09.06.2020 Views

สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ

เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 โดย ศาสตราจารย์ สมชาติ จึงสิริอารักษ์

เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 โดย ศาสตราจารย์ สมชาติ จึงสิริอารักษ์

SHOW MORE
SHOW LESS

Transform your PDFs into Flipbooks and boost your revenue!

Leverage SEO-optimized Flipbooks, powerful backlinks, and multimedia content to professionally showcase your products and significantly increase your reach.

ข้อมูลทางบรรณานุกรม<br />

ชื่อหนังสือ <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong> :<br />

เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยาม ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษ<br />

ผู้เขียน<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์<br />

ปีที่พิมพ์ 2563<br />

เลขมาตรฐานสากล 978-616-7384-35-1<br />

ประจำาหนังสืออิเล็กทรอนิกส์<br />

จัดพิมพ์<br />

รูปเล่ม<br />

สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์<br />

248/1 ซอยศูนย์วิจัย 4 (ซอย 17) ถ.พระรามที่ 9<br />

แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310<br />

บริษัท บานาน่า สตูดิโอ จำากัด<br />

408/16 ถนนพระรามที่ 5 แขวงถนนนครไชยศรี<br />

เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300<br />

ลิขสิทธิ์ ลิขสิทธิ์เนื้อหา ©สมชาติ จึงสิริอารักษ์ 2563<br />

ลิขสิทธิ์รูปเล่ม ©สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2563<br />

สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537<br />

การคัดลอกหรือเผยแพร่ส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้ ต้องได้รับอนุญาต<br />

เป็นลายลักษณ์อักษรจากทางผู้เขียนและสมาคมสถาปนิกสยาม<br />

ในพระบรมราชูปถัมภ์เท่านั้น<br />

Cataloguing in Publication<br />

Title<br />

Modern Architecture for a Civilized Nation:<br />

A Comparative Study of the Searching Between Japan and Siam<br />

from the mid 19 th century to the mid 20 th century<br />

Author<br />

Somchart Chungsiriarak<br />

Year 2020<br />

ISBN (e-book) 978-616-7384-35-1<br />

Publisher<br />

Production<br />

The Association of Siamese Architects under Royal Patronage<br />

248/1 Soi Soonvijai 4 (Soi 17) Rama 9 Road,<br />

Bangkapi, Huaykwang, Bangkok 10310<br />

Banana Studio Co.,tld<br />

408/16 Rama 5 Road, Thanon Nakhon Chai Si,<br />

Dusit, Bangkok 10300<br />

Copyrights Copyrights text © Somchart Chungsiriarak 2020<br />

Copyrights artwork ©ASA 2020<br />

All right reserved. No part of this publication may be<br />

reproduced or transmitted in any form or by any means,<br />

electronic or mechanical, including photocopy, recording or<br />

any other information storage and retrieval system, without<br />

prior permission in writing from the publisher


สารนายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์<br />

เนื่องในโอกาสมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อพุทธศักราช 2559<br />

สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ รู้สึกสำานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ประกอบกับ<br />

เนื่องในวาระครบรอบ 84 ปี สมาคมสถาปนิกสยามฯ เมื่อพุทธศักราช 2561 ที่ผ่านมา สมาคมสถาปนิกสยามฯ จึงได้<br />

จัดทำาโครงการ “The Ten Books on Architecture by ASA: หนังสือชุดองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรม 10 เล่ม โดยสมาคม<br />

สถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์” ขึ้น เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสอันเป็นมงคลดังกล่าว<br />

หนังสือชุดองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรม 10 เล่มที่จัดทำาขึ้นในรูปเล่มขนาด 10 นิ้ว x 10 นิ้วและเผยแพร่<br />

ในรูปแบบ e-book นี้ เป็นการรวบรวมผลงานการศึกษาสถาปัตยกรรมในสาขาวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมไทย<br />

สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ภูมิสถาปัตยกรรม และการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม ให้แก่ผู้ที่สนใจทั้งใน<br />

และนอกวงการสถาปัตยกรรมได้อ่านและค้นคว้าอย่างแพร่หลายโดยไม่คิดมูลค่า โดยมีผู้เขียนเป็นคณาจารย์ที่มีความรู้<br />

ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาเหล่านั้นจากสถาบันการศึกษาทางสถาปัตยกรรมชั้นนำาของประเทศ ได้แก่<br />

1. ว่าด้วยภูมิสถาปัตยกรรม บทความคัดสรรในรอบ 3 ทศวรรษ โดย ศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา บุญค้ำา<br />

2. สารัตถะการพัฒนาสถาปัตยกรรม และชุมชนเมือง เอกลักษณ์ วิชาชีพ การศึกษา การวิจัยออกแบบ และ<br />

สภาพแวดล้อม โดย ศาสตราจารย์ ดร. วิมลสิทธิ์ หรยางกูร<br />

3. สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นไทย โดย ศาสตราจารย์ ดร. วีระ อินพันทัง และคณะ<br />

4. <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong> เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยาม ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึง<br />

กลางศตวรรษที่ 20 โดย ศาสตราจารย์ สมชาติ จึงสิริอารักษ์<br />

5. งานสถาปัตยกรรมไทย ฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />

โดย ศาสตราจารย์ สมคิด จิระทัศนกุล<br />

6. หลักคิดด้านคุณค่าของการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมในประเทศไทย โดย รองศาสตราจารย์ ดร. ยงธนิศร์ พิมลเสถียร<br />

7. อาษามหากาฬ: จากเริ่มต้นจนอวสาน โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว<br />

8. สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย โดยศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม ประเวศ ลิมปรังษี<br />

โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พีระพัฒน์ สำาราญ<br />

9. เปิดคลังเอกสาร อมร ศรีวงศ์ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พินัย สิริเกียรติกุล<br />

10. หลากทันสมัย: สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทย บรรณาธิการโดย ดร. วิญญู อาจรักษา<br />

สมาคมสถาปนิกสยามฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือชุดองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรมทั้ง 10 เล่มนี้ จะเป็น<br />

ประโยชน์ในการค้นคว้าวิจัยทางวิชาชีพและวิชาการสถาปัตยกรรม ตลอดจนใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ หรือใช้<br />

เป็นข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ ในการอ้างอิง เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรม และสร้างสรรค์ผลงานที่มีความหมาย<br />

และคุณค่าให้แก่สังคมต่อไป<br />

(ดร. อัชชพล ดุสิตนานนท์)<br />

นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำาปี 2561 - 2563


คำนำ<br />

คนไทยนิยมเปรียบความก้าวหน้าทางสังคม-เทคโนโลยีกับประเทศญี่ปุ่น ด้วยความสงสัยว่าเหตุใดจึงพัฒนาได้น้อยกว่าทั้งๆ ที่<br />

เปิดประเทศรับอารยธรรมตะวันตกมาพร้อมๆ กัน เงื่อนไขของบริบททั้งภายในและภายนอกประเทศก็ไม่ได้ต่างกันนัก แต่สมมติฐานนี้<br />

ใกล้ความจริงแค่ไหน มีน้อยคนที่จะทำางานศึกษาวิจัยเปรียบเทียบอย่างจริงจังแล้วนำามาเผยแพร่ไม่ว่าจะเป็นสาขาใดก็ตาม โดยเฉพาะ<br />

สาขาสถาปัตยกรรมนั้นกล่าวได้ว่าไม่มีเลย หนังสือเล่มนี้จึงเป็นเล่มแรกๆ ที่ทำาการศึกษาเปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรม<br />

ยุคสมัยใหม่ราวกลางศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมาจนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ของทั้งสองประเทศอย่างเป็นระบบเพื่อไขข้อข้องใจ<br />

ดังกล่าว เนื้อหาของหนังสือเล่มนี้กล่าวถึงแรงจูงใจที่พาทั้งสองชาติไปสู่ความเป็นสมัยใหม่ นั่นคือ สิ่งที่เรียกว่า ความศิวิไลซ์ ซึ่งเปรียบ<br />

เสมือนดาวประกายพรึกที่ทั้งสองชาติต้องการหามาประดับกาย แต่เมื่อเข้าใกล้ดาวประกายพรึกแล้วทั้งสองชาติกลับพบว่ามันไม่ได้<br />

มีขนาดที่เหมาะสมกับอุ้งมือของเขาเลย แล้วทั้งสองชาติจะทำาอย่างไร ความน่าสนใจของหนังสือนี้อยู่ที่การกล่าวถึงแนวคิดและวิธีการ<br />

ไปไขว่คว้าดวงดาว และการปรับแปลงดวงดาวที่ใฝ่ฝันให้เหมาะสมกับวิญญาณและกายภาพของตัวเอง การศึกษาแบบเปรียบเทียบ<br />

ทำาให้เห็นถึงแนวคิดและวิธีการสร้างสรรค์ที่เหมือนกันบ้างต่างกันบ้างได้ชัดเจนขึ้น มันจะทำาให้ผู้อ่านเข้าใจจุดอ่อนจุดแข็งของเราเอง<br />

อย่างไม่เอนเอียง ซึ่งนำาไปสู่คำาตอบว่าทำาไมเราไปไม่ได้ไกลเท่าเขา ส่วนรายละเอียดจะเป็นอย่างไรขอเชิญท่านผู้อ่านค้นหาเองด้วย<br />

การอ่านหนังสือนี้ให้หมดทั้งเล่ม<br />

<strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20 ปรับปรุง<br />

รูปเล่มและเนื้อหาบางตอนมาจากรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ของผู้เขียนที่ชื่อ การศึกษาเปรียบเทียบสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ระหว่าง<br />

ญี่ปุ่นกับสยามตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 ถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 (ค.ศ. 1850-1945 /พ.ศ. 2390-2488) ที่เขียนเสร็จช่วงครึ่งหลัง<br />

ของ พ.ศ. 2560 ผู้เขียนขอขอบคุณคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากรที่ให้ทุนการทำาวิจัยในครั้งนั้น และใน พ.ศ. 2563<br />

นี้ผู้เขียนขอขอบคุณสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ที่สนับสนุนให้จัดพิมพ์เป็นหนังสือที่สมบูรณ์ และเพื่อให้ครอบคลุม<br />

กัลยาณมิตรที่ช่วยเหลือเรื่องต่างๆ ในคราวจัดพิมพ์รายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์เมื่อสามปีก่อน จึงขอขอบคุณหอสมุดมหาวิทยาลัย<br />

ศิลปากร วิทยาเขตวังท่าพระ โชติมา จตุรวงค์ และพินัย สิริเกียรติกุล สำาหรับการช่วยหาหนังสือที่จำาเป็นต่อการวิจัย โดยเฉพาะ<br />

โชติมา ที่อุตส่าห์สำาเนาหนังสือสำาคัญจากมหาวิทยาลัยคอร์แนลมาให้ สิริเดช วังกรานต์ สำาหรับการช่วยค้นหาเอกสารที่ผู้วิจัยต้องการ<br />

ได้อย่างรวดเร็ว ชิษณุพงศ์ รุจิโรจน์วรางกูร สำาหรับการตรวจทานคำาผิดและจัดระเบียบบรรณานุกรม ปองพล ยาศรี สำาหรับพลังความ<br />

ตั้งใจและความสามารถในการจัดรูปเล่มรายงานวิจัยที่มีภาพประกอบกว่า 500 ภาพฉบับนั้น ชัยสิทธิ์ ด่านกิตติกุล เกรียงไกร เกิดศิริ<br />

ชาตรี ประกิตนนทการ และชาญวิทย์ สุขพร สำาหรับการไถ่ถามความคืบหน้าด้วยไมตรีจิต รวมทั้งมิตรอีกหลายท่านที่ไม่ได้ระบุนาม<br />

ที่ช่วยให้กำาลังใจผู้เขียนด้วยความปรารถนาดีต่างๆ ท้ายสุดแต่ไม่สุดท้ายขอขอบคุณ ลีนวัตร ธีระพงษ์รามกุล วรัญญา แซ่ลิ่ม และคณะ<br />

ในการยกเครื่องปรับปรุงการจัดรูปเล่มใหม่ทั้งหมดสำาหรับการพิมพ์ครั้งนี้ ถ้าไม่มีความช่วยเหลือจากบุคคลที่กล่าวมาแล้ว หนังสือเล่มนี้<br />

คงจะยังค้างท่อหรือล่องลอยอยู่ในอวกาศสักที่ใดที่หนึ่ง ผู้เขียนขอแสดงความขอบคุณอย่างจริงใจอีกครั้งที่พวกเขามีส่วนในการนำ าความรู้<br />

มาเผยแพร่ไปสู่แวดวงที่กว้างขวาง สำาหรับความผิดพลาดทั้งหลายที่พึงมีในหนังสือนี้ผู้เขียนขอน้อมรับการวิพากษ์วิจารณ์ าติชมทั้งหลาย คำ<br />

ด้วยใจเปิดกว้างเพื่อการแก้ไขปรับปรุงในอนาคต<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์<br />

มีนาคม 2563


สารบัญ<br />

บทที่<br />

1<br />

บทนา 8<br />

บทที่<br />

2<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น 26<br />

• ยุคศตวรรษที่ 16-17 ถึงก่อนเปิดประเทศ<br />

ในกลางศตวรรษที่ 19 29<br />

• ช่วงญี่ปุ่นเปิดประเทศจนถึงช่วงโชกุนหมดอำานาจ<br />

(Bakumatsu) (1853-1867) 31<br />

• รัชสมัยเมจิ (Meiji Period) (1868-1912) 36<br />

• รัชสมัยเมจิตอนต้น (1868-1890) 36<br />

• รัชสมัยเมจิตอนปลาย (1890-1912) 48<br />

• รัชสมัยไทโช (Taisho Period) (1912-1926) 68<br />

• รัชสมัยโชวะ (Showa period) ตั้งแต่เริ่มรัชสมัย<br />

จนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 (1926-1945) 101


บทที่ บทที่<br />

3<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม 168<br />

• ยุคก่อนรัชกาลพระบาทสมเด็จ<br />

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4<br />

(ก่อน 1851) 171<br />

• รัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4<br />

(1851-1868) 172<br />

• รัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5<br />

(1868-1910) 179<br />

• ช่วงครึ่งแรกของรัชกาลที่ 5<br />

(1868-ก่อนการปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน<br />

ในทศวรรษ1890) 179<br />

• ช่วงครึ่งหลังรัชกาลที่ 5 (1890-1910) 188<br />

• รัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />

พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6<br />

(1910-1925) 210<br />

• รัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />

พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7<br />

(1925-1935) 229<br />

• รัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />

พระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8<br />

(1925-1935) 254<br />

4<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรม<br />

ยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม 302<br />

• สถาปัตยกรรมแห่งความศิวิไลซ์<br />

(สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก) (1850-1910) 306<br />

• สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (1910-1940)<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ช่วงแรก (1910-1926)<br />

335<br />

336<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ช่วงที่ 2 (1926-1945) 343<br />

• สถาปัตยกรรมชาตินิยม (1890-1945) 364<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมช่วงแรก (1890-1910) 365<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมช่วงที่ 2 (1910-1926) 367<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมช่วงที่ 3 (1926-1945) 377<br />

• สถาปัตยกรรมแห่งสงครามและการสร้างชาติ<br />

(ทศวรรษ 1930-1940) 389<br />

บทที่<br />

5<br />

บทสรุป 410<br />

บรรณานุกรม 427<br />

ที่มาภาพ 432<br />

ประวัติผู้เขียน 441


บทคัดย่อ<br />

ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ญี่ปุ่นและสยามถูกจักรวรรดินิยมตะวันตกบีบบังคับให้เปิดประเทศค้าขาย<br />

โดยสนธิสัญญาการค้าที่เอารัดเอาเปรียบด้วยแสนยานุภาพทางทหารที่เหนือกว่า ราชอาณาจักรทั้งสอง<br />

เข้าใจดีว่าจะต้องปรับปรุงประเทศให้ทันสมัยและ “ศิวิไลซ์” เพื่อเอาตัวรอดจากการตกเป็นอาณานิคม<br />

หลังเปิดประเทศใน ค.ศ. 1853 แล้วญี่ปุ่นทำาสงครามปฏิวัติโค่นล้มระบอบโชกุน สถาปนาระบอบ<br />

คณาธิปไตยที่มีพระจักรพรรดิเป็นประมุข มีจุดมุ่งหมายที่จะนำาประเทศสู่ระบอบประชาธิปไตยที่เข้มแข็ง<br />

รำ่ำรวย และก้าวหน้า การปฏิรูปอุตสาหกรรม การทหาร และการศึกษาในรัชสมัยเมจิ (1868 - 1912)<br />

ทำาให้ญี่ปุ่นเปลี่ยนประเทศจากเกษตรกรรมที่ล้าหลังมาเป็นอุตสาหกรรมที่เข้มแข็งอย่างรวดเร็ว<br />

การก่อตั้งสาขาวิชาวิศวกรรมอาคารในมหาวิทยาลัยโตเกียวตั้งแต่ ค.ศ. 1877 โดยมีอาจารย์ชาวอังกฤษ<br />

เป็นผู้สอนทำาให้ญี่ปุ่นสามารถผลิตสถาปนิกได้เองในหนึ่งทศวรรษ คนเหล่านี้มีความสามารถทั้งด้าน<br />

วิชาชีพและวิชาการ ปรากฏชัดในรูปผลงานสถาปัตยกรรมและหนังสือทฤษฎีสถาปัตยกรรมตั้งแต่<br />

ทศวรรษ 1890 ช่วงเวลาเดียวกันในสยามตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

(1868-1910) การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเพิ่งเริ่มขึ้นในทศวรรษ 1890 เป็นไปอย่างเชื่องช้าและ<br />

พึ่งพาความสามารถของผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่รัฐบาลจ้าง พวกเขาเป็นผู้ปฏิบัติงานสาขาต่างๆ<br />

รวมทั้งงานสถาปัตยกรรม ที่อยู่ภายใต้การควบคุมของกลุ่มสถาปนิก-วิศวกรชาวอิตาเลียนกว่า 10 คน<br />

ประจำากระทรวงโยธาธิการ แม้ดูเหมือนว่าสยามจะสามารถสร้างอาคารแบบตะวันตกได้ แต่ก็มาจาก<br />

มันสมองของสถาปนิกต่างชาติโดยใช้แรงงานของช่างและกรรมกรพื้นเมือง การสร้างคุณภาพของ<br />

บุคลากร คือ ความแตกต่างสำาคัญของบริบททางสถาปัตยกรรมตอนปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษ<br />

ที่ 20 ของชาติทั้งสอง และมันจะส่งผลต่อเนื่องยาวนานอย่างมีนัยสำาคัญ<br />

เมื่อเริ่มรัชสมัยไทโช (1912-1926) ท่ามกลางบรรยากาศการปกครองระบอบกึ่งประชาธิปไตย<br />

วงการสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็วและต้องการหาอัตลักษณ์ของตนเองผ่าน<br />

รูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และชาตินิยม สถาปนิกรุ่นใหม่หัวก้าวหน้าต้องการสถาปัตยกรรม<br />

ที่เป็นอิสระจากรูปแบบโบราณทั้งตะวันตกและพื้นเมือง แต่ยังคงต้องการให้สถาปัตยกรรมแบบใหม่<br />

เชื่อมโยงกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นทางนามธรรม ขณะที่พวกชาตินิยมต้องการนำารูปแบบโบราณมาประยุกต์<br />

โดยใช้เทคโนโลยีและวัสดุสมัยใหม่ช่วยทำาให้เกิดรูปแบบตัวอาคารเป็นตะวันตกแต่หลังคาเป็นวัดญี่ปุ่น<br />

ที่มีชื่อเรียกว่า แบบไทคันโยชิกิหรือมงกุฎจักรพรรดิ แต่สถาปนิกชาตินิยมนักวิชาการอิโตะ ชูตะ<br />

เสนอทางเลือกใหม่เรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบวิวัฒนาการที่ไม่ต้องการเลียนแบบวัดญี่ปุ่นโบราณ<br />

แต่ให้รูปแบบสถาปัตยกรรมเปลี่ยนไปอย่างมีเหตุปัจจัยตามทฤษฎีของชาร์ลส์ ดาร์วินที่สุดท้ายแล้ว<br />

แบบที่ออกมาก็หนีไม่พ้นการผสมผสานอาคารโบราณของชาติต่างๆ ในเอเชียอยู่ดี ยุคเดียวกัน


ในสยามตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (1910-1925) การออกแบบอาคาร<br />

สำาคัญยังคงพึ่งสถาปนิก-วิศวกรต่างชาติ การศึกษาสถาปัตยกรรมยังไม่เกิดขึ้น สถาปัตยกรรมสำาคัญ<br />

ของรัฐบาลจึงไม่ต่างจากงานในรัชกาลก่อน อาคารที่พอจะเรียกได้ว่าเป็นอาคารสมัยใหม่นั้นกลับเป็น<br />

อาคารสาธารณูปโภคคอนกรีตที่สร้างโดยวิศวกร สิ่งที่น่าสนใจ คือ ลัทธิชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

ที่สถาปนาโดยพระมหากษัตริย์เพื่อกำาราบพวกนิยมประชาธิปไตย ทำาให้เกิดสถาปัตยกรรมไทยสร้างด้วย<br />

คอนกรีตซึ่งเป็นงานออกแบบของสถาปนิกชาวตะวันตก เช่น หอสวดโรงเรียนมหาดเล็กหลวง และ<br />

ตึกบัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ได้ยึดครองรูปแบบความเป็นไทยและเป็นแม่แบบให้สถาปนิก<br />

รุ่นหลังทำาตามสืบมา สรุปในช่วงทศวรรษ 1910-1920 ญี่ปุ่นได้เริ่มต้นสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

พร้อมกับการหาอัตลักษณ์แบบนามธรรมอย่างจริงจังแล้วขณะที่สยามยังไม่มีวี่แววจะเริ่มต้น แต่ก็มี<br />

สิ่งที่เหมือนกันประการหนึ่ง คือ กลุ่มสถาปนิกชาตินิยมเห็นว่าการใช้รูปแบบอาคารโบราณที่สร้างด้วย<br />

เทคนิคและวัสดุใหม่เป็นเรื่องที่ถูกต้อง และก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลและชนชั้นนำาเห็นพ้อง<br />

รัชสมัยโชวะ (1926-1945) ญี่ปุ่นกลายเป็นเป็นรัฐเผด็จการทหารเต็มตัว แต่สถาปนิกหัวก้าวหน้า<br />

ยังก้าวต่อไปไม่หยุดยั้งในแนวคิดสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ ภายใต้อิทธิพลของสำานักเบาเฮาส์<br />

(Bauhaus) และสถาปนิกเลอคอร์บูซิเอร์ (Le Corbusier) มีผลงานจำานวนไม่น้อยที่แสดงให้เห็น<br />

อัตลักษณ์ของตนเอง โดยการบูรณาการวัฒนธรรมญี่ปุ่นเข้ากับสถาปัตยกรรมกล่องสี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยง<br />

แต่อิสรภาพของพวกสากลนิยมสมัยใหม่ค่อยๆ หมดลง เมื่อรัฐบาลทหารเข้าควบคุมระบบเศรษฐกิจ<br />

และประกาศส่งเสริมสถาปัตยกรรมชาตินิยม หรือแบบมงกุฎจักรพรรดิ (ไทคันโยชิกิ) ตั้งแต่ทศวรรษ<br />

1930 อาคารมงกุฎจักรพรรดิกลายเป็นต้นแบบของอาคารราชการสำาคัญ เมื่อถึงทศวรรษ 1940 ญี่ปุ่น<br />

กลายเป็นรัฐชาตินิยมและจักรวรรดินิยม สถาปนิกทุกคนรวมทั้งพวกสากลนิยมสมัยใหม่ต้องหันไป<br />

ผลิตงานแบบชาตินิยม ที่มีจุดประสงค์สดุดีการทำาสงครามขยายอาณาเขตและการเผยแพร่วัฒนธรรม<br />

ญี่ปุ่น ท่ามกลางการเอาตัวรอดในยามวิกฤตนี้ สถาปนิกอย่างซากากูระ จุนโซได้เสี่ยงออกแบบศาลา<br />

ญี่ปุ่นในงานนิทรรศการนานาชาติที่กรุงปารีส (1937) ในแบบสากลนิยมสมัยใหม่ และเมอิคาว่า คูนิโอ<br />

ออกแบบโครงการประกวดแบบศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย (1943) โดยกลบเกลื่อนผังแบบสากลนิยม<br />

สมัยใหม่ด้วยอาคารที่มีหลังคาแบบปราสาทญี่ปุ่นโบราณ ในยุคเดียวกันนี้ตรงกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />

พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (1925-1935) ต่อมารัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล<br />

(1925-1946) ในสยาม อันเป็นช่วงเวลาที่การเมืองสยามมีความผันผวนเป็นอย่างยิ่ง โดยเริ่มต้นด้วย<br />

ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้วมีการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย<br />

ในช่วงสั้นๆ ก่อนที่จะกลายเป็นระบอบเผด็จการทหารที่สมบูรณ์แบบในที่สุด แต่ระบอบการเมือง<br />

ไม่ได้มีผลโดยตรงกับงานสถาปัตยกรรมในช่วงแรก ช่วงต้นทศวรรษ 1930 บรรดาสถาปนิกรุ่นใหม่<br />

ชาวไทยที่สำาเร็จการศึกษาจากสถาบันอีโคลเดอโบซาร์(École des Beaux-Arts) ในฝรั่งเศสและโรงเรียน


สถาปัตยกรรมในอังกฤษ ได้นำารูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ชนิดหนึ่งที่เรียกว่า อาร์ตเด็คโค (Art Deco)<br />

สร้างด้วยคอนกรีตที่เรียบเกลี้ยงมาเผยแพร่จนได้รับความสนใจไปทั่ว แม้กระทั่งสถาปนิกที่ทำางาน<br />

สถาปัตยกรรมไทย เช่น พระพรหมพิจิตร ก็ยังออกแบบสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ที่เรียบเกลี้ยง<br />

ควบคู่ไปกับสถาปัตยกรรมไทยที่เต็มไปด้วยลวดลายแต่สร้างด้วยคอนกรีต ช่วงทศวรรษ 1940<br />

สถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่และแบบไทยต่างมีความน่าสนใจเพราะสถาปนิกต้องทำางานสนองนโยบาย<br />

รัฐบาลชาตินิยมเผด็จการ ประติมากรคอร์ราโด เฟโรชี มีส่วนร่วมสำาคัญในการสร้างสีสันให้กับ<br />

วงการสถาปัตยกรรม โดยการใส่ประติมากรรมเข้าเป็นองค์ประกอบทั้งลักษณะนูนสูงและลอยตัว<br />

ทำาให้อาคารหลายแห่งมีลักษณะศิลปะยุคฟาสซิสต์ (Fascist) ที ่สมบูรณ์แบบ เช่น ศาลากลางจังหวัด<br />

พระนครศรีอยุธยา (1934-1941) และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (1942) รวมทั้งอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (1940)<br />

ที่ใช้แบบอาร์ตเด็คโคและฟาสซิสต์เพื่อร ำาลึกถึงการปฏิวัติประชาธิปไตย จึงเป็นอนุสาวรีย์ที่มีความย้อนแย้ง<br />

ในตนเองในเรื่องแบบศิลปะและความหมายเป็นอย่างยิ่ง<br />

ในสถานการณ์ที่รัฐบาลลัทธิชาตินิยมเผด็จการปกครองประเทศทั ้งสองนี้ สิ่งที่เหมือนกัน<br />

ในวงการสถาปัตยกรรม คือ สถาปนิกต้องสร้างโครงการสดุดีรัฐบาลและนโยบายของพวกเขา สิ่งที่แตกต่าง<br />

คือ สถาปนิกชั้นนำาของญี่ปุ่นสร้างสรรค์งานจากทฤษฎีไปหารูปธรรม พวกเขาสั่งสมพื้นฐานแนวคิด ทฤษฎี<br />

และประสบการณ์การออกแบบที่มั่นคงยาวนานกว่ามาก ขณะที่สถาปนิกไทยยังเพิ่งเริ่มต้นวิชาชีพนี้<br />

จึงขาดทฤษฎีชี ้นำาที่ตกผลึกและต้องการเพียงรูปแบบที่เป็นที่นิยมเท่านั้น จากบริบทที่ใช้ปัญญา<br />

ทางสถาปัตยกรรมที่พัฒนามาตั้งแต่สมัยเมจิ ทำาให้สถาปนิกญี่ปุ่นเดินตามแนวทางสถาปัตยกรรม<br />

สากลนิยมสมัยใหม่ที่ก้าวหน้าที่สุดในยุคนั้น ขณะที่สถาปนิกสมัยใหม่ของไทยเลือกแบบอาร์ตเด็คโค<br />

ที่ผิวเผิน แม้กระทั่งสถาปนิกแนวชาตินิยมญี่ปุ่นก็ใช้วิชาการทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมสากล<br />

นำาทาง ขณะที่สถาปนิกสถาปัตยกรรมไทยเน้นรูปแบบภายนอกเป็นหลักเหมือนเพื่อนสถาปนิก<br />

สมัยใหม่ของพวกเขา การออกแบบจึงแกว่งกลับไปมาระหว่างแบบไทยโบราณและแบบไทยสมัยใหม่<br />

จึงไม่น่าแปลกใจเลยที่เมื่อพ้นยุคเผด็จการทหารในทศวรรษ 1940 แล้ว ญี่ปุ่นจะหันกลับสู่แนวทาง<br />

สากลนิยมสมัยใหม่ที่มีอัตลักษณ์ของตนเองอีกครั้งหนึ ่งโดยไม่หวนกลับไปหาแนวทางชาตินิยมอีก<br />

ขณะที่ไทยยังคงหาแนวทางของตนเองไม่พบ และต้องกลับไปพึ่งพารูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณ<br />

ทุกครั้งเมื่อมีการเรียกหาอัตลักษณ์ของตนเองซำ้ำแล้วซำ้ำเล่าตลอดมา


Abstract<br />

During the mid-19th century Japan and Siam were forced to open their countries for<br />

trade with western imperialists. Both countries understood that modernization and the ‘civilized’<br />

culture were needed in order to avoid to be colonized. After opening the country in 1853 the<br />

shogunate administration was ended by Boshin revolution. The new oligarchy government<br />

headed by emperor Meiji aimed at establishing a democratic Japan that was strong, rich and<br />

progress. Reform of industry, military and education in the Meiji period (1868-1912) changed<br />

an underdeveloped agricultural Japan into a strong industrial country rapidly. Founding of<br />

department of building engineering in the University of Tokyo in 1877 led by a young British<br />

professor enabled Japan to produce homegrown architects within one decade. Performance<br />

of these young architects was high. This was certified by their building projects and academic<br />

research from the 1890’s. At the same time in Siam was the reign of King Rama V (1868-1910).<br />

Siam’s governmental reform was started only in the 1890’s. The process was slow and<br />

depended on European experts employed by government. Most of development projects in<br />

infrastructure including architecture building were executed by these Europeans. It seemed<br />

that Siam was able to build western style buildings by themselves but in fact an Italian<br />

professional team was behind the scene. Participation of Siamese was limited only on works<br />

for craftsmen and labours. The making of high quality contemporary professionals was the<br />

main difference in architectural content between Japan and Siam in the period of the late<br />

19th century to the early 20th century. The consequence from this point of beginning was<br />

important and it marked a wider difference between the two countries later.<br />

The Taisho period (1912-1926) started with quasi-democratic government. Japanese<br />

architectural realm progressed rapidly at the same time architectural identity was seek through<br />

both modern style and nationalism style. A new generation of progressive young architects<br />

requested architecture freed from historic styles while relation to Japanese culture in abstract<br />

way was still required. On the other hand the nationalist architects wanted to revive traditional<br />

forms constructed by new technology and materials. It brought about a kind of building having<br />

modern body covering by historic temple roof known as Imperial crown style or Taikan<br />

Yoshiki. However another nationalist architect and scholar Ito Chuta proposed architecture


of “Theory of Evolution” which denied Japanese historic forms but insisted in an architectural<br />

form that evolved through the condition of its environment. But finally the outcome of Ito’s<br />

designs was still an eclectic mixture of various types of Asian architecture. This moment<br />

coincided with the reign of King Rama VI (1910-1925) of Siam. Foreign experts still played<br />

important role in government building designs while architectural education was yet to<br />

happen. Architectural characteristics hence were not much different from those classical and<br />

romantic buildings of the previous reign. What can be described as ‘modern buildings’ were<br />

those infrastructure buildings built of concrete and designed by engineers. Most interesting<br />

buildings were those produced by the king’s absolute monarchical nationalism ideology set<br />

for eliminating followers of democracy. It brought about concrete Thai architecture which was<br />

eclectic in appearance designed by foreign architects. These buildings occupied<br />

representative of ‘Thainess’ in architecture and became the prototype of nationalism<br />

architecture. In conclusion of the 1910’s-1920’s period young progressive Japanese architects<br />

started designing modern architecture that having its own identity whereas Siam showed no<br />

sign to change its previous western style architecture. However nationalist architects of both<br />

nations shared common believe that revival of historic forms with employed new technique<br />

and materials for their construction was the right way to create contemporary architecture.<br />

This idea was endorsed by government and among those elites.<br />

The Showa period (1926-1945) saw Japan became a full authoritarian state.<br />

Surprisingly, progressive architects still moved forward toward International Modern idea<br />

under influence of the Bauhaus school and architect Le Corbusier. There were a number<br />

of works revealed Japanese identity within the clean cube architecture by integrating<br />

Japanese culture in an abstract way. However freedom of the International Modern group<br />

gradually varnished when military government controlled the country’s economy as well as<br />

declared nationalism architecture i.e. the Imperial crown style or Taikan Yoshiki as national<br />

favorite style. From the 1930’s the Imperial crown style became the favorite model of<br />

government buildings. From the 1940’s Japan became imperialistic state and started the<br />

wide-ranging Asian-Pacific war. Every architect including the International Modern’s members


had to participate nationalism projects saluting military expansionism and Japanese cultural<br />

propaganda. In this critical and self-surviving time Sakakura Junzo took a risk in designing<br />

Japan pavilion of the Paris Exposition 1937 in Le Corbusier influenced characteristic. Maekawa<br />

Kunio designed a competition project of Japan-Thai Cultural Centre in 1943 by camouflaging<br />

his International Modern building’s plan with a historic castle roof. This moment coincided<br />

with the reign of King Rama VII (1925-1935) and King Rama VIII (1935-1946) of Siam<br />

(become Thailand in 1939) respectively. It was a very unstable political moment of Thailand.<br />

It started with monarchical regime which was overthrown by the democratic revolution in<br />

1932 before the new regime swang into a military authoritarian regime finally. However<br />

politics did not effect architectural creativity at the beginning. In the 1930’s a new generation<br />

of Siamese architects finished their studies from the Ecole des Baux-Arts in France and the<br />

school of architecture in Liverpool, England. They brought with them to Siam a kind of<br />

modern architecture called “Art Deco” in the form of a clean and smooth appearance’s<br />

concrete building. It was widespread by popularity. Even Thai traditional style architect such<br />

as Phra Prompijit also designed clean modern Thai architecture built by concrete along with<br />

traditional heavily ornamented Thai style. In the 1940’s Thailand was governed by a<br />

nationalism authoritarian regime. Architects both modern and traditional camps participated<br />

building programmes saluting government policies. Corrado Feroci a competent Italian<br />

sculptor contributed richness to architectural designs by adding his sculptures as a supportive<br />

component. They made some buildings become a perfect art of Fascism period for example<br />

the Headquarter of the City of Ayutthaya (1934-1941), Monument of Victory (1942) including<br />

Monument of Democracy (1940) which was designed in Art Deco and Fascism characteristic in<br />

order to commemorate the democracy revolution. Hence it was an architectural irony<br />

especially conflict between its attributed meaning and its art style.<br />

In the situation that authoritarian nationalism regime governed the two countries. In the<br />

realm of architecture the similarity was that architects had to create projects saluting the<br />

government and its policies. The difference was that leading architects in Japan created<br />

works from theoretical basis to find a built form. They had been collecting ideas, theories and<br />

design experience for a much longer time whereas Thai architects just started this profession.<br />

Hence the Thais lacked crystal clear theory to direct their designs and apparently they only


needed a popular built form to satisfy their clients. The Japanese architectural intellectual<br />

context developed from the Meiji period led them to follow the International Modern movement<br />

which offered the most progressive architectural explanation at the time. Whereas modern<br />

Thai architects chose the superficial Art Deco. Even Japanese nationalism architects employed<br />

theory in architectural history as a design guide while Thai traditional style architects focused<br />

only built forms like their modern architect comrades. Consequently their designs swang forth<br />

and back from Thai traditional style to Thai modern style. As a result it was not surprised that<br />

after the end of the authoritative nationalism in the 1940’s Japanese architects came back<br />

to the track of International Modern movement with its own identity again and never returned<br />

to the nationalism architecture. Whereas Thai architects could still find no direction and had<br />

to depend on the historic forms again and again every time when identity in architecture was<br />

requested.


นิยามศัพท์<br />

ยุคสมัยใหม่ หมายถึง ช่วงเวลาที ่ประเทศญี่ปุ่นและประเทศสยามเปิดประเทศค้าขายกับ<br />

จักรวรรดินิยมตะวันตกตามสนธิสัญญาการค้า ซึ่งเริ่มตั้งแต่ตอนกลางศตวรรษที ่ 19 ถึงสิ้นสุด<br />

สงครามโลกครั้งที่ 2 คือ ราว ค.ศ. 1850-1945 หรือประมาณ พ.ศ. 2390-2488<br />

สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ (International Modern หรือ International Style) หมายถึงรูป<br />

แบบสถาปัตยกรรมของศตวรรษที่ 20 ที่เริ่มต้นก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 (1914-1918) ชื่อนี้น่าจะ<br />

เริ่มใช้โดย อัลเฟรด บารร์ (Alfred H. Barr) (1902-1981) ต่อมานักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม<br />

เอช อาร์ ฮิทชค็อก (H.R. Hitchcock) และฟิลิป จอห์นสัน (Philip Johnson) รับมาเผยแพร่ต่อด้วย<br />

การตีพิมพ์ในราว ค.ศ. 1932 โดยทั่วไปแล้วชื่อนี้ยอมรับกันว่า หมายถึง งานสถาปัตยกรรมที่สร้างสรรค์<br />

โดย วอลเตอร์ โกรเปียส (Walter Gropius) และพรรคพวกในเยอรมนี มีรูปแบบที่ต้องการเป็นอิสระ<br />

จากงานสมัยโบราณทั้งหลายอย่างสิ้นเชิง ดังนั้นจึงเป็นที่ยอมรับอย่างกว้างขวางจากบรรดาสถาปนิก<br />

หัวก้าวหน้าแถบยุโรปกลางตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 (1918) และแพร่หลายไปทั่ว รูปลักษณ์ของ<br />

อาคารเหล่านี้ คือ ความอสมมาตร ทรงกล่องสี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยงปราศจากลวดลายและมักทาสีขาว<br />

หลังคาแบน หน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมแคบยาวตลอดเหมือนแถบผ้า หรือไม่ก็เป็นผืนกระจกใหญ่หุ้มผนัง<br />

ตึกทั้งด้าน โครงสร้างเป็นเหล็กหรือคอนกรีตเสริมเหล็กที่พื้นคอนกรีตถูกรับนำ้ำหนักโดยเสาโครงสร้าง<br />

และพื้นไร้คาน ทำาให้สามารถกั้นฝาได้อย่างอิสระเพราะผนังไม่ใช่ส่วนหนึ่งของโครงสร้างแบบ<br />

สถาปัตยกรรมโบราณแล้ว รูปแบบอ้างอิงของสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ ได้แก่ อาคารสถาบัน<br />

เบาเฮาส์ที่เดสเซา (Bauhaus, Dessau) (1925-1926) ของโกรเปียส ซาลเวชั่น อาร์มมี่ โฮสเต็ล<br />

(Salvation Army Hostel) (1929) และศาลาสวิส (Pavillon Suisse) (1930-1932) ในปารีสของ<br />

เลอ คอร์บูซิเอร์ (Le Corbusier) และงานเคหะการของมีส์ ฟาน เดอ โฮ (Mies van der Rohe) ที่<br />

ไวส์เซนโฮฟซิดลุง (Weissenhofsiedlung) (1927) ในสตุตการ์ท (Stuttgart) เยอรมนี อุดมการณ์ใน<br />

การออกแบบของพวกเขาถูกขนานนามว่า “สุนทรียภาพแห่งเครื่องจักรกล” (Machine Aesthetic)<br />

และจัดอยู่ในจำาพวกฝ่ายซ้ายหัวก้าวหน้า มันถูกนำาไปใช้ออกแบบอย่างกว้างขวางในกลุ่มสถาปนิก<br />

ซ้ายจัดของสหภาพโซเวียตในทศวรรษ 1920 และแม้กระทั่งสถาปนิกขวาจัดฟาสซิสต์ (Fascist)<br />

อิตาเลียนบางคน เช่น กุยเซ็ปเป เทอรายี่ (Giuseppe Terragni) (1904-1943) อย่างไรก็ตาม<br />

สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่เป็นที่ยอมรับอย่างสากลจริงๆ หลัง ค.ศ. 1945 โดยเฉพาะในยุโรป<br />

ตะวันตก สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา และทั่วโลก


การเขียนชื่อบุคคล<br />

ในหนังสือเล่มนี้มีชื่อบุคคลภาษาญี่ปุ่นอยู่จำานวนมาก การเขียนชื่อบุคคลที่เป็นภาษาญี่ปุ่น<br />

จะเขียนโดยขึ้นต้นด้วยชื่อสกุลแล้วตามด้วยชื่อตัว ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติทั่วไปในประเทศญี่ปุ่น ชื่อบุคคล<br />

ภาษาอื่นนอกจากนี้จะเขียนขึ้นต้นด้วยชื่อตัวตามด้วยชื่อสกุล<br />

การใช้ศักราช<br />

ศักราชที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้ใช้คริสตศักราชทั้งสิ้น เพื่อสะดวกในการเปรียบเทียบ


1<br />

บทนำ<br />

18 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บทนำ<br />

19


20 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2<br />

ใน ค.ศ. 1945 เป็นเวลาที่สำคัญยิ่งในประวัติศาสตร์ของชาติแถบ<br />

เอเชียตะวันออก เป็นช่วงเวลาแห่งการเกิด เติบโต และสิ้นสุดของ<br />

การพัฒนาวัฒนธรรมของยุค ที่เราขอเรียกว่า ยุคสมัยใหม่มันเริ่มต้น<br />

ด้วยการคุกคามของจักรวรรดินิยมยุโรปและสหรัฐอเมริกาที่บังคับ<br />

ให้ประเทศต่างๆ เหล่านี้เปิดประเทศเพื่อการค้าและวัฒนธรรม<br />

เป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของโลก ญี่ปุ่นและสยามก็เหมือน<br />

ประเทศอื่นๆ ที่ถูกคุกคามโดยจักรวรรดินิยมแต่ 2 ประเทศนี้มี<br />

ลักษณะร่วมกันที่สำคัญคือสามารถเอาตัวรอดจากการเป็น<br />

อาณานิคมได้ และได้เริ่มต้นปรับปรุงประเทศขนานใหญ่ เพื่อให้<br />

เข้มแข็งสามารถรับมือกับภัยคุกคามที่คาดเดาไม่ได้ มีการปฏิรูป<br />

การปกครองและเศรษฐกิจเพื่อวางรากฐานทางการศึกษาและพัฒนา<br />

สาธารณูปโภคขึ้นใหม่ ส่งผลให้มีการสร้างสถาปัตยกรรมใหม่ๆ ขึ้น<br />

เพื่อรองรับกิจกรรมใหม่ๆ นี้มากมาย สถาปัตยกรรมเหล่านี้มี<br />

ทั้งแบบตะวันตกและแบบที่พยายามแสดงอัตลักษณ์ของชาติ<br />

โดยตอนแรกเป็นการอาศัยผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ และต่อมาคนพื้น<br />

เมืองก็รับมาดำเนินการเอง จนกลายมาเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ในที่สุดและสืบต่อเนื่องมาจนทุกวันนี้<br />

เป็นเรื่องน่าสนใจมากที่ญี่ปุ่นและสยามต่างดำเนินการไปใน<br />

แนวเดียวกันนี้ทั้งคู่และด้วยพื้นฐานประเทศที่มีหลายสิ่งหลายอย่าง<br />

คล้ายคลึงกัน เช่น เป็นประเทศเกษตรกรรมที่ปกครองด้วยระบอบ<br />

กษัตริย์และกลุ่มขุนนางชั้นสูง พัฒนาการของสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่อันเนื่องมาจากการปฏิรูปประเทศจึงคล้ายๆ กันในตอนแรก<br />

แต่ในที ่สุดก็แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ญี่ปุ่นพัฒนาไปในวิถีแห่ง<br />

ความเข้มแข็งและพึ่งตนเอง ขณะที่สยามพัฒนาไปในทางพึ่งพา<br />

ผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศและเชื่องช้า การสืบค้นดูวิถีการพัฒนา<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่เกือบหนึ่งศตวรรษผ่านอุดมคติแห่งยุคสมัย<br />

ของการสร้างชาติของทั้งสองประเทศจึงเป็นหัวใจของการศึกษานี้<br />

รวมทั้งคำถามพ่วงอื่นๆ ที่ไม่อาจละเลยได้ เช่น อะไรเป็นปัจจัย<br />

สร้างความเข้มแข็งในการพัฒนาสถาปัตยกรรมสมัยใหม่นี้ และ<br />

เกิดความย้อนแย้งเช่นไรในการสร้างนวัตกรรมในประเทศที่อุดมไปด้วย<br />

อัตลักษณ์สถาปัตยกรรมดั้งเดิมสะสมมานับพันปี ส่งผลให้เกิด<br />

ปฏิกริยาโต้กลับต่อรูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่อย่างไร และ<br />

สังคมสามารถหาจุดสมดุลของความขัดแย้งอย่างไร การศึกษา<br />

เปรียบเทียบเป็นจุดเด่นของการศึกษานี้ เป็นกระบวนการที่ทำให้<br />

เราเห็นข้อดีข้อด้อยของสิ่งที่เปรียบเทียบกันชัดเจนขึ้นกว่าการศึกษา<br />

เพียงด้านเดียวหรือฝ่ายเดียว และยังช่วยให้เราไม่เข้าข้างตนเอง<br />

บทนำ<br />

21


ในการสรุปผลการศึกษา การศึกษาเปรียบเทียบใช้ช่วงเวลาเดียวกัน<br />

ของทั้งสองชาติเป็นตัวตั้ง พิจารณาอุดมคติของสังคม (หรือในการ<br />

ศึกษานี้เรียกว่าอุดมคติแห่งยุคสมัย) ในแต่ละประเทศว่าเหมือน<br />

หรือต่างกันอย่างไร ส่งผลให้เกิดการเคลื่อนไหวทางสังคม<br />

วัฒนธรรมที่นำไปสู่สถาปัตยกรรมอะไร พิจารณารูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมนั้นจากองค์ประกอบสำคัญ คือ ผังพื้น รูปทรง และ<br />

การก่อสร้าง เพื่อความเข้าใจทางสุนทรียภาพและการรองรับการ<br />

ใช้งานในระดับวัฒนธรรมและระดับอุดมการณ์<br />

แม้จะดูไม่ยากในเชิงทฤษฎีแต่ในทางปฏิบัติแล้วการนำข้อมูล<br />

ระยะเวลาหนึ่งศตวรรษของสองชาติมาเรียบเรียงและวิเคราะห์ให้<br />

ผู้อ่านเข้าใจนั้นเป็นเรื่องซับซ้อนอย่างยิ่ง การสร้างโครงสร้างและ<br />

แบ่งภาคส่วนของหนังสือเล่มนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้อ่าน<br />

เข้าใจในเรื่องซับซ้อนและย้อนแย้งมากมายของสองชาติใน<br />

ระยะเวลาดังกล่าว เรื่องราวเหล่านี้จึงเรียบเรียงอยู่บนแกนของเวลา<br />

(ในที่นี้คือรัชกาล) ซึ่งสะท้อนเรื่องสำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดคู่กัน คือ<br />

อุดมคติของยุคสมัย ซึ่งได้ผลิตสถาปัตยกรรมรับใช้มันออกมา<br />

หน้าที่ของผู้วิจัยคือโยงสองเรื่องนี้ให้สอดรับกันสนิท หนังสือเล่มนี้<br />

จึงถูกแบ่งออกเป็นสองส่วนใหญ่ คือ อุดมคติแห่งยุคสมัยและ<br />

สถาปัตยกรรมแห่งยุคของฝ่ายญี่ปุ่น ตั้งแต่ช่วงเปิดประเทศกลาง<br />

ศตวรรษที่ 19 จนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งสามารถแยก<br />

กล่าวเป็นรัชกาลได้4 ตอน คือ ก่อนรัชสมัยเมจิเมจิ ไทโช และโชวะ<br />

อีกส่วนหนึ่ง คือ เรื่องราวของสยามในเวลาเดียวกันที่สามารถ<br />

แบ่งได้เป็น 4 ตอนเช่นเดียวกันคือ สมัยรัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5<br />

รัชกาลที่ 6 รัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 8 แต่ละตอนของทั้งสองฝ่าย<br />

อยู่ในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันมาก มีบริบททางสังคมที่ใกล้เคียงกัน<br />

จนสามารถนำมาศึกษาเปรียบเทียบกันได้<br />

แน่นอนที่ว่าประเด็นการศึกษามีเนื้อหามากมายที่ผู้วิจัยต้อง<br />

ศึกษาจากวรรณกรรมสำคัญที่มีผู้ศึกษามาก่อน ซึ่งมีไม่มากและ<br />

กระจัดกระจาย ผู้วิจัยต้องประมวลเพื่อจัดระเบียบและวิเคราะห์<br />

หาคำตอบของคำถามงานวิจัยนี้ เนื่องจากเป็นหัวข้อการวิจัย<br />

ที่ยังไม่มีผู้ทำมาก่อน งานศึกษาที่ใกล้เคียงที่สุด คือ Modern<br />

(Western Style) Buildings in the Meiji Period (1862-1912) with<br />

Comparison to Contemporary Western Style Buildings in Siam 1<br />

อธิบายบริบททางสังคมวัฒนธรรมที่ผลักดันให้เกิดสถาปัตยกรรม<br />

แบบตะวันตกขึ้นในรัชสมัยเมจิ เป็นงานศึกษาที่เน้นเรื่องรูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมเพื่อเปรียบเทียบกับสถาปัตยกรรมประเภทเดียวกัน<br />

ของสยามสมัยรัชกาลที่5 นับเป็นงานบุกเบิกที่เนื้อหายังไม่ลึกของ<br />

ผู้วิจัยเองและนำมาซึ่งงานวิจัยฉบับใหม่นี้ สถาปัตยกรรมแบบ<br />

ตะวันตกในสยาม สมัยรัชกาลที่ 4-พ.ศ. 2480 2 ว่าด้วยอุดมคติ<br />

แห่งยุคสมัยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ถึงรัชกาลที ่ 8 ที่ส่งผลให้เกิด<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก มีการวิเคราะห์รูปแบบสถาปัตยกรรม<br />

ในเชิงสัมพันธ์กับบริบททางสังคมวัฒนธรรมแบบเจาะลึก ให้เห็นว่า<br />

แบบสถาปัตยกรรมได้ซ่อนเนื้อหาของอุดมคติและกิจกรรมไว้<br />

ตรงไหนบ้าง โดยใช้วิธีการจัดกลุ่มรูปแบบสถาปัตยกรรมเพื่อหา<br />

ต้นตอรากเหง้า (Genealogical Approach) ของตัวเองและกลุ่ม<br />

ที่เกี่ยวข้อง งานศึกษานี้จึงเป็นฐานข้อมูลและแนวคิดในการศึกษา<br />

สถาปัตยกรรมของฝ่ายสยามในงานวิจัยใหม่นี้<br />

งานศึกษาฝ่ายญี่ปุ่นว่าด้วยสถาปัตยกรรมและสังคมในช่วง<br />

กลางศตวรรษที่ 19 ถึงครึ่งแรกของศตวรรษที่ 20 นั้น ในช่วงสอง<br />

ทศวรรษที่ผ่านมานี้มีจำนวนเพิ่มมากขึ้น แต่งานวิจัยหลักสำหรับ<br />

อ้างอิงทั่วไปยังคงเป็นงานศึกษาที่บรรยายพื้นฐานประวัติศาสตร์<br />

สถาปัตยกรรมที่เขียนตั้งแต่กลางทศวรรษ 1960 ถึงตอนปลาย<br />

ทศวรรษ 1980 เช่น The Course of Modern Japanese<br />

Architecture 3 , A History of Japanese Houses 4 และ The Making<br />

of a Modern Japanese Architecture 1868 to the Present 5<br />

เป็นต้น งานศึกษารุ่นครูเหล่านี ้บรรยายครอบคลุมสถาปัตยกรรม<br />

และสถาปนิกสมัยใหม่ที่สำคัญในรัชสมัยเมจิ ไทโช และโชวะได้<br />

เกือบหมด แต่เนื้อหาเน้นเรื่องรูปแบบสถาปัตยกรรมเป็นหลัก<br />

นอกจากนี้ยังมองข้ามความสำคัญของแนวคิดอนุรักษ์นิยม<br />

ชาตินิยม รวมทั้งผลงานสถาปัตยกรรมเหล่านี้ไป ความก้าวหน้าของ<br />

ประเด็นการศึกษาที่ขาดไปเพิ่มขึ้นตั้งแต่กลางทศวรรษ 1990<br />

22 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


มีวรรณกรรมที่กล่าวถึงสถาปนิกและสถาปัตยกรรมของฝ่ายอนุรักษ์<br />

นิยมและชาตินิยม เช่น อิโตะ ชูตะ ที่มีอิทธิพลต่อการสร้างอัตลักษณ์<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น<br />

Victorian Japan in Taiwan: Transmission and Impact of<br />

the ‘Modern’ upon the Architecture of Japanese Authority,<br />

1853-1919 ุ6 , Modernism and Tradition in Japanese<br />

Architectural Ideology 7 และ Study on the Architecture and<br />

Philosophy of Chuta Ito 8 เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีงานศึกษาในเชิง<br />

ลึกว่าด้วยปรัชญาและการออกแบบอย่างบูรณาการระหว่าง<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่และสถาปัตยกรรมโบราณของญี่ปุ่นโดย<br />

สถาปนิกญี่ปุ่นและชาวต่างชาติในญี่ปุ่นตั้งแต่รัชสมัยเมจิ ไทโช<br />

และโชวะ เช่น International Architecture in Interwar Japan:<br />

Constructing Kokusai Kenshiku 9 และ Maekawa Kunio and<br />

the Emergence of Japanese Modernist Architecture 10<br />

เป็นต้น ขณะเดียวกันก็มีงานศึกษาว่าด้วยความพยายามของ<br />

กลุ่มสถาปนิกอนุรักษ์นิยมชาตินิยม ที่พยายามสร้างอัตลักษณ์<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นไปอีกทางหนึ่งโดยยึดรูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมโบราณเป็นสรณะ เช่น Buddhist Material Culture,<br />

“ Buddhism in Pre-War Japan” 11 , Japan’s Imperial Diet Building:<br />

Debate over Construction of a National Identity 12 , Architecture<br />

for Mass-Mobilization: The Chureito Memorial Construction<br />

Movement, 1939-1945 13 , The Tectonics of Japanese Style:<br />

Architect and Carpenter in the Late Meiji Period 14 และ<br />

Pan-Asianism and the Pure Japanese Thing: Japanese<br />

Identity and Architecture in the Late 1930s 15 สุดท้ายของกลุ่มนี้<br />

คือ งานศึกษาที่วิเคราะห์การใช้สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเป็น<br />

เครื่องมือสร้างวัฒนธรรมศิวิไลซ์ในสังคมของชนชั้นนำของญี่ปุ่น<br />

ตัวอย่างเช่น Josiah Conder’s Rokumeikan: Architecture and<br />

National Representation in Meiji Japan 16 เป็นต้น<br />

สำหรับงานศึกษาว่าด้วยประวัติศาสตร์สังคมมีเป็นจ ำนวนมาก<br />

และมีเนื้อหาคล้ายๆ กัน แต่ที่กล่าวถึงประเด็นเฉพาะที่สำคัญ ได้แก่<br />

Phibun Songkram and Thai Nationalism in the Fascist Era 17<br />

กล่าวถึงการสถาปนาระบอบเผด็จการทหารในยุคจอมพล ป.<br />

พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีระหว่าง ค.ศ. 1938-1944 อิทธิพล<br />

จากลัทธิชาตินิยมฟาสซิสต์สากลทำให้จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

ดำเนินนโยบายเผด็จการในประเทศและมหาอาณาจักรไทย สำหรับ<br />

นโยบายต่างประเทศเข้าเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นเพื่อหวังการหนุน<br />

ช่วยทางกำลังทหารจากญี่ปุ่น ขณะที่ญี่ปุ่นก็ต้องการไทยเป็นฐานที่มั่น<br />

และทางผ่านไปสู่พม่า แต่เบื้องหลังของความสัมพันธ์ทั้งสองประเทศ<br />

คือ การดูหมิ่นดูแคลนและไม่ไว้วางใจซึ่งกันและกัน<br />

ผลจากการทบทวนวรรณกรรมงานศึกษาวิจัยเหล่านี้<br />

สาระสำคัญที่ผู้วิจัยพบ ได้แก่ อิทธิพลทางการเมือง วัฒนธรรม<br />

ของจักรวรรดินิยมภายนอกที่บีบบังคับให้ทั้งสองชาติเปิดประเทศ<br />

แม้จะไม่เต็มใจในเบื้องแรกแต่ต่อมาก็เข้าใจว่าวัฒนธรรมและ<br />

การเมืองแบบจักรวรรดินิยมเป็นเรื่องส ำคัญ เป็นความเจริญก้าวหน้า<br />

หรือศิวิไลซ์ ที่จะทำให้ประเทศเกษตรกรรมศักดินาโบราณก้าวไป<br />

ข้างหน้าได้ การเปลี่ยนแปลงตนเองโดยการศึกษาจากตะวันตก<br />

ทำให้เกิดการเลียนแบบทางวัฒนธรรมรวมทั้งสถาปัตยกรรมแบบ<br />

ตะวันตกอย่างขนานใหญ่ แต่เมื่อเวลาผ่านไปเพียงชั่วคนเดียว<br />

ชนชั้นนำและปัญญาชนทั้งสองชาติกลับตระหนักว่าการพัฒนา<br />

โดยวิธีเลียนแบบตะวันตกอย่างขาดดุลพินิจ ทำให้ชาติสูญเสีย<br />

จิตวิญญาณของตนเองไป จึงจำเป็นต้องรักษาอัตลักษณ์ของชนชาติ<br />

ไว้ขณะที่ยังคงพัฒนาทางวัตถุแบบตะวันตกต่อไป แนวคิดนี้ทำให้<br />

เกิดความพยายามสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่มีอัตลักษณ์เดิมของ<br />

ตนเองแต่มีความศิวิไลซ์แบบตะวันตกในเวลาเดียวกัน เป็นความ<br />

ย้อนแย้งที่ดูสับสนอย่างยิ่ง ทั้งสองชาติจะมีแนวทางในการสร้าง<br />

สมดุลแห่งความย้อนแย้งนี้อย่างไร บนเส้นทางแห่งการโหยหา<br />

<strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong> และผลผลิตที่ออกมาของทั้งสองชาติ<br />

นี้เมื่อเปรียบเทียบกันแล้วมีความเหมือนและแตกต่างกันอย่างไร<br />

เพราะเหตุใด นี่คือคำถามที่คำตอบปรากฏอยู่แล้วในบทต่อๆ ไป<br />

ของหนังสือเล่มนี้<br />

บทนำ<br />

23


เชิงอรรถบทที่ 1<br />

1 Somchart Chungsiriarak, “Modern (Western<br />

Style) Buildings in the Meiji Period (1868-1912)<br />

with Comparison to Contemporary Western<br />

Style Buildings in Siam,” Journal of the Faculty<br />

of Architecture Silpakorn University 16 (1998-<br />

1999): 123-194.<br />

2 สมชาติ จึงสิริอารักษ์, สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่ 4-พ.ศ.2480 (กรุงเทพฯ:<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2553).<br />

3 Muramatsu, Teijiro, “The Course of Modern<br />

Japanese Architecture,” The Japan Architect,<br />

109 (June 1965): 37-56.<br />

4 Onobayashi, Hiroki, “A History of Modern<br />

Japanese Houses,” The Japan Architect, 109<br />

(June 1965): 71-84.<br />

5 David B, Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present<br />

(Tokyo: Kodansha international, 1987).<br />

6 Chang, Hui Ju, “Victorian Japan in Taiwan:<br />

transmission and impact of the ‘modern’ upon<br />

the Architecture of Japanese authority, 1853-<br />

1919” (Ph.D. dissertation, University of<br />

Sheffield, 2014).<br />

7 Jacqueline Eve Kestenbaum, “Modernism<br />

and Tradition in Japanese Architectural<br />

Ideology, 1931-1955” (Doctoral Thesis,<br />

Columbia University, 1996).<br />

8 Shunsuke Kurakata, “Study on the architecture<br />

and philosophy of Chuta Ito” (Thesis, Waseda<br />

University, 2004).<br />

9 Ken Tadashi Oshima, International architecture<br />

in Interwar Japan (Seattle: University of<br />

Washington Press, 2009).<br />

10 Bruce E. Reynolds, Maekawa Kunio and the<br />

emergence of Japanese Modernist Architecture<br />

(Berkeley: University of Califonia Press, 2001).<br />

11 Richard M. Jaffe, “Buddhist Material Culture,<br />

“Indianism,” and the Construction of Pan-Asian<br />

Buddhism in Pre-War Japan,” Material Religion<br />

2, 3 (November 1, 2006): 266-293.<br />

12 Jonathan M. Reynolds, “Japan’s Imperial Diet<br />

Building: Debate over Construction of a<br />

National Identity,” Art Journal 55, 3 (Fall 1996):<br />

38-47.<br />

13 Takenaka, Akiko, “Architecture for Mass-<br />

Mobilization: The Chureito Memorial<br />

Construction Movement, 1939-1945,” in The<br />

Culture of Japanese Fascism. ed. Alan<br />

Tansman (Durham: Duke University Press,<br />

2009).<br />

14 Cherie Wendelken, “The Tectonics of Japanese<br />

Style: Architect and Carpenter in the late<br />

Meiji Period,” Art Journal 55, 3 (Fall 1996):<br />

28-37.<br />

15 Cherie Wendelken, “Pan-Asianism and the<br />

Pure Japanese Thing: Japanese Identity and<br />

Architecture in the Late 1930,” Positions 8, 3<br />

(Winter 2000): 819-828.<br />

16 Watanabe, Toshio, “Josiah Conder’s<br />

Rokumeikan: Architecture and National<br />

Representation in Meiji Japan,” Art Journal 55,<br />

3 (Fall 1996): 21-27.<br />

17 Bruce E. Reynolds, “Phibun Songkhram and<br />

Thai Nationalism in the Fascist Era,” European<br />

Journal of East Asian Studies 3, 1 (2004): 99-<br />

134.<br />

24 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บทนำ<br />

25


2<br />

สถาปัตยกรรม<br />

ยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

26 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


28 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ยุคศตวรรษที่ 16-17 ถึงก่อนเปิดประเทศ<br />

ในกลางศตวรรษที่ 19<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

ศาสนสถานนิกายเยซูอิทปลายศตวรรษที่ 16 ในญี่ปุ่น<br />

ศตวรรษที่16 เป็นระยะที่เรียกว่าช่วงสงครามระหว่างแคว้น<br />

(warring states) พวกเจ้าแคว้นต่างทำสงครามแย่งชิงอำนาจกัน<br />

เพื่อครอบครองความเป็นใหญ่ ขณะเดียวกันชาติยุโรปได้เดินเรือ<br />

เข้ามาติดต่อทำการค้ากับญี่ปุ่น โปรตุเกสเป็นยุโรปชาติแรกที่<br />

เข้ามาค้าขายใน ค.ศ. 1543 ต่อมามีพวกดัตช์ตามเข้ามาเผยแพร่<br />

ศาสนาคริสต์และขายอาวุธปืน ที่เป็นปัจจัยทำให้สงครามดำเนิน<br />

มาถึงจุดจบเร็วขึ้น ค.ศ. 1603 โตกุกาวา อิเอยาสุ (Tokukawa<br />

Ieyasu) เจ้าแคว้นมิกาวา (Mikawa) ทำสงครามรวมชาติสำเร็จตั้ง<br />

ตัวเป็นโชกุน (shogun) แห่งโตกุกาวา ปกครองญี่ปุ่นแต่เพียง<br />

ผู้เดียวทุกเจ้าแคว้นขึ้นกับโชกุน ส่วนพระจักรพรรดินั้นเป็นเพียง<br />

ประมุขเชิงสัญลักษณ์ของชาติไม่มีอำนาจบริหาร ซึ่งเป็นลักษณะ<br />

เฉพาะของญี่ปุ่นมาแต่ดั้งเดิม ศูนย์กลางการบริหารรัฐของโตกุกาวา<br />

อยู่ที่นครเอโด (Edo) หรือโตเกียวในปัจจุบัน และเป็นการเริ่มยุคที่<br />

เรียกกันว่ายุคเอโดภายใต้การปกครองของตระกูลนี้ต่อเนื่องมาอีก<br />

250 ปีอย่างมั่นคง สะสมความมั่งคั่งของทรัพยากร ผู้คน ความรู้<br />

ศิลปวิทยาการอย่างมากมาย<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

29


สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในยุคศตวรรษที ่16-17<br />

ค.ศ.1639 รัฐบาลโตกุกาวาขับไล่ชาวต่างชาติออกไปจาก<br />

ญี่ปุ่นทั้งหมด เพราะไม่ชอบการเผยแพร่ศาสนาคริสต์1 และเกรงว่า<br />

ชาติยุโรปจะเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของญี่ปุ่น รัฐบาลโตกุกาวา<br />

ประกาศให้ญี่ปุ่นอยู่อย่างสันโดษนานถึง 220 ปีต่อมา อย่างไรก็ตาม<br />

โชกุนยังคงอนุญาตให้พวกดัตช์และจีนค้าขายกับญี่ปุ่นได้ที่เกาะ<br />

เดจิมา (Dejima) กลางท่าเรือนางาซากิ ในช่วงนี้เองที่พวกดัตช์<br />

นำตำราวิทยาการทหาร อาวุธ วิทยาศาสตร์ และแพทย์มาเผยแพร่<br />

ให้คนญี่ปุ่นได้ศึกษา การปิดประเทศของญี่ปุ่นโดยความจริงแล้วจึง<br />

ไม่ใช่การปิดตาย แต่ยังรับความรู้จากตะวันตกอยู่ตลอดเวลาและ<br />

เป็นต้นทุนที่ทาให้ญี่ปุ่นสามารถปรับตัวรับอารยธรรมตะวันตกได้<br />

อย่างรวดเร็วเมื่อต้องเผชิญหน้ากับลัทธิจักรวรรดินิยมในศตวรรษ<br />

ที่ 19<br />

จากหลักฐานภาพพิมพ์ในหนังสือที่เขียนโดยนักบวช<br />

นิกายเยซูอิท (Jesuit) 2 อาคารเหล่านี ้เป็นศาสนสถานจาพวก<br />

โบสถ์ วิหาร กุฏิ โรงสวดมนต์ของนักบวชนิกายเยซูอิท นิกาย<br />

โรมันคาทอลิก ในเมืองต่างๆ เช่น อาริมา (Arima) ฟูไน (Funai)<br />

เป็นต้น เป็นอาคารก่ออิฐฉาบปูน ลักษณะคล้ายสถาปัตยกรรม<br />

แบบโรมาเนสก์ (ศตวรรษที่ 10-12) ในชนบทยุโรปที่เรียบง่าย<br />

ปัจจุบันไม่มีหลงเหลือให้เห็นแล้ว<br />

30 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ช่วงญี่ปุ่นเปิดประเทศจนถึงช่วงโชกุนหมดอำนาจ<br />

(Bakumatsu) 3 1853-1867<br />

สังคม เศรษฐกิจและการเมือง<br />

ภูมิทัศน์ของเมืองนางาซากิหลังเปิดประเทศใน ค.ศ. 1854<br />

ญี่ปุ่นตั้งอยู่ในความสงบและสันโดษโดยมีเจ้าแคว้นกว่า 300<br />

แคว้นอยู่ภายใต้การปกครองของโชกุนโตกุกาวาตั้งแต่ ค.ศ. 1603<br />

เป็นต้นมา นักประวัติศาสตร์เรียกยุคนี้ว่ายุคเอโด หรือยุคโตกุกาวา<br />

ซึ่งถือว่าเป็นยุคที ่สงบสุขและเจริญก้าวหน้าของญี่ปุ่นภายใต้การ<br />

จัดการบ้านเมืองแบบพึ่งพาตนเองที่มีศูนย์กลางปกครองที่นครเอโด<br />

หรือโตเกียวในปัจจุบัน ประมาณทศวรรษที่ 1840 มหาอำนาจ<br />

อเมริกา รัสเซีย อังกฤษ ฝรั่งเศส และฮอลันดาส่งเรือรบมาคุกคาม<br />

เมืองท่าของญี่ปุ่น เพื่อกดดันให้ญี่ปุ่นเปิดประเทศค้าขายกับตน<br />

โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาส่งกองเรือรบ 4 ลำของนายพลเรือเพอร์รี่<br />

(Matthew Calbraith Perry) ชื่อว่ากองเรือรบดำ มาที่<br />

เมืองโยโกฮามาและอ่าวเอโดใน ค.ศ. 1853 ข่มขู่ญี่ปุ่นโดยการยิง<br />

ปืนใหญ่แสดงพลังในงานชุมนุมพิธีศพของชาวคริสเตียนคนหนึ่ง<br />

ต่อมาใน ค.ศ. 1854 กองเรือของนายพลเรือเพอร์รี่แล่นกลับมา<br />

อีกครั้ง และบังคับให้ญี่ปุ่นลงนามในสนธิสัญญามิตรภาพและ<br />

สันติภาพชื่อสนธิสัญญาคานากาวา (Treaty of Kanagawa) ลงวันที่<br />

31 มีนาคม ค.ศ. 1854 บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดเมืองท่าชิโมดะ<br />

(Shimoda) นางาซากิ (Nagasaki) และฮาโกดาเตะ (Hakodate)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

31


ในเกาะฮอกไกโด (Hokkaido) เป็นเมืองท่าค้าขายให้สิทธิพิเศษ<br />

แก่สหรัฐอเมริกา เช่น การต้อนรับลูกเรืออเมริกันด้วยมิตรภาพที่ดี<br />

ให้กงสุลอเมริกาตั้งบ้านเรือนในชิโมดะได้เป็นต้น ต่อมาญี่ปุ่นต้องท ำ<br />

สนธิสัญญาแบบเดียวกันนี้กับรัสเซีย อังกฤษ และฮอลันดาใน<br />

ค.ศ. 1855 กระนั้นก็ตามประเทศเหล่านี้ก็ยังไม่พึงพอใจใน ค.ศ. 1858<br />

สหรัฐอเมริกาบีบบังคับให้ญี่ปุ่นยอมลงนามกับแฮรีส (Townsend<br />

Harris) ในสนธิสัญญามิตรภาพและการค้า (Treaty of Amity and<br />

Commerce) บังคับให้ญี่ปุ่นเปิดเมืองท่าค้าขายเพิ่ม ยอมให้ชาว<br />

ตะวันตกตั้งรกรากในญี่ปุ่นได้ เก็บภาษีสินค้าได้เพียงร้อยละ 5 และ<br />

ยอมยกสิทธิสภาพนอกอาณาเขตให้สหรัฐอเมริกา ในปีเดียวกันนั้น<br />

มหาอำนาจอีก 4 ชาติคือ อังกฤษ ฝรั่งเศส ฮอลันดา และรัสเซีย<br />

ก็บังคับให้ญี่ปุ่นลงนามในสนธิสัญญาแบบเดียวกัน ชาวตะวันตกจึง<br />

เริ่มเข้ามาตั้งรกรากบนแผ่นดินญี่ปุ่นได้เป็นครั้งแรก ในแถบเมือง<br />

ท่าที่เปิดตามสนธิสัญญา เช่น นางาซากิ โกเบ โยโกฮามา และฮาโก<br />

ดาเตะ เป็นต้น นี่เป็นสิ ่งที่ชนชั้นนำญี่ปุ่นอีกกลุ่มหนึ่งรู้สึกเสีย<br />

ศักดิ์ศรีเป็นอย่างยิ่ง<br />

แม้ญี่ปุ่นจะยอมลงนามในสนธิสัญญาเปิดประเทศถึงสองครั้ง<br />

แต่ก็เป็นการยอมของรัฐบาลทางนิตินัยเท่านั้น ในความเป็นจริง<br />

แล้วญี่ปุ่นมีจิตสำนึกเคียดแค้นและดูหมิ่นเกลียดชังชาวตะวันตก<br />

อย่างมาก พระจักรพรรดิโคเมอิ4 (Emperor Komei) มีพระบรม<br />

ราชโองการให้ “ขับไล่พวกป่าเถื่อน” ซึ่งเจ้าแคว้นแห่งโจชู(Choshu)<br />

รับสนองพระบรมราชโองการทำการโจมตีเรือรบของสหรัฐอเมริกา<br />

ที่ลอยลำผ่านช่องแคบชิโมโนเซกิ (Shimonoseki strait) ในวันที่<br />

25 มิถุนายน ค.ศ. 1863 แต่ทำอันตรายเรือรบของสหรัฐอเมริกา<br />

ไม่ได้ นักรบพวกนี้ยังขยายการโจมตีไปยังเรือของฝรั ่งเศสและ<br />

ฮอลันดาด้วย ชาติตะวันตกพยายามเจรจาแต่ไม่มีผลสำเร็จ จึงตั้ง<br />

กองเรือรบผสมสัมพันธมิตรประกอบด้วยอังกฤษ ฮอลันดาและ<br />

ฝรั่งเศส นำโดยนายพลเรือเซอร์ออกัสตัส คูเปอร์ (Sir Augustus<br />

Kuper) เข้าโจมตีช่องแคบชิโมโนเซกิในวันที่17 สิงหาคม ค.ศ. 1864<br />

นักรบฝ่ายโจชูตอบโต้กลับจึงเกิดสงครามขึ้นในวันที่ 5-6 กันยายน<br />

ค.ศ. 1864 กองเรือสัมพันธมิตรระดมยิงจนนักรบโจชูยอมแพ้<br />

ในวันที่ 8 กันยายน รัฐบาลญี่ปุ่นต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงคราม<br />

3 ล้านดอลลาร์อเมริกัน ญี่ปุ่นเริ่มยอมรับว่าสู้รบกับชาติตะวันตก<br />

ไม่ได้จริงๆ และหันกลับมาสู้รบกันเองเพื่อช่วงชิงอำนาจรัฐโดย<br />

มีเป้าหมายที่การโค่นล้มรัฐบาลโชกุนโตกุกาวา<br />

สงครามปฏิวัติโบชิน (Boshin War) (1868-1869)<br />

หลังจากโชกุนยอมลงนามในสนธิสัญญาเปิดประเทศอย่าง<br />

ไร้ศักดิ์ศรีถึงสองครั้งและแพ้สงครามที่ช่องแคบชิโมโนเซกิอย่าง<br />

หมดรูป กลุ่มเจ้าแคว้นตระกูลซัตซูมาและโจชูเริ่มทำการต่อต้าน<br />

โชกุน เพราะเชื่อว่าโชกุนอ่อนแอเกินกว่าที่จะรักษาประเทศไว้ได้<br />

พวกเขารวบรวมกำลังต่อสู้โค่นล้มโชกุน มีเป้าหมายที่จะปฏิรูป<br />

ญี่ปุ่นให้ก้าวหน้าแบบตะวันตก โค่นล้มระบอบปกครองของโชกุน<br />

และคืนอำนาจการปกครองให้พระจักรพรรดิเพื่อให้มีการปกครอง<br />

ระบอบรัฐสภา แต่โชกุนไม่ยินยอมจึงเกิดสงครามปฏิวัติโบชินขึ้น<br />

ในวันที่3 มกราคม ค.ศ. 1868 สงครามดำเนินไปจนถึง ค.ศ. 1869<br />

พวกปฏิวัติได้รับชัยชนะเด็ดขาดในวันที่18 พฤษภาคม ค.ศ. 1869<br />

จึงอัญเชิญพระจักรพรรดิจากเกียวโตมาประทับที่เอโด และเปลี่ยน<br />

ชื่อเป็นโตเกียว ตั้งเป็นเมืองหลวงแห่งใหม่ พวกปฏิวัตินั้นได้ร่วม<br />

ลงสัตยาธิษฐานตั้งแต่วันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1868 ว่าต้องการให้<br />

ญี่ปุ่นเป็นประเทศทันสมัย เข้มแข็ง และประชาชนมีความเสมอ<br />

ภาคมากขึ้น และได้ประกาศใช้ธรรมนูญปกครองประเทศชั่วคราว<br />

ที่ให้กลุ่มคณาธิปไตยที่ประกอบด้วยตัวแทนพวกปฏิวัติมีอำนาจ<br />

ปกครองประเทศโดยมีพระจักรพรรดิเป็นประมุข<br />

32 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เตาหลอมแบบความร้อนสะท้อนกลับ(1853)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

33


สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกช่วงญี่ปุ่นเปิดประเทศจนถึง<br />

ช่วงที่โชกุนหมดอานาจ (ทศวรรษ1850-1860)<br />

อาคารสำคัญในช่วงนี้เกี่ยวข้องกับการทหารและการผลิต<br />

โดยตรง เป็นเวลาที่ทุกฝ่ายที่กำลังช่วงชิงอำนาจรัฐด้วยการ<br />

ทำสงคราม ต้องการอาวุธและทำการผลิตสินค้าเพื่อขายสะสมทุน<br />

จึงมีการระดมสร้างโรงงานผลิตสินค้าและอาวุธเป็นการใหญ่<br />

อาคารโรงงาน ค่ายทหาร และอู่ต่อเรือ<br />

อาคารเหล่านี้สร้างโดยฝ่ายโชกุนและฝ่ายปฏิวัติมีจุดประสงค์<br />

ในการทหารเช่น เป็นค่ายทหารและอู่ต่อ เรือ หรือเป็นโรงงานผลิต<br />

สินค้า เช่น โรงทอผ้า เพื่อเป็นทั้งยุทธภัณฑ์และจำหน่ายสะสมทุน<br />

ทำสงคราม อาคารมีรูปทรงเรียบง่าย ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า<br />

โครงสร้างระบบกรอบ (frame) เสาเป็นไม้ หลังคาโครงสร้างไม้<br />

แบบโครงทรัส (truss) ผนังที่ก่อระหว่างช่วงเสาไม้กลับใช้อิฐก่อ<br />

เรียงด้วยระเบียบเฟลมมิชบอนด์ (Flemish bond) แสดงถึง<br />

วิทยาการก่อสร้างแบบตะวันตกชัดเจน อาคารแบบนี้ที่ยังมี<br />

สภาพสมบูรณ์ให้ศึกษาได้เป็นตัวอย่างคือ โรงเลี้ยงไหมและปั่นด้าย<br />

โทมิโอกะ 5 (Tomioka silk mill) สร้างใน ค.ศ. 1872 ในรัชสมัยเมจิ<br />

โดยวิศวกรชาวฝรั่งเศส ซึ่งเป็นแบบที่สร้างกันมาก่อนหน้านี ้แล้ว<br />

ตั้งแต่ช่วงปลายรัฐบาลโชกุน ส่วนอาคารที่สร้างในช่วงนี้จริงๆ ไม่มี<br />

เหลือให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว ดังเช่น 6 โรงหลอมเหล็กและอู่ต่อเรือ<br />

หมายเลข 1 (1861) ที่นางาซากิ สร้างโดยวิศวกรชาวดัตช์<br />

โรงหลอมเหล็กและอู่ต่อเรือหมายเลข 2 ที่โยโกสุกะ เป็นอาคาร<br />

โครงสร้างคอนกรีต กำแพงก่ออิฐ หลังคาโครงสร้างทรัส (1863-71)<br />

โดยวิศวกรฝรั่งเศส อาคารทั้งสองสร้างโดยรัฐบาลโชกุน ขณะเดียวกัน<br />

เจ้าแคว้นตระกูลชิมาสุซึ่งเป็นพวกพวกปฏิวัติก็สร้างโรงงานในเมือง<br />

คาโกชิมา เช่น โรงหลอมโลหะ (1852-57) โรงผลิตเครื่องจักร<br />

(1865) ก่อด้วยหินและหลังคาโครงสร้างทรัส โรงเก็บเครื่องกว้าน<br />

(1862) เป็นอาคารก่ออิฐหลังแรกและโรงปั่นด้าย (1867) เป็นต้น<br />

นอกจากนี้ยังมีอาคารสำคัญอื่นๆ เช่น เตาหลอมแบบความ<br />

ร้อนสะท้อนกลับ (Reverberatory furnace) (1853) ที่นิรายามา<br />

(Nirayama) ใช้สำหรับหล่อโลหะทำปืนใหญ่ ลักษณะเป็นปล่อง<br />

สี่เหลี่ยมผืนผ้าสูงสามชั้น แต่ละชั้นที่สูงขึ้นไปลดขนาดลงตามส่วน<br />

ก่อด้วยอิฐทนไฟและรัดรอบด้วยปลอกเหล็กเป็นตารางสี่เหลี่ยม<br />

มีกากบาทไขว้เป็นชั้นๆ นับเป็นเตาหลอมโลหะแบบตะวันตกที่เก่า<br />

ที่สุดที่สร้างโดยชาวญี่ปุ่น<br />

โรงปั่นด้ายโทมิโอกะ (1872)<br />

34 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บ้านโกลฟเวอร์(1863)<br />

ผังพื้นบ้านโกลฟเวอร์<br />

บ้านโกลฟเวอร์7 (Glover House) (1863) ในนางาซากิ<br />

เป็นบ้านพักของพ่อค้าชาวสก๊อตที่ชื่อ โทมัส เบลค โกลฟเวอร์<br />

(Thomas Blake Glover) ออกแบบโดยช่างสำรวจอังกฤษโทมัส<br />

เจมส์ วอเตอร์ส์ (Thomas James Water) สร้างเมื่อ ค.ศ. 1863<br />

ลักษณะอาคารเป็นแบบบังกะโลชั้นเดียว ผังรูปตัว L ที่ปลายเป็น<br />

มุขแปดเหลี่ยมผ่าครึ่ง มีระเบียงรอบและสร้างติดดิน ซึ่งแตกต่าง<br />

จากบ้านญี่ปุ่นทั่วไปที่ต้องยกพื้นสูงประมาณ 75 เซนติเมตร<br />

โครงสร้างเป็นไม้ทั้งหลัง ผนังไม้ตีซ้อนเกล็ด มีหน้าต่างกระจกแบบ<br />

ช่องสี่เหลี่ยมเปิดโดยการผลัก ไม่ใช่เลื่อนแบบพื้นเมือง หลังคามุง<br />

กระเบื้องกาบกล้วยมีกระเบื้องสันครอบรอยชนเป็นแนวแบบบ้าน<br />

ญี่ปุ่น อาคารหลังนี ้จึงมีลักษณะทั้งแบบที่มาจากอาณานิคม<br />

ในเอเชียผสมกับบ้านแบบญี่ปุ่นเอง สะท้อนการถ่ายเทความรู้<br />

ในการก่อสร้างจากภูมิภาคหนึ่งของอาณานิคมเช่นอินเดียหรือ<br />

สิงคโปร์ไปสู่อีกภูมิภาคหนึ่งเช่นญี่ปุ่น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

35


รัชสมัยเมจิ (Meiji Period)<br />

1868-1912<br />

รัชสมัยเมจิตอนต้น(1868-1890)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

จักรพรรดิเมจิ (1852-1912)<br />

จักรพรรดิโคเมอิสิ้นพระชนม์อย่างกะทันหันในวันที่<br />

30 มกราคม ค.ศ. 1867 เจ้าชายมัทสุฮิโต (Mutsuhito) โอรส<br />

ขึ้นครองราชย์เป็นจักรพรรดิต่อในวันที่ 3 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1867<br />

ขณะที่โชกุนคนสุดท้ายโตกุกาวา โยชิโนบุ(Togukawa Yoshinobu)<br />

ถูกกดดันอย่างหนักโดยกองกำลังฝ่ายปฏิวัติ จนกระทั่งต้อง<br />

ขอลาออกต่อจักรพรรดิในวันที่ 9 พฤศจิกายน ค.ศ. 1867 ในเดือน<br />

ธันวาคมพวกปฏิวัติยกทัพเข้ายึดเกียวโตสำเร็จ มีการประกาศให้<br />

อธิปไตยคืนสู่องค์จักรพรรดิในวันที่ 4 มกราคม ค.ศ. 1868 โชกุน<br />

สู้ต่อไปแบบถอยร่นไปอีกเกือบสองปีจนพ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิง<br />

ในปลาย ค.ศ. 1869 เมื่อสงครามปฏิวัติโบชินเริ่มขึ้นได้ไม่นาน<br />

พวกเจ้าแคว้นฝ่ายปฏิวัติได้จัดพิธีบรมราชาภิเษกในวันที่<br />

12 กันยายน ค.ศ. 1868 ประกาศรัชสมัยเมจิอย่างเป็นทางการ และ<br />

เปลี่ยนชื่อเอโดเป็นโตเกียวในวันที่ 19 กันยายน ปีนั้นเอง<br />

หลังจากนั้นเจ้าแคว้นต่างๆ ที่เป็นกองกำลังสำคัญของฝ่ายปฏิวัติ<br />

อาทิ ซัตสุมา (Satsuma) โจชู (Choshu) โทสะ (Tosa) และไฮเซ็น<br />

(Hizen) เป็นต้น ได้ร่างสัตยาธิษฐาน 5 ประการ (Oath in Five<br />

Articles) 8 ในวันที่ 7 เมษายน ค.ศ.1868 เพื่อเป็นอุดมการณ์<br />

36 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


โรงเรียนการศึกษาแผนตะวันตก (1871)<br />

แห่งการปฏิวัติ และยึดถือเป็นหลักในการบริหารราชการแผ่นดิน<br />

และเป็นกรอบแห่งรัฐธรรมนูญในภายภาคหน้า มีใจความว่า<br />

1. จะต้องมีการจัดตั้งสภาเพื่อพิจารณาไตร่ตรองปัญหาบ้านเมือง<br />

และทุกปัญหาจะต้องถูกพิจารณาอย่างเปิดเผย<br />

2. ทุกชนชั้นไม่ว่าต่ำหรือสูงจะต้องร่วมกันอย่างแข็งขันเพื่อการ<br />

บริหารบ้านเมือง<br />

3. ประชาชนทั่วไปจะมีสิทธิเท่าเทียมกับข้าราชการทหารและ<br />

พลเรือนในการแสดงความคิดเห็น ดังนั้นจะไม่มีความ<br />

คับข้องใจใดๆ<br />

4. ประเพณีล้าหลังของอดีตจะต้องกำจัด และทุกอย่างจะดำเนิน<br />

การอยู่บนกฎหมายยุติธรรมแห่ง “ธรรมชาติ”<br />

5. จะต้องมีการแสวงหาความรู้จากทั่วโลกเพื่อสร้างความแข็งแกร่ง<br />

ให้กับรากฐานของกฎหมายจักรพรรดิ<br />

พวกปฏิวัติได้ร่วมลงนามในสัตยาธิษฐานในวันที่7 เมษายน<br />

ค.ศ. 1868 ความหมายเชิงรูปธรรมของอุดมการณ์นี้คือต้องการให้<br />

ญี่ปุ่นมีความทันสมัยและเข้มแข็งภายใต้การนำของกลุ่มปฏิวัติ<br />

ที่เป็นคณาธิปไตยโดยมีจักรพรรดิเป็นประมุข แม้จะมีถ้อยคำบาง<br />

อย่างโน้มเอียงมาในทางประชาธิปไตย แต่ในความเป็นจริงแล้ว<br />

ชนชั้นในสังคมญี่ปุ่นยังคงอยู่ แม้ว่าจะมีความต้องการให้มีการหา<br />

ความรู้ที่ทันสมัย แต่จริยธรรมโบราณของลัทธิขงจื๊อก็ยังคงอยู่อย่าง<br />

เหนียวแน่นซึ่งถือเป็น “กฎธรรมชาติ” ที่จะนำไปสู่รัฐธรรมนูญ<br />

ฉบับสมบูรณ์ในปลายรัชสมัยใน ค.ศ. 1889<br />

การปฏิรูปประเทศให้ทันสมัยแบบตะวันตก<br />

รัฐบาลจักรพรรดิเมจิต้องการสร้างชาติที่ร่ำรวย<br />

ด้วยอุตสาหกรรมและเข้มแข็งด้วยการทหารภายใต้คติพจน์ว่า<br />

“ชาติร่ำรวย การทหารเข้มแข็ง” (Fukoku Kyohei) “เสริมสร้าง<br />

การเกษตรและอุตสาหกรรม” (Shokusan Kogyo) เทคโนโลยีจาก<br />

ตะวันตกจึงเป็นสิ่งสำคัญ รัฐบาลตั้งกระทรวงอุตสาหกรรมขึ้น<br />

ใน ค.ศ. 1870 เพื่อดำเนินการสร้างพื้นฐานอุตสาหกรรมให้กับ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น เรือนเครื่องผูก 37


ธนาคารแห่งชาติหมายเลข 1 (1872) ผังพื้นธนาคารแห่งชาติหมายเลข 1<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกยุคเมจิตอนต้น (1860-1870)<br />

อาคารแบบฝรั่งเทียม (Kiyofu)<br />

ประเทศโดยใช้วิธีนำเข้าความรู้ด้วยการจ้างผู้เชี่ยวชาญตะวันตก<br />

เข้ามานับพันคน เพื่อมาสร้างระบบสาธารณูปโภคสำคัญต่างๆ<br />

เช่น โรงงาน อู ่ต่อเรือ ทางรถไฟ ไปรษณีย์ โทรเลข การไฟฟ้า<br />

เป็นต้น เป็นการเริ่มต้นการพัฒนาอย่างรวดเร็วของญี่ปุ่นในการผลิต<br />

ในด้านการศึกษาใช้วิธีปลูกถ่ายความรู้จากตะวันตกโดยการตั้ง<br />

โรงเรียนการศึกษาแผนตะวันตก (Kaisai school) ขึ้นใน ค.ศ. 1871<br />

เพื่อสอนวิชาวิศวกรรมสาขาต่างๆ เช่น เครื่องกล ไฟฟ้า อาคาร โยธา<br />

วิทยาศาสตร์ เหมืองแร่ และโลหะการ ในภาควิชาวิศวกรรมอาคาร<br />

มีการสอนวิชาสถาปัตยกรรมอยู่ด้วย ต่อมามีการเปลี่ยนชื่อโรงเรียน<br />

เป็นมหาวิทยาลัยอุตสาหกรรม ใน ค.ศ. 1877 เปลี่ยนชื่อเป็น<br />

มหาวิทยาลัยโตเกียว<br />

หลังจากญี่ปุ่นพ่ายแพ้ต่อจักรวรรดินิยมและรัฐบาลใหม่มีเข็มมุ่ง<br />

ในการนำประเทศสู่ความเจริญแบบตะวันตกแล้ว อาคารแบบตะวันตก<br />

เริ่มเป็นที่นิยมว่าเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัย เจ้าของอาคาร<br />

เริ่มต้องการอาคารแบบตะวันตก โดยมีช่างญี่ปุ่นที่ไม่เคยมีความรู้<br />

เกี่ยวกับสถาปัตยกรรมตะวันตกเลยเป็นผู้สร้าง โดยใช้ประสบการณ์<br />

ที่เคยทำงานให้กับผู้รับเหมาก่อสร้างชาวตะวันตกในแถบเมืองท่า<br />

เป็นพื้นฐานในการสร้างอาคารแบบนี้ ลักษณะสำคัญของอาคาร<br />

แบบนี้คือใช้ผังพื้นแบบญี่ปุ่นพื้นเมืองกล่าวคือเป็นการเอาพื้นที่ห้อง<br />

ต่างๆ มาเรียงต่อเข้าด้วยกันโดยไม่มีทางเดินภายใน มีแต่ระเบียง<br />

รอบบ้าน แต่รูปลักษณะอาคารกลับเลียนแบบอาคารแบบคลาสสิค<br />

(classicism) เน้นความสมมาตรและเรียบง่ายแต่รายละเอียดของ<br />

องค์ประกอบอาคารยังเต็มไปด้วยลวดลายแบบญี่ปุ่นประยุกต์<br />

38 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


รายละเอียดตกแต่งลวดลายโรงเรียน<br />

ประถมศึกษาไคชิ<br />

ระบบโครงสร้างและวัสดุก่อสร้างเป็นไม้ล้วนแบบญี่ปุ่น แต่ทาสีวาด<br />

เส้นตกแต่งให้ผนังไม้ดูเป็นผนังอิฐหรือหินก่อ บานหน้าต่างไม้ตี<br />

เส้นแบ่งเป็นช่องทาสีขาวให้ดูเหมือนบานลูกฟักกระจกแบบยุโรป<br />

มุขหน้าทำเป็นทางเข้าดัดแปลงหลังคาโค้งแบบญี่ปุ่นให้ดูเหมือน<br />

จั่วหน้าบันโค้งหลายตอนแบบสถาปัตยกรรมบาร็อค 9 เมื่อดูในภาพรวม<br />

แล้วจะเห็นว่าช่างญี่ปุ่นยังไม่มีความเข้าใจในเรื่องการวางผังพื้น<br />

การวางตำแหน่งห้อง การเรียงและการกระจายห้องต่างๆ ตามหน้าที่<br />

ใช้งานแบบตะวันตกเลย ส่วนหน้าตาอาคารก็ดูประดักประเดิดไม่ใช่<br />

ทั้งแบบญี่ปุ่นเดิมหรือแบบตะวันตกใหม่ คนทั่วไปจึงเรียกอาคาร<br />

แบบนี้ว่าอาคารแบบกิโยฟุ(Giyofu) หรือฝรั่งเทียม ตัวอย่างที่สำคัญ<br />

ได้แก่ โรงแรมสึกิจิ (Tsukiji Hotel) ในโตเกียว (1868) โดยช่างไม้<br />

ชิมิสุ คิสุเกะที่ 2 (Shimizu Kisuke II) น่าจะเป็นอาคารรุ่นแรกๆ<br />

ในลักษณะนี้ ธนาคารแห่งชาติหมายเลข 1 (First National Bank)<br />

โตเกียว (1872) และธนาคารมิตซุยกูมิ(Mitsui Gumi Bank) (1874)<br />

สร้างโดยช่างไม้ชิมิสุทั้งคู่ และโรงเรียนประถมศึกษาไคชิ (Kaishi)<br />

ที่มัทสุโมโต (Matsumoto) (1876) เป็นตัวอย่างในแบบนี้ที่ยังคง<br />

เหลือรอดถึงวันนี้<br />

โรงเรียนประถมศึกษาไคชิ (1871)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

39


โจไซอา คอนเดอร์ (1852-1920) ทัตสุโนะ คิงโกะ (1854-1919) คาตายามา โตกุมา (1854-1917) โซเน ทัตสุโซ (1853-1937)<br />

สถาปัตยกรรมแห่งการปลูกถ่ายความรู้ (1870-1890)<br />

โจไซอา คอนเดอร์ (Josiah Conder) (1852-1920) และ<br />

การริเริ่มการศึกษาสถาปัตยกรรมในมหาวิทยาลัยโตเกียว<br />

ก่อนหน้าที่คอนเดอร์จะเดินทางมาที่ประเทศญี่ปุ่นนั้น<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในรัชสมัยเมจิตอนต้นเป็นเพียงผลงาน<br />

ของพวกช่างสำรวจ ที่ไม่ได้รับการศึกษาสถาปัตยกรรมโดยตรงเช่น<br />

โทมัส เจมส์ วอเตอร์ (Thomas James Waters) และซีเอ คาสเตล<br />

เดอ โบอินวิลล์ (C.A. Chastel de Boinville) เป็นต้น แต่รัฐบาล<br />

ต้องการให้การก่อสร้างมีมาตรฐานแบบตะวันตกจึงตั้งโรงเรียน<br />

วิศวกรรมขึ้นในมหาวิทยาลัยอุตสาหกรรมใน ค.ศ. 1873 รัฐบาล<br />

มีความเอาจริงเอาจังถึงขนาดที่นายกรัฐมนตรีอิโต ฮิโรบูมิ<br />

(Ito Hirobumi) เดินทางไปประเทศอังกฤษเพื่อหาบุคลากรที่เหมาะ<br />

สมมากำกับการศึกษาด้วยตนเอง อิโตได้เลือกวิศวกรหนุ่ม<br />

ชาวสก๊อตนาม เฮนรี่ ดายเออร์ (Henry Dyer) (1848-1918)<br />

มารับหน้าที่นี้ ดายเออร์ได้สร้างวิศวกรญี่ปุ่นที่มีความรู้วิชาการ<br />

40 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ควบคู่กับการปฏิบัติที่ประสบผลดีเป็นที่พอใจของรัฐบาล และยังแนะนำ<br />

ให้รัฐบาลสร้างบุคลากรด้านสถาปัตย์ด้วย รัฐบาลมีความเชื่อมั่น<br />

ในบุคลากรของอังกฤษในด้านการศึกษาและคราวนี้พวกเขาเลือก<br />

สถาปนิกหนุ่มชาวอังกฤษชื่อโจไซอา คอนเดอร์มารับหน้าที่ด้วย<br />

เหตุที่เขาเพิ่งชนะเลิศการประกวดแบบรางวัลโซน (Soane Medalist<br />

Competition First Prize) ค.ศ. 1876 10 ของราชสมาคมสถาปนิก<br />

บริติช ในโครงการคฤหาสน์ในชนบท คอนเดอร์สำเร็จการศึกษา<br />

สถาปัตยกรรมจากโรงเรียนศิลปะแห่งเซาท์เคนซิงตัน 11 (South<br />

Kensington School of Art) และที่มหาวิทยาลัยลอนดอน และ<br />

ฝึกงานกับสำนักงานสถาปนิกที่มีชื่อเสียงของลอนดอนคือ<br />

ที โรเจอร์ สมิธ (T. Roger Smith) ซึ่งเป็นอาจารย์ของเขาและ<br />

วิลเลียม เบอร์เจส (William Burges) ซึ่งคนหลังนี้มีอิทธิพลต่อเขา<br />

ในการใช้แนวทางการออกแบบผสมผสาน (Eclecticism) ที่นิยม<br />

ใช้แบบสถาปัตยกรรมโบราณหลายยุคสมัยมาประสมกัน คอนเดอร์<br />

เข้ารับตำแหน่งศาสตราจารย์ประจำสาขาวิชาวิศวกรรมอาคาร<br />

(Kobu Daigakko) ใน ค.ศ. 1877 เขาตั้งใจสร้างหลักสูตรที่เหมาะสม<br />

กับญี่ปุ่นขณะนั้น คือการศึกษาสถาปัตย์ที่ประกอบด้วย<br />

วิศวกรรมศาสตร์บวกศิลปะและประวัติศาสตร์เรื่องแรกนั้นดายเออร์<br />

ได้วางรากฐานไว้แล้ว แต่ประเด็นหลังนั้นคอนเดอร์เป็นผู้สร้างขึ้น<br />

รวมทั้งการศึกษาในห้องเรียนที่ควบคู่ไปกับการปฏิบัติงานจริงแบบ<br />

อังกฤษ อย่างไรก็ตามในภาพรวมนั้นการออกแบบและ<br />

วิชาประวัติศาสตร์ที่คอนเดอร์สอนนั้นเป็นเรื่องของโลกตะวันตก<br />

เช่น สถาปัตยกรรมคลาสสิกและโกธิค เป็นต้น ตำราหลัก ได้แก่<br />

A History of Architecture ของเจมส์เฟอร์กัสสัน (James Fergusson)<br />

และ A Handbook of Architectural Styles ของอัลเฟรด<br />

โรสเซนการ์เทน (Alfred Rosengarten) นักศึกษาญี่ปุ่นของเขาจึง<br />

เข้าใจในสถาปัตยกรรมยุโรปเป็นอย่างดี แต่กลับมีความฉงนใน<br />

สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นของตนเองเพราะตำราของเฟอร์กัสสันกล่าวว่า<br />

ศิลปะและสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นนั้น “มีเรื่องน่าสนใจเกินกว่า<br />

พรมแดนเกาะญี่ปุ่นเพียงเล็กน้อย” 12 แต่การปลูกฝังให้สถาปนิก<br />

สนใจประวัติศาสตร์เป็นพื้นฐานที่ดีที่ลูกศิษย์ทั้งหลายของเขาได้ใช้<br />

ในการศึกษาสถาปัตยกรรมในประวัติศาสตร์เพื่อเรียนรู้ตนเอง<br />

ลูกศิษย์รุ่นแรกของคอนเดอร์สามคนต่อมาได้เติบโตและ<br />

เป็นหลักของการพัฒนาวิชาการและวิชาชีพสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ของญี่ปุ่นคือ ทัตสุโนะ คิงโกะ (Tatsuno Kingo) (1854-1919)<br />

คาตายามา โตกุมา (Katayama Tokuma) (1854-1917) และโซเน<br />

ทัตสุโซ (Sone Tatsuzo) (1853-1937)<br />

ในขณะที่สอนหนังสือคอนเดอร์ก็รับจ้างทำงานให้รัฐบาล<br />

ญี่ปุ่นด้วยและมีผลงานที่ได้รับความสำเร็จหลายโครงการเช่น<br />

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอูเอโน (Ueno National Museum) (1881)<br />

คฤหาสน์โรกุไมคาน(Rokumeikan) โตเกียว (1883) ตึกเรียน<br />

คณะนิติศาสตร์และอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว (1884)<br />

เป็นต้น คอนเดอร์เป็นอาจารย์ประจำอยู่จนหมดสัญญากับรัฐบาล<br />

ใน ค.ศ. 1885 หลังจากนั้นก็ทำงานเป็นสถาปนิกเต็มตัว หมดภาระ<br />

จากงานด้านการศึกษาที่จะตกไปเป็นภาระของลูกศิษย์หมายเลขหนึ่ง<br />

ของเขาทัตสุโนะ คิงโกะตั้งแต่ ค.ศ. 1884<br />

ผลงาน<br />

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอูเอโน (Ueno National Museum)<br />

(1881) เป็นอาคารโครงสร้างก่ออิฐอวดผิว สูงสองชั้น ผังรูปตัว E<br />

แบบคลาสสิก แต่ลักษณะอาคารเป็นแบบผสมระหว่างสถาปัตย-<br />

กรรมโกธิคผสมกับมุสลิมที่เรียกกันว่าแบบซาราเซนิก (saracenic)<br />

อย่างที่พบในประเทศแถบยุโรปใต้เช่น สเปน เป็นต้น จุดเด่นของ<br />

อาคารอยู่ที่ช่องเปิดคานวงโค้งชั้นล่างที่ขอบเป็นอิฐสีตัดกับสีพื ้น<br />

ของอิฐแดงทั่วไป ช่องเปิดหน้าต่างชั้นบนเป็นคานโค้งแหลม<br />

หลายตอน ที่มุขกลางอาคารมีหอคอยขนาบริมสองข้างประดับยอด<br />

ด้วยโดมแบบมุสลิมขนาดเล็ก เป็นรูปแบบสถาปัตยกรรมที่นิยม<br />

ในประเทศอาณานิคมของอังกฤษ เพื่อแสดงความเป็นพื้นเมือง<br />

“ตะวันออก” โดยเฉพาะอินเดียเพราะใช้องค์ประกอบสถาปัตยกรรม<br />

หลายอย่างของอินเดียโบราณ จึงมีชื่อเรียกว่าสถาปัตยกรรมแบบ<br />

ฟื้นฟูอินโดซาราเซนิก (Indo-saracenic revival architecture)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

41


พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอูเอโน (1881)<br />

ตึกเรียนคณะนิติศาสตร์และอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว<br />

(1884) เป็นอาคารโครงสร้างก่ออิฐอวดผิว สูงสองชั้น ผังรูปตัว E<br />

แบบคลาสสิก แต่ลักษณะอาคารกลับเป็นแบบฟื้นฟูโกธิค (Gothic<br />

revival) ที่ลดทอนรายละเอียด แต่ยังคงสงวนจุดเด่นแบบโกธิคที่จั่ว<br />

หน้าบันมุขกลางที่ประดับด้วยหน้าต่างกลมแบบโรสวินโดว์<br />

(Rose window) และชุดหน้าต่างแบบโค้งแหลม รวมทั้งเสาอิงยอด<br />

แหลมผอมบางที่ประยุกต์มาจากเสาค้ำยันแบบโกธิคโบราณ<br />

ผังพื้นพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอูเอโน<br />

42 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


คฤหาสน์โรกุไมคาน (1883) ผังพื้นชั้นบนคฤหาสน์โรกุไมคาน<br />

ผังพื้นชั้นล่างคฤหาสน์โรกุไมคาน<br />

คฤหาสน์โรกุไมคาน (Rokumeikan) (1883) หรือคฤหาสน์<br />

กวางร่ำไห้ เป็นคฤหาสน์ขนาดใหญ่สำหรับรับรองแขกต่างประเทศ<br />

ของกระทรวงต่างประเทศโดยรัฐมนตรีอิโนอูเอะ คาโอรุ(Inoue Kaoru)<br />

มีพื้นที่รวมถึง17,000 ตารางฟุต เป็นอาคารก่ออิฐอวดผิวสูงสองชั้น<br />

ผังรูปตัว U 13 ชั้นล่างประกอบด้วยห้องจัดเลี้ยงใหญ่ชั้นบนเป็นห้อง<br />

สำหรับการสังสรรค์(salon) ระบบแสงสว่างใช้ตะเกียงแก๊สให้ความ<br />

สว่างได้ตลอด 24 ชั่วโมง ลักษณะอาคารเป็นแบบเรอเนสซองส์<br />

ฝรั่งเศส (French Renaissance) จุดเด่นอยู่ที่หลังคามุขกลางด้าน<br />

หน้าที่เป็นโดมทรงสูงแบบสันตะเข้โค้งในเอกลักษณ์แบบฝรั่งเศส<br />

ผสมกับรายละเอียดแบบสถาปัตยกรรมซาราเซนิกที่คอนเดอร์ชอบ<br />

เห็นได้จากการใช้อิฐสลับสีเรียงเป็นสันของคานโค้งแบบมุสลิม<br />

รวมทั้งการทำระเบียงโล่งที่ปีกสองข้างของด้านหน้าอาคาร<br />

ซึ่งสะท้อนความใส่ใจในการระบายอากาศหน้าร้อนของญี่ปุ่น<br />

โรกุไมคานถูกสร้างให้เป็นตัวแทนความทันสมัยของสังคม-<br />

วัฒนธรรมญี่ปุ่นในยุคเมจิตอนต้น เป็นสถานที่ต้อนรับแขกเมือง<br />

ชาวตะวันตกและเป็นสถานที่ฝึกหัดกริยามารยาท วิถีชีวิตแบบ<br />

ตะวันตกให้กับชนชั้นสูงญี่ปุ่น 14 ในเวลาเดียวกัน เป็นการประกาศ<br />

การยอมรับในวัฒนธรรมตะวันตกอย่างเป็นทางการ เพื่อให้ชาติ<br />

ตะวันตกยอมรับว่าญี่ปุ่นกับตะวันตกอยู่ในมาตรฐานเดียวกัน<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

43


เฮอร์มาน เอนเดอร์และวิลเฮล์ม บ๊อคมานน์ (Hermann<br />

Ende & Wilhelm Bockmann) ผู้วางรากฐานการออกแบบ<br />

สถาปัตยกรรมมาตรฐานสากล<br />

เฮอร์มาน เอนเดอร์ (1829-1907) วิลเฮล์ม บ๊อคมานน์ (1832-1902)<br />

โรกุไมคานเป็นสถานที่หรูหราของชนชั้นสูงที่เป็นที่รู้จักทั่วญี่ปุ่น<br />

แต่ภายหลังที่อิโนอูเอะออกจากตำแหน่ง อาคารหลังนี้ก็ถูกละเลย<br />

จนเสื่อมโทรมและถูกรื้อทิ้งไปใน ค.ศ. 1935<br />

อาคารแบบตะวันตกของคอนเดอร์เน้นเรื่องประโยชน์ใช้สอย<br />

และความคงทน แต่ยังห่างไกลในเรื่องสุนทรียภาพ แต่คอนเดอร์<br />

มีคุณสมบัติของความเป็นนักการศึกษาที่ยอดเยี่ยม สามารถ<br />

ถ่ายทอดวิชาความรู้ที่จำเป็นและเน้นการใช้งาน ปลูกฝังการรักใน<br />

ประวัติศาสตร์ให้บรรดาลูกศิษย์ที่จะเติบโตต่อไปเป็นหลักของ<br />

วงการสถาปนิกญี่ปุ่น คอนเดอร์มีความพยายามที่จะช่วยหา<br />

เอกลักษณ์สถาปัตยกรรมแบบใหม่ให้กับญี่ปุ่น แต่มันอยู่ในกรอบ<br />

แคบๆ ของของลัทธิประสมประสาน (Ecleticism) และลัทธิโรแมนติก<br />

(Romanticism) ที่เพ้อฝันของศตวรรษที่19 ความสำเร็จในการหา<br />

เอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นจะพัฒนาต่อไปอีก<br />

หลายสิบปี และจะพบความสำเร็จหลังสงครามโลกครั้งที่สองแล้ว<br />

เท่านั้น และด้วยฝีมือของคนญี่ปุ่นเอง<br />

เฮอร์มาน เอนเดอร์ (Herman Ende) (1829-1907) และ<br />

วิลเฮล์ม บ๊อคมานน์(Wilhelm Bockmann) (1832-1902) เป็นกลุ่ม<br />

สถาปนิกเยอรมันที่มีชื่อเสียงระดับสากลที่รัฐบาลญี่ปุ่นจ้างให้มา<br />

สร้างภาพลักษณ์ความศิวิไลซ์ให้ญี่ปุ่นผ่านสถาปัตยกรรม เหตุผล<br />

ในการเลือกสถาปนิกกลุ่มนี้ก็คือพวกเขาเพิ่งจะชนะที่ 2 ในการ<br />

ประกวดแบบรัฐสภาเยอรมันใน ค.ศ. 1882 และนี่คือประเภทของ<br />

อาคารที่ญี่ปุ่นกำลังอยากได้ การจ้างเอนเดอร์และบ๊อคมานน์จึง<br />

เน้นในเรื่องสถาปัตยกรรมคุณภาพระดับสากล ที่สถาปนิกท้องถิ่น<br />

ยังขาดประสบการณ์พอที่จะทำ ไม่ว่าจะเป็นคอนเดอร์หรือบรรดา<br />

ลูกศิษย์ของเขา ผลงานสำคัญของทั้งสอง ได้แก่ โครงการวางผัง<br />

ศูนย์ราชการกรุงโตเกียว (1886) โครงการรัฐสภาแห่งชาติ 2 แบบ<br />

(1886 และ 1887) กระทรวงยุติธรรม (1895) และศาลฎีกาแห่ง<br />

กรุงโตเกียว (1896) นอกจากงานออกแบบแล้วเอนเดอร์และ<br />

บ๊อคมานน์ยังมีอิทธิพลต่อสถาปนิกรุ่นหนุ่มของญี่ปุ่นด้วยโดยการนำ<br />

สถาปนิกหนุ่มกลุ่มหนึ ่งไปฝึกงานที่เยอรมันเพื่อเรียนรู้มาตรฐาน<br />

การออกแบบของเยอรมัน และได้ถูกนำมาเผยแพร่โดยหนึ่ง<br />

ในสถาปนิกฝึกงานกลุ่มนี้ชื่อโยรินากะ ซึเมกิ (Yorinaga Tsumaki)<br />

(1859-1916) ที่ต่อมาเป็นสถาปนิกที่ออกแบบอาคารให้กระทรวง<br />

การคลังอย่างมากมาย<br />

ผลงาน<br />

โครงการศูนย์ราชการกรุงโตเกียว (1886)จุดประสงค์ในการ<br />

จ้างเอนเดอร์และบ๊อคมานน์คือ รัฐบาลต้องการกรุงโตเกียวที่<br />

สวยงามทันสมัยทัดเทียมมหานครในยุโรป เช่น เบอร์ลิน เป็นต้น<br />

ผังเมืองที่เอนเดอร์และบ๊อคมานน์ออกแบบเป็นแกนถนนที่พุ่ง<br />

44 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เข้าหาใจกลางผังที่เป็นรูปสามเหลี่ยมกลับหัวคล้ายตัว Y ส่วนที่<br />

เป็นสามเหลี่ยมบรรจุวงเวียนขนาดใหญ่ ฐานของรูปสามเหลี ่ยม<br />

เป็นสถานีรถโตเกียว แกนเฉียงสองข้างของรูปตัว Y ด้านหนึ่งเป็น<br />

ที่ตั้งโรกุไมคาน อีกด้านหนึ่งเป็นกลุ่มอาคารราชการขนาดใหญ่ถนน<br />

แกนกลางออกแบบให้เป็นที่ตั้งของสนามใหญ่ขนาบสองข้างด้านหนึ่ง<br />

สำหรับการแสดงนิทรรศการ อีกด้านหนึ่งสำหรับการสวนสนาม<br />

จากนั้นปลายแกนถนนบิดไปทางซ้ายเข้าสู่รัฐสภา อย่างไรก็ตาม<br />

ผังนี้มิได้มีการสร้างจริง มีเพียงอาคารสถานีรถไฟและวงเวียนด้าน<br />

หน้าเท่านั้นที่สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1914 ในรัชสมัยต่อมา<br />

โครงการศูนย์ราชการกรุงโตเกียว (1886)<br />

โครงการรัฐสภาแห่งชาติ 1 (1886)<br />

โครงการรัฐสภาแห่งชาติ1 และ2 (1886 และ1887) การมี<br />

รัฐสภาแห่งชาตินอกจากจะเป็นหน้าตาของชาติที่ศิวิไลซ์แล้ว ยัง<br />

เป็นไปตามเจตจำนงของการปฏิวัติโบชินที่ต้องการระบอบ<br />

ประชาธิปไตย อาคารรัฐสภาจึงเป็นเรื่องที่จำเป็นทั้งทางการเมือง<br />

และเชิงสัญvลักษณ์ เอนเดอร์และบ๊อคมานน์ออกแบบรัฐสภาญี่ปุ่น<br />

ตามแบบรัฐสภาเยอรมัน ที่สำนักงานออกแบบของพวกเขาก็ร่วม<br />

งานประกวดแบบใน ค.ศ. 1872 นั้นด้วยแต่ได้เพียงที่ 2 คราวนี้<br />

ใน ค.ศ. 1886 เมื่อมีโอกาสมาออกแบบรัฐสภาให้ญี่ปุ่นพวกเขาก็ยังใช้<br />

ผังรูปตัว E แบบมาตรฐานงานรัฐสภาในยุโรป มุขกลางเป็นโถง<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

45


ซ้าย ผังพื้นโครงการรัฐสภาแห่งชาติ 1 (1886)<br />

ขวา โครงการรัฐสภาแห่งชาติ 2 (1887)<br />

หน้าตรงข้าม<br />

บน กระทรวงยุติธรรม (1895)<br />

ล่างซ้าย ผังพื้นชั้นล่างกระทรวงยุติธรรม<br />

ล่างขวา ผังพื้นชั้นบนกระทรวงยุติธรรม<br />

ต้อนรับครอบด้วยหลังคาโดม มุขซ้าย-ขวาเป็นห้องประชุมสภาผู้<br />

แทนราษฎรและวุฒิสภาครอบหลังคาปั้นหยาแบบสองตอน<br />

ตัวอาคารประดับด้วยเสาลอยตัวแบบคลาสสิก และตามมุมอาคาร<br />

มีหอคอยหลังคายอดแหลมแบบเจดีย์จีน โดยภาพรวมแล้วจึง<br />

เป็นงานแบบบาร็อค (Baroque) ที่มีสำเนียงจีน ปรากฏว่ารัฐบาล<br />

ไม่พึงพอใจและต้องการให้รัฐสภามีความเป็นญี่ปุ่นมากขึ้น<br />

เอนเดอร์และบ๊อคมานน์จึงปรับหน้าตาอาคารใหม่ใน ค.ศ. 1887<br />

โดยการเปลี่ยนหลังคาโดมที่มุขกลางให้เป็นยอดหอคอยทรงแหลม<br />

แบบจีน หลังคาของห้องประชุมสภาทั้งสองก็แก้ไขให้เหมือน<br />

หลังคาของพระราชวังต้องห้ามของจีน พร้อมทั้งเอาเสาลอยตัว<br />

และลวดลายประดับแบบคลาสสิคออกไปหมดแล้วแทนที่ด้วย<br />

เสาอิงและหอคอยค้ำยันแบบโกธิคที ่ใส่หลังคายอดแหลมแบบจีน<br />

ทำให้อาคารยิ่งดูครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างตะวันตกและจีนมากขึ้นไปอีก<br />

แน่นอนว่ารัฐบาลย่อมไม่พอใจและตัดสินใจเลื่อนเวลาการสร้าง<br />

อาคารหลังสำคัญนี้ออกไปก่อน<br />

กระทรวงยุติธรรม (1895) เป็นอาคารราชการขนาดใหญ่<br />

สูงสองชั้น ออกแบบและสร้างตามมาตรฐานยุโรป เอนเดอร์และ<br />

บ๊อคมานน์ใช้ผังรูปตัว E ด้านหน้ามีสามมุขเชื่อมด้วยปีก มุขกลาง<br />

กับมุขริมสองข้างถูกคั่นด้วยสนามภายใน 2 สนาม ตัวมุขกลางมีผัง<br />

เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสใหญ่ตรงกลางเป็นโถงที่มีห้องต่างๆ เรียงรอบ<br />

ห้องอื่นๆ ถูกเรียงไปตามปีกอาคารที่มีระเบียงด้านหลังเป็นทางเดิน<br />

เชื่อม โครงสร้างอาคารมีฐานรากแผ่คอนกรีตเสริมเหล็กที่สามารถ<br />

ต้านทานแผ่นดินไหวได้ การใช้ผังรูปตัว E ทำให้ทุกมุมและช่วง<br />

กลางอาคารเป็นที่ตั้งของมุขที่เป็นป้อมขนาดใหญ่ที่ช่วยเสริมความ<br />

มั่นคง ผนังอาคารทั้งหมดก่ออิฐอวดผิวในแบบกำแพงรับน้ำหนัก<br />

อาคารหลังนี้เป็นอาคารจำนวนไม่กี่หลังในยุคนี้ที่รอดพ้นจากการ<br />

พังทลายเนื่องจากแผ่นดินไหวใหญ่คันโต (Kanto earthquake) ใน<br />

ค.ศ. 1926 การทิ้งระเบิดใส่ของเครื่องบินสัมพันธมิตรช่วงทศวรรษ<br />

1940 จึงเป็นมาตรฐานของความแข็งแรงและความสวยงามสำหรับ<br />

การก่อสร้างอาคารราชการขนาดใหญ่ในยุคต่อมา<br />

46 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เอนเดอร์และบ๊อคมานน์เป็นกลุ่มสถาปนิกที่นำมาตรฐานของการ<br />

ปฏิบัติวิชาชีพในระดับสากลมาเผยแพร่ในญี่ปุ่น ผลงานออกแบบ<br />

เช่นกระทรวงยุติธรรมเป็นตัวอย่างที่ดีของงานที่สง่างามและมั่นคง<br />

แข็งแรงตามที่รัฐบาลญี่ปุ่นต้องการคุณสมบัติที่สำคัญทั ้งสอง<br />

ประการนี้จะเป็นรากฐานการทำงานของบรรดาสถาปนิกญี่ปุ่นสืบไป<br />

นอกจากนี้สถาปนิกกลุ่มนี้ยังเป็นเสมือนทูตสถาปัตยกรรมที่บุกเบิก<br />

ความสัมพันธ์ให้กับสถาปนิกญี่ปุ่นสู่สถาปนิกเยอรมัน โดยเฉพาะ<br />

การเรียนรู้วิทยาการจากวงการสถาปัตยกรรมเยอรมัน ที่จะเกิดขึ้น<br />

ในทศวรรษ 1930 เมื่อยุคของสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่<br />

(International modern architecture) แพร่หลายไปทั่วโลก<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

47


รัชสมัยเมจิตอนปลาย (1890-1912)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

เมื่อพิจารณาจากตัวเลขการค้าต่างประเทศ 15 ของญี่ปุ่นตั้งแต่<br />

ค.ศ. 1868-1898 จะเห็นว่าตัวเลขสินค้าเข้าและการส่งออก<br />

เพิ่มเป็น 2 เท่าทุก 10 ปี จาก 26.25 พันล้านเยนใน ค.ศ. 1868<br />

เป็น 443.25 พันล้านเยนใน ค.ศ. 1898 หรือเกือบ 17 เท่าในระยะ<br />

เวลา 30 ปี มูลค่าในการค้ามาจากความสามารถในการผลิต<br />

ทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสิ่งทอเช่นฝ้ายที่เริ่มส่งออกได้ตั้งแต่<br />

ค.ศ. 1890 ผ้าไหมมีมูลค่าในการส่งออกมากที่สุดราว 30-40%<br />

ของมูลค่าส่งออกทั้งหมดใน ค.ศ. 1890 ไม้ขีดไฟ เครื่องเคลือบ<br />

ดินเผา ร่ม ที่ดูเป็นอุตสาหกรรมของสิ่งผลิตเล็กๆ น้อยๆ แต่จำเป็น<br />

ในชีวิตประจำวันไปจนถึงการเริ่มต้นอุตสาหกรรมหนัก เช่น เหล็ก<br />

ใน ค.ศ. 1900 การต่อเรือที่เพิ่มอย่างชัดเจนหลังสงครามจีน-ญี่ปุ่น<br />

ใน ค.ศ. 1895 จนถึง ค.ศ. 1901 จำนวนเรือที่ต่อได้เองมีมากกว่า<br />

เรือนำเข้าจากต่างประเทศบริษัทมิตซูบิชิสามารถต่อเรือขนาด<br />

ระวาง 13,000 ตันได้ใน ค.ศ. 1908 และตั้งแต่ ค.ศ. 1911 เรือรบ<br />

ทั้งหมดก็ต่อในประเทศทั้งสิ้น โรงงานผลิตหัวรถจักรไอน้ำเริ่มใน<br />

ค.ศ. 1896 และผลิตได้เองใน ค.ศ. 1913 โรงงานผลิตรถยนต์<br />

เครื่องจักรไอน้ำได้ใน ค.ศ. 1904 จะเห็นได้ว่าญี่ปุ่นดำเนินนโยบาย<br />

ภายใต้คติพจน์ “ชาติร่ำรวย การทหารเข้มแข็ง” และ “เสริมสร้าง<br />

การเกษตรและอุตสาหกรรม” ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ตั้งแต่ต้นรัชสมัย<br />

ได้อย่างเป็นรูปธรรม<br />

แต่ความก้าวหน้านี้กลับนำญี่ปุ่นไปสู่ปัญหาที่ใหญ่กว่า<br />

คือความทะเยอทะยานอยากเป็นจักรวรรดินิยมแข่งกับชาติตะวันตก<br />

ด้วยแรงขับดันของลัทธิหลงชาติอย่างรุนแรง ที่มาจากลัทธิชินโต<br />

ที่เน้นความศักดิ์สิทธิ์ของสถาบันจักรพรรดิและความสูงส่งของเชื้อ<br />

ชาติญี่ปุ่นที่เป็นลูกพระอาทิตย์ ที่ต้องการเป็นจ้าวเอเชียและขับไล่<br />

ชาวตะวันตกที่ป่าเถื่อนที่ถือเป็นภารกิจศักดิ์สิทธิ์ อันนำญี่ปุ่นไปสู่<br />

สงครามปลายรัชสมัยเมจิ ซึ่งต่อเนื่องมาถึงครึ่งศตวรรษ<br />

สงครามจีน-ญี่ปุ่น (ค.ศ. 1894-1895)<br />

ความขัดแย้งระหว่างชาติทั้งสองที่ต้องการครอบครอง<br />

เกาหลีทำให้เกิดสงครามขึ้นใน ค.ศ. 1894 การรบเกิดขึ้นทั้งบนบกและ<br />

ในทะเล ซึ่งญี่ปุ่นสามารถเอาชนะกองทัพจีนได้ทั้งสองสมรภูมิ<br />

โดยเฉพาะยุทธนาวีที่แม้ว่าจีนจะมีกองเรือรบแบบตะวันตกที่ทันสมัย<br />

ถึง 65 ลำ แต่กลับไม่ชำนาญการรบจนพ่ายแพ้ญี่ปุ่นอย่างหมดรูป<br />

จีนต้องทำสนธิสัญญายอมรับในเอกราชของเกาหลียกเกาะไต้หวัน<br />

ให้ญี่ปุ่น ยอมให้ญี่ปุ่นมีสิทธิสภาพนอกอาณาเขต และชดใช้<br />

ค่าเสียหายให้ญี่ปุ่นถึง 200 ล้านเหรียญเทลในสนธิสัญญาชิโมโนเซกิ<br />

สงครามญี่ปุ่น-รัสเซีย (ค.ศ. 1904-1905)<br />

ความขัดแย้งในการเข้าไปมีอิทธิพลในแมนจูเรียและเกาหลี<br />

ทำให้สองชาติเผชิญหน้ากันและทำสงครามกันในที่สุด สมรภูมิรบ<br />

อยู่ในแหลมเลียวตุงของจีนและนครมุกเด็นในแมนจูเรียใต้ และ<br />

ทะเลรอบเกาหลี ญี่ปุ่นและทะเลเหลือง ญี่ปุ่นดำเนินยุทธการได้<br />

เหนือกว่าและทำลายเรือรบของรัสเซียได้เป็นจ ำนวนมาก ทำให้รัสเซีย<br />

ยอมสงบศึกและลงนามในสนธิสัญญาปอร์ตสมัธในเดือนกันยายน<br />

ค.ศ. 1905 ว่ายอมรับในอิทธิพลของญี่ปุ่นเหนือเกาหลี ยอมถอนทหาร<br />

จากแมนจูเรีย ยกเลิกสิทธิการเช่าพอร์ตอาเธอร์ (แหลมเลียวตุง)<br />

และยกดินแดนตอนใต้ของเกาะสะขะลินให้ญี่ปุ่น<br />

ชัยชนะในสงครามใหญ่ทั้งสองครั้งทำให้ญี่ปุ่นยิ่งลำพองใจ<br />

กับยุทธศาสตร์การเป็นจักรวรรดินิยมของตนมากขึ้น เชื่อมั่นว่า<br />

ตนเองสามารถครอบครองเอเชียและเอาชนะพวกตะวันตกได้<br />

นอกจากนี้สงครามยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าโดยเฉพาะค่าปฏิกรรม<br />

สงครามที่ได้จากจีน ญี่ปุ่นประกาศตนเองว่ามีสถานภาพเทียบเท่า<br />

จักรวรรดินิยมตะวันตกและเรียกร้องสิทธิของตนเทียบเท่าประเทศ<br />

เหล่านั้นเมื่อทำสนธิสัญญากับประเทศที่อ่อนแอกว่า<br />

48 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


รัฐธรรมนูญและระบบรัฐสภาของญี่ปุ่น<br />

จุดมุ่งหมายของการมีรัฐธรรมนูญคือการสร้างระบอบการ<br />

ปกครองประเทศที่ทันสมัยแบบตะวันตก ซึ่งญี่ปุ่นเชื่อว่าเป็น<br />

องค์ประกอบหนึ่งที่จะทำให้ประเทศเจริญรุ่งเรือง แต่รัฐธรรมนูญ<br />

ของญี่ปุ่นในยุคเมจิยังห่างไกลกับคำว่าประชาธิปไตยอย่างที่เข้าใจ<br />

ในปัจจุบันมาก เสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพมีความสำคัญ<br />

น้อยกว่าความมั่นคงของจักรวรรดิ มันจึงเป็นรัฐธรรมนูญของกลุ่ม<br />

คณาธิปไตยผู้ครองอำนาจและจักรพรรดิที่ยอมให้ประชาชน<br />

มีส่วนร่วมอย่างจำกัดที่สุด กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญมีการ<br />

ศึกษารัฐธรรมนูญของประเทศต่างๆ ตั้งแต่ ค.ศ. 1881 และเริ่มต้น<br />

ร่างใน ค.ศ. 1886 โดยได้รับอิทธิพลของรัฐธรรมนูญของจักรวรรดิ<br />

เยอรมัน ภายใต้การแนะนำของรูดอล์ฟ ฟอน เกนสท์ (Rudolf<br />

von Gneist) และลอเรนซ์ ฟอน สไตน์ (Lorenz von Stein) มีการ<br />

ประกาศใช้รัฐธรรมนูญในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1889 แต่มีผล<br />

ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1890 17 เนื้อหาโดยสรุปของ<br />

รัฐธรรมนูญระบุว่าหัวใจของระบบรัฐสภาคือสภาผู้แทนราษฎร<br />

และสภาขุนนาง สภาขุนนางแต่งตั้งโดยจักรพรรดิ เป็นตำแหน่ง<br />

ถาวรและมีหน้าที่ออกกฎหมายและรับรองกฎหมาย ส่วนสภา<br />

ผู้แทนราษฎรมาจากการเลือกตั้ง มีสิทธิออกร่างกฎหมาย แต่<br />

กฎหมายนั้นจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อสภาขุนนางรับรองแล้วเท่านั้น คณะ<br />

รัฐมนตรีมาจากการแต่งตั้งของจักรพรรดิ มีหน้าที่บริหารประเทศ<br />

กำหนดนโยบาย แนวทางของรัฐและเป็นที่ปรึกษาของจักรพรรดิ<br />

ศาลแต่งตั้งโดยจักรพรรดิ มีหน้าที่ตัดสินคดีความ<br />

พิจารณาจากเนื้อหาแล้วดูเหมือนว่ารัฐธรรมนูญให้อำนาจ<br />

รวมศูนย์ที่จักรพรรดิ ส่วนประชาชนนั้นเป็นเพียงผู้มีส่วนร่วม<br />

ในการปกครองประเทศเท่านั้น แต่ในทางปฏิบัติแล้วผู้มีอ ำนาจตัวจริง<br />

เป็นบุคคลสำคัญที่อยู่ในกลุ่มของรัฐบาลและองค์กรที่ให้คำปรึกษา<br />

แก่จักรพรรดิ ที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นประมุขที่ศักดิ์สิทธิ์และ<br />

ใช้อำนาจผ่านคณะรัฐมนตรีและกองทัพ ซึ่งคือกลุ่มที่มีอำนาจ<br />

อย่างแท้จริงเพราะขึ้นตรงกับจักรพรรดิเท่านั้น 18 และไม่มีใคร<br />

ควบคุมได้ ไม่ว่าจะเป็นสภาหรือคณะรัฐมนตรี ความอ่อนแอของ<br />

สภาผู้แทนราษฎรจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ประเทศตกอยู่ใน<br />

ระบอบเผด็จการทหารในยุคต่อมา อย่างไรก็ตามความดีประการหนึ่ง<br />

ของรัฐธรรมนูญนี้คือการให้ประกันสิทธิเสรีภาพพื้นฐานหลายประการ<br />

แก่ชาวญี่ปุ่น เช่น เสรีภาพในการเดินทาง (มาตรา 22) สิทธิที่จะไม่ถูก<br />

บุกรุกหรือค้นเคหสถาน (โดยไม่มีหมายศาล) (มาตรา 25) สิทธิในการ<br />

ติดต่อสื่อสารอย่างเป็นส่วนตัว (มาตรา 26) สิทธิในทรัพย์สินส่วนตัว<br />

(มาตรา 27) เสรีภาพในการพูด การประชุม และการตั้งสมาคม<br />

(มาตรา 29) สิทธิมนุษยชนพื้นฐานเหล่านี้ทำให้การเจริญเติบโต<br />

ทางปัญญางอกงามขึ้นในรัชกาลต่อมา<br />

การศึกษา<br />

เจตนารมณ์ในการปฏิวัติระบอบโชกุนระบุไว้อย่างชัดเจนใน<br />

ข้อ 5 ของสัตยาธิษฐานที่ลงวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 1868 ว่า<br />

“แสวงหาความรู้วิทยาการที่ทันสมัยเพื่อสถาปนาจักรวรรดิญี่ปุ่นให้<br />

เข้มแข็งและมั่นคง” เจตนารมณ์นี้ถูกแปลงเป็นรูปธรรมโดยการ<br />

จัดการระบบการศึกษาสมัยใหม่อย่างจริงจังตั้งแต่ ค.ศ. 1872<br />

โดยการตั้งกระทรวงศึกษาธิการเพื่อจัดการระบบการศึกษาใหม่<br />

ให้กระจายลงสู่มวลชน และเฟ้นนักเรียนที่มีผลการศึกษาดีเข้าสู่<br />

การศึกษาระดับอุดมศึกษา ใน ค.ศ. 1872 รัฐบาลผ่านกฎหมาย<br />

การศึกษาที่กำหนดให้มีการตั้งมหาวิทยาลัยขึ้น 8 แห่งทั่วประเทศ<br />

แต่ละเขตการศึกษาของมหาวิทยาลัยให้มีการจัดตั้งโรงเรียน<br />

มัธยมศึกษา 32 แห่ง แต่ละเขตการศึกษาของโรงเรียนมัธยมศึกษา<br />

ให้จัดตั้งโรงเรียนประถมศึกษา 210 โรง 19 ซึ่งถ้าเป็นไปตามนี้<br />

จะมีการสร้างโรงเรียนประถมศึกษาถึง 53,760 แห่งทั่วประเทศ<br />

ภายในเวลา 2-3 ปีเท่านั้น และมีนักเรียนถึง 32,256,000 คน<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

49


(โรงเรียนประถมศึกษาแต่ละโรงรับนักเรียน 600 คน) แต่ความจริง<br />

ปรากฏว่ารัฐบาลสร้างโรงเรียนไปได้เพียง 30,156 แห่งใน ค.ศ. 1883<br />

และมีนักเรียนกว่า 2 ล้านคน จำนวนนักเรียนที่เข้าถึงระบบการ<br />

ศึกษาภาคบังคับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงระดับร้อยละ 95 ใน ค.ศ. 1906<br />

แม้ว่าจะไม่ได้มากและรวดเร็วตามเป้าที่ตั้งไว้แต่แรก แต่ก็เป็น<br />

ตัวเลขความสำเร็จที่น่าทึ่งมากตราบจนทุกวันนี้<br />

เนื้อหาการศึกษาก่อนระดับอุดมศึกษาเน้นวิชาการทาง<br />

วิทยาศาสตร์แบบตะวันตกควบคู่กับการเรียนจริยธรรมแบบขงจื๊อ<br />

ที่เน้นคุณธรรมความจงรักภักดีต่อประเทศชาติและจักรพรรดิ<br />

ส่วนในระดับอุดมศึกษานั้นรัฐบาลเน้นคัดนักศึกษาที่มีคุณภาพ<br />

สูงสุดไปศึกษาดูงานในต่างประเทศอย่างเต็มที่และเร่งด่วน<br />

เพื่อกลับมาพัฒนาสาขาวิชาความรู้ของตนเองอย่างเป็นมืออาชีพ<br />

เพื่อทดแทนบรรดาผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศที่จ้างมาตั้งแต่ทศวรรษ<br />

ที่ 1870 ซึ่งจะค่อยๆ ทยอยถูกเลิกจ้างไปในทศวรรษที่ 1890<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในยุคเมจิตอนปลาย<br />

(ค.ศ. 1890-1912)<br />

การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ การปฏิรูปทางการเมืองและ<br />

การศึกษา ทำให้สังคมวัฒนธรรมญี่ปุ่นยุคเมจิตอนปลายเปลี่ยนไป<br />

อย่างมาก ระบบทุนนิยมขยายตัวในเมืองใหญ่ซึ่งเต็มไปด้วยชนชั้น<br />

กลางที่มีการศึกษาและรสนิยมแบบตะวันตก และชนชั้นแรงงานหัว<br />

อนุรักษ์นิยม การมีรัฐธรรมนูญทำให้ประชาชนตระหนักในสิทธิ<br />

เสรีภาพส่วนบุคคลแบบตะวันตกมากขึ้น ขณะที่บางกลุ่มยังเห็น<br />

ความสำคัญของค่านิยมและจริยธรรมแบบเก่า วงการศิลปะ-<br />

สถาปัตยกรรมได้รับผลกระทบจากค่านิยมที่แตกต่างทั้งสอง<br />

ผ่านการออกแบบของสถาปนิกรุ่นใหม่ที่เข้ามารับงานแทนที่<br />

สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญชาวตะวันตกในยุคทศวรรษ 1880-1890<br />

มีการสร้างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกอย่างแพร่หลายในเมืองใหญ่<br />

ที่มีรูปแบบหลากหลาย แบบที่มีจำนวนมากที่สุดคืออาคารรูปแบบ<br />

โบราณที่ผสมผสาน (Eclecticism) ลักษณะอาคารเป็นกำแพง<br />

ก่ออิฐอวดผิว หลังคาทรงสูง เหมือนอย่างที่คอนเดอร์และเอนเดอร์<br />

และบ๊อคมานน์ทำไว้ก่อนหน้านี้ แต่คราวนี ้สถาปนิกเป็นคนญี่ปุ่น<br />

เองที่เป็นลูกศิษย์ของคนพวกแรกที่หมดสัญญาจ้างกับรัฐบาล<br />

ซึ่งเป็นไปตามคติพจน์ “จิตวิญญาณญี่ปุ่น วิทยาการตะวันตก”<br />

ตัวอย่างเช่น ทัตสุโนะ คิงโกะ คายามา โตกุมา โซเน ทัสสุโซและ<br />

ซึเมกิ โยรินากะ (Tsumaki Yorinaka) เป็นต้น บุคคลเหล่านี้ล้วน<br />

เป็นหลักในการผลิตสถาปัตยกรรมช่วงนี้ พวกเขารวมกัน 26 คน<br />

ร่วมกันจัดตั้งสมาคมผู้สร้างอาคาร (Zoka Gakkai) ซึ่งต่อมากลาย<br />

เป็นสถาบันสถาปนิกญี่ปุ่น (AIJ) เป็นที่พบปะแลกเปลี่ยนความรู้<br />

วิชาการและสังสรรค์ทางสังคม มีการออกวารสารวิชาการ<br />

สถาปัตยกรรมเป็นครั้งแรก (Journal of Architecture and Building<br />

Science) ใน ค.ศ. 1887 ส่วนในมหาวิทยาลัยโตเกียวมีการ<br />

จัดตั้งภาควิชาวิศวกรรมอาคารขึ้นอย่างเป็นทางการใน ค.ศ. 1886<br />

อย่างไรก็ตามตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20 รูปแบบสถาปัตยกรรมได้<br />

พัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง สถาปนิกเริ ่มปฏิเสธอาคารรูปแบบโบราณ<br />

เพราะเกิดแนวความคิดใหม่ในการออกแบบที่มากับวัสดุก่อสร้างใหม่<br />

เช่น เหล็ก คอนกรีตเสริมเหล็ก และกระจก ที่มีการใช้อย่างแพร่หลาย<br />

ในการก่อสร้าง บันดาลให้เกิดสถาปัตยกรรมแบบใหม่อย่าง<br />

อาร์ตนูโว (Art Nouveau) ของร้านตัดผมคามิโนโตะ (Kaminoto)<br />

(1903) โดยยูกาตะ ฮิดากะ (Yukata Hidaka) และอาคารแบบ<br />

โมเดิร์น (modern) ที่โครงสร้างเป็นเหล็กทั้งหมดของร้านหนังสือ<br />

มารูเซ็น (Maruzen)(1909) โดยโตชิคาตะ ซาโน(Toshikata Sano)<br />

ขณะเดียวกันแนวคิดอนุรักษ์นิยมในสถาปัตยกรรมก็เกิดสวนทางขึ้นมา<br />

โดยปรากฏรูปแบบอาคารแบบตะวันตกที ่ใช้ผังรูปตัว E แบบ<br />

คลาสสิค แต่ครอบด้วยหลังคาแบบวัดญี่ปุ่น ตัวอย่างเช่น<br />

อาคารศาลากลางจังหวัดนารา (Nara Prefectural Office) (1895)<br />

โดยนากาโน ยูไฮจิ(Nagano Uheiji) และ Japan Kangyo Bank (1899)<br />

โดยซึเมกิ โยรินากะเป็นต้น ซึ่งเป็นการเริ่มต้นการแสวงหา<br />

เอกลักษณ์ของตนเองในสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ของบรรดาเหล่า<br />

สถาปนิกนับตั้งแต่นั้นมา<br />

50 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกโดยสถาปนิกญี่ปุ่น<br />

ทัตสุโนะ คิงโกะ (ค.ศ. 1854-1919) เป็นศิษย์รุ่นแรกของ<br />

คอนเดอร์ เมื่อจบการศึกษาใน ค.ศ. 1879 ถูกรัฐบาลส่งไปศึกษา<br />

และฝึกงานต่อที่อังกฤษในสำนักงานของเบอร์เจสในลอนดอน<br />

เมื่อกลับมาญี่ปุ่นเขาได้รับการแต่งตั้งเป็นหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรม<br />

อาคารใน ค.ศ. 1886 ที่ยกระดับขึ้นมาจากสาขาวิชาเดียวกัน<br />

ที่มหาวิทยาลัยโตเกียวที่เขาสำเร็จการศึกษา ทัตสุโนะเป็นสถาปนิก<br />

ที่เชี่ยวชาญพร้อมๆ กับเป็นนักการศึกษาสถาปัตยกรรมคนสำคัญ<br />

ผลงานสถาปัตยกรรมของเขาส่วนใหญ่อยู่ในรูปแบบผสมผสานงาน<br />

โบราณ และนีโอคลาสสิค (Neo-classicism) รวมทั้งงานแบบ<br />

อาร์ตนูโวในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 เช่น สนามกีฬาซูโม่แห่งชาติ<br />

กรุงโตเกียว (1911)<br />

ผลงาน<br />

ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น (Bank of Japan) (1896) เป็นอาคาร<br />

แบบนีโอคลาสสิคที่น่าสนใจ ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมสนาม<br />

ภายใน 3 สนาม อาคารทั่วไปสูง 3 ชั้นรูปตัว U และถูกแบ่งครึ่ง<br />

ตรงกลาง<br />

มีป้อมผังรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสครอบด้วยโดมตั้งตรงกลางอาคาร<br />

เด่นสง่า เพราะไม่ถูกบังโดยอาคารด้านหน้าที่ออกแบบให้สูงเพียง<br />

ชั้นเดียวเป็นเหมือนประตูรั้วที่เปิดมุมมองให้เห็นโดมกลางอาคาร<br />

ได้ สนามภายใน 3 สนามทำหน้าที่ระบายอากาศและให้แสงสว่าง<br />

แก่ห้องต่างๆ ภายในที่ถูกวางเรียงไปตามแกนอาคารอย่างเป็นระเบียบ<br />

ลักษณะอาคารเรียบง่ายแบบนีโอคลาสสิคที่มีจุดเด่นที่โดมแปดเหลี่ยม<br />

ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น (1896)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

51


ตรงกลางตึกที่ถูกเน้นให้เด่นโดยอาคารทางเข้าที่สูงชั้นเดียวด้านหน้า<br />

เป็นการใช้เทคนิคทำอาคารด้านหน้าต่ำเพื่อเน้นอาคารสูงด้านหลัง<br />

แบบเดียวกับพระราชวังลักเซมบูร์ก (Palais du Luxembourge)<br />

(1615-1624) แห่งกรุงปารีส ขณะเดียวกันอาคารเตี้ยด้านหน้า<br />

ก็ทำหน้าที่รั้วและประตูกั้นอาคารหลักจากภายนอกเพื่อเหตุผลด้าน<br />

ความปลอดภัยคล้ายๆ การวางผังบ้านแบบจีนเช่นกัน โครงสร้าง<br />

เป็นแบบกำแพงอิฐรับน้ำหนัก กรุผิวด้วยแผ่นหินแกรนิต<br />

สนามมวยปล้ำซูโม่ (Sumo Arena) โตเกียว (1908) เป็น<br />

อาคารผังกลมสูงสามชั้น ใช้บันไดผังกลมและเหลี่ยม 7 แห่งเป็นจุด<br />

กระจายประชาชนเข้าออกอัฒจันทร์ผู้ชมที่เป็นรูปวงกลมล้อม<br />

สนามซูโม่ที่ตั้งอยู่ตรงกลาง ลักษณะอาคารเหมือนป้อมขนาดใหญ่<br />

หลังคาทรงโดม มีป้อมเล็กที่เป็นบันไดเรียงรายรอบอาคารหลักอยู่ถึง<br />

10 ป้อมที่คลุมด้วยหลังคาโดมแบบซาราเซนิก (Sarasenic)<br />

เหมือนที่คอนเดอร์ใช้ออกแบบพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอูเอโน<br />

เมื่อ 27 ปีก่อน แต่อาคารหลังนี้ไม่ได้ดูหนักแบบเก่าเพราะสร้างด้วย<br />

โครงสร้างเหล็กเป็นส่วนใหญ่ โดยเฉพาะหลังคาโครงหลังคาโดม<br />

เป็นโครงสร้างทรัสเหล็กที่พาดช่วงยาวถึง 30 เมตร แสดงให้เห็นถึง<br />

ความก้าวหน้าทางวิศวกรรมอย่างชัดเจน<br />

สนามมวยปล้ำซูโม่ (1908)<br />

ผังพื้นชั้นล่างธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น<br />

รูปตัดสนามมวยปล้ำซูโม่<br />

52 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


การในการวัดระยะ”ของโมริยามา มัทสุโนสุเกะ (Moriyama Matsunosuke)<br />

20 ประการที่สองคือการที่เขาเชิญครูช่างไม้โบราณคิโกะ<br />

คิโยโยชิ(Kigo Kiyoyoshi) ที่รับผิดชอบการซ่อมวังหลวงหลายแห่ง<br />

มาสอนที่ภาควิชาตั้งแต่ ค.ศ. 1889<br />

นักการศึกษาสถาปัตยกรรม<br />

ผังพื้นสนามมวยปล้ำซูโม่<br />

สถานะของทัตสุโนะในฐานะผู้วางรากฐานการศึกษา<br />

สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่ มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกว่า<br />

การเป็นสถาปนิกมือหนึ่งของเขา เมื่อรับหน้าที่เป็นหัวหน้าภาค<br />

วิชาวิศวกรรมอาคารแล้ว เนื้อหาการเรียนการสอนที่มีการปรับปรุง<br />

ให้ก้าวหน้าอย่างเห็นได้ชัดคือ ประการแรกความรู้พื้นฐานทาง<br />

วิศวกรรมศาสตร์ในการป้องกันแผ่นดินไหวให้กับอาคาร ซึ่งสังเกต<br />

ได้จากหัวข้อวิทยานิพนธ์ของนักศึกษาหลัง ค.ศ. 1884 จะมีเรื่อง<br />

เกี่ยวกับแบบลักษณะ (style) อย่างในสมัยคอนเดอร์น้อยลงมาก<br />

แต่หัวข้อจะเกี่ยวข้องกับเรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น อย่างเช่นหัวข้อชื่อ<br />

“ข้อพิจารณาบางประการเกี่ยวกับแรงกระทำในหลังคาทรัสและวิธี<br />

สิ่งที่คิโกะสอนคือเนื้อหาว่าด้วยวิธีการก่อสร้างอาคารไม้แบบ<br />

ญี่ปุ่น รวมทั้งวิชาสัดส่วน รวมเรียกว่า คิวาริโฮ (Kiwariho) ซึ่งจะ<br />

เป็นประโยชน์มากสำหรับการสำรวจและบันทึกสถาปัตยกรรม<br />

โบราณสำหรับนักวิชาการประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม วิชาการ<br />

ของคิโกะนั้นจะเป็นแรงบันดาลใจอย่างแรงให้กับนักศึกษาหนุ่มผู้หนึ่ง<br />

ที่ต่อไปได้กลายเป็นนักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมคนสำคัญของ<br />

ญี่ปุ่น อิโตะ ชูตะ (Ito Chuta) (1867-1954) ซึ่งเข้าเรียนที่ภาควิชา<br />

ในปีเดียวกันนั้นเอง กล่าวกันว่าแรงบันดาลใจสำคัญที่ทำให้ทัตสุโนะ<br />

เห็นความสำคัญของการเรียนสถาปัตยกรรมโบราณ ทั้งๆ ที่ในสมัย<br />

ของเขานั้นความรู้เกี่ยวกับตะวันตกส ำคัญกว่ามาก มาจากประสบการณ์<br />

ขณะที่เขาทำงานอยู่ในสำนักงานของเบอร์เจสที่ลอนดอน เมื่อเบอร์เจส<br />

มีคำถามเขาว่าโบราณสถานของญี่ปุ่นนั้นคืออะไร แต่เขาไม่สามารถ<br />

หาคำตอบมาไขข้อข้องใจของเบอร์เจสได้<br />

คาตายามา โตกุมา (ค.ศ. 1853-1917) เป็นศิษย์รุ่นแรก<br />

ของคอนเดอร์เช่นเดียวกับทัตสุโนะ หลังจบการศึกษาแล้วเขาถูก<br />

ส่งไปฝึกงานต่อที่ฝรั่งเศสและสหรัฐอเมริกาในด้านการตกแต่งและ<br />

ออกแบบเครื่องเรือน จากประสบการณ์ที่ฝรั่งเศสทำให้เขาได้รับ<br />

อิทธิพลงานแบบผสมผสานที่เรียกกันว่าจักรวรรดิที่ 2 (Second<br />

Empire) มาเผยแพร่ในญี่ปุ่นผ่านงานที่เขาทำให้สำนักพระราชวัง<br />

เจ้าสังกัด ผลงานของเขาแสดงความแม่นยำในการออกแบบ<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกโบราณ พร้อมๆ ไปกับความหรูหรา<br />

อลังการ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

53


พิพิธภัณฑ์แห่งชาติแห่งนครเกียวโต (1895)<br />

54 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผลงาน<br />

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติแห่งนครเกียวโต (พิพิธภัณฑ์<br />

หลวงเกียวโตเดิม) (National Museum of Kyoto) (1895)<br />

ผังเป็นรูปตัว E สองตัวประกบกัน มีสนามภายในสองสนาม<br />

ด้านหลังเป็นอาคารรูปตัว U อีกหนึ่งหลัง จุดเด่นของอาคารคือ<br />

ผนังก่ออิฐอวดผิวทั้งหลัง ที่มีหลังคาโถงกลางและมุขประจำมุมทั้ง<br />

6 เป็นโดมทรงสันตะเข้โค้ง อันมาจากอิทธิพลของอาคารแบบ<br />

Second Empire ในครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 ของฝรั่งเศส เช่น<br />

พระราชวังลูฟร์ (Louvre) แห่งกรุงปารีส ก่อนหน้านี้คาตะยามา<br />

เคยออกแบบพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาตินารา(National Museum<br />

of Nara) (1894) โดยใช้ผังแบบเดียวกันนี้แต่หลังคาเป็นทรงปั้นหยา<br />

ธรรมดาโดยเน้นมุขทางเข้าตรงกลางเป็นแบบคลาสสิค<br />

พระราชวังเฮียวไคคัน (Hyokeikan of Ueno Museum)<br />

(1901-1908) สร้างเพื่อเฉลิมฉลองพระราชพิธีอภิเษกของ<br />

มกุฎราชกุมารไทโช มีผังเป็นรูปตัว T ในแบบคลาสสิค คือมี3 มุข<br />

เชื่อมด้วยปีกผังมุขกลางเป็นรูป 8 เหลี่ยม มุขปลายทั้งสองเป็น<br />

รูปสี่เหลี่ยมต่อกับวงกลมซึ่งเป็นที่ตั้งของบันได การออกแบบ<br />

ลักษณะนี้จะไม่พบในสถาปัตยกรรมตะวันตกแท้ๆ ลักษณะอาคาร<br />

เป็นแบบนีโอคลาสสิคที่เรียบง่ายและไม่ประดับประดาลวดลาย<br />

แต่มีเสาอิงแบบคลาสสิคประกอบเป็นช่วงๆ หลังคามีจุดเด่นที่โดม<br />

ครึ่งวงกลมที่มุขกลางและมุขปลายทั ้งสอง โครงสร้างอาคารเป็น<br />

แบบกำแพงอิฐรับน้ำหนักกรุผิวด้วยแผ่นหินแกรนิตสีขาว มุขหน้า<br />

แต่ละชั้นมีเสาลอยตัว 2 ต้นเป็นเสาประตู ทำด้วยหินอ่อน โดยภาพ<br />

รวมเห็นได้ชัดว่าได้อิทธิพลมาจากพระราชวังโฮเตลเดอซาล์ม<br />

(Hotel de Salm) (1784) แห่งกรุงปารีส โดยสถาปนิกปิแอร์ รุซโซ<br />

(Pierre Rousseau) ที่เรียบงายและสง่างามเป็นต้นแบบ<br />

พระราชวังเฮียวไคคัน (1901-1908)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

55


พระราชวังอะกาซากะ (1909)<br />

56 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผังพื้นชั้นล่างพระราชวังอะกาซากะ<br />

พระราชวังอะกาซากะ (Akasaka Palace) (1909) สร้าง<br />

ระหว่าง ค.ศ. 1899-1909 เพื่อเป็นวังสำหรับมกุฎราชกุมารไทโช<br />

เป็นพระราชวังที่มีขนาดพื้นที ่ใหญ่มากถึง 15,000 ตารางเมตร<br />

ตั้งอยู่บนพื้นที่ 117,000 ตารางเมตร โดยใช้เงินจากค่าปฏิกรรม<br />

สงครามที่ได้จากจีนในสงคราม ค.ศ. 1895 ผังเป็นรูปตัว E สองตัว<br />

ประกบกัน มีสนามภายในสองสนาม ห้องต่างๆ เรียงล้อมไปตาม<br />

สนามทั้งสองนี้ โดยมีโถงใหญ่ตั้งขวางสนามอยู่ตรงกลางเป็นที่ตั้ง<br />

บันไดใหญ่กลางพระราชวัง ภายนอกอาคารออกแบบให้ดูยิ่งใหญ่<br />

แบบสถาปัตยกรรมบาร็อคในศตวรรษที่17 แต่ลวดประดับกลับเพี้ยน<br />

ไปจากลายต้นแบบของยุโรปมากและเป็นผลงานของการคิดผสม<br />

ลวดลายของตัวเขาเองมากกว่า 22 การที่อาคารมีปีกเชื่อมมุขกลาง<br />

กับมุขริมทั้งสองเป็นรูปโค้ง ทำให้เห็นอิทธิพลของวังอย่างเบลนเฮ็ม<br />

(Blenhiem Palace) (1724) โดยเซอร์จอห์น แวนบรัว (Sir John<br />

Vanbrugh) ในอังกฤษ ขณะที่ภายในตกแต่งอย่างหรูหราอลังการ<br />

แบบพระราชวังแวร์ซาย (Versailles) (1678-1715) โดยจูลส์<br />

ฮาร์ดูอีน-มานสาร์ท (Jules Hardouin-Mansart) โครงสร้างอาคาร<br />

เป็นแบบกำแพงรับน้ำหนักที่ก่อด้วยหินและยึดด้วยคานเหล็ก 23<br />

แต่อาคารนี้กลับมีปัญหาในการใช้สอยอย่างมากด้วยขนาดที่ใหญ่<br />

โตจนไม่สะดวกในการประกอบกิจกรรม 24 เช่นระยะห่างมากเกินไป<br />

ระหว่างห้องรับประทานอาหารกับห้องเตรียมอาหารและห้องน้ำที่<br />

มีเพียงจุดเดียวในวัง ทั้งนี้เรื่องดังกล่าวถูกมองข้ามไปเพราะญี่ปุ่น<br />

สร้างอาคารนี้เพื่อเป็นสัญลักษณ์แสดงความยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิ<br />

ใหม่ให้โลกรับรู้เป็นวัตถุประสงค์หลัก<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

57


ซึเมกิ โยรินากะ (ค.ศ.1859-1916) ซึเมกินอกจากจะเคย<br />

เป็นศิษย์ของคอนเดอร์แล้ว ยังเป็นช่างเขียนแบบที่ไปฝึกงานกับ<br />

เอนเดอร์และบ็อคมานน์ที่เบอร์ลิน เมื่อกลับญี่ปุ่นแล้วเขาเป็น<br />

ผู้ควบคุมการก่อสร้างกระทรวงยุติธรรมและศาลฎีกากรุงโตเกียว<br />

ต่อมาเป็นสถาปนิกของกระทรวงการคลังและได้สร้างผลงาน<br />

คุณภาพจำนวนมาก ตอนปลายศตวรรษที่ 19 ซึเมกิเป็นสถาปนิก<br />

คนหนึ่งที่ริเริ่มงานแบบชาตินิยมที่ใช้ผังอาคารแบบตะวันตกครอบด้วย<br />

หลังคาทรงญี่ปุ่น<br />

ผลงาน<br />

หอการค้าแห่งกรุงโตเกียว (Tokyo Chamber of Commerce)<br />

(1899) เป็นอาคารแบบผังรูปตัว E ลักษณะเด่นของอาคารอยู่ที่<br />

ผนังก่ออิฐอวดผิวสีแดงที่คาดด้วยแถบอิฐสีขาว หลังคาทรงมาน<br />

สาร์ดแบบสันตะเข้ตรงยกสูง ประดับหอคอยที่มุมอาคารทั้งมุข<br />

กลางและมุขริมสองข้าง มุงกระเบื้องหินชนวนสีเข้มแบบสถาปัตยกรรม<br />

ภาคเหนือ เช่น ศาลาว่าการเมืองเบรเมน(Bremen) เป็นต้น<br />

บน ซึเมกิ โยรินากะ (1959-1916)<br />

ขวา หอการค้าแห่งกรุงโตเกียว (1899)<br />

58 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ธนาคารโยโกฮาม่า (1905)<br />

ธนาคารแห่งโยโกฮาม่า (Yokohama Specie Bank)<br />

ผังอาคารรูปสี่เหลี่ยม มุมขวาบนตัดเฉียงเพื่อเป็นทางเข้าจากสี่แยก<br />

ห้องต่างๆ จัดเรียงเป็นแถวตามเส้นรอบรูปของผัง 25 กลางอาคาร<br />

แบ่งเป็นห้องทำงานและโถงทางเข้ารองจากด้านหลัง ลักษณะ<br />

อาคารเป็นแบบคลาสสิคสูง 3 ชั้น เน้นผนังด้วยเสาอิงใหญ่สูง<br />

2 ชั้น จุดเด่นของอาคารอยู่ที่มุขหน้าริมถนนที่เป็นทางเข้าหลัก<br />

ออกแบบเป็นมุขแบบจั่ววิหารกรีกมีเสาแบบคลาสสิคสูง 2 ชั้นวาง<br />

บนฐานรองรับ เหนือจั่วเป็นโดมแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ โครงสร้าง<br />

จันทันเป็นทรัสเหล็ก ทรวดทรงคล้ายโดมใหญ่ของมหาวิหาร<br />

ซานตามาเรียเดลฟิโอเร (Santa Maria del Fiore) แห่งนคร<br />

ฟลอเรนซ์ (Florence) เป็นโครงสร้างที่มั่นคงแข็งแรงมากจนอยู่<br />

รอดมาถึงทุกวันนี้อย่างสมบูรณ์<br />

โซเน ทัตสุโซ (Sone Tatsuzo) (1853-1937) เป็นลูกศิษย์<br />

อีกคนหนึ่งของคอนเดอร์ร่วมรุ่นกับทัตสุโนะและคาตายามา<br />

เมื่อสำเร็จการศึกษาแล้ว เขาทำงานกับมิตซูบิชิ (Mitsubishi)<br />

ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ (Zaibatsu) รุ่นแรกที่จ้างสถาปนิกท้องถิ่น<br />

ปฏิบัติงาน เช่นเดียวกับเพื่อนสองคนแรกที่รับราชการ เขาถูกส่งไป<br />

ฝึกงานในยุโรปที่ลอนดอน เมื่อกลับมาแล้วได้ทำงานให้กับบริษัทนี้<br />

เขาได้เป็นสถาปนิกผู้ช่วยและควบคุมงานก่อสร้างให้กับคอนเดอร์<br />

อาจารย์เก่าของเขาในงานที่ออกแบบให้กับมิตซูบิชิ เช่น สำนักงานใหญ่<br />

มิตซูบิชิหมายเลข 1 ที่มารูโนชิ (Marunouchi) เป็นอาคารก่ออิฐ<br />

อวดผิวสีแดงมีเสาอิงหินก่อสีขาวคั่นเป็นช่วงๆ คอนเดอร์ออกแบบ<br />

ให้อาคารต้านแผ่นดินไหวได้ จึงรอดพ้นจากการพังทลายคราว<br />

แผ่นดินไหวใหญ่ใน ค.ศ. 1923 มิตซูบิชิสร้างอาคารแบบนี้ถึง25 หลัง<br />

ทั่วทั้งย่าน และตั้งสำนักงานสถาปนิกของบริษัทเองและมีชื่อเสียง<br />

เป็นอันดับหนึ่งของประเทศ 26<br />

สำนักงานใหญ่มิตซูบิชิหมายเลข 1 (1894)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

59


บน หอสมุดเก่ามหาวิทยาลัยเคโอ<br />

(Keio) (1912)<br />

ล่าง ร้านตัดผมคามิโนโตะ (1903)<br />

ผลงาน<br />

หอสมุดเก่ามหาวิทยาลัยเคโอ (Keio) (1912) ผลงานที่สร้าง<br />

ชื่อให้เขาในฐานะสถาปนิกเดี่ยวคือหอสมุดเก่าของมหาวิทยาลัยไคโอ<br />

ที่ออกแบบในลักษณะโกธิคประยุกต์27 เป็นอาคารสองชั้นก่ออิฐ<br />

อวดผิว ด้านหน้าประกอบด้วยสามมุขที่แตกต่างกันทั้งแบบและ<br />

ขนาด มุขกลางทางเข้ามีขนาดเล็ก มุขซ้ายมีขนาดใหญ่ประกอบด้วย<br />

โค้งแหลมสามโค้งเรียงติดกันดูโปร่งโล่ง ตรงข้ามกับมุขขวาที่เป็น<br />

หอคอยแปดเหลี่ยมยอดแหลมสูง แม้ว่าภายนอกจะดูโบราณ<br />

แต่ความจริงเป็นอาคารสมัยใหม่พื้นเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กที่เสริม<br />

ด้วยคานเหล็ก ติดตั้งระบบอุปกรณ์อาคารสมัยใหม่เช่น ระบบไฟฟ้า<br />

แก๊ส และระบบทำความร้อนด้วยไอน้ำ<br />

แม้ว่าฝีมือในการออกแบบตามลักษณะโบราณของเขา<br />

จะดูไม่ชัดเจนเท่าเพื่อนร่วมโรงเรียนทั้งสามที่กล่าวมา แต่ฝีมือ<br />

ในการก่อสร้างและออกแบบระบบอาคารของโซเนไม่ได้น้อยหน้า<br />

กว่าใครเลย<br />

60 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ผังพื้นสนามกีฬาซูโม่แห่งชาติ<br />

ล่าง สนามกีฬาซูโม่แห่งชาติ (1911)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

สถาปัตยกรรมแบบใหม่ปลายยุคเมจิ<br />

การปฏิวัติอุตสาหกรรมของญี่ปุ่นเริ่มขึ้นตอนครึ่งหลังของ<br />

ศตวรรษที่ 19 เมื่อญี่ปุ่นสามารถขยายกำลังการผลิตอุตสาหกรรม<br />

ทอผ้าด้วยเครื่องจักรไอน้ำได้ และสามารถเป็นคู่แข่งของโรงงาน<br />

ชาติตะวันตกที่มีฐานกำลังผลิตในจีน ทุนนิยมของรัฐถูกสถาปนาขึ้น<br />

ผ่านบรรดาบริษัทยักษ์ที่รัฐบาลหนุนหลัง (Zaibatsu) เช่น มิตซูบิชิ<br />

มิตซุย และซูมิโตโม เป็นต้น เพื่อช่วยเหลือเอกชนญี่ปุ่นในการ<br />

แข่งขันทางการค้ากับประเทศตะวันตก บริษัทเหล่านี้รวมทั้ง<br />

ภาครัฐบาลต่างจ้างสถาปนิกมากขึ้น 28 เพื่อพัฒนาโครงการกายภาพ<br />

ต่างๆ ตามขนาดสังคม-เศรษฐกิจที่เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วใน<br />

ทุกเมืองใหญ่ของญี่ปุ่น และขยายออกไปถึงอาณานิคมของญี่ปุ่น<br />

ในแผ่นดินใหญ่และเกาะไต้หวัน ขณะที่จำนวนสถาปนิกก็เพิ่มขึ้น<br />

ดูจากจำนวนสมาชิกสมาคมสถาปนิกเพียง 26 คนใน ค.ศ. 1886<br />

ที่เริ่มก่อตั้งสมาคม มาเป็น 2,543 คน 29 ในปีสุดท้ายของรัชสมัย<br />

(ค.ศ. 1912) สถาปนิกญี่ปุ่นเองสนใจในรูปแบบและแนวคิดทาง<br />

สถาปัตยกรรมใหม่ๆ ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ผ่านสมาคม<br />

ผู้สร้างอาคาร (Zokagakkai) และวารสารของสมาคม เพื่อพัฒนา<br />

ฝีมือของตนเองและวงการสถาปนิกให้ก้าวหน้า<br />

รูปแบบใหม่ที่เริ่มปรากฏให้เห็นตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 20<br />

คืออาร์ตนูโว (Art Nouveau) ซึ่งปฏิเสธรูปแบบสถาปัตยกรรม<br />

โบราณใช้วัสดุใหม่ เช่น เหล็ก กระจก และคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

ละทิ้งลวดลายโบราณหันมาใช้ลวดลายธรรมชาติและงานศิลปะของ<br />

ตะวันออกโดยเฉพาะของญี่ปุ่นเอง ตัวอย่างงานแบบนี้ได้แก่<br />

ร้านตัดผมคามิโนโตะ (Kaminoto Barber Shop) (1903) ในโอซาก้า<br />

โดยยูตากะ ฮิดากะ (Yutaka Hidaka) จุดเด่นอยู่ที่การใช้รูปทรง<br />

เรขาคณิตที่ไม่มีลวดลาย และประตูทางเข้าที่เป็นวงกลม งานแบบนี้<br />

แพร่หลายมากแม้กระทั่งทัตสุโนะ คิงโกะก็ออกแบบสนามกีฬาซูโม่<br />

แห่งชาติ(National Sumo Arena) (1911) ในกรุงโตเกียวในลักษณะนี้<br />

โดยใช้โค้งวงกลมแบบหูตะกร้าขนาดใหญ่แบ่งเป็น 5 ส่วนด้วยเสาอิง<br />

4 ต้นทำเป็นประตูทางเข้า ควบคู่ไปกับหอคอยแปดเหลี่ยมครอบ<br />

ด้วยหลังคาโดมมุสลิมซาราเซนิก<br />

61


ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการก่อสร้างด้วยโครงสร้าง<br />

คอนกรีตเสริมเหล็กและโครงสร้างเหล็กล้วน เป็นสาระมากกว่าเรื่อง<br />

รูปแบบที่ผิวเผิน การออกแบบอาคารที่ต้องป้องกันแผ่นดินไหว<br />

ได้เป็นปัจจัยพื้นฐานสำคัญที่สถาปนิกกลุ่มหนึ่งยึดถือว่า เทคโนโลยี<br />

เป็นเรื่องสำคัญ ซาโน โตชิคาตะ (ริกิ) (Sano Toshikata (Riki))<br />

ผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมอาคารต่อจากทัตสุโนะ<br />

เขียนบทความว่าด้วยโครงสร้างทางสถาปัตยกรรมและกล่าวว่า<br />

สถาปนิกญี่ปุ่นไม่ว่าจะในทางหนึ่งทางใดต้องเป็นเทคนิเชี่ยน<br />

ที่มีพื้นฐานทางวิทยาศาสตร์ ก่อนหน้านี้เขาออกแบบอาคาร<br />

ร้านหนังสือมารูเซ็น (1909) ในกรุงโตเกียวที่มีโครงสร้างเหล็กทั้งหลัง<br />

ในขณะที่ผนังอาคารยังคงกรุหน้าด้วยอิฐแบบเดิม<br />

โครงสร้างแบบผสมที่เป็นการเสริมความมั่นคงของผนังอิฐ<br />

แล้วเททับด้วยคอนกรีตนั้น มีมาตั้งแต่ทศวรรษ 1890 เช่นการสร้าง<br />

อาคารกระทรวงทหารเรือ (1895) ที่ออกแบบโดยคอนเดอร์<br />

แต่โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กแท้ๆ เป็นวิทยาการที่นำเข้า<br />

ระหว่าง ค.ศ. 1892-1895 จากหลักการของมีแลน (Melan),<br />

คอยเน็ต (Coignet), และเฮนเนบิก (Hennebique) โครงสร้างที่<br />

สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กในยุคแรกมักเป็นงานวิศวกรรม<br />

เช่น สะพานและโกดัง ตั้งแต่ทศวรรษ 1890 อาคารที่สร้างด้วย<br />

โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างประณีตซับซ้อนรุ่นแรกได้แก่<br />

โรงละครหลวง (Imperial Theatre) (1911) ที่กรุงโตเกียว โดย<br />

สถาปนิกโยโกกาวา ทามิสุเกะ (Yokogawa Tamisuke) (1864-1945)<br />

บน ซาโน โตชิคาตะ (ริกิ) (1880-1956)<br />

ล่าง ร้านหนังสือมารูเซ็น (1909)<br />

62 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บนซ้าย ผังพื้นโรงละครหลวง<br />

บนขวา รูปตัดโรงละครหลวง<br />

ล่างขวา ผังพื้นและรูปตัดร้านหนังสือมารูเซ็น<br />

ล่างซ้าย โรงละครหลวง (1911)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

63


สถาปัตยกรรมชาตินิยม<br />

ความรักชาติและเผ่าพันธุ์ของญี่ปุ่นมีมานานตั้งแต่ก่อนสมัยเมจิ ศาลากลางจังหวัดนารา (Nara Prefectural Office) (1895)<br />

ศาสนาชินโตสอนว่าจักรพรรดิเป็นโอรสของพระอาทิตย์ ชาวญี่ปุ ่น ออกแบบโดยนากาโน ยูไฮจิ (Nagano Uheiji) มีผังรูปตัว E แบบ<br />

เป็นพวกสูงส่งกว่าเชื้อชาติอื่นเพราะเป็นลูกหลานสุริยเทพ 30 คลาสสิค ตัวอาคารก่ออิฐฉาบปูน ผนังเดินเส้นแบ่งเป็นกรอบ 3<br />

ส่วนชาติตะวันตกนั้นเป็นพวกป่าเถื่อนความหลงชาติเป็นพลังสำคัญ ส่วน คือฐาน หน้าต่างและช่องลม แบบบ้านญี่ปุ่นโบราณ หลังคา<br />

ในการขับเคลื่อนให้ญี่ปุ่นสร้างความทันสมัยด้วยเทคโนโลยีของ ทรงจั่วหน้าบันกรุด้วยแผงไม้ระแนงตีช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ<br />

ตะวันตกซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งภายในตนเอง และมันก็สะท้อนออกมา มุงกระเบื้องแบบวัดโบราณ สถาปนิกกล่าวว่าเป็นการออกแบบ<br />

ในสถาปัตยกรรมตั้งแต่โครงการรัฐสภาแห่งชาติตอนต้นสมัยเมจิ ให้เข้ากับบริบทของสถาปัตยกรรมในเมืองนาราที่เต็มไปด้วยวัดโบราณ<br />

ดังที่กล่าวแล้ว ตั้งแต่ทศวรรษ 1890 ที่ญี่ปุ่นเข้มแข็งขึ้นมาก<br />

ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง และการทหาร แนวคิดชาตินิยม<br />

ก็หวนคืนมาอีกและปรากฏในแบบสถาปัตยกรรมลูกผสมที่ต่อไป<br />

จะเป็นต้นแบบให้กับสถาปัตยกรรมชาตินิยมเต็มตัวในยุคต่อไป<br />

ผังพื้นชั้นล่างศาลากลางจังหวัดนารา (1895) ผังพื้นชั้นบนศาลากลางจังหวัดนารา<br />

64 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ศาลากลางจังหวัดนารา (1895)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

65


ธนาคารแจแปนคังเกียว (1899) ธนาคารแจแปนคังเกียว (Japan Kangyo Bank) (1899)<br />

กรุงโตเกียว โดยซึเมกิ โยรินากะ (Tsumaki Yorinaka) มีผังเป็น<br />

รูปตัว U แบบคลาสสิค ตัวอาคารก่ออิฐฉาบปูน ผนังเดินเส้นแบ่ง<br />

ผนังเป็น 3 ส่วนแบบญี่ปุ่นโบราณ หลังคาจั่วมีปีกนกหน้าบันกรุ<br />

แผงไม้ระแนงตีช่องสี่เหลี่ยมเล็กๆ มุงหลังคากระเบื้องแบบญี่ปุ่น<br />

โบราณ ในกรณีธนาคารนี้ไม่มีเหตุผลอื่นใดที่ต้องการอาคารแบบ<br />

ลูกผสมญี่ปุ่นนี้เลย นอกจากความต้องการของสถาปนิกเองที่แสดง<br />

ว่าลัทธิชาตินิยมทางสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นได้เกิดขึ้นแล้ว<br />

66 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สรุปคุณค่าของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในรัชสมัยเมจิ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในรัชสมัยเมจิคือสถาปัตยกรรม<br />

แบบตะวันตก เป็นสถาปัตยกรรมแห่งยุคของการเรียนรู้ความทันสมัย<br />

เชิงวัฒนธรรมที่เรียกว่าความศิวิไลซ์ของตะวันตก รัฐได้สร้างระบบ<br />

การเรียนรู้แบบตะวันตกขึ้นเพื่อสร้างสถาปนิกพื้นเมืองที่มีความรู้<br />

ในศาสตร์นี้เพื่อสืบต่อการสร้างอาคารแบบนี้จากผู้เชี่ยวชาญตะวันตก<br />

เพื่อการใช้งานในกิจกรรมใหม่ๆ ที่เกิดจากการพัฒนาประเทศ และ<br />

ยังเป็นสัญลักษณ์ของความทันสมัยและความมีอารยธรรมแบบใหม่<br />

นอกจากนี้สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกยังเป็นตัวแทนของยุค<br />

ของการเรียนรู้ความทันสมัยในวิทยาการโดยการรับวัสดุและ<br />

การก่อสร้างแบบใหม่เช่น เหล็ก กระจก อิฐ และคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

มาแทนที่ไม้ทีถูกตีค่าว่าโบราณและล้าสมัย แต่ขณะเดียวกันมันก็<br />

ยังเป็นสถาปัตยกรรมที่ขาดเอกลักษณ์ เน้นรูปแบบผสมของ<br />

สถาปัตยกรรมตะวันตกโบราณ และพัฒนาไปในแนวทางที่เน้น<br />

ความใหญ่โตและลวดลายประดับที่รุงรังมากขึ้นเรื่อยๆ เพื่อแสดง<br />

พัฒนาการของสังคมการเมืองญี่ปุ่นจากประเทศล้าหลังตอนกลาง<br />

ศตวรรษที่ 19 สู่จักรวรรดินิยมใหม่ตอนต้นศตวรรษที่ 20 อย่างไร<br />

ก็ตามอาคารเหล่านี้เป็นอาคารที่มีประสิทธิภาพในการใช้งาน<br />

มีการพัฒนาที่รวดเร็วไม่หยุดยั้ง แสดงความทะเยอทะยานมุ่งมั่น<br />

การเรียนรู้อย่างมีระบบ ขั้นตอน และแผนการที่ดี จึงนับว่าเป็น<br />

สถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าเชิงประวัติศาสตร์ ในฐานะพยานของ<br />

การเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งยิ่งใหญ่จากสังคมโบราณสู่สังคม<br />

อุตสาหกรรมในปลายศตวรรษที ่ 19 ต่อต้นศตวรรษที่ 20 ทั้งนี้<br />

ความสำเร็จนี้มาจากปัจจัยหลายประการ เช่น ความสำเร็จในการ<br />

ปฏิรูปการศึกษาจากแบบโบราณสู่แบบตะวันตก ตั้งแต่ระดับ<br />

ประถมศึกษาจนถึงระดับอุดมศึกษา และการปฏิรูประบบการผลิต<br />

จากหัตถกรรมโบราณสู่ระบบอุตสาหกรรม ซึ่งมาจากการวางแผน<br />

ปลูกถ่ายความรู้และการถ่ายโอนความรับผิดชอบที่แยบยล<br />

จากอาจารย์และผู้เชี่ยวชาญตะวันตกสู่นักศึกษาและคนงานพื้นเมือง<br />

ทั้งในมหาวิทยาลัยและโรงงานตลอดช่วงทศวรรษ 1870-1890<br />

นอกจากนี้การปฏิรูปทางการเมืองจากระบอบศักดินาที่ล้าหลังมาสู่<br />

ระบอบรัฐธรรมนูญกึ่งประชาธิปไตยในช่วงเวลาเดียวกันที่มีการยกเลิก<br />

ชนชั้นอย่างจริงจัง การให้เสรีภาพแก่ประชาชน รวมทั้งการดำเนิน<br />

เศรษฐกิจแบบทุนนิยมแห่งชาติและการทำสงครามขยายดินแดน<br />

ตั้งแต่ทศวรรษที่1890 เพื่อลดต้นทุนค่าวัตถุดิบ ที่ดิน และแรงงาน<br />

ในการผลิตก็เป็นปัจจัยสำคัญที่กระตุ้นความก้าวหน้าของญี่ปุ่น<br />

อย่างไรก็ตามรากเหง้าวัฒนธรรมญี่ปุ่นโบราณก็ยังคงอยู่<br />

โดยเฉพาะลัทธิชินโตที่ปลูกฝังให้ชาวญี่ปุ่นเป็นพวกหลงในชาติพันธุ์<br />

ของตนเอง เมื่อญี่ปุ่นเติบใหญ่แข็งแกร่งในช่วงทศวรรษ 1890<br />

หน่ออ่อนของชาตินิยมก็สะท้อนออกมาให้เห็นในสถาปัตยกรรม<br />

บางหลังที่ใช้ผังแบบตะวันตกแต่ครอบหลังคาญี่ปุ่น ซึ่งจะเป็นต้น<br />

แบบให้สถาปัตยกรรมแบบชาตินิยมสุดโต่งในยุคต่อไปยึดถือ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

67


รัชสมัยไทโช (Taisho Period) (1912-1926)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

มีผู้กล่าวว่ารัชสมัยไทโชคือยุคประชาธิปไตยและความทันสมัย<br />

ของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการกล่าวเพียงด้านเดียว ในภาพทั้งหมดมันเป็น<br />

ยุคแห่งความขัดแย้งระหว่างค่านิยมแบบอนุรักษ์นิยมและค่านิยม<br />

ของวัฒนธรรมตะวันตกที่สร้างขึ้นในสมัยเมจิ การเบ่งบานของ<br />

วัฒนธรรมแบบใหม่ทำให้ยุคนี้เต็มไปด้วยความสับสนและขัดแย้ง<br />

แต่ขณะเดียวกันก็ได้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมายรวมทั้ง<br />

สถาปัตยกรรม<br />

จักพรรดิไทโช (1879-1926)<br />

เศรษฐกิจที่ตกต่ำเป็นมรดกที่รัชสมัยเมจิทิ้งไว้ การลงทุน<br />

มากมายที่ขาดเงินสนับสนุนและหนี้สินต่างประเทศ การต่อสู้ทาง<br />

วัฒนธรรมระหว่างค่านิยมตะวันตกกับแนวคิดอนุรักษ์นิยม<br />

ในทางการเมืองระบอบประชาธิปไตยที่เรียกร้องกันมาในรัชกาล<br />

ก่อนกำลังมีปัญหาในทางปฏิบัติ รัฐบาลประชาธิปไตยที่บริหาร<br />

โดยนักการเมืองและพรรคการเมือง อ่อนแอไม่มั่นคงจากปัญหา<br />

การเมืองภายในประเทศ ปัญหาเศรษฐกิจปากท้องประชาชนและ<br />

ปัญหาการเมืองระหว่างประเทศ การเลือกตั้งนายกรัฐมนตรีไม่ได้<br />

มาจากสภา แต่มาจากขุนนางอาวุโสสมัยเมจิ(เก็นโร) เพียงผู้เดียว<br />

68 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ซึ่งจะเป็นองคมนตรีด้วยเกือบทั้งหมด เป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้นายก<br />

รัฐมนตรีต้องลาออกกลางคันเสมอ เพราะไม่มีอำนาจพอในการแก้<br />

ปัญหาบ้านเมือง<br />

โดยเฉลี่ยแล้วรัฐบาลมีอายุน้อยกว่า 1 ปี มีความก้าวหน้า<br />

ทางการเมืองอยู่บ้างที่รัฐบาลออกกฎหมายให้สิทธิ์ชายทุกคนที่อายุ<br />

ครบ 25 ปี มีสิทธิเลือกตั้งได้ใน ค.ศ. 1925 แต่ขณะเดียวกันก็ออก<br />

กฎหมายรักษาความมั่นคง ให้สิทธิรัฐบาลในการจับกุมผู้เป็นภัยต่อ<br />

ความมั่นคง อันได้แก่พวกนิยมตะวันตก พวกที่มีความคิดใหม่และ<br />

พวกที่นิยมคอมมิวนิสต์ ส่งผลให้มีการปราบปรามพวกฝ่ายซ้าย<br />

รวมทั้งพวกฝ่ายขวาอย่างรุนแรงใน ค.ศ. 1928 ความพอใจใน<br />

วัฒนธรรมตะวันตกไม่ใช่มีเฉพาะการเมืองแต่แพร่หลายทุกวงการ<br />

ชาวญี่ปุ่นสนใจในการบริโภควัฒนธรรมบันเทิงเช่น ภาพยนตร์<br />

การเต้นรำ การแสดงบนเวที การรับประทานอาหารตะวันตกและ<br />

จีน ความนิยมในดนตรีแจ๊สและคลาสสิคจนถึงการแสดงคาร์บาร์เร่<br />

และการมีพาร์ทเนอร์ให้บริการ ความสนใจในกีฬาเบสบอล เทนนิส<br />

กอล์ฟ สกี จนกระทั่งความนิยมในวรรณกรรมตะวันตก การเติบโต<br />

ของเสรีนิยมมีรากฐานมาจากรัฐธรรมนูญที่ประกันสิทธิเสรีภาพ<br />

ในการพูดและเขียนแก่ประชาชน รวมทั้งการให้สิทธิการเลือกตั้ง<br />

อย่างกว้างขวาง ช่วงทศวรรษ 1920 จึงเป็นยุคทองของเสรีนิยม<br />

การเป็นประเทศอุตสาหกรรมใหม่ไม่ได้มีแต่ผลดีแต่ทำให้เกิด<br />

ความไม่สมดุลในการตั้งถิ่นฐาน ประชาชนจากชนบทหลั่งไหลเข้า<br />

มาในเมืองเพื่อค่าจ้างที่แพงกว่า นำปัญหาสังคมยุ่งยากตามมาเช่น<br />

ชุมชนแออัด ช่องว่างทางสังคม-เศรษฐกิจระหว่างคนรายได้สูงใน<br />

เมืองกับคนรายได้น้อยในภาคการเกษตร ชนชั้นกลางที่เกิดใหม่ก็<br />

มีปัญหาจากค่าครองชีพที่เพิ่มเป็น 2 เท่าใน 10 ปี สิ่งเหล่านี้กระตุ้น<br />

ให้เกิดลัทธิคลั่งชาติที่ชี้ให้เห็นความล้มเหลวของระบอบ<br />

ประชาธิปไตยและรัฐบาลเลือกตั้ง ประชาชนฝักใฝ่ลัทธิคลั ่งชาติ<br />

เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อรวมกับลัทธิหลงเชื้อชาติบริสุทธิ์ที่ฝังรากลึก<br />

ในสังคมญี่ปุ่น จึงนำไปสู่การเลือกลัทธิทหารในทศวรรษ 1930<br />

ในทางเศรษฐกิจการเป็นฝ่ายผู้ชนะในสงครามโลกครั้งที่ 1<br />

ทำให้ญี่ปุ่นได้ผลประโยชน์ทั ้งหลายของเยอรมันบนแผ่นดินจีน<br />

และได้สัมปทานจากจีนเพิ่มขึ้นอีกใน ค.ศ. 1915 จากข้อเรียกร้อง<br />

21 ประการ สงครามในยุโรปในช่วง ค.ศ. 1914-1918 ทำให้<br />

อุตสาหกรรมทุกอย่างของญี่ปุ่นรวมทั้งการผลิตอาวุธเติบโตขึ้น<br />

ระหว่าง ค.ศ. 1914-1919 ผลผลิตมวลรวมประชาชาติ (GNP)<br />

โตขึ้น 3 เท่า 31 รายได้ประจำปีงบประมาณ 1918 เพิ่มจากปีก่อน<br />

ถึง 10 เท่า แต่กลับไปสู่สถานะเดิมเมื่อสงครามสงบและยุโรป<br />

กลับมาผลิตสินค้าได้อีก ญี่ปุ่นกลายเป็นประเทศอุตสาหกรรม<br />

อย่างเต็มตัวทั้งอุตสาหกรรมหนักและอุตสาหกรรมเบา และยึด<br />

เอเชียเป็นตลาดหลักโดยเฉพาะสิ่งทอ แต่เศรษฐกิจภายในประเทศ<br />

กลับกระจายรายได้ไม่ดีประชาชนรายได้สูงเท่านั้นที่มีคุณภาพชีวิต<br />

ที่ดี ขณะที่พวกกรรมกรและคนส่วนใหญ่อยู่กันอย่างแร้นแค้นและ<br />

ก่อจลาจลมากมายใน ค.ศ. 1921 ส่วนในชนบทการครองชีพก็ฝืด<br />

เคืองรายได้จากการขายข้าวลดลง เพราะข้าวจากอาณานิคมที่ถูก<br />

กว่าเข้ามาตีตลาด ที่ดินทำกินของชาวนาก็ล้วนเป็นที่เช่า ทำให้<br />

เกิดการรวมตัวต่อต้านนายทุน ปัญหาเศรษฐกิจทำให้พรรค<br />

สังคมนิยมที่เน้นนโยบายรัฐสวัสดิการเติบโตและเป็นที่นิยม<br />

ความทะเยอทะยานที่ต้องการสร้างรัฐชาติที่ทันสมัยและ<br />

เข้มแข็งในสมัยเมจิพัฒนาต่อไปเป็นความต้องการเป็นเจ้าแห่งชาติ<br />

ในทวีปเอเชียเพื่อคานอำนาจ แบ่งปันผลประโยชน์และ<br />

ให้มหาอำนาจตะวันตกยอมรับในความเป็นมหาอำนาจใหม่ของตน<br />

นโยบายต่อเอเชียตะวันออกของญี่ปุ่นคือการยึดครองเกาหลี<br />

มองโกเลีย และแมนจูเรีย และให้จีนเป็นรัฐในการดูแล เพราะภูมิภาค<br />

เอเชียตะวันออกเป็นแหล่งวัตถุดิบ ตลาดสินค้าและแรงงานราคาถูก<br />

ของประเทศอุตสาหกรรมใหม่เช่นญี่ปุ่น นอกจากนั้นยังต้องการใช้จีน<br />

เป็นเส้นทางขยายจักรวรรดิไปยังคาบสมุทรอินโดจีนและเอเชีย<br />

ตะวันออกเฉียงใต้ ในช่วงต้นรัชกาลไทโช ค.ศ. 1914-1915<br />

นายพลยามากาตะ อากิโมโต (Yamagata Akimoto) 32 แปรเปลี่ยน<br />

ตนเองจากพวกสายเหยี่ยวมาเป็นพวกนิยมสันติ ต้องการมีไมตรี<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

69


แผ่นดินไหวใหญ่คันโต (1923)<br />

กับจีนเพื่อร่วมกันต่อต้านอิทธิพลตะวันตก เขาเห็นว่าการใช้ความ<br />

รุนแรงกับจีน จะทำให้จีนหันไปหาความคุ้มครองจากอเมริกา<br />

ซึ่งเป็นคู่แข่งของญี่ปุ่น ขณะที่พวกทหารหัวรุนแรงเห็นว่า<br />

ควรเอาชนะจีน รวมทั้งรัสเซียอย่างเบ็ดเสร็จ ซึ่งญี่ปุ่นเคยทำสำเร็จ<br />

มาแล้วในสมัยเมจิ แต่พวกนักการทูต นักการเมือง และนักธุรกิจ<br />

กลับเห็นด้วยกับฝ่ายสันติเพราะต้องการมีไมตรีอันดีกับต่างประเทศ<br />

เพื่อส่งเสริมการค้า แต่พวกชาตินิยมดำเนินการเชิงรุกโดยร่วมกับ<br />

สื่อมวลชนตั้งสมาคมโฆษณาแนวคิดชาตินิยมตั้งแต่ปลายยุคเมจิ<br />

สนับสนุนลัทธิคลั่งชาติ เช่น สมาคมโคกูริวไค (มังกรดำ) ใน ค.ศ. 1901<br />

นำโดยโทยามะ มิตสุรุ(Toyama Mitsuru) นิยมการใช้ความรุนแรง<br />

สุดโต่งเช่น การปลงพระชนม์ราชินีเกาหลีใน ค.ศ. 1895 เป็นต้น<br />

และได้รับความนิยมจากมวลชนมากขึ้นเรื่อยๆ นโยบายต่างประเทศ<br />

ในรัชสมัยไทโชจึงมีทั้งวิธีรุกรานและวิธีประนีประนอมสลับกันไป<br />

อย่างเช่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นประกาศสงครามกับ<br />

เยอรมนีใน ค.ศ. 1914 และโจมตีเมืองชิงเต่า เขตเช่าของเยอรมัน<br />

ในจีนและได้ชัยชนะ รวมทั้งบุกเข้าไปในอ่าวอาร์มูในไซบีเรียยึดครอง<br />

ดินแดนของรัสเซียอยู่ถึง ค.ศ. 1922 หลังจากยึดชิงเต่าแล้วญี่ปุ่น<br />

โดยรัฐบาลของโอกุมะ ชิเกโนบุ(Okuma Shigenobu) ยื่นข้อเรียกร้อง<br />

21 ประการ ให้รัฐบาลจีนยอมรับอิทธิพลของญี่ปุ่นเหนือแหลมชานตุง<br />

แทนที่เยอรมัน ยอมรับอิทธิพลของญี่ปุ่นเหนือแมนจูเรียและ<br />

มองโกเลีย ให้ญี่ปุ่นมีสิทธิร่วมในบริษัทเหมืองแร่ของจีน ให้ญี่ปุ่น<br />

มีสิทธิใช้ประโยชน์ในดินแดนอ่าว ฝั่งทะเลและหมู่เกาะของจีน<br />

ให้จีนจ้างที่ปรึกษาในการบริหารประเทศเป็นชาวญี่ปุ่น และให้ญี่ปุ่น<br />

ร่วมในกิจการตำรวจของจีน และจีนต้องปรึกษาญี่ปุ่นในการ<br />

อนุญาตให้ชาติอื่นลงทุนในมณฑลภาคใต้ของจีน รวมทั้งให้สิทธิ<br />

ญี่ปุ่นในการเผยแพร่ศาสนาพุทธนิกายญี่ปุ่นอย่างไรก็ตามข้อเรียกร้อง<br />

ตั้งแต่เรื่องจ้างที่ปรึกษาการบริหารประเทศญี่ปุ่นเป็นต้นไปไม่เป็น<br />

ที่ยอมรับจากมหาอำนาจตะวันตกโดยเฉพาะอเมริกา จึงตกไปในที่สุด<br />

70 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ยุคไทโช (1912-1926)<br />

กลุ่มบุนริฮา (1920)<br />

หลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ญี่ปุ่นรู้ตัวดีว่าถูกชาติตะวันตก<br />

โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและอังกฤษต่อต้าน จึงพยายามผ่อนปรน<br />

นโยบายขยายดินแดนอย่างก้าวร้าว โดยยอมลงนามในสนธิสัญญา<br />

กำหนดกำลังทางเรือของ 4 ชาติมหาอำนาจใน ค.ศ. 1921 และ<br />

ยอมรับประกันเอกราชอธิปไตยของจีนในสนธิสัญญา 9 มหาอำนาจ<br />

ใน ค.ศ. 1922 และยอมถอนทหารออกจากเกาะสะขะลินใน ค.ศ.<br />

1925 ทำให้ภาพลักษณ์ของญี่ปุ่นดีขึ ้น แต่ภายในประเทศพวก<br />

ชาตินิยมกลับเห็นว่ารัฐบาลอ่อนแอที่อ่อนข้อให้จีนและตะวันตก<br />

รวมทั้งเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่คันโตใน ค.ศ. 1923 ที่มีประชาชน<br />

เสียชีวิตและสูญหายถึง 180,000 คน ทำให้เกิดการฆ่าหมู่ชาว<br />

เกาหลีเพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้ลอบใส่ยาพิษลงในระบบประปา<br />

เพื่อฆ่าชาวญี่ปุ่น ทำให้ชาวเกาหลีถูกฆ่าตายไปจำนวนมาก ส่งผล<br />

ให้สหรัฐอเมริกาหาเหตุออกกฎหมายห้ามชาวตะวันออก<br />

รวมทั้งญี่ปุ่นเข้าประเทศ ค.ศ. 1924 พวกชาตินิยมญี่ปุ่นโกรธแค้น<br />

ที่การพยายามทำดีของญี่ปุ่นได้รับผลตอบแทนในทางตรงข้าม<br />

รัฐบาลประชาธิปไตย นักการเมืองและพรรคการเมืองเป็นแพะรับ<br />

บาปถูกมองว่าอ่อนแอไร้ค่า ประชาชนหันเหไปนิยมทหารเพิ่มมาก<br />

ขึ้น นำมาซึ่งนโยบายรุกรานต่างประเทศอย่างสมบูรณ์แบบใน<br />

ทศวรรษ 1930<br />

สถาปัตยกรรมในยุคนี้คือภาพสะท้อนของสังคมสมัยไทโช<br />

ที่ชัดเจน มันเป็นการต่อสู้ของอุดมการณ์ 2 แนวทางที่แข่งขันกัน<br />

เป็นทางออกให้กับสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นร่วมสมัย ได้แก่ แนวสมัย<br />

ใหม่ที ่นิยมตะวันตกและแนวชาตินิยมที่ต้องการอนุรักษ์ค่านิยม<br />

ดั้งเดิม ทั้ง 2 ฝ่ายต่างต่อสู้กันด้วยทฤษฎีและผลงานรูปธรรมที่ได้รับ<br />

การตอบรับจากสังคมอย่างสนใจเหมือนกันในตอนแรก แต่แตกต่าง<br />

กันในตอนหลังตามกระแสนิยมคลั่งชาติที่แก่กล้าขึ้นเรื่อยๆ<br />

สถาปนิกกลุ่มสมัยใหม่ใช้ชื่อว่ากลุ่มกบฏ (Sezession Group)<br />

หรือบุนริฮา (Bunriha) ใน ค.ศ. 1920 อีกกลุ่มหนึ่งเกิดใน ค.ศ. 1923<br />

เรียกตนเองว่า ซูชา (Sousha) พวกเขาเน้นตรรกะนิยมและเหตุผล<br />

ตัวแทนของกลุ่มชาตินิยมคือสถาปนิกนักประวัติศาสตร์<br />

สถาปัตยกรรมคนสำคัญ อิโตะ ชูตะ (Ito Chuta) เขาต้องการ<br />

สถาปัตยกรรมแบบใหม่ที่ไม่ตามตะวันตกและมี “วิวัฒนาการ”<br />

(Evolution) จากสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นที่เขาเชื่อว่าเชื่อมโยงกับ<br />

อารยธรรมกรีกโบราณ ซึ่งเป็นผลจากการศึกษานานหลายปีใน<br />

ภาคสนาม จากเกาะญี่ปุ่นไปแผ่นดินใหญ่จีน อินเดีย และยุโรป<br />

เขานำเสนอเป็นบทความ ตำรา และการบรรยายในชั้นเรียน<br />

ที่มหาวิทยาลัยโตเกียว ทำให้เขากลายเป็นคนสำคัญในการผลักดัน<br />

สถาปัตยกรรมแนวชาตินิยมไปตลอดจนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่2<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

กลุ่มบุนริฮาและแนวร่วม<br />

กลุ่มบุนริฮา (Bunriha หรือ Secessionist) บุนริฮา แปลว่า<br />

กบฏหรือแยกดินแดน เป็นชื่อของกลุ่มสถาปนิกรุ่นใหม่ที่ก่อตั้ง<br />

ขึ้นใน ค.ศ. 1920 มีอุดมการณ์ใหม่ทางสถาปัตยกรรมคือไม่<br />

ต้องการออกแบบสถาปัตยกรรมแบบผสมผสาน ที่อ้างอิงอยู่กับ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

71


โฮริกูชิ ซูเตมิ (1895-1984)<br />

สถาปัตยกรรมตะวันตกโบราณอีกต่อไป นั่นคือต้องการแตกหัก<br />

กับแนวทางออกแบบเดิมของสถาปนิกยุคเมจิ ขณะเดียวกันก็มี<br />

ความคิดว่าสิ่งสำคัญที่สุดของสถาปัตยกรรมคือศิลปะและความงาม<br />

ที่ผ่านการแสดงออก (Expression) ของปัจเจกบุคคล (Individual)<br />

เป็นความเห็นแย้งโดยตรงกับแนวคิดของซาโน โตชิคาตะที ่กล่าว<br />

ว่าความสำคัญของสถาปัตยกรรมอยู่ที่ความแข็งแรงของโครงสร้าง<br />

และประโยชน์ใช้งาน 33 ซึ่งเป็นความงดงามที่เหมาะสมกับประเทศ<br />

ญี่ปุ่นที่ยังไม่ร่ำรวยเหมือนชาติตะวันตก กลุ่มบุนริฮาประกอบด้วย<br />

สมาชิกคนสำคัญคือโฮริกูชิ ซูเตมิ (Horiguchi Sutemi) (1895-<br />

1984) ยามาดะ มาโมรุ (Yamada Mamoru) (1894-1966) อิชิโม<br />

โตะ คิกูชิ (Ishimoto Kikuchi) (1894-1963) ทากิซาวา มายูมิ<br />

(Takizawa Mayumi) (1896-1983) โมริตะ ไคอิชิ(Morita Kaiichi)<br />

(1895-1983) ยาดะ ชิเกรุ (Yada Shigeru) (1896-1958) ชื่อบุนริ<br />

ฮาในภาษาญี่ปุ่นมาจากชื่อของกลุ่มซีเซสชั่นนิสแห่งเวียนนาของ<br />

กลุ่มสถาปนิกหัวก้าวหน้าที่นำโดยออตโต วากเนอร์(Otto Wagner)<br />

และเจเอ็ม โอลบริช (J.M. Olbrich) ซึ่งทำงานสถาปัตยกรรมแนว<br />

ใหม่เรียกว่า อาร์ตนูโวในทศวรรษ 1890 ที่ต้องการแสดงผลงาน<br />

สถาปัตยกรรมที่ไม่ยึดติดแบบสถาปัตยกรรมโบราณ บุนริฮา<br />

เกิดหลังกลุ่มนี้ถึง 3 ทศวรรษ จึงได้อิทธิพลจากกลุ่มสถาปัตยกรรม<br />

แนวคิดอื่นๆ ที่ตามหลังมาด้วย เช่นพวกฟิวเจอร์ริสม์ (Futurism)<br />

เดอสติล (De Stijl) และเอ๊กเพรสชั่นนิสม์ (Expressionism) ด้วย<br />

กลุ่มทั้งหมดนี้เกิดขึ้นในยุโรปและมีแนวคิดร่วมกันคือไม่ต้องการ<br />

สถาปัตยกรรมรูปแบบโบราณ บุนริฮาเองก็ประกาศอุดมการณ์ว่า<br />

“ลุกขึ้นมาเถิดเรา สร้างอาณาจักรสถาปัตย์ใหม่ ที่มีความ<br />

หมายแท้จริง เราจะแยกตัวจากอาณาจักรสถาปัตย์แห่งอดีต<br />

ลุกขึ้นมาเถิดเรา ปลุกผู้หลับใหลในอาณาจักรสถาปัตย์แห่ง<br />

อดีต ช่วยเขาให้รอดตายจากการจมดิ่ง<br />

เราลุกขึ้นอย่างปิติ อุทิศอุตสาหะเพื่ออุดมการณ์ปรากฏ<br />

เราจะรอด้วยหวัง<br />

จนกว่าจะล้มลง ตาย เราขอประกาศด้วยทำนองประสาน<br />

ของดนตรีต่อหน้าชาวโลกทั้งมวล...” 34<br />

72 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


แต่ขณะเดียวกันบุนริฮาก็ไม่ต้องการตัดขาดจาก<br />

สถาปัตยกรรมโบราณเสียทีเดียว โฮริกูชิเขียนว่าสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้นมาได้โดยตัดขาดจากสถาปัตยกรรม<br />

แห่งอดีต “...เราได้ดูดซึมจารีตประเพณีเข้าไปในเลือดและ<br />

กล้ามเนื้อ และมันสุกงอมอยู่ในทุกเซลล์ในร่างกายของเรา...” 35<br />

มรดกสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นมีความหมายสำหรับเขาเหมือนอิโตะ<br />

แต่มันเป็นไปคนละแบบ เขาเป็นผู้ริเริ่มการประสานความเป็นญี่ปุ่น<br />

ลงในสถาปัตยกรรมอีกแบบหนึ่งนั่นคือสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ผลงาน<br />

นิทรรศการกลุ่มบุนริฮา ค.ศ.1921<br />

หอคอยอนุสรณ์ ในงานนิทรรศการแห่งสันติภาพ (1922)<br />

ผลงานที่สร้างชื่อเสียงให้กับกลุ่มบุนริฮาคือแนวความคิด<br />

ที่แสดงผ่านแบบร่างที่จัดให้ชมในนิทรรศการ 7 ครั้ง 36 ในโตเกียว<br />

และอีก 2 ครั้งในเกียวโตและโอซาก้า ระหว่าง ค.ศ. 1920-1928<br />

ผลงานใน ค.ศ. 1920 ยังไม่มีอะไรแปลกมาก งานของมาโมรุดู<br />

คล้ายมหาสถูปที่สาญจี ขณะที่งานของยาดะเป็นอาคารทรง<br />

สี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยงแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ งานของโฮริกูชิ<br />

และทากิซาว่าดูคล้ายงานอาร์ตนูโวยุคแรกๆ<br />

นิทรรศการปี ค.ศ. 1921 เห็นความก้าวหน้าในการออกแบบ<br />

มากขึ้น งานแสดงมีรูปทรงอิสระคล้ายพวกเปลือกหอยและปะการัง<br />

หรือประติมากรรมหล่อด้วยปูน โดยเฉพาะงานที่ชื่อโครงการบ้าน<br />

บนภูเขา (A Mountain House Project) ของทากิซาว่า มายูมิที่ดูเหมือน<br />

กระดองของสัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ ำ เห็นได้ชัดว่าได้อิทธิพลมาจากสถาปนิก<br />

แนวเอ๊กเพรสชั่น นิสม์ (Expressionism) ของเยอรมันที่ชื่อเอริก<br />

เมนเดลโซน (Erich Mendelsohn) ในผลงานชื่อไอสไตน์ทาวเวอร์<br />

(Einstein Tower) ในเมืองพอทสดัม (Potsdam) ราว ค.ศ. 1917<br />

หรือ 1920-1921<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

73


ผลงานของสถาปนิกหลายคนในกลุ่มมีลักษณะโดดเด่นล้ ำยุค<br />

เช่น หอคอยอนุสรณ์ (Memorial Tower) ในงานนิทรรศการ<br />

แห่งสันติภาพ (Peace Exhibition) ที่สวนอูเอโนในกรุงโตเกียว<br />

ใน ค.ศ. 1922 โดยโฮริกูชิ มีลักษณะเป็นหอคอยยอดเป็นแท่งสูง<br />

ลดหลั่นกันคล้ายนิ้วมือเหมือนงานHochzeitsturm ที่แมททิลเดนโฮ<br />

(Mathildenhohe) เมืองดาร์มชตัท (Darmstadt) ในเยอรมนี<br />

ค.ศ. 1907-1908 โดยเจเอ็ม โอลบริช<br />

อาคารสำนักงานกลางโทรเลขแห่งกรุงโตเกียว (Tokyo Central<br />

Telegraph Office) (1925) ออกแบบโดยยามาดา มาโมรุ (Yamada<br />

Mamoru) มีความแปลกล้ำสะดุดตา ผังเป็นรูปตัว L ที่มีรูปด้าน<br />

ไม่เหมือนกันเลยสักด้านหนึ่ง เพราะการเจาะช่องหน้าต่างที่ตั้งใจ<br />

ให้แตกต่างกัน มุขทิศเหนือของผนังด้านตะวันออกเป็นทางเข้า<br />

ทำเป็นประตูโค้งสูง 6 ชั้น ตรงกลางเจาะช่องเปิดกรุกระจก ผนังที่เหลือ<br />

อวดเสาโครงสร้างเรียงเป็นแถวมีหน้าต่างบานคู่เรียงเต็มช่วงเสา<br />

ผนังด้านทิศตะวันตกทำเหมือนด้านทิศตะวันออก ขณะที่ผนังด้าน<br />

ทิศเหนือออกแบบเป็นช่องผอมสูงคลุมด้วยหลังคาโค้งมนสูง<br />

จนเกือบเป็นโค้งยอดแหลมเรียงต่อเป็นแถว โดยภาพรวมแล้ว<br />

น่าจะได้อิทธิพลลัทธิเอ๊กเพรสชั่นนิสม์(Expressionism) โดยเฉพาะ<br />

จากโรงละครใหญ่แห่งเบอร์ลิน (Berlin Schauspielhaus) โดยฮานส์<br />

โพลซิก (Hans Poelzig) ค.ศ. 1919 และโรงละครแห่งซาลสบวก<br />

(Salzburg Festspielhaus) ค.ศ. 1920-1922 ของสถาปนิกคนเดียวกัน 37<br />

ขวา ผังพื้นอาคารสำนักงานกลาง<br />

โทรเลขแห่งกรุงโตเกียว<br />

ล่าง อาคารสำนักงานกลางโทรเลข<br />

แห่งกรุงโตเกียว (1922)<br />

74 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


อาคารสำนักงานหนังสือพิมพ์อาซาฮี (Asahi Newspaper<br />

Office ที่ซูกิยาบาชิ (Sukiyabashi) ในกรุงโตเกียว ค.ศ. 1927<br />

โดยอิชิโมโต คิกูจิ (Ishimoto Kikuji) เป็นอาคารคอนกรีตทรง<br />

สี่เหลี่ยมที่มีช่องหน้าต่างรูปครึ่งวงกลมเรียงกันหนาแน่นคล้ายรังผึ้ง<br />

เป็นการใช้ช่องเปิดและรูปทรงอาคารที่ได้อิทธิพลจากโรงงาน<br />

อุตสาหกรรมเคมี Milch and Company Chemical Plant 38<br />

ในเมืองลูบัน (Luban) ประเทศโปแลนด์ ค.ศ. 1912 ออกแบบโดย<br />

ฮานส์ โพลซิกเช่นกัน<br />

บน สำนักงานหนังสือพิมพ์อาซาฮี (1927)<br />

ขวา โรงงานอุตสาหกรรมเคมีลูบัน โปแลนด์ (1912)<br />

ผลงานที่แปลกอีกงานหนึ่งเป็นอาคารพักอาศัยที่ชื่อชิเอ็นโซ<br />

(Shienso) 39 ที่เมืองวาราบิ (Warabi) จังหวัดไซตะมะ (Saitama)<br />

ออกแบบโดยโฮริกูชิใน ค.ศ. 1926 บ้านหลังนี้มีลักษณะลูกผสม<br />

ตะวันออกและตะวันตก ทั้งภายในและภายนอกอาคาร ลักษณะ<br />

ภายนอกอาคารโดดเด่นด้วยหลังคาทรงกระโจมแหลมสูงที่มุงด้วย<br />

หญ้าคลุมทับไปบนหลังคาคอนกรีตแบนที่เชื่อมต่อกันอย่างทื่อๆ<br />

ขณะที่ผนังของบ้านเป็นผนังเรียบแบบกล่องสี่เหลี่ยม ส่วนภายใน<br />

อาคารตกแต่งด้วยเครื่องเรือนแบบตะวันตก แต่เจาะช่องหน้าต่าง<br />

กลมแบบญี่ปุ่นในลักษณะประยุกต์ ส่วนฝ้าเพดานตีเป็นตาราง<br />

สี่เหลี่ยมกรุด้วยวัสดุที่ดูเหมือนเสื่อญี่ปุ่น ลักษณะรูปแบบของบ้าน<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

75


น่าจะมาจากวิลล่า เบ็นเค็นฮอค (Villa Benkenhock) (The Arc) 40<br />

ค.ศ. 1916-1918 ของมาร์กิต ครอปฮอลเลอร์(Margit Kropholler)<br />

สถาปนิกชาวดัตช์ในกลุ่มอัมสเตอร์ดัมสคูลส์โคโลนี่ (Amsterdam<br />

School’s Colony) ในเบอร์เกน (Bergen) เนเธอร์แลนด์ ที่โฮริกูชิ<br />

เอารูปมาลงในหนังสือที่ตนเขียนชื่อ เคนชิกุ รอนกิ (Kenchiku<br />

rongi) ส่วนการออกแบบภายในน่าจะมาจากการสร้างสรรค์ของเขา<br />

เอง อาคารหลังนี้จึงสร้างลักษณะกำกวมระหว่างตะวันออกกับตะวัน<br />

ตก ที่สะท้อนให้เห็นว่าสถาปนิกยังมีความฝังอกฝังใจในงานแบบ<br />

ญี่ปุ่นโบราณไม่เสื่อมคลาย เช่นเดียวกับสถาปนิกสมัยใหม่อีกหลาย<br />

คนที่จะกล่าวต่อไป เช่น โยชิดะ เท็ตสุโร (Yoshida Tetsuro) เป็นต้น<br />

บน ผังพื้นบ้านบ้านชิเอ็นโซ<br />

ล่าง บ้านชิเอ็นโซ (1926)<br />

กลุ่มซูชา (The Sousha) (การสร้างสรรค์สังคมสากล) ตั้งขึ้น<br />

ใน ค.ศ. 1923 โดยกลุ่มช่างเขียนแบบและวิศวกรของกระทรวง<br />

คมนาคม มียามากูชิ บันโซ (Yamaguchi Bunzo) เป็นผู้นำที่เป็น<br />

สมาชิกของบุนริฮามาก่อน และเพื่อนอีก 4 คน ในช่วงที่กลุ่มนี้ก่อ<br />

ตั้งนั้นกระทรวงคมนาคมได้ชื่อว่าเป็นหน่วยงานราชการ<br />

ที่ออกแบบอาคารทันสมัยมากที่สุด เพื่อสะท้อนความก้าวหน้าทัน<br />

สมัยทางเทคโนโลยีของญี่ปุ่น กลุ่มซูชาเน้นแนวคิดแบบเหตุผลนิยม<br />

(Rationalism) หรือโกริชูเกอิ (Gorishugei) เพื่อสร้างสภาพ<br />

แวดล้อมการอยู่อาศัยและการทำงานที่มีประสิทธิภาพ 41 และต้อง<br />

เป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ไม่ประนีประนอมในรูปแบบกับ<br />

76 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมโบราณ กลุ่มซูชาได้รับอิทธิพลจากลัทธิมาร์กซ์<br />

(Marxism) ที่แพร่กระจายในหมู่ปัญญาชนญี่ปุ่นในทศวรรษที่1920<br />

สภาพเศรษฐกิจญี่ปุ่นที่เติบโตน้อยในช่วงนั้นทำให้ประชาชน<br />

เสื่อมศรัทธาในนักการเมืองที่ทุจริต รวมทั้งระบอบประชาธิปไตย<br />

ที่อ่อนแอและเอื้อประโยชน์ให้นายทุนและชนชั้นสูง พวกเขาหันไป<br />

หาความสำเร็จของพรรคบอลเชวิกในรัสเซีย หรือไม่ก็นิยมฝ่ายขวา<br />

จัดที่นำโดยทหารไปเลย บันโซกล่าวว่า “เนื้อหาของโครงการออกแบบ<br />

หนึ่งเป็นผลจากสถานะทางชนชั้นของศิลปินผู้นั้น ซึ่งถ้าไม่ใช่เพื่อ<br />

ชนชั้นกรรมาชีพก็เพื่อพวกนายทุน 42 ผลงานของกลุ่มโซชาเป็น<br />

โครงการสังคมสวัสดิการเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของชนชั้น<br />

กรรมาชีพเป็นหลักเช่น โครงการในอุดมคติที่เน้นการเคหะคุณภาพดี<br />

สำหรับกรรมกร โดยได้รับอิทธิพลจากโครงการเคหะ (Siedlung)<br />

ในเบอร์ลินในช่วงทศวรรษ 1920 ของกลุ่มสถาปนิกเยอรมัน เช่น<br />

โกรเปียส (Walter Gropius) และคณะ เป็นต้น<br />

ผลงาน<br />

บน บ้านวิลล่า เบ็นเค็นฮอค (1916-1918) เนเธอแลนด์<br />

ล่าง โครงการออกแบบการเคหะสำหรับกรรมกรทอผ้าสตรี (1930)<br />

โครงการออกแบบการเคหะสำหรับกรรมกรทอผ้าสตรี<br />

โดยยามากูชิ ตีพิมพ์ในวารสารโกกูไซเคนชิกุ(Kokusai Kenchiku)<br />

ฉบับที่6 เดือนมิถุนายน ค.ศ. 1930 แสดงรูปแบบอาคารทรงกล่อง<br />

สี่เหลี่ยมเรียบ ๆ ผนังเรียบเกลี้ยงสีขาว มีหน้าต่างกระจกเป็นแถบยาว<br />

ซึ่งภายในเป็นพื้นที่ห้องนอน สลับคนละช่วงกับผนังแบบกรุกระจก<br />

ล้วนทั้งผืนที่ภายในเป็นพื้นที่ห้องโถง เห็นได้ชัดว่าได้อิทธิพล<br />

มาจากเคหะเดสเซา-ทอร์เท็น (Siedlung Dessau-Torten) ในเยอรมัน<br />

ออกแบบโดยโกรเปียสใน ค.ศ. 1926 การเติบโตของฝ่ายซ้ายที่เป็นไป<br />

อย่างกว้างขวาง ทำให้รัฐบาลขวาจัดกดดันกิจกรรมทุกอย่างของ<br />

ฝ่ายซ้ายรวมทั้งกลุ่มโซชาด้วยยามากูชิต้องเดินทางออกนอกประเทศ<br />

ไปทำงานกับโกรเปียสที่เบาเฮาส์ (Bauhaus) ในเมืองเดสเซา<br />

(Dessau) ในเยอรมัน กิจกรรมของกลุ่มจึงจบสิ้นลงในทศวรรษ 1930<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

77


ผลงานสถาปัตยกรรมแนวสมัยใหม่ของสถาปนิกคนอื่น ๆ<br />

ซาโน โตชิคาตะ (ริกิ) (Sano Toshikata (Riki)) หัวหน้าภาค<br />

วิชาวิศวกรรมอาคารแห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวคนต่อจากทัตสุโนะ<br />

คิงโกะ เขามีบทบาทสำคัญมาแล้วตั้งแต่ปลายยุคเมจิ ในการ<br />

สนับสนุนแนวคิดเชิงเหตุผลนิยม และเน้นการออกแบบโครงสร้าง<br />

ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าความสวยงาม ใน ค.ศ. 1911 เขาเขียนว่า<br />

“ในสถานะของชาติเราปัจจุบัน ถ้าเราตัดสินว่าจะสร้างความ<br />

ยุติธรรมสำหรับความต้องการที่สำคัญที่สุดที่จะเป็นประโยชน์<br />

ต่อทุกคนในชาติ ดังนั้นแล้วสถาปนิกญี่ปุ่นควรสร้างงานของตน<br />

บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์และเป็นวิศวกร...ความรับผิดชอบ<br />

ที่สำคัญที่สุดของสถาปนิกญี่ปุ่นคือความเข้าใจปัญหาที่ว่า<br />

ต้องสร้างอาคารที่แข็งแรง มีประสิทธิผลมากที่สุด ในราคาที่รับได้<br />

อย่างไร...” 43 เขาดำรงตำแหน่งศาสตราจารย์ใน ค.ศ. 1918 และ<br />

เป็นผู้เชี่ยวชาญในการออกแบบอาคารต่อต้านแผ่นดินไหว<br />

งานวิจัยของซาโนให้ความสำคัญต่อการใช้โครงสร้างเหล็กและ<br />

คอนกรีตเสริมเหล็กในการต่อต้านแผ่นดินไหว ที่วัสดุและวิธีการ<br />

ก่อสร้างด้วยอิฐและกำแพงอิฐรับน้ำหนักในสมัยเมจิป้องกันไม่ได้<br />

บน ผังพื้นบ้านซาโน<br />

ซ้าย บ้านซาโน (1923)<br />

78 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผลงานที่น่าสนใจของเขา ได้แก่ บ้านพักของเขาเอง (Sano<br />

Toshikata Residence) 44 (1923) ในโอซาก้า เป็นโครงสร้าง<br />

คอนกรีตเสริมเหล็ก 2 ชั้น ผังรูปตัว T ส่วนหัวของรูปตัว T เป็น<br />

พื้นที่บริการของบ้าน ส่วนปลายรูปตัว T ชั้นล่างเป็นโถงและห้อง<br />

รับแขก ชั้นบนเป็นห้องนอน การแบ่งห้องในส่วนพักอาศัยทำอย่าง<br />

เรียบง่ายและตรงไปตรงมามาก โดยการลากเส้นแกนดิ่งและ<br />

แกนราบผ่านจุดกึ่งกลางห้องแบ่งพื้นที่เป็น 4 ห้องตามประสงค์<br />

รูปลักษณ์ภายนอกอาคารเป็นรูปทรงเรขาคณิตเรียบเกลี้ยง<br />

การเจาะช่องประตูหน้าต่างและการกำหนดความสูงเป็นไปตาม<br />

ประโยชน์ใช้งาน ทำให้บ้านหลังนี้มีลักษณะคล้ายกับบ้านของ<br />

อดอล์ฟ ลูส์ (Adolf Loos) ชื่อสไตเนอร์เฮาส์ (Steiner House)<br />

(1910) ในกรุงเวียนนาอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าเปรียบเทียบงานของ<br />

ซาโนกับบ้านไรนานซากา (Reinanzaka) (1924) ของแอนโตนิน<br />

เรย์มอนด์ (Antonin Raymond) ที่สร้างในเวลาไล่เลี่ยกันแล้ว<br />

จะเห็นว่าแม้ว่าสถาปนิกญี่ปุ่นจะเรียนรู้เทคนิคการก่อสร้างแบบ<br />

คอนกรีตเสริมเหล็กได้ทัดเทียมตะวันตกแล้ว แต่ศิลปะการ<br />

ออกแบบอย่างตะวันตกยังอยู่ห่างไกลกัน<br />

แอนโตนิน เรย์มอนด์ (Antonin Raymond) (1888-1976)<br />

เป็นสถาปนิกอเมริกันเกิดในสาธารณรัฐเช็ค (Czech Republic)<br />

เดินทางมาญี่ปุ่นในฐานะผู้ช่วยของสถาปนิกแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์<br />

(Frank Lloyd Wright) ออกแบบโรงแรมอิมพีเรียลโตเกียว<br />

(Imperial Hotel Tokyo) ใน ค.ศ. 1920 หลังจากทำงานให้ไรท์ไม่นาน<br />

เขาก็ถูกไล่ออก เพราะความเห็นไม่ลงรอยกัน เขาเห็นว่าโรงแรมนี้<br />

เป็นอนุสาวรีย์ส่วนตัวของไรท์ ไม่มีสิ่งใดสอดคล้องกับบริบท<br />

ทางกายภาพและวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเลย นอกจากสำนวนจาก<br />

ฝีปากของไรท์ที่ล่องลอยหาแก่นสารไม่ได้ หลังจากเป็นอิสระเขา<br />

อาศัยต่อในญี่ปุ่นหลายปีและได้ออกแบบสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในญี่ปุ่นหลายงาน และนับเป็นสถาปนิกชาวตะวันตกรุ่นบุกเบิก<br />

อีกคนหนึ่งที่มีอิทธิพลต่อสถาปนิกพื้นเมืองญี่ปุ่นในการนำสถาปัตย-<br />

กรรมแบบตะวันตกมาเผยแพร่ในญี่ปุ่นต่อจากคอนเดอร์ แต่คราวนี้<br />

เป็นสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่(International modern)<br />

แอนโตนิน เรย์มอนด์ (1888-1976)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

79


บ้านไรนานซากา (Reinanzaka House) ผลงานชิ้นแรก<br />

ของเขาในญี่ปุ่นนี้เป็นบ้านของเขาเองสร้าง ค.ศ. 1924 ที่ย่านอาซาบุ<br />

(Azabu) ในกรุงโตเกียว ผังอาคารเป็นรูปตัว U 45 ด้านหนึ่งเป็น<br />

ที่จอดรถ ตอนกลางเป็นครัว ด้านขวาเป็นห้องทำงานและพักผ่อน<br />

มีบันไดเวียนขึ้นชั้นบนที่เป็นห้องนอนและห้องท ำงาน ลักษณะอาคาร<br />

เป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยม โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กแบบกำแพง<br />

รับน้ำหนัก 46 ผสมโครงสร้างแบบกรอบเสารับคาน เจาะช่องประตู<br />

หน้าต่างตามประโยชน์ใช้สอย เมื่อพิจารณาจากการจัดที่ว่าง รูปทรง<br />

และผังพื ้นแล้ว น่าจะได้รับอิทธิพลมาจากทั้งโกรเปียสและคอร์บู<br />

(Le Corbusier) แต่หากพิจารณาลักษณะโครงสร้างแล้วยังติด<br />

วิธีการโบราณอยู่มากเพราะใช้ระบบก ำแพงรับน้ำหนัก (Wall bearing)<br />

ที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ไม่ใช่โครงสร้างแบบกรอบเสารับคาน<br />

(Frame) ล้วนๆ ของพวกสากลนิยมสมัยใหม่ในยุโรป อย่างไรก็ตาม<br />

ผลงานต่อๆ ไปของเขาจะส่งอิทธิพลมากให้สถาปนิกญี่ปุ่นในช่วง<br />

ปลายทศวรรษ 1920 ต่อ 1930<br />

บน ผังพื้นบ้านไรนานซากา<br />

ซ้าย บ้านไรนานซากา (1924)<br />

80 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


อูชิดะ โยชิคาสุ (Uchida Yoshikazu) (1885-1972) เป็นลูกศิษย์<br />

ของซาโนที่มหาวิทยาลัยโตเกียว และเป็นอาจารย์สอนวิชาโครงสร้าง<br />

ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ตั้งแต่ค.ศ. 1911 หลังจากแผ่นดินไหวใหญ่<br />

คันโตถล่มกรุงโตเกียวราบเป็นหน้ากลองแล้ว อูชิดะได้รับโอกาส<br />

ในการทำงานสำคัญคือ สร้างมหาวิทยาลัยโตเกียวที่พังพินาศไป<br />

ให้คืนกลับมาใหม่ทั้งวิทยาเขต งานสำคัญที่สุดคือหอประชุมยาสุดะ<br />

(Yasuda Auditorium) ของมหาวิทยาลัย สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1925<br />

มีผังเป็นรูปครึ่งวงกลมตั้งบนรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเหมือนผังโรงละคร<br />

(theatre) ของกรีกโบราณ พื้นที่ครึ่งวงกลมเป็นส่วนที่นั่งของ<br />

หอประชุม ผังอาคารสี ่เหลี่ยมด้านหลังเป็นเวทีและโถงทางเข้า<br />

อาคารหันด้านสี่เหลี่ยมออกด้านหน้า ลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐที่มี<br />

หอคอยกลางสูงชะลูด แล้วค่อย ๆ ลดหลั่นลงเป็นชั้น ๆ ทั้งสองข้าง<br />

แม้ว่าจะเป็นทรงสี่เหลี่ยมที่ดูเรียบง่ายแต่บรรยากาศเป็นงานแบบ<br />

โกธิคโบราณ 47 เพราะการเจาะช่องหน้าต่างที่สูงเรียวและประดับด้วย<br />

เสาอิงที่ผนังเป็นระยะๆ รวมทั้งซุ้มทางเข้าที่ท ำเป็นประตูยอดโค้งแหลม<br />

อีกด้วย จึงน่าจะเรียกอาคารแบบนี้ว่าอาร์ตเดคโค (Art Deco)<br />

มากกว่าอย่างอื่น นอกจากอาคารนี้แล้วอาคารที่เหลือทั้งวิทยาเขต<br />

ที่เขาออกแบบพร้อมกับผู้ช่วยคือ คิชิดะ ฮิเดโตะ (Kishida Hideto) 48<br />

ก็ออกแบบในลักษณะนี้ อย่างไรก็ตามในด้านโครงสร้าง อาคารหลังนี้<br />

กลับใช้วิธีการก่อสร้างที่ทันสมัยมาก เป็นโครงสร้างเสา-คาน<br />

คอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคาหอประชุมเป็นโครงสร้างเหล็กช่วงกว้าง 49<br />

อูชิดะ โยชิคาสุ (1885-1972)<br />

วิธีการออกแบบอาคารเช่นนี้ที่ใช้โครงสร้างและวัสดุแบบใหม่<br />

แต่หน้าตายังก้ ำกึ่งระหว่างงานสมัยใหม่ที่เรียบเกลี้ยงกับงานสมมาตร<br />

และท่วงท่าแบบโบราณนั้น ความจริงแล้วเป็นรูปงานที่แพร่หลายที่สุด<br />

ในหมู่สถาปนิกทั่วไป ไม่ใช่แบบสากลนิยมสมัยใหม่หรือแบบ<br />

โบราณจัดดังที่จะกล่าวต่อไป แต่ในที่สุดในช่วงทศวรรษ 1930<br />

ลัทธิชาตินิยมทหารกำลังแรงจัด งานแบบนี้ถูกดัดแปลงไปใส่<br />

หลังคาทรงวัดญี่ปุ่นโบราณ เพื่อสร้างอัตลักษณ์แบบญี่ปุ่นที่เรียกว่า<br />

มงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิ (Teikan Yoshiki) ในที่สุด<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

81


บน หอประชุมยาสุดะ (1925)<br />

ล่าง ผังพื้นหอประชุมยาสุดะ<br />

หน้าตรงข้าม<br />

บน อิโตะ ชูตะ (1867-1954)<br />

ล่าง แผนภูมิสถาปัตยกรรมโลกในตำรา<br />

ของบานิสเตอร์ เฟลชเชอร์ (1901)<br />

ลูกศรชี้ตำแหน่งสถาปัตยกรรมจีนและญี่ปุ่น<br />

82 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมชาตินิยม<br />

สถาปัตยกรรมแบบ “วิวัฒนาการ” ของอิโตะ ชูตะ<br />

อิโตะ ชูตะ (Ito Chuta) (1867-1954) เป็นสถาปนิกและ<br />

นักประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมคนสำคัญของญี่ปุ่นในศตวรรษที่20<br />

เขามีอิทธิพลต่อการสร้างแนวคิดและผลงานสถาปัตยกรรมแบบ<br />

ชาตินิยมญี่ปุ่นใหม่ตอนต้นศตวรรษที่ 20 จนถึงสิ้นสุดสงคราม<br />

โลกครั้งที่ 2<br />

แรงผลักดันทางสังคม<br />

อิโตะเติบโตในรัชสมัยเมจิตอนที่ญี่ปุ่นเริ่มบทบาท<br />

จักรวรรดินิยมและใช้นโยบายแผ่ขยายดินแดนโดยการทหาร<br />

ญี่ปุ่นรบชนะจีนในสงครามค.ศ. 1894-1895 ทำให้ญี่ปุ่นได้เกาะไต้หวัน<br />

และคาบสมุทรเกาหลีจากจีน สิบปีต่อมาญี่ปุ่นรบชนะรัสเซียใน<br />

ค.ศ. 1904-1905 ทำให้ญี่ปุ่นได้ดินแดนแหลมเลียวตุงและหมู่เกาะ<br />

สะขะลิน ผลของชัยชนะทำให้ดูเหมือนว่าโลกยอมรับในความเป็น<br />

มหาอำนาจของญี่ปุ่น แต่ในความเป็นจริงหลังสงครามโลกครั้งที่1<br />

ญี่ปุ่นรู้สึกไม่พอใจในการปฏิบัติที่ไม่เท่าเทียมระหว่างประเทศผู้ชนะ<br />

สงครามด้วยกันเอง ญี่ปุ่นรู้สึกว่าตนถูกปฏิบัติเหมือนประเทศที่<br />

ไม่ใช่มหาอำนาจเช่นตอนแรก<br />

แรงผลักดันทางวัฒนธรรมวิชาการ<br />

ในวงการวิชาการสถาปัตยกรรมปลายศตวรรษที่ 19 ตำรา<br />

ที่ใช้แพร่หลายในวงการศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นฐานคือ<br />

A History of Architecture in All Countries, from the Earliest<br />

Times to the Present Day (1874) และ History of Indian and<br />

Eastern Architecture...Forming the Third Volume of the New<br />

Edition of the ‘History of Architecture’ (1876) โดยเจมส์ เฟอร์กัสสัน<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

83


่<br />

(James Furgusson) จากตำราเล่มหลังนี้เองที่เขียนว่า<br />

“...สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นมีความน่าสนใจน้อยมาก ถ้าพ้นไปจากเกาะ<br />

ญี่ปุ ่นแล้วศิลปะของญี่ปุ ่นนั้น ไม่มีตำแหน่งจะให้ ถ้าเปรียบเทียบ<br />

กับงานที่เราได้กล่าวมาแล้วทั้งหลาย ดังนั้นจึงไม่มีที่ที่จะให้กับ<br />

50<br />

สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นในเวทีประวัติศาสตร์ แต่ขณะเดียวกันเขากลับ<br />

เขียนเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมอินเดียอย่างยืดยาวในตำราเล่มแรก<br />

(A History of Architecture(1874)) จนนำออกมาเรียบเรียงใหม่<br />

เป็นตำราเล่มที่ 2 (History of Indian and Eastern Architecture<br />

(1876)) ได้อีกเล่มหนึ่ง มีหลักฐานว่าอิโตะมีหนังสือเล่มนี้ฉบับตีพิมพ์<br />

ค.ศ. 1891 ซึ่งเขาเขียนลายมือคำว่า “ไม่” ในหลายแห่งของหนังสือ<br />

เพื่อแสดงความไม่เห็นด้วยกับเฟอร์กัสสัน 51 แนวความคิดในเชิง<br />

สูงส่งกว่าทางวัฒนธรรมยังมีให้เห็นอีกในตำรา A History of<br />

Architecture on the Comparative Method ฉบับ ค.ศ. 1901<br />

โดยบานิสเตอร์ เฟลชเชอร์ (Banister Fletcher) ที่เปรียบเทียบ<br />

สถาปัตยกรรมในโลกเป็นภาพต้นไม้ใหญ่ที่มีกิ่งก้านสาขาเป็น<br />

สถาปัตยกรรมของยุคสมัยและประเทศต่างๆ ตัวลำต้นใหญ่คือ<br />

สถาปัตยกรรมกรีก โรมันและโรมาเนสก์ ส่วนสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

ถูกวาดอยู่ในสาขาเล็กที่ห่างไกลใต้สถาปัตยกรรมจีน และจัดอยู่ใน<br />

จำพวกไม่ใช่รูปแบบทางประวัติศาสตร์ (non-historical styles)<br />

หรือไม่มีวิวัฒนาการนั่นเอง 52 นี่เป็นสิ่งที่อิโตะคิดว่าไม่ถูกต้อง<br />

เขาต้องการพิสูจน์ว่าสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นไม่เพียงแต่เป็นตัวแทน<br />

ของสถาปัตยกรรมเอเซียเท่านั้น ยังสามารถเชื่อมต่อกับต้นกำเนิด<br />

สถาปัตยกรรมของโลกตะวันตกอย่างกรีกได้อีกด้วย<br />

การที่อิโตะมีความต้องการเชื่อมโยงสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

กับสถาปัตยกรรมตะวันตกนั้น นอกจากจิตสำนึกแบบชาตินิยมแล้ว<br />

ยังมาจากรากฐานการศึกษาของเขาที่แผนกวิศวกรรมอาคารของ<br />

มหาวิทยาลัยโตเกียวที่คอนเดอร์ได้วางรากฐานการศึกษา<br />

ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมตะวันตกไว้อย่างดีตั้งแต่ต้น<br />

เขาถูกสอนว่าสถาปัตยกรรมเป็นทั้งศาสตร์และศิลปะ ประโยชน์<br />

ใช้สอยและความงาม 53 รอบรู้ประวัติศาสตร์และวัสดุในข้อสอบของ<br />

คอนเดอร์จะมีคำถามเช่น ให้เปรียบเทียบสถาปัตยกรรมกรีกกับ<br />

โกธิค เป็นต้น ต่อมาในสมัยที่ทัตสุโนะ คิงโกะเป็นหัวหน้าสาขาวิชา<br />

ทัตสุโนะได้เชิญคิโกะ คิโยโยชิ (Kigo Kiyoyoshi) ช่างไม้หลวงที่<br />

ซ่อมแซมพระราชวังในนครเกียวโตมาสอนสถาปัตยกรรมโบราณ<br />

ให้กับนักศึกษาตั้งแต่ค.ศ. 1889 อาคารไม้สำคัญทั้งหลายไม่ว่าจะเป็น<br />

ศาลเจ้า วัด วัง ต่างถูกนำมาสอนอย่างละเอียดลออทั้งเรื่องวัสดุ<br />

วิธีการก่อสร้างและรูปทรงแบบต่างๆ มีการนำนักศึกษาไปทำงาน<br />

รังวัดด้วยตนเอง อิโตะจึงมีพื้นฐาน ความรู้ทั้งประวัติศาสตร์<br />

สถาปัตยกรรมตะวันตกและญี่ปุ่น ซึ่งกลายเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้<br />

เขาสามารถศึกษาลึกลงไปอีกในภายหน้า เมื่อเขาต้องการหา<br />

คำตอบว่าสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นนั้นเชื่อมโยงกับสถาปัตยกรรมตะวันตก<br />

ได้อย่างไร<br />

แนวคิดและผลงาน<br />

อิโตะมีความสนใจในสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นตั้งแต่เป็นนักศึกษา<br />

สถาปัตยกรรม จากเรื่องเล่าขานของอาจารย์ของเขาทัตสุโนะ คิงโกะ<br />

ว่าขณะที่ฝึกงานอยู่สำนักงานของเบอร์เจสที่ลอนดอน เบอร์เจส<br />

ถามเกี่ยวกับสถาปัตยกรรมโบราณที่ยิ่งใหญ่ของญี่ปุ่น 54 ซึ่งทัตสุโนะ<br />

ตอบไม่ได้ รวมทั้งการรับรู้ของเขาจากตำราสถาปัตยกรรมสากลว่า<br />

สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นนั้นแทบจะไม่ได้ถูกกล่าวถึงเลย สิ่งเหล่านี้<br />

ทำให้อิโตะพยายามสร้างประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นขึ้นมา<br />

ก้าวแรกของการศึกษาของเขาคือการเชื่อมโยงสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

กับสถาปัตยกรรมตะวันตกยุคคลาสสิคของกรีก บทความของเขาใน<br />

ค.ศ. 1893 ชื่อ Horyuji Kenchikuron กล่าวถึงวัดที่เชื่อว่าเก่าแก่<br />

ที่สุดที่ยังเหลือรอดอยู่ของญี่ปุ่นคือวัดโฮริวจิ ว่ามีการออกแบบที<br />

สัมพันธ์กับวิธีออกแบบวิหารกรีกโบราณ ทั้งเรื่องของการแบ่ง<br />

สัดส่วนขององค์ประกอบรูปด้าน และเสาอาคารที่มีลักษณะป่องกลาง<br />

แบบกรีก (entasis) 55 ต่อมาใน ค.ศ. 1895 เขาได้เขียนวิทยานิพนธ์<br />

เรื่องปรัชญาสถาปัตยกรรม (Kenchiku Tetsugaku) 56 เป็นการศึกษา<br />

ทฤษฎีประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ด้วยกระบวนการศึกษาแบบสากล<br />

84 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ร่วมสมัยที่เขียนโดยชาวญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก 57 อย่างไรก็ตามเรื่องนี้มี<br />

ผู้พูดมาก่อนอิโตะเสียอีก ได้แก่ อิชิอิ เคอิกิชิ (Ishii Keikichi) นัก<br />

ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมคนหนึ่ง และนักประวัติศาสตร์ศิลปะ<br />

ชาตินิยมอีกคนหนึ่งชื่อโอกากูระ เทนชิน (Okakura Tenshin)<br />

ซึ่งเป็นผู้เล่าข้อสังเกตนี้ให้อิโตะฟัง แต่เป็นทฤษฎีของอิโตะที่ทำให้<br />

ผู้คนรู้กันแพร่หลายในที่สุด การศึกษาภาคสนามว่าด้วยสถาปัตย-<br />

กรรมโบราณของเอเชีย ทำให้อิโตะสรุปว่าสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นมี<br />

ที่มาจากแผ่นดินใหญ่ที่รับพุทธศาสนาที่มีต้นกำเนิดจากอินเดีย<br />

และต้นแบบในอินเดียมีที่มาจากศิลปะกรีก สถาปัตยกรรมในญี่ปุ่น<br />

จึงเปรียบเสมือนสิ่งมีชีวิตที่ได้รับการวิวัฒนาการเปลี่ยนรูปมาตลอด<br />

เขาเรียกกระบวนการนี้ว่าสถาปัตยกรรมแบบ “วิวัฒนาการ”<br />

(evolution) ตามความเชื่อแบบดาร์วิน (Darwin) ที่เขาคิดว่าควร<br />

ใช้เป็นหลักการสำหรับการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่น<br />

คือเป็นสิ่งที ่พัฒนามาจากธรรมชาติของสถาปัตยกรรมโบราณ<br />

แต่ในความเป็นจริงแล้ว อิโตะในฐานะสถาปนิกก็ไปไม่ได้ไกลกว่า<br />

คนอื่นมากนัก เขาใช้แบบผสมผสานระหว่างสถาปัตยกรรมยุคต่าง ๆ<br />

Horyuji Kenchikuron (1893)<br />

ในยุโรปเป็นหลักในช่วงต้นชีวิตการออกแบบ ต่อมาก็เปลี่ยนมาเป็น<br />

เน้นรูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณเอาหลังคาญี่ปุ่นครอบลงบน<br />

ผังแบบตะวันตก ในช่วงหลังเขาใช้ลักษณะผสมของสถาปัตยกรรม<br />

เอเชียตะวันออกและเอเชียใต้ครอบลงบนผังแบบตะวันตกแทน<br />

ทำให้อาคารดูประหลาดมากกว่าเห็นอะไรที่เป็น “วิวัฒนาการ”<br />

อย่างที่เขากล่าวไว้<br />

การเชื่อมต่อตะวันออกกับตะวันตก<br />

เมื่ออิโตะเชื่อว่าสถาปัตยกรรมของวัดโฮริวจิมีอิทธิพลกรีก<br />

เขาจึงขวนขวายที่จะพิสูจน์สมมติฐานนี้โดยการเชื่อมโยงหลักฐาน<br />

ที่มีอยู่ทั้งหมดให้อธิบายทฤษฎีของเขาให้ได้ นี่เป็นจุดเริ่มต้น<br />

ที่ทำให้เขาออกเดินทางค้นหาหลักฐานใน ค.ศ. 1901 เขาเดินทาง<br />

ไปสำรวจสถาปัตยกรรมโบราณในสถานที่ต่างๆ ในประเทศจีน<br />

รวมทั้งพระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่งศึกษาลักษณะการก่อสร้าง<br />

โครงสร้างหลังคาและระบบโครงสร้างเต้ารับชายคา (Dugong)<br />

ที่ซับซ้อน ที่มีอิทธิพลต่อสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นมาตั้งแต่สมัย<br />

ราชวงศ์ถัง (ทศวรรษที่ 8) การเดินทางครั้งที่ 2 ของอิโตะเริ่มใน<br />

ค.ศ. 1902 และใช้เวลาถึง 3 ปี เดินทางข้ามทวีปเอเชียเพื่อศึกษา<br />

โบราณสถานในประเทศจีน พม่า สยาม อินเดีย (โดยใช้เวลาเฉพาะ<br />

ที่อินเดียถึง 1 ปี) เดินทางต่อไปถึงอียิปต์ กรีซ และตุรกี ในคราวนี้<br />

อิโตะเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบด้วยแผนที่การกำหนดตำแหน่งอาคาร<br />

ในแผนที่ การรังวัด การเขียนแบบอาคารและองค์ประกอบ<br />

ตลอดจนการบันทึกด้วยภาพถ่าย เมื่อกลับถึงญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1905<br />

เขาลงมือเรียบเรียงข้อมูล แบบลักษณะและรูปถ่ายเหล่านี้<br />

อย่างเป็นระบบ เพื่อจัดหมวดหมู่และวิเคราะห์หาความสัมพันธ์<br />

ปรากฏเป็นแผนภูมิแสดงการแผ่อิทธิพลศิลปะที่เริ่มจากเอเชีย<br />

ไมเนอร์ตะวันตกและเปอร์เซียโบราณสู่กรีก อิทธิพลจากกรีกแผ่มา<br />

ที่เอเชียไมเนอร์ตอนกลางโดยตรง และโดยอ้อมสู่อินเดีย อิทธิพล<br />

จากอินเดียผสมกับเอเชียไมเนอร์ แล้วแลกเปลี่ยนกับจีน อิทธิพล<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

85


บน แผนภูมิความสัมพันธ์ของสถาปัตยกรรม<br />

โลกตะวันตกและโลกตะวันออก<br />

ล่าง แผนภูมิวิวัฒนาการแห่งสถาปัตยกรรม<br />

(1909) ลูกศรชี้ตำแหน่งของญี่ปุ่น<br />

จากจีนแพร่ไปยังเกาหลี ริวกิว และญี่ปุ่นโดยตรง 58 โดยรูปธรรม<br />

อิโตะเชื่อว่าสถาปัตยกรรมวัดโฮริวจิมีต้นกำเนิดจากศิลปะกรีก<br />

ยุคเฮเลนนิสติก (Hellenistic) ที่ผสมกับศิลปะอินเดียยุคคันธารราช<br />

(Gandhara) 59 ศิลปะลูกผสมเหล่านี้ถูกใช้สร้างสรรค์งาน<br />

ประติมากรรมและสถาปัตยกรรมในศาสนาพุทธยุคเริ่มแรกใน<br />

อินเดียและส่งต่อไปที่จีนในสมัยราชวงศ์ฮั่น (ประมาณ ค.ศ. 150)<br />

ศิลปะในพุทธศาสนานี้พัฒนาต่อไปในจีนจนถึงขีดสุดในสมัย<br />

ราชวงศ์ถัง (ค.ศ. 618-1260) และแพร่เข้าไปในญี่ปุ่นในศตวรรษที่8<br />

อย่างไรก็ตามนักวิชาการญี่ปุ่นร่วมสมัยกับอิโตะรวมทั้งตัวเขาเองด้วย<br />

เชื่อแบบหลงชาติว่าหลังจากนั้นอารยธรรมจีนก็เริ่มเสื่อมลง<br />

ในขณะที่ญี่ปุ่นกลับเจริญรุ่งเรืองขึ้นสืบเนื่องมาจนถึงศตวรรษที่20<br />

และนี่คือคุณสมบัติพิเศษของอารยธรรมญี่ปุ่นที่แตกต่างจากชาติ<br />

อื่นในเอเชียที่สามารถ “วิวัฒนาการ” และปรับปรุงคุณภาพเพื่อ<br />

หลีกเลี่ยงจากการครอบงำของวัฒนธรรมตะวันตก (Seiyo)<br />

ดังเห็นได้จากแผนภูมิการอธิบายความสัมพันธ์และวิวัฒนาการ<br />

86 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ของสถาปัตยกรรมโลกในบทความถอดจากการบรรยายของเขา<br />

ชื่อ “ทฤษฎีวิวัฒนาการแห่งสถาปัตยกรรม” ตีพิมพ์ใน ค.ศ. 1909<br />

ซึ่งแสดงแผนภูมิสถาปัตยกรรมโลกด้วยวงกลม 3 วง 60 ได้แก่วงของ<br />

สถาปัตยกรรมยุคโบราณ วงของสถาปัตยกรรมตะวันตก (Seiyo)<br />

และวงของสถาปัตยกรรมตะวันออก (Toyo) วงของสถาปัตยกรรม<br />

โบราณที่ประกอบด้วยสถาปัตยกรรมอียิปต์และแอสซีเรีย (Assyria)<br />

นั้นหยุดนิ่งไม่เคลื่อนไหว ขณะที่วงของสถาปัตยกรรมตะวันตก<br />

มีการหมุน (สังเกตลูกศรชี้ที่หมุนเป็นวง) แสดงวิวัฒนาการจาก<br />

สถาปัตยกรรมกรีก โรมันมาเป็นสถาปัตยกรรมสมัยต่างๆ จนถึง<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ตามล ำดับ ส่วนวงของสถาปัตยกรรมตะวันออก<br />

(Toyo) ที่ประกอบด้วยวงกลมเล็กอีก 3 วง วงที่ 1 คือ จีน เกาหลี<br />

ญี่ปุ่น วงที่ 2 คืออินเดียและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งรวม<br />

สยามด้วย และวงที่ 3 คือพวกมุสลิม มีเพียงสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

เท่านั้นที่สามารถพาตัวเองออกจากวงของวัฒนธรรมโบราณของ<br />

จีนได้61 โดยสังเกตจากแผนภูมิที่ตั้งใจเขียนเป็นเส้นประและแยกตัว<br />

ออกจากวงใหญ่ ดังนั้นศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นจึงเป็นศิลปะชาติ<br />

เดียวของโลกตะวันออก ที่มีพัฒนาการต่อเนื่องแบบเดียวกับชาติ<br />

ตะวันตก และสามารถเชื่อมต่อกับต้นกำเนิดอารยธรรมตะวันตก<br />

คือกรีกได้ จึงเป็นสถาปัตยกรรมชนิดที่เป็นสถาปัตยกรรม<br />

ประวัติศาสตร์ (Historical styles) และสมควรแก่การเป็นตัวแทน<br />

และผู้นำแห่งสถาปัตยกรรมของโลกตะวันออกที่แท้จริง งานนิพนธ์<br />

ของอิโตะฉบับนี้จึงเป็นตำราใหม่ทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม<br />

ของจักรวรรดิใหม่ขณะเดียวกันก็ลบปมคับข้องใจของผู้เขียนไปในตัว<br />

ญี่ปุ่นในฐานะศูนย์กลางพุทธศาสนาแห่งเอเชีย: เมื่อทฤษฎี<br />

วิวัฒนาการเป็นส่วนหนึ่งของวงศ์ไพบูลย์เอเชียทางสถาปัตยกรรม<br />

ความต้องการเป็นเจ้าเอเชียของญี่ปุ่นตั้งแต่ปลายรัชสมัยเมจิ<br />

ได้แผ่ขยายมาถึงความเชื ่อในศาสนาพุทธ ปลายยุคเอโดถึงต้น<br />

รัชสมัยเมจิเป็นช่วงที่ศาสนาพุทธเสื่อมลงมาก นอกจากนี้<br />

ลัทธิชาตินิยมทำให้ชนชั้นนำบางกลุ่มมีความต้องการกำจัด<br />

ศาสนาพุทธออกไปเพื่อเชิดชูลัทธิชินโต ที่เป็นความเชื่อดั้งเดิมของ<br />

ชนชาติเพียงศาสนาเดียว ชาวพุทธในญี่ปุ่นจึงท ำการปฏิรูปศาสนาพุทธ<br />

ครั้งใหญ่เพื่อความอยู่รอด มีการส่งพระภิกษุไปศึกษาแสวงหาความรู้<br />

ในยุโรปและอเมริกา อีกเส้นทางหนึ่งก็มายังประเทศต้นทาง<br />

ศาสนาพุทธในเอเชีย เช่น อินเดีย ศรีลังกา ทิเบต เนปาล และสยาม<br />

การเชื่อมต่อกับประเทศกลุ่มหลังเป็นเรื่องส ำคัญกว่าเพราะโยงกันด้วย<br />

พระไตรปิฎก ซึ่งมีร่วมกันตั้งแต่สมัยโบราณแม้ว่าจะต่างนิกายกันก็ตาม<br />

จึงกลายเป็นวงศ์ไพบูลย์แห่งเอเชียในด้านศาสนาพุทธ กิจกรรมการ<br />

สร้างวงศ์ไพบูลย์ของศาสนานี้ ทำให้ศาสนาพุทธกลับมาเจริญรุ่งเรือง<br />

อีก และกลายเป็นศาสนาหลักของญี่ปุ่นในศตวรรษที่ 20 ที่ตอบ<br />

สนองความต้องการเป็นใหญ่ทางการเมืองของญี่ปุ่นเหนือเอเชียไป<br />

ด้วย ดังนั้นกิจกรรมการเสาะหาต้นกำเนิดของรูปแบบสถาปัตยกรรม<br />

พุทธศาสนาที่อิโตะแสดงว่า เชื่อมโยงกับรูปแบบพุทธศาสนสถาน<br />

ในเอเชีย จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของการสร้างโครงข่ายวัฒนธรรม<br />

และสนับสนุนการแผ่ขยายอำนาจทางสังคมวัฒนธรรมของลัทธิ<br />

ชาตินิยมทหาร เพื่อร่วมสร้างวงศ์ไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพาของ<br />

ญี่ปุ่นไปด้วย 62<br />

ที่จริงแล้วความสนใจในปรัชญาพุทธของอิโตะมาจาก<br />

เอิร์นสท์ เฟโนลโลซา (Ernst Fenollosa) แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว<br />

และผู้ช่วยชาวญี่ปุ่นของเขา โอกากุระ คากุโซ (Okakura Kakuzo)<br />

หรือในนาม โอกากุระ เทนชิน (Okakura Tenshin) เฟโนลโลซา<br />

สนใจศาสนาพุทธจนเปลี่ยนมาเป็นพุทธศาสนิกในที่สุดเป็นผู้เสาะหา<br />

รวบรวมคัมภีร์โบราณของพุทธศาสนาในญี่ปุ่น เพื่อการอนุรักษ์<br />

มรดกวัฒนธรรมนี้สำหรับเผยแพร่ให้โลกตะวันตกรู้จักญี่ปุ่น<br />

ในแง่มุมนี้ โอกากุระได้สืบสานต่อภารกิจนี้ของเฟลโนลโลซา<br />

หนังสือสำคัญ 3 เล่มของเขาพูดถึงจิตวิญญาณญี่ปุ่นในแง่ปรัชญา<br />

และศิลปะ เป็นพื้นฐานหนึ่งที่ทำให้ชาวตะวันตกเข้าใจญี่ปุ่นมากขึ้น<br />

ได้แก่ The Ideas of the East (1903) The Awakening of Japan<br />

(1904) และ The Book of Tea (1906)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

87


ผลงาน<br />

แม้ว่าผลงานวิชาการทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม<br />

ของอิโตะจะมีข้อเสนอที่น่าสนใจ แต่บทบาทความเป็นสถาปนิก<br />

ของเขาดูจะไม่ได้นำเสนอรูปแบบใหม่อะไร ผลงานของเขายัง<br />

ยึดติดกับรูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณ นำมาผลิตซ้ำโดยวิธีการ<br />

ประสมประสานงานแบบหนึ่งของยุคหนึ่งกับงานอีกแบบของอีก<br />

ยุค หรือนำงานจากวัฒนธรรมของประเทศหนึ่งมาผสมกับงานจาก<br />

วัฒนธรรมของอีกชาติหนึ่ง ซึ่งเขามีโอกาสในการเลือกแบบที่<br />

หลากหลายจากประสบการณ์เก็บข้อมูลภาคสนามที่ยาวนานกว้าง<br />

ไกล เขาต้องการผลงานที่เป็นสุนทรียแห่งวงศ์ไพบูลย์เอเชีย<br />

(Pan-Asia Aesthetic) ซึ่งตรงข้ามโดยสิ้นเชิงกับแนวสากล<br />

สมัยใหม่ของกลุ่มสถาปนิกหัวก้าวหน้าในยุคทศวรรษ 1920-1930<br />

ขณะเดียวกันกลับเข้าได้ดีกับนโยบายชาตินิยมทหารนิยมและ<br />

จักรวรรดินิยมญี่ปุ่นในเวลานั้น ที่กำลังเข้มแข็งรุกไปข้างหน้า<br />

ทุกขณะ ในความเป็นจริง อิโตะออกแบบงานได้ดีทั้งแบบตะวันตก<br />

และแบบตะวันออก แต่งานที่น่าสนใจในเชิงรูปแบบที่รับใช้แนวคิด<br />

ทางประวัติศาสตร์ของเขาว่าด้วยสถาปัตยกรรมแบบ<br />

“วิวัฒนาการ”และสถาปัตยกรรมพุทธแห่ง “วงศ์ไพบูลย์เอเชีย”<br />

(Pan-Asian Buddhist Architecture) 63 ซึ่งมีทั้งแบบญี่ปุ่น-จีน<br />

แบบอินเดีย-ยุโรป และแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เช่น อนุสาวรีย์<br />

โกโกกุโตะ วัดคาสุอิไซ (Gokokuto, Kasuisai) (1911) เป็น<br />

อนุสาวรีย์วีรชนทหารในสงครามญี่ปุ่น-รัสเซีย ค.ศ. 1904-1905<br />

ในแบบเจดีย์ “คันธารราช”, โครงการวิหารชากุโอเด็น วัดซานเนจิ<br />

(Shakuoden, Sanneji) (1910-1911) เป็นวิหารแบบไทยที่ไม่ได้สร้าง,<br />

ประตูศาลเจ้าชื่อเทนรินมอน (Tenryn Mon Gate) (1911-1914),<br />

สถูปโฮอันโตะ วัดนิเซ็นจิ (Hoanto, Nissenji) (1918) สถูปแบบ<br />

“คันธารราช” บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากสยาม, สถูปโชเกียวเด็น<br />

วัดฮอกเกียวจิ (Shogyoden, Hokekyoji) (1931) สถูปแบบเดียว<br />

กับที่คาสุอิไซ (Kasuisai), วัดซึกิจิห้องกานจิ (Tsukiji Honganji)<br />

(1934) วิหารแบบอินเดียบนผังแบบคลาสสิครูปตัว E นอกจากนี้<br />

ยังมีศาลเจ้าและอาคารที่สร้างในแบบญี่ปุ่นได้แก่ ศาลเจ้าเฮอัน<br />

(Heian Shrine) (1895) ที่นครเกียวโต ออกแบบโดยจินตนาการ<br />

ตามหลักฐานจีนโบราณ, ศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine) (1920) กรุง<br />

โตเกียว, กิออนคารุ (Gion Karu) (1927), อนุสาวรีย์เหยื่อแผ่น<br />

ดินไหวคันโต (Kanto) ใน ค.ศ. 1923 ที่กรุงโตเกียว (Tokyo Memorial<br />

Hall)(1930) มีผังคล้ายวัดไทยที่ห่อหุ้มด้วยอาคารแบบญี่ปุ่น<br />

อนุสาวรีย์โกโกกุโตะ วัดคาสุอิไซ เมืองฟูคุโรอิ (Fukuroi)<br />

จังหวัดชิสุโอกะ (Shizuoka) เป็นสถูปบรรจุอัฐิวีรชนทหารญี่ปุ่นที่<br />

พลีชีพในสงครามกับรัสเซีย (Russo-Japanese War) ระหว่าง<br />

ค.ศ. 1904-1905 จำนวน 80,000 คน ตั้งอยู่บริเวณทิศตะวันตก<br />

หลังวัดคาสุอิไซ 64 สร้างเสร็จเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1911<br />

เป็นการใช้รูปแบบเจดีย์ศาสนาพุทธแบบคันธารราชเป็นครั้งแรก ๆ<br />

ของอิโตะ 65 ชื่อเจดีย์แปลว่าสถูปแห่ง “ผู้ปกป้องชาติบ้านเมือง”<br />

อนุสาวรีย์โกโกกุโตะ (1911)<br />

88 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เป็นความต้องการของพุทธศาสนิกญี่ปุ่นที่ต้องการนำ<br />

สถาปัตยกรรมในพุทธศาสนามาเป็นทางเลือกอีกทางหนึ่งในการ<br />

เป็นอนุสรณ์สถานทหาร แทนที่จะถูกผูกขาดโดยศาสนสถานของ<br />

ลัทธิชินโตที่อุปถัมภ์โดยรัฐ อิโตะต้องการใช้รูปแบบเจดีย์แบบ<br />

คันธารราชแทนที่จะเป็น ถะ (pagoda) แบบจีน เพราะอิโตะเห็น<br />

ว่าต้นทางของศาสนาพุทธในญี่ปุ่นมาจากอินเดียผ่านจีน ถะหรือ<br />

สถูปจีน ไม่ได้แสดงให้เห็นรากฐานดั้งเดิมของศาสนาพุทธในอินเดีย<br />

เนื่องจากศาสนาพุทธเผยแพร่ไปยังนานาชาติ มีการนำรูปแบบ<br />

สถูปอินเดียไปใช้อย่างกว้างขวาง สถูปอินเดียจึงเป็นสัญลักษณ์<br />

ข้ามชาติ ข้ามนิกาย (transnational and trans-sectarian) 66<br />

ไม่ใช่ของชาติใดโดยเฉพาะ ศิลปะในศาสนาพุทธแบบคันธารราช<br />

เป็นการผสมของศิลปะกรีก มาเซโดเนียนกับศิลปะในศาสนาพุทธ<br />

ของอินเดีย ดังนั้นการลอกแบบศิลปะอินเดียของญี่ปุ่นจึงเป็น<br />

การกลับไปสู่ต้นกำเนิด ทำให้สถาปัตยกรรมพุทธของญี่ปุ่นเชื่อม<br />

กับกรีกยุคคลาสสิคได้ ศิลปะญี่ปุ่นจึงเป็นส่วนหนึ่งของศิลปะตะวันตก<br />

มีพัฒนาการและเป็นศิลปะประเภทประวัติศาสตร์<br />

องค์เจดีย์โกโกกุโตะมีผังเป็นรูปกลมตั้งอยู่บนฐานประทักษิณ<br />

จัตุรัส 2 ชั้น 67 เรือนธาตุทรงกระบอกตั้งบนฐานบัวลูกแก้ว ลายสลัก<br />

บนผนังเรือนธาตุเป็นตารางสี่เหลี่ยมคล้ายรั้วมหาสถูปที่สาญจี<br />

มีประตูสี่เหลี่ยมกลางเรือนธาตุที่ด้านบนเป็นซุ้มประตูทรงโค้งเกือกม้า<br />

ปลายแหลมแบบอินเดียประยุกต์ องค์ระฆังเป็นทรงไข่ครึ่งใบ<br />

ผิวมีลายเป็นแถบแบบเส้นแวงดูคล้ายหลังคาโดมมุงด้วยโลหะ<br />

มากกว่าสถูปทรงระฆัง บัลลังก์ทึบเจาะช่องให้แสงเข้าภายในเรือน<br />

ธาตุซึ่งออกแบบเป็นห้องคูหาได้ปลียอดใหญ่มีปล้องไฉนแบบสถูป<br />

จีน-ทิเบต ประดับฉัตรที่ยอดแบบงานจีน-ทิเบต โครงสร้างเป็น<br />

คอนกรีตเสริมเหล็กผิวประดับด้วยหิน ตกแต่งน้อยมาก มองภาพ<br />

รวมแล้วดูเป็นเจดีย์จีน-ทิเบตมากกว่าคันธารราช และมีกลิ่นไอของ<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเจือปนอยู่<br />

โครงการวิหารชากุโอเดน (Shakuoden) ที่วัดซานเนจิ<br />

(Sanneji) (1910) 68 และประตูศาลเจ้าชื่อเทนรินมอน (Tenryn Mon)<br />

(1911-1914) 69 ในโยโกฮามา โครงการนี้เป็นผลจากความสัมพันธ์<br />

ทางศาสนาระหว่างสยามกับญี่ปุ่นรุ่งเรืองถึงขีดสุดในสมัยพระบาท<br />

สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ของสยาม เมื่อทรง<br />

พระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระสารีริกธาตุบางส่วนที่<br />

รัฐบาลอินเดียของอังกฤษทูลเกล้าถวายในเดือนมกราคม ร.ศ. 117 70<br />

(พ.ศ. 2441/ค.ศ. 1898) ให้กับคณะสงฆ์ญี่ปุ่นในเดือนมิถุนายน<br />

ร.ศ. 119 71 (พ.ศ. 2443/ร.ศ. 1900) ฝ่ายญี่ปุ่นจึงวางแผนการสร้าง<br />

ศาสนสถานเพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนี้ รวมทั้งอาคารอื่น ๆ<br />

ที่เกี่ยวข้องตั้งแต่นั้นมา ส่วนหนึ่งของโครงการที่น่าสนใจมาก<br />

คือวิหารศากยมุนี(Sakyamuni Hall) หรือชากุโอเดน (Shakuoden)<br />

ที่ริเริ่มโดยภิกษุชื่อชากุโกเซ็น (Shaku Kozen) ผู้ไปศึกษาศาสนา<br />

พุทธแบบเถรวาทที่ศรีลังกาใน ค.ศ. 1887-1893 72 วางแผนสร้าง<br />

วัดซานเนจิในโยโกฮามา ตั้งใจจะให้เป็นวัดแบบสยามโดยเฉพาะ<br />

โดยมีอิโตะเป็นสถาปนิกในปีเมจิที่ 43 (1910) เดือนเมษายน<br />

ผังอาคารคล้ายวิหารแบบสยามคือเป็นรูปสี ่เหลี่ยมผืนผ้า<br />

มีโถงกลางที่มีเสาร่วมในและมีเฉลียง2 ข้างและวางอาคารตามแนวดิ่ง<br />

ที่ต่างจากงานของสยามแท้ ๆ คือมีมุขทางเข้าขนาดเล็กยื่นออกมา<br />

ด้านหน้าและด้านข้างทั้งสองคล้ายวัดทางภาคเหนือของสยาม<br />

รูปลักษณะอาคารจัดได้ว่าเลียนแบบงานสยามโดยเฉพาะ เครื่องบน<br />

หลังคามีช่อฟ้าใบระกาหางหงส์แบบไทยที่เพี้ยนไป น่าจะเป็นเพราะ<br />

อิโตะไม่ได้ฝึกหัดการออกแบบสถาปัตยกรรมไทยอย่างแท้จริง<br />

รูปทรงหลังคาเป็นแบบปั้นหยายกจั่วที่มีคอสองสูง ใต้คอสอง<br />

มีหลังคาปีกนกคลุมรอบอีกชั้นหนึ่ง ดูคล้ายหลังคาสถาปัตยกรรม<br />

จีนมากกว่าสยาม โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กประดับด้วย<br />

แผ่นหิน น่าเสียดายว่าโครงการนี้ไม่เคยสำเร็จเป็นจริง ถึงแม้ว่า<br />

การออกแบบศาสนสถานแบบเถรวาทครั้งนี้จะไม่ได้สร้างจริง<br />

แต่อิโตะยังคงนิยมบางอย่างในองค์ประกอบสถาปัตยกรรมสยามอยู่<br />

เราจะเห็นความพยายามใช้ช่อฟ้า (ในแบบของเขา) อีกในการออกแบบ<br />

ประตูศาลเจ้าชื่อเทนรินมอน(1911-1914) ที่ช่อฟ้าถูกประยุกต์ให้ขมวด<br />

เป็นรูปวงกลมมีหางคล้ายเลข ๑ 73 ในภาษาไทยอย่างน่าดู<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

89


บนขวา โครงการวิหารชากุโอเดน วัดซานเนจิ (1910)<br />

บนขวา ผังพื้นวิหารชากุโอเดน วัดซานเนจิ<br />

ล่างซ้าย ประตูศาลเจ้าเทนรินมอน (1911-1914)<br />

ล่างขวา รูปด้านประตูศาลเจ้าเทนรินมอน<br />

90 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถูปโฮอันโตะ วัดนิสเซนจิ (1918)<br />

สถูปโฮอันโตะ (Hoanto) (1918) วัดนิสเซนจิ (Nissenji)<br />

เมืองนาโงยา (Nagoya) เป็นสถูปแบบคันธารราชองค์ที่ 2 ที่อิโตะ<br />

ออกแบบสืบเนื่องมาจากโครงการสร้างพระสถูปบรรจุพระสารีริกธาตุ<br />

ที่คณะภิกษุญี่ปุ่นได้รับพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จ<br />

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่5 แห่งสยามในเดือนมิถุนายน<br />

ร.ศ. 119 (พ.ศ.2443) (ค.ศ.1900) ในการนี้ได้ทรงพระกรุณา<br />

โปรดเกล้าฯ ให้พระยาฤทธิรงค์รณเฉทเป็นผู้อันเชิญพระสารีริกธาตุ<br />

ไปถึงญี่ปุ่นตั้งแต่วันที ่ 11 กรกฎาคม ร.ศ. 119 74 (ค.ศ. 1900)<br />

ซึ่งมีพิธีต้อนรับพระสารีริกธาตุอย่างใหญ่โตและคับคั่งด้วย<br />

พุทธศาสนิกชนญี่ปุ่นมาต้อนรับทุก ๆ เมืองที่เป็นเส้นทางอัญเชิญ<br />

ตั้งแต่เมืองนางาซากิ โกเบ โอซาก้า เกียวโต และนาโงยา ซึ่งเป็น<br />

จุดหมายปลายทาง ซึ่งคณะสงฆ์นิกายฮิกาชิ ฮองกานจิ (Higashi<br />

Honganji) โดยหัวหน้าคณะสงฆ์ฮิโอกิ โมกูเซน (Hioki Mokusen)<br />

เป็นผู้เลือกสถานที่ก่อสร้างพระสถูปที่วัดนิสเซนจิซึ่งหมายความว่า<br />

วัดญี่ปุ่น-สยาม อันเป็นวัดที่ประดิษฐานพระพุทธรูปที่พระบาท<br />

สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานให้คณะสงฆ์ญี่ปุ่น<br />

มาก่อนหน้านี้แล้ว อิโตะได้รับมอบหมายให้ออกแบบพระสถูป<br />

ซึ่งเขาเลือกสถูปแบบคันธารราชอีกครั้งหนึ่ง พระสถูปสร้างเสร็จ<br />

ใน ค.ศ. 1918 (พ.ศ. 2461) เป็นพระสถูปฐาน 8 เหลี่ยมตั้งอยู่บน<br />

ฐานประทักษิณ 4 เหลี่ยม 2 ชั้น ชั้นล่างเตี้ย ชั้นบนยกสูงกว่าชั้นล่าง<br />

2 เท่า องค์พระสถูปเป็นเจดีย์กลมที่มีองค์ระฆังทรงสูงรูปร่างคล้าย<br />

ระฆังคว่ำแบบเจดีย์อยุธยา มีบัวปากฐานตามด้วยชุดบัวฐาน 3 ชั้น<br />

ล้อฐาน 8 เหลี่ยมลดหลั่นลงมาที่ฐาน เหนือองค์ระฆังเป็นบัลลังก์<br />

เล็กๆ รับฐานของปลียอดเจดีย์ที่มีลักษณะเหมือนฝักข้าวโพด มี<br />

ขนาดเล็กและสั้นเมื่อเทียบกับองค์ระฆัง ปลียอดประดับเครื่อง<br />

ตกแต่งเป็นลายฉลุรูปครึ่งวงกลมแบบพัดคลี่ห้อยกระดิ่งใบเล็กๆ ไว้<br />

ที่ปลายชายทั้งสองข้าง ยอดปลีเป็นแท่งโลหะเรียวเล็กสีทอง<br />

โครงสร้างสถูปเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กประดับแผ่นหิน จากภาพ<br />

รวมแล้วมีลักษณะแบบบางกว่า สถูปแห่ง “ผู้ปกป้องชาติบ้านเมือง”<br />

ที่เป็นเจดีย์แบบจีน-ทิเบต เพราะรับเอาทรงที่คล้ายคลึงเจดีย์แบบ<br />

สยาม-อยุธยาไปเป็นต้นแบบ การที่อิโตะยอมรับสถาปัตยกรรม<br />

สยามอธิบายได้จากแผนภูมิสถาปัตยกรรมวิวัฒนาการของเขา<br />

เพราะสยามเป็นหนึ่งในสมาชิกของวงสถาปัตยกรรมอินเดีย ในเมื่อ<br />

เขายอมรับสถาปัตยกรรมคันธารราชจึงไม่มีปัญหาในการยอมรับ<br />

สถาปัตยกรรมสยามในฐานะที่เป็นสถาปัตยกรรมสาขาของอินเดีย<br />

เช่นเดียวกับสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นที่วิวัฒนาการจากอินเดียผ่าน<br />

สถาปัตยกรรมจีนนั่นเอง<br />

ประเทศญี่ปุ่นในยุคไทโชต้องการเอกลักษณ์เพื่อเทียบชั้น<br />

มหาอำนาจตะวันตก เป็นอุดมคติที่เกิดขึ้นจากความเข้มแข็งทาง<br />

การเมือง-การทหารที่พุ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว ผลงานสถาปัตยกรรมของ<br />

อิโตะในสมัยไทโชจึงมุ่งที่จะสร้างเอกลักษณ์ของความเป็นตะวันออก<br />

(Toyo) ของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ผ่านทฤษฎีสถาปัตยกรรมแบบ<br />

“วิวัฒนาการ” ขึ้นเพื่ออธิบายความเชื่อมโยงระหว่างสถาปัตยกรรม<br />

ญี่ปุ่นกับสถาปัตยกรรมกรีกที ่เป็นต้นกำเนิดของสถาปัตยกรรม<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

91


ตะวันตก ทั้งนี้เพียงเพื่อจะยืนยันว่าสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นนั้นมี<br />

รากฐานมาจากวัฒนธรรมที่ศิวิไลซ์เช่นเดียวกับยุโรปและอเมริกา<br />

แต่ในทางปฏิบัติแล้วอิโตะทำได้เพียงการหยิบยืมรูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมทางศาสนาของอินเดีย จีน และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้<br />

(เช่น สยาม เป็นต้น) มาประยุกต์ใช้แบบผสมผสาน แล้วใช้ทฤษฎี<br />

ของเขาอธิบายว่ามันเป็นวิวัฒนาการไม่ใช่การลอกแบบของโบราณ<br />

ในฐานะที่ศึกษาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมอย่างลึกซึ้งอิโตะ<br />

มีความสามารถในการเลือกแบบสถาปัตยกรรมโบราณมากกว่า<br />

สถาปนิกทั่วไป เขาเป็นผู้ริเริ่มใช้สถูปทรงระฆังเป็นสถาปัตยกรรม<br />

สำหรับอนุสรณ์สถาน โดยมีแนวคิดว่าสถูปทรงระฆังในศิลปะ<br />

“คันธารราช” ของอินเดียเป็นสถาปัตยกรรมที่มีความเป็นสากลของ<br />

เอเชียมากกว่าเจดีย์ไม้ทรงสี่เหลี่ยมเป็นชั้นๆ แบบญี่ปุ่นโบราณที่ดู<br />

ใกล้เคียงแบบของจีนมากกว่า อย่างไรก็ตามจะเห็นว่าสถูปแต่ละ<br />

องค์ที่เขาออกแบบล้วนแต่มีลักษณะเฉพาะ ขึ้นกับความเป็นมาและ<br />

วัตถุประสงค์ในการสร้างที่แตกต่างกัน เช่น สถูปสำหรับวีรชนทหาร<br />

เขาเลือกแบบ “คันธารราช” ที่แสดงความเป็นสากล (แต่ความจริง<br />

ดูเป็นเจดีย์แบบจีน-ทิเบต) มากกว่า ขณะเดียวกันสถูปประดิษฐาน<br />

พระสารีริกธาตุจากสยาม อิโตะก็เลือกใช้สถูปสยาม-อยุธยา เป็นต้น<br />

ในยุคไทโชนี้อิโตะได้ความยอมรับในฐานะสถาปนิก นักทฤษฎีและ<br />

นักวิชาการประวัติศาสตร์ที่สำคัญที ่สุดคนหนึ่งของฝ่ายชาตินิยม<br />

ญี่ปุ่น เขาถูกเชิญให้เป็นกรรมการตัดสินงานประกวดแบบ<br />

สถาปัตยกรรมสำคัญระดับชาติเกือบทุกงานที่ต้องการถามหา<br />

เอกลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นที่ทุกวงการต้องฟัง หลังยุคไทโชเขายัง<br />

ทำงานต่อเนื่องต่อไปทั้งงานวิชาการและการออกแบบสถาปัตยกรรม<br />

ตามแนวคิดสถาปัตยกรรมตะวันออกที่ “วิวัฒนาการ” ในยุคโชวะที่<br />

กระแสลมของลัทธิชาตินิยมและทหารนิยมกำลังโหมรุนแรงขึ้น<br />

เรื่อยๆ<br />

92 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผังพื้นบริษัทประกันชีวิตนิสชินไลฟ์<br />

หน้าตรงข้าม<br />

บน ประติมากรรมนูนต่ำสถูปแบบคันธารราช<br />

ราวคริสต์ศตวรรษที่ 1-3<br />

กลาง บริษัทประกันชีวิตนิสชินไลฟ์ (1917)<br />

ล่าง รูปด้านบริษัทประกันชีวิตนิสชินไลฟ์<br />

สถาปัตยกรรมแบบมงกุฎจักรพรรดิ (ไทคันโยชิกิ)<br />

(Teikan Yoshiki)<br />

ความจริงแล้วอาคารที่ต้องการแสดงรูปธรรมของอัตลักษณ์<br />

แห่งชาติญี่ปุ่นมีมาตั้งแต่ปลายยุคเมจิดังกล่าวมาแล้วอาคารเหล่านี้<br />

ใช้ผังแบบคลาสสิครูปตัว E เป็นพื้น ผนังอาคารนำลักษณะฝา<br />

อาคารญี่ปุ่นโบราณมาประยุกต์ใช้ ส่วนหลังคาแสดงลักษณะของ<br />

หลังคาอาคารญี่ปุ่นโบราณอย่างชัดเจน ตัวอย่างของอาคารแบบนี้<br />

ในยุคเมจิได้แก่ศาลากลางจังหวัดนารา (Nara Prefectural Office) 75<br />

(1895) โดยนากาโน ยูเฮอิจิ (Nagano Uheiji) ที่อ้างว่าออกแบบ<br />

ด้วยคำสั่งของทางการที่ต้องการให้อาคารสอดคล้องกับอาคาร<br />

ประวัติศาสตร์ที่มีอยู่อย่างมากมายในเมืองนั้น 76 และธนาคารคังเกียว<br />

(Kangyo Bank) (1899) โตเกียว โดยซึเมกิ โยรินากะ และทาเคดะ<br />

โกอิชิ (Takeda Goichi) มีผังเป็นรูปตัว H และใช้ลักษณะการ<br />

ออกแบบเหมือนกับอาคารแรก ชาตินิยมในสถาปัตยกรรมนอกจาก<br />

เป็นผลมาจากการทำสงครามชนะจีนใน ค.ศ. 1895 และสงคราม<br />

ชนะรัสเซียใน ค.ศ. 1905 แล้ว ในทางวิชาการสมาคมสถาปนิกญี่ปุ่น<br />

(Architectural Institute of Japan) (AIJ) ได้จัดการโต้วาที2 ครั้งใน<br />

ค.ศ. 1910 ในหัวข้อ “จะสร้างสรรค์ลักษณะแห่งชาติของ<br />

สถาปัตยกรรมสำหรับอนาคตได้อย่างไร” ทัตสุโนะ คิงโกะประธาน<br />

การโต้วาทีกล่าวสรุปว่า “ข้าพเจ้าเชื่อว่ารูปแบบของสถาปัตยกรรม<br />

ญี่ปุ่นจะพัฒนาไปในแนวสถาปัตยกรรมยุโรป ในลักษณะที่ตัวอาคาร<br />

ห่อหุ้มด้วยลวดลายตกแต่งตามศิลปะโบราณของเรา” 77 สถาปนิก<br />

ที่เดินตามแนวทางนี้โดยไม่จำเป็นจะต้องมีพื้นฐานทฤษฎี<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

93


ประวัติศาสตร์แบบอิโตะ ก็สามารถออกแบบสถาปัตยกรรมแบบนี้<br />

ได้ ประจวบกับแนวคิดชาตินิยมที่รุนแรงขึ้นดังกล่าวทำให้สถาปนิก<br />

ชาตินิยมผลิตงานแบบนี้ออกมามากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น<br />

อาคารบริษัทประกันชีวิตนิสชินไลฟ์ (Nisshin Life Insurance<br />

Corporation) (1917) โตเกียว โดยสถาปนิกฮาชิโมโต ชินสุเกะ<br />

(Hashimoto Shunsuke) เป็นอาคารโครงสร้างไม้ 3 ชั้น ผนังไม้<br />

ทำสีเลียนอิฐก่อ 78 อาคารคลังสมบัติหรือโฮบุตสุเดน (Treasure<br />

House (Hobutsu den)) (1921) แห่งศาลเจ้าเมจิ (Meiji Shrine)<br />

โตเกียว สถาปนิกโอเอะ ชินตาโร (Ohe Shintaro) เป็นอาคารแบบ<br />

มงกุฎจักรพรรดิที่สำคัญที่สุดในช่วงนี้ ผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าชั้นเดียว<br />

ยกใต้ถุนสูง หลังคาจั่วจันทันโค้งแบบศาลเจ้าญี่ปุ่น โครงสร้าง<br />

คอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหลังแต่ทำผนังเป็นลายเส้นเลียนแบบไม้ซุง<br />

เรียงตามนอนตามอย่างกระท่อมไม้ซุงพื้นถิ่นโบราณของญี่ปุ่น<br />

ใช้เป็นพิพิธภัณฑ์เก็บของมีค่าของศาลเจ้าเมจิ โรงละครคาบูกิซา<br />

(Kabukiza Theatre) (1925) โตเกียว โดยโอกาดะ ชินอิชิโร<br />

บน คลังสมบัติแห่งศาลเจ้าเมจิ (1921)<br />

ล่าง ผังพื้นคลังสมบัติแห่งศาลเจ้าเมจิ<br />

94 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


(Okada Shin’ichiro) เป็นโรงละครคาบูกิขนาดใหญ่สูง 3 ชั้น จุด<br />

เด่นของอาคารเป็นหลังคาจั่วขนาดใหญ่มีปีกนกเรียงต่อกัน 3 จั่ว<br />

ทางด้านสกัด ผนังมีเสาอิงแบบญี่ปุ่นรับเต้าชายคาแบบหลังคา<br />

ญี่ปุ่นโบราณ แต่ความจริงแล้วเป็นเพียงส่วนประดับ เพราะ<br />

โครงสร้างอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก ขณะที่หลังคาโครงเหล็ก<br />

ทรัสช่วงกว้างคลุมเวทีและส่วนที่นั่งผู้ชมโดยไม่มีเสากลาง<br />

อาคารสมัยใหม่ที่มีหลังคาแบบโบราณนี้บางครั้งก็เรียกว่า<br />

“อาคารหลังคาญี่ปุ่น” (yane no aru) 79 ซึ่งใช้เรียกอาคารทั่ว ๆ ไป<br />

ชื่อแบบว่ามงกุฎจักรพรรดิ(Teikan Yoshiki) ซึ่งมีความหมายสูงส่ง<br />

ถึงของหลวงน่าจะหมายถึงลักษณะการออกแบบที่ใช้องค์ประกอบ<br />

ของพระราชวังมาประยุกต์เช่นที่คลังสมบัติ (โฮบุตสุเดน) ของศาลเจ้า<br />

เมจิเป็นครั้งแรก แต่สมัยนั้นก็ยังไม่ได้เรียกเช่นนี้ ชื่อแบบนี้<br />

นักวิชาการรุ่นหลังจากนั้นสร้างขึ้นมาหลังจากมีอาคารคลังสมบัติ<br />

ของศาลเจ้าเมจิแล้ว ตำราหลายเล่มชี้ว่าศาลาว่าการจังหวัดคานากาว่า<br />

(Kanagawa Prefectural Office) (1926-1928) ในรัชสมัยโชวะ<br />

เป็นอาคารหลังแรกที่ถูกเรียกด้วยชื่อแบบนี้80<br />

รัฐสภาชั่วคราวหลังที่ 1 (1890)<br />

การประกวดแบบรัฐสภาแห่งชาติ (ไดเอท) (Diet): ความลังเลใจ<br />

ในการประกาศรูปธรรมอัตลักษณ์แห่งชาติ (1918-1936)<br />

โครงการออกแบบรัฐสภาแห่งชาติเริ่มตั้งแต่ปลายรัชสมัยเมจิ<br />

ในทศวรรษ 1880 มันไม่ใช่เป็นเพียงอาคารที่ประชุม แต่เป็นสถานที่<br />

ที่เป็นสัญลักษณ์ของความศิวิไลซ์ของชาติ มีความสำคัญถึงกับ<br />

รัฐบาลต้องจ้างสถาปนิกเยอรมันระดับนานาชาติ เช่น เอนเดอร์<br />

และบ๊อคมานน์มาออกแบบ สถาปนิกเสนอแบบที่มีลักษณะ<br />

นีโอคลาสสิคแบบหนึ่งกับอีกแบบหนึ่งที่ผสมระหว่างคลาสสิค<br />

ที่คลุมด้วยหลังคาแบบญี่ปุ่นให้รัฐบาลเลือก แต่รัฐบาลก็ตัดสินใจ<br />

ไม่ได้ว่าตัวแทนรูปธรรมของ “อัตลักษณ์ชาติญี่ปุ่น” ควรเป็นแบบ<br />

ตะวันตก หรือญี่ปุ่น หรือผสมผสาน ซึ่งปัญหานี้เป็นรากฐานสำคัญ<br />

ในการค้นหาตัวตนใหม่ให้กับชาติญี่ปุ่นยุคใหม่ของศตวรรษที่ 20<br />

ที่ต้องทันสมัยและขณะเดียวกันไม่ละทิ้งจารีตประเพณี นอกจากนี้<br />

องค์กรสาธารณะก็มีการพูดถึงความเหมาะสมที่อนุญาตให้สถาปนิก<br />

ต่างชาติมาออกแบบอาคารสำคัญของชาติตนเอง ทำให้การก่อสร้าง<br />

ไม่เกิดขึ้นเสียที อย่างไรก็ตามรัฐบาลได้แก้ปัญหาเฉพาะหน้า<br />

โดยการสร้างอาคารรัฐสภาชั่วคราวขึ้นมาใช้รองรับการมีรัฐสภา<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

95


บน ผังพื้นรัฐสภาชั่วคราวหลังที่1<br />

ล่าง รัฐสภาชั่วคราวหลังที่2 (1891)<br />

ตามรัฐธรรมนูญฉบับแรกใน ค.ศ. 1890 รัฐสภาชั่วคราวนี้สร้างด้วยไม้<br />

ที่ดูเหมือนโบสถ์ในชนบทยุโรป 2 หลังเรียงต่อกัน โชคร้ายที่<br />

มันอยู่ได้ไม่ถึงปีก็ถูกไฟไหม้ในปีต่อมา ทำให้มีการสร้างรัฐสภา<br />

ชั่วคราวหลังที่ 2 ที่มีรูปแบบเหมือนอาคารหลังแรกใน ค.ศ. 1891<br />

และอาคารก็ถูกไฟไหม้หมดไปอีกใน ค.ศ. 1925 ในระหว่างนั้น<br />

ใน ค.ศ. 1910 สถาบันสถาปนิกจัดการโต้วาทีเรื่องแบบที่เหมาะสม<br />

ของชาติในอนาคต ประเด็นใหญ่ก็คือการหารูปแบบที่เหมาะสม<br />

ให้กับรัฐสภา บ้างก็เสนอให้เป็นแบบตะวันตกบ้างก็ให้เป็นแบบประเพณี<br />

และบ้างก็ให้เป็นแบบผสม ในประเด็นของแบบจึงไม่มีการตกลง<br />

ที่เห็นร่วมกันคืออาคารนี้ควรจะเป็นสื่อของ “อุดมคติของญี่ปุ่น”<br />

นั่นทำให้เหลือทางออกเดียวคือการจัดประกวดแบบโดยกระทรวง<br />

การคลังเป็นเจ้าภาพใน ค.ศ. 1918 ในรัชสมัยไทโช มีผู้ส่งงาน<br />

เข้าประกวดถึง 118 โครงการ มีผู้เข้ารอบ 20 โครงการ คณะกรรมการ<br />

ตัดสินให้งานของฟูคุโซ วาตานาเบ (Fukuzo Watanabe) ได้รับ<br />

รางวัลที่1 งานของวาตานาเบเดินตามแนวของเอนเดอร์และบ๊อคมานน์<br />

คือผังเป็นแบบรูปตัว E แต่ใหญ่กว่า ประกอบด้วย 3 มุขและ<br />

96 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน แบบชนะเลิศประกวดรัฐสภา<br />

(1918)<br />

ล่าง รัฐสภาแบบมงกุฎจักรพรรดิ<br />

สังเคราะห์ (1918-1919)<br />

2 สนามภายใน มุขกลางเป็นห้องโถง มุขซ้ายและขวาเป็น<br />

ห้องประชุมสภาสูงและสภาผู้แทนราษฎร 81 ลักษณะอาคารเป็นแบบ<br />

นีโอคลาสสิค มุขกลางมีหลังคาจั่ววิหารกรีกมีเสาลอยตัวรับ 6 ต้น<br />

เช่นเดียวกับมุขซ้ายและขวาแต่ต่างกันที่มุขทั้งสองเป็นหลังคาตัด<br />

อาคารมีจุดเด่นที่กลางอาคารหลังมุขหน้าเป็นหอคอยสูงใหญ่<br />

คลุมด้วยโดม ดูคล้ายงานแบบบายเซนไทน์(Byzentine) แต่กลับ<br />

ปรากฏว่าเมื่อถึงเวลาที่ต้องสร้างจริงคณะกรรมการกลับเห็นว่างาน<br />

โบราณเกินไป จึงจัดการแปลงแบบให้เรียบง่ายโดยตัดลวดลาย<br />

คลาสสิคออกไปหมด ส่วนหอคอยแก้ไขโดยเอาโดมออกแล้ว<br />

ใส่หลังคาปิรามิดแบบขั้นบันไดลงไปแทน ซึ่งเชื่อกันว่ามาจากแบบ<br />

ของโครงการที ่ได้รางวัลที่ 3 ของทาเกอุชิ ชินชิชิ (Takeuchi<br />

Shinshichi) 82 คณะกรรมการอธิบายว่านี่คือสถาปัตยกรรมแบบ<br />

สมัยใหม่ (modern) ทั้งนี้ก็เพื่อจะแสดงจุดยืนที่ชัดเจนของคณะ<br />

กรรมการที่สะท้อนเป็นรูปธรรมว่าแบบต้องไม่โบราณ เพราะคณะ<br />

กรรมการได้ปฏิเสธแบบโบราณอีกแบบหนึ่งที่สถาปนิกคิคูทาโร<br />

ชิโมดะ (Kikutaro Shimoda) ยื่นเสนอใน ค.ศ. 1918-1919<br />

อ้างว่าแบบรัฐสภาควรเชื่อมโยงกับความบริสุทธิ์ของสถาปัตยกรรม<br />

ญี่ปุ่นโบราณ ดังนั้นจึงเสนอแบบอาคารที่มีเรือนร่างเป็นแบบ<br />

คลาสสิค แม้กระทั่งมุขกลางยังมีหลังคาจั่ววิหารกรีกรับโดยเสา<br />

ลอยตัวแบบกรีกถึง 10 ต้น แต่บนหลังคากลับเอาปราสาทแบบญี่ปุ่น<br />

โบราณมาตั้งไว้ทั้ง 3 มุข เขาเรียกงานตัวเองว่าเป็นแบบมงกุฎ<br />

จักรพรรดิสังเคราะห์หรือไทคัน ไฮโกชิกิ (Teikan heigo shiki)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

97


บน รัฐสภาไดเอท (1920-1936)<br />

ล่าง House of the Temple (1911-1915) วอชิงตันดีซี<br />

98 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


(Imperial crown synthesis style) และนี่คือที ่มาภายหลังของ<br />

คำว่าทรงมงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิดังที่กล่าวมาแล้ว<br />

ที่แปลกคืองานอนุรักษ์นิยมแบบนี้กลับถูกอิโตะ ชูตะนักวิชาการ<br />

ชาตินิยมวิจารณ์ว่าไร้คุณค่า ทำลายทั้งหลักการของคลาสสิค<br />

และญี่ปุ่นโบราณ แบบของคิคูทาโรจึงไม่ได้รับการเหลียวแลทั้งจาก<br />

ฝ่ายรัฐสภาและรัฐบาล<br />

สำหรับแบบรัฐสภาที่ถูกแปลงเพื่อสร้างจริงนั้น หลังคาแบบ<br />

พีระมิดขั้นบันไดก็ไม่ได้แสดงความทันสมัยอะไรเลย แบบหลังคา<br />

ชนิดนี้คล้ายกับอาคารสุสานแห่งฮาลิคาร์ฮาสซุส (Mausoleum at<br />

Halicarhassus) 83 (353-350 B.C.) ในสมัยกรีกโบราณ ซึ่งเป็นแบบ<br />

อย่างให้สถาปนิกต้นศตวรรษที่ 20 เลียนแบบไปสร้างไว้หลายที่<br />

เช่น House of the Temple (1911-1915) ในกรุงวอชิงตันดีซี<br />

สหรัฐอเมริกา โดยสถาปนิกจอห์น รัสเซลล์ โป๊ป (John Russell<br />

Pope) และศาลาว่าการเมืองลอสแองเจลลีส (Los Angeles City<br />

Hall) (1926-1928) โดยออสติน พาร์กินสันและมาร์ติน (Austin<br />

Parkinson & Martin) อาคารทั้งสองต่างเป็นอาคารร่วมสมัยที่<br />

สร้างก่อนรัฐสภาไดเอทเล็กน้อย ส่วนรัฐสภาไดเอทเองเริ่มสร้าง<br />

ใน ค.ศ. 1920 และสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1936 โดยเรียกกันว่าเป็น<br />

อาคารแบบสมัยใหม่ (modern) สาธารณชนไม่มีคำวิจารณ์แบบ<br />

อาคารนี้ว่าได้สะท้อนเอกลักษณ์แห่งชาติไว้ที่ใดบ้าง ทั้งๆ ที่ตลอด<br />

เวลาที่ผ่านมาเรื่องนี้เป็นประเด็นหลักของปรัชญาการออกแบบ<br />

แต่สาธารณชนกลับกล่าวถึงความสำเร็จของอาคารในเชิงวัตถุที่<br />

จับต้องได้ เช่น ความสามารถในการใช้เทคโนโลยีที่ก้าวหน้าในการ<br />

ก่อสร้าง การใช้วัสดุภายในประเทศหรือขนาดอันใหญ่โตมโหฬาร<br />

เป็นต้น 84<br />

รัฐสภาแห่งชาติเป็นการก่อสร้างที่ยาวนานและลงทุน<br />

มากมายทั้งเวลา ความคิด ทรัพยากร รูปแบบอาคารคัดเลือก<br />

กันมาตั้งแต่สมัยเมจิจนมาลงตัวในสมัยไทโช ซึ่งสับสนมาตลอดว่า<br />

จะเอาแบบตะวันตกหรือแบบญี่ปุ่นดี ในที่สุดก็ได้แบบตะวันตก<br />

ที่ดาษดื่นเป็นผลสรุป แต่แล้วกลับมาสร้างเสร็จในสมัยโชวะช่วง<br />

ทศวรรษที่ 1930 ที่พายุชาตินิยมและทหารนิยมโหมกระหน่ำ<br />

อาคารจึงไม่ได้รับการตอบรับเชิงบวกอะไรนักหนาเพราะมันไม่ได้<br />

ตอบสนองความต้องการของลัทธิชาตินิยมสุดขั้วในขณะนั้น<br />

ซ้ำร้ายยังสร้างความสับสนให้กับคนญี่ปุ่นเองว่า ความเข้าใจใน<br />

อัตลักษณ์ของชาติตนนั้น ความจริงมันแกว่งไปมาตลอดครึ่งศตวรรษ<br />

ที่ผ่านมา<br />

สรุปคุณค่าสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในรัชสมัยไทโช<br />

ในภาพกว้างเราเห็นสถาปัตยกรรมที่สร้างจากเทคโนโลยีและ<br />

วัสดุที่ก้าวหน้าคืออาคารโครงสร้างเหล็กและคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

ซึ่งเป็นผลมาจากพื้นฐานการศึกษาที่เข้มแข็งทั้งระดับพื้นฐานและ<br />

อุดมศึกษา โดยเฉพาะการศึกษาสาขาสถาปัตยกรรมของภาควิชา<br />

วิศวกรรมอาคาร ในคณะวิศวกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัยโตเกียว<br />

ผลงานของสถาปนิกในการออกแบบและวางผังอาคารโดยทั่วไป<br />

แล้วแม้ว่าจะยังไม่ทัดเทียมกับยุโรปและอเมริกาได้ แต่ก็นับว่าใกล้<br />

เคียงในทุกชนิดและประเภทอาคาร เรื่องเฉพาะที่น่าสนใจเป็นพิเศษ<br />

ในยุคนี้คือการเกิดขึ้นของสถาปัตยกรรม 2 แบบสำคัญคือ<br />

แบบชาตินิยมและแบบสมัยใหม่ของสถาปนิก 2 กลุ่ม ซึ่งเป็นผล<br />

สะท้อนทางสังคม-การเมืองภายในญี่ปุ่นเอง ระบอบรัฐธรรมนูญ<br />

กึ่งประชาธิปไตยเปิดกว้างให้ปัญญาชนมีเสรีภาพพอสมควรที่จะนำ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่มาให้ญี่ปุ่น เช่น กลุ่มบุนริฮาและกลุ่มโซชา<br />

เป็นต้น ขณะเดียวกันลัทธิชาตินิยมทหารนิยม และลัทธิขยายดินแดน<br />

ทำให้สถาปัตยกรรมแบบวิวัฒนาการของ อิโตะ ชูตะ เป็นที่ยกย่อง<br />

และยังมีสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นประยุกต์ใส่หลังคาแบบวัดโบราณ<br />

ที่เรียกว่าแบบมงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิเติบโตแพร่หลาย<br />

แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการออกแบบของสถาปนิกทั้ง 2 กลุ่มล้วนใช้“ทฤษฎี”<br />

เป็นพื้นฐานในการขับเคลื่อนการออกแบบ กลุ่มบุนริฮาและกลุ่มโซชา<br />

ประกาศตัวเป็นพวกสากลนิยม พวกเขาต้องการสถาปัตยกรรม<br />

ที่ใช้หลักเหตุผลและประโยชน์ใช้สอยเท่านั้น ละทิ้งสถาปัตยกรรม<br />

โบราณทุกชนิด นั่นคือคำตอบของสังคมญี่ปุ่นสมัยใหม่<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

99


ขณะเดียวกันฝ่ายชาตินิยมที่นำโดยอิโตะ ชูตะมีความพยายาม<br />

อย่างสูงสุดที่จะพัฒนาสถาปัตยกรรมโบราณไปสู่รูปแบบที่จะใช้ได้<br />

กับยุคปัจจุบันโดยผ่านกระบวนการ “วิวัฒนาการ” ซึ่งเป็นการออกแบบ<br />

ที่อาศัยการเรียนรู้พัฒนาการของประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

เชื่อมโยงกับสถาปัตยกรรมของเอเชียและกรีก การศึกษาของอิโตะ<br />

ทำให้ญี่ปุ่นมีความรู้ในประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมที่เข้มแข็ง<br />

แม้ว่าอิโตะจะวิเคราะห์ประวัติศาสตร์อย่างเข้าข้างตนเอง<br />

และชาตินิยมจัดก็ตาม และในที่สุดผลงานที่อิโตะผลิตขึ้นมาก็<br />

หนีไม่พ้นวิธีการประสมประสานรูปแบบโบราณของชาติต่างๆ<br />

และยุคต่างๆ เข้าด้วยกัน ไม่ได้ต่างจากอาคารชาตินิยมแบบมงกุฎ<br />

จักรพรรดิไปสักเท่าไร และอาคารแบบชาตินิยมทั้งสองพวกนี้<br />

ต่างเป็นฐานอ้างอิงให้กับอาคารชาตินิยมที่ยิ่งขาดการสร้างสรรค์<br />

ในรัชสมัยถัดไป<br />

งานรัฐสภาแห่งชาติ (ไดเอท) เป็นงานที่ตั้งแต่เริ่มต้นก็<br />

ต้องการให้เป็นสัญลักษณ์ของความก้าวหน้าและตัวแทน<br />

ความเป็นญี่ปุ่นในเวลาเดียวกัน แต่ด้วยความลังเลในการคัดเลือก<br />

แบบหลายครั้งในระยะเวลาที่เนิ่นนาน ทำให้ผลสุดท้ายอาคารนี้<br />

ไม่ได้แสดงความก้าวหน้าของยุคสมัยและไม่สามารถเป็นตัวแทน<br />

ความเป็นญี่ปุ่นได้จึงกลายเป็นคำถามว่าสุดท้ายแล้วรัฐสภาแห่งชาติ<br />

เป็นสัญลักษณ์ของความสับสนในอัตลักษณ์ของญี่ปุ่นต่างหาก<br />

หรือไม่ อย่างไรก็ตามสถาปัตยกรรมต่างแบบต่างความคิดใน<br />

ยุคไทโชแสดงลักษณะร่วมของสถาปนิกญี่ปุ่นว่า พวกเขาแม้จะมี<br />

แนวคิดแตกต่างคนละขั้วแต่ต่างมีความพยายามอย่างหนัก<br />

ที่จะก้าวข้ามจากการเลียนแบบสถาปัตยกรรมตะวันตกในยุคเมจิ<br />

มาสู่การค้นหาอัตลักษณ์ของตนเองในยุคไทโช โดยต่างมีทฤษฎี<br />

ชี้นำที่อยู่บนรากฐานของการศึกษาอย่างหนักหน่วงทาง<br />

ประวัติศาสตร์และทฤษฎีสถาปัตยกรรม แม้จะไม่เห็นผลสำเร็จ<br />

ทางรูปธรรมที่ชัดเจนนักในตอนนี้ แต่ผลดีจะบังเกิดขึ้นหลังญี่ปุ่น<br />

ผ่านพ้นยุคชาตินิยม-ทหารนิยมและจักรวรรดินิยมในช่วงทศวรรษ<br />

ที่ 1930-1940 หรือหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 แล้วเท่านั้น<br />

100 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


รัชสมัยโชวะ (Showa period)<br />

ตั้งแต่เริ่มรัชสมัยจนถึงสิ้นสุด<br />

สงครามโลกครั้งที่ 2<br />

(1926-1945)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

ช่วงระยะเวลาสั้นๆ เพียง 20 ปี ของประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น<br />

ตอนนี้เป็นเหตุการณ์ที่พลิกโฉมหน้าประวัติศาสตร์ของชาตินี้<br />

ยิ่งกว่าสมัยเมจิเสียอีก ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำที่ระบอบประชาธิปไตย<br />

แก้ไขให้ทันใจมวลชนไม่ได้ นำไปสู่ลัทธิชาตินิยมคลั่งชาติและ<br />

ลัทธิทหารนิยม ที่เสนอทางออกที่รวบรัดรุนแรง การใช้อำนาจ<br />

เผด็จการและการทำสงครามกับต่างประเทศเพื่อแก้ปัญหาภายใน<br />

นำมาซึ่งความพึงพอใจของมวลชนที่ตกอยู่ในภาวะหลงทาง<br />

ในตอนแรก แต่กลับตามมาด้วยสงครามใหญ่และความพินาศ<br />

เสียหายของชาติและประชาชนในตอนจบ<br />

จักรพรรดิโชวะ (1901-1989)<br />

การที่รัฐบาลออกกฎหมายให้ชายทุกคนมีสิทธิเลือกตั้ง<br />

ใน ค.ศ. 1925 นั้น เปรียบเสมือนพรที่เจือด้วยค ำสาป เพราะกฎหมาย<br />

ความมั่นคงที่ออกควบคู่มาด้วยนั้นเป็นตัวทำลายเสรีภาพส่วนบุคคล<br />

ที่นำไปสู่ลัทธิชาตินิยมและทหารนิยม กระทรวงศึกษาธิการได้จัด<br />

พิมพ์หนังสือหลักการแห่งชาติ(Kokutai no Hongi) ในเดือนมีนาคม<br />

ค.ศ. 1937 หนังสือหนา 137 หน้านี้รวบรวมคำสั่งสอนฉบับทางการ<br />

เกี่ยวกับรัฐแห่งญี่ปุ่น (Kokutai) ทั้งนโยบายภายในประเทศ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

101


นโยบายต่างประเทศ วัฒนธรรมและอารยธรรม 85 ที่ชี้ให้เห็นว่า<br />

ทุกคนต้องสละประโยชน์ส่วนตนเพื่อชาติ ที่ตนเป็นส่วนประกอบ<br />

หนึ่งอย่างแยกกันไม่ได้และชนชาติญี่ปุ่นนั้นแตกต่างและสูงส่งกว่า<br />

ทุกชนชาติในโลก 86 ขณะที่ปัจจัยภายนอกการประชุมที่วอชิงตันใน<br />

ค.ศ. 1921 อันเนื่องมาจากความก้าวร้าวของญี่ปุ่นในแมนจูเรีย<br />

ได้กำหนดจำนวนกองเรือรบอังกฤษ สหรัฐอเมริกา และญี่ปุ่นไว้ที่<br />

อัตราส่วน 5 : 5 : 3 ทำให้พวกขวาจัดที่ไม่พอใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว<br />

ได้ปะทุยิ่งขึ้นไปอีกเมื่อสหรัฐอเมริกาออกกฎหมายการอพยพ<br />

เข้าเมืองใน ค.ศ. 1924 ได้รวมเอาญี่ปุ่นเข้าไปด้วยเช่นเดียวกับ<br />

ชาติเอเชียอื่นๆ ทำให้มวลชนเคลื่อนไหวต่อต้าน และเสนอให้สร้าง<br />

กองทัพให้เข้มแข็งขึ้นไปอีก ช่วง ค.ศ. 1927-1932 เป็นช่วงเวลาแห่ง<br />

ความวิกฤตทั้งเศรษฐกิจและการเมือง เริ่มด้วยวิกฤตการณ์ธนาคาร<br />

ใน ค.ศ. 1927 ตามด้วยภาวะเศรษฐกิจตกต่ำใน ค.ศ. 1930-1932<br />

ซึ่งมาจากสาเหตุภายในที่สะสมร่วมด้วยสาเหตุภายนอก ราคา<br />

สินค้าตกต่ำการส่งออกลดลงถึง 50% การว่างงานลุกลามไปทั่วทั้ง<br />

ในเมืองและชนบท ความไม่สงบเกิดขึ้นทุกหย่อมหญ้า นอกจากนี้<br />

สนธิสัญญากองกำลังนาวีแห่งลอนดอน (London Naval Treaty)<br />

ใน ค.ศ. 1930 ปรับปรุงอัตราส่วนจำนวนเรือรบของ 3 ชาติเป็น<br />

10 : 10 : 7 แม้จะได้อัตราส่วนที่เพิ่มขึ้นแต่ญี่ปุ่นยังไม่พอใจและ<br />

เรียกร้องให้เป็น 5:4 ในเรื่องเรือขนาดใหญ่ แต่ผลการเจรจาไม่เป็น<br />

ที่พอใจของพวกขวาจัด นำมาซึ่งการลอบสังหารนายกรัฐมนตรี<br />

ฮามากูชิ โอซาชิ (Hamaguchi Osachi) ในเดือนพฤศจิกายน<br />

ค.ศ. 1930 ทำให้เขาเสียชีวิต ต่อมาใน ค.ศ. 1931 รัฐบาลพลเรือน<br />

ไม่สามารถควบคุมความวุ่นวายของฝูงชนได้เป็นเหตุให้พวกทหาร<br />

ได้ใจดำเนินการโดยอิสระจากรัฐบาล ถือโอกาสใช้กำลังเข้ายึดครอง<br />

แมนจูเรียใน ค.ศ. 1931 นั่นเอง โดยอ้างเหตุผลว่าทางรถไฟของ<br />

ญี่ปุ่นถูกวางระเบิด ทหารญี่ปุ่นยึดแมนจูเรียได้หมดและตั้งรัฐบาล<br />

หุ่นเชิดแมนจูกัว (Manchukuo) การรุกรานของญี่ปุ่นถูกต่อต้านใน<br />

ที่ประชุมสันนิบาตชาติ ซึ่งญี่ปุ่นไม่สามารถยอมรับได้ จึงถอนตัว<br />

จากสันนิบาตชาติใน ค.ศ. 1933 ซึ่งเป็นผลจากการลงมติของ<br />

รัฐสภาแห่งชาติที่ถูกครอบงำโดยเหล่านายพล การถอนตัวจาก<br />

สันนิบาตชาติทำให้ญี่ปุ่นโดดเดี่ยวไร้พันธมิตร ขณะที่ภายใน<br />

ประเทศมวลชนกำลังคลั่งไคล้ในลัทธิชาตินิยม ผู้นำท้องถิ่น เช่น<br />

นายอำเภอ ครู พระชินโตถูกเกณฑ์โดยกลุ่มรักชาติต่างๆ เพื่อไป<br />

ปลุกระดมมวลชนด้วยอุดมการณ์ชาตินิยมสุดโต่ง (ultranationalism)<br />

จนกระทั่งคนเหล่านี้ก่อการจลาจลและสังหารบุคคล<br />

สำคัญทางการเมืองอย่างร้ายแรงถึง 2 ครั้งใน ค.ศ. 1932 โดยครั้งแรก<br />

เกิดขึ้นในเดือนกุมภาพันธ์ “กลุ่มสัตยาบันเลือด” (Ketsumeidan)<br />

(League of Blood) ปลุกระดมชาวนาให้สังหารนักการเมืองและ<br />

นักธุรกิจ ทำให้อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังที่ต่อต้าน<br />

พฤติกรรมทหารในกรณีแมนจูเรียถูกสังหาร ในเดือนพฤษภาคม<br />

พวกทหารเรือหนุ่มบุกสังหารนายกรัฐมนตรีอินูกาอิ ซึโยชิ (Inukai<br />

Tsuyoshi) เพื่อหวังให้เกิดรัฐประหาร แต่ก็ไม่เกิดรัฐประหารและ<br />

พวกผู้ก่อการถูกปราบลงได้ แต่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงทหารบก<br />

กลับแสดงความเห็นใจผู้ก่อการและมีการปล่อยตัวตามมา<br />

เหตุการณ์นี้ชี้ให้เห็นว่าการปกครองในระบอบพรรคการเมืองของ<br />

ญี่ปุ่นได้ล่มสลายลงแล้ว<br />

จาก ค.ศ. 1932-1936 ประเทศญี่ปุ่นปกครองด้วยพวกนายพล<br />

โดยมีพวกนายพันคอยกระทำการรุนแรงทางการเมืองด้วยการ<br />

ลอบสังหารบุคคลสำคัญเป็นระยะๆ วิกฤตการณ์พัฒนามาถึง<br />

จุดสูงสุดในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1936 ทหารขวาจัด<br />

1,500 คน เดินขบวนไปตามถนนกลางกรุงโตเกียว เพื่อสังหาร<br />

บุคคลสำคัญในรัฐบาลเพื่อจัดตั้ง “การปฏิรูปโชวะ” แต่นายกรัฐมนตรี<br />

โอกาดะ ไคสุเกะ (Okada Keisuke) รอดไปได้การก่อกบฏถูกสั่งให้เลิก<br />

โดยจักรพรรดิ หลังจากนั้นทหารก็เข้ามาปกครองประเทศดำเนิน<br />

นโยบายเผด็จการภายในประเทศ และรุกรานทางทหารอย่างเปิดเผย<br />

สำหรับนโยบายต่างประเทศ ภายในรัฐเผด็จการอุดมการณ์<br />

“ร่วมวงศ์ไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” (Co-prosperity of the<br />

Great East Asia) เริ่มได้รับการบ่มเพาะ พวกชาตินิยมสุดโต่ง<br />

ประกาศว่าเอเชียจะอยู่รอดได้ก็ด้วยการเดินตามญี่ปุ่นเป็นตัวอย่าง<br />

เพราะญี่ปุ่นเป็นชาติเอเชียเพียงชาติเดียวที่สร้างอุตสาหกรรม<br />

102 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ญี่ปุ่นเป็นรัฐทหารตั้งแต่ทศวรรษ1930<br />

กองทัพญี่ปุ่นบุกเซี่ยงไฮ้ (1937)<br />

ได้ด้วยตนเอง เป็นคู่แข่งที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดินิยมตะวันตก<br />

โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาและอังกฤษ ญี่ปุ่นจะเป็นผู้นำชาติเอเชีย<br />

สร้างกองกำลังที่เป็นเอกภาพในการต่อต้านจักรวรรดินิยมตะวันตก<br />

มันเป็นรากฐานความคิดพ่อปกครองลูกของลัทธิขงจื๊อ ร่วมกับ<br />

ลัทธิโคชิซึ (Koshitsu) ในศาสนาชินโต จุดมุ่งหมายใหญ่ของ<br />

วงศ์ไพบูลย์คือฮักโกอิชิน (hakkoichin) หรือการสร้างเอกภาพ 8<br />

มุมโลกภายใต้การปกครองของจักรพรรดิ แต่ในความเป็นจริงแล้ว<br />

กองทัพญี่ปุ่นที่รุกรานไปทั่วเอเชียได้ก่อกรรมท ำเข็ญ สร้างความทุกข์<br />

ยากแสนสาหัสให้ประชาชนพื้นเมืองทุกที่ที่พวกนี้ย่างเท้าเข้าไป<br />

สงครามครั้งสุดท้าย<br />

สงครามจีน-ญี่ปุ่นครั้งที่ 2<br />

7 กรกฎาคม ค.ศ. 1937 กองทัพญี่ปุ่นบุกปะทะกองทหารจีน<br />

ที่สะพานมาร์โคโปโลในกรุงปักกิ่ง การรุกรานนำไปสู่สงครามใหญ่<br />

ที่ได้รับอนุมัติจากจักรพรรดิ และเรียกว่า “สงครามศักดิ์สิทธิ์”<br />

สิ้นเดือนกรกฎาคมกองทัพญี่ปุ่นก็ยึดปักกิ่งได้และเคลื่อนทัพลงใต้<br />

ตามเส้นทางรถไฟ กองทัพจีนต้านทานกองกำลังที่เหนือกว่า<br />

ของญี่ปุ่นไม่ได้ มหานครเซี่ยงไฮ้แตกในเดือนตุลาคม นครนานกิง<br />

ถูกยึดตอนสิ้นปี กองทัพจีนเปลี่ยนยุทธวิธีสลายตัวเป็นกองทหาร<br />

จรยุทธ์ทำการรบเล็กๆ ก่อกวนกองทัพขนาดใหญ่ของญี่ปุ่น ที่ขณะนี้<br />

เปรียบเสมือนจมอยู่ในปลักสงครามอันกว้างใหญ่ของแผ่นดินจีน<br />

ที่ไม่เห็นวันสิ้นสุด<br />

สงครามในแปซิฟิกและจุดจบของกองทัพญี่ปุ่น<br />

ญี่ปุ่นเริ่มเจรจาเป็นพันธมิตรกับเยอรมันตั้งแต่ ค.ศ. 1937 และ<br />

ลงนามเป็นแกนอักษะ 3 ประเทศคือ ญี่ปุ่น อิตาลี และเยอรมัน<br />

ในเดือนกันยายน ค.ศ. 1940 จุดมุ่งหมายคือความต้องการขยาย<br />

ดินแดนให้กว้างไกลออกไปจนครอบคลุมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้<br />

ทั้งหมด เพื่อทรัพยากรน้ำมันและแร่ธาตุอื่นๆ ความทะเยอทะยาน<br />

ที่ญี่ปุ่นเรียกฉาบหน้าอย่างสวยงามว่า “ร่วมวงศ์ไพบูลย์แห่ง<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

103


กองทัพอากาศญี่ปุ่นโจมตีฐานทัพเรือที่<br />

เพิร์ลฮาร์เบอร์ (1941)<br />

มหาเอเชียบูรพา” พฤติกรรมรุกรานของญี่ปุ่นในจีนทำให้<br />

สหรัฐอเมริกาประกาศไม่ขายน้ำมันให้ญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1941 ทำให้<br />

ญี่ปุ่นใช้เป็นข้ออ้างในการทำสงครามฉวยโอกาสโจมตีกองทัพเรือ<br />

สหรัฐอเมริกาที่อ่าวเพิร์ล ฮาร์เบอร์ หมู่เกาะฮาวาย ในวันที่ 7<br />

ธันวาคม ค.ศ. 1941 และรุกเข้ายึดฮ่องกงในวันรุ่งขึ้น 8 ธันวาคม<br />

ค.ศ. 1941 และในวันเดียวกันนั้นเองกองทัพญี่ปุ่นยกพลขึ้นบกบุก<br />

เข้าสยามหลายจังหวัดตลอดแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทย กองทหาร<br />

ท้องถิ่นและพลเรือนสยามรบต้านทานกองทัพญี่ปุ่นอยู่หลายวัน<br />

จนถึงวันที ่ 11 ธันวาคม รัฐบาลสยามจึงยอมยุติการต่อสู้และ<br />

เปลี่ยนนโยบายไปลงนามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นทันทีในวันที่ 21<br />

ธันวาคม ค.ศ. 1941 ฤดูร้อน ค.ศ. 1942 ญี่ปุ่นสามารถยึดครอง<br />

พม่า สยาม อินเดียตะวันออกของฮอลันดา (อินโดนีเซีย) ฟิลิปปินส์<br />

มาเลเซีย และสิงคโปร์ นับเป็นจุดสูงสุดของญี่ปุ่นในการทำสงคราม<br />

แต่แล้วกระแสลมแห่งสงครามก็เริ่มตีกลับ ญี่ปุ่นรบแพ้สงครามทาง<br />

เรือและอากาศให้กับกองเรือสหรัฐอเมริกาที่หมู่เกาะมิดเวย์ และ<br />

เริ่มตกเป็นฝ่ายรับ สหรัฐอเมริกาใช้ยุทธวิธีรบแบบกระโดดข้ามไป<br />

มาจากเกาะหนึ่งไปอีกเกาะหนึ่งอย่างไม่รีบร้อน จนสามารถยึดหมู่<br />

เกาะฟิลิปปินส์คืนมาได้ใน ค.ศ. 1945 และเริ่มโจมตีหมู่เกาะญี่ปุ่น<br />

ด้วยระเบิดเพลิงเผาผลาญเมืองต่างๆ รวมทั้งโตเกียว สุดท้ายด้วย<br />

ระเบิดปรมาณู 2 ลูกของสหรัฐอเมริกาทำให้ญี่ปุ่นต้องยอมแพ้<br />

อย่างไม่มีเงื่อนไขและพินาศย่อยยับในวันที่14 สิงหาคม ค.ศ. 1945<br />

104 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เศรษฐกิจสมัยโชวะ 87<br />

ยุคนี้เป็นยุคแห่งวิกฤตการณ์ทางเศรษฐกิจอย่างแท้จริงที่เกิดขึ้น<br />

หลายระลอก เริ่มด้วยวิกฤตการณ์ธนาคาร ช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ<br />

และช่วงเศรษฐกิจสงครามตามลำดับ<br />

วิกฤตการณ์ธนาคาร ค.ศ. 1927 เป็นเรื่องสะสมมาจากธุรกิจ<br />

ญี่ปุ่นที่เติบโตอย่างรวดเร็วหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 มีบริษัทห้าง<br />

ร้านเกิดขึ้นจำนวนมากแต่เป็นกิจกรรมเพื่อการเก็งกำไรมากกว่า<br />

การผลิตจริง ทำให้เกิดภาวะเศรษฐกิจฟองสบู่ในทศวรรษ 1920<br />

เหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่คันโตใน ค.ศ. 1923 ทำให้เกิดเศรษฐกิจ<br />

ตกต่ำ ธุรกิจล้มละลายมากมาย ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่นแทรกแซง<br />

โดยการออก “พันธบัตรแผ่นดินไหว” ลดราคา เพื่อช่วยพยุง<br />

ฐานะธนาคารทั้งหลาย แต่ความจริงมีอยู่ว่าระบบธนาคารของญี่ปุ่น<br />

ล้าหลังมาก จำนวนมีมากเกินไปแต่สินทรัพย์กลับมีน้อยเกินไป<br />

การปล่อยกู้ไม่สุจริตและไม่ระมัดระวัง เจ้าของธนาคารนำเงินฝาก<br />

ของประชาชนไปลงทุนในกิจการเก็งกำไรของตนเองโดยไม่มีสำนึก<br />

รับผิดชอบ และไม่มีการตรวจสอบโดยเฉพาะธนาคารต่างจังหวัด<br />

ในเดือนมกราคม ค.ศ. 1927 รัฐบาลเสนอซื้อคืนพันธบัตรที่บรรดา<br />

ธนาคารกู้ยืมไป ประชาชนเกิดตื่นตระหนกว่าธนาคารทั้งหลาย<br />

จะล้มละลาย จึงแห่กันไปถอนเงินจนเกิดจลาจล ธนาคารที่อาการหนัก<br />

ได้แก่ธนาคารแห่งไต้หวัน และธนาคารซูซูกิโชเทน (Suzuki Shoten)<br />

ซึ่งดำเนินธุรกิจเก็งกำไรเป็นหลักและเป็นหนี้ธนาคารแห่งชาติ<br />

ไต้หวันเป็นอันมาก รวมทั้งอีก 37 ธนาคารกำลังจะล้มลายรัฐบาล<br />

พยายามช่วยโดยคิดจะออกพระราชกฤษฎีกาฉุกเฉินให้ธนาคาร<br />

ชาติญี่ปุ่น ยืดเวลาให้เงินกู้ฉุกเฉินเพื่อรักษาธนาคารเหล่านี้ไว้<br />

แต่ข้อเสนอของรัฐบาลถูกสภาองคมนตรีปฏิเสธ นายกรัฐมนตรี<br />

วากาซึกิ เรอิจิโร (Wakatsuki Reijiro) ถูกบังคับให้ลาออก ทานากะ<br />

กิอิชิ (Tanaka Giichi) ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีและสั่งให้ธนาคาร<br />

หยุดทำธุรกรรมเป็นเวลา 3 สัปดาห์ เพื่อยุติความโกลาหลและ<br />

ทำได้สำเร็จ ผลของวิกฤตนี้ทำให้มีการออกกฎหมายธนาคารขึ้นใหม่<br />

เศรษฐกิจตกต่ำและภาวะอดอยากตอนต้นทศวรรษ 1930<br />

ตั้งแต่ 1 มกราคม ค.ศ. 1928 กำหนดให้ธนาคารต้องตั้งเงินสำรอง<br />

ขั้นต่ำ ห้ามผู้บริหารประกอบธุรกิจที่ไม่ใช่ธุรกิจของธนาคาร<br />

มีการตรวจสอบธนาคารและสนับสนุนการควบรวมธนาคาร<br />

เพื่อความมั่นคง ทำให้จำนวนธนาคารลดลงจาก 2,039 แห่ง<br />

ในทศวรรษที่ 1920 เหลือเพียง 650 แห่งใน ค.ศ. 1932 88<br />

เศรษฐกิจตกต่ำ ค.ศ. 1930-1932 เป็นช่วงที่ญี่ปุ่นประสบปัญหา<br />

เศรษฐกิจตกต่ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ เกิดขึ้นในช่วง<br />

ค.ศ. 1930-1932 ซึ่งมาจากสาเหตุ 2 ประการ คือ ปัจจัยภายใน<br />

รัฐบาลของพรรคมินไซ (Minsei Party) (ช่วงเดือนกรกฎาคม<br />

ค.ศ. 1929-เมษายน ค.ศ. 1931) นำโดยนายกรัฐมนตรีโอซาชิ<br />

ฮามากูชิ (Osachi Hamaguchi) ดำเนินนโยบายรัดเข็มขัด<br />

(deflation) เพื่อกำจัดธนาคารที่อ่อนแอ และเตรียมกลับไปอิงค่า<br />

เงินกับมาตรฐานทองคำแบบก่อนสงครามโลกครั้งที่1 โดยมีรัฐมนตรี<br />

คลังอิโนอูเอะ จุนโนสุเกะ (Inoue Junnosuke) เป็นผู้ดำเนินการ<br />

อย่างแข็งขัน ปัจจัยภายนอกคือการซ้ำเติมของเหตุการณ์พฤหัส<br />

มืดที่ตลาดหุ้นวอลล์สตรีทล่มในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1929 ส่งผลให้<br />

เกิดสภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกและส่งผลลบต่อเศรษฐกิจญี่ปุ่น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

105


อย่างรุนแรง และถึงขั้นอดอยากขาดอาหารใน ค.ศ. 1934<br />

ประชาชนโกรธแค้นรัฐบาลและพวกธุรกิจขนาดใหญ่ที่รัฐบาล<br />

สนับสนุนการควบรวมบริษัทเพื่อการผูกขาดการผลิตและ<br />

การกำหนดราคาสินค้า (cartelization) โดยการโฆษณาชวนเชื่อ<br />

(rationalization) แต่ระบบตลาดเสรีดูเหมือนจะทำให้ภาวะ<br />

เศรษฐกิจย่ำแย่ไปอีก แนวคิดใหม่ในการจำกัดการผลิตสินค้าต่างๆ<br />

จึงเกิดขึ้น ส่งผลให้สินค้าต่างๆ ขาดแคลน ประชาชนหันไปหาลัทธิ<br />

ทหารนิยมและพวกขวาจัด ขณะที่ประณามพรรคการเมืองและ<br />

นักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้ง ทศวรรษ 1930 จึงเห็นญี่ปุ่น<br />

ที่เบี่ยงเบนออกจากเศรษฐกิจเสรีนิยมไปสู่ระบบที่มีการควบคุม<br />

โดยรัฐมากขึ้น ซึ่งนอกจากความล้มเหลวของการบริหารแบบ<br />

รัดเข็มขัดแล้ว อิทธิพลของลัทธิมาร์กซ์และความสำเร็จของ<br />

สหภาพโซเวียตก็เป็นอิทธิพลสำคัญ ที่ทำให้ประชาชนคิดว่าระบบ<br />

การควบคุมการค้าและผูกขาดอุตสาหกรรมโดยรัฐ จะทำให้เศรษฐกิจ<br />

เข้มแข็งขึ้น รวมทั้งการใช้กำลังทหารขยายดินแดนในแมนจูเรีย<br />

และมองโกเลีย เป็นเรื่องจำเป็นสำหรับผลประโยชน์ของญี่ปุ่น<br />

โครงสร้างฝ่ายการเมืองของญี่ปุ่นตั้งแต่ทศวรรษ 1900<br />

นั้นแบ่งนักการเมืองได้เป็น2 พวกคือ พรรคฝ่ายขวาที่เรียกตัวเองว่า<br />

ริกเคนไซยุไก (Rikken Seiyukai) มีนโยบายเศรษฐกิจที่เน้นการลงทุน<br />

โครงสร้างพื้นฐานสาธารณูปโภคและอุตสาหกรรมในชนบท<br />

ยอมรับการเสริมสร้างกำลังทหารและการขยายดินแดน มีฐานเสียง<br />

จากพวกเจ้าที่ดินและคนร่ำรวยในเขตเมือง พวกที่ 2 คือพรรค<br />

กลางขวาหรือริกเคนมินไซโตะ (Rikken Minseito) มีนโยบาย<br />

รัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมและต้องการอิงค่าเงิน<br />

กับมาตรฐานทองคำ ต้องการการทูตแบบสันติและร่วมมือกับ<br />

นานาชาติ ฐานเสียงคือปัญญาชนและคนในเขตเมือง แต่การบริหาร<br />

ของรัฐบาลพรรคนี้โดยรัฐมนตรีคลังอิโนอูเอะใน ค.ศ. 1929-1931<br />

ทำให้เศรษฐกิจตกต่ำรุนแรง พวกไซยุไกจึงขึ้นมาเป็นรัฐบาลแทน<br />

และปรับนโยบายการเงินเป็นแบบขยายงบประมาณ เลิกอิงค่าเงิน<br />

กับมาตรฐานทองคำ การบริหารของรัฐมนตรีคลังทากาฮาชิ<br />

โคเระกิโย (Takahashi Korekiyo) ทำให้เศรษฐกิจญี่ปุ่นฟื้นตัว<br />

ใน ค.ศ. 1932 และขยายตัวอย่างแข็งแรงใน ค.ศ. 1936 นับเป็น<br />

ประเทศอุตสาหกรรมประเทศแรกที่รอดตัวจากภาวะเศรษฐกิจ<br />

ตกต่ำของโลก แต่เรื่องนี้กลับจบลงอย่างน่าสลด กล่าวคือทากาฮาชิ<br />

เริ่มเปลี่ยนนโยบายใช้เงินมาเป็นจำกัดเงิน เมื่อเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว<br />

ใน ค.ศ. 1934 เรื่องร้ายแรงคือเขาตัดค่าใช้จ่ายของกองทัพอันเป็น<br />

เหตุให้เขาถูกพวกทหารฆาตกรรมในวันที่26 กุมภาพันธ์ค.ศ. 1936<br />

จาก ค.ศ. 1931-1937 กลุ่มทหารขวาจัดเริ่มกระท ำก่อการร้าย<br />

บ่อนทำลายระบอบรัฐสภา โดยอ้างปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำ<br />

โฆษณาการสร้างชาติภายใต้การนำของจักรพรรดิใช้ระบบเศรษฐกิจ<br />

ที่วางแผนจากส่วนกลาง ช่วยเหลือคนยากจนในชนบท เมื่อได้รับ<br />

การตอบรับจากมวลชนพวกทหารเริ่มการก่อการร้ายทั้งภายในและ<br />

ภายนอกประเทศครั้งแล้วครั้งเล่า เช่นใช้กองกำลังทหารยึดครอง<br />

แมนจูเรียและตั้งรัฐบาลหุ่นใน ค.ศ. 1931 โดยที่รัฐบาลกลางญี่ปุ่น<br />

ไม่สามารถจัดการอะไรได้ ลอบสังหารนายกรัฐมนตรีอินูกาอิ ซึโยชิ<br />

(Inukai Tsuyoshi) ซึ่งไม่พอใจการกระทำของทหารใน ค.ศ. 1932<br />

หลังจากนั้นพวกนายพลก็เข้าควบคุมรัฐบาลและกระทำสงครามกับ<br />

จีนอย่างเปิดเผยใน ค.ศ. 1937<br />

เศรษฐกิจสงคราม ค.ศ.1936-1945 เมื่อสงครามจีน-ญี่ปุ่น<br />

ระเบิดขึ้นใน ค.ศ. 1937 ระบบเศรษฐกิจการตลาดของญี่ปุ่น<br />

ก็ถูกเปลี่ยนเป็นการวางแผนจากส่วนกลางเพื่อการทำสงคราม<br />

รัฐบาลออกมาตรการควบคุมเคลื่อนย้ายมวลชน บริษัท ห้างร้าน<br />

และทรัพยากรเพื่อสนับสนุนการทำสงครามของรัฐ มาตรการแรก<br />

ของรัฐบาลทหารคือการตั้งคณะกรรมการวางแผนหรือคิกาคูอิน<br />

(Kikakuin) ภายใต้การบังคับบัญชาของนายกรัฐมนตรี มีหน้าที่<br />

ออกนโยบายรอบด้าน (comprehensive policy) สำหรับจัดการ<br />

เคลื่อนย้ายทรัพยากรแห่งชาติในภาวะสงคราม บรรดาข้าราชการ<br />

หัวกะทิทั่วประเทศถูกคัดเลือกมาปฏิบัติหน้าที่นี้ ซึ่งทำหน้าที่คล้ายกับ<br />

คณะกรรมการวางแผนแห่งชาติในประเทศสังคมนิยม ใน ค.ศ. 1938<br />

มีการเสนอแผนการจัดการเคลื่อนย้ายทรัพยากร (แผนเศรษฐกิจแรก)<br />

ขณะเดียวกันก็ออกกฎหมายการจัดการเคลื่อนย้ายแห่งชาติ<br />

106 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


การทิ้งระเบิดปรมาณูที่นางาซากิ เมื่อ 9 สิงหาคม ค.ศ.1945<br />

(National Mobilization Law) ค.ศ. 1938 ใน ค.ศ. 1940 นายกรัฐมนตรี<br />

เจ้าชายโคโนเอะ ฟูมิมาโร (Prince Konoe Fumimaro) เสนอระบอบ<br />

พรรคการเมืองเดี่ยวและยุบเลิกพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อการรุกราน<br />

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และการเป็นพันธมิตรกับแกนอักษะ<br />

ค.ศ. 1943 รัฐบาลประกาศใช้กฎหมายบริษัทห้างร้านภายใต้ความ<br />

ต้องการของกองทัพ (The Military Needs Company Act) (1943)<br />

บังคับบริษัทห้างร้านที่ถูกทางการขึ้นบัญชี ต้องอยู่ภายใต้การควบคุม<br />

จัดการผลิตโดยรัฐบาล มีการโฆษณาชวนเชื่อให้บริษัทห้างร้าน<br />

ควบรวมและบังคับแรงงานโรงงานอย่างเข้มงวด จุดประสงค์เพื่อ<br />

การเพิ่มผลผลิตของทหารภายใต้ทรัพยากรและการส่งออกที่จำกัด<br />

นั่นคือการผลิตเครื่องบินและเรือรบ ทำให้เกิดการเพิ่มกำลังให้<br />

อุตสาหกรรมหนักแต่ละเลยการผลิตเพื ่อการบริโภคประจำวัน<br />

การผลิตเหล็กรูปพรรณเพื่อการก่อสร้างถูกยกเลิก เพื่อนำเหล็กไป<br />

ผลิตเครื่องบิน ปัญหาใหญ่ในการวางแผนคือ การสร้างผลผลิตให้<br />

มากที่สุดภายใต้อุปสรรคสำคัญ 2 ประการคือ เงินทุนสำรอง<br />

สำหรับแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ และพลังงานและวัตถุดิบ<br />

ตลอดจนการเคลื่อนย้ายทรัพยากรเหล่านั้นจากพื้นที่ยึดครองมายัง<br />

โรงงานที่ญี่ปุ่น ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ.1941 ญี่ปุ่นตัดสินใจบุก<br />

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้เพื่อทรัพยากร ภายใต้คำโฆษณาอันสวย<br />

หรูว่า “ร่วมวงศ์ไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” เริ่มด้วยอินโดจีน<br />

ฝรั่งเศส (เวียดนาม) ส่งผลให้สหรัฐอเมริกางดขายน้ำมันให้ และ<br />

แช่แข็งทรัพย์สมบัติของญี่ปุ่นนอกประเทศ ญี่ปุ่นกระโจนเข้าทาง<br />

เลือกสุดท้ายโดยการทำสงครามกับสหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม<br />

ค.ศ. 1941 ฝ่ายญี่ปุ่นไม่มีแนวคิดชัดเจนใดๆ ในการทำสงครามกับ<br />

สหรัฐอเมริกานอกจากลัทธิชาตินิยมสุดโต่งและความเชื่อในชัยชนะ<br />

ของพรรคนาซีในยุโรป ซึ่งเป็นการทำสงครามแบบฆ่าตัวตาย<br />

ในที่สุดเมื่อสงครามผ่านไปได้เพียงหนึ่งปีญี่ปุ่นก็เริ่มถูกตีโต้กลับ<br />

ในขณะที่ขาดแคลนวัตถุดิบและพลังงาน เพราะเส้นทางขนส่ง<br />

ทางทะเลของญี่ปุ่นถูกกองทัพเรือและอากาศของสหรัฐอเมริกา<br />

ควบคุมได้หมด สุดท้ายหลังจากการถูกทิ้งระเบิดถล่มเกาะญี่ปุ่น<br />

อย่างย่อยยับ ญี่ปุ่นจึงต้องยอมแพ้อย่างสิ้นเชิงในเดือนสิงหาคม<br />

ค.ศ. 1945<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

107


สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ตั้งแต่เริ่มรัชสมัยโชวะจนถึง<br />

สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 (1926-1945)<br />

แม้ว่าประวัติศาสตร์สังคมจะชี้ว่าญี่ปุ่นช่วงนี้เป็นเวลาของ<br />

กระแสคลั่งชาติและนิยมทหาร แต่ในทางสถาปัตยกรรมยังมี<br />

บรรยากาศเปิดให้มีการแสดงออกที่แตกต่างอยู่ดี ในตอนเริ่ม<br />

รัชกาลการต่อสู้แข่งขันระหว่างสถาปัตยกรรม 2 แนวทางคือ พวก<br />

สากลนิยมและพวกชาตินิยมยังคงดำเนินสืบเนื่องมาจากสมัยไทโช<br />

แนวสากลนิยมสมัยใหม่มีปรากฏอยู่ในอาคารสาธารณะทั้งอาคาร<br />

ราชการและเอกชน มันมาในกรอบแนวคิดและรูปแบบของสำนัก<br />

เบาเฮาส์ (Bauhaus) ที่แฝงลัทธิสังคมนิยม ขณะเดียวกันอาคาร<br />

เหล่านี้กลับแฝงด้วยการจัดผังที่สะท้อนวิถีชีวิตญี่ปุ่นตามแบบ<br />

วัฒนธรรมโบราณอย่างแนบเนียน อาคารที่ออกแบบโดยพวก<br />

ชาตินิยมแสดงความเป็นชาติโดยใช้อาคารแบบตะวันตกมีคลุมด้วย<br />

หลังคาวัดหรือศาลเจ้าที่ต่อมาเรียกกันว่าทรงมงกุฎจักรพรรดิ<br />

หรือไทคันโยชิกิ มีแพร่หลายในหมู ่อาคารสถานที่ราชการที่เกี่ยวกับ<br />

การเมือง การปกครอง และทหาร เช่น พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ<br />

ศาลาว่าการจังหวัดและกองบัญชาการทหารบก เป็นต้น และแล้ว<br />

ลัทธิชาตินิยมและทหารนิยมที่เบ่งบานขึ้นเรื่อยๆในหมู่มวลชนทำให้<br />

การแข่งขัน 2 แนวทางสิ้นสุดลงตอนกลางทศวรรษที่ 1930 เมื่อ<br />

ทางการกำหนดให้อาคารสำคัญต้องออกแบบในลักษณะสะท้อน<br />

“รสนิยมญี่ปุ่น” พร้อมๆ กับการกวาดล้างปัญญาชนฝ่ายซ้าย<br />

สถาปนิกที่นิยมงานแบบสากลนิยมสมัยใหม่ต้องหยุดทำงาน<br />

หรือเปลี่ยนแนวทางออกแบบไปตามกระแสลมชาตินิยม ทหารนิยม<br />

ที่โหมกระหน่ำพาความเบ่งบานมาสู่งานแบบชาตินิยมจนแพร่<br />

ไปทั่วทุกสารบบของการออกแบบและการประกวดแบบจนกระทั่ง<br />

สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2<br />

สถาบันเบาเฮาส์ ประเทศเยอรมนี<br />

(1925-1926)<br />

108 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมและสถาปนิกสากลนิยมสมัยใหม่<br />

กลุ่มสมาคมสถาปัตยกรรมสากลแห่งญี่ปุ่นหรือนิฮอน<br />

อินตะนาโชนารุ เคนชิกุไค (Nihon Intanashonaru Kenchikukai)<br />

เป็นกลุ่มสถาปนิกหัวก้าวหน้าอีกกลุ่มหนึ่งที่เชื่อในแนวความคิด<br />

สถาปัตยกรรมสากลสมัยใหม่และเผยแพร่ผลงานต่อจากกลุ่มบุนริฮา<br />

และชูซา ที่ประกาศเปิดตัวตั้งแต่สมัยไทโช ความเชื่อมั่นในแนวทาง<br />

สถาปัตยกรรมสากลในญี่ปุ่นยุคทศวรรษ 1920 เผยแพร่ผ่านวารสาร<br />

สถาปัตยกรรมชื่อสถาปัตยกรรมสากลหรือโกกุไซเคนชิกุ (Kokusai<br />

kenshiku) เสนอบทความและงานออกแบบของสถาปนิกญี่ปุ่นและ<br />

ต่างประเทศในแนวนี ้ พวกเขาเชื่อในแนวทางการออกแบบที่อยู่<br />

อาศัยที่อยู่บนรากฐานของหลักเหตุผล วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />

วิทยาลัยเทคนิคเกียวโต (1930)<br />

แบบที่โกรเปียสเสนอ แต่พวกเขายังยึดถือในคุณค่าแบบญี่ปุ่นเดิม<br />

โดยไม่เฉลียวใจว่ามันขัดแย้งโดยตรรกะกับแนวทางสากลนิยม<br />

ดังบทความของวารสารใน ค.ศ. 1934 ชื่อ “พื้นฐานของประโยชน์<br />

ใช้สอยแห่งสถาปัตยกรรมอดีตของญี่ปุ่นและแนวคิดแบบสมัยใหม่” 89<br />

ความเชื่อแบบนี ้คือรากฐานของกลุ่มสมาคมสถาปัตยกรรมสากล<br />

แห่งญี่ปุ่นหรือนิฮอนอินตะนาโชนารุเคนชิกุไค(Nihon Intanashonaru<br />

Kenshikukai) ก่อตั้งในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1927 ในการประชุม<br />

ที่เกียวโตนำโดยโมโตโน เซอิโกะ (Motono Seigo) อูเอโนะ อิซาบูโร<br />

(Ueno Isaburo) และสหายรวม 6 คน โมโตโนไปเยอรมันตั้งแต่<br />

ค.ศ. 1909 ใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่ในเบอร์ลิน เขาได้อิทธิพลจาก<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

109


ด๊อยเชอร์แว้กบุนด์(Deutscher Werkbund) เวียนเนอร์แว้กสเต็ตท์<br />

(Wiener Werkstatte) และโรงงานไฟฟ้าเออีจี(A.E.G.) โดยปีเตอร์<br />

เบอห์เรนส์ (Peter Behrens) ส่วนงานออกแบบของเขาที่วิทยาลัย<br />

เทคนิคเกียวโต (Kyoto College of Technology) ใน ค.ศ. 1930<br />

เป็นอาคารทรงกล่องก่ออิฐ 3 ชั้น หน้าต่างกระจกยาวเป็นแถบ<br />

ตลอดชั้นรับด้วยคานคอนกรีตทึบสลับกันไป 90 แสดงให้เห็นอิทธิพล<br />

ของพวกเบาเฮาส์ในทศวรรษ 1920 อย่างชัดเจน นอกจากนี้<br />

เขายังเป็นคนเขียนบทความวารสารสถาปัตยกรรมสากลใน ค.ศ. 1934<br />

ที่กล่าวข้างต้น ส่วนผู้นำกลุ่มอีกคนหนึ่งอูเอโนต่อมาเป็นสหายกับ<br />

โกรเปียสในเยอรมัน เพื่อรับการสนับสนุนการตั้งกลุ่มสถาปัตยกรรม<br />

สากลสมัยใหม่ขึ้นในญี่ปุ่น แต่ในความจริงแล้วแม้แต่ในยุโรปเอง<br />

คำว่า “สากลนิยม” ของสถาปัตยกรรมลัทธิสากลนิยมสมัยใหม่<br />

ยังคงเป็นที่กังขาของคนจำนวนมาก เพราะมันมีนัยไปทางเอียง<br />

ซ้าย จึงกลายเป็นการสร้างความขัดแย้งกับกลุ่มชาตินิยมและพวก<br />

เอียงขวาโดยอัตโนมัติ เมื่อกระแสชาตินิยมระบาดรุนแรงในญี่ปุ่น<br />

ช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 สมาชิกในกลุ่มถึงกับตั้งคำถามกับ<br />

คำว่าอินตะนาโชนารุซึ่งแปลงมาจาก international ว่า อาจจะทำให้<br />

เผชิญหน้ากับฝ่ายขวา จึงควรใช้คำว่าโคกุไซ (kokusai) ที่เป็นภาษา<br />

ญี่ปุ่นแท้ซึ่งแปลว่าสากลเหมือนกันแทน เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง<br />

แต่ในที่สุดกลุ่มนี้ก็ยังคงชื่อเดิมไว้ เหตุการณ์นี้แสดงให้เห็นถึง<br />

การแบ่งขั้วทางการเมืองของสังคมญี่ปุ่นอย่างกว้างขวางในช่วงนั้น<br />

กลุ่มสมาคมสถาปัตยกรรมสากลแห่งญี่ปุ่นประกาศ<br />

อุดมการณ์ในการสร้างสถาปัตยกรรมแบบใหม่ ที่เหมาะสมกับ<br />

วิถีชีวิตแบบใหม่เพื่อความเจริญก้าวหน้าของมนุษยชาติแต่ก็ไม่ทิ้ง<br />

วัตถุประสงค์ที่จะแก้ไขปัญหาของประเทศญี่ปุ่นโดยการร่วมมือกับ<br />

มิตรสหายร่วมอุดมการณ์ในประเทศต่างๆ เพื่อการนี้ โดยไม่มีคำว่า<br />

“สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น” ในคำประกาศอุดมการณ์ แต่ก็ยังมีคำว่า<br />

“ประเทศญี่ปุ่น” 91 อยู่ดีส่วนหลักการออกแบบนั้นพวกเขาต้องการละทิ้ง<br />

รูปแบบโบราณต่างๆ และไม่ยึดติดกับแนวคิด “ลักษณะประจำชาติ”<br />

หรือโกกุมินซิ(kokuminsee) ในความหมายที่แคบๆ แต่จะวางรากฐาน<br />

อยู่บนความเป็นท้องถิ่นที่แท้จริงหรือชินไซนารุ “โรคาริไท”<br />

(shinseinaru “rokaritei”) 92 คำประกาศนี้แม้จะแสดงถึงจิตใจแบบ<br />

สากลนิยม แต่ก็ไม่ทิ้งความเป็นญี่ปุ่นในลักษณะที่เป็นนามธรรม<br />

มากกว่ารูปธรรมที่กลุ่มเห็นว่าเป็น“ความคิดแคบๆ” แสดงให้เห็นถึง<br />

อิทธิพลของลัทธิชาตินิยมที่ล้อมกรอบสังคมญี่ปุ่นอยู่และ<br />

ความต้องการที่จะประนีประนอมของพวกหัวก้าวหน้าเหล่านี้<br />

ขณะที่โกรเปียสเองก็ประกาศยอมรับว่า “สถาปัตยกรรมประกอบ<br />

ด้วยความเป็นปัจเจกชน ความเป็นชาตินิยมและความเป็นมนุษยนิยม<br />

รวมกันเป็นสถาปัตยกรรมสากล” 93 สถาปัตยกรรมสากลจึงหลีกเลี่ยง<br />

ไม่พ้นที่จะสะท้อนลักษณะปัจเจกของสถาปนิกและบริบทของท้องถิ่น<br />

ที่สร้างมันขึ้นมา ดังนั้นสถาปัตยกรรมสากลสมัยใหม่(ในแบบญี่ปุ่น)<br />

จึงมีความเป็นญี่ปุ่นอยู่ที่การเสนอความเป็นท้องถิ่นที่แท้จอริง<br />

ไม่ใช่การลอกรูปแบบอาคารโบราณมาประยุกต์ใช้ ใน ค.ศ. 1929<br />

กลุ่มสมาคมสถาปัตยกรรมสากลแห่งญี่ปุ่นได้ออกวารสาร<br />

สถาปัตยกรรมญี ่ปุ่นสากลหรือนิฮอนอินตะนาโชนารุ (Nihon<br />

intanashoraru) ที่พิมพ์เผยแพร่ต่อเนื่องถึง 3 ปี ก่อนจะถูกสั่งปิด<br />

ใน ค.ศ. 1933 คุณูปการหลักของกลุ่มนี้จึงเป็นการเผยแพร่และ<br />

ลงหลักปักฐานแนวคิดและวิธีการออกแบบสถาปัตยกรรมสากล<br />

สมัยใหม่ให้กับญี่ปุ่น และการเสนอแนวคิดการทำสถาปัตยกรรมสากล<br />

ให้เป็นญี่ปุ่นโดยไม่ลอกของเก่า ซึ่งจะมีผลอย่างยิ่งในอนาคตหลัง<br />

สงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง<br />

แอนโตนิน เรย์มอนด์ (Antonin Raymond) ผลงานของ<br />

เรย์มอนด์สร้างชื่อเสียงมาตั้งแต่สมัยไทโช ในยุคโชวะช่วงทศวรรษ<br />

ที่ 1930 ผลงานของเรย์มอนด์แสดงให้เห็นถึงอิทธิพลของ<br />

เลอคอร์บูซิเอร์ (Le Corbusier) ขณะเดียวกันเขากลับจัดผังให้<br />

รับใช้ค่านิยมการอยู่อาศัยแบบญี่ปุ่นที่แตกต่างจากตะวันตกเรย์มอนด์<br />

เป็นผู้นำคนสำคัญของสถาปัตยกรรมแบบสากลนิยมสมัยใหม่<br />

ในวงการสถาปนิกญี่ปุ่นยุคบุกเบิก<br />

110 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผลงาน<br />

บ้านฮามาโอะ (Hamao House) (1927) โตเกียว บ้านหลังนี้<br />

สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1927 โครงสร้างเป็นไม้เป็นบ้านที่เรย์มอนด์<br />

กล่าวว่า “...เป็นการแก้ปัญหาที่พบความสำเร็จเป็นครั้งแรก<br />

ในการสร้างความกลมกลืนระหว่างวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่นและตะวันตก<br />

ในผลงานที่มีรูปลักษณ์เป็นที่ยอมรับได้...” 94 ผังบ้านเป็นรูปตัว L<br />

สองตัวหันหลังชนกัน 95 จุดเด่นอยู่ที่โถงกลางที่เป็นจุดตัดของห้อง<br />

แบบญี่ปุ่นที่ปูเสื่อขนาด 8 เสื่อของแกนตะวันตก และห้องแบบ<br />

ตะวันตกที่ใช้สำหรับรับแขกและรับประทานอาหารของแกนทิศใต้<br />

แทนที่จะใช้วิธีวางผังแบบแยกพื้นที่เป็น2 บ้านแล้วเชื่อมด้วยทางเดิน<br />

แบบเดิมๆ เรย์มอนด์ใช้ระบบพิกัดแบบญี่ปุ่นขนาด6.5 × 6.5 ฟุต<br />

ห้องละ 4 หน่วย (เท่ากับ 16 ตารางหน่วยเล็กหรือ 8 เสื่อ) เท่ากัน<br />

ทั้งห้องแบบญี่ปุ่น ห้องแบบตะวันตก และโถงกลางที่เป็นตัวเชื่อม<br />

ทั้ง 2 ส่วน การเลือกระบบพิกัดที่ลงตัวทั้ง3 ห้องสำคัญนี้เป็นพื้นฐาน<br />

ในการสร้างความรู้สึกที่ต่อเนื่องระหว่างพื้นที่ใช้งานต่างวัฒนธรรม<br />

ได้กลมกลืน กล่าวคือห้องญี่ปุ่นที่ปูเสื่อจะมีขนาดไม่ขัดแย้งกับห้อง<br />

ที่จัดวางโต๊ะ-เก้าอี้แบบตะวันตกจนทำให้อึดอัด นอกจากนี้ผนังกั้น<br />

ระหว่างพื้นที่ต่างวัฒนธรรม ยังใช้ประตูแบบบานเลื่อนทำด้วยไม้<br />

ผังพื้นบ้านฮามาโอะ (1927)<br />

บ้านฮามาโอะ (1927)<br />

ที่ไม่แต่งผิว ปล่อยตามธรรมชาติ แต่ด้านบนกลับกรุด้วยกระจก<br />

แบบตะวันตกเพื่อกระจายแสงสว่างแทนที่จะเป็นกระดาษแบบญี่ปุ่น<br />

ห้องโถงกลางเปิดสู่ห้องปูเสื่อเต็มช่วงกว้างของห้องซึ่งแตกต่างจาก<br />

บ้านญี่ปุ่นโบราณ ที่ทางเข้ามักจะเป็นทางเดินเล็กๆและเป็นที่ตั้งของ<br />

บันไดขึ้นชั้นบน ที่เสาบันไดเป็นเสากลมแทนเสาเหลี่ยมแบบโบราณ<br />

ผนังกั้นห้องชั้นบนภายในใช้บานเลื่อนแบบญี่ปุ่น ขณะที่หน้าต่าง<br />

ใช้บานเฟี้ยมติดกระจก เป็นการผสมผสานแบบเดียวกับที ่เขาใช้<br />

บานเลื่อนในห้องปูเสื่อชั้นล่าง ขณะที่ใช้บานเฟี้ยมสำหรับผนังกั้น<br />

ห้องแบบตะวันตก<br />

บ้านหลังนี้เป็นตัวอย่างรุ่นบุกเบิกของความพยายามสร้าง<br />

ความกลมกลืนของ 2 วัฒนธรรม ในรูปธรรมการออกแบบที่ยึดถือ<br />

หลักการทั้งแบบสมัยใหม่และแบบญี่ปุ่น ได้แก่ ผังเปิดโล่ง (open<br />

plan) การวางทิศทางตามวิถีของแสงอาทิตย์และกระแสลม การใช้<br />

วัสดุตามธรรมชาติไม่แต่งผิว ซึ่งต่อมาเป็นหลักการและวิธีการ<br />

ที่สถาปนิกรุ่นหลังตามแบบ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

111


สโมสรกอล์ฟแห่งโตเกียว (Tokyo Golf Club) (1932)<br />

อะกาซากะ (Akasaka) โตเกียว ผังอาคารเป็นรูปตัว T กลับหัว 96<br />

ชั้นล่างเป็นห้องล็อคเกอร์ ชั้นบนตรงกลางเป็นโถงใหญ่ ด้านขวา<br />

เป็นห้องอาหาร ด้านซ้ายเป็นบาร์และห้องเปลี่ยนเครื่องแต่งตัวของ<br />

สมาชิกสตรี ลักษณะอาคารเป็นกล่องคอนกรีตสี่เหลี่ยมยาว 2 ชั้น<br />

ช่องหน้าต่างชั้นบนเปิดเป็นแถบยาวเต็มช่วงเสาทุกช่วง ชั้นหลังคา<br />

เป็นดาดฟ้าหลังคาแบนเชื่อมกับชั้นล่างด้วยบันไดเวียนเห็นได้ชัดว่า<br />

เป็นแบบที่ได้รับอิทธิพลจากเลอคอร์บูซิเอร์อย่างมาก สโมสรและ<br />

กิจกรรมตีกอล์ฟเป็นเรื่องทันสมัยมากในยุคทศวรรษที่ 1930<br />

แต่ก็มีอายุสั้นมาก เมื่อเริ่มสงครามโลกครั้งที่ 2 กีฬาชนิดนี้<br />

ก็ถูกมองว่าเป็นกีฬาของคนเห็นแก่ตัวและถูกยุบเลิกไป 97 จนกระทั่ง<br />

หลังสงครามโลกเกือบ 17 ปี จึงมีอาคารประเภทนี้เกิดขึ้นใหม่<br />

ในโตเกียวอีก<br />

ผังพื้นสโมสรกอล์ฟแห่งโตเกียว<br />

สโมสรกอล์ฟแห่งโตเกียว (1932)<br />

112 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ขวา บ้านอะกาโบชิ คิสุเกะ (1932)<br />

ล่าง ผังพื้นบ้านอะกาโบชิ คิสุเกะ<br />

บ้านอะกาโบชิ คิสุเกะ (Akaboshi Kisuke House) (1932)<br />

โตเกียว ผังบ้านเป็นรูปตัว L 90 สูง 4 ชั้น มีบันไดอยู่ตรงกลาง<br />

ชั้นล่างด้านหนึ่งเป็นห้องรับแขกและห้องพักผ่อน อีกด้านหนึ่งเป็น<br />

ห้องนอนแม่บ้านและห้องซักล้างและหม้อต้มน้ำ ชั้น 2 เป็นครัว<br />

และห้องรับประทานอาหารที่มีดาดฟ้า ชั้น 3 เป็นห้องนอนของ<br />

ครอบครัว ชั้น 4 เป็นห้องญี่ปุ่น ลักษณะบ้านเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยม<br />

เรียบเกลี้ยง หน้าต่างชั้นที่ 2 และ 3 เจาะเป็นแถบยาวตลอดผนัง<br />

บ้านที่ทาสีขาว ผังบ้านได้อิทธิพลมาจาก Cook House (1926)<br />

และ Citrohan Maison (1922) ออกแบบโดยเลอคอร์บูซิเอร์ทั้งคู่<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

113


บน บ้านคาวาซากิ (1934)<br />

ล่าง ผังพื้นบ้านคาวาซากิ<br />

บ้านคาวาซากิ (Kawasaki House) (1934) และบ้านอะกาโบชิ<br />

เทตสุมา (Akaboshi Tetsuma) (1934) โตเกียว ทั้ง 2 หลัง<br />

เป็นบ้านแบบสากลนิยมสมัยใหม่ (International modern)<br />

ที่ใส่ประโยชน์ใช้สอยแบบญี่ปุ่นร่วมเข้าไปในบ้านสมัยใหม่ของ<br />

ตะวันตก เป็นลักษณะของการวางผังร่วมที่เรียกว่า วาโย-คองโกะ<br />

(wayo-kongo) 99 บ้านคาวาซากิออกแบบได้ดีมาก ผังชั้นล่างเป็น<br />

รูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่100 มีลานเปิดภายใน (court) สำหรับปลูกต้นไม้<br />

กลางบ้าน ทางเข้าเป็นเพียงโถงเล็กๆ แขกสามารถเลือกเดินไป<br />

ทางซ้ายซึ่งเป็นโถงเล็กๆ แบบบ้านญี่ปุ่นหรือเลี้ยวขวาไปพบโถง<br />

ใหญ่ที่มีบันไดรูปตัว U ห้องต่างๆ วางเรียงรอบลานเปิดภายใน<br />

ที่กลางบ้านแบบที่เลอคอร์บูซิเอร์ชอบทำ ที่น่าสนใจคืออีกส่วนหนึ่ง<br />

ของบ้านทางด้านตะวันตก (ขวา) เป็นส่วนที่เป็นบ้านแบบญี่ปุ่น<br />

โบราณ มีห้องปูเสื่อแบบญี่ปุ่น ทั้ง 2 ส่วนที่แตกต่างนี้ถูกคั่นด้วย<br />

สวนอย่างชาญฉลาด ชั้นบนของบ้านมีผังเป็นรูปตัว L เป็นห้องนอน<br />

ของครอบครัวที่มีระเบียงกว้างขวางทางทิศตะวันออก (ซ้าย)<br />

ลักษณะบ้านเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กทรงกล่องสี่เหลี่ยมหน้าต่างชั้นบน<br />

เปิดช่องเต็มช่วงเสาแต่ไม่เป็นแผ่นยาวแบบงานที่กล่าวมาแล้ว<br />

อย่างไรก็ตามจากผังและรูปทรงเราสามารถเห็นอิทธิพลของบ้าน<br />

Pavillion des Amis (1928-1929) ที่ Ville-d’ Avaray ของ<br />

เลอคอร์บูซิเอร์ได้อย่างชัดเจน<br />

114 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน Pavillion des Amis (1928-1929)<br />

โดยเลอคอร์บูซิเอร์<br />

กลางและล่าง บ้านอะกาโบชิ เทตสุมา (1934)<br />

บ้านอะกาโบชิ เทตสุมา ที่คิชิโจจิ (Kichijoji) ในกรุงโตเกียว<br />

ก็เป็นบ้านที่มี 2 ลักษณะรวมอยู่ในหลังเดียวกัน ผังบ้านเป็น<br />

รูปตัว T 101 ทางเข้าอยู่ปลายทิศตะวันออกนำไปสู่ห้องพักผ่อน<br />

ห้องรับประทานอาหาร และห้องปูเสื่อแบบญี่ปุ่น ด้านตะวันตก<br />

ของบ้านหักมุมขึ้นเล็กน้อยประกอบด้วยห้องนอนภรรยาและลูกๆ<br />

เรียงเป็นแถว บันไดขึ้นชั้นบนตั้งอยู่กลางบ้านหลังบันไดเป็นส่วนหาง<br />

ของรูปตัว T เป็นที่ตั้งห้องครัวต่อด้วยห้องนอนคนรับใช้ บริเวณฝั่ง<br />

ทิศเหนือของตัวบ้านมีสวนหย่อมคั่นเป็นช่วงๆ 3 ส่วน ส่วนใหญ่<br />

สุดอยู่ทางทิศตะวันตกกั้นห้องครัวกับห้องอาบน้ำออกจากกัน<br />

สวนหย่อมที่ 2 อยู่กลางบ้านกั้นห้องครัวกับทางเข้าส่วนตัวของ<br />

ครอบครัวซึ่งต่อกับชุดห้องรับแขก สวนหย่อมที่ 3 อยู่ระหว่าง<br />

ทางเข้าบ้านกับชุดห้องรับแขก ทำหน้าที่บังสายตาแขกไม่ให้เห็น<br />

“กิจกรรมภายในบ้าน” ที่ห้องพักผ่อนและห้องรับประทานอาหาร<br />

ชั้นบนของบ้านปีกตะวันออกเป็นห้องนอนเจ้าของบ้าน มีห้องทำงาน<br />

และห้องปูเสื่อญี่ปุ่น ปีกตะวันตกเป็นห้องนอนลูกและห้องที่ตั้ง<br />

ศาลเจ้า ชั้น 3 เป็นดาดฟ้าและสระว่ายน้ำซึ่งออกแบบให้สามารถ<br />

ชมสวนข้างล่างได้โดยรอบในแบบของเลอคอร์บูซิเอร์ บ้านหลังนี้<br />

นอกจากจะออกแบบพื้นที่2 วัฒนธรรมร่วมกันได้อย่างแยบยลแล้ว<br />

ยังสามารถแบ่งแยกพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที ่ใช้ร่วม รวมทั้งพื้นที่<br />

เฉพาะเพศอย่างชัดเจน กล่าวคือชั้นล่างเป็นพื้นที่ของภรรยา<br />

และลูก ขณะที่พื ้นที่ชั้นบนเป็นพื้นที ่ของสามี102 ลักษณะของบ้าน<br />

เป็นทรงกล่องคอนกรีตสี่เหลี่ยม ช่องหน้าต่างเจาะเป็นแถบยาว<br />

ตลอดชั้นแบบเลอคอร์บูซิเอร์อย่างชัดเจน<br />

ผลงานออกแบบสถาปัตยกรรมสากลสมัยใหม่ของเรย์มอนด์<br />

มีคุณภาพสูงและมีอิทธิพลอย่างกว้างขวางต่อสถาปนิกญี่ปุ่น<br />

ร่วมสมัยที่นิยมสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในยุคทศวรรษที่1920-<br />

1930 เขามีศักยภาพในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมสากล<br />

สมัยใหม่ที่มีลักษณะเฉพาะของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นสิ่งที่สถาปนิกญี่ปุ่น<br />

หัวก้าวหน้าเรียกร้องต้องการ จึงนับได้ว่าเรย์มอนด์เป็นสถาปนิก<br />

ชาวตะวันตกที ่บุกเบิกนำสถาปัตยกรรมสากลมาสู่ญี่ปุ่นตอนต้น<br />

ศตวรรษที่ 20 เป็นรุ่นที่สอง ต่อจากคอนเดอร์และเอนเดอร์และ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

115


ขวา ผังพื้นชั้นล่างบ้านอะกาโบชิ เทตสุมา<br />

ล่าง ผังพื้นชั้นบนบ้านอะกาโบชิ เทตสุมา<br />

บ็อคมานน์ตอนปลายศตวรรษที่ 19 เรย์มอนด์เดินทางกลับ<br />

สหรัฐอเมริกาในเดือนมกราคม ค.ศ. 1938 ขณะที่ญี่ปุ่นกำลัง<br />

ทำสงครามขยายดินแดนในประเทศจีนอย่างเต็มที่<br />

โยชิดะ เทตสุโร (Yoshida Tetsuro) (1894-1956) สถาปนิก<br />

กระทรวงคมนาคม สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโตเกียว<br />

แม้ว่าจะไม่เคยศึกษาในต่างประเทศ แต่เขาใช้เวลา 1 ปี ระหว่าง<br />

ค.ศ. 1931-1932 ไปทัศนศึกษาในยุโรปและอเมริกาโดยทุนรัฐบาล<br />

ทำให้มีโอกาสพบกับสถาปนิกสมัยใหม่ (modernist) หลายคนในยุโรป<br />

เช่น กลุ่มสถาปนิก 3 คน คือ เวอร์เนอร์ โมเสอร์ (Werner Moser)<br />

รูดอล์ฟ สไตเกอร์ (Rudolf Steiger) และ แมกซ์ เอิร์นส์ท์ ฮาเฟลลี<br />

(Max Ernst Haefeli) นอกจากนี้เขายังพบซีกฟรีด กิดเดียน<br />

(Sigfried Giedion) กุนนาร์ แอสปลัน (Gunnar Asplund) และ<br />

แรกน่าร์อูสท์เบอร์ก (Ragnar Ostberg) 103 เป็นต้น ช่วยเปิดโลกทัศน์<br />

ของเขาให้กว้างขึ้น ผลงานในช่วงปลายทศวรรษที่ 1920 ต่อ 1930<br />

116 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน โยชิดะ เทตสุโร (1894-1956)<br />

ล่าง อาคารไปรษณีย์กลางโตเกียว (1927-1931)<br />

แสดงให้เห็นลักษณะเด่นของลัทธิประโยชน์ใช้สอยนิยม<br />

(Functionalism) และลัทธิเหตุผลนิยม (Rationalism) ที่มาจาก<br />

อิทธิพลของสำนักเบาเฮาส์ เป็นเรื่องแปลกที่ช่วงเวลาดังกล่าว<br />

ลัทธิชาตินิยม ทหารนิยมกำลังเจริญงอกงามแพร่หลายไปทั่วญี่ปุ่น<br />

มีอิทธิพลถึงกับกำหนดความนิยมในทางสถาปัตยกรรมให้เป็น<br />

แบบนิยมญี่ปุ่นที่เรียกว่า ไทคันโยชิกิหรือแบบมงกุฎจักรพรรดิ<br />

แต่การออกแบบในลักษณะสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่<br />

(International modern) ก็ยังมีให้เห็น และเป็นที่นิยมกันด้วย<br />

อย่างน้อยก็ก่อนสงครามจีน-ญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1937 เช่น อาคาร<br />

ไปรษณีย์ของกระทรวงคมนาคม ที่ต้องการอาคารสัญลักษณ์ชาติ<br />

ญี่ปุ ่นที่ทันสมัย มันเป็นช่องทางออกของงานแบบสมัยใหม่ในสังคม<br />

ญี่ปุ่นที่ถูกครอบงำด้วยลัทธิชาตินิยม ทหารนิยมที่คับแคบเปิดช่อง<br />

เล็กๆ ไว้ให้พอดี และเทตสุโร โยชิดะสามารถสอดแทรกเข้าไป<br />

ในช่องว่างนี้ได้<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

117


บน อาคารไปรษณีย์โอซาก้า ฮิกาชิ (1931)<br />

ล่าง ผังพื้นอาคารไปรษณีย์กลางโตเกียว<br />

อาคารไปรษณีย์กลางโตเกียว 104 (1927-1931) เป็นงาน<br />

ชิ้นแรกๆ สร้างชื่อให้เขาโด่งดังไปทั่วประเทศ อาคารนี้ตั้งอยู่ตรงข้าม<br />

สถานีรถไฟโตเกียวพอดี แต่มีลักษณะตรงข้ามกันโดยสิ้นเชิง<br />

ทั้งๆ ที่มีอายุต่างกันเพียง 17 ปี ผังอาคาร 105 เป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมู<br />

ที่บรรจุตารางสี่เหลี่ยมจัตุรัสของพิกัดเสาเต็มไปหมด รูปด้านหน้า<br />

อาคารเป็นตารางสี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยงแสดงโครงสร้างกรอบเกิดจาก<br />

การประสานของเสาและคานอย่างชัดเจน ผนังของอาคารคือ<br />

แผ่นกระจกที่กรุเต็มช่องโครงสร้างเสา-คานคอนกรีตนั่นเอง<br />

ภายในอาคารติดตั้งอุปกรณ์อาคารสมัยใหม่เช่น เครื่องระบายอากาศ<br />

เครื่องทำความร้อน ระบบป้องกันอัคคีภัย และเชื่อมต่อกับสถานี<br />

รถไฟด้วยระบบรถรางใต้ดิน ไม่มีการประดับประดาตกแต่งใดๆ<br />

ทั้งในและนอกอาคาร นอกจากนาฬิกาใหญ่หน้าอาคารที่ติดตั้งเต็ม<br />

พื้นที่ 1 ช่องตารางโครงสร้าง และเป็นอุปกรณ์ที ่มีหน้าที่ใช้สอย<br />

มากกว่าสร้างความสวยงาม<br />

นอกจากอาคารไปรษณีย์กลางโตเกียวแล้ว โยชิดะยังได้<br />

ออกแบบอาคารลักษณะเดียวกันของกระทรวงคมนาคมในแบบ<br />

สมัยใหม่อีกหลังหนึ่งแต่ขนาดเล็กกว่าคือ อาคารไปรษณีย์โอซาก้า<br />

ฮิกาชิ (Osaka Higashi) ใน ค.ศ. 1931<br />

118 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


หนังสือบ้านญี่ปุ่นดั้งเดิม (1935)<br />

บ้านญี่ปุ่นดั้งเดิม (Das japanische Wohnhaus) (1935)<br />

เป็นหนังสือเล่มแรกที่โยชิดะเขียนเผยแพร่เรื่องเกี่ยวกับบ้านญี่ปุ่น<br />

ดั้งเดิมให้ชาวโลกได้รับรู้ หนังสือพิมพ์เป็นภาษาเยอรมันในชื่อ<br />

Das japanische Wohnhaus โดยสำนักพิมพ์เอิร์นส์ท์ วาสมุธ<br />

(Ernst Wasmuth) ใน ค.ศ. 1935 ซึ่งเป็นช่วงที่ความสนใจใน<br />

สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นของบรรดาสถาปนิกสมัยใหม่ในยุโรปขึ้นถึง<br />

ระดับสูงสุด 106 ซึ่งโยชิดะเองรับรู้แล้วถึงความสนใจนี้ขณะที่เขา<br />

ไปดูงานในยุโรปในช่วง ค.ศ. 1931-1932 ในตอนนั้นฮูโก ฮาริ่ง<br />

(Hugo Haring) และลุดวิก ฮิลเบอร์ไซเมอร์(Ludwig Hilberseimer)<br />

สองสถาปนิกสมัยใหม่ชาวเยอรมันแนะนำให้เขาเขียนหนังสือ<br />

ในหัวข้อนี้ อันที่จริงหนังสือว่าด้วยสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นแม้ว่าจะ<br />

เคยพิมพ์เผยแพร่แล้วตั้งแต่ ค.ศ. 1882 แต่ก็เขียนโดยคริสโตเฟอร์<br />

เดรสเสอร์ (Christopher Dresser) ชาวอังกฤษ ต่อมายังมีหนังสือ<br />

หัวข้อนี้พิมพ์อีก 2-3 เล่ม แต่ไม่มีเล่มไหนที่เขียนโดยชาวญี่ปุ่น<br />

เหมือนหนังสือเล่มนี้ ในหนังสือนี้โยชิดะเขียนอย่างละเอียดและ<br />

เป็นระบบมาก เนื้อหาแบ่งเป็น 9 บท ว่าด้วยบทนำ ประวัติศาสตร์<br />

การจัดผังและการจัดพื้นที่ภายในบ้าน ตัวอย่างแผนผังบ้าน<br />

อาคารไม้ การก่อสร้างและรายละเอียด การระบายอากาศ ระบบ<br />

การทำความร้อน การให้แสงสว่าง ระบบจ่ายน้ำและการระบายน้ำ<br />

สวน ปัญหาการวางผังเมืองและเคหะการ ปิดท้ายด้วยภาคผนวก<br />

ว่าด้วยมาตรฐานและฝีมือช่าง 107 เขาเน้นในเรื่องสำคัญของ<br />

สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นได้ครบถ้วน เช่น การเชื่อมต่อระหว่างอาคาร<br />

กับธรรมชาติ ความยืดหยุ่น ความมีเหตุผล โครงสร้างที่งดงาม<br />

ระบบมาตรฐานและความบริสุทธิ์ (ความสะอาดเกินปกติ) เขาว่า<br />

สิ่งเหล่านี้คือ สุนทรียภาพแบบญี่ปุ่น ซึ่งตรงกับความรู้สึกที่บรูโน<br />

เทาท์ (Bruno Taut) สถาปนิกสมัยใหม่ชาวเยอรมันเคยกล่าวไว้<br />

อย่างไรก็ตามโยชิดะย้ำว่าบ้านดั้งเดิมแบบญี่ปุ่นต้องปรับตัวให้<br />

เข้ากับชีวิตสมัยใหม่ ซึ่งเห็นได้จากอิทธิพลของวิถีชีวิตแบบยุโรป<br />

ที่เข้มแข็งกว่าในบ้านร่วมสมัยของญี่ปุ่น เขายังได้นำเสนอบ้าน<br />

ญี่ปุ่นแบบร่วมสมัยกว่า 20 ภาพ ที่มาจากงานที่เขาออกแบบในช่วง<br />

ค.ศ. 1927-1928 ใจความสำคัญที่เขาต้องการถ่ายทอดคือคุณค่า<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

119


บน ผังพื้นบ้านโอกาดะ<br />

ล่าง บ้านโอกาดะ (1933)<br />

ของบ้านญี่ปุ่นซึ่งได้แก่ “การใช้เหตุผล” และ “ระบบมาตรฐาน”<br />

นั้นสามารถปรับใช้ได้กับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ กล่าวคือเขา<br />

พยายามเสนอการออกแบบที่ใช้เหตุผลแบบสมัยใหม่ โดยเอาบ้าน<br />

ญี่ปุ่นโบราณมาเป็นฐานอ้างอิง หนังสือเล่มนี้ของเขามีอิทธิพลต่อ<br />

สถาปนิกตะวันตกหลายคน เช่น บรูโน เทาท์ และอัลวา อัลโต<br />

(Alva Aalto) เป็นต้น เป็นหนังสือเล่มสำคัญที่สร้างวาทกรรม<br />

รากฐานที่ว่า สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นมีลักษณะทางปรัชญาร่วมกับ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ที่นิยมกล่าวอ้างต่อกันมาในยุคหลัง<br />

อย่างไรก็ตามหนังสือเล่มนี้กลับถูกบรูโน เทาท์วิจารณ์ว่า กล่าวถึง<br />

รายละเอียดการก่อสร้างมากเกินไป โดยตั้งคำถามประชดว่า<br />

“...จะเป็นไปได้หรือไม่ว่าจะมีสถาปนิกเยอรมันสักคนสามารถสร้าง<br />

บ้านแบบญี่ปุ่นในเบอร์ลิน โดยใช้ขนาดและรายละเอียดตามแบบ<br />

สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น? แม้ว่าจะมีสักคนหนึ่งทำ หนังสือเล่มนี้ก็ขาด<br />

การบรรยายรายละเอียดสำคัญบางอย่าง เช่น โครงสร้างของเพดาน<br />

หรือวิธีการสร้างหลังคา...” 108 เขายังวิจารณ์การใส่ภาพประกอบที่<br />

หรูหราของวังคัทสุระ (Katsura) และคฤหาสถ์ของบรรดาขุนนาง<br />

เพื่อมาสนับสนุนเนื้อหาหลักที่ว่าด้วยบ้านสามัญชนให้ดูวิเศษวิโสขึ้น<br />

คำวิจารณ์นอกจากนี้คือการใส่ลักษณะอุดมคติ (idealisaion)<br />

ให้กับญี่ปุ่น ซึ่งแตกต่างจากประสบการณ์จริงที่เขาเคยพบเห็น 109<br />

กลุ่มบุนริฮา สถาปนิกกลุ่มนี้ที่เป็นผู้นำในการหาแนวทาง<br />

สถาปัตยกรรมแบบใหม่ตั้งแต่ยุคไทโช ยังคงดำเนินการออกแบบ<br />

แนวใหม่ต่อไปอย่างเข้มข้นในยุคโชวะ โดยเฉพาะงานของ 3<br />

สถาปนิกแกนนำกลุ่มคือ โฮริกูชิ ซูเตมิ ยามาดะ มาโมรุ และ<br />

อิชิโมโต คิกูชิ ในช่วงทศวรรษที่1930 นี้เราจะเห็นแนวทางของเขา<br />

หันไปหาแบบสากลนิยมสมัยใหม่ที่แฝงด้วยปรัชญาและวิถีชีวิต<br />

ญี่ปุ่นที่น่าสนใจโดยเฉพาะของ 2 คนแรก<br />

โฮริกูชิ ซูเตมิ (Horiguchi Sutemi) (1895-1984) ผู้นำ<br />

คนสำคัญของกลุ่มบุนริฮามีผลงานเป็นที่ประจักษ์แล้วตั้งแต่สมัยไทโช<br />

ในสมัยโชวะเขาพยายามยกระดับการออกแบบสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่ขึ้นไปอีกขั้นหนึ่งคือการสร้างอัตลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่นลงไป<br />

120 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บ้านโอกาดะ (Okada House) (1933) บ้านหลังนี้สร้าง<br />

ใน ค.ศ. 1933 มีจุดประสงค์ในการแสดงความแตกต่างที่กลมกลืน<br />

ของสองวัฒนธรรม ญี่ปุ่นและตะวันตก เหมือนบ้านฮามาโอะของ<br />

เรย์มอนด์ แต่บ้านหลังนี้มีจุดเด่นที่แบ่งบ้านออกเป็น 2 ส่วน<br />

ที่แตกต่างทางกายภาพอย่างชัดเจน คือส่วนบ้านญี่ปุ่นและ<br />

ส่วนบ้านสมัยใหม่ ความจริงที่เป็นเช่นนี้เพราะเดิมเจ้าของบ้าน<br />

จ้างสถาปนิกคนหนึ่งมาสร้างบ้านแบบญี่ปุ่นก่อนจนเกือบจะ<br />

แล้วเสร็จ แต่เกิดความไม่ชอบใจจึงเรียกโฮริกูชิมาทำต่อให้เสร็จ<br />

พร้อมกับเพิ่มส่วนที่เป็นแบบตะวันตกเข้าไปด้วย ผังบ้านเป็นรูป<br />

สี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ล้อมสนามตรงกลาง 110 ส่วนตะวันออกของบ้านเป็น<br />

แบบสมัยใหม่ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว ส่วนตะวันตกของบ้าน<br />

เป็นแบบญี่ปุ่นผังคล้ายรูปตัว U ที่ต่อจากปลายสองด้านของบ้าน<br />

สมัยใหม่ บ้านทั้งสองส่วนมีลักษณะที่ตรงข้ามกัน บ้านแบบญี่ปุ่น<br />

มีหลังคาจั่วและปีกนกมุงกระเบื้อง โครงสร้างเป็นไม้ ต่อกับบ้าน<br />

สมัยใหม่ที่มีลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมเกลี้ยงๆ หลังคาแบน<br />

โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก แต่เมื่อมองลึกลงไปในรายละเอียด<br />

แล้วจะเห็นว่าบ้านทั้งส่วนต่างสร้างด้วยรายละเอียดแบบลูกผสม<br />

บ้านแบบญี่ปุ่นแม้จะเป็นห้องแบบปูเสื่อญี่ปุ่น แต่ผนังกลับเป็น<br />

แบบที่สามารถปรับเปลี่ยนวัสดุกรุฝาได้ ทั้งฝากระดาษและ<br />

แผ่นกระจก เพื่อประโยชน์ใช้สอยในการดูทัศนียภาพ การระบาย<br />

อากาศ และการควบคุมอุณหภูมิแล้วแต่โอกาส ในส่วนบ้าน<br />

สมัยใหม่โฮริกูชิใส่แผงกันสาดคอนกรีตยื่นเป็นชายคากันแดด<br />

และฝน การเจาะช่องประตูหน้าต่างมาจากการพิจารณาสภาพ<br />

อากาศชื้นของญี่ปุ่นเป็นหลัก มีการใช้พื้นไม้วางบนเสาตอม่อไม้<br />

ที่วางบนฐานก้อนหินแบบโบราณ 111 เพื่อกันความชื้นใต้ดินไม่ให้<br />

ขึ้นมาทำลายโครงสร้างพื้นไม้ เอกลักษณ์สำคัญในการออกแบบ<br />

ประการหนึ่งคือการจัดสวนเพื่อสร้างความเชื่อมต่อระหว่างส่วน<br />

บ้านญี่ปุ่นกับบ้านสมัยใหม่ โดยใช้สระน้ำสะท้อนความร้อน<br />

(reflected pool) ที่กว้างเท่าระเบียงบ้านญี่ปุ ่นโบราณ สระนี้ยังเป็น<br />

ตัวสร้างความกลมกลืนของสวนญี่ปุ่นที่อยู่ต่ำกว่าสนามหญ้า<br />

ให้พื้นที่ทั้งสองที่เป็นตัวแทนของตะวันออกและตะวันตกสมดุลกัน<br />

กลางสระมีเสากลมรับชายคาต้นเล็กๆ ปักอยู่ในฐานก้อนหินที่วาง<br />

สงบในสระนั้น โฮริกูชิใช้บ้านหลังนี้เป็นตัวแบบในการอธิบาย<br />

ปรัชญาการสร้างบ้านแบบญี่ปุ่นสมัยใหม่ให้ชาวตะวันตกเข้าใจ<br />

ในหนังสือภาษาเยอรมันของเขาชื่อบ้านแบบญี่ปุ่นร่วมสมัยหรือ<br />

Ein Japanishes Wohnhaus des Gegenwart (1935) 112 ซึ่งมีภาค<br />

ภาษาญี่ปุ่นกำกับไว้ด้วย<br />

ด้วยสาระสองวัฒนธรรมที่ปรากฏคู่กันอยู่จึงทำให้บ้านหลังนี้<br />

เป็นไปตามเจตนาที่โฮริกูชิเขียนไว้ในบทความชื่อ “รสนิยมญี่ปุ่น<br />

ที่แสดงออกในสถาปัตยกรรมร่วมสมัย” ใน ค.ศ. 1932 ที่นิยาม<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ว่า “...(เป็น) สถาปัตยกรรมที่เชื่อมต่อกับ<br />

โลกสากลแต่เหมาะกับญี่ปุ่น...” 113<br />

สถานีตรวจอากาศโอชิมา (Oshima Weather Station)<br />

(1937-1938) โตเกียว ทศวรรษ 1930 โฮริกูชิได้รับมอบหมายให้<br />

ออกแบบชุดสถานีตรวจอากาศถึง 7 โครงการ ตั้งแต่เกาะคิวชู<br />

(Kyushu) ทางใต้สุดเรื่อยมาจนถึงเกาะโอชิมา (Oshima) ซึ่งอยู่<br />

ในเขตโตเกียว สถานีตรวจอากาศเป็นเรื่องสำคัญสำหรับประเทศ<br />

เกาะที่อ่อนไหวต่อภูมิอากาศรุนแรง เช่น พายุไต้ฝุ่นและแผ่นดินไหว<br />

ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ สถานีตรวจอากาศนี้ตั้งอยู่บนเกาะที่เกิดจาก<br />

ภูเขาไฟระเบิดชื่อ โอชิมา อยู่ในเขตปกครองของเทศบาลกรุงโตเกียว<br />

สร้างขึ้นระหว่าง ค.ศ. 1937-1938 อาคารในโครงการมี2 กลุ่มคือ<br />

สถานีตรวจอากาศตั้งอยู่บนเนินเขาด้านบน และกลุ่มบ้านพักตั้งอยู่<br />

ด้านล่าง ตัวสถานีตรวจอากาศมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว 114<br />

ตามแนวทิศตะวันออก-ตะวันตก ปีกตะวันออกอยู่ในแนวระดับ<br />

ปีกตะวันตกบิดลงประมาณ 20 องศาไปทางทิศใต้ และมีระดับต่ำ<br />

กว่า 2 เมตร ซึ่งเป็นไปตามภูมิประเทศ อาคารปีกตะวันออกเป็น<br />

สถานีตรวจอากาศและพิพิธภัณฑ์เทคโนโลยีอุตุนิยมวิทยา<br />

(meteorological technology museum) มีหอคอยตรวจอากาศ<br />

ตั้งติดกันทางทิศใต้ผังช่วงล่างเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าช่วงบนเป็นวงกลม<br />

อาคารปีกตะวันตกเป็นอาคารสำนักงาน สถานีวิจัยและส่วนพักอาศัย<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

121


บน สถานีตรวจอากาศโอชิมา (1938)<br />

ล่าง ผังพื้นสถานีตรวจอากาศโอชิมา<br />

ลักษณะอาคารเป็นกล่องคอนกรีตสี่เหลี่ยมยาว 2 กล่อง ความสูง<br />

ต่างกันเล็กน้อย สถานีตรวจอากาศตั้งอยู่สูงกว่าหันหน้าไปทางใต้<br />

เพื่อรับแสงสว่าง ด้านซ้ายสุด (ทิศตะวันตก) เป็นที่ตั้งหอคอย<br />

ตรวจอากาศสูงชะลูด 24 เมตร (72 ฟุต) ส่วนล่าง 2 ใน 3 ของ<br />

หอคอยเป็นทรงสี่เหลี่ยม ส่วนบน 1 ใน 3 เป็นทรงกระบอกเหมือน<br />

ท่อขนาดใหญ่ ซึ่งเป็นผลมาจาก “ประโยชน์ใช้สอย” จึงเป็น<br />

สถาปัตยกรรมที่ “ไร้รูปแบบ” (style-less style) (Yoshigi naki<br />

yoshigi) 115 ตามคำบอกเล่าของสถาปนิก รูปทรงประหลาดของ<br />

หอคอยมาจากเครื่องมือที่ติดตั้งภายใน เช่น หน้าปัดแสงอาทิตย์<br />

(sun dial) ที่ห้ามถูกเงาใดๆ บังทั้งสิ้น และลูกตุ้ม (pendulum) สำหรับ<br />

วัดการสั่นของปฐพี เครื่องมือทุกชิ้นต้องเข้าถึงได้ในสภาพอากาศ<br />

เลวร้ายทุกกรณี เครื่องมือบางอย่างต้องการอาคารรูปสี่เหลี่ยม<br />

ขณะที่ลูกตุ้มต้องการอาคารรูปทรงกระบอก ซึ่งกรณีหลังเป็นรูปทรง<br />

ที่สถาปนิกเห็นว่าเหมาะสม เพราะสามารถรองรับเสาอากาศ<br />

รับคลื่นวิทยุที่ติดตั้งอยู่ยอดบนสุดได้อย่างเหมาะสม อาคารนี้จึง<br />

ออกแบบให้ทุกองค์ประกอบมีประโยชน์ใช้สอย ทั้งเรื่องใช้งาน<br />

122 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


โดยตรงและดูดี ในเชิงปรัชญานั้นโฮริกูชิต้องการให้อาคาร<br />

มีความกลมกลืนกับภูมิประเทศ ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม<br />

ตามหลักการของพิธีชงชาในทัศนะของเขาที่สามารถปรับเปลี่ยนไป<br />

ตามจิตวิญญาณของยุคสมัย 116 ดังนั้นหอคอยที่ปักลงบนสถานี<br />

ตรวจอากาศอุปมาดั่งเสาต้นกลาง (tokobashira) ของห้องชงชา 117<br />

ที่มีเสากลางเหมือนสมอยึด ขณะเดียวกันการออกแบบอาคารส่วน<br />

ที่อยู่ต่ำกว่า โฮริกูชิเจาะช่องหน้าต่างโดยคำนึงถึงทิศทางของแสง<br />

ที่จะส่งผลต่อรูปอากาศภายในห้องและทัศนียภาพที่มองออกไป<br />

จากตำแหน่งต่างๆ ภายในห้อง เขาจึงใช้หน้าต่างรูปแถบยาวตลอด<br />

ด้านบนของอาคาร เพื่อให้แสงสว่างที่ตกลงมาที่พิพิธภัณฑ์ภายใน<br />

มีความนุ่มนวลขณะเดียวกันทัศนียภาพผ่านหน้าต่างออกไปจะเห็น<br />

ท้องฟ้าและภูมิประเทศของเกาะเสมือนรูปภาพในกรอบ มันจึง<br />

ทำหน้าที่คล้ายฉากโบราณที่เรียกว่า แรนมา (ranma) ในศาลาชงชา<br />

ที่ทำหน้าที่ควบคุมการเข้าออกของแสงและอากาศภายในห้อง<br />

อย่างไรก็ตามในทางรูปธรรมรูปแบบของอาคารเป็นผลจากอิทธิพล<br />

ของสถาปัตยกรรมสากลสมัยใหม่118 โดยเฉพาะโครงการชื่อแบบร่าง<br />

สำหรับสถาปัตยกรรมโรงงาน (Sketch for factory architecture)<br />

(1919) ของเจเจพีอู๊ด (J.J.P. Oud) และโครงการโรงเรียนประถมศึกษา<br />

ฮิลเวอร์ซัม (Hilversum Elementary School) (1921) ในเนเธอร์แลนด์<br />

ของ ดร.บาวินซ์ค์(Dr. Bavinck) โดยวิลเล็ม มารินุส ดูด็อค (Willem<br />

Marinus Dudok) สถานีตรวจอากาศโอชิมาจึงเป็นอีกตัวอย่างหนึ่ง<br />

ที่สถาปัตยกรรมสากลสมัยใหม่ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ของญี่ปุ่น<br />

แฝงปรัชญาพื้นเมืองผ่านการออกแบบที่ดูไม่แตกต่างจากรูปธรรม<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของยุโรป<br />

บน โครงการโรงเรียนประถมศึกษาฮิลเวอร์ซัม (1921)<br />

ล่าง อิชิโมโต คิกูชิ (1894-1963)<br />

อิชิโมโต คิกูชิ (Ishimoto Kikuchi) (1894-1963) งานของเขา<br />

ในยุคโชวะที่โด่งดังคืออาคารห้างสรรพสินค้าชิโรกิยะ (Shirokiya<br />

Department Store) (1931) ที่โตเกียว สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1931<br />

เป็นอาคารคอนกรีตที่ตั้งอยู่ที่หัวมุมถนน ลักษณะโดดเด่นด้วยการ<br />

กรุกระจกหน้าต่างเต็มช่วงเสาคาน และเน้นเป็นพิเศษที่หัวมุม<br />

อาคารที่โค้งไปตามแนวถนน โดย 3 ชั้นล่างกรุด้วยกระจกเป็น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

123


บน ห้างสรรพสินค้าชิโรกิยะ (1931)<br />

ล่าง ผังพื้นห้างสรรพสินค้าชิโรกิยะ<br />

แถวยาวเต็มช่องโครงสร้าง สลับกับ 2 ชั้นบนที่ผนังกระจกถูก<br />

ร่นเข้ามาให้เห็นแผ่นพื้นกันสาดยื่นออกมา แม้ว่าเขาจะเคยเรียน<br />

กับโกรเปียสในเยอรมนีใน ค.ศ. 1922 แต่ห้างสรรพสินค้านี้ก็ดู<br />

แตกต่างจากห้างที่เยอรมันที่สร้างในเวลาเดียวกันโดยเมนเดลโซน<br />

แต่กลับคล้ายห้างสรรพสินค้าบิเจนคอร์ฟ (De Bijenkorf) ที่เมือง<br />

ร็อตเตอร์ดัม (Rotterdam) ในเนเธอร์แลนด์ ที่ออกแบบโดยวิลเล็ม<br />

มารินุส ดูด็อค 119 (Willem Marinus Dudok) ใน ค.ศ. 1929-1930<br />

คุณูปการสำคัญอีกประการหนึ่งของอิชิโมโตคือการเป็นตัวเชื่อม<br />

ให้กับสถาปนิกรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นได้มีโอกาสไปศึกษาที่เยอรมนี<br />

ยามากูชิ บุนโซ (Yamaguchi Bunzo) ผู้ช่วยของอิชิโมโตซึ่งต่อมา<br />

จะเป็นสถาปนิกสำคัญอีกคนหนึ่งเป็นตัวอย่างสำคัญของกรณีนี้<br />

อย่างไรก็ดีห้างสรรพสินค้านี้สร้างความอื้อฉาวขึ้นครั้งใหญ่<br />

เมื่อเกิดไฟไหม้ในห้างขึ้นเมื่อวันที่ 16 ธันวาคม ค.ศ. 1932 มี<br />

ผู้เสียชีวิตถึง 14 คนและบาดเจ็บ 67 คน มีผู้กล่าวว่าการเสียชีวิต<br />

มาจากการที่ผู้ประสบเหตุไม่ยอมกระโดดตึกลงมาที ่ตาข่ายรองรับ<br />

ข้างล่าง เพราะสตรีญี่ปุ่นใส่กิโมโนและไม่สวมกางเกงชั้นในจึงมีความ<br />

อับอายที่จะกระโดดจากชั้นบนลงมาและลังเลที่จะหนีจนต้อง<br />

เสียชีวิต โดยทั่วไปเชื่อว่าเหตุการณ์ไฟไหม้ห้างชิโรกิยะได้เปลี่ยน<br />

ให้เกิดการยอมรับการใส่กางเกงชั้นในในสังคมญี่ปุ่น 120 เป็นผลกระทบ<br />

จากการรับวัฒนธรรมใหม่ทางสถาปัตยกรรมที่ยากจะคาดคิด<br />

124 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ยามาดะ มาโมรุ (Yamada Mamoru) (1894-1966)<br />

ผู้นำอีกคนหนึ่งของกลุ่มบุนริฮาที่มีผลงานมีชื่อเสียงตั้งแต่สมัยไทโช<br />

ในสมัยโชวะผลงานแบบเอ๊กเพรสชั่นนิสม์ (Expressionism)<br />

ที่เส้นสายโค้งมนเริ่มกลายเป็นทรงกล่องคอนกรีตสี่เหลี่ยมทาสีขาว<br />

ในช่วงทศวรรษที่ 1930 ตัวอย่างเช่นสำนักงานโทรศัพท์โอกิกูโบ<br />

(Ogikubo Telephon Office) 121 (1933) โตเกียว แต่ผลงานสำคัญ<br />

ที่สุดของเขาในช่วงนี้ไม่ใช่อาคารโทรคมนาคมแต่เป็นโรงพยาบาล<br />

ซ้าย ห้างสรรพสินค้าบิเจนคอร์ฟ (1929-1930)<br />

ขวา ยามาดะ มาโมรุ (1894-1966)<br />

โรงพยาบาลไทชิน (Teishin Hospital) (1936) โตเกียว<br />

ในสมัยโชวะนี้ยามาดะก็เหมือนสถาปนิกผู้นำหลายคนที่พยายาม<br />

สร้างอัตลักษณ์ญี่ปุ่นผ่านสถาปัตยกรรมสากลสมัยใหม่ที่เคร่งครัด<br />

ในการออกแบบเพื่อการใช้งาน โรงพยาบาลไทชินมีพื้นที่ 13,500<br />

ตารางเมตร สร้างในกรุงโตเกียวใน ค.ศ. 1936 ความจริงยามาดะ<br />

สนใจการออกแบบโรงพยาบาลอยู่ก่อนแล้ว เขาไปสำรวจ<br />

โรงพยาบาลในสหรัฐอเมริกาและยุโรประหว่างช่วงทัศนศึกษา<br />

ใน ค.ศ. 1929 เป้าหมายคือการออกแบบอาคารที่เรียบง่ายและ<br />

ใช้งานได้ดี มีกายภาพที่ถูกต้องนั่นคือความสะอาด แสงสว่าง<br />

เต็มที่ การระบายอากาศได้ดีในห้องต่างๆ โรงพยาบาลประกอบ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

125


บน โรงพยาบาลไทชิน (1936)<br />

ขวา ผังพื้นโรงพยาบาลไทชิน<br />

ด้วยอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว 3 หลัง 122 เรียงกันคล้ายรูปตัว Y<br />

อาคารที่เป็นฐานตัว Y เป็นอาคารกลางสำหรับการตรวจรักษา<br />

มี 5 ชั้น การรักษาแบ่งเป็น 2 แผนคือ แพทย์สมัยใหม่และ<br />

แผนโบราณ แยกเป็นชั้นๆ สลับกัน ในแต่ละชั้นจะมีทางเดินกลาง<br />

(corridor) ห้องต่างๆ วางเรียงไปตามสองข้างของทางเดินนี้<br />

ซึ่งเป็นตัวเชื่อม อาคารผู้ป่วยในแยกเป็น 2 หลัง สูง 4 ชั้น ตั้งอยู่<br />

ในส่วนที่เป็นแขนของตัว Y จำนวนเตียงทั้งสิ้น 321 เตียง เว้นที่<br />

ว่างระหว่างอาคารผู้ป่วยในเพื่อจัดสวน เพื่อให้มีแสงสว่างและ<br />

การระบายอากาศที่ดี โครงสร้างอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

รูปทรงกล่องคอนกรีตสี่เหลี่ยมเห็นอิทธิพลของเบาเฮาส์<br />

ที่ชัดเจน การกำหนดความสูงของชั้น และขนาดประตู-หน้าต่าง<br />

กำกับด้วยระบบมาตรฐาน ทำให้ประหยัดค่าก่อสร้างได้มากเหมาะ<br />

สมกับสถานการณ์เศรษฐกิจของประเทศ นอกจากนี้การออกแบบ<br />

องค์ประกอบต่างๆ ของอาคารยังเต็มไปด้วย “เหตุผล”<br />

เกี่ยวกับประโยชน์ใช้งาน เช่น การมีระเบียงที่ห้องพักคนไข้เพื่อ<br />

ประโยชน์ในการรับแสงแดด การเห็นทัศนียภาพ และทำความ<br />

สะอาดง่าย หน้าต่างที่กั้นระเบียงออกแบบให้เลื่อนขึ้นจนเป็นช่อง<br />

ประตูที่สามารถเข็นเตียงคนไข้ออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ที่ระเบียงได้<br />

126 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


การเดินติดต่อระหว่างชั้นเชื่อมด้วยทางลาด ทำให้พยาบาล<br />

สามารถเข็นเตียงคนไข้ไปที่จุดใดก็ได้ คนไข้ที่ช่วยตัวเองได้<br />

สามารถเข็นเก้าอี้เข็นเดินทางได้โดยไม่ต้องพึ่งลิฟต์ ยามาดะยังใช้<br />

ทางลาดในรูปสามเหลี่ยมมุมโค้งเป็นถนนทางเข้าด้านหน้าของ<br />

โรงพยาบาล นอกจากเรื่องประโยชน์ใช้สอยมันช่วยลดความ<br />

กระด้างของตึกสี่เหลี่ยมทั้งหลายของโรงพยาบาลนี้ ที่นึกไม่ถึง<br />

อีกประการหนึ่งคือการใช้กระเบื้องเคลือบสีขาวขนาด 5×5 ซม.<br />

กรุผิวอาคารทั้งภายในและภายนอก ยามาดะต้องการผลทั้งด้าน<br />

ประโยชน์ใช้สอยและสุนทรียภาพของวัสดุนี้ ด้านหนึ่งมันทำให้<br />

ผนังภายในสว่าง ขณะที่เมื่ออยู่บนผนังภายนอกมันเป็นตัวสะท้อน<br />

การเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศและสะท้อนแสงแวววับยามกระทบ<br />

แสงแดด นอกจากนี้ทุกซอกมุมของอาคารจะถูกกรุด้วยกระเบื้อง<br />

ผิวโค้งเพื่อให้ทำความสะอาดง่ายไม่เป็นที่สะสมของเชื้อโรค<br />

และความสกปรก ความนุ่มนวลของผิวโค้งมนเล็กๆ นี้ยามาดะ<br />

กล่าวว่า “...มาจากคุณลักษณ์ของศิลปะญี่ปุ่นที่จะต้องไม่ถูกลืมว่า<br />

จิตวิญญาณญี่ปุ่นเติบโตขึ้นมาจากความอ่อนไหวต่อฤดูกาลทั้ง 4<br />

และความงามของธรรมชาติ...” 123 ทั้งหมดนี้ตรงกับบทความ<br />

ค.ศ. 1922 ที่เขาเขียนว่า “...ไม่ว่าสถาปนิกจะมีความสามารถ<br />

เพียงไร ถ้าไม่มีวิธีที่จะทำให้มันเป็นจริงได้ มันจะไม่ถูกสร้าง นี่เป็น<br />

เรื่องที่ว่าทำไมเราถึงมาร่วมกัน เพื่อสร้างพื้นฐานในการสร้าง<br />

สถาปัตยกรรมแบบใหม่นี้สถาปัตยกรรมแบบใหม่นี้จะมีความหมาย<br />

จริงๆ ในชีวิตประจำวันของมวลชน...” 124 ซึ่งสะท้อนแนวคิด<br />

สังคมนิยมของเขาในช่วงก่อตั้งกลุ่มบุนริฮา และไม่น่าแปลกใจ<br />

เมื่ออาคารนี้สร้างเสร็จ มันก็กลายเป็นสัญลักษณ์ของการแพทย์<br />

ที่ทันสมัยของประเทศญี่ปุ่นทันทีโดยผ่านการสื่อสารของนักวิจารณ์<br />

และสื่อสารมวลชนทุกแขนงโดยเฉพาะจากภาพถ่าย<br />

กลุ่มสถาปนิกที่ศึกษาจากสถาบันเบาเฮาส์ ช่วงปลาย<br />

ทศวรรษที่1920 ต่อต้นทศวรรษที่1930 สถาปนิกหนุ่มญี่ปุ่นหลาย<br />

คนเลือกไปศึกษาต่อที่สถาบันเบาเฮาส์ที่เดสเซา (Bauhaus Dessau)<br />

ในเยอรมนีกับวอลเตอร์ โกรเปียส และกลับมาญี่ปุ่นเผยแพร่ผลงาน<br />

ในแนวนี้ตอนต้นทศวรรษที่ 1930 ก่อนที่จะถูกกดดันให้เลิกราไป<br />

ด้วยอิทธิพลของระบอบการปกครองชาตินิยม ทหารนิยม บรรดา<br />

งานเหล่านี้ที่น่าสนใจได้แก่<br />

บ้านมิกิชิ (Migishi House) 125 (ก่อน 1935) ที่ซากิโนมิยะ<br />

(Saginomiya) โตเกียว ออกแบบโดยอิวาโอะ ยามาวากิ (Iwao<br />

Yamawaki) (1898-1987) ซึ่งเรียนที่เบาเฮาส์ในช่วงค.ศ.1930-1932<br />

บ้านหลังนี้เป็นบ้านของศิลปินมีห้องปฏิบัติงาน (studio) ขนาดใหญ่<br />

ที่ออกแบบพื ้นที่รวมไปกับห้องนั่งเล่นและสูงโล่ง 2 ชั้น ซึ่งไม่ใช่<br />

เรื่องปกติในยุคนั้น ผนังกรุกระจกทั้งหมดจากพื้นจรดเพดาน รูปทรง<br />

และการตกแต่งทั้งภายนอกและภายในเรียบเกลี้ยงแบบเบาเฮาส์<br />

บ้านยามาดะ (Yamada House) 126 (1934) ที่คิตะกามากูระ<br />

(Kita Kamakura) จังหวัดคานากาว่า (Kanagawa) ออกแบบโดย<br />

ยามากูชิ บุนโซ (Yamaguchi Bunzo) (1902-1978) ใน ค.ศ. 1934<br />

เขาเป็นสมาชิกทั้งกลุ่มบุนริฮาและโซชา เรียนที่เบาเฮาส์ในช่วง<br />

ทศวรรษที่ 1930 เช่นเดียวกัน ผังบ้านเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว<br />

คล้ายตัว L คล้ายบ้านแบบสมัยใหม่ทั่วไป แต่ความจริงสถาปนิก<br />

จัดเรียงห้องต่าง ๆ ต่อกันเป็นแถวยาวจากด้านตะวันออกไปตะวันตก<br />

แบบเดียวกับบ้านโบราณของญี่ปุ่น แต่โดยลักษณะภายนอกที่เรียบ<br />

เป็นทรงกล่องคอนกรีตสีขาว ทำให้นึกถึงอิทธิพลของริชาร์ด นูตรา<br />

(Richard Nuetra) (1892-1970) สถาปนิกอเมริกันเชื้อสาย<br />

ออสเตรีย-ฮังการี ที่ทรงอิทธิพลคนหนึ่งตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่1930<br />

และเคยเดินทางมาโตเกียวใน ค.ศ. 1930 ทั้งยามากูชิและเมอิคาวา<br />

คูนิโอ (Maekawa Kunio) ต่างก็มีโอกาสพบกับเขา แม้นูตราจะเป็น<br />

พวกสถาปนิกสมัยใหม่รุ่นบุกเบิกอีกสายหนึ่งที่เป็นศิษย์ของ<br />

อดอล์ฟ ลูส์ (Adolf Loos) (1870-1933) และทำงานกับเอริก<br />

เมนเดลโซน (Eric Mendelsohn) (1887-1953) ในเบอร์ลิน<br />

บ้านยามาดะเป็นอาคารแบบสากลนิยมสมัยใหม่รุ่นแรกของญี่ปุ่น<br />

อีกหลังหนึ่งที่มีลักษณะ 2 นัยระหว่างรูปแบบสากลนิยมแต่ผังแฝง<br />

ลักษณะบ้านโบราณของญี่ปุ่น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

127


บ้านมิกิชิ (ก่อน1935)<br />

ผังพื้นบ้านมิกิชิ<br />

128 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ขวา บ้านยามาดะ (1934)<br />

ล่าง ผังพื้นบ้านยามาดะ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

129


บ้านเสาสีขาว (White Pillar House) 127 (1937) ที่ฮาโกเน<br />

เซนโกกุ (Hakone-Sengoku) จังหวัดคานากาว่า (Kanagawa)<br />

ออกแบบโดยชิคาทาดะ คุราตะ (Chikatada Kurata) ใน ค.ศ. 1937<br />

เขาเรียนกับโกรเปียสที่เบาเฮาส์ใน ค.ศ. 1930-1931 อาคารนี้เป็น<br />

บ้านแบบวิลลา (villa) ในแบบสากลนิยมสมัยใหม่ที่โดดเด่น<br />

เพราะไม่สนใจในขนบการออกแบบบ้านแบบเดิมอๆ ที่หลีกเลี่ยง<br />

การสร้างอาคารบนที่เนิน แต่เขาทำตรงกันข้ามเพื่อให้บ้านได้รับ<br />

ทิวทัศน์ที่สวยงามของทะเลสาบฮาโกเน สถาปนิกจงใจออกแบบ<br />

ห้องนอนให้เป็นมุขสี่เหลี่ยมยื่นออกมาจากตัวบ้าน ตั้งอยู่บนเสา<br />

ลอยตัวยกใต้ถุนโล่ง ดูลอยเด่นบนเนินเขาละม้ายกับบ้านโลเวลล์<br />

(Lovell House) (1927-1929) ที่ลอสแองเจลีส ที่มีชื่อเสียงโด่งดัง<br />

ระดับโลกที่ออกแบบโดยนูตราเป็นอย่างยิ่ง<br />

บนซ้าย บ้านเสาสีขาว (1937)<br />

บนขวา บ้านโลเวลล์ (1927-1929) โดยริชาร์ด นูตรา<br />

ล่าง ผังพื้นบ้านเสาสีขาว<br />

130 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


นอกจากบ้านที่ยกตัวอย่างมา 3 หลังนี้แล้ว กลุ่มสถาปนิก<br />

สากลนิยมสมัยใหม่ญี่ปุ่นที่เรียนจากเยอรมัน ยังออกแบบอาคาร<br />

สาธารณะที่มีลักษณะโดดเด่นในแบบลัทธินี้อีก เช่น โรงพยาบาล<br />

ทันตกรรมมหาวิทยาลัยนิฮอน (Nihon Dental College Hospital) 128<br />

(1934) ที่โตเกียว ออกแบบโดยยามากูชิ บุนโซอีกเช่นกัน<br />

เป็นอาคารทรงกล่องสี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยง ที่สะท้อนแนวคิดอาคาร<br />

เพื่อประโยชน์ใช้สอยอย่างเต็มที่แบบเดียวกับโรงพยาบาลไทชิน<br />

ของยามาดะ อาคารโรงไฟฟ้าคุโรเบะ (Kurobe Power Station) 129<br />

(1938) ที่จังหวัดโตยามา (Toyama) ออกแบบใน ค.ศ. 1938<br />

โดยยามากูชิเช่นเดียวกัน แม้ว่าจะเป็นงานวิศวกรรมแท้ๆ แต่ก็ดู<br />

สวยงามแบบอาคารสากลนิยมสมัยใหม่<br />

บน โรงพยาบาลทันตกรรม มหาวิทยาลัยนิฮอน (1934)<br />

ล่างซ้าย โรงไฟฟ้าคุโรเบะ (1938)<br />

ล่างขวา บันโชซิดลุง (1933)<br />

อาคารชุดพักอาศัย (Apartment) และเคหะชุมชนเมือง<br />

การปฏิวัติอุตสาหกรรมในยุคทศวรรษ 1890 ทำให้โตเกียวมี<br />

พลเมืองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จาก 1.2 ล้านคนใน ค.ศ. 1890 เป็น 2<br />

ล้านคน ใน ค.ศ. 1905 และถึง 4.5 ล้านคนใน ค.ศ. 1923 ซึ่งเกิด<br />

เหตุการณ์แผ่นดินไหวคันโต (Kanto earthquake) ตั้งแต่ช่วง<br />

สงครามโลกครั้งที่ 1 การขาดแคลนที่อยู่อาศัยในชุมชนเมืองก็<br />

เพิ่มขึ้นเป็นครั้งแรก รัฐบาลจึงจัดตั้งสหกรณ์ (mutual profit<br />

corporation) เพื่อจัดการเคหะผ่านสมาคมเคหะการหรือโดจุงไก<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

131


บน ผังพื้นบันโชซิดลุง<br />

ล่างซ้าย หมู่บ้านไว้ส์เซนโฮฟซิดลุง สตุตการ์ท (1927)<br />

ล่างซ้าย ฮาราจูกุอะพาร์ตเมนต์ (1926)<br />

(Dojunkai) 130 ใน ค.ศ. 1924 โดยสร้างอาคารชุดพักอาศัยจำนวน<br />

16 อาคาร แบ่งเป็น 14 อาคารในโตเกียวและ 2 อาคาร<br />

ในโยโกฮาม่า ในทศวรรษ 1930 ก็เป็นที่ยอมรับทั่วไปว่าอาคาร<br />

ชุดพักอาศัยและเคหะชุมชนเมืองเป็นความจำเป็นของคนทั่วไป<br />

ไม่ใช่เรื ่องของการบรรเทาความยากลำบากของคนยากจน<br />

อาคารเคหะชุมชนเมืองเป็นหมู่บ้านนอกใจกลางเมือง มีตั้งแต่แบบ<br />

ที่สูง 2-3 ชั้น จนถึง 5-6 ชั้น สำหรับประชากร 6.36 ล้านคน<br />

ใน ค.ศ. 1935 131 จำนวนโครงการมีมากกว่าตอนที่เกิดแผ่นดินไหว<br />

เสียอีก โครงการเคหะชุมชนเมืองที่น่าสนใจ ได้แก่ บันโชซิดลุง<br />

(Bancho Siedlung) 132 ในโตเกียว เป็นหมู่บ้านเอกชนล้อมถนน<br />

แบบปลายวงเวียน (cue de sac) ตัวบ้านมีระเบียง มีทั้งแบบ 2<br />

ห้องนอนและ 3 ห้องนอน มีห้องนั่งเล่นรวมกับห้องรับประทาน<br />

อาหาร หันหน้าไปหาสวนเล็กๆ มีบันไดจากชั้นล่างไปห้องนอน<br />

ชั้นบน มีห้องแม่บ้านขนาดเล็กอยู่ด้วย รวมทั้งห้องครัว ออกแบบ<br />

โดยยามากูชิ บุนโซ ใน ค.ศ. 1933 น่าจะเลียนแบบหมู่บ้าน<br />

ไว้ส์เซนโฮฟซิดลุง (Weissenhofsiedlung) ในสตุตการ์ท<br />

(Stuttgart) ซึ่งออกแบบใน ค.ศ. 1927 โดยพวกด๊อยส์เชอร์<br />

แว๊ร์คบุนด์ (Deutscher Werkbund) ที่นำโดยวอลเตอร์ โกรเปียส<br />

ที่เป็นอาจารย์ของยามากูชิด้วย ลักษณะภายนอกเป็นบ้านกล่อง<br />

สี่เหลี่ยม มีหน้าต่างเป็นแถบยาว ผิวกรุโมเสกสีขาวเดินขอบ<br />

สีม่วงเข้ม ส่วนอาคารชุดพักอาศัยมีมาก่อนหน้านี้หลายปีรุ่นแรกๆ<br />

132 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ไดคันยามาอะพาร์ตเมนต์ (1927)<br />

ล่าง ผังพื้นไดคันยามาอะพาร์ตเมนต์<br />

ได้แก่ ฮาราจูกุอะพาร์ตเมนต์(Harajuku Apartment) อะพาร์ตเมนต์<br />

ที่อะโอยามา (Aoyama) โตเกียว สร้างใน ค.ศ. 1926 ทั้ง 2 โครงการ<br />

เป็นอาคารชุดสูง 4 ชั้น และไดคันยามา อะพาร์ตเมนต์(Daikanyama<br />

Apartment) 133 ที่ชิบูย่า ที่สร้างใน ค.ศ. 1927 ออกแบบโดยโดจุงไก<br />

โครงการนี้เป็นหมู่บ้านใหญ่ประกอบด้วยบ้านพักอาศัย 289 หน่วย<br />

ลักษณะเป็นบ้านแฝด 2 ชั้น สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อต้าน<br />

แผ่นดินไหว แต่ละหน่วยมีบ้าน 2 ขนาดคือ บ้านแบบ 3 ห้องนอน<br />

ขนาด 3 เสื่อ 4.5 เสื่อ และ 8 เสื่อตามลำดับแบบหนึ่ง และบ้านแบบ<br />

2 ห้องนอน ขนาด 4.5 เสื่อ และ 6 เสื่อตามลำดับอีกแบบหนึ่ง<br />

อาคารชุดพักอาศัยที่มีชื่อเสียงมากที่สุดคือเอโดกาว่าอะพาร์ตเมนต์<br />

(Edogawa Apartment) 134 ที่เอโดกาว่าบาชิ (Edogawa bashi)<br />

โตเกียว สร้างใน ค.ศ. 1934 โดยโดจุงไก เป็นอะพาร์ตเมนต์<br />

ขนาดใหญ่สูง 6 ชั้น แบ่งเป็น 2 แถว แถวหน้าเป็นตึกสูง 4 ชั้น<br />

ผังรูปตัว I แถวหลังหลังเป็นตึกรูปตัว U สูง 6 ชั้น มีระบบทำความ<br />

ร้อนจากศูนย์กลาง สุขภัณฑ์ใช้โถชักโครก หนึ่งหน่วยพักปกติ<br />

ประกอบด้วย ห้องขนาดใหญ่ 1 ห้อง และขนาดเล็ก 2 ห้องมีโถง<br />

ทางเข้าสำหรับแต่ละหน่วย ห้องทั่วไปมีระเบียงและห้องแม่บ้าน<br />

แต่ห้องคนโสดจะไม่มีทั้งสองอย่างนี้และตั้งอยู่บนชั้น 5 และ<br />

6 ตึกทั้งสองต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมที่มีสนามตรงกลางที่ใช้เป็น<br />

สวนพักผ่อนของอะพาร์ตเมนต์ซึ่งเป็นทฤษฎีออกแบบของยุโรป<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

133


บนซ้ายและขวา เอโดกาว่าอะพาร์ตเมนต์<br />

(1934)<br />

ล่าง ผังบริเวณไดคันยามาอะพาร์ตเมนต์<br />

134 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


โรงเรียนแบบสากลนิยมสมัยใหม่ อาคารแบบสากลนิยม<br />

สมัยใหม่ถูกนำไปใช้ออกแบบโรงเรียนด้วยและสถาปนิกก็ไม่ได้<br />

เรียนจากเยอรมัน แสดงถึงรูปแบบนี่เป็นที่ยอมรับในระดับที่กว้างขวาง<br />

มีอาคารโรงเรียนชั้นประถมศึกษาหลายหลังที่ถูกสร้างใหม่แทน<br />

โรงเรียนไม้ที่พังทลายในคราวแผ่นดินไหวใหญ่คันโตใน ค.ศ. 1926<br />

อาคารเหล่านี้ถูกสร้างในแบบสากลสมัยใหม่ที่เรียบเกลี้ยงโดย<br />

สถาปนิกของเทศบาลกรุงโตเกียว อาคารเรียนมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยม<br />

ผืนผ้ายาว ส่วนอาคารกีฬาในร่มเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าป้อมๆ<br />

มีสนามกีฬากลางแจ้ง และบางโรงเรียนมีสระว่ายน้ำด้วย ซึ่งสะท้อน<br />

ให้เห็นถึงการให้ความสำคัญต่อวิชาพลศึกษาของรัฐตั้งแต่ยุคนั้น<br />

ลักษณะอาคารเป็นกล่องสี่เหลี่ยมคอนกรีตเสริมเหล็กเพื่อกัน<br />

แผ่นดินไหว โครงสร้างประกอบด้วยเสาเรียงเป็นแถวตัดกับแนวคาน<br />

เป็นช่องตารางสี่เหลี่ยมที่กรุด้วยแผ่นกระจกเต็มช่อง ส่วนหัวและ<br />

ท้ายอาคารอาจออกแบบเป็นโถงใหญ่สำหรับกิจกรรมเรียนรวมหรือ<br />

สันทนาการ และจะมีการเน้นเป็นพิเศษโดยการหุ้มผนังด้วย<br />

แผ่นกระจกทั้งหมดที่อาจสูง 2-3 ชั้นทีเดียว คล้ายกับงานของ<br />

บน ผังพื้นโรงเรียนประถมศึกษาที่ 5 เขตย็อตสุย่า<br />

ล่าง โรงเรียนประถมศึกษาที่ 5 เขตย็อตสุย่า (1934)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

135


พวกเบาเฮาส์ในญี่ปุ่นและเยอรมันเช่นกัน ตัวอย่างของอาคาร<br />

เหล่านี้ที่น่าสนใจที่สุดคือ โรงเรียนประถมศึกษาที่ 5 เขตย็อตสุย่า<br />

(Yotsuya) (1934) 135 นอกจากนี้ได้แก่โรงเรียนประถมศึกษาแห่ง<br />

ทากะนะวะได (Takanawadai) (1935) 136 และโรงเรียนประถมศึกษา<br />

15 ห้องเรียนแห่งนากาตะโช (Nagata-cho) (1937) 137 เป็นต้น<br />

แต่ศิลปะในการวางผังของ 2 โรงเรียนหลังยังดูเป็นรองโรงเรียนแรก<br />

อยู่มาก<br />

บน โรงเรียนประถมศึกษาแห่งทากะนะวะได (1935)<br />

ล่าง ผังพื้นโรงเรียนประถมศึกษาแห่งทากะนะวะได<br />

136 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน โรงเรียนประถมศึกษา 15 ห้องเรียนแห่งนากาตะโช (1937)<br />

ล่าง ผังพื้นโรงเรียนประถมศึกษา 15 ห้องเรียนแห่งนากาตะโช<br />

โดยภาพรวมแล้วในช่วงทศวรรษที่ 1930 เป็นช่วงเวลา<br />

สุดท้ายที่สถาปนิกหัวก้าวหน้าทุกกลุ่มของญี่ปุ่นยังมีโอกาสได้<br />

แสดงผลงานสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ที่เน้น “เหตุผล”<br />

และ “ประโยชน์ใช้สอย” ที่พ่วงด้วยการใส่อัตลักษณ์หรือจิตวิญญาณ<br />

แบบญี่ปุ่นในลักษณะต่างๆ ตามศักยภาพการสร้างสรรค์รูปแบบ<br />

และ “วาทกรรม” ของแต่ละปัจเจกสถาปนิก ซึ่งความจริงเป็นเรื่อง<br />

ตรรกะที่ขัดแย้งกันของ “สากลนิยม” และ “ท้องถิ่นนิยม” ที่ดูเหมือน<br />

ว่าสถาปนิกหัวก้าวหน้าญี่ปุ่นจะแสร้งเป็นไม่สนใจ ว่าพวกเขาเอง<br />

ก็ถูกครอบงำด้วยลัทธิชาตินิยมอยู่ไม่น้อย<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

137


ศาลาญี่ปุ่นในงานนิทรรศการนานาชาติที่กรุงปารีส 1937<br />

โครงการนี้เป็นเรื่องประหลาดที่สถาปัตยกรรมแบบที่กำลัง<br />

ต้องห้ามภายในประเทศกลับมาเป็นตัวแทนของประเทศในยุโรป<br />

ในช่วงที่ลัทธิชาตินิยมและสังคมนิยมกำลังเฟื่องฟูและต่อสู้กัน<br />

ทั้งแนวรบด้านการเมืองและวัฒนธรรม รัฐบาลฝรั่งเศสจัดงานแสดง<br />

นิทรรศการนานาชาติว่าด้วยศิลปะและเทคนิคสมัยใหม่(Exposition<br />

Internationale des Art et Techniques dans la vie Moderne<br />

1937) ใน ค.ศ. 1937 ที่กรุงปารีส ท่ามกลางบรรยากาศความขัดแย้ง<br />

ของลัทธิการเมืองซ้ายจัดและขวาจัดในระดับสากล นั่นคือการ<br />

เผชิญหน้ากันของลัทธิสังคมชาตินิยมน ำโดยพรรคนาซีของอดอล์ฟ<br />

ฮิตเลอร์แห่งเยอรมนี และลัทธิคอมมิวนิสต์ที่นำโดยพรรค<br />

คอมมิวนิสต์ของโจเซฟ สตาลินแห่งสหภาพโซเวียต ภายใต้คำขวัญ<br />

ว่า “ศิลปะและเทคโนโลยีของชีวิตสมัยใหม่” ญี่ปุ่นเป็น 1 ใน 40<br />

ประเทศที่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมงานนี้ ขณะที่ประเทศกำลังดำเนิน<br />

นโยบายจักรวรรดินิยมโดยการรุกรานเข้าไปในประเทศจีนใน<br />

ปีเดียวกันนั้นเอง กระทรวงพาณิชย์ หอการค้าญี่ปุ่นและสมาคม<br />

ส่งเสริมวัฒนธรรมนานาชาติและการค้าแห่งญี่ปุ่น ได้ร่วมกันจัดตั้ง<br />

“คณะกรรมการนิทรรศการแห่งกรุงปารีส” ขึ้นเพื่อรับผิดชอบ<br />

โครงการนี้ โดยมีวัตถุประสงค์ในการยกระดับวัฒนธรรมญี่ปุ่นขึ้นสู่<br />

เวทีระดับโลก คณะกรรมการได้มอบให้ คิชิดะ ฮิเดโตะ (Kishida<br />

Hideto) (1899-1966) จากมหาวิทยาลัยโตเกียว ผู้ออกแบบหอประชุม<br />

ของมหาวิทยาลัยนั้น (Yasuda Hall) เป็นหัวหน้าคณะออกแบบ<br />

พร้อมกับสถาปนิกอีก 5 คนคือ มาเอดะ เคนจิโร (Maeda Kenjiro)<br />

เมอิคาว่า คูนิโอ (Maekawa Kunio) อิชิอูระ เคน (Ichiura Ken)<br />

โยชิดะ เทตสุโร (Yoshida Tetsuro) และทานิกูชิ โยชิโร<br />

(Taniguchi Yoshiro) เป็นคณะกรรมการออกแบบ คณะกรรมการ<br />

ออกแบบได้เสนอแบบหลายแบบและลงเอยที่แบบของเมอิกาวาซึ่ง<br />

เป็นไปตามหลักการที่ตกลงกันไว้ระหว่างคณะกรรมการและผู้รับ<br />

138<br />

ผิดชอบ คือต้องเป็นงานที่มีลักษณะจิตวิญญาณญี่ปุ่นที่จับต้องได้<br />

และต้องก่อสร้างได้โดยใช้เทคนิค วัสดุ และแรงงานท้องถิ่นของ<br />

ฝรั่งเศส ซึ่งเมอิกาวาออกแบบเป็นกล่องคอนกรีตสี ่เหลี่ยมยาว<br />

ด้านหน้ากรุกระจกเต็มพื้นที่ มีหอไอเฟลเป็นฉากหลัง แบบนี้เอง<br />

ทำให้คณะกรรมการนิทรรศการแห่งกรุงปารีสลังเลที่จะยอมรับแบบ<br />

เพราะทำใจไม่ได้กับแบบที่ไม่เป็น“ญี่ปุ่น” เช่นนี้ในที่สุดคณะกรรมการ<br />

ออกแบบฯ จึงต้องส่งแบบใหม่ที่เป็นแบบ “ญี่ปุ่น” ไปให้ แต่ก็เกิด<br />

ปัญหาขึ้นระหว่างคณะกรรมการนิทรรศการแห่งกรุงปารีสกับ<br />

คณะกรรมการจัดงานของฝรั่งเศส ในเรื่องการควบคุมงานก่อสร้าง<br />

และขั้นตอนสร้างจริงที่ผู้ควบคุมงานต้องเข้าใจสภาพท้องถิ่นของ<br />

ฝรั่งเศสเป็นอย่างดีคณะกรรมการนิทรรศการฯ จึงมอบให้ซากากูระ<br />

จุนโซ (Sakakura Junzo) (1901-1969) สถาปนิกที่เคยทำงานกับ<br />

เลอคอร์บูซิเอร์ในปารีสถึง 7 ปี เป็นผู้รับผิดชอบ 139 ในการควบคุม<br />

แบบศาลาญี่ปุ่นในงานนิทรรศการ<br />

นานาชาติที่กรุงปารีส 1937<br />

โดยเมอิคาว่า<br />

138 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ศาลาญี่ปุ่นในงานนิทรรศกานานาชาติ<br />

ที่กรุงปารีส 1937 โดยซากากูระ<br />

ล่าง ผังพื้นศาลาญี่ปุ่นในงานนิทรรศการ<br />

นานาชาติที่กรุงปารีส 1937<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

139


ศาลาฟินแลนด์โดยอัลวา อัลโต<br />

งานก่อสร้าง ในขณะที่ในญี่ปุ่นเองปฏิกิริยาต่อการปฏิเสธงานแบบ<br />

สากลนิยมสมัยใหม่ของเมอิกาวานำมาซึ่งการถกเถียงอย่างกว้าง<br />

ขวางในวงการสถาปนิกญี่ปุ่นว่า “แบบลักษณะของสถาปัตยกรรม<br />

ญี่ปุ่นคืออะไร” 140 ขณะเดียวกันปัญหาใหม่ของการก่อสร้างเกิดขึ้น<br />

อีกที่ปารีสเมื่อซากากูระและอิโน แดน (Ino Dan) ที่เป็นตัวแทน<br />

ฝ่ายญี่ปุ่นพบว่า สถานที่ก่อสร้างเป็นที่เนินเต็มไปด้วยต้นไม้ที่<br />

ฝ่ายฝรั่งเศสต้องการสงวนรักษาไว้ทั้งหมดแต่แบบที่เขียนไว้จากญี่ปุ่น<br />

กลับให้เป็นทางเข้าและไม่สอดคล้องกับทิวทัศน์ของหอไอเฟลที่ตั้ง<br />

อยู่ตรงข้ามกับพื้นที่ก่อสร้างที่อยู่อีกฝั่งของแม่น้ ำ สุดท้ายซากากูระ<br />

ต้องตัดสินใจออกแบบศาลาญี่ปุ่นใหม่ทั้งหมดเพื่อให้อาคารรับกับ<br />

ภูมิประเทศที่ลาดเอียงและเต็มไปด้วยต้นไม้นั้น เขาเลือกใช้ผังรูป<br />

สี่เหลี่ยมจัตุรัสที่ภายในเปิดโล่งต่อเนื่องกันได้หมดเพื่อเป็นโถง<br />

นิทรรศการ 141 รูปลักษณะภายนอกเป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยมตั้งบนฐาน<br />

ที่ลาดเอียงไปกับภูมิประเทศ กรุด้วยหินก้อนใหญ่แบบปราสาท<br />

ในญี่ปุ่น ผนังเป็นกระจกใส บางส่วนมีตะแกรงกันแดดเป็นตาราง<br />

รูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด ที่ดัดแปลงมาจากลายกำแพงโบราณของ<br />

ญี่ปุ่นที่เรียกว่านามาโกะกาเบะ (Namako Kabe) นอกจากนี้ทาง<br />

ทิศตะวันออกเฉียงใต้ยังมีทางลาดใหญ่นำขึ้นไปบนระเบียงชั้น 2<br />

ศาลาสเปนโดยลุยส์ เสิร์ท<br />

ของอาคารที่เป็นร้านกาแฟ โดยทั่วไปแล้วศาลาหลังนี้ดูเป็นแบบ<br />

อาคารสากลนิยมสมัยใหม่ที่ได้รับอิทธิพลของเลอคอร์บูซิเอร์อย่าง<br />

ชัดเจน แต่ถ้าพินิจลงไปในรายละเอียดแล้ว จะเห็นได้ว่าสถาปนิก<br />

ได้รับแรงบันดาลใจหลายอย่างที่เป็นนามธรรมจากสถาปัตยกรรม<br />

ญี่ปุ่นโบราณดังที่กล่าวข้างต้น งานนี้จึงเป็นงานสากลนิยมสมัยใหม่<br />

ที่มีกลิ่นไอญี่ปุ่นงานแรกที่ไปเผยแพร่ในทวีปยุโรป ซึ่งทำให้อาคาร<br />

นี้ได้รับความสนใจจากสถาปนิกตะวันตกอย่างมาก ถึงขนาดที่ได้<br />

รับรางวัลศาลาแสดงงานดีเด่น 1 ใน 3 หลังของศาลาชาติทั้งหลาย<br />

ที่มาจัดงาน อีกสองศาลาคือศาลาฟินแลนด์ที่ออกแบบโดยอัลวา<br />

อัลโต (Alva Aalto) และศาลาสเปนที่ออกแบบโดยลุยส์ เสิร์ท<br />

(Louis Sert) แต่ทว่าในญี่ปุ่นเองกลับไม่ยอมรับเป็นทางการว่าศาลา<br />

หลังนี้ออกแบบอย่างเป็นทางการโดยตัวแทนรัฐบาลญี่ปุ่น<br />

เพียงเพราะว่ามันดูไม่เป็น “ญี่ปุ่น” อย่างที่ศาลาในอดีตเคยทำกันมา<br />

อย่างไรก็ตามศาลาหลังนี้เป็นการประกาศตัวตนของพวกสากล<br />

นิยมสมัยใหม่ในวงการสถาปนิกญี่ปุ่นรุ่นใหม่อย่างเต็มตัว<br />

แต่น่าเสียดายว่าหลังจากนี้เวทีแสดงของสถาปัตยกรรมชนิดนี้<br />

จะต้องถูกปิดลงชั่วคราวในประเทศญี่ปุ่น เพราะลัทธิชาตินิยม<br />

ทหารนิยมนำพารสนิยมสถาปัตยกรรมกลับไปหาอาคารทรงมงกุฎ<br />

140 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


จักรพรรดิอย่างไม่มีทางเลือก จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2<br />

ที่ลัทธิชาตินิยม ทหารนิยมพ่ายแพ้อย่างราบคาบแล้วเท่านั้น<br />

สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ที่พยายามใส่อัตลักษณ์ญี่ปุ่น<br />

แบบนี้ จะฟื้นคืนชีพขึ้นมาอีกอย่างแข็งแกร่ง<br />

สรุปคุณค่าสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่<br />

ท่ามกลางบรรยากาศที่อบอวลด้วยลัทธิชาตินิยมและทหาร<br />

นิยมในญี่ปุ่นของช่วงหลังทศวรรษที่1920-1930 ไม่น่าเชื่อว่า<br />

สถาปัตยกรรมแบบสากลนิยมสมัยใหม่ที่เบี่ยงเบนออกมาจากลัทธิ<br />

ชาตินิยมสุดขั้วของทหาร จะยังคงเจริญเติบโตมาได้จากหน่ออ่อนที่<br />

งอกงามขึ้นในสมัยไทโช ในความเป็นจริงมันได้เผยแพร่ออกไป<br />

กว้างไกลและลึกซึ้งมากกว่าสมัยไทโช เราสามารถเห็นสถาปัตยกรรม<br />

สากลนิยมสมัยใหม่ ในอาคารทุกชนิดตั้งแต่บ้านเรือน เคหะชุมชน<br />

เมืองและอพาร์ตเมนต์ห้างสรรพสินค้า สโมสรกีฬากอล์ฟ โรงพยาบาล<br />

โรงเรียน โรงไฟฟ้า สถานที่ทำการไปรษณีย์โทรเลข สถานีพยากรณ์<br />

อากาศ แม้กระทั่งศาลาเผยแพร่วัฒนธรรมแห่งชาติในกรุงปารีส<br />

เป็นต้น ความแพร่หลายแสดงให้เห็นอุดมคติแบบใหม่ของยุคสมัย<br />

ใหม่ที่เกิดจากเศรษฐกิจทุนนิยมและความต้องการอิสระของชนชั้น<br />

กลางในเมืองที่มีการศึกษาที่ลัทธิเผด็จการก็คุมไว้ไม่ได้<br />

ในด้านคุณภาพ สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ได้รับ<br />

อิทธิพลโดยตรงจากสถาบันเบาเฮาส์ของเยอรมันที่นำโดยวอลเตอร์<br />

โกรเปียส ผ่านสถาปนิกญี่ปุ่นที่ไปทัศนศึกษา ฝึกงานและศึกษา<br />

ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1920 เป็นต้นมา เรื่องนี้แสดงให้เห็นว่าสถาปนิก<br />

ญี่ปุ่นฉลาดพอที่จะเลือกรับปรัชญาและแนวทางออกแบบที่ท้าทาย<br />

มากที่สุดของศตวรรษที่ 20 ขณะเดียวกันเราก็ต้องไม่ลืมคุณูปการ<br />

ของสถาปนิก “นำเข้า” อย่างแอนโตนิน เรย์มอนด์ที่เป็นแหล่งเผยแพร่<br />

ตัวอย่างการออกแบบที่ดีให้กับสถาปนิกญี่ปุ่นผ่านสถาปัตยกรรม<br />

ในหมู่ชนชั้นสูง<br />

เนื้อหาสำคัญของสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ของยุคนี้<br />

นอกจากแนวคิดเหตุผลนิยมและประโยชน์ใช้สอยนิยมที่เป็น<br />

พื้นฐานนำไปสู่รูปแบบของกลุ่มสถาปนิกเบาเฮาส์แล้ว ก็คือความ<br />

พยายามจะสร้างรูปธรรมของวัฒนธรรมญี่ปุ่นหรือวาทกรรม<br />

“จิตวิญญาณญี่ปุ่น” ลงในรูปแบบสากลนิยมนี ้อย่างเอาจริงเอาจัง<br />

ดังที่ คิชิดะ ฮิเดโตะ กล่าวว่า “...เพียงแต่การประยุกต์โดยการ<br />

ปรับเปลี่ยนรูปทรงผิวเผินของสถาปัตยกรรมไม้ดั้งเดิมของเรา<br />

ไปเป็นการสร้างอาคารแบบเดิมด้วยโครงสร้างใหม่ที่เป็นเหล็กและ<br />

คอนกรีตเสริมเหล็ก ก็ให้ผลบ้างในด้านภาพลักษณ์ที่คล้ายๆ<br />

งานญี่ปุ่นเดิม แต่มันก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ว่า มันเกิดความ<br />

รู้สึกว่านี่เป็นของที่มาจากที่อื่น และบางครั้งก็สุ่มเสี่ยงที่เราจะสร้าง<br />

อาคารที่อยู่ผิดที่ผิดเวลา (anachronisms) ความพยายามที่จะแสดง<br />

ลักษณะแบบญี่ปุ่นผ่านการลอกแบบดื้อๆ ของอาคารโบราณที่เป็น<br />

ตัวแทนลักษณะประจำชาติ เป็นวิธีที่ง่ายที่สุดที่ใครๆ ก็คิดได้<br />

แต่การสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมแบบญี่ปุ่นบริสุทธิ์โดยใช้เหตุผล<br />

จริงๆ แล้ว เราจะต้องสร้างสถาปัตยกรรมที่มีคุณสมบัติในจิต<br />

วิญญาณและวัสดุ ที่สอดคล้องกับชีวิตสมัยใหม่ผ่านความเข้าใจ<br />

ที่ลึกซึ้งในตัวสถาปัตยกรรมนั้น ที่ได้สะท้อนวิถีชีวิตสมัยใหม่ของ<br />

พวกเราอย่างลุ่มลึก และเกิดจากการกลั่นกรองโดยการเฝ้าสังเกต<br />

สภาพภูมิศาสตร์ที่เป็นตัวก่อรูปภูมิหลังของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

คำพูดเหล่านี้อาจดูเป็นนามธรรมเกินไป แต่ข้าพเจ้าเชื่อว่า<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในญี่ปุ่นที่ผ่านการเติบโตขึ้นมาอย่างมากมาย<br />

กำลังมีบทบาทสำคัญต่อการกำเนิดสถาปัตยกรรมแบบใหม่ของญี่ปุ่น<br />

อันเป็นโชคชะตาที่เราจะได้บรรลุในอนาคตอย่างแน่นอน” 142<br />

ข้อเขียนนี้เป็นหนึ่งในตัวแทนความคิดของสถาปนิกสากลนิยม<br />

สมัยใหม่ที่จะสร้างอัตลักษณ์สถาปัตยกรรมที่เป็นทั้ง “สากลนิยม”<br />

และ “ท้องถิ่นนิยม” ในเวลาเดียวกัน แม้จะเป็นความต้องการที่ขัด<br />

กันเองโดยพื้นฐานทางตรรกะ แต่มันก็เป็นแรงบันดาลใจให้<br />

สถาปนิกแต่ละคนสร้างสรรค์งานขึ้นมาตามศักยภาพของตนเอง<br />

ความหลากหลายของปัจเจกภาพนี้เองคือความเป็นญี่ปุ่นที่พวกเขา<br />

โหยหา และได้รับมาอย่างที่พวกเขาอาจจะไม่รู้ตัวด้วยซ้ำไป<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

141


สถาปัตยกรรมและสถาปนิกชาตินิยม<br />

สถาปัตยกรรมทรงมงกุฎจักรพรรดิ (Teikan Yoshiki)<br />

แม้ว่าเราจะได้กล่าวถึงการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมสากล<br />

นิยมสมัยใหม่มาอย่างยืดยาว จนดูเหมือนว่าญี่ปุ่นจะเต็มไปด้วย<br />

สถาปัตยกรรมประเภทนี้ แต่ในความเป็นจริงกลับตรงข้าม<br />

ลัทธิชาตินิยมและอนุรักษ์นิยมสุดโต่งที่สร้างตัวหยั่งรากลึก<br />

ในสังคมญี่ปุ่นตั้งแต่สมัยเมจิ และเติบโตเบ่งบานขึ้นจากกิจกรรม<br />

ทางการเมืองที่มีการเติมเชื้อไฟของทหาร นำไปสู่การเป็นประเทศ<br />

ทำสงครามรุกรานประเทศเพื่อนบ้านในสมัยไทโช ชัยชนะในสงคราม<br />

รุกรานส่งผลให้ลัทธิชาตินิยม ทหารนิยมและอนุรักษ์นิยมกระจาย<br />

เข้าครอบงำแนวความคิดและการกระทำของประชาชนญี่ปุ่น<br />

ทั่วทุกวงการ ตั้งแต่สมัยโชวะจนถึงทศวรรษที่ 1930 มันก็เบ่งบาน<br />

เข้าสู ่วงการสถาปัตยกรรมอย่างเต็มตัว<br />

ดังได้กล่าวไปบ้างแล้วในตอนที่ว่าด้วยสถาปัตยกรรมสมัยไทโช<br />

อาคารทรงมงกุฎจักรพรรดิในทางรูปธรรมคืออาคารแบบตะวันตก<br />

ที่ครอบด้วยหลังคาญี่ปุ่น สาระที่สำคัญคือมันถูกเสนอว่าเป็น<br />

วิวัฒนาการที่ก้าวหน้าของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น และเป็นตัวแทน<br />

รูปธรรมวัฒนธรรมสถาปัตยกรรมแห่งชาติของญี่ปุ่น ตั้งแต่การ<br />

ประกวดอาคารรัฐสภาแห่งชาติ (ไดเอท) ใน ค.ศ. 1918 แม้ว่าแบบ<br />

ที่ชนะประกวดจะไม่มีหลังคาญี่ปุ่น แต่ก็มีสถาปนิกหลายคนเห็นว่า<br />

ไม่เหมาะสมและส่งแบบที่แก้ไขให้มีหลังคาแบบญี่ปุ่นเสนอให้<br />

รัฐบาลพิจารณา แรงกดดันจากลัทธิชาตินิยมทำให้อาคารหลาย<br />

แห่งช่วงครึ่งหลังทศวรรษที่ 1920 ต่อทศวรรษที่ 1930 มีหลังคา<br />

แบบญี่ปุ่นไปโดยปริยาย ซึ่งเป็นที ่ยอมรับกันทั่วไปว่าเป็นรสนิยม<br />

แบบญี่ปุ่น (Nihon shumi) ทางสถาปัตยกรรม ที่มีรูปธรรมที่เรียกว่า<br />

อาคารทรงมงกุฎจักรพรรดิ(Taikan Yoshiki) ตัวอย่างสำคัญได้แก่<br />

ศาลาว่าการจังหวัดคานากาว่า (Kanagawa Prefectural Office)<br />

(1928) สร้างจากแบบชนะประกวดของคาโร โอบิ (Karo Obi)<br />

ใน ค.ศ. 1926 อาคารหลังนี้เป็นที่มาของอาคารมงกุฎจักรพรรดิ<br />

ที่จะตามมาเป็นชุดในทศวรรษที่ 1930 ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยม<br />

ผืนผ้าล้อมสนามภายใน 2 สนาม มุขกลางยื่นและมีหอคอย<br />

กลางอาคาร ลักษณะอาคารเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยมแบบสมมาตร<br />

อวดผนังผิวอิฐก่อสูง 5 ชั้น ชั้นล่างกรุด้วยหินผิวหยาบที่อาจจะ<br />

เลียนแบบโรงแรมอิมพีเรียล (Imperial Hotel) (1923) โตเกียว<br />

ที่ออกแบบโดยแฟรงค์ ลอยด์ ไรท์ (Frank Lloyd Wright)<br />

ใน ค.ศ. 1920-1923 แต่รูปแบบแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จุดเด่น<br />

ของศาลาว่าการอยู่ที่หอคอยกลางทรงสี่เหลี่ยมที่ตอนบนย่อเล็กลง<br />

มีหลังคาทรงพีระมิดมุงกระเบื้องคล้ายเจดีย์จีน ขณะที่ตัวอาคาร<br />

ผนังของชั้น 5 ที่อยู่บนสุดก็ถูกถอยร่นเข้าไปจากแนวผนังอาคาร<br />

ปกติเล็กน้อย เพื่อเน้นชายหลังคามุงกระเบื้องที่ยื่นออกมา ดูตัด<br />

กับหลังคามุขหน้าชั้นล่างที่ใช้เทียบรถ (porte-cochere) ที่แบน<br />

ราบ เป็นเรื่องแปลกที่ที่ปรึกษาโครงการ คือ ซาโน โตชิคาตะ (ริกิ)<br />

(Sano Toshikata (Riki)) (1880-1956) ผู้เชี่ยวชาญ<br />

คอนกรีตเสริมเหล็กและสนับสนุนสถาปัตยกรรมแบบวิศวกรรมที่<br />

เน้นหลักการวิทยาศาสตร์ในปลายยุคเมจิ อาคารหลังนี้<br />

ได้รับเกียรติมาเยี่ยมเยือนจากรัฐมนตรีกระทรวงวังโดยพระราชดำริ<br />

ของจักรพรรดิใน ค.ศ. 1931 143 หลังจากอาคารนี้สร้างเสร็จใน<br />

ค.ศ. 1928 โครงการก่อสร้างศาลาว่าการจังหวัดอีกหลายแห่งเช่น<br />

ที่นาโกย่า (Nagoya) (1933) และไอชิ (Aichi) (1935) เป็นต้น<br />

ก็สร้างตามมาเป็นชุด<br />

กองบัญชาการทหารบก (Gunjin Kaikan) (1934) โตเกียว<br />

ในช่วงทศวรรษ 1930 การประกวดแบบอาคารราชการที่สำคัญ<br />

ระดับชาติ มักจะมีความต้องการที่คณะกรรมการจัดประกวดระบุไว้ว่า<br />

ต้องการอาคารที่มีแบบลักษณะที่ “ซึมซาบไปด้วยสาระสำคัญแห่งชาติ”<br />

(yoshi wa kokusui no kihin o sonae) 144 แต่ก็ไม่ได้ระบุเป็น<br />

รูปธรรมว่าลักษณะอย่างที่กล่าวนั้นเป็นเช่นไร โครงการประกวด<br />

แบบกองบัญชาการทหารบก โตเกียวใน ค.ศ. 1930 ก็อยู่ในข่ายนี้<br />

และก็เป็นที่รู้กันว่าจะต้องมีหลังคาแบบญี่ปุ่นโบราณ อาคารสร้าง<br />

เสร็จใน ค.ศ.1934 เพื่อใช้เป็นค่ายฝึกซ้อมและพักอาศัยของ<br />

142 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ศาลาว่าการจังหวัดคานากาว่า (1928)<br />

ล่าง ศาลาว่าการจังหวัดนาโกย่า (1933)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

143


กองบัญชาการทหารบก (1934)<br />

กองกำลังพลสำรอง และเป็นกองบัญชาการกฎอัยการศึกในช่วงที่<br />

ทหารชั้นผู้น้อยก่อการกบฏใน ค.ศ. 1936 ออกแบบโดยสถาปนิก<br />

โอโน ทาเคโอ (Ono Takeo) และคาวาโมโต เรียวอิชิ (Kawamoto<br />

Ryoichi) ลักษณะอาคารเป็นทรงสี่เหลี่ยมสูง 4 ชั้น กรุหน้าด้วยหิน<br />

เจาะช่องหน้าต่างแคบ ยาวเรียวเรียงเป็นแถวในแนวตั้ง แต่ที่มุม<br />

ตึกผนังจะกรุผิวด้วยอิฐ ชั้นที่ 3 เจาะช่องหน้าต่างวงกลม ชั้นที่ 4<br />

แนวผนังถอยร่นไปข้างหลังเล็กน้อยเพื่ออวดหลังคาปีกนกที่วิ่งรอบ<br />

อาคารและมีเต้ารับชายคายื่นออกมาแบบโบราณ จุดเด่นอาคารอยู่<br />

ที่บนชั้นดาดฟ้าที่ปรากฏอาคารทรงหลังคาจั่วพร้อมปีกนกแบบวัด<br />

ญี่ปุ่นโบราณ ตั้งอยู่ที ่มุมอาคารทั้ง 2 ข้าง ดูภาพรวมแล้วคล้าย<br />

พระราชวังต้องห้ามในกรุงปักกิ่งมากกว่าอาคารไม้โบราณของญี่ปุ่น<br />

เสียอีก 145<br />

โครงการประกวดพิพิธภัณฑ์หลวงโตเกียว (Tokyo Imperial<br />

Household Museum) (1931) อูเอโน (Ueno) โตเกียว โครงการ<br />

ประกวดพิพิธภัณฑ์หลวงนี้ก็มีกติการะบุว่าพิพิธภัณฑ์จะต้อง<br />

“มีรูปแบบตะวันออกที่เป็นรสนิยมแบบญี่ปุ่น ดังนั้นมันจึงจะรักษา<br />

ความกลมกลืนกับศิลปะวัตถุของพิพิธภัณฑ์ได้” 146 ผู้ชนะประกวด<br />

คือ วาตานาเบ จิน (Watanabe Jin) ใน ค.ศ. 1931 เขาออกแบบ<br />

พิพิธภัณฑ์นี ้ให้เป็นอาคารขนาดใหญ่ ผังรูปสี่เหลี ่ยมผืนผ้ายาว<br />

ล้อมรอบสนามภายใน 2 สนาม 147 เพื่อการถ่ายเทอากาศและ<br />

รับแสงสว่าง ลักษณะอาคารมีปลายสองข้างที่ออกแบบเป็นมุขลด<br />

ซึ่งเป็นของแปลกเพราะเป็นแบบของสถาปัตยกรรมเกาหลีหรือไทย<br />

มากกว่าญี่ปุ่น หลังคาเป็นทรงจั่วมุงกระเบื้องแบบวัดญี่ปุ่นโบราณ<br />

ทั้งหมดนี้ดูสะดุดตาด้วยขนาดอันใหญ่โตรงข้ามกับบรรยากาศภายใน<br />

ที่สงบเงียบและมีแสงไฟทึมๆ ส่องที่หอศิลป์ซึ่งอยู่ชั้นบน ขณะที่ชั้น<br />

ล่างไม่มีอะไรเด่น นอกจากประติมากรรมขนาดใหญ่ที่จัดแสดง<br />

ขนาดของห้องจัดแสดง (galleries) ก็ดูโตเกินไป ส่วนแสงสว่างจาก<br />

พระอาทิตย์ก็แรงจ้าจนเกินจำเป็น 148<br />

โดยภาพรวมแล้วอาคารทรงมงกุฎจักรพรรดิไม่มีอะไร<br />

แปลกใหม่กว่าในสมัยไทโช ลักษณะอาคารส่วนใหญ่เป็น<br />

ทรงสี่เหลี่ยมแบบอาร์ตเด็คโคบนผังแบบคลาสสิก โครงสร้างเป็น<br />

คอนกรีตขนาดใหญ่ ชั้นบนสุดดูเด่นคล้ายคอสองที่เป็นส่วนเชื่อม<br />

ระหว่างตัวอาคารกับหลังคามุงกระเบื้องทรงจั่วแบบโบราณขนาด<br />

ใหญ่ และด้วยวัสดุก่อสร้างที่เป็นอิฐและหินปะหน้าโครงสร้าง<br />

คอนกรีตขนาดมหึมาหลังคามุงกระเบื้องแล้ว อาคารเหล่านี้จึง<br />

กลับดูเหมือนว่าพัฒนามาจากสถาปัตยกรรมจีนมากกว่า<br />

สถาปัตยกรรมไม้ของญี่ปุ่นเองเสียอีก<br />

144 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน พิพิธภัณฑ์หลวงโตเกียว (1931)<br />

ขวา ผังพื้นพิพิธภัณฑ์หลวงโตเกียว<br />

สถาปัตยกรรมแบบ “วิวัฒนาการ”ของอิโตะ ชูตะ<br />

อิโตะ ชูตะยังทำงานสถาปัตยกรรมต่อไปนอกจากการเป็น<br />

ศาสตราจารย์แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียวผู้มีแนวคิดทรงพลังและ<br />

อิทธิพลในแวดวงสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น ผลงานของเขาแม้จะจัด<br />

อยู่ในแนวชาตินิยมแต่ก็ไม่ตื้นเขินแบบทรงมงกุฎจักรพรรดิและ<br />

บางครั้งเขายังถือโอกาสวิจารณ์งานแบบนี้ในแง่ลบ เช่น วิจารณ์<br />

แบบเสนอแก้ไขแบบรัฐสภาแห่งชาติ (ไดเอ็ท) ของชิโมดะ<br />

คิคูทาโร ใน ค.ศ. 1918-1919 ว่า “...ละเมิดหลักการทาง<br />

โครงสร้างของทางคลาสสิคของยุโรปและแบบญี่ปุ่นโบราณเป็น<br />

งานที่น่าอับอายขายหน้าแห่งชาติ...” 149 สถาปัตยกรรมของ<br />

อิโตะค่อนข้างซับซ้อน เพราะแฝงไปด้วยที่มาจากสถาปัตยกรรม<br />

ในประวัติศาสตร์อันหลายหลากของเอเชียและยุโรป แต่ในที่สุด<br />

ก็ลงเอยด้วยรูปทรงสถาปัตยกรรมต่างถิ่นต่างวัฒนธรรม มารวม<br />

กันบนผังแบบคลาสสิคนั่นเอง วัดซึกิจิฮองกานจิ (Tsukiji<br />

Honganji) (1934) ในโตเกียวเป็นผลงานชิ้นเอกของเขาที่สะท้อน<br />

รูปธรรมของบทสรุปของสถาปัตยกรรมแบบ “วิวัฒนาการ”<br />

ผลงาน<br />

อนุสรณ์สถานเหยื่อแผ่นดินไหวคันโตแห่งมหานครโตเกียว<br />

(Tokyoto Ireido) (Tokyo Memorial Hall) (1930) อนุสรณ์สถาน<br />

แห่งนี้สร้างเพื ่อการรำลึกถึงเหยื่อแผ่นดินไหวคันโต ซึ่งเป็น<br />

แผ่นดินไหวครั้งร้ายแรงที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์ของมหานคร<br />

โตเกียวใน ค.ศ. 1923 ซึ่งมีประชาชนเสียชีวิตถึง 100,000 คน<br />

มีการบอกบุญเรี่ยไรความช่วยเหลือไปทั่วโลก แม้กระทั่งประเทศ<br />

สยามก็ยังส่งบริจาคเงินทองสิ่งของผ่านสภากาชาดสยามไปช่วยเหลือ<br />

ชาวญี่ปุ่นที่ตกทุกข์ได้ยากในครั้งนั้นนานติดต่อกันถึง 5 เดือน 150<br />

และรวบรวมเงินบริจาคได้ถึง 27,657.64 บาท 151 อิโตะได้รับ<br />

มอบหมายให้เป็นสถาปนิกออกแบบก่อสร้างใน ค.ศ. 1930 ลักษณะ<br />

ผังมีอาคาร 2 หลังเรียงกันในแนวดิ่ง ด้านหน้าเป็นอาคารสี่เหลี่ยม<br />

ผืนผ้า โถงใหญ่อยู่ตรงกลางริม 2 ข้างเป็นระเบียง มีเสาร่วมในเรียง<br />

เป็นแถวแบ่งพื้นที่ ปลายสุดเป็นที่ตั้งแท่นบูชา อาคารด้านหลังเป็น<br />

เจดีย์ผังสี่เหลี่ยมจัตุรัสสูง 4 ชั้น เป็นที่บรรจุอัฐิผู้เสียชีวิตจาก<br />

แผ่นดินไหว ซึ่งส่วนใหญ่ถูกไฟคลอกจนจำแนกแยกแยะเอกลักษณ์<br />

บุคคลไม่ได้จำนวน 58,000 คน แต่เมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

145


สิ้นสุดลง รัฐบาลได้นำอัฐิของผู้เสียชีวิตจากการทิ้งระเบิดทาง<br />

อากาศกรุงโตเกียวของฝ่ายสัมพันธมิตรมาบรรจุร่วมด้วยรวมเป็น<br />

163,000 คน<br />

รูปลักษณะภายนอกอาคาร 152 ยังคงรูปแบบญี่ปุ่นโบราณอยู่<br />

ตัวโถงหน้าเป็นอาคารสร้างด้วยคอนกรีตไม่ใช่ไม้จึงดูก้ำกึ่งระหว่าง<br />

ญี่ปุ่นและจีน หลังคาทรงจั่วมีปีกนก 2 ชั้น ปีกนกชั้นล่างอยู่ใต้<br />

ช่องแสงที่เหมือนคอสองรับแสงสว่างเข้ามาในอาคาร ปลายอาคาร<br />

ทั้ง 2 ด้าน ทำมุขขวางยื่นใช้เป็นทางเข้ารอง ด้านหน้าอาคาร<br />

ทำมุขโถงเตี้ยหลังคาจั่วทรงโค้งคันธนูแบบญี่ปุ่นมีระดับต่ำกว่า<br />

หลังคาปีกนกชั้นล่างของโถงหน้าเล็กน้อย และสอดชายคามุข<br />

เข้าใต้หลังคาปีกนกของโถงหน้าซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่ใช่แบบ<br />

อย่างญี่ปุ่นเดิมอย่างยิ่ง หอบรรจุอัฐิเป็นเจดีย์แบบญี่ปุ่นปนจีน<br />

เพราะสร้างด้วยคอนกรีตกรุผิวด้วยหิน สูง 4 ชั้นลดหลั่นกันขึ้นไป<br />

ทุกชั้นมีหลังคาปีกนกคลุมรอบ ปลายหลังคาเชิดขึ้นแบบโบราณ<br />

เมื่อพิจารณาจากลักษณะการวางผังเช่นนี้ ย่อมเห็นได้ว่า<br />

อาคารนี้ไม่ได้วางผังแบบวัดโบราณของญี่ปุ่น ที่นิยมวางแนวยาว<br />

ของอาคารรับทางเข้าไม่ใช่เอาด้านสกัดมาเป็นทางเข้าแบบนี้<br />

ซึ่งนักวิชาการบางท่านเห็นว่าอิโตะน่าจะได้รับอิทธิพลมาจาก<br />

ผังโบสถ์คริสเตียนของตะวันตก 153 เพราะเขาออกแบบอาคารแบบ<br />

ตะวันตกมาก่อนในยุคเมจิ แต่ถ้าหากพิจารณาจากอิทธิพล<br />

วัฒนธรรมตะวันออกบ้าง จะเห็นได้ว่าผังแบบนี้อาจเป็นแบบโบสถ์-<br />

วิหารสยามก็ได้ นอกจากนี้ลักษณะอาคารยังคล้ายกับโครงการ<br />

วิหารพระศากยมุนีแห่งวัดซานเนจิที่ไม่ได้สร้างใน ค.ศ. 1910 154<br />

แสดงว่าอิโตะน่าจะนำผังเก่าแบบสยามมาดัดแปลงให้ดูเป็นญี่ปุ่น<br />

แบบเปลือกๆ แต่โครงสร้างของผังนั้นอิโตะยอมรับแบบสยามโดยดุษฎี<br />

อนุสรณ์สถานเหยื่อแผ่นดินไหวคันโต<br />

แห่งมหานครโตเกียว (1930)<br />

146 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถูปโชเกียวเด็น (1931)<br />

สถูปโชเกียวเด็น (Shogyoden) วัดฮอกเกเกียวจิ (Hokekyoji)<br />

(1931) เมืองอิชิกาวา (Ichikawa) จังหวัดชิบะ (Chiba Prefecture)<br />

เป็นสถูปแบบคันธารราชองค์สุดท้ายของอิโตะที่สร้างเสร็จ<br />

ใน ค.ศ. 1931 ที่เมืองอิชิกาวา จังหวัดชิบะ เป็นสถูปสำหรับเก็บ<br />

ธรรมบทที่เขียนโดยพระนิชิเร็น โชนิน (Nichiren Shonin) ผู้ก่อตั้ง<br />

นิกายนิชิเร็นชู (Nichiren-shu) ตั้งแต่ศตวรรษที่ 13 155 แม้ลักษณะ<br />

จะดูละม้ายกับสถูปผู้ปกป้องบ้านเมือง (Gokokuto) แต่ก็แตกต่าง<br />

กันมากในรายละเอียด สถูปโชเกียวเด็นเป็นสถูปทรงระฆัง<br />

ครึ่งทรงกลมตั้งบนเรือนธาตุทรงกระบอกที่สูงประมาณ 2 เท่าของ<br />

องค์ระฆัง สถูปตั้งอยู่บนฐานสูงที่อยู่บนฐานประทักษิณอีกชั้นหนึ่ง<br />

ประตูเข้าอยู่กลางเรือนธาตุมีกรอบล้อมเป็นเสากลมลอยตัว<br />

รับคานทับหลังแบบซุ้มประตูคลาสสิค เหนือทับหลังซุ้มมีช่องแสง<br />

ทรงโค้งประทุนรูปเกือกม้า ลักษณะเลียนแบบหลังคาวัดถ้ำอชันตา<br />

บนประตูจำหลักรูปธรรมจักร แสดงสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนสถาน<br />

ผนังเรือนธาตุมีเสาอิงสี่เหลี่ยมแบบกรีกผสมอินเดียประดับโดยรอบ<br />

ผิวผนังกรุแผ่นหินตัดสี่เหลี่ยม เหนือองค์ระฆังเป็นบัลลังก์และ<br />

ปลียอดทรงกรวยแหลมเล็กเมื่อเทียบกับองค์สถูป ซึ่งตรงข้ามกับ<br />

การออกแบบสถูปผู้ปกป้องบ้านเมือง ยอดปลีประดับด้วยฉัตรและ<br />

เครื่องประดับยอดแบบสถูปจีน-ทิเบต โดยภาพรวมความเด่นของ<br />

สถูปอยู่ที่เรือนธาตุ องค์ระฆังและฐานที่น่าจะกำกับด้วยสัดส่วน<br />

แบบคลาสสิค จึงดูเหมือนวิหารคลาสสิคแบบผังกลมครอบด้วย<br />

โดมมากกว่าสถูปแบบอินเดีย จีน ทิเบตและสยามที่เขาเคยทำมา<br />

ก่อนหน้านี้ นั่นย่อมหมายความว่ารูปทรงที่งดงามที่สุดของ<br />

พุทธศาสนสถานคือรูปทรงที่มาจากมรดกวัฒนธรรมคลาสสิค<br />

ที่อิโตะเชื่อว่าเป็นยุคทองของศิลปะ-สถาปัตยกรรมในพุทธศาสนา<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

147


วัดซึกิจิฮองกวานจิ (Tsukiji Hongwanji) (1934) โตเกียว<br />

เป็นวัดในพุทธศาสนาลัทธิโจโดชินชูฮองกวานจิฮา (Shinshu<br />

Hongwanjiha) ที่มีวัดแม่คือนิชิฮองกวานจิ (Nishi Hongwanji)<br />

ในเกียวโต ลัทธิความเชื่อนี้เรียกกันสั้นๆ ว่าลัทธิชิน (Shin sect)<br />

มีลักษณะปฏิรูปหัวก้าวหน้า ปลุกเร้าให้ประชาชนรักชาติไม่หมกมุ่น<br />

อยู่กับการถือศีล บำเพ็ญตบะอย่างสันโดษ ทั้งนี้เพื่อแบ่งแย่ง<br />

ความศรัทธาของมวลชนกับลัทธิชินโตที่รัฐอุปถัมภ์อยู่ตั้งแต่สมัยเมจิ<br />

จนสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ในทางปฏิบัติลัทธิชินสนับสนุนการ<br />

แผ่ขยายอำนาจของทหารญี่ปุ่น มีสายสัมพันธ์กับทหารโดยตรง<br />

ในการทำพิธีศพทหารในช่วงสงครามแมนจูเรีย ลัทธินี้สนับสนุน<br />

สงครามขนาดมีแผ่นปลิวกล่าวว่า ชินรัน (Shinran) ผู้ก่อตั้งลัทธิชิน<br />

ไม่เคยห้าม “การทำสงครามที่ยุติธรรม” 156 และชาวพุทธต้องจับอาวุธ<br />

เมื่อถึงคราวจำเป็น ลัทธิชินยกย่องการตายของทหารในสงคราม<br />

ว่าเป็นนักบุญผู้สละชีพเพื่ออุดมการณ์ (martyrdom) ดังนั้นจึงมี<br />

นักวิชาการญี่ปุ่นบางคนเห็นว่าลัทธิชินสัมพันธ์กับลัทธิฟาสซิสต์<br />

(Fascism) 157 ในแง่อุดมการณ์แห่งความตาย การเชื่อฟังและ<br />

ระเบียบวินัย<br />

อิโตะได้รับมอบหมายให้ออกแบบวัดนี้ใน ค.ศ. 1931<br />

แทนวัดเก่าที่ถูกทำลายในคราวแผ่นดินไหวคันโต ค.ศ. 1923<br />

และสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1934 อาคารของวัดนี้สะท้อนแนวคิด<br />

สถาปัตยกรรมแบบ “วิวัฒนาการ” และ “สถาปัตยกรรมร่วม<br />

วงศ์ไพบูลย์เอเชีย” ของอิโตะในเวลาเดียวกัน อิโตะใช้ผังรูปตัว E<br />

แบบคลาสสิคในการวางผังวัด 158 อาคารแบ่งเป็น 3 ส่วนสำคัญ คือ<br />

มุขกลางและมุขซ้าย-ขวา เชื่อมกันด้วยทางเดินทั้งด้านหน้าและหลัง<br />

มีสนามภายในคั่นแต่ละส่วน มุขกลางมีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นวิหาร<br />

ประดิษฐานพระพุทธรูปอมิตพุทธเจ้า (Amida Buddha) ด้านซ้าย<br />

ขวาประดิษฐานรูปของผู้ก่อตั้งลัทธิชิน และพระป้ายของจักรพรรดิ<br />

ญี่ปุ่น 159 แสดงความสำคัญของภิกษุและมนุษย์พิเศษที ่เทียบเท่า<br />

พระพุทธเจ้า มุขซ้ายเป็นโถงสำหรับการประชุม มุขขวาเป็นห้อง<br />

ประกอบพิธีสงฆ์ต่างๆ หน้าวัดเป็นลานขนาดใหญ่ส ำหรับการชุมนุม<br />

ของศาสนิกในงานพิธีกรรมต่างๆ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ธรรมดาสำหรับ<br />

วัดทั่วไปในโตเกียว<br />

148 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผังพื้นวัดซึกิจิฮองกวานจิ<br />

หน้าตรงข้าม<br />

วัดซึกิจิฮองกวานจิ (1934)<br />

ลักษณะอาคารเน้นที่มุขกลางที่เป็นวิหารพระอมิตพุทธเจ้า<br />

เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยมตั้งบนฐานสูง หลังคาย่อลดหลั่น 3 ชั้นรับ<br />

จั่วหลังคาทรงโค้งประทุนรูปเกือกม้ายอดแหลม เลียนแบบวิหาร<br />

ถ้ำที่อชันตา (พุทธศตวรรษที่ 4-6) แต่หน้าบันกลับจำหลักเป็น<br />

ดอกไม้ 16 กลีบ แบบดอกเบญจมาศ สัญลักษณ์แห่งจักรพรรดิ<br />

ญี่ปุ่น หน้ามุขกลางลดระดับลงมามีมุขโถงสำหรับทางเข้ามีหน้าบัน<br />

เป็นโค้งประทุนแบบเดียวกันแต่ทำเว้าเข้าไปเป็นคูหาเหมือนวัดถ้ำ<br />

ยุคโบราณของอินเดีย มุขซ้าย-ขวาทั้งสองข้างเป็นอาคารหลังคา<br />

แบนแต่กลับตั้งพระสถูปทรงระฆังขนาดย่อมคล้ายสถาปัตยกรรม<br />

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผนังอาคารเจาะช่องหน้าต่างแบบคลาสสิค<br />

แต่ด้วยรายละเอียดแบบอินเดีย ที่แปลกมากคือเสาอิงประดับ<br />

ผนังเรียงเป็นแถวแบบคลาสสิคแต่มียอดหัวเสาเป็นรูปเต้าไม้โค้ง<br />

ทรงกากบาทแบบจีน-ญี่ปุ่นโบราณ โดยภาพรวมวัดนี้มีโครงสร้าง<br />

การออกแบบตามกรอบแบบคลาสสิค แต่หลังคาและองค์ประกอบ<br />

กลับกลายเป็นสถาปัตยกรรมสมัยต่างๆ ของอินเดีย เอเชียตะวันออก<br />

เฉียงใต้ จีน และญี่ปุ่น ที่มาจากจินตนาการแปลกๆ ของสถาปนิก<br />

จึงเป็นงานที่ให้ความรู้สึกผสมผสานมากกว่าจะมีเอกภาพอย่างที่<br />

อิโตะต้องการ<br />

การตกแต่งภายในเป็นแบบญี่ปุ่นประยุกต์ทั้งส่วนประดับ<br />

โครงสร้างหัวเสาที่เลียนแบบเครื่องไม้โบราณ และซุ้มประดิษฐาน<br />

พระพุทธรูปและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย ขณะที่มีองค์ประกอบแบบ<br />

ตะวันตกแทรกอยู่ด้วย เช่น ออร์แกนสำหรับบรรเลงเพลงสวด<br />

และหน้าต่างกระจกสีในโครงสร้างที่เป็นคอนกรีตเสริมเหล็กกรุ<br />

ผิวหน้าด้วยแผ่นหินตัด<br />

วัดซึกิจิฮองกวานจิจึงเป็นบทสรุปที่เป็นรูปธรรมของแนวคิด<br />

สถาปัตยกรรมแบบ “วิวัฒนาการ” ที่อิโตะตั้งขึ้นตั้งแต่ปลายสมัยเมจิ<br />

โดยการมองสถาปัตยกรรมเหมือนสิ่งมีชีวิตที่จะต้องมีพัฒนาการของ<br />

รูปร่างสรีระไปเรื่อยๆ ตามสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไป เพียงแต่ว่า<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

149


วัดซึกิจิฮองกวานจิมีวิวัฒนาการประหลาดที่ถอยหลังไปจากปัจจุบัน<br />

ไปสู่อดีตแทนที่จะก้าวไปสู่อนาคต ทั้งนี้เนื่องจากวัตถุประสงค์<br />

ประการที่ 2 ของอิโตะที่ต้องการให้สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

เป็นศูนย์กลางของเอเชียที่เรียกว่าร่วมวงศ์ไพบูลย์แห่งเอเชีย<br />

(Pan Asia) จึงรวบรวมเอารูปแบบต่างๆ ในประวัติศาสตร์<br />

สถาปัตยกรรมเอเชียมาคัดเลือกจัดสรรและประยุกต์ขึ้นใหม่ตาม<br />

จินตนาการของเขา เพื่อให้ญี่ปุ่นพ้นจากกรอบวัฒนธรรม<br />

สถาปัตยกรรมจีนไปสู่ความเป็นสากลของอดีตแทน<br />

สถาปัตยกรรมภายใต้ลัทธิชาตินิยม ทหารนิยม และจักรวรรดินิยม<br />

โครงการประกวดแบบอนุสาวรีย์วีรชนทหาร (The Chureito<br />

Competition) (1939) นโยบายจักรวรรดินิยมทหารที่ก้าวร้าวของ<br />

ญี่ปุ่นเริ่มตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 1930 ใน ค.ศ. 1931 กองทัพญี่ปุ่น<br />

บุกยึดแมนจูเรียและตั้งรัฐบาลหุ่นแมนจูกัว พัฒนาแมนจูเรียเป็น<br />

ฐานที่มั่นในการรุกรานเต็มรูปแบบต่อไป ใน ค.ศ. 1937 กองทหาร<br />

ญี่ปุ่นบุกยึดกรุงปักกิ่งเพื่อดำเนินการยึดครองประเทศจีนทั้งหมด<br />

แต่การต่อต้านทุกรูปแบบของกองทัพจีนทำให้ญี่ปุ่นสูญเสียทหาร<br />

ไป 60,000 คนเมื่อถึง ค.ศ. 1939 สังคมญี่ปุ่นรู้สึกเศร้าสลดกับ<br />

การสูญเสียและถือว่าทหารเหล่านี้เป็น “วีรชน” ของชาติสมควรแก่<br />

การสดุดี จึงมีการตั้งคณะกรรมการขึ้นเพื่อการประกวดแบบ<br />

หออนุสรณ์เพื่อเชิดชูผู้วายชนม์ที่ซื่อสัตย์ (memorial towers to<br />

honor the loyal dead (Chureito)) เมื่อวันที่7 กรกฎาคม ค.ศ. 1939<br />

ย่างเข้าสู่ทศวรรษ 1930 และ 1940 สถาปนิกญี่ปุ่นต่าง แต่นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที ่มีการประกวดแบบอนุสาวรีย์เช่นนี้ ความจริง<br />

ตกอยู่ในบรรยากาศของลัทธิชาตินิยม ทหารนิยม และนโยบาย มันเป็นครั้งที่ 3 การประกวดครั้งแรกจัดขึ้นใน ค.ศ. 1934 เพื่อเป็น<br />

จักรวรรดินิยมรุกรานเพื่อนบ้านของรัฐบาลญี่ปุ่นอยางต่อเนื่อง อนุสรณ์การบุกแมนจูเรียใน ค.ศ. 1931 ครั้งที่ 2 จัดใน ค.ศ. 1935<br />

สถาปนิกฝ่ายอนุรักษ์นิยมยินดีในการรับใช้แนวคิดและนโยบายเช่นนี้ เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ทหารที ่สละชีวิตในการสร้างทางรถไฟ<br />

ด้วยงานสถาปัตยกรรมแบบมงกุฎจักรพรรดิ และสถาปัตยกรรม ในแมนจูเรีย และนี่เป็นครั้งที่3 คณะกรรมการต้องการให้อนุสาวรีย์<br />

แบบวิวัฒนาการโดยอิโตะ ชูตะดังกล่าวแล้ว ขณะที่สถาปนิกกลุ่ม แบบนี้แพร่หลายตั้งแต่ระดับระหว่างชาติไปจนถึงระดับรากหญ้าใน<br />

สากลนิยมสมัยใหม่ก็ต้องปรับตัวไปตามสถานการณ์ ต้องทำงาน ประเทศญี่ปุ่น จึงกำหนดให้มีการออกแบบอนุสาวรีย์เป็น 3 ระดับ 160<br />

ภายใต้บรรยากาศเช่นนี้ ทั้งๆ ที่แนวคิดชาตินิยม ทหารนิยม และ คือ ระดับระหว่างประเทศเพื่อสร้างที่ประเทศจีน ระดับที่ 2 เพื่อ<br />

จักรวรรดินิยมอยู่ตรงข้ามกับลัทธิสากลนิยมสมัยใหม่ที่พวกเขายึดถือ สร้างในเมืองใหญ่ในประเทศญี่ปุ่น (daitoshi) และระดับที่ 3 เป็น<br />

เราจะได้เห็นการปรับแนวคิดและรูปธรรมการออกแบบสากลนิยม อนุสาวรีย์ขนาดเล็กสำหรับสร้างในเมืองเล็กๆ ย่านชุมชนและ<br />

สมัยใหม่ให้สามารถรับใช้ลัทธิชาตินิยมทหารนิยม และจักรวรรดินิยม หมู่บ้าน (shison, cho) คณะกรรมการตัดสินมีทั้งสถาปนิกแนว<br />

ได้อย่างประหลาดผ่านกรณีศึกษา 3 โครงการคือ โครงการประกวด ชาตินิยมอย่าง อิโตะ ชูตะ ซาโน โตชิคาตะ และสถาปนิกรุ่นใหม่อย่าง<br />

แบบอนุสาวรีย์วีรชนทหาร (The Chureito Competition) (1939), คิชิดะ ฮิเดโตะ รวมทั้งบุคคลอาชีพอื่นๆ เช่น ทหารศิลปินและ<br />

โครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมเฉลิมฉลองการก่อตั้งร่วมวงศ์ไพบูลย์ นักวิชาการ เป็นเรื่องประหลาดที่งานประกวดแบบนี้แม้จะเป็นส่วนหนึ่ง<br />

แห่งมหาเอเชียบูรพา (Building Project to Commemorate the ของการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาลทหาร แต่ในความเป็นจริง<br />

Founding of the Greater East Asia Co-Prosperity Sphere) รัฐบาลกลับให้ความช่วยเหลือน้อยมาก ทุนในการจัดงานและ<br />

(1942) และโครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมศูนย์วัฒนธรรม เงินรางวัลมาจากภาคเอกชน เช่น พวกหนังสือพิมพ์ ด้วยเหตุนี้<br />

ญี่ปุ่น-ไทย (Nittai Bunka Kaikan) (Nippon-Thai Cultural House) กลุ่มสถาปนิกสากลนิยมสมัยใหม่จึงสามารถเข้าไปมีบทบาทได้<br />

(1943)<br />

พอสมควร โดยเฉพาะการตั้งคำถามว่าอนุสาวรีย์แบบนี ้ควรมี<br />

หน้าตาอย่างไร คิชิดะในฐานะสถาปนิกหัวก้าวหน้าได้ให้ความเห็นว่า<br />

150 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


แบบชนะประกวดอนุสาวรีย์วีรชนทหารระดับเมือง (1939)<br />

แบบชนะประกวดอนุสาวรีย์วีรชนทหารระดับชาติ (1939)<br />

แบบชนะประกวดอนุสาวรีย์วีรชนทหารระดับชุมชน (1939)<br />

“ในบรรดาอนุสรณ์สถานแห่งสงครามเท่าที่มีมา มีงานประเภทลอก<br />

ของเก่าจำนวนมาก นี่ควรจะหยุด ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม<br />

หออนุสรณ์ไม่ใช่ทั้งศาลเจ้าชินโตหรือวัดพุทธศาสนา...ถ้าข้าพเจ้า<br />

จะเตือนเรื่องการออกแบบที่มาจากความเจ้าเล่ห์ข้าพเจ้าอาจพูดให้<br />

ไพเราะขึ้นว่า อย่าได้ทำให้ความเป็นสมัยใหม่(modernity) หายไป..” 161<br />

ขณะเดียวกันเขาก็เสนอรูปธรรมว่า “พีระมิดเป็นต้นแบบของ<br />

การออกแบบ (อนุสาวรีย์) (เพราะ) มันเป็นรูปทรงที่เรียบง่ายเป็น<br />

ระเบียบทั้ง 4 ด้าน และเพราะขนาดมหึมาทำให้มันสร้างความ<br />

ประทับใจที่ยิ่งใหญ่ที่พิเศษยิ่ง...” แต่จะด้วยความบังเอิญหรือจงใจ<br />

ก็แล้วแต่ ในที่สุดเขาก็ไม่ได้อยู่ร่วมตัดสิน คิชิดะตัดสินใจยื่น<br />

ใบลาออกจากการเป็นกรรมการ ผลการประกวดประกาศในวันที่<br />

7 กรกฎาคม ค.ศ. 1940 มีผู้ชนะเลิศ 1 คนในแต่ละระดับซึ่งเป็น<br />

สถาปนิกที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก จากผู้ส่งงานเข้าประกวดถึง 1,700<br />

โครงการ งานชนะเลิศแต่ละระดับดูค่อนข้างจืดชืดไม่มีอะไรพิเศษ<br />

ไปกว่าอนุสาวรีย์ทหารสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่สร้างในยุโรป<br />

ตัวอนุสาวรีย์เป็นแท่งโอเบลิสก์(obelisk) ประยุกต์เป็นแท่งคอนกรีต<br />

หรือหินรูปสี่เหลี่ยมสูงชะลูด ตั้งบนฐานอาคารที่เป็นทรงสี่เหลี่ยม<br />

เตี้ยๆ เรียงลดหลั่นเป็นชั้นๆ 162 ขนาดลดหลั่นลงไปตามระดับ<br />

โครงการ โครงการที่น่าจะกล่าวถึงกลับเป็นโครงการที่ไม่ได้รับรางวัล<br />

เช่นโครงการของเมอิคาว่า คูนิโอและซากากูระ จุนโซ ซึ่งต่างเป็น<br />

สานุศิษย์ของเลอคอร์บูซิเอร์ทั้งคู่ งานของเมอิคาว่าที่ส่งในระดับ<br />

ระหว่างประเทศเพื่อสร้างที่ประเทศจีน ใช้รูปทรงพีระมิดหัวตัด<br />

ตั้งบนฐานเตี้ยเป็นอาคารอนุสาวรีย์ อยู่บนพื้นที่ราบเชิงเขา<br />

ที่อ้างว้าง มีเจดีย์แบบจีนหรือญี่ปุ่นตั้งอยู่ห่างออกไปมากเพราะ<br />

มีขนาดเล็กแทบมองไม่เห็นเมื่อเทียบกับอนุสาวรีย์ ภายในอาคาร<br />

ประดิษฐานแท่งหินอนุสรณ์รูปสี่เหลี่ยมปลายสอบอยู่ตรงกลาง<br />

พีระมิดสูงหลายชั้นที่ผนังทุกด้านเอียงสอบไปบรรจบที่ช่องแสง<br />

ด้านบนเปิดให้แสงสาดลงมาที่ผนังทึบ ที่ตั้งอยู่บนเสาลอยตัวเรียง<br />

เป็นแถวรอบสี ่ด้าน ให้ความรู้สึกเบาที่ตัดกับผนังพีระมิดตันด้าน<br />

บนอย่างตรงข้าม 163 เป็นการนำเสนอการออกแบบพื้นที่ภายใน<br />

(space) แบบใหม่ให้กับอนุสาวรีย์ ที่ต่างกับแบบญี่ปุ่นเดิมๆ ที่เห็น<br />

ชินตาในวัดและศาลเจ้าอย่างแรง<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

151


โครงการเดียวกันที่ออกแบบโดยซากากูระ ตัวอนุสาวรีย์<br />

มีผังเป็นรูปดาว 5 แฉกที่เหมือนดาวประดับอนุสาวรีย์เลียบนิคและ<br />

ลักเซ็มเบอร์ก (Liebknich and Luxemburg) ที่ออกแบบโดย<br />

มีส์ ฟานเดอโฮห์ (Mies van der Rohe) ใน ค.ศ. 1926 ผนังเอนสอบ<br />

ขึ้นไปบรรจบกันที่จุดยอดเหมือนหัวธนู แต่เขากลับเขียนรูป<br />

ทัศนียภาพอนุสาวรีย์เป็นรูปพีระมิดอย่างตั้งใจ อนุสาวรีย์ตั้งอยู่บน<br />

ลานสี่เหลี่ยมที่มีสะพานเชื่อมไปยังอาคารสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่รายล้อม<br />

ด้วยเสาลอยตัว เปิดผนังด้านยาวที่หันมาสู่อนุสาวรีย์ แต่กลับปิด<br />

ผนังด้านสกัดทั้งสอง ดูคล้ายวิหารพาเธนอน (Pathenon) ของกรีก<br />

ที่ไม่มีหลังคา ใช้สำหรับฉลองชัยชนะหรือประกอบพิธีกรรม 164<br />

งานของเขาจึงมีลักษณะตรงข้ามกับเมอิคาว่าที่ต้องการให้มีการ<br />

ประกอบพิธีกรรมกันภายนอกอนุสาวรีย์ ไม่ใช่ภายในอาคาร แต่สิ่ง<br />

ที่ทั้งคู ่มีเหมือนกันคือ การใช้รูปทรงจากสถาปัตยกรรมสากลนิยม<br />

สมัยใหม่<br />

บน เมอิคาว่า คูนิโอ (1905-1986)<br />

กลาง ทัศนียภาพภายในอนุสาวรีย์<br />

วีรชนทหาร<br />

ล่าง แบบประกวดอนุสาวรีย์วีรชนทหาร<br />

ของเมอิคาว่า (1939)<br />

152 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผลของการประกวดอนุสาวรีย์วีรชนทหารใน ค.ศ. 1939<br />

ไม่เป็นที่ชื่นชมของพวกสากลนิยมสมัยใหม่ เพราะงานที่ชนะประกวด<br />

มีลักษณะดาษดื่นเกินไป แต่ขณะเดียวกันสื่อมวลชนมากมาย<br />

สนับสนุนโครงการนี้ เช่น หนังสือพิมพ์อาซาฮีชิมบุน (Asahi<br />

Shimbun) และโตเกียวนิชิ นิชิชิมบุน (Tokyo Nishi Nichi Shimbun)<br />

เป็นต้น 165 เท่านี้ก็เพียงพอส ำหรับโครงการปลุกระดมมวลชนญี่ปุ่นให้<br />

คลั่งไคล้ลัทธิชาตินิยม ทหารนิยมและจักรวรรดินิยม 166 มีรายงาน<br />

อ้างว่ามีการสร้างอนุสาวรีย์แบบนี้ในประเทศจีนและสิงคโปร์<br />

ส่วนภายในประเทศญี่ปุ่นนั้นภายในค.ศ. 1942 มีการก่อสร้างเสร็จไป<br />

ถึง 124 แห่ง อีก 140 แห่ง กำลังก่อสร้างและอีกเกือบ 1,500 แห่ง<br />

วางแผนก่อสร้างแล้วแต่ไม่สามารถทำได้เพราะขาดทุนและเวลา 167<br />

ซึ่งทั้งหมดเป็นอนุสาวรีย์ระดับ 3 ที่จะสร้างในชุมชนและหมู่บ้าน<br />

ทั่วประเทศญี่ปุ่น<br />

บน ซากากูระ จุนโซ (1901-1969)<br />

ล่าง แบบประกวดอนุสาวรีย์วีรชนทหารของ<br />

ซากากูระ (1939<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

153


การประชุมประเทศสมาชิกร่วมวงศ์ไพบูลย์<br />

แห่งมหาเอเซียบูรพาที่โตเกียว ค.ศ. 1943<br />

โครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมเฉลิมฉลองการก่อตั้ง<br />

ร่วมวงศ์ไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา (Building Project to<br />

Commemorate the Founding of the Greater East Asia Co-<br />

Prosperity Sphere) (1942) วงศ์ไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพาคือ<br />

แนวคิดรวมชาติในทวีปเอเชียโดยมีญี่ปุ่นเป็นผู้นำเพื่อขับไล่พวก<br />

จักรวรรดินิยมตะวันตกออกไป อันจะนำมาซึ่งความรุ่งเรืองของชาติ<br />

เอเชียร่วมกัน เกิดเอกภาพของมุมโลกทั้ง 8 ภายใต้การปกครอง<br />

ของจักรพรรดิญี่ปุ่นตามแนวคิดญี่ปุ่นโบราณที่เรียกว่า ฮากโกอิชิน<br />

(Hakkoichin) แนวคิดนี้ได้รับการบ่มเพาะตั้งแต่ทศวรรษที่ 1930<br />

สืบเนื่องเรื่อยมา เป็นผลให้ญี่ปุ่นทำสงครามกับจีนใน ค.ศ. 1931<br />

และ 1937 จนถึงการประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาใน ค.ศ. 1941<br />

ทั่วประเทศญี ่ปุ่นอบอวลด้วยลัทธิคลั่งชาติและจักรวรรดินิยมเต็ม<br />

รูปแบบ แม้กระทั่งพวกสถาปนิกสากลนิยมสมัยใหม่ก็ต้องเปลี่ยน<br />

ธาตุแปรสีเอาตัวรอด โดยแสดงออกถึงการรักชาติ แม้กระทั่ง<br />

สถาปนิกหัวก้าวหน้าอย่างคิชิดะ ฮิเดโตะยังกล่าวว่า “...เราเคยมี<br />

ยุคแห่งเสรีนิยมที่สถาปนิกแต่ละคน คิดอะไรสร้างอะไรได้ตามใจ<br />

ซึ่งไม่ใช่เรื่องไม่ดีแต่ทุกวันนี้ญี่ปุ่นยุคนั้นหายไปแล้ว บัดนี้ถึงเวลา<br />

ที่สถาปัตยกรรมต้องแสดงตัวตนของอุดมการณ์ของเชื้อชาติและ<br />

อุดมการณ์ของประเทศชาติ...” 168 ในการประกวดแบบสถาปัตยกรรม<br />

ประจำ ค.ศ. 1942 ที่สถาบันสถาปนิกญี่ปุ่น (Kenchiku gakkai)<br />

(Institute of Japanese Architects) จัดขึ้นทุกปีจึงใช้ชื่อหัวข้อ<br />

ประกวดว่า “โครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมเฉลิมฉลอง<br />

การก่อตั้งร่วมวงศ์ไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา” (The Competition<br />

for Building Project to Commemorate the Founding of the<br />

Greater East Asia Co-Prosperity Sphere” 169 โดยมีความต้องการ<br />

โครงการสถาปัตยกรรมที่สะท้อนวัตถุประสงค์ที่องอาจกล้าหาญของ<br />

การสร้างร่วมวงศ์ไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา (ผู้ส่งแบบประกวด<br />

ต้องไม่สับสนหัวข้อนี้กับคำว่าสถาปัตยกรรมแห่งการเฉลิมฉลอง<br />

(kinen) แบบเดิมๆ) ผู้ส่งแบบประกวดควรตัดสินใจเองในเรื่องของ<br />

ขนาดส่วนและเนื้อหาของโครงการ ซึ่งสมควรจะเน้นในเรื่อง<br />

วัฒนธรรมสถาปัตยกรรมแห่งมหาเอเชียบูรพาเป็นอย่างยิ่ง 170<br />

ส่วนที่ตั้งโครงการอาจจะเป็นที่สมรภูมิ เช่น สิงคโปร์ หรือฮ่องกง<br />

หรือมหานครใหญ่ของมหาเอเชียบูรพา เช่น โตเกียว เซี่ยงไฮ้<br />

มานิลา กรุงเทพมหานคร ย่างกุ้ง หรือจาร์การ์ต้าก็ได้171<br />

คณะกรรมการตัดสินการประกวดประกอบด้วยสถาปนิกสากลนิยม<br />

สมัยใหม่คนสำคัญ เช่น คิชิดะ, เมอิคาว่า, โฮริกูชิ, โยชิดะ และ<br />

ยามาดะ เป็นต้น กรรมการบางท่านได้รับเชิญให้ส่งแบบแสดงด้วย<br />

ในฐานะแบบอ้างอิง ที่น่าสนใจได้แก่โครงการของเมอิคาว่า<br />

ที่ชื่อ “นครหลวงแห่งทะเลทั้ง 7” (the Capital of the Seven Seas)<br />

โดยใช้บริเวณอ่าวโตเกียวเป็นที่ตั้งโครงการ เขาดัดแปลงโตเกียว<br />

เป็นเมืองที่มีผังเป็นตารางขนาดใหญ่ที่มุมตารางเป็นที่ตั้งตึกระฟ้า<br />

จำนวน 10 ตึก มีถนนผ่านประตูอิฐขนาดใหญ่ข้ามอ่าวโตเกียว<br />

โดยสะพานแขวน ไปยังเกาะเทียมรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตัดมุมซึ่งเป็น<br />

ที่ตั้งของอนุสรณ์สถานขนาดมหึมา 172 เขากล่าวว่า “เมืองมีชีวิต<br />

เมืองเปลี่ยนได้จากวันนี้ไปงานของชาติคือสถาปัตยกรรมแห่งเมือง<br />

โตเกียวที่จะต้องกลายเป็นนครหลวงแห่งทะเลทั้ง 7” 173 โครงการ<br />

ของเมอิคาว่าที่จริงแล้วคือโครงการทำลายโตเกียวเก่าที่เต็มไปด้วย<br />

บ้านหลังเล็กหลังน้อยที่อยู่กันอย่างแออัดทิ้ง แล้วสร้างใหม่ให้เป็น<br />

เมืองตึกระฟ้าเหมาะสมกับความเป็นผู ้นำของโลก ความจริงมัน คือ<br />

เมืองใหม่แบบเรเดี้ยนซิตี้ (Radiant City) (1931) ของเลอคอร์บูซิเอร์<br />

นั่นเอง เป็นการเอาเปลือกของผังเมืองสากลนิยมสมัยใหม่มา<br />

สวมทับลงบนเมืองที่กำลังถูกครอบงำด้วยลัทธิชาตินิยม ทหารนิยม<br />

และจักรวรรดินิยมที่แนบเนียนที่สุด<br />

154 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน โครงการสถาปัตยกรรมเฉลิมฉลองการ<br />

ก่อตั้งร่วมวงศ์ไพบูลย์แห่งมหาเอเซียบูรพาของ<br />

เมอิคาว่า (1942)<br />

ล่าง ทังเงะ เคนโซ (1913-2005)<br />

โครงการชนะเลิศการประกวดของทังเงะ เคนโซ (Tange<br />

Kenzo) (1913-2005) ทังเงะ เคนโซ สถาปนิกหนุ่มวัย 29 ปี<br />

เป็นผู้ชนะเลิศการประกวดครั้งนี้ เขานำแบบอาคารโบราณที่เป็น<br />

ที่เคารพสูงสุดของญี่ปุ่นมาออกแบบใหม่ด้วยวัสดุสมัยใหม่และ<br />

จัดองค์ประกอบใหม่ จนชนะใจคณะกรรมการตัดสินส่วนใหญ่ได้<br />

ทังเงะเลือกที่ตั้งเชิงเขาฟูจิอันศักดิ์สิทธิ์ใช้ผังที่ตั้งรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า<br />

แบ่งเป็น 2 ส่วน ทิศใต้เป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยมคางหมูเลียนแบบ<br />

ระฆังโบราณยุคยาโยอิ (Yayoi) ซึ่งเขาจะใช้รูปทรงอย่างนี้อีก<br />

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ในอนุสาวรีย์สันติภาพที่ฮิโรชิมา<br />

(Hiroshima) แต่เคลือบด้วยวาทกรรมใหม่ที่ตรงข้ามกับยุคชาตินิยมนี้<br />

อย่างสิ้นเชิง 174 ผนังอาคารเป็นแนวเสารายลอยตัวเหมือนระเบียงวัด<br />

มีทางขึ้นตรงกลางนำไปสู่หลังคาที่เป็นเนินลาดลงไปที่สะพาน<br />

ข้ามถนน ที่จะนำไปสู่ที่ตั้งด้านทิศเหนือซึ่งเป็นที่ตั้งวิหารอนุสาวรีย์<br />

ตั้งประจันหน้า 175 วิหารอนุสาวรีย์เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

หลังคาจั่วรูปลักษณ์เรียบง่ายคล้ายวิหารอิเซ (Ise) อันศักดิ์สิทธิ์<br />

มีช่องเปิด 9 ช่องที่ตอนบนหลังคา 176 เป็นการแปลงรูปมาจาก<br />

เครื่องประดับหลังคาของวิหารโบราณมาเป็นช่องแสง ตัววิหาร<br />

มีรั้วล้อมรูปแบบเหมือนระเบียงวัดที่เต็มไปด้วยเสาราย ด้านข้าง<br />

ของวิหารอนุสาวรีย์ยังมีลานหรืออาคารอีกหลังหนึ่งผังเป็น<br />

รูปสี่เหลี่ยม และถูกล้อมด้วยรั้วที่เหมือนระเบียงวัดแบบเดียวกัน<br />

และเปิดเข้าหากัน แม้ตัววิหารอนุสาวรีย์จะดูเป็นแบบญี่ปุ่นโบราณ<br />

แต่อาคารที่เป็นองค์ประกอบอื่นทั้งหมดกลับดูเหมือนมาจากอิทธิพล<br />

สถาปัตยกรรมตะวันตก อย่างที่เมอิคาว่าตั้งข้อสังเกตว่า ผังของรั้ว<br />

รอบวิหารอนุสาวรีย์เหมือนลานปิเอซซ่า (piazza) ของมหาวิหาร<br />

เซนต์ปีเตอร์แห่งกรุงโรม 177 ทังเงะเองอธิบายในเอกสารประกอบ<br />

แบบประกวดว่า เขาเลือกจะไม่ใช้แบบของวัฒนธรรมตะวันตก<br />

พีระมิดของอียิปต์หรืองานของคริสเตียนที่พวกจักรวรรดินิยม<br />

ที่กดขี่สร้างให้เรายอมรับ โดยไม่มีอะไรสัมพันธ์กับธรรมชาติ<br />

และวัฒนธรรมญี่ปุ่น เขาเองขอเลือกรูปทรงที่มีประวัติศาสตร์ของ<br />

ญี่ปุ่นรองรับ เพื่อให้พืชพันธุ์ของการพัฒนาในอนาคตของญี่ปุ่น<br />

มีที ่มาที่ไปของตนเอง 178 เมอิคาว่าในฐานะกรรมการตัดสินได้<br />

กล่าวสรุปว่า “สถาปนิก (ผู้นี้) ได้เผชิญกับปัญหายุ ่งยากในการหา<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

155


่<br />

บน แบบชนะเลิศโดยทังเงะ เคนโซ (1942)<br />

ล่าง ทัศนียภาพวิหารอนุสาวรีย์ในโครงการ<br />

ของทังเงะ (1942)<br />

“รูปทรงแห่งชาติในระดับสากล” และเราต้องยอมรับในการรับมือ<br />

(กับโจทย์) อย่างน่าทึ่งของเขา ด้วยการมองเพียงแวบเดียวเราจะเห็น<br />

“การมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในวัฒนธรรมสถาปัตยกรรมแห่ง<br />

มหาเอเชียบูรพา” ซึ่งแม้จะเป็นหัวข้อรองของการประกวดแบบนี้<br />

แต่ก็สมควรได้รับการสรรเสริญอย่างสูงสุดจากเรา ในขณะเดียวกัน<br />

เราต้องยอมรับว่า ด้วยการใช้สถาปัตยกรรมแบบศาลเจ้าเป็นวิธี<br />

การออกแบบ เขาได้จัดการอย่างเชี่ยวชาญในการหลีกเลี่ยงปัญหา<br />

แกนกลางที ่หลบเลี่ยงไม่ได้ (คือการออกแบบที่ขาดจินตนาการ)<br />

ซึ่งได้แพร่กระจายไปในการสร้างรูปแบบในสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

ทุกวันนี้ เมื่อเราพูดในแง่ดีเราพูดได้ว่าเขาระมัดระวัง แต่ถ้าจะพูด<br />

ในแง่ลบเราบอกได้ว่าเขาเป็นพวกเจ้าเล่ห์ แต่ไม่ว่าเขาจะเป็น<br />

พวกไหนสถาปนิกผู้นี้พบทางออกของเขาเองอย่างชัดเจน” 179<br />

แม้แต่เมอิคาว่าก็ยอมรับในความสามารถของทังเงะ ซึ่งแม้จะใช้<br />

รูปทรงแบบอนุรักษ์นิยมแต่ลักษณะการวางผังและการใช้วัสดุ<br />

เป็นแบบใหม่โดยเฉพาะการวางผังทังเงะไม่ใช้แบบมงกุฎจักรพรรดิ<br />

ที่ขาดจินตนาการ หรือแบบสถาปัตยกรรมวิวัฒนาการที่เป็น<br />

ลายเซ็นของอิโตะไปแล้ว แต่เขาใช้ผังรูปสี่เหลี่ยมที่จัดแบบ<br />

นามธรรมของพวกสากลนิยมสมัยใหม่อย่างเช่น มีส์ ฟาน เดอ โฮห์<br />

เป็นต้น ส่วนรูปทรง สัดส่วนอาคารก็เห็นอิทธิพลของเลอคอร์บูซิเอร์<br />

มากกว่าลักษณะอาคารโบราณหลายยุคผสมกันแบบอิโตะ งานของ<br />

ทังงะจึงเป็นแบบสากลนิยมสมัยใหม่ที่อาศัยคราบของรูปทรง<br />

อนุรักษ์นิยมและรอวันที ่จะลอกคราบออกมาเท่านั้นเอง อย่างที<br />

เมอิคาว่ากล่าวเปรียบเปรยเอาไว้<br />

156 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


โครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-<br />

ไทย (Nittai Bunka Kaikan) (Nippon-Thai Cultural House) (1943)<br />

รัฐบาลไทยกับญี่ปุ่นดูเหมือนจะมีแนวนโยบายเดียวกันในตอนต้น<br />

ทศวรรษที่ 1940 นั่นคือการทำสงครามภายใต้ข้ออ้างขับไล่<br />

จักรวรรดินิยมตะวันตก ในกรณีของไทยรัฐบาลจอมพล ป. พิบูล<br />

สงครามทำสงครามกับฝรั่งเศสในกรณีพิพาทเรื่องการใช้แม่น้ำโขง<br />

เป็นเส้นแบ่งพรมแดนระหว่างไทยกับอินโดจีน ในเดือนพฤศจิกายน<br />

ค.ศ. 1940 ญี่ปุ่นเสนอตัวเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยโดยเข้าข้างไทย<br />

ทำให้ไทยได้ดินแดนในลาวและเขมรคืนจากฝรั่งเศสบางส่วน<br />

เมื ่อมีการลงนามในอนุสัญญาโตเกียวเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม<br />

ค.ศ. 1941 สัมพันธไมตรีน่าจะพัฒนาไปในทางดีหากญี่ปุ่นไม่ชิง<br />

เปิดเผยโฉมหน้าจักรวรรดินิยม โดยการยกกองทัพบุกประเทศไทย<br />

ทางทะเลฝั่งอ่าวไทยยกพลขึ้นบกตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์ไปจนถึง<br />

ปัตตานี ในวันที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 กองทหารและประชาชน<br />

ในพื้นที่ได้ต่อสู้ต้านทานจนถึงวันที่ 11 ธันวาคม รัฐบาลไทยจึง<br />

ประกาศยุติการต่อสู้และลงนามเป็นพันธมิตรกับญี่ปุ่นในวันที่ 21<br />

ธันวาคม ค.ศ. 1941 180 ด้วยเห็นว่าไม่มีทางที่จะต้านทานกองทัพ<br />

ญี่ปุ่นได้อย่างไรก็ตามเนื่องจากไทยมีความสำคัญทางภูมิรัฐศาสตร์<br />

ที่เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่จะเป็น<br />

ทางผ่านให้กองทัพญี่ปุ่นบุกต่อไปยังพม่า และยังมีความสัมพันธ์<br />

ที่ดีกับญี่ปุ่นมาก่อน ญี่ปุ่นจึงพยายามสานสัมพันธไมตรีอันดี<br />

กับไทยต่อไป แม้ว่าโดยส่วนลึกแล้วทั้ง 2 ประเทศต่างไม่ได้ไว้วางใจ<br />

ต่อกันเลย เพื่อแก้ไขปัญหานี้ญี่ปุ่นจึงดำเนินการรุกทางวัฒนธรรม<br />

อย่างเป็นรูปธรรมอย่างน้อย 2 เรื่อง เรื่องแรกคือการประกาศใช้<br />

ความตกลงทางวัฒนธรรมระหว่างไทยและญี่ปุ่นตอนปลาย<br />

ค.ศ. 1942 181 เพื่อส่งเสริมการสร้าง บำรุงรักษา และเพิ่มพูน<br />

ความสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมระหว่างประเทศทั้ง 2 โดยมีกิจกรรม<br />

แลกเปลี่ยนทางวิชาการ ศิลปะ กีฬาและวัฒนธรรมกันอย่าง<br />

แพร่หลาย รวมทั้งจะพยายามจัดตั้ง “สถานวัธนธัม” ขึ้นในนครหลวง<br />

ของกันและกัน 182 นอกจากนี้เรื่องที่2 คือญี่ปุ่นยอมลงทุนซื้อใจไทย<br />

โดยยกดินแดนในภูมิภาคตอนเหนือของมาเลเซียและทาง<br />

ตะวันออกของพม่าที่ญี่ปุ่นยึดครองอยู่ให้ไทย 183 เพื่อหวังให้ไทย<br />

อยู่เป็นพันธมิตรในยามที่ตนกำลังพลาดพลั้งในสงคราม<br />

ในการดำเนินการสร้างสถานวัฒนธรรมในไทยนั้นญี่ปุ่น<br />

ส่งนักการทูตฝีมือดียานากิซาว่า ทาเกชิ (Yanagisawa Takeshi)<br />

เข้ามาเป็นทูตวัฒนธรรมและเป็นหัวหน้าศูนย์วัฒนธรรมใน<br />

ประเทศไทย แม้ว่าในความเป็นจริงเขาไม่เคยต้องการต ำแหน่งนี้เลย 184<br />

ในการเจรจากับไทยในการสร้างศูนย์วัฒนธรรมนี้ทั้ง2 ฝ่ายมีจุดประสงค์<br />

ที่ต่างกัน ฝ่ายไทยโดยหลวงวิจิตรวาทการต้องการให้โครงการนี้<br />

เป็นศูนย์วัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้-ญี่ปุ่นที่ตั้งที่กรุงเทพฯ<br />

ขณะที่ญี่ปุ่นต้องการให้ศูนย์นี้เป็นเพียงศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-กรุงเทพฯ<br />

เท่านั้น ไม่ต้องการให้ไทยขยายบทบาทเป็นศูนย์กลางของเอเชีย<br />

ตะวันออกเฉียงใต้185 ใจจริงของฝ่ายไทยนั้นระแวงการครอบงำทาง<br />

วัฒนธรรมของญี่ปุ่นอย่างที่สุด 186 จึงเป็นบทบาทของยานากิซาว่าที่<br />

จะต้องทำให้ฝ่ายไทยไว้ใจ อย่างที่เขาบันทึกไว้ว่า “...(ถ้า) ไม่เรียน<br />

รู้จากเขา แต่ต้องการเพียงส่งเสริมวัฒนธรรมของเราฝ่ายเดียว<br />

จะเป็นการสิ้นเปลืองความอุตสาหะและเงินอย่างสิ้นเชิง...” 187 และ<br />

“...การใช้กำลังผลักดันวัฒนธรรมของตนใส่อีกชาติหนึ่งโดยไม่สนใจ<br />

ความต้องการของเขา เป็นการรุกรานทางวัฒนธรรมและมันก็ตรง<br />

ข้ามกับความพยายามผูกสัมพันธ์ทางวัฒนธรรมอย่างสิ้นเชิง...” 188<br />

ความก้าวหน้าในการจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมดำเนินไปเรื่อยๆ วันที่<br />

3 มีนาคม ค.ศ. 1943 กระทรวงมหาเอเชียบูรพาประกาศจัด<br />

ตั้งศูนย์วัฒนธรรมในประเทศไทยในชื่อว่า ศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น<br />

(Nippon Bunka Kaikan) (Japan Cultural Centre) จากนั้นไม่นาน<br />

ก็เปลี่ยนชื่อเป็นอาศรมวัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย (Nittai Bunka Kaikan)<br />

(Nippon-Thai Cultural House) เพื่อไม่ให้ชาวไทยเกิดความไม่พอใจ<br />

ในชื่อเรียกสถานที่นี้ปลายเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1943 ยานากิซาว่า<br />

เชิญ คิชิดะ ฮิเดโตะ มาเป็นที่ปรึกษาทางสถาปัตยกรรมของ<br />

ศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทยภายใต้การสนับสนุนของกระทรวงมหา<br />

เอเชียบูรพา 189 มีการตั้งคณะกรรมการประกวดแบบ 14 คน ครึ่งหนึ่ง<br />

เป็นสถาปนิก ที่เหลือเป็นข้าราชการและศิลปินในส่วนที่เป็นสถาปนิก<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

157


มีทั้งพวกอนุรักษ์นิยมอย่างอิโตะชูตะ และอูชิดะ โซโช (Uchida Shozo)<br />

รวมอยู่ด้วย สถานที่ตั้งโครงการอยู่ใกล้สวนลุมพินีในกรุงเทพฯ<br />

มีการเสนอแบบอ้างอิงเพื่อให้ใช้เป็นหลักในการออกแบบซึ่งแสดง<br />

องค์ประกอบของโครงการที่ประกอบด้วยอาคารโถงหลัก 3 หลัง<br />

คือ โถงกลางเป็นที่ตั้งของฝ่ายบริหาร มีส่วนอำนวยความสะดวก<br />

ต่าง ๆ เช่น โรงภาพยนตร์ และห้องประชุม 2 ห้อง จุห้องละ 1,000 คน<br />

และ 500 คนตามลำดับ รวมทั้งห้องรับแขกพิเศษ 190 หอศิลปะ<br />

มีห้องนิทรรศการ โรงละครจุ 500 ที่นั่ง ซึ่งมีที่นั่งพิเศษ (box) และ<br />

มีโรงละครกลางแจ้งที่มีเวทีหมุนเพื่อแสดงละครโนะ(Noh) โดยเฉพาะ<br />

ที่จุคนได้ 2,000 คน โถงอุตสาหกรรม สำหรับแสดงสินค้าและ<br />

ขั้นตอนการผลิต เพื่อเป็นพื้นฐานในการโฆษณาวัฒนธรรม<br />

อุตสาหกรรมญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังประกอบด้วยอาคารสนับสนุน<br />

อาคารที่พักอาศัย โถงพุทธะสำหรับแสดงพุทธศิลป์ญี่ปุ่นมีเจดีย์5 ชั้น<br />

แบบญี่ปุ่นตั้งอยู่ มีโถงสำหรับผู้เยี่ยมชมเพื่อแนะนำสภาพอากาศ<br />

และประเพณีของพลเมืองญี่ปุ่น รวมทั้งมีสถานที่สำหรับชาวไทย<br />

ในการแสดงวัฒนธรรมของตนด้วย และโถงทหารเพื่อแสดงความ<br />

เข้มแข็งทางทหารของญี่ปุ่นและอาจใช้เพื่อการสืบราชการลับ<br />

มีโถงสังสรรค์สำหรับจัดพิธีชงชา จัดดอกไม้ และการเลี้ยงอาหาร<br />

ญี่ปุ่นด้วย ต้องมีสนามเทนนิสอย่างน้อย 2 สนาม บ้านพักผู้อ ำนวยการ<br />

และบ้านพักพนักงานทั้งโสด (ซึ่งมีการแยกเพศ) และที่มีครอบครัวแล้ว<br />

มีรายละเอียดแม้กระทั่งแนะนำวัสดุที่ใช้สร้างต้องเป็นไม้สักเป็น<br />

ส่วนใหญ่ และต้องยกพื้นสูงอย่างน้อย 2 เมตรเพื่อกันน้ำท่วม<br />

(อย่างที่เกิดล่าสุดใน ค.ศ. 1943 นั้นเอง) มีคำแนะนำให้มีช่องเปิด<br />

มากที่สุดเพื่อการถ่ายเทอากาศโดยใช้บานเกล็ดแทนที่จะใช้กระจก<br />

และไม่ใช้เครื่องปรับอากาศ ยานากิซาว่าคำนวณค่าก่อสร้างไว้ถึง<br />

3 ล้านเยน 191 ประเด็นสำคัญที่สุดในการประกวดครั้งนี้คือแบบ<br />

สถาปัตยกรรม ซึ่งคณะกรรมการได้ชี้นำไว้แล้วในแบบอ้างอิง<br />

ที่กล่าวข้างต้น ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมที่เรียกว่า ชินเด็นซูคุริ(Shinden<br />

Zukuri) ใช้สำหรับสร้างพระราชวังและคฤหาสน์ของขุนนางชั้นสูง<br />

ตัวแทนของชินเด็นซูคุริที่ดีที่สุดคือพระราชวังเดิมที่เกียวโต<br />

(Kyoto Gosho) โดยภาพรวมอาคารแบบนี้คือโถงขนาดใหญ่ที่มี<br />

ระเบียงล้อม นำไปสู่อาคารรองที่วางขนาบ 2 ข้างในแนวตั้งฉาก<br />

กับอาคารกลาง โครงสร้างอาคารเป็นไม้ หลังคาทรงปั้นหยายกจั่ว<br />

ในเอกสารประกอบการประกวดได้อธิบายย้ำในประเด็นการเผยแพร่<br />

วัฒนธรรมสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นไว้อีกว่า “...ในฐานะที่ศูนย์วัฒนธรรม<br />

ญี่ปุ่นนี้จะต้องสร้างในประเทศไทยตัวอาคารในโครงการนี้จึงอยู่ภายใต้<br />

สมมติฐานว่ามีหน้าที่สำคัญที่สุดในการโฆษณาวัฒนธรรมญี่ปุ่น<br />

รูปลักษณ์สถาปัตยกรรมของมันจะต้องอยู่บนพื ้นฐานของ<br />

สถาปัตยกรรมที่พิเศษ เรียบง่าย และสง่างามแบบจารีตประเพณี<br />

ของเรา อย่างไรก็ตามขอให้ละเว้นการลอกของโบราณอย่างเกินพอดี<br />

ท่านจะต้องเสนอแนวทางของท่านเอง (ในการออกแบบ) ซึ่งจะเป็น<br />

อะไรบางอย่างที ่สมควรกับความภาคภูมิใจของเราในฐานะวังแห่ง<br />

วัฒนธรรมญี่ปุ่นแห่งแรกที่จะสร้างนอกประเทศ...” 192 จะเห็นได้ว่า<br />

ในส่วนลึกคณะกรรมการตัดสินของญี่ปุ่นเองนั้นขัดแย้งในตนเอง<br />

ที่ว่า จะเอาแบบเก่าแต่ก็ต้องการ “การสร้างสรรค์” ในเวลาเดียวกัน<br />

ดังนั้นด้วยข้อจำกัดอันมากมายและการชี้นำที่ชัดเจนขนาดนี้<br />

ผู้ส่งแบบเข้าประกวดทั้งหลายจึงไม่มีทางเลือกอื่นใด นอกจากการ<br />

ทำตามแบบโบราณเป็นหลัก แล้วภาวนาว่าคณะกรรมการตัดสิน<br />

จะถูกใจงานใดเท่านั้น<br />

มีผู้ส่งงานเข้าประกวดมากกว่า 80 โครงการ เกือบทุกโครงการ<br />

ออกแบบลักษณะโบราณยืนพื้น แทบจะไม่มีงานในลักษณะสากลเลย<br />

คิชิดะ ฮิเดโตะในฐานะกรรมการตัดสินคนหนึ่งได้เสนอภาพรวมของ<br />

งานประกวดโดยแบ่งผลงานออกเป็น 5 กลุ่มตามลักษณะอาคาร<br />

คือ พวกศาลเจ้าชินโต พวกวัดพุทธ พวกปราสาท พวกคฤหาสน์<br />

และพวกวัง และวิจารณ์เน้นประเด็นความไม่เข้ากันระหว่างรูปทรง<br />

กับวัตถุประสงค์ของโครงการ คำวิจารณ์ของเขามีดังนี้ “...ศาลเจ้า<br />

ชินโตโดยเฉพาะรูปแบบชินไมซูคุริ (Shinmei Zukuri) ของศาลเจ้า<br />

อิเซ เน้นความเป็นอนุสาวรีย์มากเกินไป ความเรียบง่ายอย่าง<br />

บริสุทธิ์นั้นอาจจะไม่เหมาะสมกับรสนิยมของคนไทย...” 193<br />

พวกเลียนแบบวัดพุทธนั้น คิชิดะวิจารณ์ว่า “...การที่ติดอยู่กับค้ ำยัน<br />

ชายคา (แบบจีนโบราณ) ที่ไม่เป็นระเบียบอย่างไม่อายนั้นเป็น<br />

สิ่งที่ไม่น่าอภัย ถ้าเราเพียงจินตนาการถึงเครื่องจักรที่ทันสมัยที่สุด<br />

ที่เป็นความภูมิใจของญี่ปุ่น หลงไปตั้งอยู่ในวัดมืดๆ มุงหลังคา<br />

158 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


กระเบื้องและมีค้ ำยันชายคาเกะกะ เราก็จะเข้าใจได้ว่าแบบวัดพุทธนั้น<br />

เอามาใช้ออกแบบไม่ได้...” 194 สำหรับพวกเลียนแบบปราสาทนั้น<br />

คิชิดะกล่าวว่า “...มันจะตลกในภูมิอากาศแบบไทย เพราะถ้าคุณ<br />

ใส่หน้าต่างใหญ่มันจะดูไม่เป็นปราสาท หรือถ้าคุณทำหน้าต่างเล็ก<br />

แบบดั้งเดิม มันจะดูและรู้สึกร้อนอย่างทรมาน...” 195 ส่วนพวก<br />

ที่เลือกเลียนแบบสถาปัตยกรรมบ้านพักอาศัยหรือโชอิน (Shoin)<br />

หรือแบบสุกิยะ (Sukiya) ที่มีลักษณะเป็นอิสระกว่าโชอิน คิชิดะ<br />

วิจารณ์ว่า “...ขณะที่สุกิยะเป็นบ้านพักอาศัยมันจึงละเอียดอ่อนเกินไป<br />

ที่จะเป็นอาคารสาธารณะ...” 196 สุดท้ายคิชิดะสรุปว่าสถาปัตยกรรม<br />

ประเภทวังนั้นเหมาะสมที่สุด โดยเฉพาะแบบพระราชวังเดิมของ<br />

นครเกียวโต (ซึ่งเป็นแบบที่ทังเงะเลือกใช้) “...เพราะมันเป็นการ<br />

การออกแบบที่เรียบง่ายบริสุทธิ์ สง่างามสูงศักดิ์ และเป็นทางการ<br />

ที่แม้นมองเพียงแวบเดียวเราก็จะเห็นความเป็นญี่ปุ่นท่วมท้นออกมา...”<br />

“...สำหรับสถาปนิกที่ช่างคิดแล้วไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือต้นแบบ<br />

ที่ควรจะเกิดในจินตนาการก่อนแบบอื่นและสูงส่งกว่าแบบอื่น...” 197<br />

ไม่ว่าคิชิดะจะมีวาทกรรมอย่างไรสถาปนิกในวงการต่างทราบดีว่า<br />

การประกวดครั้งนี้คือ สนามประลองระหว่างยอดฝีมือ 2 คน<br />

เมอิคาว่า คูนิโอ และทังเงะ เคนโซ ซึ่งจะได้เสนอเป็นกรณีศึกษาดังนี้<br />

ผืนผ้าพื้นที่เปิดโล่งใช้เป็นหอประชุมหรือโรงภาพยนตร์ มีลานโล่ง<br />

ด้านข้างที่ล้อมด้วยระเบียง ทางเข้าของศูนย์วัฒนธรรมอยู่ที่หัวมุม<br />

ทิศตะวันตกของโถงกลางที่เป็นแกนเชื่อม ผังที่ไม่สมมาตรนี้ทำให้<br />

เกิดลักษณะสองนัยก้ำกึ่งระหว่างญี่ปุ่นเดิมกับสมัยใหม่ เราเห็นทั้ง<br />

อิทธิพลของงานโบราณอย่างผังของพระราชวังคัทซุระริกกิว<br />

(Katsura Rikyu) ในเกียวโต ร่วมกับการใช้ระเบียงล้อมบ้านแบบ<br />

ชินเด็นซูคุริ ขณะเดียวกันก็ละม้ายกับผังสถาบันเบาเฮาส์แห่งเดสเซา<br />

(Bauhaus Dessau) (1926) ที่ออกแบบโดยวอลเตอร์ โกรเปียส<br />

(Walter Gropius) รวมทั้งงานอื่นๆ ในแบบของมีส์ ฟาน เดอ โฮห์<br />

(Mies van der Rohe) ขณะเดียวกันลักษณะอาคารเป็นสิ่งที่แสดง<br />

ให้เห็นว่าเมอิคาว่าซึ่งเป็นพวกสากลนิยมสมัยใหม่ยอมแพ้ต่อ<br />

ลัทธิชาตินิยม อนุรักษ์นิยมคือ การหันกลับมาใช้รูปทรงหลังคาญี่ปุ่น<br />

โบราณ ที่มีหน้าจั่วเป็นตะแกรงระแนงไม้ตาเล็กๆ แบบปราสาท<br />

นิโจโจ (Nijojo) ในเกียวโต อย่างไรก็ตามโดยภาพรวมแล้วการที่<br />

เมอิคาว่าเลือกผังแบบพระราชวังคัทซุระนั้น มันแสดงความหมาย<br />

ของการฝักใฝ่ลัทธิสากลนิยมสมัยใหม่อย่างมั่นคง เพราะเป็นที่รู้กัน<br />

ในหมู่สถาปนิกกลุ่มนี้ว่า พระราชวังแห่งนี้มีคุณสมบัติบางประการ<br />

ร่วมกับวาทกรรมสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่เช่น สัจจะวัสดุ<br />

โครงสร้างที่ซื่อสัตย์ และการไม่ตกแต่งประดับประดา เป็นต้น<br />

ซึ่งล้วนเป็นประดิษฐกรรมทางทฤษฎีของบรูโน เทาท์(Bruno Taut)<br />

(1880-1938) สถาปนิกเยอรมันเชื้อสายยิว ผู้นำลัทธิสากลนิยม<br />

สมัยใหม่อีกคนหนึ่งแต่งขึ้นในช่วงทศวรรษ1930 เพื่อญี่ปุ่นโดยเฉพาะ<br />

รางวัลชนะที่2 เมอิคาว่า คูนิโอ เมอิคาว่ากล่าวถึงความสัมพันธ์<br />

ระหว่างสถาปัตยกรรมญี ่ปุ่นโบราณกับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ว่า<br />

“...มันชัดเจนว่าการสืบต่อจารีตประเพณีไม่ได้หมายความง่ายๆ<br />

ว่าไปตามความพอใจในรูปแบบที่ตายแล้วของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

ทุกวันนี้เราไม่สามารถแก้ปัญหาด้วยวิธีการหยาบๆ อย่างนั้น เช่น รางวัลชนะเลิศ ทังเงะ เคนโซ แตกต่างโดยสิ้นเชิงจากเมอิคาว่า<br />

ตกแต่งชายคาศูนย์วัฒนธรรมใหม่ด้วยค้ำยันของสถาปัตยกรรม ทังเงะมีทัศนะต่อสถาปัตยกรรมและสังคมดังนี้ “...นโยบายทาง<br />

โบราณของญี่ปุ่น ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมที่คิดว่าอะไรที่เป็นญี่ปุ่น วัฒนธรรมของเรานั้นแทรกซึมไปด้วยศีลธรรมที่ลึกซึ้งเสมอ<br />

ก็เพราะว่ามันมีค้ ำยันชายคาแบบโบราณ...นั่นคือความป่าเถื่อน...” 198 ซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากนโยบายสามานย์ของพวกอังกฤษ-<br />

เขาสะท้อนจุดยืนในงานประกวดนี้ด้วยผังอาคารที่มีรูปคล้ายตัว L 199 อเมริกัน ที่เป็นพลังอมนุษย์และโฆษณาชวนเชื่อ...” 200 และ<br />

ประกอบด้วยอาคารหลัก 3 หลัง หอศิลปะอยู่ด้านซ้าย (ทิศตะวันตก) “...แน่นอนเราจะต้องไม่สนใจวัฒนธรรมอังกฤษ-อเมริกัน และ<br />

หออุตสาหกรรมอยู่ด้านขวา (ทิศตะวันออก) หอกลางที่มีผังเป็น วัฒนธรรมต่างๆ ที่มีอยู่ในหมู่ชนเชื้อชาติแถบเอเชียตะวันออก<br />

รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบยาวเหมือนระเบียง เป็นตัวเชื่อมหอทั้ง 2 เฉียงใต้ทั้งหลายด้วย ความประทับใจในนครวัดเป็นสัญลักษณ์ของ<br />

ที่อยู่คนละด้าน ทั้งหอศิลปะและหออุตสาหกรรมมีผังรูปสี่เหลี่ยม พวกมือสมัครเล่น...” 201 พลังชาตินิยมสุดโต่งของเขาถูกถ่ายทอด<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

159


บน แบบประกวดศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย<br />

โดยเมอิคาว่า (1943)<br />

ล่าง ผังพื้นศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย<br />

โดยเมอิคาว่า(1943)<br />

หน้าตรงข้าม<br />

บน ทัศนียภาพศูนย์วัฒนธรรม<br />

ญี่ปุ่น-ไทยโดยทังเงะ เคนโซ (1943)<br />

ล่าง แบบประกวดชนะเลิศ<br />

ศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย<br />

โดยทังเงะ เคนโซ (1943)<br />

ออกมาในงานออกแบบที่ไม่แตกต่างอะไรจากแบบอ้างอิงนัก<br />

ผังของทังเงะประกอบด้วยหอหลัก 3 หอเรียงต่อกันในแนวยาว<br />

มีหอกลางเป็นประธานและปลาย 2 ข้างเป็นหอศิลปะและ<br />

หออุตสาหกรรม หอกลางขยับขึ้นหน้าจากแนวเล็กน้อยเพื่อ<br />

ความเด่น ทั้งหอศิลปะและหออุตสาหกรรมเป็นอาคารรูปสี่เหลี่ยม<br />

ผืนผ้าที่ล้อมด้วยระเบียงแบบชินเด็นซูคุริ ที่เหมือนกับพระราชวังเดิม<br />

ที่นครเกียวโต ลักษณะภายนอกเป็นอาคารทรงจั่วที่ไม่มีหลังคา<br />

ปีกนก เหมือนเอารูปทรงของพระราชวังคัทซุระมาทั้งหมดทั้งผนัง<br />

และหลังคา ยกเว้นหลังคาจั่วปีกนกของคัทสุระกลายเป็นหลังคาจั่ว<br />

ธรรมดาที่มีไขรายื่นยาว เหมือนอาคารโบราณแบบวิหารอิเซ<br />

ซึ่งเรียกว่า แบบชินไมซูคุริ นอกจากนี้ในแบบทัศนียภาพทังเงะ<br />

ยังแสดงเจดีย์ไม้ 5 ชั้นแบบญี่ปุ่นมีระเบียงล้อมเป็นฉากหน้าของ<br />

ศูนย์วัฒนธรรมนี้อีกด้วย 202 เป็นการตอกย้ำความประสงค์ของ<br />

โครงการที่ต้องการเจดีย์ประดับหอพุทธศิลป์ญี่ปุ่น เพื่อจำลอง<br />

วัฒนธรรมอันสูงส่งสวยงามของญี่ปุ่นมาตั้งที ่กรุงเทพมหานคร<br />

เพื่อสร้างและธำรงไว้ซึ่งความเป็นพันธมิตรที่แนบแน่นแห่งร่วม<br />

วงศ์ไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพาของชาติทั้ง 2<br />

หลังจากการประกวดแบบเสร็จสิ้นเพียง 1 ปีญี่ปุ่นก็เริ่มพ่ายแพ้<br />

ในทุกแนวรบของสงครามเอเชียแปซิฟิกและกลับสาละวนอยู่กับ<br />

การทำสงครามต้านทานการบุกของสหรัฐอเมริกา โครงการนี้ค่อยๆ<br />

เงียบหายไปทั้งจากเจ้าภาพญี่ปุ่นและเจ้าของสถานที่ฝ่ายไทย<br />

ที่เริ่มแสดงอาการแปรพักตร์มากขึ ้นเรื่อยๆ จนในที่สุดโครงการนี้<br />

ก็ถูกพับไปเงียบๆ พร้อมกับความพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1945<br />

กระทั่งความฝันและความทรงจำในอุดมคติร่วมวงศ์ไพบูลย์แห่ง<br />

มหาเอเชียบูรพาก็ไม่มีใครอยากเหลือไว้ ไม่ว่าจะเป็นฝ่ายไทยหรือ<br />

ญี่ปุ่นเองก็ตามที<br />

160 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สรุปคุณค่าสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่สมัยโชวะ<br />

ตั้งแต่เริ่มรัชสมัยจนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2<br />

(1926-1945)<br />

รัชสมัยโชวะเป็นยุคแห่งความคลั่งชาติและใฝ่สงครามของรัฐ<br />

และมวลชนญี่ปุ่น เราเห็นความตกต่ำของรัฐกึ่งประชาธิปไตย<br />

ที่อายุแสนสั้นในยุคไทโช มาเป็นรัฐเผด็จการทหารใฝ่สงครามอย่าง<br />

เต็มตัวในสมัยโชวะนี้ แต่คุณูปการสำคัญในยุคไทโชคือการเกิดขึ้น<br />

ของลัทธิเสรีนิยมปัจเจกชน ที่ทำให้เกิดนักคิดและแนวคิดอิสระ<br />

แบบเสรีนิยมขึ้นในหมู่ปัญญาชนทุกสาขารวมทั้งสถาปัตยกรรม<br />

ที่เติบโตขึ้นจนเข้มแข็งในยุคโชวะ ขณะเดียวกันลัทธิชาตินิยม<br />

ทหารนิยม และจักรวรรดินิยมซึ่งอยู่ในเนื้อในของญี่ปุ่น และเป็น<br />

หน่ออ่อนมาตั้งแต่ก่อนสมัยเมจิ ก็มาเติบโตในยุคไทโชจนสุกงอม<br />

ในยุคโชวะนี้เช่นเดียวกัน และก่อให้เกิดผู้คนอีกฝ่ายที่มีแนวคิด<br />

ชาตินิยมสุดโต่งผลิตศิลปวัฒนธรรมแบบของตนขึ้นมาเสนอ<br />

มวลชนเช่นกันรวมทั้งสถาปัตยกรรมด้วย สถาปัตยกรรมในยุคโชวะ<br />

จึงมีทั้งแบบชาตินิยม เช่น สถาปัตยกรรมมงกุฎจักรพรรดิและ<br />

สถาปัตยกรรมวิวัฒนาการ และแบบสากลนิยมสมัยใหม่ เป็นความ<br />

ขัดแย้งที่เกิดขึ้นควบคู่กันไป แต่มีวัตถุประสงค์หนึ่งที่เหมือนกันคือ<br />

ต่างก็ค้นหาอัตลักษณ์ความเป็นญี่ปุ่น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

161


สถาปัตยกรรมชาตินิยมหรือทรงมงกุฎจักรพรรดิ (ไทคันโยชิกิ)<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมหรือทรงมงกุฎจักรพรรดิ (ไทคันโยชิกิ)<br />

นั้นไม่มีอะไรใหม่กว่าสิ ่งที่เคยเกิดขึ้นตอนปลายสมัยเมจิเลย<br />

คือมุ่งความสำคัญที่หลังคาทรงญี่ปุ่นโบราณ สถาปัตยกรรมแบบ<br />

“วิวัฒนาการ” ของอิโตะ ชูตะ มีแนวคิดในการออกแบบมาจาก<br />

ความรู ้ทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมที่มากมายของเขา แต่ผล<br />

การออกแบบรูปธรรมก็เป็นเพียงการผสมรูปแบบสถาปัตยกรรม<br />

โบราณจากหลายประเทศและภูมิภาคเข้าด้วยกัน ตั้งแต่กรีก อินเดีย<br />

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทิเบต จีน และญี่ปุ่น และดูเหมือน<br />

สถาปัตยกรรมของเขาจะถลำตัวเข้าไปรับใช้อุดมการณ์ร่วม<br />

วงศ์ไพบูลย์แห่งที่สนับสนุนการท ำสงคราม ดังนั้นรูปแบบผสมผสาน<br />

ของเขาจึงเป็นสัญลักษณ์ของจักรวรรดิญี่ปุ่นที่เป็นผู้นำของเอเชีย<br />

ไปในตัว<br />

สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่<br />

พัฒนาการของสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่เป็นเรื่อง<br />

สมัยใหม่ของญี่ปุ่น ในยุคโชวะสถาปนิกกลุ่มหัวก้าวหน้านี้<br />

สร้างสถาปัตยกรรมแบบใหม่ผ่านการเรียนรู้ทั้งจากภายในและ<br />

ภายนอกประเทศ สถาปนิกญี่ปุ่นเดินทางไปเยอรมนีเพื่อศึกษากับ<br />

สถาปนิกแนวสากลนิยมสมัยใหม่ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1910-1930<br />

พวกเขามีโอกาสศึกษากับกลุ่มด๊อยเชอร์แว้กบุนด์และกลุ่มเบาเฮาส์<br />

ส่วนงานในประเทศพวกเขาศึกษาผ่านงานของแอนโตนิน เรย์มอนด์<br />

สถาปนิกบุกเบิกกลุ่มนี้ ได้แก่ โมโตโน เซอิโกะ, โยชิดะ เทตสุโร,<br />

โฮริกูชิ ซูเตมิ, ยามาดะ มาโมรุ, อิชิโมโต คิกูชิ, เมอิคาว่า คูนิโอ<br />

และซากากูระ จุนโซ เป็นต้น พวกเขาพยายามสร้างอัตลักษณ์ญี่ปุ่น<br />

ผ่านสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ขัดแย้งกันเอง<br />

โดยพื้นฐานแต่ก็ท้าทายความสามารถ เป็นเรื่องน่าทึ่งที่พวกเขาใช้<br />

ลักษณะนามธรรม เช่น ระบบพิกัดของวิธีก่อสร้างโบราณ วิธีวางผัง<br />

ห้องและการจัดสวนไปจนกระทั่งพิธีชงชามาเป็นพื้นฐานการสร้าง<br />

อัตลักษณ์ดังกล่าว ความเป็นญี่ปุ่นที่หลายหลากในปัจเจกภาพเป็น<br />

สิ่งที่พวกเขาได้มาโดยไม่รู้ตัว ไม่ใช่เอกภาพในรูปทรงแบบโบราณ<br />

และความเคลื่อนไหวในญี่ปุ่นนี้เป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจจากสากล<br />

อย่างไรก็ตามในทศวรรษที่1940 เมื่อญี่ปุ่นท ำสงครามรุกราน<br />

เพื่อนบ้านเพื่อสร้างจักรวรรดิ ทำให้เกิดโครงการสถาปัตยกรรม<br />

เพื่อการล้างสมองและโฆษณาชวนเชื่อลัทธิชาตินิยม ทหารนิยม<br />

และจักรวรรดินิยมของรัฐบาลทหาร ถึงตอนนี้แม้กระทั่งสถาปนิก<br />

สากลนิยมสมัยใหม่ที่จัดอยู่ในแนวหน้าสุดของกลุ่มหัวก้าวหน้า<br />

ก็ถูกกระแสมวลชนดึงเข้าไปมีส่วนร่วมและเห็นดีเห็นงามกับ<br />

โครงการออกแบบสถาปัตยกรรมรับใช้รัฐเผด็จการในการทำสงคราม<br />

ผลงานที่ได้จากการประกวดแบบแสดงความถดถอยไปสู่รูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมโบราณ อย่างไรก็ตามยังเหลือสถาปนิกบางคน เช่น<br />

เมอิคาว่าและซากากูระ ที่ยังพยายามแสดงออกอถึงหลักการสากล<br />

นิยมที่แฝงอยู่ในเปลือกอนุรักษ์นิยม<br />

สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ในสมัยโชวะเป็นยุคของ<br />

การเริ่มมีพื้นฐานที่มั่นคงทั้งด้านทฤษฎี เทคนิค และการหาอัตลักษณ์<br />

ของตนเองผ่านวาทกรรม “ความเป็นญี่ปุ่น” เป็นการเริ่มต้นหน้าใหม่<br />

ของสถาปัตยกรรมร่วมสมัยอย่างแท้จริง แม้ว่ามันจะเกิดขึ้น<br />

ท่ามกลางสถานการณ์ยากลำบากของยุคเผด็จการทหาร<br />

แต่วิกฤตนี้กลับสร้างโจทย์ให้สถาปนิกที่เชื่อมั่นในความเป็นสากล<br />

กลุ่มหนึ่ง สร้างสิ่งที่สะท้อนยุคสมัยของตนเองอย่างแท้จริง<br />

แม้ว่าจะมีช่วงเวลาหนึ่งตอนปลายสงครามโลกที่พวกเขาต้อง<br />

ประนีประนอมกับพวกชาตินิยม แต่มันก็เป็นเพียงการรอเพื่อ<br />

เปลี่ยนผ่านไปสู่สิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าที่อยู่วันข้างหน้า<br />

162 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เชิงอรรถบทที่ 2<br />

1 เพ็ญศรี กาญจโนมัย, ญี่ปุ่นสมัยใหม่ (กรุงเทพฯ:<br />

ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2538), 21.<br />

2 Meid Michiko, Der Einfuhrungsprozess des<br />

europaischen und nordamerikanischer<br />

Architektur in Japan seit 1542 (Koln: Kleikamp,<br />

1977). อ้างถึง Marco Antonio Ciappi, Compendio<br />

Della Heroiche Et Glorios Attioni Et Santa Vita<br />

di Papa Greg XIII (Roma: Stamperia de gli<br />

Accolti, 1596), 39-40.<br />

3 เพ็ญศรี กาญจโนมัย, ญี่ปุ่นสมัยใหม่, 80-93.<br />

4 จักรพรรดิโคเมอิ (22 กรกฎาคม 1831- 30<br />

มกราคม 1867) จักรพรรดิองค์ที่ 121 ของญี่ปุ่น<br />

พระราชบิดาของจักรพรรดิเมจิ<br />

5 Tomioka Silk Mill, accessed April 3, 2017,<br />

available from http://www.tomioka-silk.jp.e.wv.<br />

hp. transer.com/ tomioka-silk-mill/<br />

6 Muramatsu Teijiro, “The Course of Modern<br />

Japanese Architecture,” The Japan Architect<br />

109 (June 1965): 40.<br />

7 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present<br />

(Tokyo: Kodansha international, 1987), 18.<br />

8 W.W. Mclaren, Japanese Government<br />

Documents (Bethesada, Md: University<br />

Publication of America, 1979), 8.<br />

9 Framton Kenneth and Kudo Kunio, Japanese<br />

building Practice, From Ancient Times to the<br />

Meiji Period (New York: Van Nostrand Rienhold,<br />

1997), 134.<br />

10 Chang Hui Ju, “Victorian Japan in Taiwan:<br />

transmission and impact of the ‘modern’ upon<br />

the Architecture of Japanese authority, 1853-<br />

1919” (Ph.D. dissertation, University of Sheffield,<br />

2014), 189.<br />

11 Ibid., 183.<br />

12 James Fergusson, A History of Architecture in<br />

All Countries; History of Indian and Eastern<br />

architecture (London: John Murray, Albemarle<br />

Street, 1876), 710.<br />

13 Chang Hui Ju, “Victorian Japan in Taiwan:<br />

transmission and impact of the ‘modern’ upon<br />

the Architecture of Japanese authority, 1853-<br />

1919”, 211.<br />

14 Watanabe Toshio, “Josiah Conder’s Rokumeikan:<br />

Architecture and National Representation in<br />

Meiji Japan,” Art Journal 55, 3 (Fall 1996): 21-22.<br />

15 Count Okuma, “The Industrial Revolution in<br />

Japan,” The North American Review 171, 528<br />

(November 1900): 677-691.<br />

16 Meiji Constitution, available from https://<br />

en.wikipedia.org/wiki/ Meiji_Constitution<br />

17 เพ็ญศรี กาญจโนมัย, ญี่ปุ่นสมัยใหม่, 146-147.<br />

18 Meiji Constitution, อ้างถึงมาตรา 11,12.<br />

19 ดับเบิลยู จี เบียสลีย์, ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่,<br />

แปลโดย ทองสุก เกตุรุ่งโรจน์ (กรุงเทพฯ: ศูนย์<br />

พัฒนาหนังสือ กรมวิชาการ, 2543), 215.<br />

20 Chang Hui Ju,“Victorian Japan in Taiwan:<br />

transmission and impact of the ‘modern’ upon<br />

the Architecture of Japanese authority, 1853-<br />

1919”, 236.<br />

21 Cherie Wandelken, “The Tectonics of Japanese<br />

Style: Architect and Carpenter in the late Meiji<br />

Period,” Art Journal 55, 3 (Fall 1996): 31.<br />

22 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present,<br />

62.<br />

23 William H. Coaldrake, Architecture and<br />

Authority in Japan (London: Routledge, 1996),<br />

210.<br />

24 Akio Harada, Mainichi Shimbun (November<br />

23, 1962).<br />

25 Yokohama Specie Bank, available from https://<br />

en.wikipedia.org/wiki/Tsumaki_Yorinaka and<br />

http://chkanagawa-museum.jp<br />

26 Muramatsu Teijiro, “The Course of Modern<br />

Japanese Architecture,” 48.<br />

27 ดูรูปใน Sone Tatsuzo, available from https://<br />

en.wikipedia.org/wiki/Sone_Tatsuzo<br />

28 Muramatsu Teijiro, “The Course of<br />

Modern Japanese Architecture,” 48.<br />

29 The Architectural Institute of Japan, “History<br />

of Architectural Institute of Japan,” in 50 years<br />

History of AIJ (1936), available from http://<br />

www.aij.or.jp/da1/kaishimokuroku/pdf/gakai<br />

shi_01.pdf, 501.<br />

30 เพ็ญศรี กาญจโนมัย, ญี่ปุ่นสมัยใหม่, 228.<br />

31 Peter Duus, Modern Japan (Boston: Houghton<br />

Mifflin, 1998), 185-187.<br />

32 เพ็ญศรี กาญจโนมัย, ญี่ปุ่นสมัยใหม่, 200.<br />

33 Daiki Amanai, “The Founding of Bunriha<br />

Kenchiku Kai: “Art” and “Expression” in early<br />

Japanese Architectural Circle, 1888-1920,”<br />

Aesthetics 13 (2009): 237.<br />

34 Oshima Ken Tadashi, International architecture<br />

in Interwar Japan (Seattle: University of<br />

Washington Press, 2009), 39-40.<br />

35 Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio and<br />

the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture (Berkeley: University of California<br />

Press, 2001), 23.<br />

36 Hwangbo A.B., “Early works of Japanese<br />

Secessionist Architects,” Journal of the Korea<br />

Academia-Industrial cooperation Society 15,<br />

5 (2014): 3180.<br />

37 Oshima Ken Tadashi, International architecture<br />

in Interwar Japan, 190.<br />

38 Ibid., 46.<br />

39 ดูผังที่ Ibid., 122, 123.<br />

40 Ibid., 118.<br />

41 Jonathan M. Reynolds, Maekawa<br />

Kunio and the Emergence of Japanese<br />

Modernist Architecture, 30.<br />

42 Ibid., 32.<br />

43 Ibid., 20-21.<br />

44 Suzuki Hiroyuki and Hatsuda Tohru,<br />

Zumen-de-Miru-Toshikenchiku-no-Taisho<br />

(Urban Architecture in Taisho, a Visual Anthology)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

163


่<br />

(Tokyo: Kashiwashobo, 1992), 210.<br />

45 Ibid., 228-231.<br />

46 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present, 104.<br />

47 Ibid., 100-101.<br />

48 Yoshikasu Uchida, available from https://<br />

en.wikipedia.org/wiki/Yoshikazu_Uchida<br />

49 Suzuki Hiroyuki and Hatsuda Tohru,<br />

Zumen-de-Miru-Toshikenchiku-no-Taisho<br />

(Urban Architecture in Taisho, a Visual Anthology),<br />

154-155.<br />

50 James Fergusson, A History of Architecture in<br />

All Countries; History of Indian and Eastern<br />

architecture, 710.<br />

51 Inoue Shoichi, “Interpretation of Ancient<br />

Japanese Architecture Focusing on Links with<br />

World History,” Japan Review 12 (2000): 133.<br />

52 Yen Liang-Ping, “A Discussion of Writings on<br />

Architectural History under Cultural Essentialism”<br />

(Atiner Conference Paper Series no.ARC 2013-<br />

0733), 10.<br />

53 เขายืนยันแนวคิดนี้ตั้งแต่การบรรยายในปีค.ศ.<br />

1893 และตีพิมพ์ในวารสารสถาปัตยกรรม<br />

(Kenchiku zasshi)ในปีเดียวกัน ดูAlice Y. Tseng,<br />

“In Defense of Kenchiku: Ito Chuta’s<br />

Theorization of Architecture as a Fine Art in<br />

the Meiji Period,” Review of Japanese Culture<br />

and Society 24 (2012): 163-164.<br />

54 Cherie Wandelken, “The Tectonics of Japanese<br />

Style: Architect and Carpenter in the late<br />

Meiji Period,” 31.<br />

55 Ibid., 32.<br />

56 Watanabe Toshio, “Japanese Imperial<br />

Architecture: From Thomas Roger to Ito<br />

Chuta,” in Challenging Past and Present: The<br />

Metamorphosis of Nineteenth Century<br />

Japanese Art, ed. Ellen Conant (University of<br />

Hawaii Press, 2006), 241.<br />

57 Ibid.<br />

58 Ito Chuta, Toyo kenchiku no kenkyu (Research<br />

on Oriental architecture) (Tokyo: Ryuginsha,<br />

1936), 5, quoted in Chang Hui Ju, “Victorian<br />

Japan in Taiwan: transmission and impact of<br />

the ‘modern’ upon the Architecture of Japanese<br />

authority, 1853-1919”, 246<br />

59 Inoue Shoichi, “Interpretation of Ancient<br />

Japanese Architecture Focusing on Links with<br />

World History,” 129-130.<br />

60 Kurakata Shunsuke, “Study on the architecture<br />

and philosophy of Chuta Ito” (Thesis, Waseda<br />

University, 2004), 74.(1936)<br />

61 Ito Chuta, “The Future of Architecture in Terms<br />

of the Evolution Theory of Architecture,” Journal<br />

of Architecture 265 (1908): 4-36, quoted in<br />

Chang Hui Ju, “Victorian Japan in Taiwan:<br />

transmission and impact of the ‘modern’ upon<br />

the Architecture of Japanese authority, 1853-<br />

1919”, 245.<br />

62 Richard M. Jaffe, “Buddhist Material Culture,<br />

“Indianism,” and the Construction of Pan-Asian<br />

Buddhism in Pre-War Japan,” Material Religion<br />

2, 3 (November 1, 2006): 268-269.<br />

63 Ibid., 266-293.<br />

64 ดูแผนภูมิที่ตั้ง Kasuisai, accessed March 15,<br />

2016, available from http://www.shizuo<br />

ka-guide.com/blog-trip/archives/2011/ 06/im<br />

ages/ 1358395998.jpg<br />

65 Richard M. Jaffe, “Buddhist Material Culture,<br />

“Indianism,” and the Construction of Pan-Asian<br />

Buddhism in Pre-War Japan,” 276.<br />

66 Ibid.<br />

67 Kurakata Shunsuke, “Study on the architecture<br />

and philosophy of Chuta Ito”, 132.<br />

68 Ibid., 128, 134.<br />

69 Ibid., 128, 135.<br />

70 “พระยาสุขุมนัยวินิจออกไปรับพระสารีริกธาตุที<br />

ประเทศอินเดีย” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 15 (16<br />

มกราคม รัตนโกสินทร์ศก 117): 447.<br />

71 “การมอบพระสารีริกธาตุแก่คณะทูตพรตญี่ปุ่น”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 17 (24 มิถุนายน<br />

รัตนโกสินทร์ศก 119): 125-126.<br />

72 Janaka Goonetilleke, Japanese Monks who<br />

came to Galle in the late. 1-2, accessed March<br />

15, 2016, available from http://www.bud<br />

dhistchannel.tv/index.php?id=43,7572,0,0,1,0<br />

73 Suzuki Hiroyuki and Hatsuda Tohru,<br />

Zumen-de-Miru-Toshikenchiku-no-Taisho<br />

(Urban Architecture in Taisho, a Visual Anthology),<br />

166.<br />

74 “ใบบอกพระยาฤทธิรงค์รณเฉท” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 17 (18 พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ศก 119):<br />

458-465.<br />

75 Suzuki Hiroyuki and Hatsuda Tohru,<br />

Zumen-de-Miru-Toshikenchiku-no-Taisho<br />

(Urban Architecture in Taisho, a Visual Anthology),<br />

166.<br />

76 Finn Dallas, Meiji Revisited: The Sites of<br />

Victorian Japan (University of Michigan:<br />

Weatherhill, 1995), 56.<br />

77 Sato Yoshiaki, The Kanagawa Prefectural<br />

Government Hall and Low-ranking Official<br />

Architects in Taisho and Early Showa Era,<br />

Viewing from History of Architecture, accessed<br />

December 12, 2016, available from www.ka<br />

mome.lib.ynu.ac.jp/dspace/bis<br />

tream/10131/425/9/11734506-09.pdf<br />

78 Suzuki Hiroyuki and Hatsuda Tohru,<br />

Zumen-de-Miru-Toshikenchiku-no-Taisho<br />

(Urban Architecture in Taisho, a Visual Anthology),<br />

68-71.<br />

79 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present,<br />

107.<br />

80 Sato Yoshiaki, The Kanagawa Prefectural<br />

Government Hall and Low-ranking Official<br />

Architects in Taisho and Early Showa Era,<br />

Viewing from History of Architecture, accessed<br />

December 12, 2016, available from www.ka<br />

mome.lib.ynu.ac.jp/dspace/bis<br />

tream/10131/425/9/11734506-09.pdf<br />

81 Shimizu Yuichiro, Shaping the Diet: Competing<br />

Architectural Designs for Japan’s Diet Building,<br />

Social Science Research Network, accessed<br />

164 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


January 13,2014, available from http://papers.<br />

ssru.com/sol3/papers, 28-29.<br />

82 Jonathan M. Reynolds, “Japan’s Imperial Diet<br />

Building: Debate over Construction of a<br />

National Identity,” Art Journal 55, 3 (Fall 1996):<br />

45.<br />

83 ดู Diet, available from https://en.wikipedia.org/<br />

wiki/Diet<br />

84 Jonathan M. Reynolds, “Japan’s Imperial Diet<br />

Building: Debate over Construction of a<br />

National Identity,” 46-47.<br />

85 Roy Andrew Miller, Japan’s Modern Myth (New<br />

York: Weatherhill, 1982), 72.<br />

86 W.G. Beasley, The History of Modern Japan<br />

(New York: Praeger, 1975), 255-256.<br />

87 The 1930s and War Economy, accessed March<br />

24, 2016, available from http://www.grips.ac.jp/<br />

teacher/oono/hp/lecture_J/ lec09.htm, 1-7.<br />

88 Shizume Masato, The Japanese Economy<br />

during the Interwar Period: Instability in<br />

the Financial System and the Impact of the<br />

World Depression, Bank of Japan Review,<br />

2009-E-2, May, 2009, accessed March 25,<br />

2016, available from http://www.boj.or.jp/en, 9.<br />

89 Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio and<br />

the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture, 34.<br />

90 Kyoto College of Technology, accessed<br />

December 20, 2016, available from http://www.<br />

flickriver.com/photos/ bbianca/4412 and http://<br />

Japan-architect.jimdo.com/Japanese-archi<br />

tects/motono-seigo-/<br />

91 Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio and<br />

the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture, 35.<br />

92 Ibid.<br />

93 Ibid., 37.<br />

94 Oshima Ken Tadashi, International architecture<br />

in Interwar Japan, 81.<br />

95 Ibid., 82.<br />

96 Ibid., 212.<br />

97 Ibid., 219.<br />

98 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present, 137.<br />

99 Ibid., 136.<br />

100 Ibid., 139.<br />

101 Oshima Ken Tadashi, International architecture<br />

in Interwar Japan, 134.<br />

102 Ibid., 135.<br />

103 Kim Hyon-Sob, “Tetsuro Yoshida (1894-1956)<br />

and architectural interchange between East<br />

and West,” History. Arq 12, 1 (2008): 51.<br />

104 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present, 112.<br />

105 Kim Hyon-Sob, “Tetsuro Yoshida(1894-1956)<br />

and architectural interchange between East<br />

and West,” 8.<br />

106 Ibid., 47, 48<br />

107 Ibid., 48<br />

108 Ibid.<br />

109 Ibid., 50.<br />

110 Oshima Ken Tadashi, International architecture<br />

in Interwar Japan, 141.<br />

111 Ibid., 145.<br />

112 Ibid., 147.<br />

113 Horiguchi, “Gendai kenchiku ni arewareta nihon<br />

shumi ni tsuite,” Shiso (January 1932): 82-106,<br />

quoted in Oshima Ken Tadashi, International<br />

architecture in Interwar Japan, 144.<br />

114 Oshima Ken Tadashi, International architecture<br />

in Interwar Japan, 220-221.<br />

115 Horiguchi, “shinjidai kenchiku no shinwa sono<br />

ta,” Kokusai kenchiku 15, 2 (1939): 64,<br />

quoted in Oshima Ken Tadashi, International<br />

architecture in Interwar Japan, 222.<br />

116 Oshima Ken Tadashi, International architecture<br />

in Interwar Japan, 225.<br />

117 โฮริกูชิสนใจในเรื่องพิธีชงชาและสถาปัตยกรรม<br />

เกี่ยวเนื่องมาก จนเขียนบทความหัวข้อนี้หลาย<br />

เรื่องตีพิมพ์ตั้งแต่ค.ศ.1932<br />

118 Oshima Ken Tadashi, International architecture<br />

in Interwar Japan, 223, 102.<br />

119 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present, 119.<br />

120 Shirokiya Department Store fire, accessed<br />

December 28, 2016, available from https://<br />

en.wikipedia.org/wiki/ Shirogiya_Department_<br />

Store_fire<br />

121 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present,<br />

116.<br />

122 Oshima Ken Tadashi, International<br />

architecture in Interwar Japan, 230.<br />

123 Yamada Mamoru, “Gendai teki kaiketsu no<br />

naka ni mo riso wo,” Kokusai kenshiku 21, 9<br />

(1954): 22, quoted in Oshima Ken Tadashi,<br />

International architecture in Interwar Japan, 232.<br />

124 Yamada, Mamoru, “Shinkenchiku to shakai,”<br />

Kenchiku zasshi 37 (May 1922): 39, quoted in<br />

Oshima Ken Tadashi, International architecture<br />

in Interwar Japan, 233.<br />

125 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present,<br />

159-160.<br />

126 Ibid., 161-162.<br />

127 Ibid., 162.<br />

128 Ibid., 163.<br />

129 Ibid.<br />

130 Dojunkai, accessed December 28, 2016,<br />

available from https://en.wikipedia.org/wiki/<br />

Dojunkai<br />

131 History of Tokyo, accessed December 28,<br />

2016, available from https://en.wikipedia.org/<br />

wiki/History_of_Tokyo<br />

132 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present, 149.<br />

133 Onobayashi Hiroki, “A History of Modern<br />

Japanese Houses,” The Japan Architect 109<br />

(June 1965): 83.<br />

134 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present,<br />

151.<br />

135 Ibid., 117.<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

165


136 Ibid., 118.<br />

137 Ibid., 119.<br />

138 Tadayoshi Fujiki, “Tokyo-Paris 1936-37,”<br />

Process Architecture 110 (May 1993): 34.<br />

139 Ibid., 35.<br />

140 น่าโดย Moriguchi Tari และ Fujishima Gaijiro<br />

อ้างใน Tadayoshi Fujiki, “Tokyo-Paris 1936-<br />

37,” 35.<br />

141 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present, 157.<br />

142 Kishida Hideto, “Modern Architecture in Japan,”<br />

in Architectural Japan Old and New (Tokyo:<br />

Japan times and Mail, 1936), 169.<br />

143 Sato Yoshiaki, The Kanagawa Prefectural<br />

Government Hall and Low-ranking Official<br />

Architects in Taisho and Early Showa Era,<br />

Viewing from History of Architecture, Iii.<br />

144 Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio and<br />

the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture, 91.<br />

145 Ex-Soldiers Hall(Gunjin Kaikan), Kudan, Tokyo,<br />

c. 1935/Old Tokyo, accessed December 30,<br />

2016, available from http://www.oldtokyo.com/<br />

ex-soldiers-hall-kudan-tokyo-c-1935/, 1-2.<br />

146 Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio and<br />

the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture, 92.<br />

147 Tokyo National Museum-Access Museum Map<br />

Honka, accessed December 30, 2016,<br />

available from http:// www.tnm.jp/modules/r_<br />

free_page/index.php?id=115<br />

148 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present, 110.<br />

149 Jonathan M. Reynolds, “Japan’s Imperial Diet<br />

Building: Debate over Construction of a<br />

National Identity,” 44.<br />

150 “แจ้งความสภากาชาดสยามเรื่องรับเงินช่วย<br />

บรรเทาทุกข์ชาวญี่ปุ่น” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 40<br />

(14 ตุลาคม 2466): 2211 และเรื่องเดียวกันอีก 8<br />

ครั้ง มีประกาศสุดท้ายที่ เล่ม 40 (16 มีนาคม<br />

2466)(พ.ศ.2467 ตามปฏิทินปัจจุบัน): 4488.<br />

151 “งดรับเงินและแถลงรายการเงินช่วยการบรรเทา<br />

ทุกข์ชนชาติญี่ปุ่น” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 40 (20<br />

มกราคม 2466) (พ.ศ.2467 ตามปฏิทินปัจจุบัน):<br />

3749-3750.<br />

152 No.7: Earthquake Paintings, accessed June<br />

11, 2015, available from http://art-it.asia/u/<br />

admin_ed_contri8/qPb0 LpT4NRVitnuXy<br />

92B/?lang=en<br />

153 Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio and<br />

the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture, 18.<br />

154 ดูผังและรูปด้านได้ที่Richard M. Jaffe, “Buddhist<br />

Material Culture, “Indianism,” and the<br />

Construction of Pan-Asian Buddhism in<br />

Pre-War Japan,” 275.<br />

155 Nichiren Shu News No. 169, December 1,<br />

2008, accessed June 11, 2015, available from<br />

http://nichiren-shu.org/newsletter, 5.<br />

156 Cherie Wendelken, “Pan-Asianism and the<br />

Pure Japanese Thing: Japanese Identity and<br />

Architecture in the Late 1930,” Positions 8, 3<br />

(Winter 2000): 823.<br />

157 Ibid., 823.<br />

158 ดูผังที่ フロアマップ, accessed May 11, 2016,<br />

available from http://tsukijihongwanji.jp/<br />

marugoto/about/floormap<br />

159 Cherie Wendelken, “Pan-Asianism and the<br />

Pure Japanese Thing: Japanese Identity and<br />

Architecture in the Late 1930,” 823.<br />

160 Jacqueline Eve Kestenbaum, “Modernism and<br />

Tradition in Japanese Architectural Ideology,<br />

1931-1955” (Doctoral Thesis, Columbia<br />

University, 1996), 150.<br />

161 Ibid., 156.<br />

162 ดูรูปใน Jacquet Benoit, Compromising<br />

Modernity: Japanese Monumentality during<br />

World War II, accessed January 11, 2017,<br />

available from https://www.academia.edu/170, 3.<br />

163 ดูรูปใน Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio<br />

and the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture, 125.<br />

164 ดูรูปใน Jacquet Benoit, Compromising<br />

Modernity: Japanese Monumentality during<br />

World War II, 4.<br />

165 Takenaka Akiko, “Architecture for Mass-<br />

Mobilization: The Chureito Memorial<br />

Construction Movement, 1939-1945,” in The<br />

Culture of Japanese Fascism, ed. Alan<br />

Tansman (Durham: Duke University Press,<br />

2009), 240.<br />

166 Ibid., 238-242.<br />

167 Ibid., 246.<br />

168 Jacqueline Eve Kestenbaum, “Modernism and<br />

Tradition in Japanese Architectural Ideology,<br />

1931-1955”, 185.<br />

169 Ibid., 189.<br />

170 Ibid., 192.<br />

171 Ibid.<br />

172 ดูรูปใน Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio<br />

and the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture, 128.<br />

173 Jacqueline Eve Kestenbaum, “Modernism and<br />

Tradition in Japanese Architectural Ideology,<br />

1931-1955”, 195.<br />

174 Cho Hyunjung, “Hiroshima Peace Memorial<br />

Park and the Making of Japanese Postwar<br />

Architecture,” Journal of Architectural<br />

Education 66, 1 (2012): 77, 81.<br />

175 ดูรูปใน Ibid., 74.<br />

176 ดูรูปใน Greater East Asia Co-Prosperity Sphere<br />

Memorial Hall, accessed January 13, 2017,<br />

available from https:// classconnection.s3.am<br />

azonaws.com/506/flashcards/35506/<br />

jpg/16136278892153...<br />

177 Jacqueline Eve Kestenbaum, “Modernism and<br />

Tradition in Japanese Architectural Ideology,<br />

1931-1955”, 203.<br />

178 Ibid., 206.<br />

179 Ibid., 208.<br />

180 “ประกาศใช้กติกาสัญญาพันธไมตรีระหว่าง<br />

ประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่น” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 58 (21 ธันวาคม 2484): 1824-1828.<br />

166 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


181 “ประกาสไช้ความตกลงทางวัธนธัมระหว่างประเทส<br />

ไทยกับประเทสยี่ปุ่น” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59,<br />

ตอนที่ 81 (29 ธันวาคม 2485): 2619-2620.<br />

182 “ความตกลงทางวัธนธัมระหว่างประเทสไทยกับ<br />

ประเทสยี่ปุ่น” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59, ตอนที่<br />

81 (29 ธันวาคม 2485): 2629.<br />

183 “ประกาสไช้สนธิสัญญาระหว่างประเทสไทยกับ<br />

ประเทสยี่ปุ่นว่าด้วยอานาเขตของประเทสไทย<br />

ไนมาลัยและภูมิภาคฉาน” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม<br />

60, ตอนที่ 55 (18 ตุลาคม 2486): 1527-1531.<br />

184 Jacqueline Eve Kestenbaum, “Modernism and<br />

Tradition in Japanese Architectural Ideology,<br />

1931-1955”, 217.<br />

185 Ibid., 219.<br />

186 Ibid., 220.<br />

187 Ibid., 221.<br />

188 Ibid., 222.<br />

189 Ibid., 223.<br />

190 Bruce E. Reynolds, “Imperial Japan’s Cultural<br />

Programme in Thailand,” in Japanese Cultural<br />

Policies in Southeast Asia during World War II,<br />

ed. Grant K. Goodman (New York: St. Martin<br />

Press, 1991), 105.<br />

191 Bruce E. Reynolds, Japanese Cultural Policies<br />

in Southeast Asia during World War II, 105.<br />

192 Jacqueline Eve Kestenbaum, “Modernism and<br />

Tradition in Japanese Architectural Ideology,<br />

1931-1955”, 229.<br />

193 Ibid., 236.<br />

194 Ibid., 237.<br />

195 Ibid., 238.<br />

196 Ibid., 238-239.<br />

197 Ibid., 239.<br />

198 Ibid., 251.<br />

199 Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio and<br />

the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture, 132.<br />

200 Jacqueline Eve Kestenbaum, “Modernism and<br />

Tradition in Japanese Architectural Ideology,<br />

1931-1955”, 257.<br />

201 Ibid.<br />

202 ดูรูปใน Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio<br />

and the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture, 130.<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

167


3<br />

สถาปัตยกรรม<br />

ยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

168 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


170 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ยุคก่อนรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

รัชกาลที่ 4 (ก่อน 1851)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

ประวัติศาสตร์ก่อนยุครัตนโกสินทร์คือ อยุธยา ราชอาณาจักร<br />

ที่ยิ่งใหญ่และอุดมสมบูรณ์ที่มีประวัติศาสตร์อย่างน้อยตั้งแต่ศตวรรษ<br />

ที่14-18 ชาวยุโรปเข้ามาค้าขายและเผยแพร่ศาสนาคริสต์ที่อยุธยา<br />

ตั้งแต่ศตวรรษที่ 16 นำโดยชาวโปรตุเกสและฮอลันดา ตามด้วย<br />

ฝรั่งเศส กรีก และญี่ปุ่นด้วย โดยไม่นับจีนซึ่งตั้งหลักแหล่งและสมรส<br />

กลมกลืนกับชาวไทยพื้นเมืองตั้งแต่สมัยโบราณ ความสัมพันธ์<br />

ทางการค้าและวัฒนธรรมกับชาวตะวันตกของอาณาจักรอยุธยา<br />

เจริญถึงขีดสุดในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช (1656-1688)<br />

พระองค์ทรงแต่งตั้งเสนาบดีคลังและมหาดไทยเป็นชาวกรีกชื่อ<br />

คอนสแตนติน ฟอลคอน ได้รับพระราชทานยศเป็น เจ้าพระยา<br />

วิชาเยนทร์ พระองค์ส่งทูตไปเจริญสัมพันธไมตรีกับฝรั่งเศส<br />

ในรัชสมัยของพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ที่พยายามเปลี่ยนพระทัยให้<br />

พระองค์หันมานับถือศาสนาคริสต์ใน ค.ศ. 1673 การที่พระองค์<br />

ไม่เปลี่ยนพระทัยรวมทั้งฝรั่งเศสเห็นว่าอยุธยาเอาเปรียบทางการค้า<br />

ทำให้ฝรั่งเศสยึดบางกอกไปจากอยุธยาตามสนธิสัญญาที่ลงนามกัน<br />

ใน ค.ศ. 1687 อันตรายทางการเมืองจากการดำเนินนโยบาย<br />

ต่างประเทศนี้ ทำให้พระเพทราชาเจ้ากรมช้างยึดอำนาจการ<br />

ปกครองใน ค.ศ. 1688 พระองค์ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นกษัตริย์และ<br />

จัดการขับไล่ชาวตะวันตกออกไปจากอยุธยา อิทธิพลของตะวันตก<br />

จึงสิ้นสุดลงบนแผ่นดินสยามนานต่อเนื่องถึง 167 ปี แต่แล้ว<br />

อำนาจของตะวันตกก็แผ่กลับเข้ามาอีกในรูปแบจักรวรรดินิยม<br />

ในศตวรรษที่ 19 มหาอำนาจใหม่คราวนี้นำโดยอังกฤษที่ยึด<br />

สิงคโปร์เป็นอาณานิคมตั้งแต่ ค.ศ. 1819 ครอบครองคาบสมุทร<br />

มาลายาได้เกือบหมดใน ค.ศ. 1826 และบังคับให้สยามลงนาม<br />

ในสนธิสัญญาเบอร์นี่ (Burney Treaty) ในปีนั้นเอง สาระสำคัญ<br />

คือ สยามต้องยอมรับอิทธิพลเหนือคาบสมุทรมาลายาของอังกฤษ<br />

สยามโดยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 3 ก็ทรง<br />

ยอมรับสัญญาโดยดุษฎี และทรงมีพระราชดำริว่า ภัยของตะวันตก<br />

ได้มาถึงแล้ว สิ่งที่ก้าวหน้าของตะวันตกนั้นขอให้ไทยเรียนรู้ไว้<br />

แต่อย่าได้หลงใหลเสียเลยทีเดียว 1 นับเป็นแนววิเทโศบายในการ<br />

ดำเนินการทูตกับมหาอำนาจตะวันตกที่สยามใช้ต่อมาอีกจนทุกวันนี้<br />

ที่จะไม่ปะทะกับตะวันตกเมื่อผลประโยชน์ขัดแย้ง แต่จะใช้การเจรจา<br />

ประนีประนอมเป็นหลัก พร้อมไปกับการเรียนรู้อารยธรรมของ<br />

ตะวันตกอย่างระแวดระวัง<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

171


รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

รัชกาลที่ 4 (1851-1868)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

แรงกดดันจากจักรวรรดินิยมอังกฤษยิ่งมีมากขึ ้นในรัชกาล<br />

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเมื่ออังกฤษยึดฮ่องกงไว้<br />

หลังจากทำสงครามฝิ่นชนะจีนใน ค.ศ. 1841 ขณะเดียวกันก็ยึด<br />

พม่าตอนใต้ได้ใน ค.ศ. 1854 จึงไม่มีอะไรที่จะมาหยุดยั้งการรุกคืบ<br />

เข้าสยามเป็นเป้าต่อไป ใน ค.ศ. 1855 จอห์น เบาว์ริง (John Bowring)<br />

เข้ามาบังคับให้สยามลงนามในสนธิสัญญา “การค้า” ฉบับใหม่<br />

มีสาระให้พระคลังหลวงเลิกผูกขาดการค้ากับตะวันตก ให้เก็บภาษี<br />

ได้ไม่เกินร้อยละ 3 และให้สิทธิสภาพนอกอาณาเขตแก่อังกฤษ<br />

สยามแม้จะไม่พอใจแต่ก็จำยอมในแสนยานุภาพของกองเรือรบ<br />

อังกฤษ และต้องทำสนธิสัญญาแบบนี้กับอีกหลายประเทศในยุโรป<br />

และสหรัฐอเมริกา โดยเฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศสที่หิวกระหายที่<br />

จะตักตวงผลประโยชน์จากสยามไม่แพ้อังกฤษ โดยเฉพาะดินแดน<br />

ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำโขงทั้งหมดของสยามขณะนั้น แม้จะสิ้น<br />

ความภาคภูมิใจในฐานะประเทศเอกราชเต็มรูปแบบ แต่ผลดีของ<br />

สนธิสัญญาคือการทำให้สยามเปิดประเทศสู่ระบบการค้าของโลกที่<br />

ควบคุมโดยมหาอำนาจ สยามกลายเป็นแหล่งวัตถุดิบการเกษตร<br />

และทรัพยากรธรรมชาติที่สำคัญ สินค้าที่เป็นที่ต้องการของตลาดโลก<br />

เซอร์จอห์น เบาวริ่ง (John Bowring) (1792-1872)<br />

ฑูตอังกฤษผู้บีบให้สยามลงนามเปิดประเทศ<br />

172 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

ความต้องการความศิวิไลซ์ทำให้เกิดสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

Old Parliament House, Singapore<br />

ได้แก่ข้าว ไม้สัก ดีบุก น้ำตาล ยาง ขณะที่จักรวรรดินิยมน ำฝิ่นมาขาย<br />

แต่ต้องผ่านเจ้าภาษีของรัฐบาลสยามเท่านั้น การเปิดตลาดการค้า<br />

ทำให้ชนชั้นนำสยามร่ำรวยอย่างมหาศาล กรุงเทพฯ กลายเป็น<br />

เมืองท่าขนาดใหญ่ เต็มไปด้วยพ่อค้านานาชาติที่มากับเรือกลไฟ<br />

แล่นเข้ามาจนเต็มคุ้งน้ ำเจ้าพระยา จำนวนที่มากมายของพ่อค้าต่างชาติ<br />

และวัฒนธรรมที่พวกเขานำเข้ามาทำให้กรุงเทพฯ เปลี่ยนแปลง<br />

อย่างขนานใหญ่ทางกายภาพ เมืองต้องถูกขยายออกไปทางตะวันออก<br />

มีการตัดถนนใหม่เพื่อให้ชาวตะวันตกมีโอกาสขี่ม้าเดินทางและ<br />

ออกกำลัง แทนที่จะพายเรือลำเล็กไปในลำคลองคดเคี้ยวที่ยังคง<br />

เป็นเส้นทางคมนาคมหลักของกรุงเทพฯ ริม 2 ข้างถนนโปรดเกล้าฯ<br />

ให้สร้างตึกแถวเรียงยาวไปตามถนน เพื่อการค้าและการพัฒนา<br />

อสังหาริมทรัพย์ริมเส้นทางบกยุคแรกแล้ว ยังทรงโปรดฯ ให้สร้าง<br />

พระราชวังใหม่ทั้งในพระบรมมหาราชวังและต่างจังหวัด ทั้งหมดนี้<br />

สร้างใน “แบบตะวันตก” ทั้งสิ้น เพราะทรงมีพระราชดำริว่าอาคาร<br />

แบบใหม่นี้เป็นศรีสง่าแสดงความก้าวหน้าของบ้านเมือง 2 เป็นการ<br />

เปิดศักราชใหม่ของการสร้างบ้านเมืองและสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา<br />

การเปิดประเทศโดยสนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้อารยธรรม<br />

ตะวันตกไหลบ่าเข้าสู่สยามอย่างรวดเร็ว พระมหากษัตริย์ไทยทรง<br />

ตระหนักดีในความก้าวหน้าของอารยธรรมใหม่นี้ และทรงมี<br />

พระราโชบายที่จะเรียนรู้อารยธรรมจากชาติตะวันตก โดยเฉพาะ<br />

ภาษาอังกฤษและวิชาดาราศาสตร์ ตั้งแต่ยังทรงผนวชเป็นพระภิกษุ<br />

ในสมัยรัชกาลที่ 3 เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์แล้วทรงจ้างครูชาว<br />

ต่างประเทศมาสอนภาษาอังกฤษให้กับพระราชโอรสและพระราชธิดา<br />

และส่งพระโอรสบางพระองค์ไปศึกษาต่อในสิงคโปร์อาณานิคมใหญ่<br />

ของอังกฤษในภูมิภาคนี้รวมทั้งส่งคณะขุนนางไปดูงานการปกครอง<br />

และการบริหารราชการแผ่นดินสมัยใหม่ในสิงคโปร์ด้วยในค.ศ. 1859<br />

ขุนนางหนุ่มในคณะผู้หนึ ่งชื่อ จมื่นไวยวรนารถ (ช่วง บุนนาค)<br />

จดจำเอาลักษณะอาคารแบบพาลลาเดียนคลาสสิค ที่พวกอังกฤษ<br />

สร้างในสิงคโปร์มาเผยแพร่ในกรุงเทพฯ โดยมีลักษณะเด่นที่หน้าจั่ว<br />

แบบวิหารกรีก ที่ชาวไทยเรียกว่ามุขประดับที่ด้านหน้าอาคาร<br />

ตึกแถวในสิงคโปร์สมัยรัชกาลที่4<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

173


ขวา พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์<br />

พระนครคีรี (1858)<br />

ล่าง ฝั่งพื้นพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์<br />

และพระที่นั่งปราโมทย์มไหสวรรค์<br />

สร้างกันแพร่หลายทั้งในอาคารประเภทบ้านพักอาศัยของชนชั้นสูง<br />

รวมทั้งอาคารอีกประเภทหนึ่งที่เรียกว่า ตึกแถว เป็นอาคารพาณิชย์<br />

เป็นชุดที่สร้างเรียงรายไปตามแนวถนนที่ตัดขึ้นใหม่ ในส่วน<br />

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเองก็ทรงมีพระราชดำริ<br />

จะสร้างวังอย่างตะวันตก เพื่อให้สอดคล้องกับเครื่องราชบรรณาการ<br />

ที่ทูตตะวันตกน ำมาถวายเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี เพื่อมิให้ชาวตะวันตก<br />

ยิ้มเย้ยในความไม่รู้ความเหมาะสมของพระมหากษัตริย์สยาม<br />

ดังที่ได้ทรงมีพระราชดำริบันทึกไว้ในคราวสร้างพระอภิเนาว์นิเวศน์<br />

ในพระบรมมหาราชวังใน ค.ศ. 1857 การสร้างพระราชวังแบบ<br />

ตะวันตกนี้เป็นเครื่องหมายแสดงความศิวิไลซ์อย่างเปิดเผยและ<br />

เป็นทางการของสยาม<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่สำคัญในสมัยพระบาท<br />

สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

ตัวอย่างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่ส ำคัญได้แก่พระอภิเนาว์<br />

นิเวศน์(1852-1857) ในพระบรมมหาราชวัง และพระนครคีรี(1858)<br />

จังหวัดเพชรบุรี การสร้างพระราชวังทั้ง 2 องค์นี้เป็นการเลียนแบบ<br />

สถาปัตยกรรมคลาสสิคด้วยความเข้าใจและฝีมือของช่างพื้นเมือง<br />

174 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ไทย-จีน ใช้เทคนิคการก่อสร้างอาคารก่ออิฐระบบกำแพงรับน้ำหนัก<br />

หลังคาโครงสร้างไม้มุงกระเบื้อง เป็นวิธีการก่อสร้างที่พบได้ทั่วไป<br />

ในการสร้างวัด พระราชวัง และคฤหาสน์ของเศรษฐีจีน แต่<br />

สถาปัตยกรรมแบบใหม่นี้เปลี่ยนโฉมหน้ามาเลียนแบบลักษณะเด่น<br />

ที่เห็นด้วยตา เช่น จั่วหน้าบันแบบวิหารกรีกของสถาปัตยกรรม<br />

คลาสสิคในสิงคโปร์ที่ออกแบบโดยสถาปนิกจอร์จดรัมโกลด์โคลแมน<br />

(George Drumgold Coleman) แต่การเลียนแบบนี้เป็นเรื่องผิวเผิน<br />

เมื่อพิจารณาลึกไปถึงผังอาคารจะเห็นได้ว่ายังคงสืบทอดการวางผัง<br />

ของโบสถ์และวิหารในศาสนาพุทธเป็นหลัก แต่เอามาปรับใช้เพื่อ<br />

เป็นอาคารพักอาศัยเช่นพระราชวัง โดยการกั้นห้องเพิ่ม เช่น<br />

มีท้องพระโรงอยู่ด้านหน้าและที่ประทับอยู่ด้านหลัง แต่การ<br />

ออกแบบเช่นนี้บางครั้งจะเห็นความไม่ลงตัวอย่างชัดเจน เช่น<br />

การมีทางเดินกลางที่โตเป็น 2 เท่าของห้องบรรทมอย่างที่พบใน<br />

พระที่นั่งสันถาคารสถานที่พระนครคีรี จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น 3<br />

ขณะเดียวกันลายละเอียดการตกแต่งเช่นลายของปูนปั้นประดับหัวเสา<br />

ก็ยังห่างไกลจากความเข้าใจในสถาปัตยกรรมคลาสสิคแท้ๆ เช่น<br />

หัวเสาไอออนิคประดับลูกโลกแบบพิสดารของพระที่นั่งราชธรรมสภา<br />

ที่พระนครคีรีเช่นกัน 4 การก่อสร้างและวัสดุเป็นระบบกำแพงอิฐ<br />

รับน้ำหนักแบบไทยโบราณ กล่าวคือ ไส้ในของกำแพงและเสาเป็น<br />

แกนเสาไม้ก่ออิฐหุ้มแล้วฉาบปูนขาวผสมทรายขัดผิวให้มันลื่นด้วย<br />

บน ผังพื้นพระที่นั่งสันถาคารสถาน<br />

ขวา พระที่นั่งสันถาคารสถาน (1858)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

175


กรมขุนราชสีหวิกรม (1816-1868)<br />

เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดี<br />

(1830-1913)<br />

ปูนขาวตำละเอียดที่เรียกว่า ปูนตำ หลังคาเป็นโครงสร้างไม้กรอบ<br />

สามเหลี่ยมมีดั้งกลาง พบว่ามีค้ำยันทแยง (cross bracing)<br />

แบบหลังคาทรัส (truss) ในหลังคาพระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์<br />

พระนครคีรี5 ที่อาจจะนับได้ว่าเป็นวิธีก่อสร้างที่ไม่ใช่ของไทยเดิม<br />

เพียงกรณีเดียว หลังคามุงกระเบื้องกาบกล้วยทับแนวด้วยบัวปูนปั้น<br />

แบบหลังคาจีน ทรวดทรงของอาคารทั้งหลังไม่ปรากฏการใช้ระบบ<br />

สัดส่วนความกว้าง : ความยาว หรือความสูงเท่ากับ 1 : 1, 1 : 2,<br />

หรือ 1 : 3 ในระบบคลาสสิคใดๆ ทั้งสิ้น แต่แตกต่างกันไปตาม<br />

ดุลพินิจอิสระของสถาปนิกทั้งสิ้น ผู้ที่มีชื่อปรากฏเป็นผู้ให้แบบหรือ<br />

สถาปนิก และนายงานหรือผู้ควบคุมการก่อสร้าง ล้วนเป็นคนไทย<br />

ได้แก่ กรมขุนราชสีหวิกรมและพระเพ็ชรพิไสยศรีสวัสดิ์<br />

(ท้วม บุนนาค) เป็นต้น กรมขุนราชสีหวิกรมไม่เคยมีประวัติไป<br />

ต่างประเทศ ความรู้ในการออกแบบแบบตะวันตกนี้จึงน่าจะเป็น<br />

การเรียนรู้ด้วยตนเอง พระองค์มีพระนามเป็นผู้ให้แบบพระราชวัง<br />

แบบตะวันตกหลายองค์ในสมัยรัชกาลที่4 เช่น พระอภิเนาว์นิเวศน์<br />

และพระนครคีรี เป็นต้น ส่วนพระเพ็ชรพิไสยศรีสวัสดิ์ซึ่งต่อมาเป็น<br />

เจ้าพระยาภาณุวงศ์มหาโกษาธิบดีนั้นเคยอยู่ในคณะทูตที่เดินทาง<br />

ไปสหราชอาณาจักรใน ค.ศ. 1857 ประสบการณ์นี้น่าจะเป็นที่มา<br />

ที่ได้รับความไว้วางพระราชหฤทัยให้ควบคุมการก่อสร้างอาคาร<br />

แบบตะวันตกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4 ต่อมาจนถึงรัชกาลที่5 อย่างไร<br />

ก็ตามจารีตประเพณีในการวางผังพระราชวังถูกรักษาไว้อย่างเข้มงวด<br />

กล่าวคืออาคารจะถูกวางเรียงเป็นแถวตอนเรียงลำดับความเป็น<br />

ส่วนพระองค์จากน้อยไปหามาก ซึ่งเริ่มด้วยอาคารท้องพระโรง<br />

จะอยู่หน้าสุด ตามด้วยอาคารที่ประทับส่วนพระองค์และอาคารที่<br />

ประทับของฝ่ายในตามลำดับ ผังแบบนี้ปรากฏที่พระราชวังเดิมธนบุรี<br />

และพระมหามณเฑียรในพระบรมมหาราชวัง ที่มาจากแบบอย่าง<br />

พระราชวังสมัยอยุธยาทั้งสิ้นเมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

ทรงโปรดฯ ให้สร้างพระราชวังแบบตะวันตกแล้ว ทั้งพระอภิเนาว์<br />

พระมหามณเฑียรประกอบด้วยพระที่นั่งอมรินทร์ฯ<br />

พระที่นั่งไพศาลทักษิณและพระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน (1783)<br />

176 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


นิเวศน์และพระนครคีรี ซึ่งต่างเป็นพระราชวังขนาดใหญ่ทั้งคู่<br />

ก็ยังคงรักษาแบบแผนนี ้ต่อไป 6 แสดงให้เห็นว่าขนบธรรมเนียม<br />

ประเพณีชั้นสูงในระดับพระมหากษัตริย์ของสยามยังไม่มีการเปลี่ยน<br />

อะไรเลย ภายใต้หน้ากากสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่ศิวิไลซ์นี้<br />

บนซ้าย พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ กรุงเทพฯ<br />

บนขวา ผังพื้นพระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์<br />

ล่าง จวนเจ้าเมืองมะละกา(Stadhuys)<br />

พระราชวังแบบตะวันตกที่สร้างในพระราชวังบวรสถานมงคล<br />

(วังหน้า) มีความแตกต่างจากพระราชวังในพระบรมมหาราชวัง<br />

(วังหลวง) อย่างเห็นได้ชัด พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ซึ่งเป็นที่ประทับ<br />

ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะแบบจีนปน<br />

ฝรั่งแต่ผังอาคารเป็นแบบไทย กล่าวคือ องค์พระที่นั่งมีผังเป็น<br />

รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว มีระเบียงด้านหน้าแบบเรือนไทย ด้านหน้าสุด<br />

เป็นป้อมทหารโดยมีทางขึ้นพระที่นั่งแทรกอยู่ตรงกลาง เป็นลักษณะผัง<br />

ของที่พักอาศัยกึ่งค่ายทหารเหมือนอย่างจวนเจ้าเมืองมะละกา<br />

(Stadhuys) 7 เป็นต้น แต่การใช้ผังแบบเรือนไทยกลับทำให้การจัด<br />

ห้องต่างๆ ในพระที่นั่งมีความลงตัวกว่างานแบบวังหลวงที่เอาผังโบสถ์-<br />

วิหารเป็นฐาน แสดงความสามารถในการออกแบบประยุกต์ที่ดีกว่า<br />

อาคารแบบตะวันตกที ่สำคัญอีกแบบหนึ่งสำหรับสามัญชนคือ<br />

บ้านแบบบังกะโล (bungalow) ซึ่งมีที่มาจากเรือนพื้นถิ่นของ<br />

แคว้นเบงกอล (Bengal) ในอินเดีย แล้วถูกพวกอังกฤษนำไปประยุกต์<br />

สร้างเป็นเรือนพักอาศัยสำหรับเจ้าหน้าที่ของตนในดินแดน<br />

อาณานิคมทั่วโลกเพราะเป็นอาคารสร้างง่ายถ่ายเทอากาศได้ดี<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

177


สรุปคุณค่าสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในรัชสมัยพระบาท<br />

สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4<br />

อังกฤษสร้างบังกะโลในสิงคโปร์ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1830 โดยปรับ<br />

รูปแบบให้เป็นบ้าน 2 ชั้นมีระเบียงรอบ หลังคาทรงปั้นหยา<br />

ใส่มุขกลางหน้าบ้านหลังคาแบบจั่ววิหารกรีก คณะขุนนางไทย<br />

ที่ไปดูงานใน ค.ศ. 1859 เกิดถูกใจนำแนวคิดกลับมาสร้างในสยาม<br />

พบบ้านลักษณะเช่นนี้ที่ตึกหลวงรับราชทูตที่ท่าเตียนแต่มีลักษณะ<br />

พิเศษ คือ เอาบันไดขึ้นชั้นบนมาวางไว้นอกบ้านขนาบมุขหน้า<br />

ทั้ง 2 ข้าง เพราะชาวสยามยังถือคติว่าการมีบันไดที่ใต้ถุนบ้าน<br />

เป็นอัปมงคล ยังมีเรือนแบบบังกะโลอีกพวกหนึ่งที่ไม่มีมุขหน้า<br />

แต่มีระเบียงรอบบ้านเหมือนกัน เรือนพวกนี ้น่าจะนำมาเผยแพร่<br />

โดยมิชชันนารีอเมริกันตั้งแต่ก่อนสมัยรัชกาลที่ 4<br />

ตึกแถวเป็นอาคารอีกประเภทหนึ่งที่คณะขุนนางไทยที่ไป<br />

ดูงานใน ค.ศ. 1859 นำแนวคิดกลับมาสร้างในกรุงเทพฯ แต่น่าเสียดาย<br />

ที่ไม่มีตัวอย่างเหลืออยู่ให้ดูเป็นหลักฐาน แต่จากรูปถ่ายเก่าสมัย<br />

รัชกาลที่5 ปรากฏรูปแบบตึกแถวที่ถนนเจริญกรุงมีลักษณะต่างจาก<br />

ตึกแถวที่สร้างในยุคอื่นๆ กล่าวคือเป็นอาคารก่ออิฐ 2 ชั้น มีหน้าบัน<br />

เป็นจั่วตัดยอดแบบบ้านจีน แต่สร้างเป็นแถวยาวและซอยแบ่งเป็น<br />

ห้องเล็กๆ เรียงต่อกันไป จึงอาจเป็นตึกแถวดั้งเดิมสมัยรัชกาล<br />

ที่4 8 ที่ต่อมาได้เป็นต้นแบบในการสร้างตึกแถวของสยามในยุคหลัง<br />

แต่มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบให้ดูเป็นตะวันตกมากขึ้น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในยุคแรกเริ่มสมัยรัชกาลที่4 คือ<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่ในยุคแรกเริ ่มนี้อาจจะดูประหลาด<br />

ในสายตาของผู้ที่ศึกษาสถาปัตยกรรมตะวันตกมาอย่างดีเพราะมัน<br />

มีแผนผังโครงสร้างและวิธีการก่อสร้างแบบไทย แต่กลับห่อหุ้มด้วย<br />

ทรวดทรงและลวดลายการตกแต่งแบบตะวันตกที่ตีความจาก<br />

การรับรู้ของช่างไทย อย่างไรก็ตามคุณค่าของมันไม่ได้ด้อยลงไป<br />

เพราะการเลียนแบบที่ไม่เหมือนนี้ แต่มันกลับเป็นคุณค่าสำคัญ<br />

เพราะในฐานะที่เป็นรูปธรรมของแนวคิดที่ช่างไทยมีต่อความศิวิไลซ์<br />

และสถาปัตยกรรมตะวันตกยุคแรก โดยแสดงออกอย่างซื่อสัตย์<br />

ไม่เสแสร้งซึ่งจะหาไม่ได้อีกในสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

ยุคต่อมา<br />

178 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

รัชกาลที่ 5 (1868-1910)<br />

ช่วงครึ่งแรกของรัชกาลที่ 5 (1868-ก่อนการปฏิรูป<br />

การปกครองแผ่นดินในทศวรรษที่ 1890)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระนามก่อน<br />

ขึ้นครองราชสมบัติว่า สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ<br />

ทรงเป็นพระราชโอรสองค์โตของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

ทรงได้รับการศึกษาอย่างรอบด้านและทันสมัยตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์<br />

ทรงรอบรู้ศิลปศาสตร์ทั้งไทยและตะวันตกจากการศึกษาจาก<br />

พระอาจารย์ชาวไทยและต่างประเทศ ทรงมีพระปรีชาสามารถ<br />

ในภาษาอังกฤษเป็นอย่างดี ทรงเข้าพระทัยในอารยธรรมตะวันตก<br />

และนิยมความเป็นสากล ในขณะที่ไม่ทรงละเลยสิ่งที่เป็นวัฒนธรรมไทย<br />

ที่ดีงาม เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จสวรรคต<br />

อย่างกะทันหัน ด้วยประชวรโรคไข้มาลาเรียที่ทรงติดมาจากการเสด็จฯ<br />

ไปพิสูจน์การพยากรณ์เหตุการณ์สุริยุปราคา ที่หว้ากอ จังหวัด<br />

ประจวบคีรีขันธ์ในเดือนตุลาคม ค.ศ. 1868 พระองค์ต้องเสด็จขึ้น<br />

ครองราชย์ต่อมาอย่างไม่ได้เตรียมพระองค์เมื่อมีพระชันษาเพียง<br />

15 ปี การบริหารบ้านเมืองจึงตกอยู่ในความดูแลของผู้สำเร็จ<br />

ราชการคือ สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)<br />

ขุนนางผู้มีอิทธิพลอย่างกว้างขวางโดยมีกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ<br />

ดำรงตำแหน่งกรมพระราชวังสถานมงคลเป็นผู้คุมอำนาจ<br />

การจัดตั้งกระทรวงในส่วนกลางและระบบเทศภิบาลในภูมิภาค เป็นแกนหลักของ<br />

การปฎิรูประบบบริหารราชการแผ่นดิน (ทศวรรษ1890)<br />

อีกพระองค์หนึ่ง องค์พระมหากษัตริย์เองนั้นไม่มีอ ำนาจอะไรจริงจัง<br />

ทรงมีบทบาทเป็นเพียงฝ่ายค้านและฝ่ายนิติบัญญัติในการประชุม<br />

คณะรัฐบาล ที่มีขุนนางและวังหน้าซึ่งเปรียบเสมือนอุปราชเป็นใหญ่<br />

ตราบจนกระทั่งผู้มีอำนาจทั้ง 2 สิ้นอายุขัยใน ค.ศ. 1882 และ 1885<br />

ตามลำดับ พระองค์จึงทรงมีพระราชอำนาจอย่างเต็มที่ ก่อนช่วง<br />

เวลานี้ทรงใช้เวลาในการศึกษาเพื่อเตรียมรับภารกิจการเป็น<br />

พระมหากษัตริย์ ที่สำคัญคือการเสด็จประพาสเมืองอาณานิคมของ<br />

อังกฤษและฮอลันดา เพื่อเรียนรู้การบริหารบ้านเมืองแบบใหม่<br />

โดยเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวาใน ค.ศ. 1871 เพื่อประกาศตัวตน<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

179


ความเป็นชาติเอกราชของสยามต่อเจ้าผู้ครองอาณานิคมทั้ง 2<br />

ต่อมาใน ค.ศ. 1873 ทรงเสด็จประพาสอินเดียและพม่า ที่อินเดีย<br />

ทรงได้รับการถวายพระบรมสารีริกธาตุและพันธุ์พระศรีมหาโพธิ์<br />

จากพุทธคยาสู่สยาม ซึ่งเป็นการเริ่มต้นประเพณีการอันเชิญ<br />

พระบรมสารีริกธาตุจากอินเดียมาสยามอีกหลายครั้งต่อมา<br />

การเห็นความเจริญก้าวหน้าในอาณานิคมเหล่านี้ทำให้<br />

ตั้งพระทัยในการเสด็จประพาสยุโรปเพื่อทอดพระเนตรความเจริญ<br />

ของประเทศเจ้าอาณานิคมด้วยพระองค์เอง ซึ่งน่าเสียดายว่ากว่าจะ<br />

เสด็จไปได้ก็เป็นช่วงปลายรัชสมัยเสียแล้ว อย่างไรก็ตามเมื่อเสด็จ<br />

พระราชดำเนินกลับจากประพาสในช่วงต้นรัชกาลนี้แล้ว ทรงดำเนิน<br />

กิจกรรมสำคัญ 2 เรื่องในการยกเลิกการกดขี่ศักดิ์ศรีมนุษย์<br />

เรื่องแรกคือการโปรดเกล้าฯ ให้เปลี่ยนธรรมเนียมใหม่ ยกเลิก<br />

การหมอบคลานเข้าเฝ้าใน ค.ศ. 1873 โดยมีพระราชดำริว่า<br />

“...แลธรรมเนียมที่หมอบคลานกราบไหว้ในประเทศสยามนี้<br />

เห็นว่าเป็นการกดขี่แก่กันแข็งแรงนัก ผู้น้อยที่ต้องหมอบคลานนั้น<br />

ได้ความเหน็จเหนื่อยลำบาก เพราะจะให้ยศแก่ท่านผู้ใหญ่<br />

ก็การทำยศที่ให้คนหมอบคลานกราบไหว้นี้ไม่ทรงเห็นว่า<br />

มีประโยชน์แก่บ้านเมือง แต่สิ่งหนึ่งสิ่งใดเลย...” 9 เรื่องที่ 2 คือ<br />

การโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราชบัญญัติการเลิกทาสอย่างเป็น<br />

ขั้นเป็นตอนใน ค.ศ. 1874 โดยมีพระราชดำริว่า “...ซึ่งเป็น<br />

การเลิกธรรมเนียมโบราณที่อยุติธรรม ธรรมเนียมเดิมซึ่งเป็น<br />

ของชั่ว ประกอบแต่การกดขี่กันและกัน คนมีเงินข่มเหงคนจน<br />

คนวาสนามากข่มเหงคนวาสนาน้อยตามอย่างจารีตโบราณเดิม...” 10<br />

นอกจากนี้ยังทรงปรับปรุงระบบเก็บภาษีใหม่ใน ค.ศ. 1873 โดย<br />

การตั้งหอรัษฎากรพิพัฒน์ขึ้นตรงต่อพระมหากษัตริย์ เพื่อเป็น<br />

สำนักงานกลางเก็บรายได้ภาษีอากรเพียงแห่งเดียว ซึ่งทำให้บรรดา<br />

เจ้านายและขุนนางชั้นสูงเสียผลประโยชน์ โดยเฉพาะกรม<br />

พระราชวังบวรสถานมงคลซึ ่งมีส่วนในรายได้ภาษีถึง 1 ใน 3<br />

เกิดความขัดแย้งบาดหมางจนถึงขั้นเกือบจะรบกัน กรมพระราชวัง<br />

บวรวิไชยชาญหนีไปหลบในสถานทูตอังกฤษคุมเชิงกับวังหลวง<br />

แต่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเชิญสมเด็จ<br />

เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์เป็นผู้ไกล่เกลี่ย จนเหตุการณ์นี้<br />

ที่ภายหลังเรียกกันว่า “วิกฤตการณ์วังหน้า” ยุติลงได้ในเดือน<br />

กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1875<br />

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระมหากษัตริย์<br />

ที่เข้าพระทัยในความเปลี่ยนแปลงของโลกยุคใหม่และความล้าหลัง<br />

ในการปกครองและประเพณีวัฒนธรรมหลายประการของสยาม<br />

ทรงมีความรู้สมัยใหม่จากการศึกษากับพระอาจารย์ชาวต่างประเทศ<br />

ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ และจากการที่ได้ทรงทอดพระเนตรเห็นความ<br />

เปลี่ยนแปลงในเมืองอาณานิคมด้วยพระองค์เอง ดังนั้นเมื่อมีโอกาส<br />

ก็ทรงริเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ล้าหลังของสยาม ท่ามกลางการคัดค้าน<br />

ของขุนนางและเจ้านายจำนวนมากที่จะสูญเสียผลประโยชน์<br />

ประกอบกับการที่ไม่ได้ทรงมีพระราชอำนาจทั้งปวงในการปกครอง<br />

บ้านเมืองในช่วงครึ่งแรกของรัชกาล การเปลี่ยนแปลงต่างๆ ในสยาม<br />

จึงมีน้อยและเชื่องช้าอย่างน่าเสียดายใน 20 ปีแรกของรัชกาล<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในช่วงครึ่งแรกรัชกาลที่ 5<br />

(1868-ทศวรรษ 1890)<br />

ความนิยมอารยธรรมตะวันตกของพระบาทสมเด็จพระ<br />

จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มาจากการศึกษาวิชาการและขนบธรรมเนียม<br />

แบบตะวันตกจากพระอาจารย์ชาวตะวันตกตั้งแต่ทรงพระเยาว์<br />

ทรงรักความยุติธรรมและรังเกียจการกดขี่ข่มเหงของผู้มีอำนาจต่อ<br />

ผู้น้อย ที่มาจากธรรมเนียมไทยโบราณดังปรากฏในพระราชดำริ<br />

เรื่องยกเลิกการหมอบคลานและพระราชบัญญัติเกษียณอายุ<br />

ลูกทาสดังกล่าวมาแล้ว ขณะเดียวกันก็ทรงเห็นความเจริญ<br />

ก้าวหน้าของประเทศข้างเคียงสยามในการปกครองของมหาอำนาจ<br />

ทรงมีความเลื่อมใสที่จะพัฒนาสยามให้ก้าวตามให้ทัน ในบรรดา<br />

นวัตกรรมที่เป็นเครื่องหมายของความเจริญแบบตะวันตกนั้น<br />

180 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


้<br />

บทบาทของสถาปนิกผู้รับเหมาต่างประเทศ<br />

โจอาคิม กราสซี (1837-1904)<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกนั้นเป็นสิ่งหนึ่งที่ทรงนิยมอย่างยิ่ง<br />

เห็นได้จากอาคารที่ทรงสร้างตลอดรัชกาลนี้เป็นอาคารแบบตะวันตก<br />

เสียเกือบจะทั้งหมด อาคารเหล่านี้สร้างโดยสถาปนิกผู้รับเหมาชาว<br />

ยุโรป ที่จำลองอาคารแบบคลาสสิคและโรแมนติกแบบที่สร้าง<br />

ในสมัยศตวรรษที่ 19 ของยุโรปมาสร้างในสยาม มันเป็นอาคาร<br />

ที่มีคุณภาพแตกต่างกับอาคารแบบตะวันตกสมัยรัชกาลที่ 4<br />

ในแง่ความถูกต้องของลักษณะรูปแบบอาคารและการวางผัง<br />

ซึ่งเป็นแบบตะวันตกอย่างแท้จริง ไม่ใช่การดัดแปลงผังวัดไทย<br />

โบราณหุ้มเปลือกฝรั่งอย่างที่ทำในสมัยรัชกาลก่อน<br />

ผลจากสนธิสัญญาเบาว์ริงทำให้กรุงเทพฯ เป็นเมืองท่าที่<br />

เปิดกว้าง เชื้อเชิญชาวต่างประเทศทุกชาติเข้ามาประกอบธุรกิจ<br />

ค้าขาย สถาปนิกและผู้รับเหมาก็เป็นส่วนหนึ่งของคนกลุ่มนี<br />

ด้วย เพราะกรุงเทพฯกำลังเติบโตและมีโครงการก่อสร้างมากมาย<br />

ตอนช่วงต้นรัชกาลที่5 สถาปนิกคนสำคัญ ได้แก่ โจอาคิม กราสซี<br />

(Joachim Grassi), จอห์น คลูนิส (John Clunis) และสเตฟาโน<br />

คาร์ดู (Stefano Cardu) เป็นต้น กราสซี เกิดที่คาโปดิสเตรีย<br />

(Capodistria) ในประเทศสโลเวเนีย (Slovenia) ปัจจุบัน ไม่ทราบ<br />

แน่ชัดว่าเขาถือสัญชาติใดในขณะนั้น คลูนิสเป็นชาวอังกฤษ<br />

ส่วนคาร์ดูก็ไม่ทราบแน่ชัดว่าถือสัญชาติใด ถ้าจะนับจำนวนงานเป็น<br />

หลักแล้วต้องถือว่ากราสซีทำงานมากชิ้นที่สุด แต่ถ้าจะดูความ<br />

หรูหราแล้วต้องเป็นคลูนิส เพราะเป็นผู้ออกแบบพระที่นั่งจักรีมหา<br />

ปราสาท สถาปนิกทั้ง 3 ไม่ได้มาเริ่มต้นทำงานในสยาม แต่มา<br />

แสวงหาโอกาสหลังจากมีประสบการณ์จากประเทศเพื่อนบ้าน<br />

เอเชียมาพอสมควร กราสซีมาจากเซี่ยงไฮ้ในจีน ส่วนคลูนิสมาจาก<br />

สิงคโปร์ ทั้ง 3 นำความรู้และประสบการณ์จากดินแดนอาณานิคม<br />

รอบข้างสยามมาถ่ายทอดให้สยามได้สัมผัสรูปธรรมของความมี<br />

“ศิวิไลซ์” ผ่านสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิคและโรแมนติก สนอง<br />

พระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์สยาม พวกเขามีลักษณะการ<br />

ทำงานทั้งที่แข่งขันกัน และถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน เพราะทุกคนเป็นทั้ง<br />

สถาปนิกและผู้รับเหมาในขณะเดียวกัน ในการก่อสร้างครั้งหนึ่ง<br />

พวกเขาเริ่มด้วยการออกแบบแข่งขันกัน แต่แล้วก็กลับมาเป็นการ<br />

แข่งขันประมูลให้ได้ราคาก่อสร้างที่ต่ำที่สุดเพื่อให้ถูกเลือก และใน<br />

ที่สุดแล้วพวกเขาก็อาจจะประมูลเอาแบบผู้อื่นไปสร้าง เพราะ<br />

สามารถสร้างได้ในราคาที่ต่ำกว่าแบบของตนเอง ด้วยบทบาท<br />

หน้าที่ที่ขัดแย้งกันอยู่ในตัวเช่นนี้ ทำให้การดำเนินงานก่อสร้างไม่<br />

ตรงไปตรงมา และนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร<br />

งานก่อสร้างของรัฐบาลสยามที่ต้องการควบคุมทุกอย่างให้อยู่ใน<br />

กำกับ โดยการตั้งกรมโยธาธิการขึ้นมาใน ค.ศ. 1889 นำมาซึ่งการจบ<br />

บทบาทสถาปนิกและผู้รับเหมาผู้เชี่ยวชาญชาวยุโรปรุ่นแรกในที่สุด<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

181


ผลงาน<br />

บน ผังพื้นหมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทและบริวาร (1875)<br />

ล่าง หอคองคอเดีย (1871)<br />

ตอนเริ่มแรกรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารแบบตะวันตกตามแบบเดิม<br />

ในสมัยรัชกาลที่ 4 ที่สร้างพระอภิเนาว์นิเวศน์และพระนครคีรี<br />

ได้แก่ พระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ (1868-1873) และพระที่นั ่ง<br />

สมมติเทวราชอุปบัติ(1871-1873) ซึ่งสร้างโดยสถาปนิกไทย ดังนั้น<br />

ลักษณะแบบตะวันตกผสมไทยก็ยังปรากฏให้เห็นอยู่ จนเมื่อเสด็จ<br />

ประพาสชวาและสิงคโปร์ใน ค.ศ. 1871 ซึ่งเป็นครั้งแรกในการเสด็จ<br />

ประพาสต่างประเทศ อาคารแบบตะวันตกแบบใหม่จึงเกิดขึ้น<br />

อาคารรุ่นใหม่นี้ออกแบบโดยสถาปนิก-ผู้รับเหมาชาวต่างประเทศจริงๆ<br />

เป็นครั้งแรก ทั้งนี้เพื่อให้ได้สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่ถูกต้อง<br />

ใกล้เคียงของจริงในยุโรปมากขึ้น ตามพระราชนิยมอารยธรรมสากล<br />

ขององค์พระมหากษัตริย์ อาคารสำคัญในช่วงแรกนี้ ได้แก่<br />

หอคองคอเดียหรือศาลาสหทัยสมาคม (1871) ออกแบบโดยกราสซี<br />

ในแบบคลาสสิค ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีเสาระเบียงลอยตัวรับคานโค้ง<br />

ต่อเนื่องล้อมรอบ 4 ด้าน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่<br />

หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างตามอย่างสโมสรทหารในเมืองปัตตาเวีย<br />

182 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท (1875)<br />

ของเกาะชวา แม้ว่ากราสซีจะสร้างได้ไม่ใกล้เคียงกับของจริงเท่าไร<br />

แต่ก็ต้องยอมรับว่าหอคองคอเดียเป็นอาคารที่มีลักษณะแบบ<br />

คลาสสิคที่ใกล้เคียงกว่างานแบบรัชกาลที่ 4 มาก<br />

ขณะเดียวกันก็ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จอห์น คลูนิสออกแบบ<br />

พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร (1870) ในแบบคลาสสิคที่ตกแต่ง<br />

ภายในอย่างหรูหรา ผังพระที่นั่งใหม่นี้เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว<br />

จัดห้องเรียงไปตามแนวหน้ากระดานซึ่งแปลกจากประเพณีดั้งเดิมใน<br />

การวางผังพระมหามณเฑียรที่ประทับอย่างเห็นได้ชัด แต่ในทาง<br />

ตรงกันข้ามพระที่นั่งวโรภาษพิมานที่พระราชวังบางปะอินในจังหวัด<br />

พระนครศรีอยุธยา สร้างใน ค.ศ. 1872 โดยกราสซี แม้ว่าจะมี<br />

รูปลักษณ์ภายนอกโน้มเอียงไปทางคลาสสิคแบบฝรั่งเศสแต่ยังคง<br />

รักษาผังพระมหามณเฑียรแบบโบราณ โดยการจัดห้องในลักษณะ<br />

ต่อกันเป็นแถวตอน 11 อีก สะท้อนให้เห็นถึงราชประเพณีในการเข้าเฝ้า<br />

พระมหากษัตริย์ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วทั้งหมด<br />

ทีเดียว คลูนิสได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบพระที่นั่ง<br />

จักรีมหาปราสาทใน ค.ศ. 1875 เป็นพระที่นั่งที่ใหญ่ที่สุดในช่วง<br />

ครึ่งแรกของรัชกาล และมีรูปลักษณ์ที่ขัดกันอย่างรุนแรงระหว่าง<br />

รูปทรงอาคารแบบคลาสสิคแต่ครอบด้วยหลังคามหาปราสาทยอด<br />

แหลมแบบไทย จนได้รับสมญาว่า “ฝรั่งสวมชฎา” รูปทรงประหลาดนี้<br />

เกิดจากรสนิยมก้าวหน้าแบบตะวันตกขององค์ยุวกษัตริย์ที่แย้งกับ<br />

แนวคิดอนุรักษ์นิยมที่ต้องการรักษาจารีตประเพณีการก่อสร้าง<br />

พระที่นั่งในพระบรมมหาราชวังของผู้สำเร็จราชการ ผลที่ได้<br />

คือ รูปแบบที่มาจากการประนีประนอมที่น่าทึ่ง ยิ่งไปกว่านั้น<br />

เมื่อพิจารณารูปผังอาคารแล้ว เรายังเห็นร่องรอยการประนีประนอม<br />

ของการวางผังแบบจารีตประเพณีและตะวันตกอีกด้วย พระที่นั่ง<br />

จักรีมหาปราสาทมีผังเป็นรูปตัว T ที่มีส่วนหน้าเป็นรูปตัว E<br />

ส่วนที่เป็นแกนดิ่งของตัว T คือท้องพระโรง ที่วางตรงกลางตาม<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

183


แนวดิ่งตามโบราณราชประเพณี ขณะที่บรรดาห้องที่เรียงอยู่<br />

ด้านหน้านั้นเรียงตามแนวหน้ากระดาน เป็นห้องสำหรับประกอบราชกิจ<br />

แบบสมัยใหม่ เช่น ห้องทรงงาน ห้องรับแขก และโถงรับรองแขก<br />

เป็นต้น เป็นที่สำหรับพบปะสังสรรค์ สนทนาตามวัฒนธรรมสากล<br />

ที่มีการรับรองแขกด้วยโต๊ะและเก้าอี้นั่ง ไม่ใช่ท้องพระโรงใน<br />

พระมหามณเฑียรโบราณที่ขุนนางข้าราชการเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์<br />

ด้วยการหมอบอยู่กับพื้น พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทจึงเป็นเสมือน<br />

สถานที่แสดงความศิวิไลซ์ของพระราชสำนักสู่สากล<br />

วังบูรพาภิรมย์ ออกแบบโดยกราสซีใน ค.ศ. 1873 เป็นที่ประทับ<br />

ของสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ส่วนในทาง<br />

สังคมวังนี้เป็นสถานที่สำหรับการจัดงานหรูหราสำหรับบุคคลระดับ<br />

สูงสุดทั้งไทยและเทศคือพระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์<br />

ใกล้ชิดหรือไม่ก็บรรดาราชทูต จึงเป็นสถานที่อวดแขกบ้านแขกเมือง<br />

ที่สำคัญที่สุดภายนอกพระบรมมหาราชวัง ลักษณะอาคารเป็นแบบ<br />

พาลลาเดียน (Palladianism) หรือเรอเนสซองส์แบบอิตาเลียน<br />

(Italian Renaissance) ชนิดหนึ่ง จุดเด่นอยู่ที่มุขหน้าที่มีหน้าบัน<br />

แบบวิหารกรีก ผังอาคารเป็นรูปตัว U มีโถงกลางขนาดใหญ่ทั้งชั้นล่าง<br />

และชั้นบน เพื่อต้อนรับแขกเกียรติยศทั้งหลายจ ำนวนมากในคราวเดียว<br />

มุขชั้นบนเป็นระเบียงที่สามารถมองลงไปดูกิจกรรมต่างๆนอกอาคาร<br />

ที่จะแสดงกันในวาระสำคัญพร้อมกับการจัดเลี้ยงบนสนามหญ้าหน้าวัง<br />

รวมถึงมีการเต้นรำและการจัดกระบวนแห่ของทหารม้า นำด้วย<br />

ขบวนแตรวงอย่างเอิกเกริก นับเป็นสถานที่สำหรับการเรียนรู้และ<br />

อวดความศิวิไลซ์ชั้นแนวหน้าที่สุดแห่งหนึ่งของสยาม<br />

โรงทหารหน้า (กระทรวงกลาโหม) ออกแบบและสร้างโดย<br />

กราสซีระหว่าง ค.ศ. 1882-1884 เป็นอาคารบัญชาการและค่ายทหาร<br />

ของหน่วยกำลังทหารหลักรักษาพระนครที่เรียกว่า เหล่าทหารหน้า<br />

เป็นค่ายทหารที่ทันสมัยและใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ ที่สามารถ<br />

รองรับทหารได้ถึง 1 กองพล โดยไม่ต้องให้ทหารไปหาที่พักเอาเอง<br />

ตามวัด ทำให้ยากลำบากในการระดมพล ความพิเศษของอาคาร<br />

บน ผังพื้นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท<br />

ล่าง ผังพื้นพระมหามณเฑียร<br />

184 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน วังบูรพาภิรมย์ (1873)<br />

ล่าง กรมทหารหน้า (1882-1884)<br />

คือการเรียงพื้นที่ใช้งานขึ้นทางดิ่งสูงถึง3 ชั้น ซึ่งไม่มีค่ายทหารใด<br />

เคยทำมาก่อน ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าประกอบด้วยอาคาร<br />

แคบยาว 4 หลังต่อกันล้อมสนามใหญ่ภายใน ผังอาคารชั้นล่าง<br />

โถงกลางเป็นที่ฝึกฟันดาบ ตึกแถวด้านทิศเหนือติดหลักเมือง<br />

แถวนอกเป็นคอกม้า แถวในเป็นที่พักทหาร โรงพยาบาลทหารและ<br />

คลังเก็บยุทธภัณฑ์ ตึกแถวทิศใต้ตอนหน้าเป็นคลังยุทธภัณฑ์<br />

ตอนหลังเป็นโรงอาบน้ำซักเสื้อผ้า โรงงานทหารช่าง บ่อหัดว่ายน้ำ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

185


ที่ตั้งเครื่องสูบน้ำ หอนาฬิกา ตึกแถวทิศตะวันออกเป็นฉางเก็บข้าว<br />

และโรงครัว ผังชั้นที่ 2 มุขกลางเป็นห้องประชุม ตึกแถวทิศเหนือ<br />

เป็นที่อบรมทหารและที่พัก ตึกแถวทิศใต้เป็นที่อบรมทหารและคลัง<br />

ยุทธภัณฑ์ ผังชั้นที่ 3 มุขกลางเก็บสรรพาวุธ ตึกแถวทิศเหนือเป็น<br />

ที่พักทหารเช่นเดียวกับตึกแถวทิศใต้และทิศตะวันออก ตอนท้าย<br />

ของตึกแถวทิศใต้เป็นที่ตั้งถังเก็บน้ ำใส สนามภายในเป็นที่ฝึกซ้อมทหาร<br />

ลักษณะอาคารเป็นแบบพาลลาเดียนคลาสสิค (Palladianism)<br />

ชนิดผังสี่เหลี่ยมล้อมสนามภายในแบบพาลาโซเธียเน(Pallazo Thiene)<br />

แห่งเมืองวิเจนซา (Vicenza) จุดเด่นอยู่ที่มุขกลางหลังคาจั่ววิหารกรีก<br />

เสาชั้นบนเป็นชุดคานโค้ง 5 ช่วง ชั้นล่างเป็นเสากลมลอยตัวระเบียบ<br />

ดอริก (Doric) 6 ต้นตั้งบนฐานสูง ผนังอาคารด้านอื่นเรียบง่าย<br />

มีซุ้มปูนปั้นเหนือหน้าต่างเลียนแบบโครงสร้างคลาสสิคที่เรียบง่าย<br />

โครงสร้างอาคารเป็นแบบกำแพงรับน้ำหนัก พื้นชั ้นบนเป็นไม้<br />

หลังคาโครงสร้างไม้มุงกระเบื้องกาบกล้วยปั้นปูนทับแนวแบบจีน<br />

พื้นชั้นล่างสร้างติดดินแบบเก่าฐานรากไม่ปรากฏหลักฐานวิธีสร้าง<br />

แม้ว่าจะเป็นอาคารที่สร้างอย่างเรียบๆ ง่ายๆ แต่ด้วยขนาดและ<br />

สัดส่วนที่ใหญ่โตพอเหมาะพอดีจึงทำให้อาคารนี้ดูมีสง่าราศี<br />

นอกจากนี้การวางผังที่สามารถรวบรวมเอาความต้องการหลายหลาก<br />

ทั้งปวงของค่ายทหารมาไว้ในตึกเดียวก็ท ำให้อาคารนี้สนองการใช้งาน<br />

ได้โดดเด่นอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน<br />

ผังพื้นโรงทหารหน้า<br />

186 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ศาลสถิตยุติธรรมยุคแรก (1882)<br />

ศาลสถิตยุติธรรม อาจจะออกแบบโดยคลูนิสและสร้างโดย<br />

กราสซีใน ค.ศ. 1882 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

เสด็จพระราชดำเนินมาวางศิลาฤกษ์อาคารด้วยพระองค์เอง แสดงถึง<br />

ความสำคัญของระบบศาลและกฎหมายสากลที่สยามยอมรับว่า<br />

เป็นความศิวิไลซ์ที่จะขาดเสียมิได้ แต่อาคารหลังนี้กลับเป็นความ<br />

ล้มเหลวในการก่อสร้างที่ตรงข้ามกับโรงทหารหน้าที ่กล่าวไปแล้ว<br />

อาคารสร้างในแบบคลาสิคบนผังรูปตัว E จุดเด่นอยู่ที่หอคอยกลาง<br />

อาคารที่เป็นหอนาฬิกาก่ออิฐ ประดับยอดบุษบกสัมฤทธิ์แบบไทย<br />

ที่หล่อจากเมืองเวนิส ในอิตาลี12 รวมความสูงทั้งสิ้นถึง 50 เมตร<br />

ขณะที่หลังคาส่วนอื่นเป็นหลังคาคอนกรีตแบนที่เรียกว่าหลังคาตัด<br />

เมื่อสร้างเสร็จแล้วอาคารหลังนี้กลายเป็นเป้าสายตาที่โดดเด่นที่สุด<br />

แห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ อยู่ถึง 10 ปี ก็ถึงกาลอวสานเมื่อฐานหอคอย<br />

ก่ออิฐร้าวลึกจนถึงขั้นจะถล่มลงมา แสดงให้เห็นถึงการขาดความ<br />

ใส่ใจในปัญหาดินที่อ่อนของกรุงเทพฯ ที่ไม่เหมาะกับการสร้าง<br />

หอคอยสูงที่มีน้ำหนักมากเช่นนี้ ขณะที่หลังคาคอนกรีตก็รั่วเสียจน<br />

ใช้งานไม่ได้ จนรัฐบาลต้องสั่งให้รื้อหอคอยลงพร้อมกับทำหลังคาใหม่<br />

เป็นทรงปั้นหยามุงกระเบื้องแทน ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศ<br />

ร้อนชื้น มีฝนชุกแบบสยาม ความเสียหายครั้งนี้แสดงความผิดพลาด<br />

ครั้งสำคัญของสถาปนิกผู้รับเหมาอิสระชาวยุโรปและเป็นสาเหตุสำคัญ<br />

ของการเปิดศักราชใหม่ของการก่อสร้างอาคารในภาคราชการ<br />

ซึ่งจะมีการตั้งกระทรวงโยธาธิการมาเป็นผู้รับผิดชอบและมีสถาปนิก-<br />

วิศวกรยุโรปที่เป็นข้าราชการเป็นผู้ปฏิบัติงานในทศวรรษที่ 1890<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

187


ช่วงครึ่งหลังรัชกาลที่ 5 (1890-1910)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินตั้งแต่ทศวรรษที่ 1890-1910<br />

ช่วงเวลาครึ่งหลังของรัชกาลที่5 ถือเป็นเวลาแห่งวิกฤติของ<br />

บ้านเมือง แต่พระมหากษัตริย์สามารถสร้างโอกาสใหม่ๆ ให้กับ<br />

ประเทศชาติได้บนวิกฤตการณ์เหล่านั้น วิกฤตการณ์สำคัญเริ่มจาก<br />

เหตุการณ์ภายในประเทศก่อน ใน ค.ศ. 1885 (ร.ศ.103) บรรดากลุ่ม<br />

เจ้านายและขุนนางชั้นผู้ใหญ่นำโดยพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่น<br />

นเรศร์วรฤทธิ์ เข้าชื่อกันถวายหนังสือกราบบังคมทูลเสนอให้<br />

ปรับปรุงการปกครองประเทศโดยมีรัฐธรรมนูญ และใช้ระบบบริหาร<br />

ราชการแผ่นดินโดยคณะรัฐมนตรี แต่ยังไม่ต้องมีการเลือกตั้งหรือ<br />

มีรัฐสภา แต่ควรให้สิทธิเสรีภาพและความเสมอภาคแก่ราษฎร<br />

ขณะที่พระมหากษัตริย์ยังคงเป็นประมุขของประเทศ เรียกระบอบ<br />

การปกครองนี้ว่า “คอนสติตูชาแนลโมนากี” 13 โดยให้เหตุผลว่า<br />

จะเป็นระบอบที่ทำให้ประเทศชาติเจริญพัฒนาได้อย่างญี่ปุ่น<br />

โดยไม่ต้องอาศัยการดำเนินนโยบายต่างประเทศแบบเอาใจ<br />

มหาอำนาจทุกฝ่ายเพื่อให้ต่างชาติเมตตา แต่พระบาทสมเด็จ<br />

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอนี้ และมี<br />

พระราชาธิบายว่าการบริหารราชการแผ่นดินในสมัยของพระองค์<br />

ที่ผ่านมานั ้น อำนาจอยู่ในมือของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินและ<br />

กรมพระราชวังบวรสถานมงคลที่ทรงเป็นอุปราช ส่วนพระองค์นั้น<br />

ในฐานะที ่ยังทรงพระเยาว์กลับต้องทำหน้าที่เป็นฝ่ายค้านและ<br />

นิติบัญญัติในรัฐบาล ขณะนี้เมื่อทั้ง 2 ท่านสิ้นไปแล้ว พระองค์ต้อง<br />

แบกภาระทั้งหมดเอง ทั้งงานบริหารและงานนิติบัญญัติ ทำให้มี<br />

พระราชภารกิจมากเกินไป ทางแก้ปัญหาที่ถูกต้องคือต้องปฏิรูป<br />

รัฐบาลหรือ “คอเวอนเมนต์รีฟอม” 14 แบ่งเบาพระราชภารกิจในการ<br />

บริหารประเทศออกไปให้กับเสนาบดีหลายๆ คน เหตุผลนี้นำมา<br />

ซึ่งการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินโดยแบ่งการบริหารออกเป็น<br />

กรมใหญ่รับผิดชอบหน้าที่เฉพาะเรื่องไม่ซ้ำกันตั้งแต่ ค.ศ. 1888<br />

พอถึง ค.ศ. 1892 ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกฐานะทั้งหมด<br />

เป็นกระทรวงรวมทั้งสิ้น 12 กระทรวง ในส่วนภูมิภาคโปรดเกล้าฯ<br />

ให้รวมเมืองต่างๆ ในภูมิภาคเดียวกันเข้าด้วยกันเป็นมณฑลเรียกว่า<br />

ระบบมณฑลเทศาภิบาล ขึ้นกับกระทรวงมหาดไทย เป็นการรวม<br />

อำนาจการปกครองทั้งหมดเข้าสู่ศูนย์กลางภายใต้การบริหารของ<br />

พระมหากษัตริย์อย่างสมบูรณ์เป็นครั้งแรก ทำให้สยามมั่นคงจาก<br />

ภายในขึ้นเป็นอันมาก แต่ในขณะเดียวกันนั้นเองวิกฤตการณ์จาก<br />

ภายนอกก็เกิดขึ้น จากการเรียกร้องดินแดนที่เป็นหัวเมือง<br />

ประเทศราชของสยามให้ไปอยู่ภายใต้การปกครองของมหาอำนาจ<br />

ทั้งอังกฤษและฝรั่งเศส เริ่มตั้งแต่การเสียดินแดนลาวให้กับฝรั่งเศส<br />

ใน ค.ศ. 1867 สมัยรัชกาลที่4 และการบีบบังคับนี้ได้ดำเนินสืบเนื่อง<br />

มาตลอดสมัยรัชกาลที่5 ถึงกระนั้นสยามก็ไม่ได้เสียเอกราชไปเพราะ<br />

อังกฤษและฝรั่งเศสทำสนธิสัญญารับรองเอกราชอธิปไตยของสยาม<br />

ใน ค.ศ. 1896 วิกฤตการณ์การแย่งดินแดนสยามนั้นได้พุ่งถึงจุดสูงสุด<br />

ใน ค.ศ. 1893 (ร.ศ. 112) เมื่อฝรั่งเศสต้องการดินแดนลาวของสยาม<br />

ไปปกครอง แต่สยามเมินเฉย ฝรั่งเศสจึงส่งเรือรบเข้ากรุงเทพฯ<br />

และสามารถยิงฝ่าแนวป้องกันของหมู่เรือสยามและป้อมปืนที่<br />

สมุทรปราการ เข้ามาลอยลำได้ถึงหน้าสถานทูตฝรั่งเศสที่บางรัก<br />

พร้อมหันปากกระบอกปืนไปที่พระบรมมหาราชวัง สยามจึงต้องยอม<br />

ยุติการสู้รบยอมรับความต้องการของฝรั่งเศส เหตุการณ์นี้ทำให้<br />

สยามตระหนักว่าการป้องกันประเทศที่สำคัญสำหรับประเทศเล็กนั้น<br />

ต้องดำเนินการทางการทูตเป็นหลักพร้อมกับการพัฒนาประเทศ<br />

ในด้านต่างๆ ให้เข้มแข็งตามโครงสร้างการบริหารใหม่ที่ตั้งขึ้นมา<br />

การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินตามโครงสร้างการบริหารใหม่<br />

ทำให้เกิดโครงการก่อสร้างขึ้นมากมาย โดยเฉพาะงานสาธารณูปโภค<br />

เช่น การสร้างทางรถไฟ การขุดคลอง การตัดถนนในพระนคร และ<br />

การสร้างอาคารสถานที่ราชการ เช่น กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ<br />

โรงเรียน ศาล และศาลากลางจังหวัด นอกจากนี้ยังรวมถึง<br />

พระราชวังและวังต่างๆ อีกมากมาย งานเหล่านี้ต้องใช้งบประมาณ<br />

188 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


มหาศาล และเป็นเพราะรายได้จากพืชผลการเกษตรโดยเฉพาะข้าว<br />

ที่เพิ่มขึ้นทุกปีทั้งปริมาณและราคาต่อหน่วย<br />

15 ทำให้สยามมีเงินมากพอ<br />

ที่จะนำมาใช้จ่ายในการสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ เหล่านี้รวมทั้ง<br />

วังเจ้านายทั้งหลายได้<br />

บทบาทของสถาปนิกต่างประเทศรุ่นใหม่ในการสร้างสรรค์<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในช่วงครึ่งหลังรัชกาลที่ 5<br />

การประมูลงานและการก่อสร้างอาคารแบบเดิมตอนต้นรัชกาล<br />

ที่มีลักษณะผลประโยชน์ทับซ้อนของสถาปนิกที่เป็นผู้รับเหมาได้ใน<br />

เวลาเดียวกัน รวมทั้งการสร้างอาคารสำคัญอย่างศาลสถิตยุติธรรม<br />

จนพังเสียหายขนาดที่ต้องซ่อมใหม่ทั้งหลัง เป็นสาเหตุสำคัญหนึ่ง<br />

ที่นำมาสู่การตั้งกระทรวงโยธาธิการขึ้นใน ค.ศ. 1888 ที่รัฐบาลสยาม<br />

ต้องการสถาปนิก วิศวกรผู้เชี่ยวชาญที่ปราศจากผลประโยชน์ทับซ้อน<br />

และสามารถสนองความต้องการของรัฐบาลได้อย่างเต็มที่มา<br />

ปฏิบัติงานแทน สถาปนิก วิศวกรรุ่นใหม่นี้มีคุณสมบัติแตกต่างจาก<br />

สถาปนิก-ผู้รับเหมารุ่นก่อนคือ พวกเขาเป็นคนรุ่นใหม่อายุน้อย<br />

ที่ผ่านการศึกษาในระบบมหาวิทยาลัยหรือสถาบันวิจิตรศิลป์ชั้นสูง<br />

ที่มีชื่อเสียงของยุโรป หลายคนมาสยามเพื่อเริ ่มต้นชีวิตสถาปนิก<br />

วิศวกร คนเหล่านี้จึงเปี่ยมล้นด้วยพลังงานที่จะทำงานให้สยามเพื่อ<br />

ฝากฝีมือตนเองไว้ในดินแดนไกลโพ้นจากบ้านเกิด<br />

สถาปนิก วิศวกรคนสำคัญของกรมโยธาธิการ (ต่อมายกฐานะ<br />

เป็นกระทรวง) ในยุคเริ่มต้นนี้ ได้แก่ นายคาร์โล อัลเลอกรี<br />

(Carlo Allergri) ชาวอิตาเลียน สำเร็จการศึกษาโรงเรียนเทคนิค<br />

แห่งมิลานและมหาวิทยาลัยปาเวีย (University of Pavia) เป็นหัวหน้า<br />

วิศวกรเริ่มรับราชการตั้งแต่ค.ศ. 1890 เป็นผู้รับผิดชอบการคำนวณ<br />

โครงสร้างและการจัดการก่อสร้างเกือบทั้งหมดของกรมโยธาธิการ<br />

จนได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลสยามเป็นอย่างมาก นายมาริโอ<br />

ตามานโย (Mario Tamagno) ชาวอิตาเลียน สำเร็จการศึกษาจาก<br />

สถาบันศิลปะอัลเบอร์ตินา (Accademia Albertina) แห่งเมืองตูริน<br />

คาร์โล อัลเลอกรี (1862-1938) มาริโอ ตามานโย (1877-1941) คาร์ล ดือห์ริ่ง (1879-1941)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

189


Palazzina Scott,Turin 1902 โดย Fenoglio<br />

ตัวอย่างสถาปัตยกรรม Stile Liberty<br />

(Turin) เข้ามารับราชการเป็นสถาปนิกตั้งแต่ค.ศ. 1900 และลงนาม<br />

ในสัญญาจ้างนาน 25 ปี กับรัฐบาลสยาม เป็นหัวหน้าสถาปนิกของ<br />

กรมโยธาธิการที่ออกแบบอาคารสำคัญตอนปลายสมัยรัชกาล<br />

ที่ 5 ถึงตลอดสมัยรัชกาลที่ 6 เกือบทั้งหมด นายคาร์ล ดือห์ริ่ง<br />

(Karl DÖhring) ชาวเยอรมัน สำเร็จการศึกษาจากสถาบันเทคโนโลยี<br />

หลวงแห่งเบอร์ลิน ชาร์ลอทเทนเบอร์ก (Koniglich Technische<br />

Hochschule Berlin-Charlottenburg) เริ่มรับราชการที่กรมรถไฟ<br />

หลวงตั้งแต่ ค.ศ. 1906 ออกแบบอาคารสำคัญและพระราชวังไว้<br />

หลายหลัง รวมทั้งเขียนตำราสถาปัตยกรรมสยาม 2 เล่ม ว่าด้วย<br />

พระเจดีย์และพระอุโบสถ และได้เสนอต่อมหาวิทยาลัยในเยอรมัน<br />

จนได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยทั้ง 2 แห่งนั้น นับได้ว่าเป็น<br />

นักวิชาการต่างชาติคนแรกที่ศึกษาและเขียนหนังสือเรื่อง<br />

สถาปัตยกรรมไทยอย่างเป็นระบบแบบสมัยใหม่<br />

สถาปนิก-วิศวกรเหล่านี้ได้ช่วยกันเนรมิตสถาปัตยกรรมแบบ<br />

ตะวันตกทั้งแบบเก่าและแบบใหม่ให้กับกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่<br />

ในสยาม พระราชวังและวังหลายแห่งที่สร้างในกรุงเทพฯโดยใช้ลักษณะ<br />

ผสมผสาน (Eclecticism) ของสถาปัตยกรรมคลาสสิค และโรแมนติก<br />

หลายยุคหลายสมัย รวมทั้งแบบที่น่าสนใจที่สุดคือสถาปัตยกรรม<br />

แบบอาร์ตนูโว (Art Nouveau) ที่แพร่หลายอยู่ในยุโรปตอนช่วงเปลี่ยน<br />

ศตวรรษทั้งในแบบของอิตาเลียนที่เรียกว่า สติลลิเบอร์ตี้ (Stile<br />

Liberty) หรือสติลฟลอริอาเล (Stile Floreale) และในแบบของเยอรมัน<br />

ที่เรียกว่า จุงเกนสติล(Jugendstil) มาสร้างไว้ในสยามอย่างน่าดู<br />

จนเป็นเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในต้นศตวรรษ<br />

ที่20 ของสยาม นอกจากนี้พวกเขายังได้ริเริ่มการก่อสร้างอาคารด้วย<br />

คอนกรีตเสริมเหล็กและเหล็ก รวมทั้งเทคนิคการก่อสร้างที่ก้าวหน้า<br />

เช่น ระบบฐานรากแผ่คอนกรีตวางบนเสาเข็ม ที่ช่วยเพิ่มความมั่นคง<br />

แข็งแรงให้กับโครงสร้างพระราชวังขนาดมหึมาที่ตั้งบนดินที่ชุ่ม<br />

ด้วยน้ำของกรุงเทพฯ อีกด้วย งานของพวกเขาที่กรมโยธาธิการเป็น<br />

การวางรากฐานระบบการออกแบบ เขียนแบบ ประมาณราคาและ<br />

ควบคุมการก่อสร้างที่มีมาตรฐานให้กับสยามเป็นครั้งแรกซึ่งได้สืบเนื่อง<br />

และพัฒนาต่อมาจนทุกวันนี้สำหรับวงการสถาปนิก วิศวกรในระบบ<br />

ราชการไทย<br />

190 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผลงาน<br />

มาริโอ ตามานโยและคณะสถาปนิก วิศวกรแห่งกรมโยธาธิการ<br />

น่าจะกล่าวได้โดยไม่ผิดว่ามาริโอตามานโยเป็นผู้ออกแบบอาคาร<br />

ที่มีคุณภาพจำนวนมากที่สุดในช่วงเวลาครึ่งหลังของรัชกาลที่ 5<br />

ผลงานส่วนใหญ่ของเขาเป็นพระราชวังและวังของเจ้านายสยาม<br />

เขาเป็นผู้ริเริ่มนำสถาปัตยกรรมแบบอาร์ตนูโว (หรือที่เรียกว่าสติล<br />

ลิเบอร์ตี้ของอิตาลีหรือสติลฟลอริอาเลของตูริน)มาเผยแพร่ในสยาม<br />

ตัวอย่างเดียวที่จะกล่าว ณ ที่นี้คือพระที่นั่งอัมพรสถานที่สร้าง<br />

ใน ค.ศ. 1901-1905 เป็นการปฏิวัติสถาปัตยกรรมบ้านพักอาศัย<br />

แบบเดิมๆ เขาวางผังอาคารแบบอสมมาตรในลักษณะผังรูปตัว H<br />

ซึ่งสามารถแบ่งพื้นที่ตามผังได้เป็น 4 ส่วน คือ บน-ล่างของ<br />

เส้นแกนนอนของผัง และซ้าย-ขวาของเส้นแกนดิ่ง แต่ละส่วนประกอบ<br />

ด้วยห้องขนาดใหญ่ 1 ห้อง ขนาดเล็ก 2 ห้อง และพื้นที่ส่วนบริการ<br />

บน ผังพื้นพระที่นั่งอัมพรสถาน<br />

ล่าง พระที่นั่งอัมพรสถาน (1901-1905)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

191


1 ห้อง จากกรอบการออกแบบนี้เขาสามารถปรับให้มีห้องรับแขก-<br />

พักผ่อน-ทรงงาน-เสวย ขนาดใหญ่ได้ 1 ห้อง ห้องบรรทม 2 ห้อง<br />

ห้องน้ำหรือห้องบันได 1 ห้อง ตามอัธยาศัยหรือเหตุผลความจำเป็น<br />

อย่างง่ายดาย อาคารแบบนี้จึงสามารถรองรับการอยู่อาศัยได้หลาย<br />

ครอบครัวในอาคารเดียวกัน คล้ายเรือนชุดพักอาศัยในปัจจุบัน<br />

นอกจากนี้เขาใช้วิธีออกแบบพื้นที่สองชั้นเสมอคือ พื้นที่ใช้งานอยู่<br />

ภายในล้อมรอบด้วยระเบียงภายนอก ซึ่งเหมาะสมกับภูมิอากาศ<br />

ร้อนชื้นที่ต้องการการถ่ายเทอากาศที ่ดีเสมอ เราจะพบวิธีวางผัง<br />

เช่นนี้อีกที่บ้านสุริยานุวัตร (1906-1908) สืบเนื่องไปจนถึงวังและ<br />

คฤหาสน์ในสมัยรัชกาลที่ 6 รูปแบบอาร์ตนูโวของพระที่นั่งอัมพร<br />

สถานเป็นส่วนผสมของคฤหาสน์ชนบทแบบวิลล่า (villa) ในยุโรป<br />

และมุขโค้งแบบหลายวงของศาสนสถานยุคกลาง และเติมแต้มสีสัน<br />

ด้วยลวดลายเขียนสีพรรณพฤกษาที่สดใส คาดเป็นแถบยาวรอบ<br />

ด้านบนผนัง ทำให้พระที่นั่งองค์นี้ดูอ่อนโยนแต่แฝงด้วยความมั่นคง<br />

จากโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กที่ทันสมัย<br />

บน บ้านสุริยานุวัตร (1906-1908)<br />

ล่าง ผังพื้นบ้านสุริยานุวัตร<br />

งานออกแบบวังบางขุนพรหม (1903-1905) ของสมเด็จ<br />

เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ฯ มาในอีกแนวหนึ่ง มันกลับไปหาแบบ<br />

สถาปัตยกรรมบาร็อคของอิตาลีตอนเหนือโดยเฉพาะพาลาสโซคาริยาโน<br />

(Palazzo Carignano) 16 แห่งตูริน ทั้งนี้เพื่อตอบสนององค์เจ้าของวังที่<br />

192 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน วังบางขุนพรหม (1903-1905)<br />

ล่าง ผังพื้นวังบางขุนพรหม<br />

ทรงนิยมงานแบบบาร็อคในเยอรมัน (ซึ่งรับอิทธิพลดั้งเดิมมาจากอิตาลี)<br />

เพราะเคยประทับศึกษาวิชาทหารอยู่หลายปี ในงานนี้นอกจากการ<br />

ตกแต่งภายในที่วิจิตรแบบบาร็อคกลายๆ แล้ว ตามานโยพยายาม<br />

เน้นความสนใจไปที่บันไดใหญ่กลางอาคารในแบบบาร็อคที่หรูหรา<br />

ที่น่าจะทำตามบันไดของพระที่นั่งบรมพิมาน (1897-1903)<br />

ที่ออกแบบโดยสถาปนิกอีกคนหนึ่งที่ชื่อคาร์ล ซันเดรคซกี (Carl<br />

Sandreckzki) ผลงานต่างกรรมต่างวาระของตามานโยทำให้<br />

ดูเหมือนว่าสถาปนิกหนุ่มผู้นี้มีความสามารถเลอเลิศพอที่จะท ำงาน<br />

ที่ยิ่งใหญ่กว่านี้เพื่อสนองพระราชประสงค์ของพระมหากษัตริย์<br />

สยามได้ เขาจึงได้รับความไว้วางใจจากรัฐบาลสยามให้ออกแบบ<br />

พระที่นั่งอนันตสมาคมท้องพระโรงแห่งพระราชวังดุสิต ซึ่งจะเป็น<br />

พระที่นั่งที่ใหญ่ที่สุดในสยาม ตามานโยได้เสนอสถาปัตยกรรม<br />

เรอเนสซองส์แบบอิตาเลียนซึ่งเป็นที่พอพระราชหฤทัย พระที่นั่ง<br />

องค์นี้จึงเริ่มสร้างใน ค.ศ. 1908 แต่ต้องใช้เวลาสร้างต่อไปอีก 8 ปี<br />

ข้ามไปถึงรัชกาลที่ 6 จึงสำเร็จ เพราะขนาดที่ใหญ่โตและความยุ่ง<br />

ยากในการออกแบบและสร้างฐานรากแบบทุ่นกลวงวางบนเข็ม<br />

คอนกรีตยาว 8-10 เมตร ตีเป็นตารางปูพรมถึง 501 ต้น เพื่อให้<br />

น้ำหนักมหาศาลของอาคารสามารถแผ่กระจายไปบนดินเลนของ<br />

พระราชวังดุสิตได้โดยไม่จมลงไป ความสามารถของตามานโยและ<br />

คณะทำให้เขาได้รับการต่อสัญญาจ้างไปจนถึงสิ้นสมัยรัชกาลที่ 6<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

193


คาร์ล ดือห์ริ่ง สถาปนิกแห่งกรมรถไฟหลวง<br />

การรถไฟเป็นสาธารณูปโภคสำคัญทางคมนาคมและ<br />

ยุทธศาสตร์ รัฐบาลสยามจึงมีวัตถุประสงค์ที่จะเร่งสร้างโครงข่าย<br />

ทางรถไปทั่วราชอาณาจักรที่กว้างใหญ่ แต่ไม่มีเส้นทางคมนาคม<br />

ที่ทันสมัยทางบกเลยทั่วประเทศ กรมรถไฟหลวงที่ประกอบด้วย<br />

คณะวิศวกรเยอรมันจึงถูกจ้างมาเพื่อตอบสนองวัตถุประสงค์<br />

คาร์ล ดือห์ริ่ง สถาปนิกชาวโคโลน (Cologne) เป็นหนึ่งในทีม<br />

วิศวกรดังกล่าวที่เข้ามารับราชการใน ค.ศ. 1906 เขาเป็นดาวเด่น<br />

อีกคนหนึ่งของวงการสถาปนิกสยาม แม้ว่างานที่ทำสำเร็จจะมี<br />

ไม่มากเหมือนตามานโย ส่วนหนึ่งก็เพราะเขาไม่ได้มีคณะท ำงานที่<br />

แข็งแกร่งแบบทีมอิตาเลียน และขอบเขตการทำงานที่จำกัดกว่า<br />

ของกรมรถไฟหลวง รวมทั้งเนื้อแท้ความเป็นนักวิชาการของเขา<br />

ที่ใช้เวลาไปกับการศึกษาสถาปัตยกรรมไทยอย่างลุ่มหลง อาคาร<br />

ที่สร้างเสร็จของเขาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีเพียงหลังเดียวคือ<br />

สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ใน ค.ศ. 1909 ที่ใช้ไวยกรณ์แบบจุงเก้นสติล<br />

(Jungendstil) ที่รุนแรงชัดเจน จากรูปด้านหน้าที่ใช้โค้งรูปหูตะกร้า<br />

2 ชั้น เสียบทะลุถึงกันด้วยเสาเหลี่ยมลอยตัว 4 ต้นบนผนังก่ออิฐ<br />

อวดผิว 17 เป็นอาคารที่น่าจะไปเปิดตัวอยู่ในยุโรปแทนที่จะเป็น<br />

อุตรดิตถ์ในสยามที่ห่างไกล ในโครงการก่อสร้างพระราชวังราม<br />

ราชนิเวศน์ (วังบ้านปืน) จังหวัดเพชรบุรีใน ค.ศ. 1910 ซึ่งเป็น<br />

บน สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ (1909)<br />

ซ้าย ผังพื้นสถานีรถไฟอุตรดิตถ์<br />

194 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน พระราชวังรามราชนิเวศน์<br />

(1910-1918)<br />

ซ้าย ผังพื้นพระราชวังรามราชนิเวศน์<br />

ปีสุดท้ายของรัชกาล เขาออกแบบพระราชวังโดยใช้ผังแบบ<br />

ดอกจิก 3 วงที่มุขทิศตะวันออก ที่แสดงเอกลักษณ์ของโบสถ์<br />

สมัยโรมาเนสก์แห่งแคว้นไรน์(Rhenish Romanesque three foils<br />

plan) มาประยุกต์เข้ากับรูปด้านแบบจุงเก้นสติล (Jungendstil)<br />

ที่โดดเด่นด้วยโค้งหูตะกร้าและมีหอคอยแบบยอดปราสาทขอม<br />

ประยุกต์ประดับ 18 แบบเดียวกับที่เขาเคยทำมาแล้วในโครงการ<br />

ออกแบบสถานีรถไฟกรุงเทพฯ ที่หัวลำโพง 19 ใน ค.ศ. 1906 เพราะ<br />

ความประหลาดเกินกว่าที่ชาวสยามจะเข้าใจ งานที่หัวลำโพง<br />

ของเขาจึงไม่ได้สร้าง ต้องหลีกทางให้แบบของตามานโยได้สร้างแทน<br />

ส่วนแบบพระราชวังรามราชนิเวศน์ถูกแก้ไขรูปด้านจนไม่เหลือ<br />

เค้าเดิมแบบจุงเก้นสติล (Jungendstil) และมาเสร็จเอาใน ค.ศ. 1918<br />

ในสมัยรัชกาลที่6 ท่ามกลางปัญหางบประมาณที่ขัดสนตลอดเวลา<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

195


ความสำเร็จทางสถาปัตยกรรมของดือห์ริ่งมีผู้กล่าวถึงน้อยมาก<br />

และน้อยไปกว่านั้นคือผลงานศึกษาสถาปัตยกรรมสยาม 2 เล่ม<br />

ของเขาว่าด้วยพระเจดีย์และพระอุโบสถ ซึ่งทำให้เขาได้รับ<br />

ปริญญาเอกจากสถาบันเทคโนโลยีหลวงแซกโซนี่แห่งเดรสเด็น 20<br />

(Koniglich Sachsische Technischer Hochschule zu Dresden)<br />

ใน ค.ศ. 1912 และจากมหาวิทยาลัยเอียลังเก้น 21 (Universitat<br />

Erlangen) ใน ค.ศ. 1914 ตามลำดับ เป็นงานศึกษาสถาปัตยกรรม<br />

สยามโดยยึดหลักการเปรียบเทียบผัง องค์ประกอบ และลวดลาย<br />

ประดับอย่างเป็นระบบเป็นครั้งแรก แม้ข้อจำกัดคือจำนวน<br />

กรณีศึกษาที่น้อยและมีเฉพาะที่ตั้งในกรุงเทพฯ และเพชรบุรี<br />

เป็นส่วนใหญ่ แต่ก็มากพอที่จะชี้ให้เห็นจุดเด่นในการวางผัง<br />

พระอุโบสถที่สำคัญของสยาม และรูปแบบสำคัญของเจดีย์<br />

ภาคกลางของสยามได้ดีทีเดียว แต่เนื่องจากตำราเขียนเป็นภาษา<br />

เยอรมัน จึงมีผู้ได้รับประโยชน์จากงานศึกษาของเขาน้อยมาก<br />

โดยเฉพาะบรรดาชาวไทยในสยามที่เขาใช้เวลาช่วงหนึ่งใน<br />

ชีวิตทำงานสถาปัตยกรรมแบบใหม่ พร้อมกับวิจัยภาคสนาม<br />

สถาปัตยกรรมโบราณไปพร้อมๆ กัน<br />

อาคารสาธารณะอื่นๆ ช่วงครึ่งหลังรัชกาล<br />

อาจกล่าวได้ว่าสยามเพิ่งจะมีอาคารสาธารณะจริงๆ ที่ไม่ใช่<br />

วัดสำหรับ “บริการ” ประชาชนทั่วไป ในสมัยรัชกาลที่ 5 นี่เอง<br />

อาคารสาธารณะส่วนใหญ่คือสถานที่ราชการที่มีกิจกรรมใกล้เคียง<br />

กับการกำกับดูแลมากกว่าบริการ อาคารที่สร้างอย่างใหญ่โต ได้แก่<br />

กระทรวง ทบวง กรมต่างๆ ที่ตั้งขึ้นตามโครงสร้างการปฏิรูปการ<br />

ปกครองแผ่นดิน ส่วนใหญ่สร้างตามระเบียบมาตรฐานอาคารคลาสสิค<br />

คือมีผังสมมาตรรูปตัว E, U หรือสี่เหลี่ยมล้อมสนามภายใน รูปด้าน<br />

เน้นมุขหน้าที่มีหน้าบันแบบจั่ววิหารกรีกรับด้วยเสาลอยตัวหรือเสาอิง<br />

ตามระเบียบสถาปัตยกรรมกรีก-โรมัน อย่างไรก็ตามอาคารเหล่านี้<br />

ไม่ได้สร้างอย่างประณีตเท่ากับวังหรือคฤหาสน์ของชนชั้นสูง<br />

เน้นการใช้งานและให้ดูมีสง่าราศีแบบอาคารตะวันตกพอสมควรแก่<br />

การเป็นตัวแทนอำนาจรัฐบาลจากกรุงเทพฯ อาคารเหล่านี้ ได้แก่<br />

กระทรวงมหาดไทย (1896 -1915) ศาลาลูกขุนใหม่ (1897) ซึ่งเป็น<br />

ที่ตั้งของสำนักงาน 3 กระทรวงคือ กระทรวงกลาโหม กระทรวง<br />

มหาดไทย และกระทรวงวัง เป็นอาคารที่มีผังและรูปทรงแบบ<br />

ตะวันตกแต่ครอบหลังคาจั่วประดับช่อฟ้าใบระกาแบบไทย มีเหตุผล<br />

เพื่อรำลึกถึงอาคารดั้งเดิมที่ตั้ง ณ ที่นั้นมาก่อน 22 แต่กลับกลายเป็น<br />

หน่ออ่อนของรูปธรรมลัทธิชาตินิยมทางสถาปัตยกรรมในยุคต่อมา<br />

สถานที่ราชการสำคัญนอกจากนี้ ได้แก่ ศุลกสถาน (ประมาณ<br />

ค.ศ. 1887) เป็นอาคารแบบพาลลาเดียนสูง 3 ชั้น มุขกลางสูง<br />

4 ชั้น นอกจากเป็นสถานที่เก็บภาษีเรือต่างประเทศที่เข้ามาค้าขาย<br />

ในกรุงเทพฯ แล้ว ยังเป็นสโมสรเต้นรำของชนชั้นสูงที่มีชื่อเสียง<br />

ของกรุงเทพฯ โรงกษาปณ์สิทธิการ เป็นอาคารแบบพาลลาเดียน<br />

ผังสี่เหลี่ยมล้อมสนามตรงกลาง หลังคาของส่วนปีกอาคารเป็น<br />

โครงสร้างทรัสทำด้วยเหล็ก เป็นต้น<br />

196 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บนซ้าย ศุลกสถาน (1887)<br />

บนขวา ผังพื้นศุลกสถาน<br />

ล่างซ้าย โรงกษาปณ์สิทธิการ (ทศววรษ1890)<br />

ล่างขวา ผังพื้นโรงกษาปณ์สิทธิการ<br />

ผังพื้นรวมโรงกษาปณ์สิทธิการ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

197


โรงเรียนเป็นอาคารสาธารณะอีกประเภทหนึ่งที่สร้างขึ้นมาก<br />

โดยเฉพาะโรงเรียนมัธยมขนาดใหญ่ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความก้าวหน้า<br />

ระดับหนึ่งของระบบโรงเรียนสมัยใหม่ที่พระบาทสมเด็จ<br />

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้โปรดเกล้าฯ ให้ริเริ่มขึ้นในพระบรม<br />

มหาราชวังตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1880 หลังจากนั้นมีการก่อสร้าง<br />

โรงเรียนมัธยมสำคัญหลายแห่งในพระนคร แต่ละแห่งล้วนจำลอง<br />

แบบสถาปัตยกรรมตะวันตกเพื่อสะท้อนสัญลักษณ์แห่งการศึกษา<br />

แบบตะวันตก เช่น โรงเรียนนายทหารสราญรมย์ (1892)<br />

สร้างอย่างใหญ่โตสวยงามในแบบแมนเนอร์ริส (Mannerism),<br />

โรงเรียนมัธยมเทพศิรินทร์ (1895-1902) สร้างในแบบฟื้นฟูโกธิค<br />

(Gothic Revival), โรงเรียนมัธยมวัดเบญจมบพิตร (1905)<br />

สร้างในแบบพาลลาเดียน (Palladianism), โรงเรียนนายร้อยมัธยม<br />

(1909) สร้างในแบบพาลลาเดียน และโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย<br />

(1910) อาคารเรียนยาวเกือบ 200 เมตรที่สร้างในแบบคลาสสิคนี้<br />

เป็นโรงเรียนที่มีขนาดใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งในสยามยุคนั้น สะท้อน<br />

ความนิยมอย่างสูงในหมู่ประชาชนต่อโรงเรียนนี้ที่เป็นปฐมบทการ<br />

บน โรงเรียนนายทหารสราญรมย์ (1892)<br />

ล่าง ผังพื้นโรงเรียนนายทหารสราญรมย์ (1909)<br />

ศึกษาแผนใหม่ในสยามนี้23 ที่ย้ายออกมาจากที่ตั้งเดิมในพระบรม<br />

มหาราชวังเพราะสถานที่คับแคบเกินกว่าจะรองรับจำนวนนักเรียน<br />

ที่เพิ่มมากขึ้นได้<br />

198 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ผังพื้นโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย<br />

ล่าง โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย (1910)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

199


อาคารในต่างจังหวัดสร้างขึ้นเพื่อรองรับโครงสร้างระบบราชการ<br />

รวมศูนย์ที่กรุงเทพฯ ของกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงยุติธรรม<br />

อาคารเหล่านี้จำลองลักษณะมาจากกระทรวงที่กรุงเทพฯ ผังอาคาร<br />

เป็นรูปตัว E ผนังด้านหน้าสร้างในแบบคลาสสิคมีจุดเด่นที่หน้าบัน<br />

มุขกลางแบบจั่ววิหารกรีก เพื่อซ่อนอาคารก่ออิฐหลังคาปั้นหยา<br />

ที่เรียบง่ายไว้ข้างหลัง และทุกจังหวัดจะสร้างแบบคล้ายๆ กันเพื่อ<br />

ประหยัดงบประมาณ แต่ก็ต่างกันที่ขนาดซึ่งสะท้อนความสำคัญ<br />

ทางเศรษฐกิจ-การเมืองของแต่ละเมืองที่ไม่เท่ากัน อาคารเหล่านี้<br />

เริ่มสร้างตั้งแต่ปลายทศวรรษ 1900 ตัวอย่างสำคัญได้แก่ศาลาว่าการ<br />

มณฑลปราจีนบุรี (ตั ้งที่เมืองฉะเชิงเทรา) (1906) ศาลากลาง<br />

เมืองอ่างทอง (1907) ศาลมณฑลราชบุรี(1905-1907) ศาลมณฑล<br />

พระนครศรีอยุธยา (1909) ย่อส่วนไปจากศาลสถิตยุติธรรม<br />

ที่กรุงเทพฯ และศาลเมืองสิงห์บุรี(1908-1910) มีผนังด้านหน้าแบบ<br />

แมนเนอร์ริสที่งดงาม เพื่อแสดงสัญลักษณ์ของความยุติธรรม<br />

ที่ศิวิไลซ์และบดบังเนื้อแท้ของอาคารแบบบังกะโลก่ออิฐไว้ข้างหลัง<br />

ภายใต้ความสง่างามนี้เป้าหมายสำคัญของรูปแบบอาคารเหล่านี้<br />

ล้วนแล้วแต่เป็นตัวแทนของอำนาจ และความศักดิ์สิทธิ์เที่ยงธรรม<br />

ของระบอบการปกครองที่กรุงเทพฯ ทั้งสิ้น<br />

แบบมาตรฐานศาลากลางจังหวัด<br />

200 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ศาลากลางจังหวัดแบบใหม่รุ่นแรก<br />

(ศาลากลางเมืองอ่างทอง) (1907)<br />

ล่างซ้าย ผังพื้นศาลเมืองสิงห์บุรี<br />

ล่างขวา ศาลเมืองสิงห์บุรี<br />

(1908-1910)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

201


สถาปัตยกรรมแนวอนุรักษ์นิยม<br />

สถาปัตยกรรมแห่งความทรงจำ<br />

ลัทธิชาตินิยมยังไม่แพร่หลายในสยามในสมัยรัชกาลที่ 5<br />

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีสถาปัตยกรรมเชิงชาตินิยมเกิดขึ้น<br />

มีอาคาร 5 หลังสำคัญที่แสดงให้เห็นหน่ออ่อนของลัทธิชาตินิยม<br />

ทางสถาปัตยกรรมที่จะเกิดขึ้นอย่างจริงจังสมัยรัชกาลที่ 6<br />

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท (1875) ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว<br />

ตั้งแต่ต้นว่า เป็นพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />

เจ้าอยู่หัวในตอนแรกที่ต้องการพระที่นั่งองค์ใหม่แบบเรอแนสซองส์<br />

ฝรั่งเศสแต่ก็สำเร็จลงในแบบผสม ที่ตัวอาคารเป็นแบบคลาสสิค<br />

แต่หลังคาเป็นยอดปราสาทแบบไทย เป็นการประนีประนอมระหว่าง<br />

พระมหากษัตริย์ที่มีพระราชรสนิยมในสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

และผู้สำเร็จราชการแผ่นดินที่ต้องการรักษาจารีตประเพณีการ<br />

ก่อสร้างอาคารสำคัญแบบไทยไว้บ้าง ในกรณีนี้กล่าวได้ว่ารูปแบบ<br />

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาทไม่ได้ถูกขับดันด้วยลัทธิชาตินิยมแต่ด้วย<br />

แนวคิดอนุรักษ์นิยม<br />

202 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


วัดอัษฎางค์นิมิตร พระจุฑาธุชราชสถาน เกาะสีชัง (1889-<br />

1892) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงโปรดที่จะ<br />

ประพาสเกาะสีชังอยู่เนืองๆ เพื่อเป็นสถานที่แปรพระราชฐานและ<br />

ที่ประทับรักษาอาการประชวรของเจ้านายใกล้ชิดหลายพระองค์<br />

ในการนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชวังที่ประทับรวม<br />

ทั้งวัดประจำวังขนาดเล็กด้วยคือวัดอัษฎางค์นิมิตร ซึ่งมีลักษณะ<br />

แปลกเพราะเป็นการออกแบบทั้งอุโบสถและเจดีย์ให้รวมอยู่ด้วยกัน<br />

ผังอาคารเป็นวงกลมซ้อน 2 วงมีมุขหน้ารูปสี่เหลี่ยมเหมือนโบสถ์<br />

แบบผังกลม (rotunda) ในสถาปัตยกรรมคลาสสิคแต่ตัวอาคารประกอบ<br />

ด้วยฐานทรงกระบอกทำหน้าที่เป็นโบสถ์ ด้านบนมีเจดีย์ทรง<br />

ระฆังภายในโปร่งประดิษฐานอยู่ซึ่งสร้างด้วยโครงสร้างคอนกรีต<br />

เสริมเหล็ก จึงเป็นสถาปัตยกรรมแบบลูกผสมที่น่าสนใจอีกแห่งหนึ่ง<br />

ที่ไม่ได้สร้างด้วยแนวคิดชาตินิยมแต่เป็นพระราชนิยมแบบโรแมนติก<br />

เหมือนภาพรวมของแนวคิดการออกแบบพระราชวังแห่งนี้ทั้งหมด<br />

บน วัดอัษฎางค์นิมิตร (1889-1892)<br />

ซ้าย ผังพื้นวัดอัษฎางค์นิมิตร<br />

หน้าตรงข้าม<br />

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท (1875)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

203


บน ตึกถาวรวัตถุ (1896)<br />

ล่าง ผังพื้นและรูปด้านตึกถาวรวัตถุ<br />

ตึกถาวรวัตถุ (1896) พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า<br />

อยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จ<br />

พระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร<br />

เพื่อบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณาทาน ก่อนเชิญไปประดิษฐาน<br />

ณ พระเมรุมาศขนาดน้อย ณ ท้องสนามหลวงเพื่อพระราชทานเพลิง<br />

การนี้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเป็นอาคารถาวรเพื่อจะ<br />

พระราชทานให้เป็นอาคารเรียนพระไตรปิฎกชั้นสูงของวัดมหาธาตุ<br />

หลังเสร็จพระราชพิธี เรียกว่าสังฆเสนาสน์ราชวิทยาลัย ตามที่ทรง<br />

มีพระราชดำริไว้ก่อนแล้ว สถาปนิกคือสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา<br />

นริศรานุวัดติวงศ์ ทรงวางผังอาคารเป็นแบบ 3 มุขใหญ่ คือ กลาง<br />

และหัว-ท้าย บวกกับ 2 มุขเล็กคั่นระหว่างมุขกลางและริมเชื่อม<br />

ด้วยระเบียง ที่เป็นห้องแถวยาวมีทางเดินข้างหน้า โดยภาพรวมแล้ว<br />

เหมือนผังโคปุระและระเบียงของปราสาทขอมที่ประยุกต์เป็น<br />

ผังอาคารสมัยใหม่ โดยแยกระเบียงเป็นส่วนห้องทำงานและทางเดิน<br />

ไม่ใช่ทางเดินโล่งๆ มีผนังด้านหนึ่งทึบแบบขอมโบราณ ลักษณะอาคาร<br />

เหมือนโคปุระต่อกับระเบียงในแบบประยุกต์แต่ประตูกลางของทุกมุข<br />

ใส่ประตูโค้งยอดแหลมแบบโกธิค จึงเป็นอาคารศิลปะลูกผสมขอม<br />

โกธิค และไทย โดยตอนแรกจะให้มียอดปรางค์ที่มุขกลางด้วย<br />

แต่ในที่สุดไม่ได้สร้างเพราะขาดงบประมาณ นับเป็นอาคารแบบ<br />

อนุรักษ์นิยมที่น่าดูหลังหนึ่ง<br />

204 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ศาลาลูกขุนใหม่ (1897)<br />

ล่าง ผังพื้นศาลาลูกขุนใหม่<br />

ศาลาลูกขุนใหม่ (1897) เป็นที่ทำงานของกระทรวง<br />

มหาดไทย กลาโหมและกระทรวงวัง ผังเป็นรูปตัว E ชนกัน 2 ตัว<br />

ลักษณะอาคารเป็นแบบฟื้นฟูโกธิค แต่หลังคาของมุขทั้ง 3 กลับเป็น<br />

จั่วซ้อนชั้นประดับช่อฟ้าใบระกาแบบไทย สมเด็จฯ กรมพระยาดำรง<br />

ราชานุภาพทรงกล่าวว่าเพื่อเป็นการรำลึกถึงอาคารเดิมที่รื้อทิ้งไป<br />

หลังคาแบบโบราณของศาลาลูกขุนจึงเป็นเรื่องของความทรงจำ<br />

ไม่ใช่เรื่องชาตินิยมอีกเช่นกัน<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

205


พระอุโบสถวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร (1908) วัดนี้เป็น<br />

วัดโบราณเดิมชื่อวัดสมอราย ได้รับการบูรณะมาหลายครั้งในสมัย<br />

รัชกาลที่ 1 3 และ 4 ในสมัยรัชกาลที่ 5 พระอุโบสถทรุดโทรมหนัก<br />

ต้องบูรณะใหม่หมด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเกล้า<br />

เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา<br />

นริศรานุวัดติวงศ์ เป็นสถาปนิกและคาร์โล อัลเลอกรีแห่งกรม<br />

โยธาธิการเป็นวิศวกรใน ค.ศ. 1908 แนวคิดในการบูรณะครั้งนี้<br />

คือ การสร้างพระอุโบสถโฉมหน้าใหม่ให้คล้ายคลึงกับแบบขอม<br />

เพื่อให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์ชุมชนรอบวัด ที่อพยพมาจาก<br />

เขมรตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรี ตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จ<br />

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา<br />

นุวัดติวงศ์ทรงออกแบบบูรณะโบสถ์ให้มีเค้าโครงแบบปราสาท<br />

บันทายสรีของขอมโบราณที่มีขนาดใกล้เคียงกัน แต่ได้ทรงออกแบบ<br />

หน้าบันโบสถ์แบบใหม่โดยแบ่งเป็น 3 ส่วน ตรงกลางเป็นซุ้มทรงสูง<br />

วางในแนวตั้ง ขนาบซ้าย-ขวาด้วยซุ้มทรงต่ำในแนวนอนที่ตัวซุ้ม<br />

เผยตัวออกมาเพียง 3 ใน 4 เหมือนอีก 1 ใน 4 ซ่อนอยู่หลัง<br />

ซุ้มกลาง ทำให้ดูน่าสนเท่ห์และมีพลังแบบพลวัตรไม่หยุดนิ่ง<br />

แบบงานออกแบบเดิมๆ ของไทย ปัญหาอีกประการหนึ่งของโบสถ์<br />

คือดินรับฐานรากอ่อน วิศวกรจึงออกแบบฐานรากคอนกรีตเสริม 25<br />

รับโบสถ์ที่มีหลังคาใหม่เป็นคอนกรีต ขณะเดียวกันกำแพงอิฐของ<br />

โบสถ์เดิมก็ไม่สามารถรับน้ำหนักหลังคาคอนกรีตใหม่ได้ วิศวกร<br />

จึงออกแบบหลังคาปีกนกคอนกรีตต่อกับหัวเสารายอยู่ชิดแนว<br />

กำแพง ทำหน้าที่เป็นค้ำยันกำแพงช่วยรับน้ำหนักหลังคาลงเสา<br />

ไปสู่ฐานราก การออกแบบที่ประสานกันระหว่างสถาปนิกกับวิศวกร<br />

ทำให้โบสถ์วัดราชาธิวาสงดงามมีเอกลักษณ์ จากหน้าบันเรียง<br />

3 ซุ้มที่ซ้อนเหลื่อมไม่เหมือนใคร และแข็งแกร่งด้วยโครงสร้าง<br />

ค้ำยันลอย (flying buttress) แบบโกธิคประยุกต์ ในรูปของหลังคา<br />

ปีกนกที่วางบนเสารายชิดผนัง นับเป็นงานแนวอนุรักษ์นิยม<br />

ที่สร้างสรรค์ที่สุดปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ที่ไม่เกี่ยวข้องโดยตรงกับ<br />

ลัทธิชาตินิยมเช่นกัน<br />

พระอุโบสถ<br />

วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร (1908)<br />

206 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


รูปตัดของพระอุโบสถวัดราชาธิวาสฯ หลังคาปีกนกเป็นโครงสร้างยันกำแพง<br />

ผังพื้นพระอุโบสถวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

207


กรณีศึกษาทั้ง 5 แสดงถึงความพยายามของสยามในการ<br />

สร้างสรรค์อัตลักษณ์ไทยในยุคอิทธิพลสถาปัตยกรรมแบบ<br />

ตะวันตกเฟื่องฟูซึ่งบางงานอย่างเช่น การบูรณะอุโบสถวัดราชาธิวาส<br />

เป็นงานเชิงสร้างสรรค์มาก งานเหล่านี้จะเป็นต้นแบบสร้าง<br />

แรงบันดาลใจให้งานในรัชกาลต่อไปภายใต้ลัทธิชาตินิยม ซึ่งเป็น<br />

ฐานความคิดที่ต่างกันกับงานยุคแรกนี้<br />

สรุปคุณค่าสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในรัชสมัยพระบาท<br />

สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสมัยรัชกาลที่5 เป็นการจำลอง<br />

ภาพบ้านเมืองในยุโรปผ่านสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ซึ่งเป็น<br />

รูปธรรมของความ “ศิวิไลซ์” ของอารยธรรมตะวันตกมาไว้ที่สยาม<br />

ผ่านโครงสร้างการบริหารประเทศแบบใหม่ ที่พระมหากษัตริย์เป็น<br />

ผู้ลงมือเปลี่ยนแปลง หลังจากระบบการปกครองของสยามหยุดนิ่ง<br />

มากกว่า 400 ปีตั้งแต่สมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถแห่ง<br />

กรุงศรีอยุธยา เป็นการเปลี่ยนแปลงที่สยามจำต้องทำเพราะกระแส<br />

กดดันทั้งจากกลุ่มปัญญาชนชนชั้นนำภายในและมหาอำนาจ<br />

ภายนอก เพื่อพัฒนาให้ประเทศอยู่รอดมีเอกราชอย่างที่หวงแหน<br />

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหารนำความก้าวหน้าทางวัตถุ<br />

ของตะวันตกเข้ามาด้วย ในขณะที่ชนชั้นนำของสยามชื ่นชม<br />

ในความเปลี่ยนแปลงนี้เราก็เห็นค่านิยมทางวัฒนธรรมที่ขัดกันของ<br />

ฝ่ายก้าวหน้าและฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งได้สะท้อนออกมาในรูปแบบ<br />

ที่น่าทึ่งและแปลกประหลาดของพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท<br />

อย่างไรก็ตามการวางผังพระราชวังในลักษณะวางห้องเรียงต่อกัน<br />

ตามแนวดิ่งแบบโบราณราชประเพณีก็ยังปรากฏอยู่บ้างตอน<br />

ครึ่งแรกของรัชกาล ก่อนที่จะค่อยๆ เลือนหายไปในตอนช่วง<br />

ครึ่งหลังที่การวางผังพระราชวังเน้นความสะดวกสบายในการอยู่<br />

อาศัยแบบใหม่เป็นหลัก พร้อมๆ กับการนำเข้าของสถาปัตยกรรม<br />

รูปแบบใหม่ เช่น อาร์ตนูโว วัสดุและเทคโนโลยีในการก่อสร้างใหม่<br />

เช่น ปอร์ตแลนด์ซีเมนต์ คอนกรีตเสริมเหล็ก เหล็ก และกระจก<br />

ที่มาแทนที่วัสดุก่อสร้างเก่าที่แข็งแรงน้อยกว่าและล้าสมัย เช่น<br />

ไม้ อิฐ และปูนขาวที่ใช้กับโครงสร้างโบราณแบบกำแพงรับน้ำหนัก<br />

วัฒนธรรมทางวัตถุเหล่านี้แพร่หลายออกไปอย่างกว้างขวาง ทั้ง<br />

วงการก่อสร้างและแวดวงชนชั้นสูง เพราะในภาพรวมแล้วชนชั้น<br />

นำในสยามเห็นว่า อารยธรรมตะวันตกเป็นสิ่งที่เหนือกว่าโดยพื้น<br />

ฐานที่วัฒนธรรมเก่าต้องหลีกทางให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่อง<br />

ความก้าวหน้าทางวัตถุซึ่งสถาปัตยกรรมเป็นส่วนหนึ่ง แต่ใต้<br />

ฉากหน้าของความก้าวหน้านี้คือความจริงที่ว่าความก้าวหน้านี้เป็น<br />

ผลงานจากมันสมองของผู้เชี่ยวชาญต่างชาติที่รัฐบาลสยามจ้างมา<br />

เท่านั้นเอง ยกเว้นงานโครงการพิเศษเพียง 1 หรือ 2 โครงการ<br />

ที่เกี่ยวข้องกับการสร้างวัดของพระมหากษัตริย์ที่สถาปนิกชั้น<br />

เจ้านายของไทยจะไปมีส่วนร่วมด้วย นอกจากนั้นแล้วชาวสยาม<br />

มีส่วนร่วมเพียงเป็นผู้ใช้แรงงานในกำกับของผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ<br />

และยังอยู่ห่างไกลจากพื้นฐานทุกๆ ด้านที่จะสามารถสร้างสรรค์<br />

ความก้าวหน้าทางวัตถุได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าจะเป็นการศึกษาพื้นฐาน<br />

ของมวลชน ความชำนาญทางเทคนิคชั ้นสูง ระบบอุตสาหกรรม<br />

และเศรษฐกิจแบบทุนนิยม ที่เป็นฐานแท้จริงของผลิตผลความ<br />

ก้าวหน้าทางวัตถุที่ “ศิวิไลซ์” เหล่านี้ โดยเฉพาะเรื่องการศึกษา<br />

นั้นดับเบิ้ลยู จี จอห์นสัน (W. G. Johnson) ที่ปรึกษาเสนาบดี<br />

กระทรวงธรรมการรายงานใน ค.ศ. 1908 ว่า หากเรายอมรับได้<br />

ในความไม่สมบูรณ์ของข้อมูลสถิติที่มีอยู่ และมีสมมติฐานว่า<br />

ในบรรดาวัดทั่วประเทศ 18 จังหวัดจำนวน 13,000 วัด ที่มีสามเณร<br />

และเด็กชายจำนวน 150,000 คน อาศัยอยู่นั้นได้รับการศึกษา<br />

ระดับใดระดับหนึ่งแล้ว ก็ยังจะมีเด็กชายในวัยเรียนอีกกว่า 200,000<br />

คน ทั่วประเทศที่ไม่ได้รับการศึกษาในระดับใดๆเลย 26 สถาปัตยกรรม<br />

แบบใหม่จึงเปรียบเสมือนภาพลวงที่ไม่ยั่งยืน ถ้าประเทศยัง<br />

ไม่สามารถสร้างองค์ประกอบทางเศรษฐกิจ สังคมพื้นฐาน<br />

ที่แข็งแกร่งได้ ในความเป็นจริงก็คือสยามยังต้องใช้เวลาอีกหลาย<br />

ทศวรรษกว่าจะไปถึงเส้นพรมแดนแห่งความสำเร็จนั้น<br />

208 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ถึงกระนั้นก็ตามในขณะที่สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ถูกสร้างอย่างแพร่หลายตามกระแสนิยมอารยะธรรมตะวันตก<br />

วัฒนธรรมไทยก็ยังคงอยู่อย่างฝังรากและได้สะท้อนออกมา<br />

ในการสร้างสถาปัตย-กรรมอนุรักษ์นิยมที่ผสมรูปแบบตะวันตก<br />

และไทยเข้าด้วยกัน เช่น พระที ่นั่งจักรีมหาปราสาทและศาลา<br />

ลูกขุนใหม่ แต่ก็มีบางงานอย่างอุโบสถวัดราชาธิวาสที่เป็น<br />

การสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทยด้วยวัสดุใหม่ สถาปัตยกรรมไทย<br />

ในยุครัชกาลที่5 เหล่านี้จะเป็นต้นแบบของการสร้างสถาปัตยกรรม<br />

ไทยแนวลัทธิชาตินิยมในยุคต่อมา<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

209


รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

รัชกาลที่ 6 (1910-1925)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุฏเกล้าเจ้าอยู่หัว (1880-1925) ทรงสนพระทัยในศิลปะ<br />

โบราณคดีไทยอย่างยิ่ง<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเสด็จขึ้นครอง<br />

ราชสมบัติในช่วงต้นศตวรรษที่ 20 ที่สถานการณ์เศรษฐกิจและ<br />

การเมืองโลกกำลังผันผวนหนัก ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ทั่วโลก<br />

กำลังสั่นคลอน และในหลายประเทศถูกโค่นล้มด้วยกำลังทหารและ<br />

มวลชนทั้งฝ่ายนิยมซ้ายและนิยมขวา เช่น การปฏิวัติของกลุ่มทหาร<br />

ยังเติร์กในตุรกีใน ค.ศ. 1908 การปฏิวัติประชาธิปไตยในประเทศจีน<br />

ใน ค.ศ. 1911 การปฏิวัติของทหารในเยอรมนีและการปฏิวัติโดย<br />

มวลชนนำโดยพรรคบอลเชวิกในรัสเซียใน ค.ศ. 1918 และการปฏิวัติ<br />

ของพวกฟาสซิสต์ อิตาลีใน ค.ศ. 1925 กล่าวได้ว่าตลอดรัชกาล<br />

ของพระองค์เต็มไปด้วยการปฏิวัติรอบโลก ขณะเดียวกันญี่ปุ่น<br />

ที่เพิ่งเปิดประเทศพร้อมๆ กับสยามในทศวรรษ 1850 ได้กลายเป็น<br />

มหาอำนาจใหม่ของภูมิภาคและบีบบังคับให้สยามทำสนธิสัญญา<br />

ไม่เสมอภาคเช่นเดียวกับจักรวรรดินิยมตะวันตกใน ค.ศ. 1905<br />

ทั้งกรณีของจีนและญี่ปุ่นที่เปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบ<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไปเป็นประชาธิปไตย ถูกกลุ่มทหารหนุ่มของ<br />

ไทยกลุ่มหนึ่งยกขึ้นเป็นข้ออ้างในการเปลี่ยนแปลงร่วมกับเหตุการณ์<br />

ความตกต่ำทางเศรษฐกิจเนื่องจากโรคระบาดและความแห้งแล้ง<br />

210 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ตอนปลายสมัยรัชกาลที่ 5 ตั้งแต่ ค.ศ. 1903-1910 รวมกับเรื่อง<br />

ไม่พอใจส่วนตัวของกลุ่มทหารบกกลุ่มหนึ่งที่มีต่อพระราชจริยาวัตร<br />

บางประการของพระมหากษัตริย์ ทั้งหมดนี้ทำให้ทหารกลุ่มนี้<br />

ที่นำโดยร้อยตรีเหรียญ ศรีจันทร์ เตรียมการปฏิวัติใน ค.ศ. 1911<br />

(ร.ศ. 130) แต่ยังไม่ทันลงมือก็ถูกจับกุมเสียก่อนในวันที่1 มีนาคม<br />

ค.ศ. 1911 รวมทั้งคณะทหารบกอีก 85 คน<br />

แม้สยามยังคงรักษาระบอบเดิมไว้ได้ แต่พระบาทสมเด็จ<br />

พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตระหนักดีว่า สยามต้องการอุดมการณ์<br />

แห่งชาติที่จะค้ำจุนบัลลังก์ของพระมหากษัตริย์ไว้ จึงทรงประกาศ<br />

พระราชอุดมการณ์ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” 27 เรียกร้องให้<br />

ประชาชนสยามรักและเคารพในชาติหรือเผ่าพันธุ์ของตนเอง<br />

ศาสนาพุทธ โดยมีพระมหากษัตริย์เป็นธงชัย อย่าได้หลงใหลไปใน<br />

อุดมการณ์แบบตะวันตกไม่ว่าจะเป็นประชาธิปไตยหรือสังคมนิยม<br />

เพราะประชาธิปไตยเป็นลัทธิการเมืองของพวกนายทุนมีทรัพย์<br />

ที่อาจจะเป็นใหญ่ทางการเมืองได้ด้วยการซื้อเสียงประชาชน<br />

ส่วนลัทธิสังคมนิยมนั้นมีแต่จะท ำลายศาสนาทุกศาสนา ทำให้คนไทย<br />

ล้างผลาญซึ่งกันและกัน ดังนั้นจึงขอให้ชาวสยามจงรักภักดีต่อ<br />

พระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นศูนย์รวมแห่งจิตใจและความสามัคคีมาแต่<br />

โบราณอันเป็น “นิติธรรม”ของชนชาติไทยที่มี “ศิวิไลซ์” มาอย่างช้านาน<br />

ซึ่งความจริงแล้วพระราชอุดมการณ์นี้ก็คือ อิทธิพลของลัทธิ<br />

ชาตินิยมที่แพร่หลายไปทั่วยุโรปในเวลานั้นรวมทั้งประเทศอังกฤษ<br />

ที่พระองค์เคยประทับศึกษาอยู่หลายปีด้วยคำขวัญว่า “เพื่อพระเจ้า<br />

กษัตริย์และประเทศชาติ” (For God, King and country) กองทัพอังกฤษ<br />

ก็พร้อมที่จะเข้าสู่สงคราม 28 เมื่อพระองค์ปรับเปลี่ยนคำขวัญเป็น<br />

พระราชอุดมการณ์ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์แล้ว ก็ทรงพยายาม<br />

พิสูจน์ให้เห็นจริงว่าพระราชอุดมการณ์นี้เป็นสิ่งที่มีอยู่แล้วเนิ่นนาน<br />

ในแผ่นดินไทย ทรงเริ่มต้นพิสูจน์ด้วยการเสด็จพระราชดำเนินไป<br />

สำรวจเมืองเก่าสุโขทัยใน ค.ศ. 1907 ตั้งแต่ยังทรงดำรงพระอิสริยยศ<br />

เป็นสยามมกุฎราชกุมาร โดยใช้ข้อความในศิลาจารึกพ่อขุนรามค ำแหง<br />

เป็นเครื่องนำทางในการสำรวจโบราณสถาน ในอาณาจักรไทย ธงไตรรงค์ สัญลักษณ์ห่งอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ (1917)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

211


โบราณที่ยิ่งใหญ่นี้ ซึ่งต่อมาภายหลังได้ทรงพระราชนิพนธ์และ<br />

ตีพิมพ์เป็นหนังสือเที่ยวเมืองพระร่วงที่กล่าวย้ำถึงการเป็นชาติ<br />

ที่มีอารยธรรมเก่าแก่ของคนไทยไม่แพ้ชาติตะวันตก ผ่านภาพ<br />

โบราณสถานต่างๆ 29<br />

ด้วยทรงมีพระราชดำริว่ากษัตริย์นักรบย่อมน ำประเทศชาติได้<br />

จึงทรงพระราชนิพนธ์พงศาวดารอิงประวัติศาสตร์ยกย่องพระปรีชา<br />

สามารถของบูรพกษัตริย์ไทยที่รบชนะข้าศึกและรักษาประเทศชาติไว้ได้<br />

เช่น บทละครพระราชนิพนธ์พระร่วงใน ค.ศ. 1912 นอกจากนี้<br />

ยังทรงดำเนินการด้านประวัติศาสตร์ โบราณคดีอย่างแข็งขัน<br />

โดยเสด็จพระราชดำเนินไปสืบค้น “เจดีย์พระนเรศวร” ที่เป็นอนุสรณ์<br />

แห่งการยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวร ที่ตำบลหนองสาหร่าย<br />

แขวงเมืองสุพรรณบุรีใน ค.ศ. 1913 แต่ด้วยขาดแคลนงบประมาณ<br />

จึงไม่ได้ปฏิสังขรณ์ซากเจดีย์นั้นขึ้นมาใหม่ใน ค.ศ. 1914 ทรงพระ<br />

กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ขนานนามเจดีย์ใหญ่องค์หนึ่งที่วัดสวนหลวง<br />

สบสวรรค์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยาว่า “เจดีย์ศรีสุริโยทัย”เพื่อปลุกใจ<br />

ให้ชาวสยามนิยมในความกล้าหาญกตัญญูของสมเด็จพระสุริโยทัย<br />

ที่ยอมถวายชีวิตรักษา “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” 30 ทั้งหมดนี้ล้วนมา<br />

จากพื้นฐานพระราชอุดมการณ์ที่จะขอเรียกว่า “ชาตินิยม<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์” ของพระองค์ทั้งสิ้น แนวพระราชอุดมการณ์นี้<br />

ยังส่งผลให้เกิดสถาปัตยกรรมไทยชาตินิยมขึ้น อันเป็นสถาปัตย-<br />

กรรมที ่เป็นเอกลักษณ์ของรัชกาลนี้ แต่ในขณะเดียวกันพระบาท<br />

สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ไม่ได้ทรงปฏิเสธสถาปัตยกรรม<br />

แบบตะวันตก และกล่าวได้ว่าอาคารราชการสำคัญและอาคารพัก<br />

อาศัยของชนชั้นสูงส่วนใหญ่ก็ยังสร้างเป็นแบบตะวันตกทั้งสิ้น<br />

ไม่ได้ต่างไปจากรัชกาลก่อน และสำเร็จด้วยฝีมือของคณะสถาปนิก-<br />

วิศวกรชาวอิตาเลียนคนสำคัญคนเดิมที่รับราชการสืบเนื่องมาจาก<br />

รัชกาลก่อน นำโดยหัวหน้าสถาปนิกมาริโอ ตามานโยนั่นเอง<br />

สถาปัตยกรรมแบบชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

ในสมัยรัชกาลที่ 6<br />

สถาปัตยกรรมแบบชาตินิยมในสมัยรัชกาลที่ 6 สร้างสรรค์<br />

มาจากแนวพระราชดำริที่ทรงมีพระราชด ำรัสในวันเปิดโรงเรียนเพาะช่าง<br />

เมื่อวันที่ 7 มกราคม ค.ศ. 1913 (ค.ศ. 1914 ปฏิทินปัจจุบัน) ว่า<br />

“...ชาติไทยเราได้เคยถึงซึ่งความเจริญมานานแล้ว ดังปรากฏด้วย<br />

ระเบียบแบบแผนแลตำนานของเรา แต่บางสมัยในพงษาวดารของ<br />

เราได้มีข้าศึกศัตรูเข้ามาย่ำยีทำลายถาวรวัตถุต่างๆ ของเรา<br />

แลทำความทรุดโทรมให้เป็นอันมาก ครั้นต่อมาเมื่อเราต้องดำเนิร<br />

ตามสมัยใหม่วิชาช่างของเรา เราก็ชวนละลืมเสียหมด ไปหลงเพลิน<br />

แต่จะเอาของคนอื่นเขาถ่ายเดียว ผลในที่สุดก็คือ กรุงเทพฯ เดี๋ยวนี้<br />

เต็มไปด้วยสถานที่อันเป็นเครื่องรำคาญตาต่างๆ แท้จริงวิชาช่าง<br />

เป็นวิชาพื้นเมือง จะคอยแต่เอาอย่างของคนอื่นถ่ายเดียวไม่ได้<br />

เพราะงามของเขาไม่เหมาะแก่ตาเรา และฐานะของเขากับของ<br />

เราต่างกัน ที่ถูกนั้นควรเราจะแก้ไขพื้นวิชาของเราเองให้ดีขึ้นตาม<br />

ความรู้และวัตถุอันเกิดขึ้นใหม่ตามสมัย ในข้อนี้สมเด็จพระบรม<br />

ชนกนารถได้ทรงพระปรารภอยู่มาก และเพื่อจะทรงบำรุงวิชาช่าง<br />

ของไทยเราที่มีมาแล้วแต่โบราณให้ถาวรอยู่สืบไป จึงได้ทรงสร้าง<br />

วัดเบญจมบพิตรขึ้นให้ปรากฏเป็นแบบอย่างไว้ เราเห็นชอบด้วย<br />

ตามกระแสพระราชดำริห์นั้น และได้เคยปรารภกับเจ้าพระยาพระเสด็จ<br />

และผู้มีหน้าที่เกี่ยวข้องด้วยการศึกษา ที่จะให้วิชาช่างไทยของเรา<br />

ตั้งขึ้นใหม่จากพื้นเดิมของเราแล้ว แลขยายให้แตกกิ่งก้านสาขา<br />

งอกงามยิ ่งขึ้น เปรียบเหมือนเอาพรรณพืชของเราเองมาปลูกลง<br />

ในแผ่นดินของเรา แล้วบำรุงให้เติบโตงอกงาม ดีกว่าที่จะไปเอา<br />

พรรณไม้ต่างประเทศมาปลูกลงในพื้นแผ่นดินของเราอันไม่เหมาะกัน<br />

....สมควรที่เราทั้งหลายจะใช้วิชาความรู้ที่เราได้มาจากต่างประเทศ<br />

เพาะปลูกและบำรุงต้นไม้ของเรา คือศิลปวิชาช่างไทยให้เจริญต่อไป<br />

โดยควรแก่สมัย...” 31 กล่าวโดยสรุปคือทรงมีพระราชนิยมในศิลปะ<br />

แบบไทยแต่ทันสมัยโดยใช้ความรู้จากต่างประเทศมาช่วย<br />

สร้างสรรค์ นั่นคือถ้าเป็นสถาปัตยกรรมก็ต้องเป็นแบบไทยโบราณ<br />

แต่สร้างด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ของตะวันตก ในทางปฏิบัตินี่คือ<br />

212 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


วาทกรรมหลักที่นำไปสู่สถาปัตยกรรมตะวันตกครอบหลังคาไทย<br />

ซึ่งไม่ใช่ของใหม่เราได้เห็นตัวอย่างมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5<br />

ตั้งแต่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท (1875) และศาลาลูกขุนใหม่(1897)<br />

เป็นต้น แต่อาคารเหล่านี้ไม่ได้สร้างขึ้นมาเพื่อความเชื่อแบบชาตินิยม<br />

แต่เพื่อรักษาโบราณราชประเพณีในกรณีพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท<br />

และเพื่อสืบทอดความทรงจำในกรณีของศาลาลูกขุนใหม่32<br />

อาคารแบบนี้จึงไม่ได้เกิดขึ้นเพื่อรองรับอุดมการณ์ชาตินิยมมาก่อน<br />

แต่เป็นตัวแบบให้ลัทธิชาตินิยมทางสถาปัตยกรรมนำมันไปใช้<br />

ประโยชน์ในสมัยต่อมา เช่น สมัยรัชกาลที่ 6 นี้เองที่สถาปนิก<br />

นำพระราชอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ มาสวมทับ<br />

รูปแบบตะวันตกครอบหลังคาไทย เกิดเป็นสถาปัตยกรรมชาตินิยม<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นอย่างสมบูรณ์<br />

ผลงาน<br />

พระที่นั่งพิมานปฐม ในพระราชวังสนามจันทร์จังหวัดนครปฐม<br />

สร้างใน ค.ศ. 1910 เป็นตัวอย่างแรกของสถาปัตยกรรมชาตินิยม<br />

ที่น่าสนใจ เพราะองค์พระที่นั่งสร้างแบบบังกะโลคอนกรีตที่ไม่มี<br />

ลักษณะทรงไทยอะไรเลย แต่ปรากฏว่ามุขหน้าพระที่นั่งซึ่งเป็นที่ตั้ง<br />

ของห้องพระที่เรียกว่า “ห้องพระเจ้า” หันหน้าประจันเป็นแนวเส้น<br />

ตรงกับองค์พระปฐมเจดีย์ เกิดเป็นแกนสายตาที่สะท้อนพระราช<br />

อุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ที่ครบถ้วน โดยเฉพาะ<br />

ยามที่ประทับทอดพระเนตรจากมุขหน้าไปยังพระปฐมเจดีย์<br />

เราจะได้ตัวแทนกายภาพของชาติไทย ศาสนาพุทธ และพระมหากษัตริย์<br />

ไทยในเวลาเดียวกัน ดังนั้นอาจกล่าวได้ว่าสถาปัตยกรรมชาตินิยม<br />

สมัยรัชกาลที่ 6 นั้น เริ่มต้นที่พระที ่นั่งนี้ในแบบที่เป็นนามธรรม<br />

ก่อนสถาปัตยกรรมชาตินิยมที่มี “แบบไทย” เสียด้วยซ้ำ ในบริเวณ<br />

นี้ยังมีพระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์ สร้าง ค.ศ. 1912 และพระที่นั่ง<br />

วัชรีรมยา สร้าง ค.ศ. 1917 สร้างติดต่อกันเป็นชุดในแบบไทย<br />

โบราณ โดยพระที่นั่งสามัคคีมุขมาตย์เป็นท้องพระโรงหน้า<br />

ซึ่งใช้แสดงโขนและละครในบางโอกาสและพระที่นั่งวัชรีรมยาเป็น แกนชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ที่พระราชวังสนามจันทร์ (1910)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

213


โถงหลังเวที (back stage) ที่ชั้นล่าง ส่วนชั้นบนเป็นที่ประทับ<br />

เป็นการสร้างพระราชวังแบบหมู่พระมหามณเฑียรในพระบรม<br />

มหาราชวังแบบย่อส่วน ซึ่งไม่มีการสร้างอีกเลยหลังสมัยรัชกาลที่1<br />

บน หอสวดโรงเรียนมหาดเล็กหลวง (1915-1917)<br />

ล่าง ผังพื้นหอสวด<br />

โรงเรียนมหาดเล็กหลวง เป็นผลงานสถาปัตยกรรมตาม<br />

พระราชอุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ที่สมบูรณ์ที่สุด<br />

ออกแบบและสร้างระหว่าง ค.ศ. 1915-1917 โดยสถาปนิกไทย<br />

พระสมิทธิเลขา (ปลั่ง วิภาตะศิลปิน) ร่วมกับสถาปนิกอังกฤษ<br />

เอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ (Edward Healey) โดยมีพระราชดำริให้สร้างเป็น<br />

แบบไทยเพื่อให้ปรากฏศิลปะของไทยไว้เป็นตัวอย่างสืบไป<br />

อาคารประธานของโรงเรียนคือหอสวดที่น่าจะเป็นอาคารแรก<br />

ที่ออกแบบผสมระหว่างแบบไทยกับตะวันตกในลักษณะกลมกลืน<br />

ไม่ใช่แยกส่วนแบบรัชกาลก่อน ผังเป็นรูปกากบาทแบบแกนไม่เท่ากัน<br />

(Roman Cross) ที่แบ่งพื้นที่เป็นโถงกลางมีเฉลียง 2 ข้างแบบโบสถ์ไทย<br />

แต่มีโถงจุดตัด กระหนาบด้วยมุขข้าง 2 มุขและมุขหลังแบบจตุรมุข<br />

รูปทรงเป็นอาคารไทยคอนกรีต 2 ชั้น ชั้นล่างเป็นใต้ถุนโล่ง<br />

ภาพรวมจึงคล้ายศาลาการเปรียญขนาดใหญ่แต่ในรายละเอียดของ<br />

214 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ตึกบัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (1917)<br />

ล่าง ผังพื้นตึกบัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />

ลวดลายและช่องเปิด เป็นการประยุกต์ระหว่างงานโกธิคโค้งยอดแหลม<br />

กับซุ้มเรือนแก้วของไทย หลังทรงจั่วแบบไทยประดับช่อฟ้าใบระกา<br />

และมีมุขประเจิด หน้าบันทุกด้านประดับลวดลายจำหลักสัตว์ใน<br />

เทพนิยายที่เกี่ยวพันกับพระมหากษัตริย์ทั้งสิ้น ขณะที่บรรยากาศ<br />

ภายในอาคารเป็นส่วนผสมของโบสถ์ไทยและโบสถ์ยุโรปยุคกลาง<br />

ที่มีระเบียงชั้นลอย (gallery) รอบอาคาร และจุดเด่นที่ฉากกั้นหน้า<br />

โถงจุดตัดที่มีช่องเปิดรูปทรงเหมือนซุ้มเรือนแก้วผสมโค้งยอดแหลม<br />

แบบโกธิค รอบหอสวดทั้ง 4 ทิศล้อมรอบด้วยอาคารเรือนนอนเรียก<br />

“คณะ” จำนวน 4 คณะ ออกแบบเฉพาะตัวในลักษณะไทยยุคต่างๆ<br />

ผสมตะวันตก สถานที่แห่งนี้เป็นโรงเรียนที่ฝึกฝนกิจกรรมจงรักภักดี<br />

ต่อชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ด้วยการสวดมนต์และ<br />

ร้องเพลงสรรเสริญพระบารมีก่อนนอนทุกคืน รวมถึงการจัดให้<br />

นักเรียนเข้าเฝ้าถวายงานพระมหากษัตริย์อย่างใกล้ชิดพระบาทสมเด็จ<br />

พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาทอดพระเนตร<br />

กิจกรรมของนักเรียนอย่างสม่ำเสมอ ทั้งกิจกรรมและรูปแบบของ<br />

อาคารทำให้สามารถเรียกโรงเรียนนี้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมแห่ง<br />

ชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สมบูรณ์แบบ<br />

ตึกบัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระบาทสมเด็จ<br />

พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ที่จะยกฐานะโรงเรียน<br />

สำหรับฝึกหัดวิชาข้าราชการพลเรือนที่ตั้งขึ้นในรัชกาลก่อนให้เป็น<br />

สถาบันอุดมศึกษา ทรงพระราชทานที่ตั้งใหม่ให้โรงเรียนที่สระประทุม<br />

และได้รวมโรงเรียนชั้นสูงต่างๆ ที่มีอยู่ในสยามเข้าด้วยกันและ<br />

เริ่มการก่อสร้างอาคารเรียน ในตอนแรกสภากรรมการโรงเรียน<br />

ต้องการให้อาคารโรงเรียนมีสง่าสมศักดิ์ศรีและควรเป็นแบบไทย<br />

จึงมอบให้สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ 2 คนคือ คาร์ล ดือห์ริ่ง<br />

และเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ไปออกแบบแข่งขันกัน โดยกำหนดให้ไปศึกษา<br />

แนวทางออกแบบจากโบราณสถานในเมืองสุโขทัยและสวรรคโลก<br />

แบบที่สถาปนิกทั้ง 2 เสนอมีความงดงามแบบไทยโบราณที่วางบน<br />

ผังแบบคลาสสิค งานของฮีลีย์มีจุดเด่นที่หอระฆังปูนยอดบุษบก<br />

แบบเดียวกับหอระฆังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นมุขทางเข้า<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

215


ประติมากรรมประดับหน้าบัน<br />

ตึกบัญชาการ ปั้นโดย Rodolfo Noli<br />

หน้าตรงข้าม<br />

อนุสาวรีย์ทหารอาสา (1919)<br />

ของหอประชุมที่มีปีก 2 ข้างเป็นตึกเรียนข้างละ 1 หลัง ส่วนแบบ<br />

ที่เชื่อกันว่าเป็นของดือห์ริ่งเป็นอาคารแบบผังรูปตัว E มี 3 มุข<br />

ที่ทุกมุขมีหลังคาทรงไทยประดับด้วยยอดปรางค์ดูสง่างามน่าเกรงขาม<br />

แต่ในที่สุดสภากรรมการโรงเรียนเลือกแบบของฮีลีย์เพราะเหมาะสม<br />

กับงบประมาณ อย่างไรก็ตามเมื่อถึงขั้นสร้างจริงแล้วสภากรรมการ<br />

ได้นำเอาอาคารเพียงเสี้ยวหนึ่ง ที่เป็นปีกตึกเรียน 1 หลังของแบบ<br />

สมบูรณ์มาสร้างตามงบประมาณที่มีอยู่ อาคารสร้างใน ค.ศ. 1916<br />

ผังเป็นรูปตัว E แบบคลาสสิคมี3 มุข พื้นที่ชั้นนอกทำเป็นระเบียง<br />

ล้อมรอบ พื้นที่ชั้นในเป็นห้องเรียน รูปทรงอาคารเป็นแบบไทยที่<br />

สร้างด้วยคอนกรีตมี 3 มุขเชื่อมด้วยปีก ส่วนมุขเป็นเสาเหลี่ยม<br />

ลอยตัวเปิดโล่งไม่มีผนัง ส่วนปีกมีช่องเปิดกว้างเป็นรูปซุ้ม<br />

เรือนแก้ว หลังคามุขเป็นทรงจั่วลด 2 ชั้น มุขลดทำเป็นมุขประเจิด<br />

ที่ใหญ่มากประดับช่อฟ้า ใบระกาหางหงส์คอนกรีต หน้าบันประดับ<br />

ประติมากรรมนูนสูงคอนกรีตรูปครุฑยุดนาค ตามแบบศิลปะสุโขทัย<br />

แต่มีกายวิภาคเหมือนจริงแบบศิลปะคลาสสิค โดยประติมากร<br />

อิตาเลียน โรดอลโฟ โนลี(Rodolfo Noli) บรรยากาศภายในอาคาร<br />

ค่อนข้างเรียบง่าย มีการตกแต่งตามซุ้มประตู หน้าต่าง ในแบบ<br />

ศิลปะสุโขทัยปนเขมรที่หล่อด้วยคอนกรีต นับเป็นอาคารแบบไทย<br />

ที่สร้างด้วยคอนกรีตล้วนหลังแรก ที่จะเป็นแบบอย่างให้อาคารแบบ<br />

เดียวกันรุ่นหลังที่จะเกิดตามมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />

เจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมาประดิษฐานโรงเรียนนี้เป็น<br />

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในวันที่26 มีนาคม ค.ศ. 1916 (ค.ศ. 1917<br />

ของปฏิทินปัจจุบัน)<br />

อนุสาวรีย์ฝังอัฐิทหารซึ่งตายในราชการสงคราม (อนุสาวรีย์<br />

ทหารอาสา) เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างเป็นอนุสรณ์เชิดชูเกียรติ<br />

ทหารไทยที่เสียชีวิตจากการไปร่วมรบกับฝ่ายสัมพันธมิตร<br />

ในสมรภูมิทวีปยุโรปในสงครามโลกครั้งที่ 1 พระบาทสมเด็จ<br />

พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานทรัพย์ส่วนพระองค์<br />

เท่าจำนวนซึ่งเคยทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวายพระบรมชนกนารถ<br />

216 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


แก่ตาโลกว่าในเมืองเรา ในชาติไทยเรา ยังไม่สูญสิ้นธรรมะ<br />

ซึ่งได้บำรุงชาติเราขึ้นให้เปนชาติ เปนปึกแผ่นตลอดมา กล่าวคือ<br />

ความจงรักภักดีต่อผู้ปกครองความจงรักภักดีต่อชาติและความมั่นคง<br />

ในศาสนะธรรมที่เรานับถือ...” 34 จึงนับเป็นสถาปัตยกรรมแห่ง<br />

พระราชอุดมการณ์ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์ที่แท้จริงอีกแห่งหนึ่ง<br />

และเป็นอนุสาวรีย์ของทหารที่สละชีพในสงครามที่มีการบันทึกไว้<br />

เป็นแห่งที่2 ต่อจากอนุสาวรีย์ปราบฮ่อที่สร้างขึ้นที่เมืองหนองคาย<br />

ใน ค.ศ. 1886 ซึ่งสร้างเป็นสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกและมีจารึกไว้<br />

ที่อนุสาวรีย์ว่าเป็นอนุสรณ์แด่ทหารที่จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์<br />

และราชกิจ 35 ผิดกับสงครามครั้งนี้ที่ทำเพื่อชาติ ศาสนา<br />

พระมหากษัตริย์เป็นครั้งแรก<br />

ในวันตรงกับวันพระราชสมภพของรัชกาลที่ 5 เพื่อใช้ก่อสร้าง<br />

อนุสาวรีย์นี้33 โดยมีกระทรวงกลาโหมเป็นผู้สร้างใน ค.ศ. 1919<br />

ตั้งอยู่ที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือของสนามหลวง ลักษณะเป็นเจดีย์<br />

สุโขทัยแบบพระเจดีย์มณฑปที่วัดพระเจดีย์เจ็ดแถว ศรีสัชนาลัย<br />

เมืองสุโขทัยที่สร้างราวพุทธศักราช 1900 แม้ว่าจะเป็นอนุสาวรีย์<br />

ที่งดงามด้วยรูปทรงและมีขนาดส่วนที่สมถะสมกับฐานะบรรยากาศ<br />

แต่การออกแบบนี้ก็ไม่มีอะไรพิเศษนอกจากการลอกแบบของ<br />

โบราณมาเท่านั้นเอง<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราช<br />

ดำเนินไปที่อนุสาวรีย์ ทรงวางพวงมาลาเหนือที่บรรจุอัฐิด้วย<br />

พระองค์เองในวันพุธที่ 24 กันยายน ค.ศ. 1919 ก่อนหน้านี้ใน<br />

วันที่ 21 กันยายน ได้ทรงพระราชทานพระบรมราโชวาทแก่<br />

กองทหารที่ไปร่วมรบในสงครามนี้ว่า ทรงปลื ้มปีติในการไป<br />

ทำสงครามของทหารไทยเพราะ “...เจ้าตั้งใจที่จะแสดงให้ปรากฏ<br />

อย่างไรก็ตามสถาปัตยกรรมชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

หรือสถาปัตยกรรมเพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของพระบาท<br />

สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้นความจริงมีจำนวนน้อยมาก<br />

เมื่อเทียบกับจำนวนอาคารที่สร้างในรัชกาลนี้แต่ที่สำคัญคือมันเป็น<br />

สถาปัตยกรรมที่มีอิทธิพลสูงมากในการกำหนดแบบตายตัวที่เป็น<br />

ตัวแทนของความรักชาติ ว่าต้องเป็นอาคารที่มีหลังคาไทยหรือ<br />

รูปทรงเจดีย์ไทย ที่จะส่งต่อไปในยุคถัดไปและสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้<br />

โดยที่มีข้อเท็จจริงที่คนไทยทั่วไปทราบน้อยที่สุดว่า สถาปัตยกรรม<br />

เหล่านี้ในตอนแรกเริ่มล้วนสร้างสรรค์โดยมีสถาปนิกและศิลปินชาว<br />

ตะวันตกเป็นตัวจักรสำคัญ<br />

สถาปัตยกรรมคอนกรีตเสริมเหล็ก และสถาปัตยกรรม<br />

โครงสร้างเหล็กในสมัยรัชกาลที่ 6<br />

อาคารสถานที่สำคัญส่วนใหญ่ที่สร้างในสมัยรัชกาลที่ 6<br />

ยังคงเป็นแบบตะวันตกเหมือนสมัยรัชกาลที่5 คือยึดแบบคลาสสิค<br />

โรแมนติก อาร์ตนูโว และแบบผสมผสาน (Eclecticism) เป็นพื้น<br />

เพราะออกแบบโดยกลุ่มสถาปนิกอิตาเลียนกลุ่มเดิมเป็นส่วนใหญ่<br />

อย่างไรก็ตามมีความแตกต่างสำคัญประการหนึ่งคือ อาคารสมัยนี้<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

217


บน โรงผลิตปูนซิเมนต์แห่งแรกของสยามที่บางซื่อ (1913)<br />

ล่างซ้าย บ้านนรสิงห์ (1923-1926)<br />

ล่างขวา ผังพื้นบ้านนรสิงห์<br />

สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กอย่างแพร่หลาย ไม่ใช้โครงสร้าง<br />

กำแพงอิฐรับน้ำหนักล้วนๆ แบบเดิม เนื่องจากสยามได้สร้างโรงงาน<br />

ผลิตปูนซีเมนต์ปอร์ตแลนด์แห่งแรกส ำเร็จใน ค.ศ. 1913 ปูนซีเมนต์<br />

ปอร์ตแลนด์ค่อยๆ กลายมาเป็นวัสดุก่อสร้างหลักของบรรดา<br />

ผู้รับเหมาในการสร้างอาคารคอนกรีต ซึ่งมีคุณสมบัติทนทานกว่า<br />

อิฐและไม้ รวมทั้งสามารถกันไฟได้ซึ่งอาคารโครงสร้างไม้หรือครึ่ง<br />

ปูนครึ่งไม้แบบเดิมทำไม่ได้ คอนกรีตจึงเป็นวัสดุที ่เหมาะสมกับ<br />

การก่อสร้างอาคารทุกประเภทตั้งแต่พระราชวังคฤหาสถ์ของชนชั้นสูง<br />

ไปจนถึงอาคารสาธารณูปโภคสำหรับประชาชนทั่วไป อาคารประเภท<br />

ปราสาทราชวังที่สร้างอย่างใหญ่โตและงดงามที่สุดคือบ้านนรสิงห์<br />

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชทาน<br />

เจ้าพระยารามราฆพ (ม.ล.เฟื้อ พึ่งบุญ) สำเร็จราชการมหาดเล็ก<br />

ออกแบบโดย มาริโอ ตามานโย ใน ค.ศ. 1923-1926 มีผังอาคาร<br />

ที่พัฒนามาจากพระที่นั่งอัมพรสถาน แต่ห่อหุ้มด้วยเปลือกนอก<br />

ของสถาปัตยกรรมโกธิคแบบเวนิส (Venetian Gothic) เช่นเดียว<br />

กับบ้านบรรทมสินธุ์ที่มาในแนวเดียวกันแต่ขนาดย่อมกว่า<br />

พระราชวังที่สร้างในกรุงเทพฯ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดคือพระราชวัง<br />

พญาไท สร้างขึ้นใหม่หมดจากพระราชวังเดิมสมัยรัชกาลที่ 5<br />

ใน ค.ศ. 1919 พระที่นั่งพิมานจักรีเป็นพระที่นั่งประธาน มีผังคล้าย<br />

218 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


หมู่เรือนไทย แต่หุ้มด้วยเปลือกของวิลล่าชนบทในยุโรป พระราชวัง<br />

ต่างจังหวัดที่สร้างแบบตะวันตกคือพระนิเวศน์มฤคทายวัน<br />

ออกแบบและสร้างใน ค.ศ. 1923-1925 โดยมาริโอ ตามานโยและ<br />

เออร์โคเล มันเฟรดี้ (Ercole Manfredi) มีผังเหมือนกลุ่มอาคาร<br />

ของวัดไทย แต่ลักษณะภายนอกเป็นบังกะโลประยุกต์ยกใต้ถุนสูง<br />

วังที่น่าสนใจอีก 2 แห่ง คือ วังวรดิศ ที่สร้างใน ค.ศ. 1912 และ<br />

ตำหนักสมเด็จฯ วังบางขุนพรหม สร้าง ค.ศ. 1913 ออกแบบโดย<br />

คาร์ล ดือห์ริ่งทั้งคู่ในแบบจุงเก้นสติลหรืออาร์ตนูโวเยอรมัน รูปแบบของ<br />

พระราชวัง วังและคฤหาสน์เหล่านี้เรียกได้ว่าเป็นของใหม่ในปลาย<br />

สมัยรัชกาลที่ 5 แต่พอถึงทศวรรษ 1920 ในสมัยรัชกาลที่ 6<br />

รูปแบบเหล่านี้ไม่ใช่งานสมัยใหม่อะไรอย่างที่เรียกในสยามว่ามอ<br />

เดินสไตล์36 แล้ว ในทางตรงข้ามมันกำลังเสื่อมความนิยม และหลีกทาง<br />

ให้สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ (International Modern)<br />

ที่เป็นคลื่นลูกใหม่ตัวจริงถาโถมเข้ามาแทนที ่ในวงการ<br />

สถาปัตยกรรมโลก ไม่น่าแปลกใจที่สยามไม่มีสถาปัตยกรรมแบบนี้<br />

เพราะสยามไม่ได้มองสถาปัตยกรรมตะวันตกในเชิงพัฒนาการทาง<br />

สังคมวัฒนธรรม แต่เข้าใจแต่ต้นว่าสถาปัตยกรรมตะวันตกเป็น<br />

แบบชนิดหนึ่งที่แสดงความก้าวหน้า โดยไม่ได้พิจารณาว่า<br />

“ความก้าวหน้า” มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามกระแส<br />

เศรษฐกิจ-สังคม อย่างไรก็ตามสยามช่วงรัชกาลที่ 6 มีอาคารเชิง<br />

วิศวกรรมสำหรับงานสาธารณูปโภค เช่น สถานีรถไฟ โรงงาน<br />

โรงพยาบาล โรงเรียน และตึกแถว ที่กำลังเติบโตจากการวางรากฐาน<br />

ตั้งแต่รัชกาลก่อน เพื่อรองรับเมืองที่มีประชากรชั้นกลางและล่าง<br />

เพิ่มขึ้นและต้องการคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น อาคารเหล่านี้ออกแบบ<br />

โดยใช้หลักเหตุผล เน้นประโยชน์ใช้สอย ความประหยัด มีรูปแบบ<br />

เรียบง่ายใช้วัสดุและโครงสร้างแบบใหม่คือคอนกรีตเสริมเหล็กและ<br />

โครงสร้างเหล็ก อาคารพวกนี้จึงมีลักษณะพื้นฐานร่วมกับอาคาร<br />

สากลนิยมสมัยใหม่โดยปริยาย อาคารอีกประเภทหนึ่งพัฒนามา<br />

จากเรือนพื้นถิ่นบังกะโลไม้ที่เรียบง่าย อาคารพวกนี ้ถูกสร้างใหม่<br />

ด้วยคอนกรีตเพื่อความคงทนและประหยัด เช่น อาคารโรงเรียน<br />

และหอพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล เป็นต้น อาคารที่สร้างจากวัสดุ<br />

ศาลาอิตาลีในงานมหกรรมแสดงสินค้าที่นครปารีส ปีค.ศ.1900 โดย Carlo Ceppi<br />

สมัยใหม่และดูเรียบง่ายในสยามสมัยรัชกาลที่ 6 จึงไม่ได้เกิดจาก<br />

ทฤษฎีสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่แต่พัฒนาจากการใช้วัสดุใหม่<br />

ของวิศวกรและสถาปนิกรุ่นก่อนสมัยใหม่ และควรจะถูกบันทึกไว้<br />

ในฐานะที่เป็นสถาปัตยกรรมช่วงเปลี่ยนผ่านจากสถาปัตยกรรมแบบ<br />

ตะวันตกเดิม และจะพัฒนาต่อไปอีกเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

อีกแบบหนึ่งในยุคถัดมา<br />

อาคารคอนกรีตเสริมเหล็กและอาคารโครงสร้างเหล็กที่จะ<br />

กล่าวต่อไปนี้คือตัวอย่างของอาคารแบบใหม่สมัยรัชกาลที่6 ที่เป็น<br />

โฉมหน้าใหม่ที่แท้จริงของสยามยุคใหม่ถูกสร้างขึ้นเพื่อรองรับการ<br />

ใช้ประโยชน์ของมวลชน เป็นอาคาร “สาธารณะ” ที่แท้จริงไม่ใช่<br />

“อาคารรัฐบาล” แบบเดิมที่เป็นสำนักงานของข้าราชการในกระทรวง<br />

ทบวง กรม ทำหน้าที่ควบคุมกำกับประชาชนตามคำสั่งรัฐบาล<br />

มากกว่าบำบัดทุกข์บำรุงสุขอย่างที่ควรจะเป็น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

219


ผลงาน<br />

โรงกรองน้ำประปาสามเสน เป็นโรงกรองน้ำประปามาตรฐาน<br />

สากลหลังแรกของสยาม สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1914 เป็นสถานที่ตั้ง<br />

ถังกรองน้ำเส้นผ่าศูนย์กลาง 5.20 เมตร จำนวน 12 ถัง โครงสร้าง<br />

เป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก โครงหลังคาเป็นทรัสเหล็กใช้ลวดเหล็ก<br />

ดึงจันทันแทนขื่อที่พาดช่วงกว้างถึง 17 เมตร แม้ว่าจะเป็นอาคาร<br />

ทางวิศวกรรมแต่ผู้ออกแบบยังพยายามรักษามาตรฐานเดิมๆ<br />

ของการออกแบบอาคารไว้ เช่น ทำผนังหนาเหมือนระบบกำแพง<br />

รับน้ำหนัก ทั้งๆ ที่โครงสร้างเป็นระบบกรอบ (frame) และหัวเสา<br />

ยังหล่อเป็นแบบดอริก (Doric) เป็นต้น<br />

บน โรงกรองน้ำประปา สามเสน<br />

หลังแรก (1914)<br />

ล่าง ผังบริเวณโรงกรองน้ำประปา<br />

220 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บนซ้าย ตึกผ่าตัด (1923-1926)<br />

บนขวา ตึกวชิรุณทิศ (1923-1926)<br />

ล่าง โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์<br />

(1912-1914)<br />

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ เป็นโรงพยาบาลสังกัดสภากาชาด<br />

สยามที่สร้างอย่างมีมาตรฐานสากลเป็นครั้งแรก ออกแบบและ<br />

วางผังโดย มาริโอ ตามานโย และเอ ริกาซซิ (A. Rigazzi) ระหว่าง<br />

ค.ศ. 1912-1914 ผังบริเวณเป็นรูปตารางสี่เหลี่ยมผืนผ้าอาคารวางไป<br />

ตามแนวแกนของถนนที่ตัดกัน อาคารทุกหลังวางผังโดยคิดถึง<br />

ประโยชน์ใช้สอยและการระบายอากาศที่ดี ตึกอำนวยการตั้งอยู่<br />

ตรงกลางผังบริเวณเป็นอาคาร 3 ชั้น บนดิน 2 ชั้นและใต้ดิน<br />

1 ชั้น ผังรูปตัว E ใช้สำหรับการรักษา การเรียนแพทย์ และ<br />

สำนักงานในเวลาเดียวกัน ลักษณะอาคารเรียบเกลี้ยงแบบอาคาร<br />

คอนกรีตแต่ยังคงรูปแบบคลาสสิคไว้ที่มุขกลางที่มีจั่วแบบวิหาร<br />

กรีกเล็กๆ ประดับอยู่ แตกต่างมากกับอาคารผ่าตัดที่ต่อไปด้านหลัง<br />

ที่ออกแบบเป็นอาคารแฝดทรงลูกบาศก์เกลี้ยงๆมีหน้าต่างกระจกใหญ่<br />

กว้างเต็มช่วงเสาและสูงถึง 2 ชั้นเพื่อรับแสงจากทิศเหนือ หลังคา<br />

เป็นทรงพีระมิดที่แบนมาก หอพักผู้ป่วยมีทั้งแบบชั้นเดียวและ2 ชั้น<br />

ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวมีระเบียงรอบ ลักษณะอาคารเหมือน<br />

บังกะโลคอนกรีตที่มีชายคายื่นยาวมากและมีเสาระเบียงลอยตัวรับ<br />

เป็นแถว ระยะห่างของช่องประตู-หน้าต่างสัมพันธ์กับตำแหน่งการ<br />

วางเตียงคนไข้ภายในและมีช่องระบายอากาศเหนือหน้าต่างถึง 2 ชั้น<br />

หลังคาเป็นทรงปั้นหยาที่ต่ ำมากจนเหมือนหลังคาแบน แบบโรงพยาบาล<br />

ของตามานโยใช้ได้ดีกับภูมิอากาศเมืองไทย จึงไม่น่าแปลกใจเลย<br />

ว่าพระสาโรชรัตนนิมมานก์จะนำไปปรับใช้เพื่อออกแบบ<br />

โรงพยาบาลศิริราชยุคปฏิรูปในอีก 2 ทศวรรษต่อมา<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

221


บน สถานีรถไฟกรุงเทพฯ<br />

หัวลำโพง (1912-1916)<br />

ซ้าย ผังพื้นสถานี รถไฟกรุงเทพฯ<br />

หัวลำโพง<br />

หน้าตรงข้าม<br />

โครงสร้างหลังคาเหล็ก<br />

สถานีรถไฟกรุงเทพฯ<br />

222 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


โถงชานชาลาสถานีรถไฟกรุงเทพฯ หัวลำโพง สถานีรถไฟ หลังคารูปโค้งนี้เพื่อรับแสงสว่างอย่างเต็มที่ และยังเปิดช่องกลาง<br />

กรุงเทพฯ ประกอบด้วยอาคาร 2 ส่วน ส่วนแรกคือโถงชานชาลาสำหรับ หลังคาตลอดแนวเพื่อให้แสงส่องลงมาได้โดยตรง จึงเป็นอาคารที่<br />

จอดรถไฟ ส่วนที่ 2 คือโถงระเบียงด้านหน้า อาคารแต่ละส่วน มีความเรียบเกลี้ยงสนองประโยชน์ใช้สอยแบบอาคารวิศวกรรม<br />

สร้างไม่พร้อมกัน โถงชานชาลาสร้างก่อนตามด้วยโถงระเบียงด้านหน้า อย่างชัดเจน ซึ่งตัดกับอาคารโถงระเบียงหน้าที่ออกแบบและ<br />

โถงชานชาลาเป็นที่จอดขบวนรถไฟของสถานีหลักของกรุงเทพฯ ก่อสร้างระหว่าง ค.ศ. 1912-1916 โดย มาริโอ ตามานโยที่เป็น<br />

ออกแบบและก่อสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1912 โดยวิศวกรเยอรมันเกอร์เบอร์ อาคารแบบคลาสสิคอย่างแรง แต่ตามานโยก็มีความเข้าใจใน<br />

(Gerber) ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าคลุมด้วยโครงสร้างทรัสเหล็กรูปโค้ง สุนทรียภาพแบบวิศวกรรมของโถงชานชาลานี้ดีพอที่จะเปิดภาพของ<br />

เกือบครึ่งวงกลมที่พาดช่วงยาวถึง 50 เมตร นับเป็นอาคารที่พาด หลังคาโค้งประทุนนี้ออกสู่สายตาผู้ชมอย่างไม่ปิดบัง เป็นการแสดง<br />

ช่วงยาวที่สุดในสยามยุคนั้น อาคารรูปทรงโค้งประทุนนี้ปิดด้านสกัด ความสามารถในการรวมรูปแบบที่แตกต่างให้อยู่คู่กันอย่าง<br />

ทั้ง 2 ด้วยหน้าต่างกระจกบานเล็กต่อกันจนเต็มขอบโครงสร้าง กลมกลืนและมีเอกภาพ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

223


โรงซ่อมรถโดยสาร มักกะสัน เป็นอาคารซ่อมตู้รถโดยสาร<br />

น่าจะออกแบบโดยวิศวกรชาวต่างประเทศประจำกรมรถไฟใน<br />

ค.ศ. 1922 ผังอาคารรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบ่งพื้นที่เป็น 3 ส่วน<br />

ช่วงกลางและริม 2 ข้าง พื้นที่ช่วงกลางเป็นที่ซ่อมรถ ริม 2 ข้าง<br />

เป็นพื้นที่บริการ โครงสร้างเป็นแบบกรอบคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

รับโครงสร้างหลังคาทรัสเหล็กรูป 3 เหลี่ยม ผนังอาคารทั้ง 4 ด้าน<br />

เป็นกำแพงก่ออิฐรับน้ำหนักอวดผิวอิฐ ผนังด้านหน้าชั้นล่างเป็น<br />

คานโค้งใหญ่ก่ออิฐต่อเนื่อง 5 ช่วง ที่ 3 ช่วงกลางซ้อนด้วยชั้นบน<br />

ที่เป็นคานโค้งเล็กก่ออิฐต่อเนื่อง6 ช่วง การใช้อิฐอวดผิวเป็นผนังและ<br />

โครงสร้างกลายเป็นสัญลักษณ์ของอาคารกรมรถไฟ โดยคาร์ล ดือห์ริ่ง<br />

ได้ริเริ่มขึ้นที่สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ตั้งแต่ ค.ศ. 1909 แต่เป็น<br />

โครงสร้างกำแพงอิฐรับน้ำหนักไม่เสริมคอนกรีต<br />

บน โรงซ่อมรถโดยสาร มักกะสัน(1922)<br />

ล่าง ผังพื้นโรงซ่อมรถโดยสาร มักกะสัน<br />

224 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ตึกประถมหนึ่ง โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ (1913)<br />

ล่าง ผังพื้นตึกประถมหนึ่ง โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์<br />

ตึกประถมหนึ่งโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ สร้างใน<br />

ค.ศ. 1913 โดย คาร์โล อัลเลอกรี วิศวกรชาวอิตาเลียน เพื่อรองรับ<br />

การขยายตัวของจำนวนนักเรียนหญิงในระบบการศึกษาของสยาม<br />

ในส่วนที่จัดการโดยคริสตจักรที่ริเริ่มมาแล้วตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 3<br />

ทั้งโรงเรียนของเด็กชายและหญิง ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า<br />

แบ่ง 3 ส่วนตามยาว ระเบียงอยู่ส่วนหน้าและหลัง ห้องเรียนอยู่<br />

ส่วนกลาง ลักษณะอาคารเป็นตึก 3 ชั้นยาวตลอด มีชายคายื่นยาว<br />

รองรับด้วยเสาระเบียงลอยตัวเรียงเป็นแถวหลังคาทรงปั้นหยาดูเรียบ<br />

เกลี้ยงไม่มีการตกแต่งใดๆ โครงสร้างหลัก ได้แก่ เสา คาน และ<br />

พื้นระเบียงเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก โดยภาพรวมเหมือนหอผู้ป่วย<br />

โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่เป็นบังกะโลคอนกรีตซึ่งสร้างในเวลา<br />

ใกล้เคียงกัน แต่แบบของโรงเรียนนี้น่าจะพัฒนามาจากอาคาร<br />

ห้องเรียนแบบเรือนแถวไม้ในยุคแรกของโรงเรียนในเครือคริสตจักร<br />

เหล่านี้ เช่น ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ เป็นต้น และเป็นตัวอย่างของ<br />

อาคารคอนกรีตแบบเรียบเกลี้ยงที่พัฒนามาจากอาคารเรือนพื้นถิ่น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

225


โบสถ์น้อยเซนต์โยเซฟคอนแวนต์สร้างโดยคณะนักบวชสตรี<br />

แห่งคณะภคินีเซนต์ปอล เดอ ชาร์ต (the Sister of St. Paul de<br />

Chartres) ใน ค.ศ. 1920 ผู้ออกแบบคือ เอ ริกาซซิ (A. Rigazzi)<br />

เป็นโบสถ์คอนกรีตผังสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เรียบง่ายโดยจัดพื้นที่<br />

ระเบียงล้อมรอบชั้นนอก พื้นที่ชั้นในเป็นพื้นที่ใช้งาน อาคารแบ่ง<br />

เป็น 3 ชั้น ชั้นล่างห้องนวกะ ชั้น 2 ทะลุต่อถึงชั้น 3 เป็นที่ตั้ง<br />

โบสถ์ ด้านหลังเป็นห้องสังฆภัณฑ์ หัวและท้ายตึกเป็นที่ตั้งบันได<br />

ลักษณะอาคารเป็นตึกคอนกรีตสี่เหลี่ยมเห็นแนวเสาระเบียงเรียง<br />

เป็นแถว หลังคาทรงปั้นหยามีชายคายื่น ดูเรียบง่ายเหมือนตึก<br />

ประถมหนึ่งที่ตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกัน ที่น่าสังเกตคือตึกนี้<br />

สร้างเสร็จหลังโบสถ์ซางตาครู้สที่กุฎีจีนเพียง 4 ปี แต่ใช้แบบ<br />

สถาปัตยกรรมที่แตกต่างกันกว่า 500 ปี กล่าวคือโบสถ์ซางตาครู้<br />

สยังสร้างตามแบบซานตามาเรียเดลฟิโอเร (Santa Maria del<br />

Fiore) สมัยศตวรรษที่ 15 ขณะที่โบสถ์น้อยใช้แบบสมัยใหม่<br />

แต่ทั้งสองอาคารสามารถรองรับการประกอบพิธีกรรมทางศาสนา<br />

คริสต์ได้ไม่ต่างกัน และอาจประหยัดงบประมาณมากกว่า ในขณะ<br />

ที่มีความยืดหยุ่นในการใช้งานได้มากกว่าเสียด้วยซ้ำ<br />

บน โบสถ์น้อยเซนต์โยเซฟคอนแวนต์<br />

(1920)<br />

ล่าง ผังพื้นโบสถ์น้อย<br />

เซนต์โยเซฟคอนแวนต์<br />

226 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ซ้าย ห้างตั้งโต๊ะกัง (1921)<br />

ขวา ผังพื้นห้างตั้งโต๊ะกัง<br />

ห้างทองตั้งโต๊ะกัง เยาวราช เป็นอาคารพาณิชย์คอนกรีต<br />

เสริมเหล็กทั้งหลัง สูง 6 ชั้น สร้างเมื่อ ค.ศ. 1921 ผังรูปสี่เหลี่ยม<br />

ผืนผ้าแคบยาวเหมือนตึกแถวห้องเดี่ยว จึงน่าจะออกแบบสร้างโดย<br />

ผู้รับเหมามากกว่าสถาปนิกที่มาจากสถาบันการศึกษา มุมด้านหัว<br />

ถนนตัดเฉียงเป็นทางเข้าใหญ่ ภายในเปิดโล่งไม่กั้นห้องและ<br />

ไม่มีเสากลาง ชั้นล่างเป็นร้านขายทองขณะที่ชั้นบนเป็นโรงงาน<br />

ทำทองรูปพรรณ และชั้นบนสุดเป็นที่พักอาศัย โครงสร้างเสา คาน<br />

พื้นเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กชนิดเสาฝังในผนังแม้โครงสร้างจะเปลี่ยน<br />

ไปแล้วผนังอาคารยังคงก่อค่อนข้างหนา และประดับลวดลาย<br />

คลาสสิคแบบโครงสร้างกำแพงรับน้ำหนักโบราณ เช่น เสาอิงแบบ<br />

ไอโอนิค (Ionic) การเดินเส้นปูนฉาบผนังเป็นก้อนสี่เหลี่ยมใหญ่<br />

เลียนแบบหินก่อ ประดับลายพวงอุบะมีพู่ห้อยเป็นต้น แต่ลักษณะลาย<br />

เป็นงานเรขาคณิตแบบอาร์ตเด็คโค (Art Deco) มากกว่าคลาสสิค<br />

แบบเก่า ห้างทองตั้งโต๊ะกังเป็นตัวแทนของอาคารพาณิชย์สมัยใหม่<br />

ของเอกชน ที่สร้างอาคารเน้นความประหยัดและการใช้งาน<br />

สารพัดประโยชน์ ซึ่งอาคารคอนกรีตทำได้ดี เป็นคุณสมบัติที่<br />

ปรากฏอยู่ในอาคารพาณิชย์ตั้งแต่ตึกแถวชั้นดีไปจนถึงตึกสูงรุ่นแรก<br />

ของสยามอย่างเช่นอาคารหลังนี้ นอกจากนี้มันยังเป็นสัญลักษณ์<br />

ของความเติบโตของกลุ่มช่างรับเหมาเอกชนที่จะทำงานออกแบบ<br />

ก่อสร้างให้พวกกลุ่มทุนใหม่ ขนานไปกับสถาปนิก-วิศวกรจาก<br />

สถาบันที่ทำงานให้รัฐและชนชั้นสูงอย่างน่าสนใจ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

227


สรุปคุณค่าสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในรัชสมัย<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6<br />

วิกฤติการณ์ทางการเมืองที่คนกลุ่มใหม่ในสังคมคือชนชั้นกลาง<br />

ที่มีการศึกษาอันมีทหารเป็นตัวแทนต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />

ไปสู่ระบอบรัฐสภา ทำให้เสถียรภาพของราชบัลลังก์คลอนแคลน<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องปกป้องระบอบ<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไว้ด้วยการสร้างพระราชอุดมการณ์<br />

“ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์” ให้คนไทยยึดถือไม่เบี่ยงเบนออก<br />

ไปหาระบอบการปกครองอื่นๆ เช่น ประชาธิปไตย สังคมนิยม และ<br />

ฟาสซิสต์ที่กำลังระบาดหนักไปทั่วโลกในช่วงต้นศตวรรษที่20 พระ<br />

ราชอุดมการณ์นี้เน้นการรักชาติของชนเชื้อชาติไทยและ<br />

จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ว่าเป็น<br />

“นิติธรรม” ของชาวไทย ทรงพระราชนิพนธ์วรรณกรรมประเภท<br />

โคลง กลอน บทละครและบทความปลุกใจให้คนไทยรักชาติและ<br />

พระเจ้าแผ่นดิน และต่อต้านคนจีนว่าเป็นคนต่างชาติที่เห็นแก่ตัว<br />

ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ “เที่ยวเมืองพระร่วง” ให้คนไทยสนใจ<br />

ประวัติศาสตร์และโบราณสถานที่ยิ่งใหญ่เจริญรุ่งเรืองของสยาม<br />

ในพระราชดำรัสตอบเปิดโรงเรียนโรงเรียนเพาะช่างใน ค.ศ. 1914<br />

ทรงมีพระราชกระแสที่ชัดเจนว่าศิลปวิชาช่างที่เหมาะสมกับคนไทยที่สุด<br />

คือศิลปวิชาช่างแบบไทยที่ใช้ความรู้ที่ก้าวหน้าของตะวันตกเกื้อหนุน<br />

ซึ่งคือรากฐานความคิดของการสร้างงานศิลปะ สถาปัตยกรรมแนว<br />

ชาตินิยมที่ใช้เทคโนโลยีแบบใหม่ที่ดำเนินสืบเนื่องมาจนทุกวันนี้<br />

ในการนี้ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารแบบชาตินิยม<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์นี้ไว้ที่สำคัญคือ หอสวดและคณะเรียนที่<br />

โรงเรียนมหาดเล็กหลวง และตึกบัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />

ซึ่งมีผังแบบคลาสสิคแต่ใช้รูปแบบไทยโบราณประยุกต์และ<br />

สร้างด้วยคอนกรีต ซึ่งความจริงก็ไม่แปลกกว่าพระอุโบสถวัดราชาธิ<br />

วาสและอาคารศาลาลูกขุนใหม่ในพระบรมมหาราชวังที่สร้างใน<br />

สมัยรัชกาลที่ 5 ที่สร้างตามแนวคิด “ประเพณี”และ “ความทรงจำ”<br />

ไม่ใช่ แนวคิด “ชาตินิยม” เช่นยุคนี้ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเพราะ<br />

ต่อจากนี้ไปวาทกรรมของการสร้างอาคารแบบไทยโบราณหรือไทย<br />

ประยุกต์ก็ตามทีก็คือทำเพื่อ “ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์”<br />

ดังเช่นเป็นคาถาบทหนึ่ง<br />

อย่างไรก็ตามอาคารแบบชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวก็มีจำนวนน้อยมาก<br />

เมื่อเทียบกับอาคารส่วนใหญ่ที่รัฐบาลสร้างในรัชกาลนี้ การที่สยาม<br />

ผลิตปูนซีเมนต์ได้ในค.ศ. 1913 ส่งผลให้มีการก่อสร้างอาคารโครงสร้าง<br />

คอนกรีตอย่างมากมายและกว้างขวาง เพื่อตอบสนองพลเมืองที่<br />

เพิ่มมากขึ้นและเมืองที่ขยายตัว เราเห็นอาคารสาธารณูปโภคชั้นดี<br />

ที่ริเริ่มในสมัยรัชกาลที่ 5 เกิดขึ้นในรัชกาลนี้มากมายเช่น สถานีรถไฟ<br />

กรุงเทพฯ หัวลำโพง โรงกรองน้ำประปา สามเสน โรงพยาบาล<br />

จุฬาลงกรณ์ ปทุมวัน เป็นต้น อาคารเหล่านี้ไม่ได้มีอะไรสวยงาม<br />

เป็นพิเศษแต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเราเห็นความสามารถในการก่อสร้างที่สูงขึ้น<br />

ของช่างและคนงานไทย และอาคารสาธารณะเหล่านี้ทำให้คนไทยมี<br />

คุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นในขณะเดียวกันก็มีการสร้างคฤหาสน์ของชนชั้นสูง<br />

ที่หรูหราด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทาน<br />

ข้าราชการใกล้ชิดในพระองค์ เช่น บ้านนรสิงห์และบ้านบรรทมสินธุ์<br />

ในแบบโกธิคแห่งเมืองเวนิส (Venetian Gothic) ออกแบบโดยมาริโอ<br />

ตามานโย ผังอาคารเป็นแบบพื้นที่สองชั้น พื้นที่ใช้งานอยู่ภายใน<br />

ล้อมรอบด้วยระเบียงภายนอกที่เขาพัฒนาขึ้นมาตั้งแต่ปลายสมัย<br />

รัชกาลที่5 แต่ด้วยรูปแบบย้อนยุคเช่นนี้ในทศวรรษที่ 1920 คฤหาสน์<br />

แบบนี้เป็นตัวอย่างของอาคารที่ล้าสมัยในแนวคิดและการออกแบบ<br />

ด้วยการเกิดขึ้นของสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ในเยอรมัน<br />

ที่แม้กระทั่งสถาปนิกรุ่นใหม่ในเอเชียอย่างญี่ปุ่นก็สนใจเดินทางไปศึกษา<br />

แต่ดูเหมือนในสยามความสนใจยังจำกัดอยู่ในเรื่องชาตินิยม<br />

สถาปัตยกรรมทรงไทย วรรณกรรมโรแมนติกและโครงสร้างคอนกรีต<br />

ของบรรดาวิศวกรเท่านั้น<br />

228 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

รัชกาลที่ 7 (1925-1935)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

เสถียรภาพของสังคมสยามเข้าสู่ภาวะวิกฤตอีกครั้งหนึ่ง<br />

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 เสด็จขึ้น<br />

ครองราชสมบัติในปลาย ค.ศ. 1925 เนื่องจากภาวะงบประมาณ<br />

ของประเทศขาดดุล ซึ่งเป็นปัญหาสะสมมาจากรัชกาลก่อน<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงใช้งบ<br />

ประมาณของประเทศไปในด้านการทหารและกรณียกิจส่วนพระองค์<br />

เป็นจำนวนมาก รวมทั้งค่าใช้จ่ายในโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ<br />

ขณะที่รายได้จากภาษีอบายมุขลดลงจากพระราโชบายยกเลิกหวย<br />

ก.ข. บ่อนการพนัน และจำกัดการสูบฝิ่น ส่งผลให้งบประมาณขาดดุล<br />

ใน ค.ศ. 1923 ถึง 10 ล้านบาท และใน ค.ศ. 1925 เหลือเงินคงคลัง<br />

เพียง 3 ล้านบาท เทียบกับรายจ่ายรัฐบาลในปีนั้นที่สูงถึง<br />

101.7 ล้านบาท นโยบายการเงินการคลังของรัชกาลที่7 ทั้งรัชกาล<br />

จึงเป็นยุคแห่งการตัดลดค่าใช้จ่าย โดยระยะแรกใน ค.ศ. 1925-1929<br />

ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ตัดค่าใช้จ่ายของพระคลังข้างที่จากปีละ9 ล้านบาท<br />

เป็น 6 ล้านบาท เงินรายจ่ายส่วนพระองค์ลดลงจากเดิม 10.8 ล้านบาท<br />

เป็น 6.8 ล้านบาท มีการยุบตำแหน่งในกระทรวง ทบวง กรมที่<br />

ไม่จำเป็นเป็นจำนวนมาก สถานการณ์ทำท่าจะดีขึ้นใน ค.ศ. 1926<br />

เมื่องบประมาณรายจ่ายของประเทศยังเกินดุลอยู่เพียง 211,812<br />

บาท แต่แล้วก็กลับเกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลกในทศวรรษ<br />

1930 สยามได้รับผลกระทบอย่างแรง การค้าระหว่างประเทศฝืด<br />

เคือง รายได้จากการขายข้าวของประเทศที่มีมูลค่า 70% ของ<br />

การส่งออกลดลงถึง 25% การคลังของประเทศเกิดภาวะวิกฤต<br />

รุนแรงกว่าเดิม รัฐบาลจึงใช้นโยบายตัดทอนรายจ่ายระยะที่ 2<br />

ตั้งแต่ ค.ศ. 1930-1932 อย่างรุนแรง เริ่มด้วยการลดเงินเดือน<br />

ข้าราชการทุกระดับ ระงับโครงการก่อสร้างทั้งหมดยกเว้นที่ยังสร้าง<br />

ค้างอยู่ ไปจนถึงปลดข้าราชการออก โดยเฉพาะกระทรวงกลาโหมที่<br />

มีข้าราชการอยู่ถึง 40% ของทั้งหมด ถูกตัดงบประมาณใน ค.ศ. 1932<br />

จาก 12 ล้านบาท เหลือ 8 ล้านบาท 37 ทำให้พระองค์เจ้าบวรเดช<br />

เสนาบดีกระทรวงกลาโหมถึงกับยื่นใบลาออก การตัดลดงบประมาณ<br />

ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นแต่กลับแย่ลง เพราะประชาชนไม่มี<br />

เงินจะใช้จ่าย ส่งผลให้เกิดความเดือดร้อนไปทั่ว และเป็นสาเหตุ<br />

สำคัญที่ทำให้คณะบุคคลที่ประกอบด้วยทหารและพลเรือนที่เรียก<br />

ตนเองว่า “คณะราษฎร” ใช้กำลังทหารเข้าควบคุมสถานการณ์<br />

ยึดอำนาจการปกครองแผ่นดินจากพระมหากษัตริย์ เปลี่ยนแปลง<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

229


การปกครองไปสู่ระบอบประชาธิปไตยในวันที่ 24 มิถุนายน<br />

ค.ศ. 1932 ภายหลังรัฐบาลที่คณะราษฎรตั้งขึ้นได้แถลงนโยบาย<br />

ต่อสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของคณะราษฎรว่า<br />

มีอุดมการณ์อยู่ที่หลัก 6 ประการ ได้แก่ หลักเอกราช หลักความ<br />

สงบภายใน หลักเศรษฐกิจ หลักเสมอภาค หลักเสรีภาพ และ<br />

หลักการศึกษา 38 และจะแปรหลัก 6 ประการนี้เป็นนโยบายต่างๆ<br />

ในการบริหารบ้านเมืองผ่านกระทรวงต่างๆ แต่เมื่อคณะราษฎรได้<br />

อำนาจในการบริหารบ้านเมืองแล้วก็ยังรีรอไม่จัดให้มีการเลือก<br />

ตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรโดยตรง ซ้ำร้ายในเดือนมีนาคม<br />

ค.ศ. 1933 หลวงประดิษฐ์มนูธรรมหนึ่งในผู้นำคณะราษฎรได้เสนอ<br />

นโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมในการบริหารเศรษฐกิจประเทศ<br />

ได้สร้างความไม่พอพระราชหฤทัยแก่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า<br />

เจ้าอยู่หัวเป็นอันมาก 39 ทำให้พวกนิยมระบอบเก่าในรัฐบาลรวม<br />

ตัวกันปฏิวัติเงียบโดยการปิดสภางดใช้รัฐธรรมนูญบางมาตรา<br />

รวบอำนาจเข้าสู่พระยามโนปกรณ์นิติธาดา นายกรัฐมนตรีที่นิยม<br />

ระบอบเก่า และกำจัดรัฐมนตรีฝ่ายหลวงประดิษฐ์มนูธรรมออกไป<br />

ในเดือนเมษายน ค.ศ. 1933 คณะราษฎรที่นำโดยพระยาพหลพล<br />

พยุหเสนาจึงใช้กำลังทหารทำการปฏิวัติซ้ำอีกในเดือนมิถุนายน<br />

ค.ศ. 1933 บังคับให้นายกรัฐมนตรีลาออกและแต่งตั้งพระยา<br />

พหลพลพายุหเสนาเป็นนายกรัฐมนตรีแทน ฟางเส้นสุดท้ายของ<br />

การออมชอมระหว่างพวกนิยมระบอบเก่าและระบอบใหม่จึงขาดลง<br />

พระองค์เจ้าบวรเดชอดีตเสนาบดีกระทรวงกลาโหมสมัย<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นหัวหน้า นำทหารจากภาคตะวันออก<br />

เฉียงเหนือและภาคกลางเคลื่อนกำลังเข้ายึดสนามบินดอนเมือง<br />

ปะทะกับกองกำลังคณะราษฎรนำโดยหลวงพิบูลสงครามไปตาม<br />

ทางรถไฟ ตั้งแต่บางซื่อจนถอยร่นไปถึงนครราชสีมา และแตกทัพ<br />

ไปหมดในวันที่26 ตุลาคม ค.ศ. 1933 หลังจากนั้นพวกคณะราษฎร<br />

ทำการกวาดล้างพวกนิยมระบอบเก่าอย่างกว้างขวาง แม้แต่องค์<br />

พระมหากษัตริย์ก็ถูกระแวงสงสัย 40 จึงเสด็จพระราชดำเนินไป<br />

ประเทศอังกฤษในวันที่12 มกราคม ค.ศ. 1934 ต่อมาทรงประกาศ<br />

สละราชสมบัติวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1935 และเสด็จสวรรคตที่<br />

ประเทศอังกฤษนั่นเองในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1941<br />

230 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ท่ามกลางภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจและการเมือง สยามยังคง<br />

มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในหลายด้านโดยเฉพาะการศึกษาใน<br />

ระดับอุดมศึกษา เมื่อมูลนิธิร็อคกีเฟลเลอร์ได้ช่วยเหลือบุคลากรและ<br />

การเงินแก่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในการพัฒนาการศึกษาคณะ<br />

แพทย์ศาสตร์ ศิริราชพยาบาล จนเป็นโรงเรียนแพทย์ที่มีมาตรฐาน<br />

ระดับสากล และนิสิตแพทย์ศึกษาจบหลักสูตรแพทยศาสตรบัณฑิต<br />

ได้เป็นครั้งแรกของสยามใน ค.ศ. 1930 และเป็นอานิสงส์โดยตรง<br />

แก่การเติบโตของคณะวิทยาศาสตร์ด้วย เพราะวิทยาศาสตร์เป็น<br />

การศึกษาขั้นพื้นฐานของนิสิตแพทย์ แต่โดยภาพรวมแล้ว<br />

มหาวิทยาลัยในสยามยังนับว่าอยู่ในสภาพเพิ่งเริ่มต้น มีจำนวนนิสิต<br />

รวมกันเพียง 1,746 คน ใน ค.ศ. 1933 ขณะเดียวกันหลวงประดิษฐ์<br />

มนูธรรมหนึ่งในผู้นำคณะราษฎรได้ตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์<br />

และการเมืองขึ้นใน ค.ศ. 1934 โดยเปิดเป็นตลาดวิชาขั้นอุดมศึกษา<br />

สำหรับประชาชนทั่วไปที่ต้องการเรียนรู้เกี่ยวกับการปกครองใน<br />

ระบอบประชาธิปไตย<br />

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

(1893-1941) พระราชทานรัฐธรรมนูญ<br />

ให้แก่ปวงชนชาวไทย (1932)<br />

หน้าตรงข้าม คณะราษฎร ผู้เปลี่ยนแปลง<br />

การปกครองประเทศมาเป็นระบอบประชาธิปไตย<br />

ในทางสังคมนั้นด้วยความก้าวหน้าทางคมนาคมและการสื่อสาร<br />

ทำให้สยามติดต่อรับรู้ความเจริญจากต่างประเทศมากขึ้นทั้งภาคพื้น<br />

เอเชีย ยุโรป และอเมริกา ประกอบกับประชากรชนชั้นกลางที่<br />

เติบโตมากขึ้น ประชากรทั้งประเทศเพิ่มจากประมาณ 15.7 ล้านคน 41<br />

ตอนต้นรัชกาลที่ 6 (ค.ศ. 1910) มาเป็นประมาณ 23.4 ล้านคน 42<br />

ในตอนต้นรัชกาลที่ 7 (ค.ศ. 1925) ทำให้เกิดอุปสงค์ในการบริโภค<br />

วัฒนธรรมมวลชนแบบตะวันตกมากขึ้น ซึ่งสะท้อนออกมาในการ<br />

เดินทางท่องเที่ยวไปต่างจังหวัดโดยทางรถไฟ เรือ และรถยนต์<br />

ส่วนกิจกรรมในเมือง ได้แก่ สโมสรเต้นรำ ฟังดนตรีแบบตะวันตก<br />

การรับประทานอาหารนอกบ้าน การชมภาพยนตร์ ล้วนเป็น<br />

กิจกรรมบันเทิงบันเทิงใหม่ที่ประชาชนสนใจอย่างแพร่หลาย<br />

การฟังละครวิทยุ และติดตามข่าวสารทางหนังสือพิมพ์ เป็นต้น<br />

กิจกรรมใหม่ๆ เหล่านี้เรียกร้องให้เกิดสถาปัตยกรรมใหม่ เช่น<br />

โรงภาพยนตร์ สโมสรบันเทิงยามราตรี ในย่านการค้าที่ผู้คนชุมนุม<br />

หนาแน่น เช่น ย่านเยาวราช เจริญกรุง และราชวงศ์ เป็นต้น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

231


อาคารใหม่ๆ เหล่านี้ไม่ได้สร้างผูกขาดเพื่อคนชั้นสูงอีกต่อไปแต่เป็น<br />

การสนองความต้องการของประชาชนทั่วไปในโลกทุนนิยมแห่ง<br />

ศตวรรษที่20 ที่สยามได้กระโดดเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งอย่างเลี่ยงไม่ได้<br />

บทบาทสถาปนิกไทยในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรม<br />

แม้ว่าสยามจะมีมหาวิทยาลัยตั้งแต่ค.ศ. 1917 แต่การศึกษา<br />

สาขาสถาปัตยกรรมยังไม่ได้เริ่มต้นในระดับนี้ สยามจึงต้องส่งนักเรียน<br />

ไปศึกษาวิชาสถาปัตยกรรมในยุโรป นักเรียนไทยรุ่นแรกได้แก่<br />

หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร ทรงศึกษาที่สถาบันศิลปะอีโคล<br />

เดอโบซาร์(Ecole de Beaux-Arts) ในประเทศฝรั่งเศสในทศวรรษ 1910<br />

กลับมารับราชการที่กรมศิลปากร กระทรวงวังใน ค.ศ. 1916<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์ศึกษาที่มหาวิทยาลัยลิเวอร์พูล (University<br />

of Liverpool) ในประเทศอังกฤษระหว่าง ค.ศ. 1915-1920<br />

กลับมารับราชการที่กองสถาปนิก กระทรวงศึกษาธิการใน ค.ศ. 1920<br />

สถาปนิกไทยจึงเริ่มต้นบทบาทวิชาชีพตั้งแต่กลางรัชสมัยรัชกาลที่ 6<br />

เป็นต้นมา และค่อยๆ เพิ่มจำนวนขึ้นอีกในสมัยรัชกาลที่7 สถาปนิก<br />

รุ่นแรกอย่างหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากรและ<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์ได้รับการศึกษาแบบคาบเกี่ยวสมัยโบราณ<br />

และสมัยใหม่ซึ่งเป็นแนวโน้มทั่วไปของโรงเรียนสถาปัตยกรรมใน<br />

ยุโรปช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษที่ 20 กล่าวคือ<br />

วิชาออกแบบยังอ้างอิงรูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณ เช่น คลาสสิค<br />

กรีก-โรมัน โกธิค และโรแมนติก เป็นต้น ขณะที่วิชาโครงสร้างและ<br />

วัสดุ จะศึกษาเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า เช่น โครงสร้างเหล็กและ<br />

คอนกรีตเสริมเหล็ก รวมทั้งวิชาผังเมือง เป็นต้น ผลงานออกแบบ<br />

ยุคแรกจึงเป็นอาคารรูปแบบโบราณที่สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

ตัวอย่างเช่น พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ (ค.ศ. 1915)<br />

ในพระราชวังสนามจันทร์ โดยหม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร<br />

อาคารมนุษยนาควิทยาทาน (ค.ศ. 1924) วัดบวรนิเวศวิหาร<br />

โดยพระสาโรชรัตนนิมมานก์เป็นต้น ตอนต้นรัชกาลที่7 สถาปนิกไทย<br />

รุ่นที่ 2 สำเร็จการศึกษาจากอังกฤษและฝรั่งเศสกลับมารับราชการ<br />

ที่กรมศิลปากรและกรมโยธาธิการอีกหลายคน เช่น หม่อมเจ้าสมัย<br />

เฉลิม กฤดากร นายนารถ โพธิประสาท นายหมิว (จิตรเสน อภัยวงศ์)<br />

หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล หม่อมเจ้าโวฒยากร วรวรรณ และหม่อม<br />

เจ้าประสมสวัสดิ์ สุขสวัสดิ์ เป็นต้น เหตุผลสำคัญที่สถาปนิกไทย<br />

รุ่นใหม่มีโอกาสได้ทำงาน มาจากการที่สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญชาว<br />

ยุโรปต่างหมดสัญญาจ้างจากรัฐบาลไทยไปเกือบหมดตอนสิ้น<br />

รัชสมัยรัชกาลที่ 6 ภาระงานทั้งหลายจึงถ่ายเทมาที่สถาปนิกไทย<br />

ในบรรดาสถาปนิกไทยนั้นพระสาโรชรัตนนิมมานก์(สุภัง สุขยางค์)<br />

มีผลงานปรากฏมากที่สุด เช่น ตึกมนุษยนาควิทยาทาน (ค.ศ. 1924)<br />

กลุ่มอาคารที่โรงพยาบาลศิริราช (ค.ศ. 1924-1939) งานของ<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์เป็นเรื่องน่าสนใจเพราะมีพัฒนาการของ<br />

รูปแบบอย่างชัดเจน ในช่วงทศวรรษ 1920 พระสาโรชรัตนนิมมานก์<br />

นิยมแบบโบราณทั้งคลาสสิค โรแมนติก แม้กระทั่งแบบไทย<br />

เช่น ตึกนิภานภดล วัดเทพศิรินทราวาส ปลายทศวรรษ 1930<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์เริ่มหันเหไปนิยมแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ในแบบที่เรียกว่าคลาสสิคที่เรียบเกลี้ยง (Stripped classicism)<br />

ที่มาจากอิทธิพลของสถาปนิกอิตาเลียนนิยมลัทธิฟาสซิสต์ (Fascism)<br />

มาร์เซลโล ปิอาเซนตินี (Marcello Piacentini) การหันเหแนวทาง<br />

ออกแบบของพระสาโรชรัตนนิมมานก์ไม่ใช่เรื่องการเปลี่ยนทฤษฎี<br />

ออกแบบแต่เป็นเรื่องการเปลี่ยนรูปแบบ ซึ่งมาจากประสบการณ์ใหม่<br />

ที่พระสาโรชรัตนนิมมานก์ได้พบเห็นสถาปัตยกรรมสากลสมัยใหม่<br />

มากมายทั่วโลก ในงานแสดงนิทรรศการนานาชาติว่าด้วยศิลปะ<br />

และเทคนิคสมัยใหม่ (Exposition Internationale des Art et<br />

Techniques dans la vie Moderne 1937) ที่กรุงปารีสใน ค.ศ. 1937<br />

หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร เป็นสถาปนิกไทยที่ศึกษาจาก<br />

ยุโรปที่อาวุโสที่สุด ช่วงแรกทรงถวายงานออกแบบสนองพระราช<br />

ประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นหลัก<br />

เช่น พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์ (ค.ศ. 1915) พระตำหนักมาลี<br />

ราชรัตบัลลังค์43 (ค.ศ. 1917) ที่พระราชวังสนามจันทร์ นครปฐม<br />

ต่อมาทรงถวายงานสนองพระราชประสงค์พระบาทสมเด็จ<br />

พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น พระตำหนักเปี่ยมสุข (ค.ศ. 1928) และ<br />

ตำหนักอื่นๆ ในวังไกลกังวล ประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ยังทรง<br />

232 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากร<br />

(1889-1935)<br />

พระสาโรชัตนนิมมานก์<br />

(1895-1950)<br />

หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร<br />

(1895-1967)<br />

นายหมิว (จิตรเสน) อภัยวงศ์<br />

(1900-1963)<br />

ออกแบบพระตำหนักสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวง<br />

สงขลานครินทร์(ค.ศ. 1926) และตำหนักอื่นๆ ในวังสระปทุม เป็นต้น<br />

งานที่ทรงออกแบบนี้อยู่ในแนวฟื้นฟูเรือนพื้นถิ่น (Domestic<br />

Revival) ตามแนวทางของซี เอฟ วอยซี(C. F. Voysey) สถาปนิก<br />

ชาวอังกฤษช่วงปลายศตวรรษที่ 19 นอกจากนี้ยังทรงพิถีพิถัน<br />

กับรายละเอียดและการก่อสร้างมาก ผลงานจึงมีคุณภาพสูงมาก<br />

อย่างที่ทรงนิพนธ์ว่าสถาปัตยกรรมย่อมแตกต่างจากอาคาร เพราะ<br />

มันมีสุนทรียภาพและจินตนาการซึ่งใกล้เคียงกับแนวคิดของศิลปิน<br />

อังกฤษช่วงปลายศตวรรษที่ 19 จอห์น รัสกิน (John Ruskin)<br />

หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร ทรงออกแบบโรงภาพยนต์ศาลา<br />

เฉลิมกรุงและสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1933 ในลักษณะสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่แบบอาร์ตเด็คโค เป็นอาคารที่สะท้อนปรัชญาของ<br />

สุนทรียภาพใหม่นั่นคือความงามแบบนามธรรม ไร้การเลียนแบบ<br />

อาคารโบราณ ไร้ลวดลายตกแต่ง งดงามด้วยโครงสร้างที่เปิดเผย<br />

และสมบูรณ์ด้วยประโยชน์ใช้สอยแบบเครื่องจักร ศาลาเฉลิมกรุง<br />

จึงเป็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่สมบูรณ์ที่สุดแห่งหนึ่งของสยาม<br />

และเป็นตัวเร่งให้เกิดการแข่งขันกันออกแบบสถาปัตยกรรมแบบใหม่นี้<br />

ให้เกิดตามมา นายหมิว (จิตรเสน) อภัยวงศ์ ออกแบบตึก<br />

บัญชาการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองระหว่าง<br />

ค.ศ. 1934-1936 โดยการนำอาคารเก่ามาดัดแปลงต่อเติม<br />

การใส่หลังคากรวยยอดแหลมแบบอาคารยุคกลางลงบนหลังคาจั่ว<br />

ของเขา ทำให้อาคารลูกผสมคอนกรีตของเขาดูก้ำกึ่งระหว่างความ<br />

ทันสมัยกับความโบราณ แต่ผลงานในรัชกาลต่อไปของเขาจะโดดเด่น<br />

ในแบบสมัยใหม่มากกว่าสถาปนิกคนอื่น ใน ค.ศ. 1934 สถาปนิก<br />

รุ่นใหม่เหล่านี้จำนวน 6 คน นำโดยนายนารถ โพธิประสาทได้<br />

จัดตั้งสมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์ขึ้น เพื่อส่งเสริม<br />

วิชาชีพสถาปนิกซึ่งบัดนี้คนไทยทำได้แล้วให้เจริญก้าวหน้าเป็น<br />

ที่รู้จักของคนทั่วไป และแผ้วถางหนทางสร้างอาชีพนี้ให้เป็น<br />

วิชาชีพที่ต้อง “กลั่นกรอง” โดยการศึกษาจากสถาบันให้แตกต่าง<br />

จากวิถีทางดั้งเดิมของสังคมที่ใช้บริการพวกนักออกแบบก่อสร้าง<br />

จากประสบการณ์โดยเฉพาะผู้รับเหมา คณะกรรมการบริหาร<br />

สมาคมชุดก่อตั้งนี้มีพระสาโรชรัตนนิมมานก์เป็นนายกสมาคม และ<br />

นายนารถ โพธิประสาทเป็นเลขาธิการ มีการออกวารสารของ<br />

สมาคมชื่อ “อาษา” แต่ในความเป็นจริงการดำเนินงานไม่มีความ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

233


สม่ำเสมอ เพราะสมาชิกแต่ละคนมีภารกิจประจำต้องปฏิบัติสนอง<br />

นโยบายของรัฐบาลอย่างมากมาย โดยเฉพาะในช่วงทศวรรษ 1940<br />

ที่เกิดสงครามอินโดจีนต่อด้วยสงครามมหาเอเชียบูรพาจนไม่มีเวลา<br />

ทำงานให้สมาคม ส่งผลให้สมาคมต้องหยุดกิจกรรมไปใน ค.ศ. 1941<br />

สมเด็จฯเจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ (1863-1947)<br />

สถาปนิกแนวอนุรักษ์นิยมที่ทำงานสถาปัตยกรรมไทยที่เรา<br />

เห็นผลงานมาบ้างแล้วจากสถาปัตยกรรมชาตินิยมสมัยรัชกาลที่6<br />

ก็ยังคงทำงานต่อไป พวกเขาไม่ใช่นักเรียนนอกแบบพวกแรก<br />

แต่เรียนรู้จากการการทำงานร่วมกับสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญต่าง<br />

ประเทศตั้งแต่รัชกาลก่อน ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปทำให้บัดนี้พวกเขา<br />

หันมาออกแบบสถาปัตยกรรมไทยที่สร้างด้วยคอนกรีต สถาปนิก<br />

คนสำคัญของกลุ่มนี้คือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />

ที่ดูเหมือนจะได้รับความเคารพจากสถาปนิกทุกกลุ่มในฐานะ “ครู”<br />

ที่ทรงปฏิบัติงานออกแบบมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 ทรงออกแบบ<br />

อุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์(ค.ศ. 1930) ในแบบคอนกรีตที่เรียบง่ายและ<br />

จะเป็นต้นแบบของสถาปัตยกรรมไทยคอนกรีตต่อไป พระปฐมบรม<br />

ราชานุสรณ์ (ค.ศ. 1932) ร่วมกับประติมากรอิตาเลียนคอร์ราโด<br />

เฟโรชี(Corrado Feroci) ในแบบไทยอาร์ตเด็คโค พระพรหมพิจิตร<br />

เป็นผู้ช่วยของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ใน<br />

การเขียนแบบก่อสร้างเกือบทุกโครงการ งานออกแบบของท่านเอง<br />

คือหอระฆังวัดยานนาวา (ค.ศ. 1934) ในแบบไทยคอนกรีตที่เรียบเกลี้ยง<br />

และท้าทายขนบอย่างน่าสนใจ หลวงวิศาลศิลปกรรมเป็นสถาปนิกไทย<br />

รุ่นใหม่ที่เคยเป็นผู้ช่วยสถาปนิกเอ็ดเวิร์ดฮีลีย์มาก่อน มีผลงานตีคู่มา<br />

กับพระพรหมพิจิตร เขาออกแบบตึกคณะวิทยาศาสตร์ (1928)<br />

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในแบบไทยคอนกรีต และหอนาฬิกา<br />

(ค.ศ. 1929) โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัยในแบบไทยอาร์ตนูโวที่น่าดู<br />

สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศยังคงมีอยู่ในสยาม2-3 คน<br />

พวกเขายังเป็นกลุ่มคนที่ผลิตงานคุณภาพให้สยามต่อไป ตัวอย่าง<br />

เช่น ชาร์ลส์ เบกูลัง (Charles Beguelin) วางผังโรงพยาบาลกลาง<br />

(ค.ศ. 1928) ในแบบสากลนิยมสมัยใหม่อย่างชัดเจนและน่าสนใจ<br />

234 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ปราศจากลวดลายใดๆ ซ้ำยังดูเด่นด้วยหอคอย 7 ชั้นที่เป็นส่วน<br />

หนึ่งของตึกแถวชุดนี้<br />

ทั้งหมดนี้แสดงถึงอิทธิพลของอุดมคติยุคสมัยใหม่ที่เน้น<br />

ประหยัด ประโยชน์ และประชาชน ได้กระจายเข้าทั่วทุกวงการ<br />

ก่อสร้างและแทรกซึมไปถึงระดับรากหญ้าของสังคมสยาม<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่สมัยรัชกาลที่ 7<br />

พระพรหมพิจิตร (1890-1965)<br />

ขณะที่เอ ริกาซซิ (A. Rigazzi)ยังคงออกแบบโรงแรมราชธานี<br />

(ค.ศ. 1926) ที่สถานีรถไฟกรุงเทพฯ หัวลำโพงในแบบคลาสิคที่<br />

สร้างด้วยคอนกรีตที่ประณีตแต่ล้าสมัยเสียแล้ว<br />

อาคารสาธารณูปโภคที่ออกแบบโดยวิศวกร โดยยึดถือเกณฑ์<br />

ประโยชน์ใช้งานและความมั่นคงแข็งแรงเป็นหลักยังเป็นงานที่ต้อง<br />

ติดตามเสมอ เช่น โรงกรองน้ำสามเสนหลังที่ 2 (ค.ศ. 1930)<br />

ที่ใช้โครงสร้างคอนกรีตช่วงกว้างที่น่าสนใจ ที่ทำการพัสดุ<br />

กรมรถไฟหลวง (ค.ศ. 1928) ใช้โครงพื้นไร้คานรับด้วยเสาหัวบาน<br />

(flat slab) ที่หาดูได้ยากยิ่ง โรงงานซ่อมรถจักรโรงงานมักกะสัน<br />

(ค.ศ. 1928) ใช้โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กได้อย่างน่าดู<br />

นักออกแบบกลุ่มสุดท้ายไม่ใช่สถาปนิกหรือวิศวกรแต่เป็น<br />

ช่างก่อสร้าง-ผู้รับเหมาที่มีความชำนาญจากประสบการณ์โดย<br />

เฉพาะการสร้างตึกแถว ตึกแถวนายเลิศ ริมถนนเจริญกรุง บางรัก<br />

(ทศวรรษ 1930) เป็นตัวอย่างตึกแถวคอนกรีตสมัยใหม่ที่เกลี้ยงเกลา<br />

สภาพเศรษฐกิจที่ฝืดเคืองและความไม่สงบทางการเมือง<br />

ทำให้มีการก่อสร้างอาคารน้อย และส่วนใหญ่สร้างเพื่อความจ ำเป็นจึง<br />

เป็นอาคารประเภทสาธารณูปโภคที่สร้างด้วยคอนกรีตและเหล็ก<br />

โดยยึดหลักประหยัดและประโยชน์ใช้สอยที่ชัดเจนแบบอาคาร<br />

วิศวกรรมทั่วไป นอกจากนี้การมีสถาปนิกรุ่นใหม่จบการศึกษา<br />

จากยุโรปเข้ามาหลายคนทำให้มีการนำสถาปัตยกรรมแบบใหม่จริงๆ<br />

เข้ามาเผยแพร่ กล่าวคือเป็นอาคารที่ตั้งใจออกแบบให้สวยงามแบบ<br />

เกลี้ยงๆ และสร้างด้วยคอนกรีต เราจึงเรียกมันว่าสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่ (modern architecture) ที่ใกล้เคียงกับงานประเภท<br />

อาร์ตเด็คโค แต่ไม่ใช่สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ (International<br />

modern) ซึ่งมีปรัชญาแนวคิดของตนเองที่เน้นสุนทรียภาพแบบ<br />

เครื่องจักรกล ระบบการผลิตแบบอุตสาหกรรม มวลชนและความเป็น<br />

“สากลนิยม” รวมทั้งไวยกรณ์ของรูปแบบเฉพาะของตนเอง เช่น<br />

สถาปัตยกรรมของของกลุ่มเบาเฮาส์ของเยอรมัน หรือ<br />

สถาปัตยกรรมภายใต้หลักการออกแบบ 5 ประการของเลอร์คอร์บู<br />

ซิเอร์ที่ประกาศไว้ในนิตยสารเลสปิริต นูโว (L’Espirit Nouveau)<br />

ตั้งแต่ ค.ศ. 1921 สถาปัตกรรมสมัยใหม่ของสยามในสมัยรัชกาลที่7<br />

จึงมีจุดประสงค์ในการออกแบบที่ใกล้เคียงกับงานสากลนิยมสมัยใหม่<br />

แต่ต่างกันในรูปแบบและที่มา<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

235


ผลงาน<br />

โรงงานซ่อมรถจักร โรงงานมักกะสัน ออกแบบโดยวิศวกร<br />

ยนตร์ บุณยมานพ และก่อสร้างใน ค.ศ. 1928 รูปแบบคล้ายคลึง<br />

กับโรงซ่อมรถโดยสารหลังเก่าที่สร้างใน ค.ศ. 1922 ลักษณะผังรูป<br />

สี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวแบ่งเป็น 3 ช่วง ช่วงกลางกว้าง 20 เมตร<br />

เป็นพื้นที่โรงซ่อม ช่วงริม 2 ข้างเป็นทางเข้า รางจอดรถของ<br />

โรงซ่อมนี้จึงวางทางขวางต่างจากโรงซ่อมแรกที่วางทางยาว<br />

ผลก็คือสามารถจอดรถซ่อมได้มากขึ้นกว่าเดิม ลักษณะอาคารเป็น<br />

ผนังก่ออิฐอวดผิวตัดกับกรอบเสา-คานโครงสร้างคอนกรีต<br />

เสริมเหล็ก หลังคาทรงจั่วเป็นโครงทรัสเหล็ก ยกหลังคาเล็กระบาย<br />

อากาศตลอดแนวสันหลังคา ลักษณะผนังอิฐก่ออวดผิวตัดกับ<br />

โครงสร้างคอนกรีตกลายเป็นลักษณะเด่นของอาคารของกรมรถไฟ<br />

ไปแล้ว<br />

บน โรงงานซ่อมรถจักร โรงงาน<br />

มักกะสัน (1928)<br />

ล่าง ผังพื้นโรงงานซ่อมรถจักร<br />

โรงงานมักกะสัน<br />

236 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บนซ้าย ที่ทำการพัสดุ<br />

กรมรถไฟหลวง (1928-1931)<br />

บนขวา โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

แบบ Flat Slab ของที่ทำการพัสดุ<br />

กรมรถไฟ<br />

ล่าง ผังพื้นที่ทำการพัสดุ กรมรถไฟ<br />

เชิงสะพานกษัตริย์<br />

ที่ทำการพัสดุ กรมรถไฟหลวง เป็นอาคารเก็บวัสดุและ<br />

เครื่องมือของกรมรถไฟหลวงเชิงสะพานกษัตริย์ศึก ออกแบบโดย<br />

วิศวกร หลวงสุขวัฒน์สุนทร ระหว่าง ค.ศ. 1928-1931 เป็นตึก<br />

3 ชั้นผังรูปตัว U ใช้พิกัดเสาเป็นตารางขนาด 5.60 x 5.60 เมตร<br />

โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กแบบเสาหัวบานรับพื้นคอนกรีตหนา<br />

ไม่มีคาน (flat slab) เพื่อรับน้ำหนักบรรทุกมากๆ โดยเฉพาะ<br />

ในส่วนปีกอาคารที่ใช้เก็บของ ผสมกับระบบโครงสร้างระบบ<br />

เสาคานปกติสำหรับอาคารสำนักงานด้านหน้า รูปด้านอาคารเรียบง่าย<br />

ส่วนที่เป็นขารูปตัว U ทั้งสองข้างก่ออิฐอวดผิวเต็มช่องโครงสร้าง<br />

ขณะที่อาคารด้านหน้าเปิดช่วงหน้าเป็นระเบียงโล่งอวดเสาระเบียง<br />

เรียงเป็นแถว สะท้อนประโยชน์ใช้สอยอย่างตรงไปตรงมา และ<br />

เห็นการเลือกใช้โครงสร้างแบบไม่ปกติที่น่าสนใจมาก<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

237


โรงกรองน้ำสามเสนหลังที่ 2 สร้างใน ค.ศ. 1930 หลังจาก<br />

โรงกรองน้ำโรงแรก 16 ปี และมาในรูปแบบใหม่-คอนกรีตล้วน<br />

ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว สำหรับตั้งถังกรอง 2 แถวๆ<br />

ละ 8 ถัง รวม 16 ถัง โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กชนิดโครงเกร็ง<br />

(rigid frame) ลักษณะช่วงกลางเป็นคานโค้งขนาดใหญ่รับหลังคาจั่ว<br />

ที่ด้านบน ริม 2 ข้างลดระดับลงต่อออกไปเป็นหลังคาลาดเพื่อ<br />

ให้แสงเข้า น่าจะเป็นต้นแบบสำหรับการออกแบบอาคารประเภท<br />

อัฒจรรย์ชมกีฬาเพราะมีลักษณะแบบเดียวกัน<br />

ซ้าย โรงกรองน้ำสามเสนหลังที่ 2 (1930)<br />

ขวา ผังพื้นโรงกรองน้ำสามเสน<br />

238 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ซ้าย โครงสร้างคานโค้งคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

ของโรงกรองน้ำ<br />

ขวา ศาลาอำนวยการคณะแพทยศาสตร์<br />

ศิริราชพยาบาล(1925)<br />

โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลนี้ซึ่งเป็นโรงเรียนแพทย์<br />

แห่งแรกของสยามที่สถาปนาขึ้นตั้งแต่ค.ศ. 1888 ในสมัยรัชกาลที่5<br />

ได้รับการปรับปรุงพัฒนาให้เป็นโรงเรียนแพทย์ตามมาตรฐานสากล<br />

จากความช่วยเหลือของมูลนิธิร็อคกีเฟลเลอร์ตั้งแต่ ค.ศ. 1922<br />

มีการให้ทุนสร้างอาคาร และส่งอาจารย์แพทย์และนักวิทยาศาสตร์<br />

มาช่วยสอนทั้งที่จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและที่คณะแพทย์ศาสตร์<br />

โรงพยาบาลศิริราชนับสิบคน ที่โรงพยาบาลศิริราชมีการวางผัง<br />

โรงพยาบาลใหม่ และสร้างตึกเรียนและตึกรักษาพยาบาลไม่น้อยกว่า<br />

16 หลัง 44 อาคารส่วนใหญ่สร้างระหว่าง ค.ศ. 1925-1935 โดย<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์แห่งกรมศิลปากรเป็นสถาปนิกและผู้วาง<br />

ผังโรงพยาบาล ลักษณะผังโรงพยาบาลเป็นรูปตารางสี่เหลี่ยม<br />

ผืนผ้าที่เกิดจากการตัดกันของถนนอาคารถูกวางไปตามแนวแกนถนน<br />

ด้านยาวตั้งฉากกับแกนทิศเหนือ-ใต้เพื่อเน้นการระบายอากาศและ<br />

หลบแสงแดดที่จะส่องตรงมายังห้องพักคนไข้โดยภาพรวมแล้วเป็น<br />

ผังที่ไม่มีอะไรใหม่กว่าผังโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่ตามานโย<br />

ออกแบบไว้ก่อนหน้านี้20 ปี อาคารทั้งหมดออกแบบอย่างเรียบง่าย<br />

ใช้ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวมี 3 มุขแบบรูปตัว E และ 2 มุข<br />

แบบรูปตัว U สมมาตรแบบคลาสสิค อาคารสำหรับการรักษา<br />

พยาบาลจะวางพื้นที่ใช้งานตรงกลางมีระเบียงหน้า-หลังเพื่อการ<br />

ระบายอากาศ ถ้าเป็นอาคารปฏิบัติการทางการแพทย์ การจัดห้อง<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

239


ผังบริเวณโรงพยาบาลศิริราช<br />

(1925-1935)<br />

จะเน้นลำดับและกระบวนการของการรักษาอย่างละเอียดลออ หากเป็น<br />

หอพักผู้ป่วยพื้นที่สำหรับตั้งเตียงจะเรียงไปตามความยาวอาคาร<br />

มีระเบียงขนาบหน้า-หลัง หัวและท้ายอาคารเป็นพื้นที่บริการ<br />

รูปลักษณ์ภายนอกเหมือนเรือนแถวหลังคาปั้นหยา อวดเสาระเบียง<br />

เรียงเป็นแถวเหมือนบังกะโลแถวคอนกรีตแบบโรงเรียนปลายสมัย<br />

รัชกาลที่6 ศาลาอำนวยการคณะแพทย์ศาสตร์ สร้างใน ค.ศ. 1925<br />

เป็นอาคารศูนย์กลางโรงพยาบาลที่ออกแบบอย่างประณีตกว่า<br />

อาคารอื่น ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าเน้นมุขกลางที่ใช้ไวยกรณ์แบบประตู<br />

ชัยประยุกต์ บันไดใหญ่ถูกวางไว้ด้านหน้าแบบขวางทางเข้าเหมือน<br />

ที่สถานเสาวภา รูปด้านอาคารเป็นแบบคลาสสิคที่ตกแต่งด้วย<br />

เสาอิงระเบียบดอริค หลังคามีผนังบังชายคาให้ดูเหมือนหลังคาตัด<br />

ซ่อนหลังคาไม้มุงกระเบื้องไว้ด้านหลัง<br />

อาคารที่ศิริราชแสดงจุดประสงค์ที่เน้นความประหยัดและ<br />

ประโยชน์ใช้งานสูงสุดเป็นลำดับแรก 45 ซึ่งเป็นแนวคิดร่วมกันของ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ทุกรูปแบบ แต่แล้วข้อจำกัดเรื่องงบประมาณ<br />

กลับทำให้สถาปนิกหันไปใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นมาเป็นฐาน<br />

ในการออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ซึ่งเป็นความย้อนแย้งสำคัญ<br />

อีกประเด็นหนึ่งของพัฒนาการสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของสยาม<br />

240 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน โรงพยาบาลกลาง (1934)<br />

ล่าง ผังพื้นโรงพยาบาลกลาง<br />

โรงพยาบาลกลาง เป็นโรงพยาบาลในเขตชุมชนเมืองขนาดเล็ก<br />

ที่ตั้งขึ้นตั้งแต่ค.ศ. 1898 ในสมัยรัชกาลที่5 ได้รับการพัฒนาเรื่อยมา<br />

จนกระทั่งได้รับงบประมาณในการสร้างอาคารใหม่ทั้งหมดใน<br />

ค.ศ. 1928 ออกแบบโดย ชาร์ล เบกูลัง (Charles Beguelin)<br />

แห่งกองวิศวกรรม กระทรวงสาธารณสุข อาคารที่ออกแบบใหม่<br />

มีความน่าสนใจทั้งแง่วางผังและลักษณะอาคารที่บ่งชี้ถึงแนวทาง<br />

สากลนิยมสมัยใหม่ (International modern) อาคารสร้างเสร็จ<br />

ใน ค.ศ. 1934 เนื่องจากที่ดินมีขนาดจำกัด แนวคิดในการวางผัง<br />

จึงเป็นแบบสร้างอาคารหลังใหญ่เต็มพื้นที่ ซึ่งแตกต่างจากศิริราช<br />

ที่สร้างอาคารหลังเดี่ยวหลายหลังตั้งห่างกันและเชื่อมด้วยทางเดิน<br />

แต่ที่โรงพยาบาลกลางอาคารหลังใหญ่ประกอบด้วยตึก 4 ตึกเรียงกัน<br />

เป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมสนามภายใน ด้านหน้ามีตึกอำนวยการ<br />

อยู่ตรงกลาง (ทิศเหนือ) ตึกซ้าย (ทิศตะวันออก) เป็นส่วนผู้ป่วยนอก<br />

ต่อด้วยห้องฉุกเฉิน ตึกขวา (ทิศตะวันตก) ตอนต้น (ทิศเหนือ)<br />

เป็นห้องผู้ป่วยหนักและห้องชันสูตร ตอนกลางเป็นหอผู้ป่วยใน<br />

ตอนปลาย (ทิศใต้) เป็นครัว ตึกทิศใต้เป็นหอผู้ป่วยใน ทางเข้าหลัก<br />

ของโรงพยาบาลอยู่ด้านถนนหลวงระหว่างตึกอำนวยการกับตึกซ้าย<br />

รถสามารถวิ่งเข้ามาวนรอบสนามโรงพยาบาลแล้ววนออกทาง<br />

ช่องระหว่างตึกอำนวยการกับตึกขวา ทางเข้าส่วนบริการมาจาก<br />

ถนนซอยข้างตึกขวาที่ท ำพื้นที่ส ำหรับเข้าออกได้สะดวก สามารถเข้าถึง<br />

ส่วนครัวและส่วนซักล้างได้โดยตรง ผังชั้น 2 และ 3 ตึกกลางเป็น<br />

ที่พักแพทย์ ส่วนอีก 3 ตึกเป็นหอผู้ป่วยใน ตึกทั้งหมดเชื่อมต่อด้วย<br />

ระเบียงทางเดินที่วนรอบทุกตึกที่ล้อมสนามตรงกลางซึ่งเปรียบเสมือน<br />

ปอดและแหล่งให้แสงสว่างของโรงพยาบาลไว้ ลักษณะอาคารเป็น<br />

ทรงกล่องคอนกรีตที่มีกันสาดยื่นออกมาให้ร่มเงาหน้าต่างรอบตึก<br />

หลังคาเป็นคอนกรีตแบน ปราศจากการตกแต่ง แม้จะเป็นอาคาร<br />

ที่ไม่เน้นความสวยงามแต่เห็นได้ชัดว่ามุ่งประโยชน์ใช้สอย<br />

ความประหยัด และความตรงไปตรงมาของโครงสร้าง ซึ่งสะท้อน<br />

ออกมาในผังแบบตึกเดี่ยวที่รองรับประโยชน์ใช้สอยหลากหลาย<br />

อันเป็นลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบสากลนิยมสมัยใหม่ที่ยังไม่เคย<br />

ปรากฏในสยามแม้ว่ารูปลักษณะภายนอกยังดูทื่อๆ เหมือนอาคาร<br />

เชิงวิศวกรรมทั่วไปก็ตาม<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

241


บน ตึกแถวนายเลิศ บางรัก<br />

(ต้นทศวรรษ1930)<br />

ล่าง ผังพื้นตึกแถวนายเลิศถนน บางรัก<br />

ตึกแถว อาคารเพื่อการพาณิชย์และพักอาศัยที่สร้างต่อเนื่อง<br />

กันตามแนวถนนตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4 มีการพัฒนาตลอดตามเวลา<br />

ที่เปลี่ยนไป มาในสมัยรัชกาลที่7 ตึกแถวยังมีบทบาทสำคัญสำหรับ<br />

สถานที่ค้าขายระดับกลางและเล็กอย่างเด่นชัด และพัฒนารูปแบบ<br />

และโครงสร้างไปเป็นอาคารคอนกรีตล้วนกันไฟ รูปลักษณะมีทั้ง<br />

เรียบเกลี้ยงและประดับลวดลาย<br />

ตึกแถวนายเลิศตรงข้ามไปรษณีย์กลางบางรัก สร้างโดย<br />

นายเลิศ เศรษฐบุตร หรือพระยาภักดีนรเศรษฐ ประมาณต้น<br />

ทศวรรษ 1930 ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ากว้างห้องละ 3.50 เมตร และ<br />

ลึกถึง 17.75 เมตร ยาวต่อกันถึง 45 ห้องสำหรับให้เช่าเพื่อ<br />

การพาณิชย์ ที่แปลกคือที่ห้อง 34 และ 35 สร้างเป็นหอคอยสูงถึง<br />

7 ชั้น รูปลักษณะเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยงไม่มีลวดลาย<br />

ประดับเลย ผนังชั้นล่างเปิดโล่งเพื่อติดตั้งประตูทางเข้า ชั้น 2 ผนัง<br />

แบ่งป็น 4 ส่วนเท่ากันเต็มช่วงโครงสร้าง 2 ช่องล่างเป็นหน้าต่าง<br />

2 ช่องบนเป็นช่องแสงติดกระจก ชั้น 3 ผนังแบ่งเป็น 4 ส่วน<br />

ตามแนวนอน ส่วนล่างสุดเป็นผนังก่ออิฐอวดผิว 2 ส่วนบนเป็น<br />

หน้าต่างบานคู่แฝด ส่วนบนสุดเป็นช่องแสงติดกระจก มีกันสาด<br />

คอนกรีตยาวตลอดที่ชั้น 1 และชั้น 3 ส่วนชั้น 2 กันสาดเว้นช่อง<br />

ซ้าย-ขวาเป็นจังหวะ โครงสร้างทั้งหมดรวมทั้งพื้นและหลังคาเป็น<br />

คอนกรีตเสริมเหล็ก และไม่ประดับลวดลายเลย จึงเป็นอาคารที่<br />

แปลกกว่าอาคารร่วมสมัยแบบเดียวกันที่ยังคงรักษาลวดลายอยู่<br />

242 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ไม่มากก็น้อย ตัวอย่างเช่น ตึกแถวริมสะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />

ยาว 40 ห้องที่สร้างใน ค.ศ. 1930-1933 เป็นตึกแถวคอนกรีต<br />

ที่ยังรักษาผังรวมแบบคลาสสิครูปตัว E มุขกลางสูง 2 ชั้น มีหน้าบัน<br />

แบบจั่วกรีก มุขหัว-ท้ายสูง 3 ชั้นประดับเครื่องถ้วยปูนปั้นแบบ<br />

กรีกที่ยอดเสาของพนักขอบหลังคา ตึกแถวโค้งหน้าเทวสถาน<br />

ถนนบำรุงเมือง ยาว 14 ห้องสร้างใน ค.ศ. 1932-1933 ผังตึกโค้ง<br />

ไปตามถนน ลักษณะเป็นตึกคอนกรีต 3 ชั้นในแบบเรียบๆ<br />

แต่องค์ประกอบของระเบียงและพนักขอบหลังคาที่ประดับลูกกรง<br />

ปูนแบบกรีกทำให้ยังเห็นอิทธิพลของงานแบบคลาสสิคผสม<br />

อาร์ตเด็คโคอย่างชัดเจน<br />

บน ตึกแถวริมสะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />

(1930-1933)<br />

ล่าง ผังพื้นตึกแถวริมสะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

243


บน ตึกแถวโค้งหน้าเทวสถาน<br />

ถนนบำรุงเมือง (1932-1933)<br />

ล่าง ผังพื้นตึกตึกแถวโค้งหน้าเทวสถาน<br />

244 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ศาลาเฉลิมกรุง เป็นโรงภาพยนตร์ที่พระบาทสมเด็จ<br />

พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่7 โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทาน<br />

เป็นของขวัญให้กับประชาชนชาวสยามเนื่องในวาระครบรอบ 150 ปี<br />

กรุงรัตนโกสินทร์ เริ่มต้นการก่อสร้างตั้งแต่ ค.ศ. 1930 แล้วเสร็จ<br />

ใน ค.ศ. 1933 ออกแบบโดยหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร สถาปนิก<br />

ไทยที่เพิ่งสำเร็จการศึกษาจากสถาบันอีโคล เดอ โบซาร์(Ecole de<br />

Beaux-Arts) แห่งกรุงปารีส ความสำคัญของศาลาเฉลิมกรุงคือ<br />

เป็นอาคารแบบสมัยใหม่ (modern) ในแนวอาร์ตเด็คโคที่สมบูรณ์<br />

ทั้งรูปแบบและความงามหลังแรกๆ ของสยาม ผังอาคารเป็นรูป<br />

สี่เหลี่ยมผืนผ้าตัดมุมด้านทิศตะวันตกเฉียงเหนือซึ่งอยู่บนหัวมุมถนน<br />

เพื่อเป็นทางเข้า ตัวอาคารแบ่งเป็น 2 ส่วนคือ ส่วนโถงหน้าและ<br />

ส่วนโรงภาพยนตร์ที่ประกอบด้วยที่นั่งผู้ชม(auditorium) และส่วนเวที<br />

และหลังเวที (stage and back stage) การจัดผังในส่วนนี้คำนึงถึง<br />

คุณภาพเสียงจึงสามารถใช้แสดงละครเวทีได้ด้วย ผังอาคารยังคำนึง<br />

ถึงการถ่ายเทผู้ชมออกจากโรงภาพยนตร์ได้อย่างสะดวก โดยการ<br />

ออกแบบทางเดินด้านข้างที่สามารถเดินวนได้รอบโรงภาพยนตร์<br />

อาคารนี้จึงมีพื้นที่ 2 ชั้นแบบเปลือกนอกหุ้มเนื้อในที่น่าสนใจ<br />

บน โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง (1930-1933)<br />

ล่าง ผังพื้นโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

245


นอกจากนี้การออกแบบทางเดินเข้าโรงภาพยนตร์จากแนวเส้นทแยง<br />

ที่ทางเข้าด้านหน้าแล้วเบี่ยงเป็นเส้นตรงตอนเข้าโรงภาพยนตร์<br />

โดยใช้บันไดข้างเป็นตัวบังคับก็ท ำได้อย่างน่าชม ลักษณะอาคารเป็น<br />

ทรงสี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยงสูง 3 ชั้นที่บริเวณโรงภาพยนตร์และ 4 ชั้น<br />

ที่โถงทางเข้าซึ่งเป็นไปตามประโยชน์ใช้สอย ผนังอาคารมีจุดเด่น<br />

อยู่ที่ช่องทางเข้ารูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสที่แบ่งเป็น 3 ช่องสี่เหลี่ยมรูปยาว<br />

ช่องกลางกว้างเป็น 2 เท่าของช่องริมแบบไวยกรณ์ประตูชัย<br />

(triumphal arch) แสดงให้เห็นอิทธิพลคลาสสิคที่ยังคงอยู่ ขณะที่<br />

ช่องประตูหน้าต่างที่เหลือจัดจังหวะตามประโยชน์ใช้สอยแบบ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ด้านหน้าอาคารมีการตกแต่งอาคารโดย<br />

ใช้โลหะฉลุลายไทยเป็นรูปกลมประดับเหนือประตูทางเข้าทั้ง 3 ช่อง<br />

เป็นลายประยุกต์เรขาคณิตรูปหัวลิง ยักษ์ และฤาษีเลียนแบบลาย<br />

ฉลุหนังใหญ่โบราณ ขณะที่ภายในโรงภาพยนตร์กลับประดับประดา<br />

ด้วยลายแถบยาวสลับสีตลอดแนวเพดานแบบศิลปะอาร์ตเด็คโค<br />

แสดงความขัดแย้งมากกว่ากลมกลืนของยุคสมัยระหว่างการรักษา<br />

ศิลปะพื้นเมืองกับการนำเสนอศิลปะตะวันตกที่ก้าวหน้า อาคารทั้ง<br />

หลังก่อสร้างด้วยโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กใช้ระบบอุปกรณ์อาคาร<br />

ที่ทันสมัย เช่น ระบบฉายภาพยนตร์เสียงในฟิล์ม ระบบทำความ<br />

เย็นชนิดระบายความร้อนด้วยน้ำ (chilled water system) จึงเป็น<br />

โรงภาพยนตร์ที่ทันสมัยที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในยุค<br />

ทศวรรษ 1930 ประเด็นเกี่ยวกับการออกแบบที่น่าสนใจคือ<br />

สถาปนิกมีพื้นฐานการศึกษาสถาปัตยกรรมในแบบอีโคลเดอโบซาร์<br />

ที่อนุรักษ์นิยมแต่ก็สามารถออกแบบอาคารศิลปะอาร์ตเด็คโค<br />

ที่ก้าวหน้าได้ โดยไม่ต้องผ่านสถาบันการศึกษาแบบหัวก้าวหน้า<br />

แต่ขณะเดียวกันการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมแบบใหม่ที่แฝง<br />

ปรัชญาพื้นเมืองดั้งเดิมอย่างกลมกลืน ดูจะเป็นปัญหาสำคัญของ<br />

สถาปนิกสมัยใหม่ของสยามตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป<br />

ตึกบัญชาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<br />

และการเมือง (1934-1936)<br />

246 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผังพื้นตึกบัญชาการมหาวิทยาลัย<br />

ธรรมศาสตร์และการเมือง<br />

ตึกบัญชาการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง<br />

นายปรีดี พนมยงค์ แกนนำคนสำคัญของคณะราษฎรเป็นผู้ก่อตั้ง<br />

มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองขึ้นใน ค.ศ. 1934<br />

เพื่อให้การศึกษาแก่ประชาชนทั่วไปในระดับอุดมศึกษาในวิชาการเมือง<br />

การปกครอง กฎหมาย และเศรษฐกิจในระบอบประชาธิปไตย<br />

ตึกบัญชาการสร้างระหว่าง ค.ศ. 1934-1936 ไม่ใช่ตึกสร้างใหม่<br />

แต่เป็นการปรับปรุงตึกเก่าสูง 2 ชั้นของกองพันทหารราบที่ 11<br />

รักษาพระองค์ จำนวน 4 หลังที่สร้างเรียงเป็นแถว ผังเดิมมีลักษณะ<br />

เป็นเรือนโถงที่เรียงห้องตามยาวมีระเบียงด้านหน้าเหมือนกันทุกหลัง<br />

สถาปนิกนายจิตรเสน (หมิว) อภัยวงศ์ ออกแบบต่อตึกเดิมทั้งหมด<br />

เข้าด้วยกันโดยใช้หลังคาเชื่อมช่องว่างระหว่างตึก ส่วนช่องกลาง<br />

ระหว่างตึกหลังที่ 2 และ 3 เสริมเป็นมุข 3 ชั้นแล้วใส่หลังคากรวย<br />

8 เหลี่ยมยอดแหลมเข้าไปเรียกว่า “โดม” เน้นให้เป็นทางเข้าหลัก<br />

เนื่องจากอาคารเดิมเป็นค่ายทหารที่ไม่ได้ตกแต่งอะไรอยู่แล้ว<br />

อาคารใหม่ที่บูรณะแล้วจึงดูเรียบง่ายเหมือนอาคารสมัยใหม่<br />

แต่การใส่หลังคากรวย 8 เหลี่ยมยอดแหลมซึ่งเป็นลักษณะพื้นฐาน<br />

ของโบสถ์ในชนบทที่พบทั่วไปในยุโรป กลับทำให้อาคารนี้ดูกำกวม<br />

ระหว่างการเป็นอาคารสมัยใหม่กับอาคารโบราณ และยังน่าสงสัย<br />

ว่ามีที่มาจากเรือนพื้นถิ่นยุโรปหรือเรือนพื้นถิ่นเอเชียกันแน่<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

247


่<br />

สถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่สมัยรัชกาลที่ 7<br />

แม้ว่าแนวคิดชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์จะสร่างซาไป<br />

หลังสิ้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่6<br />

แต่ความต้องการเรียกร้องสถาปัตยกรรมแบบไทยยังคงมีอยู่จาก<br />

เหตุผลทางจารีตประเพณีหนึ่ง และอีกประการหนึ่งมาจากพระราช<br />

อุดมการณ์ชาตินิยมที่รัชกาลที่ 6 ได้ทรงบ่มเพาะไว้ แต่ในยุคสมัย<br />

ที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็วสู่ทุนนิยมโลกนำรสนิยมแบบสากล<br />

เข้ามาในสยาม รวมทั้งอิทธิพลของสถาปนิกไทยรุ่นใหม่ที่นำ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่มาเผยแพร่ อีกทั้งสถานการณ์ภาวะ<br />

เศรษฐกิจฝืดเคืองที่เรียกร้องความประหยัดอย่างที่สุด เป็นผลให้<br />

สถาปัตยกรรมในรัชกาลนี้มีลักษณะเรียบง่ายอย่างประหลาด<br />

การประดับประดาหายไปเกือบหมด ขณะเดียวกันวัสดุแบบใหม่<br />

คือคอนกรีตเสริมเหล็กเข้ามามีบทบาทกำหนดรูปลักษณ์ให้<br />

สถาปัตยกรรมไทยดูเปลี ่ยนไป แต่บางงานก็เป็นความกล้าในการ<br />

ท้าทายวิธีการออกแบบตามขนบ สถาปนิกที่ออกแบบงานในแนว<br />

ไทยประยุกต์นี้เป็นผู้ที่ทำงานจากประสบการณ์ไม่ผ่านการศึกษา<br />

ในสถาบันชั้นสูงด้านสถาปัตยกรรมทั้งในสยามและต่างประเทศ<br />

บุคคลที่สำคัญที่สุดคือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />

ซึ่งทรงมีผลงานออกแบบต่อเนื่องมาอย่างยาวนานตั้งแต่ปลายสมัย<br />

รัชกาลที่5 พระพรหมพิจิตรซึ่งเคยทำงานเป็นช่างเขียนที่กรมโยธา<br />

ธิการร่วมกับสถาปนิกอิตาเลียนและเป็นผู้ทำงานลอกแบบถวาย<br />

สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ และหลวงวิศาล<br />

ศิลปกรรม ช่างเขียนแบบกระทรวงศึกษาธิการ ที่เคยทำงานร่วมกับ<br />

นายเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ สถาปนิกประจำกระทรวงศึกษาธิการ<br />

ผลงานที่สถาปนิกเหล่านี้สร้างในช่วงรัชกาลสุดท้ายแห่งสมัย<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์มีอยู่หลายงานที่แสดงถึงภาวะเศรษฐกิจที<br />

บีบรัดจนงานออกแบบเป็นไปอย่างเรียบง่าย ขณะเดียวกันมันก็เป็น<br />

ผลงานสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ไปพร้อมกัน<br />

ผลงาน<br />

พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม ออกแบบโดย<br />

สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ใน ค.ศ. 1930<br />

เป็นพระอุโบสถที่มีลักษณะเรียบง่าย สร้างด้วยคอนกรีตที่มีลวดลาย<br />

ประดับน้อยมาก เมื่อเทียบกับพระอุโบสถวัดราชาธิวาสที ่ทรง<br />

ออกแบบเมื่อ 2 ทศวรรษก่อน ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า มีเสาร่วม<br />

ในเรียงเป็นแถวนำไปสู่พระพุทธรูปหินสลักสมัยทวารวดีที่<br />

ประดิษฐานในซุ้มโค้งยอดแหลมที่ออกแบบเป็นห้องลึกเข้าไป<br />

อาจจะจงใจให้ดูเหมือนมณฑปของวัดโบราณที่พื้นที่ประดิษฐาน<br />

พระพุทธรูปจะถูกกันไว้เฉพาะเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ ต่างจากวัดไทย<br />

ยุคหลังทั่วๆ ไปที่พระพุทธรูปประดิษฐานในตำแหน่งที่ไม่มีอะไร<br />

ล้อมรอบเลย ลักษณะภายนอกด้านหน้าพระอุโบสถหลังนี้แม้จะมี<br />

ปั้นลมประดับจั่ว แต่ก็ทรงออกแบบลวดลายเป็นเพียงเค้าโครงของ<br />

ใบเทศเรียบๆ เพื่อความสะดวกในการหล่อด้วยคอนกรีต ลายประดับ<br />

หน้าบันเป็นธรรมจักรและกวางหมอบในลักษณะประติมากรรมนูนต่ ำ<br />

ที่มาจากการหล่อคอนกรีตเช่นเดียวกับใบเสมาที่ประดิษฐาน<br />

รับหน้าบันนั้น ผนังด้านอื่นมีเพียงเสาอิงเรียบๆ เป็นส่วนประดับ<br />

ความเรียบง่ายของพระอุโบสถนี้สถาปนิกบันทึกไว้เองว่ามาจากการ<br />

ที่ต้องประหยัดงบประมาณเป็นหลัก ไม่ได้เอ่ยอ้างถึงทฤษฎีการ<br />

ออกแบบใดๆ ทั้งสิ้น แต่ลักษณะการออกแบบเช่นนี้จะเป็นต้นแบบ<br />

ของวัดแบบ “เรียบง่าย” หรือสมัยใหม่สำหรับสถาปนิกรุ่นต่อๆ มา<br />

248 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผังพื้นพระอุโบสถ วัดพระปฐมเจดีย์<br />

พระอุโบสถ วัดพระปฐมเจดีย์ (1930)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

249


ปฐมบรมราชานุสรณ์ (1932)<br />

ปฐมบรมราชานุสรณ์ที่สะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นเพื่อเป็น<br />

พระบรมราชานุสรณ์ในพระเดชพระคุณของพระบาทสมเด็จ<br />

พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ในคราวครบรอบอายุ150 ปีกรุงเทพฯ<br />

เมื่อ ค.ศ. 1932 องค์ประกอบสำคัญของพระบรมราชานุสรณ์นี้คือ<br />

พระบรมรูปขยาย 3 เท่าของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />

ปั้นโดย นายคอร์ราโด เฟโรชี ประติมากรชาวอิตาเลียน และส่วนที่เป็น<br />

ฉากหลังที่ออกแบบโดย สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />

ทรงออกแบบให้เป็นกำแพง 3 ช่วง ช่วงกลางสูง ริม 2 ข้างลดระดับ<br />

เล็กน้อย กำแพงช่วงกลางสร้างถอยลึกเข้าไปเล็กน้อย เน้นกรอบด้วย<br />

เสา 8 เหลี่ยมลอยตัว 2 ต้น รับคานทับหลังที่ประดับลวดลายพวงอุบะ<br />

มีพู่ห้อยแบบกรีก จึงดูเหมือนกรอบรูปที่รับพระบรมรูปที่อยู่ด้านหน้า<br />

ส่วนบนของกำแพงช่วงกลางนี้ยังทำซุ้มหลังคาทรงจั่วขนาดเล็ก<br />

ประดับพระราชลัญจกรของรัชกาลที่ 1 ลวดลายประดับผนังเป็น<br />

ลายแถบคาดแนวนอน แถบหนึ่งกว้างแถบหนึ่งแคบสลับกัน<br />

เวทีที่ประดิษฐานพระบรมรูปทำผนังฐานด้านหน้าเป็นประติมากรรม<br />

คล้ายเสาเพนียด จึงสอดรับกับส่วนกลางผนังที่มีตราช้างเผือก<br />

อยู่ในวงกลม ลักษณะโดยรวมของปฐมบรมราชานุสรณ์จึงเป็นโครง<br />

รูปแบบคลาสสิค ที่มีรายละเอียดตกแต่งแบบไทยร่วมกับลาย<br />

อาร์ตเด็คโค จึงเป็นสถาปัตยกรรมอนุสาวรีย์ที ่ดูสมัยใหม่และ<br />

โดดเด่นที่สุดของยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์และก็เป็นแห่งสุดท้ายด้วย<br />

250 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ตึกคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สร้างขึ้น<br />

เพื่อเป็นอาคารเรียนของคณะวิทยาศาสตร์ วิศวกรรมศาสตร์และ<br />

นิสิตเตรียมแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ตามโครงการความช่วยเหลือ<br />

จากมูลนิธิร็อคกีเฟลเลอร์ ออกแบบโดยหลวงวิศาลศิลปกรรม<br />

ใน ค.ศ. 1927-1928 ผังอาคารเป็นรูปตัว U แต่ด้านหลังมีมุขกลาง<br />

ต่อออกมา ลักษณะเป็นอาคารคอนกรีต 2 ชั้น มี 2 มุขที่ริม 2 ข้าง<br />

เชื่อมด้วยอาคารกลางแบบคลาสสิค ผนังเรียบไม่มีการตกแต่ง<br />

แต่หลังคามุขทั้ง 2 กลับเป็นทรงจั่วมุงกระเบื้องแบบไทย มีปีกนกและ<br />

กันสาด 2 ชั้น แต่ไม่ประดับช่อฟ้าใบระกา จึงดูเหมือนกุฏิปูนสมัย<br />

รัชกาลที่3 เพื่อให้สอดคล้องกับตึกบัญชาการที่สร้างก่อนหน้านี้ 10 ปี<br />

ที่เป็นแบบไทย และหลวงวิศาลศิลปกรรม เป็นผู้ช่วยสถาปนิกใน<br />

การเขียนแบบ แต่การกลับมาใช้ไวยกรณ์ผังตะวันตกครอบหลังคา<br />

ไทยที่ขาดเครื่องประดับในคราวนี้ เสร็จออกมาในลักษณะที่ไม่มี<br />

อะไรน่าสนใจไม่ว่าจะดูด้วยสายตาแบบสถาปัตยกรรมไทยหรือแบบ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ก็ดี<br />

บน ตึกคณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย (1927-1928)<br />

ล่างซ้าย หอนาฬิกา โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย (1929)<br />

ล่างขวา แบบหอนาฬิกา โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย<br />

หอนาฬิกา โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย สร้างใน ค.ศ. 1929<br />

โดยหลวงวิศาลศิลปกรรม เป็นสถาปนิก ความจริงหากกล่าวว่าการ<br />

ออกแบบหอนาฬิกาแห่งนี้เป็นการแหวกแนวปฏิบัติก็คงไม่ถูกต้อง<br />

เพราะหอนาฬิกาไม่เคยมีอยู่ในสถาปัตยกรรมโบราณของสยาม<br />

ก่อนสมัยรัชกาลที่ 4 หอนาฬิกาโรงเรียนวชิราวุธฯ จึงเป็นการ<br />

สร้างสรรค์ที่น่าสนใจของท่าน หอนาฬิกาคอนกรีตนี้สูง 2 ชั้น<br />

ผังทั้ง 2 ชั้นเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสมีเสาใหญ่ประจ ำมุม 4 ต้น ลักษณะ<br />

อาคารเหมือนโต๊ะบูชา 2 ตัวตั้งซ้อนกัน ชั้นล่างมีขนาดใหญ่กว่า<br />

รับชั้นบนที่ย่อเล็กลง จุดเด่นอยู่ที่หลังคาจตุรมุขของหอนาฬิกาที่<br />

เป็นหน้าบันวงกลมปลายยอดแหลม ตรงกลางติดตั้งนาฬิกาขนาดใหญ่<br />

เต็มพื้นที่หน้าบันที่ล้อมด้วยปั้นลมใบระกาลายใบเทศคอนกรีตหล่อ<br />

ล้อมเป็นวงไปบรรจบที่ปลายยอดที่เป็นลาย ซุ้มเรือนแก้วยอดแหลม<br />

ประดับตราพระราชลัญจกรวชิราวุธขนาดเล็ก ดูภาพรวมคล้าย<br />

ประตูวัดถ้ำอชันตาในอินเดียมาก ขณะเดียวกันก็เห็นถึงอิทธิพล<br />

ของศิลปะอาร์ตนูโวที่เคยเฟื่องฟูตอนปลายสมัยรัชกาลที่5 เช่นกัน<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

251


แต่ทรวดทรงทั้งหมดแสดงออกมาในกรอบของรูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมไทยคอนกรีตที่พยายามคงความละเอียดแบบงาน<br />

ปั้นปูนโบราณไว้มากที่สุด โดยไม่สนใจถึงการเปลี่ยนของวัสดุจาก<br />

ปูนปั้นโบราณไปเป็นคอนกรีต<br />

หอระฆังวัดยานนาวา ออกแบบโดยพระพรหมพิจิตร และ<br />

สร้างใน ค.ศ. 1934 ในรูปแบบที่ตรงข้ามกับหอระฆังไทยโบราณ<br />

อย่างสิ้นเชิง หอระฆังคอนกรีตสูง 2 ชั้น ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส<br />

ประกอบด้วยเสามุมขนาดใหญ่มาก 4 ต้น ที่มีขนาดโตเกือบเท่า<br />

ระยะห่างระหว่างเสาและค่อยๆ สอบขึ้นไปชั้น 2 ที่เสาเปลี่ยนเป็น<br />

ย่อมุมทำให้ดูเล็กลง ทุกด้านมีกรอบระเบียงพร้อมลูกกรงวางอยู่บน<br />

หัวเต้าแบบคานยื่น (cantilever) หลังคาเป็นซุ้มบันแถลงแบบจตุรมุข<br />

รูปทรงคล้ายโค้งหูตะกร้า วางบนชายคาคอนกรีตยื่น มีคันทวย<br />

รูปสามเหลี่ยมเป็นตัวเทินชายคาและซุ้ม ยอดหลังคาเป็นเจดีย์<br />

ทรงระฆัง 8 เหลี่ยมอ้วนล่ำประดับปลียอดสั้นๆ การประดับประดา<br />

มีน้อยมากเป็นลายกระจังคอนกรีตเล็กๆ เรียงตามขอบชายคา และ<br />

ลายใบเทศที่ขอบซุ้มบันแถลง รูปทรงหอระฆังดูเรียบง่ายและหยาบใน<br />

รายละเอียด ขณะที่มวลอาคารหนักและทึบ เป็นการออกแบบที่ตั้งใจ<br />

ท้าทายขนบโบราณอย่างน่าทึ่ง จนเรียกได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรม<br />

ไทยสมัยใหม่ได้โดยไม่ลังเล<br />

หอระฆังวัดยานนาวา (1934)<br />

สรุปคุณค่าสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในรัชสมัย<br />

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7<br />

รัชสมัยของรัชกาลที่ 7 เป็นยุคแห่งวิกฤตและโอกาส<br />

สภาพสังคมการเมืองที่ไร้เสถียรภาพ ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

แก้ปัญหาการบริหารบ้านเมืองไม่ได้ผล ปัญญาชนและชนชั้นกลาง<br />

ในกรุงเทพฯ ต้องการระบอบประชาธิปไตย ขณะที่วิกฤตการณ์<br />

เศรษฐกิจมาซ้ำเติมให้ทุกอย่างย่ำแย่จนนำไปสู่การปฏิวัติของ<br />

กลุ่มคณะราษฎร แต่วิกฤตของบ้านเมืองก็สร้างโอกาสให้เกิด<br />

252 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


นวัตกรรมทางสถาปัตยกรรมด้วย การใช้คอนกรีตสร้างอาคารแพร่หลาย<br />

อย่างกว้างขวางเพราะอย่างน้อยมันสามารถลดงบประมาณในการ<br />

ก่อสร้างได้ อาคารคอนกรีตที่เกิดขึ้นในรัชกาลนี้จึงมีทั้งอาคาร<br />

วิศวกรรมที่ออกแบบโดยวิศวกร ตึกแถวที่ออกแบบโดยช่างก่อสร้าง<br />

และสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ออกแบบโดยสถาปนิกรุ่นใหม่ชาวไทย<br />

ที่ศึกษาจากสถาบันสถาปัตยกรรมในยุโรป งานของคนทั้ง 3 กลุ่ม<br />

มีรูปแบบต่างกันแต่มีจุดประสงค์บางอย่างเหมือนกันคือมุ่งความ<br />

ประหยัดและประโยชน์ใช้สอย รูปทรงอาคารจึงเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยม<br />

ที่ไร้ลวดลายและสร้างด้วยคอนกรีต แต่งานของพวกสถาปนิกย่อม<br />

ดูโดดเด่นด้วยรูปทรงมากกว่ากลุ่มนักออกแบบอื่น อาคารที่สำคัญ<br />

ได้แก่ศาลาเฉลิมกรุงโดยหม่อมเจ้าสมัยเฉลิมกฤดากร งดงามด้วยการ<br />

ออกแบบผัง รูปทรงและโครงสร้างสมัยใหม่แบบอาร์ตเด็คโค<br />

มาตรฐานสากล โรงพยาบาลกลางที่ออกแบบชาร์ล เบกูลัง แสดงให้<br />

เห็นถึงการวางผังประโยชน์ใช้สอยที่ซับซ้อนลงในอาคารใหญ่หลังเดียว<br />

กล่าวได้ว่าเป็นตัวอย่างการวางผังแบบสถาปัตยกรรมสากลนิยม<br />

สมัยใหม่(International modern) รุ่นแรกของสยาม แม้ว่าการออกแบบ<br />

หน้าตาอาคารจะดูตรงไปตรงมาเกินไปก็ตาม โรงพยาบาลศิริราช<br />

ที่ออกแบบโดยพระสาโรชรัตนนิมมานก์ยังเห็นอิทธิพลผังแบบ<br />

สมมาตรอยู่มาก รวมทั้งรูปแบบอาคารที่มีทั้งแบบอิทธิพลคลาสสิค<br />

และอิทธิพลเรือนพื้นถิ่นในโครงสร้างใหม่ที่เป็นคอนกรีตแต่ในภาพรวม<br />

แล้วนับว่าเป็นอาคารที่ใช้งานได้ดีแม้ว่าจะดูไม่ทันสมัยนักอาคารที่<br />

กล่าวมานี้เป็นตัวแทนของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของสยามยุค<br />

ทศวรรษ 1930 ที่เห็นชัดว่าสถาปนิกสยามยังไม่มีภาพรวมที่ชัดเจน<br />

ของแนวทางออกแบบ เพราะไม่ใช้ทฤษฎีเป็นตัวน ำทางการออกแบบ<br />

แต่ใช้รูปลักษณะ เทคนิค และงบประมาณเป็นตัวสร้างแบบ<br />

เรื่องที่น่าสนใจอีกเรื่องหนึ่งคือการออกแบบสถาปัตยกรรมไทยของ<br />

กลุ่มสถาปนิกอนุรักษ์นิยมที่ไม่ได้ศึกษาสถาปัตยกรรมผ่านสถาบัน<br />

การศึกษา พวกเขาทำงานด้วยประสบการณ์ล้วนๆ และเรียนรู้บ้าง<br />

ผ่านการทำงานร่วมกับสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศที่<br />

รัฐบาลสยามจ้างในกรมกองต่างๆ ยุคสมัยที่เปลี่ยนไปและวัสดุใหม่<br />

เช่นคอนกรีตก็ส่งผลต่อการทำงานของพวกเขาอย่างน่าทึ ่ง<br />

เราได้เห็นพระอุโบสถคอนกรีตที่เรียบเกลี้ยงเพื่อประหยัดงบประมาณ<br />

ที่ออกแบบโดย สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />

ขณะเดียวกันก็ทรงออกแบบสถาปัตยกรรมอนุสาวรีย์ปฐมบรมราชา<br />

นุสรณ์ที่สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกร่วมกับคอร์ราโด เฟโรชี<br />

ในรูปแบบผสมระหว่างคลาสสิค ไทยประยุกต์และอาร์ตเด็คโคได้<br />

อย่างกลมกลืน สง่างาม และเรียบง่าย ต่างกับพระพรหมพิจิตร<br />

ซึ่งเป็นศิษย์และผู้ช่วยของพระองค์ที่ออกแบบหอระฆังวัดยานนาวา<br />

ที่แสดงออกถึงพละกำลังของรูปทรงคอนกรีตอย่างไม่เคยมีใคร<br />

ทำมาก่อนในงานพุทธศิลป์สถาปัตยกรรมไทย ขณะที่หลวงวิศาล<br />

ศิลปกรรมบุคคลร่วมสมัยกับพระพรหมพิจิตรออกแบบหอนาฬิกา<br />

โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย ในแบบสถาปัตยกรรมไทยคอนกรีตที่<br />

อ่อนช้อยเก็บรายละเอียดแบบวัสดุปูนปั ้นโบราณ แต่ก็เห็นอิทธิพล<br />

แบบอาร์ตนูโวอยู่เช่นกัน<br />

งานของสถาปนิกไทยทั้งหลายต่างแสดงออกถึงปฏิกิริยาที่<br />

มีต่อคอนกรีตในรูปแบบต่างๆ กัน ภายใต้ข้อจำกัดของงบประมาณ<br />

ที่นำมาซึ่งรูปทรงที่เรียบง่ายที่แสดงความสามารถระดับหนึ่ง<br />

ของพวกเขา แต่มีสิ่งหนึ่งที่พวกเขายังไม่มีนั่นคือการใช้ทฤษฎี<br />

สถาปัตยกรรมเป็นเครื่องนำทาง<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

253


รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล<br />

รัชกาลที่ 8 (1935-1946)<br />

สังคม เศรษฐกิจ และการเมือง<br />

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติ<br />

เมื่อวันที่ 2 มีนาคม ค.ศ. 1935 รัฐบาลได้กราบบังคมทูลอันเชิญ<br />

เสด็จพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล ซึ่งอยู่ในลำดับที่ 1<br />

ในการสืบพระราชสันตติวงศ์ขึ้นครองราชย์ต่อไป ในขณะที่ทรงมี<br />

พระชันษาเพียง 8 ปี และประทับอยู่ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์<br />

จึงต้องมีคณะผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ในการปฏิบัติพระราช<br />

กรณียกิจต่าง ๆ และทรงไม่ได้นิวัติพระนครเลยจนกระทั่งเดือน<br />

พฤศจิกายน ค.ศ. 1938 ซึ่งทรงประทับอยู่ในสยามเพียง 2 เดือน<br />

ก็เสด็จพระราชดำเนินกลับประเทศสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาเป็น<br />

เวลา 7 ปี พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล เสด็จนิวัตร<br />

พระนครอีกครั้งหนึ่งในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1945 หลังสงครามโลก<br />

ครั้งที่ 2 สงบลง แต่แล้วพระเจ้าอยู่หัวกลับเสด็จสวรรคตอย่าง<br />

กะทันหันและโศกสลด ด้วยต้องพระแสงปืนในวันที่ 9 มิถุนายน<br />

ค.ศ. 1946 นำมาซึ่งความโศกเศร้าสุดจะพรรณาของประชาชนไทย<br />

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล (1925-1946)<br />

254 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


จอมพลป. พิบูลสงคราม (1897-1964)<br />

ในช่วงรัชกาลที่8 ที่ยาวนาน 12 ปีนั้น องค์พระมหากษัตริย์<br />

ประทับอยู่ในประเทศเพียง 2 ครั้งรวมเวลาเพียงปีเศษนี้ประเทศสยาม<br />

ที่ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นประเทศไทยอยู่ภายใต้การบริหารของรัฐบาล<br />

คณะราษฎรที่มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่<br />

วันที่16 ธันวาคม ค.ศ. 1938 รัฐบาลของจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

มีเป้าหมายในการสร้างประเทศไทยที่เจริญรุ่งเรืองและยิ่งใหญ่<br />

โดยการปลูกฝัง “รัฐนิยม” ให้คนไทยรักชาติ ทางสังคม เศรษฐกิจ<br />

วัฒนธรรม การเมือง และการทหาร รัฐบาลของเขามีนโยบายขยาย<br />

อาณาเขตไปสู่ดินแดนที่มีคนเชื้อชาติไทยอาศัยอยู่หรือเคยเป็น<br />

ประเทศราชของสยามมาก่อน เพื่อให้ประเทศไทยกลับมาเป็น<br />

มหาอาณาจักรไทย รัฐบาลของเขาจึงนำประชาชนไปสู่ลัทธิชาตินิยม<br />

เชื้อชาติไทย และนำประทศเข้าสู่สงครามร่วมกับฝ่ายอักษะที่นำ<br />

โดยจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นที่ต้องการเป็นเจ้าภูมิภาคเอเชีย จนประเทศไทย<br />

เกือบจะต้องหายนะจากการทำลายด้วยสงครามทางอากาศของ<br />

ฝ่ายสัมพันธมิตร แต่โชคชะตายังเข้าข้างประเทศไทยอยู่ที่มี<br />

กลุ่มต่อต้านรัฐบาลไทยและญี่ปุ่นดำเนินการทั้งในและนอกประเทศ<br />

ที่เรียกตัวเองว่า “เสรีไทย” ได้ช่วยกันกอบกู้สถานะของประเทศ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

255


ให้พ้นจากพันธะสงครามร่วมกับฝ่ายอักษะที่จอมพลป. พิบูลสงคราม<br />

ได้ประกาศไว้ ประเทศไทยจึงรอดพ้นจากการถูกยึดครองของกอง<br />

กำลังสัมพันธมิตรเมื่อสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลงใน ค.ศ. 1945<br />

ลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทย<br />

เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามกำจัดศัตรูทางการเมืองได้หมด<br />

สิ้นแล้ว กล่าวคือกบฏบวรเดชในฐานะศัตรูภายนอก ใน ค.ศ. 1933<br />

และกบฏพระยาทรงสุรเดชในฐานะศัตรูภายใน ใน ค.ศ. 1939<br />

อำนาจการบริหารประเทศก็ตกอยู่ในมือของเขาแต่ผู้เดียว จอมพล<br />

ป. พิบูลสงครามมีความเชื่อว่าประเทศจะรุ่งเรืองได้ก็ต่อเมื่อ<br />

เกิดเอกภาพระหว่างพลเมืองและชาติ สิ่งที่จะเป็นตัวเชื่อมคือ<br />

วัฒนธรรมหรือวิถีชีวิตแบบชาตินิยมที่เชื่อฟังผู้นำ 46 นั่นคือนายก<br />

รัฐมนตรีตามรัฐนิยมที่รัฐบาลประกาศขึ้น 12 ฉบับ ระหว่าง ค.ศ.<br />

1939-1942 ซึ่งเป็นอุดมการณ์ที่เขาสร้างขึ้นเพื่อแทนที่พระราช<br />

อุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ของพระบาทสมเด็จ<br />

พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 รัฐนิยมเริ่มด้วยการเปลี่ยน<br />

ชื่อเรียกประเทศและประชาชนจากสยามเป็นไทย การเคารพ<br />

สัญลักษณ์แห่งชาติ เช่น ธงชาติและเพลงชาติ การนิยมไทยด้วย<br />

การซื้อและขายสินค้าไทย รวมถึงการมีรูปแบบการแต่งกายและ<br />

มีกิจวัตรประจำวันที่ถูกที่ควร การเริ่มต้นของการสร้างลัทธิ<br />

ชาตินิยมของจอมพล ป. พิบูลสงครามเกิดจากเรื่องสำคัญที่ไม่ค่อย<br />

มีผู้ใดพูดถึงมากนัก เริ่มจากการที่สยามสามารถแก้ไขสนธิสัญญา<br />

สิทธิสภาพนอกอาณาเขตที่เสียไปตั้งแต่ผลจากสนธิสัญญาเบาว์ริง<br />

ใน ค.ศ. 1856 ในสมัยรัชกาลที่ 4 ได้อย่างสมบูรณ์จากคู่สัญญา<br />

ทุกประเทศ สยามพยายามขอแก้ไขสัญญาที่ไม่เป็นธรรมนี้มาตลอด<br />

แต่ประเทศมหาอำนาจคู่สัญญาต้องการให้สยามจัดทำกฎหมาย<br />

สำคัญให้ครบถ้วนก่อน ได้แก่ ประมวลกฎหมายอาญา ประมวล<br />

กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความ และ<br />

พระธรรมนูญศาลยุติธรรม ซึ่งคณะกรรมการกฤษฎีกาที่ตั้งโดย<br />

รัฐบาลคณะราษฎรสามารถยกร่างกฎหมายทั้งหมดสำเร็จและ<br />

ผ่านความเห็นชอบของรัฐสภาใน ค.ศ. 1935 และดำเนินการเจรจาต่อ<br />

เพื่อให้ยกเลิกสัญญาในทันทีไม่ต้องรอการคงสิทธิพิเศษตาม<br />

สนธิสัญญาเดิมอีก 5 ปีตามเนื้อหาเดิม ซึ่งสยามสามารถเจรจาได้<br />

สำเร็จใน ค.ศ. 1937 47 นำมาซึ่งการตราพระราชบัญญัติว่าด้วย<br />

การขัดกันของกฎหมายในวันที่ 20 มีนาคม ค.ศ. 1938 ยกเลิก<br />

สิทธิพิเศษของคนต่างชาติที่ไม่ต้องขึ้นศาลสยามออกเสียให้หมด<br />

ตามมาด้วยสยามมีอิสรภาพในการกำหนดอัตราภาษีอากรได้เอง 48<br />

ค.ศ. 1938 จึงเป็นปีแห่งเอกราชทางการศาลของสยาม นำมาซึ่ง<br />

ความปรีดาปราโมทย์อย่างยิ่งของรัฐบาลคณะราษฎรเพราะ<br />

สามารถทำในสิ่งที่รัฐบาลระบอบเก่าแก้ไม่ได้มายาวนาน เป็นจุด<br />

เริ่มต้นของโครงการชาตินิยมของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

ด้วยความคิดจะสร้าง “อนุสาวรีย์สนธิสัญญา” หรือ “อนุสาวรีย์ไทย” 49<br />

เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่การมีเอกราชครั้งนี้ และเป็นการเติมเชื้อไฟ<br />

สำคัญในการสร้างลัทธิชาตินิยมด้วยนโยบาย“รัฐนิยม” ตามมาเป็นชุด<br />

ตั้งแต่ ค.ศ. 1939-1942 ดังกล่าว<br />

จอมพล ป. พิบูลสงคราม ประกาศแนวคิดชาตินิยมเชื้อชาติ<br />

ไทยของเขาอย่างเป็นทางการในสุนทรพจน์แก่ประชาชนทาง<br />

วิทยุกระจายเสียงในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1939 เขาเริ่มด้วยการ<br />

ตำหนิระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ว่าล้าหลัง 50 ขาดประสิทธิภาพ<br />

และเป็นเอกาธิปไตยซึ่งตรงข้ามกับระบอบประชาธิปไตยที่รัฐบาล<br />

มาจากประชาชน มีประสิทธิภาพสูงและสากลนิยม เขาโอ้อวดต่อไป<br />

ถึงความสามารถในการบริหารประเทศของระบอบประชาธิปไตย<br />

ที่สามารถเพิ่มงบประมาณให้ประเทศได้มากกว่าระบอบเก่าถึงกว่า50%<br />

ภายในระยะเวลาเพียง 7 ปีที่บริหารประเทศ คิดเป็นเงินได้ถึงกว่า<br />

46.52 ล้านบาท 51 นอกจากนี้ประเทศไทยยังได้แก้สนธิสัญญาไม่เป็น<br />

ธรรมกับคู่สัญญามหาอำนาจต่าง ๆ ได้สำเร็จ นับเป็นยุคใหม่ของ<br />

ประเทศที่มีเอกราชทางการศาลและมีระบอบการเมืองที่มั่นคง<br />

เขาจึงขอเรียกร้องให้ชาวไทยเปลี่ยนแปลงตนเองทั้งความคิดและ<br />

การกระทำให้เข้ากับระบอบใหม่นี้เพื่อความเจริญก้าวหน้าของบ้านเมือง<br />

แต่แล้วเขากลับหักมุมด้วยการกล่าวถึงการควบคุมเศรษฐกิจไทย<br />

256 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ของคนจีน 52 “การที่ชาติไทยถูกชาติจีนรุกไล่แตกมาจากศูนย์กลาง<br />

ของประเทศจีน” 53 และการกลืนชาติไทยของคนจีนโดยการ<br />

“ถูกเลือดของชนชาติอื่นเข้ามาผสม จนทำให้เลือดไทยจางลงไป<br />

ทุกขณะ” 54 และสดุดีพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

รัชกาลที่ 6 ว่าทรงตระหนักในเรื่องนี้ดีและเตือนคนไทยให้รักชาติ<br />

ด้วยพระราชนิพนธ์ต่าง ๆ 55 เช่น “เมืองไทยจงตื่นเถิด” และ “โคลง<br />

สยามานุสสติ” เป็นต้น ดังนี้จอมพล ป. พิบูลสงครามจึงเป็น<br />

ผู้สืบสานลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทยสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

สู่ยุคประชาธิปไตย แต่ปรับปรุงให้เป็นการรักชาติตามแบบของ<br />

เขาที่เรียกว่าอุดมการณ์ “รัฐนิยม” ที่เขาจะประกาศต่อไป สุดท้าย<br />

เขาขอให้ชาวไทยช่วยกันสนับสนุนกองกำลังทหารให้เข้มแข็ง<br />

พร้อมรบเพื่อให้ชาติปลอดภัย 56<br />

การปลูกฝังลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทยของจอมพล ป. พิบูล<br />

สงครามนับว่าได้ผลและสอดคล้องกับยุทธศาสตร์เรียกร้องดินแดน<br />

ในเขมรและลาวคืนจากฝรั่งเศส ในเดือนธันวาคม ค.ศ. 1940<br />

ขณะที่ฝรั่งเศสเพลี่ยงพล้ ำต่อเยอรมนีในสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่2<br />

ที่ยุโรป จอมพล ป. พิบูลสงครามได้กล่าวปราศรัยทางวิทยุว่า<br />

ประชาชนในแคว้นลาวและเขมรนั้นที่แท้จริงเป็นคนไทย 57 พวกเขา<br />

ถูกกดขี่ข่มเหงได้รับความทุกข์ยากไม่น้อยจากฝรั่งเศส และดินแดน<br />

ดังกล่าวนั้นเดิมเป็นของไทยที่ถูกฝรั่งเศสใช้กำลังยึดไปอย่าง<br />

อยุติธรรม ไทยจึงต้องการปรับปรุงเส้นเขตแดนกับฝรั่งเศสใหม่58<br />

ข้อเรียกร้องของไทยถูกฝรั่งเศสปฏิเสธ ขณะที่ได้รับการขานรับจาก<br />

นักเรียน นิสิต นักศึกษา และประชาชนที่แสดงออกด้วยการเดินขบวน<br />

สนับสนุน เหตุการณ์นำไปสู่การปะทะกันด้วยกำลังทหารทั้ง 2 ฝ่าย<br />

ตลอดแนวตะเข็บชายแดนของทั้ง 2 ประเทศ ตั้งแต่ลาวจรดเขมร<br />

กองทัพบกไทยสามารถรุกเข้าอินโดจีนได้ในเดือนมกราคมค.ศ. 1941<br />

ยึดดินแดนฝั่งตะวันตกของแม่น้ำโขงในเขตลาวได้ 2 จังหวัด และ<br />

ยึดเมืองพระตะบองและเสียมราฐในเขตเขมรได้60 ขณะที่กองทัพ<br />

เรือไทยกลับพ่ายแพ้ที่เกาะช้าง รัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งขณะนั้นได้ส่ง<br />

กองทัพบุกยึดเวียดนามแล้ว เสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ยจนคู่กรณี<br />

ตกลงสงบศึกกันได้ในวันที่ 9 พฤษภาคม ค.ศ. 1941 ไทยได้<br />

ดินแดนที่ยึดครองไว้แต่ต้องจ่ายค่าเสียหายให้กับฝรั่งเศสและ<br />

ต้องสร้างเขตปลอดทหารในฝั่งไทยด้วย ความปีติยินดีของไทย<br />

ยังไม่ทันจางหายกองทัพญี่ปุ่นก็เคลื่อนเข้าอินโดจีนตอนใต้ใน<br />

เดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1941 ไทยประกาศตัวเป็นกลาง 61 และเตือนว่า<br />

จะปกป้องดินแดนหากถูกรุกราน และแล้วญี่ปุ่นก็เปิดเผยโฉมหน้า<br />

จักรวรรดินิยมของตนอย่างไม่ปิดบัง โดยยกพลขึ้นบกบุกดินแดน<br />

ชายฝั่งทะเลด้านอ่าวไทยตั้งแต่ประจวบคีรีขันธ์จนถึงปัตตานีในวัน<br />

ที่ 8 ธันวาคม ค.ศ. 1941 หลังจากการโจมตีฐานทัพเรือของ<br />

สหรัฐอเมริกาที่เพิร์ลฮาร์เบอร์เพียงไม่กี่ชั่วโมงและประกาศสงคราม<br />

มหาเอเชียบูรพา โดยอ้างว่าเพื่อขอใช้ไทยเป็นทางผ่านไปโจมตีพม่า<br />

และมาลายู หลังการต่อสู้อย่างกล้าหาญของทหารและพลเรือนใน<br />

พื้นที่ทุกแห่งที่ถูกบุกรุก รัฐบาลไทยก็สั่งหยุดยิงและหลังจากนั้นอีก<br />

13 วัน ไทยก็ลงนามในกติกาสัมพันธไมตรีกับญี่ปุ่นในวันที่<br />

21 ธันวาคม ค.ศ. 1941 เพื่อเป็นพันธมิตรทางทหารร่วมกับญี่ปุ่น<br />

ตามด้วยการประกาศสงครามกับอังกฤษและสหรัฐอเมริกาในวันที่<br />

25 มกราคม ค.ศ. 1942 62 ที่พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />

เนื่องจากฝ่ายไทยเห็นว่าไม่มีทางต้านทานญี่ปุ่นได้และญี่ปุ่นกำลัง<br />

รุกรบได้ชัยชนะไปทั่วสมรภูมิเอเชียแปซิฟิก จึงเห็นเป็นโอกาสที่<br />

จะร่วมกับญี่ปุ่นสร้าง “ความไพบูลย์ในวงเขตต์” 63 นี้ ซึ่งต่อมาจะเป็น<br />

ที่มาของศัพท์ที่เรียกกันว่า “ร่วมวงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา”<br />

ซึ่งตรงกับคำแปลภาษาของชื่อที่ริเริ่มใช้โดยฝ่ายญี่ปุ่นว่า “the<br />

Greater East Asia Co-Prosperity Sphere” ที่ใช้สำหรับอำพราง<br />

สงครามชิงความเป็นเจ้าแห่งภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของพวกเขา<br />

ความฮึกเหิมในการเป็นพันธมิตรสงครามกับญี่ปุ่นทำให้จอมพล<br />

ป. พิบูลสงครามดำเนินการใหญ่ขึ้นไปอีก โดยการส่งกองกำลังบุกเข้า<br />

รัฐฉานในภาคตะวันออกของพม่าในขณะที่กองทัพญี่ปุ่นบุกเข้าไป<br />

ในพม่า การดำเนินสงครามครั้งนี้เป็นไปตามคติความเชื่อการฟื้นฟู<br />

มหาอาณาจักรไทยที่ครอบคลุมทุกพื้นที่ที่มีคนเผ่าไทยอาศัยอยู่<br />

ในการนี้กองทัพไทยปะทะกับกองทัพของรัฐบาลจีนและกองทัพ<br />

อังกฤษ และสามารถครอบครองพื้นที่ได้สำเร็จในเดือนมกราคม<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

257


ค.ศ. 1942 ฝ่ายญี่ปุ่นนั้นต้องการผูกใจไทยไว้เป็นพันธมิตรต่อไป<br />

จึงสนองความต้องการสร้างมหาอาณาจักรไทยโดยการมอบดินแดน<br />

ในรัฐฉาน รวมทั้งมณฑลทางเหนือของมาลายูคือ กลันตัน ตรังกานู<br />

ปะลิศ และไทรบุรีที่สยามเคยยกให้อังกฤษสมัยรัชกาลที่ 5 ใน<br />

สนธิสัญญาระหว่างไทยกับญี่ปุ่นว่าด้วยอาณาเขตของไทยในมาลัย<br />

และภูมิภาคฉานเมื่อวันที่ 20 สิงหาคม ค.ศ. 1943 64<br />

หลังจากการเป็นพันธมิตรทางทหารกับไทยแล้วญี่ปุ่นเดินหน้า<br />

ต่อไปด้วยการรุกทางวัฒนธรรม มีการลงนามใน “ความตกลงทาง<br />

วัธนธัมระหว่างประเทสไทยกับประเทสยี่ปุ่น” ในเดือนตุลาคม<br />

ค.ศ. 1942 65 มีจุดประสงค์ในการส่งเสริมความเข้าใจทางวัฒนธรรม<br />

ระหว่างไทยกับญี่ปุ่นเพื่อการ“จรรโลงวัฒนธรรมของเอเชียตะวันออก”<br />

ซึ่งความจริงก็คือการลบล้างการครอบงำทางวัฒนธรรมของยุโรป<br />

และสหรัฐอเมริกาออกไป แล้วทดแทนด้วยวัฒนธรรมของญี่ปุ่น<br />

ในสัญญามีรายละเอียดในการแลกเปลี ่ยนผู้เชี่ยวชาญ นักศึกษา<br />

นักประพันธ์ ศิลปิน นักการศาสนา นักแสดง นักดนตรี และนักกีฬา<br />

รวมทั้งกิจกรรมจัดแสดงทางวิทยาศาสตร์และวิจิตรศิลป์<br />

อุตสาหกรรมศิลป์ของทั้ง 2 ฝ่าย และที่สำคัญคือจะมีการจัดตั้ง<br />

“สถานวัธนธัม” ขึ้นในนครหลวงของทั้ง 2 ฝ่าย 66 ซึ่งจะเป็นที่มา<br />

ของโครงการสร้างศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทยขึ้นแต่ก็ไม่สำเร็จเพราะ<br />

ตั้งแต่ปลาย ค.ศ. 1943 ฝ่ายอักษะเริ่มอ่อนแอลงและเปลี่ยนจาก<br />

ฝ่ายรุกมาเป็นฝ่ายรับในทุกสมรภูมิ เริ่มด้วยสมรภูมิอิตาลีมุสโสนิลี<br />

ผู้นำพรรคฟาสซิสต์ถูกทหารจับกุมหมดอำนาจลงและอิตาลีต้อง<br />

ยอมแพ้ในเดือนกันยายน ส่วนกองทัพญี่ปุ่นที่ขยายแนวรบไปทั่ว<br />

ภูมิภาคเอเชียตะวันออก เริ่มหมดแรงรุกตั้งแต่เดือนกรกฎาคม<br />

ค.ศ. 1942 เมื่อกองทัพญี่ปุ่นแพ้ที่หมู่เกาะมิดเวย์ ในกรุงเทพฯ<br />

ตั้งแต่ปลายปีนั้นเองก็เริ่มถูกโจมตีด้วยการทิ้งระเบิดของเครื่องบิน<br />

รบของสหรัฐอเมริกา ทำความเสียหายอย่างหนักให้กับอาคารบ้าน<br />

เรือนและชีวิตประชาชน ยิ่งไปกว่านั้นญี่ปุ่นลงทุนท ำสงครามจนหมดตัว<br />

และต้องใช้วิธีขอกู้จากไทยตั้งแต่ ค.ศ. 1941-1945 เป็นเงินถึง<br />

1,530 ล้านบาท มากกว่าเงินงบประมาณรายจ่ายแต่ละปีของไทย<br />

เสียอีก และใช้คืนไทยโดยวิธีพิมพ์ธนบัตรไทยเสียเอง ทำให้เกิด<br />

ภาวะเงินเฟ้อราคาสินค้าสูงขึ้นและขาดแคลน ขณะที่ค่าเงินตกต่ำ<br />

ทำให้ไทยอยู่ในสภาวะ “ข้าวยาก หมากแพง” ความเดือดร้อนทั้งหลาย<br />

ที่เกิดจากการดำเนินนโยบายบายที่ทะเยอทะยาน ชาตินิยมจัด<br />

และทำสงครามขยายอาณาเขตของไทย ทำให้รัฐบาลจอมพล<br />

ป. พิบูลสงครามเริ่มนโยบายตีจากญี่ปุ่น โดยเริ่มด้วยแผนสร้าง<br />

เมืองหลวงใหม่ที่เพชรบูรณ์เพื่อกระตุ้นให้ประชาชนย้ายออกจาก<br />

เมืองหลวงไปตั้งในเขตป่าเขาเพื่อต่อสู้กับญี่ปุ่น โดยหลอกญี่ปุ่นว่า<br />

เป็นการรักษาศูนย์บัญชาการทหารร่วมระหว่างไทยกับญี่ปุ่นไว้<br />

ในกรณีที่กรุงเทพฯ ถูกโจมตีจนเสียหายหนัก 67 ความเสื่อมความนิยม<br />

ในญี่ปุ่นยังปรากฏในจดหมายลับของหลวงวิจิตรวาทการรัฐมนตรี<br />

ว่าการกระทรวงการต่างประเทศที่มีถึงจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

เปิดเผยทัศนะของเขาที่มีต่อวัฒนธรรมญี่ปุ่นและการแลกเปลี่ยน<br />

วัฒนธรรมต่อกันในเชิงดูหมิ่นดูแคลนทั้งสิ้นเช่น สินค้าญี่ปุ่นที่คนไทย<br />

ชอบนั้นเป็นสินค้าเลียนแบบจากตะวันตกทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น<br />

เพลง ภาพยนตร์ หรือละครก็ตาม ส่วนวัฒนธรรมญี่ปุ่นแท้ๆ เช่น<br />

ละครโน๊ะ คาบูกิ หรือพิธีเลี้ยงน้ำชาล้วนเป็นสิ่งที่คนไทยจะเห็นเป็น<br />

ของตลกขบขันทั้งนั้น ยิ่งเผยแพร่ไปเท่าไรก็ยิ่งจะเป็นเรื่องตลกมากขึ้น<br />

และคนไทยนั้นยิ่งรู้จักญี่ปุ่นมากขึ้นเพียงไรก็ยิ่งเกลียดญี่ปุ่นมากขึ้น<br />

เพียงนั้น 68 ส่วนการเผยแพร่วัฒนธรรมไทยในญี่ปุ่นก็แสดงไปอย่างผิด ๆ 69<br />

ไม่ว่าจะเป็นการเขียนลายไทยประกอบรูปภาพ การอธิบายประวัติ<br />

สถานที่ในประเทศไทยและการอธิบายรูปละครฟ้อนรำ เป็นต้น<br />

นโยบายตีสองหน้าของรัฐบาลไทยร่วมกับการจัดตั้งฝ่ายต่อต้าน<br />

ญี่ปุ่นขึ้นภายในและภายนอกประเทศของกลุ่มบุคคลที่เรียกตนเอง<br />

ว่า “เสรีไทย” ที่ประกอบด้วยบุคคลภายในรัฐบาลและฝ่ายที่ต่อต้าน<br />

จอมพล ป. พิบูลสงคราม ส่งผลให้ไทยเพิกเฉยต่อการช่วยเหลือ<br />

ญี่ปุ่นและปล่อยให้ญี่ปุ่นทำสงครามต่อไปอย่างโดดเดี่ยวจนหมด<br />

แรงพ่ายแพ้ไปเอง ส่วนรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามนั้น<br />

โครงการเมืองหลวงใหม่เพชรบูรณ์ที่คร่าชีวิตคนงานไป 4,040 คน<br />

และป่วย 14,316 คน ในช่วง 6 เดือนของ ค.ศ. 1944 ในที่สุดก็<br />

258 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ไม่ผ่านสภาผู้แทนราษฎร มีผลให้จอมพล ป. พิบูลสงครามต้องลาออก<br />

จากการเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 24 สิงหาคม ค.ศ. 1944<br />

หมดอำนาจทางการเมืองไปก่อนที่ญี่ปุ่นจะยอมแพ้อย่างราบคาบ<br />

ต่อสัมพันธมิตรในอีก 1 ปีต่อมา ส่วนประเทศไทยเอาตัวรอดได้<br />

จากการเป็นประเทศผู้ร่วมก่อสงครามได้ด้วยการเจรจาของรัฐบาล<br />

พลเรือน และข้ออ้างที่ว่าการประกาศสงครามของจอมพล ป. พิบูล<br />

สงครามเป็นโมฆะ เพราะเป็นการกระทำอันผิดจากเจตจำนงของ<br />

ประชาชนชาวไทย 70 และฝ่าฝืนขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ<br />

แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการแก้ไขสถานการณ์เฉพาะหน้า<br />

เพื่อเอาตัวรอดของไทยได้อีกครั้งหนึ่ง<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่สมัยรัชกาลที่ 8<br />

ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีลงวันที่24 มิถุนายน ค.ศ. 1939<br />

กำหนดให้เรียกชื่อประเทศนี้ว่า “ประเทศไทย” 71 เพื่อให้ถูกต้องตาม<br />

เชื้อชาติและความนิยมของประชาชนชาวไทย เป็นสัญญาณของ<br />

การเริ่มต้นแผนนำประเทศสู่ยุคใหม่ตามหลัก 6 ประการของคณะ<br />

ราษฎร ที่ประกาศไว้เมื่อ 7 ปีก่อนที่ได้ยึดอำนาจเปลี่ยนแปลงการ<br />

ปกครองแผ่นดิน หลังจากกำจัดเสี้ยนหนามทางการเมืองจนสงบ<br />

ราบคาบ จอมพล ป. พิบูลสงครามครองอำนาจการบริหารประเทศ<br />

ไว้ทั้งหมดแต่ผู้เดียว การดำเนินการให้ประเทศมีความเจริญ<br />

ก้าวหน้าเป็นอารยะและประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีอันจะนำไปสู่<br />

ความมีวัฒนธรรมสูงส่งของพลเมืองก็ได้เริ่มขึ้น ในเรื่องเกี่ยวกับ<br />

การก่อสร้างนั้น รัฐบาลได้สร้างอาคารสาธารณะประเภทต่าง ๆ<br />

ขึ้นมาเป็นจำนวนมากทั้งที่กรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ตั้งแต่อาคาร<br />

เพื่อการศึกษา อาคารพาณิชย์ อาคารไปรษณีย์ ไปจนถึงศาล และ<br />

ศาลาว่าการจังหวัด สถาปนิกที่ออกแบบมีทั้งสถาปนิกรุ่นก่อน<br />

เปลี่ยนแปลงการปกครอง เช่น พระสาโรชรัตนนิมมานก์แห่งกรม<br />

ศิลปากร และสถาปนิกรุ่นใหม่ เช่น นายจิตรเสน (หมิว) อภัยวงศ์<br />

และม.ล.ปุ่ม มาลากุล ที่ศึกษามาจากอีโคลเดอโบซาร์แห่งฝรั่งเศส<br />

รวมทั้งนายอี มันเฟรดี้ (E. Manfredi) สถาปนิกที่รับราชการที่กรม<br />

ศิลปากรตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 6 ในช่วงเริ่มต้นประชาธิปไตยนี้<br />

พวกเขาได้เสนอแนวทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่แบบคลาสสิค<br />

ที่เรียบเกลี้ยง (stripped classicism) ที่มาจากอิทธิพลของพวก<br />

สถาปนิกฟาสซิสต์อิตาเลียนร่วมสมัย รวมทั้งแนวอาร์ตเด็คโค<br />

ที่แพร่หลายทั่วยุโรปและสหรัฐอเมริกา ลักษณะเด่นในการออกแบบ<br />

ของพวกเขาคือการนำประติมากรรมทั้งประเภทลอยตัวและนูนสูง<br />

มาเป็นส่วนประกอบหนึ่งของอาคาร ซึ่งส่วนมากเป็นฝีมือของ<br />

ประติมากรอิตาเลียน คอร์ราโด เฟโรชีที่ต่อมาได้เปลี่ยนสัญชาติและ<br />

ชื่อมาเป็นไทยว่า ศิลป์พีระศรีใน ค.ศ. 1944 และบรรดาศิษย์ของเขา<br />

ที่โรงเรียนศิลปากรที่ต่อมาจะกลายเป็นมหาวิทยาลัยศิลปากรใน<br />

ค.ศ. 1943 ที่เขาเป็นศาสตราจารย์สอนวิชาประติมากรรมและ<br />

จิตรกรรม ผลงานลักษณะนี้แสดงให้เห็นอิทธิพลของลัทธิสังคม<br />

ชาตินิยมหรือฟาสซิสต์ร่วมสมัยของอิตาลี พวกเขาทำงานโดยมี<br />

แนวคิดที่ไม่ใช่แบบสากลนิยมสมัยใหม่ (International modern)<br />

แต่รองรับด้วยแนวทางประวัติศาสตร์ชาตินิยมเชื้อชาติไทย ของ<br />

รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามและหลวงวิจิตรวาทการ ยกเว้น<br />

งานของอี มันเฟรดี้ที่ดูแตกต่างจากคนอื่นที่เราจะเห็นร่องรอยการ<br />

ออกแบบในแนวสากลนิยมสมัยใหม่ของพวกเบาเฮาส์อยู่บ้าง แต่<br />

ก็เป็นการออกแบบที่ไม่มีอรรถาธิบายที่มาของรูปแบบที่ชัดเจน<br />

ประการใด<br />

ผลงาน<br />

ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />

ออกแบบโดยวิศวกรพระเจริญวิศวกรรม (เจริญ เชนะกุล) อาจารย์<br />

คณะวิศวกรรมศาสตร์ สร้างเสร็จใน ค.ศ. 1935 เป็นอาคาร 2 ชั้น<br />

ผังรูปตัว H ส่วนกลางเป็นโถงทางเข้าใหญ่ที่มีบันไดอยู่ด้านในสุด<br />

มุขริม 2 ข้างเป็นห้องเรียนใหญ่เชื่อมด้วยอาคารกลางที่แบ่งเป็น<br />

ห้องเรียนเล็กหลายห้อง มีระเบียงทางเดินอยู่ด้านหน้าซึ่งเป็น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

259


แบบทัศนียภาพคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (1935)<br />

ผังพื้นชั้นล่างคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />

วิธีออกแบบแนวคลาสสิคโบราณ ที่แปลกคือโครงสร้างอาคารเป็น<br />

แบบผนังก่ออิฐรับน้ำหนักอวดผิวอิฐ ขณะที่โครงสร้างพื้นและ<br />

หลังคาเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก เป็นอาคารที่สร้างตามหลักเหตุผลและ<br />

ประโยชน์ใช้สอยล้วนปราศจากการตกต่ง ถึงกระนั้นที่ผนังโถงกลาง<br />

ยังประดับภาพประติมากรรมนูนต่ำหล่อคอนกรีต 4 ภาพ<br />

ปั้นโดย “โรงเรียนศิลปากร” แสดงภาพการทำงานของเครื่องจักรกล<br />

ประเภทต่าง ๆ ที่เป็นสาขาการศึกษาของคณะวิชานี้โดยมีฉากหลัง<br />

เป็นท้องทุ่งและวัดของชนบทไทย แสดงความหวังในอนาคตที่<br />

เปลี่ยนแปลงก้าวหน้าของสังคมไทยตามแนวคิดของจอมพล<br />

ป. พิบูลสงคราม อาคารหลังนี้จึงมีลักษณะของอาคารสมัยใหม่แบบ<br />

โรงงานอุตสาหกรรมในยุโรปทั่วไป ขณะที่ภาพนูนต่ำที่โถงกลาง<br />

แสดงถึงอิทธิพลศิลปะอาร์ตเด็คโคผสมฟาสซิสต์ร่วมสมัยของอิตาลี<br />

260 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ซ้าย ตึกหนึ่งโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา<br />

(1935-1936)<br />

ล่าง ฝังพื้นชั้นล่างตึกหนึ่ง<br />

โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา<br />

โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา เป็นโรงเรียนที่ตั้งขึ้นเพื่อรองรับหลักสูตร<br />

การศึกษาใหม่ของรัฐบาลที่เรียกว่า “หลักสูตรเตรียมอุดมศึกษา”<br />

เพื่อใช้เวลา 2 ปีเตรียมนักเรียนที่จบชั้นมัธยม 6 ปี ให้พร้อมสำหรับ<br />

การเรียนมหาวิทยาลัย ตามแนวคิดของหม่อมหลวงปิ่น มาลากุล<br />

โรงเรียนในยุคแรกประกอบด้วยอาคาร 3 หลังเรียงต่อกันเป็นแถวจาก<br />

ทิศตะวันตกไปทิศตะวันออกในแนวตั้งฉากกับถนนพญาไทด้านหนึ่ง<br />

และถนนอังรีดูนังต์อีกด้านหนึ่งเรียกชื่อว่าตึกหนึ่ง ตึกสอง และตึกสาม<br />

ตึกหนึ่ง ตั้งติดกับถนนพญาไท สร้างระหว่าง ค.ศ. 1935-1936<br />

เป็นอาคาร 2 ชั้น ผังรูปตัว H มีมุขที่หัวท้ายเชื่อมด้วยอาคารกลาง<br />

ซึ่งเป็นที่ตั้งของห้องเรียนเล็กเรียงเป็นแถว มุขหัวท้ายเป็น<br />

ห้องเรียนใหญ่มีอัฒจรรย์ฟังบรรยายและห้องพักครู ทางเข้าอยู่ที ่<br />

ริมมุข 2 ข้างแบบสมมาตร ลักษณะอาคารเป็นทรงกล่องคอนกรีต<br />

เรียบเกลี้ยง มีระเบียงด้านหน้ายาวตลอดแบบโรงเรียนทั่วไปแต่เสา<br />

ระเบียงมีขนาดเล็กกว่าอาคารยุคก่อนมาก หลังคามีขอบบังให้ดู<br />

เป็นหลังคาตัดแต่ความจริงมุงกระเบื้องไม่ใช่หลังคาคอนกรีตจริง<br />

โครงสร้างอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กแต่พื้นเป็นไม้ พื้นชั้นล่าง<br />

ยกสูงจากดิน 0.50 เมตร เพื่อกันน้ำท่วม ผนังด้านหน้าติดถนน<br />

พญาไทเจาะช่องหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยมทรงแคบยาวในแนวดิ่งเป็น<br />

ชุด 3 บาน บานกลางกว้างเป็น v 2 เท่าของบานริมจึงคงไวยกรณ์<br />

แบบหน้าต่างพาลลาเดียนแบบคลาสสิคอยู่ แม้ว่าทรวดทรงอาคาร<br />

และช่องเปิดจะดูเป็นแบบอาร์ตเด็คโคแต่ลักษณะระเบียงเปิดยาว<br />

ดูคล้ายงานของสากลนิยมสมัยใหม่ (International modern)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

261


ตึกสอง สร้างใน ค.ศ. 1938-1939 ในแบบ ผังเป็นรูปตัว T<br />

กลับหัว แกนนอนประกอบด้วยห้องเรียนเรียงกัน 12 ห้องเหมือนกัน<br />

ทั้ง 2 ชั้น ด้านหน้าตรงกลางเป็นมุขทางเข้าที่มีห้องเรียนขนาบ<br />

2 ข้าง ด้านหลังเป็นห้องโถงประชุมใหญ่สูง 2 ชั้น จุดเด่นของ<br />

อาคารอยู่ที่ผนังของมุขทางเข้าในแบบอาร์ตเด็คโค ที่ทำเป็นผนัง<br />

3 ส่วน ตรงกลางสูงริม 2 ข้างลดระดับเล็กน้อย ผนังชั้นบนตรงกลาง<br />

เจาะช่องแสงรูปสี่เหลี่ยมแคบยาวแนวดิ่ง 3 ช่อง ชั้นล่างเป็นประตู<br />

ทางเข้า ผนังริม 2 ข้างเจาะช่องแสงรูปสี่เหลี่ยมแคบยาวแนวดิ่ง<br />

3 ช่องสูงตลอด 2 ชั้น ขณะที่อาคารแกนนอนเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยม<br />

เรียบเกลี้ยง ด้านหน้ามีระเบียงยาวตลอดมีเสาระเบียงเรียงเป็นแถว<br />

ผนังด้านหลังเจาะช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมแบ่ง 2 ส่วน ส่วนบนเป็น<br />

ช่องแสงกว้าง 1 ใน 3 ของส่วนล่าง โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

แต่พื้นเป็นไม้แบบเดียวกับตึกหนึ่ง ลักษณะผังตัว T และรูปด้านหน้า<br />

แบบ 3 ส่วนกลางสูงริมลดนี้จะปรากฏในอาคารราชการสำคัญ<br />

อีกหลายแห่งในช่วงเวลานี้ดังจะได้กล่าวต่อไป<br />

บน ตึกสอง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา<br />

กลาง ผังพื้นตึกสอง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา<br />

ล่าง รูปด้านหน้าตึกสอง โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา<br />

262 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ตึกสาม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (1935-1939)<br />

ล่าง ผังพื้นตึกสาม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา<br />

72<br />

ตึกสาม ออกแบบและสร้าง ค.ศ. 1940-1941 โดย อีมันเฟรดี้<br />

ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวมีห้องเรียนวางเรียงกันชั้นละ 13 ห้อง<br />

จำนวน 2 ชั้น ปลายตึกทิศตะวันตกเป็นห้องบรรยายใหญ่<br />

ส่วนปลายทิศตะวันออกเป็นบันได ลักษณะอาคารเป็นทรงกล่อง<br />

คอนกรีตเรียบเกลี้ยงเหมือน 2 ตึกแรก แต่ที่แปลกไปคือระเบียง<br />

ด้านหน้าชั้นล่างมีเสาระเบียงเรียงเป็นแถวยาว ขณะที่ชั้นบนเสา<br />

ระเบียงไปหยุดอยู่ที่ระดับพนักที่สูงแค่เอว จึงทำให้ระเบียงชั้นบน<br />

เป็นระเบียงโล่งปลอดเสา เหมือนแนวคิดหน้าต่างลักษณะแถบยาว<br />

(band window) ที่ไร้เสาแบ่งช่วง เพราะผนังแยกจากโครงสร้าง<br />

แบบสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ของสำนักเบาเฮาส์และ<br />

เลอคอร์บูซิเอร์ ซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่มีมาก่อนในประเทศไทย<br />

โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาเป็นโรงเรียนระบบใหม่ของรัฐบาล<br />

คณะราษฎร และยังเป็นโรงเรียนสหศึกษาโรงเรียนแรกของ<br />

ประเทศไทย นับว่าเป็นตัวแทนแห่งยุคสมัยใหม่ในการศึกษาระดับ<br />

มัธยมปลายของรัฐบาลประชาธิปไตย แม้ในความเป็นจริงการ<br />

ก่อสร้างโรงเรียนนี้มีอุปสรรคมากมายในเรื่องที่ดินและเงินทุนรวมทั้ง<br />

ภาวะสงคราม แต่โรงเรียนก็สามารถสร้างเสร็จจนได้ในรูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมที่ผสมผสานกันระหว่างคลาสสิคที่เรียบเกลี้ยง<br />

อาร์ตเด็คโค และสากลนิยมสมัยใหม่<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

263


บน สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ (1938)<br />

ล่าง รูปด้านหน้าสนามศุภชลาศัย<br />

สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ ออกแบบโดย<br />

สถาปนิกจิตรเสน อภัยวงศ์และพระสาโรชรัตนนิมมานก์73 คอร์ราโด<br />

เฟโรชีเป็นประติมากร สร้างเสร็จ ค.ศ. 1938 การสร้างสนามกีฬา<br />

เป็นอีกนโยบายสำคัญที่คณะราษฎรได้ประกาศไว้ในหลัก 6 ประการ<br />

ว่าด้วยหลักการศึกษา ที่ว่าจะจัดให้การพลศึกษาแพร่หลายใน<br />

โรงเรียนทั่วไปตลอดจนประชาชน และให้ผลแห่งการพลศึกษานี้ได้<br />

เป็นประโยชน์ทั้งทางกายและใจ 74 ทั้งนี้ก็เพื่อการสร้างชาติซึ่ง<br />

ขึ้นอยู่กับประชาชนทุกคนที่มีร่างกายแข็งแรง มีวัฒนธรรมดี<br />

สามารถประกอบอาชีพให้รุ่มรวย ชาติไทยก็จะดีตามไปด้วย 75<br />

กรีฑาสถานแห่งชาติใช้จัดกิจกรรมการแข่งขันกีฬาทุกระดับและ<br />

เป็นที่ตั้งของกรมพลศึกษา ซึ่งตั้งขึ้นโดยรัฐบาลคณะราษฎรตั้งแต่<br />

วันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 1933 สถานที่นี้ประกอบด้วยสนามหญ้า<br />

สำหรับแข่งขันกีฬาพร้อมด้วยลู่วิ่งล้อมรอบสนามที่มีลักษณะคล้าย<br />

ตัวอักษร D ในตอนเริ่มแรกมีอัฒจรรย์สำหรับผู้ชมเพียง 2 ด้าน<br />

คือ ทิศตะวันตกและทิศเหนือ สร้างเป็นขั้นบันไดคอนกรีตหันหน้า<br />

สู่สนาม อัฒจรรย์ด้านทิศเหนือติดถนนพระราม 1 เป็นทางเข้าด้าน<br />

หน้าของสนามกีฬานี้ออกแบบผนังรับอัฒจรรย์เป็นกำแพงสูงแบบ<br />

3 มุข มุขกลางเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้าใหญ่แบ่งเป็น 3 ส่วน มีเสาอิง<br />

ประดับ 4 ต้น ต้นริม 2 ข้าง เป็นเสาขนาดใหญ่บนยอดมี<br />

ประติมากรรมนูนสูงรูปพระพลบดี76 เทพเจ้าผู้เป็นใหญ่แสดงถึง<br />

ปัญญาอันแหลมคมในการเอาชนะอุปสรรคขจัดปัญหาทรงช้าง<br />

เอราวัณประดับ หากเปรียบเทียบรูปแบบกับประติมากรรม<br />

264 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ซ้าย ประติมากรรมพระพลบดี (1938)<br />

ขวา ประติมากรรม Men of Hackney<br />

(1938)<br />

“Men of Hackney” ของอนุสรณ์สถานสงครามโลกหน้าโบสถ์<br />

เซนต์จอห์นแห่งแฮคนีย์ในกรุงลอนดอน 77 (War Memorial, St. Johnat-<br />

Hackney Chuurchyard, London) โดยประติมากรเฮอร์มอน คาวธรา<br />

(Hermon Cawthra) ค.ศ. 1921 ที่คล้ายกันแต่ขนาดเล็กกว่ามาก<br />

รูปทรงของพระพลบดีจะถูกคุมด้วยเส้นเหลี่ยมแบบอาร์ตเด็คโค<br />

มากกว่า มุขริมสุดทั้ง 2 ข้างของกำแพงทำเป็นรูปป้อม ทั้ง 3 มุข<br />

เชื่อมด้วยแนวกำแพงที่ประดับเสาอิงเซาะร่องขนาดใหญ่แบบคลาสสิค<br />

เรียงต่อเป็นแถว พื้นที่ระหว่างเสาอิงเป็นช่องหน้าต่างรูปสี่เหลี่ยม<br />

ผืนผ้าเรียงทางตั้งสูงขึ้นไปตามแนวเสา ลักษณะสถาปัตยกรรมโดย<br />

รวมเป็นแบบคลาสสิคที่เรียบง่ายผสมอาร์ตเด็คโคที่นิยมกันใน<br />

อิตาลีและเยอรมนีขณะนั้น และในอังกฤษก่อนหน้านั้น 2 ทศวรรษ<br />

นับเป็นอาคารรุ่นแรก ๆ ที่ใช้ประติมากรรมขนาดใหญ่มาเป็น<br />

ส่วนประกอบของสถาปัตยกรรม และสะท้อนอิทธิพลของประติมากร<br />

คอร์ราโด เฟโรชีและศิษย์แห่งโรงเรียนศิลปากรภายใต้การบังคับบัญชา<br />

ของหลวงวิจิตรวาทการอธิบดีกรมศิลปากร ที่มีต่อการออกแบบ<br />

ศิลปกรรม สถาปัตยกรรมที่สำคัญของรัฐบาลในยุคนั้น<br />

ศาลแขวงสงขลา ออกแบบโดย จิตรเสน อภัยวงศ์78 และ<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์79 ใน ค.ศ. 1936 สร้างระหว่าง ค.ศ. 1937-<br />

1941 เป็นอาคาร 2 ชั้น ผังรูปตัว T ประกอบด้วยมุขกลางและ<br />

ปีก 2 ข้าง โถงกลางใหญ่เป็นห้องพิจารณาคดีมีทางเดินรอบปีก 2 ข้าง<br />

เป็นห้องทำงานของผู้พิพากษาและเสมียนศาล ลักษณะผังแบบเดียว<br />

กับศาลเชียงใหม่ที่พระสาโรชรัตนนิมมานก์ออกแบบตั้งแต่ ค.ศ. 1935<br />

กล่าวคือเอาห้องพิจารณาคดีไว้ตรงกลางและล้อมรอบด้วยห้องธุรการ<br />

เป็นวิธีการออกแบบที่สามารถย้อนกลับไปได้ถึงปลายสมัยรัชกาลที่ 5<br />

เช่น ศาลเมืองสิงห์บุรีที่สร้าง ค.ศ. 1908-1910 แต่ในศาลแขวง<br />

สงขลานี้สถาปนิกดัดแปลงผังเก่าแล้วใส่รูปด้านแบบใหม่เข้าไป<br />

จุดเด่นอยู่ที่มุขกลางที่มีผนังแบบ 3 ส่วน ตรงกลางสูง ริม 2 ข้าง<br />

ลดระดับลงมาเล็กน้อย ผนังส่วนกลางนี้ยังคงลักษณะไวยกรณ์แบบ<br />

ประตูชัย (triumphal arch) อย่างชัดเจน กล่าวคือมีรูปทรงเกือบเป็น<br />

สี่เหลี่ยมจัตุรัสที่แบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนกลางโปร่งเจาะช่องหน้าต่าง<br />

ส่วนริม 2 ข้างทึบมีเสาอิงเป็นตัวเน้นจังหวะ ส่วนที่เป็นปีก 2 ข้าง<br />

เจาะช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมเรียบ ๆ ให้ภาพรวมอาคารเป็นกล่อง<br />

สี่เหลี่ยมแบบคลาสสิคที่เรียบเกลี้ยงผสมกับอาร์ตเด็คโค<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

265


โดยพิจารณาศิลปะแบบแรกจากผังที่สมมาตร และองค์ประกอบ<br />

คลาสสิคที่ตัดลวดลายออก ส่วนลวดลายเรขาคณิตที่ปรากฏบางอย่าง<br />

แสดงถึงอิทธิพลของศิลปะแบบหลัง ลักษณะการออกแบบรูปด้าน<br />

อาคารแบบผนังมุขกลาง 3 ส่วนกลางสูงริมลดระดับนี้นอกจากมาจาก<br />

ต่างประเทศที่มีมากมายแล้ว เรายังเห็นได้จากการเริ่มต้น<br />

ที่ฉากหลังพระปฐมบรมราชานุสรณ์สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />

โดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ค.ศ. 1932<br />

ต่อมาที่ตึก 2 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา ค.ศ. 1938 และที่สนาม<br />

ศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ โดยจิตรเสน อภัยวงศ์ ค.ศ. 1938<br />

ซึ่งความจริงสองตึกหลังน่าจะได้อิทธิพลจากศาลแขวงสงขลานี้<br />

ที่ออกแบบก่อนใน ค.ศ. 1936 แต่ลงมือสร้างช้ากว่าหรือไม่ก็เป็น<br />

ความนิยมร่วมยุคที่เกิดขึ้นพร้อม ๆ กันในสถาปนิกหลายคน<br />

ที่น่าสนใจก็คือการออกแบบลักษณะนี้จะถูกพัฒนาและปรากฏอีก<br />

ในรูปแบบสมบูรณ์มีประติมากรรมประกอบที่ศาลากลางจังหวัด<br />

พระนครศรีอยุธยา หรือในแบบผนังเกลี้ยง ๆ ของอาคารหอประชุม<br />

และโรงเรียนของราชการหลายแห่งทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด<br />

เช่น ที่จังหวัดลพบุรี เป็นต้น<br />

บน ศาลแขวงสงขลา (1936-1941)<br />

ล่าง ผังพื้นศาลแขวงสงขลา<br />

266 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ที่ทำการไปรษณีย์กลาง<br />

บางรัก (1938-1940)<br />

ล่างซ้าย ประติมากรรมครุฑ<br />

ที่ทำการไปรษณีย์กลาง บางรัก<br />

(1938-1940)<br />

ล่างขวา ผังพื้น ที่ทำการไปรษณีย์กลาง<br />

บางรัก<br />

ที่ทำการไปรษณีย์กลาง บางรัก สถาปนิกจิตรเสน อภัยวงศ์<br />

และพระสาโรชรัตนนิมมานก์80 ออกแบบระหว่าง ค.ศ. 1934-1940<br />

เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก 3 ชั้น ผังรูปตัว E ประกอบด้วย<br />

มุขกลางใหญ่และมุขริมเล็ก 2 ข้างที่ดูคล้ายป้อมทั้งหมด ทั้ง 3 มุข<br />

เชื่อมด้วยอาคารยาวที่อวดโครงสร้างเสาลอยตัวเรียงเป็นแถว<br />

จุดเด่นของอาคารคือมุขกลางที่คล้ายป้อมขนาดใหญ่แบบประตูชัย<br />

ประยุกต์ มีเสาและทับหลังล้อมเป็นกรอบตัดกับพื้นที่ช่องประตู<br />

หน้าต่างที่โปร่งเบา โดยแบ่งเป็น 3 ส่วนทางตั้งด้วยเสา 2 ต้น และ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

267


บน ศาลาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (1939-1941)<br />

ล่าง ผังพื้น ศาลาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา<br />

2 ส่วนทางนอนด้วยคานทับหลังใหญ่ ครึ่งบนทำเป็นช่องแสงและ<br />

ครึ่งล่างเป็นประตูทางเข้าใหญ่ มุมบนสุดของมุขกลางทั้ง 2 ข้าง<br />

ประดับประติมากรรมคอนกรีตหล่อรูปครุฑในร่างมนุษย์กำยำใหญ่<br />

ฝีมือประติมากรคอร์ราโด เฟโรชี การเน้นผิวผนังอาคารให้ดูหนัก<br />

แน่นโดยการตีเส้นปูนฉาบเป็นช่องสี่เหลี่ยมใหญ่เหมือนกรุด้วยหินตัด<br />

ความสมมาตรและเรียบเกลี้ยง การใช้มุขแบบประตูชัยประยุกต์<br />

แสดงลักษณะสถาปัตยกรรมคลาสสิคที่เรียบเกลี้ยงในขณะที่เส้นสาย<br />

ของประติมากรรมรูปครุฑในแบบเรขาคณิตที่เข้มแข็งและขึงขังนั้น<br />

แสดงศิลปะอาร์ตเด็คโคและฟาสซิสต์ร่วมสมัยของอิตาลี ลักษณะ<br />

การออกแบบมุขกลางรูปป้อมที่เป็นกรอบทึบตัดกับพื้นที่ช่อง<br />

หน้าต่างโปร่ง และแบ่งพื้นที่หน้าต่างเป็น 3 ส่วนทางตั้งด้วยเสา<br />

2 ต้นนี้ เราจะพบอีกในงานของพระสาโรชรัตนนิมมานก์ที่โรงแรม<br />

รัตนโกสินทร์ ถนนราชดำเนินกลางและที่ตึกคณะเภสัชศาสตร์<br />

หลังเดิม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งสร้างในช่วงนี้เช่นเดียวกัน<br />

ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ออกแบบโดย<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์81 และประติมากรคอร์ราโด เฟโรชี ใน<br />

ค.ศ. 1939 สร้างเสร็จ ค.ศ. 1941 เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

2 ชั้น ผังรูปตัว T วางแนวนอน ด้านหน้าเป็นโถงใหญ่ที่ต่อไปด้าน<br />

หลังที่เป็นส่วนหางของรูปตัว T จุดเด่นของอาคารอยู่ที่ผนัง<br />

ด้านหน้าในแบบผนัง 3 ส่วน ส่วนกลางกว้าง 5 ส่วนและสูงที่สุด<br />

ส่วนริมถัดมา 2 ข้าง กว้าง 1 ส่วน และลดความสูงลง 1 ระดับ<br />

ส่วนริมนอกสุด 2 ข้าง กว้าง 2 ส่วน และลดความสูงลงมาอีก 1 ระดับ<br />

เน้นผนังส่วนกลางโดยทำเสาลอยตัวขนาดใหญ่ประดับ 6 ต้น<br />

ปลายเสาประดับประติมากรรมนูนสูงคอนกรีตหล่อพระรูปครึ่ง<br />

พระองค์ของบูรพกษัตริย์และพระราชินีที่องอาจกล้าหาญสมัย<br />

อยุธยาและธนบุรีรวม 6 พระองค์ ในรูปแบบศิลปะฟาสซิสต์ที่เน้น<br />

รูปทรงที่บึกบึนและเส้นสายที่แข็งกร้าว เห็นเด่นสง่ามาแต่ไกล<br />

268 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ซ้าย ประติมากรรมประดับศาลาจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (1939-1941)<br />

ขวา พลลาสโซ เดลลา เอสโปซิโอนิ โรม (1937-1938)<br />

เพราะอาคารตั้งอยู่ปลายถนนที่ตัดเป็นแนวดิ่งจากนอกเมืองตรงมา<br />

ที่อาคารนี้ เป็นความตั้งใจที่จะเชิดชูวีรกษัตริย์โบราณที่ท ำสงคราม<br />

ขยายอาณาเขตและรักษาเอกราช สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับชาติไทย<br />

ตามกระแสชาตินิยมที่โหมกระหน่ำ โดยเฉพาะเพื่อสนับสนุนการ<br />

ทำสงครามกับฝรั่งเศสเพื่อขยายดินแดนไปยังลาวและเขมร เป็น<br />

ยุคของมหาอาณาจักรไทยโดยใช้กำลังทหารของจอมพล ป. พิบูล<br />

สงครามที่ต้องการการสนับสนุนของมวลชน 82 ผ่านวรรณกรรม<br />

ชาตินิยมอิงพงศาวดารของหลวงวิจิตรวาทการ ที่ถูกทำให้เป็นตัว<br />

ตนขึ้นมาผ่านประติมากรรมของคอร์ราโด เฟโรชีและสถาปัตยกรรม<br />

ของพระสาโรชรัตนนิมมานก์ งานนี้อาจนับได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรม<br />

ที่ได้อิทธิพลแบบฟาสซิสต์ร่วมสมัยของอิตาลีที่ชัดเจนที่สุดของไทย<br />

โดยเฉพาะจากงานมอสตรา ออกุสเทีย เดลลา โรมานนิตา (Mostra<br />

Augustea della Romanita) ที่พาลาสโซ เดลลา เอสโปสิซิโอนิ<br />

(Palazzo della Esposizioni) แห่งกรุงโรมใน ค.ศ. 1937-<br />

1938 โดยสถาปนิกอัลเฟรโด สคาลเปลลี (Alfredo Scalpelli) 83<br />

ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองครบรอบ 2,000 ปีแห่งการประสูติของ<br />

จักรพรรดิออกัสตุส (Augustus) โดยมีนักโบราณคดีกุยลิโอ ควิลิโน<br />

จิกลิโอลิ (Giulio Quirino Giglioli) เป็นผู้จัดแสดงโบราณวัตถุสมัย<br />

โรมันมากมาย พร้อมทั้งดัดแปลงอาคารพาลาสโซ เดลลา เอสโป<br />

สิซิโอนี ให้เปลี่ยนโฉมด้านหน้ารองรับเทศกาลนี้โดยฝีมือสถาปนิก<br />

สคาลเปลลี โดยใช้รูปแบบประตูชัยโบราณประยุกต์ร่วมกับการ<br />

ประดับประติมากรรมที่ยอดเสาอิง เพื่อให้ผู้ชมซึมซับในความยิ่งใหญ่<br />

ของจักรววรรดิโรมันในอดีตว่าคือปัจจุบันของจักรวรรดิอิตาลี<br />

ภายใต้การนำของมุสโสลินีและอุดมการณ์สังคมชาตินิยมหลง<br />

เชื้อชาติหรือลัทธิฟาสซิสต์ของอิตาลี<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

269


ทัศนียภาพอาคารริมถนนราชดำเนินกลาง (1937-1948)<br />

อาคารชุดพาณิชย์และพักอาศัยถนนราชดำเนินกลาง (1937)<br />

อาคารริมถนนราชดำเนินกลาง เป็นโครงการก่อสร้างของ<br />

รัฐบาลที่ใหญ่ที่สุดโครงการหนึ่งเพื่อสนองนโยบายรัฐบาลในเรื่อง<br />

สังคม เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม อาคารชุดนี้ตั้งอยู่ริม 2 ฟากของ<br />

ถนนราชดำเนินกลาง เริ่มตั้งแต่ปลายสะพานผ่านฟ้าลีลาศไปจรด<br />

ปลายสะพานผ่านพิภพลีลา รวมความยาว 1.20 กิโลเมตร<br />

มีทั้งหมด 15 หลังเรียงต่อเนื่องกัน อาคารที่อยู่คู่ตรงข้ามถนนจะมี<br />

ลักษณะเหมือนกันเป็นคู่แฝด แต่อาคารที่อยู่หัวมุมถนนจะ<br />

มีลักษณะต่างกัน แต่อาคารทั้งชุดก็ยังดูกลมกลืนกัน สถาปนิกคือ<br />

จิตรเสน อภัยวงศ์และหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล อาคารเริ่มสร้างตั้งแต่<br />

ค.ศ. 1937 จนเสร็จสิ้นใน ค.ศ. 1948 อย่างไรก็ตามใน ค.ศ. 1940<br />

ที่มีการเปิดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยบนวงเวียนกลางถนน<br />

ราชดำเนินกลางนั้น อาคารส่วนใหญ่ก็สร้างเสร็จแล้ว จุดประสงค์<br />

ของการใช้สอยอาคารคือเป็นอาคารพาณิชย์สำหรับชั้นล่างและ<br />

ชั้นที่ 2 ส่วนชั้นที่ 3 เป็นห้องพักอาศัยแบบอาคารชุด ซึ่งเป็น<br />

เรื่องแปลกและไม่มีความจำเป็นที่ต้องทำที่พักอาศัยในที่สูงเพื่อ<br />

ประหยัดพื้นที่ส ำหรับกรุงเทพฯ ที่มีพลเมืองเพียง 6.85 แสนคนเท่านั้น<br />

ถ้าเทียบกับโตเกียวที่มีพลเมืองถึง 7.35 ล้านคนในเวลาเดียวกัน<br />

การทำอาคารชุดพักอาศัยริมถนนราชดำเนินกลางจึงเป็นเรื่องของ<br />

สัญลักษณ์ของการมีวัฒนธรรมอารยะของประเทศไทย ที่มีอาคาร<br />

ทันสมัยแสดงความเจริญตามแนวคิดของจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

แต่ถ้าพิจารณาประวัติศาสตร์การพัฒนาอาคารพาณิชย์ริมถนนของไทย<br />

จะพบความจริงว่าอาคารริมถนนราชดำเนินกลางไม่ต่างอะไรจาก<br />

ตึกแถวริมถนนเจริญกรุงสมัยรัชกาลที่ 4 ที่สร้างก่อนหน้านี้ 80 ปี<br />

เพราะตึกทั้งคู่ต่างถูกสร้างเพื่อการค้าที่ชั้นล่างและการอยู่อาศัยที่<br />

ชั้นบนในรูปแบบงดงามของตะวันตกที่เป็นศรีสง่าแก่พระนคร<br />

อาคารแบบมาตรฐานในชุดนี้เป็นอาคารคอนกรีต 3 ชั้น<br />

ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวประกอบด้วย 3 มุข มุขกลางยื่นเป็นเก็จ<br />

ออกมาเล็กน้อยเพื่อเน้นทางเข้า มุขริม 2 ข้างปลายมนโค้งเชื่อมต่อ<br />

ทั้ง 3 มุขด้วยอาคารสี่เหลี่ยมยาว การแบ่งพื้นที่ภายในจัดเป็นห้อง<br />

สี่เหลี่ยมผืนผ้าเรียงต่อเป็นแถว 11 ห้อง รวมห้องหัวท้ายข้างละห้อง<br />

เป็นทั้งหมด 13 ห้อง มีทางเดินเชื่อมอยู่ด้านหลังส่งไปที่บันไดที่มี<br />

270 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผังพื้นอาคารชุดพาณิชย์และพักอาศัยถนนราชดำเนินกลาง<br />

รูปด้านหน้าอาคารชุดพาณิชย์และพักอาศัยถนนราชดำเนินกลาง<br />

อยู่เป็นระยะเพื่อการขึ้นลงทางดิ่ง ในปล่องรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัสถัดจาก<br />

ทางเดินไปด้านหลัง จากลักษณะภายนอกเรายังเห็นภาพอาคาร<br />

แบบ 3 มุขคือ มุขกลางขนาบด้วยมุขริม 2 ข้าง มุขกลางเป็น<br />

รูปกรอบสี่เหลี่ยมแบ่ง 3 ส่วนแบบประตูชัยประยุกต์ที่ผนังตรงกลาง<br />

ร่นเข้าไปแบ่งเป็น 4 ส่วนด้วยเสาครีบ 3 ต้น ขณะที่ริม 2 ข้าง<br />

ผนังยื่นออกเหมือนป้อมขนาบ มุขปลายเป็นป้อมโค้ง ผนังเชื่อมมุข<br />

ทั้ง 3 เป็นผนังเรียบไม่มีเสาอิงฉาบปูนสลัดให้ดูหยาบและหนักด้วย<br />

การตีเส้นปูนฉาบเป็นกรอบสี่เหลี่ยมใหญ่เลียนแบบหินก่อ<br />

ช่องหน้าต่างด้านหน้าเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าตามนอนและไม่เต็มช่วง<br />

โครงสร้าง จึงยังดูเป็นอาคารทึบมากกว่าโปร่งในแบบอาคารรุ่นเก่า<br />

ขณะที่ผนังโค้งของมุขริมแบ่งเป็น 6 ส่วนด้วยเสาครีบ 7 ต้น ช่อง<br />

หน้าต่างสี่เหลี่ยมเต็มช่วงเสา เน้นเพิ่มด้วยกระบังคอนกรีตยื่นเป็น<br />

แนวทุกชั้น โครงสร้างเป็นคอนกรีตเสริมเหล็กหลังคามีพนักบังหลัง<br />

คาจริงที่เป็นจั่วเพื่อให้ดูเป็นอาคารหลังคาตัดแบบที่สร้างในยุโรป<br />

โดยภาพรวมแล้วอาคารชุดนี้ยังคงภาพสมมาตรและไวยกรณ์<br />

แบบคลาสสิคที่มุขหน้าแต่ด้วยภาพที่เรียบเหมือนกล่องและมุขริมที่โค้ง<br />

เราจึงเห็นรูปแบบผสมระหว่างคลาสสิคที่เรียบเกลี ้ยงและ<br />

แบบอาร์ตเด็คโค นอกจากอาคารชุดมาตรฐานนี้แล้วยังมีอาคารใน<br />

กลุ่มที่น่าสนใจอีก 2 อาคารที่จะกล่าวต่อไป<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

271


อาคารไทยนิยมผ่านฟ้า (1937-1940)<br />

อาคารไทยนิยมผ่านฟ้า ตั้งอยู่บนหัวมุมถนนราชด ำเนินกลาง<br />

ใกล้สะพานผ่านฟ้าลีลาศ เมื่อแรกสร้างเป็นที่ตั้งของห้าง<br />

สรรพสินค้าชื่อ “ห้างนิยมไทย” ที่ใหญ่โตหรูหรา มีชื่อต้องตาม<br />

รัฐนิยมฉบับที่5 84 ให้ชาวไทยใช้ของไทยซื้อของไทย แต่ชั้นบนของ<br />

อาคารเป็นห้องชุดพักอาศัย ผังอาคารเป็นรูปตัว V ตัดมุมแล้ว<br />

มนปลายเนื่องจากตั้งที่ทางแยกหัวมุมถนน 2 สายพอดี ทางเข้า<br />

อาคารอยู่ที่ด้านตัดมุมนี้ภายในเป็นโถงใหญ่ที่ตั้งบันไดเวียนรูปโค้ง<br />

เป็นวงกลมที่ดูสง่าด้วยขนาดและความโล่งโถงที่สูงขึ้นไปจนถึงช่องแสง<br />

ของหลังคายอดบนสุดที่ชั้นที่6 ส่วนที่เป็นที่พักอาศัยคือส่วนปีกทั้ง<br />

2 ข้างของผังรูปตัว V ห้องพักมีผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมเรียงกันเป็นแถวมี<br />

ระเบียงทางเดินด้านหน้าไปสู่บันไดรองปลายตึกที่ใช้เฉพาะของส่วนนี้<br />

272 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


รูปด้านอาคารไทยนิยม ผ่านฟ้า<br />

แยกจากบันไดใหญ่ของห้างที่ลูกค้าทั่วไปใช้ ลักษณะภายนอกเป็น<br />

อาคารคอนกรีตทรงกล่องสี่เหลี่ยมส่วนปีกสูง 5 ชั้น ยอดกลางสูง<br />

6 ชั้น จุดเด่นอยู่ที่ป้อมสี่เหลี่ยมตัดมุมของมุขทางเข้าด้านหน้าที่<br />

เจาะช่องหน้าต่างเป็นชุดรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าซ้อนขึ้นไปทางตั้งสูง6 ชั้น<br />

บนยอดหลังคามีช่องแสงทรงกระบอกทำด้วยโลหะ มีเกล็ดระบาย<br />

อากาศพันรอบเป็นชั้น ๆ เหมือนปล่องโรงงานอุตสาหกรรม<br />

ส่วนปีกอาคารแบ่งเป็น 4 ส่วนด้วยเสาครีบ 3 ต้น เจาะหน้าต่าง<br />

ผังพื้นอาคารไทยนิยม ผ่านฟ้า<br />

เต็มช่วงเสาในไวยกรณ์เดียวกับปีกตึกไปรษณีย์กลางบางรัก<br />

ตัดกับช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมของปล่องบันไดรองที่ขนาบปีกตึกที่มี<br />

ลักษณะเล็กทึบ ผิวอาคารฉาบปูนสลัดตีเส้นเป็นช่องสี่เหลี่ยมใหญ่<br />

เลียนแบบหินก่อ โดยภาพรวมแล้วเป็นอาคารที่แตกต่างจากอาคาร<br />

มาตรฐานของอาคารริมถนนราชดำเนินกลางโดยเฉพาะมุขทางเข้า<br />

ด้านหน้าแบบอาร์ตเด็คโคที่ดูสะดุดตาและมีความเฉพาะตัวของมันเอง<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

273


ซ้าย โรงแรมรัตนโกสินทร์ (1942-1943)<br />

ขวา ผังพื้นโรงแรมรัตนโกสินทร์<br />

โรงแรมรัตนโกสินทร์ ตั้งอยู่ปลายถนนราชดำเนินกลางตรง<br />

ข้ามสะพานผ่านพิภพลีลา ออกแบบโดยนายจิตรเสน อภัยวงศ์<br />

ก่อสร้างระหว่าง ค.ศ. 1942-1943 เป็นอาคารริมถนน<br />

ราชดำเนินกลางหลังสุดท้ายที่สร้างเสร็จในช่วงสงครามโลกครั้งที่2<br />

เป็นอาคารคอนกรีต 4 ชั้นผังรูปตัว L มีมุขกลางเยื้องไปทางขวา<br />

เป็นทางเข้าของอาคารที่ตั้งใจทำให้เด่น เพื่อรับกับหัวโค้งของถนน<br />

ต่อจากทางเข้าเป็นโถงกลางที่มีบันไดใหญ่รูปโค้งตั้งที่ปลายโถง<br />

จากมุขกลางต่อไปเป็นปีกอาคาร 2 ข้างที่ยาวไม่เท่ากัน ปีกซ้ายที่<br />

ยาวกว่าชั้นล่างเป็นไนท์คลับ ส่วนปีกขวาเป็นห้องจัดเลี้ยง ชั้นบน<br />

อีก 3 ชั้นเป็นห้องพัก 45 ห้องที่ตกแต่งไว้อย่างวิจิตรให้เป็นโรงแรม<br />

ระดับดีเลิศ ลักษณะภายนอกเป็นอาคารทรงกล่องสี่เหลี่ยมจุดเด่น<br />

คือ มุขกลางที่เหมือนป้อมใช้ไวยกรณ์ประตูชัยประยุกต์ ที่มีเสา<br />

และทับหลังขนาดใหญ่ล้อมเป็นกรอบทึบตัดกับพื้นที่โปร่งตรงกลาง<br />

ที่เป็นช่องหน้าต่างสูง 3 ชั้นแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยเสาครีบ 2 ต้น<br />

ในลักษณะเดียวกับมุขหน้าของที่ทำการไปรษณีย์กลางบางรักและ<br />

ตึกคณะเภสัชศาสตร์เดิมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยผนังของปีก 2 ข้าง<br />

เป็นห้องพักมีระเบียงยื่น ออกแบบให้เป็นจังหวะสลับกันระหว่าง<br />

ระเบียงเรียบและระเบียงที่คั่นด้วยเสาครีบ 3 แถว ผิวผนังก่ออิฐฉาบ<br />

ปูนสลัดเน้นผิวหยาบและหนัก โดยการตีเส้นปูนฉาบเป็นช่อง<br />

สี่เหลี่ยมใหญ่เหมือนกรุด้วนหินตัด โดยภาพรวมแล้วเป็นอาคารที่<br />

มีจุดเด่นที่มุขหน้าทางเข้า ในขณะที่ส่วนปีกหน้าต่างแบบสี่เหลี่ยม<br />

ทางนอนดูยังไม่กลมเกลียวกับชุดเสาครีบ 3 ต้นทางตั้งเท่าไรนัก<br />

เป็นการใช้ไวยกรณ์ที่ผ่อนคลายแบบอาร์ตเด็คโคมาผสมร่วมกับ<br />

ไวยกรณ์คลาสสิคเรียบเกลี้ยงที่เคร่งขรึมแบบอาคารไปรษณีย์กลาง<br />

บางรัก แต่ผลที่ออกมาไม่ดีเท่าตึกไทยนิยมที่อยู่อีกปลายหนึ่งของถนน<br />

กระทรวงยุติธรรมและศาลยุติธรรม สร้างขึ้นในโอกาสที่<br />

ประเทศสยามได้รับเอกราชในทางศาลคืนมาโดยสมบูรณ์ในค.ศ. 1938<br />

ประกอบกับอาคารเก่าชำรุดทรุดโทรมและสถานที่ท ำการของศาลเล็ก<br />

และคับแคบไม่พอแก่ความต้องการ 85 เมื่อศาลส่งโครงการไปให้<br />

274 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ศาลอาญากรุงเทพฯ (1941)<br />

ล่าง สถาปัตยกรรมแบบคลาสสิคเรียบเกลี้ยงของ<br />

มหาวิทยาลัยแห่งโรม (1932-1935) โดย ปิอาเซนตินี<br />

รัฐบาลอนุมัตินั้นจอมพล ป. พิบูลสงครามได้ให้ค ำสั่งมาว่าแนวอาคาร<br />

ศาลใหม่นี้ต้องให้ได้แนวกับกระทรวงกลาโหม 86 แต่ในทางปฏิบัติมิอาจ<br />

กระทำเช่นนั้นได้เพราะแนวอาคารใหม่จะพุ่งตัดเข้ามาในถนน<br />

ราชดำเนินใน จึงตีความให้อาคารใหม่เว้นระยะห่างจากแนวถนนเท่าๆ<br />

กับที่กระทรวงกลาโหมทำ สถาปนิกคือพระสาโรชรัตนนิมมานก์87<br />

แห่งกรมศิลปากร ออกแบบใน ค.ศ. 1939-1940 และลงมือก่อสร้าง<br />

ใน ค.ศ. 1940-1941 โดยให้ตึกมีผังเป็นรูปตัวU 88 ตั้งอยู่ด้านทิศเหนือ<br />

ใกล้อนุสาวรีย์พระนางธรณีเป็นที่ตั้งของกระทรวงยุติธรรม<br />

ด้านประธานเป็นส่วนบริหารและธุรการยาว50 เมตร ปีกด้านถนนราชินี<br />

เป็นพื้นที่ของงานคดียาว 60 เมตร ปีกด้านถนนราชดำเนินในเป็น<br />

ที่ทำการชั่วคราวของศาลฎีกายาว 60 เมตรเช่นกัน ลักษณะของ<br />

อาคารในช่วงแรกนี้เป็นทรงสี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยงผนังด้านปีกเจาะ<br />

ช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมผืนผ้าทางตั้งจัดระยะห่างช่องเว้นช่อง<br />

ด้านประธาน (หลังอนุสาวรีย์พระแม่ธรณี) ตรงกลางทำเป็นประตู<br />

ทางเข้าใหญ่ยกระดับสูงจากพื้นดินมีบันไดหน้าขนาดใหญ่ทอดลงมา<br />

ตัวประตูประดับเสารายหน้าตัดสี่เหลี่ยมลอยตัวสูงชะลูด 6 ต้น<br />

7 ช่วงเสา ตัดกับผนังริม 2 ข้างที่เป็นช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ<br />

เหมือนหน้าต่างผนังด้านปีกทั้ง 2 เน้นผิวผนังโดยการฉาบปูนล้าง<br />

ตีเส้น 89 เป็นช่องสี่เหลี่ยมใหญ่เลียนแบบการก่อด้วยหินตัด<br />

ใน ค.ศ. 1941 ได้ทำการก่อสร้างตอนที่ 2 สำหรับที่ทำการศาล<br />

อุทธรณ์และศาลอาญาที่บริเวณถนนราชินีต่อจากตึกแรก ออกแบบ<br />

โดย พระสาโรชน์รัตนนิมมานก์ ตึกส่วนนี้ยาว 157 เมตร แบ่งเป็น<br />

3 ส่วน คือ มุขกลางและปีก 2 ข้างที่ต่อจากตึกแรกเป็นแนวเดียวกัน<br />

ปีกทั้ง 2 ข้าง เป็นอาคาร 3 ชั้น สร้างในแบบสี่เหลี่ยมเรียบ ๆ<br />

เหมือนตึกแรก แต่ที่มุขกลางทำเป็นตึก 4 ชั้น มีทางเดินเข้าตรง<br />

กลางขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนชั้นที่ 2 จึงมีบันไดขึ้นจากชั้นล่าง 2 ข้าง<br />

ไปสู่ประตูใหญ่ที่ประกอบด้วยแนวเสากลมลอยตัวสูงชะลูดจ ำนวน 8 ต้น<br />

9 ช่วงเสา ผิวผนังฉาบปูนตีเส้นเป็นช่องสี่เหลี่ยมใหญ่เลียนแบบ<br />

หินก่อ เมื่ออาคารสร้างเสร็จใน ค.ศ. 1943 เราจึงเห็นตึกชุดนี้<br />

ที่ประกอบด้วยกระทรวงยุติธรรมทางด้านทิศเหนือและตึกศาลอุทธรณ์<br />

และศาลอาญาทางด้านถนนราชินี มีลักษณะแบบเดียวกับ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

275


แบบร่างศาลฎีกา (1941)<br />

สถาปัตยกรรมคลาสสิคเรียบเกลี้ยงของสถาปนิกมาร์เซลโล<br />

ปิอาเซนตินี(Marcello Piacentini) สถาปนิกชาวอิตาเลียน ตัวอย่าง<br />

เช่น มหาวิทยาลัยแห่งโรม (Citta Universitaria, Rome) ค.ศ.<br />

1932-1935 โดยเฉพาะเรื ่องการใช้ไวยกรณ์แบบคลาสสิค<br />

เรียบเกลี้ยง ที่ปรากฏผ่านรูปทรง ขนาด สัดส่วน การใช้เสาลอยตัว<br />

แบบวิหารกรีก-โรมันเพื่อเน้นทางเข้าและการเจาะช่องหน้าต่าง<br />

แบบช่องเว้นช่อง เป็นต้น ความจริงพระสาโรชรัตนนิมมานก์เคยเห็น<br />

ผลงานของปิอาเซนตินีที่ได้สมญาว่าหัวหน้าสถาปนิกฟาสซิสต์<br />

แห่งอิตาลีมาแล้วตั้งแต่เขาไปคุมงานก่อสร้างศาลาไทยที่กรุงปารีส<br />

ใน ค.ศ. 1937 และได้กลับมาเขียนวิพากษ์วิจารณ์ลงในวารสาร<br />

ศิลปากรอย่างไม่ได้ชื่นชมอะไรนัก แต่กระแสชาตินิยมและลัทธิทหาร<br />

ของไทยและสากลในช่วง ค.ศ. 1939-1944 ท่วมท้นไปทั่ว ส่งผลให้<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์หันเหเข้ามาสู่แนวทางนี้อย่างชัดเจนตั้งแต่<br />

ค.ศ. 1937 ที่เขาได้ร่วมทำงานกับประติมากรคอร์ราโด เฟโรชี<br />

ออกแบบที่ทำการรัฐบาลหลายแห่งที่กล่าวมาแล้ว อย่างไรก็ตาม<br />

โครงการกระทรวงยุติธรรมและศาลยุติธรรมนี้ยังไม่เสร็จสมบูรณ์<br />

ยังเหลือการก่อสร้างช่วงสุดท้ายคือการต่อปีกตึกประธานมายัง<br />

รัฐสภาไดเอท (1920-1936)<br />

แนวถนนราชดำเนินใน เพื่อสร้างที่ทำการของศาลฎีกา 90 และ<br />

พระสาโรชน์รัตนนิมมานก์ได้ร่างแบบไว้แล้ว เราจะเห็นตอนกลาง<br />

ของตึกศาลฎีกาใหม่นี้มีมุขโถงด้านหน้าเน้นด้วยเสาลอยตัว<br />

กลางตึกเป็นหอสูงครอบหลังคาโดม น่าจะได้ความคิดมาจากศาลสถิต<br />

ยุติธรรมเดิมในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่หอคอยสูงถึง 50 เมตร แต่ต้อง<br />

ถูกรื้อลงเพราะกำแพงแตกร้าวเป็นอันตรายต่อโครงสร้างหลังจาก<br />

สร้างเสร็จไม่นาน การรื้อฟื้นให้มีหอสูงรับหลังคาโดมจึงไม่ใช่เรื่องแปลก<br />

แต่ที่น่าสนใจคือแบบหอคอยรับโดมของพระสาโรชรัตนนิมมานก์<br />

นั้น มีช่องหน้าต่างใหญ่ยื่นออกมาจากผนังหอคอยแบ่งเป็นช่อง ๆ<br />

ด้วยเสาลอยตัว 4 ต้น เหมือนหอคอยรัฐสภาไดเอท (Diet) ของญี่ปุ่น<br />

ไม่ผิดเพี้ยน ต่างกันตรงที่หลังคาโดมของพระสาโรชรัตนนิมมานก์<br />

เป็นโดมโค้งแต่หลังคารัฐสภาไดเอทเป็นพีระมิดขั้นบันได<br />

จึงอาจกล่าวได้ว่า ในช่วงประมาณ ค.ศ. 1941 นั้นสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่จากตะวันตกไม่ได้ผูกขาดเป็นแหล่งสร้างแรงบันดาลใจ<br />

ให้กับสถาปนิกไทยเพียงแหล่งเดียวอีกต่อไปแล้ว สถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่จากญี่ปุ่นก็เริ่มมีบทบาทนั้นด้วยเช่นกัน สอดคล้องกับการ<br />

ดำเนินการทางการเมือง การทหาร และวัฒนธรรมของญี่ปุ่นที่<br />

276 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


จะครอบงำไปทั่วเอเชียตะวันออกตามนโยบาย “ร่วมวงไพบูลย์แห่ง<br />

มหาเอเชียบูรพา” ของพวกเขา อย่างไรก็ตามสำหรับโครงการ<br />

สร้างกระทรวงยุติธรรมและศาลยุติธรรมที่เหลือนั้น รัฐบาลได้ระงับ<br />

ไว้ในปีงบประมาณประจำปี ค.ศ. 1942 เพราะต้องการย้ายเมืองหลวง<br />

ไปที่จังหวัดเพชรบูรณ์91 โครงการจึงไม่ได้สร้างเสร็จสมบูรณ์อย่าง<br />

น่าเสียดาย<br />

สถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่สมัยรัชกาลที่ 8<br />

หลวงวิจิตรวาทการ (1898-1962)<br />

แม้ในช่วงทศวรรษ 1930-1940 จะมีการระดมสร้างอาคาร<br />

แบบสมัยใหม่ทรงกล่องสี่เหลี่ยมคอนกรีตอย่างมากมายที่เรียกกัน<br />

ในยุคนั้นว่า อาคารแบบทันสมัยบ้างแบบสมัยใหม่บ้าง แต่นั่นก็ไม่ได้<br />

หมายความว่ารัฐบาลคณะราษฎรปฏิเสธงานสถาปัตยกรรมไทย<br />

ในทางกลับกันหลวงวิจิตรวาทการในสมัยที่เป็นอธิบดีกรมศิลปากร<br />

เคยกล่าวไว้เองว่า งานประณีตศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมแม้จะ<br />

เป็นแบบใหม่ก็ต้องพยายามให้มีลักษณะของชาติไทยผสมอยู่เสมอ<br />

เพื่อสร้างให้เกิดความรักชาติในหมู่พลเมือง<br />

92 อย่างที่พม่าและญี่ปุ่นท ำ<br />

สำเร็จมาแล้ว สถาปัตยกรรมลักษณะนี้ได้แก่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท<br />

และตึกในจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยบางหลัง ซึ่งหลวงวิจิตรวาทการ<br />

เห็นว่าเป็นงานที่ประสบความสำเร็จเหมือนกันและควรที่จะต้อง<br />

ค้นคว้าต่อไปให้ดีขึ้น โดยสืบค้นแบบแผนสถาปัตยกรรมโบราณ<br />

ที่เหมาะสมมาปรับปรุงใช้ใหม่ให้เหมาะกับความต้องการปัจจุบัน 93<br />

รวมถึงการซ่อมแซมแหล่งโบราณสถานให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว<br />

ซึ่งโดยสาระแล้วไม่ได้มีอะไรใหม่กว่าพระราชดำริของพระบาท<br />

สมเด็จพระมงกุฏเกล้าอยู่หัวรัชกาลที่ 6 ที่ทรงมีมาก่อน 20 ปี<br />

แต่หลวงวิจิตรวาทการไปไกลกว่านั้นถึงขั้นเสนอให้ฟื้นฟูศิลปกรรม<br />

ของชาติประเภทที่สามารถนำมาขายให้ประชาชนทั้งในและ<br />

ต่างประเทศมาซื้อไปใช้ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่สถาปัตยกรรม<br />

แบบไทยจะได้รับการฟื้นฟูขึ้นมาอีกในยุคของคณะราษฎรที่จอมพล<br />

ป. พิบูลสงครามเป็นใหญ่ เขาได้แถลงนโยบายรัฐบาลต่อสภา<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

277


ผู้แทนราษฎรไว้ว่า “...รัฐบาลจะรักษาและส่งเสริมศิลปกรรมไทย<br />

เพื่อเชิดชูเกียรติและรักษาวัฒนธรรมของชาติ จะใช้ศิลปกรรมเป็น<br />

อุปกรณ์การอบรมประชาชนทั้งในทางความรู้และคุณภาพทางใจ...” 94<br />

นอกจากนี้ยังกล่าวว่า “...ในทางศาสนาจะปรับปรุงพระราชบัญญัติ<br />

ลักษณะปกครองคณะสงฆ์ให้สมกาลสมัย และจะอุปถัมภ์การศาสนา<br />

ตามความประสงค์แห่งรัฐธรรมนูญ...” 95 ในทางปฏิบัติผู้ที่จะสนอง<br />

นโยบายรัฐบาลได้คือบรรดาสถาปนิกที่ทำงานสถาปัตยกรรมไทย<br />

คอนกรีตมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 7 คนสำคัญ ได้แก่ พระพรหม<br />

พิจิตรแห่งกรมศิลปากรที่ได้มาร่วมมือกับพระสาโรชรัตนนิมมานก์<br />

สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก ซึ่งทั้งสอง<br />

จะได้ร่วมมือกันสร้างสถาปัตยกรรมแบบไทยสมัยใหม่ขึ้น ในยุค<br />

ชาตินิยมเชื้อชาติไทยภายใต้การชี้นำของท่านผู้นำในที่เริ่มตั ้งแต่<br />

ค.ศ. 1938<br />

ผลงาน<br />

ศาลาสยามในงานแสดงนิทรรศการนานาชาติ กรุงปารีส 1937<br />

ศาลาสยามในงานแสดงนิทรรศการนานาชาติว่าด้วยศิลปะ<br />

และเทคนิคสมัยใหม่แห่งกรุงปารีส ค.ศ. 1937 (Exposition<br />

Internationale des Art et Techniques dans la via Moderne<br />

Paris 1937) หลังจากออกแบบหอระฆังวัดยานนาวาในแบบไทย<br />

สมัยใหม่ใน ค.ศ. 1934 แล้ว พระพรหมพิจิตรได้รับมอบหมายจาก<br />

กรมศิลปากรให้ออกแบบศาลาสยามในงานแสดงนิทรรศการ<br />

นานาชาติว่าด้วยศิลปะและเทคนิคสมัยใหม่ที่กรุงปารีสในค.ศ. 1937<br />

ในงานนี้พระพรหมพิจิตรปรับรูปแบบกลับไปใช้แบบ “ราชการ”<br />

นั่นคือแบบโบราณแท้ ๆ โดยจำลองพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์<br />

ที่พระราชวังบางปะอินมาเป็นต้นแบบ แล้วออกแบบใหม่เป็นอาคาร<br />

ไม้ทรงจตุรมุขยอดปราสาท ตั้งอยู่บนฐานยกสูงที่ภายในเป็นห้อง<br />

จัดแสดงงานศิลปะไทยโบราณ ออกแบบโดยหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม<br />

กฤดากร 96 ตัวศาลาสร้างเสร็จในลักษณะที่เป็นชิ้นส่วนที่ถอดประกอบ<br />

ได้จากกรุงเทพฯ แล้วส่งลงเรือไปประกอบขึ้นใหม่ที่กรุงปารีส<br />

278 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />

(1939)<br />

วิธีการออกแบบศาลาสยามในลักษณะที่ใช้สถาปัตยกรรมโบราณ<br />

เป็นตัวแทนสถาปัตยกรรมไทยนั้น สยามได้ทำมาแล้วโดยตลอดตั้งแต่<br />

สมัยรัชกาลที่ 4 ในงานนิทรรศการโลกครั้งที่ 4 (World Expo 4)<br />

ที่กรุงปารีสใน ค.ศ. 1867 97 และไม่เคยเปลี่ยนแนวเลยในการใช้<br />

สถาปัตยกรรมไทยโบราณเป็นตัวแทนให้คนต่างชาติรู้จักศิลปะ<br />

ของสยาม โดยไม่เฉลียวใจเลยว่า 70 ปีที่ผ่านไปนั้น ขณะนี้โลก<br />

ได้เปลี่ยนเข้าสู่ยุคใหม่แล้วจริงๆ ประเทศที่ต้องการแสดงตนว่า<br />

รู้กาลสมัยของโลกอย่างเช่นญี่ปุ่นก็ยังเปลี่ยนโฉมศาลาของตนเป็น<br />

แบบสมัยใหม่<br />

หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระพรหมพิจิตรร่วม<br />

กับพระสาโรชรัตนนิมมานก์ออกแบบหอประชุมมหาวิทยาลัยแห่งแรก<br />

ของประเทศไทยใน ค.ศ. 1939 ด้วยวิธีออกแบบที่อาจดูแปลก<br />

สำหรับคนยุคปัจจุบัน กล่าวคือ พระสาโรชรัตนนิมมานก์ในฐานะ<br />

สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญสถาปัตยกรรมสากลรับหน้าที่วางผัง<br />

ซึ่งต้องการความรู้ด้านระบบเสียงและการเลือกใช้โครงสร้างสำหรับ<br />

อาคารที่ต้องการการพาดช่วงที่กว้างแบบนี้ ส่วนพระพรหมพิจิตร<br />

ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านสถาปัตยกรรมไทย เป็นผู้ออกแบบรูปทรง<br />

และหลังคาให้เป็นแบบไทยที่สวยงามกลมกลืนกับผังสมัยใหม่ได้<br />

แม้จะแยกกันรับผิดชอบหน้าที่คนละอย่าง แต่ทั้งสองก็สามารถ<br />

บูรณาการการออกแบบให้งานนี้สำเร็จอย่างกลมเกลียวได้ผังอาคาร<br />

เป็นรูปสี่เหลี่ยมแบ่งเป็น 3 ส่วน ส่วนหอประชุมอยู่ตรงกลางด้านหน้า<br />

และด้านหลังเป็นมุขโถงสำหรับทางเข้าออก รูปทรงของอาคาร<br />

มีลักษณะไทยผสมสมัยใหม่ ผนังของส่วนหอประชุมเป็นแบบสมัย<br />

ใหม่ที่เรียบเกลี้ยงไร้สิ่งประดับใด ๆ ตรงข้ามกับส่วนที่เป็นมุขหน้า<br />

และหลังซึ่งเป็นโถงสำหรับทางเข้าออก ทำเป็นมุขโถงประดับเสา<br />

นางเรียงเป็นแถวแบบงานไทยโบราณ จุดเด่นของอาคารอยู่ที่หลังคา<br />

ที่เป็นจั่วลดชั้น 3 ระดับของมุขหน้าประดับปั้นลมคอนกรีตหนาหนัก<br />

หลังคาถูกออกแบบให้ค่อย ๆ ลดขนาดจากส่วนคลุมหอประชุม<br />

ที่กว้างที่สุด ไล่ให้แคบเล็กลงที่มุขโถงและเล็กที่สุดที่มุขหน้า<br />

ซึ่งมีมุขประเจิดซ้อนอยู่อีกชั้นหนึ ่งที่กลายเป็นจุดเด่นที ่สุด<br />

โดยมีลักษณะเป็นซุ้มบันแถลงแบบสุโขทัยและเขมร ภายใน<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

279


280 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน เจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน (1941)<br />

ล่าง ผังบริเวณวัดพระศรีมหาธาตุบางเขน<br />

หน้าตรงข้าม<br />

แบบหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />

ประดับตราพระเกี้ยวคอนกรีตหล่อนูนสูงอันเป็นสัญลักษณ์ของ<br />

มหาวิทยาลัย โดยภาพรวมแล้วเป็นงานแสดงถึงอิทธิพลงานบูรณะ<br />

พระอุโบสถวัดราชาธิวาสราชวรวิหารของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรม<br />

พระยานริศรานุวัดติวงศ์ซึ่งเป็นพระอาจารย์ แต่ที่หอประชุม<br />

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นอาคารประโยชน์ใช้สอยสมัยใหม่<br />

ที่ต้องการอัตลักษณ์โบราณในเวลาเดียวกันความสามารถของสถาปนิก<br />

ทั้ง 2 ทำให้ความขัดแย้งของรูปทรงเก่ากับประโยชน์ใช้สอยใหม่<br />

ประสานกลมเกลียวไปด้วยกันได้ อาคารหลังนี้จึงเป็นตัวอย่างการ<br />

ออกแบบที่กลมกลืนความขัดแย้งของการออกแบบแนวสมัยใหม่<br />

และแนวอนุรักษ์นิยมในอาคารหลังเดียวกันได้ดี<br />

เจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน วัดนี้มีชื่อเดิมว่าวัด<br />

ประชาธิปไตยซึ่งสร้างเป็นอนุสรณ์แห่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />

ค.ศ. 1932 ของคณะราษฎร พระพรหมพิจิตรได้รับมอบหมายให้<br />

ออกแบบวัดนี ้ตามประสงค์ของรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

ใน ค.ศ. 1941 เปลี่ยนชื่อเป็นวัดพระศรีมหาธาตุเนื่องจากรัฐบาล<br />

ได้รับมอบพระบรมสารีริกธาตุจากประเทศอินเดียมาประดิษฐาน<br />

ลงในพระเจดีย์ พร้อมทั้งนำกิ่งพระศรีมหาโพธิ์มาปลูกลงในบริเวณวัด<br />

ความสำคัญทางสถาปัตยกรรมของวัดนี้อยู่ที่พระเจดีย์ทรงระฆัง<br />

องค์ใหญ่ที่ตั้งอยู่หน้าวัด ซึ่งเป็นเจดีย์คอนกรีตที่เรียบเกลี้ยง<br />

ไร้ลวดลาย แม้กระทั่งองค์ประกอบสถาปัตยกรรมทั้งหมดของเจดีย์<br />

ก็ถูกลดทอนและแปลงเป็นรูปทรงเรขาคณิตที่เกลี้ยงเกลา<br />

โดยเฉพาะส่วนของบัลลังก์และบัวกลุ่มถูกออกแบบคล้ายรูปทรง<br />

บาตรพระคว่ำซ้อนกันขึ้นไปรับปลียอดที่เป็นแท่งคอนกรีตเรียว<br />

แหลม ภายในองค์ระฆังเป็นโถงทรงโดมขนาดใหญ่ ตรงกลาง<br />

ประดิษฐานพระเจดีย์เล็กย่อส่วนที่จำลองจากพระเจดีย์องค์ใหญ่<br />

บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ผนังเจดีย์ทำเป็นช่องกรุบรรจุอัฐิบรรดา<br />

สมาชิกผู้นำคณะราษฎรผู้เปลี่ยนแปลงการปกครอง ค.ศ. 1932<br />

การนำเอาเจดีย์ใหญ่มาไว้หน้าวัดเป็นการประกาศอุดมการณ์อย่างหนึ่ง<br />

ที่ศาสนาพุทธกับลัทธิประชาธิปไตยมีร่วมกันนั่นคือความเสมอภาค<br />

และการปฏิเสธชนชั้น และการใช้ศิลปะแบบสมัยใหม่ที่ปฏิเสธ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

281


การตกแต่งเป็นการปฏิเสธลัทธิพราหมณ์ฮินดูที ่เป็นรากฐาน<br />

ของลัทธิสมมติเทวราช เมื่อพิจารณาในแง่นี้เจดีย์แบบไทยสมัยใหม่<br />

องค์นี้จึงเป็นพุทธสถานที่เป็นสัญลักษณ์และอนุสรณ์ของการ<br />

เปลี่ยนแปลงทางการเมืองครั้งสำคัญของไทย<br />

อนุสาวรีย์เพื่อการสร้างชาติใหม่ในทศวรรษ<br />

1930-1940 : ชาตินิยมเชื้อชาติไทย ประชาธิปไตย และ<br />

มหาอาณาจักรไทย<br />

โถงภายในเจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน<br />

ถ้าจะกล่าวว่าตั้งแต่คณะราษฎรทำการเปลี่ยนแปลงการ<br />

ปกครองใน ค.ศ. 1932 เรื่อยมาจนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2<br />

ใน ค.ศ. 1945 นั้น ประเทศไทยได้เข้าสู่ยุคแห่งการทำสงคราม<br />

แย่งชิงอำนาจควบคู่กับการสร้างชาติใหม่ตามอุดมการณ์และ<br />

ความทะเยอทะยานของบรรดาชนชั้นนำ ก็คงไม่ผิดไปจากข้อเท็จ<br />

จริงนัก และร่องรอยของประวัติศาสตร์เหล่านี้ได้ถูกจารึกไว้ด้วย<br />

บรรดาอนุสาวรีย์ที่พวกเขาสร้างขึ้นให้ประชาชนจดจำ สงคราม<br />

สร้างชาติเริ่มด้วยกรณีกบฏบวรเดชใน ค.ศ. 1933 เพื่อรักษาระบอบ<br />

ประชาธิปไตยซึ่งเกิดการรบปะทะและมีผู้เสียชีวิตทั้ง2 ฝ่ายไม่ใช่น้อย<br />

ทำให้รัฐบาลสร้างอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญขึ้นใน ค.ศ. 1936 จากนั้น<br />

เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามขึ้นด ำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปลาย<br />

ค.ศ. 1938 เขาก็เริ่มกำจัดเสี้ยนหนามศัตรูทางการเมืองโดยการ<br />

ตั้งศาลพิเศษพิพากษาลงโทษอย่างขุดรากถอนโคน ทั้งนี้เพื่อกรุยทาง<br />

ไปสู่แนวทางสร้างชาติไทยใหม่ที่มีวัฒนธรรมและเป็นอารยประเทศ<br />

ตามอุดมคติของเขาร่วมกับหลวงวิจิตรวาทการรัฐมนตรีคู่คิด<br />

ใน ค.ศ. 1938 นั้นเองสยามเป็นอิสระจากข้อผูกมัดทางกฎหมาย<br />

ที่สืบทอดมาจากสมัยจักรวรรดินิยมได้สิ้นสุดลง ด้วยความสามารถ<br />

ในการเจรจาต่อรองและการร่างกฎหมายตามข้อกำหนดจนครบ<br />

ถ้วนสมบูรณ์ ทั้งหมดนี้เป็นผลงานของรัฐบาลคณะราษฎรซึ่ง<br />

จอมพล ป. พิบูลสงครามพอใจอย่างยิ่ง และน่าจะเป็นการลั่นไก<br />

ความคิดในการสร้างมหาอาณาจักรไทยตามความเชื่อของจอมพล<br />

282 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ป. พิบูลสงครามและหลวงวิจิตรวาทการ ในการนี้หลวงวิจิตรวาท<br />

การได้นำเสนอโครงการสร้างอนุสสาวรีย์สนธิสัญญาของชาติ98<br />

ซึ่งต่อมาเรียกว่า “อนุสสาวรีย์ไทย” 99 เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองแต่<br />

ในที่สุดก็ล้มเลิกโครงการไปเพราะปัญหางบประมาณ แต่จอมพล<br />

ป. พิบูลสงครามกลับเดินหน้าสร้างรัฐไทยชาตินิยมเชื้อชาติไทย<br />

ต่อไปอย่างเข้มข้นด้วยการปลุกระดมประชาชนให้เปลี่ยนค่านิยม<br />

ในการดำเนินวิถีชีวิตด้วยนโยบายรัฐนิยม 12 ฉบับของเขา ร่วมกับ<br />

บทละครและบทเพลงรักชาติของหลวงวิจิตรวาทการ สิ่งเหล่านี้<br />

นำไปสู่สิ่งที่เรียกว่า “การปรับปรุงเส้นเขตต์แดน” อันเกิดจาก<br />

“ความอยุตติธรรมที่ฝรั่งเศสในสมัยก่อนได้กระทำไว้ต่อไทย”<br />

นั่นคือการทำสงครามขยายดินแดนเข้าไปในแคว้นลาวและเขมร<br />

ภายใต้การปกครองของฝรั่งเศส โดยได้รับการสนับสนุนอย่างท่วมท้น<br />

จากประชาชนไทยใน ค.ศ. 1941 ท่ามกลางบรรยาการของลัทธิชาตินิยม<br />

เชื้อชาติไทยเป็นใหญ่ใน ค.ศ. 1940 จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

ได้ทำพิธีเปิดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเพื่อรำลึกถึงการเปลี่ยนแปลง<br />

การปกครองเพื่อความเสมอภาค เสรีภาพ และภราดรภาพของ<br />

ประชาชนชาวไทยใน ค.ศ. 1932 ซึ่งในขณะนี้มันถูกกลบไปแล้วด้วย<br />

ลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทย และความต้องการเป็นมหาอาณาจักรไทย<br />

แต่จอมพล ป. พิบูลสงครามกลับไม่สามารถได้ชัยชนะอย่าง<br />

เบ็ดเสร็จเด็ดขาด ทำให้ญี่ปุ่นถือโอกาสเข้ามาเป็นผู้เจรจาไกล่เกลี่ย<br />

สงบศึก แต่แล้วก็เผยโฉมหน้าจักรวรรดินิยมใหม่ตัวจริงโดยการบุก<br />

เข้าประเทศไทยตลอดแนวชายฝั่งทะเลอ่าวไทยในปลาย ค.ศ.1941<br />

นั่นเอง จอมพล ป. พิบูลสงคราม ทำสนธิสัญญาเป็นพันธมิตรกับ<br />

ญี่ปุ ่นและ ประกาศสงครามกับสหรัฐอเมริกาและสหราชอาณาจักร<br />

ใน ค.ศ. 1942 และเข้าร่วมวงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพากับญี่ปุ่น<br />

ชัยชนะของกองทัพญี่ปุ่นทั่วเอเชียแปซิฟิกทำให้จอมพล ป. พิบูล<br />

สงครามฮึกเหิมถึงขั้นส่งกองทหารเข้ารัฐฉานของพม่าปะทะกับ<br />

กองทัพจีนและยึดพื้นที่ไว้ได้ ญี่ปุ่นรีบสมนาคุณไทยด้วยการยกดินแดน<br />

มณฑลทางเหนือของมาลายูและรัฐฉานให้ใน ค.ศ. 1943 เพื่อแลก<br />

กับความเป็นพันธมิตรเพียงชาติเดียวในดินแดนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้<br />

ถึงตอนนี้จอมพล ป. พิบูลสงครามก็มีความภาคภูมิใจใน<br />

ความสำเร็จมากเพียงพอที่จะเปิดอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิในค.ศ. 1942<br />

เพื่อฉลองชัยชนะแห่งความทะเยอทะยานของเขาตามชื่ออนุสาวรีย์<br />

บ่งบอก แต่โชคชะตากลับพลิกผันไปหมดเมื่อญี่ปุ่นหมดแรงรุกและ<br />

เริ่มแพ้ในทุกสมรภูมิในปีเดียวกันนั่นเอง ส่วนไทยก็เริ่มนโยบาย<br />

เพิกเฉยและตีสองหน้ากับญี่ปุ่นและรอวันพ่ายแพ้ของญี่ปุ่นที่<br />

ใกล้เข้ามาทุกขณะ จอมพล ป. พิบูลสงครามตัดช่องน้อยลาออก<br />

จากนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1944 ก่อนหน้ามหามิตรญี่ปุ่นของเขาจะ<br />

ยอมแพ้ต่อสัมพันธมิตรอย่างราบคาบใน ค.ศ. 1945 อนุสาวรีย์<br />

ที่สร้างขึ้นในช่วงเวลานี้จึงเป็นความทรงจำทั้งในเรื่องสร้างและ<br />

ปกป้องประชาธิปไตยที่เป็นอุดมคติของคณะราษฎร และการสร้าง<br />

ลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทยรวมทั้งความคิดทะเยอทะยานอยากเป็น<br />

มหาอาณาจักรไทยของจอมพล ป. พิบูลสงครามด้วยกำลังทหาร<br />

ที่เกือบพาประเทศชาติไปสู่ความล่มจมหายนะจากภัยสงคราม<br />

ในทางสถาปัตยกรรมอนุสาวรีย์เหล่านี้แสดงให้เห็นถึง<br />

อิทธิพลของศิลปะอาร์ตเด็คโคและศิลปะยุคลัทธิฟาสซิสต์ของอิตาลี<br />

ที่แฝงมาในรูปแบบของประติมากรรมรูปบุคคลโดยเฉพาะทหาร<br />

ในท่วงทำนองที ่มาจากรากเหง้าของศิลปะคลาสสิค (กรีก-โรมัน)<br />

ซึ่งเป็นรูปแบบสากลที่นิยมแพร่หลายทั่วโลกขณะเดียวกันก็แสดงถึง<br />

รูปแบบไทยสมัยใหม่ที่องค์ประกอบศิลปะ สถาปัตยกรรมต่าง ๆ<br />

ถูกแปลงโฉมให้เรียบง่ายจนเกือบจะละทิ้งแบบดั้งเดิมไปหมด<br />

มันจึงเป็นสถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าน่าสนใจในแง่การแสดงถึง<br />

อิทธิพลสากลของลัทธิชาตินิยมหลงเชื้อชาติที่มีต่อวงการศิลปะ<br />

สถาปัตยกรรมของไทยอย่างรุนแรงในช่วงเวลานั้น<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

283


ซ้าย อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (1936)<br />

ขวา ประติมากรรมชาวนาไทยประดับ<br />

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (1936)<br />

ผลงาน<br />

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ อนุสาวรีย์นี้สร้างเพื่อ<br />

เชิดชูเกียรติและรำลึกถึงคุณงามความดีของตำรวจ ทหารฝ่าย<br />

คณะราษฎรที่เสียชีวิตในการรบปะทะกับกองกำลังฝ่ายกบฏที่<br />

เรียกตนเองว่าคณะกู้บ้านกู้เมือง นำโดยพระองค์เจ้าบวรเดชใน<br />

ค.ศ. 1933 ออกแบบโดย หลวงนฤมิตรเลขการ 100 อาจารย์โรงเรียน<br />

นายร้อยทหารบก และกรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างแล้ว<br />

เสร็จใน ค.ศ. 1936 ชื่ออนุสาวรีย์ครั้งแรกสร้างคือ “อนุสาวรีย์ 17<br />

ทหารและตำรวจ” 101 ตามจำนวนผู้เสียชีวิตของกองกำลังฝ่าย<br />

รัฐบาล ต่อมามีชื่อเรียกอีกหลายชื่อจนได้ชื่ออย่างเป็นทางการ<br />

ในปัจจุบันว่า “อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” อนุสาวรีย์นี้มีขนาด<br />

ค่อนข้างเล็ก สร้างในลักษณะศิลปะผสมระหว่างอาร์ตเด็คโค<br />

และไทยสมัยใหม่โครงสร้างคอนกรีต อนุสาวรีย์ตั้งอยู่บนอัฒจรรย์<br />

5 ชั้น มีรูปร่างคล้ายปลียอดเจดีย์วางบนบัวกลุ่มตั้งอยู่บนฐาน<br />

สี่เหลี่ยม ชุดปลียอดและบัวกลุ่มเป็นทรง 8 เหลี่ยมปลายแหลม<br />

แบบงาเนียมที่หุ้มด้วยกลีบบัวทุกด้านหรืออาจดูเป็นรูปหัว<br />

ลูกปืนหุ้มด้วยกลีบบัวก็ได้เช่นกัน ยอดปลีประดับประติมากรรม<br />

พานแว่นฟ้า 2 ชั้น รับสมุดไทยอันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐธรรมนูญ<br />

นั่นเอง ผนังด้านหน้าของฐานอาคารมีประตูจารึกรายนามทหาร<br />

และตำรวจฝ่ายรัฐบาลที่เสียชีวิตในการปราบกบฏทั้ง 17 นาย<br />

ผนังด้านอื่น ๆ อีก 3 ด้านประดับประติมากรรมในลักษณะ<br />

ต่างๆ กัน เช่นด้านตะวันออกจารึกโคลงพระราชนิพนธ์สยามานุสติ<br />

ของรัชกาลที่ 6 ผนังด้านทิศใต้เป็นประติมากรรมนูนต่ำ<br />

รูปครอบครัวชาวนาไทย 3 คนพ่อแม่ลูก ผนังด้านทิศเหนือประดับ<br />

ประติมากรรมธรรมจักร โดยสัญลักษณ์เหล่านี้สื่อว่าประชาชน<br />

284 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ทหารตำรวจ สถาบันพระมหากษัตริย์ และศาสนาต่างอยู่ภายใต้<br />

รัฐธรรมนูญ ที่น่าสังเกตคือการใช้สัญลักษณ์ใหม่เช่นชาวนาไทย<br />

หรือสามัญชนเป็นตัวแทนของชาติ และโคลงสยามานุสติซึ่งแทน<br />

องค์พระมหากษัตริย์ก็เป็นเพียงส่วนประกอบหนึ่งของประเทศที่<br />

ต้องอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ดังที่ จอมพล ป. พิบูลสงครามกล่าวไว้ว่า<br />

“...เพื่อนุวรรตน์ตามรัฐธรรมนูญ พระมหากษัตริย์จึ่งทรงปฏิบัติ<br />

พระองค์ในทางอันเป็นพระคุณแก่ชาติ ทรงเว้นการปฏิบัติพระองค์<br />

ในทางอันเป็นพระเดช และทรงเว้นจากพระราชจริยาวัตรใด ๆ<br />

อันจะเป็นทางนำมาซึ่งความล่มจมของประเทศ...” 102 แต่ขณะ<br />

เดียวกันจอมพล ป. พิบูลสงครามก็มีความนิยมชมชอบเป็นพิเศษ<br />

ในโคลงสยามานุสติในแง่ความหมายเชิงชาตินิยมเชื้อชาติไทย<br />

ดังที่เขาระบุไว้ในเรื่องเกี่ยวกับการรักชาติของคนไทยและภัยของ<br />

คนจีนในการกลืนชาติไทย 103 ในแง่นี้จารึกนี้ก็เป็นการสืบทอด<br />

ลัทธิชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์เช่นเดียวกัน ประติมากรรม<br />

ประดับฐานของอนุสาวรีย์แห่งนี้จึงมีความหมายสองนัยซ้อนกันอยู่<br />

กล่าวคือทั้งเป็นปฏิปักษ์กับระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์และ<br />

ทั้งสืบทอดแนวคิดชาตินิยมเชื้อชาติไทยของระบอบนั้น การใช้<br />

ประติมากรรมรูปทรงสมุดไทยประดิษฐานบานบนพานแว่นฟ้า<br />

2 ชั้น เป็นสัญลักษณ์แทนระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย<br />

ซึ่งคณะราษฎรได้ริเริ่มมาแล้วพักหนึ่ง แต่ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่<br />

สร้างสัญลักษณ์นี้แบบสิ่งก่อสร้างถาวร นับเป็นเอกลักษณ์สำคัญ<br />

ในแนวคิดของคณะราษฎรที ่แทนค่าระบอบประชาธิปไตยด้วย<br />

เอกสารรัฐธรรมนูญที่เป็นรูปวัตถุ ทั้งที่สาระของระบอบ<br />

ประชาธิปไตยเป็นเรื่องของความคิดว่าด้วยเสรีภาพ เสมอภาค<br />

และภราดรภาพมากกว่าสมุดเล่มหนึ่งที่ไม่สามารถระบุสาระ<br />

ที่แน่นอนได้ การใช้สัญลักษณ์สมุดไทยบนพานแว่นฟ้านี้ผู้<br />

ออกแบบน่าจะได้แรงบันดาลใจจากภาพการพระราชทาน<br />

รัฐธรรมนูญในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1932 แล้วยึดถือต่อกัน<br />

เรื่อยมา นอกจากนี้ภาพแบบนี้ก็เหมือนกับการวางหนังสือ<br />

พระสูตรบนพานซึ่งพุทธศาสนิกชนชาวไทยเห็นได้ทั่วไปตามวัด<br />

จึงเป็นสัญลักษณ์ที่เข้าใจได้ง่ายสำหรับคนไทยว่ารัฐธรรมนูญเป็น<br />

พระสูตร พระคัมภีร์สำคัญศักดิ์สิทธิ์เล่มใหม่อันพึงเคารพสักการะ<br />

โดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจสาระอะไรเลยในหนังสือนั้น ดังเช่น<br />

พุทธศาสนิกชนไทยฟังการสวดมนต์ของพระสงฆ์ด้วยภาษาบาลี<br />

โดยไม่เข้าใจสาระอะไรเลยฉันนั้น<br />

โครงการอนุสาวรีย์ไทย เป็นโครงการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อ<br />

เป็นที่ระลึกและเฉลิมฉลองในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นอิสระหลุด<br />

พ้นจากข้อผูกมัดที่ไม่เป็นธรรมทางกฎหมาย ที่สยามทำไว้กับ<br />

จักรวรรดินิยมประเทศต่าง ๆ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 รัฐบาลคณะ<br />

ราษฎรสามารถเจรจาแก้ไขสัญญาและร่างกฎหมายที่จำเป็น<br />

ตามข้อผูกมัดจนสำเร็จ ประเทศไทยได้รับเอกราชทางการศาล<br />

อย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1938 ในการนี้รัฐบาลจัดให้มีการประกวด<br />

แบบโดยให้กรมศิลปากรเป็นผู้รับผิดชอบ 104 พิจารณาตัดสินแล้ว<br />

ส่งแบบให้คณะรัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งมีมติในวันที่ 5 มิถุนายน<br />

ค.ศ. 1939 ว่าให้เรียกอนุสาวรีย์นี้ว่า “อนุสสาวรีย์ไทย” และควรให้<br />

เป็นรูปกระโจมไฟ 105 ต่อมากรมศิลปากรได้ปรับแก้ไขแบบให้ดู<br />

ยิ่งใหญ่สมกับโอกาสที่พิเศษนี้เป็นรูปทรง “โลหะปราสาท” 106<br />

แต่ด้วยปัญหาทางงบประมาณทำให้โครงการนี้ถูกระงับไป<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

285


อนุสาวรีย์ไทยแบบ “กระโจมไฟ” เป็นการออกแบบ<br />

โครงการแรกโดยพระพรหมพิจิตรใน ค.ศ. 1939 ตามมติคณะ<br />

รัฐมนตรีให้เป็นรูป “กระโจมไฟ” ซึ่งความจริงเป็นประภาคาร<br />

ทรงไทย ลักษณะอาคารเป็นเสาสี่เหลี่ยมผังกากบาทสูงชะลูดบน<br />

เรือนธาตุสี่เหลี่ยมมีมุขทิศสี่ด้านที่ตั้งบนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุมไม้<br />

สิบสอง 3 ชั้นลดหลั่น ยอดสุดประดับซุ ้มไฟสี่เหลี่ยมหลังคาจตุรมุข<br />

มีเปลวไฟคอนกรีตประดับยอด พระพรหมพิจิตรร่างแบบเสนอถึง<br />

3 แบบในลักษณะเดียวกันแต่ต่างกันที่รายละเอียดปลีกย่อย<br />

ด้วยตั้งใจที่จะให้ตั้งไว้ที่ชายทะเลอำเภอปากน้ำ จังหวัด<br />

สมุทรปราการ 107 เพื่อที่จะให้เรือนานาชาติที่แล่นผ่านเห็นได้หมด<br />

และอาจมีนัยในการรำลึกถึงเหตุการปะทะกันทางเรือระหว่าง<br />

สยามกับฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1894 (ร.ศ. 112) ด้วยก็ได้ แต่แล้ว<br />

อนุสาวรีย์ตามแบบนี้ก็ถูกค้านตกไปโดยกรมอุทกศาสตร์ กองทัพ<br />

เรือว่า สถานที่ตั้งประภาคารไม่เหมาะสมและไม่มีประโยชน์ต่อ<br />

การเดินเรือ เพราะมีประภาคารเก่าอยู่แล้วถึง 5 แห่ง ถ้าขืนสร้างจริง<br />

ก็อาจถูกนักเดินเรือต่างชาติที่เห็นติเตียนเย้ยหยันว่าคนไทยไม่มี<br />

หลักวิชาในการเดินเรือ 108 ด้วยเหตุนี้หลวงวิจิตรวาทการ อธิบดี<br />

กรมศิลปากรจึงเปลี่ยนแบบใหม่เป็น “โลหะปราสาท”<br />

บน อนุสาวรีย์ไทยแบบกระโจมไฟ (1939)<br />

ล่าง อนุสาวรีย์ไทยแบบโลหะปราสาท (1939)<br />

286 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


อนุสาวรีย์ไทยแบบ “โลหะปราสาท” เป็นอนุสาวรีย์ไทยแบบที่2<br />

ที่พระพรหมพิจิตรร่างขึ้นตามแนวคิดของหลวงวิจิตรวาทการ 109<br />

อธิบดีกรมศิลปากรใน ค.ศ. 1939 เพื่อสร้างที่อำเภอปากน้ำ จังหวัด<br />

สมุทรปราการเช่นเดิม ลักษณะเป็นเจดีย์เหลี่ยมยอดปรางค์ตั้งบน<br />

ฐานหลายชั้นและล้อมด้วยระเบียงอีก ซึ่งคราวนี้หลวงวิจิตรวาท<br />

การต้องการสร้างให้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเมืองไทยและต้องการประโยชน์<br />

เชิงสัญลักษณ์ชาตินิยมเชื้อชาติไทยและเชิงเศรษฐกิจ 110<br />

ผังอนุสาวรีย์เป็นรูปสี่เหลี่ยมมีซุ้มทิศ 4 ด้าน ตั้งบนฐาน 8 เหลี่ยม<br />

3 ชั้น ประดับด้วยซุ้มทิศผังสี่เหลี่ยมทั้ง 4 มุม อาคารทั้งหมดรองรับ<br />

ด้วยฐานประทักษิณใหญ่และล้อมด้วยพระระเบียงอีกชั้นหนึ่ง<br />

ลักษณะอาคารเป็นเจดีย์แบบเรือนธาตุสี่เหลี่ยมมีซุ้มทิศ 4 ด้าน<br />

ประดับยอดปรางค์ทรงสูงแหลมคล้ายหัวกระสุนปืน ตั้งอยู่บนฐาน<br />

อาคารรูป 8 เหลี่ยมลดหลั่น 3 ชั้น มีซุ้มทิศสูง 2 ชั้น รูปทรงคล้ายตัว<br />

อนุสาวรีย์ย่อขนาดประดับ 4 มุม อาคารทั้งหมดตั้งอยู่บนฐาน<br />

ประทักษิณสี่เหลี่ยมและล้อมด้วยพระระเบียงอีกชั้นหนึ่งโดยภาพรวม<br />

แล้วดูเหมือนศาสนสถานโบราณที่มีรูปแบบผสมระหว่างเขมร<br />

สุโขทัย และอยุธยาที่สร้างอย่างใหญ่โตด้วยขนาดความกว้างของ<br />

ระเบียงยาวด้านละ 80 เมตร และตัวอนุสาวรีย์ที่สูงถึง 100 เมตร 111<br />

นอกจากนี้หลวงวิจิตรวาทการยังวางแผนให้อาคารมีประโยชน์<br />

ใช้สอยที่คุ้มค่ากล่าวคือ ให้พระระเบียงเป็นพิพิธภัณฑ์แสดงพืชผล<br />

และทรัพยากรของไทย ชั้นฐานประทักษิณใช้เป็นห้องโถงสำหรับ<br />

รับประทานอาหารและเต้นรำ ฐาน 8 เหลี่ยมชั้นแรกและชั้นที่ 2<br />

ทำเป็นโรงแรม และชั้นที่ 3 ทำเป็นห้องประชุม และเสนอให้เก็บ<br />

ค่าเข้าชมผู้เข้ามาในอาคาร 112 สิ่งที่หลวงวิจิตรวาทการกังวลใจมี<br />

ประการเดียวคือการเอาอาคารที่ดูคล้ายศาสนสถานนี้ท ำเป็นโรงแรม<br />

ซึ่งเขาก็เตรียมคำอธิบายไว้แล้ว 113 แต่สุดท้ายแล้วโครงการนี้ก็ล้ม<br />

ไปอีกด้วยราคาค่าก่อสร้างมากมายสำหรับขนาดมหึมาของมัน<br />

ที่น่าแปลกใจก็คือหลวงวิจิตรวาทการเจ้าของโครงการเป็นผู้ตัดสิน<br />

ใจล้มโครงการเสียเอง 114 โดยให้เหตุผลเพิ่มเติมว่ารัฐบาลได้สร้าง<br />

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย วัดพระศรีมหาธาตุ และอนุสาวรีย์<br />

ในแง่การออกแบบ “อนุสสาวรีย์ไทย” ไม่มีอะไรใหม่หรือ<br />

ำมาแล้วไม่ว่าจะเป็นหอระฆัง<br />

วัดยานนาวา หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย หรือแม้กระทั่ง<br />

เจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขนก็ตาม นอกจากขนาดอันใหญ่โต<br />

ตามความทะเยอทะยานที่ถูกผลักดันด้วยลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทย<br />

ของเจ้าของโครงการเท่านั้นเอง<br />

ผังพื้นอนุสาวรีย์ไทยแบบโลหะปราสาท<br />

น่าสนใจกว่างานที่พระพรหมพิจิตรเคยท<br />

ชัยสมรภูมิก็น่าจะเพียงพอแล้ว 115<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

287


อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่สุดของ<br />

คณะราษฎรในการรำลึกถึงการปฏิวัติ ค.ศ. 1932 สร้างขึ้นเพื่อเป็น<br />

เครื่องหมายแห่งระบอบประชาธิปไตยที่ประชาชน “...ได้รับสิทธิ<br />

เสรีภาพ สมภาพในส่วนตนและมีสิทธิมีเสียงในการปกครองบ้าน<br />

เมืองของไทยร่วมกับรัฐบาลและอย่างฉันท์ญาติพี่น้องกันด้วย...” 116<br />

สถาปัตยกรรมออกแบบโดย หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล<br />

ประติมากรรมออกแบบโดย คอร์ราโด เฟโรชี ก่อสร้างแล้วเสร็จทำ<br />

พิธีเปิดในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1940 อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย<br />

สร้างในลักษณะศิลปะผสมระหว่างอาร์ตเด็คโค ฟาสซิสต์และ<br />

ไทยประยุกต์ โครงสร้างคอนกรีตเรียบง่ายตั้งอยู่กลางจุดตัดระหว่าง<br />

ถนนราชดำเนินกลางกับถนนดินสอ จุดเด่นของอนุสาวรีย์คือ<br />

ประติมากรรมรูปสมุดไทยวางบนพานแว่นฟ้า 2 ชั้นอันเป็น<br />

สัญลักษณ์ของรัฐธรรมนูญ ตั้งอยู่บนยอดของป้อมทรงกระบอก<br />

หลังโค้งผนังหุ้มด้วยกาบ 6 แถบ แสดงถึงอิทธิพลของการออกแบบ<br />

เจดีย์ไทยโบราณที่องค์ระฆังหุ้มด้วยกลีบบัว ป้อมรับรัฐธรรมนูญ<br />

ล้อมรอบด้วยปีก 4 อัน หันเข้าหาป้อมในแนวทแยง ตัวปีกตั้งอยู่<br />

288 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ประติมากรรมประดับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (1939)<br />

ล่าง ประติมากรรมประดับสะพานปอนเตดูกาดากอสตา โรม<br />

(1938-1939)<br />

หน้าตรงข้าม<br />

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (1940)<br />

บนฐานสี่เหลี่ยมประดับประติมากรรมนูนสูงแบบคลาสสิคที่ฐาน<br />

จำนวน 8 แผ่น แต่มีเพียง 4 แบบเท่านั้น บอกเล่าเรื่องราวของ<br />

การปฏิวัติประชาธิปไตยในสยาม ด้านสกัดของฐานปีก<br />

มีประติมากรรมรูปครุฑคายนาคพ่นน้ ำลงมาที่บ่อรับน้ ำ เป็นการจำลอง<br />

รูปแบบมกรคายนาคในประติมากรรมโบราณของพุทธศาสนา<br />

ที่มีหน้าที่เฝ้าพระอุโบสถ ล้อกับอนุสาวรีย์ทหารในยุโรปที่มักมีสัตว์<br />

ปกป้องเช่นสิงโต ดังตัวอย่างเช่น อนุสาวรีย์นิวพอร์ท (Nieuport<br />

Memorial) (ค.ศ. 1928) ในเบลเยี่ยม เป็นต้น กล่าวได้ว่ารูปแบบ<br />

ของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้แนวทางมาจากอนุสาวรีย์พิทักษ์<br />

รัฐธรรมนูญ ทั้งในเรื่องขององค์ประกอบและประติมากรรม<br />

เพียงแต่ทำให้โอฬารตระการตามากขึ้นเท่านั้น โดยภาพรวมตัว<br />

อนุสาวรีย์ขาดความเด่นสง่าเพราะการใช้ป้อมรับรัฐธรรมนูญดูผิดเรื่อง<br />

และอยู่ผิดที่ ขณะที่ประติมากรรมรัฐธรรมนูญและพานแว่นฟ้าก็มี<br />

ขนาดเล็กเกินไป เมื่อเทียบกับปีกที่ล้อมทั้ง4 ด้าน ที่ความจริงดูก้ ำกึ่ง<br />

ระหว่างปีกนกกับคมมีดของดาบปลายปืนที่น่ากลัวมากกว่าประทับใจ<br />

ประติมากรรมประดับฐานรับปีกที่ออกแบบโดย คอร์ราโด เฟโรชี<br />

ก็มีขนาดเล็กเกินไปที่จะได้รับความสนใจจากผู้ชมที่อยู่บนทางเท้า<br />

เพราะตัวอนุสาวรีย์ตั้งอยู่บนวงเวียนกลางถนนที่มีขนาดกว้างมาก<br />

แต่อย่างไรก็ดีมันก็ยังเป็นงานศิลปะที่น่าชมที่สุดของอนุสาวรีย์แห่งนี้<br />

ประติมากรรม 4 แบบนี้ประกอบด้วยแผ่นแรกที่ว่าด้วยเรื่องราวการ<br />

วางแผนปฏิวัติของคณะผู้ก่อตั้ง “คณะราษฎร” แผ่นที่2 ว่าด้วยการ<br />

ปฏิวัติของทหารในวันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1932 แผ่นที่ 3<br />

ว่าด้วย “พลัง” ของชาวสยามในทุกสาขาอาชีพและอายุ ทั้งกรรมกร<br />

ชาวนา ผู้หญิง เด็ก และทหาร แผ่นที่ 4 ว่าด้วยหลัก 6 ประการ<br />

ของคณะราษฎรในรูปความยุติธรรม ความเสมอภาค การศึกษา<br />

เศรษฐกิจ และพุทธศาสนา มีหลักฐานว่าในตอนแรกนั้นคอร์ราโด<br />

เฟโรชี ได้ออกแบบประติมากรรมประดับฐานปีกไว้อย่างน้อย<br />

7 ด้านแต่มีอยู่ 3 ด้านที่ไม่ได้สร้างจริง 117 หนึ่งในประติมากรรมนั้น<br />

คือรูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน<br />

รัฐธรรมนูญในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1932 ไม่ผ่านการคัดเลือก<br />

ให้สร้างจริงซึ่งอาจเป็นเพราะเหตุขัดแย้งระหว่างคณะราษฎรกับ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

289


พระมหากษัตริย์ในเวลาต่อมาดังที่กล่าวแล้ว ประติมากรรมที่ผ่าน<br />

การคัดเลือกทั้ง 4 แผ่น ถูกขยายและหล่อด้วยคอนกรีตเป็นคู่<br />

เพื่อติดตั้งให้ครบทั้ง 8 ด้านของฐานปีกล้อมรัฐธรรมนูญ ลักษณะ<br />

ประติมากรรมเป็นแบบคลาสสิคในรูปกลุ่มคนก ำลังแสดงท่าทางต่าง ๆ<br />

ที่มีความตามที่กล่าว ลักษณะคล้ายคลึงกับประติมากรรมนูนสูง<br />

ศิลปะฟาสซิสต์ ประดับฐานสะพานปอนเตดูกา ดาออสต้า (Ponte<br />

Duca d’Aosta) 118 ที่นำไปสู่สระว่ายน้ำโฟโรอิตาลิโก (Foro Italico)<br />

สถานที่เล่นกีฬาขนาดใหญ่ที่เลียนแบบสระน้ำสมัยโรมันใน<br />

ยุคทศวรรษ 1930 ซึ่งเป็นแผนหนึ่งในการสร้างชาตินักกีฬาของ<br />

มุสโสลินีผู้นำจอมเผด็จการลัทธิฟาสซิสต์ของอิตาลีที่ต้องการสร้าง<br />

อาณาจักรโรมที่ 3 ที่ประกอบด้วยพลเมืองที่แข็งแรงและห้าวหาญ<br />

ในการสู้รบ ออกแบบโดย วิโก คอนซอร์ติ(Vico Consorti) 119 (1902-<br />

1979) ใน ค.ศ. 1938-1939 เป็นภาพเหตุการณ์สู้รบในสงครามโลก<br />

ครั้งที่ 1 ของกองทัพที่ 3 ของอิตาลีต่อต้านผู้รุกรานที่แนวแม่น้ำ<br />

ไอซอนโซ (Isonzo) ตากลิอาเมนโต (Tagliamento) ซิเล (Sile)<br />

และอาดิเก (Adige) ที่นำโดยเจ้าชายเอมานูเอเล ฟิลิเบอร์โต ดยุคที่2<br />

แห่งอาออสต้า (Emanuelle Filiberto the 2nd Duke of Aosta) 120<br />

ใน ค.ศ. 1926 เป็นนายทหารที่ได้รับการยกย่องในความกล้าหาญ<br />

และได้รับการแต่งตั้งเป็นจอมพลโดย มุสโสลินี โดยเฉพาะรูปทหาร<br />

ในประติมากรรมแผ่นที่ 2 ของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ปั้นโดย<br />

คอร์ราโด เฟโรชีเอง แต่สุดท้ายแล้วอนุสาวรีย์นี้ยังไม่มีพลัง<br />

พอเพียงในการสร้างความประทับใจ เพราะขนาดส่วนและองค์ประกอบ<br />

ที่ขาดเอกภาพและตรงไปตรงมามากเกินไป สาเหตุหลักน่าจะมาจาก<br />

แนวคิดในการออกแบบพานและรัฐธรรมนูญที่ได้กล่าวไปแล้วใน<br />

เรื่องอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ อีกประการหนึ่งก็คือบรรดา<br />

ตัวเลขทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับหลัก 6 ประการของคณะราษฎรและ<br />

วันที่ 24 มิถุนายน ค.ศ. 1932 ที่ถูกนำมาเป็นรหัสกำหนดขนาด<br />

ความสูงต่ำกว้างยาวขององค์ประกอบสถาปัตยกรรม 121<br />

อย่างงมงาย จนสถาปนิกและประติมากรไม่สามารถกำหนดขนาด<br />

ที่จะสร้างความงามที่แท้จริงได้ ซึ่งแสดงถึงอิทธิพลของการนับถือ<br />

เลขมงคลของคนไทยที่สืบต่อกันมาช้านานตั้งแต่สมัยสุโขทัย<br />

ที่ปรากฏในคัมภีร์โบราณ เช่น ไตรภูมิพระร่วง เป็นต้น ที่ทุก<br />

องคาพยพของจักรวาลเต็มไปด้วยจ ำนวนตัวเลขต่าง ๆ ที่กลายเป็นหลัก<br />

ในการกำหนดขนาดและจำนวนองค์ของประกอบทางศิลปะ<br />

สถาปัตยกรรมของพุทธศาสนสถานของไทย เมื่อพิจารณาในแง่นี้<br />

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นตัวอย่างที่ดีของความเชื่อโบราณของไทย<br />

ที่ฝังอยู่ในเปลือกนอกของศิลปะฟาสซิสต์-อาร์ตเด็คโคร่วมสมัยที่<br />

ถูกนำทางด้วยความเชื่อทางการเมืองสมัยใหม่ในลัทธิ<br />

ประชาธิปไตยที่ยังไม่เคยเกิดขึ้นจริงตั้งแต่วันปฏิวัติจนถึงวันที่เปิด<br />

อนุสาวรีย์<br />

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ หลังจากจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแล้ว นโยบายชาตินิยมของรัฐบาล<br />

ได้พัฒนาขึ้นอีกระดับหนึ่ง ไปสู่ขั้น “การขอปรับปรุงเส้นเขตแดน” 122<br />

กับฝรั่งเศส จอมพล ป. พิบูลสงครามมีความคิดเจ็บแค้นอยู่เสมอ<br />

ว่าไทยได้รับความอยุติธรรมและ “เสียดินแดน” 123 บางส่วนของ<br />

ประเทศกัมพูชา ลาว พม่า และมาเลเซียในปัจจุบันให้กับฝรั่งเศส<br />

และอังกฤษ ซึ่งต้องหาโอกาสทวงคืนมาให้ได้ ตามกระแสชาตินิยม<br />

ขับไล่จักรวรรดินิยมตะวันตกและสร้างพันธมิตร “ร่วมวงไพบูลย์<br />

แห่งมหาเอเชียบูรพา” ที่นำโดยญี่ปุ่นที่สามารถรบชนะมหาอำนาจ<br />

รัสเซียได้ตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นแบบอย่าง จอมพล<br />

ป. พิบูลสงครามเริ่มปลุกเร้าลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทยอย่างเป็น<br />

ระบบตั้งแต่ ค.ศ. 1939 ที่มุ่งเปลี่ยนแปลงทัศนคติในการดำเนิน<br />

ชีวิตประจำวันของคนไทยจากเรียบง่ายตามใจตนเองไปสู่ความ<br />

มีระเบียบวินัย ให้คนไทยเรียกตนเองว่าคนไทยเหมือนกันหมด<br />

ทุกวัฒนธรรมและภูมิภาคทั่วประเทศแม้กระทั่งจะอาศัยอยู่ในดินแดน<br />

124<br />

ประเทศลาวหรือเขมรก็ตามที นอกจากนี้ยังสร้างละครปลุกใจรักชาติ<br />

ที่เน้นวีรกรรมสู้รบของไทยในการปกป้องบ้านเมืองจากการรุกราน<br />

ของพม่าในอดีต และการปราบปรามประเทศราชที่แข็งข้อที ่แต่ง<br />

โดยหลวงวิจิตรวาทการตั้งแต่ ค.ศ. 1936 และได้รับการต้อนรับ<br />

อย่างอบอุ่นจากมวลชน เปรียบเสมือนการทำงานจิตวิทยามวลชนใน<br />

ยุคปัจจุบันเมื่อการยอมรับของมวลชนสุกงอมจอมพลป. พิบูลสงคราม<br />

จึงเริ่มขยับไปสู่ขั้นพร้อมทำสงครามต่อต้านฝรั่งเศสเพื่อการ<br />

เรียกร้องดินแดน 125 โดยเห็นว่าฝรั่งเศสได้เพลี่ยงพล้ำแพ้สงคราม<br />

290 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (1942)<br />

ล่าง แบบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

291


ซ้าย คอร์ราโด เฟโรชี (1892-1962)<br />

ขวา ประติกรรมประดับอนุสาวรีย์<br />

ชัสมรภูมิ (1942)<br />

กับเยอรมันในทวีปยุโรปในวันที่22 มิถุนายน ค.ศ. 1940 ประชาชน<br />

ในกรุงเทพฯ จำนวนไม่น้อยถึงกับเดินขบวนสนับสนุนการเรียกร้อง<br />

ดินแดนอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศสและอาสาสมัครเป็นทหารไปรบ 126<br />

สถานการณ์นำไปสู่การที่กองทหารทั้ง 2 ฝ่ายปะทะกันด้วยอาวุธ<br />

ในปลาย ค.ศ. 1940 ทั้งทางบก เรือ และอากาศ กองทัพไทย<br />

สามารถบุกเข้าไปในดินแดนอินโดจีนของฝรั่งเศสได้แต่ไม่สามารถ<br />

เอาชนะเด็ดขาดได้ ญี่ปุ่นซึ่งเข้ายึดครองดินแดนบางส่วนของ<br />

เวียดนามแล้วยื่นมือเข้ามาเป็นคนกลางในการเจรจาหยุดยิงใน<br />

เดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 1941 และเจรจาตกลงกันสำเร็จในเดือน<br />

พฤษภาคมปีเดียวกัน โดยไทยได้ดินแดนบางส่วนในลาวและ<br />

กัมพูชาแต่ต้องเสียเงินชดเชยให้ฝรั่งเศสถึง6 ล้านเปียสต์แต่ก็เพียงพอ<br />

ที่จะทำให้ไทยสรุปว่าตนเองได้รับชัยชนะเหนือจักรวรรดินิยมเก่า<br />

อย่างฝรั่งเศสที่อยู่ในสภาพจนมุมในสมรภูมิที่บ้านตนเองในยุโรป<br />

ชัยชนะนี้แลกมาด้วยชีวิตทหารตำรวจและพลเรือน 171 นาย<br />

ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงครามต้องการจะสร้างอนุสาวรีย์เพื่อเชิดชู<br />

เกียรติยศให้ โดยเริ่มดำเนินการตั้งแต่ ค.ศ. 1941 มีหม่อมหลวงปุ่ม<br />

มาลากุลเป็นสถาปนิก คอร์ราโด เฟโรชีและคณะศิษย์โรงเรียน<br />

ศิลปากรเป็นประติมากร อนุสาวรีย์สร้างเสร็จทำพิธีเปิดในวันที่ 24<br />

มิถุนายน ค.ศ. 1942 127 ซึ่งเป็นวันชาติและจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

มาเป็นประธานด้วยตนเอง<br />

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสร้างในลักษณะศิลปะผสมระหว่าง<br />

อาร์ตเด็คโคและฟาสซิสต์ แนวคิดชาตินิยมเชื้อชาติไทยที่ต้องการ<br />

ขยายดินแดนด้วยกำลังทหารที่ผู้นำสูงสุดมีอำนาจเด็ดขาดและ<br />

สนับสนุนโดยมวลชนคือตัวชี้วัด ไม่ว่าจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

จะกล่าวอย่างไพเราะเพียงไรก็ตามว่าเขาท ำสงครามเพื่อความยุติธรรม<br />

ในความเป็นจริงอนุสาวรีย์นี้อยู่ภายใต้อิทธิพลลัทธิสังคมชาตินิยม<br />

หรือฟาสซิสต์ที่เด่นชัดที่สุด จุดเด่นของอนุสาวรีย์คือแท่งโอเบลิสก์<br />

(obelisk) ประยุกต์ตั้งบนฐานอาคารรูป 5 เหลี่ยมลดหลั่น 2 ชั้นที่<br />

วางบนอัฒจรรย์รูปกลม หม่อมหลวงปุ่ม มาลากุลสถาปนิกได้<br />

292 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เนรมิตแท่งโอเบลิสก์ตันซึ่งเป็นรูปทรงอนุสาวรีย์โบราณตั้งแต่<br />

ยุคอียิปต์ขึ้นมาใหม่ โดยนำรูปทรงของดาบปลายปืน 5 เล่มมาวาง<br />

เรียงทางตั้งเอาสันชนกันและหันด้านคมดาบออกด้านนอก<br />

ซึ่งจะเห็นเป็นรูปดาว 5 แฉกเมื่อเขียนรูปตัดขวาง แต่หากมองหน้า<br />

ตรงแล้วกลับเหมือนใบดาบเรียงกันเป็นรูปกลีบมะเฟือง 5 แฉก<br />

ส่วนที่เป็น “ใบดาบ” สูง 31 เมตร 128 ปักอยู่บน “ด้ามดาบ” ฐาน 5<br />

เหลี่ยมตัน สูง 8.77 เมตร 129 รวมความสูงของส่วนที่เป็นใบดาบ<br />

และด้ามสูง 39.77 เมตร 130 ตั้งอยู่บนฐานอาคารรูป 5 เหลี่ยมตัด<br />

มุมโค้ง 2 ชั้น ลดหลั่นสูง 6.50 เมตร 131 ซึ่งเป็นอาคารกรุเก็บอัฐิ<br />

ตัวอนุสาวรีย์ทั้งหมดตั้งอยู่บนอัฒจรรย์รูปวงกลมเส้นผ่าศูนย์กลาง<br />

50.50 เมตร 132 สูง 3 เมตร 133 จากระดับถนน มีบันไดขึ้นเป็น<br />

ชั้น ๆ จำนวน 4 ชั้น รวมความสูงอนุสาวรีย์ทั้งสิ้น 50 เมตร 134<br />

จุดเด่นสำคัญของอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิคือประติมากรรมลอยตัว 5<br />

รูปตั้งที่ด้านหน้าของผนัง “ด้ามดาบ” ขนาดสูง 4.60 เมตร 135<br />

ตั้งบนฐานสูง 1.77 เมตร และสูงจากระดับถนน 12 เมตร 136 ปั้นโดย<br />

คอร์ราโด เฟโรชีและคณะศิษย์โรงเรียนศิลปากร เป็นรูปทหารบก<br />

เรือ อากาศ ตำรวจ และพลเรือน ท่าทางการเคลื่อนไหวในท่าสู้รบ<br />

ของรูปประติมากรรมยังคงเห็นอิทธิพลจากประติมากรรมนูนสูง<br />

ประดับฐานสะพานปอนเตดูกา ดาออสต้า ของวิโก คอนซอร์ติอยู่<br />

เช่นเดิม เป็นองค์ประกอบที่เพิ่มความสง่างามให้กับอนุสาวรีย์อย่างมาก<br />

และไม่เคยมีมาก่อน มากกว่าประติมากรรมนูนสูงรอบอนุสาวรีย์<br />

ประชาธิปไตย ลักษณะอนุสาวรีย์แท่งโอเบลิสก์ที่ล้อมรอบด้วย<br />

ประติมากรรมนั้น เราสามารถเห็นได้มากในประเทศอังกฤษ<br />

ในช่วงทศวรรษ 1920 ในฐานะอนุสาวรีย์แห่งสงครามโลกครั้งที่ 1<br />

เช่น อนุสาวรีย์อาล์นวิกวอร์เม็มโมเรียล (Alnwick War Memorial) 137<br />

(1922) ที่เมืองอาล์นวิก ลักษณะเป็นเสาดอริกตั้งบนฐาน<br />

สามเหลี่ยมยืนล้อมด้วยทหาร 3 นาย เหล่าบก เรือ และอากาศ<br />

ด้วยท่าทางสงบอาลัย โดยประติมากรโรเจอร์ เฮดลีย์ (Roger<br />

ซ้าย อนุสาวรีย์สงคราม<br />

ที่สถานีรถไฟยูสตัน (1921)<br />

ขวา อนุสาวรีย์อาล์นวิกวอร์เม็มโมเรียล<br />

(1922)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

293


อนุสาวรีย์สงครามที่พอร์ทซันไลท์ (1921)<br />

Hedley) อนุสาวรีย์ที่สถานีรถไฟยูสตัน (Euston Station War<br />

Memorial) 138 (1921) ที่กรุงลอนดอน ลักษณะเป็นเสาโอเบลิสก์<br />

สี่เหลี่ยมแต่ละมุมมีประติมากรรมทหารในท่าโรยปืนมุมละ 1 นาย<br />

ได้แก่ ทหารเรือ ทหารราบ ทหารอากาศ และทหารปืนใหญ่<br />

สถาปนิกคือ ริจินาล วีซิน โอเวน (Reginald Wysin Owen) และ<br />

ประติมากรคือคณะของอาร์ แอล โบลตัน และบุตร (Messrs R. L.<br />

Boulton & Sons) อนุสาวรีย์ที่ประติมากรรมมีลักษณะเคลื่อนไหว<br />

มากกว่าเรียกว่าแบบนิวสคัลป์เจอร์ (New Sculpture) เช่น<br />

อนุสาวรีย์สงครามที่พอร์ทซันไลท์(Port Sunlight War Memorial) 139<br />

(1921) โดยประติมากรกอสคอมบ์ จอห์น (Goscombe John) และ<br />

อนุสาวรีย์บู๊ทเทิลวอร์เม็มโมเรียล (Bootle War Memorial) 140<br />

(1922) ที ่เมอร์ซี่ไซด์ (Mercyside) โดยประติมากรเฮอร์มอน<br />

คาวธรา (Hermon Cawthra) และเฮอร์เบิร์ต เอิร์นสท์ บัลเมอร์<br />

(Herbert Ernest Bulmer) เมื่อเปรียบเทียบกับอนุสาวรีย์ร่วมสมัยใน<br />

อังกฤษแล้วความแตกต่างที่เห็นได้ชัดคือประติมากรรมของคอร์ราโด<br />

เฟโรชีมีลักษณะสู้รบและโครงเส้นเป็นเหลี่ยมในแบบประติมากรรม<br />

ลัทธิฟาสซิสต์ร่วมสมัยทศวรรษที่ 1930-1940 ของอิตาลี<br />

มากกว่าสงบอาลัยและเส้นสายเหมือนจริงในแบบอังกฤษดูได้<br />

294 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ในตัวอย่างเปรียบเทียบที่ 1 (อาล์นวิก) และ 2 (ยูสตัน) ที่ลักษณะ<br />

องค์ประกอบอนุสาวรีย์คล้ายของไทยแต่ท่าทางของประติมากรรม<br />

นั้นตรงกันข้าม ส่วนตัวอย่างเปรียบเทียบที่3 (พอร์ทซันไลท์) และ<br />

4 (เมอร์ซี่ไซด์) นั้นเส้นสายของประติมากรรมเป็นเหลี่ยมน้อยกว่า<br />

เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้วอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิออกแบบ<br />

ได้ดีในแง่ของรูปทรงและองค์ประกอบ สัดส่วนและแนวคิดที่ชัดเจน<br />

ในการสื่อสารมากกว่าอนุสาวรีย์เพื่อประชาธิปไตยอีก 2 แห่ง<br />

เหตุผลประการแรกเพราะผู้ออกแบบเป็นอิสระจากการผูกมัดด้วย<br />

ตัวเลขรหัสทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ที่มาของอนุสาวรีย์<br />

ตัวเลขที่สำคัญของอนุสาวรีย์นี้มีเพียงเลข 5 ที่มาจากแนวคิดที่ว่า<br />

สงครามนี้ได้ชัยชนะเพราะบุคคล 5 เหล่าคือ ทหารบก เรือ อากาศ<br />

ตำรวจ และพลเรือน และสถาปนิกและประติมากรมีความสามารถ<br />

พอที่จะแปลงตัวเลขนี้มาเป็นอนุสาวรีย์ที่รำลึกถึงการพลีชีพ<br />

ในสงคราม ประการที่2 คือการเป็นอิสระจากศิลปะสถาปัตยกรรม<br />

ไทยโบราณอย่างสิ้นเชิง ทำให้รูปแบบอนุสาวรีย์ชัดเจนไม่ครึ่ง ๆ<br />

กลาง ๆ ระหว่างสมัยใหม่กับไทยโบราณ ประการที่ 3 คือการใช้<br />

ประติมากรรมเข้ามาประกอบสถาปัตยกรรมอย่างมีพลัง 141 เป็นตัว<br />

ส่งเสริมอนุสาวรีย์ทั้งรูปแบบและความหมายได้อย่างชัดเจน<br />

แต่เนื่องด้วยมูลเหตุแห่งการสร้างสถานที่แห่งนี้จึงเป็นอนุสาวรีย์<br />

แห่งลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทยและลัทธิการใช้กำลังทหารเพื่อสร้าง<br />

มหาอาณาจักรไทยในช่วงทศวรรษที่1940 สอดคล้องกับพันธมิตร<br />

ญี่ปุ่นที่ต้องการเป็นเจ้าภูมิภาคเอเชีย สมบูรณ์ทั้งรูปแบบและ<br />

แนวคิดซึ่งผู้สร้างขณะนั้นเชื่อว่านี่คืออนุสาวรีย์แห่งชัยชนะและ<br />

ความยุติธรรมทางประวัติศาสตร์ที่ไทยควรได้รับจากจักรวรรดินิยม<br />

ฝรั่งเศสที่กำลังล่มสลาย แต่แล้วในที่สุดเพียง 3 ปีหลังจากเปิด<br />

อนุสาวรีย์ ไทยและพันธมิตรญี่ปุ่นก็พ่ายแพ้อย่างสิ้นเชิงในสงคราม<br />

เอเชียแปซิฟิก อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิกลายเป็นสถานที่ที่มีชื่อตรงข้าม<br />

กับความจริง เป็นที่รำลึกถึงความหลงชาติและความทะเยอทะยาน<br />

ที่ไม่เคยประสบความสำเร็จของรัฐบาลยุคนั้น<br />

อนุสาวรีย์บู๊ทเทิลวอร์ เม็มโมเรียล (1922)<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

295


สรุปคุณค่าสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในรัชสมัยพระบาท<br />

สมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8<br />

ในช่วงเวลา 2 ทศวรรษตั้งแต่ ค.ศ. 1925-1945 หรือช่วง<br />

รัชสมัยของรัชกาลที่ 7 และรัชกาลที่ 8 นั้น กล่าวได้ว่าเป็น<br />

การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและค่านิยมของประเทศไทยครั้งที่ 2<br />

หลังจากการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ 5<br />

แต่ครั้งนี ้นับว่ารุนแรงกว่าเพราะมีการใช้กำลังเพื่อการชิงอำนาจ<br />

และเปลี่ยนแปลงระบอบการปกครอง การต่อสู้เริ่มจากอุดมการณ์<br />

ในการสถาปนาและพิทักษ์ระบอบประชาธิปไตย แต่แล้วเมื่อกลุ่ม<br />

ผู้นำใหม่สามารถเอาชนะระบอบเก่าได้ กลับมาหมุนวนอยู่ในกรอบเดิม<br />

ของแนวคิดชาตินิยมเชื้อชาติไทยและการสร้างมหาอาณาจักรไทย<br />

ที่มีรากความคิดมาจากระบอบเดิม แนวคิดดังกล่าวทำให้ผู้นำไทย<br />

หันเหไปสู่ลัทธิเผด็จการทหารและผูกพันธมิตรกับชาติฟาสซิสต์ที่<br />

ต้องการเป็นเจ้าภูมิภาคเอเชียเช่นจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นภายในประเทศ<br />

จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นผู้นำเผด็จการแต่เพียงผู้เดียว<br />

เขาสร้างนโยบาย “รัฐนิยม” ให้คนไทยปฏิบัติตามเพื่อสร้างค่านิยมใหม่<br />

ในการหลงลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทย ไม่นิยมต่างชาติเขาเรียกร้อง<br />

ให้เชื่อฟังท่านผู้นำร่วมกันสร้างชาติ เพื่อให้ประเทศไทยเจริญ<br />

รุ่งเรืองเป็นอารยประเทศ<br />

สถาปัตยกรรมที่สร้างในยุคนี้ได้สะท้อนแนวคิดของกลุ่มผู้น ำ<br />

ระบอบใหม่โดยเฉพาะจอมพล ป. พิบูลสงครามอย่างน่าสนใจ<br />

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญแม้จะมีเป้าหมายเหมือนชื่อแต่ก็<br />

สืบทอดแนวคิดชาตินิยมเชื้อชาติไทยจากระบอบเก่ามาด้วย<br />

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยแม้สร้างเพื่อเชิดชูการสถาปนาระบอบ<br />

ประชาธิปไตยแต่ก็แฝงด้วยศิลปะฟาสซิสต์ในบรรยากาศที่รัฐบาล<br />

ปลุกมวลชนให้หลงในลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทยและการสร้าง<br />

มหาอาณาจักรไทย และที่สำคัญคืออนุสาวรีย์ทั้ง2 แทนค่ารัฐธรรมนูญ<br />

เป็นเพียงสมุดไทยเล่มหนึ่งบนพาน มันจึงไม่มีพลังพอที่จะสื่อ<br />

แนวคิดแห่งเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพที่เป็นความหมาย<br />

ที่แท้จริงได้ ตั้งแต่ ค.ศ. 1938 ที่จอมพล ป. พิบูลสงครามขึ้นเป็น<br />

นายกรัฐมนตรีลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทยเบ่งบานเติบโตรัฐบาลสร้าง<br />

อาคารที่แสดงความยิ่งใหญ่ในอดีตและอนาคตของประเทศไทย<br />

เช่น ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยาที่แสดงความวีระ<br />

อาจหาญของกษัตริย์ในอดีตผ่านประติมากรรมหน้าอาคาร<br />

อาคารริมถนนราชดำเนินกลางทั้ง 2 ฝั่งยาวตลอดแนว 1.2 กิโลเมตร<br />

แสดงความยิ่งใหญ่ทันสมัยของบ้านเมืองผ่านเศรษฐกิจสมัยใหม่<br />

สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติเป็นตัวแทนของประเทศที่<br />

ประชาชนมีคุณภาพ เป็นนักกีฬาที่มีพลานามัยสมบูรณ์อันเป็น<br />

ประเด็นสำคัญหนึ่งของลัทธิฟาสซิสต์ที่ประชาชนของรัฐจะต้องแข็ง<br />

แรงและองอาจกล้าหาญในการรบ ที่ทำการไปรษณีย์กลาง บางรัก<br />

แสดงความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีการสื่อสารของประเทศ<br />

กระทรวงยุติธรรมและศาลยุติธรรมริมถนนราชดำเนินในแสดง<br />

ความเป็นชาติที่มีเอกราชทางการศาลอย่างสมบูรณ์อาคารทั้งหมดนี้<br />

สร้างโดยสถาปนิกรุ่นใหม่ชาวไทยที่สำเร็จการศึกษาสถาปัตยกรรม<br />

จากยุโรป บางคนเคยทำงานขนาดเล็กมาบ้างในรัชกาลก่อนและ<br />

ได้รับความไว้วางใจให้ทำงานใหญ่ในยุคประชาธิปไตยนี้โดยเฉพาะ<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์แห่งกรมศิลปากรที่มีงานใหญ่มากที่สุด<br />

และได้รับอิทธิพลจากสถาปัตยกรรมแบบฟาสซิสต์ของมาร์เซลโล<br />

ปิอาเซนตินี สถาปนิกชาวอิตาเลียน รวมทั้งการร่วมงานของ<br />

ประติมากรคอร์ราโด เฟโรชี ชาวอิตาเลียนที่สร้างงานประติมากรรม<br />

ประดับด้านหน้าอาคารให้ดูโดดเด่นแบบฟาสซิสต์หลายงาน<br />

ส่วนงานอิทธิพลศิลปะฟาสซิสต์ที่โดดเด่นที่สุดที่คอร์ราโด เฟโรชี<br />

ทำก็คือประติมากรรมรูปทหาร ตำรวจ และพลเรือน รอบอนุสาวรีย์<br />

ชัยสมรภูมิ ที่เขาร่วมกับสถาปนิกหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล<br />

ออกแบบเพื่อฉลองชัยชนะในการขยายดินแดนที่ไม่เคยเป็นจริง<br />

ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ในขณะเดียวกันสถาปนิกที่ทำงาน<br />

สถาปัตยกรรมไทยก็สร้างผลงานในแบบไทยสมัยใหม่ไม่น้อยหน้า<br />

สถาปนิกสากลและบางงานก็ยังเป็นการร่วมมือกันออกแบบด้วย<br />

เช่น หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยที่พระพรหมพิจิตร<br />

ออกแบบร่วมกับพระสาโรชรัตนนิมมานก์ได้อย่างน่าชม แต่งานที่<br />

296 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สร้างความสนเท่ห์ให้กับผู้ชมมากที่สุดคือ เจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุ<br />

บางเขน ที่พระพรหมพิจิตรแปลงองค์ประกอบของเจดีย์เป็นรูปทรง<br />

เรขาคณิตทั้งหมดและตัดการประดับตกแต่งออกหมด จนต้อง<br />

ยอมรับว่าเจดีย์นี้เป็นเจดีย์แบบไทยสมัยใหม่ที่ไม่เคยมีมาก่อน<br />

แต่ท่ามกลางยุคสมัยแห่งการเปลี่ยนสู่ความทันสมัยนั้นเมื่อ<br />

ประเทศไทยต้องส่งตัวแทนสถาปัตยกรรมไปอวดตัวตนในเวที<br />

นานาชาติที่กรุงปารีสใน ค.ศ. 1937 แล้ว พระพรหมพิจิตรกลับ<br />

ไม่กล้าทำอะไรมากไปกว่าการลอกแบบโบราณของพระที่นั่งไอสวร<br />

รย์ทิพยอาสน์ไปตั้งเป็นศาลาสยาม ขณะที่สถาปนิกญี่ปุ่นกล้าพอที่<br />

จะสร้างศาลาประจำชาติในแบบสากลนิยมสมัยใหม่อิทธิพลเลอ<br />

คอร์บูซิเอร์ โดยไม่เกรงใจรัฐบาลชาตินิยมฟาสซิสต์ที่โตเกียวเลย<br />

ในแง่สถาปัตยกรรมเรากล่าวได้ว่าผลงานในสมัยรัชกาลที่8<br />

ไม่มีอะไรใหม่หรือโดดเด่นเป็นพิเศษ กล่าวไม่ได้ว่ามีผลงานที่มา<br />

จากการสังเคราะห์ทฤษฎีลึกซึ้งอะไรของตนเองแต่ยังเป็นการหยิบยืม<br />

แบบศิลปะมาจากยุโรปหรือไม่ก็แบบโบราณของไทยเองเรื่องที่น่ายินดี<br />

ก็คือเป็นครั้งแรกที่บรรดาสถาปนิกไทยมีความสามารถท ำงานโครงการ<br />

ขนาดใหญ่ได้ด้วยตนเอง และพวกเขาก็เลือกใช้แนวทางศิลปะ<br />

อาร์ตเด็คโคและฟาสซิสต์ที่มาจากรากฐานงานเชิงประวัติศาสตร์<br />

อนุรักษ์นิยมในการออกแบบ ซึ่งก็เป็นไปตามบรรยากาศทางการ<br />

เมืองของประเทศและพื้นฐานการศึกษาของพวกเขา ผลงานของ<br />

สถาปนิกและประติมากรในช่วงเวลานี้คือการแปลความรัฐไทย<br />

ในอุดมคติที่เจริญรุ่งเรืองและเป็นอารยะของบรรดาผู้นำรัฐบาลให้<br />

เป็นรูปธรรม แม้ว่าจะเป็นการเดินตามแนวทางที่ทะเยอทะยาน<br />

หลงเชื้อชาติและใช้กำลังตัดสินความขัดแย้ง แต่มันก็เป็นหลักฐาน<br />

หน้าหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่ถึงจะไม่มีอะไรสวยงามนักแต่ก็ต้องจดจ ำ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

297


เชิงอรรถบทที่ 3<br />

1 เจ้าพระยาทิพากรวงศ์, พระราชพงศาวดาร<br />

กรุงรัตนโกสินทร์ รัชกาลที่ 3 เล่ม 2 (พระนคร:<br />

องค์การค้าคุรุสภา, 2504), 188.<br />

2 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารง<br />

ราชานุภาพ, ประชุมพงศาวดารเล่ม 14<br />

(ประชุมพงศาวดารภาค 22-25) (พระนคร:<br />

องค์การค้าคุรุสภา, 2507), 261-262.<br />

3 สมชาติ จึงสิริอารักษ์, สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่ 4- พ.ศ.2480 (กรุงเทพฯ:<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2553), 53.<br />

4 เรื่องเดียวกัน, 39.<br />

5 เรื่องเดียวกัน, 33.<br />

6 เรื่องเดียวกัน, 33.<br />

7 เรื่องเดียวกัน, 57.<br />

8 เรื่องเดียวกัน, 40.<br />

9 หนังสือราชกิจจานุเบกษา ประกาศเปลี่ยน<br />

ธรรมเนียมใหม่ วันอาทิตย เดือน12 แรม12ค่า<br />

ปีระกา เบญจศก จุลศักราช 1235 ใน ประกาศการ<br />

ยกเลิกหมอบคลาน, เข้าถึงเมื่อ 25 มกราคม<br />

2560, เข้าถึงได้จากhttp://prachatai.com/jour<br />

nal/2012/10/43275<br />

10 กรมศิลปากร, “ประกาศเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย,”<br />

ใน การเลิกทาสในรัชกาลที่ 5 (พระนคร: บารุง<br />

นุกูลกิจ, 2499), 59.<br />

11 พิริยา พิทยาวัฒนชัย, “สถาปัตยกรรมของโยอาคิม<br />

กราซีในสยาม” (วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหา<br />

บัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม<br />

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2554),<br />

115.<br />

12 สมชาติ จึงสิริอารักษ์, สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่ 4- พ.ศ.2480, 185.<br />

13 เจ้านายและข้าราชการ กราบบังคมทูลความเห็น<br />

จัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ.103 และ<br />

พระราชดารัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />

เจ้าอยู่หัวทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการ<br />

ปกครองแผ่นดิน (นครหลวง: พิฆเณศ, 2515),30.<br />

14 เรื่องเดียวกัน, 73.<br />

15 ผาสุก พงษ์ไพจิตรและคริส เบเคอร์, เศรษฐกิจ<br />

การเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ (กรุงเทพฯ: ตรัสวิน,<br />

2539), 28.<br />

16 สมชาติ จึงสิริอารักษ์, สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่ 4- พ.ศ.2480, 142.<br />

17 เรื่องเดียวกัน, 221.<br />

18 เรื่องเดียวกัน, 136, 137.<br />

19 เรื่องเดียวกัน, 220.<br />

20 สมชาติ จึงสิริอารักษ์, รายงานการวิจัย<br />

สถาปัตยกรรมของคาร์ล ดือห์ริ่ง (นครปฐม:<br />

โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2540), 41.<br />

21 เรื่องเดียวกัน, 41.<br />

22 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดารง<br />

ราชานุภาพ, นิทานโบราณคดี (กรุงเทพฯ: ดอก<br />

หญ้า, 2543), 441-495.<br />

23 W.G.Johnson, Arnold Wright and Oliver T.<br />

Breakspear, Twentieth Century Impressions of<br />

Siam (London: Lloyd’s Greater Britain<br />

Publishing Company Ltd, 1908), 230.<br />

24 “ประกาศพระราชปรารภในการก่อพระฤกษ์<br />

สังฆเสนาสน์ราชวิทยาลัย” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 13, ตอนที่25 (20 กันยายน 1896): 265-268.<br />

25 “ปฏิสังขรณ์วัดราชาธิวาส,” 23 เมษายน<br />

รัตนโกสินทร์ศก 123-22 พฤศจิกายน<br />

รัตนโกสินทร์ศก 124, เอกสารกระทรวงมหาดไทย,<br />

ม.ร.5 (ร.)/37, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

26 W.G.Johnson, Arnold Wright and Oliver T.<br />

Breakspear, Twentieth Century Impressions of<br />

Siam, 233.<br />

27 สมชาติ จึงสิริอารักษ์, สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่ 4- พ.ศ.2480, 270-271.<br />

28 Michael Howard, “For God, King and Country,”<br />

The National Interest 97 (Sept/Oct 2008): 54.<br />

29 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, เที่ยว<br />

เมืองพระร่วง (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราช<br />

วิทยาลัย, 2519), ง-จ.<br />

30 เป็นจารึกบนผนังศาลที่เรียกว่า อนุสาวรีย์ข้าง<br />

องค์เจดีย์ ดู ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์ และวิไลรัตน์<br />

ยังรอด, คู่มือการเรียนรู้กรุงศรีอยุธยา (กรุงเทพฯ:<br />

มิวเซียมเพรส, 2546), 72.<br />

31 “พระราชดารัสตอบในการเปิดโรงเรียนเพาะช่าง”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 30 (25 มกราคม 2456):<br />

2499-2500.<br />

32 สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรง<br />

ราชานุภาพ, นิทานโบราณคดี, 441-495.<br />

33 “พระราชทานเงินเข้าในการสร้างอนุสาวรีย์ที่ฝังอัฐิ<br />

ทหารซึ่งตายในราชการสงคราม” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 36 (14 กันยายน 2462): 1684.<br />

34 “พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่กองทหารซึ่ง<br />

กลับจากงานพระราชสงคราม” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 36 (28 กันยายน 2462): 1784.<br />

35 อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ, เข้าถึงเมื่อ 14 กุมภาพันธ์<br />

2560, เข้าถึงได้จาก http://kanchanapisek.or.th/<br />

kp8/nki/nki103.html<br />

36 “กระแสพระราชโองการเขียนบรรจุศิลาพระฤกษ์”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 27 (28 สิงหาคม<br />

รัตนโกสินทร์ศก 129): 1108.<br />

37 เบนจามิน เอ. บัทสัน, อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

ในสยาม, แปลโดย กาญจนี ละอองศรี และคณะ<br />

(กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,<br />

2543), 275.<br />

38 “คำแถลงนโยบายของรัฐบาล” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 49 (8 มกราคม 2475)(พ.ศ.2476 ตามปฏิทิน<br />

ปัจจุบัน): 3428-3434.<br />

39 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย 2475-<br />

2500 (กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย<br />

ธรรมศาสตร์, 2544), 141.<br />

40 เรื่องเดียวกัน, 161.<br />

41 Jan Lahmeyer, Thailand, historical<br />

demographical data of the whole country,<br />

accessed May 30, 2016, available from http://<br />

www.populstat.info/Asia/thailanc.htm, 1.<br />

42 Ibid.<br />

43 “ประกาศพระราชทานนามพระที่นั่งแลพระตำหนัก<br />

ที่พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม” ราชกิจ<br />

จานุเบกษา เล่ม 34 (10 กุมภาพันธ์ 2460): 597.<br />

44 สรรใจ แสงวิเชียร, ศิริราชร้อยปี: ประวัติและ<br />

298 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


วิวัฒนาการ (กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์ ศิริราช<br />

พยาบาล, 2531), 137.<br />

45 พระสาโรชน์รัตนนิมมานก์, “การสร้างอาคารที่<br />

ศิริราชพยาบาล” ใน อนุสรณ์ 84 ปี ศิริราช<br />

(กรุงเทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์, 2519), 498.<br />

46 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย 2475-<br />

2500, 187.<br />

47 วรา ไวยหงส์, “เอกราชทางการศาล” ใน ที่ระลึก<br />

นิทรรศการทางการศาล สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์<br />

สองร้อยปี (กรุงเทพฯ: กระทรวงยุติธรรม, 2525), 103.<br />

48 เรื่องเดียวกัน.<br />

49 “เรื่องอนุสสาวรีย์สนธิสัญญา,” 8 มิถุนายน 2482,<br />

เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ หนังสือจาก<br />

เลขาธิการคณะรัฐมนตรีถึงรัฐมนตรีว่าการ<br />

กระทรวงกลาโหม, ศธ 0701.41.1/26, หอ<br />

จดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

50 “สุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรี กล่าวทางวิทยุ<br />

กระจายเสียงแด่ประชาชนชาวไทยทั้งมวล<br />

ในอภิลักขิตสมัยแห่งงานเฉลิมฉลองวันชาติและ<br />

สนธิสัญญา 24 มิถุนายน 2482” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 56 (24 มิถุนายน 2482): 816.<br />

51 เรื่องเดียวกัน, 819.<br />

52 เรื่องเดียวกัน, 825-827.<br />

53 เรื่องเดียวกัน, 829.<br />

54 เรื่องเดียวกัน.<br />

55 เรื่องเดียวกัน, 829-830.<br />

56 เรื่องเดียวกัน, 833-836.<br />

57 “คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีกล่าวแก่มวลชน<br />

ชาวไทยโดยทางวิทยุกระจายเสียง วันที่20 ตุลาคม<br />

2483” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 57 (29 ตุลาคม<br />

2483): 2628-2629.<br />

58 เรื่องเดียวกัน, 2624.<br />

59 เรื่องเดียวกัน, 2623.<br />

60 Bruce E. Reynolds, “Phibun Songkhram and<br />

Thai Nationalism in the Fascist Era. European,”<br />

Journal of East Asian Studies 3, 1 (2004): 126.<br />

61 “พิธีสารระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นว่า<br />

ด้วยหลักประกันและความเข้าใจกันทางการเมือง”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 58 (5 กรกฎาคม 2484):<br />

891-893.<br />

62 “ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59, ตอนที่ 5 (25 มกราคม<br />

2485): 244-246.<br />

63 “กติกาสัญญาพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับ<br />

ประเทศญี่ปุ่น” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 58 (21<br />

ธันวาคม 2484): 1826.<br />

64 “ประกาสไช้สนธิสัญญาระหว่างประเทสไทยกับประ<br />

เทสยี่ปุ่นว่าด้วยอานาเขตของประเทสไทยไนมาลัย<br />

และภูมิภาคฉาน” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 60, ตอน<br />

ที่ 55 (18 ตุลาคม 2486): ik1529-1531.<br />

65 “ความตกลงทางวัธนธัมระหว่างประเทสไทยกับ<br />

ประเทสยี่ปุ่น” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59, ตอนที่<br />

81 (29 ธันวาคม 2485): 2621-2631.<br />

66 เรื่องเดียวกัน, 2629.<br />

67 ดู บันทึกของนายพลนากามูระ อะกิโตะ ผู้<br />

บัญชาการทหารญี่ปุ่นในประเทศไทย ใน ชาญวิทย์<br />

เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย 2475-2500, 382.<br />

68 “เรื่องบันทึกที่ 25/2486 จากรัถมนตรีว่าการกะซ<br />

วงการต่างประเทสถึงนายกรัถมนตรี,” 3 พฤษภาคม<br />

2486, เอกสารกระทรวงการต่างประเทศ, กต<br />

1.1.5/11, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, 3.<br />

69 “เรื่องบันทึกที่ 51/2486 จากรัถมนตรีว่าการกะซ<br />

วงการต่างประเทสถึงนายกรัถมนตรี,” 26 กันยายน<br />

2486, เอกสารกระทรวงการต่างประเทศ, กต<br />

1.1.5/11, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, 1-4.<br />

70 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ประวัติการเมืองไทย 2475-<br />

2500, 407.<br />

71 “ประกาศสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมใช้ชื่อ<br />

ประเทศ, ประชาชน และสัญชาติ” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา เล่ม 56 (24 มิถุนายน 2482): 810.<br />

72 หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, “รายงานการ<br />

เปิดตึกต่างๆ,” 24 มิถุนายน 2484, เอกสาร<br />

จ18.5/1/5, 23-24.<br />

73 พระสารศาสตร์ศิริลักษณ์, “ประวัติพระสาโรชรัตน<br />

นิมมานก์” ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (พระนคร: โรงพิมพ์ชัย<br />

ศิริ, 2493), 10.<br />

74 “คำแถลงนโยบายของรัฐบาล คณะที่นายพันเอก<br />

พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี 23<br />

ธันวาคม 2480” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 54 (3<br />

มกราคม 2480): 2336.<br />

75 “สุนทรพจน์นายกรัฐมนตรีกล่าวทางวิทยุกระจาย<br />

เสียงแด่ประชาชนชาวไทยทั้งมวลในอภิลักขิตสมัย<br />

แห่งงานเฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนายน 2483”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 57 (24 มิถุนายน 2483): 856.<br />

76 “ประกาศสานักนายกรัฐมนตรี เรื่องกาหนดภาพ<br />

เครื่องหมายราชการ” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128,<br />

ตอนพิเศษ 47ง (24 เมษายน 2554): 34.<br />

77 War Memorial: Men of Hackney(WMR-2274),<br />

accessed April 3, 2017, available from http://<br />

www.iwm.org.uk/ memorials/item/memori<br />

al/2274<br />

78 ประวัติศาลแขวงสงขลา, เข้าถึงเมื่อ 1 พฤษภาคม<br />

2550, เข้าถึงได้จาก http://www.judiciary.go.th/<br />

sklmc/index1.htm<br />

79 พระสารศาสตร์ศิริลักษณ์, อนุสรณ์งาน<br />

พระราชทานเพลิงศพพระสาโรชรัตนนิมมานก์, 10.<br />

80 เรื่องเดียวกัน.<br />

81 เรื่องเดียวกัน.<br />

82 “คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีกล่าวแก่มวลชน<br />

ชาวไทยโดยทางวิทยุกระจายเสียง วันที่20 ตุลาคม<br />

2483” ราชกิจจานุเบกษา. 2622.<br />

83 Terry Kirk, The Architecture of Modern Italy,<br />

Volume I: The Challenge of Tradition, 1750-<br />

1900 (New York: Princeton Architectural Press,<br />

2005), 118, 119.<br />

84 “ประกาศสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมฉบับ<br />

ที่ 5 เรื่องให้ชาวไทยพยายามใช้เครื่องอุปโภค<br />

บริโภคที ่มีกาเนิดหรือทาขึ้นในประเทศไทย”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 56 (6 พฤศจิกายน 2482):<br />

2359-2360.<br />

85 วิชา มหาคุณ, บรรณาธิการ, “บันทึกเรื่องการสร้าง<br />

ศาลฎีกา” ใน ที่ระลึกนิทรรศการทางการศาล<br />

สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยปี, 21.<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

299


86 เรื่องเดียวกัน, 22.<br />

87 เรื่องเดียวกัน, 24.<br />

88 เรื่องเดียวกัน, 25.<br />

89 พินัย สิริเกียรติกุล, “ณ ที่นี้ไม่มี ‘ความเสื่อม’ :<br />

ถนนราชดาเนิน พ.ศ. 2484-2488,” หน้าจั่ว ว่าด้วย<br />

ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรม<br />

ไทย 6 (กันยายน 2552-สิงหาคม 2553): 31.<br />

90 วิชา มหาคุณ, บรรณาธิการ, “บันทึกเรื่องการสร้าง<br />

ศาลฎีกา” ใน ที่ระลึกนิทรรศการทางการศาล<br />

สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยปี, 27, 28.<br />

91 เรื่องเดียวกัน, 30.<br />

92 “เรื่องโครงการกรมศิลปากร,” 2476, เอกสาร<br />

กระทรวงศึกษาธิการ, ศธ 0701.9.1/4, หอ<br />

จดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

93 เรื่องเดียวกัน.<br />

94 “คำแถลงนโยบายของรัฐบาล 26 ธันวาคม 2481”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 55 (2 มกราคม 2481):<br />

3322.<br />

95 เรื่องเดียวกัน.<br />

96 หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร, งานสถาปัตยกรรม<br />

ของหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร (พระนคร: โรง<br />

พิมพ์พระจันทร์, 2510), ไม่มีเลขหน้า.<br />

97 ศาลาไทยกรุงปารีส 2480, เข้าถึงเมื่อ 3 เมษายน<br />

2560, เข้าถึงได้จาก www.cokethai.com/forum<br />

98 “เรื่องประกาศประกวดแบบอนุสสาวรีย์สนธิสัญญา<br />

ของชาติ,” 20 เมษายน 2482, เอกสารกระทรวง<br />

ศึกษาธิการ, ศธ 0701.41.1/26, หอจดหมายเหตุ<br />

แห่งชาติ.<br />

99 “เรื่องอนุสสาวรีย์สนธิสัญญา,” 8 มิถุนายน 2482,<br />

เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ, ศธ 0701.41.1/26,<br />

หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

100 วิชัย ภู่โยธิน, “อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ” ใน<br />

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ วัดพระศรีมหาธาตุ<br />

วรมหาวิหาร สถาบันราชภัฎพระนคร (กรุงเทพฯ:<br />

สถาบันราชภัฎพระนคร, 2539), 30.<br />

101 เรื่องเดียวกัน, 29.<br />

102 “คากล่าวตอบของ พณฯนายกรัฐมนตรีในการเปิด<br />

อนุสสาวรีย์ประชาธิปไตย ณ วันชาติ 2483” ราช<br />

กิจจานุเบกษา เล่ม 57 (25 มิถุนายน 2483): 878.<br />

103 “สุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรี กล่าวทางวิทยุ<br />

กระจายเสียงแด่ประชาชนชาวไทยทั้งมวล ใน<br />

อภิลักขิตสมัยแห่งงานฉลองวันชาติและสนธิ<br />

สัญญา 24 มิถุนายน 2482” ราชกิจจานุเบกษา, 830.<br />

104 “เรื่องอนุสสาวรีย์สนธิสัญญา,” 8 มิถุนายน 2482,<br />

ไม่มีเลขหน้า.<br />

105 เรื่องเดียวกัน.<br />

106 “เรื่องการสร้างอนุสสาวรีย์ไทย,” 23 เมษายน<br />

2484, เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ, ศธ<br />

0701.42/10, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, 1.<br />

107 “เรื่องประกาศประกวดแบบอนุสสาวรีย์สนธิสัญญา<br />

ของชาติ,” 20 เมษายน 2482, เอกสารกระทรวง<br />

ศึกษาธิการ, ศธ 0701.41.1/26, หอจดหมายเหตุ<br />

แห่งชาติ, 34, 35.<br />

108 “เรื่องอนุสสาวรีย์สนธิสัญญา,” 6 กรกฎาคม 2482,<br />

เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ, ศธ 0701.41.1/26,<br />

หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, 19, 20.<br />

109 “เรื่องแผนผังอนุสสาวรีย์ไทย,” 18 กุมภาพันธ์<br />

2482, เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ, ศธ<br />

0701.41.1/26, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ, 11, 12.<br />

110 เรื่องเดียวกัน.<br />

111 เรื่องเดียวกัน.<br />

112 “เรื่องแผนผังอนุสสาวรีย์ไทย,” 18 กุมภาพันธ์<br />

2482, 11, 12.<br />

113 เรื่องเดียวกัน.<br />

114 “เรื่องการสร้างอนุสสาวรีย์ไทย,” 23 เมษายน<br />

2484.<br />

115 เรื่องเดียวกัน.<br />

116 “สุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรีกล่าวทางวิทยุ<br />

กระจายเสียงแด่ประชาชนชาวไทยทั้งมวล<br />

ในอภิลักขิตสมัยแห่งงานวันฉลองวันชาติ 24<br />

มิถุนายน 2483” ราชกิจจานุเบกษา, 852.<br />

117 มหาวิทยาลัยศิลปากร, นิทรรศการเชิดชูเกียรติ<br />

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี (กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งกรุ๊พ, 2535), ไม่มีเลขหน้า.<br />

118 Manuel Cohen, Relief, Ponte Duca d’Aosta,<br />

Rome, Italy, accessed September 29, 2016,<br />

available from http://manuelcohen.photoshel<br />

ter.com/image<br />

119 Ibid.<br />

120 Clementi, Ponte Ducca d’aosta, accessed<br />

March 30, 2017, available from http://www.<br />

trekearth.com/gallery/ Europe/Italy/Lazio/<br />

Rome/Roma/photo82533.htm<br />

121 “รายงานการสร้างอนุสสาวรีย์ประชาธิปไตย” ราช<br />

กิจจานุเบกษา เล่ม 57 (24 มิถุนายน 2483): 874.<br />

122 “คาปราศรัยของนายกรัฐมนตรีกล่าวแก่มวลชน<br />

ชาวไทยโดยทางวิทยุกระจายเสียง วันที่20 ตุลาคม<br />

2483” ราชกิจจานุเบกษา, 2617.<br />

123 เรื่องเดียวกัน, 2619.<br />

124 “คาปราศรัยของนายกรัฐมนตรีกล่าวแก่มวลชน<br />

ชาวไทยโดยทางวิทยุกระจายเสียง วันที่20 ตุลาคม<br />

2483” ราชกิจจานุเบกษา, 2628.<br />

125 เรื่องเดียวกัน, 2620-2626.<br />

126 เรื่องเดียวกัน, 2622.<br />

127 “คำปราสัยของ พนะ นายกรัถมนตรีแด่มวลชนชาว<br />

ไทยเนื่องไนอภิลักขิตสมัยงานฉลองวันชาติ 24<br />

มิถุนายน 2485” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59, ตอน<br />

ที่ 46 (7 กรกดาคม 2485): 1718.<br />

128 วัดจากแบบพิมพ์เขียวดั้งเดิมของคณะกรรมการ<br />

พิจารณาการสร้างอนุสสาวรีย์ชัยสมรภูมิ.<br />

ไม่ปรากฏวันที่. ไม่มีเลขหน้า.<br />

129 เรื่องเดียวกัน.<br />

130 เรื่องเดียวกัน.<br />

131 เรื่องเดียวกัน.<br />

132 เรื่องเดียวกัน.<br />

133 เรื่องเดียวกัน.<br />

134 เรื่องเดียวกัน.<br />

135 เรื่องเดียวกัน.<br />

136 เรื่องเดียวกัน.<br />

137 Alnwick War Memorial, accessed March 31,<br />

2017, available from http://www.roll-of-honour.<br />

com/ Northumberland/ Alnwick.html<br />

138 Euston Station War Memorial, accessed March<br />

31, 2017, available from http://www. roll-ofhonour.com/London<br />

/EustonStation.html<br />

139 War Memorial, Port Sunlight, by Sir William<br />

Goscombe John, accessed March 31, 2017,<br />

available from http://www.victorianweb.org/<br />

sculpture/john/14.html<br />

140 Bootle War Memorial, Liverpool, accessed<br />

300 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


March 31, 2017, available from http://1914-<br />

1918.invisionzone.com/ forums/index.php?/<br />

topic/210408-bootle-war-memorial<br />

141 แม้ว่านักวิชาการบางคนในยุค1960 หลังจาก<br />

อนุสาวรีย์นี้สร้างเสร็จมาแล้ว2ทศวรรษ มีความ<br />

เห็นทางศิลปะต่ออนุสาวรีย์นี้ในเชิงลบอย่างยิ่ง<br />

ก็ตาม<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ในสยาม<br />

301


4<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการ<br />

ของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่<br />

ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

302 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


304 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผลการศึกษาจากบทที่1 และบทที่2 ชี้ว่าตั้งแต่ถูกบังคับให้เปิดประเทศ<br />

โดยจักรวรรดินิยมตะวันตกเมื่อกลางศตวรรษที่19 ทั้งญี่ปุ่นและสยามมีจักรพรรดิ<br />

หรือพระมหากษัตริย์ที่มีช่วงรัชกาลใกล้เคียงกัน ในแต่ละรัชกาลก็มีอุดมคติ<br />

และเค้าโครงการบริหารประเทศที่คล้ายคลึงกันในหลายๆ ด้าน ส่งผลให้ผลิตผล<br />

ของสังคม-วัฒนธรรมบางอย่าง เช่น ศิลปะ-สถาปัตยกรรมมีความใกล้เคียง<br />

กันจนสามารถนำมาเปรียบเทียบกันได้ในระดับหนึ่ง ดังนั้นการวิเคราะห์<br />

สถาปัตยกรรมในบทนี้จะลำดับตามช่วงเวลาของรัชสมัยที่เกือบจะตรงกัน<br />

กล่าวเน้นอุดมคติแห่งยุคสมัยของสังคมที่มีผลให้เกิดสถาปัตยกรรมที ่สะท้อน<br />

อุดมคตินั้นซึ่งมีทั้งแบบตะวันตกที่เป็นของใหม่และแบบชาตินิยมที่เป็น<br />

การประยุกต์ระหว่างแบบใหม่กับแบบพื้นเมือง เราจะศึกษาความสำคัญทาง<br />

กายภาพ ความหมาย และสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรมแห่งอุดมคติของ<br />

ยุคสมัยเหล่านี ้ พิจารณาความสัมพันธ์ของมันกับบริบททางสังคม และ<br />

เปรียบเทียบความเหมือนและแตกต่างของสถาปัตยกรรมแห่งอุดมคติของ<br />

ทั้ง 2 ประเทศ ตามลำดับของกาลเวลาซึ่งสามารถลำดับเป็นพัฒนาการทาง<br />

สถาปัตยกรรมได้ 4 แบบที่ทั้ง 2 ประเทศมีลักษณะร่วมกันกว้างๆ ได้แก่<br />

สถาปัตยกรรมแห่งความศิวิไลซ์(สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก) สถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่สถาปัตยกรรมชาตินิยม และสถาปัตยกรรมแห่งสงครามและการสร้างชาติ<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

305


สถาปัตยกรรมแห่งความศิวิไลซ์ (สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก)<br />

(1850-1910)<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกของญี่ปุ่นและสยามเป็นผลมาจาก<br />

การถูกบังคับให้เปิดประเทศผ่านสนธิสัญญามิตรภาพและการค้า<br />

ของจักรวรรดินิยมทั้ง 2 ประเทศไม่ได้ยินดีด้วยสมัครใจตั้งแต่แรก<br />

แต่มาจากการจำยอมเพราะเห็นผลลัพธ์ในการต่อต้านได้ชัดเจน<br />

สยามมีเพื่อนบ้านทั้งหลายเป็นตัวอย่าง ส่วนญี่ปุ่นได้เคยลองรบกับ<br />

สหรัฐอเมริกาด้วยตนเองและพ่ายแพ้อย่างยับเยิน ทั้ง 2 ประเทศ<br />

จึงรู้ดีว่าตะวันตกนั้นก้าวหน้ากว่ามาก โดยเฉพาะสิ่งที่เป็นวิทยาการ<br />

ของตะวันตกที่เป็นตัวการเนรมิตความก้าวหน้าทันสมัยในรูป<br />

เครื่องจักร และการที่จะได้ความรู้เกี่ยวกับวิทยาการนี้ก็จำเป็นต้อง<br />

เข้าถึงระบบการเรียนรู้ วิถีชีวิต วัฒนธรรม การเมืองการปกครอง<br />

ของตะวันตกด้วย ซึ่งทั้ง 2 ประเทศเรียกรวมๆ กันว่าความ “ศิวิไลซ์”<br />

แต่ทั้งนี้ความเข้าใจในระบบของ “ศิวิไลซ์” นั้นญี่ปุ่นเข้าใจดีกว่า<br />

สยามตั้งแต่ต้น ขณะที่สยามต้องการเพียงเปลือกนอกที่ดูดี ญี่ปุ่น<br />

มุ่งไปที่สาระของ “ศิวิไลซ์” นั่นคือ การศึกษาและระบบการเมือง<br />

ซึ่งส่งผลให้การสร้างสถาปัตยกรรมออกมารับใช้จุดประสงค์<br />

แตกต่างกัน แม้ว่าตอนแรกจะดูคล้ายๆ กัน<br />

โรงปั่นด้ายโทมิโอกะ (1872)<br />

306 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


พระที่นั่งเพชรภูมิไพโรจน์ พระนครคีรี<br />

จังหวัดเพชรบุรี (1858)<br />

หน่ออ่อนของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก (1850-1868)<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในญี่ปุ่นยุคนี้อยู่ช่วงปลายโชกุน<br />

(บากุมัตสุหรือบากูฟุ) เน้นการสร้างอาคารอุตสาหกรรมและ<br />

การทหารแบบใหม่ เพราะประเทศยังอยู่ในช่วงสู้รบกันภายใน<br />

เพื่อแย่งชิงอำนาจการปกครอง และเนื่องจากเป็นอาคารที่ไม่เคย<br />

มีมาก่อนผู้ออกแบบจึงเป็นวิศวกรตะวันตก โดยมีช่างก่อสร้างและ<br />

กรรมกรเป็นคนพื้นเมือง ตัวอย่างอาคารที่สำคัญ ได้แก่โรงเลี้ยงไหม<br />

และโรงปั่นด้ายโทมิโอกะ (1872) เป็นงานยุคเมจิตอนต้นที่มีแบบ<br />

เหมือนกับงานยุคปลายโชกุนที่สร้างก่อนหน้านี้ 5-10 ปี ที่สูญหาย<br />

ไปหมดแล้ว เตาหลอมแบบความร้อนสะท้อนกลับ (1853) ที่นิรายามา<br />

และบ้านพักของพ่อค้าต่างประเทศชื่อบ้านโกลฟเวอร์ (1863)<br />

ที่นางาซากิ เป็นต้น<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยามยุคนี้ คือ ช่วงสมัย<br />

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 เป็นการสร้าง<br />

อาคารเลียนแบบตะวันตก โดยอาศัยความรู้ความเข้าใจของ<br />

ช่างขุนนางสยามที่ไปจำรูปแบบอาคารแบบใหม่มาจากสิงคโปร์<br />

ซึ่งเป็นศูนย์กลางอาณานิคมอังกฤษที่ใกล้สยามมากที่สุดนำมาแปลง<br />

ให้เหมาะกับความรู้ความสามารถของช่างก่อสร้างและแรงงานไทย<br />

ตัวอย่างสำคัญ ได้แก่ พระนครคีรี(1858) จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

307


โรงเรียนประถมศึกษาไคชิ (1876)<br />

การเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม<br />

จุดประสงค์ของการสร้างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกยุคแรก<br />

เพื่อสร้างภาพความศิวิไลซ์ของชนชั้นนำ อาคารในสยามเน้น<br />

การเลียนแบบที่เป็นการผสมระหว่างรูปแบบเก่าและรูปแบบใหม่ที่<br />

มีลักษณะเฉพาะตัว ผังอาคารของพระนครคีรีเป็นแบบที่ลอกวัง<br />

และวัดโบราณมาใช้ รูปทรงอาคารมาจากการออกแบบดัดแปลง<br />

ให้ดูเหมือนแบบตะวันตกโดยเฉพาะทรงหลังคามุขหน้าแบบจั่ว<br />

วิหารกรีกที่จำมาจากอาคารในสิงคโปร์ ลวดลายต่างๆ ก็ออกแบบ<br />

ให้ดูเป็นตะวันตก แต่การออกแบบเหล่านี้เมื่อพิจารณาอย่างละเอียด<br />

แล้วก็ทราบทันทีว่าไม่มีอะไรที่เป็นแบบตะวันตกที่แท้จริงเลย<br />

วัสดุและการก่อสร้างยังใช้วัสดุและวิธีการแบบโบราณ ดูเหมือนว่า<br />

มีเพียงการใช้โครงหลังคาแบบทรัส (king post truss) ในพระที่นั่ง<br />

องค์ประธานเพียงองค์เดียวในพระนครคีรีเท่านั้นที่นับได้ว่าเป็นวิธี<br />

การก่อสร้างแบบใหม่<br />

ขณะเดียวกันที่ญี่ปุ่นอาคารหัตถอุตสาหกรรมอย่างเช่น<br />

โรงเลี้ยงไหมและโรงปั่นด้ายโทมิโอกะรวมทั้งเตาหลอมแบบความร้อน<br />

สะท้อนกลับที่นิรายามานั้น แม้จะดูไม่มีความสวยงามแต่กลับเป็น<br />

ประโยชน์ต่อการก่อสร้างอาคารในญี่ปุ่นในยุคต่อไปอย่างยิ่ง<br />

โรงงานที่โทมิโอกะทำให้ญี่ปุ่นได้เรียนรู้วิธีการก่อสร้างอาคารแบบใหม่<br />

หลายประการ เช่น การวางผังโรงงานอย่างเป็นระบบ การสร้าง<br />

อาคารช่วงกว้างด้วยโครงหลังคาทรัสวางบนกำแพงก่ออิฐที่มี<br />

การเรียงอิฐแบบเฟลมมิชบอนด์ (Flemish bond) และอิงลิชบอนด์<br />

(English bond) ของตะวันตก หุ้มไปบนโครงสร้างไม้ขนาดใหญ่<br />

เตาหลอมที่นิรายามาเน้นความแข็งแรงเพื่อประโยชน์ใช้งาน<br />

ในอุตสาหกรรมหนัก เช่น การหล่อปืนใหญ่ที่ต้องใช้เตาที่สร้างด้วย<br />

อิฐอย่างแข็งแรงและเสริมความมั่นคงโดยรัดด้วยแถบเหล็ก<br />

การก่อสร้างอาคารอุตสาหกรรมเหล่านี้เป็นการยกระดับการเรียนรู้<br />

308 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ของช่างก่อสร้างญี่ปุ่น ไม่ใช่จุดประสงค์การสร้างสิ่งที่ดูสวยงาม<br />

อย่างผิวเผิน แต่เป็นการทำงานที่มีจุดมุ่งหมายในการพัฒนา<br />

ศักยภาพตนเองที่ชัดเจนว่าจะเป็นประเทศอุตสาหกรรมตั้งแต่ต้น<br />

ขณะที่สยามยังเดินไปอย่างช้าๆ ในฐานะประเทศเกษตรกรรม<br />

ที่ไม่แน่ใจว่าอนาคตของตนคืออะไรแน่ แต่ขอสร้างสัญลักษณ์ทาง<br />

วัฒนธรรมเช่นพระราชวังแบบยุโรป ให้ชาติตะวันตกยอมรับ<br />

ว่าตนเองไม่ได้ป่าเถื่อน<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกยุคแรก<br />

(ปลายทศวรรษ 1860-1870)<br />

ช่วงนี้เป็นระยะหัวเลี้ยวหัวต่อของการเปลี่ยนผ่านจาก<br />

สถาปัตยกรรมเลียนแบบมาเป็นสถาปัตยกรรมที่มีคุณภาพ<br />

โดยผู้เชี่ยวชาญตะวันตก ที่ญี่ปุ่นรัฐบาลเริ่มเห็นจุดอ่อนของ<br />

งานเลียนแบบของช่างพื้นเมืองและยอมรับคุณภาพที่ดีกว่าของ<br />

อาคารแบบตะวันตกโดยสถาปนิกต่างประเทศ ส่วนที่สยามนั้น<br />

สถาปัตยกรรมเลียนแบบหมดไปอย่างรวดเร็วเมื่อพระบาทสมเด็จ<br />

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่เปิดโอกาส<br />

ให้สถาปนิกชาวตะวันตกได้มีโอกาสทำงานให้รัฐบาลสยาม<br />

หอประชุมโรงเรียนการช่างอุตสาหกรรม (ต่อมาคือมหาวิทยาลัยโตเกียว) (1877)<br />

สถาปัตยกรรมในญี่ปุ่นช่วงนี้เริ ่มในราวต้นสมัยเมจิ<br />

(ค.ศ. 1868) เมื่อการทำสงครามปฏิวัติสิ้นสุดลงและประเทศ<br />

กลับเข้าสู่ภาวะปกติ การก่อสร้างกลับมาเฟื่องฟูอีกเพื่อการฟื้นฟู<br />

ประเทศ คราวนี้ญี่ปุ่นยอมรับในความเหนือกว่าของอารยธรรม<br />

ตะวันตกและสะท้อนออกมาในรูปแบบอาคารที่เรียกว่า “กิโยฟุ”<br />

ซึ่งแปลว่า ฝรั่งเทียม เป็นอาคารไม้ที่ตกแต่งให้ดูเหมือนสร้าง<br />

ด้วยอิฐและหินโดยการทาสี ไม่ว่าจะเป็นโครงสร้าง ประตู หน้าต่าง<br />

และส่วนประดับต่างๆ ขณะที่การวางผังอาคารยังเป็นแบบเอาห้อง<br />

มาเรียงต่อกันแบบญี่ปุ่นโบราณโดยยังไม่รู้จักการออกแบบทางเชื่อม<br />

เราจะพบอาคารเหล่านี้อย่างแพร่หลายไม่ว่าจะเป็นโรงแรม ธนาคาร<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

309


และโรงเรียน อาคารเหล่านี้สร้างโดยช่างไม้ญี่ปุ่นที่สร้างวัดสร้าง<br />

ศาลเจ้ามาก่อนทั้งสิ้น โรงเรียนประถมศึกษาไคชิ(1876) ที่มัทสุโมโต<br />

เป็นตัวอย่างอาคารประเภทนี้ที่มีชื่อเสียงที่สุดที่ยังเหลือรอดถึง<br />

ทุกวันนี้ แต่แล้วสถานการณ์ก็พลิกผันเมื่อรัฐบาลของรัชกาลใหม่<br />

เปิดโอกาสให้สถาปนิกชาวตะวันตกออกแบบอาคารเพื่อการพัฒนา<br />

ประเทศ เช่น โทมัส เจมส์ วอเตอร์ (Thomas James Waters)<br />

ออกแบบโรงกษาปณ์โอซาก้า (1868-1871) พร้อมทั้งเรือนรับรอง<br />

เซ็มปูกัน (Sempukan) ค่ายทหารทาเกบาชิ (Takebashi Barracks)<br />

(1870-1874) ที่โตเกียว และตึกแถวที่กินซ่า (1872) ซึ่งเป็นตึกแถว<br />

สร้างด้วยอิฐแห่งแรกของญี่ปุ่น 1 นอกจากนี้ยังมีชาสเทล เดอ บอนวิลล์<br />

(Chastel de Boinville) ออกแบบหอประชุมของโรงเรียนการช่าง<br />

อุตสาหกรรม (1877) 2 ซึ่งต่อไปจะกลายเป็นมหาวิทยาลัยโตเกียว<br />

อาคารพวกนี้ต่างจากอาคารเพื่อความศิวิไลซ์ในช่วงทศวรรษ<br />

ที่ 1850-1860 ตรงที่มันเป็นอาคารไม่ใช่โรงงานและต้องการ<br />

สุนทรียภาพอยู่บ้างนอกจากการใช้งานแล้ว และหลังจากทศวรรษ<br />

1870 แล้วอาคารแบบตะวันตกของรัฐบาลก็เป็นภาระของสถาปนิก<br />

ผู้เชี่ยวชาญตะวันตกเท่านั้น<br />

หอคองคอเดีย (1871)<br />

310 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ศาลสถิตยุติธรรม (1882)<br />

สถาปัตยกรรมช่วงนี้ในสยามเริ่มราวต้นสมัยรัชกาลที่ 5<br />

ใน ค.ศ. 1868 เช่นกัน ความจริงช่างก่อสร้างชาวสยามคุ้นเคยกับ<br />

การสร้างสถาปัตยกรรมเลียนแบบตะวันตกมาแล้วตั้งแต่ทศวรรษ<br />

1850 ในสมัยรัชกาลที่ 4 เช่น การสร้างพระอภิเนาว์นิเวศน์<br />

(1852-1857) ในพระบรมมหาราชวัง และพระนครคีรี (1858) ที่<br />

จังหวัดเพชรบุรี เป็นต้น และเมื่อเริ่มรัชกาลใหม่แล้วก็ยังคงสร้าง<br />

พระราชวังในลักษณะเลียนแบบตะวันตกต่อไป เช่น พระที่นั่ง<br />

มูลสถานบรมอาสน์ (1868-1873) และพระที ่นั ่งสมมติเทวราช<br />

อุปบัติ (1871-1873) ในพระบรมมหาราชวัง รวมทั้งอาคารนอก<br />

พระบรมมหาราชวัง เช่น ศาลต่างประเทศหน้าวัดพระเชตุพนวิมล<br />

มังคลาราม เป็นต้น แต่แล้วการเสด็จประพาสชวาและสิงคโปร์<br />

ใน ค.ศ. 1871 ซึ่งเป็นการเสด็จประพาสต่างประเทศครั้งแรกของ<br />

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทำให้ทรงเปลี่ยน<br />

พระทัยจ้างสถาปนิกชาวตะวันตกจริงๆ เข้ามาออกแบบก่อสร้าง<br />

สถาปัตยกรรมชนิดใหม่นี้ เริ่มด้วยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />

ให้จอห์น คลูนิส ออกแบบพระที่นั่งบรมราชสถิตย์มโหฬารใน<br />

ค.ศ. 1870 ตามด้วยศาลาสหทัยสมาคมใน ค.ศ. 1871 และพระที่นั่ง<br />

วโรภาษพิมานในพระราชวังบางปะอินใน ค.ศ. 1872 ทั้ง 2 องค์นี้<br />

โดยโจอาคิม กราสซี และใน ค.ศ. 1875 ก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />

ให้จอห์น คลูนิส ออกแบบพระที่นั่งกลางพระบรมมหาราชวังที่มี<br />

ขนาดใหญ่ที่สุด คือ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท สถาปนิกชาว<br />

ตะวันตกเหล่านี้ได้สร้างสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นไวยกรณ์<br />

แบบคลาสสิคที่ถูกต้องของยุโรปจริงๆ แม้จะไม่ได้เลอเลิศอะไรเลย<br />

ในมาตรฐานสากล แต่ก็เป็นจุดเริ่มต้นที ่ทำให้ชนชั้นนำสยามเห็น<br />

ความแตกต่างของคุณภาพและรูปลักษณ์การก่อสร้างระหว่าง<br />

สถาปนิกชาวตะวันตกและช่างก่อสร้างพื้นเมืองสยาม และนำมา<br />

ซึ่งความไว้เนื้อเชื่อใจในช่างชาวตะวันตก แต่มันกลับกลายเป็น<br />

ปัญหาใหม่ขึ้นเพราะการเลือกสถาปนิกและผู้รับเหมาของรัฐบาล<br />

ยังไม่มีกฎเกณฑ์ชัดเจน ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ส่วนตัวของทั้ง<br />

2 ฝ่าย ถ้าโครงการใดเป็นที่สนใจของสถาปนิกซึ่งมักจะเป็นผู้รับเหมา<br />

ด้วยแบบก่อสร้างอาจมีมากกว่า 1 แบบและมาจากสถาปนิกหลายคน<br />

แข่งกัน ในเวลาประมูลงานสถาปนิกอาจเลือกแบบของคนอื่นมา<br />

สร้างก็ได้ถ้าหากเห็นว่ามันจะทำกำไรได้มากกว่าแบบของเขาเอง<br />

ผลงานในยุคต่อมาจึงมีคุณภาพต่ำลง เช่น ข่าวการถล่มของ<br />

โรงทหารม้าที่กำลังสร้างอยู่ใน ค.ศ. 1883 3 หรือพระที่นั่งวโรภาษ<br />

พิมานในพระราชวังบางปะอินที่สร้างใน ค.ศ. 1876 ที่สูง 2 ชั้น<br />

แต่ตั้งอยู่บนพื้นดินอ่อนชิดสระน้ำ ต้องถูกรื ้อลงทำใหม่หมดให้<br />

เหลือเพียงชั้นเดียวใน ค.ศ. 1885 อาคารทั้ง 2 หลังนี้สร้างโดย<br />

กราสซี ทั้งสิ้น นอกจากนี้อาคารแบบตะวันตกทั้งหลายที่สร้างใน<br />

พระบรมมหาราชวังนั้นก็สร้างแบบแออัดขาดการระบายอากาศ 4<br />

โดยเฉพาะในฤดูร้อน จนเป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />

ทรงประชวร และต้องเสด็จประพาสหัวเมืองเพื่อได้ทรงสำราญ<br />

พระราชอิริยาบถและมีพื้นที่ทรงพระราชดำเนินด้วยพระบาท<br />

อย่างไรก็ตามเรื่องร้ายแรงที่สุดในการก่อสร้างอาคารที่ล้มเหลว<br />

ของสถาปนิกผู้รับเหมาชาวตะวันตกคือการก่อสร้างศาลสถิต<br />

ยุติธรรมโดย โจอาคิม กราสซี ใน ค.ศ. 1882 อาคารนี้สร้างอย่าง<br />

งดงามในแบบคลาสสิค มีการใช้หลังคาตัด (หลังคาแบน) และมี<br />

หอคอยสูงกลางอาคารซึ่งสูงถึง 50 เมตร (164 ฟุต) เป็นจุดที่สูง<br />

ที่สุดแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ ในยุคนั้น แต่ความแปลกใหม่ทั้ง 2<br />

กลับนำความล้มเหลวมาสู่อาคารหลังจากอาคารสร้างเสร็จไม่ถึง<br />

10 ปี กล่าวคือหลังคาตัดที่เป็นคอนกรีตร้าวจนใช้งานไม่ได้ และ<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

311


ซ้าย รายละเอียดงานปูนปั้นแบบตะวันตกโดยช่าง<br />

พื้นเมืองที่พระนครคีรี (1858)<br />

ขวา ลวดลายเลียนแบบตะวันตกโดยช่างแกะไม้ญี่ปุ่น<br />

โรงเรียนประถมศึกษาไคชิ (1871)<br />

หอคอยสูงก็แตกร้าวจนใช้การไม่ได้จนต้องถูกทุบทิ้งไปในค.ศ. 1892<br />

มีการซ่อมแซมศาลครั้งใหญ่เปลี่ยนหลังคาเป็นทรงปั้นหยามุง<br />

กระเบื้องที่เบากว่าและกันฝนได้ดีและไม่มีหอคอยสูงที่ดูเด่น<br />

แต่ไร้เสถียรภาพอีกต่อไป นี่เป็นตัวอย่างที่ทำให้เห็นข้อด้อยของ<br />

สถาปนิก ผู้รับเหมาชาวตะวันตกที่อ่อนด้อยทางวิศวกรรมธรณี<br />

ไม่เข้าใจโครงสร้างที่เหมาะสมกับสภาพดินอ่อนของกรุงเทพมหานคร<br />

ไม่ตระหนักในภูมิอากาศแบบร้อนชื้น ฝนชุกของสยามว่าไม่เหมาะ<br />

กับอาคารแบบคลาสสิคที่สร้างติดดินและไม่มีชายคา หรือใช้หลังคา<br />

คอนกรีตแบนที่แตกร้าวเพราะทนความร้อนสลับความเปียกชื้น<br />

จากการไม่สามารถระบายน้ำฝนได้อย่างรวดเร็ว ทั้งหมดนี้เป็น<br />

เหตุผลสำคัญที่การก่อสร้างเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูปการปกครอง<br />

ของสยามในทศวรรษ 1890<br />

การเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม<br />

ในช่วงแห่งการเปลี่ยนผ่านนี้ในตอนแรกทั้ง 2 ชาติยังมี<br />

แนวคิดเหมือนกันในการสร้างสถาปัตยกรรมเลียนแบบอย่างซื่อๆ<br />

แต่เราก็เห็นความแตกต่างของแบบรูปธรรมที่เป็นไปตามความถนัด<br />

ของจารีตการก่อสร้างและการใช้วัสดุขณะที่สยามใช้ผนังอิฐฉาบปูน<br />

หลังคาโครงไม้มุงกระเบื้องอย่างคล่องแคล่วนั้น ญี่ปุ่นกลับใช้<br />

โครงสร้างไม้ล้วนทั้งหลังและหลังคามุงกระเบื้อง ส่วนที่เหมือนกัน<br />

อีกประการหนึ่งโดยไม่ได้นัดหมาย คือ ลวดลายประดับบางอย่าง<br />

เช่น ลวดลายเมฆประดับหน้าบันอาคาร ไม่ว่าจะสร้างด้วยปูนในสยาม<br />

อย่างที่พระนครคีรีหรือแกะด้วยไม้ในญี่ปุ่นที่โรงเรียนประถมศึกษา<br />

ไคชิ ก็มีลักษณะของเส้นรอบรูปและการม้วนของเมฆที่คล้ายกัน<br />

ซึ่งที่จริงแล้วไม่ใช่ลายแบบตะวันตกแต่เป็นลายที่เป็นอิทธิพล<br />

312 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ตกทอดมาจากศิลปะจีนยุคโบราณ แต่งานแบบนี้โดยช่างท้องถิ่น<br />

ก็หมดไปในทศวรรษแรกของรัชสมัยใหม่ทั้งที่ญี่ปุ่นและสยาม และ<br />

เปิดโอกาสให้สถาปนิกชาวตะวันตกมาแทนที่ เพราะความต้องการ<br />

ในอาคารที่มีประโยชน์ใช้งานที่ดีกว่าและรูปลักษณ์ที่ถูกต้องกว่า<br />

อย่างไรก็ตามปัญหาที่ทั้ง 2 ประเทศประสบเหมือนกัน คือ คุณภาพ<br />

ของสถาปนิกชาวตะวันตกรุ่นแรกตอนปลายทศวรรษที่ 1860-<br />

1870 ไม่ว่าจะเป็นโทมัส เจมส์ วอเตอร์ ชาสเทล เดอ บอนวิลล์<br />

ในญี่ปุ ่น หรือ โจอาคิม กราสซี ในสยามนั้นไม่ใช่สถาปนิกชั้นเยี่ยม<br />

แต่เป็นสถาปนิกประเภทมากประสบการณ์ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่<br />

สามารถทำงานที่ยิ่งใหญ่คุณภาพสูงสนองรัฐบาลญี่ปุ่นที่กำลัง<br />

ทะเยอทะยานได้ ขณะที่สยามมีประสบการณ์ที่แย่ไปกว่านั้น กล่าว<br />

คือ สถาปนิก ผู้รับเหมาทำงานหลายโครงการคุณภาพต่ำและทำให้<br />

รัฐเสียหาย นี่เป็นสาเหตุสำคัญที่รัฐบาลทั้ง 2 ชาติต้องปฏิรูประบบ<br />

การก่อสร้างอาคารใหม่ ถึงกระนั้นก็ดีสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในช่วงเปลี่ยนผ่านก็ยังคงคุณค่าสำคัญทางประวัติศาสตร์ ในฐานะ<br />

สถาปัตยกรรมที่ไม่ใช่แบบโบราณแต่ก็ยังไม่ใช่แบบใหม่ที่สมบูรณ์<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกยุคปฏิรูป<br />

(ปลายทศวรรษที่ 1870-1910)<br />

ตั้งแต่ปลายทศวรรษที่ 1870-1890 ทั้งรัฐบาลญี่ปุ่นและ<br />

สยามเริ่มเข้าใจในการก่อสร้างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกอย่าง<br />

เป็นระบบขึ้น พวกเขามองเห็นปัญหาของการจ้างสถาปนิก ผู้รับเหมา<br />

ชาวตะวันตกที่มีคุณภาพต่ำกว่าเกณฑ์ ซึ่งทำให้ได้อาคารที่สนอง<br />

ประโยชนใช้สอยไม่เต็มที่ขาดความงดงาม และความมั่นคงแข็งแรง<br />

พวกเขาจึงจ้างสถาปนิกรุ่นใหม่ที่มีพื้นฐานการศึกษาดีมาปฏิบัติงาน<br />

ในระบบราชการที่มีการจัดการแบบสมัยใหม่ สามารถตอบสนอง<br />

วัตถุประสงค์ของรัฐบาลได้เต็มที่ ผลงานของสถาปนิกยุคปฏิรูปนี้<br />

เป็นสิ่งที่สร้างพื้นฐานที่แข็งแกร่งให้การก่อสร้างแบบใหม่แก่ทั้ง 2<br />

ประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นมันเป็นการเปิดประวัติศาสตร์หน้าใหม่<br />

ให้กับสถาปัตยกรรมของประเทศเลยทีเดียว แต่ในอีกด้านหนึ่ง<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกได้สร้างคำถามว่าด้วยอัตลักษณ์ทาง<br />

สถาปัตยกรรมให้กับทั้ง 2 ชาติด้วย<br />

ญี่ปุ่นกับการปฏิรูปเพื่อการพึ่งตนเอง (1877-1912)<br />

ความรุ่งเรืองของสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในญี่ปุ่นนั้น<br />

เป็นผลโดยตรงของยุทธศาสตร์ชาติในรัชสมัยเมจิที่ว่า “ชาติร่ำรวย<br />

การทหารเข้มแข็ง” และ “เสริมสร้างการเกษตรและอุตสาหกรรม”<br />

โดยมีมหาวิทยาลัยเป็นเครื่องจักรสำคัญในการผลิตบุคลากร<br />

ตั้งแต่ ค.ศ. 1877 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นได้เปิดศักราชสถาปัตยกรรม<br />

แบบตะวันตกอย่างแท้จริงและยั่งยืน โดยการปลูกถ่ายความรู้จาก<br />

ชาติตะวันตกอย่างเป็นระบบผ่านการจ้างโจไซอา คอนเดอร์<br />

สถาปนิกหนุ่มชาวอังกฤษมาเป็นอาจารย์สอนวิชาสถาปัตยกรรมที่<br />

มหาวิทยาลัยโตเกียวเป็นครั้งแรก เพื่อสอนให้นักศึกษาชาวญี่ปุ่น<br />

ให้เข้าใจในวิชาชีพสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เพื่อนำไปประกอบ<br />

วิชาชีพได้โครงการนี้จะเห็นความสำเร็จในอีก 1 ทศวรรษถัดไป และ<br />

เป็นความสำเร็จครั้งสำคัญของญี่ปุ่นในการสร้างสถาปัตยกรรมยุคใหม่<br />

สาระที่คอนเดอร์สอนมุ่งการปฏิบัติจริงที่สอดคล้องกับความต้องการ<br />

โรงเรียนการศึกษาแผนตะวันตก ต่อมาคือ มหาวิทยาลัยโตเกียว (1871)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

313


ของชาติกำลังพัฒนาอย่างเร่งรีบของญี่ปุ ่น สถาปัตยกรรมของเขา<br />

จึงมุ่งที่ประโยชน์ใช้งาน วิศวกรรม และยังรวมวิชาประวัติศาสตร์<br />

สถาปัตยกรรมเพื่อกระตุ้นให้นักศึกษาเข้าใจที่มาของสถาปัตยกรรม<br />

ลูกศิษย์รุ่นแรกๆ ของคอนเดอร์ 4 คนที่จบการศึกษาตอนปลาย<br />

ทศวรรษ 1870 ได้แก่ ทัตสุโนะ คิงโกะ คาตายามา โตกุมา ซึเมกิ<br />

โยรินากะ และโซเน ทัตสุโซ ต่อมาได้เป็นเสาหลักของวงการศึกษา<br />

และวิชาชีพสถาปัตยกรรมของสถาปนิกญี่ปุ่นตั้งแต่ช่วงหลังของ<br />

ทศวรรษที่ 1880 เมื่อรัฐบาลญี่ปุ่นเลิกจ้างผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ<br />

และภารกิจทั้งหลายถูกส่งต่อไปที่สถาปนิกญี่ปุ่นรุ่นแรกเหล่านี้<br />

ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ผลงานของศิษย์เหล่านี้จะเดินตามแนวทางของ<br />

คอนเดอร์ต่อไปคือเน้นประโยชน์ใช้งาน ความแข็งแรง และใช้รูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมตะวันตกโบราณแบบผสมผสานเป็นหลัก โดยลูกศิษย์<br />

แต่ละคนนำหลักการไปประยุกต์ให้เข้ากับรูปแบบที ่ตนถนัด เช่น<br />

ทัตสุโนะ คิงโกะออกแบบได้หลายรูปแบบตั้งแต่แบบฟื้นฟูโกธิค<br />

จนถึงนีโอคลาสสิค คาตายามา โตกุมา เน้นแบบคลาสสิคฝรั่งเศส<br />

และฟื ้นฟูบาร็อค ซึเมกิ โยรินากะ เน้นแบบนีโอคลาสสิค และโซเน<br />

ทัตสุโซ เน้นแบบวิคตอเรียน สิ่งที่น่าสนใจคือสถาปนิกรุ่นบุกเบิกนี้<br />

มีพัฒนาการในการออกแบบที่รวดเร็วมาก ภายในระยะเวลา 2<br />

ทศวรรษพวกเขาทุกคนต่างมีผลงานเป็นอาคารสาธารณะขนาดใหญ่<br />

ที่มีคุณภาพสูงใกล้เคียงยุโรป ยกตัวอย่างเช่น ทัตสุโนะ คิงโกะ<br />

ออกแบบ ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น (1896) เป็นแบบนีโอคลาสสิค<br />

ที่สนองประโยชน์ใช้สอยที่ซับซ้อนได้อย่างสง่างาม สนามมวยปล้ำ<br />

ซูโม่ (1908) หลังคาเป็นโครงสร้างเหล็กที่มีช่วงกว้างถึง 30 เมตร<br />

คาตายามา โตกุมาออกแบบพระราชวังเฮียวไคคัน (1901-1908)<br />

ที่สวนอูเอโนด้วยรูปทรงนีโอคลาสสิคที่สง่างาม ตามด้วยพระราชวัง<br />

อะกาซากะ (1909) ขนาดมหึมาในรูปแบบฟื้นฟูบาร็อคที่ประกาศตน<br />

เป็นจักรวรรดินิยมแห่งเอเชียของญี่ปุ่น และท้าทายสัญลักษณ์วัง<br />

ขนาดมหึมาสมัยศตวรรษที่17-18 ของจักรวรรดินิยมยุโรปทั้งหลาย<br />

ธนาคารแห่งชาติญี่ปุ่น (1896)<br />

314 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน พระราชวังอะกาซากะ (1909)<br />

ล่าง ธนาคารแห่งโยโกฮาม่า (1905)<br />

ซึเมกิโยรินากะแสดงความสามารถโดยการควบคุมการก่อสร้าง<br />

ศาลฎีกา กรุงโตเกียวที่อาจารย์ของเขาเอนเดอร์และบ๊อคมานน์<br />

ออกแบบสำเร็จใน ค.ศ. 1896 นอกจากนี้เขายังออกแบบหอการค้า<br />

แห่งกรุงโตเกียว (1899) ที่เป็นแบบผสมผสาน (Eclecticism)<br />

แบบเยอรมันภาคเหนือ 5 ที่อวดผิวอิฐก่อแถบแดงสลับขาวคลุมหลังคา<br />

ทรงสูงมุงกระเบื้องหินชนวน และธนาคารแห่งโยโกฮาม่า (1905)<br />

ในรูปแบบนีโอคลาสสิคที่มีหลังคาโดมโครงสร้างเหล็กขนาดใหญ่<br />

ประดับที่มุขกลาง โซเน ทัตสุโซ เป็นสถาปนิกของบริษัทมิซูบิชิและ<br />

ได้ร่วมกับอาจารย์เก่าของเขาคอนเดอร์ออกแบบอาคารสำนักงานใหญ่<br />

ในแบบผสมผสาน (Eclecticism) ผนังก่ออิฐอวดผิวคลุมด้วย<br />

หลังคาจั่วทรงสูงมุงกระเบื้องหินชนวนสีดำในแบบอังกฤษที่<br />

เรียกกันว่า แบบวิคตอเรียน อาคารหลังนี้มีความแข็งแรงที่สามารถ<br />

ต้านทานแผ่นดินไหวใหญ่ใน ค.ศ. 1923 ได้ ทั้งเขาและคอนเดอร์<br />

ได้รับการยกย่องจากสาธารณชนในศักยภาพสูงของการออกแบบ<br />

ครั้งนี้<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

315


ในช่วงทศวรรษแรกของศตวรรษที่ 20 อิทธิพลของ<br />

สถาปัตยกรรมอาร์ตนูโวแผ่เข้ามาในญี่ปุ่น เป็นสถาปัตยกรรรมที่<br />

ใช้รูปทรงเรขาคณิต ตกแต่งลวดลายน้อยเลียนแบบลักษณะ<br />

ธรรมชาติและเรือนพื้นถิ่น ไม่นิยมอาคารแบบโบราณ สถาปนิก<br />

ญี่ปุ่นได้รับอิทธิพลในเรื่องรูปแบบโดยไม่สนใจในแนวความคิดนัก<br />

มีอาคารแบบนี้เกิดขึ้นในโอซาก้า เช่น ร้านตัดผมคามิโนโตะ<br />

(Kaminoto Barber Shop) (1903) โดยฮิดากะ ยูตากะ (Hidaka<br />

Yutaka) 6 แม้กระทั่งสนามกีฬาซูโม่แห่งชาติ (National Sumo Arena)<br />

(1911) ที่ออกแบบโดยทัตสุโนะ คิงโกะ ก็ได้อิทธิพลของอาร์ตนูโว<br />

นอกจากนี้เทคโนโลยีการก่อสร้างที่เจริญก้าวหน้าก็ตามมาติดๆ<br />

การก่อสร้างอาคารด้วยโครงสร้างเหล็กหรือคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

เพื่อป้องกันแผ่นดินไหวเริ่มเกิดขึ้น เช่น ร้านหนังสือมารูเซ็น<br />

(Maruzen Bookstore) (1909) สร้างด้วยโครงสร้างเหล็กทั้งหลัง<br />

โดย ซาโน โตชิคาตะ และโรงละครหลวง (Imperial Theatre) (1911)<br />

ที่กรุงโตเกียวโดย โยโกกาวา ทามิสุเกะ (Yokogawa Tamisuke)<br />

เป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กขนาดใหญ่ที่มีประโยชน์ใช้สอย<br />

ซับซ้อนเทียบเท่าโรงละครในยุโรป<br />

ร้านตัดผมคามิโนโตะ (1903)<br />

สถาปนิกและสถาปัตยกรรมที ่ยกตัวอย่างมาทั ้งหมดนี้<br />

คือ ตัวแทนแห่งความสำเร็จในการสร้างวิชาการและวิชาชีพ<br />

สถาปัตยกรรมให้เป็นที่ยอมรับของสาธารณชนญี่ปุ่น ประชาชน<br />

เชื่อว่าอาคารที่สร้างและออกแบบโดยชาวญี ่ปุ่นเหล่านี้ทั ้งสวยงาม<br />

แข็งแรง และมีประโยชน์ใช้สอยดีกว่าสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ยุคแรกช่วงปลายทศวรรษที่ 1860-1870 ที่สร้างโดยสถาปนิก<br />

ชาวตะวันตกเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นนับตั้งแต่นี้เป็นต้นไปจึงเป็นยุคสมัย<br />

แห่งการยืนอยู่บนขาตนเองของญี่ปุ่น อาคารแบบตะวันตกต่างๆ<br />

ที่เป็นเครื่องหมายของความเจริญศิวิไลซ์ที่ชาวญี่ปุ ่นใฝ่ฝันก็ตกมา<br />

อยู่ในความรับผิดชอบดูแลของชาวญี่ปุ่นเองทั้งกระบวนการ<br />

เป็นไปตามอุดมคติ “จิตวิญญาณญี่ปุ่น วิทยาการตะวันตก”<br />

(Wakon-Yosai) ที่รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งไว้ตั้งแต่ต้นรัชสมัยเมจิก็ปรากฏ<br />

เป็นจริงขึ้นมา<br />

316 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ความงอกงามของวงการวิชาการและวิชาชีพสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

การเกิดและเติบโตของภาควิชาสถาปัตยกรรม สมาคมวิชาชีพ<br />

สถาปัตยกรรม และการเกิดวารสารวิชาการสถาปัตยกรรม<br />

ความสำเร็จในยุคปฏิรูปจนญี่ปุ่นสามารถยืนอยู่บนขาของ<br />

ตนเองได้ในกระบวนการสร้างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่กล่าว<br />

มาข้างต้นไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นการดำเนินการตามแผนที่วางไว้<br />

อย่างมีลำดับขั้นตอนและมีความอุตสาหะในการดำเนินการตามแผน<br />

อย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย จุดเริ่มต้นของทั้งหมด คือ การตั้งสาขา<br />

วิชาสถาปัตยกรรมขึ้นในมหาวิทยาลัยโตเกียวใน ค.ศ. 1877 โดยการ<br />

เชิญโจไซอา คอนเดอร์ มาสอนวิชาการแบบใหม่นี้ ด้วยคุณูปการ<br />

ในการสร้างคนอย่างมีปัญญาของคอนเดอร์ที่ต่อเนื่องเพียงไม่ถึง<br />

1 ทศวรรษ เมื่อถึงทศวรรษ 1890 ศิษย์ชาวญี่ปุ่นของคอนเดอร์<br />

ก็เจริญงอกงามพอที่จะรับภารกิจการสอนต่อไปได้ด้วยตัวเอง<br />

ทางด้านการปฏิบัติวิชาชีพทั้งทัตสุโนะ คาตายามา ซึเมกิ และ<br />

โซเน ก็สามารถออกแบบก่อสร้างอาคารจนเป็นที่ไว้วางใจของสังคม<br />

ทั้ง 2 ประการนี้เป็นตัวชี้วัดการลงหลักปักฐานอย่างมั่นใจได้ของ<br />

สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่น<br />

ร้านหนังสือมารูเซ็น (1909)<br />

ตั้งแต่ช่วงใกล้ ค.ศ. 1900 เป็นต้นไปเกิดนักวิชาการ<br />

สถาปัตยกรรมที่เสนอทฤษฎีใหม่ๆ ของตนเองต่อสังคมอย่างน่าทึ่ง<br />

ทั้งแนวชาตินิยมและแนวก้าวหน้า ตัวอย่างเช่น อิโตะ ชูตะที่<br />

ไม่พอใจตำราสถาปัตยกรรมของ เจมส์ เฟอร์กัสสัน (1876)<br />

ที่กล่าวว่า สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นมีคุณค่าน้อยและปราศจาก<br />

พัฒนาการ เขาแย้งกลับว่า สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นนั้นนอกจากจะมี<br />

พัฒนาการแล้วยังสามารถเห็นความเชื่อมต่อกับสถาปัตยกรรมกรีก<br />

ที่เป็นต้นกำเนิดของสถาปัตยกรรมตะวันตกได้อีกด้วย ดังปรากฏ<br />

ให้เห็นในเสารูปทรงป่องกลางที่วัดโฮริวจิแห่งเมืองนาราในบทความ<br />

ค.ศ. 1893 และการเขียนประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมสากล<br />

ในทัศนะของตนเองใน ค.ศ. 1895 เขาลงทุนเดินทางจากญี่ปุ่นผ่าน<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

317


อิโตะ ชูตะ (1867-1954)<br />

ซาโน โตชิคาตะ (ริกิ) (1880-1956)<br />

ประเทศจีน เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อินเดียไปจนถึงอียิปต์ กรีซ<br />

และตุรกีเพื่อพิสูจน์ทฤษฎีของเขา และนำเสนอทฤษฎีใหม่ของเขา<br />

ชื่อ “ทฤษฎีวิวัฒนาการแห่งสถาปัตยกรรม” ในประเด็นความสัมพันธ์<br />

ระหว่างสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นและโลกตะวันตกว่าเป็นอันหนึ่งอันเดียว<br />

กันใน ค.ศ. 1909 ทฤษฎีของเขาเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมญี่ปุ่น เช่น สถาปัตยกรรมแบบวิวัฒนาการ<br />

ของตัวเขาเองและสถาปนิกชาตินิยมอื่นๆ ในการออกแบบอาคาร<br />

ทรงมงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิ ที่เป็นการผสมผสานกัน<br />

ระหว่างสถาปัตยกรรมตะวันตกที่คลุมด้วยหลังคาแบบญี่ปุ่นโบราณ<br />

สำหรับแนวเทคโนโลยีที่ก้าวหน้านั้นซาโน โตชิคาตะ หัวหน้าภาควิชา<br />

สถาปัตยกรรมต่อจากทัตสุโนะ คิงโกะเสนอข้อสังเกตจากการศึกษา<br />

แผ่นดินไหวในนครซานฟรานซิสโกใน ค.ศ. 1906 ในบทความ<br />

ของเขาที่ตีพิมพ์ในวารสาร Journal of Japanese Architecture<br />

(ปัจจุบันคือวารสาร Journal of Architecture and Building<br />

Science) 7 ว่า เขาพบความทนทานของอาคารโครงสร้างเหล็ก<br />

ในการต่อต้านแผ่นดินไหว รวมทั้งอาคารคอนกรีตเสริมเหล็กด้วย<br />

ขณะที่อาคารโครงสร้างกำแพงก่ออิฐล้วนนั้นความเสียหายเกิดจาก<br />

คุณภาพอิฐและฝีมือการก่อสร้าง ต่อมาเขากล่าวอีกว่าสถาปนิก<br />

ควรมีความรู้พื้นฐานทางวิทยาศาสตร์การก่อสร้าง และเป็นวิศวกร<br />

การก่อตั้งสมาคมสถาปนิกเกิดขึ้นใน ค.ศ. 1886 8 ในชื่อ<br />

สถาบันการก่อสร้างบ้านพักอาศัย (The House Building Institute)<br />

โดยมีสถาปนิกร่วมก่อตั้ง 26 คน มีโจไซอา คอนเดอร์ เป็นประธาน<br />

กิตติมศักดิ์ โดยมีจุดประสงค์ในการส่งเสริมความสามารถและ<br />

คุณภาพของเหล่าสถาปนิก จำนวนสมาชิกได้เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ<br />

เมื่อถึงปีสุดท้ายของรัชสมัยเมจิใน ค.ศ. 1912 นั้น มีสมาชิกถึง<br />

2,543 คน และเปลี่ยนชื่อเป็นสถาบันสถาปัตยกรรมแห่งญี่ปุ่น<br />

(The Architectural Institute of Japan) ตั้งแต่ ค.ศ. 1897 กิจกรรม<br />

สำคัญของสมาคมที่เป็นการเริ่มต้นแห่งความงอกงามของวิชาการ<br />

คือ การตีพิมพ์วารสารวิชาการชื่อ วารสารสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

(Journal of Japanese Architecture) ฉบับแรกออกเมื่อเดือน<br />

มกราคม ค.ศ. 1887 วารสารนี้เป็นเวทีของการเผยแพร่ผลงานและ<br />

318 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


คาร์โล อัลเลอกรี (1862-1938)<br />

แนวคิดต่างๆ ของสมาชิก รวมทั้งความเคลื่อนไหวของวงการ<br />

สถาปัตยกรรมในยุโรปและสหรัฐอเมริกา บทความที่ตีพิมพ์มี<br />

หลากหลาย 9 สามารถแบ่งหัวข้อเรื่องเป็นสาขาวิชาการต่างๆ เช่น<br />

ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมญี่ปุ่น เอเชีย ตะวันตก ปรัชญา<br />

สถาปัตยกรรม เทคโนโลยีสถาปัตยกรรม แสง เสียง อากาศ<br />

การออกแบบอาคารประเภทต่างๆ อัคคีภัย ธรณีวิทยา แผ่นดินไหว<br />

โครงสร้างอาคารวัสดุต่างๆ ไม้ หิน คอนกรีตเสริมเหล็ก และการ<br />

ออกแบบผังเมือง เป็นต้น เมื่อนับถึง ค.ศ. 1936 ที่สถาบันสถาปนิกฯ<br />

ฉลองครบรอบ 50 ปีแห่งการก่อตั้ง วารสารฉบับนี้ได้ตีพิมพ์แบบ<br />

รายเดือนมาอย่างต่อเนื่องถึง 49 ปี นับได้607 ฉบับ และมีบทความ<br />

ตีพิมพ์ประมาณ 10,000 บทความ 10 กล่าวได้ว่าวารสาร<br />

สถาปัตยกรรมเป็นองค์ประกอบสำคัญ 1 ใน 3 ที่ทำให้วงการ<br />

สถาปนิกญี่ปุ่นเจริญงอกงามอย่างรวดเร็วและมั่นคงนั่นคือ โรงเรียน<br />

สมาคม และวารสารนั่นเอง<br />

สยามกับการปฏิรูปเพื่อการพึ่งพา (1890-1910)<br />

มาริโอ ตามานโย (1877-1941)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

มูลเหตุแห่งการปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของสยาม<br />

ในทศวรรษ 1890 คือการจัดระเบียบการบริหารบ้านเมืองให้ทันสมัย<br />

และเพื ่อหลีกเลี่ยงการปกครองแบบมีรัฐธรรมนูญหรือคอนสติตู<br />

ชาแนลโมนากี (Constitutional Monachy) ที่บรรดาเจ้านายและ<br />

ขุนนางถวายฎีกาต่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

ใน ค.ศ. 1885 การปฏิรูปการปกครองแผ่นดินเป็นการพบกัน<br />

ครึ่งทาง คือ คงให้พระมหากษัตริย์เป็นผู้นำมีสิทธิขาดในการบริหาร<br />

ประเทศ แต่ปรับปรุงกลไกให้ทันสมัยโดยใช้ระบบกระทรวง ทบวง<br />

กรม ในส่วนกลางและระบบมณฑลเทศาภิบาลในส่วนภูมิภาค<br />

งานก่อสร้างอาคารทั้งหลายก็ตกอยู่ในข่ายที่ต้องถูกปฏิรูป ด้วยเหตุ<br />

ที่สถาปนิกผู้รับเหมามีคุณภาพไม่ได้มาตรฐานและวิธีการจัดสร้าง<br />

อาคารไม่มีกติกาที่ถูกต้องชัดเจน กระทรวงโยธาธิการจึงเกิดขึ้น<br />

ใน ค.ศ. 1890 เพื่อสร้างมาตรฐานการก่อสร้างใหม่แบบยุโรป<br />

มีการจ้างสถาปนิก วิศวกรจากยุโรปมาเป็นคณะเพื่อดำเนินการนี้<br />

319


โดยเฉพาะ สถาปนิก วิศวกรชุดใหม่นี้นอกจากจะเป็นคนวัยหนุ่ม<br />

แล้วยังมีการศึกษาแบบใหม่ กล่าวคือสำเร็จจากสถาบันการศึกษา<br />

ขั้นอุดมศึกษา เช่น มหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยี หรือวิทยาลัย<br />

ศิลปะชั้นสูงของอิตาลีหรือเยอรมัน เป็นต้น มีการทำงานเป็น<br />

คณะประสานกันระหว่างวิศวกรผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการคำนวณ<br />

ความแม่นยำและความแข็งแรง ตลอดจนการจัดการและควบคุม<br />

การก่อสร้างกับสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญในเรื่องการออกแบบที่สวยงาม<br />

และการใช้งานที ่ดี นับเป็นวิธีการบริหารงานก่อสร้างที่ทันสมัย<br />

เช่นเดียวกับยุโรปและสหรัฐอเมริกาในยุคนั้นทีเดียว โดยมี คาร์โล<br />

อัลเลอกรี วิศวกรหนุ่มจากเมืองมิลานที่สำเร็จวิชาวิศวกรรมจาก<br />

โรงเรียนเทคนิคแห่งมิลานและมหาวิทยาลัยปาเวีย (University of<br />

Pavia) เป็นหัวหน้าคณะออกแบบที่เรียกว่า เวรแบบอย่างของ<br />

กระทรวงโยธาธิการ มีสถาปนิกหนุ่มชาวตูริน มาริโอ ตามานโย<br />

ที่สำเร็จการศึกษาจากสถาบันศิลปะอัลเบอร์ตินาเป็นหัวหน้า<br />

สถาปนิก พร้อมกับสถาปนิก วิศวกรต่างประเทศอื่นๆ ในเวรแบบอย่าง<br />

อีกร่วม 10 คนเป็นคณะทำงาน การเปลี่ยนระบบบริหารและ<br />

ผู้ปฏิบัติงานทำให้ผลงานมีมาตรฐานขึ้น มีอาคารแบบตะวันตก<br />

หลากหลายรูปแบบเกิดขึ้นมากมายหลังทศวรรษ 1890 ซึ่งส่วนใหญ่<br />

สถาปนิกได้แรงบันดาลใจมาจากสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญในยุโรป<br />

แต่ด้วยงบประมาณที่จำกัดอาคารเหล่านี้จึงถูกจับย่อส่วนให้สมดุล<br />

กับงบประมาณ ดังนั้นเราจึงเห็นสถาปัตยกรรมที่มีภาพลักษณ์<br />

ภายนอกดูคล้ายสถาปัตยกรรมในยุโรป แต่เมื่อพิจารณาจากภายใน<br />

และการก่อสร้างแล้วก็จะเห็นว่ามันยังมีมาตรฐานห่างไกลจาก<br />

ต้นแบบอยู่มาก อาคารเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นวังของเจ้านายชั้นสูง<br />

และอาคารทางราชการสำคัญบางแห่ง เช่น กระทรวงมหาดไทย<br />

(1896-1914) ศาลาลูกขุนใหม่(1897) พระที่นั่งบรมพิมาน (1897-<br />

1903) พระราชวังสราญรมย์(1898) โรงกระสาปณ์สิทธิการ (1902)<br />

ตำหนักจิตรลดา (1903-1906) วังปารุสกวัน (1903-1906)<br />

320 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (1901-1905)<br />

ล่าง ภาพเก่า สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ จังหวัดอุตรดิตถ์ (1909)<br />

หน้าตรงข้าม วังบางขุนพรหม (1903-1905)<br />

วังบางขุนพรหม (1903-1906) พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต<br />

(1906) บ้านสุริยานุวัตร (1906-1908) และสถานีรถไฟอุตรดิตถ์<br />

(1908-1909) เป็นต้น อาคารเหล่านี้อุดมไปด้วยรูปลักษณ์ของ<br />

สถาปัตยกรรมที่มีในยุโรปทั้งแบบมาตรฐานโบราณ เช่น แบบ<br />

อิตาเลียนคลาสสิคหรือเรียกกันว่า แบบพาลลาเดียน เช่น กระทรวง<br />

มหาดไทย 11 และแบบใหม่ล่าสุดที่เรียกกันว่า มอเดิร์นสไตล์<br />

(Modern Style) หรืออาร์ตนูโว (Art Nouveau) ที่แพร่หลายทั่วยุโรป<br />

ช่วงปลายศตวรรษที่19 ต่อต้นศตวรรษที่20 ในชื่อเรียกต่างๆ แล้วแต่<br />

ประเทศที่ตั้ง เช่น สติลฟลอรีอาเล (Stile Floreale) หรือสติลลิเบอร์ตี้<br />

(Stile Liberty) ในอิตาลี เช่น พระที่นั่งอัมพรสถาน 12 หรือจุงเก้นสติล<br />

(Jugendstil) ในเยอรมัน เช่น สถานีรถไฟอุตรดิตถ์13 สยามในช่วงนี้<br />

จึงเปรียบเสมือนสนามประลองความสามารถการออกแบบของ<br />

สถาปนิกหนุ่มยุโรป อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าจะเป็นสาระที่ยั่งยืนกว่า<br />

นั้นเช่นเทคนิคการก่อสร้างอาคารก็มีการปรับปรุงให้ดีขึ้น มีการใช้<br />

ระบบโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก ซึ่งใช้ในการก่อสร้างที่ความมั่นคง<br />

แข็งแรงเป็นเรื่องสำคัญมาก เช่น ฐานรากพระที่นั่งอนันตสมาคม<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

321


ที่เป็นทุ่นคอนกรีตวางบนเข็ม 14 หรือการใช้โครงสร้างเหล็กสร้าง<br />

หลังคาพาดช่วงกว้าง ตัวอย่างเช่น โรงกระสาปณ์สิทธิการ 15 เป็นต้น<br />

การก่อสร้างที่ก้าวหน้าเป็นอานิสงส์โดยตรงจากงานก่อสร้าง<br />

สาธารณูปโภคที่สำคัญเช่นทางรถไฟที่ขยายตัวอย่างมากตอนครึ่ง<br />

หลังของรัชกาลนี้<br />

ความไม่งอกงามในการศึกษาสถาปัตยกรรมของสยาม<br />

คาร์ล ดือห์ริ่ง (1879-1941)<br />

การศึกษาวิชาชีพสถาปัตยกรรมของสยามมีหลักฐานปรากฏ<br />

เป็นเอกสารหลักสูตรวิชาช่างแบบอย่างก่อสร้าง (อาคิเต๊ก) ของ<br />

โรงเรียนเพาะช่างใน ค.ศ. 1913 16 เป็นครั้งแรก แต่ปราศจากข้อมูล<br />

ของการดำเนินการสอนและผลสำเร็จของการผลิตนักศึกษาใดๆ<br />

ก่อนที่การศึกษาสาขานี้จะเริ่มต้นเอาจริงเอาจังในอีก 20 ปีต่อมา<br />

ดังนั้นในช่วงเวลาที่เรากำลังศึกษาอยู่นี้ในทศวรรษ 1890-1910 นั้น<br />

การศึกษาสถาปัตยกรรมในสยามเกิดขึ้นในวงจำกัดมาก มีการศึกษา<br />

อย่างเป็นระบบเรื่องสถาปัตยกรรมไทยโดย คาร์ล ดือห์ริ่ง สถาปนิก<br />

เยอรมันสังกัดกรมรถไฟหลวง คือ เรื่องพระเจดีย์ในสยาม (Das<br />

Phrachedi in Siam) ใน ค.ศ. 1912 และเรื่องโบสถ์ของวัดในสยาม<br />

(Der Bot (Haupttempel) Inden Siamesischen Tempelanlagen)<br />

ใน ค.ศ. 1914 วิทยานิพนธ์ปริญญาเอกทั้ง 2 เล่มนี้เป็นการเปิด<br />

ศักราชใหม่ของการศึกษาสถาปัตยกรรมไทย เขาเสนอการศึกษา<br />

ศาสนสถานทั้ง 2 อย่างเป็นระบบ และมีระเบียบวิธีการศึกษาที่ดี<br />

ตามมาตรฐานเยอรมัน โดยเน้นที่การจัดกลุ่มอาคารตามลักษณะ<br />

การออกแบบ และด้วยสมมติฐานที่เขามีว่าสถาปัตยกรรมไทย<br />

ประเภทโบสถ์นั้น มีลักษณะการออกแบบผังที่คล้ายคลึงกับวิหาร<br />

กรีกโบราณ 17 การวิเคราะห์จึงเน้นการหาสัดส่วนความกว้างต่อ<br />

ความยาวของผังพื้นโบสถ์และของโบสถ์ต่อขนาดที่ตั้ง นอกจากนี้<br />

ยังหาสัดส่วนของความกว้างต่อความสูงของอาคาร เป็นต้น<br />

เป็นการวิเคราะห์ในเชิงสุนทรียภาพแบบคลาสสิคที่มุ่งเรื่องแบบ<br />

เป็นหลัก เขาไม่ได้มองว่าสถาปัตยกรรมสยามมีพัฒนาเกี่ยวเนื่อง<br />

กับสถาปัตยกรรมในโลกตะวันตกจริงหรือไม่ แต่ต้องการแสดงว่า<br />

322 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ขวา การศึกษาฐานเจดีย์แบบต่างๆ<br />

ในพระเจดีย์ในสยาม (1912)<br />

ล่าง การศึกษาสัดส่วนผังวัดสระเกศ<br />

ราชวรมหาวิหารในพระเจดีย์ใน<br />

สยาม (1912)<br />

สถาปัตยกรรมสยามหลายแห่งก็มีคุณค่าเพราะมีสัดส่วนใกล้เคียง<br />

กับสถาปัตยกรรมกรีก สิ่งที่แปลกก็คือ เขากังวลกับการก่อสร้าง<br />

อาคารร่วมสมัยในสยามที ่กำลังละทิ้งรูปแบบศิลปะเดิมไปหาแบบ<br />

ตะวันตกที่ดาษดื่น และเสนอให้มีการปรับปรุงจุดอ่อนของ<br />

สถาปัตยกรรมสยามในแง่ของการใช้วัสดุที่แข็งแรงกว่าเดิม และ<br />

เรียกร้องงานช่างก่อสร้างที่ประณีตขึ้น และนี่จะเป็นเหตุผลหลัก<br />

ที่ทำให้สถาปัตยกรรมแบบโบราณของสยามยังสามารถเติบโต<br />

แบบผลิตซ้ำต่อไปได้ ความคิดแบบนี้ของดือห์ริ่งเป็นวาทกรรม<br />

สำคัญที่ชนชั้นนำสยามจะรับมาสืบทอดและขยายความต่อไปเรื่อยๆ<br />

อย่างไรก็ดีการศึกษาของเขาก็ยังเป็นเพียงการเริ่มต้น เพราะระยะ<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

323


เวลาอาศัยในสยามที่ไม่นานนัก และขอบเขตการศึกษาที่ยังแคบ<br />

เพราะความลำบากในการคมนาคมของศตวรรษที่แล้ว รวมทั้ง<br />

การเขียนเป็นภาษาเยอรมันเพื่อเสนอต่อมหาวิทยาลัยเยอรมัน<br />

งานของเขาจึงมีการเผยแพร่ในวงจำกัดที่สุด ชาวสยามทั่วไปที่มี<br />

พื้นฐานอ่อนแอทางการศึกษาอยู่แล้วจึงไม่มีโอกาสรับรู้สิ่งที่<br />

ชาวเยอรมันผู้นี้เขียนถึงมรดกวัฒนธรรมของตนเองเลย<br />

ในยุคปฏิรูปที่ฉายภาพให้เห็นว่าสยามสามารถสร้าง<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกได้เองนั้นเป็นภาพลวงตาอย่างยิ่ง<br />

ความจริง คือ รัฐบาลสามารถสั่งให้สถาปนิก วิศวกรทำตามความ<br />

ต้องการของตนได้ครบถ้วนขึ้นและด้วยมาตรฐานที่ดีขึ้นเท่านั้น<br />

บนเงื่อนไขที่ตราบใดสยามยังมีเงินที่จะจ้างผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้อยู่<br />

ต่อไป สิ่งนี้รัฐบาลก็รู้ดีและยึดถือเป็นนโยบายด้วยดังจะเห็นจาก<br />

ข้อมูลจำนวนสถาปนิก (อาคิเต๊ก) วิศวกร (อินยิเนีย) ประจำเวร<br />

แบบอย่างของกระทรวงโยธาธิการที่มีเพียง 5 คนใน ค.ศ. 1892 18<br />

เพิ่มเป็น 12 คนใน ค.ศ. 1907 19 โดยไม่มีคนไทยสักคนเดียวและ<br />

มีหัวหน้าสถาปนิกอย่างมาริโอ ตามานโยที่มีสัญญาจ้างยาวนานถึง<br />

25 ปี รัฐบาลสยามมองเห็นความสำคัญของการพึ่งพาผู้เชี่ยวชาญ<br />

ต่างชาติ ขณะเดียวกันก็ชักช้าอย่างยิ่งในการสร้างทรัพยากรบุคคล<br />

ของตนเอง<br />

การเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกที่มีคุณภาพดีที่สุดในช่วงทศวรรษ<br />

ที่1890-1910 ของทั้ง 2 ชาติไม่ต่างกันมากนัก มันมาจากแนวคิด<br />

ที่เหมือนกันคือการหยิบยืมรูปลักษณ์แบบตะวันตกแบบคลาสสิค<br />

โรแมนติกและอาร์ตนูโว เพื่อให้ชาติตะวันตกยอมรับในความมี<br />

ศิวิไลซ์ สถาปนิก วิศวกรของสยามมีความสามารถและมีความรู้<br />

ในการออกแบบดีกว่ารุ่นก่อนเพราะเป็นนักวิชาชีพรุ่นใหม่ที่ศึกษา<br />

จากสถาบันอุดมศึกษาชั้นนำของยุโรป ขณะที่สถาปนิก วิศวกรของ<br />

ญี่ปุ่นแม้จะเป็นคนพื้นเมืองแต่ก็ได้รับการศึกษามาอย่างดีประเด็น<br />

เรื่องรูปแบบอาคารต่างใช้แนวผสมผสานเหมือนกัน แต่ก็เน้น<br />

คนละแบบ สยามเน้นงานแบบอิตาเลียนคลาสสิคหรือพาลลาเดียน<br />

ขณะที่ญี่ปุ่นเน้นงานนีโอคลาสสิคแบบอังกฤษและเยอรมันเป็นหลัก<br />

การใช้วัสดุและโครงสร้างไม่ต่างกันมาก ระบบกำแพงอิฐรับน้ำหนัก<br />

ผสมคอนกรีตเสริมเหล็กเป็นวิธีการก่อสร้างหลัก แต่อาคารสำคัญ<br />

จะสร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็กและโครงสร้างเหล็กทั้ง 2 ประเทศ<br />

สิ่งแตกต่างกันคือจำนวนอาคารและความหลากหลายประเภทของ<br />

อาคาร อาคารในสยามจำนวนมากเป็นวังและคฤหาสน์ของชนชั้นสูง<br />

ขณะที่ญี ่ปุ่นมีจำนวนอาคารที่สร้างมากกว่าแน่นอนเพราะจำนวน<br />

ประชากรที่มากกว่าและระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมได้เกิดขึ้นแล้ว<br />

อย่างสมบูรณ์ในทศวรรษ 1890 นอกจากนี้อาคารสาธารณะในญี่ปุ่น<br />

มีมากกว่าสยามอย่างเห็นได้ชัดเพราะจำนวนชนชั้นกลางที่มี<br />

มากกว่า อาคารบางชนิดที่รับใช้ความบันเทิงของชนชั้นกลางในเมือง<br />

เช่น โรงละครแห่งชาติ หรือสนามกีฬาซูโม่แห่งชาติ ซึ่งสร้างตาม<br />

มาตรฐานตะวันตกชั้นดี เป็นตัวอย่างที่ญี่ปุ่นมีแต่สยามยังต้อง<br />

รอไปอีกหลายทศวรรษ<br />

หน้าตรงข้าม<br />

บน วังบางขุนพรหม กรุงเทพมหานคร (1903-1905)<br />

ล่าง กระทรวงยุติธรรม โตเกียว (1895)<br />

324 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

325


สิ่งที่แตกต่างกันมากอย่างสำคัญไม่ใช่เรื่องคุณภาพหรือ<br />

รูปลักษณ์อาคาร แต่เป็นเรื่องบุคลากรในการสร้างอาคาร ญี่ปุ่น<br />

สามารถสร้างอาคารแบบใหม่ด้วยตนเองอย่างครบวงจรตั้งแต่ต้น<br />

จนจบ บุคลากรในการก่อสร้างทุกหน้าที่ตั้งแต่สถาปนิก วิศวกร<br />

ช่างก่อสร้าง ช่างฝีมือ ผู้รับเหมาตลอดจนถึงกรรมกรล้วนเป็น<br />

ชาวญี่ปุ่นเองทั้งสิ้น ขณะที่บุคลากรในสยามนั้นกลุ่มที่อยู่ยอด<br />

พีระมิดที่เป็นมันสมองอันได้แก่สถาปนิกและวิศวกรนั ้น ล้วนเป็น<br />

ชาวต่างประเทศทั้งสิ้น ชาวสยามมีส่วนร่วมที่กลุ่มกลางและล่าง<br />

คือ ช่างก่อสร้าง ผู้รับเหมา และกรรมกร ซึ่งหากจะพูดถึงที่สุดแล้ว<br />

ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นชาวสยามหรือชาวจีน จากการเปรียบเทียบข้อมูล<br />

กล่าวได้ว่าในยุคปฏิรูปตอนปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษ<br />

ที่ 20 ญี่ปุ่นสามารถพึ่งตนเองได้แล้ว ขณะที่สยามยังอยู่ในภาวะ<br />

พึ่งพามันสมองจากต่างแดน เรื่องนี้สะท้อนความสำเร็จในการ<br />

วางแผนและการดำเนินงานตามแผนของญี่ปุ่นตั้งแต่ต้นรัชสมัยเมจิ<br />

การก่อสร้างสถาปัตยกรรมเป็นเพียงส่วนเล็กส่วนหนึ่งของแผนใหญ่<br />

ในการนำประเทศไปสู่ความเจริญทุกด้านทั้งเศรษฐกิจ สังคม และ<br />

การทหาร ขณะที่สยามไม่ได้มีเป้าหมายและแผนอย่างเป็นระบบ<br />

และไม่ได้ดำเนินการอย่างรวดเร็วแบบญี่ปุ่น นี่อาจไม่ใช่ปัญหา<br />

เชิงเทคนิคอย่างเดียวแต่เป็นปัญหาเชิงสังคมวัฒนธรรมด้วย เพราะ<br />

ญี่ปุ่นมีความจำเป็นในการพัฒนาเพื่อเลี้ยงพลเมืองที่มีมากกว่า<br />

สยามหลายเท่าตัว ตัวเลขจากการคำนวณโดยสถิติใน ค.ศ. 1900<br />

ญี่ปุ่นมีประชากรประมาณ 44 ล้านคน ขณะที ่สยามมีเพียง<br />

6.3 ล้านคน 20 และโตเกียวมีประชากร 1.5 ล้านคน ขณะที่<br />

กรุงเทพมหานครมีประชากร 6 แสนคนเท่านั้น สยามสามารถใช้<br />

เศรษฐกิจพึ่งตนเองจากเกษตรกรรมได้และมุ่งที่จะเป็นประเทศ<br />

เกษตรกรรมต่อไป ดูจากการสร้างระบบคลองชลประทานขนาด<br />

ใหญ่ที่รังสิต จังหวัดปทุมธานี ใน ค.ศ. 1890-1897 เพื่อเปิดพื้นที่<br />

เพาะปลูกข้าวขนาดใหญ่21 ซึ่งดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญการ<br />

ชลประทานชาวดัตช์ แต่ญี่ปุ่นไม่สามารถพึ่งเกษตรกรรมเลี้ยงดู<br />

พลเมืองแบบสยามได้ความพยายามเอาตัวรอดนำมาซึ่งแรงผลักดัน<br />

ให้มีนโยบายพัฒนาแบบเห่อเหิมทะเยอทะยานที่สยามไม่มี<br />

ความสำเร็จในการพัฒนาการศึกษาได้อย่างรวดเร็วเป็น<br />

ปัจจัยสำคัญอีกประการหนึ่ง จากการศึกษาขั้นพื้นฐานตอนต้น<br />

รัชสมัยเมจิไปสู่การศึกษาขั้นอุดมศึกษาตอนปลายรัชกาลที่ญี่ปุ่น<br />

สามารถเขียนตำราเรียนขั้นอุดมศึกษาตามแนวคิดของตนเองได้<br />

ยกตัวอย่างในสาขาสถาปัตยกรรมที่มีนักวิชาการอย่าง อิโตะ ชูตะ<br />

ที่เขียนประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมสากลตีความตามแบบฉบับของ<br />

เขาเอง และซาโน โตชิคาตะที่เขียนตำราว่าด้วยโครงสร้างอาคาร<br />

ที่ป้องกันแผ่นดินไหวที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากล สถานการณ์<br />

ทางการศึกษาช่างต่างกับสยามที่ยังเต็มไปด้วยเด็กที่อ่านเขียน<br />

ไม่ได้และการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัยก็ยังไม่ได้เริ่ม การที่สยาม<br />

สร้างบุคลากรชั้นมันสมองได้อย่างเชื่องช้าและเอาหน้าที่การใช้มัน<br />

สมองไปฝากไว้กับผู้เชี่ยวชาญต่างชาตินั้น จะทำให้การพัฒนาของ<br />

ทั้ง 2 ประเทศห่างไกลกันมากขึ้นเรื่อยๆ ในยุคต่อไปเราจะเห็นญี่ปุ่น<br />

ที่เริ่มมองกลับมาหาตนเองเพื่อสร้างนวัตกรรมสถาปัตยกรรมที่<br />

แสดงอัตลักษณ์และภูมิปัญญาของตนเอง ซึ่งมีทั้งพวกที่แสดงออก<br />

ผ่านการฝังแน่นในรูปธรรมโบราณและพวกที่หัวก้าวหน้าพยายาม<br />

หานามธรรมของภูมิปัญญาเดิมมาใช้กับรูปแบบสถาปัตยกรรม<br />

สากลนิยมสมัยใหม่<br />

326 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผลทางวัฒนธรรมบางประการที่เกิดจากสถาปัตยกรรม<br />

แบบตะวันตก<br />

เมื่อมีสถานที่ที่เป็นเครื่องหมายของความศิวิไลซ์แล้ว<br />

สิ่งสำคัญที่ตามมา คือ การใช้สถานที่นั้นประกอบกิจกรรมที่ศิวิไลซ์<br />

ซึ่งจะต้องฝึกหัดกันที่นั้น และหลังจากคนพื้นเมืองรู้จักวัฒนธรรม<br />

ศิวิไลซ์แล้วพวกเขากลับเริ ่มรู้สึกว่า ความเจริญที่เขาโหยหานั้น<br />

มันไม่ได้แสดงอัตลักษณ์ที่แท้จริงของพวกเขาที่สั่งสมมาใน<br />

วัฒนธรรมพื้นเมืองหลายร้อยปี ปัญหาใหม่จึงเกิดขึ้นนั่นคือ<br />

การพยายามหาอัตลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมที่แสดงทั้งความเจริญ<br />

ก้าวหน้าแบบตะวันตกและวัฒนธรรมดั้งเดิมอันน่าภาคภูมิใจของ<br />

ตนเอง นี่คือเนื้อหา 2 ประเด็นที่เราจะกล่าวต่อไป<br />

สถานที่เรียนรู้วัฒนธรรมศิวิไลซ์<br />

สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกไม่ใช่เป็นเพียงสัญลักษณ์ของ<br />

ความเจริญก้าวหน้าทางวัฒนธรรม แต่ยังเป็นสถานที่สำหรับ<br />

ฝึกกริยา มารยาท การแต่งกาย ธรรมเนียมปฏิบัติในชีวิตประจำวัน<br />

ต่างๆ แบบวัฒนธรรมชั้นสูงของตะวันตกให้คนพื้นเมืองเข้าใจและ<br />

ทำตาม การฝึกวิถีชีวิตแบบนี้จึงไม่มีที่ไหนเหมาะสมเท่ากับสถานที่<br />

ที่มีรูปแบบตะวันตก ในญี่ปุ่นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ<br />

อิโนอูเอะ คาโอรุว่าจ้างให้สถาปนิกโจไซอา คอนเดอร์ออกแบบ<br />

ก่อสร้างคฤหาสน์โรกุไมคานที่แปลว่า กวางร่ำไห้ ใน ค.ศ. 1883<br />

ในรูปแบบเรอแนสซองส์ฝรั่งเศส เพื่อเป็นสถานที่รับรองแขกต่าง<br />

ประเทศของรัฐบาล สถานที่หรูหรานี้เต็มไปด้วยชนชั้นสูงทั้งญี่ปุ่น<br />

และต่างประเทศมาชุมนุมพบปะกันในเครื่องแต่งกายหรูหรา มีการ<br />

สังสรรค์สันทนาการและรับประทานอาหารแบบตะวันตกในลักษณะ<br />

งานบอลท่ามกลางบรรยากาศยามราตรีที่สว่างไสวด้วยตะเกียงแก๊ส<br />

การเลียนแบบวัฒนธรรมตะวันตกเป็นเรื่องจำเป็นสำหรับอิโนอูเอะ<br />

ที่เคยศึกษาในอังกฤษและเข้าใจแนวคิดความเสมอภาคระหว่าง<br />

คฤหาสน์โรกุไมคาน (1883)<br />

รัฐชาติแบบตะวันตกดี มันจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อทั้ง 2 รัฐชาติ<br />

มีอารยธรรมเท่ากันเท่านั้น อย่างเช่นอังกฤษกับสหรัฐอเมริกา<br />

หรืออสเตรเลียแต่ไม่ใช่กับอินเดีย อย่างที่ปรากฏในหนังสือ<br />

“อัตถประโยชน์นิยม, ว่าด้วยเสรีภาพ การพิจารณาความเป็นตัวแทน<br />

ของรัฐบาล” (Utilitarianism, on Liberty, Considerations on<br />

Representative Government) (1861) ของจอห์น สจ๊วต มิลล์<br />

(John Stuart Mill) ปัญญาชนจักรวรรดินิยมสมัยศตวรรษที่ 19<br />

ชาวอังกฤษที ่อิโนอูเอะเรียนมา ความจำเป็นที่จะต้องเรียนรู้<br />

วัฒนธรรมตะวันตกจึงเป็นสิ่งแรกที่ต้องทำก่อนที่จะดำเนินการ<br />

ขั้นอื่นต่อไป<br />

ขณะที่สถานที่เรียนรู้ความศิวิไลซ์ของญี่ปุ่นอยู่ในรูปแบบ<br />

อาคารเรอแนสซองส์ฝรั่งเศส สยามก็สร้างอาคารชนิดเดียวกัน<br />

ในรูปแบบเรอแนสซองส์อิตาเลียนหรือแบบพาลาเดียนนั่นคือ<br />

วังบูรพาภิรมย์ (1873-1879) ในสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ<br />

เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ พระราชอนุชาองค์เล็กของพระบาท<br />

สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ออกแบบโดย โจอาคิม กราสซี<br />

วังบูรพาเป็นสถานที่งดงามสำหรับจัดกิจกรรมหรูหราของชนชั้นสูง<br />

สยามตั้งแต่สร้างเสร็จ แขกผู้มีเกียรติของวังมีตั้งแต่พระบาทสมเด็จ<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

327


บน ภาพพิมพ์แกะไม้แสดงบรรยากาศการ<br />

แสดงคอนเสิร์ทในงานราตรีสโมสร (1889)<br />

ล่าง วังบูรพาภิรมย์ (1873)<br />

พระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ ในพระราช<br />

วโรกาสเสด็จกลับจากประพาสยุโรปครั้งแรกใน ค.ศ. 1898 23<br />

งานราตรีสโมสรเพื่อต้อนรับการเสด็จเยี่ยมกรุงเทพฯ 24 หรือเนื่องใน<br />

โอกาสสำเร็จการศึกษาของสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอชั้นเจ้าฟ้า 25<br />

ตลอดจนงานราตรีสโมสรเฉลิมพระเกียรติยศสมด็จพระบรม<br />

โอรสาธิราช 26 ในงานเหล่านี้นอกจากจะมีการตกแต่งสถานที่อย่าง<br />

งดงามด้วยผ้าแพรสีต่างๆ ประดับโคมไฟฟ้า โคมญี่ปุ่นอย่าง<br />

ประณีตบรรจงดูสว่างไสว มีวงมโหรีพิณพาทย์บรรเลงประกอบ<br />

การเต้นรำ ในส่วนสนามหญ้ารอบตำหนักตั ้งโต๊ะสำหรับจัดเลี้ยง<br />

อาหาร เครื่องดื่ม หมาก บุหรี่ น้ำชากาแฟอย่างบริบูรณ์ บางครั้ง<br />

ยังมีการจุดพลุต่างๆ ทั้งพลุมืดและพลุสีชมพูและน้ำเงิน อันเป็น<br />

สีประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนาง<br />

เจ้าพระบรมราชินีนาถ รวมทั้งการจัดกระบวนแห่ทหารขี่ม้า<br />

นำด้วยขบวนแตรวงถึง 6 ขบวนท่ามกลางบรรดาแขกรับเชิญที่เป็น<br />

ชนชั้นสูงและเหล่าราชทูตประเทศต่างๆ<br />

328 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


การมีพิธีการทางสังคมในการพบปะสังสรรค์ของคนกลุ่ม<br />

ใหญ่รวมทั้งการเต้นรำ กิจกรรมที่เต็มไปด้วยยศศักดิ์เหล่านี้ทำให้<br />

การวางผังอาคารต้องลำดับอย่างมีระบบ และทำให้คฤหาสน์<br />

โรกุไมคานและวังบูรพาภิรมย์ มีผังคล้ายกันอย่างประหลาด<br />

กล่าวคือ มีผังเป็นรูปตัว U ห้องกลางชั้นบนด้านนอกเป็นโถงรวม<br />

พลใหญ่สำหรับชุมนุมเพื่อให้บรรดาแขกได้เข้าเฝ้าหรือแนะนำ<br />

ตัวต่อประธานในงาน ซึ่งห้องโถงใหญ่นี้จะจัดเป็นที่เต้นรำด้วย<br />

หลังจากจบงานพิธีการ ถัดไปเป็นห้องโถงรองสำหรับพระบรม<br />

วงศานุวงศ์หรือแขกใกล้ชิดเฝ้า ส่วนชั้นล่างเป็นที่ตั้งห้องเสวยใหญ่<br />

หรือห้องรับประทานอาหารสำหรับประธานและแขกใกล้ชิด และ<br />

ห้องรับประทานอาหารรองที่ตั้งอยู่ติดกันหรือใกล้ชิดสำหรับ<br />

แขกอื่นๆ 27 อาคารทั้ง 2 หลังต่างแสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญ<br />

ของเหล่าชนชั้นสูงพื้นเมืองต่อการเรียนรู้รูปแบบการใช้ชีวิตแบบ<br />

“ศิวิไลซ์” ของตะวันตก แต่เป้าหมายของการเรียนรู้วิถีชีวิตเช่นนี้<br />

เป็นเพียงเพื่อให้เข้าสังคมชั้นสูงกับชาวตะวันตกได้ หรือเพื่อก้าว<br />

ข้ามไปสู่สิ่งที่เป็นแก่นสารกว่านั้น เราจะเห็นได้ในภายหลังซึ่งแสดง<br />

ให้เห็นถึงความแตกต่างของความนึกคิดของชาติทั้ง 2 อย่างชัดเจน<br />

การเริ่มต้นของปัญหาอัตลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม<br />

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอูเอโนและรัฐสภาแห่งชาติ<br />

ตั้งแต่ค.ศ. 1877 เป็นต้นมา ญี่ปุ่นได้เปิดศักราชสถาปัตยกรรม<br />

ยุคสมัยใหม่อย่างแท้จริงและยั่งยืน โดยการปลูกถ่ายความรู้จาก<br />

ตะวันตกอย่างเป็นระบบผ่านการสอนวิชาสถาปัตยกรรมในโรงเรียน<br />

วิศวกรรมของมหาวิทยาลัยอุตสาหกรรม ที่มีสถาปนิกหนุ่ม<br />

ชาวอังกฤษ โจไซอา คอนเดอร์ เป็นผู้ดำเนินการเพื่อสอนนักศึกษา<br />

ชาวญี่ปุ่นให้เข้าใจวิชาชีพสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก เพื่อนำไป<br />

ใช้ประกอบอาชีพได้ โครงการนี้เริ่มเห็นความสำเร็จโดยใช้เวลา<br />

เพียง 1 ทศวรรษและเป็นความสำเร็จครั้งสำคัญ ในช่วงที่คอนเดอร์<br />

เป็นอาจารย์สอนนั้นเขายังรับงานของรัฐบาลมาทำด้วย เช่น<br />

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอูเอโน (1881) ตึกเรียนคณะนิติศาสตร์<br />

และอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยโตเกียว (1884) อาคารทั้ง 2<br />

มีผังแบบรูปตัว E เน้นประโยชน์ใช้งาน ผนังก่ออิฐอวดผิวตกแต่งน้อย<br />

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอูเอโน มีจุดเด่นอยู่ที่หลังคาประดับโดม<br />

พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอูเอโน (1881)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

329


ทรงหัวหอมแบบซาราเซนิกควบคู่กับหน้าต่างแบบยุคกลางผสม<br />

มุสลิม ส่วนตึกเรียนคณะนิติศาสตร์และอักษรศาสตร์ใช้รูปทรงแบบ<br />

ฟื้นฟูโกธิคที่ตัดรายละเอียดออก คฤหาสน์โรกุไมคาน (1883)<br />

สร้างขึ้นเพื่อเป็นสถานที่ฝึกฝนวัฒนธรรมชนชั้นสูงแบบตะวันตก<br />

ให้ชนชั้นนำชาวญี่ปุ่น ผังเป็นรูปตัว U จุดเด่นอยู่ที่โดมมุขหน้า<br />

ทรงสันตะเข้โค้งแบบเรอแนสซองส์ฝรั่งเศส อาคารของคอนเดอร์<br />

แม้จะเรียบง่ายแต่ลักษณะไม่เหมือนกันแฝงความหมายที่ต่างกัน<br />

แต่ล้วนเป็นสัญลักษณ์ของความเจริญแบบตะวันตกกล่าวคือ<br />

ชนชาติที่มีอารยธรรมจะต้องมีพิพิธภัณฑ์แสดงความเจริญ<br />

มาอย่างยาวนาน ต้องมีมหาวิทยาลัยในการสั่งสอนความรู้ชั้นสูง<br />

และต้องมีสถานสันทนาการสำหรับงานบันเทิงอย่างมีวัฒนธรรม<br />

อาคารทั้ง 3 ต่างรับใช้จุดประสงค์ของการสร้างภาพศิวิไลซ์<br />

แบบโกธิคของสมัยกลางเป็นสัญลักษณ์ของความคงแก่เรียน<br />

จึงเหมาะกับอาคารเรียน อาคารแบบเรอแนสซองส์ฝรั่งเศสเป็น<br />

สัญลักษณ์ของความหรูหราฟุ้งเฟ้อจึงเหมาะสำหรับคฤหาสน์<br />

รับรองแขกเมือง แต่ที่พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติอูเอโนที่ประดับ<br />

โดมลักษณะโกธิคผสมมุสลิมที่เรียกว่าซาราเซนิกนั้น คอนเดอร์<br />

ตั้งใจให้มันเป็นสัญลักษณ์ของ “ความเป็นตะวันออก” คอนเดอร์<br />

คิดเสมอว่าญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรม อาคาร<br />

แบบตะวันตกที่สร้างในญี่ปุ่นนั้นควรแสดงลักษณะความเป็น<br />

ตะวันออกของคนพื้นเมือง แต่ว่าอาคารแบบญี่ปุ่นแท้ๆ ที่สร้างด้วย<br />

โครงสร้างไม้ก็อ่อนแอเกินไปสำหรับอาคารสมัยใหม่ เขาจึงเลือก<br />

ออกแบบโดมชนิดนี้เป็นตัวแทนให้คนญี่ปุ่น 28 ซึ่งน่าจะมีที่มาจาก<br />

โธมัส โรเจอร์ สมิธ (Thomas Roger Smith) อาจารย์ของเขาที่<br />

ลอนดอนที่กล่าวว่า สถาปนิกอังกฤษควรสร้างอาคารแบบตะวันตก<br />

ที่อาณานิคมอินเดียโดยมีองค์ประกอบของสถาปัตยกรรมพื้นเมือง<br />

ประกอบบ้าง 29 แนวความคิดเรื่องอัตลักษณ์ญี่ปุ่นในสถาปัตยกรรม<br />

แบบตะวันตกจึงมีที่มาตั้งแต่ญี่ปุ่นจ้างคอนเดอร์มาสอนวิชา<br />

สถาปัตยกรรม เขาได้ถ่ายทอดแนวคิดอัตลักษณ์สถาปัตยกรรม<br />

ญี่ปุ่นให้กับลูกศิษย์และถูกส่งต่อไปเรื่อยๆ จากรุ่นสู่รุ่น<br />

แต่ความมีอารยธรรมไม่ใช่เพียงการมีพิพิธภัณฑ์<br />

มหาวิทยาลัย หรือคฤหาสน์ใหญ่โตสำหรับฝึกวิถีชีวิตที่หรูหราของ<br />

ตะวันตก ญี่ปุ่นรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงเปลือกนอก สิ่งที่ชาติตะวันตก<br />

ยอมรับว่าเป็นความเจริญนั้นมาจากรากฐานภายในนั่นคือ การมี<br />

ประเทศที ่เข้มแข็ง ปกครองด้วยระบอบรัฐสภา และมีระบบ<br />

กฎหมายที่มีประชาชนเป็นผู้มีอำนาจตัดสินใจผ่านผู้แทนราษฎร<br />

ภายใต้รัฐธรรมนูญที่เป็นกฎหมายสูงสุด สิ่งเหล่านี้เป็นองค์ประกอบ<br />

ที่รัฐสมัยใหม่ในอุดมคติต้องมีและรับรู้ได้ผ่านสถาปัตยกรรมที่เป็น<br />

กายภาพของอุดมคติเหล่านั้น จุดมุ่งหมายในการปฏิวัติโบชินซึ่ง<br />

เป็นที่มาของรัชสมัยเมจิ คือการปกครองในระบอบประชาธิปไตย<br />

ซึ่งฝ่ายก้าวหน้าในญี่ปุ่นเชื่อว่าจะทำให้ประเทศชาติเข้มแข็ง<br />

เจริญก้าวหน้า และประชาชนมีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน ดังที่<br />

เห็นตัวอย่างจากประเทศในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ดังนั้นโครงการ<br />

สร้างรัฐสภาแห่งชาติเพื่อแสดงอุดมการณ์ประชาธิปไตยของ<br />

นักปฏิวัติโบชิน ซึ่งต่อมากลับกลายเป็นกลุ่มขุนศึกคณาธิปไตย<br />

ได้มีการเตรียมการมาตั้งแต่ทศวรรษ 1880 หลังจากพวกเขาไม่ถูกใจ<br />

ในแบบที่คอนเดอร์เสนอมาเพราะเนื้อที่ภายในดูเล็กแบบญี่ปุ่น<br />

ไม่ยิ่งใหญ่มโหฬารแบบตะวันตก รัฐบาลจึงเชิญคณะสถาปนิก<br />

เยอรมันเอนเดอร์และบ๊อคมานน์ที่เพิ่งชนะที่ 2 ในการประกวด<br />

แบบรัฐสภาเยอรมันใน ค.ศ. 1882 มาออกแบบ แบบที่เอนเดอร์<br />

และบ๊อคมานน์เสนอได้สร้างปัญหาสัญลักษณ์แห่งความศิวิไลซ์ขึ้น<br />

ในหมู่ชนชั้นนำและปัญญาชนญี่ปุ่น เพราะความศิวิไลซ์แบบใหม่<br />

ที่ญี่ปุ่นถวิลหานั้นเป็นรากเหง้าจากวัฒนธรรมตะวันตก 30 รูปแบบ<br />

จากวัฒนธรรมตะวันตกจะสะท้อนจิตวิญญาณของชาวญี่ปุ่นได้<br />

อย่างไร<br />

330 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน โครงการรัฐสภาแห่งชาติ 1 (1886)<br />

ล่าง โครงการรัฐสภาแห่งชาติ 2 (1887)<br />

เอนเดอร์และบ๊อคมานน์เสนอแบบร่างรัฐสภาแห่งชาติ2 แบบ<br />

ใน ค.ศ. 1886 และ 1887 ให้รัฐบาลญี่ปุ่นพิจารณาตามลำดับ<br />

รัฐสภาแบบแรกเป็นแบบตะวันตกแฝงลักษณะตะวันออกอยู่บ้าง<br />

ผังเป็นรูปตัว E ที่มีโถงกลางและมุขซ้าย-ขวาซึ่งเป็นที่ตั้งห้อง<br />

ประชุมสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จุดเด่นของอาคารอยู่ที่<br />

หลังคาโดมของมุขกลาง หลังคามุขริม 2 ข้างที่เป็นห้องประชุม<br />

ของสภาทั้ง 2 เป็นหลังคาทรงปั้นหยามุงกระเบื้องลอนแบบจีน<br />

ผนังอาคารประดับเสาลอยตัวแบบคลาสสิค มุมมุขทั้ง 3 มีป้อม<br />

แบบคลาสสิคที่ประดับหลังคายอดแหลมแบบเจดีย์จีน แบบร่างที่ 2<br />

ถูกดัดแปลงให้เป็นแบบจีนมากขึ้น โดยเปลี่ยนหลังคามุขกลางจาก<br />

โดมกลมมาเป็นหลังคายอดแหลมสูงแบบเจดีย์จีน ส่วนหลังคาของ<br />

ห้องประชุมสภาทั้ง 2 เปลี่ยนจากทรงปั้นหยามาเป็นหลังคาจั่ว<br />

มีปีกนกแบบพระราชวังต้องห้ามของจีน ผนังอาคารเปลี่ยน<br />

องค์ประกอบเสาแบบคลาสสิคมาเป็นเสาอิงและป้อมค้ำยันแบบ<br />

โกธิคที่ประดับหลังคายอดแหลมแบบจีนแทน งานของเอนเดอร์<br />

และบ๊อคมานน์แสดงถึงความพยายามของสถาปนิกที่ต้องการ<br />

สะท้อนอัตลักษณ์ญี่ปุ่นตามแบบโบราณมากกว่าพิพิธภัณฑ์สถาน<br />

แห่งชาติอูเอโนของคอนเดอร์แม้ว่าจะไม่มีเอกสารใดๆ แสดงความ<br />

ไม่เห็นด้วยกับแบบร่างแรกที่เป็นแบบตะวันตก หรือแบบร่างที่ 2<br />

ที่เป็นแบบตะวันออกโบราณมากเกินไป แต่ทั ้ง 2 แบบก็ไม่ได้<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

331


รัฐสภาชั่วคราวหลังที่1 (1890)<br />

นำมาสร้างจริงในที่สุด ปัญหาที่มีการบันทึกกลับเป็นเรื่องสามัญ<br />

เช่น งบประมาณก่อสร้างที่สูงมาก เรื่องสถานที่ก่อสร้างที่เป็นดิน<br />

อ่อน และมีการพูดถึงการปล่อยให้ต่างชาติรับงานออกแบบขนาด<br />

ใหญ่ของญี่ปุ่นซึ่งจะทำให้ประเทศชาติเสียผลประโยชน์ แต่ในความ<br />

เป็นจริงช่วงปลายทศวรรษ 1880 นั้น วงการศึกษาและวงการเมือง<br />

เริ่มมีทัศนคติของตนเองและเป็นชาตินิยม สาเหตุนี้น่าจะเป็นเรื่อง<br />

สำคัญที่ทำให้งานแบบแรกของเอนเดอร์และบ๊อคมานน์ที่เป็นตะวัน<br />

ตกไม่ถูกยอมรับ ในขณะที่ญี่ปุ่นเองก็กำลังค้นหาตนเองและยังไม่<br />

สามารถหาคำตอบว่า สัญลักษณ์ของชาติญี่ปุ่นที่ศิวิไลซ์แบบ<br />

ตะวันตกที่ตนเองวิ่งไล่ตามนั้นควรมีรูปธรรมเป็นอย่างไร ซึ่งไม่น่า<br />

จะเป็นแบบญี่ปุ่นโบราณจึงทำให้แบบร่างที่ 2 ของเอนเดอร์และ<br />

บ๊อคมานน์ไม่ได้รับพิจารณาเช่นกัน อย่างไรก็ตามรัฐธรรมนูญญี่ปุ่น<br />

ฉบับแรกประกาศใช้ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1889 และ<br />

การประชุมรัฐสภาจะมีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน ค.ศ. 1890 จึงมี<br />

การสร้างรัฐสภาชั่วคราวขึ้นอย่างรีบเร่งโดยใช้ผังของเอนเดอร์และ<br />

บ๊อคมานน์เป็นหลัก แต่สร้างด้วยไม้ในลักษณะอาคารทรงปั้นหยา<br />

ยกจั่ว 2 หลัง ใช้เป็นที่ประชุมของสภาทั้ง 2 ตั้งอยู่ริมคนละข้าง<br />

ของอาคารรูปสี่เหลี่ยมยาว โชคไม่ดีที่อาคารถูกไฟไหม้ไปในปีถัดไป<br />

(ค.ศ. 1891) แต่ก็มีการสร้างอาคารแบบเดิมขึ้นมาใหม่อีกในปี<br />

นั้นเอง (ค.ศ. 1891) อาคารรัฐสภาชั่วคราวหลังที ่ 2 ถูกไฟไหม้<br />

อีกใน ค.ศ. 1925 และอาคารไม้ชั่วคราวแบบเดิมก็ถูกสร้างขึ้นอีก<br />

เป็นหลังที่ 3 ในปลายปีนั้น และคราวนี้ได้ใช้งานไปนานถึง<br />

ค.ศ. 1936 กว่าที่รัฐสภาถาวรจะสร้างเสร็จชนิดที่ไม่มีอะไร<br />

น่าภาคภูมิใจสมกับการค้นหาและรอคอย เพราะสถาปนิกญี่ปุ่น<br />

ยังตอบคำถามพื้นฐานว่า “ประชาธิปไตย” ซึ่งเป็นตัวแทนความศิวิไลซ์<br />

ในอารยธรรมตะวันตกนั้นในรูปธรรมของบริบทญี่ปุ่นนั้นมันมี<br />

อยู่จริงหรือไม่และควรสร้างสรรค์ออกมาเป็นกายภาพอย่างไร<br />

332 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท<br />

พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท (1875)<br />

ในสยามช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกันมีการสร้างพระที่นั่ง<br />

จักรีมหาปราสาทขึ้นใน ค.ศ. 1875-1882 พระบาทสมเด็จ<br />

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้ จอห์น คลูนิส<br />

ชาวอังกฤษเป็นสถาปนิก โดยมีพระราชประสงค์จะสร้างพระราชวัง<br />

ที่มีท้องพระโรงขนาดใหญ่สำหรับประชุมข้าราชการในระบอบ<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่ทรงโปรดเกล้าฯ ให้เป็นแบบตะวันตก<br />

คลูนิสจึงออกแบบพระที่นั่งแบบคลาสสิคผังรูปตัว T ที่มีส่วนหน้า<br />

เป็นรูปตัว E ส่วนที่เป็นแกนดิ่งของตัว T คือ ท้องพระโรงตาม<br />

โบราณราชประเพณี ขณะที่บรรดาห้องที่เรียงอยู่ด้านหน้านั้น<br />

เรียงตามแนวหน้ากระดาน เป็นห้องสำหรับประกอบราชกิจแบบ<br />

สมัยใหม่ เช่น ห้องทรงงาน ห้องรับแขก และโถงรับรองแขก<br />

เป็นต้น เป็นที่สำหรับพบปะสังสรรค์ตามวัฒนธรรมสากล ที่มีการ<br />

รับรองแขกด้วยโต๊ะและเก้าอี้นั่ง ไม่ใช่ท้องพระโรงในพระมหา<br />

มณเฑียรโบราณที่ขุนนางข้าราชการเข้าเฝ้าพระมหากษัตริย์ด้วย<br />

การหมอบอยู่กับพื้น เหตุนี้พระที่นั่งองค์นี้จึงเป็นแบบตะวันตก<br />

ทั้งหมดทั้งอาคารและหลังคาที่จะเป็นทรงโดมแบบสันตะเข้โค้ง<br />

3 โดมที่มุขกลางและหัวท้าย แต่ขณะที่กำลังก่อสร้างอยู่นั้น<br />

สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ผู้สำเร็จราชการ มีความเห็น<br />

ว่าไม่ควรที่จะสร้างอาคารแบบตะวันตกแท้ๆ ที่ใจกลางพระบรม<br />

มหาราชวัง และต้องการที่จะอนุรักษ์ไวยกรณ์สถาปัตยกรรมไทย<br />

สำหรับพระที่นั่งองค์สำคัญนั่นคือหลังคายอดปราสาท ซึ่งเป็น<br />

สัญลักษณ์ของอาคารสำหรับพระมหากษัตริย์เท่านั้น จึงกราบ<br />

บังคมทูลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวว่าพระองค์ยัง<br />

มิได้ทรงสร้างพระมหาปราสาทตามโบราณราชประเพณีที่พระมหา<br />

กษัตริย์ในราชวงศ์องค์ก่อนๆ ได้ทรงสร้างแล้วทั้งสิ้น จึงขอพระบรม<br />

ราชานุญาตให้พระที่นั่งองค์นี้เป็นยอดปราสาท ซึ่งพระบาทสมเด็จ<br />

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงพระราชทานอนุญาตให้มีการแก้ไข<br />

แบบจากทรงโดมสันตะเข้โค้งแบบฝรั่งเศสเป็นทรงปราสาท ทุกวันนี้<br />

เราจึงเห็นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทมีตัวอาคารแบบคลาสสิคแท้ๆ<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

333


แต่หลังคาเป็นยอดแหลมแบบปราสาทไทยแท้ๆ อยู่รวมในหลัง<br />

เดียวกันอย่างแตกต่างแต่ประสานร่วมกันได้<br />

อาคารทั้ง 2 ต่างต้องการแสดงสัญลักษณ์อารยธรรมตะวันตก<br />

ขณะเดียวกันก็ต้องการรักษาเอกลักษณ์ของวัฒนธรรมท้องถิ่นที่<br />

สั่งสมมาอย่างยาวนาน รัฐสภาญี่ปุ่นต้องการสัญลักษณ์ระบอบการ<br />

ปกครองใหม่ของชนชาติศิวิไลซ์ที่มีอัตลักษณ์ของชาติตนเอง<br />

แต่มันเป็นอาคารและกิจกรรมที่ไม่มีมาก่อนในประวัติศาสตร์<br />

รัฐบาลจึงต้องเชิญผู้เชี่ยวชาญเยอรมันมาออกแบบซึ่งพวกเขาก็ได้<br />

มอบแบบรัฐสภาแบบตะวันตกและแบบตะวันออกให้เลือก แต่ญี่ปุ่น<br />

กลับไม่ต้องการทั้งคู่เพราะแบบตะวันตกขาดอัตลักษณ์ญี่ปุ่น<br />

ขณะที ่แบบตะวันออกก็เป็นอัตลักษณ์ที่ญี่ปุ่นเพิ่งจะปฏิวัติมันมา<br />

ในที่สุดญี่ปุ่นก็ยังหาคำตอบเรื่องนี้ไม่ได้อย่างน้อยก็ในช่วงระยะ<br />

เวลานี้ แต่ในระยะยาวแล้วปัญหาอัตลักษณ์ทางสถาปัตยกรรม<br />

จะเป็นคุณแก่ญี่ปุ่น เพราะมันกลายเป็นปัญหาหลักของสถาปนิก<br />

ญี่ปุ่นในภายภาคหน้าในการหาความเป็นตะวันตกที่มีอัตลักษณ์<br />

ของตนเอง จนพวกเขาสามารถค้นพบคำตอบได้โดยการปลดปล่อย<br />

ตนเองออกจากกรงขังของรูปธรรมในอดีต แล้วหันไปสำรวจ<br />

วัฒนธรรมนามธรรมมาเป็นฐานในการสร้างสรรค์ผ่านระบบการ<br />

ศึกษาและการปฏิบัติวิชาชีพอย่างจริงจัง และประสบความสำเร็จ<br />

ในที่สุดด้วยภูมิปัญญาและความอุตสาหะของพวกเขาเอง<br />

พระที ่นั่งจักรีมหาปราสาทไม่ได้ต้องแสดงสัญลักษณ์ของ<br />

ระบอบการปกครองใหม่เท่ากับญี่ปุ่น แต่ก็ต้องการสัญลักษณ์ของ<br />

ชาติศิวิไลซ์ที่มีรสนิยมแบบตะวันตกที่ก้าวหน้า แต่พลังอนุรักษ์นิยม<br />

ของบริบทภายในประเทศกลับเหนี่ยวรั้งรูปแบบใหม่ให้กลับมาหา<br />

ของโบราณจนได้พบความสมดุลที่น่าสนใจเช่นกัน แต่ในระยะยาว<br />

เรื่องนี้กลับไม่เป็นประโยชน์ในการพัฒนาความสามารถของตนเอง<br />

ของสยาม เพราะเห็นว่าลักษณะลูกผสมคือคำตอบที่ถูกต้องแล้ว<br />

สำหรับการพัฒนา ทำให้สยามตกอยู่ในกับดักของความคิด<br />

สำเร็จรูปเมื่อต้องการหาอัตลักษณ์ของตนเองให้กับสิ่งใหม่ๆ<br />

ที่ไม่เคยมีมาก่อนในสังคมสยาม การพึ่งพารูปแบบโบราณและ<br />

แนวคิดเก่าๆ กลายเป็นสิ่งที่ต้องพึ่งพาอยู่เสมอ ความคิดสร้างสรรค์<br />

ในสังคมสยามจึงเกิดได้ช้าและยากมาก<br />

334 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (1910-1940)<br />

สถาปัตยกรรมยุคนี้แบ่งเป็น 2 ช่วง ช่วงแรกตรงกับรัชสมัย<br />

ไทโชในญี่ปุ่นซึ่งเริ่มต้นเมื่อ ค.ศ. 1912 จนถึง ค.ศ. 1926 ส่วนใน<br />

สยามตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

รัชกาลที่6 ซึ่งเริ่มรัชกาลใน ค.ศ. 1910 จนถึง ค.ศ. 1925 ช่วงที่2<br />

ตรงกับรัชสมัยโชวะในญี่ปุ่น ที่จะกล่าวในการศึกษานี้เริ่มต้นเมื่อ<br />

ค.ศ. 1926 จนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่2 ใน ค.ศ. 1945 ส่วนใน<br />

สยามตรงกับรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

รัชกาลที่ 7 ซึ่งเริ่มต้นรัชกาลใน ค.ศ. 1925 ไปสิ้นสุดรัชกาล<br />

ใน ค.ศ. 1935 และต่อไปจนถึงรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร<br />

มหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ 8 ที่เริ่มรัชกาลใน ค.ศ. 1935 ไปจน<br />

สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ใน ค.ศ. 1945<br />

ในช่วงสั้นๆ 30 ปีนี้เราเห็นการแปลงรูป (transformation)<br />

ทางสถาปัตยกรรมจากแบบตะวันตกโบราณไปสู่สถาปัตยกรรมของ<br />

ยุคสมัยใหม่ โดยเฉพาะที่ญี่ปุ่นการสะสมทางวิชาการและ<br />

ประสบการณ์การปฏิบัติวิชาชีพมาถึงจุดเปลี่ยนทางคุณภาพ<br />

สถาปนิกชั้นนำเริ่มทิ้งการออกแบบสถาปัตยกรรมที่ดาษดื่นและ<br />

นำเสนอรูปแบบใหม่ที่เป็นสากลร่วมด้วยอัตลักษณ์ท้องถิ่นที่เป็น<br />

นามธรรม มีการนำเสนอสถาปัตยกรรมและพิธีกรรมโบราณของ<br />

ญี่ปุ่นเผยแพร่สู่นานาชาติและได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก<br />

อย่างไรก็ตามปัจจัยการเมืองภายในประเทศเองที่นำโดยลัทธิ<br />

ชาตินิยมสุดโต่งและลัทธิจักรวรรดินิยมเอเชียกลับสกัดกั้นการ<br />

เติบโตของสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่และดึงมันกลับไปสู่<br />

กรอบของรูปแบบอนุรักษ์นิยมโบราณอีก แต่ช่วงเวลาแห่ง<br />

ความยากลำบากนี้ก็ผ่านไปหลังจากญี่ปุ่นที่ถูกครอบงำโดยสอง<br />

ลัทธิแห่งความก้าวร้าวนี้พ่ายแพ้ในสงครามโลกครั้งที่ 2<br />

ในสยามก่อนทศวรรษ 1930 ไม่มีสาระอะไรมากนักเกี่ยวกับ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ อาคารสำคัญที่สร้างขึ้นเป็นการผลิตซ้ำ<br />

ของสถาปัตยกรรมคลาสสิคและโรแมนติกที่สร้างด้วยคอนกรีต<br />

รวมทั้งสถาปัตยกรรมอาร์ตนูโวที่เข้าสู่ขั้นฟุ้งเฟ้อตามแบบศาลา<br />

แสดงสินค้านานาชาติในยุโรปตอนต้นศตวรรษที่ 20 35 อาคาร<br />

แบบใหม่ที่น่าสนใจกลับเป็นอาคารสาธารณูปโภคคอนกรีตที่<br />

ออกแบบโดยวิศวกร รวมทั้งสถาปัตยกรรมชาตินิยมที่สร้างด้วย<br />

คอนกรีตที่มาจากอิทธิพลของลัทธิชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

ที่เราจะแยกกล่าวจากหัวข้อนี้สถาปัตยกรรมสมัยใหม่มีบทบาทมาก<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

335


ในสยามตั้งแต่ทศวรรษที่1930 ในรูปของสถาปัตยกรรมอาร์ตเด็คโค<br />

ที่นำเข้าโดยสถาปนิกรุ่นใหม่ชาวไทยที่สำเร็จการศึกษาจากยุโรป<br />

กลางทศวรรษที่ 1930 เป็นต้นไปรัฐบาลประชาธิปไตยที่มีผู้นำเป็น<br />

พวกนิยมทหารและลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทยได้สร้างอาคาร<br />

แบบอาร์ตเด็คโคอิทธิพลฟาสซิสต์ขึ้นมา เพื่อเป็นสัญลักษณ์<br />

ความสำเร็จของการปกครองระบอบใหม่ แต่อาคารแบบนี้ก็เป็น<br />

สัญลักษณ์ของความล้มเหลวที่รัฐบาลนำประเทศไปเป็นพันธมิตร<br />

กับญี่ปุ่นผู้รุกรานที่พ่ายแพ้ มันจึงกลายเป็นอาคารที่ถูกทำให้ลืม<br />

ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ไทยก็แพ้สงครามด้วย<br />

นิทรรศการกลุ่มบุนริฮา ค.ศ. 1921<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ช่วงแรก (1910-1926)<br />

ยุคเริ่มต้นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

รัชสมัยไทโช (1912-1926) คือยุคสมัยใหม่แห่งสถาปัตยกรรม<br />

ญี่ปุ่นอย่างแท้จริง มันมาพร้อมกับความเป็นประเทศอุตสาหกรรม<br />

ทุนนิยมเต็มตัว ประเทศจักรวรรดินิยม และประชาธิปไตยภายใต้<br />

กำกับของกลุ่มคณาธิปไตยและทหาร ในทางสังคมมีการขยายตัว<br />

อย่างรวดเร็วของประชากรในเมืองใหญ่ซึ่งเป็นผลจากการอพยพ<br />

จากชนบท การเกิดขึ้นของชนชั้นกลางที่ต้องการสิทธิเสรีภาพ<br />

และประชาธิปไตย การมีการศึกษาที่ดีทำให้ชนชั้นกลางมีโลกทัศน์<br />

ที่กว้างขึ้น ประชาชนต้องการเป็นอิสระจากขนบธรรมเนียมประเพณี<br />

โบราณเพื่อวิถีชีวิตและคุณค่าแบบตะวันตก เราจึงไม่ต้องแปลกใจ<br />

ในคำขวัญของกลุ่มสถาปนิกบุนริฮาที่ประกาศตนอย่างโจ่งแจ้งว่า<br />

เป็นกบฏกับประเพณีเก่าว่า “...ลุกขึ้นมาเถิดเราสร้างอาณาจักร<br />

สถาปัตย์ใหม่ที่มีความหมายแท้จริง เราจะแยกตัวจากอาณาจักร<br />

สถาปัตย์แห่งอดีต...เราลุกขึ้นอย่างปิติ อุทิศอุตสาหะเพื่อ<br />

อุดมการณ์ปรากฏ เราจะรอด้วยหวัง จนกว่าจะล้มลง ตาย...”<br />

แต่สุดท้ายพวกเขาก็หนีไม่พ้นอุดมการณ์ชาตินิยมอยู่ดี โฮริกูชิ<br />

เขียนว่า “...เราได้ดูดซึมจารีตประเพณีเข้าไปในเลือดและกล้ามเนื้อ<br />

และมันสุกงอมอยู่ในทุกอณูในร่างกายของเรา...”มองในแง่นี้พวกเขา<br />

กำลังจะสร้างสถาปัตยกรรมชาตินิยมอีกแบบหนึ่งที่ใช้รูปแบบสมัยใหม่<br />

และทิ้งสถาปัตยกรรมแบบโบราณไป เพราะมันเป็นเพียงเปลือก<br />

ของยุคสมัย ไม่ใช่แก่นที่ไม่มีตัวตนและไม่มีการคงอยู่ตลอดไป<br />

เขาเพียงแต่หารูปแบบที่เหมาะกับยุคสมัยมาห่อหุ้มมันไว้ ผลงาน<br />

ของบุนริฮาในยุคแรกเป็นการเลียนแบบกระแสสถาปัตยกรรม<br />

ก้าวหน้าช่วงปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษที่ 20 หลายกลุ่ม<br />

เข้าด้วยกัน โดยเฉพาะพวกซีเซสชั่นนิสแห่งเวียนนาและกลุ่ม<br />

เอ๊กเพรสชั่นนิสม์ของเยอรมัน งานอย่างอาคารสำนักงานกลาง<br />

โทรเลขแห่งกรุงโตเกียว (1925) โดยยามาดะ มาโมรุ และอาคาร<br />

สำนักงานหนังสือพิมพ์อาซาฮีที่กรุงโตเกียว (1927) โดยอิชิโมโต<br />

คิกูจิ มีความเป็นตัวของตัวเองสูงมากแม้ว่าเราจะเห็นอิทธิพลของ<br />

336 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ขวา สำนักงานกลางโทรเลขแห่งกรุงโตเกียว (1922)<br />

ล่าง สำนักงานหนังสือพิมพ์อาซาฮี (1927)<br />

พวกเอ๊กเพรสชั่นนิสม์ของเยอรมันอย่างฮานส์ โพลซิกที่ออกแบบ<br />

ไว้ก่อน 15 ปีก็ตาม บ้านพักอาศัยที่ชื่อ ชิเอ็นโซ ที่เมืองวาราบิ<br />

จังหวัดไซตะมะ (1926) ของโฮริกูชิ เอากระท่อมทรงสูงมุงใบไม้<br />

แบบสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นของดัตช์มาชนกับอาคารทรงกล่อง<br />

หลังคาแบน เจาะผนังเป็นช่องกลมแบบญี่ปุ่นแสดงให้เห็นอิทธิพล<br />

ของสถาปนิกกลุ่มอัมสเตอร์ดัมสคูลส์โคโลนี่ตอนปลายทศวรรษ<br />

ที่ 1910 ผสมงานสถาปัตยกรรมพื้นถิ่นญี่ปุ่น ผลงานทั้งหมดแสดง<br />

ความสามารถในการวางผังรูปทรงสี่เหลี่ยมแบบอสมมาตรที่<br />

สามารถรองรับประโยชน์ใช้สอยที่ยืดหยุ่น การใช้โครงสร้าง<br />

คอนกรีตเสริมเหล็กกำหนดพื ้นที่ภายในและห่อหุ้มด้วยเปลือก<br />

ภายนอกที่เป็นวัสดุเรียบเกลี้ยงสะท้อนกิจกรรมภายในอย่างตรงไป<br />

ตรงมา ซึ่งทั้งหมดเป็นพื้นฐานความสามารถที่ต้องมีในการ<br />

ออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของศตวรรษที่20 ที่สถาปนิกกลุ่มนี้<br />

มีอย่างชัดเจน ความสามารถเหล่านี้ส่วนหนึ่งย่อมมาจากการสั่งสม<br />

ภายในวงการศึกษาสถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นเองตั้งแต่ทศวรรษ<br />

ที่ 1870 ที่เริ่มตั้งสาขาวิชาสถาปัตยกรรมในคณะวิศวกรรมศาสตร์<br />

มหาวิทยาลัยโตเกียว การศึกษาแบบวิศวกรที่ใช้พื้นฐานของเหตุผล<br />

ความแม่นยำ และความประหยัดเรียบง่ายแบบที่สถาปนิกสมัยใหม่<br />

เรียกร้องจึงมีอยู่แล้ว ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากสถาปัตยกรรมแบบ<br />

คลาสสิคสู่แบบสมัยใหม่เราจึงไม่สามารถแยกผลงานการออกแบบ<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

337


บนซ้าย บ้านชิเอ็นโซ (1926)<br />

บนขวา บ้านซาโน (1923)<br />

ล่าง บ้านไรนานซากา (1924)<br />

อาคารของวิศวกรและสถาปนิกให้เห็นแตกต่างชัดเจน ดังจะเห็นได้<br />

จากผลงานบ้านพักซาโน (Sano Residence) (1923) ที่โอซาก้า<br />

ออกแบบโดย ซาโน โตชิคาตะ ที่เป็นหัวหน้าภาควิชาสถาปัตยกรรม<br />

(วิศวกรรมอาคาร) ของมหาวิทยาลัยโตเกียว บ้านของเขามีผังเป็น<br />

รูปตัว T ลักษณะเป็นกล่องสี่เหลี่ยมที่ตรงไปตรงมาเรียบเกลี้ยงที่สุด<br />

และใช้โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กจนยากที่จะบอกว่างานนี้<br />

ออกแบบโดยวิศวกรหรือสถาปนิก นอกจากอิทธิพลการศึกษาจาก<br />

ภายในและอิทธิพลรูปแบบและแนวคิดจากภายนอกแล้ว ยังมี<br />

อิทธิพลสำคัญอีกสายหนึ่งที่มาจากสถาปนิกนำเข้าจากต่างประเทศ<br />

ได้แก่ อันโตนิน เรย์มอนด์ ชาวอเมริกัน-เช็ค ที่ออกแบบบ้าน<br />

ไรนานซากา (1924) ที่กรุงโตเกียว ในลักษณะรูปทรงกล่องสี่เหลี่ยม<br />

เรียบเกลี้ยงแบบของโกรเปียสผสมคอร์บู แม้ว่าจะมีรูปแบบ<br />

สมัยใหม่แต่โครงสร้างยังเป็นแบบกำแพงรับน้ำหนักแบบโบราณ<br />

อยู่ดี อันโตนิน เรย์มอนด์จะเป็นสถาปนิกรุ่นบุกเบิกคนสำคัญ<br />

ในการถ่ายทอดความสามารถในการออกแบบสถาปัตยกรรมสากล<br />

นิยมสมัยใหม่ของศตวรรษที่ 20 ให้กับวงการสถาปนิกญี่ปุ่น<br />

จนกระทั่ง ค.ศ. 1938<br />

338 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ตึกผ่าตัด (1912-1914)<br />

ล่าง ตึกวชิรุณหิศ(1912-1914)<br />

สถาปัตยกรรมคอนกรีตเสริมเหล็กในสยาม<br />

แม้ว่าสยามจะมีการสร้างอาคารสำคัญมากมายในรัชกาล<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (1910-1925) ไม่น้อย<br />

กว่ารัชกาลก่อน แต่ทั้งหมดเป็นอาคารผสมผสานรูปแบบโบราณ<br />

(Eclecticism) ที่สร้างด้วยโครงสร้างระบบกำแพงอิฐรับน้ำหนัก<br />

ผสมคอนกรีตเสริมเหล็ก เราสามารถกล่าวได้ว่าไม่มีสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่ที่ออกแบบภายใต้พื้นฐานทฤษฎีสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ในสมัยรัชกาลที่6 นี้ การที่สยามเชื่องช้าในการจัดการศึกษาระดับ<br />

ประถมศึกษาจนถึงขั้นอุดมศึกษา ทำให้ความก้าวหน้าใหม่ๆ ของ<br />

โลกที่ถาโถมมาตอนต้นศตวรรษที่ 20 ผ่านเลยประเทศนี้ไป<br />

ขณะเดียวกันกลุ่มคนที่รับผิดชอบงานออกแบบสถาปัตยกรรมให้<br />

รัฐบาลยังเป็นคนชุดเดิมจากสมัยรัชกาลที่5 เป็นส่วนใหญ่สถาปนิก<br />

รุ่นใหม่ในรัชกาลก่อนเช่นมาริโอ ตามานโยกลายเป็นคนรุ่นเก่าไปแล้ว<br />

งานชิ้นสำคัญของเขาในยุคนี้ เช่น บ้านนรสิงห์ (1923-1926)<br />

ใช้ผังที่พัฒนามาจากพระที่นั่งอัมพรสถานในสมัยรัชกาลที่5 แต่หุ้ม<br />

ด้วยสถาปัตยกรรมโกธิคแบบเวนิส ซึ่งเป็นการผลิตซ้ำศาลาอิตาลี<br />

ในงานมหกรรมแสดงสินค้าแห่งปารีสใน ค.ศ. 1900 ความสนใจ<br />

ของเขาหยุดอยู่ที่สถาปัตยกรรมอาร์ตนูโวและสติลฟลอริอาเล<br />

งานแบบสากลนิยมสมัยใหม่ (International modern) ไม่เคยมี<br />

หลักฐานว่าเขาเอ่ยอ้างถึง แม้ว่าเขาจะออกแบบอาคารคอนกรีต<br />

เกลี้ยงๆ บางหลังให้รัฐบาล แต่งานหลักของเขาและคณะสถาปนิก<br />

อิตาเลียนยังมุ่งอยู่กับการผลิตซ้ ำสถาปัตยกรรมผสมผสานคลาสสิค<br />

และโรแมนติกให้รัฐบาลต่อไป อย่างไรก็ตามไม่ใช่ว่าสยามจะไม่มี<br />

อะไรเปลี่ยนเลย การก่อสร้างโครงการสาธารณูปโภคต่างๆ เช่น<br />

งานสร้างทางรถไฟ ระบบประปา ระบบไฟฟ้า ระบบชลประทาน<br />

รวมทั้งการสร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ อาคารเหล่านี้ต่างสร้าง<br />

ด้วยวัสดุสมัยใหม่ที่เรียกว่า คอนกรีต ซึ่งเป็นผลผลิตจากการสร้าง<br />

โรงงานผลิตปูนซีเมนต์พอร์ทแลนด์ขึ้นเป็นครั้งแรกในสยาม<br />

ใน ค.ศ. 1913 อาคารคอนกรีตออกแบบโดยวิศวกรและผู้รับเหมา<br />

เป็นส่วนใหญ่ เพราะมันเป็นอาคารที่สนองประโยชน์ใช้สอย<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

339


เรียบง่าย แข็งแรง ตรงไปตรงมา และราคาประหยัด ความพ้องกัน<br />

ในแนวคิดระหว่างอาคารคอนกรีตกับอาคารสมัยใหม่นั้น ทำให้เรา<br />

สามารถนำมันมาเปรียบเทียบกับอาคารแบบใหม่ในญี่ปุ่นได้ใน<br />

ระดับหนึ่ง อาคารคอนกรีตที่สำคัญในสยาม ได้แก่ โรงพยาบาล<br />

จุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย (1912-1914) ออกแบบโดยมาริโอ<br />

ตามานโย ตึกที่น่าสนใจคือ ตึกผ่าตัด (1914) เป็นรูปกล่องสี่เหลี่ยม<br />

แฝด 2 หลังติดกัน หลังคาแบนโครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

นอกจากนี้ยังออกแบบให้ผนังด้านหนึ ่งติดกระจกบานใหญ่เกือบ<br />

เต็มผนังเพื่อรับแสงในการผ่าตัด ตึกหอผู้ป่วยชั้นเดียวเป็นบังกะโล<br />

คอนกรีตหลังคาแบน ชายคายื่นยาวมากรับด้วยเสาคอนกรีตขนาด<br />

เล็กเรียงเป็นแถว โรงกรองน้ำประปา สามเสน (1914) เป็นอาคาร<br />

คอนกรีตเสริมเหล็ก หลังคาโครงเหล็กทรัสรับหลังคาจั่ว โถงชาน<br />

ชาลาสถานีรถไฟกรุงเทพฯ หัวลำโพง (1916) ไม่ใช่อาคารคอนกรีต<br />

แต่เป็นอาคารโครงสร้างเหล็กผนังด้านสกัดเป็นกระจกชิ้นเล็ก<br />

ต่อกันเป็นผืนใหญ่ หลังคาเป็นทรัสเหล็กรูปโค้งประทุนเกือบจะ<br />

บน โรงกรองน้ำประปา<br />

สามเสนหลังแรก (1914)<br />

ล่าง โครงสร้างหลังคาเหล็ก<br />

สถานีรถไฟกรุงเทพฯ<br />

340 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ครึ่งวงกลมคลุมช่วงกว้าง 50 เมตร โรงซ่อมรถโดยสาร มักกะสัน<br />

(1922) โครงสร้างผสมระหว่างอิฐก่อเสริมคานวงโค้งคอนกรีต<br />

เสริมเหล็ก หลังคาโครงทรัสเหล็กรับหลังคาจั่ว อาคารโรงเรียนและ<br />

โบสถ์คริสต์บางแห่งก็สร้างด้วยคอนกรีตตัวอย่างเช่น ตึกประถม<br />

หนึ่งโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ (1913) สร้างเป็นตึกแถว<br />

คอนกรีต 3 ชั้นมีเสาระเบียงเรียงเป็นแถวเหมือนโรงเรียนห้องแถวไม้<br />

ในยุคก่อน โบสถ์น้อยเซนต์โยเซฟคอนแวนต์ (1920) เป็นอาคาร<br />

คอนกรีต 3 ชั้นเรียบง่าย ที่วางผังตัวโบสถ์ ห้องเรียน และห้อง<br />

สังฆภัณฑ์ได้อย่างลงตัวในกรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้า ตึกแถวเป็นอาคาร<br />

มวลชนอีกแบบหนึ่งที่สร้างด้วยคอนกรีต เพราะสามารถกันไฟไหม้<br />

ได้ตัวอย่างสำคัญ ได้แก่ ห้างทองตั้งโต๊ะกัง สำเพ็ง (1921)<br />

เป็นอาคารสูงถึง 6 ชั้น แต่ยังใช้ลวดลายแบบคลาสสิคประดับ<br />

อาคารทุกชั้น<br />

บน ตึกประถมหนึ่ง โรงเรียนเซนต์โยเซฟ<br />

คอนแวนต์ (1913)<br />

ล่าง โรงซ่อมรถโดยสาร มักกะสัน (1922)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

341


การเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม<br />

การเข้าสู่ยุคเริ่มต้น สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นเป็น<br />

รูปธรรมของความแตกต่างเชิงคุณภาพระหว่างญี่ปุ่นกับสยามอย่าง<br />

ชัดเจน หลังจากที่ต้องเปิดประเทศรับอารยธรรมตะวันตกพร้อมๆกัน<br />

เมื่อ 60 ปีก่อนหน้านี้ การลงทุนจัดการประเทศอย่างเป็นระบบของ<br />

ญี่ปุ่นเมื่อ 60 ปีก่อนได้เห็นผลความความแตกต่างชัดเจนจาก<br />

สยามในช่วงทศวรรษ 1920 เมื่อญี่ปุ่นสามารถรองรับการเรียนรู้<br />

จากตะวันตกได้อย่างต่อเนื่องแม้ว่าจะยังไม่ทัดเทียมก็ตาม ขณะที่<br />

สยามยังคงไม่แตกต่างมากนักจาก 60 ปีก่อนหน้านี้เมื่อมองในแง่<br />

การพึ่งพาความรู้ การสร้างนวัตกรรมยังต้องอาศัยบุคลากร<br />

ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ บุคลากรภายในยังเติบโตอย่างเชื่องช้าและ<br />

ไม่รับรู้กับการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ของศตวรรษที่ 20<br />

ในแง่มุมของสถาปัตยกรรมเราได้เห็นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ในญี ่ปุ่นที ่มีรูปแบบการวางผังที ่ซับซ้อน สะท้อนประโยชน์ใช้สอย<br />

ของโลกทุนนิยมญี่ปุ่นที่กำลังเติบใหญ่ การสร้างสรรค์รูปทรงอาคาร<br />

ที่ค่อนข้างแปลกประหลาดทั้งในงานอาคารส ำนักงานกลางโทรเลขแห่ง<br />

กรุงโตเกียวและอาคารสำนักงานหนังสือพิมพ์อาซาฮี แสดงให้เห็น<br />

การก้าวติดตามความเคลื่อนไหวล่าสุดของกลุ่มที่ก้าวหน้าที่สุดทาง<br />

สถาปัตยกรรมในเยอรมัน นอกจากนี้กระท่อมชิเอ็นโซที่เมืองวาราบิ<br />

ยังแสดงถึงความพยายามที่จะผสานวัฒนธรรมวิถีชีวิตแบบญี่ปุ่น<br />

เข้าไปในรูปทรงแบบสมัยใหม่ และวิธีคิดที่จะสร้างอัตลักษณ์ญี่ปุ่น<br />

เชิงนามธรรมเข้าไปในรูปธรรมแบบสมัยใหม่นี้จะเป็นรากฐาน<br />

ความคิดของการออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่น<br />

สืบต่อไปจนถึงทุกวันนี้ ส่วนพัฒนาการของสถาปัตยกรรม<br />

ในสยามนั้นเป็นผลผลิตทางเทคนิคจากการใช้วัสดุใหม่คือ<br />

คอนกรีตเสริมเหล็ก ร่วมกับความต้องการประหยัดค่าก่อสร้าง<br />

และการเน้นหลักประโยชน์ใช้สอย ซึ่งทั้ง 3 ประการไม่ใช่ทฤษฎี<br />

การออกแบบใดๆ แต่เป็นหลักการของวิศวกรและผู้รับเหมาใน<br />

การสร้างอาคารสาธารณูปโภคของรัฐบาล เช่น โรงซ่อมรถจักร<br />

หรือโรงกรองน้ำประปา การสร้างอาคารวิศวกรรมเหล่านี้ทำให้<br />

สยามมีอาคารในรูปแบบคล้ายคลึงอาคารสมัยใหม่ของญี่ปุ่นได้<br />

แต่ในเชิงปรัชญาอาคารเหล่านี้ของทั้ง 2 ประเทศก็ยังแตกต่างกัน<br />

อย่างสิ้นเชิงกล่าวคือ สถาปัตยกรรมคอนกรีตในสยามไม่มีแนวคิด<br />

ทฤษฎี และประวัติศาสตร์รองรับแบบที่ญี่ปุ่นมี และที่สำคัญที่สุด<br />

อาคารสมัยใหม่ในสยามเป็นนวัตกรรมของคนต่างชาติขณะที่<br />

ญี่ปุ่นคิดและสร้างด้วยตนเอง เรื่องนี้ยังสะท้อนบริบทกายภาพของ<br />

ทั้ง 2 ประเทศในขณะนั้นได้เป็นอย่างดี ญี่ปุ่นกำลังยกระดับ<br />

โตเกียวไปเป็นเมืองทุนนิยมใหญ่ระดับโลกที่สับสนวุ่นวาย ขณะที่<br />

กรุงเทพมหานครยังคงสถานภาพเมืองใหญ่ระดับภูมิภาคที่<br />

ประชากรแออัดในบริเวณใจกลางเมืองเท่านั้น แต่รอบนอกยัง<br />

แวดล้อมด้วยเรือกสวนไร่นาต่อไป<br />

342 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน บ้านโอกาดะ (1933)<br />

ล่าง บ้านฮามาโอะ (1927)<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ช่วงที่ 2 (1926-1945)<br />

ยุคแห่งความงอกงามและเหี่ยวเฉาของสถาปัตยกรรมสากลนิยม<br />

สมัยใหม่ในญี่ปุ่น<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ได้เกิด เติบโต และเป็นที่รู้จักกันทั่ว<br />

ในทศวรรษ 1910-1920 หรือรัชสมัยไทโช เพราะสังคมญี่ปุ่นพัฒนา<br />

เป็นประชาธิปไตยในระดับหนึ่งและเปิดโอกาสให้พวกปัญญาชนทั้ง<br />

ฝ่ายเสรีนิยมและฝ่ายหัวก้าวหน้าได้แสดงความคิดเห็นและผลงาน<br />

ของเขาบ้างท่ามกลางความไม่พอใจของพวกขวาจัดและทหาร<br />

พอมาถึงทศวรรษ 1930-1940 ลัทธิชาตินิยมสุดโต่งและ<br />

จักรวรรดินิยมทำสงครามขยายดินแดนก็ครอบงำแนวคิดของคน<br />

ญี่ปุ่นทั้งหมด ในทางสถาปัตยกรรมแนวทางออกแบบชาตินิยม<br />

แบบมงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิยึดครองกระแสหลักของ<br />

การออกแบบสถาปัตยกรรมได้อย่างกว้างขวาง แต่สถาปัตยกรรม<br />

สากลนิยมสมัยใหม่ยังมีพื้นที่สร้างสรรค์เล็กๆ ในแวดวงของการ<br />

ออกแบบบ้านพักอาศัยของคนชั้นสูงหัวสมัยใหม่เรือนชุดพักอาศัย<br />

ของชนชั้นกลางและอาคารสาธารณประโยชน์ เช่น โรงพยาบาล<br />

โรงเรียน สถานีไปรษณีย์-โทรเลข และสถานีอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น<br />

ตราบใดที่สถาปนิกกลุ่มนี้ไม่ทำกิจกรรมเชิงต่อต้านรัฐและจำกัด<br />

ตัวเองอยู่ในแวดวงสถาปัตยกรรม รัฐบาลก็ยังไม่ปิดกั้นงานวิชาชีพ<br />

ของพวกเขา นี่เองทำให้แนวคิดสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่<br />

(International modern) ภายใต้อิทธิพลของสำนักเบาเฮาส์ของ<br />

เยอรมันที่นำโดย วอลเตอร์ โกรเปียส และสถาปนิก เลอคอร์บูซิเอร์<br />

ชาวสวิสที่ทำงานในกรุงปารีสเติบโตได้ในญี่ปุ่น แม้ว่าลัทธิสากลนิยม<br />

สมัยใหม่เน้นความเป็นสากลของสถาปัตยกรรม แต่ในญี่ปุ่นมันมี<br />

ลัทธิชาตินิยมแทรกอยู่ ซึ่งเป็นผลจากการพัฒนาการศึกษา<br />

สถาปัตยกรรมตั้งแต่ปลายรัชสมัยเมจิผ่านการศึกษาวิชา<br />

ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมชาตินิยมของอิโตะ ชูตะ และกลายเป็น<br />

ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ของญี่ปุ่น<br />

ซึ่งแม้แต่เจ้าลัทธิสากลนิยมสมัยใหม่เองอย่างวอลเตอร์ โกรเปียส<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

343


แห่งสำนักเบาเฮาส์เองก็ยอมรับว่ามีความเป็นปัจเจกชนนิยมได้<br />

ในการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่36 สิ่งที่น่าสนใจ<br />

คือผู้นำสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ในญี่ปุ่นคนสำคัญ<br />

ในช่วงเริ่มต้นจนถึงพัฒนาเติบใหญ่ตั้งแต่ทศวรรษที่ 1920-1930<br />

เป็นสถาปนิกต่างชาติชาวเช็ค-อเมริกันชื่อ แอนโตนิน เรย์มอนด์<br />

เขานำนามธรรมของวิถีชีวิตญี่ปุ่นไปบูรณาการกับแนวคิดสากล<br />

นิยมสมัยใหม่อย่างได้ผลดี เช่น บ้านฮามาโอะ (1927) ที่ใช้ระบบ<br />

พิกัดขนาด 6.5 ฟุต x 6.5 ฟุต รองรับระบบห้องปูเสื่อแบบญี่ปุ่นได้<br />

ทำให้ความรู้สึกของขนาดบ้านต่อเนื่องไปทั้งหลังไม่ว่าจะจัดบ้าน<br />

ในแบบตะวันตกหรือแบบญี่ปุ่นบ้านคาวาซากิ(1934) ใช้สวนนอกบ้าน<br />

และลานเปิดภายในบ้าน (court) แบ่งพื้นที่บ้านอย่างชาญฉลาด<br />

บ้านอะกาโบชิเทตสุมา (1934) มีผังที่รองรับได้ทั้งวิถีชีวิตแบบตะวันตก<br />

และแบบญี่ปุ่น รวมทั้งการใช้สวนหย่อมเล็กๆ ในการสร้างความ<br />

เป็นส่วนตัวให้กับห้องต่างๆ ที่ต้องการความเป็นส่วนตัวต่างกัน<br />

บ้านพักอาศัยที่สถาปนิกญี่ปุ่นออกแบบเองก็น่าสนใจไม่แพ้กัน<br />

บ้านโอกาดะ (1933) ออกแบบโดย โฮริกูชิซูเตมิทำบ้านแบบโบราณ<br />

และแบบสมัยใหม่มาต่อกันโดยแยกด้วยลานเปิดภายในบ้าน<br />

นอกจากนี้เขายังเปลี่ยนระเบียงบ้านให้เป็นสระน้ ำเพื่อเป็นตัวเชื่อมต่อ<br />

สวนญี่ปุ่นที่อยู่ระดับต่ำกว่ากับสนามหญ้าแบบตะวันตกที่อยู่<br />

ระดับสูงกว่าให้ต่อเนื่องกลมเกลียวกัน บ้านมิกิชิ (ก่อน1935) โดย<br />

อิวาโอะ ยามาวากิ แสดงลักษณะผังเปิดโล่งไม่กั้นห้อง (open plan)<br />

บน บ้านมิกิชิ (ก่อน1935)<br />

ล่าง บ้านเสาสีขาว (1937)<br />

344 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บันโชซิดลุง (1933)<br />

และแยกโครงสร้างออกจากผนัง (free plan) แบบสากลนิยมสมัยใหม่<br />

อย่างชัดเจนซึ่งไม่ใช่การออกแบบปกติในสมัยนั้น บ้านเสาสีขาว<br />

(White Pillar House) (1937) โดย ชิคาทาดะ คุราตะ สร้างบนเสา<br />

ยกสูง (Pilotis) แบบเลอคอร์บูซิเอร์ ทั้ง 2 คนหลังนี้ไปเรียนที่<br />

สถาบันเบาเฮาส์โดยตรงกับโกรเปียส<br />

อาคารชุดพักอาศัยเป็นสถาปัตยกรรมยุคใหม่ที่มวลชน<br />

สัมผัสได้จริงในโตเกียวที่มีพลเมือง 6-7 ล้านคน เป็นงานออกแบบ<br />

ในทางสูงเพื่อประหยัดพื้นที่โดยสถาปนิก ใช้ขนาดเสื่อญี่ปุ่นโบราณ<br />

เป็นตัวกำหนดขนาดห้องพักสมัยใหม่ เรือนชุดมักรวมอยู่ใน<br />

โครงการหมู่บ้านที่มีอาคารหลายแบบตั้งแต่เรือนแฝดจนถึงอาคาร<br />

สูงหลายชั้นตามแบบของเยอรมัน ตัวอย่างเช่น ไดคันยามา<br />

อะพาร์ตเมนต์ (1927) บันโชซิดลุง (1933) ออกแบบโดย ยามากูชิ<br />

บุนโซ เลียนแบบไวท์เซนฮอพซิดลุงในสตุ๊ตการ์ท (1927)<br />

เอโดกาว่าอะพาร์ตเมนต์ (1934) โดยสหกรณ์เคหะการหรือโดจุงไก<br />

เป็นอะพาร์ตเมนต์สูง 4 และ 6 ชั้น แบ่งเขตที่อยู่ตามขนาดครอบครัว<br />

มีระบบอุปกรณ์อาคารทันสมัยเช่น ระบบทำความร้อนจากส่วนกลาง<br />

และสุขภัณฑ์แบบชักโครก เป็นต้น มีสวนพักผ่อนอยู่ภายในตามทฤษฎี<br />

ออกแบบของยุโรป<br />

ขวา อาคารในผังบริเวณเอโดกาว่าอะพาร์ตเมนต์<br />

อาคารสาธารณะอื่นๆ ในช่วงแรก เช่น อาคารไปรษณีย์กลาง<br />

กรุงโตเกียว (1927-1931) ออกแบบโดย โยชิดะ เทตสุโร อาคาร<br />

ยังดูเหมือนเต็มไปด้วยเสาอิงเรียงเป็นแถว หลัง ค.ศ. 1930 ที่<br />

โยชิดะไปทัศนศึกษาที่ยุโรปและสหรัฐอเมริกาแล้ว อาคารของเขา<br />

เริ่มมีผิวนอกเรียบเสมอเสา เช่น อาคารไปรษณีย์กลางแห่งโอซาก้า<br />

ฮิกาชิ (1931) ห้างสรรพสินค้าชิโรกิยะ กรุงโตเกียว (1931) โดย<br />

อิชิโมโต คิกูชิ ผนังอาคารกรุกระจกหลายระนาบ มีทั้งเรียบเสมอ<br />

โครงสร้างและถอยลึกเข้าไปให้เห็นแผ่นพื้นกันสาดยื่นออกมา<br />

เป็นจังหวะ ในลักษณะของพวกเอ๊กเพรสชั่นนิสม์ของโพลซิกและ<br />

เมนเดลโซนซึ่งเป็นแนวหนึ่งของสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่<br />

ที่เฟื่องฟูในทศวรรษที่1920 โรงเรียนประถมศึกษาในช่วงทศวรรษ<br />

ที่ 1930 ออกแบบโดยการคำนึงถึงความสัมพันธ์ของตัวอาคารกับ<br />

สภาพแวดล้อมได้ดี อาคารโรงเรียนจะรวมถึงสนามกีฬากลางแจ้ง<br />

สระว่ายน้ำกลางแจ้ง สนามกีฬาในร่ม สนามเด็กเล่นสำหรับ<br />

เด็กเล็กที่แยกต่างหาก เป็นต้น ส่วนตัวอาคารออกแบบเป็นทรงกล่อง<br />

สี่เหลี่ยมหุ้มด้วยกระจกแบบสถาบันเบาเฮาส์ในเยอรมัน ตัวอย่าง<br />

เช่น โรงเรียนประถมศึกษาที่ 5 เขตย็อตสุย่า (1934) โรงเรียน<br />

ประถมศึกษาแห่งทากะนะวะได (1935) และโรงเรียนประถมศึกษา<br />

15 ห้องเรียนแห่งนากาตะโช (1937) เป็นต้น สโมสรกอล์ฟแห่ง<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

345


บน อาคารไปรษณีย์กลางโตเกียว<br />

(1927-1931)<br />

ล่าง ห้างสรรพสินค้าชิโรกิยะ (1931)<br />

โตเกียว (1932) โดย แอนโตนิน เรย์มอนด์ เป็นที่สังสรรค์ของ<br />

ชนชั้นสูงในทศวรรษที่ 1930 เช่นเดียวกับคฤหาสน์โรกุไมคาน<br />

ในทศวรรษที่1880 แต่กิจกรรมสังสรรค์ของคนยุคนี้คือการเล่นกอล์ฟ<br />

การออกกำลังกายกลางแจ้งและให้สุขภาพสมบูรณ์ทั้งชายหญิง<br />

และการรับประทานอาหารในอาคารทรงกล่องคอนกรีตสีขาวแบบ<br />

เลอคอร์บูซิเอร์ เมนเดลโซน และโกรเปียส 37 โรงพยาบาลไทชิน<br />

กรุงโตเกียว (1936) ของยามาดะ มาโมรุ ออกแบบโดยเน้น<br />

ประโยชน์ใช้สอยในการขนย้ายคนไข้ การระบายถ่ายเทอากาศ<br />

ความสะอาด และถูกสุขลักษณะโดยใช้อาคารทรงกล่องแบบเบาเฮาส์<br />

ที่มีทางลาดสำหรับการเคลื่อนย้ายคนไข้ทั้งจากด้านหน้าโรงพยาบาล<br />

และภายในตึกหอผู้ป่วยใน ผนังอาคารกรุด้วยกระเบื้องเคลือบสีขาว<br />

ขนาดเล็กและมีผิวโค้งเว้าที่มุมและรอยต่อเพื่อไม่ให้สะสมสิ่ง<br />

สกปรกและเชื้อโรค 38 นอกจากนี้มันยังสามารถสะท้อนคุณภาพ<br />

แสงแดดจากการเปลี่ยนแปลงบรรยากาศของฤดูกาล ซึ่งสถาปนิก<br />

346 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน โรงเรียนประถมศึกษาที่ 5 เขตย็อตสุย่า (1934)<br />

ล่าง สโมสรกอล์ฟแห่งโตเกียว (1932)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

347


เห็นว่าเป็นจิตวิญญาณญี่ปุ่นที่อ่อนไหวต่อฤดูกาลทั้ง4 และความงาม<br />

ของธรรมชาติ39 สถานีตรวจอากาศโอชิมา (1937-38) โดยโฮริกูชิ<br />

ซูเตมิ เป็นอาคารทรงกล่องสี่เหลี่ยมพร้อมหอคอยซึ่งเป็นรูปแบบ<br />

ที่มาจากประโยชน์ใช้สอยโดยตรงร่วมกับแรงบันดาลใจจากศาลา<br />

ชงชาและพิธีชงชา เป็นปรัชญาที่เน้นวัตถุกับจิตที่ตรงข้ามกันอย่าง<br />

สิ้นเชิง แต่ในรูปธรรมออกแบบมันกลับเป็นเรื่องที่อยู่ร่วมกันได้<br />

โดยการออกแบบตึกคอนกรีตที่ตั้งอยู่อย่างกลมกลืนกับภูมิประเทศ<br />

ธรรมชาติ และสิ่งแวดล้อม ศาลาญี่ปุ่นในงานนิทรรศการนานาชาติ<br />

ที่กรุงปารีส 1937 โดยซากากูระ จุนโซ เป็นอาคารแสดงนิทรรศการ<br />

ทรงกล่องสี่เหลี่ยมที่สะท้อนประโยชน์ใช้สอย ผังเป็นแบบเปิดโล่ง<br />

ไม่กั้นห้อง (open plan) เชื่อมพื้นที่ต่างระดับด้วยทางลาดตามแบบ<br />

เลอคอร์บูซิเอร์ แต่ผนังกลับกรุด้วยวัสดุลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด<br />

แบบปราสาทญี่ปุ่นโบราณ เป็นอาคารที่สร้างความสนเท่ห์ให้กับ<br />

ชาวยุโรปในความสามารถของสถาปนิกญี่ปุ่นที่ออกแบบและ<br />

สร้างสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ได้ดีจนต้องมอบรางวัล<br />

ศาลาแสดงงานดีเด่น 1 ใน 3 ของศาลาทั้งหมด แต่ทางการญี่ปุ่น<br />

กลับไม่ยอมรับว่าอาคารนี้เป็นตัวแทนทางการของประเทศ เพราะ<br />

มันไม่แสดง “ความเป็นญี่ปุ่น”<br />

บน โรงพยาบาลไทชิน (1936)<br />

ล่าง สถานีตรวจอากาศโอชิมา (1938)<br />

348 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ศาลาญี่ปุ่นในงานนิทรรศการนานาชาติที่<br />

กรุงปารีส 1937 โดยซากากูระ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นในทศวรรษที่ 1930-1940<br />

ได้พัฒนามาถึงขั้นการสร้างรูปธรรมที่มีคุณภาพและการสร้าง<br />

อัตลักษณ์เชิงนามธรรมที่ตอบสนองคุณค่าดั้งเดิมและวิถีชีวิตยุคใหม่<br />

ของชาวญี่ปุ่นให้หลอมรวมอยู่ในอาคารทรงกล่องสี่เหลี่ยมแห่ง<br />

แนวทางสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ ดังที่เราได้เห็นจาก<br />

กรณีศึกษาอาคารประเภทต่างๆ ตั้งแต่บ้านพักอาศัยชั้นชนต่างๆ<br />

ไปจนถึงอาคารสาธารณะ เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล และสโมสร<br />

กอล์ฟของชนชั้นสูง แต่ในความเป็นจริงชนชั้นปกครองที่กำลัง<br />

ฝักใฝ่ลัทธิชาตินิยมและการทำสงครามขยายดินแดนนั้น มิได้มี<br />

ความชื่นชมแนวความคิดสถาปัตยกรรมที่ปฏิเสธลัทธิชาตินิยม<br />

ญี่ปุ่นแม้แต่น้อย ดังนั้นเมื่อทหารขึ้นมากุมอำนาจเบ็ดเสร็จและ<br />

นำประเทศเข้าสู่สงครามขยายดินแดนอย่างเต็มรูปแบบในทศวรรษ<br />

ที่ 1940 แล้ว สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ก็กลายเป็นของ<br />

ต้องห้ามและต้องเหี่ยวเฉาอย่างฉับพลัน สถาปนิกทุกคนต้องหันไป<br />

รับใช้ชาติโดยการออกแบบสถาปัตยกรรมแนวชาตินิยมสุดโต่งที่<br />

ล้าหลัง แต่มันเป็นเพียงระยะเวลาสั้นๆเท่านั้นก่อนที่ระบอบทหารและ<br />

ลัทธิชาตินิยมสุดโต่งของญี่ปุ่นจะถูกกำจัดอย่างราบคาบพร้อมกับ<br />

การพ่ายแพ้สงครามอย่างย่อยยับ หลังจากนั้นแนวทางสถาปัตยกรรม<br />

สากลนิยมสมัยใหม่กลับฟื้นคืนมาท่ามกลางซากปรักหักพังในฐานะ<br />

จิตวิญญาณของการออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่น<br />

ยุคใหม่ที่ไม่มีวันตาย และไม่เคยหวนคืนไปหาแนวทางผลิตซ้ำงาน<br />

โบราณในแบบชาตินิยมอีกตั้งแต่ปลายทศวรรษที่1940 เป็นต้นมา<br />

จนถึงปัจจุบัน<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

349


สถาปัตยกรรมอาร์ตเด็คโคในสยามสมัยรัชกาลที่ 7 (1925-1935)<br />

แนวคิดประชาธิปไตยของชนชั้นกลางที่มีการศึกษาและ<br />

ระบบเศรษฐกิจที่ย่ำแย่ในสมัยราชาธิปไตยทำให้สยามเกิดการ<br />

ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองใน ค.ศ. 1932 แต่การเปลี่ยนแปลง<br />

การปกครองไม่ได้มีผลโดยตรงต่อการเกิดสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่เกิดขึ้นก่อนการปฏิวัติในสมัยราชาธิปไตยแล้ว<br />

มันมาพร้อมกับกระแสทุนนิยมโลก วิถีชีวิตชนชั้นกลางแบบใหม่<br />

และสถาปนิกกลุ่มใหม่ในทศวรรษที่ 1930 สถาปนิกรุ่นใหม่ในยุค<br />

ทศวรรษที่1930 เป็นคนไทยที่ศึกษาสถาปัตยกรรมมาจากอังกฤษและ<br />

ฝรั่งเศส ผู้นำคนสำคัญคือ พระสาโรชรัตนนิมมานก์และหม่อมเจ้า<br />

สมัยเฉลิม กฤดากร แม้จะศึกษากันคนละประเทศแต่ทั้ง 2 เรียน<br />

ตามแนวโบซาร์แบบใหม่ที่ศึกษาสถาปัตยกรรมโบราณรูปแบบ<br />

ผสมผสาน วิชาวิศวกรรมโครงสร้างแบบใหม่ และการวางผังเมือง<br />

ขณะที่โลกสถาปัตยกรรมภายนอกห้องเรียนเป็นสมัยใหม่แบบ<br />

อาร์ตเด็คโคจึงไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาซึมซับความประทับใจนี้ไว้<br />

เมื่อได้โอกาสแสดงฝีมือเมื่อกลับมายังสยามปลายสมัยราชาธิปไตย<br />

หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร ออกแบบโรงภาพยนต์ศาลาเฉลิมกรุง<br />

(1932-1933) ในแบบสมัยใหม่ อาคารนี้มีผังแบบ 2 ชั้น ตัวโรง<br />

ภาพยนตร์อยู่ชั้นในและมีทางเดินหุ้มอยู่ชั้นนอกมีโฉมหน้าเป็นทรง<br />

กล่องที่เรียบเกลี้ยงทางเข้าเป็นกรอบสี่เหลี่ยมที่แบ่งเป็น 3 ส่วน<br />

แบบประตูชัยศิลปะคลาสสิค แต่ลดทอนให้เรียบเกลี ้ยงเป็นเพียง<br />

โครงรูปเรขาคณิตแบบอาร์ตเด็คโค การตกแต่งอาคารด้วยแผ่นเหล็ก<br />

ฉลุลายเหมือนรูปโขนละครบนแผ่นหนังใหญ่ เป็นความพยายาม<br />

สร้างอัตลักษณ์ไทยของสถาปนิก อาคารสาธารณะอื่นๆ เช่น โรงซ่อม<br />

รถจักร โรงงานมักกะสัน (1928) ที่ทำการพัสดุกรมรถไฟหลวง<br />

(1928-1931) โรงกรองน้ำสามเสนหลังที่2 (1930) ล้วนแต่ออกแบบ<br />

โดยวิศวกรเพื่อสนองประโยชน์ใช้สอยอย่างใดอย่างหนึ่งเกี่ยวกับ<br />

เครื่องจักรมากกว่ามนุษย์ โดยที่ทำการพัสดุกรมรถไฟหลวงเป็น<br />

อาคารที่น่าสนใจที่สุดมีการวางผังตึกล้อมสนาม เพื่อให้รถไฟ<br />

สามารถเข้าถึงอาคารได้ โครงสร้างอาคารเป็นคอนกรีตเสริมเหล็ก<br />

ศาลาเฉลิมกรุง (1930-1933)<br />

แบบเสาหัวบานรับพื้นคอนกรีตหนาไม่มีคาน (flat slab) ผนังก่ออิฐ<br />

อวดผิวแสดงให้เห็นหลักการออกแบบด้วยเหตุผลเพื่อประโยชน์<br />

ใช้งานล้วนๆ อาคารโรงพยาบาลที่สำคัญคือ ศิริราชและโรงพยาบาล<br />

กลาง โรงพยาบาลศิริราช (1925-1935) ออกแบบเป็นหลังๆ เชื่อม<br />

ด้วยทางเดิน ไม่มีอะไรใหม่กว่าโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ที่ มาริโอ<br />

ตามานโย ออกแบบไว้ก่อนหน้านี้ 15-20 ปี โรงพยาบาลกลาง<br />

(1928-1934) เป็นงานที่น่าสนใจออกแบบโดย ชาร์ล เบกูลัง แห่ง<br />

กรมโยธาธิการ ผังอาคารเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า 4 หลัง ล้อมสนาม<br />

ตรงกลาง มีการแบ่งพื้นที่ใช้สอยของคนไข้ใน คนไข้นอก แพทย์<br />

พยาบาล และส่วนบริการไว้อย่างลงตัวจนกล่าวได้ว่าเป็นผังอาคาร<br />

แบบสากลนิยมสมัยใหม่ได้ แต่เรื่องตรงข้าม คือ หน้าตาอาคาร<br />

เป็นผนังเกลี้ยงๆ เจาะช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมเป็นแถวๆ อย่างทื่อๆ<br />

จนน่าจะกล่าวว่าเป็นงานของวิศวกรมากกว่าสถาปนิก<br />

350 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ซ้ายบน ศาลาอำนวยการคณะแพทยศาสตร์<br />

ศิริราชพยาบาล (1925)<br />

ซ้ายล่าง โรงพยาบาลกลาง (1934)<br />

ขวาบน โครงสร้างคานโค้งคอนกรีต<br />

เสริมเหล็กของโรงกรองน้ำ สามเสนหลังที่ 2 (1930)<br />

ขวาล่าง โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กแบบ Flat Slab<br />

ของที่ทำการพัสดุ กรมรถไฟหลวง (1928-1931)<br />

หน้าตรงข้าม ศาลาเฉลิมกรุง (1930-1933)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

351


เมื่อพวกคณะราษฎรทำการปฏิวัติสำเร็จใน ค.ศ. 1932<br />

พวกเขามีนโยบายสร้างชาติใหม่แบบลัทธิชาตินิยมตั้งแต่ต้น<br />

นั่นคือ การพัฒนาคน โดยใช้การศึกษา พลศึกษา ศิลปะ และ<br />

การทหารที่เขาเรียกว่าเป็นการสร้างวัฒนธรรมเพื่อความเข้มแข็ง<br />

และศิวิไลซ์ของชาติไทย เป็นจุดประสงค์เดียวกับรัฐบาล<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัยรัชกาลที่ 5 ที่เคยทำมาแล้วเมื่อ<br />

45 ปีก่อนแต่พวกเขาเห็นว่าไม่สำเร็จ คณะราษฎรเร่งรัดพัฒนา<br />

ประเทศในรูปวัตถุเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตนเอง มีการ<br />

สร้างอาคารใหม่ๆ เพื่อการนี้จำนวนไม่น้อยที่สำคัญ ได้แก่<br />

ตึกบัญชาการมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (1934)<br />

โดยสถาปนิก จิตรเสน อภัยวงศ์ ที่เอาตึกเก่าของทหารที่เรียงกัน<br />

4 ตึกมาต่อกันเป็นตึกเดียวแล้วใส่มุขกลางมีหลังคาทรงกรวย<br />

8 เหลี่ยมยอดแหลมแบบโบสถ์ยุคกลางประยุกต์ประดับดูก้ำกึ่ง<br />

ระหว่างความทันสมัยกับความโบราณ<br />

ตึกบัญชาการมหาวิทยาลัย<br />

วิชาธรรมศาสตร์ และการเมือง<br />

(1934-1936)<br />

352 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมอาร์ตเด็คโคและอาร์ตเด็คโคแบบฟาสซิสต์<br />

สมัยรัชกาลที่ 8 (1935-1945)<br />

เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวสละราชสมบัติ<br />

ใน ค.ศ. 1935 แล้ว อำนาจการบริหารประเทศตกอยู่ในกำมือ<br />

ของคณะราษฎรอย่างเป็นเอกภาพและมั่นคง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง<br />

ในช่วงที่จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นนายกรัฐมนตรีตั้งแต่<br />

ค.ศ. 1938-1944 เขาและพรรคพวกได้ดำเนินการบริหารประเทศ<br />

ภายใต้ลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทย ปลูกฝัง “รัฐนิยม” ให้คนไทย<br />

รักชาติทางสังคม เศรษฐกิจ วัฒนธรรม การเมือง และการทหาร<br />

นำประเทศไทยเข้าสู่สงครามร่วมกับฝ่ายอักษะที่นำโดย<br />

จักรวรรดินิยมญี่ปุ่นเพื่อหวังให้ประเทศไทยเป็นมหาอาณาจักร<br />

ไทยที่มีญี่ปุ่นเป็นเจ้าเอเชียตะวันออก โลกทัศน์ของจอมพล ป.<br />

พิบูลสงครามและเสนาธิการทางวัฒนธรรมของเขาหลวงวิจิตร<br />

วาทการนั้นเห็นว่า การจะเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เข้มแข็ง<br />

นั้นต้องเริ่มที่ประชาชนก่อน ต้องให้ประชาชนมีแนวคิดและ<br />

วิถีชีวิตรักชาติที่ถูกต้องตามการชี้นำของผู้นำและต้องส่งเสริม<br />

ให้ประชาชนมีสุขภาพที่แข็งแรง ซึ่งไม่ต่างอะไรจากแนวทางของ<br />

พรรคฟาสซิสต์ของจอมเผด็จการมุสโสลินีของอิตาลีในตอนนั้น<br />

การดำเนินการสร้างชาติไทยใหม่นี้มีการวางแผนอย่างเป็นระบบ<br />

พอสมควรผ่านกรมที่ตั้งขึ้นใหม่ 2 กรมใน ค.ศ. 1933 คือ<br />

กรมศิลปากรและกรมพลศึกษา กรมพลศึกษามีหน้าที่สร้างคนไทย<br />

รุ่นใหม่ที่สุขภาพแข็งแรง ส่วนกรมศิลปากรมีหน้าที่สร้างวัฒนธรรม<br />

ผ่านศิลปะแขนงต่างๆ ทั้งแบบโบราณและสมัยใหม่ ศิลปะสำคัญ<br />

แขนงหนึ่งที่จอมพล ป. พิบูลสงครามชื่นชอบเป็นพิเศษคือ<br />

ประติมากรรมที่ผลิตโดยประติมากรชาวอิตาเลียน คอร์ราโด เฟโรชี<br />

ที่ทำงานให้กับรัฐบาลสยามมาตั้งแต่สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

มาในยุคคณะราษฎรนี้เฟโรชีและลูกศิษย์ของเขาที่มหาวิทยาลัย<br />

ศิลปากรได้ผลิตงานขึ้นมากมายเพื่อรับใช้รัฐบาล ทั้งที่เป็น<br />

อนุสาวรีย์และเป็นส่วนหนึ่งของสถาปัตยกรรมร่วมกับบรรดา<br />

สถาปนิกแนวหน้าฝ่ายรัฐบาล เช่น พระสาโรชรัตนนิมมานก์<br />

นายจิตรเสน อภัยวงศ์ และหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล เป็นต้น<br />

สร้างอาคารสาธารณะประเภทต่างๆ มากมายทั้งในกรุงเทพฯ และ<br />

ต่างจังหวัดตั้งแต่อาคารการศึกษาและพลศึกษากระทรวง ทบวง กรม<br />

และอาคารพาณิชย์ของรัฐ เพื่อเป็นพยานแห่งความสำเร็จในการ<br />

บริหารประเทศตามหลักการของคณะราษฎรภายใต้การนำของ<br />

จอมพล ป. พิบูลสงคราม ความนิยมในแนวคิดทางการเมืองและ<br />

การมีสะพานเชื่อมโดยสถาปนิกและประติมากรทำให้อาคารในช่วง<br />

ค.ศ. 1938-1945 มีอิทธิพลของศิลปะอาร์ตเด็คโคแบบฟาสซิสต์<br />

อย่างชัดเจนในหลายอาคาร<br />

ตึกคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (1935)<br />

ออกแบบโดยวิศวกร พระเจริญวิศวกรรม (เจริญ เชนะกุล) สร้างตาม<br />

ประโยชน์ใช้สอยในผังแบบสมมาตรรูปตัว E โครงสร้างกำแพงอิฐ<br />

รับน้ำหนักผสมคอนกรีตเสริมเหล็ก จุดเด่นของตึกอยู่ที่การอวด<br />

ผิวอิฐและความเรียบเกลี้ยงปราศจากตกแต่งเหมือนอาคารโรงงาน<br />

ในยุโรป<br />

แบบทัศนียภาพ คณะวิศวกรรมศาสตร์<br />

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (1935)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

353


ตึกเรียนโรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (1935-1941)<br />

ตึกหนึ่ง (1935-1936) ผังเป็นรูปตัว H มี 2 มุขหัวท้าย<br />

เชื่อมด้วยอาคารกลางที่เป็นห้องเรียน ทางเข้าตึกอยู่ที่ริม 2 ข้าง<br />

ไม่ใช่ตรงกลาง ระเบียงเปิดเป็นช่องยาวเหมือนหน้าต่างแถบยาว<br />

(band window) ของเลอคอร์บูซิเอร์ที่มีเสาระเบียงเล็กๆ กั้น<br />

เป็นช่วงๆ ดูเหมือนงานแบบสากลนิยมสมัยใหม่ปนอาร์ตเด็คโค<br />

ตึกสอง (1938-1939) ผังเป็นรูปตัว T กลับหัวแกนนอนด้านหน้า<br />

เป็นห้องเรียน แกนตั้งด้านหลังเป็นหอประชุม จุดเด่นของอาคาร<br />

อยู่ที่ผนังมุขหน้าแบบอาร์ตเด็คโคที่เป็นผนัง 3 ส่วนตรงกลางสูง<br />

ริม 2 ข้างลดระดับ ซึ่งเป็นไวยกรณ์การออกแบบอาคารประเภท<br />

หอประชุมที่แพร่หลาย ตึกสาม (1940-1941) โดยสถาปนิก<br />

อี มันเฟรดี้ ผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าชั้นล่างจัดห้องเรียนวางเรียงไป<br />

ตามแนวยาวมีระเบียงอยู่ด้านหน้ารับด้วยเสาระเบียง แต่ที่ชั้นบน<br />

กลับไม่มีเสาระเบียงเป็นช่องเปิดโล่งๆ แบบหน้าต่างแถบยาว<br />

(band window) ของงานแบบสากลนิยมสมัยใหม่จริงๆ<br />

บน ตึกสาม โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา (1940-1941)<br />

ล่าง ศาลแขวงสงขลา (1936-1941)<br />

354 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ที่ทำการไปรษณีย์กลาง บางรัก (1934-1940)<br />

ศาลแขวงสงขลา (1937-1941) โดย จิตรเสน อภัยวงศ์และ<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์ เป็นอาคารผังรูปตัว T ประเภทหอประชุม<br />

ที่เริ่มต้นการออกแบบที่เน้นผนังมุขกลางด้านหน้าแบบแบ่ง 3 ส่วน<br />

ตรงกลางสูง ริม 2 ข้างลดระดับแบบประตูชัยคลาสสิค มีปีก 2 ข้าง<br />

ที่เจาะช่องหน้าต่างเรียบๆ เป็นต้นแบบของกรีฑาสถานแห่งชาติ<br />

และศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา กล่าวได้ว่าอาคารหลังนี้<br />

เป็นหน่ออ่อนของสถาปัตยกรรมอาร์ตเด็คโคในแบบฟาสซิสต์<br />

ที่จะเกิดต่อไป<br />

ที่ทำการไปรษณีย์กลาง บางรัก (1934-1940) โดย จิตรเสน<br />

อภัยวงศ์ และพระสาโรชรัตนนิมมานก์ ผังเป็นรูปตัว E มุขกลาง<br />

เหมือนป้อมขนาดใหญ่ที่ล้อมกรอบด้วยเสา 2 ข้างและทับหลัง<br />

พื้นที่ตรงกลางแบ่งเป็น 3 ส่วนด้วยเสาลอยตัว 2 ต้นติดกระจก<br />

ทั้งหมด มุมบนสุดด้านซ้ายและขวาของป้อมประดับประติมากรรม<br />

ครุฑคอนกรีตในร่างกำยำในทรงเรขาคณิตที่แข็งกร้าวแสดงศิลปะ<br />

อาร์ตเด็คโคในแบบฟาสซิสต์ ฝีมือประติมากร คอร์ราโด เฟโรชี<br />

ลักษณะมุขกลางแบบประตูชัยที่ช่วงกลางโปร่งตัดกับเสาทึบที่<br />

ขนาบ 2 ข้างเป็นต้นแบบของมุขหน้าโรงแรมรัตนโกสินทร์<br />

ตึกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และตึกคณะเภสัชศาสตร์ (เดิม)<br />

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และเป็นการเริ่มต้นนำประติมากรรม<br />

มาเป็นองค์ประกอบสำคัญของสถาปัตยกรรม<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

355


สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ (1938-1941) โดย<br />

จิตรเสน อภัยวงศ์ ความจริงความต้องการสร้างสนามกีฬาเพื่อ<br />

ฝึกซ้อมนักกีฬาเพื่อเข้าร่วมแข่งขันกีฬาระหว่างประเทศภาค<br />

ตะวันออกไกล เป็นนโยบายของรัฐบาลคณะราษฎรตั้งแต่ค.ศ. 1933 40<br />

แต่มีการเปลี่ยนแปลงสถานที่ก่อสร้างและการก่อสร้างแล้วเสร็จใน<br />

ค.ศ. 1941 ที่น่าสังเกตคือทัศนะต่อการกีฬาก็ดูเหมือนจะเปลี่ยน<br />

จากการอบรมบ่มเพาะเยาวชนให้มีน้ำใจเป็นนักกีฬาในตอนแรก<br />

มาสวมทับด้วยรัฐนิยมฉบับที่11 ที่ระบุให้คนไทยเล่นกีฬากลางแจ้ง<br />

อย่างน้อยวันละ 1 ชั่วโมง และใช้เวลาในวันหยุดให้เป็นประโยชน์<br />

ต่อร่างกายและจิตใจ เช่น การเล่นกีฬา เป็นต้น 41 เป็นการสร้าง<br />

พลเมืองดีมีวัฒนธรรมและสุขภาพแข็งแรงมั่นคงเป็นกำลังสำคัญ<br />

ในการสร้างชาติที่รุ่งเรืองตามแนวคิดของจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

จุดเด่นของอาคารคือผนังด้านทิศเหนือที่เป็นทางเข้า ทำเป็น<br />

แบบ 3 มุข มุขกลางเป็นผนังใหญ่แบ่ง 3 ส่วน มีเสาอิงประดับ 4 ต้น<br />

ต้นริม 2 ข้าง ประดับประติมากรรมคอนกรีตหล่อพระพลบดี<br />

ทรงช้างเอราวัณที่ยอดเสาในลักษณะกายวิภาคกำยำในทรง<br />

เรขาคณิตที่แข็งกร้าวแสดงศิลปะอาร์ตเด็คโคในแบบฟาสซิสต์<br />

ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (1939-1941)<br />

สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ (1938)<br />

ฝีมือประติมากร คอร์ราโด เฟโรชี ขณะที่ตัวสถาปัตยกรรมเป็น<br />

แบบคลาสสิคที่เรียบเกลี้ยงผสมอาร์ตเด็คโค<br />

ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (1939-1941) โดย<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์ เป็นสถาปัตยกรรมแบบชาตินิยมที่<br />

โดดเด่น ผังอาคารรูปตัว T จุดเด่นอยู่ที่ผนังด้านหน้าที่แบ่ง 3 ส่วน<br />

ตรงกลางสูง ริม 2 ข้างลดระดับ เน้นผนังส่วนกลางด้วยเสาลอยตัว<br />

ขนาดใหญ่ 6 ต้นยอดเสาประดับประติมากรรมคอนกรีตหล่อรูป<br />

วีรกษัตริย์และพระราชินีในพงศาวดารไทยในรูปทรงบึกบึนและ<br />

เส้นสายที่แข็งกร้าวฝีมือ คอร์ราโด เฟโรชี เป็นอีกหนึ่งอาคารที่<br />

สร้างในยุคลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทยกำลังฮึกเหิมไปสู่การขยาย<br />

อาณาเขตมหาอาณาจักรไทยตามนโยบายของจอมพล ป. พิบูล<br />

สงครามและหลวงวิจิตรวาทการ การออกแบบที่จังหวัดพระนคร<br />

ศรีอยุธยาจึงต้องมีรูปธรรมที่กระตุ้นให้ชาวไทยฮึกเหิมใน<br />

ประวัติศาสตร์แห่งการทำสงครามของบรรดาวีรบูรพกษัตริย์<br />

ซึ่งเป็นแนวทางเดียวกับอาคารลัทธิฟาสซิสต์ร่วมสมัยในอิตาลี<br />

โดยเฉพาะพาลาสโซ เดลลา เอสโปสิซิโอเน ที่กรุงโรมใน ค.ศ. 1937-<br />

1938 โดยสถาปนิก อัลเฟรโด สคาลเปลลี แต่น่าเสียดายที่ลักษณะ<br />

การวางผังไม่มีสิ่งใดสะท้อนความเป็นสมัยใหม่เลย<br />

356 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน อาคารไทยนิยมผ่านฟ้า (ราว1937-1940)<br />

ล่าง อาคารริมถนนราชดำเนินกลาง (1937-1948)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

อาคารริมถนนราชดำเนินกลาง (1937-1948) โดย จิตรเสน<br />

อภัยวงศ์และหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล เป็นสัญลักษณ์ของความ<br />

ทันสมัยในยุครัฐบาลคณะราษฎร ลักษณะเหมือนแถวทหารกอง<br />

เกียรติยศยืนเรียงราย 2 ข้างถนนสดุดีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย<br />

ความจริงการสร้างอาคารเป็นแถวริมถนนก็คือการสร้างตึกแถว<br />

ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่4 เมื่อ 6-7 ทศวรรษที่แล้ว แต่รูปแบบเรียงแถว<br />

เพื่อเชิดชูอนุสาวรีย์เป็นแนวคิดใหม่ อย่างไรก็ตามในภาพรวมของ<br />

ตัวอาคารเหล่านี้ยังคงลักษณะโบราณไว้มาก เช่น ผังอาคารแบบ<br />

สมมาตรรูปตัว E ที่มีมุขกลางเค้าโครงรูปประตูชัยในแบบของ<br />

ศิลปะอาร์ตเด็คโคผสมคลาสสิคที่เรียบเกลี้ยง อาคารหลังเดียวที่ดู<br />

น่าสนใจคืออาคารไทยนิยมที่หัวมุมถนนเชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ<br />

ที่มีผังรูปตัว V ที่ทางเข้ามุขกลางทำโถงบันไดรูปโค้งที่เจาะทะลุโล่ง<br />

ขึ้นไป 6 ชั้นถึงยอดหลังคา ทำให้ที่ว่างรอบโถงดูเปิดโล่งและอิสระ<br />

แบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่มากกว่าตึกอื่นในชุดเดียวกัน<br />

357


ศาลอาญากรุงเทพฯ (1941)<br />

กระทรวงยุติธรรมและศาลยุติธรรม (1940-1943) โดย<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์ สร้างเพื่อเฉลิมฉลองโอกาสที่ประเทศ<br />

สยามได้รับเอกราชทางศาลอย่างสมบูรณ์จากการผูกมัดของ<br />

สนธิสัญญาจักรวรรดินิยมตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และ 5 โครงการนี้<br />

ประกอบด้วยอาคาร 3 ส่วน ส่วนแรกคืออาคารกระทรวงยุติธรรม<br />

ตั้งอยู่ทางทิศเหนือใกล้ศาลพระนางธรณี มีผังเป็นรูปตัว U สร้าง<br />

ใน ค.ศ. 1940-1941 ส่วนที่2 คืออาคารศาลอาญาและศาลอุทธรณ์<br />

ตั้งอยู่ด้านถนนราชินีริมคลองหลอด ผังเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาว<br />

สร้างเสร็จ ค.ศ. 1943 ส่วนที่ 3 คือศาลฎีกาตั้งอยู่ด้านถนน<br />

ราชดำเนินใน มีแผนจะสร้างใน ค.ศ. 1942 แต่ถูกระงับเพราะรัฐบาล<br />

อ้างว่าจะย้ายเมืองหลวง อาคารกระทรวงยุติธรรมและอาคาร<br />

ศาลอาญาและศาลอุทธรณ์ถูกออกแบบในรูปกล่องสี่เหลี่ยมที่<br />

เรียบเกลี้ยง เจาะช่องหน้าต่างสี่เหลี่ยมเรียงเป็นแถวระยะห่างช่อง<br />

เว้นช่องเท่ากันหมด นอกจากรูปทรงสี่เหลี่ยมเรียบๆ ที่ใหญ่โต<br />

แล้วจุดเด่นยังอยู่ที่ทางเข้าของอาคารทั้ง 2 ประตูทางเข้าของ<br />

กระทรวงยุติธรรมตั้งอยู่บนฐานสูงหลังศาลพระนางธรณี เน้นด้วย<br />

เสาลอยตัวขนาดใหญ่สูงชะลูดจำนวน 6 ต้น อาคารศาลอาญาและ<br />

ศาลอุทธรณ์ประตูเข้าตั้งอยู่บนชั้น 2 ด้านถนนราชินี เน้นด้วย<br />

เสาลอยตัวจำนวน 8 ต้น ดูเหมือนจำลองเสาวิหารกรีก-โรมัน<br />

มาตั้งประดับหน้าตึกที่มีผนังเรียบเกลี้ยงและทึบตันสะท้อนอิทธิพล<br />

ของสถาปนิกแนวฟาสซิสต์ร่วมสมัยดังเช่นที่ปรากฏที่มหาวิทยาลัย<br />

แห่งโรม (1932-1935) ของมาร์เซลโล ปิอาเซนตินี อย่างชัดเจน<br />

358 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


การเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม<br />

ในช่วงทศวรรษที่ 1930-1940 นี้ทั้งญี่ปุ่นและสยามต่าง<br />

เผชิญกับกระแสลัทธิการเมืองชาตินิยมสุดโต่งที่นำโดยทหาร<br />

และแนวคิดใช้กำลังเพื่อการขยายดินแดนเหมือนกัน แต่บรรยากาศ<br />

ทางสังคมนี้กระทบต่อวงการสถาปัตยกรรมไม่เหมือนกันนัก ที่ญี่ปุ่น<br />

ลัทธิชาตินิยมส่งเสริมให้สถาปัตยกรรมชาตินิยมที่เรียกว่ามงกุฎ<br />

จักรพรรดิ(ไทคันโยชิกิ) เป็นแบบประจำชาติและพยายามกดบทบาท<br />

สถาปนิกลัทธิสากลนิยมสมัยใหม่ซึ่งเป็นสถาปนิกปัญญาชนกลุ่ม<br />

ผู้นำให้หมดไป แต่พวกนี้กลับไม่ยอมแพ้ง่ายๆ พวกเขามีความกล้า<br />

ที่จะท้าทายค่านิยมกระแสหลักทางสถาปัตยกรรมโดยการสร้าง<br />

ศาลาญี่ปุ่นในงานแสดงนิทรรศการนานาชาติว่าด้วยศิลปะและเทคนิค<br />

สมัยใหม่แห่งกรุงปารีส ค.ศ. 1937 ในแบบสากลนิยมสมัยใหม่<br />

เป็นการประกาศจุดยืนของกลุ่มสถาปนิกหัวก้าวหน้าต่อชาวโลกว่าจะ<br />

สนับสนุนแนวสากลนิยมที่ท้าทายกระแสโต้กลับของฝ่ายชาตินิยม<br />

ในประเทศอย่างไม่เกรงใจ ขณะเดียวกันพวกสถาปนิกสากลนิยม<br />

สมัยใหม่ที่ทำงานอยู่ในประเทศพยายามหันเหไปทำงานในส่วนที่<br />

ไม่เกี่ยวข้องกับอาคารการเมืองการปกครอง เช่น อาคารพักอาศัย<br />

และอาคารสาธารณูปโภคอื่นๆ มันเป็นช่วงเวลาที่พวกเขาพยายาม<br />

พัฒนาคุณภาพการออกแบบโดยการสร้างสถาปัตยกรรมสากลนิยม<br />

สมัยใหม่ที่รับใช้วิถีวัฒนธรรมญี่ปุ่นในลักษณะนามธรรม โดยมี<br />

เปลือกนอกของสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ห่อหุ้มอยู่<br />

วิธีคิดและการออกแบบเช่นนี้ได้กลายมาเป็นรากฐานการออกแบบ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นในยุคหลังสงครามโลกครั้งที่ 2<br />

เมื่อฝ่ายลัทธิชาตินิยมสุดโต่งและการครองอำนาจของทหาร<br />

สาบสูญไปเมื่อญี่ปุ่นแพ้สงครามใน ค.ศ. 1945<br />

ล่าง สถาบันเบาเฮาส์ (1925-1926)<br />

ขวา โรงพยาบาลไทชิน (1937)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

359


ขณะที่สยามก่อนการปฏิวัติ ค.ศ.1932 นั้น รัฐบาล<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่ได้ขัดขวางการออกแบบอาคารสมัยใหม่<br />

แต่กลับมีการส่งเสริมให้มีอาคารแบบใหม่ที่มีคุณภาพอย่างยิ่ง<br />

เช่น โรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง ที่สร้างเพื่อเป็นของขวัญแก่<br />

ชาวไทยเนื่องในโอกาสกรุงเทพฯ อายุครบ 150 ปี และเมื่อเกิดการ<br />

ปฏิวัติแล้วลัทธิชาตินิยมสุดโต่งและแนวทางนิยมทหารที่แทรกตัว<br />

อยู่ในกลุ่มผู้ก่อการที่เรียกตนเองว่า คณะราษฎร ก็ยิ่งสนับสนุนการ<br />

สร้างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เช่นกัน เพื่อเป็นสัญลักษณ์ของความ<br />

เจริญก้าวหน้า ทันสมัย และมีวัฒนธรรมของชาติไทย มีการสร้าง<br />

อาคารสมัยใหม่อย่างกว้างขวางด้วยกำลังของสถาปนิกชาวไทย<br />

รุ่นใหม่ที่สำเร็จการศึกษาสถาปัตยกรรมจากอังกฤษและฝรั่งเศส<br />

เริ่มกลับเข้ามารับราชการตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 6 ต่อต้นสมัย<br />

รัชกาลที่ 7 หลายคน เช่น พระสาโรชรัตนนิมมานก์ หม่อมเจ้า<br />

สมัยเฉลิม กฤดากร นายจิตรเสน อภัยวงศ์ และหม่อมหลวงปุ่ม<br />

มาลากุล เป็นต้น นอกจากนี้ยังมีสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ<br />

ที่รัฐบาลจ้าง เช่น นายชาร์ล เบกูลัง แห่งกรมโยธาธิการ นาย<br />

อี มันเฟรดี้ แห่งกรมศิลปากร และนายคอร์ราโด เฟโรชี ประติมากร<br />

แห่งกรมศิลปากร เป็นต้น<br />

แม้สถาปนิกทั้ง 2 ชาติจะมีโอกาสออกแบบสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่เหมือนกัน แต่สิ่งแตกต่างกันคือแนวคิดและทางเลือก<br />

ในการออกแบบ สถาปนิกญี่ปุ่นเลือกทิศทางในการทำงานแบบ<br />

สากลนิยมสมัยใหม่(International modern) ที่นำโดยกลุ่มสถาปนิก<br />

สำนักเบาเฮาส์ของเยอรมัน และเลอคอร์บูซิเอร์ สถาปนิกชาวสวิส<br />

ที่ทำงานในปารีส การเลือกแนวทางนี้มาจากพื้นฐานการศึกษา<br />

สถาปัตยกรรมตามแบบตะวันตกอย่างมั่นคงตั้งแต่รัชสมัยเมจิ<br />

ต่อรัชสมัยไทโชและโชวะตามลำดับ การศึกษาของญี่ปุ่นได้สร้าง<br />

กลุ่มสถาปนิกหัวก้าวหน้า เช่น บุนริฮาและอื่นๆ ที่มีวิธีคิดและ<br />

ติดตามแนวทางที่ก้าวหน้าที่สุดของตะวันตกมากกว่าแนวทาง<br />

ชาตินิยมดังที่ได้กล่าวมาแล้วโดยลำดับ และสถาปนิกกลุ่มนี้<br />

สามารถยึดครองความเป็นผู้นำทั้งในแวดวงวิชาการและวิชาชีพ<br />

สถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นได้อย่างมั่นคง ในสยามนั้นวัฒนธรรมการ<br />

ออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ใช้ระบบนำเข้าโดยผู้เชี่ยวชาญ<br />

ต่างประเทศตั้งแต่สมัยรัชกาลที่5 และ 6 เมื่อมาถึงสมัยรัชกาลที่7<br />

ในทศวรรษที่ 1930 ก็ยังใช้ระบบนำเข้าสถาปัตยกรรมเหมือนเดิม<br />

แต่คราวนี้เป็นผู้เชี่ยวชาญชาวไทยที่สำเร็จมาจากต่างประเทศ<br />

ประเทศไทยไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ของตนเองได้จากภายใน เพราะความอ่อนแอทางการศึกษาตั้งแต่<br />

พื้นฐาน จึงไม่สามารถสร้างบุคลากรชั้นมันสมองในระดับยอดได้<br />

นอกจากนี้สถาปนิกไทยที่เป็นผู้นำเข้าวัฒนธรรมการออกแบบ<br />

รุ่นแรกนี้ก็ยังมีพื้นฐานการศึกษามาจากสถาบันออกแบบแนว<br />

อนุรักษ์นิยมกระแสหลักนั่นคือ อีโคลเดอโบซาร์ และลิเวอร์พูล<br />

จึงไม่แปลกที่พวกเขาจะเลือกออกแบบงานแนวอนุรักษ์นิยมของ<br />

สถาปัตยกรรมคลาสสิคและโรแมนติกเป็นหลัก และประยุกต์ตาม<br />

กระแสนิยมให้เข้ากับศิลปะอาร์ตเด็คโคและคลาสสิคแบบเรียบเกลี้ยง<br />

ในภายหลัง สถาปนิกไทยหันหลังให้กับสถาปัตยกรรมสากลนิยม<br />

สมัยใหม่ที่เกิดขึ้นตั้งแต่ทศวรรษที่ 1910 เพราะมันเป็นงานที่ต่อต้าน<br />

กระแสอนุรักษ์นิยมซึ่งเป็นกระแสหลัก และยังท้าทายอำนาจรัฐทั้ง<br />

หลายรวมทั้งไทยที่ถูกครอบงำด้วยลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทย<br />

ในทศวรรษ 1930-1940 อีกด้วย สถาปนิกไทยขานรับสถาปัตยกรรม<br />

แนวชาตินิยมสุดโต่งนี้ในช่วงเวลาดังกล่าวตามแนวนโยบายของ<br />

รัฐบาล ดังเห็นได้จากงานของพระสาโรชรัตนนิมมานก์ร่วมกับ<br />

ประติมากร คอร์ราโด เฟโรชี ที่ใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมอาร์ต<br />

เด็คโคร่วมกับประติมากรรมแบบอาร์ตเด็คโคแนวฟาสซิสต์อย่างที่<br />

นิยมในอิตาลีร่วมสมัย เช่น ที่ทำการไปรษณีย์กลาง บางรัก สนาม<br />

ศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ และศาลากลางจังหวัดพระนคร<br />

ศรีอยุธยา เป็นต้น รวมทั้งกระทรวงยุติธรรมและศาลยุติธรรมที่เป็น<br />

ตึกคอนกรีตสี่เหลี่ยมแบบคลาสสิคที่เรียบเกลี้ยงในแบบของ<br />

มาร์เซโล ปิอาเซนตินีสถาปนิกแนวฟาสซิสต์ของอิตาลี<br />

360 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


่<br />

บน พาลาสโซ เดลลา เอสโปซิโอนิ โรม (1937-1938)<br />

ล่าง ศาลากลางจังหวัดพระนครศรีอยุธยา (1939-1941)<br />

กล่าวโดยสรุปแล้วสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในช่วงทศวรรษ<br />

ที่ 1930-1940 ที่สังคมทั้ง 2 ประเทศอบอวลด้วยลัทธิชาตินิยม<br />

สุดโต่งยังมีพื้นที่สำหรับสถาปัตยกรรมสมัยใหม่อยู่ สถาปนิกหัว<br />

ก้าวหน้าญี่ปุ่นเดินตามแนวสากลนิยมสมัยใหม่ที่พวกเขาสร้างสรรค์<br />

ให้มันเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมญี่ปุ่นทางนามธรรม ส่วนสถาปนิกไทย<br />

เลือกสถาปัตยกรรมอาร์ตเด็คโคแนวฟาสซิสต์และแบบคลาสสิค<br />

ที่เรียบเกลี้ยงที่ไม่สามารถเชื่อมโยงกับวัฒนธรรมไทยอย่างแยบยลได้<br />

เหมือนญี่ปุ่น ความแตกต่างเกิดจากพื้นฐานการศึกษาสถาปัตยกรรม<br />

ที่เข้มแข็งต่อเนื่องของญี่ปุ่นทำให้เกิดกลุ่มสถาปนิกหัวก้าวหน้าที่<br />

ต้องการแนวทางสถาปัตยกรรมที่ก้าวหน้าที่สุด และไม่หวั่นไหวกับ<br />

กระแสสังคมชาตินิยมสุดโต่งในประเทศที่ต่อต้านแนวทางสากลนิยม<br />

ขณะที่สยามนั้นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เป็นเพียงการน ำเข้าครั้งใหม่<br />

โดยสถาปนิกไทยที่ศึกษาจากยุโรปในแนวอนุรักษ์นิยม บวกกับ<br />

การชี้นำทางสังคมของรัฐบาลชาตินิยมที่ต้องการขยายดินแดน<br />

กระแสสังคมชาตินิยมสุดโต่งทั้งภายในและภายนอกประเทศมี<br />

ส่วนให้สถาปนิกและประติมากรไทยสร้างสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ที่รับใช้ลัทธิชาตินิยม<br />

ในด้านคุณภาพกล่าวได้ว่าสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่น<br />

มีพัฒนาการการออกแบบไปไกลกว่าของไทยมาก ซึ่งไม่ใช่เรื่อง<br />

ประหลาดเพราะญี่ปุ่นสามารถพึ่งตัวเองในการออกแบบมาตั้งแต่<br />

ทศวรรษที่ 1890 ในรัชสมัยเมจิ ขณะที่สยามเพิ่งจะมีสถาปนิก<br />

ชาวไทยในช่วงทศวรรษ 1930 ถ้าเปรียบเป็นคน สถาปนิกญี่ปุ่น<br />

อยู่ในวัยเจริญด้วยวุฒิภาวะเต็มที่ในขณะที่สถาปนิกไทยยังเป็น<br />

เด็กน้อยอยู่ ข้อเท็จจริงนี้สะท้อนอยู่ในภาพรวมของการออกแบบ<br />

ในบรรดาสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นนั้นผังพื้นเป็น<br />

แบบอสมมาตร การจัดห้องเป็นไปตามหลักประโยชน์ใช้สอยที<br />

รองรับกิจกรรมที่หลายหลาก มีการใช้เทคนิคการออกแบบที่เรียกว่า<br />

ผังเปิดโล่ง ผนังและเสาเป็นอิสระต่อกัน มีการใช้องค์ประกอบ<br />

สถาปัตยกรรมโบราณมาประยุกต์ใช้อย่างนามธรรม เช่น ขนาดบ้าน<br />

ที่มีพิกัดใหม่ที่มาจากขนาดของเสื่อปูห้องแบบดั้งเดิม การใช้ลาน<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

361


เปิดภายในเป็นตัวเชื่อมพื้นที่บ้าน การใช้สวนหย่อมเป็นตัวแบ่ง<br />

พื้นที่ภายในและภายนอกบ้าน เป็นต้น ขณะที่การออกแบบผังพื้น<br />

ของสถาปนิกไทยยังยึดถือผังรูปตัว E H U แบบคลาสสิคทำให้<br />

การจัดห้องยังต้องอาศัยการเรียงแถวที่ไม่ยืดหยุ่น ส่งผลให้รูปที่ว่าง<br />

ภายในมีความแข็งกระด้างไปด้วย โดยไม่ต้องพูดถึงการนำ<br />

สถาปัตยกรรมโบราณมาออกแบบในเชิงปรัชญาสาระที่สถาปนิกไทย<br />

ยังไม่ได้เริ่มต้นอะไรไปมากกว่าการลอกรูปทรงเหมือนเมื่อ 50 ปี<br />

ที่แล้ว การออกแบบรูปทรงอาคารภายนอกนั้นสถาปัตยกรรมสากล<br />

นิยมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นมีความลื่นไหล(plasticity) มากกว่า เนื่องจาก<br />

การวางผังแบบอสมมาตรและยืดหยุ่น ขณะที่งานของไทยดูแข็ง<br />

กระด้าง (rigid) และโบราณ (archaic) เช่น การใช้ไวยกรณ์แบบ<br />

3 มุข จุดเด่นอยู่ที่มุขกลางเค้าโครงแบบประตูชัยคลาสสิค<br />

ที่ประยุกต์ให้ดูเรียบง่ายแต่แข็งกระด้างจึงพยายามใช้ประติมากรรมช่วย<br />

เพิ่มความน่าชม แต่กลับทำให้อาคารดูเหมือนฉากละครขนาดใหญ่แทน<br />

เรื่องน่าสนใจที่ยังไม่มีผู้กล่าวถึงคือการออกแบบศาลฎีการิมถนน<br />

ราชดำเนินในที่ถูกระงับของพระสาโรชรัตนนิมมานก์นั้น ลักษณะ<br />

การออกแบบหอคอยรับโดมนั้นเป็นการเลียนแบบสภาไดเอทของ<br />

ญี่ปุ่นที่เพิ่งสร้างเสร็จไปก่อนนั้น 5 ปี ข้อเท็จจริงนี้ทำให้มองได้ว่า<br />

สถาปนิกไทยเริ่มยอมรับความก้าวหน้ากว่าในการออกแบบของ<br />

สถาปนิกญี่ปุ่นแล้วตั้งแต่ต้นทศวรรษที่ 1940<br />

ผลต่อเนื่องสำคัญอีกประการหนึ่งของแนวทางการออกแบบ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่ต่างกันของทั้ง 2 ชาตินี้คือ แนวทาง<br />

สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ในระยะยาวได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่า<br />

เป็นแนวทางสถาปัตยกรรมสากลของโลกในศตวรรษที่ 20 จริงๆ<br />

การเลือกเดินตามแนวทางสากลนิยมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นจึงเป็น<br />

การเลือกที่ถูกต้อง นอกจากนี้มันยังกระตุ้นวงการสถาปนิกญี่ปุ่น<br />

ให้หาอัตลักษณ์ตนเอง มีความพยายามบูรณาการวิถีวัฒนธรรม<br />

ญี่ปุ่นเชิงปรัชญาให้รูปทรงแบบสากลนิยมนี้มีจิตวิญญาณของญี่ปุ่น<br />

ซึ่งได้กลายเป็นแนวคิดพื้นฐานของการออกแบบสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่ของญี่ปุ่นมาจนทุกวันนี้ขณะที่สถาปัตยกรรมอาร์ตเด็คโค<br />

และคลาสสิคที่เรียบเกลี้ยงของไทยเป็นการวนเวียนอยู่กับเปลือกนอก<br />

ของแบบโบราณที่ผูกพันอยู่กับลัทธิฟาสซิสต์ ดังนั้นเมื่อฝ่ายอักษะ<br />

แพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แล้ว สถาปัตยกรรมแบบนี้ก็พลอยสิ้นลม<br />

ไปด้วย สถาปนิกไทยต้องใช้เวลาอีกหลายปีในการหาทางออกจาก<br />

อนุสรณ์แห่งความพ่ายแพ้นี้ ในขณะที่ญี่ปุ่นได้ฟื้นแนวทางสากล<br />

นิยมสมัยใหม่ขึ้นมาอีกและพัฒนาต่อไปอย่างรวดเร็วท่ามกลาง<br />

ซากปรักหักพังของสงครามแห่งความทะเยอทะยานของลัทธิ<br />

ชาตินิยมสุดโต่งที่ตนได้สร้างขึ้น<br />

362 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมชาตินิยม (1890-1945)<br />

เมื่อผ่านช่วงแห่งการไล่ตามความศิวิไลซ์ของอารยธรรม<br />

ตะวันตกมาเกือบ 50 ปี ตั้งแต่ทศวรรษ 1890 ชนชั้นนำทั้งในญี่ปุ่น<br />

และสยามดูเหมือนจะไม่ได้พอใจกับวัฒนธรรมศิวิไลซ์อย่าง<br />

หลงใหลอีกต่อไป พวกเขาเห็นว่าวัฒนธรรมศิวิไลซ์ไม่สามารถ<br />

แสดงอัตลักษณ์ดั้งเดิมของตนเองที่มีมาช้านานไม่แพ้พวกตะวันตก<br />

งานแบบตะวันตกมีกายภาพที่ไม่เหมาะสมกับภูมิอากาศและ<br />

การก่อสร้างในเอเชีย รวมทั้งรองรับวิถีวัฒนธรรมโบราณหลายอย่าง<br />

ที่ตนยังยึดถือไม่ได้ ซ้ำร้ายยังถูกพวกตะวันตกมองว่าเป็นงาน<br />

ชั้นสอง พวกเขาจึงพยายามเสนอทางออกโดยการสร้างสรรค์<br />

สถาปัตยกรรมแบบใหม่ ที่เป็นการผสมกลมกลืนของโลกตะวันตก<br />

และโลกตะวันออก ด้วยวิธีคิดและการสร้างสรรค์ที่ทั้ง 2 ชาติต่าง<br />

เป็นตัวของตัวเอง การศึกษานี้จะแยกกล่าวสถาปัตยกรรมชาตินิยม<br />

ในญี่ปุ่นและสยามเป็น 3 ช่วงตามรัชสมัยที่ใกล้เคียงกันคือ ช่วงแรก<br />

ตอนปลายรัชสมัยเมจิและรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />

เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ระหว่าง ค.ศ. 1890-1910 ช่วงที่ 2 ใน<br />

รัชสมัยไทโชและรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

รัชกาลที่6 ระหว่าง ค.ศ. 1910-1926 และช่วงที่3 ในรัชสมัยโชวะ<br />

และรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7<br />

ต่อรัชกาลพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาล<br />

ที่ 8 ระหว่าง ค.ศ. 1926-1945<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

363


สถาปัตยกรรมชาตินิยมช่วงแรก (1890-1910)<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมคือแรงปฏิกิริยาต่อต้านความนิยม<br />

อารยธรรมตะวันตกของชาติที่มีวัฒนธรรมดั้งเดิมของตนเอง<br />

อย่างญี่ปุ่น สถาปัตยกรรมชาตินิยมเป็นการสร้างสมดุลอย่างหนึ่ง<br />

ตราบใดที่มันไม่ได้อยู่บนแนวคิดที่สุดโต่งซึ่งจะนำปัญหาขัดแย้ง<br />

รุนแรงตามมา ในญี่ปุ่นซึ่งความเชื่อในความหลงเชื้อชาติตามลัทธิ<br />

ชินโตมีมาแต่โบราณ ความต้องการสัญลักษณ์ของวัฒนธรรม<br />

โบราณพร้อมๆ กับสัญลักษณ์ความทันสมัยในอาคารเดียวกัน ทำให้<br />

โครงการสร้างรัฐสภาแห่งชาติต้องเลื่อนไปใน ค.ศ. 1887 ทศวรรษ<br />

1890 เมื่อญี่ปุ่นเริ่มเติบใหญ่เข้มแข็งทางการเมือง การทหาร<br />

และเศรษฐกิจ สถาปัตยกรรมแบบชาตินิยมจึงเกิดขึ้นมา เช่น ศาลา<br />

กลางจังหวัดนารา (1895) โดยนากาโน ยูไฮจิ และธนาคาร<br />

แจแปนคังเกียว (1899) โดยซึเมกิ โยรินากะ ลักษณะโดยรวม<br />

ของอาคารพวกนี้คือใช้ผังแบบคลาสสิค ตัวอาคารแบบญี่ปุ่น<br />

ประยุกต์และครอบด้วยหลังคาญี่ปุ่นโบราณเป็นวิธีการที ่เรียนรู้<br />

จากโครงการรัฐสภาแห่งชาติแบบที่ 2 ที่ไม่ได้สร้างของเอนเดอร์<br />

และบ๊อคมานน์ ซึ่งมีต้นรากความคิดมาจากศิลปะ สถาปัตยกรรม<br />

แบบชีวาซูรี่ (chinoiserie) ของราชสำนักยุโรปในศตวรรษที่ 18<br />

ที่หลงใหลในศิลปสถาปัตยกรรมจีน อาคารเหล่านี้เป็นหน่ออ่อน<br />

และแรงบันดาลใจของสถาปัตยกรรมชาตินิยมในญี่ปุ่นในเวลาต่อมา<br />

ที่เรียกว่า ทรงมงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิ<br />

บน ศาลากลางจังหวัดนารา (1895)<br />

ขวา โครงการรัฐสภาแห่งชาติ2 (1887)<br />

364 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมอนุรักษ์นิยมในสยาม<br />

ธนาคารแจแปนคังเกียว (1899)<br />

ในสยามแม้ว่าความรุนแรงของการหลงเชื้อชาติจะไม่เท่าญี่ปุ่น<br />

แต่ชนชั้นนำที่ยึดถือแนวทางจารีตนิยมยังมีอยู่มากและทรงพลัง<br />

สถาปัตยกรรมแนวนี้ในสยามจึงน่าจะเรียกว่าสถาปัตยกรรมแนว<br />

อนุรักษ์นิยมมากกว่า การขัดกันของคุณค่าใหม่ที่ต้องการพระราชวัง<br />

แบบเรอแนสซองส์ฝรั่งเศสหลังคาโดมของพระมหากษัตริย์กับ<br />

ผู้สำเร็จราชการที่ต้องการรักษาจารีตประเพณีที่ต้องการสัญลักษณ์<br />

แบบไทยโบราณในพระราชวังใหม่ ทำให้พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท<br />

(1875) สำเร็จออกมาในแบบผสมผสานคือมีตัวอาคารแบบ<br />

คลาสสิคที่ครอบด้วยยอดปราสาทแบบไทย ในช่วงทศวรรษที่1890-<br />

1910 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา<br />

โปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารแบบไทยผสมตะวันตกไว้อีกหลายแห่ง<br />

เช่น วัดอัษฎางค์นิมิต (1892) ตึกถาวรวัตถุ(1896) ศาลาลูกขุนใหม่<br />

(1897) และพระอุโบสถวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร (1908) เป็นต้น<br />

อาคารเหล่านี้ล้วนแต่มีลักษณะผสมผังเป็นแบบตะวันตก ครอบ<br />

หลังคาไทย ยกเว้นตึกถาวรวัตถุและพระอุโบสถวัดราชาธิวาสฯ<br />

มีลักษณะแบบเขมรผสมไทย โดยเฉพาะพระอุโบสถวัดราชาธิวาสฯ<br />

เป็นการออกแบบที่ประสานกันระหว่างผังแบบไทย อาคารแบบ<br />

เขมรประยุกต์ และโครงสร้างค้ำยันลอยแบบโกธิคประยุกต์<br />

สถาปนิกคือ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ร่วมกับ<br />

วิศวกรกรมโยธาธิการชาวอิตาลี คาร์โล อัลเลอกรี นับเป็นงาน<br />

อนุรักษ์นิยมที ่สร้างสรรค์ที่สุดตอนปลายรัชสมัยนี้ อาคารเหล่านี้<br />

ก็คือหน่ออ่อนและแรงบันดาลใจอย่างหนึ่งของสถาปัตยกรรม<br />

ชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่จะเกิดขึ้นในเวลาต่อมา<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

365


การเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม<br />

ปัจจัยการเกิดสถาปัตยกรรมชาตินิยมในช่วงแรกของทั้ง<br />

2 ชาติไม่ต่างกัน มันเป็นปฏิกิริยาเพื่อสร้างความสมดุลระหว่าง<br />

คุณค่าที่นิยมอารยธรรมศิวิไลซ์ของตะวันตกและความต้องการ<br />

รักษาคุณค่าวัฒนธรรมท้องถิ่น ในญี่ปุ่นยุคแรกรูปธรรมของ<br />

การออกแบบอาคารเช่นนี้ยังไม่เคยมีมาก่อน ผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ<br />

จึงเสนอลักษณะผสมผสานระหว่างผังแบบตะวันตกครอบด้วย<br />

หลังคาแบบพื้นเมือง ซึ่งเป็นเรื่องแปลกที่ว่าที่มาของรูปแบบ<br />

ชาตินิยมก็เป็นผลผลิตของคนต่างชาติเช่นกัน ต่อมาเมื่อญี่ปุ่นมี<br />

สถาปนิกเองแล้วสถาปนิกญี่ปุ่นก็ลงมือออกแบบอาคารชาตินิยม<br />

เองในทศวรรษ 1890 สำหรับสยามนั้นเราควรเรียกอาคารแบบนี้<br />

ว่าอาคารแนวอนุรักษ์นิยม เพราะแนวทางที่ชนชั้นนำยึดถือนั้นเป็น<br />

แนวจารีตประเพณีมากกว่าชาตินิยม สิ่งที่แปลกสำหรับสยามก็คือ<br />

การออกแบบอาคารลักษณะผสมผสานเช่นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท<br />

(1875) เป็นการร่วมมือกันระหว่างสถาปนิกต่างชาติกับชนชั้นนำ<br />

ซึ่งสะท้อนวัฒนธรรมประนีประนอมของสยามอย่างชัดเจน ส่วน<br />

พระอุโบสถวัดราชาธิวาสฯ (1908) ก็ไม่ใช่การออกแบบธรรมดา<br />

ชนิดเอาผังฝรั่งใส่หลังคาไทย แต่เป็นการประสานระหว่างความ<br />

เข้าใจในแบบไทยและเขมรโดยมีโครงสร้างแบบตะวันตกตรึงรัดไว้<br />

นับเป็นงานแนวอนุรักษ์นิยมสร้างสรรค์ที่หาได้ยากยิ่ง กล่าวได้ว่า<br />

งานลักษณะอนุรักษ์นิยมในเวลานั้นงานระดับคุณภาพดีที่สุดของ<br />

สยามไม่มีอะไรน้อยหน้ากว่างานของญี่ปุ่น ต่างกันเพียงว่าเมื่อมอง<br />

ในระยะยาวต่อไปแล้วสยามไม่สามารถพัฒนาหลุดจากกรอบ<br />

แนวคิดและรูปแบบเช่นนี้ได้ ขณะที่ญี่ปุ่นสามารถพัฒนาแนวคิดใน<br />

เชิงนามธรรมได้ดีกว่าจนหลุดจากกรอบเดิมๆไปสู่รูปแบบใหม่ๆ ได้<br />

ขวา พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท (1875)<br />

ซ้าย พระอุโบสถวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร (1908)<br />

366 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมชาตินิยมช่วงที่ 2 (1910-1926)<br />

หน่ออ่อนที่เติบใหญ่เข้มแข็งของสถาปัตยกรรมชาตินิยมญี่ปุ่น<br />

แผนภูมิวิวัฒนาการแห่งสถาปัตยกรรม (1909) โดยอิโตะ<br />

รัชสมัยไทโชเป็นยุคที่ซับซ้อน ญี่ปุ่นเป็นทั้งประชาธิปไตย<br />

และเผด็จการทหารในเวลาเดียวกัน ขณะที่สร้างสันติภาพกับ<br />

สยามญี่ปุ่นก็กำลังทำสงครามขยายอาณาเขตเข้าไปในจีน จึงไม่ใช่<br />

เรื่องแปลกที่บรรยากาศทางศิลปวัฒนธรรมก็มีแนวความเชื่อ<br />

ตรงข้ามกันเกิดขึ้นพร้อมกัน เช่น สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่<br />

เคียงคู่มากับสถาปัตยกรรมชาตินิยม และต่างเป็นแนวทางที่กำลัง<br />

เติบใหญ่แข็งแรงหลังจากผ่านระยะเป็นหน่ออ่อนมาแล้วในทศวรรษ<br />

ที่ 1890 ของรัชกาลก่อน ในญี่ปุ่นสถาปัตยกรรมชาตินิยมแบ่งเป็น<br />

2 แบบ แบบวิวัฒนาการและแบบมงกุฎจักรพรรดิ สถาปัตยกรรม<br />

แบบวิวัฒนาการนำโดย อิโตะ ชูตะ สถาปนิกและอาจารย์แห่ง<br />

มหาวิทยาลัยโตเกียว เขาต้องการสถาปัตยกรรมแบบใหม่ที่ไม่ตาม<br />

ตะวันตกและมีวิวัฒนาการจากสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณที่เชื่อมโยง<br />

กับอารยธรรมกรีกโบราณ เขาเริ่มตีพิมพ์บทความที่เสนอว่าวัดโฮริวจิ<br />

มีการออกแบบที่สัมพันธ์กับสถาปัตยกรรมกรีกตั้งแต่ ค.ศ. 1893<br />

ใน ค.ศ. 1895 เขาเสนอวิทยานิพนธ์ที่กล่าวถึง “วิวัฒนาการ” ของ<br />

สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นซึ่งมีที่มาจากแผ่นดินใหญ่ที่รับพุทธศาสนา<br />

และแบบมาจากอินเดีย ซึ่งมีต้นแบบมาจากศิลปะกรีก นี่คือ<br />

วิวัฒนาการของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นดั่งเช่นทฤษฎีของดาร์วิน<br />

เขาเชื่อว่านี่คือหลักการของการสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมร่วมสมัย<br />

ของญี่ปุ่นควรจะต้องพัฒนามาจากธรรมชาติของสถาปัตยกรรม<br />

โบราณ ระหว่าง ค.ศ. 1901-1905 เขาเดินทางเก็บข้อมูลภาคสนาม<br />

ไปทั่วเอเชียจนถึงกรีกเพื่อเสาะหาต้นกำเนิดรูปแบบสถาปัตยกรรม<br />

พุทธศาสนาที่เชื่อมโยงกับรูปแบบพุทธศาสนสถานในเอเชียจากนั้น<br />

เขาได้เสนอ “ทฤษฎีวิวัฒนาการแห่งสถาปัตยกรรม” ใน ค.ศ. 1909<br />

ว่า ศิลปวัฒนธรรมของญี่ปุ่นเป็นเพียงหนึ่งเดียวของโลกตะวันออก<br />

ที่มีพัฒนาการต่อเนื่องเช่นเดียวกับชาติตะวันตก ไม่น่าแปลกใจ<br />

ที่ทฤษฎีของเขาได้รับการตอบรับทั้งจากรัฐบาลและองค์กรศาสนา<br />

พุทธในญี่ปุ่น เพราะต่างกำลังสร้าง “วงไพบูลย์แห่งเอเชียบูรพา”<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

367


ในทางสังคมและศาสนาพุทธการสร้างทฤษฎีและรูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมวิวัฒนาการของเขาเป็นการสนับสนุนทางวัฒนธรรม<br />

ของพวกลัทธิชาตินิยมสุดโต่งที่สำคัญ ผลงานสำคัญของอิโตะ<br />

ได้แก่ อนุสาวรีย์โกโกกุโตะ (1911) วัดคาสุอิไซ เมืองฟูคุโรอิ<br />

จังหวัดชิสุโอกะ เป็นสถูปบรรจุอัฐิวีรชนทหารญี่ปุ่นที่พลีชีพ<br />

ในสงครามกับรัสเซียระหว่าง ค.ศ. 1904-1905 ชื่อเจดีย์แปลว่า<br />

สถูปแห่ง “ผู้ปกป้องชาติบ้านเมือง” เขาเลือกใช้สถูปเจดีย์ศาสนา<br />

พุทธแบบคันธารราช แทนเจดีย์ถะแบบจีนของลัทธิชินโต เพราะ<br />

อิโตะเห็นว่าสถูปอินเดียมีลักษณะความเป็นสากลของเอเชีย<br />

มากกว่าเจดีย์แบบถะของจีน นอกจากนี้แบบคันธารราชยังมีที่มา<br />

จากศิลปะกรีก ดังนั้นการใช้รูปแบบเจดีย์แบบถะของจีนที่ญี่ปุ่นเดิม<br />

นิยมนั้นแสดงถึงความเป็นจีนมากกว่าความเป็นสากล ซึ่งสถูปแบบ<br />

คันธารราชสื่อความหมายได้ดีกว่า โครงการวิหารชากุโอเดน (1910)<br />

วัดซานเนจิ คือโครงการสร้างวิหารศากยมุนีเพื่อบรรจุพระบรม<br />

สารีริกธาตุที่คณะสงฆ์ญี่ปุ่นได้รับพระราชทานจากพระบาทสมเด็จ<br />

พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวใน ค.ศ. 1900 อิโตะออกแบบผังวิหาร<br />

เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีโถงกลางและเฉลียง2 ข้าง วางตัวตามแนวดิ่ง<br />

แบบวิหารสยาม รูปลักษณ์ภายนอกหลังคาเป็นแบบจีนปนไทย<br />

แต่ประดับช่อฟ้าใบระกาหางหงส์ที่พยายามเลียนแบบวัดไทย<br />

สถูปโฮอันโตะ (1918) วัดนิสเซนจิ เมืองนาโงย่า เป็นสถูปบรรจุ<br />

พระบรมสารีริกธาตุจากสยามใน ค.ศ. 1900 เช่นกัน อิโตะออกแบบ<br />

องค์สถูปเป็นเจดีย์กลมทรงระฆังคล้ายเจดีย์อยุธยา เขาเลือกสถูป<br />

แบบนี้เพราะใช้เป็นสัญลักษณ์แทนสยามประการหนึ่ง อีกประการ<br />

หนึ่งเขาเห็นว่าสถูปแบบสยามนี้เป็นสถูปคันธารราชแบบหนึ่งเพราะ<br />

สถาปัตยกรรมสยามเป็นสาขาหนึ่งของสถาปัตยกรรมอินเดีย<br />

368 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


จะเห็นได้ว่าอิโตะออกแบบโดยใช้ทฤษฎีเป็นฐานในการอธิบาย<br />

ที่มาของแบบซึ่งเขาเรียกมันว่าเป็น “วิวัฒนาการ” สถาปัตยกรรม<br />

แต่ละแห่งของเขาจึงมีลักษณะเฉพาะของตนเอง สถูปโกโกกุโตะ<br />

สำหรับวีรชนทหารนั้นเขาต้องการเน้นความเป็นสากลจึงเลือกแบบ<br />

สถูปคันธารราชซึ่งมีที่มาจากอินเดีย-กรีก โครงการวิหารชากุโอเดน<br />

วัดซานเนจิ สำหรับประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุจากสยามจึง<br />

ออกแบบเลียนแบบวิหารไทย สถูปโฮอันโตะ วัดนิสเซนจิ สำหรับ<br />

บรรจุพระบรมสารีริกธาตุจากสยามเช่นกัน จึงเลือกแบบสถูป<br />

ทรงระฆังคล้ายเจดีย์อยุธยาเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของสยาม ซึ่งอิโตะ<br />

เห็นว่าเป็นสถูปแบบคันธารราชแบบหนึ่งเพราะสถาปัตยกรรม<br />

สยามเป็นสาขาหนึ่งของสถาปัตยกรรมอินเดีย อย่างไรก็ตามหาก<br />

พิจารณาในแง่รูปแบบศิลปะแล้วจะเห็นได้ว่างานของอิโตะไม่มีอะไร<br />

น่าทึ่ง สถูปของเขาคือการประยุกต์รูปแบบสถูปของจีน อินเดีย<br />

และสยามให้เข้ากับผังคลาสสิค ส่วนวิหารของเขาเป็นการประยุกต์<br />

วิหารไทยและจีนเข้าด้วยกัน และก่อสร้างด้วยโครงสร้างคอนกรีต<br />

เสริมเหล็ก ที่สุดแล้วสถาปัตยกรรมของอิโตะไม่ใช่การลอกแบบ<br />

โบราณอย่างตรงไปตรงมาแบบเดิม แต่เป็นการตีความที่ใช้ทฤษฎี<br />

นำบนฐานความรู้ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมที่แน่นแฟ้น แม้ว่า<br />

จะไม่สามารถหนีพ้นกรอบของรูปแบบโบราณและลัทธิชาตินิยม<br />

ก็ตาม<br />

สถาปัตยกรรมแบบมงกุฎจักรพรรดิ(ไทคันโยชิกิ) คืออาคาร<br />

แบบผังตะวันตกครอบด้วยหลังคาแบบวัดญี่ปุ่นโบราณ ซึ่งมีมา<br />

ตั้งแต่ยุคปลายเมจิที่ได้กล่าวไปแล้ว มาในรัชสมัยไทโชอาคารแบบนี้<br />

ได้รับความนิยมแพร่หลายมากขึ้นไปอีก ด้านหนึ่งมาจากความ<br />

ต้องการหาอัตลักษณ์ของเหล่าสถาปนิกญี่ปุ่นดังเห็นได้จากการ<br />

จัดการโต้วาทีในหัวข้อลักษณะแห่งชาติของสถาปัตยกรรมสำหรับ<br />

หน้าตรงข้าม<br />

บนขวา ประติมากรรมนูนต่ำสถูปแบบคันธารราช ราวคริสต์ศตวรรษที่ 1-3<br />

ล่างขวา อนุสาวรีย์โกโกกุโตะ (1911)<br />

ล่างซ้าย สถูปโฮอันโตะ วัดนิสเซนจิ (1918)<br />

อนาคตโดยสมาคมสถาปนิกญี่ปุ่นใน ค.ศ. 1910 ถึง 2 ครั้ง<br />

อีกด้านหนึ่งมาจากความรู้สึกหยิ่งผยองในเชื้อชาติในสังคมญี่ปุ่น<br />

เองหลังจากการได้ชัยชนะในสงครามใหญ่ถึง 2 ครั้งใน ค.ศ. 1895<br />

กับจีนและ ค.ศ. 1905 กับรัสเซีย และโดยรูปลักษณ์แล้วอาคารมงกุฎ<br />

จักรพรรดิมีความเด่นที่หลังคาแบบญี่ปุ่นโบราณเป็นสัญลักษณ์ของ<br />

ชาติที่เข้าใจง่ายของคนทั่วไป ทำให้สถาปนิกแนวชาตินิยมผลิตงาน<br />

แบบนี้ออกมามากขึ้น เช่น อาคารบริษัทประกันชีวิตนิสชินไลฟ์<br />

(1917) อาคารคลังสมบัติหรือโอบุตสุเดน (1921) โรงละครคาบูกิซา<br />

(1925) เป็นต้น ในบรรดาอาคารที่กล่าวมานี้อาคารคลังสมบัติ<br />

หรือโอบุตสุเดนแห่งศาลเจ้าเมจิ กรุงโตเกียว โดยสถาปนิก โอเอะ<br />

ชินตาโร ออกแบบได้ประณีตที่สุด ผังอาคารเป็นสี่เหลี่ยมผืนผ้า<br />

ชั้นเดียวยกใต้ถุนสูง หลังคาจั่วจันทันโค้งแบบศาลเจ้าญี่ปุ่น<br />

โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็กทั้งหลังแต่ทำผนังเป็นลายเส้น<br />

เลียนแบบไม้ซุงเรียงตามนอนเหมือนเรือนพื้นถิ่นโบราณของญี่ปุ่น<br />

มีการใช้องค์ประกอบของพระราชวังโบราณมาประยุกต์ใช้ทำให้<br />

ดูสูงส่งและจะเป็นที่มาของชื่อเรียกอาคารแบบนี้ว่ามงกุฎจักรพรรดิ<br />

ในเวลาต่อมา แต่ในทางออกแบบสาระสำคัญของโอบุตสุเดนคือ<br />

การผลิตซ้ำอาคารโบราณอย่างประณีต แต่สร้างด้วยวัสดุใหม่คือ<br />

คอนกรีตทั้งหลัง อย่างไรก็ตามการออกแบบอาคารมงกุฎจักรพรรดิ<br />

ที่ใหญ่ที่สุดคือโครงการประกวดแบบรัฐสภาแห่งชาติ(ไดเอท) ของ<br />

คิคูทาโร ชิโมดะ ใน ค.ศ. 1919 เขาเสนออาคารแบบคลาสสิคผัง<br />

รูปตัว E ขนาดใหญ่ มุขหน้าเป็นจั่ววิหารกรีกแต่บนหลังคากลับเอา<br />

ปราสาทญี่ปุ่นโบราณไปตั้งไว้ทั้ง 3 มุข โดยกล่าวว่ารัฐสภาควรมี<br />

รูปแบบเชื่อมโยงกับความบริสุทธิ์ของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณ<br />

ซึ่งเป็นภาพสะท้อนความไม่พอใจของสถาปนิกแนวชาตินิยมที่มีต่อ<br />

คำตัดสินการประกวดแบบรัฐสภาแห่งชาติก่อนหน้านี้ที่ตัดสินให้<br />

แบบนีโอคลาสสิคผสมบายเซนไทน์ของฟูคุโซ วาตานาเบเป็น<br />

แบบชนะเลิศ กรณีนี้แสดงให้เห็นถึงการเติบโตเข้มแข็งและแพร่<br />

กระจายของลัทธิชาตินิยมสุดโต่งในรัชสมัยไทโช ซึ่งแม้แต่วงการ<br />

สถาปัตยกรรมก็เป็นสนามประลองกำลังของฝ่ายชาตินิยมและฝ่าย<br />

นิยมตะวันตก<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

369


บน รัฐสภาแบบมงกุฎจักรพรรดิสังเคราะห์(1918-1919)<br />

โดยคิคูทาโร ชิโมดะ<br />

ล่าง คลังสมบัติแห่งศาลเจ้าเมจิ (1921)<br />

370 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสยาม<br />

ลัทธิชาตินิยมในสยามเริ่มเข้มข้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />

พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่6 (1910-1925) ความไม่มั่นคง<br />

ในราชบัลลังก์จากผู้ต้องการเปลี่ยนแปลงการปกครองแบบ<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นประชาธิปไตยเกิดขึ้นเป็นรูปธรรมใน<br />

การเตรียมกบฏของทหารใน ค.ศ. 1911 แต่ถูกปราบได้เสียก่อน<br />

ทำให้พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริ<br />

ที่จะปลูกฝังให้คนไทยรักชาติและพระมหากษัตริย์อย่างจริงจัง<br />

ทรงประกาศอุดมการณ์แห่งชาติว่าด้วย “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์”<br />

ซึ่งมีสาระให้จงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์อย่างสูงสุดในฐานะหลักชัย<br />

และผู้นำของบ้านเมือง การเคารพสักการะปฏิบัติตามคำสอนใน<br />

ศาสนาพุทธ ทั้ง 2 ประการนี ้เป็นจิตวิญญาณของ “ชาติ” ซึ่งมี<br />

รูปธรรมเป็นคนไทยและแผ่นดินไทย ลัทธิชาตินิยมสมัยรัชกาล<br />

ที่ 6 จึงเน้นว่าคนเชื้อชาติไทยเป็นคนใน และตั้งข้อรังเกียจคนจีน<br />

ว่าเป็นพวกต่างด้าวเอาเปรียบคนไทย ลัทธิชาตินิยมส่งผลมาถึง<br />

ศิลปวัฒนธรรม พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมี<br />

พระราชดำริที่จะฟื้นฟูทำนุบำรุง และสืบสานต่อศิลปวัฒนธรรมไทย<br />

โบราณทั้งหลาย รวมทั้งสถาปัตยกรรมไทยที่ทรงมีพระราชดำริว่า<br />

เสื่อมโทรมไปเพราะการสร้างสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเพื่อความ<br />

“ศิวิไลซ์” อย่างมากมายในรัชกาลก่อน ขณะที่ได้ทรงยกตัวอย่าง<br />

วัดเบญจมบพิตรที่สร้างในรัชกาลก่อนว่าเป็นสถาปัตยกรรมไทยที่<br />

งดงาม และมีพระราชประสงค์ที่สานต่อการสร้างสถาปัตยกรรมเช่นนี้<br />

แต่ความจริงการสร้างวัดเบญจมบพิตรในสมัยรัชกาลที่ 5 นั้น<br />

ไม่เกี่ยวกับเรื่องชาตินิยมแต่เป็นจารีตประเพณีในการสร้างวัดคู่กับวัง<br />

ในกรณีนี้วัดเบญจมบพิตรถูกสร้างขึ้นเป็นวัดประจำวังใหม่คือ<br />

พระราชวังสวนดุสิต ต่างกับแนวคิดชาตินิยมในสมัยรัชกาลที่ 6<br />

ซึ่งทรงเรียนรู้จากยุโรปตอนปลายศตวรรษที่ 19 ที่ลัทธินี้เริ่มแพร่<br />

กระจายในขณะที่ทรงศึกษาอยู่ที่ประเทศอังกฤษ แม้กระทั่งพระราช<br />

อุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ก็มาจากคติGod King and Country<br />

ของกองทัพบกอังกฤษที่ไปรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 นอกจากนี้<br />

ธงไตรรงค์ (1917) สัญลักษณ์แห่ง อุดมการณ์ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์<br />

ทัศนะรังเกียจคนจีนก็ไม่มีในรัชกาลก่อน พระมหากษัตริย์พระองค์<br />

ก่อนกลับมีพระราชดำริในการสร้างสมดุลระหว่างสิ่งที่ดีของ<br />

ทั้งอารยธรรมตะวันตกและของสยามเอง การสร้างสถาปัตยกรรมไทย<br />

ชาตินิยมในรัชกาลนี้จึงเป็นของใหม่เพื่อการสร้างอัตลักษณ์ใหม่<br />

ของสยามที่ต้องการแสดงตัวตนที่แตกต่างจากตะวันตกแต่ยังคง<br />

ความศิวิไลซ์ไว้ ขณะเดียวกันก็เป็นเครื่องหมายของความเคารพ<br />

เทิดทูนในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มีพระมหากษัตริย์เป็น<br />

ศูนย์กลางของชาติ<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

371


หอสวดโรงเรียนมหาดเล็กหลวง (1915-1917)<br />

โรงเรียนมหาดเล็กหลวง เป็นโรงเรียนประจำสำหรับเด็กชาย<br />

ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />

ให้สร้างใน ค.ศ. 1915 ตามอย่างโรงเรียนประจำของอังกฤษเพื่อ<br />

ฝึกหัดมหาดเล็ก ลักษณะอาคารเป็นแบบไทยประยุกต์โครงสร้าง<br />

คอนกรีตเสริมเหล็ก ประกอบด้วยหอสวด (หอประชุม) รายล้อม<br />

ด้วยคณะ (เรือนนอน) 4 คณะ หอสวดออกแบบโดยสถาปนิก<br />

ชาวอังกฤษ เอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ร่วมกับสถาปนิกไทยพระสมิทธิเลขา<br />

(ปลั่ง วิภาตะศิลปิน) ผังรูปกากบาทแบบแกนไม่เท่ากันแบ่งพื้นที่เป็น<br />

โถงกลางและเฉลียง 2 ข้างที่มีระเบียงชั้นลอยรอบ บรรยากาศ<br />

ภายในเหมือนโบสถ์ไทยผสมโบสถ์ยุโรปยุคกลาง ลักษณะภายนอก<br />

เหมือนวิหารและศาลาการเปรียญไทยเพราะยกใต้ถุนสูง หลังคาจั่ว<br />

แบบไทยทรงจตุรมุขประดับช่อฟ้าใบระกาเต็มที่ ตัวอาคารมี<br />

ลักษณะผสมไทยปนยุโรป ทางเข้าด้านหน้าเป็นป้อมแบบยุคกลาง<br />

ที่มีซุ้มประตูคล้ายซุ้มเรือนแก้วผสมซุ้มโค้งยอดแหลมแบบโกธิค<br />

ลักษณะช่องเปิดแบบนี้จะเห็นทั่วทั้งผนังภายนอกอาคารและที่แผง<br />

กั้นใหญ่ภายในอาคารตอนกลาง อาคารเรือนนอนหรือคณะทั้ง 4<br />

ออกแบบเฉพาะตัวไม่เหมือนกันล้วนแต่เป็นรูปแบบผสมไทยหลาย<br />

ยุคปนตะวันตก ด้วยกิจกรรมที่ฝึกฝนการจงรักภักดีต่อพระมหา<br />

กษัตริย์ตั้งแต่ตื่นนอนจนเข้านอน จึงกล่าวได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรม<br />

ตัวแทนลัทธิชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่สมบูรณ์<br />

372 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ตึกบัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย พระบาทสมเด็จ<br />

พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะ<br />

โรงเรียนข้าราชการพลเรือนให้เป็นมหาวิทยาลัย สภากรรมการ<br />

โรงเรียนมอบให้สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญต่างชาติ 2 คณะ คือ คาร์ล<br />

ดือห์ริงและเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ไปศึกษาและกำหนดแนวทางออกแบบ<br />

จากโบราณสถานในสุโขทัยและสวรรคโลกแล้วเขียนแบบมาเสนอ<br />

กรรมการ ซึ่งกรรมการเลือกแบบของฮีลีย์มาก่อสร้างบางส่วนให้<br />

เหมาะกับงบประมาณใน ค.ศ. 1916 อาคารที่ก่อสร้างมีผังรูปตัว<br />

E มี 3 มุข และเชื่อมด้วยปีก ห้องวางเรียงตรงกลางตามแกนผัง<br />

มีระเบียงล้อมรอบ ลักษณะภายนอกผนังอวดเสาระเบียงเรียง<br />

เป็นแถว ที่มุขเป็นเสาเหลี่ยมลอยตัว ที่ปีกเป็นเสาอิงมีช่องเปิด<br />

เป็นซุ้มแบบโค้งยอดแหลมแบบยุโรปผสมซุ้มเรือนแก้วของไทย<br />

หลังคาจั่วประดับช่อฟ้าใบระกาคอนกรีตหน้าบันประดับประติมากรรม<br />

คอนกรีตหล่อรูปครุฑยุดนาคฝีมือประติมากรอิตาเลียน โรดอลโฟ<br />

โนลี เป็นอาคารไทยชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์อีกหลังหนึ่ง<br />

ที่แสดงความย้อนแย้งในตัวเอง ซึ่งออกแบบโดยสถาปนิกประติมากร<br />

ต่างชาติ<br />

บน ประติมากรรมประดับหน้าบัน<br />

ตึกบัญชาการ ปั้นโดย Rodolfo Noli<br />

(1917)<br />

ล่าง ตึกบัญชาการจุฬาลงกรณ์<br />

มหาวิทยาลัย (1917)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

373


ซ้าย แกนชาติ ศาสน์ กษัตริย์ (1910)<br />

ขวา อนุสาวรีย์ทหารอาสา (1919)<br />

พระที่นั่งพิมานปฐม ในพระราชวังสนามจันทร์ จังหวัด<br />

นครปฐม สร้างใน ค.ศ. 1910 องค์พระที่นั่งสร้างเป็นแบบบังกะโล<br />

คอนกรีตที่หันมุขหน้าอันป็นที่ตั้งห้องพระที่เรียกว่า “ห้องพระเจ้า”<br />

ประจันเป็นแนวเส้นตรงกับพระปฐมเจดีย์เกิดเป็นเส้นแกนสายตา<br />

ที่สะท้อนพระราชอุดมการณ์ “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” ที่สมบูรณ์<br />

จึงเป็นตัวอย่างสถาปัตยกรรมชาตินิยมที่น่าสนใจอย่างยิ่งเพราะ<br />

ได้สะท้อนความหมายของพระราชอุดมการณ์ออกมาในลักษณะ<br />

นามธรรมไม่ใช่รูปแบบกายภาพอย่างงานอื่นๆ<br />

อนุสาวรีย์ฝังอัฐิทหารซึ่งเสียชีวิตในราชการสงคราม<br />

(อนุสาวรีย์ทหารอาสา) เป็นอนุสาวรีย์ที่สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์เชิดชู<br />

เกียรติแก่ทหารไทยที่เสียชีวิตในการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1<br />

ร่วมกับฝ่ายสัมพันธมิตร กระทรวงกลาโหมเป็นผู้สร้างใน ค.ศ. 1919<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน<br />

พระราชทรัพย์ส่วนพระองค์เป็นทุนสร้าง แบบอนุสาวรีย์ลอกแบบ<br />

มาจากเจดีย์สุโขทัยแบบพระเจดีย์มณฑปที่วัดพระเจดีย์เจ็ดแถว<br />

ศรีสัชชนาลัย ดังนั ้นแม้จะดูสวยงามแต่ก็เป็นเพียงงานผลิตซ้ำ<br />

เท่านั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้พระราชทาน<br />

พระบรมราโชวาทแก่กองทหารที่ไปร่วมรบครั้งนี้ว่าทรงปลื้มปิติ<br />

ในการไปทำสงครามของทหารไทย ซึ่งเป็นการแสดงธรรมะของ<br />

ความเป็นชาติ นั่นคือความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา และ<br />

พระมหากษัตริย์ จึงเป็นสถาปัตยกรรมแห่งลัทธิชาตินิยม<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างชัดเจนอีกแห่งหนึ่ง<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นความจริง<br />

สร้างน้อยมากเมื่อเทียบกับอาคารแบบตะวันตกทั่วไปที่สร้างใน<br />

สมัยรัชกาลที่ 6 และถ้าพิจารณาในแง่การออกแบบแล้วก็เป็น<br />

การผลิตซ้ำสถาปัตยกรรมโบราณชนิดหนึ่งที่หากเปรียบเทียบกับ<br />

สถาปัตยกรรมแนวอนุรักษ์สร้างสรรค์เช่นพระอุโบสถวัดราชาธิวาส<br />

ราชวรวิหารตอนปลายรัชกาลก่อนแล้ว กลับมีคุณภาพในการ<br />

สร้างสรรค์น้อยกว่าเสียอีก ดังนั้นความสำคัญที่แท้จริงของอาคาร<br />

เหล่านี้คืออิทธิพลในการเป็นต้นแบบและแนวคิดที่มีต่อการสร้าง<br />

อาคารแบบชาตินิยมในยุคต่อมาและสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้ ทั้งๆ<br />

ที่เบื้องหลังการสร้างนั้นสถาปนิกและศิลปินต่างชาติมีส่วนใน<br />

การทำงานเป็นอย่างมาก<br />

374 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


การเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม<br />

ปัจจัยการสร้างสถาปัตยกรรมชาตินิยมช่วงที่2 ของทั้ง 2 ชาติ<br />

มาจากเรื่องเดียวกันคืออิทธิพลจากลัทธิชาตินิยมสากลที่แผ่เข้าไป<br />

ในประเทศ สำหรับญี่ปุ่นนั้นหน่ออ่อนของลัทธิชาตินิยมปลาย<br />

รัชสมัยเมจิได้เติบโตอย่างแข็งกล้าในยุคไทโชนี้และสะท้อนออกมา<br />

ในรูปแบบสถาปัตยกรรมมากมาย จุดมุ่งหมายของลัทธิชาตินิยม<br />

ญี่ปุ่นในยุคนี้ด้านหนึ่งยังต้องการหาอัตลักษณ์ของตนเองต่อไป<br />

แต่อีกด้านหนึ่งพวกเขากำลังหารูปแบบสากลของสถาปัตยกรรม<br />

เอเชียที่มีญี่ปุ่นเป็นผู้น ำ สถาปัตยกรรมแบบ “วิวัฒนาการ” ของอิโตะ<br />

ชูตะ คือเสาหลักของงานประเภทนี้ เขาสร้างสถาปัตยกรรมบน<br />

พื้นฐานทฤษฎีประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม ที่ผ่านงานสำรวจ<br />

ภาคสนามอย่างกว้างขวางและยาวนานแล้วนำมาตีความใหม่เพื่อหา<br />

รูปแบบที่เหมาะสม สถูปแบบคันธารราชจึงเหมาะสมที่จะเป็น<br />

เครื่องแสดงความเป็นสากลของเอเซีย เพราะมันเชื่อมโยงอินเดีย<br />

กับกรีกและเชื่อมโยงญี่ปุ่นกับอินเดีย ดังนั้นสถูปแบบอินเดีย<br />

ในญี่ปุ่นจึงเป็นงานสากลของเอเชียได้และเขาได้ใช้มันเป็นตัวแทน<br />

ความเป็นสากลให้กับสถูปโกโกกุโตะ แต่เมื่อเป็นอาคารที่ต้อง<br />

เกี่ยวข้องกับสยามแล้วเขาก็เลือกแบบสากลที่เข้ากับสยามได้<br />

เช่น สถูปโฮอันโตะแห่งวัดนิสเซนจิที่ป็นสถูปคันธารราชแบบอยุธยา<br />

ขณะเดียวกันเขาก็ทำงานสากลระดับภูมิภาคด้วย เช่น โครงการ<br />

วิหารชากุโอเดน แห่งวัดซานเนจิ ที่ใช้รูปแบบวิหารสยามผสมจีน<br />

เพราะสาระของการสร้างที่เกี่ยวข้องกับสยาม อาคารแนวชาตินิยม<br />

ที่เข้าใจง่ายกว่างานเชิงสัญลักษณ์ของอิโตะคืองานมงกุฎจักรพรรดิ<br />

ที่ใช้รูปแบบผังคลาสสิคครอบด้วยหลังคาญี่ปุ่นและมีมาแล้วตั้งแต่<br />

ปลายรัชสมัยเมจิ มาในสมัยไทโชได้เป็นอาคารที่แพร่หลายมากขึ้น<br />

และอาคารบางหลังมีการออกแบบอย่างประณีตพิถีพิถันเช่น<br />

อาคารคลังสมบัติหรือโอบุตสุเดนแห่งศาลเจ้าเมจิ กรุงโตเกียว<br />

เป็นการผลิตซ้ำศาลเจ้าโบราณที่สร้างด้วยคอนกรีต จนได้การยกย่อง<br />

เรียกชื่อแบบอาคารว่ามงกุฎจักรพรรดิจากมหาชน<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่มาจาก<br />

พระราชอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ต้องการสร้างจินตนาการ<br />

มหาอาณาจักรสยามที่ยิ่งใหญ่ในอดีต จุดประสงค์ของการสร้าง<br />

สถาปัตยกรรมจึงเป็นการเลือกผลิตซ้ำศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ในอดีต<br />

เช่น หอสวดโรงเรียนมหาดเล็กหลวง ตึกบัญชาการจุฬาลงกรณ์<br />

มหาวิทยาลัย และที่ชัดเจนที่สุดคือ อนุสาวรีย์ที่ฝังอัฐิทหารซึ่งตาย<br />

ในราชการสงคราม (อนุสาวรีย์ทหารอาสา) อาคารเหล่านี้เทียบได้<br />

กับอาคารแบบมงกุฎจักรพรรดิในญี่ปุ่นที่ดูเข้าใจง่ายและสร้างได้เร็ว<br />

ส่วนที่พระที่นั่งพิมานปฐมในพระราชวังสนามจันทร์ แกนสายตาที่<br />

เชื่อมระหว่างพระปฐมเจดีย์และ “ห้องพระเจ้า” ของมุขหน้า<br />

พระที่นั่งนี้ซึ ่งให้ความหมายของพระราชอุดมการณ์ชาติ ศาสน์<br />

กษัตริย์อย่างสมบูรณ์ ต้องนับว่าเป็นการออกแบบเชิงสัญลักษณ์<br />

ในระดับเดียวกับงานของอิโตะ เพียงแต่ว่ามันเป็นงานภูมิทัศน์<br />

มากกว่างานสถาปัตยกรรม<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมช่วงที่ 2 ของทั้ง 2 ชาติมีทั้งงาน<br />

ระดับผลิตซ้ำสถาปัตยกรรมโบราณและงานระดับเชิงสัญลักษณ์<br />

ในงานระดับแรกนั้นผลงานในระดับที่ดีที่สุดของทั้ง 2 ชาติไม่ได้<br />

ต่างกันนัก เพียงแต่ญี่ปุ่นคิดและสร้างด้วยตนเอง แต่สยามยังต้อง<br />

ให้สถาปนิกตะวันตกช่วยคิดและควบคุมการสร้าง สิ่งที่แตกต่างกัน<br />

ชัดเจนคืองานระดับสัญลักษณ์ที่ต้องใช้ทฤษฎีเป็นฐานในการ<br />

ตีความรูปแบบเก่าก่อน เพื่อสร้างสรรค์รูปแบบใหม่ที่หลุดจาก<br />

กรอบเดิมได้นั้นญี่ปุ่นมีทฤษฎี “วิวัฒนาการ” ของอิโตะ ชูตะและ<br />

สถาปัตยกรรมจำนวนหนึ่งของเขาแล้ว แต่สยามยังไม่มีอะไร<br />

ในแบบนี้เลย ถ้าเราจะกล่าวว่านี่คือความก้าวหน้ากว่าของญี่ปุ่น<br />

มันก็เป็นผลจากการวางรากฐานการศึกษาที่มั่นคงในรัชสมัยเมจิ<br />

และได้เติบโตจนเห็นดอกผลในสมัยไทโชนี้<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

375


บน วัดซึกิจิฮองกวานจิ (1934)<br />

ล่าง อนุสรณ์สถานเหยื่อแผ่นดินไหวคัน<br />

โตแห่งมหานครโตเกียว (1930)<br />

376 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมชาตินิยมช่วงที่ 3 (1926-1945)<br />

ความเข้มแข็งแห่งวาระสุดท้ายของสถาปัตยกรรมชาตินิยมญี่ปุ่น<br />

ยุคโชวะเป็นยุคแห่งชาตินิยมสุดโต่ง หลงเชื้อชาติ และ<br />

ใฝ่สงครามในสังคมญี่ปุ่นขณะที่ลัทธิประชาธิปไตยตกต่ ำ ทหารญี่ปุ่น<br />

และพวกขวาจัดปลุกระดมประชาชนที่กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ<br />

ให้ลุกขึ้นโค่นล้มระบอบรัฐสภา พวกทหารชาตินิยมสุดโต่งทำการ<br />

ฆาตกรรมผู้นำรัฐบาลจนการปกครองโดยรัฐบาลพลเรือนอยู่ไม่ได้<br />

ต้องให้ทหารขึ ้นมาเป็นผู้นำรัฐบาลแทน ขณะเดียวกันญี่ปุ่นก็เริ่ม<br />

นโยบายรุกรานชาติในเอเชียอย่างโจ่งแจ้งในทศวรรษ 1930 ซึ่งได้<br />

ลุกลามมาเป็นสงครามมหาเอเชียบูรพาหรือสงครามแปซิฟิก<br />

อย่างเต็มรูปแบบใน ค.ศ. 1941 การปกครองประเทศอยู่ภายใต้<br />

กฎหมายแห่งการทำสงครามและการสนับสนุนของมวลชนที่ถูก<br />

ครอบงำด้วยลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง วงการสถาปัตยกรรมก็ตกอยู่<br />

ภายใต้ภาวะการณ์นี้ ยุคนี้จึงเป็นยุคเฟื่องฟูของสถาปัตยกรรม<br />

ลัทธิชาตินิยมมากที่สุดกว่ายุคใดๆ และจะเป็นยุคสุดท้ายด้วย<br />

ในขณะเดียวกัน สถาปัตยกรรมแบบวิวัฒนาการของอิโตะ ชูตะ<br />

สถูปโชเกียวเด็น (1931)<br />

ช่วงที่ 2 อิโตะยังทำงานต่อไปในแนววิวัฒนาการที่ไม่ต้องการลอก<br />

กายภาพของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นโบราณ แต่พยายามสร้างสรรค์<br />

ด้วยวิธีมองกว้างออกไปหาสถาปัตยกรรมเอเชียแบบอื่นๆ ขณะ<br />

เดียวกันก็วิจารณ์สถาปัตยกรรมแบบมงกุฎจักรพรรดิว่า “ละเมิด<br />

ตรรกะทางโครงสร้างทั้งคลาสสิคของยุโรปและแบบญี่ปุ่นโบราณ<br />

และเป็นงานที่น่าอับอายแห่งชาติ” ผลงานของอิโตะที่สำคัญ<br />

ในยุคโชวะ ได้แก่ อนุสรณ์สถานเหยื่อแผ่นดินไหวคันโตแห่ง<br />

มหานครโตเกียว (1930) สร้างเป็นอนุสรณ์เหยื่อแผ่นดินไหว<br />

ครั้งใหญ่ใน ค.ศ. 1923 สิ่งที่น่าสนใจคือการวางผังอาคารหลังนี้<br />

ลักษณะผังสี่เหลี่ยมผืนผ้ามีโถงกลางและเฉลียง 2 ข้างแบ่งด้วย<br />

เสาร่วมใน ใช้ด้านสกัดเป็นด้านหน้าทอดตัวตามแนวดิ่งไปด้านหลัง<br />

ซึ่งเป็นที่ตั้งเจดีย์ทรงสี่เหลี่ยม ทำให้มีลักษณะของผังแบบวัดไทย<br />

ผสมโบสถ์แบบตะวันตก แม้ว่าลักษณะเปลือกนอกอาคารอิโตะ<br />

ยังคงใช้รูปทรงของวัดและเจดีย์แบบญี่ปุ่นก็ตาม สถูปโชเกียวเด็น<br />

แห่งวัดฮอกเกเกียวจิ (1931) เมืองอิชิกาวา เป็นสถูปแบบคันธาร<br />

ราชองค์สุดท้ายของอิโตะ สำหรับเก็บธรรมบทที่เขียนโดยพระผู้<br />

ก่อตั้งนิกายนิชิเร็นชูในศตวรรษที่ 13 แม้จะมีรูปทรงคล้ายสถูป<br />

ผู้ปกป้องบ้านเมือง โกโกกุโตะ (1911) เมื่อ 20 ปีที่แล้ว แต่สถูป<br />

องค์นี้มีองค์ประกอบที่มีอิทธิพลศิลปะคลาสสิคมากขึ้นไปอีก<br />

รูปทรงสถูปเป็นทรงระฆังครึ่งวงกลมตั้งบนเรือนธาตุทรงกระบอก<br />

ที่สูงประมาณ 2 เท่าขององค์ระฆัง ประตูเข้ากลางเรือนธาตุมี<br />

กรอบล้อมเป็นเสากลมลอยตัวรับคานทับหลังแบบประตูคลาสสิค<br />

เหนือทับหลังมีช่องแสงทรงโค้งประทุนรูปเกือกม้าเลียนแบบ<br />

หลังคาวัดถ้ำอชันตา ผนังเรือนธาตุมีเสาอิงสี่เหลี่ยมแบบกรีกผสม<br />

อินเดียประดับโดยรอบ ปลียอดทรงกรวยและบัลลังก์แบบศรีลังกา<br />

ผสมเนปาลมีขนาดเล็กเมื่อเทียบกับสถูปโกโกกุโตะ โดยภาพรวม<br />

แล้วจุดเด่นคือเรือนธาตุและองค์ระฆังที่เป็นงานคลาสสิคผสม<br />

อินเดีย ซึ่งอิโตะเชื่อว่าคือมรดกวัฒนธรรมที่งดงามที่สุดของ<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

377


บน ศาลาว่าการจังหวัดคานากาว่า (1928)<br />

ล่าง ศาลาว่าการจังหวัดนาโกย่า (1933)<br />

งานพุทธแบบญี่ปุ่นที่มีสายสัมพันธ์กับทหาร ปลุกเร้าลัทธิชาตินิยม<br />

สุดโต่ง ไม่ห้ามการทำสงครามที่ยุติธรรมและยกย่องทหารที่ตาย<br />

ในสงครามเป็นนักบุญ การออกแบบวัดนี้น่าจะเป็นบทสรุปของ<br />

สถาปัตยกรรมวิวัฒนาการของอิโตะที่นำสถาปัตยกรรมยุโรป<br />

และเอเชียหลายชาติมาประกอบเข้าด้วยกันอย่างน่าสนเท่ห์<br />

ผังอาคารเป็นแบบคลาสสิครูปตัว E รูปทรงอาคารเป็นแบบ<br />

สี่เหลี่ยมมี 3 มุข มุขกลางหลังคาเป็นโค้งประทุนรูปเกือกม้า<br />

ยอดแหลมเลียนแบบวิหารถ้ำอชันตา หน้าบันหล่อรูปดอก<br />

เบญจมาศ 16 กลีบสัญลักษณ์จักรพรรดิญี่ปุ่น มุขซ้ายขวาเป็นมุข<br />

หลังคาแบนตั้งพระสถูปแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผนังอาคาร<br />

เจาะช่องหน้าต่างแบบคลาสสิคแต่ด้วยรายละเอียดแบบอินเดีย<br />

เสาอิงประดับผนังเรียงเป็นแถวแบบคลาสสิคแต่หัวเสาเป็นเต้าไม้โค้ง<br />

ทรงกากบาทแบบจีน-ญี่ปุ่นโบราณ วัดซึกิจิฮองกวานจิเป็นบทสรุป<br />

รูปธรรมแนวคิดสำคัญของอิโตะ 2 ประการ ประการแรก คือ ญี่ปุ่น<br />

คือเจ้าเอเชีย สัญลักษณ์คือหน้าบันมุขกลางประดับรูปเบญจมาศ<br />

16 กลีบสัญลักษณ์แห่งจักรวรรดิญี่ปุ่นภายในซุ้มโค้งเกือกม้าแบบ<br />

วัดถ้ำอชันตารายล้อมด้วยสถูปของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้<br />

ประการที่ 2 คือ อารยธรรมญี่ปุ่นสืบสายมาจากเผ่าอารยันคือกรีก<br />

ผ่านอินเดีย จีน และมาถึงญี่ปุ่นในที่สุด ทั้งหมดนี้คือสายการ<br />

วิวัฒนาการของสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นที่เปลี่ยนไปตามสภาพแวดล้อม<br />

และกาลเวลา และตอบสนองอุดมการณ์วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชีย<br />

บูรพาของญี่ปุ่น แต่น่าเสียดายว่าการแปลทฤษฎีวิวัฒนาการของ<br />

อิโตะมาสู่การออกแบบนั้นไม่ได้ก้าวจากอดีตไปสู่อนาคต แต่ก้าว<br />

จากอดีตไปสู่อดีตที่เก่ากว่า<br />

สถาปัตยกรรมมงกุฎจักรพรรดิช่วงที่ 2 อาคารผังรูปตัว E<br />

ที่คลุมด้วยหลังคาแบบวัดญี่ปุ่นโบราณก้าวมาถึงจุดนิยมสูงสุด<br />

ในช่วงปลายทศวรรษ 1920 จนถึงสิ ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2<br />

เพราะสังคมลงความเห็นว่านี่คืออาคารที่เป็นตัวแทนความเป็นญี่ปุ่น<br />

ทางสถาปัตยกรรมอย่างแท้จริง อาคารแบบนี้เริ่มด้วยศาลาว่าการ<br />

จังหวัดคานากาว่า (1928) เป็นอาคารผังแบบคลาสสิครูปสี่เหลี่ยม<br />

ผืนผ้าล้อมสนามภายใน 2 สนาม มุขกลางยื่นและมีหอคอยกลาง<br />

378 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน พิพิธภัณฑ์หลวงโตเกียว (1931)<br />

ล่าง กองบัญชาการทหารบก (1934)<br />

อาคาร ลักษณะอาคารเป็นทรงกล่องสี่เหลี่ยมผืนผ้าแบบสมมาตร<br />

ผนังอวดผิวอิฐก่อสูง 5 ชั้น จุดเด่นอยู่ที่หอคอยสูงมุงหลังคา<br />

กระเบื้องทรงปิรามิดคล้ายเจดีย์จีน หลังคาอาคารเป็นทรงปั้นหยา<br />

ยกจั่วมุงกระเบื้อง เป็นผลงานชนะเลิศการประกวดของสถาปนิก<br />

คาโร โอบิ ที่สำเร็จการศึกษาจากวิทยาลัยเทคนิคสถาปัตยกรรม 42<br />

เป็นอาคารที่ได้รับเกียรติมาเยือนโดยรัฐมนตรีกระทรวงวังโดย<br />

พระราชดำริของจักรพรรดิใน ค.ศ. 1931 จึงไม่แปลกที่หลังจากนั้น<br />

รัฐบาลจะมีนโยบายว่า “ต้องการแบบลักษณะที่ซึมซาบไปด้วย<br />

สาระสำคัญแห่งชาติ” ที่ไม่ได้ระบุรูปธรรม ดังนั้นอาคารหลังนี้จึง<br />

เป็นต้นแบบให้กับอาคารที่ว่าการจังหวัดอีกหลายแห่งตลอด<br />

ทศวรรษที่ 1930 เช่น นาโกย่า (1933) และไอชิ (1935) เป็นต้น<br />

รวมทั้งอาคารระดับชาติอีก 2 โครงการคือ พิพิธภัณฑ์หลวงโตเกียว<br />

อูเอโน (1931) โดยวาตานาเบ จิน ที่ออกแบบภายใต้เงื่อนไขว่า<br />

“มีรูปแบบตะวันออกที่เป็นรสนิยมแบบญี่ปุ่น ดังนั้นมันจึงจะรักษา<br />

ความกลมกลืนกับศิลปะวัตถุของพิพิธภัณฑ์ได้” แต่รูปธรรมก็คือ<br />

มีผังสี่เหลี่ยมผืนผ้ายาวล้อมรอบสนามภายใน 2 สนาม ลักษณะ<br />

อาคารทรงสี่เหลี่ยมที่มีหลังคาแบบวัดญี่ปุ่นโบราณ อีกโครงการ<br />

หนึ่ง คือ กองบัญชาการทหารบก (1934) เป็นแบบชนะประกวด<br />

โดยโอโน ทาเคโอและคาวาโมโต เรียวอิชิ เป็นอาคารทรงสี่เหลี่ยม<br />

ที่พยายามเจาะช่องหน้าต่างหลายแบบเหมือนอาคารสมัยใหม่<br />

เช่น วงกลม สี่เหลี่ยมผืนผ้า หน้าต่างยาวเรียวเรียงเป็นแถว<br />

ในแนวตั้ง เป็นต้น แต่ที่ชั้นดาดฟ้ากลับเป็นที่ตั้งของอาคารทรง<br />

หลังคาจั่วมีปีกนกแบบวัดญี่ปุ่นโบราณที่มุมอาคาร2 ข้าง ที่ดูเหมือน<br />

พระราชวังหลวงในกรุงปักกิ่งมากกว่าวิหารญี่ปุ่นที่สร้างด้วยไม้<br />

อาคารมงกุฎจักรพรรดิในยุครุ่งเรืองที่สุดของทศวรรษที่<br />

1930 ยังไม่มีแนวคิดและรูปแบบอะไรใหม่เลยจากที่เอนเดอร์และ<br />

บ๊อคมานน์เสนอแบบร่างรัฐสภาแบบที่2 ที่เป็นผังคลาสสิคหุ้มด้วย<br />

ผนังอาคารแบบลูกผสมและครอบหลังคาจีนให้กับรัฐบาลญี่ปุ่น<br />

ใน ค.ศ. 1887 เวลาเกือบครึ่งศตวรรษที่ผ่านไปไม่ได้ให้คำตอบ<br />

อะไรใหม่แก่สถาปนิกญี่ปุ่น นอกจากว่าการหมกมุ่นกับรูปทรงจาก<br />

อดีตนั้นไม่ได้ให้อะไรนอกจากอดีตที่แย่กว่าเก่าเท่านั้น<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

379


สถาปัตยกรรมไทยทวิลักษณ์ในสยาม: สมัยใหม่คู่แบบโบราณ<br />

สยามตั้งแต่ ค.ศ. 1925 ซึ่งเป็นปีแรกในรัชกาลพระบาท<br />

สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 เป็นต้นมา เป็นช่วง<br />

แห่งความยุ่งยากทางเศรษฐกิจที่นำไปสู่การปฏิวัติเปลี่ยนแปลง<br />

การปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็น<br />

ประชาธิปไตยใน ค.ศ. 1932 ก่อนการปฏิวัติพระราชอุดมการณ์<br />

ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของรัชกาลที่ 6 เริ่มซาเพราะปัญหาเศรษฐกิจ<br />

ที่ประชาชนสนใจมากกว่า สถาปัตยกรรมแบบไทยในช่วงนี้จึงไม่ได้<br />

ถูกผลักดันด้วยลัทธิชาตินิยม แต่ด้วยลัทธิทุนนิยมและวัฒนธรรม<br />

ความทันสมัยมากกว่า ลัทธิชาตินิยมถูกใช้ปลุกระดมมวลชนอีกครั้ง<br />

หลังการปฏิวัติใน ค.ศ. 1932 รัฐบาลประกาศแนวทางที่ “จะรักษา<br />

และส่งเสริมศิลปกรรมของไทยเพื่อให้เป็นที่เชิดชูเกียรติและ<br />

380 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


วัฒนธรรมของชาติ จะใช้ศิลปกรรมไทยเป็นอุปกรณ์ในการอบรม<br />

ประชาชน ทั้งในทางความรู้และคุณภาพทางใจ จะใช้ศิลปกรรมให้<br />

เป็นอุปกรณ์การเศรษฐกิจแห่งชาติ” 43 ผู้นำแนวคิดนี ้ที ่สำคัญคือ<br />

หลวงวิจิตรวาทการหนึ่งในสมาชิกคณะราษฎร ที่ผลักดันให้ตั้งกรม<br />

ศิลปากรขึ้นมาใหม่ใน ค.ศ. 1934 เพื่อใช้หน่วยงานนี้เป็นแนวรบ<br />

ทางวัฒนธรรมของรัฐบาลคณะราษฎร ที่จะนำนโยบายไปปฏิบัติ<br />

เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงครามขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี<br />

ใน ค.ศ. 1939 และเริ่มนโยบายชาตินิยมเชื้อชาติไทย ในช่วง<br />

ระหว่าง ค.ศ. 1939-1942 เขาได้ประกาศ “รัฐนิยม” 12 ฉบับ ระบุ<br />

รูปธรรมของชาติที่ต้องเคารพ หน้าที่ที่คนไทยต้องปฏิบัติเพื่อชาติ<br />

วัฒนธรรมอันดีงามที่พึงปฏิบัติดังนี้เป็นต้นเพื่อสร้างยุคสมัยใหม่<br />

ของประเทศไทยที่เจริญก้าวหน้าและศิวิไลซ์ อย่างไรตามแนวทาง<br />

ของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นั้นไม่มีอะไรที่ไม่ใช่การดัดแปลง<br />

พระราชอุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ของรัชกาลที่ 6 เลย<br />

เพียงแต่ปรับปรุงให้สอดคล้องกับเวลาที่เปลี่ยนไปเท่านั้นแต่ในทาง<br />

สถาปัตยกรรมมีการเปลี่ยนแปลงที่น่าสนใจ สถาปัตยกรรมแนว<br />

อนุรักษ์นิยมสร้างสรรค์ตั้งแต่ก่อนทศวรรษ 1910 ของสมเด็จฯ<br />

เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ได้พัฒนามาเป็นสถาปัตยกรรม<br />

ไทยสมัยใหม่ที่น่าทึ่งโดยพระพรหมพิจิตร ศิษย์ที่ใกล้ชิดของ<br />

พระองค์ในทศวรรษ 1930 ต่อต้นทศวรรษ 1940 ที่กระแสชาตินิยม<br />

เชื้อชาติไทยกำลังครอบงำสังคมไทย<br />

หน้าตรงข้าม<br />

บน พระอุโบสถ วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม (1930)<br />

ล่าง ปฐมบรมราชานุสรณ์ (1932)<br />

สถาปัตยกรรมไทยตั้งแต่ช่วง ค.ศ. 1925 เริ่มมีพัฒนาการ<br />

ใหม่ๆ เกิดขึ้น ด้านหนึ่งเพราะสังคมสยามเปลี่ยนเป็นทุนนิยม<br />

รับวัฒนธรรมสมัยใหม่มากขึ้น อีกด้านหนึ่งเศรษฐกิจตกต่ำจาก<br />

ผลกระทบของระบบเศรษฐกิจโลกทำให้การลงทุนก่อสร้างเป็นไป<br />

อย่างประหยัดรัดกุม รวมทั้งการเผยแพร่สถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ที่เรียบง่ายไร้ลวดลายของสถาปนิกไทยกลุ่มใหม่ที่สำเร็จการศึกษา<br />

จากยุโรป เราจึงเห็นโบสถ์วัดพระปฐมเจดีย์ (1930) ออกแบบ<br />

โดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ มีลักษณะเป็น<br />

โบสถ์คอนกรีตสี่เหลี่ยมเรียบง่าย ภายในประดิษฐานพระพุทธรูป<br />

ประธานในคูหาแยกต่างหากที่น่าจะมาจากแนวคิดพุทธเถรวาท<br />

โบราณ ลวดลายประดับเกือบจะไม่มีและเป็นเพียงทรงเรขาคณิต<br />

หล่อด้วยคอนกรีตแทนการปั้นด้วยมือ ความจริงสมเด็จฯ เจ้าฟ้า<br />

กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงเคยออกแบบพระอุโบสถวัด<br />

ราชาธิวาสราชวรวิหารร่วมกับวิศวกรอิตาเลียนเป็นแบบคอนกรีต<br />

ที่สร้างสรรค์มาแล้ว การออกแบบให้เรียบขึ้นไปอีกจึงไม่ใช่เรื่อง<br />

ยากสำหรับพระองค์ ใน ค.ศ. 1932 ทรงออกแบบฉากหลังพระปฐม<br />

บรมราชานุสรณ์ที่สะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ลักษณะเป็นกำแพง<br />

3 ตอนช่วงกลางสูงริม 2 ข้างลดชั้น กำแพงตอนกลางทำเป็นซุ้ม<br />

เว้าลึกเข้าไป เน้นซุ้มด้วยกรอบโครงสร้างวางบนเสา ด้านบนกำแพง<br />

ทำหลังคามีซุ้มจั่วขนาดเล็กตรงกลาง ผิวส่วนโครงสร้างประดับ<br />

ลวดลายหล่อคอนกรีตแบบคลาสสิคปนไทย ผิวผนังทั่วไปเป็น<br />

ลายแถบ เป็นสถาปัตยกรรมคอนกรีตที่มีลักษณะไทย ผสม<br />

คลาสสิคและอาร์ตเด็คโค และเป็นงานสำคัญชิ้นสุดท้ายในสมัย<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ กล่าวได้ว่า สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา<br />

นริศรานุวัดติวงศ์ทรงเป็นสถาปนิกไทยที ่ริเริ่มสถาปัตยกรรมไทย<br />

แนวอนุรักษ์นิยมเชิงสร้างสรรค์มาตั้งแต่ก่อนทศวรรษที่ 1910<br />

สืบเนื่องมาถึงทศวรรษ 1930 ทรงเรียนรู้ด้วยตนเองผ่าน<br />

ประสบการณ์ทรงงานร่วมกับสถาปนิก วิศวกรอิตาเลียนและได้<br />

ทรงถ่ายทอดความรู้ให้กับพระพรหมพิจิตรศิษย์ผู้ถวายงานใกล้ชิด<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

381


หลวงวิศาลศิลปกรรม เคยร่วมงานกับสถาปนิกอังกฤษ<br />

เอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ในการเขียนแบบตึกโรงเรียนมหาดเล็กหลวง (1915-<br />

1917) ตึกบัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (1917) ได้ออกแบบ<br />

ตึกคณะวิทยาศาสตร์ใน ค.ศ. 1926-1927 ในแบบกึ่งสร้างสรรค์<br />

ผังอาคารรูปตัว U สูง 2 ชั้นทรงสี่เหลี่ยมมีมุขที่ริม2 ข้าง หลังคามุข<br />

ทั้ง 2 เป็นทรงจั่วมุงกระเบื้องเหมือนหลังคาทรงปั้นหยาของอาคาร<br />

กลางที่เชื่อมมุขไม่มีการประดับเครื่องหลังคาใดๆ ทั้งสิ้นตรงข้าม<br />

กับตึกบัญชาการอย่างสิ้นเชิงที่สร้างเหมือนโบสถ์หรูหรา ส่วนอาคาร<br />

หลังนี ้ดูเหมือนกุฏิปูนเรียบๆ ที่ขยายส่วนแบบสมัยรัชกาลที่ 3<br />

หอนาฬิกาโรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย (1929) เป็นงานกึ่งสร้างสรรค์<br />

ที่น่าสนใจ ผังรูปสี่เหลี่ยมมีเสา 4 ต้น สูง 2 ชั้นลดหลั่น จุดเด่นคือ<br />

หลังคาจตุรมุขที่มีหน้าบันวงกลมปลายยอดแหลมติดตั้งนาฬิกา<br />

เต็มหน้าบัน มีปั้นลมใบระกาลายใบเทศคอนกรีตหล่อล้อมรอบ<br />

ทรงคล้ายประตูวัดถ้ำอชันตาและหน้าต่างศิลปะแบบอาร์ตนูโว<br />

ในเวลาเดียวกัน การใช้ลายคอนกรีตหล่อที่พยายามคงความ<br />

ละเอียดลออแบบงานปูนปั้นโบราณเป็นความย้อนแย้งของการใช้<br />

วัสดุใหม่ในแบบงานช่างโบราณของงานนี้<br />

พระพรหมพิจิตร เป็นนักเรียนช่างเขียนกรมโยธาธิการ<br />

ใน ค.ศ. 1904 ต่อมาได้รับการบรรจุเป็นช่างเขียนของกรมโยธาธิการ<br />

ใน ค.ศ. 1907 44 ในสมัยที่กองอินยิเนียและแบบอย่างมีวิศวกร<br />

สถาปนิกชาวอิตาเลียนถึง 11 คน และช่างเขียนแบบญี่ปุ่น 1 คน<br />

จึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะมีพื้นฐานการเขียนแบบที่ดีอย่างตะวันตก<br />

จากผู้เชี่ยวชาญเหล่านั้น ต่อมาเขาได้ถวายตัวเป็นศิษย์ของสมเด็จฯ<br />

เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระพรหมพิจิตรสร้างความ<br />

ประหลาดใจให้ผู้คนด้วยการออกแบบหอระฆังวัดยานนาวา (1934)<br />

ต้อนรับยุคประชาธิปไตยที่ยังไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับงานชิ้นนี้<br />

หอนาฬิกา โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย<br />

(1929)<br />

หน้าตรงข้าม<br />

บน หอระฆังวัดยานนาวา (1934)<br />

ล่าง ตึกคณะวิทยาศาสตร์จุฬาลงกรณ์<br />

มหาวิทยาลัย (1927-1928)<br />

382 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ของเขา หอระฆังคอนกรีตสูง 2 ชั้น ที่มีเสามุม 4 ต้นขนาดใหญ่<br />

ถึง 1 ใน 3 ของความกว้างผนัง หลังคาเป็นซุ้มบันแถลงแบบจตุรมุข<br />

ประดับยอดเจดีย์ทรงระฆัง 8 เหลี่ยมอ้วนเตี้ย การประดับประดา<br />

มีน้อยและเรียบง่ายจนดูได้ว่าหยาบอย่างตั้งใจ เป็นการออกแบบ<br />

ที่ท้าทายขนบโบราณอย่างน่าทึ่งจนเรียกได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมไทย<br />

สมัยใหม่ได้โดยไม่ลังเล ใน ค.ศ. 1937 พระพรหมพิจิตรได้รับ<br />

มอบหมายจากกรมศิลปากรให้ออกแบบศาลาสยามในงานแสดง<br />

นิทรรศการนานาชาติว่าด้วยศิลปะและเทคนิคสมัยใหม่แห่ง<br />

กรุงปารีส ค.ศ. 1937 ในงานนี้เขาหันกลับไปลอกแบบพระที่นั่ง<br />

ไอศวรรย์ทิพยอาสน์ที่พระราชวังบางปะอินที่เป็นศาลาไม้โถง<br />

ทรงจตุรมุขยอดปราสาทมาเป็นศาลาสยาม ตามแนวการแสดง<br />

อัตลักษณ์ของราชการสยามตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ไม่ว่าเขาจะ<br />

เต็มใจทำงานในลักษณะโบราณแบบนี้มากน้อยเพียงไรแต่มันก็ชี้<br />

ให้เห็นลักษณะการทำงานแบบทวิลักษณ์ของเขาซึ่งจะปรากฏให้<br />

เห็นอีก หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (1939) พระพรหมพิจิตร<br />

ร่วมกับพระสาโรชรัตนนิมมานก์ออกแบบหอประชุมของ<br />

มหาวิทยาลัยแห่งแรกของไทย ด้วยวิธีที่อาจดูแปลกสำหรับยุคนี้<br />

กล่าวคือ พระสาโรชรัตนนิมมานก์ในฐานะสถาปนิกผู้เชี่ยวชาญ<br />

ในการวางผังอาคารพิเศษที่ต้องการระบบเสียงที่ดีและโครงสร้าง<br />

หลังคาแบบพาดช่วงกว้างรับหน้าที่วางผังทั้งหมด ส่วนพระพรหม<br />

พิจิตรผู้เชี่ยวชาญสถาปัตยกรรมไทยมีหน้าที่ออกแบบหลังคา<br />

รูปทรงและองค์ประกอบสถาปัตยกรรมไทยให้กลมกลืนสอดรับกับ<br />

ผังสมัยใหม่ รูปทรงของหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจึงมี<br />

ลักษณะผสมกัน ผนังของหอประชุมเป็นแบบสมัยใหม่เรียบเกลี้ยง<br />

ไร้สิ่งประดับใดๆ ตรงข้ามกับมุขหน้าและหลังซึ่งเป็นโถงทางเข้า<br />

ออกกลับประดับด้วยเสาวางเรียงเป็นแถวแบบไทย จุดเด่นที่สุดคือ<br />

หลังคาทรงจั่วลดชั้นอิทธิพลศิลปะเขมรที่มีการไล่ขนาดจากใหญ่<br />

ไปหาเล็ก สะท้อนอิทธิพลงานบูรณะพระอุโบสถวัดราชาธิวาส<br />

ราชวรวิหารของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ซึ่ง<br />

เป็นงานสถาปัตยกรรมไทยอนุรักษ์นิยมเชิงสร้างสรรค์ที่สร้างด้วย<br />

คอนกรีตรุ่นแรกเมื่อ 3 ทศวรรษก่อน แต่ที่หอประชุมจุฬาลงกรณ์<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

383


มหาวิทยาลัยนี้เป็นอาคารประโยชน์ใช้สอยสมัยใหม่ที่ต้องการ<br />

อัตลักษณ์โบราณในเวลาเดียวกัน แม้ว่าความขัดแย้งของรูปทรง<br />

เก่ากับประโยชน์ใช้สอยใหม่ประสานกลมเกลียวไปด้วยกันได้แต่<br />

ไม่น่าจะเป็นงานสร้างสรรค์อะไรใหม่จริง เจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุ<br />

วรวิหาร บางเขน (1941) พระพรหมพิจิตรออกแบบวัดนี้ใหม่<br />

ทั้งวัดในชื่อเดิมว่าวัดประชาธิปไตย ตามความประสงค์ของรัฐบาล<br />

จอมพล ป. พิบูลสงครามที่ต้องการให้วัดนี้เป็นอนุสรณ์แห่งการ<br />

เปลี่ยนแปลงการปกครอง ค.ศ. 1932 ของคณะราษฎร แต่ได้เปลี่ยน<br />

ชื่อเป็นวัดพระศรีมหาธาตุเมื่อรัฐบาลไทยได้รับมอบพระบรม<br />

สารีริกธาตุพร้อมกิ่งพระศรีมหาโพธิ์จากประเทศอินเดียมา<br />

ประดิษฐานลงในพระเจดีย์และปลูกลงในบริเวณวัด สถาปัตยกรรม<br />

สำคัญของวัดคือพระเจดีย์องค์ใหญ่หน้าวัดซึ่งเป็นเจดีย์คอนกรีต<br />

เรียบเกลี้ยงไร้ลวดลาย แม้กระทั่งองค์ประกอบสถาปัตยกรรม<br />

ทั้งหมดก็ถูกลดทอนและแปลงรูปเป็นรูปทรงเรขาคณิต ภายในองค์<br />

ระฆังเป็นโถงทรงโดมขนาดใหญ่ ประดิษฐานพระเจดีย์เล็กย่อส่วน<br />

จากพระเจดีย์ใหญ่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ผนังเจดีย์ทำช่อง<br />

กรุบรรจุอัฐิบรรดาสมาชิกระดับแกนนำของคณะราษฎร การนำ<br />

บน ศาลาสยามในงานแสดงนิทรรศการ<br />

นานาชาติ กรุงปารีส 1937<br />

ล่าง หอประชุมจุฬาลงกรณ์<br />

มหาวิทยาลัย(1939)<br />

384 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร<br />

บางเขน (1941)<br />

เจดีย์ใหญ่มาไว้หน้าวัดเป็นการประกาศอุดมการณ์ความเสมอภาค<br />

และไร้ชนชั้นของลัทธิประชาธิปไตยที่มีร่วมกับศาสนาพุทธ การใช้<br />

ศิลปะแบบสมัยใหม่ที่ไร้การตกแต่งเป็นการปฏิเสธลัทธิพราหมณ์<br />

ฮินดูที่เป็นรากฐานของลัทธิสมมติเทวราชเมื่อพิจารณาในแนวคิดนี้<br />

พระเจดีย์องค์นี้จึงเป็นสัญลักษณ์และอนุสรณ์ของการเปลี่ยนแปลง<br />

ทางการเมืองครั้งสำคัญของไทย พิจารณาในการออกแบบพระเจดีย์<br />

นี้นับเป็นสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่อีกแห่งหนึ่งต่อจากหอระฆัง<br />

วัดยานนาวาที่ออกแบบรูปทรงท้าทายขนบโบราณได้อย่างน่าทึ่ง<br />

อย่างไรก็ตามเมื่อมองภาพรวมทั้งหมดของวัดพระศรีมหาธาตุ<br />

บางเขน เราจะเห็นความขัดแย้งของรูปแบบสถาปัตยกรรมในวัดนี้<br />

อย่างรุนแรงระหว่างพระเจดีย์แบบไทยสมัยใหม่องค์นี้กับพระอุโบสถ<br />

ที่พระพรหมพิจิตรจำลองแบบพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรที่เป็น<br />

การผลิตซ้ำสถาปัตยกรรมโบราณ โดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา<br />

นริศรานุวัดติวงศ์ แสดงการทำงานแบบทวิลักษณ์ของพระพรหม<br />

พิจิตรอีกครั้งหนึ่งเหมือนการออกแบบที่ขัดแย้งที่เราเห็นจาก<br />

หอระฆังวัดยานนาวากับศาลาสยามในงานแสดงนิทรรศการ<br />

นานาชาติแห่งกรุงปารีสที่กล่าวมาแล้ว และถ้าหากจะดูผลงานของ<br />

พระพรหมพิจิตรทั้งหมดจะเห็นว่าพระพรหมพิจิตรทำงานทั้งแบบ<br />

โบราณและแบบสมัยใหม่ควบคู่กันไปตามเหตุผลความจำเป็น<br />

มากกว่าอิงกับทฤษฎีออกแบบใดๆ<br />

การเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม<br />

ลัทธิชาตินิยมยังเป็นพลังขับเคลื่อนหลักของการสร้าง<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมช่วงที่3 ยุคโชวะในทศวรรษที่1930-1940<br />

นั้นคือจุดสูงสุดของลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง สถาปนิกชาตินิยม<br />

ยังทำหน้าที่สำคัญต่อไปด้านหนึ่งคือหาอัตลักษณ์ของตนเอง<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

385


อีกด้านหนึ่งหารูปแบบสากลสำหรับเอเซียที่สร้างสรรค์โดยญี่ปุ่น<br />

สำหรับประเด็นแรกช่วงนี้พวกเขามั่นใจแล้วว่าสถาปัตยกรรม<br />

มงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิคือคำตอบของอัตลักษณ์ทาง<br />

สถาปัตยกรรมของญี่ปุ่น งานแบบนี้ที่เริ่มในรัชกาลก่อนมาถึง<br />

รัชกาลนี้มันกลายเป็นต้นแบบของอาคารราชการสำคัญไปแล้ว<br />

โดยเฉพาะศาลาว่าการจังหวัดทั้งหลาย เช่น คานากาว่า นาโกย่า<br />

และไอชิ เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐมนตรีกระทรวงวังมาเยี่ยมชม<br />

ถึงที่อย่างชื่นชมจึงเป็นตราประทับรับรองความเป็นสถาปัตยกรรม<br />

แห่งชาติของอาคารนี้ที่อาคารสำคัญระดับชาติอื่นๆ ต้องเดินตาม<br />

รอยนั่นคือการมีหลังคาแบบญี่ปุ่นโบราณครอบลงบนอาคารทรง<br />

สี่เหลี่ยมแบบตะวันตก ซึ่งทางการเชื่อว่า “ซึมซาบไปด้วยสาระ<br />

สำคัญแห่งชาติ” ดังได้ปรากฏเป็นรูปธรรมในการสร้างพิพิธภัณฑ์<br />

หลวงโตเกียว อูเอโน (1931) และกองบัญชาการทหารบกโตเกียว<br />

(1934) ประเด็นสำคัญของอาคารแบบนี้ในช่วงเวลานี้ไม่ใช่คุณค่า<br />

ทางสถาปัตยกรรมที่ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาตั้งแต่มันก่อก ำเนิดขึ้น<br />

ในสมัยเมจิ แต่เป็นอิทธิพลที่มีต่อวัฒนธรรมการออกแบบ<br />

สถาปัตยกรรมในช่วงระบอบเผด็จการทหารครอบครองญี่ปุ่นใน<br />

ช่วงทศวรรษ 1930-1940 ที่มันสามารถหมุนกงล้อการออกแบบ<br />

ให้ย้อนกลับไปหารูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณเพื่อมารับใช้<br />

อุดมการณ์เชื้อชาตินิยมและการเป็นจักรวรรดินิยมของญี่ปุ่น<br />

ส่วนสถาปัตยกรรมชาตินิยมเชิงสัญลักษณ์ตามทฤษฎีวิวัฒนาการ<br />

ของอิโตะ ชูตะก็พัฒนามาถึงจุดสูงสุดในช่วงนี้เช่นกันอนุสรณ์สถาน<br />

เหยื่อแผ่นดินไหวคันโตแห่งมหานครโตเกียว (1930) เป็นการสร้าง<br />

เปลือกแบบญี่ปุ่นที่หุ้มไปบนผังและพื้นที่ว่างแบบสถาปัตยกรรมไทย<br />

ผสมยุโรปยุคกลาง สถูปโชเกียวเด็นแห่งวัดฮอกเกเกียวจิ (1931)<br />

เมืองอิชิกาวา เป็นสถูปแบบคันธารราชแบบสถาปัตยกรรมคลาสสิค<br />

ผสมอินเดียที่ประณีต สะท้อนความเชื่อของอิโตะว่ามรดก<br />

สถาปัตยกรรมที่งดงามที่สุดของงานพุทธศิลป์คืองานแบบอินเดีย<br />

ที่มีรากของคลาสสิค วัดซึกิจิฮองกวานจิ โตเกียว (1934) เป็น<br />

บทสรุปของสถาปัตยกรรมแบบวิวัฒนาการของอิโตะ เขาได้สร้าง<br />

สถาปัตยกรรมสากลสำหรับเอเชียที่สร้างสรรค์และนำโดยญี่ปุ่น<br />

โดยรูปธรรมอิโตะได้รวบรวมเอาสถาปัตยกรรมโบราณทั้งหลาย<br />

ในโลกไม่ว่าจะเป็นกรีก-โรมันของโลกตะวันตก หรืออินเดีย จีน<br />

ทิเบต ศรีลังกาแม้กระทั่งไทยจากโลกตะวันออกมารวมเข้ากันไว้ใน<br />

ผังแบบคลาสสิค ห้อมล้อมหน้าบันมุขกลางที่ประดับดอกเบญจมาศ<br />

16 กลีบสัญลักษณ์แห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น แม้ว่าจะเป็นงานที่ดูน่าทึ่ง<br />

ทีเดียวแต่ว่าในที่สุดทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาไม่ได้ก้าวจากอดีต<br />

เพื่อไปหาอนาคต แต่ก้าวจากอดีตไปสู่อดีตที่เก่ายิ่งกว่า<br />

ลัทธิชาตินิยมไม่ใช่พลังขับเคลื่อนหลักในการสร้างสถาปัตย-<br />

กรรมไทยในสยามช่วงทศวรรษ 1930-1940 ภาวะเศรษฐกิจฝืดเคือง<br />

รูปแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่น ำเข้าโดยกลุ่มสถาปนิกไทยรุ่นใหม่<br />

จากยุโรปและการใช้วัสดุคอนกรีตอย่างแพร่หลายในการก่อสร้าง<br />

ทำให้สถาปนิกพื้นเมืองไทยกลุ่มหนึ่งนำโดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้า<br />

กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์และพระพรหมพิจิตรผู้เป็นศิษย์<br />

สามารถใช้พลังสร้างสรรค์แบบปัจเจกสร้างสถาปัตยกรรมไทย<br />

แบบใหม่ขึ้นมาได้ สถาปนิกกลุ่มนี้ไม่ได้ผ่านการศึกษาจากสถาบัน<br />

การศึกษา แต่ฝึกฝนด้วยตนเองและได้รับอิทธิพลผ่านการ<br />

ทำงานจากกลุ่มสถาปนิก วิศวกรต่างชาติที่รัฐบาลสยามจ้างในสมัย<br />

รัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ผลงานของพวกเขาจึงเป็นอิสระ<br />

และแตกต่างจากงานสถาปัตยกรรมกระแสหลักร่วมสมัยจากต่าง<br />

ประเทศ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ทรงริเริ่ม<br />

ออกแบบอาคารคอนกรีตที่เรียบเกลี้ยงที่วัดพระปฐมเจดีย์ (1930)<br />

ต่อจากนั้นทรงออกแบบฉากหลังปฐมบรมราชานุสรณ์ที่สะพานพุทธ<br />

ยอดฟ้าจุฬาโลก (1932) ประกอบพระบรมรูปพระบาทสมเด็จ<br />

พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกฝีมือประติมากรคอร์ราโด เฟโรชี ฉากนี้<br />

เป็นกำแพงตกแต่งแบบคลาสสิคที่มีรายละเอียดเป็นแบบไทย<br />

และอาร์ตเด็คโคที่สวยงาม แต่เป็นรองในเชิงสร้างสรรค์เมื่อเทียบ<br />

กับวัดพระปฐมเจดีย์และเป็นงานสำคัญชิ้นสุดท้ายในระบอบ<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์ หลวงวิศาลศิลปกรรมออกแบบตึกคณะ<br />

วิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในแบบไทยที่เรียบง่าย<br />

เหมือนกุฏิปูนสมัยรัชกาลที่ 3 ขนาดใหญ่ รวมทั้งหอนาฬิกา<br />

386 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย (1929) ในแบบวัดอชันตาผสมอาร์ตนูโว<br />

ประดับลวดลายคอนกรีตหล่อที่มีปลายเรียวเล็กเหมือนงานไม้สลัก<br />

เป็นการใช้วัสดุใหม่ที่ไม่ตรงกับศักยภาพงานของหลวงวิศาล<br />

ศิลปกรรมจึงจัดอยู่ในประเภทกึ่งสร้างสรรค์กึ่งผลิตซ้ำ พระพรหม<br />

พิจิตรออกแบบหอระฆังวัดยานนาวา (1934) เป็นคอนกรีตทั้งหลัง<br />

เรียบง่ายและทรงพลังจนเรียกได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่<br />

เมื่อเริ่มรัชสมัยรัชกาลที ่ 8 ใน ค.ศ.1935 รัฐบาลคณะราษฎร<br />

เริ่มนโยบายชาตินิยมและพัฒนาเป็นชาตินิยมเชื้อชาติไทยภายใต้<br />

การบริหารอันเด็ดขาดของจอมพล ป. พิบูลสงครามระหว่าง<br />

ค.ศ.1939-1944 รัฐบาลริเริ่มโครงการสถาปัตยกรรมชาตินิยม<br />

รูปแบบไทยขึ้นหลายโครงการแต่ไม่เคยได้สร้างเลย งานที่สร้างเสร็จ<br />

แม้จะมีรูปแบบไทยแต่กลับไม่ใช่งานที่มีแนวคิดชาตินิยมเกื้อหนุน<br />

ศาลาสยามในงานแสดงนิทรรศการนานาชาติว่าด้วยศิลปะและเทคนิค<br />

สมัยใหม่แห่งกรุงปารีส (1937) เป็นงานเผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมไทย<br />

เชิงอนุรักษ์ พระพรหมพิจิตรออกแบบร่วมกับหม่อมเจ้าสมัยเฉลิม<br />

กฤดากร คราวนี้เขากลับไปจำลองแบบพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์<br />

มาสร้างใหม่เท่านั้น ตามแนวศาลาไทยของราชสำนักสยามตั้งแต่<br />

สมัยรัชกาลที่ 4 โดยไม่สนใจคำว่าสมัยใหม่ของนิทรรศการระดับ<br />

โลกนี้เลย หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (1939) พระพรหม<br />

พิจิตรร่วมกับพระสาโรชรัตนนิมมานก์ออกแบบอาคารลูกผสม<br />

ระหว่างไทย เขมร และสมัยใหม่รวมเข้าด้วยกันอย่างพอไปกันได้<br />

เห็นได้ชัดถึงอิทธิพลงานออกแบบบูรณะวัดราชาธิวาสราชวรวิหาร<br />

ในสมัยรัชกาลที่5 ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />

แต่งานโครงการนี้ไม่น่าจะเป็นงานสร้างสรรค์อะไรใหม่จริงพระพรหม<br />

พิจิตรได้ออกแบบสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่อีกที่เจดีย์วัดพระ<br />

ศรีมหาธาตุ บางเขน (1941) ในรูปทรงเรขาคณิตที่เรียบง่ายไม่มี<br />

ลวดลายเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการปฏิวัติประชาธิปไตยโดยคณะราษฎร<br />

ใน ค.ศ.1932 เป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงความตั้งใจในการท้าทาย<br />

ขนบเดิมอีกครั้งหนึ่ง<br />

เรายังคงสามารถแยกสถาปัตยกรรมชาตินิยมช่วงที่ 3 ของ<br />

ทั้งญี่ปุ่นและสยามได้เป็น 2 ระดับคือ งานผลิตซ้ำสถาปัตยกรรม<br />

โบราณและงานสถาปัตยกรรมสร้างสรรค์หรือระดับเชิงสัญลักษณ์<br />

อาคารแบบมงกุฎจักรพรรดิในญี่ปุ่นเช่น ศาลากลางจังหวัดคานากาว่า<br />

(1928) พิพิธภัณฑ์หลวงโตเกียว อูเอโน (1931) กองบัญชาการ<br />

ทหารบก (1934) รวมทั้งอนุสรณ์เหยื่อแผ่นดินไหวคันโตแห่ง<br />

มหานครโตเกียว (1930) โดยอิโตะ ชูตะก็ตามจัดอยู่ในกลุ่มงาน<br />

ผลิตซ้ำสถาปัตยกรรมโบราณ สำหรับสยามงานกลุ่มนี้ ได้แก่<br />

ตึกคณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย(1926-1927)<br />

หอนาฬิกา โรงเรียนวชิราวุธวิทยาลัย (1929) ปฐมบรมราชานุสรณ์<br />

ที่สะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (1932) ศาลาสยามในงาน<br />

แสดงนิทรรศการนานาชาติว่าด้วยศิลปะและเทคนิคสมัยใหม่แห่ง<br />

กรุงปารีส ค.ศ. 1937 และหอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />

(1939) เป็นต้น ส่วนงานระดับสร้างสรรค์หรืองานเชิงสัญลักษณ์<br />

นั้นในญี่ปุ่น ได้แก่ สถูปโชเกียวเด็น แห่งวัดฮอกเกเกียวจิ (1931)<br />

เมืองอิชิกาวา และวัดซึกิจิฮองกวานจิ โตเกียว (1934) ทั้งคู่เป็น<br />

สถาปัตยกรรมแบบวิวัฒนาการของอิโตะ ชูตะ ส่วนในสยามงาน<br />

กลุ ่มนี้ ได้แก่ พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์ (1930) จังหวัดนครปฐม<br />

หอระฆังวัดยานนาวา (1934) และเจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน<br />

(1941) เป็นต้น การแยกแยะนี้แสดงให้เห็นว่าในช่วงทศวรรษ<br />

ที่ 1930-1940 นี้สถาปัตยกรรมแบบอนุรักษ์นิยมเกิดขึ้นมาก<br />

ในสยามเนื่องจากการแพร่หลายของลัทธิชาตินิยมสากลที่ได้รับการ<br />

ขานรับและพัฒนาแบบปัจเจกจากกลุ่มสถาปนิกพื้นเมืองที่นำโดย<br />

สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระพรหมพิจิตร<br />

และหลวงวิศาลศิลปกรรม รวมทั ้งการที่มีสถาปนิกรุ่นใหม่ของ<br />

สยามที่ศึกษาจากยุโรปกลับเข้ามาในประเทศพร้อมกันหลายคน<br />

คนพวกนี้ได้นำพลังการสร้างสรรค์แบบใหม่มาเผยแพร่ให้กับ<br />

สถาปนิกพื้นเมืองจนสามารถร่วมกันสร้างสถาปัตยกรรมอนุรักษ์<br />

นิยมแบบใหม่ที่มีลักษณะผสมระหว่างตะวันตกและไทยได้มากขึ้น<br />

อย่างไรก็ตามต้องเข้าใจว่าสถาปนิกพื้นเมืองไทยมีลักษณะการ<br />

ออกแบบทวิลักษณ์ คือ การออกแบบ 2 แนวทางในเวลาเดียวกัน<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

387


ทั้งแบบไทยโบราณและแบบไทยสมัยใหม่ควบคู่กันไปดังเช่น<br />

พระพระพรหมพิจิตรออกแบบเจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน<br />

เป็นไทยสมัยใหม่ ขณะเดียวกันก็ออกแบบพระอุโบสถที่อยู่ติดกัน<br />

เป็นแบบไทยโบราณ เป็นต้น ทั้งนี้เพราะสถาปนิกไทยไม่ใช้ทฤษฎี<br />

เป็นฐานในการออกแบบแต่ใช้ความรู้สึกและประสบการณ์ การใช้<br />

รูปแบบจึงสามารถแปรเปลี่ยนไปได้ตลอดเวลาแล้วแต่สถานการณ์<br />

แต่ประเด็นสำคัญที่เป็นความก้าวหน้าในการออกแบบของสถาปนิก<br />

แนวอนุรักษ์นิยมเหล่านี ้ คือ ความสามารถในการก้าวข้ามกรอบ<br />

การออกแบบสถาปัตยกรรมไทยแบบผลิตซ้ำ ซึ่งริเริ่มมาตั้งแต่<br />

สมัยรัชกาลที ่ 5 และลงรากลึกในสมัยรัชกาลที่ 6 มาเป็น<br />

สถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ได้ด้วยตัวเอง เช่น งานพระอุโบสถ<br />

วัดพระปฐมเจดีย์ (1930) หอระฆังวัดยานนาวา (1934) และเจดีย์<br />

วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน (1941) เป็นต้น เป็นการตีความ<br />

สถาปัตยกรรมไทยใหม่แบบปัจเจกที่ไม่ต้องพึ่งพาการชี้นำโดยตรง<br />

จากสถาปนิกต่างชาติ การออกแบบสถาปัตยกรรมโบราณโดยใช้<br />

ไวยกรณ์ออกแบบของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่อย่างนี้มีพบน้อย<br />

ในเอเชียตะวันออก แม้กระทั่งในญี่ปุ่นก็จะเห็นเฉพาะในงานแบบ<br />

ชาตินิยมช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ของทังเงะ เคนโซเท่านั้น<br />

สำหรับญี่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1930-1940 นั้นปัญหากลับตรงข้าม<br />

กับสยาม พลังสร้างสรรค์ของสถาปนิกชาตินิยมมาถึงจุดอิ่มตัว<br />

ลัทธิชาตินิยมสุดโต่งในสังคมเองได้ตีกรอบรูปแบบสถาปัตยกรรม<br />

ชาตินิยมไว้อย่างคับแคบที่แบบมงกุฎจักรพรรดิที่ล้าหลังเป็นผลให้<br />

สถาปัตยกรรมชาตินิยมของญี่ปุ่นพัฒนาต่อไม่ได้ ขณะเดียวกัน<br />

สถาปนิกชาตินิยมปัญญาชนอย่างอิโตะ ชูตะก็เดินมาถึงทางตัน<br />

ในการสร้างสรรค์ การออกแบบที่เอารูปแบบอาคารโบราณที่<br />

หลายหลากมาผสมรวมอยู่ในตึกเดียวที่วัดซึกิจิฮองกวานจิ(1934)<br />

หรือไม่ก็สถูปคันธารราชแบบคลาสสิคผสมอินเดียที่เคร่งขรึมของ<br />

สถูปโชเกียวเด็นแห่งวัดฮอกเกกียวจิ (1931) ดูเหมือนจะเป็น<br />

คำตอบสุดท้ายที่มีทางออกให้เลือก 2 ทางของทฤษฎีสถาปัตยกรรม<br />

แบบวิวัฒนาการของเขาที่เดินทางมากว่า 40 ปี<br />

ถึงกระนั้นก็ดีหากพิจารณาในแง่มุมของคุณภาพสถาปัตย-<br />

กรรม สถาปัตยกรรมชาตินิยมของญี่ปุ่นก็ยังมีคุณภาพเหนือกว่า<br />

สยาม อาคารไม่ว่าในระดับผลิตซ้ำแบบมงกุฎจักรพรรดิหรือ<br />

ในระดับสร้างสรรค์เชิงสัญลักษณ์แบบสถาปัตยกรรมวิวัฒนาการ<br />

ของอิโตะ ชูตะต่างได้รับการออกแบบและก่อสร้างอย่างพิถีพิถัน<br />

อันเป็นผลจากการสั่งสมประสบการณ์ในการทำงานอย่างมี<br />

มาตรฐานอย่างต่อเนื่องยาวนานตั้งแต่รัชสมัยเมจิ ขณะที่สยามนั้น<br />

นอกจากอาคารที่สำคัญที่สุดเพียง 1 หรือ 2 แห่งเช่นปฐมบรม<br />

ราชานุสรณ์ที่สะพานพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกแล้ว อาคารส่วนใหญ่<br />

ถูกสร้างอย่างประหยัดทั้งราคาและคุณภาพอันเนื่องมาจากภาวะ<br />

เศรษฐกิจที่ฝืดเคืองตกต่ำนั่นเอง<br />

388 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมแห่งสงครามและการสร้างชาติ<br />

(ทศวรรษ 1930-1940)<br />

เนื้อหาตอนนี้เป็นส่วนหนึ่งในตอนที่ว่าด้วยสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่ช่วงที่ 2 (1926-1945) แต่เนื่องจากเนื้อหามีสาระว่าด้วย<br />

สถาปัตยกรรมที ่สร้างขึ้นด้วยวัตถุประสงค์ทางการเมือง สงคราม<br />

และการสร้างชาติโดยเฉพาะ รวมทั้งลักษณะสถาปัตยกรรมก็แตกต่าง<br />

เป็นพิเศษกับงานอื่นในยุคเดียวกันจึงนำออกมาแยกเสนอโดย<br />

เฉพาะ โครงการที่จะกล่าวถึงในญี่ปุ่น ได้แก่ โครงการประกวดแบบ<br />

อนุสาวรีย์วีรชนทหาร(1939), โครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรม<br />

เฉลิมฉลองการก่อตั้งร่วมวงไพบูลย์แห่งมหาเอเซียบูรพา (1942)<br />

และโครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย<br />

(1943) ส่วนโครงการในประเทศไทยจะกล่าวถึง อนุสาวรีย์พิทักษ์<br />

รัฐธรรมนูญ (1936) โครงการอนุสาวรีย์ไทย (1939) อนุสาวรีย์<br />

ประชาธิปไตย (1940) และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (1942)<br />

ญี่ปุ่น<br />

เป้าหมายสำคัญในการสร้างชาติญี่ปุ่นตั้งแต่รัชสมัยเมจิ คือ<br />

การสร้างความเป็นใหญ่ด้วยกำลังทหารภายใต้คติพจน์“ชาติร่ำรวย<br />

การทหารเข้มแข็ง” หรือฟูโกกุเคียวไฮนั้นเป็นวัฒนธรรมโบราณ<br />

ดั้งเดิมตั้งแต่สมัยศตวรรษที่ 16 ในรัชสมัยเมจินั ้นญี่ปุ่นเริ่มทำ<br />

สงครามขยายดินแดนตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 เรื่อยมาตลอด<br />

ครึ่งแรกของศตวรรษที่20 ญี่ปุ่นพบว่าการทำสงครามขยายดินแดน<br />

เป็นการลงทุนที่คุ้มค่า สิ่งที่ต้องแลกกับความทะเยอทะยาน ได้แก่<br />

ชีวิตทหารมากมายที่สังคมลงความเห็นว่าตายอย่างมีเกียรติ<br />

เพื่อองค์จักรพรรดิการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงทหารผู้วายชนม์<br />

เพื่อจักรวรรดิญี่ปุ่นอันยิ่งใหญ่จึงเกิดขึ้น และขยายเป็นโครงการ<br />

เฉลิมฉลองการก่อตั้งร่วมวงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา เมื่อความ<br />

ทะเยอทะยานแผ่ขยายไปเป็นความต้องการเป็นเจ้าภูมิภาคเอเชีย<br />

ตะวันออก และเสริมด้วยการแผ่ขยายอิทธิพลทางวัฒนธรรมภายใต้<br />

โครงการนำร่องที่มีชื่อสวยหรูว่าโครงการศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย<br />

ที่ไม่บรรลุผลเพราะการแพ้พ่ายสงครามเสียก่อน การออกแบบ<br />

โครงการทั้งหมดที่กล่าวมาผู้ชนะประกวดต่างออกแบบแนวอนุรักษ์<br />

นิยม ดังนั้นเมื่อพิจารณาในแง่ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมแล้ว<br />

โครงการเหล่านี้เป็นการถดถอยของแนวคิดก้าวหน้าแบบสากล<br />

นิยมสมัยใหม่ (International modern) ให้กับลัทธิชาตินิยมสุดโต่ง<br />

ของสังคมญี่ปุ่นในยุคทศวรรษ 1930-1940 อย่างเป็นรูปธรรม<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

389


บน แบบชนะประกวดอนุสาวรีย์วีรชน<br />

ทหารระดับชาติ (1939)<br />

ล่าง แบบประกวดอนุสาวรีย์วีรชนทหาร<br />

ของเมอิคาว่า (1939)<br />

มันเป็นช่วงเวลาที่แนวคิดก้าวหน้าถูกบังคับให้ชะงักและเบี่ยงเบน<br />

ไปสู่ลัทธิชาตินิยมที่สถาปนิกกลุ่มสากลนิยมสมัยใหม่ปฏิเสธไม่ได้<br />

แม้กระทั่งผู้นำที่มั่นคงในแนวทางที่สุดคนหนึ่งอย่างเมอิคาว่า<br />

คูนิโอ ก็ยังต้องหลบและเบี่ยงแนวการแสดงออกในการออกแบบ<br />

เพื่อเอาตัวรอด ขณะที่ผู้ที่ชื่นชมหรือเกาะกระแสชาตินิยมได้อย่าง<br />

มั่นคงอย่างสถาปนิกหนุ่มทังเงะ เคนโซ จะได้รับความสำเร็จยกย่อง<br />

ชมเชยอย่างท่วมท้น<br />

โครงการประกวดแบบอนุสาวรีย์วีรชนทหาร (1939)<br />

เป็นโครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมเพื่อจุดประสงค์ใน<br />

การสนับสนุนการเมืองลัทธิชาตินิยมและลัทธิทหารโครงการแรกๆ<br />

ที่สถาปนิกกลุ ่มสากลนิยมสมัยใหม่เข้าไปมีส่วนร่วมเต็มที่ในฐานะ<br />

กรรมการผู้ตัดสินและผู้จัด การที่มีผู้ส่งงานเข้าร่วมประกวดอย่าง<br />

มากแสดงให้เห็นความเห็นชอบของประชาชนต่อลัทธิจักรวรรดิ<br />

นิยมและลัทธิทหารของสังคม เป็นเครื่องชี้วัดความเป็นรัฐสังคม<br />

ชาตินิยมเผด็จการทหารหรือฟาสซิสต์(Fascism) ของญี่ปุ่นอย่าง<br />

ชัดเจน เราจะไม่กล่าวมากนักถึงผลงานที่ชนะประกวด ซึ่งเป็นการ<br />

ดัดแปลงแท่งเสาโอเบลิสก์ตั้งบนอาคารฐานสี่เหลี่ยมซ้อนชั้น<br />

390 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน ทัศนียภาพภายในอนุสาวรีย์วีรชนทหาร<br />

ล่าง แบบประกวดอนุสาวรีย์วีรชนทหารของ<br />

ซากากูระ (1939)<br />

ลดหลั่นอย่างที่ทำในยุโรป แต่จะกล่าวถึงความกล้าหาญของ<br />

สถาปนิกอย่างเมอิคาว่าและซากากูระที่เสนอผลงานแบบสากลนิยม<br />

สมัยใหม่เข้าประกวดในบรรยากาศรัฐจักรวรรดินิยมเผด็จการทหาร<br />

ญี่ปุ่นในขณะนั้น โครงการของเมอิคาว่าใหม่ทั้งรูปแบบ การจัดที่<br />

ว่างภายใน และผังพื้น เขาเสนอปิรามิดหัวตัดที่ภายในเป็นโถงโล่ง<br />

หุ้มด้วยผนังเอียงสอบและทึบตัน แต่เปิดให้แสงเข้าจากส่วนยอด<br />

สาดลงมาที่ผนังที่ตั้งอยู่บนเสาลอยตัวเรียงเป็นแถวรับรอบฐาน<br />

อาคาร เป็นการนำเสนอสถาปัตยกรรมที่แตกต่างโดยสิ้นเชิงกับ<br />

สถาปัตยกรรมอนุสาวรีย์ดั้งเดิมของญี่ปุ่นประเภทวัดและศาลเจ้า<br />

ส่วนโครงการของซากากูระแม้จะดูคล้ายกับเมอิคาว่าตรงที่ใช้ปิรามิด<br />

เป็นตัวอนุสาวรีย์แต่แนวคิดในการใช้พื้นที่กลับแตกต่างตรงกันข้าม<br />

ซากากูระออกแบบให้มีวิหารที่มีเสารายแบบวิหารกรีกเป็นที่<br />

ประกอบพิธีอยู่ภายนอก ตัวปิรามิดจึงเป็นเพียงประติมากรรมไม่ใช่<br />

สถานที ่ประกอบพิธีแบบของเมอิคาว่า เห็นได้ว่าสถาปนิกทั้ง 2<br />

แม้ว่าจะได้อิทธิพลออกแบบมาจากเลอคอร์บูซิเอร์มาเต็มเปี่ยม<br />

แต่แนวคิดในการแสดงออกต่างกันคนละทาง และการที่ทั้ง 2 คน<br />

ยังสามารถแสดงความเห็นได้อย่างเสรีในช่วงปลายทศวรรษ<br />

ที่ 1930 ขณะที่จักรวรรดินิยมญี่ปุ่นกำลังฮึกเหิมทางทหารในจีน<br />

ถือได้ว่าเป็นช่วงสุดท้ายที่แนวคิดแบบสากลนิยมสมัยใหม่ทาง<br />

สถาปัตยกรรมจะได้รับการยอมรับในเวทีสาธารณะในประเทศนี้<br />

โครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมเฉลิมฉลองการก่อตั้งร่วมวง<br />

ไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา (1942)<br />

เป็นโครงการเปิดเผยโฉมหน้าความเป็นจักรวรรดินิยมทหาร<br />

ของญี่ปุ่นอย่างเต็มตัว หลังการถล่มฐานทัพเรือเพิร์ลฮาร์เบอร์ของ<br />

สหรัฐอเมริกาในเดือนธันวาคม ค.ศ.1941 และตามมาด้วยการ<br />

ประกาศตั้งร่วมวงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา ซึ่งเป็นแนวคิด<br />

รวมชาติในทวีปเอเชียโดยมีญี่ปุ่นเป็นผู้นำเพื่อขับไล่พวกจักรวรรดิ<br />

นิยมตะวันตก ซึ่งความจริงก็คือการฟอกขาวการรุกรานอันทารุณ<br />

โหดร้ายของญี่ปุ่นทั่วเอเชียแปซิฟิกให้ดูชอบธรรม ซึ่งแย้งกับ<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

391


บน แบบชนะเลิศโดยทังเงะ เคนโซ (1942)<br />

กลาง โครงการสถาปัตยกรรมฯ ของเมอิคาว่า (1942)<br />

ล่าง ทัศนียภาพวิหารอนุสาวรีย์ในโครงการของทังเงะ (1942)<br />

พฤติกรรมการกระทำทารุณกรรมของทหารญี่ปุ่นต่อพลเรือน<br />

ท้องถิ่นทั่วพื ้นที่สู้รบในทศวรรษ 1940 สมาคมสถาปนิกญี ่ปุ่น<br />

ที่ประกอบด้วยสมาชิกชั้นนำที่ต่างเป็นพวกสากลนิยมสมัยใหม่<br />

มาก่อนทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคิชิดะ ทังเงะ เมอิคาว่า และซากากูระ<br />

เป็นต้น ต่างต้องตอบสนองนโยบายรัฐบาลเผด็จการทหาร โดยการ<br />

จัดประกวดโครงการสถาปัตยกรรมเฉลิมฉลองการก่อตั้งร่วม<br />

วงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพาใน ค.ศ. 1942 ถึงตอนนี้บรรดา<br />

สถาปนิกสากลนิยมสมัยใหม่ต้องเริ่มเปลี่ยนธาตุแปรสีไปตาม<br />

กระแสสังคม คิชิดะ ฮิเดโตะถึงกับเขียนประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม<br />

นาซีเยอรมัน 45 โฮริกูชิ ซูเตมิ เขียนให้สถาปนิกใช้วัสดุใหม่โครง<br />

สร้างใหม่และวิธีการแสดงแบบใหม่ เพื่อแสดงความเคารพใน<br />

จิตวิญญาณแห่งฮักโกะ อิชิอุ (Hakko ichiu) หรือโลกทั้งโลก<br />

ภายใต้หลังคาผืนเดียว นั่นคือหลังคาของจักรวรรดิญี่ปุ่น 46<br />

จึงไม่ต้องสงสัยเลยว่าโครงการประกวดนี้จะต้องมีรูปแบบที่สะท้อน<br />

ถึงจิตวิญญาณชาตินิยมสุดขั้วแบบญี่ปุ่นแน่นอน ฉะนั้นผลงาน<br />

ของทังเงะที่นำรูปทรงสถาปัตยกรรมโบราณชิ้นเอกของญี่ปุ่น<br />

มาประยุกต์ใช้ เช่น ผังวิหารรูปสี่เหลี่ยมคางหมูแบบระฆังสมัย<br />

ยาโยอิที่ตั้งประจันกับวิหารอิเซอันศักดิ์สิทธิ์ ในรูปแบบใหม่<br />

ที่สร้างด้วยคอนกรีตเสริมเหล็ก ขนาบด้วยอาคารมีเสาระเบียงล้อม<br />

เหมือนบรรยากาศของลานปิเอซซ่าของมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์<br />

แห่งกรุงโรมจึงได้รับรางวัลที่ 1 แม้โดยภาพรวมของโครงการจะมี<br />

392 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บน แบบประกวดชนะเลิศ<br />

ศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย<br />

โดยทังเงะ เคนโซ (1943)<br />

ขวา ทัศนียภาพศูนย์วัฒนธรรม<br />

ญี่ปุ่น-ไทยโดยทังเงะ เคนโซ (1943)<br />

กลิ่นอายของงานลูกผสมอยู่อย่างมาก แต่ที่น่าแปลกคืองานของ<br />

เมอิคาว่าที่แปลงโตเกียวให้เป็นเมืองหลวงของจักรวรรดิญี่ปุ่น<br />

ในรูปแบบสากลนิยมสมัยใหม่โดยเนรมิตโตเกียวที่ถูกคลุมด้วย<br />

ชุดตารางสี่เหลี่ยม ที่มุมสี่เหลี่ยมแต่ละรูปเป็นที่ตั้งของตึกระฟ้า<br />

รวมทั้งหมด 10 ตึก เป็นการแปลงแนวคิดแบบสากลนิยมสมัยใหม่<br />

โดยเฉพาะเรเดี้ยนซิตี้(1931) ของเลอคอร์บูซิเอร์ มาสวมทับรับใช้<br />

โครงการจักรวรรดินิยมทหารของญี่ปุ่นได้อย่างแนบเนียน ผลงาน<br />

ของสถาปนิกสากลนิยมสมัยใหม่ที่เอามารับใช้งานชาตินิยมทหาร<br />

ของเมอิคาว่าและซากากูระในช่วงทศวรรษ 1940 นี้ โดยรูปแบบ<br />

แล้วมันคืองานสากลนิยมสมัยใหม่ที่อธิบายด้วยวาทกรรมชาตินิยม<br />

จึงเป็นงานที่แสดงความขัดแย้งระหว่างตัวแบบกับคำอธิบายอย่าง<br />

น่าขบขันในยุคแห่งการเอาตัวรอดให้คล้อยตามกระแสคลั่งชาติ<br />

ของสังคมญี่ปุ่นเท่านั้นเอง<br />

โครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย<br />

(1943)<br />

ดูเหมือนไทยซึ่งเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามตั้งแต่วันที่<br />

24 มิถุนายน ค.ศ.1939 47 จะเป็นพันธมิตรเดียวของญี่ปุ่น<br />

ในสงครามเอเชียแปซิฟิกในช่วงทศวรรษที่ 1940 แม้ว่าไทยเองก็<br />

ถูกญี่ปุ่นใช้กำลังบุกเข้ายึดครองเช่นกันใน ค.ศ. 1941 แต่ก่อน<br />

หน้านี้ญี่ปุ่นเสแสร้งเป็นพันธมิตรที่เข้าข้างไทยในการเจรจา<br />

ยุติสงครามพรมแดนกับฝรั่งเศส และเพื่อเป็นการรักษามิตรภาพ<br />

ให้ไทยอภัยการรุกรานครั้งนี้ ญี่ปุ่นจึงพยายามทุกทางในการ<br />

เอาอกเอาใจรัฐบาลไทย ทั้งการยกดินแดนประเทศเพื่อนบ้านที่ญี่ปุ่น<br />

ยึดครองให้ไทยและสร้างความสัมพันธ์ที่แนบแน่นทางวัฒนธรรม<br />

โดยริเริ่มโครงการศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย ขณะที่ไทยเองใช้<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

393


นโยบายตี 2 หน้า เป็นมิตรต่อหน้าญี่ปุ่นแต่ลับหลังพยายาม<br />

ตีตัวออกห่าง และไม่เคยต้องการหรือมองว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นเป็น<br />

สิ่งที่มีคุณค่าน่าศึกษาหรือยกย่องแต่ประการใด โครงการนี้จึง<br />

เสมือนการตบมือข้างเดียวของญี่ปุ่น กระทรวงมหาเอเชียบูรพา<br />

ประกาศจัดตั้งศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทยใน ค.ศ. 1943 เชิญ<br />

คิชิดะ ฮิเดโตะ มาเป็นที่ปรึกษาทางสถาปัตยกรรม และตั้งคณะ<br />

กรรมการขึ้นมาเพื่อการประกวดแบบโครงการดังกล่าว โดยกำหนด<br />

ที่ตั้งใกล้สวนลุมพินีในกรุงเทพฯ มีวัตถุประสงค์หลักในการโฆษณา<br />

ความก้าวหน้าทางวัฒนธรรม ศิลปะ อุตสาหกรรม และการทหาร<br />

ของญี่ปุ่นเพื่อให้ฝ่ายไทยซาบซึ้งและภักดี คณะกรรมการประกวด<br />

ได้กำหนดต้นแบบให้เป็นสถาปัตยกรรมลักษณะพระราชวัง<br />

และคฤหาสน์ของขุนนางญี่ปุ่นชั้นสูง เพื่อแสดงบทบาทสถาปนิก<br />

ที่ตอบสนองนโยบายของรัฐจักรวรรดินิยมอย่างเต็มที่ อาคาร<br />

หลักในโครงการประกอบด้วยโถงกลาง หอศิลปวัฒนธรรม<br />

โถงอุตสาหกรรม และแสดงนิทรรศการ โถงพุทธศิลป์และ<br />

การทหาร ด้วยโจทย์กำหนดให้สถาปัตยกรรมเป็นแบบญี่ปุ่นโบราณ<br />

ทำให้งานเกือบทั้งหมดที่ส่งประกวดทำออกมาในแบบคล้ายๆ กัน<br />

คือแยกอาคารสำคัญออกมาเป็นหลังๆ แล้วเชื่อมด้วยระเบียง<br />

ทางเดิน รูปลักษณ์ภายนอกหยิบยืมอาคารโบราณ เช่น วัด วัง<br />

ปราสาท คฤหาสน์ และศาลเจ้ามาใช้ แม้กระทั่ง ทังเงะ เคนโซ<br />

ที่ชนะรางวัลที่1 ก็ออกแบบเช่นนี้ งานของเขาเหมือนเอาวังคัทซุระ<br />

ในนครเกียวโตมาประยุกต์รวมกับวิหารอิเซ เป็นการผลิตซ้ำ<br />

ที่แสดงความถดถอยของสถาปนิก ในทางตรงข้ามเมอิคาว่าซึ่ง<br />

ได้รับรางวัลที่ 2 เป็นผู้รักษาหน้าของสถาปนิกสากลนิยมสมัยใหม่<br />

ของญี่ปุ่นไว้ได้บ้าง เขาเป็นคนเดียวที่ออกแบบแผนผังโดยการรวม<br />

อาคารทั้งหลายเข้าด้วยกัน ในผังตึกอสมมาตรคล้ายรูปตัว L<br />

ที่ได้อิทธิพลจากอาคารของสถาบันเบาเฮาส์ในเยอรมัน ที่น่าสนใจ<br />

คือ อาจกล่าวได้ว่าผังของเขามีรากเหง้าของวัฒนธรรมโบราณ<br />

394 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ทางนามธรรม เพราะมันดัดแปลงมาจากพระราชวังคัทซุระที่มี<br />

ผังพื้นอสมมาตร แต่เขากลับยอมแพ้ต่อกระแสชาตินิยมสุดโต่ง<br />

เมื่อเขาออกแบบรูปลักษณ์ภายนอกของอาคารนี้ เขาหันกลับมา<br />

ใช้รูปทรงหลังคาญี่ปุ่นโบราณแบบปราสาทนิโจโจที่เกียวโตมา<br />

ประยุกต์ใช้ อย่างไรก็ตามกล่าวได้ว่าโครงการของเขาเป็นพวก<br />

ส่วนน้อยนิดที่ไม่เหมือนงานผลิตซ้ำมากนัก และดูเหมือนเขาเป็น<br />

คนหนึ่งที่ไม่เคยทิ้งอุดมการณ์แบบสากลนิยมสมัยใหม่ไปอย่าง<br />

สิ้นเชิงในยุคเผด็จการทหารครองเมือง<br />

สถาปัตกรรมของกรณีศึกษาทั้ง 3 โครงการแสดงพัฒนาการ<br />

ในแบบถดถอยของสถาปัตกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ให้กับ<br />

สถาปัตยกรรมแนวชาตินิยมที่ต้องการผลิตซ้ำงานแบบโบราณใน<br />

ยุคที่สังคมญี่ป่นถูกครอบง ำด้วยเผด็จการทหารและชาตินิยมสุดโต่ง<br />

ความน่าสนใจคือการปรับตัวของบรรดาสถาปนิกสากลนิยม<br />

สมัยใหม่ชั้นแนวหน้า ทังเงะ เคนโซ ใช้ไวยกรณ์ของสากลสมัยใหม่<br />

มาแปลงโฉมสถาปัตยกรรมโบราณให้ดูทันสมัย ซึ่งเป็นสิ่งที่พวก<br />

ที่เคร่งแนวทางอย่างเมอิคาว่ารับไม่ได้และกล่าวว่าเป็นวิธีการ<br />

ที่เจ้าเล่ห์ เพราะโดยพื้นฐานแล้วมันเป็นแนวทางที่ขัดแย้งกัน<br />

สากลนิยมสร้างขึ้นเพื่อปฏิเสธประวัติศาสตร์และชาตินิยม<br />

ขณะเดียวกัน งานอนุรักษ์นิยมเป็นงานชาตินิยมที่ปฏิเสธแบบ<br />

สากล แต่แล้วด้วยแรงกดดันของลัทธิชาตินิยมสุดโต่งสุดท้ายแล้ว<br />

เมอิคาว่าก็ต้องทำงานในลักษณะนี้ ความกดดันในช่วงเวลาที่<br />

วิกฤตนี้ได้ทำให้สถาปนิกญี่ปุ่นได้เห็นลู่ทางในการออกแบบใหม่ๆ<br />

มากขึ้น และจะเป็นประโยชน์ต่อพวกเขาในการค้นพบอัตลักษณ์<br />

ของตนเองในการออกแบบต่อไปในยุคหลังสงครามที่สถานการณ์<br />

ทางการเมืองและสังคมเปลี่ยนไปในทางตรงข้าม<br />

ผังงพื้นศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทยโดย<br />

เมอิคาว่า (1943)<br />

หน้าตรงข้าม<br />

แบบประกวดศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย<br />

โดยเมอิคาว่า (1943)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

395


สยาม<br />

การปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามใน ค.ศ. 1932<br />

นั้นมิได้ราบเรียบสวยงามเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบดั่งที่คาดกัน<br />

ไว้ในปีแรก เพียงขึ้นปีที่ 2 รัฐบาลคณะราษฎรกับฝ่ายอำนาจเก่าก็<br />

ขัดแย้งกันจนถึงจุดแตกหัก เนื่องจากทัศนะต่อนโยบายเศรษฐกิจ<br />

แบบสังคมนิยมของคณะราษฎรไม่เป็นที่พอใจของฝ่ายอำนาจเก่า<br />

นำไปสู่การยึดอำนาจเงียบของฝ่ายอำนาจเก่าใน ค.ศ. 1933 เป็นเหตุ<br />

ให้คณะราษฎรใช้กำลังเข้าทำรัฐประหารซ ้ำ นำไปสู่การปะทะกัน<br />

ทางทหารอย่างรุนแรงของ 2 ฝ่ายในเดือนตุลาคมปีนั้น และลงเอย<br />

ด้วยชัยชนะของฝ่ายคณะราษฎรตามมาด้วยการกวาดล้างฝ่าย<br />

อำนาจเก่าอย่างรุนแรงให้สิ้นซาก พร้อมกันนี ้ได้มีการสร้าง<br />

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (1936) เป็นอนุสรณ์แห่งชัยชนะและ<br />

ไว้อาลัยแก่ทหารฝ่ายคณะราษฎรที่เสียชีวิตหลังจากปราบเสี้ยนหนาม<br />

ทางการเมืองแล้วคณะราษฎรก็หันมาแย่งชิงอำนาจกันเอง ในที่สุด<br />

อำนาจทั้งปวงก็ตกอยู่กับจอมพล ป. พิบูลสงครามที่ขึ้นดำรง<br />

ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1938 ในปีนั้นเองสยามสามารถ<br />

แก้ไขสนธิสัญญาสิทธิสภาพนอกอาณาเขตจากคู่สัญญาทุกประเทศ<br />

กล่าวได้ว่าสยามเป็นเอกราชอย่างสมบูรณ์ทางการศาล ในการนี้<br />

รัฐบาลจัดให้มีการประกวดแบบเพื่อสร้างอนุสาวรีย์ไทยขึ้นปีถัดไป<br />

เพื่อการเฉลิมฉลอง ใน ค.ศ. 1939 จอมพล ป. พิบูลสงครามได้<br />

เริ่มศักราชยุคเผด็จการของเขาด้วยการเปลี่ยนชื่อประเทศจาก<br />

สยามเป็นไทย ออกคำสั่งรัฐนิยม 12 ฉบับ เพื่อกำกับวิถีชีวิต<br />

พลเมืองให้มีความคิดแบบชาตินิยมเชื้อชาติไทย เชื่อฟังผู้นำและ<br />

นิยมทหาร ในช่วงเวลานี้เองที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยสร้างเสร็จ<br />

ใน ค.ศ. 1940 เพื่อเฉลิมฉลองรัฐธรรมนูญและรำลึกถึงการปฏิวัติ<br />

ประชาธิปไตยใน ค.ศ. 1932 ในบรรยากาศของประเทศไทยที่<br />

อบอวลด้วยลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทยและควบคุมโดยเผด็จการ<br />

ทหาร นโยบายต่อไปของจอมพล ป. พิบูลสงครามคือการทำ<br />

สงครามขยายดินแดนไปอินโดจีนฝรั่งเศส โดยมีเหตุผลว่าเป็นการ<br />

ทวงคืนดินแดนของสยามที่ถูกจักรวรรดินิยมแย่งไป ซึ่งนำไปสู่การ อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (1936)<br />

396 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ทำสงครามกับฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1941 สงครามยุติโดยญี่ปุ่นเสนอ<br />

ตนเองเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ไทยได้ดินแดนเพิ่มขึ้นโดยแลกกับชีวิต<br />

ทหารและพลเรือนนับร้อย รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิขึ้น<br />

ใน ค.ศ. 1942 เพื่อรำลึกและยกย่องวีรชนของชาติเหล่านี้หลังจากนี้<br />

จอมพล ป. พิบูลสงครามนำประเทศไทยไปสู่ความขัดแย้งทางทหาร<br />

มากขึ้นเรื่อยๆ ด้วยแรงผลักดันจากลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทย<br />

ที่ต้องการสร้างมหาอาณาจักรไทย รัฐบาลประกาศตนเป็นพันธมิตรกับ<br />

ญี่ปุ่นที่ยึดครองประเทศไทยและประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร<br />

ใน ค.ศ. 1942 กองกำลังของไทยยังไม่ทันได้รบกับใครญี่ปุ ่นก็เริ่ม<br />

พ่ายแพ้ในสงครามแปซิฟิก รัฐบาลไทยใช้ยุทธวิธีเพิกเฉยและ<br />

ตีสองหน้ากับญี่ปุ่น ถ่วงเวลาจนญี่ปุ่นพ่ายแพ้ราบคาบใน ค.ศ. 1945<br />

ส่วนจอมพล ป. พิบูลสงครามชิงลาออกก่อนใน ค.ศ. 1944 ทิ้งให้<br />

อนุสาวรีย์แห่งสงครามและการสร้างชาติในทศวรรษที่1930-1940<br />

เป็นความทรงจำแห่งประวัติศาสตร์ของชาติที่วิกฤต ย้อนแย้ง และ<br />

ผันผวนที่สุดยุคหนึ่ง<br />

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (1936)<br />

สร้างเพื่อเชิดชูเกียรติและรำลึกถึงคุณงามความดีของตำรวจ<br />

ทหารฝ่ายคณะราษฎรที่เสียชีวิตในการรบปะทะกับกองกำลังกบฏ<br />

ที่นำโดยพระองค์เจ้าบวรเดชใน ค.ศ. 1933 ออกแบบโดย<br />

หลวงนฤมิตรเลขการ อาจารย์โรงเรียนนายร้อยทหารบก และกรม<br />

ศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการก่อสร้าง เป็นอนุสาวรีย์ที่มีขนาดเล็ก<br />

สร้างในลักษณะศิลปะผสมระหว่างอาร์ตเด็คโคและไทยสมัยใหม่<br />

โครงสร้างคอนกรีต อนุสาวรีย์ตั้งบนอัฒจันทร์ 5 ชั้น รูปร่างคล้าย<br />

ปลียอดเจดีย์วางบนบัวกลุ่มตั้งอยู่บนฐานสี่เหลี่ยม ชุดปลียอดและ<br />

บัวกลุ่มเป็นทรง 8 เหลี่ยมปลายแหลมแบบงาเนียมที่หุ้มด้วย<br />

กลีบบัวทุกด้าน จึงอาจดูเป็นรูปหัวลูกปืนที่หุ้มกลีบบัวก็ได้ยอดปลี<br />

ประดับประติมากรรมพานแว่นฟ้า 2 ชั้นรองรับสมุดไทยอันเป็น<br />

สัญลักษณ์รัฐธรรมนูญนั่นเอง ผนังอาคารด้านหน้าจารึกรายนาม<br />

วีรชน 17 นาย อีก 3 ด้านประดับประติมากรรมลักษณะต่างๆ กัน<br />

เช่น โคลงสยามานุสสติ ชาวนาไทย 3 พ่อแม่ลูก และธรรมจักร<br />

โดยสัญลักษณ์เหล่านี้สื่อว่าประชาชน ทหารตำรวจ สถาบัน<br />

พระมหากษัตริย์ และศาสนาต่างอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่น่าสังเกต<br />

คือการใช้สัญลักษณ์ใหม่เช่นชาวนาเป็นตัวแทนของชาติเป็นแนวคิด<br />

ที่ก้าวหน้า แต่การใช้โคลงสยามานุสสติมาแทนองค์พระมหา<br />

กษัตริย์เป็นการสืบทอดแนวคิดชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

ที่ล้าหลัง การใช้ประติมากรรมสมุดไทยประดิษฐานบนพานแว่นฟ้า<br />

2 ชั้นเป็นครั้งแรกที่สร้างสัญลักษณ์ลงในอาคารถาวรอย่าง<br />

อนุสาวรีย์ สะท้อนความคิดของคณะราษฎรที่แทนความหมาย<br />

ระบอบประชาธิปไตยด้วยรูปธรรมสมุดไทย ไม่ใช่นามธรรมที่สำคัญ<br />

กว่าเช่นเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ แรงบันดาลใจการใช้<br />

สัญลักษณ์สมุดไทยน่าจะมาจากภาพการพระราชทานรัฐธรรมนูญ<br />

ในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1932 ที่น่าจดจำ นอกจากนี้ภาพ<br />

สมุดไทยยังเข้าใจง่ายสำหรับคนไทยที่เห็นหนังสือพระสูตรวางบน<br />

พานตามวัดทั่วไป รัฐธรรมนูญจึงเปรียบเสมือนพระสูตรศักดิ์สิทธิ์<br />

เล่มใหม่ที่พึงเคารพบูชาโดยไม่จำเป็นต้องเข้าใจสาระอันใด ดังเช่น<br />

พุทธศาสนิกชนไทยฟังการสวดมนต์ของพระสงฆ์ด้วยภาษาบาลี<br />

โดยไม่เข้าใจสาระอะไรเลยฉันนั้น<br />

โครงการอนุสาวรีย์ไทย(1939)<br />

เป็นโครงการอนุสาวรีย์ที่จะสร้างเพื่อเป็นที่ระลึกและ<br />

เฉลิมฉลองในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นอิสระหลุดพ้นจากข้อผูกมัด<br />

ที่ไม่เป็นธรรมทางกฎหมายที่สยามทำไว้กับจักรวรรดินิยมประเทศ<br />

ต่างๆ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เมื่อรัฐบาลไทยสามารถเจรจาแก้ไข<br />

สัญญาและร่างกฎหมายที่จำเป็นตามข้อผูกมัดสำเร็จ ทำให้<br />

ประเทศไทยได้รับเอกราชทางการศาลอย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1938<br />

รัฐบาลมอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้จัดประกวดแบบแล้วส่งให้คณะ<br />

รัฐมนตรีพิจารณา ซึ่งมีมติในวันที่ 5 มิถุนายน ค.ศ. 1939 ว่าให้<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

397


บน อนุสาวรีย์ไทยแบบกระโจมไฟ (1939)<br />

ล่าง อนุสาวรีย์ไทยแบบโลหะปราสาท<br />

เรียกชื่อว่า “อนุสสาวรีย์ไทย” และควรเป็นรูปกระโจมไฟ ต่อมา<br />

กรมศิลปากรได้ปรับปรุงแบบให้ดูยิ่งใหญ่สมกับโอกาสพิเศษนี้ให้<br />

เป็นรูปทรง “โลหะปราสาท” แต่ด้วยปัญหางบประมาณทำให้<br />

โครงการนี้ถูกระงับไป<br />

อนุสาวรีย์ไทยแบบ “กระโจมไฟ” เป็นการออกแบบโครงการ<br />

แรกโดยพระพรหมพิจิตรใน ค.ศ. 1939 ลักษณะเป็นประภาคาร<br />

หอสูงทรงไทยผังกากบาทสี่เหลี่ยมบนเรือนธาตุสี่เหลี่ยมมีมุขทิศ<br />

4 ด้าน ตั้งบนฐานสี่เหลี่ยมย่อมุม 3 ชั้นลดหลั่น ยอดสุดประดับ<br />

ซุ้มไฟสี่เหลี่ยมหลังคาจตุรมุขมีเปลวไฟคอนกรีตประดับยอด ตั้งใจ<br />

ว่าจะตั้งไว้ที่ชายทะเลอำเภอปากน้ำ จังหวัดสมุทรปราการ เพื่อที่<br />

จะให้เรือนานาชาติที่แล่นผ่านมาเห็นได้หมด และอาจมีนัยใน<br />

การรำลึกถึงเหตุปะทะกันทางเรือระหว่างสยามกับฝรั่งเศสใน<br />

ค.ศ. 1894 (ร.ศ. 112) ด้วยก็ได้ แต่แล้วอนุสาวรีย์ตามแบบนี้ก็<br />

ถูกค้านตกไปโดยกรมอุทกศาสตร์ กองทัพเรือว่า สถานที่ตั้งไม่<br />

เหมาะสมและไม่มีประโยชน์ต่อการเดินเรือ กรมศิลปากรจึง<br />

ปรับปรุงแบบใหม่เป็น “โลหะปราสาท”<br />

อนุสาวรีย์ไทยแบบ “โลหะปราสาท”เป็นอนุสาวรีย์ไทยแบบ<br />

ที่ 2 ที่พระพรหมพิจิตรร่างขึ้นตามแนวคิดของหลวงวิจิตรวาทการ<br />

อธิบดีกรมศิลปากรเพื่อให้ยิ่งใหญ่กว่าแบบแรก ผังอาคารเป็นรูป<br />

สี่เหลี่ยมมีซุ้มทิศ 4 ด้านตั้งบนฐาน 8 เหลี่ยม 3 ชั้น ประดับด้วย<br />

ซุ้มทิศผังสี่เหลี่ยมทั้ง4 มุม อาคารทั้งหมดรองรับด้วยฐานประทักษิณ<br />

ใหญ่และล้อมด้วยพระระเบียงอีกชั้นหนึ่ง ลักษณะอาคารเป็นเจดีย์<br />

แบบเรือนธาตุสี่เหลี่ยมมีซุ้มทิศ 4 ด้าน ยอดเป็นปรางค์ทรงสูง<br />

แหลมคล้ายหัวกระสุนปืน ตั้งบนฐานอาคารรูป 8 เหลี่ยมลดหลั่น<br />

3 ชั้น มีซุ้มทิศสูง 2 ชั้นรูปทรงคล้ายตัวอนุสาวรีย์ที่ย่อส่วนประดับ<br />

4 มุม อาคารทั้งหมดตั้งอยู่บนฐานประทักษิณสี่เหลี่ยมและล้อม<br />

ด้วยพระระเบียงอีกชั้นหนึ่ง โดยภาพรวมแล้วดูเหมือนศาสนสถาน<br />

โบราณที่มีรูปแบบผสมระหว่างเขมร สุโขทัย และอยุธยา แต่สร้าง<br />

อย่างใหญ่โตด้วยขนาดความกว้างของระเบียงยาวด้านละ 80 เมตร<br />

398 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (1940)<br />

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (1940)<br />

และตัวอนุสาวรีย์ที่สูงถึง 100 เมตร หลวงวิจิตรวาทการวางแผน<br />

ให้พระระเบียงเป็นพิพิธภัณฑ์การแสดงพืชผล ชั้นฐานประทักษิณ<br />

ใช้เป็นห้องโถงสำหรับรับประทานอาหารและเต้นรำ ฐาน 8 เหลี่ยม<br />

ชั้นแรกและชั้นที่ 2 เป็นโรงแรม ชั้นที่ 3 เป็นห้องประชุม สิ่งเดียว<br />

ที่หลวงวิจิตรวาทการห่วงคือการเอาสถานที่ที่คล้ายศาสนสถานทำ<br />

โรงแรมแต่เขาก็เตรียมคำอธิบายไว้แล้ว แต่ในที่สุดโครงการนี้<br />

ก็ล้มไปอีกเพราะค่าก่อสร้างที่มหาศาล โครงการอนุสาวรีย์ไทยที่มี<br />

แต่ขนาดที่มหึมานี้มีความน่าสนใจน้อยมากหากเทียบกับโครงการ<br />

เล็กๆ ของพระพรหมพิจิตร เช่น หอระฆังวัดยานนาวา (1934)<br />

หรือเจดีย์วัดพระศรีรัตนมหาธาตุบางเขน (1941) ที่แสดงออกใน<br />

เชิงสร้างสรรค์และท้าทายขนบการออกแบบโบราณ ขณะที่งาน<br />

อนุสาวรีย์ไทยเป็นการดัดแปลงและผสมผสานแบบโบราณที่ได้<br />

ผลลัพธ์ออกมาแย่กว่าของโบราณจริงๆ<br />

เป็นสถาปัตยกรรมที่สำคัญที่สุดของคณะราษฎรในการรำลึก<br />

ถึงการปฏิวัติค.ศ.1932 และเป็นสัญลักษณ์แห่งอุดมการณ์<br />

ประชาธิปไตย ออกแบบโดยสถาปนิกหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุล<br />

ร่วมกับประติมากรคอร์ราโด เฟโรชี สร้างในลักษณะศิลปะผสม<br />

ระหว่างอาร์ตเด็คโค ฟาสซิสต์ และไทยประยุกต์ จุดเด่นของ<br />

อนุสาวรีย์คือประติมากรรมรูปสมุดไทยวางบนพานแว่นฟ้า 2 ชั้น<br />

อันเป็นสัญลักษณ์ของรัฐธรรมนูญ ตั้งบนยอดของป้อมทรงกระบอก<br />

หลังโค้งผนังหุ้มด้วยกาบ 6 แถบ แสดงถึงอิทธิพลเจดีย์ไทยโบราณ<br />

ที่องค์ระฆังหุ้มด้วยกลีบบัว ป้อมรับรัฐธรรมนูญล้อมรอบด้วยปีก<br />

4 อันหันเข้าหาป้อมในแนวทแยง ตัวปีกตั้งบนฐานสี่เหลี่ยมประดับ<br />

ประติมากรรมนูนสูงแบบคลาสสิคที่บอกเล่าเรื่องราวการปฏิวัติ<br />

ประชาธิปไตยในสยาม กล่าวได้ว่ารูปแบบของอนุสาวรีย์<br />

ประชาธิปไตยได้แนวทางมาจากอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญทั้งใน<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

399


บน ประติมากรรมประดับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (1940)<br />

ล่าง ประติมากรรมประดับสะพานปอนเตดูกา<br />

ดาออสต้า โรม (1938-1939)<br />

เรื่ององค์ประกอบและประติมากรรม เพียงแต่ทำให้โอฬารตระการ<br />

ตามากขึ้น แต่โดยภาพรวมอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยขาดความเด่นสง่า<br />

การเลือกรูปทรงป้อมทรงกระบอกที่ควรจะอยู่ในสนามรบมารับพาน<br />

แว่นฟ้าและรัฐธรรมนูญที่เป็นสัญลักษณ์ของวัตถุเคารพในศาสนา<br />

พุทธดูผิดเรื่องและอยู่ผิดที่ ขณะที่ประติมากรรมรัฐธรรมนูญและ<br />

พานแว่นฟ้าก็มีขนาดเล็กเกินไปเมื่อเทียบกับปีกที่ล้อม 4 ด้าน<br />

ที่ดูเหมือนคมมีดมากกว่าปีกนก อีกทั ้งประติมากรรมฝีมือเฟโรชี<br />

ที่ประดับฐานปีกก็มีขนาดเล็กเกินกว่าที่จะสร้างความโดดเด่น<br />

แต่มันก็ยังเป็นงานศิลปะที่น่าชมที่สุดของอนุสาวรีย์นี้ และมีข้อ<br />

สังเกต 2 ประการที่ควรจะกล่าวถึง ประการแรกคือประติมากรรม<br />

รูปพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทาน<br />

รัฐธรรมนูญในวันที่ 10 ธันวาคม ค.ศ. 1932 ไม่ได้ถูกคัดเลือกให้<br />

สร้างจริง เป็นการสะท้อนทัศนะของคณะราษฎรที่มีต่อพระมหา<br />

กษัตริย์ในช่วงก่อนและหลังกบฏบวรเดชใน ค.ศ. 1933 ประการ<br />

ที่ 2 คือประติมากรรมของเฟโรชีรูปกลุ่มทหารเคลื่อนกำลังใน<br />

อริยบทต่างๆ เช่น ยิงปืนกลบนขาตั้ง โรมรันด้วยดาบปลายปืนนั้น<br />

ลักษณะคล้ายคลึงกับประติมากรรมนูนสูงศิลปะฟาสซิสต์ที่<br />

ประดับฐานสะพานปอนเตดูกา ดาออสต้าในกรุงโรม (1938-1939)<br />

ฝีมือประติมากรวิโก คอนซอร์ติ (1902-1979) เป็นอย่างยิ่ง<br />

เมื่อประกอบกับเส้นทแยงในกรอบเรขาคณิตที่ขึงขังของตัวปีก<br />

อนุสาวรีย์ทั้ง 4 แล้ว จึงกล่าวได้ว่าอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็น<br />

งานที่มีอิทธิพลของศิลปะฟาสซิสต์เป็นอย่างยิ่ง แต่สุดท้ายแล้ว<br />

อนุสาวรีย์นี้ยังไม่มีพลังเพียงพอในการสร้างความประทับใจเพราะ<br />

ขนาดส่วนและรูปทรงของอนุสาวรีย์ที่อ่อนแอ ปีกรัฐธรรมนูญ<br />

ที่เป็นองค์ประกอบแย่งชิงความเด่นไปจากตัวประธาน สาเหตุหลัก<br />

มาจากแนวคิดในการสร้างสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยสำหรับ<br />

อนุสาวรีย์ดังที่กล่าวมาแล้วตั้งแต่อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ<br />

อีกประการหนึ่งคือ บรรดาตัวเลขทั้งหลายที่เกี่ยวข้องกับอุดมการณ์<br />

และเหตุการณ์ในวันปฏิวัติของคณะราษฎรที่ถูกนำมาเป็นรหัส<br />

กำกับการกำหนดขนาดความสูงต่ำกว้างยาวของอนุสาวรีย์และ<br />

องค์ประกอบ จนสถาปนิกและประติมากรขาดอิสระในการ<br />

สร้างสรรค์งาน เป็นสิ่งสะท้อนอิทธิพลของความเชื่อไสยศาสตร์<br />

400 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ในศาสนาพุทธของไทยที่ฝังรากลึกมาช้านาน เมื่อพิจารณาในแง่นี้<br />

อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยก็เป็นเพียงเปลือกของศิลปะอาร์ตเด็คโค<br />

ฟาสซิสต์ที่หุ้มแกนความเชื่อไสยศาสตร์ที่พยายามจะเป็นตัวแทน<br />

ของลัทธิประชาธิปไตยสมัยใหม่ที่ยังไม่เกิดขึ้นจริงตั้งแต่วันปฏิวัติ<br />

จนถึงวันเปิดอนุสาวรีย์<br />

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (1942)<br />

แบบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (1942)<br />

ค.ศ. 1938 เป็นปีประจวบเหมาะที่จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีพร้อมกับประเทศไทยได้รับ<br />

เอกราชทางการศาลหลุดพ้นจากข้อผูกมัดที่เอาเปรียบทั้งปวงจาก<br />

จักรวรรดินิยมที่มาจากสนธิสัญญาที่เอาเปรียบตั้งแต่สมัยรัชกาล<br />

ที่ 4 ใน ค.ศ. 1939 จอมพล ป. พิบูลสงครามเริ่มนโยบายชาตินิยม<br />

เชื้อชาติไทยและมหาอาณาจักรไทยอย่างเป็นระบบ ด้วยการ<br />

ประกาศนโยบายรัฐนิยมเปลี่ยนแปลงทัศนคติและวิถีชีวิตคนไทย<br />

ให้เป็นพวกชาตินิยมสุดโต่งแบ่งแยกเชื้อชาติ เชื่อฟังผู้นำ และ<br />

นิยมทหาร ทั้งนี้เพื่อนำไปสู่ความทะเยอทะยานอีกระดับหนึ่ง คือ<br />

การทวงคืนดินแดนในอินโดจีนคืนจากฝรั่งเศสที่กำลังพ่ายแพ้<br />

กองทัพเยอรมันในยุโรป เหตุการณ์ลุกลามไปสู่การปะทะทางทหาร<br />

ตอนปลายปี ค.ศ.1940 แม้กองทัพบกไทยจะสามารถยึดดินแดน<br />

บางส่วนในลาวและเขมรได้แต่กองทัพเรือกลับไม่สามารถเอาชนะ<br />

ทางทะเลได้ กองกำลังทั้ง 2 ฝ่ายต่างไม่สามารถรบได้ชัยชนะ<br />

เด็ดขาดเปิดโอกาสให้ญี่ปุ่นเสนอตัวเข้าไกล่เกลี่ยยุติสงคราม<br />

ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1941 โดยฝ่ายไทยต้องจ่ายค่าเสียหาย<br />

ให้ฝรั่งเศสเพื่อแลกกับดินแดนที่ยึดได้ แต่ก็เพียงพอที่ทำให้ไทย<br />

สรุปว่าตนเองชนะสงครามที่แลกกับชีวิตทหารตำรวจและพลเรือน<br />

171 นาย ซึ่งจอมพล ป. พิบูลสงครามต้องการสร้างอนุสาวรีย์<br />

ให้เพื่อเชิดชูเกียรติยศ เริ่มดำเนินการตั้งแต่ ค.ศ. 1941 โดยหม่อม<br />

หลวงปุ่ม มาลากุล เป็นสถาปนิก คอร์ราโด เฟโรชี และคณะศิษย์<br />

โรงเรียนศิลปากร เป็นประติมากร อนุสาวรีย์สร้างเสร็จและมีพิธี<br />

เปิดในวันชาติ 24 มิถุนายน ค.ศ.1942<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

401


ซ้าย ประติมากรรมประดับอนุสาวรีย์<br />

ชัยสมรภูมิ (1942)<br />

ขวา อนุสาวรีย์อาล์นวิกวอร์เม็มโมเรียล<br />

(1922)<br />

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิสร้างในลักษณะศิลปะผสมระหว่าง<br />

อาร์ตเด็คโคและฟาสซิสต์ แนวคิดชาตินิยมเชื้อชาติไทยที่ต้องการ<br />

ขยายดินแดนมหาอาณาจักรไทยด้วยกำลังทหารที่ผู้นำสูงสุด<br />

มีอำนาจเด็ดขาดและสนับสนุนโดยมวลชน ไม่ว่าจอมพล ป.<br />

พิบูลสงครามจะกล่าวอย่างไพเราะว่าเขาทำสงครามเพื่อความ<br />

ยุติธรรม ในความเป็นจริงอนุสาวรีย์นี้อยู่ภายใต้อิทธิพลลัทธิ<br />

สังคมชาตินิยมหรือฟาสซิสต์ที่เด่นชัดที่สุด จุดเด่นของอนุสาวรีย์<br />

คือ แท่งโอเบลิสก์ประยุกต์ตั้งบนฐานอาคารรูป 5 เหลี่ยมลดหลั่น<br />

2 ชั้นที่วางบนอัฒจรรย์รูปกลม แท่งโอเบลิสก์ประยุกต์จากรูปทรง<br />

ของดาบปลายปืน 5 เล่มวางตั้งเอาสันชนกันหันคมดาบออกให้เรียง<br />

เป็นรูปดาว 5 แฉกในภาพตัดขวาง แต่เมื่อมองหน้าตรงแล้วจะ<br />

เหมือนใบดาบเรียงกันเป็นกลีบมะเฟือง 5 แฉกสูงชะลูด ส่วนที่เป็น<br />

ใบดาบสูง 31 เมตรปักอยู่ในด้ามดาบฐาน 5 เหลี่ยม สูง 8.77 เมตร<br />

รวมความสูงของใบดาบและด้าม 39.77 เมตร ตั้งบนฐานอาคาร<br />

5 เหลี่ยมตัดมุมโค้ง 2 ชั้นลดหลั่นสูง 6.50 เมตร ซึ่งเป็นอาคาร<br />

กรุเก็บอัฐิ ตัวอนุสาวรีย์ทั้งหมดตั้งอยู่บนอัฒจรรย์รูปวงกลมเส้น<br />

ผ่าศูนย์กลาง 50.50 เมตร สูง 3 เมตร จากระดับถนน รวมความ<br />

สูงอนุสาวรีย์ทั้งสิ้น 50 เมตร แต่จุดเด่นของอนุสาวรีย์กลับเป็น<br />

ประติมากรรมลอยตัว 5 รูปที่ตั้งรอบผนังด้ามดาบขนาดสูง 4.60<br />

เมตร ตั้งบนฐานสูง 1.77 เมตร และสูงจากระดับถนน 12 เมตร<br />

ฝีมือปั้นของคอร์ราโด เฟโรชีและคณะศิษย์โรงเรียนศิลปากร<br />

เป็นรูปทหารบก เรือ อากาศ ตำรวจ และพลเรือน ท่าทางการ<br />

เคลื่อนไหวในท่าสู้รบของประติมากรรมยังคงเห็นอิทธิพลจาก<br />

ประติมากรรมนูนสูงประดับสะพานปอนเตดูกา ดาออสต้า ของ วิโก<br />

402 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


คอนซอร์ติอยู ่เช่นเดิม เป็นองค์ประกอบที่เพิ่มความสง่างามให้กับ<br />

อนุสาวรีย์อย่างมากและไม่เคยมีมาก่อนมากกว่าประติมากรรมนูนสูง<br />

รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยอย่างเห็นได้ชัด แต่ถ้าเปรียบเทียบกับ<br />

กลุ่มประติมากรรมประดับอนุสาวรีย์ของอังกฤษที่สร้างก่อน 2<br />

ทศวรรษจะพบว่า ประติมากรรมของเฟโรชีมีลักษณะสู้รบและ<br />

โครงเส้นเป็นเหลี่ยมมากกว่าแบบเหมือนจริงและท่าทางสงบนิ่ง<br />

ของอังกฤษ แม้ลักษณะองค์ประกอบแบบประติมากรรมล้อมแท่ง<br />

โอเบลิสก์จะพบได้มากในอนุสาวรีย์ของอังกฤษก็ตาม<br />

เมื่อพิจารณาในภาพรวมแล้วอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิออกแบบ<br />

ได้ดีในแง่รูปทรง องค์ประกอบ สัดส่วน และแนวคิดที่ชัดเจนใน<br />

การสื่อสารมากกว่าอนุสาวรีย์เพื่อประชาธิปไตย2 แห่งที่กล่าวมาแล้ว<br />

เหตุผลประการแรกคือ ผู้ออกแบบมีความเป็นอิสระจากตัวเลขรหัส<br />

ที่เกี่ยวกับที่มาของอนุสาวรีย์ที่มากมายตัวเลขสำคัญของอนุสาวรีย์<br />

นี้มีเพียงเลข 5 เท่านั้น ประการที่2 คือผู้ออกแบบมีความเป็นอิสระ<br />

จากรูปทรงไทยโบราณอย่างสิ้นเชิง ทำให้อนุสาวรีย์มีรูปแบบที่<br />

ชัดเจนไม่ครึ่งๆ กลางๆ ระหว่างสมัยใหม่กับไทยโบราณ ประการ<br />

ที่3 คือการใช้ประติมากรรมเข้ามาประกอบสถาปัตยกรรมอย่างมีพลัง<br />

เป็นตัวส่งเสริมอนุสาวรีย์ทั้งรูปแบบและความหมายอย่างชัดเจน<br />

การเปรียบเทียบสถาปัตยกรรม<br />

สถาปัตยกรรมแห่งสงครามและการสร้างชาติในทศวรรษ<br />

ที่ 1930-1940 เป็นบทสรุปของพัฒนาการทางสถาปัตยกรรมของ<br />

ญี่ปุ่นและสยามตั้งแต่เริ่มเปิดประเทศตอนกลางศตวรรษที่ 19<br />

มันคือรูปธรรมของอุดมการณ์ที่ต้องการสร้างชาติให้เจริญรุ่งเรือง<br />

เท่าเทียมกับตะวันตก วัฒนธรรมและอุดมคติดั้งเดิมของญี่ปุ่น<br />

ที่มองว่าเชื้อชาติของตนเหนือกว่าเชื้อชาติอื่นนำมาซึ่งลัทธิ<br />

ชาตินิยมสุดโต่งและนำประเทศเข้าสู่สงครามรุกรานเพื่อนบ้านเพื่อ<br />

เป็นเจ้าจักรวรรดิเอเชียตั้งแต่ปลายศตวรรษที่ 19 ต่อต้นศตวรรษ<br />

ที่ 20 สิ่งที่ต้องแลกกับความทะเยอทะยานคือการสังเวยชีวิต<br />

ทหารมากมายที่สังคมเห็นว่าตายอย่างมีเกียรติเพื่อจักรพรรดิ<br />

โครงการประกวดแบบอนุสาวรีย์วีรชนทหาร (1939) จึงเกิดขึ้น<br />

อุดมคติของชนชาติทำให้การทำสงครามในช่วงแรกได้รับชัยชนะ<br />

อย่างรวดเร็วและกว้างขวาง ทำให้ญี่ปุ่นคิดการใหญ่ที่จะทำให้<br />

จินตนาการความเป็นเจ้าเอเชียเป็นจริง ส่งผลให้มีโครงการประกวด<br />

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิเป็นตัวแทนลัทธิฟาสซิสต์ทาง<br />

สถาปัตยกรรมที่ชัดเจนที่สุด มันสะท้อนลัทธิชาตินิยมเชื้อชาติไทย<br />

และสดุดีการทำสงครามขยายอาณาเขตเพื่อแนวคิดมหาอาณาจักร<br />

ไทยของรัฐบาลเผด็จการทหารที่สนับสนุนโดยมวลชน สอดคล้อง<br />

กับความต้องการเป็นเจ้าเอเชียของญี่ปุ่นพันธมิตรของไทย แต่แล้ว<br />

เพียง 3 ปีหลังการเปิดอนุสาวรีย์ ญี่ปุ่นและไทยก็พ่ายแพ้อย่าง<br />

สิ้นเชิงในสงครามเอเชียแปซิฟิก อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิกลายเป็น<br />

อนุสรณ์แห่งความหลงชาติและทะเยอทะยานเกินตัวในช่วงเวลา<br />

หนึ่งของประวัติศาสตร์ไทย<br />

ทัศนียภาพภายในอนุสาวรีย์วีรชนทหาร (1939)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

403


บน อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (1940)<br />

ล่าง อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (1942)<br />

แบบสถาปัตยกรรมเฉลิมฉลองการก่อตั้งร่วมวงไพบูลย์แห่ง<br />

มหาเอเชียบูรพา (1942) และเมื่อได้ยึดครองดินแดนเพื่อนบ้าน<br />

ด้วยพละกำลังทางทหารแล้วญี่ปุ่นก็หันมาแผ่ขยายอิทธิพลทาง<br />

วัฒนธรรมเพื่อให้ผู้ถูกยึดครองยอมรับในการเหนือกว่าทาง<br />

อารยธรรมของตน โครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมศูนย์<br />

วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย (1943) เป็นตัวอย่างสำคัญของนโยบายนี้<br />

การสร้างชาติให้รุ่งเรืองของสยามไม่ได้รวดเร็วและรุนแรง<br />

เท่าญี่ปุ่น หากเป็นไปอย่างเชื่องช้าด้วยบริบททางสังคม เศรษฐกิจ<br />

และการเมืองที่ต่างกัน รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไม่สามารถ<br />

แก้ปัญหาประเทศชาติได้ทันใจคนรุ่นใหม่ที่มีพลังของสยาม<br />

ชนชั้นกลางที่ประกอบด้วยทหาร ข้าราชการพลเรือน และผู้มีการ<br />

ศึกษาที่เรียกตนเองว่า คณะราษฎร ได้ร่วมกันปฏิวัติเปลี่ยนแปลง<br />

การปกครองใน ค.ศ. 1932 มาเป็นระบอบประชาธิปไตยอย่างสันติ<br />

ในตอนแรก แต่ความขัดแย้งในผลประโยชน์และอุดมการณ์กับ<br />

ฝ่ายที่นิยมระบอบเก่ายังคงอยู่และไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยสันติ<br />

นำไปสู่การต่อสู้กันด้วยอาวุธใน ค.ศ. 1933 ซึ่งคณะราษฎรสามารถ<br />

กำจัดฝ่ายตรงข้ามได้อย่างราบคาบ การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยนี้<br />

นำมาซึ่งสถาปัตยกรรมอนุสาวรีย์ 2 แห่งคือ อนุสาวรีย์พิทักษ์<br />

รัฐธรรมนูญ (1936) และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (1940) จอมพล ป.<br />

พิบูลสงครามขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีใน ค.ศ. 1938 ในปี<br />

นั้นเองสยามสามารถแก้ไขสนธิสัญญสิทธิสภาพนอกอาณาเขต<br />

ที่เป็นมรดกสมัยจักรวรรดินิยมได้สำเร็จและมีเอกราชทางการศาล<br />

อย่างสมบูรณ์จึงเป็นที ่มาของโครงการอนุสาวรีย์ไทย (1939)<br />

แต่แทนที่เหตุการณ์นี้จะเป็นโอกาสการสร้างชาติในทางดี จอมพล<br />

ป. พิบูลสงครามกลับเริ่มศักราชเผด็จการชาตินิยมเชื้อชาติไทย<br />

ของเขาที่บางส่วนมาจากแรงบันดาลใจของนโยบายเชื้อชาติไทย<br />

ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ใน ค.ศ. 1939 เขาเปลี่ยนชื่อประเทศ<br />

จากสยามเป็นไทย และประกาศรัฐนิยม 12 ฉบับเพื่อกำกับวิถีชีวิต<br />

พลเมืองให้มีแนวคิดแบบเชื้อชาตินิยม เชื่อฟังผู้นำและนิยมทหาร<br />

เพื่อปูทางไปสู่นโยบายทำสงครามขยายดินแดนไปอินโดจีนฝรั่งเศส<br />

“เพื่อความยุติธรรม” ซึ่งนำไปสู่สงครามกับฝรั่งเศสที่ไทยแม้จะได้<br />

404 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ดินแดนเพิ่มขึ้นแต่ไม่สามารถเอาชนะเด็ดขาดได้ และต้องแลกกับ<br />

ชีวิตทหารตำรวจและพลเรือน 171 นาย ที่รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์<br />

ชัยสมรภูมิ (1942) เพื่อเชิดชูเกียรติยศและรำลึกถึงเหตุการณ์<br />

จะเห็นได้ว่าในช่วงทศวรรษ 1930-1940 นี้ลัทธิชาตินิยม<br />

สุดโต่งและจักรวรรดินิยมเป็นกระแสหลักของนโยบายสร้างชาติ<br />

ของทั้งญี่ปุ่นและไทย แม้ว่าฝ่ายไทยนั้นในตอนแรกแนวคิด<br />

ประชาธิปไตยเป็นพลังหลักของการสร้างชาติใหม่ แต่ในที่สุดก็ถูก<br />

กระแสชาตินิยมสุดโต่งกลืนหายไปและเกิดพันธมิตรชาตินิยม-<br />

จักรวรรดินิยมญี่ปุ่น-ไทยขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการทำสงครามเพื่อ<br />

ความเป็นเจ้าเอเชียของญี่ปุ่นและมหาอาณาจักรไทย โครงการ<br />

อนุสาวรีย์สถาปัตยกรรมต่างๆ ที่กล่าวมาแล้วถูกสร้างขึ ้นเพื่อ<br />

รับใช้นโยบายแห่งความทะเยอทะยานนี้ จนกระทั ่งถึง ค.ศ.1945<br />

ที่พันธมิตรทั้งคู่พ่ายแพ้สงครามอย่างราบคาบ ทิ้งให้ผลงานเหล่านี้<br />

เป็นหลักฐานแห่งช่วงประวัติศาสตร์ที่ล้มเหลวของทั้ง 2 ประเทศ<br />

บน แบบชนะเลิศสถาปัตยกรรมเฉลิม<br />

ฉลองการก่อตั้งร่วมวงไพบูลย์แห่งมหา<br />

เอเชียบูรพาโดยทังเงะ เคนโซ (1942)<br />

กลาง ทัศนียภาพวิหารอนุสาวรีย์ใน<br />

โครงการของทังเงะ (1942)<br />

ล่าง ทัศนียภาพศูนย์วัฒนธรรม<br />

ญี่ปุ่น-ไทยโดยทังเงะ เคนโซ(1943)<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

405


ซ้าย ผังพื้นอนุสาวรีย์ไทย<br />

แบบโลหะปราสาท<br />

ขวา อนุสาวรีย์ไทย<br />

แบบโลหะปราสาท (1939)<br />

การพิจารณาการออกแบบสถาปัตยกรรมแห่งสงคราม<br />

และการสร้างชาติจะเริ่มจากลักษณะผังพื้นที่มี 2 แบบคือ แบบ<br />

อนุสาวรีย์และแบบสถาปัตยกรรม แบบอนุสาวรีย์เป็นอาคารที่ผังพื้น<br />

ปิดไม่มีพื้นที่ภายใน เช่น อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (1936)<br />

อนุสาวรีย์ไทยแบบกระโจมไฟ (1939) อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย<br />

(1940) และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ(1941) ทั้งหมดเป็นงานของไทย<br />

แบบสถาปัตยกรรมเป็นอาคารที่ผังพื้นเปิดมีพื้นที่ภายใน ได้แก่<br />

โครงการประกวดแบบอนุสาวรีย์วีรชนทหาร (1939) โครงการ<br />

ประกวดแบบสถาปัตยกรรมเฉลิมฉลองการก่อตั้งร่วมวงไพบูลย์<br />

แห่งมหาเอเชียบูรพา (1942) โครงการประกวดแบบศูนย์วัฒนธรรม<br />

ญี่ปุ่น-ไทย (1943) และโครงการอนุสาวรีย์ไทยแบบโลหะปราสาท<br />

(1939) สามโครงการแรกเป็นของญี่ปุ่นและโครงการสุดท้ายเป็น<br />

ของไทย จะเห็นได้ว่าในระดับสถาปนิกชั้นนำนั้นฝ่ายญี่ปุ่นวางแผน<br />

สร้างอนุสาวรีย์เพื่อการใช้งานหรือชื่นชมได้ทั้งภายในและภายนอก<br />

อาคาร ส่วนไทยยังมองอนุสาวรีย์ในแบบเก่าเหมือนปูชนียวัตถุ<br />

สำหรับการดูจากภายนอกอย่างเดียวเป็นหลัก ในด้านรูปแบบ<br />

อาคารนั้นอนุสาวรีย์ของญี่ปุ่นที่ออกแบบโดยสถาปนิกแนวหน้า<br />

อย่างเมอิคาว่าและซากากูระเสนอแบบสากลนิยมสมัยใหม่<br />

ที่มีความหมายต่อต้านลัทธิฟาสซิสต์ในโครงการประกวดแบบ<br />

อนุสาวรีย์วีรชนทหาร ที่มีเนื้อหาเชิดชูนโยบายจักรวรรดินิยม<br />

ฟาสซิสต์ของรัฐบาล จึงเป็นการออกแบบย้อนแย้งที่ท้าทายรัฐบาล<br />

เผด็จการทหารอย่างตั้งใจและไม่เกรงใจ เราจะเปรียบเทียบโครงการ<br />

นี้กับอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยของไทยที่มีรูปแบบอาร์ตเด็คโค<br />

ผสมฟาสซิสต์ที่สื่อความหมายย้อนแย้งกับลัทธิประชาธิปไตยโดย<br />

ที่ผู้ออกแบบอาจจะไม่ได้ตั้งใจเลยก็ได้ ดังนั้นจึงมีคำถามสำคัญว่า<br />

สถาปนิก ประติมากร และนักการเมืองไทยในยุคนั้นเข้าใจความ<br />

สัมพันธ์ระหว่างความหมายของแบบศิลปะและอุดมการณ์ทาง<br />

การเมืองเพียงไร แต่ถ้าจะพิจารณาอนุสาวรีย์ที่สะท้อนอุดมการณ์<br />

ได้ชัดเจน ก็ควรจะเป็นอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิของไทย ลักษณะแท่ง<br />

โอเบลิสก์ประยุกต์จากใบดาบปลายปืนรวมกัน 5 แฉกล้อมด้วย<br />

ประติมากรรมลอยตัว 5 รูปบึกบึนโครงเส้นเหลี่ยมที่มีลักษณะ<br />

สู ้รบนั้น เป็นสถาปัตยกรรมแบบฟาสซิสต์สากลที่สมบูรณ์แบบ<br />

และสะท้อนจุดประสงค์การสร้างอนุสาวรีย์ที่เป็นผลของสงคราม<br />

สร้างมหาอาณาจักรไทยได้อย่างชัดเจน โครงการแบบเดียวกันของ<br />

ญี่ปุ่นที ่สะท้อนความเป็นจักรวรรดินิยมทหารที่ชัดเจนที่สุด คือ<br />

โครงการประกวดแบบสถาปัตยกรรมเฉลิมฉลองการก่อตั้งร่วมวง<br />

ไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพาที่ออกแบบโดยทังเงะ เคนโซ ในงาน<br />

นี้เขานำรูปทรงสถาปัตยกรรมโบราณของญี่ปุ่นทั้งหลายไม่ว่าจะ<br />

เป็นระฆังสมัยยาโยอิ วิหารอิเซ และระเบียงวัดมาปรุงแต่งใหม่<br />

ด้วยไวยกรณ์ของพวกสากลนิยมสมัยใหม่จนดูเป็นสถาปัตยกรรม<br />

ญี่ปุ่นสมัยใหม่ที่มีเนื ้อหาฟาสซิสต์ แต่ในโครงการประกวดแบบ<br />

สถาปัตยกรรมศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย ทังเงะกลับออกแบบโดย<br />

406 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ขวา แบบประกวดศูนย์วัฒนธรรม<br />

ญี่ปุ่น-ไทยโดยเมอิคาว่า (1943)<br />

ล่าง ผังพื้นศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย<br />

โดยเมอิคาว่า (1943)<br />

การนำผังและอาคารพระราชวังเดิมที่นครเกียวโตมาปรับให้<br />

สามารถรองรับประโยชน์ใช้สอยใหม่ของโครงการ ในทางทฤษฎี<br />

ออกแบบมันจึงเป็นการผลิตซ้ำและถอยหลังเข้าคลองมากกว่า<br />

โครงการสถาปัตยกรรมร่วมวงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพาเสียอีก<br />

สิ่งที่น่าสนใจคือเราสามารถเปรียบเทียบโครงการศูนย์วัฒนธรรม<br />

ญี่ปุ่น-ไทยของทังเงะกับโครงการอนุสาวรีย์ไทยแบบโลหะปราสาท<br />

ของพระพรหมพิจิตรได้ในบางประเด็น เช่น การนำเอาแผนผังของ<br />

สถาปัตยกรรมโบราณมาใช้เกือบทั้งหมดรวมทั้งลักษณะรูปแบบ<br />

ของอาคาร ขณะเดียวกันก็ใส่ประโยชน์ใช้สอยของโครงการใหม่<br />

ลงในผังและรูปแบบอาคารโบราณทั้งหมดโดยไม่สนใจความ<br />

สัมพันธ์ของยุคสมัยและการก่อเกิดของรูปแบบอาคารเลย ฉะนั้น<br />

เราสามารถกล่าวได้ว่าโครงการอนุสาวรีย์ไทยแบบโลหะปราสาท<br />

ของพระพรหมพิจิตร (1939) กับโครงการสถาปัตยกรรมศูนย์<br />

วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย (1943) นั้นเป็นโครงการสถาปัตยกรรม<br />

อนุสาวรีย์ชาตินิยมประเภทที่ล้าหลังที่สุดเหมือนกัน เพราะล้าหลัง<br />

แม้กระทั่งงานของตัวเองที่เคยทำมาก่อน ส่วนรูปแบบอนุสาวรีย์<br />

ชาตินิยมที่ก้าวหน้าที่สุดของสถาปัตยกรรมแห่งการสร้างชาติใน<br />

ยุคนี้คงจะเป็นโครงการสถาปัตยกรรมศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย<br />

ของเมอิคาว่า ที่เขายังใช้ผังแบบสากลนิยมสมัยใหม่ที่ได้<br />

แรงบันดาลใจจากพระราชวังคัทซุระมาเป็นฐานในการออกแบบ<br />

แม้ว่ารูปทรงอาคารจะใช้สถาปัตยกรรมโบราณมาห่อหุ้มเพื่อเอา<br />

ตัวรอดในยุคเผด็จการก็ตาม วิธีการออกแบบผังนี้แสดงถึงการยืน<br />

หยัดใช้ภูมิปัญญาของสถาปนิกอุดมคติบางคนแม้ในช่วงเวลาวิกฤต<br />

ซึ่งต่อไปจะเป็นประโยชน์ในการสร้างอัตลักษณ์สถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่ของญี่ปุ่น วิธีการออกแบบเช่นนี้สถาปนิกไทยยังไปไม่ถึง<br />

จึงไม่มีตัวอย่างเปรียบเทียบ แต่ก็เป็นสัญญาณบอกถึงระยะห่างของ<br />

ภูมิความรู้ระหว่างญี่ปุ่นกับไทย และเป็นเวลาอีกยาวนานที่ฝ่ายไทย<br />

จะไล่ตามทัน<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

407


เชิงอรรถบทที่ 4<br />

1 Framton Kenneth and Kudo Kunio, Japanese<br />

building Practice, From Ancient Times to the<br />

Meiji Period (New York: Van Nostrand Rienhold,<br />

1997), 86, 87.<br />

2 Ibid., 90.<br />

3 “จดหมายเหตุสยามไสมย ล.3 ผ.3,” วันพุฒ เดือน<br />

10 ขึ้น 4 ค่า ปีมะแม เบญจศก 1245, 19.<br />

4 “แจ้งความเรื่องสวนดุสิต” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม<br />

15, ตอนที่5 (7 มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก 117): 543.<br />

5 David B. Stewart, The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present<br />

(Tokyo: Kodansha international, 1987), 44.<br />

6 Yutaka Hidaka, accessed April 21, 2017,<br />

available from www.nikken.co.jp/ja/ar<br />

chives/60002.html<br />

7 Shunsuke Otani, “The Dawn of Structural<br />

Earthquake Engineering in Japan” (the 14th<br />

World Conference on Earthquake Engineering,<br />

October 12-17, 2008, Beijing, China), 5, 8.<br />

8 About AIJ-Architectural Institute of Japan(AIJ),<br />

accessed April 24, 2017, available from http://<br />

www.aij.or.jp./eng/ about/about.html<br />

9 General lists of Journal of Architecture and<br />

Building Science Part 1 to 49, (1936), accessed<br />

April 24, 2017, available from http://www.aij.<br />

or.jp/da1/kaishimokuroku/mokuroku.html<br />

10 Ibid. วารสารนี้ยังพิมพ์เผยแพร่จนทุกวันนี้ในชื่อ<br />

ใหม่ว่า วารสารสถาปัตยกรรมและวิทยาการอาคาร<br />

(Journal of Architecture and Building Science)<br />

11 สมชาติ จึงสิริอารักษ์, สถาปัตยกรรมแบบตะวัน<br />

ตกในสยามสมัยรัชกาลที่ 4- พ.ศ.2480 (กรุงเทพฯ:<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2553), 173.<br />

12 เรื่องเดียวกัน, 124- 126.<br />

13 เรื่องเดียวกัน, 221-222.<br />

14 เรื่องเดียวกัน, 132.<br />

15 เรื่องเดียวกัน, 196.<br />

16 ชาตรี ประกิตนนทการ, “สถาปนิก ความรู้ โรงเรียน<br />

สถาปัตยกรรม,” หน้าจั่ว ว่าด้วยประวัติศาสตร์<br />

สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย 13 (มกราคม<br />

2559-ธันวาคม 2559): 88.<br />

17 คาร์ล เดอริงก์, “สถาปัตยกรรมสยาม,” แปลโดย<br />

อาภา โอตระกูล ใน เยอรมันมองไทย, เคลาส เวงค์<br />

และ เคลาส โรสเซ็นแบร์ก ผู้รวบรวม (พระนคร:<br />

เคล็ดไท, 2520), 88.<br />

18 “ตาแหน่งข้าราชการกระทรวงโยธาธิการ” ราชกิจ<br />

จานุเบกษา เล่ม 9, ตอนที่ 32 (6 พฤศจิกายน<br />

1892): 266.<br />

19 “ตาแหน่งข้าราชการในกระทรวงโยธาธิการ” ราช<br />

กิจจานุเบกษา เล่ม 24, ตอนที่ 25 (22 กันยายน<br />

รัตนโกสินทร์ศก 126): 613.<br />

20 Jan Lahmeyer, Historical demographical data<br />

of the whole country, accessed May 30, 2016,<br />

available from http://www.populstat.info/<br />

21 “เสด็จพระราชดำเนินเปิดคลองรังสิตประยุรศักดิ์<br />

แลเสด็จพระราชวังบางปอิน” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 13, ตอนที่ 35 (29 พฤศจิกายน 1896): 431.<br />

22 Watanabe Toshio, “Josiah Conder’s Rokumei<br />

kan: Architecture and National Representation<br />

in Meiji Japan,” Art Journal 55, 3 (Fall 1996):<br />

24, 25.<br />

23 “เสด็จพระราชดำเนินวังบุรพาภิรมย์ ในการซึ่งที่<br />

ปฤกษาของผู้สาเร็จราชการแผ่นดินมีการสมโภช<br />

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์” ราช<br />

กิจจานุเบกษา เล่ม 14, แผ่นที่ 43 (23 มกราคม<br />

รัตนโกสินทร์ศก 116): 736-739.<br />

24 “งานราตรีสโมสรที่วังบุรพาภิรมย์” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา เล่ม 16, ตอนที่ 21 (20 สิงหาคม 1899):<br />

264.<br />

25 “ราตรีสโมสรเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระเจ้าลูก<br />

ยาเธอเจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิตที่วังบุรพา<br />

ภิรมย์” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 18, ตอนที่ 47 (23<br />

กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก 120): 895-896.<br />

26 “การราตรีสโมสรเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จ<br />

พระบรมโอรสาธิราช ที่วังบุรพาภิรมย์” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา เล่ม 19, ตอนที่ 49 (22 กุมภาพันธ์<br />

รัตนโกสินทร์ศก 121): 941-942.<br />

27 “การราตรีสโมสรเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จ<br />

พระบรมโอรสาธิราช ที่วังบุรพาภิรมย์” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา, 941-942.<br />

28 Watanabe Toshio, “Josiah Conder’s Rokumei<br />

kan: Architecture and National Representation<br />

in Meiji Japan,” 26.<br />

29 Ibid., 25.<br />

30 Shimizu Yuichiro, Shaping the Diet: Competing<br />

Architectural Designs for Japan’s Diet Building,<br />

accessed January 13, 2015, available from<br />

http://papers.ssru.com/sol3/papaers, 15.<br />

31 Jonathan M. Reynolds, “Japan’s Imperial Diet<br />

Building: Debate over Construction of a<br />

National Identity,” Art Journal 55, 3 (Fall 1996):<br />

40.<br />

32 Shimizu Yuichiro, Shaping the Diet: Competing<br />

Architectural Designs for Japan’s Diet Building,<br />

Social Science Research Network, accessed<br />

January 13, 2014, available from http://papers.<br />

ssru.com/sol3/papers, 16.<br />

33 Ibid., 21.<br />

34 Ibid.<br />

35 สมชาติ จึงสิริอารักษ์, สถาปัตยกรรมแบบตะวัน<br />

ตกในสยามสมัยรัชกาลที่ 4- พ.ศ.2480, 341.<br />

36 Jonathan M. Reynolds, Maekawa Kunio and<br />

the Emergence of Japanese Modernist<br />

Architecture (Berkeley: University of California<br />

Press, 2001), 37.<br />

37 Oshima Ken Tadashi, International architecture<br />

in Interwar Japan (Seattle: University of Wash<br />

ington Press, 2009), 215.<br />

38 Ibid., 231-232.<br />

39 Ibid.<br />

40 “Memorandum by Prince Bidya on the<br />

Organization of Athletics,” March 22nd 1933,<br />

เอกสารสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, (2)<br />

สร0201.29/3, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

41 “รายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ<br />

408 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เนื่องในพิธีเริ่มงานกรีฑาประจาปีของกระทรวง<br />

ศึกษาธิการ พุทธศักราช 2484,” 1 ธันวาคม 2484,<br />

เอกสารสานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี, (2)<br />

สร0201.29/2, หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

42 Sato Yoshiaki, The Kanagawa Prefectural<br />

Government Hall and Low-ranking Official<br />

Architects in Taisho and Early Showa Era,<br />

Viewing from History of Architecture, accessed<br />

December 12, 2016, available from www.ka<br />

mome.lib. ynu.ac.jp/dspace/bis<br />

tream/10131/425/9/11734506-09.pdf, iv.<br />

43 “แถลงนโยบายของรัฐบาล คณะที่นายพันเอก<br />

พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี 23<br />

ธันวาคม 2480” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 54 (3<br />

มกราคม 2480): 2336-2337.<br />

44 พระพรหมพิจิตร, พรหมพิจิตร์อนุสรณ์ (พระนคร:<br />

โรงพิมพ์พระจันทร์, 2508), ไม่มีเลขหน้า.<br />

45 Jacquet Benoit, Compromising Modernity:<br />

Japanese Monumentality during World War II,<br />

accessed January 11, 2017, available from<br />

https://www.academia.edu/170, 5.<br />

46 Ibid.<br />

47 “ประกาศสานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมใช้ชื่อ<br />

ประเทศ, ประชาชน และสัญชาติ” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา เล่ม 56 (24 มิถุนายน 2482): 810.<br />

เปรียบเทียบพัฒนาการของสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยาม<br />

409


5<br />

บทสรุป<br />

410 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


412 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่นและสยามคือ<br />

ภาพสะท้อนอุดมคติแห่งยุคสมัยของชาติทั้ง2 ในการสร้างความเจริญ<br />

รุ่งเรืองและอัตลักษณ์ของตนเองในช่วงเวลาใหม่ของประวัติศาสตร์<br />

โลกที่ครอบงำโดยวัฒนธรรมตะวันตก ตั้งแต่ทั้ง 2 ประเทศถูกบีบ<br />

บังคับให้เปิดประเทศในกลางศตวรรษที่ 19 เจตจำนงที่จะเป็น<br />

เอกราชและหลุดพ้นจากสถานะประเทศชั้น 2 ทำให้ทั้ง 2 ประเทศ<br />

ดำเนินการพัฒนาประเทศด้านต่างๆ อย่างต่อเนื่องตามบริบททาง<br />

สังคมวัฒนธรรมของแต่ละประเทศจะอำนวยให้ สถาปัตยกรรมเป็น<br />

หลักฐานและอนุสาวรีย์ของการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญทาง<br />

ประวัติศาสตร์ของทั้ง 2 ประเทศนี้ ซึ่งจะสรุปตามลำดับเวลาดังนี้<br />

ในช่วงแรกสุดของการศึกษาคือยุคหน่ออ่อนของ<br />

สถาปัตยกรรมตะวันตก (1850-1868) นั้น พระบาทสมเด็จ<br />

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีความอ่อนไหวที่รวดเร็วต่ออิทธิพล<br />

ของจักรวรรดินิยม ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พวกช่างหลวง<br />

รีบสร้างพระราชวังแบบตะวันตกขึ้นมาอย่างรวดเร็วตามความรู้<br />

ความสามารถของตัวเอง เพื่อสร้างภาพความศิวิไลซ์ทาง<br />

วัฒนธรรมให้มหาอำนาจตะวันตกได้รับรู้ว่าสยามไม่ได้ป่าเถื่อน<br />

แต่สถาปัตยกรรมเหล่านี้เป็นเพียงสิ่งก่อสร้างที่มีความงามอย่างผิวเผิน<br />

ที่ห่อหุ้มภูมิปัญญาการก่อสร้างแบบโบราณของสยามทั้งสิ้น<br />

มันเป็นเพียงเครื่องมือทางการทูตที่ชาญฉลาดอย่างหนึ่งของ<br />

สยามเท่านั้น เวลาเดียวกันนั้นเป็นเวลาแห่งศึกสงครามช่วงชิงอ ำนาจ<br />

ภายในของญี่ปุ่นระหว่างโชกุนกับฝ่ายฟื้นฟูอำนาจจักรพรรดิ<br />

อาคารที่เขาสร้างจึงมุ่งที่อาคารอุตสาหกรรมและการทหารแบบใหม่<br />

ที่มีวิศวกรตะวันตกเป็นผู้ออกแบบ อาคารเหล่านี้ไม่ได้ดูสวยงาม<br />

เหมือนพระราชวังในสยามแต่มันเป็นความรู้ในการก่อสร้างแบบใหม่<br />

ทั้งการวางผัง การออกแบบโครงสร้าง และการใช้วัสดุแบบใหม่ที่<br />

จะเป็นพื้นฐานในการพัฒนาศักยภาพให้ญี่ปุ่นเป็นชาติอุตสาหกรรม<br />

และนักรบในเวลาต่อมา<br />

ช่วงที่ 2 คือช่วงสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกยุคแรก (ปลาย<br />

ทศวรรษ 1860-1870) หรือยุคเปลี่ยนผ่าน ซึ่งตรงกับรัชสมัยเมจิ<br />

ในญี่ปุ่นและรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของสยาม<br />

ตอนต้นของรัชกาลทั้ง 2 ประเทศนี้การสร้างสถาปัตยกรรมตะวันตก<br />

ยังเป็นการเลียนแบบอย่างซื ่อๆ ของช่างพื้นเมืองที่จะหมดหน้าที่<br />

ไปอย่างรวดเร็ว และหน้าที่นี้ตกมาเป็นของสถาปนิกชาวตะวันตก<br />

บทสรุป<br />

413


แท้ๆ เพราะความต้องการอาคารที่มีประโยชน์ใช้งานและความถูกต้อง<br />

ของรูปลักษณ์แต่ปัญหาที่ทั้ง2 ชาติประสบก็คือสถาปนิกชาวตะวันตก<br />

รุ่นแรกนั้นเป็นสถาปนิกประเภทมากประสบการณ์แต่ไม่มากคุณภาพ<br />

สถาปนิกไม่สามารถสนองความต้องการของโครงการที่<br />

ทะเยอทะยานของรัฐบาลญี่ปุ่นได้ ในกรณีของสยามสถาปนิกเป็น<br />

ผู้รับเหมาไปด้วยในขณะเดียวกันและผลิตงานคุณภาพต่ ำ นี่เป็นสาเหตุ<br />

สำคัญที่นำไปสู่การปฏิรูปการก่อสร้างทั้ง 2 ประเทศ<br />

ช่วงที่3 คือช่วงสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกยุคปฏิรูป (ปลาย<br />

ทศวรรษ1870-1910) ซึ่งต่อเนื่องจากช่วงที่ 2 ไปจนสิ้นรัชสมัย<br />

ของรัชกาลทั้ง 2 มันเป็นยุคแห่งการเปลี่ยนแปลงคุณภาพของ<br />

ประเทศทั้ง 2 การปฏิรูปทางสถาปัตยกรรมเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ<br />

การปฏิรูปประเทศ โดยเฉพาะญี่ปุ่นที่มีการวางแผนปฏิรูปประเทศ<br />

อย่างเป็นระบบทุกองคาพยพ การเมืองการปกครอง การศึกษา<br />

เศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และการทหาร เป็นต้น ความสำเร็จในการ<br />

พัฒนาการศึกษาอย่างรวดเร็วในทุกระดับเป็นปัจจัยพื้นฐานของ<br />

ความสำเร็จในการปฏิรูปประเทศของญี่ปุ่น สำหรับการศึกษา<br />

สถาปัตยกรรมในทศวรรษ 1870 ญี่ปุ่นเริ่มด้วยการเชิญโจไซอา<br />

คอนเดอร์ สถาปนิกหนุ่มชาวอังกฤษมาเป็นอาจารย์สอนวิชา<br />

สถาปัตยกรรมให้นักศึกษาญี่ปุ่นในมหาวิทยาลัยโตเกียวที่เพิ่งก่อตั้ง<br />

ปลายทศวรรษ 1880 ทัตสุโนะ คิงโกะ ลูกศิษย์ชาวญี่ปุ่นรุ่นแรก<br />

ของคอนเดอร์ก็สามารถรับช่วงการสอนเองได้หมด ในเวลาไล่เรี่ย<br />

กันรัฐบาลจ้างกลุ่มสถาปนิกเยอรมันเอนเดอร์และบ๊อคมานน์<br />

ที่มีความสามารถมาออกแบบโครงการอาคารกระทรวง ทบวง กรม<br />

และผังเมืองขนาดใหญ่ที่โตเกียว คนเหล่านี้ได้ถ่ายทอดความรู้เชิง<br />

วิชาชีพให้กับผู้ช่วยชาวญี่ปุ่นของเขาอย่างมากมาย ทำให้ในช่วง<br />

ทศวรรษ 1890 วงการสถาปนิกญี่ปุ่นก็สามารถตั้งหลักได้อย่าง<br />

มั่นคงทั้งวิชาการและวิชาชีพ ด้วยกลยุทธการบริหารที่ชาญฉลาด<br />

ของรัฐบาลในการวางแผนการปลูกถ่ายความรู้จากชาติตะวันตก<br />

มาสู่คนพื้นเมืองอย่างเป็นระบบนี้เอง<br />

ขณะที่สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกกำลังเติบโตเบ่งบานนั้น<br />

ปฏิกิริยาจากวัฒนธรรมหลงเชื้อชาติก็สร้างสถาปัตยกรรมชาตินิยม<br />

ขึ้นในช่วงทศวรรษ 1890 นั่นเอง อาคารเหล่านี้ที่ใช้ผังแบบคลาสสิค<br />

แต่หุ้มห่อด้วยลักษณะผนังแบบญี่ปุ่นและคลุมด้วยหลังคาแบบ<br />

วัดโบราณซึ่งเป็นจุดที่เด่นที่สุด ที่มาของอาคารแบบนี้ก็คือแบบร่าง<br />

รัฐสภาแบบที ่ 2 ที่เอนเดอร์และบ๊อคมานน์สร้างสรรค์ขึ้นจาก<br />

สถาปัตยกรรมแบบชีวาซูรี่หรือจีนนิยมของยุโรปในศตวรรษที่ 18<br />

แต่อาคารแบบชาตินิยมยังไม่แพร่หลายจนกระทั่งยุคไทโชเมื่อ<br />

ลัทธิชาตินิยมเบ่งบาน<br />

เมื่อญี่ปุ่นพัฒนาไปสู่การพึ่งตัวเองได้แล้วนั้น การปฏิรูปการ<br />

ปกครองแผ่นดินของสยามตอนปลายทศวรรษ 1880 เป็นการปฏิรูป<br />

เพื่อการพึ่งพาผู้อื่น บุคลากรที่เป็นเครื่องจักรสำคัญในการวางแผน<br />

และกำกับการทำงานจริงล้วนเป็นผู้เชี่ยวชาญทางต่างชาติทั้งสิ้น<br />

ซึ่งรวมทั้งงานออกแบบก่อสร้างสถาปัตยกรรมที่เป็นหน้าที่หลักของ<br />

กรมโยธาธิการที่ตั้งขึ้นใหม่ด้วยเช่นกัน ก็ตกอยู่ในการกำกับของ<br />

คณะวิศวกรและสถาปนิกชาวอิตาเลียน นอกจากนั้นสยามยัง<br />

เชื่องช้ามากในการพัฒนาด้านการศึกษาทั้งระดับพื้นฐานและระดับ<br />

อุดมศึกษา ดังนั้นจึงไม่มีการปลูกถ่ายความรู้แบบญี่ปุ่นเกิดขึ้น<br />

ในสยาม สยามยังอยู่ในภาวะพึ่งพามันสมองจากต่างแดน แต่ถ้าหาก<br />

ดูผิวเผินเพียงแต่ตัวสิ่งก่อสร้างเราก็อาจกล่าวได้ว่าสยามมีอาคารดีๆ<br />

มากมายแบบที่ญี่ปุ่นมีทั้งแบบคลาสสิค โรแมนติก และอาร์ตนูโว<br />

โดยเฉพาะพระราชวังต่างๆ อาคารพักอาศัยของชนชั้นสูงและ<br />

อาคารที่ทำการของกระทรวงต่างๆ ของรัฐบาล แต่ขณะเดียวกัน<br />

อาคารสาธารณูปโภคและอาคารสาธารณะสำหรับชนชั้นกลา<br />

งที่เอกชนสร้างนั้นญี่ปุ่นมีมากกว่าอย่างเห็นได้ชัดเพราะการเติบโต<br />

ทางเศรษฐกิจที่ก้าวสู่สังคมทุนนิยมอย่างเต็มตัว ขณะที่สยามยังคง<br />

เป็นสังคมเกษตรกรรมและมุ่งที่จะเป็นประเทศเกษตรกรรม<br />

ที่สามารถเลี้ยงดูประชากรที่ยังเบาบางอยู่ของตนต่อไป ดังนั้น<br />

ตั้งแต่ปลายศตวรรษที่19 เป็นต้นไปการพัฒนาทางสถาปัตยกรรม<br />

ของทั้ง 2 ประเทศจะห่างไกลออกไปเรื่อยๆ ดังจะได้กล่าวต่อไป<br />

414 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


การสร้างอาคารด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณในสยาม<br />

ช่วงนี้มาจากแนวคิดอนุรักษ์นิยมมากกว่าชาตินิยมแบบญี่ปุ่นและ<br />

มีตัวอย่างให้เห็นตั้งแต่การสร้างพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทใน<br />

ค.ศ. 1875 แต่ความขัดแย้งเรื่องแบบตะวันตกของใหม่กับแบบไทย<br />

ของเดิมนั้นก็ตกลงประนีประนอมกันได้สำเร็จด้วยอาคารแบบ<br />

คลาสสิคที่มีปราสาท 3 ยอด พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้า<br />

อยู่หัวยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างอาคารรูปแบบผสม<br />

ระหว่างตะวันตกและไทยขึ้นอีกหลายแห่งในช่วงทศวรรษ1890-1900<br />

ส่วนใหญ่เป็นอาคารในพระพุทธศาสนา ที่สำคัญคือการบูรณะ<br />

พระอุโบสถวัดราชาธิวาสราชวรวิหารของสมเด็จฯ เจ้าฟ้า<br />

กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ร่วมกับวิศวกรคาร์โล อัลเลอกรีที่<br />

เป็นการออกแบบประสานกันระหว่างผังแบบไทย อาคารแบบเขมร<br />

ประยุกต์ และโครงสร้างค้ำยันลอยแบบโกธิคประยุกต์ นับเป็นงาน<br />

แบบอนุรักษ์นิยมที่สร้างสรรค์ที่สุดและกล่าวได้ว่าเป็นงานแบบ<br />

อนุรักษ์นิยมที่ทำได้น่าสนใจกว่างานชาตินิยมร่วมสมัยของญี่ปุ่น<br />

เสียอีก พระอุโบสถนี้จะเป็นแรงบันดาลใจต่อการออกแบบ<br />

สถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ในช่วงทศวรรษ 1930-1940<br />

ช่วงที่ 4 คือช่วงสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ช่วงแรก (ประมาณ<br />

ค.ศ. 1910-1926) ซึ่งตรงกับรัชสมัยไทโชในญี่ปุ่นและรัชกาล<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวของสยาม รัชสมัยไทโช<br />

(1912-1926) คือยุคสมัยใหม่ของญี่ปุ่น มันมาพร้อมกับความเป็น<br />

ประเทศอุตสาหกรรมทุนนิยมทางเศรษฐกิจ ประชาธิปไตยภายใต้<br />

กำกับของกลุ่มคณาธิปไตยและทหารทางสังคมการเมือง และ<br />

ดำเนินนโยบายต่างประเทศด้วยวิถีจักรวรรดินิยมทหาร บริบทสังคม<br />

ทุนนิยมกึ่งประชาธิปไตยและเผด็จการทหารนี้นำสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่เข้ามาแพร่หลายในญี่ปุ่น เพราะญี่ปุ่นยังเปิดรับวัฒนธรรม<br />

ตะวันตกอย่างเต็มที่แม้ว่าพวกชนชั้นนำจะไม่ชอบนักก็ตาม<br />

ระบบการศึกษาที่ตามติดวิทยาการของตะวันตกมาตั้งแต่สมัยเมจิ<br />

และสถาปนิกรุ่นใหม่ของญี่ปุ่นเริ่มเดินทางไปศึกษาสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่ในเยอรมันตั้งแต่ทศวรรษแรกของศตวรรษ 20 ได้นำ<br />

แนวคิดแบบสากลนิยมสมัยใหม่เข้ามา สิ่งเหล่านี้ได้ตกผลึกเกิด<br />

กลุ ่มสถาปนิกหัวก้าวหน้า เช่น กลุ่มบุนริฮา นำโดย โฮริกูชิ ซูเตมิ<br />

ใน ค.ศ. 1920 ที่ประกาศตนเป็นกบฏกับการออกแบบโดยใช้<br />

รูปแบบโบราณแต่ก็ไม่ต้องการตัดขาดจากสถาปัตยกรรมในอดีต<br />

เสียทีเดียว พวกเขาเสนอรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเรียบเกลี้ยง<br />

เหมือนประติมากรรมที่ได้รับอิทธิพลจากพวกเอ๊กเพรสชั่นนิสม์<br />

ของเยอรมัน เช่น อาคารสำนักงานกลางโทรเลขแห่งกรุงโตเกียว<br />

(1925) อาคารสำนักงานหนังสือพิมพ์อาซาฮีที่กรุงโตเกียว (1927)<br />

เป็นต้น บ้านพักอาศัยชื่อชิเอนโซที่เมืองวาราบิ (1926) ที่โฮริกูชิ<br />

ออกแบบเองแสดงความพยายามใส่อัตลักษณ์ญี่ปุ่นลงในบ้าน<br />

แบบพื้นถิ่นดัทช์ผสมสมัยใหม่ นอกจากนี้ยังมีพวกใช้หลักเหตุผล<br />

แบบวิศวกร เช่น ซาโน โตชิคาตะ ออกแบบบ้านพักซาโน (1923)<br />

ที่โอซาก้า ในลักษณะกล่องลูกบาศก์คอนกรีตที่เรียบเกลี้ยงแบบงาน<br />

วิศวกรรม ส่วนผู้ที่มีส่วนสำคัญที่สุดในการนำแนวทางออกแบบ<br />

สากลนิยมสมัยใหม่ของวอลเตอร์ โกรเปียสและเลอคอร์บูซิเอร์<br />

มาเผยแพร่ในญี่ปุ่นกลับเป็นสถาปนิกชาวอเมริกัน-เช็ค อันโตนิน<br />

เรย์มอนด์ ที่ออกแบบบ้านไรนานซากา (1924) ที่กรุงโตเกียวในรูป<br />

ลักษณ์แบบโกรเปียสผสมคอร์บู ช่วงเวลานี้จึงเป็นช่วงแห่งการ<br />

บุกเบิกสถาปัตยกรรมสมัยใหม่และแนวคิดที่จะสร้างอัตลักษณ์<br />

ญี่ปุ่นลงในนวัตกรรมจากต่างแดนนี้ ซึ่งจะพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง<br />

ในทศวรรษ 1930-1940 ที่เป็นช่วงแห่งการสร้างอัตลักษณ์ญี่ปุ่น<br />

ในสถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่<br />

การสร้างสรรค์ในแนวตรงข้ามกับพวกสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

คือ สถาปัตยกรรมชาตินิยม ในรัชสมัยไทโชได้รับการสนับสนุนจาก<br />

พวกชาตินิยม จักรวรรดินิยม และอนุรักษ์นิยมที่มีไม่น้อยกว่า<br />

พวกนิยมประชาธิปไตย ผู้นำในการออกแบบและวิชาการคือ อิโตะ<br />

ชูตะที่เสนอทฤษฎีวิวัฒนาการแห่งสถาปัตยกรรมตั้งแต่ ค.ศ. 1909<br />

ในปลายรัชสมัยเมจิ สาระสำคัญของทฤษฎีคือสถาปัตยกรรมญี่ปุ่น<br />

มีรากเหง้ามาจากสถาปัตยกรรมกรีกและวิวัฒนาการผ่านอินเดีย<br />

และจีน ทำให้สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นเป็นเพียงสถาปัตยกรรมเดียวของ<br />

บทสรุป<br />

415


เอเชียที่มีพัฒนาการต่อเนื่องแบบเดียวกับชาติตะวันตกสมควรเป็น<br />

ตัวแทนและผู้นำแห่งสถาปัตยกรรมของโลกตะวันออกที่แท้จริง<br />

ไม่น่าแปลกใจที่ทฤษฎีของเขาได้รับการตอบรับจากทั้งรัฐบาลและ<br />

ฝ่ายศาสนาที่กำลังสร้างร่วมวงไพบูลย์แห่งมหาเอเชียบูรพา หรือ<br />

นโยบายเจ้าเอเชียตะวันออกของญี่ปุ่นนั่นเอง ในทางปฏิบัติอิโตะ<br />

นิยมเจดีย์อินเดียแบบคันธารราชเพราะเป็นแบบศิลปะที่พัฒนามา<br />

จากกรีก แต่เจดีย์คันธารราชของอิโตะ เช่น อนุสาวรีย์โกโกกุโตะ<br />

(1911) หรืออนุสาวรีย์วีรชนทหารผู้ปกป้องบ้านเมือง ที่วัดคาสุอิไซ<br />

เมืองฟุคุโรอินั้นแม้จะดูเป็นเจดีย์จีน-ทิเบตมากกว่าอินเดีย แต่มัน<br />

ก็สามารถอธิบายรากฐานที่ศิวิไลซ์ของแบบได้ทางทฤษฎีและอิโตะ<br />

ก็ไม่นิยมงานผลิตซ้ำสถาปัตยกรรมโบราณอย่างที่สถาปนิกอื่นทำ<br />

นอกจากนี้อิโตะยังเลือกสถูปแบบสยามสำหรับสถูปโฮอันโตะ<br />

(1918) วัดนิสเซนจิ เมืองนาโงย่าสำหรับบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ<br />

ที่ได้รับจากสยามใน ค.ศ. 1900 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสถาปัตยกรรม<br />

ของเขาก็หนีไม่พ้นการผสมผสานรูปแบบสถาปัตยกรรมโบราณ<br />

ทั้งหลาย แต่เนื่องจากอิโตะศึกษาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม<br />

อย่างลึกซึ้งเขาจึงสามารถเลือกแบบได้มากและแนบเนียนกว่า<br />

สถาปนิกทั่วไป ซึ่งตรงข้ามกับสถาปัตยกรรมแบบมงกุฎจักรพรรดิ<br />

หรือไทคันโยชิกิที่มีผังแบบตะวันตกและใส่หลังคาญี่ปุ่นและ<br />

เป็นที่รู้จักกันแพร่หลายในหมู่มวลชนว่าเป็นแบบประจำชาติตั้งแต่<br />

ปลายสมัยเมจิ มาในยุคไทโชนี้มันได้รับการออกแบบอย่างประณีต<br />

ยิ่งขึ้นไปอีก เช่น อาคารคลังสมบัติหรือโฮบุตสุเดน (1921) แห่ง<br />

ศาลเจ้าเมจิ กรุงโตเกียว เป็นการผลิตซ้ำสถาปัตยกรรมโบราณ<br />

แต่สร้างด้วยคอนกรีต โครงการประกวดแบบรัฐสภาแห่งชาติ(ไดเอท)<br />

ใน ค.ศ.1918 ที่สถาบันสถาปนิกจัดโต้วาทีเพื่อให้ได้ข้อสรุปเรื่องรูปแบบ<br />

ที่เหมาะสม ซึ่งสรุปได้เพียงว่าควรจะเป็นสื่อของ “อุดมคติของญี่ปุ่น”<br />

แต่ผลการตัดสินปรากฏว่าแบบที่ชนะทั้ง 3 แบบล้วนเป็นแบบ<br />

คลาสสิคชนิดผสมผสานทั้งสิ้น ซึ่งไม่เป็นที่พอใจของทั้งกรรมการ<br />

ตัดสินและสาธารณชน จึงมีผู้ส่งแบบคลาสสิคที ่หลังคาเป็น<br />

ที่ตั้งปราสาทญี่ปุ่นโบราณมาให้กรรมการตัดสินพิจารณาซึ่งก็ไม่ได้<br />

รับความเห็นชอบเช่นกัน สุดท้ายคณะกรรมการตัดสินใจดัดแปลง<br />

แบบเพื่อการสร้างจริงเองโดยตัดลวดลายตกแต่งของแบบชนะเลิศ<br />

ออกหมด เปลี่ยนหลังคาโดมเป็นหลังคาปิรามิดขั้นบันไดแทน<br />

ทั้งนี้เพื่อแสดงว่าอาคารเป็นแบบสมัยใหม่ซึ่งแปลว่าสังคมญี่ปุ่นเอง<br />

ยังลังเลในการเลือกแสดงอัตลักษณ์ของตนเองผ่านสถาปัตยกรรม<br />

รูปแบบไหนดี ดังนั้นวาทกรรม “ความเป็นญี่ปุ่น” และ “ความเป็น<br />

สมัยใหม่” ในสังคมญี่ปุ่นสมัยไทโชนั้นจึงมีหลายมิติแม้ในพวก<br />

สถาปนิกด้วยกันเอง มันขึ้นอยู่กับประสบการณ์ ความเชื่อ และ<br />

การศึกษาที่ไม่ตายตัว<br />

สำหรับสยามในทางทฤษฎีนั้นสถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ยังไม่เกิดขึ้นในสยามสมัยรัชกาลที่6 แม้ว่าเราจะสร้างอาคารใหม่ๆ<br />

จำนวนไม่น้อยแต่ความจริงมันเป็นงานผลิตซ้ำในสมัยรัชกาลที่ 5<br />

คฤหาสน์อย่างบ้านนรสิงห์ (1923-1926) พัฒนามาจากพระที่นั่ง<br />

อัมพรสถาน (1906) ที่เป็นงานอาร์ตนูโวแต่แต่งหน้าใหม่ด้วย<br />

สถาปัตยกรรมโกธิคแบบเวนิส อาคารที่มีพัฒนากลับเป็นอาคาร<br />

สาธารณูปโภค เช่น โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทย<br />

(1912-1914) ที่อาคารหลายหลังสร้างด้วยคอนกรีตรูปทรงเรียบเกลี้ยง<br />

เช่น ตึกผ่าตัด (1914) หอผู้ป่วยชั้นเดียวแบบบังกะโลคอนกรีต<br />

หลังคาแบน (1914) โรงกรองน้ำประปาสามเสน (1914) เป็นอาคาร<br />

คอนกรีตเสริมเหล็กหลังคาโครงทรัสเหล็ก โถงชานชาลาสถานี<br />

รถไฟกรุงเทพฯ หัวลำโพง (1916) เป็นอาคารโครงสร้างเหล็ก หลังคา<br />

ทรัสเหล็กโค้งประทุนรูปเกือบครึ่งวงกลมคลุมช่วงกว้าง 50 เมตร<br />

โรงซ่อมรถโดยสาร มักกะสัน (1922) โครงสร้างผสมอิฐก่อเสริม<br />

คานวงโค้งคอนกรีต ตึกประถมหนึ่งโรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์<br />

(1913) สร้างเป็นตึกแถวคอนกรีต 3 ชั้นมีเสาระเบียงคอนกรีต<br />

เรียงเป็นแถวเหมือนโรงเรียนห้องแถวไม้ในยุคก่อน โบสถ์น้อย<br />

เซนต์โยเซฟคอนแวนต์ (1920) เป็นอาคารคอนกรีต 3 ชั้นเรียบง่าย<br />

ที่วางผังตัวโบสถ์ ห้องเรียนและห้องสังฆภัณฑ์ได้อย่างลงตัวใน<br />

กรอบสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่เรียบง่าย ห้างทองตั้งโต๊ะกัง สำเพ็ง (1921)<br />

เป็นตึกแถวคอนกรีตสูง 6 ชั้น อาคารพวกนี้สร้างโดยไม่มีทฤษฎี<br />

ออกแบบสถาปัตยกรรมสมัยใหม่รองรับ แต่เป็นผลจากการใช้วัสดุ<br />

416 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ใหม่คือคอนกรีตที่มาจากปูนซีเมนต์พอร์ทแลนด์ที่สยามผลิตจ ำหน่าย<br />

ได้ใน ค.ศ. 1913 อาคารคอนกรีตออกแบบโดยวิศวกรและผู้รับ<br />

เหมาด้วยหลักการสนองประโยชน์ใช้สอย เรียบง่าย แข็งแรง<br />

ตรงไปตรงมา และราคาประหยัด เมื่อเทียบกับสถาปัตยกรรม<br />

สมัยใหม่ร่วมสมัยในญี่ปุ่นจะเห็นได้ว่าอาคารคอนกรีตในสยาม<br />

ไม่มีแนวคิด ทฤษฎี และประวัติศาสตร์รองรับแบบที่ญี่ปุ่นมี และ<br />

ที่สำคัญที่สุดคืออาคารคอนกรีตชั้นดีในสยามเป็นนวัตกรรมของ<br />

คนต่างชาติขณะที่สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นคิดและสร้างเอง<br />

โดยสถาปนิกญี่ปุ่น นี่คือผลของการวางแผนและพัฒนาประเทศ<br />

ที่แตกต่างกันตั้งแต่ทศวรรษ 1870 เป็นต้นมา โดยเฉพาะเรื่อง<br />

การปฏิรูปการศึกษาและการปลูกถ่ายความรู้ดังได้กล่าวมาแล้ว<br />

แม้ว่าการพัฒนาในแนวสถาปัตยกรรมสมัยใหม่จะแตกต่าง<br />

กันมาก แต่พัฒนาการด้านสถาปัตยกรรมชาตินิยมของสยาม<br />

กลับมีเรื่องราวที่น่าสนใจ ความไม่มั่นคงในราชบัลลังก์จากพวก<br />

เตรียมก่อการกบฏใน ค.ศ. 1911 ที่ถูกจับกุมได้ทั้งหมดทำให้<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงประกาศอุดมการณ์<br />

แห่งชาติว่าด้วย “ชาติ ศาสน์ กษัตริย์” เพื่อให้ชาวไทยยึดมั่นใน<br />

องค์พระมหากษัตริย์ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การเคารพ<br />

สักการะและปฏิบัติตามคำสอนในศาสนาพุทธ และการรักชาติ<br />

ซึ่งหมายถึงแผ่นดินและประชาชนเชื้อชาติไทยที่ปฏิบัติตามเงื่อนไข<br />

2 ประการแรก ในการนี้ทำให้ทรงมีพระราชดำริในการฟื้นฟู ทำนุ<br />

บำรุง และสืบสานต่อศิลปะวัฒนธรรมไทยโบราณทั้งหลายรวมถึง<br />

สถาปัตยกรรมไทย ซึ่งทรงยกย่องโบราณสถานของเมืองเก่า<br />

สุโขทัยว่าเป็นหลักฐานแสดงความมีอารยธรรมเก่าแก่ของชาติ<br />

และการสร้างวัดเบญจมบพิตรในสมัยรัชกาลที่ 5 ว่าเป็นตัวอย่าง<br />

การสร้างสรรค์ที่ถูกต้อง คือการใช้แบบไทยโบราณแต่สร้างด้วย<br />

วัสดุและเทคนิคสมัยใหม่ ของตะวันตก ดังนั้นจุดประสงค์ในการ<br />

สร้างสถาปัตยกรรมชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในรัชกาลนี้คือ<br />

การผลิตซ้ำศาสนสถานที่ยิ่งใหญ่ในอดีตด้วยวัสดุและโครงสร้างใหม่<br />

ที่เป็นคอนกรีต อาคารที่สำคัญ ได้แก่หอสวดโรงเรียนมหาดเล็กหลวง<br />

(1915) ออกแบบโดยพระสมิทธเลขา (ปลั่ง วิภาตะศิลปิน) ร่วมกับ<br />

เอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ สถาปนิกชาวอังกฤษ ผังเป็นรูปกากบาทแบบแกน<br />

ไม่เท่ากัน ลักษณะภายนอกเหมือนวิหารและศาลาการเปรียญ<br />

หลังคาจั่วจตุรมุขประดับช่อฟ้าใบระกา ขณะที่ลวดลายต่างๆ<br />

เป็นการผสมระหว่างซุ้มเรือนแก้วกับซุ้มโค้งยอดแหลมแบบโกธิค<br />

ตึกบัญชาการจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (1916) สร้างโดยการ<br />

ประกวดแบบระหว่างคาร์ล ดือห์ริ่งและเอ็ดเวิร์ด ฮีลีย์ โดยให้ทั้ง<br />

2 ไปดูแบบอย่างโบราณสถานที่เมืองเก่าสุโขทัยมาใช้เป็นแนว<br />

สภากรรมการโรงเรียนเลือกแบบของฮีลีย์เพราะราคาเหมาะกับ<br />

งบประมาณ ผังอาคารเป็นแบบคลาสสิครูปตัว E ลักษณะอาคาร<br />

เป็นแบบ 3 มุขเชื่อมด้วยปีกหลังคาแบบไทย ประดับช่อฟ้าใบระกา<br />

คอนกรีตและประติมากรรมคอนกรีตหล่อประดับหน้าบันฝีมือ<br />

ประติมากรอิตาเลียนโรดอลโฟ โนลี ที่ดัดแปลงมาจากงาน<br />

แบบไทยอิทธิพลเขมร สมัยสุโขทัย สถาปัตยกรรมเหล่านี้ความจริง<br />

มีจำนวนน้อยแต่มีอิทธิพลต่อมวลชนมากและต่อเนื่องยาวนาน<br />

ในแง่เป็นสถาปัตยกรรมประจำชาติที่เข้าใจง่าย เปรียบได้กับงาน<br />

แบบมงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิในญี่ปุ่น แต่อย่างไรก็ดี<br />

สยามยังไม่มีสถาปัตยกรรมชาตินิยมเชิงสัญลักษณ์ที่ใช้<br />

ทฤษฎีประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมรองรับเช่นสถาปัตยกรรม<br />

วิวัฒนาการของอิโตะ ชูตะ ทั้งนี้เป็นผลของความก้าวหน้าทาง<br />

การศึกษาที่ญี่ปุ่นมีเหนือสยามโดยตรงอย่างปฏิเสธไม่ได้<br />

ช่วงที่ 5 คือช่วงสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ช่วงที่ 2 (1926-<br />

1945) ตรงกับปีแรกของรัชสมัยโชวะของญี่ปุ่นจนถึงสิ้นสุด<br />

สงครามโลกครั้งที่ 2 และรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า<br />

เจ้าอยู่หัว (1925-1935) ต่อรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร<br />

มหาอานันทมหิดล (1935-1946) ของไทย ยุคทศวรรษ 1930-<br />

1940 เป็นยุคแห่งเผด็จการทหารและการทำสงครามจักรวรรดินิยม<br />

ของญี่ปุ่น แต่สถาปนิกเสรีนิยมและหัวก้าวหน้าร่วมกันพัฒนา<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นไปในแนวสถาปัตยกรรมสากล<br />

นิยมสมัยใหม่ของกลุ่มเบาเฮาส์และเลอคอร์บูซิเอร์ ท่ามกลาง<br />

บทสรุป<br />

417


ความไม่พอใจของพวกชาตินิยมขวาจัดและทหาร แต่พวกเขา<br />

กลับมีพื้นที่สร้างสรรค์เล็กๆ ในแวดวงของการออกแบบบ้านพัก<br />

อาศัยของคนชั้นสูงหัวสมัยใหม่ เรือนชุดพักอาศัยของชนชั้นกลาง<br />

และอาคารสาธารณประโยชน์ เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน สถานี<br />

ไปรษณีย์ โทรเลข และสถานีอุตุนิยมวิทยา เป็นต้น ตราบใด<br />

ที่สถาปนิกกลุ่มนี้ไม่ทำกิจกรรมเชิงต่อต้านรัฐและจำกัดตัวเอง<br />

ในแวดวงสถาปัตยกรรม รัฐบาลก็ยังไม่ปิดกั้นงานวิชาชีพของพวกเขา<br />

ในเวลา 2 ทศวรรษนี้สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นได้พัฒนา<br />

มาถึงขั้นการสร้างคุณภาพรูปธรรมและการสร้างอัตลักษณ์<br />

เชิงนามธรรมที่ตอบสนองคุณค่าดั้งเดิมและวิถีชีวิตยุคใหม่ของ<br />

ชาวญี่ปุ่นให้หลอมรวมอยู่ในอาคารทรงกล่องสี่เหลี่ยมแห่งแนวทาง<br />

สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่ พวกเขามีกลวิธีในการออกแบบ<br />

โดยการนำนามธรรมของวัฒนธรรมญี่ปุ่นไปบูรณาการกับ<br />

การออกแบบรูปธรรมของสากลนิยมสมัยใหม่อย่างได้ผลดี เช่น<br />

แอนโตนิน เรย์มอนด์ ออกแบบบ้านฮามาโอะ (1927) โดยการใช้<br />

ระบบพิกัดที ่สามารถรองรับห้องที่ปูเสื่อแบบญี ่ปุ่นและห้องแบบ<br />

สมัยใหม่ได้เหมือนกัน โฮริกูชิ ซูเตมิ ออกแบบบ้านโอกาดะ (1933)<br />

ที่มี2 ส่วน ส่วนแบบโบราณและส่วนสมัยใหม่โดยใช้ลานเปิดภายใน<br />

บ้านเป็นตัวแยกพื้นที่ ยามาดะ มาโมรุ ออกแบบโรงพยาบาล<br />

ไทชิน กรุงโตเกียว (1936) โดยเลือกกรุผนังอาคารด้วยกระเบื้อง<br />

เคลือบสีขาวขนาดเล็ก นอกจากจุดประสงค์เชิงประโยชน์ใช้สอย<br />

แล้ววัสดุนี้สามารถสะท้อนคุณภาพของแสงแดดที่แสดงการ<br />

เปลี่ยนแปลงบรรยากาศของฤดูกาลทั้ง 4 อันเป็นจิตวิญญาณญี่ปุ่น<br />

ที่อ่อนไหวต่อความงามของธรรมชาติ โฮริกูชิ ซูเตมิ ออกแบบ<br />

สถานีตรวจอากาศโอชิมา (1937-1938) โดยได้รับแรงบันดาลใจจาก<br />

พิธีชงชาและศาลาชงชาซึ่งเป็นปรัชญาทางจิตใจ มาออกแบบอาคาร<br />

ทรงกล่องสี่เหลี่ยมพร้อมหอคอยที่มีรูปแบบมาจากประโยชน์<br />

ใช้สอยซึ่งมาจากพื้นฐานปรัชญาการออกแบบที่เน้นวัตถุ เขาสร้าง<br />

ความสมดุลของปรัชญาขั้วตรงข้ามนี้ด้วยการออกแบบอาคาร<br />

คอนกรีตที่ตั้งอยู่อย่างกลมกลืนกับภูมิประเทศ ธรรมชาติ และ<br />

สิ่งแวดล้อม ซากากูระ จุนโซ ออกแบบศาลาญี่ปุ่นในงานนิทรรศการ<br />

นานาชาติที่กรุงปารีส 1937 เป็นอาคารกล่องสี่เหลี่ยมผังเปิดโล่ง<br />

แบบเลอคอร์บูซิเอร์ที่ผนังกลับกรุด้วยวัสดุลายสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัด<br />

แบบปราสาทญี่ปุ่นโบราณ เป็นต้น<br />

ในอีกด้านหนึ่งของการสร้างสรรค์บรรยากาศสังคมการเมือง<br />

ชาตินิยมสุดโต่งในยุคนี้สถาปัตยกรรมชาตินิยมเป็นสิ่งที่รัฐต้องการ<br />

ที่สุดในฐานะสถาปัตยกรรมแห่งชาติ ซึ่งมวลชนได้รับรู้มาตั้งแต่<br />

ปลายสมัยเมจิแล้วว่าคืออาคารแบบมงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิ<br />

ในยุคโชวะนี้ได้รับการยกระดับเป็นต้นแบบอาคารราชการระดับส ำคัญ<br />

โดยเฉพาะศาลาว่าการจังหวัดทั้งหลาย เช่น คานากาว่า (1928)<br />

ต่อด้วยนาโกย่า และไอชิ เป็นต้น โดยเฉพาะเมื่อรัฐมนตรีกระทรวง<br />

วังมาเยี่ยมชมถึงที่อย่างชื่นชม จึงเป็นตราประทับรับรองความเป็น<br />

สถาปัตยกรรมแห่งชาติที่มีหลังคาญี่ปุ่นโบราณครอบลงบนอาคาร<br />

ทรงสี่เหลี่ยมแบบตะวันตกที่อาคารอื่นๆ ควรเอาเยี่ยงอย่าง เพราะ<br />

เป็นแบบที่ “ซึมซาบไปด้วยสาระสำคัญแห่งชาติ” ที่เราได้เห็นต่อมา<br />

ในพิพิธภัณฑ์หลวงโตเกียว อูเอโน (1931) และกองบัญชาการ<br />

ทหารบก โตเกียว (1934) เป็นต้น ความสำคัญของอาคารแบบนี้<br />

ไม่ใช่เรื่องรูปแบบซึ่งหยุดนิ่งมาตั้งแต่สมัยเมจิ แต่เป็นอิทธิพลที่มี<br />

ต่อวัฒนธรรมการออกแบบสถาปัตยกรรมในช่วงเผด็จการทหาร<br />

ครอบครองญี ่ปุ่นในช่วงทศวรรษ 1930-1940 ที่มันสามารถฝืน<br />

กงล้อประวัติศาสตร์การออกแบบให้หมุนกลับไปหารูปแบบโบราณ<br />

เพื่อรับใช้อุดมการณ์ชาตินิยมสุดโต่งและจักรวรรดินิยมทหารของ<br />

ญี่ปุ่น ส่วนงานประเภทนี้อีกพวกหนึ่งคือสถาปัตยกรรมชาตินิยม<br />

เชิงสัญลักษณ์ของอิโตะ ชูตะ ที่เขาใช้ทฤษฎีวิวัฒนาการแห่ง<br />

สถาปัตยกรรมเป็นฐานในการออกแบบก็ยังดำเนินต่อไปเพื่อสร้าง<br />

สถาปัตยกรรมสากลแห่งเอเชีย แต่ดูเหมือนว่าเขากำลังมาถึงทางตัน<br />

ในการสร้างสรรค์ในช่วงเวลานี้เช่นกัน ขณะที่เขาวิจารณ์<br />

สถาปัตยกรรมแบบมงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิโครงการหนึ่งว่า<br />

“ละเมิดตรรกะทางโครงสร้างทั้งคลาสสิคของยุโรปและแบบ<br />

ญี่ปุ่นโบราณ และเป็นงานที ่น่าอับอายแห่งชาติ” ผลงานอนุสรณ์<br />

เหยื่อแผ่นดินไหวคันโตแห่งมหานครโตเกียว (1930) ก็เป็นการ<br />

418 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ผลิตซ้ำสถาปัตยกรรมโบราณอีกแบบหนึ่งแต่มีการปรับผัง<br />

ให้คล้ายคลึงกับผังศาสนสถานของไทยผสมกับโบสถ์ยุคกลางของ<br />

ยูโรป สถูปโชเกียวเด็นแห่งวัดฮอกเกเกียวจิ (1931) เมืองอิชิกาวา<br />

เป็นสถูปคันธารราชองค์สุดท้ายของอิโตะมีจุดเด่นอยู่ที่เรือนธาตุ<br />

องค์ระฆัง และฐานที่กำกับด้วยสัดส่วนแบบคลาสสิค จึงดูเหมือน<br />

วิหารคลาสสิคผังกลมครอบด้วยโดมประดับปลียอดมากกว่าสถูป<br />

อินเดีย สะท้อนความเชื่อของอิโตะว่ามรดกสถาปัตยกรรมที่งดงาม<br />

ที่สุดของงานพุทธศิลป์คืองานแบบอินเดียที่มีรากคลาสสิค<br />

วัดซึกิจิฮองกวานจิ โตเกียว (1934) เป็นบทสรุปของสถาปัตยกรรม<br />

แบบวิวัฒนาการของอิโตะ เขาได้สร้างสถาปัตยกรรมสากล<br />

สำหรับเอเชียที่สร้างสรรค์โดยญี่ปุ่น โดยรูปธรรมอิโตะรวบรวม<br />

สถาปัตยกรรมโบราณทั้งหลายทั้งกรีก-โรมันของโลกตะวันตก หรือ<br />

อินเดีย จีน ทิเบต ศรีลังกา และไทยของโลกตะวันออก<br />

มารวมกันเข้าไว้ในผังแบบคลาสสิค ห้อมล้อมหน้าบันมุขกลางประดับ<br />

ดอกเบญจมาศ 16 กลีบสัญลักษณ์แห่งจักรวรรดิญี่ปุ่น แม้ว่าจะเป็น<br />

งานที่ดูน่าทึ่งทีเดียวแต่ว่าในที่สุดทฤษฎีวิวัฒนาการของเขาไม่ได้<br />

สร้างอะไรที่ใหม่เลย<br />

ช่วง ค.ศ. 1940-1945 ที่สงครามเอเชียแปซิฟิกขึ้นถึงขีดสุด<br />

ญี่ปุ่นแปลงรูปประเทศเป็นเผด็การทหารเต็มตัวและใช้นโยบาย<br />

เศรษฐกิจรวมศูนย์เพื่อสงคราม สถาปัตยกรรมสากลนิยมสมัยใหม่<br />

ถูกจำกัดด้วยสถาปัตยกรรมชาตินิยมสุดโต่งที่เน้นการรื้อฟื้น<br />

รูปแบบโบราณ สถาปนิกสากลนิยมสมัยใหม่จำนวนมากซึ่งเป็น<br />

สถาปนิกระดับแนวหน้าต้องเปลี่ยนสีแปรธาตุไปทำงานรับใช้<br />

นโยบายชาตินิยม ทหารนิยม และจักรวรรดินิยมเพื่อความอยู่รอด<br />

ผลงานสำคัญในช่วงนี้ ได้แก่ โครงการประกวดแบบอนุสาวรีย์<br />

วีรชนทหาร (1939) ผลงานของเมอิคาว่า คูนิโอ และซากากูระ จุนโซ<br />

ต่างใช้องค์ประกอบแบบสากลนิยมสมัยใหม่ในการเชิดชูสงคราม<br />

จักรวรรดินิยมฟาสซิสต์ของรัฐบาล เป็นการออกแบบที่แสดงความ<br />

ย้อนแย้งและท้าทายรัฐบาลทหารไปในตัว โครงการประกวดแบบ<br />

สถาปัตยกรรมเฉลิมฉลองการก่อตั้งร่วมวงไพบูลย์แห่งมหาเอเชีย<br />

บูรพา (1942) ทังเงะ เคนโซได้รับรางวัลชนะเลิศโดยการนำรูปทรง<br />

สถาปัตยกรรมโบราณของญี่ปุ่นทั้งวิหารอิเซและระฆังโบราณ<br />

ยุคยาโยอิมาออกแบบใหม่ด้วยวัสดุใหม่และจัดเป็นองค์ประกอบใหม่<br />

ในผังที่มีลักษณะผสมระหว่างญี่ปุ่นกับตะวันตก แต่ในภาพรวมต้อง<br />

ยอมรับว่ามันใกล้เคียงกับสถาปัตยกรรมญี่ปุ่นสมัยใหม่มากกว่า<br />

งานผลิตซ้ำแบบมงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิโครงการประกวด<br />

แบบสถาปัตยกรรมศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย(1943) ทังเงะ เคนโซ<br />

ชนะเลิศการประกวดแบบนี้อีกด้วยการยกเอาพระราชวังโบราณ<br />

ที่นครเกียวโตพร้อมทั้งผังมาบรรจุพื้นที่ใช้สอยหลายหลากตาม<br />

ความต้องการของโครงการ งานนี้จึงเป็นการถดถอยไปไกลกว่า<br />

การผลิตซ้ำแบบมงกุฎจักรพรรดิเสียอีก งานที่น่าสนใจกว่ากลับ<br />

เป็นงานของเมอิคาว่า คูนิโอซึ่งชนะที่2 ที่เอาผังพระราชวังคัทซุระ<br />

มาออกแบบใหม่ด้วยผังสากลนิยมสมัยใหม่ แต่ลวงตาผู้ชมด้วย<br />

การห่อหุ้มมันด้วยอาคารโบราณที่มีหน้าจั่วแบบปราสาทนิโจโจ<br />

ในนครเกียวโต มันแสดงว่าในเวลาแห่งวิกฤตเช่นนี้สถาปนิกสากล<br />

นิยมสมัยใหม่แนวหน้าสุดอย่างเขาก็ต้องหลบให้กระแสชาตินิยม<br />

สุดโต่ง แต่ก็ไม่ใช่การหมอบราบคาบแก้วเสียเลยทีเดียว<br />

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว(1925-1935)<br />

เป็นช่วงแห่งเศรษฐกิจตกต่ำในสยาม สถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ที่สร้างส่วนใหญ่เป็นอาคารสาธารณูปโภคที่สร้างเพราะความจ ำเป็น<br />

ในการใช้งานและออกแบบโดยวิศวกร เช่น ที่ทำการพัสดุ<br />

กรมรถไฟหลวง (1928) ใช้โครงสร้างคอนกรีตแบบพื้นไร้คานที่<br />

น่าสนใจ โรงกรองน้ำสามเสนหลังที่ 2 (1930) ใช้โครงสร้าง<br />

คอนกรีตแบบคานโค้งพาดช่วงกว้างทำได้อย่างน่าดู นอกจากนี้มี<br />

โรงพยาบาลกลาง (1928) ออกแบบโดยชาร์ล เบกูลัง มีการวางผัง<br />

ที่รวมพื้นที่ใช้สอยมากมายมาอยู่ในตึกเดียวในแบบสากลนิยม<br />

สมัยใหม่ที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน อย่างไรก็ดีบรรยากาศของ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในสยามเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงแล้วตั้งแต่<br />

ช่วงทศวรรษที่1910-1920 เมื่อมีสถาปนิกรุ่นใหม่ชาวไทยที่ศึกษา<br />

ในฝรั่งเศสและอังกฤษกลับเข้ามาในประเทศและรับหน้าที่แทน<br />

บทสรุป<br />

419


สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญอิตาเลียนที่หมดสัญญากับรัฐบาลสยาม<br />

พวกเขานำแนวทางออกแบบของอีโคลเดอโบซาร์และอาร์ตเด็คโค<br />

ที่ร่ำเรียนมาเผยแพร่ หม่อมเจ้าอิทธิเทพสรรค์ กฤดากรออกแบบ<br />

ตำหนักสมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้ากรมหลวงสงขลานครินทร์<br />

(1926) พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล หัวหิน (1928) ในแนว<br />

ฟื้นฟูเรือนพื้นถิ่น พระสาโรชรัตนนิมมานก์ออกแบบตึกมนุษยนาค<br />

วิทยาทาน (1924) ในแบบฟื้นฟูโกธิค และกลุ่มอาคารที่โรงพยาบาล<br />

ศิริราช (1924-1936) ในแบบคลาสสิคเรียบเกลี้ยงและบังกะโล<br />

คอนกรีต แต่บรรยากาศของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่เริ่มคึกคักจริงๆ<br />

ในทศวรรษที่ 1930 เมื่อมีการสร้างโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุง<br />

(1933) ที่ออกแบบโดยหม่อมเจ้าสมัยเฉลิมกฤดากร โดยพระบาท<br />

สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง<br />

ตั้งแต่ ค.ศ. 1930 ในลักษณะอาคารอาร์ตเด็คโคคอนกรีตรูปทรง<br />

สี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยงที่วางผังและติดตั้งอุปกรณ์อาคารอย่างทันสมัย<br />

ชั้นแนวหน้าของเอเชีย แต่ในทางการเมืองปัญหาเศรษฐกิจที่<br />

รัฐบาลแก้ไม่ตกทำให้กลุ่มคณะราษฎรปฏิวัติเปลี่ยนแปลง<br />

การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตยสำเร็จใน ค.ศ. 1932 อาคาร<br />

สำคัญหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองคือตึกบัญชาการ<br />

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์และการเมือง (1934-1936) ออกแบบ<br />

โดยจิตรเสน อภัยวงศ์ มีลักษณะแบบโบสถ์ชนบทในยุโรป<br />

ที่สร้างอย่างเรียบง่ายจึงดูกำกวมระหว่างความโบราณและทันสมัย<br />

ในสมัยรัชกาลที่ 7 การปลูกฝังแนวความคิดชาตินิยม<br />

สมบูรณาญาสิทธิราชย์เบาบางลง สถาปัตยกรรมที่ใช้แบบไทย<br />

จึงน่าจะเรียกว่าสถาปัตยกรรมอนุรักษ์นิยมมากกว่า การเคลื่อนไหว<br />

ของสถาปัตยกรรมแนวนี้มีความน่าสนใจไม่น้อย อิทธิพลของ<br />

สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่เรียบง่าย วัสดุสมัยใหม่เช่นคอนกรีตและ<br />

ความต้องการประหยัดราคาก่อสร้างทำให้เกิดสถาปัตยกรรมไทย<br />

แบบใหม่ขึ้นจากการสร้างสรรค์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา<br />

นริศรานุวัดติวงศ์และลูกศิษย์ พระอุโบสถวัดพระปฐมเจดีย์(1930)<br />

จังหวัดนครปฐม ออกแบบโดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา<br />

นุวัดติวงศ์เป็นโบสถ์คอนกรีตเรียบง่ายที่ตัดลวดลายตกแต่งออก<br />

เกือบหมด ลายประดับสำคัญเป็นประติมากรรมนูนต่ำคอนกรีตหล่อ<br />

รูปธรรมจักรและกวางหมอบ นับเป็นการสร้างสรรค์ที่ไม่ตามขนบ<br />

เหมือนกันแต่ด้วยวิธีการที่ต่างกันเมื่อเทียบกับพระอุโบสถวัด<br />

ราชาธิวาสราชวรวิหารซึ่งมีลวดลายอุดมสมบูรณ์ที่ทรงออกแบบ<br />

เมื่อ 2 ทศวรรษก่อน ปฐมบรมราชานุสรณ์ที่สะพานพุทธยอดฟ้า<br />

จุฬาโลก (1932) ออกแบบโดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา<br />

นุวัดติวงศ์ เป็นฉากหลังรับพระบรมราชานุสาวรีย์พระบาทสมเด็จ<br />

พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก มีลักษณะเรียบง่ายแบบไทยผสม<br />

คลาสสิคและอาร์ตเด็คโคและเป็นสถาปัตยกรรมชิ้นสำคัญของ<br />

รัฐบาลสมบูรณาญาสิทธิราชย์ชิ้นสุดท้าย หอระฆังวัดยานนาวา<br />

(1934) ออกแบบโดยพระพรหมพิจิตรศิษย์ใกล้ชิดของสมเด็จฯ<br />

เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นหอระฆังคอนกรีต<br />

เสริมเหล็กสูง 2 ชั้นที่รูปทรงเรียบง่าย ขนาดส่วนใหญ่ดูหนักและ<br />

เกือบจะไร้การประดับประดา เป็นการออกแบบให้ดูหยาบอย่างตั้งใจ<br />

ที่จะท้าทายขนบโบราณอย่างน่าทึ่งจนเรียกได้ว่าสถาปัตยกรรมไทย<br />

สมัยใหม่ได้อย่างไม่ลังเล<br />

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล<br />

(1935-1946) ประเทศไทยเข้าสู่ยุคเผด็การทหารนำโดยจอมพล<br />

ป. พิบูลสงคราม รัฐบาลใหม่ต้องการนำประเทศไปสู่ความรุ่งเรือง<br />

โดยการสร้างประชาชนไทยที่มีวัฒนธรรมใหม่เน้นความขยันขันแข็ง<br />

ทำงาน เชื่อฟังผู้นำรัฐบาล รักชาติตามแนวชาตินิยมเชื้อชาติไทย<br />

ที่ทะเยอทะยานในการสร้างมหาอาณาจักรไทย ในการนี้รัฐบาล<br />

ถึงกับประกาศทำสงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศสเพื่อขยายดินแดน<br />

ร่วมเป็นพันธมิตรกับจักรวรรดินิยมญี่ปุ่นเพื่อร่วมวงไพบูลย์แห่ง<br />

มหาเอเชียบูรพาหรือโครงการเป็นเจ้าเอเชียตะวันออกโดยใช้กำลัง<br />

ทหารรุกรานของญี่ปุ่น และประกาศสงครามกับฝ่ายสัมพันธมิตร<br />

นโยบายชาตินิยมเชื้อชาติไทยและมหาอาณาจักรไทยยังส่งผลให้<br />

รัฐบาลผลิตงานศิลปะวัฒนธรรมเพื่อรับใช้นโยบายนี้ซึ่งรวมถึง<br />

สถาปัตยกรรมด้วย<br />

420 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สถาปัตกรรมสมัยใหม่ยุคนี้นำเข้ารูปแบบคลาสสิคเรียบเกลี้ยงและ<br />

อาร์ตเด็คโค-ฟาสซิสต์ประดับประติมากรรมขนาดใหญ่รูปร่างกำยำ<br />

แข็งกร้าวด้วยทรงเส้นแบบเรขาคณิต ซึ่งได้อิทธิพลจากสถาปนิก<br />

และศิลปินอิตาเลียนร่วมสมัยผ่านสถาปนิกไทย เช่น พระสาโรช<br />

รัตนนิมมานก์ จิตรเสน อภัยวงศ์ และคอร์ราโด เฟโรชีประติมากร<br />

ชาวอิตาเลียนแห่งมหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นงานแบบที่สำคัญ<br />

ในยุคนี้ ตัวอย่างงานที่สำคัญในแบบนี้ ได้แก่ ที่ทำการไปรษณีย์<br />

กลาง บางรัก (1934-1940) โดยจิตรเสน อภัยวงศ์และพระสาโรช<br />

รัตนนิมมานก์ สนามศุภชลาศัย กรีฑาสถานแห่งชาติ (1938)<br />

โดยจิตรเสน อภัยวงศ์และพระสาโรชรัตนนิมมานก์ ศาลากลาง<br />

จังหวัดพระนครศรีอยุธยา (1939-1941) โดยพระสาโรชรัตนนิมมาน<br />

ก์ มีจำนวนประติมากรรมมากที่สุดถึง 6 รูป เป็นความจงใจจะเชิดชู<br />

วีรกษัตริย์โบราณที่ทำสงครามขยายอาณาเขตและรักษาเอกราช<br />

สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับชาติตามกระแสชาตินิยมที่โหมกระหน่ำ<br />

กระทรวงยุติธรรมและศาลยุติธรรม (1939-1943) โดยพระสาโรช<br />

รัตนนิมมานก์ สร้างในโอกาสที่ประเทศสยามได้รับเอกราชทางการ<br />

ศาลคืนมาโดยสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1938 เป็นอาคารทรงกล่องคอนกรีต<br />

สี่เหลี่ยมเรียบเกลี้ยงปราศจากการตกแต่งใดๆ ในแบบคลาสสิคที่<br />

เรียบง่ายที่ได้แรงบันดาลใจจากมาร์เซลโล ปิอาเซนตินี สถาปนิก<br />

ผู้นำแนวฟาสซิสต์ของอิตาลี<br />

สถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่ที่เป็นอนุสาวรีย์ที่สำคัญ ได้แก่<br />

อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ (1936) สร้างเพื่อเชิดชูเกียรติและ<br />

รำลึกถึงตำรวจ ทหารฝ่ายคณะราษฎรที่เสียชีวิตจากการรบปะทะ<br />

กับกองกำลังฝ่ายกบฏบวรเดช แม้ว่าจะสร้างในแบบศิลปะใหม่<br />

อาร์ตเด็คโคผสมไทยและสร้างด้วยวัสดุใหม่คือคอนกรีต แต่แนวคิด<br />

ในการสร้างอนุสาวรีย์ยังเหมือนการสร้างสถูปเจดีย์โบราณ<br />

อนุสาวรีย์เป็นเพียงประติมากรรมบรรจุอัฐิไม่ใช่สถาปัตยกรรม<br />

สำหรับการใช้พื้นที่ภายในนอกจากนี้การนำประติมากรรมพานแว่นฟ้า<br />

2 ชั้นรองรับสมุดไทยเทินไว้บนยอดอนุสาวรีย์นับเป็นครั้งแรก<br />

ที่สร้างสัญลักษณ์นี้ลงในสิ่งก่อสร้างถาวร อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย<br />

(1940) โดยหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุลเป็นสถาปนิก คอร์ราโด เฟโรชี<br />

เป็นประติมากร เป็นอนุสาวรีย์ที่มีพื้นฐานความคิดและการออกแบบ<br />

ที่พัฒนามาจากอนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ จึงมีความขัดแย้ง<br />

ในตัวเองหลายประการตั้งแต่แรก ประการแรกคือการใช้สมุดไทย<br />

วางบนพานเป็นสัญลักษณ์แทนเสรีภาพ เสมอภาค และภราดรภาพ<br />

ของความเป็นประชาธิปไตยซึ่งไม่น่าจะแทนกันได้ประการที่2 คือ<br />

การใช้ศิลปะแบบอาร์ตเด็คโคและฟาสซิสต์มาเป็นสื่อแสดงความ<br />

เป็นประชาธิปไตยที่เป็นแนวคิดต่อต้านฟาสซิสต์ ประการที่ 3 คือ<br />

เป็นอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่สร้างเสร็จในช่วงเวลาที่สังคมไทย<br />

อบอวลไปด้วยลัทธิเผด็จการทหาร ชาตินิยมเชื้อชาติไทย และ<br />

การทำสงครามขยายดินแดน และด้วยข้อจำกัดของการใช้ตัวเลข<br />

ทั้งหลายที ่เกี่ยวข้องอุดมการณ์ของคณะราษฎรและวันปฏิวัติมา<br />

กำหนดความสูงต่ำกว้างยาวของอนุสาวรีย์อย่างงมงาย ทำให้สถาปนิก<br />

และประติมากรไม่สามารถสร้างอนุสาวรีย์ที่งดงามและทรงพลังได้เลย<br />

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (1942) โดยหม่อมหลวงปุ่ม มาลากุลเป็น<br />

สถาปนิก และคอร์ราโด เฟโรชีเป็นประติมากร สร้างเพื่อเชิดชูวีรกรรม<br />

กองกำลัง 5 เหล่าที่พลีชีพในสงครามอินโดจีนตามนโยบายขยาย<br />

ดินแดนสร้างมหาอาณาจักรไทยของจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

ในแบบศิลปะอาร์ตเด็คโคและฟาสซิสต์ในรูปใบดาบเรียงกันเป็น<br />

กลีบมะเฟือง 5 แฉก ล้อมด้วยประติมากรรมลอยตัว 5 รูปในท่าทาง<br />

เคลื่อนไหวสู้รบ เป็นอิทธิพลจากประติมากรรมนูนสูงประดับสะพาน<br />

ปอนเตดูกา ดาออสต้า ของวิโก คอนซอร์ติ ประติมากรร่วมสมัย<br />

ชาวอิตาเลียนเหมือนที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย โดยภาพรวมแล้ว<br />

อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิออกแบบได้ดีทั้งรูปทรง องค์ประกอบ สัดส่วน<br />

และแนวคิดมากกว่าอนุสาวรีย์ที่กล่าวมาแล้วทั้ง 2 เพราะผู้ออกแบบ<br />

เป็นอิสระจากตัวเลขรหัสที่ยุ่งเหยิง การใช้สัญลักษณ์ที่ตรงกับ<br />

จุดมุ่งหมายคือประติมากรรมทหาร-ต ำรวจแทนสงคราม และการเป็น<br />

อิสระจากรูปทรงไทยโบราณอย่างสิ้นเชิง ทำให้อนุสาวรีย์มีรูปแบบ<br />

ที่ชัดเจนไม่ครึ่งๆ กลางๆ อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิจึงเป็นตัวแทน<br />

แนวคิดฟาสซิสต์ทางสถาปัตยกรรมที่ชัดเจนที่สุด มันสะท้อนลัทธิ<br />

ชาตินิยมเชื้อชาติไทยและสดุดีการทำสงครามขยายอาณาเขตของ<br />

แนวคิดมหาอาณาจักรไทยของรัฐบาลเผด็จการทหารที่สนับสนุน<br />

โดยมวลชน และสอดคล้องกับความต้องการเป็นเจ้าเอเชียของ<br />

บทสรุป<br />

421


ศาลาสยามในงานแสดงนิทรรศการ<br />

นานาชาติ กรุงปารีส 1937<br />

โดยพระพรหมพิจิตรและ<br />

ม.จ.สมัยเฉลิม กฤดากร<br />

422 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ญี่ปุ่นที่เป็นพันธมิตรของไทย แต่ความพ่ายแพ้ในสงครามของญี่ปุ่น<br />

และไทยทำให้มันเป็นอนุสาวรีย์แห่งความทะเยอทะยานที่ไม่ค่อยมี<br />

ใครอยากกล่าวถึงประวัติความเป็นมา<br />

สถาปัตยกรรมแบบอนุรักษ์นิยมและชาตินิยมในสมัยรัชกาลที่ 8<br />

สถาปัตยกรรมทั้ง 2 แบบต่างใช้แบบไทยโบราณเป็นหลักในการ<br />

ออกแบบ แต่ด้วยจุดประสงค์ต่างกัน สถาปัตยกรรมอนุรักษ์นิยมเป็น<br />

งานเชิงวัฒนธรรมเพียงต้องการสืบสานรูปแบบโบราณต่อไปเป็นหลัก<br />

แต่สถาปัตยกรรมชาตินิยมเป็นงานการเมืองมีจุดประสงค์เพื่อเชิดชู<br />

อัตลักษณ์ของชาติและสร้างความรักชาติในหมู่ประชาชน สังคมไทย<br />

ท่ามกลางบรรยากาศกึ่งประชาธิปไตยหลังการปฏิวัติใน ค.ศ. 1932<br />

แล้วแกว่งไปหาการปกครองระบอบเผด็จการทหารชาตินิยมเชื้อ<br />

ชาติไทยเมื่อจอมพล ป. พิบูลสครามเป็นนายกรัฐมนตรีระหว่าง<br />

ค.ศ. 1938-1944 นั้น รัฐบาลได้สร้างสถาปัตยกรรมขึ้นมาทั้ง 2 แบบ<br />

แต่มีจำนวนน้อยเพราะต้องการผู้ออกแบบที่มีความรู้พื้นฐาน<br />

สถาปัตยกรรมไทยและเข้าใจการวางผังและการก่อสร้างแบบ<br />

ตะวันตกในขณะเดียวกัน ผลงานที่สำคัญ ได้แก่ ศาลาสยามในงาน<br />

แสดงนิทรรศการนานาชาติว่าด้วยศิลปะและเทคนิคสมัยใหม่<br />

แห่งกรุงปารีส ค.ศ. 1937 โดยพระพรหมพิจิตรและหม่อมเจ้า<br />

สมัยเฉลิม กฤดากร เป็นงานผลิตซ้ำพระที่นั่งไอศวรรย์ทิพยอาสน์<br />

ที่พระราชวังบางปะอิน ที่น่าสนใจคือในงานเดียวกันนั้นซากากูระ<br />

จุนโซได้ออกแบบศาลาญี่ปุ่นในแบบสากลนิยมสมัยใหม่เพื่อ<br />

ประกาศจุดยืนของกลุ่มสถาปนิกหัวก้าวหน้าในลักษณะท้าทาย<br />

ปฏิกิริยาของฝ่ายอนุรักษ์นิยมในประเทศอย่างไม่เกรงใจ หอประชุม<br />

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย (1939) โดยพระพรหมพิจิตรร่วมกับ<br />

พระสาโรชรัตนนิมมานก์ สิ่งที่น่าสนใจในงานนี้คือความสามารถ<br />

ในการผสมผสานการวางผังและออกแบบลักษณะอาคารระหว่าง<br />

ไทย เขมร และสมัยใหม่เข้าด้วยกันได้ และเห็นได้ชัดถึงอิทธิพล<br />

งานออกแบบบูรณะพระอุโบสถวัดราชาธิวาสราชวรวิหารของสมเด็จฯ<br />

เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ จึงไม่น่าจะเป็นงานสร้างสรรค์<br />

อะไรใหม่จริงและเทียบได้กับงานมงกุฎจักรพรรดิหรือไทคันโยชิกิ<br />

ของญี่ปุ่น โครงการอนุสาวรีย์ไทยแบบ “โลหะปราสาท” (1939)<br />

โดยพระพรหมพิจิตร เพื่อเป็นที่ระลึกและเฉลิมฉลองในโอกาส<br />

ที่ประเทศไทยเป็นเอกราชทางการศาลอย่างสมบูรณ์ใน ค.ศ. 1938<br />

น่าจะเป็นสถาปัตยกรรมชาตินิยมทั้งความคิดและรูปแบบ ลักษณะ<br />

อาคารเป็นแบบเจดีย์เหลี่ยมยอดปรางค์ล้อมด้วยระเบียงตาม<br />

แผนผังแบบปราสาทเขมรโบราณผสมอยุธยา ที่หลวงวิจิตรวาทการมี<br />

แผนสร้างอย่างใหญ่โตเพื่อให้เป็นพิพิธภัณฑ์การแสดงพืชผล<br />

โรงแรมและศูนย์สำหรับการจัดเลี้ยง ประชุม และเต้นรำ ทุกกิจกรรม<br />

จะถูกจัดลงไปในผังและอาคารศาสนสถานแบบโบราณที่ย้อนยุคไป<br />

หลายร้อยปี โครงการนี้เปรียบเทียบได้กับโครงการประกวดแบบ<br />

สถาปัตยกรรมศูนย์วัฒนธรรมญี่ปุ่น-ไทย (1943) โดยทังเงะ เคนโซ<br />

ที่เขายกเอาผังและพระราชวังเก่าในนครเกียวโตมาปรับให้สามารถ<br />

รองรับกิจกรรมใหม่ของโครงการโดยไม่คำนึงถึงความสัมพันธ์<br />

ระหว่างยุคสมัย วิถีวัฒนธรรม และการก่อเกิดของรูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมเลย ต้องการเพียงแต่รื้อฟื้นอนุสาวรีย์ที่ยิ่งใหญ่<br />

ในอดีตมาเพื่อรับใช้จุดประสงค์สร้างความรักชาติอย่างหลงใหล<br />

ในหมู่พลเมืองเท่านั้น อาคารผลิตซ้ำลักษณะนี้จึงเป็นอาคารที่<br />

ล้าหลังที่สุดทั้งความคิดและรูปแบบเจดีย์วัดพระศรีมหาธาตุบางเขน<br />

(1941) โดยพระพรหมพิจิตร สร้างเพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการ<br />

เปลี่ยนแปลงการปกครองของสยามเป็นระบอบประชาธิปไตย<br />

ใน ค.ศ. 1932 ความสำคัญอยู่ที่เจดีย์ประธานหน้าวัดที่สร้างด้วย<br />

คอนกรีตเรียบเกลี้ยง ไร้ลวดลาย องค์ประกอบสถาปัตยกรรม<br />

ทั้งหมดถูกลดทอนและแปลงเป็นรูปทรงเรขาคณิตหมด นอกจากนี้<br />

ยังเป็นเจดีย์ที่มีพื้นที่ภายใน (space) เป็นโถงทรงโดมขนาดใหญ่<br />

เป็นที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ผนังเจดีย์เป็นช่องกรุบรรจุอัฐิ<br />

บรรดาผู้นำคณะราษฎรที่ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง การนำเจดีย์<br />

มาเป็นสัญลักษณ์ประชาธิปไตยเป็นเรื่องหลักแหลมเพราะศาสนาพุทธ<br />

และลัทธิประชาธิปไตยมีหลักการร่วมกันอย่างหนึ่งคือการปฏิเสธ<br />

ชนชั้นและความเสมอภาค ส่วนลักษณะเจดีย์ที่เรียบเกลี้ยงนั้น<br />

เป็นการออกแบบที่ย้อนกลับไปหาหอระฆังวัดยานนาวา (1934)<br />

ที่พระพรหมพิจิตรออกแบบท้าทายขนบโบราณอย่างน่าทึ่งจนเรียก<br />

ได้ว่าเป็นสถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่เชิงสัญลักษณ์ได้อีกงานหนึ่ง<br />

และสามารถเปรียบเทียบคุณภาพกับสถาปัตยกรรมแบบวิวัฒนาการ<br />

บทสรุป<br />

423


ศาลาญี่ปุ่นในงานนิทรรศการนานาชาติ<br />

กรุงปารีส 1937 โดยซากากูระ<br />

ของอิโตะ ชูตะได้ อย่างไรก็ตามเราจะเห็นว่าสถาปนิกไทยทำงาน<br />

แบบทวิลักษณ์คือทำงานแบบไทยสมัยใหม่และไทยโบราณในเวลา<br />

เดียวกันอย่างที่พบในงานของพระพรหมพิจิตร สิ่งนี้แสดงว่า<br />

สถาปนิกไทยไม่ได้ทำงานตามทฤษฎีแบบญี่ปุ่นแต่ทำตาม<br />

ประสบการณ์และความรู้สึก<br />

ผลงานของกลุ่มสถาปนิกที่ท ำงานสถาปัตยกรรมไทยที่นำโดย<br />

สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ที่เริ่มต้นตั้งแต่ปลายสมัย<br />

รัชกาลที่5 จนถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่2 (ทศวรรษ 1900-1940)<br />

424 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


เป็นเรื่องน่าสนใจ มันแสดงถึงปฏิกิริยาของสถาปนิกไทยที่ไม่ผ่าน<br />

การศึกษาในระบบของสถาบันวิชาชีพของโลกตะวันตกที่มีต่อวัสดุและ<br />

โครงสร้างใหม่เช่นคอนกรีต และแนวทางศิลปะสถาปัตยกรรมใหม่ๆ<br />

เช่น อาร์ตเด็คโคและสมัยใหม่ภายใต้ข้อจำกัดของความเป็นอนุรักษ์<br />

นิยมในรูปแบบและงบประมาณ พวกเขาได้พัฒนาศักยภาพตนเอง<br />

ในลักษณะปัจเจกและไร้การชี้นำโดยสถาปนิกผู ้เชี่ยวชาญตะวันตก<br />

ผลงานที่เราเห็นจึงเป็นการแสดงออกที่ไม่เสแสร้งแต่ไร้ทฤษฎี<br />

ที่มั่นคงเป็นเครื่องนำทาง เป็นงานที่อาจจะเบ่งบานในระยะสั้นแต่<br />

ในระยะยาวแล้วยากที่จะเติบโตงอกงาม<br />

โดยภาพรวมสถาปัตยกรรมในช่วงทศวรรษ 1930-1940 เป็น<br />

บทสรุปของการแสดงอัตลักษณ์อุดมการณ์แห่งชาติของทั้งญี่ปุ่น<br />

และไทย ผ่านแนวคิดและวิธีการ 2 แนวทางที่ตรงข้าม คือ<br />

สถาปัตยกรรมแบบสมัยใหม่และแบบชาตินิยม ในญี่ปุ่น<br />

สถาปัตยกรรมทั้ง 2 แบบต่างพัฒนามาถึงขั้นการแสดงอัตลักษณ์<br />

ในแบบนามธรรมที ่มีทฤษฎีรองรับ สถาปนิกหัวก้าวหน้าซึ่งเป็น<br />

กลุ่มผู้นำทางสถาปัตยกรรมในญี่ปุ่นยึดมั่นในแนวทางสากลนิยม<br />

สมัยใหม่ที ่พยายามสร้างสถาปัตยกรรมรูปแบบสากลที่สะท้อน<br />

คุณค่านามธรรมของวิถีชีวิตวัฒนธรรมแบบญี่ปุ่น ผ่านอาคารระดับ<br />

พื้นฐานเช่น บ้านพักอาศัยไปจนถึงอาคารสาธารณูปโภค เช่น<br />

โรงเรียน แม้ว่าในช่วงทศวรรษ 1940 พวกเขาจะถูกบังคับโดยกระแส<br />

สังคมให้หันเหไปทำงานแบบชาตินิยมแต่พวกเขาบางคนก็ยัง<br />

พยายามเสนอรูปธรรมที่แฝงแนวคิดสากลนิยมสมัยใหม่ให้ปรากฏ<br />

ในช่วงเวลาเดียวกันนั้นสถาปนิกรุ่นใหม่ชาวไทยที่สำเร็จการศึกษา<br />

สถาปัตยกรรมแนวอีโคลเดอโบซาร์จากยุโรป เพิ่งจะมีโอกาสได้แสดง<br />

ฝีมือออกแบบในประเทศไทย พวกเขาเลือกแบบอาร์ตเด็คโค<br />

อาร์ตเด็คโคผสมฟาสซิสต์และคลาสสิคที่เรียบเกลี้ยง ซึ่งเป็นแบบ<br />

ที่ได้อิทธิพลจากศิลปะสถาปัตยกรรมอิทธิพลฟาสซิสต์ร่วมสมัยของ<br />

อิตาลีมาใช้เพื่อสนองความต้องการสถาปัตยกรรมที่แสดงถึงความ<br />

ทันสมัยและชาตินิยมของประเทศตามนโยบายของผู้นำที่เชิดชูลัทธิ<br />

ชาตินิยมเชื้อชาติไทยและการสร้างมหาอาณาจักรไทย ด้วยความ<br />

อ่อนประสบการณ์ และงบประมาณที่ฝืดเคืองในเวลาสงครามทำให้<br />

ผลงานไม่มีอะไรโดดเด่น นอกจากประติมากรรมประกอบอาคารของ<br />

คอร์ราโด เฟโรชี ประติมากรชาวอิตาเลียนที่ขับเน้นอิทธิพลศิลปะ<br />

ฟาสซิสต์ร่วมสมัยให้เด่นชัด ส่วนเรื่องอัตลักษณ์ของชาติใน<br />

เชิงนามธรรมผ่านสถาปัตยกรรมสากลแบบญี่ปุ่นนั้นยังอยู่อีกห่างไกล<br />

ทางฝ่ายสถาปัตยกรรมชาตินิยมในช่วงเวลานี้ที่ญี่ปุ่น<br />

สถาปัตยกรรมแบบมงกุฎจักรพรรดิที่เป็นอาคารแบบตะวันตกครอบ<br />

หลังคาวัดญี่ปุ่นโบราณได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการว่าเป็นงาน<br />

ที่แสดงอัตลักษณ์ของชาติที่ควรสร้างตาม ขณะที่สถาปัตยกรรม<br />

แบบวิวัฒนาการของชูตะ อิโตะที่ใช้รูปแบบโบราณที่ต้องตีความที่<br />

ลึกซึ้งกว่านั้นก็มาถึงจุดที่อิ่มตัวพัฒนาไปได้เพียงการรวบรวมรูปแบบ<br />

สถาปัตยกรรมเอเชียต่างๆ มารวมกัน ในขณะที่สถาปนิกอนุรักษ์<br />

นิยมของไทยดูจะสร้างสรรค์งานได้น่าสนใจเหมือนกันเช่น ผลงาน<br />

สถาปัตยกรรมไทยสมัยใหม่ของพระพรหมพิจิตรเช่นหอระฆังที่<br />

วัดยานนาวาและพระเจดีย์ที่วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน ที่ตั้งใจ<br />

ออกแบบสถาปัตยกรรมไทยแบบเรียบเกลี้ยงเป็นทรงเรขาคณิต<br />

ท้าทายขนบการออกแบบโบราณ แต่อย่างไรก็ตามการทำงานของ<br />

สถาปนิกอนุรักษ์นิยมไทยมีธรรมชาติเป็นแบบทวิลักษณ์คือทำงาน<br />

ทั้งแบบโบราณและแบบสมัยใหม่ควบคู่กันไป จึงพูดได้ยากถึงจุดยืน<br />

ที่แท้จริงของผู้ออกแบบ<br />

เมื่อเปรียบเทียบงานของทั้ง 2 ประเทศแล้วจะเห็นได้ว่า<br />

สถาปัตยกรรมของญี่ปุ่นนั้นพัฒนาไปไกลกว่ามากทั้งแนวคิดและ<br />

คุณภาพ งานสากลนิยมสมัยใหม่ของญี่ปุ่นเริ่มต้นมาตั้งแต่<br />

ทศวรรษ 1920 สถาปนิกเหล่านี้ใช้เวลากว่า 2 ทศวรรษในการเรียน<br />

รู้ทฤษฎีและการปฏิบัติทั้งในและนอกประเทศ การศึกษาค้นคว้า<br />

สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นทั้งประเภทงานหลวงและงานพื้นถิ่นตั้งแต่<br />

ปลายยุคเมจิ ทำให้พวกเขาเข้าใจสถาปัตยกรรมของตนเองลึกซึ้ง<br />

ขึ้นในเชิงปรัชญาจนสามารถน ำมาสร้างเป็นรูปธรรมใหม่ที่เป็นสากลได้<br />

นอกจากนี้การที่ญี่ปุ่นพัฒนาประเทศเป็นชาติอุตสาหกรรมนั้นก็ช่วย<br />

ให้งานก่อสร้างอาคารมีคุณภาพสูงตามขึ้นไปด้วยเมื่อเปรียบเทียบกัน<br />

ปัจจัยเหล่านี้เป็นสิ่งที่ประเทศไทยยังไม่มี รูปแบบสถาปัตยกรรม<br />

425


สมัยใหม่ของไทยในช่วง 1930-1940 เป็นการนำเข้าของสถาปนิกไทย<br />

รุ่นใหม่ที่เพิ่งจะเริ่มมีประสบการณ์การทำงาน ส่วนเรื่องการหา<br />

อัตลักษณ์นั้นไทยยังไม่เข้าใจอะไรมากกว่าการผลิตซ้ ำอย่างที่รัฐไทย<br />

จะทำทุกครั้งในการผลิตซ้ำ “ศาลาไทย” เพื่อส่งไปแสดงในงาน<br />

แสดงนิทรรศการสากลตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 เพราะการศึกษา<br />

สถาปัตยกรรมไทยอย่างลึกซึ้งยังไม่ได้เริ่มจึงไม่ต้องถามหาเรื่อง<br />

การวิเคราะห์และสร้างสรรค์ ส่วนในด้านสถาปัตยกรรมชาตินิยมก็<br />

เช่นเดียวกัน ญี่ปุ่นศึกษาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและเริ่มมีทฤษฎี<br />

ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมชาตินิยมของตนเองตั้งแต่ปลาย<br />

รัชสมัยเมจิและพัฒนาการออกแบบเรื่อยมาทั้งในแบบผลิตซ้ำ<br />

เช่นแบบมงกุฎจักรพรรดิและแบบเชิงสัญลักษณ์ตามทฤษฎี<br />

สถาปัตยกรรมแบบ “วิวัฒนาการ” ของอิโตะ ชูตะ สถาปัตยกรรม<br />

ชาตินิยมของญี่ปุ่นจึงเป็นงานออกแบบที่มีฐานทฤษฎีสนับสนุน<br />

อย่างมั่นคง แต่เมื่อเปรียบเทียบกับไทยแล้วต้องกล่าวว่า<br />

งานสถาปัตยกรรมแนวอนุรักษ์นิยมของไทยก็ทำได้ดีทีเดียว<br />

ทั้งที่ไม่มีทฤษฎีเป็นหลักเป็นฐาน สถาปนิกไทยแนวอนุรักษ์นิยม<br />

กลุ่มหนึ่งสามารถแหวกกรอบจารีตของการออกแบบมาได้เป็นขั้นๆ<br />

ตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่5 งานแบบชาตินิยมสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />

ในสมัยรัชกาลที่6 แม้จะไม่ได้ส่งเสริมการสร้างสรรค์อะไร แต่ก็ไม่ได้<br />

ขัดขวางให้งานแบบไทยสมัยใหม่เกิดขึ้นในช่วงทศวรรษ 1930-1940<br />

ดังกล่าวแล้ว ปรากฏการณ์นี้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการพัฒนา<br />

ตนเองแบบปัจเจกของสถาปนิกไทยแนวอนุรักษ์นิยมกลุ่มนี้ที่อาศัย<br />

การเรียนรู้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศตั้งแต่ปลายสมัยรัชกาลที่ 5<br />

และการสร้างสรรค์ที่มาจากความรู้สึกและประสบการณ์แต่จุดอ่อน<br />

ของการไม่มีทฤษฎีนำทางของสถาปนิกไทยแนวอนุรักษ์นิยมคือ<br />

การทำงานแบบทวิลักษณ์ได้แก่ทำงานแบบไทยสมัยใหม่และไทย<br />

โบราณในเวลาเดียวกัน ซึ่งจะส่งผลให้สถาปนิกไทยแนวอนุรักษ์<br />

นิยมไม่มีความมั่นคงในแนวทางสร้างสรรค์ พัฒนาความคิดยาก<br />

และสามารถหลุดจากเส้นทางสร้างสรรค์กลับไปสู่แนวทางผลิตซ้ำ<br />

ได้เสมอ<br />

426 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


บรรณานุกรม<br />

“กติกาสัญญาพันธไมตรีระหว่างประเทศไทยกับประเทศ<br />

ญี่ปุ่น.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 58 (21 ธันวาคม<br />

2484): 1824-1826.<br />

“กระแสพระราชโองการเขียนบรรจุศิลาพระฤกษ์.”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 27 (28 สิงหาคม<br />

รัตนโกสินทร์ศก 129): 1106-1109.<br />

“การมอบพระสารีริกธาตุแก่คณะทูตพรตญี่ปุ่น.” ราชกิจ<br />

จานุเบกษา เล่ม 17 (24 มิถุนายน รัตนโกสินทร์ศก<br />

119): 125-126.<br />

“การราตรีสโมสรเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จพระบรม<br />

โอรสาธิราช ที่วังบุรพาภิรมย์.” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 19, ตอนที่ 49 (22 กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์<br />

ศก 121): 941-942.<br />

“ความตกลงทางวัธนธัมระหว่างประเทสไทยกับประเทส<br />

ยี่ปุ่น.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59, ตอนที่ 81 (29<br />

ธันวาคม 2485): 2621-2631.<br />

“คำกล่าวตอบของ พณฯนายกรัฐมนตรีในการเปิดอนุส<br />

สาวรีย์ประชาธิปไตย ณ วันชาติ 2483.”<br />

ราชกิจจนุเบกษา เล่ม 57 (25 มิถุนายน 2483):<br />

876-881.<br />

“คำแถลงนโยบายของรัฐบาล 26 ธันวาคม 2481.” ราช<br />

กิจจานุเบกษา เล่ม 55 (2 มกราคม 2481): 3318-3326.<br />

“คำแถลงนโยบายของรัฐบาล คณะที่นายพันเอก พระยา<br />

พหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี23 ธันวาคม<br />

2480.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 54 (3 มกราคม<br />

2480): 2327-2337.<br />

“คำแถลงนโยบายของรัฐบาล.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม<br />

49 (8 มกราคม 2475): 3425-3442.<br />

“คำปราศรัยของนายกรัฐมนตรีกล่าวแก่มวลชนชาวไทย<br />

โดยทางวิทยุกระจายเสียง วันที่ 20 ตุลาคม 2483.”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 57 (29 ตุลาคม 2483):<br />

2617-2635.<br />

“คำปราสัยของ พนะ นายกรัถมนตรีแด่มวลชนชาวไทย<br />

เนื่องไนอภิลักขิตสมัยงานฉลองวันชาติ 24<br />

มิถุนายน 2485.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59, ตอน<br />

ที่ 46 (7 กรกดาคม 2485): 1715-1732.<br />

“งดรับเงินและแถลงรายการเงินช่วยการบรรเทาทุกข์<br />

ชนชาติญี่ปุ่น.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 40 (20<br />

มกราคม 2466): 3749-3750.<br />

“งานราตรีสโมสรที่วังบุรพาภิรมย์.” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 16, ตอนที่ 21 (20 สิงหาคม 1899): 264-270.<br />

“จดหมายเหตุสยามไสมย ล.3 ผ.3.” วันพุฒ เดือน 10<br />

ขึ้น 4 ค่ำ ปีมะแม เบญจศก 1245.<br />

“แจ้งความเรื่องสวนดุสิต.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 15,<br />

ตอนที่ 5 (7 มีนาคม รัตนโกสินทร์ศก 117): 543.<br />

“แจ้งความสภากาชาดสยามเรื่องรับเงินช่วยบรรเทา<br />

ทุกข์ชาวญี่ปุ่น.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 40 (14<br />

ตุลาคม 2466): 2211-2214 และเรื่องเดียวกันอีก<br />

8 ครั้ง มีประกาศสุดท้ายที่ เล่ม 40 (16 มีนาคม<br />

2466): 4488-4491.<br />

“ตำแหน่งข้าราชการกระทรวงโยธาธิการ.” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา เล่ม 9, ตอนที่ 32 (6 พฤศจิกายน 1892):<br />

266-271.<br />

“ตำแหน่งข้าราชการในกระทรวงโยธาธิการ.” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา เล่ม 24, ตอนที่ 25 (22 กันยายน<br />

รัตนโกสินทร์ศก 126): 612-617.<br />

“แถลงนโยบายของรัฐบาล คณะที่นายพันเอกพระยา<br />

พหลพลพยุหเสนา เป็นนายกรัฐมนตรี23 ธันวาคม<br />

2480.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 54 (3 มกราคม<br />

2480): 2327-2337.<br />

“ใบบอกพระยาฤทธิรงค์รณเฉท.” ราชกิจจานุเบกษา<br />

เล่ม 17 (18 พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ศก 119):<br />

458-465.<br />

“ปฏิสังขรณ์วัดราชาธิวาส.” 23 เมษายน รัตนโกสินทร์<br />

ศก 123 – 22 พฤศจิกายน รัตนโกสินทร์ศก 124.<br />

เอกสารกระทรวงมหาดไทย. ม.ร.5 (ร.)/37. หอ<br />

จดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

“ประกาศใช้กติกาสัญญาพันธไมตรีระหว่างประเทศไทย<br />

กับประเทศญี่ปุ่น.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 58 (21<br />

ธันวาคม 2484): 1824-1828.<br />

“ประกาศพระราชทานนามพระที่นั่งแลพระตำหนักที่<br />

พระราชวังสนามจันทร์ จังหวัดนครปฐม.” ราชกิจ<br />

จานุเบกษา เล่ม 34 (10 กุมภาพันธ์2460): 596-597.<br />

“ประกาศพระราชปรารภในการก่อพระฤกษ์สังฆเสนาสน์<br />

ราชวิทยาลัย.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 13, ตอนที่<br />

25 (20 กันยายน 1896): 265-268.<br />

“ประกาศสงครามต่อบริเตนใหญ่และสหรัฐอเมริกา.”<br />

ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59, ตอนที่ 5 (25 มกราคม<br />

2485): 244-246.<br />

“ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่องกำหนดภาพ<br />

เครื่องหมายราชการ.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 128,<br />

ตอนพิเศษ 47ง (24 เมษายน 2554): 33-35.<br />

“ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมฉบับที่ 5<br />

เรื่องให้ชาวไทยพยายามใช้เครื่องอุปโภคบริโภคที่<br />

มีกำเนิดหรือทำขึ้นในประเทศไทย.” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา เล่ม 56 (6 พฤศจิกายน 2482): 2359-2360.<br />

“ประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรัฐนิยมใช้ชื่อ<br />

ประเทศ, ประชาชน และสัญชาติ.” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา เล่ม 56 (24 มิถุนายน 2482): 810.<br />

“ประกาสไช้ความตกลงทางวัธนธัมระหว่างประเทสไทย<br />

กับประเทสยี่ปุ่น.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 59, ตอน<br />

ที่ 81 (29 ธันวาคม 2485): 2619-2631.<br />

“ประกาสไช้สนธิสัญญาระหว่างประเทสไทยกับประเทส<br />

ยี่ปุ่นว่าด้วยอานาเขตของประเทสไทยไนมาลัยและ<br />

ภูมิภาคฉาน.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 60, ตอนที่<br />

55 (18 ตุลาคม 2486): 1527-1531.<br />

“พระบรมราโชวาท พระราชทานแก่กองทหารซึ่งกลับ<br />

จากงานพระราชสงคราม.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม<br />

36 (28 กันยายน 2462): 1784-1786.<br />

“พระยาสุขุมนัยวินิจออกไปรับพระสารีริกธาตุที่ประเทศ<br />

อินเดีย.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 15 (16 มกราคม<br />

รัตนโกสินทร์ศก 117): 447-448.<br />

“พระราชดำรัสตอบในการเปิดโรงเรียนเพาะช่าง.” ราช<br />

กิจจานุเบกษา เล่ม 30 (25 มกราคม 2456): 2498-<br />

2500.<br />

“พระราชทานเงินเข้าในการสร้างอนุสาวรีย์ที่ฝังอัฐิทหาร<br />

ซึ่งตายในราชการสงคราม.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม<br />

36 (14 กันยายน 2462): 1684-1685.<br />

“พิธีสารระหว่างประเทศไทยกับประเทศญี่ปุ่นว่าด้วย<br />

หลักประกันและความเข้าใจกันทางการเมือง.” ราช<br />

กิจจานุเบกษา เล่ม 58 (5 กรกฎาคม 2484): 889-893.<br />

“ราตรีสโมสรเฉลิมพระเกียรติยศสมเด็จพระเจ้าลูกยา<br />

เธอเจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิตที่วังบุรพา<br />

ภิรมย์.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 18, ตอนที่ 47 (23<br />

กุมภาพันธ์ รัตนโกสินทร์ศก 120): 895-896.<br />

“รายงานการสร้างอนุสสาวรีย์ประชาธิปไตย.” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา เล่ม 57 (24 มิถุนายน 2483): 870-876.<br />

บรรณานุกรม<br />

427


“รายงานของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการเนื่อง<br />

ในพิธีเริ่มงานกรีฑาประจำปีของกระทรวง<br />

ศึกษาธิการ พุทธศักราช 2484.” 1 ธันวาคม 2484.<br />

เอกสารสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (2)<br />

สร0201.29/2. หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

“เรื่องการสร้างอนุสสาวรีย์ไทย.” 23 เมษายน 2484.<br />

เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ. ศธ 0701.42/10. หอ<br />

จดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

“เรื่องโครงการกรมศิลปากร.” 2476. เอกสารกระทรวง<br />

ศึกษาธิการ. ศธ 0701.9.1/4. หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

“เรื่องบันทึกที่ 25/2486 จากรัถมนตรีว่าการกะซวงการ<br />

ต่างประเทสถึงนายกรัถมนตรี.” 3 พฤษภาคม 2486.<br />

เอกสารกระทรวงการต่างประเทศ. กต 1.1.5/11.<br />

หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

“เรื่องบันทึกที่ 51/2486 จากรัถมนตรีว่าการกะซวงการ<br />

ต่างประเทสถึงนายกรัถมนตรี.” 26 กันยายน 2486.<br />

เอกสารกระทรวงการต่างประเทศ. กต 1.1.5/11.<br />

หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

“เรื่องประกาศประกวดแบบอนุสสาวรีย์สนธิสัญญาของ<br />

ชาติ.” 20 เมษายน 2482. เอกสารกระทรวง<br />

ศึกษาธิการ. ศธ 0701.41.1/26. หอจดหมายเหตุ<br />

แห่งชาติ.<br />

“เรื่องแผนผังอนุสสาวรีย์ไทย.” 18 กุมภาพันธ์ 2482.<br />

เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ. ศธ 0701.41.1/26.<br />

หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

“เรื่องอนุสสาวรีย์สนธิสัญญา.” 8 มิถุนายน 2482.<br />

เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ หนังสือจากเลขาธิการ<br />

คณะรัฐมนตรีถึงรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม.<br />

ศธ 0701.41.1/26. หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

“เรื ่องอนุสสาวรีย์สนธิสัญญา.” 6 กรกฎาคม 2482.<br />

เอกสารกระทรวงศึกษาธิการ. ศธ 0701.41.1/26.<br />

หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

“สุนทรพจน์ของนายกรัฐมนตรี กล่าวทางวิทยุกระจาย<br />

เสียงแด่ประชาชนชาวไทยทั้งมวล ในอภิลักขิตสมัย<br />

แห่งงานเฉลิมฉลองวันชาติและสนธิสัญญา 24<br />

มิถุนายน 2482.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 56 (24<br />

มิถุนายน 2482): 811-839.<br />

“สุนทรพจน์นายกรัฐมนตรีกล่าวทางวิทยุกระจายเสียง<br />

แด่ประชาชนชาวไทยทั้งมวลในอภิลักขิตสมัยแห่ง<br />

งานเฉลิมฉลองวันชาติ 24 มิถุนายน 2483.” ราช<br />

กิจจานุเบกษา เล่ม 57 (24 มิถุนายน 2483): 851-870.<br />

“เสด็จพระราชดำเนินเปิดคลองรังสิตประยุรศักดิ์แล<br />

เสด็จพระราชวังบางปอิน.” ราชกิจจานุเบกษา เล่ม 13,<br />

ตอนที่ 35 (29 พฤศจิกายน 1896): 430-433.<br />

“เสด็จพระราชดำเนินวังบุรพาภิรมย์ ในการซึ่งที่ปฤกษา<br />

ของผู้สำเร็จราชการแผ่นดินมีการสมโภชพระบาท<br />

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์.” ราชกิจจา<br />

นุเบกษา เล่ม 14, แผ่นที่ 43 (23 มกราคม<br />

รัตนโกสินทร์ศก 116): 736-739.<br />

“Memorandum by Prince Bidya on the Organization<br />

of Athletics.” March 22nd 1933. เอกสารสำนัก<br />

เลขาธิการคณะรัฐมนตรี. (2) สร0201.29/3. หอ<br />

จดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

ดำรงราชานุภาพ, สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์ กรมพระยา.<br />

เธอ. นิทานโบราณคดี. กรุงเทพฯ: ดอกหญ้า, 2543.<br />

. ประชุมพงศาวดารเล่ม 14 (ประชุม<br />

พงศาวดารภาค 22-25). พระนคร: องค์การค้าคุรุ<br />

สภา, 2507.<br />

กรมศิลปากร. “ประกาศเกษียณอายุลูกทาสลูกไทย.” ใน<br />

การเลิกทาสในรัชกาลที่5. พระนคร: บำรุงนุกูลกิจ,<br />

2499.<br />

เดอริงก์, คาร์ล. “สถาปัตยกรรมสยาม.” แปลโดย อำภา<br />

โอตระกูล ใน เยอรมันมองไทย. เวงค์, เคลาส และ<br />

เซ็นแบร์ก, เคลาส โรส ผู้รวบรวม. พระนคร: เคล็ด<br />

ไท, 2520.<br />

เจ้านายและข้าราชการ กราบบังคมทูลความเห็นจัดการ<br />

เปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดิน ร.ศ.103 และพระราช<br />

ดำรัสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

ทรงแถลงพระบรมราชาธิบายแก้ไขการปกครอง<br />

แผ่นดิน. นครหลวงฯ: พิฆเณศ, 2515.<br />

ใจรัก จันทร์สิน. “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของกลุ่ม<br />

สถาปนิกไทยรุ่นบุกเบิก พ.ศ.2459- พ.ศ.2508.”<br />

วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชา<br />

ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.<br />

ชาญวิทย์ เกษตรศิริ. ประวัติการเมืองไทย 2475-2500.<br />

กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2544.<br />

ชาตรี ประกิตนนทการ. “สถาปนิก ความรู้ โรงเรียน<br />

สถาปัตยกรรม.” หน้าจั่ว ว่าด้วยประวัติศาสตร์<br />

สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย 13 (มกราคม<br />

2559-ธันวาคม 2559): 76-113.<br />

ทิพากรวงศ์, เจ้าพระยา. พระราชพงศาวดารกรุง<br />

รัตนโกสินทร์รัชกาลที่3 เล่ม 2. พระนคร: องค์การ<br />

ค้าคุรุสภา, 2504.<br />

ธวัชชัย องค์วุฒิเวทย์ และวิไลรัตน์ ยังรอด. คู่มือการ<br />

เรียนรู้กรุงศรีอยุธยา. กรุงเทพฯ: มิวเซียมเพรส,<br />

2546.<br />

บัทสัน,เบนจามิน เอ. อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์ใน<br />

สยาม. แปลโดย กาญจนี ละอองศรี และคณะ.<br />

กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,2543.<br />

เบียสลีย์, ดับเบิลยู จี. ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นสมัยใหม่.<br />

แปลโดย ทองสุก เกตุรุ่งโรจน์. กรุงเทพฯ: ศูนย์<br />

พัฒนาหนังสือกรมวิชาการ, 2543.<br />

แบบพิมพ์เขียวดั้งเดิมของคณะกรรมการพิจารณาการ<br />

สร้างอนุสสาวรีย์ชัยสมรภูมิ. ไม่ปรากฏวันที่. ไม่มี<br />

เลขหน้า.<br />

ผาสุก พงษ์ไพจิตร และเบเคอร์, คริส. เศรษฐกิจ<br />

การเมืองไทยสมัยกรุงเทพฯ.กรุงเทพฯ: ตรัสวิน, 2539.<br />

พระพรหมพิจิตร. พรหมพิจิตร์อนุสรณ์. พระนคร: โรง<br />

พิมพ์พระจันทร์, 2508.<br />

พระสารศาสตร์ศิริลักษณ์. ประวัติพระสาโรชรัตน<br />

นิมมานก์. พระนคร: โรงพิมพ์ชัยศิริ, 2493. (พิมพ์<br />

ในอนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพพระสาโรชรัตน<br />

นิมมานก์).<br />

พระสาโรชน์รัตนนิมมานก์. การสร้างอาคารที่ศิริราช<br />

พยาบาล. กรุงเทพฯ: กรุงสยามการพิมพ์, 2519.<br />

(พิมพ์ในอนุสรณ์ 84 ปี ศิริราช).<br />

พินัย สิริเกียรติกุล. “ณ ที่นี้ไม่มี ‘ความเสื่อม’ : ถนน<br />

ราชดำเนิน พ.ศ. 2484-2488.” หน้าจั่ว ว่าด้วย<br />

ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย<br />

6 (กันยายน 2552-สิงหาคม 2553): 8-51.<br />

พิริยา พิทยาวัฒนชัย. “สถาปัตยกรรมของโยอาคิม กรา<br />

ซีในสยาม.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต<br />

สาขาวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม บัณฑิต<br />

วิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2554.<br />

เพ็ญศรี กาญจโนมัย. ญี่ปุ่นสมัยใหม่. กรุงเทพฯ: ศูนย์<br />

หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2538.<br />

มงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว, พระบาทสมเด็จพระ. เที่ยวเมือง<br />

พระร่วง. กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์มหามกุฏราช<br />

วิทยาลัย, 2519.<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร. นิทรรศการเชิดชูเกียรติ<br />

ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งกรุ๊พ, 2535.<br />

428 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


วิชา มหาคุณ, บรรณาธิการ. ที่ระลึกนิทรรศการทางการ<br />

ศาล สมโภชกรุงรัตนโกสินทร์สองร้อยปี. กรุงเทพฯ:<br />

กระทรวงยุติธรรม, 2525.<br />

สถาบันราชภัฎพระนคร. อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ<br />

วัดพระศรีมหาธาตุวรมหาวิหาร สถาบันราชภัฎ<br />

พระนคร. กรุงเทพฯ: สถาบันราชภัฎพระนคร, 2539.<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์. รายงานการวิจัยสถาปัตยกรรม<br />

ของคาร์ล ดือห์ริ่ง. นครปฐม: โรงพิมพ์มหาวิทยาลัย<br />

ศิลปากร, 2540.<br />

. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4- พ.ศ.2480. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย<br />

ศิลปากร, 2553.<br />

. “จิตวิญญาณแบบไทยสมัยใหม่: ผล<br />

งานสถาปัตยกรรมแบบ Modernism ของพระพรหม<br />

พิจิตร.” ใน สถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ.<br />

สมใจ นิ่มเล็ก และคนอื่นๆ. กรุงเทพฯ: คณะ<br />

สถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.<br />

สรรใจ แสงวิเชียร. ศิริราชร้อยปี: ประวัติและวิวัฒนาการ.<br />

กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล, 2531.<br />

สมัยเฉลิม กฤดากร, หม่อมเจ้า. งานสถาปัตยกรรมของ<br />

หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร. พระนคร: โรงพิมพ์<br />

พระจันทร์, 2510.<br />

หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. “รายงานการเปิด<br />

ตึกต่างๆ.” 24 มิถุนายน 2484. เอกสาร จ18.5/1/5.<br />

23-24.<br />

Harada, Akio. Mainichi Shimbun (November 23,<br />

1962).<br />

Tseng, Alice Y. “In Defense of Kenchiku: Ito Chuta’s<br />

Theorization of Architecture as a Fine Art in the<br />

Meiji Period.” Review of Japanese Culture and<br />

Society 24 (2012): 155-167.<br />

Beasley, W.G.. The History of Modern Japan.<br />

New York: Praeger, 1975.<br />

Chang, Hui Ju. “Victorian Japan in Taiwan:<br />

transmission and impact of the ‘modern’ upon<br />

the Architecture of Japanese authority, 1853-<br />

1919.” Ph.D. dissertation, University of Sheffield,<br />

2014.<br />

Cho, Hyun Jung. “Hiroshima Peace Memorial Park<br />

and the Making of Japanese Postwar Architec<br />

ture.” Journal of Architectural Education 66, 1<br />

(2012): 72-83.<br />

Somchart Chungsiriarak. “Modern (Western Style)<br />

Buildings in the Meiji Period (1868-1912) with<br />

Comparison to Contemporary Western Style<br />

Buildings in Siam.” Journal of the Faculty of<br />

Architecture Silpakorn University 16 (1998-<br />

1999): 123-194.<br />

Ciappi, Marco Antonio. Compendio Della Heroiche<br />

Et Glorios Attioni Et Santa Vita di Papa Greg<br />

XIII. Roma: Stamperia de gli Accolti, 1596.<br />

Coaldrake, William H. Architecture and Authority<br />

in Japan. London: Routledge, 1996.<br />

Count Okuma. “The Industrial Revolution in Japan.”<br />

The North American Review 171, 528<br />

(November 1900): 677- 691.<br />

Daiki, Amanai. “The Founding of Bunriha Kenchiku<br />

Kai: “Art” and “Expression” in early Japanese<br />

Architectural Circle, 1888-1920.” Aesthetics 13<br />

(2009): 235-248.<br />

Finn, Dallas. Meiji Revisited: The Sites of Victorian<br />

Japan. University of Michigan: Weatherhill, 1995.<br />

Dohring, Karl. “Das Phrachedi in Siam.” Dissertation,<br />

Konigl. Sachs. Technischen Hochshule zu<br />

Dresden. Berlin: Behrend & Co., 1912.<br />

Dohring, Karl. “Der Bot (Haupttempel) inden<br />

siamesischen Tempelanlagen.” Dissertation,<br />

Friedrich Alexanders Universitat Erlangen.<br />

Berlin: Buchdruckerei G. Ascher, 1914.<br />

Duus, Peter. Modern Japan. Boston: Houghton<br />

Mifflin, 1998.<br />

Fergusson, James. A History of Architecture. n.p.,<br />

1876.<br />

. History of Indian and Eastern<br />

Architecture. n.p., 1876.<br />

Frampton, Kenneth and Kudo Kunio. Japanese<br />

Building Practice, From Ancient Times to the<br />

Meiji Period. New York: Van Nostrand Reinhold,<br />

1997.<br />

Howard, Michael. “For God, King and Country.” The<br />

National Interest 97 (Sept/Oct 2008): 54-60.<br />

Hwangbo, A.B. “Early works of Japanese<br />

Secessionist Architects.” Journal of the Korea<br />

Academia-Industrial cooperation Society 15, 5<br />

(2014): 3176-3182.<br />

Inoue, Shoichi. “Interpretation of Ancient Japanese<br />

Architecture Focusing on Links with World<br />

History.” Japan Review 12 (2000): 129-143.<br />

Jaffe, Richard M. “Buddhist Material Culture,<br />

“Indianism,” and the Construction of Pan-Asian<br />

Buddhism in Pre-War Japan.” Material Religion<br />

2, 3 (November 1, 2006): 266-293.<br />

Johnson, W.G., Wright Arnold and Breakspear,<br />

Oliver T. Twentieth Century Impressions of<br />

Siam. London: Lloyd’s Greater Britain<br />

Publishing Company Ltd, 1908.<br />

Kestenbaum, Jacqueline Eve. “Modernism and<br />

Tradition in Japanese Architectural Ideology,<br />

1931-1955.” Doctoral Thesis, Columbia<br />

University, 1996.<br />

Kim, Hyon-Sob. “Tetsuro Yoshida (1894-1956) and<br />

architectural interchange between East and<br />

West.” History. Arq 12, 1 (2008): 43-58.<br />

Kirk, Terry. The Architecture of Modern Italy, Volume<br />

I: The Challenge of Tradition, 1750-1900. New<br />

York: Princeton Architectural Press, 2005.<br />

Kishida, Hideto. “Modern Architecture in Japan.” in<br />

บรรณานุกรม<br />

429


Architectural Japan Old and New. Tokyo: Japan<br />

times and Mail, 1936.<br />

Kurakata, Shunsuke. “Study on the architecture<br />

and philosophy of Chuta Ito.” Thesis, Waseda<br />

University, 2004.<br />

Mclaren, W.W. Japanese Government Documents.<br />

Bethesada, Md: University Publication of<br />

America, 1979.<br />

Meid, Michiko. Der Einfuhrungsprozess des<br />

europaischen und nordamerikanischer<br />

Architektur in Japan seit 1542. Koln: Kleikamp,<br />

1977.<br />

Miller, Roy Andrew. Japan’s Modern Myth. New<br />

York: Weatherhill, 1982.<br />

Muramatsu, Teijiro. “The Course of Modern<br />

Japanese Architecture.” The Japan Architect<br />

109 (June 1965): 37-56.<br />

Onobayashi, Hiroki. “A History of Modern Japanese<br />

Houses.” The Japan Architect 109 (June 1965):<br />

71-84.<br />

Oshima, Ken Tadashi. International architecture in<br />

Interwar Japan. Seattle: University of<br />

Washington Press, 2009.<br />

Reynolds, Bruce E. “Imperial Japan’s Cultural<br />

Programme in Thailand.” in Japanese Cultural<br />

Policies in Southeast Asia during World War<br />

II. ed. Grant K. Goodman. New York: St. Martin<br />

Press, 1991.<br />

. “Phibun Songkhram and Thai<br />

Nationalism in the Fascist Era.” European<br />

Journal of East Asian Studies 3, 1 (2004): 99-<br />

134. 134.<br />

Reynolds, Jonathan M. “Japan’s Imperial Diet<br />

Building: Debate over Construction of a<br />

National Identity.” Art Journal 55, 3 (Fall 1996):<br />

38-47.<br />

. Maekawa Kunio and the emergence<br />

of Japanese Modernist Architecture. Berkeley:<br />

University of Califonia Press, 2001.<br />

Shunsuke, Otani. “The Dawn of Structural Earth<br />

quake Engineering in Japan.” the 14th World<br />

Conference on Earthquake Engineering,<br />

October 12-17, 2008, Beijing, China.<br />

Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo:<br />

Kodansha international, 1987.<br />

Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda, Tohru. Zumen-de-Mi<br />

ru-Toshikenchiku-no-Taisho (Urban Architecture<br />

in Taisho, a Visual Anthology). Tokyo:<br />

Kashiwashobo, 1992.<br />

. Zumen-de-Miru-Toshikenchi<br />

ku-no-Meiji (Urban Architecture in Meiji, a<br />

Visual Anthology). Tokyo: Kashiwashobo, 1990.<br />

Tadayoshi, Fujiki. “Tokyo-Paris 1936-37,” Process<br />

Architecture 110 (May 1993): 31-38.<br />

Takenaka, Akiko. “Architecture for Mass-Mobili<br />

zation: The Chureito Memorial Construction<br />

Movement, 1939-1945.” in The Culture of<br />

Japanese Fascism. ed. Alan Tansman. Durham:<br />

Duke University Press, 2009.<br />

The Architectural Institute of Japan, “History of<br />

Architectural Institute of Japan,” in 50 years<br />

History of AIJ. 1936. available from http://www.<br />

aij.or.jp/da1/kaishimokuroku/pdf/gakaishi_01.pdf<br />

Watanabe, Toshio. “Japanese Imperial Architecture:<br />

From Thomas Roger to Ito Chuta.” in<br />

Challenging Past and Present: The Metamor<br />

phosis of Nineteenth Century Japanese Art. ed.<br />

Ellen Conant. University of Hawaii Press, 2006.<br />

. “Josiah Conder’s Rokumeikan:<br />

Architecture and National Representation in<br />

Meiji Japan.” Art Journal 55, 3 (Fall 1996): 21-27.<br />

Wendelken, Cherie. “The Tectonics of Japanese<br />

Style: Architect and Carpenter in the late Meiji<br />

Period.” Art Journal 55, 3 (Fall 1996): 28-37.<br />

. “Pan-Asianism and the Pure<br />

Japanese Thing: Japanese Identity and<br />

Architecture in the Late 1930.” Positions 8, 3<br />

(Winter 2000): 819-828.<br />

Yen, Liang-Ping. “A Discussion of Writings on<br />

Architectural History under Cultural Essentialism.”<br />

Atiner Conference Paper Series no.ARC 2013-<br />

0733.<br />

สื่ออิเล็กทรอนิคส์<br />

ประกาศการยกเลิกหมอบคลาน. เข้าถึงเมื่อ 25 มกราคม<br />

2560. เข้าถึงได้จาก http://prachatai.com/jour<br />

nal/2012/10/43275<br />

ประวัติศาลแขวงสงขลา. เข้าถึงเมื่อ 1 พฤษภาคม 2550.<br />

เข้าถึงได้จาก http://www.judiciary.go.th/sklmc/<br />

index1.htm<br />

ศาลาไทยกรุงปารีส 2480. เข้าถึงเมื่อ 3 เมษายน 2560.<br />

เข้าถึงได้จาก www.cokethai.com/forum<br />

อนุสาวรีย์ปราบฮ่อ. เข้าถึงเมื่อ 14 กุมภาพันธ์ 2560.<br />

เข้าถึงได้จาก http://kanchanapisek.or.th/kp8/nki/<br />

nki103.html<br />

AIJ-Architectural Institute of Japan(AIJ). accessed<br />

April 24, 2017. available from http://www.aij.<br />

or.jp./eng/ about/about.html<br />

Alnwick War Memorial. accessed March 31, 2017.<br />

available from http://www.roll-of-honour.com/<br />

Northumberland/ Alnwick.html<br />

Benoit, Jacquet. Compromising Modernity:<br />

Japanese Monumentality during World War II.<br />

accessed January 11, 2017. available from<br />

https://www.academia.edu/170<br />

Bootle War Memorial, Liverpool. accessed March<br />

31, 2017. available from http://1914-1918.<br />

invisionzone.com/forums/ index.php?/top<br />

ic/210408-bootle-war-memorial<br />

Clementi. Ponte Ducca d’aosta. accessed March<br />

30, 2017. available from http://www.trekearth.<br />

com/gallery/ Europe/Italy/ Lazio/Rome/Roma/<br />

photo82533.htm<br />

Cohen, Manuel. Relief, Ponte Duca d’Aosta, Rome,<br />

Italy. accessed September 29, 2016. available<br />

from http:// manuelcohen.photoshelter.com/image<br />

430 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


Compromising Modernity: Japanese Monumentality<br />

during World War II. accessed January 11, 2017.<br />

available from https://www.academia.edu/170<br />

Diet. available from https://en.wikipedia.org/wiki/Diet<br />

Dojunkai. accessed December 28, 2016. available<br />

from https://en.wikipedia.org/wiki/Dojunkai<br />

Euston Station War Memorial. accessed March<br />

31, 2017. available from http://www. roll-ofhonour.com/<br />

London/ EustonStation.html<br />

Ex-Soldiers Hall (Gunjin Kaikan), Kudan, Tokyo, c.<br />

1935/Old Tokyo. accessed December 30, 2016.<br />

available from http://www.oldtokyo.com/exsoldiers-hall-kudan-tokyo-c-1935/<br />

General lists of Journal of Architecture and Building<br />

Science Part 1 to 49, (1936). accessed April<br />

24, 2017. available from http://www.aij.or.jp/<br />

da1/kaishimokuroku/mokuroku.html<br />

Greater East Asia Co-Prosperity Sphere Memorial<br />

Hall. accessed January 13, 2017. available from<br />

https://classconnection.s3.amazonaws.<br />

com/506/flashcards/35506/jpg/161362<br />

78892153...<br />

History of Tokyo. accessed December 28, 2016.<br />

available from https://en.wikipedia.org/wiki/<br />

History_of_Tokyo<br />

Janaka Goonetilleke. Japanese Monks who came<br />

to Galle in the late. 1-2. accessed March 15,<br />

2016. available from http://www.buddhistchan<br />

nel.tv/index.php?id=43,7572,0,0,1,0<br />

Kasuisai. accessed March 15, 2016. available from<br />

http://www.shizuoka-guide.com/blog-trip/ar<br />

chives/2011/06/ images/1358395998.jpg<br />

Kyoto College of Technology. accessed December<br />

20, 2016. available from http://www.flickriver.<br />

com/photos/ bbianca/4412 and http://Japan-ar<br />

chitect.jimdo.com/Japanese-architects/moto<br />

no-seigo-/<br />

Lahmeyer, Jan. Historical demographical data of<br />

the whole country. accessed May 30, 2016.<br />

available from http:// www.populstat.info/<br />

. Thailand, historical demographical<br />

data of the whole country. accessed May 30,<br />

2016. available from http://www.populstat.info/<br />

Asia/thailanc.htm<br />

Meiji Constitution. available from https://en.wikipe<br />

dia.org/wiki/ Meiji_Constitution<br />

Nichiren Shu News No. 169, December 1, 2008.<br />

accessed June 11, 2015. available from http://<br />

nichiren-shu.org/ newsletter<br />

No.7: Earthquake Paintings. accessed June 11,<br />

2015. available from http://art-it.asia/u/ ad<br />

min_ed_contri8/qPb0LpT4N RVitnuXy<br />

92B/?lang=en<br />

Sato Yoshiaki. The Kanagawa Prefectural Govern<br />

ment Hall and Low-ranking Official Architects<br />

in Taisho and Early Showa Era, Viewing from<br />

History of Architecture. accessed December<br />

12, 2016. available from http:// www.kamome.<br />

lib. ynu.ac.jp/dspace/bistream/10131/425<br />

/9/11734506-09.pdf<br />

Shimizu Yuichiro. Shaping the Diet: Competing<br />

Architectural Designs for Japan’s Diet Building,<br />

Social Science Research Network. accessed<br />

January 13, 2014. available from http://papers.<br />

ssru.com/sol3/ papers<br />

Shirokiya Department Store fire. accessed Decem<br />

ber 28, 2016. available from https://en.wikipedia.<br />

org/wiki/ Shirogiya_ Department_Store_fire<br />

Shizume Masato. The Japanese Economy during<br />

the Interwar Period: Instability in the Financial<br />

System and the Impact of the World Depression,<br />

Bank of Japan Review, 2009-E-2, May, 2009.<br />

accessed March 25, 2016. available from http://<br />

www.boj.or.jp/en<br />

Sone Tatsuzo. available from https://en.wikipedia.<br />

org/wiki/Sone_Tatsuzo<br />

The 1930s and War Economy. accessed March 24,<br />

2016. available from http://www.grips.ac.jp/<br />

teacher/oono/hp/ lecture_J/lec09.htm<br />

Tokyo National Museum- Access Museum Map<br />

Honka. accessed December 30, 2016.<br />

available from http:// www.tnm.jp/modules/<br />

r_free_page/index.php?id=115<br />

Tomioka Silk Mill. accessed April 3, 2017. available<br />

from http://www.tomioka-silk.jp.e.wv.hp.transer.<br />

com/tomioka-silk-mill/<br />

War Memorial, Port Sunlight, by Sir William Gos<br />

combe John. accessed March 31, 2017.<br />

available from http:// www.victorianweb.org/<br />

sculpture/john/14.html<br />

War Memorial: Men of Hackney (WMR-2274).<br />

accessed April 3, 2017. available from http://<br />

www.iwm.org.uk/memorials/ item/memori<br />

al/2274<br />

Yokohama Specie Bank. available from http://<br />

chkanagawa-museum.jp<br />

Yoshikasu Uchida. available from https://en.wikipe<br />

dia.org/wiki/Yoshikazu_Uchida<br />

Yutaka Hidaka. accessed April 21, 2017. available<br />

from www.nikken.co.jp/ja/archives/60002.html<br />

フロアマップ. accessed May 11, 2016. available from<br />

http://tsukijihongwanji.jp/marugoto/about/<br />

floormap<br />

บรรณานุกรม<br />

431


ที่มาภาพประกอบ<br />

หน้า 20<br />

หน้า 28<br />

หน้า 29<br />

หน้า 31<br />

อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru. Zumen-de<br />

-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban Architecture in Meiji,<br />

a Visual Anthology). Tokyo: Kashiwashobo, 1990.<br />

อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru. Zumen-de<br />

-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban Architecture in Meiji,<br />

a Visual Anthology). Tokyo: Kashiwashobo, 1990.<br />

Ciappi, Marco Antonio. Compendio Della Heroiche Et<br />

Gloriose Attioni Et Santa Vita di Papa Greg XIII. Roma:<br />

Stamperia de gli Accolti, 1596.<br />

Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 33 WIKIPEDIA. Reverberatory furnace. Accessed July 10,<br />

2019. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/<br />

Reverberatory_furnace<br />

หน้า 34, 306 WIKIPEDIA. Tomioka Silk Mill. Accessed July 10, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Tomioka<br />

_Silk_Mill<br />

หน้า 35 บน: WIKIPEDIA. Glover Garden. Accessed July 10, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Glover_Garden<br />

ล่าง: อ้างอิงจาก Stewart, David B. The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present. Tokyo:<br />

Kodansha International, 1987.<br />

หน้า 36 WIKIPEDIA. Emperor Meiji. Accessed October 4, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Emperor_Meiji<br />

หน้า 37, 313 Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 38 ซ้าย: Dai-ichi Kokuritsu Ginko. Accessed August 30, 2019.<br />

Available from https://commons.wikimedia.org/wiki/File:<br />

Dai-ichi_Kokuritsu_Ginko.JPG<br />

ขวา: อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru.<br />

Zumen-de-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban<br />

Architecture in Meiji, a Visual Anthology). Tokyo:<br />

Kashiwashobo, 1990.<br />

หน้า 39, 308, 312<br />

บน: Frampton, Kenneth and Kudo, Kunio. Japanese<br />

Building Practice From Ancient Times to the Meiji Period.<br />

New York: Van Nostrand Reinhold, 1997.<br />

ล่าง: Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 40 WIKIPEDIA. Josiah Conder (architect). Accessed July 10,<br />

2019. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Josiah_<br />

Conder_(architect)<br />

WIKIPEDIA. Tatsuno Kingo. Accessed July 10, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Tatsuno_Kingo<br />

WIKIPEDIA. Katayama Tōkuma. Accessed July 10, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Katay<br />

ama_T%C5%8Dkuma<br />

WIKIPEDIA. Sone Tatsuzō. Accessed July 10, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Sone_<br />

Tatsuz%C5%8D<br />

หน้า 42, 329 บน: WIKIPEDIA COMMONS. Conder Ueno Museum.<br />

Accessed July 10, 2019. Available from https://commons.<br />

wikimedia.org/wiki/File:Conder-Ueno-Museum-1882.jpg<br />

ล่าง: อ้างอิงจาก Stewart, David B. The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present. Tokyo:<br />

Kodansha International, 1987.<br />

หน้า 43, 327 บนซ้าย: WIKIPEDIA. Rokumeikan. Accessed July 10,<br />

2019. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/<br />

Rokumeikan<br />

บนขวา-ล่างซ้าย: อ้างอิงจาก Chang, Hui Ju. “Victorian<br />

Japan in Taiwan: transmission and impact of the ‘modern’<br />

upon the Architecture of Japanese authority, 1853-1919.”<br />

Dissertation, University of Sheffield, 2014.<br />

หน้า 44 ซ้าย: HERMANN ENDE. Accessed July 10, 2019.<br />

Available from http://www.orden-pourlemerite.de/<br />

mitglieder/hermann-ende<br />

ขวา: WIKIPEDIA. Wilhelm Böckmann. Accessed July 10,<br />

2019. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/<br />

Wilhelm_B%C3%B6ckmann<br />

หน้า 45, 331 บน Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 46, 331, 364<br />

บนซ้าย: อ้างอิงจาก Frampton, Kenneth and Kudo, Kunio.<br />

Japanese Building Practice From Ancient Times to the<br />

432 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


Meiji Period. New York: Van Nostrand Reinhold, 1997.<br />

บนขวา: Stewart, David B. The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present. Tokyo:<br />

Kodansha International, 1987.<br />

หน้า 47, 325 บน: Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

ล่าง: อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru.<br />

Zumen-de-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban<br />

Architecture in Meiji, a Visual Anthology). Tokyo:<br />

Kashiwashobo, 1990.<br />

หน้า 51, 314 Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 52 ซ้าย: อ้างอิงจาก Stewart, David B. The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present. Tokyo:<br />

Kodansha International, 1987.<br />

บนขวา-ล่างขวา: Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru.<br />

Zumen-de-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban<br />

Architecture in Meiji, a Visual Anthology). Tokyo:<br />

Kashiwashobo, 1990.<br />

หน้า 53 อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru.<br />

Zumen-de-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban<br />

Architecture in Meiji, a Visual Anthology). Tokyo:<br />

Kashiwashobo, 1990.<br />

หน้า 55<br />

Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 56, 315 WIKIPEDIA. Akasaka Palace. Accessed October 4, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Akasaka_<br />

Palace<br />

หน้า 57<br />

หน้า 58<br />

อ้างอิงจาก Chungsiriarak, Somchart. “Modern (Western<br />

Style) Buildings in the Meiji Period (1868-1912) with<br />

comparison to Contemporary Western Style Buildings in<br />

Siam.” Journal of the Faculty of Architecture Silpakorn<br />

University. 16, (1998-1999).<br />

บนซ้าย: WIKIPEDIA. Tsumaki Yorinaka. Accessed<br />

October 4, 2019. Available from https://ja.wikipedia.org/<br />

wiki/ 妻 木 頼 黄<br />

ล่างขวา: ภาพลายเส้นอ้างอิงจาก Stewart, David B. The<br />

Making of a Modern Japanese Architecture 1868 to the<br />

Present. Tokyo: Kodansha International, 1987.<br />

หน้า 59, 315 บน-ล่าง Finn Dallas. Meiji Revisited, The Sites of Victorian<br />

Japan. New York: Weatherhill, 1995.<br />

หน้า 60, 316 บน WIKIPEDIA COMMONS. Old Keio University Library.<br />

Accessed January 28, 2020. Available from https://<br />

commons.wikimedia.org/wiki/Category:Old_Keio_<br />

University_Library<br />

ล่าง: ภาพลายเส้นอ้างอิงจาก Chungsiriarak, Somchart.<br />

“Modern (Western Style) Buildings in the Meiji Period<br />

(1868-1912) with comparison to Contemporary Western<br />

Style Buildings in Siam.” Journal of the Faculty of<br />

Architecture Silpakorn University. 16, (1998-1999).<br />

หน้า 61<br />

บน-ล่าง: อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru.<br />

Zumen-de-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban<br />

Architecture in Meiji, a Visual Anthology). Tokyo:<br />

Kashiwashobo, 1990.<br />

หน้า 62, 317, 318<br />

บน: WIKIPEDIA. Yoshikazu Uchida. Accessed July 11,<br />

2019. Available from https://ja.wikipedia.org/wiki/%E4%<br />

BD%90%E9%87%8E%E5%88%A9%E5%99%A8<br />

ล่าง: WIKIPEDIA. MARUZEN-YUSHODO. Accessed<br />

October 10, 2019. Available from https://ja.wikipedia.org/<br />

wiki/%E4%B8%B8%E5%96%84%E9%9B%84%E6%9D%<br />

BE%E5%A0%82<br />

หน้า 63<br />

หน้า 64<br />

บนซ้าย-บนขวา-ล่างขวา: อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and<br />

Hatsuda Tohru. Zumen-de-miru-Toshikenchiku-no-Meiji<br />

(Urban Architecture in Meiji, a Visual Anthology). Tokyo:<br />

Kashiwashobo, 1990.<br />

ล่างซ้าย: WIKIPEDIA. Imperial Theatre. Accessed July 11,<br />

2019. Available from https://ja.wikipedia.org/wiki/%E5%B8<br />

%9D%E5%9B%BD%E5%8A%87%E5%A0%B4<br />

อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru. Zumen-de<br />

-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban Architecture in Meiji,<br />

a Visual Anthology). Tokyo: Kashiwashobo, 1990.<br />

หน้า 65, 364 ภาพลายเส้นอ้างอิง Finn Dallas. Meiji Revisited, The Sites<br />

of Victorian Japan. New York: Weatherhill, 1995.<br />

หน้า 66, 365 Finn Dallas. Meiji Revisited, The Sites of Victorian Japan.<br />

New York: Weatherhill, 1995.<br />

หน้า 68 WIKIPEDIA. Emperor Taishō. Accessed July 11, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Emperor_Taish<br />

%C5%8D<br />

ที่มาภาพประกอบ<br />

433


หน้า 70<br />

หน้า 71-72<br />

WIKIPEDIA. 1923 Great Kantō earthquake. Accessed July<br />

11, 2019. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/1923<br />

_Great_Kant%C5%8D_earthquake<br />

Oshima, Ken Tadashi. International Architecture in interwar<br />

Japan. Constructing Kokusai Kenchiku. Seattle: Washington<br />

University Press, 2009.<br />

หน้า 73, 336 บน: Hwangbo, A.B. “Early Works of Japanese Secessionist<br />

Architects.” Journal of the Korean Academia-Industrial<br />

Cooperation Society. 15, 5 (2014).<br />

ล่าง: Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 74, 337 ซ้าย: Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

ขวา: อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru.<br />

Zumen-de-Mirru-Toshikenchiku-no-Taisho(Urban<br />

Architecture in Taisho, a Visual Anthology). Tokyo:<br />

Kashiwashobo, 1992.<br />

หน้า 75, 337 ซ้าย: WIKIPEDIA COMMONS. Ishimoto-Asahi-building-1.<br />

Accessed July 23, 2019. Available from https://commons.<br />

wikimedia.org/wiki/File:Ishimoto-Asahi-building-1.jpg<br />

ขวา: Oshima, Ken Tadashi. International Architecture in<br />

interwar Japan. Constructing Kokusai Kenchiku. Seattle:<br />

Washington University Press, 2009.<br />

หน้า 76, 338 บน อ้างอิงจาก Oshima, Ken Tadashi. International<br />

Architecture in interwar Japan. Constructing Kokusai<br />

Kenchiku. Seattle: Washington University Press, 2009.<br />

ล่าง: ภาพวาดลายเส้นอ้างอิงจาก Reynolds, Jonathan M.<br />

Maekawa Kunio and the Emergence of Japanese<br />

Modernist Architecture. Berkeley: University of California<br />

Press, 2001.<br />

หน้า 77 บน-ล่าง: ภาพวาดลายเส้นอ้างอิงจาก Reynolds, Jonathan M.<br />

Maekawa Kunio and the Emergence of Japanese<br />

Modernist Architecture. Berkeley: University of California<br />

Press, 2001.<br />

หน้า 78, 338 อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru. Zumen-de<br />

-Mirru-Toshikenchiku-no-Taisho (Urban Architecture in<br />

Taisho, a Visual Anthology). Tokyo: Kashiwashobo, 1992.<br />

หน้า 79<br />

Oshima, Ken Tadashi. International Architecture in interwar<br />

Japan. Constructing Kokusai Kenchiku. Seattle: Washington<br />

University Press, 2009.<br />

หน้า 80, 338 อ้างอิงจาก Stewart, David B. The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present. Tokyo:<br />

Kodansha International, 1987.<br />

หน้า 81 WIKIPEDIA. Yoshikazu Uchida. Accessed July 11, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Yoshikazu_Uchida<br />

หน้า 82<br />

บน Yasuda Auditorium - Tokyo University 2. Accessed<br />

July 7, 2019. Available from https://commons.wikimedia.<br />

org/wiki/File:Yasuda_Auditorium_-_Tokyo_University_2.jpg<br />

ล่าง: อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru.<br />

Zumen-de-Mirru-Toshikenchiku-no-Taisho (Urban<br />

Architecture in Taisho, a Visual Anthology). Tokyo:<br />

Kashiwashobo, 1992.<br />

หน้า 83, 318 บน: WIKIPEDIA. Itō Chūta. Accessed July 11, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/It%C5%8D_Ch<br />

%C5%ABta<br />

ล่าง: Fletcher, Banister Sir. A History of Architecture on the<br />

Comparative Method for Students, Craftmen and Amateur.<br />

London: Batsford,1901.<br />

หน้า 85<br />

Ito, Chuta. “A Treatise on Horyuji Temple.” Journal of<br />

Architecture and Building Science. 7, 83 (1893).<br />

หน้า 86, 367 บน: Ito, Chuta. Toyo Kenchiku no Kenkyu (Research on<br />

Oriental Architecture) 1st edn. Tokyo: Ryuginsha, 1936.<br />

ล่าง: Ito, Chuta. “The Future of Our Architecture in Terms<br />

of the Evolution Theory of Architecture.” Journal of<br />

Architecture. 265, (1908).<br />

หน้า 88, 368 Jaffe, Richard M. “Buddhist Material Culture, ‘Inianism’<br />

and the Construction of Pan-Asian Buddhism in Prewar<br />

Japan.” Material Religion. 2, 3 (November 1, 2006)<br />

หน้า 90, 305 บนซ้าย: อ้างอิงจาก Jaffe, Richard M. “Seeking Sakyamuni:<br />

Travel and the Reconstruction of Japanese Buddhism.”<br />

The Journal of Japanese Studies. 30, 1 (2004).<br />

บนขวา-ล่างซ้าย: อ้างอิงจาก Kurata Shunsuke. “Study on<br />

the Architecture and Philosophy of Chuta Ito.” Thesis,<br />

Waseda University, 2004.<br />

ล่างขวา: อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru.<br />

Zumen-de-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban<br />

Architecture in Meiji, a Visual Anthology). Tokyo:<br />

Kashiwashobo, 1990.<br />

หน้า 91, 368 Nagoya : Nittaiji Temple. Accessed July 11, 2019. Available<br />

from http://Stayingglobal.blogspot.com/2014/03/nagoya-nit<br />

434 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


taiji-temple.html<br />

หน้า 92, 368 บน: WIKIPEDIA. Indo-Greek art. Accessed July 11, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Indo-Greek_art<br />

กลาง-ล่าง: Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru. Zumen-de<br />

-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban Architecture in Meiji,<br />

a Visual Anthology). Tokyo: Kashiwashobo, 1990.<br />

หน้า 93<br />

อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru. Zumen-de<br />

-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban Architecture in Meiji,<br />

a Visual Anthology). Tokyo: Kashiwashobo, 1990.<br />

หน้า 94, 370 บน: WIKIPEDIA COMMONS. Meiji Shrine Treasure<br />

Museum. Accessed July 11, 2019. Available from https://<br />

commons.wikimedia.org/wiki/File:Meiji_Shrine_Treasure_<br />

Museum_-_DSC05023.JPG<br />

ล่าง: อ้างอิงจาก Suzuki, Hiroyuki and Hatsuda Tohru. Zumen<br />

-de-miru-Toshikenchiku-no-Meiji (Urban Architecture in<br />

Meiji, a Visual Anthology). Tokyo: Kashiwashobo, 1990.<br />

หน้า 95, 332 WIKIPEDIA. National Diet Building. Accessed July 11, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/National_Diet_<br />

Building<br />

หน้า 96<br />

บน: อ้างอิงจาก Shimizu, Yuichiro. “Shaping the Diet:<br />

Competing Architectural Design for Japan’s Diet Building.”<br />

Social Science Research Network. http://papers.ssru.com/<br />

sol3/papers.2014<br />

ล่าง: WIKIPEDIA. National Diet Building. Accessed July 11,<br />

2019. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/National<br />

_Diet_Building<br />

หน้า 97, 370 WIKIPEDIA. National Diet Building. Accessed July 11, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/National_Diet_<br />

Building<br />

หน้า 98 บน: WIKIPEDIA. National Diet Building. Accessed July 11,<br />

2019. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/National<br />

_Diet_Building<br />

ล่าง: WIKIPEDIA. House of the Temple. Accessed July 11,<br />

2019. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/House_of<br />

_the_Temple<br />

หน้า 101<br />

WIKIPEDIA. Hirohito. Accessed July 12, 2019. Available<br />

from https://en.wikipedia.org/wiki/Hirohito<br />

หน้า 103 ซ้าย WIKIPEDIA. Hirohito. Accessed July 12, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Hirohito<br />

ขวา: WIKIPEDIA. Shanghai International Settlement.<br />

Accessed July 12, 2019. Available from https://en.wikipe<br />

dia.org/wiki/Shanghai_International_Settlement<br />

หน้า 104,107 WIKIPEDIA. Pacific War. Accessed July 12, 2019. Available<br />

from https://en.wikipedia.org/wiki/Pacific_War<br />

หน้า 105 Kinkaseki POW Camp. Accessed October 4, 2019.<br />

Available from https://historigals.wordpress.com/2015/05/<br />

10/kinkaseki-pow-camp/<br />

หน้า 108, 359 สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยามสมัย<br />

รัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้งแอนด์พับ<br />

ลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 109<br />

WIKIPEDIA. Kyoto Institute of Technology. Accessed July<br />

12, 2019. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Kyoto<br />

_Institute_of_Technology<br />

หน้า 111, 343 อ้างอิงจาก Oshima, Ken Tadashi. International Architecture<br />

in interwar Japan. Constructing Kokusai Kenchiku. Seattle:<br />

Washington University Press, 2009.<br />

หน้า 112<br />

บน: อ้างอิงจาก Oshima, Ken Tadashi. International<br />

Architecture in interwar Japan. Constructing Kokusai<br />

Kenchiku. Seattle: Washington University Press, 2009.<br />

ล่าง: WIKIPEDIA. Antonin Raymond. Accessed July 23,<br />

2019. Available from https://es.wikipedia.org/wiki/Antonin_<br />

Raymond<br />

หน้า 113-115 Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 116<br />

อ้างอิงจาก Oshima, Ken Tadashi. International Architecture<br />

in interwar Japan. Constructing Kokusai Kenchiku. Seattle:<br />

Washington University Press, 2009.<br />

หน้า 117, 346 บน: Kim, Hyon-sob. “Tetsuro Yoshida(1894-1956) and<br />

architectural interchange between East and West.” History<br />

Arq. 12, 1(2008).<br />

ล่าง: WIKIPEDIA COMMONS. Tokyo-Chuo Post Office.<br />

Accessed July 23, 2019. Available from https://commons.<br />

wikimedia.org/wiki/Category:Tokyo-Chuo_Post_Office<br />

หน้า 118<br />

หน้า 119<br />

บน: WIKIPEDIA COMMONS. Yoshida-Post-Osaka.<br />

Accessed July 23, 2019. Available from https://commons.<br />

wikimedia.org/wiki/File:Yoshida-Post-Osaka.jpg<br />

ล่าง: อ้างอิงจาก Kim, Hyon-sob. “Tetsuro Yoshida(1894-<br />

1956) and architectural interchange between East and West.”<br />

History Arq. 12, 1(2008).<br />

https://www.archimaera.de/2007/1/1198/Traeume-08.html/<br />

fullscreen 2019.10.07<br />

ที่มาภาพประกอบ<br />

435


หน้า 120, 343 บน: WIKIPEDIA COMMONS. HORIGUCHI-Okada-house.<br />

Accessed July 23, 2019. Available from https://commons.<br />

wikimedia.org/wiki/File:HORIGUCHI-Okada-house.jpg<br />

ล่าง: อ้างอิงจาก Stewart, David B. The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present. Tokyo:<br />

Kodansha International, 1987.<br />

หน้า 122, 348 Oshima, Ken Tadashi. International Architecture in interwar<br />

Japan. Constructing Kokusai Kenchiku. Seattle: Washington<br />

University Press, 2009.<br />

หน้า 123<br />

บน: WIKIPEDIA COMMONS. Exterieur Dr.H.Bavinckschool<br />

– Hilversum. Accessed January 27, 2019. Available from<br />

https://commons.wikimedia.org/wiki/File:Exterieur_Dr.H.<br />

Bavinckschool_-_Hilversum_-_20113295_-_RCE.jpg<br />

ล่าง: WIKIPEDIA COMMONS. Ishimoto Kikuji with his<br />

family. Accessed July 12, 2019. Available from https://<br />

commons.wikimedia.org/wiki/File:Ishimoto_Kikuji_with_his<br />

_family.JPG<br />

หน้า 124, 346 บน: Oldimages. Accessed July 12, 2019. Available from<br />

http://flickriver.com/photos/49501684@N02/tags/department/<br />

ล่าง: Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 125 ซ้าย: WIKIPEDIA. De Bijenkorf. Accessed July 12, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/De_Bijenkorf<br />

ขวา: Mamoru Yamada. Accessed July 12, 2019. Available<br />

from https://www.urbipedia.org/hoja/Mamoru_Yamada<br />

หน้า 126, 348, 359<br />

Oshima, Ken Tadashi. International Architecture in interwar<br />

Japan. Constructing Kokusai Kenchiku. Seattle: Washington<br />

University Press, 2009.<br />

หน้า 128, 344 Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 129<br />

บน: WIKIPEDIA COMMONS. YAMAGUCHI-Yamada-house.<br />

Accessed July 12, 2019. Available from https://commons.<br />

wikimedia.org/wiki/File:YAMAGUCHI-Yamada-house.jpg<br />

ล่าง: Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

International, 1987.<br />

หน้า 130-137, 344, 345, 347<br />

อ้างอิงจาก Stewart, David B. The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present. Tokyo:<br />

Kodansha International, 1987.<br />

หน้า 138 Reynolds, Jonathan M. Maekawa Kunio and the Emergence<br />

of Japanese Modernist Architecture. Berkeley: University<br />

of California Press, 2001.<br />

หน้า 139, 349, 424<br />

Stewart, David B. The Making of a Modern Japanese<br />

Architecture 1868 to the Present. Tokyo: Kodansha<br />

หน้า 140<br />

International, 1987.<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร,<br />

2553.<br />

หน้า 143, 378 บน: WIKIPEDIA. Yokohama Three Towers. Accessed<br />

October 7, 2019. Available from https://en.wikipedia.org/<br />

wiki/Yokohama_Three_Towers<br />

ล่าง: WIKIPEDIA. Nagoya City Hall. Accessed July 12, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/Nagoya_City_Hall<br />

หน้า 144, 379 Oldtokyo. Ex-Soldiers Hall. Accessed October 7, 2019.<br />

Available from http://www.oldtokyo.com/ex-soldiers-hallkudan-tokyo-c-1935/<br />

หน้า 145, 379 ซ้าย: Oshima, Ken Tadashi. International Architecture in<br />

interwar Japan. Constructing Kokusai Kenchiku. Seattle:<br />

Washington University Press, 2009.<br />

ขวา: อ้างอิงจาก TOKYO NATIONAL MUSEUM. Accessed<br />

July 12, 2019. Available from http://www.tnm.jp/modules/r_<br />

free_page/index.php?id=115<br />

หน้า 146, 376 WIKIPEDIA. Great Kanto Earthquake memorial hall.<br />

Accessed October 7, 2019. Available from https://ja.<br />

wikipedia.org/wiki/%E6%9D%B1%E4%BA%AC%E9%83%<br />

BD%E6%85%B0%E9%9C%8A%E5%A0%82<br />

หน้า 147-148, 376, 377<br />

Kim, Hyon-sob. “Tetsuro Yoshida (1894-1956) and<br />

architectural interchange between East and West.” History<br />

Arq. 12, 1(2008).<br />

หน้า 149, 378 อ้างอิงจาก Tsukiji Hongwanji. Accessed July 12, 2019.<br />

Available from https://tsukijihongwanji.jp/info/floormap/<br />

หน้า 151, 390 Jacquet, Benoit. Compromising Modernity: Japanese<br />

Monumentality during World War II. Accessed July 12, 2019.<br />

Available from https://www.academia.edu/1708089/<br />

Compromising_Modernity_Japanese_Monumentality_during<br />

_World_War_II<br />

436 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


หน้า 152, 390, 391, 403<br />

บน Kunio Maekawa & Le Corbusier. Accessed July 12, 2019.<br />

Available from http://archipelvzw.be/en/gallery/13/kunio-ma<br />

ekawa-le-corbusier<br />

กลาง-ล่าง: Jacquet, Benoit. Compromising Modernity:<br />

Japanese Monumentality during World War II. Accessed<br />

July 12, 2019. Available from https://www.academia.edu/<br />

1708089/Compromising_Modernity_Japanese_Monumen<br />

tality_during_World_War_II<br />

หน้า 153 บน: Exhibitions, events and things to do in Paris this week.<br />

Accessed July 12, 2019. Available from http://www.urban<br />

mishmash.com/paris/art-culture/exhibitions/junso-sakaku<br />

ra-architecture/<br />

ล่าง: Jacquet, Benoit. Compromising Modernity: Japanese<br />

Monumentality during World War II. Accessed July 12, 2019.<br />

Available from https://www.academia.edu/1708089/<br />

Compromising_Modernity_Japanese_Monumentality_<br />

หน้า 154<br />

during_World_War_II<br />

WIKIPEDIA. Greater East Asia Co-Prosperity Sphere.<br />

Accessed July 15, 2019. Available from https://en.wikipedia.<br />

org/wiki/Greater_East_Asia_Co-Prosperity_Sphere<br />

หน้า 155, 392 บน: Reynolds, Jonathan M. Maekawa Kunio and the<br />

Emergence of Japanese Modernist Architecture. Berkeley:<br />

University of California Press, 2001.<br />

ล่าง: Gallery Ma. Accessed July 15, 2019. Available from<br />

https://jp.toto.com/gallerma/ex150123/profile_e.htm<br />

หน้า 156,160, 392, 394, 395, 405, 407<br />

Reynolds, Jonathan M. Maekawa Kunio and the Emergence<br />

of Japanese Modernist Architecture. Berkeley: University<br />

of California Press, 2001.<br />

หน้า 161, 393 บน: Reynolds, Jonathan M. Maekawa Kunio and the<br />

Emergence of Japanese Modernist Architecture. Berkeley:<br />

University of California Press, 2001.<br />

ล่าง: อ้างอิงจาก Stewart, David B. The Making of a Modern<br />

Japanese Architecture 1868 to the Present. Tokyo:<br />

Kodansha International, 1987.<br />

หน้า 170<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 172 WIKIPEDIA. John Bowring. Accessed July 15, 2019.<br />

Available from https://en.wikipedia.org/wiki/John_Bowring<br />

หน้า 173 Edwards, N. The Singapore House and Residential Life<br />

1819-1939. Singapore: Oxford University Press, 1991.<br />

หน้า 174-181, 307<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 182, 310 บน: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

ล่าง: Wright, A., Breakspear, O.T., Twentieth Century<br />

Impressions of Siam, Bangkok: White Lotus, 1994.<br />

หน้า 183,202, 333, 366<br />

Wright, A., Breakspear, O.T., Twentieth Century Impressions<br />

of Siam, Bangkok: White Lotus, 1994.<br />

หน้า 184-190, 311, 328<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 191, 321 บน: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ.<br />

ล่าง: ส.พลายน้อย, พระราชวัง วังเจ้านาย, กรุงเทพฯ:<br />

หน้า 192<br />

เมืองโบราณ, 2539<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 193, 320, 325<br />

บน: Lazara, L., Piazzadi, P. Italians at the Court of Siam.<br />

Bangkok: ITALASIA TRADING (THAILAND), 1996.<br />

ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่ 4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 194-198, 321<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 199 กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปกร<br />

หน้า 200-201 สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 203<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

ที่มาภาพประกอบ<br />

437


หน้า 204 บน: หอสมุดแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />

ล่าง: สมคิด จิระทัศนกุล. โครงการวิจัย งานออกแบบ<br />

สถาปัตยกรรมไทยฝีพระหัตถ์ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา<br />

นริศรานุวัดติวงศ์ “ภาคต้น”. (ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจาก<br />

มูลนิธิสยามกัมมาจลของธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด โดย<br />

กองทุน “ถวัล-ไทยพาณิชย์”), 2553.<br />

หน้า 205 สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 206, 366 มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์. สมุดภาพ<br />

สถาปัตยกรรมกรุงรัตนโกสินทร์ . กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย<br />

ศิลปากร, 2525.<br />

หน้า 207 อ้างอิงจาก อัครพันธุ์ พันธุ์สัมฤทธิ์. “การศึกษาสถาปัตยกรรม<br />

วัดราชาธิวาสราชวรวิหาร (วัดสมอราย)” วิทยานิพนธ์<br />

ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม<br />

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2545.<br />

หน้า 210-211, 371<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 213, 374 มหาวิทยาลัยศิลปากร. พระตำหนักชาลีมงคลอาสน์และ<br />

หน้า 214<br />

พระราชวังสนามจันทร์ . กรุงเทพฯ: ม.ป.ท., 2539.<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 215, 373 บน: Chulalongkorn University. Accessed October 4, 2019.<br />

Available from http://www.cu100.chula.ac.th/wp-content/<br />

uploads/2017/03/cu100-story-009-01.jpg<br />

ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 216, 373 Lazara, L., Piazzadi, P. Italians at the Court of Siam.<br />

Bangkok: ITALASIA TRADING (THAILAND), 1996.<br />

หน้า 217, 374 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />

หน้า 218 บน: ส.พลายน้อย. 100 รอยอดีต. กรุงเทพฯ: สถาพรบุ๊คส์, 2539.<br />

ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 219 Bygone Collection / Alamy Stock Photo<br />

หน้า 220, 340 สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 221, 339 สภากาชาดไทย, 100 ปี สภากาชาดไทย : 2436-2536. กรุงเทพฯ: \<br />

จิรเมธาโฆษณาและการพิมพ์. 2536.<br />

หน้า 222 การรถไฟแห่งประเทศไทย<br />

หน้า 223, 340 มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์. สมุดภาพ<br />

สถาปัตยกรรมกรุงรัตนโกสินทร์ . กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย<br />

ศิลปากร, 2525.<br />

หน้า 224, 341 บน: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />

ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 225-226, 341<br />

บน: โรงเรียนเซนต์โยเซฟคอนแวนต์<br />

ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 230-233 สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 234<br />

หน้า 235<br />

หน้า 236<br />

หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์. ประวัติและ<br />

ผลงานสำคัญของพระพรหมพิจิตร. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย<br />

ศิลปากร, 2533<br />

บน: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />

ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 237, 351 บน: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />

ล่าง: การรถไฟแห่งประเทศไทย<br />

หน้า 238 ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 239, 351 ขวา: สรรใจ แสงวิเชียร. ศิริราชร้อยปี: ประวัติและวิวัฒนาการ.<br />

กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัย<br />

มหิดล, 2531.<br />

หน้า 240 หน่วยสถาปัตยกรรมและวิศวกรรม โรงพยาบาลศิริราช<br />

หน้า 241, 351 บน: สรรใจ แสงวิเชียร. ศิริราชร้อยปี: ประวัติและวิวัฒนาการ.<br />

กรุงเทพฯ: คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัย<br />

มหิดล, 2531.<br />

ล่าง: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />

หน้า 242-243 สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

438 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 244 บน: วีระพล สิงห์น้อย<br />

ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 245, 350 บน: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />

ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 246-247 สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 249, 380 ล่าง: สิทธิศักดิ์ น้ำคำ<br />

หน้า 251, 383 WIKIPEDIA. ตึกขาว จุฬาฯ. เข้าถึงเมื่อ 30 กรกฎาคม 2562.<br />

เข้าถึงได้จาก https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B9%84%E0<br />

%B8%9F%E0%B8%A5%E0%B9%8C:%E0%B8%95%E0<br />

%B8%B6%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B2%E0%<br />

B8%A7_%E0%B8%88%E0%B8%B8%E0%B8%AC%E0%<br />

B8%B2%E0%B8%AF.jpg<br />

หน้า 252, 383 มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์. ประวัติและ<br />

ผลงานสำคัญของพระพรหมพิจิตร. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัย<br />

ศิลปากร, 2533.<br />

หน้า 254 WIKIPEDIA. พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล<br />

พระอัฐมรามาธิบดินทร. เข้าถึงเมื่อ 4 ตุลาคม 2562. เข้าถึงได้<br />

จาก https://en.wikipedia.org/wiki/File:Ananda_Mahidol_por<br />

trait_photograph.jpg<br />

หน้า 255 สุเจน กรรพฤธิ์. “ป. พิบูลสงคราม”. สารคดี30, 352 (มิถุนายน<br />

2557).<br />

หน้า 260, 353 บน: วิชา เศรษฐบุตร. รำลึกถึงท่านอาจารย์ . กรุงเทพฯ:<br />

คณะวิศวกรรมศาสตร์, จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2530.<br />

(ในอนุสรณ์ในงานพระราชทานเพลิงศพ ศาสตราจารย์<br />

พระเจริญวิศวกรรม (เจริญ เชนะกุล)).<br />

ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 261 สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 262 หอประวัติจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />

หน้า 263, 354 สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม<br />

สมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />

แอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 264, 356 ใจรัก จันทร์สิน. “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของกลุ่มสถาปนิกไทย<br />

รุ่นบุกเบิก พ.ศ.2459-พ.ศ. 2508.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร<br />

มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.<br />

หน้า 265 มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและ<br />

ภาพพิมพ์. สมุดภาพประติมากรรมกรุงรัตนโกสินทร์ . กรุงเทพฯ:<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2525.<br />

หน้า 266, 354, 398, 406<br />

ใจรัก จันทร์สิน. “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของกลุ่มสถาปนิกไทย<br />

รุ่นบุกเบิก พ.ศ. 2459-พ.ศ. 2508.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร<br />

มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.<br />

หน้า 267, 355, 406<br />

บน: วีระพล สิงห์น้อย<br />

ล่างซ้าย: อภินัยน์ ทรรศโนภาส<br />

ล่างขวา: ใจรัก จันทร์สิน. “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของกลุ่ม<br />

สถาปนิกไทยรุ่นบุกเบิก พ.ศ. 2459-พ.ศ. 2508.” วิทยานิพนธ์<br />

ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม<br />

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.<br />

หน้า 268, 356 ใจรัก จันทร์สิน. “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของกลุ่มสถาปนิกไทย<br />

รุ่นบุกเบิก พ.ศ.2459-พ.ศ.2508.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร<br />

มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.<br />

หน้า 269 ซ้าย: มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและ<br />

ภาพพิมพ์. สมุดภาพประติมากรรมกรุงรัตนโกสินทร์ . กรุงเทพฯ:<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2525.<br />

ขวา: Kirk, Terry. The Architecture of Modern Italy. Volumn I:<br />

The Challenge of Tradition, 1750-1900. New York: Princeton<br />

Architectural Press, 2005.<br />

หน้า 271 ใจรัก จันทร์สิน. “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของกลุ่มสถาปนิกไทย<br />

รุ่นบุกเบิก พ.ศ. 2459-พ.ศ. 2508.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร<br />

มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.<br />

หน้า 272, 357 รูปเก่าเล่าเรื่องเมืองบางกอก. เข้าถึงเมื่อ 4 ตุลาคม 2562<br />

เข้าถึงได้จาก http://www.reurnthai.com/index.php?topic=<br />

5929.30<br />

หน้า 273 ใจรัก จันทร์สิน. “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของกลุ่มสถาปนิกไทย<br />

รุ่นบุกเบิก พ.ศ. 2459-พ.ศ. 2508.” วิทยานิพนธ์ศิลปศาสตร<br />

มหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม บัณฑิตวิทยาลัย<br />

ที่มาภาพประกอบ<br />

439


มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.<br />

หน้า 274 ซ้าย: กรมศิลปากร. กรุงเทพฯ 2484-2539. กรุงเทพฯ:<br />

กรมศิลปากร, 2539.<br />

ขวา: ใจรัก จันทร์สิน. “สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ของกลุ่ม<br />

สถาปนิกไทยรุ่นบุกเบิก พ.ศ.2459- พ.ศ.2508.” วิทยานิพนธ์<br />

ศิลปศาสตรมหาบัณฑิต สาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม<br />

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2549.<br />

หน้า 275, 358 บน: กรมศิลปากร. กรุงเทพฯ 2484-2539. กรุงเทพฯ:<br />

กรมศิลปากร, 2539.<br />

ล่าง: สมชาติ จึงสิริอารักษ์. สถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />

ในสยามสมัยรัชกาลที่4-พ.ศ. 2480. กรุงเทพฯ: อมรินทร์<br />

พริ้นติ้งแอนด์พับลิชชิ่ง, 2553.<br />

หน้า 276 ซ้าย: พินัย สิริเกียรติกุล. “ณ ที่นี้ไม่มี ‘ความเสื่อม’ :<br />

ถนนราชดำเนิน พ.ศ. 2484-2488.” หน้าจั่ว ว่าด้วย<br />

ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย6 (กันยายน<br />

2552- สิงหาคม 2553).<br />

ขวาบน: WIKIPEDIA. National Diet Building. Accessed July<br />

11, 2019. Available from https://en.wikipedia.org/wiki/<br />

National_Diet_Building<br />

หน้า 277 “มันสมอง” พล.ต. หลวงวิจิตรวาทการ. เข้าถึงเมื่อ 4 ตุลาคม<br />

2562. เข้าถึงได้จาก http://palungjit.org/threads/<br />

หน้า 279-282, 384<br />

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร. สูจิบัตร<br />

นิทรรศการสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ . กรุงเทพฯ:<br />

หน้า 284<br />

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2548.<br />

ขวา: สถาบันราชภัฏพระนคร. อนุสาวรีย์พิทักษ์รัฐธรรมนูญ<br />

วัดพระศรีมหาธาตุวรวิหาร สถาบันราชภัฏพระนคร. กรุงเทพฯ:<br />

สถาบันราชภัฏพระนคร, 2539.<br />

หน้า 286-287 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />

หน้า 291, 401, 404<br />

ซ้าย: คณะกรรมการพิจารณาสร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ<br />

ขวา: องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกในพระบรมราชูปถัมภ์.<br />

73 ปีอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ . กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์องค์การสงเคราะห์<br />

ทหารผ่านศึก, 2558.<br />

หน้า 292, 402 ซ้าย: มหาวิทยาลัยศิลปากร. นิทรรศการเชิดชูเกียรติ<br />

ศาสตราจารย์ศิลป์พีระศรี. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร,<br />

2535.<br />

ขวา: มหาวิทยาลัยศิลปากร คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและ<br />

ภาพพิมพ์. สมุดภาพประติมากรรมกรุงรัตนโกสินทร์ . กรุงเทพฯ:<br />

มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2525.<br />

หน้า 293, 402 WIKIPEDIA COMMONS. LNWR War Memorial, Euston<br />

station. Accessed October 4, 2019. Available from https://<br />

commons.wikimedia.org/wiki/Category:LNWR_War_<br />

Memorial,_Euston_station<br />

หน้า 294 WIKIPEDIA COMMONS. Port Sunlight war memorial.<br />

Accessed April 10, 2020. Available from https://commons.<br />

wikimedia.org/wiki/File:Port_Sunlight_war_memorial_2.jpg<br />

หน้า 295 WIKIPEDIA COMMONS. Bootle War Memorial. Accessed<br />

April 10, 2020. Available from https://commons.wikimedia.<br />

org/wiki/File:Bootle_War_Memorial.jpg<br />

หน้า 323 Dohring, Karl. “Das Phrachedi in Siam.” Dissertation,<br />

Konigl. Sachs. Technischen Hochshule zu Dresden. Berlin:<br />

Behrend & Co., 1912.<br />

หน้า 372, 382 อันเยลา ศรีสมวงศ์วัฒนา<br />

แบบสถาปัตยกรรม โดย<br />

• นายธนภัทร ธนะโสธร<br />

• นายกันต์ตนัย ตันติสวัสดิ์<br />

• นายกันตภณ มิคาทนานนท์<br />

• นางสาวกฤติกา รอดเจริญ<br />

• นายณัฐกร สมบัติธรรม<br />

• นายพรพิพัฒน์ ศึกหาญ<br />

• นางสาวภาชินี วงศ์ชัย<br />

• นางสาวมัณฑนา ชื่นชมภู<br />

• นายรัชพล เข็มทอง<br />

• นายวงศธร อาวรณ์<br />

• นางสาวสุทัตตา ทัศมาลา<br />

• นายอชิร ก่อแก้ว<br />

• นายเอกธาดา ชาวป่า<br />

440 <strong>สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ</strong>: เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยามช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึงกลางศตวรรษที่ 20


ประวัติผู้เขียน<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์<br />

สมชาติ จึงสิริอารักษ์ เกิด พ.ศ. 2500 ที่กรุงเทพมหานคร สาเร็จการศึกษาระดับมัธยมที่โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย<br />

และปริญญาตรีสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เมื่อ พ.ศ. 2523 สอบชิงทุนรัฐบาลไทยไปศึกษาที่ประเทศสหราช<br />

อาณาจักร สาเร็จปริญญาโทการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมจากมหาวิทยาลัย YORK เมื่อ พ.ศ. 2526 และได้รับประกาศนียบัตร<br />

การอนุรักษ์โบราณสถานไม้จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีแห่งนอร์เวย์ (TRONDHEIM) เมื่อ พ.ศ. 2531<br />

รับราชการเป็นสถาปนิกกรมศิลปากร พ.ศ. 2525-2535 โอนมาเป็นอาจารย์ที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย<br />

ศิลปากรตั้งแต่ พ.ศ. 2535 จนถึงปัจจุบัน เคยเป็นนักวิจัยรับเชิญ (Visiting Researcher) ที่สถาบันเทคโนโลยีแห่งอาเคน<br />

(RWTH-AACHEN) พ.ศ. 2536 และที่มหาวิทยาลัยโตเกียว พ.ศ. 2538 และเคยเป็นหัวหน้าภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรมตั้งแต่<br />

พ.ศ. 2544-2547<br />

มีผลงานการบูรณะโบราณสถานที่ได้รับรางวัลอาคารอนุรักษ์ดีเด่นของสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์<br />

ดังนี้ พระนครคีรี (พ.ศ.2526-2532) พระราชวังรามราชนิเวศน์ (วังบ้านปืน) (พ.ศ. 2529-2530) วังท่าพระ มหาวิทยาลัย<br />

ศิลปากร (พ.ศ.2529-ปัจจุบัน) หอพิสัยศัลลักษณ์ พระราชวังจันทรเกษม (พ.ศ. 2534) ตึกเจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ (พ.ศ. 2535)<br />

นอกจากนี้ยังมีงานบูรณะและออกแบบสถาปัตยกรรมสาคัญ เช่น บูรณะตาหนักสมเด็จกรมพระปรมานุชิตชิโนรส (ตาหนักวาสุกรี)<br />

(พ.ศ. 2536-2537) ออกแบบหอสมุดสมเด็จ ว.ผ.ต. (สมเด็จพระพนรัตน์ (เผื่อน)) วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม (พ.ศ. 2545)<br />

หอดารงราชานุภาพ วังวรดิศ (พ.ศ. 2532) โรงกระทิง-ศาลาไทย ณ สวนสัตว์นครเบอร์ลิน สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี(พ.ศ. 2540)<br />

มีบทความวิชาการ งานวิจัยและหนังสือในสาขาประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมเช่น ปูนหมัก-<br />

ปูนตา (พ.ศ. 2530) การบูรณะสถาปัตยกรรมประดับกระเบื้องเคลือบวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ระหว่าง พ.ศ. 2522-2535<br />

(พ.ศ. 2535) แนวความคิดในการอนุรักษ์โบราณสถานในศตวรรษที่19 ของอังกฤษ (พ.ศ. 2537) ความเป็นมาของวิธีบูรณะโบราณ<br />

สถานแบบอนาสติโลซีสในปะเทศกรีซ (พ.ศ. 2539) วัดกุฎีดาวหลังการบูรณะใน พ.ศ. 2544 : ปัญหาจินตภาพและความถูกต้อง<br />

ทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม (พ.ศ. 2544) สองศตวรรษการอนุรักษ์โบราณสถาน : จากอารมณ์และศรัทธาสู่ความเป็นมรดกร<br />

่วมของมนุษยชาติ(พ.ศ.2548) สถาปัตยกรรมของคาร์ล ดือห์ริ่ง (The Works of Karl Siegfried Döhring, Architect) (หนังสือ)<br />

(พ.ศ. 2540) ความล้มเหลวของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ (หนังสือ) (พ.ศ.2544) Modern (Western Style) Buildings in the Meiji<br />

Period (1868-1912) with Comparison to Contemporary Western Style Buildings in Siam (พ.ศ. 2542) สถานีรถไฟกรุงเทพ<br />

หัวลาโพงที่ไม่ได้สร้าง : หน่ออ่อนของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในสยาม (พ.ศ. 2542) สถานีรถไฟอุตรดิตถ์ : สถาปัตยกรรมสมัยใหม่<br />

ยุคแรกของสยาม (พ.ศ. 2543) จิตวิญญาณแบบไทยสมัยใหม่ : ผลงานสถาปัตยกรรมแบบ Modernism ของพระพรหมพิจิตร<br />

(พ.ศ. 2544) สถาปนิกรุ่นแรกๆ ของคณะสถาปัตยกรรมไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร : ความสาเร็จของวันวาน ฤาคาตอบของวันพรุ่ง<br />

(พ.ศ.2548) สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม สมัยรัชกาลที่4- พ.ศ. 2480 (พ.ศ. 2553) (หนังสือ) ประวัติ แนวคิด ทฤษฎี<br />

และการปฏิบัติการในการอนุรักษ์โบราณสถาน (พ.ศ. 2558) (หนังสือ) การเปรียบเทียบสถาปัตยกรรมยุคสมัยใหม่ระหว่างญี่ปุ่น<br />

กับสยาม ตั้งแต่กลางศตวรรษที่19ถึงสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่2 (ค.ศ. 1850- 1945/พ.ศ. 2390- 2488) (พ.ศ. 2560) (หนังสือ)<br />

Conservation of Bangkok City Pillar and Tabkwan, Thailand (พ.ศ. 2563)ฯลฯ<br />

ได้รับรางวัลผลงานวิจัยดีจากสภาวิจัยแห่งชาติ พ.ศ. 2555 รางวัลอนุรักษ์สถาปัตยกรรมดีเด่นประเภทบุคคลจากสมาคม<br />

สถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ พ.ศ. 2561<br />

ปัจจุบันเป็นศาสตราจารย์ประจาภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />

ประวัติผู้เขียน<br />

441

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!