ASA CREW VOL. 21
ASA CREW VOL. 21 ว่าด้วยสถาปัตยกรรมอันเป็นหลักฐานด้านวัฒนธรรมของชาติ เป็นที่บันทึกเรื่องราวมากมาย เช่น ความเชื่อ การใช้ชีวิต ความเจริญด้านเศรษฐกิจและด้านเทคโนโลยีของกลุ่มคน ในอดีตที่ถูกถ่ายทอดออกมาข้ามกาลเวลา
ASA CREW VOL. 21 ว่าด้วยสถาปัตยกรรมอันเป็นหลักฐานด้านวัฒนธรรมของชาติ เป็นที่บันทึกเรื่องราวมากมาย เช่น ความเชื่อ การใช้ชีวิต ความเจริญด้านเศรษฐกิจและด้านเทคโนโลยีของกลุ่มคน ในอดีตที่ถูกถ่ายทอดออกมาข้ามกาลเวลา
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
REFOCUS HERITAGE<br />
<strong>21</strong>
Photo: W Workspace
CONTENTS<br />
<strong>ASA</strong> MEDIA DIRECTOR’S WORD<br />
UPDATE<br />
4 Makkasan Heritage Documentation Suwicha Pitakkanchanakul<br />
10 ‘Resilience’ through Time Paphop Kerdsup<br />
Bangkok Design Week 2020<br />
INTERVIEW<br />
Talk with the<br />
master<br />
Assoc. Prof.<br />
Wiwat Temiyaphan<br />
18 A Talk with Master: Assoc. Prof.Vivat Temiyabandha Kisnaphol Wattanawanyo<br />
24 A Talk with Pongkwan S. Lassus: Refocus Heritage Kisnaphol Wattanawanyo<br />
SPECIAL INTERVIEW<br />
34 A Talk with the New <strong>ASA</strong> President: Chana Sampalung Pawarit Kongthong<br />
44 <strong>ASA</strong> Expo “Refocus Heritage”: Vasu Poshyanandana, Ph.D. Pawarit Kongthong<br />
PROJECT REVIEW<br />
52 Samsen STREET Hotel Peeranat Urairat<br />
62 True Digital Park Siam Square Soi 2 Sippawich Kambung<br />
72 Kitipanit Chirantanin Kitika, Ph.D.<br />
82 Sri the Shophouse Kitti Chaowana<br />
90 Reno Hotel Peeranat Urairat<br />
ROUND TABLE<br />
100 Between Preservation and Digitalization <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> Team<br />
<strong>ASA</strong> REGIONAL<br />
106 Esan: dotLIMITED Assoc. Prof.Nopadon Thungsakul, Ph.D.<br />
112 Lanna: Choui Fong Tea Cafe Phase 2 Jairak Junsin Thanompongsarn<br />
120 Taksin: Baan Klong Bon School Kitti Chaowana<br />
WHAT ARCHITECTS THINK<br />
126 Architecture Library, Chulalongkorn University Wasawat Rujirapoom<br />
USERS’ OPINION<br />
134 Architecture Library, Chulalongkorn University Wasawat Rujirapoom<br />
ONE DAY WITH AN ARCHITECT<br />
136 One Fine Day with Chatchavan Suwansawat Suwicha Pitakkanchanakul<br />
BOOK REVIEW<br />
142 RE–USA: 20 American Stories of Adaptive Reuse Chamnarn Tirapas, Ph.D.<br />
VISUAL ESSAY<br />
144 Point Clouds Asst. Prof. Chawee Busayarat, Ph.D.<br />
สถาปััตยกรรม คืือหลัักฐานด้้านวััฒนธรรมของชาติ<br />
เป็็นที่่บัันที่ึก เรือง ราวัมากมาย เช่น คืวัามเชือ การใช้ช่วัิต<br />
คืวัามเจริญ ด้้านเศรษฐกิจ แลัะด้้านเที่คืโนโลัย่ ของกลั่ม คืน<br />
ในอดีีตที่่ถูกถ่ายที่อด้ออกมาข้ามกาลัเวัลัา<br />
การใช้ช่วัิตที่่สะด้วักแลัะรวัด้เร็วัในปััจจ่บัั น ที่ําให้คืนเรา<br />
มองข้าม หรือหลังลืืมอดีีต ไปัอย่างง่ายด้าย ทั้้งที่่สิงเหล่่านัน<br />
ม่เสน่ห์ สามารถ ด้ึงดููด้คืนร่นใหม่แลัะคืนต่างชาติได้้เป็็น<br />
อย่างดีี<br />
อาษา คืรูเล่่มน่ ที่่มงานขอชักชวันที่่านมาร่วัมกันค้้นหา<br />
คืวัามหมายเก่าๆ แลัะเรืองราวัใหม่ๆ ในงานสถาปััตยกรรม<br />
ที่่ ่ไม่ม่วัันตาย<br />
ผศ. ด้ร.กมลั จิราพงษ์<br />
บัรรณาธิการบริิหาร<br />
Architecture is the cultural footprint of a nation<br />
It records the beliefs, lives, economies, and technologies<br />
of the past and carries these stories through time.<br />
The fast and convenient lifestyle of today sometimes<br />
makes us forget or ignore the past, but the past<br />
remains charming and attractive.<br />
In this issue, <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> invites the reader to<br />
rediscover the meaning of the old signs and stories<br />
hidden in the architecture of immortality.<br />
Asst. Prof. Kamon Jirapong, Ph.D.<br />
Managing Editor<br />
Cover Photo: W Workspace<br />
1<br />
Refocus Heritage
EDITOR’S WORDS<br />
เพื่อให้เข้ากับธีมของงานสถาปนิก’63 <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> ฉบับนี้<br />
พูดถึงการหันกลับมามองคุณค่าของสิ่งเก่าในบริบทใหม่<br />
หรือ “Refocus Heritage” ภายในเล่มเราได้ชวน ดร.วสุ<br />
โปษยะนันทน์ ประธานจัดงานในปีนี้มาพูดคุย เรื่องไฮไลท์<br />
ต่างๆ ของงานสถาปนิก’63 นี้ และมี project review หลาย<br />
โครงการ ที่เป็นการนําอาคารเก่ามาปรับปรุงฟื้นฟูใหม่พร้อม<br />
ด้วยบทสัมภาษณ์คุณปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูส และ<br />
รศ.วิวัฒน์ เตมียพันธ์ นอกจากนี้ยังมีบทสัมภาษณ์ของ<br />
คุณชนะ สัมพลัง นายกสมาคมฯ คนใหม่ ปิดท้ายเล่ม<br />
ด้วยคอลัมน์ One Day with an Architect คุณชัชวาล<br />
สุวรรณสวัสดิ์ สถาปนิกที่มองรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ<br />
ของการออกแบบของผู้คนที่ไม่ใช่นักออกแบบ ที่เหมือน<br />
ไม่ได้มีความสําคัญสักเท่าไร ในมุมมองใหม่ ทําให้เราเห็น<br />
เรื่องราว เงื่อนไข และความคิดสร้างสรรค์ที่ซ่อนอยู่<br />
ในสิ่งที่แสนจะดูธรรมดา<br />
ผศ. ดร.สุพิชชา โตวิวิชญ์<br />
บรรณาธิการ<br />
Relating to the annual theme of Architect’20 Expo,<br />
this issue of <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> has also adopted the topic<br />
of “Refocus Heritage” — a universe of shifts in<br />
perspective. In this issue, Vasu Poshyanandana, Ph.D.<br />
the chairperson of the 2020 Expo, appears for an<br />
interview on the event. We also publish reviews of<br />
highlighted up-and-coming projects including<br />
several renovated old buildings and sites around<br />
the city. Pongkwan Lassus, Assistant Professor<br />
Wiwat Temiyapan, and the new <strong>ASA</strong> President<br />
Chana Sumpalung also appear for interviews.<br />
The issue closes with the article “One Day with<br />
an Architect” featuring Chatchavan Suwansawat,<br />
an architect with a keen eye for detail beyond the<br />
world of architecture. Strap yourself in for a ride<br />
that will topple your perceptions of the everyday<br />
and open up a world of stories and creativity.<br />
Asst. Prof. Supitcha Tovivich, Ph.D.<br />
Editor-in-Chief<br />
Photo: W Workspace 3 Refocus Heritage
UPDATE<br />
Makkasan Heritage<br />
Documentation<br />
Text: สุวิชา พิทักษ์กาญจนกุล / Suwicha Pitakkanchanakul<br />
Translation: ภชภร ด่านวิรุฬหวณิช / Patchaphon Danvirunhavanit<br />
Photo: ปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูส / Pongkwan Sukwattana Lassus<br />
อาคารโรงซ่อมรถโดยสาร<br />
2465 ได้รับรางวัลอนุรักษ์<br />
ดีเด่น ปี 2549<br />
Factory 2465 maintenance<br />
shed, awarded conservation<br />
prize in 2006<br />
ที่ดินมักกะสัน 497 ไร่เป็นปอดใหญ่กลางเมือง<br />
ที่คนกรุงเทพฯ ได้รับประโยชน์ตลอดมา แต่<br />
นอกเหนือจากคุณค่าด้านสิ่งแวดล้อมที่ประเมิน<br />
ค่าไม่ได้แล้ว ภายในนั้นยังมีโรงงานมักกะสัน<br />
ซึ่งเต็มไปด้วยมรดกทางอุตสาหกรรมและ<br />
สถาปัตยกรรมอันควรค่าแก่การอนุรักษ์ที่ผ่าน<br />
กาลเวลามาสู่ปีที่ 110 สมาคมสถาปนิกสยาม<br />
ในพระบรมราชูปถัมภ์ได้ดําเนินการศึกษาและ<br />
สื่อสารให้ประชาชนเห็นความสําคัญของอาคาร<br />
เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง โดยได้เคยมอบรางวัล<br />
‘อนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรมดีเด่น ประเภท<br />
อาคารสาธารณะ’ ให้แก่อาคารโรงซ่อมรถ<br />
โดยสารที่ทรงคุณค่าทั้งในแง่สถาปัตยกรรม<br />
ประวัติศาสตร์และการดูแลรักษา<br />
“เรามองศักยภาพของพื้นที่แล้วคิดว่าที่นี่เป็น<br />
มรดกโลกได้ เพราะในต่างประเทศไม่มีพื้นที่<br />
แบบนี้อีกแล้ว เนื่องจากการพัฒนาโรงงานรถไฟ<br />
ในประเทศอื่นๆ จะมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง<br />
ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเครื่องมือเครื่องจักรอยู่<br />
ตลอด แต่ในโรงงานมักกะสัน เครื่องจักรเก่าแก่ <br />
ที่ไทยนําเข้ามาจากหลายประเทศอายุกว่า<br />
ร้อยปียังใช้งานได้อยู่จนทุกวันนี้จึงมีความเป็น<br />
พิพิธภัณฑ์มีชีวิต(Living Museum) ได้” อาจารย์<br />
ปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูส อดีตประธาน<br />
กรรมาธิการอนุรักษ์ฯ สมาคมสถาปนิกสยามฯ<br />
กล่าวถึงเหตุผลที่เริ่มต้นเดินหน้าทําMakkasan<br />
Heritage Documentation โครงการที่มีเป้าหมาย<br />
ว่าจะเก็บบันทึกข้อมูลต่างๆ ภายในพื้นที่ของ<br />
โรงงานมักกะสันไว้อย่างละเอียดเพราะเห็นว่า<br />
ไม่ว่าพื้นที่นี้จะถูกพัฒนาไปเป็นอะไรก็ตามใน<br />
อนาคต ข้อมูลและหลักฐานต่างๆ ควรได้ถูก<br />
บันทึกไว้เป็นข้อมูลพื้นฐานในการตัดสินใจ<br />
พัฒนาไปในเชิงใดประชาชนชาวไทยจึงจะได้<br />
ประโยชน์สูงสุดในทุกแง่มุม<br />
Covering an area of 497 Rai (almost 1 km2)<br />
in the heart of Bangkok, the district of<br />
Makkasan is considered to be the lung of<br />
the city. But besides the ecological aspect,<br />
the area is also home to the Makkasan<br />
factory that belongs to the Railway of<br />
Thailand. The factory is the site of several<br />
examples of priceless architectural<br />
and industrial heritage that will have<br />
been preserved for 110 years as of 2020.<br />
<strong>ASA</strong> has continuously led studies and<br />
media coverage on the site to raise<br />
public awareness, and it has previously<br />
awarded the Best Architecture Conservation<br />
Prize (public building category) to the<br />
factory for its historical and architectural<br />
significance as well as its conservation.<br />
“We see the potential of a world heritage<br />
site in the factory, as only few others<br />
like this exist in the world. Other train<br />
reparation factories in the world have<br />
been constantly developed and improved,<br />
but at the Makkasan Factory, most of<br />
the original equipment and tools that<br />
have been imported to Thailand over<br />
100 years ago still remain in use. It is<br />
a living museum,” noted Professor<br />
Pongkwan Sukwattana Lassus, former<br />
president of the conservation committee<br />
under <strong>ASA</strong>. Professor Pongkwan also<br />
commented on the genesis of the Makkasan<br />
Heritage Documentation project, as<br />
an initiative to record and document<br />
information and knowledge about the<br />
factory. Should the factory undergo<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 4 5<br />
Refocus Heritage
“เมื่อ 4 ปีที่แล้ว (พศ. 2559-2560) ตอนนั้นมีตําแหน่งเป็น<br />
ที่ปรึกษากรรมาธิการอนุรักษ์ฯ ได้เสนอให้สมาคมสถาปนิก<br />
สยามฯ ทําโครงการเก็บข้อมูลเบื้องต้นอาคารควรค่าแก่การ<br />
อนุรักษ์ในพื้นที่นี้ โดยมี อ.ปริญญา ชูแก้ว เป็นผู้รวบรวมข้อมูล<br />
แต่เมื่อเราเข้าไปเห็นข้างใน ก็พบว่าไม่ได้มีเพียงแค่ตัวอาคาร<br />
เท่านั้น แต่ยังมีเครื่องมือเครื่องใช้ที่บอกเล่าเรื่องราวได้อย่าง<br />
ทรงคุณค่า แต่ละชิ้นมีความเป็น museum piece อย่างเต็ม<br />
ตัว แถมยังใช้งานได้ รวมไปถึงองค์ความรู้ในการซ่อมบํารุงที่<br />
ทําต่อเนื่องมา เมื่อก่อนโรงงานนี้สร้างรถไฟเองได้นอกจากนี้<br />
ยังมีมรดกต้นไม้ใหญ่ซึ่งเป็นมรดกทางธรรมชาติอีกจ ํานวนมาก”<br />
อาจารย์ปองขวัญกล่าว และในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2561<br />
เราได้มีโอกาสเป็นประธานจัดงานสัมมนาวิชาการนานาชาติ<br />
ว่าด้วยมรดกสถาปัตยกรรมโมเดิร์นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ <br />
mASEANa จัดโดย Docomomo Japan, Japan Foundation<br />
ร่วมจัดโดย Docomomo International, ICOMOS International<br />
20th Century Heritage Scientific Committee และสมาคม<br />
อิโคโมสไทยเป็นเจ้าภาพฝ่ายไทย ในวันสุดท้ายของงานได้มี<br />
การพานักวิชาการนานาชาติที่เข้าร่วมประชุมเข้าทัศนศึกษา<br />
ในโรงงานมักกะสันซึ่งถือเป็นมรดกสถาปัตยกรรมโมเดิร์น<br />
ที่มีความสําคัญทางประวัติศาสตร์การปฏิวัติอุตสาหกรรมใน<br />
ประเทศไทย และเป็นแห่งเเรกในเเถบเอเชียแปซิฟิก ในการ<br />
เข้าชมและแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ทางวิชาการระดับโลกทําให้<br />
เกิดมุมมองที่ว่า หากเรามีการพัฒนาพื้นที่ในเชิงอนุรักษ์ที่ดี<br />
มักกะสันมีศักยภาพไปสู่ความเป็นมรดกโลกได้ จึงเกิดเป็น<br />
แรงบันดาลใจให้ต้องมาเริ่มทําการเก็บข้อมูลอย่างจริงจัง<br />
และเป็นระบบ โดยตั้งโครงการชื่อว่า Makkasan Heritage<br />
Documentation ขับเคลื่อนโดยกลุ่ม Urban Heritage<br />
Network ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเป็นตัวกลางประสานงานให้เกิดการ<br />
จัดทําข้อมูลในทุกรูปแบบ และมีผลให้คนในโรงงานเริ่มเห็น<br />
คุณค่าความสําคัญของทุกสิ่งในโรงงานมักกะสัน<br />
การเริ่มเข้าไปทํางานเก็บข้อมูลสร้างกระเเสการเห็นคุณค่า<br />
และการมีส่วนร่วมในการรักหวงแหน และภาคภูมิใจกับมรดก<br />
ในมักกะสัน ทางเครือข่ายร่วมกับกลุ่มบิ๊กทรีทําการสํารวจ<br />
ต้นไม้เบื้องต้นและมีการปักหมุดต้นไม้ใหญ่ในโรงงานมักกะสัน<br />
ทําให้เกิดกระเเสความต้องการที่จะปกป้องต้นไม้ใหญ่ในพื้นที่ <br />
วันที่ 26 มิถุนายน 2561 ในงานฉลองครบรอบ 109 ปี<br />
โรงงาน ทางผู้บริหารและสหภาพแรงงานรถไฟได้จัดพิธีบวช<br />
ต้นไม้ใหญ่ในมักกะสัน ทั้งนี้พวกเขาไม่ได้คัดค้านการพัฒนา<br />
พื้นที่ แต่การพัฒนาไม่ควรทําให้สิ่งที่มีคุณค่าหายไป<br />
a transformation in the future, this data will be a<br />
source of knowledge for the development of the<br />
factory.<br />
“Four years ago (2016-2017), when I was the advisor<br />
of the conservation committee, I had proposed for<br />
<strong>ASA</strong> to lead a project to document the details of<br />
the valuable buildings on the site.” Professor Parinya<br />
Chukeaw helped consolidate the documents for<br />
the project. “However, once we got on site, we found<br />
that not only the buildings, but the tools and<br />
equipment also had historical significance. Each<br />
item had the quality of a museum piece and was<br />
still in use. The knowledge and the know-how of<br />
train reparation that still existed was extensive<br />
to the point that whole trains could be built at the<br />
factory back in the old days. Additionally, ancient<br />
trees in the area were also outstanding natural<br />
heritage,” shared Professor Pongkwan. In October<br />
2018, Thailand hosted the mASEANa (Modern ASEAN<br />
Architecture) International Conference, which<br />
was sponsored by Docomomo Japan, the Japan<br />
Foundation, Docomomo International, ICOMOS<br />
International 20th Century Heritage Scientific<br />
Committee, and ICOMOS Thailand. On the last day<br />
of the conference, the project had led international<br />
academics on an excursion to the site of the factory.<br />
The discussion following the excursion concluded<br />
that the district of Makkasan had the potential to<br />
become a World Heritage Site, provided that systematic<br />
conservation and development was in place. The<br />
factory was considered a modern architectural<br />
heritage that was significant to the industrial revolution<br />
of Thailand and the first in the Asia-Pacific region.<br />
This launched the initiative to collect and document<br />
data on the factory—the “Makkasan Heritage<br />
Documentation” project. The project was run by<br />
the Urban Heritage Network, a group created to<br />
support and coordinate on all types of documentation.<br />
The initiative also helped the factory staff learn<br />
more about the historical values of their workplace.<br />
ภูมิทัศน์ที่แปลกตาและมีความ<br />
เป็นเอกลักษณ์ในโรงงาน<br />
มักกะสันที่รายล้อมด้วยต้นไม้<br />
ใหญ่<br />
The curious and unique<br />
landscape inside the<br />
Makkasan Factory, located<br />
among the trees<br />
เมื่อเดือนสิงหาคม 2560 เครือข่าย Vernadoc นําโดย<br />
ผศ.สุดจิต สนั่นไหว นําทีมนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์<br />
ม.รังสิต และสถาบันอาศรมศิลป์ เข้าเก็บข้อมูลมรดก<br />
สถาปัตยกรรมด้วยวิธี Vernadoc ของโรงงาน 5 หลัง<br />
ในมักกะสัน และมีการจัดนิทรรศการให้คนในโรงงานเข้าชม<br />
เป็นที่สนใจและสร้างความภาคภูมิใจให้คนในโรงงานอย่างมาก<br />
นอกจากนี้การเห็นคุณค่าร่วมกันของคนในโรงงานและภาค<br />
ประชาสังคม ยังทําให้เกิดความร่วมมือที่เห็นเป็นรูปธรรมเช่น<br />
โครงการซ่อมประตูไม้ อาคาร 2465 ที่สมาคมสถาปนิก<br />
สยามฯ เคยให้รางวัลไว้ และกรมศิลปากรได้มาสํารวจและ<br />
ระบุคุณค่าไว้เป็นอาคารที่มีคุณค่าเป็นโบราณสถาน แม้จะ<br />
ยังไม่ได้มาขึ้นทะเบียน แต่ได้ออกจดหมายมาถึงการรถไฟ<br />
แห่งประเทศไทยว่าจะดําเนินการอะไรต้องแจ้งไปทางกรมศิลป์ <br />
ก่อน ในการนี้เมื่อจะต้องมีการซ่อมประตูทางเครือข่ายมรดก<br />
เมืองก็เป็นธุระจัดหาผู้เชี่ยวชาญด้านงานไม้เเบบโบราณ คือ<br />
อ.สันทัน เวียงสิมา ที่อาสาสมัครมาถอดแบบประตูโบราณนี้<br />
ให้ทางช่างไม้ของโรงงานทําการซ่อมให้ถูกวิธี โดยมีคุณวสุ<br />
โปษยะนันทน์ จากกรมศิลปากรมาให้คําปรึกษาในการดําเนิน<br />
งานด้วย งานภาคปฏิบัติอีกงานหนึ่งคือการตัดแต่งต้นไม้ใหญ่ <br />
The documentation project increased public<br />
awareness towards conservation, participation,<br />
and ownership of the Makkasan heritage. BIGTrees<br />
Project joined the Urban Heritage Network in the<br />
study of the site and tree cataloging, driving an initiative<br />
to conserve ancient trees in the area. On 26 June<br />
2018, the authority of the Railway of Thailand held<br />
an event on the site to celebrate the 109th anniversary<br />
of the Makkasan Factory and to bless the ancient<br />
trees in the area. They were not opposed to development,<br />
but they stressed that the values and history<br />
should be actively preserved.<br />
In August 2018, the Vernadoc network, led by<br />
Assistant Professor Sudjit Sananwai with students<br />
from the Faculty of Architecture at Rangsit University<br />
and Arsom Silp Institute of the Arts, sought to<br />
collect and document the data of the architectural<br />
heritage using the Vernadoc methodology. All five<br />
factory houses in Makkasan had been covered, and<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 6 7<br />
Refocus Heritage
อย่างถูกวิธีโดยรุกขกรจากเครือข่ายบิ๊กทรีเนื่องมาจากการ<br />
ที่เรามาทําการปักหมุดต้นไม้และคนในพื้นที่มีความต้องการ<br />
รัดต้นไม้ แต่เกรงว่าจะทําไม่ถูกวิธี ทางเราจึงได้ประสานกับ<br />
คุณอนันตา อินทรอักษรแห่งกลุ่มบิ๊กทรีประสานเครือข่ายให้<br />
รุกขกรมืออาชีพที่อยากเห็นต้นไม้ใหญ่ในมักกะสันได้รับการ<br />
ดูแลอย่างดี จึงได้เข้ามาเริ่มงานกันในช่วงเดือนมีนาคม2563<br />
และยังมีโครงการต่อเนื่องอีกมากในการช่วยกันดูแลแหล่ง<br />
มรดกวัฒนธรรมระดับโลกเเห่งนี้ ทางการรถไฟฯ เองก็เริ่ม<br />
เห็นคุณค่าและกําลังจัดทําหนังสือ 110 ปี โรงงานมักกะสัน<br />
ซึ่งคาดว่าจะเสร็จทันฉลอง110 ปีโรงงาน ในเดือนมิถุนายนปีนี้<br />
สําหรับขั้นตอนการดําเนินการเก็บรวบรวมข้อมูลภายใน<br />
โรงงานมักกะสันครั้งนี้ เป็นการเดินหน้าต่อจากที่เคยทําเป็น<br />
รายงานมรดกสถาปัตยกรรมไว้ มีเป้าหมายเพื่อเก็บข้อมูลใน<br />
ทุกด้าน เพื่อจัดทําเป็น Open Data แม้จะยังไม่ได้มีงบประมาณ<br />
สนับสนุนอย่างเป็นรูปธรรมจากองค์กรใดองค์กรหนึ่งแต่ก็ค่อยๆ <br />
เดินหน้าไปได้ด้วยพลังของอาสาสมัครหลากหลายสาขาและ<br />
สถาบันการศึกษา เช่น ช่างภาพฟิล์มกระจกแบบโบราณ<br />
การเข้าไปสํารวจต้นไม้ใหญ่<br />
ทําให้คนในโรงงานมักกะสัน<br />
ตื่นตัวในการเห็นคุณค่าของ<br />
ต้นไม้ใหญ่ และจัดพิธีบวช<br />
ต้นไม้ใหญ่ในวันทําบุญครบ<br />
รอบ 109 ปี โรงงานมักกะสัน<br />
เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2562<br />
The cataloguing of larger<br />
trees in the area widely<br />
engaged the factory<br />
workers. The trees were<br />
blessed at the 109th<br />
Anniversary ceremony<br />
on 26 June 2019<br />
ช่างภาพฟิล์มขาวดําหรือดิจิทัลเข้ามาช่วยเก็บภาพภายใน<br />
โรงงาน การเก็บข้อมูล GIS ต้นไม้ใหญ่ร่วมกับภาควิชา<br />
ภูมิศาสตร์คณะสังคมศาสตร์มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ<br />
ตั้งเป้าไว้ด้วยว่าจะมีการเก็บข้อมูลเกี่ยวกับเครื่องจักรต่างๆ<br />
อย่างละเอียด รวมถึงการสัมภาษณ์บุคคลที่มีองค์ความรู ้ที่<br />
เคยทํางานในนั้นเป็นต้นปัจจุบันเริ่มมีองค์กรภาคเอกชนเข้ามา<br />
สนับสนุนเพิ่มเติมบ้างในเรื่องการจัดท ํา3D scan ที่ในอนาคต<br />
สามารถเปิดเป็น Museum Online หากผู้ที่สนใจอยากเข้าร่วม<br />
เป็นส่วนหนึ่งในโครงการนี้ก็สามารถมาร่วมกับกลุ่ม Urban<br />
Heritage Network ได้เต็มที่ เพราะอาจารย์ปองขวัญตั้งใจ<br />
เก็บรวบรวมข้อมูลให้ครบถ้วนทุกด้านให้มากที่สุด เเละ<br />
สามารถต่อยอดการพัฒนาเชิงอนุรักษ์เพื่อให้เกิดการพัฒนา<br />
อย่างยั่งยืนในอนาคตต่อไป “เราต้องมองเก่าให้ใหม่ ไม่ใช่<br />
แค่สถาปัตยกรรม แต่รวมถึงองค์ความรู้เกี่ยวกับคน ต้นไม้<br />
และอื่นๆ ถ้าต่อไปเราสามารถดึงคนที่สนใจได้หลากหลาย<br />
ไม่ว่าจะเป็นนักพฤกษศาสตร์ นักสิ่งแวดล้อม นักพัฒนาที่<br />
เห็นคุณค่าของมรดกในพื้นที่นักพิพิธภัณฑ์ศิลปิน หรืออื่นๆ<br />
งานก็จะไปต่อได้อีกเรื่อยๆ” อาจารย์ปองขวัญกล่าวทิ้งท้าย<br />
a small exhibition was held to engage both factory<br />
staff and visitors.<br />
The joint effort from the factory staff and the civil<br />
society sector also drove solid actions. The reparation<br />
of the wooden gate from the 2465 building was<br />
one example. The project had been awarded a<br />
prize by <strong>ASA</strong>. As the government Fine Arts Department<br />
had previously inspected and recorded the building<br />
in their database, the Railway of Thailand was<br />
now required to submit all of their maintenance or<br />
modification plans to the Department for official<br />
approval, even though the site had not yet been<br />
officially listed as a national heritage. As a result,<br />
the civil heritage section of the Department assisted<br />
by recruiting Professor Santhan Wiangsima, an<br />
expert on ancient woodwork, to join the reparation<br />
of the old gate. His draft allowed the factory<br />
carpenters to restore the gate successfully. Vasu<br />
Poshyanandana from the Department also joined<br />
as advisor and supervised the reparation himself.<br />
Other specialists were involved in the modification<br />
of the older trees around the area, using the method<br />
of arboriculture with the assistance of the BIGTrees<br />
network. As the re-arrangement of ancient trees<br />
was a complicated task, expert knowledge was<br />
required. The project team coordinated with<br />
Ananta Intra-aksorn from BIGTrees and recruited<br />
other expert arborists. The project kickstarted<br />
in March 2020, with several other initiatives in<br />
the pipeline to restore and maintain this cultural<br />
heritage. The Railway of Thailand also supported<br />
the effort by preparing an Anniversary Book to<br />
commemorate the 110 years of the factory, which<br />
should be published by the celebration in June 2020.<br />
The Makkasan Heritage Documentation project<br />
started from a report on the architectural heritage,<br />
with the goal of collecting comprehensive data on<br />
the Makkasan Factory and establishing an open<br />
data source for the public. Thus far, the project<br />
has not been officially sponsored by any organization<br />
and has depended solely on volunteer efforts from<br />
schools and institutions. Traditional window film<br />
artists and digital and monochrome photographers<br />
contributed as volunteers. GIS data collection of<br />
the trees was handled by the Department of Geology<br />
at the Faculty of Social Sciences of Srinakharinwirot<br />
University. Next, the project plans to collect<br />
comprehensive data of the tools and equipment in<br />
the factory, as well as interview the staff members<br />
for their know-how. Currently, the project receives<br />
assistance from private organizations. Some of<br />
the efforts include creating 3D scans that can be<br />
launched into an online museum in the future.<br />
Those who wish to volunteer their assistance can<br />
subscribe to the Urban Heritage Network. It was<br />
the intention of Professor Pongkwan to collect and<br />
document as much data as possible and to develop<br />
the project into a sustainable development and<br />
conservation effort. “We need to refocus on our<br />
heritage, not just on architecture, but also on the<br />
knowledge of the demographics and other related<br />
areas. If we manage to recruit different volunteers<br />
such as botanists, environmentalists, developers,<br />
curators, artists—everyone who appreciates our<br />
local heritage—our contribution will become<br />
substantial,” concluded Professor Pongkwan.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 8 9<br />
Refocus Heritage
UPDATE<br />
‘Resilience’ through Time<br />
Bangkok Design Week 2020<br />
Text: ปภพ เกิดทรัพย์ / Paphop Kerdsup<br />
Translation: ฐิติรัตน์ ม่วงศิริ / Thitirat Muangsiri<br />
Photo: สํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์(องค์การมหาชน) /<br />
Creative Economy Agency (Public Organization)<br />
ดูเหมือนว่าครั้งที่ 3 ของเทศกาลงานออกแบบ<br />
กรุงเทพฯ หรือ Bangkok Design Week 2020 <br />
ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่1-9 กุมภาพันธ์ 2563<br />
ที่ผ่านมาจะได้รับเสียงตอบรับที่ค่อนข้างดีจาก<br />
หลายๆ ส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งการพาเรา<br />
ออกไปร่วมค้นแนวทางในการ “ปรับตัว” และ<br />
ความเป็นไปได้ใหม่ๆ ต่อสถานการณ์ต่างๆ <br />
ทั้งในปัจจุบันและอนาคตผ่านการใช้ความคิด<br />
สร้างสรรค์ตามธีมหลักของงาน ‘Resilience:<br />
New Potential for Living ปรับตัว > อยู่รอด ><br />
เติบโต’ รวมทั้งความพยายามสร้าง node <br />
ของย่านสร้างสรรค์แห่งใหม่ขึ้นนอกเหนือจาก<br />
เจริญกรุง ด้วยการกระจายพื้นที่การจัดกิจกรรม<br />
ออกไปยังส่วนต่างๆ ของกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็น<br />
ย่านอารีย์-ประดิพัทธ์ ที่มีแกนนําหลักเป็นกลุ่ม<br />
Thinkering Pot ย่านทองหล่อ-เอกมัย โดย<br />
กลุ่มผู้ประกอบการในย่านที่ใช้ชื่อว่า เพื่อนบ้าน<br />
สร้างสรรค์ทองเอก (ThongEk Creative<br />
Neighborhood) หรือในบริเวณสามย่าน ที่<br />
พื้นที่ทดลองแห่งใหม่ๆ พร้อมใจกันเปิดตึกแถว<br />
ให้เข้าไปร่วมงาน<br />
It seems that the third annual Bangkok<br />
Design Week, which was held from<br />
1st-9th February 2020, has received a<br />
lot of positive feedback, especially for<br />
how it has proposed new ways of adapting<br />
to current and future situations through<br />
creativity. This coincides with the theme<br />
of the event ‘Resilience: New Potential<br />
for Living, Adapt > Survive > Grow.’ The<br />
event also tries to establish new creative<br />
districts apart from Charoenkrung by<br />
extending the activity areas to various<br />
parts of Bangkok, including Ari-Pradipat,<br />
led by the group Tinkering Pot, Thonglor-<br />
Ekkamai, operated by a collaborative<br />
group of entrepreneurs in the area<br />
called ThongEk Creative Neighborhood, or<br />
Samyan where people have cooperatively<br />
opened their shophouses for the event.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 10 11<br />
Refocus Heritage
อย่างไรก็ตาม หากเราย้อนกลับมาที่ย่าน<br />
เจริญกรุงซึ่งเป็นจุดหมายหลักของงาน และ<br />
เป็นต้นแบบของการพัฒนา “ย่านสร้างสรรค์”<br />
โดยสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์<br />
(องค์การมหาชน) จะพบว่านอกจากการเข้าไป<br />
ทํางานร่วมกับชุมชนของบรรดานักออกแบบ<br />
เพื่อพัฒนาให้เกิดเป็นโครงการต่างๆ แล้ว<br />
ในปีนี้ยังมีผู้จัดงานหลายกลุ่มทีเดียวที่เข้าไปใช้<br />
พื้นที่ทางประวัติศาสตร์ ซึ่งในที่นี้นับรวมทั้ง<br />
อาคารโบราณสถาน และอาคารที่มีเรื่องเล่าทาง<br />
ประวัติศาสตร์ของตัวเองเป็นพื้นที่ในการนําเสนอ<br />
แนวความคิดและผลงาน ซึ่งครอบคลุมตั้งแต่<br />
การมองภาพความเป็นไปได้ในอนาคต การ<br />
นําเสนอพัฒนาการของปัจจุบัน และการย้อน<br />
สํารวจตัวตนในอดีต โดยเราขอยก 3 กิจกรรม<br />
ใน 3 พื้นที่มากล่าวถึงในกรณีนี้ว่า“การปรับตัว”<br />
ภายในช่วงเวลาที่ต่างกันนั้นเป็นอย่างไร<br />
พื้นที่แรกที่เราอยากจะพูดถึงคือ“บ้านเหลียวแล”<br />
ภายในย่านตลาดน้อย โดยหลังจากที่ในปีก่อน<br />
ได้มีการเปิดพื้นที่ให้คนเข้าไปร่วมชมกันเป็น<br />
ครั้งแรกด้วยนิทรรศการ “ของ” (belong) จน<br />
ได้รับเสียงตอบรับเป็นอย่างดีแล้ว ในปีนี้พื้นที่<br />
ของบ้านจีนโบราณอายุกว่า 100 ปี ที่รู้จักกัน<br />
ในชื่อเดิมว่า บ้านนายฮวยจิ๋น เปิดประตูอีกครั้ง<br />
แล้วพาเราข้ามอนาคตไปยังกรุงเทพฯ ในปี<br />
ค.ศ. 2050 ซึ่งเป็นทั้งปีที่องค์การสหประชาชาติ <br />
ประกาศว่าจํานวนประชากรของโลกจะพุ่งขึ้นไป<br />
แตะที่ 9.7 พันล้านคน และเป็นปีที่งานวิจัยใน<br />
วารสาร Nature Communications คาดการณ์<br />
ไว้ว่าประเทศไทยจะเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่จะจมอยู่<br />
ใต้นํ้ำ ผ่านนิทรรศการ Bangkok Sealandia<br />
โดย suMphat gallery ซึ่งผลงานออกแบบ<br />
ทั้ง 8 ชิ้น โดยนักออกแบบรุ่นใหม่14 คน<br />
ต่างนําเสนอแนวทางในการอยู่รอดของกรุงเทพฯ<br />
ภายใต้ช่วงเวลาที่นํ้ำแข็งขั้วโลกละลายไปหมด<br />
ตั้งแต่การคิดกับการบริหารจัดการทรัพยากร<br />
และนํ้ำใหม่ การจัดการกับอาหาร ไปจนถึง<br />
การนําเสนอโครงสร้างกึ่งชีวภาพที่วัสดุอย่างเม็ด<br />
พลาสติกรีไซเคิลทํางานร่วมกับธรรมชาติเพื่อหา<br />
ทางลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์<br />
However, if we come back to the<br />
Charoenkrung area, which is the main<br />
location of the event and the original<br />
creative district developed by the Creative<br />
Economy Agency, we find that not only<br />
do the designers collaborate with<br />
communities to develop projects, but<br />
this year, several event organizers also<br />
used historically significant sites and<br />
buildings to present their ideas. These<br />
projects imagined future possibilities,<br />
presented current developments, and<br />
reflected on the past. Three activities<br />
from three different areas show what<br />
“adapting” could look like according to<br />
different periods of time.<br />
The first area is Baan RealRare in Taladnoi.<br />
Last year, this area was open for everyone<br />
to visit for the first time as part of an<br />
exhibition called “belong.” This year,<br />
the site of a more than 100-year-old<br />
Chinese house, which is also known by<br />
its original name ‘Baan Nai Huay Jin,’ is<br />
open again and brings us to the future<br />
to see Bangkok in 2050 AD, which is<br />
the year that the United Nations has<br />
announced the world’s population will<br />
reach 9.7 billion, and the year in which<br />
the Nature Communications journal<br />
predicted that Thailand will be an<br />
underwater area. Eight projects by<br />
fourteen designers revealed how Bangkok<br />
can survive when the ice caps at the North<br />
and the South poles have disappeared<br />
by considering new food, water, and<br />
resource management systems, and by<br />
reducing carbon emissions through the<br />
recycling of materials like plastic granules.<br />
These were shown in the Bangkok Sealandia<br />
exhibition at the suMphat gallery.<br />
นิทรรศการ Bangkok Sealandia<br />
คิวเรตโดย suMphat gallery<br />
นําเสนอ 8 ผลงานออกแบบ<br />
เชิงคาดการณ์ (speculative<br />
design) จากนักออกแบบรุ่นใหม่ <br />
ชาวไทยที่มุ่งค้นหาแนวทาง<br />
การอยู่รอดของกรุงเทพฯ<br />
เมื่อเมืองหลวงแห่งนี ้ต้องจมน้ํา<br />
เพราะวิกฤตการณ์ที่เกิดจาก<br />
การเปลี่ยนแปลงของสภาพ<br />
ภูมิอากาศ (climate crisis)<br />
ในปี 2050<br />
Curated by suMphat gallery,<br />
Bangkok Sealandia’ presents<br />
eight speculative design<br />
projects by emerging Thai<br />
designers; proposing several<br />
solutions for the drowning<br />
Bangkok and its inhabitants<br />
to survive from climate<br />
crisis in the year 2050<br />
พื้นที่ถัดมาซึ่งเริ่มเปิดให้จัดกิจกรรมและได้รับ<br />
กระแสตอบรับที่ดีเช่นกันคือ“บ้านพักตํารวจนํ้ำ”<br />
ภายในซอยเจริญกรุง 36 ซึ่งในปีนี้สถาน<br />
เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจําประเทศไทย<br />
(ซึ่งตั้งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพื้นที่จัดงาน)ได้เลือก<br />
นําผลงานบางส่วนจากโครงการ D17/20 Design<br />
in Southeast Asia มาจัดแสดง โดยระหว่าง<br />
ปี พ.ศ. 2560-2563 นักออกแบบชาวไทย<br />
อินโดนีเซีย และเวียดนาม 43 คน ตลอดจน<br />
ช่างฝีมือและผู้ผลิตในท้องถิ่น ได้ร่วมเวิร์คช็อป<br />
และทํางานกันในลักษณะ co-creation กับ<br />
นักออกแบบชาวฝรั่งเศส จนเกิดเป็นผลงานกว่า<br />
100 ชิ้น ที่แสดงให้เห็นถึงความสําคัญของการ<br />
ต่อยอดทักษะฝีมือท้องถิ่นและนําเสนอรูปแบบ<br />
การพัฒนาใหม่ๆ ให้กับผลิตภัณฑ์ ซึ่งช่วย<br />
สะท้อนแนวการปรับตัวและอยู่รอดของงาน<br />
The next area, which has just opened<br />
for activities, is the Marine Police Lodging<br />
in Soi Charoenkrung 36. This year, the<br />
Embassy of France in Thailand selected<br />
work from the D17/20 Design in Southeast<br />
Asia project to display . From 2017-2020,<br />
forty-three Thai, Indonesian, and<br />
Vietnamese designers, along with local<br />
craftsmen and manufacturers, attended<br />
the workshop and worked in a co-creation<br />
model with French designers to produce<br />
over 100 works that show the importance<br />
of developing local skills and new<br />
production methods. This process reflects<br />
how craft can adapt and survive in the<br />
present and in the future. Since the old<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 12 13<br />
Refocus Heritage
โครงการ D17/20 Design in<br />
Southeast Asia นําเสนอผลงาน<br />
ออกแบบกว่า 100 ชิ้น ซึ่งเกิด<br />
จากความร่วมมือกันระหว่าง<br />
นักออกแบบชาวฝรั่งเศส<br />
และนักออกแบบชาวไทย<br />
อินโดนีเซีย เวียดนาม ตลอดจน<br />
ช่างฝีมือท้องถิ่นจากแต่ละ<br />
ประเทศ<br />
‘D17/20 Design in<br />
Southeast Asia’ showcases<br />
more than 100 pieces of<br />
design objects resulted<br />
from the collaboration and<br />
co-creation between French<br />
designers and Thai,<br />
Indonesian, and Vietnamese<br />
designers as well as the<br />
local craftsmen from each<br />
country<br />
นิทรรศการภาพถ่าย “Hundred<br />
Years Between” โดย<br />
ท่านผู้หญิงสิริกิติยา เจนเซน<br />
จัดขึ้นเนื่องในวาระครบรอบ<br />
115 ปี ความสัมพันธ์ทาง<br />
การทูตระหว่างไทย-นอร์เวย์<br />
นิทรรศการนี้เป็นกิจกรรม<br />
สุดท้ายที่ถูกจัดขึ้นภายในอาคาร<br />
ศุลกสถาน หรือโรงภาษีร้อย<br />
ชักสาม ก่อนที่อาคารจะปิดตัว<br />
ลงเพื่อบูรณะซ่อมแซมเป็น<br />
ระยะเวลาประมาณ 6 ปี<br />
‘Hundred Years Between,’<br />
a photo exhibition by<br />
Thanphuying Sirikitiya<br />
Jensen celebrating the<br />
115th anniversary of<br />
diplomatic relations between<br />
Thailand and Norway. This<br />
exhibition is the last activity<br />
hosted in the Old Customs<br />
House before the built<br />
structure will be closed<br />
for about six years as it<br />
undergoes extensive<br />
renovationslocal craftsmen<br />
from each country<br />
หัตถศิลป์ในปัจจุบันและอนาคตได้เป็นอย่างดี<br />
ด้วยความที่โครงสร้างของบ้านพักตํารวจนํ้ำนั้น<br />
ไม่สามารถรองรับนํ้ำหนักได้มากเนื่องจาก<br />
อาคารเดิมมีอายุมาก ทําให้นิทรรศการนี้<br />
สามารถรองรับให้คนขึ้นไปเข้าชมได้เพียงรอบละ<br />
ประมาณ 15 คนเท่านั้น จนทําให้มีคนต้อง<br />
ต่อคิวรอกันเป็นจํานวนมาก อย่างไรก็ตาม<br />
เป็นข่าวดีที่หลังจากการจัดแสดงภายในงาน<br />
Bangkok Design Week 2020 แล้ว ผลงาน<br />
ชิ้นต่างๆ จะถูกนําไปพัฒนาต่อเป็นนิทรรศการ<br />
หมุนเวียนที่ศูนย์สร้างสรรค์งานออกแบบ<br />
(TCDC) ก่อนที่จะถูกนําไปจัดแสดงต่อที่เมือง<br />
ลิลล์ ประเทศฝรั่งเศส ในโอกาสที่เมืองลิลล์ได้<br />
รับเลือกให้เป็นเมืองหลวงแห่งการออกแบบโลก<br />
(World Design Capital) ประจําปี 2020<br />
พื้นที่สุดท้ายซึ่งถือเป็นไฮไลท์หลักของงาน<br />
Bangkok Design Week ในปีนี้ คือนิทรรศการ<br />
Hundred Years Between ภายในพื้นที่อาคาร<br />
ศุลกสถาน หรือโรงภาษีร้อยชักสาม (หรือที่<br />
รู้จักเป็นวงกว้างในอีกชื่อว่าสถานีดับเพลิงบางรัก)<br />
ซึ่งเป็นอาคารรูปแบบ Palladianism อายุ 136 ปี<br />
ที่ออกแบบโดยสถาปนิกชาวอิตาลี Joachim<br />
Grassi ในสมัยรัชกาลที่ 5 ความน่าสนใจของ<br />
นิทรรศการภาพถ่ายซึ่งจัดขึ้นในวาระครบรอบ<br />
115 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่าง<br />
ไทย-นอร์เวย์ พ.ศ. 2563 นี้ คือการที่ผู้เข้าชม<br />
จะได้เข้าไปมีส่วนร่วม “อ่าน” บทสนทนา<br />
ระหว่างท่านผู้หญิงฯ และรัชกาลที่ 5 ซึ่งได้<br />
เดินทางไปยังสถานที่เดียวกันในระยะเวลาที่<br />
ห่างกันกว่า 100 ปี ผ่านภาพภ่ายของภูมิทัศน์<br />
ที่สะท้อนความเหมือนและต่างของปัจจุบัน<br />
ผ่านภาพบางส่วนจากอัลบั้ม “‘รูปทรงถ่าย<br />
เดือนหนึ่งในนอร์เวย์รัตนโกสินทรศก ๑๒๖” และ<br />
บางส่วนของเนื้อหาจากพระราชนิพนธ์“ไกลบ้าน”<br />
ที่แสดงให้เห็นช่วงเวลาของอดีตที่ถูกบันทึกไว้<br />
และผ่านจดหมายจํานวน 4 ฉบับ ที่ท่านผู้หญิงฯ<br />
เขียนถึงรัชกาลที่ 5 ซึ่งบอกเล่าความสัมพันธ์<br />
ระหว่างอดีตกับปัจจุบัน และระหว่างมนุษย์กับ<br />
ธรรมชาติได้อย่างน่าสนใจ<br />
structure of the Marine Police Lodging<br />
cannot support much weight, the exhibition<br />
could accommodate only about fifteen<br />
visitors per round, resulting in long<br />
queues. However, the good news is<br />
that after being displayed at Bangkok<br />
Design Week 2020, all the work will be<br />
developed into a traveling exhibition at<br />
Thailand Creative and Design Center<br />
(TCDC) before being displayed in Lille,<br />
France on the occasion of Lille being<br />
designated as a world design capital<br />
in 2020.<br />
The last area, which is the highlight of<br />
Bangkok Design Week 2020, is the<br />
exhibition called ‘Hundred Years Between,’<br />
located on the site of the old Customs<br />
House (also widely known as the Bang Rak<br />
Fire Station). The 136-year-old building<br />
was designed by Italian architect Joachim<br />
Grassi in the Palladian style during the<br />
reign of King Rama V. The interesting<br />
part of this photography exhibition,<br />
which celebrates 115 years of diplomatic<br />
relations between Thailand and Norway,<br />
is that visitors can participate in “reading”<br />
the conversations between Lady<br />
Sirikittiya and King Rama V, who traveled<br />
to the same destination a hundred<br />
years earlier. This is displayed through<br />
photographs of the scenery that reflect<br />
similarities and differences between<br />
the past and the present. Examples of<br />
this comparison include parts of the<br />
album “Royal Photograph, One Month<br />
in Norway, Rattanakosin Era 126,” parts<br />
of the royal writing “Klai-Ban” that<br />
portrays the recorded story of the past,<br />
and four letters that Lady Sirikittiya<br />
wrote to King Rama V, which describe<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 14 15<br />
Refocus Heritage
องค์ประกอบต่างๆ ที่ถูกจัดแสดง ซึ่งได้ใจทิพย์<br />
ใจดี มารับหน้าที่เป็นผู้กํากับศิลป์และออกแบบ<br />
นิทรรศการ และได้กนกพร นุชแสง จาก APLD<br />
มารับหน้าที่ออกแบบแสงสว่าง ทํางานร่วมกับ<br />
ร่องรอยของกาลเวลาที่เกิดขึ้นภายในอาคาร<br />
เป็นอย่างดี จนทําให้ตัวพื้นที่ทางสถาปัตยกรรม<br />
เองก็สามารถสร้างบทสนทนาอีกชุดหนึ่งขึ้นมา<br />
ร่วมพูดคุยกับผู้ชมได้อีกด้วย และเพราะความ<br />
เก่าแก่ของโครงสร้างอาคารจนทําให้พื้นที่แห่งนี้<br />
จะเปิดให้เข้าชมเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่จะถูกปิด<br />
เพื่อทําการบูรณะเป็นเวลา 6 ปี ตั้งแต่ปลายเดือน<br />
กุมภาพันธ์ 2563 เป็นต้นไป ทําให้ Hundred<br />
Years Between นั้นสามารถรองรับผู้ชมได้เพียง<br />
รอบละประมาณ 20 คนเท่านั้น<br />
แม้ว่าในปีนี้เราจะได้เห็นความหลากหลายของ<br />
มุมมองที่มากขึ้นจากการจัดงาน รวมทั้งเริ่ม<br />
ได้เห็นรูปแบบของการนําเสนอเนื้อหาที่เกี่ยวข้อง<br />
กับการออกแบบและความคิดสร้างสรรค์ที่พัฒนา<br />
ไปในทางที่ดีขึ้น แต่ในขณะเดียวกันการกระจาย<br />
ตัวของพื้นที่กิจกรรมไปยังย่านต่างๆ ที่ในที่นี้<br />
อาจจะดูมากเกินไปกว่าระยะเวลาที่มีอยู่เพียง<br />
ประมาณ 1 สัปดาห์เศษของการจัดงาน ก็ทําให้<br />
นํ้ำเสียงของ Bangkok Design Week 2020<br />
ในปีนี้แผ่วลงกว่าเดิม เมื่อเทียบกับปีก่อนที่<br />
ความคิดสร้างสรรค์ซึ่งกระจายตัวอยู่เพียงใน<br />
ย่านเจริญกรุงและตลาดน้อยนั้น ส่งเสียงได้เป็น<br />
อันหนึ่งอันเดียวกันกว่า การได้เห็นว่าจํานวน<br />
ของแนวความคิดและผลงานที่น่าติดตามเพิ่ม<br />
มากขึ้น ซึ่งแปรผันตรงกับจํานวนของผู้เข้าร่วม<br />
งานที่ให้ความสนใจในงานออกแบบมากขึ้นกว่า<br />
ในอดีตนั้นเป็นเรื่องดี เพราะนั่นได้สะท้อนให้<br />
เห็นว่าความพยายามของ TCDC ที่ต้องจะสร้าง<br />
ความเข้าใจใน “งานออกแบบ” ให้มากขึ้นกับ<br />
สาธารณชนตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมานั้นเริ่ม<br />
สัมฤทธิผล ทว่าจํานวนที่มากขึ้นก็เป็นอีกความ<br />
ท้าทายใหม่ของหน่วยงานที่รับผิดชอบเช่นกัน<br />
ว่าจะทําอย่างไรจึงจะสามารถจัดการและส่งออก<br />
ข้อมูลที่มีนั้นให้ไปถึงผู้คนได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
ในยุคที่ข้อมูลจํานวนมหาศาลไหลบ่าอยู่รอบตัว<br />
หน้าที่ของผู้ถือครองข้อมูลซึ่งในกรณีนี้คือTCDC<br />
the relationships between past and<br />
present and human and nature in an<br />
interesting way.<br />
The elements displayed in the exhibition,<br />
which are organized by Jaitip Jaidee,<br />
the exhibition art director and designer,<br />
and Kanokporn Nuchsaeng, the director<br />
of APLD lighting design, are well-suited<br />
to the historical character of the building.<br />
This creates a kind of conversation<br />
between the architecture and the audience.<br />
Due to the age and condition of the<br />
building, ‘Hundred Years Between’ could<br />
only accommodate approximately<br />
twenty visitors per round, and immediately<br />
after the conclusion of Bangkok Design<br />
Week, it has been closed for renovation<br />
for six years.<br />
Although we can see more diverse<br />
perspectives from the event and more<br />
creative content and presentation<br />
formats , the distribution of activities<br />
across many areas over a week-long<br />
event can make Bangkok Design Week<br />
2020 seem a bit low-key. Last year,<br />
the creative output was concentrated<br />
within the area of Charoenkrung and<br />
Taladnoi, and it could communicate a<br />
more unified message, but seeing such<br />
a large increase in the number ideas,<br />
projects, and participants positively<br />
reflects the successful efforts of TCDC<br />
over the last ten years to make the public<br />
understand more about how design works.<br />
This increasing number has proven to be<br />
a challenge for participating institutions,<br />
especially in terms of how information<br />
is managed and conveyed to people<br />
effectively.<br />
แม้ว่าในปีนี้บรรยากาศภายใน<br />
ย่านตลาดน้อยจะดูคึกคักน้อย<br />
ลงกว่าปีก่อน เนื่องจากการ<br />
กระจายตัวของพื้นที่จัดกิจกรรม<br />
งานไปยังย่านต่างๆ ทั่วกรุงเทพฯ<br />
แต่กิจกรรม LnWปs:nาuIwaJ<br />
(เทพประทานเพลง) โดย<br />
Eyedropper Fill ที่เปลี่ยนพื้นที่<br />
หน้าศาลเจ้าโรงเกือกประจํา<br />
ชุมชนตลาดน้อยให้กลายเป็น<br />
ลานคาราโอเกะนั้น สามารถ<br />
สร้างปฏิสัมพันธ์ระหว่างชาวบ้าน<br />
และผู้คนที่ผ่านไปมาได้อย่าง<br />
น่าสนใจเลยทีเดียว<br />
Despite the extension of<br />
this year’s venues to other<br />
parts of Bangkok which<br />
makes the vibe around<br />
Talad Noi neighborhood<br />
less vibrant than that of<br />
last year, how Eyedropper<br />
Fill’s ‘Thep Pra Than Pleng’<br />
transforms the courtyard<br />
in front of Rong Kueak<br />
Shrine into a place for<br />
karaoke has introduced a<br />
fun and intriguing way to<br />
create interaction between<br />
the locals and the<br />
passersby<br />
และสํานักงานส่งเสริมเศรษฐกิจสร้างสรรค์<br />
(องค์การมหาชน) จึงอาจจะไม่ใช่เพียงนําเสนอ<br />
หรือส่งต่อองค์ความรู้ที่มีอยู่อีกต่อไปแต่ยังควร<br />
จะต้องหาวิธีการจัดการและคัดสรรเนื้อหานั้นๆ<br />
ให้อยู่ในรูปแบบและปริมาณที่เหมาะสมกับ<br />
ศักยภาพของแต่ละบุคคล เพื่อที่เขาเหล่านั้นจะ<br />
สามารถปรับตัว อยู่รอด และเติบโต ได้อย่างที่<br />
ตั้งจุดหมายไว้<br />
In this era of abundant information,<br />
the responsibility of the information<br />
providers—in this case, TCDC and the<br />
Creative Economy Agency—is not only<br />
to present or distribute knowledge<br />
anymore, but also to manage and select<br />
appropriate formats and platforms so<br />
people can adapt, survive, and grow<br />
according to the event’s objectives.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 16 17<br />
Refocus Heritage
INTERVIEW<br />
A Talk with Master:<br />
Assoc. Prof. Vivat Temiyabandha<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> ได้รับเกียรติเข้าไปพูดคุยกับรองศาสตราจารย์วิวัฒน์เตมียพันธ์ หรือ อาจารย์จิ๋ว<br />
บรมครูท่านหนึ่งของวงวิชาการสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นในบ้านเรา ว่าด้วยเรื่องมรดกทางวัฒนธรรม<br />
และภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย<br />
Text: กฤษณะพล วัฒนวันยู / Kisnaphol Wattanawanyoo<br />
Photo: ชนิภา เต็มพร้อม / Chanipa Temprom<br />
_ด้วยประสบการณ์การสอนหนังสือและการทำวิจัย<br />
อยากให้อาจารย์ช่วยสะท้อนถึงวงการสถาปัตยกรรม<br />
พื้นถิ่นในแง่ที่เป็นมรดกทางวัฒนธรรมหรือภูมิปัญญา<br />
ของไทย<br />
เริ่มว่าชีวิตชาวบ้านเป็นชีวิตที่ไม่ซับซ้อนชาวนาเลี้ยงตัวเอง<br />
พึ่งพาตัวเองได้ สร้างสภาพแวดล้อมเป็นหมู่บ้าน ที่พัก<br />
อาศัยของเขาโดยอาศัยประสบการณ์ที่ได้รับการถ่ายทอด<br />
มาจากบรรพบุรุษ ไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็มีความรู้เอง ในสังคม<br />
ยุคนั้นพอเกิดมาแล้วก็ได้เรียนรู้ถึงการดํารงชีวิตเพื่อ<br />
เอาตัวรอดจากสภาพแวดล้อมและความรู้จากบรรพบุรุษ<br />
ที่ทิ้งไว้ให้ เพราะฉะนั้นเวลาเรารับความรู้หนึ่งมาจาก<br />
บรรพบุรุษเท่ากับเรารับมรดกมา แต่เราไม่รู้ว่าเป็นมรดก<br />
เราพูดภาษาไทยได้ ทําอาหารไทย แต่ไม่มีสํานึกรับรู้<br />
เราไม่รู้คุณค่าแต่สามารถดํารงอยู่ได้ด้วยความรู้ที่ได้รับมา<br />
จากบรรพบุรุษ ตั้งแต่ความรู้เรื่องสภาพแวดล้อม ปรับตัว<br />
ให้เข้ากับสภาพแวดล้อม<br />
สมัยก่อนที่เราดํารงชีวิตอยู่ได้นั้นเรายังไม่ได้รับการศึกษา<br />
แบบสมัยใหม่ การศึกษาแบบสมัยใหม่เข้ามาก็ต่อเมื่อเรา<br />
ติดต่อตะวันตกซึ่งเข้มข้นขึ้นในสมัย ร.5 ที่ปรับเปลี่ยนสู่<br />
ความเป็นสากล ทําให้มีการส่งนักเรียนไปเรียนเมืองนอกกัน<br />
พอไปเรียนเมืองนอก พื้นฐานความรู้แบบที่เราเคยซึมซับ<br />
ในชีวิตประจําวันเราก็ไม่นับว่าเป็นความรู้ ไปเจอของ<br />
แปลกใหม่อย่างความรู้ทางวิทยาศาสตร์ ก็คิดว่าเป็นความรู้<br />
ที่มีความสําคัญต่อการเปลี่ยนแปลงทัศนคติ พอกลับมา<br />
เขาก็จึงปรับเปลี่ยนกระบวนการให้การรับความรู้เป็นการ<br />
รับจากตํารา แต่ความรู้ที่มีอยู่เดิมก่อนที่จะมีการศึกษานั้น<br />
ก็ช่วยให้บรรพบุรุษดํารงชีวิตอยู่ได้ในสภาพแวดล้อม ไม่ใช่<br />
รับความรู้มาจากบรรพุบุรุษของตนอย่างเดียวนะ แต่มีการ<br />
ปรับเปลี่ยนให้เหมาะสมกับการดํารงชีวิตของตน คือ<br />
ความรู้ที่ได้รับจากสมาชิกในครอบครัวและหมู่บ้าน ตามพ่อ<br />
ตามแม่ไป ผู้หญิงเรียนรู้เรื่องการทําครัว การทอผ้า<br />
การจัดระเบียบของบ้านให้เรียบร้อย ผู้ชายต้องทํางานหนัก<br />
ลงไร่ไถนา ฤดูกาลเก็บเกี่ยวก็ไปช่วยกันเก็บเกี่ยว เวลา<br />
เก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่ตามผู้ใหญ่ไปก็ทําให้เริ่มเห็นสิ่งใด<br />
เป็นประโยชน์ ความรู้เหล่านี้ถือเป็นมรดกแต่ไม่ได้รับ<br />
การถ่ายทอดอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็นความรู้ที่ฝังลึกและ<br />
ถูกสร้างขึ้นเพื่อให้สังคมดูแลตัวเองให้ได้พอมีประสบการณ์<br />
ขึ้นมาเราก็สามารถพลิกผันได้ อย่างไรก็ตาม ความรู้เดิมนี้<br />
ก็จําเป็นต้องถูกปรับให้เข้ากับความรู้สมัยใหม่ เช่น<br />
วิทยาศาสตร์ เพื่อเข้าสู่ระบบอุตสาหกรรม เพราะความรู้<br />
ของเราเป็นความรู้ทางเกษตรกรรม ความรู้เพื่อการดํารงชีพ<br />
แต่ที่ผ่านมาเราไม่นับว่ามันเป็นความรู้ เช่น ชาวนา ซึ่ง<br />
เขาเลี้ยงเรานะ เขาเข้าโรงเรียนหรือเปล่า แต่ทําไมเขา<br />
รู้ว่าเมื่อไหร่ควรจะไถนา ควรจะฝึกให้ควายไถนาอย่างไร<br />
จะพยากรณ์ฤดูกาลอย่างไรว่าเมื่อไหร่ฝนจะมา เข้าใจ<br />
สิ่งแวดล้อมที่อยู่ใกล้ตัว หาทรัพยากรธรรมชาติที่เป็น<br />
ประโยชน์มาช่วยในการดํารงชีพโดยตรง<br />
แต่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์เป็นความรู้ที่เปลี่ยนสถานะ<br />
ของสังคมจากระบบเกษตรกรรมสู่ระบบอุตสาหกรรม<br />
มันก็เป็นอาชีพแต่เป็นอาชีพจากภายนอกที่สังคมไทยรับ<br />
เอามา มันจึงเป็นคนละความรู้กัน ผู้ที่ไปเรียนเมืองนอก<br />
มา กลับมาเขาก็มาวางหลักสูตร ต้องเรียนเรขาคณิต<br />
พีชคณิต ตรีโกณ ต้องเรียนภาษา ถามว่าความรู้พวกนี้<br />
เรียนไปแล้วเราเอากลับมาดํารงชีวิตแบบชาวบ้านได้ไหม<br />
มันดํารงอยู่ไม่ได้ ฉะนั้นเราควรต้องรู้จักนําเอาความรู้<br />
แบบสมัยใหม่มาปรับเปลี่ยนการดํารงชีพ เพื่อเปลี่ยน<br />
สถานภาพของความรู้แบบบรรพบุรุษมาเป็นความรู้สากล<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 18 19<br />
Refocus Heritage
แต่เกษตรกรสมัยก่อน อย่างชาวสวนทุเรียน<br />
เขาไม่ได้เรียนหนังสือ แต่ทําไมเขาสามารถ<br />
พัฒนาพันธุ์ผลไม้ได้หลากหลาย ถ้าเราดู<br />
ประวัติของพระยาภาสกรวงศ์ ท่านบันทึกไว้<br />
เรื่องการทําสวนทํานาว่ากรุงเทพฯ-ฝั่งธน<br />
สามารถพัฒนาพันธุ์ข้าวพันธุ์ทุเรียนได้หลาย<br />
สายพันธุ์ ปัจจุบันความรู้พวกนี้อยู่ในม.เกษตร<br />
แต่ชาวบ้านก็ยังรู้อย่างข้าวหอมมะลิที่กลายเป็น<br />
พันธุ์ข้าวระดับโลก ถามว่าใครไปช่วยเขา<br />
เขาได้ความรู้มาจากไหน ก็มรดกจากบรรพบุรุษ<br />
ทั้งนั้น ต้องเข้าใจนะว่าความรู้เดิมเป็นความรู้<br />
ในระบบหนึ่ง เป็นความรู้เพื่อการดํารงชีพ<br />
รู้จักสภาพแวดล้อม พึ่งพาตนเอง แตกต่าง<br />
จากความรู้ทางชีววิทยา มันคนละระบบกัน<br />
แต่ถ้าไม่ได้รับความรู้แบบสมัยใหม่หรือแบบ<br />
สากลเราก็อยู่แบบชาวเขา อยู่แบบประเทศที่<br />
ไม่ได้ติดต่อกับใครซึ่งไม่มีแล้ว เพราะตอนนี้<br />
โลกเป็นสากล ความรู้ต่างๆ มีการแลกเปลี่ยนกัน<br />
แต่การแลกเปลี่ยนนี้ถ้าเราไม่เฉลียวใจทัน<br />
มันจะกลายเป็นการปฏิเสธความรู้เดิมและ<br />
ไม่ได้พัฒนาต่อไป<br />
_เราจะผสมผสานความรู้สมัยใหม่และ<br />
ภูมิปัญญาดั้งเดิมได้อย่างไร<br />
ความรู้ที่เป็นวิทยาศาสตร์หรือสากลที่มีความ<br />
ซับซ้อน ละเอียดอ่อน ถ้าเข้าใจธรรมชาติและ<br />
สามารถแปรทรัพยากรธรรมชาติที่ความรู้<br />
เดิมไม่สามารถจะปรับเปลี่ยนได้เข้าสู่ระบบ<br />
อุตสาหกรรม มันจะกลายเป็นความรู้อีก<br />
ระดับหนึ่ง แต่มันก็ยาก และการปฏิวัติ<br />
อุตสาหกรรมตอนนี้ถึงยุคดิจิทัลแล้ว ตั้งรับกัน<br />
ทันหรือเปล่า ตั้งรับคือใช้เป็นแล้วเปลี่ยนวิธีคิด<br />
แล้วถามว่าเราใช้เป็นหรือเปล่า ทุกวันนี้ต้อง<br />
พกโทรศัพท์ มันมีประโยชน์ แต่ขณะเดียวกัน<br />
มันก็ลวงโลก ฉะนั้นความรู้อะไรก็ตามที่เกิดขึ้น<br />
ใหม่ เราต้องรู้ทัน มีสติว่าอะไรเป็นประโยชน์<br />
อะไรไม่เป็นประโยชน์ ประโยชน์คือทําให้เรา<br />
สามารถกลับไปหาความรู้ในอดีตที่ทําให้เรา<br />
ดํารงชีพอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งพาคนอื่น แต่<br />
ตอนนี้เราต้องพึ่งพาคนอื่นไปหมด ในยุค<br />
ดิจิทัลข้อมูลต่างๆ มันถาโถมมา ถามว่าเรา<br />
จะวางตัวอยู่ตรงไหน แล้วความรู้ที่เป็นมรดก<br />
ดั้งเดิมหายไปหมดเลย ยกตัวอย่างความรู้<br />
ทางการเกษตรที่เราสามารถพัฒนาพันธุ์พืชต่างๆ<br />
ได้ก่อนที่ความรู้แบบสมัยใหม่จะเข้ามาลองคิดดู<br />
ว่าถ้าเกิดวิกฤตการณ์ขึ้นมาในเมือง คนเมือง<br />
ตายกันหมดเพราะไม่รู้จะหากินอย่างไร<br />
ความรู้ทุกอย่างมีประโยชน์ทั้งสิ้น แต่ถ้าเรา<br />
มีสติเราจะรู้ว่าความรู้เรามีอยู่เราต้องไม่ปฏิเสธ<br />
มันเป็นมรดกของมนุษยชาติ ความรู้แบบ<br />
สมัยใหม่ก็มีประโยชน์สามารถยกระดับ<br />
ปรับเปลี่ยนชีวิตคนเราไปอีกขั้นหนึ่ง แต่<br />
ความรู้เดิมกลับหายทั้งๆ ที่มันสามารถเลี้ยง<br />
เราได้ ฉะนั้นเมื่อเรารับมาเราต้องมีสติเท่าทัน<br />
ยกตัวอย่างประเทศจีน เขาก็ทิ้งความรู้เดิม<br />
ไปรับความรู้แบบสมัยใหม่เหมือนกัน ถูก<br />
จิตสํานึกแบบวิทยาศาสตร์ครอบงําอยู่พักหนึ่ง<br />
แต่ปัจจุบันกลับมาสนใจการดํารงชีพแบบ<br />
ดั้งเดิม อนุรักษ์ป่าไม้ ชาวบ้านรู้จักหาพืชป่า<br />
มีการรื้อฟื้นปรัชญาขงจื๊อ กลับไปหาความรู้<br />
ท้องถิ่นที่เป็นของตัวเองแท้ๆ ความรู้เดิมกับ<br />
ความรู้แบบสมัยใหม่จึงมาบรรจบกัน<br />
ที่ภูเก็ตมีลุงที่จักสานเป็นในอดีตผู้ชายก็จักสาน<br />
ได้ เราจะเอาความรู้เรื่องการจักสานนี้กลับ<br />
มาได้อย่างไร มันจะเป็นประโยชน์ไหมกับ<br />
การพัฒนาชาวบ้านให้สามารถนําภูมิปัญญา<br />
มรดกมาอยู่กับโลกสากล และโลกสากล<br />
ยอมรับด้วย จะเชื่อมต่อตรงนี้ได้อย่างไร <br />
ยกตัวอย่างว่าสังคมปัจจุบันนี้เริ่มปฏิเสธ<br />
ถุงพลาสติก ที่ทางเหนือก็มี packaging <br />
ที่เป็นกระดาษ มีไผ่ที่เอามาทําจักสานได้ <br />
อันนี้สามารถสร้างเศรษฐกิจในชุมชนได้ <br />
มันต้องการเชื่อมโยงความรู้ระหว่างความรู้<br />
เดิมกับแบบสมัยใหม่ที่จะช่วยให้พัฒนาเข้าสู่<br />
ชีวิตประจําวันให้เป็นประโยชน์<br />
ทีนี้ถ้าเรารู้แล้วว่าความรู้แบบสมัยใหม่มีประโยชน์ <br />
ก็ต้องรู้จักใช้ให้เหมาะกับสถานการณ์ เช่น<br />
ใช้สนับสนุนความรู้เดิมในส่วนที่ความรู้เดิม<br />
อาจจะไปไม่ถึง อย่างการกลับมาสู่เศรษฐกิจ<br />
แบบพอเพียง ทําไมกลับมาสู่เศรษฐกิจพอ<br />
เพียงล่ะ ทําไมไม่ก้าวหน้าสู่ระบบอุตสาหกรรม<br />
ก้าวหน้าได้แต่เราต้องเท่าทันระบบอุตสาหกรรม<br />
อะไรเป็นอุตสาหกรรมเราต้องเรียนรู้ แต่พอ<br />
เรียนรู้แล้วต้องทําให้ระบบอุตสาหกรรม<br />
เอื้อประโยชน์ต่อคนในท้องถิ่น ให้เขาสามารถ<br />
นําระบบอุตสาหกรรมมาเอื้อประโยชน์ภูมิปัญญา<br />
ท้องถิ่น ความรู้ทุกอย่างเป็นประสบการณ์<br />
ในการที่มนุษย์เข้าใจธรรมชาติในแง่มุมหรือ<br />
เงื่อนไขหนึ่ง แต่ความรู้ไหนที่จะแปรทรัพยากร<br />
ธรรมชาติให้ได้ประโยชน์มากที่สุด นี่คือ<br />
ระบบอุตสาหกรรมมันนําเรา<br />
_ถ้ามองใกล้ตัวเราทั้งในวงวิชาการและ<br />
วงวิชาชีพอาจารย์คิดว่าองค์ความรู้ทาง<br />
สถาปัตยกรรมอยู่ในขั้นวิกฤตไหม<br />
อย่าเพิ่งพูดถึงวิกฤต คอนโดฯ ขึ้นเต็มบ้าน<br />
เต็มเมือง ในชนบทชาวบ้านเปลี่ยนบ้านกัน<br />
หมดแล้ว มันไม่ใช่เรื่องของวิกฤต มันเป็น<br />
เรื่องของความเปลี่ยนแปลงของสังคม แต่คน<br />
ที่มีสํานึกแล้วควรกลับมาดูงานสถาปัตยกรรม<br />
พื้นถิ่นเพราะถือว่าเป็นประโยชน์ เป็นประโยชน์<br />
อย่างไร ตอนนี้ช่างไม่มีแล้ว ช่างไม้หายไปหมด<br />
จะรู้อะไรก็ไม่รู้อะไรจริง เมทัลชีท กระจก<br />
มาแล้ว แต่เพราะเราไม่ได้ทํางานไม้ ถ้าเรา<br />
เข้าใจงานไม้จริงๆ ระหว่างรัฐกับประชาชน<br />
จะรู้ว่าการปลูกสร้างนั้นไม้มีส่วนสําคัญ แล้ว<br />
จะสามารถวางแผนได้ ปลูกป่าเศรษฐกิจได้<br />
ถึงกลับมาพูดเรื่องเศรษฐกิจพอเพียง ไม่พึ่งพา<br />
ข้างนอก เรื่องปราชญ์ชาวบ้านตอนนี้ยังไม่<br />
ชัดเจนแต่ก็มีการเริ่มหันกลับมา ความรู้ทาง<br />
วิทยาศาสตร์มีประโยชน์แต่ผลกระทบมันร้ายแรง<br />
ตั้งรับไม่ทัน เปลี่ยนแปลงเร็ว เปลี่ยนแปลง<br />
เร็วเพราะอะไร เพราะตกอยู่ในมือนายทุน<br />
ต้องการให้เราเสพมากๆ อุตสาหกรรมเป็น<br />
ระบบที่ผลิตให้เราใช้ เราต้องพึ่งมัน อย่างใน<br />
ประเทศอินเดีย คนอินเดียแท้ๆ เขาเห็นว่าต้อง<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 20 <strong>21</strong><br />
Refocus Heritage
พึ่งพาตนเองให้มากที่สุด และไม่ใช่ปฏิเสธความรู้ข้างนอก<br />
แต่ต้องมีการคัดสรร ตอนนี้เราไม่มีการคัดสรร ป่าเรา<br />
หมดแล้ว<br />
เอาเข้าจริงๆ ลองดูว่าตอนนี้อะไรที่ทําลายโลก อุตสาหกรรม<br />
คนที่ใช้อุตสาหกรรมไม่มีจริยธรรม ไม่มีความเป็นธรรม<br />
ต่อคนอื่น ไม่มีความเท่าเทียม อย่าดิจิทัลเราติดมัน <br />
ทําอย่างไรล่ะ ไม่มีดิจิทัลอยู่ได้ไหม คนที่ใช้ดิจิทัลอยู่<br />
ไม่ได้แล้ว สลับซับซ้อนนะ จะอยู่อย่างไร อยู่ให้ไม่ทําลาย<br />
สภาพแวดล้อม เรื่องผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทําให้<br />
มนุษย์กลับมาสนใจเรื่องความยั่งยืนพึ่งตนเอง แต่พึ่งตนเอง<br />
อย่างไร ไม่ใช่แบบเก่าแล้ว สมัยก่อนปลูกเรือนเครื่อง<br />
ผูกวันเดียวเสร็จ สมัยนี้ก็เหมือนกันแต่เอาสังกะสีมาปะๆ<br />
เมื่อก่อนมีการปลูกไผ่ใช้กันในหมู่บ้าน ก็อยู่กันมาไม่เห็น<br />
อดตาย สังคมพัฒนามาถึงตรงนี้มันต้องหาทางเลือกเพื่อ<br />
สงวนรักษาสภาพแวดล้อมให้ยังคงอยู่แล้วเกิดการหมุนเวียน<br />
ใช้ไม่หมด<br />
เรารู้ไม่เท่าทันอะไรเพราะโลกเปลี่ยนแปลงเร็วนักวิทยาศาสตร์<br />
กับนักเศรษฐศาสตร์เขาร่วมมือกันเอากระบวนการวิทยาศาสตร์<br />
เข้ามาสู่เศรษฐกิจ ผูกขาดสินค้า เราต้องพึ่งพาเขาไปหมด<br />
ยุคดิจิทัล อย่างที่ชูมาร์กเกอร์พูดไว้ เราต้องพึ่งพาตนเอง<br />
แต่จะปฏิเสธอุตสาหกรรมอย่างไร อุตสาหกรรมผลิตของ<br />
ให้เราใช้ สร้างความต้องการใหม่ๆ เรื่อยๆ ยั่วยุให้เรา<br />
ซื้อทั้งนั้น อุตสาหกรรมอยู่ได้เพราะมันเปลี่ยนโมเดล<br />
ให้ดีกว่าเก่าเรื่อยๆ ให้ทิ้งของเก่า เวลาใช้แล้วชํารุด<br />
เราต้องซื้อใหม่ แต่มันดีจริงๆ อย่างตู้เย็น ความรู้เดิม<br />
ใช้ได้หรือเปล่าล่ะ<br />
พูดลําบาก ผมไม่มีคําตอบ แต่ผมมีโอกาสได้รู้จักอดีต<br />
เรียนรู้อดีต ภูมิใจในอดีต เกิดมาแล้วเราควรเรียนรู้<br />
ประวัติศาสตร์ทั้งที่เป็นของเราและสากล บทเรียน<br />
ประวัติศาสตร์สอนอะไรไว้บ้าง แล้วบทเรียนมีทั้งเลวร้าย<br />
มีทั้งนําไปสู่ความเจริญงอกงาม เวลาเกิดสงครามเห็นไหม<br />
เอาเปรียบกันทั้งนั้น เอาเปรียบกันทางทรัพยากร แล้ว<br />
อุตสาหกรรมก็ทําลายธรรมชาติ ถลุงกัน เรารู้เราเห็น<br />
หมด แต่เราไม่รู้ว่าอะไรดีอะไรไม่ดี อยู่ไปวันๆ ได้กิน <br />
ได้สนุก ได้ฟังเพลง แต่ยุคสมัยแต่ละยุคสร้างค่านิยม<br />
ไม่เหมือนกัน แต่ละคนอยู่ในยุคสมัยไหนก็มีค่านิยมแบบนั้น<br />
ไม่หันกลับมาเห็นคุณค่าอดีต ก็เลยอยู่ไปวันๆ<br />
_แล้วตอนนี้ ความคิดความอ่านของนักศึกษายุคใหม่<br />
เป็นอย่างไรบ้าง<br />
นักศึกษายุคใหม่ก็เรียนรู้การออกแบบนี่ล่ะ แต่การศึกษา<br />
ทุกวันนี้ถูกสากลครอบงําหมด ไม่ใช่ไม่ดี มันก็ดี นักศึกษา<br />
เราออกแบบได้ทันโลกเลย แต่ไปออกแบบให้ชาวบ้านแล้ว<br />
เขาอยู่ไม่ได้และเกินฐานะเขา จริงๆ แล้วการออกแบบ<br />
มีหลายระดับ ซูเปอร์มาร์เก็ตขนาดใหญ่ ตลาดแบบเก่า<br />
ซึ่งตอนนี้ตายแล้ว เพราะของใหม่ต้องดีกว่าของเดิม<br />
แต่บางอย่างบรรยากาศเดิมหายไปก็อยากจะได้บรรยากาศ<br />
เดิมกลับมาอีก เพราะอะไร เพราะแบบเดิมๆ เป็นอัตลักษณ์<br />
ที่สากลให้ไม่ได้ แต่จะเอาอัตลักษณ์ตรงไหนล่ะ ฉะนั้น<br />
ประวัติศาสตร์ต้องรู้ แต่รู้แล้วนํามาเป็นประโยชน์ต่อ<br />
ปัจจุบัน<br />
ผมออกทริปกับนักศึกษาไปเมืองแพร่ ไปคุ้มเจ้าหลวง<br />
เมืองแพร่ที่เขาสร้างแบบโคโลเนียล ตอนที่นั่นสร้างเสร็จ<br />
เขาให้กวีตาบอดเขียนบทกวีพรรณนาประตูหน้าต่าง ใช้<br />
คําไพเราะมาก ทําไมคนรุ่นหลังไม่ได้เสพรสแบบนี้ แต่<br />
ความเป็นสากลมีเสน่ห์ มีความรวดเร็ว ปรุงให้เสร็จสรรพ<br />
แต่มรดกของเราสามารถทําให้ดีได้ เช่น เครื่องจักสาน<br />
ผ้า อาจจะกลับมาได้อีกแต่ไม่มีใครโปรโมต เราจะเอา<br />
ผ้ากลับมาสู่ชีวิตปัจจุบันได้อย่างไร<br />
การศึกษาของเราเป็นอย่างไร ก็เป็นสากลนี่ล่ะ ฐานราก<br />
ก็เป็นสากลแล้ว ออกแบบก็เป็นสากล แต่สถาปนิกนั้น<br />
พอจะออกแบบให้ชาวบ้าน แก้ปัญหาสลัมได้หรือเปล่า<br />
เอาเข้าจริงๆ housing สําคัญมาก แต่ไม่ค่อยมีใครรับผิดชอบ<br />
ทําแต่คอนโดฯ กันหมด คลองลาดพร้าวอยู่ดีๆ ก็ไล่<br />
ชาวบ้านแล้วสร้างให้เขาใหม่ อย่าลืมว่าสลัมต้องอยู่ในเมือง<br />
ไม่มีสลัมใครจะเป็นแรงงานให้กับเมือง<br />
_อาจารย์มีคำแนะนำอะไรจะฝากถึงสถาปนิก นักศึกษารุ่นใหม่ไหมครับ<br />
สถาปนิกไทยไม่ปฏิเสธว่าเป็นสากลไปแล้ว แต่ทําอย่างไรเอาความรู้สากลมาหาภูมิปัญญา<br />
ดั้งเดิมว่ามันอยู่ตรงไหนบ้าง แล้วพอเข้าไปถึงแล้วจะรักษาไว้ได้อย่างไร มี 2 อย่าง คือสืบเนื่อง<br />
กับอนุรักษ์สิ่งที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้เรา ก็อย่าไปเปลี่ยนแปลง ชาวบ้านระดับล่างเราเข้าใจเขา<br />
หรือเปล่า ที่สําคัญคนระดับล่างที่อยู่ในกรุงเทพฯ จะทําอย่างไรให้เขามีที่อยู่อาศัยที่ดี ที่เขามา<br />
รุกลํ้ำเพราะเขาอยู่ที่ชนบทไม่ได้ เมืองที่ดีเขาจะมีสํานึกว่าจะช่วยเหลือคนเหล่านี้อย่างไร มี<br />
การกระจายรายได้ แต่บ้านเรายังมีสลัมอยู่ เป็นเรื่องที่เราต้องรับผิดชอบ มันเป็นความเป็น<br />
ความตายของคน ที่สําคัญ เมืองขยายไปเรื่อยๆ ที่นาก็หมด แล้วชาวนาจะไปอยู่ไหน<br />
เสียดายที่คนรุ่นใหม่ไม่ได้เห็นมรดกสําคัญของอดีตและไม่ซาบซึ้ง พอไม่ซาบซึ้งก็เลยไม่มี<br />
ความภูมิใจในชาติ อย่างเช่น ประเทศจีนที่ได้ยกตัวอย่างไปก่อนนี้ เขายังหันกลับมา พยายาม<br />
เชื่อมโยงอดีต ปัจจุบัน อนาคต ด้วยความรู้เท่าทัน จะเป็นอย่างไรไม่ทราบ ไม่มีคําตอบ แต่<br />
เขาเริ่มหยั่งเห็นคุณค่าทางวัฒนธรรม ต้องเรียนรู้ซึมซับ ผมคิดว่าใครที่เรียนสถาปัตยกรรมไทย<br />
จะไม่มีอาชีพถ้าไม่สามารถพลิกผันเข้าสู่สากล ต่างกับที่ถ้าเรียนสากลจะพลิกผันเข้าสู่ความ<br />
เป็นไทยได้ง่ายกว่า ผมคิดอย่างนี้ เราทําได้ แต่เราไม่เห็นคุณค่า<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 22 23<br />
Refocus Heritage
INTERVIEW<br />
INTERVIEW<br />
A Talk with<br />
Pongkwan S. Lassus:<br />
Refocus Heritage<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> มีโอกาสได้สนทนากับคุณปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูส ว่าด้วยการอนุรักษ์<br />
ศิลปสถาปัตยกรรม และพูดคุยถึงการทํางานที่ผ่านมาทั้งในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงานของสมาคม<br />
สถาปนิกสยามฯ และองค์กรด้านการอนุรักษ์อื่นๆ ทําให้เห็นภาพรวมของพัฒนาการและ<br />
แนวโน้มในอนาคตของงานอนุรักษ์ในบ้านเรา<br />
Text: กฤษณะพล วัฒนวันยู / Kisnaphol Wattanawanyoo<br />
Photo: ชนิภา เต็มพร้อม / Chanipa Temprom<br />
_ก่อนอื่น อยากให้ช่วยเล่าถึงพัฒนาการของงานอนุรักษ์ ช่วงที่ผ่านมาก่อนหน้านี้ซึ่งมีการจัดทําโครงการคัดเลือกรางวัล<br />
ในภาพรวมในช่วงที่ผ่านมา<br />
อนุรักษ์ดีเด่นเป็นหลัก คือมีการจัดทําโครงการประเมิน<br />
ตั้งแต่มีการก่อตั้งกรรมาธิการอนุรักษ์ ภายใต้สมาคมสถาปนิก สถานภาพรางวัลอนุรักษ์ดีเด่นที่ได้จัดให้มีการคัดเลือกมา<br />
สยามฯ มาตั้งแต่ พ.ศ. 2511 น่าจะแบ่งได้ตามลักษณะการ ครบ 20 ปี โครงการต้องใช้บุคลากรมากจึงเป็นโอกาส<br />
ทํางานแบบกว้างๆ เป็น 3 ยุค ในยุคแรกซึ่งเป็นยุคบุกเบิก สร้างคนรุ่นใหม่ให้มาสนใจงานด้านอนุรักษ์มากขึ้น มีการ<br />
ก็ต้องเริ่มจากการให้ความรู้กับทั้งภาครัฐและเอกชนถึงความ ปรับเกณฑ์การคัดเลือกรางวัลอนุรักษ์ดีเด่นและจัดทําหนังสือ<br />
สําคัญอย่างยิ่งยวดของการอนุรักษ์ เป็นการทํางานเชิงรุก เพื่อรวบรวมผลงานอาคารที่ได้รับรางวัลมาตลอด 20 ปี<br />
และองค์กรนี้เป็นองค์กรแรกในประเทศไทยที่ทําเรื่องการ โดยที่ตัวเราเป็นบรรณาธิการ ในปีต่อๆ มาจึงได้มีการจัด<br />
อนุรักษ์ทั้งทางศิลปกรรมซึ่งรวมถึงงานสถาปัตยกรรมรวมไป ระบบการเก็บข้อมูลอาคารรางวัลอนุรักษ์ดีเด่นอย่างเป็น<br />
ถึงเรื่องสิ่งแวดล้อม ในยุคต่อมามีการทําโครงการคัดเลือก ระบบเพื่อนําไปใช้จัดนิทรรศการและทําหนังสือได้เลยเมื่อพร้อม<br />
รางวัลอนุรักษ์ฯ ดีเด่น ก็จะเน้นไปในเรื่องการเชิดชูผู้ที่อนุรักษ์ ต่อมาในปี พ.ศ. 2559-2551 ได้มีโอกาสรับตําแหน่งเป็น<br />
มรดกของตนเพื่อส่วนรวม และเป็นช่วงที่การอนุรักษ์เริ่ม ประธานกรรมาธิการอนุรักษ์ฯ ก็เลยจัดทําโครงการต่อยอด<br />
เป็นที่รู้จักมากขึ้น และมีกระแสการอนุรักษ์ที่ดีในสังคม การเก็บองค์ความรู้ทางมรดกสถาปัตยกรรมโดยทําdatabase<br />
ในยุคหลังก็จะเริ่มมามุ่งเน้นในเรื่องการอนุรักษ์มรดก ของข้อมูลอาคารรางวัลอนุรักษ์ดีเด่น อาคารควรค่าแก่<br />
สถาปัตยกรรมชุมชน วิถีชีวิต มรดกพื้นถิ่น และมรดก การอนุรักษ์ และบุคลากรด้านการอนุรักษ์เก็บไว้ในเว็บไซต์<br />
สถาปัตยกรรมระดับท้องถิ่นที่มีคุณค่าแต่ไม่ได้รับการคุ้มครอง ของสมาคมฯ ที่ทุกคนสามารถมาสืบค้นได้ แต่เสียดายที่<br />
ทางกฎหมายและมีความเสี่ยงต่อการถูกไล่รื้อ โดยเฉพาะ ช่วงต่อมามีการปรับปรุงเว็บไซต์ของสมาคมฯจนข้อมูลเหล่านี้ <br />
ในเขตเมืองที่การพัฒนาโดยไม่คํานึงถึงมรดกเหล่านี้มาคุกคาม หายไป ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ใกล้ครบรอบ 40 ปี ของ<br />
จึงเกิดงานเชิงรุกขึ้นอีกในการทํางานร่วมกับคนในชุมชน กรรมาธิการอนุรักษ์ ซึ่งจะมาถึงในปี พ.ศ. 2551 จึงได้เกิด<br />
เพื่อปกป้องมรดกและเริ่มต้องมีโครงการสร้างคนรุ่นใหม่ แนวคิดที่จะจัดทําโครงการใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นเพื่อฉลอง 40 ปี<br />
ให้มีความตระหนักถึงคุณค่าของมรดก และทํางานร่วมกัน ขณะนั้นนายกสมาคมฯ คุณสิน พงษ์หาญยุทธ ให้การสนับสนุน<br />
เป็นเครือข่ายกับภาคส่วนต่างๆ<br />
อย่างเต็มที่ จึงตั้งกรรมาธิการขึ้นมา 10 คน ใครอยากทํา<br />
อะไรเสนอมา และเราดีเฟนด์งบให้ อย่างหนึ่งคือ Vernadoc<br />
_แล้วการทำงานในช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมา อ.ตุ๊ก (ผศ.สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว) ไปประชุม<br />
เป็นอย่างไรบ้าง<br />
ICOMOS CIAV (คณะกรรมการวิชาการว่าด้วยสถาปัตย-<br />
กรรมพื้นถิ่น) พอดี มีการแลกเปลี่ยนองค์ความรู้เรื่องค่าย<br />
ได้เริ่มเข้ามาทํางานในกรรมาธิการอนุรักษ์ฯ สมาคมสถาปนิก<br />
เขียนแบบมรดกสถาปัตยกรรมด้วยวิธี Vernadoc จาก<br />
สยามฯ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2545 สมัยที่ดร.วีระพันธุ์ ชินวัตร<br />
อาจารย์จากมหาวิทยาลัยเฮลซิงกิ ประเทศฟินแลนด์ เห็นว่า<br />
เป็นประธานกรรมาธิการฯ ตั้งแต่นั้นมาก็ทํางานมาตลอด<br />
น่าสนใจที่จะชักจูงคนรุ่นใหม่ให้เห็นคุณค่าของมรดก<br />
ในช่วงนั้นมีการเปลี่ยนแปลงกรรมาธิการใหม่ทั้งชุด และ<br />
สถาปัตยกรรมผ่านการเข้าค่ายแบบนี้ จึงได้มาริเริ่มทํา<br />
คนกลุ่มนี้ก็ยังทํากันต่อๆ มาจนถึงทุกวันนี้ มีการปรับระบบ<br />
โครงการและขยายผลต่อยอดมาจนถึงทุกวันนี้<br />
การทํางานของกรรมาธิการอนุรักษ์ฯ เป็นเชิงรุกมากกว่า<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 24 25<br />
Refocus Heritage
มีโครงการหนึ่งทางพี่จอห์น (ดร.วีระพันธุ์ ชินวัตร) ได้เสนอ<br />
ให้ทําโครงการแผนที่มรดกวัฒนธรรมชุมชนท้องถิ่นริมนํ้ำ<br />
บางกอก โดยการมีส่วนร่วมของชาวชุมชนในการระบุมรดก<br />
วัฒนธรรมของตน ซึ่งเลือกเอาชุมชนริมแม่นํ้ำเจ้าพระยา<br />
ที่เก่าแก่ คือบ้านบุ และกุฎีจีน แต่ด้วยความที่บ้านบุยังไม่มี <br />
ความพร้อมมากนัก จึงต่อยอดงานไปไม่ได้ แต่ที่กุฎีจีนกําลัง<br />
มี crisis จากกรณีที่ทางวัดกัลยาฯ กําลังมีโครงการไล่รื้อ<br />
ชุมชน จึงเป็นโอกาสให้กุฎีจีนถูกเลือกให้เป็นพื้นที่นําร่อง<br />
และทํางานกันอย่างต่อเนื่องมา โดยในช่วงปีที่ 2 เป็นจังหวะ<br />
ที่อ.แดง (ผศ. ดร.นิรมล กุลศรีสมบัติ) กลับมาจากญี่ปุ่นพอดี <br />
โดยจบการศึกษามาทางการฟื้นฟูเมือง จึงชวนมาร่วมงาน<br />
อ.แดงก็ทําอยู่ 4-5 ปี สมาคมฯ ก็คิดว่าถึงเวลาที่ควรจะ<br />
ถอนออกจากพื้นที่เพื่อให้ทางชุมชนเริ่มจัดการตนเองได้แล้ว<br />
การทํางานของอ.แดงได้ต่อยอดต่อไป ทํางานออกแบบชุมชน<br />
และผังเมือง จนเป็นที่มาของ UDDC (Urban Design &<br />
Development Center)<br />
อีกโครงการที่ดีมาก เป็นโครงการที่อ.ตุ๊กเสนอ คืออาคาร<br />
ควรค่าแก่การอนุรักษ์ที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนซึ่งกําลังทยอยหายไป<br />
จึงเสนอให้จัดประกวดการเก็บข้อมูล ซึ่งล้อกับการทําบัญชี<br />
Heritage at Risk ของ ICOMOS สากล เพื่อให้เกิดการ<br />
เห็นคุณค่าว่าควรจะต้องเก็บเอาไว้ นอกจากนั้นยังเป็นการ<br />
สร้างคนรุ่นใหม่ให้สนใจงานอนุรักษ์ด้วย โดยให้สร้างทีมที่<br />
มีสถาปนิกที่มีความรู้ในด้านนี้หรืออาจารย์จับมือกับนักศึกษา<br />
1 คน เพื่อเสนออาคารที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ ทําข้อมูล<br />
ให้ละเอียดเพื่อส่งประกวด ในตอนนั้นทําเป็นโครงการ<br />
ประกวดการจัดทําข้อมูลและมีรางวัลที่ 1-3 เป็นการพาไป<br />
ชมหมู่บ้านมรดกโลกที่ญี่ปุ่น หนึ่งในโครงการที่ส่งมาก็คือ<br />
อาคารศาลฎีกาซึ่งกําลังถูกทุบ เวลามีงานสถาปนิกซึ่งก็จะ<br />
มีการแสดงงานควรค่าแก่การอนุรักษ์ ก็มีเจ้าหน้าที่จากศาล<br />
มาหาเราขอให้เอางานศาลฎีกาออกจากลิสต์รายชื่ออาคาร<br />
ควรค่าแก่การอนุรักษ์เพราะศาลกําลังจะทุบ นี่ก็เป็นการ<br />
บอกว่างานของเราทําให้เกิดการตื่นตัวที่จะปกป้องอาคาร<br />
หรือทําให้เจ้าของอาคารหรือประชาชนรู้ถึงคุณค่าของอาคาร<br />
เหล่านี้ หลังจากนั้นเราต้องหาเครือข่ายทํางานเป็นทีมร่วมกับ<br />
สมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม (SCONTE)<br />
สมาคมอิโคโมสไทยและสถาบันการศึกษาอื่นๆ เพื่อช่วยกัน<br />
ปกป้องอาคารศาลฎีกา แต่ก็ยังไม่สามารถทัดทานได้<br />
อย่างไรก็ตามเราจึงเห็นว่าการทํางานเป็นเครือข่ายนั้นสําคัญ<br />
จึงได้มีการทําMOU กับสมาคมอิโคโมสไทยเพื่อแบ่งปัน<br />
ภารกิจ ทํางานร่วมกันมาอยู่ช่วงหนึ่ง<br />
ในช่วงที่เราทําเรื่องมรดกสถาปัตยกรรมชุมชนก็มีเรื่องการ<br />
ไล่รื้อชุมชนซอยหวั่งหลีเข้ามา เราก็พยายามช่วยเหลืออย่าง<br />
เต็มที่แต่ด้วยช่องโหว่ของการปฏิบัติงานของกรมศิลปากร<br />
ในการอนุรักษ์มรดกที่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนจากการตีความ<br />
กฎหมายโบราณสถานทําให้อาคารมรดกสถาปัตยกรรม<br />
ยุคโมเดิร์นหลังแรกๆ ของไทยอายุกว่า 80 ปีต้องถูกรื้อไป<br />
อย่างน่าเสียดาย จากนั้นเราเลยมีการจัดอบรมสัมมนา<br />
เรื่องการอนุรักษ์มรดกสถาปัตยกรรมชุมชนเพื่อให้ความรู้<br />
แก่บรรดาสถาปนิกที่ทํางานกับชุมชนโดยร่วมกับมูลนิธิ<br />
สิ่งแวดล้อมไทย<br />
ช่วงต่อมามีการตั้งกรรมาธิการอนุรักษ์มรดกสถาปัตยกรรม<br />
ไทยประเพณีขึ้นโดยมีคุณวสุโปษยะนันทน์ เป็นประธานเพื่อ<br />
ให้เกิดงานอนุรักษ์งานด้านไทยประเพณีอย่างเป็นรูปธรรม<br />
โดยเลือกเอาการอนุรักษ์หอไตรวัดเทพธิดารามเป็นโครงการ<br />
แรก และได้รับรางวัล UNESCO Heritage Award Asia<br />
Pacific มาครอง และงานต่อมาคือการบูรณะหอไตร<br />
วัดเทพธิดาราม<br />
ปี พ.ศ. 2561 เป็นปีที่ครบรอบ 50 ปีของกรรมาธิการ<br />
อนุรักษ์ฯ เราเองก็อยากให้เกิดงานที่เป็นหมุดหมายสําคัญ<br />
เกิดการปฏิรูปโครงสร้างการทํางานให้สอดคล้องกับยุคสมัย<br />
ที่เปลี่ยนไปเพื่อรองรับการทํางานอีกกึ่งศตวรรษหน้า<br />
ให้มีประสิทธิภาพตอบรับกับสถานการณ์และสอดคล้องกับ<br />
ความต้องการของสังคมปัจจุบัน ด้วยความที่เราเห็นมา<br />
โดยตลอดว่าการทํางานด้านอนุรักษ์ของสมาคมฯ นั้น<br />
ไม่แน่นอน ไม่ต่อเนื่อง เพราะขึ้นอยู่กับกรรมการบริหาร<br />
กรรมาธิการที่เปลี่ยนตัวบุคคลไปเรื่อยๆ ตลอดการทํางาน<br />
มาเกือบ 20 ปี เราเห็นแล้วว่าองค์กรของเราเป็นที่พึ่งของ<br />
ประชาชน นอกเหนือจากการจัดให้มีการพระราชทานรางวัล<br />
อนุรักษ์ดีเด่นจากกรมสมเด็จพระเทพฯ อย่างต่อเนื่องกันมา<br />
ทุกปีเป็นเวลากว่า 35 ปีแล้ว เราจึงคิดว่าองค์กรนี้ควรเป็น<br />
ที่พึ่งของประชาชนในด้านการอนุรักษ์ได้อย่างถาวรและ<br />
จริงจัง แม้เราจะไม่ได้เป็นสมาคมอนุรักษ์ แต่เราเป็นองค์กร<br />
แรกทํางานด้านนี้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์ มีเครดิตดีต่อ<br />
หน่วยงานภาครัฐ ทั้งเป็นที่พึ่งของภาครัฐในเชิงวิชาการ<br />
สายวิชาชีพ ไปนั่งอยู่ในกรรมการชุดต่างๆ ที่มีความสําคัญ<br />
ต่อการพัฒนาประเทศทางกายภาพและสิ่งแวดล้อม เราจึง<br />
คิดว่าควรมีโครงสร้างองค์กรใหม่ภายใต้การบริหารงานของ<br />
สมาคมฯ อย่างเช่นองค์กรที่มีอยู่แล้วคือสถาบันสถาปนิก<br />
สยาม ซึ่งเดิมก็ได้เคยคุยกับอดีตผู้อํานวยการ ดร.วีระ<br />
สัจกุล ไว้เบื้องต้นถึงภารกิจแบบนี้นานแล้วก่อนที่ท่านจะ<br />
ล่วงลับ หรืออาจเป็นโครงสร้างแบบอื่นที่สามารถมีพนักงาน<br />
ประจําหรือกึ่งประจํามาดูแลรับผิดชอบงานทางด้านนี้<br />
โดยตรง จึงได้เสนอให้ตั้ง Urban Heritage Centre หรือ<br />
ศูนย์มรดกเมือง ซึ่งได้มีการทดลองตั้งขึ้นมาในปี2560-2561<br />
เพื่อทําหน้าที่เป็นศูนย์ข้อมูลมรดกสถาปัตยกรรมและ<br />
งานอนุรักษ์ฯ และให้คําปรึกษาในการจัดทําโครงการอนุรักษ์<br />
ต่างๆ การฝึกอบรมให้ความรู้แก่ประชาชน สถาปนิก และ<br />
องค์กรบริหารส่วนท้องถิ่น นอกจากนี้ยังทําหน้าที่เป็น<br />
platform ใหม่ให้คนรุ่นใหม่ที่ต้องการมาทํางานอนุรักษ์ใน<br />
รูปแบบใหม่ๆ และสนับสนุนให้เกิดการทํางานร่วมกันเป็น<br />
เครือข่ายกับองค์กรภาคประชาสังคมอื่นๆ และสถาบัน<br />
การศึกษาเพราะองค์กรเรามีความเป็นกลางและเราสามารถ<br />
เชื่อมต่อกับภาครัฐได้ แต่ภายหลังไม่ได้มีการดําเนินการต่อ<br />
ถูกปิดตัวไปโดยไม่ทราบสาเหตุที่ชัดเจน<br />
_ถ้าจะต้องทำงานด้านการอนุรักษ์ องค์กรและหน่วยงาน<br />
ที่เกี่ยวข้องควรเตรียมความพร้อม หรือควรพัฒนาด้าน<br />
อะไรบ้าง<br />
เรื่องการอนุรักษ์มรดกสถาปัตยกรรมเป็นเรื่องที่ต้องมี<br />
องค์ความรู้ ในประเทศที่เขาให้ความสําคัญกับการอนุรักษ์ฯ<br />
สถาปนิกอนุรักษ์จะเป็นวิชาชีพแขนงพิเศษแยกออกมา<br />
มีใบประกอบวิชาชีพเฉพาะหากต้องไปทํางานออกแบบ<br />
อนุรักษ์โบราณสถานหรือมรดกสถาปัตยกรรมที่ทางการ<br />
ขึ้นทะเบียนไว้ ตอนนั้นก็คิดแผนขึ้นมาถึงระดับที่ว่าสมาคมฯ<br />
น่าจะมีการอบรมสถาปนิกอนุรักษ์ หรือสถาปนิกที่ต้องไป<br />
ออกแบบในพื้นที่อนุรักษ์เพื่อให้มีองค์ความรู้เช่น สถาปนิก<br />
จะทํางานออกแบบ adaptive reuse ในอาคารที่มีคุณค่า<br />
แต่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน เขาจะต้องรู้บ้างว่าคุณค่าของอาคารนั้น<br />
คืออะไรเพื่อที่เขาจะไม่ไปทําลายคุณค่า น่าจะมีการจัด<br />
คอร์สสั้นๆ ที่ให้ความรู้และมอบประกาศนียบัตรว่าผ่าน<br />
การอบรม รวมไปถึงการจัดคอร์สอบรมบุคลากรขององค์กร<br />
บริหารส่วนท้องถิ่นที่มีมรดกสถาปัตยกรรมให้บริหารตลอดจน<br />
การเป็น one stop service ให้คําปรึกษาประชาชนหรือ<br />
องค์กรเหล่านั้นในการจัดทําโครงการออกแบบปรับปรุงหรือ<br />
อนุรักษ์อาคาร การจัดทํารายชื่อผู้เชี่ยวชาญด้านต่างๆ<br />
ให้มี database ให้ครบทุกเรื่องที่เกี่ยวข้อง เปิด platform<br />
ให้คนรุ่นใหม่หรือสมาชิกที่อยากทํางานในพื้นที่อนุรักษ์ย่าน<br />
เมืองเก่าให้ได้เข้ามาทําใต้ร่มของสมาคมฯ เป็นการสร้างคน<br />
รุ่นใหม่ให้ได้ทํางานในพื้นที่จริงโดยเชิญสถาปนิกอนุรักษ์ที่<br />
ชํานาญการแล้วมาเป็นผู้อบรมหรือให้คําปรึกษา จะได้เกิด<br />
สายอาชีพใหม่ สร้างงานใหม่ๆ ให้เกิดทําให้วงการอนุรักษ์ฯ<br />
พัฒนาขึ้นเป็นวิชาชีพใหม่ที่มีบุคลากรที่มีความเป็นมืออาชีพ <br />
ในขณะเดียวกันต้องมีการอบรมและการฝึกฝีมือช่างสาย<br />
อนุรักษ์ซึ่งกําลังขาดแคลนไปพร้อมๆ กัน<br />
นอกจากนี้ยังต้องสนับสนุนให้เกิดการวิจัยเรื่องวัสดุเก่าที่<br />
หายากและต้องใช้ในงานอนุรักษ์เพื่อรื้อฟื้นองค์ความรู้เอง<br />
วัสดุที่เหมาะสม กลับมาผลิตใหม่หรือให้เกิดการสร้าง<br />
นวัตกรรมใหม่ๆ ไปเลย ทั้งหมดนี้หากมีจุดเริ่มต้นที่สมาคมฯ<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 26 27<br />
Refocus Heritage
เพราะความที่เราเป็นหน่วยงาน NGO แรกในประเทศไทย<br />
ที่ทําเรื่องนี้มากว่า 50 ปี เรารู้ปัญหาเราก็สามารถเป็น<br />
ผู้ริเริ่มและร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐหรือองค์กรอื่นๆ<br />
เพื่อพัฒนางานอนุรักษ์อย่างต่อเนื่องได้ แต่ทั้งนี้ทั้งนายก<br />
สมาคมฯ และกรรมการบริหารของสมาคมฯ ก็จะต้องเห็น<br />
ภาพร่วมกันถึงบทบาทอันสําคัญอย่างยิ่งยวดของงานอนุรักษ์<br />
ที่ทําภายใต้สมาคมฯ มาอย่างยาวนานว่ามีความสําคัญต่อ<br />
แวดวงอนุรักษ์ของประเทศไทยมากขนาดไหน แม้เราจะ<br />
ไม่ใช่สมาคมอนุรักษ์ แต่ในแง่วิชาชีพ แล้วภาครัฐและ<br />
ภาคส่วนต่างๆ ในสังคมต่างหวังพึ่งเราในกิจการนี้อย่างมาก<br />
เพราะเราเป็นศูนย์รวมของผู้มีองค์ความรู้ทางด้านนี้ และ<br />
ทํางานด้านนี้ต่อเนื่องมาตลอดครึ่งศตวรรษและหากเรา<br />
ต้องการทําบทบาทนี้ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นงานนี้คงต้อง<br />
ทําอย่างต่อเนื่องไม่ใช่ทําแบบงานอาสาสมัครที่เปลี่ยนคนทํา<br />
ไปเรื่อยๆ และไม่มีความต่อเนื่องจึงถึงเวลาที่จะมีโครงสร้างใหม่<br />
มารองรับการทํางานในรูปแบบและบทบาทใหม่<br />
_ที่ผ่านมา สิ่งที่ยังขาดแคลน หรือปัญหาและอุปสรรค<br />
หลักของงานอนุรักษ์ คือเรื่องอะไร<br />
หลักๆ คือประเทศไทยไม่มี database ก็เลยคิดว่าควรมี<br />
แหล่งที่เป็น database เช่น การทําบัญชีมรดกสถาปัตยกรรม<br />
ระดับท้องถิ่น หรือเราไม่ต้องทําเองก็ได้ ยกตัวอย่าง<br />
กรมธนารักษ์มีอาคารอยู่ในความดูแลเยอะแยะ ถ้ากรม<br />
ศิลปากรไม่ขึ้นทะเบียนอาคารเป็นโบราณสถานหน่วยงาน<br />
ที่ใช้อาคารหรือผู้เช่าที่เอกชนสามารถรื้อได้ ถ้าในพื้นที่นั้น<br />
มีประชาชนเข้มแข็งคอยเป็นหูเป็นตาเขาก็จะลุกขึ้นมาปกป้อง<br />
มรดกกันเป็นกรณีๆ เป็นงานเชิงรับ การทํางานอนุรักษ์<br />
ของสมาคมฯ ก็มักจะเจอกรณีแบบนี้ที่เราไปเจอเองบ้าง<br />
หรือได้รับการร้องเรียนมาบ้าง เพราะคนทั่วไปเจอแบบนี้<br />
ก็ไม่รู้จะทําอย่างไร ก็จะเห็นเราเป็นที่พึ่ง ในช่วงหลังเราจะ<br />
เห็นว่าเราเจอที่ปลายเหตุว่ากําลังจะรื้อแล้ว ได้งบประมาณ<br />
รื้อและสร้างใหม่มาแล้ว เราเข้าไปขวางก็กลายเป็นฝ่าย<br />
ตรงข้าม ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย แต่จริงๆ เราไม่อยากเป็น<br />
อย่างนั้น เราจึงควรทํางานเชิงรุก เราควรให้ความรู้ กันไว้<br />
ดีกว่าแก้ ควรเสนอให้มีการทําบัญชีมรดกสถาปัตยกรรม<br />
ถ้าสมาคมฯ เห็นด้วยก็ควรทําลิสต์รายชื่อเข้าไปให้กรม<br />
ธนารักษ์เลย ไอเดียนี้เราได้เคยนําไปเสนอในเวทีการ<br />
ประชุมต่างๆ ซึ่งกรรมาธิการอนุรักษ์มีบทบาทมาก เช่น<br />
ในเวทีคณะกรรมการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์<br />
และเมืองเก่า ซึ่งในชุดต่างๆ เหล่านี้ ก็มีตัวแทนจาก<br />
กรมธนารักษ์ สํานักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์<br />
และองค์กรที่เกี่ยวกับการพัฒนาเมืองเก่าเข้าประชุมด้วย<br />
เราก็คิดว่าเราไปให้ไอเดีย มีช่วงหนึ่งที่ทางกรมธนารักษ์<br />
รับไอเดียไปแล้วบอกว่าจะดําเนินการเอง แต่ตอนหลังก็เห็น<br />
เงียบไปอีกแล้ว อาจเป็นเพราะผู้สั่งการย้ายไปหรือเกษียณ<br />
ไป การทํางานจึงไม่ต่อเนื่องในหน่วยงานราชการ อันนี้ก็<br />
เป็นข้อด้อยของระบบราชการไทย ทําให้มีไอเดียว่าทาง<br />
สมาคมฯ น่าจะทําเอง แล้วไปผลักดันให้เขาเอาไปบังคับใช้<br />
ในหน่วยงานนั้นๆ เท่าที่เห็นก็จะมีสํานักงานทรัพย์สินส่วน<br />
พระมหากษัตริย์ในยุคนั้นที่เริ่มทําบัญชีมรดกสถาปัตยกรรม<br />
ของตนเอง และเห็นทําหนังสือออกมาหลายเล่ม อาจได้รับ<br />
แรงบันดาลใจจากหนังสือ 74 มรดกสถาปัตยกรรมใน<br />
ประเทศไทย กรรมาธิการอนุรักษ์ของสมาคมฯ ริเริ่ม<br />
ทํามาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2547 ก็เป็นได้<br />
_นอกจากที่ขาดการจัดทำ database แล้ว มีปัญหาอื่นๆ<br />
ที่เกี่ยวกับการทำงานอนุรักษ์ในพื้นที่เมืองเก่าอีกบ้างไหม<br />
ที่เราเห็นคือภาครัฐไม่ทํางานบูรณาการร่วมกันทั้งในและ<br />
นอกองค์กร อย่างเช่น กรมศิลปากร หรือกรุงเทพมหานคร<br />
(กทม.) ปัญหาที่เกิดขึ้นทั้งหลายแหล่มักจะเกิดจากตรงนี้<br />
เช่น สํานักผังเมือง กทม. ต้องมาทํางานในพื้นที่เมืองเก่า<br />
ด้วย เข้าประชุมร่วมกับ สผ. ในการวางแผนแม่บทอนุรักษ์<br />
และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ ก็มีการวางผังของเขาไว้อย่าง<br />
หนึ่ง แต่หน่วยงานอื่นๆ ใน กทม. ด้วยกัน เช่น สํานักโยธา<br />
สํานักการระบายนํ้ำ หรือการคมนาคม เขาก็มีโครงการ<br />
ของเขา การทําโครงการมันก็จะเกิดการซ้อนทับบนพื้นที่<br />
เดียวกันที่เป็นเมืองเก่า แต่สํานักผังเมืองก็ไม่ได้มีอํานาจ<br />
หน้าที่ไปห้ามไม่ให้สํานักอื่นไม่ทําตามแผนของเขาได้ แต่<br />
ในบางครั้งสมาคมวิชาชีพอย่างเราสามารถจะทําหน้าที่ใน<br />
การประสานให้เกิดการบูรณาการได้บ้าง แต่เราต้องทํางาน<br />
แบบเชิงรุก เช่น มองเห็นว่าใครทําอะไรแล้วจะเกิดปัญหา<br />
เราสามารถทํางานแบบเชิงรุกที่จะไปเชื่อมกับเขาได้ก่อน<br />
สายเกินแก้ ทําหน้าที่เป็นนํ้ำไหลไปเชื่อมโยงหาหน่วยงาน<br />
นั้นหน่วยงานนี้ เป็นเรื่องที่เราน่าจะทําเพราะเราเป็น<br />
องค์กรวิชาชีพ มีองค์ความรู้เฉพาะด้านที่สามารถ<br />
จะช่วยเขาได้<br />
การทํางานด้านหนึ่งที่มีอุปสรรคมากคือที่วัด เราพยายาม<br />
จะไปให้ความรู้ได้แต่บางครั้งเขาก็ไม่ฟัง ไม่ใช่เฉพาะเราที่<br />
เขาไม่ฟัง แม้แต่กรมศิลป์ผู้ถือกฎหมายเขายังไม่ฟังเลย เช่น<br />
เหตุการณ์รื้อโบราณสถานที่เกิดขึ้นที่วัดกัลยาณมิตรพันธกิจ<br />
หลักของเราคือการให้ความรู้เพื่อให้เขาเห็นคุณค่าร่วมกับ<br />
เราตามหลักวิชาการ และบางทีเราต้องทํางานร่วมกับองค์กร<br />
อื่น เช่น ICOMOS, UNESCO หรือองค์กรสากลนานาชาติ<br />
อื่นๆ ในบางกรณีเรื่องวิชาการเฉพาะทางเราพูดเองไม่ได้<br />
หรือยังไม่มีนํ้ำหนักพอ เราก็ใช้วิธีเชิญคนอื่นมาพูดแทน<br />
ให้เกิดผู้เล่นที่เหมาะสม ให้เกิดการเห็นคุณค่าร่วมกัน<br />
เรามีหน้าที่ให้ความรู้ แต่ถ้ารู้แล้วก็ยังทําผิด ก็เป็นเรื่องที่<br />
อยู่นอกเหนือจากอํานาจหน้าที่เราเพราะเราไม่ได้เป็นผู้มี<br />
อํานาจตามกฎหมาย แต่อย่างประชาชนในพื้นที่ที่เขาเห็น<br />
การทําลายมรดกหรือโบราณสถาน เขาจะเห็นเราเป็นที่พึ่ง<br />
เขาก็จะส่งเรื่องมาที่เรา คือเขาไม่รู้จะส่งเรื่องไปที่ไหน<br />
แต่เขารู้ว่าเราทําเรื่องแบบนี้อยู่ แต่เราจะไม่มีอํานาจไป<br />
บอกในพื้นที่ว่าห้ามทําโดยตรง คือถ้าเราเห็นว่าพื้นที่อยู่ใน<br />
ความดูแลของกรมศิลปากร เราก็จะส่งเรื่องให้กรม<br />
ศิลปากรให้เขาไปตรวจสอบพิจารณาว่าอาคารเข้าข่าย<br />
ต้องเก็บหรือไม่ เราไม่ได้มีอํานาจอยู่ในมือ บทบาทของเรา<br />
เพียงแค่ทําให้คนรู้ว่าคุณค่าคืออะไร หรือถ้าเพื่อจะป้องกัน<br />
ไม่ให้เกิดการทําลาย เราก็ต้องแจ้งให้ผู้ดูแลรับผิดชอบตาม<br />
กฎหมายมาดูแล เราเป็นหูเป็นตาแทนแล้ว ให้เขามาพิจารณา<br />
เองว่าเขาต้องบังคับใช้กฎหมายอย่างไรเพื่อไม่ให้เกิดการ<br />
ทําลายมรดก แต่ประเด็นนี้ก็ยังมีช่องโหว่จากการตีความ<br />
กฎหมายที่ไม่ตรงกันของแต่ละคนที่ทํางานในหน่วยงาน<br />
เหล่านั้นโดยเฉพาะในกรณีการตีความของโบราณสถานที่<br />
ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน<br />
_ในเรื่องของการให้ความรู้ ในวงวิชาการ ในการรู้จักประเมิน<br />
คุณค่าอาคารเก่า แม้ว่าอาคารนั้นจะไม่ได้ถูกขึ้นทะเบียน<br />
เพื่อให้รับรู้ว่าเป็นมรดกของชาติ ซึ่งบางครั้งก็สำเร็จ<br />
บางครั้งก็ไม่สำเร็จ คิดว่าต้องทำอย่างไรให้ดีขึ้นได้<br />
ความสําเร็จขึ้นอยู่กับว่าตั้งเป้าหมายไว้อย่างไรหากเป้าหมาย<br />
ของเราคือการไม่ให้โบราณสถานถูกรื้อ เราก็เรียกว่าเราทํา<br />
ไม่สําเร็จถ้าอาคารถูกรื้อ แต่ถ้าเป้าหมายของเราคือการให้<br />
ความรู้เชิงวิชาการ เพื่อที่จะทําให้เกิดการเห็นคุณค่าร่วมกัน<br />
และเกิดการตัดสินใจไม่รื้อ ความสําเร็จสูงสุดก็ยังอยู่ที่การ<br />
ไม่ให้โบราณสถานถูกรื้อ แต่หากยังถูกรื้ออยู่ดี เราก็ยังมี<br />
ความสําเร็จอยู่ในระดับหนึ่งของการได้มีโอกาสให้ความรู้<br />
และมีคนบางกลุ่มได้รับความรู้นั้นและเกิดความตระหนัก<br />
ในคุณค่าแล้ว แต่ถ้าถามว่ามันจะดีขึ้นได้อย่างไร ก็ต้องให้<br />
ความรู้ไม่เฉพาะกับผู้ที่จะรื้อ แต่ต้องให้ความรู้กับประชาชน<br />
ที่อยู่ในพื้นที่และมีส่วนได้ส่วนเสียทั้งทางตรงและทางอ้อมด้วย <br />
อย่างตามรัฐธรรมนูญมันจะมีกําหนดไว้เรื่องชุมชนท้องถิ่น<br />
มีหน้าที่ดูแลมรดกของตน เราต้องไปให้ความรู้และปลุกให้<br />
คนในท้องถิ่นในพื้นที่ลุกขึ้นมาใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับ<br />
สิทธิในการดูแลมรดกของชุมชนตามที่ระบุไว้ในรัฐธรรมนูญ<br />
เราเป็นเพียงคนนอกก็จริง แต่สิ่งที่เราทําได้คือไปบอกเขา<br />
ว่าถ้ามรดกของเขาหายไปแล้ว พวกเขาและประเทศชาติจะเสีย<br />
ผลประโยชน์อย่างไร ทําอย่างไรให้เขาออกมาร้องเรียน<br />
เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของพวกเขาเองและของส่วนรวม<br />
ไม่ใช่เราฝ่ายเดียวที่จะเป็นผู้เรียกร้อง<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 28 29<br />
Refocus Heritage
ช่วงหลังมีกลุ่มที่ทําหน้าที่อย่างเรามากขึ้นในแต่ละพื้นที่<br />
ซึ่งก็แสดงว่างานของเราสําเร็จเพราะว่ามีกลุ่มคนที่เห็นคุณค่า<br />
ของมรดกและโบราณสถานมากขึ้น น่าชื่นชมคนรุ่นใหม่ที่<br />
เริ่มเห็นคุณค่ามากขึ้นและอยากลุกขึ้นมาทําอะไรเพื่อปกป้อง<br />
มรดกมากขึ้นทุกวัน แต่คนเหล่านี้เขาก็ไม่ได้อยากมานั่ง<br />
เป็นกรรมาธิการทํางานให้สมาคมฯ หรอก มันน่าเบื่อที่ต้อง<br />
มาเข้าประชุม ต้องมาอยู่ใต้กฎระเบียบของสมาคมฯ เราเป็น<br />
คนรุ่นกลางที่อยู่ระหว่างกระแสการเปลี่ยนแปลงรูปแบบ<br />
การทํางานเพื่อสังคม คนรุ่นก่อนหน้านี้มาจนถึงรุ่นเรา<br />
เขาทํางานให้เป็นประโยชน์กับสังคมผ่านสมาคมวิชาชีพ<br />
หรือมูลนิธิภายใต้กฎเกณฑ์ที่ปฏิบัติต่อๆ กันมาในลักษณะ<br />
อาสาสมัครที่ไม่มีผลตอบแทน เป็นคนที่มีอายุอานาม<br />
พอสมควร มีความมั่นคงทางอาชีพการงานในระดับหนึ่ง<br />
ที่สามารถมาอุทิศตนและเวลาเพื่อส่วนรวมได้ แต่ในปัจจุบัน<br />
คนรุ่นใหม่เขาอยากทําทันที โดยสามารถเป็นงานที่เลี้ยงชีพ<br />
ได้ด้วยก็จะดี ไม่ว่าจะเป็นงานแบบจ้างประจําหรือเป็น<br />
project base ที่มีความเป็นอิสระ ก็เลยยิ่งทําให้เห็นว่า<br />
จําเป็นต้องมีการปฏิรูปการทํางานอนุรักษ์ของสมาคมฯ<br />
เพื่อให้เกิด platform ใหม่ๆ ปรับโครงสร้างการทํางานใหม่<br />
ที่เอื้อให้คนรุ่นใหม่ไฟแรงได้เข้ามาช่วยงานสมาคมฯ โดยมี<br />
ผลตอบแทนและเกิดงานที่ดีหลายๆ งานไปพร้อมๆ กัน<br />
ในแบบของเขา สามารถใช้ platform นี้เขียนโครงการขอ<br />
งบประมาณจากภายนอกเองโดยไม่ต้องมาเปลืองงบประมาณ<br />
ของสมาคมฯ ที่มักมีข้อจํากัดว่าต้องเท่าเดิมทุกปีแถมมีแต่<br />
จะได้น้อยลง อย่างที่ทําตรงกรรมาธิการอนุรักษ์มานี่ก็เกือบ<br />
จะปีแล้ว งบไม่เคยได้เพิ่มขึ้นเลยมีแต่ลดลง หรือการขอ<br />
สปอนเซอร์ได้เวลาจัดกิจกรรมภายใต้ร่มของสมาคมฯ หรือ<br />
ทําเรื่องขอทุนเองโดยมีการคัดเลือกโครงการดีๆ มาทําทั้งนี้<br />
สมาคมฯ จะทําได้ก็ต้องมีหน่วยงานใหม่ภายใต้สมาคมฯ<br />
ที่มีผู้เชี่ยวชาญด้านการบริหารจัดการมรดกสถาปัตยกรรม<br />
มาบริหารงาน นี่คือโมเดลของศูนย์มรดกเมืองที่ได้เคยเสนอ<br />
และเกิดขึ้นแล้วเมื่อปี 2560-2561 เพื่อการฉลองครบรอบ<br />
50 ปีของการทํางานของกรรมาธิการอนุรักษ์ฯ ภายใต้<br />
สมาคมสถาปนิกสยามฯ แต่ก็เป็นที่น่าเสียดายที่ถูกยุบไป<br />
ไม่ได้ทําต่อให้เกิดขึ้นเป็นplatform ใหม่เป็นโครงสร้างใหม่ที่จะ<br />
ทําให้เกิดความยั่งยืนในการทํางานอนุรักษ์ให้เป็นประโยชน์กับ<br />
สังคมมากขึ้นร่วมกับสมาชิกสมาคมฯรุ่นใหม่ที่สนใจมาร่วมงาน<br />
นอกจากนี้ยังต้องเป็นศูนย์แบบ one stop service ที่ให้<br />
คําปรึกษาในการทําโครงการอนุรักษ์แก่ประชาชนทั่วไป<br />
แก่หน่วยงานภาครัฐทั้งส่วนกลางและท้องถิ่น รวมไปถึง<br />
การจัดอบรมให้ความรู้แก่สมาชิกสมาคมฯ ในการดําเนิน<br />
โครงการในพื้นที่ที่เป็นมรดกหรือเป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรมด้วย <br />
ในประเทศไทยเรายังไม่มีวิชาชีพสายการอนุรักษ์ที่แบ่งออกมา<br />
อย่างชัดเจน ซึ่งทําให้การอนุรักษ์ยังกระจุกตัวอยู่ที่กรมศิลปากร <br />
และผู้เชี่ยวชาญที่มีเป็นส่วนน้อย หากเราเริ่มมีการอบรม<br />
สาขาวิชาชีพนี้ขึ้นมาให้เป็นที่รู้จักมากขึ้น โดยร่วมมือกับ<br />
กรมศิลปากรและสถาบันการศึกษา ก็จะเป็นประโยชน์ใน<br />
การเพิ่มบุคลากรและขยายงานด้านการอนุรักษ์ให้กว้าง<br />
ขวางมากขึ้น เป็นการยกระดับงานด้านการอนุรักษ์ให้เป็น<br />
ที่แพร่หลายและตอบรับกับความต้องการในเรื่องการพัฒนา<br />
อย่างยั่งยืนซึ่งเป็นเป้าหมายร่วมกันของการพัฒนาเมืองทั่วโลก <br />
ภารกิจอีกอย่างที่ได้วางไว้สําหรับศูนย์นี้คือการเป็นศูนย์<br />
ข้อมูลมรดกสถาปัตยกรรมในประเทศไทยอีกด้วย เพราะ<br />
ไม่มีหน่วยงานภาครัฐใดทําเลย จะเห็นได้ว่าศูนย์มรดก<br />
เมืองเป็นโครงสร้างภายในสมาคมฯ ที่ต้องการบุคลากร<br />
ประจําเพื่อขับเคลื่อนให้เกิดการพัฒนางานทางด้านการ<br />
อนุรักษ์ให้ก้าวไกลได้โดยอาจสอดแทรกอยู่ในโครงสร้างเดิม<br />
ของสมาคมฯ ที่เคยตั้งไว้ เช่น สถาบันสถาปนิกสยาม หรือ<br />
จะเป็นเพียงสายงานหนึ่งที่ต้องมีการเพิ่มบุคลากรที่ทํางาน<br />
เฉพาะทางเพียง 2 คน โดยไม่ต้องใช้งบประมาณมากมาย<br />
ในการสร้างศูนย์ใหม่ทางกายภาพ ซึ่งเป็นเรื่องของอาคาร<br />
สถานที่ที่เป็นเรื่องรอง<br />
อีกเรื่องคือ การถอดองค์ความรู้ อย่างกรณีโครงการฟื้นฟู<br />
กุฎีจีน สิบปีให้หลังก็ต้องมีการถอดบทเรียนทําออกมาเป็น<br />
หนังสือ หรือ e-book หรือเราจะถอดบทเรียนของกลุ่มอื่น<br />
ที่เขาทํางานอนุรักษ์ก็ได้เราก็น่าจะมีหน้าที่ที่จะเก็บองค์ความรู้ <br />
นี้ เพราะเดี๋ยวนี้เราอาจจะไม่ต้องทําเองแล้วเพราะมีคนอื่น<br />
ทํามากขึ้นแล้วในพื้นที่ต่างๆ เราอาจจะทําหน้าที่เป็นพี่เลี้ยง<br />
เป็นที่เก็บรวบรวมและนําเสนอข้อมูลเหล่านี้ ทําหน้าที่เป็น<br />
platform รวบรวมข้อมูล นําเสนอและแปลเป็นภาษาอังกฤษ<br />
มีเว็บไซต์ที่คนอยากเข้ามาดูเรื่องการอนุรักษ์ มีเว็บไซต์<br />
ของสมาคมฯ ที่เปิดมาแล้วมีข้อมูลรางวัลอนุรักษ์ดีเด่นที่<br />
ครบถ้วน มีการเผยแพร่ผลงานของสมาคมฯ และเครือข่าย<br />
ที่เคยทํามา และในอนาคตเผยแพร่งานของสมาชิกสมาคมฯ<br />
ที่ไปมีส่วนร่วมทํางานอนุรักษ์ในพื้นที่ต่างๆ<br />
_คนรุ่นใหม่ที่ทำงานด้านอนุรักษ์มีเครื่องมืออะไรใหม่ๆ<br />
ในการทำงานในยุคสมัยนี้<br />
สมัยนี้มีเครื่องมือใหม่เยอะมาก นอกเหนือจากเครื่องมือ<br />
ทางเทคนิคเช่น 3D scan หรือรูปแบบของกิจกรรมหรือ<br />
เวิร์คช็อปต่างๆ เช่น การเขียนแบบ measure work มรดก<br />
สถาปัตยกรรมแบบ Vernadoc โครงการประกวดการ<br />
เก็บข้อมูลอาคารควรค่าแก่การอนุรักษ์ แล้วยังมีเครื่องมือ<br />
ที่ถือเป็นซอฟต์แวร์ก็คือ “คน” ที่เข้ามาเป็นจักรกลสําคัญ<br />
ในการขับเคลื่อนงานอนุรักษ์ในชุมชน ย่านเก่าหรือเมืองเก่า<br />
เราจะไม่มองเพียงตัวอาคารแล้ว แต่ละพื้นที่มันจะมี<br />
องค์ประกอบต่างกัน เช่น อาจจะมี asset ต่างกัน ตัวละคร<br />
ที่เข้ามามีบทบาทต่างกันซึ่งจะคิดอะไรต่างกันมากตาม<br />
ความสนใจหรือความถนัดเฉพาะทาง ยกตัวอย่าง น้องต้อง<br />
ที่จ.แพร่ ที่มีบทบาทในโครงการอนุรักษ์สถานีรถไฟบ้านปิน<br />
เขาเองก็เป็นคนแพร่ และเป็นนักเขียนด้วย เขาไม่ใช่สถาปนิก<br />
เขาจึงอาศัยการค้นข้อมูลประวัติศาสตร์และทักษะการเขียน<br />
แล้วนําเสนอในเชิงพลิกประวัติศาสตร์ของพื้นที่ให้กลายมา<br />
เป็นด้านบวกได้และในพื้นที่อื่นๆก็มีการใช้ทักษะแตกต่างไป<br />
อย่างกลุ่มมาดีอีสานที่เปิด platform เป็น art space ที่<br />
จ.อุดรฯ หรือน้องเอ๋ ที่เริ่มอนุรักษ์อาคารเก่าแล้วเปิดเป็น<br />
art space ที่ จ.สงขลา คือแต่ละคนใช้ความสนใจส่วนตัว<br />
ใส่เข้าไป นี่คือข้อดีของคนรุ่นใหม่เพราะทําด้วย passion<br />
สรุปวันนี้ถ้าถอดบทเรียนที่เขาพูดกันในงานสัมมนาที่จัดโดย<br />
สมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม (SCONTE)<br />
เครื่องมือสําคัญของคนยุคใหม่คือ passion ซึ่งไม่มีกฎเกณฑ์ <br />
ตายตัวว่าต้องทํางานอนุรักษ์สถาปัตยกรรมโดยตรง หรือ<br />
ต้องเป็นสถาปนิก หรือถ้าเป็นสถาปนิกแล้วก็อาจมีคนสาย<br />
อาชีพอื่นมาร่วมงานจึงสามารถขยายงานให้กว้างขึ้นได้<br />
_ธีมหลักของงานสถาปนิกปีนี้ คือโจทย์ของการมองเก่า<br />
ให้ใหม่ หรือมรดกสถาปัตยกรรมอนุรักษ์ในมุมใหม่ และ<br />
ด้วยประสบการณ์ที่ทำงานงานด้านนี้มา เราจะสามารถ<br />
ช่วยกันพัฒนา ต่อยอดได้อย่างไรบ้าง<br />
มุมมองใหม่คือความเชื่อมโยงกับปัจจุบันโดยมี “คน” เป็น<br />
ตัวตั้ง การอนุรักษ์ไม่ได้สําคัญอยู่ที่แค่ตัวมรดกสถาปัตยกรรม<br />
แต่มันคือการทําให้เกิดความเชื่อมโยงและเห็นคุณค่าร่วมกัน<br />
ของสิ่งที่คนในอดีตได้สร้างไว้ คุณค่าที่คนในปัจจุบันสามารถ<br />
นํามาใช้ประโยชน์และพร้อมที่จะส่งต่อไปยังอนาคต อย่าง<br />
เช่นตึกเก่า แต่ละคนมองก็ไม่เหมือนกันแล้ว แต่ก็อยู่ที่ว่า<br />
เราจะทําอะไรกับมันให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ส่วนรวมใน<br />
ปัจจุบัน และเพื่อส่งมอบคุณค่าของมันให้คนรุ่นต่อไปได้ใช้<br />
ประโยชน์ต่อไปได้ในยุคของเขา ให้สิ่งที่มีคุณค่าเดิมที่มันมี<br />
เรื่องราวของมันและตอบสนองกับกิจกรรมยุคปัจจุบันซึ่งก็<br />
ยังสามารถถูกปรับเปลี่ยนได้ในอนาคต ซึ่งแต่ละคนก็อาจ<br />
เห็นไม่ตรงกันแต่มันมีองค์ความรู้ทางวิชาการอยู่ทําอย่างไร<br />
ให้คนได้รับทราบถึงองค์ความรู้นั้น คนในบางพื้นที่ยังไม่มี<br />
องค์ความรู้นั้นก็ควรต้องมีคนจากภายนอกที่มีองค์ความรู้<br />
ไปบอกเล่า ไปสื่อสารให้เกิดการเห็นคุณค่าร่วมกัน เมื่อมี<br />
องค์ความรู้เท่าเทียมหรือใกล้เคียงกันแล้วจึงจัดให้เกิดการ<br />
ตัดสินใจร่วมกันว่าคุณค่าอะไรที่ต้องคงอยู่และส่งต่อให้ลูกหลาน <br />
บางครั้งก็อาจจะไม่จําเป็นต้องเก็บสิ่งเดิมๆ ไว้ทั้งหมด<br />
แต่ควรต้องมีการบันทึกหลักฐานไว้ทั้งหมด เพื่อให้พื้นที่นั้น<br />
เป็นแหล่งเรียนรู้ที่มีความสมบูรณ์ เพราะที่ผ่านมาก็อาจมี<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 30 31<br />
Refocus Heritage
หลายชั้นหลายเลเยอร์ มีการปรับเปลี่ยนไปแล้วในอดีต <br />
ก็ต้องมาหารือร่วมกันว่าอดีตชั้นไหนที่จะเก็บและส่งต่อ<br />
และประโยชน์ใช้สอยใหม่ที่ต้องเพิ่มเติมคืออะไร ส่วนใหม่<br />
ที่เพิ่มเติมต้องแสดงยุคสมัยว่าทําในสมัยปัจจุบัน ไม่ไป<br />
ลอกเลียนแบบทําให้คนรุ่นต่อไปเกิดความเข้าใจผิดในเรื่อง<br />
ยุคสมัยของประโยชน์ใช้สอยที่ต่อเติมขึ้น ทั้งนี้ ต้องได้รับ<br />
การออกแบบจากผู้มีความเข้าใจในเรื่องคุณค่าและความงาม<br />
ไปพร้อมๆ กันเพื่อไม่ให้เกิดการไปทําลายหรือลดทอนคุณค่า<br />
เดิม และสิ่งที่สร้างใหม่เพิ่มเข้าไปมีความงามพอเหมาะพอดี <br />
และมีคุณค่าในตัวเองในฐานะมรดกสถาปัตยกรรมร่วมสมัย<br />
ซึ่งเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่งที่ยากแก่การสร้างความเข้าใจให้<br />
เกิดขึ้นแม้แต่ในหมู่สถาปนิกกันเอง<br />
การรีโนเวตอาคารที่เป็นมรดกสถาปัตยกรรมที่ยังไม่ได้รับ<br />
การขึ้นทะเบียนหรือระบุคุณค่าขึ้นบัญชีมรดกสถาปัตยกรรม<br />
หลายหลังตกอยู่ในมือของผู้ไม่รู้โดยมากเป็นเจ้าของอาคาร<br />
หรือผู้เช่าที่ให้ผู้รับเหมาทําตามที่ตนสั่งโดยปราศจากสถาปนิก<br />
ผู้มีความเชี่ยวชาญหรือมีความเข้าใจในเรื่องคุณค่าไปเป็น<br />
ที่ปรึกษาออกแบบ เรื่องนี้จึงยังถือเป็นปัญหาใหญ่มากใน<br />
วงการอนุรักษ์บ้านเรา เพื่อสะท้อนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นใน<br />
เรื่องที่กล่าวมานี้ ทาง UNESCO ได้ตระหนักถึงปัญหานี้<br />
และได้เริ่มคิดค้นวิธีแก้ปัญหาในเชิงบวกคือการจัดให้มีการ<br />
มอบรางวัลแก่งานออกแบบใหม่ในบริบทเก่า โดยการคัดเลือก<br />
รางวัล UNESCO Heritage Award Asia Pacific มีรางวัล<br />
พิเศษรางวัลหนึ่ง คือ รางวัลงานออกแบบใหม่ในบริบทพื้นที่<br />
อาคารอนุรักษ์ เป็นรางวัลที่ให้กับอาคารที่มีการออกแบบ<br />
ต่อเติมหรือสร้างใหม่ที่เข้ามาอยู่ในบริบทอาคารอนุรักษ์เดิม<br />
แต่ระบุไว้เลยว่าต้องไม่ลอกเลียนแบบอาคารเก่า และต้อง<br />
แสดงให้เห็นเทคโนโลยีการก่อสร้างในสมัยปัจจุบัน ซึ่งในปี<br />
พ.ศ. 2563 นี้ การคัดเลือกรางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรม<br />
ของสมาคมสถาปนิกสยามฯ ก็จะมีการคัดเลือกรางวัล<br />
ประเภทนี้ด้วย<br />
ปัจจุบันการสร้างนวัตกรรมในย่านเก่าหรือเมืองเก่าเริ่มมี<br />
บทบาทในการพัฒนาเมืองในยุคนี้ แต่ว่าการสร้างนวัตกรรม<br />
บางคนอาจจะคิดว่าต้องสร้างสิ่งใหม่ แต่ความจริงนวัตกรรม<br />
คือสิ่งใหม่ แนวคิดใหม่ที่มาทําให้สิ่งเก่ายังคงคุณค่าหรือมี<br />
คุณค่ามากขึ้น และสามารถทําให้ชีวิตของคนในพื้นที่นั้นดีขึ้น<br />
โจทย์มันกว้างมากและไม่มีคําตอบสุดท้ายและคําตอบเดียว<br />
และ ณ เวลาที่เราตัดสินว่ามันเป็นอะไร มันก็พร้อมจะ<br />
เปลี่ยนแปลงได้ทุกวัน สิ่งสําคัญที่จะเกิดนวัตกรรมไปใน<br />
ทางที่ดีในพื้นที่ที่เป็นแหล่งมรดกวัฒนธรรมคือการจัดทํา<br />
ชุดองค์ความรู้เกี่ยวกับคุณค่าของพื้นที่ สถาปัตยกรรมและ<br />
มรดกวัฒนธรรมของพื้นที่นั้นๆ ให้เกิดความรับรู้ร่วมกัน<br />
และสามารถสร้างกลไกทางสังคมหรือทางกฎหมายให้เกิด<br />
การปกป้องคุณค่านั้นๆ ให้คงอยู่ได้ก่อนที่จะมีการเพิ่มสิ่งใหม่ๆ<br />
เข้าไป<br />
การอนุรักษ์ที่ดีควรให้มีการคงสภาพเดิมให้มากที่สุด เพียง<br />
แต่ถ้ามีอะไรที่ลึกซึ้งไปกว่านั้น เช่น ประวัติศาสตร์มันมี<br />
หลายยุคสมัย มีหลักฐานซ้อนกันอยู่หลายชั้น อันนี้ก็ต้อง<br />
ใช้เวลาที่จะศึกษาประวัติศาสตร์เพื่อจะบอกว่าจะให้ความ<br />
สําคัญกับชั้นหรือเลเยอร์ไหน จะเก็บอะไร จะเอาสมัยไหน<br />
ก็เหมือนกับตอนที่เฉลิมไทยถูกรื้อ ก็มีการมองว่ามันไปบัง<br />
วัดราชนัดดาซึ่งมีมาก่อน อันนี้เป็นแนวคิดที่มีมุมมองได้<br />
หลายหลาก บางคนก็อาจจะคิดว่าข้างหลังสําคัญกว่า แต่<br />
บางคนก็อาจจะเห็นว่าข้างหน้าก็เป็นประวัติศาสตร์หน้า<br />
หนึ่งที่ควรเก็บแล้วเปิดช่องให้มองไปข้างหลังได้ แต่มันขึ้น<br />
อยู่กับว่าใครเป็นคนที่มีอํานาจตัดสินใจในโครงการนั้นๆ<br />
_ฟังดูเหมือนว่าภาครัฐมักจะให้ความส ำคัญและสนใจ<br />
แต่มรดกที่เป็นทางการและของชนชั้นนำ แต่ถ้าเป็นมรดก<br />
ชาวบ้านก็จะไม่ได้ให้ความสำคัญ และมีแนวโน้มที่จะ<br />
ถูกรื้อทิ้งไป<br />
ภาครัฐยังมีธงในการขึ้นทะเบียนเฉพาะวัด วัง และอาคาร<br />
ราชการที่มีคุณค่าระดับชาติเป็นหลัก ตอนนี้กรณีที่มีข่าว<br />
ว่าจะมีการปรับเปลี่ยนหน้าตาอาคารราชดําเนินก็แสดงถึง<br />
การไม่เข้าใจในเรื่องคุณค่าของมรดกสถาปัตยกรรมยุค<br />
โมเดิร์น แม้จะไม่รื้อทิ้ง แต่การไปปรับเปลี่ยนมันคือการลบ<br />
ประวัติศาสตร์ออกไปหน้าหนึ่ง ก็อยู่ที่ว่าเขาจะลบไปทําไม<br />
มองอีกแง่หนึ่งการตัดสินใจปรับโฉมกลุ่มอาคารราชดําเนิน<br />
ครั้งนี้ก็จะกลายเป็นประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของอาคารชุดนี้<br />
ในอนาคตเลยทีเดียว ซึ่งบ่งบอกให้เห็นถึงการที่ผู้มีอํานาจ<br />
ที่ดําเนินการภายใต้แนวคิดอะไร<br />
ส่วนมรดกที่เป็นของเอกชนแม้มีคุณค่ามากระดับชาติ รัฐก็<br />
ไม่ค่อยเข้ามาขึ้นทะเบียน เพราะในเมืองไทยมักมองกันว่า<br />
การขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานเป็นการลิดรอนสิทธิ์ จึง<br />
ไม่อยากมาขึ้นทะเบียนอาคารของเอกชน และเอกชนเองก็<br />
ไม่อยากให้รัฐมาขึ้นทะเบียน เพราะจะทําอะไรก็ต้องรอ<br />
อนุญาต ถ้ายังมีมุมมองแบบนี้กันทั้ง 2 ฝ่ายก็เป็นความซวย<br />
ของประชาชนในประเทศที่ไม่มีกลไกหรือเครื่องมือทาง<br />
กฎหมายในการปกป้องมรดกของส่วนรวมเลย สําหรับเรา<br />
มองว่าการไม่ขึ้นทะเบียนต่างหากที่มาลิดรอนสิทธิ์ของส่วน<br />
รวมในการปกป้องมรดกของชาติซึ่งคือมรดกของประชาชน<br />
ในเมื่อรัฐไทยยังไม่มีกลไกหรือมาตรการเชิงบวกที่สามารถ<br />
เอื้อในการสนับสนุนด้านงบประมาณในการอนุรักษ์มรดก<br />
ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของเอกชนได้ เราก็ยังต้องเผชิญหน้ากับ<br />
ความสุ่มเสี่ยงในการสูญหายของมรดกสถาปัตยกรรมไป<br />
เรื่อยๆ โดยไม่มีใครสามารถทําอะไรได้เลย<br />
_อยากฝากอะไรให้กับสถาปนิกรุ่นใหม่ หรือผู้ใหญ่ที่มี<br />
ส่วนเกี่ยวข้องในแวดวงอนุรักษ์บ้าง<br />
ควรต้องมีการให้ความรู้ในมุมของคุณค่าของมรดกทาง<br />
สถาปัตยกรรม สถาปนิกเรากันเองยังไม่เห็นคุณค่าของ<br />
มรดกสถาปัตยกรรมเลยบางที แล้วจะให้คนนอกสาย<br />
อาชีพมาเห็นคุณค่าก็คงยาก ประเทศไทยเราหน่วยงานที่<br />
ทําหน้าที่บ่งชี้ว่าอาคารไหนที่มีคุณค่าก็ยังทําได้ไม่ครบ เช่น<br />
กรมศิลปากรที่มีหน้าที่ขึ้นทะเบียนก็ยังทําไม่ครบ มีข้อจํากัด<br />
หลายประการ เช่น เรื่องของงบประมาณ หรือระยะเวลา<br />
ในการทํางานสํารวจก่อนที่จะขึ้นทะเบียน การที่ต้องได้รับ<br />
การยินยอมจากเจ้าของอาคารก่อนการขึ้นทะเบียน หรือ<br />
การที่คนที่ทําหน้าที่ขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากรยังเป็นนัก<br />
โบราณคดีจึงยังไม่เห็นคุณค่าความงามของอาคารยุคโมเดิร์น<br />
เป็นต้น แต่ทั้งนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าอาคารที่ยังไม่ได้ขึ้น<br />
ทะเบียนเป็นอาคารที่ไม่มีคุณค่า มีอาคารยุคโมเดิร์นที่มี<br />
คุณค่าทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับการขึ้นทะเบียนบ้าง<br />
แต่ก็เป็นส่วนน้อยมาก เช่น อาคารเฉลิมกรุงที่รัชกาลที่ 7<br />
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง ในปัจจุบันอาคารโมเดิร์นอื่นๆ<br />
ในหลายๆ ประเทศ ก็ได้รับการยอมรับในเรื่องคุณค่าใน<br />
ฐานะมรดกสถาปัตยกรรม และมีกลุ่มอาคารยุคนี้ที่ได้เป็น<br />
มรดกโลกแล้วด้วย ในประเทศไทยพอกรมศิลปากรไม่ขึ้น<br />
ทะเบียนเป็นโบราณสถาน คนทั่วไปหรือแม้เจ้าหน้าที่ภาค<br />
รัฐที่ดูแลอาคารราชการ เช่น กรมธนารักษ์ ก็คิดว่ามันไม่มี<br />
คุณค่า นี่ก็เป็นจุดที่เป็นปัญหาอยู่ทําอย่างไรที่จะระบุคุณค่า<br />
นี้แล้วทําให้เป็นที่รับรู้ร่วมกัน<br />
สถาปนิกเองก็น่าจะต้องสังวรในเรื่องนี้ ว่าอาคารทั้งหลาย<br />
ที่เรารีโนเวต ปรับปรุงใหม่ หรือออกแบบ adaptive reuse<br />
ต่างๆ แม้ว่ายังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน แต่อาคารหายหลัง<br />
ก็มีคุณค่าเป็นมรดกสถาปัตยกรรม ซึ่งควรค่าแก่การอนุรักษ์<br />
เพื่อบ่งบอกถึงคุณค่าทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมใน<br />
ยุคสมัยหนึ่งซึ่งเป็นหลักฐานทางประวัติศาสตร์ สังคม<br />
เศรษฐกิจ เทคโนโลยี และฝีมือช่างในยุคนั้นๆ ที่หากเรา<br />
ปรับปรุงอาคารโดยการรื้อทําลายหลักฐานหรือคุณค่านั้นๆ<br />
ไปเสีย ก็เป็นเรื่องที่น่าเสียดายแทนชนรุ่นหลังที่จะไม่ได้<br />
เห็นผลงานที่มีคุณค่าเหล่านั้นอีกต่อไป แต่หากเกิดความ<br />
ไม่แน่ใจในเรื่องคุณค่าของมรดกสถาปัตยกรรมก็ควรปรึกษา<br />
ผู้ที่มีองค์ความรู้ทางด้านนี้ เพื่อที่จะทํางานให้ดีโดยไม่ได้<br />
ทําลายคุณค่าเหล่านั้นไปโดยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ทั้งนี้<br />
ไม่ได้หมายความเฉพาะอาคารยุคโมเดิร์นเท่านั้นแต่รวมถึง<br />
มรดกสถาปัตยกรรมทุกยุคสมัยที่ยังไม่ได้รับการขึ้นทะเบียน<br />
ในประเทศไทย<br />
สําหรับผู้ใหญ่ในแวดวงอนุรักษ์ที่มีโอกาสเข้าไปนั่งเป็นกรรมการ <br />
อยู่ในชุดต่างๆ ของภาครัฐ ก็อยากจะฝากให้ช่วยกันหา<br />
โอกาสผลักดันให้เกิดการจัดทําบัญชีมรดกสถาปัตยกรรม<br />
ระดับท้องถิ่นโดยเร็วก่อนที่มรดกจะหายหมดหรือถูกทําให้<br />
เสื่อมค่าเพราะความไม่รู้ทั้งในระดับท้องถิ่นและในหน่วยงาน<br />
ราชการ ตลอดจนในวัดวาอาราม เพื่อให้เกิดการระบุคุณค่า<br />
ความสําคัญในระดับท้องถิ่น และจัดให้มีนโยบายเชิงรุกเพื่อ<br />
การปกป้องมรดก เช่น การออกเทศบัญญัติท้องถิ่น และ<br />
การสร้างมาตรการเชิงบวก เช่น การจัดตั้งกองทุนเพื่อการ<br />
อนุรักษ์ที่สามารถช่วยสนับสนุนด้านงบประมาณการดูแล<br />
อาคารอนุรักษ์ที่เป็นของเอกชน เพื่อกระตุ้นให้เกิดการ<br />
อนุรักษ์ได้อย่างเป็นรูปธรรม เพราะปัญหาใหญ่ที่เห็นใน<br />
ขณะนี้คือเรามีแต่มาตรการส่งเสริมวัฒนธรรมให้เกิดการ<br />
ต่อยอดเป็นสินค้าหรือการเพิ่มมูลค่า ให้เกิดการท่องเที่ยว<br />
ในแหล่งมรดกวัฒนธรรม แต่ยังไม่มีมาตรการหรือกฎเกณฑ์<br />
ใดๆ ที่จะปกป้องไม่ให้มรดกนั้นหายไป<br />
ปองขวัญ สุขวัฒนา ลาซูส / Pongkwan S. Lassus<br />
ตำแหน่งในปัจจุบัน:<br />
- อุปนายกสมาคมอนุรักษ์ศิลปกรรมและสิ่งแวดล้อม (SCONTE)<br />
- กรรมการบริหารสมาคมอิโคโมสไทย<br />
- กรรมการพิทักษ์มรดกสยาม สยามสมาคมฯ<br />
ตำแหน่งที่เกี่ยวข้องที่ผ่านมา:<br />
- อดีตหัวหน้าศูนย์มรดกเมือง สมาคมสถาปนิกสยามฯ พ.ศ. 2559<br />
- อดีตอุปนายกและประธานกรรมาธิการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม สมาคม<br />
สถาปนิกสยามฯ 2 สมัย พ.ศ. 2549-2451 และ พ.ศ. 2555-2557<br />
- อดีตกรรมาธิการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยามฯ<br />
พ.ศ. 2545-2557<br />
- อดีตที่ปรึกษากรรมาธิการอนุรักษ์ศิลปสถาปัตยกรรม สมาคมสถาปนิกสยามฯ<br />
พ.ศ. 2557-2559<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 32 33<br />
Refocus Heritage
SPECIAL INTERVIEW<br />
A Talk with the New <strong>ASA</strong><br />
President: Chana Sampalung<br />
Text: ปวริศ คงทอง / Pawarit Kongthong<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
Photo: ชนิภา เต็มพร้อม / Chanipa Temprom<br />
เมื่อไม่นานมานี้สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ได้จัดให้มีการเลือกตั้งนายกสมาคมฯ<br />
ในสมัยหน้าเสร็จสิ้นไปเป็นที่เรียบร้อย โดยผู้ที่ได้รับเลือกจากการลงคะแนนของสมาชิกสมาคมฯ<br />
ก็คือ “พี่โอ๋” หรือคุณชนะ สัมพลัง รองกรรมการผู้จัดการบริษัทสถาปนิก49เฮาส์ดีไซน์ จํากัด<br />
(A49HD) ทีมงาน <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> จึงถือโอกาสนี้ พูดคุยกับคุณชนะสั้นๆ เกี่ยวกับแนวทางการ<br />
ดําเนินงานและเป้าหมายในการบริหารงานสมาคมฯ ของคุณชนะ<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 34 35<br />
_ความรู้สึกหลังได้รับเลือกตั้งเป็นอย่างไรบ้างครับ<br />
อย่างแรกเลยคือตกใจ ในตอนแรกเราก็คิดว่ามั่นใจเพราะเรา<br />
ไปทางเด็กรุ่นใหม่ แต่พอดูแล้ว น้องๆ ไม่ค่อยสมัครเป็น<br />
สมาชิกสมาคมฯ ไม่ค่อยมีวัยรุ่นที่เป็นฐานเสียงของผมเลย<br />
คือคิดไว้ว่าอาจจะแพ้ พอมันกลับมาคะแนนนําก็เลยรู้สึก<br />
สงสัยเหมือนกันว่าใครกันที่เลือก ความรู้สึกมันเลยปนกัน<br />
แปลกๆ ครับ<br />
_พูดถึงการวางแผนระยะสั้น ระยะยาวในช่วงที่เป็นนายก<br />
ที่คิดว่าจะทำมีอะไรบ้างครับ<br />
บังเอิญว่า 4 ข้อหลักที่ผมตั้งใจทําแต่แรก มันน่าจะใช้เวลา<br />
ไม่นานก็จบ แต่หลายข้อมันจะทําครั้งเดียวไม่ได้และครั้งแรก<br />
มันอาจจะไม่ได้สร้างผลกระทบอะไรเลย แล้วมันคงต้องส่งต่อ<br />
ให้กับคนอื่นๆ ทําต่อ อย่างเช่น อันที่ผมคิดว่าเราอยากให้<br />
สถาปนิก หรือคนที่เรียนจบในสาขาสถาปัตยกรรมที่ไม่ใช่<br />
นักออกแบบ เขามีพื้นที่ หรือทําให้เขารู้สึกว่าหน้าที่ของเขา<br />
ก็สําคัญ อันนี้มันทําครั้งเดียวไม่ได้ ทําโดยสมาคมฯ เพียง<br />
อย่างเดียวก็ไม่ได้ มันอาจจะต้องได้รับความร่วมมือจาก<br />
มหาวิทยาลัยด้วย คือถ้าคณะเองให้ความสําคัญกับมัน สมาคมฯ <br />
ก็ให้ความสําคัญ ทุกๆ คนในวิชาชีพเห็นความสําคัญของเขา<br />
มันก็จะทําให้ความภูมิใจของคนที่อยู่ตรงนั้นมีมากขึ้น <br />
ซึ่งอันนี้ผมว่าไม่ใช่ปีสองปีแล้วจบ หรือว่าครั้งเดียวแล้วจบ<br />
อันนี้น่าจะเป็นระยะยาว แต่เชื่อว่าถ้าทําครั้งแรกแล้วมันได้<br />
รับผลตอบรับที่ดีเดี๋ยวนายกท่านอื่นๆ เขาก็ทําตาม<br />
_กิจกรรมต่างๆ ที่ทางสมาคมฯ เคยจัดมาจะมีการเปลี่ยนแปลง<br />
หรือพัฒนาอย่างไรบ้างครับ<br />
กิจกรรมเดิมๆ ที่เราทํากันมามันดีอยู่แล้ว ความหมายของ<br />
การที่จะทําให้มันแพร่หลายมากขึ้นหรือทําให้ดีขึ้นนี้ ไม่ได้<br />
แปลว่าของเก่ามันแย่เพียงแค่ผมมีความรู้สึกว่าเราทําซํ้ำๆ กัน<br />
In search of our new President, The Association<br />
of Siamese Architects (<strong>ASA</strong>) recently organized an<br />
election. With the result now finalized, the elected<br />
President with the most votes from our members<br />
is Chana Sampalang, one of the executives of A49<br />
Architects. <strong>ASA</strong> Crew had a brief conversation<br />
with the new President about his plans and goals<br />
for the association:<br />
_The moment you knew you were elected,<br />
how did it feel?<br />
The first feeling was shock. I really thought it<br />
would be someone from a younger generation,<br />
but we don’t have that many young members. I<br />
didn’t really think I was going to win. When I took<br />
the lead, I did wonder who voted for me. It was a<br />
mixture of feelings, actually.<br />
_What are the short-term and long-term plans<br />
you have for the association now that you’re<br />
taking office?<br />
The four goals I had in mind for the association<br />
won’t take that long to achieve, but many of<br />
them aren’t exactly the kinds of goals that can<br />
be achieved in one attempt. They may not even<br />
make any impact at first, and they may have to be<br />
handed over to other people who will be taking<br />
this job later. For example, I have an idea to create<br />
a platform for architects and people who have<br />
graduated in architecture-related fields but who<br />
do not necessarily have a design-oriented role, so<br />
Refocus Heritage
มานานแล้ว มันควรจะมีการพัฒนา ทีนี้พัฒนาการของมัน<br />
จะสนับสนุนตัวเราในด้านใดบ้าง เราพูดถึงเจเนอเรชัน<br />
อย่างหนึ่งแล้ว เราอาจจะต้องพูดถึงเชิงวิชาการอย่างหนึ่ง<br />
เราอาจจะต้องพูดถึงเมืองที่มันเปลี่ยนไปอาชีพที่มันเปลี่ยนไป<br />
ความพร้อมของสถาปนิกก็เปลี่ยนไปด้วย โลกมันกว้างขึ้น<br />
ทุกๆ อย่างมันควรจะต้องหันไปตอบตรงจุดนั้น ตอนนี้เรา<br />
จะสร้างกิจกรรมอะไรก็แล้วแต่ มันควรจะต้องตอบบริบท<br />
ของวันนี้ แล้วก็ทําให้มันดีขึ้นไปอีก ถ้าเราพูดถึง <strong>ASA</strong><br />
ไม่ว่าจะเป็นงาน <strong>ASA</strong> Expo หรือรางวัลต่างๆ ที่สมาคมฯ<br />
มอบให้ ผมคิดว่ามันควรมีโครงสร้างของมันว่าจุดประสงค์<br />
ของมันคืออะไร ที่ผ่านมาจุดประสงค์ของมันไม่ค่อยจะชัดเจน<br />
ว่าเราให้รางวัลเพื่ออะไร ให้เพื่อคัดเลือกงานที่ดีที่สุด หรือว่า<br />
จริงๆ แล้วเราให้รางวัลเพื่อประชาสัมพันธ์ประเทศ หรือ<br />
เราให้รางวัลเพื่อสร้างมาตรฐาน หรือเป็นการกระตุ้นให้<br />
คนผลิตงานดีๆ ออกมา<br />
_มีแนวทางอย่างไรที่จะให้คนทั่วไปเข้าใจในสมาคมฯ<br />
หรืออาชีพสถาปนิกมากขึ้นครับ<br />
อันนี้ยากและเป็นอะไรที่ต้องทําเป็นระยะยาวมาก คนก็ยัง<br />
ไม่เข้าใจ อย่าว่าแต่คนอื่นเลย แม่ผมก็ยังไม่เข้าใจ ตอนที่<br />
เขายังมีชีวิตอยู่เขาก็ไม่รู้ว่าเราทําอะไร มันเป็นอะไรที่ต้อง<br />
ค่อยๆ คิดแล้วทําแบบไม่จงใจทําไม่ได้ hard sale ให้เขารู้<br />
แต่คราวนี้มันคงต้องทําแล้วให้เขาเห็นถึงความสําคัญ<br />
จริงๆ แล้วความสําคัญของพวกเรามันแสดงได้โดยวิธีใดบ้าง<br />
ผมคิดว่าเราอาจจะต้องมาวิเคราะห์ อันนี้เป็นเหมือนเชิง<br />
การตลาดให้กับสมาชิกเลย คือถ้าคนรู้สึกว่าสําคัญ แสดง<br />
ว่าเราจะต้องสื่อสารออกไปว่าอาคารหลังนั้นมันส่งผลกระทบ<br />
อะไรบ้างกับคน ซึ่งสุดท้ายเราอาจจะไม่ได้ชูแค่ว่า คนนี้ได้<br />
รางวัลเหรียญทองหรือเหรียญเงินเพียงอย่างเดียว แต่มัน<br />
อาจจะต้องไปในเชิงอื่นด้วย ถามว่าการรับรู้ของคนใน<br />
ประเทศไทยต่อสถาปนิกแย่ขนาดที่เรากลัวไหม ส่วนตัว<br />
ผมคิดว่าไม่ได้แย่ขนาดนั้น คนส่วนใหญ่ก็รู้ แต่คนที่เขาไม่ได้<br />
เข้าถึงตรงนี้เขายังไม่รู้ แต่ก็จะพยายามช่วยให้ข้อมูลให้เขา<br />
ได้รับรู้ เราอาจจะต้องช่วยกัน อันนี้อาจจะไม่ใช่สมาคมฯ<br />
เป็นคนทําเพียงอย่างเดียว<br />
they feel like their jobs are also important. This<br />
isn’t the kind of initiative that can be pulled off in<br />
one attempt, and it isn’t something that can be<br />
achieved just by the association. It would require<br />
collaborations with universities, for example, and<br />
if the faculties acknowledge the importance of<br />
this matter, we can work together more effectively.<br />
Everyone in the field can acknowledge their<br />
roles and this recognition can really boost their<br />
pride. This takes more than one or two years to<br />
accomplish. It’s a long-term commitment, but I do<br />
believe that if we start now and the feedback is<br />
good, my successors as president will be able to<br />
continue the task.<br />
_Will there be any changes or developments<br />
with the activities that the association has been<br />
doing?<br />
The activities are doing great. Changing them<br />
or making them more widely recognized doesn’t<br />
mean the old things are bad, but I just have this<br />
feeling that we’ve been doing the same things for a<br />
while now and there should be some new developments.<br />
How these developments can support<br />
the association and in which aspects are the<br />
questions here. We talked earlier about the new<br />
generation of practitioners and maybe academics<br />
should be brought into the discussion as well.<br />
We may have to discuss how cities are changing,<br />
how people’s occupations are changing, and how<br />
architects’ preparedness is changing as well. The<br />
world is getting bigger, and everything should be<br />
contemplated to address these issues. Whatever<br />
activity we’re hosting, it needs to correspond<br />
with today’s context, and it needs to be improved.<br />
Whether we talk about the <strong>ASA</strong> Expo or the awards<br />
we’ve been granting, I think there should be a<br />
structure that outlines these goals. There hasn’t<br />
been a clear objective as to why we give out these<br />
awards. Are we trying to find the best projects,<br />
are the awards just an attempt to promote the<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 36 37<br />
Refocus Heritage
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 38 39<br />
_สมาคมฯ จะสามารถสนับสนุนสถาปนิกตั้งแต่รุ่นเล็ก<br />
ถึงรุ่นใหญ่อย่างไรบ้างครับ<br />
มิติแรกผมว่าเป็นเรื่องของการที่เราตอบคําถามแรกที่เรา<br />
ได้พูดไปว่า การที่น้องๆ ไม่สนใจสมาคมฯ เลย เพราะว่ามัน<br />
ไม่มีประโยชน์กับเขาหรือเปล่า เพราะถ้ามันมีประโยชน์<br />
เขาคงอยากเป็นสมาชิก คตินี้คือใจความสําคัญของการสร้าง<br />
ประโยชน์ให้สมาชิกเลย เพราะผมเคยพูดไปตอนให้สัมภาษณ์<br />
ครั้งหนึ่ง บอกว่าจริงๆ ถ้าสมาคมฯ มีแหล่งข้อมูลให้เขา<br />
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัสดุ กฎหมาย หรือการให้คําปรึกษาต่อ<br />
สิ่งที่เขาคับข้องใจไม่ว่าจะเรื่องอะไรก็แล้วแต่เขาก็จะวิ่งมาหา<br />
สมาคมฯ ทันที แล้วสมาคมฯ จะเป็นผู้ให้คําปรึกษาที่ดีที่สุด<br />
ซึ่งถ้าหากมีองค์กรเข้ามาช่วยตรงจุดนี้ มีคนให้ความรู้<br />
ไม่ใช่เป็นแค่การจัดอบรมแบบกว้างๆ รวมๆ แต่เป็นการช่วย<br />
แก้ปัญหาเฉพาะบุคคล ผมเชื่อว่าสมาคมฯ จะมีคนมาต่อคิว<br />
และมาขอความช่วยเหลือเลย ซึ่งถ้ามันเป็นแบบนั้นได้<br />
คนก็จะอยากมา คือเราไม่จําเป็นต้องบังคับเขา แต่เป็นการ<br />
ทําให้คนอยากเข้าหาสมาคมฯ เอง แล้วมันก็จะทําให้<br />
สมาชิกรู้สึกว่าสมาคมฯ กําลังตอบความต้องการเขา อย่าง<br />
ที่ผมบอกคือเรื่องบางเรื่องมันเป็นเรื่องปัญหาของแต่ละบุคคล<br />
เป็นปัญหาที่สถาปนิกคนนี้เจออยู่คนเดียวเนื่องจากแต่ละ<br />
คนประสบการณ์ไม่เหมือนกัน หากสมาคมฯ นําความรู้ของ<br />
สมาชิกทุกๆ คนสื่อสารไปถึงคนอื่นๆ ได้ บางคนเขาทํางาน<br />
ไทยประเพณี เขาไม่รู้ว่าวิธีการฉาบปูนในอาคารที่มันเป็น<br />
อาคารโบราณมันควรจะทําอย่างไร ถ้าถามผม ผมก็ไม่สามารถ<br />
ตอบได้แต่หากถามสมาคมฯ สมาคมฯ ก็อาจจะสามารถ<br />
ค้นหาคนที่รู้วิธีผสมปูนฉาบแบบไทยได้ ผมมองว่ามันเป็นเรื่องดี<br />
_ยกตัวอย่างองค์ความรู้ที่สมาคมฯ จะส่งต่อให้สมาชิก<br />
หน่อยครับ<br />
ด้านนี้จะเป็นด้านที่ผมโดนน้องๆ เพื่อนๆ ถามเสมอผมเลย<br />
คิดว่าขนาดคนที่มาจากบริษัทที่มีชื่อเสียงเขายังถามเราเลย<br />
เรื่องที่เขาถามก็น่าจะกลายเป็นประเด็นที่เราจะบอกต่อผู้อื่น<br />
เหมือนเล่าให้เขาฟังต่อได้เรื่องหลักๆ จะมีเรื่องของ proposal<br />
อันที่จริงสมาคมฯ ก็มี proposal ให้อ่านอยู่บนเว็บไซต์ แต่<br />
ไม่มีคนอธิบายว่า proposal นั้นความสําคัญคืออะไรบ้าง<br />
หรือ proposal นั้นไม่ทันสมัยแล้วค้างอยู่ในสมาคมฯ มานาน<br />
สมมติว่าหากปีหน้าผมอาจจะเชิญบริษัทใหญ่ๆ มาแบ่งปัน<br />
proposal มาแบ่งปันความรู้ที่มันเกิดจากความเจ็บปวดของ<br />
เขาในอดีต เพราะมันคือประวัติศาสตร์ของการเกิดเหตุและ<br />
ทุกคนก็จะบันทึกลงไปใน proposal เพื่อป้องกันตนเอง<br />
นี่คือหนึ่งประเด็นที่น่าสนใจประเด็นที่2 ก็คือน้องๆ หลายคน<br />
country, or are the awards intended to develop<br />
a standard or encourage people to create more<br />
great work? These are the questions that we<br />
should answer.<br />
_What are the approaches you think we can take<br />
to make the general public have a better understanding<br />
of the association and the architectural<br />
profession as a whole?<br />
It’s difficult, and it requires long-term action.<br />
People still don’t have a clear understanding of<br />
<strong>ASA</strong>—not only the general public, but also my own<br />
mother! Most people in the association don’t have<br />
a clue what we’re doing. It’s something that needs<br />
to be clarified gradually and naturally. The hard<br />
sale approach will never work. It needs to be done<br />
in a way that really shows the general public the<br />
significance of our role and the many possible<br />
ways that we can contribute. I think we may have<br />
to sit down, really analyze this situation, and think<br />
of it as a marketing strategy for our members. If<br />
the general public acknowledges our role as being<br />
important, it means that we have to communicate<br />
how a building can impact them. Eventually, this<br />
will probably involve something beyond promoting<br />
who gets which award. It will extend to other<br />
aspects. If you ask me if we should be concerned<br />
about the general public’s lack of recognition of<br />
our profession, I personally don’t think it is that<br />
bad. Most people are aware, but there are still people<br />
who’ve never been able to access our profession<br />
and our know-how, so they’re still not aware. We’ve<br />
been trying to provide them with useful information,<br />
but that takes a collective effort. It can’t just be<br />
the association doing all the work.<br />
_How can the association support architects<br />
who are practicing professionally, from both the<br />
younger and older generations?<br />
First, I think it’s about what I mentioned in my<br />
answer to the first question. Maybe the younger<br />
Refocus Heritage
ทํางานที่ต่างประเทศ สิ่งที่เราจะโดนกันก็คือจะเจอนักกฎหมาย<br />
ต่างชาติให้เราเซ็น proposal ของเขา ถ้าคนที่ทํางานต่าง<br />
ประเทศทั้งหมดนําproposal ที่เคยถูกเซ็นเอามารวมกัน<br />
แล้วมาสัมมนากันสักครั้งหนึ่ง ผมว่าก็อาจจะน่าสนใจมาก<br />
กับการที่เคยไปเจออะไรกันมาบ้าง อะไรที่เราต่อรอง และ<br />
อะไรที่เราเข้าใจความหมายมันผิด แน่นอน proposal ที่<br />
ลูกค้าทํามักจะเข้าข้างลูกค้าเสมอ เราจะยอมเซ็นได้แค่ไหน<br />
อาจจะต้องมีนักกฎหมายเข้ามาช่วย โลกตอนนี้มันไม่ได้<br />
อยู่ได้เฉพาะ proposal ภาษาไทยแล้ว ผมว่าสมาคมฯ ก็ควรจะ<br />
มี proposal ภาษาอังกฤษเป็นของตัวเองเพื่อใช้ ใครอยากใช้<br />
ก็ต้องสมัครเป็นสมาชิกก่อน นี่คือประโยชน์โดยตรงกับ<br />
สมาชิกสมาคมฯ เรื่องที่ 2 ก็คือการระบุวัสดุที่ค่อนข้างที่<br />
จะล้าสมัย การระบุวัสดุในปัจจุบันจะเกี่ยวข้องกับ BIM<br />
ถ้าทุกคนไม่รู้ว่าโลกมันจะไปทางนี้มันก็จะเริ่มยากแล้ว<br />
เพราะในอนาคตผมค่อนข้างมั่นใจว่า Autocad จะถูกเลิกใช้<br />
แน่ๆ ในอีกไม่นาน เมื่อไหร่ก็ตามที่ BIM เข้ามามีบทบาท<br />
การระบุวัสดุกับระบบ BIM มันคือเรื่องเดียวกัน มันคือการ<br />
เตรียมความพร้อมสําหรับ 5 ปีข้างหน้า การที่ชูประเด็นนี้<br />
ก็คล้ายกับเรื่องที่แล้ว ใครที่ไม่เคยเจอคงไม่อยากฟัง ก็<br />
ช่างเขา แต่หากเขาไม่เข้ามาฟังวันนี้อีก 5 ปีเขาจะกลายเป็น<br />
คนที่ถือขวานที่สร้างด้วยหิน เรื่องที่ผมพูดนี้มันคือพื้นฐาน<br />
ของสิ่งที่เราใช้ในทุกวันจะเป็นสองเรื่องที่สร้างความเจ็บปวด<br />
ให้เรากับน้องๆ ได้มากที่สุด แต่เรื่องอื่นๆ เราก็ยังต้องทํา<br />
เช่น เวลาเกิดปัญหาในการทํางาน โดนลูกค้าฟ้องขึ้นมา<br />
เราทํางานช้า หรือเขามีการปรับ เราจะต่อรองกับเขาอย่างไร<br />
หรือค่าออกแบบที่อ้างอิงได้คืออะไร หลายคนชอบถาม<br />
ผมว่าทําไมไม่กําหนดไปเลยว่าค่าออกแบบ 10 เปอร์เซ็นต์<br />
เท่านั้น ผมตอบว่าไม่ได้ ถ้าเกิดทุกคนถูกควบคุมด้วยราคา<br />
เดียวกัน ทุกคนจ้างแต่บริษัทขนาดใหญ่ทั้งหมดแน่ๆ มันมี<br />
การแข่งขันกันในเชิงราคา เราต้องยอมรับ แต่ทําอย่างไร<br />
ให้การแข่งขันเชิงราคามันไม่ได้มีค่ามากนักถ้าทุกคนมีอาวุธ<br />
พร้อมมือเหมือนๆ กัน มีมาตรฐานเดียวกัน คําว่ามาตรฐานนี้<br />
จะทําให้น้องที่เพิ่งเปิดออฟฟิศใหม่ค่อยๆ โต แล้ววันหนึ่ง<br />
ก็จะโตเท่ากับบริษัทใหญ่เอง ผมไม่เชื่อว่าจะมีบริษัทไหน<br />
ที่เกิดขึ้นมาแล้วก็หยุดอยู่ตรงนั้น<br />
generation of architects doesn’t pay that much<br />
attention to the association because they don’t<br />
see the value of doing so. If the association is able<br />
to benefit them somehow, they would probably<br />
still want to become members. This is the essence<br />
of the association. How can we make ourselves<br />
beneficial for our members? I’ve said in a previous<br />
interview that if the association is able to serve<br />
as a source of information—about materials,<br />
about laws, or about providing consultations for<br />
those who have questions or problems—everyone<br />
will come to us. The association can be the best<br />
consultant if it is an organization that provides<br />
the most useful knowledge (not just occasional<br />
training about information that is too vague or<br />
generic) and gives solutions to specific problems<br />
at an individual level. If we can do that, people will<br />
be lining up asking for help. If we can become that<br />
type of organization, people will want to reach out<br />
to us, and it will create a perception where members<br />
will feel that the association is responding to their<br />
needs. Everyone has different experiences, so the<br />
association should able to facilitate the exchange<br />
of knowledge and experiences between members,<br />
allowing everyone to communicate. For example,<br />
there are architects who work on traditional Thai<br />
architecture projects, and they may not know<br />
how the concrete work of an ancient Thai building<br />
should be done. If you ask me, I wouldn’t be able to<br />
answer. But if you go to the association, collectively,<br />
they may be able to find information about that<br />
ancient technique, and that, I think, would be a<br />
great thing.<br />
_ตอนนี้มีทีมงานที่จะมาร่วมงานกันมากน้อยแค่ไหนครับ<br />
ตอนนี้มีอยู่ประมาณ 40 คน อย่างที่บอกคือผมอยากให้<br />
ทุกคนมีส่วนร่วม ผมอยากทําให้ภาพของนายกในยุคผม<br />
ไม่ได้มีความสําคัญคนเดียว แต่ทีมงานจะเป็นคนที่สําคัญ<br />
ทีมงานคือกลุ่มคนที่จะขับเคลื่อนทุกอย่าง นายกเหมือนเป็น<br />
แค่กรรมการอยู่ตรงกลาง เป็นกุนซือควบคุมเกม แต่ตัว<br />
ผู้เล่นต่างๆ ที่มีคือคนสําคัญ ทีนี้ความโชคดีของผมก็คือ<br />
มีน้องๆ ช่วยเยอะ แต่ก็อยากจะให้ทุกคนมีส่วนร่วมคนละ<br />
นิดคนละหน่อยก็พอ เราก็เลยคิดว่าถ้าเกิดเรามีคนเยอะ<br />
เราก็ให้เขาทําแค่อย่างเดียว แล้วก็ทําให้มันดีโดยที่ไม่เหนื่อย<br />
สมมติว่ากิจกรรมมันอาจจะมีเยอะมาก มีเป็นสิบกิจกรรม<br />
เราอาจจะแบ่งแค่คนหนึ่งทําอย่างเดียวก็พอ แล้วก็ช่วยๆ<br />
แบ่งเบากันไป เพราะทุกอย่างคือการสมัครใจ ไม่จําเป็นต้อง<br />
มีคนที่วิ่งจัดการทุกงาน ทีนี้การที่จะจัดการคนในตอนท้าย<br />
มันอาจจะเพิ่มขึ้นเป็น 50 คน หรือ 100 คน อาจจะต้อง<br />
จัดการกันดีๆ ผมกําลังคิดว่า 1 ปีในวาระอาจจะแบ่งเป็น<br />
ทีมหนึ่ง อีกปีหนึ่งอาจจะแบ่งเป็นอีกทีมหนึ่ง ทุกคนก็รับ<br />
ช่วงต่อกันไปเพราะทุกคนก็ไม่ได้มีอีโก้มาก ทุกๆ คนก็มา<br />
ช่วยผมและช่วยสมาชิกหรือทํางานให้กับสังคม กิจกรรม<br />
ที่เกิดขึ้นในอดีตมันก็มีกิจกรรมที่ต่อเนื่องระยะยาวอยู่แล้ว<br />
เราก็ทําต่อไปโดยมีเกณฑ์หรือจุดมุ่งหมายว่าจะทําให้ดีขึ้น<br />
_Could you give us an example of the know-how<br />
that the association is able to offer its members?<br />
One question that my fellow architects, both<br />
younger and more established practitioners,<br />
consistently ask relates to proposals. The association<br />
actually has a sample proposal available on the<br />
website, but we don’t give a proper explanation<br />
about the real importance of proposals. In fact,<br />
the example on the website may actually be outdated<br />
because it has been there for so long. Next year,<br />
I’m thinking of inviting the bigger firms to share<br />
their proposals and the knowledge they have<br />
gained from their past mistakes or through trial<br />
and error. Because these are useful collective<br />
experiences, they should be documented in a<br />
standard proposal for everyone to follow as a<br />
reference. Another issue is that many young Thai<br />
architects are now working overseas, and the<br />
proposals they encounter are written according<br />
to foreign laws. If the people working overseas<br />
are able to collect the proposals they have come<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 40 41<br />
Refocus Heritage
_คำถามสุดท้าย มีอะไรจะฝากถึงสมาชิก หรือบุคคล<br />
ทั่วไปบ้างครับ<br />
ก็น่าจะฝากย้อนกลับไปถึงคําถามแรกเลย อย่างที่ผมบอก<br />
คือผมลงมาสมัครรับเลือกตั้ง ก็คาดว่าเราจะเป็นกระบอก<br />
เสียงให้กับคนรุ่นใหม่ได้ เป็นแกนนําให้กับน้องๆ ให้ได้<br />
เข้ามามีส่วนร่วมมากขึ้น แล้วเราก็พบว่าน้องๆ ส่วนใหญ่<br />
ก็ไม่ได้มีส่วนร่วมกับสมาคมฯ เลย แม้แต่การสมัครสมาชิก<br />
แม้แต่เพื่อนผมเอง มันถึงยุคสมัยที่ทุกคนควรจะทําเพื่อ<br />
ส่วนรวมแล้ว ทีนี้เราจะทําอย่างไรให้ทุกคนได้มีส่วนร่วม<br />
ได้หมด มันอยู่ที่แต่ละบุคคล หลักแนวความคิดของผมก็<br />
คือถ้าเราอยากให้อะไรมันดี เราต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน บางที<br />
การเริ่มที่ตัวของเราเองอาจจะไม่ต้องเดินมาที่สมาคมฯ ก็ได้<br />
คือทําให้ตัวเองหรือองค์กรของตัวเองประสบความสําเร็จ<br />
หรือทํางานแล้วพัฒนาตัวเองขึ้นเรื่อยๆ แค่นี้ก็ถือว่ายกระดับ<br />
สมาคมฯ และวิชาชีพของเราแล้ว หรือช่วยกันประชาสัมพันธ์ <br />
ตัวของสถาปนิกให้เป็นที่รู้จักแก่ผู้คนทั่วไปถ้าทุกๆ คนช่วยกัน<br />
เริ่มจากจุดนี้ ทุกอย่างก็น่าจะดีขึ้นครับ<br />
across during their work, I think it would be<br />
interesting if everyone could share (perhaps in a<br />
seminar) what they’ve experienced, including the<br />
negotiations, the misunderstandings, etc. Certainly,<br />
the proposals created by clients favor the clients,<br />
but we need to clarify the conditions in which we<br />
would agree to sign those documents. We may<br />
need a legal team working with us. We live in a<br />
world where we have to deal with proposals that<br />
are not written in the Thai language, and I think the<br />
association should have its own English language<br />
proposal that would be available for registered<br />
members. These are the types of tools that can be<br />
developed to benefit members.<br />
Another issue is the rather outdated material<br />
specification. Specifications are geared towards<br />
BIM these days. If people still don’t realize that this<br />
is the way the world is going, then the transition is<br />
only going to get more difficult. In the future, I’m<br />
quite certain that people will stop using AutoCAD.<br />
With BIM occupying a bigger role in the profession,<br />
the specification of materials in BIM is inevitable.<br />
This is about preparing yourself for the next five<br />
years. It’s similar to the previous subject we talked<br />
about. It’s the kind of topic that people without<br />
any experience in the matter wouldn’t want to<br />
listen to, but they avoid the issue at their own risk.<br />
If they don’t want to be a part of this discussion,<br />
five years from now, they will be walking around<br />
like ancient men with stone axes. What I’m saying<br />
is that BIM will be used on a daily basis in the near<br />
future. This is what I think can cause the most<br />
pain for architectural practitioners from every<br />
generation. But there are still other issues that<br />
need to be resolved such as the occupational<br />
hazard of getting sued by your own clients. If you<br />
work behind schedule, you get fined. How do you<br />
negotiate your way out of getting sued? What is<br />
the standard fee that you can reference? Many<br />
people used to ask me why we don’t set a strict<br />
standard fee of 10%, and I told them we couldn’t<br />
do that. If everyone was controlled by the same<br />
standard fee, all the projects would go to the big<br />
firms. There has to be price competition, and<br />
that’s something we need to accept, but how can<br />
we reduce the aggressiveness of that competition<br />
by arming everyone with the same weapons and<br />
working under the same standard. The standard<br />
would help newer, smaller firms grow into bigger<br />
companies.<br />
_How have you been forming the team so far?<br />
We have about forty people at the moment. Like<br />
I said, I want everyone to take part. I want the<br />
association under my lead to be about more than<br />
just me. The team is the key, and they are the<br />
people that put ideas into motion. The president<br />
will act as the person supervising the game, but<br />
all the players are key. I’m lucky that I have a lot<br />
of people who want to help. I want everyone to<br />
help just a bit, here and there, so I thought that if<br />
we have many people involved, we could assign<br />
tasks so that they wouldn’t be too burdensome.<br />
For example, if we hold a lot of activities, say ten,<br />
we want to designate one person to only one job,<br />
and everyone else could offer help wherever they<br />
can. I don’t want one or two people running around<br />
taking care of everything. In the end, I may have to<br />
manage fifty or one hundred people, so that needs<br />
to be carefully executed. I’m thinking about working<br />
with one team for one year and another team for<br />
another year and everything can be carried out<br />
and continued. People who are helping me don’t<br />
have big egos. They all help our members, and we<br />
all work to contribute something to society. The<br />
activities we have done in the past are all long-term,<br />
so we’ll continue to do them with new goals and<br />
standards of making them even better.<br />
_Last question, any words you want to say to the<br />
members and the general public?<br />
I want to go back to the first question you asked<br />
me. Like I said, I applied for the presidency thinking<br />
that I can be a voice for the younger generation of<br />
architects and perhaps a leading figure to encourage<br />
them to be more participatory. I’ve come to realize<br />
that the younger architects haven’t really been<br />
involved with the association. They’re not members<br />
(even my friends aren’t members). It is time for<br />
everyone to step up and do their part for the<br />
community. So how can we encourage everyone<br />
to take part? My idea is that if you want something<br />
good to happen, start with yourself, and it doesn’t<br />
always have to be you reaching out to the association<br />
but make yourself and your organization successful<br />
by working hard and continuing to improve yourself.<br />
That alone is elevating the standard of our association<br />
and eventually the profession. You can<br />
promote your work and make it more recognized<br />
among the general public. If everyone helps from<br />
this simple starting point, developments and<br />
greater things will be waiting on the horizon.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 42 43<br />
Refocus Heritage
SPECIAL INTERVIEW<br />
<strong>ASA</strong> Expo “Refocus Heritage”:<br />
Vasu Poshyanandana, Ph.D.<br />
Text: ปวริศ คงทอง / Pawarit Kongthong<br />
Translation: สุกัญญา นิมิตวิไล / Sukanya Nimitvilai<br />
Photo: ชนิภา เต็มพร้อม / Chanipa Temprom<br />
ทีมงาน <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> ขอพาทุกท่านไปทําความรู้จักและเตรียมตัวสําหรับงานสถาปนิก’63<br />
ที่จะมาในหัวข้อ “มองเก่าให้ใหม่: Refocus Heritage” โดยทีมงานได้ทําการพูดคุยสั้นๆ กับ<br />
ดร.วสุ โปษยะนันทน์ ประธานจัดงานในปีนี้ เกี่ยวกับเนื้อหางานคร่าวๆ เพื่อให้ทุกท่าน<br />
ได้เข้าใจแนวคิด และเตรียมตัวสําหรับงานที่จะถูกจัดขึ้นในวันที่7-12 กรกฎาคมนี้<br />
_ทำไมถึงเป็น Refocus Heritage<br />
เริ่มต้นจากโจทย์ว่าสมาคมฯอยากเล่าเรื่องเกี่ยวกับ<br />
Heritage ซึ่งเป็นหนึ่งในกระแสของการออกแบบ<br />
ในปัจจุบัน หลายที่จะพูดถึงเรื่องของความยั่งยืน<br />
การคํานึงถึงสิ่งแวดล้อม เรื่องนี้เป็นเรื่องที่<br />
ต่อเนื่องมา เราจะทําอย่างไรให้โลกของเรา<br />
ยั่งยืนแบบมีความหมาย ก็จะนึกถึงว่ามรดก<br />
ในโลกของเรา ในแต่ละที่ มันมีความหลากหลาย<br />
ทางวัฒนธรรม และองค์ประกอบ ซึ่งสามารถ<br />
นํามันมาใช้เป็นวัตถุดิบในการออกแบบได้<br />
การนําของเก่าเหล่านั้นมาใช้ประโยชน์ใหม่<br />
ให้เข้ากับบริบทปัจจุบัน ย่อมดีกว่าการไป<br />
รื้อทําลาย และสร้างขึ้นมาใหม่ทั้งหมด นี่คือ<br />
กระแสนิยมที่เป็นอยู่แต่หากถามว่าทําไมถึงต้อง<br />
Refocus เราต้องนึกย้อนดูก่อนว่าเราคิดเห็น<br />
อย่างไรกับเรื่อง Heritage เมื่อครู่เราพูดถึง<br />
กระแสนิยมว่าที่อื่นเขาคิดถึงแนวทางการใช้<br />
ประโยชน์แล้ว แต่บ้านเราไม่ใช่ ถ้าเราพูดคําว่า<br />
Heritage คนส่วนใหญ่จะนึกถึงโบราณสถาน ซึ่ง<br />
พอพูดถึงโบราณสถาน เราจะรู้สึกถึงความหมาย<br />
ทั้งในเชิงบวกและลบ ในส่วนของเชิงบวกคือ<br />
รับรู้ถึงคุณค่า แต่ก็เป็นคุณค่าที่เหมือนอยู่<br />
บนหิ้ง อยู่ห่างไกล เป็นสิ่งที่ต้องเก็บไว้อย่างไร<br />
อย่างนั้น ในส่วนที่เป็นลบ ความเก่า ความ<br />
โบราณ ความรู้สึกที่ไม่สามารถมีส่วนร่วมได้<br />
ซึ่งมันไม่สอดคล้องกับความเป็นอยู่ของคนรุ่นใหม่ <br />
พอเราเจออะไรที่เป็นมรดกที่อาจจะมีคําว่า<br />
โบราณสถานไปครอบมันไว้ เกิดความเกร็ง<br />
เข้าไปแตะต้องลําบาก ทําให้เราคิดว่าเป็นงาน<br />
ที่เป็นความรับผิดชอบของกรมศิลป์ ไม่ใช่<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> would like to introduce<br />
Architect’20, an architect exhibition under<br />
the concept “Refocus Heritage.” Our crew<br />
has interviewed Vasu Poshyanadana,Ph.D.<br />
the chairperson of the Architect’20 Expo,<br />
to discuss the concept so we can better<br />
understand the exhibition to be held<br />
between 7-12 July.<br />
_Why is the concept “Refocus Heritage?”<br />
It started with the idea that the association<br />
wanted to tell a story about heritage. It<br />
is one of the design trends at the moment.<br />
Many places have been talking about<br />
sustainability and environmental<br />
awareness, and this is a related theme.<br />
How can we create a sustainable world<br />
with meaning? Then we think that world<br />
heritage reflects cultural diversity and<br />
that its elements can be used to inspire<br />
a design. Reusing old buildings in today’s<br />
context would be better than demolishing<br />
and rebuilding everything from scratch.<br />
This is a popular trend now. If you ask<br />
why we have to refocus, we need to<br />
contemplate on how we think about<br />
heritage. Earlier, we talked about popular<br />
trends and that other places have already<br />
thought about how best to use (or-reuse)<br />
our heritage, but that is not us. If we<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 44 45<br />
Refocus Heritage
งานของเรา ในทางกลับกันบางงานก็ถูกมองว่า รื้อมันเสีย<br />
เมื่อเห็นอาคารเก่าคนเรารู้ว่ามันอาจจะมีคุณค่าแต่เรามักจะ<br />
บอกว่าถ้ามันไม่ใช่โบราณสถาน กรมศิลป์ไม่ได้ขึ้นทะเบียน<br />
ฉะนั้นเราสามารถทําอะไรกับอาคารก็ได้ นี่คือกรอบความคิด<br />
ที่เป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ในบ้านเรา<br />
แม้แต่ในวงการสถาปนิก สถาปนิกทุกคนก็มักจะมองว่า<br />
งานอนุรักษ์ งานออกแบบที่เกี่ยวกับอาคารเก่าเป็นเรื่องที่<br />
ไม่เกี่ยวข้องกับตนเอง ซึ่งทําให้สถาปนิกเกร็งกับการทํางาน<br />
เก่า นี่คือข้อมูลทั้งหมดที่อธิบายว่าท ําไมถึงจะต้อง Refocus<br />
เราอยากจะสื่อสารกับคนว่าจริงๆ แล้วเรื่อง Heritage<br />
เป็นเรื่องที่ใกล้ตัวเรามากๆ มันคือเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจําวัน<br />
เราควรจะมองคําว่า Heritage หรือมรดกว่าเป็นสิ่งที่คนใน<br />
รุ่นก่อนส่งต่อมาให้เราเพราะมันมีคุณค่า และคุณค่าเหล่านั้น<br />
เป็นหน้าที่ของเราที่จะส่งต่อไปสู่คนรุ ่นต่อไป แต่วิธีการที่จะ<br />
ส่งต่ออย่างไรนั้นเราจะต้องมาดูกัน ศาสตร์ของการออกแบบ<br />
จะช่วยได้ในเรื่องของการที่เราจะทําอย่างไรให้มรดกเหล่านั้น<br />
มันมีคุณค่าที่จะได้ใช้ในอนาคตและเหมาะสมกับการใช้สอย<br />
ในปัจจุบัน มรดกเหล่านี้มีหลายระดับ เราควรจะต้องมีการ<br />
เลือก มีการหาวิธีการที่จะนํามาใช้ให้เหมาะสมกับแต่ละ<br />
รูปแบบต่อไป นี่คือสิ่งที่ผมคิดว่าสมาคมฯ ควรจะทําหน้าที่<br />
ในการเป็นสื่อกลางในการสื่อสารเรื่องนี้<br />
_ความหมายของ Heritage ในที่นี้กว้างแค่ไหน<br />
อย่างที่ผมพูดไปก่อนหน้านี้ มุมของคนทั่วไปเราอาจจะ<br />
นึกถึงโบราณสถาน แต่จริงๆ แล้วสิ่งที่อยากจะให้คนเห็นก็<br />
คือทุกอย่าง แม้แต่สิ่งที่เราเพิ่งสร้างขึ้นมาใหม่ก็ตามถ้าเรา<br />
สร้างด้วยความตั้งใจให้มันเกิดคุณค่าแล้วมันเหมาะที่จะ<br />
ส่งต่อไปให้คนในรุ่นต่อไป มันก็เข้ากับความหมายของคําว่า<br />
มรดกทั้งสิ้น เพราะฉะนั้นเราจึงไม่ได้กําหนดว่าต้องเป็นเฉพาะ<br />
สิ่งก่อสร้างหรือลักษณะทางกายภาพเท่านั้น ความหมาย<br />
ของมรดกยังมีในส่วนที่จับต้องไม่ได้คือในเรื่องของคุณค่า<br />
ทางศิลปะ ความงาม คุณค่าของความหมายและความเชื่อ<br />
เพราะฉะนั้นในการที่เราจะทําให้คุณค่าเหล่านั้นปรากฏ<br />
เราคงไม่ได้นึกถึงลักษณะทางสถาปัตยกรรมหรือเฉพาะ<br />
ศาสตร์ของวิชาชีพเราเท่านั้น มันคือการประสานงานร่วมมือ<br />
กันของหลายๆ วิชาชีพ งานสถาปนิกในปีนี้จึงเรียกได้ว่า<br />
เปิดกว้าง ไม่ได้เฉพาะสําหรับวิชาชีพสถาปนิกเพียงอย่างเดียว<br />
mention the word “heritage,” many people will<br />
think of ancient remnants, and when we talk about<br />
ancient remnants, they trigger both positive and<br />
negative feelings. On the positive side, we recognize<br />
their value, but they are far away and should<br />
be preserved as they are. On the negative side, the<br />
age and obsolescence of these remnants make<br />
people feel like they don’t belong, especially in a<br />
modern lifestyle. When we encounter a heritage<br />
object (like a building or artwork) associated with<br />
the words “historic site,” we may feel hesitant to<br />
modify it. It can make us feel that this belongs to<br />
the Fine Arts Department and not us. On the other<br />
hand, we may want to dismantle some sites. When<br />
we see an old building, people know it is valuable.<br />
However, we tend to say that if it is not recognized<br />
(or officially registered) as a historic site, then we<br />
should have the freedom to do anything with it.<br />
This is the mindset of most people in our country.<br />
Even in the architectural field, practitioners<br />
typically see heritage as conservation. Designers<br />
often find it hard to relate to anything associated<br />
with old buildings, and this makes them feel<br />
apprehensive when working with old construction.<br />
All of this explains why we must refocus. It is because<br />
we want to communicate with people and tell them<br />
that “heritage” is very close to us. It is in our daily<br />
lives. We should look at the word “heritage” as<br />
something passed on from the previous generation.<br />
Because it is valuable, it is our job to pass it on<br />
to the next generation. How we are going to pass<br />
it on should be a topic of discussion. Design can<br />
make heritage valuable and useful in the future as<br />
well as being suitable for current use. There are<br />
many levels of heritage. We should have a way to<br />
choose and utilize them for different purposes.<br />
I think the association’s role is to be the medium<br />
of communication.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 46
ทํางานกับอาคารเก่าจะหมดไป ซึ่งต่อไปผมคิดว่า<br />
สถานการณ์ในบ้านเรา นับวันจะมีตัวอย่างหรือ<br />
มีความจําเป็นที่จะต้องทํางานกับอาคารเก่า<br />
มากขึ้นเรื่อยๆ เช่นที่มีการประกาศเขตพื้นที่<br />
เมืองเก่าใน 20 กว่าเมืองทั่วประเทศ ซึ่งใน<br />
อนาคตก็อาจจะเพิ่มขึ้นมากกว่านี้ ซึ่งจะต้อง<br />
มีข้อกําหนด มีการห้ามก่อสร้างอาคาร<br />
บางประเภท แต่ว่าในลักษณะของการนําเอา<br />
อาคารเก่ามาประยุกต์ใช้ให้สอดคล้องกับสังคม<br />
ในปัจจุบัน มันยังคงเป็นสิ่งที่ทําได้และนี่คือ<br />
โอกาสของเรา<br />
_How will it be different from the<br />
previous years?<br />
It is the first time that we are expanding<br />
heritage and conservation to include daily<br />
life. Every year, we see that conservation<br />
has been associated with old designs.<br />
But now, there is a trend to utilize heritage<br />
and culture in all aspects of our designs.<br />
We try to tell people that designing things<br />
associated with heritage does not mea<br />
we have to keep them as they are. In fact,<br />
_แล้วตัวงานจะต่างจากงานปีก่อนๆ อย่างไร<br />
มันเป็นครั้งแรกที่เราเอาเรื่องของมรดก หรือ<br />
การอนุรักษ์มาขยายความให้มันกว้างถึงใน<br />
ชีวิตประจําวัน เพราะว่าทุกๆ ปี เราจะเห็นว่า<br />
มันมีส่วนของงานอนุรักษ์เป็นส่วนหนึ่งของงาน<br />
ที่ผ่านๆ มา พอมาถึงจุดนี้ มันคือแนวโน้มที่<br />
เราสามารถเอาประโยชน์ของเรื่องของมรดก<br />
และวัฒนธรรมมาใช้ในศาสตร์ของการออกแบบ<br />
ของเราได้ทุกมิติ เราพยายามจะสื่อสารให้<br />
คนเห็นว่างานออกแบบที่เกี่ยวข้องกับมรดก<br />
มันไม่ใช่เฉพาะเรื่องที่จะต้องเก็บมันไว้ในสภาพ<br />
ดั้งเดิม หากแต่เราสามารถใช้การออกแบบ<br />
เข้ามาช่วยให้มันยังสามารถต่อชีวิตออกไปได้<br />
อย่างเหมาะสมกับการใช้งานในปัจจุบันหลายๆ<br />
ประเทศมีงานออกแบบที่เป็นลักษณะนี้<br />
จํานวนมาก พอเราย้อนมาดูตัวอย่างในบ้านเรา<br />
กลับพบว่ายังมีน้อยมาก เพราะฉะนั้นเราก็เลย<br />
คิดว่าถ้ามันมีการนําเสนอเรื่องนี้ขึ้นมาในงาน<br />
สถาปนิก มันน่าจะเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วย<br />
จุดประกายให้แนวคิดนี้ แล้วความกลัวที่เราจะ<br />
_What is the range of the word<br />
“heritage” here?<br />
Like I said earlier, people might normally<br />
think of historic sites. In fact, what I<br />
want people to see is everything, even<br />
the newly built architecture. If we build<br />
it to create value, and it is suitable to<br />
be passed on to the next generation,<br />
it will all be associated with the word<br />
“heritage.” Therefore, we do not specify<br />
that heritage must be a building or have<br />
physical attributes. Heritage also deals<br />
with intangible ideas, namely, artistic<br />
value, beauty, meaning, and belief. To<br />
reflect all those values, we should not<br />
only think about architecture or our<br />
own field, but also about other disciplines.<br />
As a result, the Architect Expo this year<br />
is rather open and not just for architects.<br />
_ในงานปีนี้มีอะไรที่น่าจับตามองเป็นพิเศษบ้าง<br />
เนื้อหาที่เราเอามาเน้นมันก็ตรงกับหัวข้อหลัก<br />
ที่เราต้องการนําเสนอว่า Refocus ฉะนั้นเรา<br />
ก็ต้องนําเสนอก่อนว่าสภาพแนวความคิดใน<br />
ปัจจุบันในสังคมของเรามันเป็นอย่างไร เราก็<br />
เลยหยิบยกเอา 10 ประเด็นร้อนจากที่เราพูด<br />
ถึงกันในสื่อโซเชียลมีเดียที่เกี่ยวกับเรื่อง<br />
Heritage ว่าเราคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนั้นบ้าง<br />
ในมุมมองต่าง มีทั้งมุมมองในแง่ลบและบวก<br />
มุมมองหรือข้อมูลที่เราอาจจะเข้าใจผิด หรือว่า<br />
เป็นบางอย่างที่มันมีเหตุผลในอีกด้านหนึ่ง<br />
ซึ่งเราควรที่จะต้องรับฟัง โครงการที่ประสบ<br />
ความสําเร็จจากการที่เขานําเอามรดกมาใช้ใน<br />
การออกแบบ หรือว่ามีการศึกษาคุณค่าของ<br />
มรดกนี้เราสามารถมองในแง่มุมไหนได้บ้าง<br />
สองประเด็นนี้จะนําไปสู่การที่เราจะถามคําถาม<br />
กับคนที่เข้าชมว่า ความหมายของ “มรดก”<br />
ของคุณคืออะไร เราจึงทําเป็นสื่อภาพยนตร์<br />
ที่จะจุดประกายว่าในมุมมองที่เกี่ยวข้องกับ<br />
มรดกหลังจากที่ได้เห็นทั้งสภาพปัจจุบัน ทั้ง<br />
ตัวอย่างที่ไม่ดีแล้ว อยากให้คุณตั้งคําถามกับ<br />
ตัวเองว่าสําหรับคุณ มรดกคืออะไร และคุณ<br />
จะทําอะไรกับมัน ซึ่งนี่น่าจะเป็นหัวใจของตัว<br />
นิทรรศการหลักครับ แต่ว่าเราก็จะมีนิทรรศการ<br />
อื่นๆ ที่มาเสริม เพื่อให้คนเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า<br />
การออกแบบที่เกี่ยวข้องกับมรดกเป็นอย่างไร<br />
อีกประเด็นหนึ่งก็คือการRefocus การให้รางวัล<br />
อาคารอนุรักษ์ของสมาคมฯ ทุกๆ ปี ซึ่งเราจะ<br />
มีการประกาศ<br />
we could use our designs to extend their<br />
lives while maintaining their current uses.<br />
Today, many countries have this kind<br />
of design, but our country’s view is still<br />
limited. We think if this is introduced to<br />
architectural design, it would spark this<br />
kind of idea, and the fear of working<br />
with old buildings will disappear. In the<br />
future, I think our country will have more<br />
instances of heritage-related projects<br />
and a greater need to work with old<br />
buildings. For example, there have been<br />
announcements of more than twenty<br />
old town conservation areas all over the<br />
country, and there are more to come in<br />
the future. There will be regulations and<br />
restrictions on some types of construction,<br />
but repurposing old buildings to facilitate<br />
modern society is still allowed, and this<br />
is our opportunity.<br />
_Is there anything in particular that we<br />
should keep our eyes on?<br />
We are emphasizing the key concept<br />
of heritage. First, we will introduce the<br />
overall ideas and show what today’s<br />
society is like. We chose ten relevant<br />
issues about heritage that are being<br />
discussed on social media to see what<br />
we think about them and to engage<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 48 49<br />
Refocus Heritage
แล้วให้ผู้ที่สนใจสมัครมาเสนอรางวัลอนุรักษ์ โดยที่เราแบ่ง<br />
ประเภทตามลักษณะของอาคาร และทุกๆ ครั้งอาคารที่เรา<br />
ได้มาจะเป็นการให้รางวัลในระดับเดียวกัน คือได้ชื่อว่าเป็น<br />
อาคารอนุรักษ์ดีเด่น การให้รางวัลของเราในบางครั้งมีการ<br />
ให้รางวัล โดยที่แท้จริงแล้วยังไม่ได้เกิดการอนุรักษ์จริงๆ<br />
ยังไม่ได้มีการออกแบบหรือใดๆ ก็ตาม เราให้รางวัลกับ<br />
อาคารที่มีคุณค่าแต่สังคมมองไม่เห็น และกําลังจะถูกรื้อทิ้ง<br />
เราจึงให้รางวัลนั้นเพื่อหยุดการรื้อถอน ซึ่งมันไม่สอดคล้อง<br />
กับการที่เราต้องการจะสนับสนุนการออกแบบเพื่อรักษา<br />
คุณค่าของอาคาร เพราะฉะนั้นแม้แต่อาคารที่กําลังจะ<br />
โดนรื้อก็สามารถได้รับรางวัลอนุรักษ์ดีเด่นได้หมด นี่คือสิ่งที่<br />
ผ่านมา มาครั้งนี้เนื่องจากเราได้เห็นการให้รางวัลอาคาร<br />
ต่างๆ และเราได้รับแนวคิดมาจาก UNESCO ซึ่งมีการให้<br />
รางวัล Asia Pacific Award สําหรับอาคารที่เน้นในเรื่อง<br />
ของการออกแบบที่ดีจริงๆ จึงมีการแบ่งระดับของรางวัล<br />
ออกเป็นระดับต่างๆ เช่น หากออกแบบได้ดีก็ให้รางวัล<br />
ระดับหนึ่ง ออกแบบได้ดีมากก็ขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง หรือ<br />
ว่าการออกแบบได้ดีเหนือความคาดหมายก็เป็นอีกระดับ<br />
หนึ่ง ปีนี้จะเป็นปีแรกที่เราจะมีการจัดระดับของรางวัล<br />
และรางวัลที่ได้นั้นเราไม่ได้ให้กับเจ้าของของอาคารเท่านั้น<br />
แต่เราจะให้กับผู้ที่ออกแบบด้วย มันจึงเป็นการสร้างขวัญ<br />
และกําลังใจให้กับผู้ออกแบบซึ่งอยู่เบื้องหลังการอนุรักษ์ใน<br />
ครั้งนั้น และเป็นการส่งเสริมให้เกิดการนําศาสตร์ของการ<br />
ออกแบบมาใช้ในการออกแบบอาคารที่มีคุณค่าต่อไปด้วย<br />
นอกจากนั้นเรายังสร้างประเภทของรางวัลในอีกรูปแบบ<br />
หนึ่ง คืองานออกแบบใหม่ในบริบททางด้านมรดก ซึ่งแต่<br />
เดิมสมาคมฯ เราไม่ได้ให้รางวัลนี้ แต่ UNESCO Award<br />
มีรางวัลประเภทนี้อยู่แล้วเราจึงนําลักษณะของการให้รางวัล<br />
แบบนี้มาเพิ่มในการให้รางวัลของสมาคมฯ ด้วย ซึ่งเป็น<br />
การขยายขอบเขตจากการออกแบบที่จะจํากัดเฉพาะตัว<br />
อาคารเอง ไปสู่งานออกแบบต่อเติมหรืออาคารใหม่ที่อยู ่ใน<br />
พื้นที่ใกล้เคียงกับอาคารอนุรักษ์ว่าสามารถจะทําอย่างไรให้<br />
งานออกแบบนั้นช่วยส่งเสริมคุณค่าของอาคารเหล่านั้นด้วย<br />
multiple perspectives. There may be negative and<br />
positive views as well as some misunderstandings,<br />
and there may be other sides to the story that we<br />
should hear. We should also see how we can learn<br />
from successful projects that integrate heritage<br />
into their designs or see how we could see their<br />
value from different vantage points. These views<br />
will lead us to ask visitors how they define “heritage.”<br />
That’s why we created a film that encourages<br />
them to reconsider ideas associated with heritage<br />
through current situations and examples. We want<br />
them to question how they define heritage and<br />
what they would do with it. This should be the<br />
key of the main exhibition. However, we also have<br />
other exhibitions to help people acquire a better<br />
understanding of how designs are infused with<br />
heritage.<br />
Another point is about refocusing. We give out<br />
awards for conservation every year. We would<br />
make an announcement, have interested people<br />
apply for the award, and categorize the entries by<br />
type. Sometimes, we give out awards before the<br />
actual conservation process or even before having<br />
any design. We may give an award to buildings with<br />
value that are overlooked by the public or are on<br />
the brink of demolition. We may give out awards to<br />
stop a demolition process. Even building that are<br />
about to be torn down can receive conservation<br />
awards. That is what has been done. We have seen<br />
how others give awards to buildings, and we have<br />
also adopted ideas from UNESCO for granting the<br />
Asia Pacific Award for well-designed buildings, so<br />
we categorize our awards into different levels. For<br />
example, a well-designed project will get an award<br />
for one level, but an extremely well-designed<br />
project will achieve another level. A design that<br />
exceeds expectations will receive a different level.<br />
This year will be the first to categorize the awards.<br />
We will give awards not only to building owners but<br />
also designers, so this will encourage the designers<br />
_ผู้จัดงานมีความคาดหวังจากตัวสถาปนิกหรือจากคน<br />
ภายนอกที่เข้ามาดูงานอย่างไร<br />
มันก็คงตรงกับชื่องานเลยครับ เราคาดหวังว่าเขาจะได้มา<br />
พบกับมุมมองใหม่ แล้วก็คิดว่าจะสามารถเปลี่ยนความคิด<br />
ที่มีจากเดิมที่คิดว่ามรดกเป็นเรื่องที่ไกลตัว พอเขารับรู้ได้<br />
ว่ามันเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวการที่เขาจะนํามรดกมาใช้ให้เป็น<br />
ประโยชน์มันย่อมเกิดขึ้นได้ แล้วมันเป็นเรื่องของทุกคน<br />
ไม่ใช่เฉพาะสถาปนิกเท่านั้น ในส่วนของสถาปนิกก็ได้เปิด<br />
มุมมองว่าในการออกแบบที่เกี่ยวข้องกับมรดกนั้นเป็นเรื่อง<br />
ง่ายที่เราสามารถทําได้ มันไม่ต่างอะไรกับเรื่องแนวความคิด<br />
green มันไม่ต่างอะไรกับการที่เราจะออกแบบอะไรแล้วเรา<br />
ศึกษาสภาพแวดล้อมก่อนว่าในพื้นที่ของคุณมีต้นไม้กี่ต้น<br />
มีทิศทางแดดลมอย่างไร จริงๆ แล้วสิ่งนี้ก็เหมือนกัน<br />
ในงานออกแบบของคุณมันมีข้อมูล มันมีคุณค่าที่มันเกี่ยวข้อง<br />
กับคนในอดีตอยู่ในพื้นที่ของคุณ คุณก็สามารถนํามาใช้ให้<br />
เป็นประโยชน์ได้ และเป็นเรื่องที่อยู่ในทุกระดับของการ<br />
ออกแบบมาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่การเรียนปี 1 ของคุณจนมา<br />
ถึงปัจจุบัน<br />
behind these conservation designs, and it will encourage<br />
people to design buildings that have value. Moreover,<br />
we will also create another type of award for new design<br />
related to heritage. Originally, the association did not give<br />
an award like this, but UNESCO already has this category,<br />
so we will grant this award as well. This is meant to<br />
expand our understanding of heritage as being limited<br />
to buildings and to encourage the design of extensions<br />
or new buildings near conservation sites. We would like<br />
to see how new designs would foster the value of those<br />
buildings.<br />
_What does the organizer expect from architects and<br />
visitors?<br />
It is in the name of this event. We expect people to gain<br />
new perspectives and change their old views that heritage<br />
is something far away from them. Once they realize it is<br />
close to them, they will utilize heritage and make it<br />
useful. It is for everyone, not just architects. It is not so<br />
different from designing according to green principles<br />
or from studying the surrounding area to see how many<br />
trees you have, or from learning the wind direction. This<br />
is actually the same. In design, there is information and<br />
value related to people who used to live in an area. You<br />
can make use of it, and it can be found in all levels of<br />
design from the past to the present.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 50 51<br />
Refocus Heritage
REVIEW<br />
Samsen STREET Hotel<br />
Text: พีรณัฐ อุไรรัตน์ / Peeranat Urairat<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
Photo: W Workspace
เมื่อเราลองจินตนาการภาพในความทรงจําหรือภาพจาก<br />
ประสบการณ์ของแต่ละคนไปพร้อมกัน นึกถึงบรรยากาศ<br />
ภาพของผนังที่ถูกฉาบด้วยแสงไฟสีส้มแดง คละคลุ้งไป<br />
ด้วยควันบุหรี่ แก้วเหล้า และการแลกเปลี่ยนบทสนทนา<br />
บนความเหงาของคนแปลกหน้า ความเป็นสถานที่ ตรอก<br />
มุม ซอย ที่ตัวละครปรากฏตัวอย่างซ่อนเร้น และเปิดเผย<br />
ในขณะเดียวกัน ลําดับการเล่าเรื่องที่ไม่ใช่ระบบเส้นตรง<br />
(non-linear narrative) ซึ่งเปรียบได้กับระบบการเข้าถึง<br />
และทางสัญจรซึ่งเป็นลักษณะเฉพาะของสถานที่แอบซ่อน<br />
เหล่านี้ ดั่งฉากในอารมณ์ทํานองเดียวกับภาพยนตร์ใน<br />
ช่วงปี 1990s ของผู้กํากับหนังชาวจีน นามว่า หว่องกาไว<br />
(Wong Kar-wai)<br />
Looking back into our collective memories or life<br />
experiences, we can imagine a scene of walls<br />
bathed with a reddish-orange incandescent light,<br />
cigarette smoke filling the air as glasses of ice-cold<br />
alcoholic drinks keep conversations between<br />
lonely strangers flowing; a sense of place visible<br />
to both the eyes and the mind, with small alleyways,<br />
dark corners, and side streets containing enigmatic<br />
characters who appear and disappear from view.<br />
The system of circulation and the idea of accessing<br />
hidden places are reminiscent of Wong Kar-wai’s<br />
movies from the 1990s.<br />
หากใครได้มีโอกาสผ่านไปแถวย่านสามเสนซอย 6<br />
คุณจะต้องสะดุดตากับอาคารที่ยืนอยู่ตรงหน้าอย่างแน่นอน<br />
อาคารผิวคอนกรีตที่มีโครงสร้างเหล็กสีเขียว ราวกับว่า<br />
เป็นส่วนต่อเติมมาเกาะกับส่วนนอกของอาคารหลัก ให้<br />
ความรู้สึกถึงความถาวรและความชั่วคราวไปพร้อมๆ กัน<br />
ถ้าใครคุ้นเคยกับย่านนี้เป็นอย่างดีจะทราบว่าอาคารนี้<br />
ในอดีตแสดงบทบาทเป็น sex motel หรือโรงแรมม่านรูด<br />
ที่เคยเปิดบริการมากว่า 30 ปี ในปัจจุบันบทบาทดังกล่าว<br />
ถูกเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิงโดย CHAT LAB / CHAT<br />
Architects ที่เข้ามาสร้างแนวทางใหม่ให้กับ Samsen<br />
STREET Hotel โดยมีการต่อยอดทางความคิดมาจาก<br />
งานวิจัยที่ชื่อ “BANGKOK BASTARDS” ซึ่งเป็นผลลัพธ์<br />
มาจากการสํารวจ เก็บข้อมูล และรวบรวมผลจากการ<br />
วิเคราะห์มากกว่า 5 ปี ในประเด็นที่เกี่ยวกับเนื้อหา<br />
ทางสถาปัตยกรรมที่แสดงออกและสะท้อนถึงวิถีชีวิตและ<br />
ความเป็นอยู่แบบไทยในมิติทางสังคมของความไม่เป็น<br />
ทางการ ความพเนจร ความชั่วคราว ความง่ายที่แยบยล<br />
ความซื่อที่ชํ่ำชอง ขณะเดียวกันก็ซ่อนความขําขันไว้ให้<br />
ฉุกคิด เช่น รถเข็นของขายริมถนน เพิงพักชั่วคราวริมทาง<br />
ที่พักคนงานก่อสร้าง การใช้ประโยชน์จากส่วนยื่นของ<br />
โครงสร้างชั่วคราวนั่งร้านตอบสนองกิจกรรมการอยู่ <br />
การดื่ม-กินร่วมกัน และในหน้าที่ขององค์ประกอบทาง<br />
สถาปัตยกรรมทางกายภาพ เช่น การบังแดด และการ<br />
กันฝน เป็นต้น หรือทางด้านความหมายที่แสดงออกมา<br />
ทางกายภาพ เช่น การแทรกซึมและการปรากฏกาย<br />
ผ่านลักษณะของอาคารประเภทโรงแรมม่านรูด (The<br />
curtain sex motel typology) ซึ่งเป็นประเภทอาคารที่<br />
มักไม่ถูกกล่าวถึง หรือเป็นประเด็นที่ไม่ถูกนํามาคิดต่อยอด<br />
อาจเพราะท่าทีของประเภทอาคารที่อยู่ในสังคมแบบ<br />
“underground” โดยมีลักษณะเฉพาะหลายอย่างที่น่าสนใจ<br />
ในเนื้อหาทางสถาปัตยกรรม เช่น ลําดับการเข้าถึง (spatial<br />
sequence) ที่คน 2 คนโดยสารรถยนต์ที่ติดฟิล์มป้องกัน<br />
การมองเห็น เข้ามายังพื้นที่โล่งตรงกลางแล้วแยกเข้าไป<br />
ยังช่องจอดรถของตัวเอง และมีการปิดกั้นการมองเห็น<br />
จากคนภายนอก ด้วยแนวเส้นม่านสีแดง (หรือฟ้าและเขียว)<br />
โดยอัตโนมัติ และเชื่อมต่อไปยังห้องพักอย่างแนบเนียน<br />
Anyone who has had the chance to pass by the<br />
Samsen Soi 6 neighborhood would likely have been<br />
struck by a building with exposed concrete surfaces<br />
and a green steel structure. Looking more like an<br />
addition than a proper building, the structure gives<br />
a simultaneous sense of permanence and temporality.<br />
Those who are familiar with the area would know<br />
what the establishment was once known for—having<br />
operated for over thirty years as a sex motel, the<br />
building has now been given a new role. Thanks to<br />
CHAT LAB / CHAT Architects, the Samsen STREET<br />
Hotel originated from the studio’s research project<br />
“BANGKOK BASTARDS.” Over the course of five<br />
years, the research explores, collects, and analyzes<br />
data related to the architectural characteristics and<br />
developments that reflect the makeshift aspects<br />
of Thai society and its way of life—the wandering<br />
ephemerality, the witty simplicity, and the gimmicky<br />
honesty that are sometimes amusing and always<br />
thoughtful that can be found in the inventiveness<br />
of street kiosks, shelters, construction worker camps,<br />
and scaffolding structures that accommodate<br />
temporary habitation. The research also looks into<br />
the practical roles of these architectural components<br />
such as rain and sun protection as well as alternative<br />
interpretations of the curtain sex motel typology—<br />
the type of building whose existence is often left<br />
unmentioned or overlooked and is never discussed<br />
or developed.<br />
These buildings typically have an ‘underground’<br />
connotation, and the architecture has several<br />
interesting characteristics. The spatial sequence,<br />
which often involves two people (usually in cars<br />
with tinted windows to prevent their identities from<br />
being revealed) driving into the open ground at<br />
the middle of the site, later leads into a unit with<br />
its own individual parking space. Everything takes<br />
place with a row of red (or blue or green) curtains<br />
pulled closed (usually automatically) to prevent visual<br />
access from outsiders as hotel guests are led directly<br />
from their cars to their motel rooms.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 54 55<br />
Refocus Heritage
โครงการ Samsen STREET Hotel<br />
ถูกแบ่งออกเป็น 2 ส่วนที่รับรู้ได้อย่างง่าย<br />
ได้แก่ โครงสร้างเดิมของอาคารที่เป็นผิว<br />
คอนกรีตเปลือยถูกฉาบใหม่ และโครงสร้าง<br />
เหล็กคล้ายนั่งร้านเป็นโครงดูเบาตาสีเขียว<br />
โทนพาสเทล (a powder-coated in mint<br />
green) ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากห้องแถว<br />
ยุค Late-Modern บริเวณโดยรอบย่านนั้น<br />
เมื่อกล่าวถึงองค์ประกอบของส่วนที่เป็น<br />
โครงสร้างเหล็กสีเขียวที่แสดงตัวคล้ายนั่งร้าน<br />
(scaffolding) ได้รับการแบ่งรูปแบบและ<br />
หน้าที่ออกเป็น 3 ส่วนที่แตกต่างกัน โดย<br />
เริ่มจาก “ซอย” (alley) จุดเริ่มต้นของส่วนนี้<br />
เริ่มจากความต้องการของเจ้าของโครงการ<br />
ที่ต้องการเพิ่มจํานวนผู้เข้าพักในแต่ละห้อง<br />
ให้สามารถรับได้ 2-3 คน จากพื้นที่ห้องเดิม<br />
ของ sex motel ที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ทําให้<br />
ต้องมีการต่อเติมพื้นที่ยื่นออกไปเป็นระยะ<br />
1.50x2.00 เมตร สัดส่วนเป็นเหมือนพื้นที่<br />
เตียงเสริมทําหน้าที่ในการเพิ่มพื้นที่<br />
The Samsen STREET Hotel consists of<br />
two discernible parts. The first is the<br />
original structure with newly coated<br />
exposed concrete surfaces, and the<br />
other is the mint green colored powdercoated<br />
steel scaffold-like structure,<br />
inspired by the local shophouses built<br />
during the late modern era. The mint<br />
green steel structure is divided into<br />
three parts, each with a different role<br />
and formal typology. The ‘alley’ is based<br />
on the project owner’s desire to increase<br />
the size of the original rooms; therefore,<br />
the new room type is expanded to<br />
1.50 x2.00 meters. This additional space<br />
accommodates an extra bed in each<br />
room and helps to shield visibility from<br />
the street. It also produces vertical alleys<br />
that create multi-purpose balconies and<br />
provide external access for maintenance<br />
57<br />
Refocus Heritage
กันมุมมองจากฝั่งถนน และที่สําคัญเป็นการ<br />
สร้าง “ซอยแนวตั้ง” เป็นช่องทางในการสร้าง<br />
multi-purpose balcony สําหรับงานเซอร์วิซ<br />
งานระบบแอร์ ท่อประปา และไฟฟ้า ให้สะดวก<br />
ในการซ่อมแซมจากภายนอกอาคารโดยตรง<br />
นอกจากนี้ในโอกาสพิเศษ มุมช่องทางเดิน<br />
เหล่านี้ ยังสามารถปรับเปลี่ยนเป็น “เวทีทางตั้ง”<br />
ให้นักดนตรีเปิดหมวกขับกล่อมบรรเลงเพลง<br />
ให้ชุมชนฟังได้อีกด้วย<br />
ส่วนต่อมาเป็นองค์ประกอบที่เรียกว่า“ระเบียง”<br />
(sidewalk terrace) เป็นการใช้ประโยชน์<br />
จากระยะถอยร่นของอาคารโดยรอบ 6 เมตร<br />
สร้างเป็นพื้นที่เชื่อมต่อและสร้างปฏิสัมพันธ์<br />
ให้กับชุมชน ระหว่างแขกที่เข้ามาพักกับผู้คน<br />
ในย่าน ผ่านกิจกรรม ดื่ม กิน พูดคุย ซึ่งพื้นที่<br />
แห่งนี้เป็นเหมือน “mobile street furniture”<br />
ที่ถูกออกแบบให้เป็นพื้นที่เชื่อมต่อของถนน<br />
และทางเท้า ในเทศกาลพิเศษยังมีการปิดถนน<br />
จัดงานอีกด้วย โดยเป็นการร่วมมือกันระหว่าง<br />
เจ้าของโรงแรมกับผู้ประกอบการขายอาหาร<br />
ริมทางในละแวกนั้น สร้างบรรยากาศของ<br />
วัฒนธรรม street food และมอบรสชาติที่<br />
แท้จริงให้เป็นส่วนหนึ่งในโปรแกรมที่สําคัญ<br />
ของทางโรงแรมเช่นกัน ซึ่ง street food นั้น<br />
นับเป็นจุดเริ่มต้นทางธุรกิจในอดีตของ<br />
เจ้าของโรงแรมด้วย<br />
of services such as air conditioning, water,<br />
and electricity. On special occasions, these<br />
balconies can be adapted into vertical<br />
stages for live music performances intended<br />
to lift the spirits of hotel guests.<br />
The next part is referred to as the<br />
‘sidewalk terrace.’ It makes use of the<br />
six-meter setback around the building<br />
and serves as a linkage that facilitates<br />
interactions between the hotel’s guests<br />
and the local neighborhood through<br />
different activities like drinking, eating,<br />
and talking. The space acts as a mobile<br />
street furniture designed to be an<br />
interface connecting the main street<br />
and the hotel’s entrance. On different<br />
occasions, the hotel, the area’s local<br />
vendors, and the community work<br />
together to organize special events that<br />
attempt to create a local street food<br />
culture and offer an authentic taste of<br />
Thai food, which also plays a part in the<br />
hotel’s functional program. Street food<br />
holds a special meaning to the hotel’s<br />
owner as this is how he had formerly<br />
made a living.<br />
The last part of the program is the<br />
outdoor theater. Once an open area for<br />
cars to drive inside and proceed to the<br />
motel rooms, this space is transformed<br />
into an outdoor theater inspired by a<br />
Thai rural tradition of traveling outdoor<br />
movie screenings. The space aims to<br />
encourage interaction between the<br />
hotel’s guests who are able to watch<br />
the screening while lounging in the<br />
outdoor pool located at the center of<br />
the site or while sitting on the balconies<br />
of their own rooms where their legs can<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 58
องค์ประกอบสุดท้ายเรียกว่า “หนังกลางแปลง” (outdoor<br />
theater) พื้นที่บริเวณนี้ในอดีตเคยเป็นพื้นที่โล่งเพื่อวนรถ<br />
เข้ามากลางอาคาร (drive-in) โดยผู้ออกแบบได้เปลี่ยน<br />
เป็นพื้นที่สําหรับชมภาพยนตร์ภายนอกอาคาร ซึ่งได้รับ<br />
แรงบันดาลใจมาจากวัฒนธรรมการดูหนังกลางแปลง<br />
แบบไทย (Thai rural traditions of pop-up movie)<br />
เพื่อสร้างการปฏิสัมพันธ์ระหว่างกันของผู้เข้ามาพักใน<br />
รูปแบบใหม่ เช่น ผู้ชมหนังกลางแปลงสามารถนอนเล่น<br />
แช่ตัวในสระว่ายนํ้ำกลางโถงกลางแจ้งของอาคาร และดูหนัง<br />
กลางแปลงไปด้วยเหมือนเป็น water-filled lounge<br />
และแนวความคิดในการสร้างระเบียงแบบใหม่ ที่ให้สามารถ<br />
นั่งห้อยขาดูหนังกลางแปลงจากระเบียงของห้องพักแต่ละ<br />
ห้องไปด้วยได้ โดยแนวระเบียงที่ถูกออกแบบตามผังพื้น<br />
ของอาคาร ยังถูกวางให้อยู่ในตําแหน่งที่ไม่ใช่แค่ดูหนังได้<br />
เท่านั้น แต่ยังสามารถมองเห็นผู้ชมฝั่งตรงข้ามได้อีกด้วย<br />
นอกจากนี้เพื่อความตื่นเต้นเป็นประสบการณ์ที่ขาดไม่ได้<br />
ทางโรงแรมมักจะแนะนําให้แขกผู้เข้ามาพักลองสั่งเครื่องดื่ม<br />
และป๊อปคอร์นขึ้นมากินประกอบการดูหนังกลางแปลง<br />
ซึ่งเดลิเวอรีผ่านการชักรอกขึ้น-ลงในแนวตั้ง<br />
โครงการ Samsen STREET Hotel ถูกออกแบบ<br />
ให้เป็นพื้นที่ใช้งานตามหน้าที่ของการเป็นอาคารที่พักอาศัย<br />
รวมประเภทโรงแรมได้อย่างน่าสนใจ บวกกับเรื่องราว<br />
จุดเริ่มต้นของโครงการ ข้อจํากัด และปัญหาต่างๆ ได้<br />
ผสมรวมกับแนวทางในการออกแบบที่เป็นผลจากการวิจัย<br />
ได้เปลี่ยนแปลงการรับรู้บุคลิกภาพของอาคารจาก introvert<br />
เป็นแบบ extrovert ตอบสนองกับชุมชนและบริบทโดยรอบ<br />
อย่างชัดเจน สร้างให้เกิดผลลัพธ์ในภาพใหญ่ที่กว้างขึ้น<br />
จากมิติทางกายภาพเป็นภาพกว้างในมิติของจิตวิทยาทาง<br />
สังคมที่ดีต่อไป<br />
casually dangle during a movie. The balconies are<br />
designed to follow the layout of the floor plan and<br />
are located at points where guests can see each<br />
other watching the same movie from their own<br />
balconies. The activity offers a novel experience,<br />
and the hotel often recommends that guests order<br />
drinks and popcorn, which are delivered via a<br />
hand-operated pulley system.<br />
As a hotel accommodating temporary stays,<br />
the Samsen STREET Hotel is designed to have<br />
an interesting functional program of its own.<br />
This program, when combined with the story of<br />
how the project was originated and the limitations<br />
and problems revealed through extensive research,<br />
has completely changed the personality of the<br />
building from an introverted to an extroverted<br />
establishment that is more open and engaging<br />
with the surrounding community. The final outcome<br />
generates a positive impact, from the physical<br />
presence of the built structure to wider social<br />
and psychological benefits.<br />
Project Name : Samsen STREET Hotel<br />
Owner: L. S. Hotel s & Resorts Group<br />
Location: 66 Soi Samsen 6, Ban Phan Thom,<br />
Phra Nakhon, Bangkok<br />
Year of Completion: 2019<br />
Area: 2,560 sq.m.<br />
Architect: CHAT Architects<br />
Interior: CHAT Architects<br />
Landscape: CHAT Architects<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 60 61<br />
Refocus Heritage
REVIEW<br />
True Digital Park<br />
Siam Square Soi 2<br />
Text: สิปปวิชญ์ กําบัง / Sippawich Kambung<br />
Translation: ชนนิกานต์ โชติรัตนกุล / Chonnikarn Chotirattanakul<br />
Photo: วิสันต์ ตั้งธัญญา / Wison Tungthunya
เมื่อพิจารณาการมีอยู่ของสถาปัตยกรรมในยุคของการ<br />
ปฏิวัติดิจิทัลซึ่งกลายเป็นปัจจัยหลักของการเปลี่ยนแปลง<br />
ที่รวดเร็วและรุนแรงของยุคสมัย จะว่าไปแล้ว ดิจิทัล<br />
นับเป็นเทคโนโลยีที่เรียกได้ว่า ไร้ตัวตน แต่สั่นคลอนมนุษย์<br />
และสังคมได้อย่างรุนแรงมากกว่านวัตกรรมเชิงกายภาพ<br />
ที่จับต้องได้ในทุกยุคที่ผ่านมา หากใช้สถาปัตยกรรม<br />
เป็นแกนในการพิจารณา โครงการ True Digital Park<br />
Siam Square Soi 2 ก็นับว่ามีความน่าสนใจไม่น้อย<br />
เนื่องจากผู้ออกแบบมีโจทย์ที่กล่าวถึงการสื่อสาร การ<br />
เชื่อมโยงสถาปัตยกรรมกับผู้คนและเมือง ด้วยความ<br />
ต้องการของบริษัท True ที่จะปรับปรุงพื้นที่ 3 จุดบริเวณ<br />
สยามสแควร์ คือ สยามสแควร์ซอย 2 สยามสแควร์<br />
ซอย 3 และพื้นที่ใน Digital Gateway เป็นร้านกาแฟ<br />
และร้านค้าสําหรับให้บริการลูกค้า คุณภากร มหพันธ์<br />
สถาปนิกผู้ออกแบบจากบริษัท M Space ได้นําเสนอ<br />
Digital technology is one of the key elements that<br />
greatly changes and transforms our lives. It is an<br />
invisible force that impacts much of our physical<br />
space. The three outlets of True Digital Park Siam<br />
Square Soi 2 are interesting cases of architecture<br />
influenced by the digital era. They are designed to<br />
connect people, architecture, and the city together.<br />
True currently has three outlets in Siam Square<br />
at Soi 2, Soi 3, and Digital Gateway. These three<br />
locations have served as cafes and shops for many<br />
years, and the time came for them to be renovated.<br />
M Space’s Pakorn Mahaphant is the architect<br />
tasked with this renovation project. He proposed<br />
a complete transformation of all three outlets at<br />
once. The key concept is to create a network<br />
แนวทางในการปรับปรุงพร้อมกันทั้ง 3 พื้นที่ โดยเน้น<br />
การเชื่อมต่อกันทางแนวราบในระบบเน็ตเวิร์ค ที่เชื่อมต่อ<br />
กับพื้นที่โดยรอบที่มีการเปลี่ยนแปลงไปตามช่วงเวลา<br />
ของการเติบโตของธุรกิจในย่านสยามสแควร์ โดยมีคาเฟ่<br />
เป็นจุดแวะพักเพื่อเชื่อมต่อกับกิจกรรมในอาคาร โดยมี<br />
รายละเอียดคือ<br />
1.) True สยามสแควร์ซอย 2 เชื่อมต่อกับถนนพญาไท 1<br />
และศูนย์การค้า Discovery ซึ่งต่อเนื่องไปยังสยามพารากอน<br />
และมาบุญครอง ให้เป็นพื้นที่สําหรับคาเฟ่ co-working<br />
space และ exhibition ขนาดเล็กที่เชื่อมโยงกับเทคโนโลยี<br />
และศิลปวัฒนธรรม ตามแนวการเชื่อมของทางเดินลอยฟ้า<br />
ที่จะขยายระยะตลอดแนวความยาวถนนพระราม 1 จาก<br />
สี่แยกปทุมวันต่อไปยังสี่แยกเพลินจิต ความท้าทายในการ<br />
ออกแบบมาจากการเป็นอาคารที่มีประวัติการต่อเติมมา<br />
หลายยุคสมัยตั้งแต่การเริ่มก่อสร้างศูนย์การค้าสยามสแควร์ <br />
จนถึงปัจจุบัน โดยขาดการวางแผนอย่างมีระบบ 2.) True<br />
สยามสแควร์ซอย 3 อยู่ในบริเวณใจกลางถนนด้านใน<br />
ของย่านสยามสแควร์ เชื่อมต่อกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
ปรับให้เป็นคาเฟ่ และ robotic lab สําหรับเป็นพื้นที่<br />
ทํางานขนาดเล็กร่วมกันกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาฯ<br />
เพื่อให้เป็นพื้นที่ทางการศึกษาและวิจัยที่เน้นหนักไปทาง<br />
ด้าน sustainability 3.) True Digital Gateway ตั้งอยู่บน<br />
ถนนพระราม 1 ปรับเป็นคาเฟ่ แกลเลอรี และเป็นพื้นที่สื่อ<br />
ของ True ในการเปิดตัวโครงการ และ Broadcast<br />
รายการต่างๆ<br />
ในการออกแบบอาคาร ผู้ออกแบบให้ความสําคัญกับทั้ง<br />
เงื่อนไขของการก่อสร้าง ความยั่งยืนของสภาพแวดล้อม<br />
ความสอดคล้องกับวัฒนธรรม และการใช้สอยอาคาร<br />
แนวคิดทางสถาปัตยกรรมของผู้ออกแบบคือการหาตัวแทน<br />
ของการสื่อสารที่เชื่อมโยงกับรูปแบบพื้นฐาน ผู้ออกแบบ<br />
จึงนําการสื่อสารด้วย “รหัสมอร์ส” มาใช้ เนื่องจากเป็น<br />
การสื่อสารด้วยรหัส ปิด-เปิด มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 <br />
โดยรหัสมอร์สได้ถูกพัฒนากลายมาเป็นสัญญาณโทรศัพท์<br />
ในระบบดิจิทัลในปัจจุบัน แนวคิดของ façade คือการ<br />
ทําให้อาคารหายไปกลายเป็นที่ว่าง และมีรหัสมอร์สเป็น<br />
สัญญาณที่เป็นตัวแทนของระบบอะนาล็อกในอดีตลอยออก<br />
มาแทน คล้ายกลุ่มหมอกของข้อมูลในอากาศ (cloud)<br />
นอกจากนี้ในการออกแบบ façade นั้น เน้นความเชื่อมโยง<br />
กับรูปแบบเดิมซึ่งเป็น façade กระจก 2 ชั้น โดยมี<br />
linking the three locations while reflecting the<br />
changing nature of Siam Square. Each outlet houses<br />
its own cafe designed to complement the special<br />
activities offered inside.<br />
True at Siam Square Soi 2, near Rama I Road, is<br />
connected to Siam Discovery which links to Siam<br />
Paragon and MBK Centre. This outlet serves as a<br />
cafe, a co-working space, and a mini exhibition hall<br />
where art and technology coincide. The challenge<br />
for this location is the decades of unsystematic<br />
expansion and renovation done to the building<br />
from the day Siam Square was founded. True at<br />
Siam Square Soi 3 sits at the heart of this outdoor<br />
shopping district and just a few minutes away from<br />
Chulalongkorn University. This location i redesigned<br />
as a cafe and a robotic lab in partnership with the<br />
university’s Faculty of Engineering. This is a learning<br />
and research hub with an emphasis on sustainability.<br />
True Digital Gateway, also near Rama I Road, is a<br />
cafe-cum-gallery with space for product launches<br />
and other live broadcast programs.<br />
Environmental sustainability, cultural context, and<br />
space utilization all play a part in how the new space<br />
is designed. To represent the concept of connectivity,<br />
Morse code is used as a key design and decorative<br />
element. Morse code has been a basic communication<br />
method used in Thailand since the reign of King<br />
Rama V, and it has also formed the foundation of<br />
today’s digital telecommunication. Generally, a<br />
building facade is made with the purpose of making<br />
a building disappear underneath a blank canvas. In<br />
the case of the True Digital Park Siam Square Soi 2<br />
the canvas is printed with line after line of Morse<br />
code that represents an analog communication<br />
system floating in the ‘cloud.’ The new façade is also<br />
designed to be suitable with the original structure<br />
of the building using a double-layered glass façade<br />
which helps reduce energy consumption as it<br />
protects the interior from outside heat and keeps<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 64 65<br />
Refocus Heritage
แนวทางดังนี้ 1.) ปรับให้รูปแบบของกระจกทั้ง 2 ชั้น<br />
สามารถประหยัดพลังงานได้ โดยกันความร้อนจากภายนอก<br />
และรักษาความเย็นภายใน 2.) รูปแบบของ façade<br />
มีความเชื่อมโยงกับรูปแบบธุรกิจของเจ้าของโครงการ<br />
3.) รูปแบบ façade เชื่อมโยงกับประวัติศาสตร์ของพื้นที่<br />
4.) รูปแบบ façade เชื่อมโยงกับงานออกแบบภายในอาคาร<br />
ผู้ออกแบบเลือกกระจกที่มีค่าสะท้อนที่ใช้ได้ในประเทศไทย<br />
(ไม่เกิน 60%) เพื่อสะท้อนกิจกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้นบน<br />
ทางเท้า รถไฟฟ้า อาคารข้างเคียง รวมถึงแสงไฟในตอน<br />
เช้าถึงเย็น และท้องฟ้าในช่วงเวลาต่างๆ โดยใช้กระจก<br />
crystal clear ที่มีความใสเป็นพิเศษ มีค่าสะท้อนความร้อน<br />
และสะท้อนภาพของสิ่งแวดล้อมโดยรอบได้ดี การออกแบบ<br />
façade ทําให้คนภายนอกไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ภายใน<br />
ได้ในช่วงกลางวัน เนื่องจากจะเห็นเป็นภาพสะท้อน ในขณะ<br />
ที่ช่วงเย็นจะค่อยๆ มองเห็นพื้นที่และกิจกรรมด้านใน<br />
ผสมกับแสงไฟยามคํ่ำคืนในย่านสยามสแควร์ซ้อนเป็น<br />
ภาพเดียวกัน<br />
inside temperatures low. The new facade represents<br />
True’s core business and reflects the history of the<br />
area. The facade also works well with the interior<br />
design of the shop.<br />
M Space uses 60% reflective glass panels that<br />
repel heat and mirror the life of the city—the<br />
street, the sky train, the surrounding buildings,<br />
the sky, and the lights at night. People from the<br />
outside cannot see through the facade during the<br />
day, but at night, the brightly lit interior is clearly<br />
visible from the outside and blends well with the<br />
surrounding lights in the Siam Square area.<br />
If we consider architecture as an element that<br />
creates cities and societies, there are four interesting<br />
points worth exploring in the case of True Digital Park<br />
Siam Square Soi 2. First, the physical connection;<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 66 67<br />
Refocus Heritage
ประเด็นต่อมา การเชื่อมโยงวิถีชีวิตสมัยใหม่ของกรุงเทพฯ<br />
แม้ว่าแต่ละ node ของโครงการจะมีกิจกรรมเฉพาะตัว ไม่ว่า<br />
จะเป็นร้านกาแฟ co-working area และ robotic laboratory<br />
แต่ความเข้มข้น (dense) ของกิจกรรมและการใช้งาน<br />
เฉพาะนั้นถูกทําให้มีลําดับ แม้จะมีส่วนที่ใช้งานเฉพาะกลุ่ม<br />
เช่น lab แต่กิจกรรมที่เกิดขึ้นนั้น สามารถสังเกตเห็นได้<br />
อย่างชัดเจนจากผนังกระจกใส เป็นไปได้ว่าการเชื่อมโยง<br />
แบบโปร่งใสและโปรแกรมการใช้งานเหล่านี้ได้เดินข้ามความ<br />
เป็นกระแส (trend) สู่การเป็นวัฒนธรรมใหม่ไปแล้ว<br />
ประเด็นที่ 3 การเปิดเผยการซ้อนทับของยุคสมัยผ่าน<br />
การเปิดเผยองค์ประกอบอาคารในการทํางานออกแบบใน<br />
โครงการปรับปรุงอาคารเก่านั้น สิ่งสําคัญมากประการหนึ่ง<br />
คือการสืบเสาะหาโครงสร้างจริงของอาคาร และทําการ<br />
พิจารณาความแข็งแรงขององค์อาคารเพื่อประกอบการ<br />
พิจารณาในการออกแบบ การที่ผู้ออกแบบใช้กลวิธีในการ<br />
รื้อองค์ประกอบของโครงสร้างออก นอกจากจะตอบปัญหา<br />
เรื่องความปลอดภัยแก่ผู้ใช้อาคารแล้ว ยังได้เผยให้เห็น<br />
ร่องรอยของกาลเวลาที่อาคารหลังนี้เดินทางข้ามผ่านและ<br />
การใช้งานที่เปลี่ยนแปลงไปตามโจทย์ของแต่ละช่วงนอกจากนี้<br />
density of activities have been carefully systematized.<br />
Even with very specialized activities such as the<br />
robotic lab, there is a level of transparency within<br />
the space. Passersby can see the lab in action<br />
through the clear glass surrounding the shop. This<br />
transparent connectivity is not a trend that may<br />
come and go but truly an established part of our<br />
culture.<br />
Third is the evidence of different eras that can be<br />
explored through closely examining the building<br />
itself. Every renovation project requires designers<br />
to examine the building and look for the original<br />
structure. This is to assess the building’s stability<br />
so that any renovation or expansion can be done<br />
safely. M Space stripped off all of the extensions<br />
to the structure to safely build its own expansion<br />
and showcase the history and various faces of the<br />
building throughout the years. The renovation also<br />
strengthens the building’s capacity to minimize<br />
เมื่อย้อนกลับมาพิจารณาเรื่องการมีอยู่ของสถาปัตยกรรม<br />
ผ่านความสัมพันธ์ของเชื่อมโยงในฐานะเป็นองค์ประกอบ<br />
ของเมืองและสังคมนั้น อาจแยกพิจารณาได้ 4 ประเด็น<br />
ดังนี้ ประเด็นแรก การเชื่อมโยงในระดับกายภาพของเมือง<br />
ด้วยลักษณะของการออกแบบประกอบด้วยสถาปัตยกรรม<br />
ที่กระจายตัวออกเป็น 3 จุดนี้ สถาปัตยกรรมแต่ละแห่ง<br />
กลายเป็น node ที่แทรกตัวเป็นส่วนหนึ่งของเมืองย่อมๆ<br />
ในพื้นที่สยามสแควร์มีการใช้ภาษาในการออกแบบที่เชื้อเชิญ<br />
ผู้คนให้เข้ามาใช้เส้นทาง เชื่อมจุดเล็กๆ บนผังพื้นที่ให้<br />
กระชับเข้าหากัน ในขณะเดียวกันยังเปิดโอกาสให้มีการ<br />
แทรกตัวของโปรแกรมและกิจกรรมอื่นๆ ได้ตลอดเส้นทาง<br />
ซึ่งแน่นอนว่า สยามสแควร์นั้นเต็มไปด้วยกิจกรรมลําลอง<br />
หลากหลายรูปแบบ เมื่อตัวโครงการมีลักษณะที่ไม่มีกรอบ<br />
ชัดเจน ทําให้ผู้คน กิจกรรม และเมือง ไหลเวียนถ่ายเท<br />
ผ่านตัวโครงการทั้งในระดับของการมองเห็นและการแทรกตัว<br />
ของกิจกรรมต่างๆ บนพื้นที่ เป็นการผสานโครงการให้<br />
กลายเป็นส่วนหนึ่งของจิตภาพของเมือง ซึ่งอุดมไปด้วย<br />
ความเชื่อมโยง (connect) ถึงกันได้<br />
all three shops are spread out around the Siam<br />
Square area creating ‘nodes’ of architecture that<br />
become part of the neighborhood. The design<br />
language used in this renovation project aims to<br />
invite people to come in and connect the dots<br />
between the branches. At the same time, the<br />
three branches are also connected through<br />
special programs and activities. Siam Square, as<br />
a melting pot of popular cultures and subcultures,<br />
allows the three outlets to embrace different<br />
groups of people and their activities. True Digital<br />
Park Siam Square Soi 2 truly become part of the<br />
city’s identity where connectivity is abundant.<br />
Next is the issue of connecting with lifestyles in<br />
Bangkok. Although each outlet has its own unique<br />
features and activities such as a co-working<br />
space, a robotic lab, or a cafe, the intensity and<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 68 69<br />
Refocus Heritage
รวมถึงการออกแบบโครงสร้างใหม่เพื่อควบคุมการสั่นไหว<br />
ของอาคารหลังจากที่มีการใช้งานรถไฟฟ้าซึ่งทําให้เกิดการ<br />
ไหวเวลารถไฟฟ้าวิ่งผ่าน โดยการทําให้สิ่งซึ่งเคยถูกปกปิด<br />
ในอดีต เปิดเผยตัวตนออกมาอย่างโจ่งแจ้งเช่นนี้ ช่วยทําให้<br />
ผู้สังเกตมองเห็นการซ้อนทับกัน (superimposed)<br />
ทั้งในระดับของโครงสร้างเชิงกายภาพที่เป็นรูปธรรม และ<br />
นามธรรมในแนวคิดการออกแบบ ช่วงเวลาของอาคาร<br />
แต่ละสมัยจึงถูกทําให้เชื่อมโยงแบบไร้รอยต่อ โครงกระดูก<br />
ของอาคารที่ถูกปกปิด จึงถูกปลุกให้ตื่นจากความด้อยค่า<br />
(nihilism) อวดตัวตนสู่สายตาของผู้สังเกต<br />
ประเด็นที่ 4 รหัส กับการเชื่อมโยงพื้นที่และเทคโนโลยี<br />
จากจุดเริ่มต้นของรหัสมอร์ส สู่ระบบโทรเลข สัญญาณ<br />
โทรศัพท์อะนาล็อก จนถึงดิจิทัล จะเห็นได้ว่าพัฒนาการของ<br />
เทคโนโลยีในการสื่อสารข้อมูลถูกพัฒนาอยู ่บนพื้นฐาน<br />
เดียวกันคือการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งถูกใช้<br />
ในการเชื่อมโยงผู้คนและสังคมเข้าด้วยกัน ผู้ออกแบบ<br />
ใช้เทคนิคการออกแบบ façade ที่อาคารบนสยามสแควร์<br />
ซอย 2 เพื่อกระตุ้นให้เกิดการรับรู้เรื่องการสื่อสาร จาก<br />
การส่งรหัสสัญญาณบางอย่างจากสถาปัตยกรรมไปยัง<br />
ผู้คนที่เดินทางผ่านไปมา จากสถาปัตยกรรมกายภาพสู่<br />
การกลายเป็นสถาปัตยกรรมเมฆ (cloud architecture)<br />
ที่เหมือนกับการล่องลอยไร้ขอบเขตที่ชัดเจน ประเด็นนี้<br />
นับเป็นเรื่องน่าสนใจอย่างยิ่ง กล่าวคือ หากเราเชื่อว่า<br />
สถาปัตยกรรมนั้นกําเนิดมาจากความคิด ซึ่งเป็นนามธรรม<br />
และถูก สร้าง-ทําให้เป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ โครงการนี้<br />
อาจกําลังพาเราย้อนกลับกระบวนการ ทิ้งคําถามในใจ<br />
ให้เราถึงประเด็นของการมีอยู่ของคําและความหมายของ<br />
“สถาปัตยกรรม” ในวัฒนธรรมร่วมสมัยปัจจุบัน<br />
tremors that can occur when the sky train passes<br />
by the shop. By revealing what used to be hidden,<br />
we can now see the physical spaces and conceptual<br />
ideas superimposed on the building over time.<br />
Fourth is the idea of code and the connection<br />
between space and technology. Morse code gave<br />
birth to telegraphs and evolved into the traditional<br />
landline telephone system and the digital telephony<br />
system we are using for mobile phones today. For<br />
centuries, better communication has been the key<br />
objective that has propelled inventors and scientists<br />
forward in their endeavors to create innovative<br />
technology. M Space uses the facade of the True at<br />
Siam Square Soi 2 to signal for better communication.<br />
It is a message for people of the city hidden within<br />
the architecture. With this, the physical space has<br />
transformed into a ‘cloud architecture’ that exists<br />
across all dimensions. If architecture is created<br />
from abstract thoughts and made into tangible<br />
objects, it is an issue worth further discussing<br />
on how this renovation project has reverse-engineered<br />
the process and sparked the conversation<br />
about the existence and meaning of architecture<br />
in the contemporary culture.<br />
Project Name: True Digital Park Siam Soi 2<br />
Owner: True Corporation Public Company Limited<br />
Location: 232/5 and 234, Siam Square Soi 2,<br />
Pathumwan Subdistrict, Pathumwan<br />
District, Bangkok<br />
Year of Completion: 2018<br />
Area: 1,120 sq.m<br />
Architect: Mspace Co., Ltd.<br />
Interior: Mspace Co., Ltd.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 70 71<br />
Refocus Heritage
REVIEW<br />
Kitipanit<br />
Text and Photo: อ. ดร จิรันธนิน กิติกา / Chirantanin Kitika, Ph.D.<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum
กิติพานิช อาคารเรือนไม้ 2 ชั้นที่ตั้งอยู่บน<br />
ถนนท่าแพ อาคารที่เป็นภาพทรงจําของคน<br />
เชียงใหม่ที่สัญจรผ่านถนนเส้นนี้มานานกว่า<br />
ทศวรรษ อาคารหลังนี้ถูกสร้างมาตั้งแต่<br />
พ.ศ. 2431 ผู้เขียนมีโอกาสได้พูดคุยกับเจ้าของ<br />
อาคารซึ่งเป็นทายาทของกิจการกิติพานิช<br />
รุ่นที่ 5 คุณเต๋า รุ่งโรจน์ อิงคุทานนท์ ที่ได้<br />
ส่งต่อการเล่าเรื่องเมืองเชียงใหม่ ด้วยการ<br />
กลับคืนชีวิตให้อาคารเก่าหลังนี้ นํามาเปิด<br />
กิจการเป็นร้านอาหารพื้นถิ่นร่วมสมัย มีการ<br />
นําสิ่งของเครื่องใช้จริงที่พบในอาคารหลังนี้<br />
ที่เก็บไว้กว่า 132 ปีมาจัดวาง โดยโครงการนี้<br />
มีหุ้นส่วนสําคัญคือ คุณเฟรด เมเยอร์ ผู้ที่<br />
ช่วยจัดการความทรงจําของอาคาร เรียบเรียง<br />
เรื่องเล่าผ่านองค์ประกอบและของใช้ในอาคาร<br />
ที่ถูกนํามาจัดแสดงในบริเวณพื้นที่รับประทาน<br />
อาหาร ทําให้อาคารนี้เป็นเสมือนมิวเซียม<br />
ที่เก็บแสดงเรื่องเล่าของเมือง รวมไปถึงการ<br />
เป็นร้านอาหารที่เป็นเหมือนเรือนต้อนรับแขก<br />
บ้านแขกเมือง ที่มาสร้างประสบการณ์ทั้งทาง<br />
อาหารและประวัติศาสตร์ของเมืองด้วย<br />
Kitipanit - a two-story wooden building<br />
on the Tha-pae Road - holds firmly in<br />
the memories of its Chiang Mai residents<br />
who have commuted through this local<br />
neighborhood for the past several decades.<br />
Built in 1888, this old building now belongs<br />
to its fifth-generation owner. We talked<br />
with Rungroj Ingkutanon (or ‘Tao’) the<br />
current successor of Kitipanit about<br />
him handing-over this fragment of<br />
Chiang Mai’s history.<br />
Kitipanit has recently been revived into<br />
a contemporary local restaurant, one<br />
housing a mesmerizing exhibition of<br />
objects that had been accumulating<br />
in its timber structure for the past 132<br />
years. The project has Fred Mayor as<br />
an important partner. It was Fred who<br />
took-over the responsibility of unifying<br />
the building’s memories and history into<br />
อาคารกิติพานิช ในฐานะ<br />
ร้านอาหารพื้นถิ่นร่วมสมัย<br />
ในฐานะทายาทรุ่นที่5 คุณเต๋า<br />
รุ่งโรจน์ อิงคุทานนท์<br />
Kitipanit Building now<br />
operated as a restaurant<br />
serving contemporary<br />
local cuisine with its 5th<br />
generation successor<br />
Rungroj Ingkutanon or<br />
‘Tao’.<br />
ของใช้เก่าที่คุณเต๋าพบใน<br />
อาคารกิติพานิชและนํามา<br />
เป็นเรื่องเล่าในร้านอาหาร<br />
Some of the collected<br />
objects found in Kitipanit<br />
Building have been used to<br />
tell its stories inside the<br />
restaurant’s space.<br />
มองเก่า ให้เห็นคุณค่า<br />
ความงามของรูปด้านหน้าอาคารและองค์ประกอบ<br />
อาคารที่ปรากฏ เป็นสิ่งที ่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า<br />
อาคารกิติพานิชเป็นมรดกที่ตระกูลกิติบุตร<br />
ได้สั่งสมและสร้างไว้ ในฐานะสถาปนิก ผู้เขียน<br />
เชื่อมั่นว่าคุณค่าของอาคารหลังนี้เป็นมรดก<br />
ที่ไม่สามารถประเมินค่าทั้งทางเศรษฐกิจและ<br />
จิตใจได้ คุณเต๋าได้กล่าวถึงความประทับใจ<br />
นอกจากความงามทางรูปลักษณ์ของอาคาร<br />
หลังนี้แล้วนั้น คุณค่าและความงามจาก<br />
ประสบการณ์ร่วมของผู้ที่เคยอยู่ในอาคาร<br />
อย่าง คุณยายนิสา คุณารักษ์ คุณยายของ<br />
คุณเต๋า ซึ่งเป็นทายาทรุ่นที่ 3 ได้ส่งต่อเรื่อง<br />
เล่าของความหลังต่างๆ ที่ได้ผูกพันกับอาคาร<br />
หลังนี้ เมื่อครั้งที่ได้เรียนจบการศึกษาที่<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้กลับมาเปิด<br />
กิจการกับสามีในนาม คลินิกดารา จนกระทั่ง<br />
พ.ศ. 2509 ได้ยุติกิจการลง และเปิดพื้นที่<br />
หน้าอาคารให้เช่าเป็นร้านหนังสือ ซินกีง้วน<br />
ซึ่งทําให้อาคารหลังนี้ถูกปิดการใช้งาน พื้นที่<br />
ภายในอาคารจึงเป็นที่เก็บของเก่ามากมายที่<br />
สั่งสมเวลามานานกว่า 54 ปี จนถึง พ.ศ. 2562<br />
เป็นปีที่คุณเต๋าได้กลับมาเปิดอาคาร ค้นพบ<br />
ของใช้ของสะสมที่บันทึกความทรงจําของ<br />
อาคารหลังนี้มากมาย ซึ่งในปัจจุบันคุณเต๋าก็<br />
ยังไม่สามารถเปิดกล่องและถุงของเก่าได้ครบ<br />
a cogent narrative. This narrative unfolds<br />
across the building’s architectural and<br />
decorative elements, as well as the<br />
myriad objects that are displayed around<br />
the restaurant’s functional program. It is<br />
this curatorial approach that transforms<br />
the building into a museum that tells<br />
the story of the city. It is effectively the<br />
‘living room’ of Chiang Mai, a space that<br />
welcomes visitors with a delectable<br />
experience of local cuisine, alongside<br />
the city’s own amazing history.<br />
Appreciating the Old<br />
It is an undeniable fact that Kitipanit ’s<br />
architectural composition and beautiful<br />
features have made this building a<br />
well-preserved and cherished legacy.<br />
As an architect, I believe that this building<br />
is a treasure with immeasurable economic<br />
and spiritual value. Apart from its beauty,<br />
Ingkutanon is able to recall the many<br />
memories he has of the building from<br />
stories passed on by his grandmother<br />
and third-generation owner, Nisa Kunarak.<br />
Her real connection with the building<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 74 75<br />
Refocus Heritage
วิถีของอาคารใหม่ - เรื่องเล่าในอาคาร<br />
คุณเต๋าพบข้อมูลว่า อาคารหลังนี้นั้นถูกสร้าง<br />
มาตั้งแต่พ.ศ. 2431 (ก่อนสงครามโลกครั้งที่2)<br />
สไตล์ของอาคารจึงมีความร่วมสมัยทั้งการ<br />
เป็นอาคารเรือนไม้ที่สร้างโดยสล่าไม้ชาวพม่า<br />
และไทยใหญ่ ที่สะท้อนมาจากทรงหลังคา<br />
จั่วซ้อนชั้น และมีจั่วรองเล่นระดับ รวมไปถึง<br />
อิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่<br />
ปรากฏผ่านการประดับตกแต่งแผ่นไม้ที่มี<br />
ลวดลายฉลุทั้งในคิ้วหลังคาและบัวผนัง คุณเต๋า<br />
ได้รับข้อเสนอแนะจากอาจารย์จุลทัศน์<br />
กิติบุตร ศิลปินแห่งชาติสาขาสถาปัตยกรรม<br />
ร่วมสมัย และในฐานะญาติทางฝั่งคุณยาย<br />
ของคุณเต๋า ได้กล่าวถึงอาคารหลังนี้ว่า ความ<br />
ทรงจําของอาคารนั้นปรากฏผ่านผนังเก่า<br />
ร่องรอยต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับตัวอาคาร สิ่งเหล่านี้<br />
คือคุณค่าของอาคารเก่าที่ทําขึ้นไม่ได้ มันเป็น<br />
ชีวิตและความทรงจําของอาคารที่ควรบันทึกไว้<br />
ซึ่งทําให้คุณเต๋าเก็บร่องรอยของสีอาคาร ผนัง<br />
อาคาร แนวโครงคร่าวไม้เก่า ที่สะท้อนความเก่า<br />
ของอาคาร โดยไม่ได้ทําให้อาคารดูเนี้ยบ<br />
และคลีนเหมือนอย่างอาคารใหม่อย่างสิ้นเชิง<br />
โครงสร้างของอาคารนี้ เป็นโครงสร้างปูน<br />
ผสมไม้ โดยที่มีโครงสร้างหลักเป็นกําแพง<br />
รับนํ้ำหนักประกอบกับโครงสร้างเสาคานไม้สัก<br />
ภายในตัวอาคาร ครั้งเมื่อคุณเต๋าเปิดอาคาร<br />
เพื่อการปรับปรุง ผมว่ามีเสาไม้ 3 ต้นที่ถูก<br />
ปลวกกินจนหมดสภาพความแข็งแรง จึงต้อง<br />
พยุงอาคารแล้วนําเสาไม้ใหม่มาแทน ยิ่งไป<br />
กว่านั้นแนวคานไม้ที่รับนํ้ำหนักพื้นชั้น 2<br />
บางส่วนบุพังและบวมนํ้ำจากความชื้นเพราะ<br />
หลังคาอาคารได้รั่วมาก่อน ทําให้เกิดการเสริม<br />
คานเหล็กเพื่อพยุงพื้นที่ชั ้น 2 ด้วยความงาม<br />
ของการวางไม้แต่งท้องคานที่เป็นงานสล่าพม่า<br />
แต่เดิม ทําให้การปรับปรุงอาคารหลังนี้เป็น<br />
ไปตามความงามขององค์ประกอบของโครงสร้าง<br />
เดิมที ่ปรากฏ<br />
started after she graduated from<br />
Chulalongkorn University and returned<br />
to Chiang Mai with her husband. Together<br />
they opened their local business at<br />
Kitipanit called the ‘Dara Clinic’. The<br />
business ceased operating in 1966 and<br />
the couple rented-out the space at the<br />
front of the building to the Sin Gee Nguan<br />
Bookshop (while the rest of the building<br />
remained closed). Quietly accumulating<br />
inside was a collection of antiques and<br />
memorabilia spanning a 54-year period to<br />
date. In 2019, Ingkutanon reopened the<br />
building to find a huge amount of<br />
collectibles that would soon be used to<br />
document the history of the building.<br />
The number of collected objects is so<br />
great that even to this day, Ingkutanon<br />
has not yet been able to look through<br />
them all.<br />
A Building and Its Stories<br />
Ingkutanon found out that the building<br />
was constructed in 1888 (prior to the<br />
First World War). This might help explain<br />
the contemporary flair of the building’s<br />
architecture. The wooden structure<br />
was built by Burmese and Thai Yai salas<br />
(skilled builders). Its details show a<br />
layered gable roof and a secondary<br />
gable that adds dimensional levels to<br />
the overall aesthetics of the building.<br />
The influence of Western architecture<br />
can be seen in the carved ornamental<br />
wooden-panels of the roof’s skirting<br />
and cornices. Ingkutanon has been given<br />
some valuable advice from Chulathat<br />
Kitibutr, the National Artist in Contemporary<br />
Architecture (who just so happens to be<br />
a relative of his grandmother!). Kitibutr<br />
talks about the building and the way<br />
มุมรับประทานอาหารที่<br />
เล่าเรื่อง “ดาราเมซอง”<br />
A corner inside the<br />
restaurant tells the story<br />
of ‘Dara Maison’.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 76 77<br />
Refocus Heritage
องค์ประกอบของอาคารหลังนี้สะท้อนสุนทรียะ<br />
ในแต่ละยุคสมัย ไม่ว่าจะเป็นโครงคร่าวและ<br />
ผนังตีเกล็ดไม้ในชั้น2 ของอาคาร รายละเอียด<br />
ของงานตกแต่งไม้ระหว่างท้องคาน ผนังปูน<br />
ของอาคารที่มีร่องรอยจากการทาสีอาคารกว่า<br />
3 ครั้ง ตั้งแต่ดั้งเดิมตัวที ่อาคารเป็นสีขาวใน<br />
การเป็นห้างสรรพสินค้า จากนั้นถูกปรับปรุง<br />
และทาตัวอาคารในครั้งเป็นร้านเสริมสวย<br />
ด้วยสีครีม และสีอาคารชมพูอ่อนในครั้งที่<br />
เป็นกิจการคลินิก เราจะพบการหลุดร่อนของ<br />
สีบนผนังอาคารภายใน ที่บอกเล่าความทรง<br />
จําได้ดี ในปัจจุบันอาคารภายนอกด้านหน้า<br />
บางส่วนถูกทาด้วยสีเหลืองขมิ้นในฐานะ<br />
การเป็นร้านอาหารร่วมสมัย<br />
its history is visible on the old walls<br />
through traces found on surfaces and<br />
structures. These valuable qualities are<br />
inimitable and exist as a part of the<br />
building’s own life and temporal evolution.<br />
According to Kitibutr, all these elements<br />
need to be documented. Ingkutanon<br />
took this advice to heart by preserving<br />
all traces of old paint, old walls, wooden<br />
structures and other time-worn details.<br />
The refurbishment is therefore not an<br />
attempt to revamp and make the entire<br />
building look clean and new again. On<br />
the contrary, the building’s structure<br />
มุมรับประทานอาหารที่เอา<br />
ป้ายร้านหนังสือมาตกแต่ง<br />
The Kitipanit Family<br />
emblem, hung at the<br />
second floor foyer.<br />
การจัดวางที่นั่งรับประทานอาหารและเฟอร์นิเจอร์ <br />
สอดคล้องกับเรื่องราวของอาคารหลังนี้ คุณเต๋า<br />
ยกเครดิตให้กับคุณเฟรด หุ้นส่วนโครงการ<br />
ผู้มีแนวคิดในการหยิบเอาของใช้ในอาคารมา<br />
เล่าเรื่องอาทิ การเอาป้ายร้านมาทําเป็นเคาน์เตอร์ <br />
การยกตู้ไม้เก่ามาแขวนลอยเพื่อจัดแสดง<br />
แก้วนํ้ำและแจกันเก่าที ่พบในร้าน อีกทั้งยัง<br />
เอาแผงไม้สักเก่าที ่เป็นบานกั ้นห้องมาทําเป็น<br />
โต๊ะรับประทานอาหาร ทําให้เกิดการฟื้นชีวิต<br />
ของอาคารจากการนําของเก่ามาเล่าใหม่<br />
แต่ละพื้นที่ของกิติพานิช แบ่งการเล่าเรื่องราว<br />
ตามยุคสมัยของอาคารดังนี้ ในยุคแรก อาคาร<br />
มีชื่อว่า “ย่งไท้เฮง” เป็นห้างสรรพสินค้าที่มี<br />
ของนําเข้ามาจากต่างเมืองและต่างประเทศ<br />
ต่อมาปรับเป็นชื่อไทยว่า กิติพานิช ซึ่งได้รับ<br />
ความนิยมเป็นอย่างมาก ป้ายร้านเดิมได้ถูก<br />
นําไปจัดแสดงที่โถงชั้น 2 และภาพถ่ายร้าน<br />
อุปกรณ์ของใช้ รวมไปถึงบัญชีร้าน ได้ถูกนํา<br />
มาจัดแสดงบนตู้และผนังอาคารที่ฝั่งใต้ยุคที่ 2<br />
อาคารได้เปลี่ยนกิจกรรมไปเป็นสถานเสริม<br />
ความงามชื่อ “ดาราเมซอง” (Dara Maison)<br />
ซึ่งพบว่ามีการใช้เครื่องมือเสริมสวยไฟฟ้า<br />
เป็นที ่แรกของเมืองเชียงใหม่ นอกจากนี้ทาง<br />
ร้านยังได้บันทึกรายชื่อนามสกุล จังหวัด<br />
และอาชีพของผู้ที่ใช้บริการไว้ในสมุดบัญชีอีกด้วย <br />
โดยสถานเสริมความงามนี้ให้บริการทั้งสุภาพ<br />
บุรุษและสุภาพสตรี แบ่งพื ้นที่ด้านซ้ายของ<br />
อาคารเป็นฝั่งบุรุษและฝั่งขวาเป็นฝั่งสตรี ซึ่ง<br />
สันนิษฐานว่าปิดกิจการด้วยสถานการณ์ทาง<br />
เศรษฐกิจและสังคมระหว่างสงครามโลกครั้ง<br />
ที่ 2 ซึ่งเรื่องราวในส่วนร้านเสริมสวยนี้ถูกจัด<br />
ตกแต่งในบริเวณหัวมุมทางเข้าด้านขวาของร้าน<br />
ที่เป็นชุดโต๊ะรับประทานอาหารที่เอาเตียงนอน<br />
ไม้เก่ามาทําเป็นชุดเก้าอี้รับแขก ยุคที่ 3<br />
เป็นยุคที่อาคารกลับมาเปิดกิจการอีกครั้ง<br />
ในนาม “คลินิกดารา” ดําเนินกิจการคุณยาย<br />
นิสา คุณารักษ์และสามี ยุคที่4 มีการเปิดพื้นที่ <br />
หน้าร้านให้เช่าเป็นร้านหนังสือ “ซินกีง้วน”<br />
คุณเฟรดเอาป้ายร้านหนังสือนี้จัดวางในส่วน<br />
มุมซ้ายฝั่งในสุดของร้าน การมีบานหน้าต่าง<br />
โครงไม้ในบริเวณนี้ ทําให้เกิดบรรยากาศหน้า<br />
is purposely exposed to reveal a<br />
historical mix of wood and concrete<br />
with weight-bearing walls and teak<br />
beam-structures.<br />
During its careful renovation, Kitipanit<br />
revealed three wooden columns completely<br />
destroyed by termites. This resulted<br />
in three new wooden columns needing<br />
to be brought in. Moreover, a wooden<br />
beam supporting the second floor had<br />
also swollen due to humidity caused<br />
by a leaky roof. Additional steel beams<br />
were added to help bear this weight,<br />
while the original wood joists (built by<br />
Burmese builders) were used as a<br />
guideline to help preserve - wherever<br />
possible - the decorative originality of<br />
the building’s architectural characteristics.<br />
The architectural elements of the building<br />
reflect a variety of aesthetics popular<br />
throughout different time-periods. These<br />
span from ‘wooden’ louver-cladded walls<br />
(found on the second floor) all the way<br />
to the decorative detailing within the<br />
wood joists and concrete walls. It is here<br />
where the painterly-traces of three<br />
generations of conversions exist<br />
simultaneously. Since its early days,<br />
the Kitipanit building has undergone<br />
several transformations. It first opened<br />
as a beautiful ‘white’ department store.<br />
Following its first renovation, the original<br />
white department store turned into a<br />
cream-coloured hair salon. Later, the<br />
building was turned light-pink when it<br />
began operating as the ‘Dara-Clinic’.<br />
Still visible are the peeling surfaces of<br />
paint on interior walls that help recount<br />
stories of the past. At the moment, the<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 78 79<br />
Refocus Heritage
ร้านหนังสือเก่า รายละเอียดของเรื่องราวต่างๆ<br />
ที่คุณเต๋าค้นพบนั้น ต่างถูกจัดแสดงด้วย<br />
แนวคิดของคุณเฟรด ที่ใช้ประสบการณ์<br />
การแต่งร้านเก่า มาใช้จัดวางของใช้ของอาคาร<br />
อย่างสร้างสรรค์ ไม่ว่าจะเป็นการแขวน<br />
กระเป๋าเดินทาง การอัดกรอบแผนที่ โปสเตอร์<br />
และรูปถ่ายครอบครัว รวมถึงการแขวนห้อย<br />
อย่างเป็นศิลปะ<br />
จุดแข็งในการปรับปรุงอาคารกิติพานิชนี้<br />
เป็นการคิดร่วมระหว่างคุณค่าของอาคาร<br />
ทั้งในเชิงความงามทางสถาปัตยกรรม และ<br />
การนําความทรงจําของชีวิตในอาคารมาเล่าเรื่อง<br />
อีกทั้งรูปแบบของกิจการเป็นร้านอาหารพื้นถิ่น<br />
ร่วมสมัยที่ทําให้ประสบการณ์ที่เกิดขึ้นของ<br />
ผู้ที่ได้เข้ามาใช้บริการรับประทานนี้ เต็มอิ่ม<br />
ทั้งรสชาติของอาคาร สุนทรียะของอาคาร<br />
และได้รับรู้เรื่องราวของชีวิตและเมืองเชียงใหม่ <br />
ไปพร้อมๆ กัน บทสนทนาในช่วงสุดท้ายที่<br />
ผู้เขียนได้คุยกับคุณเต๋าเกี่ยวกับคุณค่าของ<br />
อาคารเก่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มอาคาร<br />
พาณิชย์ร่วมสมัยในเมืองเชียงใหม่ ตลอดถนน<br />
ท่าแพ ช้างม่อย และเจริญเมืองนั้น คุณเต๋า<br />
กล่าวว่า อาคารเหล่านี้มีคุณค่า จําเป็นที่จะต้อง<br />
ถูกรักษาและส่งต่อสู่รุ่นต่อไป<br />
building’s front elevation is painted a<br />
turmeric yellow, appropriate for its current<br />
role as a contemporary restaurant.<br />
Within the building, the spaces have<br />
been divided and re-programed<br />
chronologically following Kitipanit ’s<br />
own history. In the early days, the building<br />
operated as a department store and<br />
was known as ‘Yong Tai Heng’. It sold<br />
products from other parts of the country<br />
and some imported from overseas. Later,<br />
its name was changed to the more<br />
Thai-sounding moniker of ‘Kitipanit ,’<br />
and the establishment soon became<br />
highly renowned among locals. The<br />
building’s original signage is displayed at<br />
the second floor foyer, while photographs<br />
of the building, old equipment and<br />
some books used during its department<br />
store days are exhibited in cabinets<br />
at the south wall. In its next era, the<br />
building operated as a hair salon named<br />
‘Dara Maison’ and was known as the<br />
first-ever salon in Chiang Mai to use<br />
electrical beauty equipment. Found<br />
amongst the collected items from this<br />
era were books detailing clients’ names,<br />
their home provinces and occupations.<br />
The hair salon provided services for<br />
both male and female clientele with<br />
the left-wing of the building preserved<br />
for gentlemen and the right-wing for<br />
ladies. It is assumed that the hair salon<br />
closed down due to post Second World<br />
War economic and social strife. The<br />
hair salon’s period of history is exhibited<br />
at the right corner of the restaurant’s<br />
entrance where a set of dining chairs<br />
converted from an old bed are located.<br />
In its third era, Kitipanit operated as the<br />
‘Dara Clinic’ run by Nisa Kunarak and her<br />
อาคารกิติพานิชท่ามกลาง<br />
การเปลี่ยนแปลงของอาคาร<br />
บนถนนท่าแพ<br />
The Kitipanit Building<br />
amidst the changes of its<br />
surrounding neighborhood<br />
on the Tha Pae Road.<br />
husband. Next, its fourth generation<br />
saw the front space of the building rented-out to<br />
the Sin Gee Nguan Bookshop. Fred Mayor displays<br />
the sign of the bookshop at the far left-end of the<br />
building, where wooden window-frames accentuate<br />
the mood of an old bookshop. The entirety of the<br />
building’s past – a past rediscovered by its fifth<br />
generation successor – can be experienced through<br />
Mayor’s curatorial concept and shop decoration.<br />
Here, old objects are creatively and masterfully<br />
put together into a charming and beautiful display<br />
where old suitcases, maps, posters, and framed<br />
family-portraits merge into a wonderful, artistic<br />
spectacle.<br />
The strength of this latest renovation lies in a<br />
collaborative approach that spotlights the building’s<br />
architectural beauty and historical value accumulated<br />
over the years. The restaurant offers a unique<br />
experience brought about by the intersection of<br />
authentic food, the presence of spectacular<br />
architecture and old stories of how Chiang Mai<br />
once was. As our conversation was coming to an<br />
end, we discussed the value of old buildings,<br />
particularly the old shophouses in the Tha Pae,<br />
Chang Moi and Charoenmueng district of the city.<br />
Here, we were in profound agreement about the<br />
immeasurable value and need for these built structures<br />
to be properly preserved and inherited.<br />
Project Name: Kitipanit<br />
Owner: Kittibutr Family<br />
Architect Advisor : Chulathat Kittibutr<br />
Location: Chiangmai<br />
Year of Completion: 2019<br />
Area: 300 sq.m. (Ground Floor and Second Floor)<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 80 81<br />
Refocus Heritage
REVIEW<br />
Sri the Shophouse<br />
Text: กิตติ เชาวนะ / Kitti Chaowana<br />
Translation: ธีรพร เจริญศักดิ์ / Tiraporn Jaroensak<br />
Photo: ทรงพันธุ์ จันทร์ทอง / Songpan Janthong
ท่ามกลางย่านการค้าในเมืองเก่าภูเก็ตที่<br />
พลุกพล่านด้วยผู้คนที่หลงเสน่ห์การท่องเที่ยว<br />
ชุมชนเมืองที่มีความโดดเด่นของสถาปัตยกรรม<br />
ชิโน-ยูโรเปียน เมื่อเดินเลี้ยวเข้าซอยสุ่นอุทิศ<br />
ซอยเล็กๆ บนถนนเยาวราช กลับค่อยๆ<br />
รู้สึกสงบเงียบมากขึ้น ตึกแถวหลายหลังยังคง<br />
สภาพเดิมๆ จนมาสะดุดตาที่ตึกแถวห้องหนึ่ง<br />
ที่มีการปรับตกแต่งด้วยสีโทนขาวครีมอย่าง<br />
เรียบง่าย เหมือนเฟรมภาพสีขาวที่แสดง<br />
เรื่องราวของผู้คนอย่างมีชีวิตชีวา แรงบันดาลใจ<br />
ในการปรับปรุงอาคารตึกแถวเก่า 2 ชั้น<br />
ซึ่งมี “ฉิมแจ้” หรือ “ซิมแจ้” (ที่โล่งพร้อม<br />
บ่อนํ้ำกลางบ้าน เพื่อให้แสงส่อง และระบาย<br />
อากาศทั่วบ้านได้ดี) คือความต้องการสร้าง<br />
พื้นที่พบปะ (community space) เพื่อ<br />
ตอบสนองวิถีชีวิตแบบใหม่ ในย่านเมืองเก่า<br />
ที่มีความน่าสนใจ สอดคล้องและส่งเสริม<br />
บริบทพื้นที่เมือง มีการใช้พื้นที่หลัก คือ<br />
ร้านกาแฟ ร้านอาหาร ร้านขายของฝาก<br />
ของที่ระลึกสําหรับผู้หญิง และพื้นที่แสดงงาน<br />
In the commercial area of the Phuket<br />
old town, site of a bustling urban<br />
community and a unique Chino-<br />
European architecture, the noise<br />
slowly subsides after turning a corner<br />
on to Soi Soon Utis, a tiny alley on<br />
Yaowarat Road. Many historical<br />
buildings still exist in their same old<br />
state, but we were surprised by a<br />
single commercial building painted<br />
in a simple creamy white tone. It was<br />
like a white picture frame depicting<br />
spirited life stories. The inspiration<br />
for the renovation of this two-story<br />
old building with “Chim Jae” or “Sim<br />
Jae” (a space with a pond in the<br />
middle of the house to reflect light<br />
and allow ventilation) was the need<br />
for a community space to satisfy a<br />
modern lifestyle. To promote urban<br />
ร้าน Sri the Shophouse ที่ดู<br />
เรียบง่ายท่ามกลางตึกแถวเก่า<br />
ในซอย<br />
Sri the Shophouse stands<br />
simply in the midst of old<br />
commercial buildings<br />
ศิลปะ (gallery) โดยมุ่งเน้นเรื่องการเป็น<br />
มิตรกับสิ่งแวดล้อมและสนับสนุนธุรกิจใน<br />
พื้นที่ เช่น ร้านกาแฟที่ใช้แก้ว หลอดกระดาษ<br />
ร้านขายของฝากที่เน้นของ handmade<br />
รวมทั้งมีการผลิตโดยใช้วัตถุดิบในพื้นที่<br />
เป็นหลัก หรือการเปิดพื้นที่เพื่อให้ศิลปิน<br />
ในภูเก็ตได้มีโอกาสสื่อสารและต่อยอด<br />
เรื่องราวต่างๆ ผ่านงานศิลปะที่จัดแสดง<br />
ในแกลเลอรี<br />
แนวทางในการออกแบบของ Eco Architect<br />
สถาปนิกเน้นความเหมาะสมกับบริบทพื้นที่<br />
และบริบททางสังคม โดยพยายามเก็บสิ่งที่<br />
ดีไว้ และเน้นให้มีเรื่องราวที่น่าสนใจมากขึ้น<br />
โดยใช้ “สี” ในการ “สื่อสาร” และ “ผูกเชื่อม<br />
เรื่องราว” สื่อความหมายพื้นที ่ต่างๆ ในร้าน<br />
เช่น พื้นที่ร้านกาแฟเลือกใช้สีขาว ครีม<br />
นํ้ำตาลอ่อน ต่อเนื ่องกับแกลเลอรี ชั้นบน<br />
โซนร้านขายของที่ระลึกสําหรับผู้หญิงใช้<br />
สีชมพู โซนร้านอาหารด้านหลังใช้สีเขียว-เทา<br />
แบบป่าฝนเขตร้อน เฉดสีหลักในแต่ละ<br />
โซนนี้ยังไปปรากฏในโลโก้ ของร้านที่อยู่ด้าน<br />
หน้าอาคาร ที่สื่อสารผ่านการตีความการแทน<br />
ค่าแสงเงาของธรรมชาติแบบนามธรรมของ<br />
activity in this lively old town, the area is<br />
mainly used for a coffee shop, a restaurant,<br />
a souvenir shop for women, and an art<br />
gallery. The focus is on being environmentally<br />
friendly and supporting the<br />
businesses. Examples of this include<br />
a coffee shop that uses glass cups and<br />
paper straws and a souvenir shop that<br />
sells handmade products using locally<br />
sourced materials. The town is also a<br />
space for artists in Phuket to communicate<br />
and promote their stories through art<br />
exhibitions in the gallery.<br />
In the design, the architects focus on<br />
the relationship between two contexts—<br />
the building and the community. They<br />
try to keep all the valuable elements<br />
while making the project more appealing<br />
by using color to communicate and<br />
connect the artists’ stories to different<br />
areas by using white, cream, and light<br />
brown for the coffee shop connecting<br />
to the upstairs gallery, using pink for<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 84 85<br />
Refocus Heritage
่<br />
สวนในคอร์ตกลางบ้าน (ฉิมแจ้)<br />
เป็นพื้นที่โล่งเปลี่ยนผ่าน<br />
ระหว่างร้านกาแฟ และร้าน<br />
ขายของฝากของที่ระลึก<br />
สําหรับผู้หญิง<br />
The garden in the inner<br />
court (Chim Jae) is an<br />
open-space transitioning<br />
from the coffee shop to<br />
the souvenir shop for<br />
women<br />
พื้นที่ส่วนต่างๆ ในร้าน เมื่อรวมกับเรื่องราว<br />
ของตึกและการใช้สีในการสื่อสาร จึงได้ข้อ<br />
สรุปในการตั้งชื่อร้านว่า Sri the Shophouse<br />
นอกจากเรื่องสีซึ ่งถูกใช้เป็นตัวนําเรื่อง<br />
ผู้ออกแบบยังใช้ “แสง” ธรรมชาติช่วยสร้าง<br />
เรื่องราวและส่งเสริมบรรยากาศได้อย่าง<br />
น่าสนใจ สังเกตได้จากพื้นที่แต่ละส่วน<br />
ที่มีทั้งการแบ่ง และการเชื่อมพื้นที่ใช้งาน<br />
ส่วนต่างๆ สร้างประสบการณ์ค่อยๆ เปลี่ยน<br />
(blend) เฉดสี และเชื่อมโยงพื้นที่ส่วนต่างๆ<br />
กับท้องฟ้า ผ่านคอร์ตที่เปิดโล่งให้แสง<br />
ได้วาดเงาบนพื้นผิวต่างๆ ในแต่ละช่วงเวลา<br />
ได้อย่างแนบเนียน และใช้รายละเอียดใน<br />
การออกแบบที่สอดคล้องกับสถาปัตยกรรม<br />
ในบริบทพื้นที่เกาะเขตร้อนภาคใต้ เช่น<br />
การใช้การระบายอากาศแบบ stack<br />
ventilation และการใช้ cross ventilation<br />
เพื่อให้สามารถใช้พื้นที่บางส่วนได้<br />
โดยไม่ต้องใช้ระบบปรับอากาศ <br />
คอร์ตกลางบ้าน หรือ “ฉิมแจ้” ซึ่งเป็นพื้นที่<br />
ทางเดิน-ทางเชื่อม-ทางผ่าน ระหว่างพื้นที<br />
ส่วนต่างๆ ถูกขบคิดและออกแบบอย่าง<br />
ละเอียดหลายมิติ ทั้งเรื่องการใช้ประโยชน์<br />
พื้นที่ องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม ที ่ว่าง<br />
ของอาคาร การระบายอากาศ การใช้แสง<br />
ธรรมชาติ และการสื่อความหมาย โดยคอร์ต<br />
ด้านหน้าที่เชื่อมระหว่างร้านกาแฟและ<br />
ร้านขายของที่ระลึก ซึ่งมีบ่อนํ้ำเดิมที่ยังใช้<br />
ประโยชน์ในโครงการ ถูกออกแบบเป็นสวนหิน<br />
แบบกึ่งแห้งสะอาดตาเข้ากับสีขาว ครีม<br />
ชมพู ในขณะที่คอร์ตกลางถัดจากร้านขาย<br />
ของที่ระลึกออกแบบเป็นสวนประดับแบบ<br />
ป่าฝนเขตร้อนเพื่อสร้างความต่อเนื่องกับ<br />
พื้นที่สีเทาของร้านอาหารด้านหลัง คอร์ต<br />
ทั้งสองนี้จะมีทางเดินด้านบนที่เชื่อมโยง<br />
พื้นที่ช่วยกันแดดกันฝนส่วนหนึ่ง และมีพื้นที่<br />
ด้านข้างเปิดโล่งอีกส่วนหนึ่ง ทําให้มีแสงแดด<br />
ธรรมชาติส่องลงมาสร้างแสงเงาบนพื้นและ<br />
ผนังในเวลาต่างๆ อย่างน่าสนใจ ส่วนด้าน<br />
the souvenir shop for women, and using<br />
green-gray in the restaurant zone in the<br />
back to resemble a tropical rainforest.<br />
The color schemes in each zone also<br />
appear on the logos of the shops in front<br />
of the building, connecting the building<br />
to the community. Once this connection<br />
was formed, the shop was eventually<br />
named ‘Sri the Shophouse.’<br />
Apart from using colors as the main leads,<br />
the designer also uses natural light to<br />
build the story and create an interesting<br />
atmosphere. This can be seen from<br />
the division and connection of usable<br />
spaces by gently building experiences<br />
through color blending and by connecting<br />
different areas with the sky through the<br />
open court to subtly let light cast shadows<br />
onto different surfaces at different times.<br />
The design details also fit the climate of<br />
a tropical island in the southern region<br />
of Thailand. For example, stack ventilation<br />
and cross ventilation limit the need for<br />
air conditioning.<br />
The middle court or “Chim Jae” is a space<br />
for walking and connecting between<br />
different areas. It has been carefully<br />
designed according to function, space<br />
planning, ventilation, natural light, and<br />
communication. The front court connects<br />
the coffee shop and the souvenir shop<br />
where the original pond is still used as<br />
a clean, semi-dry stone garden that<br />
harmonizes with the white, cream, and<br />
pink colors. The middle court next to<br />
the souvenir shop (and inspired by the<br />
tropical rainforest) links the area to the<br />
gray restaurant zone in the back. Both<br />
courts have walkways that join shaded<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 86 87<br />
Refocus Heritage
Sri the Shophouse เป็นอีกตัวอย่างของการเปิดพื ้นที่ว่างด้วยการเติมสีสันอย่าง<br />
เรียบง่ายให้กับเมืองภูเก็ต บนพื ้นฐานความสนใจด้านมรดกทางวัฒนธรรม เรื ่องราว<br />
ของเมือง สถาปัตยกรรม สีสัน และผู ้คน เป็นอีกพื ้นที่ที่ได้ทำหน้าที่จุดประกายความคิด<br />
ในการสร้างพื ้นที่ร่วมสมัยให้เมืองและผู ้คนได้ร่วมเติมแต่งสีสัน สร้างเรื ่องราวใหม่ๆ ใน<br />
บริบทที่รุ่มรวยด้วยความหลากหลายทางวัฒนธรรมอย่างน่าสนใจ เป็นอีกสีที่เติมแต้ม<br />
ให้ซอยเล็กๆ มีชีวิตชีวา ชาวบ้านมีรายได้มากขึ ้น เพิ่มมูลค่าในพื ้นที่ ผ่านการมองเห็น<br />
มรดกทางวัฒนธรรมที่มีด้วยความเข้าใจ<br />
หลังของอาคารสร้างพื้นที่นั่งกินอาหารใน<br />
สวนเชื ่อมโยงพื้นที ่นั่งกินอาหารชั้น 2 ด้วย<br />
บันไดวนอย่างง่าย ลักษณะคล้ายประติมากรรม<br />
การออกแบบตกแต่งภายในพื้นที่ส่วนต่างๆ<br />
คํานึงถึงความสอดคล้องกับบริบทเมือง<br />
และสถาปัตยกรรมเก่า มีการปรับลดทอน<br />
รายละเอียดประตูหน้าต่างจากอาคารเก่า<br />
ในพื้นที่ให้ดูเรียบง่ายขึ้น ลดองค์ประกอบ<br />
ให้น้อยลงเพื่อส่งเสริมให้ที่ว่างและสวน<br />
มีความโดดเด่นมากขึ้น ไม่น้อยไปกว่า<br />
สถาปัตยกรรมและการตกแต่งภายใน <br />
เมื่อมองในภาพรวมจึงเห็นความลื่นไหล<br />
ต่อเนื่องของพื้นที่ทุกส่วนได้อย่างกลมกล่อม<br />
ลงตัว<br />
Project : Sri the Shophouse<br />
Owner: Byul Kim, Daisuke Natsumi<br />
Location: Tambon Talat Nuea,<br />
Amphoe Mueang, Phuket<br />
Year of Completion: 2019<br />
Area: 300 sq.m.<br />
Architect: Eco Architect Co., Ltd.<br />
Interior: Eco Architect Co., Ltd.<br />
Landscape: Eco Architect Co., Ltd.<br />
Lighting Designer: Eco Architect Co., Ltd.<br />
areas with open areas to the side. This<br />
allows natural light to cast visually<br />
appealing shadow patterns on the floor<br />
and walls at different times. In the back,<br />
there is a dining area in the garden<br />
connected by a simple sculptural spiral<br />
staircase.<br />
The interior design considers the<br />
coherence between the urban context<br />
and the old architecture. The doors<br />
and windows have been simplified to<br />
highlight the garden, so it is not overshadowed<br />
by the architecture and the<br />
interior. The overall picture reflects a<br />
harmonious flow between all areas.<br />
Sri the Shophouse is another example<br />
of open space creation by filling simple<br />
colors into Phuket. It is based on an<br />
interest in cultural heritage, urban stories,<br />
architecture, colors, and people. It is<br />
another area that can spark ideas to<br />
create community space for the city<br />
and for people to add colors and create<br />
new stories in a casual context in the<br />
midst of cultural diversity. It is another<br />
color that brings life to this tiny alley<br />
and generates more income for the<br />
local people. It adds value to the area<br />
through an appreciation of cultural<br />
heritage filled with understanding.<br />
โซนร้านอาหารด้านหลัง<br />
(Restaurant) ใช้สีเขียว-เทา<br />
แบบป่าฝนเขตร้อน<br />
The restaurant zone in the<br />
back uses a green-gray<br />
color like the tropical<br />
rainforest<br />
แกลเลอรีแสดงงาน<br />
ศิลปะ-ภาพถ่าย เน้นสีสัน<br />
เรียบง่าย เสริมด้วยแสง<br />
ธรรมชาติ และแสงไฟ<br />
The gallery displays art<br />
works and photographs<br />
utilizing plain color with<br />
implemented natural and<br />
artificial lights<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 88 89<br />
Refocus Heritage
REVIEW<br />
Reno Hotel<br />
Text: พีรณัฐ อุไรรัตน / Peeranat Urairat<br />
Translation: ชนนิกานต์ โชติรัตนกุล / Chonnikarn Chotirattanakul<br />
Photo: นันทิยา บุษบงค์ / Nantiya Busabong
เมื่อกล่าวถึงคําว่า “ก่อนและหลัง” โดยทั่วไปเราจะมองถึง<br />
การเปลี่ยนแปลงและผลลัพธ์ในปัจจุบันของสิ่งที่เราสังเกต<br />
เป็นหลัก อาจจะเป็นการเปรียบเทียบหรือเป็นการสร้าง<br />
กระบวนการเรียนรู้ในทางใดทางหนึ่งเป็นต้น หากเรามอง<br />
ไปรอบๆ ตัว เราจะมองเห็นตึกรามบ้านช่องอาคารที่รายล้อม<br />
หรืออาจจะรับรู้ในขณะระหว่างการเดินทาง เราจะเห็น<br />
การเปลี่ยนแปลงทั้งทางกายภาพและวิถีชีวิตที่เคลื่อนที่<br />
ไปตามเงื่อนไขที่สําคัญมากที่สุดคือ “เวลา” ในขอบเขต<br />
ของงานสถาปัตยกรรม เราหลีกเลี่ยงไม่ได้เมื่อเงื่อนไข<br />
หลักทางเวลาเปลี่ยน สิ่งที่ตามมาคือ ความต้องการใน<br />
การใช้พื้นที่ย่อมเปลี่ยนไป ท่าทาง อาการ หรือบุคลิกภาพ<br />
ของอาคารที่ต้องเปลี่ยนไปตามเหตุผลของสมัยนิยม หรือ<br />
การสร้างการรับรู้ที่แตกต่างออกไป หรือการตอบสนอง<br />
ต่อปัจจัยทางการตลาดที่เปลี่ยนไป เป็นต้น ไม่ว่าจะเป็น<br />
เพียงงานเก็บสี งานเก็บรายละเอียด หรือการต่อเติมพื้นที่<br />
และการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างบางส่วน ไม่ว่าจะเรียกว่า<br />
touch up หรือ renovation สิ่งที่สําคัญเป็นอย่างมาก<br />
คือ การทําความเข้าใจที่มาที่ไป และเห็นคุณค่าของคําว่า<br />
“ก่อน หลัง และระหว่างนั้น” อย่างเป็นลําดับขั้นตอน<br />
Reno Hotel ตั้งอยู่ในซอยเกษมสันต์ 1 ใจกลางเมือง<br />
บนถนนพระราม 1 ใกล้สถานีรถไฟฟ้าสนามกีฬาแห่งชาติ<br />
อยู่ในย่านที่เป็นศูนย์รวมกลุ่มวัยรุ่นนักศึกษา คนทํางาน<br />
รวมถึงนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ ในอดีตโรงแรมแห่งนี้<br />
รองรับการพักผ่อน การสังสรรค์ การร้องเพลง และการ<br />
จัดกิจกรรมสําราญใจในกลุ่มมิตรรักเสียงเพลง โดยเฉพาะ<br />
กลุ่มเพื่อนใกล้วัยเกษียณ โดยในช่วงยุค 1960s โรงแรม<br />
ถูกใช้รองรับแขกชาวต่างชาติจํานวนมาก Reno Hotel<br />
ในปัจจุบันได้รับการออกแบบปรับปรุงโดย PHTAA living <br />
design โดยก่อนที่โรงแรมแห่งนี้จะถูกปรับปรุงและสร้าง<br />
เสร็จ ผู้ออกแบบได้นําวัสดุบางส่วนที่จะนํามาใช้เป็น façade<br />
ของอาคารในอนาคต มาเป็นส่วนหนึ่งของนิทรรศการ<br />
ชั่วคราวในงาน Bangkok Design Week 2019 ซึ่งจัดขึ้น<br />
เพื่อตีความและพัฒนาแนวความคิดเรื่อง upcycling<br />
ซึ่งเป็นการมองเห็นวัสดุชิ้นหนึ่งที่เป็นส่วนหนึ่งของอาคารเดิม <br />
(ในที่นี้คือ บล็อกช่องลม) โดยทางผู้ออกแบบได้ custom<br />
made ขึ้นมา เพื่อสร้างความน่าจดจําจากกระบวนการ<br />
ในการแกะรอยของเก่าสู่รูปแบบใหม่อย่างละเมียดละไม<br />
เป็นการนําสัดส่วนของ element เก่าที่เกิดขึ้นมาทํางาน<br />
ร่วมกับเส้นสายแบบใหม่<br />
When the idea of “Before and After” is discussed,<br />
we often focus on the end result of the transformation.<br />
Architecture is something we see transforming<br />
all the time. As time changes, people’s needs and<br />
tastes shift. What we need from a space or building<br />
also shifts. Physical appearance, function, and<br />
utilization of a building are direct results of the<br />
passage of time. Architecture also responds to<br />
the trends, perceptions, or demands of markets.<br />
Whether it is a “spruce up” or an all-out “renovation,”<br />
it is important to understand the origin of the<br />
architecture and pay attention to every step of<br />
the way from ‘before’ to ‘after.’<br />
Situated just off Rama I Road, the Reno Hotel has<br />
been a resident of Soi Kasemsan 1 for many decades.<br />
Close to the National Stadium BTS Station, the<br />
neighborhood is a hub for young people, office<br />
workers, and tourists. In the past, the hotel was<br />
a destination for old-school music lovers who<br />
came here to socialize and sing with like-minded<br />
people. In the 1960s, the Reno Hotel also welcomed<br />
many foreigners visiting Bangkok. PHTAA Living<br />
Design is the architecture and interiors firm tasked<br />
with the hotel’s renovation. They were inspired by<br />
the hotel’s original ventilation blocks, which were<br />
popular during the 1960s when the hotel was built.<br />
For the hotel’s façade, the firm paid homage to the<br />
original blocks with their own unique interpretation,<br />
giving them iconic new shapes.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 92 93<br />
Refocus Heritage
เมื่อกล่าวถึงงาน installation ซึ่งจัดขึ้นภายในพื้นที่จอดรถ<br />
ในส่วนที่ไม่ได้ถูกใช้งานของโรงแรมที่ถูกรื้อถอนแล้ว<br />
ทางผู้ออกแบบได้จัด installation นี้ค้างไว้ครึ่งหนึ่ง เพื่อเป็น<br />
การจัดแสดงใน 3 วันแรก และต่อมาใน 4 วันที่เหลือ<br />
ทางผู้ออกแบบได้เชิญมัณฑนากร และศิลปินหลากหลาย<br />
แขนงแนวทาง มาทําการแต่งแต้ม เติมต่อจากที่ผู้ออกแบบ<br />
วางไว้ในเวลา 1 วัน จากการเต็มส่วนที่เหลือไว้ ทําให้เกิด<br />
ผลลัพธ์ที่เข้มข้นและหลากหลายจากการตีความถึงประเด็น<br />
“Modern Love” ซึ่งได้ถูกจัดแสดงต่ออีก 3 วัน<br />
หากเราสังเกตพื้นที่ common area และบริเวณพื้นที่<br />
ต้อนรับ จะพบกับเสากลมเพียงต้นเดียวที่ถูกเลือก และ<br />
อนุญาตให้เปิดเผยตัวอย่างสง่า โดยคงไว้ซึ่งเรื่องราวและ<br />
ร่องรอยของอดีต ก่อนหน้านี้เสาต้นนี้ในอดีตได้ถูกพอก<br />
ปกปิดไว้ นอกจากนี้ทางผู้ออกแบบได้สังเกตเห็นแนวทาง<br />
การออกแบบโดยการนําแสงธรรมชาติเข้ามาแก้ปัญหา<br />
ความทึบตันบริเวณพื้นที่โถงชานพักบันได ส่วนพื้นที่<br />
เก็บของเดิมได้ปรับเปลี่ยนบางส่วนเป็นพื้นที่อ่านหนังสือ<br />
ขนาดย่อมที่มีชีวิตชีวาอย่างน่าสนใจ ทั้งยังมีการมองถึง<br />
ผนังที่มีการแบ่งกั้นระบบของพื้นที่ใช้งานแต่ละส่วน<br />
ในอดีตและแนวทางในปัจจุบัน เช่น ลดพื้นที่ระเบียง<br />
ภายนอก เพิ่มพื้นที ่ภายในห้องแต่ละยูนิต โดยใช้<br />
แนวประตูกระจกเส้นเฉียงในมิติของผังพื้นเป็นตัวสร้าง<br />
การรับรู้ในการแบ่งกั้นภายนอก-ภายใน เป็นการลด<br />
ความร้อนอีกทั้งยังช่วยลดทอนมุมมองภายนอกที่มอง<br />
เข้ามาในห้องพัก และเป็นการเพิ่มมูลค่าและคุณค่า<br />
ให้กับพื้นที่ที่ไม่ได้ใช้งานอีกด้วย<br />
The up-cycled material was displayed in an<br />
exhibition at Bangkok Design Week 2019, which<br />
took place in the parking lot of the original Reno<br />
Hotel. The first three days was a solo exhibition by<br />
PHTAA where they displayed an installation made<br />
from the up-cycled ventilation blocks. For the rest<br />
of the exhibition, PHTAA invited interior designers<br />
and artists to take over the space and communicate<br />
their vision of ‘Modern Love’ in the form of an art<br />
installation.<br />
One column in the hotel’s lobby and common area<br />
was left bare as a testament to the layers of history<br />
in the building. The designer also made use of<br />
natural light to freshen up the lobby and staircase,<br />
while an old storage room was turned into a cozy<br />
reading area. PHTAA re-examined the needs of<br />
modern-day travelers and redesigned the space<br />
in the Reno Hotel accordingly. Balcony sizes were<br />
reduced, making the guest rooms bigger than the<br />
original rooms from the 1960s. The sliding door<br />
opening onto the balcony was placed diagonal to<br />
the original door frame. This helps with ventilation<br />
and creates more privacy for the guests while<br />
providing extra space in the room.<br />
STANDARD GUESTROOM FAMILY EXTRA<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 94 95<br />
Refocus Heritage
ผู้ออกแบบตั้งใจสร้างความเข้มข้นของประสบการณ์ใน<br />
การใช้งานแต่ละพื้นที่ไม่ใช่แค่ภายในห้องพัก หากแต่ใน<br />
รายละเอียดของทางเดินภายในแต่ละชั้น มีการสร้างการ<br />
รับรู้ที่ว่างที่แฝงความหมาย คือ เก่า-ใหม่ ผ่านสีขาว-สีดํา<br />
ผ่านความมืด-ความสว่าง และความเรียบง่ายอย่างมีมิติ<br />
โดยในส่วนพื้นที่สีขาวที่ซึ่งบรรจุบรรยากาศความทรงจํา<br />
ในอดีตยังคงแสดงออกผ่านวัสดุและอุปกรณ์เดิมอย่าง<br />
ครบถ้วน ซึ่งรายละเอียดต่างๆ ที่ถูกออกแบบสร้างสรรค์<br />
ได้ถูกค้นพบ โดยกระบวนการสํารวจของผู้ออกแบบ<br />
ในระหว่างการเข้าไปในพื้นที่โรงแรม ว่าองค์ประกอบใด<br />
สามารถเป็นอะไร อย่างไรได้บ้าง ซึ่งทางผู้ออกแบบมองว่า<br />
เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่งในการทํางานปรับปรุงอาคาร และ<br />
การที่ผู้ออกแบบได้มองถึงการใช้พื้นที่เดิมที่มีอยู่ให้มี<br />
คุณภาพมากขึ้น นอกเหนือจากมุมมองในการแก้ปัญหา<br />
แล้ว ทางผู้ออกแบบยังมองถึงการตอบสนองประสบการณ์<br />
ความเป็นอยู่ การใช้สอยพื้นที่ ทําให้เกิดแนวทางในการ<br />
เกลี่ยและไล่เลียงความแตกต่างของภาพเก่ากับภาพใหม่<br />
ได้อย่างละเอียดและประนีประนอม<br />
น่าคิดกันต่อไปว่าหากจุดเริ่มต้นของการทํางานออกแบบ<br />
ไม่ว่าจะเป็นงานออกแบบภายใน หรือสถาปัตยกรรม<br />
จะเกิดการตั้งคําถามและการหาคําตอบอย่างเรียบง่าย<br />
และเหมาะสมต่อสิ่งที่ปรากฏต่อหน้าและข้างหลัง ทั้งสิ่งที่<br />
มองเห็นและมองไม่เห็น สิ่งที่เกิดขึ้นในอดีตและปัจจุบัน<br />
ยิ่งเราย่อและขยาย หรือปรับโฟกัสไปมาให้ละเอียด<br />
ชัดเจนขึ้น หรือเบลอๆ ไปบ้างอย่างยืดหยุ่นและตอบสนอง<br />
กับคุณค่าที่ยังคงอยู่ เราอาจจะนึกถึงบทสนทนาระหว่าง<br />
ผู้ออกแบบกับวัสดุสักชิ้นหนึ่งถึงหน้าที่ในอดีตที่ผ่านมา<br />
กับความน่าจะเป็นในปัจจุบันที่เป็นอยู่และจะส่งคุณค่า<br />
เหล่านี้ในมุมมองที่แตกต่างไปยังอนาคตวันข้างหน้า<br />
PHTAA paid just as much attention to the common<br />
areas. The ‘new’ and the ‘old’ were depicted through<br />
the use of contrasting colors-black and white-and<br />
the creation of light and dark spaces. Simple but<br />
deep, the bright white space is filled with memories<br />
from an earlier time such as old fittings and furniture<br />
salvaged by the designer before demolition. The<br />
firm explored the old hotel thoroughly and saved<br />
some original items to carry the past into the future.<br />
This is part of the appeal of renovation projects.<br />
While solving problems experienced in the old<br />
building, PHTAA also made careful compromises<br />
for both the past and the future to exist harmoniously.<br />
Something to consider about design, whether it’s<br />
interior design or architecture, is the question of<br />
simplicity. The task here was to apply this idea in<br />
relation to what is on the inside and the outside,<br />
to the visible and the invisible, and to the past and<br />
the present. Whatever is reduced or amplified,<br />
placed in or out of focus, should be adaptable and<br />
in accordance with its original value. One might<br />
think of a conversation between the designer and<br />
the object of his/her work, the possibility of the<br />
present, and its transcendence into the future.<br />
97<br />
Refocus Heritage
Project Name: Reno hotel<br />
Owner: Soravid Leenutaphong<br />
Location: Kasemsan 1, Bangkok<br />
Year of Completion: 2020<br />
Area: 2,500 sq.m.<br />
Architect: PHTAA living design<br />
Interior: PHTAA living design<br />
Landscape: M A G L A Landscape/ Architecture & Interior Design<br />
Lighting Designer: PHTAA living design<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 98 99<br />
Refocus Heritage
ROUNDTABLE TALK<br />
Between Preservation<br />
and Digitalization<br />
Text: <strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> Team<br />
Photo: ชนิภา เต็มพร้อม / Chanipa Temprom<br />
ซ้าย ผศ. ดร.ชาวี บุษยรัตน์<br />
ขวา มติ เสมา<br />
จากกระแสการรีโนเวตอาคารเก่าสู่พื้นที่การใช้งานแบบใหม่ <br />
อย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา สู่การตั้งคําถามว่า<br />
อะไรควรเก็บรักษาไว้ให้เป็นความจริงแท้ดั้งเดิม อะไรควร<br />
ถูกปรับเปลี่ยนให้เข้ากับวิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป <strong>ASA</strong><br />
<strong>CREW</strong> จึงชวน คุณมติ เสมา Manager & Senior Architect<br />
ตัวแทนจากบานาน่า สตูดิโอ ซึ่งเชี่ยวชาญด้านงานออกแบบ<br />
ทางสถาปัตยกรรม การอนุรักษ์ และการจัดทําแหล่งความรู้<br />
ผ่านทางหนังสือ และงานค้นคว้าเกี่ยวกับงานสถาปัตยกรรม<br />
และ ผศ. ดร.ชาวี บุษยรัตน์ อาจารย์ประจําคณะสถาปัตย-<br />
กรรมศาสตร์ และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<br />
ผู้เชี่ยวชาญเรื่องเทคโนโลยีการจัดการข้อมูลโบราณสถาน<br />
แบบดิจิทัล (digital preservation) เกี่ยวกับมุมมองการ<br />
อนุรักษ์ในโลกสมัยใหม่ที่ต้องแข่งกับเวลาที่กําลังหมุนไป<br />
ทุกวินาที<br />
_สถานการณ์การอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรม<br />
ในปัจจุบันเป็นอย่างไรบ้าง<br />
มติ: มรดกทางสถาปัตยกรรทั้งหลายในบ้านเรา แบ่งได้<br />
2 ประเภทใหญ่ๆ คือแบบที่ใช้งานอยู่ กับแบบที่ไม่ได้ใช้งาน<br />
แล้ว แบบที่ใช้งานอยู่จะมีโอกาสที่จะเปลี่ยนแปลงและพัฒนา<br />
มากขึ้น โดยถ้าอาคารเก่านั้นเป็นของเอกชน คนทั่วไป มักจะ<br />
มีความทรุดโทรม เพราะไม่มีข้อมูลที่จะใช้การอนุรักษ์<br />
ชาวี: ผมจบเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์มา ไม่ได้ทํางานอนุรักษ์<br />
โดยตรง แต่มีหน้าที่treat ข้อมูลจากคนที่ศึกษาโบราณสถาน<br />
อาคารอนุรักษ์เหล่านี้ไว้ หลักๆ จัดการข้อมูลโบราณสถาน<br />
ด้วยคอมพิวเตอร์ เทคโนโลยีสารสนเทศ ใช้เทคโนโลยี<br />
3D Scanner ภาพถ่ายจากโดรน ทําให้ภาพถ่าย 2 มิติ<br />
กลายเป็น ภาพถ่าย 3 มิติ เชื่อมโยงเข้ากับข้อมูลอื่นๆ ที่<br />
เป็นข้อความ รูปภาพ ภาพเขียน ภาพวาดเก่าด้วย เป้าหมาย<br />
ในการทํางานของผมมี 2 อย่าง อย่างแรกคือการเก็บเป็น<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 100 101<br />
Refocus Heritage
ไฟล์ดิจิทัล (digitization) อย่างที่ 2 คือนําการมาเผยแพร่<br />
ให้ผู ้ที่ต้องการใช้ข้อมูลเหล่านี้ในรูปแบบที่เขานําไปใช้ต่อได้<br />
ซึ่งสิ่งที่ผมทํายังเป็นแนวทางที่ค่อนข้างใหม่ คนที่ทําอยู่<br />
ก็มีน้อยมาก เทคโนโลยีใหม่ๆ ในต่างประเทศมีรออยู่แล้ว<br />
แต่การที่จะนําเข้ามาคนยังไม่รู้จักว่าเกิดประโยชน์ยังไง<br />
คนมีเงินพร้อมจะซื้อ แต่ยังไม่มีความรู้ ส่วนคนที่มีความรู้<br />
ยังไม่มีเงิน (หัวเราะ) คงต้องรอเวลาที่เหมาะสมต่อไปอีก<br />
สักพัก แต่ถ้าถามว่าสถานการณ์ของโบราณสถานในบ้าน<br />
เรามันเลวร้ายมากไหม ก็ไม่ได้แย่มากครับ กรมศิลปากร<br />
มีระบบการดูแลจัดการอยู่<br />
_เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างไรบ้างในการอนุรักษ์<br />
มรดกทางสถาปัตยกรรม<br />
มติ: ที่สําคัญมากๆ คือเทคโนโลยีพวกนี้ช่วยย่นระยะเวลา<br />
ในการเก็บข้อมูลได้มากเลย จากที่ต้องพานักเรียนไป<br />
วัดพื้นที่ เก็บข้อมูล 2 สัปดาห์ เขียนแบบอีก 1 เดือน<br />
แต่ปัจจุบันเอา 3D Scanner ไปสแกนตัวอาคาร ได้<br />
Point Cloud มา อัปโหลดเข้าโปรแกรมเขียนแบบต่อใน<br />
AutoCAD ได้เลย<br />
ชาวี: หรือเป็นหลักวันก็สแกนเสร็จแล้วนะครับ ทําPost-<br />
Production อีกสัปดาห์หนึ่ง แล้วมันยิ่งเร็วขึ้น พัฒนาขึ้น<br />
ตลอดด้วย แต่ก่อนผมต้องนําแต่ละรูปมาวางแล้วจิ้มว่า<br />
รูปแรกจุดนี้ รูปที่ 2 จุดนี้ คือจุดเดียวกัน นั่งทําทีละรูป<br />
แต่ตอนนี้มี Photogrammetry เราโยนภาพเข้าไป โปรแกรม<br />
ก็จัดการให้หมดเลย ผมขอยกตัวอย่าง “บ้านห้าง ร.5”<br />
ที่จังหวัดกําแพงเพชร เป็นเรือนไม้ทั้งหลัง ซึ่งรัชกาลที่ 5<br />
เคยเสด็จมาที่นี่ เจ้าของเป็นคุณป้าคนหนึ่งที่ได้รับมรดก<br />
ตกทอดมา แต่เขาไม่ได้อยากเก็บบ้านเอาไว้ ยกให้กรม<br />
ศิลปากรก็ไม่ได้ ไม่มีงบประมาณ ไม่มีนโยบาย จะซ่อมเอง<br />
ก็ไม่มีเงิน ไม่รู้จะเอาไปทําอะไรต่อ ก็เลยต้องปล่อยให้<br />
ทรุดโทรมไปเรื่อยๆ เราเห็นว่าถ้าหากบ้านที่โย้เอียงขนาดนี้<br />
แล้วไปนั่งวัดกัน ก็ไม่รู้เมื่อไหร่จะเสร็จ แต่พอเราเอา 3D<br />
Scanner ไปสแกนก็จบได้ในวันเดียว<br />
มติ: นอกจากนี้ยังช่วยสันนิษฐานโบราณสถานเก่าแก่<br />
ที่เหลือเพียงแค่ฐานได้ สแกนขนาด ใส่ข้อมูลเข้าไป ขึ้นเป็น<br />
3 มิติ แล้วให้นักวิชาการหรือนักประวัติศาสตร์มาต่อยอด<br />
ได้อย่างรวดเร็ว<br />
ชาวี: นอกจากนี้ยังใช้ในการตรวจสอบการพังทลายได้ด้วย<br />
ปีนี้สแกนครั้งหนึ่ง ปีหน้าสแกนซํ้ำ เพื่อตรวจสอบว่ามีการ<br />
พังทลายไปมากแค่ไหน วิกฤตแล้วหรือยัง ต้องเสริมความ<br />
แข็งแรงไหม หรือเมื่อมีการค้นพบโบราณสถานแห่งใหม่<br />
แต่ยังไม่มีงบประมาณมาจัดการ ก็เปิดหน้าดินขึ้นมา สแกน<br />
ข้อมูลเก็บไว้ แล้วกลบกลับไปเหมือนเดิม เพื่อป้องกันความ<br />
เสียหายระหว่างรอเวลาปรับปรุง<br />
_เทรนด์เกี่ยวกับการรีโนเวตอาคารเก่ากลับมาใช้ใหม่<br />
หรือกระแสความนิยมของเก่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา<br />
จะส่งผลต่อการอนุรักษ์ไหม<br />
มติ: วิธีการแบบ Adaptive Reuse ใช้กันในต่างประเทศ<br />
มานาน 20-30 ปีแล้ว ตึกในยุโรปที่มีมาเป็นร้อยปี ก็นํามา<br />
ปรับใหม่ รวมถึงการท่องเที่ยวสมัยใหม่ที่เป็นไปในแนว<br />
การถ่ายรูป เช็กอินผ่านโซเชียลมีเดียมากขึ้น ก็ยิ่งทําให้คน<br />
หันกลับมามองว่าเราจะทําอะไรกับสิ่งที่มีอยู่ได้บ้าง แต่<br />
องค์ความรู้เกี่ยวกับเรื่องพวกนี้ก็ยังมีอยู่น้อยมาก ช่างฝีมือ<br />
ก็ต้องชํานาญกว่าปกติ ปูนก็มีไม่กี่แบบ ไม่กี่สี การจัดการ<br />
ความชื้น การผุกร่อน ความรู้เรื่องงานไม้ในบ้านเราน้อย<br />
ลงไปเรื่อยๆ เพราะเราใช้ไม้น้อยลงมาก ช่างฟันช่อฟ้า<br />
ที่ทําจากไม้ ทั้งประเทศน่าจะมีอยู่ไม่ถึง 5 คน จะซ่อมวัด<br />
ทีต้องรอหลายปี เจ้าอาวาสไม่อยากรอแล้ว เปลี่ยนใหม่<br />
หมดเลยดีกว่า อะไรที่เขาซ่อมไม่ไหวก็จะหายไป เป็นอีก<br />
ข้อจํากัดที่ต้องปล่อยให้มันพังไป<br />
_เราสามารถพูดได้เต็มปากเลยไหมว่าความท้าทาย<br />
ในการฟื้นฟูมรดกทางสถาปัตยกรรมคือ “เวลา”<br />
ชาวี: มันไม่ทันจริงๆ นะครับ เทคโนโลยีเข้ามาช่วยย่น<br />
ระยะเวลาการเก็บข้อมูลก็จริง แต่เมื่อถึงเวลาที่ต้องลงมือ<br />
ทําเป็นอีกเรื่องหนึ่งเลย<br />
มติ: ผู้รับเหมาทั้งประเทศไทย มีไม่เกิน 10 เจ้าที่ทํางาน<br />
บูรณะได้ เพราะมันเป็นงานละเอียด ใช้เวลามาก ที่ทราบ<br />
มาผู้รับเหมาเหล่านี้เขาโตมาจากการเป็นช่าง เรียนรู้จาก<br />
กรมศิลปากรนั่นแหละ เติบโตขึ้นก็ออกมาตั้งบริษัทเอง<br />
เท่าที่ผมเข้าใจงานที่เป็นงานปูนเรียนรู้กันมาจากช่างจีนที่<br />
พัฒนาความรู้ด้านการก่อสร้างมาก่อนเรา ช่างปูนจากปีนัง<br />
และภูเก็ต พัฒนาความรู้ ปรับวัสดุมาเรื่อยๆ สืบต่อกันมา<br />
เป็นทอดๆ ว่าปูนหมัก ปูนตําต้องใช้เวลากี่วัน แต่ไม่มี<br />
การเรียนการสอนจริงจัง<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 102
_ความท้าทายด้านอื่นๆ ในการฟื้นฟูมรดกทางสถาปัตยกรรม<br />
มีอะไรอีกบ้าง<br />
ชาวี: เรื่องภัยธรรมชาติเป็นประเด็นหลักเลย ไฟไหม้<br />
แผ่นดินไหว นอกเหนือจากพวกนี้ก็มีกรณีอื่นๆอย่างสงคราม<br />
ความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของมนุษย์ ความคะนองของคน<br />
เราอาจจะคิดว่าเราอยู่ในยุคใหม่ ผู้คนตระหนักถึงคุณค่า<br />
ของสถาปัตยกรรมพวกนี้แล้ว แต่ของพวกนี้มันเกิดขึ้นได้<br />
ตลอดเวลา ทุกวัน<br />
มติ: เรื่องไฟไหม้นี่สําคัญนะ สายไฟในตึกแถวเก่าอันตราย<br />
มาก ผมมองว่าความเสื่อมของอาคารเกิดขึ้นทุกวัน จากลม<br />
ฝน ความชื้น สมัยก่อนที่ยังไม่มี 3D Scanner เปิดหน้าดิน<br />
ออกมาแล้วฝนตก อิฐต่างๆ ก็เสื่อมไปอย่างรวดเร็ว <br />
ยิ่งบ้านเราอยู่ในเขตร้อนชื้นแป๊บเดียวก็ตะไคร่ขึ้น ในยุโรป<br />
หรือเขตทะเลทรายอยู่ได้เป็น 100 ปี 1,000 ปี<br />
_กระบวนการดูแล การฟื้นฟูมรดกทางสถาปัตยกรรมที่ดี<br />
ต้องมีปัจจัยอะไรบ้าง<br />
มติ: ข้อมูลที่ถูกต้องสําคัญมาก ข้อมูลที่ชัดเจนจะนําไปสู่<br />
เงื่อนไขต่างๆ ว่าทําอะไรได้แค่ไหน ทําเมื่อไหร่ อย่างไร<br />
แล้วจากนั้นก็ต้องมาประเมินความต้องการในการใช้งาน<br />
กันต่อไป ต้องดูให้รอบด้าน เพื่อวางแผนให้เหมาะสม<br />
กับเงื่อนไขต่างๆ ของอาคาร โบราณสถาน พิพิธภัณฑ์<br />
เอกชน โรงเรียน แต่ละอย่างต้องการการจัดการต่างกัน<br />
โดยสิ้นเชิง แต่นี่เป็นแค่ยอดของภูเขานํ้ำแข็งนะ หลังจาก<br />
ตัดสินใจว่าจะปรับปรุงอาคารพวกนี้แล้ว ก็จะมีเรื่องอีก<br />
เยอะแยะมากมายตามมาเต็มไปหมด (หัวเราะ)<br />
ชาวี: ข้อมูลสําคัญแน่นอน เมื่อได้ข้อมูลแล้วเราจัดการ<br />
ข้อมูลนั้นยังไง จะ raise awareness ให้คนเห็นคุณค่า<br />
มันอย่างไร นโยบายรัฐเป็นอย่างไร ภาครัฐเป็นอย่างไร<br />
แล้วต้องดูเรื่องทัศนคติและรสนิยมของคนที่ใช้งานด้วย<br />
ผมมองว่าเด็กรุ่นใหม่ที่พัฒนาอาคารเป็น instagram<br />
worthy มันก็มีส่วนช่วยมากอยู่นะครับ เดินถ่ายรูป<br />
ข้างหลังเป็นโบราณสถานสวยๆ มันเป็นเทรนด์ใหม่<br />
ที่เข้ามาอย่างน้อยดีกว่าไม่ถูกเหลียวแลเลย หรือ<br />
การได้เห็นว่ามีการต่อยอดเป็นธุรกิจที่หาเงินได้จริงๆ<br />
ก็สร้างแรงบันดาลใจต่อไปเหมือนกัน<br />
_สถาปนิกที่ต้องมาท ำงานเกี่ยวกับมรดกทางสถาปัตยกรรม<br />
จำเป็นต้องมีทักษะหรือทัศนคติแบบใดเป็นพิเศษหรือไม่<br />
ชาวี: ผมว่าทักษะเรียนรู้กันได้ แต่ทัศนคติสําคัญมาก<br />
คุณชอบมันไหม อินหรือเปล่า คิดว่ามันมีคุณค่าจริงๆ<br />
หรือเปล่า<br />
มติ: สถาปนิกจะเป็นตัวกลางที่มองเห็นภาพรวม รู้ว่า<br />
ควรต้องใช้อะไร ขมวดรวมคนมาช่วยกันได้ อย่างที่อ.ชาวี<br />
บอกว่าทัศนคติในการมองอาคารเก่า ความเข้าใจของ<br />
เขาเป็นอย่างไร ต้องมาประสานงานทั้งหมด ถ้าทัศนคติดี<br />
ก็มีความเป็นไปได้หลายแบบ<br />
_ในต่างประเทศมีกระบวนการดูแลมรดกทางสถาปัตยกรรม<br />
อย่างไรบ้าง<br />
ชาวี: ผมเรียนที่ประเทศฝรั่งเศส ในแต่ละเมืองจะมีกฎหมาย<br />
การอนุรักษ์ที่แตกต่างกันไป คุณทําบ้านใหม่หมดเลยก็ได้นะ<br />
แต่ถ้าทําเหมือนเก่า เจ้าของบ้านหรือกิจการที่เก็บรักษา<br />
มรดกทางวัฒนธรรมเอาไว้จะได้รับการลดหย่อนภาษี<br />
และมีหน่วยงานที่ดูเรื่องนี้โดยเฉพาะ สิ่งที่แตกต่างจาก<br />
ในประเทศไทยคือเขาเริ่มมีการอนุรักษ์อาคารสมัยใหม่<br />
อาคารยุคโมเดิร์นกันแล้ว<br />
มติ: นโยบายของประเทศทางยุโรปจะมีความชัดเจนใน<br />
เรื่องการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม ผู้คนเขาเห็นความ<br />
สําคัญตั้งแต่ผู้กําหนดนโยบายระดับบนสุด ส่งต่อมายัง<br />
องค์กรส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีกฎหมายเทศบัญญัติแบบเฉพาะตัว<br />
เพราะแต่ละพื้นที่ให้ความสําคัญแต่ละอย่างไม่เหมือนกัน<br />
มีข้อพิจารณาคุณค่าของเขาเอง มีบรรทัดฐานชัดเจนว่าอะไร<br />
มีคุณค่า การวางกรอบปฏิบัติของบ้านเราอาจจะเบลอๆ<br />
หน่อย พระราชบัญญัติโบราณสถาน โบราณวัตถุ<br />
ศิลปวัตถุ และพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติก็ยังไม่ชัด ขึ้นอยู่กับ<br />
การพิจารณาของเจ้าหน้าที่<br />
_มรดกทางสถาปัตยกรรมที่ได้รับการดูแลอย่างดี<br />
ในประเทศไทย มีคุณสมบัติอย่างไร<br />
มติ: งานที่ได้รับรางวัลจากสมาคมสถาปนิกสยามฯ ส่วน<br />
ใหญ่ได้รับการพิสูจน์มาแล้วว่า มีขั้นตอนการอนุรักษ์อย่าง<br />
มีองค์ความรู้ ผมเองอยากให้คนทั่วไปได้เห็นการอนุรักษ์<br />
อย่างถูกวิธี แม้วัสดุต่างๆ ที่ซ่อมแซมจะเปลี่ยนไปแล้ว<br />
แต่เรื่องราวที่รายล้อมสถานที่เหล่านั้นไว้ทําให้มีเสน่ห์<br />
มีชีวิตชีวา สื่อความหมายให้คนรุ่นต่อไปมาใช้งานได้ต่อไป<br />
ชาวี: ผมเห็นด้วยว่าเรื่องเล่าเป็น intangible heritage<br />
อย่างหนึ่งที่มาพร้อมกับอาคาร ไม่อยากให้แค่เก็บไว้ในเล่ม<br />
วิจัย รู้กันอยู่แค่ไม่กี่คน ถ้าเราหยิบมันมาใช้ก็อาจจะเป็น<br />
จุดดึงดูดให้เห็นคุณค่าของสถาปัตยกรรมเหล่านี้ได้มากขึ้น<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 104 105<br />
Refocus Heritage
<strong>ASA</strong> REGIONAL: ESAN<br />
dotLIMITED<br />
Text: รศ. ดร.นพดล ตั้งสกุล / Assoc. Prof.Nopadon Thungsakul, Ph.D.<br />
Translation: สิรยา ชุมนุมพร / Siraya Chumnumporn<br />
Photo: เฉลิมวัฒน์ วงษ์ชมภู / Sofography by Chalermwat Wongchompoo
สูงสุด สินค้าอุปโภคและบริโภคที่ใช้ในชีวิตประจําวัน<br />
ภายในร้านต้องตอบโจทย์ทั้งการรักษาสิ่งแวดล้อมไปพร้อมๆ<br />
กับการส่งเสริมสุขภาพที่ดี จึงไม่น่าแปลกใจ ที่จุดเริ่มต้น<br />
ในการสร้างงานสถาปัตยกรรมสําหรับ dotLIMITED นั้นทาง<br />
ทีมงานจึงได้ให้ความสําคัญกับการปรับเปลี่ยนการใช้งาน<br />
อาคารเก่าตั้งแต่เริ่มโครงการ โดยมีแนวคิดในการลดการ<br />
ใช้ทรัพยากรเพื่อการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ รวมทั้งเป็น<br />
การนําอาคารเก่าที่มีจํานวน “จํากัด” แล้วในปัจจุบัน มาใช้<br />
ประโยชน์เพื่อเป็นการใช้งานอย่างคุ้มค่า และยังตอบสนอง<br />
ต่อการสร้างความทรงจําและความคุ้นเคยของคนภายในพื้นที่ <br />
อาคารตึกไม้หัวมุมถนนหลังนี้ สร้างขึ้นราวปี 2490 และ<br />
ด้วยทําเลที่ตั้งที่อยู่ใกล้ทั้งตลาด โรงเรียน สถานีตํารวจ<br />
ย่านตึกแถว และบ้านพักอาศัย ทําให้ตึกไม้ 2 ชั้นหลังนี้<br />
เคยผ่านการใช้งานกิจกรรมการค้าในอดีต อย่างร้านหนังสือ<br />
ร้านเสื้อผ้าสําหรับเล่นกีฬา รวมถึงร้านเกม คนเมืองขอนแก่น<br />
มีเรื่องเล่าถึงความทรงจําในอดีตเกี่ยวกับความผูกพันกับ<br />
อาคารหลังนี้ในรูปแบบที่แตกต่างกันออกไป<br />
of limited resources. Selected lifestyle consumption<br />
products are required to help save the environment<br />
as well as improve health and wellness. It is therefore<br />
not a surprise that dotLIMITED pioneered their<br />
first architectural project by devoting a great<br />
deal of attention to renovating and modifying old<br />
buildings in order to reduce material use from new<br />
building construction. These ideas also revive older<br />
derelict buildings, renew their value, and restore<br />
the nostalgic memories of the local people.<br />
This wooden building on the corner of the street<br />
was built in 1947. Located close to a fresh market,<br />
a school, a police station, a commercial building,<br />
and a residential neighborhood, this two-story<br />
building has hosted a variety of businesses in its<br />
glory days including a bookstore, a sportswear<br />
shop, and a game arcade. It has formed a bond<br />
ไม่มีอะไรที่เล็กเกินไปถ้าเทียบกับความตั้งใจที่ยิ่งใหญ่ใน<br />
การสร้างจิตสํานึกให้กับการดูแลสภาพแวดล้อมที่กําลัง<br />
เผชิญอยู่ในสภาวะที่เสี่ยงต่อการเป็นอยู่ของผู้คนในอนาคต<br />
อันเนื่องจากการมีอยู่อย่างจํากัดของทรัพยากรโลกและ<br />
บางอย่างไม่สามารถผลิตขึ้นมาทดแทนขึ้นมาใหม่ได้ ใน<br />
ขณะที่ความต้องการของคนยังเพิ่มขึ้นอย่างไม่สิ้นสุด การ<br />
คิดใหม่ทําใหม่จากจุดเล็กๆ ในชุมชนเพื่อการสร้างจิตสํานึก<br />
ในการดูแลสิ่งแวดล้อมจึงเริ่มขึ้น dotLIMITED เกิดจาก<br />
การรวมตัวของกลุ่มคนที่มีแนวคิดในการปลุกจิตสํานึกผ่าน<br />
การบริโภคในชีวิตประจําวันแบบรักษ์โลก เน้นการลดการใช้<br />
(reduce) จัดการกับสิ่งเหลือใช้ทั้งหลายโดยเฉพาะ<br />
บรรจุภัณฑ์ของใช้ในชีวิตประจําวัน ที่กลายเป็นขยะมหาศาล<br />
ที่สร้างภาระให้กับสิ่งแวดล้อมในภาพใหญ่ dotLIMITED<br />
เป็นร้าน zero waste แห่งแรกในภาคอีสาน ที่เป็นทางเลือก<br />
ในการบริโภคแบบที่ใช้ทรัพยากรที่จํากัดให้เกิดประโยชน์<br />
Nothing is too small if it comes from a determination<br />
to raise awareness in order to save the environment<br />
which is currently at risk of worsening the welfare<br />
of future generations due to the limits of natural<br />
resources and the inability replace them. As human<br />
demand endlessly increases, innovations from<br />
small communities raise ecological awareness.<br />
dotLIMITED was founded by a group of like-minded<br />
people who want to raise social awareness of<br />
our daily lifestyle of consumption. They focus on<br />
reducing consumption and waste management,<br />
especially packaging, which eventually ends up in<br />
landfills. dotLIMITED has become the first zerowaste<br />
shop in the northeast region of Thailand.<br />
It provides a variety of options to optimize the use<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 108 109<br />
Refocus Heritage
ทีมสถาปนิกได้ออกแบบปรับเปลี่ยนการใช้งานอาคาร<br />
โดยให้ความสําคัญต่อคุณค่าตัวอาคาร ในฐานะที่เป็น<br />
มรดกทางวัฒนธรรมของท้องถิ่นเป็นลําดับแรกสุด<br />
โดยจํากัดการเปลี่ยนแปลงใหม่เพื่อการใช้งาน และ<br />
ให้คงสภาพวัสดุดั้งเดิมให้มากที่สุด องค์ประกอบทาง<br />
สถาปัตยกรรมอย่างผนังเบาที่เคยมีการต่อเติมเพื่อรองรับ<br />
กิจกรรมการค้าในอดีต ได้มีการย้ายออกจากตัวอาคาร<br />
เนื่องจากต้องการรักษาไว้ซึ่งคุณค่าดั้งเดิมของตัวอาคาร<br />
แม้กระทั่งการซ่อมแซมบางส่วนของโครงสร้างผนัง พื้น<br />
และหลังคา ก็เลือกที่จะทดแทนเฉพาะชิ้นส่วนที่มีการชํารุด<br />
เสียหาย และอาจจะเป็นอันตรายต่อการใช้งานเท่านั้น<br />
แนวคิดในการคงคุณค่าเดิมของอาคารยังรวมไปถึงรายละเอียด<br />
อย่างเช่นการคงไว้ซึ่งร่องรอยของอดีต จากการเก็บสี<br />
ดั้งเดิมของอาคารซึ่งมีการทาทับกันหลายชั้น หลักฐาน<br />
เหล่านี้สะท้อนถึงการเดินทางของอาคารในช่วงเวลา<br />
ที่ผ่านมาได้เป็นอย่างดี<br />
with the people of Khon Kaen, who have created<br />
valuable memories here. The architecture team<br />
designed and modified the building by prioritizing<br />
and pinpointing the value of the building as an<br />
example of local heritage. They limited the extent<br />
of changes and preserved the original condition as<br />
much as possible. Some architectural components<br />
like drywall, which had been renovated to serve<br />
a commercial use in the past, were removed to<br />
return the building’s original value. Even when<br />
updating the wall, floor, and roof structure, they<br />
chose to replace only the decayed and/or dangerous<br />
spots. The concepts of maintaining the building’s<br />
original value and of preserving traces of the past<br />
also extended to details like restoring the former<br />
color of the building before the effects of weathering<br />
had left their mark over time. Such gestures clearly<br />
represent the building’s journey through time.<br />
ทีม dotLIMITED มีความตั้งใจในการที่จะให้อาคารไม้<br />
2 ชั้นหัวมุมถนนหลังนี้ กลายเป็นพื้นที่ทางสังคมของ<br />
เครือข่ายคนและท้องถิ่นที่มีความสนใจแนวคิดอย่างเดียวกัน<br />
ในอนาคตอันใกล้ ได้วางแผนที่จะสร้างเครือข่ายกลุ่มคน<br />
ที่สนใจประเด็นด้านสิ่งแวดล้อมและห่วงใยโลกใบนี้ อาทิ<br />
ชมรมคนรีไซเคิล เกษตรกรผู้ผลิตผลผลิตทางการเกษตร<br />
กลุ่มนักออกแบบ ผู้ปกครองนักเรียน และเยาวชน โดย<br />
มีการจัดกิจกรรมสร้างสํานึกรักษ์สิ่งแวดล้อม อาทิ การทํา<br />
เวิร์คช็อปผ้า upcycle พิมพ์ลายสีธรรมชาติ และแม่พิมพ์<br />
จากผักผลไม้ การทําถุงผ้าด้วยการนําผ้าที่เหลือจาก<br />
อุตสาหกรรมสิ่งทอมาใช้ประโยชน์ เพื่อลดการใช้ทรัพยากร<br />
ใหม่ๆ พร้อมกับการลดขยะที่จะเกิดขึ้น หรือการนําเศษ<br />
วัสดุและสีจากธรรมชาติมาใช้ในการประดิษฐ์เป็นรูปสัตว์<br />
ต่างๆ เพื่อปลุกจิตสํานึกรักษ์สิ่งแวดล้อมของเยาวชนใน<br />
ช่วงกิจกรรมวันเด็กที่ผ่านมา นอกจากนี้ยังมีแนวคิดใน<br />
การที่เชื่อมโยงเครือข่ายในการสนับสนุนท้องถิ่นจากความ<br />
พยายามที่จะเสาะหาของธรรมชาติภายในพื้นที่ภาคอีสาน<br />
อาทิ แมคคาเดเมียจากจังหวัดเลย มาจัดจําหน่ายในร้าน<br />
และขยายการบริการในการตอบสนองความสะดวกสบาย<br />
ของผู้ใช้จากการจัดส่งสินค้า เพื่อสอดรับกับ lazy economy<br />
ที่ให้ความสําคัญกับการจัดส่งที่คํานึงถึงสิ่งแวดล้อม เคยมี<br />
วลีที่น่าสนใจกล่าวไว้ว่า “เด็ดดอกไม้ สะเทือนถึงดวงดาว”<br />
ที่บ่งบอกถึงความสัมพันธ์จากสิ่งเล็กๆที่สามารถส่งผลกระทบ<br />
ในสภาพแวดล้อมที่ยิ่งใหญ่และมีความสําคัญยิ่งกว่า ดังนั้น<br />
การเริ่มต้นความตั้งใจจากจุดเล็กๆ จากอาคารเก่าหัวมุม<br />
ถนนแห่งหนึ่งในเมืองขอนแก่น จึงไม่ใหญ่เกินความตั้งใจ<br />
ในการที่จะเริ่มต้นการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมซึ่งสําคัญกับ<br />
คนทุกคน และทุกคนจะต้องมีหน้าที่รับผิดชอบร่วมกัน<br />
อย่างจริงจังตั้งแต่วันนี้<br />
The dotLIMITED team was determined to transform<br />
this two-story wooden building into a social space<br />
for groups of people, both locals and visitors,<br />
to engage and interact. They were also looking<br />
forward to pioneering a community of environmentalists<br />
and people who truly care for our planet<br />
like recyclers, farmers, designers, parents, and<br />
students. On the recent National Children’s Day,<br />
to instill a love of nature among younger children,<br />
they organized an event to raise ecological awareness<br />
with various workshops related to color printing<br />
on upcycled fabric, carving blocks from fruits and<br />
vegetables, and repurposing leftover cloth from<br />
the fabric industry into bags to reduce plastic<br />
waste. Furthermore, the team also sought to connect<br />
and support locals by attempting to source natural<br />
products within the northeastern region such as<br />
macadamia from the Leoi Province. They also created<br />
shop displays and extended delivery services to<br />
accommodate customers in relation to the ‘Lazy<br />
Economy’ business model which revolves around<br />
eco-delivery.<br />
We have all heard of the “butterfly effect” which<br />
signifies the connection of all things big or small<br />
where tiny changes can affect the larger or more<br />
distant parts of a system. A small beginning, like<br />
the spark of determination for a shabby old Khon<br />
Kaen wooden building, can ignite a bigger bonfire<br />
where everyone gathers around and steps up to<br />
truly take responsibility and care for our environment.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 110 111<br />
Refocus Heritage
<strong>ASA</strong> REGIONAL: LANNA<br />
Choui Fong Tea Cafe<br />
Phase 2<br />
Text: ใจรัก จันทร์สิน ถนอมพงศ์สานต์ / Jairak Junsin Thanompongsarn<br />
Translation: สุกัญญา นิมิตวิไล / Sukanya Nimitvilai<br />
Photo: DOF Depth of Field
งานออกแบบของคุณจีรเวช หงสกุล และทีมงาน IDIN<br />
Architects มักสร้างความรู้สึกเชื้อเชิญและเรียบเท่ได้<br />
ในคราวเดียวกัน อันเป็นคุณสมบัติที่ดีของสถาปนิกและ<br />
การทําธุรกิจของผู้ประกอบการ เป็นที่ทราบกันอย่างดีว่า<br />
Choui Fong Tea Cafe ที่จังหวัดเชียงรายนั้นประสบความ<br />
สําเร็จเป็นอย่างมาก ด้วยการดําเนินธุรกิจที่สร้างสรรค์<br />
และแตกต่าง ที่สําคัญคืองานออกแบบสถาปัตยกรรมที่<br />
เชื้อเชิญอยากให้ผู้คนแวะเวียนไป จนกลายเป็นแลนด์มาร์ก<br />
ของจังหวัดที่ใครต่อใครพูดถึง เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ<br />
แต่คือความตั้งใจในการออกแบบของสถาปนิก<br />
Choui Fong Tea Cafe ในเฟสแรกถือกําเนิดเมื่อปี2558 มี<br />
ลูกค้าเดินทางเข้ามาใช้บริการมากมายตลอดระยะเวลาที่<br />
ผ่านมา ล่าสุด Choui Fong Tea Cafe เฟส 2 ก็ได้ถือ<br />
กําเนิดขึ้นแล้วเพื่อเป็นส่วนต่อขยายในการรองรับลูกค้า<br />
ที่มีจํานวนมากในแต่ละวัน การออกแบบ Choui Fong Tea<br />
Cafe เฟส 2 เริ่มต้นขึ้นตั้งแต่การวางผังตัวอาคารที่ตั้งอยู่<br />
บนพื้นที่ของไร่ชาฉุยฟงซึ่งถัดมาจากChoui Fong Tea Cafe<br />
ในเฟสแรกค่อนมาทางโรงงาน อันมีลักษณะพื้นที่เป็นเนิน<br />
เขาสูงขึ้นมา ตัวอาคารเป็นอาคารชั้นเดียวตั้งอยู่เหนือผิวดิน<br />
มีการเปิดมุมมองกว้างบริเวณที่นั่งในคาเฟ่เพื่อสอดรับกับ<br />
ทิวทัศน์อันสวยงามของไร่ชา และมีการเล่นระดับกับ<br />
slope ของตัวเนินเขาเพื่อเปิดมุมมองลดหลั่นไล่ลงไปที่ไร่ชา<br />
The designs by Jeravej Hongsakul and IDIN Architects<br />
often feel welcoming and chic at the same time.<br />
These are good qualities for architects as well as<br />
business operators. Choui Fong Tea Cafe in Chiang<br />
Rai is recognized for being successful because of<br />
its creative and unique operation. More importantly,<br />
its inviting architectural design has led to it becoming<br />
the talk-of-the-town landmark. This is not a mere<br />
coincidence, but rather the architects’ design<br />
intention.<br />
Choui Fong Tea Cafe phase one began operation in<br />
2015, and many customers have visited the shop<br />
since then. Recently, Choui Fong Tea Cafe phase<br />
two has begun its operation as an extended unit<br />
to service a greater number of customers every<br />
day. The design for Choui Fong Tea Cafe phase two<br />
started with a building on a hill in the Choui Fong<br />
plantation next to the phase one building near the<br />
factory. The building is a one-storey structure with<br />
a panoramic view of the picturesque plantation.<br />
The design uses multiple floor levels to mimic the<br />
site contours, providing magnificent views down<br />
ช่องเปิดกว้างที่ปลายทางนี้นํามาซึ่งภาพทิวทัศน์อัน<br />
สวยงาม อากาศบริสุทธิ์ และแสงแดดจากพระอาทิตย์<br />
เป็นการดึงธรรมชาติเข้าสู่ตัวอาคารอย่างเต็มที่<br />
ในขณะเดียวกันตามขอบแนวของช่องเปิดอันกว้างขวางนี้<br />
สถาปนิกได้วางแนวทางลาดไว้สําหรับการเข้าถึงซึ่งรองรับ<br />
การใช้งานของทุกคน รวมถึงรถเข็นผู้สูงอายุ และผู้พิการ<br />
ตามหลักการออกแบบของ universal design ให้สามารถ<br />
เข้าถึงได้หลายช่องทางตลอดแนว เนื่องจากลูกค้าที่มา<br />
เที่ยวที่ไร่ชาฉุยฟงส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงอายุที่ใช้รถเข็น<br />
และครอบครัว ทั้งยังเป็นการเว้นระยะเพื่อรองรับฝนที่<br />
สาดเข้ามาในฤดูฝน ซึ่งรายละเอียดตรงนี้น่าสนใจมาก<br />
เพราะผู้ออกแบบไม่ได้ปิดกั้นสถาปัตยกรรมกับธรรมชาติ<br />
แต่ทําให้มนุษย์ได้อยู่ร่วมกับธรรมชาติ ไม่ว่าฝนจะตก<br />
หรือแดดจะออก ซึ่งทําให้เกิดความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอัน<br />
เดียวกันกับธรรมชาติเป็นอย่างมาก<br />
to the plantation, and a wide opening draws fresh<br />
air and sunlight into the building.<br />
Along the edge of this expansive open space, the<br />
architects follow universal design principles by<br />
providing a convenient sloping access path for all<br />
plantation visitors including the elderly or those<br />
with wheelchairs or other handicaps. The building<br />
also prevents splashing water in the rainy season<br />
through details that allow people to live with more<br />
harmoniously with nature rather than blocking it off.<br />
The circulation sequence starts in darkness at the<br />
entry before slowly brightening up to a blazing light<br />
at the innermost end. The design also gradually<br />
opens up the perspective from its cave-like entrance<br />
to show more views along the slope until it reaches<br />
the widest view at the end. These gestures<br />
thoughtfully use the architecture to create a<br />
heightened sense of one’s surroundings.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 114 115<br />
Refocus Heritage
ในส่วนของ sequence ของแสงและ circulation นั้น<br />
เริ่มจากเมื่อเดินเข้ามาที่ทางเข้าของอาคาร ก็จะเริ่มต้นที่<br />
ความมืดทึบก่อน แล้วค่อยๆ สว่าง จนถึงสว่างจ้าที่ปลาย<br />
ทางด้านในสุด รวมทั้งการเปิดมุมมองที่เริ่มจากการปิดกั้น<br />
เสมือนเดินเข้าปากถํ้ำ ทําให้ค่อยๆ เห็นภาพมากขึ้นตาม<br />
แนว slope ของอาคารที่ลดหลั่นจนเปิดเห็นภาพกว้าง<br />
สูงสุดที่ปลายทาง เป็นการค่อยๆ สร้างอารมณ์ความรู้สึก<br />
นึกคิดของมนุษย์กับสถาปัตยกรรมอย่างชัดเจน<br />
นอกจากการจับแสงใส่ในอาคารจากทางช่องเปิดอันกว้าง<br />
ขวางนี้แล้ว เนื่องจากก้อนอาคารมีขนาดค่อนข้างใหญ่ พื้นที่<br />
ภายในบริเวณตรงกลางอาคารค่อนข้างมืด จึงมีการจับแสง<br />
ธรรมชาติจากด้านบนอาคารสาดส่องลงมาสู่พื้นที่ภายใน<br />
อาคาร อันเป็นพื้นที่ส่วนร้านขายของ พื้นที่ส่วนรับประทาน<br />
อาหาร และคอร์ตยาร์ด ด้วยช่องเปิด skylight ที่มีการกรุ<br />
กระจกใสเพื่อให้แสงส่องเข้ามาแต่ไม่รับนํ้ำฝน skylight นี้<br />
ถือเป็นอีกหนึ่งไฮไลท์ที่น่าสนใจ ด้วยรูปทรงสูงสอบที่ถูกยก<br />
ขึ้นไป รูปทรงมีเหลี่ยมมุมหักไปมา เล่นล้อคล้ายภูเขาที่<br />
รายล้อมในพื้นที่ โดยยอดของภูเขานี้เป็น skylight ซึ่งฝ้า<br />
เพดานรูปร่างเหลี่ยมมุมที่หักไปมาและรูปทรงสูงสอบก่อน<br />
ที่จะขึ้นไปถึงตัวกระจกนั้น ล้วนแล้วแต่มีเหตุผลของการ<br />
ออกแบบ ช่องเปิดกระจกขนาดเล็กช่วยลดปริมาณการ<br />
ใช้กระจกและค่าใช้จ่ายในการก่อสร้าง ทรงสูงสอบและ<br />
รูปร่างที่หักไปมานั้นสถาปนิกตั้งใจออกแบบให้คล้ายภูเขา<br />
อันเป็นบริบทรอบพื้นที่ ทั้งยังช่วยในการหักเหทิศทาง<br />
ของแสงไม่ให้แสงส่องตรงลงมาจนร้อนระอุ แต่กระจาย<br />
ให้เกิดความส่องสว่างที่นุ่มนวลกับสเปซภายใน ทั้งยังเพิ่ม<br />
ปริมาตรของที่ว่างและพื้นที่สําหรับการเจริญเติบโตของ<br />
ต้นไม้ในคอร์ตยาร์ดอีกด้วย<br />
The considerable size of the building contributes<br />
to a lack of natural light, but this is alleviated with<br />
a series of clear glass skylights that illuminate the<br />
interior and protect the area from rain. The space,<br />
which contains a shop, a dining area, and a courtyard,<br />
features a ceiling with distorted cone-like shapes<br />
and corners designed to resemble the mountains<br />
found in the nearby landscape. The distorted roof<br />
forms use small glass openings to reduce construction<br />
costs, and they reduce heat gain by reflecting<br />
direct sunlight and softly illuminating the interior<br />
areas. They also define space for plants to grow in<br />
the courtyard.<br />
The floor plan consists of a 250-seat cafe, a souvenir<br />
shop, an exhibition area to display the history of<br />
the Choui Fong plantation, and an area for tea-making<br />
demonstrations. The project uses mainly authentic<br />
natural materials, namely, real mountain stone for<br />
the entrance wall and fine pinewood for the floors<br />
and ceilings in addition to the more common steel<br />
and glass. All of these are chosen based on how<br />
they induce moods and feelings through texture<br />
and tactility.<br />
ในส่วนของผังอาคารมีพื้นที่ใช้สอยต่างๆ ประกอบไปด้วย<br />
คาเฟ่ที่สามารถรองรับลูกค้าได้ถึง 250 ที่ พื้นที่ของร้านค้า<br />
จําหน่ายของที่ระลึก พื้นที่ของส่วนจัดแสดงนิทรรศการ<br />
เล่าประวัติของไร่ชาฉุยฟง และสาธิตวิธีการชงชา เป็นต้น<br />
ส่วนการใช้วัสดุในโครงการ เน้นการแสดงออกถึงสัจจะ<br />
วัสดุต่างๆ เช่น ก้อนหินภูเขาจริงที่นํามาก่อเป็นกําแพง<br />
ตรงหน้าทางเข้า ไม้สนผิวสวยที่ใช้ทําพื้นและกรุฝ้าเพดาน<br />
รวมถึงงานเหล็ก และกระจก เป็นต้น โดยทั้งหมดนี้ล้วน<br />
คํานึงถึงผิวสัมผัส อารมณ์ความรู้สึกอันเกิดขึ้นจากเนื้อแท้<br />
ของวัสดุนั้นอย่างแท้จริงและสมบูรณ์<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 116 117<br />
Refocus Heritage
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 118
<strong>ASA</strong> REGIONAL: TAKSIN<br />
Baan Klong Bon School<br />
Text: กิตติ เชาวนะ / Kitti Chaowana<br />
Translation: ธนว์กัญญา แจ้งใจธรรม / Tanakanya Changchaitum<br />
Photo: ทรงพันธุ์ จันทร์ทอง / Songpan Janthong
ท่ามกลางแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมบริเวณอ่าวพังงา<br />
ระหว่างพื้นที่จังหวัดกระบี่พังงา และภูเก็ต “เกาะยาวใหญ่”<br />
เป็นอีกหนึ่งเป้าหมายสําคัญของการท่องเที่ยวพักผ่อน<br />
ทั้งชาวไทยและต่างประเทศ มีการเติบโตทางเศรษฐกิจ<br />
จากธุรกิจการท่องเที่ยวที่เพิ่มมูลค่าทวีคูณอย่างรวดเร็ว<br />
ในเกาะนี้มีโรงเรียนขนาดเล็กในชุมชนบ้านคลองบอน<br />
ซึ่งเป็นโรงเรียนขนาดเล็กบนเกาะที่ค่อนข้างเข้าถึงลําบาก<br />
แต่พบว่ามีเด็กที่มีความโดดเด่นด้านศิลปะค่อนข้างมาก<br />
และมีกิจกรรมทางศิลปะทั้งในพื้นที่โรงเรียน และภายนอก<br />
สมํ่ำเสมอ อีกทั้งในชุมชนโดยรอบก็มีงานหัตถกรรมชาว<br />
บ้านที่มีคุณค่าและหลากหลาย แต่ยังมีช่องว่างบางอย่าง<br />
เช่น การขาดโอกาสในการนําเสนอ หรือขาดพื้นที่กิจกรรม<br />
จากข้อจํากัดของโรงเรียนขนาดเล็ก<br />
Amidst the popular Thai tourist destinations of<br />
Pang-nga Bay; and hidden somewhere between<br />
the provinces of Krabi, Pang-nga and Phuket is<br />
‘Yao-Yai Island’. This island has become one of<br />
the top landing-places for both Thai and international<br />
travelers due to its fast-growing economic<br />
development, driven by thriving local tourism.<br />
On the island stands a small school in the Baan<br />
Klong Bon Community. Being on an island in the<br />
Andaman Sea, the school is itself rather difficult<br />
to commute to. Nevertheless, it is nurturing students<br />
with outstanding artistic talents. This is being<br />
มูลนิธิเดอะบิ้ลด์ (The Build Foundation) ร่วมกับทีม<br />
ผู้ออกแบบจาก Vin Varavarn Architects (VVA) รวมถึง<br />
ภาคธุรกิจในพื้นที่ และภาคส่วนต่างๆ จึงได้ร่วมกันหารือ<br />
และเห็นพ้องต้องกันที่จะสนับสนุนการสร้างสรรค์ “พื้นที่<br />
ห้องเรียน+ศิลปะ” โดยสามารถให้นักท่องเที่ยวร่วมกิจกรรม<br />
ที่เหมาะสมได้ เพื่อเป็นจุดเริ่มต้นที่สามารถพัฒนาต่อยอด<br />
เป็นพื้นที่รองรับกิจกรรมเชิงสร้างสรรค์ของหมู่บ้านและ<br />
ชุมชนต่อไป บนฐานคิดที่เชื่อว่าความคิดดีๆ จะดึงดูดให้<br />
คนที่ตั้งใจดีมาร่วมแรงกันได้<br />
made possible via consistent art-related activities,<br />
held inside and outside school grounds, and helped<br />
by the surrounding local community that is home<br />
to valuable local craftsmanship. Within the school<br />
however, there remained certain gaps that needed<br />
to be bridged. One such gap existed from the lack<br />
of platforms upon which these skills and abilities<br />
could thrive and be made visible. The school’s<br />
limited functional space was impeding valuable<br />
activities that could help develop a fuller range<br />
of potential and opportunities for all.<br />
ในกระบวนการทํางานออกแบบ โดยทั่วไปนักออกแบบ<br />
มักพยายามสร้างงานสถาปัตยกรรมที่สมบูรณ์ สวยงาม<br />
และโดดเด่นน่าสนใจมากที่สุด แต่งานนี้มีสิ่งที่ท้าทาย<br />
มากกว่านั้น อีกทั้งยังมีปัญหาและข้อจํากัดของโครงการ<br />
ทั้งเรื่องงบประมาณ ระยะเวลาในการดําเนินการที่จํากัด<br />
รวมทั้งการขนส่งวัสดุก่อสร้างเพื่อสร้างบนเกาะ ซึ่งล้วน<br />
เป็นโจทย์ที่ท้าทายมาก แต่ผู้ออกแบบและทีมงานได้<br />
ศึกษาทําความเข้าบริบทพื้นที่และผู้คน ทั้งเด็กนักเรียน<br />
ครู โรงเรียน และหมู่บ้าน ชุมชนโดยรอบ เพื่อร่วมสร้าง<br />
โจทย์ที่เหมาะสมร่วมกัน<br />
In knowledge of this, the Build Foundation, together<br />
with Vin Varavarn Architects, local business operators<br />
and other involved sectors came together and<br />
agreed to provide support for the creation of the<br />
school’s ‘Classroom+Art Space’. This new space<br />
immediately welcomed island visitors and invited<br />
them to take part in some of the students’ own<br />
activities. Inspired by the idea that ‘’good thoughts<br />
and intentions bring good people together’’, the<br />
project now acts as a starting-point for future<br />
พื้นที่ห้องเรียน ห้องสมุด ห้องศิลปะ ถูกจัดเรียงตัวอย่าง<br />
เรียบง่ายเพื่อตอบโจทย์และข้อจํากัด ผู้ออกแบบได้<br />
“ปรับ-ลด-เลื่อน พื้นที่ใช้งาน เพิ่มที่ว่าง” เพื่อสร้าง<br />
“ความเชื่อมโยง-สัมพันธ์” ระหว่างพื้นที่ส่วนต่างๆ ใน<br />
อาคาร 2 ชั้น และความต่อเนื่องกับพื้นที่ภายนอกสร้างสรรค์<br />
เป็นอาคารเรียนที่ดูเรียบง่ายแต่มีรายละเอียดของโครงสร้าง<br />
วัสดุ และการใช้พื้นที่ที่ยืดหยุ่นได้อย่างน่าสนใจ สถาปนิก<br />
เลือกที่จะสร้างบทสนทนาระหว่างอาคารใหม่หลังนี้กับ<br />
สนามฟุตบอลด้านหน้าอาคาร ด้วยโถงบันไดหลักกลาง<br />
อาคารที่เชื่อมโยงการใช้งานด้วยพื้นที่นั่งต่างระดับ คล้าย<br />
developments, ones that might accommodate<br />
creative activities initiated and run by the local<br />
community.<br />
The initial project-objectives challenged the design<br />
team to do more than just create a beautiful, complete<br />
and visually-striking work. They had to carefully<br />
consider, navigate and resolve many problems and<br />
limitations from budget to timeframe, from transportation<br />
of construction materials to skilled-labour.<br />
The design team and collaborators overcame<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 122 123<br />
Refocus Heritage
ที่นั่งขั้นบันไดรอบสนามฟุตบอลด้านหน้าอาคาร ซึ่งทํา<br />
หน้าที่เป็นโครงสร้างกําแพงกันดินในพื้นที่ลาดเอียงอีก<br />
ด้วย โดยสร้างเป็นพื้นที่อเนกประสงค์รองรับการเรียนรู้<br />
และศิลปะประเภทอื่นนอกเหนือไปจากภาพวาด เช่น<br />
ผ่านการฉายภาพยนตร์ บนผนังอาคาร หรือการแสดงอื่นๆ<br />
งานออกแบบในภาพรวมเป็นการสร้าง “ที่ว่างที่เหมาะสม”<br />
เหมือนเฟรมและผืนผ้าใบ รองรับการสร้างสรรค์ผ่าน<br />
กิจกรรมการเรียนรู้และศิลปะที่หลากหลายตามอัตลักษณ์<br />
ชุมชนท้องถิ่น การสร้างหรือการเว้น “พื้นที่ว่าง” เพื่อให้<br />
เด็ก นักเรียน ครู โรงเรียน ชุมชน สังคมช่วยกัน<br />
สร้างสรรค์ เติมเต็ม ต่อยอด สร้างการเติบโต และ<br />
งอกงาม ได้อย่างหลากหลาย ให้ทุกคนได้ใช้งานอย่าง<br />
มีความสุขและเกิดประโยชน์สูงสุดต่อไป<br />
นอกจากที่โครงการนี้จะเป็นภาพสะท้อนของความทุ่มเท<br />
ร่วมแรงร่วมใจของทุกภาคส่วนเพื่อสร้างภาพฝันให้เป็น<br />
รูปธรรมอย่างชัดเจน เป็นผลสําเร็จที่น่าชื่นชม ได้สร้าง<br />
“ที่บ่มเพาะ” ต่อยอด พัฒนาความรู้ ความคิด ทัศนคติที่ดี<br />
ทั้งในนักเรียนและชุมชนรอบข้างแล้ว ในการดําเนินการ<br />
ของโครงการยังได้สร้างทัศนคติที่ดีในการทํางานวิชาชีพ<br />
สถาปัตยกรรมกับทีมงานออกแบบ ได้สร้างสมดุลในตัวเอง<br />
ในการทํางานเพื่อสังคมร่วมกับการทํางานวิชาชีพส่งผลให้<br />
มุมมองต่อการออกแบบเปลี่ยนไป มองสิ่งรอบตัวในมุมบวก<br />
มากขึ้น สร้างความสุขที่ได้ร่วมทําและสร้างแรงบันดาลใจ<br />
ในการสร้างงานดีๆ ในวิชาชีพสถาปัตยกรรมต่อไป<br />
each challenge by studying and understanding the<br />
project’s context; from the physical conditions of<br />
the site, to all parties involved such as students,<br />
teachers, local villages and surrounding communities.<br />
All this was undertaken to achieve the most suitable<br />
and effective result.<br />
The spaces of the classroom, the library and the<br />
art room are put together in a simple spatial program<br />
that fulfills project requirements and overcomes<br />
existing limitations. The design team ‘adjustedlessened-rearranged’<br />
functional spaces. They<br />
managed to free more space to facilitate a ‘connection<br />
and linkage’ between the different programs of<br />
this two-story building. These connections were<br />
creatively extended to exterior spaces. What resulted<br />
was a minimal-looking school building containing<br />
interesting structural details, usage of materials<br />
and spatial flexibility. In his design, the architect<br />
initiated a conversation between the new structure<br />
and the existing football field found at the front of<br />
the building. He did this through the presence of a<br />
main stairway, one linking the functional programs to<br />
tiers of spectator seats. This corresponded perfectly<br />
with the horizontal rows of concrete steps surrounding<br />
the football field that also functioned as seating.<br />
Ultimately, the project goes beyond the combined<br />
effort to successfully turn a dream into a reality.<br />
It also gives birth to a place that encourages,<br />
develops and cultivates - not just knowledge - but<br />
positive ideas and views from members of the<br />
local communities. The project has also inspired<br />
the design team to expand on what they can offer<br />
as architectural professionals. They are learning<br />
to strike a balance between their formal career,<br />
and their ability to contribute something worthwhile<br />
to society. The experience has reshaped<br />
their views on design and outlook on the world.<br />
They look at things with more positive eyes, while<br />
the happiness of having been a part of this project<br />
continues to inspire them to create even better<br />
and greater architectural works.<br />
Varut Varavarn of Vin Varavarn Architects concluded<br />
“We didn’t expect for it to be perfect, but instead<br />
just like any other project we’ve done at our firm.<br />
However, seeing everyone come together, to help<br />
and contribute, well that’s the best thing.”<br />
“เราไม่ได้คาดหวังว่ามันจะต้องสมบูรณ์<br />
เหมือนงานทั่วไปในสำนักงานสถาปนิก แต่<br />
การที่เห็นทุกคนมาช่วยกันทำงานร่วมกัน<br />
มันดีที่สุดแล้ว” หม่อมหลวงวรุตม์ วรวรรณ<br />
สถาปนิกผู ้ออกแบบจาก VinVaravarn<br />
Architects กล่าวทิ้งท้าย<br />
The stairway structure - which doubles as a barrier<br />
to prevent landslides on the inclined site – has been<br />
designed as a multi-functional space that can<br />
accommodate more diverse learning and art activities<br />
i.e. outdoor film-screening and theatrical performances.<br />
The design aims to create a space that acts as an<br />
empty frame or canvas to host different, locallyderived<br />
learning and art activities. This ‘space’<br />
has intentionally been left as a blank canvas for all<br />
children, students, teachers, as well as for local<br />
community and society. Here they are free to create,<br />
fulfil, nurture and prosper with great freedom and<br />
diversity. It is a space for everyone to enjoy and<br />
make the best of.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 124 125<br />
Refocus Heritage
WHAT ARCHITECTS THINK<br />
Architecture Library,<br />
Chulalongkorn University<br />
Text: วสวัตติ์ รุจิระภูมิ / Wasawat Rujirapoom<br />
Photo: W Workspace
ห้องสมุดไม่ได้มีแค่หนังสือ<br />
ในโลกปัจจุบันที่อินเทอร์เน็ตแทบจะเข้ามา<br />
เป็นส่วนหนึ่งของทุกสิ่งที่เราทําอยู่ใน<br />
ชีวิตประจําวันแล้ว ข้อมูลทุกๆ เรื่องมีพร้อม<br />
ทันเหตุการณ์และแพร่หลายอยู่บนเครือข่าย<br />
หนังสือถูกลดบทบาทความสําคัญลงอย่าง<br />
รวดเร็ว ร้านหนังสือต่างเริ่มปิดตัวลง<br />
แม้กระทั่งห้องสมุดเองก็เกือบจะไร้ผู้คน<br />
เหตุที่กล่าวมานี้เป็นจุดเริ่มต้นของความคิด<br />
และแรงบันดาลใจในการออกแบบของ<br />
Department of Architecture นําโดย<br />
คุณทวิตีย์ วัชราภัย เทพาคําและ<br />
คุณชัยภัฏ มีระเสน เพื่อเปลี่ยนโฉม<br />
ห้องสมุดของคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นห้องสมุด<br />
แนวใหม่ที่ไม่ใช่เพียงแต่เป็นที่เก็บหนังสือ<br />
เท่านั้น แต่ยังสอดคล้องกับพฤติกรรม<br />
ที่เปลี่ยนไปของคนรุ่นใหม่ด้วย<br />
ห้องสมุดเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้แต่ทุกวันนี้ <br />
การเรียนรู้เกิดขึ้นได้จากหลายทาง ไม่ได้<br />
มาจากเพียงแต่หนังสือเท่านั้น โครงการนี้<br />
จึงเน้นที่จะสร้างพื้นที่การเรียนรู้รูปแบบใหม่ <br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องเป็นพื้นที่ที่เหมาะสม<br />
กับการเรียนด้านสถาปัตยกรรมด้วย การ<br />
ใช้งานด้านอื่นๆ ถูกเพิ่มเข้ามาในโครงการ<br />
เพื่อให้เกิดกิจกรรมที่หลากหลายมากขึ้น<br />
อย่างเช่น พื้นที่ทํางานร่วมกัน พื้นที่จัด<br />
นิทรรศการ พื้นที่ตรวจแบบ พื้นที่สําหรับ<br />
การฟังบรรยาย นอกจากนี้ยังมีแหล่งของ<br />
องค์ความรู้ใหม่ๆ อย่างสื่อดิจิทัล ภาพยนตร์<br />
และการจัดแสดงผลงานใหม่ๆ อีกด้วย<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 128 129<br />
Refocus Heritage
x<br />
x<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 130 131<br />
Refocus Heritage
ในส่วนชั้นบนสุดมีพื้นที่นั่งอ่านหนังสือ<br />
ที่จัดในรูปแบบพิกเซลเรียงขึ้นไปเป็น<br />
ขั้นบันได โดยที่นิสิตนักศึกษาสามารถ<br />
ปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างหลากหลาย<br />
และยังสามารถจัดเป็นที่นั่งฟังบรรยาย<br />
หรือชมภาพยนตร์ได้อีกด้วย ฝ้าเพดาน<br />
ด้านบนจัดแสดงผังเมืองของกรุงเทพฯ<br />
ที่เน้นให้เห็นโครงการพระราชกรณียกิจ<br />
ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช (รัชกาล<br />
ที่ 9) จํานวน 9 โครงการ ที่ทรงช่วยแก้<br />
3 ปัญหาหลักของเมือง คือการจราจร<br />
อุทกภัย และมลพิษทางนํ้ำ<br />
ห้องสมุดคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้รับรางวัล<br />
ชนะเลิศอันดับ 1 ของโลก ด้านการ<br />
ออกแบบในหมวดห้องสมุด (Library)<br />
จากงาน Best of Year Awards 2019<br />
ซึ่งจัดโดย Interior Design Magazine<br />
นิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา<br />
ออกแบบเพื่อการออกแบบ<br />
ห้องสมุดนี้ต่างจากห้องสมุดทั่วไปที่<br />
มักมีแต่ชั้นหนังสือและที่นั่งเป็นองค์ประกอบ<br />
หลัก หากแต่ออกแบบให้ผู้ใช้งานสามารถ<br />
ออกแบบพื้นที่และการใช้สอย ปรับเปลี่ยน<br />
ไปตามความต้องการได้อีกด้วย พื้นที่ชั้น 1<br />
เป็นพื้นที่สําหรับทํางานร่วมกันถูกห้อมล้อม<br />
ด้วยโครงเหล็กรูปแบบตารางกริดที่ปล่อย<br />
ว่างไว้ ให้นิสิตได้เติมเต็มความคิดสร้างสรรค์ <br />
เพื่อจัดงานต่างๆ ด้วยการใช้ประโยชน์<br />
จากโครงเหล็กอย่างการแขวน ยึด โยง<br />
ผูก หรือใส่สิ่งต่างๆ ลงไปในที่ว่าง เกิด<br />
เป็นพื้นที่ที่จะสร้างประสบการณ์และ<br />
แรงบันดาลใจของนิสิตนักศึกษาด้านการ<br />
ออกแบบ โครงเหล็กนี้ยังสามารถใช้<br />
แม่เหล็กในการติดผลงานเพื่อนําเสนอ <br />
ปรับเปลี่ยนเป็นพื้นที่ตรวจแบบ พร้อม<br />
จอดิจิทัลแสดงผลได้อีกทางเลือกหนึ่ง<br />
ความรู้ในตำรายังสำคัญ<br />
แม้ว่าการหาข้อมูลบนออนไลน์นั้นง่าย<br />
แต่หนังสือยังคงเป็นแหล่งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ<br />
ใช้อ้างอิงได้และหารายละเอียดเชิงลึกได้<br />
มากกว่า พื้นที่ชั้น 2 จึงถูกออกแบบให้<br />
ล้อมรอบด้วยชั้นวางหนังสือและนิตยสาร<br />
และเรียกร้องการมีตัวตนด้วยการหัน<br />
หน้าปกออกเหมือนจัดแสดงอยู่ในร้าน<br />
หนังสือ ช่วยดึงดูดความสนใจจากผู้ผ่าน<br />
ไปมาให้สงสัยใคร่รู้ที่จะหยิบเปิดอ่าน ต่าง<br />
จากปกติที่จะเห็นเพียงสันหนังสือเท่านั้น<br />
และได้จัดเตรียมพื้นที่งดใช้เสียงที่แยกตัว<br />
ออกมาจากส่วนอื่น สําหรับอ่านหนังสือ<br />
โดยโต๊ะและที่นั่งถูกจัดวางใหม่เป็นเขาวงกต<br />
เพื่อลดการถูกรบกวนจากพื้นที่ทางเดิน<br />
โดยรอบ<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 132 133<br />
Refocus Heritage
USERS’ OPINION<br />
Architecture Library,<br />
Chulalongkorn University<br />
Text: วสวัตติ์ รุจิระภูมิ / Wasawat Rujirapoom<br />
Photo: W Workspace<br />
พื ้นที่ co-working มีข้อดีคือใครจะ<br />
สามารถเข้ามาใช้งานก็ได้ ไม่ว่าจะนั่ง<br />
ทำงาน ตัดโมเดล หรือแม้กระทั่งเดิน<br />
ผ่าน โดยที่ไม่ต้องผ่านบรรณารักษ์<br />
ก่อนเหมือนห้องสมุดเดิม และยังเป็น<br />
ส่วนที่พูดคุยใช้เสียงในเวลาทำงาน<br />
ร่วมกันได้ ส่วนห้องสมุด บางครั้งคน<br />
อาจจะไม่ได้เข้ามาค้นหาหนังสือ ก็ยัง<br />
สามารถใช้งานอินเทอร์เน็ตได้ มีปลั๊ก<br />
ไฟรองรับ ไม่ต้องไปหาพื ้นที่ทำงาน<br />
ข้างนอก ในส่วนชั้นบนสุดสามารถ<br />
ใช้เป็นห้องประชุมที่ดูใช้งานง่าย<br />
ไม่เป็นทางการ<br />
เมื ่อก่อนอาจจะไม่ได้เข้ามา หากไม่อ่าน<br />
หนังสือ ตอนนี้เข้ามาใช้งานได้ แม้ไม่<br />
ได้มาเพื ่ออ่านหนังสือ<br />
นรีรัตน์ ไกรทอง<br />
นักศึกษาปริญญาโท และผู้ช่วยสอน<br />
เป็นห้องสมุดที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย<br />
การใช้งานไม่ได้จ ำกัดเพียงแค่ต้องมา<br />
ค้นหาหนังสือเท่านั<br />
การออกแบบพื้นที่<br />
ช่วยดึงดูดให้เด็กได้ใช้พื้นที่ทุกส่วนของ<br />
ห้องสมุดได้อย่างเต็มที่สถาปนิกคิด<br />
รายละเอียดทุกๆ ส่วน อย่างผนังโครง<br />
เหล็กที่ออกแบบเป็นปลายเปิดที่สามารถ<br />
ไปทำอะไรก็ได้ ช่วยให้เกิดการเรียนรู้<br />
และประสบการณ์ใหม่ๆ ได้อยู่ตลอด<br />
ภูรี อำพันสุข<br />
สถาปนิก สำนักบริหารระบบกายภาพ<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
ห้องสมุดใหม่เอื้อประโยชน์แก่การท ำงาน<br />
ของเด็กสถาปัตย์มาก แยกส่วนทำงาน<br />
ออกมาชัดเจน อีกทั้งยังมีโต๊ะ ปลั๊กไฟ<br />
และแสงสว่าง จากแต่ก่อนที่ใช้พื้นที่<br />
โถงทางเดินข้างล่างอาคารนั ่งทำงาน<br />
ไม่ได้ติดแอร์ เพราะห้องสมุดเดิมนั ้น<br />
มีโต๊ะและที่นั่งไม่มาก พื้นที่ทำงานและ<br />
อ่านหนังสือทับซ้อนกัน ต้องแย่งกันใช้<br />
ปัจจุบันแยกสัดส่วนกันชัดเจน ไม่<br />
รบกวนกัน ทำให้ได้เข้ามาใช้บ่อยมากขึ้น<br />
ณัฐฐวัตร ปิติโกมล<br />
นิสิต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์<br />
ชั้นปีที่ 4<br />
ห้องสมุดเดิมเวลาหกโมงเย็นก็ปิด<br />
ทำการแล้ว ไม่ว่าจะพื้นที่ค้นหาหนังสือ<br />
หรือนั่งทำงาน ตอนนี้แบ่งพื้นที่การใช้<br />
ทั้ง 2 ส่วนแยกออกจากกัน ในส่วน<br />
ห้องสมุดที่มีบรรณารักษ์ชั้นบนปิดหก<br />
โมงเย็นตามเวลาเดิม แต่พื้นที่ทำงาน<br />
สามารถใช้ได้ถึงสี่ทุ่ม เอื้อต่อการใช้งาน<br />
และพฤติกรรมของนิสิตมากขั ้น มี<br />
ปลั๊กไฟหลายจุด จากที่แต่ก่อนมีไม่<br />
เพียงพอ ต้องใช้ปลั๊กพ่วงยาวๆ ต่อกัน<br />
ทำให้สามารถนั่งทำงานได้ทุกชั้น<br />
ชอบพื ้นที่ชั้นบนที่มีที่นั่งทำงานเป็น<br />
โต๊ะญี่ปุ่นมีแสงธรรมชาติส่องเข้ามา<br />
อยู่ในห้อง auditorium ที่น้องๆ ปี 2<br />
ได้ใช้ตรวจแบบรวม<br />
นรมน ปัญจปิยะกุล<br />
นิสิต คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ ชั้นปีที่ 4<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 134 135<br />
Refocus Heritage
ONE DAY WITH AN ARCHITECT<br />
One Fine Day with<br />
Chatchavan Suwansawat<br />
สถาปนิกนักเดินเมือง<br />
ผ่านภาพสเกตช์สถาปัตยกรรมทุกวัน<br />
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาหลายคนน่าจะ<br />
เคยผ่านตา คอลัมน์ชื่อว่า “อาคิเต็ก-เจอ”<br />
ในสื่อออนไลน์อย่าง The Cloud กันมาบ้าง<br />
สถาปนิกนักเล่าเรื่องอย่าง ชัช-ชัชวาล<br />
สุวรรณสวัสดิ์ สถาปนิกรุ่นใหม่เจ้าของ<br />
Everyday Architect & Design Studio<br />
ทําให้คําว่าสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นเมือง<br />
(urban vernacular) กลายเป็นคําที่คุ้นหู<br />
คนนอกวงการมากขึ้น ผ่านเรื่องราวของ<br />
‘คอย’ เวิร์คกิ้งสเปซของวินมอเตอร์ไซค์<br />
ไปจนถึงเบื้องหลังการออกแบบตี่จู้เอี๊ยะ<br />
และศาลพระภูมิ หลังจากประกาศพัก<br />
คอลัมน์ไปไม่นาน เขาได้ทดลองทําโปรเจกต์<br />
everyday sketch ขึ้น เพื่อค้นหาวิธีการ<br />
ใหม่ๆ ในการสังเกตงานออกแบบง่ายๆ<br />
แต่ไม่ธรรมดาซึ่งเกิดจากวิถีชีวิตของ<br />
คนเมือง เราจึงขอชวนเขาเดินไปคุยไป<br />
ด้วยกัน เพื่อหาคําตอบว่าอะไรทําให้<br />
การเดินกลายเป็นส่วนหนึ่งของการค้นพบ<br />
ภาษาทางสถาปัตยกรรมที่เขาหลงใหล<br />
จนถอนตัวไม่ขึ้นวันแล้ววันเล่า<br />
เดินเล่นเป็นประจำ<br />
การสํารวจเมือง เป็นความชอบส่วนตัว<br />
ของชัชวาลมาตั้งแต่เมื่อครั้งที่เรียนอยู่<br />
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร “ในตอนแรกเราเลือกการปั่น<br />
จักรยาน แต่ด้วยถนนหนทางในกรุงเทพฯ<br />
ค่อนข้างไม่เหมาะกับจักรยานสักเท่าไหร่<br />
ก็เลยเปลี่ยนมาเดินแทน ส่วนหนึ่งอาจเป็น<br />
เพราะเราไม่ได้ขับรถยนต์ เวลาเดินทาง<br />
ต่อรถ ต่อเรือ ก็จะเลือกเดินจนติดเป็น<br />
นิสัย ว่างๆ ก็จะเดินดูนั่นดูนี่อยู่ตลอด<br />
ตอนนั้นเราเข้าใจว่าเรื่องพวกนี้ไม่น่าจะ<br />
มาเกี่ยวข้องกับวิชาชีพของเรา แต่ก็เก็บ<br />
ความรู้สึกชอบตรงนั้นไว้ ไม่รู้จะเอาไป<br />
ทําอะไรได้บ้าง”<br />
จนกระทั่งได้มาเป็นคอลัมนิสต์<br />
ในเว็บไซต์ The Cloud ทําให้ชัชวาลได้<br />
มีโอกาสถ่ายทอดเรื่องราวสถาปัตยกรรม<br />
ใกล้ตัวเหล่านี้ออกไปสู่สายตาคนมากมาย<br />
ยิ่งเดินไปเรื่อยๆ ก็กลายเป็นกิจวัตร<br />
ประจําชีวิตไปโดยไม่รู้ตัว ทําให้เมื่อยุติ<br />
การเขียนบทความลง ก็ดูเหมือนทักษะ<br />
การสังเกตจะค่อยๆ หายไปด้วยอย่างเห็น<br />
ได้ชัด เขาจึงคิดหาวิธีฟื้นฟูดวงตาแบบเดิม<br />
ให้กลับมาอีกครั้ง<br />
Text: สุวิชา พิทักษ์กาญจนกุล / Suwicha Pitakkanchanakul<br />
Photo: ชนิภา เต็มพร้อม / Chanipa Temprom<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 136 137<br />
Refocus Heritage
ดำเนินเรื่อง ดำเนินเล่า<br />
ในที่สุดก็มาลงเอยที่ทักษะเบื้องต้นของ<br />
การเป็นสถาปนิกอย่างการสเกตช์ภาพ<br />
“จากที่เขียนเป็นบทความ เราจึงเปลี่ยน<br />
มานําเสนอสิ่งที่ตัวเองสนใจด้วยภาพวาด<br />
แทน เล่าย้อนว่ากว่าจะเป็นชิ้นนี้ได้มีวิธีคิด<br />
อย่างไร อธิบายทีละส่วน ด้วยภาพตัด<br />
ภาพขยาย รายละเอียดวัสดุ เหมือนเขียน<br />
แบบสถาปัตยกรรมเลย เราเรียกชื่อ<br />
สิ่งเหล่านี้ว่า “สถาปัตยกรรมที่เห็นทุกวัน<br />
(everyday architecture)” จึงตั้งเป็น<br />
ชาลเลนจ์ขึ้นมาว่า ในเมื่อเห็นทุกวันก็ต้อง<br />
วาดทุกวันด้วย” ชัชวาลอธิบายเพิ่มเติมว่า<br />
เขาใช้วิธีการถ่ายภาพอย่างง่ายๆ ด้วย<br />
สมาร์ทโฟน ส่งภาพเข้าไปยัง iPad<br />
แล้วสเกตช์รายละเอียดต่างๆ ออกมา<br />
ใช้สีเน้นให้เห็นจุดเฉพาะที่ต้องการเน้น<br />
ใช้เวลาวันละไม่เกินครึ่งชั่วโมงหลังตื่นนอน<br />
ก่อนจะโพสต์บนเฟซบุ๊กส่วนตัวของตัวเอง<br />
วันละ 1 ภาพทุกเช้า<br />
หลังจากที่โพสต์ everyday sketch<br />
ออกไปพร้อมกันทีเดียว 100 รูปเมื่อต้นปี<br />
ที่ผ่านมา และมีคนแชร์ไปไม่ตํ่ำกว่า<br />
2,600 ครั้ง ทั้งสถาปนิกด้วยกันและ<br />
คนนอกวงการที่สนใจเรื่องราวของความคิด<br />
สร้างสรรค์ใกล้ตัว นอกจากนี้ยังมีผู้ติดตาม<br />
มาจากประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนอีกไม่น้อย<br />
ทั้งลาว เวียดนาม พม่า เพราะต่างมีบริบท<br />
การอยู่อาศัยที่ใกล้เคียงกัน<br />
“หลายคนเคยเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่แล้ว แต่ยัง<br />
ไม่เคยเห็นการเล่ามันออกมาด้วยวิธีการ<br />
แบบนี้ ช่วงหลังเราจึงปรับให้เข้าใจง่ายขึ้น<br />
อยู่กึ่งกลางระหว่างแบบสถาปัตยกรรม<br />
กับการเล่าเรื่องด้วยภาพ ผสมกับความ<br />
เป็นกราฟิกมากขึ้นด้วย”<br />
ดวงตาแบบใหม่มองไกลกว่าเดิม<br />
การวาดภาพซํ้ำๆ ทําให้ชัชวาลมองเห็น<br />
แพตเทิร์นของภาษาการออกแบบของ<br />
คนธรรมดาที่พยายามจะแก้ปัญหาเล็กๆ<br />
น้อยๆ ในชีวิตประจําวัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็น<br />
ชุดภาษาที่ไม่ได้มีการสอนกันอย่างจริงจัง<br />
ในมหาวิทยาลัย<br />
“เมื่อวาดมาถึงภาพที่ 80-90 ก็เริ่มเห็น<br />
ความซํ้ำกันบางอย่างที่ทําให้แยกประเภท<br />
ได้ชัดเจนขึ้น ว่าถ้าจะแก้ปัญหาประมาณนี้<br />
ใช้วิธีไหนได้บ้าง ตอนต้นปีเราไปเที่ยว<br />
เกาะสีชัง ได้เห็นข้อจํากัดที่ทําให้เกิดการ<br />
ออกแบบเฉพาะตัว เพราะบนเกาะไม่มี<br />
แหล่งนํ้ำจืด ทุกบ้านจึงต้องเก็บนํ้ำฝนไว้<br />
ในบ่อใต้บ้าน เขาใช้สายยางต่อจากรางนํ้ำ<br />
ลงมา ซึ่งเราเอาวิธีคิดนี้มาใช้ในกรุงเทพฯ<br />
ได้นะ แม้ปัญหาจะต่างกัน ยกตัวอย่าง<br />
เช่น พื้นที่บ้านในกรุงเทพฯ แคบจนใช้<br />
รางนํ้ำสังกะสีแบบปกติไม่ได้ อาจจะลอง<br />
เปลี่ยนเป็นสายยางไหม แล้วเก็บรายละเอียด<br />
ให้เนี้ยบขึ้น อะไรทํานองนี้ ทําให้คิดว่า<br />
ถ้าได้ไปเดินดูในต่างประเทศ ก็น่าจะได้<br />
ไอเดียใหม่ๆ กลับมาใช้ที่เมืองไทยได้<br />
เหมือนกัน”<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 138 139<br />
Refocus Heritage
แม้จะยังไม่เคยมีโอกาสได้ลองออกแบบสถาปัตยกรรมจริงจากวิธีคิดที่เขาสังเกตการณ์<br />
มาหลายปี แต่ชัชวาลมีสมมติฐานว่าถ้าได้ลองหยิบวิธีคิดแบบนี้มาใช้ นอกจากจะช่วย<br />
ตอบโจทย์การออกแบบที่กลมกลืนไปกับบริบทพื้นที่แล้ว ยังน่าจะทําให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึก<br />
คุ้นตาคุ้นใจมากยิ่งขึ้น เพราะเป็นสิ่งที่เราทุกคนต่างก็ได้พบเห็นอยู่ทุกวันเมื่อก้าวเท้า<br />
ออกจากบ้าน<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 140
BOOK REVIEW<br />
RE–USA: 20 American Stories<br />
of Adaptive Reuse<br />
แต่งโดย Matteo Robiglio<br />
พิมพ์โดย Jovis Verlag GmbH, Berlin.<br />
จำนวน 239 หน้า<br />
ปีที่พิมพ์ 2017<br />
หลายคนคงเคยเห็นอาคารหรือสถาปัตยกรรม<br />
เก่าแก่มากมายในเมืองใหญ่แล้วนึกสงสัย<br />
ในความเป็นมาของอาคารและรู้สึกเสียดาย<br />
เพราะนอกจากจะเสียดายในเชิงมูลค่าแล้ว<br />
คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของอาคารที่บันทึก<br />
เรื่องราว เหตุการณ์ ยุคสมัยของสถานที่<br />
นั้น ก็มักถูกทิ้งให้ลืมเลือนไปด้วยเช่นกัน<br />
จึงเกิดคําถามว่าเราจะสามารถนําอาคาร<br />
เก่าเหล่านี้ให้ฟื้นกลับมามีชีวิตใหม่เพื่อ<br />
ประโยชน์กับชุมชนและเมืองได้หรือไม่<br />
และจะทําได้อย่างไร Matteo Robiglio<br />
อาจมีคําตอบให้กับคุณ เขาได้รับทุนจาก<br />
Urban and Regional Studies Fellowship<br />
ในการเดินทางสํารวจ รวมรวบงานปรับปรุง<br />
อาคารเก่า และเขียนหนังสือชื่อ Re-Use:<br />
20 American Stories of Adaptive<br />
Reuse: A Toolkit for Post-Industrial<br />
Cities หนังสือเล่มนี้มีความตั้งใจที่จะแสดง<br />
ตัวอย่างและกระบวนการนําอาคารเก่า<br />
ในยุคอุตสาหกรรมของอเมริกามาปรับใช้<br />
ใหม่ เพื่อช่วยแก้ปัญหาเมืองและส่งเสริม<br />
วิถีชีวิตใหม่ๆ ของคนเมือง<br />
โครงสร้างของหนังสือแบ่งออกเป็น 3 ส่วน<br />
ส่วนแรกเป็นตัวอย่างโครงการต่างๆ ใน<br />
ประเทศสหรัฐอเมริกา จาก 6 เมืองใหญ่<br />
คือ Philadelphia, Washington, D.C.,<br />
Pittsburgh, Chicago, Detroit และ<br />
New York แต่ละโครงการมีการเล่าประวัติ<br />
ของอาคาร ย่าน ความเป็นมาของโครงการ<br />
และกระบวนการพัฒนาจนประสบความสําเร็จ<br />
ส่วนที่ 2 เป็นการนําเสนอ toolkit ที่ถอด<br />
ความรู้มาจากตัวอย่างโครงการในส่วนแรก<br />
ซึ่งถือว่าเป็นหัวใจสําคัญของหนังสือเล่มนี้<br />
เลยก็ว่าได้ เพราะผู้เขียนได้สรุปและเรียง<br />
ลําดับกระบวนการพัฒนาโครงอย่างเป็น<br />
ขั้นตอน อธิบายรายละเอียด จุดสําคัญ<br />
และเรื่องที่ควรระมัดระวังให้กับคนที่สนใจ<br />
อยากจะนําไปใช้ในโครงการอื่นๆ นอกไป<br />
จากนี้ยังมีการแทรกการอ้างอิงเป็นตัวเลข<br />
เพื่อให้เราสามารถกลับไปดูตัวอย่างโครงการ<br />
ที่เกิดกระบวนการเหล่านี้ และส่วนสุดท้าย<br />
เป็นการให้คํานิยามของคําว่า adaptive<br />
reuse โดยได้อธิบายประวัติศาสตร์การ<br />
เริ่มต้นของแนวคิด adaptive reuse ใน<br />
อเมริกา และอุปสรรคที่เกิดในกระบวนการ<br />
ปรับใช้อาคาร เพื่อให้เราศึกษาวิจัยเพิ่มเติม<br />
ต่อไป<br />
เบื้องหลังโครงการที่ประสบความสําเร็จ<br />
เหล่านี้เกิดจากความเชื่อที่ว่าสถาปัตยกรรม<br />
ไม่ได้เกิดจาก top-down เสมอไป<br />
สถาปัตยกรรมที่ดี และมีความหมาย<br />
ต่อเมืองไม่จําเป็นต้องเกิดจาก “starchitect”<br />
เท่านั้น หากแต่เกิดจากการร่วมมือกัน<br />
ของทุกฝ่ายในการนําประโยชน์สาธารณะ<br />
เป็นที่ตั้ง และสร้างกระบวนการพัฒนา<br />
ร่วมกันอย่างสร้างสรรค์ต่อพื้นที่และ<br />
ชุมชนนั้นๆ เพื่อสร้างความหมายใหม่ให้<br />
กับอาคารเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นพื้นที่ที่มี<br />
ความหมายต่อชุมชนเดิมในอดีต ไม่ว่า<br />
จะเป็นแหล่งงาน แหล่งค้าขายหรือระบบ<br />
ขนส่งของพื้นที่ในอดีตให้กับมามีบทบาท<br />
ใหม่กับเมืองและผู้คนอีกครั้ง<br />
Text: ดร.ชํานาญ ติรภาส / Chamnarn Tirapas, Ph.D.<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 142 143<br />
Refocus Heritage
VISUAL ESSAY<br />
Point Clouds<br />
Image: ผศ. ดร.ชาวี บุษยรัตน์ / Asst. Prof.Chawee Busayarat, Ph.D.<br />
วัดศรีชุม จังหวัดสุโขทัย<br />
วัดมหาธาตุ จังหวัดสุโขทัย<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 144 145<br />
Refocus Heritage
วัดนันตาราม จังหวัดพะเยา<br />
นครชุม และเรือนไทยไม้ ในตําบลนครชุม จังหวัดกําแพงเพชร<br />
<strong>ASA</strong> <strong>CREW</strong> <strong>21</strong> 146 147<br />
Refocus Heritage
บัรรณาธิการบริิหาร<br />
Managing Editor<br />
ผศ. ด้ร.กมลั จิราพงษ์<br />
Asst. Prof.Kamon Jirapong, Ph.D.<br />
บัรรณาธิการ<br />
Editor<br />
ผศ. ด้ร.ส่พิชชา โตวิิวิิชญ์<br />
Asst. Prof.Supitcha Tovivich, Ph.D.<br />
บัรรณาธิการด้้านเนือหาสถาปััตยกรรม<br />
Architectural Feature Editor<br />
กฤษณะพลั วััฒนวัันยู<br />
Kisnaphol Wattanawanyoo<br />
บัรรณาธิการภาษาอังกฤษ<br />
English Editors<br />
Max Crosbie-Jones<br />
Thomas Lozada<br />
Alvaro Conti<br />
Art Director<br />
วิิชิต หอยิงสวััสด้ิ<br />
Wichit Horyingsawad<br />
Graphic Designer<br />
กฤติกา ปัระสิทธิ์์ศิริวังศ์<br />
Grittiga Prasitsiriwongse<br />
วณิิชชา สระที่องออย<br />
Vanicha Srathongoil<br />
กองบัรรณาธิการ<br />
Editorial Staff<br />
ปัวัริศ คืงที่อง<br />
Pawarit Kongthong<br />
ปัระสานงานกองบัรรณาธิการ<br />
Editorial Coordinator<br />
ปัระที่่มที่ิพย์ แสงจันที่ร์<br />
Prathumthip Saengchan<br />
นักแปัลั<br />
Translator<br />
ธนว์์กัญญา แจ้งใจธรรม<br />
Tanakanya Changchaitum<br />
ฐิติรัตน์ ม่วังศิริ<br />
Thitirat Muangsiri<br />
ภชภร ด่่านวิิร่ฬหวณิิช<br />
Patchaphon Danvirunhavanit<br />
ส่กัญญา นิมิตวิิไลั<br />
Sukanya Nimitvilai<br />
นักเข่ยนรับัเชิญ<br />
Contributors<br />
ปัภพ เกิด้ที่รัพย์<br />
Paphop Kerdsup<br />
พ่รณัฐ อ่ไรรัตน์<br />
Peeranat Urairat<br />
สิปัปัวัิชญ์ กำำบััง<br />
Sippawich Kambung<br />
อ. ด้ร.จิรันธนิน กิติกา<br />
Chirantanin Kitika, Ph.D.<br />
กิตติ เชาวันะ<br />
Kitti Chaowana<br />
รศ. ด้ร.นพด้ลั ตังสกุุล<br />
Assoc. Prof.Noppadon Tungsakul, Ph.D.<br />
ใจรัก จันที่ร์สิน ถนอมพงศ์สานต์<br />
Jairak Junsin Thanompongsarn<br />
วัสวััตติ ร่จิระภูมิ<br />
Wasawat Rujirapoom<br />
ด้ร.ชำำนาญ ติรภาคื<br />
Chamnarn Tirapas, Ph.D.<br />
ผศ. ด้ร.ชาวีี บุุษยรัตน์<br />
Asst. Prof.Chawee Busayarat, Ph.D.<br />
พิสูจน์อักษร<br />
Proofreader<br />
ชาคริิยา ม่ณ่รัตน์<br />
Chacriya Muneerat<br />
Digital Media Team<br />
SATARANA<br />
หัวัหน้าฝ่่ายสือดิิจิที่ัลั<br />
Digital Media Director<br />
ส่วัิชา พิที่ักษ์กาญจนกุุล<br />
Suwicha Pitakkanchanakul<br />
ปัระสานงาน<br />
Coordinator<br />
เตชิต จิโรภาสโกศลั<br />
Techit Jiropaskosol<br />
การตลัาด้<br />
Marketing<br />
พิมพ์วิิมลั วังศ์สม่ที่ร<br />
Pimwimol Wongsamut<br />
พิมพ์โด้ย<br />
Printed by<br />
ภาพพิมพ์<br />
Parbpim Printing<br />
รายนาม คืณะกรรมการบริิหาร<br />
สมาคืมสถาปนิิกสยาม<br />
ในพระบัรมราชูปถััมภ์<br />
ปัระจำำปีี 2561-2563<br />
<strong>ASA</strong> Executive Committee<br />
2018-2020<br />
นายกสมาคืม<br />
President<br />
นายอัชชพลั ด้่สิตนานนที่์<br />
Ajaphol Dusitnanond<br />
อุุปนายก<br />
Vice President<br />
นายเมธ่ รัศม่วัิจิตรไพศาลั<br />
Metee Rasameevijitpisal<br />
อุุปนายก<br />
Vice President<br />
ผศ. ด้ร.ธนะ จ่ระพิวััฒน์<br />
Asst. Prof.Thana Chirapiwat, Ph.D.<br />
อุุปนายก<br />
Vice President<br />
ด้ร.วสุุ โปัษยะนันที่น์<br />
Vasu Poshyanandana, Ph.D.<br />
อุุปนายก<br />
Vice President<br />
ด้ร.พินัย สิริเก่ยรติกุุล<br />
Pinai Sirikiatikul, Ph.D.<br />
อุุปนายก<br />
Vice President<br />
นายที่รงพจน์ สายสืบั<br />
Songpot Saiseub<br />
เลัขาธิการ<br />
Secretary General<br />
นายปรีีชา นวัปัระภากุุล<br />
Preecha Navaprapakul<br />
นายที่ะเบีียน<br />
Honorary Registrar<br />
พ.ต.อ. สักรินที่ร์ เข่ยวัเซ็็น<br />
Pol.Col.Sakarin Khiewsen<br />
เหรัญญิก<br />
Honorary Treasurer<br />
นางภิรวัด้่ ชูปัระวััติ<br />
Pirawadee Chuprawat<br />
ปัฏิิคืม<br />
Social Event Director<br />
นายสมชาย เปัรมปัระภาพงษ์<br />
Somchai Premprapapong<br />
ปัระชาสัมพันธ์<br />
Public Relations Director<br />
ผศ. ด้ร.กมลั จิราพงษ์<br />
Asst. Prof.Kamon Jirapong, Ph.D.<br />
กรรมการกลัาง<br />
Executive Committee<br />
นายเที่่ยนที่อง ก่ระนันที่น์<br />
Thienthong Kiranandana<br />
กรรมการกลัาง<br />
Executive Committee<br />
ด้ร.รัฐพงศ์ อังกสิทธิ์์<br />
Rattapong Angkasith, Ph.D.<br />
กรรมการกลัาง<br />
Executive Committee<br />
นายชายแด้น เสถ่ยร<br />
Chaidan Satian<br />
กรรมการกลัาง<br />
Executive Committee<br />
นายร่งโรจน์ อ่วัมแก้วั<br />
Rungroth Aumkaew<br />
ปัระธานกรรมาธิการสถาปนิิกล้้านนา<br />
Chairman of Northern Region (Lanna)<br />
นายอิศรา อาร่รอบั<br />
Issara Areerob<br />
ปัระธานกรรมาธิการสถาปนิิกอ่สาน<br />
Chairman of Northeastern Region<br />
(Esan)<br />
นายธนาคืม วิิมลัวััตรเวัที่่<br />
Tanakom Wimolvatvetee<br />
ปัระธานกรรมาธิการสถาปนิิกที่ักษิณ<br />
Chairman of Southern Region (Taksin)<br />
นายนิพนธ์ หัสดีีวิิจิตร<br />
Nipon Hatsadeevijit<br />
สมาคมสถึาปนิกสยาม ในพื้ระบรมราชููปถััมภ์์<br />
248/1 ซูอยศูนย์วิิจัย 4 ถนนพระรามที่่ 9 แขวังบัางกะปิิ<br />
เขตห้วัยขวัาง กร่งเที่พฯ 10310<br />
The Association of Siamese Architects Under Royal Patronage<br />
248/1 Soi Soonvijai 4, Rama IX Rd., Bangkapi,<br />
Huaykwang, Bangkok, 10310 Thailand<br />
Tel: 0-2319-6555 Fax: 0-2319-6555 press 120 or 0-2319-6419<br />
www.asa.or.th / Facebook : asacrew / Email: asacrewmag@gmail.com<br />
<strong>21</strong>
REFOCUS HERITAGE<br />
Vol. <strong>21</strong>/2020<br />
www.asacrew.asa.or.th