมบังคับทิศทางจากฐาน<br />
ยิง (Command and Launch Unit, CLU)<br />
เพื่อให้จรวดแม่นยำ ผู ้ยิงจะต้องมีความชำนาญ<br />
และต้องได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี<br />
ยุคที่ ๒ การนำวิถีแบบกึ่งอัตโนมัติแบบ<br />
Wired หรือ Semi-Automatic Command<br />
Line of Sight (SACLOS) ผู้ยิงจะทำหน้าที่ชี้<br />
เป้าหมายให้กับจรวด โดยข้อมูลของเป้าหมาย<br />
จะมีการรับส่งข้อมูลผ่านตามสายทองแดง<br />
มายังระบบบังคับทิศทางของจรวด เพื่อให้<br />
พุ่งเข้าสู่เป้าหมาย ตัวอย่างของจรวดแบบนี้<br />
ได้แก่ BGM-71 TOW ของสหรัฐอเมริกา หรือ<br />
MILAN ของฝรั่งเศส สำหรับในกองทัพไทยมี<br />
จรวดนำวิถีแบบ BGM-71 TOW ประจำการ<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
ยุคที่ ๓ จรวดแบบ Anti-Tank Guided<br />
Missile (ATGM) ความสามารถที่โดดเด่น<br />
ของจรวดแบบนี้คือ “ความสามารถในการยิง<br />
แล้วลืม” (Fire-and-Forget) กล่าวคือ จรวด<br />
ระบบนี้นอกจากจะสามารถพุ่งเข้าสู่เป้าหมาย<br />
ได้ด้วยตัวเองโดยอัตโนมัติแล้ว ผู้ยิงยังสามารถ<br />
เลือกตำแหน่งที่เป็นจุดอ่อนของเป้าหมายใน<br />
การเข้าโจมตีได้ด้วย เช่น การโจมตีด้านบนของ<br />
ตัวรถถัง (Fly over Shoot Down) ด้วยหัว<br />
รบแบบ Tandem เพื่อทำลายเกราะปฏิกิริยา<br />
(Explosive Reactive Armor, ERA) หรือ<br />
การโจมตีแบบที่สามารถเปลี่ยนเป้าหมายหลัง<br />
จากที่จรวดถูกยิงออกจากลำกล้องไปแล้ว โดย<br />
ในระบบนี้ จรวดจะมีระบบค้นหาเป้าหมาย<br />
(Seeker) ซึ่งจะเป็นเซ็นเซอร์รับภาพแบบ CCD<br />
(Charge Couple Device) สำหรับปฏิบัติการ<br />
ในเวลากลางวันและเซ็นเซอร์รับภาพแบบ IIR<br />
(Imaging Infrared) ซึ่งสามารถใช้ได้ทั้งปฏิบัติ<br />
การในเวลากลางวันและกลางคืน<br />
จากสถานภาพของจรวดนำวิถีต่อสู้รถถัง<br />
ที่ประจำการในกองทัพไทยกำลังใกล้จะหมด<br />
อายุ นำไปสู่การศึกษาความเป็นไปได้ของการ<br />
ดำเนินโครงการวิจัยพัฒนาจรวดนำวิถีต่อสู้<br />
รถถัง โดยสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
(องค์การมหาชน) หรือ สทป. ซึ่งหากพิจารณา<br />
ความเป็นไปได้ทางด้านเทคโนโลยีแล้ว เครื่องมือ<br />
และอุปกรณ์สำหรับการวิจัยและพัฒนามีความ<br />
พร้อม แต่ยังขาดองค์ความรู้ด้านระบบชนวน<br />
และระบบนำวิถี และ สทป. เชื่อมั่นว่าองค์<br />
ความรู้ที่ได้จากการวิจัยพัฒนาโครงการ DTI-<br />
1G (จรวดหลายลำกล้องนำวิถี) จะสามารถนำ<br />
มาประยุกต์ใช้ได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้น แนวทาง<br />
ในการดำเนินงานในขั้นต้นจึงควรเริ่มต้นจาก<br />
ง่ายไปหายาก กล่าวคือ เริ่มต้นจากจรวดไม่<br />
นำวิถี ก่อนก้าวไปสู่ระบบนำวิถี และพัฒนา<br />
จรวดพิสัยใกล้ก่อน แล้วจึงขยายระยะยิง<br />
และติดตั้งระบบนำวิถีต่อไป สำหรับตัวจรวด<br />
สทป. มีขีดความสามารถวิจัยพัฒนาขึ้นได้เอง<br />
แล้ว ส่วนหัวรบนั้น สามารถใช้ทรัพยากรที่<br />
กระทรวงกลาโหมมีอยู่แล้วในการดำเนินการ<br />
จะเห็นได้ว่าการวิจัยพัฒนาระบบจรวดนำวิถี<br />
นั้นเป็นงานที่ท้าทาย ซึ่งจะสำเร็จได้ด้วยการ<br />
ร่วมมือร่วมใจกันของหน่วยงานต่าง ๆ ตั้งแต่<br />
หน่วยผู้ใช้ หน่วยวิจัยพัฒนา และผู้ผลิต แต่<br />
นับว่าคุ้มค่าต่อการลงทุน เนื่องจากสิ่งนี้จะ<br />
นำไปสู่ความสามารถในการพึ่งพาตนเอง<br />
ในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศอย่างยั่งยืน<br />
ต่อไป<br />
39
หลักการของนายพลแพตตัน<br />
(ตอนที่ ๒๐)<br />
พลโท เด่นดวง ทิมวัฒนา<br />
40<br />
พลโท เด่นดวง ทิมวัฒนา
หลักการแห่งความสำเร็จหนทางสู ่ชัยชนะ<br />
คือ อย่าแพ้<br />
“เราจะชนะ เพราะว่า เราจะไม่แพ้”<br />
นายพลแพตตัน จะอธิบายต่อกำลังพลว่า<br />
“สงครามเป็นเกมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแห่งชีวิต!<br />
เกมส่วนมากจะเล่นในเวลาที่กำหนดแน่นอน<br />
เช่น อเมริกันฟุตบอลก็เล่นกันสี่ควอเตอร์ หรือ<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
เบสบอลก็เล่นกันเก้าเกม ไม่เหมือนกับสงคราม<br />
เราจะต้องต่อสู้จนกว่าเราจะชนะ เราจะไม่<br />
ยอมแพ้”<br />
ตรรกวิทยาของนายพลแพตตัน เป็นเรื่อง<br />
ง่าย ๆ ที่ทุกคนสามารถทำความเข้าใจได้ เป็น<br />
เรื่องที่ชัดเจนว่านายพลแพตตัน จะไม่แพ้<br />
นายพลแพตตันให้คำอธิบายเพิ่มเติมใน<br />
ปรัชญาของท่านที่เต็นท์ของท่านเอง<br />
“ไม่มีการแพ้ถ้ามนุษย์ปฏิเสธที่จะยอมรับ<br />
ความพ่ายแพ้ สงครามจะแพ้ในจิตใจก่อน ต่อ<br />
มาจึงแพ้ในสนามรบ ไม่มีชาติใดพ่ายแพ้จนกว่า<br />
พลเมืองของชาตินั้นตั้งใจที่จะยอมรับความ<br />
พ่ายแพ้ อังกฤษได้พ่ายแพ้ ความหวังสิ่งเดียว<br />
คือ เชอร์ชิลล์ปฏิเสธการยอมรับความพ่ายแพ้<br />
41
ถ้าพลเมืองตั้งใจที่จะสละชีวิตเพื่อประเทศ<br />
ชาติของเขาแล้ว ก็มีหนทางเดียวที่ชาตินั้นจะ<br />
พ่ายแพ้ได้ คือ ทุกคนต้องถูกฆ่าตายหมด ไม่<br />
ว่าผู้ชาย ผู้หญิง และเด็ก ๆ ในประวัติศาสตร์<br />
ของโลกไม่เคยมีเหตุการณ์เช่นว่านี้เกิดขึ้น<br />
สงครามพ่ายแพ้กันที่จิตใจ เราจะไม่สารภาพ<br />
ต่อกำลังพลหรือต่อข้าศึกว่า เราจะยอมรับ<br />
ความพ่ายแพ้”<br />
ความคิดในเรื่องนี้สัมพันธ์กับความคิดของ<br />
นายพลแพตตันในเรื่องที่ว่าร่างกายมนุษย์<br />
ไม่มีการเหนื่อย จิตใจนั่นแหละที่คิดถึงความ<br />
เหนื่อย จิตใจสามารถขจัดความเหนื่อยออก<br />
ไปจากร่างกายได้<br />
หลักการนี้ดูเหมือนว่าเป็นหลักการใหม่<br />
แต่มันมีอยู่ในคัมภีร์ไบเบิ้ล นายพลแพตตัน<br />
จะอธิบายว่า “มีคำจำกัดความของคำว่า<br />
ความตายอยู่หลายความหมายในคัมภีร์ไบเบิ้ล<br />
เช่น “เขายอมแพ้ยมทูต” คนป่วยหลายคนใน<br />
โรงพยาบาลตายไปเพราะพวกเขายอมจำนน<br />
และยอมรับความพ่ายแพ้นั้น ๆ ผมนึกถึงชาย<br />
คนหนึ่งซึ่งสร้างโลงศพของตัวเอง พอทำโลง<br />
ศพเสร็จชายคนนี้ก็ตาย ผมรู้จักคนหลายคนที่<br />
ปลดประจำการไปเพื่อสร้างบ้านในฝันของพวก<br />
เขา พอบ้านสร้างเสร็จพวกนี้ก็ตาย มนุษย์ต้อง<br />
ทำสงครามกับชีวิต ถ้าเขาต้องการที่จะอยู่ต่อ<br />
42<br />
พลโท เด่นดวง ทิมวัฒนา
เขาจะไม่พ่ายแพ้ ถ้าเขาไม่ยอมจำนนต่อความ<br />
พ่ายแพ้นั้น”<br />
หลายปีต่อมา เมื่อผมได้ยินวาทะที่มีชื่อเสียง<br />
ของเชอร์ชิลล์ ผมก็สงสัยขึ้นมาว่า ใครมีความคิด<br />
นี้ก่อนกัน นายพลแพตตัน หรือนายกฯ<br />
เชอร์ชิลล์ วาทะของเชอร์ชิลล์ มีอยู่เก้าคำคือ<br />
“อย่ายอมแพ้! อย่ายอมแพ้! อย่ายอมแพ้!”<br />
นายพลแพตตัน และเชอร์ชิลล์ เคยไปมา<br />
หาสู่กันหลายครั้งในช่วงแรกของสงคราม มัน<br />
ไม่สำคัญหรอกที่ใครจะพูดเป็นคนแรก ความ<br />
คิดเบื้องหลังคำพูดดังกล่าวมีส่วนช่วยประเทศ<br />
อังกฤษ และได้ช่วยนายพลแพตตันให้มีชัยชนะ<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
หลายครั้งในสงครามโลกครั้งที่สอง<br />
มีหลายตัวอย่างในเรื่องความคิดง่าย ๆ<br />
แบบนี้ในศูนย์การแพทย์ โรงพยาบาลผ่าตัด<br />
ของทหารมักจะเล่าเรื่องซ้ำ ๆ เสมอที่ว่า นัก<br />
กระโดดสูงคนหนึ่งเสียขาไปหนึ่งข้างแต่เขาได้<br />
ปฏิเสธที่จะหยุดการกระโดดสูง จิตใจควบคุม<br />
ร่างกาย! ด้วยขาข้างเดียว เขาสามารถกระโดด<br />
ได้สูงกว่าที่เขาเคยกระโดดได้ด้วยขาสองข้าง<br />
เขาสามารถกระโดดข้ามคานด้วยขาข้างเดียว<br />
ก็ตอนที่เขามีสองขาน่ะ เจ้าขาข้างที่ถูกตัดไป<br />
มักจะเกี่ยวคานอยู่เสมอ<br />
แพทริค เฮนรี่ (Patrick Henry) ได้ให้<br />
ปรัชญานี้ในปี พ.ศ. ๒๓๑๙ (ค.ศ. ๑๗๗๖)<br />
เมื่อเขาได้กล่าวว่า<br />
“จงมอบเสรีภาพให้ข้าพเจ้า หรือไม่ก็มอบ<br />
ความตายมาเถอะ”<br />
43
หลักการแห่งอหิงสา<br />
ของมหาตมะ คานธี<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์<br />
44<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
ค<br />
งปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ในระยะหลัง<br />
ประเทศไทยได้สร้างทฤษฎีการ<br />
ปิดล้อมด้วยมวลชนเพื่อล้มรัฐบาล<br />
อย่างมีรูปแบบ จนกำลังเป็นโมเดลที่หลาย<br />
ประเทศต้องนำไปศึกษา ข้ออ้างประการหนึ่ง<br />
ที่มักถูกหยิบยกเพื่อสร้างความชอบธรรม<br />
ให้กับผู้ชุมนุมก็คือ การชุมนุมด้วยความสงบ<br />
ปราศจากอาวุธ และอหิงสา ซึ่งแท้ที่จริงหาก<br />
ไม่มีการศึกษารากเหง้าของอหิงสาอย่างแท้จริง<br />
ก็อาจจะเห็นดีเห็นงาม และพลอยเกิดความ<br />
นิยมชมชอบไปด้วย<br />
ต้นตำรับของอหิงสาเป็นที่ทราบกันดีว่า มา<br />
จากนักปรัชญาฮินดูที่ชื่อคานธี ซึ่งตลอดชีวิต<br />
ของบุรุษผู้สร้างตำนานผู้นี้เป็นตัวอย่างแสดง<br />
ให้เห็นว่า หากมีความเชื่อมั่นในศาสนาแล้ว<br />
จะทำให้คนเรารู้จักควบคุมตัวเอง รักผู้อื่น และ<br />
ทำตนเป็นประโยชน์แก่สังคมและมนุษยชาติ<br />
อย่างบริสุทธิ์<br />
ความคิดพื้นฐานที่นับว่าสำคัญที่สุดของ<br />
คานธีก็คือ ความเชื่อว่าโลกสถิตอยู่ได้ด้วย<br />
หลักธรรม คือ สัจจะ สัจจะ หมายถึงความจริง<br />
อะไรที่เป็นความดีความถูกต้องเป็นสัจจะ<br />
ทั้งสิ้น สัจธรรมเป็นพระเจ้าสูงสุด การบรรลุ<br />
สัจธรรมอย่างสมบูรณ์หรือการเป็นคนดีในทุก<br />
ด้านนั้น คานธีเห็นว่าต้องเข้าถึงหลักอหิงสา<br />
อย่างแท้จริงก่อน หากไม่มีอหิงสาก็ปฏิบัติตาม<br />
ให้สมบูรณ์ไม่ได้<br />
อหิงสา ความหมายโดยพยัญชนะ คือ ความ<br />
ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายผู้อื่น ไม่ปฏิบัติผิดต่อ<br />
ผู้อื่น ไม่ว่าด้วยกาย วาจา หรือใจ ก็ตาม การ<br />
ไม่เบียดเบียน ไม่ทำร้ายผู้อื่นนี้เป็นเพียงแง่ลบ<br />
คานธีเห็นว่าการมีอหิงสธรรมไม่จำเป็นต้องไป<br />
อยู่ป่า ถ้าคนมีอหิงสาอย่างแท้จริง อยู่ที่ไหน<br />
ก็ประพฤติอหิงสาได้ การที่คนอยู่ในสังคมยัง<br />
ทำให้ประพฤติอหิงสาในแง่บวกได้ด้วย กล่าว<br />
คือ การมีความรักผู้อื่น รักมนุษยชาติ และ<br />
สัตว์ทั้งหลาย เป็นความรักอันบริสุทธิ์ไม่หวัง<br />
ผลตอบแทนใด ๆ<br />
เมื่ออหิงสามีหลักการต้องปฏิบัติด้วยกาย<br />
วาจา และใจในการประพฤติ มนุษย์จึงต้อง<br />
ฝึกหัดควบคุมตนเองโดยการตั้งปณิธานที่<br />
ดี แล้วคิด พูด และปฏิบัติตามปณิธานนั้น<br />
อย่างแน่วแน่ การปฏิบัติตนตามนัยนี้ เรียกว่า<br />
การถือความสัตย์ หรือคานธีเรียกว่า สัตยา<br />
เคราะห์ โดยคานธีนำไปใช้ในการต่อต้านความ<br />
อยุติธรรมต่าง ๆ ทางสังคมและการเมืองด้วย<br />
คานธีแยกชีวิตมนุษย์ออกเป็น ๒ แบบคือ<br />
ชีวิตของพรหมจารี คือผู้ประพฤติพรหมจรรย์<br />
และชีวิตของโภคี คือผู ้ที่ยังบริโภคความสุขทาง<br />
โลกอยู่ เขาเห็นว่าทั้งพรหมจารี และโภคีต่างก็<br />
มีนัยน์ตาสำหรับดู โดยพรหมจารีนั้นดูพระเจ้า<br />
ส่วนโภคีดูแต่หนังและละคร ทั้งพรหมจารี และ<br />
โภคีต่างก็มีหูสำหรับฟัง พรหมจารีฟังเพลงสวด<br />
ถวายพระเจ้า โภคีนั้นฟังแต่เพลงโลกีย์ ทั้ง<br />
พรหมจารีและโภคีต่างก็มีการตื่น พรหมจารี<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
45
ตื่นด้วยการระลึกถึงพระเจ้า ส่วนโภคีตื่นด้วย<br />
การร้องรำทำเพลง ทั้งพรหมจารีและโภคีต่างก็<br />
รับประทานอาหาร พรหมจารีรับประทานเพียง<br />
เพื่อยังชีพ ด้วยคิดว่าร่างกายเป็น นิวาสถาน<br />
ของพระเจ้า ส่วนโภคีหาอะไรต่อมิอะไรยัด<br />
เข้าไปในท้อง เพื่อความเอร็ดอร่อยแล้วก็ทำให้<br />
ท้องส่งกลิ่นบูดเน่า<br />
คานธีเห็นว่า การดำเนินชีวิตของคนทั่วไป<br />
และชีวิตที่เรียกว่าความเจริญแบบชาวตะวันตก<br />
นั้นเป็นชีวิตอย่างโภคี เป็นชีวิตที่ไม่ประหยัด<br />
ไม่ทำให้อารมณ์สงบและบริสุทธิ์ แต่กลับทำให้<br />
ฟุ้งซ่านไปด้วยความโลภ ความโกรธ ความ<br />
หลง ชีวิตที่ดีไม่ใช่ชีวิตที่สนองอารมณ์ แต่เป็น<br />
ชีวิตที่อดกลั้นและควบคุมอารมณ์ การควบคุม<br />
อารมณ์ได้แก่การประพฤติพรหมจรรย์<br />
คานธียกย่องคนทุกคนเสมอกัน พราหมณ์<br />
หรือศูทร ชายหรือหญิงชาวต่างชาติหรือชาว<br />
อินเดีย ล้วนเป็นญาติมิตรกัน จึงไม่มีคนแปลก<br />
หน้าสำหรับคานธี ทุกคนได้รับความรักจาก<br />
เขาเสมอกัน เขาเห็นว่ามนุษย์ควรรักกัน และ<br />
ช่วยเหลือกันตามหลักสัจธรรม คนเราควรรับ<br />
ใช้ผู้อื่นอย่างเต็มที่ ถ้าไม่มีทรัพย์สินอะไร ก็ใช้<br />
กำลังกายเข้ารับใช้ และในการรับใช้นั้น ต้อง<br />
ไม่ยอมรับสิ่งตอบแทนใด ๆ การยอมรับสิ่ง<br />
ตอบแทนจะทำให้ตกเป็นเหยื่อของความโลภ<br />
ในที่สุด<br />
46<br />
การถือความสัตย์ หรือสัตยาเคราะห์ของ<br />
คานธี อยู่บนพื้นฐานจะต้องมีความอดกลั้น<br />
ควบคุมตนเองได้ แน่วแน่กล้าหาญ โดยการ<br />
ที่จะมีลักษณะดังกล่าวได้ก็ด้วยการประพฤติ<br />
พรหมจรรย์ คือเป็นผู ้บริสุทธิ์ เพราะหากไม่เป็น<br />
ผู้บริสุทธิ์ก็จะทำให้จิตใจโอนเอียงไปตามกิเลส<br />
ตัณหา หรือใช้วิธีรุนแรงต่าง ๆ อันเป็นการขัด<br />
หลักอหิงสาได้ ผู้ปฏิบัติสัตยาเคราะห์จะต้อง<br />
เชื่อมั่นในหลักการที่ว่า ที่ใดมีความสัตย์ที่นั่น<br />
ย่อมสงบ ที่ใดขาดความสัตย์ที่นั่นวุ ่นวาย ความ<br />
สัตย์เป็นสิ่งค้ำจุนโลก ไม่มีใครทำลายความ<br />
สัตย์ได้ ในการยึดมั่น แสวงหา หรือเรียกร้อง<br />
ความสัตย์ ต้องกระทำด้วยความอ่อนน้อมถ่อม<br />
ตน ไม่ใช้วิธีบังคับหรือความรุนแรง มีความรัก<br />
ไมตรีจิตและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น<br />
คานธีให้ความสำคัญกับศาสนามากที่สุด ถึง<br />
กับกล่าวว่า เขาอยู่โดยไม่มีศาสนาไม่ได้แม้แต่<br />
วินาทีเดียว แม้แต่การเมืองของคานธีก็เกิด<br />
จากศาสนา ตามทัศนะของเขา ศาสนาเป็นการ<br />
ค้นหาความจริงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เป็นพลังรวม<br />
คนเข้าด้วยกัน ส่งเสริมความร่วมใจและขจัด<br />
ความแตกแยก คานธียังเห็นว่าการทำให้มนุษย์<br />
หลุดพ้น ต้องเปลี่ยนธรรมชาติของมนุษย์ และ<br />
ปลุกตัวตนส่วนที่ดีของมนุษย์ให้ตื่นขึ้น ซึ่งการ<br />
ปฏิบัติดังกล่าวจะสำเร็จได้ด้วยความอดทน<br />
ขยัน มานะ พยายาม<br />
สำหรับการต่อสู้บนหลักอหิงสาในทัศนะ<br />
ของคานธี มีสองนัยคือ นัยลบ ได้แก่ความไม่<br />
เบียดเบียน ไม่มุ่งร้ายต่อผู้อื่น นัยบวกได้แก่<br />
ความรัก ความเมตตา และการให้อภัย ด้วย<br />
ความเชื่อว่า ศัตรูที่แท้จริงมิใช่ผู้ทำผิด ความ<br />
ชั่วซึ่งอยู่ในตัวเราทุกคนมากบ้างน้อยบ้าง ศัตรู<br />
ภายนอกนั้นฆ่าได้ง่าย แต่ศัตรูภายในเป็นศัตรู<br />
ที่ร้ายยิ่งกว่า เมื่อคนเราเห็นศัตรูว่าเป็นเหยื่อ<br />
แห่งอำนาจของความชั่ว และปฏิบัติต่อศัตรู<br />
ด้วยความรัก ความเห็นใจ ขณะเดียวกันจะ<br />
ต่อสู้กับศัตรูภายใน ได้แก่ ความอยาก ความ<br />
เกลียด อย่างกล้าหาญ เมื่อคนเราพยายามเป็น<br />
นายศัตรูภายใน จะได้พบความจริงว่า การจะ<br />
เปลี่ยนผู้อื่นนั้นต้องไม่ใช้ความรุนแรง หรือ<br />
ทำให้เจ็บปวด แต่ต้องอาศัยความสุภาพ การ<br />
ชักจูง ทนรับความเจ็บปวดอย่างร่าเริง และ<br />
เทิดทูนมติ อำนาจที่ได้จากความประพฤติ<br />
เช่นนี้ไม่เพียงเปลี่ยนคนแต่ละคนได้เท่านั้น<br />
ยังเปลี่ยนอำนาจที่มีการจัดตั้งอย่างมีระเบียบ<br />
เช่นรัฐได้ด้วย<br />
แม้คานธีจะไม่เห็นด้วยกับการดำเนินชีวิต<br />
อย่างฟุ ่มเฟือย แต่เสนอให้ทุกคนอยู ่ง่ายกินง่าย<br />
เขาไม่ได้ปฏิเสธวัฒนธรรมตะวันตก แต่ให้รับ<br />
อย่างเลือกสรรอย่างดีแล้วเท่านั้น คานธีให้<br />
ทัศนะว่า การหาประโยชน์จากแสงสว่างของ<br />
ชาวตะวันตกเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องระวังตนไม่ให้<br />
ถูกครอบงำด้วยแสงสีของตะวันตก ในการแลก<br />
เปลี่ยนทางวัฒนธรรมต้องไม่รับข้างเดียว แต่<br />
ต้องเป็นฝ่ายให้ด้วย ต้องไม่เห็นวัฒนธรรมของ<br />
ตนเองเป็นสิ่งไร้ค่า แต่ต้องทำให้วัฒนธรรมที่<br />
เป็นประโยชน์ของชาติอื่นกลมกลืนกับค่าและ<br />
คตินิยมที่เป็นหลักของตน เขาเชื่อว่านี่คือความ<br />
เติบโตของวัฒนธรรม หลักคิดของคานธีนั้นน่า<br />
สนใจมาก เขาคิดว่า คนเราไม่ควรถือว่าทุกสิ่ง<br />
ที่เก่าเป็นสิ่งที่ดี ทุกสิ่งที่เป็นของชาติตนต้อง<br />
เป็นสิ่งที่ดี และควรจะทิ้งสิ่งที่เก่าหรือเป็นของ<br />
ชาติตนโดยทันทีถ้าเป็นสิ่งที่ผิด แต่การที่คน<br />
เราพากันวิ่งไปหาของใหม่ ดูหมิ่นของเก่าโดย<br />
สิ้นเชิงก็เป็นสิ่งที่น่าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง คานธี<br />
เชื่อว่าความสามารถในการสร้างเอกภาพใน<br />
ความแตกต่างขึ้น กล่าวคือ คนที่มีวัฒนธรรม<br />
ไม่ควรวิวาทกัน เพระความคิดที่ต่างกัน แต่<br />
ควรหาความเหมือนกัน ในความแตกต่างนั้น<br />
คนเราควรสร้างเสรีภาพในตนขึ้นเสียก่อน ถ้า<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์
คนมีจิตใจเสรียอมรับความคิดของผู้อื่น เขาก็<br />
จะเป็นผู้รักเสรีภาพในทางการเมือง แต่ถ้าคน<br />
มีจิตใจเป็นเผด็จการ การเมืองก็จะเต็มไปด้วย<br />
การใช้อำนาจ<br />
สิ่งสำคัญที่จะทำให้ความแตกต่างทางความ<br />
คิดของคนเราลดลง คานธีมองว่า คือการศึกษา<br />
เขาได้ตั้งหลักการ เรียกว่า สรรโวทัย ขึ้นมา มี<br />
กรอบ ๓ ประการคือ<br />
๑. จงทำความดีแก่คนทั้งปวง<br />
๒. งานของช่างตัดผมและของทนายความ<br />
นั้นควรจะมีค่าเท่ากัน เพราะต่างก็มีสิทธิใน<br />
การประกอบอาชีพของตนเท่ากัน<br />
๓. ชีวิตของกรรมกรและชาวนา หรือชีวิต<br />
ของผู้ที่ใช้แรงงานนั้นเองเป็นชีวิตที่แท้จริง<br />
จะว่าไปแล้ว หากวิเคราะห์หลักการอหิงสา<br />
ของคานธี จะมีรากฐานคล้ายคลึงกับปรัชญา<br />
เศรษฐกิจพอเพียงอย่างมาก คานธีมีหลักคิด<br />
ทางเศรษฐกิจแบบอยู่ง่ายกินง่าย ใช้ปัญญา<br />
ให้มาก เขาไม่ต้องการให้คนแสวงหาวัตถุเกิน<br />
กว่าความจำเป็น อะไรที่ตัดได้ก็ควรตัด แม้เขา<br />
จะเห็นด้วยกับการยกระดับการครองชีพของ<br />
คนในประเทศด้อยพัฒนา แต่ถ้าการยกระดับ<br />
เช่นนั้นทำให้บางคนมีมาตรฐานการครองชีพ<br />
สูง ส่วนบางคนอดอยาก เขาเห็นว่าควรให้ทุกคน<br />
อยู่ในมาตรฐานเดียวกัน และอดอยากด้วยกัน<br />
ดีกว่า การให้คนทุกคนได้กินขนมปังคนละครึ่ง<br />
ก้อน ยังดีกว่าการที่บางคนได้กินทั้งก้อน และ<br />
บางคนไม่ได้กินอะไรเลย ดังนั้นการจะให้ทุกคน<br />
มีความเป็นอยู่ที่ดีจึงต้องไม่ถือมาตรฐานของ<br />
ประเทศที่ร่ำรวย หรือพัฒนาแล้วเป็นเกณฑ์<br />
แต่ต้องถือนโยบายอยู่ง่ายกินง่ายเหมือนกัน<br />
หมด ซึ่งชีวิตของคานธีเป็นตัวอย่างได้อย่างดี<br />
ในการเน้นเรื่องการดำเนินชีวิตแบบง่าย ๆ<br />
นี้ คานธีถือว่า ทุกคนมีความสามารถในการ<br />
ทำงาน ควรมีสิทธิในการทำงานเพื่อยังชีพ<br />
ประเทศด้อยพัฒนาซึ่งมีแรงงานมากและมี<br />
ทุนน้อยควรจะใช้แรงงานคนให้มาก การใช้<br />
เครื่องจักรเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องไม่ใช้มากจน<br />
กระทั่งแย่งงานคนทำเสียหมด เขาเห็นว่า<br />
เครื่องจักรต้องช่วยคนทำงานไม่ใช่แย่งงาน<br />
ยิ่งรัฐส่งเสริมอุตสาหกรรมขนาดใหญ่มากขึ้น<br />
เพียงใด ก็ยิ่งเป็นการทำลายงานของประชาชน<br />
มากขึ้นเพียงนั้น รัฐบาลที่ดีจะต้องมีหน้าที่<br />
สงเคราะห์ การสงเคราะห์ทำได้สองวิธีคือ หา<br />
งานให้ทำ หรือสร้างระบบประกันสังคม ขณะ<br />
เดียวกันรัฐจะต้องเข้าควบคุมไม่ให้นายทุนใช้<br />
ความร่ำรวยเพื่อประโยชน์ของตนฝ่ายเดียว<br />
โดยไม่คำนึงถึงประโยชน์ของสังคมส่วนรวม<br />
แต่ในทางตรงข้าม ผู้ใช้แรงงานก็ต้องคำนึงถึง<br />
สิทธิ และหน้าที่ของตน กล่าวคือ ต้องถือว่า<br />
ค่าจ้างจะเพิ่มขึ้นก็เมื่อผลผลิตเพิ่มขึ้น คนทุก<br />
คนควรถือว่าเมื่อไม่ทำงานก็ไม่สมควรรับค่า<br />
ตอบแทน คานธีเห็นว่าการเพิ่มค่าแรงโดยไม่<br />
เพิ่มผลผลิตยังทำให้เกิดปัญหาแก่สังคม ทำให้<br />
สินค้าราคาแพงขึ้น<br />
เห็นได้ว่า การนำคตินิยมแบบคานธีมาใช้<br />
ล้วนเป็นการดำเนินชีวิตตามแนวคิดที่พยายาม<br />
สร้างความสมดุลอย่างกลมกลืน บนพื้นฐาน<br />
ของการเป็นมนุษย์ที่มีคุณธรรม ไม่เบียดเบียน<br />
ทั้งตนเอง เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ เบียดเบียน<br />
สังคม อันจะทำให้คนทุกคนอยู่ร่วมกันอย่าง<br />
สันติ เป็นอหิงสาที่ยากจะหาได้ในปฏิบัติการ<br />
ชุมนุมของเมืองไทย<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
47
สงคราม พม่า-อังกฤษ<br />
ครั้งที่ ๓<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์<br />
48<br />
พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ
พระเจ้ามินดง (Mindon Min) ทรงพยายามดำเนินนโยบายด้านต่างประเทศแบบ<br />
ประนีประนอม แต่จากการสูญเสียพม่าตอนล่างก่อนที่พระองค์จะขึ้นครองราชย์<br />
อาณาจักรพม่าก็มีขนาดเล็กลงต้องสูญเสียรายได้จากการเก็บภาษีที่เมืองท่าทาง<br />
ตอนใต้ของอาณาจักร พระองค์อยู ่ในราชสมบัตินาน ๒๕ ปี ดำเนินนโยบายในการ<br />
ปกครองอาณาจักรได้เป็นอย่างดี แต่ความก้าวหน้าทางด้านอุตสาหกรรมและ<br />
การขยายตัวทางด้านการค้าระหว่างประเทศทำให้อังกฤษมีอำนาจทางทหารมาก<br />
เมื่อพระองค์สวรรคตลงภาระทั้งหมดก็ตกเป็นของทายาทของพระองค์ ที่ขณะนั้น<br />
ยังทรงพระเยาว์คือ พระเจ้าธีบอ (Thibaw Min)...............บทความนี้ กล่าวถึง<br />
สงคราม พม่า - อังกฤษ ครั้งที่ ๓ พ.ศ. ๒๔๒๘<br />
พระเจ้ามินดง (Mindon Min) เป็น<br />
พระราชบิดาของพระเจ้าธีบอ กษัตริย์พม่า<br />
ที่ทรงปฏิรูปอาณาจักรพม่าให้มีความทันสมัย<br />
พระราชินีคือพระนางศุภยาลัต (Supayalat)<br />
ทรงมีบทบาทต่อการตัดสินพระทัยของพระเจ้า<br />
ธีบอในเหตุการณ์สำคัญ ๆ<br />
๒. สาเหตุของสงคราม พม่า - อังกฤษ<br />
พระเจ้าธีบอ (Thibaw Min) ทรงพยายาม<br />
ที่จะดำเนินนโยบายต่างประเทศให้ฝรั่งเศส<br />
เข้ามาถ่วงดุลอำนาจกับอังกฤษ พร้อมทั้งให้<br />
๓. สงคราม พม่า - อังกฤษ<br />
สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ พม่าได้มีความ<br />
ขัดแย้งกับบริษัทบอมเบย์เบอร์มาเทรดดิ่ง<br />
(Bombay Burmah Trading) ของอังกฤษ<br />
ว่าผิดสัญญาสัมปทานการค้าไม้สักทางภาค<br />
เหนือโดยชักลากไม้ที่ยังไม่ได้ชำระภาษี ศาล<br />
พม่าตัดสินให้ชำระภาษีพร้อมค่าปรับเป็น<br />
เงิน ๒,๓๐๐,๐๐๐ รูปี บริษัทของอังกฤษไม่<br />
ยอมเป็นผลให้พม่าเข้ายึดไม้สัก ซึ่งทางบริษัท<br />
อังกฤษได้เรียกร้องให้รัฐบาลอังกฤษเข้าช่วย<br />
๑. สถานการณ์ทั่วไป<br />
พระเจ้าธีบอ (Thibaw Min) ครองราชย์เมื่อ<br />
วันที่ ๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๑ กษัตริย์ลำดับที่<br />
๑๑ ราชวงศ์อลองพญา มีพระชนมายุได้ ๑๙<br />
พรรษา พระองค์ทรงขึ้นครองราชสมบัติใน<br />
สถานการณ์ทั้งภายในอาณาจักรที่มีความขัด<br />
แย้งในราชวงศ์ที่ได้ก่อตัวมาเป็นเวลานาน จาก<br />
ห้วงระยะเวลาที่ผ่านมา ๗๗ ปี พม่าได้มีการ<br />
เปลี่ยนแผ่นดินหลายครั้ง มีความวุ ่นวายเกิดขึ้น<br />
ติดตามมามีการสูญเสียข้าราชการและราชวงศ์<br />
เป็นจำนวนมาก เป็นผลให้อาณาจักรอ่อนกำลัง<br />
ลง และจากภายนอกอาณาจักรที่มีมหาอำนาจ<br />
จากยุโรปคืออังกฤษที่ได้เข้าครอบครองอินเดีย<br />
ได้ขยายดินแดนมาสู่ทางด้านตะวันออกคือ<br />
อาณาจักรพม่า มีความลำบากในการดำเนิน<br />
นโยบายทางด้านต่างประเทศที่ซับซ้อนพร้อม<br />
ทั้งการค้าขายระหว่างประเทศ และพระองค์<br />
ทรงขาดประสบการณ์ในการบริหารประเทศ<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
พระเจ้าธิบอ (Thibaw Min) กษัตริย์พม่า<br />
แห่งราชวงศ์อลองพญา ครองราชย์เมื่อวันที่<br />
๑ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๑<br />
ฝรั่งเศสดำเนินการด้านกิจการไปรษณีย์ในพม่า<br />
และให้ฝรั่งเศสสร้างทางรถไฟบางสายทางตอน<br />
เหนือได้สร้างความไม่พอใจกับอังกฤษเป็น<br />
อย่างมาก ประกอบกับอังกฤษมีความขัดแย้ง<br />
กับฝรั่งเศสซึ่งเป็นมหาอำนาจทางทหารแห่ง<br />
ยุโรปในหลายพื้นที่<br />
พลตรี เซอร์ แฮร์รี่ เพรนเดอร์กาสท์ (Maj<br />
Gen Sir Harry Prendergast) อายุ ๕๑ ปี<br />
แม่ทัพใหญ่อังกฤษสงคราม พม่า - อังกฤษ<br />
ครั้งที่ ๓<br />
49
50<br />
พันเอก พลเอก ศนิโรจน์ ทรงพล ไพนุพงศ์ ธรรมยศ
เหลือ อังกฤษจึงขอให้พม่าพิจารณาคดีใหม่แต่<br />
ทางพม่าได้ปฏิเสธ เมื่อพม่าปฏิเสธอังกฤษก็ได้<br />
ยื่นคำขาดในวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๒๘ ว่า<br />
อังกฤษจะเข้าดำเนินการเรื่องบริษัทอังกฤษเอง<br />
ห้ามพม่าเกี่ยวข้อง ถ้าหากพม่าจะทำสัญญา<br />
ไมตรีกับต่างอาณาจักรใด อังกฤษจะต้องมี<br />
ส่วนเกี่ยวข้องด้วย เมื่อพม่าได้รับคำขาดจาก<br />
อังกฤษก็ได้ประชุมหารือ ในที่สุดพม่าก็ได้<br />
ปฏิเสธอังกฤษ ประกอบกับอังกฤษไม่มีภารกิจ<br />
สงครามใหญ่ในดินแดนส่วนอื่น (อังกฤษได้<br />
ทำการรบในอัฟกานิสถานครั้งที่ ๑ พ.ศ. ๒๓๘๒<br />
- ๒๓๘๕ และสงครามในอัฟกานิสถานครั้งที่<br />
๒ พ.ศ. ๒๔๒๑ - ๒๔๒๓ กำลังทหารอังกฤษ<br />
และทหารอินเดีย (ชีปอย) รวม ๔๐,๐๐๐ คน<br />
กองทัพอังกฤษได้รับชัยชนะ แต่สูญเสียทหาร<br />
จากการรบ ๑,๘๕๐ คน และได้รับบาดเจ็บ<br />
๘,๐๐๐ คน) จึงมีขีดความสามารถทางทหาร<br />
พร้อมรบมากที่สุด ดังนั้นสงครามครั้งใหม่จึง<br />
เกิดจากความขัดแย้งที่ได้ก่อตัวมานาน<br />
กองทัพอังกฤษมีแม่ทัพใหญ่คือพลตรี เซอร์<br />
แฮร์รี่ เพรนเดอร์กาสท์ (Maj Gen Sir Harry<br />
Prendergast) อายุ ๕๑ ปี(เกิดที่เมืองมัดราส<br />
อาณาจักรอินเดียอาณานิคมของอังกฤษ เมื่อ<br />
วันที่ ๑๕ ตุลาคม พ.ศ. ๒๓๗๗ รับราชการปี<br />
พ.ศ. ๒๓๘๘ เหล่าทหารช่าง) พร้อมด้วยกำลัง<br />
ทหาร ๙,๐๓๔ คน แยกเป็น ทหารอังกฤษ<br />
๓,๐๒๙ คน และทหารอินเดีย (ชีปอย) ๖,๐๐๕<br />
คน อาวุธประจำหน่วยคือปืนใหญ่สนาม ๖๗<br />
กระบอก และปืนกล ๒๔ กระบอก พร้อมด้วย<br />
เรือรบกว่า ๕๕ ลำ ส่งกองทัพจากเมืองย่างกุ้ง<br />
เขตยึดครองของอังกฤษ (เรียกว่าพม่าตอนล่าง)<br />
เข้าสู่เขตแดนของพม่าเดินทางโดยทางเรือล่อง<br />
ขึ้นไปตามแม่น้ำอิระวดี<br />
กองทัพอังกฤษมาตั้งกองทัพเพื่อรวมพลที่<br />
เมืองตเยเมียว (Thayetmyo) เป็นเมืองปลาย<br />
แนวชายแดนที่ติดต่อกับอาณาจักรพม่า ได้<br />
เคลื่อนกองทัพเมื่อวันที่ ๑๗ พฤศจิกายน พ.ศ.<br />
๒๔๒๘ พม่าทำการตั้งรับตามแนวทางเคลื่อนที่<br />
หลักของกองเรืออังกฤษแต่ก็พ่ายแพ้ทั้งหมด<br />
แต่การเคลื่อนที่ของกองเรืออังกฤษตามแนว<br />
แม่น้ำอิระวดี (แม่น้ำอิระวดี ไหลผ่านกลาง<br />
อาณาจักรพม่า มีความยาว ๒,๑๗๐ กิโลเมตร)<br />
ก็ล่าช้าเพราะว่าแม่น้ำไหลเชี่ยวมาก เป็นผลให้<br />
การลำเลียงกำลังพลของอังกฤษล่าช้า แต่ก็ยัง<br />
คงรุกเคลื่อนที่เข้าสู่ศูนย์อำนาจของอาณาจักร<br />
พม่า กองทัพพม่าได้ทำการตั้งรับหลักที่เมือง<br />
พุกามด้วยกองทัพขนาดใหญ่ตามหลักพิชัย<br />
สงคราม แต่ก็ต้องพ่ายแพ้ต่อเทคโนโลยีที่<br />
ก้าวหน้าที่สุดของโลกของกองทัพอังกฤษใน<br />
ยุคนั้นคือปืนใหญ่สนาม<br />
กองทัพอังกฤษยึดได้ครองกรุงมัณฑะเลย์<br />
ในวันที่ ๒๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๒๘ พระ<br />
เจ้าธีบอ (Thibaw Min) จึงยอมแพ้ เป็นผลให้<br />
อาณาจักรพม่าต้องแพ้สงคราม พม่า - อังกฤษ<br />
ครั้งที่ ๓ พร้อมทั้งสิ้นสุดราชวงศ์อลองพญา<br />
หรือราชวงศ์คองบอง (Konbaung)<br />
๔. บทสรุป<br />
พระเจ้าธีบอ (Thibaw Min) แห่งราชวงศ์<br />
อลองพญา ทรงพยายามที่จะรักษาอาณาจักร<br />
พม่าตอนบนโดยการให้ฝรั่งเศสเข้ามามีบทบาท<br />
ภายในอาณาจักรมากขึ้น แต่ในที่สุดก็เกิด<br />
ความขัดแย้งกับอังกฤษอย่างรุนแรงซึ่งนำมา<br />
สู่สงครามครั้งที่สามหรือสงครามครั้งสุดท้าย<br />
ของสองอาณาจักร ความก้าวหน้าทางด้าน<br />
เทคโนโลยีด้านอาวุธของอังกฤษนำมาสู ่ชัยชนะ<br />
ที่รวดเร็ว ในที่สุดอาณาจักรพม่ายุคที่สามแห่ง<br />
กรุงอังวะที่ยิ่งใหญ่ในอดีตก็เป็นฝ่ายพ่ายแพ้<br />
สงครามสมัยใหม่<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
51
“ When You and Your Friend<br />
Disagree Politically ”<br />
พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ<br />
ค<br />
งไม่ต้องเท้าความไปมากกว่านี้ว่า<br />
สถานการณ์ทางการเมืองของ<br />
ประเทศไทยในขณะนี้เป็นอย่างไร<br />
รู้แต่เพียงว่า ในฐานะที่เป็นข้าราชการทหาร<br />
เราจะต้องอยู่ในระเบียบวินัยอย่างเคร่งครัด<br />
ควรวางตัวเป็นกลาง ไม่วิพากษ์วิจารณ์ หรือ<br />
เข้าไปร่วมชุมนุมทางการเมืองใด ๆ หรือการ<br />
กระทำใด ๆ ที่อาจจะทำให้เกิดความเข้าใจผิด<br />
และทำให้เกิดความเสียหายแก่กองทัพ หรือ<br />
ต่อสถาบันทหารในภาพรวมได้<br />
อย่างไรก็ตาม การถกเถียงกันในกลุ่มเพื่อน<br />
ฝูง ญาติพี่น้อง หรือสมาชิกในครอบครัวอาจจะ<br />
เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะการเมือง<br />
ในปัจจุบัน มีหลายคนที่จริงจังกับการเมือง<br />
มากๆ ถึงกับตัดสัมพันธ์ความเป็นเพื่อนที่ดีต่อ<br />
กันเป็นเวลานานเพราะความคิดเห็นทางการ<br />
เมืองต่างกัน ดังนั้น เราควรทำอย่างไร หาก เรา<br />
และเพื่อนมีความคิดเห็นทางการเมืองที่ต่าง<br />
กัน (When you and your friend disagree<br />
politically) ทิปต่อไปนี้จะช่วยทำให้เราใจเย็น<br />
มากขึ้นอย่างจะคุยกันในเรื่องการเมือง<br />
1. Without Trying to Change<br />
Your Friend's Mind.<br />
(อย่าพยายามเปลี่ยน<br />
ความคิดเห็นของเพื่อน)<br />
Let them be who they want to be.<br />
Don't try to change them or what they<br />
52<br />
believe. Understand that everyone has<br />
an opinion based on the unique things<br />
that have gone on in their life. Change<br />
your focus from "Why doesn't my friend<br />
vote like I do" to "I want to understand<br />
my friend's views about politics and<br />
life." Just try and understand, even if<br />
you don't agree. (ปล่อยให้เขาเป็นคนที่เขา<br />
ต้องการจะเป็น อย่าพยายามเปลี่ยนแปลงเขา<br />
และสิ่งที่เขาเชื่อ ขอให้เข้าใจว่า ทุกคนมีความ<br />
คิดที่เป็นอัตลักษณ์ที่จากพื้นฐานของวิถีชีวิต<br />
แต่ละคน คุณควรเปลี่ยนแนวคิดของคุณจาก<br />
ที่ “ทำไมเพื่อนฉันไม่เลือกเหมือนฉัน” เป็น<br />
“ฉันต้องการเข้าใจความคิดเห็นของเพื่อนฉัน<br />
เกี่ยวกับทางการเมืองและชีวิตเขาให้ได้ เพียง<br />
แค่พยายามเข้าใจเขา ทั้ง ๆ ที่คุณไม่เห็นด้วย<br />
ก็ตาม)<br />
2. Get the Facts (หาข้อเท็จจริง)<br />
One of the most frustrating things<br />
about discussing politics is that people<br />
on both sides of any issue very rarely<br />
get all the facts straight. When you're<br />
having a discussion with a friend, focus<br />
on the factual statements you know<br />
to be true, and if your friend gets<br />
them wrong, give them the correct<br />
information calmly. If they argue, let<br />
it go. At least you know what the real<br />
issue is. (สิ่งหนึ่งที่เป็นเรื่องอึดอัดใจมากที่สุด<br />
คือ การที่ทั้งสองฝ่าย ถกเถียงทางการเมือง<br />
ทั้ง ๆ ที่ไม่มีข้อมูลที่เป็นข้อเท็จจริง ดังนั้นเมื่อ<br />
คุณต้องคุยกับเพื่อน ควรเน้นไปที่ข้อเท็จจริงที่<br />
คุณรู้จริง และ หากเพื่อนคุณเข้าใจผิด คุณควร<br />
ค่อย ๆ อธิบายข้อมูลที่ถูกต้องให้เพื่อนฟังเสีย<br />
ก่อน ถ้าเขาเถียง ก็ปล่อยให้เถียงไป อย่างน้อย<br />
คุณก็รู้ว่า เรื่องจริงเป็นอย่างไร)<br />
3. Don't Assume Things<br />
About Your Friend<br />
(อย่าคาดเดาเรื่องต่าง ๆ<br />
เกี่ยวกับเพื่อนของคุณ)<br />
Rather than assume that your<br />
friend shares your views, go into new<br />
discussions with the objective of finding<br />
out what your friend thinks. This is a<br />
switch in intellectual view, and will<br />
actually enhance the conversations you<br />
have. Pretend you know nothing about<br />
your pal and listen closely to what they<br />
say when you ask them about a hotbutton<br />
issue. One thing that tends to<br />
happen with arguments is that someone<br />
starts to talk about their views, but the<br />
person listening instantly gets upset<br />
because their views are different. (แทนที่<br />
จะคาดเดาว่า เพื่อนของคุณคิดอย่างไร คุณ<br />
ควรใช้ช่วงจังหวะนี้เปลี่ยนประเด็นใหม่และ<br />
พยายามคุยกันให้มากขึ้น คุณควรจะแกล้ง<br />
ทำเป็นไม่รู้เรื่อง แต่ควรตั้งใจฟังอย่างใกล้ชิด<br />
เพื่อให้รู้ว่าเขาพูดอะไรกันบ้างในประเด็นที่<br />
สำคัญ ๆ ประการหนึ่งที่มีแนวโน้มจะให้เกิด<br />
การโต้เถียงหรือการที่บางคนเริ่มคุยแต่แนว<br />
ความคิดของตัวเองและคนที่ฟังด้วยไม่พอใจ<br />
เพราะอีกคนมีความคิดที่แตกต่างกัน)<br />
พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ
4. Avoid the Subject<br />
(หลีกเลี่ยงประเด็นความขัดแย้ง)<br />
Put your focus on the good of your<br />
relationship. If the majority of things<br />
about your friendship are positive, work<br />
with those instead of trying to come<br />
to an agreement politically. (พยายาม<br />
ให้ความสำคัญต่อสิ่งที่ดีในสัมพันธภาพของ<br />
คุณ หากโดยทั่วไป เรื่องที่คุยกันเป็นการเสริม<br />
สร้างสัมพันธภาพในทางบวกแล้ว ก็ควรจะคุย<br />
เรื่องนี้เพื่อมิให้มีการถกเถียงทางการเมืองอีก)<br />
5. Agree to Disagree<br />
(เห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย)<br />
This is different than avoiding the<br />
topic altogether, however, it takes a<br />
special pair of friends to just "agree to<br />
disagree" without arguing. What this<br />
means is that you can still voice your<br />
opinions once in awhile, but you won't<br />
have a lengthy discussion about it.<br />
You'll both have patience for listening<br />
to each other vent if need be, but when<br />
things get too heated you'll know to<br />
back off and change the subject. (เรื่องนี้<br />
แตกต่างจากเรื่อง การหลีกเลี่ยงประเด็นความ<br />
ขัดแย้ง อย่างไรก็ตาม เราอาจจะพบว่า มีเพื่อน<br />
บ้างคู่ที่ อาจจะเห็นด้วย หรือไม่เห็นด้วย แต่<br />
ไม่ได้เถียงกัน นั้นก็หมายว่าคุณยังสามารถที่<br />
จะแสดงความคิดเห็นได้ไปสักระยะหนึ่ง แต่ก็<br />
ไม่ควรมีการถกเถียงกันนาน และทั้งคู่จะต้อง<br />
อดทนฟังซึ่งกันและกัน แต่ถ้าหากสิ่งนั้นเป็น<br />
เหตุให้เกิดอารมณ์คุกรุ่นขึ้น ก็ควรที่จะถอย<br />
ออกมา หรือเปลี่ยนประเด็นเสีย)<br />
มาอ่านประโยคภาษาอังกฤษที่แสดง<br />
ความคิดเห็นต่าง ดังนี้<br />
You have your point of view, and I<br />
have mine. คุณมีความคิดเห็นของคุณ และ<br />
ฉันก็มีความคิดเห็นของฉัน<br />
I won’t argue with you because you<br />
are unfair.<br />
ผมไม่เถียงกับคุณแล้วเพราะคุณไม่ยุติธรรม<br />
That’s a liberal point of view.<br />
นั่นเป็นความคิดเห็นทางเสรี<br />
He seems to have a lot of strange<br />
ideas.<br />
เขาดูเหมือนจะมีแนวคิดที่แปลก ๆ หลาย<br />
เรื่อง<br />
Our views are not so far apart.<br />
ความเห็นของเราไม่แตกต่างกันเท่าไหร่<br />
คำศัพท์ภาษาอังกฤษทางการเมืองที่<br />
น่าสนใจ<br />
1. Department of Special Investigation's<br />
(DSI)<br />
กรมสอบสวนคดีพิเศษ<br />
2. Centre for Maintaining Peace<br />
and Order (CMPO)<br />
ศูนย์รักษาความสงบ<br />
3. People's Democratic Reform<br />
Committee (PDRC)<br />
คณะกรรมการประชาชนเพื่อการ<br />
เปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตย<br />
ที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข<br />
4. Caretaker government<br />
รัฐบาลรักษาการ<br />
5. Emergency decree<br />
พระราชกำหนดการบริหารราชการใน<br />
สถานการณ์ฉุกเฉิน<br />
6. Region 1 Border Patrol Police<br />
Headquarters<br />
กองบังคับการตำรวจตระเวนชายแดน<br />
ภาค ๑<br />
7. A n t i - M o n e y L a u n d e r i n g<br />
Organisation (Amlo)<br />
สำนักงานป้องกันและปราบปรามการ<br />
ฟอกเงิน<br />
8. Office of the Narcotics Control<br />
Board (ONCB)<br />
สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและ<br />
ปราบปรามยาเสพติด<br />
9. Interior Ministry<br />
กระทรวงมหาดไทย<br />
10. Immigration Police Division 1<br />
กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง ๑<br />
11. Internal Security Act<br />
พระราชบัญญัติความมั่นคงในราช<br />
อาณาจักร<br />
12. Office of Aeronautical Radio of<br />
Thailand<br />
สำนักงานวิทยุการบินแห่งประเทศไทย<br />
13. PDRC secretary-general<br />
เลขาธิการ กปปส.<br />
14. Mass rally<br />
การชุมนุมมวลชน<br />
15. Ministry of Commerce<br />
กระทรวงพาณิชย์<br />
16. Thai Farmers Association<br />
สมาคมชาวนาไทย<br />
17. An open letter<br />
จดหมายเปิดผนึก<br />
18. Neutral people<br />
ประชาชนผู้เป็นกลาง<br />
19. Democratic system<br />
ระบบประชาธิปไตย<br />
20. Thailand's political system<br />
ระบบการเมืองประเทศไทย<br />
21. Rice mortgage scheme<br />
โครงการรับจำนำข้าว<br />
22. Solar rooftops project<br />
โครงการผลิตไฟฟ้าพลังงานแสง<br />
อาทิตย์ที่ติดตั้งบนหลังคา<br />
23. National Security Council<br />
สภาความมั่นคงแห่งชาติ<br />
24. Feed pipeline<br />
ท่อน้ำเลี้ยง<br />
25. Arrest warrant<br />
หมายจับ<br />
26. Justice Ministry<br />
กระทรวงยุติธรรม<br />
27. Office of the Permanent<br />
Secretary for Defence<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
28. Permanent Secretary for<br />
Defence<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
29. Legal concerns<br />
เรื่องที่เกี่ยวข้องทางกฎหมาย<br />
30. Power decentralisation<br />
การกระจายอำนาจ<br />
31. Allegations<br />
ข้อกล่าวหา<br />
32. State installations<br />
สถานที่ตั้งของราชการ<br />
33. Negotiations<br />
การเจรจา<br />
34. Monopolizing<br />
การถือเอกสิทธิ์<br />
35. Security guard<br />
เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย<br />
36. Opponents<br />
ฝ่ายตรงข้าม<br />
37. Public Health Ministry<br />
กระทรวงสาธารณสุข<br />
38. Deportation procedures<br />
กระบวนการเนรเทศออกจากประเทศ<br />
39. Civil Aviation Department<br />
กรมการบินพลเรือน<br />
40. National Human Rights Commissioner<br />
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ<br />
“Give Respect, Earn Respect”<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
53
สาระน่ารู้ทางการแพทย์<br />
“ผู้ใหญ่วัย ๔๐+...<br />
จำเป็นต้องฉีดวัคซีนด้วยหรือ? ”<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ก<br />
ระทรวงสาธารณสุขได้มีการบรรจุ<br />
วัคซีนพื้นฐาน หรือวัคซีนภาคบังคับ<br />
ไว้ในแผนสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรค<br />
ของประเทศมานานหลายสิบปีแล้ว และค่อย ๆ<br />
เพิ่มชนิดวัคซีนที่ค้นพบใหม่เข้าไปเรื่อย ๆ<br />
จนครอบคลุมโรคที่สำคัญ ๆ เกือบทุกโรคใน<br />
ปัจจุบัน ทำให้ปัจจุบันเด็กไทยแทบทุกคนล้วน<br />
ได้รับวัคซีนกันถ้วนหน้า ส่งผลให้โรคติดต่อ<br />
ร้ายแรงต่าง ๆ ลดลงอย่างมาก อย่างไรก็ตาม<br />
หลังจากที่มีการให้วัคซีนกับเด็กไปนานหลาย<br />
สิบปี กระทั่งเด็กเหล่านี้เริ่มเติบโตเป็นผู้ใหญ่<br />
ภูมิคุ้มกันโรคที่เกิดจากการฉีดวัคซีนเหล่านั้น<br />
บางชนิดก็ยังคงมีระดับสูง เพียงพอในการ<br />
ป้องกันโรค แต่บางชนิดก็มีระดับภูมิคุ้มกัน<br />
ลดลงจนไม่เพียงพอสำหรับการป้องกันโรคแล้ว<br />
จึงต้องมีการให้วัคซีนกระตุ้นซ้ำอีก การละเลย<br />
การให้วัคซีนในผู้ใหญ่ ทำให้เกิดการติดเชื้อใน<br />
ผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ ด้วยโรคที่ป้องกันได้กลับ<br />
เพิ่มมากขึ้น นำไปสู่การเสียชีวิตโดยไม่จำเป็น<br />
อย่างน่าเสียดาย<br />
การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องที่ต้องติดตามดูตลอด<br />
ชีวิต และเพราะคนเรามีความเสี่ยงต่อสุขภาพ<br />
ไม่เหมือนกัน จึงจำเป็นต้องมีแผนวัคซีนตลอดชีพ<br />
เฉพาะตัวของแต่ละคน (Personalized<br />
Lifelong Vaccination Plan) ซึ่งแผนนี้ต้อง<br />
จัดทำขึ้นโดยแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจเรื่อง<br />
วัคซีนเป็นอย่างดี โดยวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ<br />
เกี่ยวกับความต้องการวัคซีนที่แตกต่างกัน ที่<br />
ระบุเป็นปฏิทินไปอีกหลายปีในอนาคต ว่าเมื่อ<br />
ไหร่ต้องฉีดวัคซีนอะไร ทั้งนี้เพื่อเป็นแผนการ<br />
สร้างภูมิคุ้มกันโรคของท่านเองอย่างต่อเนื่อง<br />
54<br />
วัคซีนคืออะไร<br />
วัคซีน คือตัวอย่างเชื้อของโรคที่ใช้ใส่เข้าไป<br />
ในร่างกายของคนเราเพื่อกระตุ้นให้ร่างกาย<br />
สร้างภูมิคุ้มกันโรคนั้นขึ้นมา ส่วนใหญ่เป็นการ<br />
สร้างภูมิคุ้มกันที่ถาวรตลอดชีวิต วัคซีนอาจ<br />
จะเป็นโมเลกุลจำลองที่หน้าตาเหมือนเชื้อโรค<br />
หรืออาจจะเป็นตัวเชื้อโรคจริง ๆ ที่ทำให้ตาย<br />
หรือทำให้อ่อนแรงลงไปแล้วก็ได้<br />
ผลดีของวัคซีน<br />
ผลดีของวัคซีน คือเป็นวิธีป้องกันโรคที่ดี<br />
ที่สุด การลงทุนฉีดวัคซีน ถือว่าเป็นการลงทุน<br />
ทางด้านสุขภาพที่คุ้มค่าที่สุดรองลงมาจาก<br />
การลงทุนให้มีน้ำสะอาดไว้ดื่ม โรคที่ป้องกัน<br />
ได้ด้วยวัคซีน ส่วนใหญ่เป็นโรคที่เป็นแล้วมี<br />
ความรุนแรง เมื่อเป็นแล้วมักรักษายาก เช่น<br />
โรคบาดทะยักในผู้สูงอายุ บางโรคทำให้เสีย<br />
ชีวิตเป็นจำนวนมาก เช่นโรคไข้หวัดใหญ่และ<br />
ปอดบวมในผู้สูงอายุหรือผู้มีโรคเรื้อรังอยู่ก่อน<br />
บางโรคหากเป็นแล้วอาจกลายเป็นโรคเรื้อรัง<br />
หรือจบลงด้วยการเป็นมะเร็ง เช่นโรคไวรัสตับ<br />
อักเสบบี, โรคติดเชื้อไวรัสเอ็ชพีวี ฯลฯ เป็นต้น<br />
การแพ้วัคซีน ความกลัวที่เกินจริง<br />
ผลเสียของวัคซีนมีน้อยกว่าผลดีของมัน<br />
อย่างเทียบกันไม่ได้ คนทั่วไปถูกทำให้กลัว<br />
วัคซีนด้วยเข้าใจว่าอาจเกิดอาการแพ้แบบ<br />
รุนแรง ทั้ง ๆ ที่ในความเป็นจริงการแพ้วัคซีน<br />
แบบรุนแรง (Anaphylaxis) มีอัตราเกิดทั่วโลก<br />
ในระดับต่ำมาก ๆ<br />
การศึกษาการฉีดวัคซีนที่ทำไปแล้ว<br />
๗,๖๔๔,๐๔๙ ครั้ง พบว่ามีแพ้รุนแรงเพียง ๒<br />
ครั้ง นั่นหมายความว่ามีอุบัติการเกิดต่ำกว่า<br />
หนึ่งในล้าน คือต่ำเพียง ๐.๒๖ ในล้านเท่านั้น<br />
เอง ความกลัวแพ้วัคซีนจึงเป็นความกลัว ที่เกิน<br />
จริง อีกทั้งปัจจุบันนี้การรักษาการแพ้รุนแรง<br />
ในสถานพยาบาลมีความสำเร็จอย่างสูง ส่วน<br />
ฤทธิ์ข้างเคียงเช่นฉีดแล้วอาจมีไข้ต่ำ ๆ หรือ<br />
ปวดเมื่อยไม่สบายนั้น เกิดขึ้นได้กับวัคซีนบาง<br />
ชนิดแต่ถือว่าเป็นฤทธิ์ข้างเคียงที่ไม่มีอันตราย<br />
ส่วนกรณีที่มีการฟ้องร้องกันในต่างประเทศ<br />
โดยกล่าวอ้างว่าเด็กฉีดวัคซีนแล้ว ทำให้เป็น<br />
โรคสมาธิสั้นนั้น ไม่เป็นความจริง เพราะการ<br />
ทบทวนหลักฐานวิทยาศาสตร์โดยสถาบันที่<br />
เชื่อถือได้สรุปได้ว่าไม่มีวัคซีนตัวใดสัมพันธ์กับ<br />
การทำให้เป็นโรคสมาธิสั้นเลย<br />
ทำไมเป็นผู้ใหญ่วัย ๔๐+ แล้วต้องมา<br />
ฉีดวัคซีน?<br />
คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าวัคซีนมีไว้สำหรับ<br />
เด็กเท่านั้น ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด ความเข้าใจ<br />
ดังกล่าว ทำให้โรคบางโรคซึ่งไม่เป็นกับเด็กแล้ว<br />
เพราะมีวัคซีนคุ้มกัน แต่ไปเป็นกับผู้ใหญ่และ<br />
ผู้สูงอายุแทน ตัวอย่างเช่นเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๔<br />
ศูนย์ควบคุมโรคอเมริกันรายงานผู้ป่วยเป็น<br />
บาดทะยัก ๑๓๐ ราย ในจำนวนนี้ ๙๐.๗%<br />
เป็นผู้ใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้สูงอายุ ผู้ป่วย<br />
๑๘% เสียชีวิต ซึ่งในบรรดาผู้เสียชีวิตนี้<br />
ทั้งหมดเป็นผู้ใหญ่ และ ๗๕% เป็นผู้มีอายุ<br />
มากกว่า ๖๐ ปี ความสูญเสียดังกล่าวนี้เข้าใจ<br />
ได้ไม่ยาก เพราะขณะที่ ๙๕% ของเด็กได้รับ<br />
วัคซีนบาดทะยักครบ แต่ผู้ใหญ่อายุเกิน ๖๐<br />
ปีที่ได้รับการฉีดกระตุ้นวัคซีนบาดทะยักทุก<br />
๑๐ ปีมีเพียง ๔๐% เท่านั้นเอง อีกตัวอย่าง<br />
หนึ่งคือโรคหัดซึ่งเป็นโรคที่มีกระจายอยู่ทั่ว<br />
โลก เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๙ ชาวอเมริกันคนหนึ่ง<br />
ซึ่งไม่เคยฉีดวัคซีนคางทูม-หัด-หัดเยอรมัน<br />
(MMR) ไปติดหัดมาจากโรมาเนีย เมื่อกลับบ้าน<br />
แล้วเขาเอาโรคหัด มาปล่อยให้เพื่อนบ้าน<br />
ป่วยอีก ๓๔ คน ทุกคนที่ป่วยล้วนไม่เคยฉีด<br />
วัคซีน MMR มาก่อน โชคดีที่เมืองที่เขาอยู่<br />
คนส่วนใหญ่ได้รับการฉีดวัคซีนวัคซีน MMR<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
กันค่อนข้างครบถ้วน โรคจึงสงบอย่างรวดเร็ว<br />
โรคที่แย่ยิ่งกว่าหัด ซึ่ง MMR ช่วยป้องกันได้<br />
คือหัดเยอรมัน ซึ่งทำให้ทารกในครรภ์พิการ<br />
รุนแรงได้ ทุกวันนี้ยังมีอยู่บ่อย ๆ ที่แพทย์<br />
จำเป็นต้องทำแท้งให้สตรีมีครรภ์ที่ป่วยเป็น<br />
หัดเยอรมันระหว่างตั้งครรภ์ ในจำนวนนี้ ส่วน<br />
หนึ่งโรคผ่านมาทางสามี ซึ่งไม่เคยฉีดวัคซีน<br />
MMR เช่นกัน น่าเสียดายที่เมืองไทยไม่มีสถิติ<br />
ที่เชื่อถือได้เกี่ยวกับไข้หวัดใหญ่ในฤดูหนาว<br />
ปีที่ผ่านมามีผู้ป่วยที่พิสูจน์ทางห้องปฏิบัติ<br />
การ ได้ว่ามีผู้ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่ในสหรัฐ<br />
๓๙,๘๒๗ คน ในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งมีปอดบวม<br />
แทรกและเสียชีวิต ทำให้โรคไข้หวัดใหญ่<br />
บวกปอดบวมแทรกติดอันดับสาเหตุการตาย<br />
สิบอันดับแรกของคนอเมริกันมาหลายปี ผู้เสีย<br />
ชีวิตส่วนใหญ่เป็นผู้สูงอายุ และทั้งสองโรคนี้<br />
ป้องกันได้ด้วยวัคซีน<br />
ไวรัสตับอักเสบบี เป็นอีกโรคหนึ่งที่ยังคง<br />
อาละวาดก่อความเสียหายสุดคณาให้กับคน<br />
ไทย สถิติปี ๒๕๕๐ ซึ่งใหม่ล่าสุดรายงานว่า<br />
มะเร็งเป็นสาเหตุการตายสูงสุดของคนไทย<br />
คือตาย ๔๙,๖๘๒ คน โดยตามการศึกษาของ<br />
สถาบันมะเร็งแห่งชาติพบว่ามะเร็งตับเป็น<br />
แชมป์นำโด่ง (๓๗.๖%) ทิ้งห่างรองแชมป์คือ<br />
มะเร็งปอด (๒๕.๙%) มากพอควร ในบรรดา<br />
คนที่เป็นมะเร็งตับนี้ ๘๐% มีสาเหตุมาจากการ<br />
ป่วยด้วยไวรัสตับอักเสบบี ซึ่งป้องกันได้ด้วย<br />
วัคซีน กระทรวงสาธารณสุขตั้งกฎเหล็กขึ้นมา<br />
ว่าเด็กไทยเกิดใหม่ทุกคนไม่ว่าจะเกิดที่ไหนใน<br />
แผ่นดินนี้ต้องได้รับการฉีดวัคซีนทันทีตั้งแต่วัน<br />
แรกที่ลืมตาดูโลก ซึ่งดีมากเลย แต่ผู้ใหญ่หละ..<br />
ผู้ใหญ่ที่เดินไปเดินมากันทั่วมีใครรู้บ้างว่าตัว<br />
เองมีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบีหรือยัง สถิติ<br />
คนไทยหายากหน่อยแต่ก็พอมี คือสถาบันวิจัย<br />
วิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารได้ทำการวิจัยใน<br />
นักศึกษาแพทย์และนักศึกษาพยาบาลซึ่งเป็น<br />
ผู้ใหญ่กันหมดแล้วทุกคน พบว่ามีภูมิคุ้มกัน<br />
ไวรัสตับอักเสบบี ๑๘.๙๒% เท่านั้นเอง ที่<br />
เหลือยังบริสุทธิ์สะอาดมีโอกาสติดเชื้อเต็ม ๆ<br />
ในอนาคต ซึ่งจะน่าเสียดายอย่างยิ่งถ้าต้องจบ<br />
ชีวิตลงด้วยมะเร็งตับทั้ง ๆ ที่มีวัคซีนป้องกันได้<br />
แผนวัคซีนตลอดชีพรายบุคคล<br />
คนเราทุกคนมีความเสี่ยงต่อสุขภาพไม่<br />
เหมือนกัน แผนดูแลสุขภาพแต่ละคนต้อง<br />
จัดทำขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับคนคนนั้น<br />
(Personalized Health Plan) เรื่องวัคซีนก็<br />
เช่นกัน การฉีดวัคซีนเป็นเรื่องที่ต้องติดตาม<br />
ดูตลอดชีวิต และเป็นเรื่องที่จำเพาะเจาะจง<br />
เฉพาะบุคคล จึงต้องมีแผนวัคซีนตลอดชีพ<br />
เฉพาะตัวของแต่ละคน (Personalized<br />
Lifelong Vaccination Plan) ซึ่งแผนนี้ต้อง<br />
จัดทำขึ้นโดยแพทย์ที่มีความรู้ความเข้าใจ<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
เรื่องวัคซีนดี โดยวิเคราะห์ปัจจัยต่าง ๆ เกี่ยว<br />
กับความต้องการวัคซีนที่แตกต่างกัน อันได้แก่<br />
เพศ เพราะวัคซีนบางชนิดใช้เฉพาะเพศ<br />
หญิง เช่นวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูก (HPV)<br />
วัคซีนบางชนิดเช่นวัคซีนหัดเยอรมัน ไม่เหมาะ<br />
กับสตรีมีครรภ์ ดังนั้นถ้าเป็นเพศหญิงข้อมูล<br />
การตั้งครรภ์ก็เป็นข้อมูลสำคัญที่แพทย์ต้อง<br />
ทราบ<br />
อายุ เพราะวัคซีนบางตัว ให้เฉพาะบาง<br />
อายุตามความเสี่ยงที่มาพร้อมกับวัย เช่น ถ้า<br />
ไม่มีความเสี่ยงเป็นพิเศษ วัคซีนไข้หวัดใหญ่<br />
จะให้เฉพาะคนทั่วไปที่อายุ ๕๐ ปีขึ้นไป วัคซีน<br />
ปอดบวมให้เฉพาะคนอายุ ๖๕ ปีขึ้นไป เป็นต้น<br />
อาชีพ เพราะบางอาชีพต้องฉีดวัคซีนบาง<br />
อย่าง เช่นสัตวแพทย์ต้องฉีดวัคซีนป้องกันพิษ<br />
สุนัขบ้า ถ้ามีอาชีพเป็นบุคลากรทางการแพทย์<br />
หรือดูแลผู้สูงอายุก็อาจต้องฉีดวัคซีนหลาย<br />
ชนิดเพื่อป้องกันไม่ให้เอาโรคเหล่านั้นไปติด<br />
คนไข้หรือผู้สูงอายุที่ตนเองดูแล<br />
การใกล้ชิดกับสตรีมีครรภ์ โดยเฉพาะสตรี<br />
มีครรภ์ต้นหน้าฝนซึ่งเป็นต้นฤดูระบาดของ<br />
ไข้หวัดใหญ่ แล้วไข้หวัดใหญ่นี้อันตรายกับสตรี<br />
มีครรภ์ยิ่งนัก ผู้ใกล้ชิดสตรีมีครรภ์ก็ควรจะได้<br />
รับการฉีดวัคซีนไข้หวัดใหญ่เพื่อป้องกันไม่ให้<br />
เอาโรคไปถึงตัวคนมีครรภ์<br />
การเดินทางไปต่างประเทศ ซึ่งอาจต้อง<br />
เจาะลึกว่าไปประเทศไหน เพราะมีกฎหมาย<br />
วัคซีนแตกต่างกัน เช่นจะไปอัฟริกาต้องฉีด<br />
วัคซีนป้องกันไข้เหลือง จะไปแสวงบุญเมกกะ<br />
ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ<br />
(Meningococcal) สำหรับผู้นิยมเดินทาง<br />
ท่องโลกแบบไม่เลือกที่ระดับอินเตอร์ก็ควรได้<br />
รับวัคซีนอย่างครบถ้วนก่อน รวมทั้งการฉีด<br />
กระตุ้นวัคซีนหัด คางทูม หัดเยอรมัน (MMR)<br />
และการฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบเอด้วย<br />
การเข้าหอพักในมหาวิทยาลัย หรือเข้า<br />
ค่ายทหาร เพราะสภาพแออัดอย่างนั้นต้องฉีด<br />
วัคซีนป้องกันโรคบางโรคที่ชาวหอชอบเป็นกัน<br />
เช่นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ หรือหัด เป็นต้น<br />
การเป็นผู้สูงอายุที่อาศัยอยู่ในบ้านพักคน<br />
ชราหรือเนอร์สซิ่งโฮม ถ้าเป็นก็ต้องฉีดวัคซีน<br />
ป้องกันโรคยอดนิยมในบ้านพักคนชรา เช่นโรค<br />
ปอดบวม โรคไข้หวัดใหญ่<br />
การมีหรือไม่มีภูมิคุ ้มกันต่อไวรัสตับอักเสบบี<br />
เนื่องจากโรคนี้เป็นโรคที่ก่อความเสียหายรุนแรง<br />
และบางครั้งเป็นความเสียหายที่ต่อเนื่องเรื้อรัง<br />
ไม่รู้จบ อีกทั้งประเทศไทยเป็นพื้นที่เสี่ยงต่อ<br />
การเป็นโรคนี้ ดังนั้นคนไทยทุกคนจึงควรได้<br />
รับวัคซีนป้องกันโรคนี้ ยกเว้นผู้ที่เคยตรวจเช็ค<br />
เลือดและพบว่ามีภูมิคุ้มกันโรคนี้แล้ว<br />
การมีความเสี่ยงต่อไวรัสตับอักเสบเอ เป็น<br />
พิเศษ เช่น เป็นผู้ชายโฮโมเซ็กซ่วล หรือเป็น<br />
โรคตับเรื้อรัง หรือเป็นผู้ติดยาเสพติด หรือมี<br />
โรคเลือดแข็งตัวผิดปกติ หรือจะเดินทางไปยัง<br />
บ้านเมืองที่มีโรคนี้มาก ก็ควรจะได้รับการฉีด<br />
วัคซีนป้องกันโรคนี้<br />
การไม่เคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน มีความ<br />
สำคัญเพราะถ้าไม่เคยเป็น ควรต้องฉีดวัคซีน<br />
อีสุกอีใส เพราะโรคนี้หากมาเป็นเอาตอนอายุ<br />
มากจะมีความรุนแรง<br />
การเลี้ยงสุนัข เนื่องจากเมืองไทยเป็น<br />
ประเทศที่โรคพิษสุนัขบ้าชุกชุมที่สุดในโลก<br />
ปัจจุบันนี้สถานเสาวภาได้นำหลักการฉีดวัคซีน<br />
ป้องกันพิษสุนัขบ้าล่วงหน้า (Pre Exposure)<br />
ขององค์การอนามัยโลก มาแนะนำให้คนไทย<br />
เลือกใช้ได้แล้ว โดยแนะนำให้ฉีดวัคซีนล่วงหน้า<br />
สำหรับคนที่เสี่ยง เช่น ผู ้มีอาชีพยุ ่งเกี่ยวกับสัตว์<br />
รวมไปถึงผู้เลี้ยงสุนัขและเด็กเล็กที่อยู่ในบ้านที่<br />
มีการเลี้ยงสุนัขด้วย ทั้งนี้ต้องเข้าใจด้วยว่าการ<br />
ฉีดแบบป้องกันล่วงหน้านี้เป็นการเตรียมความ<br />
พร้อมให้ร่างกายไว้ล่วงหน้าและป้องกันกรณีที่<br />
สัตว์เลียแผลเล็ก ๆ น้อย ๆ แบบไม่รู้ตัวซึ่งพบ<br />
บ่อยในเด็ก แต่หากถูกสัตว์กัดแบบเหวอะหวะ<br />
เข้าจริง ๆ ก็ต้องมาฉีดวัคซีนกระตุ้นแบบ<br />
ครบชุด อีกครั้งเสมอ<br />
การมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อต่าง ๆ<br />
มากกว่าปกติ ซึ่ง ต้องฉีดวัคซีนป้องกันโรค<br />
มากกว่าคนทั่วไป เช่นเป็นมะเร็ง หรือให้ยา<br />
เคมีบำบัด หรือเป็นโรคเลือดที่ทำให้ภูมิคุ้มกัน<br />
ต่ำ หรือเป็นโรคเรื้อรังของอวัยวะสำคัญ เช่น<br />
โรคหัวใจ โรคปอด โรคตับ โรคไต หรือเป็น<br />
โรคเอดส์ หรือถูกตัดม้ามไปแล้วด้วยเหตุใด ๆ<br />
ก็ตาม<br />
การใช้ยาแอสไพรินกรณีเป็นเด็กอายุต่ำกว่า<br />
๑๘ ปี เพราะเด็กที่ทานยาแอสไพรินประจำมี<br />
ความเสี่ยงที่จะเกิดความผิดปกติของสมองเมื่อ<br />
ได้วัคซีนบางตัวได้ แพทย์จึงต้องมีข้อมูลนี้ก่อน<br />
ตัดสินใจให้วัคซีน<br />
การเป็นโรคที่หากแพ้วัคซีนแล้วอาจมีความ<br />
รุนแรง เช่น เป็นหอบหืด หรือมีโรคของกล้าม<br />
เนื้อหรือระบบประสาทที่ทำให้ทางเดินลม<br />
หายใจบวม หรือมีปัญหาต่อการหายใจหรือ<br />
การกลืน แพทย์จำเป็นต้องใช้ข้อมูลนี้ประกอบ<br />
การวางแผนฉีดวัคซีนเฉพาะบุคคลด้วย<br />
สิ่งสำคัญที่สุดคือการดูแลสุขภาพตนเองให้<br />
ปลอดภัย และสร้างภูมิคุ้มกันต่อโรคภัยที่เข้า<br />
มา ดังคำโบราณกล่าวไว้ว่า “อโรคยา ปรมาลา<br />
ภา การไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ” ไม่ว่า<br />
จะเป็นยุคใดสมัยใดก็ยังเป็นคำพูดที่ฟังดูแล้ว<br />
ไม่ล้าสมัย เพราะคงจะไม่มีใครปฏิเสธว่าการ<br />
มีสุขภาพดี มีค่ากว่าการมีเงินทองร้อยล้านด้วย<br />
ซ้ำไป เพราะแม้ว่าจะมีเงินมากองจนท่วมตัวก็<br />
ไม่สามารถซื้อสุขภาพที่ดีให้กลับคืนมาได้ ตัว<br />
เราเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดพฤติกรรมการ<br />
ใช้ชีวิตประจำวันของเราเป็นสิ่งที่จะแสดงผล<br />
ออกมาเมื่อถึงระยะเวลาหนึ่ง<br />
55
พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เป็นประธานในพิธีบวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์งานก่อสร้าง<br />
น้ำพุ โดยมีรองปลัดกระทรวงกลาโหม และหัวหน้าหน่วย<br />
ขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี เมื่อ<br />
๖ ก.พ.๕๗ ณ บริเวณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม พลเรือเอก พลวัฒน์ สิโรดม รอง<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมรับฟังการนำเสนอและสาธิตประสิทธิภาพของอากาศยาน<br />
ไร้คนขับแบบขึ้น – ลงทางดิ่ง (VTOL – UAV) จากประเทศบราซิล ณ สนามบินเล็ก<br />
กองทัพอากาศ ทุ่งสีกัน ดอนเมือง เมื่อ ๒๘ ม.ค.๕๗<br />
56
พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมพระราชทานยศ พลเรือเอก พลอากาศ<br />
เอก และแต่งตั้งเป็นนายทหารพิเศษ ประจำกรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองค์ โรงเรียนนายเรือและประจำกรมนักเรียนนายเรืออากาศรักษา<br />
พระองค์ โรงเรียนนายเรืออากาศ โดยมี พลเรือเอก พลวัฒน์ สิโรดม รองปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บังคับบัญชาระดับสูง ร่วมแสดงความยินดี<br />
ณ ห้องยุทธนาธิการ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๗ ก.พ.๕๗<br />
พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการเจาะ (SPUD) หลุมเจาะ FA-MS-57-89 ( แหล่งผลิตน้ำมันดิบแม่สูน)<br />
และรับฟังการบรรยายสรุป ณ ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ ๒๓ ม.ค.๕๗<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
57
พ ล เ อ ก นิ พั ท ธ ์ ท อ ง เ ล็ ก<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การ<br />
ต้อนรับ นางสาว อนา มาเรีย รามิเรซ<br />
(Ana Maria Ramirez)<br />
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐ<br />
อาร์เจนตินาประจำประเทศไทย<br />
ในโอกาสเข้าเยี่ยมคำนับและ<br />
หารือข้อราชการ ณ ห้องสนามไชย<br />
เมื่อ ๑๗ ก.พ.๕๗<br />
พ ล เ อ ก นิ พั ท ธ ์ ท อ ง เ ล็ ก<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม มอบ<br />
เครื่องหมายแสดงความสามารถ<br />
ทางการกีฬาชั้น ๑ เสื้อเบลเซอร์<br />
ให้กับ ร้อยโทหญิง จันทร์เพ็ง<br />
นนทะสิน สังกัด สำนักงาน<br />
เลขานุการ สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม ที่เข้าร่วมแข่งขันกีฬา<br />
จักรยานได้รับเหรียญเงิน ประเภท<br />
ถนน ไทม์ไทรอัล บุคคลหญิง<br />
ระยะทาง ๓๐ ก.ม. และ สิบตรี<br />
หญิง วิชชุดา ไพจิตรกาญจนกุล<br />
กองรักษาความปลอดภัย สำนัก<br />
นโยบายและแผนกลาโหมได้รับ<br />
เหรียญทอง จากประเภทปืนยาว<br />
ท่านอน (ทีมหญิง) ในการแข่งขัน<br />
กีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ ๒๗ ระหว่างวันที่<br />
๑๑ – ๒๒ ธ.ค.๕๖ ณ เมืองเนปิดอร์<br />
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์<br />
58
พลเรือเอก พลวัฒน์ สิโรดม รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีลงนามในสัญญาจัดซื้ออุปกรณ์ กับ บริษัท อธิ คอร์ปอเรชั่น จำกัด<br />
เพื่อใช้ในโครงการเคลื่อนย้ายระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร จากอาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (แจ้งวัฒนะ) ไปยังสำนักงานพื้นที่<br />
ศรีสมาน ณ ห้องสราญรมย์ เมื่อ ๗ ก.พ.๕๗<br />
พลอากาศเอก ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์ รองปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม และคณะร่วมงานวันคล้ายวัน<br />
สถาปนาโรงเรียนเตรียมทหาร ครบรอบปีที่ ๕๖<br />
ณ โรงเรียนเตรียมทหาร จังหวัดนครนายก เมื่อ<br />
๒๗ ม.ค.๕๗<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
59
พลเอก สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เป็นประธานในพิธีเปิดอบรมสัมมนาเชิงปฏิบัติการ สถานี<br />
วิทยุสีขาว เทิดไท้องค์ราชาและบรรยายในหัวข้อ ศักยภาพ<br />
ของวิทยุชุมชนในการดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์<br />
ในพื้นที่ ซึ่งจัดโดยสำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัด<br />
กระกรวงกลาโหม ณ โรงแรมสามพราน ริเวอร์ไซด์ จังหวัด<br />
นครปฐม เมื่อ ๑๐ ก.พ.๕๗<br />
พลตรี เนรมิต มณีนุตร์ ผู้ช่วยเจ้ากรมเสมียนตรา เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมพิธีตักบาตรเนื่องในวันมาฆบูชา ประจำปี ๒๕๕๗<br />
ณ บริเวณลานรอบองค์พระประธานพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อ ๑๔ ก.พ.๕๗<br />
พลตรี พิชาพร ธนะภูมิ เป็นผู้แทนปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมพิธีเวียนเทียนเนื่องในวันมาฆบูชา ประจำปี ๒๕๕๗ ณ บริเวณลานรอบ<br />
องค์พระประธานพุทธมณฑล จังหวัดนครปฐม เมื่อ ๑๔ ก.พ.๕๗<br />
60
พลตรี ณภัทร สุขจิตต์ เลขานุการสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม และคณะ ร่วมพบปะพัฒนาสัมพันธ์กับ<br />
สื่อมวลชนประเภทวิทยุในพื้นที่ภาคเหนือ พร้อมทั้งจัดการ<br />
อบรมสัมมนาเสริมสร้างและพัฒนาสัมพันธ์สื่อสารมวลชน<br />
ให้ร่วมประชาสัมพันธ์งานความมั่นคงร่วมกับสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ครั้งที่ ๑ ประจำปี ๒๕๕๗ ณ โรงแรม<br />
ไดมอนด์ ปาร์คอินน์ เชียงรายรีสอร์ท จังหวัดเชียงราย<br />
ระหว่างวันที่ ๒๘ – ๒๙ ม.ค.๕๗<br />
พลตรี ณภัทร สุขจิตต์ เลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และคณะ ร่วมพบปะพัฒนาสัมพันธ์กับสื่อมวลชนประเภทวิทยุในพื้นที่<br />
ภาคใต้ พร้อมทั้งจัดการอบรมสัมมนาเสริมสร้างและพัฒนาสัมพันธ์สื่อสารมวลชนให้ร่วมประชาสัมพันธ์ความมั่นคงร่วมกับสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม ครั้งที่ ๒ ประจำปี ๒๕๕๗ ณ หรรษา เจบี หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ระหว่างวันที่ ๑๗ - ๑๘ ม.ค.๕๗<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
61
กิจกรรมสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
โครงการช่วยเหลือคู่สมรสหรือบุตรที่มีความต้องการพิเศษของกำลังพลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
“สานงาน สานใจ ให้กลาโหม”...เป็นสิ่งที่<br />
สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหมได้ร่วมมือร่วมแรงและ<br />
ร่วมใจในการทำงานเพื่อดูแลทุกข์สุขรวมทั้ง<br />
สวัสดิการของกำลังพลและครอบครัว<br />
ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ในปีที่ผ่านมาได้มีการจัดตั้ง “กองทุนเพื่อ<br />
การช่วยเหลือบุตรที่มีความต้องการพิเศษของ<br />
กำลังพล ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม พ.ศ.๒๕๕๖” ได้มอบเงินช่วยเหลือ<br />
บุตรพิเศษที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ จำนวน<br />
๒,๐๐๐ บาทต่อเดือน และช่วยเหลือตัวเองได้<br />
จำนวน ๑,๐๐๐ บาทต่อเดือน และในขณะนี้<br />
มีจำนวนบุตรที่มีความต้องการพิเศษทั้งสิ้น<br />
จำนวน ๔๑ คน ซึ่งโครงการนี้มีผลตอบรับ<br />
อย่างชัดเจนว่า บุตรที่มีความต้องการพิเศษมี<br />
ความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ครอบครัวมีรอยยิ้มเพิ่มขึ้น<br />
บุตรที่มีความต้องการพิเศษสามารถมีโอกาส<br />
ออกมาจากบ้านเพื่อเข้าสู่สังคมและได้รับการ<br />
ยอมรับจากสังคมเพิ่มมากขึ้น<br />
ความเป็นห่วงเป็นใยจากสมาคมภริยา<br />
ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ไม่ได้หยุดนิ่ง มองแค่เพียงบุตรที่มีความต้องการ<br />
พิเศษเท่านั้น ทันตแพทย์หญิง รัตนาวดี ทองเล็ก<br />
นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้เล็งเห็นถึงความ<br />
62<br />
สำคัญของการดูแลครอบครัวทั้งครอบครัว<br />
ที่มี “พ่อ แม่ ลูก” จึงมีดำริให้เพิ่มเติมการ<br />
ดูแลคู่สมรสที่มีความต้องการพิเศษเช่นเดียว<br />
กับบุตรที่มีความต้องการพิเศษควบคู่กันไป<br />
ด้วย เพราะคู่สมรสและบุตรเป็นหน่วยหนึ่ง<br />
ของคำว่า “ครอบครัว” ทุกคนที่อยู่ในหน่วย<br />
ของครอบครัวย่อมได้รับการดูแลเสมือนเป็น<br />
คนคนเดียวกัน จึงได้เกิดเป็น“โครงการช่วย<br />
เหลือคู่สมรสหรือบุตรที่มีความต้องการพิเศษ<br />
ของกำลังพลในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม” ซึ่งได้เริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่<br />
เดือนตุลาคม ๒๕๕๖<br />
แม้ว่าจำนวนเงินที่ให้การช่วยเหลือจะ<br />
ไม่มากนัก แต่เป็นการดูแลจากใจจริงของ
ทางสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม ที่คงดำเนินกิจกรรมของ<br />
สมาคมฯ ตามวัตถุประสงค์หลักที่นายกสมาคมฯ<br />
ท่านแรก ได้ริเริ่มไว้ คือการดูแลทุกข์สุขของ<br />
กำลังพลและครอบครัว เราจะมุ่งมั่นตั้งใจ<br />
ทำงาน ร่วมมือร่วมแรงใจ ปฏิบัติงานให้กับ<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตามคำขวัญ<br />
ของสมาคม “สานงาน สานใจ ให้กลาโหม”<br />
หลักเมือง มีนาคม ๒๕๕๗<br />
63
ทันตแพทย์หญิง รัตนาวดี ทองเล็ก นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนาสมาคม<br />
แม่บ้านทหารอากาศ ครบรอบปีที่ ๒๙ ณ หอประชุมกองทัพอากาศ พหลโยธิน เมื่อ ๒๔ ม.ค.๕๗<br />
สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมงานพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลสตมวารถวายพระศพ สมเด็จ<br />
พระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ณ ลานคนเมือง ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร เมื่อ ๓๑ ม.ค.๕๗<br />
64