download_page.php?src=download059
download_page.php?src=download059
download_page.php?src=download059
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
ภูมิแผ่นดิน<br />
รัตนโกสินทร์แผ่นดินภูมิ<br />
จำหลักปูมประวัติแคว้นแผ่นภูมิสยาม<br />
ภูมิไผทธำรงอยู่ยงยาม<br />
สง่างามความเป็นไทย ณ ธรณิน<br />
พระบุญญาบารมีที่ครองธรรม<br />
พระทรงนำภูมิปราชญ์ภูมิศาสตร์ศิลป์<br />
เฉลิมศุภวาระพระภูบดินทร์<br />
นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ประคินผคม<br />
2
สารจากผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์<br />
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ยึดถือหลักปรัชญาของ<br />
เศรษฐกิจพอเพียงเป็นธงในการดำเนินงาน ซึ่งรวมถึงการรักษาสมดุลระหว่างการอนุรักษ์และพัฒนา<br />
เพื่อประโยชน์ของชุมชน ประชาชน และสังคม โดยยึดหลักความพอประมาณ ความสมเหตุสมผล<br />
และการสร้างภูมิคุ้มกันในตัวที่ดี เพื่อนำไปสู่การพัฒนาอย่างสมดุลต่อไป<br />
นิทรรศน์รัตนโกสินทร์เป็นหนึ่งในโครงการที่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์<br />
ได้ดำเนินการตามแนวทางในการอนุรักษ์ผสานพัฒนา ด้วยความภาคภูมิใจที่ได้ร่วมพลิกฟื้น<br />
อาคารประวัติศาสตร์บนถนนราชดำเนินกลางให้เป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตชาวกรุงเทพฯ โดยมุ่งให้เกิด<br />
ประโยชน์ด้านการศึกษาแก่เยาวชนและประชาชนทั่วไป รวมทั้งเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ถ่ายทอด<br />
เอกลักษณ์ประจำชาติให้แก่นักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศ โดยนำเสนอสาระความรู้<br />
เกี่ยวกับประวัติความเป็นมาของกรุงรัตนโกสินทร์ ผ่านนิทรรศการและสื่อผสมเสมือนจริงที่มี<br />
ปฏิสัมพันธ์กับผู้ชม (Interactive Self-Learning) ให้สามารถเรียนรู้ด้วยตนเองและสามารถเที่ยวชม<br />
กรุงเทพฯ ด้วยความเข้าใจ <br />
4
ในการนี้ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา<br />
กษัตริย์ ได้จัดทำหนังสือ “นิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
อัญมณี แห่งมหานคร” ทั้งในรูปแบบหนังสือเล่ม<br />
และในรูปแบบหนังสืออิเล็กทรอนิกส์ (e-Book) ขึ้น<br />
โดยมุ่งหวังที่จะจุดประกายความสนใจใน<br />
ประวัติศาสตร์และมรดกทางวัฒนธรรมของ<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ที่สืบทอดต่อเนื่องมาอย่าง<br />
ยาวนาน ตลอดจนสร้างความบันดาลใจให้ประชาชน<br />
เข้ามาเยี่ยมชมนิทรรศการ เพื่อความเข้าใจในอดีต<br />
และความสำคัญของมรดกทางวัฒนธรรมไทย<br />
อันดีงาม ซึ่งจะเป็นต้นทุนทางวัฒนธรรม<br />
เพื่อการดำเนินชีวิตอยู่ทั้งในปัจจุบันและอนาคต<br />
ได้อย่างสมดุลและมีภูมิคุ้มกัน<br />
<br />
(นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา)<br />
ผู้อำนวยการสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์<br />
5
ตอนที่ ๑ ร่วมใจรังสรรค์ <br />
ผสานการอนุรักษ์และพัฒนา ๘<br />
<br />
ตอนที่ ๒ สืบสานศิลป์ <br />
มรดกแผ่นดินสยาม ๑๖<br />
<br />
ตอนที่ ๓ จรรโลงวัฒนธรรม <br />
ล้ำเลอค่า ๓๔๐<br />
<br />
ส่วนท้ายเล่ม บรรณานุกรม ๓๕๖<br />
คณะกรรมการ ๓๕๘<br />
ISBN ๓๖๐
๑<br />
ต อ น ที่<br />
ร่วมใจรังสรรค์<br />
ผสานการอนุรักษ์และพัฒนา<br />
คงคุณค่าสถาปัตยกรรม เสริมสร้างสรรค์สารพันประโยชน์<br />
ตอบโจทย์วิถีชีวิตคนในยุคปัจจุบัน<br />
<br />
9
10<br />
ถนนราชดำเนินกลางสร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
ได้รับการรังสรรค์ให้เป็นสัญลักษณ์ความเจริญและความสง่างามของบ้านเมืองที่ยังคงปรากฏให้เห็นในปัจจุบัน
ถนนราชดำเนินเป็นเอกลักษณ์แห่ง<br />
ความศิวิไลซ์ของกรุงเทพมหานครมาช้านาน นับแต่<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />
มีพระราชดำริให้ก่อสร้างขึ้น เพื่อแสดงออกถึง<br />
ความพร้อมของกรุงเทพมหานครในการเป็นหนึ่ง<br />
ในมหานครเอกของโลกและแสดงให้เห็นว่าเมืองหลวง<br />
ของราชอาณาจักรสยามมีความเจริญทัดเทียมนานา<br />
อารยประเทศ ถนนราชดำเนินและบริเวณต่อเนื่อง<br />
จึงมีความสำคัญนับแต่อดีตจวบจนถึงปัจจุบัน<br />
กอปรกับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ<br />
ฉบับที่ ๙ (พ.ศ. ๒๕๔๕ - ๒๕๔๙) ได้กำหนด<br />
ยุทธศาสตร์การบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติ<br />
และสิ่งแวดล้อม โดยมีแนวทางสำคัญในการอนุรักษ์<br />
ฟื้นฟูและรักษาสภาพแวดล้อมชุมชน ศิลปกรรมและ<br />
แหล่งท่องเที่ยวให้เกื้อหนุนต่อคุณภาพชีวิต และเป็น<br />
ฐานการพัฒนาเศรษฐกิจของชุมชน ดังนั้น เพื่อให้<br />
การบริหารยุทธศาสตร์ดังกล่าวมีความเป็นไปได้<br />
ในทางปฏิบัติ สำนักงานคณะกรรมการ<br />
พัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ<br />
ร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จึงเห็นสมควรให้มี<br />
การจัดทำแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่ถนน<br />
ราชดำเนินและพื้นที่บริเวณต่อเนื่องขึ้น<br />
เพื่อเป็นแผนชี้นำทิศทางการพัฒนาทางด้าน<br />
กายภาพในพื้นที่ประวัติศาสตร์ของกรุงเทพมหานคร<br />
ซึ่งต่อมาใน พ.ศ. ๒๕๔๔ คณะรัฐมนตรีได้อนุมัติ<br />
โครงการแผนผังแม่บทการพัฒนาพื้นที่<br />
ถนนราชดำเนินและพื้นที่บริเวณต่อเนื่อง<br />
ภายใต้โครงการเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นคืน<br />
การเจริญเติบโตอีกครั้งหนึ่ง<br />
11
12<br />
ผลจากโครงการแผนแม่บทดังกล่าวก่อให้เกิดการดำเนินงาน<br />
ในทางปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรมแล้วจำนวน ๒ โครงการ ประกอบด้วยโครงการ<br />
ปรับปรุงพื้นที่บริเวณลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ (ส่วนต่อขยาย) <br />
เพื่อเปิดมุมมองโลหะปราสาท วัดราชนัดดาราม และเพิ่มความสง่างามให้แก่<br />
ลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์<br />
ในฐานะเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินบริเวณส่วนต่อขยาย ได้ส่งมอบสิทธิในการ<br />
ปรับปรุงพื้นที่ให้กรุงเทพมหานครเป็นผู้ดำเนินการ โดยกรุงเทพมหานคร<br />
ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อวันที่ ๒ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๑ ส่วนอีกโครงการหนึ่ง คือ<br />
โครงการออกแบบก่อสร้างลานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณที่เป็นที่ตั้งของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล
จวบจนปัจจุบัน ถนนราชดำเนินยังคงความสำคัญ <br />
เป็นเส้นทางหลักสู่ “กรุงรัตนโกสินทร์” จิตวิญญาณและมรดกอันล้ำค่า<br />
ทางวัฒนธรรมที่บรรพบุรุษได้มอบให้แก่ลูกหลานไทย<br />
โดยโครงการดังกล่าวจะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญบนถนนราชดำเนิน <br />
ซึ่งประกอบด้วย สวนและลานกิจกรรม อาคารนิทรรศการและศูนย์เรียนรู้ <br />
โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการประกวดแบบ คาดว่าจะเริ่มดำเนินการ<br />
ก่อสร้างได้ใน พ.ศ. ๒๕๕๕<br />
จากความตั้งใจที่จะสรรค์สร้างสิ่งที่ดีเพื่อสังคมและการร่วมแรงร่วมใจกัน<br />
อย่างเต็มที่ของทุกฝ่าย ผนวกกับความประสงค์ของสำนักงานทรัพย์สิน<br />
ส่วนพระมหากษัตริย์ที่จะร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการอนุรักษ์และพัฒนาพื้นที่<br />
ถนนราชดำเนินให้สง่างามสมกับชื่อถนน จึงเป็นที่มาของการนำอาคารหมายเลข ๑<br />
ซึ่งอยู่ถัดจากลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ ที่ครบอายุสัญญาเช่าและได้รับคืน<br />
พื้นที่จากผู้เช่าเดิมแล้ว มาปรับปรุงเพื่อเป็นของขวัญในการพัฒนาพื้นที่<br />
ถนนราชดำเนิน อันเป็นจุดต่อยอดที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม<br />
ด้วยเหตุที่ในอดีต การเข้าสู่<br />
ราชธานีในยุครัตนโกสินทร์จะต้อง<br />
ผ่านประตูเมืองบริเวณสะพานผ่านฟ้า<br />
ลีลาศ มายังลานพลับพลามหาเจษฎา<br />
บดินทร์ในปัจจุบัน เปรียบได้กับเป็น<br />
ประตูสู่กรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งอาคาร<br />
แห่งนี้เป็นอาคารแรกที่อยู่ติดกับลาน<br />
พลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ จุดนี้<br />
จึงเป็นจุดเริ่มต้นในการนำอาคารแห่งนี้<br />
มาเป็นสถานที่จัดแสดงนิทรรศการ<br />
เพราะมีพื้นที่ที่เหมาะสมจะเป็นแหล่ง<br />
รวบรวมความรู้ อีกทั้งยังมีโลหะปราสาท<br />
วัดราชนัดดารามที่สวยงามเด่นเป็นสง่า<br />
เป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศในยาม<br />
ที่แขกบ้านแขกเมืองมาเที่ยวชม<br />
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหา<br />
กษัตริย์จึงบูรณะอาคารเดิมให้เป็น<br />
สถานที่รวบรวมความรู้เกี่ยวกับ<br />
ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม<br />
ของยุครัตนโกสินทร์อันควรค่าที่คนไทย<br />
จะได้รับรู้และภาคภูมิใจภายใต้ชื่อ<br />
“นิทรรศน์รัตนโกสินทร์”<br />
<br />
<br />
13
14<br />
กิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ วันเสาร์ที่ ๘ มกราคม พ.ศ. ๒๕๕๔ จัดขึ้นบริเวณโถงอเนกประสงค์ <br />
อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ เด็กๆ ต่างสนุกสนานกับกิจกรรมการเรียนรู้ด้านศิลปะและวัฒนธรรมไทย
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์<br />
มุ่งหวังที่จะกระตุ้นให้เยาวชนชื่นชอบและสนใจที่จะศึกษา<br />
ค้นคว้าและภาคภูมิใจในประวัติศาสตร์ ศิลปะ และมรดก<br />
ทางวัฒนธรรมที่บรรพชนไทยได้สั่งสมสืบทอดมาจนถึง<br />
ปัจจุบัน อีกทั้งเพื่อให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวแห่งใหม่อีกแห่งหนึ่ง<br />
ของกรุงเทพมหานคร ที่นักท่องเที่ยวจะได้รับข้อมูล ความรู้<br />
และความเข้าใจเกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวบริเวณเกาะ<br />
รัตนโกสินทร์ก่อนที่จะไปเที่ยวชมยังสถานที่จริง และเหนือ<br />
สิ่งอื่นใด ชุมชนชาวราชดำเนินโดยเฉพาะเยาวชนในชุมชน<br />
น่าที่จะได้รับประโยชน์สูงสุดทั้งความรู้ที่ได้จากการจัดแสดง<br />
นิทรรศการและห้องสมุดซึ่งจะเป็นแหล่งเรียนรู้ที่อยู่คู่กับ<br />
ชุมชนไปตราบนานเท่านาน<br />
อย่างไรก็ตาม หากมองย้อนไปถึงต้นสายปลายเหตุ<br />
ของการก่อกำเนิดอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ซึ่งเกิดจาก<br />
ความมุ่งหวังในการกระตุ้นเศรษฐกิจให้ฟื้นคืนการเจริญ<br />
เติบโตตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ<br />
ฉบับที่ ๙ นั้น สิ่งที่เกิดขึ้นในอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
อาจไม่ใช่คำตอบสุดท้ายที่จะตอบโจทย์ของความมุ่งหวัง<br />
ดังกล่าว แต่สิ่งที่ควรจะเป็นก็คือ เศรษฐกิจ สังคม<br />
และศิลปวัฒนธรรม ที่น่าจะต้องเจริญงอกงาม<br />
ไปพร้อมๆ กันอย่างสมดุลบนความยั่งยืน <br />
ด้วยเหตุนี้ สำนักงานทรัพย์สิน<br />
ส่วนพระมหากษัตริย์จึงมุ่งหวัง<br />
ที่จะให้อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
ทำหน้าที่ในการสร้างความสมดุล<br />
ทางศิลปวัฒนธรรม ควบคู่ไปกับ<br />
การเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ<br />
และสังคมโดยรวม<br />
<br />
15
๒<br />
ต อ น ที่<br />
สืบสานศิลป์<br />
มรดกแผ่นดินสยาม<br />
เยี่ยมยลนวัตกรรมเลิศล้ำวิจิตร<br />
เพื่อพินิจเกียรติยศมรดกสยาม
กรุงรัตนโกสินทร์<br />
เกียรติยศ <br />
ประดับแผ่นดินสยาม<br />
<br />
ตลอดระยะเวลากว่า ๒ ศตวรรษใต้ร่ม<br />
พระมหาเศวตฉัตรของพระมหากษัตริย์<br />
แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งทรงอุตสาหะ<br />
บำเพ็ญพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการ <br />
ด้วยพระราชปณิธานมุ่งหวังตั้งพระราชหฤทัย บันดาลให้<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ ศูนย์กลางพระราชอาณาจักรสยาม <br />
มีความงดงามรุ่งเรือง สมเป็นราชธานีที่มีศรีสง่าทัดเทียม<br />
มหานครในบรรดาอารยประเทศทั้งหลาย กอปรกับ<br />
พระบรมโพธิสมภารที่ปกแผ่ ไพศาลไปทั่ว<br />
ขอบขัณฑสีมา ได้บังเกิดความผาสุกทุกถิ่นฐาน<br />
ราษฎรประกอบกิจการงานที่สุจริตได้อย่างอิสระ<br />
มีกำลังพัฒนาบ้านเมืองให้เฟื่องฟูในทุกด้าน<br />
วิทยาการอันล้ำค่า ได้รับการรจนารังสรรค์เป็น <br />
<br />
“มรดกศิลป์” <br />
ปรากฏเป็นเกียรติยศ<br />
ประดับแผ่นดินสยาม
๑<br />
รัตนโกสินทร์<br />
เรืองโรจน์<br />
20
กรุงรัตนโกสินทร์ ราชธานีแห่งขอบขัณฑสีมาพระราชอาณาจักรสยาม<br />
ยืนหยัดอย่างมั่นคง ดำรงฐานะศูนย์กลางของประเทศที่เปี่ยมด้วยอารยะ<br />
บริบูรณ์ด้วยสรรพวิทยาการ เนื่องด้วยพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์<br />
แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งทรงพระราชอุตสาหะทำนุบำรุงบ้านเมือง<br />
ให้เฟื่องฟู ค้ำชูพระบวรพุทธศาสนา สืบทอดขนบประเพณีที่มีมาแต่เมื่อครั้ง<br />
กรุงศรีอยุธยา ราษฎรจึงบังเกิดความผาสุกสืบมา เป็นเวลายาวนานกว่า<br />
๒๐๐ ปี<br />
21
22<br />
ตั้งแต่กรุงรัตนโกสินทร์ได้รับ<br />
การสถาปนาโดยพระบาทสมเด็จพระพุทธ<br />
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อพุทธศักราช<br />
๒๓๒๕ นั้น นับเป็นเวลายาวนานกว่า ๒๐๐ ปี<br />
ที่กรุงรัตนโกสินทร์ ศูนย์กลางแห่งพระราช<br />
อาณาจักรสยาม เป็นราชธานีที่งดงามมั่นคง<br />
ดำรงเอกลักษณ์ทางศิลปะและสถาปัตยกรรม<br />
อันวิจิตร มั่งคั่งด้วยสรรพพิพิธวิทยานานา<br />
ประการ
ด้วยพระบรมโพธิสมภารและ<br />
พระราชปณิธานอันแน่วแน่ของพระมหา<br />
กษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งล้วน<br />
ทรงมุ่งหวังตั้งพระราชหฤทัยที่จะปกครอง<br />
บ้านเมืองและราษฎรให้รุ่งเรืองและผาสุก<br />
ด้วยหลักทศพิธราชธรรมและคำสอนแห่ง<br />
พระบวรพุทธศาสนา<br />
ราษฎรทั้งหลายจึงได้อาศัยอยู่บน<br />
แผ่นดินทอง ที่เรืองรองและร่มเย็นสืบมา <br />
เป็นเวลากว่า ๒ ศตวรรษ<br />
23
แ ผ น ผั ง ห้องรัตนโกสินทร์เรืองโรจน์<br />
ทางออกสู่ห้องที่ ๒<br />
จัดแสดงด้วยระบบไฮโดรลิก<br />
ยกพื้นห้องให้เลื่อนขึ้นจากชั้นที่ ๒<br />
ไปสู่ชั้นที่ ๓ พร้อมฉายวีดิทัศน์<br />
แสดงประวัติการสถาปนา<br />
กรุงรัตนโกสินทร์และหุ่นจำลอง<br />
วัดพระศรีสรรเพชญ์<br />
และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
24
หุ่นจำลองวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
หุ่นจำลองวัดพระศรีสรรเพชญ์<br />
วีดิทัศน์ย้อนรอยประวัติ<br />
การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์<br />
25
ปลายสมัยอยุธยา<br />
เมื่อกล่าวถึงการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ จะต้องมองย้อนไปถึง<br />
กรุงศรีอยุธยา เนื่องจากราชธานีของชาวสยามนามกรุงศรีอยุธยานั้น ยิ่งใหญ่<br />
เรืองรองด้วยภูมิปัญญา ศิลปะ และวัฒนธรรมที่สั่งสมมายาวนาน<br />
ถึง ๔๑๗ ปี จึงเป็นต้นแบบที่สำคัญให้การสร้างราชธานีใหม่ ได้สืบสานความเจริญ<br />
รุ่งเรืองในแทบทุกด้าน<br />
เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสถาปนาราชธานีแห่งใหม่ <br />
ณ เมืองธนบุรีศรีมหาสมุทร อันเป็นเมืองปราการหน้าด่านสำคัญใกล้ปากแม่น้ำ<br />
เจ้าพระยามาแต่เดิมนั้น ก็ได้สืบทอดรูปแบบสังคมและวัฒนธรรมอันดีงาม<br />
ของกรุงศรีอยุธยามาอย่างต่อเนื่องตลอดรัชสมัยของพระองค์ แม้จะเป็นระยะ<br />
เวลาอันสั้นเพียง ๑๕ ปี<br />
26
รุ่งอรุณแห่งกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ครั้นพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ <br />
ทรงสถาปนาราชธานีใหม่ ภาพแห่งความเจริญรุ่งเรือง<br />
ของกรุงศรีอยุธยาในอดีต ได้สะท้อนให้ปรากฏแจ่มชัด<br />
ยิ่งขึ้นอีกครั้ง<br />
เพื่อประโยชน์สุขของพสกนิกรเป็นที่ตั้ง พระองค์<br />
ได้มีพระราชปณิธานอันแน่วแน่ ดังความที่ว่า...<br />
ตั้งใจจะอุปถัมภก<br />
ยอยกพระพุทธศาสนา<br />
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา<br />
รักษาประชาชนแลมนตรี<br />
พระองค์ทรงมุ่งหมายจะสถาปนาราชธานีใหม่<br />
ให้เจริญรุ่งเรือง เป็นศูนย์กลางการปกครองและการค้า<br />
อันสำคัญ ยิ่งใหญ่ทัดเทียมกรุงศรีอยุธยาในอดีตให้จงได้<br />
<br />
27
๐<br />
๒<br />
๓<br />
๑<br />
ลั<br />
๔<br />
๖ ๘<br />
๕<br />
๗<br />
28<br />
สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์<br />
ด้วยทรงพระปรีชาในตำราพิชัยสงคราม จึงทรงเล็งเห็นว่า<br />
พื้นที่ฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยาเป็นชัยภูมิที่เหมาะสม<br />
เนื่องจากมีลักษณะเป็นหัวแหลม โอบล้อมด้วยลำน้ำถึง ๓ ด้าน<br />
อีกทั้งนอกคูเมืองด้านตะวันออกยังเป็นทะเลตม ซึ่งหากขุดคลอง<br />
เพิ่มขึ้นจะช่วยป้องกันพระนครได้เป็นอย่างดี จึงทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากฝั่งตะวันตกมายังฝั่งตะวันออก<br />
ของแม่น้ำเจ้าพระยา<br />
วันอาทิตย์ เดือนหก ขึ้นสิบค่ำ ปีขาล จัตวาศก<br />
จุลศักราช ๑๑๔๔ เวลาย่ำรุ่งแล้ว ๕๔ นาที ตรงกับ<br />
วันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้ประกอบพระราชพิธีประดิษฐานเสาหลักเมืองสำหรับ<br />
พระนครเป็นปฐมฤกษ์<br />
จากนั้นทรงให้เริ่มขุดคูคลอง ขุดรากก่อกำแพง<br />
พระนคร สร้างป้อมปราการ สร้างวัดพระศรีรัตน<br />
ศาสดารามและพระบรมมหาราชวัง การวางตำแหน่งที่ตั้ง<br />
ของวังต่างๆ จัดเรียงรายให้มีชัยภูมิแบบ “นาคนาม” <br />
ต้องตามตำราพิชัยสงครามสมัยกรุงศรีอยุธยา<br />
พร้อมกันนั้น ทรงฟื้นฟูพระพุทธศาสนาและทรงรื้อฟื้น<br />
วรรณกรรมอันเป็นหนึ่งในเอกลักษณ์สำคัญของชาติ<br />
เป็นการบำบัดทุกข์ บำรุงสุข และบำรุงขวัญให้แก่ราษฎร<br />
ด้วยพระมหากรุณาธิคุณและพระวิริยอุตสาหะ<br />
แห่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
แผ่นดินสยามก็ได้กลับฟื้นคืนความเป็นปึกแผ่นและ<br />
สงบสุขร่มเย็นสมดังความหมายแห่งนามราชธานีที่ได้<br />
พระราชทานคือ...
กรุงเทพมหานคร<br />
เป็นพระนครอันกว้างใหญ่<br />
อมรรัตนโกสินทร์<br />
ดุจเทพนคร <br />
อันเป็นที่สถิตแห่งพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร<br />
พระแก้วมรกต<br />
มหินทรายุธยา<br />
เป็นมหานครที่ไม่มีผู้ใดจะรบชนะได้<br />
มหาดิลกภพ<br />
มีความงดงามอันมั่นคงและเจริญยิ่ง<br />
นพรัตน์ราชธานีบูรีรมย์<br />
เป็นเมืองหลวงที่บริบูรณ์ด้วยแก้ว ๙ ประการ<br />
อันน่ารื่นรมย์<br />
อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน<br />
ประกอบทั้งหมู่พระมหามณเฑียร<br />
และพระมหาปราสาท<br />
เป็นพระราชนิเวศน์เวียงวังอันโอฬาร<br />
อมรพิมานอวตารสถิต<br />
เปรียบดังวิมานของสมมติเทพผู้เสด็จอวตารลงมา<br />
สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์<br />
โดยท้าวสักกเทวราชหรือพระอินทร์<br />
โปรดให้พระวิษณุกรรมเนรมิตไว้<br />
<br />
พิชัยสงคราม<br />
วังริมป้อมจักรเพ็ชร<br />
วังริมป้อมพระสุเมรุ บ้านเสนาบดี<br />
วังหน้า พระบรมมหาราชวัง<br />
วังหลัง<br />
แม่น้ำ<br />
พระนิเวศน์เดิม<br />
ของสมเด็จพระพี่นางฯ<br />
พระราชวังเดิม<br />
พระนิเวศน์เดิม<br />
ตำแหน่งที่ตั้งของวังต่างๆ<br />
ที่จัดเรียงรายให้มีชัยภูมิแบบ “นาคนาม” ตามตำราพิชัยสงคราม<br />
กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่มีแผนผังและ<br />
การวางตำแหน่งสถานที่สำคัญต่างๆ นับตั้งแต่<br />
เมื่อแรกสร้างให้สอดคล้องกับการตั้งค่าย ตามที่ปรากฏ<br />
ในตำราพิชัยสงคราม ซึ่งเป็นเอกสารเก่าแก่ที่ได้รับ<br />
การสืบทอดมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยนำรูปแบบ<br />
นาคนาม ซึ่งเป็นการตั้งค่ายหรือทัพใกล้กับลำคลอง<br />
หรือแม่น้ำมาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม<br />
หรือภูมิศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์ <br />
มีค่ายหลวง ซึ่งเปรียบได้กับวังหลวงหรือ<br />
พระบรมมหาราชวังเป็นศูนย์กลาง วังหน้าหรือ<br />
พระราชวังบวรสถานมงคลเป็นค่ายด้านหน้า <br />
ส่วนวังหลังหรือพระราชวังบวรสถานพิมุขเป็นค่าย<br />
ด้านหลัง นอกจากนี้ยังมีวังเจ้านายซึ่งล้วนแต่เป็น<br />
พระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ตั้งเรียงรายไปตามริมแม่น้ำ<br />
เจ้าพระยาทั้งฝั่งตะวันตกและตะวันออกอีกด้วย<br />
29
๒<br />
เกียรติยศ<br />
แผ่นดินสยาม<br />
30
พระบรมมหาราชวัง เพชรน้ำเอกแห่งสถาปัตยกรรมที่เปี่ยมด้วยความงดงาม<br />
และล้ำค่า ซึ่งพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เหล่าช่าง<br />
ผู้ชำนาญร่วมกันรังสรรค์ไว้เป็นมรดกศิลป์อันสง่างาม เป็นเกียรติยศสำหรับสยาม<br />
ประเทศที่ยืนหยัดและร่มเย็นเป็นเวลากว่า ๒๐๐ ปี ใต้ร่มพระบารมีแห่งพระมหา<br />
จักรีบรมราชวงศ์<br />
พระบรมมหาราชวังเป็นคลังความรู้ที่รวบรวมศิลปะและสรรพวิทยา<br />
อันประณีตวิจิตร โดยเฉพาะที่ได้รับการเนรมิตจากฝีมือสาวชาววัง ซึ่งได้รับการเล่าขาน<br />
จนถึงปัจจุบันกาล ว่าเป็นสุดยอดผลงานหัตถศิลป์ของแผ่นดินสยาม<br />
31
ครั้งสมัยกรุงศรีอยุธยามาจนถึง<br />
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ธรรมเนียมการสร้าง <br />
พระบรมมหาราชวังยังได้รับการสืบทอด<br />
ต่อมา ด้วยองค์ประกอบทางศิลปะและ<br />
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมที่งดงาม เป็นศรีสง่า<br />
สมฐานะราชธานี ศูนย์กลางแห่งขอบขัณฑสีมา<br />
เป็นเครื่องประดับพระอิสริยศักดิ์แห่ง<br />
พระมหากษัตริย์และเป็นเกียรติยศประดับ<br />
พระราชอาณาจักรสยาม<br />
นับเนื่องจากครั้งสร้างกรุงรัตนโกสินทร์<br />
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ จวบจนปัจจุบันสมัย <br />
รวมระยะเวลาได้กว่า ๒๐๐ ปี พระบรมมหาราชวัง<br />
อันเป็นอาณาบริเวณที่สำคัญ มีการก่อสร้าง<br />
เปลี่ยนแปลงและปรับปรุงด้วยรูปแบบศิลปกรรม<br />
อันประณีตล้ำค่า เกิดเป็นศูนย์รวมวิทยาการ<br />
หลายแขนง เป็นแหล่งรวมสุดยอดศิลปะและ<br />
สถาปัตยกรรมที่งดงามโดยสุดยอดช่างฝีมือ<br />
ของแผ่นดินที่ร่วมแรงและร่วมใจรังสรรค์<br />
ด้วยศรัทธาและจงรักภักดีในพระมหากษัตริยา<br />
ธิราชเจ้าแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์<br />
<br />
33
แ ผ น ผั ง ห้องเกียรติยศแผ่นดินสยาม<br />
สถาปัตยกรรมชั้นสูง<br />
<br />
จุดเริ่มต้น<br />
<br />
ความเป็นมาของ<br />
พระบรมมหาราชวัง<br />
34
อาคารสถานในเขต<br />
พระบรมมหาราชวัง <br />
งานฝีมือช่างหลวง<br />
<br />
<br />
ทางออก<br />
<br />
<br />
ชีวิตในเขตพระราชฐานชั้นใน<br />
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
35
๑<br />
พระมหากษัตริย์ไทย หนึ่งในใจปวงประชา<br />
ความเป็นสมมติเทพของพระมหากษัตริย์<br />
กับองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม<br />
คติความเชื่อเกี่ยวกับสมมติเทวราชจากกรุงศรีอยุธยาได้สืบทอดมา<br />
จวบจนสมัยรัตนโกสินทร์ ชาวไทยต่างยกย่องพระมหากษัตริย์เป็นดั่ง<br />
พระนารายณ์อวตารตามคติของศาสนาพราหมณ์ผสมผสานกับความเชื่อ<br />
ในพระพุทธศาสนาที่พระมหากษัตริย์ต้องมีทศพิธราชธรรมในการปกครอง<br />
บ้านเมือง ซึ่งสะท้อนความเป็นหน่อพุทธางกูรหรือผู้ที่จะตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า<br />
ในภายภาคหน้า<br />
หลักฐานของคติความเชื่อนี้แฝงอยู่ในรูปลักษณ์ของสิ่งปลูกสร้าง <br />
พระราชพิธี ตลอดจนจารีตประเพณี เพื่อแสดงความยกย่องเชิดชูพระมหา<br />
กษัตริย์อย่างสมพระเกียรติ ถือเป็นแบบแผนดีงามและเป็นอารยธรรมที่ส่งต่อ<br />
จากสมัยหนึ่งสู่สมัยหนึ่งอย่างไม่ขาดหาย<br />
36
ด้วยศีลและธรรมที่ทรงปฏิบัตินั้นได้ประจักษ์แก่สายตาและการรับรู้<br />
ของประชาชน ว่าเป็นศีลที่รักษาได้ และเป็นธรรมที่ปฏิบัติได้จริง ความเป็น<br />
สมมติเทพของพระมหากษัตริย์จึงมิใช่ความเชื่อที่ลึกลับอยู่เหนือเหตุผล<br />
อีกต่อไป แต่เป็นการยกย่องเชิดชูสถาบันพระมหากษัตริย์อย่างที่เข้าใจ<br />
และพิสูจน์ได้ ดังที่ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช บันทึกไว้ว่า<br />
<br />
“...ทำให้เกิดมีอุดมการณ์เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ขึ้นใหม่ในปัจจุบัน<br />
ซึ่งแตกต่างไปจากที่มีมาแต่ก่อน<br />
อุดมการณ์นี้ได้แก่ ความรักอันใกล้ชิด ความภักดี<br />
และความมั่นใจในความบริสุทธิ์แห่งพระราชหฤทัย<br />
และพระมหากรุณาธิคุณอันหาประมาณมิได้<br />
ในสังคมไทยยุคปัจจุบันนี้...”<br />
<br />
แผนที่กรุงรัตนโกสินทร์สมัยรัชกาลที่ ๓<br />
แสดงจุดที่ตั้งสถานที่สำคัญต่างๆ<br />
รวมทั้งพระบรมมหาราชวัง<br />
ซึ่งเป็นศูนย์กลางของราชธานี<br />
37
ความวิจิตรงดงามของพระบรมมหาราชวัง <br />
คือพระอิสริยยศและพระอิสริยศักดิ์แห่งพระมหากษัตริย์ไทย<br />
ในฐานะสมมติเทพตามธรรมเนียมแบบแผนที่สืบทอด<br />
มาแต่โบราณ และเป็นเกียรติยศแห่งแผ่นดินไทยที่แสดงถึง<br />
ความมั่งคั่งของราชธานีมายาวนานหลายชั่วอายุคน<br />
กาลเวลาที่ผ่านมากว่า ๒๐๐ ปี เปลี่ยนแปลง<br />
พระบรมมหาราชวังไปตามอารยธรรมของแต่ละยุคสมัย<br />
จากสถาปัตยกรรมแบบไทยประเพณี ศิลปะสมัย<br />
กรุงศรีอยุธยาตอนปลายเมื่อครั้งแรกสร้าง แปรเปลี่ยนเป็น<br />
สถาปัตยกรรมแบบไทยผสมจีนในสมัยรัชกาลที่ ๒ และ<br />
รัชกาลที่ ๓ โดยได้รับอิทธิพลจากการติดต่อค้าขาย<br />
กับประเทศจีน<br />
ความเป็นมาของพระบรมมหาราชวัง<br />
จัดแสดงด้วยเทคนิค<br />
ฉายภาพวีดิทัศน์บนผนัง<br />
และหุ่นจำลองพระบรมมหาราชวัง<br />
ที่สมบูรณ์และใหญ่ที่สุด<br />
ในประเทศไทย<br />
38
๑<br />
การปรับปรุงประเทศให้ทัดเทียมกับนานา<br />
อารยประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ ทำให้<br />
มีการนำสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกเข้ามาผสมผสานกับ<br />
รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่มีมาแต่เดิมของพระบรม<br />
มหาราชวัง ซึ่งแบ่งเป็น ๓ ส่วน คือ<br />
พระราชฐานชั้นนอก เป็นที่ตั้งของที่ทำการ<br />
หน่วยงานราชการและวัดพระศรีรัตนศาสดารามซึ่งเป็น<br />
วัดประจำพระบรมมหาราชวัง<br />
พระราชฐานชั้นกลาง หัวใจของพระบรมมหาราชวัง<br />
เคยเป็นที่ประทับและเสด็จออกว่าราชการของพระมหา<br />
กษัตริย์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ หลังจากนั้น<br />
กลายเป็นสถานที่ประกอบพระราชพิธีสำคัญ และรับรอง<br />
พระราชอาคันตุกะมาตราบจนทุกวันนี้<br />
พระราชฐานชั้นใน ในอดีตเป็นที่ประทับของ<br />
พระมเหสีเทวี พระราชธิดา และข้าราชการที่เป็นหญิงล้วน<br />
ปัจจุบันเปลี่ยนแปลงประโยชน์ใช้สอยไปเพื่อการอนุรักษ์<br />
ศิลปวัฒนธรรมไทย และเพื่อการศึกษาหลายโครงการ<br />
เวลากว่า ๒ ศตวรรษที่ผ่านมา พระบรมมหาราชวัง<br />
คือบทบันทึกแห่งประวัติศาสตร์ของกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ที่คงความสง่างาม ทรงคุณค่า สมเป็นมรดกของชาติ<br />
และเกียรติยศของแผ่นดินไทย<br />
39
๒<br />
เรื่องราวเกี่ยวกับศิลปกรรมพระที่นั่งทรงปราสาท<br />
ภายในพระบรมมหาราชวัง<br />
จัดแสดงด้วยระบบจอสัมผัสหรือเทคนิคทัชสกรีน<br />
สถาปัตยกรรมชั้นสูง <br />
เพื่อเกียรติยศแห่งแผ่นดิน<br />
กรุงรัตนโกสินทร์เป็นการจำลองความรุ่งเรืองของกรุงศรีอยุธยาในอดีต<br />
การสร้างปราสาทและพระราชมณเฑียรที่ประทับจึงวิจิตรบรรจงดังเทวสถาน<br />
ตามคติความเชื่อที่มีมาแต่เดิม เพื่อเฉลิมพระเกียรติ แสดงถึงพระอิสริยยศ<br />
พระอิสริยศักดิ์ของพระมหากษัตริย์ และเป็นเครื่องแสดงถึงอารยธรรมและ<br />
เกียรติยศแห่งบ้านเมือง<br />
จากกรุงศรีอยุธยาสู่กรุงรัตนโกสินทร์ ธรรมเนียมการสร้างพระที่นั่ง<br />
ทรงปราสาทเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริย์ยังคงสืบทอดมา ปรากฏเป็น<br />
พระที่นั่งอันงามสง่า สูงส่งด้วยศิลปะซึ่งสะท้อนถึงการยกย่องพระมหากษัตริย์<br />
ในฐานะสมมติเทวราชผู้เปี่ยมด้วยทศพิธราชธรรม<br />
40
รัชกาลที่ ๑ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท <br />
สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ถือเป็นสถาปัตยกรรมไทย<br />
ที่สมบูรณ์แบบ เครื่องยอด เป็นจตุรมุขทรงมณฑปซ้อน ๗ ชั้น<br />
ประดับด้วยครุฑยุดนาครับไขรายอดปราสาท หน้าบัน<br />
ประดับด้วยรูปนารายณ์ทรงครุฑลงรักปิดทองประดับกระจก<br />
ซุ้มพระบัญชร เป็นมณฑปทรงจอมแหซึ่งเป็นรูปแบบซุ้มที่<br />
ใช้กับพระที่นั่งทรงปราสาทเท่านั้น บานพระทวารและ<br />
พระบัญชร มีภาพเขียนลายเทวดาเป็นทวารบาลคอยปกปัก<br />
รักษาพระมหากษัตริย์<br />
<br />
<br />
รัชกาลที่ ๒ พระที่นั่งมหิศรปราสาท <br />
เป็นพระที่นั่งซึ่งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย เนื่องจากในสมัย<br />
รัชกาลที่ ๒ ไม่มีการสร้างพระที่นั่งทรงปราสาท เครื่องยอด<br />
เป็นปราสาท ๕ ชั้น มีครุฑยุดนาครับไขราแทนคันทวย<br />
ทั้ง ๔ มุม หน้าบัน เป็นรูปครุฑยุดนาคพระราชสัญลักษณ์<br />
ของรัชกาลที่ ๒ ซุ้มพระบัญชร เป็นซุ้มยอดทรงมงกุฎ<br />
บานพระทวาร เขียนลายรดน้ำ<br />
<br />
รัชกาลที่ ๓ พระที่นั่งสุทไธศวรรย์ปราสาท <br />
ตั้งอยู่บนกำแพงพระบรมมหาราชวัง เป็นพระที่นั่ง<br />
ซึ่งมีมาตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ใช้เป็นที่ประทับทอดพระเนตร<br />
การฝึกช้างและกิจกรรมต่างๆ ที่มีนอกพระราชวัง ต่อมา<br />
รัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการยกยอด<br />
ปราสาทขึ้น ในรัชกาลปัจจุบัน เป็นที่เสด็จออกให้ประชาชน<br />
เข้าเฝ้าฯ ในงานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เครื่องยอด <br />
เป็นทรงมณฑป ๕ ชั้น มีคันทวยรับไขราของยอดปราสาท<br />
หน้าบัน เป็นลายกนกเครือเถาใบเทศ บานพระทวาร <br />
สมัยรัชกาลที่ ๕ ได้มีการบูรณะบานพระทวารเป็นบานไม้<br />
แบบบานเฟี้ยม<br />
41
รัชกาลที่ ๔ พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท <br />
เป็นพระที่นั่งโถง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อ<br />
เฉลิมพระเกียรติยศและเป็นสถานที่สำหรับประทับ<br />
พระราชยานคานหาม เครื่องยอด เป็นปราสาท ๕ ชั้น <br />
มีหงส์จำหลักรับไขรายอดปราสาท หน้าบัน รูปสมเด็จ<br />
พระอมรินทราธิราชประทับยืน และมีรูปเทพนมขนาบข้าง<br />
<br />
รัชกาลที่ ๕ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท <br />
สร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นท้องพระโรง มีลักษณะเด่นที่รูปแบบ<br />
ทรงไทยผสมตะวันตก มีมุข ๓ มุข เหนือมุขทั้งสาม<br />
ยกยอดปราสาท ๗ ชั้น มีคันทวยรับไขรายอดปราสาท<br />
หน้าบันมุขกลาง เป็นรูปตราจักรีภายใต้พระมหามงกุฎ<br />
รองรับด้วยตราอาร์มแผ่นดิน หน้าบันมุขตะวันตกและ<br />
มุขตะวันออก เป็นตราจุลมงกุฎบนพานแว่นฟ้า รองรับด้วย<br />
ช้างสามเศียร ด้านข้างเป็นราชสีห์และคชสีห์ หน้าบันมุขเด็จ<br />
เป็นตราจักรีตามนามพระที่นั่ง ซุ้มพระบัญชร ประดับด้วย<br />
ตราจุลมงกุฎเหนือตราอาร์มแผ่นดิน<br />
<br />
42
๒<br />
รัชกาลที่ ๕ พระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท <br />
สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว เครื่องยอด เป็นพระที่นั่งทรงปราสาท ๕ ยอด<br />
ทรงมณฑป อันเป็นลักษณะเด่นของพระที่นั่งองค์นี้ <br />
นับเป็นเครื่องยอดที่มีรูปแบบและลักษณะรูปทรง<br />
งดงามที่สุด ประดับด้วยครุฑยุดนาครับไขรายอดปราสาท<br />
ยอดกลาง หมายถึง เขาพระสุเมรุ ยอดเล็ก ๔ ยอด <br />
หมายถึง ทวีปทั้ง ๔ ตามคติไตรภูมิ หน้าบัน รูปนารายณ์<br />
ทรงครุฑ ล้อมรอบด้วยลายกนกเทพนม ซุ้มพระบัญชร<br />
เป็นซุ้มบันแถลง บานพระบัญชร เป็นบานไม้ ด้านนอก<br />
เป็นลายลงยาประดับกระจกบนพื้นสีทอง ปัจจุบัน<br />
มีบานกระจกด้านนอกเพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันบานด้านใน<br />
<br />
รัชกาลที่ ๙ พระที่นั่งเทวารัณยสถาน <br />
เป็นพระที่นั่งโถง สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน ตั้งอยู่บน<br />
ชาลา (เฉลียง) พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬารองค์ใหม่<br />
เครื่องยอด ยกยอดปราสาท ๕ ชั้น มีครุฑรับไขรา<br />
ยอดปราสาท หน้าบัน เป็นรูปมงกุฎอุณาโลม<br />
<br />
<br />
<br />
43
เครื่องยอด...ยอดสูงเสียดฟ้า<br />
สูงค่าพระอิสริยยศ<br />
ส่วนของหลังคาที่เรียกว่า เครื่องยอด เป็นการจำลอง<br />
จักรวาลหรือไตรภูมิ ชี้ให้เห็นความสัมพันธ์ของคติความเชื่อ<br />
ในพระพุทธศาสนาและศาสนาพราหมณ์ มีรูปทรงแหลมสูง<br />
ถัดลงมาจากเครื่องยอดเป็นไขรารับยอดปราสาท มักประดับ<br />
ด้วยรูปครุฑซึ่งเป็นพาหนะของพระนารายณ์ เช่น พระที่นั่ง<br />
ดุสิตมหาปราสาท<br />
44
๒<br />
พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร <br />
หมายถึง พระมหากษัตริย์<br />
ทรงแผ่พระบารมีไป ๘ ทิศ<br />
และทิศธรณีอีก ๑ ทิศ<br />
<br />
เหม ส่วนปลายสุด<br />
มีลักษณะเรียวแหลม <br />
มีฐานซึ่งเทพหรือเทวดาอยู่บนสุด<br />
<br />
บัลลังก์ เป็นสัญลักษณ์<br />
แทนองค์พระบรมศาสดา<br />
<br />
รูปจำลองของพระสถูป <br />
ที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ<br />
ของพระพุทธเจ้า<br />
<br />
ไขรายอดปราสาท ประดับครุฑ<br />
ซึ่งเป็นพาหนะของพระนารายณ์<br />
<br />
หลังคาซ้อนหลายชั้น แทนเขาพระสุเมรุ<br />
หมายถึงสวรรค์ชั้นต่างๆ ตามคติไตรภูมิ<br />
<br />
45 ๖๓
ซุ้มพระทวาร ซุ้มพระบัญชร<br />
ปกป้องคุ้มภัย<br />
รักษาไว้พระมหามณเฑียร<br />
ซุ้มพระทวาร (ซุ้มประตู) และซุ้มพระบัญชร<br />
(ซุ้มหน้าต่าง) คือซุ้มของทวยเทพที่คอยปกปักรักษา<br />
พระที่นั่ง พระมหาปราสาท เช่น พระที่นั่งดุสิต<br />
มหาปราสาทเป็นซุ้มทรงมณฑป ส่วนพระที่นั่งองค์อื่น<br />
อาจเป็นซุ้มบันแถลง เช่น พระที่นั่งศิวาลัยมหาปราสาท<br />
หรือไม่ได้มีรูปแบบไทย เช่น พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท<br />
ซึ่งมีซุ้มแบบตะวันตก เป็นต้น<br />
<br />
ซุ้มทรงอย่างเทศที่พระบัญชร<br />
พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย<br />
มไหสูรยพิมาน<br />
46
๒<br />
บานพระทวาร <br />
บานพระบัญชร<br />
ทวารบาลคุ้มครอง <br />
คือ เหล่าเทวดา<br />
บานพระทวารและบานพระบัญชร มักเป็น<br />
ภาพเทวดาหรือทวารบาลคอยรักษาประตู เพื่อ<br />
บ่งบอกความสำคัญของสถานที่ มักประดับตกแต่ง<br />
อย่างประณีตวิจิตร เช่น เขียนลาย แกะสลัก<br />
ประดับมุก หรือประดับกระจก<br />
<br />
รูปเทพธิดายืนบนแท่น<br />
ที่ด้านหลังบานพระบัญชร<br />
พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน<br />
47
๖๖ 48<br />
ตำนานครุฑกับนาคจัดแสดงด้วย<br />
เทคนิคอะนิเมชั่นพร้อมบทบรรยาย<br />
ภาษาไทยและอังกฤษบนจอภาพ<br />
ภายในกรอบสีทอง
ตำนานครุฑกับนาค<br />
๒<br />
หน้าบัน...สัญลักษณ์<br />
แห่งพระมหากษัตริย์<br />
หน้าบันหรือบริเวณสามเหลี่ยมหน้าจั่วของหลังคา<br />
ที่ปรากฏในพระที่นั่งองค์สำคัญในแต่ละรัชกาล มักประดับ<br />
ด้วยสัญลักษณ์ที่สื่อถึงพระมหากษัตริย์ เช่น รูปพระนารายณ์<br />
ทรงครุฑที่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แสดงให้เห็นว่าเป็น<br />
ที่ประทับของพระนารายณ์ อันหมายถึงพระมหากษัตริย์<br />
บางครั้งเป็นภาพสัญลักษณ์อื่นๆ เช่น รูปเทวดา<br />
ประจำทิศประทับบนพระแท่น ได้แก่ ท้าวธตรฐ ท้าววิรุฬหก<br />
ท้าววิรูปักษ์ ท้าวเวสสุวัณ ที่พระมหามณเฑียร และรูปพระอินทร์<br />
ที่พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์ปราสาท หรือตราแผ่นดินที่พระที่นั่ง<br />
จักรีมหาปราสาท เป็นต้น<br />
ภาพครุฑยุดนาคอันเป็นองค์ประกอบสำคัญ<br />
ในศิลปกรรมและสถาปัตยกรรมไทยที่เกี่ยวเนื่องกับ<br />
พระมหากษัตริย์เสมอนั้น มีที่มาจากตำนานเล่าขาน<br />
กันว่า...<br />
กาลครั้งหนึ่ง...มีฤๅษี นามพระกัศยปมุนี มีภรรยา<br />
สองคน คือนางวินตาและนางกัทรู ทั้งสองเป็นพี่น้องกัน<br />
นางกัทรูให้กำเนิดลูกเป็นนาค นางวินตาให้กำเนิดลูก<br />
เป็นครุฑ<br />
วันหนึ่งทั้งคู่ท้าพนันกันทายสีของม้าที่ชักรถ<br />
พระอาทิตย์ โดยตกลงกันว่าผู้แพ้ต้องยอมเป็นทาส<br />
อีกฝ่ายหนึ่งห้าร้อยปี นางวินตาทายว่าเป็นม้าสีขาว <br />
นางกัทรูทายว่าเป็นม้าสีดำ ซึ่งความจริงม้าตัวนั้นเป็นสีขาว<br />
แต่นางกัทรูใช้อุบายให้บรรดาลูกนาคหนึ่งพันตัวของตน<br />
พากันพ่นพิษใส่ตัวม้าให้เป็นสีดำ นางวินตาจึงต้องตกเป็นทาส<br />
ในแดนบาดาลถึงห้าร้อยปี<br />
ต่อมาครุฑก็คิดเจรจาปลดปล่อยมารดาให้เป็นอิสระ<br />
ฝ่ายนาคขอแลกด้วยน้ำอมฤตที่พระอินทร์เป็นผู้รักษาไว้<br />
แต่ระหว่างที่ครุฑจะไปเอาน้ำอมฤต ได้ถูกเทวดารวมทั้ง<br />
พระอินทร์ขัดขวาง แต่สู้ครุฑไม่ได้ แม้แต่พระนารายณ์<br />
มาปราบก็ไม่แพ้หรือชนะกัน สุดท้ายจึงเจรจาหย่าศึก <br />
โดยครุฑถวายปฏิญญาว่าจะเป็นพาหนะพระนารายณ์ <br />
ส่วนพระนารายณ์สัญญาว่าจะให้ครุฑเป็นอมตะ และให้อยู่<br />
ในตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ และยอมให้ครุฑนำน้ำอมฤต<br />
ไปไถ่ตัวแม่ แล้วให้เทวดาเป็นผู้นำน้ำอมฤตกลับคืน<br />
มารดาครุฑเป็นอิสระแล้ว แต่ฝ่ายนาคกลับไม่ได้<br />
ดื่มกินน้ำอมฤตดังตั้งใจ จึงเกิดอาฆาตแค้นและเป็นศัตรูกัน<br />
นับแต่นั้น และเป็นที่มาของภาพครุฑยุดนาคที่ปรากฏ<br />
ในสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับพระมหากษัตริย์ผู้เป็นดั่ง<br />
พระนารายณ์อวตาร<br />
49
๓<br />
หมู่พระที่นั่งในเขตพระราชฐานชั้นกลาง<br />
คือ สถานประทับแห่งพระมหากษัตริย์<br />
<br />
พระราชฐานชั้นกลางมีบริเวณอยู่ในส่วนกลางของพระบรมมหาราชวัง<br />
เป็นที่ตั้งของพระมหาปราสาทและพระราชมณเฑียรอันเคยเป็นที่ประทับ<br />
ของพระมหากษัตริย์ ถือเป็นหัวใจของพระบรมมหาราชวัง และเป็นศูนย์กลาง<br />
การบริหารราชการแผ่นดินในสมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ ปัจจุบัน<br />
เป็นมณฑลสถานประกอบพระราชพิธีสำคัญของประเทศ<br />
<br />
50<br />
จัดแสดงเรื่องหมู่พระที่นั่ง<br />
ในเขตพระราชฐาน<br />
ชั้นกลางด้วยการฉาย<br />
วีดิทัศน์บนผนัง<br />
จัดแสดงประวัติ<br />
หมู่พระที่นั่งในเขต<br />
พระราชฐานชั้นกลาง<br />
ด้วยระบบจอสัมผัส
หมู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท<br />
สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๑ ตามคติสมมติเทวราช<br />
ที่สืบทอดมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา ถือเป็นสถาปัตยกรรมไทย<br />
ชิ้นเอก เป็นแม่แบบสถาปัตยกรรมทรงปราสาทที่สมบูรณ์แบบ<br />
ของไทย สร้างขึ้นด้วยฝีมือที่ประณีตวิจิตรงดงามทุกส่วน<br />
และเป็นสัญลักษณ์อันแสดงถึงเกียรติยศของแผ่นดิน<br />
ในอดีต ที่มุขเด็จของพระที่นั่งองค์นี้ เคยใช้เป็นที่<br />
เสด็จออกให้เจ้าประเทศราชเข้าเฝ้าฯ และในโอกาสเฉลิมฉลอง<br />
กรุงเทพฯ ๒๐๐ ปี ยังได้ใช้เป็นที่ประดิษฐานพระสยาม<br />
เทวาธิราชให้ประชาชนมาสักการะ<br />
ภายในพระที่นั่งยังใช้เป็นมณฑลสถานประกอบ<br />
พระราชพิธีสำคัญต่างๆ ของบ้านเมือง เช่น พระราชพิธี<br />
ฉัตรมงคล และถือเป็นธรรมเนียมในการประดิษฐาน<br />
พระบรมศพพระมหากษัตริย์ พระอัครมเหสี และพระศพ<br />
พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท<br />
ตลอดมา<br />
บริเวณใกล้เคียงพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท<br />
ยังปรากฏพระที่นั่งองค์อื่นๆ เช่น พระที่นั่งอาภรณ์พิโมกข์<br />
ปราสาท และพระที่นั่งราชกรัณยสภา เป็นต้น<br />
หมู่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท<br />
สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นสถาปัตยกรรม<br />
ที่ผสมผสานหลังคาเครื่องยอดปราสาทแบบไทยเข้ากับ<br />
อาคารแบบตะวันตกได้อย่างลงตัว จึงเป็นสัญลักษณ์แห่ง<br />
ยุคสมัยที่ไทยเริ่มพัฒนาศิลปวิทยาการ มุ่งสู่ความทัดเทียม<br />
ชาติตะวันตก<br />
ส่วนสำคัญที่สุดของพระที่นั่ง คือ ท้องพระโรงกลาง<br />
ใช้ต้อนรับพระราชอาคันตุกะและเสด็จออกให้คณะ<br />
ทูตานุทูตต่างประเทศถวายพระราชสาส์นและสาส์นตราตั้ง<br />
หรือเข้าเฝ้าฯ ถวายพระพรชัยมงคลในโอกาสต่างๆ<br />
ในรัชกาลปัจจุบัน พระที่นั่งด้านหลังของพระที่นั่ง<br />
จักรีมหาปราสาทได้ถูกรื้อลงเนื่องจากทรุดโทรมเกินจะ<br />
บูรณะ และมีการสร้างพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ <br />
พระที่นั่งสมมติเทวราชอุปบัติ และพระที่นั่งบรมราช<br />
สถิตยมโหฬารองค์ใหม่ เพื่อจัดพระราชพิธีและงานเลี้ยง<br />
รับรองระดับประเทศอย่างเป็นทางการ และยังมีพระที่นั่ง<br />
เทวารัณยสถานตามแบบโบราณราชประเพณี เพื่อเป็น<br />
พระที่นั่งโถงทรงปราสาทประจำรัชกาล<br />
<br />
51
พระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์<br />
ประดิษฐานอยู่ด้านหน้าพระที่นั่ง<br />
บุษบกมาลามหาจักรพรรดิพิมาน<br />
ภายในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย<br />
มไหสูรยพิมาน<br />
พระที่นั่งราชฤดี ตั้งอยู่บริเวณชาลา<br />
ด้านตะวันออกของพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยฯ<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้สร้างขึ้นใหม่แทนองค์เดิม<br />
ซึ่งสร้างเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๔ <br />
เพื่อใช้เป็นที่สรงมูรธาภิเษก<br />
หมู่พระมหามณเฑียร<br />
หมู่พระมหามณเฑียรเคยเป็นสถานที่ประทับของพระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๖ ประกอบด้วยพระที่นั่งสำคัญ ๓ องค์<br />
ด้วยกัน ได้แก่<br />
พระที่นั่งจักรพรรดิพิมาน เคยเป็นสถานที่บรรทมของพระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชและเป็นมณฑลสถานประกอบพระราชพิธี<br />
เฉลิมพระราชมณเฑียรซึ่งเปรียบได้กับพิธีขึ้นบ้านใหม่เมื่อพระมหากษัตริย์<br />
เสด็จขึ้นครองราชย์ มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน <br />
พระที่นั่งไพศาลทักษิณ เคยเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ บางครั้งเป็นที่<br />
เสวยพระกระยาหาร ที่สำคัญเป็นมณฑลสถานประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />
หรือการเสด็จขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการของพระมหากษัตริย์ ภายในพระที่นั่ง<br />
มีพระวิมานประดิษฐานพระสยามเทวาธิราช<br />
พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน เคยเป็นท้องพระโรงสำหรับ<br />
เสด็จออกขุนนางหรือเสด็จออกรับทูตานุทูตในบางโอกาส ถือเป็นธรรมเนียม<br />
ที่พระมหากษัตริย์จะเสด็จออกมหาสมาคมเป็นครั้งแรกในรัชกาล ณ พระที่นั่ง<br />
แห่งนี้ นอกจากนี้ ยังเป็นมณฑลสถานประกอบพระราชพิธีสำคัญ เช่น พระราชพิธี<br />
เฉลิมพระชนมพรรษา พระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติ เป็นต้น<br />
หมู่พระมหามณเฑียรได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์และปลูกสร้างพระที่นั่ง<br />
และหอต่างๆ เพิ่มเติมสืบต่อมาตามการเปลี่ยนผ่านของแต่ละสมัย นอกจาก<br />
ศิลปะไทยแล้ว ยังมีอิทธิพลของศิลปะจีนเข้ามาผสมผสานกับศิลปะไทยอยู่ทั่วไป<br />
ในหมู่พระมหามณเฑียรนี้อีกด้วย<br />
52
๓<br />
หมู่พระที่นั่งในสวนศิวาลัย<br />
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ เขตพระราชฐานชั้นกลางฝ่ายตะวันออกเคยเป็น<br />
พื้นที่ของโรงแสงต้นและสวนอันกว้างใหญ่ เรียกกันว่าสวนขวา ซึ่งในสมัย<br />
รัชกาลที่ ๒ ปรับปรุงให้เป็นสวนแบบจีนอันสวยงาม เคยเป็นที่ตั้งของพระอภิเนาว์<br />
นิเวศน์ พระราชมณเฑียรที่ประทับแบบสถาปัตยกรรมอิทธิพลตะวันตกของ<br />
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อีกทั้งยังเคยเป็นที่ตั้งของพระพุทธ<br />
นิเวศน์ สถานที่สำหรับบำเพ็ญพระราชกุศล<br />
พื้นที่ที่เคยเป็นโรงแสงต้น รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้สร้างพระที่นั่งบรมพิมาน โดยทรงตั้งพระราชหฤทัยจะให้เป็นที่ประทับของ<br />
มกุฎราชกุมาร ซึ่งต่อมาคือรัชกาลที่ ๖ แต่มิได้เสด็จฯ มาประทับ ในปัจจุบันใช้เป็น<br />
ที่รับรองพระราชอาคันตุกะของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
พระที่นั่งและอาคารต่างๆ ซึ่งสร้างในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์เหลืออยู่<br />
ไม่มากนัก เนื่องจากพื้นที่เคยเป็นสระมาก่อนมีการทรุดตัว พื้นที่ส่วนใหญ่<br />
จึงปรับปรุงเป็นพื้นที่สวนที่เรียกว่า สวนศิวาลัย ในปัจจุบัน<br />
<br />
<br />
พระที่นั่งบรมพิมานตั้งอยู่ทางด้านทิศเหนือ<br />
ของบริเวณสวนศิวาลัย<br />
53
จัดแสดงขั้นตอนการทำลวดลาย<br />
และองค์ประกอบของสถาปัตยกรรม<br />
แบบต่างๆ โดยใช้กระจกเงา<br />
สะท้อนภาพต่อเนื่องเสมือนจริง<br />
๔<br />
ศิลปกรรม<br />
เลิศล้ำวิจิตร <br />
เนรมิตดั่งพระวิมาน<br />
พระบรมมหาราชวัง คือเอกลักษณ์และสมบัติอันล้ำค่าของชาติ <br />
เป็นศูนย์รวมแห่งศาสตร์ ทั้งการศึกษาและการพัฒนางานศิลปกรรมอันเป็นรากเหง้า<br />
ของไทยทุกแขนงที่สรรค์สร้างขึ้นโดยช่างฝีมือชั้นครู ซึ่งพระมหากษัตริย์<br />
ในพระบรมราชจักรีวงศ์ทุกพระองค์ทรงฟื้นฟูและทำนุบำรุงให้สถาพรสืบมา<br />
เพื่อเป็นเครื่องแสดงเกียรติภูมิและศักดิ์ศรีของชาวไทย<br />
54
งานประดับมุก <br />
เป็นงานประณีตศิลป์<br />
ที่อาศัยความประณีตบรรจง<br />
มากที่สุดแขนงหนึ่ง งานมุกของ<br />
ไทย ใช้วิธีการตัดเปลือกหอยมุก<br />
เป็นลวดลาย เรียงลงบนพื้นผิว<br />
ที่ต้องการ จากนั้นจึงถมด้วยรัก<br />
และขัดให้เรียบ ในงานสถาปัตย<br />
กรรมใช้การประดับมุกกับศาสน<br />
สถานเท่านั้น<br />
งานประดับมุกมีความ<br />
คงทนอย่างยิ่ง เช่น บานประตู<br />
หอพระมณเฑียรธรรม วัดพระศรี<br />
รัตนศาสดาราม ซึ่งเป็นฝีมือช่าง<br />
อยุธยาตอนปลาย สมัยสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ที่ยังคง<br />
งดงาม แม้ผ่านกาลเวลานานนับ<br />
ร้อยปี นอกจากนี้ การประดับมุก<br />
ยังใช้ในการตกแต่งศิลปวัตถุ<br />
เครื่องเรือน เครื่องใช้สำหรับ<br />
ชนชั้นสูงอีกด้วย<br />
<br />
ประดับกระเบื้อง <br />
การประดับกระเบื้อง<br />
เป็นการตกแต่งสถาปัตยกรรม<br />
ตามอย่างศิลปะจีน ใช้ควบคู่กับ<br />
งานปูนปั้น การค้าขายกับจีน<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๒ ถึงรัชกาล<br />
ที่ ๔ ส่งผลให้กรุงรัตนโกสินทร์<br />
รั บ อิ ท ธิ พ ล จ า ก ศิ ล ป ะ จี น<br />
มาประยุกต์ใช้ร่วมกับรูปแบบ<br />
ดั้งเดิม ปรากฏเป็นความงาม<br />
ที่ลงตัวด้วยวัสดุและโทนสีใหม่<br />
ที่งดงามแปลกตา<br />
กระเบื้องที่นำมาประดับ<br />
สั่งมาจากจีน มีทั้งกระเบื้องสี<br />
สำเร็จรูปหรือถ้วยชามที่ช่างนำ<br />
มาติดลงทั้งชิ้นหรือตัดเป็นชิ้น<br />
เล็กๆ เพื่อติดเป็นลวดลายต่างๆ<br />
และกระเบื้องที่สั่งทำจากเมืองจีน<br />
ด้วยการส่งลายเขียนไปเป็นแบบ<br />
ห รื อ ปั้ น ขึ้ น เ พื่ อ ใ ช้ ป ร ะ ดั บ<br />
งานสถาปัตยกรรมโดยเฉพาะ<br />
55
ลายรดน้ำ <br />
เป็นการตกแต่งพื้นผิว<br />
วัสดุให้เป็นลวดลายสีทอง<br />
ในงานสถาปัตยกรรมและเครื่องใช้<br />
ต่างๆ ใช้วิธีการลงรักเป็นพื้นภาพ<br />
สีดำหรือสีแดง ส่วนที่เป็นลวดลาย<br />
ติดด้วยทองคำเปลว ในขั้นตอน<br />
สุดท้าย ช่างต้องทำการรดน้ำลงบน<br />
ชิ้นงาน เพื่อล้างแผ่นทองคำเปลว<br />
ให้เห็นเป็นลวดลาย จึงเรียกว่า<br />
ลายรดน้ำ<br />
ในอดีตลายรดน้ำจะใช้กับ<br />
งานเพื่อศาสนาและพระมหา<br />
กษัตริย์เท่านั้น จวบจนรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงให้เสรีภาพแก่<br />
ประชาชนมากขึ้น จึงมีการใช้<br />
ลายรดน้ำกันทั่วไป<br />
<br />
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง <br />
ภาพจิตรกรรมในงาน<br />
สถาปัตยกรรมไทยมักเขียนบน<br />
ฝาผนังภายในอาคารหรือเขียน<br />
ลงบนบานประตูหน้าต่าง ใช้สีฝุ่น<br />
จากวัสดุธรรมชาติ เช่น ดิน หิน<br />
บดเป็นผงผสมกับกาวที่ทำจาก<br />
หนังสัตว์ อาจปิดทองคำเปลว<br />
ในบางส่วนของภาพที่ต้องการ<br />
เน้นความสำคัญ เช่น ตัวละครเอก<br />
และปราสาทราชวัง เป็นต้น<br />
ภาพจิตรกรรมในสมัย<br />
โบราณล้วนแสดงเรื่องราวทาง<br />
พระพุทธศาสนา ใช้เส้นสายที่<br />
อ่อนช้อย ได้สัดส่วนตามอุดมคติ<br />
มากกว่าความสมจริง จนถึงสมัย<br />
รัชกาลที่ ๔ จึงเริ่มมีจิตรกรรม<br />
ฝาผนังที่เขียนบันทึกเหตุการณ์<br />
รวมทั้งยังนำหลักการเขียน<br />
ทัศนียภาพและแสงเงาแบบ<br />
ตะวันตกมาประยุกต์ใช้กับ<br />
จิตรกรรมไทยให้มีความสมจริง<br />
มากขึ้น<br />
56
๔<br />
งานประดับกระจก <br />
เป็นงานประณีตศิลป์ที่ใช้<br />
ประดับสถาปัตยกรรมให้ดู<br />
ระยิบระยับดั่งอัญมณีหลากสีสัน<br />
ทั้งยังเป็นความชาญฉลาด<br />
ในการปิดรักษาพื้นผิวของวัสดุ<br />
ให้คงทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ<br />
โดยการติดกระจกลงบนพื้นผิว<br />
ที่ต้องการด้วย รักสมุก (น้ำรัก<br />
ผสมเถ้าถ่านของใบตองแห้งหรือ<br />
หญ้าคาบดแล้วคลุกเคล้าให้เข้ากัน)<br />
อาจประดับร่วมกับงานไม้แกะสลัก<br />
หรือปูนปั้นปิดทอง ซึ่งเรียกว่า<br />
การปิดทองร่องกระจก<br />
<br />
<br />
การประดับกระจก<br />
ลายลงยา <br />
การประดับกระจก ลาย<br />
ลงยา หรือ ลายยา เป็นรูปแบบ<br />
ของการประดับกระจกอย่างหนึ่ง<br />
โดยจำหลักไม้เป็นลวดลาย และ<br />
ฝังกระจกสีต่างๆ ลงในเนื้อไม้ที่<br />
จำหลักไว้นั้น พื้นหน้าปิดทองทึบ<br />
การประดับกระจกลายลงยานี้<br />
มีความคงทน เพราะต้องฝังกระจก<br />
ลงในเนื้อไม้ จึงไม่หลุดล่อนง่าย<br />
การประดับกระจกชนิดนี้เริ่มมีมา<br />
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๒ ได้แก่<br />
ฐานพระที่นั่งสนามจันทร์ที่ตั้งอยู่<br />
ทางทิศตะวันตกของพระที่นั่ง<br />
อมรินทรวินิจฉัยมไหสูรยพิมาน<br />
ต่อมาเป็นที่นิยมในสมัยรัชกาล<br />
ที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ โดยใช้<br />
ประดับพระที่นั่งอีกหลายองค์<br />
<br />
<br />
57
๕<br />
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม สร้างขึ้นพร้อมการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์<br />
เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ผู้คนมักเรียกว่า วัดพระแก้ว เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธ<br />
มหามณีรัตนปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต พระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมืองของไทย<br />
58
๑๐<br />
๓<br />
๙<br />
๖<br />
๒๐<br />
๑๘<br />
๒๗<br />
๑๕<br />
๑๑<br />
๑๖<br />
๑๓<br />
๔ ๒๘<br />
๑๗<br />
๑๒<br />
๑๔<br />
๒<br />
๘<br />
๑๙<br />
๕<br />
๗ ๒๓ ๒๒<br />
๒๑<br />
๑<br />
๒๔๒๖๒๕<br />
อาคารต่างๆ ในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
๑. พระอุโบสถ ๑๖. บุษบกองค์ตะวันออก<br />
๒. ซุ้มเสมา เฉียงใต้ <br />
๓. หอพระมณเฑียรธรรม ๑๗. บุษบกองค์ตะวันตกเฉียงใต้ <br />
๔. พระมณฑป ๑๘. บุษบกองค์ตะวันออก<br />
๕. พระเจดีย์ทอง ๒ องค์ <br />
๖. หอพระนาก <br />
๗. ศาลาราย <br />
๘. พระระเบียง<br />
๙. พระเศวตกุฎาคารวิหารยอด<br />
๑๐. พระอัษฎามหาเจดีย์ <br />
๑๑. ปราสาทพระเทพบิดร<br />
๑๒. พระศรีรัตนเจดีย์<br />
๑๓. ฐานไพที<br />
๑๔. พระเจดีย์ทรงเครื่อง <br />
๑๕. บุษบกองค์ตะวันตก<br />
เฉียงเหนือ <br />
เฉียงเหนือ <br />
๑๙. พนมหมาก <br />
๒๐. รูปหล่อสัตว์หิมพานต์ <br />
๒๑. หอระฆัง <br />
๒๒. พระมณฑปยอดปรางค์ <br />
๒๓. หอพระคันธารราษฎร์<br />
๒๔. หอพระราชกรมานุสร <br />
๒๕. หอพระราชพงศานุสร <br />
๒๖. พระโพธิธาตุพิมาน <br />
๒๗. นครวัดจำลอง <br />
๒๘. กำแพงแก้ว<br />
แผนผังวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
จัดแสดงด้วยเทคนิคอินเตอร์<br />
แอคทีฟบอร์ด คือเมื่อกดที่ปุ่ม<br />
บนจุดต่างๆ จะปรากฏภาพ<br />
สถานที่บนจอฉายภาพ<br />
อาคารส่วนใหญ่ภายในวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ อาทิ พระอุโบสถ ภายใน<br />
ประดิษฐานพระแก้วมรกต ใช้เป็นที่ประกอบพระราชพิธี<br />
ต่างๆ พระระเบียง มีภาพเขียนจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง<br />
รามเกียรติ์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นจิตรกรรมฝาผนังที่ยาวที่สุด<br />
ในโลก พระมณฑป ประดิษฐานพระไตรปิฎกฉบับทอง<br />
ที่สังคายนาในสมัยรัชกาลที่ ๑ พระเจดีย์ทอง ที่สร้างขึ้น<br />
เพื่อแสดงพระกตัญญุตา ทรงอุทิศถวายแด่สมเด็จ<br />
พระบรมราชชนกและพระราชชนนี<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ มีการสร้าง พระเศวตกุฎาคาร<br />
วิหารยอด ซึ่งมีเอกลักษณ์อันงดงามคือหลังคาทรงมงกุฎ<br />
ประดับด้วยเครื่องกระเบื้อง<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีการสร้างอาคารเพิ่มเติม<br />
อีกหลายหลัง เช่น ปราสาทพระเทพบิดร ซึ่งปัจจุบัน<br />
ประดิษฐานพระบรมรูปพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑ ถึง<br />
รัชกาลที่ ๘ พระศรีรัตนเจดีย์ ประดิษฐานพระบรม<br />
สารีริกธาตุ โดยยกฐานเสมอพระมณฑปและปราสาท<br />
พระเทพบิดร และมียอดสูงเท่ากันทั้ง ๓ องค์<br />
59
60<br />
๕
พระแก้วมรกต <br />
พระพุทธรูป<br />
คู่บ้านคู่เมือง<br />
หลังการสถาปนาพระบรม<br />
มหาราชวังแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เร่งการ<br />
ก่อสร้างวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
เพื่อประดิษฐานพระพุทธรูปคู่บ้าน<br />
คู่เมือง คือ พระพุทธมหามณีรัตน<br />
ปฏิมากร หรือ พระแก้วมรกต เพื่อเป็น<br />
ขวัญกำลังใจแก่ราษฎร<br />
<br />
พระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร<br />
หรือพระแก้วมรกต จัดแสดงบนบุษบก<br />
ประดิษฐานพระแก้วมรกตซึ่งจำลอง<br />
จากพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
ประกอบการฉายวีดิทัศน์ถ่ายทอดตำนาน<br />
พระแก้วมรกตในรูปแบบอะนิเมชั่น<br />
ไตรภูมิ<br />
ผ นั ง ด้ า น ห ลั ง<br />
บุ ษ บ ก ป ร ะ ดิ ษ ฐ า น<br />
พระแก้วมรกต จำลอง<br />
ภาพเขาสัตบริภัณฑ์ <br />
โดยทำเป็นภาพนูนต่ำ<br />
ตามคติไตรภูมิ ซึ่งเป็น<br />
คติความเชื่อที่นับเนื่อง<br />
ในทางพระพุทธศาสนา ปรากฏมาตั้งแต่สมัยโบราณ<br />
เป็นเรื่องเกี่ยวกับการกำเนิดของโลก สวรรค์ นรก และ<br />
ภูมิสถานต่างๆ ของจักรวาล ซึ่งล้วนแต่มีผลต่อ<br />
โลกทัศน์ของคนไทยและยังส่งอิทธิพลไปถึงรูปแบบ<br />
ทางศิลปะและสถาปัตยกรรมของไทยโดยเฉพาะใน<br />
พระบรมมหาราชวัง ตลอดจนวัดวาอารามต่างๆ <br />
เช่นเดียวกับจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ<br />
วัดพระศรีรัตนศาสดารามซึ่งปรากฏเรื่องราวในไตรภูมิ<br />
61
๕<br />
ตำนานพระแก้วมรกต <br />
มีตำนานกล่าวถึงการสร้างพระพุทธมหามณี<br />
รัตนปฏิมากรหรือพระแก้วมรกต เล่าสืบต่อกันมาว่า<br />
เทวดาสร้างพระแก้วมรกตถวายพระอรหันต์ นามพระนาคเสน<br />
แห่งเมืองปาฏลีบุตร (ปาตลีบุตร)<br />
๑ พระนาคเสนได้อธิษฐานอาราธนาพระบรม<br />
สารีริกธาตุให้ประดิษฐานอยู่ในองค์พระแก้วมรกต ๗ แห่ง<br />
คือในพระโมฬี พระนลาฏ พระอุระ พระอังสาทั้งสอง และ<br />
พระชานุทั้งสอง<br />
๒ จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ เล่ากันสืบมาว่า <br />
ณ เมืองเชียงราย พระแก้วมรกตได้ถูกทาปูนและลงรัก<br />
ปิดทอง ก่อนนำไปประดิษฐานไว้ในพระเจดีย์วัดป่าญะ <br />
ซึ่งปัจจุบันคือวัดพระแก้วเมืองงาม<br />
๓ ล่วงมาถึง พ.ศ. ๑๙๗๗ เกิดฟ้าผ่าที่พระเจดีย์ <br />
เผยให้เห็นพระพุทธรูปปิดทองซ่อนอยู่ ชาวบ้านที่ไปพบ<br />
จึงอัญเชิญไปประดิษฐานในวิหารของวัดแห่งหนึ่ง<br />
๔ กาลเวลาผ่านไป ปูนที่หุ้มองค์พระแก้วมรกต<br />
ได้กะเทาะออกที่ปลายพระนาสิก เห็นเป็นเนื้อแก้วสีเขียว <br />
๕ ชาวบ้านจึงช่วยกันแกะปูนออกทั้งองค์แล้วพบว่า<br />
เป็นพระพุทธรูปแก้วสีเขียว ชาวบ้านจึงพากันมา<br />
กราบไหว้<br />
๖ ความรู้ถึงเจ้าเมืองเชียงใหม่จึงให้อัญเชิญมา<br />
เชียงใหม่<br />
๗ แต่ช้างที่ใช้อัญเชิญองค์พระได้หันเหไปทางลำปาง<br />
ถึงสามครั้ง จึงยอมให้อัญเชิญองค์พระไปประดิษฐานที่<br />
ลำปางถึง ๓๒ ปี จากนั้น พระแก้วมรกตได้ไปประดิษฐาน<br />
ยังเมืองต่างๆ รวมเป็นเวลากว่า ๓๑๐ ปี<br />
๘ กระทั่งใน พ.ศ. ๒๓๒๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธ<br />
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ขณะมีบรรดาศักดิ์เป็นสมเด็จ<br />
เจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกได้อัญเชิญพระแก้วมรกตมายัง<br />
กรุงธนบุรี<br />
๑<br />
๙ สมัยธนบุรี พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ที่<br />
โรงพระแก้ว ซึ่งเป็นโรงที่สร้างขึ้นใหม่ภายในบริเวณ<br />
พระราชวังเดิม<br />
<br />
๕<br />
๔<br />
๒<br />
62
๘<br />
๙<br />
๓<br />
๑๐<br />
๗<br />
๖<br />
๑๐ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราชทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระแก้วมรกต<br />
มาประดิษฐานในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
เมื่อวันจันทร์ เดือน ๔ แรม ๑๔ ค่ำ ปีมะโรง พุทธศักราช<br />
๒๓๒๗<br />
ตำนานพระแก้วมรกต จัดแสดงด้วย<br />
เทคนิคการฉายภาพเคลื่อนไหว<br />
ในรูปแบบอะนิเมชั่นบนผนัง<br />
เบื้องหลังบุษบกประดิษฐาน<br />
พระแก้วมรกตจำลอง<br />
63
64<br />
๕
เครื่องทรงพระแก้วมรกต<br />
มรดกงานประณีตศิลป์<br />
หลังการสถาปนาวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช <br />
มีพระราชศรัทธาสร้างเครื่องทรงถวายพระพุทธมหามณีรัตน<br />
ปฏิมากรหรือพระแก้วมรกตเป็นพุทธบูชา สำหรับฤดูร้อน<br />
และฤดูฝน <br />
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเครื่องทรงสำหรับฤดูหนาว<br />
เครื่องทรงพระแก้วมรกตจึงมี ๓ สำรับนับแต่นั้นมา<br />
พระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์จะทรง<br />
ประกอบพระราชพิธีเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต<br />
เป็นประจำทุกปี หากทรงติดพระราชภารกิจอื่นใด <br />
ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านายอันเป็นพระบรมวงศ์<br />
เสด็จฯ แทนพระองค์<br />
การเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต ถือกำหนด<br />
เวลาดังนี้<br />
เครื่องทรงฤดูร้อน กำหนดเปลี่ยนเครื่องทรง<br />
ในวันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๔ หรือราวเดือนมีนาคม<br />
เครื่องทรงฤดูฝน กำหนดเปลี่ยนเครื่องทรง<br />
วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๘ หรือราวเดือนกรกฎาคม<br />
เครื่องทรงฤดูหนาว กำหนดเปลี่ยนเครื่องทรง<br />
วันแรม ๑ ค่ำ เดือน ๑๒ หรือราวเดือนพฤศจิกายน<br />
การเปลี่ยนเครื่องทรงพระแก้วมรกต ถือเป็น<br />
พระราชพิธีที่ปฏิบัติสืบมาเป็นประจำทุกปี<br />
เครื่องทรงพระแก้วมรกตจัดแสดงด้วยเทคนิค<br />
Electric-Glass โดยใช้กระแสไฟฟ้าควบคุมกระจกใส<br />
ให้กลายเป็นฝ้าในพริบตา ตามเวลาที่สัมพันธ์กับเครื่องกล<br />
ที่จัดซ่อนอยู่ภายในบุษบกจำลอง<br />
65
เขตพระราชฐานชั้นใน มีอะไรอยู่ในนั้น<br />
๖<br />
พระราชฐานชั้นใน ตั้งอยู่ทางทิศใต้ของพระบรมมหาราชวัง เป็นพื้นที่<br />
เชื่อมต่อด้านหลังหมู่พระมหามณเฑียรและพระมหาปราสาท<br />
ในอดีตพระราชฐานชั้นในเป็นที่ประทับของพระมเหสีเทวี พระราชธิดา<br />
ของพระมหากษัตริย์ เจ้าจอม และข้าราชการซึ่งล้วนเป็นหญิง จึงเปรียบเป็น<br />
เมืองเล็กๆ ที่มีพลเมืองหญิงล้วนอยู่ร่วมกันได้ด้วยมีกฎระเบียบทั้งในการเข้า-ออก<br />
และการใช้ชีวิตในพระราชฐานชั้นใน โดยกำหนดเป็นแบบแผนอย่างเคร่งครัด <br />
มีเจ้านายชั้นสูงทรงเป็นผู้บังคับบัญชา และมีข้าราชการหญิงทำหน้าที่ดูแล<br />
ควบคุมต่อกันมาอย่างเป็นระบบ มีระเบียบที่ถือปฏิบัติอันเป็นต้นแบบของจารีต<br />
ประเพณีที่ดีงาม<br />
พระราชฐานชั้นในถือเป็นแหล่งอบรมกุลสตรีไทยที่เจ้านายและ<br />
ข้าราชการชั้นสูงนิยมส่งธิดามาเล่าเรียน เขียน อ่าน และอบรมความรู้ให้มี<br />
คุณสมบัติเป็นกุลสตรีที่เพียบพร้อมด้วยกิริยา มารยาท และความสามารถ<br />
ในการครองเรือน<br />
66
ขนบประเพณีเคร่งครัด ปฏิบัติกันมาแต่อดีต<br />
ในเขตพระราชฐานชั้นในจะมีระเบียบแบบแผนที่ถือปฏิบัติสืบต่อกันมานาน<br />
แต่ก็มีการเปลี่ยนแปลงไปบ้างตามกาลเวลาและตามพระราชนิยม ระเบียบ<br />
แบบแผนและประเพณีนี้ คนทั่วไปเรียกกันว่า ประเพณีวัง ซึ่งมีข้อห้ามข้อปฏิบัติ<br />
ต่างๆ ดังเช่น<br />
<br />
เขตนี้ผู้ชายห้ามเข้า<br />
ห้ามบุคคลภายนอกโดยเฉพาะบุรุษเข้าเขตพระราชฐานชั้นในเด็ดขาด<br />
ยกเว้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชโอรสที่ยังมิได้ทรงประกอบ<br />
พระราชพิธีโสกันต์ เด็กชายที่มีอายุไม่เกิน ๑๐ ปี และแพทย์ชายที่ต้องเข้าไป<br />
รักษาผู้ป่วยซึ่งต้องมีพนักงานฝ่ายในคอยติดตามอย่างเคร่งครัด ปัจจุบัน<br />
ประเพณีดังกล่าวได้ผ่อนคลายไปมากแล้ว แต่ในหลักการยังห้ามมิให้บุรุษเพศ<br />
เข้าในเขตนี้อยู่ ถ้ามีความจำเป็นต้องขออนุญาตอย่างเป็นทางการ<br />
<br />
หน้าต่างจำลอง จัดแสดงวีดิทัศน์ฉายภาพ<br />
อาคารสถานที่ต่างๆ ในเขตพระราชฐาน<br />
ชั้นใน<br />
67
กระโถนปากแตร<br />
เครื่องใช้สำหรับชนชั้นสูง<br />
จำลองด้วยเรซิ่น<br />
โขลน ผู้พิทักษ์รักษาการณ์ฝ่ายใน<br />
โขลนเปรียบได้กับตำรวจหญิง มีหน้าที่รักษาการณ์ตามประตูเข้า-ออก<br />
หรือตามสี่แยกของถนนในวัง เพื่อดูแลความเรียบร้อย โดยมีสมเด็จพระราชินี<br />
หรือพระบรมวงศ์ผู้ใหญ่ฝ่ายในทรงดูแลบังคับบัญชาต่างพระเนตรพระกรรณ<br />
จะออกจะเข้า เฝ้าอย่างระวัง<br />
ประตูวังฝ่ายในทุกจุดมีโขลนเฝ้ารักษาการณ์ เมื่อค่ำลงต้องปิดประตู<br />
ลงกลอนทั้งหมด เปิดเผื่อเหตุฉุกเฉินเพียงประตูสนามราชกิจ ที่อยู่ติดกับ<br />
พระมหามณเฑียรเท่านั้น ประตูนี้จึงมีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ประตูย่ำค่ำ<br />
<br />
68
๖<br />
ครกตำหมากทองเหลือง<br />
และเชี่ยนหมากเงินดุนลาย<br />
จัดแสดงอยู่ภายในส่วนพระราชฐานชั้นใน<br />
ธรณีประตูข้ามได้ เหยียบไม่ได้<br />
ประตูพระบรมมหาราชวังฝ่ายในจะมีบานใหญ่ ๒ บาน ซึ่งปิดไว้เสมอ<br />
และในบานใหญ่จะมีประตูเล็กเปิดปิดได้อยู่อีกบานหนึ่ง จึงทำให้ประตูเล็ก<br />
มีธรณีประตู หากเดินเข้า-ออกจะเหยียบธรณีประตูไม่ได้ ถ้าเผลอเหยียบ <br />
ต้องโดนจ่าโขลนดุและให้กราบธรณีประตูนั้น เพราะถือกันว่าธรณีประตู<br />
มีเทวดาสถิตอยู่ ด้วยเหตุนี้ประตูวังจึงต้องมีการสมโภชเป็นการภายใน<br />
ประจำทุกปี<br />
<br />
เหนือกว่าการกินหมาก คือความภูมิใจ<br />
การกินหมากเป็นวัฒนธรรมอย่างหนึ่งของคนไทยสมัยโบราณ อุปกรณ์<br />
ในการจีบพลูและกินหมากจัดเป็นงานศิลปะ หีบหมากและพานหมากที่ได้รับ<br />
พระราชทานจากพระเจ้าแผ่นดินจะงามประณีตเป็นพิเศษ เป็นเครื่องยศที่ถือ<br />
เป็นเกียรติแก่ตนเองและวงศ์ตระกูล <br />
การกินหมากของชาววัง มีความพิถีพิถันตั้งแต่วิธีจีบพลู โดยไว้หางยาวแหลม<br />
เรียกว่าพลูต่อยอด การกัดพลูจะค่อยๆ กัด ค่อยๆ เคี้ยว เวลาบ้วนน้ำหมาก<br />
ก็ต้องป้องปากบ้วนทีละน้อย และเช็ดปากด้วยผ้าทอตาหมากรุกสีแดงสลับดำ <br />
เพื่อไม่ให้เห็นคราบเปื้อนน้ำหมากชัดเจน และใช้ตรงมุมผ้าเช็ดแบบซับๆ แตะๆ<br />
ด้วยความละเมียดละไม<br />
ทางขึ้นระหว่างบันได ๒ ข้าง<br />
ใต้พระที่นั่งบุษบกมาลา<br />
มหาจักรพรรดิพิมาน <br />
ภายในพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย<br />
มไหสูรยพิมานทำเป็นช่องเว้าเข้าไป <br />
ภายในช่องทำเป็นรูปปั้นนูนต่ำของ<br />
ท้าวศรีสัจจา (มิ) จ่าบัว และจ่าตี<br />
ซึ่งเป็นจ่าโขลน โดยท้าวศรีสัจจา<br />
นุ่งผ้าลายแบบโจง ห่มผ้าแถบ นั่งบนตั่ง<br />
มีเครื่องประกอบยศ เช่น กระโถนทอง <br />
เชี่ยนหมากทอง เป็นต้น<br />
จ่าบัวนั่งพนมมือและจ่าตีส่งท่อนไม้ <br />
69
การปักผ้าโดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่า สะดึง <br />
ของสาวชาววังในอดีต<br />
แต่งกายแบบไหน ที่ว่าใช่ชาววัง<br />
สาวชาววังได้ชื่อว่าเป็นผู้นำทางด้านความงามและการแต่งกาย<br />
กิตติศัพท์นี้ใช่ว่าจะได้มาง่ายดาย เบื้องหลังคือความอุตสาหะพยายามและ<br />
ความชาญฉลาดในการคิดค้นเครื่องแต่งกายที่เหมาะกับยุคสมัย ใช้ทั้งความคิด<br />
สร้างสรรค์ ใช้ฝีมือ ใช้เวลา และความทุ่มเทในการทำความสะอาดและ<br />
เก็บรักษาผ้าให้เรียบเป็นมัน จีบที่คมสวย และเอกลักษณ์ที่สำคัญที่สุด คือ<br />
กลิ่นหอมที่กำจายไปไกล ถึงขนาดมีคำกล่าวที่ว่า <br />
สาวชาววังเมื่อนั่งลงที่ไหนก็จะหอมติดกระดาน<br />
นอกจากนี้ สาวชาววังยังมีระเบียบในการแต่งกาย<br />
โดยใช้สีผ้านุ่งและผ้าห่มเข้าชุดกันตามวัน <br />
ตลอด ๗ วันอีกด้วย<br />
<br />
70
๖<br />
“สาววังหลวง <br />
หอมเหมือนพวงมาลัย”<br />
เป็นภูมิปัญญาของไทยตั้งแต่<br />
สมัยโบราณที่สืบทอดกันมาจากรุ่น<br />
สู่รุ่น โดยขั้นตอนการทำความสะอาดผ้า<br />
เริ่มจากการล้างผ้าด้วยน้ำมะพร้าว<br />
แล้วนำไปต้มด้วยลูกซัดและเปลือก<br />
ของต้นชะลูด ซึ่งทำให้ผ้าหอมและ<br />
แข็งเหมือนลงแป้ง ตามด้วยการขัด<br />
ด้วยหอยเบี้ยเพื่อให้ผ้าเรียบเป็นมันวาว<br />
แล้วจึงอัดกลีบผ้าด้วยเครื่องอัดกลีบ<br />
และเครื่องก็อปปี้ผ้า เพื่อให้มีจีบที่<br />
คมสวย<br />
จากนั้นนำผ้าไปนึ่งด้วยเครื่องหอม<br />
และร่ำผ้า โดยนำผ้าลงอบในหีบหรือโถ<br />
ที่ปิดสนิท แล้วจุดเทียนหอมให้เกิดควัน<br />
ทิ้งไว้จนความหอมซึมเข้าเนื้อผ้า จากนั้น<br />
นำดอกไม้หรือน้ำมันหอมชุบผ้าขาว<br />
วางในหีบหรือโถ ปิดทิ้งไว้เพื่อให้ผ้ามี<br />
กลิ่นหอมนาน ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญ<br />
ที่สุด เป็นเอกลักษณ์เฉพาะในแบบฉบับ<br />
ของสาวชาววัง ดังร่ำลือกันเป็นสำนวนว่า<br />
พวกวังหลวง หอมเหมือนพวงมาลัย<br />
<br />
<br />
อุปกรณ์ที่สาวชาววังในอดีตใช้สำหรับอบผ้า<br />
หรือเครื่องนุ่งห่มให้มีกลิ่นหอม<br />
71
72<br />
อาหารในวัง สวรรค์ของนักชิม<br />
อาหารการกินเป็นสิ่งที่ชาววังให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก แม้จะเป็น<br />
อาหารเช่นเดียวกับที่คนทั่วไปรับประทาน แต่ล้วนต้องใช้แรงงานและความประณีต<br />
พิถีพิถัน เพื่อให้พร้อมทั้งรสชาติ ความสะอาด และความงดงามในรูปแบบ <br />
การตกแต่ง การให้สีสัน รวมถึงความสะดวกสบายในการรับประทาน<br />
ฝีมือชาววังที่เลื่องลือ คือการแกะสลักผักและผลไม้ เช่น มะปรางริ้ว <br />
การสลักผักเป็นรูปต่างๆ ผลไม้ที่ต้องคว้านเมล็ดและแกะสลักขนาดพอดีคำ<br />
หรือประกบกลับเป็นผลไม้เหมือนเดิมอย่างน่าอัศจรรย์<br />
นอกจากฝีมือในการประกอบอาหารประจำ ๓ มื้อแล้ว ยังมีอาหารว่าง<br />
รับประทานเล่นทั้งคาวหวาน ซึ่งชาววังทำคราวละมากๆ เก็บใส่ขวดโหลไว้พร้อม<br />
รับประทานเสมอ
๖<br />
การประดิษฐ์ดอกไม้<br />
การประดิษฐ์ดอกไม้เป็นศิลปะที่สืบทอดมาตั้งแต่โบราณ เพื่อใช้ใน<br />
การประดับตกแต่งอาคาร สถานที่ และสิ่งเคารพบูชา เช่น มาลัย เครื่องแขวน<br />
พุ่มกรวย และตาข่าย รังสรรค์ขึ้นจากการนำดอกไม้เล็กๆ มาเรียงร้อยรวมกัน<br />
ด้วยเส้นด้าย ประดิษฐ์เป็นรูปต่างๆ อย่างประณีต<br />
งานประดิษฐ์ดอกไม้ใช้สำหรับประกอบพระราชพิธีต่างๆ นอกจากนี้ยังมี<br />
เจ้านาย พระญาติ ตลอดจนข้าราชบริพารที่ขอประทานของเนื่องในพิธีมงคล<br />
อยู่เสมอ ไม่ว่าจะเป็นงานแต่งงาน งานโกนจุก หรืองานบวช<br />
ข้าราชบริพารฝ่ายในยังคงสืบทอดหน้าที่ในการประดิษฐ์ดอกไม้ในงาน<br />
พระราชพิธีต่างๆ สืบมาจนถึงปัจจุบัน<br />
73
๓<br />
เรืองนาม<br />
มหรสพศิลป์<br />
74
มหรสพ นับเป็นศาสตร์แขนงหนึ่งซึ่งได้รับการรังสรรค์<br />
และสืบทอดต่อกันมาเป็นเวลายาวนาน โดยเฉพาะที่ได้รับการอุปถัมภ์<br />
ทำนุบำรุงจากพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี จนกลายเป็น<br />
วัฒนธรรมที่งดงามและล้ำค่า ความอ่อนช้อยในท่วงท่าและวิธีการ<br />
ร่ายรำ ประกอบกับทำนองเพลงที่บรรเลงได้อย่างไพเราะและเป็น<br />
เอกลักษณ์ ล้วนแสดงถึงความมีศิลปะและความเป็นศิลปินของชาวสยาม<br />
ถือเป็นความภูมิใจที่ควรรักษาไว้ให้เป็นมรดกศิลป์ประดับแผ่นดินสืบไป<br />
75
76<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช <br />
ทรงคุ้นเคยกับราชสำนักกรุงศรีอยุธยามานานถึง ๑๕ ปี <br />
มีความรู้ความสามารถในสรรพวิชาการ ทั้งด้านราชการ <br />
ด้านวรรณศิลป์ และด้านนาฏศิลป์เป็นอย่างมาก จึงเอื้อต่อ<br />
การฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมของกรุงรัตนโกสินทร์ในปฐมกาล <br />
เมื่อการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์สำเร็จและ<br />
แผ่อาณาจักรออกไปอย่างกว้างขวาง ก็ย่อมมีการประกอบ
ห้องวีดิทัศน์จัดแสดงด้วยเทคนิค<br />
การฉายภาพเคลื่อนไหวประกอบ<br />
อะนิเมชั่นบนจอ ๓๖๐ องศา<br />
พระราชพิธีต่างๆ และเฉลิมฉลองหรือสมโภชตามธรรมเนียม<br />
และเพื่อบำรุงขวัญแก่ราษฎร มหรสพและการละเล่น<br />
นานาชนิดจึงได้รับการฟื้นฟูขึ้นอีกครั้ง ในโอกาสการสมโภช<br />
การก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ มีการละเล่นมากมาย อาทิ ระเบง<br />
โมงครุ่ม กุลาตีไม้ กระอั้ว หนัง โขน ละคร ระบำ งิ้ว <br />
หุ่น มโหรี ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นของนาฏศิลป์ทุกแขนงที่รวม<br />
เรียกว่ามหรสพให้เข้ามาโลดแล่นควบคู่ไปกับวิถีชีวิตของ<br />
ชาวไทยอีกครั้ง<br />
77
แ ผ น ผั ง ห้องเรืองนามมหรสพศิลป์<br />
๒<br />
๖<br />
วิวัฒนาการมหรสพ<br />
ในอุษาคเนย์<br />
ห้องฉายภาพบนจอ ๓๖๐ องศา<br />
๑<br />
ทางเข้า<br />
การแต่งกายโขน<br />
๒<br />
๖<br />
๑<br />
๗<br />
๗<br />
๘<br />
ภาษาท่าทางโขน<br />
รำ ระบำ ละคร<br />
78
๓<br />
๕<br />
๓<br />
หนังใหญ่<br />
๔<br />
ทางออก<br />
๑๐<br />
โขน<br />
๕<br />
๑๐<br />
๙<br />
ความเป็นมาของมหรสพสมัยรัตนโกสินทร์<br />
และโอกาสในการแสดงมหรสพ<br />
๘<br />
๙<br />
๔<br />
หัวโขน<br />
หุ่น<br />
79
๒<br />
จากระบำ รำ เต้น เป็นมหรสพ<br />
จากพิธีกรรมสู่ความบันเทิง<br />
มหรสพเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมไทยมาช้านาน มีต้นเค้าจาก<br />
การรำบูชาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เจ้าป่าเจ้าเขา ผี เทพเทวดา เพื่อสร้างขวัญกำลังใจ <br />
และเพื่อวิงวอนขอความผาสุกของชีวิตและขจัดโรคภัยต่างๆ ส่วนอีกทางหนึ่ง<br />
น่าจะมาจากการฟ้อนรำเพื่อพักผ่อนหย่อนใจตามวัฒนธรรมเกษตรกรรม <br />
เริ่มจากการออกท่าทางง่ายๆ วาดวงแขน ม้วนมือ หรือย่ำเท้าตามจังหวะดนตรี<br />
วิวัฒนาการจนมีความละเอียดลออมากยิ่งขึ้น และแตกแขนงแบ่งสายออกไป<br />
หลายชนิด<br />
81
๓<br />
หนังใหญ่<br />
ผืนหนังอลังการ ผสานด้วยเสียงวงปี่พาทย์<br />
ตัวหนังอันอลังการด้วยลวดลายวิจิตรเกิดจากฝีมือของช่างฉลุ<br />
ประกอบกับลีลาการเชิดที่ผู้เชิดต้องขยับร่างกายและตัวหนังให้เคลื่อนไหว<br />
สอดคล้องกับบทบาทและอารมณ์ของตัวละคร ซึ่งแต่ละตัวละครจะมีท่าเชิด<br />
ที่เป็นแบบแผนเฉพาะของตัวเอง เสียงดนตรีของวงปี่พาทย์ ก็เป็นส่วนประกอบ<br />
ที่ขาดไม่ได้ของหนังใหญ่ การพากย์จะทำให้คนดูเข้าใจและสนุกกับเรื่องราว <br />
ผู้เชิดกับผู้พากย์ต้องทำงานประสานกันให้เข้าจังหวะและสื่ออารมณ์ที่ต้องการ<br />
ผู้พากย์จึงต้องใช้ไหวพริบปฏิภาณและมีทักษะในการเล่าเรื่องเป็นอย่างดี <br />
องค์ประกอบต่างๆ เหล่านี้ได้หลอมรวมกันเป็นการแสดงที่มีเอกลักษณ์และ<br />
มนต์เสน่ห์อยู่คู่สังคมไทยมาอย่างยาวนาน<br />
82 ๕๘
สร้างวัฒนธรรมร่วม<br />
หนังเป็นมหรสพเก่าแก่มีกล่าวไว้ในกฎมณเฑียรบาล<br />
พ.ศ. ๑๙๐๑ ซึ่งคงมีอายุเก่าแก่กว่านั้นมาก เดิมเรียกว่า<br />
“หนัง” ต่อมาจึงเปลี่ยนมาเรียกว่า “หนังใหญ่” เพื่อไม่ให้<br />
สับสนกับหนังเล็ก คือ หนังตะลุง<br />
ราชสำนักโบราณก่อนกรุงศรีอยุธยาได้จัดให้เล่น<br />
หนังใหญ่ในงานสมโภชและงานเทศกาลต่างๆ เพื่อให้<br />
ประชาชนที่อยู่ร่วมกันหลากหลายเชื้อชาติมีสำนึกเป็น<br />
อันหนึ่งอันเดียวกันทางสังคมและวัฒนธรรม อีกทั้ง<br />
เป็นการส่งเสริมฐานานุภาพของพระเจ้าแผ่นดิน<br />
ครั้นล่วงมาถึงรัชกาลที่ ๑ หนังยังคงอยู่ในทำเนียบ<br />
มหรสพในการพระราชพิธีและการสมโภชต่างๆ มีทั้งหนัง<br />
กลางคืนและหนังกลางวัน และยังแพร่หลายไปในภูมิภาค<br />
ต่างๆ ของสยามประเทศ<br />
<br />
หนังคู่จอ<br />
สถานที่เล่นหนังต้องมีจอ คือผ้าขาว ทำขอบ ๔ ด้าน<br />
ด้วยผ้าแดง ขึงกับโครงไม้ไผ่ ๔ ลำ ดังบทพากย์หนังว่า<br />
ตัดไม้มาสี่ลำ ปักขึ้นทำเป็นจอ สี่มุมแดงยอ กลางก็ดาด<br />
ด้วยผ้าขาว <br />
ด้านหลังของจอมีกองไฟหรือร้านเพลิงเพื่อสุมไฟ<br />
ให้เกิดแสงเงาจากตัวหนัง ซึ่งมีลวดลายวิจิตรทาบไปที่จอ<br />
เช่นมีบทพากย์ว่า เร่งเร็วเถิดนายไต้ เอาเพลิงใส่เข้าหนหลัง<br />
ส่องแสงอย่าให้บัง จะเล่นให้ท่านทั้งหลายดู<br />
<br />
เล่นเฉพาะเรื่องรามเกียรติ์<br />
รามเกียรติ์ฉบับสยามมีต้นเรื่องมาจากรามายณะ<br />
ฉบับภาษาทมิฬในอินเดียใต้ ที่มาพร้อมกับการติดต่อ<br />
ค้าขายและการเผยแผ่ศาสนา<br />
รามเกียรติ์เป็นเรื่องราวปางหนึ่งในสิบปางของ<br />
พระนารายณ์ที่อวตารมาปราบยุคเข็ญ มีชื่อว่า รามาวตาร<br />
ราชสำนักสยามเผยแพร่เรื่องรามเกียรติ์ให้เป็นที่รู้จัก<br />
อย่างกว้างขวาง โดยการเล่นเป็นหนังใหญ่ ชาวสยาม<br />
ทั้งหลาย จึงรู้เรื่องรามเกียรติ์จากการดูหนัง <br />
เรื่องที่ใช้เล่นหนังมีอยู่เรื่องเดียว คือ รามเกียรติ์<br />
แม้จะมีหลักฐานกล่าวถึงในสมุทรโฆษคำฉันท์ ว่าแต่ง<br />
บทหนังใหญ่เรื่องอนิรุทธ์ แต่ก็ไม่ปรากฏหลักฐานของ<br />
การแสดง<br />
83
จัดแสดงเรื่องย่อ <br />
รามเกียรติ์<br />
ด้วยเทคนิคอะนิเมชั่น<br />
โขน<br />
เรื่องราวคึกคัก สนุกกับยักษ์และลิง<br />
๔<br />
๕๘ 84<br />
โขนเป็นการละเล่นของชายล้วนที่อยู่ในราชสำนัก<br />
มาแต่แรกเริ่ม มีไว้สำหรับเล่นในการพระราชพิธี ผู้ที่ได้รับ<br />
การฝึกหัดให้เป็นโขนคือมหาดเล็กหลวง จึงเรียกว่า “โขน<br />
หลวง” จวบจนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า<br />
จุฬาโลกมหาราช ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์แล้ว <br />
ทรงฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรมทุกด้าน สำหรับการแสดงโขนนั้น<br />
พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้เจ้านายและขุนนาง<br />
ผู้ใหญ่หัดโขนได้โดยไม่ทรงห้ามปราม เจ้านายและ<br />
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่จึงได้ฝึกหัดโขนเพื่อประดับเกียรติ<br />
ของตน เรียกว่า “โขนบรรดาศักดิ์” จึงเกิดมีโขนขึ้น<br />
หลายโรงเล่นประชันกัน เป็นเหตุให้ศิลปะการแสดงโขน<br />
แพร่หลายเป็นที่นิยมของประชาชนเป็นอย่างมาก<br />
จิตรกรรมฝาผนังเรื่อง รามเกียรติ์ ที่พระระเบียง <br />
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ดำเนินเรื่องตามพระราชนิพนธ์<br />
รามเกียรติ์ ในรัชกาลที่ ๑
อันเจ้าลงกากรุงไกร นั้นได้แก่ช้างงารี<br />
มารษาอาธรรม์พ้นนัก ไปลอบลักพาเมียเขาหนี<br />
ฝ่ายองค์พระรามสามี คือชีโฉดชั่วสามานย์<br />
เมียรักของตัวผู้เดียว ทิ้งไว้ให้เปลี่ยวในไพรสาณฑ์<br />
ครั้นหายเที่ยวหาไม่พบพาน จนต้องรอนราญวุ่นไป<br />
บทละครและสมุดไทย เรื่องรามเกียรติ์ <br />
พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑<br />
รามเกียรติ์ ยอดวรรณกรรมแห่งยุค<br />
เรื่องที่นิยมนำมาแสดงโขน คือเรื่อง “รามเกียรติ์”<br />
แม้บางครั้งมีการแสดงเรื่องอื่นบ้าง แต่ไม่ได้รับความนิยม <br />
รามเกียรติ์เป็นวรรณคดีสำคัญของไทยและเป็นที่รู้จักกัน<br />
อย่างแพร่หลาย เนื้อเรื่องมีคติสอนใจและให้แง่คิดในด้าน<br />
ต่างๆ สอดแทรกอยู่เป็นอันมากตามหลักนิยมของอินเดีย<br />
สำนวนกลอนในเรื่องรามเกียรติ์มีความไพเราะตามหลัก<br />
นิยมของไทย คติในรามเกียรติ์มีบทบาทสำคัญต่อ<br />
การพัฒนาของบ้านเมืองในดินแดนสยามที่มีความก้าวหน้า<br />
ขึ้นเป็นแว่นแคว้นหรือ “รัฐ” อันรุ่งเรือง ดังมีร่องรอยอยู่<br />
ตอนต้นเรื่องตามพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ ๑<br />
จากหนังใหญ่มาเป็นโขน<br />
หนังใหญ่เล่นเรื่องรามเกียรติ์เผยแพร่ให้แก่<br />
ประชาชนมาก่อนเป็นเวลาช้านาน แต่หนังใหญ่เป็นเพียง<br />
ภาพนิ่งที่ปรากฏบนจอ ต่อมาจึงมีระบำออกมาเล่นสลับ<br />
หนังใหญ่เพื่อให้น่าชมยิ่งขึ้น เรียกว่า เล่นหนังระบำ หรือ <br />
หนังจับระบำหน้าจอ นานเข้าระบำก็ค่อยๆ ออกมาเล่น<br />
แทนตัวหนัง การเล่นสลับกันแบบนี้ มักเรียกว่า <br />
“หนังติดตัวโขน” นานเข้าก็เล่นแทนหนังใหญ่ทั้งเรื่อง <br />
แล้วเรียกชื่อ “โขน” ที่มาจากรากศัพท์เช่นเดียวกับ<br />
“ละคร”<br />
<br />
เครื่องแต่งกายชักนาคดึกดำบรรพ์ <br />
ผันมาเป็นโขน<br />
ชักนาคดึกดำบรรพ์เป็นการแสดงในพระราชพิธี<br />
อินทราภิเษกที่สืบเนื่องกันมาเพื่อเทิดพระเกียรติ<br />
พระจักรพรรดิราชที่เกี่ยวข้องกับเรื่องรามเกียรติ์ จึงมี<br />
ผู้แสดงแต่งกายเป็นอสูร เทวดา พาลี สุครีพ วานรบริวาร<br />
ตลอดจนเทพเจ้าต่างๆ เช่น พระอิศวร พระนารายณ์<br />
พระอินทร์ และเป็นต้นแบบการแต่งกายของผู้แสดงโขน<br />
ต่อมา<br />
<br />
สรรพยุทธ-สรรพคิลา ปรับท่าเป็นโขน<br />
โขนได้ลอกเลียน “ท่าจับ” ซึ่งเป็นท่าขึ้นรบแบบต่างๆ <br />
ที่ปรากฏในหนัง มาใส่ไว้ในการเล่นโขนให้ได้จริงตามที่ช่าง<br />
ทำเป็นหนังไว้ ซึ่งเป็นท่าที่ฝืนธรรมชาติ ด้วยเหตุนี้ ตัวโขน<br />
จึงต้องฝึกวิชาระบำรำเต้นในกระบวนสรรพยุทธ อันหมายถึง<br />
การต่อสู้ด้วยอาวุธหรือที่เรียกว่า กระบี่กระบองและสรรพคิลา<br />
อันหมายถึง การกีฬาที่เกี่ยวข้องกับการต่อสู้ เพื่อให้<br />
เคลื่อนไหวด้วยลีลาฟ้อนเต้นอันเป็นพื้นฐานดั้งเดิมของ<br />
ประชาชนในภูมิภาคนี้<br />
85
๕<br />
หัวโขน<br />
หัวโขนที่ผู้เล่นโขนใช้สวมหัว เพื่อแสดงเป็นตัวละคร<br />
ต่างๆ เป็นงานศิลปกรรมประเภทประณีตศิลป์ เป็นงาน<br />
หัตถศิลป์ที่ประดิษฐ์ประดับด้วยลวดลายอันวิจิตร มีการ<br />
ปิดทองประดับแววและเขียนหน้า ปั้นลาย แสดงเส้น<br />
ให้ปรากฏเป็นความรู้สึกทางอารมณ์อย่างชัดเจน และ<br />
ที่สำคัญคือมีกรรมวิธีหลายขั้นตอน ซึ่งแต่ละขั้นตอน<br />
ต้องใช้ความเชี่ยวชาญด้านเทคนิคและฝีมือเป็นอย่างสูง<br />
ด้วยตัวละครในคู่สงครามที่มีสมัครพรรคพวก<br />
จำนวนมากด้วยกัน ตัวโขนที่ออกแสดงจึงมีจำนวนมาก<br />
และต้องสวมใส่หัวโขนที่ประดิษฐ์ให้มีลักษณะ ลวดลาย<br />
และสีสันวรรณะแตกต่างกัน แต่แม้จะมีการบัญญัติและ<br />
ประดิษฐ์หัวโขนให้มีลักษณะมงกุฎแตกต่างกัน ก็ยังไม่วาย<br />
ที่จะซ้ำกัน โบราณาจารย์ท่านจึงบัญญัติให้ทำปากและ<br />
ตาให้แตกต่างกันออกไปอีก แต่กระนั้นก็ยังมีลักษณะซ้ำกัน<br />
จึงต้องบัญญัติให้มีสีแตกต่างไปอีกชั้นหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ <br />
สีจึงเป็นส่วนสำคัญในลักษณะและความแตกต่างของ<br />
หัวโขน ถ้าระบายสีผิดเพี้ยนไป หัวโขนอาจซ้ำกันและเข้าใจ<br />
ว่าเป็นตัวเดียวกันได้ ถ้าบังเอิญมีสีคล้ายกันหรือบางตัว<br />
อาจมีสีเดียวกัน ผู้ชมต้องสังเกตจากอาวุธที่ถือเป็น<br />
ส่วนประกอบอีกอย่างหนึ่ง<br />
๕๘ 86
87 ๕๙
หัวโขนตัวละครฝ่ายกรุงอโยธยา<br />
พระราม<br />
พงศ์ <br />
กษัตริย์ เดิมคือพระนารายณ์อวตาร <br />
ลงมาเกิดเพื่อปราบทศกัณฐ์<br />
คุณสมบัติเฉพาะตัว <br />
เวลาแสดงอิทธิฤทธิ์จะปรากฏเป็น ๔ กร<br />
ทรงอาวุธ ตรี คฑา จักร สังข์<br />
อุปนิสัย<br />
มีความรักพี่น้องและซื่อสัตย์ต่อนางสีดา<br />
ลักษณะหัวโขน <br />
สวมมงกุฎยอดชัย สวมมงกุฎยอดบวช<br />
เวลาทรงพรต ๑ พักตร์ ๒ กร<br />
สีกาย<br />
สีเขียวนวล<br />
อาวุธประจำตัว<br />
ศร<br />
<br />
พระลักษมณ์ <br />
พงศ์ <br />
กษัตริย์ เดิมคือบัลลังก์นาคของ<br />
พระนารายณ์ อวตารลงมาช่วยพระราม <br />
อุปนิสัย <br />
มีความรักพี่น้อง ซื่อสัตย์ต่อพระราม<br />
และนางสีดา<br />
ลักษณะหัวโขน <br />
สวมมงกุฎยอดชัย สวมมงกุฎยอดบวช<br />
เวลาทรงพรต ๑ พักตร์ ๒ กร<br />
สีกาย<br />
สีทอง<br />
อาวุธประจำตัว<br />
พระขรรค์<br />
<br />
หนุมาน<br />
พงศ์ <br />
วานร<br />
คุณสมบัติเฉพาะตัว <br />
หาวเป็นดาวเป็นเดือน ไม่มีวันตาย<br />
เพราะเมื่อลมพัดโดนกายก็จะฟื้น <br />
มีกุณฑล ขนเพชร เขี้ยวแก้ว<br />
เวลาแผลงฤทธิ์จะมี ๔ พักตร์ ๘ กร<br />
อุปนิสัย <br />
ชอบทำหน้าที่เกินคำสั่ง เจ้าชู้<br />
ลักษณะหัวโขน <br />
ไม่สวมมงกุฎ ตาโพลง ปากอ้า<br />
สีกาย <br />
สีขาว<br />
อาวุธประจำตัว <br />
ตรี<br />
<br />
88 ๕๘
๕<br />
องคต<br />
พงศ์ <br />
วานร<br />
คุณสมบัติเฉพาะตัว <br />
เชี่ยวชาญการรบ แปลงกายได้<br />
อุปนิสัย <br />
เด็ดเดี่ยว อาจหาญ<br />
ลักษณะหัวโขน <br />
สวมมงกุฎยอดสามกลีบ ตาโพลง<br />
ปากหุบ<br />
สีกาย <br />
สีเขียว<br />
อาวุธประจำตัว <br />
พระขรรค์<br />
<br />
สุครีพ<br />
พงศ์<br />
วานร <br />
คุณสมบัติเฉพาะตัว<br />
เนรมิตกายได้<br />
อุปนิสัย<br />
มีปัญญาดี มีความซื่อสัตย์ จงรักภักดี <br />
และเป็นผู้เสียสละ<br />
ลักษณะหัวโขน<br />
สวมมงกุฎยอดบัด ตาโพลง ปากอ้า<br />
สีกาย<br />
สีแดง<br />
อาวุธประจำตัว<br />
พระขรรค์<br />
<br />
<br />
พิเภก<br />
พงศ์<br />
ยักษ์<br />
คุณสมบัติเฉพาะตัว<br />
มีความรู้ทางด้านโหราศาสตร์ <br />
มีกระดานโหรประจำกาย<br />
อุปนิสัย<br />
มีความซื่อตรง จิตใจงาม<br />
ลักษณะหัวโขน<br />
สวมมงกุฎน้ำเต้า ตาจระเข้ ปากแสยะ<br />
เขี้ยวทู่ ๑ พักตร์ ๒ กร<br />
สีกาย<br />
สีเขียว<br />
อาวุธประจำตัว<br />
กระบอง<br />
89 ๕๙
หัวโขนตัวละครฝ่ายกรุงลงกา<br />
ทศกัณฐ์<br />
พงศ์<br />
ยักษ์ <br />
คุณสมบัติเฉพาะตัว<br />
สามารถถอดดวงใจได้<br />
อุปนิสัย<br />
เจ้าชู้ มักมากในกามารมณ์ ใจคอโหดเหี้ยม<br />
ลักษณะหัวโขน <br />
สวมมงกุฎยอดชัย (ศีรษะทศกัณฐ์<br />
มีทั้งสีเขียวและสีทอง ในการทำสงคราม<br />
ครั้งสุดท้าย ได้แปลงเป็นพระอินทร์ <br />
โดยทำเป็นหน้าพระ ๓ ชั้น สีเขียว มีเขี้ยว<br />
ดอกมะลิ) ปากแสยะ เขี้ยวโง้ง ตาโพลง<br />
๑๐ พักตร์ ๒๐ กร<br />
สีกาย<br />
สีเขียว<br />
อาวุธประจำตัว<br />
ศร<br />
กุมภกรรณ<br />
พงศ์<br />
ยักษ์<br />
คุณสมบัติเฉพาะตัว <br />
มีวาจาคมคายเฉียบแหลม ชาญฉลาด<br />
อุปนิสัย<br />
ตั้งอยู่ในสัจธรรม รักความยุติธรรม <br />
รักความสะอาด<br />
ลักษณะหัวโขน <br />
สวมกระบังหน้าไม่มีมงกุฎ หัวโล้น <br />
ปากแสยะ ตาโพลง เขี้ยวโง้ง มี ๔ พักตร์<br />
(หน้าปกติ ๑ หน้า และอีก ๓ หน้า<br />
อยู่ด้านหลัง) ๒ กร<br />
สีกาย<br />
สีเขียว<br />
อาวุธประจำตัว<br />
หอกโมกขศักดิ์<br />
<br />
อินทรชิต<br />
พงศ์<br />
ยักษ์<br />
คุณสมบัติเฉพาะตัว <br />
สามารถแปลงกายเป็นพระอินทร์ได้ <br />
และเมื่อตายถ้าศีรษะตกถึงพื้น<br />
จะเกิดไฟไหม้โลก <br />
อุปนิสัย<br />
มีความรับผิดชอบในหน้าที่<br />
ลักษณะหัวโขน <br />
สวมชฎามนุษย์หรือชฎายอดกาบไผ่เดินหน<br />
แบบพระอินทร์ ตาโพลง ปากขบ เขี้ยวคุด<br />
(ดอกมะลิ) มีจอนหู ๑ พักตร์ ๒ กร<br />
สีกาย<br />
สีเขียว<br />
อาวุธประจำตัว<br />
ศร<br />
<br />
๕๘ 90
๕<br />
ไมยราพ<br />
พงศ์<br />
ยักษ์<br />
คุณสมบัติเฉพาะตัว<br />
สามารถถอดดวงจิตได้<br />
อุปนิสัย<br />
มีความทะนงในฤทธิ์ตน ดื้อรั้น<br />
ลักษณะหัวโขน<br />
สวมมงกุฎยอดกระหนก<br />
ตาจระเข้ ปากขบ <br />
เขี้ยวทู่ ๑ พักตร์ ๒ กร<br />
สีกาย<br />
สีม่วงอ่อน<br />
อาวุธประจำตัว<br />
กล้องเป่ายา<br />
<br />
<br />
วิรุญจำบัง<br />
พงศ์<br />
ยักษ์<br />
คุณสมบัติเฉพาะตัว<br />
หายตัวได้<br />
ลักษณะหัวโขน<br />
สวมมงกุฎยอดหางไก่ ตาจระเข้<br />
ปากขบ ๑ พักตร์ ๒ กร<br />
สีกาย<br />
สีมอหมึก<br />
อาวุธประจำตัว<br />
หอก<br />
<br />
แสงอาทิตย์<br />
พงศ์<br />
ยักษ์ <br />
ลักษณะหัวโขน<br />
สวมมงกุฎยอดกระหนก ตาจระเข้ <br />
ปากขบ เขี้ยวทู่ ๑ พักตร์ ๒ กร<br />
สีกาย<br />
สีแดงชาด<br />
อาวุธประจำตัว<br />
ศรและแว่นแก้ววิเศษ<br />
ส่องให้เกิดไฟไหม้ได้<br />
<br />
<br />
<br />
91 ๕๙
92<br />
จัดแสดงด้วยวีดิทัศน์ ซึ่งฉายบนจอภาพรูปวงรี <br />
ประยุกต์เป็นรูปทรงเดียวกับกระจกส่องหน้า<br />
ของโต๊ะเครื่องแป้งโบราณ โดยสามารถ<br />
กดปุ่มเลือกชมการแต่งกายของตัวละคร<br />
ได้ตามอัธยาศัย
๖<br />
การแต่งกายโขน<br />
เนื่องด้วยโขนแสดงเรื่องราวของชนชั้นกษัตริย์ <br />
การแต่งกายจึงมีความวิจิตรใกล้เคียงกับเครื่องทรง<br />
ของกษัตริย์ <br />
<br />
โขน “ทรงเครื่อง”<br />
แต่แรกมีการประดิษฐ์เครื่องแต่งตัวชุดนายโรง<br />
หรือ “ตัวพระ” ขึ้นก่อน และมีตัวละครแต่งกายแบบนี้<br />
อยู่เพียงคนเดียว จึงเรียกว่า “ตัวยืนเครื่อง” และเรียก<br />
เครื่องแต่งกายแบบตัวพระว่า “ยืนเครื่อง” <br />
<br />
เครื่องประดับศีรษะ<br />
ต่อมาไม่ว่าจะเป็นตัวเอกหรือตัวรองก็แต่งยืนเครื่อง<br />
ทั้งนั้น ต่างกันก็แต่เครื่องประดับศีรษะ ซึ่งเป็นแบบฉบับ<br />
ของเครื่องแต่งกายโขนละครที่ใช้สืบมาจนถึงสมัยปัจจุบัน <br />
<br />
สีเสื้อ สีผิว<br />
การสวมเสื้อแขนยาวของตัวโขนนั้น นอกจาก<br />
สวมให้ครบตามแบบของเครื่องแต่งกายยืนเครื่องพระแล้ว<br />
สีของเสื้อที่สวมยังเป็นการบ่งบอกถึงสีผิวของโขนตัวนั้นๆ<br />
อีกด้วย เช่น ทศกัณฐ์ พระราม กุมภกรรณ อินทรชิต<br />
พระอินทร์ มีผิวกายสีเขียวตามพงศ์ ในเรื่องรามเกียรติ์ <br />
ก็สวมเสื้อสีเขียว ยักษ์หรือลิงที่มีผิวกายสีใดก็สวมเสื้อสีนั้น<br />
<br />
ผ้านุ่ง<br />
ส่วนผ้านุ่งของผู้แสดงโขน ผู้จัดเครื่องแต่งกายโขน<br />
จะจัดสีของผ้านุ่งให้ตัดกับสีเสื้อ เช่น เสื้อสีเขียวให้นุ่งผ้า<br />
สีแดง เสื้อสีแดงให้นุ่งผ้าสีเขียว เป็นต้น<br />
พระบรมฉายาลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
ในฉลองพระองค์เครื่องต้น<br />
เครื่องต้น-เครื่องโขนละคร<br />
มีผู้ศึกษาเปรียบเทียบเครื่องแต่งตัวโขนละคร<br />
และพบว่ามีความใกล้เคียงกับเครื่องต้นของพระมหา<br />
กษัตริย์ เช่น ฉลองพระกรน้อย ฉลองพระองค์สีย่นนอก<br />
รัดพระองค์หนามขนุน รัดพระองค์แครง และพระภูษา<br />
ริ้ววรวะหยี่จีบโจง เป็นต้น จึงมีพระราชกำหนด<br />
ห้ามไม่ให้สร้างเครื่องแต่งตัวโขนละครเลียนแบบ<br />
เครื่องต้น แต่พระราชกำหนดดังกล่าวได้คลาย<br />
ความเข้มงวดลงในเวลาต่อมา ไม่เพียงเท่านั้น ยังได้มี<br />
การนำเครื่องแต่งตัวละครมาผสมด้วย ดังที่ปรากฏอยู่<br />
ในปัจจุบัน<br />
93
เ ค รื่ อ ง แ ต่ ง ก า ย พ ร ะ<br />
ดอกไม้ทัด (ขวา)<br />
อุบะ หรือพวงดอกไม้ (ขวา)<br />
ชฎา<br />
ดอกไม้เพชร (ซ้าย)<br />
จอนหู หรือกรรเจียก หรือกรรเจียกจร<br />
อินทรธนู<br />
กำไลแผง <br />
หรือทองกร<br />
ทับทรวง<br />
เสื้อ หรือฉลององค์<br />
กรองคอ หรือนวมคอ<br />
ธำมรงค์<br />
ปะวะหล่ำ<br />
แหวนรอบ<br />
สังวาล<br />
เข็มขัด หรือปั้นเหน่ง<br />
รัดสะเอว<br />
ตาบทิศ<br />
คันศร<br />
สนับเพลา<br />
ผ้านุ่ง หรือภูษา<br />
สุวรรณกระถอบ หรือ<br />
สุวรรณกัญจน์ถอบ<br />
ห้อยข้าง หรือเจียระบาด<br />
หรือชายแครง<br />
ห้อยหน้า หรือชายไหว<br />
กำไลเท้า<br />
94
เ ค รื่ อ ง แ ต่ ง ก า ย น า ง ๖<br />
มงกุฎ<br />
จอนหู หรือกรรเจียก หรือกรรเจียกจร<br />
ธำมรงค์<br />
ดอกไม้ทัด (ซ้าย)<br />
อุบะ หรือพวงดอกไม้ (ซ้าย)<br />
กรองคอ หรือนวมนาง<br />
จี้นาง หรือตาบทับ<br />
เสื้อใน<br />
สะอิ้ง<br />
ผ้าห่มนาง<br />
พาหุรัด<br />
แหวนรอบ<br />
ปะวะหล่ำ<br />
กำไลตะขาบ<br />
กำไลสวม หรือทองกร<br />
เข็มขัด หรือปั้นเหน่ง<br />
ผ้านุ่ง หรือภูษา<br />
กำไลเท้า<br />
95
เ ค รื่ อ ง แ ต่ ง ก า ย ยั ก ษ์<br />
กรองคอ หรือนวมคอ<br />
หัวทศกัณฐ์<br />
อินทรธนู<br />
ธำมรงค์<br />
รัดอก<br />
สังวาล<br />
ทับทรวง<br />
เสื้อ หรือฉลององค์<br />
แหวนรอบ<br />
กำไลแผง หรือทองกร<br />
พวงประคำคอ<br />
คันศร<br />
รัดสะเอว หรือรัดองค์<br />
เข็มขัด หรือปั้นเหน่ง<br />
ตาบทิศ<br />
ผ้านุ่ง หรือภูษา<br />
สนับเพลา<br />
กำไลเท้า<br />
ห้อยหน้า หรือชายไหว<br />
ห้อยข้าง หรือเจียระบาด<br />
หรือชายแครง<br />
96
เ ค รื่ อ ง แ ต่ ง ก า ย ลิ ง<br />
๖<br />
หัวหนุมาน<br />
กรองคอ หรือนวมคอ<br />
พาหุรัด<br />
ทับทรวง<br />
เสื้อ ในที่นี้สมมติเป็นขนตามตัวของลิง<br />
สังวาล<br />
ตาบทิศ<br />
ห้อยข้าง หรือเจียระบาด<br />
หรือชายแครง<br />
เข็มขัด หรือปั้นเหน่ง<br />
กำไลแผง หรือทองกร<br />
ปะวะหล่ำ<br />
แหวนรอบ<br />
ผ้านุ่ง หรือภูษา<br />
สนับเพลา<br />
กำไลเท้า<br />
ห้อยหน้า หรือชายไหว<br />
97
แอบดูลิง จัดแสดงด้วยวีดิทัศน์<br />
ฉายท่าทางของโขนตัวลิง <br />
สามารถชมได้โดยมองผ่าน<br />
ช่องเลนส์ขนาดเล็กบนผนัง<br />
ซึ่งเขียนลวดลายคล้ายขนลิง<br />
ตามที่ปรากฏบนเครื่องแต่งกาย<br />
ของตัวโขน<br />
แอบดูลิง<br />
อิริยาบถลิงเป็นสิ่งที่สร้างสีสันในการรับชมโขนได้เป็นอย่างมาก<br />
เนื่องจากผู้ประดิษฐ์ท่าทางได้สร้างสรรค์ขึ้นโดยพยายามลอกเลียนอากัปกิริยา<br />
ของลิง ประยุกต์กับการเคลื่อนไหวแบบนาฏศิลป์โดยยังคงความเป็นธรรมชาติ<br />
ไว้มากที่สุด จึงทำให้ลิงเป็นตัวละครที่มีเอกลักษณ์ ดูน่ารัก น่าจดจำ แตกต่าง<br />
จากท่าทางของตัวละครอื่นๆ<br />
๕๘ 98
๗<br />
ภาษาท่าทางโขน<br />
การที่เราเห็นผู้เล่นโขนออกมาเต้นและรำอยู่เป็นเวลานานนั้น ก็คือ<br />
ผู้แสดงโขนกำลังพูดอยู่ เพราะท่าเต้นท่ารำนั้นเป็นหัวใจของโขนเสมือนเป็น<br />
ภาษาพูด ถ้าเรารู้ภาษาโขน เราก็ย่อมเข้าใจความหมาย ยิ่งศิลปินผู้เล่นโขน<br />
เป็นผู้ได้รับการฝึกมาเป็นอย่างดีและมีฝีไม้ลายมือในการส่งภาษานาฏศิลป์<br />
ด้วยแล้ว รสสนุกในการดูก็จะทวียิ่งขึ้นเช่นเดียวกับเราไปฟังนักพูดคารมดี<br />
ฉะนั้นถ้าเราดูโขนรู้เรื่องแล้ว บางทีเราจะเห็นว่าโขนออกรสสนุกและไม่น่าเบื่อ<br />
และหากผู้เล่นโขนหรือละครรำคนใดสามารถเต้นและรำให้ถูกต้องงดงาม <br />
และสามารถสื่ออารมณ์ของตัวละครออกมาอย่างพอดีได้ ผู้นั้นก็จะได้รับยกย่อง<br />
ว่าเป็นผู้ที่ “ตีบทแตก”<br />
<br />
การเล่นโขนจะต้องแสดงท่าให้<br />
ประสานกลมกลืนกันไปกับ<br />
จั ง ห ว ะ ข อ ง ค ำ พ า ก ย์ <br />
คำเจรจา คำขับร้อง และ<br />
เพลงหน้าพาทย์ ซึ่งเป็น<br />
หลักสำคัญของการเต้น<br />
การรำ ท่าทางที่นำมาแสดง<br />
เหล่านั้นจึงงดงามแตกต่างไปจากกิริยา<br />
ท่าทางสามัญของมนุษย์ ภาษาท่าทาง<br />
เมื่อดึงแผ่นป้ายขึ้น<br />
จะปรากฏภาพตัวละคร<br />
แสดงกิริยาท่าทางโขน<br />
ตามที่เขียนไว้บนป้าย<br />
ที่สามารถสื่อสารให้ผู้ชมเข้าใจได้แบ่งออก<br />
เป็น ๓ ประเภท คือ<br />
๑. ท่าทางที่ใช้แทนคำพูด เช่น<br />
รับ ปฏิเสธ สั่ง เรียก ไป มา ฯลฯ<br />
๒. ท่าแสดงกิริยาอาการหรือ<br />
อิริยาบถ เช่น เดิน นั่ง นอน เคารพ ฯลฯ<br />
๓. ท่าที่แสดงอารมณ์ภายใน เช่น<br />
รัก โกรธ ดีใจ เสียใจ ร่าเริง ฯลฯ<br />
<br />
ยักษ์อาย<br />
99
๘<br />
รำ ภาษานาฏศิลป์เพื่อสุนทรียรส<br />
<br />
<br />
รำ หรือการฟ้อนที่มีมาแต่โบราณในเหล่ามนุษย์ทุกชาติทุกภาษา คำเหล่านี้<br />
หมายถึง ลีลาการเคลื่อนไหวทุกส่วนของร่างกายตั้งแต่ศีรษะ ไหล่ แขน ลำตัว<br />
จนถึงเท้า ให้ประสานกลมกลืนกับจังหวะดนตรี โดยดัดแปลงท่าต่างๆ ให้วิจิตร<br />
พิสดาร งดงามกว่าท่าธรรมชาติโดยทั่วไป นอกจากเพื่อเป็นการส่งภาษา <br />
ให้หมายรู้กันด้วยสายตาแล้ว ในทางนาฏกรรมก็จำเป็นต้องมุ่งให้เต้นและรำ<br />
ได้อย่างงดงามและเป็นสง่าที่เรียกว่าสุนทรียรสอีกด้วย ซึ่งแต่เดิมมีเพียงระบำ<br />
รำฟ้อนเป็นชุดเท่านั้น ต่อมาจึงประกอบเป็นเรื่องราวที่สนุกสนานมากขึ้น<br />
100 ๕๘
รำไทย ต้นเค้าจากอินเดีย<br />
กระบวนรำที่ใช้ในการพิธีตลอดลงมาจนถึงการเล่นระบำและโขนละครนั้น<br />
ได้แบบอย่างมาจากอินเดีย เพราะชาวอินเดียถือว่าการฟ้อนรำเป็นของที่เทพเจ้า<br />
ได้ทรงคิดประดิษฐ์ขึ้น แล้วสั่งสอนให้มนุษย์ได้ฟ้อนรำเป็นสวัสดิมงคล ใครฟ้อน<br />
รำหรือให้มีการฟ้อนรำตามเทวบัญญัติ ก็เชื่อว่าจะได้รับประโยชน์และจะได้ไปสู่<br />
สุคติในเบื้องหน้า ฉะนั้นแต่โบราณ พราหมณ์ที่เข้ามาเป็นครูบาอาจารย์ จึงได้นำ<br />
แบบแผนการรำเข้ามาฝึกหัดให้กับชาวไทย ซึ่งภายหลังคนไทยได้ผสมผสาน<br />
การรำให้สอดรับกับแบบท้องถิ่นของตนเองมากขึ้น เช่น การย่อก้นเตี้ยๆ <br />
จนกลายเป็นรำไทยที่มีท่วงท่าอันเป็นเอกลักษณ์<br />
รูปแบบการรำไทยนั้นมีมาตั้งแต่ครั้งกรุงสุโขทัย โดยปรากฏในศิลาจารึก<br />
หลักที่ ๘ สมัยรัชกาลพระมหาธรรมราชาที่ ๑ แต่ไม่ได้อธิบายถึงลักษณะ<br />
การร่ายรำ ครั้นถึงสมัยกรุงศรีอยุธยา ได้ปรากฏภาพลายเส้นรำไทยขึ้น มีชื่อเรียกว่า<br />
ตำรารำไทย มีการระบุชื่อเรียกท่าต่างๆ ทำนองเดียวกับตำรานาฏยศาสตร์<br />
ของชาวอินเดีย แต่แปลงชื่อเรียกเป็นภาษาไทย<br />
<br />
รำ กับ ระบำ ต่างคำต่างรูป<br />
รำ ใช้เรียกการรำเดี่ยว รำคู่<br />
รำประกอบเพลง รำอาวุธ รำทำบท<br />
ระบำ คือ การรำพร้อมกัน<br />
เป็นหมู่ ถ้าระบำมีศิลปะการรำ<br />
แบบไทยเหนือ ก็เรียกกันว่า ฟ้อน<br />
<br />
101
102<br />
๖๖ ท่ารำ ต้นสาย<br />
นาฏกรรม<br />
<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า<br />
จุฬาโลกมหาราชทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างตำรารำไทย <br />
โดยเขียนรูปท่ารำเป็นแบบแผนถึง <br />
๖๖ ท่า ระบายสีปิดทองไว้เป็น<br />
หลักฐานในการรักษาและสืบสาน<br />
รูปแบบรำไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา<br />
มิให้สูญหาย นับเป็นตำรารำไทย<br />
ที่เก่าแก่และสมบูรณ์ที่สุด ทำให้<br />
คนรุ่นหลังได้รู้ว่า การรำไทยในอดีต<br />
มีรูปแบบเช่นไร<br />
ตำราท่ารำที่จัดทำขึ้นในสมัย<br />
รัชกาลที่ ๑ นั้น ได้รับการสืบทอด<br />
อย่างต่อเนื่อง และได้รับการบันทึกไว้<br />
ในสื่ออันทันสมัย โดยสมเด็จพระเจ้า<br />
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชา<br />
นุภาพ โปรดให้มีการบันทึกภาพท่ารำ<br />
โดยน่าจะมีการเทียบเคียงกับตำรา<br />
ท่ารำของรัชกาลที่ ๑ โดยมีนายวงศ์<br />
กาญจนวัฒน์ เป็นตัวพระ และ<br />
นางสาวเสงี่ยม นาวีเสถียร (ภายหลัง<br />
ได้รับพระราชทานนามใหม่จาก<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวว่า อนินทิตา) เป็นตัวนาง<br />
โดยใช้เครื่องแต่งกายของกรมมหรสพ<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๖ และใช้วังวรดิศ<br />
เป็นสถานที่ถ่ายภาพ
๘<br />
“พระรถโยนสาร” ๑ ใน ๖๖ ท่ารำ<br />
ที่ปรากฏในตำรารำไทยสมัยรัชกาลที่ ๑<br />
103
รำและระบำ<br />
รำประเลง<br />
การรำเบิกโรงอย่างหนึ่งของ<br />
ละครในซึ่งมีมาแต่โบราณ ผู้แสดง<br />
แต่งกายยืนเครื่องพระ ๒ คน สวมหัว<br />
เทวดาไม่มียอด เป็นการสมมติว่า<br />
เทวดาลงมารำ เพื่อความเป็นสิริมงคล<br />
และปัดรังควานป้องกันเสนียดจัญไร<br />
ตัวนายโรงทั้ง ๒ คนที่รำประเลง จะต้อง<br />
ถือหางนกยูงทั้งสองมือออกมาร่ายรำ<br />
ตามทำนองเพลง โดยไม่มีบทร้อง<br />
ส่วนเพลงหน้าพาทย์ประกอบการรำ<br />
ประเลง บ้างก็ใช้เพลงกลม บ้างก็ใช้<br />
เพลงโคมเวียน แล้วออกด้วยเพลง<br />
ตะบองกัน<br />
<br />
รำกิ่งไม้เงินทอง<br />
จัดแสดงความเป็นมา<br />
ของรำและระบำ<br />
๕ ชุดการแสดง<br />
ด้วยการฉายวีดิทัศน์ โดยสามารถ<br />
กดปุ่มเลือกชมได้ตามอัธยาศัย<br />
<br />
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้ประดิษฐ์ขึ้นใหม่แทนรำประเลง สำหรับเป็นรำเบิกโรงละครใน ผู้รำ ๒ คน<br />
แต่งกายยืนเครื่องพระ ศีรษะสวมชฎาแทนการสวมหัวเทวดาโล้น สมมติว่าเป็น<br />
เทวดา มือข้างขวาถือกิ่งไม้ทอง ส่วนมือข้างซ้ายถือกิ่งไม้เงิน ลีลาท่ารำ<br />
ดำเนินไปตามบทขับร้องที่พระองค์ทรงพระราชนิพนธ์ขึ้น โดยมีพระราชประสงค์<br />
ให้เกิดความสวัสดิมงคลแก่การแสดงและผู้แสดง ตลอดจนผู้ชมโดยทั่วกัน<br />
104
๘<br />
ฉุยฉาย<br />
กิ่งไม้เงินทอง<br />
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐ์ท่ารำและพระราชนิพนธ์บทขับร้อง<br />
สำหรับเป็นการรำเบิกโรงละครไทย ผู้รำ ๒ คน แต่งกาย<br />
ยืนเครื่องนาง มือข้างขวากำกิ่งไม้ทอง ส่วนมือข้างซ้ายกำ<br />
กิ่งไม้เงิน รำไปตามบทขับร้องและทำนองเพลงฉุยฉาย <br />
เป็นฉุยฉายพวง คือร้องรวบความจนจบท่อน โดยไม่มี<br />
ปี่เป่ารับ นับเป็นวิวัฒนาการอีกขั้นหนึ่งซึ่งมีมาตั้งแต่<br />
สมัยโบราณ<br />
ฉุยฉาย<br />
เบญกายแปลง<br />
ฉุยฉายเบญกายแปลง อยู่ในการแสดงโขนเรื่อง<br />
รามเกียรติ์ ชุดนางลอย เป็นการรำเดี่ยวเพื่ออวดลีลาท่ารำ<br />
ของตัวละครนางเบญกายที่สามารถแปลงกายเป็นสีดา<br />
สำเร็จ และชมโฉมความสวยงามของตัวเองด้วยความพอใจ<br />
บทร้องฉุยฉายเบญกายนี้ เป็นพระนิพนธ์ของสมเด็จ<br />
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
<br />
ระบำดาวดึงส์<br />
ระบำดาวดึงส์ เป็นระบำมาตรฐานชุดหนึ่งอยู่ใน<br />
ละครดึกดำบรรพ์เรื่องสังข์ทอง ตอนตีคลี ซึ่งสมเด็จ<br />
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
ได้ทรงพระนิพนธ์บทร้องขึ้น พรรณนาถึงความสง่างามของ<br />
เหล่าเทพบุตร เทพธิดา ทิพย์วิมาน อันมโหฬารตระการตา<br />
ขององค์อมรินทร์ในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ จึงนับเป็นระบำ<br />
มาตรฐานที่สวยงามชุดหนึ่ง<br />
105
ละคร<br />
<br />
ละคร คือ มหรสพที่วิวัฒนาการมาจากระบำ<br />
รำเต้นประกอบเพลงต่างๆ เพื่อความบันเทิงของพื้นถิ่น<br />
ดั้งเดิม ต่อมาได้เล่นเป็นเรื่องราว กลายเป็นละครรำ<br />
และละครร้องแบบต่างๆ ของไทย ทั้งท่าเต้นรำ เนื้อร้อง<br />
ดนตรี และเพลงที่เล่นเป็นละครไทย เป็นผลรวมของ<br />
วัฒนธรรมพื้นถิ่นอุษาคเนย์กับวัฒนธรรมนำเข้า เช่น<br />
อินเดีย เป็นต้น กลายเป็นเอกลักษณ์ของละครไทย<br />
106
ครั้นถึงจึงเห็นนางสุวิญชา ยิ่งโกรธาหุนหันหมั่นไส้<br />
๘<br />
กระทืบบาทกึกก้องทั้งห้องใน ชี้หน้าว่าไปกับนงลักษณ์<br />
เสียแรงเราชุบเลี้ยงถึงเพียงนี้ ควรหรือมีลูกอ่อนเป็นท่อนสัก<br />
ให้อับอายขายหน้านักหนานัก สิ้นรักใคร่กันแล้ววันนี้<br />
แม้นเลี้ยงไว้ในเมืองจะเลื่องลือ ขึ้นชื่อว่าเป็นเมียเสียศักดิ์ศรี<br />
ชอบแต่สังหารผลาญชีวี<br />
ภูมีฮึดฮัดขัดแค้นใจ<br />
บทละครนอกเรื่อง ไชยเชษฐ์ ตอน นางสุวิญชาถูกขับไล่<br />
พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย<br />
ละครดั้งเดิม<br />
ละครมักเล่นเพื่อการแก้บนและในงานบุญต่างๆ<br />
เช่น งานวัด งานฉลองพระ ฉลองโบสถ์ เป็นต้น เรื่องที่<br />
นิยมมากที่สุด คือ มโนราห์ เป็นเหตุให้เรียกการละเล่น<br />
อย่างนี้ว่า ละครมโนราห์ แล้วกร่อนเสียงเป็น โนรา<br />
ถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เรียกละครนี้ว่า โนราชาตรี <br />
เมื่อราชสำนักเลียนแบบละครชายจริงหญิงแท้ของชาวบ้าน<br />
ไปหัดให้ผู้หญิงในวังเล่นละครแบบชาวบ้าน แต่รำเอง<br />
อย่างเดียว ไม่ได้ร้องเอง ใช้คนร้องกลุ่มหนึ่งโดยนำ<br />
เพลงมโหรีมาร้องแทน เรียกว่า ละครใน (วัง) หรือ ละครใน<br />
(เจ้านาย) ทำให้เรียกละครของชาวบ้านว่า ละครนอก<br />
ละครใน เล่นเพื่อสุนทรียะของการรำกับร้องเป็นหลัก<br />
ไม่นิยมเล่นเพื่อความตลกคะนองให้ขบขัน นิยมแสดงเพียง<br />
๓ เรื่อง คือ เรื่องรามเกียรติ์ อุณรุท และอิเหนา จะไม่เล่น<br />
เรื่องอื่น หากละครผู้หญิงของหลวงเล่นเรื่องอื่น ก็จะเรียกว่า<br />
ละครนอก<br />
ละครนอก เล่นกันแต่เรื่องอื่นๆ เช่น เรื่องสังข์ทอง<br />
คาวี เป็นต้น ถือเอาการที่จะเล่นเพื่อความสนุกสนานชอบใจ<br />
ของมหาชนเป็นหลัก ไม่เน้นการฟ้อนรำสวยงาม แต่มี<br />
การขับร้องเช่นละครใน<br />
<br />
ละครปรับปรุงใหม่<br />
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมา วิถีชีวิตเริ่ม<br />
เปลี่ยนแปลงไปทางตะวันตกทีละน้อย มีผลทำให้รสนิยม<br />
การละครของไทยปรับตัวให้มีลักษณะเป็นตะวันตกมากขึ้น<br />
โดยการนำความคิดมาประยุกต์อย่างไทยๆ จนเกิดละคร<br />
แผนใหม่หลายชนิดด้วยกัน<br />
จัดฉายวีดิทัศน์ตัวอย่างการแสดงละครใน <br />
เรื่องอุณรุท ละครดึกดำบรรพ์ เรื่องอิเหนา <br />
และละครร้อง เรื่องสาวเครือฟ้า โดยสามารถ<br />
กดปุ่มเลือกชมได้ตามอัธยาศัย<br />
<br />
107
ละครพันทาง<br />
เกิดขึ้นในปลายรัชกาลที่ ๔ <br />
ได้รับการพัฒนาในรัชกาลที่ ๕ โดย<br />
เ จ้ า พ ร ะ ย า ม หิ น ท ร ศั ก ดิ์ ธ ำ ร ง<br />
ดัดแปลงพงศาวดารของชาติต่างๆ<br />
เช่น จีน มอญ มาผูกเรื่องเป็นบทละคร<br />
เพื่อใช้แสดงละครรำแบบแหวกแนว<br />
ผสมผสานเข้ากับละครพูด เพลงและ<br />
ท่ารำออกภาษาตามเนื้อเรื่อง เดินเรื่อง<br />
ตามคำร้อง บางครั้งมีต้นเสียง และลูกคู่<br />
ร้องทั้งหมดตามแบบแผนละครนอก<br />
คือ ดำเนินเรื่องรวดเร็ว ไม่เคร่งครัด<br />
ในระเบียบประเพณี และแทรกตลก<br />
ได้ตามความเหมาะสม ความสำคัญ<br />
อยู่ที่ถ้อยคำ ทั้งบทร้องและบทเจรจา<br />
ประกอบเพื่อให้การเดินเรื่องสนุกสนาน<br />
ซึ่งส่วนที่เป็นคำพูดตัวละครจะร้องเอง<br />
<br />
ละครดึกดำบรรพ์<br />
เป็นละครรำที่ปรับเปลี่ยน<br />
รูปแบบการแสดงให้คล้ายกับโอเปร่า<br />
(Opera) ผู้แสดงร้องเองรำเอง ไม่มี<br />
การบรรยายกิริยาของตัวละคร และ<br />
พยายามแสดงให้สมจริงสมจัง<br />
มากที่สุด ออกแสดงครั้งแรก พ.ศ.<br />
๒๔๔๒ ที่โรงละครดึกดำบรรพ์ของ<br />
เจ้าพระยาเทเวศรวงษ์วิวัฒน์ จึงได้<br />
เรียกชื่อการแสดงแบบใหม่นี้ตามชื่อ<br />
โรงละครว่า ละครดึกดำบรรพ์ มีการ<br />
ตกแต่งฉากและสถานที่ ใช้แสง สี<br />
เสียงประกอบฉาก นับเป็นต้นแบบ<br />
ในการจัดฉากประกอบการแสดงของ<br />
โขนละครต่อมา การแสดงมักแสดง<br />
เป็นตอนเพื่อให้ผู้ชมอยากจะติดตาม<br />
ชมตอนต่อๆ ไปด้วย<br />
<br />
ละครเสภา<br />
สมัยรัชกาลที่ ๔ ได้มีผู้คิดเอา<br />
ตัวละครเข้ามารำประกอบคำขับเสภา<br />
และมีปี่พาทย์รับ เรียกว่า เสภารำ<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กวี<br />
ช่วยกันแต่งเสภาเรื่อง นิทราชาคริต<br />
เพื่อใช้ขับเสภาในเวลาทรงเครื่องใหญ่<br />
สมัยรัชกาลที่ ๖ สมเด็จพระเจ้า<br />
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ<br />
กับพระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่น<br />
กวีพจน์สุปรีชา ช่วยกันชำระเสภา<br />
ขุนช้างขุนแผน แก้ไขกลอนให้เชื่อม<br />
ติดต่อกันและพิมพ์เป็นฉบับหอสมุด<br />
แห่งชาติขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๐<br />
ซึ่งเป็นแบบแผนของการแสดงขับเสภา<br />
และต่อมากลายเป็น ละครเสภา<br />
<br />
108
๘<br />
ละครพูด<br />
มีรากฐานมาจากแนวจำอวด<br />
และละครตลก ครั้งรัชกาลที่ ๕ <br />
ทรงจัดแสดงขึ้นในหมู่พระเจ้าน้องยาเธอ<br />
เรื่องที่เล่นมักนำมาจากนิทานอาหรับ<br />
ราตรีในภาษาอังกฤษ สมัยรัชกาลที่ ๖<br />
ทรงแต่งบทให้พวกมหาดเล็กแสดง<br />
ตามแบบละครตะวันตกที่ทรงคุ้นเคย<br />
เมื่อครั้งทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ<br />
<br />
ละครพูดสลับลำ<br />
เกิดขึ้นพร้อมๆ กับละครพูด<br />
คือนำละครพูดมาบรรจุเพลงร้อง<br />
ในตอนเด่นๆ เป็นบทกลอนที่ไพเราะ<br />
ได้อารมณ์ เรื่องที่เล่น เช่น นิทราชาคริต<br />
บทพระราชนิพนธ์ของรัชกาลที่ ๕<br />
วิวาหพระสมุท บทพระราชนิพนธ์ของ<br />
รัชกาลที่ ๖ เป็นต้น<br />
<br />
ละครร้อง<br />
เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ ๕ เสด็จ<br />
ประพาสเมืองไทรบุรี ชาวมลายูได้แสดง<br />
ละครถวาย เรียกว่า บังสาวัน (Malay<br />
Opera) ต่อมาละครบังสาวันได้เข้ามา<br />
แสดงในกรุงเทพฯ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ<br />
กรมพระนราธิปประพันธ์พงศ์ ทรงแก้ไข<br />
ปรับปรุงเป็นละครร้องเล่นที่โรงละคร<br />
ปรีดาลัย ใช้ผู้ชายและผู้หญิงแสดงจริง<br />
ตามเนื้อเรื่อง หากเป็นละครร้องล้วนๆ<br />
ตัวละครจะแสดงท่าประกอบตาม<br />
ธรรมชาติมากที่สุด แต่หากเป็นละคร<br />
ร้องสลับพูด ก็อาจมีการรำผสมบ้าง<br />
แต่ไม่จีบมือเต็มที่เหมือนรำไทย<br />
ออกท่าทางเป็นสากล กำมือ แบมือ<br />
ตามเนื้อเรื่องสมัยใหม่ แต่งตัวตาม<br />
สมัยนิยมในท้องเรื่อง<br />
109
๙<br />
หุ่น<br />
<br />
หุ่นเป็นมหรสพเก่าแก่ของไทยใช้เล่นทั้งในงานหลวงและงานราษฎร์<br />
ควบคู่กับมหรสพอื่นๆ เช่น โขน หนัง ละคร ระเบง ระบำ และมีการกล่าวถึงใน<br />
กฎมณเฑียรบาลสมัยกรุงศรีอยุธยาว่ามีการเล่นหุ่นด้วย เช่น อิเหนา <br />
ขุนช้างขุนแผน ฯลฯ<br />
หุ่นเป็นศิลปะการแสดงที่ผสานศิลปะหลายแขนงไว้ด้วยกัน อันได้แก่<br />
หัตถศิลป์ หรือการสร้างองค์ประกอบของหุ่น ประณีตศิลป์ ในการสร้างเครื่อง<br />
แต่งกาย นาฏศิลป์ หรือการใช้ลีลา ท่าเชิด คีตศิลป์ หรือดนตรี มัณฑนศิลป์<br />
หรือการจัดฉาก รวมทั้งวรรณกรรมเรื่องเอก ได้แก่ รามเกียรติ์ พระอภัยมณี<br />
และราชาธิราช เป็นต้น<br />
110
หุ่นไทย<br />
ปรากฏหลักฐานว่า มีมาตั้งแต่สมัยกรุงสุโขทัย<br />
แต่ไม่เรียกว่า หุ่น เรียกว่า “กทำยนตร” คำว่า “หุ่น”<br />
มาปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยา โดยหลักฐานทาง<br />
ประวัติศาสตร์เก่าแก่ที่สุดที่กล่าวถึงการเล่นหุ่น บันทึก<br />
ไว้ในจดหมายเหตุของบาทหลวงตาชาร์ด และ<br />
จดหมายเหตุของลาลูแบร์ ราชทูตของพระเจ้าหลุยส์<br />
ที่ ๑๔ แห่งประเทศฝรั่งเศส ซึ่งเดินทางเข้ามา<br />
กรุงศรีอยุธยา เมื่อรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช<br />
ช่างที่ทำหุ่น เรียกว่า ช่างหุ่น เป็นช่างหนึ่งในช่าง<br />
สิบหมู่ การเชิดหุ่นเริ่มแพร่หลายในสมัยกรุงธนบุรีและ<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ นิยมสร้างโดยจำลองตัวละคร<br />
ในวรรณคดีหรือตัวโขนในเรื่องรามเกียรติ์ โดยเลียนแบบ<br />
ตั้งแต่เครื่องแต่งกาย เครื่องประดับ ตลอดจน<br />
ลีลาท่ารำ<br />
<br />
การแสดงหุ่นกระบอกสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม<br />
การแสดงหุ่นละครเล็ก เรื่องรามเกียรติ์<br />
ของคณะสาครนาฏศิลป์<br />
หุ่นเล็ก ซึ่งกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ ในสมัยรัชกาลที่ ๕<br />
โปรดให้สร้างขึ้นใหม่ ให้มีลักษณะคล้ายหุ่นหลวงอย่างโบราณ<br />
แต่มีขนาดเล็กลง<br />
111 ๕๙
หน้าหุ่นหลวง <br />
พระยารักน้อย <br />
และพระยารักใหญ่ <br />
ฝีพระหัตถ์รัชกาลที่ ๒<br />
112<br />
หุ่นหลวง<br />
ที่เรียกว่า “หุ่นหลวง” เพราะเป็นของเจ้านายหรือเล่นในวังหลวง <br />
ใช้หุ่นแสดงละครแทนคนจริงๆ ตามขนบของละครในแท้ๆ โดยสร้างหุ่นเป็น<br />
รูปคนเต็มตัว มีขนาดใหญ่สูงประมาณ ๑ เมตร หน้าตา แขนขา และลำตัว<br />
เลียนแบบคน การแต่งตัวเหมือนละครทุกส่วน แม้แต่หน้าโขนที่หัวก็สามารถ<br />
ถอดหรือสวมได้เหมือนของจริง ภายในตัวหุ่นทำสายโยงติดกับอวัยวะของ<br />
ตัวหุ่น และปล่อยเชือกลงมารวมกันที่แกนไม้ส่วนล่าง สำหรับคนเชิดจับ <br />
เพื่อใช้ดึงบังคับให้เคลื่อนแขนขา มือยกจีบรำตามต้องการ พยายามทำให้รำ<br />
ได้แนบเนียนเหมือนคนรำให้มากที่สุด กลไกของหุ่นชนิดนี้จึงซับซ้อน<br />
ยุ่งยาก และต้องอาศัยความชำนาญในการเชิดและชักเป็นอย่างมาก <br />
หุ่นรุ่นเก่าที่สุดมีปรากฏหลักฐานว่า อยู่ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย นอกจากนั้นยังเล่ากันสืบต่อมาว่า ทรงฝาก<br />
ฝีพระหัตถ์การทำหน้าหุ่นหลวงไว้ด้วยพระองค์เองคู่หนึ่ง เรียกกันว่า <br />
พระยารักน้อย พระยารักใหญ่<br />
เรื่องที่แสดงก็เป็นเรื่องที่ใช้เล่นละครใน คือเรื่องรามเกียรติ์ อุณรุท และ<br />
อิเหนา การรำเพลงหน้าพาทย์ต่างๆ เรื่องจะดำเนินไปตามแบบของละครใน <br />
มีการขับร้องและการบรรเลงดนตรีประกอบ
๙<br />
113
114<br />
ด้านหลังฉาก มีหุ่นจำลอง<br />
แสดงวิธีการเชิดหุ่นกระบอก<br />
ซึ่งเป็นตัวละครจากวรรณคดี<br />
เรื่องพระอภัยมณี<br />
ฝีมือการประพันธ์ของ<br />
พระสุนทรโวหาร (ภู่)<br />
หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า สุนทรภู่
จัดฉายวีดิทัศน์ตัวอย่าง<br />
การแสดงหุ่นกระบอก <br />
เรื่อง พระอภัยมณี<br />
โดยสำนักการสังคีต <br />
กรมศิลปากร<br />
๙<br />
การเล่นหุ่นกระบอก<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระราชวังบวร<br />
วิไชยชาญ กรมพระราชวังบวรสถานมงคล สร้างหุ่น<br />
ขึ้นใหม่ เพื่อใช้แสดงคล้ายหุ่นหลวงหรือหุ่นใหญ่อย่าง<br />
โบราณ แต่ทำตัวหุ่นให้มีขนาดเล็กลง แต่ปรากฏว่าหุ่น<br />
เต็มตัวที่สร้างขึ้นใหม่ของกรมพระราชวังบวรวิไชยชาญ<br />
ก็ยังคงเชิดยาก ทำบทละครนอกซึ่งส่วนใหญ่เป็นบทตลก<br />
ขบขันได้ไม่ทันใจ ม.ร.ว.เถาะ พยัคฆเสนา จึงคิดสร้างหุ่น<br />
ชนิดใหม่ขึ้น คือใช้กระบอกไม้ไผ่ทำตัวหุ่นและทำเสื้อคลุม<br />
ส่วนล่างไว้ เผยให้เห็นอวัยวะที่ทำเหมือนคนจริงเพียงหัว<br />
และมือ จึงมีลักษณะเป็นหุ่นครึ่งตัว เพื่อปรับการเชิด<br />
ให้คล่องขึ้น คนเชิดเพียงจับกระบอกแกนลำตัวของหุ่นมือ<br />
หนึ่ง และจับไม้ตะเกียบที่ต่อกับมือของหุ่นอีกมือหนึ่ง<br />
เพื่อบังคับหุ่นเท่านั้น เรียกหุ่นนี้ว่า “หุ่นกระบอก” นิยม<br />
แสดงเรื่อง พระอภัยมณี เนื่องจากเนื้อเรื่องมีหลายรส <br />
ทั้งรัก โศก ตลก ตื่นเต้น สำนวนกลอนไพเราะ และดำเนิน<br />
เรื่องรวบรัด<br />
นอกจากหุ่นกระบอกจากเรื่อง<br />
พระอภัยมณีแล้ว ยังมีหุ่นแกละ<br />
และหุ่นโก๊ะ สำหรับให้ผู้เข้าชม<br />
ทดลองเชิดเล่น ซึ่งขณะเชิด<br />
จะปรากฏภาพบนจอ<br />
อีกด้านหนึ่งด้วย<br />
115
116<br />
หุ่นละครเล็ก<br />
เสน่ห์ของหุ่นละครเล็กคือลีลาที่ดูมีชีวิตเหมือน<br />
คนจริง ทั้งลีลา ท่ารำ และอารมณ์ต่างๆ ที่แสดงออก<br />
หลากหลายและดูสมจริง แม้จะเป็นท่าที่ละเอียดอ่อน<br />
เพราะโครงสร้างของหุ่นออกแบบให้มีข้อต่อของอวัยวะ<br />
ใกล้เคียงกับคน ทั้งคอ แขน ขา และมีกลไกในการจีบมือ<br />
เพื่อการรำที่อ่อนช้อยแบบนาฏศิลป์ไทยและอากัปกิริยา<br />
ที่เหมือนคนรำ<br />
ผู้เชิดสามคนคือชีวิตของหุ่น แม้จะทำหน้าที่แยกกัน<br />
คนหนึ่งบังคับส่วนขา คนหนึ่งบังคับศีรษะ และอีกคนหนึ่ง<br />
บังคับมือและแขนของหุ่น แต่ก็ต้องผสานกลมเกลียวกัน<br />
ราวกับเป็นคนๆ เดียวกัน<br />
ทั้งสามคนจะต้องเต้นเป็นกระบวนอย่างพร้อมเพรียง<br />
ต้องกระทบเท้าตามลีลาของหุ่น โยกย้ายไปในทิศทาง<br />
ที่สัมพันธ์กันและพอดีกับจังหวะ เข้ากับดนตรีและ<br />
การพากย์ ลีลาสวยงามทั้งหุ่นและคนเชิด กลมกลืนเป็น<br />
หนึ่งเดียว อันเกิดจากการฝึกซ้อมร่วมกันจนชำนาญ<br />
ความโดดเด่นของการแสดงหุ่นละครเล็กอีกอย่างหนึ่ง<br />
คือ สามารถสร้างการมีส่วนร่วมกับผู้ชมได้ จึงทำให้<br />
หุ่นละครเล็กเป็นที่ชื่นชอบของทุกคน
๙<br />
วีดิทัศน์ฉายประวัติ<br />
ความเป็นมา และวิธีการเชิด<br />
หุ่นละครเล็ก<br />
สมัยรัชกาลที่ ๕ นายแกร<br />
ศัพทวนิช เจ้าของคณะละครที่มีชื่อ<br />
ได้ประดิษฐ์หุ่นขึ้นโดยพยายาม<br />
ทำให้เหมือนหุ่นหลวงมากที่สุด <br />
แต่ดัดแปลงให้มีสายชักน้อยลงและ<br />
นำออกแสดงให้เจ้านายในวังวรดิศ<br />
ทอดพระเนตรเป็นครั้งแรก โดยแสดง<br />
เรื่องพระอภัยมณี เป็นที่ชื่นชอบของ<br />
ผู้ชมมาก บรรดาเจ้านายที่ทอด<br />
พระเนตรต่างเรียกการแสดงนี้ว่า<br />
“ละครเล็ก” ส่วนชาวบ้านพากัน<br />
เรียกว่า “หุ่นครูแกร” ต่อมานายแกร<br />
ก็รับแสดงในงานทั่วไปและตั้งชื่อ<br />
คณะว่า “ละครเล็กครูแกร” จากนั้น<br />
นายแกรยังคงแสดงละครเล็ก<br />
ที่วังวรดิศอีกหลายครั้ง และออกรับ<br />
งานแสดงหารายได้เลี้ยงชีพจนวาระ<br />
สุดท้าย<br />
<br />
117
118<br />
๑๐<br />
วิวัฒนาการมหรสพในยุครัตนโกสินทร์<br />
<br />
รัชกาลที่ ๑ ช่วงฟื้นฟู ปรับรากฐาน สร้างสรรค์ ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ฟื้นฟูพระราชพิธี พิธีกรรม และมหรสพอย่างครบถ้วนและ<br />
ยิ่งใหญ่<br />
รัชกาลที่ ๒ ยุคทองแห่งการละคร การจัดการเรียนการสอนนาฏศิลป์<br />
แห่งแรก เกิดที่ “โรงละครต้นสน” บริเวณศาลาโถงข้างประตูพรหมศรีสวัสดิ์<br />
ในพระบรมมหาราชวัง<br />
รัชกาลที่ ๓ ช่วงต่อยอดนอกพระราชวัง มหรสพฉลองวัด เกิดวัดใหม่ขึ้น<br />
ประมาณ ๗๐ วัด จึงมีงานฉลองวัดใหม่และงานเทศกาลต่างๆ เพิ่มขึ้นจาก<br />
กาลก่อนหลายเท่าตัว<br />
รัชกาลที่ ๔ มหรสพแพร่หลาย ร่ำรวยรุ่งเรือง กำเนิด “ละครพันทาง”<br />
ที่เก็บเงินค่าดู เกิดภาษีโขนละคร<br />
รัชกาลที่ ๕ สังคมเปลี่ยนแปลง มหรสพก็เปลี่ยนตามอิทธิพลของ<br />
ตะวันตก เนื้อหาและรูปแบบการแสดงมีความเป็นตะวันตกนิยมมากขึ้น<br />
รัชกาลที่ ๖ ยุคทองแห่งการละคร สมัยที่ ๒ เกิดกรมมหรสพ ทรงตั้ง<br />
กรมมหรสพขึ้นใหม่ มีเจ้ากรมแต่ทรงว่าราชการอย่างใกล้ชิด พระราชทาน<br />
บรรดาศักดิ์แก่เหล่าศิลปิน<br />
รัชกาลที่ ๗-รัชกาลปัจจุบัน สร้างรูปแบบใหม่ สานรูปแบบเดิม “ละคร<br />
เพลง” หรือ “ละครจันทโรภาส” มีการออกอากาศทางวิทยุที่เพิ่งเริ่มในยุคนี้ <br />
ซึ่งทำให้คนสนใจไปดูละครมากขึ้น
โอกาสในการเล่นมหรสพ<br />
<br />
การเล่นมหรสพจัดขึ้นเพื่อให้เกิดความเริงรื่นครื้นเครง เกิดความรู้สึกร่วมเป็นอันหนึ่งอันเดียว<br />
ในความสำเร็จเมื่อมีการเฉลิมฉลองสิ่งที่เป็นมงคล และอีกอย่างหนึ่งก็เพื่อปลอบขวัญปลุกกำลังใจ<br />
ลดความเศร้าโศกจากงานอวมงคลในการสูญเสียบุคคลชั้นสูง สำหรับราษฎรเองก็จัดมหรสพสมโภช<br />
ในงานต่างๆ วิวัฒนาการมหรสพในยุครัตนโกสินทร์<br />
ด้วยเช่นกัน ซึ่งถือเป็นงานรื่นเริงของคนในสังคม<br />
มหรสพในงานหลวง เช่น งานสมโภชต่างๆ สมโภชพระแก้วมรกต สมโภชพระนคร สมโภช<br />
พระอารามหลวง สมโภชการสังคายนาพระไตรปิฎก สมโภชการเสร็จศึกสงคราม สมโภชช้างสำคัญ<br />
สมโภชพระบรมอัฐิ ฉลองสิ่งปลูกสร้างต่างๆ เช่น วัง ถนน คลอง สะพาน ฯลฯ<br />
งานพระราชพิธีและงานส่วนพระมหากษัตริย์ในโอกาสต่างๆ เช่น การโสกันต์ การผนวช <br />
พระราชพิธีแห่สนานใหญ่และแห่พระกฐิน พระราชพิธีสังเวยพระสยามเทวาธิราช พระราชพิธีลงสรง<br />
งานราตรีสโมสร ทำขวัญและบวงสรวงพระบรมมหาราชวัง งานเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๐ พรรษา <br />
งานพระราชทานเลี้ยงและงานรื่นเริง งานรับรองแขกเมือง งานพระบรมศพ งานพระศพ งานพระเมรุ<br />
งานเรี่ยไรมอบให้การกุศล งานฉลองวันประสูติเจ้านายต่างๆ งานรัชตวิวาหสมโภช <br />
สมโภชมหรสพในงานราษฎร์ เช่น งานโกนจุก งานแข่งเรือ งานสงกรานต์ งานบวช เป็นต้น<br />
119
๔<br />
ลือระบิล<br />
พระราชพิธี
พระราชพิธีนับเป็นวัฒนธรรมที่งดงามและล้ำค่า ซึ่งได้รับการสืบทอดมา<br />
อย่างยาวนาน แสดงถึงความเป็นบ้านเมืองที่มีอารยะ เป็นเกียรติยศปรากฏ<br />
สู่สายตานานาประเทศ<br />
การพระราชพิธีไม่ได้เป็นเพียงกิจกรรมที่เกี่ยวเนื่องกับพระมหากษัตริย์และ<br />
พระราชวงศ์เท่านั้น หากแต่ยังเป็นการแสดงถึงความห่วงใยของพระมหากษัตริย์<br />
ที่มีต่อราษฎรและความผูกพันระหว่างพระมหากษัตริย์กับพสกนิกรอย่างลึกซึ้ง <br />
ยากจะหาที่ใดในโลกเสมอเหมือน
122<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสถาปนา<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ โดยได้สืบทอดแบบแผนธรรมเนียมอันดีมาจากกรุงศรีอยุธยา<br />
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />
และสมโภชพระนครอย่างครบถ้วนถูกต้องตามตำรา เพื่อความเป็นสิริมงคล<br />
ของราชธานีและเป็นการสร้างขวัญกำลังใจให้แก่พสกนิกรโดยทั่วกัน<br />
พระมหากษัตริย์รัชกาลต่อๆ มา ได้สืบทอดพระราชปณิธานของสมเด็จ<br />
พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์โดยทรงฟื้นฟูพระราชพิธีสำคัญ เช่น
พระราชพิธีที่เนื่องในพระมหากษัตริย์ เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก <br />
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส พระราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติ <br />
พระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องในบ้านเมือง เช่น พระราชพิธีพืชมงคล<br />
จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช <br />
พระราชพิธีเหล่านี้ล้วนเป็นส่วนหนึ่งในการธำรงรักษาเอกลักษณ์วัฒนธรรม<br />
อันดีงามของไทยให้ปรากฏสู่สายตาชาวโลกและสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ยังความภูมิใจ<br />
มาสู่ปวงชนชาวไทยสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน<br />
123
แ ผ น ผั ง ห้องลือระบิลพระราชพิธี<br />
๔<br />
๖<br />
พระสยามเทวาธิราช<br />
พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล<br />
ถวายผ้าพระกฐิน โดยขบวนพยุหยาตรา<br />
ทางชลมารค<br />
ทางออก<br />
๘<br />
๗<br />
๖<br />
๕<br />
๘<br />
๗<br />
124<br />
เสาหลักเมือง<br />
ช้างต้นและพระราชพิธีที่เกี่ยวข้อง
๓<br />
พระราชพิธี ๑๒ เดือน<br />
๔<br />
๓<br />
๑<br />
๒<br />
๒<br />
พระราชพิธีที่เกี่ยวเนื่องกับ<br />
พระมหากษัตริย์<br />
ทางเข้า<br />
๑<br />
๕<br />
พระมหากษัตริย์กับพระราชพิธี<br />
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ<br />
125
จอภาพจัดแสดงวีดิทัศน์<br />
เรื่องราวของพระมหากษัตริย์<br />
กับพระราชพิธี เมื่อจบการนำเสนอ <br />
จอภาพจะเลื่อนขึ้น<br />
เพื่อเปิดไปสู่จุดจัดแสดงต่อไป พระราชพิธี<br />
<br />
ชาวไทยผูกพันกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาช้านาน กล่าวได้ว่าพระมหากษัตริย์เป็น<br />
ศูนย์รวมจิตใจของพสกนิกรและมีบทบาทสำคัญที่ทำให้สังคมไทยร่มเย็นเป็นสุขเสมอมา <br />
๑<br />
คติความเชื่อที่ยึดถือกันมาแต่โบราณกาลที่ว่า พระมหากษัตริย์เป็นสมมติเทวราช <br />
เป็นที่มาของพระราชพิธีทั้งปวงที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระมหากษัตริยาธิราชเจ้า<br />
แม้ว่าจะทรงดำรงสถานะเทวราชา แต่พระมหากษัตริย์ไทยทรงตั้งมั่นอยู่ในราชธรรมทาง<br />
พุทธศาสนาอย่างมั่นคง มีพระราชจริยวัตรในการทำนุบำรุงและปฏิบัติบำเพ็ญพระองค์ตาม<br />
หลักธรรมคำสอนทางศาสนา หลายครั้งที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการ<br />
พระราชพิธี ด้วยพระราชประสงค์เพื่อการสร้างขวัญและกำลังใจแก่ราษฎร โดยเฉพาะเกษตรกร <br />
ซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ และเพื่อบังเกิดสิริสวัสดิ์พิพัฒนมงคลแก่แผ่นดิน<br />
การพระราชพิธีทั้งปวงล้วนกำหนดไว้ตามจารีตแห่งราชประเพณีอย่างมีระเบียบ มีความวิจิตร<br />
อลังการ แฝงไว้ทั้งความยิ่งใหญ่และความศักดิ์สิทธิ์ บ่งบอกถึงความเจริญทางวัฒนธรรมที่ดีงาม<br />
มานานนับศตวรรษ อันเป็นศรีสง่าแก่พระราชอาณาจักร<br />
ตราบถึงทุกวันนี้ พระราชพิธีที่ยึดถือสืบเนื่องกันมายาวนานยังคงมีความหมายสำคัญ และเป็น<br />
ประจักษ์พยาน แสดงความผูกพันระหว่างสถาบันพระมหากษัตริย์กับสังคมไทยอย่างแนบแน่น<br />
ไม่เสื่อมคลาย<br />
126
หนังสือพระราชพิธีสิบสองเดือน <br />
พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ความหมายและความสำคัญของ<br />
พระราชพิธี พระบรมราชาธิบายของ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
<br />
พระราชนิพนธ์คำนำ พระราชพิธีสิบสองเดือน<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระบรม<br />
ราชาธิบายว่า พระราชพิธีสำหรับพระนครนั้น มีที่มาจากพิธี<br />
ในศาสนาพราหมณ์และพระพุทธศาสนา ด้วยแต่เดิม<br />
พระมหากษัตริย์และราษฎรนับถือศาสนาพราหมณ์ การพิธี<br />
ที่เป็นสิริมงคลจึงดำเนินตามพิธีอย่างพราหมณ์สืบมา <br />
ภายหลังพระมหากษัตริย์และราษฎรนับถือพระพุทธศาสนา<br />
การพระราชพิธีจึงคละปะปนกัน ทั้งพุทธและพราหมณ์<br />
ซึ่งเดิมพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาที่ไม่มีพิธีกรรมใดๆ <br />
ตามคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า “...ฤกษ์ดี <br />
ยามดี ครู่ดี ขณะดี การบูชาเซ่นสรวงดี...ก็อาศัยที่<br />
ชนทั้งปวงประพฤติการสุจริตทุจริตเป็นที่ตั้ง...” <br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระบรม<br />
ราชาธิบายอีกว่า ความกลัวต่อภยันตราย ความปรารถนา<br />
ต่อความเจริญรุ่งเรือง ทำให้เกิดการเซ่นสรวงบูชา ซึ่งถึงแม้<br />
คนไทยจะนับถือพระพุทธศาสนาก็ไม่อาจละทิ้งการบูชา<br />
เซ่นสรวงเพื่อความสบายใจได้ <br />
อย่างไรก็ตาม พระราชพิธีของไทยนั้นได้รับการ<br />
เลือกสรรแต่ที่สุจริต มาเป็นธรรมเนียมปฏิบัติของ<br />
บ้านเมือง ส่วนการพระราชพิธีใดที่มีแต่พิธีพราหมณ์ ก็มี<br />
การเพิ่มเติมการพิธีที่เป็นพระราชกุศล ประกอบด้วย <br />
ทาน ศีล และภาวนาเข้าไป เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่<br />
พระราชพิธี<br />
ในตอนท้าย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงเน้นย้ำว่า ที่อธิบายมาทั้งหมดก็เพื่อให้<br />
คนทั่วไปเข้าใจแน่ชัดว่า การพระราชพิธีมีขึ้นเพื่อความเป็น<br />
สิริมงคลแก่บ้านเมืองและสร้างขวัญกำลังใจให้แก่<br />
เหล่าพสกนิกรเป็นสำคัญ<br />
127
128<br />
๒<br />
พระราชพิธี<br />
เนื่องใน<br />
พระมหากษัตริย์<br />
สถาบันพระมหากษัตริย์ คือ<br />
ศูนย์รวมจิตใจของชาติไทย ชาวไทย<br />
เคารพและเทิดทูนพระมหากษัตริย์<br />
เสมอด้วยสมมติเทวราชตามคติ<br />
พราหมณ์ ควบคู่กับคติทางพระพุทธ<br />
ศาสนาว่า พระองค์คือพระโพธิสัตว์<br />
เป็นความเชื่อที่ยึดถืออย่างมั่นคง<br />
มาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็น<br />
ราชธานี ดังจะเห็นได้จากการขาน<br />
พระนาม การใช้คำราชาศัพท์ และ<br />
การประกอบพระราชพิธี เป็นต้น<br />
<br />
<br />
จอแสดงเรื่องราว<br />
ของพระราชพิธีต่างๆ<br />
พร้อมคำบรรยาย<br />
ภาษาอังกฤษ<br />
ที่วางแขน<br />
ของเก้าอี้นวม<br />
มีปุ่มให้กดเลือกชม<br />
พระราชพิธีต่างๆ<br />
ตามอัธยาศัย <br />
พร้อมปุ่มปรับระดับ<br />
ความดังของเสียง<br />
ของลำโพงซึ่งซ่อนอยู่<br />
ในระดับเดียวกับศีรษะ
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกและ<br />
เฉลิมพระราชมณเฑียร <br />
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />
ในรัชกาลปัจจุบัน กำหนดขึ้นเมื่อ<br />
วันศุกร์ที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓<br />
หลังจากทรงดำรงสิริราชสมบัติแล้ว<br />
๔ ปี เพื่อความเป็นพระมหากษัตริย์<br />
ตามคติเทวราชาโดยสมบูรณ์<br />
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการ<br />
พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส ณ <br />
พระตำหนักใหญ่ภายในวังสระปทุม<br />
เมื่อวันศุกร์ที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.<br />
๒๔๙๓<br />
พระราชพิธีทรงพระผนวช <br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
เป็นพุทธมามกะและมีพระราชศรัทธา<br />
มั่นคงในพระพุทธศาสนา พระบาท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระผนวช<br />
เมื่อวันจันทร์ที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ.<br />
๒๔๙๙ ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตน<br />
ศาสดาราม ทรงเคร่งครัดในพระธรรม<br />
วินัยตามพุทธบัญญัติ ได้ทรงบำเพ็ญ<br />
พระราชจริยวัตรตามธรรมเนียมปฏิบัติ<br />
ในพระพุทธศาสนาอย่างสมบูรณ์<br />
<br />
พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัด<br />
พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
เป็นประจำทุกปี พระราชพิธีเฉลิม<br />
พระชนมพรรษาเป็นมหามงคลสมัย<br />
ที่พสกนิกรจะได้มีโอกาสร่วมแสดง<br />
ความจงรักภักดีและถวายพระพร<br />
ชัยมงคลแด่พระมหากษัตริย์ ผู้เป็น<br />
มิ่งขวัญของแผ่นดิน<br />
พระราชพิธีเฉลิมสิริราชสมบัติ<br />
เมื่อมหามงคลสมัยที่พระบาท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงดำรงสิริ<br />
ราชสมบัติครบ ๒๕ ปี ๕๐ ปี ๖๐ ปี<br />
ตามหลักสากล นับว่าเป็นโอกาส<br />
พิเศษในการจัดพระราชพิธีเฉลิม<br />
ฉลองสมโภชเพื่อความเป็นสวัสดิ<br />
มงคลแก่แผ่นดินและสิริราชสมบัติ<br />
พระเต้าทักษิโณทก คือ หนึ่งในเครื่องราชูปโภค ที่ใช้สำหรับการบำเพ็ญ<br />
พระราชกุศลในพระราชพิธี ด้วยการหลั่งทักษิโณทก<br />
ประกาศพระองค์เป็นพระบรมโพธิสัตว์ธรรมิกราชผู้สั่งสมบุญบารมี<br />
129
๓<br />
130<br />
พระราชพิธีสิบสองเดือน จัดแสดงด้วยระบบจอสัมผัส<br />
นำเสนอเรื่องราวผ่านภาพจิตรกรรมฝาผนัง<br />
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามประกอบอะนิเมชั่น<br />
พระราชพิธีสิบสองเดือน<br />
พระบรมราชาธิบาย<br />
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระราช<br />
นิพนธ์หนังสือเรื่องพระราชพิธีสิบสองเดือน ทรงอธิบายพระราชพิธี<br />
ในแต่ละเดือนที่สมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชทรงปฏิบัติ<br />
เพื่อความเป็นสิริมงคล เพื่อความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมือง <br />
และเพื่อสร้างขวัญกำลังใจแก่ราษฎร<br />
นอกจากนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เขียนภาพจิตรกรรมฝาผนังเรื่อง<br />
พระราชพิธี ๑๒ เดือน ขึ้นภายในวิหารหลวงวัดราชประดิษฐ<br />
สถิตมหาสีมาราม เป็นงานจิตรกรรมฝาผนังที่มีคุณค่าทางศิลปะ<br />
ประวัติศาสตร์ และโบราณคดี ซึ่งแสดงหลักฐานทางวัฒนธรรม<br />
อันเป็นวิถีชีวิตของชาวไทย ประกอบด้วยพิธีกรรมทางศาสนา<br />
ขนบธรรมเนียมประเพณี ตลอดจนลักษณะของศิลปกรรมในสมัยนั้น
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เพิ่มพิธีสงฆ์ในการ<br />
ประกอบพิธีพราหมณ์ เพื่อความเป็นสิริมงคลของ<br />
พระราชพิธี เช่น ให้จัดพิธีสงฆ์เพิ่มขึ้นในพระราชพิธี<br />
แรกนาขวัญ ยกเป็นพิธีหนึ่งต่างหากเรียกว่า พืชมงคล<br />
แล้วเรียกชื่อรวมว่า พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัล<br />
แรกนาขวัญ <br />
ในพระราชพิธีจองเปรียงหรือการยกโคม<br />
ตามประทีปบูชาเทพเจ้าตรีมูรติ ทรงพระกรุณา<br />
จิตรกรรมฝาผนัง เรื่องพระราชพิธี ๑๒ เดือน โปรดเกล้าฯ ให้มีพระสงฆ์สวดมนต์เช้าเย็นและเจริญ<br />
ภายในพระวิหารวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม พระพุทธมนต์นอกเหนือจากพิธีพราหมณ์<br />
<br />
พระราชพิธีสิบสองเดือน<br />
<br />
พระราชพิธี เดือนอ้าย (ธันวาคม - มกราคม) การพระราช<br />
กุศลเลี้ยงขนมเบื้อง เป็นงานพระราชทานเลี้ยงขนมเบื้องแก่<br />
พระสงฆ์ทรงสมณศักดิ์ ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยฯ <br />
พระราชพิธี เดือนยี่ (มกราคม - กุมภาพันธ์) พระราชพิธี<br />
ตรียัมปวายตรีปวาย เป็นพิธีพราหมณ์ในการรับ-ส่งพระอิศวรและ<br />
พระนารายณ์ที่เสด็จลงมาเยี่ยมโลก แบ่งพิธีเป็น ๒ ส่วน ส่วนแรก<br />
จัดขึ้นภายในเทวสถาน อีกส่วนหนึ่งเป็นกระบวนแห่และพิธีโล้ชิงช้า<br />
ประกอบพิธีที่หน้าวัดสุทัศนเทพวราราม<br />
พระราชพิธี เดือนสาม (กุมภาพันธ์ - มีนาคม) การพระราช<br />
กุศลเลี้ยงพระตรุษจีน เมื่อต้นรัตนโกสินทร์มีการถวายภัตตาหาร<br />
แก่พระสงฆ์ในเทศกาลตรุษจีน ณ พระที่นั่งราชกิจวินิจฉัย<br />
พระราชพิธี เดือนสี่ (มีนาคม - เมษายน) พระราชพิธี<br />
สัมพัจฉรฉินท์หรือพิธีตรุษ เป็นพระราชพิธีเพื่อความเป็นสิริมงคล<br />
แก่พระราชอาณาจักร พระมหากษัตริย์ พระราชวงศ์ และราษฎร<br />
พระราชพิธี เดือนห้า (เมษายน - พฤษภาคม) พระราชพิธี<br />
สงกรานต์ เป็นวันขึ้นปีใหม่ของไทย มีการสวดมนต์ สรงน้ำ<br />
พระสงฆ์ในพระบรมมหาราชวัง ทรงบาตร สรงน้ำพระพุทธรูป<br />
พระบรมอัฐิสมเด็จพระบุรพมหากษัตริยาธิราชและพระราชินี<br />
พระราชพิธี เดือนหก (พฤษภาคม - มิถุนายน) พระราชพิธี<br />
ทรงบำเพ็ญพระราชกุศลวิสาขบูชา วันวิสาขบูชาเป็นวันสำคัญ<br />
ทางพระพุทธศาสนา เพราะเป็นวันคล้ายวันประสูติ ตรัสรู้ และ<br />
ปรินิพพานของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า<br />
<br />
<br />
พระราชพิธี เดือนเจ็ด (มิถุนายน - กรกฎาคม) พระราชพิธี<br />
กุศลสลากภัต เป็นพระราชพิธีเนื่องในพระพุทธศาสนา ถวายภัตตาหาร<br />
แด่พระสงฆ์โดยการจับสลาก<br />
พระราชพิธี เดือนแปด (กรกฎาคม - สิงหาคม) พระราช<br />
กุศลเข้าพรรษา พระราชพิธีเนื่องในพระพุทธศาสนาที่กำหนดเป็น<br />
แบบแผนโบราณราชประเพณีตั้งแต่สมัยสุโขทัยตราบถึงปัจจุบัน<br />
พระราชพิธี เดือนเก้า (สิงหาคม - กันยายน) พระราชพิธี<br />
พิรุณศาสตร์ คือ พระราชพิธีขอฝน ซึ่งเป็นพระราชพิธีสำคัญ<br />
เกี่ยวกับความอุดมสมบูรณ์ของบ้านเมืองและดินฟ้าอากาศ มีทั้ง<br />
พิธีสงฆ์และพิธีพราหมณ์ ในมณฑลพิธีตั้งพระพุทธรูปสำคัญ<br />
ที่บันดาลให้ฝนตก เช่น พระคันธารราษฎร์ เป็นต้น<br />
พระราชพิธี เดือนสิบ (กันยายน - ตุลาคม) พระราชพิธี<br />
สารท มีการกวนข้าวทิพย์หรือข้าวปายาส ข้าวยาคู และขนมกระยาสารท<br />
ถวายพระสงฆ์เพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ข้าวในนาและอุทิศส่วนกุศล<br />
แก่บูรพชน<br />
พระราชพิธี เดือนสิบเอ็ด (ตุลาคม - พฤศจิกายน) <br />
พระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน <br />
พระราชพิธี เดือนสิบสอง (พฤศจิกายน - ธันวาคม) <br />
พระราชพิธีลอยพระประทีป ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นการเสด็จ<br />
พระราชดำเนินประพาสลำน้ำในวันเพ็ญเดือนสิบสอง เรือที่ประทับ<br />
ทอดทุ่นที่หน้าท่าราชวรดิฐเพื่อทรงลอยพระประทีป<br />
131
๔<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว <br />
ทรงปักธูปหางบนเครื่องสังเวยพระสยาม<br />
เทวาธิราช ที่อัญเชิญมาประดิษฐาน ณ <br />
มุขเด็จพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เนื่องใน<br />
พระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช<br />
เมื่อวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๕<br />
พระราชพิธีอันเกี่ยวเนื่องในบ้านเมือง<br />
พระราชพิธีบวงสรวงพระสยามเทวาธิราช<br />
พระสยามเทวาธิราช เทพยดาปกปักรักษาบ้านเมือง คือ เทพยดาศักดิ์สิทธิ์<br />
ที่อภิบาลรักษาประเทศไทย ประดุจพระภูมิคุ้มบ้าน คุ้มเมือง เมื่อมีเหตุการณ์<br />
ไม่ปกติเกิดขึ้น คนไทยจะวิงวอนขอให้พระสยามเทวาธิราชปัดเป่าให้แคล้วคลาด<br />
ภยันตราย พระสยามเทวาธิราชจึงเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำพระบรมราชวงศ์จักรี<br />
ที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างขึ้นเพื่อสักการะ ทรงเซ่นไหว้<br />
เป็นประจำวันและโปรดให้มีพระราชพิธีบวงสรวงประจำปี เพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่<br />
ประเทศชาติในวันขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๕ ซึ่งเป็นวันขึ้นปีใหม่ทางจันทรคติของไทย<br />
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการแสดงมหรสพในวันนั้น<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้อัญเชิญพระสยามเทวาธิราชมาประดิษฐานในพระวิมานไม้จันทน์ลงรักปิดทอง<br />
ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ภายในหมู่พระมหามณเฑียร พระบรมมหาราชวัง <br />
หน้าพระวิมานตั้งโต๊ะเครื่องบูชาแบบจีนและตั้งการพระราชพิธีบวงสรวงใหญ่<br />
แบบพราหมณ์ พร้อมมีการแสดงมหรสพสมโภชหนึ่งครั้งต่อปี เหมือนในรัชสมัย<br />
สมเด็จพระบรมชนกนาถ ซึ่งได้ถือปฏิบัติมาตราบจนทุกวันนี้<br />
<br />
132
พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ภายในหมู่พระมหามณเฑียร <br />
ที่ประดิษฐานองค์พระสยามเทวาธิราช<br />
พระสยามเทวาธิราชประดิษฐานอยู่ในมุขกลาง<br />
ของพระวิมานไม้แกะสลักปิดทอง ตั้งอยู่เหนือ<br />
ลับแลบังพระทวารเทวราชมเหศวร์ ตอนกลาง<br />
พระที่นั่งไพศาลทักษิณ<br />
<br />
ประวัติพระสยามเทวาธิราช<br />
เมื่อต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๔ เป็นเวลาที่<br />
บ้านเมืองต้องเผชิญภัยสงคราม ล่อแหลมต่อการพลาดพลั้งเสียอธิปไตย<br />
หลายครั้ง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ มีพระราช<br />
ปรารภว่า การที่บ้านเมืองแคล้วคลาดเสมอมา ชะรอยคงเป็นเพราะมี<br />
เทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งคอยพิทักษ์รักษาบ้านเมืองไว้ ด้วยเหตุนี้<br />
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างรูปเทพยดาองค์นั้นขึ้นด้วย<br />
ทองคำบริสุทธิ์ สูง ๘ นิ้ว เพื่อสักการบูชา ลักษณะเป็นเทวรูป<br />
ทรงเครื่องต้นอย่างพระมหากษัตริย์ ทรงยืน พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์<br />
พระหัตถ์ซ้ายจีบเสมอพระอุระ ถวายพระนามว่า พระสยามเทวาธิราช<br />
<br />
<br />
133
๕<br />
พระราชพิธีพืชมงคล<br />
จรดพระนังคัลแรกนาขวัญ<br />
134<br />
มงคลแห่งพืชพันธุ์ บำรุงขวัญเกษตรกร<br />
พระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ <br />
มีมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย ด้วยเชื่อกันว่า เมื่อพระมหากษัตริย์<br />
ทรงไถหว่านเป็นปฐมฤกษ์ ย่อมจะเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธุ์<br />
ธัญญาหารในแผ่นดิน และแม้ภายหลังพระมหากษัตริย์<br />
จะมิได้ทรงไถหว่านด้วยพระองค์เอง แต่ความเชื่อและ<br />
ความศรัทธาของปวงชนที่มีต่อพระราชพิธีนี้ก็ยังคงมีอยู่<br />
อย่างมั่นคงเสมอมา<br />
การพระราชพิธีที่ฟื้นฟูใหม่นี้ ปฏิบัติตามแนว<br />
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
วันแรกเป็นพิธีสงฆ์ จัดภายในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
เพื่อเสริมสิริมงคลแก่พันธุ์พืชทั้งหลาย รวมทั้งพระยาแรกนา<br />
<br />
และเทพีหาบคู่ เรียกว่าพระราชพิธีพืชมงคล วันรุ่งขึ้น<br />
ประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเป็นพิธี<br />
พราหมณ์ จึงเรียกทั้งสองพระราชพิธีรวมกันว่า พระราชพิธี<br />
พืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ<br />
พ.ศ. ๒๕๐๓ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว <br />
ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีพืชมงคลจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ<br />
ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่ง ด้วยทรงตระหนักว่าประชากรส่วนใหญ่<br />
ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ผู้ที่ปลูกข้าวเลี้ยงชีวิตชาวไทย<br />
ทั้งแผ่นดิน เปรียบเสมือนเป็นกระดูกสันหลังของชาติ<br />
ในครั้งนี้มีพระราชดำริปรับปรุงการพระราชพิธีให้เหมาะสม<br />
ตามกาลสมัย และเสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นมิ่งขวัญ<br />
ในการพระราชพิธี
พระราชพิธีพืชมงคล<br />
<br />
เป็นพิธีสงฆ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินไปยังพระอุโบสถ<br />
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม ทรงอธิษฐานเพื่อความอุดมสมบูรณ์แห่งพืชผล พระมหาราชครูประกาศ<br />
พระราชพิธี พระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ พระราชทานน้ำสังข์ ทรงเจิมพระยาแรกนาและเทพี <br />
<br />
พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ<br />
<br />
ก่อนประกอบพิธีหว่านไถที่เรียกว่าจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ พระยาแรกนาจะต้องเสี่ยงทาย<br />
เลือกผ้านุ่งสำหรับแต่งในพิธี จากนั้นจึงทำพิธีไถ พระยาแรกนาถือคันไถเทียมโค ตามด้วยเทพีคู่หาบ <br />
ไถเวียนไปโดยรอบ แล้วหว่านพันธุ์ข้าวลงในแปลงพระราชพิธี ซึ่งปัจจุบันเป็นพันธุ์ข้าวทรงปลูกที่ได้<br />
พระราชทานจากแปลงนาสาธิตสวนจิตรลดาถือเป็นพันธุ์ข้าวมงคล เมื่อไถครบตามพิธี พราหมณ์<br />
จะนำของ ๗ สิ่ง ได้แก่ ข้าวเปลือก ข้าวโพด ถั่ว งา เหล้า น้ำ หญ้า มาเสี่ยงให้พระโคกิน ถ้าพระโค<br />
กินสิ่งใด จะมีคำทำนายซึ่งล้วนเป็นสิริมงคล เมื่อเสร็จพระราชพิธี ในรัชกาลปัจจุบันยังมีการ<br />
พระราชทานรางวัลแก่เกษตรกรดีเด่นประจำปีด้วย<br />
135
๕<br />
ด้านหน้าของเสา นำเสนอเรื่องราว<br />
ของพระราชพิธีด้วยการฉายภาพ<br />
เคลื่อนไหวบนเสาอาคารที่ได้รับการ<br />
ตกแต่งด้วยเมล็ดข้าวเปลือกจำนวนมาก<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
พันธุ์ข้าวทรงปลูกพระราชทาน<br />
<br />
พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญเป็นพิธีอันเป็นสิริมงคลแก่พืชพันธุ์<br />
ธัญญาหารเพื่อสนับสนุนส่งเสริมชาวไร่ชาวนาในการประกอบอาชีพ พระบาท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราชหฤทัย เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็น<br />
ประธานอธิษฐานขอความสมบูรณ์ของพืชพันธุ์ธัญญาหารให้มีแก่ราชอาณาจักร<br />
ได้ทรงปลูกพันธุ์ข้าวทดลองในแปลงนาสาธิตสวนจิตรลดา พระราชวังดุสิต <br />
ซึ่งเป็นพระราชฐานที่ประทับ เมื่อเก็บเกี่ยวแล้วพระราชทานให้นำมาเข้าใน<br />
พระราชพิธีประมาณ ๔๐ - ๕๐ กิโลกรัม เมล็ดพันธุ์ข้าวที่พระราชทาน<br />
มาเข้าพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์<br />
ได้แบ่งไปหว่านที่ลานประกอบพระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญส่วนหนึ่ง <br />
อีกส่วนหนึ่งจัดบรรจุซองส่งไปยังจังหวัดต่างๆ ทั่วราชอาณาจักรสำหรับแจกจ่าย<br />
แก่เกษตรกรเพื่อเป็นสิริมงคลตามพระราชประสงค์ที่ทรงส่งเสริมการเกษตร<br />
136
บานประตูและหน้าต่าง<br />
หอพระคันธารราษฎร์<br />
จำหลักลายเทวดาเหาะ<br />
อยู่เหนือกอข้าว นับเป็น<br />
เครื่องหมายที่แสดงถึง<br />
ความเชื่อของชาวไทย<br />
สมัยโบราณว่าฤดูกาลและ<br />
สภาพภูมิอากาศเกิดจาก<br />
การบันดาลของเทวดา<br />
ด้านหลังของเสา นำเสนอ<br />
เรื่องราวของพระราชพิธี<br />
พิรุณศาสตร์ และประวัติ<br />
พระคันธารราษฎร์<br />
พระคันธารราษฎร์ รัชกาลที่ ๑<br />
โปรดให้สร้างขึ้นเพื่อประดิษฐาน<br />
ในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์<br />
พระราชพิธีพิรุณศาสตร์<br />
<br />
พระราชพิธีพิรุณศาสตร์เป็นพิธีขอฝนเพื่อบำรุงขวัญ<br />
เกษตรกร มีมาแต่สมัยโบราณ ไม่ได้จัดเป็นการประจำทุกปี<br />
แต่จะประกอบพระราชพิธีเมื่อฝนแล้ง<br />
รัชกาลปัจจุบัน มีการจัดพระราชพิธีขึ้นครั้งหนึ่ง<br />
เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๓ โดยอนุโลมตามพระราชพิธีของหลวง<br />
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถทรงประกอบ<br />
พระราชพิธี ณ วัดศีลขันธาราม จังหวัดอ่างทอง มีพิธีสงฆ์<br />
และพิธีพราหมณ์ที่สระน้ำหน้าอุโบสถ ตั้งบุษบกปิดทอง<br />
ประดิษฐานเจว็ดรูปพระอินทร์ ๔ มุม ตั้งราชวัตร ฉัตร ธง<br />
ต้นกล้วย ต้นอ้อย ริมสระตั้งโต๊ะประดิษฐานรูปท้าว<br />
จตุโลกบาล ๔ ทิศ ในสระมีสัตว์น้ำ ได้แก่ กุ้ง ปู ปลาหมอ<br />
ปลาช่อน ปลาดุก ปลาตะเพียน กบ เต่า ตะพาบ สำหรับ<br />
นำไปปล่อยในแม่น้ำ <br />
พระคันธารราษฎร์ ประดิษฐาน ณ หอพระคันธารราษฎร์<br />
มุมระเบียงด้านหน้าพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม <br />
ในพระบรมมหาราชวัง<br />
<br />
<br />
พระคันธารราษฎร์<br />
<br />
พระคันธารราษฎร์ หรือ “พระขอฝน” เป็น<br />
พระประธานในพระราชพิธีพิรุณศาสตร์และ<br />
พระราชพิธีพืชมงคล ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาล<br />
ปัจจุบัน มีพุทธลักษณะนั่งขัดสมาธิราบ พระหัตถ์ขวา<br />
ท่ากวัก ยกเสมอพระอุระ พระหัตถ์ซ้ายวางหงายบน<br />
พระเพลาเป็นกิริยารับน้ำ พระพักตร์ค่อนข้างกลม<br />
พระขนงโก่ง พระเนตรเหลือบต่ำ ลงยาสีเหมือนจริง<br />
พระนาสิกโด่ง พระโอษฐ์บางเรียว พระกรรณยาว<br />
เกือบจดพระอังสา พระรัศมีดอกบัวตูม ฐานบัวคว่ำ<br />
บัวหงายรับด้วยฐานสิงห์<br />
137
ขบวนเรือพระราชพิธี จัดแสดงด้วยเทคนิค <br />
โฮโลแกรม (Hologram) หรือภาพสามมิติ<br />
ในรูปแบบเมจิกวิชั่น (Magic Vision) <br />
เพื่อจำลองภาพให้ผู้เข้าชมเห็นเรือพระที่นั่ง<br />
ลอยในน้ำอย่างสวยงาม<br />
๖<br />
พระราชพิธีเสด็จพระราชดำเนิน<br />
โดยขบวนพยุหยาตราทางชลมารค<br />
วิถีพุทธผสานพิธีพราหมณ์ งดงาม ยิ่งใหญ่<br />
การเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนพยุหยาตรา<br />
ทางชลมารคในการพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศล<br />
ถวายผ้าพระกฐิน เนื่องมาจากเมื่อเวลาบ้านเมืองว่างศึก<br />
สงคราม อันเป็นช่วงเวลาที่ราษฎรหยุดพักรอการเกี่ยวข้าว<br />
ตรงกับเทศกาลกฐินตามประเพณีในพระพุทธศาสนา ซึ่ง<br />
เป็นราชประเพณีที่พระมหากษัตริย์จะเสด็จพระราชดำเนิน<br />
ไปทรงบำเพ็ญพระราชกุศลเป็นประจำ ราชการจะเกณฑ์<br />
ผู้คนมาฝึกฝีพายเพื่อให้พร้อมรบในฤดูน้ำหลาก จึงกลาย<br />
เป็นพระราชประเพณีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลโดย<br />
ขบวนพยุหยาตราทางชลมารคสืบเนื่องต่อมา แม้จะหมดสมัย<br />
ที่จะใช้เรือในราชการแล้วก็ตาม <br />
ในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ พระบรมวงศานุวงศ์<br />
ข้าราชบริพาร และประชาชน จะนำเรือตกแต่งอย่าง<br />
สวยงามเข้าร่วมในขบวนด้วย ขบวนเรือที่มีระเบียบ<br />
สวยงาม แสดงความพร้อมเพรียงของกองทัพ ความวิจิตร<br />
ของเรือพระราชพิธี ในการเสด็จพระราชดำเนินโดยขบวน<br />
พยุหยาตรา สะท้อนความมีวัฒนธรรมและการยึดมั่นใน<br />
พระพุทธศาสนาอย่างมั่นคง เป็นพระราชพิธีที่ยิ่งใหญ่<br />
ซึ่งมีเพียงแห่งเดียวในโลก<br />
138
การเสด็จพระราชดำเนินโดย<br />
ขบวนพยุหยาตราทางชลมารค<br />
มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา <br />
ดังปรากฏภาพเขียน ฝีมือ<br />
ชาวตะวันตก และบันทึก<br />
ที่บรรยายถึงความงดงาม<br />
และยิ่งใหญ่ของขบวน<br />
พยุหยาตราทางชลมารค<br />
ยากจะหาที่ใดเสมอเหมือน<br />
เรือพระที่นั่งอเนกชาติภุชงค์<br />
เรือพระที่นั่งสุพรรณหงส์<br />
เรือครุฑเหิรเห็จ<br />
เรือพระที่นั่งนารายณ์<br />
ทรงสุบรรณ รัชกาลที่ ๙<br />
139
140<br />
ตำราคชลักษณ์จัดแสดงด้วยระบบ<br />
จอสัมผัสประกอบอะนิเมชั่น <br />
แสดงลักษณะอันเป็นมงคล<br />
และเป็นโทษของช้างตระกูลต่างๆ
๗<br />
พระราชพิธีรับ<br />
และสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ<br />
<br />
ช้างเผือก พระราชพาหนะคู่พระบารมี <br />
ช้างเป็นสัตว์มงคลคู่พระบารมีพระมหากษัตริย์ไทย<br />
มาแต่โบราณ ทำคุณประโยชน์แก่บ้านเมืองหลายประการ<br />
ทั้งในการสงครามปกป้องบ้านเมือง นอกจากนี้ ยังเป็น<br />
สัญลักษณ์แห่งพระบารมี ความศักดิ์สิทธิ์ ความอุดม<br />
สมบูรณ์ ความเจริญรุ่งเรืองของแผ่นดิน ความร่มเย็น<br />
เป็นสุขของอาณาประชาราษฎร์ ด้วยเหตุนี้ ช้างจึงถูกนำมาใช้<br />
เป็นสัญลักษณ์ปรากฏในสิ่งสำคัญต่างๆ เช่น ธงชาติไทย<br />
(สมัยก่อน) และเครื่องราชอิสริยาภรณ์<br />
เมื่อมีการพบช้างที่มีลักษณะพิเศษที่เรียกว่า <br />
ช้างเผือก ซึ่งหาได้ยากในพระราชอาณาจักร ถือว่าเป็น<br />
นิมิตอันเป็นมงคลของแผ่นดิน ช้างเผือกจึงเป็นพระราช<br />
พาหนะคู่พระบารมี แสดงพระเกียรติยศและพระบรม<br />
เดชานุภาพของพระมหากษัตริย์ มีประเพณีนำช้าง<br />
เข้าพระราชพิธีรับและสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญอันเป็น<br />
แบบแผนสืบมา<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
พระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้างสำคัญ<br />
<br />
ในรัชกาลปัจจุบัน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้จัดงาน ดังนี้<br />
พิธีจารึกนามช้างสำคัญลงบนอ้อยแดง <br />
มีขึ้นก่อนพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวางช้าง<br />
สำคัญ เจ้าพนักงานจะจารึกนามพระราชทานลงบน<br />
อ้อยแดง แล้วพระราชครูพราหมณ์ทำพิธีจารึก<br />
เทพมนต์กำกับ<br />
พิธีถวายช้างสำคัญ<br />
นำช้างน้อมเกล้าฯ ถวายเพื่อทรงรับเป็นช้าง<br />
สำคัญ ซึ่งอาจจัดก่อนวันพระราชพิธีสมโภชขึ้นระวาง<br />
ช้างสำคัญหรือจัดในวันเดียวกัน<br />
พิธีสมโภช<br />
มีขบวนแห่ช้างสำคัญเข้าสู่โรงพิธี พระบาท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานน้ำพระพุทธมนต์<br />
อ้อยแดงจารึก และเครื่องคชาภรณ์<br />
วันสุดท้าย มีการนำช้างสำคัญอาบน้ำและ<br />
ตักบาตร จากนั้นทรงบำเพ็ญพระราชกุศลถวาย<br />
ภัตตาหาร พราหมณ์เบิกแว่นเวียนเทียนสมโภช <br />
พระราชครูพราหมณ์เจิมและป้อนมะพร้าวอ่อน<br />
เป็นเสร็จพิธี<br />
141
๘<br />
<br />
สมัยรัชกาลที่ ๕ มีการปรับปรุงพระนคร<br />
ครั้งใหญ่ เพื่อสร้างสถานที่ราชการ<br />
และถนน เป็นเหตุให้ต้องรื้อ<br />
ศาลเทพารักษ์ต่างๆ ซึ่งมีอยู่หลายแห่ง <br />
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้อัญเชิญเทวรูปในศาลเหล่านั้น<br />
มาประดิษฐานไว้ในบริเวณศาลหลักเมือง<br />
แต่เพียงแห่งเดียว เทวรูปที่อัญเชิญมา<br />
ได้แก่ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง <br />
พระกาฬไชยศรี เจ้าเจตคุปต์ <br />
และเจ้าหอกลอง<br />
เทวรูปเจ้าหอกลอง<br />
พระราชพิธีสมโภชหลักเมือง<br />
หลักชัยขวัญเมืองเพื่อความ<br />
รุ่งเรืองสถาพร การสร้างหลักเมือง<br />
เป็นคติพราหมณ์ ซึ่งมีความเชื่อว่า เป็นที่<br />
สำหรับเทวดาผู้มีหน้าที่รักษาเมือง<br />
สิงสถิต เพื่อป้องกันภยันตราย เสริมสร้าง<br />
สิริมงคลและทำให้เชื่อมั่นว่าอานุภาพ<br />
ของพระหลักเมืองคือหลักชัยที่ทำให้<br />
ประชาชนรวมกันอยู่ในเมืองได้อย่าง<br />
ร่มเย็น มีความรุ่งเรืองสถาพร พิธี<br />
ยกเสาหลักเมืองเรียกว่า พระราชพิธี<br />
นครสถาน มักเลือกชัยภูมิที่ตั้ง<br />
เสาหลักเมืองบริเวณใจกลางพระนคร<br />
หลักเมืองกรุงเทพมหานคร มี ๒ หลัก<br />
คือเสาหลักเมืองเดิมและเสาหลักเมือง<br />
ปัจจุบัน<br />
<br />
เสาหลักเมืองเดิม <br />
สร้างขึ้นเมื่อพระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรง<br />
สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี<br />
เสาทำด้วยไม้ชัยพฤกษ์สูง ๑๘๗ นิ้ว<br />
ประกับภายนอกด้วยไม้แก่นจันทน์<br />
เสาส่วนที่อยู่บนพื้นดินสูง ๑๐๘ นิ้ว<br />
ส่วนที่ฝังลงดินยาว ๗๙ นิ้ว ลงรัก<br />
ปิดทอง ยอดหัวเม็ดรูปบัวตูม ภายใน<br />
กลวงเป็นช่องสำหรับบรรจุดวงชะตา<br />
พระนคร<br />
142
พิธียกเสาหลักเมืองจัดขึ้นเมื่อวันอาทิตย์ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๖ ปีขาล<br />
ตรงกับวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ มีการสร้างศาลเป็นอาคารไม้<br />
ประดิษฐานเสาหลักเมือง หลังคามุงกระเบื้อง ครั้งนั้นได้สร้างรูปเทพารักษ์<br />
สำหรับพระนครประดิษฐานไว้ในศาล ๓ หลัง ตั้งอยู่บริเวณหน้าวัดพระเชตุพน<br />
วิมลมังคลารามเลียบคลองคูเมืองเดิม ได้แก่ ศาลหน้าคุกกรมพระนคร ศาลเจ้า<br />
หอกลองหน้า และหอกลองประจำเมือง ทำหน้าที่รักษาบ้านเมืองคู่กับ<br />
พระหลักเมืองด้วย<br />
<br />
เสาหลักเมืองปัจจุบัน <br />
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้สร้างแทนหลักเก่าที่ชำรุดมาก อาคารหมดความสง่างาม ทรงบรรจุดวงชะตา<br />
พระนคร ต้องตามดวงพระบรมราชสมภพ เพื่อให้บ้านเมืองและประชาชน<br />
ภายใต้พระบารมีประสบความเจริญวัฒนา เป็นเสาไม้สักมีแกนอยู่ภายใน<br />
ประกับด้วยไม้ชัยพฤกษ์ ๖ แผ่น กว้างแผ่นละ ๘ นิ้ว ยอดหัวเม็ดทรงมัณฑ์<br />
เสาสูง ๒๐๑.๔ นิ้ว เส้นผ่านศูนย์กลางที่โคนเสายาว ๑๘.๘ นิ้ว ลำต้นอวบกว่า<br />
เสาหลักเมืองต้นเดิม ปรับปรุงอาคารศาลเป็นจัตุรมุข ยอดปรางค์ก่ออิฐถือปูน<br />
ฉาบสีด่อน (สีเผือก) แบบศาลหลักเมืองที่พระนครศรีอยุธยา ส่วนเสาหลักเมืองเดิม<br />
ได้เชิญขึ้นมาตั้งคู่กันไว้<br />
ศาลหลักเมืองสร้างขึ้นใน พ.ศ. ๒๓๒๕ <br />
ได้รับการบูรณปฏิสังขรณ์เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงประกอบพิธีสมโภชหลักเมือง<br />
เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๙<br />
ดวงชะตาพระนคร<br />
ยันต์สุริยาทรงกลด สำหรับจารลงในแผ่นทอง <br />
แผ่นเงิน แผ่นนาก แล้วลงดวงชะตาพระนคร<br />
ไว้ตรงกลาง<br />
143
๕<br />
สง่าศรี<br />
สถาปัตยกรรม<br />
144
พระบรมโพธิสมภารแห่งพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลที่ปกแผ่ไพศาล<br />
ไปทั่วทุกทิศ บันดาลให้กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่รุ่งเรืองสมฐานะ<br />
ทัดเทียมนานาอารยประเทศ เป็นมหานครที่งดงามด้วยอาคารสถาน ที่ได้รับ<br />
การประดับประดาด้วยสถาปัตยกรรมอันล้ำค่าหลากสมัย จากสุดยอด<br />
ช่างฝีมือที่ได้รังสรรค์ไว้เป็นมรดกศิลป์สำหรับแผ่นดินสยาม เป็นความภูมิใจ<br />
ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์ให้สถิตสถาพรสืบไป<br />
<br />
145
กรุงรัตนโกสินทร์ ศูนย์กลางแห่งแผ่นดินสยาม <br />
นับตั้งแต่ได้รับการสถาปนา เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ และรุ่งเรือง<br />
สืบมาเป็นเวลายาวนานกว่า ๒๐๐ ปี ด้วยพระบรมโพธิ<br />
สมภารของพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาล ที่ทรงทำนุบำรุง<br />
บ้านเมืองให้เฟื่องฟูในทุกด้าน ราชธานีแห่งนี้จึงวิจิตรตระการ<br />
ด้วยสรรพสถาน ที่ได้รับการรังสรรค์ด้วยศิลปกรรมอันล้ำค่า<br />
หลากสมัย ตั้งแต่รูปแบบไทยประเพณีที่สืบเนื่องแบบอย่าง<br />
อันดีมาแต่เมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยา แล้ววิวัฒนาด้วยการผสาน<br />
146
ศิลปะที่ได้รับอิทธิพลจากอารยประเทศ บันดาลให้เป็น<br />
บ้านเมืองที่รุ่งเรืองด้วยสถาปัตยกรรมอันงดงาม ไม่ว่าจะเป็น<br />
พระอาราม พระราชวัง รวมทั้งบ้านเรือนของราษฎร ซึ่งล้วน<br />
สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นเอกและความชำนาญทางการช่าง<br />
ของชาวสยามที่สามารถสรรค์สร้างสถาปัตยกรรมที่งดงามล้ำค่า<br />
ปรากฏเป็นเกียรติประดับแผ่นดิน เป็นมรดกศิลป์ที่แสดง<br />
ภูมิปัญญาของชาวสยามที่อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขสืบมา <br />
ใต้ร่มพระบารมีแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์<br />
147
แ ผ น ผั ง ห้องสง่าศรีสถาปัตยกรรม<br />
๑<br />
วัดในพระพุทธศาสนา<br />
๓<br />
วิวัฒนาการของสถาปัตยกรรม<br />
กรุงรัตนโกสินทร์<br />
ทางเข้า<br />
๑<br />
๔<br />
๓<br />
๒<br />
๒<br />
๔<br />
วังเจ้านายสมัยรัตนโกสินทร์<br />
การแบ่งเขตภายในวัด<br />
148
๕<br />
ทางออก<br />
บ้านในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
๕<br />
149
๑<br />
วิวัฒนาการของ<br />
สถาปัตยกรรมกรุงรัตนโกสินทร์<br />
สถาปัตยกรรมในกรุงรัตนโกสินทร์ ไม่ว่าจะเป็นที่อยู่อาศัย คือ วัง บ้าน<br />
หรือวัดในพระพุทธศาสนา เมื่อแรกสร้างยังคงมีรูปแบบไทยประเพณีที่สืบทอด<br />
มาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา จนกระทั่งประมาณช่วงรัชกาลที่ ๒ ถึงรัชกาลที่ ๓<br />
เกิดความนิยมในการนำศิลปะจีนมาประยุกต์ใช้ร่วมกับสถาปัตยกรรมไทย <br />
จากนั้นในช่วงสมัยรัชกาลที่ ๔ ถึงรัชกาลที่ ๕ จึงเริ่มรับทั้งรูปแบบศิลปะ<br />
และวิทยาการจากตะวันตกเข้ามาผสมผสาน เพื่อให้ดูทัดเทียมกับชาติต่างๆ <br />
ในยุโรป นับเป็นปฐมบทของการเปลี่ยนแปลงของวิถีชีวิตและรูปแบบ<br />
สถาปัตยกรรมให้เป็นแบบสากลสืบมาจนปัจจุบัน<br />
“เรือนต้น” ที่พระราชวังดุสิต เป็นเรือนเครื่องสับ<br />
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ที่สืบทอดรูปแบบ<br />
สถาปัตยกรรมไทยประเพณี<br />
มาจากสมัยกรุงศรีอยุธยา<br />
150
จัดแสดงภาพลายเส้น<br />
ของสถานที่สำคัญต่างๆ<br />
ซึ่งแสดงให้เห็นวิวัฒนาการ<br />
ของสถาปัตยกรรม<br />
ในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
หลายรูปแบบ<br />
ทั้งแบบไทยประเพณี<br />
ผสานศิลปะจีน และที่ได้รับ<br />
อิทธิพลจากตะวันตก<br />
จัดฉายวีดิทัศน์แสดงภาพถ่าย<br />
อาคารสถานที่ต่างๆ<br />
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิวัฒนาการ<br />
ของสถาปัตยกรรม<br />
ในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
พระที่นั่งอนันตสมาคม<br />
หนึ่งในสถาปัตยกรรมรูปแบบตะวันตก<br />
ที่ได้รับความนิยมในสมัยรัชกาลที่ ๕<br />
151 ๕๙
จัดฉายวีดิทัศน์แสดงภาพถ่าย<br />
องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม<br />
ของวังเจ้านายในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๑ - ๓ <br />
ผ่านจอภาพซึ่งติดตั้งอยู่ใน<br />
กรอบหน้าต่างที่จำลองมาจาก<br />
พระตำหนักแดง <br />
ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ<br />
พระนคร <br />
จัดฉายวีดิทัศน์ถ่ายทอดเรื่องราว<br />
ความเป็นมาของสถาปัตยกรรม<br />
ในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๑ - ๓ <br />
๒<br />
วังเจ้านาย<br />
วัง หมายถึง ที่ประทับของพระมหากษัตริย์หรือเจ้านายฝ่ายหน้า ตั้งแต่ชั้นเจ้าฟ้าลงมาถึง<br />
หม่อมเจ้า เช่น พระราชโอรส พระเจ้าน้องยาเธอ หรือพระเจ้าหลานเธอ เมื่อมีพระชันษาประมาณ<br />
๑๓ ปี และผ่านพระราชพิธีโสกันต์หรือโกนจุกแล้ว ถือว่าเป็นผู้ใหญ่ ต้องเสด็จไปประทับ<br />
นอกวังหลวงและเข้ารับราชการต่อไป<br />
วังเจ้านาย ในสมัยหนึ่งเคยมีอยู่เป็นจำนวนมาก และมีความสำคัญสูงยิ่งในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
เพราะเจ้านายเป็นกำลังสำคัญในการบริหารบ้านเมืองให้มีความมั่นคงและความเจริญรุ่งเรือง<br />
การดำเนินชีวิตและรูปแบบสถาปัตยกรรมของวังเจ้านายเปลี่ยนแปลงไปตามยุคสมัย<br />
และการเปลี่ยนแปลงของวังนี้เองเป็นต้นแบบที่ทำให้วิถีชีวิตและรูปแบบของบ้านเรือนราษฎรทั่วไป<br />
เปลี่ยนแปลงตามไปด้วย<br />
152
วังเจ้านายสมัยรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๓<br />
การสร้างวังครั้งอดีต สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓<br />
นอกจากพระบรมมหาราชวัง วังเจ้านายล้วนเป็นเรือน<br />
สร้างด้วยไม้ ไม่ต่างจากเรือนคหบดีของคนไทยภาคกลาง<br />
เพียงแต่มีขนาดใหญ่กว่า และมีสิ่งที่แสดงถึงฐานานุศักดิ์<br />
หรือฐานะของผู้อยู่อาศัยที่สูงกว่า ได้แก่ กำแพงวัง ประตูวัง<br />
ขนาดของตำหนัก หลังคาซ้อน มีลวดลายประกอบคูหา<br />
และหน้าบัน หน้าต่างแกะสลักลวดลาย และการทาสี<br />
อาคาร<br />
วังในสมัยนั้น เปรียบเสมือน บ้านหลวง ซึ่ง<br />
พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เจ้านาย<br />
พระองค์ใดพระองค์หนึ่ง เสด็จไปประทับและใช้เป็นสถานที่<br />
ทรงงาน ภายในบริเวณวังจึงมีที่พักอาศัยของข้าราชการ<br />
ระดับต่างๆ ที่เจ้านายของวังทรงกำกับอยู่ บางวังมีคนทำงาน<br />
อาศัยอยู่เป็นร้อยๆ คน เมื่อตั้งวังอยู่ที่ไหน ก็จะเป็นแหล่ง<br />
ชุมชนขึ้นที่นั่น และเรียกชื่อตามสถานที่ตั้งนั้น<br />
ตามธรรมเนียมแต่เก่าก่อน วังจะตั้งรายล้อม<br />
พระบรมมหาราชวังในเขตกำแพงเมืองหรือตาม<br />
จุดยุทธศาสตร์ เพื่อเป็นการรักษาความปลอดภัย<br />
ครั้นถึงสมัยรัชกาลที่ ๓ ในเขตพระราชฐานชั้นใน<br />
ของพระบรมมหาราชวัง เริ่มมีการสร้างตำหนักเรือนหมู่<br />
แบบก่ออิฐฉาบปูนแทนการสร้างด้วยไม้ ทำให้อาคาร<br />
มีความแข็งแรงมากขึ้น<br />
พระตำหนักแดง สร้างด้วยไม้สัก ทาสีแดง ยกพื้นสูง ขนาดห้าห้อง<br />
มีเสานางเรียงรับชายคา พระแกลฐานเท้าสิงห์ ปัจจุบันตั้งอยู่<br />
ภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร<br />
<br />
วังท่าพระ เดิมเป็นที่ประทับของเจ้านายหลายพระองค์มาตั้งแต่<br />
สมัยรัชกาลที่ ๒ ปัจจุบันมีเพียงกำแพงวังก่ออิฐถือปูน<br />
และท้องพระโรงซึ่งมีรูปแบบเป็นอาคารทรงไทย หลังคาชั้นเดียว<br />
ไม่มีมุขลด หน้าบันเป็นลูกฟักหน้าพรหม<br />
<br />
วังบ้านหม้อ เป็นวังที่ประทับของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ <br />
พระองค์เจ้ากุญชร กรมพระพิทักษเทเวศร์ พระราชโอรส<br />
ในรัชกาลที่ ๒ ปัจจุบันยังมีอาคารท้องพระโรงทำจากไม้สัก <br />
หลังคาชั้นเดียวตกแต่งด้วยช่อฟ้า นาคลำยอง และหางหงส์ <br />
153
จัดฉายวีดิทัศน์ถ่ายทอดเรื่องราว<br />
ความเป็นมาของสถาปัตยกรรม<br />
ในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๔ - ปัจจุบัน <br />
ผ่านจอภาพซึ่งติดตั้งอยู่<br />
ในกรอบหน้าต่างที่จำลองมา<br />
จากพระตำหนักใหญ่<br />
ภายในวังบางขุนพรหม<br />
<br />
วังเจ้านายสมัยรัชกาลที่ ๔ - ปัจจุบัน<br />
วังในสมัยรัชกาลที่ ๔ เริ่มมีการสร้างด้วยการก่ออิฐถือปูนตามอิทธิพล<br />
ตะวันตกจากแบบอย่างที่พบเห็นในหนังสือหรือภาพวาด<br />
วังในสมัยรัชกาลที่ ๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทานเป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ<br />
แต่ไม่รวมสถานที่ทำงานไว้เหมือนแต่ก่อน และเริ่มมีการว่าจ้างสถาปนิก<br />
ชาวตะวันตกเป็นผู้ออกแบบ ทำให้รูปแบบของวังเป็นแบบตะวันตกแท้ และใช้<br />
วิทยาการก่อสร้างแบบใหม่ ทั้งนี้เพื่อแสดงถึงความเจริญทัดเทียมอารยประเทศ<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๗ เนื่องจากเป็นยุคที่เศรษฐกิจตกต่ำ อีกทั้งพระองค์<br />
ไม่มีพระราชโอรสธิดา จึงไม่มีการสร้างวังสำหรับพระเจ้าลูกยาเธอ คงมีแต่วัง<br />
ในระดับพระองค์เจ้าหรือหม่อมเจ้า แต่รูปแบบสถาปัตยกรรมของวังส่วนใหญ่<br />
ล้วนเป็นแบบได้รับอิทธิพลตะวันตกมาจวบจนรัชกาลปัจจุบัน<br />
154
๒<br />
วังบางขุนพรหม ประกอบด้วยอาคาร ๒ หลัง<br />
คือ ตำหนักใหญ่ เคยเป็นที่ประทับของ<br />
สมเด็จฯ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์<br />
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต<br />
สถาปัตยกรรมเป็นแบบเรอเนสซองส์<br />
และบาโรก ผสมลวดลายแบบโรโกโก และ<br />
ตำหนักสมเด็จ เคยเป็นที่ประทับของ<br />
สมเด็จพระนางเจ้าสุขุมาลมารศรี พระ<br />
ราชเทวี สถาปัตยกรรมภายนอกเน้นความ<br />
เรียบง่าย รูปแบบคล้ายวิลล่าในเยอรมนี<br />
ภายในตกแต่งด้วยลวดลายแบบบาโรกและ<br />
ศิลปะแบบอาร์ตนูโว<br />
วังวรดิศ เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จฯ<br />
กรมพระยาดำรงราชานุภาพ<br />
สถาปัตยกรรมเป็นแบบบ้านชนบท<br />
ในเยอรมนี หลังคาทรงจั่วหักมุมตอนปลาย<br />
มีชายคายื่นกันแดดฝน ผนังตอนบน<br />
ตกแต่งลวดลายปูนปั้น<br />
เสาอิงเป็นรูปกลีบบัวเรียงซ้อนกัน<br />
วังลดาวัลย์ เคยเป็นที่ประทับของสมเด็จฯ<br />
เจ้าฟ้ายุคลฑิฆัมพร กรมหลวงลพบุรี<br />
ราเมศวร์ สถาปัตยกรรมคล้ายกับอาคาร<br />
ในยุโรปยุควิคตอเรียและวิลล่าในอิตาลี <br />
มุขทางทิศตะวันตกเฉียงใต้เป็นหอคอย<br />
ภายในเป็นบันไดเวียน บานหน้าต่าง<br />
ตอนบนเป็นช่องแสงโค้งรูปครึ่งวงกลม<br />
โครงสร้างเป็นแบบผนังรับน้ำหนัก <br />
ภายในจึงไม่มีเสา มีกำแพงสีแดงโอบล้อมวัง<br />
จึงเรียกกันติดปากว่า วังแดง <br />
ปัจจุบันอยู่ในความดูแลของ<br />
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์<br />
155
๓<br />
วัดในพระพุทธศาสนา<br />
ศูนย์รวมศรัทธา <br />
ทรงคุณค่าคู่แผ่นดิน<br />
<br />
การสร้างบ้านแปงเมืองเมื่อสมัยรัตนโกสินทร์<br />
ตอนต้น นอกจากจะสร้างพระบรมมหาราชวังที่เป็น<br />
ศูนย์กลางของบ้านเมืองแล้ว พระมหากษัตริย์ยังทรงทำนุ<br />
บำรุงพระพุทธศาสนา ทรงสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์<br />
พระอารามต่างๆ เพื่อเป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชน<br />
และเป็นเครื่องหมายแห่งความเป็นปึกแผ่นของบ้านเมือง<br />
วัดในพระพุทธศาสนาแสดงให้เห็นถึงความวิจิตร<br />
บรรจงอันเกิดจากศรัทธาที่ชาวไทยมีต่อพระพุทธศาสนา<br />
และสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก่อเกิดเป็นมรดก<br />
ทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมที่ทรงคุณค่า<br />
พระศรีรัตนเจดีย์จำลอง จัดแสดงภายในห้องที่นำเสนอด้วยเทคนิคเปลี่ยนแสงเป็น ๓ ช่วงเวลา <br />
คือเวลาเช้า-แสงสีทอง กลางวัน-แสงสีส้ม และเย็น-แสงสีคราม<br />
156
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม นอกจากจะแสดงถึงพระราชศรัทธาในการทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนาของรัชกาลที่ ๕ <br />
ซึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นแล้ว ยังเป็นพระอารามที่ได้รับการรังสรรค์ด้วยสถาปัตยกรรมที่งดงามโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ <br />
เพดานห้องจัดแสดงพระศรีรัตนเจดีย์ ตกแต่งด้วยการจำลองลวดลาย<br />
เพดานภายใน “พระเจดีย์อุโบสถ” วัดอัษฎางคนิมิต ซึ่งรัชกาลที่ ๕ <br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นที่จุฑาธุชราชฐาน บนเกาะสีชัง<br />
จังหวัดชลบุรี<br />
157
ด้านในสุดของพระระเบียงจำลอง ใช้กระจกเงา<br />
สะท้อนให้เกิดเป็นภาพพระพุทธรูปประดิษฐาน<br />
เรียงรายคล้ายกับที่ปรากฏในพระระเบียง<br />
ของพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม<br />
และจัดแสดงหุ่นจำลองการศึกษาของเด็กไทย<br />
ในอดีตที่เรียนหนังสือกับพระสงฆ์<br />
ลักษณะเด่นของสถาปัตยกรรม<br />
ในพระอารามสำคัญ<br />
ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๕ <br />
นำเสนอด้วยการฉายวีดิทัศน์<br />
ผ่านจอผ้าที่เขียนภาพ<br />
จิตรกรรมฝาผนัง<br />
เป็นรูปอาคารสำคัญ<br />
ของแต่ละพระอาราม <br />
158
๓<br />
วัดสุทัศนเทพวราราม<br />
วัดสมัยรัชกาลที่ ๑<br />
สืบทอดอยุธยา รวมศรัทธาสร้างขวัญกำลังใจ<br />
สมัยรัชกาลที่ ๑ เป็นช่วงเวลาของการสร้างความเป็น<br />
ปึกแผ่นให้แก่บ้านเมือง เรียกขวัญกำลังใจให้แก่ราษฎร<br />
หลังจากทำศึกสงครามกับพม่า รูปแบบทางสถาปัตยกรรม<br />
จึงมีลักษณะเป็นแบบขนบนิยมหรือไทยประเพณีที่สืบทอด<br />
มาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลายเหมือนเมื่อครั้ง <br />
“บ้านเมืองยังดี”<br />
วัดสุทัศนเทพวราราม รัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น โดยได้รับอิทธิพลความเชื่อในด้าน<br />
ต่างๆ สืบทอดมาจากสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย <br />
การวางผังวัด ทรงทำตามความเชื่อเรื่องภูมิจักรวาล<br />
ตามคติไตรภูมิ หน้าบันของพระวิหารหลวงเป็นรูป<br />
พระอินทร์ทรงช้างเอราวัณ สะท้อนถึงการสมมติให้<br />
พระวิหารหลวงเป็นเมือง “สุทัศนนคร” ซึ่งเป็นนครของ<br />
พระอินทร์บนยอดเขาพระสุเมรุ พระประธาน คือ <br />
พระศรีศากยมุนี ซึ่งอัญเชิญมาทางเรือจากสุโขทัย<br />
<br />
<br />
วัดอรุณราชวราราม<br />
วัดสมัยรัชกาลที่ ๒<br />
พระมหาธาตุเจดีย์คู่พระนคร<br />
สมัยรัชกาลที่ ๒ เริ่มมีการติดต่อทางการค้ากับ<br />
ประเทศจีน ศิลปะจีนจึงเริ่มเข้ามามีอิทธิพลต่อการสร้าง<br />
และปฏิสังขรณ์วัด เช่นเดียวกับวัดอรุณราชวราราม<br />
ซึ่งเป็นวัดเก่าแก่ มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลที่ ๒<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์พร้อมทั้ง<br />
สร้างพระปรางค์ ซึ่งมีการประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบ<br />
หลากสี เศษกระเบื้อง และเปลือกหอยจำนวนมหาศาล<br />
การวางผังพระปรางค์ยังดำเนินตามภาพจำลอง<br />
จักรวาลตามคติไตรภูมิ โดยมีพระปรางค์ประธาน<br />
องค์ใหญ่ตั้งอยู่กลาง เปรียบดั่งเขาพระสุเมรุ อันเป็น<br />
ศูนย์กลางจักรวาล ส่วนปรางค์เล็กประจำทิศทั้งสี่องค์<br />
หมายถึงทวีปใหญ่ทั้งสี่ในจักรวาล<br />
ภายในวัดยังมีการตกแต่งด้วยตุ๊กตาศิลาจีนจำนวน<br />
มาก สันนิษฐานว่าติดมากับเรือสำเภาจีนที่มาติดต่อค้าขาย<br />
159
วัดเทพธิดาราม<br />
วัดสมัยรัชกาลที่ ๓<br />
สถาปัตย์รุ่งเรือง คู่เมืองพระพุทธศาสนา<br />
ด้วยมีพระราชศรัทธาในพระบวรพุทธศาสนา<br />
รัชกาลที่ ๓ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างและ<br />
ปฏิสังขรณ์วัดต่างๆ เป็นอันมาก รูปแบบทางสถาปัตยกรรม<br />
ของวัดในสมัยนี้มีการพัฒนารูปแบบ เช่น ใช้เครื่องก่ออิฐ<br />
ถือปูน แต่ยังคงเอกลักษณ์รูปทรงอาคารแบบไทย มีการ<br />
สร้างวัดตามอิทธิพลศิลปะแบบจีนหรือที่เรียกว่า “แบบ<br />
พระราชนิยม” มากขึ้น ควบคู่กับการสร้างแบบไทย<br />
ประเพณี ดังเช่นวัดเทพธิดาราม<br />
สมัยรัชกาลที่ ๓ การค้ากับจีนเฟื่องฟู การสร้างวัด<br />
จึงได้รับอิทธิพลจากจีนทั้งทางสถาปัตยกรรมและศิลปะ<br />
การตกแต่ง หน้าบันเปลี่ยนจากเครื่องไม้เป็นปูนปั้น<br />
ประดับลวดลายด้วยกระเบื้องเคลือบจากจีน พระอุโบสถ<br />
ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา ชายคารอบอาคารรองรับด้วย<br />
เสาพาไลเหลี่ยมขนาดใหญ่ ไม่มีคันทวย ทั่วบริเวณวัด<br />
ยังตกแต่งด้วยตุ๊กตาศิลาจีน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นตุ๊กตา<br />
ผู้หญิง ภายในพระวิหารยังมีรูปหล่อหมู่อริยสาวิกา <br />
(ภิกษุณี) ประดิษฐานอยู่หน้าฐานชุกชีพระประธาน<br />
วัดมกุฏกษัตริยาราม<br />
วัดสมัยรัชกาลที่ ๔<br />
พระราชศรัทธา แผ่ไพศาล<br />
เมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
ยังทรงเป็นวชิรญาณภิกขุ ได้เสด็จธุดงค์ทอดพระเนตร<br />
วัดในท้องถิ่นต่างๆ โดยเฉพาะพระนครศรีอยุธยาและ<br />
สุโขทัย รูปแบบทางสถาปัตยกรรมจึงหวนกลับมา<br />
นิยมแบบไทยอีกครั้ง นิยมสร้างทั้งแบบขนบนิยมหรือ<br />
แบบไทยประเพณี และแบบพระราชนิยมหรือแบบ<br />
อิทธิพลจีนซึ่งหันมาตกแต่งด้วยองค์ประกอบอย่างไทย<br />
เช่น ปั้นปูนเป็นช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ติดที่หน้าบัน<br />
เป็นต้น<br />
ตัวอย่างวัดสมัยรัชกาลที่ ๔ คือวัดมกุฏกษัตริยาราม<br />
จากการที่ได้ทอดพระเนตรพระอารามตามต่างจังหวัด <br />
จึงทรงนำรูปแบบขนบนิยมหรือไทยประเพณีกลับมาใช้<br />
ในการสร้างวัดนี้ มีการสร้างเจดีย์กลมทรงลังกาทางด้านหลัง<br />
ของพระวิหาร ซึ่งเป็นการวางผังตามอย่างโบราณ ทรงเป็น<br />
ผู้ริเริ่มสร้างสีมา ตั้งอยู่บนกำแพงวัดโดยรอบ เพื่อประกาศ<br />
ความเป็นเขตพุทธาวาส<br />
<br />
160
๓<br />
วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม<br />
วัดในสมัยรัชกาลที่ ๕<br />
สร้างเอกลักษณ์ ด้วยศิลปะตะวันตก<br />
การสร้างวัดในสมัยรัชกาลที่ ๕ แต่ละวัดมีรูปแบบ<br />
เฉพาะตัวที่ไม่เหมือนกัน บางแห่งสร้างตามแบบศิลปะ<br />
ตะวันตก เช่น วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ภายใน<br />
พระอุโบสถจะตกแต่งเป็นศิลปะแบบกอธิค และวัดนิเวศน์<br />
ธรรมประวัติ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา มีองค์ประกอบ<br />
ทางสถาปัตยกรรมแบบกอธิคทุกอาคาร โดยเฉพาะ<br />
พระอุโบสถ มีลักษณะเป็นรูปวิหารในวัดศาสนาคริสต์ <br />
ด้วยมีพระราชประสงค์จะทรงบูชาพระพุทธศาสนา<br />
ด้วยของแปลกตาหายากและให้ประชาชนได้ชื่นชม<br />
สำหรับวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามนั้น ลักษณะเด่น<br />
อยู่ที่พระวิหารและพระอุโบสถ คือด้านนอกเป็นไทย<br />
ด้านในเป็นฝรั่ง บานประตูทางเข้าวัดทำเป็นรูปทหาร<br />
ต่างไปจากเดิมที่มักทำเป็นรูปเทวดา ผนังภายนอกอาคาร<br />
ประดับตกแต่งด้วยกระเบื้องเคลือบเขียนลายสีเบญจรงค์<br />
เป็นเอกลักษณ์อันสวยงาม วัดนี้จึงมีการเรียกขานในอีก<br />
ชื่อหนึ่งว่า วัดเบญจรงค์<br />
วัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก<br />
วัดในสมัยรัชกาลที่ ๖ - ปัจจุบัน<br />
บูรณะวัดเดิม สร้างเพิ่มสถานศึกษา<br />
สมัยรัชกาลที่ ๖ มีเพียงการบูรณปฏิสังขรณ์<br />
วัดเดิมที่ชำรุดเสียหายหรือสร้างไว้ไม่แล้วเสร็จมาแต่ใน<br />
รัชกาลก่อน เนื่องจากมีพระราชดำริที่จะทรงสร้างสถาน<br />
ศึกษาแทนการสร้างวัด สมัยรัชกาลที่ ๗ เศรษฐกิจทั่วโลก<br />
ตกต่ำ รวมทั้งประเทศไทย จึงมีเพียงการบูรณปฏิสังขรณ์<br />
วัดบางแห่ง <br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน<br />
ได้ทรงบูรณปฏิสังขรณ์วัดทั้งในกรุงเทพมหานครและ<br />
หัวเมือง และมีการสร้างวัดพระราม ๙ กาญจนาภิเษก<br />
เพื่อเป็นตัวอย่างในการสร้างวัดสำหรับชุมชน เป็นวัดที่มี<br />
ขนาดเล็ก เรียบง่าย เน้นการใช้ประโยชน์สูงสุดเป็นสำคัญ<br />
มีรูปแบบไทยประยุกต์ที่พัฒนาให้เหมาะแก่ประโยชน์<br />
ใช้สอยแบบใหม่<br />
<br />
<br />
161
๓<br />
จำลองต้นพระศรีมหาโพธิ์<br />
ซึ่งเป็นต้นไม้ที่คนไทย<br />
นิยมปลูกไว้ภายในวัด<br />
ด้วยเป็นหนึ่งในสัญลักษณ์<br />
แทนสมเด็จพระสัมมา<br />
สัมพุทธเจ้า<br />
พื้นห้องจัดแสดง จำลองพื้นลาน<br />
รอบพระอุโบสถของพระอาราม<br />
ในอดีต ซึ่งปูด้วยอิฐมอญ<br />
วางตะแคงเป็นแนวฟันปลา <br />
<br />
162
ผนังห้องจัดแสดง ฉายภาพจำลองการประกอบ<br />
ศาสนกิจของพุทธศาสนิกชนภายในบริเวณ<br />
ลานรอบพระวิหารหลวงวัดสุทัศนเทพวราราม<br />
ตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงเย็น เช่น<br />
ช่วงเช้า ทำบุญตักบาตร<br />
กลางวัน ประกอบพิธีอุปสมบท<br />
พระศรีศากยมุนี<br />
<br />
พระศรีศากยมุนี เป็นพระพุทธรูปสำริด <br />
ปางมารวิชัย ประทับนั่งขัดสมาธิราบ ถือเป็น<br />
พระพุทธรูปสำริดที่สมบูรณ์และมีขนาดใหญ่ที่สุด<br />
ในประเทศไทยเท่าที่ปรากฏหลักฐานในปัจจุบัน<br />
พระศรีศากยมุนีมีความเกี่ยวข้องกับการสร้าง<br />
วัดสุทัศนเทพวราราม ด้วยรัชกาลที่ ๑ มีพระราชดำริ<br />
ให้สร้างพระวิหารหลวง เพื่อเป็นที่ประดิษฐานพระศรี<br />
ศากยมุนีที่ทรงให้อัญเชิญมาจากวัดมหาธาตุ จังหวัด<br />
สุโขทัย ในครั้งนั้นรัชกาลที่ ๑ มีพระราชศรัทธา <br />
เสด็จพระราชดำเนินตามกระบวนแห่พระโดยไม่ทรง<br />
ฉลองพระบาท จนยกพระพุทธรูปขึ้นตั้งบนฐาน<br />
ที่เตรียมไว้แล้วจึงเสด็จพระราชดำเนินกลับ <br />
ช่วงเย็น ประกอบพิธีเวียนเทียน<br />
163
การแบ่งเขตภายในวัด นำเสนอด้วยระบบ<br />
จอสัมผัสในรูปแบบมัลติ-ทัช (Multi-touch)<br />
ซึ่งผู้เข้าชมจะได้รับความรู้ควบคู่ไปกับ<br />
ความเพลิดเพลิน จากการเล่นเกมจัดวาง<br />
สิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในเขตพุทธาวาส<br />
และเขตสังฆาวาสให้ถูกต้อง ตรงตาม<br />
แผนผัง<br />
๔<br />
164<br />
การแบ่งเขตภายในวัด<br />
<br />
ภายในวัด มีพื้นที่หลักแบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ เขตพุทธาวาส<br />
สังฆาวาส และเขตสาธารณประโยชน์ ซึ่งจะแบ่งเป็นสัดส่วนแยกออกจากกัน<br />
อย่างชัดเจน เขตพุทธาวาส คือสถานที่สำหรับประกอบพิธีกรรมทางศาสนา<br />
เสมือนสัญลักษณ์แห่งสถานที่ประทับของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า <br />
มักประกอบด้วยสถาปัตยกรรมหลักสำคัญๆ ที่เกี่ยวเนื่องกับพระพุทธองค์<br />
และพิธีกรรมต่างๆ เขตสังฆาวาส คือส่วนที่พักอาศัยของพระสงฆ์ เพื่อให้<br />
สามารถปฏิบัติภารกิจส่วนตัวที่ไม่เกี่ยวเนื่องกับพิธีการทางพระพุทธศาสนา<br />
โดยตรง พื้นที่บริเวณนี้จึงมักมีขอบเขตที่มิดชิด ประกอบด้วยอาคารสถาน<br />
ที่สัมพันธ์เฉพาะกับกิจกรรมและวัตรปฏิบัติที่เป็นวิถีแห่งการดำเนินชีวิตของ<br />
สมณเพศ เขตสาธารณประโยชน์ คือเขตพื้นที่ที่วัดกำหนดให้เป็นเขตพื้นที่<br />
สำหรับเอื้อประโยชน์ใช้สอยในเชิงสาธารณประโยชน์ในลักษณะต่างๆ ของวัด<br />
เช่น ใช้เป็นพื้นที่เปิดโล่งเพื่อสร้างความร่มรื่นให้วัด หรือใช้เป็นสถานที่ก่อสร้าง<br />
อาคารอื่นๆ เช่น เมรุเผาศพ โรงเรียน เป็นต้น<br />
ตุ๊กตาศิลา ประดับอยู่ที่บริเวณประตูทางเข้าพระอุโบสถ<br />
วัดสุทัศนเทพวราราม
เขตพุทธาวาส<br />
พระวิหารหลวง<br />
พระอุโบสถ<br />
เขตสังฆาวาส<br />
ตัวอย่างแผนผังวัดสุทัศนเทพวราราม<br />
แสดงสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น พระวิหารหลวง พระอุโบสถ <br />
หอพระไตรปิฎก พระระเบียง หมู่กุฏิพระสงฆ์ เป็นต้น<br />
หอพระไตรปิฎก<br />
165
๕<br />
บ้านในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
บ้านเรือนสมัยรัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๓ <br />
อยู่อย่างไทย เหมือนสมัยกรุงเก่า<br />
บ้านเรือนราษฎรมีหลายแบบ มีลักษณะร่วมกันคือ<br />
หลังคาจั่วสูง ยกใต้ถุนสูง ต่างกันแต่ขนาดและวัสดุที่ใช้<br />
ตามแต่ฐานะเจ้าของ แม้จะมีฐานะดี บ้านราษฎรก็ไม่นิยม<br />
ประดับประดา เพราะถือว่า “ทำตัวเทียมเจ้า” เป็นเรื่อง<br />
มิบังควร เชื่อกันว่าจะเป็นอัปมงคลแก่ตน<br />
ลักษณะเรือนเครื่องผูก ซึ่งปัจจุบันสามารถพบเห็นได้ตามชนบท<br />
166
เรือนเครื่องสับหรือเรือน<br />
ฝากระดาน เป็นเรือนแบบไทยยกพื้นสูง<br />
สร้างขึ้นโดยใช้ไม้เนื้อแข็งที่ถาวร<br />
คงทนเป็นโครงสร้างทั้งหลัง ตั้งแต่<br />
หลังคา ฝา พื้น และเสา มีลักษณะ<br />
พิเศษคือ ตกแต่งหน้าจั่วด้วยปั้นลม<br />
และมีตัวเหงาติดชายปั้นลม<br />
เรือนเครื่องผูก เป็นเรือนของ<br />
คนงานรับจ้าง ไพร่สม และทาส ใช้วัสดุ<br />
ที่ไม่คงทนถาวรมาผูกเป็นเรือน เช่น<br />
ไม้ไผ่ ใบจาก ใบตาล ใบลาน และ<br />
หวาย มีทั้งปลูกเป็นโรง คือ ปลูกติด<br />
พื้นดิน กับปลูกเป็นเรือน คือ มีการ<br />
ตั้งเสายกพื้นเรือนเหนือพื้นดิน<br />
เรือนแพ เป็นเรือนที่ตั้งอยู่บน<br />
แพไม้ไผ่ ผูกเสาจอดลอยอยู่ในน้ำ <br />
ตัวเรือนมีทั้งเรือนเครื่องสับและ<br />
เรือนเครื่องผูก เรือนแพ<br />
167
ผู้เข้าชมจะได้รับความรู้<br />
เกี่ยวกับแบบแผนบ้านเรือน<br />
ในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ซึ่งจัดแสดงด้วย<br />
ภาพบ้านเรือนในอดีต<br />
ประกอบอะนิเมชั่น<br />
ซึ่งล้วนเคลื่อนไหวไปตาม<br />
จังหวะการบังคับพาย<br />
การสะบัดบังเหียน และ<br />
การเหยียบคันเร่งรถ<br />
ซึ่งติดตั้งอยู่ที่เสาด้านหน้า<br />
จอภาพรูปช่องหน้าต่าง<br />
บ้านเรือนสมัยรัชกาลที่ ๔ - รัชกาลที่ ๕<br />
เปิดโลกกว้าง ได้แบบอย่างจากต่างแดน<br />
สมัยรัชกาลที่ ๔ และรัชกาลที่ ๕ มีการติดต่อกับ<br />
ชาวตะวันตกมากขึ้น และมีผู้เดินทางไปศึกษาการปกครอง<br />
และการทำนุบำรุงบ้านเมืองที่สิงคโปร์ เมื่อกลับมาจึงนำ<br />
แบบอย่างต่างๆ มาดัดแปลงเข้ากับเมืองไทย เมื่อมีการ<br />
ตัดถนนใหม่ก็สร้างตึกแถวสองข้างถนน เพื่อเป็นย่าน<br />
ค้าขาย หรือเป็นที่อยู่อาศัยของชาวต่างชาติ ดังที่พูดกัน<br />
ว่า “ถนนไปถึงไหน ตึกแถวไปถึงนั่น”<br />
เรือนของผู้มีบรรดาศักดิ์ ข้าราชการ รวมถึงราษฎร<br />
ทั่วไป มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบและวัสดุก่อสร้างมาเป็น<br />
การก่ออิฐถือปูน สร้างเป็นเรือนตึกที่ได้รับแบบอย่าง<br />
จากเมืองชวาและสิงคโปร์ เรียกว่า ตึกกะหลาป๋า มีหน้ามุข<br />
ใช้เป็นห้องรับแขก<br />
ในช่วงสองรัชสมัยนี้เริ่มมีชาวต่างประเทศเข้ามาอยู่<br />
อาศัยในพระนครมากขึ้น ทางการจึงสร้างตึกหลวงหลังคา<br />
ทรงปั้นหยาเป็นที่รับรอง สร้างสถานกงสุลต่างประเทศ<br />
และเรือนพักอาศัยที่มีเฉลียงโดยรอบ อันเป็นลักษณะ<br />
เฉพาะตัวตามแนวความคิดของชาวตะวันตก<br />
168
๕<br />
บ้านเรือนสมัยรัชกาลที่ ๖ - ปัจจุบัน<br />
รูปแบบตะวันตก ยิ่งมีอิทธิพล<br />
สมัยรัชกาลที่ ๖ มีคฤหาสน์สำหรับขุนนาง<br />
ผู้มีบรรดาศักดิ์สูงซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระราชทาน ออกแบบโดย<br />
ชาวตะวันตก รูปแบบสถาปัตยกรรมจึงเป็นแบบตะวันตก<br />
ที่ทันสมัยในยุคนั้น อาคารที่สร้างเป็นแบบก่ออิฐถือปูน<br />
จะมีขนาดใหญ่ บนพื้นที่กว้างขวาง ตกแต่งด้วยศิลปะ<br />
ที่งดงาม<br />
ผู้มีฐานะปานกลางหรือประชาชนทั่วไป จะสร้าง<br />
เรือนไม้ มีมุขอย่างน้อย ๑ แห่ง ถือกันว่าหน้ามุขเป็นเครื่อง<br />
แสดงฐานะของเจ้าของบ้าน หลังคาจะมุงด้วยกระเบื้อง<br />
ซีเมนต์รูปขนมเปียกปูน เรียกว่า กระเบื้องว่าว<br />
จากนั้นมาผู้คนทั่วไปหันมาให้ความนิยมบ้านไม้<br />
169
๖<br />
ดื่มด่ำย่านชุมชน
กรุงรัตนโกสินทร์เป็นที่ตั้งของชุมชนหลายแห่งซึ่งราษฎรแต่ละชุมชน<br />
ได้รวมตัวกันประกอบอาชีพที่สุจริต ผลิตผลงานหัตถศิลป์เลี้ยงชีวิต<br />
ตามความเชี่ยวชาญที่ได้สั่งสมและสืบทอดกันต่อมาเป็นเวลายาวนาน จนแต่ละ<br />
ชุมชนมีชื่อเสียงและสามารถสร้างเอกลักษณ์ในด้านการผลิตงานหัตถศิลป์ต่างๆ<br />
ซึ่งต่อมาได้กลายเป็นสมบัติอันล้ำค่า เป็นที่เชิดหน้าชูตาของชาวชุมชน และผู้คน<br />
บนเกาะรัตนโกสินทร์
บ้านลาน<br />
ชุมชนช่างทอง<br />
บ้านพานถม<br />
ถนนดินสอ<br />
บ้านธูป<br />
ชุมชนกรงนก<br />
บ้านน้ำอบ<br />
บ้านดอกไม้<br />
บ้านสาย<br />
บ้านบาตร<br />
ย่านสังฆภัณฑ์<br />
ถนนตีทอง<br />
แผนที่กรุงรัตนโกสินทร์<br />
สมัยรัชกาลที่ ๕ พ.ศ. ๒๔๔๘<br />
172
นับแต่สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์<br />
เป็นราชธานีแห่งขอบขัณฑสีมาราชอาณาจักร<br />
สยาม เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ ภายใต้ร่มพระมหา<br />
เศวตฉัตรและพระบรมโพธิสมภารของพระมหา<br />
กษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งทรงมุ่งหวัง<br />
ตั้งพระราชหฤทัยปกครองประเทศให้รุ่งเรือง<br />
ด้วยหลักทศพิธราชธรรม ตามครรลองแห่ง<br />
สมเด็จพระบรมศาสดา บ้านเมืองได้บังเกิด<br />
ความก้าวหน้า นำความร่มเย็นผาสุกมาสู่<br />
มหาชน ตลอดจนแผ่นดินสยาม <br />
ราษฎรทั้งหลายยังได้รับอิสระเสรี<br />
ในการประกอบอาชีพ จึงสามารถเนรมิตผลงาน<br />
หัตถศิลป์ด้วยความคิดสร้างสรรค์และฝีมือ<br />
เชิงช่างที่โดดเด่นเป็นเอกลักษณ์ แสดง<br />
ความมีศิลปะในฐานะศิลปินของชาวสยาม<br />
เป็นสมบัติล้ำค่า ซึ่งควรรักษาและสืบทอด<br />
ให้สถาพรสืบไป<br />
173
แ ผ น ผั ง ห้องดื่มด่ำย่านชุมชน<br />
ชุมชนกรงนก<br />
บ้านธูป<br />
บ้านพานถม<br />
๕<br />
๖<br />
บ้านลาน<br />
๔<br />
๓<br />
ชุมชนช่างทอง<br />
๒<br />
จุดเริ่มต้น<br />
ถนนดินสอ<br />
๑<br />
174
บ้านน้ำอบ<br />
บ้านสาย<br />
๗<br />
๘<br />
บ้านดอกไม้<br />
๙<br />
บ้านบาตร<br />
๑๐<br />
๑๑<br />
ย่านสังฆภัณฑ์<br />
ทางเข้า-ออก<br />
๑๒<br />
ถนนตีทอง<br />
175
ชุมชนหัตถศิลป์ ถิ่นเมืองกรุง<br />
<br />
นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ <br />
ทรงสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นเป็นราชธานี มีกลุ่มคนหลากหลายเชื้อชาติ เข้ามาพำนักลงหลักปักฐาน<br />
พึ่งพระบรมโพธิสมภารเป็นจำนวนมาก กลุ่มคนต่างๆ เหล่านี้ได้เข้ามาร่วมกันเติมเต็มและสรรค์สร้าง<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ให้เจริญรุ่งเรือง ด้วยเป็นแรงงานสำคัญในการผลิตสิ่งของเครื่องใช้ในชีวิตประจำวัน<br />
ของชาวพระนครจนเกิดเป็นย่านชุมชน ซึ่งผู้คนในท้องถิ่นได้ร่วมกันผลิตงานหัตถศิลป์ตามความถนัดของตน<br />
ซึ่งได้รับการสืบทอดต่อมาเป็นเวลายาวนาน จนขึ้นชื่อเรื่องความเชี่ยวชาญและมีเอกลักษณ์ เป็นที่รู้จัก<br />
อย่างกว้างขวาง <br />
ดังปรากฏชื่อบ้านหรือย่านชุมชน ซึ่งบ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าเป็นท้องถิ่นที่ประกอบสัมมาอาชีพ<br />
และมีความชำนาญในด้านใด ไม่ว่าจะเป็นถนนตีทอง ย่านสังฆภัณฑ์ บ้านบาตร บ้านดอกไม้ บ้านสาย <br />
บ้านน้ำอบ บ้านธูป ชุมชนกรงนก บ้านพานถม บ้านลาน ชุมชนช่างทอง ซึ่งยังคงผลิตงานหัตถศิลป์<br />
หรือเป็นแหล่งจำหน่ายสินค้าหัตถกรรม สืบทอดความภาคภูมิใจของชุมชนต่อมา แต่ก็มีหลายชุมชน <br />
เช่น บ้านหม้อ บ้านปูน บ้านอีเลิ้ง ที่แม้ทุกวันนี้จะเหลือเพียงชื่อให้เรียกขานก็ตาม แต่ก็ทำให้คนรุ่นหลัง<br />
ได้ย้อนรำลึกถึงถิ่นฐาน ซึ่งครั้งหนึ่งในอดีตกาลเคยเป็นย่านชุมชนของผู้คนซึ่งมีความชำนาญในงานช่าง<br />
สามารถสรรค์สร้างงานหัตถศิลป์ซึ่งเป็นภูมิปัญญาอันประณีต แสดงถึงอุปนิสัยของชาวสยามว่าเป็นผู้ที่มี<br />
ความอดทน ใจเย็น และเป็นผู้มีศิลปะ เพราะงานหัตถศิลป์แต่ละชิ้น กว่าจะสำเร็จลุล่วงไปได้ ล้วนใช้เวลา แรงกาย<br />
และแรงใจที่ต้องทุ่มเทให้อย่างสุดความสามารถ จึงเป็นการสมควรอย่างยิ่งที่คนรุ่นใหม่ในสมัยรัตนโกสินทร์<br />
จะพึงระลึกถึงคุณค่าและภูมิใจในภูมิปัญญาของบรรพบุรุษที่ได้สั่งสมไว้<br />
<br />
เรือนแถวริมถนนบำรุงเมือง<br />
บริเวณหน้าวัดสุทัศนเทพวราราม ในสมัยรัชกาลที่ ๕ <br />
เป็นย่านชุมชนการค้าที่สำคัญแห่งหนึ่งในกรุงรัตนโกสินทร์
นำเสนอด้วยเทคนิคชาโดว์ อินเทอร์แอคทีฟ<br />
(Shadow Interactive) ผสมกับเทคโนโลยี<br />
การจับสัญญาณเลเซอร์แบบละเอียด <br />
เมื่อผู้ชมยืนอยู่ที่จุดสีเหลือง จะปรากฏ<br />
ลวดลายบนพื้นซึ่งจะฉายไปยังตูู้้ซึ่งจัดแสดง<br />
ผลงานหัตถศิลป์ของชุมชนต่างๆ <br />
พร้อมวีดิทัศน์เล่าประวัติของชุมชน<br />
และวิธีการทำงานหัตถศิลป์ต่างๆ <br />
<br />
177
กูบหนัง ใช้สำหรับ<br />
ตีทองคำให้เป็น<br />
แผ่นบาง<br />
ทองคำหนัก ๑ บาท<br />
(๑๕.๒ กรัม)<br />
สามารถตีเป็น<br />
ทองคำเปลว<br />
ได้ประมาณ ๔,๐๐๐<br />
แผ่น<br />
พระพุทธรูปปางมารวิชัย<br />
ทรงจีวรลายดอก<br />
ลงรักปิดทอง<br />
ศิลปะสมัย<br />
ต้นรัตนโกสินทร์<br />
มีจำหน่ายในย่าน<br />
สังฆภัณฑ์<br />
ถนนบำรุงเมือง<br />
๑. ๑ ถนนตีทอง <br />
แยกคอกวัว ทำทองคำเปลว<br />
การตีทองหรือการทำทองคำเปลว ถือเป็นอาชีพ<br />
สงวนในช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ เนื่องจากช่างทอง<br />
ทุกประเภทถือเป็นข้าน้ำคนหลวงของพระเจ้าแผ่นดิน<br />
เมื่อมีการเลิกทาสในสมัยรัชกาลที่ ๕ ได้พระราชทานเสรี<br />
ในการทำทอง ช่างตีทองจึงได้ประกอบอาชีพตีทองคำเปลวที่นี่<br />
เป็นแห่งแรก เมื่อถนนตัดผ่านบริเวณนี้ จึงมีชื่อว่าถนนตีทอง<br />
๒. ๒ ย่านสังฆภัณฑ์ ถนนบำรุงเมือง<br />
จำหน่ายสังฆภัณฑ์<br />
เมื่อร้อยกว่าปีมาแล้ว ได้เกิดการรวมกลุ่มเป็นย่าน<br />
หรือชุมชนเพื่อผลิตเครื่องสังฆภัณฑ์หรือสิ่งของเครื่องใช้<br />
สำหรับพระภิกษุสามเณรและการทำพระพุทธรูป<br />
ตั้งเรียงรายอยู่ริมถนนบำรุงเมือง เริ่มตั้งแต่ประตูผีเรื่อยไป<br />
จนถึงบริเวณเสาชิงช้าหน้าวัดสุทัศนเทพวราราม สินค้า<br />
บางชนิดก็รับมาจากย่านอื่น เช่น บาตรจากบ้านบาตร<br />
สายรัดประคดจากบ้านสาย ทองคำเปลวจากถนนตีทอง<br />
ธูปหอมจากย่านถนนมหาไชย ซึ่งมีลูกค้ามาเลือกซื้อ<br />
พระพุทธรูปและเครื่องสังฆภัณฑ์สืบทอดแรงศรัทธาใน<br />
พระพุทธศาสนามาจวบจนปัจจุบัน<br />
ย่านถนนตีทอง สมัยรัชกาลที่ ๕<br />
178
บาตรทรงตะโก<br />
ขนาดเส้นผ่าน<br />
ศูนย์กลาง ๗ นิ้ว<br />
ผลิตโดยช่างจาก<br />
ตระกูลเสือศรีเสริม<br />
พเยียมาศ ดอกไม้พุ่ม หรือ<br />
พวงดอกไม้ เป็นดอกไม้ไฟ<br />
ประเภทหนึ่งที่นิยมใช้ในงาน<br />
พระราชพิธีสำคัญ เมื่อจุด<br />
พุ่มแต่ละชั้นจะดีดตัวแผ่ออก<br />
ดอกไม้ไฟจะสุกสว่าง<br />
ไปตามแรงของดินปืน<br />
๓. ๓ บ้านบาตร <br />
ถนนบริพัตร ทำบาตรพระ<br />
การทำบาตรพระเป็นอาชีพเก่าแก่และมีการรวมตัว<br />
เป็นชุมชนมาตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ สืบเชื้อสาย<br />
มาจากบรรพบุรุษชาวกรุงศรีอยุธยา ผลิตบาตรถูกต้องตาม<br />
ลักษณะในพุทธบัญญัติด้วยความประณีต มีชื่อเสียงเลื่องลือ<br />
ส่งออกจำหน่ายทั้งในและต่างประเทศ และยังคงเป็นหนึ่ง<br />
ในแหล่งหัตถศิลป์ถิ่นเมืองกรุงที่ได้สืบสานศิลปะการทำ<br />
บาตรโบราณอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน<br />
<br />
๔. ๔ บ้านดอกไม้ <br />
รอบวัดสระเกศ ทำดอกไม้ไฟ<br />
การทำดอกไม้ไฟเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีมาแต่ครั้ง<br />
รัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ชาวบ้านที่มี<br />
อาชีพทำดอกไม้ไฟ ตั้งถิ่นฐานบริเวณริมคลองโอ่งอ่าง <br />
นอกกำแพงพระนครเพื่อความปลอดภัย เมื่อบ้านเมือง<br />
ขยายตัวจนย่านนี้ไม่เหมาะสมที่จะเป็นสถานที่ผลิตดอกไม้ไฟ<br />
ก็ยังคงมีการรับดอกไม้ไฟจากทั้งในและต่างประเทศ<br />
เข้ามาจำหน่าย ซึ่งสะดวกและปลอดภัย ทำให้บ้านดอกไม้<br />
เป็นเพียงชื่อบ้านนามเมืองให้เล่าขานกันในปัจจุบัน<br />
ชุมชนบ้านบาตรและชุมชนบ้านดอกไม้ <br />
อยู่บริเวณใกล้กับภูเขาทอง วัดสระเกศ<br />
179
สายรัดประคด<br />
เป็นหนึ่งในเครื่อง<br />
อัฐบริขารสำคัญ<br />
ที่ต้องใช้ความประณีต<br />
ในการทำอย่างยิ่ง<br />
น้ำอบไทยเป็นเครื่องหอม<br />
ที่ปรุงจากดอกไม้นานาชนิด<br />
มีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์<br />
ด้วยภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทย<br />
๕<br />
บ้านสาย ถนนมหาไชย <br />
ทำสายรัดประคด<br />
การทำสายรัดประคด (ผ้าคาดเอวสำหรับพระภิกษุ)<br />
เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่มีการรวมตัวกันเป็นชุมชนเรียกขานว่า<br />
ชุมชนบ้านสาย ตั้งอยู่ริมถนนมหาไชย สายรัดประคดที่นี่<br />
ทำด้วยไหม ฝีมือประณีตสวยงามมาก นอกจากนี้ ยังทำ<br />
ถุงตะเคียวสำหรับหุ้มบาตรพระ ส่งขายที่ย่านสังฆภัณฑ์<br />
อีกด้วย<br />
ปัจจุบันไม่มีการผลิตสายรัดประคดอีกต่อไป จึงเหลือ<br />
เพียงชื่อชุมชนบ้านสายให้ระลึกถึงเท่านั้น<br />
<br />
๖. ๖ บ้านน้ำอบ <br />
ถนนมหาไชย ทำน้ำอบไทย<br />
น้ำอบไทยเป็นเครื่องหอมที่ใช้ประพรมร่างกายของ<br />
ชาวกรุงเมื่อกว่า ๑๐๐ ปี มาแล้ว <br />
ร้านน้ำอบไทยนางลอยตั้งอยู่ริมถนนมหาไชย<br />
บริเวณตลาดนางลอย เยื้องวัดบพิตรพิมุข ต่อมาย้ายมา<br />
อยู่ที่ถนนมหาไชย ตรงข้ามกับวัดเทพธิดาราม แต่ผู้สืบทอด<br />
ยังคงใช้ชื่อว่าน้ำอบไทยนางลอยเช่นเดิม<br />
<br />
180<br />
ย่านถนนมหาไชย ในสมัยรัชกาลที่ ๕
ธูปหอมมีวิวัฒนาการ<br />
ส่วนผสมทั้งไทยและเทศ<br />
จนเกิดเป็นธูปไทยแท้<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ <br />
ซึ่งมีกลิ่นหอมมากกว่า<br />
ธูปชนิดอื่นๆ อันเกิด<br />
จากการผสมผสาน<br />
สมุนไพรหลายชนิด<br />
เข้าด้วยกันอย่างลงตัว<br />
ธูปหอมถนนสนามไชย<br />
เป็นต้นตำรับ<br />
ธูปหอมโบราณ<br />
เพียงแห่งเดียว<br />
ในประเทศ<br />
กรงนกเขา กรงนกปรอดหัวจุก<br />
หัตถกรรมฝีมือชุมชน<br />
เชื้อสายชาวใต้ <br />
เป็นงานที่ละเอียดอ่อนมาก <br />
แต่ละกรงใช้เวลาทำนับเดือน <br />
ยังคงหาซื้อได้ที่ชุมชนกรงนก<br />
หลังป้อมมหากาฬ<br />
๗. ๗ บ้านธูป <br />
ถนนมหาไชย ทำธูปหอม<br />
การทำธูปหอมไทยนั้น มีเอกลักษณ์แตกต่างจากการทำ<br />
ธูปของจีน และมีการผลิตมาแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์<br />
เนื่องจากธูปเป็นเครื่องบูชาในพิธีกรรมทางศาสนา การทำธูป<br />
เป็นภูมิปัญญาไทยชั้นเลิศที่บรรพบุรุษได้สั่งสมเอาไว้<br />
ในอดีตย่านถนนมหาไชย มีร้านค้าที่มีชื่อเสียงในการทำ<br />
ธูปหอมหลายราย แต่ในปัจจุบันเหลืออยู่เพียงแห่งเดียว<br />
เท่านั้นที่ยังคงสืบทอดการทำธูปแบบโบราณ<br />
<br />
๘. ๘ ชุมชนกรงนก <br />
ชุมชนหลังป้อมมหากาฬ ทำกรงนก<br />
ชาวใต้ที่อพยพเข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณป้อมมหากาฬ<br />
ส่วนหนึ่งเป็นชาวมุสลิมที่มีฝีมือในการประดิษฐ์กรง<br />
นกเขาชวา มีหลายรูปทรง และได้สืบทอดหัตถกรรม<br />
ทำกรงนกเขาและกรงนกปรอดหัวจุกจากรุ่นปู่ย่าตายาย<br />
ด้วยฝีมืออันประณีต แม้ปัจจุบันเหลือครอบครัวชาวใต้<br />
ผลิตกรงนกเพียง ๒ ราย แต่ยังมีลูกค้ามาอุดหนุนอยู่เสมอ<br />
<br />
ชุมชนกรงนกริมคลองโอ่งอ่างหลังป้อมมหากาฬ<br />
181
เครื่องถมเป็นงาน<br />
ประณีตศิลป์ที่ทำจาก<br />
วัตถุดิบที่มีค่า <br />
ประกอบกับกรรมวิธี<br />
ที่สลับซับซ้อนและต้อง<br />
อาศัยช่างฝีมือชั้นสูง<br />
เครื่องถมเป็นรองเพียง<br />
เครื่องทองคำเท่านั้น<br />
ใบลานได้รับการสร้างสรรค์<br />
ขึ้นเป็นเครื่องใช้<br />
ในชีวิตประจำวัน นับตั้งแต่<br />
ของเล่น เครื่องใช้ เครื่องราง<br />
ของขลัง และสิ่งของ<br />
ในพระพุทธศาสนา <br />
อาทิ คัมภีร์ใบลาน<br />
๙. ๙ บ้านพานถม <br />
หลังวัดปรินายก ทำเครื่องถม<br />
เครื่องถมเป็นเครื่องใช้ในราชสำนัก ด้วยเหตุนี้<br />
ย่านที่ผลิตเครื่องถมจึงตั้งอยู่ไม่ไกลจากพระบรมมหาราชวัง<br />
เพื่อความสะดวกในการสั่งงานและควบคุมการผลิต <br />
นอกจากชื่อเสียงด้านทำพานถมแล้ว บ้านพานถม<br />
ยังเป็นแหล่งผลิตเครื่องถมหลายรูปแบบทั้งภาชนะและ<br />
เครื่องประดับต่างๆ แต่ปัจจุบันการทำเครื่องถมเหลือเพียง<br />
แห่งเดียว คือ ร้านไทยนคร ซึ่งเปิดกิจการมาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๗๕<br />
<br />
๑๐<br />
บ้านลาน บางขุนพรหม <br />
ทำผลิตภัณฑ์ใบลาน<br />
การทำงานหัตถกรรมประเภทต่างๆ ด้วยใบลานนั้น<br />
เกิดขึ้นบริเวณท่าน้ำริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยาใกล้วังบางขุนพรหม<br />
การค้าใบลานจึงเจริญรุ่งเรืองขึ้นที่นี่ จนเรียกกันติดปากว่า<br />
บ้านลาน แต่ปัจจุบันความนิยมใบลานลดลงอย่างมาก<br />
บ้านลานที่เคยเป็นตลาดใบลานอันคึกคักจึงเหลือร้านลานทอง<br />
เพียงร้านเดียวที่ยังจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากใบลาน<br />
<br />
182<br />
วังบางขุนพรหม
เครื่องทองชุมชนมัสยิด<br />
จักรพงษ์มีวิธีการขึ้นรูป<br />
หลากหลายลักษณะ <br />
เช่น การเคาะขึ้นรูป <br />
การขัด การสาน <br />
หรือขับ เป็นต้น<br />
งานที่โดดเด่นคือ<br />
แหวนนพเก้า<br />
ดินสอพองมีประโยชน์<br />
หลากหลาย ในอดีตนิยมใช้เป็น<br />
เครื่องประทินผิว โดยนำมา<br />
ละลายน้ำหรือน้ำหอม<br />
ประพรมร่างกาย นอกจากนี้<br />
ยังใช้แก้พิษ ผด ผื่นคัน <br />
ใช้ทำความสะอาดเครื่องเงิน<br />
นาก ทองเหลือง <br />
นำไปผสมสีทาไม้ <br />
ผสมสีทาบ้าน ฯลฯ<br />
๑๑ ชุมชนช่างทอง ชุมชนมัสยิด<br />
จักรพงษ์ ทำเครื่องทอง<br />
ช่วงต้นรัตนโกสินทร์ช่างทำทองถือเป็นช่างฝีมือ<br />
ชั้นสูง ผู้ที่มีฝีมือในการทำเครื่องทองรูปพรรณจะได้รับสิทธิ<br />
พิเศษมากกว่าคนทั่วไป เช่น ชุมชนมัสยิดจักรพงษ์ <br />
เคยเป็นย่านที่อยู่อาศัยของช่างทองหลวงชาวมุสลิม <br />
ซึ่งได้รับพระมหากรุณาธิคุณและไว้วางพระราชหฤทัย<br />
ให้ตั้งถิ่นฐานบ้านเรือนภายในเขตคูเมืองกรุงรัตนโกสินทร์ <br />
นอกจากนั้น ชาวมุสลิมเหล่านี้ยังมีความรู้เรื่อง<br />
การทำทองเป็นอย่างดี ฝีมือประณีต และมีลวดลาย<br />
เป็นเอกลักษณ์ น่าเสียดายที่ปัจจุบันช่างทองส่วนใหญ่<br />
ได้เลิกอาชีพทำเครื่องทองไปเกือบหมดแล้ว<br />
<br />
๑๒<br />
ถนนดินสอ <br />
เสาชิงช้า ทำดินสอพอง<br />
สันนิษฐานว่า คำว่าดินสอนั้น กร่อนมาจากดินสอขาว<br />
หรือดินสอดำสำหรับใช้เขียนกระดานชนวนหรือสมุดข่อย<br />
บ้างว่าน่าจะเป็นดินสอพองที่ใช้ประทินผิว ช่างทำดินสอพอง<br />
ที่ชุมชนบ้านดินสอจะใช้ดินขาวจากต่างถิ่นที่ลำเลียงมา<br />
ทางเรือเป็นวัตถุดิบ<br />
แม้ว่าการผลิตและจำหน่ายดินสอพองที่บ้านดินสอ<br />
ได้เลิกไปนานแล้ว แต่ชื่อบ้านดินสอยังเป็นที่จดจำสืบมา<br />
<br />
ย่านถนนดินสอ<br />
183
184<br />
๗ เยี่ยมยลถิ่นกรุง
ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐๐ ปี กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่ได้รับ<br />
การทำนุบำรุงให้รุ่งเรืองในทุกด้าน ด้วยพระบรมโพธิสมภารของพระมหา<br />
กษัตริย์ซึ่งทรงมุ่งหวังตั้งพระราชหฤทัยบันดาลความผาสุกให้บังเกิดแก่<br />
พสกนิกร มหานครแห่งนี้จึงบริบูรณ์ด้วยสถาปัตยกรรมอันล้ำค่า มั่งคั่งด้วย<br />
การค้าการพาณิชย์ พรั่งพร้อมด้วยสรรพพิพิธวิทยา ซึ่งล้วนควรได้รับการรักษา<br />
และสืบทอดให้เป็นสมบัติล้ำค่า เป็นมรดกที่คงความงามสง่าสืบไป<br />
<br />
185
186<br />
กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่มี<br />
ความเจริญรุ่งเรืองสืบมานับตั้งแต่ได้รับ<br />
การสถาปนาในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธ<br />
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมกษัตริย์แห่ง<br />
พระบรมราชจักรีวงศ์ ที่ทรงตั้งพระราช<br />
หฤทัย “จะอุปถัมภก ยอยกพระพุทธศาสนา<br />
จะป้องกันขอบขัณฑสีมา รักษาประชาชนแล<br />
มนตรี”<br />
ด้วยพระบารมีแห่งพระมหากษัตริย์<br />
ทุกรัชกาลที่ทรงสืบสานพระราชปณิธาน<br />
อันแน่วแน่ กรุงรัตนโกสินทร์จึงเป็นศูนย์กลาง<br />
ของสยามประเทศที่เปี่ยมด้วยสถานที่อันงดงาม<br />
บริบูรณ์ด้วยสถาปัตยกรรมอันล้ำค่า ควรแก่<br />
การได้ทัศนาและเยี่ยมยล ซึ่งจะยังความภูมิใจ<br />
ให้บังเกิดแก่มหาชนชาวสยาม ว่าได้อาศัยอยู่<br />
บนแผ่นดินที่ประดับด้วยมรดกอันทรงค่า <br />
เป็นราชธานีที่มีความงามสง่าทัดเทียมนานา<br />
อารยประเทศ
187
แ ผ น ผั ง ห้องเยี่ยมยลถิ่นกรุง<br />
๕<br />
สำราญการกิน<br />
๖<br />
๕<br />
รวมสรรพจับจ่าย<br />
๖<br />
๗<br />
๗<br />
๑<br />
๑<br />
เยือนย่ำค่ำคืน<br />
ถ่ายภาพหรรษากับร้านฉายาราชดำเนิน<br />
188
B<br />
B<br />
เยี่ยมยล<br />
กรุงรัตนโกสินทร์<br />
เพียงนิ้วสัมผัส<br />
จุดที่ ๒<br />
๔<br />
๔<br />
พินิจพิพิธภัณฑ์<br />
๓<br />
๓<br />
๒<br />
A<br />
รื่นรมย์ชมสวน<br />
ทางเข้า - ทางออก<br />
A<br />
เยี่ยมยล<br />
กรุงรัตนโกสินทร์<br />
เพียงนิ้วสัมผัส<br />
จุดที่ ๑<br />
๒<br />
สถาปัตย์วัดวัง<br />
189
190 ๕๘<br />
จำลองร้านถ่ายภาพในอดีต <br />
โดยให้ผู้เข้าชมร่วมสนุก<br />
ด้วยการถ่ายภาพ<br />
ผ่านกล้องดิจิทัล<br />
ที่ซ่อนอยู่ในกล้องโบราณ<br />
จำลอง จากนั้นภาพใบหน้าของผู้เข้าชม<br />
จะปรากฏในวีดิทัศน์ประกอบอะนิเมชั่น<br />
นำชมกรุงรัตนโกสินทร์ที่จัดแสดง<br />
ภายในห้องเยี่ยมยลถิ่นกรุง
๑<br />
ระบบจอสัมผัสที่สามารถเลือกชม<br />
รายละเอียดของสถานที่สำคัญต่างๆ <br />
ในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
แต่ละช่องหน้าต่างจัดแสดงภาพและชื่อของสถานที่สำคัญต่างๆ <br />
ภายในกรุงรัตนโกสินทร์ โดยแบ่งเป็น ๖ ช่อง ๖ กลุ่ม ได้แก่ <br />
๑. สถาปัตย์วัดวัง (วัด วัง และสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์) <br />
๒. รื่นรมย์ชมสวน (สวนสาธารณะ)<br />
๓. พินิจพิพิธภัณฑ์ (พิพิธภัณฑ์) <br />
๔. สำราญการกิน (ย่านที่มีชื่อเสียงเรื่องอาหารรสอร่อย) <br />
๕. รวมสรรพจับจ่าย (แหล่งจำหน่ายสินค้านานาชนิด) <br />
๖. เยือนย่ำค่ำคืน (สถานที่สำคัญยามค่ำคืนที่ควรเยี่ยมยล)<br />
หากผู้เข้าชมอยากทราบรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องความเป็นมา <br />
สถานที่ตั้ง และการเดินทาง สามารถเลือกชมได้จากช่องหน้าต่าง <br />
“เยี่ยมยลกรุงรัตนโกสินทร์เพียงนิ้วสัมผัส”<br />
ภาพใบหน้าของผู้เข้าชมจะปรากฏ<br />
ที่ตัวการ์ตูนอะนิเมชั่น ด้วยเทคนิค<br />
การตัดต่อภาพระบบดิจิทัล <br />
ซึ่งสามารถแยกเพศของผู้เข้าชม<br />
ที่เป็นชายและหญิงให้สอดคล้องกับ<br />
ลักษณะของการ์ตูนอะนิเมชั่น<br />
แต่ละตัว<br />
ผู้เข้าชมสามารถมองลงไปยัง<br />
ห้องที่ ๖ ดื่มด่ำย่านชุมชน <br />
ผ่านกระจกใส ซึ่งจะทำให้เห็น<br />
ลวดลายที่สวยงามซึ่งจัดแสดงอยู่<br />
บนพื้นห้องในอีกหนึ่งมุมมอง<br />
191
๒<br />
สถาปัตย์วัดวัง<br />
<br />
กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่พระบวรพุทธ<br />
ศาสนาหยั่งรากและเจริญรุ่งเรืองเฟื่องฟู ด้วยการอุปถัมภ์<br />
ค้ำชูจากพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ซึ่งทรง<br />
ทศพิธราชธรรมและทรงดำเนินกุศโลบายในการปกครอง<br />
ประเทศให้เป็นปึกแผ่นมั่นคงตามครรลองแห่งสมเด็จ<br />
พระบรมศาสดา ชาวสยามจึงบังเกิดความผาสุกภายใต้<br />
พระบรมโพธิสมภาร ทั้งยังมีพระราชศรัทธาสถาปนา<br />
พระอารามที่งดงามด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรมปรากฏ<br />
เป็นเกียรติยศล้ำค่าของแผ่นดิน<br />
ช่องหน้าต่างสถาปัตย์วัดวังจัดแสดง<br />
ภาพพระอารามสำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์<br />
รวมทั้งสิ้น ๑๓ แห่ง ได้แก่<br />
๑. วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม<br />
๒. วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม<br />
๓. วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม<br />
๔. วัดบวรนิเวศวิหาร<br />
๕. วัดชนะสงคราม<br />
๖. วัดสุทัศนเทพวราราม<br />
๗. วัดอินทรวิหาร<br />
๘. วัดเทพธิดาราม<br />
๙. วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์<br />
๑๐. วัดราชบุรณะ<br />
๑๑. โลหะปราสาท วัดราชนัดดาราม<br />
๑๒. ภูเขาทอง วัดสระเกศ<br />
๑๓. คุรุดวารา สมาคมศรีคุรุสิงห์สภา<br />
นอกจากนี้ยังมีภาพสถานที่สำคัญต่างๆ<br />
ได้แก่ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ (เสาชิงช้า<br />
เทวสถาน (โบสถ์พราหมณ์) ศาลหลักเมือง<br />
ศาลเจ้าพ่อเสือ โบสถ์กาลหว่าร์) วัง<br />
(พระที่นั่งอนันตสมาคม วังบางขุนพรหม<br />
วังวรดิศ วังจันทรเกษม) อนุสาวรีย์<br />
(พระบรมรูปทรงม้า อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย<br />
อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา ๑๖ อนุสาวรีย์หมู)<br />
สะพาน (สะพานปีกุน สะพานผ่านฟ้าลีลาศ<br />
สะพานผ่านพิภพลีลา สะพานมหาดไทย<br />
อุทิศ) ป้อม (ป้อมมหากาฬ ป้อมพระสุเมรุ)<br />
192
พระมหาเจดีย์ ๔ รัชกาล<br />
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม<br />
พระอุโบสถ<br />
วัดสระเกศ<br />
พระตำหนักเพ็ชร <br />
วัดบวรนิเวศวิหาร<br />
ผู้เข้าชมสามารถเลือกชมรายละเอียด<br />
ของพระอารามต่างๆ ที่จัดแสดง <br />
ได้จากจอระบบสัมผัส<br />
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม<br />
งามตระหง่านพระนอนองค์ใหญ่<br />
แผ่นหินอ่อนบันทึกไว้ ความรู้คู่ทั้งโลก-ธรรม<br />
เดิมชื่อวัดโพธาราม สร้างในรัชกาลพระเพทราชา สมัยกรุงศรีอยุธยา <br />
ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงยกฐานะขึ้นเป็น<br />
พระอารามหลวงมีพระราชาคณะปกครองตั้งแต่นั้นมา ปัจจุบันคนทั่วไป<br />
นิยมเรียกสั้นๆ ว่า “วัดโพธิ์” เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๑ พระมหากษัตริย์<br />
ทุกพระองค์ทรงอุปถัมภ์บำรุงสืบมา มีพระไสยาสงดงามขนาดใหญ่ <br />
ที่ฝ่าพระบาทประดับมุกรูปสัญลักษณ์มงคลและจักรวาล แผ่นหินอ่อนที่ประดับ<br />
ศาลารายจารึกสรรพตำรา ๘ หมวด และยังมีพิพิธภัณฑ์และศิลปกรรม<br />
หลากหลายสาขาให้เรียนรู้ จึงเป็นเสมือนคลังความรู้ทั้งทางโลกและทางธรรม <br />
ที่ถือเป็น “มหาวิทยาลัยเปิดแห่งแรก” ของคนไทย<br />
ที่ตั้ง ๒ ถนนสนามไชย <br />
แขวงพระบรมมหาราชวัง<br />
เขตพระนคร กรุงเทพฯ<br />
เวลาเปิด ๐๘.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. ทุกวัน<br />
ค่าเข้าชม ชาวต่างชาติ ๕๐ บาท<br />
การเดินทาง รถประจำทางสาย ๑ ๓ ๙ <br />
๓๒ ๔๔ ๔๗ เป็นต้น<br />
<br />
193
ช่องหน้าต่างรื่นรมย์ชมสวนจัดแสดง<br />
ภาพสวนสาธารณะในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
รวมทั้งสิ้น ๔ แห่ง ได้แก่<br />
๑. สวนสันติชัยปราการ<br />
๒. พระราชอุทยานสราญรมย์<br />
๓. สวนรมณีนาถ<br />
๔. สนามหลวง<br />
<br />
๓<br />
รื่นรมย์ชมสวน<br />
<br />
กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่มีความพิเศษ<br />
อย่างหนึ่งนอกเหนือจากความงดงามของสถาปัตยกรรม<br />
คือเป็นราชธานีที่มีสวนสาธารณะตั้งอยู่ในบริเวณเดียวกับ<br />
สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ประชาชนจึงสามารถ<br />
พักผ่อนในบรรยากาศอันร่มรื่นของแมกไม้ ผสานกับ<br />
กลิ่นอายของโบราณสถานที่ชวนให้ย้อนรำลึกถึงเรื่องราว<br />
อันเก่าแก่และรุ่งโรจน์ไม่เสื่อมคลาย ไม่ว่าจะเป็นสวนสันติ<br />
ชัยปราการ ซึ่งตั้งอยู่เคียงข้างป้อมพระสุเมรุ สวนรมณีนาถ<br />
ซึ่งเคยเป็นกองมหันตโทษมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ <br />
สนามหลวง ซึ่งมีมาตั้งแต่แรกตั้งกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ตลอดจนพระราชอุทยานสราญรมย์ สวนสาธารณะที่เคยเป็น<br />
พระราชอุทยานมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔<br />
194
สนามหลวง<br />
สวนสันติชัยปราการ<br />
สวนรมณีนาถ<br />
ผู้เข้าชมสามารถเลือกชมรายละเอียด<br />
ของสวนสาธารณะต่างๆ ที่จัดแสดง<br />
ได้จากจอระบบสัมผัส<br />
พระราชอุทยานสราญรมย์<br />
สวนเก่าแก่ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔<br />
เป็นที่ตั้งของพระราชวังสราญรมย์ ที่ประทับของพระบรมวงศานุวงศ์<br />
และเป็นสถานที่รับรองพระราชอาคันตุกะจากต่างประเทศในสมัยรัชกาลที่ ๕<br />
และเป็นที่จัดงานฤดูหนาวตลอดรัชกาลที่ ๖ ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />
รัชกาลที่ ๗ พระราชทานเพื่อให้คณะราษฎรใช้เป็นสถานที่ทำการและเป็นที่ตั้ง<br />
“สโมสรคณะราษฎร” ใน พ.ศ. ๒๕๐๓ คณะรัฐมนตรีได้มีมติมอบให้เทศบาล<br />
นครกรุงเทพฯ จากนั้นได้มีการปรับปรุงบริเวณพระราชอุทยานให้เป็นสวนรุกขชาติ<br />
และสวนสาธารณะมาจนถึงปัจจุบัน<br />
ที่ตั้ง ระหว่างถนนเจริญกรุง <br />
ตัดกับถนนราชินี <br />
แขวงพระบรมมหาราชวัง<br />
เขตพระนคร กรุงเทพฯ<br />
เวลาเปิด ๐๕.๐๐ - ๒๐.๐๐ น. ทุกวัน<br />
การเดินทาง รถประจำทางสาย ๑ ๓ <br />
๖ ๙ ๑๒ ๒๕ ๓๒ ๔๔ <br />
ปอ. ๘ ๒๕ ๔๔ เป็นต้น<br />
195
ช่องหน้าต่างพินิจพิพิธภัณฑ์จัดแสดง<br />
ภาพพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่ตั้งอยู่ภายใน<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ รวมทั้งสิ้น ๙ แห่ง ได้แก่<br />
๑. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ<br />
ศิลป์ พีระศรี อนุสรณ์<br />
๒. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ <br />
หอศิลป<br />
๓. พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จ<br />
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
๔. พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ <br />
พระนคร<br />
๕. พิพิธภัณฑ์การเรียนรู้แห่งชาติ<br />
๖. พิพิธภัณฑ์การศึกษาไทย<br />
๗. พิพิธภัณฑ์ราชทัณฑ์<br />
๘. พิพิธภัณฑ์รัชกาลที่ ๖<br />
๙. พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ<br />
๔<br />
พินิจพิพิธภัณฑ์<br />
<br />
พิพิธภัณฑ์เป็นคลังความรู้และสถานที่รวบรวม<br />
สมบัติอันล้ำค่าของชาติที่บรรพชนได้สรรค์สร้างและ<br />
มีการสืบทอดต่อมา ราชธานีใดที่พรั่งพร้อมไปด้วย<br />
พิพิธภัณฑ์ย่อมภูมิใจได้ว่าเป็นราชธานีที่มั่งคั่งด้วย<br />
นักปราชญ์และบริบูรณ์ด้วยมรดกประจำชาติ เฉกเช่น<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ ราชธานีที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนาน<br />
และยืนหยัดอย่างมั่นคงดำรงฐานะศูนย์กลางของประเทศ<br />
เป็นเวลามากกว่า ๒๐๐ ปี มีพิพิธภัณฑ์น่าสนใจ ควรที่<br />
ประชาชนจะได้เยี่ยมยล เพื่อชื่นชมศิลปะและโบราณวัตถุ<br />
อันมีค่า ซึ่งนอกจากจะได้รับสาระอันเป็นประโยชน์ ยังได้รับ<br />
ความเพลิดเพลินจากการเดินชมนวัตกรรมและเทคนิค<br />
การจัดแสดงที่ทันสมัย สร้างความตื่นตาตื่นใจได้เป็นอย่างดี<br />
196
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ <br />
พระนคร<br />
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ <br />
หอศิลป<br />
พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ <br />
หน้ากระทรวงกลาโหม<br />
ผู้เข้าชมสามารถเลือกชมรายละเอียด<br />
ของพิพิธภัณฑ์ต่างๆ ที่จัดแสดง<br />
ได้จากจอระบบสัมผัส<br />
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
รวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ตลอดพระชนมชีพ<br />
แหล่งรวบรวมข้อมูล ภาพถ่าย เครื่องใช้อันเนื่องด้วยพระบาทสมเด็จ<br />
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตลอดพระชนมชีพ พร้อมทั้งให้ข้อมูลและเรื่องราว<br />
เหตุการณ์ทางสังคม เศรษฐกิจ และการเมืองเพื่อเป็นบริบทในการสร้าง<br />
ความเข้าใจในพระราชดำริและพระราชจริยวัตรของพระองค์<br />
ที่ตั้ง ๒ ถนนหลานหลวง<br />
แขวงโสมนัส <br />
เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย <br />
กรุงเทพฯ<br />
เวลาเปิด ๐๙.๐๐ - ๑๖.๐๐ น.<br />
วันอังคาร - วันอาทิตย์<br />
ค่าเข้าชม ไม่เสียค่าเข้าชม<br />
การเดินทาง รถประจำทางสาย ๒ ๑๕<br />
๔๔ ๔๗ ๕๙ ๖๐ ๑๖๙ <br />
ปอ. ๖๐ ๗๙ ๕๑๑ เป็นต้น<br />
197
ช่องหน้าต่างสำราญการกินจัดแสดง<br />
ภาพย่านที่มีชื่อเสียงเรื่องอาหารรสชาติ<br />
อร่อย รวมทั้งสิ้น ๑๐ แห่ง ได้แก่<br />
๑. ท่าเตียน<br />
๒. ท่าพระอาทิตย์<br />
๓. ท่าพระจันทร์<br />
๔. ท่าช้าง<br />
๕. แพร่งนรา<br />
๖. แพร่งภูธร<br />
๗. แพร่งสรรพศาสตร์<br />
๘. เยาวราช<br />
๙. สำราญราษฎร์<br />
๑๐. เวิ้งนาครเขษม<br />
198<br />
๕<br />
สำราญการกิน<br />
<br />
กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์รวม<br />
ของประชาชนหลากเชื้อชาติที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรม<br />
โพธิสมภารของพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี <br />
จนก่อเกิดเป็นชุมชนหลายถิ่นที่ซึ่งมีเอกลักษณ์ด้านต่างๆ<br />
เป็นของตน ดังจะเห็นได้จากเครื่องแต่งกาย วิถีการดำเนิน<br />
ชีวิต วัฒนธรรม รวมถึงอาหาร ซึ่งปัจจุบันมีวางจำหน่าย<br />
ให้สามารถเลือกชิมรสชาติที่แปลกลิ้นจากวัตถุดิบที่ได้<br />
เลือกสรรมาเป็นอย่างดี ผ่านกรรมวิธีการปรุงตามตำรับ<br />
ที่ได้รับการสืบทอดต่อกันมาจากบรรพบุรุษ จนเลื่องลือ<br />
เรื่องความอร่อย และหาโอกาสลิ้มลองได้จากหลายแหล่ง<br />
ซึ่งล้วนแต่มีร้านอาหารรสโอชะ ไม่ว่าจะเป็นท่าช้าง ท่าเตียน<br />
ท่าพระอาทิตย์ ท่าพระจันทร์ แพร่งนรา แพร่งภูธร<br />
แพร่งสรรพศาสตร์ เวิ้งนาครเขษม สำราญราษฎร์ และ<br />
เยาวราช
โรตีมะตะบะ ท่าพระอาทิตย์<br />
ขนมเบื้องโบราณ ถนนพระอาทิตย์ หูฉลาม เยาวราช<br />
ผู้เข้าชมสามารถเลือกชมรายละเอียดของ<br />
ย่านอาหารรสชาติดีและมีเอกลักษณ์<br />
ได้จากจอระบบสัมผัส<br />
เยาวราช<br />
ถนนสายทองคำ ที่รวบรวมอาหารสัญชาติจีนแสนอร่อย<br />
นอกจากจะเป็นศูนย์รวมร้านค้าทองคำที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยแล้ว<br />
เยาวราชยังเป็นแหล่งอาหารสดและแห้งตามตำรับอาหารจีนที่ใหญ่ที่สุด<br />
ในกรุงเทพฯ ในทุกเทศกาลของจีน ไม่ว่าจะเป็นตรุษจีน สารทจีน สารทขนมจ้าง<br />
หรือไหว้พระจันทร์ ทั้งเครื่องเซ่นไหว้และข้าวของเครื่องใช้ประกอบพิธี<br />
สามารถหาได้จากที่นี่อย่างครบครัน และหากต้องการซื้อตัวยาสมุนไพรในตำราจีน<br />
ก็รับประกันได้ว่าไม่ผิดหวัง เพราะไม่ว่าจะเป็นสูตรยาตัวไหนก็สามารถหาซื้อได้<br />
ในยามค่ำคืน สองฟากฝั่งถนนเยาวราชจะเต็มไปด้วยร้านอาหารริมทาง<br />
นับร้อยที่เลิศรสเทียบชั้นภัตตาคาร ทั้งหูฉลาม แพะตุ๋นยาจีน ซุปรังนก ซึ่งหา<br />
รับประทานได้ไม่ยาก ท่ามกลางบรรยากาศอันหลากหลายและเต็มไปด้วย<br />
ชีวิตชีวา ทำให้เยาวราชเป็นย่านที่มากไปด้วยสีสันอีกแห่งหนึ่งของกรุงเทพฯ <br />
ที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด<br />
อาหารขึ้นชื่อ ก๋วยจั๊บ<br />
บะหมี่ลูกชิ้นปลา <br />
เย็นตาโฟแคะ <br />
เนื้อแพะผัดขึ้นฉ่าย<br />
ก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่<br />
ข้าวแกงกะหรี่ <br />
เฉลิมบุรีหูฉลาม<br />
เล่าตั้งห่านพะโล้ <br />
ไท้เฮงข้าวมันไก่ไหหลำ<br />
การเดินทาง รถประจำทางสาย ๔๐ <br />
๔๘ ๕๓ ๗๓ <br />
ปอ. ๗๓ ๕๒๙ เป็นต้น<br />
<br />
199
ช่องหน้าต่างรวมสรรพจับจ่าย<br />
จัดแสดงภาพแหล่งจำหน่ายสินค้า<br />
ประเภทต่างๆ ในกรุงรัตนโกสินทร์ <br />
รวมทั้งสิ้น ๙ แห่ง ได้แก่<br />
๑. ตลาดนางเลิ้ง<br />
๒. บ้านหม้อ<br />
๓. ท่าพระจันทร์<br />
๔. ถนนบำรุงเมือง<br />
๕. พาหุรัด<br />
๖. สำเพ็ง<br />
๗. โบ๊เบ๊<br />
๘. บางลำพู<br />
๙. เยาวราช<br />
200<br />
๖<br />
รวมสรรพจับจ่าย<br />
<br />
ความคึกคักของย่านการค้าในปัจจุบัน ชวนให้ย้อน<br />
รำลึกถึงประวัติศาสตร์อันยาวนานของราชธานีที่มีนามว่า<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ ศูนย์กลางของประเทศและเป็นแหล่งรวม<br />
ผู้คนหลากเชื้อชาติ แต่สามารถอาศัยอยู่ร่วมกันได้อย่าง<br />
ร่มเย็นเป็นอิสระภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร ประชาชน<br />
จึงมีความผาสุก สามารถประกอบกิจการงาน ดำเนิน<br />
การค้าขาย ผลิตและจำหน่ายสินค้าได้อย่างเสรี จนเกิด<br />
เป็นย่านที่มีชื่อเสียงเรื่องเอกลักษณ์ คุณภาพ และราคา<br />
สินค้า ไม่ว่าจะเป็นบ้านหม้อ แหล่งรวมเครื่องมือ<br />
อิเล็กทรอนิกส์ ท่าพระจันทร์ แหล่งรวมพระเครื่อง ถนน<br />
บำรุงเมือง ซึ่งเรียงรายด้วยร้านขายเครื่องสังฆภัณฑ์ <br />
สำเพ็ง ตลาดขายส่งเครื่องประดับ หรือพาหุรัด แหล่งที่มี<br />
สินค้าประเภทผ้านานาชนิด
พาหุรัด ตลาดผ้านานาประเภท<br />
ท่าพระจันทร์ แหล่งรวม<br />
ผู้รักการสะสมพระเครื่อง<br />
เยาวราช แหล่งรวมร้านขายทอง<br />
คุณภาพดี<br />
ผู้เข้าชมสามารถเลือกชมรายละเอียด<br />
ของแหล่งจำหน่ายสินค้านานาประเภท<br />
ได้จากจอระบบสัมผัส<br />
พาหุรัด<br />
ขายทั้งผ้าซิ่น ผ้าสำเร็จรูปนานาชาติ และนานาของชำร่วย<br />
ถนนพาหุรัดเป็นย่านที่มีสินค้าให้เลือกสรรอย่างหลากหลาย ทั้งผ้าตัด<br />
อุปกรณ์ตัดเย็บ รวมไปถึงเสื้อผ้าสำเร็จรูปสารพัดชาติ ทั้งชุดไทยในการแสดง<br />
นาฏศิลป์ ชุดจีน และโดยเฉพาะส่าหรีของชาวอินเดีย เนื่องด้วยการขายผ้า<br />
เป็นอาชีพที่สืบทอดมาจากชาวซิกข์รุ่นแรกที่เข้ามาในเมืองไทย นอกจากนี้<br />
พาหุรัดยังมีชุมชนเล็กๆ ที่ยังดำเนินวิถีแบบภารตะอยู่ จนทำให้หลายๆ คน ขนาน<br />
นามพาหุรัดว่าเป็น “ลิตเติ้ล อินเดีย” เมืองไทย<br />
ที่ตั้ง แขวงวังบูรพาภิรมย์ <br />
เขตพระนคร กรุงเทพฯ<br />
การเดินทาง รถประจำทางสาย ๑ ๒๑ <br />
๓๗ ๕๓ เป็นต้น<br />
201
ช่องหน้าต่างเยือนย่ำค่ำคืนจัดแสดง<br />
ภาพบรรยากาศยามค่ำคืนของสถานที่<br />
สำคัญต่างๆ ในบริเวณกรุงรัตนโกสินทร์<br />
รวมทั้งสิ้น ๗ แห่ง ได้แก่<br />
๑. พระบรมมหาราชวัง<br />
๒. ภูเขาทอง<br />
๓. ถนนราชดำเนิน<br />
๔. ท้องแหวน<br />
๕. ถนนข้าวสาร<br />
๖. สะพานพุทธสแควร์<br />
๗. แม่น้ำเจ้าพระยา<br />
๗<br />
เยือนย่ำค่ำคืน<br />
<br />
บรรยากาศยามค่ำคืนของกรุงรัตนโกสินทร์เป็นอีกหนึ่ง<br />
มนต์เสน่ห์ที่เนรมิตให้มหานครแห่งนี้มีความสวยงาม<br />
แปลกตา น่าหลงใหล ด้วยมีแสงไฟหลายล้านดวง<br />
ส่องกระทบแผ่นฟ้าและพื้นผิวของบรรดาอาคารสถานต่างๆ<br />
ซึ่งล้วนได้รับการตกแต่งด้วยศิลปะและสถาปัตยกรรม<br />
อันประณีตงดงาม เกิดเป็นทัศนียภาพที่น่าประทับใจ <br />
ไม่ว่าจะเป็นพระบรมมหาราชวัง สถานที่ตั้งของพระมหา<br />
ปราสาทราชมณเฑียรที่สว่างเจิดจ้าดุจรัศมีแห่งพระบารมี<br />
ของพระมหากษัตริย์ และถนนราชดำเนิน ถนนใจกลางกรุง<br />
ซึ่งถูกประดับด้วยแสงไฟฟ้า โดยเฉพาะในช่วงวันเฉลิม<br />
พระชนมพรรษาของทุกปี<br />
202
ทัศนียภาพ<br />
ริมสองฝั่งแม่น้ำ<br />
เจ้าพระยา<br />
หลังอาทิตย์อัสดง<br />
พระบรมมหาราชวังยามค่ำคืน<br />
บรรยากาศเมื่อยามเย็นมาเยือน<br />
ที่ถนนข้าวสาร<br />
ผู้เข้าชมสามารถเลือกชมรายละเอียด<br />
และบรรยากาศยามค่ำคืนของสถานที่<br />
สำคัญต่างๆ ตามที่จัดแสดง<br />
ได้จากจอระบบสัมผัส<br />
ถนนข้าวสาร<br />
ถนนสายบันเทิงยามค่ำคืนที่มีสีสันของนักท่องเที่ยวชาวไทย<br />
และชาวต่างชาติ<br />
เดิมบริเวณนี้เคยเป็นสถานที่ขายข้าวสาร ปัจจุบันได้กลายเป็นอีกหนึ่ง<br />
สถานที่ท่องเที่ยวราคาประหยัด เพราะค่าที่พักและย่านสถานบันเทิงยามราตรีนั้น<br />
ไม่สูงจนเกินไป<br />
ยามค่ำคืนถนนข้าวสารมีสีสันและชีวิตชีวา มีร้านอาหารให้เลือกหลากหลาย<br />
ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหารเล็กๆ ริมถนนหรือร้านใหญ่โต ซึ่งล้วนแล้วแต่ราคาไม่แพง<br />
โดยทั่วไปจะมีหนุ่มสาวและนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากอยู่ท่ามกลาง<br />
บรรยากาศยามราตรีที่เต็มไปด้วยแสงสีและเสียงดนตรีบนถนนสายนี้<br />
ที่ตั้ง แขวงตลาดยอด <br />
เขตพระนคร กรุงเทพฯ<br />
การเดินทาง รถประจำทางสาย ๓ ๖ ๙ <br />
๑๕ ๓๐ ๓๒ ๔๓ ๕๓ <br />
๖๕ เป็นต้น<br />
<br />
203
๘<br />
ห้อง<br />
เรืองรุ่ง<br />
วิถีไทย<br />
204
ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐๐ ปี นับจากเมื่อครั้งที่มีการสถาปนาราชธานี<br />
อันมีนาม รัตนโกสินทร์ ชาวสยามได้สืบทอดวิถีความเป็นไทยที่สืบสาย<br />
มาตั้งแต่สมัยโบราณ และสามารถผสมผสานขนบธรรมเนียมวัฒนธรรม<br />
อันหลากหลายให้กลมกลืนเข้าด้วยกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียวด้วยความคิด<br />
สร้างสรรค์ บังเกิดเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติอันโดดเด่น เป็นแบบแผน<br />
อันดีงาม และเป็นความภูมิใจที่อนุชนควรได้ร่วมกันรักษาให้รุ่งเรือง<br />
ตลอดไป <br />
205
206<br />
สยามประเทศ เป็นพระราชอาณาจักรที่สามารถธำรงรักษา<br />
ความเป็นเอกราชสืบมา ด้วยความวิริยะและความอุตสาหะของเหล่า<br />
บรรพบุรุษ ที่ได้ร่วมแรงร่วมใจปกป้องผืนแผ่นดินถิ่นมาตุภูมิไว้ให้เป็น<br />
ปึกแผ่นมั่นคง และดำรงวิถีความเป็นไทยที่มีเอกลักษณ์อันโดดเด่น<br />
ให้รุ่งเรืองสืบสานมาเป็นเวลาหลายร้อยปี
ด้วยความคิดริเริ่มสร้างสรรค์และด้วยความชาญฉลาด<br />
ที่สามารถสอดประสานแบบแผนการดำเนินชีวิตประจำวันให้เข้ากับ<br />
ลักษณะเฉพาะทางภูมิศาสตร์อันมีสายน้ำเป็นหลักสำคัญของท้องถิ่น<br />
ก่อบังเกิดเป็นวัฒนธรรมที่ทรงคุณค่า เป็นขนบธรรมเนียมประเพณี<br />
อันงามสง่า สะท้อนภูมิปัญญาและความมีอารยะของชาวสยาม <br />
นับเป็นความภูมิใจที่ควรรักษาและสืบทอดต่อไป<br />
<br />
จัดแสดงหุ่นจำลองแบบแผน<br />
บ้านเรือน วิถีชีวิต และประเพณี<br />
ของไทยในอดีต<br />
207
แ ผ น ผั ง ห้องเรืองรุ่งวิถีไทย<br />
วิถีไทย ชีวิตเคียงคู่สายน้ำ<br />
๒<br />
ถนน...เส้นทางสู่พัฒนาการแห่งวิถีไทย<br />
<br />
๓<br />
๑<br />
๒<br />
ประเพณีกับชีวิต<br />
ทางเข้า<br />
๑<br />
A<br />
๓<br />
๔<br />
เส้นทางลัด<br />
ข้ามไปยัง<br />
จุดจัดแสดง<br />
หมายเลข ๔<br />
A<br />
สู่บ้านเมือง<br />
ยุคพัฒนา<br />
เป็นอารยะ<br />
๔<br />
208
๘<br />
ธำรงคุณค่าความเป็นไทย...<br />
ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกคน<br />
ภาพยนตร์...สื่อสะท้อนสังคมร่วมสมัย<br />
ทางออก<br />
๕<br />
๖<br />
๘<br />
๗<br />
๗<br />
๖<br />
๕<br />
สงครามโลกครั้งที่ ๒...<br />
คนลำบาก ชาติลำเค็ญ<br />
สังคมไทยสมัยเปลี่ยนผ่าน<br />
วิวัฒนาการสู่ความเป็นสากล<br />
209
๑<br />
ประเพณีกับชีวิต<br />
วิถีชีวิตของคนไทยในอดีตที่เรียบง่าย <br />
และประสานกลมกลืนไปกับกระแสการเปลี่ยนแปลง<br />
ของธรรมชาติ มีส่วนสร้างสรรค์ให้เกิดประเพณี<br />
สำคัญที่สอดคล้องต้องกันกับสภาพความเป็นอยู่<br />
ประเพณีแห่งการเกิด...<br />
เบื้องต้นแห่งความสุขในโลกนี้<br />
ในอดีต การแพทย์ยังไม่เจริญก้าวหน้า การคลอดลูก<br />
มักเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายถึงชีวิต ในการป้องกันเหตุร้าย<br />
ที่อาจเกิดกับหญิงมีครรภ์ อันเป็นช่วงที่ต้องระมัดระวัง<br />
อันตรายต่างๆ อย่างเคร่งครัด เพื่อให้คลอดง่าย และเพื่อ<br />
ป้องกันดูแลทารกแรกเกิดที่ร่างกายยังบอบบางอ่อนแออยู่<br />
ข้อปฏิบัติต่างๆ จึงถูกคิดขึ้นและได้รับการถ่ายทอด<br />
จนกลายเป็นธรรมเนียมประเพณี นอกจากจะป้องกันและ<br />
ปัดเป่าสิ่งไม่ดีที่อาจเป็นอันตรายต่อแม่และลูก ยังถือเป็น<br />
การเสริมสร้างสิริมงคลแก่ชีวิตที่เพิ่งเริ่มต้นของเด็ก<br />
อีกด้วย<br />
งานศพ...ยินดีที่พ้นทุกข์<br />
งานศพเป็นงานที่บรรดาญาติมิตรจะมาร่วมงาน<br />
เพื่อแสดงความเห็นใจ ร่วมแรงร่วมใจ ช่วยเหลือครอบครัว<br />
ของผู้ตาย และมาร่วมแสดงความเคารพ ความอาลัย<br />
ความกตัญญูต่อคนตายเป็นครั้งสุดท้าย ในงานเผาศพ<br />
อาจมีการจัดแสดงมหรสพต่างๆ ให้ผู้มาร่วมงานได้ชม<br />
เป็นที่สนุกสนานครื้นเครง เพื่อแสดงว่าผู้ตายได้พ้นทุกข์<br />
ไปสู่สุคติภพแล้ว<br />
<br />
210
ของคนไทย ตั้งแต่แรกเกิดจนกระทั่งวาระสุดท้าย<br />
ด้วยในทุกขั้นตอนของแต่ละประเพณี ล้วนมีความหมาย<br />
และแฝงภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของคนไทย<br />
ไว้ด้วยกันได้อย่างเหมาะสม<br />
<br />
การบวช...ครั้งหนึ่งในชีวิตลูกผู้ชาย<br />
ธรรมเนียมไทยแต่โบราณ เมื่อผู้ชายอายุครบ ๒๐ ปี<br />
บริบูรณ์ขึ้นไปจะต้องบวช เพื่อสืบทอดพระพุทธศาสนา<br />
ให้ยั่งยืน ทำให้ชายผู้นั้นมีโอกาสได้รับการอบรมศีลธรรม<br />
และจริยธรรม อันจะน้อมนำให้มีจิตใจดีและประพฤติตน<br />
ไปในทางที่ถูกที่ควร เชื่อกันว่าบิดามารดาของชายที่บวชนั้น<br />
จะได้รับอานิสงส์ผลบุญติดตัวไปในชาติภพหน้าด้วย ในพิธีบวช<br />
ผู้ที่บวชหรือ “นาค” จะโกนผม ห่มขาว สวมลอมพอก<br />
หรือรูปนาคบนศีรษะ ให้คนหามหรือขี่ม้าขี่ช้าง แล้วแห่ขบวน<br />
ไปที่วัด มีการเล่นดนตรีและการฟ้อนรำทำเพลงตลอดทาง<br />
<br />
การแต่งงาน…มีเหย้ามีเรือน เป็นฝั่งเป็นฝา<br />
การแต่งงานคือการขยายวงศ์ตระกูลออกไป<br />
เป็นครอบครัวใหม่ ผู้ที่แต่งงานแล้วทั้งผู้หญิงและผู้ชาย <br />
จะแยกครอบครัวออกไปทำมาหากินตามลำพังระหว่างสามี<br />
ภรรยา จึงต้องมีบ้านเรือนเป็นสัดเป็นส่วนของตนเอง <br />
ด้วยเหตุนี้ ผู้ที่แต่งงานแล้วจึงเรียกว่า ออกเรือน มีเหย้า<br />
มีเรือน หรือเป็นฝั่งเป็นฝาไปแล้ว<br />
211
ประเพณีการเกิด การแต่งงาน <br />
และการทำศพของคนไทย<br />
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ จัดแสดง<br />
ด้วยระบบจอสัมผัส<br />
212 ๕๘<br />
ภาพการคลอดบุตรของคนไทยสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ <br />
จิตรกรรมฝาผนังพระอุโบสถวัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม<br />
ฝีมือช่างสมัยรัชกาลที่ ๓<br />
ผู้เข้าชมจะได้รับความรู้ควบคู่ความเพลิดเพลิน<br />
จากการเล่นเกมต่างๆ ระหว่างเลือกชมข้อมูล<br />
เช่น เกมเลือกทรงผมสำหรับเด็ก
การลงอู่สู่เปล<br />
การส่งตัว<br />
การสวดศพ<br />
การเกิด...จุดเริ่มต้นแห่งชีวิต <br />
การเกิดถือเป็นเรื่องสำคัญ จึงมีธรรมเนียมปฏิบัติ<br />
หลายขั้นตอน ซึ่งผู้เข้าชมจะได้เรียนรู้ประเพณีการเกิดของ<br />
คนไทยผ่านเกมต่างๆ เช่น เกมร่อนกระด้ง เกมเลือกทรงผม <br />
เกมลงอู่สู่เปล และเกมโกนจุก<br />
เก มเหล่านี้ นอกจากจะสร้างความเพลิดเพลินแล้ว <br />
ยังสอดแทรกความรู้ คติความเชื่อ ตลอดจนภูมิปัญญาของ<br />
คนไทยที่แฝงไว้ในแต่ละขั้นตอน เพื่อการดูแลมารดาและ<br />
ทารกให้ดีที่สุด<br />
การแต่งงาน...ลงหลักปักฐานแห่งชีวิต<br />
เมื่อหญิงชายตกลงปลงใจสร้างครอบครัว จะต้อง<br />
ประกอบพิธีแต่งงานที่ถูกต้องตามประเพณี ผู้เข้าชมจะได้<br />
สัมผัสและเรียนรู้ประเพณีการแต่งงานของคนไทยสมัยอดีต<br />
ในแต่ละขั้นตอนผ่านเกมต่างๆ ได้แก่ เกมทาบทามสู่ขอ<br />
เกมสร้างเรือนหอ เกมยกขบวนขันหมาก เกมซัดน้ำ และ<br />
เกมเกี่ยวก้อยส่งตัว<br />
นอกจากความสนุกสนานเพลิดเพลินจากการเล่น<br />
เกมต่างๆ แล้ว ผู้เข้าชมยังได้ความรู้เกี่ยวกับประเพณี<br />
การแต่งงานของคนไทยในอดีต ซึ่งแต่ละขั้นตอนได้แฝง<br />
ความหมายอันดีงาม สะท้อนถึงภูมิปัญญาของคนไทย<br />
ที่มุ่งหมายให้เกิดความเป็นสิริมงคลแก่คู่บ่าวสาว<br />
การทำศพ...พิธีสุดท้ายแห่งชีวิต<br />
การทำศพในอดีตมีวิธีการปฏิบัติหลายอย่าง<br />
เพียงผู้เข้าชมสัมผัสที่จอภาพจะได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับ<br />
ประเพณีการทำศพของคนไทยในแต่ละขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็น<br />
การอาบน้ำศพ การแต่งตัวศพ การมัดตราสัง การบรรจุศพ <br />
การสวดศพ และการเก็บอัฐิ<br />
ขั้นตอนต่างๆ ที่ผู้เข้าชมได้เรียนรู้ นอกจากเป็นการแสดง<br />
ความเคารพและรำลึกถึงผู้ตายแล้ว ยังแสดงให้เห็นถึง<br />
วิธีปฏิบัติเกี่ยวกับการทำศพของคนไทยที่ยังสืบทอดต่อมา<br />
จนถึงปัจจุบัน<br />
๑<br />
213
จัดแสดงด้วยเทคนิคการฉายภาพ<br />
อะนิเมชั่นประกอบเพลงฉ่อย <br />
ซึ่งมีเนื้อร้องเกี่ยวกับชีวิตริมน้ำ<br />
ของคนไทยในอดีต<br />
ผู้เข้าชมจะได้รับความเพลิดเพลิน<br />
จากการนั่งชมอะนิเมชั่น<br />
ประกอบเพลงฉ่อย บนเรือจำลอง <br />
ที่มีระบบไฮโดรลิก ที่ให้ความรู้สึก<br />
เสมือนลอยอยู่เหนือสายน้ำ<br />
214
๒<br />
วิถีไทย ชีวิตเคียงคู่สายน้ำ<br />
คนไทยในอดีตส่วนใหญ่ดำเนินชีวิตอยู่ตามริมฝั่ง<br />
ของสายน้ำต่างๆ ตามสภาพภูมิประเทศ วัฒนธรรม<br />
และประเพณีอันหลากหลายจึงผูกพันกับน้ำทั้งสิ้น <br />
อาจกล่าวได้ว่า สายน้ำคือวิถีชีวิตดั้งเดิมของคนไทย<br />
ก่อนเรือจำลองล่องออกจากท่า <br />
ผู้เข้าชมจะได้รับชมภาพบรรยากาศสองฝั่งแม่น้ำ<br />
ลำคลองสายสำคัญของกรุงรัตนโกสินทร์ในอดีต<br />
ซึ่งฉายบนฉากที่สามารถเลื่อนเก็บได้อัตโนมัติ<br />
<br />
ตลอดการรับชมอะนิเมชั่น<br />
ประกอบเพลงฉ่อย ผู้เข้าชมจะได้รับ<br />
ความรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตริมน้ำ<br />
จากนายท้ายเรือซึ่งรับหน้าที่นำผู้เข้าชม<br />
ย้อนกลับไปสู่กรุงรัตนโกสินทร์<br />
สมัยอดีต ที่ผู้คนมีวิถีชีวิตผูกพัน<br />
กับสายน้ำ<br />
215
ลูกคู่ (เอ่อเอิงเอิ้งเอย...............)<br />
สาว เรือนไทยแต่ก่อนเก่า ใต้ถุนสูง<br />
ถึงน้ำท่วมก็ไม่ยุ่ง ไม่ยากใจ<br />
หนุ่ม บ้านฉันเป็นเรือนแพ แน่นอนกว่า<br />
น้ำนองน้ำบ่า ก็ไม่เป็นไร<br />
สาว เออแกว่าบ้านแก แน่นอนกว่า<br />
น้ำนองน้ำบ่า ไม่กลุ้มใจ<br />
แต่บ้านของแก มันอยู่บนแพลูกบวบ<br />
พอน้ำพะเยิบแพก็พะยวบ น่าคลื่นไส้<br />
หนุ่ม ฮึ......ไม่คลื่นไส้<br />
มาอยู่แพกับพี่มั่ง แล้วแม่ร้อยชั่งจะทราบ<br />
มันพะเยิบพะยาบ ซิถึงใจ เอย<br />
(รับ เอ่ชา เอ้ช้า ชาฉัดฉ่าชา หน่อยแม่)<br />
<br />
หญิง เออ เอิง เอย ชะเออเอิงเอ๊ย<br />
บ้านเราร้อนเหลือ เหงื่อไหลไคลย้อย<br />
ได้อาบน้ำเสียหน่อย มันถึงจะชื่นใจ<br />
อยากจะอาบน้ำ ก็ลงไปอาบที่ท่า<br />
เขาจึงเรียกอาบน้ำอาบท่า นั่นยังไง<br />
ชาย (โผล่ขึ้นจากน้ำพูด) อ๋อ.....เข้าใจละ<br />
หญิง ว้าย..........ผีทะเล<br />
ชาย (ร้องต่อ)<br />
แม่น้ำคลองนี้ ไม่มีหรอกผีทะเล<br />
ระวังแต่ไอ้เข้ มันจะคาบไป<br />
หญิง อ๋อให้ระวังไอ้เข้ มันคาบไป<br />
ไอ้เข้ไอ้โขง ไม่เคยเห็นมานัวเนีย<br />
มีแต่ไอ้ตัวเห้เนี่ย ลายๆ<br />
(ลูกคู่รับเอ่ชา...............................)<br />
<br />
(เด็กๆ ร้องเล่นกัน)<br />
ไอ้เข้ไอ้โขงมะโรงไม้สัก<br />
อ้ายเข้ฟันหัก กัดคนไม่เข้า<br />
(ไอ้เข้กระโจน เด็กๆ ร้องกรี๊ดว่ายน้ำหนี)<br />
<br />
เรือนไทย บ้านริมสายน้ำ<br />
เนื่องด้วยชาวไทยมักอาศัยอยู่ตามริมน้ำ จึงสร้าง<br />
บ้านเรือนให้สอดคล้องกับระดับน้ำขึ้นน้ำลง ด้วยการยก<br />
ใต้ถุนบ้านให้สูงพ้นผิวน้ำ หรือสร้างบ้านบนแพลอยอยู่<br />
เหนือน้ำซึ่งสามารถเดินทางหรือเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่<br />
ต่างๆ ที่แม่น้ำไหลผ่านได้อีกด้วย<br />
<br />
ชีวิตชาวไทยคู่สายน้ำ<br />
ชาวไทยนิยมสร้างบ้านเรือนอยู่ริมน้ำ เพราะการ<br />
คมนาคมในอดีตมีเรือเป็นพาหนะสำคัญ ทั้งยังสะดวก<br />
ต่อการใช้น้ำในการบริโภคและอุปโภค สายน้ำจึงเป็น<br />
ส่วนหนึ่งของชีวิตชาวไทยตลอดมา <br />
216
ทำมาหากินกับสายน้ำ<br />
ด้วยในอดีตสัตว์น้ำสำหรับการบริโภคยังชุกชุม<br />
แม่น้ำลำคลองต่างๆ จึงเป็นแหล่งทำมาหาเลี้ยงชีพ<br />
และเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของคนไทย ซึ่งนิยมนำปลา<br />
และกุ้งมาประกอบอาหารหลากหลายประเภท<br />
บันเทิงเริงใจบนสายน้ำ<br />
เนื่องจากชีวิตของชาวไทยผูกพันอยู่กับสายน้ำ<br />
ประเพณีตลอดจนการละเล่นต่างๆ จึงเกี่ยวกับน้ำหรือ<br />
จัดขึ้นในลำน้ำ ไม่ว่าจะเป็นการลอยกระทงหรือการเล่น<br />
เพลงเรือ ที่หนุ่มสาวจะพายเรือแล้วร้องเพลงตอบโต้กัน<br />
ไปมาหรือเกี้ยวพาราสีกันอย่างสนุกสนาน<br />
ลูกคู่ (เอ่อเอิงเอิ้งเอย...............)<br />
สนุกสนาน สำราญกันทั่วหน้า<br />
จะซักผ่อนซักผ้า ล้างถ้วยล้างไห<br />
น้ำกินน้ำใช้ ก็ไม่เคยขัดสน<br />
เอาสารส้มคนๆ แล้วก็ใช้ได้<br />
จะไปวัดไปไหว้<br />
ก็ไปทางน้ำทางเรือ<br />
บ้านใต้บ้านเหนือ<br />
ซะเป็นส่วนใหญ่<br />
๒<br />
กุ้งหอยปูปลา มีอยู่ในน้ำพร้อมเสร็จ<br />
ทอดแหตกเบ็ด เดี๋ยวก็ได้เดี๋ยวก็ได้<br />
ข้าวปลาอาหารเหลือเฟือ ไม่มีอด<br />
กินกันไม่หมดก็ขายไป เอย<br />
(ลูกคู่รับ เอ่ชา เอ้ช้า ชาฉ่าชา หน่อยแม่)<br />
ลูกคู่ (เอ่อเอิงเอิ้งเอย...............)<br />
(นอละนอ.................................ฮ้าไฮ้ เชี้ยบๆ)<br />
พอถึงหน้าน้ำ ก็สนุกหนักหนา<br />
การละเล่นนานา (ฮ้า) ถมถืดไป<br />
พวกหนุ่มสาวชาวบ้าน เบิกบานกระดี๊กระด๊า<br />
ได้โอกาสแล้วหวา (ฮ้า) อย่าช้าไย<br />
พวกหนุ่มๆ สาวๆ พายเรือมาประจัน<br />
แล้วร้องเพลงเรือเกี้ยวกัน (ฮ้า) เป็นคู่ไป<br />
ตอบกันไปโต้กันมา ส่งสายตามาประสาน<br />
ผลสุดท้ายก็แต่งงาน (ฮ้า) กันสมใจ<br />
ลูกคู่ (เอ่อเอิงเอิ้งเอย...............)<br />
เดือนสิบเอ็ดน้ำนอง เดือนสิบสองน้ำทรง<br />
เราก็ลอยกระทง (ฮ้า) ลงน้ำไป<br />
เพื่อจะขอขมา พระแม่คงคาเป็นพิธี<br />
ที่เราได้ย่ำยี (ฮ้า) หาน้อยไม่<br />
ทั้งอาบกินใช้สอย ทั้งลอยเรือขึ้นล่อง<br />
ทั้งหนักเบาชิ้งฉ่อง (ฮ้า) ต้องขออภัย<br />
นี่แหละคือวิถี ที่เราใช้ชีวิต<br />
สายน้ำคือวิถี ที่เราใช้ชีวิต<br />
เขายกให้เป็นเวนิส ตะวันออกไกล<br />
(ดนตรี/ลูกคู่รับ นอละนอ...............ฮ้าไฮ้ เชี้ยบๆ)<br />
217
หลังจากรับชมอะนิเมชั่น<br />
ประกอบเพลงฉ่อย<br />
เรือจำลองจะนำผู้ชม<br />
เข้าจอดเทียบตู้โดยสาร<br />
ภายในรถรางซึ่งเป็น<br />
ยานพาหนะในสมัยแรกมีถนน<br />
แบบตะวันตกเกิดขึ้น<br />
ในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
๓<br />
ผู้เข้าชมจะได้รับความรู้เรื่องถนนตามแบบอย่างตะวันตกในบรรยากาศ<br />
จำลองการนั่งรถรางชมทัศนียภาพสองฝั่งถนนในกรุงรัตนโกสินทร์สมัยอดีต<br />
218
ถนน…เส้นทาง<br />
สู่พัฒนาการแห่งวิถีไทย<br />
<br />
ในอดีต สยามยังไม่มีถนนหนทางสัญจร ส่วนใหญ่<br />
เป็นทางที่ถางไว้พอให้คนเดินหรือเกวียนผ่านได้เท่านั้น<br />
เนื่องจากผู้คนนิยมเดินทางทางน้ำมากกว่าทางบก<br />
จนกระทั่งรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
พระองค์มีพระราชดำริว่า สยามควรมีถนนดีๆ ไว้ใช้<br />
เพื่อเป็นหน้าเป็นตาแก่ประเทศ จึงทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนขึ้น ผู้คนเรียกกันติดปากว่า ถนนใหม่<br />
ภายหลังพระราชทานชื่อให้ว่า ถนนเจริญกรุง หลังจากนั้น<br />
จึงมีการตัดและปรับปรุงถนนสายอื่นๆ เรื่อยมา อาทิ ถนน<br />
บำรุงเมือง ถนนเฟื่องนคร เป็นต้น เมื่อมีการตัดถนน<br />
ความเจริญด้านการคมนาคมและสาธารณูปโภคต่างๆ <br />
ก็เริ่มหลั่งไหลเข้ามาสู่วิถีชีวิตของชาวสยามมากขึ้น<br />
ผู้เข้าชมจะได้รับความรู้เรื่องการคมนาคม<br />
และระบบสาธารณูปโภคต่างๆ อันทันสมัย <br />
เมื่อแรกมีขึ้นในกรุงรัตนโกสินทร์ ผ่านการถ่ายทอด<br />
จากวีดิทัศน์โดยสองสาวพี่น้อง และการจัดแสดงด้วย<br />
เทคนิคโฮโลแกรม (Hologram) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีขั้นสูง<br />
ที่สามารถแสดงภาพแบบ ๓ มิติ<br />
219
ก่อนผู้เข้าชมจะก้าวลงจาก<br />
รถรางจำลอง จะได้ยินเสียงเพลง<br />
ที่มีเนื้อร้องกล่าวถึงรถราง<br />
ซึ่งเป็นเพลงที่แพร่หลาย<br />
ในช่วงก่อน พ.ศ. ๒๕๑๑ <br />
อันเป็นปีสิ้นสุดการเดินรถราง<br />
โดยสารในสยาม<br />
ปิ๊ด ปี้ ปิ๊ด เสียงนกหวีดสั่งให้รถจอด<br />
จอดจ้าจอด ถึงสามยอดรถจอดทันที<br />
อาเฮียอย่าเพิ่งขึ้นมา อาเฮียอย่าเพิ่งขึ้นมา<br />
ขอให้คุณป้าแกลงก่อนซี<br />
ขึ้นแล้วกระเถิบเข้าใน สตางค์เตรียมไว้อย่าได้รอรี<br />
หลักเมืองถึงเอสเอบี หลักเมืองถึงเอสเอบี<br />
ราคาเขามี สามสิบสตางค์<br />
ไวจ้าไว ขึ้นแล้วเดินในอย่าได้หยุดยั้ง<br />
เบียดกันโปรดจงระวัง เบียดกันโปรดจงระวัง<br />
กระเป๋าสตางค์ท่านจะหายไป<br />
ท่านหญิงโปรดเดินข้างใน ท่านชายจะลุกให้นั่ง<br />
ว่ายังไงกันเล่าอาบัง ว่ายังไงกันเล่าอาบัง<br />
มีตั๋วหรือยังโปรดบอกไวไว<br />
220
๓<br />
ไฟฟ้า...เหนือกว่าแสงไต้แสงตะเกียง<br />
ประเทศไทยมีไฟฟ้าใช้ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๗ <br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ริเริ่ม<br />
โดยเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) ซึ่งได้รับ<br />
การสนับสนุนเป็นอย่างดีจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว และมีการก่อตั้งโรงไฟฟ้าถาวรแห่งแรกขึ้นที่<br />
วัดเลียบหรือวัดราชบุรณะ เชิงสะพานพระพุทธยอดฟ้า <br />
สยามถือเป็นประเทศแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้<br />
ที่มีไฟฟ้าใช้<br />
<br />
โรงไฟฟ้าวัดเลียบ สถานที่ตั้งโรงงานผลิตและบริษัท<br />
จำหน่ายกระแสไฟฟ้าแห่งแรกในสยาม โดยเปิดดำเนินการ<br />
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐<br />
221
น้ำประปา…น้ำกินน้ำใช้ไร้มลพิษ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
มีพระราชดำริว่า ประชาชนควรมีน้ำสะอาดสำหรับดื่มและใช้<br />
แทนน้ำจากแม่น้ำลำคลองที่นับวันจะสกปรกมากขึ้น <br />
จึงทรงว่าจ้างช่างผู้ชำนาญการประปาชาวฝรั่งเศสมาจัดทำ<br />
แผนงานเรื่องวิธีการทำน้ำประปา และได้ประกาศพระบรมราช<br />
โองการทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมศุขาภิบาล<br />
จัดการที่จะนำน้ำมาใช้ในพระนครตามแบบอย่างที่สมควร<br />
แก่ภูมิประเทศเมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๒ โดยทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้เรียกว่า ประปา<br />
การประปากรุงเทพฯ จุดกำเนิดหน่วยงานผลิตน้ำประปา<br />
ที่ได้มาตรฐานเดียวกับอารยประเทศ เปิดดำเนินการ <br />
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๕๗<br />
222
๓<br />
รถลาก...ใกล้ไกลเรียกใช้ได้<br />
รถลากถูกนำเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกในรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยเหล่าพ่อค้า<br />
สำเภานำขึ้นน้อมเกล้าฯ ถวายพระองค์ ชาวบ้านเรียก<br />
ติดปากว่า “รถเจ๊ก” เนื่องจากคนลากมักเป็นคนจีน ต่อมา<br />
ในต้นรัชกาลที่ ๕ ผู้คนนิยมใช้กันมาก จึงมีการตั้งโรงงาน<br />
สร้างรถลากไว้ใช้เองในประเทศ<br />
<br />
รถม้า...จะไปไหนให้ม้าพาไป<br />
รถม้าถูกนำเข้ามาในประเทศไทยครั้งแรกจาก<br />
ประเทศอังกฤษและอินเดียในสมัยรัชกาลที่ ๔ ต่อมา<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีการนำรถม้ามาใช้มากขึ้น จึงตั้ง<br />
กรมอัศวการขึ้นดูแล เมื่อเริ่มมีรถลากและรถรางเข้ามาใช้ <br />
การใช้รถม้าจึงค่อยๆ คลายความนิยมลง<br />
รถราง...พาหนะบนรางเหล็ก<br />
รถรางมีขึ้นครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ ๕ โดย<br />
ชาวเดนมาร์ก ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต<br />
เปิดกิจการรถรางในสยาม ช่วงแรกๆ ใช้ม้าลาก ภายหลัง<br />
เมื่อสยามมีไฟฟ้าจึงเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าแทน ต่อมา<br />
ใน พ.ศ. ๒๔๔๘ มีกลุ่มคนไทย ประกอบด้วยพระเจ้าน้องยาเธอ<br />
พระองค์เจ้าวรวรรณากร กรมหมื่นนราธิปประพันธ์พงศ์<br />
และเหล่าขุนนางในราชสำนักจำนวนหนึ่ง เข้าหุ้นกันจัดตั้ง<br />
บริษัทรถรางที่ดำเนินกิจการโดยคนไทยแห่งแรกขึ้น ชื่อว่า<br />
บริษัท รถรางไทย ทุนจำกัด หรือเรียกกันว่า รถรางสายแดง<br />
<br />
223
จำลองบรรยากาศร้านค้าซึ่งเป็นตึกแถว<br />
ริมถนนเจริญกรุง อันเป็นถนนสายแรก<br />
ของสยามที่สร้างตามแบบอย่างตะวันตก<br />
๔<br />
สู่บ้านเมืองยุคพัฒนาเป็นอารยะ<br />
<br />
การติดต่อค้าขายเจริญสัมพันธไมตรีระหว่างไทยกับชาติตะวันตกในสมัย<br />
รัตนโกสินทร์เริ่มเฟื่องฟูขึ้นตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว นับตั้งแต่คณะมิชชันนารีเข้ามาเผยแผ่คริสต์ศาสนาเป็นต้นมา <br />
จึงเกิดความพยายามในการปรับปรุงพัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าไม่แพ้<br />
นานาอารยประเทศอันนำมาซึ่งการแลกเปลี่ยนศิลปวิทยาการต่างๆ ระหว่างกัน<br />
มีการจ้างผู้เชี่ยวชาญชาวต่างประเทศมาเป็นที่ปรึกษา รวมทั้งส่งนักเรียนไทย<br />
ไปศึกษาต่างประเทศ นำวิชาความรู้มาปรับใช้ในการพัฒนาบ้านเมืองให้ทันสมัย<br />
ส่งผลให้วิถีชีวิตคนไทยเปลี่ยนแปลงไปในหลายๆ ด้าน<br />
224
เปลี่ยนจากเปิบเป็นช้อนส้อม<br />
แต่เดิมคนไทยรับประทานอาหารด้วยการเปิบ<br />
ด้วยมือ แต่เมื่อเริ่มรับวัฒนธรรมตะวันตกซึ่งรับประทาน<br />
อาหารด้วยมีด ช้อน และส้อมมาประยุกต์ใช้ จึงเริ่มเปลี่ยน<br />
มาใช้ช้อนส้อมเป็นเครื่องมือในการรับประทานอาหาร <br />
โดยตัดมีดสำหรับหั่นออกไป เพราะเนื้อสัตว์และผักต่างๆ<br />
ในอาหารไทยจะถูกหั่นและปรุงมาพร้อมแล้ว<br />
<br />
สนุกอย่างฝรั่ง<br />
กีฬาและกิจกรรมนันทนาการแบบตะวันตก<br />
ที่แพร่หลายเข้ามาในสยามระยะแรกๆ ได้แก่ การขี่ม้าและ<br />
ยิงปืน และเพิ่มมากขึ้นเมื่อมาถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้แก่ ฟุตบอล รักบี้ เทนนิส<br />
แบดมินตัน แข่งม้า จักรยาน กรีฑา ยิมนาสติก ฟันดาบ<br />
ส่วนในราชสำนักก็นิยมการเล่นโครเกต์<br />
<br />
จากนุ่งห่มสู่สวมใส่<br />
การแต่งกายของคนไทยในอดีต นิยมใช้วิธีนุ่งและ<br />
ห่มเป็นหลัก จนเมื่ออิทธิพลการแต่งกายแบบตะวันตก<br />
เข้ามาเปลี่ยนแปลงการแต่งกายของผู้คนในสยามประเทศ<br />
ให้เป็นสากลขึ้น โดยเริ่มต้นจากกลุ่มเจ้านายและขุนนาง<br />
ในราชสำนัก แล้วจึงแพร่หลายมาสู่ราษฎรทั่วไป เช่น<br />
ผู้ชายสวมเสื้อและใส่กางเกงขายาว ผู้หญิงสวมเสื้อแล้วห่ม<br />
สไบทับ<br />
<br />
สร้างบ้านแต่งเรือนเหมือนตะวันตก<br />
เมื่อสยามประเทศเริ่มรู้จักกับสถาปัตยกรรมและ<br />
การตกแต่งภายในแบบตะวันตก ราชสำนักและชนชั้นสูง<br />
ก็เริ่มปรับวิถีชีวิตตามแบบวัฒนธรรมดังกล่าว จากที่เคย<br />
ปลูกสร้างและตกแต่งอาคารบ้านเรือนแบบไทยและแบบ<br />
ที่มีอิทธิพลจากจีน ก็เริ่มเปลี่ยนไปเป็นแบบตะวันตก<br />
มากขึ้น มีการตกแต่งภายในด้วยเครื่องเรือนแบบตะวันตก<br />
เช่น ตู้ โต๊ะ นาฬิกา ภาพประดับ<br />
<br />
การจัดโต๊ะอาหารตามแบบตะวันตก<br />
ภายในพระที่นั่งมูลสถานบรมอาสน์ สมัยรัชกาลที่ ๕<br />
เจ้านายสตรี สมัยรัชกาลที่ ๕ นิยมเล่นกีฬา<br />
แบบตะวันตกที่เรียกว่า โครเกต์<br />
วังของเจ้านายหรือบ้านเรือนของผู้มีฐานะ ที่เริ่ม<br />
เปลี่ยนจากเรือนไทยใต้ถุนสูงมาเป็นอาคารสองชั้น<br />
ตามสถาปัตยกรรมแบบตะวันตก<br />
225
จัดแสดงภาพถ่ายบรรยากาศกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ช่วงสมัยรัชกาลที่ ๔ และ รัชกาลที่ ๕ ที่หาชม<br />
ได้ยาก<br />
ตึกแถว...ที่ทำการค้าผสานการพักอาศัย<br />
นับจากมีการตัดถนนตามแบบตะวันตกสายแรก<br />
เมื่อสมัยรัชกาลที่ ๔ ได้มีการสร้างตึกแถวสองชั้นขึ้น<br />
สองฟากถนน โดยผู้เป็นเจ้าของส่วนใหญ่ได้แก่คนจีน<br />
และชาวต่างชาติ ซึ่งนิยมใช้ชั้นล่างเป็นสถานที่ประกอบ<br />
กิจการค้าและชั้นบนเป็นสถานที่พักอาศัย เมื่อชาวสยาม<br />
ใช้ถนนในการเดินทางสัญจรมากขึ้น การค้าเจริญรุ่งเรือง<br />
การสร้างตึกแถวจึงได้รับความนิยม จึงปรากฏตึกแถว<br />
ตั้งเรียงรายไปตามริมถนนสายสำคัญต่างๆ โดยเฉพาะ<br />
ในบริเวณใจกลางกรุงรัตนโกสินทร์<br />
<br />
226
๔<br />
ผู้เข้าชมจะได้รับความเพลิดเพลิน<br />
จากเครื่องเล่นแผ่นเสียง ซึ่งเมื่อหมุน<br />
จะมีเสียงดนตรีแสนไพเราะดังออกมา<br />
ห้างร้านฝรั่ง...ตื่นตาสินค้านอก<br />
นับตั้งแต่มีการตัดถนนแบบตะวันตกในสมัยรัชกาลที่ ๔<br />
เป็นต้นมา ชาวต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุนเปิดห้างร้านต่างๆ<br />
ขึ้นที่ตึกแถวริมถนน ซึ่งทางราชการได้สร้างไว้ให้เช่าเอาเงิน<br />
เข้าท้องพระคลัง เพื่อขายสินค้าของชาติตะวันตก ซึ่งเป็น<br />
ของแปลกใหม่สำหรับชาวสยามในสมัยนั้น อาทิ สบู่<br />
ยาสีฟัน น้ำหอม เครื่องเรือน เครื่องจักรกล รถยนต์ ห้าง<br />
ร้านของชาวตะวันตก ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในสมัยนั้น ได้แก่<br />
ห้างแบดแมน <br />
<br />
<br />
227
จัดแสดงวีดิทัศน์ถ่ายทอด<br />
เรื่องราวความเป็นมา<br />
ของการแพทย์แผนใหม่<br />
ในสยาม<br />
ผู้เข้าชมจะได้รับความเพลิดเพลิน<br />
จากการทดลองใช้เครื่องบดยาในอดีต <br />
ซึ่งทุกครั้งที่โยกจะมีกลิ่นยาไทยหอมฟุ้งไปทั่ว<br />
ร้านขายยาจำลอง<br />
กรุ่นกลิ่นยาไทย<br />
ในอดีต คนไทยนำส่วนต่างๆ ของพืชและสัตว์ รวมทั้ง<br />
แร่ธาตุสารพัดชนิดมาใช้เป็นยารักษาโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ <br />
ซึ่งต้องผ่านการสังเกต จดจำ และลองผิดลองถูกมาเป็น<br />
ระยะเวลานาน ถือเป็นภูมิปัญญาของแพทย์แผนไทยที่อยู่<br />
คู่กับคนไทยมาช้านาน เมื่อการแพทย์แผนตะวันตก<br />
เริ่มแพร่หลายในสยามประเทศและมีการรณรงค์ให้<br />
ประชาชนรักษาพยาบาลด้วยแพทย์แผนตะวันตกมากขึ้น<br />
แพทย์แผนไทยจึงปรับปรุงวิธีการรักษาให้มีมาตรฐาน<br />
เป็นสากล เพื่อมิให้การแพทย์แผนไทยถูกกลืนหายไปกับ<br />
กระแสความเปลี่ยนแปลงจากชาติตะวันตก<br />
<br />
228
๔<br />
จัดแสดงเครื่องมือนับเหรียญซึ่งจำลองมาจากของจริง<br />
ที่เคยใช้ในธนาคารในอดีต<br />
จากบุคคลัภย์ถึงไทยพาณิชย์<br />
ธนาคารแห่งแรกของไทยก่อตั้งขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕<br />
ด้วยทรงเล็งเห็นความสำคัญของสถาบันการเงินที่มีต่อ<br />
เศรษฐกิจและผลประโยชน์ของประเทศ จึงมีการทดลอง<br />
จัดตั้งธนาคารขนาดเล็กรับฝากเงิน โดยใช้ชื่อว่า บุคคลัภย์<br />
เลียนเสียง คำว่า Book Club ในภาษาอังกฤษ เพื่ออำพราง<br />
การดำเนินกิจการธนาคาร เนื่องจากยังไม่แน่นอนว่า<br />
ชาวสยามจะตอบรับแนวคิดระบบธนาคารพาณิชย์หรือไม่ <br />
เมื่อประชาชนยอมรับการดำเนินงานของธนาคาร จึงใช้<br />
ชื่อว่า บริษัทแบงก์สยามกัมมาจล ทุนจำกัด ต่อมาเมื่อ<br />
เปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย จึงเปลี่ยนชื่อเป็น<br />
ธนาคารไทยพาณิชย์ <br />
<br />
229
ผู้เข้าชมสามารถเลือกซื้อ<br />
โปสการ์ดที่ระลึกสีสันสวยงาม<br />
หลากหลายรูปแบบ<br />
ผ่านเครื่องจำหน่ายอัตโนมัติ<br />
ได้ด้วยตนเอง<br />
ผู้เข้าชมสามารถ<br />
ส่งโปสการ์ดถึงทุกจุดหมาย<br />
ปลายทางในประเทศไทย<br />
ผ่านตู้ไปรษณีย์ซึ่งจำลอง<br />
จากของจริงที่เคยใช้<br />
ในอดีต<br />
230
๔<br />
ส่งสาส์น...สู่สื่อสาร<br />
<br />
ไปรษณีย์...จุดเริ่มต้นแห่งการสื่อสารในสยาม<br />
การส่งข่าวสารของคนไทยในอดีตมักฝากสาส์นกับ<br />
พ่อค้าหรือคนเดินทางที่จะผ่านไปยังสถานที่ที่จะส่งข่าวไป<br />
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๔ มีบริษัทต่างชาติเข้ามาดำเนิน<br />
กิจการในสยามมากขึ้น สถานกงสุลจึงเป็นที่รวบรวมข่าวสาร<br />
ส่งลงเรือไปสิงคโปร์ เพื่อส่งไปยังปลายทางอีกทอดหนึ่ง<br />
เมื่อถึงสมัยรัชกาลที่ ๕ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง<br />
กรมไปรษณีย์ไทยหรือไปรษณียาคาร เพื่อดำเนินงาน<br />
ด้านการสื่อสารในกรุงเทพฯ ปรากฏว่าประชาชนมาใช้<br />
บริการกันมาก จึงมีการขยายงานออกไปตามหัวเมืองในเวลา<br />
ต่อมา<br />
<br />
โทรเลข...เคาะส่งข่าว<br />
ประเทศสยามเริ่มรู้จักโทรเลข ซึ่งเป็นเครื่องเคาะ<br />
รหัสมอร์สสำหรับส่งข่าวสาร ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔ <br />
โดยคณะทูตปรัสเซียนำเครื่องส่งโทรเลขมาถวาย แต่ระบบ<br />
โทรเลขถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการในสมัยรัชกาลที่ ๕<br />
ส่วนใหญ่ประชาชนจะใช้โทรเลขส่งข่าวสารที่เร่งด่วน<br />
และสำคัญ เนื่องจากการส่งโทรเลขมีราคาแพง<br />
เพราะคิดค่าส่งตามจำนวนคำ ผู้ส่งจึงต้องคิด<br />
ข้อความข่าวสารให้สั้น กระชับ และได้ใจความที่สุด<br />
<br />
โทรศัพท์...ส่งเสียงตามสาย<br />
โทรศัพท์ถูกนำมาใช้ในสยามเป็นครั้งแรก<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ภายใต้การดูแลของกระทรวง<br />
กลาโหม เพื่อใช้ในกิจการสร้างความมั่นคงแห่งชาติ<br />
เมื่อจำนวนหมายเลขโทรศัพท์เพิ่มมากขึ้น<br />
กระทรวงกลาโหมจึงโอนกิจการโทรศัพท์ไปอยู่ใน<br />
ความดูแลของกรมไปรษณีย์โทรเลข ซึ่งได้ขยาย<br />
ขอบเขตการให้บริการจากภาครัฐไปสู่เอกชนและ<br />
ประชาชนทั่วไปในเวลาต่อมา<br />
<br />
ผู้เข้าชมจะได้รับ<br />
ความรู้เรื่อง<br />
ไปรษณีย์<br />
ผ่านเจ้าหน้าที่<br />
ซึ่งแต่งกาย<br />
ด้วยเครื่องแบบ<br />
บุรุษไปรษณีย์<br />
ในอดีต<br />
231
232<br />
จัดแสดงโปสเตอร์ที่เขียนภาพโฆษณาเชิญชวน<br />
ให้ประชาชนปฏิบัติตามกฎระเบียบ ซึ่งรัฐบาล<br />
ได้กำหนดขึ้นในช่วงสมัยรัฐนิยม
๕<br />
อีกด้านหนึ่งของจุดจัดแสดงหลุมหลบภัย<br />
สมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ มีการจัดแสดง<br />
เสาธงขนาดย่อม พร้อมเนื้อเพลงชาติไทย<br />
สมัยรัฐนิยม<br />
สงครามโลกครั้งที่ ๒…<br />
คนลำบาก ชาติลำเค็ญ<br />
<br />
วิถีชีวิตของผู้คนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒ (พ.ศ.<br />
๒๔๘๒ - พ.ศ. ๒๔๘๘) เรียกได้ว่าเป็นยุค “ข้าวยาก<br />
หมากแพง” เนื่องจากสินค้าอุปโภคบริโภคถูกกว้านซื้อไป<br />
เพื่อใช้ในการสงครามจำนวนมาก และมีการทิ้งระเบิด<br />
ในจุดยุทธศาสตร์ อาทิ หัวลำโพง โรงไฟฟ้าวัดเลียบ<br />
สะพานพระพุทธยอดฟ้า สะพานพระราม ๖ โดยเฉพาะ<br />
ในเวลากลางคืน เมื่อเครื่องบินทิ้งระเบิดมาถึง ทางการ<br />
จะเปิดเสียงสัญญาณหวอ เตือนให้ประชาชนระวังตัว <br />
ผู้คนจะ “พรางไฟ” โดยใช้ผ้าขนหนูหรือผ้าขาวม้าบังแสงไฟ<br />
ในบ้านให้สลัวลง เพื่อป้องกันมิให้เครื่องบินของฝ่ายข้าศึกเห็น<br />
และมาทิ้งระเบิดลงได้ มีการสร้างหลุมหลบภัยไว้ตาม<br />
สถานที่ต่างๆ เพื่อให้ผู้คนเข้าไปหลบในช่วงเวลาที่มีการทิ้ง<br />
ระเบิด และกระทรวงกลาโหมได้ออกคู่มือการป้องกันภัย<br />
ทางอากาศให้แก่ประชาชน เพื่อเตรียมตัวรับสถานการณ์<br />
ฉุกเฉินระหว่างสงคราม<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
233
สมัยรัฐนิยม มีการกำหนดข้อควร<br />
ปฏิบัติหลายประการ เช่น การเลิกใช้<br />
พยัญชนะและสระที่มีเสียงซ้ำกัน <br />
การรณรงค์ให้เลิกห่มผ้าแถบ <br />
เลิกนุ่งโจงกระเบน และเปลี่ยนมา<br />
สวมกางเกง กระโปรง และหมวก <br />
อันเป็นเครื่องแต่งกายตามแบบ<br />
สากลนิยม<br />
รัฐนิยม...จุดพลิกผันครั้งใหญ่แห่งไทยวิถี<br />
รัฐนิยมหรือการปฏิวัติวัฒนธรรมไทยเป็นนโยบายของรัฐบาลในช่วงที่<br />
จอมพล แปลก พิบูลสงครามดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพื่อปลุกระดม<br />
ความรู้สึกของประชาชนให้มีความภาคภูมิใจในชาติ และต้องรักษาวัฒนธรรม<br />
เพื่อความเจริญของชาติ แม้แนวคิดรัฐนิยมนี้คงอยู่เพียงชั่วระยะเวลาสั้นๆ <br />
แต่ถือได้ว่าเป็นจุดเปลี่ยนที่สำคัญและมีผลต่อการเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตของ<br />
คนไทย อาทิ การเปลี่ยนชื่อประเทศและเชื้อชาติจาก สยาม เป็น ไทย<br />
การแต่งเนื้อร้องเพลงชาติไทยขึ้นใหม่ การรณรงค์ให้ประชาชนแต่งกาย<br />
แบบสากล การให้เลิกกินหมาก การเคารพธงชาติ เป็นต้น<br />
<br />
234
๕<br />
เพลงชาติไทย<br />
เป็นชื่อเพลงชาติของสยามและประเทศไทย<br />
ประพันธ์ทำนองโดยพระเจนดุริยางค์ ในช่วงหลัง<br />
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง คำร้องฉบับแรกสุด<br />
โดยขุนวิจิตรมาตรา มีดังนี้<br />
แผ่นดินสยามนามประเทืองว่าเมืองทอง<br />
ไทยเข้าครองตั้งประเทศเขตต์แดนสง่า<br />
สืบชาติไทยดึกดำบรรพ์บุราณลงมา<br />
ร่วมรักษาเอกราษฎร์ชนชาติไทย<br />
บางสมัยศัตรูจู่มารบ<br />
ไทยสมทบสวนทัพเข้าขับไล่<br />
ตะลุยเลือดหมายมุ่งผดุงผะไท<br />
สยามสมัยบุราณรอดตลอดมา<br />
อันดินแดนสยามคือว่าเนื้อของเชื้อไทย<br />
น้ำรินไหลคือว่าเลือดของเชื้อข้า<br />
เอกราษฎร์คือกระดูกที่เราบูชา<br />
เราจะสามัคคีร่วมมีใจ<br />
ยึดอำนาจกุมสิทธิ์อิสสระเสรี<br />
ใครย่ำยีเราจะไม่ละให้<br />
เอาเลือดล้างให้สิ้นแผ่นดินของไทย<br />
สถาปนาสยามให้เทิดชัยไชโย<br />
ผู้เข้าชมสามารถกดปุ่มด้านข้าง<br />
เพื่อชมการเชิญธงชาติขึ้นสู่ยอดเสา<br />
ด้วยระบบไฟฟ้า ประกอบเพลง<br />
รณรงค์ให้ประชาชนยืนตรง<br />
เคารพธงชาติซึ่งแต่งขึ้นสมัยรัฐนิยม<br />
235
๖<br />
สังคมไทยสมัยเปลี่ยนผ่าน<br />
วิวัฒนาการสู่ความเป็นสากล<br />
กระแสธารทางวัฒนธรรมของต่างชาติ โดยเฉพาะ<br />
จากประเทศทางตะวันตกอย่างอเมริกา ที่หลั่งไหล<br />
เข้ามาสู่สังคมไทยตั้งแต่ปลายสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ <br />
ได้สร้างปรากฏการณ์แปลกใหม่ ที่บันดาลบรรยากาศ<br />
ในกรุงเทพฯ ให้เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ด้วยเกิดความนิยม<br />
236
นำวัฒนธรรมของอเมริกามาผสานเป็นส่วนหนึ่งในชีวิต<br />
ของคนไทย ไม่ว่าจะเป็นทรงผม เสื้อผ้า เครื่องแต่งกาย<br />
หรือรูปแบบการเต้นรำ ทำให้กรุงเทพฯ สมัยนั้น เป็นหนึ่ง<br />
ในมหานครที่ก้าวข้ามสู่ความเป็น “สากล” อันเป็นนิยาม<br />
ที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
237
จากรำวงมาตรฐาน<br />
ถึงการเต้นแบบตะวันตก<br />
รำวงมาตรฐานมีที่มาจากรำโทนของชาวบ้าน <br />
ซึ่งชายหญิงจะจับคู่รำเป็นวงกลม ท่ารำและการร้อง<br />
แล้วแต่ความถนัดของแต่ละคน มีโทนเป็นเครื่องดนตรี<br />
ประกอบจังหวะ การรำโทนถูกปรับปรุงให้มีระเบียบ<br />
แบบแผนในช่วงรัฐบาลของจอมพล แปลก พิบูลสงคราม<br />
เพื่อให้เป็นวัฒนธรรมประจำชาติ<br />
กิจกรรมนันทนาการอีกประเภทหนึ่งที่ได้รับความนิยม<br />
อย่างแพร่หลายในหมู่คนทั่วไป คือ การเต้นรำหรือลีลาศ<br />
ซึ่งต่อมาเมื่อวัฒนธรรมตะวันตกจากสื่อประเภทภาพยนตร์<br />
และดนตรีเข้ามามีอิทธิพลมากในสังคมไทย จึงเกิดกระแส<br />
นิยมการเต้นตามจังหวะเพลงหรือเลียนแบบภาพยนตร์<br />
เช่น จังหวะทวิสต์ จังหวะบั๊มพ์<br />
<br />
<br />
238
๖<br />
ผู้เข้าชมด้านนอกสามารถมองผ่าน<br />
กระจกบานใหญ่ โดยผู้เข้าชม<br />
ด้านในไม่ทันรู้ตัว เพราะเป็นกระจก<br />
ที่มองเห็นได้เพียงด้านเดียว<br />
จัดแสดงท่ารำวงมาตรฐาน การเต้นบอลรูม และการเต้นดิสโก้ประกอบเพลง ตั้งแต่ช่วงทศวรรษที่ ๑๙๖๐ เป็นต้นมา<br />
ผ่านการนำเสนอด้วยระบบจอสัมผัส<br />
239
240
๖<br />
วันวาน...ร้านตัดผม<br />
ในอดีต ประเทศไทยยังไม่มี<br />
ร้านตัดผม จะมีก็แต่ช่างตัดผมที่เป็นฝ่าย<br />
เตรียมอุปกรณ์และเดินทางไปหา<br />
ลูกค้าเอง ต่อมาเมื่อคนไทยเริ่มนิยม<br />
ไว้ทรงผมตามแบบตะวันตก จึงเกิด<br />
ร้านตัดผมเป็นหลักแหล่งขึ้นมาในรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา<br />
อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร<br />
และมักใช้คำว่า “เกศา” ประกอบอยู่ใน<br />
ชื่อร้าน<br />
ผู้เข้าชมจะได้รับความเพลิดเพลินจากการถ่ายภาพผ่านจอซึ่งจำลองกระจก<br />
ในร้านตัดผมในอดีต โดยสามารถเลือกทรงผมที่ได้รับอิทธิพลตะวันตก<br />
และได้รับความนิยมจากคนไทยในอดีต ทั้งทรงผมบุรุษและทรงผมสตรี<br />
241
242
๖<br />
ร้านตัดเสื้อเมื่อแรกมี<br />
ในอดีต ยังไม่มีเสื้อผ้าสำเร็จรูป ผู้คนต้องตัดเย็บ<br />
เสื้อผ้าสวมใส่เอง ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๘ จึงเริ่มมีการตั้ง<br />
ร้านตัดเสื้อหรือห้องเสื้อขึ้นในประเทศไทย สำหรับร้าน<br />
ตัดเสื้อที่มีชื่อเสียงมากในช่วงนั้น ได้แก่ ร้านเฟมิน่า <br />
ร้านกรแก้ว<br />
<br />
<br />
<br />
ผู้เข้าชมจะได้รับความเพลิดเพลิน<br />
จากการถ่ายภาพผ่านจอซึ่งจำลองตู้จัดแสดง<br />
เครื่องแต่งกายของร้านตัดเสื้อในอดีต <br />
โดยสามารถเลือกแบบเครื่องแต่งกาย<br />
ให้เหมาะสำหรับบุรุษและสตรีได้ตามอัธยาศัย<br />
243
244
๖<br />
นิตยสาร…ความรู้ความบันเทิงผ่านตัวอักษร<br />
กำเนิดของนิตยสารเริ่มต้นขึ้นในรัชสมัยพระบาท<br />
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่มักจะนำเสนอเนื้อหา<br />
เกี่ยวกับความคิดเห็นด้านการเมืองหรือนวัตกรรมต่างๆ<br />
เช่น การแพทย์และสาธารณสุข กิจการลูกเสือ กาชาด<br />
เท่านั้น จนกระทั่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวเป็นต้นมา รูปแบบและเนื้อหาของนิตยสารจึงมี<br />
ความหลากหลายมากขึ้น เช่น นวนิยาย ละคร สถานที่<br />
ท่องเที่ยว แฟชั่น ความรู้ทางวิชาการ<br />
ผู้เข้าชมจะได้รับความเพลิดเพลินจากการเป็นแบบถ่ายภาพลงปกนิตยสารซึ่งจัดแสดงอยู่บนแผงหน้าร้านจำหน่ายนิตยสารจำลอง <br />
โดยสามารถเลือกปกนิตยสารในอดีตได้หลายแบบ<br />
245
246
๖<br />
ห้องภาพราชดำเนิน<br />
เมื่อผู้เข้าชมเพลิดเพลินไปกับ<br />
การถ่ายภาพจากร้านตัดผม ร้านตัดเสื้อ<br />
และร้านจำหน่ายนิตยสาร สามารถเลือก<br />
กดปุ่มเพื่อสั่งพิมพ์ภาพ โดยสามารถรับ<br />
ภาพที่น่าประทับใจได้ที่มุมรับภาพ <br />
เพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก<br />
247
248<br />
ผู้เข้าชมสามารถกดเลือกรับฟัง<br />
เพลงภาษาอังกฤษและเพลงไทย<br />
ที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทย<br />
ในช่วงทศวรรษที่ ๑๙๖๐ <br />
เป็นต้นมา
๖<br />
สภากาแฟ…<br />
แหล่งชุมนุมคนช่างคิด<br />
การดื่มกาแฟแพร่หลายในสังคมไทยช่วงรัชกาลที่ ๗<br />
เป็นต้นมา และเป็นยุคสมัยที่เริ่มปรากฏว่าร้านกาแฟซึ่งได้ถูก<br />
เรียกขานในหมู่ผู้นิยมดื่มกาแฟว่า “สภากาแฟ” อันเป็น<br />
สถานที่ซึ่งผู้คนมานั่งพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน<br />
และกลายเป็นคำที่ติดอยู่ในสังคมไทยจนถึงปัจจุบัน <br />
<br />
249
โรงภาพยนตร์ “เฉลิมรัตน์”<br />
จำลองบรรยากาศโรงภาพยนตร์<br />
ที่ถือว่าทันสมัยในอดีต<br />
จอวีดิทัศน์ จัดแสดงตัวอย่าง<br />
โปสเตอร์โฆษณาภาพยนตร์ไทย<br />
ที่ได้รับความนิยมในอดีต<br />
โรงภาพยนตร์...มหรสพบนจอเงิน<br />
นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๗ เป็นต้นมา ภาพยนตร์จัดเป็นมหรสพรูปแบบใหม่<br />
ที่ได้รับความนิยมในหมู่คนไทย จึงมีโรงภาพยนตร์กระจายอยู่ในกรุงเทพฯ <br />
มากกว่า ๒๐ โรง <br />
อย่างไรก็ตาม โรงภาพยนตร์สมัยแรกมักมีขนาดเล็ก เป็นอาคารไม้ หลังคา<br />
มุงสังกะสี ไม่มีโรงภาพยนตร์ขนาดใหญ่ที่ได้มาตรฐานและสวยงามเป็นศรีสง่า<br />
แก่บ้านเมือง เมื่อจะมีการฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี ใน พ.ศ. ๒๔๗๕ ได้มี<br />
การหารือกันในคณะรัฐบาลเพื่อจัดสร้างถาวรวัตถุขนาดใหญ่ ซึ่งสามารถอำนวย<br />
สาธารณประโยชน์<br />
รัชกาลที่ ๗ มีพระราชดำริว่าสิ่งบันเทิงที่เฟื่องฟูมากที่สุดในโลก<br />
ยุคนั้นคือภาพยนตร์ จึงพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์กว่า ๙ ล้านบาท<br />
เพื่อสร้างโรงภาพยนตร์ที่มีลักษณะภูมิฐาน เป็นที่เชิดหน้าชูตาของประเทศได้ <br />
โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้หม่อมเจ้าสมัยเฉลิม กฤดากร สถาปนิกผู้สำเร็จ<br />
การศึกษาจากประเทศฝรั่งเศส เป็นผู้ออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง <br />
และพระราชทานนามโรงมหรสพเพื่อเป็นเกียรติแก่ผู้ออกแบบและเป็นอนุสรณ์<br />
แห่งงานฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปี ว่า ศาลาเฉลิมกรุง<br />
250
๖<br />
บรรยากาศภายนอกศาลาเฉลิมกรุงเมื่อสมัยแรกมีการฉายภาพยนตร์<br />
ศาลาเฉลิมกรุงเป็นอาคาร<br />
รูปสี่เหลี่ยมสูงตระหง่านมั่นคง ภูมิฐาน<br />
ตามแบบตะวันตก โครงสร้างแข็งแรง<br />
สามารถรับน้ำหนักได้ดี ด้วยการใช้<br />
เทคโนโลยีสมัยใหม่ โดยไม่มีเสาบังตา<br />
การออกแบบตกแต่งภายในงดงามด้วย<br />
ศิลปะไทยสอดผสานกับศิลปะตะวันตก<br />
มีระบบปิด - เปิดม่านอัตโนมัติ และเป็น<br />
โรงมหรสพแห่งแรกของไทยที่มีการใช้<br />
เครื่องปรับอากาศ นอกจากนั้นยังจัดฉาย<br />
ภาพยนตร์ชั้นดี โดยเฉพาะภาพยนตร์<br />
ต่างประเทศเสียงในฟิล์ม<br />
ศาลาเฉลิมกรุงสมัยแรกเริ่มจึงเป็น<br />
ที่ชุมนุมของคนมีการศึกษาดีและผู้ที่จบ<br />
การศึกษามาจากต่างประเทศ<br />
251
๗<br />
ภาพยนตร์...สื่อสะท้อนสังคมร่วมสมัย<br />
ปัจจุบัน วิถีการดำเนินชีวิตของคนไทย ที่สอด<br />
ประสานอย่างเหมาะสมและกลมกลืนกับธรรมชาติ<br />
ดังเช่นอดีตที่ผ่านมา เกิดการเปลี่ยนแปลงระลอกใหญ่ <br />
ด้วยความเร่งรีบและการแข่งขันกลายเป็นปัจจัยสำคัญ<br />
ที่ถาโถมผลักดันให้คนไทยพยายามดิ้นรนแหวกว่ายไปสู่<br />
นิยามของความสำเร็จสมัยใหม่ ซึ่งมีปลายทางอยู่ที่<br />
ความพรั่งพร้อมบริบูรณ์ทางวัตถุ ซึ่งสังคมโลกไร้พรมแดน<br />
ทุกวันนี้ถือเป็นแกนหลักของชีวิต<br />
252
วันที่ความเร่งรีบวิ่งแซงไฟเขียว วันที่วัตถุบอกความฉลาดเฉลียว อยากให้เหลียวย้อนมองผู้คน<br />
ความเร่งรีบสอนให้เราไม่เป็นผู้เป็นคน<br />
วันที่โลกใหญ่เท่าเดิมแต่มันแคบลง วันที่การเขียนรายงานไม่ต้องคัดตัวบรรจง สมมติว่า<br />
อยากชวนสาวดูอาทิตย์อัสดง ยกไอโฟนขึ้นถ่ายคลิปแล้วโหลดลง วีมิโอ เฟสบุ๊ค จนกระทั่งยูทูบ<br />
หนังสือพิมพ์อ่านไม่ได้ยกมือถืออ่านสกู๊ป สนุกสนานทุกทีด้วยเทคโนโลยี<br />
คิดถึงกันเมื่อไหร่ลงรถเมล์ต่อเอ็มอาร์ที เพราะโลกรวดเร็วด้วยระบบต่างๆ นานา<br />
แม้อยู่กันไกลแค่ไหน ก็ยังสามารถสบตา ส่งข่าวสารบ้านเมืองผ่านเครื่องมืออิเล็กทรอนิกส์ <br />
ผ่านปัจจัยผ่านเม็ดเงินจนผ่านวิกฤต เป็นข้อคิดแม้โลกหมุนเร็วเท่าเดิมตลอดมา แต่ความรวดเร็ว<br />
เพิ่มขึ้นทุกการขยับเข็มนาฬิกา มีท้องฟ้า มีพื้นดิน ที่ยังเป็นปึกแผ่น เพราะเมื่อก่อนไม่มีใครเชื่อว่ามนุษย์<br />
จะบินได้เหมือนนางแอ่น<br />
เมื่อเข้าสู่โรงภาพยนตร์ จะได้รับชมวีดิทัศน์สะท้อนสภาพสังคมปัจจุบัน<br />
ประกอบเพลงที่ขับร้องโดยณัฐวุฒิ ศรีหมอก หรือ กอล์ฟ สิงห์เหนือ<br />
นักร้องแนวฮิปฮอปที่มีชื่อเสียงของเมืองไทย<br />
253
จำลองบรรยากาศภายใน<br />
ห้องโดยสารของขบวนรถไฟฟ้า<br />
พร้อมฉายวีดิทัศน์ปลูกจิตสำนึก<br />
ให้คนไทยปัจจุบันรำลึก<br />
ถึงความเสียสละของบรรพชน<br />
และร่วมมือร่วมใจสร้างสรรค์<br />
ความเจริญก้าวหน้าให้แก่<br />
บ้านเมืองสืบเนื่องต่อไป<br />
๘<br />
ธำรงคุณค่าความเป็นไทย...<br />
ด้วยความร่วมมือร่วมใจของทุกคน<br />
ประเทศไทยสามารถรักษาความเป็นเอกราชและอำนาจอธิปไตย<br />
ได้อย่างยั่งยืนสืบต่อมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ด้วยมีความร่วมแรงร่วมใจ<br />
จากเหล่าบรรพบุรุษผู้เสียสละ อุทิศกำลังกายและพลังปัญญา เพื่อปกป้องและ<br />
สร้างสรรค์บ้านเมืองให้ดำรงความรุ่งเรืองมาเป็นลำดับ ทั้งสืบสานศิลปะ<br />
วัฒนธรรม ประเพณี ตลอดจนวิถีชีวิตอันดีงาม และสามารถปรับประยุกต์<br />
และพัฒนาให้ก้าวทันกระแสการเปลี่ยนแปลงของกาลเวลาเพื่อให้มี<br />
ความก้าวหน้าทัดเทียมนานาอารยประเทศ<br />
ทุกวันนี้ชาวไทยจึงอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินไทยได้อย่างร่มเย็นเป็นสุข<br />
และพรั่งพร้อมไปด้วยทรัพยากรและสมบัติอันล้ำค่า ซึ่งจะธำรงอยู่ได้<br />
อย่างมั่นคงด้วยความสามัคคีและความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวไทย<br />
ในปัจจุบัน เพื่อให้ชาติไทยมีความวัฒนาสถาพรสืบไป<br />
254
๙<br />
ดวงใจ<br />
ปวงประชา<br />
256
สยามประเทศดำรงเอกราชสืบมา ด้วยพระบารมีแห่งพระมหากษัตริย์<br />
ซึ่งทรงประกอบพระราชกรณียกิจด้วยหลักทศพิธราชธรรมตามคำสอน<br />
แห่งสมเด็จพระบรมศาสดา ราษฎรจึงอาศัยอยู่อย่างผาสุกสืบมาในบ้านเมือง <br />
ที่รุ่งเรืองและงดงามด้วยได้รับการบำรุงและพัฒนาโดยพระราชอุตสาหะ <br />
ปวงประชาทุกหมู่เหล่าจึงเคารพบูชาและเทิดทูนพระมหากษัตริย์ เป็นดั่งศูนย์รวม<br />
ดวงใจด้วยความภักดีอย่างไม่มีเสื่อมคลาย <br />
257
258<br />
ด้วยพระราชอุตสาหะของพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราช<br />
จักรีวงศ์ที่ทรงบำเพ็ญพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการ <br />
ด้วยพระราชปณิธานมุ่งหวังตั้งพระราชหฤทัยบันดาลให้บ้านเมือง<br />
เจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน ราษฎรสามารถประกอบกิจการงานที่สุจริต<br />
ได้อย่างอิสระ สยามประเทศจึงมีความมั่นคง สามารถดำรงเอกราช<br />
และสืบทอดเอกลักษณ์อันดี พรั่งพร้อมด้วยประเพณีและวัฒนธรรม<br />
ที่งดงาม
ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐๐ ปี ปวงประชาทุกกาลสมัย<br />
ล้วนประจักษ์ในพระบารมีและพระบรมโพธิสมภารที่ปกแผ่ไพศาล<br />
ไปทั่วขอบขัณฑสีมาพระราชอาณาจักร จึงน้อมใจภักดิ์ด้วยสำนึก<br />
ในพระมหากรุณาอันหาที่สุดมิได้ พระมหากษัตริย์แห่งพระบรม<br />
ราชวงศ์จักรีจึงทรงเป็นที่เคารพรัก ทรงเป็นศูนย์รวมดวงใจอย่างไม่มี<br />
เสื่อมคลาย และทรงเป็นเสาหลักอันมั่นคงยิ่งใหญ่ของคนในชาติ<br />
ทุกชนชั้นสืบมา นับตั้งแต่มีการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์<br />
เป็นราชธานี <br />
259
แ ผ น ผั ง ห้องดวงใจปวงประชา<br />
๕<br />
๔<br />
รัชกาลที่ ๔ - รัชกาลที่ ๕<br />
มรดกรัชกาลที่ ๓<br />
ทางออก<br />
๑๐<br />
ทางเข้า<br />
๔<br />
๑<br />
๑<br />
๓<br />
๕<br />
บ้านเมืองรุ่งเรือง ด้วยร่มพระบารมี<br />
๒<br />
๒<br />
๓<br />
บำราบราชอริ ธำรงรักษ์เอกราช<br />
รัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๓<br />
260
๑๐<br />
๙<br />
จากใจ...พสกนิกร<br />
เรื่องเล่าของในหลวง<br />
๖<br />
๗<br />
๙<br />
๘<br />
๘<br />
๗<br />
รัชกาลที่ ๘ - รัชกาลปัจจุบัน<br />
๖<br />
รัชกาลที่ ๖<br />
รัชกาลที่ ๗<br />
261
๑<br />
บ้านเมืองรุ่งเรือง ด้วยร่มพระบารมี<br />
ความรุ่งเรืองของประเทศตราบเท่าทุกวันนี้ บังเกิดขึ้นได้ด้วยพระบารมี<br />
และพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ทุกรัชกาลแห่งพระบรมราชจักรีวงศ์<br />
ซึ่งทรงประกอบพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการสืบเนื่องยาวนาน จึงเป็น<br />
หน้าที่ของราษฎรควรได้ย้อนรำลึกถึงพระราชอุตสาหะที่ทรงทำนุบำรุง<br />
และพัฒนาบ้านเมืองให้เฟื่องฟูในทุกด้าน ทั้งเศรษฐกิจการค้า การพระศาสนา<br />
ขนบธรรมเนียมประเพณี ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนสรรพวิทยาทั้งหลาย ซึ่งล้วน<br />
บันดาลให้สยามสามารถดำรงเอกราชสืบมาอย่างมั่นคง ธำรงเอกลักษณ์ที่ดีงาม<br />
มีความเจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ<br />
262
จัดแสดงวีดิทัศน์ประกอบอะนิเมชั ่น จำลองสภาพบ้านเมืองและวิถีชีวิตของชาวไทย<br />
ตั้งแต่สมัยแรกสร้างกรุงรัตนโกสินทร์จวบจนปัจจุบัน โดยผู้เข้าชมจะได้ร่วม<br />
ย้อนอดีตไปกับยายหลานเพื่อรำลึกถึงพระราชอุตสาหะของพระมหากษัตริย์<br />
ผ่านการนำเสนอพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจด้านต่างๆ<br />
เพื่อการพัฒนาบ้านเมืองและความสงบสุขร่มเย็นของราษฎร<br />
263
การรับพระราชทานปริญญาบัตร<br />
จากพระหัตถ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หัว<br />
เป็นหนึ่งในภาพที่ประชาชน<br />
ซึ่งสำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัย<br />
มักแขวนไว้ภายในบ้านเสมอ<br />
ดวงใจปวงประชา<br />
ด้วยพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์<br />
ทุกรัชกาล บันดาลให้ประชาชนทั้งหลายสามารถอาศัยอยู่บน<br />
แผ่นดินสยามด้วยความร่มเย็น พระมหากษัตริย์จึง<br />
เป็นที่รักและเทิดทูนเสมอมา <br />
มีการปรากฏอย่างเป็นรูปธรรมว่า ทุกบ้านในทุก<br />
พื้นที่จะมีพระบรมฉายาลักษณ์ประดิษฐานไว้ในตำแหน่ง<br />
อันเหมาะสมสำหรับสักการะ เป็นศูนย์รวมและเป็นเครื่องยึดเหนี่ยว<br />
จิตใจสมาชิกของทุกครัวเรือน<br />
ด้วยเหตุนี้ จึงเหมือนกับว่าพระมหากษัตริย์<br />
ได้ประทับอยู่ทุกแห่งหน เพื่อทรงเป็นมิ่งขวัญให้ประชาชน<br />
ที่เคารพรักพระองค์ยิ่งเหนือสิ่งอื่นใดได้รำลึกนึกถึง<br />
และดำเนินรอยตามพระราชจริยวัตรอันงดงาม<br />
<br />
<br />
<br />
จุดจัดแสดง จำลองบรรยากาศ<br />
ภายในบ้านเรือนของชาวไทย<br />
ที่ฝาผนังมักแขวนภาพปูชนียบุคคล<br />
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์อันเป็นที่<br />
ยึดเหนี่ยวจิตใจ โดยเฉพาะ<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ของ<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
264
๑<br />
265
๒<br />
บำราบราชอริ ธำรงรักษ์เอกราช<br />
กว่าที่จะสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานีที่มีความเป็นปึกแผ่น<br />
มั่นคง พระมหากษัตริย์ต้องทรงพระราชอุตสาหะปกบ้านป้องเมืองจากเงื้อมมือ <br />
ของอริราชศัตรูที่ยกทัพมารุกรานหลายครั้ง ต้องทรงวางแผนด้านสรรพกำลัง<br />
รวมทั้งยุทธศาสตร์และยุทธวิธีที่จะเอาชนะข้าศึก ประกอบกับความฮึกเหิม<br />
ของไพร่พลที่ล้วนอุทิศทั้งแรงกายและแรงใจด้วยความจงรักภักดีและรำลึกถึง <br />
ผืนแผ่นดินถิ่นมาตุภูมิเป็นสำคัญ จึงสามารถเอาชนะข้าศึกและดำรงความเป็น<br />
เอกราชสืบมา ขณะเดียวกันพระมหากษัตริย์ต้องทรงประกอบพระราชกรณียกิจ<br />
หลายด้าน เพื่อพัฒนาบ้านเมืองให้รุ่งเรืองและเพื่อความผาสุกของราษฎร<br />
ด้วยเหตุนี้ นับจากที่พระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาลเสด็จเถลิงถวัลย<br />
ราชสมบัติ ต้องทรงประกอบพระราชกิจมากมาย ซึ่งล้วนแต่เพื่ออำนวย<br />
ประโยชน์สุขให้บังเกิดแก่ราษฎรและประเทศชาติใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร<br />
เป็นสำคัญ<br />
266
สยามประเทศ ประสบแต่ความร่มเย็นตลอด<br />
ระยะเวลากว่า ๒๐๐ ปี ด้วยพระราชกรณียกิจของพระมหา<br />
กษัตริย์ ซึ่งแต่ละพระองค์ล้วนทรงมุ่งหมายที่จะพัฒนา<br />
บ้านเมืองให้เจริญรุ่งเรืองในทุกด้าน<br />
นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ ซึ่งทรงป้องกันบ้านเมือง<br />
ให้พ้นจากการรุกรานของอริราชศัตรูและทรงฟื้นฟูพระราช<br />
อาณาจักรให้กลับคืนสู่ความรุ่งเรือง<br />
รัชกาลที่ ๒ เป็นช่วงสมัยที่บ้านเมืองเริ่มมั่นคง <br />
จึงทรงรังสรรค์ศิลปวัฒนธรรมให้งดงามเป็นศรีสง่า<br />
รัชกาลที่ ๓ ทรงพระปรีชาด้านการค้า จึงเป็นช่วง<br />
เวลาที่สยามมีความมั่งคั่งจากการพาณิชย์<br />
รัชกาลที่ ๔ เป็นช่วงเวลาที่สยามเริ่มปรับตัว<br />
ให้ก้าวทันกระแสตะวันตก จึงทรงวางรากฐานการพัฒนา<br />
เพื่อให้บ้านเมืองมีความรุ่งเรืองสืบไป<br />
รัชกาลที่ ๕ เป็นช่วงเวลาที่โลกและสยามกำลัง<br />
เผชิญกับการคุกคามจากจักรวรรดินิยมตะวันตก จึงทรง<br />
พยายามนำพาประเทศให้ผ่านพ้นวิกฤตด้วยกุศโลบายต่างๆ<br />
และปรับปรุงประเทศให้พัฒนาก้าวทันอารยประเทศ<br />
รัชกาลที่ ๖ ทรงปกครองประเทศด้วยพระราช<br />
ปณิธานที่เน้นการพัฒนาสติปัญญาของราษฎร<br />
การปรับปรุงการศึกษาจึงเป็นพระราชกรณียกิจสำคัญ<br />
ควบคู่กับการปลุกใจให้ราษฎรรักและภูมิใจในชาติ<br />
รัชกาลที่ ๗ ทรงพยายามปรับปรุงวิธีการปกครอง<br />
ให้ทันสมัยตามแบบอย่างตะวันตก จึงทรงพยายามศึกษา<br />
และดำเนินแนวทางบริหารประเทศตามระบอบประชาธิปไตย<br />
จนในที่สุดทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้พระราชทาน<br />
รัฐธรรมนูญฉบับแรกแก่ชาวไทย<br />
รัชกาลที่ ๘ แม้จะเป็นพระมหากษัตริย์ที่<br />
ทรงครองราชย์เพียงระยะเวลาอันสั้น แต่ทรงประกอบ<br />
พระราชกรณียกิจสืบสานพระราชปณิธานแห่งสมเด็จ<br />
พระบุรพกษัตริยาธิราชด้วยพระราชอุตสาหะ<br />
รัชกาลที่ ๙ เป็นพระมหากษัตริย์ที่เสด็จ<br />
พระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรในทุกถิ่นฐาน ทรงเข้าพระราช<br />
หฤทัย ในความเป็นอยู่ของราษฎร จึงมีพระราชดำริ<br />
ริเริ่มโครงการต่างๆ เพื่อช่วยบรรเทาความเดือดร้อน<br />
และนำมาซึ่งความร่มเย็นแก่ราษฎร ตลอดระยะเวลากว่า<br />
๖๐ ปี ของการเป็นพระมหากษัตริย์ที่ทรงครองราชย์<br />
ยาวนานที่สุดในโลก<br />
<br />
267
268<br />
๓<br />
รัชกาลที่ ๑ - รัชกาลที่ ๓<br />
สมัยแห่งการฟื้นฟูความมั่นคง<br />
ธำรงศาสน์และศิลป์<br />
<br />
สมัยรัชกาลที่ ๑ รัชกาลที่ ๒ จนถึงรัชกาลที่ ๓ เป็นช่วงสมัยแห่ง<br />
การสร้างบ้านแปงเมืองและสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ให้เป็นศูนย์กลางของ<br />
พระราชอาณาจักร แต่สยามยังมีศึกสงครามกับอริราชศัตรูที่มุ่งหมายจะรุกราน<br />
รายล้อมอยู่รอบด้าน ราษฎรจึงต้องการการบำรุงขวัญให้รู้สึกมั่นคงปลอดภัย<br />
สามารถดำเนินชีวิตและประกอบกิจการงานได้อย่างอิสระและมีความสุข<br />
พระราชกรณียกิจสำคัญที่พระมหากษัตริย์ในช่วงเวลานั้นจะต้องทรงพระราช<br />
อุตสาหะปฏิบัติให้สำเร็จลุล่วง คือ การบำบัดทุกข์ของราษฎรควบคู่กับ<br />
การบำรุงสุข และฟื้นฟูความเจริญทุกด้าน
ด้านวัตถุ สิ่งก่อสร้างและอาคารสถานที่ต่างๆ ต้องเร่งสร้างให้มี<br />
ความมั่นคง แข็งแรง สวยงาม และเป็นศรีสง่าแก่บ้านเมือง<br />
ด้านจิตใจ อันได้แก่ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม ตลอดจนขนบธรรมเนียม<br />
ประเพณีที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ ต้องเร่งฟื้นฟูให้รุ่งเรืองเหมือนเมื่อครั้ง <br />
“บ้านเมืองยังดี” เฉกเช่นสมัยกรุงศรีอยุธยา เพื่อเรียกขวัญกำลังใจของราษฎร<br />
ให้กลับคืนมาโดยเร็ว <br />
269
จัดแสดงวีดิทัศน์พระราชประวัติ<br />
และพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ ๑<br />
บนฉากที่จำลองรูปทรงของประตู<br />
และกำแพงเมือง เมื่อสมัยต้นกรุง<br />
รัตนโกสินทร์ ซึ่งรัชกาลที่ ๑<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้สร้างสำหรับป้องกันพระนคร<br />
รัชกาลที่ ๑<br />
๒๘ ปีของรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ถือว่าเป็นสมัยของการสร้างบ้านแปงเมืองอย่างแท้จริง ทรงฟื้นฟูศิลป<br />
วัฒนธรรมของประเทศในทุกด้าน พร้อมๆ กับสร้างความเป็นปึกแผ่น ปกป้อง<br />
อธิปไตยของประเทศจากข้าศึกศัตรู ชัยชนะจากการสู้รบป้องกันประเทศ<br />
ในรัชสมัยของพระองค์ ทำให้ราชอาณาจักรสยามแผ่ขยายไปกว้างใหญ่ที่สุด<br />
ในประวัติศาสตร์<br />
ปวงชนชาวไทยจึงพร้อมใจถวายคำแสดงเกียรติยศสูงสุด “มหาราช” <br />
ต่อท้ายพระนามเพื่อรำลึกถึงพระราชประวัติอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ <br />
270
พระไตรปิฎก ฉบับทอง ซึ่งรัชกาลที่ ๑ ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ชำระและจารลงสมุดไทย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๓๑<br />
กฎหมายตราสามดวง ซึ่งได้รับการชำระและจารลงสมุดไทย<br />
สมัยรัชกาลที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๔๗<br />
ราชาธิราช หนึ่งในวรรณคดีที่เหล่านักปราชญ์ราชบัณฑิต<br />
ร่วมกันแปลและเรียบเรียงถวาย เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘<br />
<br />
ป้องกันประเทศ<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช <br />
พระปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ทรงบำบัดทุกข์<br />
แก่ราษฎรในช่วงเริ่มต้นสร้างกรุง โดยป้องกันขอบขันฑสีมาจาก<br />
การรุกรานของข้าศึกศัตรู ตลอดรัชสมัยของพระองค์ สยาม<br />
ต้องทำศึกกับพม่าถึง ๗ ครั้ง ศึกครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์<br />
คือสงคราม ๙ ทัพ<br />
ครั้งนั้นพระเจ้าปดุงจัดทัพยกพลแสนสี่หมื่นสี่พันนาย<br />
เข้ามา ๙ ทัพ ๕ ทิศทาง แม้สยามจะมีกำลังพลน้อยกว่าข้าศึก<br />
หนึ่งเท่าตัว แต่ก็ทรงนำทัพตีทัพพม่าจนแตกพ่ายไป<br />
<br />
ฟื้นฟูพระพุทธศาสนา<br />
ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาให้เป็นหลักในการ<br />
ดำเนินชีวิตแก่พสกนิกร ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้<br />
สังคายนาพระไตรปิฎกซึ่งสูญหายไปมากเมื่อครั้งเสียกรุง<br />
ศรีอยุธยา ชำระให้ถูกต้องตามแก่นของพระศาสนา<br />
<br />
ชำระกฎหมาย<br />
เพื่อจัดระเบียบให้ราษฎรได้อยู่กันอย่างสุขสงบ พระองค์<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมตัวบทกฎหมายที่ขาดหายไป<br />
และแก้ไขให้ถูกต้องเป็นธรรม แล้วประทับตราสามดวงไว้บน<br />
กฎหมายทุกเล่ม จึงเรียกขานกันต่อมาว่า กฎหมายตราสามดวง<br />
<br />
ฟื้นฟูศิลปวัฒนธรรม<br />
เมื่อทุกข์ของราษฎรได้รับการขจัดปัดเป่าแล้ว จึงทรง<br />
บำรุงสุขโดยฟื้นฟูทั้งธรรมเนียมประเพณีและศิลปศาสตร์<br />
เพื่อธำรงความเป็นชาติที่มีอารยธรรม ทรงฟื้นฟูวรรณคดีสำคัญ<br />
หลายเรื่องในสมัยอยุธยา และทรงพระราชนิพนธ์เรื่องรามเกียรติ์<br />
ขึ้นใหม่ทั้งหมด นอกจากคุณค่าทางวรรณกรรมแล้ว ประชาชน<br />
ยังได้ศึกษาแนวคิดด้านต่างๆ ที่เหมาะสมกับเหตุการณ์บ้านเมือง<br />
เช่น การปฏิบัติหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ เหมือนเสนาวานร<br />
ที่ปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมายจากพระรามอย่างสุดกำลัง<br />
๓<br />
271
จัดฉายวีดิทัศน์พระราชประวัติ<br />
และพระราชกรณียกิจของรัชกาลที ่ ๒<br />
บนฉากที่จำลองจากเก๋งนารายณ์<br />
ในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งรัชกาลที่ ๒<br />
โปรดประทับทรงงานช่างต่างๆ<br />
รัชกาลที่ ๒<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัยทรงครองราชย์เป็นระยะเวลา<br />
๑๕ ปี ทรงเอาพระราชหฤทัยใส่ในการเสริมสร้างความมั่นคงให้แก่<br />
ราชอาณาจักรสยามไปพร้อมกับทรงจรรโลงงานศิลปะและสร้างสรรค์วรรณคดี<br />
ที่ทรงคุณค่าจำนวนมาก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อฟื้นพระราชพิธี<br />
วิสาขบูชาซึ่งถือเป็นวันสำคัญทางพระพุทธศาสนา ด้วยพระราชกรณียกิจ<br />
ที่ยังคุณประโยชน์ต่อประเทศชาติและราษฎรที่มีมาตราบจนปัจจุบัน องค์การ<br />
ยูเนสโก จึงยกย่องพระองค์ให้ทรงเป็นบุคคลสำคัญของโลก เมื่อวันที่ <br />
๒๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๑๑ <br />
<br />
272
๓<br />
ป้องกันประเทศ<br />
ในช่วงต้นรัชกาลยังมีศึกสงคราม จึงทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองและป้อมปราการขึ้นที่สมุทรปราการ<br />
เพื่อให้เป็นเมืองหน้าด่านปากน้ำป้องกันข้าศึกที่จะเข้ามา<br />
ทางทะเล<br />
<br />
เปิดประเทศ<br />
ช่วงเวลานั้นประเทศในยุโรปต่างมีนโยบาย<br />
ล่าอาณานิคมเพื่อขยายเขตการค้าและหาแหล่งวัตถุดิบ<br />
ในทวีปแอฟริกาและเอเชีย สยามก็เป็นหนึ่งในเป้าหมาย<br />
ของมหาอำนาจเหล่านี้<br />
พระองค์ทรงตระหนักว่าสยามเป็นรองด้าน<br />
แสนยานุภาพ จึงทรงใช้วิธีรอมชอมทางการทูต ยอมเปิด<br />
การค้ากับอังกฤษ และให้โปรตุเกสตั้งสถานทูตขึ้นใน<br />
ราชอาณาจักรสยามได้เป็นชาติแรก<br />
<br />
ยุคทองของวรรณกรรมไทย<br />
เมื่อบ้านเมืองสงบจากศึกภายนอก จึงทรงทำนุบำรุง<br />
ศิลปวิทยาการและการช่างของประเทศให้เจริญรุ่งเรือง<br />
ขึ้นในทุกๆ ทาง ทรงเป็นศิลปินเอกในทุกแขนง<br />
ทรงฟื้นฟูการช่างและส่งเสริม<br />
กวี ให้เจริญรุ่งเรืองถึงขีดสุด<br />
นับเป็นยุคทองด้านศิลป<br />
วัฒนธรรมอย่างแท้จริง<br />
<br />
พัฒนาการค้า<br />
ในด้านการค้า พระองค์<br />
ทรงขยายก า ร ค้ า ส ำ เ ภ า กั บ<br />
ต่างประเทศ นำรายได้เข้าสู่ประเทศเพิ่มขึ้น ในการนี้ <br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เรือหลวงที่เดินทางไปค้าขาย<br />
ชักธงช้างเผือกขึ้นเป็นสัญลักษณ์ จึงเป็นมูลเหตุให้ใช้<br />
ธงช้างเผือกเป็นธงประจำชาติ ในเวลาต่อมา<br />
จิตรกรรมฝาผนัง จำลองภาพป้อมปราการ พระสมุทรเจดีย์<br />
และบริเวณปากแม่น้ำเจ้าพระยาที่เมืองสมุทรปราการ<br />
ฉากลงรักปิดทอง เขียนเรื่องอิเหนา ฝีพระหัตถ์รัชกาลที่ ๒<br />
ซอสามสาย เครื่องดนตรีไทยชนิดหนึ่ง<br />
ซึ่งรัชกาลที่ ๒ โปรดเล่นเป็นพิเศษ<br />
273
จุดจัดแสดง จำลองเรือสำเภา<br />
ของหลวง ซึ่งทางราชการใช้บรรทุก<br />
สิ่งของทำการค้าขายกับประเทศ<br />
ที่มีเขตแดนติดทะเล โดยเฉพาะ<br />
การค้ากับจีน ซึ่งเจริญรุ่งเรือง<br />
ถึงขีดสุดสมัยรัชกาลที่ ๓<br />
เรือสำเภา ซึ่งรัชกาลที่ ๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้ช่างสร้างจำลองไว้ที่วัดคอกกระบือหรือวัดยานนาวา<br />
ในปัจจุบัน<br />
รัชกาลที่ ๓<br />
ล่วงมาถึงแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เป็นรัชสมัย<br />
แห่งความมั่งคั่งรุ่งเรืองและมั่นคงทางเศรษฐกิจยุคหนึ่ง<br />
ของราชอาณาจักร<br />
สมัยรัชกาลที่ ๓ แม้การศึกสงครามระหว่างสยาม<br />
กับประเทศใกล้เคียงซึ่งมีมาเนิ่นนานตั้งแต่กรุงศรีอยุธยา<br />
ได้สิ้นสุดลง แต่การเข้ามาของนักล่าอาณานิคมจากตะวันตก<br />
ทำให้ประเทศตะวันออกต้องหันมาต่อสู้เพื่อป้องกัน<br />
ผืนแผ่นดินของตน<br />
274
๓<br />
ธงช้างเผือกในวงจักรสีขาว สำหรับอัญเชิญ<br />
สู่ยอดเสากระโดง เพื่อประกาศว่าเป็นเรือ<br />
ของทางราชการ<br />
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามเป็นพระอารามซึ่งรัชกาลที่ ๓<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปฏิสังขรณ์ เพื่อเป็นสถานที่<br />
จารึกความรู้เผยแพร่แก่ประชาชน<br />
รักษาความรู้เดิมมิให้สูญหาย<br />
หลังการเปิดประเทศ คณะมิชชันนารีได้เข้ามาเผยแผ่<br />
คริสต์ศาสนาและวิทยาการแผนใหม่ แม้พระองค์<br />
จะทรงเห็นคุณค่าและประโยชน์ของวิทยาการตะวันตก <br />
แต่ก็ทรงวิตกถึงอันตราย หากประชาชนนับถือเลื่อมใส<br />
และเอาอย่างตะวันตกทั้งหมด และทรงเกรงว่าความรู้เดิม <br />
อันเป็นภูมิปัญญาของแผ่นดินจะสูญหาย จึงทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าให้จารึกความรู้ต่างๆ เหล่านี้ไว้ในวัดโพธิ์หรือ<br />
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ซึ่งนับเป็นมหาวิทยาลัยเปิด<br />
แห่งแรกของราชอาณาจักร<br />
เริ่มการค้าเสรี<br />
พระองค์ทรงตระหนักดีว่าไม่อาจสู้รบกับชาติ<br />
ตะวันตกที่มีอาวุธและยุทธวิธีอันทันสมัยได้ จึงทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ทำสนธิสัญญาการค้ากับอังกฤษเป็นครั้งแรก<br />
นับเป็นการปูพื้นฐานทางเศรษฐกิจการค้า<br />
ในด้านเศรษฐกิจการค้า ทรงส่งเสริมทั้งการค้า<br />
สำเภากับจีนและยุโรป สร้างรายได้ให้แผ่นดินเพิ่มขึ้น<br />
เป็น ๓ เท่า และในปลายรัชกาลมีเงินสะสมที่พระราชทาน<br />
ไว้สำหรับใช้ในราชการแผ่นดินจำนวนมาก เรียกว่า เงินถุงแดง<br />
รับสั่งไว้ว่า “สำหรับไถ่บ้านไถ่เมือง”<br />
<br />
บำรุงพระพุทธศาสนา<br />
ในด้านศาสนา พระองค์ทรงเลื่อมใสศรัทธาใน<br />
พระพุทธศาสนา ทรงทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างมาก<br />
มีพระราชดำริให้พระสงฆ์ชั้นผู้ใหญ่อบรมสั่งสอนกุลบุตร<br />
ให้รู้พระปริยัติถึงเปรียญเอก โท ตรี จัตวา เพื่อจะได้เป็น<br />
ธรรมทายาทช่วยเผยแผ่พระพุทธศาสนาให้รุ่งเรืองสืบไป<br />
นอกจากนี้ ยังทรงสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์<br />
วัดหลายแห่งให้งดงามอย่างมีเอกลักษณ์ตามพระราชนิยม<br />
นับเป็นสมัยของการระดมช่างฝีมือก่อสร้างซึ่งทำให้<br />
วัดวาอารามทั้งหลายนั้นสวยเด่นเป็นสง่ายิ่งขึ้นด้วย<br />
<br />
<br />
275
จุดจัดแสดง จำลองภาพจิตรกรรม<br />
ฝาผนังและจารึกเรื่องการแพทย์<br />
แผนไทย ในศาลารายด้านหน้า<br />
พระมหาเจดีย์ ๔ รัชกาล<br />
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม<br />
จารึกด้านการแพทย์แผนไทย<br />
ที่วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม<br />
นับเป็นต้นตำรับการรักษาโรคที่มีชื่อเสียง<br />
และได้รับการยอมรับในหมู่คนไทย<br />
จนถึงปัจจุบัน<br />
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม ถือเป็นแหล่ง<br />
รวบรวมจารึกด้านวรรณคดี นับตั้งแต่วิธีการ<br />
แต่งบทประพันธ์ เช่น ตำราฉันท์มาตราพฤติ<br />
และวรรณพฤติ สุภาษิตคำสอน เช่น โคลงโลกนิติ<br />
สุภาษิตพระร่วง และตำนานทางพระพุทธศาสนา<br />
เช่น ประวัติพุทธสาวกสาวิกา เป็นต้น<br />
จิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ<br />
และวิหารพระพุทธไสยาส<br />
นอกจากมีภาพสวยงาม ยังเป็นแหล่งศึกษา<br />
แบบอย่างของการประพฤติดี ปฏิบัติชอบ<br />
ของผู้มีศรัทธาอย่างแรงกล้า<br />
ในพระพุทธศาสนา <br />
276
๔<br />
บำรุงพระศาสนา<br />
จารึกสรรพวิทยาการ<br />
นับตั้งแต่คณะมิชชันนารีเริ่มเข้ามาเผยแผ่<br />
ศาสนาและถ่ายทอดวิทยาการสมัยใหม่ ชาวสยาม<br />
เริ่มได้รับความรู้ ความเชื่อ และอิทธิพลจาก<br />
ชาติตะวันตกหลายด้าน ด้วยเหตุนี้ เมื่อครั้งที่มี<br />
การปฏิสังขรณ์วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม<br />
รัชกาลที่ ๓ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เหล่า<br />
นักปราชญ์ราชกวีรวบรวมและเรียบเรียงสรรพวิชา<br />
จารึกไว้บนแผ่นหิน เพื่อเก็บรักษาภูมิปัญญา<br />
อันล้ำค่าให้คงอยู่สืบไป<br />
สรรพวิชาที่จารึกไว้มีหลายประเภทด้วยกัน<br />
ได้แก่ เวชศาสตร์ มีตำรับยาและการรักษาโรค<br />
ตามแบบแพทย์แผนไทย อักษรศาสตร์ มีทั้งวิธี<br />
การแต่งบทประพันธ์ประเภทต่างๆ และตัวบท<br />
วรรณคดีที่ทรงคุณค่า พุทธศาสตร์ส่วนใหญ่เป็น<br />
ประวัติพระสาวก อุบาสก และอุบาสิกา<br />
ในพระพุทธศาสนา<br />
277
เบื้องหลังเรือสำเภาจำลอง จัดแสดง<br />
เครื่องกระเบื้องซึ่งเป็นหนึ่งในสินค้า<br />
ที่สยามนำเข้าจากจีนในช่วงที่มี <br />
การติดต่อซื้อขายสินค้าระหว่าง<br />
ไทยกับจีนสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์<br />
การค้าสำเภา<br />
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เป็นช่วงเวลาที่<br />
สยามกำลังก่อร่างสร้างพระราชอาณาจักร และยังต้องทำ<br />
ศึกสงครามกับศัตรูรอบด้าน ทำให้ฐานะของสยามไม่มั่นคง<br />
การค้ากับต่างประเทศ โดยเฉพาะการค้าสำเภา จึงได้รับ<br />
การสนับสนุนจากราชสำนัก นับตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ <br />
ซึ่งทรงฟื้นฟูการค้าระบบบรรณาการกับจีนด้วยวิธีการ<br />
ต่างๆ ซึ่งล้วนเอื้อประโยชน์ต่อเศรษฐกิจของสยาม<br />
เป็นอย่างมาก<br />
278<br />
เครื่องกระเบื้องหลากสีสัน เป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่ไทยนำเข้าจากจีน<br />
ผ่านการค้าสำเภา โดยส่วนใหญ่มักนำมาประดับตกแต่ง<br />
พระอารามและพุทธสถานสำคัญในกรุงรัตนโกสินทร์
๔<br />
หินแกะสลักและเครื่องสังคโลก<br />
งานฝีมือที่ชาวสยามที่มีฐานะ<br />
นิยมนำเข้ามาจากจีน<br />
เพื่อนำไปตกแต่งสถานที่<br />
หรือตั้งประดับไว้ในบ้านเรือน<br />
ภาพเรือกำปั่นของฝรั่งสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ฝีมือช่างเขียนสมัยรัชกาลที่ ๓<br />
สินค้าที่บรรทุกสำเภาค้าขายกับจีน มีหลายอย่าง<br />
เช่น ดีบุก พริกไทย ครั่ง ขี้ผึ้ง ไม้หอม รวมทั้งสินค้าอื่นๆ <br />
ที่จัดซื้อหาเพิ่มเติมจากประเทศใกล้เคียง เช่น เขมร ญวน<br />
และมลายู แล้วรับซื้อสินค้าต่างประเทศที่ต้องการใช้ภายใน<br />
ประเทศ ผ้า ถ้วยชาม มาจำหน่ายแก่ราษฎรอีกทอดหนึ่ง<br />
การค้าสำเภามีความก้าวหน้าและรุ่งเรืองสืบมา<br />
เป็นลำดับ โดยเฉพาะสมัยรัชกาลที่ ๓ ซึ่งทรงพัฒนาระบบ<br />
ขนส่งสินค้าให้มีประสิทธิภาพด้วยการสนับสนุนให้มี<br />
การต่อเรือกำปั่นแบบฝรั่ง ที่สามารถบรรทุกสินค้าได้<br />
ครั้งละมากๆ และมีความเร็วสูง ผลกำไรจากการค้าสำเภา<br />
นับเป็นรายได้ที่สำคัญยิ่งของแผ่นดินในสมัยรัตนโกสินทร์<br />
ตอนต้น<br />
279
280
๔<br />
เงินถุงแดง<br />
เงินถุงแดงเป็นเงินที่พระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงได้รับจากผลกำไร<br />
ของการค้าสำเภาส่วนพระองค์ ตั้งแต่ยังดำรง<br />
พระยศเป็นพระเจ้าลูกยาเธอ กรมหมื่นเจษฎา<br />
บดินทร์ ทรงเก็บสะสมไว้โดยการนำใส่ถุงแดง<br />
แยกเป็นถุง ถุงละ ๑๐ ชั่ง แล้วตีตราปิดปากถุง<br />
เก็บเข้าในหีบกำปั่นข้างพระแท่นบรรทม<br />
เงินถุงแดงที่พระองค์ทรงเก็บสะสมไว้<br />
ภายหลังมีคุณอย่างใหญ่หลวงต่อชาติบ้านเมือง<br />
ในการนำมา “ไถ่บ้านไถ่เมือง” ในรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเกิด<br />
วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖<br />
ทำให้สยามประเทศรอดพ้นจากการยึดครองของ<br />
ชาวต่างชาติ<br />
เงินอะไรอยู่ในถุงแดง<br />
เงินในถุงแดงเป็นเงินเหรียญทองคำของ<br />
ประเทศเม็กซิโก ด้วยเป็นที่ยอมรับในการแลกเปลี่ยน<br />
ซื้อขายสินค้าของชาวต่างชาติสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์<br />
เงินเหรียญเม็กซิโกนี้ ด้านหนึ่งมีรูปนกอินทรี<br />
กางปีกปากคาบอสรพิษ อันเป็นสัญลักษณ์ของประเทศ<br />
เม็กซิโก อยู่ใต้ข้อความว่า ESTADOS UNIDOS<br />
MEXICANOS ซึ่งแปลว่า สหรัฐเม็กซิโก อีกด้านหนึ่ง<br />
เป็นภาพเทพีแห่งเสรีภาพ มือขวาชูมงกุฎอันเป็น<br />
เครื่องหมายถึงเกียรติยศ ส่วนมือซ้ายถือเศษโซ่ตรวน<br />
ซึ่งหมายถึงอิสรภาพ ฉากหลังเป็นภาพภูเขาไฟโปโปกา<br />
เตเปตล์และอิซตักซีอวตล์ในเม็กซิโก และมีข้อความว่า<br />
50 PESOS หรือ ๕๐ เปโซ ซึ่งเป็นหน่วยเงินตราของ<br />
เม็กซิโก กับ 37.5 Gr. ORO PURO ซึ่งแปลว่า<br />
ทองคำบริสุทธิ์น้ำหนัก ๓๗.๕ กรัม ตามอัตราแลกเปลี่ยน<br />
ในเวลานั้น เงินเม็กซิโก ๓ เหรียญ มีค่าเทียบกับเงินไทย<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ประมาณ ๕ บาท<br />
<br />
281
282<br />
จัดแสดงวีดิทัศน์พระราชประวัติ<br />
และพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ ๔<br />
และรัชกาลที่ ๕ บนฉากที่จำลอง<br />
สถาปัตยกรรมตะวันตก<br />
ซึ่งกำลังได้รับความนิยมในสมัยนั้น
๕<br />
รัชกาลที่ ๔ - รัชกาลที่ ๕<br />
สมัยแห่งการฝ่ามรสุม<br />
มหาอำนาจ<br />
นำชาติสู่ศิวิไลซ์<br />
นับแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๔<br />
แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี สยามต้องเผชิญกับกระแส<br />
ความเปลี่ยนแปลงหลายด้าน โดยเฉพาะการแสวงหา<br />
อาณานิคมของชาติตะวันตกอย่างอังกฤษและฝรั่งเศส<br />
ซึ่งรุกคืบยึดดินแดนเพื่อนบ้านด้วยวิธีการต่างๆ อย่างแยบยล<br />
ส่งผลให้สยามอยู่ท่ามกลางสมรภูมิการแข่งขันแย่งชิง<br />
ดินแดนกันระหว่างชาติทั้งสอง แต่ด้วยพระราชวิเทโศบาย<br />
อันแยบคาย สยามจึงสามารถยืนหยัดอย่างมั่นคงดำรง<br />
เอกราชสืบมา<br />
เมื่อถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว มหาอำนาจชาติตะวันตกยิ่งพยายามขยาย<br />
อำนาจเหนือดินแดนต่างๆ เพื่อประโยชน์ทั้งทางการค้า<br />
และการเข้าครอบครองทรัพยากรอันมีค่าของประเทศ<br />
ที่ตกเป็นเมืองขึ้น<br />
ส ย า ม ต้ อ ง เ ผ ชิ ญ กั บ ม ร สุ ม ก า ร แ ผ่ ลั ท ธิ<br />
จักรวรรดินิยมอย่างเลี่ยงไม่ได้ รัชกาลที่ ๕ จึงต้อง<br />
ทรงดำเนินกุศโลบายโดยเฉพาะทางการทูตและปรับปรุง<br />
ประเทศให้ก้าวทันตะวันตกอย่างรอบด้าน อันนำมาซึ่ง<br />
การเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง ซึ่งยังประโยชน์ให้สยาม<br />
รอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมเพียงประเทศเดียว<br />
ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ <br />
283
284<br />
รัชกาลที่ ๔<br />
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๔ เริ่มต้นขึ้นท่ามกลางกระแส<br />
การล่าอาณานิคมของมหาอำนาจชาติตะวันตกที่แผ่ขยาย<br />
อิทธิพลอย่างมาก แต่สยามสามารถยืนหยัดเป็นประเทศ<br />
เอกราชรอดพ้นวิกฤตการณ์ต่างๆ ได้ด้วยพระปรีชาสามารถ<br />
และความเข้าพระราชหฤทัยต่อกระแสการเปลี่ยนแปลง<br />
ของโลกในเวลานั้น<br />
ด้วยก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรงศึกษาภาษา<br />
อังกฤษจนสามารถอ่านและรับสั่งได้ดี และทรงคบค้าสมาคม<br />
กับชาวต่างประเทศมากมาย ทำให้ทรงได้รับความรู้และ<br />
วิทยาการทางเทคโนโลยีของโลกตะวันตกหลายแขนง<br />
<br />
รัชกาลที่ ๔ ทรงส่งเสริมและทรงสนับสนุนการศึกษาตามแบบแผนตะวันตก <br />
โดยเริ่มตั้งแต่ระดับเจ้านายด้วยการจ้างนางแอนนา เลียวโนเวนส์ ชาวอังกฤษ<br />
เข้ามาถวายพระอักษรสมเด็จเจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ฯ พระราชโอรส พระราชธิดา<br />
ตลอดจนเจ้าจอมมารดาและเจ้าจอมในพระบรมมหาราชวัง
๕<br />
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นช่วงเวลาเดียวกับการแผ่<br />
อาณานิคมของชาติตะวันตก พระองค์ทรงดำเนินพระบรมราโชบาย<br />
เพื่อถ่วงดุลอำนาจของอังกฤษและฝรั่งเศสโดยผลักดันให้สยามเป็น<br />
ดินแดนกันชนของทั้งสองประเทศ<br />
ทรงดำเนินนโยบายผ่อนปรนการบีบบังคับทางการเมืองและการทูต<br />
ของชาติตะวันตก โดยปรับตัวให้เข้ากับวัฒนธรรมตะวันตก ปรับปรุงบ้านเมือง<br />
ให้ก้าวหน้าทันสมัยเยี่ยงอารยประเทศ<br />
ทรงส่งเสริมการเรียนรู้ภาษาอังกฤษเพื่อเป็นสื่อในการรับวิทยาการ<br />
และความก้าวหน้าของโลกตะวันตก โดยทรงจ้างครูฝรั่งมาถวายพระอักษรแด่<br />
พระราชโอรส พระราชธิดา ตลอดจนส่งข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ไปศึกษางาน<br />
ยังประเทศต่างๆ ในยุโรป<br />
ทรงสนับสนุนการศึกษาของประชาชน พระราชทานพระบรมราชานุญาต<br />
ให้คณะมิชชันนารีคริสเตียนตั้งโรงเรียนราษฎรแบบตะวันตกขึ้นเป็นแห่งแรก<br />
ที่บริเวณหลังวัดอรุณราชวราราม อันเป็นต้นกำเนิดของโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียน<br />
ในปัจจุบัน<br />
พระราชกรณียกิจที่สำคัญยิ่งประการหนึ่งคือการทำให้สยามเป็นที่รู้จัก<br />
และเป็นหนึ่งในประชาคมโลกที่มีศักดิ์ศรีเท่าเทียมประเทศที่เจริญแล้ว ด้วยการส่ง<br />
ราชทูตให้เดินทางไปเจริญทางพระราชไมตรีกับประเทศที่มีบทบาทสำคัญ<br />
ในประชาคมโลก<br />
รัชกาลพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว นับเป็นสมัยแห่งการวาง<br />
รากฐานที่เอื้อต่อการพัฒนาประเทศให้เจริญก้าวหน้าทัดเทียมอารยประเทศ<br />
ในเวลาต่อมา นับเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่ได้ทรงพระราชอุตสาหะบำเพ็ญ<br />
ลายพระราชหัตถเลขาภาษาอังกฤษ<br />
ซึ่งรัชกาลที่ ๔ ทรงแลกเปลี่ยนกับ<br />
พระสหายชาวต่างชาติ<br />
พระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการ เครื่องราชบรรณาการที่รัชกาลที่ ๔<br />
ทรงส่งไปเจริญทรงพระราชไมตรี<br />
กับพระนางเจ้าวิกตอเรียแห่งอังกฤษ<br />
รัชกาลที่ ๔ ทรงส่งคณะราชทูตเดินทางไปเข้าเฝ้าฯ จักรพรรดินโปเลียนที่ ๓<br />
ที่พระราชวังฟงแตนโบล ประเทศฝรั่งเศส<br />
285
286<br />
“เทคโนโลยีตะวันตก” ที่สมเด็จพระนางเจ้า<br />
วิกตอเรียแห่งอังกฤษส่งมาถวายเพื่อเจริญ<br />
ทางพระราชไมตรี<br />
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวประทับหน้าพลับพลาที่ประทับ <br />
เพื่อทอดพระเนตรสุริยุปราคาที่ตำบลหว้ากอ อำเภอคลองวาฬ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์<br />
ในปัจจุบัน ท่ามกลางชาวตะวันตก คณะทูตานุทูต และข้าราชการที่ได้เดินทาง<br />
ตามเสด็จพระราชดำเนินไปด้วย<br />
ทรงปราดเปรื่องเรื่องดาราศาสตร์<br />
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงใฝ่พระราช<br />
หฤทัยศึกษาวิทยาการตะวันตกหลายแขนง โดยเฉพาะ<br />
ดาราศาสตร์ ทรงสามารถคำนวณวันเวลาที่จะเกิด<br />
สุริยุปราคาล่วงหน้าถึง ๒ ปี ได้อย่างถูกต้องและแม่นยำ<br />
ทรงพยากรณ์ว่าการเกิดสุริยุปราคาในวันที่ ๑๘<br />
สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๑๑ เป็นสุริยุปราคาเต็มดวง มองเห็น<br />
ได้ตั้งแต่เมืองปราณบุรีลงไปจนถึงเมืองชุมพร และสามารถ<br />
มองเห็นได้ชัดเจนที่ตำบลหว้ากอ แขวงเมืองประจวบคีรีขันธ์<br />
ตามพิกัดภูมิศาสตร์ที่ ๙๙ องศา ๔๐ ลิปดา ๒๐ พิลิปดา<br />
ตะวันออก เส้นรุ้ง ๑๑ องศา ๔๑ ลิปดา ๔๐ พิลิปดาเหนือ<br />
โดยจะเห็นดวงจันทร์เข้าบังดวงอาทิตย์จากทาง<br />
ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วออกทางทิศตะวันออกเฉียงใต้<br />
ในเวลา ๑๑.๔๒ นาฬิกา
๕<br />
จัดแสดงวีดิทัศน์ถ่ายทอดพระราชประวัติ<br />
และพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ ๔<br />
หลายด้าน อาทิ ด้านดาราศาสตร์<br />
ซึ่งทรงเชี่ยวชาญและทรงได้รับการยอมรับ<br />
ในระดับนานาชาติ<br />
ครั้งนั้นได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร<br />
สุริยุปราคาเต็มดวงที่ตำบลหว้ากอ พร้อมด้วยเซอร์แฮร์รี<br />
ออด ผู้สำเร็จราชการอังกฤษประจำเมืองสิงคโปร์ <br />
คณะทูตานุทูต นักวิทยาศาสตร์ฝรั่งเศส แขกต่างประเทศ<br />
ที่ทรงเชิญมา และข้าราชบริพารไทย เหตุการณ์ก็เป็นไป<br />
ตามที่ทรงคำนวณซึ่งแม่นยำกว่านักดาราศาสตร์<br />
ชาวฝรั่งเศสที่ร่วมตามเสด็จพระราชดำเนิน เพื่อสังเกตการณ์ด้วย<br />
๒ วินาที<br />
ในปัจจุบันนี้ ประชาคมดาราศาสตร์ในระดับสากล<br />
ที่ศึกษาด้านสุริยุปราคา ยกย่องพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวด้วยการเรียกสุริยุปราคาเต็มดวงเมื่อ พ.ศ.<br />
๒๔๑๑ ว่าเป็น “King of Siam’s Eclipse”<br />
ภาพจิตรกรรมฝาผนังภายในพระอุโบสถ<br />
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม<br />
ซึ่งเขียนขึ้นเมื่อสมัยรัชกาลที่ ๓ แสดงให้เห็นถึง<br />
ความสนใจของชาวสยามต่อวิทยาการตะวันตก<br />
มาตั้งแต่ต้นสมัยรัตนโกสินทร์<br />
287
จัดแสดงหุ่นจำลองสถานที่สำคัญ<br />
ซึ่งรัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้สร้างขึ้น ประกอบสื่อผสมทั้งแสง เสียง<br />
และวีดิทัศน์<br />
รัชกาลที่ ๕<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๕<br />
เสด็จพระราชสมภพในช่วงเวลาที่ภูมิภาคอุษาคเนย์ต้องเผชิญหน้ากับสภาวะวิกฤต<br />
อันเกิดจากการคุกคามของมหาอำนาจชาติตะวันตก<br />
ด้วยพระปรีชาญาณหยั่งรู้การณ์ไกลของพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว พระบรมชนกนาถ พระราชโอรสจึงทรงได้รับการศึกษาวิชาความรู้<br />
ที่สำคัญซึ่งไม่ปรากฏอยู่ในตำราภาษาไทย โดยทรงว่าจ้างชาวต่างประเทศ<br />
มาเป็นครูถวายการสอนภาษาอังกฤษ ซึ่งนอกจากจะเป็นเครื่องมือ<br />
ในการศึกษาวิชาการอันทันสมัย ยังช่วยเปิดโอกาสให้รับทราบความคิดอ่าน<br />
และรู้เท่าทันชาติตะวันตก ซึ่งต่างพยายามขยายอิทธิพลและเข้าครอบครอง<br />
ดินแดนต่างๆ ทั้งเอเชีย แอฟริกา ตลอดจนอเมริกาใต้<br />
288
๕<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ขณะดำรงพระอิสริยยศสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ<br />
ทรงได้รับการอบรมเรื่องต่างๆ จากพระบรมชนกนาถ<br />
เมื่อเสด็จขึ้นครองราชย์ จึงเป็นพระมหากษัตริย์<br />
ซึ่งทรงพระปรีชาสามารถและทรงนำพาประเทศชาติ<br />
ไปสู่ความเจริญในหลายด้าน <br />
ภายหลังเสด็จขึ้นครองราชย์ จึงเริ่มเสด็จประพาส<br />
ต่างประเทศ ด้วยทรงเล็งเห็นความสำคัญของ การเปิดโลกทัศน์<br />
และเป็นโอกาสที่จะได้ทอดพระเนตรความเจริญของ<br />
บ้านเมืองต่างๆ รวมทั้งยังจะได้เจริญทางพระราชไมตรีกับ<br />
ต่างประเทศซึ่งในเวลาต่อมาได้เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนา<br />
และปรับปรุงประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน อันเป็น<br />
การพยายามยกระดับความเจริญของบ้านเมืองให้เท่าเทียม<br />
อารยประเทศ<br />
อย่างไรก็ตาม สยามไม่สามารถหลีกเลี่ยง<br />
การรุกรานของชาติตะวันตกซึ่งต่างมุ่งหน้าแสวงหา<br />
อาณานิคมในดินแดนส่วนต่างๆ ทั้งอังกฤษ ฮอลันดา<br />
สหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งฝรั่งเศสจนเกิดเป็น<br />
วิฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒<br />
<br />
<br />
<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
ทรงฉายพระรูปร่วมกับสุลต่าน เมืองยะโฮร์<br />
เมื่อคราวเสด็จประพาสสิงคโปร์และชวา ใน พ.ศ. ๒๔๓๙<br />
289
วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒<br />
เมื่อล่วงมาถึง พ.ศ. ๒๔๓๖ ซึ่งตรงกับรัตนโกสินทร์ศกหรือ ร.ศ. ๑๑๒<br />
ฝรั่งเศสได้หาเหตุกระทบกระทั่งตามชายแดนและส่งเรือรบจะรุกเข้าปากแม่น้ำ<br />
เจ้าพระยา สยามต้องต่อสู้จนสุดความสามารถ แต่ไม่เป็นผล ฝรั่งเศส<br />
ยื่นคำขาดให้ชดใช้ค่าเสียหายสามล้านฟรังก์ ร้ายแรงยิ่งกว่านั้นคือสยามต้องยก<br />
ดินแดนบางส่วนให้ฝรั่งเศส นำความโทมนัสมาสู่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวอย่างมากถึงกับทรงพระประชวรหนัก แต่ก็ทรงประคับประคอง<br />
สถานการณ์จนผ่านพ้นวิกฤต ทรงชดใช้ค่าปรับด้วยเงินถุงแดงในสมัยรัชกาลที่ ๓<br />
สมทบกับเครื่องประดับของเจ้านายหลายพระองค์ และทรงจำยอมสละดินแดน<br />
บางส่วนเพื่อรักษาดินแดนส่วนใหญ่และเอกราชของชาติไว้<br />
พระสมุทรเจดีย์ เมืองสมุทรปราการ<br />
ตั้งอยู่ใกล้ปากแม่น้ำเจ้าพระยา<br />
ซึ่งเป็นสมรภูมิที่ชาวสยาม<br />
ต่อสู้ป้องกันการรุกรานของฝรั่งเศส<br />
290
๕<br />
<br />
<br />
ฉันขอบอกให้ทราบโดยทั่วกันว่า ถ้าเหตุการณ์จะมีแก่บ้านเมืองประการใด<br />
ตัวฉันไม่ได้ย่อท้อถดถอยอย่างหนึ่งอย่างใด ขอให้ท่านทั้งหลายไว้ใจเถิด<br />
ฉันกับท่านทั้งหลาย คงจะช่วยกันรักษาบ้านเมืองของเรา<br />
จนสุดกำลังและความคิด<br />
พระราชดำรัส พระราชทานแก่ข้าทูลละอองธุลีพระบาท<br />
ณ เรือพระที่นั่งมหาจักรี ซึ่งทอดสมออยู่หน้าเมืองสมุทรปราการ<br />
เมื่อวันที่ ๑๒ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๓๖<br />
ซึ่งตรงกับรัตนโกสินทร์ศก หรือ ร.ศ. ๑๑๒<br />
เรือปืนโกแมต (Comete) หนึ่งในเรือรบของฝรั่งเศส<br />
ที่รุกรานสยาม เมื่อ ร.ศ. ๑๑๒<br />
291
ประเทศสยามมีการใช้โทรศัพท์ครั้งแรก<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๔<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงวางรากฐานการบริหารราชการแผ่นดิน<br />
ด้วยการตั้งสภาที่ปรึกษาแผ่นดินและสภาที่ปรึกษาในพระองค์ โดยมีพระราชประสงค์<br />
เพื่อ “ช่วยคิดราชการแผ่นดิน...ให้ราษฎรอยู่เย็นเป็นสุข”<br />
พัฒนาประเทศ<br />
วิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ เป็นเหตุให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงตระหนักว่า เมื่อไม่สามารถเอาชนะมหาอำนาจชาติตะวันตก<br />
ด้วยกำลังได้ ก็ต้องเอาชนะด้วยปัญญา จึงทรงดำเนินพระบรมราโชบาย <br />
๒ ประการ<br />
ประการแรก คือ พัฒนาบ้านเมืองให้เจริญก้าวหน้าอย่างตะวันตก <br />
ทรงเริ่มต้นด้วยการปฏิรูปการปกครองจากแบบจตุสดมภ์มาสู่การตั้ง<br />
กระทรวงขึ้น ๑๒ กระทรวง <br />
ทรงวางรากฐานด้านสาธารณูปโภคและการคมนาคมต่างๆ เช่น<br />
ปฏิรูปการสื่อสาร สร้างโทรเลขสายแรก คือสายกรุงเทพฯ - สมุทรปราการ<br />
และนำโทรศัพท์เข้ามาทดลองใช้เพื่อแจ้งข่าวการเดินเรือผ่านเข้าออก<br />
ที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา ให้ทางกรุงเทพฯ ทราบได้อย่างทันท่วงที<br />
ศุลกสถาน ตั้งอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นอาคารของทางราชการที่ก่อสร้างด้วยสถาปัตยกรรม<br />
แบบตะวันตก เป็นการส่งเสริมภาพลักษณ์ความเป็นอารยประเทศของสยามได้เป็นอย่างดี<br />
292
๕<br />
เส้นทางรถไฟซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้สร้างขึ้น ช่วยขยายความเจริญและเชื่อมโยงการคมนาคมไปสู่หัวเมืองอย่างกว้างขวาง<br />
ทรงปรับปรุงการคมนาคม โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มี<br />
การตัดถนนเพิ่มขึ้นหลายสาย พร้อมทั้งสร้างอาคารขึ้นสองฟากฝั่งถนน เพื่อส่งเสริม<br />
การพาณิชย์ควบคู่กับการพัฒนาการสัญจรทางบก<br />
ทรงวางรากฐานการรถไฟเพื่อเชื่อมโยงหัวเมืองสำคัญให้เข้าถึงกันได้<br />
อย่างสะดวกรวดเร็ว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างทางรถไฟสาย<br />
กรุงเทพฯ - ปากน้ำ ที่เปิดทำการได้เป็นสายแรก เมื่อมีข้าศึกรุกล้ำเข้ามาทาง<br />
ปากแม่น้ำ ก็จะสามารถลำเลียงกำลังพลป้องกันได้ทันท่วงที<br />
สมัยรัชกาลที่ ๕ นับเป็นช่วงเวลาที่มีการปรับปรุงสภาพบ้านเมือง<br />
ให้เป็นที่ยอมรับของนานาอารยประเทศ นับเป็นการพลิกโฉมประเทศ<br />
ครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ของชาติ<br />
<br />
<br />
ทัศนียภาพบริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ เมื่อมองไปยังพระที่นั่งอนันตสมาคม สะท้อนให้เห็น<br />
บรรยากาศของการปรับปรุงบ้านเมืองตามแบบอย่างของอารยประเทศทางตะวันตก<br />
293
ประทับรถม้าพระที่นั่งกับพระราชินีมาร์เกริตาแห่งอิตาลี ทอดพระเนตรริ้วขบวนทหารที่กรุงโรม<br />
เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนประเทศอิตาลี พ.ศ. ๒๔๔๐<br />
ทรงฉายพระรูปกับพระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒<br />
เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยือนรัสเซีย พ.ศ. ๒๔๔๐<br />
<br />
พระบรมราโชบายประการที่ ๒<br />
คือการเจริญทางพระราชไมตรีเป็นมิตร<br />
กับประเทศมหาอำนาจต่างๆ เพื่อให้เกิด<br />
การคานอำนาจกัน โดยได้เสด็จพระราช<br />
ดำเนินไปทรงเยือนทวีปยุโรปถึง ๒ ครั้ง <br />
ใน พ.ศ. ๒๔๔๐ และ ๒๔๕๐ ทรงแสดง<br />
ให้ประจักษ์ชัดแก่ชาวโลกว่า พระมหา<br />
กษัตริย์ของกรุงสยามนั้นมิได้ล้าหลัง<br />
ไร้ความเจริญ ตรงกันข้าม ทรงรับสั่ง<br />
และเข้าพระราชหฤทัยภาษาอังกฤษ<br />
ได้เป็นอย่างดีโดยมิต้องใช้ล่าม<br />
นอกจากนี้ ทรงส่งพระราชโอรส<br />
และบุตรหลานของขุนนางชั้นผู้ใหญ่<br />
ตลอดจนสามัญชนจำนวนมากออกไป<br />
ศึกษาวิชาการต่างๆ ในยุโรป เพื่อนำ<br />
วิทยาการที่ก้าวหน้ากลับมาพัฒนา<br />
บ้านเมือง<br />
<br />
294
๕<br />
วิชาความรู้ในหนังสือไทยที่มีผู้แต่งไว้นั้น<br />
เป็นแต่ของเก่าๆ มีน้อย <br />
เพราะมิได้สมาคมกับชาติอื่นช้านาน <br />
เหมือนวิชาการในประเทศยุโรป<br />
ที่ได้สอบสวนซึ่งกันและกันจนเจริญรุ่งเรือง<br />
พระบรมราโชวาท รัชกาลที่ ๕ พระราชทานพระเจ้าลูกเธอ<br />
ที่จะไปทรงศึกษา ณ ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๘<br />
ทรงฉายพระรูปร่วมกับพระราชโอรส ๑๑ พระองค์ที่เสด็จไปทรงศึกษาวิชาการแขนงต่างๆ ในทวีปยุโรป<br />
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ ณ ปราสาทตาโปลวคอร์ต (Taplow Court) ถนนคลิฟเดน (Cliveden Road) <br />
เมืองเมเดนเฮด (Maidenhead) ประเทศอังกฤษ<br />
295
296<br />
ทรงสนับสนุนให้ขยายการศึกษานับตั้งแต่ในพระบรมมหาราชวัง <br />
ไปสู่โรงเรียนของราษฎรในหัวเมืองต่างๆ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงดำเนินพระบรมราโชบายอันชาญฉลาด ยกเลิกระบบ<br />
ไพร่ทาสด้วยวิธีค่อยเป็นค่อยไป ใช้เวลากว่า ๓๐ ปีจึงสามารถ<br />
ปลดพันธนาการทางสังคมที่มีมาหลายร้อยปีได้<br />
โดยปราศจากการสูญเสียเลือดเนื้อเป็นชาติแรกและ<br />
ชาติเดียวในโลก ประกอบกับทรงส่งเสริมการศึกษาของ<br />
ราษฎร โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งโรงเรียนหลวง<br />
แห่งแรกขึ้นที่วัดมหรรณพาราม จากนั้นก็ได้ขยาย<br />
ให้แพร่หลายออกไปทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองต่างๆ
๕<br />
เจ้านายราชตระกูลตั้งแต่ลูกฉันเป็นต้นลงไป<br />
ตลอดจนถึงราษฎรที่ต่ำสุด<br />
จะได้มีโอกาสเล่าเรียนได้เสมอกัน <br />
ไม่ว่าเจ้าขุนนางว่าไพร่ เพราะฉะนั้นจึงขอบอกได้ว่า <br />
การเล่าเรียนในบ้านเมืองเรานี้ จะเปนข้อสำคัญที่หนึ่ง <br />
ซึ่งฉันจะอุตส่าห์จัดให้เจริญให้จงได้<br />
พระราชดำรัส รัชกาลที่ ๕ ในวันพระราชทานประกาศนียบัตร<br />
ณ โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ<br />
ด้วยพระราชอุตสาหะในการบำเพ็ญพระราช<br />
กรณียกิจเป็นอเนกประการ สยามจึงเป็นประเทศเดียว<br />
ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่สามารถรักษาเอกราชและ<br />
อธิปไตยไว้ได้สืบมา<br />
ตลอดระยะเวลา ๔๒ ปี แห่งรัชสมัย สยามได้รับ<br />
การปรับปรุงเปลี่ยนแปลงยิ่งกว่าครั้งใดในประวัติศาสตร์<br />
ของชาติ พระองค์จึงทรงเป็นพระปิยมหาราช พระมหา<br />
กษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทยตราบจนทุกวันนี้<br />
<br />
<br />
297
จัดฉายวีดิทัศน์ ถ่ายทอดพระราชประวัติ<br />
และพระราชกรณียกิจของพระบาท<br />
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
บนผนังที่จำลองสถาปัตยกรรม<br />
ซึ่งได้รับความนิยมในสมัยนั้น<br />
๖<br />
รัชกาลที่ ๖<br />
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จขึ้นครองราชย์<br />
ได้ทรงดำเนินรอยตามพระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ซึ่งนอกเหนือจากการพัฒนาบ้านเมืองให้รุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ <br />
ยังทรงสนับสนุนความก้าวหน้าทางด้านความคิดและสติปัญญาของราษฎร <br />
ทั้งโดยขยายการศึกษา ทรงพระราชนิพนธ์บทประพันธ์ประเทืองปัญญา <br />
เปิดโอกาสให้ราษฎรแสดงความเห็นที่ถือเป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ<br />
ผ่านกระบวนการต่างๆ ซึ่งล้วนแต่เป็นการวางรากฐานที่สำคัญในการพัฒนาคน<br />
เพื่อร่วมกันพัฒนาชาติสืบไป <br />
<br />
298
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงฉายพระรูป <br />
เมื่อคราวที่พระราชโอรสเสด็จไปรับที่กรุงเจนีวา<br />
ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงได้รับการศึกษาจากประเทศอังกฤษตามแนว<br />
พระราชดำริของสมเด็จพระบรมชนกนาถในการป้องกันรักษา<br />
เอกราชของชาติด้วยการสร้างความเจริญแก่บ้านเมือง<br />
โดยรับวิทยาการจากชาติตะวันตกแล้วนำมาปรับใช้<br />
ในการพัฒนาประเทศได้อย่างเหมาะสม โดยทรงเข้าศึกษา<br />
วิชาการต่างๆ จากสถาบันที่มีชื่อเสียง ทั้งวิชาการทหาร<br />
จากมหาวิทยาลัยแซนด์เฮอร์สต์ วิชาประวัติศาสตร์<br />
และกฎหมายจากวิทยาลัยไครสต์เชิร์ช ซึ่งเป็นสถาบัน<br />
ในเครือมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดแห่งประเทศอังกฤษ<br />
นอกเหนือจากการเอาพระราชหฤทัยใส่<br />
ในการศึกษาวิทยาการสมัยใหม่ ยังมีพระราชประสงค์ที่จะ<br />
เข้าใจแบบแผนทางความคิด วิถีชีวิต และวัฒนธรรม<br />
ของทางตะวันตก อันจะเป็นการปูทางไปสู่การเสริมสร้าง<br />
ความสัมพันธ์ที่เท่าเทียมและนำพาประเทศไปสู่การยอมรับ<br />
รอดพ้นจากการถูกเอารัดเอาเปรียบและการคุกคาม<br />
ของชาติมหาอำนาจทั้งหลาย<br />
หนังสือเรื่อง The War of the Polish Succession หรือสงครามสืบราชสมบัติโปแลนด์ พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวเมื่อครั้งยังทรงศึกษา ณ มหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สะท้อนให้เห็นถึงพระปรีชาสามารถด้านประวัติศาสตร์ การเมือง และอักษรศาสตร์<br />
299
ชาติไทยที่จะหวังมั่นคงอยู่ต่อไปได้<br />
ก็ต้องอาศัยกำลัง<br />
และความรู้สึกรักชาติอันแท้จริง<br />
แห่งบุคคลซึ่งเป็นไทยโดยเฉพาะ<br />
พระราชนิพนธ์ เมืองไทยจงตื่นเถิด<br />
ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว<br />
โครงสยามานุสสติ พระราชนิพนธ์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวมีเนื้อหาเตือนสติและปลูกฝังความรักชาติ<br />
และภูมิใจในเกียรติภูมิของชาติ<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนิน<br />
ไปทอดพระเนตรการซ้อมรบของกองเสือป่า<br />
ปลูกฝังความรักชาติ<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพยายามปลุกใจประชาชนให้เกิดความรักชาติอย่างเป็น<br />
รูปธรรมอยู่เป็นนิตย์ โดยทรงปฏิบัติพระองค์เฉกเช่น<br />
สามัญชนที่มีความรักชาติ ทรงเตือนให้ช่วยกันเตรียมพร้อม<br />
ที่จะป้องกันชาติ ดังปรากฏในพระราชนิพนธ์ซึ่งสื่อสาร<br />
สารัตถประโยชน์มุ่งปลุกใจให้ประชาชนมีความรักชาติ <br />
มีความภูมิใจในประเพณีวัฒนธรรมของชาติ<br />
นอกจากนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง <br />
กองเสือป่า โดยทรงมุ่งหมายจะฝึกหัดข้าราชการพลเรือน<br />
ให้ได้เรียนรู้วิชาทหารไว้ เป็นกำลังช่วยชาติบ้านเมือง<br />
ในยามสงคราม และยามสงบก็ยังอาจช่วยเหลือราชการ<br />
ในการปราบปรามโจรผู้ร้ายและการจลาจล และทรงก่อตั้ง<br />
กิจการลูกเสือป่า เพื่อฝึกอบรมเยาวชนให้เป็นพลเมืองดี <br />
มีความจงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ <br />
มีความสามัคคีในหมู่คณะอันเป็นรากฐานความมั่นคง<br />
ของชาติ<br />
<br />
300
มีพระราชดำริเห็นสมควรที่จะขยาย<br />
การศึกษาให้ผู้จะศึกษาขั้นสูงสามารถเข้าเรียน<br />
ได้ทั่วถึงกัน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้ยกโรงเรียนข้าราชการพลเรือน<br />
ขึ้นเป็นจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
๖<br />
ขยายโอกาสการศึกษา<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเอาพระราชหฤทัยใส่<br />
ในการศึกษาของราษฎรเป็นอย่างยิ่ง ทรงขยายการศึกษาซึ่งสมเด็จ<br />
พระบรมชนกนาถทรงวางไว้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้นกว่าเดิม และไม่ทรงมุ่งฝึกคน<br />
เพื่อเข้ารับราชการแต่เพียงอย่างเดียว แต่ทรงสอนให้คนมีคุณธรรม<br />
และความรู้ในการประกอบอาชีพโดยควรแก่อัตภาพ และทรงสร้าง<br />
สถานศึกษาระดับต่างๆ อย่างหลากหลายซึ่งเป็นการเปิดโอกาสให้ราษฎร<br />
ได้รับการศึกษาอย่างทั่วถึง เช่น<br />
โรงเรียนมหาดเล็กหลวง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น<br />
แทนวัดประจำรัชกาลและทรงชักชวนผู้มีใจบุญทำบุญด้วยการสร้าง<br />
โรงเรียนแทนการสร้างวัดตามประเพณีนิยม<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยก<br />
ฐานะโรงเรียนข้าราชการพลเรือนในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวขึ้นเป็นมหาวิทยาลัย นับเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ<br />
โรงเรียนเพาะช่าง ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้น<br />
เพื่ออนุรักษ์และสนับสนุนงานศิลปกรรมไทย ทำให้ประเทศยังมีช่างฝีมือ<br />
ที่สืบทอดและสร้างสรรค์สิ่งสวยงามของชาติมาถึงปัจจุบัน<br />
โรงเรียนเบญจมราชาลัย ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น<br />
เป็นโรงเรียนฝึกหัดครูสตรีแห่งแรกของกระทรวงธรรมการ<br />
การศึกษาประชาบาล ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น<br />
โรงเรียนระดับประถมศึกษาเพื่อให้ประชาชนในระดับท้องถิ่นได้รับ<br />
การศึกษาอย่างทั่วถึง<br />
สมัยรัชกาลที่ ๖ การศึกษามิได้อยู่ในวัด<br />
ดังเช่นกาลก่อน ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้สร้างโรงเรียนมหาดเล็กหลวงขึ้น <br />
เพื่อเป็นสถาบันการศึกษาและเป็นเสมือน<br />
พระอารามประจำรัชกาล<br />
จากพระราชประสงค์ของรัชกาลที่ ๕ <br />
ที่จะทรงทำนุบำรุงศิลปะการช่างของไทย<br />
ให้พัฒนาถาวรสืบไป <br />
รัชกาลที่ ๖ จึงได้พระราชทานกำเนิด<br />
โรงเรียนเพาะช่าง เพื่อเป็นสถาบัน<br />
สำหรับการศึกษาศิลปกรรมไทยต่อไป<br />
301
ทรงพยายามฟื้นฟูโขน ซึ่งในสมัยนั้นซบเซาอย่างมาก<br />
ทั้งยังทรงแสดงด้วยพระองค์เอง เช่น โขนเรื่องรามเกียรติ์<br />
ทรงรับบทพระรามและทรงฉลองพระองค์<br />
ที่ทรงออกแบบเอง<br />
วัฒนธรรมนำชาติวัฒนา<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงทำนุ<br />
บำรุงศิลปวัฒนธรรมไทยทุกสาขา ไม่ว่าจะเป็นนาฏศิลป์ <br />
การละคร จิตรกรรรม สถาปัตยกรรม วรรณกรรมอย่างมาก<br />
โดยเฉพาะงานวรรณกรรมนั้นได้ทรงพระราชนิพนธ์บทประพันธ์<br />
อันทรงคุณค่าทั้งเนื้อหาและวรรณศิลป์ขึ้นถึง ๑,๒๓๖ เรื่อง<br />
ด้วยทรงตระหนักในพระราชหฤทัยดีว่า ชาติที่มีความเจริญ<br />
รุ่งเรืองทางด้านอักษรศาสตร์ย่อมได้รับการนับถือยกย่องจาก<br />
นานาชาติ โดยอาจแบ่งบทพระราชนิพนธ์เป็นหลายประเภท<br />
ด้วยกัน เช่น<br />
บทพระราชนิพนธ์ละครร้อง<br />
บทพระราชนิพนธ์ละครพูด<br />
บทพระราชนิพนธ์สารคดี<br />
บทพระราชนิพนธ์เกี่ยวกับลัทธิ ประเพณี และศาสนา<br />
บทพระราชนิพนธ์ทางการทหารและการต่างประเทศ<br />
<br />
302
๖<br />
นอกจากนี้ ยังทรงเลือกบทพระราช<br />
นิพนธ์มาจัดแสดงละคร โดยทรงแฝง<br />
แนวพระราชดำริต่างๆ ทั้งการปกครอง<br />
เศรษฐกิจ และสังคม รวมทั้งคติธรรม<br />
สำหรับการครองตนอยู่ในสังคมอย่างเป็น<br />
พลเมืองดี มีความจงรักภักดีต่อชาติ<br />
ศาสนา และพระมหากษัตริย์<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ <br />
ให้ตั้งกรมมหรสพ เพื่อบำรุงนาฏศิลป์<br />
และดนตรี และได้พระราชทานบรรดาศักดิ์<br />
แก่ศิลปิน มีการตั้งโรงเรียนพรานหลวง <br />
ในพระบรมราชูปถัมภ์ สำหรับสอนอบรม<br />
กุลบุตรให้มีความรู้ทางนาฏศิลป์ดนตรี<br />
พร้อมกับวิชาสามัญ <br />
<br />
อ้าอรุณแอร่มระเรื่อรุจี ประดุจมโนภิรมย์รตี<br />
ณ แรกรัก<br />
แสงอรุณวิโรจน์นภาประจักษ์ แฉล่มเฉลาและโสภิตนัก<br />
ณ ฉันใด<br />
หญิงและชาย ณ ยามรตีอุทัย สว่าง ณ กลางกมลละไม<br />
ก็ฉันนั้น<br />
บทละครพูดคำฉันท์ เรื่อง มัทนะพาธา พระราชนิพนธ์ของ<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้รับการยกย่อง<br />
จากวรรณคดีสโมสร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๗ ว่าเป็นหนังสือแต่งดี <br />
เพราะมีพระราชดำริใช้คำฉันท์ แต่งเป็นละครพูด <br />
อันเป็นของแปลกในกระบวนวรรณคดีและแต่งได้โดยยาก<br />
ยังไม่เคยมีกวีคนใดได้พยายามแต่งมาก่อน<br />
พระราชวังสราญรมย์ สถานที่ตั้งกรมมหรสพและโรงละครทวีปัญญา<br />
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งขึ้นเพื่อบำรุงศิลปะการแสดงของชาติ<br />
303
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ <br />
เพื่อให้เป็นที่บริการรักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บและผู้ป่วยไข้<br />
ทั้งในยามสงครามและปกติโดยไม่เลือกชาติ ชั้น วรรณะ <br />
ลัทธิ ศาสนา หรือความคิดเห็นทางการเมือง<br />
พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของบ้านเมือง<br />
ตลอดช่วงระยะเวลา ๑๕ ปีแห่งรัชสมัย พระบาท<br />
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีพระราชอุตสาหะ<br />
ที่จะนำสยามไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองในทุกด้านทัดเทียม<br />
อารยประเทศ<br />
ในการพัฒนาด้านการแพทย์และการสาธารณสุข <br />
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์<br />
วชิรพยาบาล และสถานเสาวภา เพื่อเป็นแหล่งผลิตเซรุ่ม<br />
แก้พิษงู<br />
มีการตั้งโรงปูนซีเมนต์ไทย ด้วยมีพระราชดำริว่า<br />
ปูนคือวัสดุสำคัญที่รองรับกิจการการก่อสร้างสาธารณูปโภค<br />
จำเป็น อันเป็นการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานของประเทศ<br />
ทรงตั้งกรมรถไฟหลวงและขยายกิจการรถไฟ <br />
จนมีการขุดเจาะอุโมงค์รถไฟยาวที่สุดในประเทศไทย<br />
ลอดถ้ำขุนตาล และสร้างทางเดินรถไฟเส้นทางต่างๆ <br />
ทั่วพระราชอาณาจักรสำเร็จลงเป็นลำดับ<br />
<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งบริษัทปูนซิเมนต์ไทย จำกัด<br />
ด้วยพระราชประสงค์ที่จะให้สยามสามารถผลิตปูนซีเมนต์ใช้เอง <br />
ลดการพึ่งพาการนำเข้าจากต่างประเทศ และเพื่อจัดสรรการใช้<br />
ทรัพยากรภายในประเทศอย่างคุ้มค่า<br />
อุโมงค์ขุนตาล เป็นอุโมงค์รถไฟที่ยาวที่สุดในประเทศ<br />
ช่วยให้การเดินทางไปยังท้องถิ่นทุรกันดารสะดวกมากขึ้น<br />
สะพานพระราม ๖<br />
สะพานรถไฟข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา<br />
สะพานแรกของไทย ที่ช่วยเชื่อมโครงข่าย<br />
รถไฟทั่วประเทศให้ติดต่อถึงกัน<br />
304
๖<br />
<br />
<br />
<br />
<br />
พ.ศ. ๒๔๖๒ ได้มีการทดลองทำการบินรับ - ส่งไปรษณีย์ระหว่างกรุงเทพฯ กับจันทบุรีด้วยเครื่องบินเบรเกต์ ๑๔<br />
(Breguet XIV) ซึ่งเป็นเครื่องบินทหารที่ได้ดัดแปลงมาใช้งานขนส่งทางอากาศ นับว่าประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่วงการการบิน<br />
ก่อนหน้าประเทศอื่นๆ ในภูมิภาคอุษาคเนย์<br />
ตั้งสถาบันการเงิน โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้สร้างคลังออมสิน เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนรู้จัก<br />
การออมทรัพย์ ตลอดจนทรงค้ำจุนแบงค์สยามกัมมาจล<br />
ให้มั่นคงจนพัฒนาขึ้นเป็นธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด<br />
(มหาชน) ในปัจจุบัน<br />
ริเริ่มงานชลประทานเพื่อการเกษตร มีการสร้าง<br />
เขื่อนพระราม ๖ เป็นเขื่อนทดและส่งน้ำที่จังหวัดพระนคร<br />
ศรีอยุธยาขึ้นเป็นเขื่อนแรกของประเทศ<br />
เริ่มการขนส่งไปรษณียภัณฑ์ทางอากาศ ทรงริเริ่ม<br />
ใช้การบินในการคมนาคมขนส่งทางอากาศ นอกเหนือจาก<br />
จะใช้การบินในการป้องกันประเทศ<br />
สร้างสะพานพระราม ๖ เพื่อเป็นสะพานข้าม<br />
แม่น้ำเจ้าพระยาและเพื่อเชื่อมทางรถไฟทั้งสายเหนือและ<br />
สายใต้โยงเข้าสู่ศูนย์กลางที่สถานีรถไฟหัวลำโพง<br />
สร้างสวนลุมพินี โดยพระราชทานที่ดิน<br />
ให้เป็นที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชน<br />
เขื่อนพระราม ๖ เป็นเขื่อนทดน้ำที่สร้างขึ้นเป็นแห่งแรก<br />
ในประเทศไทย กั้นแม่น้ำป่าสักที่คุ้งยางนม<br />
ตำบลไก่ขัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา<br />
เพื่อเก็บน้ำไว้ให้ประชาชน<br />
ใช้ในการเกษตร<br />
305
ฉันยังหวังว่าจะมีชีวิตอยู่นานพอ<br />
ที่จะได้เหนประเทศสยาม<br />
ได้ร่วมเข้าในหมู่ชาติต่างๆ <br />
โดยได้รับเกียรติ<br />
แลความเสมอภาคอย่างจริงๆ <br />
ตามความหมายของคำนั้นทุกประการ<br />
พระราชปณิธานในการปกครองประเทศชาติ<br />
ในพระราชหัตถเลขาถึงสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ<br />
เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนาถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ<br />
ที่มีลายพระหัตถ์มากราบบังคมทูลถวายพระพร<br />
ในวันที่ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก<br />
<br />
<br />
เครื่องอิสริยาภรณ์ Croix de Guerre และ Chevalier de la Légion<br />
d’Honneur ซึ่งรัฐบาลฝรั่งเศสมอบให้เป็นบำเหน็จความชอบ<br />
แก่ผู้แทนทหารไทยที่ได้ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ ๑<br />
อย่างเต็มกำลังความสามารถจนประสบชัยชนะในที่สุด<br />
306
๖<br />
เกียรติภูมิสยาม<br />
ตลอดรัชกาล พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้สยามได้รับ<br />
การยอมรับจากประชาคมโลกอย่างแท้จริง ซึ่งหนึ่งใน<br />
พระราชวิเทโศบายที่แสดงถึงพระปรีชาสามารถอันสุขุม<br />
คัมภีรภาพคือการตัดสินพระราชหฤทัยประกาศสงคราม<br />
ต่อฝ่ายมหาอำนาจอักษะในสงครามโลกครั้งที่ ๑ ร่วมกับฝ่าย<br />
สัมพันธมิตร ซึ่งทำให้ประเทศได้รับประโยชน์นานัปการ<br />
นับตั้งแต่การเป็นที่รู้จักของนานาชาติ การยอมรับฐานะ<br />
และสิทธิของสยามเสมอกับอารยประเทศ ที่สำคัญคือ <br />
การได้ยกเลิกและแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรมที่ต่างชาติ<br />
ทำไว้ ซึ่งผูกพันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๔<br />
อนุสาวรีย์ทหารอาสา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้นที่มุมตะวันตกเฉียงเหนือ<br />
ของท้องสนามหลวงเพื่อเป็นอนุสรณ์ถึงความเสียสละ<br />
ของทหารหาญ<br />
กองทหารของสยามได้ร่วมเดินสวนสนามเพื่อฉลองชัยชนะกับฝ่ายสัมพันธมิตร ภายหลังสงครามโลกครั้งที่ ๑ สิ้นสุดลง<br />
ทั้งที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ และกรุงบรัสเซลส์ ประเทศเบลเยียม ถือเป็นการประกาศ<br />
เกียรติภูมิของทหารหาญและประเทศสยามแก่บรรดาอารยประเทศ<br />
307
เมืองจำลองดุสิตธานี พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเพื่อใช้ทดลองระบอบการปกครองแบบประชาธิปไตย<br />
308<br />
ดุสิตสมิต หนังสือพิมพ์สำหรับเผยแพร่<br />
ข่าวสารภายในเมืองจำลองดุสิตธานี<br />
<br />
ประชาธิปไตยในเมืองดุสิตธานี<br />
เมื่อพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จนิวัตพระนคร<br />
จากการศึกษาวิชาการในยุโรป ได้ทรงทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตย<br />
โดยทรงจัดสร้าง เมืองมัง ซึ่งเป็นชื่อที่มาจากคำว่า mango ตามสถานที่ตั้ง<br />
ที่เป็นสวนมะม่วง ด้านหลังพระตำหนักจิตรลดาองค์เดิม (ปัจจุบันอยู่ในบริเวณ<br />
วังปารุสกวัน) โดยพลเมืองคือมหาดเล็กทั้งรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ มีการเลือกตั้ง<br />
การตั้งคณะปกครอง การปฏิบัติตามเสียงข้างมาก ตลอดจนการฝึกเรื่อง<br />
การออมทรัพย์ แต่ภายหลังได้ยกเลิกไป<br />
ต่อมา พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงทดลอง<br />
การปกครองระบอบประชาธิปไตยอีกครั้ง โดยทรงจัดตั้งเมืองดุสิตธานี<br />
เมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๑ และทรงขยายความรู้เรื่องประชาธิปไตย โดยทรงทดลองกับ<br />
ข้าราชบริพารและข้าราชการกระทรวงมหาดไทย
๖<br />
นอกจากการจัดให้มีการปกครองโดยการเลือกตั้ง <br />
มีธรรมนูญการปกครอง ยังทรงเน้นย้ำถึงความสำคัญอื่นๆ<br />
ในการอยู่ร่วมกัน เช่น มีวัดธรรมาธิปไตย แสดงความจำเป็น<br />
ที่ทุกคนต้องมีธรรมะ โดยทรงเป็นพระรามราชมุนีรับหน้าที่<br />
ในการสั่งสอน รวมถึงมีการออกหนังสือพิมพ์รายวันประจำเมือง<br />
๒ ฉบับ คือ ดุสิตสมัยและดุสิตสักขีหรือดุสิตเรคอร์เดอร์<br />
ส่วนอีกฉบับ คือ ดุสิตสมิต เป็นหนังสือพิมพ์รายสัปดาห์<br />
ทั้ง ๓ ฉบับมีการนำเสนอข่าวสาร สาระบันเทิง และ<br />
บทวิจารณ์ต่างๆ<br />
<br />
๑๕ ปี ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวเป็นช่วงเวลาที่มีความหมาย เกียรติภูมิของชาติ<br />
ได้รับการยกย่องขึ้นเสมอกับนานาประเทศ บ้านเมืองเจริญ<br />
รุ่งเรืองพร้อมกันทุกด้าน ทรงวางรากฐานสำหรับการปกครอง<br />
แบบประชาธิปไตยที่ทรงตระหนักดีว่า ต้องมาถึงสักวัน<br />
ในอนาคต โดยทรงส่งเสริมการศึกษา ประกาศพระราชนิยม<br />
ที่จะทรงสร้างโรงเรียนแทนการสร้างวัดประจำรัชกาล<br />
ตามโบราณราชประเพณี เพราะทรงเล็งเห็นว่าระบอบ<br />
ประชาธิปไตยจะดำเนินไปได้ด้วยดีต้องอาศัยข้อที่ประชาชน<br />
มีการศึกษาดีพอจะปกครองรักษาสิทธิของตนเป็นสำคัญ<br />
<br />
ดุสิตธานี แม้เป็นเมืองที่จำลองการปกครองแบบตะวันตก แต่ยังรักษา<br />
เอกลักษณ์อย่างไทย คือมีวัดในพระพุทธศาสนาอย่างวัดธรรมาธิปไตย<br />
เป็นศูนย์รวมความศรัทธาของประชาชน<br />
ดุสิตธานีสร้างขึ้นเพื่อทดลองการปกครองระบอบประชาธิปไตย<br />
ซึ่งเป็นการปกครองรูปแบบใหม่ แต่ยังคงมีพระมหากษัตริย์<br />
เป็นศูนย์รวมจิตใจของชาวเมือง ดังจะเห็นได้ว่ามีพระราชวัง<br />
อย่างพระวัชรินทร์ราชนิเวศน์เป็นอาณาบริเวณสำคัญของเมือง<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างเมืองดุสิตธานี โดยสมมติให้มี<br />
ฐานะเป็นมณฑลหนึ่งในราชอาณาจักร เป็นการปูพื้นฐานทางการเมือง<br />
ในระบอบประชาธิปไตยให้แก่ประชาชน โดยผ่านกระบวนการ<br />
ของการปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาล โดยทรงดัดแปลง<br />
มาจากธรรมนูญการปกครองเทศบาลของอังกฤษ<br />
บนพื้นที่ประมาณ ๒ ไร่ ประกอบด้วยพระราชวัง วัด <br />
สถานที่ราชการ โรงทหาร โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาด ร้านค้า<br />
ภัตตาคาร ธนาคาร โรงละคร โรงภาพยนตร์ สโมสร และสำนักงาน<br />
นาครศาลา เป็นสถานที่ประชุมของชาวเมืองดุสิต เพื่อเลือกตั้ง<br />
"เชษฐบุรุษ" และ "นคราภิบาล" อันเป็นการดำเนินงาน<br />
ตามระบอบประชาธิปไตย<br />
309
๗<br />
รัชกาลที่ ๗<br />
นับจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราช<br />
สมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๗ แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี เป็นช่วงเวลา<br />
เดียวกับที่บ้านเมืองกำลังเผชิญหน้ากับปัญหานานาประการ โดยเฉพาะ<br />
สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำอย่างต่อเนื่องตั้งแต่สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๑ เป็นต้นมา<br />
ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อภาวะจิตใจของราษฎรเป็นอย่างมาก<br />
นอกจากนี้ ความตื่นตัวทางการเมืองของผู้ที่ได้รับการศึกษาทั้งใน<br />
และต่างประเทศ ซึ่งต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารบ้านเมืองและความคิด <br />
ที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองได้เพิ่มมากขึ้น<br />
310
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
เมื่อคราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษก พ.ศ. ๒๔๖๘<br />
ฉายวีดิทัศน์ถ่ายทอดพระราชประวัติ<br />
และพระราชกรณียกิจของ<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
โดยเบื้องหลังจอฉายภาพ<br />
จำลองอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย<br />
เครื่องหมายแห่งการเปลี่ยนแปลง<br />
การปกครองซึ่งเกิดขึ้นในรัชกาลนี้<br />
แม้พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจะมิได้<br />
ทรงเตรียมพระองค์เพื่อเป็นพระมหากษัตริย์ต่อจาก<br />
พระบรมเชษฐาธิราช แต่เมื่อทรงครองราชย์แล้ว ไม่ว่าจะ<br />
ทรงประสบปัญหาวิกฤตอย่างหนึ่งอย่างใด พระองค์ทรงใช้<br />
พระปรีชาญาณและพระบรมราชวินิจฉัยแก้ไขสถานการณ์<br />
ได้ด้วยดีตลอดมา ทรงเป็นนักปกครองที่มีพระราชหฤทัย<br />
กว้างขวาง ดังจะเห็นได้จากพระราชประสงค์และพระราช<br />
ปณิธานที่จะทรงมอบอำนาจการปกครองให้แก่ประชาชน<br />
ในรัชกาลของพระองค์และทรงถือเอาประโยชน์สุขของ<br />
ราษฎรเป็นที่ตั้ง ด้วยทรงตระหนักในพระราชภาระหน้าที่<br />
ในฐานะพระมหากษัตริย์ในการทำนุบำรุงประเทศชาติ <br />
ดังจะเห็นได้จากพระราชกรณียกิจตลอดรัชสมัย <br />
311
เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตรสุริยุปราคา<br />
และทรงเยี่ยมราษฎรที่ตำบลโคกโพธิ์ เมืองปัตตานี<br />
เสด็จประพาสหัวเมืองพายัพ <br />
เพื่อทรงทราบทุกข์สุขของราษฎร<br />
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมและมีพระราชปฏิสันถาร<br />
กับราษฎรที่มาเข้าเฝ้าฯ ที่วัดพระสิงห์ เมืองเชียงใหม่<br />
เสด็จพระราชดำเนินโดยขบวนรถไฟพระที่นั่ง <br />
เพื่อไปทรงเยี่ยมราษฎรที่เมืองลำปาง<br />
312
๗<br />
มีพระราชดำรัสตอบในพิธีทูลพระขวัญ ที่เมืองเชียงใหม่ <br />
เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปมณฑลฝ่ายเหนือ<br />
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตั้ง<br />
พระราชปณิธานอันแน่วแน่ในการที่จะดำเนินตามรอย <br />
พระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวในการบำบัดทุกข์บำรุงสุขแก่ราษฎรและ<br />
สร้างสรรค์ความเจริญแก่ประเทศชาติ จึงทรงพยายาม<br />
ใกล้ชิดกับราษฎรให้มากที่สุด เพื่อจะได้ทรงทราบสภาพ<br />
ความเป็นอยู่ที่แท้จริงของราษฎร<br />
นอกจากนี้ การเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยม<br />
ราษฎรในท้องถิ่นต่างๆ ยังเปิดโอกาสให้พระองค์ได้ทรงศึกษา<br />
และทรงพิจารณาถึงความพร้อมของราษฎรต่อการปกครอง<br />
แบบประเทศทางตะวันตก ซึ่งส่วนใหญ่มีการปกครองระบอบ<br />
ประชาธิปไตย โดยทรงพระราชอุตสาหะที่จะดำเนินการ<br />
บริหารประเทศด้วยแนวทางที่เหมาะสม เพื่อเป็นการวาง<br />
รากฐานที่จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น<br />
ระบอบประชาธิปไตย<br />
ตั้งแต่เราได้รับสืบราชสมบัติ ก็ตั้งใจประสงค์ว่า<br />
จะเที่ยวตรวจตราตามหัวเมืองในพระราชอาณาเขต<br />
ในเวลามีโอกาสจะไปได้ให้ทั่วทุกมณฑล<br />
เพื่อจะได้รู้เห็นด้วยตนเอง <br />
ซึ่งกิจการแลภูมิสถานบ้านเมือง <br />
กับทั้งความทุกข์สุขของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน<br />
พระราชดำรัสตอบคณะกรมการเมืองตรัง<br />
เมื่อคราวเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้<br />
313
มีพระราชประสงค์จำนงค์หมาย<br />
จะทรงจำกัดพระราชอำนาจอาชญาสิทธิ์<br />
ของพระองค์ท่าน พระราชทานแก่ราษฎร<br />
ในการปกครองประเทศ<br />
กระแสพระราชดำรัสพระราชทานแก่หนังสือพิมพ์<br />
ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนิน<br />
ไปทรงรักษาพระเนตร พ.ศ. ๒๔๗๔<br />
<br />
มีพระราชดำริให้ตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียง<br />
เพื่อส่งข่าวสารที่เป็นประโยชน์ต่างๆ ให้แก่ประชาชน<br />
วางรากฐานประชาธิปไตย<br />
นับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชย์ พระบาทสมเด็จ<br />
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์แน่วแน่ที่จะมอบ<br />
การปกครองระบอบประชาธิปไตยแก่พสกนิกร เพื่อสืบทอด<br />
พระราชปณิธานของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
และพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวให้สำเร็จ<br />
ในสมัยของพระองค์<br />
ทรงเริ่มปูพื้นฐานการปกครองระบอบรัฐสภา โดยทรงจัดตั้ง<br />
สภากรรมการองคมนตรีเป็นสภาที่ปรึกษา มีหน้าที่ประชุม<br />
พิจารณากฎหมายหรือเรื่องสำคัญที่เกี่ยวพันกับสวัสดิภาพ <br />
และผลประโยชน์ของบ้านเมืองและประชาชน<br />
สภากรรมการองคมนตรีมีลักษณะดำเนินการประชุม<br />
ลงมติ และหลักการต่างๆ คล้ายกับรัฐสภาในระบอบ<br />
ประชาธิปไตย ทั้งนี้เพราะมีพระราชดำริจะให้สภากรรมการ<br />
องคมนตรีเป็นสภาฝึกหัดของรัฐสภาในระบอบการปกครอง<br />
แบบประชาธิปไตยซึ่งจะมีในอนาคต<br />
นอกจากนี้ ยังมีพระราชดำริที่จะฝึกอบรมให้ราษฎร<br />
รู้จักการปกครองตนเองในระดับท้องถิ่นด้วยรูปแบบประชาภิบาล<br />
หรือเทศบาล<br />
<br />
314
๗<br />
พระราชวรวงศ์เธอ กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์<br />
เจ้านายพระองค์หนึ่งในคณะองคมนตรีสภา<br />
ผู้มีบทบาทในการวางระเบียบสภา ซึ่งยังคงใช้<br />
อยู่ในสภาผู้แทนราษฎรจนถึงปัจจุบัน<br />
เพื่อเป็นการให้การศึกษาแก่ประชาชนที่จะก้าวไปสู่<br />
การปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงมหาดไทยตั้งคณะกรรมการขึ้น<br />
ชุดหนึ่ง ซึ่งต่อมาได้ร่วมกันร่างพระราชบัญญัติเทศบาล<br />
จนสำเร็จเรียบร้อย แต่เกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />
ขึ้นเสียก่อน อย่างไรก็ตาม รัฐบาลสมัยประชาธิปไตยได้นำ<br />
ร่างพระราชบัญญัติฉบับนี้มาดัดแปลง จึงเกิดมีเทศบาลขึ้น<br />
สมดังพระราชหฤทัยใน พ.ศ. ๒๔๗๖<br />
พระราชกรณียกิจด้านการวางรากฐานประชาธิปไตย<br />
ที่สำคัญ คือทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการร่าง<br />
รัฐธรรมนูญขึ้น ๒ ฉบับ เพื่อพระราชทานแก่พสกนิกร<br />
ในวันครบรอบวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ ๑๕๐ ปี แต่ยัง<br />
ทรงรีรอเพราะมีพระบรมวงศานุวงศ์ผู้ใหญ่เห็นว่า<br />
ยังไม่เหมาะแก่เวลา<br />
<br />
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๑ ซึ่งรัชกาลที่ ๗ ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ร่างถวายใน พ.ศ. ๒๔๖๙<br />
315
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงลงพระปรมาภิไธยในรัฐธรรมนูญ<br />
แห่งราชอาณาจักรสยาม<br />
เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕<br />
เปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
เสด็จขึ้นครองราชย์ ข่าวสารเกี่ยวกับเหตุการณ์บ้านเมือง<br />
ของประเทศต่างๆ และแนวคิดสมัยใหม่กำลังแพร่หลาย<br />
ปัญญาชนมีโอกาสได้เห็นแบบอย่างของประเทศตะวันตก<br />
ที่ประชาชนมีสิทธิและมีส่วนร่วมในการปกครอง ประกอบกับ<br />
มีการเขียนบทความเรียกร้องประชาธิปไตยในหนังสือพิมพ์<br />
อย่างแพร่หลาย ทำให้ประชาชนเริ่มสนใจกิจการบ้านเมือง<br />
เพิ่มขึ้นเป็นลำดับ<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
มีพระราชปรารภที่จะให้ประชาชนปกครองตนเอง ดังปรากฏ<br />
ในบทสัมภาษณ์พระราชทานหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง<br />
เมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินไปทรงรักษาพระเนตร<br />
ที่ประเทศสหรัฐอเมริกาว่า พระองค์กำลังทรงเตรียมการ<br />
ที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ชาวไทย <br />
อย่างไรก็ตาม ภายหลังงานฉลองพระนคร<br />
ครบ ๑๕๐ ปี มีบุคคลคณะหนึ่งเรียกตนเองว่า คณะราษฎร<br />
เข้ายึดอำนาจการปกครอง และมีหนังสือกราบบังคมทูลเชิญ<br />
ให้พระองค์เป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ทรงยอมรับ<br />
ตามข้อเสนอของคณะราษฎร เพื่อให้ประเทศชาติมีรัฐธรรมนูญ<br />
เช่นเดียวกับนานาอารยประเทศ และพระราชทานอำนาจ<br />
แก่ปวงชน โดยพระราชทานพระราชบัญญัติธรรมนูญ<br />
การปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราวในวันที่ ๒๗ มิถุนายน<br />
พ.ศ. ๒๔๗๕ นับเป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย ต่อจากนั้น<br />
ได้มีการร่างรัฐธรรมนูญฉบับถาวรและได้เสด็จพระราชดำเนินไป<br />
พระราชทานรัฐธรรมนูญ ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม เมื่อวันที่<br />
๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕<br />
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามฉบับแรก<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
พระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยาม<br />
เมื่อวันที่ ๑๐ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๗๕<br />
316
๗<br />
317
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราชทานน้ำสังข์ ทรงเจิม <br />
และพระราชทานเสมา ปปร. แก่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช<br />
ขณะทรงดำรงพระยศ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช<br />
ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป<br />
แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ <br />
เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร<br />
พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงสละราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๗<br />
เวลา ๑๓ นาฬิกา ๔๕ นาที<br />
318
๗<br />
<br />
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล<br />
<br />
พระอัฐมรามาธิบดินทร<br />
เมื่อแรกทรงครองสิริราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘<br />
แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ขณะมีพระชนมพรรษาเพียง ๘ พรรษา<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ ๒<br />
มีนาคม พ.ศ ๒๔๗๗ และประทับอยู่ที่ประเทศอังกฤษอย่างเงียบๆ นับเป็น<br />
พระเจ้าแผ่นดินพระองค์เดียวของไทยที่เสด็จสวรรคตบนแผ่นดินต่างประเทศ<br />
และมิได้ทรงตั้งเจ้านายพระองค์ใดเป็นรัชทายาท คณะรัฐบาลจึงพร้อมใจกัน<br />
ทูลเชิญพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอานันทมหิดล พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้า<br />
มหิดลอดุลเดชฯ เสด็จขึ้นครองราชย์ เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ <br />
แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่เสด็จขึ้น<br />
ครองราชย์ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย<br />
<br />
319
๘<br />
รัชกาลที่ ๘ - รัชกาลปัจจุบัน<br />
มิ่งขวัญชาวไทย ดวงใจปวงประชา<br />
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร<br />
เป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกที่ทรงครองราชย์ภายหลังการเปลี่ยนแปลง<br />
การปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย ได้ทรงปฏิบัติพระองค์เป็นแบบอย่างอันดี<br />
แก่ประชาชนที่รักความเป็นประชาธิปไตย อีกทั้งได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ<br />
เป็นอเนกประการ บันดาลความผาสุกและร่มเย็นแก่บ้านเมืองและราษฎรโดยทั่วกัน<br />
แม้เสวยราชสมบัติเพียงไม่นาน<br />
320
เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช พระราชอนุชา เสด็จขึ้น<br />
ครองราชย์สืบต่อมา เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๙ แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์<br />
ทรงดำเนินรอยตามพระบรมเชษฐา ด้วยพระราชปณิธานที่จะพัฒนาบ้านเมือง<br />
และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน จนเกิดเป็นโครงการอันเนื่องมาจาก<br />
พระราชดำริมากมายที่มุ่งหมายความสุขของราษฎรเป็นสำคัญ <br />
321
ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง<br />
ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง<br />
ลายพระหัตถ์ สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร<br />
อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก<br />
เมื่อครั้งดำรงพระยศ<br />
สมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดชฯ<br />
กรมหลวงสงขลานครินทร์<br />
พระราชทานนักเรียนทุนส่วนพระองค์<br />
เมื่อวันที่ ๒๒ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๗๕<br />
คล้ายกับเราได้รับการอบรมจากพ่อผ่านทางแม่ <br />
คือกลับเมืองไทยต้องทำงาน ตั้งแต่เล็กเคยได้ยินแม่รับสั่ง<br />
เรื่องต้องทำงานเพื่อเมืองไทยอยู่ตลอดเวลา<br />
พระนิพนธ์ <br />
“เจ้านายเล็กๆ - ยุวกษัตริย์”<br />
ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ <br />
เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา<br />
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์<br />
322
๘<br />
แม่ไม่เคยชมเราว่าฉลาดหรืองาม จะชมก็ต่อเมื่อ<br />
ประพฤติตนดี ทำอะไรที่น่าสรรเสริญ<br />
พระนิพนธ์ “เจ้านายเล็กๆ - ยุวกษัตริย์”<br />
ของสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา<br />
กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์<br />
เมื่อทรงพระเยาว์<br />
<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลและ<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เป็นพระโอรส<br />
ในสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก<br />
และสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี<br />
เมื่อสมเด็จพระบรมราชชนกเสด็จสวรรคตนั้น <br />
ทั้งสองพระองค์ยังทรงพระเยาว์ สมเด็จพระบรมราชชนนี<br />
จึงทรงเป็นทั้งพ่อและแม่ที่ให้ความอบอุ่น ดูแลพระโอรส <br />
พระธิดาด้วยพระองค์เอง ด้วยทรงมุ่งมั่นในพระราชหฤทัย <br />
ว่าการจะทำความดีให้แผ่นดินได้จริง พระองค์จะต้องเลี้ยงดู<br />
พระโอรสและพระธิดาให้เป็นคนดี<br />
ทรงเพียรอบรมพระโอรสและพระธิดาให้รู้จักเหตุผล<br />
มีความรับผิดชอบ รู้จักคิด ไม่ปล่อยเวลาให้ผ่านเลยไปโดยไร้ค่า<br />
มีเมตตาและรู้จักช่วยเหลือผู้อื่น<br />
<br />
อันที่จริง...เธอก็ชื่อภูมิพล<br />
ที่แปลว่าพลังของแผ่นดิน<br />
แม่อยากให้เธออยู่กับดิน<br />
เมื่อฟังคำพูดนี้แล้ว<br />
ก็กลับมาคิด <br />
ซึ่งแม่ก็คงจะสอนเรา<br />
และมีจุดมุ่งหมายว่า<br />
อยากให้เราติดดิน<br />
และอยากให้ทำงานให้แก่ประชาชน<br />
พระราชปรารภของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าทรงคำนึงถึงพระราชดำรัส<br />
ที่พระบรมราชชนนีได้ทรงอบรม<br />
และแนะนำอยู่เสมอ<br />
323
พระราชกรณียกิจสุดท้าย<br />
เสด็จพระราชดำเนินไปยัง<br />
สถานีเกษตรกลางบางเขน<br />
เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๙<br />
พระบรมฉายาลักษณ์หลังเบื้องพระปฤษฎางค์<br />
ขณะมีพระราชดำรัสตอบประชาชนที่เข้าเฝ้าฯ <br />
Coronet Midget กล้องรุ่นแรก<br />
ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้ <br />
เมื่อมีพระชนมพรรษา ๘ พรรษา<br />
Elax Lumière กล้องประจำพระองค์<br />
ที่ทรงใช้ถ่ายพระรูปพระบรมเชษฐา<br />
เมื่อตามเสด็จพระราชดำเนินไปในท้องที่ต่างๆ<br />
พระราชกรณียกิจประจำ คือ <br />
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเกษตรกร<br />
ในจังหวัดใกล้เคียง เช่น นนทบุรี ปทุมธานี <br />
324
๘<br />
ทรงพอพระราชหฤทัยทุกครั้ง<br />
ที่ได้มีพระราชปฏิสันถารกับราษฎร<br />
ที่มาเข้าเฝ้าฯ ตามเส้นทางเสด็จพระราชดำเนิน<br />
เมื่อพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร<br />
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร ณ สถานที่ต่างๆ <br />
ในฐานะพระราชอนุชา จึงทรงเป็นเสมือนช่างภาพส่วนพระองค์<br />
เมื่อครั้งดำรงพระยศสมเด็จพระอนุชาธิราช<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
มักโดยเสด็จพระราชดำเนินพระบรมเชษฐา<br />
ไปทรงเยี่ยมราษฎรในท้องที่ต่างๆ อยู่เสมอ<br />
กล้องของพระราชอนุชา <br />
ทุกครั้งที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้ง<br />
ดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอฯ โดยเสด็จ<br />
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐม<br />
รามาธิบดินทรเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎร<br />
ตามที่ต่างๆ อย่างใกล้ชิด พระองค์จะทรงเป็นช่างภาพ<br />
ประจำพระองค์สมเด็จพระบรมเชษฐาธิราช ทรงคอยถ่ายภาพ<br />
เก็บไว้เสมอ<br />
กล้องนี้จึงมิใช่เพียงกล้องบันทึกภาพธรรมดา แต่เป็น<br />
กล้องที่บันทึกความทรงจำที่น้องมีต่อพี่<br />
<br />
325
กล้องของพระราชา <br />
กล้องนี้มิใช่เพียงกล้องบันทึกภาพธรรมดา แต่เป็นอุปกรณ์สำคัญ<br />
ในการปฏิบัติพระราชภารกิจ เพื่อประโยชน์ของบ้านเมืองและราษฎร<br />
ทุกรายละเอียดที่ปรากฏบนภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ สะท้อนให้เห็นว่า<br />
ทรงสังเกตและทอดพระเนตรเห็นรายละเอียดที่ถูกมองข้าม<br />
ดังนั้นทุกท้องถิ่นที่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงประกอบพระราชกิจต่างๆ<br />
จึงได้รับการบันทึกภาพตลอดเวลา จึงถือได้ว่าพระองค์เป็นพระมหากษัตริย์<br />
ที่ทรงรู้จักผืนแผ่นดินและราษฎรยิ่งกว่าพระมหากษัตริย์องค์ใดในโลก<br />
จึงไม่น่าแปลกใจว่าหากราษฎรท้องที่ใดประสบความเดือดร้อน พระองค์<br />
จะสามารถบรรเทาทุกข์ของราษฎรได้อย่างเหมาะสมและยังพระราชทาน<br />
แนวพระราชดำริในการแก้ปัญหาให้หมดสิ้นไปได้อย่างยั่งยืน <br />
Canon EOS 30D กล้องถ่ายภาพรุ่นล่าสุดที่<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงใช้<br />
เมื่อประทับอยู่ ณ โรงพยาบาลศิริราช<br />
326
๘<br />
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ระหว่างทางที่ทรงขับรถยนต์พระที่นั่ง<br />
ด้วยพระองค์เอง แสดงให้เห็นความสนพระราชหฤทัย<br />
ต่อความเป็นอยู่ของพสกนิกรอย่างทั่วถึง <br />
มิได้ทรงเว้นแม้กระทั่งเด็กชาวบ้านชนบท<br />
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ดอยอ่างขาง<br />
ภายหลังการตั้งสถานีเกษตรหลวง<br />
จากที่เคยเป็นพื้นที่ป่าเสื่อมโทรม<br />
ได้กลับฟื้นคืนสู่ความอุดมสมบูรณ์<br />
<br />
ระหว่างทรงเยือนประเทศสหรัฐอเมริกา <br />
ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทอดพระเนตร<br />
สถานีอวกาศแวนเดนเบิร์ก ขณะที่ประทับอยู่บน<br />
เครื่องบินพระที่นั่ง ทรงบันทึกภาพไว้<br />
ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ บริเวณอ่างเก็บน้ำ เขื่อนบ้านวัน<br />
สะท้อนถึงความสนพระราชหฤทัยในการพัฒนาแหล่งน้ำ<br />
เพื่อการกักเก็บรักษาน้ำที่มีตามธรรมชาติ<br />
ไว้ให้ราษฎรมีเพียงพอใช้ตลอดปี<br />
ทรงพอพระราชหฤทัย เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็น<br />
ราษฎรรู้จักใช้วัสดุอุปกรณ์ในท้องที่ให้เป็นประโยชน์ <br />
จึงปรากฏเป็นภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ วงล้อโพงน้ำ<br />
ที่โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ<br />
อำเภอปางมะผ้า จังหวัดแม่ฮ่องสอน<br />
<br />
327
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงอุทิศกำลังพระวรกายให้กับ<br />
การจัดการ น้ำ เป็นอย่างมาก จึงได้พระราชทานแนวพระราชดำริ<br />
ในการเก็บกักน้ำและสร้างแหล่งน้ำใหม่เพื่อให้ราษฎรมีน้ำใช้<br />
สำหรับอุปโภคบริโภคอย่างพอเพียง รวมทั้งยังสนพระราชหฤทัย<br />
เรื่องการป้องกันและแก้ไขปัญหาน้ำท่วมและน้ำเสีย ซึ่งนับเป็น<br />
ความเดือดร้อนอย่างสำคัญของราษฎรในปัจจุบัน<br />
ทรงให้ความสำคัญกับการรักษา ป่าไม้ โดยอาศัยความร่วมมือ<br />
ของราษฎรในพื้นที่ เพื่อให้คนอยู่ร่วมกับป่า และสามารถ<br />
ใช้ประโยชน์จากป่าได้อย่างสมดุลและยั่งยืน<br />
ทรงให้ความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมความรู้ในเรื่องการทำ<br />
การเกษตร อย่างมีหลักวิชาและรู้จักใช้เทคโนโลยีการเกษตร<br />
สมัยใหม่ ซึ่งจะช่วยให้ราษฎรมีความสามารถในการผลิตเพิ่มมากขึ้น <br />
ด้วยเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ นับวันจะหมดไป<br />
และมีราคาสูงขึ้น จึงมีพระราชดำริให้ศึกษาค้นคว้าเกี่ยวกับการผลิต<br />
เชื้อเพลิงชีวภาพ เพื่อเป็น พลังงานทดแทน ในยามเกิดวิกฤตน้ำมัน<br />
ทรงใช้หลักธรรมชาติที่เรียบง่ายในการรักษา ดิน โดยทรงแนะนำ<br />
ให้ปลูกหญ้าแฝก ซึ่งเป็นพืชที่มีรากแตกแขนงยาวและแข็งแรง <br />
เพื่อช่วยป้องกันการชะล้างพังทลายของดิน<br />
328
๘<br />
ในการพัฒนาประเทศนั้นจำเป็นต้องทำตามลำดับขั้น<br />
เริ่มด้วยการสร้างพื้นฐาน คือความมีกินมีใช้ของประชาชนก่อน<br />
ด้วยวิธีการที่ประหยัดระมัดระวัง แต่ถูกต้องตามหลักวิชา<br />
เมื่อพื้นฐานเกิดขึ้นมั่นคงพอควรแล้ว<br />
จึงค่อยสร้างเสริมความเจริญขั้นที่สูงขึ้นตามลำดับต่อไป<br />
หากมุ่งแต่จะทุ่มเทสร้างความเจริญ<br />
ยกเศรษฐกิจขึ้นให้รวดเร็วแต่ประการเดียว<br />
โดยมิได้คำนึงถึงความสมดุลย์และความสัมพันธ์<br />
อันสอดคล้องในองค์ประกอบต่างๆ อย่างพอเพียง<br />
อาจทำให้เศรษฐกิจของประเทศล้มเหลวได้<br />
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร<br />
ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ <br />
ณ หอประชุมมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />
เมื่อวันศุกร์ ที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๑๗<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานพระบรมราชวินิจฉัย<br />
เกี่ยวกับการบริหารจัดการทรัพยากรน้ำในพื้นที่ลุ่มน้ำเจ้าพระยา<br />
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ<br />
นับแต่ทรงครองสิริราชสมบัติ ไม่มีที่ใดในแผ่นดินนี้<br />
ที่พระองค์ไปไม่ถึง ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทั่วทุกแห่งหน <br />
ในพื้นที่ทุรกันดาร เพื่อศึกษาหาทางช่วยเหลือยกระดับ<br />
ความเป็นอยู่และพัฒนาคุณภาพชีวิตของราษฎรที่ยากไร้<br />
ด้อยโอกาสทุกภูมิภาคของประเทศให้ได้มีชีวิตความเป็นอยู่<br />
ที่ดีขึ้นอย่างเต็มกำลัง ให้สามารถพึ่งพาตนเองได้อย่าง<br />
เข้มแข็งและยั่งยืน อันจะนำไปสู่การพัฒนาประเทศที่แท้จริง<br />
ทำให้พระราชฐานที่ประทับในสวนจิตรลดาไม่เหมือน<br />
พระราชวังใดในโลก ก่อเกิดโครงการส่วนพระองค์และ<br />
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริกว่า ๔,๐๐๐<br />
โครงการ<br />
ทรงตระหนักถึงปัญหาความเน่าเสียของแหล่งน้ำ<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงมีพระราชดำริให้ประดิษฐ์<br />
เครื่องกลเติมอากาศที่ผิวน้ำแบบหมุนช้า (กังหันน้ำชัยพัฒนา)<br />
ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมที่ประหยัดค่าใช้จ่าย สามารถผลิตได้เอง<br />
ในประเทศ โดยทรงได้แนวคิดจาก "หลุก" ซึ่งเป็นอุปกรณ์<br />
วิดน้ำเข้านาอันเป็นภูมิปัญญาชาวบ้าน<br />
329
ของขวัญพระราชทาน <br />
ตลอดระยะเวลาที่ทรงงานและทรงปฏิบัติพระราชภารกิจทั้งปวง<br />
เพื่อชาวไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้พระราชทานข้อคิดและบทเรียน<br />
อันมีค่าไม่ว่าในแง่การงานหรือการใช้ชีวิต ทั้งจากพระบรมราโชวาท <br />
พระราชดำรัสที่พระราชทานในวาระต่างๆ รวมทั้งพระราชนิพนธ์ และโครงการ<br />
อันเนื่องมาจากพระราชดำริที่เป็นเสมือนศูนย์ศึกษาสำหรับถ่ายทอดวิชาการ<br />
ซึ่งราษฎรสามารถนำไปปฏิบัติให้เป็นประโยชน์แก่ทั้งตนเองและสังคม<br />
<br />
<br />
พระราชทานพรปีใหม่<br />
เพื่อให้คนไทยมีสติ<br />
ส.ค.ส. ฝีพระหัตถ์<br />
ที่พระราชทานพรปีใหม่<br />
และเตือนใจให้เกิดความคิด<br />
และการกระทำที่ดีงาม<br />
เทคโนโลยี เพื่อประโยชน์สุขของราษฎร<br />
ภาพฝีพระหัตถ์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พระราชทานความรู้<br />
เรื่องการทำฝนเทียม กรรมวิธี “ซุปเปอร์แซนด์วิช” ๖ ขั้นตอน
๘<br />
พระราชนิพนธ์ เพื่อพัฒนาประชาชนให้เป็นคนดี<br />
พระราชนิพนธ์เรื่องต่างๆ ล้วนแต่มีคุณค่า<br />
ช่วยเสริมสร้างความรู้ ความคิด และขัดเกลาสติปัญญา<br />
แสดงให้เห็นแบบอย่างของการประพฤติปฏิบัติดี<br />
พระราชทานความรู้ เพื่อเพิ่มพลังปัญญา<br />
มีพระราชดำริที่จะให้มีสารานุกรมไทยที่คนไทยทำ <br />
ด้วยความมุ่งหมายที่จะให้เป็นประโยชน์ต่อเยาวชน<br />
และส่งเสริมให้เยาวชนไทยได้หาความรู้ขั้นพื้นฐาน<br />
ในเรื่องราวและวิชาการสาขาต่างๆ<br />
ความเจริญของประเทศชาติเป็นความเจริญส่วนรวม ซึ่งเกิดจากผลงานหรือผลของการกระทำของคนทั้งชาติ<br />
ถือได้ว่า ทุกคนแบ่งหน้าที่กันทำประโยชน์ให้แก่ชาติ ตามความถนัดและความสามารถ<br />
และต่างคนต่างก็ได้เกื้อกูลกันและกัน ไม่มีผู้ใดจะอยู่ได้และทำงานให้แก่ประเทศชาติได้โดยลำพังตนเอง<br />
พระบรมราโชวาท ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย <br />
ณ หอประชุมจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันศุกร์ ที่ ๑๐ กรกฎาคม ๒๕๑๓<br />
ศูนย์ศึกษา เพื่อการพัฒนา<br />
แบบเบ็ดเสร็จ<br />
ศูนย์ศึกษาการพัฒนา<br />
อันเนื่องมาจากพระราชดำริทั้ง ๖ แห่ง<br />
(เขาหินซ้อน ห้วยทราย อ่าวคุ้งกระเบน <br />
ภูพาน ห้วยฮ่องไคร้ และพิกุลทอง) <br />
นับเป็นแหล่งศึกษาค้นคว้า ทดลอง <br />
และแสวงหาแนวทางพัฒนา<br />
ที่เหมาะสมและสอดคล้องกับ<br />
สภาพแวดล้อมและการประกอบอาชีพ<br />
ของราษฎรแต่ละท้องถิ่น เพื่อนำผลการ<br />
ทดลองวิจัยไปเผยแพร่แก่ราษฎร<br />
ด้วยวิธีการที่เข้าใจง่ายและ<br />
สามารถนำไปปฏิบัติเองได้จริง<br />
331
หยาดพระเสโททุกหยดแห่งความเพียรพยายามของพระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัว เปรียบประดุจสายฝนที่ตกต้องผืนดินอันแห้งผากให้กลับชุ่มฉ่ำ<br />
อุดมสมบูรณ์อีกครั้ง นำความผาสุก ความร่มเย็น และคุณภาพชีวิตที่ดี<br />
มาสู่ราษฎรในแผ่นดิน และนำมาซึ่งความสุขในพระราชหฤทัยของพระเจ้าแผ่นดิน<br />
ผู้อยู่เคียงข้างประชาชน ผู้เลือกที่จะแบกรับทุกข์และปัญหาของราษฎร<br />
ดุจดังทุกข์และปัญหาของพระองค์เอง มาตลอดตั้งแต่ต้นรัชกาลถึงปัจจุบัน <br />
ดังคำสัญญาที่ให้ไว้เมื่อครั้งที่พระองค์ต้องจากพระราชอาณาจักรไทย<br />
ไปทรงศึกษาต่อยังประเทศสวิตเซอร์แลนด์<br />
จัดแสดงด้วยเทคนิคสื่อผสม ซึ่งผู้เข้าชม<br />
จะสัมผัสได้ถึงสายลมเย็นและความชุ่มฉ่ำ<br />
ของสายน้ำซึ่งเปรียบได้ดังความสุขของคนไทย <br />
ที่ได้อาศัยอยู่บนผืนแผ่นดิน ใต้ร่มพระบารมีของ<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
332
๘<br />
ตามทางที่ผ่านมา<br />
ได้ยินเสียงใครคนหนึ่งร้องขึ้นมาดังๆ ว่า<br />
“อย่าละทิ้งประชาชน”<br />
อยากจะร้องบอกเขาไปว่า<br />
“ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะละทิ้งอย่างไรได้”<br />
ความตอนหนึ่งในพระราชนิพนธ์<br />
“เมื่อข้าพเจ้าจากสยามมาสู่สวิตเซอร์แลนด์”<br />
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
333
334<br />
ตลอดระยะเวลาแห่งการครองสิริราชสมบัติ พระมหากษัตริย์ทุกรัชสมัย<br />
ได้ทรงปฏิบัติพระราชกรณียกิจเป็นอเนกประการ ด้วยทรงตั้งพระราชปณิธาน<br />
มุ่งหมายที่จะอำนวยประโยชน์สุขให้บังเกิดแก่ราษฎร บรรเทาความเดือดร้อน<br />
ให้ผ่อนคลาย สามารถอาศัยอยู่บนแผ่นดินไทยได้อย่างร่มเย็น<br />
เป็นเวลากว่า ๒๐๐ ปี ที่แนวพระราชปณิธานยังคงปรากฏให้เห็น<br />
และสัมผัสได้อย่างเป็นรูปธรรม ด้วยชาวไทยได้รับความสุขจากโครงการ<br />
อันเนื่องมาจากพระราชดำริ ตลอดจนพระราชกรณียกิจต่างๆ<br />
พระมหากษัตริย์จึงทรงเป็นดั่งดวงใจของปวงประชา อันเป็นที่เคารพรัก<br />
และภักดีอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
๘<br />
พระปรีชาสามารถของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
เป็นศูนย์รวมแห่งแรงบันดาลใจแก่ประชาชนของพระองค์ตลอดมา <br />
ไม่ว่าจะเป็นในด้านวิชาการ ศิลปะ วิทยาศาสตร์<br />
หรือแม้แต่การที่ทรงเป็นแบบอย่างที่เรียบง่าย<br />
ของการเป็นพ่อผู้มีแต่ความรัก และความเสียสละเพื่อลูก<br />
พระราชดำรัส สมเด็จพระราชาธิบดีแห่งบรูไนดารุสซาลาม<br />
ในฐานะทรงเป็นผู้แทนพระประมุขและพระราชวงศ์ต่างประเทศ<br />
ถวายพระพรชัยมงคลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
เนื่องในวโรกาสมหามงคลทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี<br />
๑๔ มิถุนายน ๒๕๔๙<br />
พระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์<br />
แห่งพระบรมราชวงศ์จักรีที่ผู้เข้าชม<br />
มีโอกาสได้ย้อนรำลึกร่วมไปกับยายหลาน<br />
ย่อมเป็นที่ประจักษ์อย่างชัดเจนว่า<br />
ล้วนนำมาซึ่งความเจริญรุ่งเรืองของชาติ <br />
และความสงบสุขร่มเย็นของราษฎร<br />
ทุกยุคสมัย ชาวไทยจึงเคารพรักและเทิดทูน<br />
พระมหากษัตริย์เป็นดั่งดวงใจของปวงประชา<br />
<br />
335
ผู้เข้าชมสามารถถ่ายทอดความจงรักภักดี<br />
และร่วมถวายพระพรแด่พระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวผ่านวีดิทัศน์ ซึ่งจะบันทึกภาพ<br />
และเสียงของผู้เข้าชม แล้วคัดเลือกนำออกแสดง<br />
ในจุดจากใจ...พสกนิกร<br />
๙<br />
เรื่องเล่าของในหลวง<br />
ตลอดระยะเวลาที่ทรงครองราชย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเพื่อพสกนิกรทุกหมู่เหล่า ซึ่งทุกเรื่องราว<br />
ของพระมหากษัตริย์ผู้เป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย จะได้รับการรวบรวม<br />
บันทึกและถ่ายทอดสู่ชาวไทย เพื่อจะได้มีโอกาสสัมผัสและซาบซึ้งไปกับ<br />
พระราชจริยวัตรนับตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ พระราชดำริ พระราชดำรัส<br />
พระบรมราโชวาท และอีกหลากหลายเรื่องราวของ “ในหลวง” ที่ประชาชน<br />
บนผืนแผ่นดินไทยอาจไม่เคยรู้มาก่อน<br />
336
จัดแสดงด้วยระบบจอสัมผัสซึ่งผู้เข้าชม<br />
สามารถเลือกชมและซาบซึ้งกับ<br />
พระราชจริยวัตรและเรื่องราวต่างๆ <br />
เกี่ยวกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว <br />
ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย <br />
ภาพที่สุดของความทรงจำ<br />
จัดแสดงภาพอันน่าประทับใจของชาวไทย<br />
ผู้เคยรับใช้ใกล้ชิดเบื้องพระยุคลบาทหรือ<br />
มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ ในโอกาสต่างๆ ซึ่งยัง<br />
ตราตรึงอยู่ในความทรงจำของเจ้าของรูป<br />
อย่างไม่เสื่อมคลาย<br />
คำพ่อสอน<br />
จัดแสดงพระราชดำรัสและพระบรม<br />
ราโชวาทที่พระราชทานแก่คณะบุคคล<br />
และประชาชนในหลายโอกาส ซึ่งชาวไทย<br />
สามารถนำมาเป็นข้อคิด ตลอดจนแนวทาง<br />
ในการดำเนินชีวิตได้เป็นอย่างดี<br />
ครั้งหนึ่งในชีวิต<br />
จัดแสดงเรื่องราวอันน่าประทับใจของบุคคล<br />
ที่เคยถวายงานรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาท<br />
และผู้ที่น้อมนำพระราชดำริมาเป็นแนวทาง<br />
ในการดำเนินชีวิตจนประสบความสำเร็จ<br />
และความสุขในที่สุด<br />
เรื่องของในหลวงที่เราไม่อาจรู้<br />
จัดแสดง ๘๐ เรื่องราวที่ชาวไทยหลายล้านคน<br />
ไม่เคยรู้ เกี่ยวกับ “ในหลวง” พระมหา<br />
กษัตริย์ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน <br />
ทำไมเรารักพระเจ้าอยู่หัว<br />
จัดแสดงวีดิทัศน์ถ่ายทอดความรู้สึกของ<br />
คนไทยหลากหลายสถานะซึ่งเคารพเทิดทูน<br />
และ “รัก” พระเจ้าอยู่หัวอย่างหมดดวงใจ<br />
337
๑๐<br />
จากใจ...พสกนิกร<br />
<br />
พสกนิกรทั่วหน้าล้วนสำนึกและซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ<br />
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจเป็นอเนก<br />
ประการ เพื่อความเจริญของบ้านเมืองและความร่มเย็นของราษฎร ความรู้สึก<br />
ดังกล่าวปรากฏอยู่ในดวงใจชาวไทยทุกหมู่เหล่าตลอดมา ดังจะเห็นได้จาก<br />
ถ้อยคำส่วนหนึ่งที่ได้เลือกสรรมาจัดแสดงไว้ ณ ที่แห่งนี้ <br />
338
ถ้อยคำที่ประชาชนชาวไทยถ่ายทอดออกมาจากใจ<br />
หลายล้านดวงล้วนแสดงให้เห็นถึงความเคารพรัก <br />
ความเทิดทูน และความจงรักภักดีที่มีต่อพระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวอย่างหาที่สุดมิได้ ซึ่งแสดงให้เห็นเป็นที่<br />
ประจักษ์อย่างชัดเจนว่า คงไม่มีประชาชนพลเมืองของ<br />
ประเทศใดจะรักพระเจ้าแผ่นดินได้มากเท่ากับประชาชน<br />
ชาวไทย<br />
จัดแสดงถ้อยคำความรู้สึกของประชาชน<br />
ที่สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ<br />
ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ผู้ทรงเป็นที่รักยิ่งของชาวไทย<br />
339
340
๓<br />
ต อ น ที่<br />
จรรโลงวัฒนธรรม<br />
ล้ำเลอค่า<br />
ร่วมใจผู้เชี่ยวชาญ ผสานเทคโนโลยี<br />
เนรมิตนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
341
ห้องโถงด้านหน้า ภายในอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ซึ่งเปรียบได้กับ<br />
“ห้องรับแขก” ขนาดใหญ่ ได้รับการออกแบบให้มีความโปร่งโล่ง โอ่โถง<br />
ก่อให้เกิดความรู้สึกอบอุ่นและร่วมสมัย<br />
การออกแบบที่คำนึงถึงความโปร่งโล่งยังได้สร้างความต่อเนื่องถึงส่วนอื่นของอาคารอีกด้วย<br />
342
ร้อยเรียงอดีตสมัย <br />
เพื่อคนไทยยุคปัจจุบัน<br />
นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ได้ร้อยเรียงเรื่องราว<br />
กว่า ๒๐๐ ปี ของกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นหนึ่งใน<br />
หน้าประวัติศาสตร์สำคัญที่คนไทยปัจจุบันอาจจะ<br />
ลืมเลือน และมักคิดว่าเป็นช่วงเวลาที่ผ่านพ้นไปแล้ว<br />
หากทว่าในความเป็นจริง ทุกวันนี้ชาวกรุงเทพฯ ตลอดจน<br />
ชาวไทยหลายล้านคนล้วนยังคงดำรงชีวิตอยู่ในสมัย<br />
รัตนโกสินทร์ ซึ่งเริ่มต้นขึ้นนับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๕<br />
มีการพัฒนามาเป็นลำดับจนถึงปัจจุบัน และจะยืนหยัด<br />
สืบเนื่องต่อไปในอนาคต<br />
เรื่องราวของกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดช่วง<br />
๒๐๐ ปี จึงยังคงผูกพันกับวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน<br />
และนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ จะเป็นเสมือน “ประตู”<br />
ที่เปิดโอกาสให้ชาวรัตนโกสินทร์ในช่วงศตวรรษ<br />
ที่ ๒๑ ได้ย้อนกลับสู่อดีต ซึ่งไม่ใช่เพียงเพื่อเรียนรู้อดีต<br />
ผ่านโบราณวัตถุ แต่เป็นการเรียนรู้คุณค่าของอดีต <br />
ผ่านการจัดแสดงในรูปแบบร่วมสมัย เพื่อหวนรำลึก<br />
ตรึกตรอง และพิจารณารากเหง้าและตัวตน ตลอดจน<br />
ภูมิปัญญาอันล้ำค่าที่ได้รังสรรค์และสืบทอดต่อมา<br />
เพื่อจะได้ก้าวต่อไปบนแนวทางของอนาคตอันสดใส<br />
และมั่นคงของกรุงรัตนโกสินทร์ตลอดไป<br />
ด้วยเหตุนี้ อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
จึงได้รับการออกแบบให้เหมาะสมและสอดคล้องกับ<br />
วิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน เพื่อสร้างความสืบเนื่อง<br />
ระหว่างอดีตและปัจจุบันได้อย่างกลมกลืน<br />
หุ่นจำลองพระบรมมหาราชวัง ที่ห้องเกียรติยศแผ่นดินสยาม<br />
เป็นหนึ่งในสื่อการจัดแสดง ทำหน้าที่ถ่ายทอดประวัติความเป็นมา<br />
ของพระบรมมหาราชวัง ศูนย์กลางกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ตลอดระยะเวลากว่า ๒๐๐ ปี<br />
มุมอินเทอร์เน็ตในห้องสมุด เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่ช่วยให้การค้นคว้า<br />
ข้อมูลเพิ่มเติมเป็นเรื่องง่ายและสามารถตอบสนองความต้องการของ<br />
คนในปัจจุบันซึ่งอยู่ในยุคการติดต่อสื่อสารไร้พรมแดน<br />
“รื่นรมย์รัตนโกสินทร์” หนึ่งในนิทรรศการหมุนเวียนที่จัดขึ้นตลอดทั้งปี<br />
ในบริเวณห้องโถงอเนกประสงค์ นอกจากช่วยเพิ่มความหลากหลาย<br />
และขยายเรื่องราวที่จัดแสดงภายในนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
ยังดึงดูดใจผู้เข้าชมให้อยากกลับมาเยี่ยมชม<br />
343
จัดสรรพื้นที่ เพื่อวิถีที่เหมาะสม<br />
การพลิกฟื้นอาคารประวัติศาสตร์ให้กลับมา<br />
โลดแล่นและเป็นส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบัน<br />
ต้องคำนึงถึงการจัดสรรพื้นที่การใช้สอยอาคารทุกตารางเมตร<br />
ให้เกิดประโยชน์สูงสุด และเหนือสิ่งอื่นใดจะต้องอนุรักษ์<br />
รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่มีอยู่เดิมไว้ให้ได้มากที่สุด <br />
นับเป็นโจทย์สำคัญที่นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ต้องพิจารณา<br />
อย่างถี่ถ้วน<br />
วิถีชีวิตของผู้คนในปัจจุบันเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่มี<br />
ส่วนสำคัญในการกำหนดแนวทางการออกแบบที่จะทำให้<br />
อาคารประวัติศาสตร์แห่งนี้มีประโยชน์ใช้สอย สามารถ<br />
ตอบสนองความต้องการของผู้คนในปัจจุบัน นอกเหนือจาก<br />
การเป็นศูนย์การเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ศิลปะ และวัฒนธรรม<br />
ของกรุงรัตนโกสินทร์ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ จึงได้รับ<br />
การจัดสรรขึ้นในอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ไม่ว่าจะเป็น<br />
พื้นที่สำหรับนิทรรศการหมุนเวียน (Event Hall) ที่บริเวณ<br />
ห้องโถงชั้น ๑ พื้นที่ประมาณ ๓๐๐ ตารางเมตร เพื่อให้บริการ<br />
แก่สถาบันการศึกษาและองค์กรเอกชนในการจัดกิจกรรม<br />
หรือนิทรรศการด้านศิลปะและวัฒนธรรม การให้บริการ<br />
เครื่องดื่มและอาหารว่างบริเวณชั้น ๑ มีมุมอินเทอร์เน็ต <br />
และสามารถเชื่อมต่อสัญญาณอินเทอร์เน็ตไร้สายความเร็วสูง<br />
ได้ด้วย นอกจากนี้ ยังมีห้องสมุดอันทันสมัยเพื่อการค้นคว้า<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม และร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกอีกด้วย<br />
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ต้องพิจารณาเป็นพิเศษ<br />
อีกอย่างหนึ่งคือ ระบบสาธารณูปโภค เนื่องจากนิทรรศน์<br />
รัตนโกสินทร์ตั้งอยู่ในอาคารที่มีความเก่าแก่และก่อสร้าง<br />
มาตั้งแต่เมื่อครั้งที่มีเพียงส่วนอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอื่นๆ<br />
ระบบสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยเฉพาะระบบปรับอากาศ<br />
ยังไม่เป็นปัจจัยสำคัญในการดำเนินชีวิตประจำวันของ<br />
ชาวกรุงเทพฯ และเป็นเทคโนโลยีสมัยใหม่ที่ยังไม่แพร่หลาย<br />
การติดตั้งระบบปรับอากาศจึงต้องพิถีพิถันทุกรายละเอียด<br />
ส่วนผนังที่สร้างขึ้นใหม่ นอกจากเพื่อหลีกเลี่ยงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับ<br />
โครงสร้างของอาคารเดิม ยังช่วยเปิดให้แสงธรรมชาติสามารถส่องเข้ามา<br />
เพิ่มความสว่าง และทำให้อาคารมีความโปร่ง <br />
การเจาะพื้นอาคารให้เป็นช่องทะลุถึงกัน นอกจากสร้างความแปลกตา<br />
ยังเป็นการออกแบบที่ช่วยลดความรู้สึกอึดอัด เพิ่มบรรยากาศที่โล่ง<br />
โปร่งสบาย เมื่อเข้ามาภายในอาคาร<br />
จุดบริการอาหารว่างและเครื่องดื่มหลากชนิด<br />
พร้อมมุมอินเทอร์เน็ต<br />
344
ห้องสมุดด้านหน้า ที่เน้นความโปร่ง โล่งสบาย<br />
ชวนให้เพลิดเพลินกับการอ่านหนังสือ<br />
สกายคาเฟ่ บริเวณชั้น ๓ ติดตั้งกระจกใส เพื่อให้ผู้เข้าชม<br />
ได้สัมผัสทัศนียภาพของบริเวณโดยรอบได้มากกว่า ๑๘๐ องศา<br />
และยังเป็นจุดที่ถือว่าสามารถมองเห็นภูเขาทองและโลหะปราสาท<br />
วัดราชนัดดาได้สวยที่สุดในกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ห้องสมุดด้านในหรือห้องสมุดเงียบ อยู่ในบริเวณอาคารที่ต่อเติมใหม่<br />
เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความเงียบสงบในการอ่านหนังสือ<br />
หรือการค้นคว้าข้อมูลต่างๆ<br />
ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึกสำหรับเก็บความประทับใจที่ได้รับจาก<br />
การเข้าชมนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
ห้องโถงอเนกประสงค์ ชั้น ๑ พื้นที่สำหรับจัดกิจกรรมหลากหลาย
สร้างเสริมเติมต่อ ก่อประโยชน์สูงสุด<br />
เ พื่ อ ใ ห้ ส า ม า ร ถ ใ ช้ พื้ น ที่ ทุ ก<br />
ตารางเมตรของอาคารนิทรรศน์รัตน<br />
โกสินทร์ที่มีอยู่อย่างจำกัดในส่วนของ<br />
การจัดแสดง จึงมีความจำเป็นที่จะต้อง<br />
จัดสรรพื้นที่ให้สามารถรองรับระบบ<br />
สาธารณูปโภคต่างๆ ได้อย่างเหมาะสม <br />
และเนื่องจากบริเวณด้านหลังอาคาร<br />
เป็นพื้นที่ว่าง จึงได้ก่อสร้างอาคารในพื้นที่<br />
ดังกล่าวเพิ่มเติมให้เป็นพื้นที่รองรับ<br />
สาธารณูปโภคต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นระบบ<br />
สุขาภิบาล ระบบปรับอากาศ ระบบไฟฟ้า<br />
และระบบอิเล็กทรอนิกส์สำหรับควบคุม<br />
การจัดแสดง นอกจากนี้พื้นที่ส่วนต่อเติม<br />
ยังสามารถใช้เป็นสำนักงานบริหารดูแล<br />
อาคารและเป็นห้องสมุดได้อีกด้วย<br />
วัดราชนัดดาราม<br />
ถนนราชดำเนินกลาง<br />
แผนผังพื้นที่ส่วนต่อเติมด้านหลังอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
ห้องควบคุมระบบไฟฟ้า <br />
ระบบปรับอากาศ<br />
และระบบโทรศัพท์<br />
ชั้นที่ ๑ <br />
ห้องสุขา<br />
ร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก
ชั้นที่ ๒<br />
ฝ่ายประชาสัมพันธ์<br />
สำนักงานนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
สำนักงานนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
ตั้งอยู่บริเวณชั้น ๒<br />
ห้องสมุดด้านหลัง<br />
ทางเชื่อมระหว่างสำนักงาน ห้องประชุมใหญ่<br />
และห้องสมุดด้านหลัง<br />
ห้องประชุมใหญ่ ที่สามารถรองรับผู้เข้าประชุม<br />
ได้ ๒๑ คน<br />
ห้องควบคุมระบบการจัดแสดง<br />
345
บรรยากาศย้อนอดีต <br />
เพลินพินิจรัตนโกสินทร์<br />
นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ ได้เนรมิตเรื่องราว<br />
ในอดีตของกรุงรัตนโกสินทร์ให้กลับมามีชีวิตอีกครั้ง<br />
ด้วยการจำลองบรรยากาศและกลิ่นอายของอดีต<br />
เปิดโอกาสให้ผู้เข้าชมได้มีส่วนร่วมและมีประสบการณ์<br />
อันน่าประทับใจในทุกส่วนของการจัดแสดง สร้างความ<br />
ตื่นตาตื่นใจให้ผู้เข้าชมเกิดความต้องการที่จะเรียนรู้<br />
เพิ่มเติม<br />
การสร้างบรรยากาศด้วยการตกแต่งห้องจัดแสดง<br />
ให้มีความคล้ายคลึงกับสถานที่จริง ไม่ว่าจะเป็นการจำลอง<br />
สิ่งก่อสร้าง ดังปรากฏในห้องที่ ๕ สง่าศรีสถาปัตยกรรม<br />
พื้นห้องในส่วนจัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระอารามหลวง<br />
ประจำรัชกาล ได้ออกแบบให้เหมือนปูด้วยอิฐมอญ<br />
ขนาดใหญ่วางตะแคงซ้อนกันเป็นก้างปลา อันเป็น<br />
การจำลองมาจากพื้นภายในวัดเมื่อสมัยอดีต และยังมี<br />
การจำลองเรือนไทยทั้งเรือนเครื่องสับและเรือนเครื่องผูก<br />
ห้องที่ ๘ เรืองรุ่งวิถีไทย มีการจำลองร้านค้าริมถนน<br />
บำรุงเมืองเมื่อแรกสร้างสมัยรัชกาลที่ ๔ หรือห้องที่ ๙<br />
ดวงใจปวงประชา มีการจำลองกำแพงเมืองสมัยรัตนโกสินทร์<br />
ตอนต้น สถานที่ทรงงานของรัชกาลที่ ๒ ตลอดจน<br />
เรือสำเภาขนาดใหญ่ที่เคยใช้เป็นพาหนะบรรทุกสินค้า<br />
ไปขายยังต่างประเทศ เป็นต้น<br />
นอกจากนี้ ยังมีการจำลองเหตุการณ์ต่างๆ ในอดีต<br />
ให้ผู้เข้าชมได้สัมผัสด้วยตนเอง ดังปรากฏในห้องที่ ๓<br />
เรืองนามมหรสพศิลป์ ที่มีการฉายภาพมหรสพ ๓๖๐ องศา<br />
เพื่อให้ผู้เข้าชมรู้สึกเสมือนอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์<br />
การจัดงานมหรสพสมโภชที่ท้องสนามหลวง ซึ่งเมื่อมอง<br />
ไปในทิศทางใดจะได้เห็นการแสดงตลอดจนการละเล่น<br />
ในอดีต หรือห้องที่ ๔ ลือระบิลพระราชพิธี ที่มีการจัดแสดง<br />
พระราชพิธีสิบสองเดือน โดยนำภาพจิตรกรรมฝาผนัง<br />
ที่วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมาราม มาดัดแปลง<br />
ในรูปแบบอะนิเมชั่น ซึ่งทำให้ภาพคนสามารถเคลื่อนไหวได้<br />
ซุ้มพระบัญชรจำลอง จัดแสดงอยู่ในห้องที่ ๒ เกียรติยศแผ่นดินสยาม<br />
หรือห้องที่ ๘ เรืองรุ่งวิถีไทย ที่มีการจำลองเสียง “หวอ”<br />
หรือสัญญาณเตือนภัยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ ๒<br />
เป็นต้น<br />
การสร้างบรรยากาศเสมือนจริงทั้งการจำลอง<br />
สถานที่ ตลอดจนเหตุการณ์ต่างๆ ในนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
นอกจากเป็นการเร้าความรู้สึกของผู้เข้าชมให้ต้องการ<br />
ติดตามเรื่องราวการจัดแสดงต่างๆ ช่วยเสริมสร้าง<br />
จินตนาการ ยังทำให้ภาพและเรื่องราวในอดีตกลับมีชีวิต<br />
ขึ้นมาอีกครั้งหนึ่งโดยอาศัยเทคโนโลยีอันทันสมัย<br />
เป็นเครื่องมือ เพื่อให้การจัดแสดงมีความสมจริงและ<br />
น่าสนใจ <br />
346
การจำลองแผ่นหินที่ใช้ปูพื้นภายใน<br />
บริเวณพระบรมมหาราชวัง<br />
ห้องที่ ๒ เกียรติยศแผ่นดินสยาม มีการปูพื้นห้องโดยจำลองแผ่นหินให้มีลักษณะคล้ายคลึงกับพื้นภายในบริเวณพระบรมมหาราชวัง<br />
การจำลองการจัดแสดงมหรสพ<br />
โดยรอบอาณาบริเวณท้องสนามหลวง<br />
(ภาพจิตรกรรมฝาผนังพระระเบียง<br />
วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)<br />
จอภาพ ๓๖๐ องศา เพื่อให้ผู้เข้าชมรู้สึกเสมือนอยู่ท่ามกลางเหตุการณ์การจัดงานมหรสพสมโภชที่ท้องสนามหลวง<br />
347
บรรจงรังสรรค์<br />
เนรมิตอดีตอันรุ่งโรจน์<br />
แต่ละห้องจัดแสดง มีการจัดแสงให้สอดคล้องกับสีของอัญมณีในตำรานพรัตน์<br />
เพื่อให้นิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
เป็นศูนย์การเรียนรู้อันมีเอกลักษณ์<br />
และเป็นที่น่าจดจำ จึงให้ความสำคัญ<br />
กับการรังสรรค์นิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
ทุกรายละเอียด ไม่ว่าจะเป็นมิติของ<br />
สีและแสง ความคงทนของอุปกรณ์<br />
Interactive Self-Learning ตลอดจน<br />
ความละเอียดประณีตของงาน<br />
ศิลปกรรม โดยคำนึงถึงหลักการเลือกใช้<br />
เทคโนโลยีการจัดแสดงที่เหมาะสม<br />
สอดคล้องกับเรื่องราวที่ต้องการ<br />
นำเสนอ และเพิ่มมูลค่าให้กับการ<br />
ออกแบบนิทรรศการ ด้วยระบบ<br />
ควบคุมการจัดแสดงระดับโลกแบบ<br />
World-Class Museum<br />
มิติของสีและแสง - มีการ<br />
จัดแสงที่เป็นเอกลักษณ์ของห้อง<br />
จัดแสดงให้สอดคล้องกับสีของ<br />
อัญมณีต่างๆ ทั้ง ๙ ในสำรับนพรัตน์ <br />
ซึ่งนำมาเป็นสัญลักษณ์ของนิทรรศน์<br />
รัตนโกสินทร์ เช่น ห้องที่ ๒ เกียรติยศ<br />
แผ่นดินสยาม ซึ่งเป็นห้องที่เป็น<br />
ตัวแทนของอัญมณีบุษราคัม จึงเน้น<br />
การจัดแสงสีเหลืองทองที่เรืองรอง<br />
เพื่อสะท้อนคุณค่าอันสูงส่งของ<br />
พระบรมมหาราชวัง อัครสถานอันเป็น<br />
348
เกียรติยศของแผ่นดิน หรือห้องที่ ๓ เรืองนามมหรสพศิลป์<br />
ที่เน้นการจัดแสงให้สอดคล้องกับสีของโกเมน อัญมณีสีแดง<br />
ซึ่งเชื่อกันว่ามีพลังในการกระตุ้นความรู้สึกและอารมณ์<br />
ด้วยเป็นห้องที่รวบรวมศิลปวิทยาการด้านการแสดง<br />
ที่สวยงาม ตื่นเต้น เร้าใจ กระตุ้นให้เกิดความสนุกสนาน<br />
จึงใช้โกเมนเป็นตัวแทน อีกทั้งสีแดงเป็นสีที่สื่อถึง<br />
การแสดงในยุคปัจจุบันที่มักใช้ม่าน เก้าอี้ หรือพรมสีแดง<br />
ตกแต่งสถานที่ที่มีการแสดงมหรสพ<br />
ความคงทนของอุปกรณ์ - ปกติสื่ออินเทอร์ <br />
แอ็กทีฟในนิทรรศการทั่วไปมักชำรุดและได้รับความเสียหาย<br />
จากการใช้งานอย่างรวดเร็ว นิทรรศน์รัตนโกสินทร์คำนึงถึง<br />
ปัญหาดังกล่าว จึงได้หาแนวทางแก้ไขจนได้ผลเป็นที่น่าพอใจ<br />
ด้วยการออกแบบไม่ให้ผู้เข้าชมสัมผัสกับสื่ออินเทอร์แอ็กทีฟ<br />
โดยตรง เช่น ลดทอนความซับซ้อนของปุ่มกดด้วยการใช้<br />
ปุ่มสัมผัสที่เป็นแผ่นทองเหลืองที่ใช้ค่าความต่างศักย์ของ<br />
ไฟฟ้าเป็นสื่อควบคุม<br />
เช่นเดียวกับห้องที่ ๖ ดื่มด่ำย่านชุมชน มีการ<br />
ออกแบบการจัดแสดงด้วยระบบเซ็นเซอร์ที่ทำงานสัมพันธ์<br />
กับเครื่องฉายภาพ เมื่อผู้เข้าชมใช้เท้าสัมผัสที่พื้นห้องที่มี<br />
เซ็นเซอร์รับสัญญาณ เครื่องฉายภาพจะฉายลวดลาย<br />
อันสวยงามไปที่พื้นห้องโดยอัตโนมัติ<br />
ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ทำให้นิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
สามารถนำเสนอเรื่องราวในอดีตได้อย่างน่าสนใจและช่วย<br />
“เนรมิตอดีต” ให้กลับมามีชีวิตชีวา ผู้เข้าชมสามารถสัมผัส<br />
และซาบซึ้งไปกับประวัติศาสตร์ ศิลปะ ตลอดจนวัฒนธรรม<br />
ด้านต่างๆ ของกรุงรัตนโกสินทร์ที่ยังคงรุ่งโรจน์เรืองรอง<br />
จนถึงปัจจุบันด้วยการผสมผสานและการประยุกต์สื่อ<br />
ตลอดจนเทคโนโลยีที่ทันสมัยและมีความหลากหลายเข้าไว้<br />
ด้วยกันเพื่อให้มีความเหมาะสมกับทุกเรื่องราวที่นำเสนอ<br />
ห้องที่ ๖ ดื่มด่ำย่านชุมชน เมื่อผู้เข้าชมใช้เท้าสัมผัสตรงจุด<br />
ที่มีเซ็นเซอร์รับสัญญาณ จะค่อยๆ ปรากฏภาพลวดลายอันสวยงาม<br />
บนพื้นห้อง ซึ่งฉายจากเครื่องฉายภาพที่ซ่อนอยู่ด้านบน<br />
ระบบจอสัมผัสหรือทัชสกรีนที่นำมาใช้เป็นสื่อให้ผู้เข้าชม<br />
ได้ร่วมสนุกกับการเล่นเกม ได้รับการออกแบบ<br />
ให้มีความคงทนเพื่อรองรับการใช้งานจากผู้เข้าชมจำนวนมาก<br />
349
350<br />
ศิลปวัตถุจำลองที่จัดแสดงในนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
ล้วนได้รับการเอาใจใส่ในทุกรายละเอียด<br />
ของขั้นตอนการประดิษฐ์ที่ต้องอาศัย<br />
ความประณีตละเอียดอ่อน <br />
เพื่อให้มีความสวยงามใกล้เคียง<br />
กับต้นแบบมากที่สุด
ความละเอียดประณีตของงานศิลปกรรม -<br />
นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ให้ความสำคัญกับความละเอียด<br />
ประณีตของฉาก ตลอดจนสิ่งของที่จำลองมาจัดแสดง<br />
ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของขนาดใหญ่ เช่น บุษบกประดิษฐาน<br />
พระแก้วมรกตไปจนถึงสิ่งของขนาดเล็ก เช่น กระโถน<br />
ปากแตร ผักและผลไม้แกะสลัก ที่จัดแสดงอยู่ในห้องที่ ๒<br />
เกียรติยศแผ่นดินสยาม ซุ้มหน้าต่าง ซุ้มประตู และหน้าบัน<br />
พระที่นั่งองค์สำคัญในเขตพระราชฐานที่ได้รับการจำลอง<br />
ด้วยฝีมืออันประณีตของช่างสิบหมู่ ซึ่งโดยปกติต้องใช้เวลา<br />
ในการรังสรรค์ยาวนานกว่าจะสำเร็จออกมาเป็นผลงาน<br />
ที่ทรงคุณค่า แต่นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ได้ลดทอนขั้นตอน<br />
บางอย่าง จึงร่นเวลาให้สำเร็จได้อย่างรวดเร็ว แต่ยังคง<br />
ความงดงามและทรงคุณค่า<br />
แบบร่างบุษบกประดิษฐานพระแก้วมรกต เพื่อจัดแสดงในห้องที่ ๒ <br />
เกียรติยศแผ่นดินสยาม แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับสัดส่วน<br />
และความประณีตของงานศิลปกรรมไทย<br />
การประดิษฐ์หุ่นยักษ์ เป็นการจำลองจากต้นแบบจริง<br />
ซึ่งตั้งอยู่ที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
ขั้นตอนการรังสรรค์เครื่องมุก ผลงานศิลปกรรมที่จำลองมาจาก<br />
บานประตูประดับมุก ปราสาทพระเทพบิดร จัดแสดงอยู่ภายในห้องที่ ๒<br />
เกียรติยศแผ่นดินสยาม<br />
351
ห้องที่ ๓ เรืองนามมหรสพศิลป์ มีการฉายภาพ ๓๖๐ องศา จากเครื่องฉายภาพ<br />
ทั้งหมด ๙ เครื่อง ไปที่จอขนาดใหญ่ ซึ่งติดตั้งบนผนังของห้องที่มีลักษณะเป็นวงกลม <br />
ช่วยสร้างบรรยากาศให้ผู้เข้าชมรู้สึกเสมือนอยู่ท่ามกลางงานแสดงมหรสพในอดีต<br />
ผสมสื่อสร้างสรรค์ บันดาลความเพลิดเพลิน<br />
สื่อและเทคโนโลยีที่นำมาใช้ในการจัดแสดงภายในนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
แม้จะเป็นเทคโนโลยีที่ปรากฏโดยทั่วไป แต่นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ได้นำมา<br />
ผสมผสานให้เกิดเป็นสื่อผสมและเทคนิคการนำเสนอที่น่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็น<br />
ห้องที่ ๑ รัตนโกสินทร์เรืองโรจน์ ห้องจัดแสดงที่มีระบบไฮโดรลิกที่จะยก<br />
พื้นห้องให้เลื่อนขึ้นจากชั้น ๒ ไปสู่ชั้น ๓ พร้อมกับฉายวีดิทัศน์ถ่ายทอดประวัติ<br />
การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์<br />
ห้องที่ ๓ เรืองนามมหรสพศิลป์ มีการใช้เครื่องฉายภาพ จำนวนมากถึง <br />
๙ เครื่อง ฉายภาพซึ่งผู้เข้าชมสามารถมองเห็นได้ ๓๖๐ องศา เพื่อจำลอง<br />
บรรยากาศการสมโภชที่จัดขึ้น ณ ท้องสนามหลวงซึ่งจะมีการแสดงมหรสพ<br />
รอบตัวผู้ชม<br />
ทางเข้าสู่ห้องที่ ๑ รัตนโกสินทร์เรืองโรจน์<br />
มีการยกระดับให้สูงขึ้นจากพื้นอาคาร<br />
เพื่อรองรับการจัดแสดงด้วยระบบไฮโดรลิก<br />
352
ห้องที่ ๘ เรืองรุ่งวิถีไทย มีการจัดแสดงที่ใช้โปรแกรมพิเศษ<br />
เพื่อให้สามารถฉายภาพลงบนจอที่มีลักษณะเป็นเหลี่ยมมุม<br />
ได้หลายภาพในเวลาเดียวกัน<br />
ห้องที่ ๕ สง่าศรีสถาปัตยกรรม มีการนำเทคโนโลยี<br />
Multi-touch มานำเสนอในรูปแบบเกมที่ให้ผู้เล่นสัมผัส<br />
หน้าจอเพื่อจัดวางสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในวัดให้ถูกต้อง<br />
ตรงตามแผนผัง หรือการนำอุปกรณ์ Interactive<br />
Multimedia มาใช้ในส่วนการนำชมบรรยากาศบ้านเรือน<br />
แต่ละสมัย โดยออกแบบอุปกรณ์ควบคุมที่ช่วยให้ผู้เข้าชม<br />
ได้รับความเพลิดเพลิน ทั้งการสะบัดสายบังเหียนม้า <br />
การพายเรือ และการเหยียบคันเร่งของรถที่สัมพันธ์กับ<br />
การเคลื่อนไหวของภาพบนจอที่ติดตั้งอยู่ในกรอบหน้าต่าง<br />
จำลอง<br />
ห้องที่ ๗ เยี่ยมยลถิ่นกรุง ที่มีการนำเทคโนโลยี<br />
การตัดต่อภาพถ่ายผสมกับภาพอะนิเมชั่น โดยพัฒนา<br />
ซอฟต์แวร์ให้สามารถแสดงผลได้อย่างรวดเร็ว <br />
เพื่อนำเสนอภาพถ่ายใบหน้าของผู้เข้าชมไปเป็นตัวละคร<br />
ของการ์ตูนบนจอขนาดใหญ่<br />
ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างของ<br />
การออกแบบการจัดแสดงที่ทางนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
ตั้งใจและภูมิใจที่ได้นำเสนอและเผยแพร่แก่ประชาชน <br />
ด้วยความมุ่งหมายที่จะสร้างสรรค์ให้การจัดแสดงน่าสนใจ<br />
มีความสนุกสนาน และน่าประทับใจ<br />
Interactive Multimedia ในรูปแบบสายบังเหียน <br />
ในห้องที่ ๕ สง่าศรีสถาปัตยกรรม ได้รับการออกแบบ<br />
ให้เป็นอุปกรณ์ควบคุมการเคลื่อนไหวของภาพที่ปรากฏบนจอ<br />
เทคโนโลยีการตัดต่อภาพถ่ายผสมกับภาพอะนิเมชั่น<br />
จัดแสดงภายในห้องที่ ๗ เยี่ยมยลถิ่นกรุง<br />
353
ระดมผู้เชี่ยวชาญ สืบสานรัตนโกสินทร์<br />
องค์ประกอบที่สำคัญประการหนึ่งคือการมีปฏิสัมพันธ์กับผู้คนและชุมชนโดยรอบอันจะส่งผลให้เกิด<br />
ความยั่งยืนดังที่ พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น อดีตอธิบดีกรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติ พ.ศ.<br />
๒๕๔๑ ได้กล่าวไว้ว่า “...นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ต้องอยู่ร่วมกับชุมชนอย่างเกื้อกูลกัน แล้วจะทำให้<br />
อาคารนิทรรศการยั่งยืนได้...”<br />
พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น<br />
ศิลปินแห่งชาติสาขาทัศนศิลป์ (ประยุกต์ศิลป์)<br />
และอดีตอธิบดีกรมศิลปากร<br />
ความถูกต้องก็เป็นส่วนสำคัญด้วยเช่นกัน เช่น ดนตรีประกอบการจัดแสดง ดร. สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ<br />
อดีตอธิบดีกรมศิลปากร ได้กล่าวถึงความเหมาะสมของดนตรีประกอบว่า “...เราไม่ได้ปิดกั้นดนตรี<br />
ตะวันตก แต่คำนึงถึงความถูกต้องเหมาะสม เช่น นำดนตรีฝรั่งมาใช้ในเรื่องที่เกี่ยวกับ<br />
การรับวัฒนธรรมตะวันตก แต่ในพระราชพิธี รัฐพิธี หรือในพิธีกรรมใช้เพลงไทย...” <br />
<br />
ดร. สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ<br />
อดีตอธิบดีกรมศิลปากรและผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรีไทย<br />
สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งคือการผสานการเรียนรู้ในมิติทางวัฒนธรรมเข้ากับความต้องการของคน<br />
ในปัจจุบันอย่างเหมาะสมและสอดคล้องกับยุคสมัย ดังที่อดีตอธิบดีกรมศิลปากร อาจารย์เกรียงไกร<br />
สัมปัชชลิต ได้กล่าวไว้ว่า “...พิพิธภัณฑ์หรือการจัดแสดงนิทรรศการไม่สามารถอยู่ได้อย่างโดดเดี่ยว<br />
ต้องมีองค์ประกอบในด้านอื่นๆ ที่สอดคล้องกับความต้องการของผู้คนและยุคสมัย...”<br />
นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต<br />
อดีตอธิบดีกรมศิลปากรและผู้เชี่ยวชาญด้านการจัดการพิพิธภัณฑ์<br />
ความละเอียดถี่ถ้วนในขั้นตอนต่างๆ ที่ได้กลั่นกรองจากคณะกรรมการผู้ทรงคุณวุฒิทุกท่านได้ทำให้<br />
นิทรรศน์รัตนโกสินทร์พร้อมที่จะทำหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวอันเป็นความภาคภูมิใจของคนไทย ดังที่ <br />
อดีตเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ได้กล่าวไว้ว่า “...นิทรรศน์<br />
รัตนโกสินทร์ได้แสดงให้เห็นตัวตนของบรรพบุรุษ ผ่านนิทรรศการเคลื่อนไหว สร้างความอิ่มเอมเปรมใจ<br />
แก่คนทุกเพศทุกวัย เก็บเกี่ยวเติมเต็มให้แก่ตนเอง และสะท้อนให้เห็นตัวตนของเราในปัจจุบัน...”<br />
นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร<br />
อดีตเลขาธิการคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ<br />
ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้นิทรรศน์รัตนโกสินทร์เป็นศูนย์กลางการเรียนรู้ที่ครบวงจรที่สุดใน<br />
เกาะรัตนโกสินทร์ดังที่ ดร. ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล ผู้อำนวยการอุทยานการเรียนรู้ได้กล่าวว่า “...นิทรรศน์<br />
รัตนโกสินทร์ มีร้านค้า มีร้านกาแฟ มีร้านขายของที่ระลึก มีรูปแบบเหมือนพิพิธภัณฑ์ในต่างประเทศ<br />
และที่เพิ่มเติมมาคือ ห้องสมุด ซึ่งเป็นประโยชน์มากสำหรับผู้ที่จะมาใช้บริการค้นคว้าข้อมูลเพิ่มเติม...”<br />
ดร. ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล<br />
ผู้อำนวยการอุทยานการเรียนรู้ (TK Park)<br />
354
นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ได้รับความอนุเคราะห์จากผู้ทรงคุณวุฒิ ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ<br />
ในระดับประเทศ ในสาขาวิชาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติศาสตร์ โบราณคดี อักษรศาสตร์ สถาปัตยกรรม<br />
นิเทศศาสตร์ ผู้ทรงคุณวุฒิเหล่านี้ได้ให้ข้อเสนอแนะอันมีประโยชน์เป็นอย่างมาก และได้ทำให้นิทรรศน์<br />
รัตนโกสินทร์ เป็น “นิทรรศการที่มีชีวิต” สมดังเจตนารมณ์<br />
<br />
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ม.ร.ว.แน่งน้อย ศักดิ์ศรี<br />
อาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิประจำคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
ไม่เพียงเท่านั้นทุกภาคส่วนจะต้องตระหนักถึงความรับผิดชอบต่อสังคมอันจะเกื้อหนุนให้เกิด<br />
ความยั่งยืนได้ สมดังที่ ดร. สิริกร มณีรินทร์ อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการและอดีต<br />
รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข กล่าวว่า “...เป็นความรับผิดชอบของพวกเราทุกคน ที่ต้องร่วมมือกัน<br />
คืนสิ่งดีๆ ให้แก่สังคม...นิทรรศน์รัตนโกสินทร์เป็นของขวัญที่ล้ำค่าที่เราตั้งใจมอบให้แก่คนไทยทุกคน...”<br />
<br />
ดร. สิริกร มณีรินทร์<br />
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษาธิการ<br />
อดีตรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข<br />
ประธานกรรมการอุทยานการเรียนรู้ (TK Park)<br />
<br />
ไม่เพียงเท่านั้น กิจกรรมและสื่อประเภทต่างๆ ก็มีส่วนสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน ดังที่ <br />
รศ.ดร. ปาริชาต สถาปิตานนท์ ได้กล่าวไว้ว่า “...จำเป็นมากเลยที่จะต้องทำต่อเนื่องก็คือเรื่องของ<br />
กิจกรรมที่ช่วยให้เด็กรุ่นใหม่ได้สัมผัสถึงวัฒนธรรมอันดีงามของไทย...ด้วยกิจกรรมพิเศษ<br />
หรือสื่อง่ายๆ เช่น การระบายสี หรือสื่อมัลติมีเดีย ที่จะช่วยให้เขาคิดต่อ ฝันต่อ อยากเที่ยวต่อ <br />
อยากเรียนรู้ต่อ...”<br />
รศ.ดร. ปาริชาต สถาปิตานนท์<br />
รองคณบดีบัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
การเปิดมิติทางการศึกษาและการเรียนรู้อย่างเป็นองค์รวม รศ.ดร. กรรณิการ์ สัจกุล อาจารย์<br />
คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้คร่ำหวอดในแวดวงการศึกษาไทยมาเป็นเวลานานได้กล่าวว่า<br />
“...นิทรรศน์รัตนโกสินทร์แสดงให้เห็นทั้งกระบวนการเรียนรู้ เพื่อที่ครูบาอาจารย์และเด็กจะได้เรียนรู้<br />
และเข้าใจประวัติศาสตร์วัฒนธรรมได้ตามเหตุปัจจัยที่สัมพันธ์กัน...”<br />
รศ.ดร. กรรณิการ์ สัจกุล<br />
อาจารย์คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
ในส่วนของการจัดแสดง นิทรรศน์รัตนโกสินทร์ใช้วิธีการนำเสนอด้วยเทคโนโลยีอันทันสมัย <br />
ทำให้เยาวชนและบุคคลทั่วไปศึกษาเรื่องราวต่างๆ ได้อย่างสนุกสนาน อาจารย์วัฒนะ บุญจับ ได้กล่าวถึง<br />
ประเด็นนี้ไว้ว่า “...เทคโนโลยีต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบันช่วยให้นิทรรศการเหล่านี้มีชีวิตขึ้นมาได้ <br />
ช่วยกระตุ้นให้ผู้ชมรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับนิทรรศการ อันนี้เป็นอันหนึ่งที่จะช่วยให้นิทรรศการ<br />
มีชีวิตขึ้นมา เป็นเรื่องค่อนข้างสมัยใหม่ที่เรามาใส่ไว้...”<br />
นายวัฒนะ บุญจับ<br />
นักอักษรศาสตร์ชำนาญการพิเศษ กรมศิลปากร<br />
355
บรรณานุกรม<br />
กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ<br />
เจ้าฟ้า. เจ้านายเล็กๆ - ยุวกษัตริย์. พิมพ์ครั้งที่ ๘. กรุงเทพฯ<br />
: <br />
บรรณกิจ, ๒๕๕๐.<br />
กัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์, สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ<br />
เจ้าฟ้า. แม่เล่าให้ฟัง. พิมพ์ครั้งที่ ๑๓. กรุงเทพฯ : บรรณกิจ, <br />
๒๕๕๐.<br />
การปกครอง, กรม. กระทรวงมหาดไทย. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
พระผู้อยู่ในหัวใจนักปกครอง. กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์อาสา<br />
รักษาดินแดน, ๒๕๔๒.<br />
คณะกรรมการพัฒนาระบบราชการ, สำนักงาน. ๙ แผ่นดินของการปฏิรูป<br />
ระบบราชการ. กรุงเทพฯ : บริษัทวิชั่นพริ้นแอนด์มีเดีย <br />
จำกัด, ๒๕๔๙.<br />
คณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ, <br />
สำนักงาน. อันเนื่องมาจากพระราชดำริ. พิมพ์ครั้งที่ ๒. <br />
กรุงเทพฯ : อรุณการพิมพ์, ๒๕๔๙.<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. ใต้ร่มพระบารมีพระบรมธรรมิกราชา. กรุงเทพฯ <br />
: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, ๒๕๕๐.<br />
ทิพย์สุเนตร อนัมบุตร. วรรณกรรมพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. <br />
พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๔. <br />
เทพชู ทับทอง. กรุงเทพฯ ในอดีต. พิมพ์ครั้งที่ ๓. กรุงเทพฯ : บรรณกิจ, <br />
๒๕๒๕.<br />
นิยะดา เหล่าสุนทร. การฟื้นฟูอักษรศาสตร์ในรัชกาลพระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ <br />
: แม่คำผาง, ๒๕๓๙.<br />
นิสิตเก่าจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในพระบรมราชูปถัมภ์, สมาคม. ๑๐๐ ปี <br />
พระราชสมัญญานาม พระปิยมหาราชกับการศึกษาไทย. <br />
กรุงเทพฯ : บริษัท ที.เค.เอส. เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน), <br />
๒๕๕๑.<br />
บุษยา สนิทวงศ์ ณ อยุธยา, คุณหญิง [บรรณาธิการ]. พระมหากษัตริย์<br />
ในพระบรมราชจักรีวงศ์ เล่ม ๑-๙. กรุงเทพฯ : บริษัท <br />
อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ม.ป.ท.<br />
ผังเมือง, สำนัก. กรุงเทพมหานคร. สองศตวรรษวัดสุทัศนเทพวราราม. <br />
กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด <br />
(มหาชน), ๒๕๔๙.<br />
พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, สำนักงาน. พระมหากษัตริย์<br />
กับวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีไทย. กรุงเทพฯ : สำนักงาน<br />
พัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ, ๒๕๓๙.<br />
ภัทรวดี ภูชฎาภิรมย์. วัฒนธรรมบันเทิงในชาติไทย. กรุงเทพฯ : มติชน, <br />
๒๕๕๐. <br />
ภูมิพลอดุลยเดช, พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา. ภาพถ่ายฝีพระหัตถ์<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว. กรุงเทพฯ : บริษัทเงินทุน<br />
หลักทรัพย์ทิสโก้, ๒๕๓๒.<br />
ยุพร แสงทักษิณ. วรรณคดีการเมืองเรื่องสามกรุง. กรุงเทพฯ : มติชน, <br />
๒๕๓๘.<br />
ราชเลขาธิการ, สำนัก. มรดกสถาปัตยกรรมกรุงรัตนโกสินทร์ฯ. กรุงเทพฯ <br />
: โรงพิมพ์กรุงเทพ, ๒๕๓๗.<br />
. สถาปัตยกรรมพระบรมมหาราชวัง เล่ม ๑ และ ๒. <br />
กรุงเทพฯ : โรงพิมพ์กรุงเทพ, ๒๕๓๑.<br />
ราชเวที, พระ และคณะ [เรียบเรียง]. วิหารพระนอนวัดโพธิ์. กรุงเทพฯ <br />
: วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม, ๒๕๔๙.<br />
วิชาการ, กรม. กระทรวงศึกษาธิการ. แนวพระราชดำริเก้ารัชกาล. กรุงเทพฯ <br />
: โรงพิมพ์คุรุสภาลาดพร้าว, ๒๕๒๗.<br />
วิไลเลขา บุรณศิริ และคณะ. ประวัติศาสตร์ไทย ๒. พิมพ์ครั้งที่ ๑๔. กรุงเทพฯ <br />
: มหาวิทยาลัยรามคำแหง, ๒๕๓๙.<br />
ศิลปากร, กรม. เครื่องแต่งกายละคร และการพัฒนา : การแต่งกายยืนเครื่อง<br />
ละครในของกรมศิลปากร. กรุงเทพฯ : รุ่งศิลป์การพิมพ์, ๒๕๔๗.<br />
. สถาปัตยกรรมไทย. กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง <br />
แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๓๘.<br />
. อนุสาวรีย์ในประเทศไทย เล่ม ๑. กรุงเทพฯ : บริษัท อมรินทร์<br />
พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน), ๒๕๓๙.<br />
สลากกินแบ่งรัฐบาล, สำนักงาน. จิตรกรรมฝาผนังเรื่องรามเกียรติ์. พิมพ์ครั้งที่ <br />
๓. กรุงเทพฯ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, ๒๕๓๘.<br />
สารานุกรมไทยสำหรับเยาวชน โดยพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัว, โครงการ. สารานุกรมไทย ฉบับกาญจนาภิเษก. <br />
พิมพ์ครั้งที่ ๔. กรุงเทพฯ : ด่านสุทธาการพิมพ์, ๒๕๔๗.<br />
อนุมานราชธน, พระยา. ชีวิตชาวไทยสมัยก่อน. พิมพ์ครั้งที่ ๒. กรุงเทพฯ : <br />
ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๓๑.<br />
อมรดรุณารักษ์ (แจ่ม สุนทรเวช), จมื่น [เรียบเรียง]. ดุสิตธานี เมืองประชาธิปไตย<br />
ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว. พระนคร : โรงพิมพ์<br />
ไทยวัฒนาพานิช, ๒๕๑๓.<br />
อำนวยการจัดงานฉลอง ๑๐๐ ปี พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว, <br />
คณะกรรมการ. การเสด็จประพาสยุโรปของพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ร.ศ. ๑๑๖ เล่ม ๑. พิมพ์ครั้งที่ ๒. <br />
กรุงเทพฯ : บริษัท ศรีเมืองการพิมพ์ จำกัด, ๒๕๔๒.<br />
เอนก นาวิกมูล [รวบรวม]. สิ่งพิมพ์สยาม. กรุงเทพฯ : ริเวอร์ บุ๊คส์, ๒๕๔๒.<br />
Beek, Steve Van. Bangkok Then and Now. Bangkok: AB Publications, <br />
2008.<br />
Chandavij, Natthapatra and Promporn Pramualratana. Thai Puppets & <br />
Khon Masks. Bangkok: River Book Ltd., 1998.<br />
Mcquail, Lisa. Treasures of Two Nations. Washington: Asian Cultural <br />
History Program Smithsonian Institution, 1997.<br />
Warren, William and Manit Sriwanichpoom. Treasured Homes of <br />
Thailand. Bangkok: Amarin Printing and Publishing (PCL) <br />
Co., Ltd., 2003. <br />
Wright, Arnold and Oliver T. Breakspear. Twentieth Century <br />
Impression of Siam: Its History, People, Commerce, <br />
Industries, and Resources. Bangkok: White Lotus Co., Ltd., <br />
2003.<br />
<br />
356
ถ.ตะนาว<br />
ไปสนามหลวง<br />
พระบรมมหาราชวัง<br />
วัดสุทัศนเทพวราราม<br />
<br />
ถ.บำรุงเมือง<br />
เสาชิงช้า<br />
ถ.มหรรณพ<br />
ถ.ราชดำเนินกลาง<br />
อนุสาวรีย์<br />
ประชาธิปไตย<br />
วัดบวรนิเวศวิหาร<br />
ถ.ดินสอ<br />
ถ.มหาไชย<br />
ถ.สำราญราษฎร์<br />
วัดเทพธิดาราม<br />
โลหะปราสาท<br />
วัดสระเกศ<br />
ป้อมมหากาฬ<br />
ถ.ราชดำเนินกลาง<br />
ถ.พระสุเมรุ<br />
ถ.ราชดำเนินนอก<br />
ลานพลับพลา<br />
มหาเจษฎาบดินทร์<br />
พิพิธภัณฑ์หอศิลป์<br />
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์<br />
พระบรมราชินีนาถ<br />
พิพิธภัณฑ์พระบาท<br />
สมเด็จพระปกเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว<br />
ภูเขาทอง<br />
วันและเวลาทำการ เปิดให้บริการทุกวัน ยกเว้นวันจันทร์<br />
อังคาร - ศุกร์ เวลา ๑๑.๐๐ - ๒๐.๐๐ น.<br />
เสาร์ - อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เวลา ๑๐.๐๐ - ๒๐.๐๐ น.<br />
เปิดให้เข้าชมเป็นรอบ ทุกๆ ๒๐ นาที<br />
*รอบเข้าชมสุดท้าย เวลา ๑๘.๐๐ น.<br />
อัตราค่าเข้าชม ผู้ใหญ่ ราคา ๑๐๐ บาท (ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ)<br />
เข้าชมฟรี สำหรับ<br />
v เด็ก (สูงไม่เกิน ๑๒๐ เซนติเมตร)<br />
v นักเรียน นักศึกษา (ไม่เกินระดับปริญญาตรี) ในเครื่องแบบหรือแสดงบัตร<br />
v พระภิกษุ สามเณร และนักบวช<br />
v ผู้สูงอายุ (๖๐ ปีขึ้นไป)<br />
v ผู้พิการ<br />
การเดินทาง รถประจำทาง : สาย ๒, ๓, ๙, ๑๕, ๓๑, ๓๓, ๔๒, ๔๗, ๕๙, ๖๐, ๖๔, ๖๘, ๗๐, ๗๙<br />
๘๒, ๘๖, ๑๕๗, ๒๐๑, ๕๐๓, ๕๐๙<br />
ข้อแนะนำในการเดินทาง * ควรใช้บริการรถสาธารณะจะสะดวกที่สุด<br />
* รถยนต์ส่วนตัว ให้ใช้บริการที่จอดรถของอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
หรือใช้บริการที่จอดรถเอกชน และบริเวณวัดราชนัดดาราม (อัตราค่าบริการตามที่สถานที่นั้นกำหนด)<br />
*ท่านสามารถชมนิทรรศการแต่ละห้องได้ตามอัธยาศัย โดยไม่จำกัดเวลาภายในวันที่ระบุในบัตรเข้าชม<br />
ยกเว้น ห้องรัตนโกสินทร์เรืองโรจน์ ห้องเรืองรุ่งวิถีไทย และห้องดวงใจปวงประชา<br />
ซึ่งทางอาคารจำเป็นต้องขอสงวนสิทธิ์ในการเข้าชมเฉพาะรอบเวลาที่ระบุไว้ในบัตรเข้าชมเท่านั้น <br />
<br />
ถ.หลานหลวง<br />
ถ.นครสวรรค์<br />
357
358<br />
<br />
คณะกรรมการ<br />
คณะกรรมการวิชาการ เพื่อการจัดตั้งอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
คณะที่ปรึกษา<br />
ดร. สิริชัยชาญ ฟักจำรูญ ที่ปรึกษาคณะกรรมการ<br />
นายเกรียงไกร สัมปัชชลิต ที่ปรึกษาคณะกรรมการ<br />
นางฉวีรัตน์ เกษตรสุนทร ที่ปรึกษาคณะกรรมการ<br />
ดร. ทัศนัย วงศ์พิเศษกุล ที่ปรึกษาคณะกรรมการ<br />
ศาสตราจารย์กิตติคุณ ม.ร.ว.แน่งน้อย ศักดิ์ศรี ที่ปรึกษาคณะกรรมการ<br />
คณะกรรมการ<br />
พลอากาศตรี อาวุธ เงินชูกลิ่น ประธานกรรมการ<br />
ดร. สิริกร มณีรินทร์<br />
กรรมการ<br />
ดร. ปาริชาติ สถาปิตานนท์<br />
กรรมการ<br />
ดร. กรรณิการ์ สัจกุล<br />
กรรมการ<br />
นายวัฒนะ บุญจับ<br />
กรรมการ<br />
นางวีนา โปรานานนท์<br />
กรรมการและเลขานุการ<br />
นายธนา คชาไพร กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ<br />
นางสาววรรณรัตน์ ชัยสงคราม กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ<br />
<br />
ผู้ออกแบบแนวความคิด บูรณะ และปรับปรุงอาคาร <br />
รวมทั้งจัดทำนิทรรศการ “อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์”<br />
บริษัท ไร้ท์แมน จำกัด<br />
คณะทำงานเพื่อให้ความเห็นและกำหนดแนวทางการบริหารจัดการ<br />
อาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
นายสมบูรณ์ ชัยเดชสุริยะ<br />
ประธานคณะทำงาน<br />
นางสาวสุภาภรณ์ ตรีแสน<br />
คณะทำงาน<br />
นางพัชรินทร์ วิจิตตนันท์<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาวผ่องศรี สันติพันธุ์ คณะทำงาน<br />
นางวีนา โปรานานนท์<br />
คณะทำงาน<br />
นางกุลวดี สถิติรัต<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาวชนกณัฐ สิมพะลิก<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาวขนิษฐา ดนวาที<br />
คณะทำงาน<br />
นางจุฑามาศ ภิยโยทัย<br />
คณะทำงาน<br />
นางสุนีย์ สะเทือนวงษา<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาวหทัยรัตน์ ยุภาศ<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาวจิตรลดา พันธุ์เสือ คณะทำงาน<br />
นายธนา คชาไพร<br />
คณะทำงานและเลขานุการ<br />
นางศิริภร สัตยธรา คณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ
คณะทำงานชุดย่อย เพื่อให้ความคิดเห็น เสนอแนะแนวทางและกำกับดูแลการดำเนินงาน<br />
ของผู้รับผิดชอบบริหารจัดการอาคารนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ <br />
ด้านการประชาสัมพันธ์<br />
นางสาวสุภาภรณ์ ตรีแสน<br />
ประธานคณะทำงาน<br />
นางวีนา โปรานานนท์<br />
คณะทำงาน<br />
นางกุลวดี สถิติรัต<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาวหทัยรัตน์ ยุภาส<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาวชนกณัฐ สิมพะลิก<br />
คณะทำงาน<br />
นายธนา คชาไพร<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาวจิตรลดา พันธุ์เสือ คณะทำงาน<br />
นายกำธร รัตนคำ<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาววราภรณ์ ทับน้อย<br />
คณะทำงานและเลขานุการ<br />
นายสิทธิพงศ์ จตุพรยิ่งยง คณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ<br />
ด้านบัญชีการเงิน<br />
นางสาวผ่องศรี สันติพันธุ์ ประธานคณะทำงาน<br />
นางสาวขนิษฐา ดนวาที<br />
คณะทำงาน<br />
นางสุนีย์ สะเทือนวงษา<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาวชวิศา สุขวิลัย<br />
คณะทำงาน<br />
นางจันทร คุ้มขนาบ คณะทำงานและเลขานุการ<br />
นางณีรนุช พิภัทรอักษร คณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ<br />
ด้านการคัดกรองข้อมูลและความคิดเห็น<br />
นางกุลวดี สถิติรัต<br />
ประธานคณะทำงาน<br />
นางจุฑามาศ ภิยโยทัย<br />
คณะทำงาน<br />
นายธนา คชาไพร<br />
คณะทำงาน<br />
นางสาวปภัสสร ชื่นอารมณ์ คณะทำงานและเลขานุการ<br />
นางสาวสุรีนาฐ ด่านพิธพร คณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ<br />
ด้านการบริหารจัดการทั่วไป<br />
นางวีนา โปรานานนท์<br />
ประธานคณะทำงาน<br />
นายปรเมศร์ ไกรฤกษ์<br />
คณะทำงาน<br />
นายปัทมนิธิ เสนาณรงค์<br />
คณะทำงาน<br />
นายธนา คชาไพร<br />
คณะทำงาน<br />
นางศิริภร สัตยธรา<br />
คณะทำงาน<br />
นายสิทธิพงศ์ จตุพรยิ่งยง คณะทำงาน<br />
นางสาวสุดามาศ ชื่นฤดี คณะทำงานและเลขานุการ<br />
นางสาววรรณนิภา วรวงศ์เธอ คณะทำงานและผู้ช่วยเลขานุการ<br />
<br />
359
อำนวยการผลิต<br />
ISBN<br />
ปีที่พิมพ์<br />
จำนวนพิมพ์<br />
บทอาศิรวาท<br />
กองบรรณาธิการ<br />
ศิลปกรรม<br />
เอื้อเฟื้อข้อมูลและภาพประกอบ<br />
พิมพ์ที่<br />
ดำเนินการผลิต<br />
สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์<br />
978-974-8259-51-2<br />
พิมพ์ครั้งที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๕<br />
ปกแข็ง ๓,๐๐๐ เล่ม<br />
ปกอ่อน ๗,๐๐๐ เล่ม<br />
เนาวรัตน์ พงษ์ไพบูลย์<br />
เลิศลักษณา ยอดอาวุธ<br />
เทอดศักดิ์ ร่มจำปา<br />
สุวิชญ์ หาญดำรงค์รักษ์<br />
เอนก มากอนันต์<br />
แก้วขวัญ นวลไม้หอม<br />
อัญเรศ รอดศาสตรา<br />
โสรยา บุนนาค<br />
นันทวรรณ อิทธิโชติ<br />
นันทิยา พูลกระจ่าง<br />
นวัต ดุสิตชยางกูร<br />
จักร์กริต จาตุรนต์รัศมี<br />
บริษัท ไร้ท์แมน จำกัด<br />
RIGHT MAN CO.,LTD.<br />
บริษัท อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง จำกัด (มหาชน)<br />
บริษัท ดาวฤกษ์ คอมมูนิเคชั่นส์ จำกัด (หนึ่งในกลุ่มบริษัททีม)<br />
๑๕๑ ถนนนวลจันทร์ แขวงนวลจันทร์<br />
เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ ๑๐๒๓๐<br />
โทรศัพท์ ๐๒ ๕๐๙ ๙๐๙๑-๒<br />
โทรสาร ๐๒ ๙๔๔ ๖๒๖๐<br />
360
จะกล่าวตำนานแห่งกรุงกวี<br />
เจ้าพระยาธารานทีเลาะรอบขอบโค้งคูคลองสองฝั่ง<br />
ก่อเกิดเป็นเมืองรุ่งเรืองอลัง<br />
มีถนนกำแพงรั้ววังยอดปราสาทสูงอำไพ<br />
ปวงประชาร่มเย็นล้วนเป็นสุขสืบกันมายาวนาน<br />
ใต้บรมโพธิสมภารพระองค์มิ่งขวัญแห่งปวงไทย<br />
ทวยเทวาคุ้มครองซ้องแซ่ประสาทอำนวยพรชัย<br />
ประกาศกรุงไกรยิ่งยศวิไลเลิศฟ้า<br />
ดั่งสวรรค์วิมานแมนแสนพิลาสงามตา<br />
เป็นดังคำสวยงามสง่าดุจมณีล้ำค่าของโลกนี้<br />
เอกลักษณ์ที่เป็นไทยมั่นในประเพณี<br />
สืบทอดกันมาชั่วนาตาปี<br />
ผ่านวิถีหนทางงามอย่างไทย<br />
รัตนโกสินทร์มณีบดินทร์สมัย<br />
ส่องแสงประกายสดใสยั่งยืนคู่กาลเวลา
ตราสัญลักษณ์<br />
นิทรรศน์รัตนโกสินทร์<br />
ผสานรูปทรงที่แสดงออกถึงความเป็นรัตนโกสินทร์<br />
เข้ากับ นพรัตน์ แก้วสิริมงคลทั้ง ๙ ชนิด<br />
เพื่อสื่อถึงวัตถุประสงค์ของนิทรรศน์รัตนโกสินทร์ <br />
ที่ต้องการสะท้อนศิลปะ ประเพณี และวัฒนธรรมอันมีคุณค่า<br />
และการผสมผสานกันของยุคสมัย<br />
ที่หมุนเวียนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา<br />
<br />
นพรัตน์<br />
แก้วสิริมงคล ๙ ชนิด ตามคติความเชื่อมาแต่โบราณ <br />
ผ่านกาลสมัยครั้งสถาปนากรุงเทพมหานคร<br />
เมืองอมรรัตนโกสินทร์จวบจนปัจจุบัน<br />
โคลงนพรัตน์<br />
เพชรดี<br />
มณีแดง ทับทิม<br />
เขียวใสแสง มรกต<br />
เหลืองใสสด บุษราคัม<br />
แดงแก่ก่ำ โกเมนเอก<br />
สีหมอกเมฆนิลกาฬ ไพลิน<br />
มุกดาหาร หมอกมัว<br />
แดงสลัว เพทาย<br />
สังวาลย์สาย ไพฑูรย์