61
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
Êํҹѡ§Ò¹»ÅÑ´¡ÃзÃǧ¡ÅÒâËÁ<br />
˹‹Ç§ҹ¹âºÒÂáÅÐÂØ·¸ÈÒʵäÇÒÁÁÑ่¹¤§<br />
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
»‚·Õ่ òö ©ºÑº·Õ่ óóð ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¡Ñ¹ÂÒ¹ òõöñ<br />
www.lakmuangonline.com
“...¤¹·ÕèÍÒÂØÁÒ¡ ŒÒÃÑ¡ÉÒ¤ÇÒÁ´Õ ÃÑ¡ÉҤسÊÁºÑµÔ<br />
¤Ø³¸ÃÃÁ ¡çä´Œà»ÃÕº¤¹·ÕèÍÒÂعŒÍÂ<br />
áÅÐã¹»ÃÐà·ÈªÒµÔ ŒÒÁÕ¤¹·ÕèÁÕÍÒÂØÁÒ¡<br />
áÅÐä´Œà»ÃÕº ªÒµÔºŒÒ¹àÁ×ͧ¨Ð¡ŒÒÇ˹ŒÒä´Œ...”<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร<br />
ไดพระราชทานพระบรมราโชวาท<br />
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๔ ธันวาคม พ.ศ.๒๕๔๙
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์<br />
พล.อ.วันชัย เรืองตระกูล<br />
พล.อ.อ.สุวิช จันทประดิษฐ<br />
พล.อ.ไพบูลย เอมพันธุ<br />
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา<br />
พล.อ.ธีรเดช มีเพียร<br />
พล.อ.ธวัช เกษรอังกูร<br />
พล.อ.สัมพันธ บุญญานันต<br />
พล.อ.อูด เบื้องบน<br />
พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ<br />
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล<br />
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ<br />
พล.อ.กิตติพงษ เกษโกวิท<br />
พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร<br />
พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน<br />
พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษโยธิน<br />
พล.อ.นิพัทธ ทองเล็ก<br />
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน<br />
พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล<br />
พล.อ.ปรีชา จันทรโอชา<br />
พล.อ.ชัยชาญ ชางมงคล<br />
ที่ปรึกษา<br />
พล.อ.เทพพงศ ทิพยจันทร<br />
พล.อ.วิสุทธิ์ นาเงิน<br />
พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท ร.น.<br />
พล.อ.อ.สุรศักดิ์ ทุงทอง<br />
พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ<br />
พล.อ.สมศักดิ์ รุงสิตา<br />
พล.อ.ชัยพฤกษ พูนสวัสดิ์<br />
พล.อ.อนุชิต อินทรทัต<br />
พล.อ.นภนต สรางสมวงษ<br />
พล.ร.อ.ปรีชาญ จามเจริญ ร.น.<br />
พล.ท.ทรงพล พุมวิจิตร<br />
พล.ท.รักศักดิ์ โรจนพิมพพันธุ<br />
พล.ท.มโน นุชเกษม<br />
พล.ท.ปรีชา สายเพ็ชร<br />
พล.ท.ทวี พฤกษาไพรบูลย<br />
พล.ท.ศิรศักดิ์ ยุทธประเวศน<br />
พล.ท.ศิริพงษ วงศขันตี<br />
พล.ท.ชมพล อามระดิษ<br />
พล.ท.นรเศรษฐ ขรรทมาศ<br />
พล.ท.สราวุธ รัชตะนาวิน<br />
พล.ต.พุฒิประสิทธิ์ จิระมะกร<br />
พล.ต.ตางแดน พิศาลพงศ<br />
พล.ต.ภราดร จินดาลัทธ<br />
พล.ต.กานต กลัมพสุต<br />
พล.ต.ทินกร รังสิวัฒน<br />
พล.ต.ไชย หวางสิงห<br />
ผูอํานวยการ<br />
พล.ต.ยุทธนินทร บุนนาค<br />
รองผูอํานวยการ<br />
พ.อ.ภัทรนรินท วิจิตรพฤกษ<br />
พ.อ.ชูเลิศ จิระรัตนเมธากร<br />
ผูชวยอํานวยการ<br />
น.อ.พรหมเมธ อติแพทย ร.น.<br />
กองจัดการ<br />
ผูจัดการ<br />
น.อ.กฤษณ ไชยสมบัติ<br />
ประจํากองจัดการ<br />
พ.อ.ธนะศักดิ์ ประดิษฐธรรม<br />
พ.ท.ไพบูลย รุงโรจน<br />
เหรัญญิก<br />
น.อ.หญิง สมใจ กนกอุดม<br />
ฝายกฎหมาย<br />
น.อ.สุรชัย สลามเตะ<br />
พิสูจนอักษร<br />
พ.อ.หญิง วิวรรณ วรวิศิษฏธํารง<br />
กองบรรณาธิการ<br />
บรรณาธิการ<br />
พ.อ.สุวเทพ ศิริสรณ<br />
รองบรรณาธิการ<br />
พ.อ.วันชนะ สวัสดี<br />
น.อ.หญิง รสสุคนธ ทองใบ ร.น.<br />
ผูชวยบรรณาธิการ<br />
น.ท.หญิง ฉันทนี บุญปกษ<br />
ประจํากองบรรณาธิการ<br />
น.ท.วัฒนสิน ปตพี ร.น.<br />
พ.ท.ชุมศักดิ์ สมไรขิง<br />
พ.ท.ชาตบุตร ศรธรรม<br />
พ.ท.หญิง สมจิตร พวงโต<br />
น.ต.หญิง กัญญารัตน ชูชาติ ร.น.<br />
พ.ต.หญิง ลลิดา กลาหาญ<br />
ร.อ.วิเชษฐ คําสอนโพธิ์<br />
ร.ต.หญิง สุชาดา โยธาขันธ<br />
จ.ส.อ.สมหมาย ภมรนาค<br />
จ.ต.หญิง ศุภรเพ็ญ สุพรรณ
กันยายน เดือนสุดทายของปงบประมาณภาคราชการและเปนเดือน<br />
สุดทายของขาราชการที่รับราชการจนครบเกษียณอายุ เปนหวงเวลาที่เรา<br />
ไดระลึกถึงคุณงามความดี ความทุมเท ความเสียสละ และการประพฤติตน<br />
ที่ดีในการปฏิบัติงานของผูเกษียณอายุราชการทุกทาน ใหขาราชการรุนหลังไดใช<br />
เปนแบบอยางในการรับราชการตอไป<br />
ใน ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑ นี้ มีขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมหลายทาน<br />
ครบเกษียณอายุราชการ อาทิ พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม พรอมดวยรองปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม ๓ ทานคือ พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุงทอง<br />
และขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รวม ๑๕๗ นาย ที่ครบเกษียณอายุราชการในคราวเดียวกัน<br />
ซึ่งทุกทานลวนมีคุณูปการตอสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ที่พวกเราจะไดสืบสานสิ่งที่ทานไดวางแนวทาง<br />
ที่ดีงามเอาไวใหพวกเราดําเนินรอยตามตอไป<br />
วารสารหลักเมืองฉบับนี้ ไดรวบรวมประวัติ แนวคิด และหลักในการรับราชการของผูบังคับบัญชา<br />
มาใหทานผูอานไดติดตามและนําไปประยุกตใชตอยอดใหเกิดประโยชนตอตนเองและประเทศชาติตอไป<br />
กองบรรณาธิการวารสารหลักเมือง
๔<br />
เกียรติประวัติ พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
๑๐<br />
๑๔<br />
๑๘<br />
เกียรติประวัติ พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เกียรติประวัติ พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เกียรติประวัติ พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุงทอง<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
๒๒<br />
พลเอก ฐิตินันท ธัญญสิริ<br />
ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม<br />
๒๓<br />
พลเอก สิงหศักดิ์ อุทัยมงคล<br />
จเรทหารทั่วไป<br />
๒๔<br />
พลเอก สัมพันธ ธัญญพืช<br />
ผูอํานวยการองคการสงเคราะหทหารผานศึก<br />
๒๖<br />
๒๐ กันยายน<br />
วันคลายวันเฉลิมพระชนม องคทวิราชา<br />
๓๐<br />
พระผูทรงพัฒนาระบบขาราชการพลเรือนในระบบ<br />
ประชาธิปไตย (ตอนที่ ๑๐)<br />
๓๔<br />
เสด็จเตี่ยออกศึก<br />
ภารกิจรวมปราบจลาจลที่เกาะครีต (ตอนที่ ๒)<br />
๓๘<br />
๔๐<br />
๑ กันยายน ๒๕๖๑ วันคลายวันสถาปนา ปที่ ๒๙<br />
สํานักงานตรวจสอบภายในกลาโหม<br />
วันคลายวันสถาปนา กรมการสรรพกําลังกลาโหม<br />
๖ กันยายน ๒๕๖๑ ครบรอบ ๒๘ ป<br />
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
๔๐<br />
๔ ๑๐ ๑๔<br />
๔<br />
๑๘ ๒๒ ๒๓<br />
๒๔<br />
๒๖<br />
๓๔<br />
๔๒<br />
๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ วันคลายวันสถาปนา กรม<br />
พระธรรมนูญ ๑๑๒ ป ยุคแหงการปฏิรูปประเทศ<br />
๔๔<br />
๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ ๖๒ ป ศูนยพัฒนา<br />
ปโตรเลียมภาคเหนือ<br />
กรมการพลังงานทหาร ศูนยการอุตสาหกรรม<br />
ปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
๔๖<br />
๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ ๓๙ ป ศูนยอํานวยการสราง<br />
อาวุธ ศูนยการอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />
และพลังงานทหาร<br />
๔๘<br />
Desert Storm ปฏิบัติการพายุทะเลทราย<br />
“กําลังทางอากาศคือกําลังหลักอันโดดเดน<br />
ที่บุกเบิกทางไปสูการปลดปลอยอิรัก”<br />
๕๒<br />
สถาบันเทคโนโลยีปองกันประเทศ (องคการ<br />
มหาชน) กับการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม<br />
New S-Curve 11<br />
๕๖<br />
๕๘<br />
โครงการผลิตกระสุนขนาดกลาง<br />
โครงการสืบสานพระราชปณิธาน<br />
การอนุรักษ ดิน นํ้า และปา<br />
๖๐<br />
Violent Extremism<br />
๖๒<br />
“ชวยหยุด การฆาตัวตาย”<br />
๖๔<br />
ภาพกิจกรรม<br />
๔๘<br />
๕๒<br />
๔๔ ๕๖ ๕๘<br />
๖๒<br />
ขอคิดเห็นและบทความที่นําลงในวารสารหลักเมืองเปนของผูเขียน มิใชขอคิดเห็นหรือนโยบายของหนวยงานของรัฐ และมิไดผูกพันตอราชการแตอยางใด<br />
สํานักงานเลขานุการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร./โทรสาร ๐-๒๒๒๕-๘๒๖๒ http://<strong>61</strong>.19.220.3/opsd/sopsdweb/index_1.htm<br />
พิมพที่ : หางหุนสวนจํากัด อรุณการพิมพ ๔๕๗/๖-๗ ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร. ๐-๒๒๘๒-๖๐๓๓-๔ โทรสาร ๐-๒๒๘๐-๒๑๘๗-๘<br />
E-mail : art_aroonprinting@hotmail.com www.aroonkarnpim.co.th<br />
ออกแบบ : หางหุนสวนจํากัด อรุณการพิมพ
เกียรติประวัติ<br />
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
(ดํารงตําแหนงตั้งแต ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ - ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑)<br />
ยอดนักรบ สมญา บูรพาพยัคฆ ผูพิทักษ อธิปไตย ดวยใจหาญ<br />
เขารุกรบ อยางเด็ดเดี่ยว แลเชี่ยวชาญ ยุทธการ พนมปะ สะทานไกล<br />
ดําเนินกิจ ตามคําสั่ง อยางเครงครัด ปฏิบัติ ดวยซื่อตรง มิสงสัย<br />
ถวายงาน อันงดงาม ความปลอดภัย นอมรับใช บรมนาถฯ บาทยุคล<br />
เกียรติยศจักรดาว พราวพรายคา<br />
เดนสงา เกียรติประวัติ พิพัฒนผล<br />
ปลัดกลาโหม ผูยิ่งใหญ ครองใจชน ทั่วสกล ลวนเชื่อมั่น สรรคศรัทธา<br />
ซื่อสัตย มีวินัย ใฝหนาที่ อีกภักดี ราชวงศ คงสูงคา<br />
นิยามการ ปฏิบัติ แหงปรัชญา<br />
คือมรรคา ทหารไทย ใครจํานรรจ<br />
คือผูนํา แหงทหาร เชี่ยวชาญยุทธ คือบุรุษ ที่ชนไทย ลวนใฝฝน<br />
คือ พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ผูรังสรรค ความมั่นคง ธํารงไทย<br />
4
พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์<br />
เกิดเมื่อวันที่ ๒๘ พฤษภาคม<br />
๒๕๐๑ ที่จังหวัดปราจีนบุรี<br />
เป็นบุตรคนที่ ๕ ในจำนวนพี่น้อง ๖ คน<br />
ของพันตำรวจตรี สุรพล ทิพยจันทร์ กับ<br />
นางวราภรณ์ ทิพยจันทร์ ได้สมรสกับ<br />
นางนริศรา ทิพยจันทร์ มีธิดา ๒ คน คือ<br />
นางสาวณัฐรวี และร้อยตรีหญิง สุทธินันท์<br />
ทิพยจันทร์ ชีวิตในวัยเด็กเติบโตที่จังหวัด<br />
พระนครศรีอยุธยา เข้ารับการศึกษา<br />
ชั้นมัธยมศึกษาตอนต้น จากโรงเรียน<br />
อยุธยาวิทยาลัย และชั้นมัธยมศึกษา<br />
ตอนปลายจากโรงเรียนปทุมคงคา จากนั้น<br />
ได้ก้าวเข้าสู่ชีวิตทหารด้วยการเข้าเป็น<br />
นักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ ๑๘ และ<br />
เข้ารับการศึกษาต่อที่โรงเรียนนายร้อย<br />
พระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ ๒๙<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
5
ประวัติการศึกษา<br />
พ.ศ.๒๕๑๘ : โรงเรียนเตรียมทหาร<br />
รุ่นที่ ๑๘<br />
พ.ศ.๒๕๒๕ : โรงเรียนนายร้อย<br />
พระจุลจอมเกล้า รุ่นที่ ๒๙<br />
พ.ศ.๒๕๒๘ : หลักสูตรชั้นนายร้อย<br />
เหล่าทหารราบ รุ่นที่ ๗๐<br />
พ.ศ.๒๕๓๑ : หลักสูตรชั้นนายพัน<br />
เหล่าทหารราบ รุ่นที่ ๔๙<br />
พ.ศ.๒๕๓๓ : โรงเรียนเสนาธิการ<br />
ทหารบก หลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ ๖๘<br />
พ.ศ.๒๕๕๕ : วิทยาลัยป้องกันราช<br />
อาณาจักร รุ่นที่ ๕๔<br />
ท่านบรรจุเข้ารับราชการครั้งแรก<br />
ในปี พ.ศ.๒๕๒๕ โดยเลือกบรรจุใน<br />
เหล่าทหารราบ สังกัดกองพันทหารราบที่ ๓<br />
กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ฯ ซึ่ง<br />
มีที่ตั้ง ณ ค่ายนวมินทราชินี จังหวัดชลบุรี<br />
ตลอดระยะเวลาในการรับราชการได้เป็น<br />
แบบอย่างที่ดีให้กับเพื่อนร่วมงานและ<br />
ผู้ใต้บังคับบัญชา ปฏิบัติงานด้วยความ<br />
วิริยะ อุตสาหะ เป็นที่ไว้วางใจของ<br />
ผู้บังคับบัญชา และมีความก้าวหน้าในการ<br />
รับราชการมาเป็นลำดับ<br />
6
ตำแหน่งที่สำคัญ<br />
พ.ศ.๒๕๒๕ : ผู้บังคับหมวดปืนเล็ก<br />
กองร้อยอาวุธเบาที่ ๓ กองพันทหารราบที่ ๓<br />
กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ฯ<br />
พ.ศ.๒๕๓๐ : ผู้บังคับกองร้อยอาวุธเบา<br />
ที่ ๓ กองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบ<br />
ที่ ๒๑ รักษาพระองค์ฯ<br />
พ.ศ.๒๕๓๙ : ผู้บังคับกองพันทหารราบ<br />
ที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ฯ<br />
พ.ศ.๒๕๔๑ : ผู้บังคับกองพันทหารราบ<br />
ที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ฯ<br />
พ.ศ.๒๕๕๐ : ผู้บังคับการกรมทหาร<br />
ราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์ฯ<br />
พ.ศ.๒๕๕๔ : ผู้บัญชาการกองพล<br />
ทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค์<br />
พ.ศ.๒๕๕๖ : รองแม่ทัพภาคที่ ๑<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ : แม่ทัพน้อยที่ ๑<br />
พ.ศ.๒๕๕๘ : แม่ทัพภาคที่ ๑<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ : ผู้ช่วยผู้บัญชาการ<br />
ทหารบก<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ : ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ท่านเป็นผู้ที่มีความจงรักภักดีต่อ<br />
สถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ เป็น<br />
อย่างยิ่ง และได้ปฏิบัติงานด้วยความวิริยะ<br />
อุตสาหะ เสียสละ รับผิดชอบตามบทบาท<br />
หน้าที่ รวมทั้งงานที่ได้รับมอบหมายจาก<br />
ผู้บังคับบัญชา โดยยึดหลักการทำงาน คือ<br />
“ซื่อสัตย์มีวินัย ใฝ่หน้าที่ภักดีราชวงศ์”<br />
ในด้านการปกครองบังคับบัญชา<br />
ท่านมีลักษณะผู้นำที่เป็นเอกลักษณ์ คือ<br />
มีความสุขุม รอบคอบ สุภาพ อ่อนน้อม<br />
ต่อผู้มีความอาวุโสกว่า มีความเมตตา<br />
กรุณาเอื้ออาทรต่อผู้น้อย ใส่ใจใน<br />
รายละเอียด ทั้งเรื่องงาน และความพร้อม<br />
ของผู้ปฏิบัติงานในทุกด้าน จนถึงความ<br />
เป็นอยู่ในครอบครัว ทำให้สามารถ<br />
ครองใจผู้ใต้บังคับบัญชา และพร้อมที่<br />
จะทุ่มเทสติปัญญา แรงกาย แรงใจ<br />
อย่างเต็มกำลังที่จะปฏิบัติงานให้บรรลุ<br />
ผลสำเร็จ<br />
คุณลักษณะผู้นำที่โดดเด่นอีก<br />
ประการหนึ่งที่แฝงอยู่ในความเรียบง่าย<br />
คือ ความกล้าหาญ การมีจิตใจที่เข้มแข็ง<br />
เด็ดเดี่ยว ที่แสดงให้เห็นตั้งแต่ดำรง<br />
ตำแหน่งผู้บังคับหมวด โดยที่ท่านได้รับ<br />
มอบหมายให้เป็นหัวหน้าชุดปฏิบัติการ<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
7
เข้าร่วมป้องกันและผลักดันกองกำลัง<br />
ต่างชาติ กรณีเหตุการณ์รุกล้ำเขตแดนไทย<br />
และมีการรบปะทะ เมื่อวันที่ ๒ เมษายน<br />
พ.ศ.๒๕๒๖ บริเวณเขาพนมปะ อำเภอ<br />
ตาพระยา จังหวัดปราจีนบุรี (จังหวัด<br />
สระแก้วในปัจจุบัน) โดยผลักดันกองกำลัง<br />
ต่างชาติออกไปเป็นผลสำเร็จ และจาก<br />
เหตุการณ์ครั้งนั้น ทำให้ท่านได้หลักการ<br />
ทำงานที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ<br />
“การไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้างหลัง”<br />
ในด้านสังคม ปกติภารกิจทางทหาร<br />
จะมีโอกาสทำงานเพื่อสังคมที่สำคัญ คือ<br />
การสนับสนุนส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง<br />
ในการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
การช่วยเหลือประชาชนในเรื่องต่างๆ<br />
ที่เร่งด่วนเฉพาะหน้า ซึ่งเรื่อง<br />
ดังกล่าวนี้ ท่านปฏิบัติได้<br />
ครบถ้วน ตามบทบาทหน้าที่<br />
ผู้บังคับหน่วยระดับต่างๆ ตั้งแต่<br />
กองพันจนถึงกองทัพภาค<br />
ผลงานที่โดดเด่นในการ<br />
ช่วยเหลือประชาชน คือ ในคราวที่<br />
ท่านดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการ<br />
กองพลทหารราบที่ ๒ รักษา<br />
พระองค์ นอกจากท่านต้องเตรียม<br />
กำลังตามภารกิจของกองพลทหารราบ<br />
ที่ ๒ รักษาพระองค์ และใช้กำลังตาม<br />
ภารกิจของกองกำลังบูรพาแล้ว ในภารกิจ<br />
การช่วยเหลือประชาชน นับเป็นภารกิจ<br />
ที่ท่านได้รับความไว้วางใจจากผู้บังคับ<br />
บัญชาให้บริหารจัดการสถานการณ์<br />
อุทกภัย เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๔ ซึ่งประเทศไทย<br />
เกิดอุทกภัยครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ ๗๐ ปี<br />
ก่อความเสียหายเป็นวงกว้างไปทั่วประเทศ<br />
เวลานั้น พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์<br />
ขณะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการกองพลทหาร<br />
ราบที่ ๒ รักษาพระองค์ ได้รับคำสั่งให้มา<br />
รับผิดชอบชะลอปริมาณน้ำที่จะไหลเข้า<br />
กรุงเทพฯ โดยนำกำลังพลทั้งหมดไปบรรจุ<br />
กระสอบทรายกว่า ๑,๗๐๐,๐๐๐ กระสอบ<br />
แล้วนำไปวางกั้นน้ำคู่ขนานกับถนนรังสิต<br />
– องครักษ์ ระยะทาง ๑๗ กิโลเมตร เพื่อ<br />
รักษาพื้นที่ชะลอการไหลของน้ำ มิให้น้ำไหล<br />
เข้าท่วมพื้นที่ชั้นใน โดยมีประชาชน<br />
มาร่วมเป็นจิตอาสาจำนวนมาก เนื่องจาก<br />
ปริมาณน้ำฝนในปีนั้นมีปริมาณสูงมาก<br />
จึงไม่อาจต้านทานเอาไว้ได้ น้ำไหลบ่า<br />
เข้าท่วมบ้านเรือนประชาชน ทำให้ไม่<br />
สามารถสัญจรไปมาได้อย่างสะดวก<br />
ภารกิจจึงเปลี่ยนเป็นการช่วยเหลือ<br />
ประชาชนในทุกด้าน โดยมีภารกิจหลักคือ<br />
นำรถมารับ-ส่งประชาชนถนนรังสิต -<br />
นครนายก จนถึงฟิวเจอร์พาร์ครังสิต<br />
8
ในกรณีที่รถไม่สามารถแล่นได้ก็ใช้วิธี<br />
ลากเรือให้ประชาชนนั่ง รวมไปถึงการตั้ง<br />
โรงครัวทำอาหารนำไปส่งให้ประชาชน<br />
ที่ไม่สามารถทำอาหารหรือออกมาหา<br />
ซื้ออาหารเอง เป็นปฏิบัติการที่มีระยะเวลา<br />
นานนับเดือนกว่าน้ำจะลดลงจนเข้าสู่<br />
สภาวะปกติ แต่ภารกิจของกองทัพก็ยัง<br />
ไม่หมดลงเพียงแค่นั้นเพราะยังมีภารกิจ<br />
ในการฟื้นฟูอีกด้วย ช่วงเวลานั้นท่านไป<br />
ตรวจเยี่ยมกำลังพลหมุนเวียนแต่ละวัน<br />
เพื่อให้ดูแลประชาชนอย่างทั ่วถึง โดยให้<br />
กำลังใจผู้ใต้บังคับบัญชาเสมอว่า<br />
“ขอให้อดทนให้นึกถึงพระมหากรุณา<br />
ธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ที่ทรงห่วงใยประชาชนว่าเราต้องทำงาน<br />
รับใช้ประชาชน ต้องช่วยเหลือประชาชน<br />
ทุกเรื่องที่สามารถทำได้โดยไม่มีข้อแม้”<br />
และนั่นทำให้กำลังพลทุกนายทุ่มเท<br />
ทำงานอย่างเต็มที่โดยไม่ได้หวังผลใดๆ<br />
แม้ในเวลานั้นประชาชนทั่วไปอาจไม่ได้<br />
มองกองทัพในทางที่ดีนัก ซึ่งผลการปฏิบัติ<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
งานในครั้งนั้น แม้ไม่สามารถป้องกันน้ำท่วม<br />
ได้ทั้งหมด (ที่ประสบความสำเร็จ<br />
สามารถป้องกันน้ำท่วมได้ คือที่นิคม<br />
อุตสาหกรรมบางชัน) แต่ก็ช่วยฟื้นฟู<br />
ความรู้สึกของประชาชนที่มีต่อกองทัพ<br />
ในทางที่ดีขึ้นอย่างเกินความคาดหมาย<br />
งานเพื่อสังคมที่สำคัญอีกประการหนึ่ง<br />
คือ การทำนุบำรุงพุทธศาสนา ท่านได้ทำ<br />
กิจกรรมสนับสนุนพุทธศาสนา ในโอกาส<br />
ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเป็นประธานการ<br />
จัดสร้างพระพุทธวัชรชัยบพิตรถวาย<br />
ในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษาสมเด็จ<br />
พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ<br />
ในรัชกาลที่ ๙ ครบรอบ ๘๔ พรรษา<br />
ประดิษฐาน ณ วัดป่าสิริวัฒนวิสุทธิ์<br />
ในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยา<br />
ณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์<br />
อำเภอท่าตะโก จังหวัดนครสวรรค์<br />
อนึ่ง ในชีวิตการรับราชการที่ท่าน<br />
ภาคภูมิใจ และถือเป็นสิริมงคลต่อชีวิตท่าน<br />
และครอบครัว นอกเหนือจากความสำเร็จ<br />
ตามแนวทางการรับ<br />
ราชการที่ได้รับความเชื่อมั่น<br />
ไว้วางใจจากผู้บังคับ<br />
บัญชาให้ดำรงตำแหน่ง<br />
ที่สำคัญตามลำดับ<br />
ตั้งแต่ผู้บังคับกองพัน<br />
ผู้บังคับการกรม<br />
ผู้บัญชาการกองพล<br />
แม่ทัพภาค จนถึงปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม คือ การปฏิบัติหน้าที่<br />
นายทหารเสริมกำลังพิเศษถวายความ<br />
ปลอดภัย พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และ<br />
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม<br />
ราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ อย่างใกล้ชิด<br />
ณ พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน และ<br />
แต่ละคราวที่เสด็จแปรพระราชฐาน<br />
ไปประทับแรมในภูมิภาคต่างๆ ของประเทศ<br />
เพื่อเยี่ยมเยียนราษฎร และติดตามงาน<br />
ตามโครงการพระราชดำริต่างๆ ตั้งแต่ปี<br />
พ.ศ.๒๕๒๖ ถึง พ.ศ.๒๕๕๙ รวมถึงปฏิบัติ<br />
หน้าที่เป็นรองผู้อำนวยการศูนย์ศิลปาชีพ<br />
บางไทร ในสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์<br />
พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ตั้งแต่ปี<br />
พ.ศ.๒๕๔๕ ถึงปัจจุบัน<br />
ดังนั้น ตลอดชีวิตการรับราชการ<br />
ของท่าน นับแต่จบการศึกษาจากโรงเรียน<br />
นายร้อยพระจุลจอมเกล้าจวบจนปัจจุบัน<br />
ท่านได้สร้างคุณประโยชน์กับทางราชการ<br />
และสังคมในภาพรวมอย่างต่อเนื่อง<br />
อีกทั้งการปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างแก่ผู้ที่<br />
มีโอกาสได้ร่วมปฏิบัติงานในห้วงเวลา<br />
ต่างๆ ถือว่าเป็นการสร้างคน สร้างสังคม<br />
ให้มีคุณภาพก่อเกิดประโยชน์ต่อกองทัพ<br />
และประเทศชาติ<br />
“ซื่อสัตย์ มีวินัย ใฝ่หน้าที่<br />
ภักดีราชวงศ์”<br />
9
เกียรติประวัติ<br />
พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
(ดํารงตําแหนงตั้งแต ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑)<br />
นายทหาร เหลาปนใหญ ใจองอาจ ปกปองชาติ ทิศเหนือราบ ปราบเคืองเข็ญ<br />
เสริมมั่นคง ดํารงไทย ใหรมเย็น บังเกิดเปน สงบสุข ทุกโมงยาม<br />
ดูแลงาน กําลังพล พหลกิจ<br />
รักษาสิทธิ ผูทํางาน การสนาม<br />
สันติสุข ชายแดนใต ใครนิยาม เพิ่มกิจนาม พ.ส.ร. กอแรงใจ<br />
รองปลัดฯ งานเลิศลํ้า กําลังพล กอเกิดผล สวัสดิการ งานยิ่งใหญ<br />
อีกบํารุง พระศาสนา พากาวไกล<br />
เคียงคูไทย สองแสงธรรม นําเจริญ<br />
คือ ชายชาญ ทหารกลา เวลานี้ สรางความดี กอมงคล ชนสรรเสริญ<br />
คือ พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน<br />
ผูกาวเดิน บนกิจทหาร สานทางธรรม<br />
10
่<br />
พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน เกิดเมื่อ<br />
วันที่ ๖ พฤษภาคม ๒๕๐๑<br />
เป็นบุตรของ ร้อยตรี ประเสริฐกับ<br />
นางวิมล นาเงิน สมรสกับ นางวิไลวรรณ<br />
นาเงิน มีบุตร ๑ คนคือ นางสาววิสุตา นาเงิน<br />
สมรสกับ นายกษิดิศ สุวรรณอำไพ<br />
ประวัติการศึกษา<br />
• หลักสูตรมัธยมศึกษาตอนต้น<br />
โรงเรียนวัดราชาธิวาส<br />
• หลักสูตรนักเรียนเตรียมทหาร รุ่นที่ ๑๗<br />
• หลักสูตรโรงเรียนนายร้อยพระ<br />
จุลจอมเกล้า รุ่นที่ ๒๘<br />
• หลักสูตรโรงเรียนเสนาธิการทหารบก<br />
หลักสูตรหลักประจำ ชุดที่ ๖๗<br />
• หลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต<br />
สาขาบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<br />
หลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร<br />
ภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.) รุ่นที่ ๕๔<br />
• หลักสูตรผู้บริหารระดับสูง ของ<br />
สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ ๒๕<br />
สถาบันวิทยาการตลาดทุน<br />
• หลักสูตรผู้บริหารระดับสูงด้าน<br />
วิทยาการพลังงานรุ่นที่ ๑๑ สถาบัน<br />
วิทยาการพลังงาน<br />
แรงบันดาลใจในการเป็นทหาร<br />
“จากการที่เกิดใน<br />
ครอบครัวทหาร ด้วยสายเลือด<br />
ทำให้รักในอาชีพทหาร เพราะ<br />
ทหารทำให้ประเทศไทยสามารถ<br />
รักษาอธิปไตยมาถึงทุกวันนี้”<br />
หลังจากสำเร็จการศึกษา<br />
ในระดับมัธยมศึกษาตอนต้น<br />
โรงเรียนวัดราชาธิวาส จึงสอบเข้าเรียนที่<br />
โรงเรียนเตรียมทหาร และเมื่อ พ.ศ.๒๕๑๙<br />
สำเร็จการศึกษาได้เลือกศึกษาในหลักสูตร<br />
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าใน<br />
รุ่นที่ ๒๘ โดยสำเร็จการศึกษาบรรจุเข้ารับ<br />
ราชการในปี พ.ศ.๒๕๒๔<br />
ประวัติการทำงาน<br />
พ.ศ.๒๕๒๔ นายทหารลาดตระเวน<br />
และแผนที่ กองร้อยทหารปืนใหญ่ กองพัน<br />
ทหารปืนใหญ่ที่ ๒๐<br />
พ.ศ.๒๕๒๙ ผู้บังคับกองร้อยทหาร<br />
ปืนใหญ่ กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๒๐<br />
พ.ศ.๒๕๓๑ นายทหารยุทธการและ<br />
การฝึก กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๒๐<br />
พ.ศ.๒๕๓๔ หัวหน้าแผนก กรม<br />
กำลังพลทหารบก<br />
พ.ศ.๒๕๓๘ นายทหารฝ่ายเสนาธิการ<br />
ประจำกรมกำลังพลทหารบก<br />
พ.ศ.๒๕๔๗ นายทหารฝ่ายเสนาธิการ<br />
ประจำรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด<br />
พ.ศ.๒๕๔๘ ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่าย<br />
เสนาธิการประจำรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด<br />
พ.ศ.๒๕๔๙ ผู้ช่วยเจ้ากรมเสมียนตรา<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ รองเจ้ากรมเสมียนตรา<br />
พ.ศ.๒๕๕๘ เจ้ากรมเสมียนตรา<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ รองปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม<br />
ความภาคภูมิใจในชีวิตรับราชการ<br />
ด้วยในขณะที่สำเร็จการศึกษาจาก<br />
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ช่วงปี<br />
พ.ศ.๒๕๒๔ ในขณะนั้น สถานการณ์<br />
ความมั ่นคงของประเทศไทยมีความคิดที่<br />
แตกต่างทางอุดมการณ์การเมือง แนว<br />
ชายแดนด้านทิศเหนือมีการสู้รบกับ<br />
ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มากขึ้น ด้วยความ<br />
มุ่งมั่นในการรักษาอธิปไตย และมีความ<br />
ตั้งใจที่จะปฏิบัติราชการที่หน่วยในพื้นที<br />
ชายแดน จึงได้เลือกเข้ารับราชการในเหล่า<br />
ทหารปืนใหญ่ ตำแหน่งนายทหารลาด<br />
ตระเวนและแผนที่ กองร้อยทหารปืนใหญ่<br />
กองพันทหารปืนใหญ่ที่ ๒๐ จังหวัด<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
11
อุตรดิตถ์ ซึ่งหน่วยได้จัดกำลังพลและ<br />
ยุทโธปกรณ์เข้าปราบปรามผู้ก่อการร้าย<br />
คอมมิวนิสต์ตามแนวชายแดนของจังหวัด<br />
อุตรดิตถ์ และด้านอำเภอห้วยโก๋น จังหวัด<br />
น่าน ซึ่งมีฐานที่มั่นอยู่ห่างไกลจากหน่วย<br />
ปกติมาก การปฏิบัติภารกิจในขณะนั้น เป็น<br />
ไปด้วยความยากลำบาก จากปัญหาการ<br />
เดินทางและการส่งกำลังบำรุง รวมทั้ง<br />
ยุทโธปกรณ์หลักคือ ปืนใหญ่ขนาด ๗๕<br />
มิลลิเมตร ที่จะต้องลำเลียงทางเฮลิคอปเตอร์<br />
ในช่วงที่รับราชการที่หน่วยแห่งนี้ ท่านได้<br />
เข้าร่วมยุทธการป้องกันประเทศหลายครั้ง<br />
โดยตำแหน่งสุดท้ายที่ท่านรับราชการในหน่วยนี้<br />
คือ นายทหารฝ่ายยุทธการและการฝึก<br />
หลังจากสำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน<br />
เสนาธิการทหารบก พ.ศ.๒๕๓๑ ท่านเลือก<br />
ที่จะรับราชการในกรมกำลังพลทหารบก<br />
โดยมุ่งหวังที่จะได้ดูแลสิทธิกำลังพลให้แก่<br />
กำลังพลที่อยู่หน่วยปกติที่มีที่ตั้งห่างไกล<br />
และผู้ที่ปฏิบัติงานสนามอย่างทั่วถึง และ<br />
รวดเร็ว ซึ่งนับเป็นการเริ่มงานด้านการ<br />
บริหารทรัพยากรบุคคลของกองทัพบก<br />
ในตำแหน่งหัวหน้าแผนกกรมกำลังพล<br />
ทหารบก และช่วงเวลาต่อมาได้ปฏิบัติงาน<br />
เป็นฝ่ายอำนวยการประจำผู้บังคับบัญชา<br />
ของกองทัพบกซึ่งกำกับดูแลงานด้านการ<br />
กำลังพลของกองทัพบก<br />
พ.ศ.๒๕๔๘ ได้รับพระราชโองการ<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้ช่วย<br />
หัวหน้าฝ่ายเสนาธิการประจำรอง<br />
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (อัตรา พลตรี)<br />
ด้วยประสบการณ์และความมีวิสัยทัศน์<br />
ในด้านการบริหารทรัพยากรบุคคล จึงได้<br />
รับมอบหมายจาก รองผู้บัญชาการทหาร<br />
สูงสุดในขณะนั้น ให้ร่วมปฏิบัติงาน<br />
ในกองอำนวยการเสริมสร้างสันติสุขจังหวัด<br />
ชายแดนภาคใต้ ซึ่งจากการที่ได้ปฏิบัติ<br />
ภารกิจนี้ ทำให้เห็นว่าเจ้าหน้าที่ต้องปฏิบัติ<br />
งานอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงภัย และมี<br />
ขีดจำกัดในการปฏิบัติ มีโอกาสเกิดการสูญเสีย<br />
ชีวิตอยู่ตลอดเวลา เพื่อเป็นขวัญกำลังใจ<br />
แก่เจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงาน จึงได้เสนอ<br />
แนวทางให้พิจารณาเงินเพิ่มพิเศษเพื่อการ<br />
สู้รบ หรือ พ.ส.ร. ซึ่งแนวทางการได้รับ<br />
พ.ส.ร. ดังกล่าวได้มีการพัฒนาและปฏิบัติ<br />
อย่างเป็นรูปธรรม โดยยังคงยึดถือปฏิบัติ<br />
มาจนถึงปัจจุบัน<br />
เมื่อ พ.ศ.๒๕๔๙ ท่านได้รับพระบรม<br />
ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง<br />
ผู้ช่วยเจ้ากรมเสมียนตรา นับเป็นการ<br />
ปฏิบัติงานในฐานะผู้บริหารของหน่วยงาน<br />
ที่มีภารกิจในการบริหารทรัพยากรบุคคล<br />
ในระดับกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้ใช้ความรู้<br />
ความสามารถปฏิบัติงานเพื่อรักษาสิทธิ<br />
ประโยชน์ให้แก่กำลังพลทุกระดับ เป็นผล<br />
ให้ได้รับความเชื่อมั่นจากหน่วยงานภายใน<br />
กระทรวงกลาโหม และหน่วยงานภายนอก<br />
และได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ<br />
แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองเจ้ากรม<br />
เสมียนตรา ในปี พ.ศ.๒๕๕๗ และเป็น<br />
เจ้ากรมเสมียนตรา ในปี<br />
พ.ศ.๒๕๕๘ ตามลำดับ<br />
ตลอดระยะเวลาที่ดำรง<br />
ตำแหน่งผู้บริหารของ<br />
กรมเสมียนตรา ตั้งแต่<br />
ปี พ.ศ.๒๕๔๙ - ๒๕๖๐<br />
ได้แนะนำให้กำลังพล<br />
ปฏิบัติงานในรูปแบบ<br />
ของการทำงานเชิงรุก โดยใช้หลักการคิด<br />
แบบฝ่ายอำนวยการบนพื้นฐานของข้อมูล<br />
ข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความ<br />
โปร่งใส รอบคอบ รวดเร็ว และมีความ<br />
สุภาพอ่อนน้อมต่อผู้ที่มาติดต่อราชการ<br />
และในขณะดำรงตำแหน่งเจ้ากรมเสมียน<br />
ตรา ได้เพิ่มการดูแลด้านสวัสดิการเพื่อ<br />
แก้ไขปัญหาความเดือดร้อนขั้นต้น สร้าง<br />
ขวัญกำลังใจในการปฏิบัติงานให้แก่กำลัง<br />
พลในสังกัด โดยจัดกิจกรรมการพบปะ<br />
กำลังพล เลี้ยงอาหารกลางวัน แจกจ่าย<br />
สิ่งจำเป็นในการครองชีพอย่างสม่ำเสมอ<br />
เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ทำให้กำลัง<br />
พลมีความสุขในการทำงาน เป็นผลให้<br />
ภารกิจของกรมเสมียนตราบรรลุผลสำเร็จ<br />
เป็นที่ยอมรับจากหน่วยงานอื่น และ<br />
ได้รับความชื่นชมจากผู้บังคับบัญชา<br />
ชั้นสูงอย่างเสมอมา<br />
12
การพัฒนาตนเอง<br />
นอกจากการใช้ความรู้และ<br />
ประสบการณ์ในการพัฒนาการทำงาน<br />
ให้แก่ผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ยังสร้างโอกาส<br />
ในการพัฒนาตนเองเพื่อจะนำความรู้ที่ได้<br />
รับมาพัฒนาหน่วยงานอีกด้วย โดยได้เข้ารับ<br />
การศึกษาในหลักสูตรต่างๆ เพิ่มเติมดังนี้<br />
พ.ศ.๒๕๔๗ ได้เข้ารับการศึกษา<br />
ในหลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต<br />
สาขาบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<br />
พ.ศ.๒๕๕๔ ได้เข้ารับการศึกษา<br />
ในหลักสูตรวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร<br />
ภาครัฐร่วมเอกชน (ปรอ.)<br />
ซึ่งในรุ่นเดียวกันนี้มีผู้บังคับบัญชา<br />
ชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม และผู้นำองค์กร<br />
ทั้งในภาครัฐและเอกชนอีกหลายท่าน<br />
เข้ารับการศึกษา ท่านได้รับความไว้วางใจ<br />
จากเพื่อนร่วมรุ่นให้ดำรงตำแหน่งประธาน<br />
นักศึกษาตั้งแต่เมื่อเข้ารับการศึกษาจนถึง<br />
ปัจจุบัน ซึ่งได้ดูแลด้านสวัสดิการให้แก่<br />
เพื่อนนักศึกษา และจัดกิจกรรมเพื่อหาเงิน<br />
รายได้ให้กับรุ่นตลอดมา<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ ได้รับคัดเลือกให้เข้ารับ<br />
การศึกษาในหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง<br />
สถาบันวิทยาการตลาดทุน รุ่นที่ ๒๕ ของ<br />
สถาบันวิทยาการตลาดทุน<br />
พ.ศ.๒๕๖๑ ได้รับเชิญให้เข้ารับการ<br />
ศึกษาในหลักสูตรผู้บริหารระดับสูง<br />
ด้านวิทยาการพลังงานรุ่นที่ ๑๑ ของ<br />
สถาบันวิทยาการพลังงาน และได้รับเลือก<br />
ให้รับตำแหน่งประธานนักศึกษาด้วย<br />
ราชการพิเศษ<br />
ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ โปรดเกล้าฯ<br />
แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งราชการพิเศษ ดังนี้<br />
พ.ศ.๒๕๔๙ น า ย ท ห า ร พิ เ ศ ษ<br />
ประจำกรมทหารปืนใหญ่ที่ ๑ รักษาพระองค์<br />
พ.ศ.๒๕๕๔ นายทหารพิเศษ ประจำ<br />
กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ นายทหารพิเศษ ประจำ<br />
กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองค์<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ ตุลาการศาลทหารสูงสุด<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ ราชองครักษ์เวร<br />
รางวัลแห่งความสำเร็จ<br />
จากการเข้ารับการศึกษาในหลักสูตร<br />
ปริญญารัฐศาสตรมหาบัณฑิต สาขาบริหาร<br />
รัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่านได้<br />
นำความรู้ที่ได้รับมาประยุกต์ใช้ในการ<br />
บริหารหน่วยงาน เป็นผลให้ได้รับความ<br />
เชื่อมั่นจากหน่วยงานภายในกระทรวง<br />
กลาโหมและหน่วยงานภายนอก ประกอบ<br />
กับท่านมีความก้าวหน้าในหน้าที่ราชการ<br />
จนได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ<br />
แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม คณะรัฐศาสตร์ร่วมกับ<br />
สมาคมรัฐศาสตร์แห่งมหาวิทยาลัย<br />
ธรรมศาสตร์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ จึงได้<br />
มอบรางวัลศิษย์เก่ารัฐศาสตร์ดีเด่น<br />
ด้านความมั่นคง ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๐<br />
และในฐานะที่เป็นพุทธมามกะ<br />
ท่านได้ส่งเสริมกิจกรรมเพื่อทำนุบำรุง<br />
พระพุทธศาสนาในหน่วยงาน และ<br />
สนับสนุนการปฏิบัติกับหน่วยอื่นอย่าง<br />
ต่อเนื่อง จนได้รับการคัดเลือกให้เข้ารับ<br />
พระราชทานรางวัลเสาเสมาธรรมจักร<br />
ประเภทส่งเสริมกิจการคณะสงฆ์<br />
จากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ<br />
สยามบรมราชกุมารี เนื่องในเทศกาล<br />
วิสาขบูชา ประจำปี พ.ศ.๒๕๖๐ ซึ่งนับว่า<br />
เป็นรางวัลทรงเกียรติสูงสุดในชีวิตของ<br />
พุทธศาสนิกชน<br />
แนวทางในการรับราชการที่ทำให้ประสบ<br />
ความสำเร็จ<br />
ในฐานะของการเป็นฝ่ายอำนวยการ<br />
ต้องทำงานบนพื้นฐานของข้อมูล ข้อเท็จจริง<br />
ที่ถูกต้องครบถ้วน ทำการวิเคราะห์ตาม<br />
หลักเกณฑ์ที่กำหนดไว้ นำเรียนให้ข้อเสนอแนะ<br />
ที่เหมาะสม เพื่อประกอบการตัดสินใจของ<br />
ผู้บังคับบัญชา<br />
คติประจำใจ “คิดอย่างฝ่ายอำนวยการ<br />
ทำงานอย่างมืออาชีพ”<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
13
เกียรติประวัติ<br />
พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
(ดํารงตําแหนงตั้งแต ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑)<br />
ผูการเรือ เลิศลํ้า นําคุณคา ลอยนาวา สวนสนาม งามศักดิ์ศรี<br />
รวมอวดธง สวยสงา ราชนาวี เรือหลวงกระบี่ ความภูมิใจ ไทยทั้งมวล<br />
ถวายงาน แด ลนเกลาฯ ของเผาไทย ณ แดนใต ดวยจงรัก ภักดีถวน<br />
ปรากฏเกียรติ นาสรรเสริญ เกินประมวล ทุกกิจลวน จิตเชิดชู องคภูมินทร<br />
เกียรติยศจักรดาว เพริศพราวสงา คือศรัทธา ปรากฏอยู มิรูสิ้น<br />
รองปลัดฯ รังสรรคงาน การแผนดิน นํายลยิน ธัชวิทยา พามงคล<br />
ปรัชญา ผูนําดี มีคุณธรรม<br />
นําความรู สูปฏิบัติ วิวัฒนผล<br />
พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท ผูบริพนธ ความมั่นคง ทางทะเล<br />
14
พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท์<br />
เกิดที่โรงพยาบาลศิริราช<br />
เขตบางกอกน้อย จังหวัด<br />
กรุงเทพมหานคร เป็นบุตรของ นาวาเอก<br />
ณรงค์ - นางทัศนีย์ ลุมพิกานนท์<br />
ด้านครอบครัว<br />
ท่านสมรสกับ นาวาเอกหญิง ศศิธร<br />
ลุมพิกานนท์ มีบุตรสาวหนึ่งคน คือ<br />
เรือตรีหญิง ศจีนาฏ ลุมพิกานนท์<br />
ด้านการศึกษา<br />
หลังจากสำเร็จ<br />
การศึกษาระดับชั้น<br />
มัธยมศึกษา จากโรงเรียน<br />
อัสสัมชัญธนบุรี<br />
ท่านเข้ารับการศึกษา<br />
ณ โรงเรียนเตรียมทหาร<br />
รุ่นที่ ๑๗ นักเรียนนายเรือ รุ่นที่ ๗๔ ระหว่าง<br />
รับราชการ ท่านได้เข้ารับการศึกษาเพิ่มเติม<br />
ในหลักสูตรต่างๆ ตามแนวทางการรับ<br />
ราชการ อาทิ หลักสูตรเสนาธิการทหารเรือ<br />
รุ่นที่ ๕๒ วิทยาลัยการทัพเรือ รุ่นที่ ๓๕<br />
หลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรภาครัฐ<br />
ร่วมเอกชน (ปรอ.รุ่นที่ ๒๔) วิทยาลัย<br />
ป้องกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการ<br />
ป้องกันประเทศ รุ่นที่ ๒๕๕๔ และหลักสูตร<br />
ปริญญาโท สาขารัฐประศาสนศาสตร<br />
มหาบัณฑิต มหาวิทยาลัยบูรพา<br />
ด้านการรับราชการ<br />
เริ่มต้นบรรจุเป็นนายทหารสัญญาบัตร<br />
ในกองเรือยุทธการ และรับตำแหน่ง<br />
สำคัญเป็น ผู้บังคับการเรือในกองเรือ<br />
ยุทธการนี้ถึง ๔ ลำ คือ เรือหลวงจุฬา<br />
เรือหลวงกูด เรือหลวงพงัน และเรือหลวง<br />
สีชัง ซึ่งในระหว่างนั้นได้มีผลงานที่โดดเด่น<br />
อาทิ ในระหว่างเป็นผู้บังคับการเรือหลวงพงัน<br />
ได้ปฏิบัติภารกิจค้นหาและกู้เครื่องบิน<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
ปราบเรือดำน้ำของกองทัพเรือ ซึ่งประสบ<br />
อุบัติเหตุตกในทะเลที่จังหวัดสงขลา จน<br />
สามารถนำร่างนักบินและลูกเรือ และซาก<br />
เครื่องบินทั้งลำส่งให้กองการบินทหารเรือ<br />
พิสูจน์หาสาเหตุต่อไป จนได้รับหนังสือ<br />
ชมเชยการปฏิบัติราชการ และได้รับ<br />
เครื่องหมายความสามารถนักบินกิตติมศักดิ์<br />
ของกองทัพเรือเป็นกรณีพิเศษ<br />
ผลงานโดดเด่นอีกครั้งเมื่อดำรง<br />
ตำแหน่งผู้บังคับการเรือหลวงสีชัง ได้รับ<br />
ภารกิจจากรัฐบาลให้นำข้าวสารไปช่วย<br />
เหลือประเทศฟิลิปปินส์ ที่ประสบภัยพิบัติ<br />
จากภูเขาไฟปินาตูโบระเบิด และได้รับ<br />
เกียรติเข้าพบประธานาธิบดีของประเทศ<br />
ฟิลิปปินส์ ณ ทำเนียบมาลากันยัง<br />
อีกหนึ่งงานสำคัญที่ถือได้ว่าเป็น<br />
เกียรติยศสูงสุดคือ การที่ได้มีโอกาสร่วม<br />
ถวายงานสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม<br />
ราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทร<br />
เทพยวรางกูร ในโอกาสเสด็จพระราชดำเนิน<br />
แปรพระราชฐาน ณ เรือนรับรองที่ประทับ<br />
แหลมหางนาค จังหวัดกระบี่ และพระ<br />
ตำหนักทักษิณราชนิเวศน์ จังหวัดนราธิวาส<br />
ในคณะนายทหารเรือที่ได้ถวายความ<br />
ปลอดภัยระหว่างที่พระองค์ท่านทรงงาน<br />
ในพื้นที่ จนได้รับพระราชทานเหรียญ<br />
ที่ระลึกสำหรับผู้ถวายงานใกล้ชิด<br />
อีกครั้งหนึ่งเมื่อท่านดำรงตำแหน่ง<br />
เสนาธิการโรงเรียนนายเรือ ได้รับมอบ<br />
ภารกิจให้ปฏิบัติหน้าที่ในเรือหลวง<br />
ในตำแหน่งผู้บังคับหน่วยเรือฝึกนายทหาร<br />
นักเรียนหลักสูตรประกาศนียบัตรบัณฑิต<br />
ปฏิบัติภารกิจในการฝึกผสม Asian Defence<br />
Ministers’ Meeting Plus Maritime<br />
Security Field Training Exercise (ADMM-<br />
PLUS MS FTX), การฝึก Triton<br />
Centenary 2013-1 (TC 13-1) และเข้า<br />
ร่วมสวนสนามทางเรือนานาชาติ International<br />
Fleet Review 2013 (IFR 2013) ในโอกาส<br />
ครบรอบ ๑๐๐ ปี กองทัพเรือออสเตรเลีย<br />
ซึ่งนับเป็นเกียรติยศสูงสุดของนายทหารเรือไทย<br />
ที่ได้นำเรือหลวงกระบี่ เรือตรวจการณ์ไกล<br />
ฝั่งที่ต่อโดยคนไทยพร้อมกำลังพล ๑๗๘<br />
ชีวิต ไปอวดธงราชนาวีร่วมการฝึกและ<br />
สวนสนามนานาชาติร่วมกับประเทศต่างๆ<br />
กว่า ๒๐ ประเทศ ใช้เวลาในการปฏิบัติ<br />
ภารกิจนี้ ๗๕ วัน รวมระยะทางกว่า<br />
๑๓,๐๐๐ ไมล์ทะเล<br />
และในภารกิจนี้เอง ท่านยังได้นำ<br />
โครงการ “กองทุนน้ำใจไทย เพื่อผู้เสียสละ<br />
ในจังหวัดชายแดนภาคใต้และพื้นที่รับผิดชอบ<br />
กองทัพเรือ” ไปเผยแพร่ให้คนไทย<br />
ในเครือรัฐออสเตรเลีย ได้มีส่วนร่วมในการ<br />
แสดงความรักชาติ และตระหนักถึงความ<br />
เสียสละ ผลการดำเนินการทำให้คนไทย<br />
ในเครือรัฐออสเตรเลียร่วมใจกันบริจาค<br />
และร่วมจัดงานราตรี “ร่วมร้อยดวงใจ<br />
คนไทยไกลบ้านเพื่อกองทัพเรือ” ได้เงินบริจาค<br />
กว่า ๑,๗๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านเจ็ดแสน<br />
บาทถ้วน)<br />
15
นอกจำกนี้ท่ำนได้ดำรงตำแหน่ง<br />
สำคัญของกองทัพเรือ ได้แก่ ผู้อำนวยกำร<br />
ศูนย์ศึกษำยุทธศำสตร์ทหำรเรือ เจ้ำกรม<br />
กิจกำรพลเรือนทหำรเรือ รองเสนำธิกำร<br />
ทหำรเรือ และดำรงตำแหน่งเป็นรองปลัด<br />
กระทรวงกลำโหม ระหว่ำง ๑ ตุลำคม<br />
๒๕๖๐ ถึง ๓๐ กันยำยน ๒๕๖๑ โดยเมื่อ<br />
ท่ำนดำรงตำแหน่งรองผู้อำนวยกำรศูนย์<br />
ศึกษำยุทธศำสตร์ทหำรเรือ ในปี พ.ศ.<br />
๒๕๕๑ ได้ร่วมงำนกับสำนักงำนสภำควำม<br />
มั่นคงแห่งชำติ โดยได้รับมอบหมำยให้เป็น<br />
หัวหน้ำคณะทำงำนในกำรศึกษำควำมเป็น<br />
ไปได้ในกำรจัดตั้งหน่วยยำมฝั่ง (Coast<br />
Guards) ของประเทศไทย และต่อเนื่อง<br />
ด้วยกำรเป็นอนุกรรมกำรเฉพำะกิจจัดทำ<br />
ร่ำงนโยบำยควำมมั่นคงแห่งชำติทำงทะเล<br />
พ.ศ.๒๕๕๓ – ๒๕๕๗ จำกนั้นแม้ว่ำจะต้อง<br />
ย้ำยไปดำรงตำแหน่งตำมกำรเจริญเติบโตใน<br />
หน้ำที่รำชกำร แต่ พลเรือเอก จุมพลฯ ก็ยัง<br />
ได้รับมอบหมำยให้มีส่วนร่วมในงำนด้ำน<br />
ควำมมั่นคงแห่งชำติทำงทะเลอย่ำงต่อเนื่อง<br />
อำทิ เป็นอนุกรรมกำรจัดกำรควำมรู้<br />
เพื่อผลประโยชน์แห่งชำติทำงทะเล เป็น<br />
ประธำนอนุกรรมกำรด้ำนกำรให้ควำมรู้<br />
เกี่ยวกับผลประโยชน์และควำมมั่นคงแห่ง<br />
ชำติทำงทะเล และหัวหน้ำคณะทำงำนใน<br />
กำรจัดทำร่ำงยุทธศำสตร์ควำมมั่นคงแห่งชำติ<br />
ทำงทะเล พ.ศ.๒๕๕๘ – ๒๕๖๒ ซึ่งต่อมำ<br />
ได้พัฒนำมำเป็นแผนควำมมั่นคงแห่งชำติ<br />
ทำงทะเล พ.ศ.๒๕๕๘ – ๒๕๖๔ ตำมมติ<br />
คณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๒๑ ตุลำคม ๒๕๕๗<br />
ต่อเนื่องมำถึงกำรเป็นรองประธำน<br />
อนุกรรมกำรประสำนแผนติดตำมและ<br />
ประเมินผลกำรปฏิบัติงำนตำมแผนควำม<br />
มั่นคงแห่งชำติทำงทะเล พ.ศ.๒๕๕๘ –<br />
๒๕๖๔ ในคณะกรรมกำรประสำนงำนของ<br />
สภำควำมมั่นคงแห่งชำติ นอกจำกนั้นยังได้<br />
รับมอบหมำยให้ทำงำนด้ำนควำมมั่นคง<br />
แห่งชำติทำงทะเลอีกหลำยคณะ เนื่องจำก<br />
เป็นผู้ที่รอบรู้ในด้ำนงำนควำมมั่นคงทำง<br />
ทะเลอย่ำงแท้จริง ซึ่งจะเห็นได้จำกควำม<br />
สำเร็จของแผนควำมมั่นคงแห่งชำติทำงทะเล<br />
พ.ศ.๒๕๕๘ – ๒๕๖๔ ที่สำมำรถนำมำสู่กำร<br />
ปฏิบัติอย่ำงเป็นรูปธรรมได้<br />
ถือได้ว่ำจำกควำมมำนะ อุตสำหะของ<br />
ท่ำนที่พยำยำมแสวงหำและใช้ควำมรู้ควำม<br />
สำมำรถและประสบกำรณ์ในกำรปฏิบัติงำน<br />
ทำงทะเล โดยใช้หลักกำร “มั่นคง มั่งคั่ง<br />
ยั่งยืน” มำเป็นกรอบแนวคิด ควบคู่ไปกับ<br />
ประสำนควำมเข้ำใจกับหน่วยงำนทำงทะเล<br />
ทั้งงำนควำมมั่นคง ควำมมั่งคั่ง และมีอยู่<br />
อย่ำงยั่งยืน มำนำเสนอให้เห็นถึงควำมสำคัญ<br />
ของผลประโยชน์ของชำติทำงทะเลที่มี<br />
มูลค่ำมหำศำล มีภัยคุกคำมรูปแบบใดบ้ำง<br />
ที่มีผลกระทบต่อผลประโยชน์และจะทำให้<br />
ผลประโยชน์ที่มีอยู่อย่ำงยั่งยืนได้อย่ำงไร<br />
โดยกำหนดเป็นยุทธศำสตร์และแนวทำง<br />
กำรปฏิบัติพร้อมกำหนดหน่วยงำนรับผิดชอบ<br />
ไว้อย่ำงชัดเจน นับเป็นแผนระดับชำติ<br />
ฉบับแรกที่ได้บูรณำกำรงำนควำมมั่นคง<br />
มั่งคั่ง และยั่งยืนไว้อย่ำงชัดเจน ไม่เพียงแต่<br />
ผลงำนในกำรจัดทำแผนควำมมั่นคงแห่ง<br />
ชำติทำงทะเลเท่ำนั้น ท่ำนยังได้รับมอบ<br />
หมำยให้เป็นหัวหน้ำคณะทำงำนต่อเนื่อง<br />
ในกำรจัดทำร่ำงพระรำชบัญญัติกำรรักษำ<br />
ผลประโยชน์แห่งชำติทำงทะเล พ.ศ. .... เพื่อ<br />
เป็นเครื่องมือในกำรขับเคลื่อนแผนควำม<br />
มั่นคงแห่งชำติทำงทะเลอีกด้วย ซึ่งเมื่อ<br />
พระรำชบัญญัติดังกล่ำวประกำศออกใช้อย่ำง<br />
เป็นทำงกำรแล้ว จะทำให้ประเทศไทยมีกำร<br />
บูรณำกำร ในกำรดูแลผลประโยชน์ของชำติ<br />
ทำงทะเลได้อย่ำงสมบูรณ์ ทั้งในระดับ<br />
นโยบำย ระดับปฏิบัติ และจะก่อให้มีกำร<br />
เสริมสร้ำงงำนวิชำกำรที่เกี่ยวข้องกับกำร<br />
รักษำผลประโยชน์ของชำติทำงทะเล จึงนับ<br />
ได้ว่ำท่ำนได้ดำเนินงำนด้ำนผลประโยชน์<br />
และควำมมั่นคงของชำติทำงทะเล มำตั้งแต่<br />
เริ่มต้นจนถึงปัจจุบันมีควำมเป็นรูปธรรม<br />
ทั้งแผนควำมมั่นคงแห่งชำติทำงทะเล พระรำช<br />
บัญญัติกำรรักษำผลประโยชน์แห่งชำติ<br />
ทำงทะเล ซึ่งถือได้ว่ำทะเลไทยได้มีทิศทำง<br />
และแนวทำงในกำรดูแลผลประโยชน์แห่ง<br />
ชำติทำงทะเล ทั้งในมิติของควำมมั่นคง<br />
มั่งคั่ง และยั่งยืนแล้ว ด้วยควำมรู้ควำม<br />
สำมำรถและประสบกำรณ์ในกำรทำงำน<br />
ของท่ำน ในเรื่องผลประโยชน์และควำม<br />
มั่นคงแห่งชำติทำงทะเลดังกล่ำว ทำให้<br />
ผู้บังคับบัญชำให้ควำมไว้วำงใจมอบหมำย<br />
งำนให้ทำหน้ำที่สำคัญ คืองำนโฆษกกองทัพ<br />
เรือ และโฆษกศูนย์บัญชำกำรแก้ไขปัญหำ<br />
กำรทำกำรประมงผิดกฎหมำย (ศปมผ.)<br />
ซึ่งท่ำนได้มีส่วนร่วมในกำรแก้ไขปัญหำกำร<br />
ทำประมง และปัญหำแรงงำนผิดกฎหมำย<br />
ในเรือประมงและโรงงำนแปรรูปสัตว์น้ำ<br />
ด้วย โดยงำนดังกล่ำวเป็นเรื่องที่เป็นมิติทำง<br />
วิชำกำรที่เข้ำใจได้ยำก มีควำมซับซ้อน<br />
จำเป็นต้องอธิบำยให้สื่อมวลชนหรือ<br />
ประชำชน ทั้งทำงวิทยุ โทรทัศน์ และสื่อ<br />
สำธำรณะต่ำงๆ<br />
นอกจำกนี้ท่ำนยังได้รับมอบหน้ำที่<br />
สำคัญเป็นตัวแทนประเทศไทย ไปร่วม<br />
ประชุมเกี่ยวกับงำนผลประโยชน์และควำม<br />
มั่นคงของชำติทำงทะเล ที่สำคัญ อำทิ<br />
- เป็นผู้แทนประเทศไทยไปร่วม<br />
ประชุม The Council for Security<br />
Cooperation in the Asia Pacific<br />
(CSCAP) ซึ่งเป็นกำรประชุมเกี่ยวกับควำม<br />
ร่วมมือด้ำนควำมมั่นคงทำงทะเลในภูมิภำค<br />
เอเชีย-แปซิฟิก ที่สำธำรณรัฐเกำหลี<br />
- เป็นหัวหน้ำคณะผู้แทนประเทศไทย<br />
เข้ำร่วมประชุม The 20 th Anniversary of<br />
the code of Conduct for Responsible<br />
Fisheries of the FAO ซึ่งเป็นกำรประชุม<br />
เกี่ยวกับปัญหำกำรทำกำรประมง<br />
ผิดกฎหมำย ณ รำชอำณำจักรสเปน<br />
16
- เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนประเทศไทย<br />
ในการประชุมคณะทำงานเฉพาะกิจความ<br />
มั่นคงทางทะเล (Maritime Security)<br />
ระหว่างไทย-อินเดีย ณ กรุงนิวเดลี<br />
สาธารณรัฐอินเดีย<br />
- เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนรัฐมนตรี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหมในการประชุม<br />
Moscow Conference on International<br />
Security 2018 ณ กรุงมอสโก<br />
สหพันธรัฐรัสเซีย<br />
ไม่เพียงแต่การเป็นผู้ที่ริเริ่มและเป็น<br />
หลักสำคัญในการจัดทำแผนความมั่นคง<br />
แห่งชาติทางทะเลและร่างพระราชบัญญัติ<br />
รักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลเท่านั้น<br />
ท่านยังนำความรู้และประสบการณ์ที่มี<br />
เผยแพร่ความรู้ความเข้าใจที่ถูกต้องสู่ภาค<br />
ประชาชน ทั้งในรูปแบบของการบรรยาย<br />
ตามสถานศึกษาตั้งแต่ระดับบริหาร ได้แก่<br />
วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัย<br />
เสนาธิการทหาร วิทยาลัยการทัพ โรงเรียน<br />
เสนาธิการเหล่าทัพ ตลอดจนถึงระดับ<br />
มหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน และระดับ<br />
ปฏิบัติคือ หลักสูตรต่างๆ ของกองทัพเรือ<br />
และในสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ในรูปแบบของการให้ความรู้ในเวทีเสวนา<br />
ทางวิชาการสาธารณะทั้งที่จัดโดยภาครัฐ<br />
สื่อมวลชน และเวทีระหว่างประเทศ<br />
ด้วยความรู้ความสามารถ ความ<br />
เชี่ยวชาญ ความรอบรู้ ทำให้ท่านได้รับการ<br />
แต่งตั้งเป็นคณะทำงานเรื่องทรัพยากรทาง<br />
ทะเลและชายฝั่ง ในคณะกรรมการปฏิรูป<br />
ประเทศด้านทรัพยากรธรรมชาติและ<br />
สิ่งแวดล้อม<br />
นอกจากงานด้านผลประโยชน์และ<br />
ความมั่นคงของชาติทางทะเลแล้ว ท่านยัง<br />
มีความโดดเด่นในความรู้เกี่ยวกับเอกลักษณ์<br />
และความภูมิใจในความเป็นชาติ โดย<br />
พลเรือเอก จุมพลฯ เป็นนักธัชวิทยา (ผู้รอบรู้<br />
เกี่ยวกับเรื่องธง) ที่รอบรู้เรื่องธงชาติ และ<br />
ธงราชนาวี จนสำนักงานส่งเสริมเอกลักษณ์<br />
ของชาติ สำนักนายกรัฐมนตรี ได้เชิญให้เป็น<br />
วิทยากรหลักในการให้ความรู้กับประชาชน<br />
ในโครงการ “ธงไตรรงค์ธำรงไทย” และนำ<br />
เสนอให้เกิดโครงการ “๑๐๐ ปี ธงชาติไทย<br />
ร้อยดวงใจไทยทั้งชาติ” จนกระทั่งรัฐบาล<br />
กำหนดให้วันที่ ๒๘ กันยายน ๒๕๖๐<br />
เป็นวันครบรอบ ๑๐๐ ปี การประกาศใช้<br />
ธงไตรรงค์เป็นธงชาติไทย พร้อมทั้งกำหนด<br />
ให้วันที่ ๒๘ กันยายนของทุกปีเป็น “วัน<br />
พระราชทานธงชาติไทย” กับทั้งได้เขียน<br />
บทความเกี่ยวกับธงชาติและธงราชนาวี<br />
จนได้รับรางวัลบทความดีเด่น “รางวัล<br />
พลเรือเอก กวี สิงหะ” ประจำปี ๒๕๕๔<br />
จากผลงานที่เป็นที่ประจักษ์เป็น<br />
ประโยชน์ต่อสังคมโดยรวม ท่านได้ปฏิบัติ<br />
และดำเนินการมาอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้<br />
ช่วงเวลาที่ผ่านมา หลายองค์กรได้เล็งเห็น<br />
ในคุณความดี การเสียสละเป็นคุณูปการแก่<br />
ประเทศชาติ จึงได้มอบรางวัลเกียรติยศ<br />
ให้ท่าน ดังนี้<br />
๑. รางวัลตราชั่งทอง กระทรวง<br />
ยุติธรรม ปี ๒๕๕๗ โดย พลอากาศเอก กำธน<br />
สินธวานนท์ องคมนตรี มอบให้ในฐานะเป็น<br />
บุคคลที่มีจิตอาสา ด้านการสงเคราะห์และ<br />
ทำคุณประโยชน์ให้กับสังคม<br />
๒. รางวัลโล่เกียรติคุณ “สิงห์ทอง”<br />
โดย นายอำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี<br />
มอบให้แก่ผู้ที่เป็นแบบอย่าง “ผู้บริหารและ<br />
นักพัฒนาองค์กรดีเด่นแห่งปี ประจำปี<br />
๒๕๕๘ “รางวัลธรรมาภิบาล”<br />
๓. รางวัล “เกียรติยศจักรดาว” สาขา<br />
บริหารการปกครองและเสริมสร้างความ<br />
มั่นคงฯ ประจำปี ๒๕๖๐ โดย พลเอก<br />
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี<br />
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
มอบให้แก่ศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร<br />
ที่มีผลงานดีเด่น<br />
๔. รางวัลเกียรติบัตร “พ่อตัวอย่าง”<br />
ประจำปี ๒๕๖๐ โดย พลอากาศเอก ชลิต<br />
พุกผาสุข องคมนตรี มอบให้แก่ ผู้ที่มีความ<br />
จงรักภักดีต่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์<br />
มีความเลื่อมใสในการปกครองระบอบ<br />
ประชาธิปไตย มีอายุ ๕๐ ปีขึ้นไป มีภรรยา<br />
คนเดียว ส่งบุตร-ธิดาได้รับการศึกษา<br />
ไม่ทอดทิ้ง บุตรธิดาประกอบอาชีพสุจริต<br />
เป็นผู้เสียสละ บำเพ็ญประโยชน์ต่อสังคม,<br />
ดำรงตนในศีลธรรมและประกอบสัมมาชีพ<br />
โดยสุจริต<br />
๕. รางวัลโล่เกียรติคุณ “ศิษย์เก่า<br />
ดีเด่นโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี” ประจำปี<br />
๒๕๖๐ โดย ดร.วีรยุทธ บุญพราหมณ์<br />
ผู้อำนวยการโรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี<br />
ด้วยผลงานจากความรู้ความสามารถ<br />
และประสบการณ์ ในการปฏิบัติราชการ<br />
ของ พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท์ ทั้งใน<br />
ด้านการบริหารปกครองในฐานะผู้บังคับ<br />
หน่วยทหาร รวมทั้งงานด้านการรักษา<br />
ผลประโยชน์และความมั่นคงของชาติทาง<br />
ทะเล ที่เป็นที่ประจักษ์จนได้รับการยอมรับ<br />
ทั้งจากหน่วยงานภาครัฐและภาคประชาชน<br />
ทั่วไป จึงนับเป็นแบบอย่างที่ดี ควรค่า<br />
ที่จะได้รับการยกย่องเชิดชู เป็นแบบอย่าง<br />
ให้อนุชนรุ่นหลังและนายทหารรุ่นน้องต่อไป<br />
สมกับที ่ได้ตั้งปณิธานในการรับราชการ<br />
ไว้ว่า “ผู้นำที่ดีต้องมีคุณธรรม”<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
17
เกียรติประวัติ<br />
พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุงทอง<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
(ดํารงตําแหนงตั้งแต ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ – ๓๐ กันยายน ๒๕๖๑)<br />
ยอดนักบิน เครื่องบินรบ บรรจบกิจ พรอมอุทิศ เลือดเนื้อ เพื่อฟนฝา<br />
ปกปองชาติ อธิปไตย ในนภา ทั่วนานฟา ชาติไทย ใหมั่นคง<br />
ผูชวยทูต กิจทหาร งานสรางสรรค เสริมวิเทศสัมพันธ อันสูงสง<br />
รองปลัดฯ เทคโนโลยี ที่ยืนยง รวมธํารง อุตสาหกรรม นําพึ่งพา<br />
งานเสนาธิการกิจ วิศิษฐเยี่ยม จึงคงเปยม ผลงานดี ทวีคา<br />
งานนิติบัญญัติ เสริมรัฐ วัฒนา สรางมรรคา นิติธรรม นําใฝปอง<br />
คือนักรบ เจนจบงาน การเวหา คือผูบังคับบัญชา สมญากอง<br />
พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุงทอง สานครรลอง ราชการ งานชอบธรรม<br />
18
พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุ่งทอง<br />
เกิดเมื่อวันที่๒ กรกฎาคม พ.ศ.<br />
๒๕๐๑ สมรสกับนางจารุณี<br />
ทุ่งทอง มีบุตร ธิดา ๒ คน คือ นายเมษย์<br />
ทุ่งทอง และนางสาวปณิตา ทุ่งทอง<br />
ด้านการศึกษา<br />
ท่านสำเร็จการศึกษาระดับมัธยมศึกษา<br />
จากโรงเรียนทองประสาทเวทย์ จังหวัด<br />
อุทัยธานีสอบได้เข้าเป็นนักเรียนเตรียมทหาร<br />
รุ่นที่ ๑๘ เลือกเรียนเหล่าทหารอากาศ<br />
เป็นนักเรียนนายเรืออากาศ รุ่นที่๒๕ หลังจาก<br />
ที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายเรือ<br />
อากาศ เมื่อปี พ.ศ.๒๕๒๕ แล้วได้เข้ารับ<br />
การศึกษาต่อที่โรงเรียนการบิน (กำแพงแสน)<br />
รุ่น น.๗๑–๒๕-๑ จนสำเร็จการศึกษา<br />
ได้รับการบรรจุเป็นนักบินของกองทัพ<br />
อากาศ ท่านได้เข้ารับการศึกษาในหลักสูตร<br />
หลักต่างๆ ของทางราชการอย่างต่อเนื่อง<br />
อาทิ โรงเรียนนายทหารชั้นผู้บังคับฝูง<br />
รุ่นที่ ๖๕ โรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ<br />
รุ่นที่๓๗ วิทยาลัยการทัพอากาศ รุ่นที่๔๒<br />
และวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่๕๔<br />
รวมทั้งได้เข้ารับการศึกษาหลักสูตรจาก<br />
ต่างประเทศ เช่น Mission Commander<br />
Course ณ The Pacific Advanced Combat<br />
Employment School at Clark Airbase, F-5<br />
Advanced Fighter Course MTT กองบิน ๑<br />
และการฝึกอบรมการตรวจสอบและสร้าง<br />
เครื่องบินขับไล่และฝึกไอพ่นแบบ L-39<br />
(บ.ขฝ.๑) ณ ประเทศสาธารณรัฐเช็ก และ<br />
เครื่องบินโจมตีไอพ่นแบบ Alpha Jet<br />
ณ สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี เป็นต้น<br />
ด้านการบิน<br />
หลังจากที่ได้สำเร็จการฝึกบินขั้น<br />
พื้นฐานจากโรงเรียนการบินแล้ว ท่านได้<br />
รับการฝึกอบรมเพื ่อเป็นนักบินขับไล่กับ<br />
เครื่องบินฝึกไอพ่นขั้นสูงแบบ T-33 (บ.ฝ.๑๑)<br />
จนสำเร็จหลักสูตรฯ จากนั้นเส้นทาง<br />
ของนักบินรบจึงได้เริ่มต้นขึ้น ท่านได้รับ<br />
การคัดเลือกให้ทำการบินกับเครื่องบินขับไล่<br />
ไอพ่น แบบ F-5 (บ.ข.๑๘/ก/ข/ค)<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
19
กับฝูงบิน ๑๐๓ และฝูงบิน ๑๐๒ กองบิน ๑<br />
ซึ่งในขณะนั้นประเทศไทยกำลังเกิดข้อ<br />
พิพาทบริเวณแนวชายแดนทางด้าน<br />
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือ<br />
รวมทั้งตกอยู่ในระหว่างสถานการณ์การ<br />
ปราบปรามผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ท่านได้รับ<br />
มอบหมายจากกองทัพอากาศให้ร่วม<br />
วางแผนการโจมตีทางอากาศและเข้า<br />
ปฏิบัติการรบทางอากาศเหนือพื้นที่<br />
เป้าหมายของข้าศึก เป็นการแสดงออกถึง<br />
ความสามารถและความกล้าหาญของท่าน<br />
ในฐานะนักบินรบของกองทัพอากาศ<br />
อีกทั้งเป็นนักบินทดสอบระบบอาวุธตาม<br />
โครงการพัฒนาขีดความสามารถเครื่องบิน<br />
แบบ F-5 E/F นอกจากนี้ท่านได้มีส่วนร่วม<br />
ในการก่อตั้งฝูงบิน ๗๑๑ กองบิน ๗<br />
(สุราษฎร์ธานี) ซึ่งได้รับการบรรจุเครื่องบิน<br />
ขับไล่ไอพ่น แบบ F-5 ทดแทนเครื่องบิน<br />
โจมตี OV-10 (บ.จ.๕) แบบเดิม เป็น<br />
การวางรากฐานกำลังรบในการดูแล<br />
ผลประโยชน์แห่งชาติทางทะเลของ<br />
ประเทศไทย ครองอากาศเหนือน่านฟ้า<br />
อ่าวไทยและอันดามัน เมื่อกองทัพอากาศ<br />
ได้ริเริ่มจัดตั้งฝูงฝึกนักบินขับไล่โจมตี<br />
ขั้นต้น ณ ฝูงบิน ๑๐๑ กองบิน ๑ (นครราชสีมา)<br />
โดยใช้เครื่องบินขับไล่และฝึกไอพ่น แบบ<br />
L-39 (บ.ขฝ.๑) ในการฝึกบินนักบินขับไล่<br />
ขั้นต้น และสนับสนุนทางอากาศ<br />
โดยใกล้ชิด นับได้ว่าเป็นห้วงเวลาที่สำคัญ<br />
ในการเสริมเขี้ยวเล็บใหม่ของกองทัพ<br />
อากาศให้มีขีดความสามารถทางอากาศ<br />
ทัดเทียมนานาอารยประเทศ ในการ<br />
พัฒนาด้านการฝึกอบรมนักบินให้มีความ<br />
พร้อมในการปฏิบัติภารกิจของกองทัพ<br />
อากาศนั้น จึงมีความต้องการนักบินขับไล่<br />
โจมตีที ่มีความรู้ ความสามารถ เพื่อริเริ่ม<br />
และก่อตั้งฝูงบินฝึกขับไล่โจมตีขั้นต้น ท่าน<br />
ได้อาสาสมัครและได้รับคัดเลือกให้เข้าร่วม<br />
ปฏิบัติภารกิจอันสำคัญนี้โดยมีส่วนสำคัญ<br />
20
ในการไปเข้ารับการฝึกบิน เพื่อเป็นนักบิน<br />
พร้อมรบ นักบินลองเครื่อง และครูการบิน<br />
เครื่องบินไอพ่น แบบ L-39 ณ ประเทศ<br />
สาธารณรัฐเช็ก ตลอดจนเป็นคณะ<br />
กรรมการตรวจรับอากาศยานดังกล่าว<br />
รวมทั้งจัดทำคู่มือการฝึกบินและเอกสาร<br />
เทคนิคการเสนอแนะข้อมูลในการ<br />
ปรับปรุงระบบอากาศยาน ซึ่งข้อมูลต่างๆ<br />
เหล่านี้ได้ถูกพัฒนาและใช้งานจนกระทั่ง<br />
ปัจจุบัน จากประวัติและผลงานด้านการบิน<br />
ที่ผ่านมา นับได้ว่าท่านปฏิบัติหน้าที่<br />
นักรบทางอากาศ หรือเสืออากาศได้<br />
อย่างสมบูรณ์แบบ<br />
ในการรับราชการทหาร ท่านได้ดำรง<br />
ตำแหน่งสำคัญๆ อาทิ เป็นผู้บังคับฝูงบิน<br />
๑๐๑ กองบิน ๑ (นครราชสีมา) เป็น<br />
ผู้บังคับการกองบิน ๒๓ (อุดรธานี) เป็นผู้ช่วย<br />
ทูตทหารอากาศไทย ณ กรุงวอชิงตัน ดีซี<br />
ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นเสนาธิการ<br />
กรมควบคุมการปฏิบัติทางอากาศ เป็น<br />
เจ้ากรมข่าวทหารอากาศ เป็นรองเสนาธิการ<br />
ทหารอากาศ เป็นเสนาธิการทหารอากาศ<br />
จนกระทั่งปัจจุบันท่านได้รับพระราช<br />
โองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้รับ<br />
ราชการในตำแหน่งรองปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม โดยตลอดระยะเวลา ๑ ปี ท่าน<br />
ได้รับมอบหมายให้รับผิดชอบในสายงาน<br />
ด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและ<br />
พลังงานทหาร ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
กิจการอวกาศและไซเบอร์ และด้าน<br />
วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
นอกจากนั้นท่านยังได้รับมอบหมายให้<br />
ดำรงตำแหน่งสำคัญของกองทัพไทยและ<br />
ประเทศชาติ เช่น เป็นสมาชิกสภา<br />
นิติบัญญัติแห่งชาติ เป็นกรรมการสถาบัน<br />
เทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การ<br />
มหาชน) และเป็นกรรมการสภาองค์การ<br />
สงเคราะห์ทหารผ่านศึก<br />
ตลอดระยะเวลารับราชการ ท่านได้<br />
ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความทุ่มเท<br />
เสียสละ อุทิศตนเพื่อประโยชน์แก่ประเทศ<br />
ชาติบ้านเมือง จนได้รับพระราชทานเครื่องราช<br />
อิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย<br />
ชั้นสูงสุด มหาวชิรมงกุฎ และเครื่องราช<br />
อิสริยาภรณ์ Legion of Merit Officer<br />
Degree ของประเทศสหรัฐอเมริกา นับว่า<br />
ท่านเป็นบุคลากรที่ทรงคุณค่าของกองทัพ<br />
กระทรวงกลาโหม และประเทศชาติ<br />
ที่ภาคภูมิใจ และน่ายกย่องเป็นอย่างยิ่ง<br />
ด้วยบุคลิกลักษณะ<br />
ส่วนตัวที่เป็นผู้ใฝ่หา<br />
ความรู้อยู่เสมอ มุ่งมั่น<br />
ในการทำงาน ใส่ใจใน<br />
รายละเอียด มีวิสัยทัศน์<br />
มองการณ์ไกล ส่งผลให้การปฏิบัติหน้าที่<br />
ในทุกตำแหน่งที่ท่านได้รับมอบหมาย<br />
ประสบความสำเร็จและเป็นที่ยอมรับจาก<br />
ผู้บังคับบัญชาทุกระดับชั้น ประกอบกับ<br />
อุปนิสัยของท่านเป็นผู้ที่มีอารมณ์ดี<br />
มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ชอบช่วยเหลือ<br />
ผู้อื่น ให้ความสำคัญและห่วงใยผู้ใต้บังคับ<br />
บัญชาอย่างเท่าเทียมกัน อีกทั้งยังมีความ<br />
สามารถพิเศษทางด้านดนตรี ท่านจึงเป็น<br />
ที่ไว้วางใจของผู้บังคับบัญชา เป็นที่รักและ<br />
เคารพของผู้ใต้บังคับบัญชา ตลอดจน<br />
บุคคลอื่นที่มีโอกาสได้รู้จักท่านอย่างเสมอมา<br />
นับต่อจากนี้เส้นทางการรับราชการของ<br />
พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุ่งทอง รองปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม ก็จะถึงเวลาต้องอำลา<br />
ชีวิตราชการไปตามวาระเกษียณอายุ<br />
คุณงามความดีและผลงานที่ท่านได้กระทำ<br />
จารึกไว้ ยังคงปรากฏเป็นเกียรติประวัติ<br />
เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับข้าราชการทหาร<br />
รุ่นหลังสืบไป<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
21
พลเอก ฐิตินันท ธัญญสิริ<br />
ประธานคณะที่ปรึกษากระทรวงกลาโหม<br />
พลเอก ฐิตินันท ธัญญสิริ เกิดเมื่อ<br />
วันที่ ๑ พฤศจิกายน ๒๕๐๐<br />
เปนบุตรพลตรี มรกต และพันโทหญิง<br />
อาภรณ สมรสกับนางณัฏฐชยธร มีธิดาและ<br />
บุตร ๓ คน คือ นางสาวพัทธนันท<br />
รอยโท บดินทร และรอยตรี บพิธ<br />
ดานการศึกษา<br />
จบชั้นมัธยมตนจากโรงเรียนสวนกุหลาบ<br />
วิทยาลัย จบโรงเรียนเตรียมทหาร รุนที่ ๑๕<br />
จบโรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา<br />
ชั้นปที่ ๑ และไดรับทุนกองทัพบก<br />
ศึกษาตอ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา ปริญญาตรี<br />
Bachelor of Science (Distinguished<br />
Honors in Chemistry) (พ.ศ.๒๕๒๑) จาก<br />
Virginia Military Institute, U.S.A. ปริญญาโท<br />
Master of Science (Chemistry) (พ.ศ.<br />
๒๕๒๓) และ ปริญญาเอก Doctor of<br />
Philosophy (Chemistry) (พ.ศ.๒๕๓๐) จาก<br />
University of Virginia, U.S.A. ตอมาไดรับทุน<br />
กระทรวงกลาโหมออสเตรเลีย ปริญญาโท<br />
Master of Arts (Strategic Studies) (พ.ศ.<br />
๒๕๓๘) จาก Australian National University<br />
และนิติศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัย<br />
รามคําแหง (พ.ศ.๒๕๕๙)<br />
การศึกษาทางทหาร จบหลักสูตรหลัก<br />
ประจําโรงเรียนเสนาธิการทหารบก ไดรับ<br />
ประกาศนียบัตรชมเชยเปนผูมีผลการศึกษาอยู<br />
ในเกณฑดีมาก หลักสูตรหลักประจําวิทยาลัย<br />
การทัพบก Defence and Strategic Studies<br />
Course (เทียบเทาหลักสูตรวิทยาลัยปองกัน<br />
ราชอาณาจักร) Australian Defence College<br />
หลักสูตรวิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร<br />
รุนที่ ๒๕๕๖ เอกสารวิจัยสวนบุคคลไดรับ<br />
รางวัลชมเชยจากสภาการศึกษาของวิทยาลัย<br />
ปองกันราชอาณาจักร<br />
ดานการทํางาน<br />
• อาจารยและผูชวยศาสตราจารย<br />
กองวิชาเคมี โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา<br />
ระหวาง พ.ศ.๒๕๒๔ - ๒๕๓๖ (๘ ป ๑ เดือน)<br />
• หัวหนาแผนกผูชวยทูตทหารตางประเทศ<br />
กองการตางประเทศ กรมขาวทหารบก ระหวาง<br />
พ.ศ.๒๕๓๖ – ๒๕๓๗ (๑ ป)<br />
• อาจารยหัวหนากองโรงเรียน<br />
เสนาธิการทหารบก ระหวาง พ.ศ.๒๕๓๘ -<br />
๒๕๔๐ (๒ ป ๘ เดือน)<br />
• ผูอํานวยการกองการตางประเทศ<br />
ผูอํานวยการกองแผนและการจัดและผูอํานวย<br />
การกองนโยบายและยุทธศาสตร สํานัก<br />
นโยบายและแผนกลาโหม ระหวาง พ.ศ.๒๕๔๐<br />
- ๒๕๔๗ (๕ ป ๔ เดือน)<br />
• ผูชวยและรองผูอํานวยการของหนวย<br />
งานดานการวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตรและ<br />
เทคโนโลยีปองกันประเทศ ระหวาง พ.ศ.<br />
๒๕๔๗ - ๒๕๕๒ (๕ ป)<br />
• ผูอํานวยการสถาบันเทคโนโลยีปองกัน<br />
ประเทศ (องคการมหาชน) กระทรวงกลาโหม<br />
ระหวาง พ.ศ.๒๕๕๒ - ๒๕๕๖ (๔ ป ๖ เดือน)<br />
• ฝายเสนาธิการและหัวหนา<br />
ฝายเสนาธิการประจําปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ระหวาง พ.ศ.๒๕๕๗ - ๒๕๕๙ (๒ ป)<br />
• ผูอํานวยการศูนยการอุตสาหกรรม<br />
ปองกันประเทศและพลังงานทหาร ระหวาง<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ - ๒๕๖๐ (๑ ป)<br />
ราชการพิเศษ<br />
• นายทหารติดตอประจําคณะ<br />
กรรมาธิการสงบศึกทางทหาร กองกําลัง<br />
สหประชาชาติกรุงโซล ประเทศสาธารณรัฐ<br />
เกาหลี ระหวาง พ.ศ.๒๕๓๓ - ๒๕๓๔ (๑ ป<br />
๑ เดือน)<br />
• นายทหารพิเศษประจํากรมนักเรียน<br />
นายรอยรักษาพระองค<br />
• ตุลาการศาลทหารกรุงเทพ<br />
• ตุลาการศาลทหารกลาง<br />
• ตุลาการศาลทหารสูงสุด<br />
• ราชองครักษพิเศษ<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณและเหรียญ<br />
• มหาปรมาภรณชางเผือก<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• เหรียญชัยสมรภูมิ (กรณีสงครามเกาหลี<br />
พ.ศ.๒๕๓๓)<br />
ผลงานที่ภาคภูมิใจ<br />
ไดเปนอาจารยสอนถายทอดความรู<br />
และประสบการณใหลูกศิษยในโรงเรียนหลัก<br />
ของกองทัพบก ๒ แหง ไดแก โรงเรียนนายรอย<br />
พระจุลจอมเกลา และโรงเรียนเสนาธิการ<br />
ทหารบก รวมเวลาประมาณ ๑๑ ป<br />
การปฏิบัติราชการในสํานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม ตั้งแต พ.ศ.๒๕๔๐ เปน<br />
ผูปฏิบัติหลักในสํานักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
ในการจัดทําแผนแมบทการปฏิรูปกระทรวง<br />
กลาโหมและการปรับปรุงโครงสรางกองทัพไทย<br />
ฉบับแรกในรอบ ๔๐ ป และเปนผูนําในการ<br />
ปฏิรูประบบงานวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร<br />
และเทคโนโลยีปองกันประเทศ ดวยการจัดทํา<br />
โครงการวิจัยและพัฒนาขนาดใหญและการจัดตั้ง<br />
สถาบันเทคโนโลยีปองกันประเทศ (สทป.)<br />
เปนองคการมหาชนแหงแรกของกระทรวง<br />
กลาโหม รวมทั้งไดรับแตงตั้งและไดรับสรรหา<br />
ใหเปน ผูอํานวยการสถาบันเทคโนโลยีปองกัน<br />
ประเทศคนแรก เปนเวลา ๔ ป ๖ เดือน<br />
เมื่อกลับเขารับราชการ ในตําแหนง<br />
ผูอํานวยการศูนยการอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร ไดเปนผูนําในการ<br />
จัดทํายุทธศาสตร ๒๐ ป ในการพัฒนา<br />
วิทยาศาสตร เทคโนโลยี อุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศ เพื่อผลักดันใหเกิดการพัฒนา<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศที่ภาคเอกชน<br />
มีบทบาทสําคัญ ซึ่งไดรับความเห็นชอบจาก<br />
สภากลาโหม เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๖๐ และ<br />
ไดจัดทําแผนพัฒนา ๕ ปแรก รองรับยุทธศาสตร<br />
๒๐ ปดังกลาว<br />
แนวทางในการทํางาน<br />
“ริเริ่ม รวดเร็ว รอบคอบ กอปรคุณธรรม<br />
นําธรรมาภิบาล”<br />
คติประจําใจ<br />
“ปฏิบัติตามคําสอนของ “พอ” โดยทํา<br />
หนาที่ของตนเองใหดีที่สุด”<br />
22
พลเอก สิงหศักดิ์ อุทัยมงคล<br />
จเรทหารทั่วไป<br />
พลเอก สิงหศักดิ์ อุทัยมงคล<br />
เกิดวันที่ ๑๖ ตุลาคม ๒๕๐๐<br />
เปนบุตรของพันเอก สมบูรณ<br />
และนางละลิต อุทัยมงคล สมรสกับนาง<br />
ณัฏฐพร อุทัยมงคล มีบุตร-ธิดา ๓ คน<br />
(๑) นางสาวสลิตา อุทัยมงคล<br />
(๒) นายธรรศ อุทัยมงคล กําลัง<br />
ศึกษาคณะวิศวกรรมศาสตรชั้นปที่ ๓<br />
มหาวิทยาลัยหอการคาไทย<br />
(๓) นายธิปก อุทัยมงคล กําลังศึกษา<br />
คณะเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร<br />
ชั้นปที่ ๒ มหาวิทยาลัยรังสิต<br />
ดานการศึกษา<br />
ทานสําเร็จการศึกษาจากโรงเรียน<br />
สาธิตวิทยาลัยครูเทพสตรี จ.ลพบุรี<br />
เมื่อป พ.ศ.๒๕๑๕ จากนั้นเขาศึกษาตอที่<br />
โรงเรียนเตรียมทหาร รุนที่ ๑๖ โรงเรียน<br />
นายรอยพระจุลจอมเกลา รุนที่ ๒๗ และได<br />
เขารับการศึกษาอบรมในหลักสูตรตางๆ<br />
ดังนี้ โรงเรียนชั้นนายรอยเหลาราบ รุนที่ ๖๓<br />
โรงเรียนชั้นนายพันเหลาราบ รุนที่ ๔๕<br />
โรงเรียนชั้นนายพัน Ft. Benning,<br />
USA, 1987 หลักสูตรเสนาธิการทหารบก<br />
หลักสูตรหลักประจํา ชุดที่ ๖๗ วิทยาลัย<br />
เสนาธิการทหาร รุนที่ ๔๔ วิทยาลัย<br />
ปองกันราชอาณาจักร รุนที่ ๕๔<br />
ทานไดเขารับราชการในตําแหนง<br />
สําคัญ ดังนี้<br />
• ผูบังคับหมวดลาดตระเวน กองรอย<br />
สนับสนุนการรบ กองพันทหารราบ<br />
ที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค<br />
• ผูบังคับหมวดปนเล็ก กองรอย<br />
อาวุธเบา กองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหาร<br />
ราบที่ ๓๑ รักษาพระองค<br />
• รองผูบังคับการกองรอยอาวุธเบา<br />
กองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๓๑<br />
รักษาพระองค<br />
• ผูชวยฝายยุทธการ กองพันทหาร<br />
ราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษา<br />
พระองค<br />
• ผูบังคับกองรอยอาวุธเบา กองพัน<br />
ทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษา<br />
พระองค<br />
• หัวหนาฝายยุทธการ กองพันทหาร<br />
ราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษา<br />
พระองค<br />
• รองหัวหนากองสงกําลังบํารุง<br />
มณฑลทหารบกที่ ๑๔<br />
• รองผูอํานวยการกองสงกําลังบํารุง<br />
กองทัพภาคที่ ๑<br />
• รองผูอํานวยการกองกําลังพล<br />
กองทัพภาคที่ ๑<br />
• ผูอํานวยการกองขาว กองทัพนอย<br />
ที่ ๑<br />
• ผูอํานวยการกองกําลังพล กองทัพ<br />
นอยที่ ๑<br />
• ผูอํานวยการกองยุทธการ กองทัพ<br />
นอยที่ ๑<br />
• รองเสนาธิการ กองทัพนอยที่ ๑<br />
• รองผูบัญชาการมณฑลทหารบก<br />
ที่ ๑๒<br />
• รองผูบัญชาการมณฑลทหารบก<br />
ที่ ๑๑<br />
• เสนาธิการกองทัพนอยที่ ๑<br />
• ผูบัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๑๑<br />
• รองแมทัพภาคที่ ๑<br />
• ที่ปรึกษากองทัพบก<br />
• ผูทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก<br />
• จเรทหารทั่วไป<br />
ราชการสนามและราชการพิเศษ<br />
• ปฏิบัติราชการปราบปรามผูกอการ<br />
รายคอมมิวนิสต ระยะเวลาปฏิบัติราชการ<br />
๖ ป<br />
• ปฏิบัติหนาที่ราชการตามแผน<br />
ปองกันประเทศของกองทัพบกระยะเวลา<br />
ปฏิบัติราชการ ๑๐ ป<br />
• ปฏิบัติราชการ ๓ จังหวัดชายแดน<br />
ภาคใตในสายงานกองอํานวยการรักษา<br />
ความมั่นคงภายในประเทศในตําแหนง<br />
ผูบังคับหนวยเฉพาะกิจนราธิวาส ระยะ<br />
เวลาปฏิบัติราชการ ๑ ป<br />
มีความภาคภูมิใจที่ไดรับราชการ<br />
ทั้งในสวนกองทัพบก และกระทรวง<br />
กลาโหม ไดรับโปรดเกลาโปรดกระหมอม<br />
เปนราชองครักษเวรและราชองครักษ<br />
พิเศษ ตลอดจนไดปฏิบัติราชการสนาม<br />
ไดรับพระราชทานเหรียญพิทักษเสรีชน<br />
และเหรียญราชการชายแดน ในแนวทาง<br />
การรับราชการไดยึดถือความมุงมั่นในการ<br />
ปฏิบัติหนาที่ตามที่ไดรับมอบหมายจาก<br />
ผูบังคับบัญชาอยางเต็มกําลังขีดความ<br />
สามารถ หมั่นศึกษาหาความรู และที่สําคัญ<br />
การสรางครอบครัวใหมีความอบอุน ซึ่งจะ<br />
เปนกําลังใจในการปฏิบัติหนาที่ไดอยางมี<br />
ประสิทธิภาพ<br />
ตลอดระยะเวลาในการรับราชการ<br />
พลเอก สิงหศักดิ์ อุทัยมงคล ไดปฏิบัติ<br />
หนาที่ราชการดวยความทุมเท เสียสละ<br />
อุทิศตนเพื่อประโยชนแกประเทศชาติ<br />
บานเมืองจนไดรับพระราชทานเครื่องราช<br />
อิสริยาภรณชั้นมหาวชิรมงกุฎ นับวา<br />
ทานเปนบุคลากรที่ทรงคุณคาของ<br />
กองทัพบก กระทรวงกลาโหม และ<br />
ประเทศชาติ ที่นาภาคภูมิใจ และนายกยอง<br />
เปนอยางยิ่ง<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¡Ñ¹ÂÒ¹ òõöñ<br />
23
พลเอก สัมพันธ ธัญญพืช<br />
ผูอํานวยการองคการสงเคราะหทหารผานศึก<br />
พลเอก สัมพันธ ธัญญพืช<br />
เกิดเมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๐๑<br />
คุณวุฒิทางการศึกษากอน<br />
เขารับราชการ<br />
• โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล (ชั้นมัธยม<br />
ศึกษาปที่ ๓)<br />
• โรงเรียนเตรียมทหาร รุนที่ ๑๗<br />
• โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา<br />
รุนที่ ๒๘<br />
คุณวุฒิทางการศึกษาเมื่อเขารับราชการ<br />
• หลักสูตรโดดรม รุนที่ ๑๒๑<br />
• หลักสูตรจูโจม รุนที่ ๕๗<br />
• หลักสูตรชั้นนายรอย รุนที่ ๖๖<br />
• Infantry Officer Basic Course<br />
(IOBC)<br />
• Infantry Mortar Platoon<br />
Course (IMPC)<br />
• Intructor Training Course (ITC)<br />
• หลักสูตรชั้นนายพัน รุนที่ ๔๙<br />
• หลักสูตรหลักประจํา ชุดที่ ๖๘<br />
• หลักสูตรวิทยาลัยเสนาธิการทหาร<br />
รุนที่ ๔๐<br />
• หลักสูตรปริญญารัฐศาสตรมหา<br />
บัณฑิต (บริหารรัฐกิจ)<br />
• หลักสูตรการปองกันราชอาณาจักร<br />
ภาครัฐรวมเอกชน<br />
ตําแหนงทางทหารที่สําคัญ<br />
• ผูบังคับหมวดปนเล็ก กองรอย<br />
อาวุธเบา กองพันทหารราบที่ ๑ กรมทหาร<br />
ราบที่ ๑๑ รักษาพระองค<br />
• ผูบังคับกองรอยอาวุธเบา กองพัน<br />
ทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษา<br />
พระองค<br />
• นายทหารฝายยุทธการ กองพัน<br />
ทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๑๑<br />
รักษาพระองค<br />
• ประจํากองกําลังพล กองทัพ<br />
ภาคที่ ๑<br />
• ผูชวยหัวหนาฝายยุทธการฝาย<br />
อากาศ กองพลที่ ๑ รักษาพระองค<br />
• รองผูบังคับกองพันทหารราบที่ ๑<br />
กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค<br />
• รองผูชวยทูตฝายทหารบก ประจํา<br />
สถานเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงปกกิ่ง<br />
• หัวหนากองธุรการ กรมขาวทหารบก<br />
• ผูอํานวยการกอง โรงเรียนกรมขาว<br />
ทหารบก<br />
• ผูชวยทูตฝายทหารบก และรักษา<br />
ราชการ ผูชวยทูตฝายทหาร ประจําสถาน<br />
เอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงฮานอย<br />
• นายทหารฝายเสนาธิการประจํา<br />
รัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหม<br />
• นักวิชาการพิเศษ กรมวิทยาศาสตร<br />
และเทคโนโลยีกลาโหม<br />
• ผูอํานวยการสํานักนโยบาย<br />
วิทยาศาสตรและเทคโนโลยีปองกัน<br />
ประเทศ กรมวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี<br />
กลาโหม<br />
• ผูทรงคุณวุฒิ สํานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
• ผูทรงคุณวุฒิพิเศษ (อัตรา พลโท)<br />
สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
• เจากรมการสรรพกําลังกลาโหม<br />
• ผูทรงคุณวุฒิพิเศษ (อัตรา พลเอก)<br />
สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
• ผูอํานวยการองคการสงเคราะห<br />
ทหารผานศึก<br />
ราชการสนาม/พิเศษ<br />
• ปฏิบัติราชการสนาม (ผบ.รอยสนาม)<br />
• ราชองครักษเวร<br />
• นายทหารพิเศษ ประจํากรม<br />
ทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค<br />
• นายทหารพิเศษ ประจํากรม<br />
นักเรียนนายรอยรักษาพระองค<br />
• นายสถานีวิทยุ FM90 กองพล<br />
ที่ ๑ รักษาพระองค<br />
• ตุลาการศาลทหารกรุงเทพ<br />
• ตุลาการศาลทหารกลาง<br />
• ตุลาการศาลทหารสูงสุด<br />
ตามที่สภากลาโหมไดแตงตั้งให<br />
พลเอก สัมพันธ ธัญญพืช มาดํารงตําแหนง<br />
ผูอํานวยการองคการสงเคราะหทหารผานศึก<br />
ตั้งแต ๑ ตุลาคม ๒๕๖๐ นั้น ตลอดระยะ<br />
เวลา ๑ ป ที่ดํารงตําแหนงไดทุมเท<br />
กําลังกาย กําลังใจ กําลังความคิด ในการที่<br />
จะยกระดับพัฒนาคุณภาพชีวิตของ<br />
ทหารผานศึก ครอบครัวทหารผานศึก และ<br />
ทหารนอกประจําการ และเชิดชูเกียรติ<br />
ทหารผานศึก รวมทั้งการรวมมือกับภาค<br />
เอกชนเพื่อสงเสริมสิทธิและเกียรติ ใหแก<br />
ทหารผานศึก<br />
ตลอดชีวิตรับราชการของ พลเอก<br />
สัมพันธ ธัญญพืช ทานไดปฏิบัติหนาที่ดวย<br />
ความทุมเท เสียสละ อุทิศตนเพื่อประโยชน<br />
แกประเทศชาติ องคกร ทหารผานศึก<br />
ครอบครัวทหารผานศึก และทหารนอก<br />
ประจําการ อยางแทจริง<br />
24
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
25
๒๐ กันยายน<br />
วันคล้ายวันเฉลิมพระชนม์<br />
องค์ทวิราชา<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
วั<br />
นที่ในประวัติศาสตร์ที่ได้จารึกว่า<br />
เป็นวันสำคัญของชาติ เพื่อเป็นการ<br />
ถวายราชสักการะแด่พระคุณอัน<br />
ประเสริฐและพระมหากรุณาธิคุณของอดีต<br />
บูรพมหากษัตริย์ของประเทศไทยนั้น<br />
ส่วนมากทางราชการจะกำหนดในวันที่เสด็จ<br />
สวรรคตให้เป็นวันที่จะเชิญชวนประชาชน<br />
ชาวไทยร่วมรำลึก และร่วมถวายความ<br />
จงรักภักดีซึ่งเป็นไปตามธรรมเนียมสากลที่<br />
ทั่วโลกต่างกำหนดให้เป็นรัฐพิธี จึงทำให้<br />
ประชาชนในรุ่นปัจจุบันและอนุชนรุ่นต่อๆ ไป<br />
ต่างรำลึกในวันสวรรคตของอดีตบูรพ<br />
มหากษัตริย์ว่า เป็นวันสำคัญของชาติ<br />
อย่างไรก็ตาม วันสำคัญของอดีตบูรพ<br />
มหากษัตริย์ที่ประชาชนชาวไทยควร<br />
รับทราบอีกวาระหนึ่ง เนื่องเพราะเป็นวัน<br />
คล้ายวันพระราชสมภพหรือวันคล้ายวัน<br />
เฉลิมพระชนมพรรษาของอดีตบูรพมหา<br />
กษัตริย์ซึ่งในอดีตที่ผ่านมาได้มีการกำหนด<br />
แนวทางในการกำหนดวันสำคัญของอดีต<br />
บูรพมหากษัตริย์ไว้ว่า เมื่อทรงดำรง<br />
พระชนม์ชีพอยู่ให้กำหนดวันคล้ายวันพระ<br />
ราชสมภพหรือวันคล้ายวันเฉลิม<br />
พระชนมพรรษาเป็นวันสำคัญของชาติ<br />
และเมื่อเสด็จสวรรคตแล้วให้กำหนดวัน<br />
คล้ายวันเสด็จสวรรคตเป็นวันสำคัญ ทั้งนี้<br />
หากประชาชนชาวไทยจะรำลึกถึงวันคล้าย<br />
วันพระราชสมภพหรือวันคล้ายวันเฉลิม<br />
พระชนมพรรษา ก็สามารถกระทำได้ด้วย<br />
จิตใจที่เปี่ยมล้นไปด้วยความจงรักภักดี<br />
ต่อพระมหากรุณาธิคุณของอดีตบูรพ<br />
มหากษัตริย์<br />
ผู้เขียนจึงขอเรียนเชิญทุกท่าน ร่วม<br />
รำลึกถึงวันสำคัญอีกวันหนึ่งในปีปฏิทิน<br />
สากล คือวันที่ ๒๐ กันยายน เพราะเป็น<br />
วันแห่งปรากฏการณ์สำคัญของกรุง<br />
รัตนโกสินทร์ เนื่องจากเป็นวันคล้ายวัน<br />
เฉลิมพระชนมพรรษาของอดีตพระมหา<br />
กษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ถึง ๒ พระองค์<br />
คือ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา<br />
จุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
และพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา<br />
อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร<br />
ซึ่งผู้เขียนขออัญเชิญพระราชประวัติของ<br />
องค์ทวิราชหรืออดีตพระมหากษัตริย์ทั้ง ๒<br />
พระองค์ เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้กรุณารับทราบ<br />
ถึงพระราชกรณียกิจที่สำคัญ กล่าวคือ<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา<br />
จุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๕ แห่ง<br />
ราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่<br />
๒๐ กันยายน ๒๓๙๖ (วันอังคาร เดือน ๑๐<br />
แรม ๓ ค่ำ ปีฉลู) เป็นพระราชโอรสพระองค์<br />
ที่ ๔ ในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทร<br />
มหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ<br />
สมเด็จพระเทพศิรินทราบรมราชินีเสด็จขึ้น<br />
ครองสิริราชสมบัติเมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม<br />
26<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
๒๔๑๑ และเสด็จสวรรคต เมื่อวัน<br />
อาทิตย์ที่๒๓ ตุลาคม ๒๔๕๓ ตลอดรัชสมัย<br />
ของพระองค์ ทรงประกอบพระราชกรณียกิจ<br />
เพื่อวางรากฐานปรับปรุงประเทศไทยให้<br />
พัฒนาและเจริญก้าวหน้าทัดเทียมนานา<br />
อารยประเทศ โดยในยุคดังกล่าวนั้น<br />
ประเทศต่างๆ รอบประเทศไทยล้วนแล้วแต่<br />
ตกเป็นอาณานิคมของประเทศมหาอำนาจ<br />
คือ อังกฤษและฝรั่งเศสด้วยกันทั้งสิ้น<br />
พระองค์จึงทรงริเริ่มการพัฒนาประเทศ<br />
ด้วยพระปรีชาสามารถ และด้วย<br />
สายพระเนตรที่ยาวไกล จึงทำให้<br />
ประเทศไทยได้รับการพัฒนาอย่างเป็น<br />
มาตรฐานสากล จนประเทศมหาอำนาจ<br />
ดังกล่าวไม่สามารถอ้างเหตุผลเข้ายึดครอง<br />
ประเทศไทยได้ ทั้งนี้ พระราชกรณียกิจ<br />
อันสำคัญที่ขออัญเชิญมาประดิษฐาน<br />
ในบทความนี้ ประกอบด้วย<br />
๑. พระราชกรณียกิจด้านการทหาร<br />
โดยในวันศุกร์ที่ ๘ เมษายน ๒๔๓๐ ทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศ<br />
พระบรมราชโองการ ชื่อว่า ประกาศจัดการ<br />
ทหาร ด้วยการตั้งกรมยุทธนาธิการ ที่รวม<br />
กรมทหารบกและกรมทหารเรือไว้ด้วยกัน<br />
ต่อมาในปีพ.ศ.๒๕๓๓ ทรงพระกรุณาโปรด<br />
เกล้าฯ ให้ยกระดับกรมยุทธนาธิการขึ้น<br />
เป็นกระทรวงยุทธนาธิการและได้พัฒนา<br />
อย่างต่อเนื่องจนเป็นกระทรวงกลาโหม<br />
ในปัจจุบัน ทั้งนี้ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้ตั้งโรงเรียนนายร้อยและโรงเรียนนายเรือ<br />
เพื่อผลิตบุคลากรทางการทหาร ควบคู่ไป<br />
กับการพัฒนาขีดความสามารถทางการรบ<br />
ให้ทันสมัยทัดเทียมนานาอารยประเทศ<br />
อย่างต่อเนื่องอีกด้วย<br />
๒. พระราชกรณียกิจด้านการปฏิรูป<br />
ระบบราชการ โดยในวันที่ ๑ เมษายน<br />
๒๔๓๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้<br />
ประกาศพระบรมราชโองการชื่อว่า<br />
ประกาศจัดตั้งเสนาบดี จึงทำให้เกิด<br />
กระทรวงจำนวน ๑๒ กระทรวง คือ<br />
กระทรวงมหาดไทย กระทรวงนครบาล<br />
กระทรวงโยธาธิการ กระทรวงธรรมการ<br />
กระทรวงเกษตรพานิชการ กระทรวง<br />
ยุติธรรม กระทรวงมรุธาธร กระทรวงยุทธ-<br />
นาธิการ กระทรวงพระคลังมหาสมบัติ<br />
กระทรวงการต่างประเทศ กระทรวงกลาโหม<br />
และกระทรวงวัง จึงนับเป็นการปฏิรูประบบ<br />
ราชการไทยครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์<br />
๓. พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา<br />
โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้าง<br />
โรงเรียนหลวงแห่งแรกเมื่อปี พ.ศ.๒๔๔๔<br />
คือ โรงเรียนวัดมหรรณพาราม เพื่อให้บุตรหลาน<br />
ของประชาชนทั่วไปได้มีโอกาสศึกษา<br />
หาความรู้กันอย่างเป็นระบบ พร้อมกับ<br />
พัฒนาระบบการสอบไล่สามัญศึกษาขึ้น<br />
เพื่อเป็นการทดสอบความรู้ที่ได้ศึกษา<br />
เล่าเรียนมา นอกจากนี ้ ยังทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงเรียนหลวงขึ้น<br />
อีกหลายแห่ง กระจัดกระจายไปตามวัด<br />
ต่างๆ ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค ต่อมา<br />
เมื่อการศึกษาขยายตัวเจริญขึ้นด้วยความ<br />
สนใจของประชาชนที่ต้องการมีความรู้<br />
มากขึ้น จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้<br />
โอนโรงเรียนเหล่านี้อยู่ภายใต้การควบคุม<br />
ของกระทรวงธรรมการ (กระทรวงศึกษาธิการ<br />
ในปัจจุบัน) นอกจากนี้ ยังมีการพิมพ์ตำรา<br />
พระราชทานเพื่อเป็นตำราในการเรียน<br />
การสอนที่เป็นมาตรฐานด้วย<br />
๔. พระราชกรณียกิจด้าน<br />
สาธารณูปโภค ประกอบด้วย<br />
๔.๑ กิจการไปรษณีย์โทรเลข ทรงมี<br />
พระราชวินิจฉัยว่า การสื่อสารเป็นเรื่อง<br />
สำคัญเร่งด่วนและจำเป็นอย่างมากใน<br />
อนาคต จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้<br />
กรมกลาโหม ดำเนินการก่อสร้างวางสาย<br />
โทรเลขสายแรกของประเทศ ซึ่งเริ่ม<br />
ก่อสร้างในปีพ.ศ.๒๔๑๘ เส้นทางกรุงเทพฯ<br />
– ปากน้ำ (สมุทรปราการ) ระยะทาง ๔๕<br />
กิโลเมตรและได้วางสายใต้น้ำต่อยาวออก<br />
ไปจนถึงประภาคารที่ปากแม่น้ำเจ้าพระยา<br />
สำหรับการบอกข่าวเรือเข้า-ออก ต่อมา<br />
ได้วางสายโทรเลขขึ้นอีกสายหนึ่งจาก<br />
กรุงเทพฯ-บางปะอิน และขยายไปทั่วถึง<br />
ในเวลาต่อมา พร้อมกับทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ จัดตั้งเป็นกรมโทรเลขในปี<br />
พ.ศ.๒๔๒๙ สำหรับกิจการไปรษณีย์จึงทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้งกิจการ<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
27
ไปรษณีย์ขึ้นเป็นครั้งแรกในวันที่ ๒<br />
กรกฎาคม ๒๔๒๔ มีที่ทำการเรียกว่า<br />
ไปรษณียาคาร (ริมแม่น้ำเจ้าพระยาบริเวณ<br />
ปากคลองตลาด) และเปิดดำเนินการอย่าง<br />
เป็นทางการครั้งแรกในวันที่ ๔ สิงหาคม<br />
๒๔๒๖ หลังจากนั้น จึงทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้กรมโทรเลขรวมเข้ากับ<br />
กรมไปรษณีย์ชื่อว่า กรมไปรษณีย์โทรเลข<br />
ในปี พ.ศ.๒๔๔๑<br />
๔.๒ กิจการไฟฟ้า ทรงมีพระราช<br />
วินิจฉัยว่า ไฟฟ้าเป็นพลังงานที่สำคัญและ<br />
มีประโยชน์อย่างมาก เมื่อมีโอกาสประพาส<br />
ต่างประเทศ ได้ทอดพระเนตรกิจการไฟฟ้า<br />
และทรงเห็นถึงประโยชน์มหาศาลที่จะเกิด<br />
จากการมีไฟฟ้า พระองค์จึงทรงมอบหมายให้<br />
เจ้าหมื่นไวยวรนารถ ดำเนินการผลิตและจ่าย<br />
กระแสไฟฟ้าขึ้นอย่างเป็นระบบ ในปี พ.ศ.<br />
๒๔๒๗ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๓ จึงทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อตั้งโรงไฟฟ้าที่<br />
วัดเลียบหรือวัดราชบูรณะ และพัฒนากิจการ<br />
จนเป็นมาตรฐานใช้สืบต่อมาจนปัจจุบัน<br />
๔.๓ กิจการประปา เมื่อเสด็จ<br />
ประพาสยุโรป ได้ทอดพระเนตรเห็น<br />
คุณภาพชีวิตที่ดีของชาว<br />
ตะวันตก ที่มีน้ำที่สะอาดไว้ใน<br />
การอุปโภคและบริโภคจาก<br />
ระบบการผลิตและจ่ายน้ำ ชื่อ<br />
“WATER WORKS” จึงทรงมี<br />
พระราชดำริให้มีการก่อสร้าง<br />
กิจการประปาขึ้นใน<br />
ประเทศไทยเป็นครั้งแรก โดย<br />
ในวันที่๑๓ กรกฎาคม ๒๔๕๒<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้<br />
ประกาศพระบรมราชโองการสร้างการ<br />
ประปา โดยให้กรมสุขาภิบาลเป็นผู้ดูแล<br />
รับผิดชอบจัดการที่จะนำน้ำสะอาดมาใช้<br />
ในพระนครและพัฒนากิจการจนเป็น<br />
มาตรฐานใช้สืบต่อมาจนปัจจุบัน<br />
๔.๔ กิจการโทรศัพท์ ทรงมีพระ<br />
ราชวินิจฉัยถึงวิทยาการในการติดต่อ<br />
สื่อสารที่ทันสมัย ที่จะเป็นประโยชน์ในการ<br />
พัฒนาประเทศ จึงทรงพระกรุณาโปรด<br />
เกล้าฯ ให้ กรมกลาโหมวางสายโทรศัพท์<br />
และนำโทรศัพท์เข้ามาทดลองใช้เป็น<br />
ครั้งแรก ในปี พ.ศ.๒๔๒๔ จากกรุงเทพฯ<br />
- สมุทรปราการ เพื่อแจ้งข่าวเรือเข้า–ออก<br />
ที่ปากน้ำ และพัฒนากิจการจนเป็น<br />
มาตรฐานใช้สืบต่อมาจนปัจจุบัน<br />
๕. พระราชกรณียกิจด้านการพยาบาล<br />
และสาธารณสุข ทรงมีพระราชดำริที่จะ<br />
สร้างโรงพยาบาลเพื่อรักษาประชาชนด้วย<br />
วิธีการแพทย์แผนใหม่ที่เป็นมาตรฐาน<br />
สากลทดแทนการรักษาแบบเดิมที่ล้าสมัย<br />
ไม่สามารถช่วยคนได้อย่างทันท่วงที<br />
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง<br />
โรงพยาบาลขึ้นบริเวณริมคลองบางกอกน้อย<br />
ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระราชวัง<br />
บวรสถานพิมุข (วังหลัง) โดยได้<br />
พระราชทานทรัพย์สินส่วน<br />
พระองค์ จำนวน ๑๖,๐๐๐ บาท<br />
เป็นทุนเริ่มแรกในการสร้าง<br />
โรงพยาบาล ให้ใช้ชื่อว่า<br />
โรงพยาบาลวังหลัง เปิด<br />
ทำการรักษาแก่ประชาชน<br />
ทั่วไปเป็นครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน<br />
๒๔๓๑ ต่อมา ได้พระราชทานนาม<br />
โรงพยาบาลใหม่ว่า โรงพยาบาลศิริราช เพื่อเป็น<br />
การระลึกถึงสมเด็จพระนางเจ้าลูกยาเธอ<br />
เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์ พระราชธิดาที่<br />
ประสูติในสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี<br />
พระบรมราชินีนาถ ซึ่งสิ้นพระชนม์ในขณะ<br />
มีพระชนมายุเพียง ๑ ปี ๗ เดือน พร้อมกับ<br />
เครื่องใช้และทรัพย์ส่วนพระองค์ของสมเด็จ<br />
พระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าศิริราชกกุธภัณฑ์<br />
จำนวน ๕๖,๐๐๐ บาท เพื่อเป็นทุนในการใช้จ่าย<br />
๖. พระราชกรณียกิจด้านการคมนาคม<br />
ในปี พ.ศ.๒๔๓๑ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้คณะเสนาบดีและกรมโยธาธิการสำรวจ<br />
เส้นทาง เพื่อวางรากฐานการสร้างทาง<br />
รถไฟจากกรุงเทพฯ - เชียงใหม่ มีการ<br />
วางแผนให้ทางรถไฟสายนี้ตัดเข้าเมือง<br />
ใหญ่ๆ ในบริเวณภาคกลางของประเทศ<br />
แล้วแยกเป็นชุมสายตัดเข้าสู่จังหวัดใหญ่<br />
ทางแถบภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งการ<br />
สำรวจเส้นทางในการวางเส้นทางรถไฟนี้<br />
เสร็จสิ้นเมื่อปี พ.ศ.๒๔๓๔ และวันที่ ๙<br />
มีนาคม ๒๔๓๔ เสด็จพระราชดำเนินขุดดิน<br />
ก่อพระฤกษ์เพื่อสร้างทางรถไฟครั้งแรก<br />
ในประเทศไทย<br />
๗. พระราชกรณียกิจด้านการกฎหมาย<br />
ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่ากฎหมายในเวลานั้น<br />
ล้าสมัย ทำให้ชาวต่างชาติใช้เป็นข้ออ้าง<br />
ในการเอาเปรียบไทยเรื่องการทำสนธิ<br />
สัญญาเกี่ยวกับการขึ้นศาลตัดสินคดีที่ไม่ให้<br />
ชาวต่างชาติขึ้นศาลไทย โดยตั้งศาลกงสุล<br />
พิจารณาคดีคนในบังคับต่างชาติเอง แม้ว่า<br />
จะมีคดีความกับชาวไทยก็ตาม จึงทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศใช้ประมวล<br />
กฎหมายอาญาให้ทันสมัยทัดเทียมกับ<br />
อารยประเทศ ในปี พ.ศ.๒๔๔๐ ทั้งยังทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดตั้งโรงเรียน<br />
กฎหมายแห่งแรกของประเทศไทย เพื่อเป็น<br />
สถานที่สำคัญที่ผลิตนักกฎหมายที่มีความรู้<br />
ความสามารถในการพัฒนาประเทศและ<br />
พัฒนามาจวบจนปัจจุบัน<br />
28<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
๘. พระราชกรณียกิจด้านระบบเงินตรา<br />
ทรงมีพระราชดำริปรับปรุงระบบเงินตรา<br />
ของไทย โดยครั้งแรกในปี พ.ศ.๒๔๑๗<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ทำธนบัตร<br />
ขึ้น เรียกว่า อัฐ เป็นกระดาษมีมูลค่าเท่ากับ<br />
เหรียญทองแดง ๑ อัฐ และได้พัฒนาอย่าง<br />
ต่อเนื่อง จนในปี พ.ศ.๒๔๕๑ จึงทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้าฯ ออกประกาศพระบรม<br />
ราชโองการยกเลิกการใช้เงินพดด้วงและ<br />
ตราพระราชบัญญัติมาตราทองคำ ร.ศ.<br />
๑๒๗ ประกาศใช้เมื่อวันที่๑๑ พฤศจิกายน<br />
๒๔๕๑ ว่าด้วยเรื่องให้ใช้แร่ทองคำเป็น<br />
มาตรฐานเงินตราแทนแร่เงิน เพื่อให้<br />
เสถียรภาพเงินตราของไทยสอดคล้องกับ<br />
หลักสากล และพัฒนามาจวบจนปัจจุบัน<br />
พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา<br />
อานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร<br />
พระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๘ แห่ง<br />
ราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่<br />
๒๐ กันยายน ๒๔๖๘ เป็นพระโอรสใน<br />
สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม<br />
พระบรมราชชนก และสมเด็จพระศรีนครินทรา<br />
บรมราชชนนี มีพระเชษฐภคินีและ<br />
พระอนุชาร่วมพระชนกชนนีอีก ๒ พระองค์<br />
คือ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยา<br />
ณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์<br />
และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา<br />
ภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เสด็จขึ้น<br />
ทรงราชย์เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ และ<br />
เสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙<br />
ทั้งนี้ พระราชกรณียกิจอันสำคัญที่ขอ<br />
อัญเชิญมาประดิษฐานในบทความนี้<br />
ประกอบด้วย<br />
๑. พระราชกรณียกิจด้านการปกครอง<br />
เสด็จพระราชดำเนินไปในพระราชพิธี<br />
พระราชทานรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ในวันที่<br />
๙ พฤษภาคม ๒๔๘๙ และเสด็จ<br />
พระราชดำเนินไปในการเปิดประชุมสภา<br />
ผู้แทนราษฎรในวันที่ ๑ มิถุนายน ๒๔๘๙<br />
ซึ่งพระราชกรณียกิจที่สำคัญคือ เสด็จ<br />
พระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมชาวไทยเชื้อสายจีน<br />
ณ พื้นที่สำเพ็ง จังหวัดพระนคร พร้อมด้วย<br />
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภูมิพล<br />
อดุลยเดช (พระอิสริยยศในขณะนั้น) เมื่อวันที่<br />
๓ มิถุนายน ๒๔๘๙ เพื่อลดความขัดแย้งกัน<br />
ระหว่างชาวไทยและชาวไทยเชื้อสายจีน<br />
โดยเสด็จพระราชดำเนินด้วยพระบาทเป็น<br />
ระยะทางประมาณ ๓ กิโลเมตร ซึ่งการ<br />
เสด็จพระราชดำเนินสำเพ็งในครั้งนี้<br />
เป็นการประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นของ<br />
พสกนิกรภายใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร<br />
๒. พระราชกรณียกิจด้านการศาสนา<br />
เสด็จพระราชดำเนินไปในการประกอบพิธี<br />
ทรงปฏิญาณตนเป็นพุทธมามกะท่ามกลาง<br />
มณฑลสงฆ์ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตน-<br />
ศาสดาราม เมื่อวันที่ ๑๙ พฤศจิกายน<br />
๒๔๘๑ นอกจากนี้ ยังเสด็จพระราชดำเนิน<br />
ไปทรงสักการะพระพุทธรูปในพระอารามที่<br />
สำคัญ อาทิ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม<br />
ราชวรมหาวิหาร วัดเบญจมบพิตร<br />
ดุสิตวนาราม ราชวรวิหาร วัดสระเกศราช<br />
วรมหาวิหาร วัดอรุณราชวรารามราช<br />
วรมหาวิหาร วัดบวรนิเวศ ราชวรวิหาร และ<br />
วัดเทพศิรินทราวาส ราชวรวิหาร นอกจากนี้<br />
ยังทรงพระราชทานพระราชทรัพย์บำรุง<br />
วัดวาอาราม กับพระราชทานพระบรม<br />
ราชูปถัมภ์แก่ศาสนาอื่นตามสมควร<br />
๓. พระราชกรณียกิจด้านการศึกษา<br />
เสด็จพระราชดำเนินไปประกอบพระราช<br />
กรณียกิจที่เกี่ยวข้องกับการศึกษาของ<br />
ประเทศ โดยเสด็จพระราชดำเนินทอด<br />
พระเนตรกิจการของหอสมุดแห่งชาติและ<br />
ทรงเยี่ยมสถานศึกษาหลายแห่ง อาทิ<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โรงเรียน<br />
อัสสัมชัญ โรงเรียนเทพศิรินทร์ นอกจากนี้<br />
ยังได้เสด็จพระราชดำเนินพระราชทาน<br />
ปริญญาบัตรเป็นครั้งแรก ณ หอประชุม<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๓<br />
เมษายน ๒๔๘๙ และหอประชุมราช<br />
แพทยาลัย ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัย<br />
แพทยศาสตร์ เมื่อวันที่ ๒๓ เมษายน<br />
๒๔๘๙<br />
๔. พระราชกรณียกิจด้านการเกษตร<br />
เสด็จพระราชดำเนินไปทรงหว่านข้าว<br />
ณ แปลงสาธิต ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />
เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ เพื่อทรงเป็น<br />
มิ่งขวัญให้แก่เกษตรกรชาวไทยที่เป็น<br />
พสกนิกรของพระองค์<br />
ในโอกาสอันสำคัญคือ วันที่ ๒๐<br />
กันยายน ๒๕๖๑ ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเฉลิม<br />
พระชนมพรรษาขององค์ทวิราชา คือ พระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาท<br />
สมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล<br />
พระอัฐมรามาธิบดินทรนี้ ผู้เขียนจึงขอ<br />
เรียนเชิญทุกท่านได้ร่วมน้อมรำลึกถึง<br />
พระมหากรุณาธิคุณของทั ้งสองบูรพกษัตริยา<br />
ธิราชเจ้าแห่งราชวงศ์จักรี พระผู้ทรงมี<br />
คุณูปการแก่ประเทศไทยด้วยกันทุกพระองค์<br />
ทั้งยัง จะได้ร่วมกันเทิดทูนสถาบันพระมหา<br />
กษัตริย์อันเป็นสถาบันที่เคารพเทิดทูน<br />
ของประชาชนชาวไทยตลอดนิรันดรกาล<br />
ด้วยเทอญ<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
29
พระผู้ทรงพัฒนาระบบข้าราชการพลเรือน<br />
ในระบบประชาธิปไตย<br />
หลักประการที่ ๔ ให้ข้าราชการ<br />
พลเรือนมีวินัย พระบาทสมเด็จ<br />
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรง<br />
บันทึกเมื่อวันที่ ๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช<br />
๒๔๖๙ หลังจากสมเด็จเจ้าฟ้ากรมพระนคร<br />
สวรรค์วรพินิต ทูลเกล้าฯ ถวายร่างพระราช<br />
บัญญัติว่าด้วยการลงโทษข้าราชการ ที่นาย<br />
อาร์.กียอง ร่างถวาย มีข้อความในพระราช<br />
บันทึกตอนหนี่งว่า<br />
“...ร่างพระราชบัญญัติ ควรส่งไปให้<br />
เสนาบดีออกความเห็นมาก่อน เดิมคิดว่า<br />
จะออกให้ทันใช้ในศกหน้า รวมกันกับ<br />
ระเบียบการรับข้าราชการพลเรือนเข้าทา<br />
ราชการ แต่ถ้าจะออกระเบียบการลงโทษนี้<br />
เสียก่อนก็ได้ ให้เสนาบดีพิจารณาว่าจะ<br />
๑. ควรออกพระราชบัญญัติระเบียบการ<br />
ลงโทษโดยเร็วหรือจะรอเอาไว้ออกพร้อม<br />
กับระเบียบการรับคนเข้าทาราชการ ๒. จะควร<br />
(ตอนที ่ ๑๐)<br />
สานักพัฒนาระบบราชการกลาโหม<br />
ทาเป็นสองพระราชบัญญัติหรือรวมไป<br />
ในพระราชบัญญัติเดียวกัน...”<br />
เมื่อเป็นที่ตกลงกันว่าให้รวม<br />
ระเบียบการลงโทษข้าราชการกับระเบียบ<br />
การรับคนเข้าทาราชการไว้ในพระราช<br />
บัญญัติเดียวกันจึงมีคาปรารภในพระราช<br />
บัญญัติระเบียบข้าราชการ พ.ศ.๒๔๗๑<br />
ซึ่งแสดงพระราชประสงค์มีความตอนหนึ่งว่า<br />
“...ส่วนฝ่ายข้าราชการก็ให้ได้รับ<br />
ประโยชน์ยิ่งขึ้น เนื่องจากความสะพรั่ง<br />
พร้อมด้วยข้าราชการซึ่งมีความสามารถ<br />
และอุบายของราชการกับหน้าที่ และวินัย<br />
อันตนพึงรักษาเป็นนิตยกาล...”<br />
พระราชบันทึกและพระราชประสงค์<br />
ตามคาปรารภในพระราชบัญญัติดังกล่าว<br />
เป็นหลักฐานยืนยันว่าทรงวางรากฐานระบบ<br />
ข้าราชการพลเรือนให้ข้าราชการพลเรือนมี<br />
วินัยด้วย ทั้งนี้ พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการ<br />
30<br />
Êํҹѡ¾Ñ²¹ÒÃкºÃÒª¡ÒáÅÒâËÁ
พลเรือน พุทธศักราช ๒๔๗๑ ได้บัญญัติ<br />
เกี่ยวกับวินัยและการลงโทษไว้หลายประการ<br />
สำหรับวินัยที่กำหนดให้ข้าราชการ<br />
ต้องถือปฏิบัติ ได้แก่<br />
๑. อุทิศเวลาทั้งหมดของตนให้แก่<br />
ราชการ<br />
๒. รักษาชื่อเสียงมิให้ขึ้นชื่อว่าเป็น<br />
ผู้ประพฤติชั่ว<br />
๓. เคารพเชื่อฟังผู้บังคับบัญชา<br />
๔. ถือประโยชน์ของราชการแผ่นดิน<br />
เป็นที่ตั้ง<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
๕. ไม่กระทำกิจการใดๆ อันอาจ<br />
เสียเกียรติศักดิ์ของตำแหน่งหน้าที่<br />
ราชการ<br />
ส่วนวินัยที่เป็นข้อห้ามมิให้ข้าราชการ<br />
ปฏิบัติ ได้แก่<br />
๑. ห้ามมิให้อาศัยอำนาจหน้าที่<br />
ราชการจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมก็ตาม<br />
เพื่อหาผลประโยชน์ให้แก่ตนเอง หรือแก่<br />
ญาติมิตรของตน<br />
๒. ห้ามมิให้เป็นตัวกระทำการ<br />
ในห้างหุ้นส่วนหรือบริษัทใดๆ<br />
๓. ห้ามกระทำการหาผลประโยชน์<br />
ใดๆ อันอาจเป็นทางทำให้เสียความเที่ยงธรรม<br />
ในตำแหน่งหน้าที่ของตน<br />
๔. ในการปฏิบัติราชการ<br />
ห้ามมิให้กระทำการข้าม<br />
ผู้บังคับบัญชาเหนือตน<br />
เว้นไว้แต่จะได้รับอนุญาต<br />
เป็นพิเศษชั่วคราว<br />
นอกจากนี้ ยังได้บัญญัติ<br />
ให้ข้าราชการต้องปฏิบัติ<br />
ตามคำสั่งของผู้บังคับบัญชา<br />
ซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการ<br />
โดยชอบด้วยกฎหมาย ถ้าไม่<br />
เห็นพ้องด้วยจะเสนอ<br />
ทัดทานเป็นลายลักษณ์<br />
อักษรก็ได้ แต่ต้องเสนอทันที<br />
31
และเมื่อได้เสนอทัดทานแล้วผู้บังคับบัญชา<br />
มิได้สั่งถอนหรือแก้ไขคำสั่งที่สั่งไป<br />
ข้าราชการซึ่งเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาจะต้อง<br />
ปฏิบัติตาม<br />
สำหรับโทษผิดวินัยข้าราชการพลเรือน<br />
พระราชบัญญัตินี้ได้กำหนดไว้ ๔ สถาน ได้แก่<br />
๑. ไล่ออก<br />
๒. ลดตำแหน่งหรือลดขั้นเงินเดือน<br />
๓. ตัดเงินเดือน<br />
๔. ตำหนิโทษเป็นลายลักษณ์อักษร<br />
การวางรากฐานของระบบข้าราชการ<br />
พลเรือนด้วยหลัก ๔ ประการ ให้สัมฤทธิผลได้<br />
ก็ด้วยพระราชปณิธานอัน<br />
แน่วแน่ของพระบาทสมเด็จ<br />
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว นับตั้งแต่<br />
ทรงมีพระราชดำริให้วางระบบ<br />
ข้าราชการพลเรือน ทรงขอ<br />
คำปรึกษาจากผู้ที่เกี่ยวข้อง<br />
และผู้รู้ ทรงร่วมพิจารณา<br />
ร่างระเบียบฯ ทรงรับสั่งถาม<br />
ในข้อสงสัย การแก้ไขถ้อยคำ<br />
หาความหมาย ขณะเมื่อร่าง<br />
ก่อนจะเป็นพระราชบัญญัติ<br />
ที่สมบูรณ์ด้วยพระองค์เอง<br />
พระราชดำริให้วาง<br />
ระบบข้าราชการพลเรือน<br />
ปรากฏหลักฐานตามหนังสือ<br />
ราชเลขาธิการทูลสมาชิกอภิรัฐมนตรีและ<br />
เสนาบดีกระทรวงต่างๆ ซึ่งสมเด็จพระเจ้า<br />
บรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ<br />
ทูลเกล้าฯ ถวายและร่างพระราชบัญญัติว่า<br />
ด้วยการลงโทษข้าราชการพลเรือน และ<br />
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระนครสวรรค์วรพินิต<br />
ทูลเกล้าฯ ถวายเพื่อให้อภิรัฐมนตรี และ<br />
เสนาบดีพิจารณาถวายความเห็น<br />
ส่วนที่ทรงขอคำแนะนำจากผู้ที่<br />
เกี่ยวข้องและรู้นั้นปรากฏว่า ทรงขอความ<br />
เห็นเกี่ยวกับร่างระเบียบข้าราชการ<br />
พลเรือนและร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการ<br />
ลงโทษข้าราชการพลเรือนจากอภิรัฐมนตรี<br />
และเสนาบดีกระทรวงต่างๆ ตลอดจนรับ<br />
ฟังความคิดเห็นของที่ปรึกษากระทรวง<br />
ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญต่างประเทศ มีอังกฤษ<br />
ฝรั่งเศส และอเมริกัน แสดงให้เห็นว่าทรง<br />
มีความรอบคอบระมัดระวังในการริเริ่มวาง<br />
หลักใหม่เป็นครั้งแรกและมีพระราชหฤทัย<br />
เป็นนักประชาธิปไตยที่จะต้องรับฟัง<br />
ความเห็นของผู้ที่เกี่ยวข้องก่อนที่จะตัดสิน<br />
32<br />
สำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหม
พระราชหฤทัย<br />
การที่ทรงรับสั่งถามข้อสงสัยในร่าง<br />
ระเบียบข้าราชการพลเรือน มีทั้ง<br />
พระราชทานคำแนะนำ และทรงแก้ไข<br />
ถ้อยคำในระเบียบฯ ดังปรากฏหลักฐานร่าง<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน<br />
ที่กรรมการร่างพระราชบัญญัตินำขึ้น<br />
ทูลเกล้าฯ ถวาย มีพระราชหัตถเลขาด้วย<br />
เส้นดินสอแดงบ้าง น้ำเงินบ้าง ซึ่งราช<br />
เลขาธิการได้บันทึกไว้ว่า “มีพระราช<br />
กระแสว่าพระราชหัตถเลขาที่ทรงเขียน<br />
ด้วยเส้นแดงนั้น เป็นพระราชดำรัส ส่วนที่<br />
ทรงเขียนด้วยดินสอน้ำเงินนั้น โปรดเกล้าฯ<br />
ให้สอบสวน ทั้งนี้แสดงถึงว่า ทรงพระปรีชา<br />
สามารถรอบรู้ในหลักวิชาและระเบียบ<br />
เกี่ยวกับระเบียบข้าราชการพลเรือนอย่าง<br />
ลึกซึ้งกว้างขวาง”<br />
ก่อนรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระ<br />
ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว คำว่า “ข้าราชการ<br />
พลเรือน” ยังไม่ได้ใช้กันเป็นทางการ เพียง<br />
แต่มีการแบ่งเรียกข้าราชการเป็น ๒ ฝ่าย<br />
คือ “ข้าราชการฝ่ายทหาร” และ<br />
“ข้าราชการฝ่ายพลเรือน” ซึ่งจะมีคำว่า<br />
“ฝ่าย” อยู่ด้วย คำว่า “ข้าราชการ<br />
พลเรือน” ซึ่งไม่มีคำว่า “ฝ่าย” เพิ่งจะใช้<br />
เป็นทางการ เมื่อพระบาทสมเด็จพระ<br />
ปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงตราพระราชบัญญัติ<br />
ระเบียบข้าราชการพลเรือน พุทธศักราช<br />
๒๔๙๑ ขึ้น โดยพระราชบัญญัติฉบับนี้<br />
ตราขึ้นตามหลัก ๔ ประการที่ทรงมีพระราช<br />
ดำริพระราชทานไว้ดังกล่าวข้างต้น<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน<br />
พุทธศักราช ๒๔๗๑ คำปรารภว่า<br />
“...พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
มีพระบรมราชโองการดำรัสเหนือเกล้าฯ<br />
สั่งว่า<br />
โดยที่มีพระราชประสงค์ จะทรงวาง<br />
ระเบียบข้าราชการพลเรือนให้เป็นไปใน<br />
ทางเลือกสรรผู้มีความรู้และความสามารถ<br />
เข้ารับราชการเป็นอาชีพ ไม่มีกังวลด้วยการ<br />
แสวงผลประโยชน์ในทางอื่น ส่วนฝ่าย<br />
ข้าราชการก็ให้ได้รับประโยชน์ยิ่งขึ้น<br />
เนื่องจากความสะพรั่งพร้อมด้วยข้าราชการ<br />
ซึ่งมีความสามารถและรอบรู้ในวิถีและ<br />
อุบายของราชการ กับทั้งหน้าที่และวินัย<br />
อันตนพึงรักษาเป็นนิตยกาล<br />
จึ่งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตรา<br />
พระราชบัญญัติขึ้นไว้โดยบทมาตรา<br />
ต่อไปนี้...”<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
33
เสด็จเตี ่ยออกศึก<br />
ภารกิจร่วมปราบจลาจลที ่เกาะครีต (ตอนที<br />
พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์<br />
ทรงเครื่องเเบบนักเรียนทำการนายเรือสยาม<br />
ฉายในเดือนกันยายน พ.ศ.๒๔๔๐ พระชันษา ๑๗ ปี<br />
ต่อจากฉบับที่แล้ว<br />
ข<br />
๕. นักเรียนทำการนายเรือ “อาภากร”<br />
ณะที่พระองค์เจ้าอาภากรฯ กำลัง<br />
ทรงศึกษาวิชาการทหารเรืออยู่ที่<br />
ประเทศอังกฤษนั้น พระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จ<br />
๑<br />
สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ ๒ หลวงสุนทร ๓ หลวงสุนทร ๔ กัปตัน ๕ กินเข้า<br />
ประพาสทวีปยุโรปครั้งเเรกโดยเรือ<br />
พระที่นั่งมหาจักรี เมื่อปีระกา พ.ศ.๒๔๔๐<br />
ระหว่างทาง พระองค์เจ้าอาภากรฯ ขอลา<br />
มารับเสด็จพระบรมชนกนาถ โดยเสด็จจาก<br />
เมืองกรีนิช (Greenwich) ประเทศอังกฤษ<br />
่ ๒)<br />
พลเรือตรี กรีฑา พรรธนะแพทย์<br />
อันเป็นที่ตั้งโรงเรียนของมิสเตอร์ลิตเติล<br />
จอห์น เพื่อเข้ากระบวนเสด็จที่เมืองกอล<br />
(Galle) ในเกาะลังกา ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้พระองค์เจ้าอาภากรฯ<br />
รับราชการตำเเหน่งออฟฟิเซอร์ในเรือ<br />
อยู่ในบังคับกัปตันคัมมิง (Capt. R.S.D.<br />
Cumming R.N.) เพื่อได้เป็นการฝึกหัด<br />
เดินเรือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชหัตถเลขาพระราชทาน<br />
เเด่สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี<br />
พระบรมราชินีนาถ ๑ (ขณะที่ทรงดำรง<br />
ตำเเหน่ง “ผู้สำเร็จราชการเเผ่นดินต่าง<br />
พระองค์”) ในตอนท้ายของ ฉบับวันที่ ๑๙<br />
เมษายน พ.ศ.๒๔๔๐ กล่าวถึงพระองค์เจ้า<br />
อาภากรฯ ว่า<br />
“ในเวลาเขียนหนังสืออยู่นี ้ อาภากร,<br />
หลวงสุนทร, ๒ มาถึง อาภากรโตขึ้นมากเเล<br />
ขาวขึ้น เขามีเครื่องเเต่งตัวเป็นมิดชิบเเมน ๓<br />
มาพร้อมเเล้ว ฉันได้มอบให้อยู่ในใต้บังคับ<br />
กัปตัน ๔ เป็นสิทธิขาด เว้นเเต่วันนี้เขา<br />
อนุญาตให้มากินเข้า ๕ กับฉันวันหนึ่ง”<br />
พระองค์เจ้าอาภากรฯ ทรงเป็น<br />
นักเรียนทำการนายเรืออังกฤษ ขณะที่มี<br />
พระชันษาเพียง ๑๘ ปีเท่านั้น คือในราวปี<br />
พ.ศ.๒๔๔๐ เเละเป็นช่วงเวลาที่พระองค์<br />
ทรงฝึกงานอยู่ในเรือ Revenge ของราช<br />
นาวีอังกฤษ โดยลงประจำเรือ Revenge<br />
ในวันที่ ๙ ตุลาคม พ.ศ.๒๔๔๐<br />
๖. เรือ Revenge<br />
เรือ Revenge ที่พระองค์เจ้าอาภากรฯ<br />
ทรงรับการฝึก เป็นเรือประจัญบานชั้นที่ ๑<br />
34<br />
พลเรือตรี กรีฑา พรรธนะแพทย์
เรือพระที่นั่งมหาจักรีลาที่ ๑<br />
กัปตันคัมมิง<br />
Capt. R.S.D. Cumming. R.N.<br />
ผู้บังคับการเรือ เรือพระที่นั่งมหาจักรี<br />
หลวงสุนทร<br />
(หลวงสุนทรโกษา)<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
เสด็จประพาสยุโรปครั้งที่ ๑<br />
เมื่อ พ.ศ.๒๔๔๐ โดยเรือพระที่นั่งมหาจักรี<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¡Ñ¹ÂÒ¹ òõöñ<br />
สมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี<br />
พระบรมราชินีนาถ<br />
“ผู้สาเร็จราชการเเผ่นดินต่างพระองค์”<br />
ในเรือพระที่นั่งมหาจักรี ณ เมืองเวนิส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ฉายพระรูปร่วมกับกัปตันคัมมิง นายทหารเรืออังกฤษ เเละนักเรียนทาการนายเรือ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์<br />
ของราชนาวีอังกฤษในสมัยนั้น ปล่อยเรือ<br />
ลงน้าใน ค.ศ.๑๘๙๒ (พ.ศ.๒๔๓๕) สร้าง<br />
เสร็จใน ค.ศ.๑๘๙๔ (พ.ศ.๒๔๓๗) ระวาง<br />
ขับน้า ๑๔,๑๕๐ ตัน ยาว ๓๘๐ ฟุต กว้าง<br />
๗๕ ฟุต กินน้าลึก ๒๗ ฟุตครึ่ง เครื่องจักร<br />
๑๓,๐๐๐ แรงม้า ความเร็วสูงสุด ๑๗.๕ นอต<br />
ระยะปฏิบัติการเมื่อใช้ความเร็ว ๑๐ นอต<br />
๕,๐๐๐ ไมล์ มีเกราะเหล็กกล้านิคเกิลหนา<br />
๑๘ นิ้ว ติดปนใหญ่ขนาด ๑๓.๕ นิ้ว<br />
ปอมคู่ ๒ ปอม ปนยิงเร็วขนาด ๖ นิ้ว<br />
๑๐ กระบอก ปนยิงเร็วขนาด ๖ ปอนด์<br />
(๕๗ มิลลิเมตร) ๑๖ กระบอก ปนยิงเร็ว<br />
ขนาด ๓ ปอนด์ (๔๗ มิลลิเมตร) ๑๒ กระบอก<br />
ในระหว่างที่พระองค์เจ้าอาภากรฯ<br />
ทรงฝึกงานอยู่ในเรือ Revenge ในฐานะ<br />
35
นักเรียนทาการนายเรือ มีพลเรือตรี โนเเอล<br />
(Gerard Henry U. Noel) เป็นผู้บังคับการ<br />
กองเรือ ซึ่งมาเเทนพลเรือตรี แฮร์ริส (R.B.<br />
Harris) เเละมีนาวาเอก เรจินัลด์ โปรเธโร<br />
(Reginald Charles Prothero) เป็น<br />
ผู้บังคับการเรือ Revenge ทั้งพลเรือตรี<br />
โนเเอลเเละนาวาเอก โปรเธโร ทั้งคู่นี้นับว่า<br />
เป็น “นักไลลูกไล” ชั้นเยี่ยมของราชนาวี<br />
อังกฤษ<br />
นาวาเอก เรจินัลด์ โปรเธโร ผู้บังคับ<br />
การเรือ Revenge มีฉายาว่า “Prothero<br />
the Bad” คู่กับนายทหารเรือ “Prothero”<br />
อีกคนหนึ่ง ซึ่งมีฉายาว่า “Prothero the<br />
Good” นาวาเอก เรจินัลด์ โปรเธโร<br />
(the Bad) มีรูปร่างสูงใหญ่ ตาคล้ายเหยี่ยว<br />
จมูกงุ้ม ไว้เคราดา ยาวลงมาถึงเอว ลูกน้อง<br />
ของท่านให้ฉายาว่า “Shylock” (ไชล็อก)<br />
มีชื่อเสียงในทาง “ไลลูกไล” ผู้ใต้บังคับ<br />
บัญชา เป็นผู้ที่รู้จักกันดีในราชนาวีอังกฤษ<br />
เรือของท่านจะต้องเป็น “เรือชั้นเยี่ยม”<br />
(Crack Ship) เสมอ<br />
นาวาเอก โปรเธโร ท่านชอบกวดขัน<br />
หรือไล่ลูกไล่อยู่ใต้บังคับบัญชา โดยเฉพาะ<br />
นักเรียนทาการนายเรือ ทั้งในด้านการงาน<br />
ระเบียบวินัย เเละความสะอาดเรียบร้อย<br />
ของเรือ เป็นคนชนิด “ปากว่ามือถึง” ในชั้นเเรก<br />
เรือรีเวนจ์ของราชนาวีอังกฤษ<br />
H.M.S. REVENGE (1892)<br />
ผู้ใต้บังคับบัญชาจะเกลียดท่านทุกคน<br />
เเต่เมื ่ออยู่ด้วยกันไปนานๆ ก็จะชอบเเละ<br />
เคารพท่านมาก เพราะเห็นว่าท่านเป็นคน<br />
ที่มีทั้งมนุษยธรรมเเละความยุติธรรม<br />
สาหรับพระองค์เจ้าอาภากรฯ เชื่อกันว่า<br />
พระองค์จะต้องได้รับความประทับใจ เเละ<br />
สานึกในหน้าที่ ตลอดจนการปฏิบัติตาม<br />
ประเพณี นิติธรรมของทหารเรือ เเละทรง<br />
สามารถ “ผ่าน” การไล่ลูกไล่ของนาวาเอก<br />
โปรเธโรได้เรียบร้อย ดังจะเห็นได้จากการ<br />
ที่นาวาเอก โปรเธโรได้รับรองว่า การงาน<br />
ของพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ อยู่ใน<br />
ระดับ “ดีมาก” (Very Good)<br />
การที่มีชื่อเสียงในการ “ไล่ลูกไล่”<br />
เเละจากการที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ตาคล้าย<br />
เหยี่ยว จมูกงุ้ม ไว้เคราดายาว ของนาวาเอก<br />
เรจินัลด์ โปรเธโร เช่นนี้ จึงทาให้มีผู้เขียน<br />
ภาพล้อของนาวาเอก เรจินัลด์ โปรเธโร<br />
(the Bad) ขึ้น เป็นภาพที่เเสดงถึงความ<br />
น่าเกรงขาม จนนกนางนวลยังต้องบินหนี<br />
เเละกะลาสีต้องวิ่งหนี ดังแสดงในภาพ<br />
“Shylock” (ไชล็อก) คืออะไร<br />
“ไชล็อก” คือตัวละครในบทละคร<br />
เรื่อง “The Merchant of Venice” ของ<br />
William Shakespere (วิลเลียม เชกสเปียร์)<br />
ระหว่างปี ค.ศ.๑๕๙๕ - ๑๕๙๗ เป็นเรื่อง<br />
ที่เกิดขึ้นที่เมือง Venice ประเทศ<br />
อิตาลี พระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาล<br />
ที่ ๖ ทรงพระราชนิพนธ์แปลและ<br />
เรียบเรียงเป็นภาษาไทย ชื่อ<br />
“เวนิสวานิช” ไว้เมื่อปี พ.ศ.<br />
๒๔๕๙ จัดพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ พ.ศ.<br />
๒๔๖๖ เพื่อพระราชทานสาหรับ<br />
ใช้เป็นแบบเรียนของนักเรียนชั ้น<br />
มัธยมศึกษาตอนกลางและตอน<br />
ปลาย หลังจากนั้นกระทรวง<br />
ศึกษาธิการได้จัดพิมพ์ต่อมาอีก<br />
หลายสิบครั้ง สาหรับใช้เป็น<br />
แบบเรียน และหนังสืออ่านกวี<br />
นิพนธ์นอกเวลา<br />
“ไชล็อก” คือ “ยิวผู้มีทรัพย์” เป็น<br />
“ตัวเอก” แต่ไม่ใช่ “พระเอก” “อันโตนิโย”<br />
(Antonio) พ่อค้าหนุ่มแห่งเมืองเวนิสเป็น<br />
“ตัวเอก”`อีกคนหนึ่ง “นางเอก” คือ “นาง<br />
ปอร์เชีย” (Portia) `หญิงสาวผู้มั่งมี<br />
“พระเอก” คือ “บัสสานิโย” (Bassanio)<br />
หนุ ่มเจ้าสาราญเป็นเพื่อนรักของอันโตนิโย<br />
“ไชล็อก” เป็นชนชาติยิว (Jew) มี<br />
อาชีพในทางให้กู้เงิน โดยคิดดอกเบี้ย<br />
แพงมาก หน้าเลือด มีนิสัยรักเงิน พยาบาท<br />
เคียดแค้น อาฆาตมาดร้าย โหดเหี้ยม โลภ<br />
ตลบตะแลง ตระหนี่<br />
ในสมัยนั้นชนชาติยิวเป็นที่ดูหมิ่น<br />
เหยียดหยามเป็นที่น่ารังเกียจ ดังที่<br />
“สะละรีโน” สหายคนหนึ่งของ “อันโตนิโย”<br />
ได้กล่าวถึง “ไชล็อก” ว่า<br />
“อ้ายนี่เป็นสัตว์ป่าทารุณสุด<br />
มาเที่ยวปนฝูงมนุษย์อยู่นี่ได้!”<br />
แต่นาวาเอก เรจินัลด์ โปรเธโร (Prothero<br />
the Bad) ท่านไม่ได้มีนิสัยเช่น<br />
Shylock แต่อย่างใดเลย ท่านได้ฉายาว่า<br />
“Shylock” ก็ตรงที่ท่านมี “รูปร่างสูงใหญ่<br />
ตาคล้ายเหยี่ยว จมูกงุ้ม ไว้เคราดายาว”<br />
เหมือน Shylock เท่านั้นเอง ดังที่ได้แสดง<br />
รูปเปรียบเทียบระหว่างภาพล้อของนาวาเอก<br />
36<br />
¾ÅàÃ×͵ÃÕ ¡ÃÕ±Ò ¾Ãø¹Ðá¾·Â
ซ้าย-ภาพล้อของนาวาเอก โปรเธโร (Reginald Charles Prothero) ผู้บังคับการเรือประจัญบาน Revenge<br />
เรือฝึกพระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ แสดงถึงความน่าเกรงขาม จนนกนางนวลบินหนี และกะลาสีวิ่งหนี<br />
ขวา-ภาพวาด Shylock (ไชล็อก) จากหนังสืออ่านกวีนิพนธ์ “เวนิสวานิช”<br />
พระราชนิพนธ์ในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
เรจินัลด์ โปรเธโร กับภาพของไชล็อก<br />
จากหนังสือ “เวนิสวานิช”<br />
จากที่ได้เล่ามาตั้งแต่ต้น ก็เพื่อจะได้<br />
เป็นที่ประจักษ์ชัดว่า พระองค์เจ้าอาภากรฯ<br />
ทรงมี ครู ผู้ปกครอง และผู้บังคับบัญชาที่<br />
เป็นนักกวดขันการงาน เป็นนักไล่ลูกไล่<br />
ชั้นยอด นับตั้งแต่ มิสเตอร์ลิตเติลจอห์น<br />
พลเรือตรี โนแอล จนถึงนาวาเอก โปรเธโร<br />
พระองค์ต้องทรงฝ่าฟัน ผ่านอุปสรรค<br />
อย่างหนักมาโดยตลอด จึงทำให้พระองค์<br />
ทรงเข้มแข็ง ทรหดอดทน แกร่งทั้งพระวรกาย<br />
และพระหฤทัย มีลักษณะของผู้นำ พร้อมที่<br />
จะเป็นนายทหารเรือที่ดี<br />
๗. การจลาจลบนเกาะครีต (Crete)<br />
ในช่วงเวลาที่พระองค์เจ้าอาภากรฯ<br />
ทรงฝึกงานอยู่ในเรือ Revenge ในทะเล<br />
เมดิเตอร์เรเนียน (Mediteranean) นั้น<br />
ได้เกิดความไม่สงบหรือเกิดการจลาจลขึ้น<br />
ประเทศ GREECE ประเทศ TURKEY และเกาะ CRETE<br />
บนเกาะครีต (Crete) ซึ่งในเวลานั้นอยู่ใน<br />
ความปกครองของประเทศตุรกี (Turkey)<br />
(OTTOMAN EMPIRE : ราชอาณาจักร<br />
ออตโตมานแต่ก่อน) ประเทศตุรกีตั้งอยู่บนฝั่ง<br />
ของ ๒ ทวีป คือ ทั้งทวีปยุโรป (Europe)<br />
และทวีปเอเชีย (Asia) ส่วนประเทศกรีซ<br />
(Greece) นั้นตั้งอยู่โดยมีอาณาเขตติดต่อ<br />
กับประเทศตุรกี บนเกาะครีตมีชุมชนที่<br />
นับถือศาสนาอยู่สองชุมชน คือชาวมุสลิม<br />
และชาวคริสต์ จึงเกิดความตึงเครียดขึ ้น<br />
ระหว่างสองชุมชน<br />
ในเดือนมกราคม ค.ศ.๑๘๙๗ (พ.ศ.<br />
๒๔๔๐) ความรุนแรงและความวุ่นวาย<br />
ได้ทวีมากขึ้นบนเกาะครีต พลเมืองที่นับถือ<br />
ศาสนาคริสต์ถูกเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองของ<br />
ตุรกี กดขี่ข่มเหงอย่างไม่เป็นธรรม จึงก่อ<br />
การจลาจลขึ้นตั้งแต่เดือนมกราคม ค.ศ.<br />
๑๘๙๗ (พ.ศ.๒๔๔๐) ชาติมหาอำนาจใน<br />
ยุโรป ๖ ชาติ ได้แก่ อังกฤษ ฝรั่งเศส<br />
เยอรมัน รัสเซีย อิตาลี และออสเตรีย ได้ส่ง<br />
เรือรบไปยังเกาะครีต เพื่อช่วยแก้ไข<br />
สถานการณ์และยับยั้ง กรีซได้ส่งเรือรบและ<br />
ทหารมาช่วยพลเมืองที่นับถือศาสนาคริสต์<br />
ทำให้การจลาจลไม่ลุกลามและสงบลงได้<br />
ชั่วคราว<br />
ในเดือนกันยายน ค.ศ.๑๘๙๘ (พ.ศ.<br />
๒๔๔๑) ได้เกิดความรุนแรงขึ้นอีก เมื่อทหาร<br />
อังกฤษที่ขึ้นไปรักษาการณ์บนเกาะครีต<br />
ถูกชาวตุรกีโจมตี เสียชีวิตไป ๑๗ นาย<br />
อังกฤษจึงส่งกองเรือของพลเรือตรี โนแอล<br />
(Gerard Henry U. Noel) ซึ่งมีเรือ<br />
ประจัญบาน Revenge เป็นเรือธง<br />
(พระองค์เจ้าอาภากรฯ เป็นนักเรียนทำการ<br />
นายเรืออยู่ในเรือนี้ด้วย) กับเรือประจัญบาน<br />
Illustrious และเรือลาดตระเวน<br />
Venus มาที่เกาะครีต ได้ทำการยกพลขึ้นบก<br />
และบังคับเจ้าเมืองตุรกีให้ปราบปราม<br />
พวกที่เข้าโจมตีทหารอังกฤษ<br />
(โปรดติดตามตอนต่อไป)<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
37
พลตรี ภราดร จินดาลัทธ<br />
ผู้อำนวยการสำนักงานตรวจสอบภายในกลาโหม<br />
ประวัติความเป็นมา<br />
สำ<br />
นักงานตรวจสอบภายใน<br />
กลาโหม เป็นส่วนราชการ<br />
ขึ้นตรงต่อสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม เดิมมีชื่อว่า “สำนักงาน<br />
๑ กันยายน ๒๕๖๑<br />
วันคล้ายวันสถาปนา ปีที ่ ๒๙<br />
สำนักงานตรวจสอบภายในกลาโหม<br />
กองวิชาการและระบบงาน สำนักงานตรวจสอบภายในกลาโหม<br />
ตรวจบัญชีกลาโหม” จัดตั้งขึ้นเพื่อทดแทน<br />
กองตรวจสอบภายในกรมการเงินกลาโหม<br />
ที่ได้ถูกยุบเลิกอัตราและให้โอนอัตรา<br />
กำลังพลให้กับสำนักงานตรวจบัญชีกลาโหม<br />
ตั้งแต่วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๒ ดังนั้น<br />
จึงได้ถือเอาวันที่ ๑ กันยายน ๒๕๓๒<br />
เป็นวันก่อตั้งสำนักงานตรวจบัญชีกลาโหม<br />
ต่อมาได้มีการประกาศใช้พระราชกฤษฎีกา<br />
แบ่งส่วนราชการและกำหนดหน้าที่ของ<br />
ส่วนราชการสำนักงานรัฐมนตรีสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม กระทรวงกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๕๒ โดยเปลี่ยนนามหน่วยจาก<br />
“สำนักงานตรวจบัญชีกลาโหม” เป็น<br />
“สำนักงานตรวจสอบภายในกลาโหม”<br />
เมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๒<br />
ภารกิจการจัดส่วนราชการ<br />
สำนักงานตรวจสอบภายในกลาโหม<br />
มีหน้าที่เกี่ยวกับการตรวจสอบภายใน และ<br />
การตรวจการปฏิบัติราชการให้แก่ส่วน<br />
ราชการในสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม และสำนักงานรัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหมและการตรวจสอบ<br />
ภายในระดับกระทรวงให้แก่ส่วนราชการใน<br />
กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย<br />
และเหล่าทัพ ให้เป็นไปตามระเบียบ<br />
แบบแผนของทางราชการ รวมทั้งงานด้าน<br />
การพิจารณาความรับผิดทางละเมิดและ<br />
แพ่งกรณีเกิดความเสียหายแก่เงินราชการ<br />
ทรัพย์สินของทางราชการของหน่วยงาน<br />
ในสังกัดกระทรวงกลาโหม กองบัญชาการ<br />
กองทัพไทย และเหล่าทัพ นอกจากนี้<br />
ยังเป็นหน่วยงานที่ให้การสนับสนุนการ<br />
ปฏิบัติงานของคณะกรรมการตรวจสอบ<br />
และประเมินผลประจำกระทรวงกลาโหม<br />
(ค.ต.ป. ประจำ กห.)<br />
ผลการปฏิบัติงานที่สำคัญในรอบปี<br />
๒๕๖๑<br />
๑. งานตามภารกิจหน่วย การตรวจ<br />
สอบภายใน การตรวจการปฏิบัติราชการ<br />
การตรวจสอบภายในระดับกระทรวง และ<br />
การพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง<br />
38<br />
กองวิชาการและระบบงาน สำนักงานตรวจสอบภายในกลาโหม
๑.๑ การตรวจสอบภายในด้านการเงิน<br />
การบัญชี การพัสดุ และทรัพย์สิน เงินทุน<br />
หมุนเวียน เงินอุดหนุน การควบคุมงบประมาณ<br />
เฉพาะการเบิกจ่ายเงิน การปฏิบัติตามกฎ<br />
ระเบียบ ข้อบังคับ การสอบทานการ<br />
ประเมินความเพียงพอของระบบการ<br />
ควบคุมภายใน การตรวจสอบการดำเนินงาน<br />
และการตรวจสอบสารสนเทศ โดยใน<br />
ปีงบประมาณ ๒๕๖๑ ได้ให้ความสำคัญ<br />
ในการตรวจสอบกระบวนการจัดซื้อจัดจ้าง<br />
เพื่อให้เกิดความสอดคล้องกับแนวทางการ<br />
ปฏิบัติงานของปลัดกระทรวงกลาโหมที่ให้<br />
ดำเนินการตรวจสอบการจัดซื้อจัดจ้าง การทำ<br />
สัญญาในโครงการต่างๆ ให้เป็นไปด้วย<br />
ความเรียบร้อย ถูกต้อง โปร่งใส และปฏิบัติ<br />
ตามระเบียบที่เกี่ยวข้องโดยเคร่งครัด<br />
เพื่อป้องกันการทุจริตและประพฤติมิชอบ<br />
และไม่ให้เกิดความเสียหายต่อทางราชการ<br />
๑.๒ การตรวจการปฏิบัติราชการ<br />
ด้านการรักษาความปลอดภัยเกี่ยวกับ<br />
บุคคล เอกสาร และสถานที่ด้านงาน<br />
สารบรรณ ด้านการป้องกันและระงับอัคคีภัย<br />
ด้านสายกำลังพล ด้านยานพาหนะ และ<br />
ด้านการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
๑.๓ การตรวจสอบภายในระดับ<br />
กระทรวง เป็นการตรวจสอบและประเมิน<br />
ผลการดำเนินงานตามแผนงาน/งาน/<br />
โครงการที่มีความสำคัญของหน่วยขึ้นตรง<br />
กระทรวงกลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย<br />
และเหล่าทัพ หรือเป็นงาน/โครงการที่มี<br />
ความเสี่ยงสูง หรือเชื่อมโยงกับหลายส่วน<br />
ราชการ หรือที่ได้รับมอบหมายจาก<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและ/หรือ<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม โดยในปีงบประมาณ<br />
๒๕๖๑ ได้เริ่มดำเนินการตรวจสอบภายใน<br />
ระดับกระทรวงแบบบูรณาการ ระหว่าง<br />
ผู้ตรวจสอบของสำนักงานตรวจสอบภายใน<br />
กลาโหม สำนักงานตรวจสอบภายในทหาร<br />
และสำนักงานตรวจสอบภายในเหล่าทัพ<br />
โครงการจัดหาเฮลิคอปเตอร์แบบใช้งาน<br />
ทั่วไป ทดแทนเฮลิคอปเตอร์ใช้งานทั่วไป<br />
แบบที่ ๑ (ระยะที่ ๔) ของกองทัพบก ณ<br />
ศูนย์การบินทหารบก จังหวัดลพบุรี ซึ่งถือ<br />
ได้ว่าเป็นการเริ่มต้นการตรวจสอบภายใน<br />
ระดับกระทรวงแบบบูรณาการเป็นครั้งแรก<br />
๑.๔ การพิจารณาความรับผิดทางแพ่ง<br />
ดำเนินการพิจารณากลั่นกรองเรื่องที่<br />
เกี่ยวกับการรายงานทรัพย์สินหรือเงิน<br />
ราชการเสียหายสูญหายขาดบัญชีหรือ<br />
เจ้าหน้าที่ของรัฐทุจริต และรายงานผลการ<br />
สอบสวนข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด<br />
รวมทั้งพิจารณาการขออนุมัติผ่อนชำระ<br />
กรณีผิดสัญญา ลาศึกษา เพื่อให้เป็นไปตาม<br />
ระเบียบและหลักเกณฑ์ที่กำหนด<br />
๒. งานที่ได้รับมอบหมายจากผู้บังคับ<br />
บัญชา<br />
สนับสนุนการปฏิบัติงานของคณะ<br />
กรรมการตรวจสอบและประเมินผลประจำ<br />
กระทรวงกลาโหม (ค.ต.ป.ประจำ กห.)<br />
โดยมี พลเรือเอก ประเสริฐ บุญทรง<br />
เป็นประธานกรรมการและผู้อำนวยการ<br />
สำนักงานตรวจสอบภายในกลาโหม<br />
เป็นกรรมการและเลขานุการ โดยจัดการ<br />
ประชุมและทำหน้าที่สอบทานและติดตาม<br />
ตรวจสอบ ประเมินผลโครงการตาม<br />
แนวทางการตรวจสอบและประเมินผลภาค<br />
ราชการ ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑<br />
ตลอดระยะเวลา ๒๙ ปีที่ผ่านมา<br />
สำนักงานตรวจสอบภายในกลาโหม มีความ<br />
มุ่งมั่นที่จะปฏิบัติหน้าที่ตามภารกิจที่<br />
ได้รับมอบหมายให้สำเร็จเป็นไปตาม<br />
วัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ รวมทั้งเป็นไปตาม<br />
นโยบายของผู้บังคับบัญชาระดับสูง เพื่อให้<br />
การบริหารราชการของหน่วยขึ้นตรง<br />
กระทรวงกลาโหม และสำนักงานรัฐมนตรี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหม มีความถูกต้อง<br />
เป็นไปตามระเบียบแบบแผนของทาง<br />
ราชการ และเป็นการเตรียมความพร้อม<br />
ล่วงหน้าก่อนที่สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน<br />
จะเข้าทำการตรวจสอบ<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
39
พลโท ปรีชา สายเพ็ชร<br />
เจากรมการสรรพกําลังกลาโหม<br />
ในอดีต กองบัญชาการทหารสูงสุด<br />
ได้พิจารณาเห็นความจาเป็นในการ<br />
จัดตั้งกรมการสรรพกาลังทหาร เพื่อ<br />
ปฏิบัติภารกิจในการระดมสรรพกาลังเพื่อ<br />
การทหารเมื่อเกิดภาวะไม่ปกติ และมี<br />
ความจาเป็นต้องระดมทรัพยากรให้กับ<br />
กองทัพ ดังนั้น จึงมีความจาเป็นต้องเตรียม<br />
ความพร้อมไว้ตั้งแต่ภาวะปกติ และต้องมี<br />
หน่วยงานที่รับผิดชอบงานด้านระดมสรรพ<br />
กาลัง กระทั่งเมื่อวันที่ ๖ กันยายน ๒๕๓๓<br />
ได้มีพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการ<br />
กระทรวงกลาโหมให้จัดตั้งส่วนราชการ<br />
กรมการสรรพกาลังทหาร ให้เป็นหน่วยขึ้นตรง<br />
กองบัญชาการทหารสูงสุดในขณะนั้น<br />
ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๕๐ ได้มีมติประชุมคณะ<br />
กรรมการพิจารณาการรับโอน กรมการ<br />
สรรพกาลังทหาร มาเป็นหน่วยขึ้นตรงของ<br />
สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมตามแผน<br />
แม่บทการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวง<br />
กลาโหม พ.ศ.๒๕๕๐ เสนอรัฐมนตรีว่าการ<br />
วันคล้ายวันสถาปนา<br />
กรมการสรรพกําลังกลาโหม<br />
๖ กันยายน ๒๕๖๑ ครบรอบ ๒๘ ปี<br />
กระทรวงกลาโหม และได้รับอนุมัติเมื่อวันที่<br />
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๐ ให้ปรับโอน กรมการ<br />
สรรพกาลังทหาร มาเป็นหน่วยขึ้นตรง<br />
สังกัดสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมและ<br />
เปลี่ยนชื่อหน่วยจากกรมการสรรพกาลัง<br />
ทหาร เป็น กรมการสรรพกาลังกลาโหม<br />
โดยมี พลโท ธรรมรัชต์ เจริญกุล เป็น เจ้ากรม<br />
การสรรพกาลังกลาโหม ท่านแรก ต่อมา<br />
เมื่อวันที่ ๑๕ ตุลาคม ๒๕๕๐ กรมการ<br />
สรรพกาลังกลาโหมได้ย้ายหน่วยเข้าที่ตั้ง<br />
แห่งใหม่ ณ อาคารสานักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม (แจ้งวัฒนะ) ชั้น ๗ ถนนแจ้งวัฒนะ<br />
เมืองทองธานี อาเภอปากเกร็ด จังหวัด<br />
นนทบุรี ปัจจุบันกรมการสรรพกาลัง<br />
กลาโหมได้ย้ายหน่วยมาเข้าที่ตั้ง ณ อาคาร<br />
สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (พื้นที่<br />
ศรีสมาน) ตาบลบ้านใหม่ อาเภอปากเกร็ด<br />
จังหวัดนนทบุรี ซึ่งในปี ๒๕๖๑ นี้ ครบรอบ<br />
วันคล้ายวันสถาปนากรมการ<br />
สรรพกาลังกลาโหม ครบรอบปี ๒๘<br />
โดยมี พลโท ปรีชา สายเพ็ชร<br />
ดารงตาแหน่งเจ้ากรมการ<br />
สรรพกาลังกลาโหมท่านปัจจุบัน<br />
ภารกิจ มีหน้าที่พิจารณา<br />
เสนอความเห็น วางแผน<br />
ประสานงาน กากับดูแล ดาเนิน<br />
การเกี่ยวกับการระดมสรรพ<br />
กาลังเพื่อการทหาร การกาลัง<br />
สารอง การสัสดี ตลอดจน<br />
ประสานความร่วมมือระหว่าง<br />
ประเทศ และปฏิบัติงานอื่น<br />
ตามที่ได้รับมอบหมาย<br />
การปฏิบัติงานสาคัญที่ผานมา<br />
กรมการสรรพกาลัง<br />
กลาโหม ได้ดาเนินงานที่สาคัญ<br />
กองวิชาการและระบบงาน กรมการสรรพกําลังกลาโหม<br />
ตามภารกิจของหน่วย ได้แก่ งานด้านการ<br />
ระดมสรรพกาลังเพื่อการทหาร งานด้าน<br />
การกาลังสารอง และงานด้านการสัสดี<br />
ด้านการระดมสรรพกาลังเพื่อการทหาร<br />
- กรมการสรรพกาลังกลาโหม จัดการ<br />
ฝึกปัญหาที่บังคับการ (CPX) การฝึกการ<br />
ระดมสรรพกาลังเพื่อการทหาร ประจาปี<br />
๒๕๖๑ (กรส.๖๑) ระหว่างวันที่ ๒๒ - ๒๔<br />
พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ กรมการสรรพกาลัง<br />
กลาโหม ชั้น ๔ อาคารสานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) โดยเป็นการ<br />
ฝึกร่วมกันระหว่างส่วนราชการทหาร<br />
ส่วนราชการพลเรือน รัฐวิสาหกิจ และภาค<br />
เอกชนที่เกี่ยวข้อง ตามแผนผนึกกาลังและ<br />
ทรัพยากรเพื่อการปองกันประเทศ การฝึกฯ<br />
มุ่งเน้นการสนับสนุนทรัพยากรตาม<br />
ความต้องการทางทหาร ซึ่งมีการจัดตั้งศูนย์<br />
ปฏิบัติการ ได้แก่ ศูนย์ระดมสรรพกาลัง (ศรส.)<br />
40<br />
¡Í§ÇÔªÒ¡ÒÃáÅÐÃкº§Ò¹ ¡ÃÁ¡ÒÃÊÃþ¡ํÒÅѧ¡ÅÒâËÁ
ศูนย์บัญชาการทางทหาร (ศบท.), และ<br />
ศูนย์ปฏิบัติการที่รับผิดชอบทรัพยากร<br />
ทั้ง ๑๐ ด้าน ทั้งนี้ ศูนย์ปฏิบัติการจาก<br />
ทุกภาคส่วนได้ร่วมกันระดมทรัพยากร<br />
ตามที่หน่วยรับผิดชอบ ในการแก้ปัญหา<br />
บ่งการ โดยผ่านช่องทางระบบติดต่อสื่อสาร<br />
ที่กำหนดได้เป็นอย่างดี<br />
- การฝึกภาคสนาม (FTX) การฝึกการ<br />
ระดมสรรพกำลังเพื่อการทหาร ประจำปี<br />
๒๕๖๑ (กรส.๖๑) ระหว่างวันที่ ๑๘ - ๒๐<br />
มิถุนายน ๒๕๖๑ ณ บริเวณพื้นที่<br />
กองบัญชาการช่วยรบที่ ๒ จังหวัดนครราชสีมา<br />
เป็นการบูรณาการการฝึกร่วมกันกับ<br />
ทุกภาคส่วน ตามแผนผนึกกำลังฯ โดยมุ่งเน้น<br />
การระดมทรัพยากรจากฝ่ายพลเรือน<br />
สนับสนุนตามความต้องการทางฝ่ายทหาร<br />
และการสร้างความเข้าใจในขั้นตอนการ<br />
รับ - ส่ง ทรัพยากร และการฝึกซ้อมปฏิบัติงาน<br />
ร่วมกันระหว่างทหารกับพลเรือน ทั้งนี้<br />
มีหน่วยเข้าร่วมการฝึก ๘๔ หน่วยงาน<br />
จำนวน ๖๕๐ คน ซึ่งทุกภาคส่วนได้ร่วมมือกัน<br />
อย่างเป็นระบบ และดำเนินการประสาน<br />
สอดคล้องอย่างบูรณาการร่วมกัน<br />
ด้านการกำลังสำรอง<br />
- การเดินทางไปราชการเพื่อเข้าร่วม<br />
ประชุมหารือและรับทราบแนวทางการ<br />
ปฏิบัติกับเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกับกิจการ<br />
กำลังพลสำรองในพื้นที่กองทัพภาคที่ ๑<br />
ระหว่างวันที่ ๒๘ - ๓๐ มีนาคม ๒๕๖๑ และ<br />
กองทัพภาคที่ ๓ ระหว่างวันที่ ๑๓ - ๑๕<br />
มิถุนายน ๒๕๖๑<br />
- การจัดทำหนังสือ<br />
ประวัติความเป็นมา<br />
กระบวนการ เจตนารมณ์<br />
และสาระสำคัญของ<br />
พระราชบัญญัติกำลังพล<br />
สำรอง พ.ศ.๒๕๕๘ ให้กับทุกส่วนราชการ<br />
ที่เกี่ยวข้อง จำนวน ๑,๕๐๐ เล่ม<br />
- จัดงานการแสดงศักยภาพของกำลัง<br />
พลสำรอง ๓ เหล่าทัพ โดย พลเอก เทพพงศ์<br />
ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม กรุณา<br />
เป็นประธานเปิดในวันที่ ๑๖ พฤษภาคม<br />
๒๕๖๑ ณ ลานหน้าอาคารบริการสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) โดยมี<br />
กำลังพลจากกองทัพบก จำนวน ๒๐๗ นาย<br />
กองทัพเรือ จำนวน ๑๑๐ นาย กองทัพ<br />
อากาศ จำนวน ๖๐ นาย และผู้ร่วมงาน<br />
ประมาณ ๒๐๐ คน<br />
ด้านการสัสดี<br />
- พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน รองปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม ผู้แทนปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม พร้อมคณะ ได้เดินทางไปตรวจ<br />
เยี่ยมการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้ารับ<br />
ราชการทหารกองประจำการ ประจำปี ๒๕๖๑<br />
เมื่อ ๒ เมษายน ๒๕๖๑ ณ วัดโกมุทพุทธรังสี<br />
เขตทวีวัฒนา กรุงเทพฯ โดยมี พลโท ปรีชา<br />
สายเพ็ชร เจ้ากรมการสรรพกำลังกลาโหม<br />
ร่วมคณะตรวจเยี่ยมด้วย<br />
- กรมการสรรพกำลังกลาโหม ได้จัด<br />
ประชุมติดตามและสรุปผลดำเนินการ<br />
การลงบัญชีทหารกองเกินนอกพื้นที่ภูมิลำเนา<br />
ทหาร เมื่อ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๖๑ ณ ห้อง<br />
ประชุมกรมการสรรพกำลังกลาโหม<br />
อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
(ศรีสมาน) โดยมี พลตรี เพิ่มศักดิ์ รอบจังหวัด<br />
รองเจ้ากรมการสรรพกำลังกลาโหม เป็น<br />
ประธานการประชุม โดยมีผู้แทนส่วน<br />
ราชการที่เกี่ยวข้องจากส่วนราชการทั ้ง<br />
ภายในและนอกกระทรวงกลาโหม<br />
วัตถุประสงค์เพื่อรายงานความคืบหน้าใน<br />
การดำเนินการการลงบัญชีทหารกองเกิน<br />
นอกพื้นที่ภูมิลำเนาทหารโดยใช้เทคโนโลยี<br />
สารสนเทศและการสื่อสารที่ทันสมัยจาก<br />
ระบบเลขประจำตัวประชาชน ๑๓ หลัก<br />
ตามกรอบระยะเวลาที่รัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม ได้กรุณาอนุมัติ<br />
หลักการไว้<br />
กรมการสรรพกำลังกลาโหม เป็น<br />
องค์กรนำในงานด้านการระดมสรรพกำลัง<br />
การกำลังสำรองและการสัสดีของ<br />
กระทรวงกลาโหม ที่มุ่งเน้นการพัฒนา<br />
ความร่วมมือกับทุกภาคส่วน เพื่อการ<br />
บริหารจัดการการสรรพกำลังกลาโหมให้<br />
กับกองทัพไทยได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
41
พลเรือเอก ปรีชาญ จามเจริญ<br />
ก<br />
เจากรมพระธรรมนูญ<br />
รมพระธรรมนูญเป็นหน่วยงาน<br />
ระดับกรมขึ้นตรงต่อสานักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้รับการ<br />
ก่อตั้งจวบจนปัจจุบันมาเป็นระยะเวลา<br />
๑๑๒ ปี และย่างเข้าสู่ปีที่ ๑๑๓ นับตั้งแต่<br />
วันที่ ๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ เป็นต้นไป<br />
จะเป็นปีที่สังคมโลกในยุคปัจจุบันเผชิญกับ<br />
การเปลี่ยนแปลง ด้วยเหตุที่มีการพัฒนาการ<br />
ทางสังคม เศรษฐกิจ และมีความเจริญ<br />
ก้าวหน้าทางเทคโนโลยีสารสนเทศอย่าง<br />
ไร้พรมแดน<br />
ตามประวัติเดิม การศาล การคดีขึ้นอยู่<br />
กับปลัดทหารบกใหญ่ กรมยุทธนาธิการ<br />
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ได้ทรงมีพระราช<br />
หัตถเลขาถึงกรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม<br />
เสนาบดีว่าการกระทรวงกลาโหมความว่า<br />
“ดวยการปฤกษาลงโทษทหาร ซึ่งไดสังเกต<br />
๑๒ กันยายน ๒๕๖๑ วันคล้ายวันสถาปนา<br />
กรมพระธรรมนูญ<br />
๑๑๒ ปี ยุคแห่งการปฏิรูปประเทศ<br />
เหนเมื่อพิจารณาโดย<br />
ที่ประชุมทหาร (คอตมาแส)<br />
ยอมลงโทษแปลกๆ ซึ่งก็มี<br />
เหตุที่เขาคิดเหน แตเปนที่<br />
นาสงไสยวาจะพอควรฤา<br />
เกินไปเบาไปอยางไร...เห็นวา<br />
ควรจะมีเอดโวเคตเยเนราล ๒<br />
เสียเหมือนอยางประเทศ<br />
อื่นๆ” ๓ อันเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้า<br />
ล้นกระหม่อมของพระบาทสมเด็จพระ<br />
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้พระราชทาน<br />
กาเนิดพระธรรมนูญโดยพระองค์ทรงมี<br />
พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรม<br />
พระธรรมนูญทหารบกขึ ้นตรงต่อกรมยุทธนา<br />
ธิการ เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน รัตนโกสินทรศก<br />
๑๒๕ (พุทธศักราช ๒๔๔๙) มีหน้าที่รับ<br />
ปฤกษาหารือในการที่เกี่ยวด้วยพระราช<br />
กาหนดกฎหมาย คาสั่งที่เกี่ยวกับการไต่สวน<br />
และคดีของศาล ดาริห์จัดการในหน้าที่ของ<br />
อัยการและศาลทหาร ตรวจตราอานวยการ<br />
ในกองทหารบกทั่วไป จัดระเบียบการ<br />
ไต่สวน ระเบียบทางตุลาการกับตรวจการ<br />
ไต่สวนและศาลทหาร ให้ดาเนินไปโดยชอบ<br />
ด้วยกฎหมายและข้อบังคับทุกประการ<br />
หลังจากนั้นมีการตั้งกรมพระธรรมนูญ<br />
ทหารเรือขึ้นตรงต่อกรมบัญชาการกลาง<br />
กรมทหารเรือ เมื่อวันที่ ๒๐ เมษายน<br />
รัตนโกสินทรศก ๑๒๗ (พุทธศักราช ๒๔๕๑)<br />
ต่อมา ในปีพุทธศักราช ๒๔๗๔ ได้มีคาสั่งให้<br />
รวมกรมพระธรรมนูญทหารบก และกรม<br />
พระธรรมนูญทหารเรือ เป็นกรมพระ<br />
ธรรมนูญทหาร จนกระทั่งในปีพุทธศักราช<br />
๒๔๗๖ ได้มีการจัดระเบียบราชการ<br />
กระทรวงกลาโหมใหม่ ให้เปลี่ยนแปลงชื่อ<br />
๑<br />
เจ้ากรมพระธรรมนูญ<br />
๒<br />
ADVOCATE GENERAL หมายถึง เจ้ากรมพระธรรมนูญ<br />
๓<br />
พระราชหัตถเลขาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ ๓๑/๘๕๘ ลงวันที่ ๒๙ ตุลาคม รัตนโกสินทรศก ๑๑๘<br />
พลเรือเอก ปรีชาญ จามเจริญ ๑<br />
กรมพระธรรมนูญทหาร เป็นกรมพระ<br />
ธรรมนูญ และให้ขึ้นต่อปลัดทูลฉลอง<br />
มีภารกิจหน้าที่รับผิดชอบและการดาเนินงาน<br />
เกี่ยวกับงานด้านกฎหมายและกระบวนการ<br />
ยุติธรรมของทหาร ศาลทหาร อัยการทหาร<br />
ทนายทหาร และนายทหารพระธรรมนูญ<br />
การคุ้มครองพยานในคดีอาญา การให้การ<br />
ศึกษาอบรม งานตรวจร่างและแก้ไขปรับปรุง<br />
กฎหมาย การดาเนินการประสานงาน<br />
การทาข้อตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง<br />
กับทหาร งานคดี งานตรวจร่างสัญญา การ<br />
ตอบข้อหารือ งานราชทัณฑ์ และการให้ข้อ<br />
เสนอแนะทางกฎหมายแก่ผู้บังคับบัญชา<br />
กาลังพล และประชาชนที่เป็นสมาชิก<br />
ในครอบครัวของกาลังพล<br />
ในระยะเวลาที่ผ่านมา กรมพระ<br />
ธรรมนูญปฏิบัติภารกิจสาเร็จลุล่วงด้วยดี<br />
ได้ดาเนินการจัดทาเครื่องหมายราชการศาล<br />
ทหาร ได้รับอนุมัติจาก พลเอก เทพพงศ์<br />
ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ทาการ<br />
ปรับปรุงสถานที่คุมขังผู้ต้องหาหรือจาเลยซึ่ง<br />
อยู่ในอานาจของศาลทหารให้อยู่ในสภาพที่<br />
เหมาะสม ตามหลักสิทธิมนุษยชน ได้ริเริ่ม<br />
ดาเนินการให้มีการปรับปรุงหลักสูตรของ<br />
โรงเรียนเหล่าทหารพระธรรมนูญให้<br />
สอดคล้องกับสภาพการปฏิบัติราชการ<br />
42<br />
¾ÅàÃ×ÍàÍ¡ »ÃÕªÒÞ ¨ÒÁà¨ÃÔÞ
ที่เปลี่ยนแปลงไป ได้จัดอบรมให้ความรู้เกี่ยว<br />
กับกฎหมายว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้างและ<br />
การบริหารพัสดุภาครัฐแก่กำลังพลให้มี<br />
ความรู้และปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างถูกต้อง อันเป็น<br />
การคุ้มครองการใช้อำนาจของผู้บังคับ<br />
บัญชาให้เป็นไปโดยชอบด้วยกฎหมาย<br />
ได้ประสานงานส่งผลให้มีการยกร่างพระราช<br />
บัญญัติหลักเกณฑ์การเทียบตำแหน่ง<br />
หัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่าอธิบดี พ.ศ.<br />
.... ได้ดำเนินการหารือกับคณะกรรมการ<br />
กฤษฎีกาและคณะกรรมการกฤษฎีกา<br />
ได้ตอบข้อหารือว่าเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารมี<br />
อำนาจคุ้มครองพยานในคดีความผิดเกี่ยวกับ<br />
ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรในพื้นที่<br />
จังหวัดชายแดนภาคใต้ แม้จะเป็นคดีที่ไม่<br />
อยู่ในอำนาจศาลทหารตามแนวคิดของผู้แทน<br />
พิเศษของรัฐบาล และคำแนะนำของ<br />
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วย<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะรองผู้แทน<br />
พิเศษของรัฐบาล ได้จัดทำหลักสูตรโครงการ<br />
อบรมพนักงานเจ้าหน้าที่คุ้มครองพยานของ<br />
กระทรวงกลาโหม และจัดอบรมพนักงาน<br />
เจ้าหน้าที่ดังกล่าว เพื่อทำหน้าที่คุ้มครอง<br />
พยานให้เป็นไปตามกฎหมายอันจะเป็น<br />
กลไกหนึ่งในการสนับสนุนการแก้ไขปัญหา<br />
ความไม่สงบเรียบร้อยในจังหวัดชายแดน<br />
ภาคใต้<br />
ในปัจจุบัน รัฐธรรมนูญแห่งราช<br />
อาณาจักรไทย มาตรา ๖๕ กำหนดให้รัฐจัด<br />
ให้มียุทธศาสตร์ชาติเพื่อเป็นเป้าหมายระยะ<br />
ยาวในการพัฒนาประเทศ ประกอบกับ<br />
มาตรา ๒๕๗ และมาตรา ๒๕๙ กำหนดให้<br />
ทำการปฏิรูปประเทศเพื่อวางรากฐานการ<br />
พัฒนาไปสู่ประเทศที่มีความสามัคคี<br />
ปรองดอง มีการพัฒนาอย่างยั่งยืนตามหลัก<br />
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงและมีความสมดุล<br />
ประชาชนในสังคมให้มีโอกาสทัดเทียมกัน<br />
และมีคุณภาพชีวิตที่ดี รวมทั้งมีส่วนร่วมใน<br />
การพัฒนาประเทศและการปกครองใน<br />
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์<br />
ทรงเป็นประมุข โดยจะต้องดำเนินการ<br />
ปฏิรูปอย่างต่อเนื่องในช่วงห้าปีข้างหน้าเพื่อ<br />
ให้บรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้ในแผนการ<br />
ปฏิรูปแต่ละด้าน จากนั้น ได้มีการตราพระราช<br />
บัญญัติว่าด้วยแผนและขั้นตอนการ<br />
ปฏิรูปประเทศ พ.ศ.๒๕๖๐ และแต่งตั้ง<br />
คณะกรรมการปฏิรูปประเทศภายใต้พระราช<br />
บัญญัติว่าด้วยแผนและขั้นตอนการปฏิรูป<br />
ประเทศ พ.ศ.๒๕๖๐ ที่เกี่ยวข้องกับกรม<br />
พระธรรมนูญ ได้แก่ คณะกรรมการปฏิรูป<br />
ประเทศด้านกฎหมายคณะกรรมการปฏิรูป<br />
ประเทศด้านกระบวนการยุติธรรมโดยจัดทำ<br />
แผนการปฏิรูปประเทศซึ่งคณะรัฐมนตรี<br />
ได้มีมติเห็นชอบร่างแผนการปฏิรูปประเทศ<br />
และให้รายงานต่อสภานิติบัญญัติแห่งชาติ<br />
เพื่อทราบต่อไป<br />
ทั้งนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรรณ<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กรุณา<br />
อนุมัติให้กรมพระธรรมนูญจัดทำแผนงาน/<br />
โครงการปฏิรูปประเทศด้านกฎหมายและ<br />
กระบวนการยุติธรรม รวมทั้งสิ้น ๒๖<br />
โครงการ ที่สำคัญได้แก่ โครงการกำหนด<br />
ระยะเวลาดำเนินงานในศาลทหารโดยไม่<br />
ล่าช้าและพัฒนาการเข้าถึงกระบวนการ<br />
ยุติธรรม โครงการระบบการตรวจสอบความ<br />
คืบหน้าของการดำเนินงานในศาลทหารและ<br />
อัยการทหาร โครงการคุ้มครองพยานเพื่อ<br />
ความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร โครงการ<br />
พัฒนาระบบอิเล็กทรอนิกส์ในศาลทหาร<br />
โครงการปรับปรุงระบบการสอบสวนคดี<br />
อาญาเพื่อให้มีการตรวจสอบและถ่วงดุล<br />
ระหว่างพนักงานสอบสวนกับอัยการทหาร<br />
เกี่ยวกับระยะเวลาการส่งสำนวนการ<br />
สอบสวนเป็นต้น เพื่อคุ้มครองสิทธิของ<br />
ผู้ต้องหาจำเลยในศาลทหารให้มีการ<br />
พิจารณาคดีที่รวดเร็วก่อให้เกิดความเป็นธรรม<br />
และคุ้มครองสิทธิของพยานให้เป็นไปตาม<br />
กฎหมาย<br />
กรมพระธรรมนูญมุ่งมั่นที่จะปฏิรูป<br />
งานด้านกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม<br />
ทหารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ อย่าง<br />
ต่อเนื่องสอดคล้องกับการปฏิรูปประเทศ<br />
การบริหารราชการภายใต้นโยบายของ<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ<br />
แนวทางการปฏิบัติงานของปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม เพื่อให้ประเทศชาติมีความมั่นคง<br />
มีการพัฒนาที่ยั่งยืน ประชาชนชาวไทย<br />
ประสบแต่ความสงบสุขสืบไป<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
43
พลตรี กานต กลัมพสุต<br />
ผูอํานวยการศูนยพัฒนาปโตรเลียมภาคเหนือ<br />
กกรมการพลังงานทหาร ศูนยการอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร<br />
ารพัฒนาประเทศ เป็นภารกิจที่<br />
สาคัญประการหนึ่งของกระทรวง<br />
กลาโหม นอกเหนือจากการพิทักษ์<br />
รักษาเอกราชและความมั่นคงแห่งราช<br />
อาณาจักร โดยการพัฒนาประเทศมีความ<br />
จาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องใช้ทรัพยากรต่างๆ<br />
ร่วมกันให้เกิดประโยชน์อย่างสูงสุด ซึ่ง<br />
ทรัพยากรด้านพลังงานถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่ง<br />
ปัจจัยที่มีความสาคัญต่อการพัฒนาและ<br />
ขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศ<br />
การค้นพบน้ามันดิบในประเทศไทย<br />
เกิดขึ้นมาตั้งแต่เมื่อประมาณร้อยปีเศษ<br />
โดยชาวบ้านท้องที่อาเภอฝาง พบน้ามัน<br />
ลักษณะสีดาไหลซึมขึ้นมาบนผิวดิน บางคน<br />
เข้าใจว่าเป็นน้ามันศักดิ์สิทธิ์ จึงนามาทา<br />
ร่างกายเพื่อรักษาโรคต่างๆ ความทราบถึง<br />
เจ้าหลวงเชียงใหม่ จึงสั่งให้ขุดบ่อเพื่อกัก<br />
๑๒ กันยายน ๒๕๖๑<br />
๖๒ ปี ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ<br />
กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรม<br />
ปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
น้ามันไว้ มีชื่อเรียกว่า “บ่อหลวง” หรือ<br />
“บ่อเจ้าหลวง”<br />
การสารวจปิโตรเลียมในประเทศไทย<br />
เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๔๖๔ โดยพลเอก<br />
พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระกาแพงเพชร<br />
อัครโยธิน เมื่อครั้งดารงพระอิสริยยศเป็น<br />
พระเจ้าน้องยาเธอ กรมขุนกาแพงเพชร<br />
อัครโยธิน พระโอรสองค์ที่ ๓๕ ในพระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็น<br />
ผู้บัญชาการรถไฟทรงทราบถึงการค้นพบ<br />
น้ามันของชาวบ้านท้องที่ อาเภอฝาง<br />
จังหวัดเชียงใหม่ จึงทรงติดต่อว่าจ้าง<br />
นักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน ชื่อ Mr. Wallace<br />
Lee เข้ามาเจาะสารวจหาน้ามันดิบในบริเวณ<br />
บ่อหลวงโดยภายหลังจากการสารวจเป็น<br />
เวลา ๒ ปี จึงได้มีการค้นพบแหล่งน้ามันดิบ<br />
แห่งแรกของประเทศไทยซึ่งต่อมาหน่วยงาน<br />
หลายฝ่ายได้ให้ความสนใจ จึงทาให้เกิดการ<br />
สารวจและพัฒนาการผลิตปิโตรเลียม<br />
อย่างต่อเนื่องตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา<br />
ปี พ.ศ.๒๔๙๙ คณะรัฐมนตรีมีมติเห็น<br />
ชอบให้กระทรวงกลาโหมดาเนินการสะสม<br />
น้ามันเชื้อเพลิงและน้ามันหล่อลื่น ตลอดจน<br />
ผลิตภัณฑ์ปิโตรเลียมไว้สารองจ่ายให้แก่<br />
ทางราชการทหารและหน่วยงานราชการ<br />
ทั่วไปในยามมีสถานการณ์ฉุกเฉิน เนื่องจาก<br />
สถานการณ์ในขณะนั้นเกิดความขัดแย้งกัน<br />
หลายประการเกี่ยวกับเส้นทางลาเลียงและ<br />
แหล่งผลิตน้ามันของโลก ซึ่งอาจขยายตัว<br />
ถึงขั้นวิกฤติได้ และเมื่อ ๑๒ กันยายน<br />
พ.ศ.๒๔๙๙ ได้อนุมัติหลักการตามที่<br />
กระทรวงกลาโหมเสนอตามโครงการ<br />
พัฒนาการน้ามัน อาเภอฝาง จังหวัด<br />
พันเอก เชษฐกิตติ์ โสมอํ่า<br />
เชียงใหม่ เพื่อขยายกิจการและสนองความ<br />
จาเป็นทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค<br />
โดยเฉพาะบริเวณพื้นที่ภาคเหนือสาหรับ<br />
จัดตั้งคลังน้ามันสารองขนาดใหญ่<br />
ณ จังหวัดเชียงใหม่ โดยรับโอนกิจการ<br />
ทางด้านการกลั่นน้ามันจาก“หน่วยสารวจ<br />
น้ามันฝาง”กรมโลหะกิจ กระทรวง<br />
อุตสาหกรรม ที่อาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่<br />
มาดาเนินการโดยให้เป็นหน่วยขึ้นตรง<br />
กับกรมการพลังงานทหารเพื่อให้ประสาน<br />
กับกิจการกลั่นกรองน ้ามันที่กระทรวง<br />
กลาโหมกาลังดาเนินการอยู่<br />
ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ กรมการ<br />
พลังงานทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรม<br />
ป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
(ศพปน.พท.ศอพท.) มีที่ตั้งอยู่ที่อาเภอฝาง<br />
จังหวัดเชียงใหม่ เป็นหน่วยงานในสังกัด<br />
สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมที่ดาเนิน<br />
การด้านปิโตรเลียมบนบกมาเป็นเวลากว่า<br />
๖๐ ปี เป็นที่รู้จักทั่วไปในชื่อของ “บ่อน้า<br />
มันฝาง” ซึ่งเป็นแหล่งผลิตน้ามันแห่งแรก<br />
ของประเทศไทย มีหน้าที่ในการอานวยการ<br />
และปฏิบัติการสารวจ การผลิตและการ<br />
กลั่นกรองปิโตรเลียม ให้เป็นไปตามนโยบาย<br />
และแผนที่กาหนดไว้ อาจจะกล่าวได้ว่า<br />
งานของศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ<br />
เป็นการปฏิบัติงานด้านกิจการปิโตรเลียม<br />
ที่ครบวงจร นับตั้งแต่การสารวจ ขุดเจาะ<br />
ผลิต และกลั่นน้ามันดิบ ตลอดจนการ<br />
จาหน่ายและการสารองผลิตภัณฑ์<br />
ปิโตรเลียมเพื่อความมั่นคง ภายใต้กรอบ<br />
แนวทางที่กระทรวงกลาโหมกาหนด<br />
โดยการปฏิบัติงานดังกล่าวได้กระทาใน<br />
44<br />
¾Ñ¹àÍ¡ àªÉ°¡ÔµµÔ์ âÊÁÍํ่Ò
พื้นที่ที่ได้สงวนไว้เพื่อกิจการปิโตรเลียม<br />
ของกระทรวงกลาโหมตามมติคณะ<br />
รัฐมนตรี โดยมีพื้นที่ดำเนินการประมาณ<br />
๓๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ซึ่งครอบคลุม<br />
พื้นที่บางส่วนของ ๖ จังหวัดภาคเหนือ<br />
ตอนบน ได้แก่ จังหวัดเชียงราย เชียงใหม่<br />
พะเยา ลำปาง แพร่ และลำพูน<br />
การดำเนินงานของศูนย์พัฒนา<br />
ปิโตรเลียมภาคเหนือตั้งแต่อดีตจนถึง<br />
ปัจจุบันได้รับการพัฒนาปรับปรุง จนกล่าว<br />
ได้ว่าเป็นหน่วยงานเพียงหน่วยเดียวที่<br />
สามารถดำเนินการปิโตรเลียมได้อย่างครบ<br />
วงจร โดยใช้ทรัพยากรและขีดความสามารถ<br />
ของหน่วยเองตั้งแต่การสำรวจหาแหล่ง<br />
น้ำมันดิบการเจาะการผลิต/สูบน้ำมันดิบ<br />
การกลั่นเพื่อให้ได้ผลิตภัณฑ์น้ำมันชนิด<br />
ต่างๆ ได้แก่ แนฟทาน้ำมันก๊าดดีเซลหมุนเร็ว<br />
และน้ำมันเตาชนิดต่างๆ จากโรงกลั่นน้ำมัน<br />
ฝาง ซึ่งเป็นโรงกลั่นแบบที่มีการกลั่นแบบง่ายๆ<br />
(Simple Refinery) ที่มีขีดความสามารถ<br />
ในการกลั่นสูงสูด ๒,๕๐๐ บาร์เรลต่อวัน<br />
(๓๙๗,๔๘๖ ลิตรต่อวัน) การจำหน่ายตลอดจน<br />
การศึกษา วิจัย และพัฒนาปรับปรุงผลิตภัณฑ์<br />
ให้ได้คุณภาพตามมาตรฐานสากล<br />
นอกจากการดำเนินกิจการปิโตรเลียม<br />
แล้วศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือยังได้<br />
ผลิตกระแสไฟฟ้าเพื่อใช้ในโรงกลั่นน้ำมัน<br />
ฝาง โดยใช้น้ำมันเตาที่กลั่นได้เป็นเชื้อเพลิง<br />
สำหรับเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาด ๑๒.๑๔<br />
เมกะวัตต์ และผลิตกระแสไฟฟ้าจำหน่าย<br />
ให้กับการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย<br />
(กฟผ.) แบบผู้ผลิตไฟฟ้ารายเล็ก (Small<br />
Power Producer: SPP) ในกำลังการผลิต<br />
๔.๕ เมกะวัตต์ โดยจำหน่ายกระแสไฟฟ้า<br />
ผ่านระบบสายส่งของการไฟฟ้าส่วน<br />
ภูมิภาค (กฟภ.) แรงดัน ๒๒ KV ในลักษณะ<br />
กำหนดกำลังไฟฟ้า (Firm) เพื่อช่วยเสริม<br />
ความสมบูรณ์ในระบบการจ่ายกระแส<br />
ไฟฟ้าให้กับประชาชนในพื้นที่อำเภอฝาง<br />
อำเภอแม่อาย และอำเภอไชยปราการ<br />
ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการในปัจจุบัน<br />
จากภารกิจงานด้านกิจการ<br />
ปิโตรเลียม ซึ่งเป็นงานที่ต้องใช้บุคลากรที่มี<br />
ความรู้ความสามารถเฉพาะทาง ทำให้ใน<br />
ทุกๆ ปีสถาบันการศึกษาต่างๆ ของ<br />
ประเทศได้ส่งนักเรียน นักศึกษา ในระดับ<br />
ต่างๆ ตั ้งแต่ระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ<br />
(ปวช.) จนถึงระดับปริญญาตรี เข้ารับ<br />
การฝึกงานในหลักสูตรที่เกี่ยวข้องกับ<br />
การปิโตรเลียม เช่น การสำรวจขุดเจาะ<br />
การกลั่นปิโตรเลียม การควบคุมคุณภาพ<br />
ผลิตภัณฑ์ เป็นต้น<br />
นอกจากนี้ ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียม<br />
ภาคเหนือยังได้วางแผนจัดทำโครงการความ<br />
ร่วมมือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ และบริษัท<br />
เอกชนในโครงการจัดตั้งสถาบันฝึกอบรม<br />
และพัฒนาบุคลากรด้านปิโตรเลียม เพื่อเป็น<br />
ศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านปิโตรเลียม<br />
บนบก หรือ on shore ในอนาคตอีกด้วย<br />
ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ<br />
ได้ก่อสร้างอาคารพิพิธภัณฑ์ศูนย์ถ่ายทอด<br />
ความรู้ด้านพลังงานปิโตรเลียมเพื่อเฉลิม<br />
พระเกียรติฯ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร<br />
เนื่องในโอกาสทรงเจริญพระชนมายุ ครบ<br />
๘๐ พรรษา เพื่อเป็นศูนย์การเรียนรู้เกี่ยวกับ<br />
ประวัติความเป็นมาและวิวัฒนาการของ<br />
การปิโตรเลียม เพื่อถ่ายทอดองค์ความรู้ให้<br />
กับบุคลากรของกระทรวงกลาโหม หน่วยงาน<br />
ต่างๆ สถาบันการศึกษา และประชาชน<br />
ทั่วไป ได้ศึกษาหาความรู้ และเป็นแหล่ง<br />
ท่องเที่ยวที่สำคัญของ อำเภอฝาง จังหวัด<br />
เชียงใหม่<br />
ตลอดระยะเวลา ๖๑ ปีที่ผ่านมา<br />
ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ ได้มุ่งมั่นและ<br />
ทุ่มเททรัพยากรทั้งด้านบุคลากร องค์ความรู้<br />
และเทคโนโลยี ตลอดจนการสร้างความ<br />
ตระหนักให้เห็นถึงความสำคัญของสิ่งแวดล้อม<br />
และประชาชนในพื้นที่ เพื่อพัฒนาศักยภาพ<br />
และปฏิบัติภารกิจต่างๆ ที่ได้รับมอบหมาย<br />
อย่างเต็มกำลังขีดความสามารถ และใน<br />
ปัจจุบัน ศูนย์พัฒนาปิโตรเลียมภาคเหนือ<br />
ภายใต้การบังคับบัญชาของ พลตรี กานต์<br />
กลัมพสุต ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนา<br />
ปิโตรเลียมภาคเหนือ กรมการพลังงานทหาร<br />
ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
และพลังงานทหาร ยังคงปฏิบัติงาน<br />
ด้านกิจการปิโตรเลียม ด้วยความมุ่งมั่น<br />
ทุ่มเท เพื่อให้ภารกิจบรรลุวัตถุประสงค์<br />
อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด และรักษาไว้ซึ่ง<br />
ผลประโยชน์แห่งชาติ รวมทั้งเพื่อเป็นกำลัง<br />
สำคัญด้านพลังงานในการสนับสนุนกองทัพ<br />
และความมั่นคงของประเทศให้มีความ<br />
มั่นคง ยั่งยืน ตลอดไป<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
45
๑๘ กันยายน ๒๕๖๑<br />
๓๙ ปี ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ<br />
ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
ศูนย์อานวยการสร้างอาวุธ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
พลโท นรเศรษฐ ขรรทมาศ<br />
พ.<br />
ผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ศูนย์การ<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
ศ.๒๕๑๘ กองทัพบกต้อง<br />
ประสบปัญหาการขาดแคลน<br />
อาวุธ และกระสุนเป็นอย่างมาก<br />
เนื่องจากการลดความช่วยเหลือทาง<br />
ด้านการทหารของชาติพันธมิตร ประกอบ<br />
กับกองทัพมีภารกิจสำคัญในการปราบปราม<br />
ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ ศูนย์อำนวยการ<br />
สร้างอาวุธจึงได้ก่อกำเนิดขึ้นโดยกองทัพบก<br />
ตามความคิดริเริ่มของ พลเอก สัมผัส<br />
พาสนยงภิญโญ ซึ่งขณะนั้นดำรงตำแหน่ง<br />
ผู้บัญชาการศูนย์การทหารปืนใหญ่ ชั้นยศ<br />
พลตรีที่ได้เห็นถึงความสำคัญในการวิจัย<br />
การพัฒนาและการผลิตอาวุธบนพื้นฐาน<br />
ของการพึ่งพาตนเอง เพื ่อเพิ่มศักยภาพ<br />
และเป็นหลักประกันในด้านความมั่นคง<br />
ทางด้านการทหาร ศูนย์อำนวยการสร้าง<br />
อาวุธตั้งขึ้นตั้งแต่ปี ๒๕๒๒ ต่อมาได้มีการ<br />
พัฒนา ทั้งทางด้านการวิจัย การพัฒนา<br />
และการผลิตยุทโธปกรณ์อย่างต่อเนื่อง<br />
มีประสิทธิภาพ จนได้รับการรับรอง<br />
มาตรฐาน ISO 9001 ทั้งหน่วยงาน เมื่อ ๑๘<br />
กันยายน พ.ศ.๒๕๔๓ ต่อมาได้ปรับโอนจาก<br />
หน่วยขึ้นตรงของกองทัพบก มาเป็นหน่วย<br />
ขึ้นตรงของศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร สำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม เมื่อ ๘ มิถุนายน<br />
พ.ศ.๒๕๔๕<br />
ปัจจุบันมี พลโท นรเศรษฐ<br />
ขรรทมาศ เป็นผู้บัญชาการศูนย์อำนวยการ<br />
สร้างอาวุธ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร<br />
วิสัยทัศน์ เป็นหน่วยงานที่ได้รับการ<br />
ยอมรับในมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ และ<br />
ประสิทธิภาพทางการบริหาร การผลิต<br />
อาวุธ กระสุน และยุทโธปกรณ์ เพื่อการ<br />
พึ่งพาตนเองของกองทัพและมุ่งไปสู่การขาย<br />
ยังต่างประเทศในโอกาสต่อไป<br />
พันธกิจ ดำเนินการศึกษาวิจัยพัฒนา<br />
ผลิตอาวุธ กระสุน และยุทโธปกรณ์ที่ได้<br />
มาตรฐานสากล เป็นที่ยอมรับ เพื่อ<br />
สนับสนุนกองทัพตามขีดความสามารถใน<br />
ลักษณะของการผลิตเพื่อแจกจ่าย และการ<br />
รับการสั่งซื้อ รวมทั้งขยายขีดความสามารถ<br />
โดยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยีจากผู้ผลิตที่<br />
มีมาตรฐานระดับสากล และมุ่งขยายตลาด<br />
ในการนำผลิตภัณฑ์ไปสู่การขายยังต่างประเทศ<br />
ต่อไป<br />
ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธฯ มีการจัด<br />
ตามอัตราการจัดเฉพาะกิจหมายเลข<br />
๐๖๐๔ ประกอบด้วยส่วนที่สำคัญ ๔ ส่วน<br />
คือ กองบัญชาการ, โรงงานต้นแบบการวิจัย<br />
พัฒนาอาวุธ, โรงงานสร้างปืนใหญ่และ<br />
เครื่องยิงลูกระเบิด และโรงงานผลิตกระสุน<br />
ปืนใหญ่และลูกระเบิดยิง<br />
โรงงานต้นแบบการวิจัยพัฒนาอาวุธ<br />
มีขีดความสามารถในการวิจัยพัฒนา<br />
ยุทโธปกรณ์ให้เป็นต้นแบบเพื่อนำเข้าสู่<br />
46<br />
ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร
สายการผลิต และผลิตเครื่องช่วยฝกและ<br />
ยุทโธปกรณ์ตามที่ได้รับมอบหมาย โดยมี<br />
ผลงานวิจัยที่สาคัญ เช่น เครื่องช่วยฝก<br />
ลากล้องชนิดอัดอากาศที่ใช้กับเครื่องยิง<br />
ลูกระเบิดและหน่วยช่วยขับเคลื่อน (APU)<br />
ของปืนใหญ่หนักกระสุนวิถีราบ ขนาด<br />
๑๕๕ มิลลิเมตร แบบ ๓๔ (GHN-45)<br />
โรงงานสร้างปนใหญและเครื่องยิง<br />
ลูกระเบิด มีขีดความสามารถในการผลิต<br />
เครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด ๖๐, ๘๑ และ<br />
ขนาด ๑๒๐ มิลลิเมตร และปรับปรุงพัฒนา<br />
เครื่องยิงลูกระเบิดขนาดต่างๆ ผลิต/<br />
ปรับปรุงพัฒนาปืนใหญ่ขนาด ๑๐๕<br />
มิลลิเมตร ปรับปรุงพัฒนาปืนใหญ่ ขนาด<br />
๑๕๕ มิลลิเมตร แบบลากจูง ให้เป็นแบบ<br />
อัตตาจรล้อยาง โรงงานผลิตกระสุนปืนใหญ่<br />
และลูกระเบิดยิง มีขีดความสามารถใน<br />
การผลิต/ประกอบรวมลูกระเบิดยิงจาก<br />
เครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด ๖๐, ๘๑, และ<br />
๑๒๐ มิลลิเมตร ทั้งชนิดระเบิดและควัน<br />
ฟอสฟอรัส การผลิตกระสุนปืนใหญ่<br />
ขนาด ๑๐๕ มิลลิเมตร ชนิดระเบิด<br />
เพิ่มระยะกลาง ชนิดระเบิดเพิ่ม<br />
ระยะไกล ชนิดควันฟอสฟอรัส และชนิด<br />
ส่องแสง การผลิตกระสุนปืนรถถัง ขนาด<br />
๑๐๕ มิลลิเมตร และผลิตกระสุนปืนใหญ่<br />
ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร ชนิดระเบิด เอ็ม<br />
๑๐๗ ชนิดระเบิดเพิ่มระยะกลาง (ERFB/<br />
BT) และชนิดระเบิดเพิ่มระยะไกล (ERFB/<br />
BB) ศูนย์อานวยการสร้างอาวุธฯ มีขีดความ<br />
สามารถในการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์<br />
และเครื่องช่วยฝก โดยร่วมมือกับนักวิจัย<br />
จากภายนอก และดาเนินการวิจัยได้เอง<br />
ตามขีดความสามารถของนักวิจัยที่มีอยู่<br />
โดยมีโครงการวิจัยและพัฒนาที่สาคัญและ<br />
สามารถนามาพัฒนาเข้าสู่สายการผลิต<br />
ต่อไป ได้แก่<br />
๑. โครงการวิจัยและพัฒนาชนวนหัว<br />
กระทบแตกไว/ถ่วงเวลาสาหรับลูกระเบิด<br />
ยิงจากเครื่องยิงลูกระเบิด<br />
๒. โครงการวิจัยและพัฒนาระบบ<br />
รับแรงเครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด ๘๑ มิลลิเมตร<br />
เพื่อพัฒนาต้นแบบไปติดตั้งกับรถสายพาน<br />
แบบ ๓๐ (T-85)<br />
๓. โครงการวิจัยและพัฒนาระบบ<br />
รับแรงเครื่องยิงลูกระเบิด ขนาด ๑๒๐<br />
มิลลิเมตร บนยานเกราะล้อยาง (BTR-3E1)<br />
๔. โครงการวิจัยและพัฒนาระบบตั้ง<br />
หลักฐานยิงอัตโนมัติ เครื่องยิงลูกระเบิด<br />
ขนาด ๑๒๐ มิลลิเมตร<br />
๕. โครงการวิจัยและพัฒนาระบบ<br />
ควบคุมและอานวยการยิงอัตโนมัติ สาหรับ<br />
ปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้งขนาด ๑๐๕<br />
มิลลิเมตร แบบอัตตาจรล้อยาง<br />
๖. โครงการวิจัยและพัฒนาชนวนหัว<br />
อิเล็กทรอนิกส์ สาหรับลูกระเบิดยิงจาก<br />
เครื่องยิงลูกระเบิด<br />
๗. โครงการศึกษาความเป็นไปได้<br />
ในการวิจัยและพัฒนาชนวนหัว<br />
อิเล็กทรอนิกส์ สาหรับกระสุนปืนใหญ่<br />
ศูนย์อานวยการสร้างอาวุธฯ จะได้นา<br />
ผลงานวิจัยที่ได้ดาเนินการ เช่น ชนวนหัว<br />
อิเล็กทรอนิกส์สาหรับลูกระเบิดยิงจาก<br />
เครื่องยิงลูกระเบิดและชนวนหัว<br />
อิเล็กทรอนิกส์สาหรับกระสุนปืนใหญ่<br />
เข้าสู่สายการผลิตเพื่อใช้ในกองทัพ และ<br />
นาระบบตั้งหลักฐานยิงอัตโนมัติเครื่องยิง<br />
ลูกระเบิด ขนาด ๑๒๐ มิลลิเมตร และ<br />
ระบบควบคุมและอานวยการยิงอัตโนมัติ<br />
สาหรับปืนใหญ่เบากระสุนวิถีโค้ง ขนาด<br />
๑๐๕ มิลลิเมตร แบบอัตตาจรล้อยาง<br />
ปรับปรุงพัฒนาใช้กับยุทโธปกรณ์ของ<br />
กองทัพ เพื่อให้มีความทันสมัยทัดเทียมกับ<br />
ยุทโธปกรณ์ที่จัดหาจากต่างประเทศต่อไป<br />
ในวันที่ ๑๘ กันยายน ๒๕๖๑ นี้<br />
เป็นโอกาสอันดีที่ศูนย์อานวยการสร้าง<br />
อาวุธฯ ดาเนินงานมาจนครบรอบปีที่ ๓๙<br />
ซึ่งศูนย์อานวยการสร้างอาวุธฯ จะมุ่งมั่นใน<br />
การวิจัย พัฒนาและผลิตอาวุธ บนพื้นฐาน<br />
ของการพึ่งพาตนเอง เพื่อเพิ่มศักยภาพ<br />
และเป็นหลักประกันในด้านความมั่นคง<br />
ทางด้านการทหารในอนาคต<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¡Ñ¹ÂÒ¹ òõöñ<br />
47
Desert Storm<br />
ปฏิบัติการพายุทะเลทราย<br />
“กำลังทางอากาศคือกำลังหลักอันโดดเด่นที ่บุกเบิกทางไปสู่การปลดปล่อยอิรัก”<br />
พลอากาศตรี ปิยะพันธ์ ขันถม<br />
สงครามอ่าวครั้งที่ ๑ ถูกปลุก<br />
ประสาทชาวโลกเมื่อกองทัพอิรัก<br />
บุกเข้ายึดครองคูเวต ในวันที่ ๒<br />
สิงหาคม ๒๕๓๓ หมายจะหาทางออกสู่<br />
ทะเลเพื่อการลำเลียงน้ำมันเข้าสู่ตลาดโลก<br />
ได้ง่ายขึ้น โดยต้องการรื้อฟื้นความล่มจม<br />
หรือย่ำแย่อย่างที่สุดในระบบเศรษฐกิจของ<br />
ประเทศ มองไปทางไหนมีแต่ความ<br />
ขาดแคลนข้นแค้น ความศรัทธาต่อรัฐบาล<br />
ถดถอย ซึ่งเป็นผลจากสงครามแปดปีกับ<br />
อิหร่านในช่วงปี ๑๙๘๐ – ๑๙๘๘ การบุก<br />
ของอิรักทำให้เกิดการประณามจาก<br />
นานาชาติ เรื่องปวดใจที่ตามมาคือ สมาชิก<br />
คณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ<br />
ตัดสินใจเลือกใช้วิธีการบังคับทางเศรษฐกิจ<br />
ต่ออิรัก เป็นเครื่องมือในการกดดันต่อความ<br />
ฮึกเหิมแบบไร้ขีดจำกัดของอิรัก และนั่นคือ<br />
จุดเริ่มต้นของความวุ่นวายนานาประการ<br />
ในประเทศที่เคยเป็นส่วนหนึ่งของอารยธรรม<br />
โลกตั้งแต่ยุคโบราณ<br />
อิรักเป็นดินแดนที่มี<br />
ประวัติศาสตร์ยาวนานจากการ<br />
เป็นแหล่งอารยธรรมเก่าแก่<br />
ที่สำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของโลก<br />
เรียกว่าดินแดนแถบเมโสโปเตเมีย<br />
(Mesopotamia : Meso;<br />
กึ่งกลาง, ระหว่าง : Potamia;<br />
แผ่นดิน) หมายถึง แผ่นดินที่ตั้ง<br />
อยู่ระหว่างแม่น้ำสองสาย คือ แม่น้ำไทกริส<br />
(Tigris) และแม่น้ำยูเฟรตีส (Euphrates)<br />
ซึ่งมีความอุดมสมบูรณ์มาก จึงมีอาณาจักร<br />
ของชนเผ่าที่โด่งดังในยุคนั้นอาศัยร่วมกัน<br />
พร้อมกับการทำลายล้างกันอยู่มาก เช่น<br />
อาณาจักรซูเมเรียน (Sumerian Civilization)<br />
48<br />
พลอากาศตรี ปิยะพันธ์ ขันถม
อาณาจักรบาบิโลเนีย (Babylonia)<br />
อาณาจักรอัสซีเรีย (Assyria) อาณาจักร<br />
มีเดีย (Media) เป็นต้น ครั้นล่วงเข้า<br />
ศตวรรษที่ ๑๗ เป็นยุคที่ชาวเติร์กแห่ง<br />
จักรวรรดิออตโตมัน (Ottoman) เริ่ม<br />
รุ่งเรือง จึงได้ยึดครองดินแดนเกือบทั้งหมด<br />
ในแถบนี้ซึ่งรวมถึงอิรักด้วย เข้าเป็นส่วนหนึ่ง<br />
ของความเป็นออตโตมัน ซึ่งก็คือตุรกี<br />
ในปัจจุบัน<br />
ภายหลังจากสงครามโลกครั้งที่ ๑ ยุติ<br />
อาณาจักรออตโตมันที่เคยเป็นมหาอำนาจ<br />
ในภูมิภาคนี้ต้องตกเป็นผู้แพ้สงคราม ดินแดน<br />
ต่างๆ ที่ออตโตมันปกครองก็ถูกแบ่ง<br />
แยกออกเป็นรัฐต่างๆ ซึ่งอิรักเป็นหนึ่งของ<br />
รัฐที่ถูกแบ่งแยกออกมา โดยอังกฤษเข้ามา<br />
เป็นผู้ปกครองในฐานะรัฐอารักขาตั้งแต่ปี<br />
ค.ศ.๑๙๒๐ จนกระทั่งในปี ค.ศ.๑๙๓๒<br />
อังกฤษจึงได้ให้เอกราชแก่อิรัก ประเทศนี้<br />
ประชากรส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิม มีสาย<br />
ความเชื่อหรือสายพันธ์ุเป็นซุนนีย์ (Sunni)<br />
ชีอะฮ์(Shia) และชาวเคิร์ด (Kurdish)<br />
ที่ต่างกันออกไปแต่ก็ยังเป็นมุสลิม<br />
สงครามอ่าวครั้งแรกนี้<br />
ประธานาธิบดีGeorge H.W.Bush<br />
ได้ให้คำแนะนำอย่างหนักแน่นแก่<br />
พลเอก H.Norman Schwarzkopf<br />
ผู้บัญชาการ USCC (United<br />
States Central Command) ซึ่งเหมือน<br />
กับกองบัญชาการทหารสูงสุดแห่งชาติ<br />
ถึงการประกาศสงครามกับอิรักให้เร็วที่สุด<br />
ภายหลังวันที่๑๕ มกราคม ๑๙๙๑ ในขณะ<br />
ที่สภาคองเกรสยังอึดอัดและลังเลใจถึงการ<br />
ตัดสินใจของประธานาธิบดี<br />
แต่ท้ายที่สุดสงครามเพื่อการปลด<br />
ปล่อยอิรัก ตามยุทธศาสตร์ของสหรัฐฯ ใน<br />
ปัญหาตะวันออกกลางก็ต้องเกิด และชาวโลก<br />
ได้เห็นหน้าตาของสงครามที่เปลี่ยนไป<br />
ซึ่งอีกฝ่ายได้เปรียบตั้งแต่ต้นในเรื่อง<br />
เทคโนโลยี ว่าการดำเนินการยุทธ์แบบ<br />
ผสมผสานและผลของสงครามจะเป็นอย่างไร<br />
สงครามครั้งนี้นับได้ว่าเป็นยุทธศาสตร์และ<br />
ยุทธศิลป์ที่ผสมผสานกองกำลังและ<br />
เทคโนโลยีกันได้อย่างลงตัว เป็นบทเรียน<br />
ในสถาบันทางทหารของบ้านเราอยู่มาก<br />
อนึ่งการสงครามครั้งนี้ชาติตะวันตกแทบจะ<br />
ไม่ได้ใช้จ่ายอะไรมากมายนัก เนื่องจาก<br />
มีสปอนเซอร์ให้การสนับสนุนรายใหญ่<br />
เป็นเงินเกือบครึ่งแสนล้านดอลลาร์ คือ<br />
ประเทศซาอุดีอาระเบีย มหามิตรใน<br />
ตะวันออกกลางของสหรัฐฯ นั่นเอง<br />
เมื่อ ๒๐ ปีที่ผ่านมา ก่อนสงครามอ่าว<br />
เกิดขึ้น แนวความคิดการใช้กำลังทาง<br />
อากาศอย่างเฉียบขาดด้วยการผสมผสาน<br />
เทคโนโลยีของกำลังทางอากาศและด้าน<br />
อวกาศ ให้เกิดคุณลักษณะที่โดดเด่นของ<br />
กำลังทางอากาศ ตั้งแต่การพลางตนเองใน<br />
ระดับที่ล่องหน (Stealth) อันยอดเยี่ยม<br />
การบูรณาการด้านการข่าวที่เชื่อถือได้<br />
ความรวดเร็ว ความแม่นยำ รวมไปถึงการ<br />
ลดการบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตนั้นยังเป็น<br />
เรื่องที่รางเลือนและห่างไกลอยู่มาก<br />
ครั้นเมื่อสถานการณ์ความขัดแย้ง<br />
ของสังคมโลก โดยมีตะวันออกกลาง<br />
เป็นต้นตอของปัญหา ทั้งเรื่องการสะสมอาวุธ<br />
นิวเคลียร์ เป็นแหล่งเพาะบ่มและส่งเสริม<br />
การก่อการร้ายข้ามชาติ เป็นศูนย์รวมของ<br />
การล้มล้างอิสราเอลที่ดูแลเมืองศักดิ์สิทธิ์<br />
เยรูซาเล็มของชาวคริสต์ เมื่อความวุ่นวาย<br />
เหล่านี้เดินทางมาถึงจุดสุกงอมและแตกหัก<br />
การบุกเข้ายึดครองคูเวตของอิรัก ชาติ<br />
ตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐฯ รีบพลิกกลับ<br />
สถานการณ์ทันที การเปิดปฏิบัติการพายุ<br />
ทะเลทรายในค่ำคืนของวันที่ ๑๗<br />
กุมภาพันธ์ ๑๙๙๑ ซึ่งถือได้ว่าเป็นการเปิด<br />
บทบาทการสงครามยุคใหม่ของโลก โดยการ<br />
ขับเคลื่อนของกำลังทางอากาศแห่งกองทัพ<br />
อากาศสหรัฐฯ ภายใต้การจัดกำลังแบบ<br />
เฉพาะกิจร่วม (Joint Operation) จาก<br />
ทุกเหล่าทัพของสหรัฐฯ<br />
๖ สัปดาห์ของการทำสงครามทาง<br />
อากาศ ได้พลิกผันสิ่งที่คาดว่าจะมีการบาดเจ็บ<br />
ล้มตายอย่างมากนั้นลงไปโดยสิ้นเชิง<br />
และนอกจากนั้นกำลังทางอากาศยังทำลาย<br />
และปราบปรามการรุกรานของกำลังทาง<br />
อากาศและกำลังทางบกของอิรัก ซึ่งทำให้<br />
กำลังทางบกของสหรัฐฯ ใช้เวลาเพียงแค่<br />
๔ วัน ในการเข้ายึดครองคูเวตและผลักดัน<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
49
ให้กองทัพอิรักถอยร่นเข้าสู่แผ่นดินของ<br />
ตนเองได้อย่างเด็ดขาด<br />
เครื่องบินล่องหน แบบ F-111s และ<br />
F-117s รวมถึงเครื่องบินรบ แบบ F-15E<br />
ขึ้นปฏิบัติการซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผนวกกับการมี<br />
ประสิทธิภาพอย่างไร้ที่ติของลูกระเบิดแบบ<br />
LGB (Laser Guided Bombs) นำวิถีด้วย<br />
เลเซอร์ ความผิดพลาดต่อเป้าหมายเป็นศูนย์<br />
รถถังหรือกำลังต่างๆ ของอิรักกลาง<br />
ทะเลทรายในคูเวตถูกโจมตีแบบไม่มีทาง<br />
ต่อสู้ หมดหนทางในการเอาตัวรอด<br />
ท่ามกลางทะเลทรายที่เวิ้งว้างอย่างสิ้นเชิง<br />
ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเสียงกัมปนาทกึกก้อง<br />
ของเครื่องยนต์ไอพ่น เมฆหมอกที่เคยมีถูก<br />
ทดแทนด้วยห่าฝนของจรวดนำวิถีและ<br />
ลูกระเบิดร่อน<br />
ในปฏิบัติการพายุทะเลทรายมีภารกิจ<br />
ทางอากาศต่อเป้าหมายภาคพื้นมากกว่า<br />
๔๓,๐๐๐ เที่ยวบิน โดยประกอบกำลังร่วม<br />
ของฝูงบินรบแถวหน้าของโลก เช่น เครื่อง-<br />
บิน แบบ A-10, F-16, F-4G, F/A-18, C/<br />
AC-130, B-52, AWACS, BQM-74C<br />
(Drone), KC-10, KC-135 และเครื่องบิน<br />
แบบต่างๆ อีกทั้งขีปนาวุธประจำเครื่องบิน<br />
เกือบทุกแบบ ล้วนแล้วแต่มีความมหัศจรรย์<br />
พันลึก ที่โดดเด่นคือขีปนาวุธ แบบ AGM-88<br />
(HARM) ที่ยิงจากเรือบรรทุกเครื่องบินเพื่อ<br />
โจมตีในช่วงเริ่มต้นของพายุทะเลทราย<br />
เป็นการโจมตีจากระยะไกล ไร้การต่อต้าน<br />
และแม่นยำ ไม่มีลูกใดตกทิ้งให้เสียของ<br />
ในทะเล หรือส่วนที่ไม่ใช่เป้าหมาย<br />
ดาวเทียมทางทหารทุกดวงพุ่งความ<br />
สำคัญไปที่ยุทธบริเวณ ช่วยเสริมสร้างความ<br />
เที่ยงตรงของข่าวกรองทางทหารและระบบ<br />
พิกัดระบุตำแหน่ง ความสำเร็จของกำลัง<br />
ทางอากาศในครั้งนี้ หัวหน้านายทหารฝ่าย<br />
เสนาธิการกองทัพอากาศ พลอากาศเอก<br />
Merrill A.Mc Peak ได้กล่าวสรุปว่า “นี่คือ<br />
ครั้งแรกในประวัติศาสตร์สงครามที่กำลัง<br />
ทางอากาศสามารถเอาชนะกำลังทางบกได้<br />
อย่างหมดสิ้น” ก็น่าจะเป็นเช่นนั้น<br />
เพราะสัดส่วนของขีดความสามารถ<br />
ต่างกันหลายทศวรรษ และในเรื่องนี้<br />
ภายในระยะเวลาไม่นานมาก ก่อให้<br />
เกิดการปรับปรุงและพัฒนากำลัง<br />
ทางอากาศของจีนแบบก้าวกระโดด<br />
เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่<br />
ประจักษ์แล้วว่า กำลังทางอากาศ<br />
ของตนเองตกยุคและอ่อนล้าเหลือเกิน<br />
ในช่วงเริ่มต้นของปฏิบัติการพายุทะเล<br />
ทราย มีความเชื่อมั่นไม่มากนักถึงผลของ<br />
รูปแบบการปฏิบัติการของกำลังทางอากาศ<br />
แม้ว่ากองกำลังร่วมเฉพาะกิจจะมีการ<br />
เตรียมการเรื่องการจัดหน่วยและฝึกล่วงหน้า<br />
มาแล้วกว่าห้าเดือน สิ่งที่วิตกกังวลกัน<br />
นั้นคือ การบาดเจ็บหรือสูญเสียชีวิตจะมี<br />
มากมายขนาดไหน โดยพิจารณาถึงขีด<br />
ความสามารถการตอบโต้ที่มีพื้นฐานจาก<br />
ความแข็งแกร่งของกองทัพอิรัก ซึ่งมีความ<br />
ใหญ่โตของกองทัพเป็นอันดับสี่ของโลก<br />
และเป็นอันดับหกเมื่อเปรียบเทียบเฉพาะ<br />
กองทัพอากาศ อีกทั้งยังมีความช ่ำชองใน<br />
สมรภูมิกลางทะเลทรายที่เคยกรำศึกมา<br />
อย่างยาวนานในสงครามแปดปีกับอิหร่าน<br />
ตั้งแต่ปี ๑๙๘๐ – ๑๙๘๘ นอกจากนั้น<br />
ยังต้องระวังเป็นอย่างยิ่งในการถูกโจมตี<br />
ด้วยอาวุธนิวเคลียร์ ชีวะ เคมีจากอิรักอีก<br />
ด้วย ด้วยความกังวลดังกล่าว กองกำลังร่วม<br />
เฉพาะกิจของสหรัฐฯ จึงได้เตรียมโรงพยาบาล<br />
ไว้ถึง ๖๓ แห่ง เรือพยาบาล ๒ ลำและ<br />
เตียงสนามในพื้นที่การรบอีกถึง ๑๘,๐๐๐ เตียง<br />
ซึ่งก็คือมิติของส่วนยุทธบริการที่ต้อง<br />
ไม่ละเลย<br />
ด้วยเหตุที่ต้องการหลีกเลี่ยงความเสี่ยง<br />
ที่จะทำให้เกิดความสูญเสียของทหาร<br />
จำนวนมาก กำลังทางอากาศจึงได้รับการ<br />
ยอมรับให้เป็นกำลังหลักในการโจมตีต่อ<br />
กองกำลังทหารของอิรักก่อนการโจมตี<br />
ของกองกำลังภาคพื ้นอื่นๆ พลเอก<br />
Schwarzkopf จึงได้อนุมัติให้เปิดปฏิบัติการ<br />
ทางทหารเป็นสี่ช่วงปฏิบัติการ สามช่วงแรก<br />
เป็นการปฏิบัติการของกำลังทางอากาศ<br />
แต่เพียงลำพัง ช่วงสุดท้ายเป็นการ<br />
สนับสนุนโดยใกล้ชิดแก่กองกำลังภาคพื้นดิน<br />
เพื่อผลักดันและยึดครองคูเวตคืนจาก<br />
อิรัก โดยที่ในช่วงแรกเป็นการปฏิบัติการ<br />
เพื่อครองอากาศและทำลายรถถัง ปืนใหญ่<br />
เป้าหมายทางยุทธศาสตร์และกองกำลังใน<br />
50<br />
พลอากาศตรี ปิยะพันธ์ ขันถม
แนวหน้าของอิรักให้ราบคาบ หลังจากนั้น<br />
จึงเป็นการบุกรุกคืบตีให้ถอยร่นของกำลัง<br />
ภาคพื้นในช่วงสุดท้าย<br />
เมื่อหลักนิยมการปฏิบัติการมุ่งเน้นมาที่<br />
กำลังทางอากาศ ฉะนั้นการตัดสินใจเริ่มต้น<br />
ของปฏิบัติการพายุทะเลทรายจึงขึ้นอยู่กับ<br />
พลอากาศโท Charles A.Horner<br />
ผู้บัญชาการกองกำลังทางอากาศร่วม ซึ่ง<br />
Horner ได้วางแผนให้F-117s โจมตีเป้าหมาย<br />
ส่วนบัญชาการหรือ 2CI ในกรุงแบกแดด<br />
และระบบป้องกันภัยทางอากาศของอิรัก<br />
ในคืนเดือนมืดก่อนรุ่งสว่างของเช้าวันที่๒๗<br />
มกราคม ๑๙๙๑ และเชื่อมต่อกับการ<br />
ปฏิบัติการทางอากาศที่ตามมาอย่าง<br />
ต่อเนื่องในตอนเช้า สำหรับระบบป้องกัน<br />
ภัยทางอากาศของอิรักนั้น สหรัฐฯ ได้รับ<br />
การเอื้อเฟื้อข้อมูลทุกอย่างเป็นอย่างดีโดย<br />
มิต้องร้องขอจากบริษัทของฝรั่งเศสและ<br />
สวีเดนที่เป็นบริษัทผู้ติดตั้งระบบป้องกันภัย<br />
ทางอากาศให้แก่อิรัก ในโลกของสงครามนั้น<br />
ไม่เคยมีมิตรแท้เลย เคยเป็นคู่ค้าแต่กลับ<br />
ปันใจป้อนข้อมูลสำคัญให้กับอีกฝ่าย<br />
แม้ว่ายุทธศาสตร์ทางทหารของอิรักจะ<br />
ถูกทำลายอย่างย่อยยับ จากมรสุมของ<br />
เทคโนโลยีสงครามเกือบทุกชนิดของ<br />
สหรัฐฯ แต่ก็ยังมีความพยายามต่อต้านจาก<br />
อิรักอยู่บ้าง โดยอิรักยิงขีปนาวุธแบบ SAM<br />
เพื่อต่อต้านอากาศยานและยิงขีปนาวุธ<br />
แบบ Scud โจมตีอิสราเอลและ<br />
ซาอุดีอาระเบียแต่ก็ถูกต่อต้านจากขีปนาวุธ<br />
ต่อต้านขีปนาวุธแบบ Patriot ของกองทัพบก<br />
สหรัฐฯ<br />
ช่วงสุดท้ายของพายุทะเลทราย หลังจาก<br />
สิ้นสุดการปฏิบัติการทางอากาศของ<br />
กำลังทางอากาศซึ่งใช้เวลาทั้งสิ้นห้าสัปดาห์<br />
และมั่นใจถึงการครองอากาศแล้วนั้น ก่อน<br />
ที่กำลังทางอากาศจะต้องลดบทบาทลงมา<br />
เพื่อการสนับสนุนกำลังภาคพื้น พลเอก<br />
Schwarzkopf ได้ประเมินผลการปฏิบัติ<br />
การถึงความเสียหายของกองกำลังอิรัก พบว่า<br />
กองกำลังอิรักเกือบทั้งหมดแม้กระทั่งกอง<br />
กำลังทั้งสามกองพันของ Republican<br />
Guard เพื ่อพิทักษ์ประธานาธิบดีซัดดัม<br />
ฮุสเซน ก็อยู่ในสภาพที่ย่ำแย่มีระดับความ<br />
พร้อมรบไม่ถึง ๖๐ เปอร์เซ็นต์ คือแค่เอา<br />
ตัวรอดเท่านั้น ไม่อาจหักหาญกับใครได้<br />
การปฏิบัติการของกำลังภาคพื้นสหรัฐฯ<br />
เริ่มขึ้นเมื่อวันที่๒๔ กุมภาพันธ์๑๙๙๑ เป็น<br />
วันที่ชุ่มฉ่ำไปด้วยลมฝน โคลนตมและเมฆ<br />
หมอก แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคแต่อย่างใด<br />
เนื่องจากความยุ่งยากใจทุกอย่างนั้น กำลัง<br />
ทางอากาศได้ขจัดให้เสียจนหมดสิ้นแล้ว<br />
การปฏิบัติการในช่วงสุดท้ายนี้ใช้เวลาเพียง<br />
แค่สี่วันเท่านั้น ประธานาธิบดีบุชจึงได้<br />
ประกาศหยุดยิงและปิดฉากมหากาพย์<br />
สงครามยุคใหม่พายุทะเลทรายกับชัยชนะ<br />
อย่างเด็ดขาดที่มีการบาดเจ็บหรือสูญเสีย<br />
ชีวิตน้อยที่สุด เมื่อเวลา ๕ นาฬิกา (Riyadh<br />
time) ของวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๑๙๙๑<br />
หลังสิ้นสุดปฏิบัติการพายุทะเลทราย<br />
สหรัฐฯ ได้ส่งมอบความรับผิดชอบต่อไปให้<br />
กับสหประชาชาติและมีการกำหนดเขต<br />
ห้ามบิน (No Fly Zone) ขึ้น ในขณะที่ภาพ<br />
สุดท้ายของการปฏิบัติการเพื่อปลดปล่อย<br />
คูเวตก็เป็นการพิสูจน์ให้เห็นถึงศักยภาพ<br />
และเอกภาพของกำลังทางอากาศใน<br />
สงครามยุคใหม่ที่เพียบพร้อมไปด้วย<br />
เทคโนโลยี และมีการปฏิบัติการในห้วง<br />
อวกาศเข้ามามีส่วนร่วมด้วยเป็นอย่างมาก<br />
จึงก่อให้เกิดผลสัมฤทธิ์ที่เบ็ดเสร็จ ไม่เกิด<br />
ความยืดเยื้อยาวนานเหมือนสงคราม<br />
ในยุคก่อน ประธานาธิบดีบุชถึงกับกล่าว<br />
อย่างมั่นใจถึงการสิ้นสุดของสงครามครั้งนี้<br />
ว่า “Now, We have Saddam Hussein<br />
still there. : ซัดดัม ฮุสเซ็น กลับอิรัก<br />
ไปแล้ว”<br />
จาก : Air Force Magazine, Jan 2011<br />
ผู้เขียน : Rebecca Grant<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
51
เปิดประตูสู่เทคโนโลยี<br />
ปองกันประเทศ ปองกันประเทศ ปองกันประเทศ ๖๘<br />
สถาบันเทคโนโลยีปองกันประเทศ (องค์การมหาชน)<br />
กับการขับเคลื ่อนอุตสาหกรรม<br />
New S-Curve 11<br />
สถาบันเทคโนโลยีปองกันประเทศ (องคการมหาชน)<br />
52 ÊҺѹ෤â¹âÅÂÕ»‡Í§¡Ñ¹»ÃÐà·È (ͧ¤¡ÒÃÁËÒª¹)
New S-Curve ที่ ๑๑ หรือ<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
เป็นอุตสาหกรรมที่มีบทบาท<br />
แตกต่างจากอุตสาหกรรมประเภทอื่น<br />
ในด้านโครงสร้างพื้นฐานที่เป็นหลักประกัน<br />
ทางด้านความมั่นคงของประเทศ เพื่อ<br />
เสริมสร้างความพร้อมรบของกองทัพ<br />
ด้านยุทโธปกรณ์ในการปกป้องอธิปไตย และ<br />
ผลประโยชน์ของประเทศ อีกทั้งมีความ<br />
สำคัญในเชิงเศรษฐกิจอีกด้วย เพราะเมื่อ<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศได้รับการ<br />
ส่งเสริมและสนับสนุนอย่างเป็นระบบ<br />
จะสามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศได้เป็น<br />
จำนวนมาก รวมไปถึงการพัฒนาทางด้าน<br />
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีและการสร้าง<br />
บุคลากรที่มีทักษะสูงให้กับประเทศ<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
(องค์การมหาชน) หรือ สทป. เป็นหน่วย<br />
งานในรูปแบบองค์การมหาชนของ<br />
กระทรวงกลาโหม ภายใต้การกำกับของ<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม จัดตั้ง<br />
ขึ้นเมื่อวันที่ ๑ มกราคม พ.ศ.๒๕๕๒<br />
มีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษา ค้นคว้า วิจัย และ<br />
พัฒนานวัตกรรมและดำเนินการอื่นที่เกี่ยว<br />
กับหรือต่อเนื่องกับการวิจัยและพัฒนา<br />
เพื่อนำไปสู่อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
รวมถึงการส่งเสริมและสนับสนุนกิจการ<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศของ<br />
กระทรวงกลาโหม หน่วยงานภาครัฐและ<br />
ภาคเอกชน สทป. ดำเนินการภายใต้<br />
ยุทธศาสตร์ ๔ ด้าน คือ การวิจัยพัฒนา<br />
เทคโนโลยีป้องกันประเทศ การพัฒนา<br />
ความรู้และนวัตกรรมสู่<br />
ประชาสังคม การพัฒนา<br />
เครือข่ายความร่วมมือ<br />
และการพัฒนาองค์กร<br />
เพื่อความยั่งยืนที่<br />
สอดคล้องกับยุทธศาสตร์<br />
ชาติ ระยะ ๒๐ ปี<br />
ภายใต้เป้าประสงค์การ<br />
สนับสนุนให้กองทัพ<br />
มีอาวุธยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยี<br />
ที่จำเป็นในการต่อสู้ภัยคุกคามทุกรูปแบบ<br />
การรักษาดุลยภาพด้านความมั่นคง<br />
ของรัฐ และวิจัยพัฒนาวิทยาศาสตร์และ<br />
เทคโนโลยีป้องกันประเทศนำไปสู่การผลิต<br />
เชิงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ การ<br />
ดำเนินงานของ สทป. ยังมีความสอดคล้อง<br />
กับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคม<br />
แห่งชาติ ฉบับที่ ๑๒ ซึ่งระบุถึงการพัฒนา<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศโดยเสริม<br />
สร้างการวิจัยและพัฒนาควบคู่ไปกับการ<br />
สร้างความร่วมมือระหว่างภาครัฐ เอกชน<br />
และมิตรประเทศในการสร้างองค์ความรู้<br />
และแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีเพื่อเพิ่ม<br />
ขีดความสามารถในการพัฒนาอาวุธ<br />
ยุทโธปกรณ์ และยุทธภัณฑ์ พร้อมทั้ง<br />
ส่งเสริมนวัตกรรมด้านอุตสาหกรรมป้องกัน<br />
ประเทศ โดยหน่วยงานภาครัฐเป็นหนึ่งใน<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
53
กลไกขับเคลื่อนสู่ความมั่นคง มั่งคั่งและ<br />
ยั่งยืน ตามโมเดลไทยแลนด์ ๔.๐ สทป. จึง<br />
เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสนับสนุนการ<br />
พัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ที่ใช้<br />
เทคโนโลยีขั้นสูงในการผลิต และเป็น<br />
อุตสาหกรรมที่มีการพัฒนาในด้าน<br />
ความคิดสร้างสรรค์และนวัตกรรมต่างๆ<br />
ซึ่งรัฐบาลได้จัดให้อยู่ในกลุ่มของ<br />
อุตสาหกรรม New S-Curve ลำดับที่ ๑๑<br />
เป็นกลุ่มอุตสาหกรรมใหม่ที่มีการใช้<br />
เทคโนโลยีและนวัตกรรมอย่างเข้มข้น<br />
กลุ่มนี้มีความสามารถในการเติบโตต่อไป<br />
ในอนาคตสูง<br />
เทคโนโลยีเป้าหมายของสถาบัน<br />
เทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การ<br />
มหาชน)<br />
ตามแผนยุทธศาสตร์ที่ ๑ การวิจัย<br />
และพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศ โดย<br />
สทป. เป็นกลไกขับเคลื่อนหลักให้กับการ<br />
พัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ซึ่งมี<br />
เทคโนโลยีเป้าหมาย ๕ เทคโนโลยี โดยมี<br />
ผลงานเป็นรูปธรรมจากผลการดำเนินงาน<br />
ที่สนับสนุนงานด้านความมั่นคงและภาค<br />
ประชาสังคม ดังนี้<br />
๑. เทคโนโลยี<br />
จรวดและอาวุธนำวิถี:<br />
โดยการวิจัยและ<br />
พัฒนาเทคโนโลยี<br />
จรวดและอาวุธนำวิถี<br />
ที่มีความแม่นยำสูง<br />
นอกจากจะใช้เพื่อ<br />
ป้องกันภัยภายนอก<br />
ประเทศแล้ว ยังได้นำ<br />
ความรู้จากเทคโนโลยีดังกล่าวมาต่อยอด<br />
เป็นจรวดดัดแปรสภาพอากาศ เพื่อช่วยใน<br />
การทำฝนเทียมในโครงการวิจัยและ<br />
พัฒนาจรวดดัดแปรสภาพอากาศร่วมกับ<br />
กรมฝนหลวงและการบินเกษตร กระทรวง<br />
เกษตรและสหกรณ์ยังมีประโยชน์กับ<br />
พี่น้องเกษตรกรอีกด้วย<br />
๒. เทคโนโลยีสารสนเทศการสื่อสาร<br />
ทางทหาร : โครงการวิจัยและพัฒนา<br />
เทคโนโลยีสารสนเทศแบบรวมศูนย์และ<br />
โปรแกรมประยุกต์สำหรับเจ้าหน้าที่หน่วย<br />
งานด้านความมั่นคง เพื่อสนับสนุนการ<br />
แก้ไขปัญหา ๓ จังหวัดชายแดนใต้<br />
๓. เทคโนโลยีการจำลองยุทธ์และ<br />
การฝึกเสมือนจริง : โครงการวิจัยและพัฒนา<br />
เครื่องช่วยฝึกยานรบเสมือนจริง โครงการ<br />
ประยุกต์ใช้แผนที่สถานการณ์เพื่อจำลอง<br />
ภารกิจการช่วยเหลือทางทหารใน<br />
สถานการณ์ฉุกเฉิน<br />
๔. เทคโนโลยียานไร้คนขับ : โครงการ<br />
วิจัยและพัฒนาองค์ประกอบพื้นฐานระบบ<br />
54 สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน)
ยานไร้คนขับและโครงการวิจัยและพัฒนา<br />
หุ่นยนต์เก็บกู้วัตถุระเบิด ที่ร่วมกันพัฒนา<br />
กับทั้งกองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพ<br />
อากาศ สถาบันการศึกษา หน่วยงานภาค<br />
รัฐและเอกชน ใช้งานทั้งในงานด้านความ<br />
มั่นคงและในเชิงพาณิชย์<br />
๕. เทคโนโลยียานรบและระบบอาวุธ :<br />
โครงการวิจัยและพัฒนาร่วมยานเกราะ<br />
ล้อยาง และโครงการวิจัยและพัฒนาร่วม<br />
ยานเกราะล้อยางสำหรับปฏิบัติภารกิจ<br />
ของหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน สำหรับ<br />
สนับสนุนภารกิจของเหล่าทัพและ<br />
เทคโนโลยีที่จะวิจัยและพัฒนาต่อไปใน<br />
อนาคต<br />
วันนี้ สทป. มุ่งมั่นวิจัยและพัฒนา<br />
เทคโนโลยี จากองค์ความรู้เพื่อนำไปขยายผล<br />
ต่อยอดสู่อุตสาหกรรม ผ่านการบูรณาการ<br />
ความร่วมมือที่เชื่อมโยงกับทุกภาคส่วน<br />
ทั้งภาครัฐ เอกชน และสถาบันการศึกษา<br />
พร้อมขับเคลื่อนไปสู่การมีอุตสาหกรรม<br />
ป้องกันประเทศที่เข้มแข็ง สามารถวิจัย<br />
พัฒนานวัตกรรมอาวุธยุทโธปกรณ์เพื่อ<br />
ตอบสนองการใช้งานของเหล่าทัพที่มี<br />
ความต้องการหลากหลายมิติ นำไปสู่การ<br />
ผลิตเชิงอุตสาหกรรม ลดการพึ่งพา<br />
ต่างประเทศและพัฒนาเทคโนโลยีต่อเนื่อง<br />
สำหรับการใช้ประโยชน์ทางภาคสังคมและ<br />
เป็นการสร้างบุคลากรให้มีความเชี่ยวชาญ<br />
และทันสมัยในเทคโนโลยีต่างๆ มุ่งเน้นให้<br />
เกิดการทำงานในรูปแบบประชารัฐ เพื่อผลิต<br />
ไปสู่การใช้งานในราชการและในเชิงพาณิชย์<br />
ตามนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหม พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ<br />
สนับสนุนการพัฒนาประเทศเพื่อก้าวไปสู่<br />
Thailand 4.0 เพื่อให้ยุทโธปกรณ์สามารถ<br />
ตอบสนองการใช้งานของเหล่าทัพที่มี<br />
ความต้องการหลากหลายมิติและสามารถ<br />
พัฒนาเทคโนโลยีต่อเนื่องสำหรับการใช้<br />
ประโยชน์ทางภาคสังคม ให้ความสำคัญ<br />
กับการร่วมมือกับหน่วยงานภายนอก<br />
ทั้งภาครัฐและเอกชน นำไปสู่การผลิต<br />
เชิงอุตสาหกรรม ลดการพึ่งพาต่างชาติ<br />
เพื่อความมั่นคงที่ยั่งยืน ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง<br />
ในการตอบสนองนโยบายพัฒนาประเทศ<br />
ในการปรับปรุงอุตสาหกรรมเป้าหมาย<br />
ในการส่งเสริมและผลักดันอุตสาหกรรม<br />
แห่งอนาคต หรือ New S-Curve<br />
ลำดับที่ ๑๑<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
55
โครงการผลิต<br />
กระสุนขนาดกลาง<br />
ร้อยโท จิรวัฒน์ ถนอมธรรม<br />
โครงการผลิตกระสุนขนาดกลาง<br />
ร่วมกับกรมสรรพาวุธทหารอากาศ<br />
มีระยะเวลาดำเนินโครงการ ๖ ปี<br />
ตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๕๙ - ๒๕๖๔ โดยใช้<br />
เงินทุนหมุนเวียนอุตสาหกรรมป้องกัน<br />
ประเทศ ลงทุนวงเงินผลิตกระสุน ๒ ขนาด<br />
ประกอบด้วย กระสุนขนาด ๒๓ มิลลิเมตร<br />
ชนิด TP จำนวน ๑๐๐,๐๐๐ นัด และ<br />
กระสุนขนาด ๓๐ x ๑๗๓ มิลลิเมตร ชนิด<br />
TP-T จำนวน ๒๕,๐๐๐ นัด เพื่อส่งให้กับ<br />
เหล่าทัพ<br />
ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธฯ เป็น<br />
หน่วยงานด้านอุตสาหกรรมป้องกัน<br />
ประเทศที่สำคัญของกระทรวงกลาโหม<br />
มีภารกิจในการดำเนินงานด้านการวิจัย<br />
พัฒนา และผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์<br />
สนับสนุนเหล่าทัพ เพื่อการ<br />
พึ่งพาตนเองในด้านความ<br />
มั่นคงของชาติรวมทั้งปฏิบัติ<br />
งานอื่นที่เกี ่ยวข้องตาม<br />
นโยบายของกระทรวงกลาโหม<br />
และปฏิบัติงานอื่น ซึ่งการ<br />
ผลิตแบ่งออกเป็น<br />
๑. ผลิตเอง<br />
๒. ผลิตร่วมกับเหล่าทัพ<br />
จากการบูรณาการร่วม<br />
กับเหล่าทัพ พิจารณาและเห็นว่าสายงาน<br />
การผลิตที่มีอยู่เดิมของเหล่าทัพนั้น<br />
ถ้าปรับปรุงพัฒนาเพื่อรองรับการผลิตก็จะใช้<br />
56 ร้อยโท จิรวัฒน์ ถนอมธรรม
งบประมาณที่ถูกกว่า ในด้านการผลิต<br />
กระสุนปืนใหญ่และลูกระเบิดยิง<br />
ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ศูนย์การ<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงาน<br />
ทหาร ได้ทำการผลิตกระสุนปืนใหญ่และ<br />
ลูกระเบิดยิงสนับสนุนให้กับเหล่าทัพ<br />
ที่สำคัญ ได้แก่ โครงการผลิตกระสุน<br />
ขนาดกลาง ซึ่งประกอบด้วย ๒ ประเภท คือ<br />
๑. โครงการผลิตลูกปืนต่อสู้<br />
อากาศยาน ขนาด ๒๓ มิลลิเมตร ชนิดฝึก<br />
โครงการผลิตลูกปืนต่อสู้อากาศยาน ขนาด<br />
๒๓ มิลลิเมตร ชนิดฝึกต่อเนื่อง<br />
(ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ - ๒๕๖๕) เป็น<br />
โครงการเริ่มใหม่ประจำปีงบประมาณ<br />
๒๕๖๐ โดยใช้เงินทุนหมุนเวียน<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ระยะเวลา<br />
ดำเนินการ ๖ ปี ผลิตลูกปืนต่อสู้<br />
อากาศยาน ขนาด ๓๗ มิลลิเมตร<br />
Type 74 ชนิดฝึก จำนวน<br />
๒๕,๐๐๐ นัด โดยใน<br />
ปีงบประมาณ ๒๕๖๐ จะ<br />
เป็นการจัดพัสดุสำหรับการผลิต<br />
ให้กับโครงการฯ และจะเริ่ม<br />
ผลิตตั้งแต่ปีงบประมาณ ๒๕๖๑<br />
- ๒๕๖๕ เพื่อขายให้กับกองทัพเรือ<br />
๒. โครงการผลิตลูกปืน<br />
ต่อสู้อากาศยานขนาด ๓๐ x ๑๗๓<br />
มิลลิเมตร ชนิดฝึก ปลัดกระทรวง<br />
กลาโหมได้อนุมัติเมื่อวันที่ ๒<br />
พฤศจิกายน ๒๕๕๙ ให้โครงการ<br />
ผลิตลูกปืนต่อสู้อากาศยาน<br />
ขนาด ๓๐ x ๑๗๓ มิลลิเมตร<br />
ชนิดฝึก (ปีงบประมาณ ๒๕๖๑ - ๒๕๖๕)<br />
เป็นโครงการเริ่มใหม่ประจำปีงบประมาณ<br />
๒๕๖๑ โดยใช้เงินทุนหมุนเวียน<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศ ระยะเวลา<br />
ดำเนินโครงการฯ ๕ ปี ผลิตลูกปืนต่อสู้<br />
อากาศยานขนาด ๓๐ x ๑๗๓ มิลลิเมตร<br />
ชนิดฝึก จำนวน ๑๕,๐๐๐ นัด เพื ่อขาย<br />
ให้กับกองทัพเรือ<br />
ประโยชน์ที่ได้รับจากการดำเนิน<br />
โครงการ<br />
- กองทัพมีศักยภาพในการผลิตอาวุธ<br />
ยุทโธปกรณ์<br />
- กองทัพสามารถพึ่งพาตนเองได้<br />
- ลดการนำเข้าและประหยัด<br />
งบประมาณของประเทศ<br />
- เพิ่มพูนทักษะและองค์ความรู้จาก<br />
การผลิตฯ ให้บุคลากร<br />
- เสริมสร้างเครือข่ายความร่วมมือ<br />
สนับสนุนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
ทั้งในและต่างประเทศ<br />
- ลดปัจจัยเสี่ยงด้านงบประมาณ<br />
ผลิตตามความต้องการของเหล่าทัพ<br />
ข้อมูลจาก : ศอว.ศอพท.<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
57
โครงการสืบสานพระราชปณิธาน<br />
การอนุรักษ์ ดิน น ้ำ และป่ า<br />
เฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร<br />
เนื ่องในโอกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑<br />
พันโทหญิง สุนิภา แจ้งเจนเวทย์ สำนักงานกิจการพลเรือน สำนักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
เมื่อวันที่ ๕ - ๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑<br />
สำนักงานกิจการพลเรือน สำนัก<br />
นโยบายและแผนกลาโหม ได้จัด<br />
กิจกรรม “สืบสานพระราชปณิธาน<br />
การอนุรักษ์ดิน น้ำ และป่า เฉลิมพระเกียรติ<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ<br />
บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาส<br />
เฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม<br />
๒๕๖๑ และร่วมกิจกรรมสร้างฝายชะลอน้ำ<br />
ในพื้นที่จังหวัดกาญจนบุรี<br />
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้กำลังพล<br />
ของสำนักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
มีความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของ<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ<br />
บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงมีพระราช<br />
ประสงค์ในการสืบสานรักษา และน้อมนำ<br />
แนวทางพระราชดำริต่างๆ<br />
ของพระบาทสมเด็จ<br />
พระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดช บรมนาถบพิตร<br />
มาขยายผลในการแก้ไข<br />
ปัญหาเรื่อง ดิน น้ำ และป่า<br />
ให้มีความอุดมสมบูรณ์<br />
และนำความรู้ที่ได้รับ<br />
ไปเผยแพร่ให้หน่วยงาน และบุคคลใน<br />
ครอบครัวได้น้อมนำแนวทางพระราชดำริ<br />
ของพระองค์ท่านมาปรับใช้ให้เกิด<br />
ประโยชน์แก่ตนเองและประเทศชาติ<br />
58 พันโทหญิง สุนิภา แจ้งเจนเวทย์
โดยได้รับฟังการบรรยายพิเศษ เรื่อง<br />
ประโยชน์ของฝายชะลอน้า โดยวิทยากร<br />
จาก บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย จากัด (มหาชน)<br />
สรุปว่า ฝายเปนสิ่งที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝมือ<br />
มนุษย์สาหรับช่วยกักเก็บน้าและชะลอการ<br />
ไหลเวียนของน้า ปองกันน้าท่วมจากแม่น้า<br />
ลาธารในฤดูฝนในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อกระแสน้า<br />
ที่รุนแรง อีกทั้งยังช่วยปกปองหน้าดิน ช่วย<br />
ลดการพังทลายของหน้าดินได้เปนอย่างดี<br />
โดยฝายชะลอน้าส่วนใหญ่จะถูกสร้าง<br />
บริเวณลาห้วย ลาธาร เส้นทางน้า<br />
ขนาดเล็ก เพื่อช่วยกักเก็บ<br />
ตะกอน รักษาหน้าดิน และ<br />
คงความชุ่มชื้น<br />
หลังจากการสัมมนาได้<br />
ดาเนินกิจกรรมสร้างฝาย<br />
ชะลอน้าร่วมกับพนักงาน<br />
บริษัท ปูนซีเมนต์ไทย<br />
จากัด (มหาชน) นักศึกษา<br />
มหาวิทยาลัยมหิดล<br />
วิทยาเขตกาญจนบุรี<br />
ประชาชนและนักเรียนในพื้นที่ตาบล<br />
ลุ่มสุ่ม อาเภอไทรโยค จังหวัดกาญจนบุรี<br />
ประมาณ ๒๐๐ คน แบ่งเปน ๑๕ กลุ่ม<br />
ร่วมกันสร้างฝายชะลอน้า จานวน ๑๑ ฝาย<br />
เปนระยะทาง ๑.๕ กิโลเมตร โดยใช้วัสดุ<br />
ธรรมชาติ เช่น ไม้ไผ่ และก้อนหินที่อยู่ใน<br />
พื้นที่ โดยพื้นที่สร้างฝายเปนป่าชุมชน<br />
เนื้อที่ ๑,๐๐๐ ไร่เศษ อยู่ในความดูแลของ<br />
มหาวิทยาลัยมหิดล วิทยาเขตกาญจนบุรี<br />
ซึ่งประชาชนที่อยู่โดยรอบได้รับประโยชน์<br />
โดยตรงจากการสร้างฝาย ทาให้มีอาชีพ<br />
สร้างรายได้จากการเก็บ<br />
ของป่ามาจาหน่าย ได้แก่<br />
หน่อไม้ และเห็ด มีคุณภาพ<br />
ชีวิตที่ดีขึ้น เปนผลมาจาก<br />
ความอุดมสมบูรณ์ของ<br />
ผืนป่า<br />
การดาเนินกิจกรรม<br />
สร้างฝายชะลอน้าในครั้งนี้<br />
ทาให้ทราบถึงความสาคัญ<br />
ในการอนุรักษ์ ดิน น้า<br />
และป่า ตามแนวทาง<br />
พระราชดาริของพระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
บรมนาถบพิตร อีกทั้งเปน<br />
โอกาสอันดีที่ข้าราชการ<br />
สานักนโยบายและแผน<br />
กลาโหม ได้ร่วมแรงร่วมใจ<br />
ทากิจกรรมอันเปน<br />
ประโยชน์ และแสดงออกถึงความเอื้อเฟอ<br />
ช่วยเหลือสังคมด้วยการนาสิ่งของ<br />
เครื่องใช้ อุปโภค บริโภค รวมถึงหนังสือ<br />
และอุปกรณ์การเรียน ที่ข้าราชการและ<br />
ผู้บังคับบัญชาได้ร่วมกันบริจาค ไปมอบให้<br />
กับโรงเรียนตารวจตระเวนชายแดน<br />
บ้านแม่น้าน้อยในพื้นที่อีกด้วย<br />
การจัดกิจกรรมในครั้งนี้ได้บรรลุผล<br />
สาเร็จตามวัตถุประสงค์ของโครงการฯ<br />
ทาให้ข้าราชการมีความสานึกใน<br />
พระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวและสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
และได้ร่วมกันสืบสานการอนุรักษ์ ดิน น้า<br />
และป่า โดยการทากิจกรรมร่วมกับ<br />
เครือข่ายองค์กร ภาคเอกชน และ<br />
ประชาชนในพื้นที่ อีกทั้งเปนการสร้าง<br />
บรรยากาศของความร่วมมือในการ<br />
ทาคุณประโยชน์ให้แก่สังคมและ<br />
ประเทศชาติอีกทางหนึ่งด้วย<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¡Ñ¹ÂÒ¹ òõöñ<br />
59
Violent Extremism<br />
พันเอกหญิง ดร.วันดี โตสุวรรณ<br />
ห้<br />
วงเดือนกรกฎาคม ๒๕๖๑ ที่ผ่านมา<br />
ผู้เขียนได้เข้าร่วมสัมมนา<br />
นานาชาติในหัวข้อเรื่อง “Countering<br />
Violent Extremist Narratives in the<br />
Global Context” ซึ่งแปลเป็นภาษาไทย<br />
ได้ว่า การเล่าเรื่องการต่อต้านกลุ่มคนที่มี<br />
ความคิดรุนแรงแบบสุดขั้วในระดับโลก<br />
ณ ศูนย์ศึกษายุทธศาสตร์กองบัญชาการ<br />
กองทัพไทยเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา<br />
จังหวัดชลบุรี ทำให้อดสะพรึงกลัวไม่ได้ว่า<br />
สถานการณ์ความมั่นคงของประชาคมโลก<br />
ปัจจุบันยังแฝงไปด้วยอันตราย ความรุนแรง<br />
และภัยมืดที่ยากต่อการกำจัด ปราบปราม<br />
แก้ไขได้โดยง่าย ในทางตรงกันข้ามหน่วย<br />
งานด้านความมั่นคงของแต่ละประเทศจะ<br />
ต้องมีการพัฒนา ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง<br />
และที่สำคัญจะต้องรวมพลังกันเพื่อยับยั้ง<br />
แนวคิดความรุนแรงแบบสุดโต่งของ<br />
กลุ่มคนที่ไม่หวังดี กลุ่มคนหรือคนที่<br />
คลั่งไคล้ในลัทธิความเชื่อ หรือมีแรงกดดัน<br />
ต่างๆ ให้หมดสิ้นไป<br />
สารานุกรมวิกิพีเดีย (Wikipedia) ได้<br />
อธิบายความหมายของคำว่า Violent<br />
Extremism ไว้ดังนี้ Violent Extremism<br />
refers to the beliefs and actions of<br />
people who support or use<br />
ideologically motivated violence to<br />
achieve radical ideological, religious<br />
or political views. แนวคิดความรุนแรง<br />
แบบสุดโต่ง อ้างถึงความเชื่อและการกระทำ<br />
ของกลุ่มคนที่สนับสนุนหรือใช้ความ<br />
รุนแรงจากแรงกระตุ้นของลัทธิที่นิยม<br />
เพื่อมาต่อสู้หรือขัดขวางแนวคิดทาง<br />
การเมืองด้านศาสนาและลัทธิความขัดแย้ง<br />
อื่นๆ ส่วนคำว่า Violent Extremist<br />
คนที่มีแนวคิดความรุนแรงแบบสุดโต่งนั้น<br />
อาจจะมาจากประเด็นทางด้านการเมือง<br />
ศาสนา และด้านเพศ (Violent views can<br />
be exhibited along a range of issues<br />
including politics, religion and<br />
genders.)<br />
นักวิชาการเล่าว่า สาเหตุที่ทำให้กลุ่มคน<br />
กลายเป็นพวกหัวรุนแรงนั้น อาจจะ<br />
เริ่มจากความต้องการในส่วนบุคคล<br />
(Personal Need) เช่น ความต้องการใน<br />
อำนาจ ( Power) ความสำเร็จ (Achievement)<br />
ความสำคัญ (Importance) เหตุผล<br />
(Purpose) คุณธรรม (Morality) and<br />
ความตื่นเต้น (Excitement)<br />
ดร.นามรัต โกสวามี นักวิชาการชาวอินเดีย<br />
ได้กล่าวไว้ในวารสาร Indo Pacific<br />
Forum ว่า กลุ่มลัทธิสุดโต่งที่นิยมความ<br />
รุนแรงโดยทั่วไปจะมีรูปแบบที่โดดเด่น<br />
ได้แก่ กลุ่มที่ไม่มีแบบแผนที่เข้าร่วมใน<br />
60<br />
พันเอกหญิง ดร.วันดี โตสุวรรณ
กิจกรรมต่างๆ เช่น การจลาจลที่ไม่ได้<br />
วางแผนล่วงหน้า กลุ่มก่อการร้ายที่มุ่งให้<br />
ประชาชนเผยแพร่จุดยืนของตนและกลุ่ม<br />
ก่อความไม่สงบที่มีการจัดโครงสร้างอย่าง<br />
มีแบบแผนอย่างยิ่ง กลุ่มลัทธิสุดโต่งที่นิยม<br />
ความรุนแรงส่วนใหญ่มีเป้าหมายที่จะ<br />
ชักชวน บีบบังคับและข่มขู่ประชาชนให้<br />
สนับสนุนเจตจำนงทางการเมืองของกลุ่ม<br />
ตนในระยะสั้น กลุ่มลัทธิสุดโต่งจะมุ่ง<br />
ทำลายความชอบธรรมของรัฐในทาง<br />
การเมือง สร้างความวุ่นวายและเข้าควบคุม<br />
ประชาชน กลุ่มลัทธิสุดโต่งกระทำการ<br />
ดังกล่าวโดยการสร้างระบอบการปกครอง<br />
แบบคู่ขนานกับรัฐบาล ประกาศจุดยืนของ<br />
กลุ่มอย่างชัดเจนและสร้างภัยคุกคามที่จะ<br />
ก่อให้เกิดผลอันเลวร้ายกับประชาชน<br />
หากตนไม่ได้รับการสนับสนุน<br />
เรามาฝึกอ่านและศึกษาคำศัพท์<br />
ตลอดจนประโยคภาษาอังกฤษที ่กล่าวถึง<br />
การที่คนหนุ่มสาวอาจจะถูกชักชวนให้เข้า<br />
ร่วมกับกลุ่มที่มีแนวคิดที่มีความรุนแรง<br />
แบบสุดโต่งดังนี้<br />
Fear (ความกลัว)<br />
Violent Extremist may try to<br />
recruit you by tapping into your<br />
personal problems. Remember that<br />
everyone experiences difficult emotions.<br />
Seek help or be supportive of<br />
other going through a tough time.<br />
(กลุ่มหัวรุนแรงอาจจะพยายามชักชวนคุณ<br />
ด้วยการเข้ามาตีสนิทและช่วยเหลือปัญหา<br />
ของคุณ ในช่วงที่คุณอยู่ในสภาพทางด้าน<br />
อารมณ์ที่ลำบากใจ ต้องการความช่วยเหลือ<br />
และกำลังใจเพื่อให้ผ่านช่วงวิกฤตให้ได้)<br />
Social Alienation (ความห่างเหินทาง<br />
สังคม)<br />
Those who feel isolated can<br />
sometimes be easily convinced by<br />
violent extremist beliefs. Don’t<br />
become a puppet for violent<br />
extremists by joining groups that want<br />
to hurt others just so you feel less<br />
alone. Consider healthy ways you<br />
can connect with others, including<br />
people that share your interests.<br />
(กลุ่มคนที่รู้สึกโดดเดี่ยวมีแนวโน้มที่จะ<br />
ได้รับการชักชวนได้ง่าย โดยความเชื่อของ<br />
กลุ่มที่มีความรุนแรงแบบสุดโต่ง อย่ากลาย<br />
เป็นหุ่นเชิดในการเข้าร่วมกลุ่มที่จะทำร้าย<br />
ผู้อื่นเพียงเพื่อให้คุณรู้สึกโดดเดี่ยวน้อยลง<br />
ขอให้พินิจพิเคราะห์อย่างรอบคอบว่าคุณ<br />
สามารถติดต่อเพื่อนๆ ได้เองอยู่แล้ว<br />
รวมถึงสามารถร่วมแสดงประเด็นที่มี<br />
ความสนใจร่วมกันได้)<br />
Anxiety (ความกังวล)<br />
Teens can be stressed by problems<br />
at home, grades, peer pressure,<br />
bullying, and other issues. Blaming<br />
other people, groups, or the government<br />
is not a good way to cope with your<br />
anxiety. Look for other ways to<br />
reduce stress, such as talking to<br />
friends or exercising. (กลุ่มคนวัยรุ่น<br />
อาจจะมีความเครียดจากปัญหาทางบ้าน<br />
คะแนนผลการเรียน หรือความกดดันจาก<br />
เพื่อนๆ การถูกข่มเหงและปัญหาอื่นๆ การ<br />
โทษคนอื่น กลุ่มหรือรัฐบาลไม่ใช่เป็น<br />
วิธีการแก้ปัญหาที่ดีในการขจัด)<br />
Frustration (ความขุ่นมัว)<br />
It is natural to feel frustrated or<br />
angry when you are treated<br />
unfairly or rejected by others. But<br />
don’t become a puppet for violent<br />
extremists to create an outlet for<br />
your anger and revenge. Find peaceful,<br />
constructive ways of dealing<br />
with feelings of frustration. (เป็น<br />
ธรรมชาติที่รู้สึกอึดอัดใจหรือโกรธเมื่อคุณ<br />
ได้รับการปฏิบัติอย่างไม่เป็นธรรม หรือ<br />
ถูกปฏิเสธโดยผู้อื่น แต่อย่ากลายเป็นหุ่นเชิด<br />
สำหรับกลุ่มหัวรุนแรงเพื่อหาทางออก<br />
เพื่อระบายความโกรธและการแก้แค้น<br />
ของคุณ ควรหาวิธีการที่สร้างสรรค์และ<br />
สงบสุขในการรับมือกับความรู้สึกหงุดหงิด<br />
เหล่านั้น)<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
<strong>61</strong>
สาระน่ารู้ทางการแพทย์<br />
“ช่วยหยุด<br />
การฆ่าตัวตาย”<br />
ปั<br />
ญหาการฆ่าตัวตายเริ่มพบ<br />
มากขึ้นในสังคมไทย ล่าสุด<br />
กับกรณีน้องโอม (สงวนชื่อ<br />
และนามสกุล) นักเรียนชั้น ม.๖<br />
โดยน้องโอมได้กระโดดจากตึกลงมา<br />
เสียชีวิต ซึ่งจะมีสาเหตุอะไรบ้าง และ<br />
จะมีวิธีการอย่างไรไม่ให้มีความคิด<br />
ฆ่าตัวตาย บทความฉบับนี้สำนักงาน<br />
แพทย์สำนักงานสนับสนุนสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม มีข้อแนะนำ<br />
มาฝากท่านผู้อ่าน ครับ<br />
ปัญหาการฆ่าตัวตาย เกิดจาก<br />
หลายสาเหตุ แต่สาเหตุใหญ่ที่ทำให้คนคิด<br />
อยากฆ่าตัวตายเกิดจากโรคซึมเศร้า คนที่<br />
เป็นโรคซึมเศร้าจะมีความรู้สึกเบื่ออย่าง<br />
รุนแรงแทบทุกอย่างในชีวิต เบื่อที่จะมีชีวิต<br />
อยู่ต่อไป ความเศร้าที่รุนแรงมากๆ<br />
อาจทำให้คิดว่าตนเองผิด ไร้ค่า และคิด<br />
อยากฆ่าตัวตาย การตายจึงเป็นเหมือน<br />
ทางออกของปัญหาในระยะสั้น เพื่อไม่ต้อง<br />
เผชิญกับปัญหาอีกต่อไป ความคิดของคน<br />
ที่จะฆ่าตัวตายมักไม่เห็นหนทางแก้ไข<br />
ปัญหา ชีวิตมืดมนและหมดหวัง ทั้งๆ ที่<br />
ความจริงไม่ได้เป็นเช่นนั้น<br />
อาการของโรคซึมเศร้า มักเริ่มเป็น<br />
จากอาการน้อยๆ แล้วมากขึ้นอย่างรวดเร็ว<br />
สามารถสังเกตได้ไม่ยาก ดังนี้<br />
๑. อารมณ์ไม่สนุกสนานเหมือนเดิม<br />
ไม่มีความสุข เบื่อ ท้อแท้หงุดหงิดและเศร้า<br />
๒. หมดความสนใจในสิ่งต่างๆ เบื่อสิ่ง<br />
62<br />
ที่เคยทำแล้วสนุก มีความสุข ไม่อยากทำ<br />
อะไร ไม่อยากเจอใคร<br />
๓. เบื่ออาหาร น้ำหนักลดลงมาก (บาง<br />
คนกินมากเพื่อให้หายเครียด ทำให้น้ำหนัก<br />
เพิ่มขึ้น)<br />
๔. นอนไม่หลับ หลับๆ ตื่นๆ หรือตื่น<br />
เร็วกว่าเดิม ๒ - ๓ ชั่วโมงแล้วนอนต่อไม่ได้<br />
(บางคนนอนมากขึ้น เนื่องจากไม่อยากทำ<br />
อะไร พยายามนอนแต่ไม่หลับ)<br />
๕. เหนื่อยหน่าย อ่อนเพลีย ไม่มีแรง<br />
ไม่อยากทำอะไร<br />
๖. ความคิดช้า การเคลื่อนไหวช้า<br />
ไม่มั่นใจตนเอง ไม่กล้าคิด ลังเลตัดสินใจ<br />
ลำบาก<br />
๗. สมาธิความจำเสีย ตั้งใจทำงานไม่ได้<br />
ลืมง่าย ความสามารถในการจำลดลง<br />
๘. คิดว่าตัวเองไร้ค่า ทำผิด ทำไม่ดี<br />
คิดไม่ดีต่อตัวเอง<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
๙. คิดอยากตาย และพยายาม<br />
ฆ่าตัวตาย<br />
โรคซึมเศร้า อาจเกิดหลังจากปัญหา<br />
ความเครียดในชีวิต เช่น การสูญเสียคนรัก<br />
หรือสิ ่งที่รักในชีวิต ปัญหาเรื่องการเรียน<br />
การทำงาน ปัญหาอื่นๆ แต่ในบางคนอาจ<br />
เกิดขึ้นเองโดยไม่มีสาเหตุก็ได้ ถ้าเริ่มมี<br />
อาการ ผู้ป่วยมักจะรู้ตัวและอาจมาพบ<br />
จิตแพทย์ แต่ถ้ามีอาการมากอาจไม่รู้ตัวจึง<br />
ไม่มารับการรักษา บางคนกลัวว่าการมาพบ<br />
จิตแพทย์ แสดงว่าตนเองเป็นโรคจิต<br />
โรคประสาท ทำให้ไม่ได้รับการรักษาและ<br />
โรคมีอาการมากขึ้น จนถึงระดับที่คิดอยาก<br />
ตายได้ จากการสำรวจทั่วโลกพบว่า ในผู้ที่<br />
ป่วยเป็นโรคซึมเศร้า ๑๐๐ คน มีเพียง ๑๐ คน<br />
เท่านั้นที่มาพบแพทย์และได้รับการรักษา<br />
อย่างถูกต้อง<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
การรักษาโรคซึมเศร้า ซึ่งเป็นการแก้ไข<br />
สาเหตุของการฆ่าตัวตาย โรคซึมเศร้า<br />
สามารถรักษาให้หายได้ไม่ยาก เนื่องจาก<br />
ปัจจุบันนี้ทางการแพทย์สามารถรู้ถึงสาเหตุ<br />
ของโรคซึมเศร้าแล้วว่าเกิดจากการทำงาน<br />
แปรปรวนของสารสื่อนำประสาทที่มีผล<br />
ต่ออารมณ์ ยารักษาโรคซึมเศร้าช่วยให้การ<br />
ทำงานของสารสื่อนำประสาทนั้นกลับมา<br />
เป็นปกติ ผู้ป่วยร้อยละ ๘๐ รักษาให้หาย<br />
ได้ เมื่อได้รับยาร่วมกับการรักษาทางจิตใจ<br />
เมื่อหายป่วยแล้วจะกลับมาเป็นปกติ<br />
เหมือนเดิม โรคซึมเศร้าจึงไม่ใช่โรคจิต<br />
หรือโรคประสาท แต่เป็นโรคทางอารมณ์<br />
ที่สามารถรักษาให้หายได้<br />
หากสงสัยว่าคนใกล้ชิดมีอาการคล้าย<br />
โรคซึมเศร้า เช่น ซึมเฉย เงียบ ไม่พูดจา<br />
เฉื่อยชา เชื่องช้า ทำอะไรผิดไปจากเดิม<br />
มากๆ การเรียนหรือการทำงานเสียไป บางคน<br />
อาจใช้คำพูด เช่น “รู้สึกเบื่อจัง ไม่รู้จะ<br />
อยู่ไปทำไม” “ฝากดูแลลูกด้วยนะ”<br />
หลักเมือง กันยายน ๒๕๖๑<br />
หรือดำเนินการบางอย่างที่น่าสงสัยว่าจะไม่<br />
อยากมีชีวิตต่อไป เช่น ทำพินัยกรรม โอน<br />
ทรัพย์สมบัติให้ลูกหลาน จึงควรให้ความ<br />
ห่วงใยสอบถามถึงความรู้สึก ความคิด และ<br />
สังเกตอาการของโรคซึมเศร้า ซึ่งจะเป็นการ<br />
ช่วยเหลือในเบื้องต้น ทำให้ผู้ที่กำลัง<br />
ซึมเศร้ารู้สึกว่ามีคนห่วงใย มีเพื่อน มีที่พึ่ง<br />
ช่วยให้อาการซึมเศร้าดีขึ้นและไม่คิดอยาก<br />
ฆ่าตัวตาย ถ้าพบว่าผู้ใดมีอาการของโรค<br />
ซึมเศร้าข้างต้นเกิน ๕ ข้อ ควรแนะนำให้ผู้นั้น<br />
มาพบจิตแพทย์ เพื่อรับการตรวจและ<br />
ช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว การรักษาโรคซึมเศร้า<br />
ได้เร็วจะช่วยป้องกันการฆ่าตัวตายได้<br />
ถ้าสงสัยว่าผู้นั้นคิดฆ่าตัวตายหรือไม่<br />
ควรถาม<br />
การถามเรื่องการฆ่าตัวตายสามารถ<br />
ทำได้ เพราะอาจช่วยรักษาชีวิตเขาไว้ได้<br />
วิธีการถามควรใช้ชุดคำถามแบบขั้นบันได<br />
ดังนี้<br />
๑. เมื่อพบว่าใครมีอารมณ์ซึมเศร้า<br />
ให้ถามว่า “ความเศร้านั้นมาก<br />
จนทำให้เบื่อชีวิตหรือไม่”<br />
๒. ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไป<br />
ว่า “ความรู้สึกเบื่อชีวิตนั้น<br />
ทำให้คิดอยากตายหรือไม่”<br />
๓. ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไป<br />
ว่า “เมื่อคิดอยากตาย เคยคิด<br />
จะทำหรือไม่”<br />
๔. ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า “คิดจะ<br />
ทำอย่างไร”<br />
๕. ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า “เคย<br />
ทำหรือไม่”<br />
๖. ถ้าตอบรับ ให้ถามต่อไปว่า “เคย<br />
ทำอย่างไร”<br />
๗. สุดท้าย ให้ถามต่อไปว่า “มีอะไร<br />
ยับยั้งใจ หรือหยุดความคิดนี้ได้ จนทำให้<br />
ไม่ได้ทำ”<br />
คำถามข้อสุดท้ายไม่ว่าจะตอบอย่างไร<br />
แสดงถึงปัจจัยบวกของผู้นั้นที่ช่วยให้เขา<br />
ยั้งคิด และป้องกันไม่ให้ฆ่าตัวตาย ควรชม<br />
และส่งเสริมให้กำลังใจในข้อดีนี้เพื่อให้เป็น<br />
ปัจจัยป้องกันในครั้งต่อไป<br />
บางคนเชื่อว่า การถามเรื่องฆ่าตัวตาย<br />
จะไปกระตุ้นผู้ที่ยังไม่คิดให้คิด หรือกระตุ้น<br />
ให้ผู้ที่คิดอยู่บ้างทำจริงๆ ความเชื่อนี้ไม่<br />
ถูกต้องเพราะในความเป็นจริงการถาม<br />
เรื่องนี้ไม่ได้ชักจูงหรือกระตุ้นให้คิดหรือทำ<br />
แต่สำหรับผู้ที่คิดจะทำอยู่แล้ว เมื่อมีคน<br />
ถามจะรู้สึกว่ามีคนเข้าใจทำให้รู้สึกดีขึ้น<br />
จนไม่คิดอยากทำ<br />
ทุกคนมีส่วนร่วมในการช่วยป้องกัน<br />
การฆ่าตัวตาย โดย...<br />
• สนใจ ใส่ใจ สังเกตตนเอง เพื่อนๆ<br />
และคนใกล้ชิด ว่ามีอาการของโรคซึมเศร้า<br />
หรือไม่ ถ้ามีอาการมากให้ถามถึงอาการซึมเศร้า<br />
และถามถึงความคิดอยากฆ่าตัวตาย<br />
• ถ้าตนเองเกิดโรคซึมเศร้า ให้ปรึกษา<br />
ทีมสุขภาพจิตโดยเร็ว<br />
• แนะนำผู้ที่มีอาการซึมเศร้า รีบมาพบ<br />
ทีมสุขภาพจิต เพราะการรักษาอย่าง<br />
รวดเร็วจะได้ผลดีกว่า และเพื่อเป็นการ<br />
ป้องกันก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์น่าเศร้าขึ้น<br />
โดยเฉพาะกับผู้ที่มีความคิดอยากตายหรือ<br />
เคยฆ่าตัวตาย<br />
ที่มาข้อมูลเพิ่มเติม http://www.si.mahidol.ac.th/<br />
th/department/psychiatrics<br />
63
สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จเปนองคประธานประกอบพิธีเบิกเนตรพระพุทธชินราช และบรรจุ<br />
พระบรมสารีริกธาตุ โดยมี พลเอก ประวิตร วงษสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหม เปนประธานฝายฆราวาส และ<br />
พลเอก ชัยชาญ ชางมงคล รัฐมนตรีชวยวาการกระทรวงกลาโหม รวมพิธี ณ พระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ราชวรวิหาร เมื่อ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
พลเอก ชัยชาญ ชางมงคล รัฐมนตรีชวยวาการกระทรวงกลาโหม<br />
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม นางนริศรา ทิพยจันทร<br />
นายกสมาคมภริยาขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รวมลงนาม<br />
ถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระเจาอยูหัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร<br />
เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑<br />
ณ พระบรมมหาราชวัง เมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑<br />
64
พลเอก ประยุทธ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหนาคณะรักษาความสงบแหงชาติ เปนประธานในพิธีจุดเทียนชัยถวายพระพรชัยมงคล<br />
สมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ โดยมี พลเอก เทพพงศ<br />
ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม ผูบัญชาการทหารสูงสุด และผูบัญชาการเหลาทัพ และนายทหารชั้นผูใหญของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรวมพิธี<br />
ณ มณฑลพิธีทองสนามหลวง เมื่อ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม รวมพิธีทางศาสนามหามงคล ๕ ศาสนา เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๖ พรรษา<br />
สมเด็จพระเจาอยูหัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และรวมกิจกรรมจิตอาสา “เราทําความ ดี ดวยหัวใจ” ณ ตึกสันติไมตรี<br />
ทําเนียบรัฐบาล เมื่อ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¡Ñ¹ÂÒ¹ òõöñ<br />
65
พลเอก ประวิตร วงษสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีวาการกระทรวงกลาโหม พลเอก ชัยชาญ ชางมงคล รัฐมนตรีชวยวาการกระทรวง<br />
กลาโหม พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม รวมงานวันพระราชทานกําเนิดโรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา ครบรอบ ๑๓๑ ป<br />
โดยมีนายทหารชั้นผูใหญของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรวมพิธี ณ โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา จังหวัดนครนายก เมื่อ ๕ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
พลเอก ประวิตร วงษสุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีวาการ<br />
กระทรวงกลาโหม รวมบันทึกเทปอาเศียรวาท สมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์<br />
พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที ่ ๙ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิม<br />
พระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ โดยมี พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ผูบัญชาการทหารสูงสุด และผูบัญชาการเหลาทัพ<br />
รวมบันทึกเทป ณ สถานีวิทยุโทรทัศนกองทัพบก เมื่อ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
66
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม นางนริศรา ทิพยจันทร นายกสมาคมภริยาขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ผูบัญชาการ<br />
ทหารสูงสุด ผูบัญชาการเหลาทัพ รวมพิธีทําบุญตักบาตร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ และพิธีถวายสัตยปฏิญาณเพื่อเปนขาราชการ<br />
ที่ดีและพลังของแผนดิน โดยมีนายทหารชั้นผูใหญของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรวมพิธี ณ มณฑลพิธีทองสนามหลวง เมื่อ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑<br />
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม นางนริศรา ทิพยจันทร นายกสมาคมภริยาขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
รวมบันทึกเทปอาเศียรวาทสมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
โดยมีนายทหารชั้นผูใหญของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรวมบันทึกเทป ณ สถานีวิทยุโทรทัศนกองทัพบก เมื่อ ๓๑ กรกฎาคม ๒๕๖๑<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¡Ñ¹ÂÒ¹ òõöñ<br />
67
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม รวมพิธีอัญเชิญพานพุมราชสักการะถวายพระพรชัยมงคล สมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรม<br />
ราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ ไปทูลเกลาฯ ถวาย ณ พระตําหนักจิตรลดารโหฐาน<br />
เมื่อ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม ลงนามถวายพระพร สมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ เนื่องในโอกาส<br />
มหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ โดยมี นางนริศรา ทิพยจันทร นายกสมาคมภริยาขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และ<br />
นายทหารชั้นผูใหญของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รวมลงนาม ณ ศาลาสหทัยสมาคม ในพระบรมมหาราชวัง เมื่อ ๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
68
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม เปนประธานรวมการประชุมคณะกรรมการรวมดานความมั่นคงไทย–เวียดนาม โดยมี<br />
พลโท อาวุโส เหวียน จี๋ วิง รัฐมนตรีชวยวาการกระทรวงกลาโหมสาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม และนายทหารชั้นผูใหญของสํานักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหมรวมประชุม ณ หองยุทธนาธิการ ภายในศาลาวาการกลาโหม เมื่อ ๑๕ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม เปนประธานในพิธีเปดงานนิทรรศการ KM DAY สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ๒๐๑๘<br />
โดยมีนายทหารชั้นผูใหญของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรวมพิธี ณ หองพินิตประชานาถ ภายในศาลาวาการกลาโหม เมื่อ ๒๓ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¡Ñ¹ÂÒ¹ òõöñ<br />
69
กิจกรรมสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
นางนริศรา ทิพยจันทร นายกสมาคมภริยาขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พรอมดวยคณะกรรมการสมาคมฯ รวมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ<br />
สมเด็จพระเจาอยูหัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ซึ่งจัดโดยสมาคม<br />
แมบานทหาร - ตํารวจ รวมกับ โรงพยาบาลพระมงกุฎเกลา โดยมีสมาคมแมบานทหารอากาศเปนเจาภาพ ในงานมีบริการตรวจรักษาโรคทั่วไป ตรวจรักษา<br />
ทางทันตกรรม บริการตัดผม เลี้ยงอาหารกลางวัน และแจกสิ่งของอุปโภค-บริโภค ใหกับประชาชนที่มารวมงาน ณ แหลงชุมนุมนายทหาร โรงพยาบาล<br />
พระมงกุฎเกลา เมื่อ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๑<br />
นางนริศรา ทิพยจันทร นายกสมาคมภริยาขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พรอมดวยคณะกรรมการสมาคมฯ รวมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ<br />
พิธีเจริญพระพุทธมนตถวายพระพรชัยมงคล พิธีทําบุญตักบาตรพระสงฆและสามเณร ถวายพระราชกุศล และพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล<br />
เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระเจาอยูหัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ๖๖ พรรษา ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๖๑ ณ ลานอเนกประสงค<br />
ภายในศาลาวาการกลาโหม เมื่อ ๒๖ กรกฎาคม ๒๕๖๑<br />
70
นางนริศรา ทิพยจันทร นายกสมาคม<br />
ภริยาขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม พรอมดวยคณะกรรมการสมาคมฯ<br />
รวมกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจา<br />
สิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ เนื่องใน<br />
โอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๖ พรรษา<br />
๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑ ซึ่งจัดโดยสมาคมแมบาน<br />
ทหาร-ตํารวจ รวมกับ โรงพยาบาล<br />
พระมงกุฎเกลา โดยมีสมาคมแมบานตํารวจ<br />
เปนเจาภาพ ในงานมีบริการตรวจรักษา<br />
โรคทั่วไป ตรวจรักษาทางทันตกรรม บริการตัดผม<br />
เลี้ยงอาหารกลางวัน และแจกสิ่งของอุปโภค<br />
บริโภคใหกับประชาชนที่มารวมงาน ณ แหลง<br />
ชุมนุมนายทหาร โรงพยาบาลพระมงกุฎเกลา<br />
เมื่อ ๙ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
สมาคมภริยาขาราชการสํานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม รวมกับสํานักงานสลากกินแบง<br />
รัฐบาล จัดพิธีมอบทุนการศึกษาใหกับบุตรกําลังพล<br />
ของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมี<br />
นางนริศรา ทิพยจันทร นายกสมาคมภริยา<br />
ขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เปนประธาน พรอมกันนี้ สมาคมฯ ไดมอบเงิน<br />
ชวยเหลือแกบุตรและคูสมรสที่อยูในโครงการ<br />
สายใยรักษ : เพื่อคนพิเศษ ณ หองประชาชื่น<br />
ชั้น ๖ อาคารสํานักงานสนับสนุน สํานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม (พื้นที่ประชาชื่น) เมื่อ ๑๘<br />
กรกฎาคม ๒๕๖๑<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¡Ñ¹ÂÒ¹ òõöñ<br />
71
นางนริศรา ทิพยจันทร นายกสมาคมภริยาขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พรอมดวยคณะกรรมการสมาคมฯ รวมรับเสด็จ<br />
พระเจาวรวงศเธอ พระองคเจาโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จเปนองคประธานในงานวันคลายวันสถาปนา สมาคมแมบานทหารบก ประจําป ๒๕๖๑<br />
ณ สมาคมแมบานทหารบก ถนนวิภาวดีรังสิต กรุงเทพมหานคร เมื่อ ๓ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
นางนริศรา ทิพยจันทร นายกสมาคมภริยาขาราชการสํานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม พรอมดวยคณะกรรมการสมาคมฯ รวมกิจกรรมบริจาค<br />
โลหิต ถวายเปนพระราชกุศลเนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
สมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ และสมเด็จ<br />
พระเจาอยูหัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ประจําป ๒๕๖๑<br />
ณ หองพินิตประชานาถ ในศาลาวาการกลาโหม เมื่อ ๖ สิงหาคม ๒๕๖๑<br />
72
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร ปลัดกระทรวงกลาโหม เปนประธานในการจัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติ สมเด็จพระนางเจาสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ<br />
ในรัชกาลที่ ๙ เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๖ พรรษา (๑๒ สิงหาคม ๒๕๖๑) โดยมีพิธีลงนามถวายพระพรชัยมงคล พิธีทําบุญตักบาตร<br />
พระสงฆและสามเณร เพื ่อถวายเปนพระราชกุศลฯ พรอมทั้งเปนประธานในพิธีเจริญพระพุทธมนตถวายพระพรชัยมงคล โดยมีนางนริศรา ทิพยจันทร<br />
นายกสมาคมภริยาขาราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และนายทหารชั้นผูใหญของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรวมพิธี ณ ศาลาวาการกลาโหม<br />
เมื่อ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๖๑
เกษียณสุข...<br />
ISSN 0858 - 3803<br />
9 770858 380005