ASA CREW VOL.4

ISSUE 04 

MAY-JUNE 

2017 

วารสารของสมาคมสถาปนิกสยาม 

ในพระบรมราชูปถัมภ์ 

Journal of The Association of Siamese Architects 

under the Royal Patronage 

- CORE VALUE -

คณะกรรมการบริหารสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ปี 2559-2561 

ประธานกรรมาธิการสถาปนิกล้านนา / Chairman of Northern Region (Lanna) 

ประธานกรรมาธิการสถาปนิกอีสาน / Chairman of Northeastern Region (Esan) 

ประธานกรรมาธิการสถาปนิกทักษิณ / Chairman of Southern Region (Taksin) 

อัชชพล ดุสิตนานนท์ / Ajaphol Dusitnanond 

เมธี รัศมีวิจิตรไพศาล / Metee Rasameevijitpisal 

ผศ.ดร.ธนะ จีระพิวัฒน์ / Asst.Prof.Thana Chirapiwat, Ph.D. 

ผศ.สุดจิต สนั่นไหว / Asst.Prof.Sudjit Sananwai 

ผศ.กิจโชติ นันทนสิริวิกรม / Asst.Prof.Quijxote Nuntanasirivikrom 

ปรีชา นวประภากุล / Preecha Navaprapakul 

ชาติเฉลิม เกลียวปฏินนท์ / Chartchalerm Klieopatinon 

พ.ต.ท.สักรินทร์ เขียวเซ็น / Pol.Lt.Col.Sakarin Khiewsen 

ภิรวดี ชูประวัติ / Pirawadee Chuprawat 

ทรงพจน์ สายสืบ / Songpot Saisueb 

ผศ.ดร.สุรพงษ์ เลิศสิทธิชัย / Asst.Prof.Surapong Lertsithichai, Ph.D. 

พ.ต.ท.ดร.บัณฑิต ประดับสุข / Pol.Lt.Col.Bundit Pradabsook, Ph.D. 

ม.ล.วรุตม์ วรวรรณ / M.L.Varudh Varavarn 

ผศ.ดร.ณัฐวุฒิ อัศวโกวิทวงศ์ / Asst.Prof.Nattawut Usavagovitwong, Ph.D. 

ณคุณ กนลมาศ / Nakhun Kumnolmas 

ขวัญชัย สุธรรมซาว / Khwanchai Suthamsao 

ผศ.สุรศักดิ์ โล่ห์วนิชชัย / Asst.Prof.Surasak Lowanitchai 

วิวัฒน์ จิตนวล / Wiwat Chitnuan 

ASA CREW 

กองบรรณาธิการอาษาครู 

บรรณาธิการบริหาร / Editor-in-Chief 

ผศ.ดร.กมล จิราพงษ์ / Asst.Prof.Kamon Jirapong, Ph.D. 

ASA 

BOARD 

นายกสมาคม / President 

อุปนายก / Vice President 

OF DIREC- 

เลขาธิการ / Secretary General 

นายทะเบียน / Honorary Registrar 

TORS 

เหรัญญิก / Honorary Treasurer 

ปฏิคม / Social Event Director 

ประชาสัมพันธ์ / Public Relations Director 

กรรมการกลาง / Executive Committee 

EDITORIAL 

DEPART- 

MENTS 

รองบรรณาธิการบริหาร / Assistant to Editor-in-Chief 

บรรณาธิการ / Editor 

กองบรรณาธิการ / Editorial Staffs 

บรรณาธิการฝ่ายศิลป์ / Art Director 

กองบรรณาธิการฝ่ายศิลป์ / Art Editorial Staffs 

ช่างภาพ / Photographers 

ชนพ ศิริกมลมาศ / Chanop Sirikamonmas 

รติรัตน์ นิมิตรบรรณสาร / Ratirat Nimitrabannasarn 

ยินดี พุฒศิรยากร / Yindee Phuttasirayakorn 

วีรภา ดำสนิท/ Weerapa Dumsanit 

กฤษฎา ข้ามแปด / Kritsada Khampaet 

วีรพล เจียมวิสุทธิ์ / Werapon Chiemvisudhi 

จรรยาพร จันทร์แสงโชติ / Junyaporn Junsangchote 

มนตรี ศรีพุทรา / Montree Sriphuttha 

สุเมธ ดาวขุนทด / Sumet Daokhuntod 

ชัยวุฒิ พุตทอง / Chivudh Buthdong 

ตุลย์ หิรัญญลาวัลย์ / Tul Hirunyalawan 

สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ 

248/1 ซอยศูนย์วิจัย 4 ถนนพระรามที ่ 9 แขวงบางกะปิ 

เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310 

The Association of Siamese Architects Under Royal Patronage 

248/1 Soi Soonvijai 4, Rama IX Rd., Bangkapi, 

Huaykwang, Bangkok, 10310 Thailand 

Tel: 0-2319-6555 Fax: 0-2319-6555 press 120 or 0-2319-6419 

www.asa.co.th / Facebook : asacrew / Email: asacrewmag@gmail.com 

นักแปล / Translator 

ประสานงานกองบรรณาธิการ / Administration 

พิมพ์โดย / Printed By 

สุทักษ์ ศิรินุช / Sutak Sirinuch 

ณัฐพงษ์ วัจนะภูมิ / Nattapong Vadjanapoom 

วรนัส จันทร์ธรรม / Woranas Janthum 

นิศาขล บุญช่วยคุ้ม / Nisachon Boonchuaykum 

ฐาปนี ประภาศิริ / Thapanee Prapasiri 

เค.ซี.เพรส / K.C.PRESS 

59.2 gsm 

www.papergreen.co.th 

02-682-8852-4 

COVER 

CONCEPT 

คุณค่าสารัตถะ 

สถาปนิกไม่ใช่ผู้สร้างบ้าน แต่เป็นผู้สร้างสภาวะที ่เอื ้อต่อการเป็นบ้าน 

สถาปนิกไม่ได้มีหน้าที ่สร้างอาคารบ้านเรือน แต่มีหน้าที ่สร้างสภาวะของการอยู่ 

อาศัยและใช้งาน 

Core ที ่แปลว่า แก่น นั ้น โดยรากศัพท์แล้วมาจาก cor ในภาษาฝรั ่งเศสโบราณ 

และ coeur ในภาษาละติน ที ่แปลว่า “หัวใจ” นั ่นเอง หนทางในการตามหาหัวใจ 

ก็คือ การดึงเอาหัวใจออกมาจากเปลือกจากเนื้อที่ปกปิดห่อหุ้มมันเอาไว้ให้ได้ ซึ่งก็ 

เป็นไปในทางเดียวกันกับความหมายจากรากศัพท์ของคำว่า “นามธรรม” (การ 

สกัดออก) การจะค้นพบนามธรรมได้นั ้นก็ต้องอาศัยการสกัดเอารูปธรรมอันเป็น 

เปลือกออกไปให้หมด 

แก่น (สารัตถะ) จึงเป็นนามธรรมที่ปกคลุมไปด้วยมุมมองจากภายนอกที่สามารถ 

มองได้ในหลายแกน ซึ่งสามารถทำให้เกิดการรับรู้ที ่แตกต่างกันออกไปได้ แต่ 

แก่นของแต่ละสิ่ง ไม่เคยเปลี ่ยนแปลงและไม่สามารถถูกทำให้เปลี ่ยนไปได้ การ 

หาแก่น ก็คือการสกัดเปลือกออก ซึ่งมันจะนำมาซึ่งโอกาสที ่เป็นไปได้มากมาย 

เหลือคณานับให้สถาปนิกได้ใช้เป็นพื้นที่ในการออกแบบ “สภาวะความเป็นอยู่” 

และ/หรือ “สภาวะทางความรู้สึก” ของผู้คนหรือองค์กรที่เข้ามา ใช้งานในพื้นที่นั ้น 

สารัตถะจึงเป็นคุณค่า 

คุณค่าสารัตถะ 

Core Value 

Architects never build houses but homes. Architects never design 

buildings but state of living. 

Core - by its root word - is derived from Old French (cor) and 

Latin (coeur) that means “heart”. The way to find it is to remove 

or take the core out of something covering it. It seems like the 

meaning of “abstract” (drag away). To find the abstract is to drag 

all the concretes away. 

Core is abstract that covered by multiaxial perspectives and elements 

outside those which could be perceived differently. But 

core (of something) might never change and never be changed. 

To find the core is to extract what covers it away. It brings out 

uncountable possibilities to architects to design “state of being” 

and/or “state of feeling” for people to stand and/or for corporate 

to establish. Statement is value. 

Core Value 

ณัฐวิทย์ ทองประเสริฐ / Natthawit Tongprasert 

Designer of the Year Awards 2017 สาขา Graphic Design

คุณค่าหลัก 

คุณค่าหลักด้านการทำงานและวิธีคิดของนักออกแบบ ถือเป็นเรื่องที่เข้าใจยาก 

สำหรับคนทั่วไป ในวารสารแจกฟรี “อาษาครู” เล่มที่ 4 นี้ ทีมงานได้นำเสนอเนื้อหา 

ในรูปแบบการแกะกล่องความคิดของนักออกแบบ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้มีโอกาส 

ทำความเข้าใจกระบวนการคิดด้านการออกแบบได้ง่ายขึ้น 

ในเล่มนี้ ผมได้เชิญนักศึกษาไทยที่ศึกษาอยู่ในต่างประเทศ ให้เขียนบทความ 

เกี่ยวกับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ที่ตนเองศึกษาอยู่ในปัจจุบัน โดยขอให้อธิบายถึง 

จุดเด่นทั้งด้านวิธีคิด เพื่อการพัฒนาสถาปนิกรุ่นใหม่ๆ และรูปแบบการเรียนการสอน 

เพื่อเป็นประโยชน์ต่อท่านผู้อ่านที่เป็นอาจารย์หรือนักศึกษาสถาปัตยกรรมได้บ้างเราจะ 

เปิดพื้นที่ให้นักศึกษาและสถาปนิกไทยที่มีโอกาสศึกษาหรือทำงานในต่างประเทศ 

ในวารสารอาษาครูให้มากยิ่งขึ้น 

การเปลี่ยนแปลงด้านสื่อของสมาคมสถาปนิกสยามฯ ไม่ได้มีแค่วารสารแจกฟรี 

“อาษาครู” ที่ท่านถืออยู่ขณะนี้เท่านั้น สมาคมฯ ยังได้ปรับปรุงเว็บไซต์ของสมาคมฯ 

(www.asa.or.th) เพื่อให้เป็นประโยชน์กับสมาชิกและบุคคลทั่วไปที่ต้องการรู้จักกับ 

สมาชิกของสมาคมฯ ได้ง่ายขึ้น ผ่านระบบค้นหาสถาปนิกในเว็บไซต์นี้ได้ 

พร้อมทั้งการออกแอปพลิเคชั่นของสมาคมฯ (ASA Application) ซึ่งรวบรวม 

ข้อมูลของสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ ที่จะทำให้การค้นหาคาตาล็อกสินค้าที่จำเป็น 

ในการทำงานของสถาปนิก ทำได้โดยง่ายผ่านโทรศัพท์มือถือหรือแท็บเล็ต ทั้งหมดนี้ 

เพื่อยืนยัน “แก่น” หรือ คุณค่าหลักของทีมงานอาษาครูที่มีขึ้น เพื่อสร้างพื้นที่ตรงกลาง 

ระหว่างสถาปนิก นักออกแบบ และคนในสังคมไทย 

* ไม่พลาดการติดตามวารสาร พร้อมรับสิทธิประโยชน์มากมาย เพียงสมัครเป็นสมาชิก 

สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้ที่ http://asa.or.th/member-information/ 

ผศ.ดร.กมล จิราพงษ์ 

บรรณาธิการบริหาร 

asacrewmag@gmail.com 

CORE VALUE 

The core value of designers’ work is sometimes hard to understand. In 

this free journal “ 

issue 04”, the main content is about unwrapping 

the thought of designers, to allow our readers to understand the design 

thinking process. 

In this issue, I invited abroad student to write about the architectural 

institute she is studying at, to describe the thinking method in developing 

new generation architects. I hope this can be useful for thai teachers and 

architect students in architecture school. We will give space for Thai architects 

and students who work or study abroad to participate more in . 

The change about social media of the Association of Siamese Architects 

is not only this free journal , but also the new website – www.asa.or.th, 

for members and anyone who wants to contact our members through the 

“find-an-architect” menu. 

As well as the ASA Application, which added materials and products 

information, will help architects search for catalogues more easily on mobile 

phones or tablets. We did all this to keep up 

team’s core value as 

a media center between architects, designers and the public in Thailand. 

*If you don’t want to miss Journal and get many benefits from us, just apply for a member 

of The Association of Siamese Architects under the Royal Patronage at http://asa.or.th/memberinformation/. 

Asst.Prof.Kamon Jirapong, Ph.D. 

Editor-in-Chief 

asacrewmag@gmail.com 

CONTENTS 

06 10 12 14 20 

ASA DIALOGUE 

A Conversation with 

WHBC Architects 

บทสนทนากับ WHBC Architects 

26 30 36 38 40 

SPOTLIGHT 

Interview in-depth with the 

president of The Association of 

Siamese Architects under the 

Royal Patronage on Mahakan Fort 

Community and Giag-Gaai Bridge 

เจาะลึกประเด็นป้อมมหากาฬ 

– สะพานเกียกกาย 

กับนายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ 

GRAND MASTER 

Core Value Reflection 

ให้สัจจะสะท้อนตัวเรา 

42 46 48 51 52 

TRAVEL 

PATTANI, in the new 

different story 

ปัตตานี ในวิถีที่ถูกบอกเล่าใหม่ 

ASA WORLD 

Bartlett School of Architecture 

โรงเรียนสถาปัตย์ผลิตนักคิด 

CUISINE 

The Original Cantonese 

Chinese Sausage 

ต้นตำรับกุนเชียงสไตล์กวางตุ้ง 

ARTICLE 

Architects and Copyright Protection 

in “Architectural Design” 

สถาปนิกกับลิขสิทธิ์ 

ใน “งานสถาปัตยกรรม” 

SPECIAL STORY 

ASA Emerging Architecture Awards 

2017 

ประกาศผลรางวัลสถาปัตยกรรมรุ่นใหม่ 

“บ้าน บ้าน” 

HANGOUT 

Soi Ratchakru - Co-drinking Space 

ซอยราชครู 

ส่วนต่อขยายของความคึกคัก 

SCOOP 

Architect Expo’17 Tour 

พาชมงานสถาปนิก‘60 

Q&A 

Home Problems Come with Rain 

ฝนมากับปัญหาบ้าน บ้าน 

BOOK 

Caravan of Life 

ระหว่างทางของชีวิต 

CLASSIC 

Australian Embassy 

สถานทูตออสเตรเลีย : สถาปัตยกรรม 

สีเหลืองทองบนถนนสาทรที่กำลัง 

จะกลายเป็นอดีต 

TIPS 

Water Drainage in Houses 

การระบายน้ำในบ้าน 

ARTS 

When the bus stop can be 

more than you think 

เมื่อป้ายรถเมล์เป็นได้มากกว่าที่คิด 

54 

MUSIC 

What We’ve Listened? 

เพลงของเด็กถาปัตย์ 

56 

HOW TO 

Can we get no flood when it rains? 

ฝนตกน้ำไม่ท่วม (จะได้มั้ย)

เว็บเดียวครบ จบเรื ่องบ้านและงานออกแบบ 

www.asa.or.th 

ค้นหาสถาปนิก 

ทั่วประเทศ 

ค้นหางาน 

ในวงการสถาปนิก 

ไม่พลาดทุกข่าวสาร 

และกิจกรรม 

ในแวดวงสถาปนิก 

ติดตามสื่อทุกช่องทางของสมาคมสถาปนิกสยามฯ 

ทั้งวารสาร ASA CREW / อาษา / จดหมายข่าว / 

ASA Youtube Channel / ASA แอปพลิเคชั่น / เฟซบุ๊กสมาคมฯ 

พร้อมสมัครสมาชิกสมาคมฯ ทางออนไลน์ได้ทันที 

“ถ้าคลิกเข้าไปในเว็บไซต์ www.asa.or.th จะเห็นว่ามี 

การเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม มีเมนูใหม่ๆ ซึ่งเป็นไฮไลต์ เช่น 

‘find an architect’ ซึ่งสถาปนิกสามารถนำผลงานของ 

บริษัท ทั ้งผลงาน รูปภาพ แม้แต่วิดีโอมาลงบนเว็บไซต์ 

เป็นการแนะนำบริษัท ส่วนบุคคลทั ่วไปก็สามารถเข้ามาค้นหา 

สถาปนิกได้ เป็นการตอบโจทย์ทั้งบริษัทสถาปนิกและ 

ผู้บริโภคที ่ต้องการสร้างบ้าน ขณะเดียวกันบุคคลหรือ 

บริษัททั ่วไปสามารถนำโฆษณามาลงได้ โดยโฆษณาดังกล่าว 

จะแสดงผลต่อเมื ่อผู้เข้าชมได้แสดงความสนใจในเนื ้อหา 

ที่เกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์นั ้นๆ 

นอกจากนี้เว็บไซต์ดังกล่าวยังเป็นแหล่งรวมสื่อต่างๆ 

ของสมาคมสถาปนิกสยามฯ เช่น จดหมายเหตุ วารสาร 

คลิปวิดีโอ รวมถึงเฟซบุ๊ก เพื่อให้เข้าชมง่ายขึ้น อ่านง่ายขึ้น 

บนทุกอุปกรณ์ และยังสามารถสมัครเข้าเป็นสมาชิกของ 

สมาคมฯ ทางออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ได้อีกด้วย 

กลุ่มคนหลักๆ ที ่จะได้ประโยชน์จากเว็บไซต์นี้ กลุ่มแรก 

คือ สมาชิกสมาคมสถาปนิกสยามฯ สามารถนำผลงานมา 

ลงบนเว็บไซต์ได้ทั้งในรูปแบบของสมาชิกที ่เป็นรูปแบบ 

บริษัทและรูปแบบบุคคล เพื่อให้มีคนเข้าถึงได้มากขึ้น รวมถึง 

ประกาศหางานบนเว็บไซต์ก็ได้ 

กลุ่มต่อมาคือ นักศึกษาหรือสถาปนิกที 

- 4 - ่กำลังหางาน 

สามารถเข้ามาหาโอกาสการทำงานกับบริษัทที่เป็นสมาชิก 

ของสมาคมฯ และเชื่อถือได้ 

MAY-JUNE 2017 - ISSUE 04 

กลุ่มต่อมาคือ บุคคลทั ่วไป สามารถเข้าถึงฐานข้อมูล 

เพื่อค้นหาสถาปนิกตามประเภทงาน สถานที่และความถนัด 

รวมไปถึงติดตามข่าวสารที่น่าสนใจเกี่ยวกับวงการสถาปนิก 

อยากขอเชิญชวนท่านสมาชิกสมาคมฯ อัปโหลดผลงาน 

ข้อมูลบริษัทและข้อมูลส่วนตัวของท่านขึ้นบนระบบเว็บไซต์ 

ของสมาคมฯ และรับสิทธิ ์ประกาศหางาน ส่วนบุคคลทั ่วไป 

ลองเข้าชม อ่านบทความที่น่าสนใจ รับชมสื่อต่างๆ ของสมาคมฯ 

และลองใช้เมนูใหม่ ‘find an architect’ ดู รับรองว่า 

ได้ประโยชน์แน่นอนค่ะ” 

ศิริมาศ บิ๊กเลอร์ 

Senior Account Director 

Adelphi Digital Consulting Group 

ผู้พัฒนาเว็บไซต์ www.asa.or.th

CONTRIBUTORS 


C1 : คัทลียา จิรประเสริฐกุล 

ผู้ช่วยศาสตราจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 

ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ รุ่นที่ 61 จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

ปริญญาเอก Faculty of Architecture, Building and Planning มหาวิทยาลัย 

เมลเบิร์น ประเทศออสเตรเลีย 

Cuttaleeya Jiraprasertkun 

Assistant Professor, Faculty of Architecture, Kasetsart University 

Bachelor of Architecture, Chulalongkorn University 

Ph.D. (Architecture and Planning), The University of Melbourne, Australia 


C2 : อริสา จึงโสภณวิทวัส 

ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ (หลักสูตรนานาชาติ) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

ปริญญาโท MSc Spatial Design: Architecture and City, The Bartlett School of 

Architecture, UCL สหราชอาณาจักร 

Arisa Juengsophonvitavas 

BSc Design and Architecture, International Program in Design and Architecture 

(INDA), Chulalongkorn University 

MSc Spatial Design: Architecture and City, The Bartlett School of Architecture, UCL, 

United Kingdom 

ASA ARTICLE 

C3 : ช้องนาง วิพุธานุพงษ์ 

อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม 

ปริญญาตรี นิติศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

ปริญญาเอก Intellectual Property Law, University of Nottingham สหราช 

อาณาจักร 

SPECIAL STORY 

C4 : นพพล พิสุทธอานนท์ 

กรรมการผู้จัดการ บริษัท สถาปนิก ควินตริค จำกัด 

ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 

ปริญญาโท Architectural Design, New Jersey Institute of Technology (NJIT) 

ประเทศสหรัฐอเมริกา 

Chongnang Wiputhanupong 

Lecturer, School of Law, Sripatum University 

LLB, Chulalongkorn University 

Ph.D. Intellectual Property Law, University of Nottingham, United Kingdom 

Noppon Pisutharnon LEED AP, TREES-A 

Director, Quiintrix Architects Company Limited 

Bachelor’s Degree in Architecture, Silpakorn University 

Master of Architectural Design, New Jersey Institute of Technology (NJIT), U.S.A. 

Q & A 

C5 : ปิยะ ดโนทัย 

อาจารย์ประจำสาขาวิชาสถาปัตยกรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้า 

พระนครเหนือ 

ปริญญาตรี ภาควิชาสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สถาบัน 

เทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 

ปริญญาโท ภาควิชาเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 

สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 

Piya Danothai 

Lecturer, Faculty of Architecture and Design, King Mongkut’s University of 

Technology North Bangkok 

Bachelor of Architecture, King Mongkut’s Institute of Technology Ladkrabang 

Master of Architecture, King Mongkut’s Institute of Technology Ladkrabang 

TRAVAL 

C6 : ราชิต ระเด่นอาหมัด 

ประธานกรรมาธิการสถาปนิกทักษิณ เขตภาคใต้ตอนล่าง 

Design Director บริษัท SUBPER จำกัด 

ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง วิทยาลัยเทคนิคยะลา 

ปริญญาตรี มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย 

RACHIT RADENAHMAD 

Director of MELAYU LIVING 

Design Director, SUBPER Company Limited 

High Vocational Certificate of Architecture, Yala Technical College 

Rajamangala University of Technology Srivijaya 

TRAVAL 

C7 : อาซีซี ยีเจะแว 

สถาปนิกเทศบาลเมืองปัตตานี 

ผู้ก่อตั้ง IN_T_AF Cafe 


ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลตะวันออก 

วิทยาเขตอุเทนถวาย 

RZZ YEEJEHWAE 

Founder, IN_T_AF Café 

Architecture, Pattanicity Municipality 

High Vocational Certificate of Architecture, Yala Technical College 

Bachelor of Architecture (Architectural Technology), Rajamangala University of 

Technology Tawan-ok: Uthenthawai Campus 

TRAVAL 

C8 : สมโภช เจ๊ะอาลี 

ผู้ก่อตั้ง IN_T_AF Cafe 

ประกาศนียบัตรวิชาชีพ วิทยาลัยเทคนิคยะลา 


คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี 

Sompoaj Jah-Aree 

Founder, IN_T_AF Café 

Vocational Certificate of Architecture, Yala Technical College (Thailand) 

High Vocational Certificate of Architecture, Yala Technical College (Thailand) 

Bachelor of Architecture (Architectural Technology), Rajamangala University of Technology 

Thanyaburi 

TRAVAL 

C9 : เอ็มโซเฟียน เบญจเมธา 

ผู้ก่อตั้ง โรงงานเซรามิก เบญจเมธา 

สถาบัน Ecole Nationale Supérieure des Arts Décoratifs ประเทศฝรั่งเศส 

สถาบัน Ecole des beaux-arts de Versailles ประเทศฝรั่งเศส 

Diploma in Architecture, มหาวิทยาลัยศรีปทุม 

Emsophian Benjametha 

Founder, Benjametha Ceramic 

Ecole Nationale Supérieure des Arts Décoratifs PARIS 

Ecole des beaux-arts de Versailles, FRANCE 

Diploma in Architecture, Sripatum University 

HANGOUT 

C10 : วิกาวี พินิจ 

ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ภาควิชาสถาปัตยกรรมภายใน 


Vikavee Pinit 

Bachelor of Architecture in Interior Architecture, Faculty of Architecture, 

King Mongkut’s Institute of Technology Ladkrabang 

BOOK 

C11 : พิเชษฐ์ ดลราศี 

Design Director และหุ้นส่วนบริษัท Collective Studio จำกัด 

ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

Pichate Dolrasee 

Design Director and Partner, Collective Studio co.,ltd. 

Bachelor of Architecture, Chulalongkorn University 

ART 

C12 : สุพิชชา โตวิวิชญ์ 

หัวหน้าภาควิชาสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 

ปริญญาตรี คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 

ปริญญาโท คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร 

ปริญญาโท Humanitarian and Development Practice, Oxford Brookes University 

ปริญญาเอก Development Planning Unit, University College London 

Supitcha Tovivich 

Bachelor’s degree in Architecture, Silpakorn University 

Master degree in Architecture, Silpakorn University 

M.A. Humanitarian and Development Practice, Oxford Brookes University 

Ph.D. Development Planning Unit, University College London 

- 5 - 

MAY-JUNE 2017 - ISSUE 04


A Conversation with WHBC Architects 

บทสนทนากับ WHBC Architects 

“ในสตูดิโอของเรา เรานาแรงบันดาลใจจากวัฒนธรรม 

ตะวันออกมาทางานร่วมกับวิถีตามครรลอง เพื่อที่จะสนทนา 

ตั้งคาถามและพูดคุยกับสถานการณ์นั้นๆ” 

BC Ang ทิ้งท้ายการบรรยาย 1 ชั่วโมงเต็มด้วยการสรุป 

วิถีการทำงานที่เฉพาะของ WHBC Architects จากนั้นบท 

สนทนาบนเวทีราว 50 นาทีจึงได้เริ่มต้นขึ้น การพูดคุยและ 

ตอบคำถามในวันนั้นเปิดโอกาสให้เขาและ Wen Hsia Ang 

ได้อธิบายวิธีการคิดและการทำงานในสตูดิโอที่น่าสนใจ 

และเป็นประโยชน์บทความนี้จึงได้คัดเลือกบทสนทนาบาง 

ส่วนมาเผยแพร่สู่สาธารณะ 

คัทลียา: เหมือนว่าคุณมุ่งที่จะมองหา“คำถามที่ใช่” และ 

“วิธีการแก้ปัญหาที่เฉพาะ”ในทุกๆ โปรเจ็กต์ของคุณอยู่เสมอ 

แล้วกระบวนการที่อยู่เบื้องหลัง“คำถามที่ใช่” เหล่านี้คืออะไร 

พวกคุณมีวิธีการตัดสินใจอย่างไรว่า นี่คือสิ่งที่ใช่และคุณจะ 

ต้องจัดการกับมัน 

BC: มันอาจจะฟังดูง่ายนะ เวลาที่เราอธิบายงานให้ฟังว่า 

เราแก้ปัญหาแบบใด ผมเชื่อว่านักออกแบบทุกคนต่างรู้ดีว่า 

ขั้นตอนการวิเคราะห์นั้นมีความซับซ้อนและหลากหลาย 

ความพยายามในการหาจุดสมดุลของความต้องการและ 

ข้อกำหนดต่างๆ นั้น มันเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและ 

ยุ่งเหยิงอยู่ไม่น้อยเลยกว่าที่จะสามารถหา “คำถามๆ นั้น” หรือ 

“สิ่งๆ นั้น” ที่คุณต้องการจะคลี่คลายได้ แต่พวกเรานักออกแบบ 

ถูกสอนมาโดยเฉพาะให้สามารถกลั่นกรองความคิดอันยุ่งเหยิง 

เหล่านี้ ให้กลายมาเป็นความคิดที่เรียบง่ายได้ ในความคิด 

ของผม นักออกแบบมีความรู้ที่หลากหลายแบบกว้างๆ แต่ 

ไม่ได้เป็นผู้เชี่ยวชาญที่รู้ลึกเฉพาะด้านดังนั้น เราจึงมีหน้าที่ที่จะ 

สังเคราะห์สิ่งเหล่านี้และกลั่นมันออกมาเป็นวิธีการแก้ปัญหา 

ที่ชัดเจน 

*เนื้อหาในบทความนี้ถอดความมาจากบทสนทนาบนเวที ของ WHBC Architects 

กับผู้ดำ เนินรายการ (ผศ.ดร.คัทลียา จิรประเสริฐกุล) ในโครงการ ASA 

Dialogue 2017 ครั้งที่ 2 ซึ่งจัดขึ้นเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2560 เวลา 

15.00-17.00 น. ณ ห้องออดิทอเรียม ชั้น 5 หอศิลปวัฒนธรรมแห่ง 

กรุงเทพมหานคร 

WH: มันเป็นคำถามที่ดีมากเลย ที่จริงฉันก็เคยไป 

บรรยายเรื่องนี ้ ในหัวข้อ “จะไปสู่ความชัดเจนได้อย่างไร” 

เพราะพวกเรานักออกแบบมักจะมีความคิดที่กระจัดกระจาย 

ไปหมด แล้วเราจะสามารถไปสู่ความชัดเจนและไปถึงจุดๆ 

นั้นได้อย่างไร จุดที่คุณจะพูดว่า“อ้า...ฉันรู้แล้ว!” และคุณก็จะ 

รู้ทันทีว่าจะต้องทำอย่างไรต่อไป 

มีคนกล่าวว่า “การค้นหาคำถามที่ใช่นั้นคือสิ่งที่ยาก 

ที่สุด ถ้าคุณพบมันแล้ว ขั้นตอนที่เหลือก็จะไม่ใช่เรื่องยาก 

อีกต่อไป” ดังนั้น ขั้นแรกคือเราจะต้องค้นหาคำถามที่ใช่เสีย 

ก่อน ในประเด็นนี้ นอร์แมน ฟอสเตอร์กล่าวไว้ว่า “สิ่งที่ผม 

อธิบายให้คุณฟังนั้นเป็นเพียงปลายยอดของภูเขาน้ำแข็ง 

แต่สิ่งที่คุณไม่เห็นนั้น แท้ที่จริงแล้วมันเป็นเส้นทางที่ลาก 

ยาวมาก เป็นการตรวจสอบที่ไม่สิ้นสุด ทำนองนั้น...” 

ดังนั้น การออกแบบจึงไม่มีวันจบแค่บนกระดาษ การ 

ตรวจสอบเกิดขึ้นได้ตลอดกระบวนการ ในการก่อสร้าง การ 

ตกแต่ง แม้กระทั่งในขั้นตอนที่เราส่งมอบงาน มันมีอะไร 

มากมายให้เราได้เรียนรู้ตลอดกระบวนการนี้ ซึ่งถึงมันจะ 

ยุ่งเหยิง แต่คุณก็ต้องเฝ้าตรวจสอบและปรับมันอยู่ตลอด 

เวลา และถ้าคุณสามารถถามคำถามที่ใช่และค้นหาทิศทาง 

ที่ใช่ได้แล้ว คุณก็จะสามารถไปต่อได้ เพราะคุณจะรู้ได้เลย 

ว่าต้องทำอะไรบ้าง... 

BC: ผมอยากจะแนะนำหนังสือดีๆ ที่เกี่ยวกับ “การคิด” 

เราสนใจในกระบวนการคิดและการออกแบบมาก เราสนใจ 

ว่าจิตของเราทำงานอย่างไร ผมเชื่อว่าความคิดสร้างสรรค์ 

เป็นกล้ามเนื้อที่เราฝึกได้ แม้มันจะเป็นสิ่งที่เรามีติดตัวเรา 

มาแต่กำเนิด ดังนั้น เราจึงต้องการเครื่องมือช่วยคิดเหล่านี้ 

เพื่อฝึกให้จิตของเราทำงานแตกต่างออกไปจากเดิม เอ็ดเวิร์ด 

เดอ โบโน ผู้เขียนหนังสือเรื่องการคิดนอกกรอบ ได้แนะนำ 

วิธีการที่เรียกว่า“ความสัมพันธ์แบบบังคับ”(Force Association) 

โดยให้ลองหาอะไรหลายๆ อย่างมา แล้วเอาคำเหล่านั้นมา 

ใช้กับสิ่งที่คุณกำลังทำอยู่ ดังนั้น เมื่อคุณถูกบังคับให้เอา 

ของ 2 สิ่งมาสัมพันธ์กัน จิตของคุณก็จะสร้างรูปแบบใหม่ 

ทางความคิดขึ้นมาทันทีวิธีนี้มันเป็นวิธีการเดียวกันกับที่เราฝัน 

ฉะนั้น มันมีเครื่องมือหลายอย่างที่ช่วยสร้างรูปแบบใหม่ 

ทางความคิดและหนังสือเหล่านั้นก็เป็นสิ่งน่าเรียนรู้ 

ผู้ฟัง: คุณมีวิธีการทำงานและโน้มน้าวลูกค้าได้อย่างไร 

BC: ถ้าคุณสามารถจัดการให้โปรเจ็กต์อยู่ภายใน 

งบประมาณและบรรลุวัตถุประสงค์ ลูกค้าก็จะยอมรับงาน 

นั้นได้ ดังนั้น วิธีการที่เรียบง่ายและใช้ได้จริงนี่แหละที่จะ 

ทำให้ลูกค้ายอมรับ แต่แนวทางการแก้ปัญหาที่คลุมเครือ 

หรือเฉพาะตัวมากๆ เช่น เน้นสไตล์การออกแบบ กลับจะ 

โน้มน้าวลูกค้าได้ค่อนข้างยาก 

WH: อธิบายอีกแบบก็คือ เราโน้มน้าวลูกค้าด้วยข้อ 

เท็จจริงและการวิเคราะห์มากกว่าจะใช้ความรู้สึกและสไตล์ 

ของการออกแบบ ฉันคิดว่ามันง่ายกว่าที่จะโน้มน้าวใจลูกค้า 

ถ้าหากว่าคุณทำการบ้านมามากพอ 

ภาพ : www.artsfwd.org/munch-club-3-what-is-lateral-thinking/ 

- 6 - 


ผศ.ดร.คัทลียา จิรประเสริฐกุล 

(see CONTRIBUTORS PAGE) 

C1 

Mr.Boo Chung Ang 

The Kissing Tower, on-paper project in KL 

ภาพ : www.whbca.com 

ผู้ฟัง: คุณจะช่วยอธิบายมุมมองที่มีต่อตัวเองในโลก 

ใบใหญ่นี้ได้มั้ย ทั้งมุมเชิงบวกและลบ คือผมมองในด้านดีนะ 

ว่าคุณมีวิธีคิดเป็นของตัวเองและไม่ได้ถูกกลืนไปในสังคมใหญ่ 

BC: ผมคิดว่าเราตัวเล็กมาก เราก้มหน้าก้มตาทำงาน... 

หวังว่านะ บางครั้งเราอาจอยากจะทำอะไรที่แปลกออกไปบ้าง 

แต่ท้ายที่สุด งานออกแบบควรจะเป็นอะไรที่บวกนะ เพราะ 

คุณกำลังสร้างสรรค์และมันไม่เหมือนกับการเมืองที่มีแต่ 

การต่อสู้แย่งชิงตลอดเวลา การออกแบบมันวิเศษเพราะว่า 

เราสร้างสรรค์ดังนั้น ถ้าคุณทำแล้วมีความสุข ก็จงทำต่อไปเถิด 

WH: บางครั้งที่เราตั้งคำถามกับตัวเองว่าสิ่งที่เราทำนั้น 

มันยิ่งใหญ่เพียงพอมั้ย หรือเราแค่มีความสุขอยู่กับการทำ 

สิ่งเล็กๆ ที่มันอาจจะให้ประโยชน์ต่อมนุษยชาติหรือไม่ก็ได้ 

นี่เป็นคำถามที่ทั้งนักออกแบบและไม่ใช่นักออกแบบมัก 

ถาม แต่ฉันคิดว่าในความเป็นมนุษย์นั้น ทุกๆ ก้าวเล็กๆ ที่ 

เราก้าวไป เราอาจไม่เห็นผลกระทบมากมายหรือเห็นได้ใน 

ทันที แต่ถ้าทุกๆ ก้าวของคุณไปในทิศทางที่ถูกที่ควร และ 

ทุกคนรอบตัวก็ทำเช่นเดียวกัน เราก็สามารถบอกตัวเองได้ว่า 

เราได้พัฒนาขึ้นแล้ว 

กลับมาที่คำถาม ฉันคิดว่าเราพยายามอย่างดีที่สุด 

ที่จะท ำให้สิ่งที่เราคิดออกมาเป็นงานออกแบบหรือสถาปัตยกรรม 

และเราก็หวังว่ามันจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงบวก 

จะในระดับท้องถิ ่นหรือในระดับโลกนั้นเราก็ไม่อาจทราบได้ 

แต่ถ้ามันไม่เกิดผลใดๆ ก็ไม่เป็นไร ถ้าเราสามารถทำให้ตัวเรา 

มีความสุข เพื่อนบ้านมีความสุข ลูกค้าก็มีความสุข ฉันก็คิดว่า 

มันพอแล้วล่ะ 

คัทลียา: คุณทั้งคู่ดูถ่อมตัวและติดดินมากเลยค่ะ มัน 

เลยทำให้นึกถึงคำที่คุณอธิบายบริษัทตัวเองว่าเป็น“สถาปนิก 

ติดดิน” (Blue-collar Architects) คุณช่วยอธิบายได้ไหม 

คะ ว่ามันเกิดขึ้นมาได้อย่างไรในระหว่างที่ประกอบวิชาชีพ 

เพราะฉันคิดว่าคุณชัดเจนและกล้าหาญมากที่พูดแบบนั้น 

WH: วิชาชีพของเราเป็นสิ่งที่เข้าใจได้ไม่ง่ายเลย 

ครอบครัวและญาติๆ ของเรามักจะถามว่า “เราทำอะไร” 

ผู้รับเหมาหรือเปล่า หรือเป็นคนทำงานอิสระ ในมุมหนึ่งมัน 

ก็ใช่นะ เพราะเราก็ลงพื้นที่รางวัดด้วยตัวเอง และพูดคุยกับ 

ช่างก่อสร้าง ดังนั้น เราจึงมองภาพของตัวเองเป็นสถาปนิก 

ที่ติดดิน มากกว่าที่จะเป็นสถาปนิกชั้นสูงที่คนเข้าถึงไม่ได้ 

BC: เราไม่ใช่แค่คิดอย่างเดียวนะ แต่เราเชื่อในการ 

กระทำและการทำให้ดีด้วย แต่การจะทำอะไรให้ได้ดีนั้น เรา 

จำเป็นจะต้องรู้จักช่างที่ทำงานนั้น เพราะช่างจะรู้ว่าต้องทำ 

อย่างไรงานจึงจะออกมาดีที่สุด ความรู้นี้มันทำให้เราเป็น 

นักออกแบบที่ดีขึ้น เพราะเราจะสามารถออกแบบได้อย่าง 

มีประสิทธิภาพ ไม่เหลือเศษ และลงรายละเอียดได้ ฉะนั้น 

เราจึงต้องทำงานกับผู้รับเหมาอย่างใกล้ชิด ไม่ใช่ใช้ระบบสั่ง 

ลงมา เอาแบบนี่นะ...ฉันไม่สนใจ! ความไม่เข้าใจกระบวนการ 

ทั้งหมดจะทำให้สิ้นเปลืองทรัพยากรจำนวนมาก 

ผู้ฟัง: คุณช่วยอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับวัสดุคอนกรีตได้มั้ย 

เช่น มีวิธีเตรียมไม้แบบอย่างไร หรือตกแต่งผิววัสดุอย่างไร 

BC: ผมคิดว่าคอนกรีตนั้นมี 2 เรื่อง คือ คอนกรีตใน 

ฐานะที่เป็นโครงสร้างนั้นจะสัมพันธ์กับรูปทรงเรขาคณิต 

เพราะมันจะทำให้โครงสร้างนั้นสามารถตั้งอยู่ได้นอกจากนี้ 

ยังมีรายละเอียดเทคนิควิธีทางวิศวกรรม เช่น ส่วนผสมของ 

คอนกรีตผสมและเหล็กเสริม ซึ่งทำให้เราต้องทำงานใกล้ชิด 

กับวิศวกรเพื่อกำหนดโครงสร้างร่วมกัน 

เรื่องที่สองคือการตกแต่งผิววัสดุ ซึ่งแน่นอนว่ามันเกิด 

จากแบบหล่อที่เลือกใช้ดังนั้น การทำความเข้าใจแบบหล่อ 

จึงเป็นสิ่งที ่สำคัญอย่างยิ่ง ไม่ว่าจะเป็นชนิดของแบบหล่อ 

ว่าไม้แบบชนิดต่างๆ ที่มาจากต่างถิ่นกันจะมีการดูดซับน้ำ 

ที่ไม่เท่ากัน จึงทำให้ผิววัสดุออกมาแตกต่างกัน ที่สำคัญ 

สถาปนิกต้องเข้าใจและยอมรับด้วยว่า ไม้เป็นวัสดุธรรมชาติ 

จึงมีผิวที่ไม่สม่ำเสมอ จึงทำให้แบบที่หล่อออกมามีผิวใน 

ลักษณะเดียวกัน แต่ถ้าคุณอยากได้ผิววัสดุที่เรียบสม่ ำเสมอ 

คุณก็ควรจะใช้แบบหล่อที่ทำด้วยเหล็ก 

WH: มันเป็นข้อจำกัดด้านราคา ถ้าคุณเห็นงานคอนกรีต 

ในญี่ปุ่น จะพบว่ามันสมบูรณ์แบบมาก เส้นคมชัดและสวยงาม 

เพราะว่าเขาสามารถจ่ายค่าแบบหล่อที่ทำจากเหล็กได้ แต่ 

ในมาเลเซีย เราไม่มีงบประมาณขนาดนั้น เราจึงต้องเลือกใช้ 

แบบหล่อชนิดอื่นๆ โดยที่เรารู้และยอมรับว่ามันจะมีความ 

ไม่สมบูรณ์แบบเกิดขึ้นที่ผิววัสดุ แต่เราสามารถออกแบบ 

ให้ออกมาดูดีได้ ดังนั้น สิ่งสำคัญคือเราต้องมีความเข้าใจ 

ในวัสดุท้องถิ่นและหาวิธีการพลิกแพลงมัน 

The subtracted house, Bangsaar, KL 

คัทลียา: ถามถึงโปรเจ็กต์ที่Wen Hsia ออกแบบให้กับ 

ชุมชนท้องถิ่น Orang Asli ว่าในการพูดคุยกับชาวบ้านนั้น 

มันยากลำบากแค่ไหน กว่าจะออกมาเป็นกระบวนการ 

ก่อสร้าง 

WH: จริงๆ มันก็เหมือนกับงานอื่นๆ ที่เราทำ คือ เราต้อง 

เข้าใจคนและสถานที่อย่างดีและพูดคุยกับพวกเขาว่าจะ 

ทำงานกันอย่างไร ฉันจำคลิปวิดีโอ ของ TEDx Talk อันหนึ่ง 

ที่เป็นกลุ่มคนไปทำงานชุมชนชนบท นักออกแบบก็คิดที่จะ 

ปลูกผักเพื่อช่วยชาวบ้าน แต่พอผักที่ปลูกไว้ใกล้ฤดูเก็บเกี่ยว 

ก็มีโขลงช้างมาทำลายพืชผักเสียหายหมด พวกเขาจึงถาม 

ชาวบ้านว่าแถวนี้มีช้างด้วยเหรอ ชาวบ้านจึงได้บอกว่า...มีสิ 

พวกเราถึงไม่ปลูกผักยังไงล่ะ เพราะมันจะถูกช้างทำลายหมด 

บทเรียนจากเรื่องนี้ก็คือ บางครั้งเวลาที่เราไปสถานที่ใหม่ๆ 

และเริ่มทำงานด้วยความรู้และความเข้าใจที่มีอยู่เดิม 

เราอาจก่อให้เกิดความผิดพลาดครั้งใหญ่หลวงได้ ดังนั้น 

เราจึงจำเป็นต้องทำความเข้าใจและพูดคุยกับชาวบ้าน รวมทั้ง 

ทำความเข้าใจด้วยว่าอะไรเป็นข้อจำกัด วัสดุที่หาได้ หรือ 

กำลังคนของเขา เราจำต้องสื่อสารเยอะมากๆ และใช้เวลา 

มากที่นั่น 

BC: ในการพูดคุยกับคนนั้น บางครั้งเราก็อาจไม่ได้ข้อ 

เท็จจริง ดังนั้น บางครั้งเราจึงต้องอ่านระหว่างบรรทัด และ 

เราก็บอกได้เลยจากประสบการณ์ว่าเราก็ผิดพลาดมามาก 

เหมือนกันจากความเข้าใจที่ไม่ถ่องแท้ ดังนั้น พวกเราก็ยัง 

ต้องเรียนรู้ต่อไป และเราทุกคนก็เป็นเช่นนั้น... 

*ติดตามฟังการบรรยายและบทสนทนาฉบับเต็มได้ที่ Facebook 

สมาคมสถาปนิกสยามฯ หรือทางเว็บไซต์ www.asa.or.th 


- 7 - 


WH: It’s a very good question. In fact, I was 

giving a lecture on the topic – How to achieve 

clarity? Because as designers, our mind status is 

always all over the place. How can we achieve the 

so called “EREKA moment”? It is when you say 

“Oh, I got it!” and suddenly you know what to do. 

So, first of all, there is a quote by someone whom 

I forgot the name. He said “To find the right question 

is actually the hardest. If you find it, then the rest 

is very easy.” So, there is the first step to find the 

right question. I will quote Norman Foster on that. 

He said “What I describe to you is like the tip of 

the iceberg. But what you don’t see is actually the 

long haul, the endless auditing and things like that.” 

Design never stop on paper. The auditing 

happens throughout the entire process, in the 

11 TH House, Petaling Jaya, Selangor 


construction, the finishing, until the project is 

handed over. There is so much to learn along the 

process. The process is always messy and you have 

to keep on auditing and adjusting. However, if you 

find the right question to ask and find the right 

direction to go, then you will be alright. You will 

know what to do. 

BC: Perhaps I could share a few books which 

I think it’s very interesting. Actually, we are very 

interested in design thinking: how our mind works. 

So, it’s actually very important to learn how our 

Mrs.Wen Hsia Ang 

Chempenai House, Damansara Heights, KL 


own mind works. Creativity, I believe, is a muscle 

that can be trained though you are born with it. 

Edward de Bono has books on lateral thinking and 

there are techniques that he use. One certain 

technique is “Forced Association”: you take something 

“In our studio, we take inspiration from an 

Eastern culture to work with the flow, to have a 

dialogue and a conversation with the situation.” 

After BC Ang ended the one-hour presentation 

by concluding the working nature of WHBC Architects 

(as quoted above), the 50-minute conversations 

then started. It was a chance for WHBC Architects 

to explain their ways of thinking and working. This 

article has selected some of the interesting conversations 

and share with the public. 

CJ: It seems that all of your projects would 

always look for “the right questions” and “the specific 

solutions”. What is the process lie behind all these 

right questions? How did you make the decision 

that this is the right one and you want to tackle 

with it? 

BC: When we presented the solution, it may 

seem very simple. But I am sure, as designers, 

everyone always knows that through analysis and 

a lot of different complexity and balancing different 

needs and requirements, it’s a very complicated 

and a very messy process in order to find “that 

questions” or “that gist” that you want to resolve. 

By distilling these messy thoughts into a simple 

thought is what all of us as designers are trained. 

In my view, designers are generalist, meaning that 

we are not specialist. We know a little bit of 

everything and it’s our job to synthesize it and 

distill all these different things into a clear solution. 

*The contents in this article are transcribed from the conversations 

of WHBC Architects with the moderator (Asst.Prof. 

Dr.Cuttaleeya Jiraprasertkun) in ASA Dialogue No.2, which 

was held on 1st April 2017, from 3pm-5pm at the 5th-floor 

auditorium, BACC, Bangkok. 

Office, Passion Republic, Puchong, Selangor 

- 8 - 

Office, Tujuan Gemilang, Damansara Perdana, Selangor 


Showroom, Green Cage, Petaling Jaya, Selangor 




andom and you put those random words to whatever 

you are doing. Once you are forced to associate 

these two things together, your mind forms new 

interesting pattern. It’s like how our dreams are 

formed. There are many tools that you could use 

to make your mind form interesting pattern and 

those books are good things to learn about. 

Audience: How do you work with the client 

and how do you convince the client? 

BC: If you manage to do the project within the 

budget and achieve the objective, then they will 

be convinced. So, it’s actually very simple and 

practical solutions that make the clients convinced. 

If it’s a solution that is based on hazy or very 

personal methods like stylistic method, then it’s 

pretty difficult to convince your client. 

WH: In other words, we convince the client 

with facts and the analysis rather than just feelings 

and stylish. I think it will be easier to convince 

your client if you have done enough work. 

Audience: Can you comment on how you see 

yourself within the big community, in both positive 

and negative ways? I see it as a positive thing that 

you are not suck in by this big community. 

BC: I guess we are small. We just put our heads 

down and do our work, I hope. Obviously, sometimes 

you’d like to do different typology of projects. But 

in the end, design should be a positive thing. Because 

you are creating and it’s not like politics which is 

always fighting. Design is wonderful because you 

create. If you are happy doing it, then continue 

doing it. 

WH: Sometimes we question ourselves: Is our 

contribution big enough? Or we’re just happily 

doing little things that may or may not contribute 

to humankinds? These are the questions I think 

maybe lots of designer or even non-designer will 

ask. Every little step you take, you may not see 

the immediate effect or huge impact. However, 

you should more every little step towards the 

correct direction, and then you can really see you 

are improving. 

Back to the question, I guess we just try our 

best to do what we think in terms of design and 

architecture, and hopefully that will become positive 

changes locally or globally. Or if it’s doesn’t have 

any impact, it doesn’t matter. If I can make myself 

happy, the neighbors happy, and the clients happy, 

I think that’s good enough. 

CJ: You two seem to appear very humble and 

down-to-earth and that reminds me of how you’ve 

described your firm as “blue-collar architects”. Can 

you talk a bit more about that because I think that 

perspective is very strong, bold and daring? How did 

that idea been developed through architectural 

practices? 

WH: Architect or designer is the profession 

that is not easy to understand. So, sometimes our 

parents and relatives misunderstand us – are you a 

contractor or a free-lancer? In a way, we are because 

we go to the site, measure everything ourselves 

and speak to the workers. So, that’s how we see 

ourselves as blue-collar architects rather than the 

architects who are doing up there and unreachable. 

BC: Not only on thinking about idea but we 

also believe in making, and making well. In order 

to make well, you need to know the persons doing 

the work because they will know very well how 

things are best done. Knowing how things are best 

made makes us better designers. We will design 

more efficiently. We will not design to waste. We 

will design to know how to detail. Therefore, we 

need to work very closely with our builders rather 

than a top down approach: I want it done this way, 

I don’t care! If you don’t understand the whole 

process then you are wasting a lot of resources. 

Audience: Can you explain more about the 

concrete? How did you prepare the formwork and 

how did you get the finish of it? 

BC: I think there are two things with concrete. 

First thing with concrete is concrete as a structure. 

Concrete as a structure would go into geometry. 

Like a paper, if you put it up, it will fall because it 

doesn’t have strength. The geometry itself gives 

structure. The second thing in that structure sense 

is the concrete mix and the steel bars. Those are 

engineering methods and we believe in working 

very closely with our engineers, to refine how 

structures are done. 

The second portion of concrete is about the 

surface treatment and it obviously comes from 

the formwork. So, understanding the formwork is 

crucial; for example, the type of formwork, different 

types of ply come from different location, different 

sets will absorb water differently. It will also act 

differently and cause different surface finishing. 

Also, understanding that because ply is made of 

wood and wood is natural material which is not 

consistent. So, understanding that the inconsistency 

will cause inconsistency in surface and accepting 

them that way is also important. If you want consistent 

surface, you can work with steel because 

they are consistent. 

Bathroom, Asli, Pahang 

WH: It’s because of the cost limitation. If you 

see the concrete work in Japan, they will be very 

perfect. The line is so straight and so beautiful 

because they can invest on formwork. They can 

use steel formwork and the end product will be 

very neat. In Malaysia, we don’t have that kind of 

budget instead we have to work around the budget. 

We can use whatever formwork we can get and 

then we design. We know that certain imperfection 

will appear, and then we design to how we make 

the imperfection design looks good. So, understanding 

what’s available in your local context and how you 

can tweak it, that’s important as well. 

CJ: On the project Wen Hsia did with the Orang 

Asli local community, how tough was that talking 

to people and coming up with the building process? 

WH: It’s actually very similar to all our jobs. 

You really have to understand the people and place 

well and speak to them on how to go about certain 

things. I remember seeing TEDx Talk about a group 

of people doing a community project in rural area. 

In order to help the rural people, they start planting 

vegetables. When the vegetables is about to be 

harvested, suddenly a group of elephants come 

and all the vegetables are gone. Then they asked 

the local how come there are elephants in this 

area. They said yes, that’s why we never have 

vegetable in this area because there are elephants. 

So, the lesson of this story is that sometimes if 

you go to a place or other area and start working 

with your own knowledge or perception, you will 

find that you are going to make a huge mistake. 

You really have to talk to people and understand 

what kind of limitation, available material, and 

manpower you can get. You really have to do a lot 

communications. You have to spend a lot of time 

there. 

BC: Talking to people, sometimes you won’t hear 

the truth. Sometimes you need to read between 

the lines. We are saying from experiences that we 

made a lot of mistakes as well by not understanding 

truly, so we continue learning and all of us do... 

*Follow the full lecture and conversations at Facebook Page 

of ASA. or www.asa.or.th 


- 9 - 



BARTLETT SCHOOL OF ARCHITECT 

โรงเรียนสถาปัตย์ผลิตนักคิด 

ภาพ : www.facebook.com/BartlettArchitectureUCL 

The Bartlett School of Architecture, University College London (UCL) ไม่ได้มุ่ง 

เน้นที่จะผลิตสถาปนิกเพียงอย่างเดียว แต่มีระบบการเรียนการสอนที่เปิดกว้างให้นักศึกษา 

ได้ทดลองและค้นคว้าหาสิ่งที่ชอบและนำไปประยุกต์ใช้ในด้านต่างๆ ที่อาจไม่เกี่ยวข้องกับ 

งานสถาปัตยกรรมก็ได้ 

สิ่งหนึ่งที่ได้เปรียบสำหรับโรงเรียนคือที่ตั้งกลางกรุงลอนดอน เมืองระดับโลกที่เปิดโอกาส 

ให้นักศึกษาจากทั่วโลกได้สัมผัสและเรียนรู้จากสิ่งที่พบเจอในชีวิตประจำวัน และเนื่องจาก 

โรงเรียนเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยที่มีโรงเรียนด้านวิชาการหลากหลายด้าน จึงมีห้อง 

สมุดที่มีประสิทธิภาพและ e-database ที่รวบรวมหนังสือและบทความเกี่ยวกับความรู้ งานวิจัย 

ด้านต่างๆ จากทั่วโลกไว้บริการนักศึกษาอีกด้วย 

ระบบการเรียนการสอนที่นี่เป็นรูปแบบสหพันธวิชา… 

เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถสร้างความสัมพันธ์ 

ระหว่างวิชาเรียนและความสนใจส่วนตัว 

ซึ่งมีส่วนทำให้ Bartlett เป็นหนึ่งในโรงเรียนระดับโลก 

ที่มีความก้าวหน้าทางวิชาการในด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ 

ระบบการศึกษาของอังกฤษมุ่งเน้นไปในด้านงานวิจัยทางด้านวิชาการหรือ Academic 

Research แม้แต่ในโรงเรียนสถาปัตยกรรมศาสตร์เอง นักศึกษาในทุกๆ สาขาวิชาจะต้องผ่าน 

การฝึกเขียนรายงานอย่างถูกต้อง การเขียนเป็นหนึ่งในวิธีการหาความรู้ เพราะจำเป็นต้องมี 

การอ่านหนังสือเพื่อค้นหาข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อที่เขียน วิธีการนี้ถือว่าเป็นการเรียนรู้แบบ 

นำตัวเองหรือ Self-Learning Process ซึ่งนักศึกษาทุกคนต้องขวนขวายเองในหัวข้อที่ตนเอง 

สนใจ โดยมีอาจารย์ทำหน้าที่เป็นเพียงผู้ให้คำแนะนำ ส่วนการเรียนการสอนวิชาต่างๆ นั้น 

ส่วนใหญ่เป็นรูปแบบสัมมนา ซึ่งผู้เรียนจะได้รับรายการของสิ่งที่ต้องอ่านก่อนเรียนแต่ละคาบ 

เพื่อทำความเข้าใจและนำมาแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกันกับอาจารย์และเพื่อนๆ ซึ่งเป็นวิธี 

การเรียนที่มีประสิทธิภาพกว่าการฟังและจดจากอาจารย์ผู้สอน 

การเรียนปริญญาโท หรือ Postgraduate ที่อังกฤษมีระยะเวลาสั้นมาก ส่วนใหญ่จะมี 

ระยะ 12 เดือนเต็ม ซึ่งช่วงเวลาปิดเทอมจะเป็นช่วงทำรายงานส่งและอ่านหนังสือสอบ ดังนั้น 

จึงเป็นระยะเวลา 1 ปีที่เข้มข้นมาก เพราะนอกจากจะต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ แล้ว ยังต้องทำ 

วิทยานิพนธ์ในระยะเวลาไม่ถึงครึ่งปี 


- 10 - 


ระบบการเรียนการสอนที่นี่เป็นรูปแบบสหพันธวิชาหรือInterdisciplinary 

เป็นการผสมผสานความรู้หลายๆ แขนงเข้าด้วยกัน ทำให้ 

แนวทางการเรียนไม่ได้เจาะจงแค่สถาปัตยกรรมเพียงอย่างเดียว 

แต่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนสามารถสร้างความสัมพันธ์ระหว่างวิชาเรียน 

และความสนใจส่วนตัว ซึ่งมีส่วนทำให้Bartlett เป็นหนึ่งในโรงเรียน 

ระดับโลกที่มีความก้าวหน้าทางวิชาการในด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ 

โลกยุคปัจจุบันกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว มีสิ่งต่างๆ 

เกิดขึ้นใหม่และหายไปตลอดเวลา ในด้านการศึกษาก็เช่นกัน 

เนื้อหาของบทเรียนไม่สามารถปรับทันตามกระแสโลกได้ แม้จะ 

มีการปรับเปลี่ยนอยู่ทุกๆ ปี สิ่งที่สำคัญกว่าคือการหาความรู้ 

และรับข่าวสารให้ทันโลกโดยผู้สอนและผู้เรียนเอง 

อริสา จึงโสภณวิทวัส 


C2 

The Bartlett เป็นโรงเรียนที่มีความหลากหลายในเชื้อชาติเปิด 

โอกาสให้เราได้แลกเปลี่ยนมุมมองกับคนจากทั่วโลกและไม่ใช่ทุกคน 

ในโรงเรียนมีความใฝ่ฝันที่จะเป็นสถาปนิกแต่ภายในโรงเรียนรูปแบบ 

สหพันธวิชานี้เปิดโอกาสให้ทุกคนได้ทดลองค้นหาสิ่งที่เหมาะกับตัวเอง 

และสอนวิธีคิดที่มีประสิทธิภาพที่สามารถน ำไปประยุกต์ใช้ได้กับงาน 

ในทุกสายอาชีพที่เกี่ยวข้องได้ในอนาคต ซึ่งถือว่าเป็นการฝึกฝนที่มี 

ประโยชน์สอดคล้องกับสภาวะโลกในยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลง 

อยู่ตลอดเวลา 

มุมมองจากชานพักบันไดของบันไดกลางสามารถมองเห็นกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างสองชั้น 

View from the main stair landing showing activities happening on 2 floors 

The English education system focuses on academic research. Even 

in the architecture school itself, students in every branch need to learn 

how to write a proper report. Writing essays is one of the ways to study 

because the students need to read books to find data related to their 

topics. This can be called a self-learning process, which every student 

must pay attention to the topic they’re interested in. Teachers are only 

advisors. Usually the classes are held in seminars. Students will receive 

a list of things that they need to read before each class to understand 

and to discuss with teachers and their friends. This way of studying is 

more effective than just listening and taking notes from teachers. 

Post graduate study in England has a very short time span, usually about 

12 months. The semester break is the time for doing reports and revising 

before exams so this will be a very intense year because not only will 

students need to learn new things but they will have to finish their theses 

in less than half a year as well. 

The education system here is interdisciplinary, which is a mixture of 

various subjects. Studying here is not limited to architecture, but allows 

students to create relationships between the subjects and their personal 

interests. As the result, Bartlett School has become one of the 

world class schools with advance architectural curriculum. 

The current world is changing rapidly; many things are happening 

and disappearing, and this happens in the education industry as well. 

The content of lessons, even if they are updated every year, cannot be 

adapted fast enough to catch up to the world. Searching and gathering 

information to catch up with the moving world by teachers and students 

are more important. 

There are various nationalities in the Bartlett school. That gives us 

opportunities to exchange our ideas with people from around the world. 

Not everyone in the school dreamed of becoming an architect but the 

interdisciplinary education system allows everyone to try and search for 

what suits each of them, and teaches them how to do efficient thinking 

that can be applied to any career in the future. That is the useful training, 

according to the situation of the modern world that changes all the time. 

ล็อบบี้โดยปกติใช้เป็นจุดนัดพบ/กินอาหาร 

ในบางโอกาสจัดปาร์ตี้และแสดงงาน Concept Multi-purpose Space ทั้งตึก 

The main lobby space normally fuctions as a meeting and lunch 

area and is occationally used for exhibition and party. 

The Bartlett School of Architecture, University College London (UCL), 

doesn’t focus only on producing architects but also has a wide-open 

education system for students to experience and search for what they 

are interested in, and students could apply it in other things aside from 

architecture. 

One advantage of this school is its location, at the center of London, 

which allows students from all over the world to learn from things they 

encounter in their daily basis. Because the school is a part of the university 

which has variety of subjects, there are both an effective library and an 

e-database which contains books and articles about research from all 

over the world. 


- 11 - 


ARTICLE 

Architects and Copyright Protection 

in “Architectural Design” 

สถาปนิกกับลิขสิทธิ์ใน “งานสถาปัตยกรรม” 

ภาพซ้าย : http://www.telegraph.co.uk/luxury/property-and-architecture/1974/pirated-zaha-hadid-building-under-construction-in-china.html 

ภาพ : http://www.telegraph.co.uk/luxury/property-and-architecture/1974/ 

pirated-zaha-hadid-building-under-construction-in-china.html 

Galaxy Soho อีกหนึ่งแลนด์มาร์คในกรุงปักกิ่ง ออกแบบโดย Zaha Hadid สถาปนิกหญิงระดับโลกเชื้อสายอิรัก-อังกฤษ 

Galaxy Soho, another landmark in Beijing, designed by Zaha Hadid, a world famous female Iraqi-British architect. 

อาคาร The Meiquan 22nd Century ณ เมืองฉงชิง ซึ่งถูกกล่าวหาว่าลอกเลียนแบบอาคาร Galaxy Soho 

The Meiquan 22nd Century Building located in Chongqing, allegedly replicating the Galaxy Soho. 

สิ่งใกล้ตัวที่สุดซึ่งหลายคนมักนึกถึงเมื่อเอ่ยถึง 

“ลิขสิทธิ์” คือภาพถ่าย ซึ่งเราเป็นคนกดชัตเตอร์และเซฟ 

ไว้ในโทรศัพท์มือถือ หลายคนอาจนึกถึงเพลงและ 

ภาพยนตร์ซึ ่งเพิ่งโหลดบิตมายังไม่เสร็จตั้งแต่เมื่อคืน เกม 

คอมพิวเตอร์ เพจการ์ตูนออนไลน์ คลิปวิดีโอที่กดดูจากบน 

หน้าเพจเฟซบุ๊กระหว่างรอรถไฟฟ้า รวมถึงภาพสวัสดีตอนเช้า 

ที่ได้รับจากกรุ๊ปไลน์ของญาติแทบจะตรงเวลาทุกเช้าวัน 

จันทร์ถึงศุกร์ 

หลายคนอาจไม่ทราบว่า นอกจากสิ่งใกล้ตัวที่เรามักนึกถึง 

บ่อยๆ ดังที่กล่าวมาข้างต้น ลิขสิทธิ์ยังคุ้มครองครอบคลุม 

ไปถึงสิ่งที่เรียกกันทั่วไปว่า “งานสถาปัตยกรรม” ด้วย 

“งานสถาปัตยกรรม” ที่ว่านี้ได้แก่งานออกแบบอาคาร 

หรือสิ่งปลูกสร้าง งานออกแบบตกแต่งภายในหรือภายนอก 

ตลอดจนบริเวณของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง หรือการ 

สร้างสรรค์หุ่นจำลองของอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง โดยงาน 

เหล่านี้จัดอยู่ในกลุ่มงานศิลปกรรม ซึ่งสถาปนิกผู้สร้างสรรค์ 

จะได้รับความคุ้มครองลิขสิทธิ ์ตามที่บัญญัติไว้ในพระราช 

บัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ.2537 มาตรา 6 

กฎหมายคุ้มครองลิขสิทธิ์งานสถาปัตยกรรมแค่ไหน 

เป็นที่น่าสังเกตว่า กฎหมายใช้คำว่า “งานออกแบบ” 

จึงหมายความว่า สิ่งที่กฎหมายคุ้มครอง ตลอดจนสิ่งที่ 

สถาปนิกผู้สร้างสรรค์สามารถเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ได้แก่ 

ตัวชิ้นงานที่เป็นงานออกแบบ แต่ไม่รวมถึงตัวตึกหรือตัว 

อาคารที่ถูกสร้างขึ้นมาตามการออกแบบนั้นๆ ตัวอย่างของ 

งานเหล่านี้เช่น “งานออกแบบ” วัดวาอาราม โบสถ์ วิหาร อาคาร 

สำนักงาน ห้างร้าน ตลอดจนอาคารสถานที่ท่องเที่ยวต่างๆ 

When referring to Copyright, people may think of 

those photos that you have pressed the shutter and 

saved them on the mobile phone. Many may think of 

songs and movies that have unsuccessfully been 

downloaded via bit torrent since last night. Computer 

games, online comic pages, or video clips watched on 

Facebook page while waiting for the BTS or MRT might 

also be included. Some may as well think of those ‘good 

morning’ pictures received from the Line Group of relatives 

almost every Monday to Friday. 

In addition to those works mentioned above copyright 

protection also extends to what is commonly 

known as “Architectural Design”. 

“Architecture design” (or “work of architecture”, as 

stated in the Copyright Act, BE 2537), means a design 

of buildings or constructions, a design of interior or exterior 

decoration as well as a landscape design or a creation 

of a model of buildings or constructions. These works 

are categorized as artistic works, which could be protected 

by copyright and the architects who creates the design 

could receive the exclusive rights based on that copyright 

protection according to Section 6 of the Act. 

Copyright Protection in Architectural Work 

It is noteworthy that the law uses the term “design”. 

Therefore, what the law protect, as well as what the 

architects could claim a copyright, is the “design” not 

the building itself or the building that was built according 

to that design. For examples, these work of architectures 

include a “design” of temples, a “design” of churches, cathedrals, 

office buildings, department stores, and any 

other tourist attractions. 

- 12 - 

อย่างไรก็ตาม ความสนุกและน่าสนใจของงาน 

สถาปัตยกรรม ซึ่งทำให้งานประเภทนี้โดดเด่นและแตกต่าง 

อย่างสำคัญจากงานลิขสิทธิ์ประเภทอื่นๆ คือ เรื่องของการ 

ละเมิด 

อย่างไหนเรียก “ละเมิดลิขสิทธิ์” ในงานสถาปัตยกรรม 

โดยทั่วไปการกระทำที่จะถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์นั้น 

มาตรา 27 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ ระบุว่า ได้แก่ การ 

ทำซ้ำหรือดัดแปลง หรือการเผยแพร่ต่อสาธารณชนซึ่งงาน 

อันมีลิขสิทธิ์ใดๆ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของลิขสิทธิ์โดย 

กฎหมายให้ความหมายของการ “ทำซ้ำ” ไว้ว่า หมายความถึง 

การคัดลอกไม่ว่าโดยวิธีใดๆ เลียนแบบ ทำสำเนา ทำแม่พิมพ์ 

บันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกเสียงและภาพ จากต้นฉบับ 

จากสำเนา หรือจากการโฆษณาในส่วนอันเป็นสาระสำคัญ 

ทั้งนี้ ไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน 

ด้วยเหตุนี้ จึงมีประเด็นน่าสนใจว่า การ “ทำซ้ำ” ด้วย 

การทำแม่พิมพ์บันทึกเสียง บันทึกภาพ หรือบันทึกเสียงและ 

ภาพซึ่งงานสถาปัตยกรรม โดยไม่ได้รับอนุญาตจากเจ้าของ 

ลิขสิทธิ์ จะถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ทุกกรณีไปหรือไม่? 

ถ่ายภาพ ถ่ายวิดีโอ หรือวาดภาพอาคารสถาปัตยกรรม 

ต่างๆ ได้หรือไม่ 

เรื่องนี้ มาตรา 38 ของพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ฯ ระบุไว้ 

ชัดเจนว่า การวาดเขียน การเขียนระบายสีการแกะลายเส้น 

การปั้น การแกะสลัก การพิมพ์ภาพ การถ่ายภาพ การถ่าย 

ภาพยนตร์หรือการแพร่ภาพซึ่งงานสถาปัตยกรรมใด มิให้ 

ถือว่าเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ในงานสถาปัตยกรรมนั้น 


ช้องนาง วิพุธานุพงษ์ 


C3 

กฎหมายใช้คําว่า ‘งานออกแบบ’ จึงหมายความว่า 

สิ่งที่กฎหมายคุ้มครอง ตลอดจนสิ่งที่สถาปนิกผู้สร้างสรรค์ 

สามารถเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์ ได้แก่ ตัวชิ้นงานท่ี่เป็นงานออกแบบ 

แต่ไม่รวมถึงตัวตึกหรือตัวอาคารที่ถูกสร้างขึ้นมา 

ตามการออกแบบนนั้นๆ 

ภาพขวา : http://blogs.artinfo.com/objectlessons/2013/12/31/ 

artinfos-10-best-architecture-and-design-stories-of-2013/ 

นั่นหมายความว่า กฎหมายอนุญาตให้บุคคลทั่วไป 

สามารถวาดภาพ ถ่ายภาพ และแพร่ภาพซึ่ง “งาน 

สถาปัตยกรรม” ได้ โดยยกเว้นไม่ถือเป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ 

แม้ว่าการกระทำที่กล่าวมานั้นจะไม่ได้รับอนุญาตจาก 

เจ้าของลิขสิทธิ์เลยก็ตาม 

อย่างไรก็ดี กรณีการถ่ายภาพหรือแพร่ภาพที่กล่าวมา 

นี้ น่าจะเป็นคนละเรื่องกับการนำงานสถาปัตยกรรมนั้นมา 

“ทำซ้ำ” ด้วยการสร้างขึ้นใหม่แบบลอกเลียนกันมาทุก 

ประการ เช่นกรณีของ ซาฮา ฮาดิด สถาปนิกหญิงผู้มีสไตล์ 

การออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ซึ่งเมื่อปี 2556 พบว่างาน 

ออกแบบสถาปัตยกรรมของเธอถูกนำไปลอกเลียนและทำ 

ซ้ำในประเทศจีน ชนิดที่เรียกว่าเหมือนกันอย่างกับแกะออก 

มาจากแม่พิมพ์เดียวกันเลยทีเดียว (เปรียบเทียบความ 

เหมือนและอ่านรายละเอียดของความพยายามในการ 

ดำเนินคดีได้ที่ https://fordhamartlawsociety. 

com/2015/10/30/a-tale-of-two-buildings-a-case-ofarchitectural-copyright-infringement-in-china/) 

การ “ทำซ้ำ” แบบในกรณีของ ซาฮา ฮาดิด นี้จะถือเป็น 

ละเมิดลิขสิทธิ์หรือไม่ ขอทิ้งเป็นประเด็นคาใจให้สถาปนิก 

เอาไว้เถียงกันเล่นสนุกๆ เวลาติดฝนก็แล้วกัน 

ภาพ : www.zaha-hadid.com/architecture/galaxy-soho/ 

ภาพ : http://matthewniederhauser.com/research/2012/11/11/ 

galaxy-soho-lights-up-the-beijing-skyline/ 

One interesting point of copyright protection in 

ภายนอกและภายในของ Galaxy Soho ซึ่งออกแบบโดย Zaha Hadid 

Exteria and Interia of Galaxy Soho, by Zaha Hadid 

work of architecture that makes this type of work different 

from other types of copyright works, is about the 

infringement issues. 

Piracy in Architectural Work 

In general, Section 27 of the Act states that it is 

considered to be an infringement of copyright if a person 

makes reproduction, adaptation, or publicly distribution 

of any copyrighted works without permission of 

the copyright owner. According to the law, “reproduction” 

means any material method of copying, imitation, duplication, 

block-making, sound recording, video recording 

or sound and video recording from an original, a copy 

or a publication, whether in whole or in part. 

Therefore it is interesting that whether taking photos 

or making video recording of an architectural work 

without permission of the copyright owner would be 

considered as unauthorised “reproduction” of such work, 

which would create a copyright infringement. 

A Drawing of Architectural Buildings? 

Article 38 of the Copyright Act clearly stated that a 

drawing, painting, engraving, molding, carving, lithography, 

อาคาร The Meiquan 22nd Century ที่อยู่ในระหว่างการก่อสร้าง 

The Meiquan 22nd Century Building, underconstruction 

ภาพ : hhttp://www.globaltimes.cn/content/754764.shtml 

photograph, film or video broadcast of an architectural 

work shall not be deemed an infringement. 

This means that the law allows people to draw, 

photograph, film, video or broadcast architectural work 

even though they are done without permission of the 

copyright owner. This is considered as an exception to 

copyright infringement in architectural work. 

However, in the case of photography or broadcasting 

mentioned above, it would be quite different from 

making reproduction of architectural work by means of 

creating a replica in all respects. For example, in case of 

Zaha Hadid, a female architect who held a unique design 

style, which, in 2013, found that her architectural work 

was copied in China. In this very interesting case, both 

pirated and original architectural works are almost 

identical. (Compare the similarity and read the details 

of the litigation efforts here. https://fordhamartlaw society. 

com/2015/10/30/a-tale-of-two-buildings-a-case-ofarchitectural-copyright-infringement-in-china/ 

) 

Is the “reproduction” in the above case of Zaha 

Hadid an infringement of copyright in architectural 

design? Let’s leave it for discussion amongst all the 

architects, who are waiting, while it is raining cats and 

- 13 - 

dogs out there. 


SCOOP 

Architect Expo 2017 Tour 

พาชมงานสถาปนิก’ 60 

บรรยากาศของงานสถาปนิก’60 โดยสมาคมสถาปนิก 

สยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์เมื่อวันที่2-7 พฤษภาคม 2560 

ที่ผ่านมา ณ อาคารชาเลนเจอร์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี 

ได้สร้างความประทับใจและแรงบันดาลใจให้ผู้เข้าชม 

นิทรรศการต่างๆ อย่างมาก ด้วยการจำลองพื้นที่จัดแสดง 

นิทรรศการทั้งหมดภายในส่วนที่เรียกว่า ASA Zone ให้ 

สอดคล้องกับการจำลองภาพของชุมชนที่มีการจัดวางพื้นที่ 

ใช้สอย เพื่อให้ผู้คนในชุมชนได้มีการสร้างความสัมพันธ์ 

ต่อกัน โดยให้ความสำคัญกับพื้นที่ที่ผู้คนมาพบปะพูดคุย 

ทำกิจกรรมร่วมกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในแนวคิดหลักของการกลับมา 

ทบทวนเรื่องบ้านและที่อยู่อาศัย ภายใต้แนวคิดหลักของ 

การจัดงานปีนี้“บ้าน บ้าน : BAAN BAAN Reconsidering 

Dwelling” 

นิทรรศการ “สถาปนิกแห่งแผ่นดิน” 

Architect of the Kingdom 

เมื่อเดินเข้าสู่ภายในอาคารชาเลนเจอร์ ผ่านจุดลง 

ทะเบียนแล้ว ผู้เข้าชมจะได้พบกับส่วนจัดแสดงนิทรรศการ 

สำคัญที่สุดตรงกลางของ ASA Zone ที่จัดทำขึ้น เพื่อเทิด 

พระเกียรติ และน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณใน 

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ผู้เป็น 

ที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย ในนิทรรศการ “สถาปนิกแห่ง 

แผ่นดิน” ซึ่งประกอบด้วยภาพการเสด็จพระราชดำเนิน 

ทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้านสถาปัตยกรรม ในการ 

ออกแบบตัวนิทรรศการมีการเลือกใช้วัสดุนั่งร้านก่อสร้าง 

และผ้าใบคลุมงานก่อสร้าง มาใช้เป็นโครงสร้างหลักของตัว 

นิทรรศการ ซึ่งตรึงสายตาผู้เข้าชมงานได้เป็นอย่างดีภายใน 

จัดแสดงมัลติมีเดียเกี่ยวกับโครงการชั่งหัวมันในพระราชด ำริ 

เพื่อให้ผู้ที่รับชมสามารถสัมผัสและรับรู้ถึงพระอัจฉริยภาพ 

ของพระองค์ท่าน ในการพลิกพื้นผืนดินที่แห้งแล้งให้สามารถ 

กลับมาปลูกพืชได้ 

นิทรรศการภาพของพ่อ 

Image of King Bhumibol Adulyadej 

เป็นนิทรรศการที่จัดขึ้นเพื่อให้เพื่อนพี่น้องสถาปนิก 

ศิลปิน และประชาชนทั่วไป สามารถส่งผลงานภาพวาดที่ 

แสดงออกถึงความรักความระลึกถึงองค์พ่อหลวงของ 

ปวงชนชาวไทย เพื่อนำมาร่วมจัดแสดงกว่า 140 ผลงาน 

หลากหลายทั้งเทคนิคและสีสันในการนำเสนอ 

นิทรรศการ บ้าน บ้านจำลอง 

BAAN BAAN Mockup 

จากนิทรรศการสถาปนิกแห่งแผ่นดิน เดินชม 

นิทรรศการตามเข็มนาฬิกาจากฝั่งขวาไปตามลำดับ แรกสุด 

จะได้พบกับ นิทรรศการ บ้าน บ้านจำลอง BAAN BAAN 

Mockup ซึ่งรวบรวมแบบจำลองการออกแบบต่างๆ ทั้งบ้าน 

ที่อยู่อาศัย สวนสาธารณะและอาคารโครงการขนาดใหญ่ที่ 

รวบรวมมาจากบริษัทออกแบบต่างๆ กว่า 100 โมเดล แทบจะ 

เรียกได้ว่านี่คือพื้นที่แสดงผลงานของสถาปนิกทั่วประเทศ 

เลยทีเดียว ที่พิเศษคือชอบไอเดียดีไซน์งานชิ้นใด สแกน 

QR Code รับข้อมูลได้ทันที 

The atmosphere of Architect Expo 2017, organized 

by The Association of Siamese Architects under the 

Royal Patronage, on 2-7 May 2017 at Challenger 

Hall 1-3, IMPACT Muang Thong Thani, had impressed 

and inspired visitors very much. The exhibition 

area in ASA Zone imitated a real community that 

is arranged its functional area to build communal 

relationship. The arrangement emphasized the 

meeting area for people to meet and join events, 

which is one of the main idea of “BAAN BAAN 

Reconsidering Dwelling”, the theme of the exhibition 

this year. 

- 14 - 

“Architect of the Kingdom” Exhibition 

When passing through the registration point to 

enter the Challenger Hall, visitors would see the 

most important exhibition area in the middle of 

ASA Zone. The area was honorably dedicated to 

remembrance of His Majesty King Bhumipol Adulyadej, 

our beloved king. Photographs of His Majesty 

royal architectural duties were exhibited in 

the area. The main structures were scaffoldings 

with mesh sheet, which attracted visitors very well. 

There was a multimedia show about “Chang-Hua- 

Mun” Royal Initiative Project, to let people learn 

about the genius of His Majesty King Bhumipol 

Adulyadej in recovering the arid land to be fertile. 

“Image of King Bhumibol Adulyadej” Exhibition 

Over 140 pictures created by architects, artists 

and interested people were exhibited here to show 

our love and remembrance of Thai’s royal father. 

Those pictures were presented colorfully in various 

techniques. 

BAAN BAAN Mockup Exhibition 

If you walked around the exhibition clockwise, 

started on the right side from the “Architect of the 

Kingdom Exhibition” zone, the first you met would be 

“Baan Baan Mock up Exhibition”. There were over 

100 models of houses, resident parks and resident 

buildings from many design companies, displayed 

in this area. Each model had the QR code for visitors 

to scan to get more information right away. 


นิทรรศการ บ้าน บ้าน 

Reconsidering Dwelling 

ใกล้ๆ กันมีส่วนจัดแสดงแนวคิดการทบทวนเรื่องที่อยู่ 

อาศัยที่ถือเป็นไอเดียหลักของการจัดงานในปีนี้นิทรรศการ 

บ้าน บ้าน Reconsidering Dwelling นำกลุ่มตัวอย่างของ 

ผู้อยู่อาศัยที่แตกต่างไปจากความคุ้นเคยเมื่อพูดถึงบ้าน 

ทั้งคนงานก่อสร้าง คนเร่ร่อน พระสงฆ์และอื่นๆ มาถ่ายทอด 

ประสบการณ์และแนวคิดต่อที่อยู่อาศัยของตน สะกิดใจให้ 

เราตั้งคำถามกับตัวเอง ซึ่งจะทำให้มิติของบ้านกว้างไป 

มากกว่าแค่สิ่งปลูกสร้างที่ผู้คนเข้าใจกัน เพิ่มเติมด้วยการ 

เขียนข้อความผ่าน Post-It บอกเล่าถึงบ้านของฉัน และบ้าน 

ในฝันของผู้เข้าชมได้ด้วย 

Reconsidering Dwelling Exhibition 

Nearby the Mockup zone, there’s an exhibition 

showing ideas about dwellings, which is the main 

theme of this year event. The exhibition in this 

zone was presented by setting a discussion with 

variety of guests, such as workmen, homeless 

people, and monks. These guests presented their 

experience and opinions about their dwellings, 

twitched us to question ourselves, and could expand 

the dimension of “houses” wider than just a building 

as people thought. There was a board for visitors 

to write on “Post-It”, telling about their houses and 

their dream houses too. 

TEXT : 

TEAM 

นิทรรศการ นิสิต นักศึกษาสถาปัตยกรรมศาสตร์ 

Student Exhibition 

แวะชมงานของนิสิต นักศึกษาสถาปัตย์จากสถาบัน 

ต่างๆ ทั่วประเทศที่ส่งแบบเข้ามาประกวดภายใต้หัวข้อ 

เดียวกับการจัดงาน นั่นคือ “บ้าน บ้าน : BAAN BAAN 

Reconsidering Dwelling” สิ่งที่น่าสนใจคือวิธีคิดและการ 

ตีความที่อยู่เบื้องหลังการออกแบบของนักศึกษาที่จะเป็น 

บุคลากรด้านสถาปัตยกรรมในอนาคต ผลการตัดสิน รางวัล 

ที่1 ได้แก่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร รางวัล 

ที่ 2 มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลศรีวิชัย และรางวัล 

ที่ 3 มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

Architectural Student Exhibition 

A lot of architectural students, from many 

institutes all over country, sent in their designs to 

join “BAAN BAAN Reconsidering Dwelling Competition”. 

It’s interesting to see ideas and interpretation 

beneath the designs created by these students 

who will be architectural personnel in the future. 

The first prize winner is Rajamangala University 

of Technology Phra Nakhorn, the second prize is 

Rajamangala University of Technology Srivijaya, 

and the third prize is Chiang Mai University. 

- 15 - 


นิทรรศการประกวดแบบเชิงความคิด 

ASA International IDEAS Competition 

นิทรรศการนี้เราจะได้เห็นการตีความที่อยู่อาศัยในรูป 

แบบแนวความคิดที่ถ่ายทอดออกมาอย่างหลากหลาย ภาย 

ใต้หัวข้อ Home-ly ซึ่งรางวัลชนะเลิศเป็นของกลุ่มสถาปนิก 

ที่นำโดยคุณชัยเศรษฐ์เศรษฐสกุลชัย ที่นำเสนอแนวคิดจาก 

“บ้านเกิด” คือการใช้พื้นที่ขนาดใหญ่ให้สอดคล้องกับอาชีพ 

ของผู้อยู่อาศัย โดยให้ผู้ชมมีการตีความร่วมกัน เพื่อนำเสนอ 

การออกแบบที่อยู่อาศัย 

*ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.asa.or.th 

ASA International IDEAS Competition Exhibition 

In this exhibition we can see the conceptual 

interpretation of dwellings which presented in 

various forms, under the category of “Home-ly”. 

The grand prize is a group of architects, leads by 

Mr. Chaiyaset Settasakulchai. They presented the 

idea of “homeland”, using large area according to 

dwellers’ career, and allowed the audience to join 

the interpretation for the dwelling designation. 

นิทรรศการการประกวดแบบรางวัล 

สถาปัตยกรรมรุ่นใหม่ “บ้าน บ้าน” 

ASA Emerging Architecture Awards 

“BAAN BAAN” 

บริเวณใกล้กันยังมีนิทรรศการการประกวดแบบรางวัล 

สถาปัตยกรรมรุ่นใหม่ “บ้าน บ้าน” เป็นรางวัลสำหรับ 

สถาปนิกรุ่นใหม่อายุไม่เกิน 45 ปีที่มีความโดดเด่นในวิธีคิด 

และการนำเสนอการออกแบบที่อยู่อาศัย โดยโจทย์ของการ 

ประกวดออกแบบปีนี้คือ บ้าน บ้าน และผู้ที่ได้รางวัลดีเด่น 

ในการประกวดครั้งนี้คือ คุณฉัตรพงษ์ชื่นฤดีมล ในโครงการ 

ชื่อ บ้านเอกมัย (Ekamai House) 

ASA Emerging Architecture Awards “BAAN BAAN” 

Exhibition 

There’s also ASA Emerging Architecture Competition. 

This award is for new generation architects 

with age under 45, whose idea and presentation 

of a dwelling are outstanding under this year’s 

topic,“Baan Baan”. The winner of this competition 

is “ Ekamai House” by Mr.Chatpong Chuenrudeemol. 

- 16 - 

นิทรรศการชิ้นส่วนบ้าน Dwelling Elements 

ถ่ายทอดแนวคิดที่แหวกแนวของการออกแบบส่วน 

ต่างๆ ของบ้าน โดยจำลองการออกแบบใหม่ของบันได 

ประตู หน้าต่าง โต๊ะ เก้าอี้ ผนัง หลังคา เช่น บานหน้าต่าง 

ปลูกต้นไม้ กลายเป็นโต๊ะได้ ผนังบ้านที่เดินทะลุเข้าออกได้ 

Dwelling Elements Exhibition 

This zone exhibits many innovative designs of 

parts of a house by imitating new ideas for stairs, 

doors, windows, tables, chairs, walls, roof, etc., such 

as a window panel with plants turn to be a table, 

a walk through wall. 


นิทรรศการคบหุ่นสร้างบ้าน 

BAAN BAAN Technology 

แวะชมแขนกลโรบอติกที่กำลังเข้ามามีบทบาทในการ 

ก่อสร้างสมัยใหม่มากขึ้น รวมถึงการสแกนและการพิมพ์ 

แบบ 3 มิติที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลายรวมถึง 

การใช้ VR (Virtual Reality) จำลองโลกเสมือนจริงในการ 

ออกแบบการจำลองต่างๆ ส่วนนี้จะได้รับความนิยมอย่าง 

มากจากเด็กๆ ที่ได้สนุกกับการได้เล่นเกม VR 

นิทรรศการบ้านไทย บ้านใคร 

Traditional and Vernacular Thai House 

เป็นอีกนิทรรศการที่จัดทำได้อย่างน่าสนใจโดยนำเสนอ 

แนวคิดเรื่องรูปแบบที่อยู่อาศัยแตกต่างไปจากที่ผ่านๆ มา 

โดยใช้การนำเสนอจากผู้อยู่อาศัย “บ้านใคร” เป็นหลัก ซึ่ง 

ถือเป็นผู้กำหนดรูปแบบของที่อยู่อาศัยที่จะสอดคล้องไปกับ 

วิถีชีวิต สังคม วัฒนธรรมและสภาพถิ่นที่อยู่ เราจะได้เห็น 

แบบจำลองสวยงามของบ้านแบบต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น 

เรือนไทยในแต่ละภาค ตึกแถว รวมไปถึงเรือนแพแม่น้ำ 

BAAN BAAN Technology Exhibition 

Visitors would see a mechanical arm “ Robotic” 

which interested more in modern construction 

industry. The exhibition also showed scanning and 

the popular 3 dimensional printing technology, 

including using VR (Virtual Reality) technology in 

the simulation designs. This zone got a lot of 

interests from children who enjoyed playing VR 

games. 

Traditional and Vernacular Thai House Exhibition 

Another interesting exhibition that presented 

ideas about dwellings differently, using presentation 

from the dwellers, “Whose House”. These dwellers 

determined forms of their houses which were 

according to their way of life, culture and geography 

of their neighborhood. Many beautiful models of 

traditional houses from each part of the country, 

commercial buildings, as well as houseboats were 

displayed. 

นิทรรศการบ้าน บ้าน รูปเล่าเรื่อง 

BAAN BAAN Photo Essay 

อีกหนึ่งงานประกวดภาพเล่าเรื่องที่ถ่ายทอดมุมมอง 

เรื่องที่อยู่อาศัยผ่านภาพถ่าย จากผลงานที่ส่งเข้าประกวด 

จำนวน 200 กว่าชุดผลงาน คณะกรรมการได้คัดเลือก 

ผลงานจำนวน 6 ชุดผลงาน ประกอบด้วย รางวัลที่ 1 “The 

Strongest Structure” โดยคุณพนม อาชาฤทธิ์ และคุณ 

สุนิตย์อาชาฤทธิ์ถ่ายทอดออกมาเป็นภาพความทรงจำของ 

บ้านชายฝั่งทะเลในจังหวัดนครศรีธรรมราชที่ถูกคลื่น 

กัดเซาะพังทลายเหลือเพียงความทรงจำที่ยังสวยงามอยู่ 

เด็กน้อยชุดแดงกอดตุ๊กตาหมีพูห์ยืนมองซากปรักหักพังของ 

บ้านริมทะเล หญิงสาวกำลังสีไวโอลินอยู่ในบ้านที่พังทลาย 

เหลือเพียงผนังและเสา สะท้อนความรู้สึกและมีพลัง 

สะเทือนอารมณ์ เป็นผลงานที่โดดเด่นมาก 

BAAN BAAN Photo Essay Exhibition 

Another photographs competition showed 

various points of view about dwellings through 

photographs. Judges selected 6 from over 200 sets 

of competitors’ photographs and the first prize 

winner is “The Strongest Structure” by Mr.Panom 

Archarit & Mr.Sunit Archarit. Their photos showed 

a seaside house in Nakorn Srithammarat province, 

ruined by the sea waves, but still maintained its 

beautiful memory. A little girl in red, holding a Pooh 

Bear, was staring at the seaside house wreck. 

A young lady was playing the violin in a ruined 

house, left only a wall and columns. Those are very 

emotional influential photos. 

- 17 - 


่ 

BAAN BAAN Case Study Zone 

This zone looks interesting with triangle prism 

display stands, which one part of it was designed 

to be a chair and other 2 parts were information 

boards. Visitors can check on the information, each 

one contains design, area, and cost. They can scan 

QR Code to contact with the designers of each 

project. 

หมอบ้านอาษา ASA Guide เป็นการเปิดพื้นที่ในการ 

พบปะพูดคุยกับสถาปนิก เพื่อให้คำปรึกษาต่างๆ ด้านที่อยู 

อาศัยทุกวันตลอดเวลาการจัดงาน 

ASA Guide Zone provides area for visitors to 

consult architects for advices about dwellings 

every day during the event. 

Other than the ASA Zone, there were also 

interesting exhibitions out of the hall. ASA Conservation 

& Network Exhibition displayed case 

studies from different places. This Conservation & 

Network Zone contains small interesting exhibitions, 

such as ASA Architectural Conservation Awards, 

vernacular documentation works on architectural 

heritage by VERNADOC, and Network Exhibition, 

cooperation of ASA and Ecomos Thailand. 

นิทรรศการ บ้าน บ้าน ตัวอย่าง 

BAAN BAAN Case Study 

นิทรรศการนี้ออกแบบพื้นที่จัดแสดงได้อย่างน่าสนใจ 

เป็นแท่งสามเหลี่ยมที่ออกแบบส่วนหนึ่งให้เป็นที่นั่ง และ 

การแสดงข้อมูลแบบบ้าน พื้นที่ราคา ให้ผู้เข้าชมได้เลือกสรร 

เป็นไอเดีย ที่สำคัญยังสแกน QR Code เพื่อติดต่อกับบริษัท 

ผู้ออกแบบได้ด้วย 

URBA(A)N Exhibition is very interesting with 

a large area, opens for opinions through writing 

and drawings, that turned to be a large piece of 

art work. 

นอกเหนือจากในส่วนจัดแสดงบริเวณ ASA Zone แล้ว 

ด้านนอกฝั่งตรงข้ามกับจุดลงทะเบียนยังมีนิทรรศการที่น่า 

สนใจอีกส่วนหนึ่ง เช่น นิทรรศการอนุรักษ์ศิลปะสถาปัตยกรรม 

และภาคีเครือข่าย นำเสนอผ่านกรณีศึกษาจากสถานที่ 

ต่างๆ แบ่งออกเป็นนิทรรศการรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรม 

ดีเด่น เช่น เคหสถานและบ้านเรือนเอกชน อาคารพาณิชย์ 

อาคารสถาบันและอาคารสาธารณะ ปูชนียสถานและวัดวา 

อาราม รวมถึงชุมชน นิทรรศการย่านเก่าเล่าเรื่อง นิทรรศการ 

ผลงานการสำรวจรังวัดมรดกสถาปัตยกรรมด้วยวิธี 

VERNADOC และนิทรรศการภาคีเครือข่าย จากสถาบัน 

สถาปนิกสยามร่วมกับอิโคโมสไทย และนิทรรศการเออเบิ้น 

เออบ้าน ก็เป็นอีกนิทรรศการที่น่าสนใจมีการให้พื้นที่แสดงออก 

ถึงการมีส่วนร่วมของสถาปนิกกับชุมชนหรือประชาชน 

ในโครงการต่างๆ มีพื้นที่ให้แสดงความคิดเห็นผ่านการเขียน 

และวาดภาพได้อย่างอิสระ จนเป็นผลงานศิลปะขนาดใหญ่ 

เต็มพื้นที่นิทรรศการ 

- 18 - 


ASA Films Exhibition 

Architectural documentary films were shown here, 

as well as lectures from various expert guests that 

shared their points of view and interesting experiences. 

Further than those exhibitions, visitors could 

meet , a media of ASA to connect to the 

public through journals, Facebook page, website, 

and mobile application. They will also enjoy shopping 

products for dwellings from many booths in the 

area. See you again in the Architect Expo’ 2018 ! 

อีกส่วนสำคัญคือ นิทรรศการสัมมนา ASA Forum 

ในปีนี้มีสถาปนิกรับเชิญระดับนานาชาติมาร่วมงาน เช่น 

Mr.David Schafer จาก Studiomake ฟังการทำงานที่ได้ 

รับแรงบันดาลใจจากประเพณีเทคโนโลยีและความสัมพันธ์ 

ในการออกแบบระหว่างเครื่องมือและวัสดุที่ทำให้เป็นทั้ง 

สถาปนิกและนักประดิษฐ์ Mr.Keisuke Maeda จาก UID 

จากญี่ปุ่น เจ้าของผลงานการประกวดระดับนานาชาติ 

มากมาย กับแนวคิดสถาปัตยกรรมคือการสร้างสภาพ 

แวดล้อม สถาปนิกชาวญี่ปุ่น Mr.Shingo Masuda ที่มีชื่อ 

เสียงอย่างมากในการออกแบบบูรณะอาคารต่างๆ ในญี่ปุ่น 

นักออกแบบหรือผู้ที่สนใจร่วมฟังบรรยายสัมมนาใน ASA 

Forum น่าจะได้แรงบันดาลใจที่หลากหลายจากสถาปนิก 

ที่มีชื่อเสียงที่มาร่วมงานครั้งนี้ 

The Architect Expo’2017 

was very successful with 

392,319 visitors in 6 days 

of the event. That is the 

highest record in past 5 years. 

ASA Films จัดฉายภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับ 

สถาปัตยกรรม และร่วมฟังบรรยายจากแขกรับเชิญผู้เชี่ยว 

ชาญด้านสถาปัตย์ ที่หมุนเวียนผลัดเปลี่ยนกันมาถ่ายทอด 

มุมมองและประสบการณ์ส่วนตัวที่น่าสนใจ 

นอกจากจะได้ชมนิทรรศการต่างๆ แล้วผู้เข้าชมงานยัง 

มีโอกาสได้สัมผัสกับ สื่อดีๆ จากสมาคมสถาปนิก 

สยามฯ ที่จะเข้าถึงประชาชนทั่วไปได้มากยิ่งขึ้น ผ่านรูปแบบ 

ของวารสาร เฟซบุ๊ก เว็บไซต์ และแอปพลิเคชั่น นอกจากนี้ 

ยังได้เลือกสรรสินค้าและผลิตภัณฑ์ต่างๆ เกี่ยวกับการ 

ออกแบบก่อสร้างที่อยู่อาศัยจากบูทแสดงสินค้าอีกมากมาย 

ในงานอีกด้วย แล้วพบกันครั้งหน้าในงานสถาปนิก’61 

งานสถาปนิก’60 

ประสบความสำเร็จ 

เป็นอย่างสูง จากจำนวน 

ผู้เข้าชมงานสูงถึง 

392,319 คน 

ตลอดการจัดงานทั ้ง 6 วัน 

ถือเป็นสถิติสูงสุด 

ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมา 

Another important part of the Architect Expo 

is ASA Forum. This year we have some international 

guests such as Mr.David Schafer of Studiomake 

shared his inspiration from tradition, technology 

and relationship between tools and materials, that 

made him both architect and inventor. Mr.Keisuke 

Maeda of UID, from Japan, the winner of many international 

competitions, shared his concept which is 

“architecture is to build the environment”. Mr.Shingo 

Masuda, a very famous Japanese architect in buildings 

renovation in Japan. Designers and interested people 

would get a lot of inspiration from these guests. 

- 19 - 


CLASSIC 

AUSTRALIAN EMBASSY 

สถานทูตออสเตรเลีย : สถาปัตยกรรมสีเหลืองทองบนถนนสาทรที่กำ ลังจะกลายเป็นอดีต 

หากคุณเป็นคนหนึ่งที่สัญจรไปมาบนถนนสาทร 

เราเชื่อว่าคุณต้องเคยสะดุดตาอาคารสีเหลืองทองทรง 

โมเดิร์น อันเป็นที่ตั้งของสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย 

ประจำประเทศไทย ซึ่งอยู่คู่ถนนสายนี้มายาวนานกว่า 38 ปี 

และเร็วๆ นี้สถานที่แห่งนี้กำลังจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เพื่อ 

ปรับตัวสอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนไป 

ข่าวการย้ายสถานเอกอัครราชทูตออสเตรเลีย และ 

การเตรียมพร้อมย้ายไปยังที่ทำการใหม่ในย่านสวนลุมพินี 

ด้วยเหตุผลด้านการประเมินพื้นที่ของรัฐบาลออสเตรเลีย 

ถึงตัวอาคารที่มีอายุยาวนาน รวมไปถึงการประเมินความ 

เหมาะสมกับความต้องการทั้งในปัจจุบันและอนาคตได้สร้าง 

ความสนใจไม่น้อยในหน้าหนังสือพิมพ์ ข่าวออนไลน์ รวม 

ไปถึงวงการอสังหาริมทรัพย์ เมื่อกระทรวงการต่างประเทศ 

ออสเตรเลียได้ประกาศขายที่ดินบนถนนสาทร เนื้อที่ประมาณ 

7.5 ไร่ 

ร่วมเก็บบันทึกความทรงจ ำ รวมไปถึงจดบันทึก 

ความรู้ทางสถาปัตยกรรมในครั้งนี้ นำโดยทีมอาจารย์จาก 

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์มหาวิทยาลัยกรุงเทพ และน้องๆ 

นักศึกษา โดยได้รับการต้อนรับพร้อมเปิดบ้านพักอันแสน 

อบอุ่นของคุณฮานาน โรบิลลิอาร์ด ภริยาเอกอัครราชทูต 

ออสเตรเลียประจำประเทศไทย 

- 20 - 


Mr.Ken Woolley 

สถาปนิกชั้นนำของออสเตรเลีย 

ผู้ออกแบบสถานฑูตออสเตรเลีย 

Architect 

หม่อมหลวงตรีทศยุทธ เทวกุล 

สถาปนิกที่ปรึกษาชาวไทย 

M.L. Tritodsayud Devakula 

Thai coarchitect 

สถานทูตแห่งนี้ได้รับการออกแบบโดย Mr.Ken 

Woolley สถาปนิกชั้นนำของออสเตรเลียในขณะนั้น และมี 

สถาปนิกที่ปรึกษาชาวไทยคือ หม่อมหลวงตรีทศยุทธ 

เทวกุล โดยผสมผสานการออกแบบในยุค 70s ร่วมกับความ 

เป็นไทยไว้ด้วยกัน นำแรงบันดาลใจจากแม่น้ำลำคลองใน 

กรุงเทพฯ บ้านไทยที่ยกใต้ถุนสูง รวมไปถึงสีเหลืองทอง 

อันเป็นแรงบันดาลใจจากวัดไทย การก่อสร้างมีขึ้นเมื่อวันที่ 

17 มิถุนายน 2518 และมีพิธีเปิดอาคารอย่างเป็นทางการ 

เมื่อวันที่ 26 มกราคม 2523 

ในบทบาทของสถาปนิก Mr.Ken Woolley ได้เข้ามาดู 

พื้นที่ และพบว่าบริเวณของถนนสาทรเมื่อ 38 ปีก่อนนั้น 

มีปัญหาน้ำท่วมเป็นประจำทุกปี หากแก้ปัญหาด้วยการถม 

ที่ดินลงไปจะทำให้ที่ดินรอดจากการถูกน้ำท่วม แต่จะส่งผล 

กระทบน้ำท่วมไปยังที่อื่นแทน ระหว่างนั้นเอง Mr.Ken 

Woolley ได้ไปเยี่ยมชมวังสวนผักกาดร่วมกับหม่อมหลวง 

ตรีทศยุทธ จึงนำแนวคิดไทยในการออกแบบ การใช้น้ำใน 

ภูมิสถาปัตยกรรมเพื่อสร้างเอกลักษณ์อันโดดเด่นให้กับ 

สถานที่มาปรับใช้ นอกจากช่วยเสริมความปลอดภัยให้กับ 

สถานที่แล้ว ยังช่วยรองรับน้ำท่วมได้อีกด้วย 

The golden yellow architecture on Sathorn Street, 

which will soon become the past. 

If you are the one who has roamed on Sathorn 

Street, we believe that you must have seen a modern, 

eye catching, golden-yellow building. That is the Australian 

Embassy to Thailand which has been on this street for 

longer than 38 years. At the soonest, the place will be 

changed to adapt itself as time goes by. 

The news concerning moving the Australian Embassy 

to the new office at the area of Suan Lumpini, as a result 

of the Australian government’s assessment on the long 

age of the building and the appropriate requirements 

at the present and in the future, have drawn a lot of 

attention to newspapers readers, social media and 

real-estate industry when the Australian government 

made a selling announcement of 7.5 Rai land on Sathorn 

Street. 

TEXT : 

TEAM 

PHOTO : Australian Embassy, วงศ์วิศว์ ไชยรักษ์ 

team, led by the professors from the 

School of Architecture, Bangkok University and its students, 

took part in recording the memoir and making notes of 

architectural content of this building. They were welcomed 

to make a visit at the Ambassador’s residence by Mrs. 

Hanan Robilliard, wife of H.E. Mr. Paul Robilliard, Australian 

Ambassador to Thailand. 

This embassy is designed by Mr. Ken Woolley, the 

leading Australian architect at that time, and Thai coarchitect, 

M.L. Tritodsayud Devakula. Its design was 

combined with the 70’s style and Thai style. The inspiration 

was from the river and canals in Bangkok, Thai tradition 

house with high ground floor and the yellow color from 

Thai temples. The construction started on 17 June 1975, 

and the official opening ceremony was organized on 26 

January 1980. 

Mr. Ken Woolley, as the architect, had studied the 

location and found that 38 years ago, the land on 

Sathorn Street had a flood problem every year. Although 

the problem could be solved by piling the land up, as 

an effect, the water would spread over the area nearby. 

At that time, Mr.Ken Woolley as well as M.L.Tritodsayud 

Devakula had a chance to visit Suan Pakkad Palace, 

he decided to apply the Thai idea - using water in the 

landscape – that is not only to make the layout outstanding 

but also to help secure the building and prevent flooding. 

- 21 - 


ภาพบรรยากาศบริเวณภายนอกและภายในบ้านพักเอกอัคราชทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย

Photo Credit : National Archives of Australia 

อาคารสถานทูต โดดเด่นด้านสิ่งแวดล้อม 

การจัดแปลนของสถานทูตฯ เป็นรูปสี่เหลี่ยมกลวง 

โดยมีด้านหน้าเป็นถนนสาทร และมีบ้านพักท่านทูตอยู่ 

ด้านหลัง ตำแหน่งของอาคารทั้งสองจัดวางโดยคำนึงถึงการ 

รักษาต้นไม้ใหญ่ที่มีอยู่ในพื้นที่ โดยมีหินชนวนจากสัตหีบ 

และพัทยาปูเชื่อมทางระหว่างสองอาคารนี้ด้วยกัน 

โครงสร้างของอาคารที่ทำการสถานทูตฯ เป็นคอนกรีต 

ใช้คานมุมทแยง เพื ่อช่วยรองรับการกระจายน้ำหนักของ 

พื้นที่มีช่วงเสากว้าง 12x12 เมตร พื้นผิวด้านหน้าของอาคาร 

รวมทั้งตัวเสาปิดทับด้วยกระเบื้องเคลือบสีเหลืองจาก 

โรงงานที่ลำปางอันเป็นแรงบันดาลใจจากวัดไทย ด้านบน 

ตัวอาคารโดดเด่นด้วยพื้นที่ระเบียง Grey Space สร้างร่มเงา 

ด้วยต้นไม้ ทำให้สถานที่มีความร่มรื ่นเย็นสบาย โดยสวน 

ได้รับการออกแบบจาก Mr.Bruce Mackenzie ผู้ก่อตั้ง 

สถาบันภูมิสถาปนิกแห่งออสเตรเลีย 

บ้านพักท่านทูต บนแนวคิด “Outside In” 

อาคารสองชั้นที่โดดเด่นด้วยผิวกระเบื้องเคลือบสี 

เหลืองทอง จุดเด่นคือการนำวัสดุจากธรรมชาติเข้ามาหลอม 

รวมเป็นองค์ประกอบเดียวทั้งพื้นไม้ ประตูไม้ ฝ้าเพดานไม้ 

สถาปนิกออกแบบโดยคำนึงถึงวัตถุประสงค์ของการ 

อยู่อาศัย รวมถึงการจัดลำดับความเป็นส่วนตัวในห้องโถง 

แต่ละชั้น เมื่อเข้าไปจะพบกับโซนแรกคือส่วนของห้อง 

ทำงาน ถัดมาโซนที่สองคือโถงต้อนรับด้านหน้า โซนที่สาม 

คือพื้นที่ต้อนรับแขกคนสำคัญผ่านห้อง Living Room 

โดดเด่นด้วยกระจกบานใหญ่ เพื่อรับแสงธรรมชาติและลด 

การใช้พลังงานนับเป็นดีไซน์ที่ร่วมสมัยมากที่เกิดขึ้นเมื่อ 

38 ปีก่อน และโซนด้านในสุดเพื่อรองรับแขกพิเศษในห้อง 

รับประทานอาหาร โดดเด่นด้วยกระจกทรงโค้งสไตล์โมเดิร์น 

เมื่อมองออกไปจะพบกับต้นไม้น้อยใหญ่ในสวนเขียวขจี 

รวมไปถึงสระน้ำที่ได้รับการออกแบบให้ครบวงจรระบบ 

นิเวศ มีทั้งปลาและเต่า ทั้งนี้สีประจำชาติของออสเตรเลีย 

คือสีเขียวและทองด้วยเช่นกัน 

บ้านพัก ฯพณฯ เอกอัครราชทูตเป็นสถานที่ที่ต้องการ 

ความเป็นส่วนตัวสูง ระแนงบังสายตาจะช่วยทำให้บริเวณ 

บ้านพักคงความเป็นส่วนตัวเมื่อมองจากภายนอก แต่ใน 

ขณะเดียวกันผู้อยู่ในอาคารก็สามารถมองเห็นเหตุการณ์ 

และความเคลื่อนไหวจากภายในได้เช่นกัน โดยผสานจาก 

แนวคิด “Outside In” 

The embassy building is outstanding in terms 

of environment. 

The floor plan of the embassy building is in 

shape of square doughnut with the front facing 

Sathorn Street and the diplomatic residence of 

the ambassador in the back. The layout, consists 

of 2 buildings, was planned with concern to keep 

the big trees in the area. There is the pavement, 

paved with slate from Pattaya and Sattaheep, 

connecting the two buildings. 

The structure of the embassy building is concrete, 

using diagonal beams to spread weight bearing. It 

has a span of 12X12 metres. The texture of the 

front façade and the columns are covered with yellow 

mosaics from the factories in Lumpang province. 

It was inspired by Thai temples. The upper floors 

of the building are notable with the Grey Space 

balconies which were shaded by trees and help 

keep the building cool. The garden was designed by 

Mr.Bruce Mackenzie, the founder of the Australian 

Institute of Landscape Architects. 

The ambassador’s residence based on 

“Outside In” concept 

The two-storey building is outstanding with 

golden yellow mosaics. The distinctive feature is 

the combination of natural materials into one 

element such as wooden floor, wooden doors, and 

wooden ceiling. The architect’s design was focused 

on the living requirement including the privacy in 

each hall. When we enter the building, the first 

zone is the office area. The second zone is the 

reception hall. The third zone is the VIP reception 

area, through the living room, stunning with high 

glass walls to get the natural light and saving 

energy. The design was very modern 38 years ago. 

The deepest zone is a dining room for special 

guests, with modern style arch glass windows, 

which give the green view of trees in the garden. 

There’s also a pool that is designed with the 

complete ecology, with fish and turtles, and to 

match national colors of Australia, which are green 

and gold. 

The residence of the ambassador needs high 

privacy. The battens can keep the residence private 

when looking from the outside, while allowing 

people inside see what is happening outside. 

This comes from the “Outside In” concept. 

ทีมอาจารย์และนักศึกษาจากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 

ขณะเยี่ยมชมสถานทูตออสเตรเลียประจำประเทศไทย 

Photo Credit : National Archives of Australia 

- 24 - 


AUSTRALIAN EMBASSY : The Inspiration 

Asst.Prof. Dr.Rittirong Chutapruttikorn 

Dean, School of Architecture, Bangkok University 

“When I was an architect student decades ago, I 

studied this building through the photos which my 

teacher showed and learned about the structure of the 

building such as waffle slabs. Now, almost 20 years past, 

I can see more other things that are hidden under the 

architect’s concept, like the way he applied Thai architectural 

intellect with the international architecture and 

merging the building with its surrounding.” 

ภาพ : วงศ์วิศว์ ไชยรักษ์ / Photo Credit : Wongwiss Chaiyarux 



4 2 3 1 5 

1 ผศ.ดร.ฤทธิรงค์ จุฑาพฤฒิกร 

คณบดีคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 

“เมื่อครั้งที่เป็นนักเรียนสถาปัตย์ ผมได้มีโอกาสศึกษา 

แนวคิดทางสถาปัตยกรรมต่างๆ ของที่นี่ผ่านภาพที่อาจารย์ 

นำเสนอ เช่น การใช้ Waffle Slabs ซึ่งล้ำสมัยมากๆ ในเวลา 

นั้น วันนี้ผ่านมากว่า 20 ปี ผมเพิ่งได้เข้ามาเห็นอาคารจริง 

และได้เห็นแนวคิดของสถาปนิกหลายๆ อย่างที่ซ่อนอยู่ 

ที่ประทับใจมากคือการนำเอาภูมิปัญญาไทยเข้ามาประยุกต์ 

กับความเป็นสากล ซึ่งทำให้สภาพแวดล้อมกับอาคารเป็น 

ส่วนหนึ่งของกันและกัน การออกแบบพื้นที่เชื่อมต่อระหว่าง 

นอกอาคารกับในอาคาร หรือที่เรียกกันว่า Grey Space ใน 

หลายๆ จุด เช่น ระเบียงภายในลานกลางอาคารที่ปลูกต้นไม้ 

ใต้ชายคาโดยรอบ ชานเชื่อมระหว่างสวนและห้องนั่งเล่น 

ภายในบ้านพักท่านทูต พื้นที่เหล่านี้แสดงถึงลักษณะไทยที่ 

สถาปนิกดึงออกมาใช้ได้อย่างมีประโยชน์เหมาะสมกับ 

ภูมิอากาศเขตร้อนของบ้านเรา” 

2 ผศ.ดร.อันธิกา สวัสดิ์ศรี 

ผู้ช่วยอธิการบดี สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง 

“ประทับใจสองเรื่อง คือ เรื่องของรูปแบบอาคาร ซึ่งเป็น 

แนวราบ เชื่อว่านำเอาบริบทของพื้นที่ในเมืองของกรุงเทพฯ 

ย่านสาทร ซึ่งยังคงมีพื้นที่เพียงพอส ำหรับอาคารและบริเวณ 

พื้นที่สีเขียวรอบๆ เมื่อกว่า 40 ปีที่ผ่านมา อาคารมีการเปิดรับ 

เอาอากาศจากภายนอกถ่ายเทเข้ามาภายในอาคาร และ 

สามารถมองสภาพแวดล้อมภายนอกจากภายในอาคารได้ดี 

สังเกตว่า รูปแบบอาคารของสถานทูตแห่งใหม่เปลี่ยนไป (ตั้ง 

อยู่ที่ถนนวิทยุ) ที่รูปแบบเริ่มปิดล้อมมากขึ้น แน่นอนเพราะ 

บริบทของกรุงเทพฯ เปลี่ยนไปมาก ที่ตั้งของสถานทูตถูกล้อม 

ด้วยอาคารสูง สภาพอากาศ และการจราจร ต่างไปเยอะ น่า 

สนใจที่การออกแบบไม่ได้มีเพียงปัจจัยการใช้งานที่มาจาก 

ภายในเท่านั้น การเปลี่ยนแปลงบริบทรอบๆ และปัจจัย 

ภายนอกเข้ามามีส่วนกำหนดรูปแบบอาคารอย่างเห็นได้ชัด 

ส่วนความประทับใจอีกเรื่อง คือ ความรู้สึกของคนที่อยู่ที่นี่ 

มานาน มีความผูกพันกับสถานที่ ส่วนหนึ่งเนื่องจากเวลา 

ผ่านไปหลายสิบปี แทบทุกพื้นที่ของอาคารยังคงตอบสนอง 

พฤติกรรมและความต้องการได้ดี” 

3 ผศ.ดร.ธนธร กิตติกานต์ 

อาจารย์ประจคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 

“แวบแรกที่เดินเข้ามาที่นี่ผมรู้สึกเสียดาย แต่ก็เข้าใจถึง 

บริบททางสังคมและเศรษฐกิจในช่วง 40 ปีที่ผ่านมา ที่ส่งผล 

ให้ย่านนี้กลายเป็นย่านส ำนักงานและเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจ 

สิ่งที่ผมประทับใจในอาคารหลังนี้คือความเข้าใจใน 

สถาปัตยกรรมไทยของสถาปนิก เพราะแม้ว่าในภาพรวม 

จะดูเป็นงานยุคโมเดิร์น แต่ในหลายๆ รายละเอียดกลับ 

แสดงถึงรสนิยมไทยอย่างไม่เคอะเขิน เช่น การเลือกใช้ 

กระเบื้องดินเผาที่มีสีไม่เท่ากันมาประดับผนังอาคาร และ 

การสอดแทรกพื้นที่ระเบียงหรือนอกชานให้ร่มรื่นไปด้วย 

ต้นไม้ เป็นต้น” 

4 อ.ภิรายุ มารศรี 

อาจารย์ประจคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 

“ผมประทับใจพื้นที่ภายในที่ว่างของอาคารที่เปิดโล่ง 

ตรงกลาง ซึ่งแสดงออกถึงความเป็นไทยที่ชัดเจน นับเป็น 

โครงสร้างอาคารแบบ Waffle Slabs ที่กว้างมากแห่งหนึ่ง 

เท่าที่ผมเคยเห็น รวมถึงการเชื่อมต่อพื้นที่ระหว่างในร่มและ 

กลางแจ้งที่ไม่ได้ปิดทึบเหมือนอาคารทั่วไป เป็นอาคารที่ให้ 

ความรู้สึกถึงความอ่อนน้อมถ่อมตัว รวมไปถึงรายละเอียด 

ของหินคอนกรีตที่สภาพดูเก่า แต่ผ่านไป 38 ปียังคงสวยงาม 

และร่วมสมัย” 

5 อ.นัจพร โกศลานันต์ 

อาจารย์พิเศษประจคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ 

“รู้สึกทึ่งกับการใช้วัสดุของที่นี่ ถ้าเทียบว่าอาคารสร้างขึ้น 

เมื่อเกือบ 40 ปีที่แล้ว ในห้องครัวปูกระเบื้องยางที่คงทน การ 

เลือกใช้วัสดุ UPVC รวมไปถึงรายละเอียดเทคนิค เช่น การ 

เซาะร่องประตูการจบงานของช่างฝีมือที่ประณีตมากๆแน่นอน 

40 ปีก่อนเราจะไม่มีทางเห็นรายละเอียดของวัสดุเหล่านี้ ได้เลย 

เพราะบ้านเราเพิ่งมานิยมใช้แนวคิดเหล่านี้เมื่อ15 ปีที่ผ่านมา 

นี่เอง นั่นเพราะการก่อสร้างทั้งหมดยึดมาตรฐานจากออสเตรเลีย 

อีกหนึ่งความประทับใจคือการใช้รูปทรงเรขาคณิตในงาน 

สถาปัตยกรรมที่ชัดเจนมาก เช่น การเจาะรูข้างหน้าอาคาร 

เป็นวงกลม นับเป็นความทันสมัยอย่างมากในสมัยนั้น” 

หนึ่งในมุมมองของนักศึกษา 

“เมื่ออาจารย์บอกว่าจะพาพวกเรามาศึกษาที่นี่ รู้สึก 

ตื่นเต้นมาก พยายามหาข้อมูลในอินเทอร์เน็ตล่วงหน้าแต่แทบ 

ไม่เจอข้อมูลเลย นั่นยิ่งทำให้พวกเราตื่นเต้นมากว่าวันนี้จะ 

มาเจออะไรบ้าง และเมื่อได้มาแล้วก็รู้สึกประทับใจทั้งแนวคิด 

Waffle Slabs ที่เคยเรียนในตำรา วันนี้ได้มาเห็นของจริงได้เห็น 

ข้อเปรียบเทียบของโครงสร้างคานในปัจจุบันกับอดีตห้องครัว 

ของบ้านท่านทูตกับวัสดุที่ใส่ใจในรายละเอียดการนำธรรมชาติ 

มาสู่อาคาร เช่น การนำน้ำเข้ามาสู่อาคารบริเวณโดยรอบได้เห็น 

ความทันสมัยที่ถูกออกแบบอย่างเหนือกาลเวลาเกือบ 40 ปี 

แล้ว พวกเรารู้ดีว่าสถานทูตเป็นสถานที่ที่เข้าชมได้ยากเชื่อว่า 

ยังมีอีกหลายๆ คนที่อยากเข้ามาชมและศึกษาที่นี่ พวกเรา 

อยากให้มีการเก็บบันทึกสถานที่เหล่านี้หรือจัดเป็นพิพิธภัณฑ์ 

ให้เด็กๆ อย่างเราเข้าถึงบ้าง” 

“Many spots around the building are Grey Spaces, 

which are the spaces between outside and inside. They 

are designed to adjust the environment for more comfortable 

living, such as the terrace out of the living room 

in the residence of the ambassador or the terrace with 

plants around the embassy building. This is the character 

of Thai style that the architect bought it out usefully 

and very suitable for our hot climate.” 

Asst.Prof. Dr.Antika Sawadsri 

Assistant Rector, King Mongkut’s Institute of Technology 

Ladkrabang 

“I noticed that the building is low-rise which was 

suitable for the environment of Bangkok 40 years ago. 

I guess, at that time, the weather near Sathorn street 

was still natural enough to have the air flow into the 

building. On the other hand, the new building on Wireless 

road has more enclosure, that’s because the context 

around buildings have been changed. There are more 

high-rise buildings in Bangkok. The weather, traffic, 

including the city character has been changed. It’s not 

changing from the inside but the outside contexts 

identify the design of buildings. The other reminding 

thing is the relationship between the building and people 

who used to stay together for a long time at this place.” 

Asst.Prof. Dr.Thanathorn Kittikant 

Lecturer, School of Architecture, Bangkok University 

“The first step I arrived into this place, I felt sad to 

learn about the moving. At the same time, I understood 

that the contexts of society and economy have been 

changed during the past 40 years. The urban planning 

has changed this area to a commercial zone. What 

impressed me is that the architect may well understand 

Thai architecture, I noticed from using materials that 

are not so neat like in other western style buildings. The 

gold tiles that have variations of color because of the 

kiln drying and not so straight tiling made it look more 

Thai than western. This place could be very modern 40 

years ago.” 

Mr.Pirayu Marasri 

Lecturer, School of Architecture, Bangkok University 

“I’m impressed with the space in the building with 

opened-well at the center, which obviously shows Thai 

architecture character. It has the widest waffle slabs 

structure I’ve ever seen. The connection of space between 

indoor and outdoor doesn’t have as much enclosure as 

in other buildings. This building gives us the feeling of 

regards including the details of concrete stones that 

look aged but still beautiful and contemporary.” 

Miss Natjaporn Kosalanun 

Special Lecturer, School of Architecture, Bangkok University 

“I am amazed by the materials of this building, 

considering it was built almost 40 years ago. The durable 

rubber tiles in the kitchen, UPVC materials, details of 

doors grooving and the very neat finishing work by the 

craftsmen, these can’t be seen in normal 40 years old 

buildings. This kind of techniques has been popular for 

just past 15 years. It’s because this building was built 

on Australian standard. Another impressive feature is 

using geometric shapes in the design apparently such 

as the circle void at the front façade was such a new 

fashion at that time.” 

A comment from a student 

“We were very excited to hear that the teacher 

would take us to study this building. We searched for 

some information on the internet but it’s really hard to 

find, that excited us more about what we would see 

today. Now that we are here, the place really impresses 

us. We can see the real waffle slabs structure that we 

studied from textbooks. We can see the comparison 

between modern and past structural methods. The 

particular materials in the kitchen of the ambassador’s 

residence, the flowing of the nature into the building 

such as having water to surround the building, show us 

the modernity of the design that has lasted over the 40 

years of time. We realized that the embassy is a secured 

place and we believe that more people wish to visit 

here to see and study it. We would like to see these 

places to be noted or set them as museums for young 

ones to study later.” 

- 25 - 


SPOTLIGHT 

Interview in-depth 

with the president of The Association of Siamese Architects under the Royal Patronage 

on Mahakan Fort Community and Giag-Gaai Bridge 

เจาะลึกประเด็นป้อมมหากาฬ – สะพานเกียกกาย กับนายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ 

เกิดอะไรขึ้นกับชุมชนป้อมมหากาฬ เขาประท้วงกันทำไม สะพานเกียกกายมีประเด็นอะไรให้ต้องสนใจ สมาคมสถาปนิกสยาม 

ในพระบรมราชูปถัมภ์มีจุดยืนอย่างไรกับสองโครงการนี้ ฉบับนี้มีโอกาสพูดคุยกับอาจารย์อัชชพล ดุสิตนานนท์ 

นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ซึ่งได้ติดตามและเข้าร่วมประชุมทั้งสองโครงการนี้มาโดยตลอด เพื่อขอ 

ทราบถึงที่มาที่ไปและเบื้องหลังเบื้องลึกที่หลายคนอาจยังไม่รู้ 

What happened to Mahakan Fort Community? Why have people protested? What is the interesting issue on 

Giag-Gaai Bridge? Where is the standpoint of ASA on these 2 projects? In this issue of 

journal, we had 

a chance to interview Prof. Atchaphol Dusittanont, President of the Association of Siamese Architects who has followed 

and joined the conferences on the 2 projects time to time, to ask about some concerned information that many 

people might not have known. 

: ก่อนอื่นอยากขอให้อาจารย์ช่วยเล่า 

ที่มาคร่าวๆ เรื่องป้อมมหากาฬให้ฟังสักนิดครับ 

อ.อัชชพล : ประเด็นนี้เป็นเรื่องของที่ดินประมาณ 5 ไร่ 

บริเวณป้อมมหากาฬที่ถูกโอนมาเป็นกรรมสิทธิ์ของ 

กรุงเทพมหานครในปี2503 ต่อมาในปี2535 รัฐบาลได้ออก 

พระราชกฤษฎีกาเวนคืนที่ดินส่วนที่เหลือเพื่อรื้อย้ายอาคาร 

บ้านเรือนซึ่งเป็นชุมชนที่อยู่อาศัยบริเวณป้อมมหากาฬนั้น 

มาพัฒนาเป็นสวนสาธารณะ ตามแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์ 

และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ ชุมชนป้อมมหากาฬแห่งนี้มี 

หลักฐานบ่งชี้การตั้งถิ่นฐานชุมชนเก่าบริเวณตามแนว 

กำแพงเมืองกรุงรัตนโกสินทร์กว่า 100 ปีที่ยังคงเหลืออยู่ 

และเป็นตัวอย่างสุดท้ายที่เราจะได้เห็นโบราณสถานอยู่คู่กับ 

ชุมชน การรื้อถอนจึงเป็นเหมือนการทำลายประวัติศาสตร์ 

ซึ่งทางสมาคมฯ เห็นว่าควรอนุรักษ์ไว้เพื่อเปิดพื้นที่ให้คนรุ่น 

หลังได้ศึกษา แต่ก็ยังสามารถทำเป็นพื้นที่สาธารณะได้ตาม 

เจตจำนงเดิม 

: ทำอย่างไรครับ 

อ.อัชชพล : ทางสมาคมสถาปนิกสยามฯ เสนอให้ทำเป็น 

“พิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต” ในรูปแบบมรดกวัฒนธรรมที่ยั่งยืน เปิด 

ให้คนทั่วไปเข้าชมและศึกษาวิถีชุมชนพื้นถิ่นของป้อม 

มหากาฬ เรื่องนี้ต้องเริ่มเล่าจากที่อาจารย์ชาตรี ประกิตน 

นทการ อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 

มหาวิทยาลัยศิลปากร ท่านได้ลงพื้นที่ป้อมมหากาฬเพื่อ 

สำรวจคุณค่าของชุมชน พบว่าในจำนวนบ้านทั้งหมด 102 

หลัง มีบ้านโบราณทรงคุณค่าถึง 16 หลัง สันนิษฐานว่าน่า 

จะสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่5 จำนวน 2 หลัง และ อีก 14 หลัง 

สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 ถึงรัชกาลที่ 7 ซึ่งเทคนิคและเชิง 

ช่างไทยของยุคนั้นเลือนหายไปมากแล้วในปัจจุบัน สิ่งที่ยัง 

หลงเหลืออยู่นี้ควรจะรักษาไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษา 

: At first, we would like you to brief us 

a bit about Mahakan Fort issue? 

Prof. Atchapol: “This is the story about 5 Rai of land 

near Mahakan Fortress that was transferred to be property 

of Bangkok Metropolitan Administration in 1960. Later 

in 1992, the BMA had a promulgation of the expropriation 

decree on the rest land in order to remove buildings in 

the area, which mostly are dwellings, to develop to be 

a public park as said in the master plan concerning 

conservation and development of Krung Rattanakosin. 

The Mahakarn Fort community is an evidence of the over 

a century old community settlement along the Rattanakosin. 

city wall. It is also the last historic site within the neighborhood; 

therefore, the removal means destroying the history of the 

area. The ASA’s opinion is to conserve the community 

for further studying as well as the public space as previously 

planned.” 

- 26 - 


TEXT : 

TEAM 

แนวทางการพัฒนาตามกระบวนการ Co-creation 

ผังบริเวณพิพิธภัณฑ์ประวัตศาสตร์ที่มีชีวิต (Living Museum) ชุมชนป้อมพระกาฬ 

1. ป้อมมหากาฬ 2. อาคารอนุรักษ์ 

3. ระเบียงริมน้ำ 4. บานอเนกประสงค์ 

5. ลานกิจกรรม 6. บ้านไม้โบราณ เรือนไทยเดิมใต้ถุนสูง สมัยก่อนรัชกาลที่ 5 

7. บ้านไม้โบราณ เรือนไทยอิทธิพลตะวันตก สมัยรัชกาลที่ 5-7 8. บ้านไม้ร่วมสมัย สมันรัชกาลที่ 9 

หลังจากนั้นทางสมาคมฯ ก็ได้ส่งทีมลงไปสำรวจเพิ่มเติม 

พบว่ามีอาคารที่ควรอนุรักษ์เพิ่มเติมอีก 8 หลัง เพราะเป็น 

งานสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์ในสมัยรัชกาลที่8 ถึงรัชกาลที่9 

รวมแล้วควรอนุรักษ์ไว้24 หลัง ในระหว่างนั้น ทางสมาคมฯ 

ได้ส่งทีม VERNADOC นำโดย ผศ.สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว 

เข้าไปเก็บบันทึกในรูปแบบงานเขียนเชิงอนุรักษ์รวมถึงเปิด 

รับฟังความคิดเห็นจากนักวิชาการและตัวแทนชุมชนป้อม 

มหากาฬอย่างเป็นรูปธรรมของกรุงเทพ-มหานคร ซึ่งถือว่าเป็น 

นิมิตหมายที่ดี โดยมีคุณยุทธพันธ์ มีชัย เลขานุการผู้ว่า 

ราชการกรุงเทพมหานคร (พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง) 

เป็นประธาน ซึ่งต้องชื่นชมว่าคุณยุทธพันธ์เป็นผู้ที่เข้าใจใน 

ปัญหา และเล็งเห็นถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ของพื้นที่นี้ 

เป็นอย่างดี 

เมื่อได้ข้อสรุปจากการรับฟังปัญหาแล้ว อาจารย์ยงธนิศร์ 

พิมลเสถียร อาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และ 

การผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้เสนอว่าเราไม่ควร 

มองแต่ตัวอาคารบ้านเรือนเพียงอย่างเดียว แต่ควรให้ความ 

สำคัญกับประวัติศาสตร์การตั้งถิ่นฐานด้วย ซึ่งทางสมาคมฯ 

ก็ได้เสนอเพิ่มเติมว่าไม่ควรมองเรื่องนี้จบแค่พื้นที่ 5 ไร่แต่ควร 

เชื่อมโยงไปถึงเครือข่ายชุมชนใกล้เคียง ทั้งวัดราชนัดดาราม 

ถนนบริพัตร ถนนมหาไชย และถนนราชดำเนิน เพื่อสร้างทั้ง 

ชุมชนให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่โดยให้กลุ่มอาคารอนุรักษ์ 

ในพื้นที่และเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าศึกษาเยี่ยมชมคือรื้อถอน 

บ้านออกบางส่วน เหลือเพียง 24 หลังที่ควรค่าอนุรักษ์ไว้ แล้วค่อย 

เติมอาคารประกอบบางอย่างลงไป รวมถึงการสร้างสะพาน 

ข้ามคลอง เพื่อเชื่อมต่อไปยังภูเขาทอง หรือมีกิจกรรมการ 

ปลูกพืชผักสวนครัว ให้เห็นการใช้ชีวิตในแบบพื้นถิ่น คือ 

ไม่ใช่มีเพียงอาคารทิ้งร้าง แต่ควรให้มีคนอยู่อาศัยจริง เพื่อ 

ให้กลายเป็นพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต เพียงแต่ผู้อยู่อาศัยใน 

อาคารอนุรักษ์ต้องอยู่ในกรอบกติกาว่า อะไรทำได้ อะไรทำ 

ไม่ได้ เช่น ห้ามต่อเติมหรือทำลายอาคารนั้น เป็นต้น 

เรื่องลักษณะนี้สมาคมฯ มองว่า ทางกรุงเทพมหานคร 

หรือภาครัฐควรเลิกการทำลาย รื้อถอน เปลี่ยนสภาพ สิ่งที่ 

มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์ เพราะเมื่อทุบทิ้งไปแล้วไม่สามารถ 

สร้างทดแทนได้ อย่างที่เคยผิดพลาดมาแล้วในอดีต 

: How can we do that? 

Prof. Atchapol: “The ASA suggests it be the living 

museum for the public to visit and study the way of life 

in Mahakarn Fort. It commenced when Prof. Chatree 

Prskitnontagarn, professor of the Faculty of Architecture, 

Silpakorn University, made a field study for the appraisal 

of the community. He found out that, among 102 houses, 

there are 16 valuable old houses and 2 of them were 

assumed to be built in Rama V period and the other 14 

were built during Rama V and Rama VII period. The 

techniques and art of the Thai craftsmanship during that 

period have gradually been withered. These historic 

remains should be kept for next generation to study.” 

“After that, the ASA sent a survey team for more 

field study and found that 8 more buildings should be 

conserved because they are the perfect architecture in 

the period of King Rama VIII to King Rama IX. The 

totaling 24 houses should be conserved. At the same 

time, the ASA sent VERNADOC Team to record those 

old buildings by doing the vernacular documentation of 

architectural conservation. Including with conference 

conducted by the BMA, led by Mr. Yuthaphant Meechai, 

Secretary to the Governor of Bangkok Metropolitan 

Administration (Pol.Gen. Asawin Kwanmuang) as the 

chairman, to hear more opinions from both the scholars 

and representatives of the community, which is a good 

hint of the beginning. I admired Mr.Yuthaphant for his 

understanding to the problems and his appreciation to the 

historical value of this area.” 

“When we got the conclusion from the hearing, Prof. 

Yongthanit Pimolsatien, professor of the Faculty of 

Architecture and Planning at Thammasat University, 

suggested we should pay attention not only to the 

buildings but also to the history of the settlement. The 

ASA added that the 5 Rai land of Mahakan Fortress 

included the communities nearby, Wat Ratchanadda, 

Paribatra Road, Maha Chai Road, and Ratchadamnoen 

Road, should be considered as a new tourist attraction. 

These conserved dwellings in the area will open for 

tourists to visit and study. Some dwellings will be demolished 

but 24 worth conserving houses will remain. 

Some extra buildings will be added in as well as a bridge 

to cross the canal to the Golden Mount, or plant some 

backyard garden to show daily local living. There should 

not be just vacant buildings but there should be real 

people living in the area. This can make it a living museum. 

While the dwellers in the conserved area have to respect 

the rules and regulations what they can do or not such 

as augmentation or demolition are prohibited.” 

“In the situation like this, the ASA would like to ask 

the BMA or the government sector should give up the 

demolition and transformation of the historical buildings 

in the area because they can’t be rebuilt. Please don’t make 

the same mistake that had done before in the past.” 

- 27 - 


สมาคมสถาปนิกสยามฯ ได้เสนอโมเดลตามข้อเสนอเดิมของ กทม. รวมทั้งข้อเสนอของสมาคมสถาปนิกสยามฯอีก 3 ทางเลือก 

ในการประชุมเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน 2559 โดย พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการประชุม 

ภาพ : www.prachachat.net/news_detail. 

php?newsid=1474267710 

ภาพ : www.alepaint.com/ 

: ขอถามไปถึงอีกโครงการหนึ่ง นั่นคือ 

โครงการสะพานเกียกกาย ทางสมาคมฯ มีความเกี่ยวข้อง 

อย่างไร และความคืบหน้าตอนนี้เป็นอย่างไรแล้วครับ 

อ.อัชชพล : สำหรับเรื่องนี้ตลอด 1 ปีที่ผ่านมา ผมได้เข้า 

ร่วมประชุมกับคณะทำงาน ซึ่งมี พลเอกอนุพงศ์ เผ่าจินดา 

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย เป็นประธานในการ 

ประชุม เบื้องต้นกรมโยธาธิการและผังเมืองได้มอบหมาย 

ให้ทางกรุงเทพมหานครเป็นผู้สร้างสะพานเกียกกายขึ้นใน 

บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยาย่านเกียกกายใกล้ทำเลที่ตั้ง 

อาคารรัฐสภาแห่งใหม่เพื่อแก้ปัญหาจราจรที่จะเกิดขึ้นหลัง 

จากที่มีการเปิดใช้รัฐสภาแห่งใหม่ 

ความจริงแล้วนโยบายการสร้างสะพานเกียกกายเกิด 

ขึ้นก่อนที่จะมีการเลือกที่ตั้งอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ แต่ใน 

ระหว่างที่มีการจัดประกวดแบบอาคารรัฐสภาแห่งใหม่นี้ 

ทางคณะจัดการทำเรื่องขอทราบแนวของสะพานเกียกกาย 

ซึ่งอาจจะมีผลกระทบ แต่ขอไปกี่ทีก็ไม่มีคำตอบ จนกระทั่ง 

คณะกรรมการได้แบบที่ชนะการประกวด แล้วก็ทำแบบ 

ก่อสร้าง จากนั้นก็เริ่มสร้างไปได้ราว 20 เปอร์เซ็นต์ 

ทางสมาคมสถาปนิกสยามฯ ก็ได้รับเชิญเข้าร่วมรับฟัง 

ซึ่งทางเราก็ได้ให้ความเห็นไปว่า ถ้าสะพานเกียกกายใช้ 

แนวทางตามแบบที่กรุงเทพมหานครเสนอมานั้น จะเป็น การ 

ทำลายมากกว่าส่งเสริมความสง่างามของอาคารรัฐสภา 

สาเหตุเพราะถนนทางเข้าของรัฐสภา รวมถึงเส้นทางเสด็จ 

จะถูกคร่อมด้วยสะพานเกียกกาย ลักษณะคล้ายถนน 

สุขุมวิทที ่มีรถไฟฟ้าคร่อมไปตลอดสาย จึงมีปัญหาต่อ 

ทัศนียภาพของอาคารรัฐสภาแห่งใหม่ทำให้ทางเข้าอาคาร 

รัฐสภา ซึ่งเป็นอาคารที่มีความสำคัญระดับชาติขาดความ 

สง่างาม 

: May I ask about the Giag-Gaai Bridge 

project? How has the ASA involved in this project, and 

how does the project progress? 

Prof. Atchapol : “For this project, in the past year I 

have participated in the conferences with the working 

group, led by Gen. Anupong Paojinda, Minister of Interior 

as the chairman. At first, the Department of Public 

Works and Town & Country Planning has assigned the 

Bangkok Metropolitan Administration to be responsible 

for the construction of Giag-Gaai Bridge located at the 

vicinity of the new parliament, in order to solve the 

traffic problem that might have been occurred when 

the new parliament is opened.” 

- 28 - 

“As the matter of fact, the construction plan of Giag 

Gaai Bridge had occurred before the location of the new 

parliament was chosen. While the design competition 

for the new parliament was being organized, the working 

group sent letters to ask about the location of the bridge 

which might have affected the parliament project. The 

letters were sent many times but no reply. The time 

passed until the committee had gotten the competition 

winner, the winner made the working drawings and 

started the construction.” 

“When the construction was done for about 20%, 

the drawing of the bridge was suddenly revealed. The 

ASA was invited to join the conference of the bridge 

project. We suggested if the bridge will be constructed 

as proposed design by the BMA, it will destroy the elegance 

of the new parliament because the road to the parliament, 

including the royal pathway, would be covered by the 

Giag-Gaai Bridge, the same way as the sky train runs over 

Sukhumvit Road. That bridge could cause big problem 

for perspective, make the entrance less elegant for the 

new parliament, which is the national important building.” 


3 ข้อเสนอของสมาคมสถาปนิกสยามฯ 

ข้อเสนอที่ 1 

แนวสะพานตัดตรงตั้งแต่แยกเกียกกาย 

จนถึงถนนจรัญสนิทวงศ์ฝั่งธนบุรี 

และย้ายจุดขึ้นลงไปถนนทหาร 


แนวสะพานขนานกับอาคารรัฐสภา 

เริ่มจากแยกเกียกกายตัดตรงข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา 

และเชื่อมกับแนวเดิมตรงถนนจรัญสนิทวงศ์ฝั่งธนบุรี 

และย้ายจุดขึ้นลงไปถนนทหาร 


แนวสะพานขนานกับคลองบางซื่อ 

และไปลงที่ถนนกำแพงเพชร 

ข้อสรุปที่ทางรัฐบาลเห็นชอบว่ามีความเหมาะสม คือ แนวทาง “สะพานที่เบี่ยงขนานไปกับอาคารรัฐสภา” ตามข้อเสนอที่ 2 ของสมาคมสถาปนิกสยามฯ 

ทางสมาคมฯ ได้ขออนุญาตท่านประธานไปทำการ 

วิเคราะห์และนำเสนอทางออกอื่นๆ ที่เหมาะสม โดยข้อ 

เสนอของสมาคมฯ มี 3 ทางเลือก 

ข้อเสนอที่ 1 คือ ขอให้ไม่มีทางขึ้นลงตรงบริเวณอาคาร 

รัฐสภา เพื่อให้สะพานมีขนาดแคบที่สุด 

ข้อเสนอที่ 2 คือ จากสี่แยกเกียกกายปรับแบบให้ 

สะพานปัดตั้งฉากกับอาคารรัฐสภา ซึ่งจะเขยิบสะพานออก 

มาห่างอาคารรัฐสภาประมาณ 70 เมตร 

ข้อเสนอที่ 3 คือ เบี่ยงแนวสะพานอ้อมไปทางคลอง 

บางซื่อ 

หลังจากการพิจารณาร่วมกันแล้ว ท่านอนุพงษ์ได้เลือก 

ข้อเสนอที่ 2 พร้อมทั้งมอบหมายให้ทางกรุงเทพมหานคร 

ทำการศึกษาผลกระทบซึ่งอาจเกิดขึ้้นกับโบราณสถานหรือ 

อาคารสำคัญอื่นๆ ที่แนวสะพานใหม่พาดผ่านได้ 

“The ASA asked the chairman a permission to study 

for some appropriate solutions. ASA proposed 3 choices 

as follows 

1. No ramp up or down to the bridge in the parliament 

area in order to make the bridge as narrow as possible. 

2. Adjust the direction of the bridge, from the Giag 

Gaai junction, to be perpendicular to the parliament so 

that will make the bridge 70 meters far away from the 

parliament. 

3. Move the bridge divert to Bangsue Canal, which 

will be about 500 meters far away from the parliament. 

After considering, Gen. Anupong chose the 2nd 

choice and assigned the BMA to study about the effect 

to the historic sites and area nearby.” 

- 29 - 


TEXT : 

TEAM 

GRAND MASTER 

CORE VALUE REFLECTION 

ให้สัจจะสะท้อนตัวเรา 

การจะมองเห็นความจริงได้ตำราทุกเล่มบอกตรงกันว่า 

ต้องมีของสองสิ่งเป็นสำคัญ อย่างแรกคือต้องมีใจเปิดกว้าง 

อย่างที่สองคือต้องมีกระจก ที่ต้องเปิดใจกว้างเพราะความ 

จริงอาจจะไม่เหมือนที่เราคิด ไม่ใช่อย่างที่เราหวัง หากเรา 

ไม่เปิดใจ ความจริงก็เข้าไปสู่ใจเราไม่ได้ และยิ่งกระจกที่ 

เราใช้สะท้อนมีความคมชัดมากเท่าไหร่เรายิ่งเห็นความจริง 

ได้ชัดเจนมากขึ้นเท่านั้น ทีมงาน ได้สนทนากับ 

คุณต่อ-ธนญชัย ศรศรีวิชัยผู้กำกับโฆษณาระดับโลก การันตี 

ด้วยรางวัลสิงโตเมืองคานส์ (Cannes Lion) ในมุมสะท้อน 

ความหมายที่แท้จริงของ Core Value สถาปนิกและการ 

พัฒนาตัวเอง 

: คำว่า Core Value ถูกใช้กันมากขึ้น ใน 

ปัจจุบัน ในความหมายของคุณ Core Value แปลว่า 

อะไรครับ 

ธนญชัย : (คิดตรึกตรอง) ผมว่ามันคือ “คุณค่าที่แท้” 

หรือมันคือ “สัจจะ” ที่ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน มันก็ 

จะยังคงความเป็นเช่นนั้นอยู่เสมอ 

: ความสำคัญของ Core Value หรือสัจจะนี้ 

อยู่ตรงไหนครับ 

ธนญชัย : สัจจะคือความเป็นจริง ผมคิดว่าถ้าเราเข้าใจ 

ถึงสัจจะของสิ่งนั้นๆ เราจะเห็นถึงสิ่งที่เป็นแก่นสาร เราจะ 

แยกเปลือกตัดปลอมออกได้โดยง่าย เห็นความเป็นจริง 

ภายในของสิ่งต่างๆ เห็นจนพบว่าแท้จริงมันก็แค่นี้เอง เช่น 

การเคลื่อนที่ คือ การที่ตัวเราสามารถเปลี่ยนสถานที่จาก 

จุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่ง แปลว่า ไม่ต้องมีรถก็ได้ขี่จักรยานก็ได้ 

เดินก็ได้หรืออย่างการสื่อสาร มันไม่ใช่มีแค่โทรคุยหรือไลน์ 

หากัน การสื่อสารมีหลายร้อยวิธีที่ทำให้อีกฝ่ายเข้าใจความ 

ที่เราจะสื่อได้ การคุย การมองหน้ากัน สบตากันนั้น ก็เรียก 

การสื่อสารและเผลอๆ อาจจะดีกว่าด้วย เพราะการคุยต่อหน้า 

ทำให้เรารู้ว่าคนที่พูดนั้นเขาพูดจริงหรือไม่จริง รู้สึกหรือไม่ 

รู้สึก เพราะมนุษย์มีเซ้นส์ในทางจิตวิญญาณและความรู้สึก 

อยู่แล้ว การสื่อสารแบบนี้สำหรับผมถือว่าละเอียดมากและ 

ได้ประโยชน์กว่ามาก 

: แล้วเราจะเข้าใจได้ยังไงครับ ว่าอะไรคือ 

สัจจะของสิ่งนั้นๆ 

ธนญชัย : ผมก็ยังไม่รู้ แต่ผมหาวิธีที่จะทำให้รู้ เราต้อง 

เป็นคนอยากรู้อยากศึกษา ตั้งคำถามและฝึกการตั้งคำถาม 

ที่ดีและมีประโยชน์ ฝึกที่จะถามให้ลึกลงไปเรื่อยๆ ทะลุ 

เปลือก ทะลุกระพี้ พุ่งตรงไปหาแก่น แต่เราจะตั้งคำถาม 

เพียงอย่างเดียวไม่ได้ เราต้องลงมือทำ ปฏิบัติ ทดลองและ 

เผชิญหน้ากับปัญหาต่างๆ หาวิธีหาสาเหตุและด้วยการหา 

สาเหตุของปัญหานี้จึงพาให้เราไปพบต้นตอที่ลึกขึ้น ยิ่งหา 

มากขึ้น ก็ยิ่งลึกขึ้น ลึกจนไปพบแก่น จากนั้นเราจะรู้วิธีแก้ไข 

ที่ถูกต้อง ที่สำคัญต้องลงมือทำ ทำจนเป็นวิถี 

ยกตัวอย่างเช่น ผมไม่สบาย ผมไม่กินยา เพราะพบว่า 

ยาไม่ใช่ทางออก มีเพื่อนผมแนะนำให้กินฉี่ผมศึกษาจนพบ 

กับวิดีโอของหมอเขียว หมอเขียวอธิบายเรื่องยากให้เป็น 

เรื่องง่าย บอกว่าในพระไตรปิฎกระบุว่าการกินฉี่เป็นการ 

รักษาโรค เหมือนกินเซรุ่ม กินวัคซีน ผมก็ทดลองกิน กินไป 

ผมก็รู้ได้ด้วยตัวเองว่าร่างกายดีขึ้น ผมทดลองเดินแทนการ 

ใช้รถยนต์เดินทั่วกรุงเทพฯ มาหนึ่งปีผมพบว่าการเดินทำให้ 

- 30 - 


ผมแข็งแรง ทำให้ผมเห็นชีวิตที่ละเอียดขึ้นเข้าใจคนอื่นมากขึ้น 

เป็นต้น ดังนั้น การจะมองเห็นและเข้าใจสัจจะต้อง 

ทดลองด้วยตัวเอง รู้สึกได้ด้วยตัวเองและพิจารณาสิ่งที่ 

เกิดขึ้นด้วยตัวเอง ผมเตือนตัวเองอยู่เสมอว่า ผมคือคนที่ 

ยังไม่รู้ คนอ่อนแอ คนโง่ ไม่ว่าใครจะพูดถึงผมยังไง ผมรู ้ตัว 

ดีว่ายังมีเรื่องที่ผมต้องพัฒนาอีกเยอะ บางเรื่องแม่บ้าน ยาม 

คนงาน ยังรู้ดีกว่าผมอีก ทั้งๆ ที่เขาจบ ป.4 

สำคัญที่สุดเราต้องทบทวนตัวเองและทบทวนความรู้ 

ที่เรารู้ตลอดเวลา เราต้องตั้งคำถามกับความเชื่อต่างๆ อย่าลืม 

ว่าเราเติบโตมาเพียงแค่ช่วงเวลาสั้นๆ ทันทีที่เราเกิดมาก็จะ 

ถูกอบรมบ่มเพาะด้วยชุดความคิดต่างๆ จากสังคมค่านิยม 

เราต้องกลับไปคิดว่าเมื่อก่อนเราเป็นอย่างไร ตอนนี้เราเป็น 

อย่างไร ถ้าคุณเชื่อว่าการศึกษาในกระแสหลักที่เรามีอยู่ 

ตอนนี้เป็นสิ่งที่ดีผมก็ขอถามกลับว่า ทำไมโลกแย่ลง ทำไม 

คุณธรรมและจริยธรรมเสื่อมทรามลง 

: สมมุติว่าเรายกตัวอย่างเป็นเรื่องการ 

ออกแบบบ้าน สัจจะของการออกแบบบ้านคืออะไรครับ 

ธนญชัย : ก็ต้องเริ่มด้วยคำถามว่า บ้านคืออะไร บ้าน 

หมายถึง ที่อยู่อาศัย คำว่า “ที่-อยู่-อาศัย” คือมีสถานที่แล้ว 

แล้ว “อยู่” อยู่กันอย่างไร อาศัยกันอย่างไร มีกินนะ หายใจนะ 

จับอะไร ดมอะไร เราพูดถึงผัสสะ อายตนะ 6 ตา หู จมูก ลิ้น 

กาย ใจ ที่อยู่อาศัยที่ดีก็ต้องทำให้คนกินดีสูดอากาศบริสุทธิ์ 

หายใจคล่อง มองเห็นร่มรื่น คนที่อยู่อาศัยมีสุขภาพดีถึงจะ 

เรียกว่าอยู่ดี เมื่อทราบตรงนี้แล้ว เราก็กลับไปตั้งคำถามต่อ 

ว่าจะทำให้อยู่อาศัยดีแบบนี้ได้อย่างไร 

ทุกวันนี้มักมีคำพูด “เราออกแบบบ้านสนองความ 

ต้องการของเจ้าของบ้าน” คำว่า “สนอง” คืออะไร สนองคือ 

ตอบ รับใช้ สนองความต้องการของเจ้าของบ้าน แล้วความ 

ต้องการของเขาเนี่ย มันดีไหม ซึ่งก็อยู่ที่สถาปนิกคนนั้นว่า 

จะเลือกสร้างที่อยู่อาศัยที่ดีหรือสร้างที่อยู่อาศัยสนองความ 

ต้องการเจ้าของบ้าน 

: แต่เจ้าของบ้านเขาต้องการให้บ้าน 

ออกมาเท่ๆ แบบบ้านฝรั่งที่ได้รางวัลในนิตยสาร ถ้า 

สถาปนิกไม่ทำตามสถาปนิกก็ไม่ได้งาน 

ธนญชัย : บางครั้งเจ้าของบ้านหรือผู้ว่าจ้างเราเขาติดอยู่ 

ในค่านิยม ติดในความหลง ติดในรูปลักษณ์เส้นสาย แต่เขา 

อาจจะไม่รู้ว่ารูปลักษณ์นั้นๆทำให้เขาอยู่แล้วเครียดไม่เป็นสุข 

มีบ้านสวยๆ เอาไว้โชว์มีของแพงๆ มีห้องหลายห้อง มีเครื่อง 

ใช้ไฟฟ้า มีทรัพย์สินมากมายแต่ทั้งหมดเราต้องดูแลต้องระแวง 

ต้องสอบประวัติคนใช้ ต้องมีสัญญาณกันขโมย ต้องมียาม 

ต้องคอยโทรเช็ก คอยดูกล้องวงจรปิดในมือถือวันละหลายรอบ 

ทั้งๆ ที่เรารู้อยู่แก่ใจว่าเราต้องตายเราเอาอะไรไปไม่ได้แต่เรา 

ก็ยินยอมและพอใจที่จะทำให้ช่วงเวลาในชีวิตของเรา 

เต็มไปด้วยความเครียด พูดถึงตรงนี้หลายคนอาจจะบอกว่า 

เรื่องของกูกูรวย มึงอย่าเสือก ผมก็ต้องขอโทษ แต่ผมอยากให้ 

พวกพี่และพวกเสี่ยที่มีเงินทั้งหลายได้ใช้เวลาขบคิดแม้เพียง 

น้อยนิดก็ยังดี เพื่อชีวิตที่ดีขึ้นอย่างยั่งยืน 

และถ้าผมเป็นสถาปนิก ผมจะหาความรู้ให้มากที ่สุด 

เพื่อทำที่อยู่อาศัยให้ดีที่สุด คำว่า “งานที่ดีที่สุด” คืออะไร 

ก็อยู่ที่เราจะให้คุณค่าของงานมันไปจบที่ตรงไหนบ้านที่สวย 

ที่สุด บ้านที่แปลกที่สุดหรือบ้านที่น่าอยู่ที่สุด เพราะถ้าเรา 

จะต้องออกแบบบ้านหลังหนึ่งให้เป็นบ้านที่น่าอยู่ที่สุดก็ต้อง 

ทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านหลังนี้มีชีวิตที่ดีที่สุดเราก็ต้องคุยกับ 

เจ้าของบ้านว่าชีวิตที่ดีและมีคุณภาพเป็นอย่างไร ดีกับชีวิต 

ของเขาเอง ทีนี้เราจะไปแนะนำเขาได้ เราก็ควรต้องใช้ชีวิต 

ให้ดีและมีคุณภาพก่อน เราต้องรู้เราต้องศึกษา ต้องทดลอง 

ต้องใช้ชีวิตเป็นแบบนั้น ยิ่งศึกษา เราจะรู้ว่าการปูพื ้นบ้าน 

ด้วยหินแกรนิตมันดูดีก็จริง แต่อยู่แล้วกระด้างนะ มันนำ 

กระแสไฟฟ้านะ เป็นมะเร็งได้นะ อยากได้กระจกใหญ่ๆ แต่ 

ต้องติดแอร์ทั้งบ้านนะ ทำให้ผิวหนังคุณไม่ได้ปรับสภาพกับ 

อากาศที่แท้จริง คุณก็ป่วยบ่อยนะ มีโอกาสเป็นมะเร็งตับ 

ได้นะ คุณจะเริ่มออกแบบบ้านที่ไม่มีทีวี ไม่มีห้องนั่งเล่น 

เพราะการนั่งบ่อยๆ นั่งนานๆ ทำให้กล้ามเนื้อของคุณไม่ 

ขยับตัว เจ้าของบ้านจะอ่อนแอลง คุณจะเริ่มบอกเจ้าของบ้าน 

ว่าให้เอาไม้ประดับออกไปจากบริเวณบ้านบ้าง แต่เอาไม้ 

ประแดกมาแทนที่เพราะเจ้าของบ้านจะได้เริ่มปลูกผักกินเอง 

ออกแรงเอง แข็งแรงขึ้นเอง คุณจะเริ่มบอกว่า ไม่จำเป็นต้อง 

เปลืองพื้นที่ในการสร้างห้องฟิตเนส เพราะเจ้าของบ้านจะ 

ทำสวนเอง คุณภาพชีวิตเจ้าของบ้านจะดีขึ้น จะหล่อจะสวย 

อายุยืน พอคุณยิ่งศึกษาเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ที่เชื่อมโยง 

กับที่อยู่อาศัย คุณจะเข้าใจโลก จะเข้าใจน้ำ จะเข้าใจอากาศ 

จะเข้าใจต้นไม้จะเข้าใจความเป็นมนุษย์จะเข้าใจชีวิต คุณจะ 

ได้ความรู้มากมายมหาศาล คุณจะได้พัฒนาปัญญาให้สูงขึ้น 

เรื่อยๆ 

ทัศนคติในการทำงานของผม สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ ยิ่งเรา 

ทำงาน เรายิ่งต้องเก่งขึ้น ยิ่งเข้าถึงสัจจะมากขึ้น แต่ถ้าแค่ 

ทำงานแล้วมีเงินมากขึ้น รวยขึ้น มันไม่ได้แปลว่าคุณจะมี 

ปัญญามากขึ้น 

เมื่อเราเข้าใจถึงสัจจะของสิ่งนั้นๆ แล้ว 

เราจะเห็นถึงสิ่งที่เป็นแก่นสาร 

เราจะแยกเปลือกตัดปลอมออกได้โดยง่าย 

สถาปนิกที่เรามีอยู่ในประเทศตอนนี้มีหลายท่านที่มี 

ความรู้ มีปัญญาที่สูง และยังไม่หยุดที่จะศึกษา คนเหล่านี้ 

ยังมีสายตาที่เป็นเด็ก ใฝ่รู้ ไม่มีอีโก้ พร้อมที่จะฟังคนอื่น 

นอบน้อม เป็นมิตร สุภาพ คิดถึงคนอื่น คิดถึงธรรมชาติคิดถึง 

โลก โลกที่กำลังทำลายธรรมชาติด้วยอัตราเร่ง คนเหล่านี้จะใช้ 

ทรัพยากรอย่างประหยัดและรู้คุณค่า เพราะถือว่านี่คือหน้าที่ 

เป็นภารกิจที่ต้องรับผิดชอบ คนเหล่านี้เคารพตัวเอง ศึกษา 

ประวัติศาสตร์ ศึกษาและเคารพภูมิปัญญาของบรรพบุรุษ 

ตัวเอง ศึกษาคน สังคม ศึกษาดิน ภูมิอากาศ ธรรมชาติของ 

ประเทศไทยและของโลกอย่างลึกซึ้ง เข้าถึงแก่นแท้คนเหล่า 

นี้จะไม่เอารูปแบบหรือเปลือกของวัฒนธรรมอื่นๆเข้ามาโดย 

ไม่ยั้งคิด คนเหล่านี้ไม่ได้มองความเป็นไทยแค่ในเชิงอัตลักษณ์ 

แต่มีปัญญาที่สามารถมองทะลุไปถึงเหตุผล ซึ่งนำมาสู่ 

ความเป็นอัตลักษณ์ เมื่อคนเหล่านี้สามารถเข้าใจเหตุที่มา 

ที่ไปได้อย่างถ่องแท้แล้ว เขาจึงสามารถนำเอาปัญญาที่มี 

มาปรับและประยุกต์ใช้ให้เกิดความเหมาะสมในการใช้ชีวิต 

ได้ดี คนเหล่านี้เติบโตอย่างช้าๆ แต่มีพื้นฐานที่หนักแน่น 

อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักสำหรับคนทั่วไปในวันนี้แต่ผมเชื่อว่า 

ในอนาคตข้างหน้า คนเหล่านี้จะกลายเป็นที่รู้จักของคน 

ทั้งโลก จะกลายเป็นทรัพยากรบุคคลที่มีค่า เพราะโลกใน 

ยุคหน้า สิ่งที่มีค่าที่สุดคือวัฒนธรรมและภูมิปัญญา 

: แล้วความเป็นอยู่ที่ดีที่สุด คืออยู่ยังไงครับ 

ธนญชัย : ดีที่สุดของแต่ละคนไม่เหมือนกันแต่สำหรับผม 

ผมเชื่อว่าต้องอยู่ร่วมกับธรรมชาติเพราะผมคือส่วนหนึ่งของ 

ธรรมชาติกินน้อย อยู่น้อย ไม่รุงรัง ไม่เยอะ รู้จักพอ อยู่เงียบๆ 

ไม่เสือกเรื่องชาวบ้าน ทำสวน ออกกำลัง ตากแดด ตากลม 

เก็บเห็ด เก็บหอย ทำกับข้าว อยู่กับต้นไม้ตื่นเช้าขึ้นมาก็เห็น 

การเปลี่ยนแปลง เห็นความเจริญเติบโต เจริญหู เจริญตา 

เห็นบ่อยๆ อยู่บ่อยๆ ก็จะเจริญสติ แล้วก็คิดในเรื่องที่เจริญ 

เห็นดอกเห็นผล เก็บกินเผื่อแผ่คนรอบข้างอยู่แบบคนบ้านนอก 

อยู่กับความเป็นจริงของความเป็นมนุษย์ 

- 31 - 


: แสดงว่าชุดความรู้ของชาวบ้านกับชุด 

ความรู้ของคนเมือง ไม่เหมือนกันเลย 

ธนญชัย : ชุดความรู้ของชาวบ้านถูกถ่ายทอดต่อๆ กัน 

มายาวนานมากๆ อาจจะเกิน 2,000-3,000 ปีก็ได้ แต่ชุด 

ความรู้ของการศึกษาปัจจุบันอายุไม่น่าเกิน 200-300 ปีเช่น 

มีต้นไม้ต้นหนึ่งผลเต็มต้นเลย คนเมืองเดินไปก็เด็ดกิน 

แน่นอน แต่เชื่อไหมชาวบ้านเขาไม่กิน เพราะอะไร เพราะ 

เขารู้ว่ามันกินไม่ได้เขารู้จากนก นกก็มีความหิว นกก็อยาก 

กินผลไม้ แต่ต้นนี้ทำไมผลเต็มต้น แสดงว่าต้องมีอะไรไม่ 

ชอบมาพากล น้ำตรงนี้ทำไมไม่มีปลา แสดงว่าน้ำอาจจะมี 

สารปนเปื้อน เขาก็จะไม่กินน้ำตรงนี้ เพราะความรู้มันเป็น 

เรื่องกิน-อยู่-ปากท้อง เป็นเรื่องชีวิต แต่ความรู้ที่เราเรียนกัน 

อยู่ไม่ค่อยเกี่ยวกับชีวิต เราเรียนเรื่องกฎหมายระหว่าง 

ประเทศ เรียนเรื่องมาร์เก็ตติ้ง แล้วเรียนจบก็ไปทำงานบริษัท 

ทำงานบริษัทแล้วก็ได้เงิน แล้วค่อยเอาเงินไปซื้ออาหาร เรา 

อยู่ในระบบที่อ้อมค้อมนะ แล้วระบบเนี่ยมันก็เพิ่งจะเกิดมา 

ไม่เกิน 300 ปีเอง เรายิ่งเรียนยิ่งไม่รู้เรื่องตัวเอง ยิ่งอ่อนแอ 

เวลาน้ำท่วม เราก็ต้องรอความช่วยเหลือ เรามีเงิน เราเดิน 

เข้าไปในป่า ในสวน เราไม่รู้ว่าอะไรกินได้กินไม่ได้เราไม่รู้จัก 

ต้นไม้ ปลูกต้นไม้ไม่เป็น เรากลายเป็นคนมีเงินแต่ไม่มีความรู้ 

ทุกวันนี้เรารู้ทุกเรื่องแต่เป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นต้องรู้ แต่ปู่ย่า 

ตายาย บรรพบุรุษของเรา เขารู้ในสิ่งที่มนุษย์ควรจะรู้และ 

ต้องรู้ 

: แต่ถ้าเราออกแบบบ้านตามชุดความรู้ 

พื้นถิ่น งานก็ไม่มีอัตลักษณ์ของผู้ออกแบบเลยสิครับ 

ธนญชัย : คำว่าอัตลักษณ์ว่ากันตามตรงมันคือ คำว่า 

อัตตาและรูปลักษณ์ มันคือรูปฟอร์มของอัตตา อัตตาก็คือ 

ตัวกูของกู กูเป็นศูนย์กลาง กูเก่ง เมื่อไหร่ที่เรายึดมั่นในตัว 

กูของกูเราจะไม่เรียนรู้คนอื่นสิ่งอื่นเราจะโง่ลง ดังนั้น สำหรับผม 

อัตลักษณ์ในงานออกแบบไม่สำคัญ แต่กระบวนการเรียนรู้ 

จากการทำงานสำคัญกว่า งานเราจะเป็นอะไรก็ได้เป็นแบบไหน 

ก็ได้ ที่ทำให้โลกนี้ดีขึ้น 

ตัวอย่างเช่น กาแล ที่เราบอกว่ามันเป็นอัตลักษณ์ของ 

บ้านทางเหนือ ถ้าเราสืบค้นประวัติศาสตร์ก็พบว่าจริงๆ มัน 

คือเครื่องหมายที่พม่าเขาบังคับให้เราทำสัญลักษณ์ไว้ เพื่อ 

บ่งบอกว่าเรายอมจำนนต่อการเป็นเมืองขึ้น และอาจจะมี 

เหตุผลอื่นๆ อีก ทั้งหมดเป็นเรื่องตัวกูของกู เป็นเรื่องความ 

อยาก เป็นเรื่องอำนาจ แต่ไม่ใช่เหตุผลของความจำเป็นใน 

เชิงโครงสร้างของหลังคา แต่ลักษณะเฉพาะที่มาจากวิถีเช่น 

หลังคาจั่วระบายน้ำได้ดี เพราะประเทศไทยมีฝนตกชุก 

เรือนไทยเป็นเรือนยกสูง เพราะมีน้ำมากป้องกันน้ำท่วม 

ชายคาต้องยื่นมากๆ เพื ่อกันน้ำฝนให้ตัวบ้านร่ม เพราะ 

ประเทศเราแดดจัด หรือพื้นที่บริเวณใต้หลังคาเหมาะกับ 

การระบายอากาศ ฝาไม้ปะกนที่เกิดจากนำเศษไม้จากพื้น 

มาต่อกันขึ้นให้เป็นผนัง เพื่อประหยัดไม้ ไหนจะช่องแมว 

ลอด ชาน บ่อน้ำหน้าบ้าน ลาน เดิ่น โคก อื่นๆ อีกมากมาย 

ที่เราต้องศึกษาถึงเหตุผลที่คนโบราณทำขึ้นมาจนเป็นวิถี 

อย่าลืมว่าบรรพบุรุษเรามีชีวิตอยู่ใกล้ชิดกับธรรมชาติที่สุด 

จึงเข้าใจภูมิอากาศ ธรรมชาติและชีวิตได้ดีกว่าเรา จะเป็น 

เรื่องที่น่าเสียดายมาก ถ้าเราเอาความชอบส่วนตัวและ 

ความรู้ที่เรียนมาในระยะเวลาสั้นๆ น้อยนิด มาตัดสิน ดูถูก 

และทิ้งขว้างทรัพย์สมบัติอันมีค่าทางภูมิปัญญานับพันปีนี้ 

ให้หายไปจากแผ่นดิน 

: ขอย้อนกลับมาถามเรื่อง “ความเป็น 

อยู่ที่ดีคือการอยู่ร่วมกับธรรมชาติ” แนวคิดนี้คือสาเหตุ 

ที่คุณเริ่มต้นปลูกป่าใช่ไหมครับ 

ธนญชัย : ใช่ครับ ผมเชื่อ ผมเลยทำ เมื่อทำผมจึงรู้ว่าดี 

ป่า คือที่สุดของการอยู่ร่วมกันของชีวิต มนุษย์ก็คือสิ่งมีชีวิต 

ชนิดหนึ่งที่ต้องมีส่วนร่วมและรับผิดชอบในธรรมชาติ 

: เห็นบ้านสร้างใหม่ของคุณก็แวดล้อม 

ไปด้วยสวนป่า บ้านคุณจะติดแอร์หรือเปล่าครับ 

ธนญชัย : คิดว่าจะไม่ติด เปิดพัดลมเอา มียุงก็กางมุ้ง 

เดี๋ยวรอต้นไม้โต หนาครึ้ม มันก็จะเย็นเอง (ยิ้ม) 

: ไม่กลัวยุง กลัวงู กลัวตะขาบบ้างเหรอครับ 

ความปลอดภัยในชีวิตถือเป็นสัจจะของการอยู่อาศัย 

นะครับ 

ธนญชัย : ผมไม่กลัวยุง แต่งูยังกลัวอยู่นิดๆ แต่จะ 

พัฒนาตัวเองให้ไม่กลัว ผมคิดว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ปัญหา แต่ 

ผมเองต่างหากที่มีปัญหา ผมต้องปรับตัวและศึกษาให้อยู่ 

ร่วมกับสัตว์เหล่านี้ให้ได้ ผมสังเกตว่าเรากลัวเพราะเราไม่รู้ 

ไม่ศึกษาให้เข้าใจ เรากลัวยุง กลัวงู กลัวโน่นกลัวนี่ไปหมด 

แต่สมัยก่อนเวลามีปัญหากับธรรมชาติ ชาวบ้านจะมีการ 

ศึกษาปัญหา เช่น “กลัวยุง” ยุงคืออะไร ยุงคือสิ่งมีชีวิตชนิด 

หนึ่ง อาศัยอยู่ในน้ำขัง หากินในช่วงหนึ่งทุ่มถึงสองทุ่ม แล้ว 

มันก็ไป เฮ้ย เรารู้จักยุงแล้วนี่เราก็เปิดพัดลม เผาตะไคร้หอม 

ไล่มัน น้ำขังก็เทออก ไม่ก็เลี้ยงปลาหางนกยูง ถ้าลำบากนัก 

ก็อาบน้ำเข้ามุ้งนอนไปเลย 

“กลัวงู” งูคืออะไร งูคือสิ ่งมีชีวิตที่รับสัมผัสการสั่น 

สะเทือนได้เร็ว ถ้าเราเดินย่ำแรงๆ ให้งูรับรู้ได้มันก็หนีไป คือ 

ก่อนที่จะกลัว อยากให้เรียนรู้มันเสียก่อนไม่ใช่สักแต่จะฆ่ามัน 

ถ้ากลัวยุง กลัวงู มันมีป่าไม่ได้หรอก เพราะป่ามันต้องมีสิ่ง 

เหล่านี้ฉะนั้นถ้าเราศึกษาก่อน ศึกษาแล้วเราก็จะรู้เมื่อรู้แล้ว 

เราจะกลัวน้อยลง พอกลัวน้อยลง ก็มีความมั่นคงในจิตใจก็เกิด 

ความสุข 

: บ้านหลังนี้จะโดนแซวไหมว่า ไม่ศิวิไลซ์ 

เอาซะเลย 

ธนญชัย : เราก็ต้องถามว่าศิวิไลซ์คืออะไรคำว่า “Civili - 

zation” Civic หมายถึง เมือง Civilization คือสภาวะแห่ง 

ความเป็นเมือง ถ้าบอกว่าบ้านหลังนี้ไม่มีสภาวะแห่งความ 

เป็นเมือง... ก็ถูกต้องแล้ว (ยิ้ม) 

: แต่คุณจะให้คนที่เกิดและโตในเมือง 

ไปอยู ่แบบป่าเหมือนคุณ ใครก็ต้องบอกว่าเขาทำไม่ได้ 

ธนญชัย : ผมอยากจะบอกว่า ขอให้เรามองตัวเองให้ดี 

มองให้ละเอียด มองมือ มองแขน มองขา มองขนตา มอง 

ขนคิ้ว ศึกษาตัวเราเองให้ถ่องแท้ แล้วเราจะพบว่า เราเคย 

เป็นลิงมาก่อน มีมือไว้จับ มีเล็บไว้แกะแคะ มีกะโหลกไว้ 

ปกป้องสมอง เราวิวัฒนาการมาโดยธรรมชาติมาหลายล้านปี 

แต่เรากลับบอกตัวเองด้วยประวัติศาสตร์อันสั้นเหลือเกิน 

เพียงแค่ชั่วอายุของเรา ว่าเราทำแบบนั้นแบบนี้ไม่ได้แสดงว่า 

เราเองมองตัวเองได้ไม่ลึกพอ เราสร้างข้อจำกัดให้ตัวเรา 

ด้วยประวัติศาสตร์สั้นๆ 

: คุณเรียนรู้อะไรบ้างจากการปลูกป่า 

ธนญชัย : เรียนรู้สัจจะของป่า คือ ต้องปล่อยให้เขา 

จัดการตัวเอง เรานำเขามาปลูกได้เราเรียงเขาไปใกล้ๆ กันได้ 

แต่สุดท้ายแล้วเขาจะจัดการตัวเอง มันมีกระบวนการพึ่งพา 

อาศัยที่ซับซ้อนแล้วซับซ้อนอีก มีการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้เรา 

ต้องเฝ้าสังเกตทุกวัน เพราะฉะนั้น เมื่อผมอยู่กับป่าแล้ว ป่า 

ทำให้ผมรู้อะไรมากขึ้น พระพุทธเจ้าอยู่ในป่า ท่านเข้าใจ 

ความเป็นไปและความเปลี่ยนแปลงก็จากป่า ท่านไม่ได้ตรัสรู้ 

ในพระราชวัง ทุกอย่างเกิดขึ้นใต้ต้นไม้ป่าต้องมีอะไรดีแน่ๆ 

- 32 - 


เวลาผมอยู่กับป่า ผมไม่กล้าพูดว่าผมสร้างท่านขึ้นมา 

ผมพูดได้แค่เพียงว่า ช่วยผมหน่อย ช่วยบอกและสอนผม 

ช่วยทำให้ผมมีความรู้หน่อยเถอะ เพื่อที่ผมจะได้นำความรู้นี้ 

มาช่วยท่านอีก นี่คือสิ่งที่ผมพูดกับป่า 

: แล้วในแง่ของการปลูกคนล่ะครับ คุณมี 

วิธีการพัฒนาคนยังไงบ้าง 

ธนญชัย : ต้นไม้ที่ขึ้นดีที่สุด เราต้องดูแลเขาแต่พอดี 

ต้องปล่อยให้เขาเจอปัญหา เจอลมบ้าง เขาต้องเจอรากคลอน 

บ้าง ต้องเจอใครบังแสงเขาบ้าง เมื่อไหร่ก็ตามที่ีใครบังแสง 

เขาก็ต้องพยายามกระเสือกกระสนเพื่อที่จะรับแสงแดดให้ได้ 

แล้วสภาวะนั้นเขาเรียกว่าท ำให้มีพลังชีวิต ทำให้เขาแข็งแกร่ง 

ขึ้น เพราะฉะนั้นการปลูกคนหรือการให้ความคิดคน จะต้อง 

ให้คนนั้นนำความคิดนั้นไปขบคิด แล้วต้องปล่อยให้เขาไป 

เผชิญหน้ากับความทุกข์และความยากลำบาก เรื่องนี้ไม่มี 

ทางลัด เพราะเมื่อคนเจอปัญหาจะเกิดพลังชีวิต และเกิด 

กระบวนการพัฒนา และเกิดปัญญา 

แต่เรื่องที ่สำคัญอีกเรื่องคือ ไม้แต่ละต้น คนแต่ละคน 

ก็ไม่เหมือนกัน มีความถนัดความชอบไม่เหมือนกัน เราเอา 

ต้นไม้ภูเขาไปปลูกริมน้ำไม่ได้ เขาถูกออกแบบมาไม่ 

เหมือนกัน ถ้าเราศึกษาและเข้าใจเขา เราจะรู้ว่าเขาอยู่ตรงไหน 

จะพัฒนาได้เร็วที่สุด นี่คือสิ่งที่เราจะช่วยเขาได้ดีที่สุดให้เขา 

มีพื้นที่ของเขา ให้เขาพัฒนาตัวเองในวิถีของเขา จนพึ่งพา 

ตัวเองได้และสามารถออกดอกออกผล เผื่อแผ่ให้กับผู้อื่น 

Every book says it needs 2 important things to see 

the truth. The first is open mind and the second is a 

mirror. We have to have open mind because the truth 

may not be like what we think nor expect. If we don’t 

open our mind, the truth can’t reach us. The clearer 

mirror we use, the more clearly we can see the truth. 

had talked to Mr.Tor – Thanonchai Sornsriwichai, 

a world class director and Cannes Lion winner, about 

the real meaning of Core Value, architects, and self 

development. 

: The word “Core Value” is used more 

often nowadays, what does it mean in your opinion? 

Thanonchai : (Thinking) “I think it means “the real 

value” or “the truth”. No matter how long the time passes, 

it will always be the truth.” 

: What is the significance of “Core 

Value” or “the truth”? 

Thanonchai : The core value is the truth. When we 

understand the core value of something, we will know 

what not the matter. We will be able to cut off the fake 

easily because we see the core, the beauty, and the 

truth inside. Such as the core value of the locomotion, 

it is moving from one place to another, so that we don’t 

really need a car, we can walk, crawl, roll, creep, hop, 

etc. The communication, for example, there’re not just phone 

or Line application. There are many ways to get a person 

to understand what we want to communicate. Talking, 

looking at each other, or eye-contacting are communication. 

They might be better because talking face to 

face makes us know if that person is speaking the truth 

or not, feeling it or not. Human beings have sense in soul 

and feeling. I think this kind of communication is very 

sensitive and much more useful. 

: How can we understand what is the 

core value of that thing? 

Thanonchai : I always find the way to answer that 

question. We need to focus on the right and useful 

questions. Train to ask many questions that will bring you 

to understand the core of any topic. However, we can’t 

just do questioning, we also have to practice, prove, and 

confront the problems, find the ways and the reasons. 

The process of finding reasons will bring us to the deeper 

sources. The more we find the deeper we go, deep to 

the core, then we will get the right solution. The key is not 

to be exhausted. Questioning and practicing until it’s in 

your daily life. For example, if I was sick, I didn’t take 

medicines because I found out medicines are not the 

solution. My friend suggested me drink the urine so I 

went on studying until I found a video of doctor Kheaw. 

Doctor Kheaw’s explanation made it easy to understand. 

He said that in the Tripitaka – Buddhist Scriptures, drinking 

urine is curing like taking serum or vaccine. So I tried 

drinking urine. While trying, I felt my body was getting 

better myself. I tried to walk instead of driving a car. I 

had walked around Bangkok for a year, and I found out 

that walking can make me strong, make me see and 

understand life and other people better. So, you have 

to prove, feel, and consider it yourself to see and to 

understand the core value. I always warn myself that I 

am an unenlightened, weak and dumb. No matter what 

people say about me, I know that I still need more 

development. The maids, guards, or workmen know 

something better than I, even they had finished just 

Grade 4. 

- 33 - 

The most important thing is to review ourselves and 

our knowledge all the time. We have to question on 

those beliefs. Don’t forget that we have a short life. Once 

we were born, we were taught and planted some ideas. 

We live among the environment of the society, popularity, 

which we have to admit that many things are getting 

worse. We have to think back how we were in former 

time and how we are now. If you believe that the main 

education system we have now is good, I would like to 

ask you why the world is getting worse, why the morality 

and ethics are deteriorating. 

: Let’s use the house designing for an 

example, what is the core value of designing a house? 

Thanonchai : We have to start at the question 

“What is a house?”. A house means a place to live, there’s 

a “place” and there’s “living”, and the next question is how 

they live. People live by eating, breathing, touching, etc. 

We are talking about senses, 6 sense doors (Ayatana 6). 

A good residence must help the dwellers to eat well, to 

have fresh air to breath, to see green trees for relaxation, 

to have good health. So when we reach this, we should 

get back to question how to make a good dwelling for 

those requirements. 

Nowadays we say “we design the house to serve 

the owner’s requirement”. What does the word “serve” 

mean? “Serve” means answer, fulfill, and satisfy the 

need of the owner. Is that need good? It’s up to the 

architect’s choices, to build a good dwelling or a place 

that “serves” the owner. 

: But the owners want their houses to 

look cool, like those western awarded houses in magazines, 

if the architects don’t do that, he will not get the job. 

Thanonchai : Sometimes the owners or our customers 

stuck in popularity, in the fascination, in the forms and 

lines, in the delusion of ignorance. They don’t know that 

those forms might make them live unhappily. They just 

have a beautiful house to show off, collect many expensive 

things, many rooms, many electrical appliances, a lot of 

assets. In fact, all of those make us nervous, make us 

check on maids, make us need burglar alarm, guards, 

need to check the close circuit TV on cell phones many 

times a day. Even we know that we all will die, we can’t 

take anything with us, but we allow to make our life time 

filled with stress. At this point, someone might say “I’m 

rich, it’s not your business.”, then I have to apologize 

but I want those rich men to think a bit, for their better 

sustainable lives. 

If I were an architect, I will study hard and smart 

to make the best dwelling. What “the best job” means? 

It depends on what we think the core value of our work 

is. If our highest value is the acceptance from the westerns, 

we should design a fantastic house, like those in magazines. 

If you want to build a house that can make the dwellers 

live the best lives, you have to study, talk to the owner, 

spend time to make him believe and build the best 

house for his own life. This can’t give you any awards, 

any fame, but the best benefit you will get is your 

knowledge. You will know that paving the floor with 

granite stones might look great, but it has hard surface, 

is electricity conductor and can cause cancer. A house 

with glass walls will need to be all air-conditioned, won’t 

let your skin to be adjusted to the real air, you can get 

sick often and can get liver cancer. You will start to 

design a house without a television, no living room, 

because sitting for a long time will make the house 

owner’s muscles weak. You will start to tell the owner 

to take off some ornamental plants, and bring in some 

eatable plants. The owner will plant his own vegetables, 

do some exercise, being stronger. They won’t waste the 

space for a fitness room, because they can exercise 


while gardening. The quality of owner’s life will be better. 

They will look good and have longer life. The more you 

study about good living that relates to dwelling, you will 

understand the world, the water, the air, the trees, and 

human beings. You will understand life and get knowledge 

tremendously. You will develop your wisdom. 

However, if you just want to design an outstanding house 

with good forms and lines for photographing and don’t 

care about the core value of living, so it is fine. We just 

value things differently. 

The most important thing in my attitude about 

working is the more we do, the better we are, the closer 

we get to the core value. If the more you work, the 

richer you get, that doesn’t mean you have more wisdom. 

In our country, there are many architects who have 

knowledge, high wisdom, and didn’t stop studying. These 

architects have vision of a youngster, love to learn, and 

have no ego, willing to listen, humble and friendly, care 

about people and nature, care about the world that is 

destroying the nature with acceleration. These architects 

will save natural resource and use it worthily. Because 

architect is an important career, their duty is to take 

responsibility. These guys respect themselves, their own 

history, ancestors’ intellectual. They study cultures, 

people, society, earth, climate, nature in Thailand and 

the world deeply, right to the core. They will not use 

foreign pattern or culture without consideration. They 

don’t look at Thai characteristic just as an identity but 

they have wisdom to look through into the cause of the 

identity. When these guys understood the sources 

clearly, they can apply their wisdom to create appropriate 

architecture for the living. They grow slowly but with 

solid base. They might not be popular today but I believe 

they will be world famous in the future. In the future 

world, culture and intellectual will worth the most. 

Whenever they are popular and start to be conceited, 

obsessed with the money or the fame, then their 

development will stop and degenerate eventually. 

: And what is the best living? 

Thanonchai : I believe the best living is living with 

the nature. Nowadays we try to separate human from 

the nature by our new shallow knowledge. We will die, 

we will collapse, because we are lost in our own knowledge 

without learning our nature deeply. An example is fashion 

of architecture that changes every year. You will see the 

award winner architecture in each year has changed but 

the dwellings which according to the nature don’t change 

much. The example is local architecture, which is the 

knowledge from the good living, healthy and sustainable. 

We will see that local architecture has changed slightly 

in past centuries. If there are some changes, they are 

material change or minor change. Those local people 

don’t use the word “romantic” or “aesthetic”, but they 

are happy and live closer to the core value than townsmen. 

: That means the knowledge of local 

men and of townsmen are totally different. 

Thanonchai : The local knowledge has been inherited 

for very long time, might be over 2,000-3,000 years, but 

the modern knowledge is not over 200-300 years old. 

If there’s a tree full of fruits, townsmen will go pick some 

to eat, but the local won’t do that, because they know 

those fruits aren’t eatable. The local learn from the birds, 

birds are hungry and want to eat the fruit, but this tree 

still has its fruit all over, that means there must be 

something wrong. Why is there no fish here? The water 

there might be toxic, the local won’t drink it. These are 

knowledge about living and life. The knowledge we study 

is not about life, we study international law, marketing, etc. 

After we graduate, we work in companies, to get salary, 

and spend on food. We are in such a detouring system, and 

this system has just happened for not over 300 years. 

The more we study, the more foolish and weaker we 

are. If we walk into a forest or a garden, we don’t know 

what is eatable, what is not. We don’t know any trees, 

can’t grow a tree. We have money but no knowledge. 

Nowadays we know what we don’t need to know but 

our ancestors knew what human beings should know. 

: But if we design by local knowledge, 

then our design won’t have the designer’s identity. 

Thanonchai : The identity is important only for the 

judges (in design competition). The judges will check if 

your work has its identity, if it deserves the award. However, 

designing to please those judges can’t make us reach 

the core value of the work. If our lives depend on awards, 

on someone’s judgments, I think that wastes our time. 

We should spend our time on developing ideas, more 

studying, more basic knowledge, and higher wisdom. 

One day we will realize our identity and our ego are not 

important, but reaching the core value is the most 

important. 

The identity, actually, it is about self and form, it’s 

the form of one’s self. The example is “Galae”, which we 

call it the identity of Northern houses. If we search in 

the history, we will find out it is a Burmese colony sign 

marked on houses, not a necessary roof structure. There 

are forms that follow functions, such as the gable roof to 

drain rain water because it’s rainy in Thailand, or elevated 

detached houses to avoid floods, or long eaves to prevent 

rain splash and for shading because our country is 

sunny, or the space under the gable roof that is good 

ventilation, or wooden partitions made from small pieces 

of wood to save the wood, as well as the cat crotch, 

terrace, front pond, patio, etc. We need to study why 

the primitive men created them to be architectural 

tradition. Don’t forget that our ancestors lived near the 

nature, they understood the weather, the nature and life 

better than us. It will be shameful if we use shallow 

personal style and our tiny knowledge we learned to 

judge or ignore our thousands years old worthy intellectual 

and let them disappear from our country. 

: Let’s get back to the concept of 

“good living is to live with nature”, is it the reason why 

you started to cultivate a forest? 

Thanonchai : The Forest is the entire organisms, 

the ultimate of coexisting of lives. Human being is just 

one kind of organisms who participates in dealing with 

the nature with one condition, to coexist with the nature. 

“To coexist” means people must not be denied from the 

nature. The reforestation must include way of human’s life. 

: Your new home is built with the 

forest park surrounding. Will it be air conditioned? 

Thanonchai : I don’t think so, I will use fans. If there 

are mosquitoes, I’ll use the mosquito net. And, I know 

if I wait a bit longer, when the trees grow up bigger and 

provide shade, it will be cool. 

: Aren’t you afraid of mosquitoes, 

snakes, or centipedes? Safety is the core value of 

living too, isn’t it? 

Thanonchai : I’m not afraid of mosquitoes but a 

little scared of snakes, but I’m trying to get rid of my 

fear. I don’t think they are problems, but I myself have 

to adapt and study to live with these animals. They made 

me smarter though. I noticed that we fear because we 

didn’t study about that thing enough. Formerly when 

people had trouble with nature, they would stay with 

the problems and study them, the mosquitoes, as an 

instance. What are mosquitoes? They are just a living 

thing, they live in the water when they are born, and 

they come out in the late evenings. That’s it! We know 

mosquitoes! So we just use fans to blow them away, use 

smelly lemongrass, get rid of water ditches or get some 

guppy fish, and if those do not work then we sleep in 

mosquito nets. 

As for being afraid of snakes, snakes are a living 

thing that can sense vibrations very fast. If we stomp, 

snakes will feel it and go away. We got to know them 

before being afraid of them. Killing them is not appropriate. 

We cannot help the forest grow if we are afraid 

of those animals; they are needed to fulfill the forest. 

We can reduce our fear by studying, and when we fear 

less, we will feel more secure and be happy. 

- 34 - 


“ฝาไหล ภูมิปัญญาการก่อสร้างของคนไทยแต่โบราณที่คุณต่อ-ธนัญชัย นำมาใช้ในส่วนประกอบของบ้าน” 

: Will this house be made fun of for 

not being civilized? 

Thanonchai : We have to ask what “civilization” is. 

“Civil” means city so civilization means being a city. If 

people say this house doesn’t have the city’s character 

then that is correct. (smiles) 

: But you expect people who were 

born and raised in the city move to live in the forest 

like you, any of them would say it’s impossible. 

Thanonchai : I’d like to tell you to consider yourself, 

examine yourself, hands, arms, legs, eyelashes, eyebrows, 

examine them well. Then you will realize that you had 

been an ape, a living thing developed from apes, from 

the nature. You have hands to grab, nails to pick, skulls 

to protect the brain, you had been developed by the 

nature for millions years. But you are telling yourself, 

with such a short history, short as your lifetime, twentythirty-forty 

years, that you can’t do this. It means you 

can’t see your soul deep enough, you dictate your future 

with only your short history. 

: What did you learn from forests 

cultivating ? 

Thanonchai : I learned the core value of the forest, 

that is to let it grow itself. We can plant, arrange but it 

will adjust and manage itself at last. There’re very complicated 

dependency processes, many changes so that 

we have to observe every day. When I live with the 

forest, it made me smarter, it gave me wisdom. The Lord 

Buddha lived in the woods, he understood the continuity 

and the changes from the woods, he didn’t enlighten in 

the palace, every thing happened under trees. The forest 

must have something special, that’s my first re-mark. 

When we live with the forest, I don’t dare say I built 

him. When I am in the woods, I would just ask him to 

help. “Help teach me to help you, please.” that’s what I 

said to the forest. 

: About humans cultivating, how do you 

develop people? 

Thanonchai : The tree that we take care of properly 

grows best. We have to let him face the problems, wind, 

loose roots, blocked sunlight. When he was blocked, he 

would try hard to get the light, and that situation can 

give him energy, make him stronger. The humans cultivating 

is giving them ideas to consider, and let them 

confront the difficulty. There’s no detour for this, people 

have to face the problems to gain energy, to develop, 

and to have their wisdom. 

Another important thing is each tree, each man, is 

different. Each of them has different talent, likes different 

things. We can’t plant mountain trees near water, they 

were designed for different purpose. If we study and 

understand them, we will know where they should be 

and how to develop fastest. The best to help them is 

to give them a space, let them develop themself by 

thier own way, until they can stand on their feet then 

grow and give to others. 

หลังการบันทึกบทสนทนาจบลง แต่เรายังคุย “คุณต่อ-ธนญชัย” อีกหลายเรื่อง 

และนี่คือเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากการพูดคุยนอกรอบ 

คุณต่อเน้นว่า กระบวนการสังเกตเป็นรากฐานของการเกิดปัญญา 

หลายคนชอบบอกคุณต่อว่า วัยของเขาโอเคแล้ว ต้องนิ่งแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้ว แต่เขารู้สึกว่าการนิ่งทำให้มนุษย์ตาย ทำให้ 

คนเราหยุดพัฒนา มนุษย์ต้องแก้ปัญหา เวลาเจอปัญหาจะมีพลังงานที่ขับตัวเองไปข้างหน้า 

คุณต่อแนะนำว่า ให้พึงระวังกิจกรรม “อยู่หมัด” ถ้างานนั้นทำได้ง่ายๆ เราต้องหนี ต้องไปในโซนที่เราไม่ถนัด แล้วรู้ไหมว่า 

พอเราไปโซนใหม่ เราสามารถเอาความรู้เดิมมาใช้ได้ ความรู้ประยุกต์ได้ตลอด คือไม่ได้ทิ้งความรู้เดิม มีแต่ได้ความรู้ใหม่ 

เพิ่มขึ้นตลอด ถ้าเราเข้าสู่การเปลี่ยนแปลง 

คำถามที่เขาเจอบ่อย คือ เราต้องทำยังไงถึงจะเข้าสู่กระบวนการเปลี่ยนแปลง เขาตอบว่า กระบวนการเปลี่ยนแปลง 

ในหลวงรัชกาลที่ 9 พระองค์ทรงทำให้เราดูเป็นตัวอย่างมาตลอดชีวิต คือ ต้องค่อยๆ ทำ ต้องมีความอดทน และที่สำคัญ 

ที่สุดของการเปลี่ยนแปลงคือ ต้องไม่เลิกทำ ต้องอึด แล้วผลลัพธ์จะเกิดขึ้นเอง 

เขายังเน้นอีกว่า ถ้าจะทำการเปลี่ยนแปลง ขอบอกเลยว่าอย่าท้อ อย่าไปหวังว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นฉับพลันทันที 

ให้ค่อยๆ ทำไป แล้วพอเห็นเริ่มมีการเปลี่ยนนิดๆ จะมีความปิติเกิดขึ้นในใจ 

ถามถึงแบบอย่างในการดำเนินชีวิต คุณต่อตอบว่าดูคลิปพระราชกรณียกิจของในหลวงรัชกาลที่ 9 บ่อยมาก เพราะยิ่งดู 

ยิ่งทำให้รู้ว่าพระองค์ทรงพระปรีชาสามารถขนาดไหน ทำให้ตระหนักรู้ความกระจ้อยร่อยของตัวเอง ทำให้เห็นว่าเรายังมี 

ช่องว่างในการพัฒนาได้อีกไม่มีวันจบสิ้น 

แต่ก่อนเขาบ้าเรื่องเฟอร์นิเจอร์มาก ไปแทบทุกร้านที่มีของเจ๋งๆ ซื้อแหลก ซื้อแล้วไปฝากไว้บ้านคนนู้นคนนี้แต่ทุกวันนี้ไม่มี 

ความต้องการเรื่องนี้เหลือเลย อยากขายออกให้หมด เพื่อเอาเงินมาทำทุนในการทำตามคำสอนของพระองค์ท่าน คือ 

บันได 9 ขั้นสู่เศรษฐกิจพอเพียง เขาเชื่อว่านี่คือปรัชญาที่เหมาะสมกับยุคสมัยอย่างแท้จริง และจะลองทุ่มเททั้งชีวิต 

ทำตามคำสอนพระองค์ท่านอย่างจริงจัง 

After the recorded conversation, we continued talking with Mr.Tor Thanonchai. 

These are some tips from off record talking. 

Mr.Tor confirms that the process of observation is the base for the wisdom. 

Someone told Mr.Tor that his age is OK, it’s age of being still, no need to do anything more. However, 

he thinks being still can kill humans. It can stop our development. People have to solve problems. 

They will have energy to push themselves forward when they have problems. 

Mr.Tor suggested aware of “under control” events. If those works are too easy, we have to run away, 

out of our comfort zone. When we reach the new zone, we still can use and apply our existing knowledge. 

We didn’t discard the old knowledge but gain more new wisdom if we go for the change. 

The question Mr.Tor was asked very often is “How can we change?” He usually answers, “His Majesty 

King RAMA IX had showed us the process of changing for all of his life.” The key is being patient, don’t 

quit, be tough, and the result will happen. 

Mr.Tor also said not to expect an immediate change, changing should go slowly and continuously, don’t 

give up. When you begin to see a little change, you will be happy. 

About his role model, Mr.Tor said he watched the royal duties video of his majesty King RAMA IX very 

often. The more he watches, the more he knows how brilliant our beloved king was. That makes him 

realize how tiny he is and see many more channels for eternity development. 

Mr.Tor used to be crazy about the furniture. He bought a lot from almost every furniture shop. But 

today he doesn’t have any needs about that, he wanted to sell off and spend the money on funding 

the project to follow his majesty royal guidance – Nine steps to reach sufficiency economy. He believes 

this is the perfect philosophy for the era, and he will dedicate his life to follow the royal guidance. 

- 35 - 


C4 

นพพล พิสุทธอานนท์ 


SPECIAL STORY 

ASA Emerging Architecture Awards 2017 

ประกาศผลรางวัลสถาปัตยกรรมรุ่นใหม่ “บ้าน บ้าน” 

รางวัลสถาปัตยกรรมรุ่นใหม่ เป็นรางวัลที่ให้กับผลงาน 

การออกแบบสถาปัตยกรรมของสถาปนิกที่มีอายุไม่เกิน45 ปี 

เพื่อเป็นการยกย่องเชิญชูเกียรติสถาปนิกรุ่นใหม่และเป็น 

เวทีแสดงผลงานที่แตกต่างให้เป็นที่รู้จักเพื่อเป็นแรงขับเคลื่อน 

ให้สถาปนิกมีกำลังใจในการทำงานต่อไป โดยในปีนี้เพื่อให้ 

ตอบรับกับธีมหลักของงานสถาปนิก’60 คือ “บ้าน บ้าน” 

จึงกำหนดประเภทของอาคารเฉพาะบ้านเท่านั้น 

การตัดสินรางวัลแบ่งเป็น 3 ขั้นตอน การตัดสินรอบแรก 

จะเป็นการคัดเลือกผลงานจากบอร์ดที่ผู้เข้าประกวดส่งเข้ามา 

โดยมีกรรมการรับเชิญ 3 ท่าน ได้แก่ผศ.บุญเสริม เปรมธาดา 

คุณชาติเฉลิม เกลียวปฏินนท์ และคุณบุญเลิศ เหมวิจิตร 

พันธ์ ทั้งนี้มีผู้ผ่านการคัดเลือกในรอบแรกจำนวน 8 ผลงาน 

โดยผลงานของผู้ที่ผ่านการคัดเลือกในรอบนี้ได้ถูกจัดแสดง 

ในงานสถาปนิก’60 ในรูปแบบของบอร์ดและโมเดล 

การตัดสินในรอบที่สองเป็นการเยี่ยมชมสถานที่จริง 

และสัมภาษณ์เจ้าของบ้านโดยมีสถาปนิกเป็นผู้นำชม โดย 

คณะกรรมการคัดเลือกผลงานที่ผ่านเข้าสู่รอบสุดท้าย 

จำนวน 5 ผลงาน 

การตัดสินในรอบสุดท้ายเป็นการนำเสนอผลงานบน 

เวทีแบบเปิดให้บุคคลภายนอกและผู้สนใจสามารถเข้าร่วมฟัง 

การตัดสินได้ ในรอบนี้นอกเหนือจากกรรมการหลัก 3 ท่าน 

แล้ว ยังมีกรรมการชาวต่างชาติเข้าร่วมการตัดสินอีก 2 ท่าน 

คือ Mr.Chelvadurai Anjalendran และ Mr.Shingo Masuda 

The ASA Emerging Architecture Awards are given 

to the architecture designs by young architects under 

the age of 45, to commend new generation architects. 

This will also provide a venue to exhibit variety of works 

to the public in order to motivate and encourage them 

further. This year, in recognition of the main theme of 

the Architect Expo’17-Baan Baan, the competition 

category is limited to “houses” only. 

The judging process comprises 3 phases. In the 

qualifying phase, judges chose from all the competitors’ 

presentation boards. The three guest judges were Prof. 

Boonserm Premthada, Mr. Chartchalerm Kleawpatinont 

and Mr. Boonlert Hemwijitphan. There were 8 qualified 

competitors and their works were displayed in the 

Architect Expo’17 on boards and models. 

In the final round, the competitors presented their 

works on public stage, open to outsiders and anyone 

interested. In addition to the three main judges, two 

foreigner guest judges, Mr.Chelvadurai Anjalendran and 

Mr.Shingo Masuda, were invited. 

The second phase was visiting the actual sites and 

interviewed the houses owners, with the architect 

competitors as guides. Five works were chosen to enter 

the final round. 

- 36 - 


ผลการตัดสิน 

Gold Medal Award 

รางวัลสถาปัตยกรรมรุ่นใหม่ดีเด่น 

โครงการบ้านเอกมัย (Eakamai House) 

ออกแบบโดย: บริษัท Chat Architects 

สถาปนิก: นายฉัตรพงษ์ ชื่นฤดีมล 

“เนื้อหาของงานมีมุมมองในการตั้งคำถามว่า 

สถาปัตยกรรมจะสร้างประโยชน์ต่อสังคม ชุมชน และบริบท 

โดยรอบได้อย่างไร และยิ่งโดยเฉพาะแนวคิดที่ผ่านมาของ 

การสร้างบ้าน หลายๆ คนมักตีความหมายว่า สร้างบ้าน = 

สร้างโลกส่วนตัว ภาพถ่ายขาวดำของบ้านเดี่ยวในซอยแห่ง 

หนึ่งที่มีรั้วสูงทอดยาวไปตลอดทั้งซอย เป็นตัวตอบคำถาม 

ได้ดีว่า บ้านคือโลกส่วนตัวอย่างไร แต่หากมองย้อนไปใน 

อดีต สังคมไทยมีบ้านเรือนไทยที่มีใต้ถุนสูง เอื้อให้เพื่อน 

บ้านแวะเข้ามาทักทาย บ้านเรือนไทยที่ติดกับศาลาท่าน้ำ 

เอื้อให้เรือมาจอดและพูดคุย ทั้งหมดคือ Public Component 

บ้านพักอาศัยมีความเป็นสาธารณะและเอื้อให้กับสังคม 

บ้านหลังนี้จึงมีรั้วที่ทำจากบานเฟี้ยมสูงสามารถเปิด 

และปิดได้คนธรรมดาอาจคิดว่ารั้วคือปราการกันขโมย แต่ 

บ้านเอกมัย นำรั้วมาเป็นส่วนหนึ่งของตัวบ้าน และเปิดเพื่อ 

ให้เจ้าของบ้านได้มีโอกาสคุยกับเพื่อนบ้าน คนขายยาคูลท์ 

หรือแม้แต่ซาเล้งที่ขี่ผ่านเข้ามา นั่นคือการใช้สถาปัตยกรรม 

ของบ้านเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน และบาน 

เฟี้ยมแนวยาวนี้เป็นสัดส่วนที่น่ารักเข้ากับซอยได้ดี” 

Project: Ekamai House 

Architect: Mr. Chatpong Chuenrudeekamol, 

CHAT Architects 

“The content of the project is to question how the 

architecture can be useful to society, community, and 

context around it. Especially the past ideas about building 

houses, many people think that to build a house is 

to build his private world. A black & white photo of a 

single house, with high fence along the Soi, can be the 

good explanation how private a house is. But if we look 

back in the past, Thai society had Thai traditional elevated 

detached houses that invited neighbors to come greeting. 

Thai houses near the pier invited travelling boats to stop 

by. Those all are the public component showing that a 

house can have publicity and support the society. 

This house has a high folding fence which can be 

opened and closed. People may think the fence is a 

shield to protect us from burglars. But Ekamai House 

uses the fence as a part of the house. The owner can 

open it to talk with neighbors, to buy Yakult, or to talk 

to tricycle riders. That’s the design using the house 

architecture to help connect people to people, and this 

long folding fence fits well with the alley.” 

คณะกรรมการตัดสินมีความเห็นต่อผลงานดังนี้ 

The judges comment : 

“ 

The street house 

has a consideration 

for its neighborhood 

but retains its privacy. 

” 

สำหรับผู้ได้รับรางวัล สมาคมสถาปนิกสยามฯ จะกราบบังคมทูลขอพระราชทานเข้าเฝ้า 

รับพระราชทานกิตติบัตรจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และโล่ 

ประกาศเกียรติคุณจารึกพระราชลัญจกร เพื่อนำไปติดตั้งยังโครงการที่ได้รับการคัดเลือก 

ต่อไป 

ผู้เขียนในฐานะภัณฑารักษ์และกรรมการดำเนินงานเชื่อว่ากระบวนการคัดเลือกรางวัล 

สถาปัตยกรรมรุ่นใหม่นี้จะเป็นบรรทัดฐานที่ดีต่อวงการสถาปัตยกรรมของไทย และหวังเป็น 

อย่างยิ่งว่าโครงการคัดเลือกผลงานนี้จะมีการด ำเนินการต่อเนื่องทุกๆสองปีตามที่ได้วางแผนเอาไว้ 

* ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ทาง www.asa.or.th 

For the winners, the ASA will humbly request Her Royal Highness Princess Maha 

Chakri Sirindhorn to graciously grant an audience and to bestow upon them certificates 

of merit, as well as plaques engraved with Her Royal Highness’ Seal, to be mounted at 

the winner projects sites later. 

As the curator and an executive committee member, I believe that the process of 

selecting this ASA Emerging Architecture Awards will set a good standard for Thai 

architecture practice. I sincerely hope that this project will be continued, every 2 years, 

as planned. 

*For more information, please click www.asa.or.th 

- 37 - 


Q & A 

HOME PROBLEMS COME WITH RAIN 

ฝนมากับปัญหาบ้าน บ้าน 

Q : เหม็นกลิ่นท่อระบายน้ำในห้องน้ำ 

ทอย่างไรดี 

Q : How to manage bad smell from the drainage 

in the bathroom? 

A : กรณีที่เป็นบ้านเก่าไม่ได้วางระบบท่อกันกลิ่น 

ไว้แต่แรก สามารถใช้ตะแกรงกันกลิ่นที่เรียกว่า 

Bell Trap ติดตั้งบริเวณท่อระบายน้ำได้ 

ลักษณะของ Bell Trap เป็นฝาปิดรูปทรง 

ระฆังคว่ำที่จะปิดลงไปในน้ำที่หล่อเลี้ยงอยู่บริเวณฝาท่อ 

เพื่อป้องกันกลิ่นย้อนกลับขึ้นมา การใช้งานให้ได้ผลต้องมี 

น้ำหล่อบริเวณฝาท่ออยู่ตลอดเวลา เวลาระบายน้ำแรงดันน้ำ 

จะยกฝาปิดให้ลอยขึ้นให้น้ำไหลผ่านและปิดลงเมื่อสิ้นสุด 

การระบาย ทำให้กลิ่นไม่สามารถย้อนกลับขึ้นมาได้แต่การ 

ใช้ฝาปิดแบบนี้อาจทำให้ระบายน้ำได้ช้าลง ต้องหมั่น 

ทำความสะอาดสิ่งตกค้างบนตะแกรงอย่างสม่ ำเสมอ หากเป็น 

การออกแบบสร้างห้องน้ำใหม่ แนะนำให้ใช้ท่อระบายน้ำ 

แบบ P-Trap หรือ U-Trap เพื่อป้องกันกลิ่นย้อนกลับได้โดยตรง 

A : In case of an old house which hadn’t have 

anti-odor-pipe at first, you can use Bell Trap installed 

at the floor drain. The bell trap, looks like an upside 

down bell, will cover over the water around the floor 

drain to prevent the smell from drainage pipe. It needs 

to have some water at the lid all the time. When you 

drain the water, the water will lift up the lid and let the 

water to flow through and the lid will be closed when 

the draining finished. But this kind of floor drain can 

cause slow draining. You have to clean the floor drain 

regularly. For the new houses, P-Trap or U-Trap are 

recommended. 

Q : กระเบื้องลื่นอันตราย แนะนวิธีการเลือก 

กระเบื้องอย่างไรให้เหมาะสมกับการใช้งาน 

ต่างๆ ของบ้าน 

A : กระเบื้องที่มีขายในบ้านเราส่วนใหญ่แบ่ง 

ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ คือกระเบื้องพื้น กับ 

กระเบื้องผนัง โดยกระเบื้องพื้นจะมีความแกร่ง 

กว่ากระเบื้องผนังสามารถใช้ปูผนังได้ แต่ 

กระเบื้องผนังไม่สามารถนำมาใช้ปูพื้นได้ ส่วนพื้นผิวของ 

กระเบื้องกันลื่นนั้นออกแบบให้เป็นกระเบื้องสำหรับปูพื้น 

เท่านั้น ส่วนใหญ่เราควรใช้กระเบื้องกันลื่นกับบริเวณที่มี 

การเปียกน้ำหรือทำความสะอาดบ่อยๆ เช่น ห้องน้ำ ระเบียง 

ภายนอกอาคาร ลานกว้างที่ฝนสาดได้ในห้องครัว โรงอาหาร 

ที่ต้องมีการทำความสะอาด เนื่องจากความสกปรกจากไขมัน 

ต่างๆ ก็ควรต้องใช้กระเบื้องกันลื่นในบริเวณดังกล่าว เพื่อ 

ความปลอดภัยด้วย 

Q : Dangerous slippery tiles, how to choose tiles 

for each function in the house? 

A : The tiles that are being sold in our country can 

be classified into 2 main types; floor tiles and wall tiles. 

The floor tiles are stronger than wall tiles, and can be 

tiled on the walls. But wall tiles can’t be used on the 

floor. The texture of slip resistant tiles is designed for 

floor only. We should use the slip resistant tiles in wet 

area such as bathrooms, outdoor terraces, outdoor 

patios, kitchens or canteens that are often cleaned off 

the dirtiness from oil, for more safety. 

Q : ไม่อยากเจองูในชักโครก จะป้องกันสัตว์ 

อันตรายจากระบบระบายน้ำได้อย่างไร 

A 3 : สาเหตุที่งูหรือสัตว์ต่างๆเข้าไปในระบบ 

ระบายน้ำได้เนื่องจากในระบบระบายน้ ำภายนอก 

อาคารมีช่องว่างตามฝาปิดท่อระบายน้ ำ หรือมี 

รอยแตกตามท่อที่ทำให้สัตว์ต่างๆ เข้าไปใน 

ระบบระบายน้ำได้อย่างกรณีที่มีงูย้อนเข้าไปโผล่ในชักโครก 

เกิดจากการที่บ่อเกรอะหรือบ่อซึมมีรอยแตกบริเวณฝาท่อ 

หรือในระบบท่อระบายน้ำ ทำให้มีงูเข้าไปได้ดังนั้น จึงต้องหมั่น 

ดูแลรักษาระบบระบายน้ ำให้อยู่ในสภาพปกติไม่มีการแตกร้าว 

อีกสาเหตุที่เกี่ยวข้องอาจเกิดจากการก่อสร้างบ้านหรือ 

การติดตั้งระบบระบายน้ ำอยู่ใกล้กับแหล่งที่อยู่ของสัตว์เหล่านี้ 

พอมีบ้านคนก็มีเศษอาหาร พอมีเศษอาหาร พวกหนูก็จะมากิน 

อาหาร แล้วก็ล่องูให้เข้ามาในบริเวณบ้านด้วยดังนั้นเรื่องของ 

การจัดการระบบขยะน่าจะเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการช่วย 

ป้องกันสัตว์เหล่านี้ไม่ให้เข้าบ้านได้ด้วย 

Q : Don’t want to see a snake in the flush toilet, 

how to prevent drainage system from dangerous 

animals? 

A 3 : Snakes or other small animals can get into 

the drainage because there are some openings on the 

outer drainage pipelines, or some cracks on pipes. In 

the case of a snake shows up from the flush toilet, it 

might be because of the cracks on septic tank covers 

or cracks on drainage pipe covers. Those cracks might 

be the gates that let snakes get through. So we have 

to check on drainage pipelines and keep them in good 

condition regularly. 

Another reason might be the drainage system that 

is installed too close to those animals’ habitat since 

when the house was constructed. When people come 

live in the house, their leftovers cause the garbage, rats 

will come for food and then snakes might come after 

rats into the house too. Then the good garbage disposal 

is another way to keep those animals away from the house. 

- 38 - 


ปิยะ ดโนทัย 


C5 

Q : ฝนตกทีไร น้ำรอการระบายนานมาก 

ออกแบบบริเวณสวนรอบบ้านอย่างไรไม่ให้ 

น้ำขัง 

Q : It takes very long time to drain the water every 

time it rains. How to design the yard around the house 

to be safe from the flood? 

A : สาเหตุที่ฝนตกแล้วน้ำระบายช้า อาจเป็น 

เพราะไม่ได้มีการติดตั้งระบบระบายน้ำหรือ 

บ่อพักน้ำทิ้งไว้โดยรอบของบ้าน โดยทั่วไป 

เราจะก่อสร้างบ้านโดยมีการวางระบบระบายน้ ำ 

เหล่านี้ไว้รอบๆ บริเวณบ้าน ริมรั้วกำแพงอยู่แล้ว ซึ่งก็ช่วย 

ในการระบายน้ำออกจากตัวบ้านได้แต่หากมีระบบระบาย 

น้ำรอบบ้านแล้วแต่น้ำยังระบายช้า อาจเกิดจากตะกอนหรือ 

เศษขยะในระบบระบายน้ำไปอุดตันในท่อ ทำให้การระบายน้ำ 

ได้ไม่ดี และทำให้น้ำท่วมหรือรอระบายนาน ดังนั้น จึงควร 

มีการดูแลบำรุงรักษา หมั่นลอกท่อหรือตักขยะออกไปทิ้งให้ 

เรียบร้อยก่อนฤดูฝนจะเป็นการดี 

A : The rainwater might be drained slowly because 

there’s no drain pipeline nor drain ditches around the 

house. Usually, we build a house with drainage pipeline 

along the edge of the property, which can help drain 

water out of the land. But if the water is still slowly 

drained, even there are drain pipes, there might be silt 

or trashes to block the pipes. Those can slow the draining 

and might cause the flood. So, the checking and cleaning 

the drainage pipes before rainy season is what we 

should do. 

Q : แนะนเทคนิคการดูแลบ้านรับมือกับ 

หน้าฝน 

Q : Techniques to take care of the house in 

rainy season 

A : ปัญหาของบ้านที่ได้รับความเสียหายจากฝน 

โดยส่วนใหญ่ก็เป็นเรื่องของน้ำรั่ว น้ำซึมตาม 

บริเวณต่างๆ ของอาคาร หากเป็นพื้นที่ภายนอก 

อาคาร เช่น ระเบียง หรือลานบ้านกลางแจ้ง 

ให้ดูแลเรื่องของท่อระบายน้ำที่ต้องสามารถระบายน้ำออก 

จากบริเวณระเบียงหรือลานกลางแจ้งได้โดยเร็ว ดูแลเรื่อง 

ระบบระบายน้ำโดยรอบอาคารไม่ให้มีสิ่งอุดตันขวางทาง 

ระบายน้ำได้ 

ส่วนบริเวณที่อยู่อาศัย หรือภายในตัวบ้านเป็นบริเวณ 

ที่เราไม่ต้องการให้น้ำเข้า โดยหลักการป้องกันน้ำของบ้าน 

พักอาศัยจะใช้หลังคาที่มีความลาดเอียงในการป้องกันน้ำ 

ซึ่งอาจจะมีการรั่วซึมได้ เนื่องจากการใช้งานเป็นเวลานาน 

จึงควรต้องมีการดูแลบำรุงรักษา ตรวจสอบไม่ให้มีรอยรั่ว 

หรือแตกร้าวบริเวณแผ่นกระเบื้องมุงหลังคา 

อีกประเด็นของหลังคาที่ต้องคำนึงคือ เรื่องของระยะยื่น 

ของชายคา เนื่องจากประเทศไทยมักจะได้รับผลกระทบจาก 

สภาพอากาศที่แปรปรวนอย่างหนัก การทำระยะชายคาที่ 

สั้นไปก็อาจไม่สามารถป้องกันฝนสาดได้ดีเท่าที่ควร 

ประตู-หน้าต่างก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่น้ำอาจจะรั่วซึมเข้า 

มาได้ ต้องหมั่นตรวจสอบว่าประตูหน้าต่างสามารถปิดได้ 

สนิทหรือไม่หรือเวลาที่ปิดประตูแล้วมีรูรั่วบริเวณใดหรือไม่ 

หากเป็นหน้าต่างบานไม้ทั่วไปน้ำอาจจะรั่วซึมเข้ามาตาม 

ช่องว่างระหว่างบังใบหน้าต่าง หรือหากเป็นบานกระจกก็ 

อาจจะรั่วซึมเข้ามาบริเวณยางขอบกระจกที่มีการเสื่อม 

สภาพ 

รอยแตกร้าวบนผนังหรือพื้นดาดฟ้าก็เป็นอีกบริเวณที่ 

น้ำจะรั่วซึมเข้ามาได้ ซึ่งในกรณีการรั่วซึมตามผนังหรือพื้น 

ดาดฟ้าอาจต้องอาศัยการสังเกตมากกว่าปกติเนื่องจากน้ำ 

จะค่อยๆ ซึมเข้ามาทีละเล็กทีละน้อยซึ่งถ้าหากพบรอยแตกร้าว 

ก็ต้องดูแลบำรุงรักษากันต่อไป 

A : Problems, to damage houses, from the rain 

mostly are about leaks in several parts of the building. 

For outdoor areas such as terraces or open-air decks, 

we should pay attention to water drain pipes that should 

drain the water from those areas quickly. We should 

check the drainage system around the house to keep 

it clean and not to be clogged. 

For the living zone inside the house, where we don’t 

want the water to leak in, we should have the roof with 

a good slope. To prevent leaks on the roof, caused by 

aged materials, we should do some maintenance and 

checking for cracks or leaks that might have happened 

on roof tiles. 

We ought to think about the width of eaves too. 

Because there usually are variable weather effects in 

Thailand, the short eaves would not prevent rain splashes 

well enough. 

Doors and windows can have leaks too. We have 

to check if they can be closed tightly or if there’re some 

leaks when they’re closed. For wooden windows, water 

might leak in through the rabbets. For glass windows, 

there might be leaks on deteriorate rubber edges. 

Cracks on walls or rooftop floor can be other places 

we find leaks. In the case of leaking on walls or rooftop 

floor, it might be more difficult to notice because the 

water would seep in. So if the cracks are found, they 

need to be repaired. 

- 39 - 


TIPS 

WATER DRAINAGE IN HOUSES 

การระบายน้ำ ในบ้าน 

ภาพ : www.bloggang.com/mainblog.php?id=crazylazykoodchi&month=14-12-2010&group=1&gblog=222 

“ประเทศไทยมีแค่สองฤดู คือ ฤดูร้อนกับฤดูฝน” ถ้า 

ได้ยินใครเอ่ยทำนองนี้ เดาได้เลยว่าเขาต้องเกิดและเติบโต 

ในประเทศไทยอย่างแน่นอน ลองพิจารณาง่ายๆ จาก 

โครงสร้างบ้านทรงไทย ซึ่งสั่งสมภูมิปัญญาในการสร้างที่อยู่ 

อาศัยให้เกิดความน่าอยู่ น่าสบายนั้น ก็ตั้งอยู่บนพื้นฐาน 

หลักสองประการคือ การระบายน้ำและการถ่ายเทอากาศ 

โบราณว่า “อยู่ใต้ฟ้า-อย่ากลัวฝน” ยิ่งอยู่ในประเทศเขต 

ร้อนชื้นที่ฝนตกชุก ยิ่งมิต้องกังวลเรื่อง “ความเปียก” แต่ 

“ความชื้น” ต่างหากที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของบ้าน ใครตากฝน 

แล้วไม่เช็ดตัวให้แห้งก็เสี่ยงต่อการเจ็บป่วย บ้านก็เช่น 

เดียวกัน ข้อสำคัญคือการระบายน้ำออกจากตัวบ้านให้ 

รวดเร็วที่สุด ต้องไม่หลงเหลือความชื้นสะสมในตัวบ้าน 

ความชื้นจะทำให้ส่วนประกอบของไม้เกิดการโป่งพอง อีก 

ทั้งยังเป็นแหล่งสะสมเชื้อรา หากถึงขั้นร้ายแรงอาจเป็น 

อันตรายต่อโครงสร้างที่เป็นเหล็กได้ 

ภาพ : www.sherasolution.com/th/residential/help/icorner/info/158/ 

“There are only 2 seasons in Thailand; summer and 

rainy season.” If you hear someone saying this, you can 

guess he was born and raised in Thailand definitely. 

Regarding traditional Thai houses, their convenient and 

comfortable structures are accumulated from Thai intellect 

based on 2 main concepts; draining and ventilation. 

The older say, “Beneath the sky, don’t be afraid of 

rain”. Especially in the tropical monsoon climate countries, 

you shouldn’t be worried about the wet. The humidity 

is a real enemy of the house. If you get wet because of 

raining, you should dry yourselves as soon as possible 

for not catching a cold. The house needs the same - to get 

dried as fast as possible - that means the drainage is 

required as soon as possible after the rain. Make sure 

there’s no dampness left in the house. The humidity can 

make wood components swell and also be source of 

the fungi. In the worst case, it may cause damages to 

the steel structure. 

When talking about draining, we ought to understand 

the water’s attribute first. Water is in liquid form 

that runs from the higher to the lower. Then, to design 

the coverage parts of the house such as roof, balcony, 

canopy, including edging joints, we have to think of the 

slope. 

โบราณว่า ‘อยู่ใต้ฟ้า-อย่ากลัวฝน’ 

ยิ่งอยู่ในประเทศเขตร้อนชื้นที่ฝนตกชุก 

ยิ่งมิต้องกังวลเรื่อง ‘ความเปียก’ 

แต่ ‘ความชื้น’ ต่างหาก 

ที่เป็นศัตรูตัวฉกาจของบ้าน 

- 40 - 


พูดถึงการระบายน้ำก็จำเป็นต้องเข้าใจน้ำเสียก่อน น้ำ 

คือของเหลวที่ไหลลงสู่ที่ต่ำ ดังนั้น ในการออกแบบส่วน 

ปกคลุมบ้าน ไม่ว่าจะหลังคา ระเบียง กันสาด รวมไปถึงขอบ 

คิ้วบัวต่างๆ ย่อมต้องคำนึงถึง “ความลาดเอียง” 

Generally, roofing with tiles usually needs angle of 

slope at least 15 degree. Metal sheet or polycarbonate 

roofing can be less slope but not less than 3-5 degree, 

as designated in construction standard. The problems 

always occur at the joints between the structures of 

roof attaching to the wall of the house. Adding flashing 

ปีกนกแบบ คสล. 

ภาพ : www.scgbuildingmaterials.com 

TEXT : 

ปีกนกแบบ Flashing 

TEAM 


หลังคาแบบกระเบื้อง (Tile Roof) 

หลังคาแบบเป็นเหล็กแผ่น (Metal Sheet) 


หลังคามุงกระเบื้องทั่วไปต้องใช้ความลาดเอียงอย่างต่ ำ 

15 องศา ส่วนหลังคาที่เป็นเหล็ก (Metal Sheet) หรือโพลี 

คาร์บอเนต สามารถใช้ความลาดเอียงน้อยลงแต่ยังคงไม่ 

ต่ำกว่า 3-5 องศา โดยมาตรฐานการก่อสร้างแล้ว ปัญหา 

ส่วนใหญ่นั้นเกิดจากจุดเชื่อมต่อโครงสร้างหลังคากับผนัง 

บ้าน ซึ่งมักจะเกิดการรั่วซึมบ่อยๆ วิธีแก้ไขปัญหาคือ การ 

ทำปีกนก หรือ Flashing ครอบบริเวณที่เกิดการรั่วซึม 

over those joints can solve this problem. 

Roof tops or slab roofs are most risky for leaks 

because its angle of slope is less than 3 degree, so the 

water proof course for this kind of roof needs maintenance 

every 4 - 5 years. 

Before applying the roof sealant we should clean 

the surface of the slab first then apply the sealant for 

การวางตาข่ายเสริมแรงน้ำยากันซึม (Fiber Mesh) 

ภาพ : www.arcane-industries.co.uk 

ภาพ : www.arcane-industries.co.uk 

ส่วนหลังคาที่มีลักษณะเป็นดาดฟ้าอาคาร เรียกกันว่า 

Slab Roof ถือเป็นจุดที่เสี่ยงต่อการรั่วซึมอย่างมาก เพราะ 

ความลาดเอียงต่ำกว่า 3 องศา ดังนั้น ควรมีการบำรุงรักษา 

ระบบกันซึมเป็นประจำทุก 4-5 ปี 

3 times. Laying the fiber mesh on the edge of the rooftop 

slabs can provide more flexibility in adhesion of the 

sealant. 

การทากันซึมควรทำความสะอาดพื้นผิวก่อน จากนั้น 

ทากันซึมซ้ำอย่างน้อย 3 รอบ และในส่วนมุมขอบดาดฟ้า 

ควรมีการปูตาข่ายเสริมแรง (Fiber Mesh) เพื่อเพิ่มความ 

ยืดหยุ่นในการยึดเกาะของน้ำยากันซึม 

fyi 

• หลังคามุงกระเบื ้องทั่วไปต้องใช้ความลาดเอียงอย่างต่ำ 15 องศา 

• หลังคา Metal Sheet หรือโพลีคาร์บอเนต สามารถใช้ความลาดเอียงน้อยลง 

แต่ยังคงไม่ต่ำกว่า 3-5 องศา 

• หลังคาแบบ Slab Roof มีความลาดเอียงต ่ำกว่า 3 องศา จึงควรมีการบำรุงรักษา 

ระบบกันซึมเป็นประจำทุก 4-5 ปี 

• ขั้นตอนการทากันซึม เริ่มจากทำความสะอาดพื ้นผิว จากนั้นทากันซึมซ้ำอย่างน้อย 

3 รอบ ในส่วนมุมขอบดาดฟ้าควรมีการปูตาข่ายเสริมแรง (Fiber Mesh) เพื ่อเพิ่ม 

ความยืดหยุ่นในการยึดเกาะของน้ำยากันซึม 

• Roofing with tiles usually needs angle of slope at least 15 degree 

• Metal sheet or polycarbonate roofing can be less slope but not less than 

3-5 degree 

• Slab roofs need angle of slope less than 3 degree, so the water proof course 

for this kind of roof needs maintenance every 4 - 5 years 

• Procedure of applying the roof sealant starts at cleaning the surface of the 

slab first then apply the sealant for 3 times. The fiber mesh should be laid 

on the edge of the rooftop slabs to provide more flexibility in adhesion of 

the sealant. 

- 41 - 

(ฉบับหน้า พบกับเรื่องการถ่ายเทอากาศและความชื้น) 

(Next issue : Ventilation and damp evacuation) 


TRAVEL 

PATTANI, 

in the new different story 

ปัตตานี ในวิถีที่ถูกบอกเล่าใหม่ 

ปัตตานี เขียนเป็นภาษาอังกฤษที่เป็นสำเนียงอาหรับ 

ว่า FATONI (อ่านว่า ฟาตอนี) แปลว่า เมืองแห่งปราชญ์ 

แต่เมื่อพูดถึงฟาตอนีหรือปัตตานี หลายๆ คนอาจจะนึกถึง 

เหตุการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในพื้นที่ จนอาจเกิดความรู้สึก 

ในแง่ลบจากการนำเสนอของสื่อและการบอกเล่าต่อๆ กัน 

โดยไม่เคยได้สัมผัสความเป็นปัตตานีที่แท้จริง จะเกิดอะไร 

ขึ้น เมื่อเหล่าสถาปนิก กลุ่มคนรุ่นใหม่ในพื้นที่อยากให้ผู้คน 

ทั้งในและนอกพื้นที่เข้ามาสัมผัสความงามที่ถูกซ่อนอยู่และ 

พวกเขาจะพาเราไปร่วมสำรวจ “ปัตตานี” ในวิถีที่ถูกบอกเล่าใหม่ 

ออกเดินทางสู่ปัตตานี โดยมีไกด์ท้องถิ่น แนะนำ 3 จุด 

แวะพัก พวกเขาคือเพื่อนรัก กลุ่มเครือข่ายที่จบจากสถาบัน 

วิทยาลัยเทคนิคยะลา โดยมีครูคนแรกร่วมกันคือ อาจารย์ 

วิวัฒน์ จิตนวล ประธานกรรมาธิการสถาปนิกทักษิณ เป็นผู้ 

บ่มเพาะเมล็ดพันธุ์ในดินแดนแห่งนี้ 

Pattani, written in English with Arab accent as “FATONI”, 

means the town of philosophers. When we talk about 

Fatoni or Pattani, many people think of the insurgency 

happened in the area. Many people may get some 

negative feelings caused by the news or telling but have 

never touched the real Pattani. What will happen when 

the young generation of architects would like people, 

both from inside and outside of the area, to come seeing 

the hidden beauty? They will take us to explore Pattani 

in the new and different story. 

The journey to Pattani started with a plan to visit 

3 destinations, guided by a local network of close friends. 

They graduated from Yala Technical College and had the 

same first teacher – Prof. Wiwat Jitnual, Chairman of 

Southern Region (Taksin) as a brooder in this region. 

- 42 - 


ราชิต ระเด่นอาหมัด / อาซีซี ยีเจะแว, 

สมโภช เจ๊ะอาลี / เอ็มโซเฟียน เบญจเมธา 


C6-9 

เปิดบ้านนายอากร 

โดย มลายู ลีฟวิ่ง 

โดย ราชิต ระเด่นอาหมัด 

ห้องรับแขกมลายู หรือมลายู ลีฟวิ่ง (Melayu Living) 

คือชื่อของกลุ่มสถาปนิกใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ และ 

กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่รวมตัวกันเพื่อสร้างความเคลื่อนไหวใน 

พื้นที่ อาทิ ช่างภาพ กราฟิกดีไซเนอร์ บางคนเรียนจบจาก 

กรุงเทพฯ แล้วกลับมาทำงานที่บ้านก็มี กลุ่มมลายู ลีฟวิ่ง 

มุ่งนำเสนอวัฒนธรรมท้องถิ่น สานต่อเรื่องราวทาง 

ประวัติศาสตร์ และนับเป็นจุดเริ่มต้นของโครงการบูรณะ 

ตึกแถวเก่าบนถนนปัตตานีภิรมย์ มรดกทางสถาปัตยกรรม 

ของปัตตานีที่น่าประทับใจ ตั้งแต่บ้านไม้แบบมลายูที่แกะ 

สลักอย่างประณีต ไปจนถึงตึกแถวจีนปูหลังคากระเบื้อง 

หากมีโอกาสมาที่ปัตตานีแวะมาที่บ้านนายอากร พื้นที่แห่ง 

แรงบันดาลใจที่จะถูกปรับเปลี่ยนตามกิจกรรมหมุนเวียน 

ของกลุ่ม อดีตบ้านหลังนี้เปรียบเสมือนประตูแรกของเมือง 

ปัตตานี เคยทำหน้าที่เป็นด่านเก็บภาษี เรือสำเภาทุกลำ 

สินค้าทุกอย่างต้องผ่านประตูบ้านนี้เมื่อกาลเวลาหมุนเวียน 

ผันเปลี่ยน บ้านหลังนี้ได้ถูกปรับเปลี่ยนตามบริบทของเมือง 

จากเมืองท่าที่เคยเป็นด่านเก็บภาษี สู่เมืองธุรกิจประมง 

บ้านหลังนี้ก็มีการปรับให้เป็นแพของเรือประมงและถูกปรับ 

เปลี่ยนตามระบบเศรษฐกิจ จนกลายมาเป็นบ้านที่ถูกทิ้งร้าง 

วันนี้ประตูบ้านที่ถูกปิดมายาวนานได้ถูกเปิดประตูอีกครั้ง 

พร้อมๆ กับการรวมกลุ่มเพื่อพัฒนาคน ชุมชนเมือง รวมไปถึง 

การเปิดตา เปิดใจและเรียนรู้วิถีชีวิตที่งดงามของสามจังหวัด 

*www.facebook.com/MelayuLiving/ 

Open the House of Mister Argorn by Melayu Living 

by Mr.Rachit Radenahmad 

The “Melayu Living” is the name of a group of new 

generation architects in the 3 southernmost provinces 

of Thailand, who gathers to create activities in the area. 

This group consists of architects, photographers, and 

graphic designers. Some of them graduated from Bangkok 

and came back to work in their homeland. The Melayu 

Living’s intention is to present local culture and maintain 

the local history that became the beginning of the old 

buildings on Pattani Pirom Road renovation project. 

Those buildings are the interesting architectural heritage 

of Pattani, both the wooden Malay style houses with 

delicately carved wood and the Chinese commercial 

buildings with tile roofs. 

If you have a chance to come to Pattani, you should 

pay a visit at the House of Mister Argon, the place of 

inspiration, where many activities will be alternately 

- 43 - 

“มลายู ลีฟวิ่ง จัดกิจกรรมฉายภาพยนตร์ ภายใต้ชื่อ ‘มลายูรามา’ 

ฉายหนังสั้นจากบทกวีของโรสนี นูรฟารีดา Poem Performance: 

หลงทาง ในประเทศของตัวเอง กำกับโดย ไรอัน แอนเดอร์สัน 

และในอนาคตจะมีนิทรรศการภาพถ่ายของช่างภาพในพื้นที่ 

และทำแผนที่ชุมชนเพื่อการพัฒนาเป็นแผนที่ชุมชนประวัติศาสตร์” 

“The Melayu Living presented a movie event under the name ‘Melayu Rama’, 

showing a short film relayed from the poem 

by Rossanee Nurfarida : Poem Performance: Lost in Homeland, 

directed by Ryan Anderson. In the future, the photo exhibition of local photographers 

will be organized and a historical community map 

for development will be conducted as well.” 

organized. In the past, this house was like the first gate 

of Pattani, used to be the customs checkpoint, every 

ship with goods had to pass through this gate. As time 

goes by, the house was adapted under the changing 

context of the town. From being the customs checkpoint 

of a seaport town, it was turned to be the raft for fishermen 

in a fishery town. I has been changed again and again, 

under the changing of the economic situations, at last 

it was abandoned. Today the gate of the house, which 

was closed for a long time, is opened again along with 

collaboration to assist local people and community, to 

learn the beauty of their life in the 3 southernmost provinces 

of Thailand. 


IN_T_AF café & gallery 

(อิน_ตอ_อาฟ คาเฟ่ แอนด์ แกลอรี) 

โดย นายอาซีซี ยีเจะแว สถาปนิกเทศบาลเมือง 

ปัตตานี, ผู้ก่อตั้ง IN_T_AF Café 

และ สมโภช เจ๊ะอาลี ผู้ก่อตั้ง IN_T_AF Café 

IN_T_AF café & gallery 

Welcome to Pattani 

by Mr.RZZ Yeehehwae, architect of Pattanicity 

Municipality, the founder of IN_T_AF Café 

Mr.Sompoaj Jah-Aree, the founder of IN_T_AF Café 

“พวกเราเลือกใช้ตัวอักษรคำว่า 

FATONI ของปัตตานี 

โดยเรียงจากซ้ายไปขวาเป็นคำว่า 

IN_T_AF อ่านว่า อิน_ตอ_อาฟ 

ซึ่งเป็นคำที่ไม่มีใครเคยได้ยิน 

แต่เราคิดว่าชื่อนี้จะทำให้ง่าย 

ในการต้อนรับผู้คน 

“ 

IN_T_AF café & gallery ตั้งอยู่ริมแม่น้ำปัตตานีที่เคย 

เป็นเส้นทางนำความเจริญของผู้คน และตั้งอยู่ริมถนน 

ปัตตานีภิรมย์ในย่านชุมชนเมืองเก่าของชาวไทยจีน ถนน 

สายนี้เป็นถนนเส้นแรกๆ ของเมืองปัตตานีแต่เมื่อเมืองต้อง 

เริ่มขยายออกไป ถนนสายใหม่ๆที่มีความกว้างกว่าสะดวกกว่า 

ทำให้ย่านธุรกิจของเมืองเปลี่ยนตำแหน่ง บ้านหลายหลัง 

ถูกปิดลงให้ทิ้งร้างจนนกนางแอ่นเข้ามาทำรัง ธุรกิจรังนก 

สร้างรายได้สูงให้แก่เจ้าของอาคารในย่านชุมชนเมืองเก่า 

อาคารเก่าถูกดัดแปลง ถูกรื้อ และสร้างอาคารใหม่มาทดแทน 

แต่ทุกครั้งที่เราผ่านมาบนถนนเส้นนี้ เรากลับหลงเสน่ห์ 

ความเป็นเมืองเก่า เลยอยากลองสร้างทางเลือกให้กับชุมชน 

เพื่อคงไว้ หรือฟื้นฟู สถาปัตยกรรม สังคม ชุมชน และมิติ 

อื่นๆ ที่เราเองก็ไม่ได้คาดไว้ 

เราได้นำแนวความคิด วาบิ-ซาบิ ที่พูดถึง สุนทรียภาพ 

ซึ่งหมายถึงความงามของสรรพสิ่งที่ไม่สมบูรณ์แบบ เพราะ 

ทุกสิ่งในโลกล้วนไม่สมบูรณ์แบบ ซึ่งเราคิดว่าที่แห่งนี้เป็น 

แบบนั้น ในความไม่สมบูรณ์แบบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น 

นั้นมีความสวยงามซ่อนอยู่ 

ร้านแบ่งเป็น 2 ส่วน ภายในเมื่อเข้ามาในพื้นที่ของร้าน 

จะสัมผัสพื ้นกรวดเพื่อเป็นการปรับความรู้สึก ก่อนเข้าร้าน 

ทุกคนจะต้องถอดรองเท้า และสัมผัสพื้นไม้พาเลทสี 

ธรรมชาติที่ให้ความรู้สึกเป็นกันเอง เฉกเช่นวิถีการนั่งรับ 

ประทานอาหารของคนในพื้นที่ได้เห็นการทำน้ำและอาหาร 

ในส่วนครัวแบบเปิด ซึ่งผู้มาเยือนสามารถมั่นใจได้ว่าแต่ละ 

เมนู ปรุงกันสด ใหม่และสะอาด 

IN_T_AF café & gallery is located on the riverside 

of Pattani River, which used to be the route bringing the 

prosperity to the local people, and also on Pattani Pirom 

Road in the old Thai-Chinese vicinity. This road is one 

of the first roads in Pattani. When the town has expanded, 

those new wider and more comfortable roads had been 

constructed and the business center of the town was 

also moved. Many houses were abandoned so that they 

were conquered by swallows. The bird nests business 

made a lot of income to the owners of buildings. These 

old buildings were renovated, demolished and replaced 

by new ones. However, every time we pass this road, we 

are passionate about the characteristic feature of the 

old town. We like to create some new options for the 

community to maintain or to revive the architecture 

society and other dimension that might have not been 

expected. 

We designed by using the concept of “ Wabi-Sabi” 

which describes aesthetic as the beauty of imperfect 

things because everything in this world is imperfect. We 

think this place matches that meaning. Beneath their 

imperfection from whatever happened, there’s the 

beauty hidden. 

The shop is divided into 2 sections, indoor and 

outdoor. When the guests enter the indoor section, they 

will meet the gravel paved reception area which will 

adjust their feeling. The guests have to take off their 

shoes before going in and step on the natural color 

wood palette floor which will give as friendly mood as 

sitting to eat right on the floor, like the local people 

usually do. The open kitchen allows guests see cooking 

and preparing foods and drinks, to make sure that every 

menu is clean and fresh. 

- 44 - 

“ 

We use the letters of the word “FATONI” but 

write them backwards, to make the name 

“IN_T_AF”. Its pronunciation is in-tor-arf, 

which no one ever heard but we think this 

name is good to welcome people. 

“ 


ถัดจากส่วนครัวจะเป็นภายนอกที่เมื่อมองไปแล้วจะได้ 

พบกับวิวที่สะกดใจ ธรรมชาติของต้นไม้และแม่น้ำปัตตานี 

ผู้มาเยือนจะได้ยินเสียงนกที่กำลังหยอกล้อ เสียงเครื่องยนต์ 

เรือเล็กที่กำลังแล่นอยู่ในแม่น้ำ แสงทองยามเย็นที่สาดลง 

บนหินกรวดขาว กระทบสังกะสีเก่าที่ผุกร่อนสามารถดื่มด่ำกับ 

บรรยากาศที่บอกเล่าถึงวิถีของเมืองเก่าแห่งนี้ ทั้งสองฝั่งคลอง 

นอกจากนี้เรายังตั้งใจให้ที่แห่งนี้เป็นเหมือน “สนามเด็ก 

เล่น” มีพื้นที่ให้แสดงงานศิลปะ เราหวังไว้ว่า ผู้ที่มาเยือน 

สถานที่แห่งนี้จะมีความสุข และสามารถดื่มด่ำกับความเป็น 

เอกลักษณ์ของที่นี่ ก่อนลากลับไปหลายๆ คนมักจะถามว่า 

IN_T_AF คืออะไร แปลว่าอะไร เรายิ้มและตอบกลับไปว่า 

FA_T_NI เมืองปัตตานียินดีต้อนรับ 

*www.facebook.com/In.t.af.Cafe.Gallery/ 

Next to the kitchen is the outdoor section. Guests 

can see the particular view with trees and the Pattani 

river. They will hear birds chirping, the noise of small 

machine boats running in the river. They will see the 

evening golden sunlight shining on white gravel ground 

and reflecting on old-aged zinc sheets. The Guests will 

be fascinated by the atmosphere that can tell the history 

of the town along the riverbanks. 

Moreover, we intended to make this place be like 

a playground. We provide space for art exhibitions. We 

hope our guests would be happy and enjoy the unique 

character of this shop. Before saying goodbye, many 

people ask what “IN_T_AF” means. We smile and answer 

them, “FA_T_NI – Welcome to Pattani”. 

โรงงานเซรามิก เบญจเมธา 

โดย เอ็มโซเฟียน เบญจเมธา 

ออกไปจากตัวเมืองปัตตานี 30 กิโลเมตร คุณจะได้พบ 

กับโรงงานเซรามิก เบญจเมธา ซึ่งนับเป็นโรงงานเซรามิก 

แห่งแรกใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดยหนุ่มพื้นเมือง 

ปัตตานี เอ็มโซเฟียน เบญจเมธา ด้วยชีวิตที่ผูกพันและ 

วิ่งเล่นในโรงงานอิฐมอญของบิดาที่เปิดมานานกว่า 20 ปี 

แต่ต้องปิดตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจ เขาเดินทางไปศึกษาต่อ 

ด้านศิลปะที่ฝรั่งเศส ด้วยความรักและแรงผลักดันจาก 

ครอบครัว เขาได้กลับมายังพื้นที่เพื่อเปิดโรงงานเซรามิกแห่งนี้ 

โดยนำเอาแรงบันดาลใจจากความงามของศิลปะมลายูและ 

ศาสนาอิสลามถ่ายทอดลงบนก้อนดิน โดยมีเป้าหมายให้ 

สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่แห่งแรงบันดาลใจ โดยมีแนวคิด 

“มาจากดิน อยู่กับดิน กลับสู่ดิน” ให้ที่แห่งนี้เป็นแหล่งเรียนรู้ 

ด้านเซรามิกในชุมชน และสร้างรายได้แก่ท้องถิ่น 

*www.facebook.com/BenjamethaCeramic/ 

Benjametha Ceramic Factory 

From the earth, Be with earth, Back to earth 

by Mr.Emsophian Benjametha 

About 30 Kilometers from Pattani town center, you 

will meet Benjametha Ceramic Factory. It is the first 

ceramic factory in the 3 southernmost provinces. The 

factory is run by a young local man, Mr.Emsophian 

Benjametha. He grew in his father’s old brick factory, 

operated for longer than 20 years before it was closed 

because of economic problem. He went to study art in 

France, and with his love and pushing from his family, 

he came back home to reopen the factory. He gets the 

inspiration from the beauty of Malay and Islamic art and 

interprets into the clay. His aim is to make this factory 

to be the place of inspiration under the concept “From 

the earth, Be with earth, Back to earth”. Besides, he likes 

to build this place to be the learning center about the 

ceramic in the community and to make income to the 

neighborhood. 

- 45 - 


CUISINE 

THE ORIGINAL CANTONESE CHINESE SAUSAGE 

ต้นตำ รับกุนเชียงสไตล์กวางตุ้ง 

If we go back to the past when the Chinese first 

came to settle in Thailand, a simple dish that’s always 

seen in the kitchen was “Goon Chiang” (Chinese sausage). 

With its good taste and long shelf life due to the 

method of preservation, “Kun Chiang” is still popular 

today. 

In the name “Goon Chiang,” “Goon” doesn’t mean 

“pig,” but comes from the Teochew Chinese word “Kung” 

which means “fill in”. When combined with the word 

“Chiang,” which means “intestine”, the word Kun Chiang 

means sausage. 

When asking for the store that originally sold Kun 

Chiang, the first answer must be “Tung Kuoung Kee 

Hiang”, the store that has inherited to its third generation 

now. The store has been located at the same old 

building for more than 70 years, on Yaowarat street, in 

front of the old market near Isaranuparp alley. 

หากย้อนกลับไปในสมัยที่ชาวจีนโพ้นทะเลเริ่มเข้ามา 

ตั้งรกรากที่เมืองไทย เมนูสามัญประจำบ้านที่ขาดจากตู้ 

กับข้าวไปเสียมิได้คือ กุนเชียง ด้วยรสอร่อยที่เกิดจากการ 

ถนอมอาหาร และสามารถเก็บไว้ได้นาน ทำให้กุนเชียงเป็น 

อาหารที่นิยมกันถึงทุกวันนี้ 

พูดถึงกุนเชียง คำว่า “กุน” มิได้หมายความถึง “หมู” ใน 

สิบสองนักษัตร หากแต่ “กุน” ผันจากคำว่า “กุ๊ง” ในภาษา 

แต้จิ๋วที่แปลว่า “กรอก” เมื่อรวมกับคำว่า “เชี้ยง” ที่แปลว่า 

“ไส้” ก็ได้ความหมายตรงตัวคือ “ไส้กรอก” นั่นเอง 

และเมื ่อถามถึงร้านกุนเชียงต้นตำรับ ก็คงหนีไม่พ้น 

“ร้านตั้งกวงคี่เฮียง” ซึ่งสืบทอดกิจการจนปัจจุบันมาถึงรุ่น 

ที่ 3 แล้ว ตัวร้านยังคงตั้งอยู่ที่เดิมมากว่า 70 ปี คือริมถนน 

เยาวราช บริเวณหน้าตลาดเก่าใกล้ปากตรอกอิสรานุภาพ 

ชื่อร้านตั้งกวงคี่เฮียง เป็นสำเนียงแต้จิ๋ว หากออกเสียง 

เป็นสำเนียงกวางตุ้งจะเรียกว่า “ฉ่านก๋วงเข่ยฮิ้ง” คำว่า ฉ่าน 

เป็นแซ่ตระกูล ก๋วงเข่ยฮิ้ง หมายถึง หอมพิสดารแบบกวางตุ้ง 

บนป้ายร้านยังมีคำกำกับไว้ว่า จุ๊นก๊าหล่ำมั่ย (ผู้เชี่ยวชาญ 

เนื้อเดือนสิบสอง) หล่ำมั่ย เป็นคำเรียกการถนอมเนื้อโดย 

การตากลมและแดดอ่อนๆ ในเดือนสิบสอง ซึ่งจะทำให้เนื้อ 

ด้านนอกแห้งแต่ภายในยังฉ่ำสด ไม่เน่าเสีย โดยมีเอกลักษณ์ 

คือเนื้อสีเข้มและแข็งกว่าการอบหรือรมควันส่วนคำว่า จุ๊นก๊า 

หรือผู้เชี่ยวชาญ ก็เป็นการรับรองความพิถีพิถันในการผลิต 

- 46 - 


TEXT : 

TEAM 

กุนเชียงของร้านที่ตกทอดจากมณฑลกว่างโจวเป็น 

สไตล์กวางตุ้ง มีให้ลูกค้าเลือกหลากหลายรูปแบบ กุนเชียง 

หมูมันน้อยจะแขวนไว้ด้วยเชือกสีแดง แบบมันเยอะจะใช้ 

เชือกสีเขียว สามารถนำไปปรุงอาหารได้ทั้งวิธีนึ่ง และอบ 

หม้อดิน แต่ไม่เหมาะกับวิธีการทอดซึ่งจะให้รสชาติมันเลี่ยน 

ส่วนกุนเชียงตับซึ่งยัดไส้มันหมูนั้น เรียกว่า “ตับแก้ว” 

ถือได้ว่าเป็นราชาแห่งกุนเชียง ยังมีกุนเชียงตับเป็ด หมูสาม 

ชั้นแห้ง เป็ดแผ่น และเป็ดทั้งตัวตากแห้งซึ่งให้รสชาติเค็ม 

มาก เหมาะสำหรับใช้ทำโจ๊ก 

กุนเชียงสไตล์กวางตุ้งที่แพร่หลายในฮ่องกงและทาง 

ตอนใต้ของประเทศจีน จะมีลักษณะแข็งและเค็ม เกิดจาก 

การตากแห้งและเก็บไว้นานหลายสัปดาห์ส่วนกุนเชียงสูตร 

โพ้นทะเลของเยาวราชจะตากแล้วทิ้งไว้เพียง 4-5 วัน ก่อน 

นำออกจำหน่าย ซึ่งจะให้รสชาติออกหวาน เค็มน้อยและ 

นิ่มกว่า ผ่านกระบวนการผลิตที่ละเอียดอ่อน มีการชั่งน้ำหนัก 

ส่วนผสมต่างๆ อย่างแม่นยำ เพื่อให้ได้รสชาติดั้งเดิมเป็น 

ที่ถูกปากลูกค้าประจำ แม้กระทั่งชาวต่างชาติหรือพ่อครัว 

ชาวฮ่องกงยังข้ามน้ำข้ามทะเลมาซื้อหากัน 

The sausages of this store are inherited from 

Guangzhou and is made in Cantonese style. There are 

many kinds of these sausages for clients to choose 

such as pork sausage, which has less fat and is hung 

with red string, or the kind with more fat which is hung 

with green string. They can be cooked by steaming and 

baking in a clay pot but not good to fry as it might be 

too greasy. 

The liver sausage with pork fat is called “Crystal 

liver”, and is called the king of Chinese sausages. There 

are also duck liver sausages, dried pork belly, and dried 

duck which is very salty and suitable for porridge. 

Cantonese Chinese sausage that is well known in 

Hong Kong and in southern of China is salty and hard 

because of many weeks of the drying process and 

preservation. However, the sausages made in Yaowarat 

style are only processed for a few days, which make 

them a bit sweeter, less salty, and softer. The sausages 

here are well preserved, with each ingredient carefully 

weighed in order to maintain the original taste that 

satisfies regular clients. Even foreigners or cooks from 

Hong Kong fly overseas to buy these sausages. 

The name “Tung Kuoung Kee Hiang” comes from a 

Teochew accent. It would be pronounced “ Chan Kuang 

Keng Hing” in Cantonese accent. The word “Chan” is 

the name of the clan, while “Kuang Keng Hing” means 

amazing smell in Cantonese. On the name board there 

are the words “Jun Ga Lum Mai” (the November meat 

expert ). “Lum Mai” is the method of meat preservation 

of drying the meat beneath wind and under the sun in 

November. After that procedure, the meat is dry outside 

but still juicy inside and does not go off. The meat will 

have a darker color and is harder than if it had been 

baked or smoked. The word “Jun Ga” means the expert, 

indicating the quality of this careful process of their 

sausage making. 

- 47 - 


C10 

วิภาวี พินิจ 


HANGOUT 

Soi Ratchakru - Co-drinking Space 

จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อความคึกคักของ 

ย่านอารีย์ (พหลโยธิน 7) ขยายตัวมาสู่ซอย 

ข้างเคียงอย่างซอยราชครู (พหลโยธิน 5) 

ย่านชุมชนที่เงียบสงบ ในฐานะนักลงทุน 

หลายคนบอกว่านี่คือทำเลน้องๆ ของย่าน 

ทองหล่อเลยล่ะ เพราะเป็นย่านราชการ 

สำนักงาน ออฟฟิศสเปซที่กำลังจะเปิดใหม่ 

อีก 2 ตึก โฮสเทลใกล้BTS ที่เดินทางสะดวก 

แถมด้วยบาร์เปิดใหม่ คาเฟ่น่านั่ง ล้วนเป็น 

หลายๆ เหตุผลที่น่าจะชักจูงให้ผู้คนเข้ามา 

ใช้ชีวิตในพื้นที่ย่านนี้มากขึ้น 

วิกาวี พินิจ (บุ้ง) สถาปนิกสาวจะพา 

เราไปเดินเตร็ดเตร่สำรวจย่านราชครูยาม 

พระอาทิตย์ตกดิน พิกัดเดินต่อเนื่องกันได้ 

ไม่ถึง 1 กิโลเมตร โดยมีบรรดา Co-drinking 

Space ให้หยุดแวะดื่มได้ตลอดทาง 

ซอยราชครู ส่วนต่อขยายของความคึกคัก 

LAF Caffe & Hotel 

* พหลโยธินซอย 5 (ราชครู) 

เปิดทุกวัน โทร.09-0902-1942 www.facebook.com/lafhotel/ 

What will happen when lively atmosphere 

of Ari area (Phahon Yothin 7) 

is being expanded to nearby road like Soi 

Ratchakhru (Phahon Yothin 5), a peaceful 

residential area? 

Many investors say this area has as 

much potential as Tonglor area because it 

is the area of government offices, 2 new 

buildings ready for offices, hostels near 

BTS station which is convenient transportation, 

added with new bars, attractive 

café, etc. These are many reasons why 

more people are moving to spend their 

lives at this area. 

Ms. Wipawee Pinit (Boong), a young 

female architect, took us to survey 

Ratchakhru area in one evening. The 

area spans 1 km. long and is full with 

co-drinking space along the way. 

“LAF ย่อมาจาก Lost And Found 

ตึกแถวที่แฝงตัวอยู่ในชุมชนย่านราชครู 

เป็นทั้งคาเฟ่บาร์และในขณะเดียวกันก็เป็น 

โรงแรมแคปซูลหนึ่งเดียวในย่านนี้ แนวคิด 

ของร้านคือใส่คอนเซ็ปต์ City Hall for Ari’s 

Millennials สำหรับคนยุคมิลเลนเนียลที่ 

อยากใช้ชีวิตหลังเลิกงานต่างจากเดิมเลิกงาน 

แล้วยังไม่อยากกลับบ้าน รถติดใช่ไหม รอ 

ถนนว่างก่อนนะ ก็แวะมาพูดคุยแลกเปลี่ยน 

บทสนทนาในบาร์แห่งนี้ 

“บรรยากาศในร้านเน้นให้อารมณ์ยืน 

กิน ยืนดื่ม ยืนคุย ขายความเป็น sense of 

community สังเกตจากการออกแบบเป็น 

standing bar แสงไฟสีน้ำเงินที่ให้ความ 

รู้สึกสงบผ่อนคลาย การออกแบบที่นำเอา 

เคาน์เตอร์ครัวมาวางไว้ส่วนข้างหน้า มีเตา 

กระทะ หม้อไห ตามแนวคิดว่าที่นี่ขายแต่ 

เครื่องดื่ม ทั ้งคราฟท์เบียร์ ไซเดอร์ กาแฟ 

เป็นร้านอาหารแนว Home Cooking ที่มีแต่ 

ครัวโดยไม่มีพ่อครัว ดังนั้น หากคุณเป็น 

ลูกค้าอยากจะเอาอาหารแบบไหนมากิน 

หรือมาจอยกับโต๊ะข้างๆ ก็ทำได้เลย ไม่ว่า 

จะเป็นอาหารแนวปิ้งย่าง ไส้กรอก พิซซ่า ที่ 

คิดว่ากินคู่กับเบียร์แล้วเหมาะ ก็พกมาเลย 

(ที่สำคัญไม่เสียค่าเปิดกล่องพิซซ่าด้วยนะ) 

“LAF” stands for Lost and Found. One of 

commercial buildings hidden at Ratchakhru 

area is the café and bar as well as only one 

capsule hotel at the area. The concept of the 

store is “City Hall for Ari’s Millennial” – a place 

for the millennial generation who wishes to 

spend time after work somewhere but not 

home, while waiting for the traffic clear, come 

to get together at this bar.” 

“The atmosphere is a standing bar, 

with the sense of community. The blue light 

gives warm and relaxation feeling. A kitchen 

counter decorated with stoves, pans and 

pots, under the concept of a beverage bar 

- selling craft beer, ciders and coffee, in a 

home cooking kitchen but without a cook. 

The customers are welcomed to bring any 

kind of food they like, no matter what it is, 

grilled meat or sausages or pizza, to eat or 

share with friends in this shop. (No corkage 

charge for your pizza’s boxes!)” 

“สังเกตว่าบาร์ในซอยราชครู แต่ละร้าน 

จะมีเบียร์หลากยี่ห้อไม่ซ้ำกัน โดยแต่ละร้าน 

จะเลือกเบียร์เฉพาะตามที่เจ้าของร้านชอบ 

และร้าน LAF จะมีจุดเด่นคือเมื่อเดินเข้ามา 

ในร้าน ที่นี่มีเจ้าของร้านคือ คุณแจน-พรสุภีร์ 

ชัยธีระพันธุ ์กุล เบียร์เลิฟเวอร์ ที ่จะคอยจับคู่ 

เบียร์รสชาติต่างๆ ตามโจทย์ของลูกค้าที่ 

แตกต่างไป วันนี้อยากเมามาก เมาน้อย ดื่ม 

ตัวไหนดีวันนี้กินอาหารรสชาติแบบนี้จะเลือก 

เบียร์รสไหน และช่วงนี้คราฟท์เบียร์ของไทย 

มาแรง ที่ร้านก็มีให้เลือกแทบทุกแบรนด์ 

เต็มตู้เลย 

“อีกหนึ่งกิมมิกของLAF คือการเป็นโรงแรม 

แคปซูล โดยนำแนวคิดของมนุษย์เงินเดือน 

ชาวญี่ปุ่นที่เลิกงานดึกเริ่มงานเช้าตรู่แต่ในแบบ 

คนวัยทำงานย่านนี้ ครั้นจะขับรถกลับบ้าน 

และตื่นมารถติดแต่เช้าเบื่อรถติด อยากประหยัด 

เวลา ก็มาแวะพักนอนเติมพลังที่นี่ก่อนก็ได้ 

เป็นห้องพักที่ไม่มีกุญแจหรือคีย์การ์ดใช้ระบบ 

- 48 - 

MAY-JUNE MAR-APR 2017 - ISSUE 03 04

self-checked in และพิมพ์รหัสที่ถูกตั ้งขึ้น 

ตลอดการเข้าพักของเราเท่านั้น เพราะหุ้นส่วน 

ของร้านบอกกับเราว่า ถ้าอยู่บ้านคงไม่มีใคร 

ใช้ คีย์การ์ดหรอกนะ วันไหนเลิกงานดึก 

ทำงานเช้า ฝนตกหนัก อยากแฮงเอาต์ต่อ ก็ 

จะดื่มที่นี่ แล้วนอนที่นี่เลย” 

“We notice that bars at Ratchakhru 

area sell various brands of beer, each bar 

sells different brands chosen by the bar 

owners. In the LAF when you enter, you 

will meet the owner, Miss Jan – Pornsupee 

Chiteerapunkul – a beer lover who will 

match different kinds of beer as each customer 

desires. No matter what degrees or 

kinds of beer you want to drink with food 

you brought, or any brands of Thai craft 

beer, they are available here.” 

“Other gimmick of LAF is also a capsule 

hotel. Under the concept of Japanese salary 

men who work late and start working so 

early, the working boys and girls at this area 

who don’t like to drive home and get up 

early can spend a night to recharge here. 

There is no key or keycard here, the selfchecked 

system and personal codes are 

used for check-in. My partner said nobody 

uses keycards at home. Therefore, whenever 

they work late, have early morning work in 

the next day, or like to hang out, they can 

have some drinks and spend the night here.” 


เปิดทุกวัน โทร.08-6511-0094 www.facebook.com/butcherbeefandbeer 

(นอกจากนี้ยังมีอีก 2 สาขา) 

เจริญราษฎร์ (ปิดวันจันทร์) 09-8263-0077 / 

เลียบด่วน (เปิดทุกวัน) 09-8263-7700 

Butcher 

Beef & Beer 

*Phahon Yothin Soi 5 (Ratchakhru), open daily 

Tel. 09-0902-1942 www.facebook.com/lafhotel/ 

“ 

จะเกิดอะไรขึ ้นเมื่อความคึกคัก 

ของย่านอารีย์ (พหลโยธิน 7) 

ขยายตัวมาสู่ซอยข้างเคียง 

อย่างซอยราชครู (พหลโยธิน 5) 

ย่านชุมชนที ่เงียบสงบ 

” 

“ถ้าร้าน LAF คือตัวแทนของบาร์ที่คนวัย 

ทำงานหลังเลิกงานมาแฮงเอาต์ บ้างมาเดี่ยว 

บ้างมาคู่และมาเพื่อพบเพื่อนใหม่ที่Butcher ก็ 

เป็นร้านอาหารแนวปิ้งย่างที ่รวมตัวกันของคน 

วัยทำงานที่นิยมมากันเป็นก๊วน (ยิ่งมากับเพื่อน 

มากกว่า 4 คนขึ้นไปจะกินอร่อยขึ้นมาก) เนื้อดีๆ 

เบียร์ดีๆ โดยที่ไม่ต้องแต่งตัวหรูหรา เนื้อกับ 

เบียร์ที่เข้ากัน เลือกได้เลยว่าจะเป็นเนื้อย่างติด 

มันมากหรือติดมันน้อย กริลล์บนกระทะร้อนๆ 

แกล้มน้ำจิ้มแจ่ว คลุกข้าวกระเทียมหอมๆ พร้อม 

เบียร์สดรสชาติฟรุ้ตตี้นิดๆ ที่มีให้เลือกทั้งจาก 

เบลเยี่ยมและฝรั่งเศส” 

“If the LAF represents the bar for working boys and girls to hangout 

or to make new friends, the BUTCHER is a grilled dishes restaurant for 

them to enjoy as a group (The more, the merrier). At this restaurant, nice 

beef with good beer is served. You don’t need to be in formal clothes. 

You can choose any kind of beef, with more fat or less fat. Grill it on hot 

pans and dip in delicious spicy sauce, added on garlic fried rice. Fruity 

tasted draft beer from Belgium and France is also ready to served.” 

*Phahon Yothin Soi 5 (Ratchakhru), open daily 

Tel.08-6511-0094 www.facebook.com/butcherbeefandbeer/ 

(2 more branches) Jareonrat (close on Mondays) 09-8263-0077/ LiabDuan 

(open daily) 09-8263-7700 

- 49 - 

MAY-JUNE MAR-APR 2017 - ISSUE 03 04


โทร. 0-2001-6848 www.facebook.com/bondaoaungkarn 

บนดาวอังคาร 

Co-workspace and Café 

“ร้านนี้ไม่มีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เพราะ 

คงคอนเซ็ปต์ร้านอาหารแนวครอบครัว ดังนั้น 

ถ้าอยากดื่ม…ที่นี่มียาคูลท์ปั่นรสชาติชื่นใจ 

เหมาะจับคู่กับปลาหมึกชุบแป้งทอด(Calamari) 

และแฮมเบอร์เกอร์หมูชาร์โคลเสิร์ฟคู่เฟรนช์ฟราย 

รสจัดจ้านเต็มจาน บรรยากาศอบอุ่นเหมาะ 

สำหรับนั่งคุยกับเพื่อนหรือกับครอบครัวที่ใช้ 

เวลานานๆ ชั้นลอยของร้านยังมีSecret Address 

ย่านราชครูคือร้านดอกไม้ ร้านตัดชุดราตรี 

ห้องประชุมสำหรับจัดเป็น Co-working 

Space แถมร้านนี้ยังเป็นร้านของดีเจพี่อ้อย- 

นภาพร ไตรวิทย์วารีกุลแห่งคลื่นกรีนเวฟอีกด้วย” 

“No alcoholic drink is served in this 

shop because the concept is a restaurant 

for families. So, if you want to drink… we 

have fresh spun Yakult for you. It matches 

with fried calamari and charcoal pork 

hamburger served with spicy French fries. 

The warm atmosphere is suitable for a long 

meeting with friends or families. On the 

mezzanine there’s “Secret Address of 

Ratchakhru”, where contains flower shop, 

evening dress shop, conference room as a 

co-working space. This shop belongs to 

DJ Pi Aoy – Napaporn Triwitwareekul of the 

Green Wave station. 

*Phahon Yothin Soi 5 (Ratchakhru), Tel. 0-2001-6848 

www.facebook.com/bondaoaungkarn 

- 50 - 

MAR-APR 2017 - ISSUE 03

BOOK 

พิเชษฐ์ ดลราษี 


C11 

CARAVAN OF LIFE 

ระหว่างทางของชีวิต 

ชีวิต การเดินทาง และความฝัน สามสิ่งนี้เป็นวัตถุดิบพื้นฐานในการสร้างสรรค์วรรณกรรมมาแล้วหลากหลายเรื่องตั้งแต่ “ไซอิ๋ว” จนถึง “อาหรับราตรี” ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นวรรณกรรมชั้นยอด 

แต่หากจะพูดถึงงานเขียนที่เกี่ยวกับ “ชีวิต” ในแง่มุมที่จริงจัง ถ่ายทอดเรื่องราวด้วยโทนขึงขังที่สามารถสั่นสะเทือนแก่นความคิดของผู้อ่านได้นั้น คงหลีกหนีไม่พ้นวรรณกรรมสามเรื่องดังจะ 

กล่าวต่อไปนี้ (บางเล่มอาจจะอ่านยากสักเล็กน้อย แต่รับรองว่าผู้อ่านจะได้รับความเพลิดเพลิน อีกทั้งได้ทบทวนความคิดของตัวเองไปพร้อมกัน) 

Life, journey and dream are three basic materials to create many classic literatures from “Journey to the West” to “Arabian Night”. If we talk about the writings telling the life 

story in serious aspect, that can shake readers’ conception, there are absolutely these three literatures. (Some of them may be a little bit difficult to understand, but I guarantee 

that the readers will enjoy reading them. By reading these books could make you reconsider about your own thought at the same time.) 

ภาพ : www.spirituelevrienden.com 

ภาพ : www.amazon.com 

ภาพ : http://reviewgala.com 

สิทธารถะ (2465) 

โดย เฮอร์มาน เฮสเส 

หลายคนอาจสับสนกับชื่อ สิทธัตถะ อันเป็นพระนาม 

เดิมของพระพุทธเจ้า แต่ สิทธารถะ (สิด-ทา-ระ-ถะ) นี้ไม่ใช่ 

นิทานชาดก หากเป็นนวนิยายอิงปรัชญาพุทธศาสนา เขียน 

โดยคนเยอรมัน (สังเกตว่างานเขียนของเยอรมันมัก 

เกี่ยวข้องกับปรัชญาและศาสนามาโดยตลอด) เล่าเรื่องราว 

ของพราหมณ์หนุ่มสองคน กับแนวความคิดสองแบบในอัน 

ที่จะแสวงหาความรู้แจ้ง ทั้งสองต่างแยกย้ายกันเดินทาง 

ผ่านประสบการณ์ตั้งแต่หนุ่มจนแก่เฒ่า ผ่านการเรียนรู้ทั้ง 

มนุษย์และธรรมชาติ ผู้เขียนมิได้สรุปตอนจบไว้ชัดเจนนัก 

แต่ให้ผู้อ่านล่องไปกับความคิด ตั้งคำถาม-ค้นหาคำตอบ 

และสรุปเรื่องราวได้ตามแบบฉบับของตนเอง 

โจนาทาน ลิฟวิงสตัน ซีกัล (2513) 

โดย ริชาร์ด บาค 

ใจความของเรื่องนี้ยังคงเป็นการเดินทาง เรียนรู้ และ 

ค้นหาคำตอบ ผู้เขียนถ่ายทอดออกมาในลักษณะบทกวีสั้นๆ 

เปรียบเทียบสังคมมนุษย์ผ่านพฤติกรรมของนกนางนวลฝูง 

หนึ่ง (เข้าใจว่าที่ใช้นกนางนวลเพราะผู้เขียนมีอีกอาชีพเป็น 

นักบิน) โดยตัวละครเอกเป็นนกที่ชื่อ โจนาทาน นั้นเริ่มต้น 

หัดบิน เรียนรู้ชีวิตไปพร้อมๆกับการตั้งคำถามกับทุกสิ่ง จนถูก 

มองว่าเป็นตัวประหลาด ซึ่งเช่นเดียวกับสิ่งมีชีวิตทั้งหลาย 

ในธรรมชาติพฤติกรรม “ผ่าเหล่า” หรือแปลกแยกนี้อาจมิใช่ 

หมายความเพียงว่า ดื้อด้าน หรือแหกคอก แต่อาจหมาย 

รวมถึง “การก้าวข้ามขีดจำกัดของตนเอง” ด้วยก็เป็นได้ 

ขุมทรัพย์สุดปลายฝัน (2531) 

โดย เปาโล คูเอลยู 

พล็อตเรื่องเกี่ยวกับเด็กหนุ่มเดินตามความใฝ่ฝัน อาจ 

มิใช่เรื่องน่าเบื่อซ้ำซากเสมอไป เมื่อนักเขียนชาวบราซิล 

สร้างตัวละครเป็นเด็กหนุ่มเลี้ยงแกะจากแคว้นอันดาลูเซีย 

(แคว้นทางใต้ของสเปน) ผู้หลงใหลความเชื่อเกี่ยวกับ 

สัญลักษณ์แห่งจักรวาล ถึงกับขายสมบัติทั ้งหมดที่มีนำไป 

เป็นทุนรอน ออกเดินทางสู่ประเทศอียิปต์เพื่อค้นหา 

ขุมทรัพย์ตามนิมิตในความฝันของตน ใจความหลักสะท้อน 

ถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวละครและยถากรรมของมนุษย์ 

ซึ่งบางครั้งก็สั่นคลอนจิตใจให้หวั่นไหว จนหลงลืมจุดมุ่ง 

หมายในตอนแรกไป 

Siddhartha (1922), by Hermann Hesse 

Some of you may be confused by the name 

“Siddhartha”, which is the original name of the Lord 

Buddha. “Siddhartha” is not a fable but it is a Buddhism 

philosophical novel written by a German writer (notice 

that German writings mostly are about philosophy and 

religion). The story is about 2 young Brahmins who had 

2 different ideas to search for enlightenment. Both of 

them travelled separately to get experiences since they 

were young until getting older. They learned about human 

beings and the nature. The writer did not conclude 

at the end clearly but leave the readers to consider, to 

question, to answer and end the story themselves. 

Jonathan Livingston Seagull (1970), 

Richard Bach 

The main idea of this writing is still about the 

journey, learning and searching answers. The writer used 

short poems to pass on the message, to parallel human 

society through a hoard of seagulls. (I think the writer 

used “seagulls” because his other career is a pilot.) The 

main character is a seagull name “Jonathan”. He learned 

to fly and to live by questioning on everything, and that 

made him a weird one in the hoard. The same as other 

living things in this world, someone who is different 

might not be recalcitrant but just trying to get over his 

own limitation. 

The Alchemist (1988), Paulo Coelho 

The plot about a young man following his dream 

may not be always boring. A Brazilian writer had made 

a character of a young shepherd from Andalusia (an 

autonomous community in southern Spain), who was 

passionate about the symbols of the universe. He sold 

all his belongings to get the fund for his journey to Egypt, 

to search for the treasure as he had seen in his dream. 

The main point of this writing reflects the transforming 

and fate of characters, which sometimes can shake one’s 

mind and make him forget his original intention. 

สรุปโครงสร้างของทั้งสามเรื่องนั้นเน้นไปที่ “ระหว่างทาง” ซึ่งเห็นได้ว่าวรรณกรรมชั้นยอดมักจะสะท้อนถึงวิถีทางอันหลากหลายมากกว่าที่จะรวบรัดพุ่งเป้าไปยัง“จุดมุ่งหมาย” อันเป็นหนึ่งเดียว 

The structure of all these three writings points to “things along the journey”. It is clearly seen that the ultimate literatures usually present variety of ways more than targeting 

to only one destination. 

- 51 - 


C12 

สุพิชชา โตวิวิชญ์ 


ARTS 

When the bus stop can be more than you think 

เมื่อป้ายรถเมล์เป็นได้มากกว่าที่คิด 

ป้ายรถเมล์หน้าวัดสุทธิวรารามมีการวางสิ่งของต่างๆ ทั้งที่จำเป็นและไม่จำเป็น เพื่อศึกษาว่ามีอะไรควร หรือไม่ควรเพิ่มเติม The project “ASA-CAN : Ten for Ninety” is held for 

โครงการ “ASA CAN: Ten for Ninety” โดยกรรมาธิการ 

สถาปนิกเพื่อสังคมและเมือง สมาคมสถาปนิกสยาม ใน 

พระบรมราชูปถัมภ์ จัดขึ้นเป็นปีที่ 2 แล้ว มีจุดประสงค์คือ 

การตั้งคำถามและการทดลองประเด็นที่เกี่ยวกับพื ้นที่ 

สาธารณะ ปี 2560 นี้ได้ทีมพี่เลี้ยงสถาปนิกรุ่นใหม่จาก IF, 

Cloud Floor และ MOR and Farmer โดยมีที่ปรึกษา 

โครงการคือ ดร.สุพิชชา โตวิวิชญ์ ประธานกรรมาธิการ 

สถาปนิกเพื่อสังคมและเมือง และ ดร.พิชญ์พงษ์สวัสดิ์จาก 

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

สำหรับผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อปคือ นิสิตรัฐศาสตร์ จุฬาฯ 

และนิสิตนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์จากหลาก 

หลายสถาบัน โดยในปีนี้ได้ทดลองกับ “ป้ายรถเมล์” ด้วย 

คำถามที่ว่า… 

“ 

ป้ายรถเมล์ 

สามารถเป็นได้ 

มากกว่าป้ายรถเมล์ 

ได้อย่างไร 

” 

ภายใต้แนวคิด Dot – Line – Play โดย Dot หมายถึง 

ป้ายรถโดยสารประจำทางในฐานะจุดเชื่อมต่อของเมือง 

Line คือการเชื่อมต่อระหว่างป้ายฯ ก่อให้เกิดโครงการข่าย 

ระบบขนส่งสาธารณะ และ Play คือการใช้ความคิด 

สร้างสรรค์แทรกแซงและจู่โจมสภาวะปกติของเมือง มีป้าย 

รถเมล์3 ป้าย ในย่านบางรัก-เจริญกรุง ถูกเลือกมาเป็นพื้นที่ 

ทดลองในครั้งนี้ 

ป้ายรถเมล์หน้าวัดสุทธิวราราม ผู้เข้าร่วมเวิร์กช็อป 

สังเกตเห็นว่า คนมักไม่นั่งรอเพราะที่นั่งเตี้ยเกินไป หลังคา 

ไม่บังแดด ช่วงกลางคืนเสี่ยงอันตรายเพราะไม่สว่าง 

เนื่องจากป้ายโฆษณาทรุดโทรมและเสียหาย ผู้เข้าร่วม 

เวิร์กช็อปจึงทดลองวางสิ่งของต่างๆ ทั้งที่จำเป็นและ 

ไม่จำเป็น ได้แก่ร่ม หมวก เก้าอี้เจลล้างมือ พัด หนังสือ ที่ชั่ง 

น้ำหนัก กีตาร์วิทยุลูกอม เป็นต้น และสังเกตพฤติกรรมของ 

ผู้ใช้งานป้ายรถเมล์ตลอด 24 ชั่วโมง เพื่อศึกษาว่าป้ายรถเมล์ 

ที่ใช้งานอยู่ทุกวันนี้ควรมีอะไรหรือไม่ควรมีอะไรเพิ่มเติม 

- 52 - 

the second year by ASA-CAN. The purpose is to question 

and experiment issues about public areas. In 2017, 

young new architects from IF, Cloud Floor, and MOR and 

Farmer come to be mentors. The project advisors are 

Dr.Supitcha Tovivich, head of ASA-CAN, and Dr.Pitch 

Pongsawat from the Faculty of Political Science at 

Chulalongkorn University. 

The workshop participants are students from the 

Faculty of Political Science at Chulalongkorn University 

and students from the Faculty of Architecture from many 

institutions. This year we do experiments with bus stops 

with the question… 

How can a bus stop be more than a bus stop? 

In the concept of “ Dot – Line – Play”, Dot means a 

bus stop as a joint of the city; Line means the link between 

those bus stops that create a public transportation 

network; and Play means to interfere and engage 

with the normal condition of the city with creative 

thinking. The study areas are 3 bus stops in the Bangrak 

- Chareon-krung district . 

The bus stop in front of Wat Suttiwararam : The 

participants noticed that people don’t like to sit and 

wait because the seats at the bus stop are too short; 

the roof can’t block the sunlight; it looks dangerous at 

night because the lack of light from damaged billboards. 

The participants decided to put things, necessary and 

unnecessary, such as umbrellas, hats, chairs, hand gel, 

fans, books, scales, guitars, radios, candies, etc. They 

observed the behavior of the passengers all 24 hours 

to study what more is needed or not for this bus stop. 


ป้ายรถเมล์ตลาดน้อย เป็นป้ายที่ไม่มีที่นั่งหรือหลังคา 

อย่างเป็นทางการ มีเพียงเต็นท์ที่ทางกรุงเทพมหานครนำมา 

กางให้เนื่องจากเป็นย่านที่มีผู้สูงอายุมาใช้ป้ายเป็นที่พบปะ 

พูดคุยและนั่งรอรถเมล์ เต็นท์เล็กๆ ที่มีอยู่เดิมจึงถูกทดลอง 

ให้กลายเป็น "ห้องรับแขกของชุมชน" ที่เล่าเรื่องราวของ 

ตลาดน้อยผ่านชาวชุมชน ทั้งรูปถ่ายและเรื่องราวที่เกี่ยวกับ 

ย่านตลาดน้อย รวมถึงการจัดแสดงผลงานศิลปะ สิ่งประดิษฐ์ 

และการแสดงดนตรีของเยาวชนในชุมชน เพื่อแสดงออกถึง 

ศักยภาพและความสัมพันธ์ของชาวชุมชน 

The bus stop at TaladNoi : It is a bus stop without 

seats and roof. It’s just a temporary tent that Bangkok 

Metropolitan Administration had put up. Because many 

senior citizens in this area use this bus stop as a meeting 

place and to wait for the buses, the participants 

changed the old tent to become a “community living 

room” to tell stories about TaladNoi. They used photos 

to show the history of people in the area, including an 

art invention exhibition and a concert from the youth, 

to show the potential and relationship of people in the 

community. 

พื้นที่สุดท้ายคือ ป้ายรถเมล์ที่อยู่บริเวณใต้สะพาน 

ตากสิน ซึ่งมีความสับสนอลหม่านและวุ่นวาย คับคั่งไปด้วย 

ระบบขนส่งทั้งที่เป็นทางการและไม่เป็นทางการทีมเวิร์กช็อป 

สะพานตากสินจึงได้ทดลองติดตั้งป้ายให้ข้อมูลระบบการขนส่ง 

รูปแบบต่างๆ เช่น รถเมล์ สองแถว มอเตอร์ไซค์ เรือ ตุ๊กตุ๊ก 

เพื่อตั้งข้อสังเกตเกี่ยวกับความสำคัญและจำเป็นของการ 

ขนส่งรูปแบบต่างๆ ที่มี และความสัมพันธ์ระหว่างกัน 

“…มีการจัดทำป้ายที่มีใบหน้าของพี่ๆ มอเตอร์ไซค์คน 

ขับเรือ คนขับตุ๊กตุ๊ก กระเป๋ารถเมล์คนขับสองแถว บวกด้วย 

สโลแกน จุดแข็งของการเดินทางแต่ละประเภทเพื่อให้เห็น 

ว่า ‘งาน’ ที่ ‘คน’ เหล่านี้ทำคือกลไกสำคัญของเมืองใหญ่ 

ที่มีความสัมพันธ์กัน บ้างถูกแต่ช้า บ้างเร็วแต่แพง บ้าง 

ความเร็วกลางๆ แต่ขนคนได้เยอะกว่า เป็นต้น 

ปัจจุบันพื้นที่ของInformal Transportation Modes ต่างๆ 

นี้ยังไม่ค่อยได้ถูกนำมาจัดการร่วมกันอย่างจริงจังในระดับ 

นโยบายเท่าไรนัก ที่มากไปกว่านั้นเมืองต้องการ ‘งาน’ จากคน 

เหล่านี้ แต่สิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับ ‘คน’ เหล่านี้ไม่มี 

อะไรเลย เพราะไม่ถูกมองเห็นอย่างเป็นทางการ” ดร.สุพิชชา 

โตวิวิชญ์ กล่าว 

* ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/tenforninety 

ป้ายรถเมล์ตลาดน้อยที่ถูกทดลองให้กลายเป็น “ห้องรับแขกของชุมชน” 

ป้ายรถเมล์บริเวณใต้สะพานตากสินมีการทดลองติดตั้งป้ายให้ข้อมูลระบบการขนส่งรูปแบบต่างๆ 

The bus stop under Taksin Bridge : It is a chaotic spot 

with people and official and non-official transportation 

systems. The workshop team installed signs giving 

information about transportation such as buses, mini-buses, 

motorcycles, boats, and TukTuks to signify the importance 

and necessity of each kind of transportations and relationship 

between them. 

“… There are signs with pictures of motorcycles, 

boats, Tuktuks, mini-bus drivers and ticket takers, with 

slogans describing the benefits of each mode of transportation. 

This is meant to show that the job these 

people are doing is related to the important mechanisms 

of the city. Some kind of transportations are fast but 

expensive, some have moderate speed but can carry 

many passengers.” 

“Nowadays the areas of informal transportation 

modes are not being used seriously. Other than that, 

the city wants these people’s service but there are no 

facilities for them because they don’t present formally.” 

Dr. Supitcha said. 

Look for more information at www.facebook.com/tenforninety 

Project no.1 “ทดลองปูเสื่อที่หัวลำโพง” 

ปี 2559 โครงการ Ten for Ninety เคยจุดกระแสให้ 

สังคมหันมาตั้งคำถามกับพื้นที่สาธารณะในระบบขนส่ง 

มวลชน กับโครงการ Public Transit Lounge หรือการ 

ทดลองสร้างพื้นที่สาธารณะ โดยทดลองนำเสื่อ 40 ผืนและ 

bean bag มาวางไว้ในพื้นที่ใจกลางหัวลำโพง ขนาด 144 

ตารางเมตร เพื่อศึกษาพฤติกรรมของคนระหว่างรอรถไฟ 

ทั้งคนเตรียมเดินทางกลับต่างจังหวัด นักท่องเที่ยวชาวไทย- 

ต่างชาติหรือแม้แต่คนไร้บ้านที่พักพิงในหัวล ำโพง 

- 53 - 

Project no.1 “Public Transit Lounge” 

Placing mats at Hua Lumpong model in 2016 The 

Ten for Ninety project sparked a trend asking society 

to think about public spaces in public transportation 

systems in the project “Public Transit Lounge”. They 

brought 40 mats and bean bags to place in the 144 

sq.m. space in the main hall of Hua Lumpong station 

to monitor human behavior while waiting for the trains. 

The targets of monitoring are people going back to their 

country homes, Thai and foreign tourists, and also the 

homeless people. 


TEXT : 

TEAM 

MUSIC 

What We’ve Listened? 

เพลงของเด็กถาปัตย์ 

เพราะหนึ่งวันของเหล่าเด็กถาปัตย์มี 48 ชั่วโมง (บาง 

คนบวกเพิ่มไปมากกว่านั้น) ลืมคำว่าบ้านไว้ก่อน เพราะพวก 

เขามีสตูดิโอนี่ล่ะเป็นแหล่งพักพิง นอกจากเพื่อนในชีวิตจริง 

อีกหนึ่งสิ่งที่พวกเขานับเป็นเพื่อน ก็คือ ดนตรี มิตรแท้ที่อยู่ 

ด้วยกันทั้งยามหลับ ยามตื่น ยามฟื้นไปส่งงานอาจารย์ 

จึงสำรวจดนตรีข้างหูของเหล่าเด็กถาปัตย์ 

จาก 4 สถาบัน ว่าตอนนี้พวกเขากำลังอินกับเพลงอะไรอยู่นะ 

ฟังแล้วช่วยให้คิดงานออกบ้างไหม หรือฟังแล้วเป็นยังไง ถ้า 

ยังไม่รู้ ก็ได้แต่… #ฟังวนไปค่ะ 

ภาพ : www.facebook.com/boeing.loseholiday 

ภาพ : www.facebook.com/TheOctopussBand 

ภาพ : www.facebook.com/srirajahrockers 

Because one day of architecture students 

has 48 hours (some may have more than that). 

Let’s forget the word “Home” because their studios 

are like homes for them. Besides real life friends, 

another thing they consider as friends is music, 

the true friend which stays with them all the time, 

days or nights even when they revive to hand in 

their projects. 

went to check out about favourite 

songs of architecture students from 4 institutes; 

about which songs are in hit list, how those songs 

help them with their projects, or how they feel 

ศิลป์ศุภา แสงวิภาค (หนู) 

ปี 4 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 


• วันหยุด (ศิลปิน Boeing Lose Holidays) “ฟังแล้วอยาก 

เก็บของไปทะเล” 

• ทำไมเรายังไม่วาร์ป (ศิลปิน The Octopuss) “ฟังแล้ว 

หลอนไปทั้งวัน กับท่อนที่ร้องว่า ‘ทำไมเรายังไม่วาร์ป’ 

วนไป 4 รอบรวด” 

• ทุกเพลง (ศิลปิน Srirajah Rockers) “ดนตรีแนวสกาที่ฟัง 

จนกลายเป็นซิกเนเจอร์ลาดกระบังไปแล้ว แต่เอาจริง 

ถ้าคิดงานไม่ออกก็ไม่มีไรช่วยได้ทั้งนั้น (ฮา)” 

Miss Sinsupha Saengwipark (Noo), 

a forth year student from The Faculty of 

Architecture and Design, King Mongkut's Institute 

of Technology, Ladkrabang 

• “Wan-Yood” (artist : Boeing Lose Holiday) - “I want 

to go to beaches when I hear it.” 

• (artist : The Octopuss) – “The repeated 4 times line 

“Tam-Mai-Rao-Yang-Mai-Warp” stuck in my head 

for an entire day.” 

• “Every song” by Srirajah Rockers -“The Ska genre 

songs which became Ladkrabang’s signature songs. 

In the matter of fact, if you don’t have ideas for 

the project, nothing can help. (Laugh)” 

about each song. If this can’t get you an answer 

... #looping listening. 

ภาพ : https://play.spotify.com 

ภาพ : https://genius.com 

ภาพ : www.amazon.com 

ธนัช หาญสุวรรณ (กฤต) 

ปี 4 นิสิตภาควิชาการวางแผนภาคและเมือง 

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย 

Mr.Thanat Hansuwan (Krit), 

a forth year urban architecture atudent at Faculty 

of Architecture Chulalongkorn University 

• Redbone (ศิลปิน Childish Gambino) “เพลงจังหวะโซล 

ที่นักร้องน ำร้องเสียงสูงมาก ในขณะที่คีย์ดนตรีมาในโทนต่ ำ 

ตรงกันข้าม ได้ฟีล ได้เคลิ้ม ได้อารมณ์ ฟังในสตูดิโอนี่ 

หลอนใช้ได้เลยครับ” 

• Hard Times (ศิลปิน Paramore) “ถ้าอยู่ในสตูดิโอส่วนใหญ่ 

ผมจะรับหน้าที่เป็นดีเจ ถ้าผมต้องเปิดเพลงให้ทุกคนฟัง 

ผมจะเปิดเพลงนี้ เพราะจังหวะป๊อบดีครับ” 

• The Chain (ศิลปิน Fleetwood Mac) “เพลงเก่าจากยุค 

เซเวนส์ตี ้ส์ที่มีรากเหง้ามาจากบลูส์ เสน่ห์คือเสียงร้อง 

ชายหญิงที่ประสานกัน จังหวะมันกระแทกกระทั้นสะใจดี 

ได้อารมณ์ขณะทำงาน แถมเพลงนี้ถูกนำมาเป็นเพลง 

ประกอบภาพยนตร์เรื่อง Guardians of the Galaxy 2 ด้วย” 

• Redbone (artist : Childish Gambino) - “A soul song 

with high pitch singer but in contrast the song 

pitch is low. It’s kind of spooky trance music.” 

• Hard Times (artist : Paramore) – “When we are in 

the studio, I usually play the DJ role. This song 

is the one in my playlist, it has good pop rhythm.” 

• The Chain (artist : Fleetwood Mac) - “An old song 

from 70s’ got its root from blue music, the charm 

of this song is the harmonious voices of both male 

and female singers. It’s also used as a soundtrack 

in the movie Guardians of The Galaxy 2.” 

- 54 - 


ธนา เฉยปัญญา (เปาเหมี่ยน) 

ปี 5 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการออกแบบ 

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี 

Mr.Thana Choeipanya (PaoMian), 

a fifth year student at SoA+D School of Architecture 

and Design, King Mongkut's University of Technology, Thonburi 

• ภาพทรงจำ (ศิลปิน Mahafather) “เวลาที่ผมและเพื่อนอยู่ในสตูดิโอ เรากินและนอนอยู่ในนั้น 

เปิดเพลงฟังเรียงตาม ลำดับ เพลงช้าเพลงนี้พีคสุดตรงที่ร้องว่า ‘อยากขอให้นาฬิกาหยุดเดิน 

จะได้ไหม’ ” 

• Youtube Channel/rapisnowtv (ศิลปิน RAP IS NOW) “ไม่ใช่แค่ฟังเพลง แต่แชนแนลนี้มีอะไร 

ให้ฟังอีกเยอะแยะ บีทดนตรีแรป เหล่าแรปเปอร์มารวมตัวดวลกันด้นสดๆ ในช่วงเวลาที่ต้องการ 

ฟังอะไรที่กระตุ้นเราให้ตื่นได้ดี แชนแนลนี้ช่วยชีวิต” 

• หน้าไม่ทันสมัย (ศิลปิน ปลาคาร์พ เชิญยิ้ม) “เพลงลูกทุ่งช้าๆ ที่ช่วยให้เราสงบจิตสงบใจได้ดีมักเป็น 

เพลงสุดท้ายประจำสตูดิโอของพวกเราเวลางานใกล้เสร็จ” 

• Parb-Song-Jum (artist : Mahafather) - “When my friends and I are at the studio, 

we eat and sleep there, turn on the music sequently. This slow song has the peak 

at the line ‘Yark-Kho-Hai-Na-Li-Ka-Yood-Dern-Ja-Dai-Mai.’ ” 

• Youtube Channel / rapisnowtv ( artist : RAP IS NOW ) - “Not only songs but many other 

things to listen from this channel, beat music, rap music and even live rapper duel. 

When you need something urge yourself, you can count on this channel.” 

• Nha-Mai-Tan-Sa-Mai (artist : Placarp-Churnyim) – “A slow country song that could 

calm us, it’s usually the last song in our studio, right before finishing our project.” 

โชติวัฒน์ พรถึง (แอร์) 

ปี 4 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 

มหาวิทยาลัยนเรศวร 

• Take You Home (ศิลปิน Baekhyun วง EXO) “เพลงจังหวะช้าๆ ฟังสบายๆ เหมาะสำหรับฟังตอนเริ่มต้นคิดงาน ให้อารมณ์พลิ้วดี” 

• เธอทำให้ได้รู้(ศิลปิน Potato) “เพลงใหม่จาก Potato เป็นเพลงที่ร้องติดปาก ฟังติดหูเหมาะมากสำหรับฟังในช่วงคิดคอนเซ็ปต์มาแล้ว” 

• Wonder Woman (OST - Rupert Gregson-Williams) “ธีมสกอร์จากภาพยนตร์เรื่อง Wonder Womanให้ความรู้สึกระทึก เร้าใจ 

ได้อารมณ์ และที่สำคัญกระตุ้นให้เราได้งานเป็นชิ้นเป็นอันยามเมื่ออยู่สตูดิโอแล้วเกิดความรู้สึกง่วงนอน” 

Mr.Chotiwat Pohnthueng (Air), 

a forth year student at The Faculty of Architecture, 

Naresuan University 

• Take You Home (artist : Baekhyun by EXO) - “A slow easy listening song, suitable for starting work because it can 

give you smooth mood.” 

• Ter-Tam-Hai-Dai-Roo (artist : Potato) - “A new song from Potato, very catchy. It fits really well when you already got a concept 

for the project.” 

• Wonder Woman (OST by Rupert Gregson - Williams) - “OST from a movie ‘Wonder Woman’. It gives you excitement 

and motivates you to work on your projects effectively when you’re feeling sleepy” 

ภาพ : https://exochartrecords.tumblr.com 

ภาพ : www.youtube.com 

ภาพ : http://music.sanook.com 

ภาพ : www.fungjai.com 

ภาพ : http://www.majorcineplex.com 

ภาพ : https://genius.com 




วนา ทันท่าหว้า (วีนัส) 

ปี 4 นิสิตภาควิชาภูมิสถาปัตยกรรม 

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ / มือเบสวง The Key 

Miss Wana Thunthawa (Venus), 

a forth year Landscape Architecture Student At Faculty of Architecture 

Kasetsart University, Bass Player The Key Band 

• เหงา เหงา (ศิลปิน Ink Warunthorn) “ในวันที่ไม่ได้อยู่คณะหรือนั่งทำงานกับกลุ่มเพื่อน ตอนทำงาน 

ที่โต๊ะคนเดียว ยิ่งถ้าลมพัดเบาๆ เพลงนี้ช่วยอยู่เป็นเพื่อนดีมากเลยค่ะ รู้สึกเหมือนว่ามีเพื่อนๆ อีก 

หลายคนที่ไกลกัน แยกไปที่นั่งทำงานที่บ้าน หรือที่หอ ก็กำลังเหงาๆ ไปพร้อมๆ กัน” 

• I Feel it Coming (ศิลปิน The Weeknd ft. Daft Punk) “ฟังแล้วหัวใจเต้นแรง ฟังตอนทำงาน 

แล้วก็เหมือนอยากจะลุกออกมาเต้นเบาๆ ประกอบจังหวะ ชอบเสียงเบสของเพลงและซาวนด์ 

ต่างๆ ที่ Daft Punk แสดงออกมา เสียงร้องของ The Weekend ลื่นหูสุดๆ ไปเลย” 

• Crying in the Corner (ศิลปิน The Key) “เป็นเพลงของวงตัวเอง เหมือนเราร้องขอความช่วยเหลือ 

จากใครๆ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่มีใครเลยที่จะได้ยิน ฉันก็เลยได้แต่ร้องไห้อยู่ตรงนั้นที่มุมนั้น ยิ่งเป็น 

ช่วงทำโปรเจ็กต์นี่ยิ่งเข้าถึงอารมณ์เลยค่ะ (ฮา) ไม่มีใครช่วยคุณได้นอกจากตัวคุณเองเท่านั้น” 

- 55 - 

• Ngao Ngao (artist : Ink Warunthorn) - “On the day when you’re neither at the studio 

nor sitting in a group of friends at the faculty, or when you are working alone, 

with slow blowing wind, this song can be a good company. It makes me think of 

friends who working at homes or dorms and feel lonely together.” 

• I Feel it Coming (artist : The Weekend ft. Daft Punk) - “This song pumps you up, 

listen to it while working I feel like to get up to dance with it. I love the bass and 

any sounds in the song Daft Punk created. The voice of The Weekend is really smooth.” 

• Crying in the Corner (artist : The Key) - “This my band’s song. The song is about begging 

for help but nobody can hear, so you end up crying in the corner. if you listen 

to this song while doing projects, it’ll get in you more emotionally.(Laugh) There’s 

no one to help but yourself.” 

MAR-APR 2017 - ISSUE 03

TEXT : 

TEAM 

HOW TO 

Can we get no flood when it rains? 

หน้าฝนทีไร ทำไมกรุงเทพฯ ต้องน้ำท่วมทุกที เกิดคำถามในใจชาว กทม.ว่า ทำไมน้ำท่วมง่ายจัง วันนี้ จะเล่าให้ฟังเรื่องวิธีการระบายน้ำในแบบต่างๆ 

Why is Bangkok flooded every rainy season? Bangkokians are wondering why Bangkok gets flooded so easily. Today, 

will describe various ways to drain away the water. 

เข้าใจน้ำ ก่อนอื่นเราต้องเข้าใจ “น้ำ” เสียก่อนว่า 

1 น้ำมีความเป็นไปง่ายๆ คือ ไหลจากที่สูงลงที่ต่ำ 

ดังนั้น ที่ลาดคือพื้นที่ที่น้ำจะระบายได้เร็วที่สุด 

และที่ลุ่มคือพื้นที่ราบเรียบซึ่งน้ ำจะระบายได้ช้า นี่คือสาเหตุ 

ที่หลายบ้านนิยมถมที่ให้สูงกว่าถนนเยอะๆ เพราะนอกจาก 

จะไม่ทำให้น้ำจากถนนไหลเข้าบ้านแล้ว ท่อระบายน้ำยัง 

เอียงได้มากกว่า น้ำก็ไหลเร็วกว่า 

ระบายน้ำด้วยระบบคูคลอง จริงๆ แล้วกรุงเทพ 

2 มหานครมีการวางเครือข่ายคูคลองอย่างสุดยอด 

แต่เมื่อถึงจุดที่เมืองขยายจนต้องการถนนมากขึ้น 

จึงมีการถมคลองที่ไม่ใช่แค่เขตคลองถม พอถมคลองไป 

เครือข่ายก็ไม่ต่อเนื่อง การระบายน้ำก็เลยทำไม่ได้ข้อดีของ 

ของระบบคูคลองคือระบายน้ ำได้เร็ว แต่เสียพื้นที่มากต้องระวัง 

วัชพืชและขยะอุดตัน 

Understand the water : Firstly we have to understand 

its nature. Water simply flows from higher to lower 

ground. Therefore, the slope terrain is the best for the 

draining process, while the flat plain drains slowly. This 

is why many people prefer to raise their land up much 

higher than the roads. Not only will that prevent water 

from the nearby roads, but it also enable steeper slope 

for the drainage pipes - thus a faster flow. 

Open ditch drain : Bangkok did have a brilliant 

canal network. But when the city started to exand, more 

roads were needed and some canals were filled. Once 

canal network was broken, the drainage began to have 

problems. The advantage of canal drainage is speed. The 

drawbacks are loss of large land area and problems of 

unwanted weeds and trashes. 

ระบายน้ำแบบรูตุ่น วิธีนี้ไม่ค่อยมีใครท ำกันแล้ว 

3 เพราะต้องการความแข็งของผิวดินมาก วิธีการ 

คือทำทางน้ำใต้ดินหรือลากโซ่เหล็กลงไปใต้ดิน 

แล้วกรีดผิวดินเป็นทางเล็กๆ เพื่อให้น้ำไหลลงไปหาทางน้ำ 

ที่ทำไว้ ส่วนใหญ่ ใช้งานชั่วคราวเท่านั้น 

Mole drain : Nowadays, this method is rarely used 

because it needs the surface soil to be very strong since 

watercourses are built or iron chains are laid under 

ground. The ground surface is then cut into narrow gutters 

so that water flows into the prepared watercourses 

underground. This is mostly used as a contemporary 

execution. 

แบบท่อระบายน้ำ นี่คือวิธีที่ทำกันในปัจจุบัน 

4 โดยใช้การฝังท่อลงไปใต้ผิวดินเพื่อให้น้ำไหลไป 

ตามท่อ ซึ่งใช้ได้ทั้งท่อซีเมนต์และท่อพีวีซีมีการ 

เจาะรูจากบนผิวดินให้ลงไปถึงท่อและต้องมีบ่อพักเป็นระยะๆ 

ข้อดีของวิธีนี้คือได้พื้นผิวมาทำถนน ส่วนข้อเสียคือลงทุนสูง 

และต้องระวังการอุดตัน 

Pipe drain : This is the present method today. 

Cement and PVC pipes are laid underground to drain 

the water. Holes are then bored from the surface down 

to those pipes. There must be intermittent water sumps. 

The main advantage of this method is the free surface 

for roads. The drawbacks are its high investment cost 

and the problem of clogging. 

แบบบ่อเก็บน้ำ วิธีนี้เป็นการขุดบ่อเอาไว้เพื่อให้ 

5 น้ำไหลมารวมกันในบ่อ ซึ่งระดับน้ำในบ่อขึ้นกับ 

ระดับน้ำในผิวดินและการปล่อยน้ำออกจากบ่อ 

จริงๆ แล้ววิธีนี้คือระบบการทำเขื่อนหรืออ่างเก็บน้ำที่ใช้กัน 

อยู่ทั่วประเทศ ข้อเสียคือเสียพื้นที่มาก แต่ข้อดีคือระบายน้ำ 

ลงบ่อได้เร็วมาก 

Well drain : Wells are dug to catch water. The level 

of water in the wells depends on the water table in the 

soil and the draining of the water from those wells. In 

fact, this is the same method normally used in dams or 

reservoirs in our country. The drawback is lot of land is 

needed but the advantage is fast drainage. 

แบบ กทม.2017 วิธีนี้ไม่แนะนำอย่างยิ่ง 

6 เป็นการระบายน้ำผ่านขยะอุดตันกว่า 5,000 

กิโลกรัมที่มีทั้งโซฟาและของใช้ในบ้านเรือนทำให้ 

น้ำไหลออกได้ช้ามาก ส่งผลให้น้ำท่วมไปทั่วเมือง เราควร 

ช่วยกันลดปัญหานี้โดยการไม่ทิ้งขยะลงแม่น้ ำลำคลอง น้ำท่วม 

ที่ผ่านมาเราโทษผู้ว่าฯ โทษฟ้าฝน แล้วอย่าลืมโทษคนกรุง 

กันเองด้วยนะ 

Bangkok 2017 : This method is absolutely not 

recommended. Water flows through over 5,000 Kg. 

of clogging trashes, including furniture and unwanted 

household appliances. Thus the water can be drained 

out very slowly, and the city is submerged. We should 

all help reduce this problem by stop throwing away our 

garbage into canals and rivers. We used to blame our 

governors or bad weather for previous floods, but we 

should not forget to blame ourselves too. 

- 56 - 


เพียงแสดงบัตรสมาชิกหรือแสดงอาษาแอปพลิเคชั่น (ASA Application) 

ดาวน์โหลด ASA Application ได้แล้ววันนี้ 

: MOST WANTED 

รับสมัครทีมงานประจำ วารสาร 

1. Content Manager 

ดูแลภาพรวมของเนื้อหาที่จะเผยแพร่ในสื่อต่างๆ ของ asa CREW (เว็บไซต์ เฟซบุ๊ก แอปพลิเคชั่น) 

2. นักเขียนแนวสถาปัตย์ 

นักเขียนประจำ กองบรรณาธิการ ดูแลการผลิตบทความด้านสถาปัตย์ (ควรเรียนจบด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์โดยตรง) 

ติดตามข่าวสารในวงการสถาปนิกเป็นประจำ สามารถคิดประเด็นในการเขียนและสัมภาษณ์ได้ 

3. ประสานงานกองบรรณาธิการ 

ประสานงานด้านข้อมูล เนื้อหา การนัดหมาย ระหว่างกองบรรณาธิการ กับฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง 

4. Proof Reader 

พิสูจน์อักษรภาษาไทย และภาษาอังกฤษ 

สนใจร่วมงาน ส่งประวัติ ผลงาน และสิ่งที่อยากให้เรารู้มาที่ asacrewmag@gmail.com 

(subject สมัครงาน)

ASA privilege 

สิทธิพิเศษ สำหรับสมาชิก สมาคมสถาปนิกสยามฯ 

สิทธิพิเศษ สาหรับสมาชิก สมาคมสถาปนิกสยามฯ 

เพียงแสดงบัตรสมาชิกหรือแสดงอาษาแอปพลิเคชั่น (ASA ่น (ASA Application) Application) 

เพื่อรับสิทธิประโยชน์และส่วนลดจากร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการฯ 

Modernform Furniture 

ส่วนลด 20% จากราคาปกติ 

สาขาโมเดอร์นฟอร์ม ทาวเวอร์ โทร. 0 2708 9800 

สาขา CDC (Crystal Design Center) โทร. 0 2102-2100-3 

สาขา ฟิวเจอร์ ปาร์ค รังสิต โทร.0 2958-5613-4 

www.modernform.co.th 

**เฉพาะสินค้าเฟอร์นิเจอร์สานักงานเท่านั้น 

**สามารถใช้สิทธิพิเศษได้ที่ 3 สาขา ได้แก่ โมเดอร์นฟอร์ม ทาวเวอร์, CDC และ ฟิวเจอร์ ปาร์ค รังสิต เท่านั้น 

**ตั้งแต่วันนี้ – 31 มีนาคม 2561 

ODST MAKER 

777 ถนนประดิษฐ์มนูธรรม สะพานสอง 

วังทองหลาง กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2933 5040-2 

www.odstmaker.com 

ส่วนลดพิเศษ 5% เพิ่มเติมจาก 

ส่วนลดปกติจากโชว์รูมหน้าร้าน 

เมื ่อซื ้อสินค้าราคาปกติมูลค่าตั ้งแต่ 

50,000 บาทขึ ้นไป 

**เฉพาะสินค้าราคาปกติ และสินค้า 

ที ่ร่วมรายการเท่านั ้น 

** ตั ้งแต่วันนี ้ – 28 ธันวาคม 2560 

Jessica 

Esplanade Ratchadapisek 

ชั้น M ถนนรัชดาภิเษก ดินแดง กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2660 9185 www.jessica.co.th 

ส่วนลด 20% จากราคาปกติ 

** ตั ้งแต่วันนี ้ – 31 ธันวาคม 2560 

OMAZZ GALLERY 

3 สาขา ได้แก่ 

สาขาเอกมัยซอย 4 โทร. 0 2714 4242 

สาขา CDC โทร. 0 2102 2255 

สาขาเมกาบางนา โทร. 0 2108 4988 

www.omazz.com 

ส่วนลดพิเศษ on top 5% เมื ่อซื ้อ 

สินค้าประเภทที ่นอน เตียงนอน และ 

ชุดเครื ่องนอน (จากราคาส่วนลดปกติ) 

พิเศษ! รับหมอนอิง ขนาด 15x15 นิ ้ว 

เมื ่อซื ้อสินค้ารายการใดก็ได้ (จ านวนจากัด) 

**ตั ้งแต่วันนี ้ – 31 ธันวาคม 2560 

94° Coffee 

เฉพาะสาขา ได้แก่ สาขา Golden Place ถนน 

ประดิษฐ์มนูธรรม, สาขา Golden Place สะพาน 

สูง, ลาดพร้าว 120, Home Pro เลียบทางด่วน 

เอกมัย-รามอินทรา, Home Pro พระราม 3 และ 

2 สาขาในสนามบินเชียงใหม่ (อาคารผู้โดยสาร 

ภายในประเทศ และอาคารผู้โดยสารระหว่าง 

ประเทศ) 

โทร. 0 2933 4090 

www.94coffee.com 

ส่วนลด 10% เฉพาะเครื ่องดื ่ม 

**ตั ้งแต่วันนี ้ – 30 กันยายน 2560 

Above Riva 

392/25-28 ถนนมหาราช พระบรมมหาราชวัง 

พระนคร กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2221 1188 

www.rivaarunbangkok.com 

ส่วนลด 10% 

สาหรับอาหารเมนูปกติเท่านั ้น 


สาหรับแพ็คเกจเทศกาลต่างๆ 


BABBLE AND RUM 

23 ถนนพระอาทิตย์ ชนะสงคราม พระนคร กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2633 5000 

www.rivasuryabangkok.com 

ส่วนลด 10% สาหรับอาหารเมนู 

ปกติเท่านั ้น 

ส่วนลด 10% สาหรับแพ็คเกจ 

เทศกาลต่างๆ 


Chao Phraya Princess Cruise 

94 ซอยเจริญนคร 21 ถนนเจริญนคร บางลาพูล่าง กรุงเทพฯ 10600 

โทร. 0 2860 3700 

www.chaophrayaprincess.com 

ส่วนลด 20% สาหรับล่องเรือรับประทานอาหารค ่า (จากราคา 

ปกติ) 

**ไม่สามารถใช้เป็นส่วนลดค่าเครื่องดื่มได้ 

**ไม่สามารถใช้ในกรณีเหมาลาหรือเหมาชั ้นได้ 

**ไม่สามารถใช้ในโปรแกรมพิเศษและวันหยุดเทศกาลต่างๆ 

**สารองที่นั ่งล่วงหน้า 3 วัน 

**ตั ้งแต่วันนี้ – 30 ธันวาคม 2560 

Louis Leeman The Grande 

161 ซอยสุขุมวิท 39 (พร้อมพงษ์) คลองตันเหนือ 

วัฒนา กรุงเทพฯ 

โทร. 0 0258 2807 

www.louisleeman.asia 

ส่วนลด 10% เฉพาะค่าอาหาร 

จากราคาปกติเท่านั ้น 


Wild & Company 

33/1 ซอยฟาร์มวัฒนา พระโขนง คลองเตย 

กรุงเทพฯ 

โทร. 061 515 6989 

www.wildnco.com 


**ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นหรือ 

รายการส่งเสริมการขายอื ่นๆ ได้ 


Backyard by Baan 

Jas Urban Srinakarin 788 หมู่ 5 ถนน 

ศรีนครินทร์ สาโรงเหนือ เมือง สมุทรปราการ 

โทร. 0 2386 7338-9 

www.facebook.com/pg/Backyardbybaan 



Medinii 

The Continent Hotel Bangkok 413 คลองเตย 

เหนือ วัฒนา กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2686 7000 

www.thecontinenthotel.com 

ส่วนลด 10% สาหรับอิตาเลี ่ยนบุฟเฟ่ต์ 

มื้อกลางวัน (ราคาปกติท่านละ 499+ 

หรือ 587 net) 

**ใช้ส่วนลดได้เฉพาะวันจันทร์-ศุกร์ 

**กรุณาจองล่วงหน้าอย่างน้อย 1 วัน 

**สามารถใช้ส่วนลดได้ 4 ท่าน / 1 บัตร 

**ขอสงวนสิทธิ ์การเปลี่ยนแปลงข้อมูล 

โดยที่ไม่ต้องแจ้งให้ทราบล่วงหน้า 

**ตั ้งแต่วันนี ้ – 31 ตุลาคม 2560 

Luna Sky Garden Café 

โรงแรม GLOW Pratunam 919 ถนนเพชรบุรี 

พญาไท ราชเทวี กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2257 3999 

www.glowhotels.com/pratunam 

ส่วนลด 20% สาหรับอาหารและเครื ่อง 

ดื่ม (ไม่รวมเครื ่องดื่มแอลกอฮอล์) 

**ตั ้งแต่วันนี ้ – 31 ตุลาคม 2560

์ 

ASA privilege 

Kathu Mining Co. 

MAI HOUSE Patong Hill 5/5 ถนนพระบารมี 

ป่าตอง กะทู้ ภูเก็ต โทร. 076 637 770 

www.maihouse.com/patonghill 


สาหรับอาหารและเครื ่องดื่ม (ไม่รวม 

เครื่องดื่มแอลกอฮอล์) 

**ตั ้งแต่วันนี ้ – 31 ตุลาคม 2560 

Well Spa 

Well Hotel Bangkok Sukhumvit 20 10/3 

ซอยสุขุมวิท 20 คลองเตย กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2127 5995 

www.wellhotelbangkok.com 

ส่วนลด 50% สาหรับทรีตเม้นท์พิเศษ 

3 รายการ ได้แก่ Indian Head 

Massage with Organic Coconut 

Oil (60 นาที), Charcoal and Lime 

Body Scrub หรือ Coffee Body 

Scrub (45 นาที) และ Rejuvenate 

Facial (60 นาที) 

ส่วนลด 25% สาหรับทรีตเม้นท์อื ่นๆ 

จากเมนูปกติ 

**กรุณาสารองเวลาล่วงหน้าที่ wellness@ 

wellhotelbangkok.com หรือโทร. 0 2127 5995 

**ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2560 

Dermaster 

342 ซอยสุขุมวิท 63 (เอกมัย) คลองตันเหนือ 

วัฒนา กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2714 4471 

www.dermaster-thailand.com 

ส่วนลดพิเศษสาหรับโปรแกรมปลูกผม 

ถาวรด้วยวิธีปลูกถ่ายเซลล์รากผมเพื ่อ 

แก้ปัญหาผมบาง ศรีษะล้าน 

เมื่อปลูกผม 1,000 กราฟขึ ้นไป รับสิทธิ 

ซื้อ Hair Reform Treatment ลดการ 

หลุดร่วง กระตุ้นการงอกใหม่ ในราคา 

ลด 50% 

ฟรี! โปรแกรมตรวจสภาพเส้นผมและ 

หนังศีรษะ 

**ตั้งแต่วันนี้ – 31 ธันวาคม 2560 

Well Hotel Bangkok Sukhumvit 20 

10/3 ซอยสุขุมวิท 20 คลองเตย กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2127 5995 

www.wellhotelbangkok.com 

ส่วนลด 10% สาหรับห้องพัก จากราคา 

ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของโรงแรม, ฟรี! มิ 

นิบาร์ (น ้าอัดลมและเบียร์), นวดฟรี 15 

นาทีที ่เวลล์สปา, เข้าคลาสออกกาลัง 

กายกลุ่มฟรี ที ่เวลล์ฟิตเนส 

ส่วนลด 25% ที่ห้องอาหารของโรงแรม 

**สมัครสมาชิก Online Member ที่เว็บไซต์ 

www.wellhotelbangkok.com เพื่อรับโค้ดส่วนลด 

ทางอีเมล สาหรับใช้ในการสารองห้องพัก 


Ascott Sathorn Bangkok 

7 ถนนสาทรใต้ ยานนาวา สาทร กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2676 6868 

www.the-ascott.com 

ส่วนลด 20% สาหรับห้องพัก จากราคา 

ที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของโรงแรม 

**ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่น และไม่ 

สามารถใช้ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง, วันหยุดนักขัต 

ฤกษ์, วันหยุดเทศกาล หรือพีคซีซั่นได้ 

**กรุณาสารองห้องพักล่วงหน้าทางอีเมล 

enquiry.thailand@the-ascott.com โดยแจ้ง 

Promotion Code : ASA 

**สอบถามข้อมูลเพิ ่มเติมได้ที่เบอร์ 0 2204 

4400, 1800 888 272 


Metropole Bangkok 

ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ บางกะปิ ห้วยขวาง กรุงเทพฯ 

โทร. 0 2314 8555 www.the-ascott.com 

ส่วนลด 30% สาหรับห้องพัก จากราคาที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของโรงแรม 

**ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่น และไม่สามารถใช้ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง, วัน 

หยุดนักขัตฤกษ์, วันหยุดเทศกาล หรือพีคซีซั่นได้ **กรุณาส ารองห้องพักล่วงหน้า 

ทางอีเมล enquiry.thailand@the-ascott.com โดยแจ้ง Promotion Code : ASA 

**สอบถามข้อมูลเพิ ่มเติมได้ที่เบอร์ 0 2204 4400, 1800 888 272 


Somerset Serviced Residence 

Somerset Ekamai Bangkok, Somerset Sukhumvit Thonglor Bangkok, 

Somerset Lake Point Bangkok and Somerset Park Suanplu Bangkok 

www.somerset.com 


**ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่น และไม่สามารถใช้ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง, วันหยุด 

นักขัตฤกษ์, วันหยุดเทศกาล หรือพีคซีซั่นได้ **กรุณาส ารองห้องพักล่วงหน้าทางอีเมล 

enquiry.thailand@the-ascott.com โดยแจ้ง Promotion Code : ASA 

**สอบถามข้อมูลเพิ ่มเติมได้ที่เบอร์ 0 2204 4400, 1800 888 272 


Citadines Apart’ Hotel 

Citadines Sukhumvit 8, Citadines Sukhumvit 11, Citadines Sukhumvit 16, Citadines 

Sukhumvit 23 and Citadines Grand Central Sri Racha 

www.citadines.com 


**ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่น และไม่สามารถใช้ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง, วันหยุดนักขัตฤกษ์, 

วันหยุดเทศกาล หรือพีคซีซั่นได้ **กรุณาส ารองห้องพักล่วงหน้าทาง 

อีเมล enquiry.thailand@the-ascott.com โดยแจ้ง Promotion Code : ASA 

**สอบถามข้อมูลเพิ ่มเติมได้ที่เบอร์ 0 2204 4400, 1800 888 272 **ตั้งแต่วันนี้ – 30 กันยายน 2560 

Samui Palm Beach Resort 

175/3 หมู่ 1 ถนนทวีราษฎร์ภักดี บ่อผุด เกาะสมุย 

สุราษฎร์ธานี 

โทร. 0 7742 5494-5 

www.samuipalmbeachresorts.com 

ส่วนลด 10% สาหรับห้องพัก 

ทุกประเภท จากราคาที ่ดีที่สุด 

บนเว็บไซต์ของโรงแรม 

ส่วนลด 20% เฉพาะค่าอาหาร ที ่ห้อง 

อาหาร Trade Wind Restaurant 

**ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่น 

และไม่สามารถใช้ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง, วันหยุด 

นักขัตฤกษ์, วันหยุดเทศกาล หรือพีคซีซั่นได้ 


info@samuipalmbeach.com 


Panviman Resort Koh Phangan 

22/1 หมู่ 5 หาดท้องนายปานน้อย บ้านใต้ 

เกาะพะงัน สุราษฎร์ธานี 

โทร. 0 7744 5101-9 

www.panviman.com 

ส่วนลด 15% จากราคาที ่ดีที ่สุด 


สาหรับการจองห้องพักทุกประเภท 

พร้อมอาหารเช้า สาหรับ 2 ท่าน 

**กรุณาสารองห้องพักล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน 

**ระยะเวลาในการรับสิทธิพิเศษ 

ตั้งแต่วันนี้ – 20 ธันวาคม 2560 

Grand Mercure Phuket Patong 

Resort & Villas 

1 ซอยราษฎร์อุทิศ 200 ปี 2 ป่าตอง กะทู้ ภูเก็ต 

โทร. 0 7623 1999 

www.grandmercurephuketpatong.com 

จอง 1 คืน แถม 1 คืน ฟรี! 

ห้องพักแบบ Superior พร้อม 

อาหารเช้า 2 ท่าน ราคาพิเศษ 

6,999 บาท 

One Bedroom Pool Villa 

พร้อมอาหารเช้า สิทธิ ์ใช้บริการ 

ที ่ Grand Club Lounge และรaถ 

รับ-ส่ง สนามบินภูเก็ต 2 ท่าน 

ในราคาเพียง 19,999 บาท 

*สามารถใช้โปรโมชั่นได้ทุกวัน (ในกรณีที่มีห้องว่าง) 

**กรุณาสารองห้องพักล่วงหน้าอย่างน้อย 7 วัน 

ทางอีเมล h8109@accor.com 

***ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2560 

Celes Beachfront Resort 

175/3 หมู่ 1 ถนนทวีราษฎร์ภักดี บ่อผุด 

เกาะสมุย สุราษฎร์ธานี 

โทร. 0 7790 0999 

www.celesresorts.com 

ส่วนลด 10% สาหรับห้องพัก 

ทุกประเภท จากราคาที่ดีที่สุด 



ที่ห้องอาหาร Sea Grille restaurant 

**ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่น 

และไม่สามารถใช้ในช่วงวันหยุดต่อเนื่อง, วันหยุด 

นักขัตฤกษ์, วันหยุดเทศกาล หรือพีคซีซั่นได้ 


info@celesresorts.com 


Mida Hotels and Resorts 

ไมด้า โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท 

Mida Resort Kanchanaburi 

www.midaresortkanchanaburi.com 

Mida De Sea Hua Hin 

www.midadeseahuahin.com 

Mida Grande Hotel Dhavaravati Nakhon 

Pathom 

www.midadhavaravatigrandehotel.com 

Mida Hotel Don Mueang Airport Bangkok 

www.midaairporthotelbangkok.com 

Mida Hotel Ngamwongwan www. 

midahotelngamwongwan.com 

โทร. 0 2574 3636 

ส่วนลด 10% สาหรับการจองห้องพัก 

จากราคาที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของ 

โรงแรม 


ที่ห้องอาหาร M Café, Sky Bar, 

Mandarin, 711 Bistro, The 

Terrace และ River Romance 

**ไม่สามารถใช้ร่วมกับโปรโมชั่นอื่นๆ ได้ 

**กรุณาสารองห้องพักที่หน้าเว็บไซต์ของโรงแรม 

โดยใส่ Promotion Code : ASA17 

**ตั้งแต่วันนี้ – 31 ตุลาคม 2560 

MAI HOUSE Patong Hill 

5/5 ถนนพระบารมี ป่าตอง กะทู้ ภูเก็ต 

โทร. 0 7663 7770 www.maihouse.com/patonghill 

ส่วนลด 15% สาหรับห้องพัก จากราคาที่ดีที่สุดบน 

เว็บไซต์ของโรงแรม 

GLOW Hotels & Resorts 

GLOW Pratunam โทร.0 2257 3999 

www.glowhotels.com/pratunam 

GLOW Elixir Koh Yao Yai โทร. 08 7808 3838 

www.glowhotels.com/elixir-koh-yao-yai 

GLOW Penang โทร. (+60) 4 226 0084 

www.glowhotels.com/penang 

ส่วนลด 15% สาหรับห้องพัก จากราคาที่ดีที่สุด 


**กรุณาสารองห้องพักล่วงหน้าทางเว็บไซต์ของโรงแรม 

โดยใส่รหัส “ASA2U” ในช่อง Voucher | Promo Code 

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงแรมก าหนด 


**กรุณาสารองห้องพักล่วงหน้าทางเว็บไซต์ของโรงแรม โดยใส่ 

รหัส “ASA2U” ในช่อง Voucher | Promo Code 

**เงื่อนไขเป็นไปตามที่โรงแรมก าหนด 


Pimalai Resort&Spa 

99 หมู่ 5 หาดบากันเตียง เกาะลันตา กระบี่ 

โทร. 0 2320 5500 www.pimalai.com 

ส่วนลด 10% สาหรับการจองห้องพักทุกประเภท 

จากราคาที่ดีที่สุดบนเว็บไซต์ของโรงแรม 

**ไม่สามารถใช้ร่วมกับรายการส่งเสริมการขายอื่นได้ 


ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.asa.or.th 

ดาวน์โหลด ASA Application ได้ทาง

ASA CREW VOL.4

Create successful ePaper yourself

Delete template?

Save as template?