cache
cache
cache
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
วิทยานิพนธ<br />
เรื่อง<br />
การศึกษาชีววิทยาของเพลี้ยแปง และมาตรการการกํ าจัดที่เหมาะสม<br />
หลังการเก็บเกี่ยวในมังคุดสงออก<br />
Study on the Biology of Mealybug and Appropriate Postharvest Control<br />
in Export Mangosteen Productions<br />
โดย<br />
นายเสกสรรค หอมจันทร<br />
เสนอ<br />
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร<br />
เพื่อความสมบูรณแหงปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (เกษตรศาสตร)<br />
พ.ศ. 2548<br />
ISBN 974-9829-70-0
คํ านิยม<br />
ขอกราบขอบพระคุณ รศ.ดร.เพ็ญสุข เตาทอง ประธานกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ<br />
ดร. เกรียงไกร จํ าเริญมา กรรมการที่ปรึกษาวิชาเอก<br />
และ รศ.ฉลองชัย แบบประเสริฐ<br />
กรรมการที่ปรึกษาวิชารอง ที่กรุณาใหคํ าปรึกษาและแนะนํ าในการเรียน การคนควาวิจัย ตลอดจนการ<br />
ตรวจแกไขวิทยานิพนธจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ และขอกราบขอบพระคุณ รศ.ดร.สุรพล วิเศษสรรค<br />
ผู แทนบัณฑิตวิทยาลัย ที่ใหความกรุณาตรวจแกไขวิทยานิพนธใหสมบูรณยิ่งขึ้น<br />
ขอขอบคุณ คุณชลิดา อุณหวุฒิ ที่ใหความชวยเหลือในการจํ าแนกชนิดเพลี้ยแปง รวมทั้ง<br />
เจาหนาที่และคนงาน สํ านักนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช และศูนยวิจัยพืชสวนจันทบุรี กรมวิชาการ<br />
เกษตร ที่ไดอนุเคราะหสถานที่ทํ<br />
าการทดลองใหความชวยเหลือ ตลอดจนเอื้อเฟออุปกรณตางๆ<br />
สํ าหรับทํ างานวิจัยทั้งในหองปฏิบัติการและในสวนผลไมจนประสบผลสํ าเร็จ<br />
ขอขอบคุณ คุณศรุต สุทธิอารมณ คุณบุษบง มนัสมั่นคง คุณยุทธนา แสงโชติ ที่ให<br />
คํ าปรึกษาชวยเหลือในการทํ าวิทยานิพนธเปนอยางดี คุณบุญเทิง มิ่งขวัญ คุณสุรางค นงนุช<br />
คุณสานิตย ทองมาก คุณนเรนทร กลาณรงค และพี่<br />
ๆ นอง ๆ ทุกคนที่ไมไดกลาวถึงที่ไดชวย<br />
ใหคํ าแนะนํ าที่เปนประโยชนกับขาพเจา อีกทั้งยังเปนกํ าลังใจแกขาพเจาเสมอมา<br />
สุดทาย ขอกราบขอบพระคุณ คุณพอ ดต.สวน และคุณแมสดใส ผู ใหความรักและกํ าลังใจ<br />
อันยิ่งใหญ ตลอดจนเปนที่ปรึกษาในทุก ๆ ดานแกขาพเจา<br />
เสกสรรค หอมจันทร<br />
กุมภาพันธ 2548
สารบัญ<br />
สารบัญ (1)<br />
สารบัญตาราง (2)<br />
สารบัญภาพ (4)<br />
คํ านํ า 1<br />
(1)<br />
หนา<br />
วัตถุประสงค 3<br />
การตรวจเอกสาร 6<br />
อุปกรณและวิธีการ 22<br />
อุปกรณ 22<br />
วิธีการ 22<br />
ผลการทดลอง 30<br />
วิจารณ 53<br />
สรุป 56<br />
เอกสารและสิ่งอางอิง 57
สารบัญตาราง<br />
ตารางที่ หนา<br />
(2)<br />
1 ชวงฤดูกาลระบาดของเพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus บนผลมังคุด<br />
ศึกษาตั้งแตเดือนตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547<br />
ที่สวนเกษตรกร จังหวัดจันทบุรี 32<br />
2 ระยะการพัฒนา และขนาดของเพลี้ยแปงที่เลี้ยงบนผลฟกทอง<br />
ศึกษาตั้งแตเดือนตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547<br />
ในหองปฏิบัติการสํ านักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช<br />
(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 33<br />
3 ระยะการพัฒนาของเพลี้ยแปงเพศเมียที่เลี้ยงบนผลฟกทอง<br />
ศึกษาตั้งแตเดือน ตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547<br />
ในหองปฏิบัติการ สํ านักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช<br />
(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 35<br />
4 ระยะการพัฒนาของเพลี้ยแปงเพศผูที่เลี้ยงบนผลฟกทอง<br />
ศึกษาตั้งแตเดือน ตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547<br />
ในหองปฏิบัติการ สํ านักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช<br />
(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 42<br />
5 แสดงคาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตที่ระบาดตามธรรมชาติบนผล<br />
มังคุดกอนและหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตางๆ ในหองปฏิบัติการ<br />
(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 46<br />
6 แสดงประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงที่มีการระบาดตามธรรมชาติ<br />
บนผลมังคุดหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตาง ๆ ในหองปฏิบัติการ<br />
(อุณหภูมิ 28- 32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 48
สารบัญตาราง (ตอ)<br />
ตารางที่ หนา<br />
(3)<br />
7 แสดงคาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตที่ทํ าการระบาดเทียมบนผล<br />
มังคุดกอนและหลังกํ าจัดดวยวิธีการตางๆ ในหองปฏิบัติการ<br />
(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 51<br />
8 แสดงประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงที่ทํ<br />
าการระบาดเทียม<br />
บนผลมังคุดหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตางๆ ในหองปฏิบัติการ<br />
(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 52
สารบัญภาพ<br />
(4)<br />
ภาพที่<br />
หนา<br />
1 แสดงลักษณะผลมังคุดคุณภาพดี 2<br />
2 แสดงการปนเปอนของเพลี้ยแปงบนผลมังคุด 4<br />
3 แสดงลักษณะของมังคุดสงออกที่มีการแกปญหาการปนเปอน<br />
ของเพลี้ยแปง 5<br />
4 ลักษณะทางอนุกรมวิธานของเพลี้ยแปง<br />
Pseudococcus cryptus Hempel ตัวเต็มวัยเพศเมีย 12<br />
5 แสดงลักษณะการเปาลม 25<br />
6 แสดงลักษณะการพนนํ้ า 26<br />
7 แสดงลักษณะการจุมสาร 27<br />
8 แสดงผลมังคุดที่ใชทดสอบการจุมสาร 28<br />
9 แสดงการสํ ารวจและเก็บรวบรวมเพลี้ยแปงจากมังคุดในสวน 31<br />
10 แสดงการเลี้ยงเพลี้ยแปงบนผลฟกทองและลักษณะของไข 34<br />
11 แสดงลักษณะของตัวออนวัยแรก (crawler) 36<br />
12 แสดงลักษณะของตัวออนวัยที่ 2 ซึ่งเริ่มสรางเสนแปงสั้น ๆ<br />
รอบลํ าตัว 38
สารบัญภาพ (ตอ)<br />
(5)<br />
ภาพที่<br />
หนา<br />
13 แสดงลักษณะของตัวออนเพศเมีย วัยที่ 3 39<br />
14 แสดงลักษณะตัวเต็มวัยเพศเมีย 40<br />
15 แสดงลักษณะของตัวออนเพศผูในระยะกอนเขาดักแด<br />
และระยะดักแด 43<br />
16 แสดงลักษณะตัวเต็มวัยเพศผู<br />
44
การศึกษาชีววิทยาของเพลี้ยแปง และมาตรการการกํ าจัดที่เหมาะสม<br />
หลังการเก็บเกี่ยวในมังคุดสงออก<br />
Study on the Biology of Mealybug and Appropriate Postharvest Control<br />
in Export Mangosteen Productions<br />
คํ านํ า<br />
มังคุด (mangosteen) มีชื่อวิทยาศาสตร Garcinia mangostana L. อยูในวงศ Guttiferae<br />
มีถิ่นกํ าเนิดอยูในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยเฉพาะแถบแหลมมลายู และมีการเจริญเติบโต<br />
ไดดีในแถบประเทศมาเลเซีย พมา ไทย กัมพูชา เวียดนาม ฟลิปปนส และหมูเกาะซุนดา<br />
(Almeyda and Martin, 1976) เนื่องจากมังคุดมีเนื้อสีขาว มีรสหวานอมเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม<br />
จึงเปนที่นิยมในการบริโภคของบุคคลโดยทั่วไปทั้งภายในและตางประเทศ (เกรียงไกร, 2542)<br />
ประเทศไทยจัดไดวาเปนประเทศผูนํ าดานการผลิตและสงออกมังคุดของโลก โดยในแต<br />
ละปสามารถสงออกมังคุดไปยังตลาดตางประเทศ ทั้งในรูปมังคุดผลสดและแชแข็งคิดเปนมูลคา<br />
หลายรอยลานบาท แมวาตลาดภายในและตลาดตางประเทศมีความตองการมังคุดคุณภาพดี<br />
(ผลมีนํ้<br />
าหนักมากกวา 80 กรัม ผิวมัน ปราศจากตํ าหนิและการเขาทํ าลายของโรคและแมลง เนื้อ<br />
ภายในคุณภาพดี ไมมีอาการเนื้อแกวและยางไหลในผล) ในปริมาณมาก (ภาพที่ 1) แตเกษตรกร<br />
ยังไมสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิต และคุณภาพใหเพียงพอกับความตองการของตลาดได<br />
(กรมวิชาการเกษตร, 2545)<br />
ปจจุบันการผลิตสินคาเกษตรเพื่อการสงออก<br />
หรือการผลิตเพื่อบริโภคในประเทศให<br />
ประสบความสํ าเร็จลวนมีความยุงยากซับซอนมากขึ้น เนื่องจากระบบการคาของโลกไดเปลี่ยนแปลง<br />
ไปสูระบบการคาเสรีที่มีการแขงขันสูง เงื่อนไขตาง ๆ ไดถูกกํ าหนดขึ้นมาแทนมาตรการทางภาษี เพื่อ<br />
สกัดกั้นการนํ าเขาสินคาของแตละประเทศ โดยเฉพาะมาตรการดานสุขอนามัย และสุขอนามัยพืช<br />
หรือที่เรียกวา "มาตรการ SPS" (Agreement of Application of Sanitary and Phytosanitary<br />
Measures) หลายประเทศที่นํ าเขาสินคาเกษตรไดเพิ่มความเขมงวดกับการตรวจสอบศัตรูพืชและ<br />
สารพิษตกคางในผัก ผลไม และนํ ามาเปนเครื่องตอรองทางการคาได<br />
ดวยมาตรการดังกลาว<br />
ประเทศผูนํ าเขาสินคาหรือผลผลิตทางการเกษตร จะตองขอรายชื่อศัตรูพืชของสินคาจากประเทศ<br />
ที่ตองการสงออก<br />
เพื่อนํ าไปวิเคราะหความเสี่ยงศัตรูพืชกอนพิจารณาตัดสินใจนํ าเขาสินคานั้น<br />
1
ภาพที่ 1 แสดงลักษณะผลมังคุดคุณภาพดี<br />
1.1ปราศจากรอยทํ าลายของศัตรูพืช<br />
1.2ผลโต ผิวมัน เนื้อขาวฟู<br />
1.1<br />
1.2<br />
2
หากประเทศผูสงออกไมดํ าเนินการสงรายชื่อศัตรูพืชหรือไมมีขอมูลประกอบในการวิเคราะหความ<br />
เสี่ยงศัตรูพืชไดเพียงพอ<br />
การเจรจาการคาจะใชเวลานานในการขอขอมูล สืบคนขอมูล ทํ าให<br />
ประเทศผูสงออกเสียโอกาส<br />
ไมสามารถสงออกสินคาทางการเกษตรตามความประสงคได<br />
(กองกีฏและสัตววิทยา, 2544)<br />
เพลี้ยแปงเปนศัตรูพืชที่เปนปญหาสํ าคัญอยางหนึ่งในการผลิตและสงออกมังคุด เนื่องจาก<br />
มีการศึกษาทางดานเพลี้ยแปงนอย และการปองกันกํ าจัดคอนขางลํ าบาก เพราะเพลี้ยแปงนั้นจะ<br />
เขาไปดูดกินนํ้ าเลี้ยงบริเวณใตกลีบเลี้ยงของมังคุด (ภาพที่ 2) หากไมสังเกตใหดีจะไมพบตัว<br />
เพลี้ยแปง<br />
ผูสงออกหลายรายจะแกปญหาโดยการตัดกลีบเลี้ยงหรือตัดทั้งขั้วและกลีบเลี้ยงออก<br />
(ภาพที่ 3) แตวิธีการเหลานั้นยังไมใชวิธีที่ดี ยังเกิดปญหาการติดไปของเพลี้ยแปงในมังคุดสงออก<br />
ดวยเหตุนี้จึงควรมีวิธีการจัดการกับเพลี้ยแปงในมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อเปนการลดปญหาใน<br />
การผลิตและสงออกมังคุดไปยังตางประเทศ<br />
วัตถุประสงค<br />
1.เพื่อศึกษาชวงฤดูการระบาดของเพลี้ยแปงบนผลมังคุดในสภาพสวน<br />
2.เพื่อศึกษาถึงลักษณะ และชีวประวัติของเพลี้ยแปง ชนิดที่มีการระบาดรุนแรงในมังคุด<br />
3.เพื่อเปรียบเทียบวิธีการที่เหมาะสมในการจัดการเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังเก็บเกี่ยว<br />
ลดปญหาการปนเปอนของเพลี้ยแปง เปนการเพิ่มคุณภาพมังคุดเพื่อการสงออก<br />
3
ภาพที่ 2 แสดงการปนเปอนของเพลี้ยแปงบนผลมังคุด<br />
2.1 การปนเปอนอยูที่ใตผล<br />
2.2 การปนเปอนอยูใตกลีบเลี้ยง<br />
2.1<br />
2.2<br />
4
ภาพที่<br />
3 แสดงลักษณะของมังคุดสงออกที่มีการแกปญหา<br />
การปนเปอนของเพลี้ยแปง<br />
3.1 ตัดกลีบเลี้ยงทิ้ง<br />
3.2 ตัดทั้งขั้วและกลีบเลี้ยงทิ้ง<br />
3.1<br />
3.2<br />
5
มังคุด<br />
การตรวจเอกสาร<br />
มังคุด มีชื่อวิทยาศาสตรวา Garcinia mangostana L. อยูในวงศ Guttiferae พรรณไมที่อยู<br />
ในวงศเดียวกันไดแก รงทอง Garcinia acuminata Planch., มะขามแขก Garcinia atrovisidis<br />
Graff., มังคุดปา Garcinia costata Hemsl., ชะมวง Garcinia cowa Roxb., มะพูด Garcinia<br />
dulcis Kurz., มะดันปา Garcinia fusca Pierre., หมักแปม Garcinia gracilis Pierre., รง<br />
Garcinia hanburyi Hook., นาล Garcinia merguensis Wight., มะพูดปา Garcinia nervosa<br />
Miq., พะวา Garcinia speciosa Wall., มะปองตัน Garcinia succifolia Kurz. และมะดะหลวง<br />
Garcinia xanthochymus Hook. (เต็ม, 2523)<br />
ถิ่นกํ าเนิดและการแพรกระจาย<br />
มังคุดเปนไมผลเมืองรอนที่ไดรับความสนใจจากเกษตรกรทั่วโลก (Downton et al., 1990)<br />
มีถิ่นกํ าเนิดอยูในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยเฉพาะแหลมมลายู คาดวาเปนที่รูจักกันมามาก<br />
กวา 1,000 ป มีการเจริญเติบโตไดดีในสภาพดินเหนียวปนทราย (สุรพล, 2541) แถบประเทศ<br />
มาเลเซีย พมา ไทย กัมพูชา เวียดนาม ฟลิปปนส และหมูเกาะซุนดา<br />
แลวแพรกระจายไปตามเขต<br />
รอนชื้นอื่น ๆ (Almeyda and Martin, 1976; Dowling, 1987) มังคุดพันธุที่สงเสริมใหปลูกเปน<br />
พันธุพื้นเมืองเชื่อกันวา มังคุดที่ปลูกเปนการคาเปนพันธุเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากเกสรตัวผูของดอก<br />
มังคุดเปนหมัน เมล็ดเจริญมาจากเนื้อเยื่อของตนแมโดยไมไดรับการผสมเกสร แหลงปลูกมังคุด<br />
ในประเทศไทยมีมากที่สุดทางภาคใต นับตั้งแตจังหวัดชุมพรลงไปตลอดภาคใต สวนมากภาคกลาง<br />
ปลูกกันมากในเขตกรุงเทพมหานคร และจังหวัดนนทบุรี ระยะหลังมีผูนํ าไปปลูกในภาคตะวันออก<br />
ไดแก จังหวัดจันทบุรี นครนายก ระยอง ตราด และปราจีนบุรี ทางภาคเหนือมีปลูกกันบางใน<br />
จังหวัดอุตรดิตถ ลํ าพูน และเชียงใหม (กรมสงเสริมการเกษตร, 2543)<br />
ลักษณะทางพฤกษศาสตร<br />
มังคุดเปนไมผลที่มีขนาดใหญลํ าตนตรงและแข็งแรง ทรงพุมเปนแบบปรามิด ความกวาง<br />
ของทรงพุมของลํ าตนที่โตเต็มที่9-12<br />
เมตร สูงประมาณ 10-20 เมตร เปลือกของลํ าตนมีสีนํ้ าตาล<br />
เขม ใบเปนแบบใบเดี่ยว ลักษณะใบหนาเรียบ กวาง ยาวรี รูปไข มีขนาดกวาง 7-13 เซนติเมตร<br />
และยาว 15-20 เซนติเมตร ใบบนมีสีมะกอก ใบลางเปนสีเขียวเหลือง ขอบใบทั้งสองขางยกขึ้น<br />
แผนใบโคงเล็กนอย ดอกมังคุดมีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ แบงออกเปน 2 ชุด 2 กลีบแรกอยูดานใน อีก<br />
6
2 กลีบหลังอยูดานนอก แตละกลีบยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ดอกมีสีเขียวเหลือง มีขอบสีชมพู<br />
ตรงกลางดอกเปนรังไขมียอดเกสรตัวเมียแยกเปน 4-8 แฉก หลังจากดอกบานแลวจะมีการเจริญ<br />
เติบโตของผลออนโดยที่ไมตองผานการผสมเกสร (Alymeyda and Martin, 1976) ผลของมังคุด<br />
มีลักษณะที่คอนขางกลม<br />
เมื่อสุกสีของเปลือกจะเปลี่ยนจากสีเขียวเปนสีแดง<br />
ชมพู หรือมวง<br />
(เกียรติเกษม และคณะ, 2530) ลักษณะของผลเปนแบบ berry มีเสนผาศูนยกลางประมาณ 3.5-7.0<br />
เซนติเมตร (Oshse, 1961; กวิศร และสุรพงษ, 2522) เปลือกหนา 0.8-1.0 เซนติเมตร<br />
(Chandler, 1950; กวิศร และสุรพงษ, 2522) เปลือกมีรสฝาดมียางสีเหลือง (Oshse, 1961;<br />
กวิศร และสุรพงษ, 2522) มีตอมนํ้ ายางอยู มาก (เกียรติเกษม และคณะ, 2530) ภายในเปลือกมี<br />
สารแทนนินและแอนโธนอยูมาก (Martin, 1980) และยังพบแอนโธไซยานินอีกดวย (วรรณา<br />
และคณะ, 2532) เมื่อปอกเปลือกออกจะเห็นเนื้อที่รับประทานไดจํ านวน 4-8 กลีบตามจํ านวน<br />
ของเมล็ดออน (ovule) แตละชองมีเมล็ดอยูภายในหุมดวยเนื้อขาวใสออนนุมคลายวุนมีเสน vein<br />
สีชมพูติดกับเนื้อ การหายใจของผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว เปนแบบที่มีการหายใจสูงขึ้นระหวาง<br />
การสุก และคอย ๆ ลดลง พรอม ๆ กับสีผิวที่เปลี่ยนแปลงจากสีเขียวเปนสีมวง<br />
(climacteric<br />
respiration pattern) (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย, 2531)<br />
ดัชนีการเก็บเกี่ยวมังคุดไดแบงระดับสีของผลมังคุดเมื่อเขาระยะสุกแกไว 7 ระดับ ดังนี้<br />
ระดับสีที่<br />
0 ผลมีสีขาวอมเหลืองสมํ่ าเสมอหรือมีสีขาวอมเหลืองแตมดวยสีเขียวออน<br />
หรือจุดสีเทามียางสีเหลืองภายในเปลือกระดับรุนแรงมาก เนื้อและเปลือกไมสามารถแยกออก<br />
จากกันได ผลที่เก็บเกี่ยวในระยะนี้<br />
ถึงแมวาจะเปลี่ยนสีไปเปนระดับสีที่<br />
6 ก็ตาม แตผลที่ไดจะ<br />
มีรสชาติไมดี<br />
ระดับสีที่ 1 ผลมีสีเหลืองออนอมเขียว มีจุดสีชมพูกระจายอยูในบางสวนของผลภายใน<br />
เปลือกยังคงมีอยูในระดับรุนแรง เนื้อและเปลือกยังไมสามารถแยกออกจากกันได ผลที่จะเก็บเกี่ยว<br />
ในระยะนี้<br />
ถึงแมวาจะเปลี่ยนสีไปเปนระดับสีที่ 6 ก็ตาม แตผลที่ไดจะมีรสชาติไมดี<br />
ระดับสีที่ 2 ผลมีสีเหลืองออนอมชมพู มีประสีชมพูกระจายไปทั่วผล ยางภายในเปลือก<br />
อยูในระดับปานกลาง การแยกตัวระหวางเนื้อและเปลือกทํ<br />
าไดยากถึงปานกลาง เปนระยะออน<br />
ที่สุดสํ าหรับการเก็บเกี่ยวเพื่อใหผลที่มีคุณภาพดี<br />
ระดับสีที่ 3 ผลมีสีชมพูสมํ่<br />
าเสมอ ประสีชมพูเริ่มขยายมารวมกัน<br />
ไมแยกจากกันอยาง<br />
ชัดเจนเชนระดับสีที่<br />
2 ยางภายในเปลือกยังคงอยูนอยถึงนอยมาก การแยกตัวระหวางเนื้อและ<br />
เปลือกปานกลาง<br />
7
ระดับสีที่ 4 ผลมีสีแดงหรือนํ้<br />
าตาลอมแดง บางครั้งมีแตมสีมวง<br />
ยางภายในเปลือกมี<br />
นอยมากจนถึงไมมีเลย การแยกตัวระหวางเนื้อและเปลือกดีมาก<br />
เปนระยะที่เกือบจะสามารถ<br />
รับประทานได<br />
ระดับสีที่ 5 ผลมีสีมวงอมแดง ภายในเปลือกไมมียางเหลืออยู เนื้อและเปลือกนั้น<br />
สามารถแยกจากกันไดงาย เปนระยะที่สามารถรับประทานได<br />
ระดับสีที่ 6 ผลมีสีมวงหรือมวงเขมจนถึงดํ า ซึ่งบางครั้งพบวายังมีสีมวงปนอยูเล็กนอย<br />
ภายในเปลือกไมมียางเหลืออยู เนื้อและเปลือกสามารถแยกจากกันไดงาย เปนระยะที่เหมาะแก<br />
การรับประทาน<br />
มังคุดเปนไมผลยืนตนขนาดใหญ ชอบอากาศที่รอนชื้น<br />
อุณหภูมิที่เหมาะสมอยูในชวง<br />
25-30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธสูงประมาณ<br />
75-85 ดินควรมีคาความเปนกรดเปนดาง<br />
(pH) ประมาณ 5.5-6.5 และที่สํ าคัญควรเลือกพื้นที่ปลูกที่มีนํ้ าเพียงพอตลอดชวงฤดูแลง มังคุด<br />
จะใหผลผลิตประมาณปที่ 7 หลังปลูก แตผลผลิตตอตันในระยะแรกจะตํ่ า ชวงที่ใหผลผลิตดี<br />
ประมาณ 13 ปขึ้นไป โดยเฉลี่ย 60 กิโลกรัมตอตน (นํ้ าหนักผลเฉลี่ย 80 กรัมตอผล) (จริงแท,<br />
2531) มังคุดเปนไมผลระบบรากหาอาหารคอนขางลึกประมาณ 90-120 เซนติเมตร จากผิวดิน<br />
ดังนั้นจึงตองการสภาพแลงกอนออกดอกคอนขางนาน โดยตนมังคุดที่สมบูรณใบยอดมีอายุ<br />
ระหวาง 9-12 สัปดาห เมื่อผานชวงแลงติดตอกัน 21-30 วัน และมีการกระตุนนํ้ าถูกวิธี มังคุดจะ<br />
ออกดอก ชวงพัฒนาการของดอก (ผลิตาดอก-ดอกบาน) ประมาณ 30 วัน ชวงพัฒนาการของผล<br />
(ดอกบาน-เก็บเกี่ยว) ประมาณ 11-12 สัปดาห ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมคือ เริ่มมีสายเลือดได<br />
1-2 วัน ผลมังคุดที่มีสีมวงแดงเก็บรักษาที่อุณหภูมิที่ 10-13 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธที่<br />
90-95 เปอรเซ็นต เก็บรักษาไวไดนานประมาณ 2-4 สัปดาห (สุรพงษ, 2529) ฤดูกาลที่ผลผลิต<br />
ของภาคตะวันออกอยูในชวงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ภาคใตอยูในชวงเดือนกรกฎาคมถึง<br />
เดือนกันยายน (กรมสงเสริมการเกษตร, 2543)<br />
ถึงแมวามังคุดจะมีเปลือกหนา และนาจะทนทานตอการกระทบการเทือน แตความจริง<br />
แลวมังคุดเปนผลไมที่มีความบอบบางมาก ถาถูกกระทบกระเทือนหรือกระแทกก็ทํ าใหเปลือกเกิด<br />
รอยชํ้ า และเกิดเปลือกแข็ง (เกียรติเกษตร และดารา, 2532) การแข็งตัวของเปลือกมังคุดเปน<br />
สาเหตุสํ าคัญที่ทํ<br />
าใหมังคุดเสื่อมคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยว<br />
(ดวงพร และเกรียงศักดิ์,<br />
2519)<br />
อาการแข็งของเปลือกมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว<br />
นอกจากเกิดจากการตกกระทบของผลแลวยังเกิด<br />
จากการเก็บมังคุดไวนาน โดยมังคุดที่แสดงอาการเปลี่ยนสีจากสีเขียวเปนสีมวง 4-7 วัน (สมโภชน,<br />
2534) แลวแสดงอาการเปลือกแข็งเกิดขึ้นที่เปลือกในสวนใดสวนหนึ่งกอนขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น การ<br />
8
เก็บรักษาที่อุณหภูมิตํ่ า เชน เก็บที่อุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส นาน 24 วัน จะทํ าใหเปลือกของผล<br />
มังคุดเกิดอาการแข็งได (สมโภชน, 2534) การรมผลมังคุดดวย methylbromide หรือ การฉายรังสี<br />
ทํ าใหเปลือกมังคุดแข็งไดเชนกัน (มาโนชญ, 2534) การแข็งตัวของเปลือกผลมังคุดอาจเกี่ยวของ<br />
กับการเพิ่มปริมาณสารเชื่อมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อพืช ซึ่งมีหลายชนิด คือ ลิกนิน (Ride, 1978)<br />
เพคติน (Eskin, 1979) เซลลูโลส (Harborne, 1984) เฮมิเซลลูโลส (Huber and Lee, 1986)<br />
ลิกนินเปนโพลิเมอรของสารประกอบฟนอลิก (Rhodes and Woolton, 1978) ซึ่งแทรกอยูตาม<br />
ผนังเซลลของ tracheid, vessel fiber และ sclereids ทํ าใหเนื้อเยื่อพืชมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น<br />
(Eskin, 1979) พืชมีกลไกในการสรางลิกนินบริเวณที่เกิดบาดแผล (Paxton et al., 1974) การ<br />
ที่พืชสรางลิกนินเปนวิธีปองกันตัวเองจากการเขาทํ<br />
าลายของโรคและแมลง โดยพบวาการสราง<br />
ลิกนินในพืชหลายชนิด (Hammerschmidt, 1984) ซึ่งทํ าใหผนังเซลลหนาและมีความแข็งแรงมาก<br />
ขึ้น เปนการเพิ่มความตานทานของผนังเซลลพืช ในเปลือกมังคุดมีสารประกอบฟนอลิกจํ าพวก<br />
แทนนิน และแซนโธน (Martin, 1980) และแอนโธไซยานิน (วรรณา และคณะ, 2532) ซึ่ง<br />
มาโนชญ (2534) รายงานวา เมื่อมังคุดตกกระทบจะทํ<br />
าใหปริมาณสารประกอบฟนอลิกทั้งหมด<br />
ลดลง ดังนั้นอาจเปนไปไดวาในการแข็งตัวของเปลือกผลมังคุดที่ตกกระทบ อาจมีการสรางลิกนิน<br />
มากขึ้นอยางรวดเร็ว<br />
ซึ่งอาจจะเปนกลไกปองกันตัวเองโดยธรรมชาติ<br />
ทํ าใหปริมาณสารประกอบ<br />
ฟนอลิกลดลงพรอม ๆ กับเกิดการแข็งตัวของเปลือกมังคุด<br />
เพลี้ยแปง<br />
เพลี้ยแปงเปนแมลงปากดูด อยูใน Superfamily Coccidea อันดับ Homoptera ตัวเต็มวัย<br />
เพศเมีย จะผลิตไขแปง (mealy wax) สีขาวปกคลุมลํ าตัวไว จึงมีชื่อสามัญวา (mealybug) ทํ าลาย<br />
พืชดวยการดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากสวนตาง ๆ ของพืช โดยใชสวนของปากที่มีลักษณะเปนทอยาวเรียกวา<br />
stylet ถาถูกทํ าลายรุนแรงจะทํ าใหตนพืชเหี่ยวแหงตายได<br />
นอกจากนี้ยังขับถายของเหลวมี<br />
ลักษณะเปนนํ้ าเหนียว เรียกวามูลหวาน (honeydew) ออกมา ซึ่งตอมาจะเกิดราดํ าขึ้น ถาเกิดที่ใบ<br />
จะทํ าใหใบสังเคราะหแสงไดไมเต็มที่ ถาเกิดขึ้นที่ผลจะทํ<br />
าใหผลเจริญเติบโตไมเต็มที่และสกปรก<br />
ไมเปนที่ตองการของตลาด<br />
ถาการทํ าลายรุนแรงจะทํ าใหผลรวง โดยเฉพาะผลออน (บุปผา และ<br />
ชลิดา, 2543)<br />
ลักษณะทั่วไป<br />
ตัวเต็มวัยรูปรางยาวรี รูปไขหรือกลม บริเวณรอบลํ าตัว ดานขางประกอบดวยไขแปงมี<br />
ลักษณะยาวเปนเสน (filament) เรียงกันโดยรอบ ขนาดของเสนแปง (filament of wax) จะคอย ๆ<br />
ยาวขึ้นตามลํ าดับ จากดานหัว (anterior) ไปดานทาย (posterior) ของลํ าตัว เสนแปงที่อยูดานทาย<br />
9
สุดมักจะยาวที่สุด บางชนิดอาจยาวเทากับความยาวของขนาดของลํ าตัว ลักษณะของไขแปงที่ปกคลุม<br />
ลํ าตัวของเพลี้ยแปงแตละชนิด มีความแตกตางกัน เชน มีลักษณะเปนแถบยาว ๆ เปนแผนอัดแนน<br />
หรือมีรูปรางไมแนนอน และบางชนิดไขแปงมีสีเหลือง (Williams and Watson, 1988b)<br />
ในพวกเพลี้ยแปงวงศ Pseudococcidae การเจริญเติบโตของตัวออนจนกลายเปนตัวเต็มวัย<br />
โดยการลอกคราบ ในเพศเมียสวนใหญมักมีการลอกคราบ 3 ครั้ง สวนเพศผูจะลอกคราบ 4 ครั้ง<br />
เมื่อแมลงฟกออกจากไขจะเปนตัวออนวัยที่ 1 (first instar) หรือเรียกวา crawler ตัวออน<br />
วัยที่ 1 มักจะมีจํ านวนปลองหนวดนอยกวาตัวเต็มวัย<br />
เมื่อตัวออนวัยที่ 1 ลอกคราบ โดยจะเกิดรอยแตกบริเวณกลางสวนหัวและอกดานบน จากนั้น<br />
ก็ออกจากคราบเปนตัวออนวัยที่ 2 (second instar) ถาเปนเพศผูในตอนทาย ๆ ของวัยที่ 2 ตัวออน<br />
จะเริ่มสราง cocoon ลักษณะเปนปุยคลายสํ าลีปกคลุมลํ าตัว<br />
ตัวออนเพศเมียวัยที่ 2 จะลอกคราบในทํ านองเดียวกับวัยที่<br />
1 เปนตัวออนวัยที่ 3 (third<br />
instar) ในวัยนี้จํ<br />
านวนปลองหนวดมักจะมีจํ านวนของปลองหนวดเทากันกับตัวเต็มวัย (แตไม<br />
เสมอไป)<br />
ในเพศผู<br />
ตัวออนวัยที่ 2 จะลอกคราบโดยคราบวัยที่ 2 จะถูกดันออกมาทางสวนดานทาย<br />
ของ cocoon เปนตัวออนวัยที่ 3 ตัวออนวัยที่ 3 ระยะนี้เรียกวา prepupa ขนาดของตัวมักเล็กและ<br />
รูปรางยาว เมื่อเทียบกับตัวออนเพศเมียวัยที่ 3 ตัวออนเพศผูวัยที่ 3 มักจะเริ่มมีแผนปก จํ านวน<br />
ปลองหนวดเพิ่มขึ้น rostrum หายไป<br />
เมื่อตัวออนเพศเมียวัยที่ 3 ลอกคราบ เปนวัยที่ 4 คราบจะถูกดันออกมาตาม รอยแตก<br />
ทางสวนทายของ cocoon ตัวออนเพศผูวัยที่ 4 จะอยูใน cocoon เรียกระยะนี้วา pupa ตัวออนวัยนี้<br />
มีปกยาวขึ้น จํ านวนปลองหนวดเพิ่มขึ้น (มักจะมีจํ านวนเทากับตัวเต็มวัย) ตัวออนเพศผูวัยที่ 4<br />
จะลอกคราบโดยคราบจะถูกดันออกมาตามรอยแตกทางสวนทายของ cocoon เชนเดียวกันกับการ<br />
ลอกคราบครั้งที่ 3 เมื่อลอกคราบในครั้งที่ 4 แลว จะเปนเพศผูวัยที่ 5 คือ ตัวเต็มวัย<br />
ตัวเต็มวัยเพศผูมี 3 แบบแลวแตชนิดของแมลง คือ ปกยาว (macropterous) ปกสั<br />
้น<br />
(brachypterous) และไมมีปก<br />
10
พวกปกยาวมักจะมีปก 1 คูอยูในสวนของ mesothorax และจะมี halteres 1 คู อยูในสวน<br />
ของ metathorax สํ าหรับ halteres มีลักษณะเปนปุมเล็ก ๆ และปลาย halteres มักจะมีขน<br />
(setae) 1 เสนหรือมากกวานั้น<br />
ลักษณะทางอนุกรมวิธาน<br />
ลักษณะทางอนุกรมวิธานของเพลี้ยแปง มีดังนี้ (ภาพที่ 4)<br />
รูปราง (body) บางชนิดรูปรางเรียวยาว รูปไขหรือกลมจะพบ vulva (ชองเปด<br />
ของอวัยวะสืบพันธุ) อยูประมาณปลองที่ 7 และ 8 ทางดานลาง (venter) ของผนังลํ าตัว สวนปาก<br />
(beak) จะอยูระหวาง coxae ของขาคูที่ 1<br />
หนวด (antennae) สวนใหญหนวดจะมี 6-9 ปลอง แตบางชนิดจะมีปลอง<br />
หนวดลดลงเหลือเพียง 2 ปลอง หรือ 4-5 ปลอง โดยทั่วไปปลองสุดทายมักจะมีขนาดใหญ และ<br />
ยาวกวาปลองรองสุดทาย<br />
ขา (legs) มี tarsi 1 ปลอง และสวนใหญมีเล็บ (claw) 1 อัน ใกลฐานของเล็บ<br />
จะมีเสนดายคลายเสนขน (seta-like) 2 เสน เรียกวา claw digitules และอีก 1 คู ที่ปลาย tarsi<br />
เรียกวา tarsal digitules นอกจากนี้เพลี้ยแปงบางชนิดที่ผิวหนังของเล็บจะมีลักษณะเปนปุ มเล็ก ๆ<br />
เรียกวา denticle<br />
Circulus จะอยูที่ปลองทองดานลาง มักอยูระหวางปลองทองปลองที่ 3 และ 4<br />
นักกีฏวิทยาบางทานเชื่อวาทํ<br />
าหนาที่เปน<br />
adhesive organ แตหนาที่ที่แทจริงยังไมมีผูใดทราบ<br />
Ostioles พบอยูทางดานบน (dorsum) ของผนังลํ าตัว มีลักษณะคลายรอยแตก<br />
ตามขวาง ทํ าหนาที่ในการปองกันตัว Williams (1978) เปรียบเทียบ ostioles คลายกับ siphunculi<br />
ของเพลี้ยออน ตามปกติจะมี ostioles 2 คู คูที่<br />
1 อยูที่ prothorax อีกคูหนึ่งอยูที่ปลองทอง<br />
ปลองที่ 6 บางชนิดไมมี ostioles หรือมีแตคูที่อยูทางดานทาย (posterior) ของลํ าตัวเทานั้น ตาม<br />
ปกติ ostioles ประกอบดวย trilocular pores และ setae ขนาดเล็ก 2-3 เสน<br />
Anal ring มักจะอยูบริเวณปลายสวนทอง โดยทั<br />
่วไปจะประกอบดวยรูเล็ก ๆ<br />
2 แถว เรียงกัน และ setae 6 เสน<br />
11
ภาพที่ 4 ลักษณะทางอนุกรมวิธานของเพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus Hempel<br />
ตัวเต็มวัยเพศเมีย<br />
ที่มา: ชลิดา และคณะ (2545)<br />
12
Anal lobes จะอยูดานขางของ anal ring ประกอบดวย apical setae ซึ่งมีความ<br />
สํ าคัญในการจํ าแนกสกุลและชนิดของแมลง ดานลางของ anal lobe ของเพลี้ยแปงบางชนิดจะมี<br />
anal lobe bar ซึ่งจะยื่นออกมาจาก<br />
socket ของ apical seta และจะพบ bar seta อยูประมาณ<br />
กึ่งกลางของความยาวของ<br />
anal lobe bar<br />
Cerarii เปนลักษณะที่พบในเพลี้ยแปง<br />
(mealybug) เทานั้น<br />
ทํ าหนาที่ในการ<br />
สรางเสนแปง (wax filament) ดานขางของลํ าตัว ตามปกติจะมีอยู<br />
18 คู แตบางชนิดจะ reduce<br />
เหลือเพียง 1 คู คือที่ anal lobe เทานั้น<br />
หรืออาจไมมีเลย cerarii แตละอันมักจะประกอบดวย<br />
กลุมขนขนาดคอนขางใหญเรียกวา cerarian setae ซึ่งจะเปนชนิดปลายแหลมคลายรูปกรวย<br />
(conical setae) หรือรูปหอก (lanceolate setae) อยางนอยสองเสน และ trilocular pores จํ านวน<br />
หนึ่ง แตบางครั้งจะมี setae เล็ก ๆ บาง ๆ เรียกวา auxiliary setae รวมกลุมอยูดวย<br />
ตามปกติแลว cerarii แตละคูจะอยูดานขางของปลองทองแตละปลอง อยูที่ดาน<br />
ขางของสวนอก 2 คู และสวนที่เหลืออยูที่สวนหัว cerarii ที่อยูบริเวณสวนหัวเรียกวา frontal<br />
cerarii, perocular cerarii และ ocular cerarii ตามลํ าดับ cerarii 2 คูสุดทายของปลองเรียกวา<br />
penultimate cerarii และ anal lobe cerarii ตามลํ าดับ<br />
รู (pores) ในเพลี้ยแปงที่ผนังลํ<br />
าตัวจะพบรูชนิดตาง ๆ ที่สํ าคัญมี 4 ชนิด คือ<br />
Multilocular disc pores เปนรูรูปวงกลมภายในประกอบดวยชองเล็ก ๆ 10 ชอง (loculi) ทํ าหนา<br />
ที่สราง wax ในการสรางถุงหุมไข (ovisac) บางครั้งจะไมมีหรือมีเปนจํ านวนมากทั้งดานบนและ<br />
ดานลางของผนังลํ าตัว ตามปกติจะพบ multilocular disc pores บริเวณรอบ ๆ vulva เพลี้ยแปงที่<br />
มี multilocular disc pores มากมักเปนพวกที่ออกลูกเปนไข<br />
(oviparus) และพวกที่มี<br />
multilocular disc pores นอยมักเปนพวกที่ออกลูกเปนตัวออน (viviparous) หรือพวกที่ตัวออน<br />
ฟกตัวอยูในตัวแม (ovoviviparous) trilocular pores บางครั้งเรียงวา swirled trilocular pores<br />
เปนรูรูปสามเหลี่ยม ภายในประกอบดวยชองเล็ก 3 ชอง (loculi) มักพบกระจายตัวอยูทั่วไปทั้ง<br />
ดานบนและดานลางของผนังลํ าตัว ทํ าหนาที่ผลิตไขแปงเพื่อปกคลุมลํ าตัวแมลง บางครั้งจะไมพบ<br />
trilocular pores ที่พบบริเวณอื่น ๆ หรือ trilocular pores พวกที่อยูดานบนมีขนาดใหญกวาพวกที่<br />
อยูดานลางของผนังลํ าตัว quinquelocular pores เปนรูรูปหาเหลี่ยมภายในประกอบดวยชองเล็ก ๆ<br />
5 ชอง จะพบ quinquelocular pores ในเพลี้ยแปงบางสกุลเทานั้น สวนใหญจะพบทางดานลางของ<br />
ผนังลํ าตัว ทํ าหนาที่เชนเดียวกันกับ trilocular pores Discoidal pores เปนรูเล็ก ๆ รูปกลมไมทราบ<br />
หนาที่ที่แนนอน เปนลักษณะที่สํ าคัญที่ใชในการจํ าแนกชนิด<br />
13
ทอ (tubular ducts) เปนทอที่อยูภายในและปากทออยูบนผิวผนังลํ าตัว ในเพลี้ยแปง<br />
ปลายทอดานในมักจะแบนไมโคงเปนรูปถวย ตามปกติทํ าหนาที่ผลิตเสนแปง (filament of wax)<br />
ซึ่งจะไปรวมในการสรางถุงหุมไข แตบางครั้งจะพบ tubular duct ในพวกที่ออกลูกเปนตัวออนดวย<br />
ลักษณะของทออาจมีรูปรางตาง ๆ แตที่เห็นไดชัดมี 2 แบบ คือ oral collar tubular ducts และ oral<br />
rim tubular ducts<br />
ขน (setae) นอกจาก cerarian setae แลว ที่ผนังลํ าตัวของแมลงทั้งดานบนและ<br />
ดานลางจะประกอบดวยขน (body setae) รูปรางตาง ๆ เชน ที่ผนังลํ าตัวดานบนอาจเปนรูปกรวย<br />
(conical setae) รูปหอก (lanceolate) หรือเปนเสนเล็ก ๆ บาง ๆ (flagellate) โดยปกติแลวจะเปน<br />
flagellate setae ที่บริเวณพื้นที่กลาง ๆ ของผนังลํ าตัวดานลาง setae ที่ผนังลํ าตัวดานบนมักมี<br />
ลักษณะเฉพาะของสกุลนั้น ๆ ที่ปลายสวนทองดานลางมี setae ที่สํ าคัญอีก 2 คู คือ obanal setae<br />
1 คู และ cisanal setae 1 คู (Williams and Watson, 1988b)<br />
ในการสํ ารวจแมลงของสวนทุเรียนพบเพลี้ยแปง 2 ชนิดคือ Planococcus lilacinus (Cockerell)<br />
และ Planceoccus minor (Maskell) เพลี้ยแปงทั้งสองชนิดที่พบในสวนทุเรียน เพลี้ยแปงตัวเมีย<br />
ไมมีปก ลักษณะคลายตัวออนเกาะติดที่ผิวเปลือกทุเรียน สวนตัวผูมีปก 1 คู บินไดไมแข็งแรงและ<br />
ไมเคยพบในกับดัก แมในชวงที่พบเพลี้ยแปงมากที่ผล<br />
จากการศึกษาไดพบเพลี้ยแปงศัตรูกลวย วงศ Pseudococcidae 2 ชนิด คือ Dysmicoccus<br />
neobervipes Beardsley และ Planococcus minor (Maskell) และนอกจากกลวยแลวไดพบพืช<br />
อาหารอื่น ๆ อีก 19 ชนิด โดยพืชอาหารของ Dysmicoccous neobervipes Beardsley 15 ชนิด<br />
ไดแก ศรนารายณ หมากเขียว แคแดง เทียนญี่ปุน พะยอม จามจุรี กราง ชํ ามะเลียง ทับทิม ปบ<br />
ขนุน ทานตะวัน ลั่นทม มะขาม สัก พบพืชอาหารของ Planococcus minor (Maskell) 4 ชนิด<br />
คือ ลางสาด มะมวงหิมพานต มันฝรั่ง หงอนไก นอกจากนี้ไดพบแมลงตัวหํ้<br />
าของเพลี้ยแปง<br />
Planococcus minor (Maskell) คือ หนอนดวงเตา Coccinellidae อันดับ Coleoptera (บุปผา,<br />
2537ก)<br />
ลักษณะของแมลงวงศ Pseudococcidae<br />
Genus DYSMICOCCUS<br />
Dysmicoccus Ferris, 1950<br />
14
ตัวเต็มวัยเพศเมียรูปรางคลายรูปไข คอนขางกลม หนวดปกติจะมี 8 ปลอง ostioles มี<br />
2 คู ขาเรียวยาว เล็บไมมี denticle cerarii 6-17 คู ไมมี preocular cerarii ตามปกติ cerarii<br />
แตละอันจะประกอบดวย setae ปลายแหลม คลายรูปกรวยขนาดใหญจํ านวนใหญไมเกิน 5-6<br />
เสน และ auxiliary setae 2-3 เสน แตบางครั้ง<br />
auxiliary setae ของปลองกอนรองสุดทาย<br />
(antepenultimate cerarii) จะหายไป ตามปกติจะไมมี circulus แตบางชนิด circulus จะหายไป<br />
มักจะไมมี oral rim tubular ducts setae ที่อยูดานบนของลํ าตัว มีลักษณะเปนเสนบาง ๆ ยาว ๆ แต<br />
อาจจะมี setae ปลายแหลม รูปรางคลายรูปกรวยปะปนอยูดวย ดานลางของ anal lobe แตละอันมี<br />
ลักษณะเปนแผนแข็ง แตบางชนิดไมเปนแผนแข็ง ไมมี anal lobe bar (Williams and Watson,<br />
1988a)<br />
Dysmicoccous neobervipes Beardsley<br />
Beardsley, 1959: 31, 1965: 61, 1966: 410, 1975: 657<br />
ชื่อสามัญ Grey pineapple mealybug<br />
ลักษณะทางธรรมชาติ<br />
ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางคอนขางกลม รอบ ๆ ลํ าตัวมีเสนแปงสั้น ๆ สีขาว เสนแปงดาน<br />
ทายยาวกวาดานขางเล็กนอย ผนังลํ าตัวปกคลุมดวยไขแปงสีขาว หนวดมี 8 ปลอง ขายาวเรียว<br />
(บุปผา และชลิดา, 2543)<br />
ลักษณะทางอนุกรมวิธาน<br />
เมื่อนํ<br />
าแมลงมาติดบนแผนสไลด ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางคอนขางกลม ขนาดลํ าตัว<br />
ยาวประมาณ 3.3-3.5 มม. กวาง 2.7-3.0 มม. หนวด 8 ปลอง ขาเรียวยาว ostioles มี 2 คู อยู<br />
ทางสวนหัว 1 คู สวนทายลํ าตัว 1 คู เล็บ (claw) ไมมี denticles cerarii มี 17 คู cerarii แตละอัน<br />
ประกอบดวยกลุมของรูเปดรูปสามเหลี่ยม<br />
(trilocular pores) กลุมของขนปลายแหลมรูปกรวย<br />
(conical setae) และกลุมขนเล็ก ๆ บาง ๆ (auxiliary setae) โดย cerarii คูที่ 1 มี setae ปลายแหลม<br />
รูปกรวย 2 เสน cerrarii ที่อยูบริเวณสวนหัวมีขนดังกลาว 3-6 เสน ที่สวนอกมี 2-3 เสน cerarii ที่<br />
ปลองทองปลองที่4-7<br />
จะมีขนดังกลาวมากถึง 6 เสน แต cerarii คูรองสุดทาย (penultimate cerarii)<br />
แตละอันจะมีขนชนิดนี้เพียง 2 เสนเทานั้น circulus เจริญดี ไมมี intermediate cerarii<br />
ผนังลํ าตัวดานบน (dorsum) ประกอบดวย setae สั้น ๆ ปลายแหลม trilocular pores<br />
มีเปนจํ านวนมากอยูกระจายทั่วไป discoidal pores พบกระจายทั่วไปมีขนาดตาง ๆ กัน แตละอัน<br />
15
ขอบรูจะหนา discoidal pores ที่ใหญที่สุดมีขนาดเสนผาศูนยกลางใหญกวา trilocular pores เห็น<br />
ไดชัด อยูบริเวณเสนกลางลํ าตัว (mid line) ของแมลง โดยเฉพาะบริเวณปลองที่อยูสวนทาย<br />
(posterior) ของลํ าตัว discoidal pores สวนที่เหลือจะมีขนาดเทาหรือเล็กกวา trilocular pores<br />
ผนังลํ าตัวดานลาง (venter) ประกอบดวย setae สั้น ๆ ยกเวนบริเวณหัวและบริเวณปลอง<br />
ทาย ๆ circulus เจริญดี multilocular disc pores จะเรียงเปนแถว 1 แถว บนปลองทองปลองที่ 7<br />
trilocular pores พบกระจายทั่วไป discoidal pores สวนใหญมีขนาดเล็ก พบกระจัดกระจายทั่วไป<br />
บนผนังลํ าตัว บางครั้งจะพบอยูบริเวณใกล ๆ ตา 2-3 อัน oral collar tubular ducts มี 2 ขนาด<br />
พวกที่มีขนาดเล็กเทากับ multilocular disc pores และกวางเทากับ trilocular pores โดยจะพบ<br />
เรียงกันเปนแถว 1 แถวหรือ 2 แถว ผานกึ่งกลางปลองทองปลองที่ 5-7 บางครั้งพบบริเวณสวนอก<br />
อีกพวกหนึ่งมีขนาดกวางกวาพวกแรก แตความยาวจะสั้นกวาเสนผาศูนยกลางของ multilocular<br />
disc pores และจะพบเปนกลุมเล็ก ๆ อยูบนปลองที่ 4-7 anal ring ประกอบดวย setae 6 เสน anal<br />
lobe ไมมี anal lobe bar cisanal setae สั้นกวา anal ring setae D. neobervipes พบดูดกินนํ้ าเลี้ยงจาก<br />
ผล และกานผลไม<br />
เขตการแพรกระจาย<br />
กรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี นครสวรรค<br />
ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครราชสีมา สระบุรี ปราจีนบุรี<br />
พืชอาหาร<br />
กลวยนํ้ าวา กลวยเล็บมือนาง ศรนารายณ หมากเหลือง แคแดง เทียนญี่ปุน พะยอม จามจุรี<br />
กราง ชํ ามะเลียง ทับทิม ปบ ขนุน ทานตะวัน ลั่นทม มะขาม สัก มะมวง หมากเขียว นอยหนา<br />
แมลงศัตรูธรรมชาติ<br />
แมลงหํ้ า<br />
ดวงเตา Scymnus sp. (Coleoptera: Coccinellidae) มี 2 ชนิด คือ<br />
ชนิดที่<br />
1 พบทั้งตัวออน<br />
และตัวเต็มวัย ตัวเต็มวัยขนาดเล็กมาก ลํ าตัวยาวประมาณ<br />
1.0-2.0 มม. สีนํ้ าตาลเขมเกือบดํ า หัวและปกคูหนาสีนํ้<br />
าตาลเขมเกือบดํ า ปกคูหนามีสีนํ้ าตาล<br />
16
ออนเกือบกลมขนาดใหญขางละ 1 จุด อยูบริเวณเกือบถึงปลายปกคูหนา ตัวหนอนมีขนาดเล็ก<br />
มากสีขาว มี wax สีขาว ลักษณะเปนเสนยาว ๆ คลายเสนแปงของเพลี้ยแปง ปกคลุมลํ าตัวทํ าใหดู<br />
คลายเพลี้ยแปงมาก ทั้งตัวหนอนและตัวเต็มวัย พบวาทํ าลายเพลี้ยแปง<br />
ชนิดที่ 2 ขนาดและรูปรางใกลเคียงกับชนิดที่ 1 แตสวนหัวสีนํ้ าตาลออน ปกคูหนาสีนํ้ าตาล<br />
เขมเกือบดํ า ปลายปกมีจุดสีนํ้<br />
าตาลออน รูปรางเกือบกลม<br />
หนอนผีเสื้อ Spalgis epius epius Westwood (Lepidoptera: Lycaenidae)<br />
แมลงเบียน<br />
แตนเบียน Aenasius advena Compere (Hymenoptera: Encyrtidae)<br />
ตัวเต็มวัยเพศเมียลํ าตัวยาวประมาณ 1.0-2.0 มม. สวนหัวคอนขางกวางมีสีนํ้ าตาลอมเขียว<br />
pronotum มีสีนํ้ าเงินอมเขียวสะทอนแสงสีแดงอมมวง หนวดปลองแรก (scape) ใหญ มีลักษณะ<br />
เปนแผนแบน คอนขางกวาง ขอบของ scape ดานหนึ่งจะโคงมาก ปลาย scape และ pedicel และ<br />
funicle segments สีเหลืองออน ขาสีนํ้ าตาลปนดํ า ประกอบดวย tarsi 4 ปลอง ขาคูกลางสีออน<br />
กวาขาคูหนาและคูหลัง tarsi สีเหลือง หรือสีขาวปลายมีสีนํ้ าตาล<br />
ตัวเต็มวัยเพศผู มีขนาดเล็กกวาเพศเมียเล็กนอย ลักษณะทั่วไปคลายเพศเมีย แตหนวด<br />
ตางกัน คือ scape มีลักษณะเปนแผนแบน แตไมกวางเทากับเพศเมีย flagellum มีขนาดเทากัน<br />
ตลอดไมแบงเปนปลอง ๆ (unsegmented) คือไมแบงเปน funicle segments และ clava (บุปผา,<br />
2537ก, 2537ข.)<br />
Genus PLANOCOCCUS<br />
Planococcus Ferris, 1950: 164<br />
Allococcus Bzzat and Mcconnell, 1956: 13<br />
ตัวเต็มวัยเพศเมียรูปรางกลมรีคลายรูปไข หนวด 8 ปลอง ขาเจริญดี เล็บ (claw) ไมมี<br />
denticles coxa ของขาคูหลังประกอบดวย translucent pores cerarii 18 คู cerarii คูที่อยูบน<br />
ปลองทองทุกคูประกอบดวย setae รูปกรวยขนาดใหญ 2 เสน และไมมี auxiliary setae สวนใหญ<br />
จะมี circulus oral rim tubular ducts มีหรือหายไป setae ที่บนผนังลํ<br />
าตัวดานบนมักมีลักษณะเปน<br />
17
เสนบาง ๆ ยาว ๆ บางครั้งจะพบ setae ปลายแหลมรูปกรวยปะปนอยูดวย multilocular disc pores<br />
พบทั่วไป และอยางนอยจะพบที่ผนังลํ าตัวดานลางของสวนทอง anal lobe ประกอบดวย anal lobe<br />
bar (Wiliams and Watson, 1988b) จากการศึกษาพบเพลี้ยแปงสกุลนี้ 1 ชนิด คือ Planococcus<br />
minor (Maskell)<br />
Planococcus minor (Maskell)<br />
Planococcus pacificus Cox, 1981: 48<br />
ชื่อสามัญ Passionvine mealybug<br />
ลักษณะทางธรรมชาติ<br />
ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางกลมรี คลายไข ลํ าตัวยาวประมาณ 3.0-3.3 มม. ดานขางมีเสน<br />
แปงสั้น ๆ สีขาวรอบลํ าตัว ผนังลํ าตัวปกคลุกดวยสารสีขาวคลายแปง หนวดมี 8 ปลอง ขายาวเรียว<br />
ลักษณะทางอนุกรมวิธาน<br />
ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางกลมคลายรูปไข ขนาดลํ าตัวยาวประมาณ 3.0-3.3 มม. กวาง<br />
2.0-2.5 มม. หนวด 8 ปลอง ขาเรียวยาว เล็บ(claw) ไมมี denticles ostiles มี 2 คู คืออยูทาง<br />
สวนหัว 1 คู ทางสวนทายของลํ าตัว 1 คู cerarii 18 คู cerarii แตละ อันประกอบดวยกลุมของรูป<br />
สามเหลี่ยม (trilocular pores) และ setae ปลายแหลมรูปกรวย 2 เสน ไมมี auxiliary setae<br />
ผนังลํ าตัวดานบน ประกอบดวย setae ลักษณะเรียวเล็กบางฐานของ setae คอนขางหนา<br />
ขนาดของ setae คอนขางสั้น trilocular พบกระจายทั่วไป<br />
discoidal pores ที่ผนังลํ าตัวดานบนมี<br />
2 ขนาด คือ ขนาดเล็ก และขนาดคอนขางใหญ<br />
ผนังลํ าตัวดานลาง ประกอบดวย setae ขนาดคอนขางยาว มีลักษณะเรียวเล็กบาง<br />
trilocular pores พบกระจายอยูทั่วไป<br />
ที่ผนังลํ าตัวดานลางในสวนที่ถัดจาก cerarii คูที่ 4 จะไมพบ<br />
oral collar tubular ducts circulus เจริญดี multilocular disc pores พบที่สวนอกใกล ๆ coxa ของ<br />
ขาคูที่ 1 และบริเวณสวนทายของปลองทองปลองที่ 4-7 multilocular disc pores จะเรียงตัวกัน<br />
เปน 2 แถว anal lobe ประกอบดวย anal lobe bar cisanal setae สั้นกวา anal ring setae anal<br />
ring เจริญดี ประกอบดวย setae 6 เสน P. minor ดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากผลและกานผลไม<br />
เขตแพรกระจาย ระยอง จันทบุรี เชียงใหม นครพนม ชุมพร<br />
18
พืชอาหาร ทุเรียน นอยหนา เงาะ ลางสาด มะมวงหิมพานต กลวยนํ้ าวา หงอนไก มันฝรั่ง<br />
แมลงศัตรูธรรมชาติ<br />
แมลงหํ้ า<br />
ดวงเตา Scymnus sp. (Coleoptera: Coccinellidae)<br />
พบทั้งตัวออน และตัวเต็มวัย ตัวเต็มวัยขนาดเล็กมาก ลํ าตัวยาวประมาณ 1.0-2.0 มม.<br />
สีนํ้ าตาลเขมเกือบดํ า หัวและปกคูหนาสีนํ้ าตาลเขมเกือบดํ า ปกคูหนามีจุดสีนํ้ าตาลออนเกือบกลม<br />
ขนาดใหญขางละ 1 จุด อยูบริเวณเกือบถึงปลายปกคูหนา ตัวหนอนมีขนาดเล็กมากสีขาว มี wax<br />
สีขาว ลักษณะเปนเสนยาว ๆ คลายเสนแปงของเพลี้ยแปงปกคลุมลํ าตัว ทํ าใหดูคลายเพลี้ยแปงมาก<br />
ทั้งตัวหนอนและตัวเต็มวัยพบวาทํ าลายเพลี้ยแปง Planococcus minor (Maskell) (บุปผา, 2537ก)<br />
หนอนดวงเตา Cryptolaemus montrouzieri Mulsant วงศ Coccinellidae อันดับ<br />
Coleoptera<br />
หนอนผีเสื้อ Spalgis epius epius Westwood: วงศ Lycaenidae อันดับ Lepidoptera<br />
แมลงเบียน<br />
แตนเบียน Aprostocetus purpureus (Cameron) วงศ Eulophidae อันดับ<br />
Hymenoptera<br />
แตนเบียน Allotropa sp. วงศ Platygastridae อันดับ Hymenoptera<br />
Genus PSEUDOCOCCUS<br />
Pseudococcus cryptus Hempel<br />
Pseudococcus citriculus Green; Zimmerman, 1948: 210; Williams and Watson,<br />
1988b: 175.<br />
ชื่อสามัญ Citrus mealybug<br />
19
ลักษณะทางธรรมชาติ<br />
ตัวเต็มวัยเพศเมีย มีรูปรางคลายรูปไข ขนาดคอนขางกวาง ลํ าตัวยาวประมาณ 2.8-3.0 มม.<br />
ผนังลํ าตัวมีสีเหลืองออน หรือเขียวอมเหลือง ลํ าตัวปกคลุมดวยไขแปงสีขาว ดานขางของผนังลํ าตัว<br />
มีเสนแปงลอมรอบ เสนแปงที่อยูดานทายของลํ าตัวจะยาวที่สุด<br />
เสนแปง 4-5 คูสุดทาย ยาวกวา<br />
ความกวางของลํ าตัว หนวดมี 8 ปลอง ขาเจริญดีตัวเต็มวัยเพศเมียจะสรางถุงหุมไขสีขาว ไข และ<br />
ตัวออนสีเหลืองออน<br />
ลักษณะทางอนุกรมวิธาน<br />
เมื่อนํ าแมลงมาติดบนสไลด ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางคอนขางกลม หนวด 8 ปลอง ขา<br />
เรียวยาว ostioles มี 2 คู อยูทางสวนหัว 1 คู สวนทายลํ าตัว 1 คู เล็บ (claw) ไมมี denticles<br />
cerarii มี 17 คู cerarii แตละอันประกอบดวยกลุมของรูเปดรูปสามเหลี่ยม<br />
(trilocular pores)<br />
กลุมของขนปลายแหลมรูปกรวย (conical setae) และกลุมขนเล็ก ๆ บาง ๆ (auxiliary setae)<br />
โดย cerarii คูที่ 1 มี setae ปลายแหลมรูปกรวย 2 เสน cerrarii ที่อยูบริเวณสวนหัวมีขนดังกลาว<br />
3-6 เสน ที่สวนอกมี 2-3 เสน cerarii ที่ปลองทองปลองที่ 4-7 จะมีขนดังกลาวมากถึง 6 เสน<br />
แต cerarii คูรองสุดทาย (penultimate cerarii) แตละอันจะมีขนชนิดนี้เพียง 2 เสนเทานั้น<br />
circulus เจริญดี ไมมี intermediate cerarii<br />
ผนังลํ าตัวดานบน (dorsum) ประกอบดวย setae สั้น ๆ ปลายแหลม trilocular pores<br />
มีเปนจํ านวนมากอยูกระจายทั่วไป<br />
discoidal pores พบกระจายทั่วไปมีขนาดตาง<br />
ๆ กันแตละอัน<br />
ขอบรูจะหนา discoidal pores ที่ใหญที่สุดมีขนาดเสนผาศูนยกลางใหญกวา trilocular pores เห็น<br />
ไดชัด อยูบริเวณเสนกลางลํ<br />
าตัว (mid line) ของแมลง โดยเฉพาะบริเวณปลองที่อยูสวนทาย<br />
(posterior) ของลํ าตัว discoidal pores สวนที่เหลือจะมีขนาดเทาหรือเล็กกวา trilocular pores<br />
ผนังลํ าตัวดานลาง (venter) ประกอบดวย setae สั้น ๆ ยกเวนบริเวณหัวและบริเวณปลอง<br />
ทาย ๆ circulus เจริญดี multilocular disc pores จะเรียงเปนแถว 1 แถว บนปลองทองปลองที่ 7<br />
trilocular pores พบกระจายทั่วไป discoidal pores สวนใหญมีขนาดเล็ก พบกระจัดกระจายทั่วไป<br />
บนผนังลํ าตัว บางครั้งจะพบอยูบริเวณใกล ๆตา 2-3 อัน oral collar tubular ducts มี 2 ขนาด<br />
พวกที่มีขนาดเล็กเทากับ multilocular disc pores และกวางเทากับ trilocular pores โดยจะพบ<br />
เรียงกันเปนแถว 1 แถวหรือ 2 แถว ผานกึ่งกลางปลองทองปลองที่ 5-7 บางครั้งพบบริเวณสวน<br />
อก อีกพวกหนึ่งมีขนาดกวางกวาพวกแรก<br />
แตความยาวจะสั้นกวาเสนผาศูนยกลางของ<br />
multilocular disc pores และจะพบเปนกลุมเล็ก ๆ อยูบนปลองที่ 4-7 anal ring ประกอบดวย<br />
20
setae 6 เสน anal lobe ไมมี anal lobe bar cisanal setae สั้นกวา anal ring setae เพลี้ยแปง<br />
Pseudococcus cryptus พบดูดกินนํ้<br />
าเลี้ยงจากผล และกานผลไม เพลี้ยแปงสกุลนี้จะคลายกับสกุล<br />
Dysmicoccus ลักษณะแตกตางคือ สกุล Dysmicoccus จะไมมี oral rim tubular ducts สวนสกุล<br />
Pseudococcus จะมี oral rim tubular ducts บนสวนใดสวนหนึ่งของผนังลํ าตัว (Williams and<br />
Granara, 1992)<br />
พืชอาหาร มะพราว มะมวง มะขาม<br />
เขตแพรกระจายกรงเทพฯ ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี สระบุรี<br />
แมลงศัตรูธรรมชาติ<br />
ดวงเตา Crytolaemus montrouzieri Mulsant วงศ Coccinellidae อันดับ Coleoptera<br />
(Zimmerman, 1948)<br />
21
อุปกรณและวิธีการ<br />
อุปกรณ<br />
1. สวนมังคุด จังหวัดจันทบุรี<br />
2. ผลมังคุดสด<br />
3. ผลฟกทองขนาดเล็ก<br />
4. เพลี้ยแปงชนิด Pseudococcus cryptus<br />
5. กลองเลี้ยงแมลง ขนาด 20X28X10 เซนติเมตร<br />
6. ถาดสังกะสี ขนาด 30X40X10 เซนติเมตร<br />
7. ชั้นวางถาดผลไม<br />
8. สารฆาแมลง ไดแก malathion (Malathion 83% EC), chlorpyrifos (Lorsban<br />
40% EC)<br />
9. นํ้ ามันปโตรเลียม (SK99 89.3% EC)<br />
10.นํ้ ายาลางจาน (ซันไลต)<br />
11.เครื่องเปาลม และนํ้ า ขนาดความดัน 20 ปอนด/ตารางนิ้ว<br />
12.พูกัน แวนขยาย และกลองจุลทรรศน<br />
13.ถังนํ้ า ขนาด 30X40X30 เซนติเมตร<br />
14.อุปกรณชั่งตวงสารเคมี<br />
15.ตะกราพลาสติกมีฝาปด ขนาด 20X20X20 เซนติเมตร<br />
16.เครื่องนับแมลง<br />
วิธีการ<br />
1.การศึกษาชวงฤดูการระบาดของเพลี้ยแปงบนผลมังคุด<br />
ศึกษาการระบาดของเพลี้ยแปงทุกระยะการพัฒนาของมังคุด ตั้งแตเดือนตุลาคม 2546-<br />
พฤษภาคม 2547 โดยสุมสํ ารวจในสวนมังคุดอายุประมาณ 15 ป ขนาดพื้นที่ 1 ไร (25ตน)<br />
ของเกษตรกรจังหวัดจันทบุรี จํ านวน 10 ยอด หรือ 10 ผลตอตน โดยรอบทรงพุม บันทึก<br />
จํ านวนเพลี้ยแปงตอยอด หรือผล พรอมบันทึกระยะการพัฒนาของมังคุดวาในชวงที่สํ ารวจมีการ<br />
พัฒนาอยูระยะใบแก ใบออน ดอก ผลออน หรือผลแก<br />
22
2.ศึกษาชีวประวัติของเพลี้ยแปงในมังคุด<br />
เก็บรวบรวมเพลี้ยแปงจากสวนมังคุดตามแหลงปลูกมังคุดจังหวัดจันทบุรี<br />
ระยอง และ<br />
ตราด นํ ามาเขี่ยเลี้ยงขยายพันธุและเพิ่มปริมาณบนผลฟกทอง<br />
ซึ่งวางในกลองเลี้ยงแมลง ขนาด<br />
20X28X10 เซนติเมตร กลองละ 1 ผล วางกลองเลี้ยงแมลงบนชั้นในหองปฏิบัติการ ที่อุณหภูมิ<br />
28-32 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธที่ 60-80 เปอรเซ็นต เมื่อเพลี้ยแปงเริ่มวางไขและไข<br />
เริ่มฟกเปนตัวออน ใชพูกันเขี่ยตัวออนเพลี้ยแปงที่ฟกใหม ๆ แยกเลี้ยงเพื่อศึกษาชีวประวัติบนผล<br />
ฟกทองขนาดเล็ก ผลละ 1 ตัว บันทึกลักษณะ รูปราง ขนาด ระยะเวลา และพฤติกรรมของ<br />
เพลี้ยแปงแตละตัว<br />
โดยเริ่มศึกษาจากตัวออนเพลี้ยแปง<br />
100 ตัว<br />
การบันทึกขอมูล<br />
บันทึกรูปรางลักษณะ ขนาด และระยะเวลาของเพลี้ยแปงทั้งเพศเมียและเพศผู รวมทั้ง<br />
พฤติกรรมของเพลี้ยแปงแตละตัว<br />
3.ศึกษาเปรียบเทียบวิธีการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อการสงออก<br />
วางแผนการทดลองแบบ CRD จํ านวน 7 กรรมวิธี<br />
1. เปาลม ความดัน 20 ปอนด/ตารางนิ้ว นาน 15 วินาที/ผล<br />
2. พนนํ้ า ความดัน 20 ปอนด/ตารางนิ้ว นาน 15 วินาที/ผล<br />
3. จุมสาร chlorpyrifos (Lorsban 40% EC) อัตรา 8 มิลลิลิตร/นํ้ า 10 ลิตร นาน 1 นาที<br />
4. จุมสาร malathion (Malathion 83% EC) อัตรา 10 มิลลิลิตร/นํ้ า 10 ลิตร นาน 1นาที<br />
5. จุมนํ้<br />
ามันปโตรเลียม (SK99 89.3% EC) อัตรา 8 มิลลิลิตร/นํ้ า 10 ลิตร นาน 1 นาที<br />
6. จุมนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) อัตรา 2 มิลลิลิตร/นํ้ า 10 ลิตร นาน 1 นาที<br />
7. Control<br />
ทดสอบกับผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว<br />
ซึ่งมีการทํ าลายของเพลี้ยแปง<br />
Pseudococcus<br />
cryptus อยูใตกลีบเลี้ยง โดยเตรียมผลมังคุดสํ าหรับทดลอง ดังนี้<br />
3.1 ผลมังคุดที่มีการระบาดของเพลี้ยแปงจากธรรมชาติ มีการทดลอง 5 ซํ้ า โดยการ<br />
เลือกผลที่เก็บเกี่ยวใหม ๆ (สีของผลมังคุดในระดับ 2) ที่มีการระบาดของเพลี้ยแปงใตกลีบเลี้ยง<br />
ไมตํ่<br />
ากวา 5 ตัวตอผล เขียนลํ าดับเลขผลมังคุดจํ านวน 15 ผลตอซํ้ า ตรวจนับจํ านวนเพลี้ยแปง<br />
23
ซึ่งอยูใตกลีบเลี้ยงมังคุดแตละผลพรอมบันทึก จากนั้นจึงนํ าผลมังคุดทั้ง 15 ผล ไปผานกรรมวิธี<br />
ตาง ๆ ตามกํ าหนด<br />
3.2 ผลมังคุดที่ทํ าการระบาดเทียม ทํ าการทดลอง 6 ซํ้ า โดยการนํ าผลมังคุดที่เก็บเกี่ยว<br />
ใหม ๆ (สีของผลมังคุดในระดับ 2) จากสวนซึ่งตรวจสอบแลววา ไมมีการระบาดของเพลี้ยแปง<br />
อยูใตกลีบเลี้ยง เขียนลํ าดับเลขผลมังคุดจํ านวน 20 ผลตอซํ้ า จากนั้นเขี่ยเพลี้ยแปงเพศเมียวัยสามที่<br />
เลี้ยงขยายไวบนผลฟกทอง ลงบนผลมังคุดทั้ง 20 ผลที่ลํ าดับหมายเลขไวแลวผลละ 10 ตัว วางผล<br />
มังคุดไวในถาดขนาด 30X40X10 เซนติเมตร คลุมดวยผาขาวบาง วางบนชั้นวางถาดในหอง<br />
ปฏิบัติการ อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ 60-80 เปอรเซ็นต ทิ้งไว 1 วัน<br />
(เพื่อใหเพลี้ยแปงที่เขี่ยเขาไปฝงตัวดูดกินนํ้ าเลี้ยงใตกลีบเลี้ยงมังคุด เหมือนกับการระบาดจริงใน<br />
ธรรมชาติ) จึงนํ ามาตรวจนับจํ านวนเพลี้ยแปงที่เกาะอยูบนแตละผลจริง<br />
ๆ พรอมบันทึกจํ านวน<br />
กอนนํ าผลทั้ง 20 ผล ไปผานกรรมวิธีตาง ๆ ตามกํ าหนด<br />
การเปาลม (ภาพที่ 5) นํ าผลมังคุดที่ทดสอบไปเปาลมดวยเครื่องเปาลมแรงดัน 20<br />
ปอนดตอตารางนิ้ว โดยจอหัวเปาลมไปที่ใตกลีบเลี้ยงมังคุดโดยรอบนานผลละ 15 วินาที นํ าผลที่<br />
เปาลมแลววางในถาดสังกะสี ขนาด 30X40X10 เซนติเมตร วางบนชั้นวางถาด<br />
การพนนํ้ า (ภาพที่ 6) นํ าผลมังคุดที่ทดสอบไปพนนํ้<br />
าดวยเครื่องแรงดัน 20 ปอนด<br />
ตอตารางนิ้ว โดยจอหัวพนนํ้ าไปใตกลีบเลี้ยงโดยรอบผล นานผลละ 15 วินาที นํ าผลมังคุดที่พนนํ้ า<br />
แลว วางในถาดสังกะสี ขนาด 30X40X10 เซนติเมตร วางบนชั้นวางถาด<br />
การจุมสารฆาแมลง (ภาพที่ 7) นํ้ ามันปโตรเลียมและนํ้<br />
ายาลางจาน ผสมสาร<br />
ฆาแมลง chlorpyrifos (Lorsban 40% EC), malathion (Malathion 83% EC), นํ้ ามัน<br />
ปโตรเลียม (SK99 89.3% EC) และนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) อัตรา 8, 10, 8 และ 2 มิลลิลิตร<br />
ตอนํ้<br />
า 10 ลิตร ตามลํ าดับ ใสในถังพลาสติกขนาด 30X40X30 เซนติเมตร จากนั้นนํ ามังคุดที่<br />
นับจํ านวนเพลี้ยแปงแลวใสตะกราพลาสติก<br />
ขนาด 20X20X20 เซนติเมตร ปดฝานํ าจุมในสาร<br />
ทดสอบที่เตรียมไวนาน 1 นาที นํ าขึ้นมาผึ่งใหแหงในที่รม จากนั้นนํ าผลมังคุดใสในถาดสังกะสี<br />
ขนาด 30X40X10 เซนติเมตร วางบนชั้นวางถาด วิธีการใชสารฆาแมลงในการทดลองนี้ เพื่อใช<br />
เปนตัวเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการกํ าจัดแมลงดวยวิธีอื่น<br />
ซึ่งปลอดสารตกคางในผลิตผล<br />
Control หลังจากนับจํ านวนเพลี้ยแปงบนผลมังคุดแลวทั้งหมด วางในถาดสังกะสี<br />
ขนาด 30X40X10 เซนติเมตร (ภาพที่ 8) วางบนชั้นวางถาด<br />
24
ภาพที่ 5 แสดงลักษณะการเปาลม<br />
25
ภาพที่ 6 แสดงลักษณะการพนนํ้ า<br />
26
ภาพที่ 7 แสดงลักษณะการจุมสาร<br />
27
ภาพที่ 8 แสดงผลมังคุดที่ใชทดสอบการจุมสาร<br />
8.1ผลมังคุดหลังการจุมสาร<br />
8.2นํ าผลมังคุดใสถาดสังกะสีหลังจุมสาร<br />
8.1<br />
8.2<br />
28
นํ าชั้นวางถาดมาไวในหองปฏิบัติการ อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ<br />
60-80 เปอรเซ็นต ตรวจสอบจํ านวนเพลี้ยแปงที่มีชีวิตอยูบนผลมังคุดแตละผล<br />
หลังการทดสอบ<br />
1, 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 วัน รวมทั้งบันทึกลักษณะความเปลี่ยนแปลงของผลมังคุด จากการใช<br />
กรรมวิธีตาง ๆ เชน สีของเปลือกมังคุด สีและลักษณะกลีบเลี้ยง นํ าผลที่ไดไปคํ านวณหาประสิทธิภาพ<br />
ในการกํ าจัดเพลี้ยแปงของกรรมวิธีตาง ๆ จากสูตร<br />
การบันทึกขอมูล<br />
%efficacy = (C 2T 1-C 1T 2) X 100 (Puntner, 1981)<br />
C 2T 1<br />
C 1 = จํ านวนแมลงใน control กอนพน<br />
C 2 = จํ านวนแมลงใน control หลังพน<br />
T 1 = จํ านวนแมลงใน treat กอนพน<br />
T 2 = จํ านวนแมลงใน treat หลังพน<br />
และวิเคราะหผลเปรียบเทียบทางสถิติตอไป<br />
ตรวจนับปริมาณเพลี้ยแปงที่มีชีวิตกอนและหลังการทํ าการทดลอง 1, 2, 3, 4, 5, 6<br />
และ 7 วัน<br />
สถานที่ทํ าการวิจัย<br />
สถานที่และระยะเวลาทํ าการวิจัย<br />
สวนมังคุดเกษตรกร จังหวัดจันทบุรี<br />
หองปฏิบัติการสํ านักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร<br />
หองปฏิบัติการศูนยวิจัยพืชสวนจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี<br />
ระยะเวลาในการวิจัย<br />
การทดลองเริ่มตนเดือนตุลาคม 2546-สิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 2547<br />
29
ผลการทดลอง<br />
1. การศึกษาชวงฤดูการระบาดของเพลี้ยแปงบนผลมังคุด<br />
การศึกษาระหวางเดือนตุลาคม 2546-พฤษภาคม 2547 โดยการออกสํ ารวจและเก็บ<br />
ตัวอยางเพลี้ยแปงในมังคุด<br />
จากสวนของเกษตรกรในแหลงปลูกจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด<br />
(ภาพที่ 9) นํ ามาจํ าแนกชนิด พบวาเพลี้ยแปงที่ระบาดในมังคุดขณะนั้นสวนใหญเปนเพลี้ยแปงชนิด<br />
Pseudococcus cryptus Hempel ที่มีชื่อสามัญคือ Citrus mealybug และ มีชื่อพองคือ Pseudococcus<br />
citriculus Geen (Zimmerman, 1948) อยูในอันดับ Homoptera วงศ Pseudococcidae มีการ<br />
ระบาดตั้งแตผลมังคุดมีอายุประมาณ 2 เดือนจนถึงระยะเก็บเกี่ยว (ตารางที่ 1) ปจจัยที่มีผลตอ<br />
การระบาดของเพลี้ยแปงคือ มดดํ า ชนิด Technomyrmex butteli และ Dolichoderus sp. เปน<br />
พาหะคาบเพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus ไปปลอยตามผลมังคุดทํ าใหเกิดการแพรระบาดได<br />
รวดเร็วขึ้น และไดเลี้ยงขยายพันธุเพิ่มปริมาณเพลี้ยแปง<br />
Pseudococcus cryptus บนผลฟกทอง<br />
เนื่องจากผลฟกทองเปนพืชอาหารที่เพลี้ยแปงชอบ ขยายพันธุไดรวดเร็ว อยูไดนานและราคาถูก<br />
2. ศึกษาชีวประวัติของเพลี้ยแปงในมังคุด<br />
จากการนํ าเพลี้ยแปงมาเลี้ยงบนผลฟกทองขนาดเล็กที่อุณหภูมิ<br />
28-32 องศาเซลเซียส<br />
ความชื้นสัมพัทธ 60-80 เปอรเซ็นต โดยแยกเลี้ยงเดี่ยว ๆ พบวา เพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus<br />
ที่เลี้ยงมีวงจรชีวิตดังนี้<br />
ระยะไข ไขเพลี้ยแปงชนิดนี้มีลักษณะกลมรี<br />
สีเหลืองใส ขนาดกวางเฉลี่ย<br />
0.20+0.04 ยาวเฉลี่ย<br />
0.32+0.04 มิลลิเมตร (ตารางที่ 2) เมื่อใกลฟกจะเปลี่ยนเปนสีสม และ<br />
เห็นจุดแดงซึ่งเปนสวนของตารวม 2 จุด ชัดเจน ระยะไขใชเวลาเฉลี่ย 3.05+0.76 วัน จึงฟกเปน<br />
ตัวออนวัยแรก เริ่มเดินออกจากใตทองตัวแม (ภาพที่ 10)<br />
วงจรชีวิตของเพลี้ยแปงเพศเมีย (ตารางที่ 3)<br />
ตัวออนวัยที่<br />
1 ตัวออนที่ฟกออกจากไขใหม<br />
ๆ มีสีเหลืองใส รูปรางลักษณะยาว<br />
หัวปานทายแหลม เห็นสวนหนวดและขาชัดเจน ตารวมสีแดง ตัวออนวัยนี้มีขนาดกวางเฉลี่ย<br />
0.20+0.14 ยาวเฉลี่ย 0.39+0.03 มิลลิเมตร ยังไมพบไขแปงตามลํ าตัว เคลื่อนไหวไดวองไวกวา<br />
วัยอื่น ๆ โดยจะเดินไปหาตํ าแหนงที่เหมาะสมเพื่อเกาะฝงตัวดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากพืชอาหาร เรียกตัวออน<br />
ในวัยแรกของเพลี้ยแปงวา crawler (ภาพที่ 11) ใชเวลาเฉลี่ย 4.50+0.95 วัน<br />
30
ภาพที่ 9 แสดงการสํ ารวจและเก็บรวบรวมเพลี้ยแปง<br />
จากมังคุดในสวน<br />
9.1 สํ ารวจการระบาดของเพลี้ยแปงในสวนมังคุด<br />
9.2 เก็บรวบรวมเพลี้ยแปงจากผลมังคุด<br />
9.1<br />
9.2<br />
31
ตารางที่ 1 ชวงฤดูกาลระบาดของเพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus บนผลมังคุด ศึกษาตั้งแต<br />
เดือนตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547 ที่สวนเกษตรกร จังหวัดจันทบุรี<br />
เวลา<br />
ใบออน<br />
ระยะพัฒนาของมังคุด<br />
ใบแก ดอก ผลออน ผลแก<br />
1 ต.ค.2546 ✓<br />
15 ต.ค.2546 ✓<br />
1 พ.ย.2546 ✓<br />
15 พ.ย.2546 ✓<br />
1 ธ.ค. 2546 ✓<br />
15 ธ.ค. 2546 ✓<br />
1 ม.ค. 2547 ✓<br />
15 ม.ค. 2547 ✓<br />
1 ก.พ. 2547 ✓<br />
15 ก.พ. 2547 ✓<br />
1 มี.ค. 2547 ✓★<br />
15 มี.ค. 2547 ✓★<br />
1 เม.ย. 2547 ✓★<br />
15 เม.ย. 2547 ✓★<br />
1 พ.ค. 2547 ✓★<br />
15 พ.ค. 2547 ✓★<br />
★ เปนชวงระยะการพัฒนาของผลมังคุดที่พบการระบาดของเพลี้ยแปง<br />
32
ตารางที่ 2 ระยะการพัฒนา และขนาดของเพลี้ยแปงที่เลี้ยงบนผลฟกทอง ศึกษาตั้งแตเดือน<br />
ตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547 ในหองปฏิบัติการสํ านักวิจัยพัฒนาการ<br />
อารักขาพืช (อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />
เพศ ระยะ<br />
ระยะการพัฒนา (วัน)<br />
AV SD<br />
ความกวาง (มม.)<br />
AV SD<br />
ความยาว (มม.)<br />
AV SD<br />
ไข 3.05 0.76 0.20 0.00 0.32 0.04<br />
วัยที่ 1 4.50 0.95 0.20 0.01 0.39 0.03<br />
เพศเมีย วัยที่ 2 5.35 0.88 0.64 0.07 1.07 0.05<br />
วัยที่ 3 6.80 1.20 1.40 0.10 2.51 0.27<br />
ตัวเต็มวัย 10.95 1.48 2.21 0.23 3.69 0.43<br />
รวมอายุขัย 30.65 2.18<br />
วัยที่ 1 4.50 0.94 0.20 0.01 0.39 0.03<br />
เพศผู วัยที่ 2 12.10 2.75 0.20 0.00 0.40 0.01<br />
วัยที่ 3+4 1/<br />
5.85 1.46 0.20 0.00 0.65 0.01<br />
ตัวเต็มวัย 3.75 1.59 0.20 0.00 0.86 0.01<br />
รวมอายุขัย 29.25 3.81<br />
1/ = prepupa + pupa<br />
33
10.1<br />
10.2<br />
ภาพที่ 10 แสดงการเลี้ยงเพลี้ยแปงบนผลฟกทองและลักษณะของไข<br />
10.1 เพลี้ยแปง Psudococcus cryptus บนผลฟกทอง<br />
10.2 ลักษณะไขของเพลี้ยแปง P. cryptus (100X)<br />
34
ตารางที่ 3 ระยะการพัฒนาของเพลี้ยแปงเพศเมียที่เลี้ยงบนผลฟกทอง ศึกษาตั้งแตเดือน<br />
ตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547 ในหองปฏิบัติการ สํ านักวิจัยพัฒนาการ<br />
อารักขาพืช (อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />
ตัวที่<br />
วัยที่ 1 วัยที่ 2<br />
ระยะการพัฒนา (วัน)<br />
วัยที่ 3 รวมระยะตัวออน ตัวเต็มวัย รวม<br />
จํ านวนไข<br />
(ฟอง)<br />
1 4 5 7 16 9 25 376<br />
2 3 6 8 17 11 28 276<br />
3 5 4 6 15 10 25 460<br />
4 4 4 9 17 9 26 289<br />
5 4 6 9 19 10 29 366<br />
6 3 6 8 17 10 27 412<br />
7 5 5 5 15 13 28 142<br />
8 6 6 6 18 12 30 396<br />
9 4 6 6 16 9 25 410<br />
10 3 5 5 13 10 23 388<br />
11 5 6 8 19 10 29 376<br />
12 5 5 8 18 11 29 383<br />
13 4 4 7 15 11 26 421<br />
14 5 4 7 16 13 29 433<br />
15 6 6 6 18 11 29 321<br />
16 6 7 6 19 10 29 368<br />
17 5 6 6 17 14 31 417<br />
18 4 5 7 16 12 28 432<br />
19 4 5 6 15 12 27 442<br />
20 5 6 6 17 12 29 386<br />
ชวง 3-6 4-7 5-9 13-19 9-14 23 - 31 142 - 460<br />
เฉลี่ย 4.50 5.35 6.80 16.65 10.95 27.60 374.70<br />
SD 0.95 0.88 1.20 1.60 1.43 2.04 72.59<br />
35
ภาพที่ 11 แสดงลักษณะของตัวออนวัยแรก (crawler) (70X)<br />
36
ตัวออนวัยที่<br />
2 ตัวออนวัยแรกจะลอกคราบ โดยการเกิดรอยแตกที่สวนหัว<br />
จากนั้นจะดันตัวออกมาจากรอยแตก<br />
กลายเปนตัวออนวัยที่<br />
2 ตัวออนวัยนี้จะมีลํ<br />
าตัวยาวรีสีขาว<br />
ขุน ตามบริเวณลํ าตัวเริ่มมีไขแปง<br />
โดยเฉพาะสวนทายของลํ าตัวจะพบเสนแปง 2 เสน เพลี้ยแปง<br />
วัยที่ 2 จะมีการเคลื่อนยายที่อยูบางแตจะนอยกวาตัวออนในวัยแรก และมักเปนการเคลื่อนที่เพื่อ<br />
เปลี่ยนตํ<br />
าแหนงเพื่อดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากพืชอาหาร ขนาดลํ าตัวกวางเฉลี่ย 0.64+0.07 ยาวเฉลี่ย<br />
1.07+0.05 มิลลิเมตร เนื่องจากเริ่มมีการฟงตัวดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากพืชอาหาร จึงสังเกตพบวา<br />
เพลี้ยแปงวัยนี้มีการถายมูลโดยพบมูลหวานมีลักษณะเปนหยดนํ้<br />
าใส ๆ และเหนียว ตัวออนวัยนี้ใช<br />
เวลาเฉลี่ย 5.35+0.88 วัน (ภาพที่ 12)<br />
ตัวออนวัยที่ 3 ตัวออนวัยที่ 2 จะลอกคราบเปนตัวออนวัยที่ 3 โดยวิธีเดียวกันกับ<br />
การลอกคราบของตัวออนวัยแรก เมื่อลอกคราบเปนตัวออนวัยที่ 3 พบตัวออนวัยนี้มีลักษณะ<br />
เหมือนตัวออนวัยที่ 2 แตจะมีการสรางไขแปงสีขาวเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะเห็นเสนไขแปงโดย<br />
รอบลํ าตัวและขุยแปงปกคลุมรอบลํ าตัวจนเห็นเปนสีขาวทั้งตัว แตบางสวนที่ขุยแปงยังไมมากจะ<br />
ยังคงเห็นรองรอยของปลองบนลํ าตัวอยู ตัวออนเพศเมียและเพศผูวัยนี้จะมีขนาดและรูปราง<br />
แตกตางกัน โดยตัวออนเพศเมียจะมีความกวางเฉลี่ย<br />
1.40+0.10 และยาวเฉลี่ย<br />
2.51+0.27<br />
มิลลิเมตร สวนใหญจะเกาะฝงตัวนิ่งอยูในตํ าแหนงที่เหมาะสมของพืชอาหาร ดูดกินนํ้ าเลี้ยงและถาย<br />
มูลหวานเปนหยดนํ้<br />
าอยูดานทายของลํ<br />
าตัว บางครั้งจะพบเชื้อราดํ าตรงบริเวณที่เพลี้ยแปงถายมูล<br />
หวานไว ตัวออนเพลี้ยแปงเพศเมียวัยนี้ใชเวลาเฉลี่ย<br />
6.80+1.20 วัน จึงลอกคราบครั้งที่<br />
3 และ<br />
เจริญเติบโตเปนตัวเต็มวัยเพศเมีย (ภาพที่<br />
13)<br />
ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางเปนรูปไขคอนขางกวางโดยลํ าตัวกวางเฉลี่ย 2.22+0.23<br />
และมีความยาวเฉลี่ย 3.69+0.43 มิลลิเมตร ผนังลํ าตัวสีเหลืองออนหรือเขียวอมเหลืองปกคลุม<br />
ดวยไขแปงสีขาว ดานขางของลํ าตัวมีเสนแปงลอมรอบ เสนแปงที่อยูดานทายของลํ าตัวจะยาวกวา<br />
ความกวางของลํ าตัว โดยเฉพาะคูทายสุดของลํ าตัวจะยาวที่สุดดูลักษณะคลายหาง หนวดมี 8 ปลอง<br />
ขาเจริญดี เพลี้ยแปงเพศเมียที่เจริญเติบโตเต็มที่แลวจะเริ่มสรางไข<br />
โดยตอนแรกพบวาเพลี้ยแปงที่<br />
พรอมวางไขจะมีการสรางเสนใยไหมสีขาวฟูใตลํ าตัวและเริ่มวางไขไวในเสนไหมที่สรางใตลํ าตัวนั้น<br />
ตัวที่วางไขแลวจะเห็นสวนของสันหลังโคงนูนคลายหลังเตา<br />
เพลี้ยแปงเพศเมียแตละตัวจะวางไข<br />
โดยไมตองผสมพันธุ เฉลี่ย<br />
374.70+72.59 ฟอง และมีชีวิตอยูไดนาน 10.95+1.43 วัน รวม<br />
อายุขัยเพลี้ยแปงเพศเมีย<br />
ตั้งแตระยะไขจนถึงสิ้นอายุขัยของตัวเต็มวัย<br />
ใชเวลาเฉลี่ย<br />
30.65+2.18 วัน (ภาพที่ 14)<br />
37
ภาพที่ 12 แสดงลักษณะของตัวออนวัยที่ 2<br />
ซึ่งเริ่มสรางเสนแปงสั้น ๆ รอบลํ าตัว (50X)<br />
38
ภาพที่ 13 แสดงลักษณะของตัวออนเพศเมีย วัยที่ 3 (10X)<br />
39
14.1<br />
14.2<br />
ภาพที่ 14 แสดงลักษณะตัวเต็มวัยเพศเมีย<br />
14.1 ตัวเต็มวัยเพศเมีย (7X)<br />
14.2 ตัวเต็มวัยเพศเมีย และไขใตทอง (10X)<br />
40
วงจรชีวิตของเพลี้ยแปงเพศผู (ตารางที่ 4)<br />
ตัวออนวัย 1 และวัย 2 มีรูปรางลักษณะเชนเดียวกับเพลี้ยแปงเพศเมีย จากการ<br />
เลี้ยงดวยผลฟกทองตัวออนเพศผูวัยแรกใชระยะเวลาเฉลี่ย 4.50+0.95 วัน ขณะที่ตัวออนเพศผู<br />
วัยที่ 2 ใชระยะเวลาเฉลี่ย 12.10+2.27 วัน<br />
ตัวออนวัยที่ 3+4 เมื่อเขาสูวัยที่ 3 ตัวออนเพศผูจะมีรูปรางแตกตางไปจากตัว<br />
ออนเพศเมีย โดยตัวออนเพศผูวัยนี้จะมีลํ าตัวผอมยาว และสรางเสนไหมสีขาวคลุมลํ าตัวไวถาเขี่ย<br />
เสนไหมออกจะพบวาตัวออนของเพลี้ยแปงเพศผูวัยนี้จะประกอบดวย 2 ระยะคือ<br />
ระยะกอนเขาดักแด (prepupa) เมื่อเขี่ยเสนไหมออกจะพบตัวออนอยูภายใน<br />
ลักษณะลํ าตัวผอมยาวขนาดกวางเฉลี่ย<br />
0.20 มิลลิเมตร ยาวเฉลี่ย 0.65+0.01 มิลลิเมตร เห็น<br />
ตารวมชัดเจน ที่บริเวณอกดานบนมีการพัฒนาของตุมปก 1 คู เมื่อไดรับการกระทบกระเทือนจะ<br />
เดินเคลื่อนที่ไดในระยะใกล ๆ ตัวออนในระยะนี้ไมมีการดูดกินอาหารใชเวลาไมนานจึงลอกคราบ<br />
ครั้งที่ 3 เพื่อเขาดักแดในรังไหม โดยทิ้งคราบไวที่สวนทายของรังไหม (ภาพที่ 15)<br />
ระยะดักแด ลักษณะของดักแดจะใกลเคียงกับระยะกอนเขาดักแด ทั้งรูปรางและ<br />
ขนาดของลํ าตัว แตถาเขี่ยรังไหมออก พบวาการพัฒนาของตุมปกในระยะดักแดจะมีขนาดใหญขึ้น<br />
เห็นชัดเจน เมื่อไดรับการกระทบกระเทือนจะมีการเคลื่อนไหวนอยกวาตัวออนในระยะกอนเขา<br />
ดักแด<br />
เนื่องจากระยะกอนเขาดักแดและระยะดักแดของเพลี้ยแปงเพศผู มีการสรางรังไหม<br />
ไมสามารถศึกษาระยะเวลาที่แทจริงของแตละวัยได<br />
จากการศึกษาพบตัวออนในระยะกอนเขา<br />
ดักแด และระยะดักแดรวมใชระยะเวลาในการพัฒนา เฉลี่ย 5.85+1.46 วัน จึงลอกคราบครั้งที่ 4<br />
เปนตัวเต็มวัยเพศผู ออกมาจากรังไหมรวมระยะตัวออนเพศผูใชเวลาเฉลี่ย 22.45+3.40 วัน<br />
ระยะตัวเต็มวัย ตัวเต็มวัยเพศผูมีลักษณะผอมยาวคลายยุง ลํ าตัวกวางเฉลี่ย 0.20<br />
มิลลิเมตร ยาวเฉลี่ย 0.86+0.01 มิลลิเมตร เมื่อฟกใหมๆลํ าตัวสีเหลืองอมชมพู มีปกบางใส 1 คู<br />
เห็นหนวดชัดเจน และมีเสนแปงสีขาวที่สวนปลายของสวนทอง ลักษณะคลายหาง 1 คู (ภาพที่ 16)<br />
ตัวเต็มวัยเพศผูมีอายุขัยอยูไดเฉลี่ย 3.75+1.59 วัน รวมตลอดอายุขัยเพลี้ยแปง Pseudococcus<br />
cryptus เพศผูเมื่อเลี้ยงบนฟกทอง<br />
จากระยะไขจนสิ้นอายุขัยของตัวเต็มวัยใชเวลาเฉลี่ย<br />
29.25+3.81 วัน<br />
41
ตารางที่ 4 ระยะการพัฒนาของเพลี้ยแปงเพศผู ที่เลี้ยงบนผลฟกทอง ศึกษาตั้งแตเดือน<br />
ตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547 ในหองปฏิบัติการ สํ านักวิจัยพัฒนาการ<br />
อารักขาพืช (อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />
ตัวที่<br />
วัยที่ 1 วัยที่ 2<br />
ระยะการพัฒนา (วัน)<br />
วัยที่ 3+4 1/<br />
รวมระยะตัวออน ตัวเต็มวัย รวม<br />
1 4 9 6 19 3 22<br />
2 3 13 5 21 3 24<br />
3 5 14 5 24 5 29<br />
4 4 13 6 23 4 27<br />
5 4 13 7 24 5 29<br />
6 3 10 8 21 3 24<br />
7 5 16 7 28 6 34<br />
8 6 12 5 23 3 26<br />
9 4 16 4 24 3 27<br />
10 3 10 6 19 6 25<br />
11 5 9 4 18 4 22<br />
12 5 10 8 23 1 24<br />
13 4 14 7 25 2 27<br />
14 5 13 5 23 2 25<br />
15 6 7 4 17 6 23<br />
16 6 15 4 25 5 30<br />
17 5 13 7 25 5 30<br />
18 4 15 8 27 1 28<br />
19 4 7 4 15 3 18<br />
20 5 13 7 25 5 30<br />
ชวง 3 - 6 7 - 16 4 - 8 18 - 28 2 - 6 18 - 34<br />
เฉลี่ย 4.50 12.10 5.85 22.45 3.75 26.20<br />
SD 0.95 2.27 1.46 3.40 1.59 3.67<br />
1/ prepupa + pupa<br />
42
15.1<br />
15.2<br />
ภาพที่ 15 แสดงลักษณะของตัวออนเพศผูในระยะ<br />
กอนเขาดักแดและระยะดักแด<br />
15.1 ลักษณะดักแดในรังไหม (45X)<br />
15.2 ลักษณะดักแดเมื่อนํ ารังไหมออก (60X)<br />
43
ภาพที่ 16 แสดงลักษณะตัวเต็มวัยเพศผู<br />
(60X)<br />
44
3.ศึกษาเปรียบเทียบวิธีการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อการสงออก<br />
3.1 การศึกษากับผลมังคุดที่มีการระบาดของเพลี้ยแปงจากธรรมชาติ<br />
กอนการทดสอบพบจํ านวนเพลี้ยแปงโดยเฉลี่ย 7.62 ถึง 13.58 ตัวตอผล ซึ่งมีความแตกตาง<br />
อยางมีนัยสํ าคัญทางสถิติ โดยเฉพาะในกรรมวิธีที่จุมนํ้<br />
าเปลา (control) มีจํ านวนเพลี้ยแปงเฉลี่ย<br />
สูงสุด 13.58 ตัวตอผล แตกตางทางสถิติกับกรรมวิธีอื่น ๆ การเปรียบเทียบจํ านวนคาเฉลี่ยของ<br />
เพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการทดสอบ 1-7 วัน จึงวิเคราะหเปรียบเทียบโดยใชวิธี covariance<br />
หลังการทดสอบ 1 วัน พบเพลี้ยแปงที่มีชีวิตบนผลมังคุดทดสอบแตละผล มีจํ านวนลดลง<br />
อยางเห็นไดชัด โดยเฉพาะการเปาดวยลม พนนํ้<br />
า จุมสาร chlorpyrifos, malathion และนํ้<br />
ามัน<br />
ปโตรเลียม พบเพลี้ยแปงมีชีวิตนอยที่สุด เฉลี่ย 0.54-1.43 ตัวตอผล แตกตางทางสถิติอยางมี<br />
นัยสํ าคัญกับการจุมนํ้ ายาลางจาน ซึ่งพบเพลี้ยแปงบนผลมังคุดมีชีวิต เฉลี่ย 6.01 ตัวตอผล ขณะ<br />
ที่ผลที่จุมนํ้<br />
าเปลา พบเพลี้ยแปงมีชีวิต เฉลี่ยสูงสุดถึง 12.64 ตัวตอผล (ตารางที่ 5)<br />
หลังการทดสอบ 2-7 วัน พบกรรมวิธีตาง ๆ ที่ใชในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุด ให<br />
ผลในทํ านองเดียวกัน คือ พบเพลี้ยแปงมีชีวิตรอดเฉลี่ยนอยที่สุด<br />
เมื่อเปาลม<br />
พนนํ้<br />
า จุมสาร<br />
chlorpyrifos, malathion และนํ้<br />
ามันปโตรเลียม หลังการทดสอบ 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 วัน พบ<br />
เพลี้ยแปงมีชีวิต เฉลี่ย 0.41-0.75, 0.29-0.51, 0.08-0.31, 0.02-0.30, 0.00-0.28 และ<br />
0.00-0.27 ตัวตอผล ตามลํ าดับ แตกตางทางสถิติกับการจุมนํ้ ายาลางจาน ซึ่งพบเพลี้ยแปงมีชีวิต<br />
4.98, 4.57, 4.41, 3.71, 3.18 และ 2.95 ตัวตอผล ตามลํ าดับ ขณะที่ผลมังคุดที่จุมนํ้ าเปลา<br />
(control) หลังทดสอบ 2-7 วัน พบเพลี้ยแปงมีชีวิตเฉลี่ยมากที่สุด เฉลี่ย 12.33, 11.57,<br />
11.21, 10.69, 9.94 และ 9.66 ตัวตอผล ตามลํ าดับ (ตารางที่ 5) ซึ่งจํ านวนเพลี้ยแปงบนผล<br />
มังคุดที่ผานการจุมนํ้ าเปลาลดลง เนื่องจากเพลี้ยแปงบางตัวมีการเคลื่อนยาย และอาจเดินหนีไป<br />
จากผลมังคุด สวนเพลี้ยแปงที่ยังคงอยูคอนขางแข็งแรง มีการสรางใยไหมใตทอง ซึ่งเปนลักษณะ<br />
ของเพลี้ยแปงที่กํ<br />
าลังจะวางไข จากการวิเคราะหเปรียบเทียบคาเฉลี่ยของจํ<br />
านวนเพลี้ยแปงกอน<br />
การทดสอบ และหลังการทดสอบ 1-7 วัน โดยวิธี covariance พบคา Relative efficacy (RE) มี<br />
คาระหวาง 146.9-179.6 ซึ่งทุกคามากกวา 100 แสดงวา ความแตกตางของคาเฉลี่ยจํ านวน<br />
เพลี้ยแปงกอนการทดสอบ<br />
มีผลจริงตอความแตกตางของคาเฉลี่ยจํ<br />
านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตหลัง<br />
ทดสอบ 1-7 วัน<br />
45
ตารางที่ 5 แสดงคาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตที่ระบาดตามธรรมชาติบนผลมังคุดกอนและหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตาง ๆ ในหองปฏิบัติการ<br />
(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />
จํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตเฉลี่ยบนผลมังคุดกอนและหลังกํ าจัด (ตัว/ผล) 1/<br />
กรรมวิธี อัตราการใช<br />
กอนกํ าจัด หลัง 1 วัน หลัง 2 วัน หลัง 3 วัน หลัง 4 วัน หลัง 5 วัน หลัง 6 วัน หลัง 7 วัน<br />
เปาลม ความดัน 20 ปอนด 7.92 a 2/<br />
0.54 a 0.41 a 0.34 a 0.30 a 0.27 a 0.27 a 0.27 a<br />
พนนํ้ า ความดัน 20 ปอนด 8.34 a 0.65 a 0.43 a 0.36 a 0.31 a 0.30 a 0.28 a 0.27 a<br />
จุม chlorpyrifos 40%EC 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 7.99 a 1.32 a 0.64 a 0.29 a 0.08 a 0.02 a 0.00 a 0.00 a<br />
จุม malathion 83%EC 10 มล./นํ้ า 10 ลิตร 7.62 a 1.43 a 0.75 a 0.51 a 0.20 a 0.14 a 0.12 a 0.11 a<br />
จุมนํ้ ามันปโตรเลียม 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 7.74 a 1.07 a 0.67 a 0.32 a 0.22 a 0.19 a 0.19 a 0.16 a<br />
จุมนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) 2 มล./นํ้ า 10 ลิตร 8.83 a 6.01 b 4.98 b 4.57 b 4.41 b 3.71 b 3.18 b 2.95 b<br />
จุมนํ้ าเปลา (control) 13.58 b 12.64 c 12.33 c 11.57 c 11.21 c 10.69 c 9.94 c 9.66 c<br />
C.V. (%) 18.9 27.5 30.6 30.7 31.9 37.2 33.5 35.9<br />
R.E. 156.7 155.9 156.5 156.6 146.9 179.6 169.3<br />
1/ คาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปง จาก 5 ซํ้ าๆ ละ 15 ผล<br />
2/ คาเฉลี่ยที่ตามดวยอักษรเหมือนกันในแนวตั้งเดียวกันไมแตกตางกันทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิเคราะหโดยวิธี DMRT<br />
3/ Relative efficacy<br />
46<br />
46
เมื่อนํ าจํ านวนเพลี้ยแปงที่มีชีวิตกอนทํ าการทดสอบ และหลังการทดสอบ 1-7 วัน ดวย<br />
กรรมวิธีตาง ๆ ไปคํ านวณหาประสิทธิภาพของกรรมวิธีที่ใชในการกํ<br />
าจัด โดยเปรียบเทียบกับการจุม<br />
นํ้ าเปลา (control) จากสูตร<br />
% efficacy = (C 2T 1-C 1T 2) X 100<br />
C 2T 1<br />
โดย C1 = จํ านวนเพลี้ยแปงเฉลี่ยบนผลมังคุดใน<br />
control กอนทดสอบ<br />
C2 = จํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตเฉลี่ยบนผลมังคุดใน control<br />
หลังทดสอบ 1-7 วัน<br />
T1 = จํ านวนเพลี้ยแปงเฉลี่ยบนผลมังคุดในกรรมวิธีตาง ๆ<br />
กอนทดสอบ<br />
T2 = จํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตเฉลี่ยบนผลมังคุดในกรรมวิธีตาง ๆ<br />
หลังทดสอบ 1-7 วัน<br />
หลังการทดสอบ 1 วัน พบ การเปาลม และพนนํ้ า มีประสิทธิภาพสูงสุด ใหผลในการปองกันกํ าจัด<br />
เฉลี่ย 92.47 และ 90.89% ตามลํ าดับ รองลงมาคือ การจุมสาร chlorpyrifos, malathion และนํ้ ามัน<br />
ปโตรเลียม มีประสิทธิภาพในการปองกันกํ าจัด 82.35, 79.65 และ 84.60 % ตามลํ าดับ ซึ่งทั้งหมดมี<br />
ประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดดีกวา<br />
และแตกตางทางสถิติอยางมีนัยสํ าคัญกับการจุม<br />
นํ้ ายาลางจาน ซึ่งพบวามีประสิทธิภาพในการปองกันกํ<br />
าจัดเพียง 26.66% เมื่อเปรียบเทียบกับ control<br />
(ตารางที่<br />
6)<br />
หลังการทดสอบ 2-5 วัน พบประสิทธิภาพของวิธีการตาง ๆ ที่ใชในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผล<br />
มังคุด ใหผลในทํ านองเดียวกัน คือ การเปาลม พนนํ้ า จุมสาร chlorpyrifos, malathion และนํ้ ามัน<br />
ปโตรเลียม มีประสิทธิภาพในการปองกันกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุด หลังทดสอบ 2, 3, 4 และ 5 วัน<br />
เฉลี่ย 89.11-94.14, 92.15-96.02, 95.21-98.92 และ 95.18-99.79% ตามลํ าดับ (ตารางที่<br />
6)<br />
หลังการทดสอบ 6 และ 7 วัน พบผลมังคุดที่จุมสาร chlorpyrifos ทํ าใหเพลี้ยแปงบนผลมังคุด<br />
ตายทั้งหมด หรือสาร chlorpyrifos มีประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปง 100% ขณะที่การเปาลม พนนํ้ า<br />
จุมสาร malathion และนํ้<br />
ามันปโตรเลียม มีประสิทธิภาพในการกํ าจัด ระหวาง 95.00-98.06% ซึ่งทั้ง<br />
หมดมีประสิทธิภาพดีกวา และแตกตางทางสถิติกับการจุมนํ้ ายาลางจาน ซึ่งหลังการทดสอบ 6 และ 7 วัน<br />
มีประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุด 49.84 และ 51.85% ตามลํ าดับ (ตารางที่ 6)<br />
47
ตารางที่ 6 แสดงประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงที่มีการระบาดตามธรรมชาติบนผลมังคุดหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตาง ๆ ในหองปฏิบัติการ<br />
(อุณหภูมิ 28- 32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />
ประสิทธิภาพการกํ าจัดเพลี้ยแปง 1/ กรรมวิธี อัตราการใช<br />
หลัง 1 วัน หลัง 2 วัน<br />
(%)<br />
หลัง 3 วัน หลัง 4 วัน หลัง 5 วัน หลัง 6 วัน หลัง 7 วัน<br />
เปาลม ความดัน 20 ปอนด 92.47 a 2/<br />
94.14 a 94.87 a 95.24 a 95.51 a 95.15 a 95.00 a<br />
พนนํ้ า ความดัน 20 ปอนด 90.89 a 93.98 a 94.62 a 95.21 a 95.18 a 95.19 a 95.31 a<br />
จุม chlorpyrifos 40%EC 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 82.35 ab 91.32 a 96.02 a 98.92 a 99.79 a 100.00 a 100.00 a<br />
จุม malathion 83%EC 10 มล./นํ้ า 10 ลิตร 79.65 b 89.11 a 92.15 a 96.86 a 97.72 a 97.82 a 98.06 a<br />
จุมนํ้ ามันปโตรเลียม 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 84.60 ab 90.14 a 95.06 a 96.41 a 96.75 a 96.47 a 96.82 a<br />
จุมนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) 2 มล./นํ้ า 10 ลิตร 26.66 c 38.68 b 39.49 b 39.61 b 46.70 b 49.84 b 51.85 b<br />
จุมนํ้ าเปลา (control) - - - - - - -<br />
C.V. (%) 10.2 9.6 8.6 8.8 9.6 8.4 9.0<br />
1/ เปอรเซ็นตประสิทธิภาพการกํ าจัดเพลี้ยแปง จาก 5 ซํ้ าๆ ละ 15 ผล<br />
2/ คาที่ตามดวยอักษรเหมือนกันในแนวตั้งเดียวกันไมแตกตางกันทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิเคราะหโดยวิธี DMRT<br />
48<br />
48
3.2 การกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดซึ่งทํ าการระบาดเทียม<br />
กอนการทดสอบพบเพลี้ยแปง เฉลี่ย 7.22-12.89 ตัวตอผล ซึ่งมีความแตกตางกันทาง<br />
สถิติ หลังทดสอบ 1-7 วัน จึงวิเคราะหเปรียบเทียบโดยใชวิธี covariance<br />
หลังการทดสอบ 1 วัน พบเพลี้ยแปงที่มีชีวิตบนผลมังคุดที่เปาลมเฉลี่ยนอยที่สุดเพียง 0.94<br />
ตัวตอผล ซึ่งไมแตกตางทางสถิติกับจํ านวนเพลี้ยแปงที่พบบนผลที่ พนนํ้ า จุมสาร chlorpyrifos,<br />
malathion และนํ้<br />
ามันปโตรเลียม ซึ่งพบเพลี้ยแปง เฉลี่ย 0.96, 1.36, 1.47 และ 1.33 ตัวตอผล<br />
ตามลํ าดับ แตมีจํ านวนนอยกวา และแตกตางทางสถิติกับการจุมนํ้<br />
ายาลางจาน ซึ่งพบเพลี้ยแปง<br />
เฉลี่ย 6.79 ตัวตอผล ขณะที่การจุมนํ้ าเปลามีมากที่สุดเฉลี่ย 11.89 ตัวตอผล (ตารางที่ 7)<br />
หลังการทดสอบ 2-7 วัน พบจํ านวนเพลี้ยแปงบนผลมังคุดลดลงในทํ านองเดียวกันกับ<br />
หลังการทดสอบ 1 วัน และสอดคลองกับผลการศึกษาบนผลมังคุดที่มีการระบาดของเพลี้ยแปง<br />
ตามธรรมชาติ คือ พบเพลี้ยแปงบนผลมังคุดที่ เปาลม พนนํ้ า จุมสาร chlorpyrifos, malathion<br />
และนํ้<br />
ามันปโตรเลียม หลังทดสอบ 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 วัน จํ านวน 0.43-0.99, 0.14-0.53,<br />
0.07-0.44, 0.07-0.43, 0.07-0.38 และ 0.07-0.37 ตัวตอผล ตามลํ าดับ ซึ่งนอยกวาและ<br />
แตกตางทางสถิติอยางมีนัยสํ าคัญกับจํ านวนเพลี้ยแปงบนผลมังคุดที่จุมนํ้<br />
ายาลางจาน ซึ่งพบ<br />
เพลี้ยแปง<br />
6.71, 5.91, 5.24, 5.00, 4.72 และ 4.67 ตัวตอผล ตามลํ าดับ ขณะที่ผลที่จุมนํ้<br />
า<br />
เปลา พบเพลี้ยแปงมากที่สุด<br />
คือ 10.19, 9.94, 9.65, 9.14, 8.93 และ 8.75 ตัวตอผล ตาม<br />
ลํ าดับ โดยเฉพาะเพลี้ยแปงบนผลมังคุดที่จุมนํ้<br />
าเปลายังมีความแข็งแรง จากการวิเคราะห<br />
covariance พบคา Relative efficacy มีคาระหวาง 100.5-130.8 ซึ่งทุกคามากกวา<br />
100 แสดง<br />
วา ความแตกตางของคาเฉลี่ยจํ<br />
านวนเพลี้ยแปงกอนการทดสอบ มีผลจริงตอความแตกตางของ<br />
คาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปงหลังการทดสอบ 1-7 วัน (ตารางที่ 7)<br />
เมื่อนํ<br />
าจํ านวนเพลี้ยแปงที่มีชีวิต กอนทํ าการทดสอบ และหลังการทดสอบ 1-7 วัน ดวย<br />
กรรมวิธีตาง ๆ ไปคํ านวณหาประสิทธิภาพในการกํ าจัด โดยเปรียบเทียบกับการจุมนํ้ าเปลา<br />
หลังการทดสอบ 1 วัน พบ การเปาลม มีประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุด<br />
สูงสุด 90.72% รองลงมาคือ การพนนํ้ า การจุมสาร chlorpyrifos, malathion และจุมนํ้ ามัน<br />
ปโตรเลียม มีประสิทธิภาพในการกํ าจัด 85.40, 79.37,82.86 และ 83.32 % ตามลํ าดับ ซึ่งทั้ง<br />
หมดดีกวา และแตกตางทางสถิติอยางมีนัยสํ าคัญกับการจุมนํ้ ายาลางจาน ซึ่งพบวามีประสิทธิภาพ<br />
ในการกํ าจัดเพลี้ยแปงเพียง 16.13% (ตารางที่ 8)<br />
49
หลังการทดสอบ 2-7 วัน พบประสิทธิภาพของวิธีการตาง ๆ ที่ใชในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบน<br />
ผลมังคุด ใหผลในทํ านองเดียวกัน คือ การเปาลม พนนํ้ า จุมสาร chlorpyrifos malathion และนํ้<br />
า<br />
มันปโตรเลียม มีประสิทธิภาพในการปองกันกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุด หลังทดสอบ 2, 3, 4,<br />
5, 6 และ 7 วัน เฉลี่ย 85.52-93.23, 91.00-98.06, 91.70-99.10, 91.36-99.06,<br />
91.93-99.03 และ 92.01-99.03% ตามลํ าดับ ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกวา และแตกตางทางสถิติ<br />
กับการจุมนํ้ ายาลางจาน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดได 6.94, 15.83,<br />
22.13, 21.08, 23.95 และ 23.16% ตามลํ าดับ (ตารางที่ 8)<br />
จากการศึกษาเปรียบเทียบวิธีการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว<br />
เพื่อสงออกดวยวิธีการตาง<br />
ๆ กับผลมังคุดซึ่งมีเพลี้ยแปงระบาดตามธรรมชาติ และผลมังคุดที่มี<br />
การระบาดเทียม พบวามีหลายวิธีที่มีประสิทธิภาพดีในการกํ<br />
าจัดเพลี้ยแปงซึ่งติดอยูบนผลมังคุด<br />
โดยเฉพาะการจุมดวยสาร chlorpyrifos ในผลมังคุดที่มีเพลี้ยแปงระบาดตามธรรมชาติสามารถกํ าจัด<br />
ได 100 เปอรเซ็นต หลังจุม 6 วัน เนื่องจากสาร chlorpyrifos เปนสารที่มีประสิทธิภาพสูงและเปน<br />
สารแนะนํ าสํ าหรับการปองกันกํ าจัดเพลี้ยแปงในสภาพสวน (ศรุต, 2542) แตสาร chlorpyrifos<br />
เปนวัตถุมีพิษและมีอันตราย การนํ าเอาไปใชจุมผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อกํ<br />
าจัดเพลี้ยแปง<br />
อาจมีปญหาเกี่ยวกับพิษตกคางของสาร chlorpyrifos บนผลมังคุดได ขณะที่การเปาลม พนนํ้ า<br />
และจุมนํ้<br />
ามันปโตรเลียม หลังการทดสอบ 5 วัน ก็สามารถกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดไดมากกวา<br />
90 เปอรเซ็นต ทั้งในผลที่มีการระบาดตามธรรมชาติและระบาดเทียม เพื่อความเหมาะสมในการ<br />
กํ าจัดเพลี้ยแปงซึ่งติดมากับผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว สํ าหรับการสงออกจึงควรกํ าจัดดวยวิธีการ<br />
เปาลม พนนํ้ า ดวยเครื่องแรงดันขนาด 20 ปอนดตอตารางนิ้ว หรือจุมนํ้ ามันปโตรเลียม 89.3 % EC<br />
อัตรา 8 มิลลิลิตรตอนํ้ า 10 ลิตร<br />
50
ตารางที่ 7 แสดงคาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตที่ทํ าการระบาดเทียมบนผลมังคุดกอนและหลังกํ าจัดดวยวิธีการตางๆ ในหองปฏิบัติการ<br />
(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />
จํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตเฉลี่ยบนผลมังคุดกอนและหลังกํ าจัด (ตัว/ผล) 1/<br />
กรรมวิธี อัตราการใช<br />
กอนกํ าจัด หลัง 1 วัน หลัง 2 วัน หลัง 3 วัน หลัง 4 วัน หลัง 5 วัน หลัง 6 วัน หลัง 7 วัน<br />
เปาลม ความดัน 20 ปอนด 10.01 ab 2/<br />
0.94 a 0.91 a 0.49 a 0.44 a 0.33 a 0.30 a 0.30 a<br />
พนนํ้ า ความดัน 20 ปอนด 7.22 a 0.96 a 0.61 a 0.50 a 0.44a 0.43 a 0.38 a 0.37 a<br />
จุม chlorpyrifos 40%EC 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 8.24 a 1.36 a 0.43 a 0.14a 0.07 a 0.07 a 0.07 a 0.07 a<br />
จุม malathion 83%EC 10 มล./นํ้ า 10 ลิตร 9.49 a 1.47 a 0.99 a 0.45 a 0.40 a 0.32 a 0.26 a 0.26 a<br />
จุมนํ้ ามันปโตรเลียม 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 8.32 a 1.33a 0.73 a 0.53 a 0.34 a 0.26a 0.20 a 0.18 a<br />
จุมนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) 2 มล./นํ้ า 10 ลิตร 8.45 a 6.79 b 6.71 b 5.91 b 5.24 b 5.00 b 4.72 b 4.67 b<br />
จุมนํ้ าเปลา (control) 12.89 b 11.89 c 10.19 c 9.94 c 9.65 c 9.14 c 8.93 c 8.75 c<br />
C.V. (%) 27.6 54.5 63.4 66.7 71.8 79.5 80.6 81.3<br />
R.E. 3/<br />
130.8 101.5 100.5 106.3 106.0 108.0 106.1<br />
1/ คาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปง จาก 6 ซํ้ าๆ ละ 15 ผล<br />
2/ คาเฉลี่ยที่ตามดวยอักษรเหมือนกันในแนวตั้งเดียวกันไมแตกตางกันทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิเคราะหโดยวิธี DMRT<br />
3/ Relative efficacy<br />
51<br />
51
ตารางที่ 8 แสดงประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงที่ทํ<br />
าการระบาดเทียมบนผลมังคุดหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตางๆ ในหองปฏิบัติการ<br />
(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />
ประสิทธิภาพการกํ าจัดเพลี้ยแปง 1/ กรรมวิธี อัตราการใช<br />
หลัง 1 วัน หลัง 2 วัน<br />
(%)<br />
หลัง 3 วัน หลัง 4 วัน หลัง 5 วัน หลัง 6 วัน หลัง 7 วัน<br />
เปาลม ความดัน 20 ปอนด 90.72 a 2/<br />
89.65 a 93.39 a 94.04 a 94.45 a 94.79 a 94.72 a<br />
พนนํ้ า ความดัน 20 ปอนด 85.40 a 89.56 a 91.00 a 91.70 a 91.36 a 91.93 a 92.01 a<br />
จุม chlorpyrifos 40%EC 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 79.37 a 93.23 a 98.06 a 99.10 a 99.06 a 99.03 a 99.03 a<br />
จุม malathion 83%EC 10 มล./นํ้ า 10 ลิตร 82.86 a 85.52 a 92.29 a 92.42 a 93.73 a 94.35 a 94.30 a<br />
จุมนํ้ ามันปโตรเลียม 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 83.32 a 88.58 a 91.18 a 94.53 a 95.88 a 97.06 a 97.28 a<br />
จุมนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) 2 มล./นํ้ า 10 ลิตร 16.13 b 6.94 b 15.83 b 22.13 b 21.08 b 23.95 b 23.16 b<br />
จุมนํ้ าเปลา (control) - - - - - - -<br />
C.V. (%) 15.8 23.6 16.9 15.1 14.8 13.0 13.9<br />
1/ เปอรเซ็นตประสิทธิภาพการกํ าจัดเพลี้ยแปง จาก 6 ซํ้ าๆ ละ 15 ผล<br />
2/ คาที่ตามดวยอักษรเหมือนกันในแนวตั้งเดียวกันไมแตกตางกันทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิเคราะหโดยวิธี DMRT<br />
52<br />
52
วิจารณ<br />
มังคุดเปนหนึ่งในไมผลเศรษฐกิจที่สํ าคัญของประเทศไทย ซึ่งมีศักยภาพสูงในการสงออก<br />
แตมังคุดสงออกจะตองเปนผลผลิตที่มีคุณภาพดี ไมมีสารพิษตกคางปราศจากรอยทํ าลายและการ<br />
ปนเปอนของศัตรูพืช การสงออกผลผลิตมังคุดสดปญหาที่พบบอยๆ คือ การปนเปอนของเพลี้ยแปง<br />
จากการศึกษาระหวางเดือนตุลาคม 2546-พฤษภาคม 2547 สํ ารวจพบเพลี้ยแปง 3 ชนิด<br />
คือ Pseudococcus cryptus, Planococcus minor และ Dysmicocus neobrevipes สอดคลองกับ<br />
รายงานของ ชลิดาและคณะ (2545) แตในชวงเวลาดังกลาวเพลี้ยแปงชนิดที่พบระบาดรุนแรง<br />
คือ Pseudococcus cryptus และแมลงศัตรูชนิดนี้เปนแมลงศัตรูที่สํ าคัญทางดานการกักกันพืช<br />
(Quarantine pest) ซึ่งประเทศคูคาจะไมยอมใหติดไปกับผลผลิตการเกษตร<br />
ในประเทศไทย<br />
บุปผาและชลิดา (2543) รายงานวาเพลี้ยแปงชนิดนี้มีพืชอาหารคือ<br />
ใบมะพราว มะมวง และ<br />
ฝกมะขาม แตการศึกษาชีวประวัติของเพลี้ยแปง<br />
Pseudococcus cryptus ในครั้งนี้ไดเลี้ยงบน<br />
ผลฟกทอง เนื่องจากเพลี้ยแปงเปนแมลงชนิดปากดูดตองใชปากเจาะเขาไปในเนื้อเยื่อพืชอาหาร<br />
และดูดกินนํ้ าเลี้ยง ถาพืชอาหารแหงก็จะเคลื่อนที่ยายไปตํ าแหนงใหม ถาแหงหมดก็อาจตายไดจึง<br />
นํ าฟกทองมาใชเลี้ยง เชนเดียวกับการศึกษาชีวประวัติและการเลี้ยงขยายเพลี้ยแปง Planococcus<br />
minor บนผลฟกทอง Maity et al. (1998) เนื่องจากฟกทองเปนพืชอาหารชนิดหนึ่งที่เพลี้ยแปง<br />
ชอบ ขยายพันธุไดรวดเร็ว อยูไดนานไมตองเปลี่ยนอาหารบอย<br />
ๆ และมีราคาถูก นอกจากนั้น<br />
ยังสามารถติดตามการเจริญเติบโต และการพัฒนาของเพลี้ยแปงบนผลฟกทองไดโดยงาย แตถา<br />
เลี้ยงบนผลมังคุดจะเลี้ยงไดในระยะเวลาสั้น<br />
นอกจากนั้นเพลี้ยแปงยังเขาไปหลบอยูใตกลีบเลี้ยง<br />
ซึ่งจะยากตอการติดตามการเจริญเติบโตของเพลี้ยแปง<br />
การศึกษาชีวประวัติของเพลี้ยแปงคอนขางยุงยาก โดยเฉพาะในชวงแรก (วัยแรก) เพลี้ยแปง<br />
จะมีขนาดเล็กและเคลื่อนยายอยูตลอดเวลา<br />
เพื่อหาตํ<br />
าแหนงของพืชอาหารที่เหมาะสม<br />
สํ าหรับ<br />
แทงปากและฝงตัวดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากพืชอาหาร ถายังไมไดตํ าแหนงที่เหมาะสมก็จะเดินไปเรื่อย ๆ<br />
หลังปลอยตัวออนเพลี้ยแปงซึ่งฟกจากไขใหม ๆ ลงบนผลฟกทองแลวจึงมีจํ านวนมากที่เดินหายไป<br />
การศึกษาแตละครั้งจึงตองเริ่มตนจากเพลี้ยแปง 100 ตัว นอกจากนั้นวงจรชีวิตเพลี้ยแปงเพศเมีย<br />
และเพศผูจะตางกัน โดยตัวออนของเพศเมียจะมีการลอกคราบ 3 ครั้งจึงเจริญเปนตัวเต็มวัย<br />
ซึ่งมีลักษณะคลายตัวออนและไมมีปก<br />
ขณะที่ตัวออนเพศผูมีการลอกคราบ<br />
4 ครั้ง<br />
สอดคลองกับ<br />
Smith et al., 1997 ซึ่งรายงานเกี่ยวกับชีวประวัติของเพลี้ยแปง Pseudococcus calceolariae หลัง<br />
การลอกคราบครั้งที่ 2 Pseudococcus cryptus จะเปลี่ยนเปนระยะ prepupa และจะเปลี่ยนเปน<br />
ระยะดักแดหลังจากลอกคราบครั้งที่ 3 จากนั้นจึงลอกคราบ ครั้งที่ 4 กอนออกเปนตัวเต็มวัยซึ่งมี<br />
ลักษณะคลายยุงและมีปกบางใส 1 คู หลังจากเปนตัวเต็มวัยแลว เพลี้ยแปงเพศเมียจะเริ่มวางไข<br />
53
โดยกอนวางไขจะสรางเสนไหมสีขาวไวใตทองและวางไขในกลุมเสนไหม หลังวางไขแลวสังเกตพบ<br />
สันหลังโคงนูนเหมือนหลังเตา ซึ่งในระยะนี้ตองคอยใชพูกันเขี่ยที่ตัวเพลี้ยแปงเบา<br />
ๆ เพื่อตรวจ<br />
ดูวาไขมีการฟกหรือยัง ถามีการฟกแลวจะพบตัวออนของเพลี้ยแปงคลานออกมาจากใตทองของ<br />
ตัวแม แตถาไมเขี่ยใหกระเทือน ตัวออนที่ฟกแลวจะอยูนิ่ง ๆ ใตทองตัวแมเปนเวลานาน ซึ่งอาจ<br />
ทํ าใหมีการบันทึกระยะไขผิดพลาดได การศึกษาชีวประวัติของเพลี้ยแปงจึงเปนเรื่องที่ยุงยาก<br />
และมีการศึกษากันนอยมาก<br />
การกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อการสงออก<br />
จะตองเปนวิธีการที่มี<br />
ประสิทธิภาพดีในการกํ าจัดเพลี้ยแปง<br />
และจะตองไมมีพิษตกคางในผลมังคุด จึงศึกษาโดยวิธี<br />
การเปาลม พนนํ้<br />
า จุมนํ้<br />
ามันปโตรเลียม และจุมนํ้<br />
ายาลางจาน ซึ่งทั้ง<br />
4 วิธีการนี้จะไมมีปญหา<br />
เกี่ยวกับสารพิษตกคาง<br />
เปรียบเทียบกับการใชสาร chlorpyrifos และ malathion โดยเฉพาะสาร<br />
chlorpyrifos เปนสารฆาแมลงที่มีประสิทธิภาพดี<br />
และแนะนํ าใหใชปองกันกํ าจัดเพลี้ยแปงใน<br />
สภาพสวนไมผลทั่ว<br />
ๆ ไป ซึ่งไดนํ<br />
ามาใชเปนสารเปรียบเทียบในการทดลองครั้งนี้<br />
และใหผลใน<br />
การกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยวดีที่สุด<br />
ในการทดลองนี้ตองศึกษากับผลมังคุด<br />
ที่มีการระบาดของเพลี้ยแปงตามธรรมชาติจริง ๆ และมีการเลี้ยงขยายเพลี้ยแปงบนผลฟกทองไว<br />
ทํ าการระบาดเทียมบนผลมังคุด เนื่องจากการระบาดในธรรมชาติสวนใหญมีการระบาดไมรุนแรง<br />
จํ านวนตัวตอผลนอย จึงตองทํ าการระบาดเทียม โดยการเขี่ยเพลี้ยแปงที่เลี้ยงไวปลอยลงบนผล<br />
มังคุด แลวทิ้งไว 1 วัน เพื่อใหเพลี้ยแปงคลานเขาไปเกาะอยูใตกลีบเลี้ยงแนนเหมือนกับการระบาด<br />
ในธรรมชาติ แลวจึงนํ าไปทดสอบ ซึ่งจากการทดสอบพบวา ทั้งผลที่มีการระบาดตามธรรมชาติ<br />
และผลที่ทํ าการระบาดเทียม ใหผลสอดคลองกันคือ การจุมสาร chlorpyrifos มีประสิทธิภาพใน<br />
การกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดสูงสุดถึง 100 เปอรเซ็นต หลังการจุม 6 วัน ในผลที่มีการระบาด<br />
ตามธรรมชาติ และ 99.03 เปอรเซ็นต ในผลที่มีการระบาดเทียม แตวิธีการเปาลม พนนํ้ าดวย<br />
เครื่องแรงดัน 20 ปอนดตอตารางนิ้ว และการจุมนํ้ ามันปโตรเลียม ก็ใหผลดีเชนกัน มีประสิทธิภาพ<br />
ในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดที่มีการระบาดตามธรรมชาติ<br />
และระบาดเทียมมากกวา 90<br />
เปอรเซ็นต หลังการทดสอบ 5 วัน แสดงวาวิธีการดังกลาวซึ่งเปนวิธีที่ปลอดจากการตกคางของ<br />
สารพิษแนนอน ก็มีประสิทธิภาพดีในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดดังที่กลาวแลววา<br />
ผลผลิต<br />
มังคุดสดที่สงขายตางประเทศนั้นจะตองมีคุณภาพดี<br />
ผานการจัดการอยางดีในสภาพสวน เพื่อให<br />
ไดผลที่มีขนาดโต ผิวมัน ปราศจากรอยทํ าลายและการปนเปอนของศัตรูพืช และไมมีสารพิษตกคาง<br />
การจุมสาร chlorpyrifos สามารถกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดไดจริง 100 เปอรเซ็นต แตอาจมี<br />
ปญหาสารพิษตกคาง การเปาลม พนนํ้ า และจุมนํ้ ามันปโตรเลียมนั้นไมมีปญหาเกี่ยวกับสารพิษ<br />
ตกคาง แตจากผลการทดลองครั้งนี้ซึ่งเปนการศึกษาครั้งแรก พบวาเปนวิธีการที่มีประสิทธิภาพดี<br />
เชนกัน กรณีการเปาลมและพนนํ้<br />
า หากมีการปรับระดับความดันของลมและนํ้<br />
าใหสูงขึ้น หรือเปา<br />
และพนใหนานขึ้น<br />
ทั้งสองวิธีก็คงกํ<br />
าจัดเพลี้ยแปงไดทั้งหมด<br />
เชนเดียวกับการจุมนํ้<br />
ามัน<br />
54
ปโตรเลียม ถาเพิ่มความเขมขน<br />
และระยะเวลาการจุมขึ้นก็จะใหผลดีเชนกัน<br />
อยางไรก็ตามควร<br />
ศึกษาผลกระทบของกรรมวิธีตาง ๆ ตอคุณภาพภายนอก เชน การเปลี่ยนแปลงของสีเปลือก สีขั้ว<br />
กลีบเลี้ยง และการฉีกขาดของกลีบเลี้ยงดวย<br />
55
สรุป<br />
การสํ ารวจระหวางเดือนตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547 พบเพลี้ยแปงที่ระบาด<br />
รุนแรงในสวนมังคุดคือ Pseudococcus cryptus Hempel เริ่มระบาดเมื่อผลมังคุดมีอายุประมาณ<br />
2 เดือน หลังดอกบานจนถึงระยะเก็บเกี่ยว<br />
จากการศึกษาชีวประวัติบนผลฟกทอง สรุปไดวา<br />
ตัวออนเพศเมีย มี 3 วัย และมีการลอกคราบ 3 ครั้ง จึงเจริญเติบโตเปนตัวเต็มวัย ระยะตัวออน<br />
แตละวัยใชเวลาเฉลี่ย 4.50+0.95, 5.35+0.88 และ 6.80+1.20 วัน ตามลํ าดับ ระยะตัวเต็มวัย<br />
เพศเมียใชเวลาเฉลี่ย 10.95+1.43 วัน เมื่อเจริญเปนตัวเต็มวัยเพศเมียจะเริ่มสรางเสนไหมใต<br />
ทอง และวางไขไวในกลุมเสนไหม โดยไมมีการผสมพันธุ เพลี้ยแปงชนิดนี้แตละตัววางไขไดเฉลี่ย<br />
374.70+72.59 ฟอง โดยไขจะฟกภายใน 3.05+0.76 วัน สวนเพศผูในระยะตัวออน มีการ<br />
ลอกคราบ 4 ครั้ง<br />
โดยตัวออนเพศผูวัยแรก และวัยที่สองมีลักษณะเหมือนตัวออนเพศเมีย ตัวออน<br />
วัยแรกและวัยที่สองใชเวลาเฉลี่ย 4.50+0.95 และ 12.10+2.27 วัน ตามลํ าดับ หลังลอกคราบครั้ง<br />
ที่สอง ตัวออนเพศผูจะมีลักษณะเปลี่ยนไป ลํ าตัวจะผอมยาวและสรางรังไหมหุมลํ าตัวไว ตัวออน<br />
วัยนี้เรียกวา prepupa มีการสรางตุมปกเล็ก ๆ ใชเวลาไมนานจึงลอกคราบครั้งที่ 3 เปนดักแด ซึ่ง<br />
เห็นตุมปกชัดเจน หนวดพับกลับไปดานหลังลํ าตัว มีการเคลื่อนไหวนอย จากนั้นจะลอกคราบครั้ง<br />
ที่ 4 เปนตัวเต็มวัย ลักษณะผอมบางคลายยุง มีปกใส 1 คู ระยะ prepupa และระยะดักแดใชเวลา<br />
เฉลี่ย 5.85+1.46 วัน สวนระยะตัวเต็มวัยเพศผูใชเวลาเฉลี่ย 3.75+1.59 วัน<br />
สํ าหรับการศึกษาเพื่อกํ าจัดเพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus บนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว<br />
พบวาการจุมผลมังคุดในสารฆาแมลง chlorpyrifos (Lorsban 40 %EC) อัตรา 8 มิลลิลิตรตอนํ้ า<br />
10 ลิตร นาน 1 นาที มีประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงที่ระบาดโดยธรรมชาติ และระบาดเทียม<br />
ไดถึง 100 และ 99.03 เปอรเซ็นต ตามลํ าดับ หลังการจุม 7 วัน สวนวิธีการกํ าจัดที่ใหผลรอง<br />
ลงมา ไดแก การเปาดวยลม พนดวยนํ้<br />
า แรงดัน 20 ปอนดตอตารางนิ้ว<br />
นานผลละ 15 วินาที<br />
และการจุมดวยนํ้<br />
ามันปโตรเลียม (SK99 89.3 %EC) อัตรา 8 มิลลิลิตรตอนํ้<br />
า 10 ลิตร นาน<br />
1 นาที บนผลที่มีการระบาดโดยธรรมชาติ และระบาดเทียม หลังทดสอบ 7 วัน มีประสิทธิภาพ<br />
ในการกํ าจัด 95.00, 95.31, 96.82 เปอรเซ็นต และ 94.72, 92.01, 97.28 เปอรเซ็นต ตาม<br />
ลํ าดับ เพื่อความปลอดภัยจากสารพิษตกคาง<br />
มังคุดสงออกที่มีการระบาดของเพลี้ยแปง<br />
ควร<br />
กํ าจัดโดยวิธีเปาลมหรือพนนํ้<br />
าดวยความดัน 20 ปอนด ตอตารางนิ้ว นาน 15 วินาที หรือจุมนํ้ ามัน<br />
ปโตรเลียม (SK99 89.3 %EC) อัตรา 8 มิลลิลิตรตอนํ้ า 10 ลิตร นาน 1 นาที วิธีใดวิธีหนึ่ง<br />
56
เอกสารและสิ่งอางอิง<br />
กรมวิชาการเกษตร. 2545. เกษตรดีที่เหมาะสมสํ<br />
าหรับมังคุด. กรมวิชาการเกษตร<br />
กรุงเทพฯ. 22 น.<br />
กรมสงเสริมการเกษตร. 2543. สถิติการปลูกไมผลยืนตน ป 2543. กองแผนงาน<br />
กรมสงเสริมการเกษตร กรุงเทพฯ. 404 น.<br />
กองกีฏและสัตววิทยา. 2544. เทคโนโลยีทางเลือกสํ าหรับ ไอ พี เอ็ม. รายงานผลการดํ าเนินงาน<br />
การปองกันกํ าจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน ครั้งที่ 4. กรมวิชาการเกษตร. 309 น.<br />
กวิศร วาณิชกุล และ สุรพงษ โกสิยะจินดา. 2522. การเจริญเติบโตของผลมังคุด. วิทยาสาร<br />
เกษตรศาสตร 13(1-2) : 63-77.<br />
เกียรติเกษตร ลีละเศรษฐกุล และ ดารา พวงสุวรรณ. 2532. การผลิตมังคุดใหมีคุณภาพดีเพื่อ<br />
การสงออก. กสิกร 62(1) : 61-68.<br />
เกียรติเกษม กาญจนพิสุทธิ์, มโธรรม สัจจถาวร, อดุลย พงศสุวรรณ, พรรณ บูรณะ และ<br />
ลิขิต เอียดแกว. 2530. มังคุดราชินีแหงผลไม. พิมพที่ สหมิตรออฟเซท, กรุงเทพฯ.<br />
69 น.<br />
เกรียงไกร จํ าเริญมา. 2542. แมลงศัตรูมังคุด. น.18-30. ใน เอกสารวิชาการแมลงศัตรูไมผล.<br />
กลุมงานวิจัยแมลงศัตรูไมผล สมุนไพรและเครื่องเทศ กองกีฏและสัตววิทยา<br />
กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ.<br />
จริงแท ศิริพานิช. 2531. สรีรวิทยาหลังการเก็บเกี่ยวของผักและผลไม. คูมือการฝกอบรม<br />
หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวพืชสวน. สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร<br />
กรุงเทพฯ. 240 น.<br />
ชลิดา อุณหวุฒิ, ศิริณี พูนไชยศรี, สมหมาย ชื่นราม และ เกรียงไกร จํ าเริญมา. 2545. การศึกษา<br />
อนุกรมวิธานของเพลี้ยแปงและเพลี้ยหอยศัตรูมังคุด. น.309-319. ใน รายงานผลการวิจัยป<br />
2545. กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร กรุงเทพฯ<br />
57
ดวงพร สุนทรมงคล และ เกรียงศักดิ์ พฤกษากิจ. 2519. การศึกษาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเปลือก<br />
มังคุด. น 40. ใน รายงานการคนควาวิจัยป 2518. กองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร<br />
กรุงเทพฯ. 161 น.<br />
เต็ม สมิตินันทน. 2523. ชื่อพรรณไมแหงประเทศไทย<br />
(ชื่อพฤกษศาสตร-ชื่อพื้นเมือง). ฟนนี่<br />
พับลิชชิ่ง, บางเขน กรุงเทพ. 379 น.<br />
บุปผา เหลาสินชัย และ ชลิดา อุณหวุฒิ. 2543. เพลี้ยแปงและเพลี้ยหอยศัตรูพืชที่สํ าคัญ.<br />
กลุมงานอนุกรมวิธานแมลง กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร. 70 น.<br />
บุปผา เหลาสินชัย. 2537ก. การศึกษาอนุกรมวิธานของเพลี้ยหอย เพลี้ยแปงศัตรูฝรั่งและ<br />
แมลงศัตรูธรรมชาติ. น 24-50. ใน รายงานผลการคนควาและวิจัย ป 2537.<br />
กลุมงานอนุกรมวิธานและวิจัยไร กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร.<br />
. 2537ข. การศึกษาอนุกรมวิธานของเพลี้ยแปงศัตรูกลวยและแมลงศัตรูธรรมชาติของ<br />
เพลี้ยแปง. น 51-52. ใน รายงานผลการคนควาและวิจัย ป 2537.<br />
กลุมงานอนุกรมวิธานและวิจัยไร กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร.<br />
มาโนชญ กูลพฤษี . 2534. การศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางชีวเคมีบาง<br />
ประการของเปลือกมังคุดที่แข็งตัวเนื่องจากการตกกระทบหลังการเก็บเกี่ยว.<br />
ปญหาพิเศษปริญญาโท. ภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพ.<br />
วรรณา ตุลยธัญ, สุวรรณ สุภิมารส, อรไท สุขาเจริญ และ สุภาพรรณ ดุลยพิรุฬหศิลป. 2532.<br />
การสกัดแอนโธไซยานินจากเปลือกมังคุด. อาหาร 19(1) : 25-32.<br />
ศรุต สุทธิอารมณ. 2542. แมลงศัตรูทุเรียน. น.1-17. ใน เอกสารวิชาการ แมลงศัตรูไมผล.<br />
กลุมงานวิจัยแมลงศัตรูไมผล สมุนไพรและเครื่องเทศ กองกีฏและสัตววิทยา<br />
กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ.<br />
สถาบันวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย. 2531. รายงานการเก็บเกี่ยว การใช<br />
ประโยชนจากกาซคารบอนไดออกไซด ในการเก็บรักษาผักและผลไมสดเพื่อการ<br />
สงออก. ฉบับที่ 8. การเก็บรักษามังคุด. เสนอตอการปโตรเลียมแหงประเทศไทย. 25 น.<br />
58
สมโภชน นอยจินดา. 2534. ผลของ GA3 ตอผลมังคุด (Garcinia mangostana L.)<br />
วัยสายเลือด. ปญหาพิเศษปริญญาตรี. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ.<br />
สุรพงษ โกสิยะจินดา. 2529. วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว มังคุด ทุเรียน เงาะ (ตอนที่ 1).<br />
เคหเกษตร 10(114) : 42-45.<br />
สุรพล มนัสเสรี. 2541. เอกสารคํ าสอน หลักการไมผล. ภาควิชาเกษตรศาสตร คณะเกษตร<br />
และอุตสาหกรรม สถาบันราชภัฏสงขลา. 360 น.<br />
Almeyda, N. and F.W. Martin. 1976. Cultivation of Neglected Tropical Fruits with<br />
promise. Part 1. The Mangosteen. Agricultural Research Service, U.S. Department<br />
of Agriculture. 18 pp.<br />
Beardsley, J.W. 1959. On the taxonomy of pineapple mealybugs in Hawaii, with a<br />
description of a previously unnamed spiecies (Homoptera : Pseudococcidae).<br />
Proceeding of the Hawaiian Entomological Society 17 : 29-37.<br />
. 1965. Notes on the pineapple mealybug complex, with decription of two species<br />
(Homoptera : Pseudococcidae). Proceeding of the Hawaiian Entomological Society<br />
19 : 55-68.<br />
. 1966. Insects of Micronesia, Homoptera : Coccidea. Insects of Micronesia 6 :<br />
377-562.<br />
. 1975. Insects of Micronesia, Homoptera : Coccidea. Supplyment. Insects of<br />
Micronesia 6 : 657-662.<br />
Bzzat, Y.M. and H.S. Mcconnell, 1956. A classification of the mealybug tribe<br />
Planococcini (Pseudococcidae, Homoptera) Bulletin. University of Maryland<br />
Agricultural Experiment Station. A-84 : 1-108.<br />
Chandler, W.H. 1950. Evergreen Orchards. La and Febiger , Philadelphia. 542 pp.<br />
59
Cox, J.M. 1981. Identification of Plnococcus citri (Homoptera : Pseudococcidae) and a<br />
description of a new species. Systematic Entomology 6 : 47-53.<br />
Dowling, C.F., Jr. 1987. Fruits of Warm Climates. Media Incorporation, New York. 506 pp.<br />
Downton, W.J.S., W.J.R. Grant and E.K.Chacko. 1990. Effect of elevated carbon dioxide<br />
on the photosynthesis and early growth of mangosteen (Garcinia mangostana L.).<br />
Scientia Hortic. 44:215-225.<br />
Eskin, N.A.M. 1979. Plant Pigments, Flavors and Textures : The Chemistry and<br />
Biochemistry of Selected Compounds. Academic Press, New York . 219 pp.<br />
Ferris, G.F. 1950. Atlas of the Scale Insects of North America. Series 5. The<br />
Pseudococcidae (Part 1). California Stanford University Press. 278 pp.<br />
Hammerschmidt, R. 1984. Rapid deposition of lignin in potato tuber tissue as a response<br />
to fungi non- pathogenic on potato. Physiol. Plant Pathol. 24: 33-42.<br />
Harborne , J.B. 1984. Phytochemical Methodes. Chapman and Hall, New York. 288 pp.<br />
Huber, D.J. and J.H. Lee. 1986. Comparative analysis of pectin from pericarp and locular<br />
gel in developing tomoto fruit, pp.141-145 In Fishman, M.L. and J.J. jen (eds.).<br />
Chemistry and Function of Pectin. American Chemical Society, Washingtion, D.C.<br />
Maity,D.K.,A.K.Sahoo and S.K.Mandal. 1998. Evaluation of laboratory hosts for rearing<br />
and mass multiplication of Planococcus minor.(Maskell)<br />
(Pseudococcidae:Hemiptera). Enviroment and Ecology 16(3):530-532.<br />
Martin, F.W. 1980. Durian and mangosteen, pp. 407-414. In Nagy, S. and P.E. Shaw<br />
(eds.). Tropical & Subtropical Fruits. The AVI Publishing Co., Inc., Westport,<br />
Connecticut.<br />
60
Oshse, J.J. 1961. Tropical and Suptropical Agriculture. The McMillan Co., New York.<br />
615 pp.<br />
Paxton, J., D.J. Goodchild and A.M. Cruickshank. 1974. Phaseolin production by live<br />
bean endocarp. Physio. Plant Pathol. 4: 167-171.<br />
Puntner, W. 1981. Manual for field trials in plant protection. 2nd ed. Ciba-Geigy<br />
Limited, Switzerland. 205 pp.<br />
Rhodes, J.M. and L.S.C. Woolton. 1978. The biosynthesis of phenolic compound in<br />
wounded plant storage tissue, pp. 243-286. In E. G. Kahi (ed.). Biochemistry of<br />
Wounded Plant Tissue. Walter De Gruyter, Berlin.<br />
Ride, J.P. 1978. The role of cell wall alteration in resistance to fungi. Ann. Appl. Biol. 89:<br />
302-306.<br />
Smith, D., GAC Beattie and R. Broadley. 1997. Citrus pests and their natural enemies.<br />
Primary Industries. Queenland. 272 pp.<br />
Williams, D.J. 1978. The anomalous ant-attended mealybugs (homoptera:<br />
Pseudococcidae) of South-east Asia. Bull. Brit.Mus. (Nat.Hist.). Ent. 37:9-10.<br />
Williams, D.J. and G.W. Watson. 1988a. The Scale Insects of the Tropical South Pacific<br />
Region Part 1, The Armoured Scales (Diaspididae). CAB International Institute of<br />
Entomology, Wallingford. 290 pp.<br />
Williams, D.J. and G.W. Watson. 1988b. The Scale Insects of the Tropical South Pacific<br />
Region Part 2, the meaybugs (Pseudococcidae). CAB International Institute of<br />
Entomology, Wallingford. 260 pp.<br />
Williams, D.J. and M.C. Granara de Willink. 1992. Mealybug of Central and South<br />
America. CAB International Institute of Entomology, Wallingford. 635 pp.<br />
61
Zimmerman, E.C. 1948. Insects of Hawaii 5 Homoptera: Stermorrhyncha. University of<br />
Hawaii Press. 464 pp.<br />
62