07.03.2017 Views

Pocket e-Book

Create successful ePaper yourself

Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.

เรียบเรียง โดย บริษัท คูคำ จำกัด


“อาหารดีไม่กินก็เน่า<br />

เรื่องเก่าไม่เล่าก็ลืม ”<br />

เมื่ออายุขัยล่วงเลยสามในสี่ของศตวรรษไปแล้ว<br />

ผู้คนหลากหลายที่ได้พบปะมักจะถามไถ่ว่า ในห้วงเวลาที่ผ่าน<br />

พ้นไปอันยาวนานนี้ ได้พานพบประสบการณ์ใดที่ควรแก่<br />

การได้เล่าขานถ่ายทอดให้ลูกหลาน เพื่อนฝูงได้รับฟังบ้าง<br />

พอเป็นการบำารุง บำาเรออารมณ์...<br />

ผมไม่เคยคิดจะเขียนเรื่องราวอันเป็นอัตชีวประวัติ<br />

ของตัวเอง เพราะเห็นว่าไม่น่าเป็นประโยชน์และเป็นที่น่าสนใจ<br />

ใคร่ฟังของคนมากนัก เพราะผมไม่ได้เป็นคนสำาคัญ ไม่มีชื่อเสียง<br />

เป็นที่รู้จักของคนทั่วไป อีกทั้ง ที่ได้สังเกต เวลาบุคคลสำาคัญ<br />

มีชื ่อเสียงเขียนเล่าอัตชีวประวัติของแต่ละคนก็ล้วนแต่ยกย่อง<br />

สรรเสริญแต่ในคุณงามความดีที่ได้ประกอบมาตลอดชีวิต<br />

อีกทั้ง พรรณนาถึงสติ ปัญญา ความฉลาดปราชญ์เปรื่องต่างๆ<br />

นานา ซึ่งผมไม่ค่อยจะมีคุณสมบัติเหล่านี้ พอที่จะบอกให้ฟัง<br />

ก็คงเป็นเรื่องราวเหตุการณ์ ประสบการณ์ต่างๆ ที่ได้ประสบ<br />

พบมาในช่วงชีวิตที่ผ่านไป มีความสำาเร็จเป็นที่พอใจบ้าง<br />

ไม่ประสบความสำาเร็จบ้าง เพราะมีความบกพร่อง ประมาท<br />

ผิดพลาดบางประการ ความไม่ดี ไม่งาม ความประพฤติใน<br />

การครองตนที่ไม่ควรเอาเป็นเยี่ยงอย่างบ้าง<br />

ในความเป็นตัวตนของคนเราก็คงมีส่วนดี ส่วนไม่ดี<br />

ปะปนกันไป ถ้ามีส่วนไม่ดีไปเสียหมดก็คงยากที่จะดำารงชีวิต<br />

อยู่ได้ ชีวิตคงจะมีความล้มเหลว อับเฉา ลำาบาก ยากเข็ญ<br />

ทุกข์ร้อนใจ การมีส่วนที่ดีก็ช่วยทำาให้ชีวิตเป็นไปในทางดีมี<br />

ความสำาเร็จเจริญรุ่งเรือง มีหน้า มีตา มีชื่อเสียงเป็นที่นิยม<br />

ชมชอบในสังคม...<br />

เวลาที่ผมเขียนเล่าเรื่องราวนี้ ยังอยู่ดีมีแฮง...<br />

พอที่จะได้เขียนบันทึกถ่ายทอดเรื่องราวเหตุการณ์แต่หนหลัง<br />

ให้ได้เห็นได้อ่านกัน<br />

------------------------------


เขามีส่วน เลวบ้าง ช่างหัวเขา<br />

จงเลือกเอา ส่วนดี เขามีอยู่<br />

เป็นประโยชน์ โลกบ้าง ยังน่าดู<br />

ส่วนที่ชั่ว อย่าไปรู้ ของเขาเลย<br />

จะหาคน มีดี อยู่ส่วนเดียว<br />

อย่ามัวเที่ยว ค้นหา สหายเอ๋ย<br />

เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่า<br />

ตายเปล่าเอย ฝึกให้เคย<br />

มองแต่ดี มีคุณจริงฯ<br />

พุทธทาสภิกขุ


น้ำของ<br />

ตอนเป็นเด็กเล็ก ผมกับเพื่อนรุ่นราวคราวเดียวกันชอบวิ่ง<br />

เล่นริมตลิ่งชายน้ำาของ (แม่น้ำาโขง) กิ่งอำาเภอเชียงแสน จังหวัด<br />

เชียงราย<br />

ในความรู้สึกนึกคิดเวลานั้น ผมเห็นว่าน้ำาของนี้ช่างยิ่งใหญ่<br />

เหลือเกิน มีน้ำาไหลจากเหนือลงใต้ตลอดทั้งปี หน้าแล้งระดับน้ำาจะ<br />

ลดต่ำาน้ำาใสสะอาด พอหน้าน้ำาหลากระดับน้ำาจะสูงขึ้น น้ำามีสีขุ่นข้น<br />

เหลืองอมแดง เพราะพลัดพาเอาตะกอนดินจากตอนเหนือน้ำาลงมาด้วย<br />

ต้นน้ำาของ มาจากเทือกเขาหิมาลัยแถบทิเบต ประเทศจีน<br />

พื้นที่แถบนี้เป็นที่ราบสูงเป็นแหล่งต้นน้ำาสำาคัญหลายสาย เช่น แม่น้ำา<br />

แยงซีเกียง ที่แยกสายน้ำาไปทางซ้าย พุ่งขึ้นเหนือสู่ทะเลจีนแถวเซี่ยงไฮ้<br />

แม่น้ำาสาละวินอยู่ซ้ายสุดไหลสู่พม่า ลงมหาสมุทรอินเดีย น้ำาสาย<br />

ตรงกลางคือน้ำาของ (แม่น้ำาโขง) ไหลสู่มณฑลยูนานของจีน ผ่านพม่า<br />

ลาว ไทย เขมร เวียดนามลงสู่ทะเลแถวภาคใต้ของเขมรและเวียดนาม<br />

น้ำาของ (แม่น้ำาโขง) นี้ ตอนอยู่ในจีนเรียกว่า แม่น้ำาหลานซาง<br />

(ล้านช้าง) พอเข้าสู่พม่า ลาว ไทย กลายเป็นแม่น้ำาโขง<br />

แม่น้ำานี้ได้ชื่อว่าเป็นหนึ่งในสิบของแม่น้ำายาวในโลก มีความ<br />

สำาคัญมาก เพราะไหลผ่านหลายประเทศ หล่อเลี้ยงชีวิตผู้คน<br />

จำานวนหลายร้อยล้าน ไม่ควรที่ประเทศใดจะยึดถือเอาว่าเป็นของตน<br />

เพราะไหลผ่านประเทศตน<br />

------------------------------<br />

7 8


“ตะลิ่งของสองข้างทางน้ำของ<br />

แม้ยืนมองดูยังคอตั้งบ่า<br />

เขาหาบน้ำตามขั้นบันไดมา<br />

แต่ตีนท่าลื่นลู่ดังถูเทียน<br />

เหงื่อที่กายไหลโทรมลงโลมร่าง<br />

แต่ละย่างตีนยันสั่นถึงเศียร<br />

อันความทุกข์มากมายหลายเล่มเกวียน<br />

ก็วนเวียนอยู่กับของสองฝั่งเอยฯ”<br />

นายผี<br />

อัศนี พลจันทร์<br />

9 10


เชียงแสน<br />

เชียงแสนอยู่เหนือสุดตอนบนของประเทศไทย<br />

มีแม่น้ำาโขงไหลผ่าน ตัวเมืองตั้งอยู่ริมฝั่งขวาของแม่น้ำา<br />

ฝั ่งตรงข้ามเป็นประเทศลาว เดิมทีเป็นกิ ่งอำาเภอต่อมาภายหลัง<br />

ได้ยกฐานะขึ้นเป็นอำาเภอเชียงแสน จังหวัดเชียงราย<br />

เชียงแสนอยู่ไกลจากรุงเทพฯ ร่วมพันกิโล ถนน<br />

พหลโยธินซึ่งเริ่มที่กรุงเทพฯ สู่ภาคเหนือ มีหลักกิโลศูนย์<br />

อยู่แถวอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ สนามเป้า และหลักกิโลเก้าร้อย<br />

กว่าๆ อยู่หน้าบ้านพอดี<br />

การเดินทางไปเชียงแสนนั้น นับว่าลำาบากยากเย็น<br />

พอดู จากกรุงเทพฯ ไปเชียงแสนต้องใช้เวลาสามถึงสี่วันกว่า<br />

จะไปถึง นับได้ว่าเป็นเมืองอยู่ไกลปืนเที่ยง ห่างจากความเจริญ<br />

ศรีวิไลทั้งมวล ผู้คนชาวบ้านชาวช่องมีวิถีชีวิตสงบ เรียบง่าย<br />

ไม่เร่งรีบ ชีวิตความเป็นอยู่ก็พอมี พอกิน ไม่อัตคัดขัดสน<br />

เป็นไปตามธรรมชาติ น้ำาท่าอุดมสมบูรณ์ด้วยมีแม่น้ำาโขง<br />

สำาหรับการใช้สอยทั่วไป และการเพราะปลูกผักผลไม้ ส่วน<br />

น้ำาดื่มส่วนมากจะไปตักจากบ่อน้ำาสาธารณะที่วัด<br />

ไม่มีไฟฟ้าให้พลังงานและแสงสว่าง ตกยามค่ำาคืน<br />

เมืองทั้งเมืองอยู่ในความมืด เงียบสงัด มีแสงสว่างวอมแวมจาก<br />

บางครัวเรือนจากการจุดคบ เทียนไข หรือตะเกียงกระป๋อง<br />

สังกะสีมีไส้ เพื่อจุดไฟใช้น้ำามันก๊าดเป็นเชื้อเพลิง<br />

บ้านผมก้าวหน้าหน่อย มีตะเกียงเจ้าพายุ ยี่ห้อ โคลแมน<br />

(Coleman) จุดให้แสงสว่างไปเกือบทั่วทั้งตลาด จึงเป็นที่<br />

ชุมนุม พบปะสรวญเสเฮฮาตามประสาของผู้คนแถวนั้น ยามว่าง<br />

เว้นจากการงานยามค่ำาคืน<br />

12


่<br />

นอกจากตะเกียงเจ้าพายุ เรายังมีวิทยุรับฟังรายการ<br />

ต่างๆ จากกรมโฆษณาการ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นรายงานข่าว<br />

เพลงปลุกใจ และคำาขวัญจากรัฐบาลที่มีจอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />

เป็นหัวเรือใหญ่ วิทยุสมัยนั้นเป็นแบบใช้หลอดกลมรีรับคลื่นวิทยุ<br />

ที่ส่งกระจายเสียงมา พลังงานที่ใช้ได้จากถ่ายไฟฉายก้อนใหญ่<br />

บรรจุในกล่องไม้สี่เหลี่ยม บางกล่องต้องการให้พลังงานมาก<br />

ก็ใส่ถ่านเข้าไปถึง 48 ก้อน ส่วนเสียงที่ดังจากวิทยุขึ ้นอยู ่กับ<br />

จำานวนหลอดรับคลื่น มีหลอดมาก เสียงก็ดังมาก อย่างที่เรา<br />

เรียกกันว่าเสียงดัง 8 หลอด นั่นแหละ<br />

บ้านผมนับว่ามีความทันสมัยเวลานั้น นอกจาก<br />

ตะเกียงเจ้าพายุ วิทยุ 8 หลอดแล้ว ที่บ้านยังเป็นบ้านแรกที่<br />

ซื ้อจักรยานแบบผู ้หญิง ยี่ห้อ “Raleigh” และเก้าอี้เหล็ก ยี่ห้อ<br />

“Samsonite” มาใช้ ของเล่นอีกอย่างที่บ้านใช้ให้ความบันเทิง<br />

คือ เครื่องเล่นแผ่นเสียงที่ใช้แผ่นเสียงทำาด้วยแผ่นครั่ง เครื่อง<br />

เล่นแผ่นเสียงเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแบนๆ มีลานและที่ไขลานอยู<br />

ด้านข้าง มีลำาโพงขนาดใหญ่ติดตั้งอยู่ข้างหลัง จำาไม่ได้แล้วว่าเป็น<br />

ตราหมานั่ง หรือตรากระต่าย แต่จำาได้ว่ายี่ห้อ ต.เง๊กชวน<br />

จากบางลำาพู อะไรแบบนั้น เวลาเล่นเพลงไปนานๆ ลานจะ<br />

หย่อน เสียงนักร้องที่ร้องเพลงก็จะยืดยาด ฟังไม่ได้เอาทีเดียว<br />

ต้องขยับไขลานกันจึงจะได้เสียงร้องอันไพเราะกลับคืนมา<br />

สังคมจะสันติ สงบ<br />

เมื่อผู้คนในสังคม สมัคร สมาน<br />

สามัคคี เอื้ออารีย์ต่อกัน<br />

สังคมดีไม่มีขาย<br />

อยากได้ช่วยกันสร้าง<br />

นิรนาม<br />

------------------------------<br />

13<br />

14


หลวงพระบาง<br />

ชีวิตเมื่อตอนเริ่มวัยรุ่นอายุราว 12-13 ปี เรียกได้ว่า<br />

เป็นเด็กไม่เอาถ่าน หนังสือหนังหาไม่เรียน เอาแต่เที่ยวเล่นไปวันๆ<br />

ชีวิตดำาเนินไปอย่างไร้สาระอยู่พักหนึ่ง ก็เกิดความ<br />

เบื่อหน่าย ช่วงเวลานั้นแคว้นอินโดจีน อันประกอบด้วย<br />

เวียดนาม ลาว และเขมร ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นกัมพูชา<br />

เป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส มีกองทัพฝรั่งเศสประจำาการทั่วไป<br />

ในลาวตอนเหนือมีหน่วยทหารฝรั ่งเศสตั ้งอยู ่ที ่เมืองห้วยทราย<br />

แขวงบ่อแก้ว ซึ่งขึ้นอยู่กับฐานใหญ่ที่เมืองหลวงพระบาง<br />

เมืองห้วยทรายอยู่ริมแม่น้ำาโขง ตรงข้ามกับอำาเภอ<br />

เชียงของ จังหวัดเชียงราย ทหารฝรั่งเศสห้วยทรายจะข้าม<br />

มาซื ้อของใช้ และเสบียงอาหารที่เชียงของไปใช้ในกิจกรรม<br />

ของทหาร แล้วส่งต่อไปยังฐานทัพใหญ่ที่หลวงพระบาง<br />

โดยบรรทุกใส่เรือยนต์ล่องไปตามแม่น้ำาโขง วันหนึ่งมีผู้รู้จัก<br />

กับที่บ้านมาจากหลวงพระบาง เขามาทำาธุระที่เชียงแสน<br />

เขาเล่าเรื่องในลาวและการค้าขายกับพวกฝรั่งเศสในลาว<br />

ทำาให้ต้องเดินทางขึ้นล่องแม่น้ำาโขงกับพวกฝรั่งเศสบ่อยๆ<br />

และบอกว่าอีก 2-3 วันจะกลับไปหลวงพระบางกับพวกทหาร<br />

ฝรั่งเศส พอได้ยินแบบนั้น ผมก็คิดทั้งวันทั้งคืนว่าจะตามไป<br />

หลวงพระบาง<br />

16


รุ่งขึ้นผมบอกแม่ว่าอยากไปหลวงพระบางกับ<br />

นักธุรกิจลาวคนนั้น แม่ไม่ว่าอะไร เพราะปรึกษากับเตี่ยแล้ว<br />

เตี่ยบอกว่า...ปล่อยมันไปเถอะ เพราะที่บ้านมีลูก 9 คน ถึง<br />

มันอยู่ก็ไม่เป็นโล้เป็นพาย ผมจึงได้ตามนักธุรกิจคนนั้นไป<br />

หลวงพระบาง ตอนนั้นอายุ 14 ปี คิดแค่ว่าอยากไปเที่ยว<br />

ไม่เคยคิดว่าไปต่างบ้านต่างเมืองแล้วจะอยู่อย่างไร ไม่ได้รู้สึก<br />

กลัวอะไร คิดแต่ว่าจะไปก็ไปแค่นั้น<br />

ความจริงการที่เราไม่รู้เรื่องราวอะไรมากนัก ก็ดีไป<br />

อย่าง เพราะทำาให้ไม่กลัว คนที่รู้มากรู้ไปหมดมักไม่ค่อยกล้า<br />

ทำาอะไร เพราะกลัวว่าเวลาทำาอะไรจะผิดพลาด ไม่ทำาอะไร<br />

ดีแต่พูด อย่างที่ฝรั่งเรียกว่า “NATO” (No Action Talk Only)<br />

หลังจากอยู่ที่ลาวได้เกือบ 2 ปี เกิดการสู้รบกัน<br />

ระหว่างลาวกู้ชาติกับฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสแพ้สงครามเดียน<br />

เบียนฟู เวียดนาม ฝรั่งเศสในลาวก็เตรียมตัวออกจากลาว<br />

ช่วงนั้นทางบ้านเป็นห่วงผมมาก พอดีมีเรือจะมาห้วยทราย<br />

ผมก็กระโดดขึ้นเรือมาเลย<br />

“ชายใดไม่เที่ยวเทียวไป<br />

ทั่วแคว้นแดนไพร<br />

มิอาจประสบพบสุข<br />

ชายใดอยู่เหย้าเนาทุกข์<br />

ไม่ด้นซนซุก<br />

ก็ชื่อว่าชั่วมัวเมาฯ”<br />

นิทานเวตาล โดย นมส.<br />

------------------------------<br />

17<br />

17


มหาสงคราม<br />

เอเชียบูรพา<br />

ภาพที่มา : http://oknation.nationtv.tv/mblog<br />

สถานการณ์โลกเวลานั้นตึงเครียดอย่างยิ่ง เนื่องด้วย<br />

ภาวะตกต่ำาทางเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ยาวนานทั่วไปในโลก<br />

อำานาจโลกแบ่งออกเป็น 2 ขั้ว ขั้วหนึ่งมี เยอรมัน<br />

อิตาลี และญี่ปุ่น เป็นแกนนำาเรียกว่า “ฝ่ายอักษะ” อีกขั้ว<br />

หนึ่งมีอังกฤษ ฝรั่งเศส รัสเซีย อเมริกา เป็นแกนนำาเรียกว่า<br />

“ฝ่ายพันธมิตร” เยอรมันและอิตาลีคุมพื้นที่สู้รบในยุโรปและ<br />

แอฟริกา ญี่ปุ่นคุมพื้นที่เอเชีย ญี่ปุ่นบุกพิชิตได้ตั้งแต่ฟิลิปปินส์<br />

สิงคโปร์ มาเลเซีย และมุ่งหน้าสู่อินเดีย ซึ่งตอนนั้นเป็น<br />

อาณานิคมของอังกฤษ การเดินทัพของญี่ปุ่นไปสู่อินเดียต้อง<br />

ผ่านประเทศไทยและพม่า ญี่ปุ่นจึงเจรจาบีบบังคับให้ไทยยินยอม<br />

ตกลงเป็นพันธมิตรร่วมรบให้ญี่ปุ่นกรีฑาทัพผ่านประเทศไทย<br />

เข้าไปยังพม่า โดยมีอินเดียเป็นเป้าหมาย เส้นทางหนึ่งพวก<br />

กองทัพญี่ปุ่นที่จะบุกพม่าจะเข้าทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ<br />

ของพม่าที่มีเมือง “เชียงตุง” เป็นจุดหมาย เส้นทางนี้ต้องผ่าน<br />

จังหวัดเชียงราย กองทัพญี่ปุ่นจึงจัดตั้ง กองบัญชาการที่<br />

เชียงราย และมีหน่วยรบย่อยประจำาที่เชียงแสน<br />

ไม่มีการรบพุ่งใหญ่โตใดๆ ในเชียงแสน มีบางครั้ง<br />

ที่เครื่องบินทางฝ่ายพันธมิตรจากอินเดียหรือคุนหมิงประเทศ<br />

จีนบินมาหย่อนพลร่มของหน่วย “เสรีไทย” ซึ่งเป็นขบวนการ<br />

ใต้ดินต่อต้านการรุกรานยึดครองประเทศไทยของญี่ปุ่น<br />

ทำาการส้องสุมกำาลังเพื่อก่อกวนต่อสู้กองทัพญี่ปุ่น ขบวนการ<br />

ใต้ดิน “เสรีไทย” นี้ ก่อตั้งโดยบรรดาคนไทยที่พำานักอาศัยอยู่<br />

ในต่างประเทศ เวลานั้น มี ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช เป็นแกนนำา<br />

ส่วนในไทยมีนายปรีดี พนมยงค์ ภายใต้ชื่อรหัส “รูธ” เป็น<br />

แกนนำา ขบวนการใต้ดิน “เสรีไทย” นี้เป็นที่รับรู้และได้<br />

รับการสนับสนุนเต็มที่จากฝ่ายพันธมิตรทั้งอเมริกาและ<br />

อังกฤษ ซึ่งเรื่องนี้ภายหลังต่อมาเมื่อสงครามสงบ ญี่ปุ่น<br />

พ่ายแพ้สงคราม ไทยจึงรอดพ้นจากการถูกตีตราว่าเป็น<br />

ประเทศผู้แพ้สงคราม เพราะได้แสดงให้เห็นว่าได้ร่วมรบ<br />

ต่อต้านการยึดครองญี่ปุ่นเป็นที่ประจักษ์<br />

20


http://logosociety.blogspot.com<br />

บ้านเมือง<br />

เวลานั้น<br />

วันที่ 24 มิถุนายน 2475 มีการปฏิวัติครั้งใหญ่<br />

ในประเทศไทย เป็นการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />

จากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย<br />

อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข มีรัฐธรรมนูญเป็นกฎกติกา<br />

สูงสุดของประเทศ<br />

ผู้ก่อการปฏิวัติเรียกว่า “คณะราษฎร” ฝ่ายทหาร<br />

มีพันเอกพระยาพหลพลพยุหเสนาเป็นแกนนำา ฝ่ายพลเรือนมี<br />

หลวงประดิษฐ์ มนูธรรม (นายปรีดี พนมยงค์) เป็นแกนนำา<br />

คณะปฏิวัติรับช่วงอำานาจจากพระมหากษัตริย์<br />

ปกครอง บริหารประเทศตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญ<br />

รัฐธรรมนูญจึงเป็นกฎหมายสูงสุดที่ทุกคนต้องเคารพ<br />

ยำาเกรง มีคนถามว่าแล้วรัฐธรรมนูญนี่นะคืออะไร บางคน<br />

ตอบว่า คงเป็นลูกเจ้าคุณพหลไปโน่น<br />

รัฐธรรมนูญกำาหนดให้มี “รัฐสภา” ที่ประกอบด้วย<br />

สมาชิกสองประเภท<br />

ประเภทหนึ่งเป็นผู้แทนราษฎรที่ได้มาจากการ<br />

เลือกตั้งของประชาชน อีกประเภทหนึ่งได้มาจากการแต่งตั้ง<br />

มีการจัดตั้งรัฐบาลด้วยความเห็นชอบของรัฐสภา รัฐบาลจึง<br />

เป็นผู้มีอำานาจเต็มที่ในการปกครองบริหารประเทศ<br />

22


การเมืองเวลานั้นเกิดการแตกต่างในเชิงความคิด<br />

โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องหลักคิดและนโยบายด้านเศรษฐกิจ<br />

การต่อสู้ ช่วงชิงอำานาจที่จะกระทำาการตามนโยบายของตน<br />

เป็นไปอย่างเข้มข้น ดุเดือด สถานการณ์การเมืองตึงเครียด<br />

อย่างที่สุด จนเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2489 ในหลวงรัชกาลที่ 8<br />

พระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดลสวรรคตอย่างกะทันหัน มีการ<br />

กล่าวหากันไปมา มีคนไปร้องตะโกนในโรงหนังเฉลิมกรุง<br />

ว่า “ปรีดีฆ่าในหลวง” นายปรีดีซึ่งเวลานั้นดำารงตำาแหน่ง<br />

ผู้สำาเร็จราชการจึงต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ<br />

จนจบสิ้นชีวิตที่นั่น<br />

พ.ศ. 2490 มีการรัฐประหารเปลี่ยนรัฐบาลบริหาร<br />

ประเทศ หลังจากมีรัฐบาลที่มีพลเรือนเป็นนายกรัฐมนตรี<br />

อยู่พักหนึ่ง หลวงพิบูลสงครามผู้ต้องพิษจากสงครามโลก<br />

ก็กลับเข้ามาเป็นนายกรัฐมนตรี มีอำานาจบริหารประเทศ<br />

อยู่นานจนถูกจอมพลสฤษดิ์ ธนรัชต์ ทำารัฐประหารเอาบ้าง<br />

จอมพล ป.พิบูลสงครามจึงต้องลี้ภัยการเมืองไปอยู่ต่างประเทศ<br />

และไม่ได้กลับมาอีกเลย<br />

การเมืองเป็นเรื่องของการช่วงชิงอำานาจ การจะได้<br />

อำานาจมานั้นแสนยาก การรักษาไว้ยากยิ่งกว่า อย่างไรก็ตาม<br />

ยังมีคนไขว่คว้าให้ได้มาซึ่งอำานาจนี้ตลอดเวลา<br />

“อำนาจมีมาก<br />

โอกาส<br />

ทำทุจริต<br />

ก็มาก”<br />

------------------------------<br />

23


จาก<br />

“อาณาจักรสยาม”<br />

เป็น<br />

“ประเทศไทย”<br />

อาณาจักรสยามเป็นที่อยู่รวมกันของชนหลายชาติ<br />

พันธ์ มีทั้งมอญ ลาว เขมร จีน มลายู และไทย<br />

ชนชาวไทยคือผู้คนที่อาศัยอยู่แถบภาคกลางลุ่ม<br />

แม่น้ำาเจ้าพระยา ส่วนชาติพันธ์อื่นก็กระจัดกระจายกันอยู่ทั่ว<br />

อาณาจักรอันกว้างใหญ่นี้<br />

คำาว่า “อาณาจักรสยาม” เป็นที่รู้จักกันโดยทั่วไป<br />

เขมรเรียกว่า “เสียมกุ๊ก” จีนเรียกว่า “เซียมล้อ” ฝรั่งเรียกว่า<br />

“ไซแอม”<br />

จนถึงสมัยที่รัฐบาลมี จอมพล ป.พิบูลสงครามเป็น<br />

นายกรัฐมนตรี ท่านผู้นี้ได้ชื่อเป็นเผด็จการทางความคิด<br />

และเป็นคน “เชื้อชาตินิยม” รุนแรง ต้องการเห็น “คนไทย”<br />

เป็นชนชาติยิ่งใหญ่ แทนการเป็นเพียง “คนไทยในบังคับ<br />

สยาม” เป็นคนไทยที่เป็นชื่อของประเทศไปเลย จึงประกาศ<br />

เปลี่ยนชื่อจาก “อาณาจักรสยาม” เป็น “ประเทศไทย” เมื่อวันที่<br />

24 มิถุนายน 25482 ท่ามกลางเสียงคัดค้านอย่างเซ็งแซ่ทั่วไป<br />

26


ฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยอ้างว่า ประเทศสยามนั้นรวม<br />

เอาคนหลายเชื้อชาติคือไทย มอญ ลาว เขมร มลายู จีน<br />

เป็นต้น เวลานี้เขารักใคร่ “สยาม” ถึงคราวเราพูดอะไรที่ให้<br />

กินความส่วนรวมก็จะใช้คำาว่า “สยาม” ถ้าเปลี่ยนชื่อเป็น<br />

“ประเทศไทย” ก็จะมีแต่คนไทยที่อยู่แถบภาคกลางลุ่มน้ำา<br />

เจ้าพระยาเท่านั้นที่เป็นเจ้าของประเทศ พวกอื่นจะถูกกีดกัน<br />

ออกไปเพราะไม่ใช่คนไทย ทำาให้เสียความเป็นอันหนึ่ง<br />

อันเดียวกันของคนในชาติ<br />

ยุคนั้นกล่าวกันว่า ชนชั้นนำาของประเทศตกอยู่ใน<br />

กระแส “เชื้อชาตินิยม” เป็นส่วนใหญ่ เมื่อมีการเปลี่ยนชื่อเป็น<br />

ประเทศไทยแล้ว ก็มีการเปลี่ยนเนื้อร้องเพลงชาติไทยตามมา<br />

เนื้อร้องท่อนแรกของเพลงชาติที่ร้องว่า “ประเทศไทยรวม<br />

เลือดเนื้อชาติเชื้อไทย” พวกค้านเห็นว่า ประเทศไทยใจแคบ<br />

รวมเฉพาะเชื้อชาติไทยเท่านั้น เชื้อชาติอื่นถูกกีดกันออกหมด<br />

เสียงคัดค้านเป็นเพียงเสียงนกเสียงกาประเภทหมา<br />

เห่าเรือบิน “อาณาจักรสยามก็เปลี่ยนเป็นประเทศไทยด้วย<br />

ประการฉะนี้” ดินแดนภาคเหนือของประเทศไทยปัจจุบันเดิม<br />

เป็นอาณาจักรอิสระเรียกว่า “อาณาจักรลานนา” (ไม่รู้ใครและ<br />

เมื่อใดไปเติม “ไม้โท” เหนือคำาว่า “ลานนา” เป็น “ล้านนา”<br />

ดังที่เรียกขานกันขณะนี้)<br />

อาณาจักรลานนามีขอบเขตปกครองกว้างขวาง<br />

ครอบคลุมพื้นที่หลายจังหวัด เช่น เชียงราย พะเยา ลำาปาง<br />

เชียงใหม่ แพร่ น่าน ตาก และแม่ฮ่องสอน ผู้คนราษฎรที่<br />

อยู่อาศัยในพื้นที่เหล่านี้เรียกขานกันว่าเป็น “คนเมียง”<br />

(คนเมือง) พูดคุยกันด้วยภาษาคนเมียง เรียกว่า “อู้กำาเมียง”<br />

มีวัฒนธรรมประเพณีในแบบฉบับของลานนามายาวนาน<br />

ภายหลังต่อมาเมื่ออิทธิพลและวัฒนธรรมกรุงเทพแพร่<br />

ขยาย คืบคลานเข้ามาครอบคลุมภาคเหนือมากขึ้น ความเป็น<br />

“คนเมียง อู้กำาเมียง” ก็ค่อยๆ ลางเลือนไป จนเมื่อมีการ<br />

เปลี่ยนชื่อประเทศจาก “อาณาจักรสยาม” เป็น “ประเทศไทย<br />

ประชาชนทั้งมวลที่อยู่ในขอบเขตดินแดนอาณาจักรสยาม<br />

ก็กลายเป็นคนไทย” ไม่ว่าจะมีพื้นเพชาติพันธ์เดิมอย่างไร<br />

ก็ให้เรียกว่าเป็นคนไทยหมด คนเมียงก็เป็นคนไทย ด้วย<br />

ดังนี้แล.....<br />

ผมเองความที่เกิดและเติบโตมาในแดนดินถิ่น<br />

“ลานนา” ความรู้สึกนึกคิดในความเป็นคนเมียง (KHON-<br />

MUANGISM) ยังคงเข้มข้น ยังชอบที่จะ “อู้กำาเมียง” ในทุก<br />

โอกาสที่ได้สนทนาวิสาสะกับ “หมู่เฮาคนเมียง” ตวยกั๋น<br />

(ด้วยกัน)<br />

อาณาจักร<br />

ล้านนา<br />

------------------------------<br />

27 28


Photo by: Gettyimage<br />

กรุงเทพฯ<br />

พ.ศ. 2497 ตอนนั้นอายุอยู่ในวัยรุ่นขนาดกลาง<br />

ผมเกิดความอยากรู้ อยากเห็นกรุงเทพฯ เพราะได้ยินคน<br />

เขาพูดว่าเป็นเมืองใหญ่โตโอฬาร เจริญศิวิไล สวยงามสุด<br />

พรรณนา<br />

เมื่อนำาความอยากนี้ปรึกษาเตี่ยและแม่ เตี่ยมีความ<br />

เห็นว่าก็ดีเหมือนกัน บางทีอาจให้ไปเมืองจีนเสียเลย เพราะ<br />

เรามีญาติใกล้ชิดอยู่แถวกวางตุ้งพอให้ไปอยู่อาศัยกับเขาได้<br />

เมืองจีนเวลานั้น เพิ่งผ่านพ้นการสู้รบอันยาวนาน<br />

เปลี่ยนแปลงการปกครองจากลัทธิ “เสรีประชาธิปไตย<br />

เป็น คอมมิวนิสต์” การเปลี่ยนการปกครองมาเป็นลัทธิ<br />

คอมมิวนิสต์ในตอนแรกๆ นำาความลำาบากยากแค้นมาสู่<br />

ประชาชนชาวจีนอย่างยิ่ง มีการแข็งขืนและต่อต้านลัทธิ<br />

ใหม่นี้ รัฐบาลจีนคอมมิวนิสต์ได้ทำาการปราบปรามอย่าง<br />

เข้มข้นดุเดือด มีการจับกุมคุมขังและประหารชีวิตผู้ต่อต้าน<br />

เป็นจำานวนมาก<br />

ชาวจีนจำานวนมหาศาลหลบลี้หนีภัยการเมืองไปอยู่<br />

ต่างประเทศ แต่ก็มีคนหนุ่มสาว ลูกหลานชาวจีนโพ้นทะเล<br />

ที่อยู่นอกเมืองจีน อยากเดินทางไปเมืองจีนเพื่อผจญชีวิต<br />

การเป็นอยู่ภายใต้ลัทธิคอมมิวนิวส์ ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ว่ามัน<br />

คืออะไรและจะเป็นอย่างไร ผมก็เป็นคนหนึ่งในหมู่หนุ่มสาว<br />

เช่นว่านี้…<br />

30


แม่เป็นคนพาผมเดินทางโดยรถยนต์โดยสารจาก<br />

เชียงแสนมาต่อรถไฟที่ลำาปางเดินทางสู่กรุงเทพฯ<br />

แม่พาผมไปพักอาศัยอยู่บ้านน้องชายของแม่ที่<br />

บางลำาพู เพื่อรอเวลาเมื่อใดจะมีเรือไปเมืองจีน เรือโดยสาร<br />

ที่จะไปเมืองจีนเวลานั้นเป็นของ “บริษัท โหงฮก จำากัด”<br />

กำาหนดเวลาเดินทางไม่แน่นอนแล้วแต่สถานการณ์และ<br />

จำานวนผู้โดยสาร เรือโหงฮกนี้จอดอยู่ท่าเรือแถวถนนตก<br />

บางรัก<br />

กรุงเทพฯ เวลานั้นมีนักเลงอันธพาลน้อยใหญ่<br />

มากมายหลายก๊กหลายเหล่า ล้วนอยู่ภายใต้การคุ้มครอง<br />

ให้ท้ายโดยนายตำารวจชั้นอัศวิน ตำารวจไทย เวลานั้น<br />

เรืองอำานาจมาก ถึงขนาดที่ผู้นำาตำารวจยุคนั้นประกาศว่า<br />

“ไม่มีอะไรใต้ฟ้าที่ตำารวจไทยทำาไม่ได้ ยกเว้น (หรืออาจรวม<br />

ทั้ง) ที่ผิดกฎหมาย” ชีวิตความเป็นอยู่ที่บางลำาพูท้องที่ที่มีชื่อ<br />

ว่าเป็นแดนนักเลงก็อยู่ในบรรยากาศบ้านเมืองเวลานั้น<br />

ผมเริ่มเข้าสู่แวดวงสุรายาเมา เพื่อแสดงความเป็นชาย และ<br />

ทำาให้คึกคะนอง ซึ่งเป็นแบบฉบับของสังคมแบบนั้น<br />

ผมใช้เวลารอกำาหนดเดินทางของเรือ “โหงฮก”<br />

ทำาความรู้จักกรุงเทพฯ ให้ดีขึ้น น้าชายที่ผมไปพักอาศัยอยู่<br />

ทำางานเป็นพนักงานเดินตลาดขายยาของบริษัทยาต่างประเทศ<br />

ทุกเช้าถึงเวลาออกเดินตลาดจะพาผมไปด้วย ก่อนจะออก<br />

จากบ้านจะให้ผมไปยืนหน้าตู้กับข้าวแล้วยกมือขึ้นไหว้<br />

ทำาความเคารพ เพื่อสอนให้รู้จักว่าเวลาแนะนำาให้รู้จักใคร<br />

ให้ทำาความเคารพโดยการไหว้อย่างถูกต้องเช่นไร นอกจาก<br />

นั้นยังสอนให้ผมพูดภาษาไทยกลางให้ถูกต้อง เช่น การเรียก<br />

ชื่อสิ่งของเครื่องใช้คำาว่า “พริกแด้” ต้องเป็น “พริกขี้หนู”<br />

“พริกผง” ต้องเป็น “พริกป่น” “เอากระโถนไปเท” แทนการ<br />

“เอากระโถนไปถอก” เพราะว่าคำาว่าถอกเป็นคำาไม่สุภาพ<br />

อาศัยเคยเรียนหนังสือจนจบ ม.2 (เทียบเท่า ป.6<br />

ปัจจุบัน) ผมสามารถอ่านหนังสือไทยได้ดีพอสมควร ผมรัก<br />

การอ่านหนังสือเป็นอย่างยิ่ง และยังติดเป็นนิสัยจนถึงปัจจุบัน<br />

ผมชอบที่จะหาหนังสืออ่านทุกเมื่อที่มีโอกาส<br />

อ่านมันไปทุกอย่าง นิยายประโลมโลก นวนิยาย บทความ<br />

สารคดี โดยเฉพาะหนังสือพิมพ์ละก็ชอบนัก หาอ่านได้ที่ร้าน<br />

กาแฟข้างบ้าน<br />

31<br />

32


เรื่องรักโศกของ จ.ไตรปิ่น อ่านไปร้องไห้สะอึกสะอื้น<br />

น้ำาตานองหน้า หัสนิยายชุดสามเกลอ พล นิกร กิมหงวน<br />

ของ ป.อินทรปาลิต ละก็ติดงอมแงมทีเดียว เรื่องประเภท<br />

บู๊โลดโผน ตื่นเต้น เร้าใจอย่างเสือใบ เสือดำา เสือมเหศวร<br />

ของ ป.อินทรปาลิต ก็นิยมชมชอบปานกัน เรื่องลึกลับ<br />

นักสืบก็ต้องแพรดำาของหลวงสารานุประพันธ์<br />

ผมนับถือบูชา ป.อินทรปาลิตในความเป็นนักเขียน<br />

นวนิยายขั้นเทพ ถึงขนาดเมื่อผมเข้ามากรุงเทพฯ ในเวลาต่อมา<br />

ได้ไปสมัครเข้าเป็นศิษย์ของอาจารย์ ป. อินทรปาลิต ที่<br />

สำานักงานในตึกแถวริมถนนบรรทัดทองข้างวัดสุทัศน์<br />

เสาชิงช้า<br />

การเสาะแสวงหาหนังสือดีๆ อ่านในท้องที่ห่างไกล<br />

อย่างที่เชียงแสนหาได้ไม่ง่ายนัก จนวันหนึ่งได้พบหนังสือ<br />

เล่มโตที่มีคนวางไว้ในเรือโดยสารที่ผมควบคุมกิจการอยู่<br />

ผมหยิบขึ้นมาพลิกๆ ดูก็เกิดอาการลิงโลดใจสุดประมาณด้วย<br />

ได้พบเพชรเม็ดงามแสนประเสริฐเข้าแล้ว นั่นคือหนังสือ<br />

“สี่แผ่นดิน” โดย ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช ผมจุดตะเกียง<br />

กระป๋องน้ำามันก๊าดตะลุยอ่านทั้งคืนต่ออีกหนึ่งวันด้วยความ<br />

สุขล้นเหลือ<br />

การได้อ่านเรื ่องราวหลากหลายจากสื ่อสิ ่งพิมพ์ต่างๆ<br />

และได้ยินได้ฟังการสนทนาถกเถียงกันในสภากาแฟทั่วไป<br />

ทำาให้ผมพอรู้เรื่องความเป็นไปของบ้านเมืองและโลกพอ<br />

ประมาณ อย่างน้อยก็นับว่ารู้มากกว่าเพื่อนร่วมรุ่นในเวลา<br />

นั้นก็แล้วกัน......<br />

การได้เดินทางไปที่ต่างๆ ห่างไกล ทำาให้เห็นโลก<br />

กว้าง โลกทัศน์ก็กว้างไกลออกไป<br />

------------------------------<br />

33<br />

“รู้น้อยว่ามากรู้เริงใจ<br />

กลกบเกิดอยู่ในสระจ้อย<br />

ไป่เห็นชเลไกลกลางสมุทร<br />

ชมว่าน้ำบ่อน้อย<br />

มากล้ำลึกเหลือ”<br />

ชื่อกรุงเทพฯ<br />

“กรุงเทพมหานคร<br />

อมรรัตนโกสินทร์<br />

มหินทราอยุธยา<br />

มหาดิลกภพ นพรัตน์ราชธานี<br />

บุรีรมย์ อุดม ราชนิเวศน์<br />

มหาสถานอมรพิมาน<br />

อวตารสถิต สักกะ ทัตติยะ<br />

วิศนุกรรมประสิทธิ์”<br />

34 17


พัฒนาตน<br />

อยู่กรุงเทพฯ ไปพักใหญ่ ผมก็รู้จักและคุ้นเคยกับ<br />

สถานที่ต่างๆ ในเมืองกรุง ตลอดจนวิถีชีวิตของชาวกรุง<br />

พอสมควร ผมสังเกตเห็นผู้คน ส่วนมากเป็นผู้ใหญ่อายุ<br />

อานามพ้นวัยเล่าเรียนหนังสือในโรงเรียนปกติ ถือหนังสือ<br />

คนละเล่มสองเล่มไปเรียนกวดวิชาเพื่อสอบเทียบเพิ่ม<br />

วิทยะฐานะวุฒิการศึกษาของตน ผมก็คำานึงว่าตัวเรามี<br />

วุฒิศึกษาเพียง ม.2 น่าจะหาทางเพิ่มชั้นวุฒิให้สูงขึ้นอีกจะ<br />

ได้ไม่น้อยหน้าใคร<br />

เริ่มต้นด้วยการไปร้านขายหนังสือ หาซื ้อหนังสือ<br />

เรียนด้วยตนเองเพื ่อสอบเทียบชั ้นการศึกษาระดับมัธยมต้น<br />

มัธยมกลาง และมัธยมปลาย<br />

ผมเริ่มต้นจากการเอา ม.3 ก่อน เนื้อหาหนังสือที่<br />

ซื้อมาอ่านส่วนใหญ่พอรู้อยู่บ้าง จากการเรียนรู้ในชีวิตจริงที่<br />

ผ่านมา พอถึงเวลากระทรวงศึกษาธิการเปิดสอบเทียบ ม.3<br />

ทั่วประเทศ ผมก็เข้าสู่สนามสอบ และก็สอบผ่านเป็นอันว่า<br />

ผมมีวุฒิศึกษาจบ ม.3 แล้ว เป้าหมายต่อไปคือวุฒิ ม.6<br />

ก็ทำานองเดียวกันคืออ่านหนังสือด้วยตนเองเพื่อ<br />

สอบเทียบชั้น ม.6 พอถึงเวลาเปิดสอบทั่วไปก็เข้าสนามสอบด้วย<br />

ผลสอบผ่าน เป็นอันว่าผมมีวุฒิศึกษาจบชั้น ม.6 แล้ว<br />

36


เป้าหมายใหญ่สุดท้ายคือ ม.8 คราวนี้เห็นท่าจะอ่าน<br />

หนังสือเรียนด้วยตนเองคงไม่ไหว จึงไปสมัครเรียนกวดวิชา<br />

ที่โรงเรียนกวดวิชาแห่งหนึ่ง ใช้เวลาเรียนอยู่ราว 8 เดือน ที่นี่<br />

ได้มีโอกาสพบปะรู้จักเพื่อนใหม่หลายคน ส่วนใหญ่มีอายุ<br />

มากกว่าผม บางคนยังคบหาเป็นเพื่อนจนถึงทุกวันนี้ บางคนก็<br />

ล้มหายตายจากไปตามอายุขัย<br />

พ.ศ.2499 ถึงเวลารัฐบาลเปิดสอบ ม.8 ทั้งประเทศ<br />

พร้อมกันทั้งโรงเรียนสามัญศึกษาและพวกกวดวิชา ผมเข้า<br />

สู่สนามสอบด้วยและผลปรากฏว่าสอบผ่าน อยู่ในระดับต้นๆ<br />

ของผู้เข้าสอบทั่วประเทศเสียด้วย<br />

บัดนี้ ผมมีวุฒิศึกษาจบ ม.8 สามารถเข้าศึกษาสูง<br />

ขึ้นไปอีกในมหาวิทยาลัย ผมเลือกเรียนรัฐศาสตร์ที่จุฬาฯ<br />

และนิติศาสตร์ที่ธรรมศาสตร์ อะฮ้า...นี่เราเป็นนิสิตจุฬา<br />

นักศึกษาธรรมศาสตร์และน๊ะนี่....<br />

“ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง<br />

ฉันจึง มามหาวิทยาลัย<br />

ฉันหวัง ได้อะไร ไปมากมาย<br />

สุดท้าย ให้กระดาษ<br />

ฉันแผ่นเดียว”<br />

ดัดแปลงจาก วิทยา เชียงกูล<br />

นักศึกษาคณะเศรษฐศาสตร์<br />

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<br />

------------------------------<br />

37


้<br />

สังเวียนชีวิต<br />

กระดาษแผ่นเดียวนี ่แหละที ่ผมจะได้ใช้เป็นใบเบิกทางสู ่การต่อสู<br />

เพื่อยังชีพบนสังเวียนชีวิตในโลกแห่งความเป็นจริง...<br />

ยามเศรษฐกิจบ้านเมืองดี ธุรกิจการค้าการขายแข็งแรง บริษัท<br />

ห้างร้าน โรงงานอุตสาหกรรมขยับขยายกิจการ การหางานทำาก็ไม่ยาก<br />

ลำาบากเท่าใด แถมยังพอมีโอกาสเลือกหางานการที่ตนใจรักใจชอบได้<br />

แต่ยามเศรษฐกิจไม่ดีทุกสิ่งทุกอย่างดูซบเซา ฝืดเคืองไปหมด บริษัท<br />

ห้างร้าน โรงงานอุตสาหกรรมอย่าว่าแต่รับคนเข้าทำางานใหม่เลย ซ้ำายัง<br />

ปลดลดคนทำางานอยู่เดิมให้ออกมาเพิ่มจำานวนคนตกงานอีกด้วย<br />

การหางานทำาจึงยากลำาบากอย่างยิ่ง<br />

งานแรกก็ได้ทำาคือเป็นไกด์ที่บริษัทท่องเที่ยวแห่งหนึ่ง งานที่ทำา<br />

ก็คือพานักท่องเที่ยวต่างชาติไปดูบ้านดูเมือง ชมวัดวาปราสาทราชวังไป<br />

ตามเรื่องก็พอมีรายได้ไปวันๆ วันไหนไม่มีนักท่องเที่ยวต้องการให้พาไป<br />

เที่ยวก็เหี่ยวแห้ง ต้องควักเงินที่เหลือเก็บไว้จากรายได้วันก่อนๆ มาหาซื้อ<br />

อาหารยาไส้แก้ขัดไป<br />

เป็นไกด์ได้ไม่นานมีคนมาชวนไปทำางานเป็นคนคุมขบวน<br />

รถบรรทุกรับจ้างขนดินโคลนที ่ได้จากการขุดลอกสันดอนปากแม่น้ำา<br />

เจ้าพระยาแถวท่าเรือคลองเตยไปถมที่บริเวณเชิงสะพานเสาวณี ซึ่งเป็น<br />

สลัมแหล่งเสื่อมโทรมใหญ่กลางกรุง บริเวณที่ถมดินนี้อยู่ฝั่งตรงข้าม<br />

กระทรวงอุตสาหกรรม บริเวณที่ถมที่ปัจจุบันเป็นที่ตั้งกระทรงการ<br />

ต่างประเทศ มหาวิทยาลัยมหิดลและโรงพยาบาลรามาธิบดี งานที่ทำา<br />

ก็พอไปได้แม้ไม่ถูกใจนัก อยู่ๆ วันหนึ่งบริษัทที่รับจ้างขนดินโคลนถูก<br />

ยกเลิกสัญญาจ้าง เราก็ตกงานละซิ!!! พอดีเห็นหนังสือพิมพ์ที่เพิงขาย<br />

กาแฟติดเพิงที่ทำางาน เจอแจ้งความประกาศกระทรวงอุตสาหกรรม<br />

รับสมัครคนเข้าทำางานก็ตัดสินใจเดินข้ามถนนไปสมัครเลย<br />

40


หลังผ่านขบวนการทดสอบและสัมภาษณ์ตามวิธีการ<br />

ของราชการก็ได้รับการบรรจุเข้าทำางานที่ “ศูนย์เพิ่มผลผลิต<br />

แห่งประเทศไทย” ซึ่งเป็นหน่วยงานในกระทรวงอุตสาหกรรม<br />

ในตำาแหน่งหน้าที่การงาน “เจ้าหน้าที่เทคนิค” เป็นอันว่าได้มี<br />

งานทำาแล้ว ทั้งที่ยังไม่รู้ว่าเป็นงานอะไร ก็เอาละว่ะ...มีงานทำา<br />

ที่ดูเป็นหลักเป็นฐานหน่อยก็แล้วกัน คงดีล่ะน่า... เพราะเป็น<br />

งานราชการและได้รับการช่วยเหลือจาก“องค์การกรรมการ<br />

ระหว่างประเทศสหประชาชาติ”<br />

ศูนย์เพิ่มผลผลิตแห่งประเทศไทยนี้เป็นหน่วยงาน<br />

ตั้งขึ้นใหม่ในกระทรวงอุตสาหกรรม โดยได้รับเงินทุนช่วย<br />

เหลือจากองค์การกรรมกรระหว่างประเทศ สหประชาชาติ<br />

ด้วยการส่งผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศมาฝึกสอนเจ้าหน้าที่ไทยให้<br />

สามารถที่จะเป็นวิทยากรผู้ฝึกสอนต่อไป<br />

หลังจากได้รับการฝึกสอนและถ่ายทอดความรู้<br />

ความเข้าใจในเรื่องวิทยาการและเทคโนโลยีการจัดการสมัย<br />

ใหม่จากผู้เชี่ยวชาญพอเป็นพื้นฐานได้แล้ว ก็ถูกส่งตัวไป<br />

รับการศึกษาวิทยายุทธ์เพิ่มเติม ดูงาน และฝึกงานภาคสนาม<br />

ที่ประเทศญี่ปุ่น หลังจากเสร็จภารกิจแล้วก็กลับมาเมือง<br />

ไทยทำาหน้าที่เป็นวิทยากรผู้ช่วยผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ<br />

ทำาการฝึกสอนผู้บริหารไทยที่เข้ามารับการฝึกอบรมที่ศูนย์ฯ<br />

วิทยาการการจัดการสมัยใหม่ที่ศูนย์ฯ จัดให้มี<br />

บริการแก่ผู้มารับการอบรม มี<br />

การจัดการทั่วไป<br />

การจัดการขบวนการผลิตและการเพิ่มผลผลิต<br />

การบัญชีและการเงิน<br />

การตลาด<br />

การบริหารงานบุคคล<br />

เราเลือกสายการจัดการทั ่วไปเพราะดูเหมือนว่าจะ<br />

เรียนรู้และเข้าใจได้ง่าย ไม่ต้องลงลึกเหมือนแขนงวิทยาการอื่น<br />

41 42


การเรียนรู้<br />

“เรียนรู้ได้ไว<br />

เข้าใจได้หมด<br />

จดจำได้นาน<br />

ใช้งานได้จริง”<br />

ผู ้เข้ารับการอบรมแขนงวิทยาการ การจัดการทั ่วไป<br />

ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจอุตสาหกรรม<br />

ขนาดย่อม เพื่อนำาความรู้ความเข้าใจไปพัฒนาปรับปรุง<br />

กิจการของตน หลายแห่งประสบความสำาเร็จ กิจการมี<br />

ความเจริญรุ่งเรืองกลายเป็นบริษัทโรงงานชั้นนำาในประเทศ<br />

เวลานี้ ในจำานวนนี้มีบริษัทหนึ่งที่ผมมีความคุ้นเคยดีกับ<br />

เจ้าของกิจการ<br />

เป็นผู้ที่รับเอาความรู้ที่ได้รับไปใช้พัฒนากิจการของ<br />

ตนอย่างเต็มที่ จนเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มั่งคั่ง มั่นคงใน<br />

ปัจจุบัน ซึ่งหลายปีต่อมาผมก็ได้เข้าร่วมงานกับบริษัทนี้<br />

ในระดับผู้บริหารและได้ไต่ระดับขึ้นไปจนถึงขั้นผู้บริหารระดับ<br />

สูงสุดขององค์การ ผมทำางานอยู่กับบริษัทนี้จนครบเกษียณเมื่อ<br />

อายุ 70 ปี รวมเวลาทั้งหมดที่ทำางานที่นี่อย่างต่อเนื่องยาวนาน<br />

ร่วม 30 ปี<br />

------------------------------<br />

43


ศรีราชา (1)<br />

การเป็นวิทยากรฝึกอบรมผู้มารับการอบรม ซึ่งส่วน<br />

ใหญ่เป็นผู้ประกอบการและเจ้าของธุรกิจอุตสาหกรรมขนาด<br />

ย่อมมาเป็นเวลาพอสมควร ผมเกิดความคิดเห็นว่าตนเองเป็น<br />

ผู้ฝึกอบรมมีความรู้ก็เท่าที่ได้รับถ่ายทอดจากผู้ฝึกสอนและ<br />

การศึกษาค้นคว้าจากตำาหรับตำารา นำาทฤษฎีและหลักการที่ได้มา<br />

จากการศึกษาถ่ายทอดออกไป ตนเองยังหาได้มีประสบการณ์<br />

ทำางานในสถานประกอบการใดๆ อย่างแท้จริง คิดอยากออก<br />

ไปทำางานหาประสบการณ์ในชีวิตการทำางานจริงว่าเป็นเช่นไร<br />

พอเห็นหนังสือพิมพ์ลงแจ้งความโรงกลั่นน้ำามัน<br />

ขนาดใหญ่ที่กำาลังก่อสร้างใกล้เสร็จที่ศรีราชา ชลบุรี รับสมัคร<br />

คนเข้าทำางานก็ลองเขียนจดหมายสมัครส่งไป ได้รับการตอบรับ<br />

และเชิญไปสัมภาษณ์ ผลปรากฏว่าโรงกลั่นรับเข้าทำางานใน<br />

ตำาแหน่ง “ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายบุคคลและประชาสัมพันธ์”<br />

เป็นงานบริหารระดับต้นและมีสถานะเป็นพนักงานอาวุโสคน<br />

หนึ่งของบริษัทฯ<br />

ผมจึงลาออกจากศูนย์เพิ่มผลผลิตฯ และผันผาย<br />

ย้ายตัวเองไปอยู่ศรีราชา...<br />

46


่<br />

งานที่ทำาเป็นงานที่เกี่ยวข้องดูแลความเป็นอยู่ทุกข์<br />

สุขของพนักงาน ซึ่งมีทั้งพนักงานไทยและนายช่างเทคนิค<br />

ต่างประเทศหลายคน เน้นหนักด้านสร้างความสัมพันธ์อันดี<br />

กับบุคคลเหล่านี้ โดยเฉพาะการดูแลเรื่องสวัสดิการที่บริษัท<br />

ต้องจัดให้ พนักงานช่างเทคนิคต่างประเทศที่มาทำางานที่<br />

ศรีราชานำาครอบครัวซึ่งมีทั้งลูกเล็กเด็กอ่อนมาด้วย ซึ่งต้อง<br />

ให้การดูแลเป็นพิเศษ ทั้งความปลอดภัย การเป็นอยู่ และการ<br />

ศึกษา มีอยู่วันหนึ่งผู้จัดการซึ่งเป็นนายสั่งให้ไปศึกษาวิธีเลี้ยง<br />

ห่าน ก็ให้เป็นงงว่าเลี้ยงห่านไปทำาไม ได้ความว่า มีเมียนายช่าง<br />

ต่างประเทศคนหนึ่งร้องเรียนว่ามีงูในหมู่บ้าน หน้าที่เราคือ<br />

ต้องหาทางกำาจัดงู ได้รับคำาแนะนำาว่าให้เลี้ยงห่าน เพราะห่าน<br />

ส่งเสียงดังไล่งับงู<br />

ชีวิตความเป็นอยู่ที่ศรีราชาตอนแรกๆ ยังติดนิสัย<br />

ความเป็นโสด ชอบสนุกสนาน ดื่มเหล้า เข้าบาร์ พาผู้หญิง<br />

เที่ยวแบบเพลย์บอยในเมืองกรุง ทุกเย็นวันศุกร์ พอเลิกงาน<br />

เป็นต้องหาทางแวบเข้ากรุงเทพ หาความสำาราญตามนิสัยเดิม<br />

ใช้จ่ายเงินเปลือง แม้เงินเดือนจะค่อนข้างดีก็ไม่ค่อยพอใช้<br />

บางเดือนเงินทองขาดมือ ตอนปลายเดือนต้องเที่ยวหยิบยืม<br />

จากคนรู้จักเป็นที่น่าอับอาย มีผู้หลักผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ<br />

ทำางานอยู่ด้วยกันให้สติเตือนว่าขืนทำาตัวไร้สาระเช่นนี้ต่อไป<br />

ชีวิตทำางานน่าจะไม่รุ ่ง ควรกลับเนื้อกลับตัว ตั้งใจทำางานอย่าให้<br />

ใครตำาหนิได้ ทางที่ดีน่าจะมีครอบครัวเป็นแก่นสารเสียทีก็ได้คิด<br />

จึงไปขอสาวงามคน “เจียงแสน” มาเป็นคู่ชีวิต กินอยู่ด้วยกันที<br />

ศรีราชา จนมีลูกสองคน ผู้หญิงชื่อ “กุ้ง” ผู้ชายชื่อ “เก่ง”<br />

หลังจากมีครอบครัว มีลูกเต้า การดำารงชีพก็ค่อย<br />

ปรับตัวให้เข้าหลักเกณฑ์ เพราะมีชีวิตที่ต้องรับผิดชอบเข้ามา<br />

ร่วมด้วย การปฏิบัติหน้าที่การงานก็ดีขึ้น มีวินัย และครองชีวิต<br />

เป็นปกติเฉกเช่นคนอื่นๆ<br />

47


ทำางานเป็นผู้ช่วยผู้จัดการได้ 3 ปี พอ “หัวหน้า<br />

แผนกพนักงานสัมพันธ์” ชาวต่างประเทศครบกำาหนด<br />

เดินทางกลับประเทศของตน “คณะจัดการ” บริษัทตกลง<br />

เลือกผมให้เข้ารับช่วงตำาแหน่งต่อ ก็ได้รับการเลื่อนขึ้นเป็น<br />

หัวหน้าแผนก ซึ่งเป็นงานบริหารระดับกลาง การงานมั่นคง<br />

เงินเดือนเงินดาวก็เพิ่มขึ้น ฐานะความเป็นอยู่ดีขึ้น ไม่ลำาบาก<br />

วุ่นวายเงินทองพอใช้ หนี้สินทั้งหลายที่ได้เที่ยวหยิบยืม<br />

เขามาก็ค่อยๆ ชดใช้จนหมดสิ้นไป<br />

เวลาผ่านไปสามปี “คณะจัดการ” เห็นว่าถึงเวลา<br />

ต้องเตรียมคนที่จะรับตำาแหน่งระดับ “ผู้จัดการ” ต่อจากชาว<br />

ต่างชาติที่ครบกำาหนดต้องเดินทางกลับประเทศตน มีความ<br />

เห็นว่าควรพัฒนาผมให้พร้อมที่จะเข้ารับหน้าที่นี้ ด้วยการ<br />

ส่งไปปฏิบัติงานที่อื่นสักระยะหนึ่ง ทั้งนี้ เป็นไปตามแผน<br />

พัฒนาบุคคลที่ต้องการให้คนที่เหมาะสมได้มีประสบการณ์<br />

ในการทำางานต่างถิ่นต่างแดน พบปะทำางานร่วมกับคน<br />

ต่างชาติต่างภาษา อันจะช่วยให้มีทัศนคติกว้างขวาง และ<br />

สร้างความมั่นใจให้แก่ตนเองมากขึ้น<br />

ผมจึงถูกส่งไปปฏิบัติงานกับบริษัทน้ำามันระหว่าง<br />

ประเทศขนาดใหญ่ที่ประเทศฟิลิปปินส์ ในตำาแหน่งงาน<br />

“ผู้จัดการพัฒนาพนักงาน”<br />

------------------------------<br />

49


ฟิลิปปินส์<br />

พ.ศ. 2513 ผมพาครอบครัวเดินทางไปปฏิบัติงานที่<br />

ประเทศฟิลิปปินส์ ฟิลิปปินส์ในเวลานั้นนับว่าเจริญรุ่งเรือง<br />

ก้าวหน้าอยู่ในระดับต้นๆ ของอาเซียน... มีสถาบันการศึกษา<br />

มีชื่อเสียงหลายแห่งที่นักศึกษาจากต่างประเทศนิยมไป<br />

ศึกษาเล่าเรียน<br />

งานที ่ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบไม่มีอะไรยุ่งยาก<br />

ลำาบากใจ เพราะเป็นงานที่คุ้นเคยตั้งแต่สมัยทำางานที่<br />

ศูนย์เพิ่มผลผลิต คือการฝึกสอนอบรมพนักงานที่ต้องการ<br />

พัฒนาฝึกอบรม ด้วยความที่เป็นประเทศที่ประกอบด้วย<br />

เกาะน้อยใหญ่หลายพันเกาะ มีสถานีน้ำามันของบริษัท<br />

กระจัดกระจายอยู่ในหลายเกาะ มีพนักงานจำานวนไม่น้อย<br />

ปฏิบัติงานอยู่ตามเกาะเหล่านี้ หน้าที่เราก็คือต้องเดินทางไป<br />

พบปะเยี่ยมเยียนผู้คนเหล่านี้ ทำาให้ได้รู้จักประเทศฟิลิปปินส์<br />

ดีพอควร<br />

ชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวเราในมะนิลาค่อน<br />

ข้างอู้ฟู่ หรูหรา ตำาแหน่งงานดี ได้บริษัทดี บริษัทจัดให้<br />

พักอาศัยอยู่ในหมู่บ้านของชนชั้นค่อนข้างมีอันจะกิน ใกล้<br />

ศูนย์การค้าใหญ่ในกลางกรุงมะนิลา บ้านงามน่าอยู่ มีรถ<br />

ประจำาตำาแหน่งพร้อมคนขับ มีแม่ครัวและผู้ช่วยทำางาน<br />

บ้านคอยปรนนิบัติดูแล ลูกทั้งสองก็ได้เข้าเรียนหนังสือใน<br />

โรงเรียนมีชื่อเสียงใกล้บ้าน ทั้งหมดนี้บริษัทเขาจัดให้<br />

พ.ศ. 2515 ครบกำาหนดที่เขาส่งมาชุบตัวก็เดินทาง<br />

กลับประเทศไทย เตรียมตัวรับตำาแหน่งงานที่สูงขึ้นไป<br />

------------------------------<br />

52


ศรีราชา (2)<br />

การปฏิบัติงานในประเทศฟิลิปปินส์ร่วมสองปี<br />

สร้างความมั่นใจที่จะรับงานใหญ่มากขึ้น พ.ศ. 2515 จึงได้รับ<br />

แต่งตั้งให้เป็น “ผู้จัดการฝ่ายบุคคลและประชาสัมพันธ์”<br />

แทนผู้จัดการชาวต่างประเทศที่ครบกำ าหนดเดินทางกลับประเทศ...<br />

ตำาแหน่งงานที ่ได้รับแต่งตั ้งเป็นงานบริหารระดับสูง<br />

เป็นหนึ่งในห้าของ “คณะจัดการ” ของโรงกลั่น และเป็นคนไทย<br />

คนแรกได้รับตำาแหน่งนี้ “คณะจัดการ” ประกอบด้วย<br />

- ผู้จัดการใหญ่<br />

- ผู้จัดการฝ่ายควบคุมขบวนการผลิต<br />

- ผู้จัดการฝ่ายบัญชีและการเงิน<br />

- ผู้จัดการฝ่ายวิศวกรรม<br />

- ผู้จัดการฝ่ายบุคคลและประชาสัมพันธ์<br />

งานที่อยู่ในความรับผิดชอบคือ กำากับ ดูแล ให้มี<br />

สภาพการทำางานและสวัสดิการที่ดี ให้พนักงานมีขวัญและ<br />

กำาลังใจในการทำางานดี ภายนอกโรงกลั่นก็ต้องเสริมสร้างความ<br />

สัมพันธ์ที่ดีกับประชาชนทั่วไป และชาวบ้านที่อยู่อาศัยใน<br />

ละแวกใกล้เคียงโรงกลั่น ตลอดจนหน่วยงานราชการต่างๆ<br />

ให้รู้จักและเข้าใจกิจการและการดำาเนินงานของโรงกลั่น<br />

การอยู่ในตำาแหน่งงานระดับสูงของโรงกลั่นเช่นนี้<br />

ทำาให้มีหน้า มีตา มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักกว้างขวาง ฐานะทาง<br />

สังคมและการเงินมั่นคง ค่อนไปในทางมีอันจะกินนิดๆ เผลอๆ<br />

มีความรู้สึกลำาพองในความสำาเร็จในชีวิตของตน ซึ่งเป็น<br />

อันตรายอาจทำาให้เกิดความประมาทในการดำารงชีวิตต่อไปได้<br />

54


่<br />

เหตุการณ์บ้านเมืองเวลานั้น การเมืองมีความ<br />

ขัดแย้งรุนแรง ขบวนนิสิต นักศึกษา และประชาชน<br />

หัวก้าวหน้าบางกลุ่มเริ่มไม่พอใจกับการมีชีวิตอยู่ภายใต้การ<br />

ปกครองของเผด็จการทหาร มีการชุมนุมจัดเวทีปราศรัย<br />

เรียกร้องหา “ประชาธิปไตย” เข้มข้นทุกวัน จนถึงวันที่ 14<br />

ตุลาคม 2516 ขบวนนิสิต นักศึกษา และประชาชนได้เดิน<br />

ขบวนใหญ่ มีผู้คนเข้าร่วมจำานวนมาก ขับไล่รัฐบาลทหาร<br />

รัฐบาลทำาการปราบปรามรุนแรง มีผู้คนบาดเจ็บ ล้มตาย<br />

จำานวนมาก จนในที่สุดรัฐบาลทนอยู่ในสภาวการณ์ต่อไปไม่ได้<br />

ต้องลาออกและหลบลี้หนีภัยไปอยู่ ณ ต่างประเทศ<br />

หลังจากขบวนการประชาธิปไตยประสบความ<br />

สำาเร็จขับไล่รัฐบาล กระแสคลั่งไคล้ประชาธิปไตยแพร่ขยาย<br />

ขบวนการนิสิต นักศึกษา ในฐานะผู้พิชิตเข้ายึดอำานาจการ<br />

ปกครองบริหารประเทศ เข้าไปยึดแย่งการงานที่เป็นงานปกติ<br />

ประจำาของเจ้าหน้าที่ของรัฐ ทำาให้เกิดความระส่ำาระสาย<br />

เดือดร้อนกันทั่ว สถานการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นและเป็นอยู่ได้<br />

สองสามปี มีผู้ที่เห็นว่าสภาวการณ์เช่นนี้จะปล่อยให้คงอยู<br />

ต่อไปไม่ได้ บ้านเมืองกำาลังกลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อน เริ่มมีการ<br />

หาวิธีการล้มล้างอำานาจและอิทธิพลนิสิต นักศึกษา และ<br />

กลุ ่มหัวก้าวหน้าคลั่งประชาธิปไตย มีการจัดตั้งกลุ่มต่างๆ ขึ้น<br />

เช่น ลูกเสือชาวบ้าน กลุ่มนวพล และกลุ่มนักเรียนอาชีวะ<br />

การต่อต้านเป็นไปอย่างคึกคัก จนถึงวันที่ 6 ตุลาคม 2519<br />

มีการรวมตัวของกลุ่มต่อต้านต่างๆ ขณะเดียวกันเจ้าหน้าที่<br />

ตำารวจ ทหารก็ทำาการปราบปรามขบวนการนิสิต นักศึกษา<br />

อย่างดุเดือดรุนแรง มีการบาดเจ็บล้มตายจำานวนมาก<br />

จนที่สุดขบวนการนิสิต นักศึกษาก็แตกสลาย มีนิสิต นักศึกษา<br />

จำานวนไม่น้อย หลบหนีเข้าป่าไปร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง<br />

ประเทศไทยต่อสู้กับรัฐบาลต่อไปอีกหลายปีกว่าเหตุการณ์<br />

จะสงบจบลงโดยการล่มสลายของพรรคคอมมิวนิวส์<br />

แห่งประเทศไทย ประเทศไทยก็กลับเข้าสู่สภาพปกติเช่นเดิม...<br />

ในช่วงเวลาคลั่งประชาธิปไตยนั้น ขบวนการ<br />

กรรมกรก้าวหน้าก็เริ่มมีบทบาทในการร่วมและชักจูง<br />

ชี้แนะให้กรรมกรที่ทำางานในโรงงานอุตสาหกรรมเรียกร้อง<br />

สิทธิประโยชน์จากนายจ้าง มีการสไตร้ค นัดหยุดงานเกิดขึ้นใน<br />

โรงงานอุตสาหกรรมหลายแห่ง โรงกลั ่นน้ำามันที่ศรีราชาก็<br />

ไม่ได้รอดพ้นจากปรากฏการณ์นี้ มีการเรียกร้องสิทธิประโยชน์<br />

มากมายจากบริษัท เมื่อไม่ได้ผลเป็นที่น่าพอใจก็ชุมนุมนัด<br />

หยุดงาน มีการเจรจาระหว่างผู้นัดหยุดงานกับฝ่ายบริหาร<br />

ซึ่งเราเป็นตัวแทนฝ่ายบริหารในการเจรจา ระหว่างการ<br />

เจรจา มีการเรียกร้องให้โรงกลั่นยุติการผลิต มีการปิดล้อม<br />

โรงกลั่นไม่ให้คนเข้าออก เพื่อกดดันให้ฝ่ายบริหารยินยอม<br />

ตามข้อเรียกร้อง โรงกลั่นไม่ยินยอมยุติการผลิต โดยอาศัย<br />

พนักงานระดับอาวุโสและระดับผู้บังคับบัญชางานเข้ารับผิดชอบ<br />

ควบคุมการผลิตให้ดำาเนินต่อไปได้<br />

เหตุการณ์เวลานั้นตึงเครียดอย่างยิ่ง การตั้งเต็นท์<br />

ตั้งเวทีปราศรัยเรียกร้องโดยกลุ่มสไตร้คดำ าเนินต่อเนื่องไป 2 วัน<br />

2 คืน การเจรจาหาทางยุติการนัดหยุดงานก็ดำาเนินไปตลอด<br />

เวลา ไม่ได้หลับได้นอนกันละ...การนัดหยุดงานล่วงเข้าสู่วัน<br />

ที่สาม ผู้เจรจาและกลุ่มผู้นัดหยุดงานที่ขึ้นเวทีปราศรัยและ<br />

ร้องรำาทำาเพลงต่างอ่อนเปลี้ยเพลียแรงไปตามกัน จนที่สุด<br />

โดยการขอร้องของเจ้าของโรงกลั่นที่ได้รับการกดดันจาก<br />

รัฐบาลให้หาทางยุติการนัดหยุดงานโดยเร็ว เพราะหากยืดเยื้อ<br />

ออกไปอาจมีผลต่อการผลิตน้ำามัน อันจะก่อให้เกิดความเสีย<br />

หายต่อเศรษฐกิจและการเมืองอย่างใหญ่หลวงให้ฝ่ายบริหาร<br />

ลดหย่อนท่าทีที่ยืนหยัดอยู่ลงบ้าง และหาทางประนีประนอม<br />

กับผู้นัดหยุดงานโดยเร็ว การหาทางประนีประนอมบรรลุผล<br />

55 56


่<br />

สำาเร็จในเย็นวันที่สามของการนัดหยุดงาน ฝ่ายผู้นัดหยุดงาน<br />

ต่างแยกย้ายกันไปด้วยความยินดีที่การนัดหยุดงานได้ผลเป็นที<br />

น่าพอใจ ฝ่ายบริหารก็ต้องกลืนเลือดนะซิ...<br />

หลังการนัดหยุดงาน ฝ่ายผู้นัดหยุดงานมีความนิยม<br />

ชมชอบผู้เจรจาฝ่ายบริหารที่อดทน ทนอดต่อเนื่องกัน ไม่ใช้<br />

มาตรการรุนแรงใดๆ เพื่อยุติการนัดหยุดงาน ผลข้างเคียงที่<br />

ตามมาเกิดกับกลุ่มพนักงานอาวุโสและผู้บังคับบัญชางานที่<br />

เห็นใจและเข้าข้างฝ่ายบริหารมาตลอด รู้สึกขุ่นเคืองฝ่ายบริหาร<br />

ที่ตกลงประนีประนอมเร็วเกินไป มีการต่อว่าต่อขานฝ่ายบริหาร<br />

ต้องใช้เวลานานกว่าจะฟื้นฟูทำาความเข้าใจกันได้<br />

การทำางานต่อไปหลังจากเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็น<br />

ไปอย่างจำาเจเป็นงานประจำาวัน งานการที่ทำาส่วนใหญ่เป็น<br />

แบบบำารุงรักษาสภาพเดิมไม่มีอะไรตื่นเต้น ความเร้าใจ<br />

ชีวิตความเป็นอยู่และสภาพทางสังคมก็คงอย่างเดิม ตอน<br />

นี้ได้ลูกคนที่สามเป็นผู้หญิงชื่อ “ก้อย” นับเป็นลูกสาวพลัด<br />

หลงเข้ามาโดยไม่คาดฝัน มีอายุห่างจากพี่เก่งถึง 7 ปี<br />

57<br />

58


เหตุการณ์บ้านเมืองหลังจากจัดการกับขบวนการนิสิต<br />

นักศึกษาเรียบร้อยลงแล้ว รัฐบาลเวลานั้นตัดสินใจให้มีการเลือกตั้ง<br />

ผู้แทนราษฎรทั่วไปทั้งประเทศในเดือนเมษายน 2522 ความรู้สึกที่<br />

ว่ามั่นใจตนเองมากเกินไปนั่นแหละ ทำาให้ตัดสินใจลาออกจากงาน<br />

ไปลงสมัครรับเลือกตั้งครั้งนั้น ผลก็คือสอบเกือบได้ เลยไม่ได้เป็น<br />

ผู้แทนราษฎร<br />

การตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตครั ้งนั ้นไม่รู ้ว่าถูกหรือผิด<br />

แต่กล่าวได้ว่าเป็นการตัดสินใจที่ขาดการไตร่ตรองขาดความ<br />

รอบคอบ เป็นการประมาทอย่างยิ่ง เพราะลำาพองและเชื่อมั่นใจ<br />

ตนเองมากเกินไป<br />

ผลที่เกิดขึ้นในชีวิตความเป็นอยู่หลังจากนั้นเป็นไป<br />

อย่างลำาบากยากเข็ญ การเงิน การทองยอบแยบลงเพราะใช้<br />

จ่ายไปในการเลือกตั้งไม่น้อย เมื่อเกิดขัดสนทางการเงินก็ต้อง<br />

กู้หนี้ยืมสินมาเพื่อบำารุงชีวิตความเป็นอยู่ของครอบครัวให้<br />

อยู่ในสภาพเดิม กลายเป็นหนี้เป็นสินขึ้นมาอีก<br />

วันหนึ่งมีคนติดต่อให้ไปทำางานระดับบริหารกับ<br />

โรงงานถลุงแร่ขนาดใหญ่ที่ภูเก็ต จึงตอบรับด้วยความยินดี<br />

และออกเดินทางไปภูเก็ตทันทีโดยที่ไม่เคยไปภูเก็ตมาก่อนเลย<br />

------------------------------<br />

59<br />

60


่<br />

ภาพที่มา: Phuketdata.net<br />

ภูเก็ต<br />

โรงถลุงแร่ที ่ไปทำางานด้วยนี ้กำาลังประสบปัญหาขัดแย้ง<br />

กับสหภาพแรงงานที่ค่อนข้างมีความแข็งแรงของโรงถลุง<br />

สหภาพยื่นข้อเรียกร้องที่ฝ่ายบริหารโรงถลุงไม่สามารถตกลง<br />

ยอมรับได้ สภาพก็คล้ายกับที่เคยประสบมาแล้วที่โรงกลั่นน้ำามันที่<br />

ศรีราชา...<br />

การเจรจาระหว่างสหภาพกับฝ่ายบริหารก็ดำาเนินไป<br />

ท่ามกลางการขู่ว่าจะนัดหยุดงาน หากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงได้<br />

มีการเตรียมการนัดหยุดงานด้วยการตั ้งเต็นท์และเวทีปราศรัยโจมตี<br />

ฝ่ายบริหาร ผมในฐานะตัวแทนฝ่ายบริหารในการเจรจาครั้งนี้ก็ได้<br />

เตรียมการตั้งรับหากมีการนัดหยุดงานเกิดขึ้น<br />

การเจรจาใช้เวลาเพียง 2 วัน ก็หาทางประนีประนอม<br />

กันได้ด้วยความยินดีของทั้งสองฝ่าย การเตรียมนัดหยุดงานก็<br />

เลิกไป ทุกอย่างกลับคืนสู่สภาพการทำางานปกติ ฝ่ายบริหาร<br />

โรงถลุงพอใจในการปฏิบัติหน้าที่ในการเจรจาครั้งนี ้ จึงขอให้อยู<br />

ทำางานต่อไปเพื่อปรับปรุงระบบการบริหารงานบุคคลให้เข้าหลัก<br />

เข้าเกณฑ์ และเสริมสร้างสัมพันธภาพที่ดี ระหว่างฝ่ายบริหารกับ<br />

พนักงานและสหภาพแรงงานของเขา เป็นอันว่าอยู่ภูเก็ตต่อไป<br />

จนกว่าจะเสร็จสิ้นภารกิจ งานที่ได้รับมอบหมายให้จัดการก็สำาเร็จ<br />

เสร็จสิ้นในเวลาปีกว่าๆ พอมีคนเป็นตัวแทนฝ่ายบริหารของบริษัท<br />

อุตสาหกรรมการเกษตรขนาดใหญ่เดินทางไปพบที่ภูเก็ตขอเชิญ<br />

ให้ไปร่วมงานกับบริษัทที่กรุงเทพฯ ก็ตอบรับด้วยความยินดี เพราะ<br />

จะได้กลับไปอยู่กับครอบครัวที่กรุงเทพฯ เสียที<br />

------------------------------<br />

62


คืนกรุง<br />

บริษัทที ่ผมจะไปร่วมงานที ่กรุงเทพเป็นบริษัทเกษตร<br />

อุตสาหกรรมขนาดใหญ่มีกิจการสาขากระจายทั ่วประเทศ<br />

บริษัทมีนโยบายและแผนการจะขยายการดำาเนินธุรกิจไปยัง<br />

ต่างประเทศ<br />

การจะเปิดกิจการในต่างประเทศจำาเป็นต้องมี<br />

พนักงานไทยไปประจำาปฏิบัติงาน ปัญหาที่พบคือคนไทย<br />

ยังกลัวการไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกิน<br />

การอยู่ ตลอดจนภาษาและวัฒนธรรมที่คงแตกต่างไปจาก<br />

ความเคยชินในเมืองไทย<br />

บริษัทยังไม่มีนโยบายและวิธีปฏิบัติที่แน่ชัดใน<br />

เรื่องนี้ อาศัยที่ผมเคยมีประสบการณ์ในเรื่องเช่นนี้ตั้งแต่สมัย<br />

อยู่ที่ศรีราชาและฟิลิปปินส์ เขาจึงอยากให้ช่วยวางรูปแบบ<br />

โครงสร้าง นโยบาย และวิธีปฏิบัติในเรื่องจะได้ช่วยเป็น<br />

แรงจูงใจให้คนไทยไม่ขยาดการไปอยู่ในต่างประเทศ<br />

ผมได้รับมอบหมายให้จัดตั้ง “สำานักทรัพยากร<br />

มนุษย์” ขึ ้น ภารกิจของสำานักนี้คือช่วยคัดกรองบุคคลที่<br />

หน่วยงานหลักเลือกสรรที่จะส่งไปปฏิบัติงานในต่างประเทศ<br />

โดยพิจารณาทั้งบุคลิกภาพ สถานะครอบครัว และภาวะจิตใจ<br />

ว่าพอไปอยู่ต่างประเทศไหวไหม เมื่อได้ตัวบุคคลที่เห็นพอ<br />

ไปไหวก็ทำาการให้ความรู้ ด้วยการทำาเรื่องราวของประเทศ<br />

ที่จะไปอยู่มาขยายเล่าให้ฟังและเรื่องต่างๆ ที่เห็นว่าจะเป็น<br />

ประโยชน์ต่อผู้เข้ารับการอบรม<br />

64


การทำางานทางสำานักฯ ตามแผนงานเป็นไปด้วย<br />

ดีจนถึงเมื่อครบกำาหนดสัญญาจ้างงาน 3 ปี ก็เป็นอันสิ้นสุด<br />

ภารกิจนี้ จึงได้เปิดหมวกอำาลาบริษัทฯ<br />

ช่วงเวลาที่ปฏิบัติงานในบริษัทแห่งนี้ ได้สร้างชื่อเสียง<br />

และฝีมือทำางานไว้เป็นที่รับรู้กว้างขวาง จนได้รับการเลือกตั้งให้<br />

เป็น “นายกสมาคมการจัดการงานบุคคลแห่งประเทศไทย”<br />

และในเวลาไล่เลี่ยกันก็ได้รับการลงคะแนนโดยสมาคมนิสิต<br />

เก่ารัฐศาสตร์จุฬาให้เป็น “นิสิตเก่ารัฐศาสตร์ดีเด่นสาขา<br />

วิสาหกิจเอกชน”<br />

------------------------------<br />

อย่าโกยกำไร<br />

จนลืมคุณธรรม<br />

สุภาษิตจีน<br />

65


สนามจริง<br />

“<br />

ผู้ช่วยกรรมการผู้อำานวยการ<br />

“<br />

ว่างงานได้สามวัน ระหว่างรอจังหวะงานใหม่ก็ได้<br />

รับโทรศัพท์จากบริษัทที่ผู้บริหารคุ้นเคยกันดี เพราะเคยเข้ารับ<br />

การอบรมที่ศูนย์เพิ่มผลผลิตฯ เชิญให้ไปสนทนาและรับประทาน<br />

อาหารกลางวัน<br />

การพูดคุยครั้งนั้นได้รับฟังถึงธุรกิจและการดำาเนินงาน<br />

ของบริษัท ซึ่งมีธุรกิจหลักคือผลิตและจำาหน่ายสินค้าประเภท<br />

สิ่งทอ มีตลาดใหญ่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จบสิ้นการ<br />

สนทนาและรับประทานอาหารกลางวันก็ได้รับการเชิญชวนให้<br />

ร่วมงานกับบริษัทฯ โดยเสนอตำาแหน่งเป็น “ผู้ช่วยกรรมการ<br />

ผู้อำานวยการ” อันถือเป็นงานบริหารระดับสูงของบริษัท... มีหรือ<br />

จะปฏิเสธ!!!<br />

งานที่ได้รับมอบหมายให้ดูแลคือการตลาดและการขาย<br />

สินค้าของบริษัททั้งในประเทศและต่างประเทศ เอาละ..นี่แหละคือ<br />

สนามที่จะได้แสดงฝีมืออย่างจริงจังกัน... สินค้าหลักของบริษัท<br />

คือผลิตภัณฑ์สิ่งทอ ตลาดสิ่งทอในโลกเวลานั้นมีการแข่งขันสูง<br />

ผู้ผลิตและจำาหน่ายมีจากภายในประเทศไทยและประเทศอื่นหลาย<br />

แห่ง จีนเวลานั้นยังไม่ได้เข้ามาประกาศศักดา เพราะนโยบายเปิด<br />

ประเทศเป็นเพียงแง้มประตูยังไม่ได้เปิดอ้าเต็มที่ ตลาดใหญ่<br />

สิ่งทอก็คืออังกฤษ ยุโรป และสหรัฐอเมริกา เราจะต้องเผชิญและ<br />

ขับเคี่ยวกับคู่แข่งเหล่านี้อย่างถึงพริกถึงขิง<br />

ผมปรับยุทธศาสตร์การขายจาก “เชิงรับ” เป็น “เชิงรุก”<br />

และให้ “การตลาดนำา” “การผลิต” ที่แล้วมาโรงงานของเรามี<br />

ความสามารถในการผลิตดีมาก ทั้งเครื่องจักรกลที่ทันสมัยและคนงาน<br />

ที่มีความรู้ ความชำานาญในการผลิต แต่ส่วนใหญ่เราจะผลิตแต่<br />

สินค้าที่โรงงานถนัด แถมยังตั้งราคาขายตามแต่โรงงานกำาหนดให้<br />

พนักงานขายไปตามนั้น<br />

68


การขาย “เชิงรุก” ก็คือแทนที่เราจะปักหลักค้าขาย<br />

อยู่ที่ฐานคือเมืองไทย รอคอยลูกค้าซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกค้า<br />

เจ้าเก่าที่รู้จักกันดีเดินทางมาติดต่อค้าขาย เป็นให้เราเดินทาง<br />

ออกไปพบปะลูกค้ายังที่ตั้งของลูกค้าบ้าง การเดินทางไปพบ<br />

ลูกค้าในต่างประเทศแต่ละครั้งจะต้องให้ได้ใบสั่งซื้อสินค้า<br />

เพียงพอคุ้มค่าใช้จ่าย และเวลาที่เดินทางแต่ละครั้ง ลูกค้าเอง<br />

ก็พอใจที่เราเดินทางไปพบเขาถึงบ้านของเขา แทนที่เขาจะ<br />

ต้องเดินทางมาซื้อของเราที่บ้านของเรา บางครั้งลูกค้าตกลงใจ<br />

ซื้อด้วยความเกรงใจที่เราไปหาเขาถึงที่ก็มี<br />

การเดินทางไปพบลูกค้ายังต่างประเทศ ทำาให้มี<br />

โอกาสรับรู้ถึงสภาวการณ์ตลาดและแนวโน้มสินค้า และ<br />

ราคาซื้อขายกันในตลาดโลกเวลานั้น เรานำาข้อมูลความรู้<br />

เหล่านี้ถ่ายทอดไปยังโรงงานฝ่ายผลิตเพื่อศึกษาและปรับปรุง<br />

สินค้าที่จะผลิตให้ถูกใจลูกค้าในต้นทุนราคาที่ไม่แพงเกิน<br />

ราคาตลาดโลกในเวลานั้น เป็นการให้การตลาดนำาการผลิต<br />

ทำาให้สินค้าของเราเป็นที่นิยมถูกใจของลูกค้ายิ่งขึ้น การค้าขาย<br />

ดำาเนินไปเยี่ยงนี้หลายปีจนยอดขายแต่ละปีเพิ่มขึ ้นติดอันดับ<br />

ขายส่งออกรายใหญ่อันดับต้นๆ ของประเทศ เป็นที่รู้จัก<br />

ของลูกค้าทั้งเจ้าเก่าและเจ้าใหม่ที่ได้ยินชื่อเสียงก็เร่เข้ามา<br />

ทำาการค้าด้วย<br />

การปรับยุทธศาสตร์การขายและการตลาดเช่นนี้<br />

ดำาเนินไปอย่างต่อเนื่องหลายปี จนเราถูกฝ่ายบริหารเห็นว่า<br />

ควรไปช่วยฟื้นฟู ปรับปรุงธุรกิจอื่นในกลุ่มที่กำาลังเผชิญ<br />

ปัญหา นั่นคือการหันหัวเรือไปลงร่องน้ำาอื่นต่อไป<br />

------------------------------<br />

69 70


รองเท้า<br />

บริษัทมีโรงงานผลิตรองเท้ากีฬาขนาดใหญ่ ผลิต<br />

รองเท้ากีฬายี่ห้อชั้นนำาของโลกให้แก่ลูกค้าแต่ละเดือน<br />

หลายแสนคู่ การดำาเนินงานเป็นไปไม่ค่อยดีเท่าที่ควร<br />

โรงงานประสบการขาดทุนต่อเนื่อง 2-3 ปี จนขาดทุนเกิน<br />

ทุนจดทะเบียนบริษัท ฝ่ายบริหารเห็นว่าควรยุติคือเลิกธุรกิจ<br />

นี้เสีย จึงส่งเราเข้าไปดูว่าถ้าจะเลิกกิจการจะทำาอย่างไรใน<br />

การเลิกจ้างพนักงานหลายพันคน ไม่ทำาให้เกิดปัญหาซึ่งอาจ<br />

ลุกลามไปยังโรงงานอีกหลายแห่งในกลุ่ม<br />

หลังจากพูดคุยกับผู้บริหารโรงงานก็พอจับความ<br />

ได้ว่า ที่ขาดทุนมาตลอดเพราะบ่อยครั้งสินค้าที่ผลิตออกมา<br />

ไม่ได้คุณภาพตามมาตรฐานที่ลูกค้ากำาหนด ลูกค้าก็ปฏิเสธ<br />

ไม่ยอมรับสินค้าที่ผลิตเสร็จแล้วทั้งสายการผลิต ทำาให้ขาดทุน<br />

อย่างมากทั้งค่าวัสดุและแรงงาน และก็บ่อยครั้งที่สินค้า<br />

ผลิตเสร็จไม่ทันเวลาที่กำาหนด ทำาให้ต้องส่งมอบสินค้าทาง<br />

เครื่องบินแทนการขนส่งทางเรือ ทำาให้เพิ่มค่าใช้จ่ายมากมาย<br />

เมื่อได้วิเคราะห์สถานการณ์ดูเห็นว่าโรงงานน่าจะ<br />

ยังมีขีดความสามารถที่จะดำาเนินงานต่อไปได้โดยไม่ขาดทุน<br />

มากมายเช่นที่เป็นอยู่ ในเมื่อทุกอย่างมีพร้อม ครบถ้วนไม่ว่า<br />

72


เครื่องจักร เครื่องมือ พนักงานที่ได้รับการฝึกสอนไว้ดี วัสดุ<br />

เพื ่อการผลิตก็พร้อม ที่ดูจะยังขาดคงเป็นเรื่องการบริหาร<br />

จัดการโรงงาน ที่ดูเหมือนจะไม่ได้รับการเอาใจใส่ดีพอ<br />

สมควร จึงปรึกษาฝ่ายบริหารโรงงานว่า เราจะสามารถ<br />

หลีกเลี่ยงการเลิกกิจการ ปิดโรงงานด้วยการหันมาเอาใจใส่<br />

จริงจังกับการบริหารจัดการ โดยเราจะเข้าไปช่วยอย่างใกล้ชิด<br />

ตลอดเวลา เมื่อฝ่ายบริหารโรงงานยอมรับ และตกลง<br />

จะร่วมมือกันจริงจังในการปรับปรุงฟื้นฟูขบวนการผลิต จึงนำา<br />

เสนอความคิดนี้ต่อฝ่ายบริหารระดับสูงของบริษัท ก็ได้รับการ<br />

เห็นด้วยและให้เข้าร่วมงานในโรงงานแห่งนี้นับแต่บัดนั้น…<br />

ใช้เวลาร่วม 3 ปี ในการกู้เรือที่มีอาการร่อแร่ใกล้<br />

อับปางกลางทะเลลึกให้สามารถฟื้นคืนสู่สภาพที่แข็งแรง<br />

พร้อมที่จะแล่นฝ่าคลื่นลมได้ โรงงานสามารถล้มล้างขาดทุน<br />

สะสมที่มีแต่เดิมจนหมดสิ้น และเริ่มมองเห็นแสงเรืองรอง<br />

ของกำาไรรอคอยอยู่ ภายหลังต่อมาไม่นานเมื่อโรงงานมี<br />

สถานะมั่นคงดีแล้ว และด้วยการแต่งเนื้อแต่งตัวเล็กน้อย<br />

ก็มีคุณสมบัติครบถ้วนที่จะเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มทุน<br />

ขยายกิจการต่อไป ซึ่งได้รับการตอบรับจากนักลงทุนอย่างดี<br />

เป็นที่สุดเกษมเปรมปรีดิ์ถ้วนหน้า<br />

------------------------------<br />

73<br />

74


ศรีราชา (3)<br />

ระหว่างเวลาที่กำาลังฟื้นฟูกิจการรองเท้า มีบริษัท<br />

ผลิตและจำาหน่ายคอมพิวเตอร์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกติดต่อ<br />

มายังบริษัทขอให้เป็นผู้ผลิตชิ้นส่วนอุปกรณ์สำาคัญของ<br />

คอมพิวเตอร์ ป้อนให้โรงงานของบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น เมื่อเป็น<br />

ที่ตกลงในหลักการว่าบริษัทยินดีที่จะทำางานดังกล่าว ผมก็<br />

ถูกกำาหนดตัวให้เป็นผู้รับภารกิจนี้ไปปฏิบัติให้สำาเร็จลุล่วง<br />

ทั้งหมดนี้ต้องให้สำาเร็จเสร็จสิ้นภายในกรอบเวลาจำากัดเพียง<br />

5 เดือน<br />

งานที่จะต้องทำาภายในกำาหนดเวลานี้ มีตั้งแต่<br />

หาซื้อที่ดินที่ตั้งโรงงาน ออกแบบ และก่อสร้างอาคาร<br />

โรงงานขนาดใหญ่ ติดต่อหน่วยงานราชการขออนุญาตต่างๆ<br />

ตลอดจนติดตั้งระบบสาธารณูปโภค ไฟฟ้า ประปา รับสมัคร<br />

พนักงานจำานวนมาก คัดเลือกจำานวนหนึ่งที่มีแววเป็นหัวหน้า<br />

งานได้ ส่งไปเรียนและฝึกงานที่ญี่ปุ่น ตลอดระยะเวลานี้<br />

ก็ดำาเนินการเจรจาทำาสัญญากับบริษัทที่ญี่ปุ่นเกี่ยวกับการ<br />

ว่าจ้างผลิตครั้งนี้ รวมทั้งเงื่อนไขข้อปลีกย่อยต่างๆ ในการ<br />

ทำางานร่วมกัน<br />

ทางญี่ปุ่นก็ส่งเจ้าหน้าที่เทคนิคหลายคนเข้ามา<br />

ทำาการติดตั้งเครื่องจักรเพื่อทำ าการผลิต ทุกอย่างสำาเร็จเสร็จสิ้น<br />

สามารถกดสวิทซ์เปิดการผลิตได้ในกำาหนเวลา โรงงานแห่ง<br />

นี้ดำาเนินงานไปได้ดี สามารถทำาเงินเป็นกอบเป็นกำาให้บริษัท<br />

ต่อเนื่องกันไปอีกหลายปี<br />

------------------------------<br />

76


ATLANTA<br />

อเมริกา – USA<br />

เมื่อปฏิบัติภารกิจที่ศรีราชาล่วงไปได้ระยะหนึ่งก็<br />

ถูกเรียกตัวเข้าสำานักงานใหญ่ เพื่อรับงานต่อไป คราวนี้ให้ไป<br />

อเมริกา<br />

บริษัทมีโรงงานสิ่งทอขนาดกลางแห่งหนึ่งอยู่ที่เมือง<br />

TALLAPOOSA มลรัฐจอร์เจียขณะนั้นโรงงานหยุดกิจการ<br />

ชั่วคราว เพราะมีความขัดแย้งกับพนักงานและคนท้องถิ่น<br />

ถูกข่มขู่ ก่อกวนโดยแก๊งมอเตอร์ไซค์ป่วนเมือง ถึงขนาดพาฝูง<br />

มาใช้ปืนยิงถล่มกระจกด้านหน้าสำานักงานของโรงงาน ทำาให้<br />

คนงานไทยที่ยังอยู่เฝ้าโรงงานหวาดกลัวอย่างยิ่ง<br />

ผมพาครอบครัวเดินทางไปยังเมือง ATLANTA ที่ซึ่ง<br />

จะเป็นแหล่งพักอาศัย ตลอดเวลาปฏิบัติงานในอเมริกา บริษัท<br />

จัดให้พักอาศัยในคอนโดหรูใน ATLANTA เก่งและก้อยไป<br />

อยู่ด้วยเพื่อศึกษาต่อที่ ATLANTA ส่วนกุ้งเพิ่งแต่งงานใหม่อยู่<br />

ดูแลบ้านที่กรุงเทพฯ<br />

------------------------------<br />

78


TALLAPOOSA<br />

เป็นเมืองชนบทเล็กๆ อยู่ห่างจาก ATLANTA ไป<br />

ทางใต้ราว 80 กิโลเมตร ทั้งเมืองมีประชากรราว 2,000<br />

คน มีทางรถไฟวิ่งผ่านตัวเมือง มีสถานีรถไฟเล็กๆ แห่งหนึ่ง<br />

ใกล้เคียงสถานีรถไฟ มีตลาดอยู่หย่อมหนึ่งมีร้านค้า 4-5<br />

ร้าน มีบาร์เหล้าแห่งหนึ่งที่มีเคาร์เตอร์ยาวให้พวกคาวบอย<br />

มายืนดวลเหล้ากันอย่างเห็นในหนังคาวบอยเก่าๆ มีร้าน<br />

อาหารเพียงร้านเดียวชื่อร้าน “มาม่าคิทเช่น”<br />

ผมได้ไปพบนายกเทศมนตรี ประธานหอการค้า<br />

ท้องถิ่นและหัวหน้าสถานีตำารวจ ตามลำาดับเพื่อแนะนำาตัว<br />

และวัตถุประสงค์ของการมาอยู่ที่เมืองนี้ ได้รับการต้อนรับ<br />

ด้วยดี และต่างพร้อมที่จะร่วมมือและสนับสนุน


ผมจัดการประกาศรับสมัครพนักงานเพื่อเข้ามา<br />

ปฏิบัติงานในโรงงาน มีคนมาสมัครจนได้จำานวนมากพอที่<br />

โรงงานจะเปิดดำาเนินงานได้ ด้านความปลอดภัยผมได้เชิญ<br />

หัวหน้า ก๊วนมอเตอร์ไซค์ที่เคยเป็นคู่อริกับโรงงานมาคุยด้วย<br />

และขอความร่วมมือด้วยการเสนอตำาแหน่งงานให้ทำาเป็น<br />

“ผู้ควบคุมความเรียบร้อยหน้าประตูใหญ่โรงงาน” ความจริง<br />

ก็คือยามคอยเปิด-ปิดประตูโรงงานนั่นเอง มีการตัดเครื่องแบบ<br />

โก้หรูให้สวมใส่แทนกางเกงยีนส์ เสื้อหนัง รองเท้าบู๊ทครึ่งเข่า<br />

ดูเขาก็พอใจและภูมิใจในรูปลักษณ์ใหม่นี้<br />

เมื่อคนพร้อม คนงานพร้อม ความปลอดภัยก็สงบ<br />

เรียบร้อย บรรดาลูกค้าก็ได้แก่พวกหน้าเก่าที่มีมาแต่เดิม<br />

ไม่ได้หลบลี้หนีหายไปไหนทุก อย่างลงตัว โรงงานก็พร้อมที่<br />

จะเปิดดำาเนินงานได้เป็นปกติอีกครั้งหนึ่ง<br />

ผมอยู่ทำางานที่ ATLANTA ได้ร่วมสองปี ชีพจรก็<br />

ลงเท้าอีก คราวนี้ได้รับคำาสั่งให้ไปประเทศจีน เพื่อหาลู่ทาง<br />

ที่บริษัทจะไปลงทุนทำาธุรกิจในจีน ผมกับภรรยากลับเมืองไทย<br />

เก่งกับก้อยยังคงอยู่เรียนหนังสือที่ ATLANTA<br />

------------------------------<br />

81 82


จีน<br />

ปี 2535 ผมเดินทางไปจีน มีจุดหมายปลายทางที่เมือง<br />

“เซี่ยงไฮ้” ซึ่งถือว่าเป็นศูนย์กลางธุรกิจการค้าที่ใหญ่ที่สุด<br />

ของจีน<br />

จีนเวลานั้นนับว่ายังด้อยพัฒนาล้าหลังทุกด้าน<br />

แม้ว่าจะเคยเจริญรุ่งเรืองยิ่งใหญ่มาก่อน แต่นั่นก็เป็นเพียง<br />

อดีตกาลไกลนานแล้ว จีนขาดแคลนอย่างมากในเรื่อง<br />

สาธารณูปโภคขนาดใหญ่ ไม่ว่าไฟฟ้า ประปา ถนนหนทาง<br />

การสื่อสารโทรคมนาคม ซึ่งนับเป็นสิ่งจำาเป็นในฐานะกลไกล<br />

สำาคัญในการจะพัฒนาประเทศให้มีความก้าวหน้าทันสมัย<br />

จีนจึงต้องการเชิญชวนให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา<br />

ลงทุนในเรื่องต่างๆ นี้<br />

เมื่อกลับเมืองไทย ผมได้เสนอว่าการลงทุนด้าน<br />

การผลิตและจำาหน่ายกระแสไฟฟ้า น่าจะเป็นธุรกิจที่น่าสนใจ<br />

ซึ่งได้รับความเห็นด้วยจากผู้บริหารบริษัท จึงได้จัดตั้ง<br />

คณะทำางานเพื่อดำาเนินงานอย่างจริงจังในเรื่องนี้<br />

หลังจากใช้เวลาระยะหนึ่งเดินทางท่องอยู่แถบภาค<br />

ตะวันออกของจีนเพื่อหาเมืองที่เหมาะสมแก่การลงทุน<br />

สร้างโรงไฟฟ้า ก็ตกลงใจเลือกได้ 11 เมือง แต่ละเมืองอยู่ใน<br />

รัศมีห่างจากเซี่ยงไฮ้ไม่เกิน 200 กิโลเมตร<br />

84


โรงไฟฟ้าที่สร้างเป็นโรงไฟฟ้าขนาดเล็กจนถึง<br />

ขนาดกลางใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิง การก่อสร้างแล้วเสร็จ<br />

แต่ละโรงเปิดทำาการผลิตและจำาหน่ายกระแสไฟฟ้าได้ตาม<br />

ต้องการ หน้าที่ของผมที่เหลืออยู่ก็คือตระเวนไป และ<br />

ติดตามการดำาเนินงานของโรงไฟฟ้าแต่ละเมืองเหล่านี้<br />

ปี 2538 ผมและครอบครัวประสบความสูญเสีย<br />

ครั้งยิ่งใหญ่ เมื่อ “เก่ง” เสียชีวิตจากอุบัติเหตุรถยนต์ที่<br />

กรุงเทพฯ แต่ก็ได้รับการปลอบใจชดเชยในปีถัดไป เมื่อ<br />

กุ้งให้กำาเนิดลูกสาวคือ “แก้ม” และปีถัดไปได้ลูกชายคือ<br />

“ก้าว”<br />

ผมใช้เวลาอยู่ในจีนร่วมเจ็ดปีจนอายุ 70 ปี ถึงกำาหนด<br />

เวลาเกษียณอายุงานตามนโยบายของบริษัท เป็นอันว่าจบสิ้น<br />

ชีวิตการทำางานนับแต่บัดนั้น<br />

------------------------------<br />

86


“จีนเป็นศูนย์รวมของ<br />

วิกฤติร้อยแปด<br />

ความยากลำาบากที่เกิดขึ้น<br />

เป็นประจำาได้หล่อหลอม<br />

จิตใจผู้นำาและประชาชนจีน<br />

มีความเจนจัดมากพอที่จะ<br />

ต่อสู้เอาชัยชนะภัยพิบัติใน<br />

รูปแบบต่างๆ ได้เสมอ”<br />

“เหมือนบายศรี มีงาน ท่านถนอม<br />

เจิมแป้งหอม กระแจะจันท์ ให้หรรษา<br />

พอเสร็จงาน ท่านทิ้ง ลงคงคา<br />

ก็ลอยมา ลอยไป เป็นใบตอง”<br />

สุนทรภู่


ไม้ใกล้ฝั่ง<br />

“…พฤษภกาสร อีกกุญชรอันปลดปลง<br />

โททนต์เสน่ห์คง สำคัญหมายในกายมี<br />

นรชาติที่วางวาย มลายสิ้นทั้งอินทรีย์<br />

สถิตทั่วแต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา<br />

ความดีก็ปรากฏ กิติยศลือชา<br />

ความชั่วก็นินทา ทุรยศยินขจร…”<br />

กฤษณา สอนน้อง<br />

ผ้าม่านเวทีชีวิตทำางานรูดปิดลงแล้ว ที่ยังเหลือและ<br />

ยังคงอยู่ต่อไปเป็นเพียงโรงละครที่ว่างเปล่า แสงสว่างจาก<br />

เปลวไฟของเทียนที่ไส้กำาลังจะหมด ถึงเวลาก็คงมอดดับ<br />

เป็นอันปิดฉากสังเวียนชีวิต<br />

บันทึกเรื ่องราวแด่หนหลังของชายคนหนึ่งคงสิ้นสุด<br />

ยุติลงเพียงนี้<br />

------------------------------<br />

90


ชะราธัมโมมหิ ชะรัง อะนะตีโต<br />

เรามีความแก่เป็นธรรมดา จะล่วงพ้น<br />

ความแก่ไปไม่ได้<br />

พะยาธิธัมโมมหิ พะยาธัง อะนะตีโต<br />

เรามีความเจ็บไข้เป็นธรรมดา จะล่วงพ้น<br />

ความเจ็บไข้ไปไม่ได้<br />

มะระณะธัมโมมหิ มะระณัง อะนะตีโต<br />

เรามีความตายเป็นธรรมดา จะล่วงพ้น<br />

ความตายไปไม่ได้<br />

สัพเพหิ เมปิ เยหิ มะนาเปหิ<br />

นานาภาโว วินาภาโว<br />

เราต้องพลัดพรากจากของรัก<br />

ของเจริญใจทั้งสิ้นไป<br />

พินัยกรรมชีวิต<br />

(Living Will)<br />

ผมทำาพินัยกรรมชีวิตนี้ในขณะที่<br />

ยังมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ พูดฟังรู้เรื่อง<br />

เพื่อแสดงเจตนาไม่ประสงค์จะรับการรักษาเยียวยา<br />

การเจ็บป่วยเพียงเพื่อยื้อการตาย หรือเพื่อยุติ<br />

การทรมานจากการเจ็บป่วย<br />

ผมต้องการตายดี ตายอย่างมีสติ สงบ<br />

เมื่อตระหนักรู้ว่า การเจ็บป่วยอยู่ในระยะสุดท้าย ก็ไม่ขอ<br />

ทนทุกข์ทรมานจากการใช้เครื่องมือต่างๆ เช่น การเจาะคอ<br />

ใส่ท่อช่วยหายใจ ปั้มหัวใจ เพื่อช่วยยืดการตายออกไป<br />

จึงขอให้ลูก เมีย ญาติใกล้ชิด ตลอดจนแพทย์<br />

ผู้รักษา พยาบาลได้ทราบและปฏิบัติตาม<br />

กมล คูสุวรรณ<br />

5 กรกฎาคม 2559<br />

91 92


โรคที่คร่าชีวิตชายไทย<br />

สูงในระดับต้นๆ คือ<br />

มะเร็งตับ<br />

ราวกลางเดือนมีนาคม 2559 มีอาการเจ็บแปล๊บๆ เล็กน้อย<br />

บริเวณท้องน้อยด้านล่างซ้าย ไปโรงพยาบาลพญาไท นวมินทร์ พบ<br />

คุณหมอเดชา วิมลไชยจิต<br />

ตรวจดูอาการ โดยการเจาะเลือดและทำา ULTRA SOUND พร้อมทั้งให้<br />

ยารักษาอาการแปรปรวนในลำาไส้และปวดท้อง<br />

ผล ULTRA SOUND ปรากฏว่ามีรอยมัวๆ บริเวณตับ และ<br />

ผลตรวจเลือดพบว่า ค่าบ่งชี้ ด้านมะเร็ง (AFP) สูงผิดปกติคือเกินกว่า<br />

5200 จึงแนะนำาให้ทำา MRI ที่ตับ<br />

ผล MRI พบก้อนเนื้อขนาดไม่เล็ก 10 x 10 x 10.3 ซม.<br />

ตรงขอบบนของตับ และยังมีก้อนเนื้อขนาดเล็กจำานวน 2 ก้อนบริเวณ<br />

ใกล้เคียง สงสัยเป็นมะเร็ง...<br />

จึงเสนอส่งตัวไปยังศูนย์มะเร็งของโรงพยาบาล เพื่อให้หมอ<br />

ผู้ชำานาญโรคนี้ตรวจวินิจฉันและให้คำาแนะนำาวิธีการรักษาเยียวยา<br />

หมอณัฐชดล กิติวรารัตน์<br />

หมอณัฐชดลตรวจดูผลรายงาน MRI ยืนยันว่าเป็นมะเร็งตับ<br />

แน่นอน 95.5% และอยู่ในขั้นสุดท้าย<br />

สำาหรับการรักษาเยียวยานั้น มะเร็งในระยะนี้พ้นเลยวิธีการ<br />

รักษาปกติ เช่น การผ่าตัด การรักษาเคมีบำาบัด หรือคีโม จะยังเหลือให้<br />

ลองดูก็โดยการรักษาแบบ “เจาะจง ตรงเป้า (Target Therapy)” ด้วย<br />

การกินยาที่เจาะจงไปยับยั้งการแพร่ขยายของตัวมะเร็งโดยตรง<br />

ไม่เกี่ยวข้องอวัยวะอื่นในร่างกาย<br />

ยาที่ว่านี้คือ “NEXAVAR” ราคาแพงมาก คนป่วยรายได้น้อย<br />

จึงไม่กล้าใช้ ด้วยไม่แน่ใจว่าใช้แล้วจะได้ผลจริงหรือไม่ เมื่อได้ซักไซ้<br />

ไล่เรียงโดยกุ้งและก้อยจนหมดสิ้นกระบวนความ ตกลงรับการรักษา<br />

ด้วยยา “NEXAVAR”<br />

ท้ายที่สุดหมอแนะนำาให้ทำา CT SCAN กระดูกที่โรงพยาบาล<br />

กรุงเทพ และ CT SCAN ปอดที่โรงพยาบาลพญาไทเพิ่มเติม เพื่อให้สิ้น<br />

สงสัยว่าเจ้ามะเร็งร้ายนี้ได้ลุกลามไปที่อื่นหรือไม่<br />

ผล CT SCAN ทั้งสองแห่งบอกว่าปลอดภัยดี จึงกลับมารับยา<br />

ที่โรงพยาบาลพญาไท เพื่อเริ่มต้นการรักษาเยียวยามะเร็งตับต่อไป<br />

วันที่ 28 มีนาคม 2559<br />

เริ่มต้นกินยานี้ วันละ 2 เม็ด หลังอาหารเช้า เป็นเวลา 15 วัน<br />

ยานี้อาจมีผลข้างเคียงหลายอย่าง เช่น คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด<br />

ท้องเดิน ร้อนใน มีแผลในปาก คันทั่วทั้งเนื้อทั้งตัว ให้ใช้น้ำายารักษา<br />

ผิวหนังแห้งชโลมทั้งตัว ถ้าอาการข้างเคียงอย่างใดอย่างหนึ่งรุนแรงมาก<br />

ให้ลดขนาดยาลงได้ หรือกลับไปหาหมอ<br />

93 94


ช่วงแรกของการกินยานี้ไม่ปรากฏผลข้างเคียงรุนแรงแต่อย่างใด...<br />

วันที่ 11 เมษายน 2559<br />

ผลตรวจเลือดพบว่า ค่า AFP (ตัวชี้ว่าเป็นมะเร็ง) ลดลงจาก<br />

5200 กว่าๆ มาเป็น 2500 กว่าๆ แสดงว่าการตอบสนองรับยาเป็นที่น่า<br />

พอใจ จึงสั่งให้เพิ่มขนาดของยา จากวันละ 2 เม็ด เป็นวันละ 3 เม็ด คือ<br />

เช้า 2 เม็ด เย็น 1 เม็ด<br />

ย่างเข้าวันที่ 2 ของการเพิ่มยา อาการข้างเคียงบางอย่าง<br />

เริ่มเกิดขึ้น เกิดอาการคันอย่างรุนแรงและเจ็บที่ใต้ฝ่าเท้าและส้นเท้า<br />

ทั้งสองข้าง ผิวหนังฝ่าเท้าและส้นเท้าบางลง และมีสีชมพูเรื่อๆ ส่วน<br />

อาการคันและเจ็บนั้นรุนแรง เดินเหินหรือทิ้งน้ำาหนักลงส้นเท้าแทบไม่ได้!!!<br />

วันที่ 20 เมษายน 2559<br />

ไปพบหมอเพื่อดูผลการออกฤทธิ์ยา ค่า AFP ลดลงอีกเหลือ<br />

1800 กว่าๆ ส่วนอาการคันและเจ็บส้นเท้าก็ให้หยุดกินยาสัก 2-3 วัน<br />

พอทุเลาค่อยกลับไปกินใหม่ พอหยุดยาได้ 2 วัน อาการดังกล่าวก็ทุเลา<br />

จึงกลับไปกินใหม่วันละ 3 เม็ด ตามเดิม<br />

NEXAVAR<br />

NEXAVAR เป็นยารักษามะเร็งแบบเจาะจงตรงเป้า (Target<br />

Therapy) แม้ว่ายังอยู่ในขั้นทดสอบความสัมฤทธิ์ผลของยาก็เป็นที่นิยม<br />

แพร่หลายในหมู่แพทย์ที่เห็นว่า มะเร็งในพ้นเลยการรักษาด้วยวิธีอื่นใด<br />

เนื่องด้วยยามีราคาแพง จึงมีผู้คนที่ใจบุญสุนทานเห็นใจเพื่อน<br />

มนุษย์ที่มีทุกข์เรื่องนี้ ร่วมกันจัดตั้งมูลนิธิขึ้นชื่อว่า “มูลนิธิรักษาโรค<br />

มะเร็ง” อยู่ในสถาบันมะเร็งแห่งชาติโรงพยาบาลรามาธิบดี<br />

จึงยื่นใบสมัครเข้าเป็นสมาชิก หลังการตรวจสอบเอกสาร<br />

หลักฐานต่างๆ เพื่อจะดูการมีตัวตนอยู่จริงของผู้ป่วย ก็ได้เข้าเป็น<br />

สมาชิกมูลนิธินี้ โดยจะได้ซื้อยาครั้งต่อๆ ไปในราคาเพียงครึ่งเดียว<br />

ค่อยเบาใจหน่อย...<br />

สถาบันโรคไต<br />

ภูมิราชนครินทร์<br />

โรงพยาบาลโรคไต พญาไท<br />

ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />

วันที่ 27 เมษายน 2559 ไปรับยา NEXAVAR ที่สถาบันโรคไต<br />

ภูมิราชนครินทร์ ซึ่งเป็นที่บริษัทผู้ผลิตยา NEXAVAR นำามามอบให้ไว้<br />

เพื่อแจกจ่ายแก่ผู้ป่วยโรคมะเร็งที่สถาบันมะเร็งส่งตัวมาขอรับยา<br />

ได้รับยามา 2 กล่อง นับเป็นกล่องที่ 3 และที่ 4 เดิมที่คิดว่า<br />

คงจะจ่ายเงินค่ายาเพียงครึ่งหนึ่ง ทางโรงพยาบาลบอกว่า เนื่องด้วย<br />

ผู้ป่วยได้จ่ายเงินสดซื้อยาไปแล้วจากโรงพยาบาลพญาไท2 กล่อง คราวนี้<br />

จึงไม่คิดเงิน เป็นการแถมให้ฟรี ทำาให้ประหยัดเงินไว้เป็นจำานวนมาก<br />

ช่างเป็นบุญกุศลดีงามแท้....<br />

95 96


ก้อยที่ศรีราขา<br />

ทำสุกี้ลี้ยงเพื่อนที่ ฟิลลิปปินส์<br />

กุ้งกะเก่งที่ ฟิลลิปปินส์


ตามล เป็นคนตลก<br />

“<br />

เจ้าหน้าที่กายภาพ: อากงงงง พร้อมเดินยังคร้าบบบ เครื่องติดรึยางงง<br />

ตา มล: ยังงง..... !!!!! (เสียงแข็ง) ยังงงไม่ดับบบ!!! (เครื่อง)<br />

พูดมาก หนวกหู้!!!<br />

“<br />

*ขอบคุณเจ้าหน้าที่กายภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพที่ยิ้มรับ*

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!