18.08.2013 Views

cache

cache

cache

SHOW MORE
SHOW LESS

You also want an ePaper? Increase the reach of your titles

YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.

วิทยานิพนธ<br />

เรื่อง<br />

การศึกษาชีววิทยาของเพลี้ยแปง และมาตรการการกํ าจัดที่เหมาะสม<br />

หลังการเก็บเกี่ยวในมังคุดสงออก<br />

Study on the Biology of Mealybug and Appropriate Postharvest Control<br />

in Export Mangosteen Productions<br />

โดย<br />

นายเสกสรรค หอมจันทร<br />

เสนอ<br />

บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร<br />

เพื่อความสมบูรณแหงปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต (เกษตรศาสตร)<br />

พ.ศ. 2548<br />

ISBN 974-9829-70-0


คํ านิยม<br />

ขอกราบขอบพระคุณ รศ.ดร.เพ็ญสุข เตาทอง ประธานกรรมการที่ปรึกษาวิทยานิพนธ<br />

ดร. เกรียงไกร จํ าเริญมา กรรมการที่ปรึกษาวิชาเอก<br />

และ รศ.ฉลองชัย แบบประเสริฐ<br />

กรรมการที่ปรึกษาวิชารอง ที่กรุณาใหคํ าปรึกษาและแนะนํ าในการเรียน การคนควาวิจัย ตลอดจนการ<br />

ตรวจแกไขวิทยานิพนธจนกระทั่งเสร็จสมบูรณ และขอกราบขอบพระคุณ รศ.ดร.สุรพล วิเศษสรรค<br />

ผู แทนบัณฑิตวิทยาลัย ที่ใหความกรุณาตรวจแกไขวิทยานิพนธใหสมบูรณยิ่งขึ้น<br />

ขอขอบคุณ คุณชลิดา อุณหวุฒิ ที่ใหความชวยเหลือในการจํ าแนกชนิดเพลี้ยแปง รวมทั้ง<br />

เจาหนาที่และคนงาน สํ านักนักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช และศูนยวิจัยพืชสวนจันทบุรี กรมวิชาการ<br />

เกษตร ที่ไดอนุเคราะหสถานที่ทํ<br />

าการทดลองใหความชวยเหลือ ตลอดจนเอื้อเฟออุปกรณตางๆ<br />

สํ าหรับทํ างานวิจัยทั้งในหองปฏิบัติการและในสวนผลไมจนประสบผลสํ าเร็จ<br />

ขอขอบคุณ คุณศรุต สุทธิอารมณ คุณบุษบง มนัสมั่นคง คุณยุทธนา แสงโชติ ที่ให<br />

คํ าปรึกษาชวยเหลือในการทํ าวิทยานิพนธเปนอยางดี คุณบุญเทิง มิ่งขวัญ คุณสุรางค นงนุช<br />

คุณสานิตย ทองมาก คุณนเรนทร กลาณรงค และพี่<br />

ๆ นอง ๆ ทุกคนที่ไมไดกลาวถึงที่ไดชวย<br />

ใหคํ าแนะนํ าที่เปนประโยชนกับขาพเจา อีกทั้งยังเปนกํ าลังใจแกขาพเจาเสมอมา<br />

สุดทาย ขอกราบขอบพระคุณ คุณพอ ดต.สวน และคุณแมสดใส ผู ใหความรักและกํ าลังใจ<br />

อันยิ่งใหญ ตลอดจนเปนที่ปรึกษาในทุก ๆ ดานแกขาพเจา<br />

เสกสรรค หอมจันทร<br />

กุมภาพันธ 2548


สารบัญ<br />

สารบัญ (1)<br />

สารบัญตาราง (2)<br />

สารบัญภาพ (4)<br />

คํ านํ า 1<br />

(1)<br />

หนา<br />

วัตถุประสงค 3<br />

การตรวจเอกสาร 6<br />

อุปกรณและวิธีการ 22<br />

อุปกรณ 22<br />

วิธีการ 22<br />

ผลการทดลอง 30<br />

วิจารณ 53<br />

สรุป 56<br />

เอกสารและสิ่งอางอิง 57


สารบัญตาราง<br />

ตารางที่ หนา<br />

(2)<br />

1 ชวงฤดูกาลระบาดของเพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus บนผลมังคุด<br />

ศึกษาตั้งแตเดือนตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547<br />

ที่สวนเกษตรกร จังหวัดจันทบุรี 32<br />

2 ระยะการพัฒนา และขนาดของเพลี้ยแปงที่เลี้ยงบนผลฟกทอง<br />

ศึกษาตั้งแตเดือนตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547<br />

ในหองปฏิบัติการสํ านักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช<br />

(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 33<br />

3 ระยะการพัฒนาของเพลี้ยแปงเพศเมียที่เลี้ยงบนผลฟกทอง<br />

ศึกษาตั้งแตเดือน ตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547<br />

ในหองปฏิบัติการ สํ านักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช<br />

(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 35<br />

4 ระยะการพัฒนาของเพลี้ยแปงเพศผูที่เลี้ยงบนผลฟกทอง<br />

ศึกษาตั้งแตเดือน ตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547<br />

ในหองปฏิบัติการ สํ านักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช<br />

(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 42<br />

5 แสดงคาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตที่ระบาดตามธรรมชาติบนผล<br />

มังคุดกอนและหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตางๆ ในหองปฏิบัติการ<br />

(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 46<br />

6 แสดงประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงที่มีการระบาดตามธรรมชาติ<br />

บนผลมังคุดหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตาง ๆ ในหองปฏิบัติการ<br />

(อุณหภูมิ 28- 32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 48


สารบัญตาราง (ตอ)<br />

ตารางที่ หนา<br />

(3)<br />

7 แสดงคาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตที่ทํ าการระบาดเทียมบนผล<br />

มังคุดกอนและหลังกํ าจัดดวยวิธีการตางๆ ในหองปฏิบัติการ<br />

(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 51<br />

8 แสดงประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงที่ทํ<br />

าการระบาดเทียม<br />

บนผลมังคุดหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตางๆ ในหองปฏิบัติการ<br />

(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH) 52


สารบัญภาพ<br />

(4)<br />

ภาพที่<br />

หนา<br />

1 แสดงลักษณะผลมังคุดคุณภาพดี 2<br />

2 แสดงการปนเปอนของเพลี้ยแปงบนผลมังคุด 4<br />

3 แสดงลักษณะของมังคุดสงออกที่มีการแกปญหาการปนเปอน<br />

ของเพลี้ยแปง 5<br />

4 ลักษณะทางอนุกรมวิธานของเพลี้ยแปง<br />

Pseudococcus cryptus Hempel ตัวเต็มวัยเพศเมีย 12<br />

5 แสดงลักษณะการเปาลม 25<br />

6 แสดงลักษณะการพนนํ้ า 26<br />

7 แสดงลักษณะการจุมสาร 27<br />

8 แสดงผลมังคุดที่ใชทดสอบการจุมสาร 28<br />

9 แสดงการสํ ารวจและเก็บรวบรวมเพลี้ยแปงจากมังคุดในสวน 31<br />

10 แสดงการเลี้ยงเพลี้ยแปงบนผลฟกทองและลักษณะของไข 34<br />

11 แสดงลักษณะของตัวออนวัยแรก (crawler) 36<br />

12 แสดงลักษณะของตัวออนวัยที่ 2 ซึ่งเริ่มสรางเสนแปงสั้น ๆ<br />

รอบลํ าตัว 38


สารบัญภาพ (ตอ)<br />

(5)<br />

ภาพที่<br />

หนา<br />

13 แสดงลักษณะของตัวออนเพศเมีย วัยที่ 3 39<br />

14 แสดงลักษณะตัวเต็มวัยเพศเมีย 40<br />

15 แสดงลักษณะของตัวออนเพศผูในระยะกอนเขาดักแด<br />

และระยะดักแด 43<br />

16 แสดงลักษณะตัวเต็มวัยเพศผู<br />

44


การศึกษาชีววิทยาของเพลี้ยแปง และมาตรการการกํ าจัดที่เหมาะสม<br />

หลังการเก็บเกี่ยวในมังคุดสงออก<br />

Study on the Biology of Mealybug and Appropriate Postharvest Control<br />

in Export Mangosteen Productions<br />

คํ านํ า<br />

มังคุด (mangosteen) มีชื่อวิทยาศาสตร Garcinia mangostana L. อยูในวงศ Guttiferae<br />

มีถิ่นกํ าเนิดอยูในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยเฉพาะแถบแหลมมลายู และมีการเจริญเติบโต<br />

ไดดีในแถบประเทศมาเลเซีย พมา ไทย กัมพูชา เวียดนาม ฟลิปปนส และหมูเกาะซุนดา<br />

(Almeyda and Martin, 1976) เนื่องจากมังคุดมีเนื้อสีขาว มีรสหวานอมเปรี้ยวและมีกลิ่นหอม<br />

จึงเปนที่นิยมในการบริโภคของบุคคลโดยทั่วไปทั้งภายในและตางประเทศ (เกรียงไกร, 2542)<br />

ประเทศไทยจัดไดวาเปนประเทศผูนํ าดานการผลิตและสงออกมังคุดของโลก โดยในแต<br />

ละปสามารถสงออกมังคุดไปยังตลาดตางประเทศ ทั้งในรูปมังคุดผลสดและแชแข็งคิดเปนมูลคา<br />

หลายรอยลานบาท แมวาตลาดภายในและตลาดตางประเทศมีความตองการมังคุดคุณภาพดี<br />

(ผลมีนํ้<br />

าหนักมากกวา 80 กรัม ผิวมัน ปราศจากตํ าหนิและการเขาทํ าลายของโรคและแมลง เนื้อ<br />

ภายในคุณภาพดี ไมมีอาการเนื้อแกวและยางไหลในผล) ในปริมาณมาก (ภาพที่ 1) แตเกษตรกร<br />

ยังไมสามารถเพิ่มปริมาณผลผลิต และคุณภาพใหเพียงพอกับความตองการของตลาดได<br />

(กรมวิชาการเกษตร, 2545)<br />

ปจจุบันการผลิตสินคาเกษตรเพื่อการสงออก<br />

หรือการผลิตเพื่อบริโภคในประเทศให<br />

ประสบความสํ าเร็จลวนมีความยุงยากซับซอนมากขึ้น เนื่องจากระบบการคาของโลกไดเปลี่ยนแปลง<br />

ไปสูระบบการคาเสรีที่มีการแขงขันสูง เงื่อนไขตาง ๆ ไดถูกกํ าหนดขึ้นมาแทนมาตรการทางภาษี เพื่อ<br />

สกัดกั้นการนํ าเขาสินคาของแตละประเทศ โดยเฉพาะมาตรการดานสุขอนามัย และสุขอนามัยพืช<br />

หรือที่เรียกวา "มาตรการ SPS" (Agreement of Application of Sanitary and Phytosanitary<br />

Measures) หลายประเทศที่นํ าเขาสินคาเกษตรไดเพิ่มความเขมงวดกับการตรวจสอบศัตรูพืชและ<br />

สารพิษตกคางในผัก ผลไม และนํ ามาเปนเครื่องตอรองทางการคาได<br />

ดวยมาตรการดังกลาว<br />

ประเทศผูนํ าเขาสินคาหรือผลผลิตทางการเกษตร จะตองขอรายชื่อศัตรูพืชของสินคาจากประเทศ<br />

ที่ตองการสงออก<br />

เพื่อนํ าไปวิเคราะหความเสี่ยงศัตรูพืชกอนพิจารณาตัดสินใจนํ าเขาสินคานั้น<br />

1


ภาพที่ 1 แสดงลักษณะผลมังคุดคุณภาพดี<br />

1.1ปราศจากรอยทํ าลายของศัตรูพืช<br />

1.2ผลโต ผิวมัน เนื้อขาวฟู<br />

1.1<br />

1.2<br />

2


หากประเทศผูสงออกไมดํ าเนินการสงรายชื่อศัตรูพืชหรือไมมีขอมูลประกอบในการวิเคราะหความ<br />

เสี่ยงศัตรูพืชไดเพียงพอ<br />

การเจรจาการคาจะใชเวลานานในการขอขอมูล สืบคนขอมูล ทํ าให<br />

ประเทศผูสงออกเสียโอกาส<br />

ไมสามารถสงออกสินคาทางการเกษตรตามความประสงคได<br />

(กองกีฏและสัตววิทยา, 2544)<br />

เพลี้ยแปงเปนศัตรูพืชที่เปนปญหาสํ าคัญอยางหนึ่งในการผลิตและสงออกมังคุด เนื่องจาก<br />

มีการศึกษาทางดานเพลี้ยแปงนอย และการปองกันกํ าจัดคอนขางลํ าบาก เพราะเพลี้ยแปงนั้นจะ<br />

เขาไปดูดกินนํ้ าเลี้ยงบริเวณใตกลีบเลี้ยงของมังคุด (ภาพที่ 2) หากไมสังเกตใหดีจะไมพบตัว<br />

เพลี้ยแปง<br />

ผูสงออกหลายรายจะแกปญหาโดยการตัดกลีบเลี้ยงหรือตัดทั้งขั้วและกลีบเลี้ยงออก<br />

(ภาพที่ 3) แตวิธีการเหลานั้นยังไมใชวิธีที่ดี ยังเกิดปญหาการติดไปของเพลี้ยแปงในมังคุดสงออก<br />

ดวยเหตุนี้จึงควรมีวิธีการจัดการกับเพลี้ยแปงในมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อเปนการลดปญหาใน<br />

การผลิตและสงออกมังคุดไปยังตางประเทศ<br />

วัตถุประสงค<br />

1.เพื่อศึกษาชวงฤดูการระบาดของเพลี้ยแปงบนผลมังคุดในสภาพสวน<br />

2.เพื่อศึกษาถึงลักษณะ และชีวประวัติของเพลี้ยแปง ชนิดที่มีการระบาดรุนแรงในมังคุด<br />

3.เพื่อเปรียบเทียบวิธีการที่เหมาะสมในการจัดการเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังเก็บเกี่ยว<br />

ลดปญหาการปนเปอนของเพลี้ยแปง เปนการเพิ่มคุณภาพมังคุดเพื่อการสงออก<br />

3


ภาพที่ 2 แสดงการปนเปอนของเพลี้ยแปงบนผลมังคุด<br />

2.1 การปนเปอนอยูที่ใตผล<br />

2.2 การปนเปอนอยูใตกลีบเลี้ยง<br />

2.1<br />

2.2<br />

4


ภาพที่<br />

3 แสดงลักษณะของมังคุดสงออกที่มีการแกปญหา<br />

การปนเปอนของเพลี้ยแปง<br />

3.1 ตัดกลีบเลี้ยงทิ้ง<br />

3.2 ตัดทั้งขั้วและกลีบเลี้ยงทิ้ง<br />

3.1<br />

3.2<br />

5


มังคุด<br />

การตรวจเอกสาร<br />

มังคุด มีชื่อวิทยาศาสตรวา Garcinia mangostana L. อยูในวงศ Guttiferae พรรณไมที่อยู<br />

ในวงศเดียวกันไดแก รงทอง Garcinia acuminata Planch., มะขามแขก Garcinia atrovisidis<br />

Graff., มังคุดปา Garcinia costata Hemsl., ชะมวง Garcinia cowa Roxb., มะพูด Garcinia<br />

dulcis Kurz., มะดันปา Garcinia fusca Pierre., หมักแปม Garcinia gracilis Pierre., รง<br />

Garcinia hanburyi Hook., นาล Garcinia merguensis Wight., มะพูดปา Garcinia nervosa<br />

Miq., พะวา Garcinia speciosa Wall., มะปองตัน Garcinia succifolia Kurz. และมะดะหลวง<br />

Garcinia xanthochymus Hook. (เต็ม, 2523)<br />

ถิ่นกํ าเนิดและการแพรกระจาย<br />

มังคุดเปนไมผลเมืองรอนที่ไดรับความสนใจจากเกษตรกรทั่วโลก (Downton et al., 1990)<br />

มีถิ่นกํ าเนิดอยูในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต โดยเฉพาะแหลมมลายู คาดวาเปนที่รูจักกันมามาก<br />

กวา 1,000 ป มีการเจริญเติบโตไดดีในสภาพดินเหนียวปนทราย (สุรพล, 2541) แถบประเทศ<br />

มาเลเซีย พมา ไทย กัมพูชา เวียดนาม ฟลิปปนส และหมูเกาะซุนดา<br />

แลวแพรกระจายไปตามเขต<br />

รอนชื้นอื่น ๆ (Almeyda and Martin, 1976; Dowling, 1987) มังคุดพันธุที่สงเสริมใหปลูกเปน<br />

พันธุพื้นเมืองเชื่อกันวา มังคุดที่ปลูกเปนการคาเปนพันธุเดียวกัน ทั้งนี้เนื่องจากเกสรตัวผูของดอก<br />

มังคุดเปนหมัน เมล็ดเจริญมาจากเนื้อเยื่อของตนแมโดยไมไดรับการผสมเกสร แหลงปลูกมังคุด<br />

ในประเทศไทยมีมากที่สุดทางภาคใต นับตั้งแตจังหวัดชุมพรลงไปตลอดภาคใต สวนมากภาคกลาง<br />

ปลูกกันมากในเขตกรุงเทพมหานคร และจังหวัดนนทบุรี ระยะหลังมีผูนํ าไปปลูกในภาคตะวันออก<br />

ไดแก จังหวัดจันทบุรี นครนายก ระยอง ตราด และปราจีนบุรี ทางภาคเหนือมีปลูกกันบางใน<br />

จังหวัดอุตรดิตถ ลํ าพูน และเชียงใหม (กรมสงเสริมการเกษตร, 2543)<br />

ลักษณะทางพฤกษศาสตร<br />

มังคุดเปนไมผลที่มีขนาดใหญลํ าตนตรงและแข็งแรง ทรงพุมเปนแบบปรามิด ความกวาง<br />

ของทรงพุมของลํ าตนที่โตเต็มที่9-12<br />

เมตร สูงประมาณ 10-20 เมตร เปลือกของลํ าตนมีสีนํ้ าตาล<br />

เขม ใบเปนแบบใบเดี่ยว ลักษณะใบหนาเรียบ กวาง ยาวรี รูปไข มีขนาดกวาง 7-13 เซนติเมตร<br />

และยาว 15-20 เซนติเมตร ใบบนมีสีมะกอก ใบลางเปนสีเขียวเหลือง ขอบใบทั้งสองขางยกขึ้น<br />

แผนใบโคงเล็กนอย ดอกมังคุดมีกลีบเลี้ยง 4 กลีบ แบงออกเปน 2 ชุด 2 กลีบแรกอยูดานใน อีก<br />

6


2 กลีบหลังอยูดานนอก แตละกลีบยาวประมาณ 2 เซนติเมตร ดอกมีสีเขียวเหลือง มีขอบสีชมพู<br />

ตรงกลางดอกเปนรังไขมียอดเกสรตัวเมียแยกเปน 4-8 แฉก หลังจากดอกบานแลวจะมีการเจริญ<br />

เติบโตของผลออนโดยที่ไมตองผานการผสมเกสร (Alymeyda and Martin, 1976) ผลของมังคุด<br />

มีลักษณะที่คอนขางกลม<br />

เมื่อสุกสีของเปลือกจะเปลี่ยนจากสีเขียวเปนสีแดง<br />

ชมพู หรือมวง<br />

(เกียรติเกษม และคณะ, 2530) ลักษณะของผลเปนแบบ berry มีเสนผาศูนยกลางประมาณ 3.5-7.0<br />

เซนติเมตร (Oshse, 1961; กวิศร และสุรพงษ, 2522) เปลือกหนา 0.8-1.0 เซนติเมตร<br />

(Chandler, 1950; กวิศร และสุรพงษ, 2522) เปลือกมีรสฝาดมียางสีเหลือง (Oshse, 1961;<br />

กวิศร และสุรพงษ, 2522) มีตอมนํ้ ายางอยู มาก (เกียรติเกษม และคณะ, 2530) ภายในเปลือกมี<br />

สารแทนนินและแอนโธนอยูมาก (Martin, 1980) และยังพบแอนโธไซยานินอีกดวย (วรรณา<br />

และคณะ, 2532) เมื่อปอกเปลือกออกจะเห็นเนื้อที่รับประทานไดจํ านวน 4-8 กลีบตามจํ านวน<br />

ของเมล็ดออน (ovule) แตละชองมีเมล็ดอยูภายในหุมดวยเนื้อขาวใสออนนุมคลายวุนมีเสน vein<br />

สีชมพูติดกับเนื้อ การหายใจของผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว เปนแบบที่มีการหายใจสูงขึ้นระหวาง<br />

การสุก และคอย ๆ ลดลง พรอม ๆ กับสีผิวที่เปลี่ยนแปลงจากสีเขียวเปนสีมวง<br />

(climacteric<br />

respiration pattern) (สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย, 2531)<br />

ดัชนีการเก็บเกี่ยวมังคุดไดแบงระดับสีของผลมังคุดเมื่อเขาระยะสุกแกไว 7 ระดับ ดังนี้<br />

ระดับสีที่<br />

0 ผลมีสีขาวอมเหลืองสมํ่ าเสมอหรือมีสีขาวอมเหลืองแตมดวยสีเขียวออน<br />

หรือจุดสีเทามียางสีเหลืองภายในเปลือกระดับรุนแรงมาก เนื้อและเปลือกไมสามารถแยกออก<br />

จากกันได ผลที่เก็บเกี่ยวในระยะนี้<br />

ถึงแมวาจะเปลี่ยนสีไปเปนระดับสีที่<br />

6 ก็ตาม แตผลที่ไดจะ<br />

มีรสชาติไมดี<br />

ระดับสีที่ 1 ผลมีสีเหลืองออนอมเขียว มีจุดสีชมพูกระจายอยูในบางสวนของผลภายใน<br />

เปลือกยังคงมีอยูในระดับรุนแรง เนื้อและเปลือกยังไมสามารถแยกออกจากกันได ผลที่จะเก็บเกี่ยว<br />

ในระยะนี้<br />

ถึงแมวาจะเปลี่ยนสีไปเปนระดับสีที่ 6 ก็ตาม แตผลที่ไดจะมีรสชาติไมดี<br />

ระดับสีที่ 2 ผลมีสีเหลืองออนอมชมพู มีประสีชมพูกระจายไปทั่วผล ยางภายในเปลือก<br />

อยูในระดับปานกลาง การแยกตัวระหวางเนื้อและเปลือกทํ<br />

าไดยากถึงปานกลาง เปนระยะออน<br />

ที่สุดสํ าหรับการเก็บเกี่ยวเพื่อใหผลที่มีคุณภาพดี<br />

ระดับสีที่ 3 ผลมีสีชมพูสมํ่<br />

าเสมอ ประสีชมพูเริ่มขยายมารวมกัน<br />

ไมแยกจากกันอยาง<br />

ชัดเจนเชนระดับสีที่<br />

2 ยางภายในเปลือกยังคงอยูนอยถึงนอยมาก การแยกตัวระหวางเนื้อและ<br />

เปลือกปานกลาง<br />

7


ระดับสีที่ 4 ผลมีสีแดงหรือนํ้<br />

าตาลอมแดง บางครั้งมีแตมสีมวง<br />

ยางภายในเปลือกมี<br />

นอยมากจนถึงไมมีเลย การแยกตัวระหวางเนื้อและเปลือกดีมาก<br />

เปนระยะที่เกือบจะสามารถ<br />

รับประทานได<br />

ระดับสีที่ 5 ผลมีสีมวงอมแดง ภายในเปลือกไมมียางเหลืออยู เนื้อและเปลือกนั้น<br />

สามารถแยกจากกันไดงาย เปนระยะที่สามารถรับประทานได<br />

ระดับสีที่ 6 ผลมีสีมวงหรือมวงเขมจนถึงดํ า ซึ่งบางครั้งพบวายังมีสีมวงปนอยูเล็กนอย<br />

ภายในเปลือกไมมียางเหลืออยู เนื้อและเปลือกสามารถแยกจากกันไดงาย เปนระยะที่เหมาะแก<br />

การรับประทาน<br />

มังคุดเปนไมผลยืนตนขนาดใหญ ชอบอากาศที่รอนชื้น<br />

อุณหภูมิที่เหมาะสมอยูในชวง<br />

25-30 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธสูงประมาณ<br />

75-85 ดินควรมีคาความเปนกรดเปนดาง<br />

(pH) ประมาณ 5.5-6.5 และที่สํ าคัญควรเลือกพื้นที่ปลูกที่มีนํ้ าเพียงพอตลอดชวงฤดูแลง มังคุด<br />

จะใหผลผลิตประมาณปที่ 7 หลังปลูก แตผลผลิตตอตันในระยะแรกจะตํ่ า ชวงที่ใหผลผลิตดี<br />

ประมาณ 13 ปขึ้นไป โดยเฉลี่ย 60 กิโลกรัมตอตน (นํ้ าหนักผลเฉลี่ย 80 กรัมตอผล) (จริงแท,<br />

2531) มังคุดเปนไมผลระบบรากหาอาหารคอนขางลึกประมาณ 90-120 เซนติเมตร จากผิวดิน<br />

ดังนั้นจึงตองการสภาพแลงกอนออกดอกคอนขางนาน โดยตนมังคุดที่สมบูรณใบยอดมีอายุ<br />

ระหวาง 9-12 สัปดาห เมื่อผานชวงแลงติดตอกัน 21-30 วัน และมีการกระตุนนํ้ าถูกวิธี มังคุดจะ<br />

ออกดอก ชวงพัฒนาการของดอก (ผลิตาดอก-ดอกบาน) ประมาณ 30 วัน ชวงพัฒนาการของผล<br />

(ดอกบาน-เก็บเกี่ยว) ประมาณ 11-12 สัปดาห ระยะเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมคือ เริ่มมีสายเลือดได<br />

1-2 วัน ผลมังคุดที่มีสีมวงแดงเก็บรักษาที่อุณหภูมิที่ 10-13 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธที่<br />

90-95 เปอรเซ็นต เก็บรักษาไวไดนานประมาณ 2-4 สัปดาห (สุรพงษ, 2529) ฤดูกาลที่ผลผลิต<br />

ของภาคตะวันออกอยูในชวงเดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายน ภาคใตอยูในชวงเดือนกรกฎาคมถึง<br />

เดือนกันยายน (กรมสงเสริมการเกษตร, 2543)<br />

ถึงแมวามังคุดจะมีเปลือกหนา และนาจะทนทานตอการกระทบการเทือน แตความจริง<br />

แลวมังคุดเปนผลไมที่มีความบอบบางมาก ถาถูกกระทบกระเทือนหรือกระแทกก็ทํ าใหเปลือกเกิด<br />

รอยชํ้ า และเกิดเปลือกแข็ง (เกียรติเกษตร และดารา, 2532) การแข็งตัวของเปลือกมังคุดเปน<br />

สาเหตุสํ าคัญที่ทํ<br />

าใหมังคุดเสื่อมคุณภาพหลังการเก็บเกี่ยว<br />

(ดวงพร และเกรียงศักดิ์,<br />

2519)<br />

อาการแข็งของเปลือกมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว<br />

นอกจากเกิดจากการตกกระทบของผลแลวยังเกิด<br />

จากการเก็บมังคุดไวนาน โดยมังคุดที่แสดงอาการเปลี่ยนสีจากสีเขียวเปนสีมวง 4-7 วัน (สมโภชน,<br />

2534) แลวแสดงอาการเปลือกแข็งเกิดขึ้นที่เปลือกในสวนใดสวนหนึ่งกอนขยายพื้นที่เพิ่มขึ้น การ<br />

8


เก็บรักษาที่อุณหภูมิตํ่ า เชน เก็บที่อุณหภูมิ 1 องศาเซลเซียส นาน 24 วัน จะทํ าใหเปลือกของผล<br />

มังคุดเกิดอาการแข็งได (สมโภชน, 2534) การรมผลมังคุดดวย methylbromide หรือ การฉายรังสี<br />

ทํ าใหเปลือกมังคุดแข็งไดเชนกัน (มาโนชญ, 2534) การแข็งตัวของเปลือกผลมังคุดอาจเกี่ยวของ<br />

กับการเพิ่มปริมาณสารเชื่อมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อพืช ซึ่งมีหลายชนิด คือ ลิกนิน (Ride, 1978)<br />

เพคติน (Eskin, 1979) เซลลูโลส (Harborne, 1984) เฮมิเซลลูโลส (Huber and Lee, 1986)<br />

ลิกนินเปนโพลิเมอรของสารประกอบฟนอลิก (Rhodes and Woolton, 1978) ซึ่งแทรกอยูตาม<br />

ผนังเซลลของ tracheid, vessel fiber และ sclereids ทํ าใหเนื้อเยื่อพืชมีความแข็งแรงเพิ่มขึ้น<br />

(Eskin, 1979) พืชมีกลไกในการสรางลิกนินบริเวณที่เกิดบาดแผล (Paxton et al., 1974) การ<br />

ที่พืชสรางลิกนินเปนวิธีปองกันตัวเองจากการเขาทํ<br />

าลายของโรคและแมลง โดยพบวาการสราง<br />

ลิกนินในพืชหลายชนิด (Hammerschmidt, 1984) ซึ่งทํ าใหผนังเซลลหนาและมีความแข็งแรงมาก<br />

ขึ้น เปนการเพิ่มความตานทานของผนังเซลลพืช ในเปลือกมังคุดมีสารประกอบฟนอลิกจํ าพวก<br />

แทนนิน และแซนโธน (Martin, 1980) และแอนโธไซยานิน (วรรณา และคณะ, 2532) ซึ่ง<br />

มาโนชญ (2534) รายงานวา เมื่อมังคุดตกกระทบจะทํ<br />

าใหปริมาณสารประกอบฟนอลิกทั้งหมด<br />

ลดลง ดังนั้นอาจเปนไปไดวาในการแข็งตัวของเปลือกผลมังคุดที่ตกกระทบ อาจมีการสรางลิกนิน<br />

มากขึ้นอยางรวดเร็ว<br />

ซึ่งอาจจะเปนกลไกปองกันตัวเองโดยธรรมชาติ<br />

ทํ าใหปริมาณสารประกอบ<br />

ฟนอลิกลดลงพรอม ๆ กับเกิดการแข็งตัวของเปลือกมังคุด<br />

เพลี้ยแปง<br />

เพลี้ยแปงเปนแมลงปากดูด อยูใน Superfamily Coccidea อันดับ Homoptera ตัวเต็มวัย<br />

เพศเมีย จะผลิตไขแปง (mealy wax) สีขาวปกคลุมลํ าตัวไว จึงมีชื่อสามัญวา (mealybug) ทํ าลาย<br />

พืชดวยการดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากสวนตาง ๆ ของพืช โดยใชสวนของปากที่มีลักษณะเปนทอยาวเรียกวา<br />

stylet ถาถูกทํ าลายรุนแรงจะทํ าใหตนพืชเหี่ยวแหงตายได<br />

นอกจากนี้ยังขับถายของเหลวมี<br />

ลักษณะเปนนํ้ าเหนียว เรียกวามูลหวาน (honeydew) ออกมา ซึ่งตอมาจะเกิดราดํ าขึ้น ถาเกิดที่ใบ<br />

จะทํ าใหใบสังเคราะหแสงไดไมเต็มที่ ถาเกิดขึ้นที่ผลจะทํ<br />

าใหผลเจริญเติบโตไมเต็มที่และสกปรก<br />

ไมเปนที่ตองการของตลาด<br />

ถาการทํ าลายรุนแรงจะทํ าใหผลรวง โดยเฉพาะผลออน (บุปผา และ<br />

ชลิดา, 2543)<br />

ลักษณะทั่วไป<br />

ตัวเต็มวัยรูปรางยาวรี รูปไขหรือกลม บริเวณรอบลํ าตัว ดานขางประกอบดวยไขแปงมี<br />

ลักษณะยาวเปนเสน (filament) เรียงกันโดยรอบ ขนาดของเสนแปง (filament of wax) จะคอย ๆ<br />

ยาวขึ้นตามลํ าดับ จากดานหัว (anterior) ไปดานทาย (posterior) ของลํ าตัว เสนแปงที่อยูดานทาย<br />

9


สุดมักจะยาวที่สุด บางชนิดอาจยาวเทากับความยาวของขนาดของลํ าตัว ลักษณะของไขแปงที่ปกคลุม<br />

ลํ าตัวของเพลี้ยแปงแตละชนิด มีความแตกตางกัน เชน มีลักษณะเปนแถบยาว ๆ เปนแผนอัดแนน<br />

หรือมีรูปรางไมแนนอน และบางชนิดไขแปงมีสีเหลือง (Williams and Watson, 1988b)<br />

ในพวกเพลี้ยแปงวงศ Pseudococcidae การเจริญเติบโตของตัวออนจนกลายเปนตัวเต็มวัย<br />

โดยการลอกคราบ ในเพศเมียสวนใหญมักมีการลอกคราบ 3 ครั้ง สวนเพศผูจะลอกคราบ 4 ครั้ง<br />

เมื่อแมลงฟกออกจากไขจะเปนตัวออนวัยที่ 1 (first instar) หรือเรียกวา crawler ตัวออน<br />

วัยที่ 1 มักจะมีจํ านวนปลองหนวดนอยกวาตัวเต็มวัย<br />

เมื่อตัวออนวัยที่ 1 ลอกคราบ โดยจะเกิดรอยแตกบริเวณกลางสวนหัวและอกดานบน จากนั้น<br />

ก็ออกจากคราบเปนตัวออนวัยที่ 2 (second instar) ถาเปนเพศผูในตอนทาย ๆ ของวัยที่ 2 ตัวออน<br />

จะเริ่มสราง cocoon ลักษณะเปนปุยคลายสํ าลีปกคลุมลํ าตัว<br />

ตัวออนเพศเมียวัยที่ 2 จะลอกคราบในทํ านองเดียวกับวัยที่<br />

1 เปนตัวออนวัยที่ 3 (third<br />

instar) ในวัยนี้จํ<br />

านวนปลองหนวดมักจะมีจํ านวนของปลองหนวดเทากันกับตัวเต็มวัย (แตไม<br />

เสมอไป)<br />

ในเพศผู<br />

ตัวออนวัยที่ 2 จะลอกคราบโดยคราบวัยที่ 2 จะถูกดันออกมาทางสวนดานทาย<br />

ของ cocoon เปนตัวออนวัยที่ 3 ตัวออนวัยที่ 3 ระยะนี้เรียกวา prepupa ขนาดของตัวมักเล็กและ<br />

รูปรางยาว เมื่อเทียบกับตัวออนเพศเมียวัยที่ 3 ตัวออนเพศผูวัยที่ 3 มักจะเริ่มมีแผนปก จํ านวน<br />

ปลองหนวดเพิ่มขึ้น rostrum หายไป<br />

เมื่อตัวออนเพศเมียวัยที่ 3 ลอกคราบ เปนวัยที่ 4 คราบจะถูกดันออกมาตาม รอยแตก<br />

ทางสวนทายของ cocoon ตัวออนเพศผูวัยที่ 4 จะอยูใน cocoon เรียกระยะนี้วา pupa ตัวออนวัยนี้<br />

มีปกยาวขึ้น จํ านวนปลองหนวดเพิ่มขึ้น (มักจะมีจํ านวนเทากับตัวเต็มวัย) ตัวออนเพศผูวัยที่ 4<br />

จะลอกคราบโดยคราบจะถูกดันออกมาตามรอยแตกทางสวนทายของ cocoon เชนเดียวกันกับการ<br />

ลอกคราบครั้งที่ 3 เมื่อลอกคราบในครั้งที่ 4 แลว จะเปนเพศผูวัยที่ 5 คือ ตัวเต็มวัย<br />

ตัวเต็มวัยเพศผูมี 3 แบบแลวแตชนิดของแมลง คือ ปกยาว (macropterous) ปกสั<br />

้น<br />

(brachypterous) และไมมีปก<br />

10


พวกปกยาวมักจะมีปก 1 คูอยูในสวนของ mesothorax และจะมี halteres 1 คู อยูในสวน<br />

ของ metathorax สํ าหรับ halteres มีลักษณะเปนปุมเล็ก ๆ และปลาย halteres มักจะมีขน<br />

(setae) 1 เสนหรือมากกวานั้น<br />

ลักษณะทางอนุกรมวิธาน<br />

ลักษณะทางอนุกรมวิธานของเพลี้ยแปง มีดังนี้ (ภาพที่ 4)<br />

รูปราง (body) บางชนิดรูปรางเรียวยาว รูปไขหรือกลมจะพบ vulva (ชองเปด<br />

ของอวัยวะสืบพันธุ) อยูประมาณปลองที่ 7 และ 8 ทางดานลาง (venter) ของผนังลํ าตัว สวนปาก<br />

(beak) จะอยูระหวาง coxae ของขาคูที่ 1<br />

หนวด (antennae) สวนใหญหนวดจะมี 6-9 ปลอง แตบางชนิดจะมีปลอง<br />

หนวดลดลงเหลือเพียง 2 ปลอง หรือ 4-5 ปลอง โดยทั่วไปปลองสุดทายมักจะมีขนาดใหญ และ<br />

ยาวกวาปลองรองสุดทาย<br />

ขา (legs) มี tarsi 1 ปลอง และสวนใหญมีเล็บ (claw) 1 อัน ใกลฐานของเล็บ<br />

จะมีเสนดายคลายเสนขน (seta-like) 2 เสน เรียกวา claw digitules และอีก 1 คู ที่ปลาย tarsi<br />

เรียกวา tarsal digitules นอกจากนี้เพลี้ยแปงบางชนิดที่ผิวหนังของเล็บจะมีลักษณะเปนปุ มเล็ก ๆ<br />

เรียกวา denticle<br />

Circulus จะอยูที่ปลองทองดานลาง มักอยูระหวางปลองทองปลองที่ 3 และ 4<br />

นักกีฏวิทยาบางทานเชื่อวาทํ<br />

าหนาที่เปน<br />

adhesive organ แตหนาที่ที่แทจริงยังไมมีผูใดทราบ<br />

Ostioles พบอยูทางดานบน (dorsum) ของผนังลํ าตัว มีลักษณะคลายรอยแตก<br />

ตามขวาง ทํ าหนาที่ในการปองกันตัว Williams (1978) เปรียบเทียบ ostioles คลายกับ siphunculi<br />

ของเพลี้ยออน ตามปกติจะมี ostioles 2 คู คูที่<br />

1 อยูที่ prothorax อีกคูหนึ่งอยูที่ปลองทอง<br />

ปลองที่ 6 บางชนิดไมมี ostioles หรือมีแตคูที่อยูทางดานทาย (posterior) ของลํ าตัวเทานั้น ตาม<br />

ปกติ ostioles ประกอบดวย trilocular pores และ setae ขนาดเล็ก 2-3 เสน<br />

Anal ring มักจะอยูบริเวณปลายสวนทอง โดยทั<br />

่วไปจะประกอบดวยรูเล็ก ๆ<br />

2 แถว เรียงกัน และ setae 6 เสน<br />

11


ภาพที่ 4 ลักษณะทางอนุกรมวิธานของเพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus Hempel<br />

ตัวเต็มวัยเพศเมีย<br />

ที่มา: ชลิดา และคณะ (2545)<br />

12


Anal lobes จะอยูดานขางของ anal ring ประกอบดวย apical setae ซึ่งมีความ<br />

สํ าคัญในการจํ าแนกสกุลและชนิดของแมลง ดานลางของ anal lobe ของเพลี้ยแปงบางชนิดจะมี<br />

anal lobe bar ซึ่งจะยื่นออกมาจาก<br />

socket ของ apical seta และจะพบ bar seta อยูประมาณ<br />

กึ่งกลางของความยาวของ<br />

anal lobe bar<br />

Cerarii เปนลักษณะที่พบในเพลี้ยแปง<br />

(mealybug) เทานั้น<br />

ทํ าหนาที่ในการ<br />

สรางเสนแปง (wax filament) ดานขางของลํ าตัว ตามปกติจะมีอยู<br />

18 คู แตบางชนิดจะ reduce<br />

เหลือเพียง 1 คู คือที่ anal lobe เทานั้น<br />

หรืออาจไมมีเลย cerarii แตละอันมักจะประกอบดวย<br />

กลุมขนขนาดคอนขางใหญเรียกวา cerarian setae ซึ่งจะเปนชนิดปลายแหลมคลายรูปกรวย<br />

(conical setae) หรือรูปหอก (lanceolate setae) อยางนอยสองเสน และ trilocular pores จํ านวน<br />

หนึ่ง แตบางครั้งจะมี setae เล็ก ๆ บาง ๆ เรียกวา auxiliary setae รวมกลุมอยูดวย<br />

ตามปกติแลว cerarii แตละคูจะอยูดานขางของปลองทองแตละปลอง อยูที่ดาน<br />

ขางของสวนอก 2 คู และสวนที่เหลืออยูที่สวนหัว cerarii ที่อยูบริเวณสวนหัวเรียกวา frontal<br />

cerarii, perocular cerarii และ ocular cerarii ตามลํ าดับ cerarii 2 คูสุดทายของปลองเรียกวา<br />

penultimate cerarii และ anal lobe cerarii ตามลํ าดับ<br />

รู (pores) ในเพลี้ยแปงที่ผนังลํ<br />

าตัวจะพบรูชนิดตาง ๆ ที่สํ าคัญมี 4 ชนิด คือ<br />

Multilocular disc pores เปนรูรูปวงกลมภายในประกอบดวยชองเล็ก ๆ 10 ชอง (loculi) ทํ าหนา<br />

ที่สราง wax ในการสรางถุงหุมไข (ovisac) บางครั้งจะไมมีหรือมีเปนจํ านวนมากทั้งดานบนและ<br />

ดานลางของผนังลํ าตัว ตามปกติจะพบ multilocular disc pores บริเวณรอบ ๆ vulva เพลี้ยแปงที่<br />

มี multilocular disc pores มากมักเปนพวกที่ออกลูกเปนไข<br />

(oviparus) และพวกที่มี<br />

multilocular disc pores นอยมักเปนพวกที่ออกลูกเปนตัวออน (viviparous) หรือพวกที่ตัวออน<br />

ฟกตัวอยูในตัวแม (ovoviviparous) trilocular pores บางครั้งเรียงวา swirled trilocular pores<br />

เปนรูรูปสามเหลี่ยม ภายในประกอบดวยชองเล็ก 3 ชอง (loculi) มักพบกระจายตัวอยูทั่วไปทั้ง<br />

ดานบนและดานลางของผนังลํ าตัว ทํ าหนาที่ผลิตไขแปงเพื่อปกคลุมลํ าตัวแมลง บางครั้งจะไมพบ<br />

trilocular pores ที่พบบริเวณอื่น ๆ หรือ trilocular pores พวกที่อยูดานบนมีขนาดใหญกวาพวกที่<br />

อยูดานลางของผนังลํ าตัว quinquelocular pores เปนรูรูปหาเหลี่ยมภายในประกอบดวยชองเล็ก ๆ<br />

5 ชอง จะพบ quinquelocular pores ในเพลี้ยแปงบางสกุลเทานั้น สวนใหญจะพบทางดานลางของ<br />

ผนังลํ าตัว ทํ าหนาที่เชนเดียวกันกับ trilocular pores Discoidal pores เปนรูเล็ก ๆ รูปกลมไมทราบ<br />

หนาที่ที่แนนอน เปนลักษณะที่สํ าคัญที่ใชในการจํ าแนกชนิด<br />

13


ทอ (tubular ducts) เปนทอที่อยูภายในและปากทออยูบนผิวผนังลํ าตัว ในเพลี้ยแปง<br />

ปลายทอดานในมักจะแบนไมโคงเปนรูปถวย ตามปกติทํ าหนาที่ผลิตเสนแปง (filament of wax)<br />

ซึ่งจะไปรวมในการสรางถุงหุมไข แตบางครั้งจะพบ tubular duct ในพวกที่ออกลูกเปนตัวออนดวย<br />

ลักษณะของทออาจมีรูปรางตาง ๆ แตที่เห็นไดชัดมี 2 แบบ คือ oral collar tubular ducts และ oral<br />

rim tubular ducts<br />

ขน (setae) นอกจาก cerarian setae แลว ที่ผนังลํ าตัวของแมลงทั้งดานบนและ<br />

ดานลางจะประกอบดวยขน (body setae) รูปรางตาง ๆ เชน ที่ผนังลํ าตัวดานบนอาจเปนรูปกรวย<br />

(conical setae) รูปหอก (lanceolate) หรือเปนเสนเล็ก ๆ บาง ๆ (flagellate) โดยปกติแลวจะเปน<br />

flagellate setae ที่บริเวณพื้นที่กลาง ๆ ของผนังลํ าตัวดานลาง setae ที่ผนังลํ าตัวดานบนมักมี<br />

ลักษณะเฉพาะของสกุลนั้น ๆ ที่ปลายสวนทองดานลางมี setae ที่สํ าคัญอีก 2 คู คือ obanal setae<br />

1 คู และ cisanal setae 1 คู (Williams and Watson, 1988b)<br />

ในการสํ ารวจแมลงของสวนทุเรียนพบเพลี้ยแปง 2 ชนิดคือ Planococcus lilacinus (Cockerell)<br />

และ Planceoccus minor (Maskell) เพลี้ยแปงทั้งสองชนิดที่พบในสวนทุเรียน เพลี้ยแปงตัวเมีย<br />

ไมมีปก ลักษณะคลายตัวออนเกาะติดที่ผิวเปลือกทุเรียน สวนตัวผูมีปก 1 คู บินไดไมแข็งแรงและ<br />

ไมเคยพบในกับดัก แมในชวงที่พบเพลี้ยแปงมากที่ผล<br />

จากการศึกษาไดพบเพลี้ยแปงศัตรูกลวย วงศ Pseudococcidae 2 ชนิด คือ Dysmicoccus<br />

neobervipes Beardsley และ Planococcus minor (Maskell) และนอกจากกลวยแลวไดพบพืช<br />

อาหารอื่น ๆ อีก 19 ชนิด โดยพืชอาหารของ Dysmicoccous neobervipes Beardsley 15 ชนิด<br />

ไดแก ศรนารายณ หมากเขียว แคแดง เทียนญี่ปุน พะยอม จามจุรี กราง ชํ ามะเลียง ทับทิม ปบ<br />

ขนุน ทานตะวัน ลั่นทม มะขาม สัก พบพืชอาหารของ Planococcus minor (Maskell) 4 ชนิด<br />

คือ ลางสาด มะมวงหิมพานต มันฝรั่ง หงอนไก นอกจากนี้ไดพบแมลงตัวหํ้<br />

าของเพลี้ยแปง<br />

Planococcus minor (Maskell) คือ หนอนดวงเตา Coccinellidae อันดับ Coleoptera (บุปผา,<br />

2537ก)<br />

ลักษณะของแมลงวงศ Pseudococcidae<br />

Genus DYSMICOCCUS<br />

Dysmicoccus Ferris, 1950<br />

14


ตัวเต็มวัยเพศเมียรูปรางคลายรูปไข คอนขางกลม หนวดปกติจะมี 8 ปลอง ostioles มี<br />

2 คู ขาเรียวยาว เล็บไมมี denticle cerarii 6-17 คู ไมมี preocular cerarii ตามปกติ cerarii<br />

แตละอันจะประกอบดวย setae ปลายแหลม คลายรูปกรวยขนาดใหญจํ านวนใหญไมเกิน 5-6<br />

เสน และ auxiliary setae 2-3 เสน แตบางครั้ง<br />

auxiliary setae ของปลองกอนรองสุดทาย<br />

(antepenultimate cerarii) จะหายไป ตามปกติจะไมมี circulus แตบางชนิด circulus จะหายไป<br />

มักจะไมมี oral rim tubular ducts setae ที่อยูดานบนของลํ าตัว มีลักษณะเปนเสนบาง ๆ ยาว ๆ แต<br />

อาจจะมี setae ปลายแหลม รูปรางคลายรูปกรวยปะปนอยูดวย ดานลางของ anal lobe แตละอันมี<br />

ลักษณะเปนแผนแข็ง แตบางชนิดไมเปนแผนแข็ง ไมมี anal lobe bar (Williams and Watson,<br />

1988a)<br />

Dysmicoccous neobervipes Beardsley<br />

Beardsley, 1959: 31, 1965: 61, 1966: 410, 1975: 657<br />

ชื่อสามัญ Grey pineapple mealybug<br />

ลักษณะทางธรรมชาติ<br />

ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางคอนขางกลม รอบ ๆ ลํ าตัวมีเสนแปงสั้น ๆ สีขาว เสนแปงดาน<br />

ทายยาวกวาดานขางเล็กนอย ผนังลํ าตัวปกคลุมดวยไขแปงสีขาว หนวดมี 8 ปลอง ขายาวเรียว<br />

(บุปผา และชลิดา, 2543)<br />

ลักษณะทางอนุกรมวิธาน<br />

เมื่อนํ<br />

าแมลงมาติดบนแผนสไลด ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางคอนขางกลม ขนาดลํ าตัว<br />

ยาวประมาณ 3.3-3.5 มม. กวาง 2.7-3.0 มม. หนวด 8 ปลอง ขาเรียวยาว ostioles มี 2 คู อยู<br />

ทางสวนหัว 1 คู สวนทายลํ าตัว 1 คู เล็บ (claw) ไมมี denticles cerarii มี 17 คู cerarii แตละอัน<br />

ประกอบดวยกลุมของรูเปดรูปสามเหลี่ยม<br />

(trilocular pores) กลุมของขนปลายแหลมรูปกรวย<br />

(conical setae) และกลุมขนเล็ก ๆ บาง ๆ (auxiliary setae) โดย cerarii คูที่ 1 มี setae ปลายแหลม<br />

รูปกรวย 2 เสน cerrarii ที่อยูบริเวณสวนหัวมีขนดังกลาว 3-6 เสน ที่สวนอกมี 2-3 เสน cerarii ที่<br />

ปลองทองปลองที่4-7<br />

จะมีขนดังกลาวมากถึง 6 เสน แต cerarii คูรองสุดทาย (penultimate cerarii)<br />

แตละอันจะมีขนชนิดนี้เพียง 2 เสนเทานั้น circulus เจริญดี ไมมี intermediate cerarii<br />

ผนังลํ าตัวดานบน (dorsum) ประกอบดวย setae สั้น ๆ ปลายแหลม trilocular pores<br />

มีเปนจํ านวนมากอยูกระจายทั่วไป discoidal pores พบกระจายทั่วไปมีขนาดตาง ๆ กัน แตละอัน<br />

15


ขอบรูจะหนา discoidal pores ที่ใหญที่สุดมีขนาดเสนผาศูนยกลางใหญกวา trilocular pores เห็น<br />

ไดชัด อยูบริเวณเสนกลางลํ าตัว (mid line) ของแมลง โดยเฉพาะบริเวณปลองที่อยูสวนทาย<br />

(posterior) ของลํ าตัว discoidal pores สวนที่เหลือจะมีขนาดเทาหรือเล็กกวา trilocular pores<br />

ผนังลํ าตัวดานลาง (venter) ประกอบดวย setae สั้น ๆ ยกเวนบริเวณหัวและบริเวณปลอง<br />

ทาย ๆ circulus เจริญดี multilocular disc pores จะเรียงเปนแถว 1 แถว บนปลองทองปลองที่ 7<br />

trilocular pores พบกระจายทั่วไป discoidal pores สวนใหญมีขนาดเล็ก พบกระจัดกระจายทั่วไป<br />

บนผนังลํ าตัว บางครั้งจะพบอยูบริเวณใกล ๆ ตา 2-3 อัน oral collar tubular ducts มี 2 ขนาด<br />

พวกที่มีขนาดเล็กเทากับ multilocular disc pores และกวางเทากับ trilocular pores โดยจะพบ<br />

เรียงกันเปนแถว 1 แถวหรือ 2 แถว ผานกึ่งกลางปลองทองปลองที่ 5-7 บางครั้งพบบริเวณสวนอก<br />

อีกพวกหนึ่งมีขนาดกวางกวาพวกแรก แตความยาวจะสั้นกวาเสนผาศูนยกลางของ multilocular<br />

disc pores และจะพบเปนกลุมเล็ก ๆ อยูบนปลองที่ 4-7 anal ring ประกอบดวย setae 6 เสน anal<br />

lobe ไมมี anal lobe bar cisanal setae สั้นกวา anal ring setae D. neobervipes พบดูดกินนํ้ าเลี้ยงจาก<br />

ผล และกานผลไม<br />

เขตการแพรกระจาย<br />

กรุงเทพฯ นนทบุรี นครปฐม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี ราชบุรี กาญจนบุรี ลพบุรี นครสวรรค<br />

ฉะเชิงเทรา ชลบุรี นครราชสีมา สระบุรี ปราจีนบุรี<br />

พืชอาหาร<br />

กลวยนํ้ าวา กลวยเล็บมือนาง ศรนารายณ หมากเหลือง แคแดง เทียนญี่ปุน พะยอม จามจุรี<br />

กราง ชํ ามะเลียง ทับทิม ปบ ขนุน ทานตะวัน ลั่นทม มะขาม สัก มะมวง หมากเขียว นอยหนา<br />

แมลงศัตรูธรรมชาติ<br />

แมลงหํ้ า<br />

ดวงเตา Scymnus sp. (Coleoptera: Coccinellidae) มี 2 ชนิด คือ<br />

ชนิดที่<br />

1 พบทั้งตัวออน<br />

และตัวเต็มวัย ตัวเต็มวัยขนาดเล็กมาก ลํ าตัวยาวประมาณ<br />

1.0-2.0 มม. สีนํ้ าตาลเขมเกือบดํ า หัวและปกคูหนาสีนํ้<br />

าตาลเขมเกือบดํ า ปกคูหนามีสีนํ้ าตาล<br />

16


ออนเกือบกลมขนาดใหญขางละ 1 จุด อยูบริเวณเกือบถึงปลายปกคูหนา ตัวหนอนมีขนาดเล็ก<br />

มากสีขาว มี wax สีขาว ลักษณะเปนเสนยาว ๆ คลายเสนแปงของเพลี้ยแปง ปกคลุมลํ าตัวทํ าใหดู<br />

คลายเพลี้ยแปงมาก ทั้งตัวหนอนและตัวเต็มวัย พบวาทํ าลายเพลี้ยแปง<br />

ชนิดที่ 2 ขนาดและรูปรางใกลเคียงกับชนิดที่ 1 แตสวนหัวสีนํ้ าตาลออน ปกคูหนาสีนํ้ าตาล<br />

เขมเกือบดํ า ปลายปกมีจุดสีนํ้<br />

าตาลออน รูปรางเกือบกลม<br />

หนอนผีเสื้อ Spalgis epius epius Westwood (Lepidoptera: Lycaenidae)<br />

แมลงเบียน<br />

แตนเบียน Aenasius advena Compere (Hymenoptera: Encyrtidae)<br />

ตัวเต็มวัยเพศเมียลํ าตัวยาวประมาณ 1.0-2.0 มม. สวนหัวคอนขางกวางมีสีนํ้ าตาลอมเขียว<br />

pronotum มีสีนํ้ าเงินอมเขียวสะทอนแสงสีแดงอมมวง หนวดปลองแรก (scape) ใหญ มีลักษณะ<br />

เปนแผนแบน คอนขางกวาง ขอบของ scape ดานหนึ่งจะโคงมาก ปลาย scape และ pedicel และ<br />

funicle segments สีเหลืองออน ขาสีนํ้ าตาลปนดํ า ประกอบดวย tarsi 4 ปลอง ขาคูกลางสีออน<br />

กวาขาคูหนาและคูหลัง tarsi สีเหลือง หรือสีขาวปลายมีสีนํ้ าตาล<br />

ตัวเต็มวัยเพศผู มีขนาดเล็กกวาเพศเมียเล็กนอย ลักษณะทั่วไปคลายเพศเมีย แตหนวด<br />

ตางกัน คือ scape มีลักษณะเปนแผนแบน แตไมกวางเทากับเพศเมีย flagellum มีขนาดเทากัน<br />

ตลอดไมแบงเปนปลอง ๆ (unsegmented) คือไมแบงเปน funicle segments และ clava (บุปผา,<br />

2537ก, 2537ข.)<br />

Genus PLANOCOCCUS<br />

Planococcus Ferris, 1950: 164<br />

Allococcus Bzzat and Mcconnell, 1956: 13<br />

ตัวเต็มวัยเพศเมียรูปรางกลมรีคลายรูปไข หนวด 8 ปลอง ขาเจริญดี เล็บ (claw) ไมมี<br />

denticles coxa ของขาคูหลังประกอบดวย translucent pores cerarii 18 คู cerarii คูที่อยูบน<br />

ปลองทองทุกคูประกอบดวย setae รูปกรวยขนาดใหญ 2 เสน และไมมี auxiliary setae สวนใหญ<br />

จะมี circulus oral rim tubular ducts มีหรือหายไป setae ที่บนผนังลํ<br />

าตัวดานบนมักมีลักษณะเปน<br />

17


เสนบาง ๆ ยาว ๆ บางครั้งจะพบ setae ปลายแหลมรูปกรวยปะปนอยูดวย multilocular disc pores<br />

พบทั่วไป และอยางนอยจะพบที่ผนังลํ าตัวดานลางของสวนทอง anal lobe ประกอบดวย anal lobe<br />

bar (Wiliams and Watson, 1988b) จากการศึกษาพบเพลี้ยแปงสกุลนี้ 1 ชนิด คือ Planococcus<br />

minor (Maskell)<br />

Planococcus minor (Maskell)<br />

Planococcus pacificus Cox, 1981: 48<br />

ชื่อสามัญ Passionvine mealybug<br />

ลักษณะทางธรรมชาติ<br />

ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางกลมรี คลายไข ลํ าตัวยาวประมาณ 3.0-3.3 มม. ดานขางมีเสน<br />

แปงสั้น ๆ สีขาวรอบลํ าตัว ผนังลํ าตัวปกคลุกดวยสารสีขาวคลายแปง หนวดมี 8 ปลอง ขายาวเรียว<br />

ลักษณะทางอนุกรมวิธาน<br />

ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางกลมคลายรูปไข ขนาดลํ าตัวยาวประมาณ 3.0-3.3 มม. กวาง<br />

2.0-2.5 มม. หนวด 8 ปลอง ขาเรียวยาว เล็บ(claw) ไมมี denticles ostiles มี 2 คู คืออยูทาง<br />

สวนหัว 1 คู ทางสวนทายของลํ าตัว 1 คู cerarii 18 คู cerarii แตละ อันประกอบดวยกลุมของรูป<br />

สามเหลี่ยม (trilocular pores) และ setae ปลายแหลมรูปกรวย 2 เสน ไมมี auxiliary setae<br />

ผนังลํ าตัวดานบน ประกอบดวย setae ลักษณะเรียวเล็กบางฐานของ setae คอนขางหนา<br />

ขนาดของ setae คอนขางสั้น trilocular พบกระจายทั่วไป<br />

discoidal pores ที่ผนังลํ าตัวดานบนมี<br />

2 ขนาด คือ ขนาดเล็ก และขนาดคอนขางใหญ<br />

ผนังลํ าตัวดานลาง ประกอบดวย setae ขนาดคอนขางยาว มีลักษณะเรียวเล็กบาง<br />

trilocular pores พบกระจายอยูทั่วไป<br />

ที่ผนังลํ าตัวดานลางในสวนที่ถัดจาก cerarii คูที่ 4 จะไมพบ<br />

oral collar tubular ducts circulus เจริญดี multilocular disc pores พบที่สวนอกใกล ๆ coxa ของ<br />

ขาคูที่ 1 และบริเวณสวนทายของปลองทองปลองที่ 4-7 multilocular disc pores จะเรียงตัวกัน<br />

เปน 2 แถว anal lobe ประกอบดวย anal lobe bar cisanal setae สั้นกวา anal ring setae anal<br />

ring เจริญดี ประกอบดวย setae 6 เสน P. minor ดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากผลและกานผลไม<br />

เขตแพรกระจาย ระยอง จันทบุรี เชียงใหม นครพนม ชุมพร<br />

18


พืชอาหาร ทุเรียน นอยหนา เงาะ ลางสาด มะมวงหิมพานต กลวยนํ้ าวา หงอนไก มันฝรั่ง<br />

แมลงศัตรูธรรมชาติ<br />

แมลงหํ้ า<br />

ดวงเตา Scymnus sp. (Coleoptera: Coccinellidae)<br />

พบทั้งตัวออน และตัวเต็มวัย ตัวเต็มวัยขนาดเล็กมาก ลํ าตัวยาวประมาณ 1.0-2.0 มม.<br />

สีนํ้ าตาลเขมเกือบดํ า หัวและปกคูหนาสีนํ้ าตาลเขมเกือบดํ า ปกคูหนามีจุดสีนํ้ าตาลออนเกือบกลม<br />

ขนาดใหญขางละ 1 จุด อยูบริเวณเกือบถึงปลายปกคูหนา ตัวหนอนมีขนาดเล็กมากสีขาว มี wax<br />

สีขาว ลักษณะเปนเสนยาว ๆ คลายเสนแปงของเพลี้ยแปงปกคลุมลํ าตัว ทํ าใหดูคลายเพลี้ยแปงมาก<br />

ทั้งตัวหนอนและตัวเต็มวัยพบวาทํ าลายเพลี้ยแปง Planococcus minor (Maskell) (บุปผา, 2537ก)<br />

หนอนดวงเตา Cryptolaemus montrouzieri Mulsant วงศ Coccinellidae อันดับ<br />

Coleoptera<br />

หนอนผีเสื้อ Spalgis epius epius Westwood: วงศ Lycaenidae อันดับ Lepidoptera<br />

แมลงเบียน<br />

แตนเบียน Aprostocetus purpureus (Cameron) วงศ Eulophidae อันดับ<br />

Hymenoptera<br />

แตนเบียน Allotropa sp. วงศ Platygastridae อันดับ Hymenoptera<br />

Genus PSEUDOCOCCUS<br />

Pseudococcus cryptus Hempel<br />

Pseudococcus citriculus Green; Zimmerman, 1948: 210; Williams and Watson,<br />

1988b: 175.<br />

ชื่อสามัญ Citrus mealybug<br />

19


ลักษณะทางธรรมชาติ<br />

ตัวเต็มวัยเพศเมีย มีรูปรางคลายรูปไข ขนาดคอนขางกวาง ลํ าตัวยาวประมาณ 2.8-3.0 มม.<br />

ผนังลํ าตัวมีสีเหลืองออน หรือเขียวอมเหลือง ลํ าตัวปกคลุมดวยไขแปงสีขาว ดานขางของผนังลํ าตัว<br />

มีเสนแปงลอมรอบ เสนแปงที่อยูดานทายของลํ าตัวจะยาวที่สุด<br />

เสนแปง 4-5 คูสุดทาย ยาวกวา<br />

ความกวางของลํ าตัว หนวดมี 8 ปลอง ขาเจริญดีตัวเต็มวัยเพศเมียจะสรางถุงหุมไขสีขาว ไข และ<br />

ตัวออนสีเหลืองออน<br />

ลักษณะทางอนุกรมวิธาน<br />

เมื่อนํ าแมลงมาติดบนสไลด ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางคอนขางกลม หนวด 8 ปลอง ขา<br />

เรียวยาว ostioles มี 2 คู อยูทางสวนหัว 1 คู สวนทายลํ าตัว 1 คู เล็บ (claw) ไมมี denticles<br />

cerarii มี 17 คู cerarii แตละอันประกอบดวยกลุมของรูเปดรูปสามเหลี่ยม<br />

(trilocular pores)<br />

กลุมของขนปลายแหลมรูปกรวย (conical setae) และกลุมขนเล็ก ๆ บาง ๆ (auxiliary setae)<br />

โดย cerarii คูที่ 1 มี setae ปลายแหลมรูปกรวย 2 เสน cerrarii ที่อยูบริเวณสวนหัวมีขนดังกลาว<br />

3-6 เสน ที่สวนอกมี 2-3 เสน cerarii ที่ปลองทองปลองที่ 4-7 จะมีขนดังกลาวมากถึง 6 เสน<br />

แต cerarii คูรองสุดทาย (penultimate cerarii) แตละอันจะมีขนชนิดนี้เพียง 2 เสนเทานั้น<br />

circulus เจริญดี ไมมี intermediate cerarii<br />

ผนังลํ าตัวดานบน (dorsum) ประกอบดวย setae สั้น ๆ ปลายแหลม trilocular pores<br />

มีเปนจํ านวนมากอยูกระจายทั่วไป<br />

discoidal pores พบกระจายทั่วไปมีขนาดตาง<br />

ๆ กันแตละอัน<br />

ขอบรูจะหนา discoidal pores ที่ใหญที่สุดมีขนาดเสนผาศูนยกลางใหญกวา trilocular pores เห็น<br />

ไดชัด อยูบริเวณเสนกลางลํ<br />

าตัว (mid line) ของแมลง โดยเฉพาะบริเวณปลองที่อยูสวนทาย<br />

(posterior) ของลํ าตัว discoidal pores สวนที่เหลือจะมีขนาดเทาหรือเล็กกวา trilocular pores<br />

ผนังลํ าตัวดานลาง (venter) ประกอบดวย setae สั้น ๆ ยกเวนบริเวณหัวและบริเวณปลอง<br />

ทาย ๆ circulus เจริญดี multilocular disc pores จะเรียงเปนแถว 1 แถว บนปลองทองปลองที่ 7<br />

trilocular pores พบกระจายทั่วไป discoidal pores สวนใหญมีขนาดเล็ก พบกระจัดกระจายทั่วไป<br />

บนผนังลํ าตัว บางครั้งจะพบอยูบริเวณใกล ๆตา 2-3 อัน oral collar tubular ducts มี 2 ขนาด<br />

พวกที่มีขนาดเล็กเทากับ multilocular disc pores และกวางเทากับ trilocular pores โดยจะพบ<br />

เรียงกันเปนแถว 1 แถวหรือ 2 แถว ผานกึ่งกลางปลองทองปลองที่ 5-7 บางครั้งพบบริเวณสวน<br />

อก อีกพวกหนึ่งมีขนาดกวางกวาพวกแรก<br />

แตความยาวจะสั้นกวาเสนผาศูนยกลางของ<br />

multilocular disc pores และจะพบเปนกลุมเล็ก ๆ อยูบนปลองที่ 4-7 anal ring ประกอบดวย<br />

20


setae 6 เสน anal lobe ไมมี anal lobe bar cisanal setae สั้นกวา anal ring setae เพลี้ยแปง<br />

Pseudococcus cryptus พบดูดกินนํ้<br />

าเลี้ยงจากผล และกานผลไม เพลี้ยแปงสกุลนี้จะคลายกับสกุล<br />

Dysmicoccus ลักษณะแตกตางคือ สกุล Dysmicoccus จะไมมี oral rim tubular ducts สวนสกุล<br />

Pseudococcus จะมี oral rim tubular ducts บนสวนใดสวนหนึ่งของผนังลํ าตัว (Williams and<br />

Granara, 1992)<br />

พืชอาหาร มะพราว มะมวง มะขาม<br />

เขตแพรกระจายกรงเทพฯ ฉะเชิงเทรา กาญจนบุรี สระบุรี<br />

แมลงศัตรูธรรมชาติ<br />

ดวงเตา Crytolaemus montrouzieri Mulsant วงศ Coccinellidae อันดับ Coleoptera<br />

(Zimmerman, 1948)<br />

21


อุปกรณและวิธีการ<br />

อุปกรณ<br />

1. สวนมังคุด จังหวัดจันทบุรี<br />

2. ผลมังคุดสด<br />

3. ผลฟกทองขนาดเล็ก<br />

4. เพลี้ยแปงชนิด Pseudococcus cryptus<br />

5. กลองเลี้ยงแมลง ขนาด 20X28X10 เซนติเมตร<br />

6. ถาดสังกะสี ขนาด 30X40X10 เซนติเมตร<br />

7. ชั้นวางถาดผลไม<br />

8. สารฆาแมลง ไดแก malathion (Malathion 83% EC), chlorpyrifos (Lorsban<br />

40% EC)<br />

9. นํ้ ามันปโตรเลียม (SK99 89.3% EC)<br />

10.นํ้ ายาลางจาน (ซันไลต)<br />

11.เครื่องเปาลม และนํ้ า ขนาดความดัน 20 ปอนด/ตารางนิ้ว<br />

12.พูกัน แวนขยาย และกลองจุลทรรศน<br />

13.ถังนํ้ า ขนาด 30X40X30 เซนติเมตร<br />

14.อุปกรณชั่งตวงสารเคมี<br />

15.ตะกราพลาสติกมีฝาปด ขนาด 20X20X20 เซนติเมตร<br />

16.เครื่องนับแมลง<br />

วิธีการ<br />

1.การศึกษาชวงฤดูการระบาดของเพลี้ยแปงบนผลมังคุด<br />

ศึกษาการระบาดของเพลี้ยแปงทุกระยะการพัฒนาของมังคุด ตั้งแตเดือนตุลาคม 2546-<br />

พฤษภาคม 2547 โดยสุมสํ ารวจในสวนมังคุดอายุประมาณ 15 ป ขนาดพื้นที่ 1 ไร (25ตน)<br />

ของเกษตรกรจังหวัดจันทบุรี จํ านวน 10 ยอด หรือ 10 ผลตอตน โดยรอบทรงพุม บันทึก<br />

จํ านวนเพลี้ยแปงตอยอด หรือผล พรอมบันทึกระยะการพัฒนาของมังคุดวาในชวงที่สํ ารวจมีการ<br />

พัฒนาอยูระยะใบแก ใบออน ดอก ผลออน หรือผลแก<br />

22


2.ศึกษาชีวประวัติของเพลี้ยแปงในมังคุด<br />

เก็บรวบรวมเพลี้ยแปงจากสวนมังคุดตามแหลงปลูกมังคุดจังหวัดจันทบุรี<br />

ระยอง และ<br />

ตราด นํ ามาเขี่ยเลี้ยงขยายพันธุและเพิ่มปริมาณบนผลฟกทอง<br />

ซึ่งวางในกลองเลี้ยงแมลง ขนาด<br />

20X28X10 เซนติเมตร กลองละ 1 ผล วางกลองเลี้ยงแมลงบนชั้นในหองปฏิบัติการ ที่อุณหภูมิ<br />

28-32 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธที่ 60-80 เปอรเซ็นต เมื่อเพลี้ยแปงเริ่มวางไขและไข<br />

เริ่มฟกเปนตัวออน ใชพูกันเขี่ยตัวออนเพลี้ยแปงที่ฟกใหม ๆ แยกเลี้ยงเพื่อศึกษาชีวประวัติบนผล<br />

ฟกทองขนาดเล็ก ผลละ 1 ตัว บันทึกลักษณะ รูปราง ขนาด ระยะเวลา และพฤติกรรมของ<br />

เพลี้ยแปงแตละตัว<br />

โดยเริ่มศึกษาจากตัวออนเพลี้ยแปง<br />

100 ตัว<br />

การบันทึกขอมูล<br />

บันทึกรูปรางลักษณะ ขนาด และระยะเวลาของเพลี้ยแปงทั้งเพศเมียและเพศผู รวมทั้ง<br />

พฤติกรรมของเพลี้ยแปงแตละตัว<br />

3.ศึกษาเปรียบเทียบวิธีการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อการสงออก<br />

วางแผนการทดลองแบบ CRD จํ านวน 7 กรรมวิธี<br />

1. เปาลม ความดัน 20 ปอนด/ตารางนิ้ว นาน 15 วินาที/ผล<br />

2. พนนํ้ า ความดัน 20 ปอนด/ตารางนิ้ว นาน 15 วินาที/ผล<br />

3. จุมสาร chlorpyrifos (Lorsban 40% EC) อัตรา 8 มิลลิลิตร/นํ้ า 10 ลิตร นาน 1 นาที<br />

4. จุมสาร malathion (Malathion 83% EC) อัตรา 10 มิลลิลิตร/นํ้ า 10 ลิตร นาน 1นาที<br />

5. จุมนํ้<br />

ามันปโตรเลียม (SK99 89.3% EC) อัตรา 8 มิลลิลิตร/นํ้ า 10 ลิตร นาน 1 นาที<br />

6. จุมนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) อัตรา 2 มิลลิลิตร/นํ้ า 10 ลิตร นาน 1 นาที<br />

7. Control<br />

ทดสอบกับผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว<br />

ซึ่งมีการทํ าลายของเพลี้ยแปง<br />

Pseudococcus<br />

cryptus อยูใตกลีบเลี้ยง โดยเตรียมผลมังคุดสํ าหรับทดลอง ดังนี้<br />

3.1 ผลมังคุดที่มีการระบาดของเพลี้ยแปงจากธรรมชาติ มีการทดลอง 5 ซํ้ า โดยการ<br />

เลือกผลที่เก็บเกี่ยวใหม ๆ (สีของผลมังคุดในระดับ 2) ที่มีการระบาดของเพลี้ยแปงใตกลีบเลี้ยง<br />

ไมตํ่<br />

ากวา 5 ตัวตอผล เขียนลํ าดับเลขผลมังคุดจํ านวน 15 ผลตอซํ้ า ตรวจนับจํ านวนเพลี้ยแปง<br />

23


ซึ่งอยูใตกลีบเลี้ยงมังคุดแตละผลพรอมบันทึก จากนั้นจึงนํ าผลมังคุดทั้ง 15 ผล ไปผานกรรมวิธี<br />

ตาง ๆ ตามกํ าหนด<br />

3.2 ผลมังคุดที่ทํ าการระบาดเทียม ทํ าการทดลอง 6 ซํ้ า โดยการนํ าผลมังคุดที่เก็บเกี่ยว<br />

ใหม ๆ (สีของผลมังคุดในระดับ 2) จากสวนซึ่งตรวจสอบแลววา ไมมีการระบาดของเพลี้ยแปง<br />

อยูใตกลีบเลี้ยง เขียนลํ าดับเลขผลมังคุดจํ านวน 20 ผลตอซํ้ า จากนั้นเขี่ยเพลี้ยแปงเพศเมียวัยสามที่<br />

เลี้ยงขยายไวบนผลฟกทอง ลงบนผลมังคุดทั้ง 20 ผลที่ลํ าดับหมายเลขไวแลวผลละ 10 ตัว วางผล<br />

มังคุดไวในถาดขนาด 30X40X10 เซนติเมตร คลุมดวยผาขาวบาง วางบนชั้นวางถาดในหอง<br />

ปฏิบัติการ อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ 60-80 เปอรเซ็นต ทิ้งไว 1 วัน<br />

(เพื่อใหเพลี้ยแปงที่เขี่ยเขาไปฝงตัวดูดกินนํ้ าเลี้ยงใตกลีบเลี้ยงมังคุด เหมือนกับการระบาดจริงใน<br />

ธรรมชาติ) จึงนํ ามาตรวจนับจํ านวนเพลี้ยแปงที่เกาะอยูบนแตละผลจริง<br />

ๆ พรอมบันทึกจํ านวน<br />

กอนนํ าผลทั้ง 20 ผล ไปผานกรรมวิธีตาง ๆ ตามกํ าหนด<br />

การเปาลม (ภาพที่ 5) นํ าผลมังคุดที่ทดสอบไปเปาลมดวยเครื่องเปาลมแรงดัน 20<br />

ปอนดตอตารางนิ้ว โดยจอหัวเปาลมไปที่ใตกลีบเลี้ยงมังคุดโดยรอบนานผลละ 15 วินาที นํ าผลที่<br />

เปาลมแลววางในถาดสังกะสี ขนาด 30X40X10 เซนติเมตร วางบนชั้นวางถาด<br />

การพนนํ้ า (ภาพที่ 6) นํ าผลมังคุดที่ทดสอบไปพนนํ้<br />

าดวยเครื่องแรงดัน 20 ปอนด<br />

ตอตารางนิ้ว โดยจอหัวพนนํ้ าไปใตกลีบเลี้ยงโดยรอบผล นานผลละ 15 วินาที นํ าผลมังคุดที่พนนํ้ า<br />

แลว วางในถาดสังกะสี ขนาด 30X40X10 เซนติเมตร วางบนชั้นวางถาด<br />

การจุมสารฆาแมลง (ภาพที่ 7) นํ้ ามันปโตรเลียมและนํ้<br />

ายาลางจาน ผสมสาร<br />

ฆาแมลง chlorpyrifos (Lorsban 40% EC), malathion (Malathion 83% EC), นํ้ ามัน<br />

ปโตรเลียม (SK99 89.3% EC) และนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) อัตรา 8, 10, 8 และ 2 มิลลิลิตร<br />

ตอนํ้<br />

า 10 ลิตร ตามลํ าดับ ใสในถังพลาสติกขนาด 30X40X30 เซนติเมตร จากนั้นนํ ามังคุดที่<br />

นับจํ านวนเพลี้ยแปงแลวใสตะกราพลาสติก<br />

ขนาด 20X20X20 เซนติเมตร ปดฝานํ าจุมในสาร<br />

ทดสอบที่เตรียมไวนาน 1 นาที นํ าขึ้นมาผึ่งใหแหงในที่รม จากนั้นนํ าผลมังคุดใสในถาดสังกะสี<br />

ขนาด 30X40X10 เซนติเมตร วางบนชั้นวางถาด วิธีการใชสารฆาแมลงในการทดลองนี้ เพื่อใช<br />

เปนตัวเปรียบเทียบประสิทธิภาพในการกํ าจัดแมลงดวยวิธีอื่น<br />

ซึ่งปลอดสารตกคางในผลิตผล<br />

Control หลังจากนับจํ านวนเพลี้ยแปงบนผลมังคุดแลวทั้งหมด วางในถาดสังกะสี<br />

ขนาด 30X40X10 เซนติเมตร (ภาพที่ 8) วางบนชั้นวางถาด<br />

24


ภาพที่ 5 แสดงลักษณะการเปาลม<br />

25


ภาพที่ 6 แสดงลักษณะการพนนํ้ า<br />

26


ภาพที่ 7 แสดงลักษณะการจุมสาร<br />

27


ภาพที่ 8 แสดงผลมังคุดที่ใชทดสอบการจุมสาร<br />

8.1ผลมังคุดหลังการจุมสาร<br />

8.2นํ าผลมังคุดใสถาดสังกะสีหลังจุมสาร<br />

8.1<br />

8.2<br />

28


นํ าชั้นวางถาดมาไวในหองปฏิบัติการ อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ<br />

60-80 เปอรเซ็นต ตรวจสอบจํ านวนเพลี้ยแปงที่มีชีวิตอยูบนผลมังคุดแตละผล<br />

หลังการทดสอบ<br />

1, 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 วัน รวมทั้งบันทึกลักษณะความเปลี่ยนแปลงของผลมังคุด จากการใช<br />

กรรมวิธีตาง ๆ เชน สีของเปลือกมังคุด สีและลักษณะกลีบเลี้ยง นํ าผลที่ไดไปคํ านวณหาประสิทธิภาพ<br />

ในการกํ าจัดเพลี้ยแปงของกรรมวิธีตาง ๆ จากสูตร<br />

การบันทึกขอมูล<br />

%efficacy = (C 2T 1-C 1T 2) X 100 (Puntner, 1981)<br />

C 2T 1<br />

C 1 = จํ านวนแมลงใน control กอนพน<br />

C 2 = จํ านวนแมลงใน control หลังพน<br />

T 1 = จํ านวนแมลงใน treat กอนพน<br />

T 2 = จํ านวนแมลงใน treat หลังพน<br />

และวิเคราะหผลเปรียบเทียบทางสถิติตอไป<br />

ตรวจนับปริมาณเพลี้ยแปงที่มีชีวิตกอนและหลังการทํ าการทดลอง 1, 2, 3, 4, 5, 6<br />

และ 7 วัน<br />

สถานที่ทํ าการวิจัย<br />

สถานที่และระยะเวลาทํ าการวิจัย<br />

สวนมังคุดเกษตรกร จังหวัดจันทบุรี<br />

หองปฏิบัติการสํ านักวิจัยพัฒนาการอารักขาพืช กรมวิชาการเกษตร<br />

หองปฏิบัติการศูนยวิจัยพืชสวนจันทบุรี จังหวัดจันทบุรี<br />

ระยะเวลาในการวิจัย<br />

การทดลองเริ่มตนเดือนตุลาคม 2546-สิ้นสุดเดือนพฤษภาคม 2547<br />

29


ผลการทดลอง<br />

1. การศึกษาชวงฤดูการระบาดของเพลี้ยแปงบนผลมังคุด<br />

การศึกษาระหวางเดือนตุลาคม 2546-พฤษภาคม 2547 โดยการออกสํ ารวจและเก็บ<br />

ตัวอยางเพลี้ยแปงในมังคุด<br />

จากสวนของเกษตรกรในแหลงปลูกจังหวัดระยอง จันทบุรี ตราด<br />

(ภาพที่ 9) นํ ามาจํ าแนกชนิด พบวาเพลี้ยแปงที่ระบาดในมังคุดขณะนั้นสวนใหญเปนเพลี้ยแปงชนิด<br />

Pseudococcus cryptus Hempel ที่มีชื่อสามัญคือ Citrus mealybug และ มีชื่อพองคือ Pseudococcus<br />

citriculus Geen (Zimmerman, 1948) อยูในอันดับ Homoptera วงศ Pseudococcidae มีการ<br />

ระบาดตั้งแตผลมังคุดมีอายุประมาณ 2 เดือนจนถึงระยะเก็บเกี่ยว (ตารางที่ 1) ปจจัยที่มีผลตอ<br />

การระบาดของเพลี้ยแปงคือ มดดํ า ชนิด Technomyrmex butteli และ Dolichoderus sp. เปน<br />

พาหะคาบเพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus ไปปลอยตามผลมังคุดทํ าใหเกิดการแพรระบาดได<br />

รวดเร็วขึ้น และไดเลี้ยงขยายพันธุเพิ่มปริมาณเพลี้ยแปง<br />

Pseudococcus cryptus บนผลฟกทอง<br />

เนื่องจากผลฟกทองเปนพืชอาหารที่เพลี้ยแปงชอบ ขยายพันธุไดรวดเร็ว อยูไดนานและราคาถูก<br />

2. ศึกษาชีวประวัติของเพลี้ยแปงในมังคุด<br />

จากการนํ าเพลี้ยแปงมาเลี้ยงบนผลฟกทองขนาดเล็กที่อุณหภูมิ<br />

28-32 องศาเซลเซียส<br />

ความชื้นสัมพัทธ 60-80 เปอรเซ็นต โดยแยกเลี้ยงเดี่ยว ๆ พบวา เพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus<br />

ที่เลี้ยงมีวงจรชีวิตดังนี้<br />

ระยะไข ไขเพลี้ยแปงชนิดนี้มีลักษณะกลมรี<br />

สีเหลืองใส ขนาดกวางเฉลี่ย<br />

0.20+0.04 ยาวเฉลี่ย<br />

0.32+0.04 มิลลิเมตร (ตารางที่ 2) เมื่อใกลฟกจะเปลี่ยนเปนสีสม และ<br />

เห็นจุดแดงซึ่งเปนสวนของตารวม 2 จุด ชัดเจน ระยะไขใชเวลาเฉลี่ย 3.05+0.76 วัน จึงฟกเปน<br />

ตัวออนวัยแรก เริ่มเดินออกจากใตทองตัวแม (ภาพที่ 10)<br />

วงจรชีวิตของเพลี้ยแปงเพศเมีย (ตารางที่ 3)<br />

ตัวออนวัยที่<br />

1 ตัวออนที่ฟกออกจากไขใหม<br />

ๆ มีสีเหลืองใส รูปรางลักษณะยาว<br />

หัวปานทายแหลม เห็นสวนหนวดและขาชัดเจน ตารวมสีแดง ตัวออนวัยนี้มีขนาดกวางเฉลี่ย<br />

0.20+0.14 ยาวเฉลี่ย 0.39+0.03 มิลลิเมตร ยังไมพบไขแปงตามลํ าตัว เคลื่อนไหวไดวองไวกวา<br />

วัยอื่น ๆ โดยจะเดินไปหาตํ าแหนงที่เหมาะสมเพื่อเกาะฝงตัวดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากพืชอาหาร เรียกตัวออน<br />

ในวัยแรกของเพลี้ยแปงวา crawler (ภาพที่ 11) ใชเวลาเฉลี่ย 4.50+0.95 วัน<br />

30


ภาพที่ 9 แสดงการสํ ารวจและเก็บรวบรวมเพลี้ยแปง<br />

จากมังคุดในสวน<br />

9.1 สํ ารวจการระบาดของเพลี้ยแปงในสวนมังคุด<br />

9.2 เก็บรวบรวมเพลี้ยแปงจากผลมังคุด<br />

9.1<br />

9.2<br />

31


ตารางที่ 1 ชวงฤดูกาลระบาดของเพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus บนผลมังคุด ศึกษาตั้งแต<br />

เดือนตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547 ที่สวนเกษตรกร จังหวัดจันทบุรี<br />

เวลา<br />

ใบออน<br />

ระยะพัฒนาของมังคุด<br />

ใบแก ดอก ผลออน ผลแก<br />

1 ต.ค.2546 ✓<br />

15 ต.ค.2546 ✓<br />

1 พ.ย.2546 ✓<br />

15 พ.ย.2546 ✓<br />

1 ธ.ค. 2546 ✓<br />

15 ธ.ค. 2546 ✓<br />

1 ม.ค. 2547 ✓<br />

15 ม.ค. 2547 ✓<br />

1 ก.พ. 2547 ✓<br />

15 ก.พ. 2547 ✓<br />

1 มี.ค. 2547 ✓★<br />

15 มี.ค. 2547 ✓★<br />

1 เม.ย. 2547 ✓★<br />

15 เม.ย. 2547 ✓★<br />

1 พ.ค. 2547 ✓★<br />

15 พ.ค. 2547 ✓★<br />

★ เปนชวงระยะการพัฒนาของผลมังคุดที่พบการระบาดของเพลี้ยแปง<br />

32


ตารางที่ 2 ระยะการพัฒนา และขนาดของเพลี้ยแปงที่เลี้ยงบนผลฟกทอง ศึกษาตั้งแตเดือน<br />

ตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547 ในหองปฏิบัติการสํ านักวิจัยพัฒนาการ<br />

อารักขาพืช (อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />

เพศ ระยะ<br />

ระยะการพัฒนา (วัน)<br />

AV SD<br />

ความกวาง (มม.)<br />

AV SD<br />

ความยาว (มม.)<br />

AV SD<br />

ไข 3.05 0.76 0.20 0.00 0.32 0.04<br />

วัยที่ 1 4.50 0.95 0.20 0.01 0.39 0.03<br />

เพศเมีย วัยที่ 2 5.35 0.88 0.64 0.07 1.07 0.05<br />

วัยที่ 3 6.80 1.20 1.40 0.10 2.51 0.27<br />

ตัวเต็มวัย 10.95 1.48 2.21 0.23 3.69 0.43<br />

รวมอายุขัย 30.65 2.18<br />

วัยที่ 1 4.50 0.94 0.20 0.01 0.39 0.03<br />

เพศผู วัยที่ 2 12.10 2.75 0.20 0.00 0.40 0.01<br />

วัยที่ 3+4 1/<br />

5.85 1.46 0.20 0.00 0.65 0.01<br />

ตัวเต็มวัย 3.75 1.59 0.20 0.00 0.86 0.01<br />

รวมอายุขัย 29.25 3.81<br />

1/ = prepupa + pupa<br />

33


10.1<br />

10.2<br />

ภาพที่ 10 แสดงการเลี้ยงเพลี้ยแปงบนผลฟกทองและลักษณะของไข<br />

10.1 เพลี้ยแปง Psudococcus cryptus บนผลฟกทอง<br />

10.2 ลักษณะไขของเพลี้ยแปง P. cryptus (100X)<br />

34


ตารางที่ 3 ระยะการพัฒนาของเพลี้ยแปงเพศเมียที่เลี้ยงบนผลฟกทอง ศึกษาตั้งแตเดือน<br />

ตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547 ในหองปฏิบัติการ สํ านักวิจัยพัฒนาการ<br />

อารักขาพืช (อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />

ตัวที่<br />

วัยที่ 1 วัยที่ 2<br />

ระยะการพัฒนา (วัน)<br />

วัยที่ 3 รวมระยะตัวออน ตัวเต็มวัย รวม<br />

จํ านวนไข<br />

(ฟอง)<br />

1 4 5 7 16 9 25 376<br />

2 3 6 8 17 11 28 276<br />

3 5 4 6 15 10 25 460<br />

4 4 4 9 17 9 26 289<br />

5 4 6 9 19 10 29 366<br />

6 3 6 8 17 10 27 412<br />

7 5 5 5 15 13 28 142<br />

8 6 6 6 18 12 30 396<br />

9 4 6 6 16 9 25 410<br />

10 3 5 5 13 10 23 388<br />

11 5 6 8 19 10 29 376<br />

12 5 5 8 18 11 29 383<br />

13 4 4 7 15 11 26 421<br />

14 5 4 7 16 13 29 433<br />

15 6 6 6 18 11 29 321<br />

16 6 7 6 19 10 29 368<br />

17 5 6 6 17 14 31 417<br />

18 4 5 7 16 12 28 432<br />

19 4 5 6 15 12 27 442<br />

20 5 6 6 17 12 29 386<br />

ชวง 3-6 4-7 5-9 13-19 9-14 23 - 31 142 - 460<br />

เฉลี่ย 4.50 5.35 6.80 16.65 10.95 27.60 374.70<br />

SD 0.95 0.88 1.20 1.60 1.43 2.04 72.59<br />

35


ภาพที่ 11 แสดงลักษณะของตัวออนวัยแรก (crawler) (70X)<br />

36


ตัวออนวัยที่<br />

2 ตัวออนวัยแรกจะลอกคราบ โดยการเกิดรอยแตกที่สวนหัว<br />

จากนั้นจะดันตัวออกมาจากรอยแตก<br />

กลายเปนตัวออนวัยที่<br />

2 ตัวออนวัยนี้จะมีลํ<br />

าตัวยาวรีสีขาว<br />

ขุน ตามบริเวณลํ าตัวเริ่มมีไขแปง<br />

โดยเฉพาะสวนทายของลํ าตัวจะพบเสนแปง 2 เสน เพลี้ยแปง<br />

วัยที่ 2 จะมีการเคลื่อนยายที่อยูบางแตจะนอยกวาตัวออนในวัยแรก และมักเปนการเคลื่อนที่เพื่อ<br />

เปลี่ยนตํ<br />

าแหนงเพื่อดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากพืชอาหาร ขนาดลํ าตัวกวางเฉลี่ย 0.64+0.07 ยาวเฉลี่ย<br />

1.07+0.05 มิลลิเมตร เนื่องจากเริ่มมีการฟงตัวดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากพืชอาหาร จึงสังเกตพบวา<br />

เพลี้ยแปงวัยนี้มีการถายมูลโดยพบมูลหวานมีลักษณะเปนหยดนํ้<br />

าใส ๆ และเหนียว ตัวออนวัยนี้ใช<br />

เวลาเฉลี่ย 5.35+0.88 วัน (ภาพที่ 12)<br />

ตัวออนวัยที่ 3 ตัวออนวัยที่ 2 จะลอกคราบเปนตัวออนวัยที่ 3 โดยวิธีเดียวกันกับ<br />

การลอกคราบของตัวออนวัยแรก เมื่อลอกคราบเปนตัวออนวัยที่ 3 พบตัวออนวัยนี้มีลักษณะ<br />

เหมือนตัวออนวัยที่ 2 แตจะมีการสรางไขแปงสีขาวเพิ่มขึ้นชัดเจน โดยเฉพาะเห็นเสนไขแปงโดย<br />

รอบลํ าตัวและขุยแปงปกคลุมรอบลํ าตัวจนเห็นเปนสีขาวทั้งตัว แตบางสวนที่ขุยแปงยังไมมากจะ<br />

ยังคงเห็นรองรอยของปลองบนลํ าตัวอยู ตัวออนเพศเมียและเพศผูวัยนี้จะมีขนาดและรูปราง<br />

แตกตางกัน โดยตัวออนเพศเมียจะมีความกวางเฉลี่ย<br />

1.40+0.10 และยาวเฉลี่ย<br />

2.51+0.27<br />

มิลลิเมตร สวนใหญจะเกาะฝงตัวนิ่งอยูในตํ าแหนงที่เหมาะสมของพืชอาหาร ดูดกินนํ้ าเลี้ยงและถาย<br />

มูลหวานเปนหยดนํ้<br />

าอยูดานทายของลํ<br />

าตัว บางครั้งจะพบเชื้อราดํ าตรงบริเวณที่เพลี้ยแปงถายมูล<br />

หวานไว ตัวออนเพลี้ยแปงเพศเมียวัยนี้ใชเวลาเฉลี่ย<br />

6.80+1.20 วัน จึงลอกคราบครั้งที่<br />

3 และ<br />

เจริญเติบโตเปนตัวเต็มวัยเพศเมีย (ภาพที่<br />

13)<br />

ตัวเต็มวัยเพศเมีย รูปรางเปนรูปไขคอนขางกวางโดยลํ าตัวกวางเฉลี่ย 2.22+0.23<br />

และมีความยาวเฉลี่ย 3.69+0.43 มิลลิเมตร ผนังลํ าตัวสีเหลืองออนหรือเขียวอมเหลืองปกคลุม<br />

ดวยไขแปงสีขาว ดานขางของลํ าตัวมีเสนแปงลอมรอบ เสนแปงที่อยูดานทายของลํ าตัวจะยาวกวา<br />

ความกวางของลํ าตัว โดยเฉพาะคูทายสุดของลํ าตัวจะยาวที่สุดดูลักษณะคลายหาง หนวดมี 8 ปลอง<br />

ขาเจริญดี เพลี้ยแปงเพศเมียที่เจริญเติบโตเต็มที่แลวจะเริ่มสรางไข<br />

โดยตอนแรกพบวาเพลี้ยแปงที่<br />

พรอมวางไขจะมีการสรางเสนใยไหมสีขาวฟูใตลํ าตัวและเริ่มวางไขไวในเสนไหมที่สรางใตลํ าตัวนั้น<br />

ตัวที่วางไขแลวจะเห็นสวนของสันหลังโคงนูนคลายหลังเตา<br />

เพลี้ยแปงเพศเมียแตละตัวจะวางไข<br />

โดยไมตองผสมพันธุ เฉลี่ย<br />

374.70+72.59 ฟอง และมีชีวิตอยูไดนาน 10.95+1.43 วัน รวม<br />

อายุขัยเพลี้ยแปงเพศเมีย<br />

ตั้งแตระยะไขจนถึงสิ้นอายุขัยของตัวเต็มวัย<br />

ใชเวลาเฉลี่ย<br />

30.65+2.18 วัน (ภาพที่ 14)<br />

37


ภาพที่ 12 แสดงลักษณะของตัวออนวัยที่ 2<br />

ซึ่งเริ่มสรางเสนแปงสั้น ๆ รอบลํ าตัว (50X)<br />

38


ภาพที่ 13 แสดงลักษณะของตัวออนเพศเมีย วัยที่ 3 (10X)<br />

39


14.1<br />

14.2<br />

ภาพที่ 14 แสดงลักษณะตัวเต็มวัยเพศเมีย<br />

14.1 ตัวเต็มวัยเพศเมีย (7X)<br />

14.2 ตัวเต็มวัยเพศเมีย และไขใตทอง (10X)<br />

40


วงจรชีวิตของเพลี้ยแปงเพศผู (ตารางที่ 4)<br />

ตัวออนวัย 1 และวัย 2 มีรูปรางลักษณะเชนเดียวกับเพลี้ยแปงเพศเมีย จากการ<br />

เลี้ยงดวยผลฟกทองตัวออนเพศผูวัยแรกใชระยะเวลาเฉลี่ย 4.50+0.95 วัน ขณะที่ตัวออนเพศผู<br />

วัยที่ 2 ใชระยะเวลาเฉลี่ย 12.10+2.27 วัน<br />

ตัวออนวัยที่ 3+4 เมื่อเขาสูวัยที่ 3 ตัวออนเพศผูจะมีรูปรางแตกตางไปจากตัว<br />

ออนเพศเมีย โดยตัวออนเพศผูวัยนี้จะมีลํ าตัวผอมยาว และสรางเสนไหมสีขาวคลุมลํ าตัวไวถาเขี่ย<br />

เสนไหมออกจะพบวาตัวออนของเพลี้ยแปงเพศผูวัยนี้จะประกอบดวย 2 ระยะคือ<br />

ระยะกอนเขาดักแด (prepupa) เมื่อเขี่ยเสนไหมออกจะพบตัวออนอยูภายใน<br />

ลักษณะลํ าตัวผอมยาวขนาดกวางเฉลี่ย<br />

0.20 มิลลิเมตร ยาวเฉลี่ย 0.65+0.01 มิลลิเมตร เห็น<br />

ตารวมชัดเจน ที่บริเวณอกดานบนมีการพัฒนาของตุมปก 1 คู เมื่อไดรับการกระทบกระเทือนจะ<br />

เดินเคลื่อนที่ไดในระยะใกล ๆ ตัวออนในระยะนี้ไมมีการดูดกินอาหารใชเวลาไมนานจึงลอกคราบ<br />

ครั้งที่ 3 เพื่อเขาดักแดในรังไหม โดยทิ้งคราบไวที่สวนทายของรังไหม (ภาพที่ 15)<br />

ระยะดักแด ลักษณะของดักแดจะใกลเคียงกับระยะกอนเขาดักแด ทั้งรูปรางและ<br />

ขนาดของลํ าตัว แตถาเขี่ยรังไหมออก พบวาการพัฒนาของตุมปกในระยะดักแดจะมีขนาดใหญขึ้น<br />

เห็นชัดเจน เมื่อไดรับการกระทบกระเทือนจะมีการเคลื่อนไหวนอยกวาตัวออนในระยะกอนเขา<br />

ดักแด<br />

เนื่องจากระยะกอนเขาดักแดและระยะดักแดของเพลี้ยแปงเพศผู มีการสรางรังไหม<br />

ไมสามารถศึกษาระยะเวลาที่แทจริงของแตละวัยได<br />

จากการศึกษาพบตัวออนในระยะกอนเขา<br />

ดักแด และระยะดักแดรวมใชระยะเวลาในการพัฒนา เฉลี่ย 5.85+1.46 วัน จึงลอกคราบครั้งที่ 4<br />

เปนตัวเต็มวัยเพศผู ออกมาจากรังไหมรวมระยะตัวออนเพศผูใชเวลาเฉลี่ย 22.45+3.40 วัน<br />

ระยะตัวเต็มวัย ตัวเต็มวัยเพศผูมีลักษณะผอมยาวคลายยุง ลํ าตัวกวางเฉลี่ย 0.20<br />

มิลลิเมตร ยาวเฉลี่ย 0.86+0.01 มิลลิเมตร เมื่อฟกใหมๆลํ าตัวสีเหลืองอมชมพู มีปกบางใส 1 คู<br />

เห็นหนวดชัดเจน และมีเสนแปงสีขาวที่สวนปลายของสวนทอง ลักษณะคลายหาง 1 คู (ภาพที่ 16)<br />

ตัวเต็มวัยเพศผูมีอายุขัยอยูไดเฉลี่ย 3.75+1.59 วัน รวมตลอดอายุขัยเพลี้ยแปง Pseudococcus<br />

cryptus เพศผูเมื่อเลี้ยงบนฟกทอง<br />

จากระยะไขจนสิ้นอายุขัยของตัวเต็มวัยใชเวลาเฉลี่ย<br />

29.25+3.81 วัน<br />

41


ตารางที่ 4 ระยะการพัฒนาของเพลี้ยแปงเพศผู ที่เลี้ยงบนผลฟกทอง ศึกษาตั้งแตเดือน<br />

ตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547 ในหองปฏิบัติการ สํ านักวิจัยพัฒนาการ<br />

อารักขาพืช (อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />

ตัวที่<br />

วัยที่ 1 วัยที่ 2<br />

ระยะการพัฒนา (วัน)<br />

วัยที่ 3+4 1/<br />

รวมระยะตัวออน ตัวเต็มวัย รวม<br />

1 4 9 6 19 3 22<br />

2 3 13 5 21 3 24<br />

3 5 14 5 24 5 29<br />

4 4 13 6 23 4 27<br />

5 4 13 7 24 5 29<br />

6 3 10 8 21 3 24<br />

7 5 16 7 28 6 34<br />

8 6 12 5 23 3 26<br />

9 4 16 4 24 3 27<br />

10 3 10 6 19 6 25<br />

11 5 9 4 18 4 22<br />

12 5 10 8 23 1 24<br />

13 4 14 7 25 2 27<br />

14 5 13 5 23 2 25<br />

15 6 7 4 17 6 23<br />

16 6 15 4 25 5 30<br />

17 5 13 7 25 5 30<br />

18 4 15 8 27 1 28<br />

19 4 7 4 15 3 18<br />

20 5 13 7 25 5 30<br />

ชวง 3 - 6 7 - 16 4 - 8 18 - 28 2 - 6 18 - 34<br />

เฉลี่ย 4.50 12.10 5.85 22.45 3.75 26.20<br />

SD 0.95 2.27 1.46 3.40 1.59 3.67<br />

1/ prepupa + pupa<br />

42


15.1<br />

15.2<br />

ภาพที่ 15 แสดงลักษณะของตัวออนเพศผูในระยะ<br />

กอนเขาดักแดและระยะดักแด<br />

15.1 ลักษณะดักแดในรังไหม (45X)<br />

15.2 ลักษณะดักแดเมื่อนํ ารังไหมออก (60X)<br />

43


ภาพที่ 16 แสดงลักษณะตัวเต็มวัยเพศผู<br />

(60X)<br />

44


3.ศึกษาเปรียบเทียบวิธีการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว เพื่อการสงออก<br />

3.1 การศึกษากับผลมังคุดที่มีการระบาดของเพลี้ยแปงจากธรรมชาติ<br />

กอนการทดสอบพบจํ านวนเพลี้ยแปงโดยเฉลี่ย 7.62 ถึง 13.58 ตัวตอผล ซึ่งมีความแตกตาง<br />

อยางมีนัยสํ าคัญทางสถิติ โดยเฉพาะในกรรมวิธีที่จุมนํ้<br />

าเปลา (control) มีจํ านวนเพลี้ยแปงเฉลี่ย<br />

สูงสุด 13.58 ตัวตอผล แตกตางทางสถิติกับกรรมวิธีอื่น ๆ การเปรียบเทียบจํ านวนคาเฉลี่ยของ<br />

เพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการทดสอบ 1-7 วัน จึงวิเคราะหเปรียบเทียบโดยใชวิธี covariance<br />

หลังการทดสอบ 1 วัน พบเพลี้ยแปงที่มีชีวิตบนผลมังคุดทดสอบแตละผล มีจํ านวนลดลง<br />

อยางเห็นไดชัด โดยเฉพาะการเปาดวยลม พนนํ้<br />

า จุมสาร chlorpyrifos, malathion และนํ้<br />

ามัน<br />

ปโตรเลียม พบเพลี้ยแปงมีชีวิตนอยที่สุด เฉลี่ย 0.54-1.43 ตัวตอผล แตกตางทางสถิติอยางมี<br />

นัยสํ าคัญกับการจุมนํ้ ายาลางจาน ซึ่งพบเพลี้ยแปงบนผลมังคุดมีชีวิต เฉลี่ย 6.01 ตัวตอผล ขณะ<br />

ที่ผลที่จุมนํ้<br />

าเปลา พบเพลี้ยแปงมีชีวิต เฉลี่ยสูงสุดถึง 12.64 ตัวตอผล (ตารางที่ 5)<br />

หลังการทดสอบ 2-7 วัน พบกรรมวิธีตาง ๆ ที่ใชในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุด ให<br />

ผลในทํ านองเดียวกัน คือ พบเพลี้ยแปงมีชีวิตรอดเฉลี่ยนอยที่สุด<br />

เมื่อเปาลม<br />

พนนํ้<br />

า จุมสาร<br />

chlorpyrifos, malathion และนํ้<br />

ามันปโตรเลียม หลังการทดสอบ 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 วัน พบ<br />

เพลี้ยแปงมีชีวิต เฉลี่ย 0.41-0.75, 0.29-0.51, 0.08-0.31, 0.02-0.30, 0.00-0.28 และ<br />

0.00-0.27 ตัวตอผล ตามลํ าดับ แตกตางทางสถิติกับการจุมนํ้ ายาลางจาน ซึ่งพบเพลี้ยแปงมีชีวิต<br />

4.98, 4.57, 4.41, 3.71, 3.18 และ 2.95 ตัวตอผล ตามลํ าดับ ขณะที่ผลมังคุดที่จุมนํ้ าเปลา<br />

(control) หลังทดสอบ 2-7 วัน พบเพลี้ยแปงมีชีวิตเฉลี่ยมากที่สุด เฉลี่ย 12.33, 11.57,<br />

11.21, 10.69, 9.94 และ 9.66 ตัวตอผล ตามลํ าดับ (ตารางที่ 5) ซึ่งจํ านวนเพลี้ยแปงบนผล<br />

มังคุดที่ผานการจุมนํ้ าเปลาลดลง เนื่องจากเพลี้ยแปงบางตัวมีการเคลื่อนยาย และอาจเดินหนีไป<br />

จากผลมังคุด สวนเพลี้ยแปงที่ยังคงอยูคอนขางแข็งแรง มีการสรางใยไหมใตทอง ซึ่งเปนลักษณะ<br />

ของเพลี้ยแปงที่กํ<br />

าลังจะวางไข จากการวิเคราะหเปรียบเทียบคาเฉลี่ยของจํ<br />

านวนเพลี้ยแปงกอน<br />

การทดสอบ และหลังการทดสอบ 1-7 วัน โดยวิธี covariance พบคา Relative efficacy (RE) มี<br />

คาระหวาง 146.9-179.6 ซึ่งทุกคามากกวา 100 แสดงวา ความแตกตางของคาเฉลี่ยจํ านวน<br />

เพลี้ยแปงกอนการทดสอบ<br />

มีผลจริงตอความแตกตางของคาเฉลี่ยจํ<br />

านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตหลัง<br />

ทดสอบ 1-7 วัน<br />

45


ตารางที่ 5 แสดงคาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตที่ระบาดตามธรรมชาติบนผลมังคุดกอนและหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตาง ๆ ในหองปฏิบัติการ<br />

(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />

จํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตเฉลี่ยบนผลมังคุดกอนและหลังกํ าจัด (ตัว/ผล) 1/<br />

กรรมวิธี อัตราการใช<br />

กอนกํ าจัด หลัง 1 วัน หลัง 2 วัน หลัง 3 วัน หลัง 4 วัน หลัง 5 วัน หลัง 6 วัน หลัง 7 วัน<br />

เปาลม ความดัน 20 ปอนด 7.92 a 2/<br />

0.54 a 0.41 a 0.34 a 0.30 a 0.27 a 0.27 a 0.27 a<br />

พนนํ้ า ความดัน 20 ปอนด 8.34 a 0.65 a 0.43 a 0.36 a 0.31 a 0.30 a 0.28 a 0.27 a<br />

จุม chlorpyrifos 40%EC 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 7.99 a 1.32 a 0.64 a 0.29 a 0.08 a 0.02 a 0.00 a 0.00 a<br />

จุม malathion 83%EC 10 มล./นํ้ า 10 ลิตร 7.62 a 1.43 a 0.75 a 0.51 a 0.20 a 0.14 a 0.12 a 0.11 a<br />

จุมนํ้ ามันปโตรเลียม 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 7.74 a 1.07 a 0.67 a 0.32 a 0.22 a 0.19 a 0.19 a 0.16 a<br />

จุมนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) 2 มล./นํ้ า 10 ลิตร 8.83 a 6.01 b 4.98 b 4.57 b 4.41 b 3.71 b 3.18 b 2.95 b<br />

จุมนํ้ าเปลา (control) 13.58 b 12.64 c 12.33 c 11.57 c 11.21 c 10.69 c 9.94 c 9.66 c<br />

C.V. (%) 18.9 27.5 30.6 30.7 31.9 37.2 33.5 35.9<br />

R.E. 156.7 155.9 156.5 156.6 146.9 179.6 169.3<br />

1/ คาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปง จาก 5 ซํ้ าๆ ละ 15 ผล<br />

2/ คาเฉลี่ยที่ตามดวยอักษรเหมือนกันในแนวตั้งเดียวกันไมแตกตางกันทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิเคราะหโดยวิธี DMRT<br />

3/ Relative efficacy<br />

46<br />

46


เมื่อนํ าจํ านวนเพลี้ยแปงที่มีชีวิตกอนทํ าการทดสอบ และหลังการทดสอบ 1-7 วัน ดวย<br />

กรรมวิธีตาง ๆ ไปคํ านวณหาประสิทธิภาพของกรรมวิธีที่ใชในการกํ<br />

าจัด โดยเปรียบเทียบกับการจุม<br />

นํ้ าเปลา (control) จากสูตร<br />

% efficacy = (C 2T 1-C 1T 2) X 100<br />

C 2T 1<br />

โดย C1 = จํ านวนเพลี้ยแปงเฉลี่ยบนผลมังคุดใน<br />

control กอนทดสอบ<br />

C2 = จํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตเฉลี่ยบนผลมังคุดใน control<br />

หลังทดสอบ 1-7 วัน<br />

T1 = จํ านวนเพลี้ยแปงเฉลี่ยบนผลมังคุดในกรรมวิธีตาง ๆ<br />

กอนทดสอบ<br />

T2 = จํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตเฉลี่ยบนผลมังคุดในกรรมวิธีตาง ๆ<br />

หลังทดสอบ 1-7 วัน<br />

หลังการทดสอบ 1 วัน พบ การเปาลม และพนนํ้ า มีประสิทธิภาพสูงสุด ใหผลในการปองกันกํ าจัด<br />

เฉลี่ย 92.47 และ 90.89% ตามลํ าดับ รองลงมาคือ การจุมสาร chlorpyrifos, malathion และนํ้ ามัน<br />

ปโตรเลียม มีประสิทธิภาพในการปองกันกํ าจัด 82.35, 79.65 และ 84.60 % ตามลํ าดับ ซึ่งทั้งหมดมี<br />

ประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดดีกวา<br />

และแตกตางทางสถิติอยางมีนัยสํ าคัญกับการจุม<br />

นํ้ ายาลางจาน ซึ่งพบวามีประสิทธิภาพในการปองกันกํ<br />

าจัดเพียง 26.66% เมื่อเปรียบเทียบกับ control<br />

(ตารางที่<br />

6)<br />

หลังการทดสอบ 2-5 วัน พบประสิทธิภาพของวิธีการตาง ๆ ที่ใชในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผล<br />

มังคุด ใหผลในทํ านองเดียวกัน คือ การเปาลม พนนํ้ า จุมสาร chlorpyrifos, malathion และนํ้ ามัน<br />

ปโตรเลียม มีประสิทธิภาพในการปองกันกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุด หลังทดสอบ 2, 3, 4 และ 5 วัน<br />

เฉลี่ย 89.11-94.14, 92.15-96.02, 95.21-98.92 และ 95.18-99.79% ตามลํ าดับ (ตารางที่<br />

6)<br />

หลังการทดสอบ 6 และ 7 วัน พบผลมังคุดที่จุมสาร chlorpyrifos ทํ าใหเพลี้ยแปงบนผลมังคุด<br />

ตายทั้งหมด หรือสาร chlorpyrifos มีประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปง 100% ขณะที่การเปาลม พนนํ้ า<br />

จุมสาร malathion และนํ้<br />

ามันปโตรเลียม มีประสิทธิภาพในการกํ าจัด ระหวาง 95.00-98.06% ซึ่งทั้ง<br />

หมดมีประสิทธิภาพดีกวา และแตกตางทางสถิติกับการจุมนํ้ ายาลางจาน ซึ่งหลังการทดสอบ 6 และ 7 วัน<br />

มีประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุด 49.84 และ 51.85% ตามลํ าดับ (ตารางที่ 6)<br />

47


ตารางที่ 6 แสดงประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงที่มีการระบาดตามธรรมชาติบนผลมังคุดหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตาง ๆ ในหองปฏิบัติการ<br />

(อุณหภูมิ 28- 32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />

ประสิทธิภาพการกํ าจัดเพลี้ยแปง 1/ กรรมวิธี อัตราการใช<br />

หลัง 1 วัน หลัง 2 วัน<br />

(%)<br />

หลัง 3 วัน หลัง 4 วัน หลัง 5 วัน หลัง 6 วัน หลัง 7 วัน<br />

เปาลม ความดัน 20 ปอนด 92.47 a 2/<br />

94.14 a 94.87 a 95.24 a 95.51 a 95.15 a 95.00 a<br />

พนนํ้ า ความดัน 20 ปอนด 90.89 a 93.98 a 94.62 a 95.21 a 95.18 a 95.19 a 95.31 a<br />

จุม chlorpyrifos 40%EC 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 82.35 ab 91.32 a 96.02 a 98.92 a 99.79 a 100.00 a 100.00 a<br />

จุม malathion 83%EC 10 มล./นํ้ า 10 ลิตร 79.65 b 89.11 a 92.15 a 96.86 a 97.72 a 97.82 a 98.06 a<br />

จุมนํ้ ามันปโตรเลียม 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 84.60 ab 90.14 a 95.06 a 96.41 a 96.75 a 96.47 a 96.82 a<br />

จุมนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) 2 มล./นํ้ า 10 ลิตร 26.66 c 38.68 b 39.49 b 39.61 b 46.70 b 49.84 b 51.85 b<br />

จุมนํ้ าเปลา (control) - - - - - - -<br />

C.V. (%) 10.2 9.6 8.6 8.8 9.6 8.4 9.0<br />

1/ เปอรเซ็นตประสิทธิภาพการกํ าจัดเพลี้ยแปง จาก 5 ซํ้ าๆ ละ 15 ผล<br />

2/ คาที่ตามดวยอักษรเหมือนกันในแนวตั้งเดียวกันไมแตกตางกันทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิเคราะหโดยวิธี DMRT<br />

48<br />

48


3.2 การกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดซึ่งทํ าการระบาดเทียม<br />

กอนการทดสอบพบเพลี้ยแปง เฉลี่ย 7.22-12.89 ตัวตอผล ซึ่งมีความแตกตางกันทาง<br />

สถิติ หลังทดสอบ 1-7 วัน จึงวิเคราะหเปรียบเทียบโดยใชวิธี covariance<br />

หลังการทดสอบ 1 วัน พบเพลี้ยแปงที่มีชีวิตบนผลมังคุดที่เปาลมเฉลี่ยนอยที่สุดเพียง 0.94<br />

ตัวตอผล ซึ่งไมแตกตางทางสถิติกับจํ านวนเพลี้ยแปงที่พบบนผลที่ พนนํ้ า จุมสาร chlorpyrifos,<br />

malathion และนํ้<br />

ามันปโตรเลียม ซึ่งพบเพลี้ยแปง เฉลี่ย 0.96, 1.36, 1.47 และ 1.33 ตัวตอผล<br />

ตามลํ าดับ แตมีจํ านวนนอยกวา และแตกตางทางสถิติกับการจุมนํ้<br />

ายาลางจาน ซึ่งพบเพลี้ยแปง<br />

เฉลี่ย 6.79 ตัวตอผล ขณะที่การจุมนํ้ าเปลามีมากที่สุดเฉลี่ย 11.89 ตัวตอผล (ตารางที่ 7)<br />

หลังการทดสอบ 2-7 วัน พบจํ านวนเพลี้ยแปงบนผลมังคุดลดลงในทํ านองเดียวกันกับ<br />

หลังการทดสอบ 1 วัน และสอดคลองกับผลการศึกษาบนผลมังคุดที่มีการระบาดของเพลี้ยแปง<br />

ตามธรรมชาติ คือ พบเพลี้ยแปงบนผลมังคุดที่ เปาลม พนนํ้ า จุมสาร chlorpyrifos, malathion<br />

และนํ้<br />

ามันปโตรเลียม หลังทดสอบ 2, 3, 4, 5, 6 และ 7 วัน จํ านวน 0.43-0.99, 0.14-0.53,<br />

0.07-0.44, 0.07-0.43, 0.07-0.38 และ 0.07-0.37 ตัวตอผล ตามลํ าดับ ซึ่งนอยกวาและ<br />

แตกตางทางสถิติอยางมีนัยสํ าคัญกับจํ านวนเพลี้ยแปงบนผลมังคุดที่จุมนํ้<br />

ายาลางจาน ซึ่งพบ<br />

เพลี้ยแปง<br />

6.71, 5.91, 5.24, 5.00, 4.72 และ 4.67 ตัวตอผล ตามลํ าดับ ขณะที่ผลที่จุมนํ้<br />

า<br />

เปลา พบเพลี้ยแปงมากที่สุด<br />

คือ 10.19, 9.94, 9.65, 9.14, 8.93 และ 8.75 ตัวตอผล ตาม<br />

ลํ าดับ โดยเฉพาะเพลี้ยแปงบนผลมังคุดที่จุมนํ้<br />

าเปลายังมีความแข็งแรง จากการวิเคราะห<br />

covariance พบคา Relative efficacy มีคาระหวาง 100.5-130.8 ซึ่งทุกคามากกวา<br />

100 แสดง<br />

วา ความแตกตางของคาเฉลี่ยจํ<br />

านวนเพลี้ยแปงกอนการทดสอบ มีผลจริงตอความแตกตางของ<br />

คาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปงหลังการทดสอบ 1-7 วัน (ตารางที่ 7)<br />

เมื่อนํ<br />

าจํ านวนเพลี้ยแปงที่มีชีวิต กอนทํ าการทดสอบ และหลังการทดสอบ 1-7 วัน ดวย<br />

กรรมวิธีตาง ๆ ไปคํ านวณหาประสิทธิภาพในการกํ าจัด โดยเปรียบเทียบกับการจุมนํ้ าเปลา<br />

หลังการทดสอบ 1 วัน พบ การเปาลม มีประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุด<br />

สูงสุด 90.72% รองลงมาคือ การพนนํ้ า การจุมสาร chlorpyrifos, malathion และจุมนํ้ ามัน<br />

ปโตรเลียม มีประสิทธิภาพในการกํ าจัด 85.40, 79.37,82.86 และ 83.32 % ตามลํ าดับ ซึ่งทั้ง<br />

หมดดีกวา และแตกตางทางสถิติอยางมีนัยสํ าคัญกับการจุมนํ้ ายาลางจาน ซึ่งพบวามีประสิทธิภาพ<br />

ในการกํ าจัดเพลี้ยแปงเพียง 16.13% (ตารางที่ 8)<br />

49


หลังการทดสอบ 2-7 วัน พบประสิทธิภาพของวิธีการตาง ๆ ที่ใชในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบน<br />

ผลมังคุด ใหผลในทํ านองเดียวกัน คือ การเปาลม พนนํ้ า จุมสาร chlorpyrifos malathion และนํ้<br />

า<br />

มันปโตรเลียม มีประสิทธิภาพในการปองกันกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุด หลังทดสอบ 2, 3, 4,<br />

5, 6 และ 7 วัน เฉลี่ย 85.52-93.23, 91.00-98.06, 91.70-99.10, 91.36-99.06,<br />

91.93-99.03 และ 92.01-99.03% ตามลํ าดับ ซึ่งมีประสิทธิภาพดีกวา และแตกตางทางสถิติ<br />

กับการจุมนํ้ ายาลางจาน ซึ่งมีประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดได 6.94, 15.83,<br />

22.13, 21.08, 23.95 และ 23.16% ตามลํ าดับ (ตารางที่ 8)<br />

จากการศึกษาเปรียบเทียบวิธีการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว<br />

เพื่อสงออกดวยวิธีการตาง<br />

ๆ กับผลมังคุดซึ่งมีเพลี้ยแปงระบาดตามธรรมชาติ และผลมังคุดที่มี<br />

การระบาดเทียม พบวามีหลายวิธีที่มีประสิทธิภาพดีในการกํ<br />

าจัดเพลี้ยแปงซึ่งติดอยูบนผลมังคุด<br />

โดยเฉพาะการจุมดวยสาร chlorpyrifos ในผลมังคุดที่มีเพลี้ยแปงระบาดตามธรรมชาติสามารถกํ าจัด<br />

ได 100 เปอรเซ็นต หลังจุม 6 วัน เนื่องจากสาร chlorpyrifos เปนสารที่มีประสิทธิภาพสูงและเปน<br />

สารแนะนํ าสํ าหรับการปองกันกํ าจัดเพลี้ยแปงในสภาพสวน (ศรุต, 2542) แตสาร chlorpyrifos<br />

เปนวัตถุมีพิษและมีอันตราย การนํ าเอาไปใชจุมผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อกํ<br />

าจัดเพลี้ยแปง<br />

อาจมีปญหาเกี่ยวกับพิษตกคางของสาร chlorpyrifos บนผลมังคุดได ขณะที่การเปาลม พนนํ้ า<br />

และจุมนํ้<br />

ามันปโตรเลียม หลังการทดสอบ 5 วัน ก็สามารถกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดไดมากกวา<br />

90 เปอรเซ็นต ทั้งในผลที่มีการระบาดตามธรรมชาติและระบาดเทียม เพื่อความเหมาะสมในการ<br />

กํ าจัดเพลี้ยแปงซึ่งติดมากับผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว สํ าหรับการสงออกจึงควรกํ าจัดดวยวิธีการ<br />

เปาลม พนนํ้ า ดวยเครื่องแรงดันขนาด 20 ปอนดตอตารางนิ้ว หรือจุมนํ้ ามันปโตรเลียม 89.3 % EC<br />

อัตรา 8 มิลลิลิตรตอนํ้ า 10 ลิตร<br />

50


ตารางที่ 7 แสดงคาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตที่ทํ าการระบาดเทียมบนผลมังคุดกอนและหลังกํ าจัดดวยวิธีการตางๆ ในหองปฏิบัติการ<br />

(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />

จํ านวนเพลี้ยแปงมีชีวิตเฉลี่ยบนผลมังคุดกอนและหลังกํ าจัด (ตัว/ผล) 1/<br />

กรรมวิธี อัตราการใช<br />

กอนกํ าจัด หลัง 1 วัน หลัง 2 วัน หลัง 3 วัน หลัง 4 วัน หลัง 5 วัน หลัง 6 วัน หลัง 7 วัน<br />

เปาลม ความดัน 20 ปอนด 10.01 ab 2/<br />

0.94 a 0.91 a 0.49 a 0.44 a 0.33 a 0.30 a 0.30 a<br />

พนนํ้ า ความดัน 20 ปอนด 7.22 a 0.96 a 0.61 a 0.50 a 0.44a 0.43 a 0.38 a 0.37 a<br />

จุม chlorpyrifos 40%EC 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 8.24 a 1.36 a 0.43 a 0.14a 0.07 a 0.07 a 0.07 a 0.07 a<br />

จุม malathion 83%EC 10 มล./นํ้ า 10 ลิตร 9.49 a 1.47 a 0.99 a 0.45 a 0.40 a 0.32 a 0.26 a 0.26 a<br />

จุมนํ้ ามันปโตรเลียม 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 8.32 a 1.33a 0.73 a 0.53 a 0.34 a 0.26a 0.20 a 0.18 a<br />

จุมนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) 2 มล./นํ้ า 10 ลิตร 8.45 a 6.79 b 6.71 b 5.91 b 5.24 b 5.00 b 4.72 b 4.67 b<br />

จุมนํ้ าเปลา (control) 12.89 b 11.89 c 10.19 c 9.94 c 9.65 c 9.14 c 8.93 c 8.75 c<br />

C.V. (%) 27.6 54.5 63.4 66.7 71.8 79.5 80.6 81.3<br />

R.E. 3/<br />

130.8 101.5 100.5 106.3 106.0 108.0 106.1<br />

1/ คาเฉลี่ยจํ านวนเพลี้ยแปง จาก 6 ซํ้ าๆ ละ 15 ผล<br />

2/ คาเฉลี่ยที่ตามดวยอักษรเหมือนกันในแนวตั้งเดียวกันไมแตกตางกันทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิเคราะหโดยวิธี DMRT<br />

3/ Relative efficacy<br />

51<br />

51


ตารางที่ 8 แสดงประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงที่ทํ<br />

าการระบาดเทียมบนผลมังคุดหลังการกํ าจัดดวยวิธีการตางๆ ในหองปฏิบัติการ<br />

(อุณหภูมิ 28-32 องศาเซลเซียส ความชื้น 60-80%RH)<br />

ประสิทธิภาพการกํ าจัดเพลี้ยแปง 1/ กรรมวิธี อัตราการใช<br />

หลัง 1 วัน หลัง 2 วัน<br />

(%)<br />

หลัง 3 วัน หลัง 4 วัน หลัง 5 วัน หลัง 6 วัน หลัง 7 วัน<br />

เปาลม ความดัน 20 ปอนด 90.72 a 2/<br />

89.65 a 93.39 a 94.04 a 94.45 a 94.79 a 94.72 a<br />

พนนํ้ า ความดัน 20 ปอนด 85.40 a 89.56 a 91.00 a 91.70 a 91.36 a 91.93 a 92.01 a<br />

จุม chlorpyrifos 40%EC 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 79.37 a 93.23 a 98.06 a 99.10 a 99.06 a 99.03 a 99.03 a<br />

จุม malathion 83%EC 10 มล./นํ้ า 10 ลิตร 82.86 a 85.52 a 92.29 a 92.42 a 93.73 a 94.35 a 94.30 a<br />

จุมนํ้ ามันปโตรเลียม 8 มล./นํ้ า 10 ลิตร 83.32 a 88.58 a 91.18 a 94.53 a 95.88 a 97.06 a 97.28 a<br />

จุมนํ้ ายาลางจาน (ซันไลต) 2 มล./นํ้ า 10 ลิตร 16.13 b 6.94 b 15.83 b 22.13 b 21.08 b 23.95 b 23.16 b<br />

จุมนํ้ าเปลา (control) - - - - - - -<br />

C.V. (%) 15.8 23.6 16.9 15.1 14.8 13.0 13.9<br />

1/ เปอรเซ็นตประสิทธิภาพการกํ าจัดเพลี้ยแปง จาก 6 ซํ้ าๆ ละ 15 ผล<br />

2/ คาที่ตามดวยอักษรเหมือนกันในแนวตั้งเดียวกันไมแตกตางกันทางสถิติที่ระดับความเชื่อมั่น 95% วิเคราะหโดยวิธี DMRT<br />

52<br />

52


วิจารณ<br />

มังคุดเปนหนึ่งในไมผลเศรษฐกิจที่สํ าคัญของประเทศไทย ซึ่งมีศักยภาพสูงในการสงออก<br />

แตมังคุดสงออกจะตองเปนผลผลิตที่มีคุณภาพดี ไมมีสารพิษตกคางปราศจากรอยทํ าลายและการ<br />

ปนเปอนของศัตรูพืช การสงออกผลผลิตมังคุดสดปญหาที่พบบอยๆ คือ การปนเปอนของเพลี้ยแปง<br />

จากการศึกษาระหวางเดือนตุลาคม 2546-พฤษภาคม 2547 สํ ารวจพบเพลี้ยแปง 3 ชนิด<br />

คือ Pseudococcus cryptus, Planococcus minor และ Dysmicocus neobrevipes สอดคลองกับ<br />

รายงานของ ชลิดาและคณะ (2545) แตในชวงเวลาดังกลาวเพลี้ยแปงชนิดที่พบระบาดรุนแรง<br />

คือ Pseudococcus cryptus และแมลงศัตรูชนิดนี้เปนแมลงศัตรูที่สํ าคัญทางดานการกักกันพืช<br />

(Quarantine pest) ซึ่งประเทศคูคาจะไมยอมใหติดไปกับผลผลิตการเกษตร<br />

ในประเทศไทย<br />

บุปผาและชลิดา (2543) รายงานวาเพลี้ยแปงชนิดนี้มีพืชอาหารคือ<br />

ใบมะพราว มะมวง และ<br />

ฝกมะขาม แตการศึกษาชีวประวัติของเพลี้ยแปง<br />

Pseudococcus cryptus ในครั้งนี้ไดเลี้ยงบน<br />

ผลฟกทอง เนื่องจากเพลี้ยแปงเปนแมลงชนิดปากดูดตองใชปากเจาะเขาไปในเนื้อเยื่อพืชอาหาร<br />

และดูดกินนํ้ าเลี้ยง ถาพืชอาหารแหงก็จะเคลื่อนที่ยายไปตํ าแหนงใหม ถาแหงหมดก็อาจตายไดจึง<br />

นํ าฟกทองมาใชเลี้ยง เชนเดียวกับการศึกษาชีวประวัติและการเลี้ยงขยายเพลี้ยแปง Planococcus<br />

minor บนผลฟกทอง Maity et al. (1998) เนื่องจากฟกทองเปนพืชอาหารชนิดหนึ่งที่เพลี้ยแปง<br />

ชอบ ขยายพันธุไดรวดเร็ว อยูไดนานไมตองเปลี่ยนอาหารบอย<br />

ๆ และมีราคาถูก นอกจากนั้น<br />

ยังสามารถติดตามการเจริญเติบโต และการพัฒนาของเพลี้ยแปงบนผลฟกทองไดโดยงาย แตถา<br />

เลี้ยงบนผลมังคุดจะเลี้ยงไดในระยะเวลาสั้น<br />

นอกจากนั้นเพลี้ยแปงยังเขาไปหลบอยูใตกลีบเลี้ยง<br />

ซึ่งจะยากตอการติดตามการเจริญเติบโตของเพลี้ยแปง<br />

การศึกษาชีวประวัติของเพลี้ยแปงคอนขางยุงยาก โดยเฉพาะในชวงแรก (วัยแรก) เพลี้ยแปง<br />

จะมีขนาดเล็กและเคลื่อนยายอยูตลอดเวลา<br />

เพื่อหาตํ<br />

าแหนงของพืชอาหารที่เหมาะสม<br />

สํ าหรับ<br />

แทงปากและฝงตัวดูดกินนํ้ าเลี้ยงจากพืชอาหาร ถายังไมไดตํ าแหนงที่เหมาะสมก็จะเดินไปเรื่อย ๆ<br />

หลังปลอยตัวออนเพลี้ยแปงซึ่งฟกจากไขใหม ๆ ลงบนผลฟกทองแลวจึงมีจํ านวนมากที่เดินหายไป<br />

การศึกษาแตละครั้งจึงตองเริ่มตนจากเพลี้ยแปง 100 ตัว นอกจากนั้นวงจรชีวิตเพลี้ยแปงเพศเมีย<br />

และเพศผูจะตางกัน โดยตัวออนของเพศเมียจะมีการลอกคราบ 3 ครั้งจึงเจริญเปนตัวเต็มวัย<br />

ซึ่งมีลักษณะคลายตัวออนและไมมีปก<br />

ขณะที่ตัวออนเพศผูมีการลอกคราบ<br />

4 ครั้ง<br />

สอดคลองกับ<br />

Smith et al., 1997 ซึ่งรายงานเกี่ยวกับชีวประวัติของเพลี้ยแปง Pseudococcus calceolariae หลัง<br />

การลอกคราบครั้งที่ 2 Pseudococcus cryptus จะเปลี่ยนเปนระยะ prepupa และจะเปลี่ยนเปน<br />

ระยะดักแดหลังจากลอกคราบครั้งที่ 3 จากนั้นจึงลอกคราบ ครั้งที่ 4 กอนออกเปนตัวเต็มวัยซึ่งมี<br />

ลักษณะคลายยุงและมีปกบางใส 1 คู หลังจากเปนตัวเต็มวัยแลว เพลี้ยแปงเพศเมียจะเริ่มวางไข<br />

53


โดยกอนวางไขจะสรางเสนไหมสีขาวไวใตทองและวางไขในกลุมเสนไหม หลังวางไขแลวสังเกตพบ<br />

สันหลังโคงนูนเหมือนหลังเตา ซึ่งในระยะนี้ตองคอยใชพูกันเขี่ยที่ตัวเพลี้ยแปงเบา<br />

ๆ เพื่อตรวจ<br />

ดูวาไขมีการฟกหรือยัง ถามีการฟกแลวจะพบตัวออนของเพลี้ยแปงคลานออกมาจากใตทองของ<br />

ตัวแม แตถาไมเขี่ยใหกระเทือน ตัวออนที่ฟกแลวจะอยูนิ่ง ๆ ใตทองตัวแมเปนเวลานาน ซึ่งอาจ<br />

ทํ าใหมีการบันทึกระยะไขผิดพลาดได การศึกษาชีวประวัติของเพลี้ยแปงจึงเปนเรื่องที่ยุงยาก<br />

และมีการศึกษากันนอยมาก<br />

การกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยวเพื่อการสงออก<br />

จะตองเปนวิธีการที่มี<br />

ประสิทธิภาพดีในการกํ าจัดเพลี้ยแปง<br />

และจะตองไมมีพิษตกคางในผลมังคุด จึงศึกษาโดยวิธี<br />

การเปาลม พนนํ้<br />

า จุมนํ้<br />

ามันปโตรเลียม และจุมนํ้<br />

ายาลางจาน ซึ่งทั้ง<br />

4 วิธีการนี้จะไมมีปญหา<br />

เกี่ยวกับสารพิษตกคาง<br />

เปรียบเทียบกับการใชสาร chlorpyrifos และ malathion โดยเฉพาะสาร<br />

chlorpyrifos เปนสารฆาแมลงที่มีประสิทธิภาพดี<br />

และแนะนํ าใหใชปองกันกํ าจัดเพลี้ยแปงใน<br />

สภาพสวนไมผลทั่ว<br />

ๆ ไป ซึ่งไดนํ<br />

ามาใชเปนสารเปรียบเทียบในการทดลองครั้งนี้<br />

และใหผลใน<br />

การกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยวดีที่สุด<br />

ในการทดลองนี้ตองศึกษากับผลมังคุด<br />

ที่มีการระบาดของเพลี้ยแปงตามธรรมชาติจริง ๆ และมีการเลี้ยงขยายเพลี้ยแปงบนผลฟกทองไว<br />

ทํ าการระบาดเทียมบนผลมังคุด เนื่องจากการระบาดในธรรมชาติสวนใหญมีการระบาดไมรุนแรง<br />

จํ านวนตัวตอผลนอย จึงตองทํ าการระบาดเทียม โดยการเขี่ยเพลี้ยแปงที่เลี้ยงไวปลอยลงบนผล<br />

มังคุด แลวทิ้งไว 1 วัน เพื่อใหเพลี้ยแปงคลานเขาไปเกาะอยูใตกลีบเลี้ยงแนนเหมือนกับการระบาด<br />

ในธรรมชาติ แลวจึงนํ าไปทดสอบ ซึ่งจากการทดสอบพบวา ทั้งผลที่มีการระบาดตามธรรมชาติ<br />

และผลที่ทํ าการระบาดเทียม ใหผลสอดคลองกันคือ การจุมสาร chlorpyrifos มีประสิทธิภาพใน<br />

การกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดสูงสุดถึง 100 เปอรเซ็นต หลังการจุม 6 วัน ในผลที่มีการระบาด<br />

ตามธรรมชาติ และ 99.03 เปอรเซ็นต ในผลที่มีการระบาดเทียม แตวิธีการเปาลม พนนํ้ าดวย<br />

เครื่องแรงดัน 20 ปอนดตอตารางนิ้ว และการจุมนํ้ ามันปโตรเลียม ก็ใหผลดีเชนกัน มีประสิทธิภาพ<br />

ในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดที่มีการระบาดตามธรรมชาติ<br />

และระบาดเทียมมากกวา 90<br />

เปอรเซ็นต หลังการทดสอบ 5 วัน แสดงวาวิธีการดังกลาวซึ่งเปนวิธีที่ปลอดจากการตกคางของ<br />

สารพิษแนนอน ก็มีประสิทธิภาพดีในการกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดดังที่กลาวแลววา<br />

ผลผลิต<br />

มังคุดสดที่สงขายตางประเทศนั้นจะตองมีคุณภาพดี<br />

ผานการจัดการอยางดีในสภาพสวน เพื่อให<br />

ไดผลที่มีขนาดโต ผิวมัน ปราศจากรอยทํ าลายและการปนเปอนของศัตรูพืช และไมมีสารพิษตกคาง<br />

การจุมสาร chlorpyrifos สามารถกํ าจัดเพลี้ยแปงบนผลมังคุดไดจริง 100 เปอรเซ็นต แตอาจมี<br />

ปญหาสารพิษตกคาง การเปาลม พนนํ้ า และจุมนํ้ ามันปโตรเลียมนั้นไมมีปญหาเกี่ยวกับสารพิษ<br />

ตกคาง แตจากผลการทดลองครั้งนี้ซึ่งเปนการศึกษาครั้งแรก พบวาเปนวิธีการที่มีประสิทธิภาพดี<br />

เชนกัน กรณีการเปาลมและพนนํ้<br />

า หากมีการปรับระดับความดันของลมและนํ้<br />

าใหสูงขึ้น หรือเปา<br />

และพนใหนานขึ้น<br />

ทั้งสองวิธีก็คงกํ<br />

าจัดเพลี้ยแปงไดทั้งหมด<br />

เชนเดียวกับการจุมนํ้<br />

ามัน<br />

54


ปโตรเลียม ถาเพิ่มความเขมขน<br />

และระยะเวลาการจุมขึ้นก็จะใหผลดีเชนกัน<br />

อยางไรก็ตามควร<br />

ศึกษาผลกระทบของกรรมวิธีตาง ๆ ตอคุณภาพภายนอก เชน การเปลี่ยนแปลงของสีเปลือก สีขั้ว<br />

กลีบเลี้ยง และการฉีกขาดของกลีบเลี้ยงดวย<br />

55


สรุป<br />

การสํ ารวจระหวางเดือนตุลาคม 2546 - เดือนพฤษภาคม 2547 พบเพลี้ยแปงที่ระบาด<br />

รุนแรงในสวนมังคุดคือ Pseudococcus cryptus Hempel เริ่มระบาดเมื่อผลมังคุดมีอายุประมาณ<br />

2 เดือน หลังดอกบานจนถึงระยะเก็บเกี่ยว<br />

จากการศึกษาชีวประวัติบนผลฟกทอง สรุปไดวา<br />

ตัวออนเพศเมีย มี 3 วัย และมีการลอกคราบ 3 ครั้ง จึงเจริญเติบโตเปนตัวเต็มวัย ระยะตัวออน<br />

แตละวัยใชเวลาเฉลี่ย 4.50+0.95, 5.35+0.88 และ 6.80+1.20 วัน ตามลํ าดับ ระยะตัวเต็มวัย<br />

เพศเมียใชเวลาเฉลี่ย 10.95+1.43 วัน เมื่อเจริญเปนตัวเต็มวัยเพศเมียจะเริ่มสรางเสนไหมใต<br />

ทอง และวางไขไวในกลุมเสนไหม โดยไมมีการผสมพันธุ เพลี้ยแปงชนิดนี้แตละตัววางไขไดเฉลี่ย<br />

374.70+72.59 ฟอง โดยไขจะฟกภายใน 3.05+0.76 วัน สวนเพศผูในระยะตัวออน มีการ<br />

ลอกคราบ 4 ครั้ง<br />

โดยตัวออนเพศผูวัยแรก และวัยที่สองมีลักษณะเหมือนตัวออนเพศเมีย ตัวออน<br />

วัยแรกและวัยที่สองใชเวลาเฉลี่ย 4.50+0.95 และ 12.10+2.27 วัน ตามลํ าดับ หลังลอกคราบครั้ง<br />

ที่สอง ตัวออนเพศผูจะมีลักษณะเปลี่ยนไป ลํ าตัวจะผอมยาวและสรางรังไหมหุมลํ าตัวไว ตัวออน<br />

วัยนี้เรียกวา prepupa มีการสรางตุมปกเล็ก ๆ ใชเวลาไมนานจึงลอกคราบครั้งที่ 3 เปนดักแด ซึ่ง<br />

เห็นตุมปกชัดเจน หนวดพับกลับไปดานหลังลํ าตัว มีการเคลื่อนไหวนอย จากนั้นจะลอกคราบครั้ง<br />

ที่ 4 เปนตัวเต็มวัย ลักษณะผอมบางคลายยุง มีปกใส 1 คู ระยะ prepupa และระยะดักแดใชเวลา<br />

เฉลี่ย 5.85+1.46 วัน สวนระยะตัวเต็มวัยเพศผูใชเวลาเฉลี่ย 3.75+1.59 วัน<br />

สํ าหรับการศึกษาเพื่อกํ าจัดเพลี้ยแปง Pseudococcus cryptus บนผลมังคุดหลังการเก็บเกี่ยว<br />

พบวาการจุมผลมังคุดในสารฆาแมลง chlorpyrifos (Lorsban 40 %EC) อัตรา 8 มิลลิลิตรตอนํ้ า<br />

10 ลิตร นาน 1 นาที มีประสิทธิภาพในการกํ าจัดเพลี้ยแปงที่ระบาดโดยธรรมชาติ และระบาดเทียม<br />

ไดถึง 100 และ 99.03 เปอรเซ็นต ตามลํ าดับ หลังการจุม 7 วัน สวนวิธีการกํ าจัดที่ใหผลรอง<br />

ลงมา ไดแก การเปาดวยลม พนดวยนํ้<br />

า แรงดัน 20 ปอนดตอตารางนิ้ว<br />

นานผลละ 15 วินาที<br />

และการจุมดวยนํ้<br />

ามันปโตรเลียม (SK99 89.3 %EC) อัตรา 8 มิลลิลิตรตอนํ้<br />

า 10 ลิตร นาน<br />

1 นาที บนผลที่มีการระบาดโดยธรรมชาติ และระบาดเทียม หลังทดสอบ 7 วัน มีประสิทธิภาพ<br />

ในการกํ าจัด 95.00, 95.31, 96.82 เปอรเซ็นต และ 94.72, 92.01, 97.28 เปอรเซ็นต ตาม<br />

ลํ าดับ เพื่อความปลอดภัยจากสารพิษตกคาง<br />

มังคุดสงออกที่มีการระบาดของเพลี้ยแปง<br />

ควร<br />

กํ าจัดโดยวิธีเปาลมหรือพนนํ้<br />

าดวยความดัน 20 ปอนด ตอตารางนิ้ว นาน 15 วินาที หรือจุมนํ้ ามัน<br />

ปโตรเลียม (SK99 89.3 %EC) อัตรา 8 มิลลิลิตรตอนํ้ า 10 ลิตร นาน 1 นาที วิธีใดวิธีหนึ่ง<br />

56


เอกสารและสิ่งอางอิง<br />

กรมวิชาการเกษตร. 2545. เกษตรดีที่เหมาะสมสํ<br />

าหรับมังคุด. กรมวิชาการเกษตร<br />

กรุงเทพฯ. 22 น.<br />

กรมสงเสริมการเกษตร. 2543. สถิติการปลูกไมผลยืนตน ป 2543. กองแผนงาน<br />

กรมสงเสริมการเกษตร กรุงเทพฯ. 404 น.<br />

กองกีฏและสัตววิทยา. 2544. เทคโนโลยีทางเลือกสํ าหรับ ไอ พี เอ็ม. รายงานผลการดํ าเนินงาน<br />

การปองกันกํ าจัดศัตรูพืชโดยวิธีผสมผสาน ครั้งที่ 4. กรมวิชาการเกษตร. 309 น.<br />

กวิศร วาณิชกุล และ สุรพงษ โกสิยะจินดา. 2522. การเจริญเติบโตของผลมังคุด. วิทยาสาร<br />

เกษตรศาสตร 13(1-2) : 63-77.<br />

เกียรติเกษตร ลีละเศรษฐกุล และ ดารา พวงสุวรรณ. 2532. การผลิตมังคุดใหมีคุณภาพดีเพื่อ<br />

การสงออก. กสิกร 62(1) : 61-68.<br />

เกียรติเกษม กาญจนพิสุทธิ์, มโธรรม สัจจถาวร, อดุลย พงศสุวรรณ, พรรณ บูรณะ และ<br />

ลิขิต เอียดแกว. 2530. มังคุดราชินีแหงผลไม. พิมพที่ สหมิตรออฟเซท, กรุงเทพฯ.<br />

69 น.<br />

เกรียงไกร จํ าเริญมา. 2542. แมลงศัตรูมังคุด. น.18-30. ใน เอกสารวิชาการแมลงศัตรูไมผล.<br />

กลุมงานวิจัยแมลงศัตรูไมผล สมุนไพรและเครื่องเทศ กองกีฏและสัตววิทยา<br />

กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ.<br />

จริงแท ศิริพานิช. 2531. สรีรวิทยาหลังการเก็บเกี่ยวของผักและผลไม. คูมือการฝกอบรม<br />

หลักสูตรวิทยาการหลังการเก็บเกี่ยวพืชสวน. สถาบันวิจัยพืชสวน กรมวิชาการเกษตร<br />

กรุงเทพฯ. 240 น.<br />

ชลิดา อุณหวุฒิ, ศิริณี พูนไชยศรี, สมหมาย ชื่นราม และ เกรียงไกร จํ าเริญมา. 2545. การศึกษา<br />

อนุกรมวิธานของเพลี้ยแปงและเพลี้ยหอยศัตรูมังคุด. น.309-319. ใน รายงานผลการวิจัยป<br />

2545. กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร กรุงเทพฯ<br />

57


ดวงพร สุนทรมงคล และ เกรียงศักดิ์ พฤกษากิจ. 2519. การศึกษาเกี่ยวกับการแข็งตัวของเปลือก<br />

มังคุด. น 40. ใน รายงานการคนควาวิจัยป 2518. กองพืชสวน กรมวิชาการเกษตร<br />

กรุงเทพฯ. 161 น.<br />

เต็ม สมิตินันทน. 2523. ชื่อพรรณไมแหงประเทศไทย<br />

(ชื่อพฤกษศาสตร-ชื่อพื้นเมือง). ฟนนี่<br />

พับลิชชิ่ง, บางเขน กรุงเทพ. 379 น.<br />

บุปผา เหลาสินชัย และ ชลิดา อุณหวุฒิ. 2543. เพลี้ยแปงและเพลี้ยหอยศัตรูพืชที่สํ าคัญ.<br />

กลุมงานอนุกรมวิธานแมลง กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร. 70 น.<br />

บุปผา เหลาสินชัย. 2537ก. การศึกษาอนุกรมวิธานของเพลี้ยหอย เพลี้ยแปงศัตรูฝรั่งและ<br />

แมลงศัตรูธรรมชาติ. น 24-50. ใน รายงานผลการคนควาและวิจัย ป 2537.<br />

กลุมงานอนุกรมวิธานและวิจัยไร กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร.<br />

. 2537ข. การศึกษาอนุกรมวิธานของเพลี้ยแปงศัตรูกลวยและแมลงศัตรูธรรมชาติของ<br />

เพลี้ยแปง. น 51-52. ใน รายงานผลการคนควาและวิจัย ป 2537.<br />

กลุมงานอนุกรมวิธานและวิจัยไร กองกีฏและสัตววิทยา กรมวิชาการเกษตร.<br />

มาโนชญ กูลพฤษี . 2534. การศึกษาการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพและทางชีวเคมีบาง<br />

ประการของเปลือกมังคุดที่แข็งตัวเนื่องจากการตกกระทบหลังการเก็บเกี่ยว.<br />

ปญหาพิเศษปริญญาโท. ภาควิชาพืชสวน มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพ.<br />

วรรณา ตุลยธัญ, สุวรรณ สุภิมารส, อรไท สุขาเจริญ และ สุภาพรรณ ดุลยพิรุฬหศิลป. 2532.<br />

การสกัดแอนโธไซยานินจากเปลือกมังคุด. อาหาร 19(1) : 25-32.<br />

ศรุต สุทธิอารมณ. 2542. แมลงศัตรูทุเรียน. น.1-17. ใน เอกสารวิชาการ แมลงศัตรูไมผล.<br />

กลุมงานวิจัยแมลงศัตรูไมผล สมุนไพรและเครื่องเทศ กองกีฏและสัตววิทยา<br />

กรมวิชาการเกษตร, กรุงเทพฯ.<br />

สถาบันวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงประเทศไทย. 2531. รายงานการเก็บเกี่ยว การใช<br />

ประโยชนจากกาซคารบอนไดออกไซด ในการเก็บรักษาผักและผลไมสดเพื่อการ<br />

สงออก. ฉบับที่ 8. การเก็บรักษามังคุด. เสนอตอการปโตรเลียมแหงประเทศไทย. 25 น.<br />

58


สมโภชน นอยจินดา. 2534. ผลของ GA3 ตอผลมังคุด (Garcinia mangostana L.)<br />

วัยสายเลือด. ปญหาพิเศษปริญญาตรี. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ.<br />

สุรพงษ โกสิยะจินดา. 2529. วิทยาการหลังการเก็บเกี่ยว มังคุด ทุเรียน เงาะ (ตอนที่ 1).<br />

เคหเกษตร 10(114) : 42-45.<br />

สุรพล มนัสเสรี. 2541. เอกสารคํ าสอน หลักการไมผล. ภาควิชาเกษตรศาสตร คณะเกษตร<br />

และอุตสาหกรรม สถาบันราชภัฏสงขลา. 360 น.<br />

Almeyda, N. and F.W. Martin. 1976. Cultivation of Neglected Tropical Fruits with<br />

promise. Part 1. The Mangosteen. Agricultural Research Service, U.S. Department<br />

of Agriculture. 18 pp.<br />

Beardsley, J.W. 1959. On the taxonomy of pineapple mealybugs in Hawaii, with a<br />

description of a previously unnamed spiecies (Homoptera : Pseudococcidae).<br />

Proceeding of the Hawaiian Entomological Society 17 : 29-37.<br />

. 1965. Notes on the pineapple mealybug complex, with decription of two species<br />

(Homoptera : Pseudococcidae). Proceeding of the Hawaiian Entomological Society<br />

19 : 55-68.<br />

. 1966. Insects of Micronesia, Homoptera : Coccidea. Insects of Micronesia 6 :<br />

377-562.<br />

. 1975. Insects of Micronesia, Homoptera : Coccidea. Supplyment. Insects of<br />

Micronesia 6 : 657-662.<br />

Bzzat, Y.M. and H.S. Mcconnell, 1956. A classification of the mealybug tribe<br />

Planococcini (Pseudococcidae, Homoptera) Bulletin. University of Maryland<br />

Agricultural Experiment Station. A-84 : 1-108.<br />

Chandler, W.H. 1950. Evergreen Orchards. La and Febiger , Philadelphia. 542 pp.<br />

59


Cox, J.M. 1981. Identification of Plnococcus citri (Homoptera : Pseudococcidae) and a<br />

description of a new species. Systematic Entomology 6 : 47-53.<br />

Dowling, C.F., Jr. 1987. Fruits of Warm Climates. Media Incorporation, New York. 506 pp.<br />

Downton, W.J.S., W.J.R. Grant and E.K.Chacko. 1990. Effect of elevated carbon dioxide<br />

on the photosynthesis and early growth of mangosteen (Garcinia mangostana L.).<br />

Scientia Hortic. 44:215-225.<br />

Eskin, N.A.M. 1979. Plant Pigments, Flavors and Textures : The Chemistry and<br />

Biochemistry of Selected Compounds. Academic Press, New York . 219 pp.<br />

Ferris, G.F. 1950. Atlas of the Scale Insects of North America. Series 5. The<br />

Pseudococcidae (Part 1). California Stanford University Press. 278 pp.<br />

Hammerschmidt, R. 1984. Rapid deposition of lignin in potato tuber tissue as a response<br />

to fungi non- pathogenic on potato. Physiol. Plant Pathol. 24: 33-42.<br />

Harborne , J.B. 1984. Phytochemical Methodes. Chapman and Hall, New York. 288 pp.<br />

Huber, D.J. and J.H. Lee. 1986. Comparative analysis of pectin from pericarp and locular<br />

gel in developing tomoto fruit, pp.141-145 In Fishman, M.L. and J.J. jen (eds.).<br />

Chemistry and Function of Pectin. American Chemical Society, Washingtion, D.C.<br />

Maity,D.K.,A.K.Sahoo and S.K.Mandal. 1998. Evaluation of laboratory hosts for rearing<br />

and mass multiplication of Planococcus minor.(Maskell)<br />

(Pseudococcidae:Hemiptera). Enviroment and Ecology 16(3):530-532.<br />

Martin, F.W. 1980. Durian and mangosteen, pp. 407-414. In Nagy, S. and P.E. Shaw<br />

(eds.). Tropical & Subtropical Fruits. The AVI Publishing Co., Inc., Westport,<br />

Connecticut.<br />

60


Oshse, J.J. 1961. Tropical and Suptropical Agriculture. The McMillan Co., New York.<br />

615 pp.<br />

Paxton, J., D.J. Goodchild and A.M. Cruickshank. 1974. Phaseolin production by live<br />

bean endocarp. Physio. Plant Pathol. 4: 167-171.<br />

Puntner, W. 1981. Manual for field trials in plant protection. 2nd ed. Ciba-Geigy<br />

Limited, Switzerland. 205 pp.<br />

Rhodes, J.M. and L.S.C. Woolton. 1978. The biosynthesis of phenolic compound in<br />

wounded plant storage tissue, pp. 243-286. In E. G. Kahi (ed.). Biochemistry of<br />

Wounded Plant Tissue. Walter De Gruyter, Berlin.<br />

Ride, J.P. 1978. The role of cell wall alteration in resistance to fungi. Ann. Appl. Biol. 89:<br />

302-306.<br />

Smith, D., GAC Beattie and R. Broadley. 1997. Citrus pests and their natural enemies.<br />

Primary Industries. Queenland. 272 pp.<br />

Williams, D.J. 1978. The anomalous ant-attended mealybugs (homoptera:<br />

Pseudococcidae) of South-east Asia. Bull. Brit.Mus. (Nat.Hist.). Ent. 37:9-10.<br />

Williams, D.J. and G.W. Watson. 1988a. The Scale Insects of the Tropical South Pacific<br />

Region Part 1, The Armoured Scales (Diaspididae). CAB International Institute of<br />

Entomology, Wallingford. 290 pp.<br />

Williams, D.J. and G.W. Watson. 1988b. The Scale Insects of the Tropical South Pacific<br />

Region Part 2, the meaybugs (Pseudococcidae). CAB International Institute of<br />

Entomology, Wallingford. 260 pp.<br />

Williams, D.J. and M.C. Granara de Willink. 1992. Mealybug of Central and South<br />

America. CAB International Institute of Entomology, Wallingford. 635 pp.<br />

61


Zimmerman, E.C. 1948. Insects of Hawaii 5 Homoptera: Stermorrhyncha. University of<br />

Hawaii Press. 464 pp.<br />

62

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!