บทคัดย่อ
01 - à¸à¸à¸à¸±à¸à¸¢à¹à¸
01 - à¸à¸à¸à¸±à¸à¸¢à¹à¸
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
<strong>บทคัดย่อ</strong><br />
ชือเรือง : แรงจูงใจทีมีผลกระทบต่อนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ในการ<br />
เลือกรับราชการในหน่วยของกองทัพบก<br />
โดย : พันเอก กฤษณภาค สมใจเพ็ง<br />
สาขาวิชา : การทหาร<br />
อาจารย์ทีปรึกษาเอกสารวิจัย : นาวาอากาศเอก<br />
( อภิชาต แก้วประสพ )<br />
กรกฎาคม ๒๕๕๒<br />
เนืองด้วยสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันนี สภาวะแวดล้อมทางด้านการเมืองทีเกิด<br />
ความแตกแยกทางด้านความคิดเห็นแยกเป็ นฝ่ ายทีชัดเจนจนนําไปสูการใช้ความรุนแรง ส่งให้<br />
เกิดผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมทางด้านต่างๆ สภาพแวดล้อมทางด้านการทหารจะต้องมีการ<br />
ปรับปรุงในหลายเรือง เช่น การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การปฏิบัติภารกิจอืน ๆ<br />
ทางทหารทีไม่ใช่สงคราม เพือให้เหมาะสมกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ การเศรษฐกิจ นอกจากได้รับ<br />
ผลกระทบจากสภาวะแวดล้อมทางการเมืองแล้ว ยังได้รับผลกระทบจากภาวะตกตํ าของเศรษฐกิจ<br />
โลกอีกด้วย สําหรับสภาวะแวดล้อมทางด้านสังคมจิตวิทยามีการเปลียนแปลงอย่างมากทั งเรือง<br />
คุณธรรมและจริยธรรม วัตถุนิยม ซึ งสืบเนืองมาจากความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วของวิทยาศาสตร์<br />
และเทคโนโลยี โดยเฉพาะความก้าวหน้าของระบบข้อมูลสารสนเทศทีมีความฉับไวและกว้างขวาง<br />
ทั วโลก นับว่ามีความสําคัญและส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดํารงชีวิตของประชากรไทย นักเรียน<br />
นายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ คือ คนยุคใหม่ซึ งซึมซับรับเอาการเปลียนแปลงสภาวะ<br />
แวดล้อมต่างๆอย่างมาก ซึ งสภาวะแวดล้อมเหล่านั นย่อมมีอิทธิพลต่อทัศนคติและความคิดเห็นของ<br />
นักเรียนนายสิบเหล่านี เมือนักเรียนนายสิบจบการศึกษาจะได้รับการบรรจุให้เป็ นนายทหารชั น<br />
ประทวนและเป็ นกําลังหลักของกองทัพบกในระดับยุทธวิธี เปรียบเสมือนกล้ามเนื อในการปฏิบัติ<br />
ภารกิจของกองทัพบกในเรืองการป้ องกันประเทศ
การเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการของนักเรียนนายสิบเมือสําเร็จการศึกษาเป็ น<br />
นายทหารชั นประทวนแล้ว ซึ งมีทั งหน่วยทีมีลักษณะเป็ นหน่วยสนับสนุนการรบ คือ กองพันทหาร<br />
ปื นใหญ่ และ กองพันทหารปื นใหญ่ต่อสู้อากาศยาน หน่วยทีมีลักษณะเป็ นหน่วยทางด้านการศึกษา<br />
คือ โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ เป็ นต้น จะเป็ นการตัดสินใจครั งแรกในการรับ<br />
ราชการ จากสภาวะแวดล้อมในปัจจุบันจะมีผลกระทบต่อการตัดสินใจในครั งนี ซึ งสามารถแยก<br />
เป็ นปัจจัยหลักทีมีอิทธิพลต่อการตัดสินใจเลือกหน่วยได้ 2 ปัจจัย คือ การเลือกหน่วยทีอยู่ใกล้<br />
ครอบครัว หรือ การเลือกหน่วยด้วยอุดมการณ์มุ่งหวังความก้าวหน้าในการรับราชการ ซึ งผู้วิจัย<br />
ต้องการทีจะทราบว่า นักเรียนนายสิบส่วนใหญ่ใช้ปัจจัยอันไหนเป็ นหลักในการตัดสินใจเลือก<br />
หน่วย และยังต้องการทราบอีกด้วยว่ามีอะไรบ้างทีเป็ นแรงจูงใจกระตุ้นให้นักเรียนนายสิบมีความ<br />
ประสงค์ทีจะเลือกหน่วยนั นๆ รวมทั งทัศนคติต่อกรรมวิธีในการเลือกหน่วยในปัจจุบันของนักเรียน<br />
นายสิบ ผู้วิจัยจึงตั งคําถามการวิจัยขึ นจํานวน 2 คําถาม คือ ภูมิลําเนาของนักเรียนนายสิบทหารบก<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่ มีผลกระทบต่อนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ ในการตัดสินใจ<br />
เลือกหน่วยของกองทัพบกมากกว่าความคาดหวังในความก้าวหน้าในการรับราชการใช่หรือไม่ และ<br />
การดําเนินกรรมวิธีในการเลือกหน่วยของนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ในปัจจุบัน<br />
เป็ นอย่างไร ควรแก้ไขปรับปรุงอะไรเพิ มเติมหรือไม่<br />
ผลการวิจัยโดยสรุปปรากฏออกมาว่า ภูมิลําเนาของนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่า<br />
ทหารปื นใหญ่ ไม่มีผลกระทบต่อนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ ในการตัดสินใจ<br />
เลือกหน่วยของกองทัพบกมากกว่าความคาดหวังในความก้าวหน้าในการรับราชการ เพราะนักเรียน<br />
นายสิบส่วนใหญ่เลือกทีจะมีความก้าวหน้าในหน้าทีราชการมากกว่าแม้ว่าหน่วยทีเลือกจะอยู ่ห่าง<br />
ภูมิลําเนาหรือครอบครัวไปบ้างก็ตาม และ การดําเนินกรรมวิธีในการเลือกหน่วยในทัศนของ<br />
นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ในปัจจุบันดีอยู ่แล้วและมีข้อเสนอแนะของนักเรียน<br />
นายสิบว่าควรเพิ มเติมบางเรืองให้ดียิ งขึ น ผู้วิจัยจึงได้เสนอแนะในเรืองการสร้างแรงจูงใจนักเรียน<br />
นายสิบในการเลือกหน่วยว่า ควรมีการพัฒนาหน่วยอย่างไรบ้างเพือให้เป็ นทีต้องการของนักเรียน<br />
นายสิบและเป็ นประโยชน์ต่อกองทัพบก พร้อมกันนี ก็ได้สรุปข้อเสนอแนะของนักเรียนนายสิบใน<br />
การเพิมเติมกิจกรรมทีจะทําให้กรรมวิธีในการเลือกหน่วย ดียิ งขึ น
ABSTRACT<br />
Title : Motives which influence the decision of the noncommissioned<br />
officer students in the artillery corp in choosing a unit in the army.<br />
By : Colonel Kritsanapak Somchaipeng<br />
Major Field : Military<br />
Research Advisor : Group Captain<br />
(Apichart Kaewprasop)<br />
July 2009<br />
Because of the current environment, the cleavage in a separate comment of<br />
the political environment, leads to violence. It sends impacts on other environments.<br />
The military environment has to be improved in many matters such as maintaining<br />
peace within the country,military operations other than war. They have to be<br />
appropriate with the non-traditional threat. The economy has been affected by politics.<br />
It has been affected by conditions of global economic recession also. Because of rapid<br />
advances of science and technology, the advancement of quick and worldwide<br />
information systems, the psychological social environment has changed dramatically<br />
both on the moral and ethical materialism. All of these environments affect to the lives<br />
of Thai population. The noncommissioned officer students in the artillery corp,the new<br />
generation, absorp changes of environments. The environments will influence to their<br />
attitudes and opinions. The noncommissioned officer students will be placed in the<br />
army units to be noncommissioned officer after they have graduated. They are the<br />
main tactical forces of the army. They are like muscles of the army in defensing our<br />
country mission.
The noncommissioned officer students in the artillery corp will choose<br />
each unit in the army for themselves to work after they have graduated. There are two<br />
main characteristics of artillery units. The first kind of artillery units is supporting unit<br />
which supports combat units by firing such as field artillery battalion,anti- aircraft<br />
battalion. The other is the unit in general affairs. It isn’t concerned with combat units<br />
such as the units which support studying. The current environments will affect their<br />
decisions in choosing army units.The researcher separates in two main factors which<br />
influence for their decisions. The first factor is living near their families.The second<br />
factor is expecting to receive the promotion of the official work. The researcher wants<br />
to know which factor is more influential , living near their families or expecting to<br />
receive the promotion of the official work. The researcher wants to know what<br />
anything else can motivate the noncommissioned officer students in the artillery corp<br />
in choosing a unit in the army and what the noncommissioned officer students'<br />
attitudes in the process of choosing a unit are also. The researcher has set up two<br />
research questions.The first is “ Is living near their families more influential than<br />
expecting to receive the promotion of the official work in the decision of choosing a<br />
unit ? ”. The second is “ How is the process of choosing a unit? ”.<br />
The result of the first research question is “ Living near their families is not<br />
more influential than expecting to receive the promotion of the official work in the<br />
decision of choosing a unit.”.The result of the second research question is “ The<br />
process of choosing a unit is good.” The researcher suggests how to improve units<br />
which are wanted to be chose by the noncommissioned officer students. The researcher<br />
summarizes the noncommissioned officer students’ suggestions which they want the<br />
process of choosing a unit to be appended.
ก<br />
คํานํา<br />
นักเรียนนายสิบทหารบก ในปัจจุบันใช้หลักสูตรการศึกษา ๑ ปี ซึ งจะรับการศึกษา<br />
ครึ งปี แรกทีโรงเรียนนายสิบทหารบก จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ หลังจากนั นนักเรียนนายสิบทหารบก<br />
จะแยกเหล่าไปเรียนตามเหล่าทีตนเองเลือก สําหรับนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่จะ<br />
เข้ารับการศึกษาทีโรงเรียนทหารปื นใหญ่ จังหวัดลพบุรี เป็ นเวลาอีกครึ งปี เมือจบการศึกษาก็จะ<br />
เลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการเป็ นนายทหารชั นประทวน ได้รับการแต่งตั งยศ สิบตรี นายทหารชั น<br />
ประทวนดังกล่าวเป็ นกําลังหลักของกองทัพบก โดยเฉพาะอย่างยิ งเหล่าทหารปื นใหญ่ซึ งเป็ นเหล่า<br />
สนับสนุนการรบ จึงต้องการกําลังพลทีมีความรู้ความสามารถในเทคนิคของเหล่า รวมทั งมีจิตใจที<br />
รุกรบ มีร่างกายทีแข็งแรงพร้อมทีจะปฏิบัติงานทีตรากตรําและสมบุกสมบันได้เป็ นอย่างดี<br />
เนืองจากปัจจุบันผู้วิจัยรับราชการในตําแหน่งหัวหน้าแผนกเตรียมการ โรงเรียน<br />
ทหารปื นใหญ่ ซึ งมีหน้าทีกํากับดูแลทางฝ่ ายอํานวยการในเรืองการฝึ กศึกษาของนักเรียนนายสิบ<br />
ทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ให้เป็ นไปตามหลักสูตร รวมทั งเคยได้มีโอกาสเข้าร่วมในขั นตอนการ<br />
ดําเนินกรรมวิธีการเลือกหน่วยของนักเรียนนายสิบเมือจบการศึกษา จึงมีความต้องการทราบว่าตาม<br />
สภาวะแวดล้อมในปัจจุบัน นักเรียนนายสิบเหล่าทหารปื นใหญ่ทีพึ งสําเร็จการศึกษามีแนวความคิด<br />
อย่างไรบ้าง รวมทั งมีแรงจูงใจอะไรบ้างทีเป็ นส่วนประกอบในการเลือกหน่วยเพือบรรจุเข้ารับ<br />
ราชการครั งแรก จากการวิจัยจะทําให้ทราบถึงแนวโน้มของแนวความคิดของนายทหารชั นประทวน<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่รุ่นใหม่ เพือผู้วิจัยจะได้เสนอแนะในเรืองทีจะส่งเสริมแรงจูงใจนักเรียนนายสิบ<br />
ทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ให้มีแนวความคิดทีเกิดประโยชน์ต่อกองทัพบกมากทีสุด พร้อมทั งจะ<br />
ได้เสนอแนะเพิ มเติมในส่วนของกรรมวิธีในการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการของนักเรียนนายสิบ<br />
ทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ต่อไป<br />
ผู้วิจัยขอขอบคุณ อาจารย์และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษาของนักเรียนนายสิบ<br />
ทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ทีกรุณาให้ผู้วิจัยได้สัมภาษณ์และให้ข้อมูลทีเป็ นประโยชน์ กําลังพล<br />
ของแผนกเตรียมการ โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ ทีช่วยในการให้ข้อมูลทางด้าน
ข<br />
เอกสารหลักฐานทีเกียวข้อง และผู้ทีเกียวข้องทุกท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ งนักเรียนนายสิบทหารบก<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่ทุกนายทีตอบแบบสอบถามซึ งเป็ นข้อมูลปฐมภูมิทีสําคัญของงานวิจัยนี<br />
พันเอก<br />
(กฤษณภาค สมใจเพ็ง)<br />
นักศึกษาวิทยาลัยเสนาธิการทหาร รุ่นที ๕๐<br />
มิถุนายน ๒๕๕๒
ค<br />
สารบัญ<br />
หน้า<br />
คํานํา<br />
ก<br />
สารบัญแผนภาพ<br />
จ<br />
บทที ๑ บทนํา ๑<br />
ความสําคัญของปัญหา ๒<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย ๓<br />
คําถามการวิจัย ๓<br />
ขอบเขตการวิจัย ๔<br />
ประโยชน์ทีคาดว่าจะได้รับจากการวิจัย ๔<br />
นิยามศัพท์ ๕<br />
บทที ๒ แนวความคิด ทฤษฎีและวรรณกรรมทีเกียวข้อง ๖<br />
พฤติกรรม ๖<br />
ความต้องการของมนุษย์ ๑๒<br />
ความหมายของแรงจูงใจและการจูงใจ ๑๗<br />
ทฤษฎีแรงจูงใจ ๒๐<br />
เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในการทํางาน ๒๓<br />
ประโยชน์ของการสร้างแรงจูงใจ ๒๕<br />
งานวิจัยทีเกียวข้อง ๒๗<br />
บทที ๓ วิธีดําเนินการวิจัย ๓๔<br />
วิธีทีใช้ในการวิจัย ๓๔<br />
แหล่งข้อมูล ๓๔<br />
เครืองมือทีใช้รวบรวมข้อมูล ๓๔<br />
วิธีการเก็บรวบรวมและจัดเตรียมข้อมูลเพือการวิเคราะห์ ๓๕<br />
บทที ๔ ข้อมูลและการวิเคราะห์ ๓๗<br />
ข้อมูล ๓๗<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล ๓๗<br />
สรุปผลจากการวิเคราะห์ ๔๒
ง<br />
บทที ๕ สรุปและข้อเสนอแนะ ๔๕<br />
สรุปการทําวิจัย ๔๕<br />
สรุปผลทีได้รับจากการวิจัย ๔๕<br />
ข้อเสนอแนะ ๔๘<br />
บรรณานุกรม ๕๐<br />
ภาคผนวก ๕๒<br />
ผนวก ก หลักสูตร สําหรับนักเรียนนายสิบทหารบก หลักสูตร ๑ ปี ๕๓<br />
ผนวก ข แบบสอบถามเพือการวิจัย ๖๖<br />
ประวัติย่อผู ้วิจัย ๗๐
จ<br />
แผนภาพที<br />
สารบัญแผนภาพ<br />
หน้า<br />
๒.๑ รูปแสดงลําดับขั นความต้องการตามทฤษฎีของมาสโลว์ ๒๗
บทที ๑<br />
บทนํา<br />
ในปัจจุบัน กองทัพบกอนุมัติหลักสูตรการศึกษาหมายเลขหลักสูตร ๗, ๖ - ช. - ๑๑๑,<br />
๐๐๖ สําหรับนักเรียนนายสิบทหารบก หลักสูตร ๑ ปี หมายเลข ชกท. ๑๑๑, ๐๐๖ ระยะเวลาศึกษา<br />
๕๒ สัปดาห์ หรือ ๒,๐๘๐ ชัวโมง ทบ.อนุมัติเมือ ๒๒ ส.ค.๕๐ (ตามอนุมัติ ผบ.ทบ. (จก.ยศ.ทบ.<br />
รับคําสั ง) ท้ายหนังสือ กศ.ยศ.ทบ.ที กห ๐๔๖๑.๑๑/๑๔๘๐ ลง ๒๒ ส.ค.๕๐ เพือผลิตนายทหารชั น<br />
ประทวนให้กับกองทัพบก โดยนายทหารชั นประทวนเหล่าทหารปื นใหญ่ก็รับการผลิตตาม<br />
หลักสูตรนี<br />
การศึกษา<br />
แบ่งเป็ น ๒ ตอน<br />
ตอนที ๑ ศึกษาทีโรงเรียนนายสิบทหารบก ๒๖ สัปดาห์หรือ ๑,๐๔๐ ชัวโมง<br />
ตอนที ๒ ศึกษาทีโรงเรียนเหล่า<br />
ตอนที ๑ หมายเลขหลักสูตร ๗ – ช – ๑๑๑ ชกท. ๑๑๑ โดยมีความมุ่งหมายให้<br />
นักเรียนนายสิบทีสําเร็จการศึกษา<br />
๑. เป็ นครูฝึ กทหารได้<br />
ได้<br />
๒. มีความรู้ สามารถทีจะปฏิบัติหน้าทีเป็ นผู้นําหน่วยทหารขนาดเล็ก ในอัตรา ส.อ.ได้<br />
๓. มีความรู้พื นฐานเกียวกับอาวุธประจําหน่วยทหารราบ ระดับหมวดปื นเล็ก<br />
๔.เป็ นเจ้าหน้าทีเสมียนในกองบังคับการโดยสามารถพิมพ์ดีดและใช้งานคอมพิวเตอร์<br />
๕. มีพื นฐานการขับรถยนต์ทหาร<br />
๖. มีความรู้พื นฐานวิชาเหล่าทหารทีเลือกเข้ารับราชการ<br />
ระยะเวลาการศึกษา ๒๖ สัปดาห์ หรือ ๑,๐๔๐ ชัวโมง ดังนี<br />
๑. การฝึ กศึกษา ๒๒ สัปดาห์
๒<br />
๒. การฝึ กภาคสนาม ๓ สัปดาห์<br />
๓. เวลาเบ็ดเตล็ด ๑ สัปดาห์<br />
ศึกษาทีโรงเรียนนายสิบทหารบก ค่ายธนะรัชต์ อําเภอปราณบุรี จังหวัด<br />
ประจวบคีรีขันธ์<br />
ตอนที ๒ หมายเลขหลักสูตร ๖ – ช – ๐๐๖ โดยมีความมุ่งหมาย ให้นักเรียนนาย<br />
สิบทีสําเร็จการศึกษา<br />
๑. มีความรู้ความสามารถ ปฏิบัติหน้าทีในส่วนกองบังคับการส่วนยิง ป.สนาม, หมู ่ ป.,<br />
หมู ่กระสุน ในอัตรา ส.อ.ได้<br />
๒. มีความรู้ความสามารถ ปฏิบัติหน้าทีในส่วนของหน่วยยิง ปตอ. ในอัตรา ส.อ.ได้<br />
๓. มีความรู้ความสามารถ ปฏิบัติหน้าทีเป็ นเจ้าหน้าทีหลักฐานทางระดับ ทางสูง และ<br />
เจ้าหน้าทีบันทึกหลักฐานใน ศอย.ได้<br />
๔. มีความรู้ความสามารถ ปฏิบัติหน้าทีเป็ นเจ้าหน้าทีในหมู ่ตรวจการณ์หน้าได้<br />
๕. มีความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าทีในชุดแผนที ป.ในอัตรา ส.อ.ได้<br />
๖. เป็ นผู้นําทีดีมีคุณธรรม มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ทรหด อดทนต่อการตรากตรํา<br />
ทํางานในหน้าทีตามภารกิจ<br />
ระยะเวลาศึกษา ๒๖ สัปดาห์ หรือ ๑,๐๔๐ ชัวโมง<br />
ศึกษาทีโรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ ค่ายพหลโยธิน อําเภอเมือง<br />
จังหวัดลพบุรี<br />
ความสําคัญของปัญหา<br />
จากความมุ่งหมายของหลักสูตรดังกล่าว กองทัพบก มีความมุ่งหวังจากกําลังพล<br />
ประเภทนายทหารชั นประทวน ทีสําเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายสิบทหารบก มากพอสมควร<br />
นักเรียนนายสิบ เริ มต้นเรียนครึ งแรกของหลักสูตร ทีโรงเรียนนายสิบทหารบก ค่ายธนะรัชต์ อําเภอ<br />
ปราณบุรี จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ซึ งเป็ นการฝึ กศึกษาขั นพื นฐานเบื องแรก เพือให้นักเรียน<br />
นายสิบ มีระเบียบวินัย มีความทรหด อดทน และทราบเรืองเกียวกับวิชาทหารขั นพื นฐาน สําหรับใน<br />
ครึ งหลังของ นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ จะมาเข้ารับการศึกษาต่อที โรงเรียน<br />
ทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ ค่ายพหลโยธิน อําเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ซึ งจะเป็ นการเรียน
๓<br />
ทีเน้นหนักในวิชาเฉพาะของเหล่าทหารปื นใหญ่ ตามความมุ่งหมายทีกล่าวไว้แล้ว เมือจบการศึกษา<br />
จะมีการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ ของนักเรียนนายสิบ ทีจะเป็ นนายทหารชั นประทวน ซึ ง<br />
มักจะเกิดปัญหา คือเนืองจากการเลือกหน่วย จะให้นักเรียนนายสิบทีมีผลการศึกษาซึ งจัดลําดับที<br />
ตามผลการศึกษา เลือกหน่วยก่อน ตามลําดับทีของผลการศึกษา ซึ งผู้ทีได้คะแนนหรือลําดับทีดีกว่า<br />
ก็สามารถเลือกหน่วยได้ตามความต้องการของตนเองได้เป็ นส่วนใหญ่ ส่วนผู้ทีอยู่ในลําดับกลางๆ<br />
หรือท้ายๆ ก็มักจะได้หน่วยทีไม่ตรงกับความต้องการของตนเองมากนัก หรือบางครั งก็ได้หน่วยใน<br />
ลักษณะทีเพือนเลือกให้ คือเพือนเหลือหน่วยอะไรไว้ให้ ตนเองก็จําเป็ นต้องเลือก ซึ งมักไม่ตรงกับ<br />
ความต้องการของตนเองได้มีจํานวนมาก จะส่งผลกระทบต่อการปฏิบัติงานหรือภารกิจของหน่วย<br />
หรือกองทัพบกได้ เพราะการทีนายทหารชั นประทวนเหล่านี จะสามารสนองตอบในการทํางานทีมี<br />
ประสิทธิผล ปัจจัยสําคัญประการหนึ งก็คือความพึงพอใจในตําแหน่งหน้าทีและหน่วยงานของ<br />
ตนเอง<br />
วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />
๑. เพือหาแรงจูงใจทีส่งผลกระทบต่อนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่<br />
ในการเลือกรับราชการในหน่วยของกองทัพบก ว่ามีอะไรบ้าง<br />
๒. เพือหาแนวทางทีดี และมีความเป็ นไปได้มากทีสุด ทีจะสามารถทําให้การดําเนิน<br />
กรรมวิธีในการเลือกหน่วย เพือเข้ารับราชการของนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่<br />
เมือสําเร็จการศึกษา สําหรับเป็ นข้อเสนอแนะให้ใช้กับนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่<br />
ในรุ่นต่อไป<br />
คําถามการวิจัย<br />
๑. ภูมิลําเนาของนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ มีผลกระทบต่อนักเรียน<br />
นายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ ในการตัดสินใจเลือกหน่วยของกองทัพบก มากกว่าความ<br />
คาดหวังในความก้าวหน้าในการรับราชการหรือไม่<br />
๒. การดําเนินกรรมวิธี ในการเลือกหน่วยของนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื น<br />
ใหญ่เป็ นอย่างไร ควรมีการปรับปรุงหรือเพิ มเติมอย่างไรบ้าง เช่น ควรแจ้งให้นักเรียนนายสิบทราบ<br />
แต่เนิ นล่วงหน้า ถึงตําแหน่งและหน่วย ทีจะเปิ ดให้นักเรียนนายสิบเลือกได้ ซึ งอาจใช้ข้อมูลทีมีอยู ่
๔<br />
หรือสถิติเดิมของหน่วยทีสามารถเปิ ดเผยได้ หรือโดยการประมาณการตําแหน่งทีน่าจะเปิ ดในปี<br />
ปัจจุบัน เพือให้นักเรียนนายสิบได้ทราบเป็ นข้อมูลใน การตัดสินใจและเตรียมตัวล่วงหน้า ควรมีการ<br />
จัดกลุ่มนักเรียนนายสิบทีมีความต้องการในการเลือกหน่วยตามความต้องการของตนเองเป็ นกลุ่มๆ<br />
และให้มีการซักซ้อมในการเลือกหน่วยอย่างน้อย ๒ ครั ง ก่อนจะทําการเลือกจริงในครั งที ๓<br />
ขอบเขตการวิจัย<br />
เป็ นการศึกษาเพือหาแรงจูงใจ ทีส่งผลกระทบให้นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหาร<br />
ปื นใหญ่ รุ่นที ๑๒ (๑/๕๑) ซึ งเริมการศึกษาตั งแต่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๕๑ และจะจบหลักสูตรใน ๓๐<br />
เมษายน ๒๕๕๒ ตัดสินใจเลือกรับราชการ ในหน่วยของกองทัพบก เมือสําเร็จการศึกษา ห้วงเวลา<br />
ในการเก็บข้อมูล ตั งแต่ ๒๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๑ ถึง ๓๐ เมษายน ๒๕๕๒ ซึ งจะใช้แบบสอบถาม<br />
ความคิดเห็นและการสัมภาษณ์ เพือต้องการทราบรายละเอียดในเชิงลึกและนอกเหนือจาก<br />
แบบสอบถามความคิดเห็น<br />
ประโยชน์ทีคาดว่าจะได้รับจากการวิจัย<br />
นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ เป็ นกําลังพลทีจะเป็ นนายทหารชั น<br />
ประทวน ทีจะเป็ นกําลังหลักของเหล่าทหารปื นใหญ่ เมือเรียนจนสําเร็จหลักสูตรก็จะเป็ นขั นตอน<br />
การดําเนินกรรมวิธีให้นักเรียนนายสิบเลือกหน่วยทีตนเองมีความประสงค์จะไปรับราชการ ซึ งเป็ น<br />
การเริ มต้นของชีวิตนายทหารชั นประทวนเป็ นครั งแรก มีคํากล่าวว่าการเริ มต้นทีดีย่อมสําเร็จไป<br />
แล้วครึ งหนึ ง ซึ งสามารถเปรียบกับนักเรียนนายสิบได้ว่า ถ้าเขาเหล่านั นสามารถเลือกรับราชการ<br />
ในหน่วยทีปรารถนาได้ตามต้องการแล้ว สิ งแรกทีจะเกิดก็คือเกิดความพึงพอใจในตําแหน่ง<br />
หน้าทีการงานของตนเอง ซึ งจะส่งผลให้เกิด ขวัญ กําลังใจ ความภาคภูมิใจ และความคิดในแง่<br />
บวกในตําแหน่งหน้าทีการงานของตนเองตามมา จะทําให้การปฏิบัติงานตามภารกิจ เป็ นไปอย่าง<br />
ได้ประสิทธิผลและมีประสิทธิภาพจะเกิดผลดีต่อหน่วยและกองทัพบกในภาพรวม
๕<br />
นิยามศัพท์<br />
ชกท. คือ ความชํานาญการทางทหารทีใช้แบ่งประเภทและการทดสอบ การแบ่งกําลัง<br />
พล การฝึ กกําลังพล การจัดการกําลังพล ให้เป็ นไปอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
นายทหารชั นประทวน คือ ข้าราชการทหารทีมียศตั งแต่ สิบตรี ถึง จ่าสิบเอก<br />
โรงเรียนเหล่า คือ โรงเรียนทหารบกทีสอนเน้นหนักทีวิชาทางด้านเทคนิคเฉพาะของ<br />
แต่ละเหล่า เช่น โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ จะสอนเน้นหนักในวิชาชีพของ<br />
ทหารปื นใหญ่<br />
ป.สนาม คือ ปื นใหญ่ทียิงจากพื นสู ่พื น<br />
ปตอ. คือ ปื นใหญ่ต่อสู้อากาศยานทียิงจากพื นสู ่อากาศ
บทที ๒<br />
แนวความคิด ทฤษฎีและวรรณกรรมทีเกียวข้อง<br />
การวิจัย เรือง แรงจูงใจทีมีผลกระทบต่อนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื น<br />
ใหญ่ ในการเลือกรับราชการในหน่วยของกองทัพบกผู้วิจัยได้ดําเนินการศึกษาเอกสารและงานวิจัยที<br />
เกียวข้อง ตามลําดับ ดังนี<br />
๑. พฤติกรรม<br />
๒. ความต้องการของมนุษย์<br />
๓. ความหมายของแรงจูงใจและการจูงใจ<br />
๔.ทฤษฎีแรงจูงใจ<br />
๕.เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในการทํางาน<br />
๖.ประโยชน์ของการสร้างแรงจูงใจ<br />
๗.งานวิจัยทีเกียวข้อง<br />
พฤติกรรม<br />
ธรรมชาติของคนเป็ นเรืองทียุติหรือหาข้อสรุปทีตายตัวไม่ได้ ทั งนี ยังขึ นอยู่กับ<br />
ปัจจัยปรุงแต่ง ทัศนะในเรืองธรรมชาติของคนจะเป็ นอย่างไรนั น พฤติกรรมของคนทีเป็ นอยู ่ย่อม<br />
ส่งผลให้เห็นธรรมชาติของแต่ละคนและมีผลต่อการทํางาน ในทางจิตวิทยาถือว่า “งานเป็ นสิ ง<br />
สําคัญทีทําให้มนุษย์รู้จักตนเอง และนับถือตนเอง” ดังนั นถ้ามนุษย์ได้ทํางานตรงตามความรู้<br />
ความสามารถของตนเอง ก็จะทําให้มนุษย์มีความสุขกับการทํางาน และทําให้ได้ผลงานทีดีส่งผล<br />
ต่อความเจริญก้าวหน้าต่อตนเองและองค์การ ดังนั นจึงจําเป็ นจะต้องเรียนรู้และทําความเข้าใจ<br />
พื นฐานธรรมชาติของมนุษย์ในเรืองของพฤติกรรม ความแตกต่างระหว่างบุคคลและความต้องการ<br />
ของมนุษย์ เพือทําให้ทราบลักษณะโดยทั วๆ ไปของมนุษย์ทีเราเกียวข้องสัมพันธ์ด้วย และนําความรู้<br />
พื นฐานไปประยุกต์ใช้ในการเสริมสร้างมนุษยสัมพันธ์ทีดีต่อกันในการทํากิจกรรมต่างๆ อย่าง<br />
ราบรืนต่อไป
๗<br />
<br />
ด้วยเหตุทีคนเป็ นสิ งมีชีวิตจิตใจ มีความรู้สึกนึกคิด อากัปกิริยาทีแสดงออกจึงเป็ นสิ งที<br />
หลีกเลียงไม่ได้ จนเราไม่เคยสงสัยเลยว่าทําไมจึงทําอย่างนั นทําอย่างนี นักจิตวิทยาถือว่าอากัปกิริยา<br />
การแสดงออกหรือทีเรียกว่า “พฤติกรรม” นั น มีสาเหตุและมีความเกียวพันกันกับความต้องการ<br />
(Needs) อันเป็ นแรงขับของแต่ละคน ดังนั นเมือมนุษย์มีความต้องการก็จะพยายามทีจะสนองความ<br />
ต้องการของตนเองด้วยการกระทําหรือพฤติกรรมต่างๆ ทีแตกต่างกันออกไป จากการศึกษา คําว่า<br />
“พฤติกรรม” ตามความหมายของนักจิตวิทยา แบ่งออกเป็ น ๒ ลักษณะคือ<br />
๑. พฤติกรรมทีสังเกตได้หรือพฤติกรรมภายนอก หมายถึง พฤติกรรมทีผู้อืนสามารถ<br />
สังเกตได้โดยอาศัยประสาทสัมผัสต่างๆ หรือบางครั งเรียกว่า พฤติกรรมเปิ ดเผยเป็ นพฤติกรรมที<br />
สามารถมองเห็นได้ เช่น การเดิน การพูด การยิม ตลอดจนการใช้สัญลักษณ์ต่างๆ ทีสังเกตเห็นได้<br />
ซึ งบุคคลจะแสดงพฤติกรรมให้เป็ นไปตามเป้ าหมายทีตนต้องการ<br />
๒. พฤติกรรมทีสังเกตไม่ได้หรือพฤติกรรมภายใน หมายถึงการทํางานของอวัยวะ<br />
ต่างๆ ภายในร่างกาย รวมทั งความรู้สึกนึกคิดและอารมณ์ทีถูกควบคุมอยู ่ภายในเป็ นพฤติกรรมทีไม่<br />
สามารถสังเกตเห็น หรือบางครั งเรียกว่า พฤติกรรมปกปิ ด ตัวอย่างเช่น ความคิด เจตคติ ค่านิยม<br />
ความเชือ คุณธรรม การตัดสินใจ ความรู้สึก เป็ นต้น ซึ งนักจิตวิทยาและนักวิทยาศาสตร์ได้สร้าง<br />
เครืองมือเพือช่วยตรวจสอบ หรือศึกษาพฤติกรรมภายในของมนุษย์ได้ นอกจากนั นแล้วนักจิตวิทยา<br />
ยังลงความเห็นว่า พฤติกรรมของคนเราทีแสดงออกในลักษณะหนึ งลักษณะใดนั นทฤษฎีว่าด้วยสิ ง<br />
เร้าและการตอบสนองอ้างว่าพฤติกรรมเกิดขึ นเพราะมีสิ งเร้าไปเร้า พฤติกรรมจึงเป็ นผลของการ<br />
ตอบสนองของแรงขับทีเกิดขึ นทั งภายนอกและภายใน เพราะเมือเกิดความหิวต้องบําบัดความหิว<br />
พฤติกรรมการแสดงออกจึงเป็ นผลทีเกิดจากจิตใต้สํานึกและจิตสํานึก กล่าวคือ กระทําลงไปโดยไม่<br />
รู้และทั งๆ ทีรู้<br />
ปฬาณี ฐิติวัฒนา (๒๕๔๐:๑๘) ได้ให้ความหมายของคําว่า “พฤติกรรม” คืออาการ<br />
หรือการแสดงออกมาทางนํ าเสียงรัว เร็ว ช้า สั นเครือ หรือโกรธ น้อยใจ หรือบางครั งอาจไม่สามารถ<br />
เห็นได้เช่นความคิดจินตนาการ ทั งหมดเหล่านี เกิดขึ นเพือเป็ นการตอบสนองต่อสิ งเร้า หรือแรง<br />
กระตุ้นในสถานการณ์ต่างๆ กัน<br />
ถวิล ธาราโภชน์ (เอกสารอัดสําเนา:๔) กล่าวว่า พฤติกรรม (Behavior)<br />
หมายถึง การกระทําทีแสดงออกมาทั งทางกายและทางสมอง ซึ งอาจจะเป็ นไปโดยรู้สึกตัว หรือไม่<br />
รู้สึกตัว แบ่งออกเป็ น ๒ ประเภทใหญ่ๆ คือ พฤติกรรมภายนอก เช่น การเดิน การร้องไห้ การ<br />
กระตุกของกล้ามเนื อ การเต้นของหัวใจเป็ นต้นและพฤติกรรมภายใน เช่น การคิด ความรู้สึก การ<br />
เข้าใจ ความกลัว เป็ นต้น
่<br />
๘<br />
ธรรมรส โชติกุญชร (๒๕๒๔: ๔๒) ให้ทัศนะว่า ความเชือในข้ออ้างทีว่า<br />
พฤติกรรมเกิดขึ นเพราะสัญชาตญาณลดน้อยถอยลงไป การอ้างสัญชาตญาณเป็ นการอ้างทีไม่<br />
สามารถให้เหตุผลได้ พฤติกรรมเกิดขึ นเพราะการจูงใจทีจะได้รับการตอบสนองความต้องการโดยมี<br />
เป้ าหมายเสมอ ด้วยเหตุนี ทางจิตวิทยาและความเชือในทางศาสตร์มนุษยสัมพันธ์ จึงยอมรับกันว่า<br />
พฤติกรรมคือการแสดงออกซึ งความต้องการของคนและกล่าวกันว่า มนุษย์มีนิสัยหรือสันดาน<br />
ทีฝังลึกอยู่ในจิตใจด้วยกันทุกคน บางคนแสดงออกมาทางพฤติกรรมทีสังเกตเห็นได้ชัด หรือบางคน<br />
ก็เก็บกดไว้ ซึ งวิจิต อาวุกุล (ม.ป.ป.: ๕๖) กล่าวว่า มนุษย์มีธรรมชาติทีน่าศึกษาดังนี<br />
๑. มีความอิจฉาริษยาและต่อต้านผู้อืนทีดีกว่า เหนือกว่า<br />
๒. มีสัญชาตญาณแห่งการทําลาย ชอบความหายนะ เช่น ชอบดูไฟไหม้บ้านมากกว่า<br />
การสร้างบ้าน ชอบดูรถชนกันมีคนบาดเจ็บ<br />
๓. ต่อสู้ ต่อต้านต่อการเปลียนแปลง<br />
๔. มีความต้องการทางเพศ<br />
๕.มีความหวาดกลัวภัยต่างๆ อิทธิพลจากผู้มีอํานาจ ภัยธรรมชาติ ภูตผีปี ศาจ ไสย<br />
ศาสตร์ อยากกระทําทุกสิ งทุกอย่างเพือให้ตนพ้นภัย<br />
๖. มีความกลัวความเจ็บปวด ความทุกข์ทรมาน ความยากลําบาก ความตาย<br />
๗. มีความโหดร้ายทารุณ ป่ าเถือน ชอบซํ าเติม<br />
๘. ชอบทําอะไรตามสะดวกสบาย มักง่าย ไม่ชอบระเบียบบังคับ<br />
๙.ชอบความตืนเต้น หวาดเสียว ผจญภัย ท่องเทียว ชอบมีประสบการณ์ในชีวิต<br />
แปลกๆ ใหม่ๆ<br />
จากความหมายดังกล่าว สรุปได้ว่า พฤติกรรม คือ กิจกรรมการกระทําหรือกิริยาทุก<br />
อย่างของมนุษย์ในสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าบุคคลนั นจะรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม และบุคคลอืนจะ<br />
สังเกตการณ์กระทํานั นได้หรือไม่ก็ตาม ดังนั นหากเรารู้สาเหตุ รู้ความต้องการ อันเป็ นแรงขับของ<br />
พฤติกรรม เราก็ย่อมควบคุมเปลียนแปลงพฤติกรรมได้ กล่าวคือ ควบคุมไม่ให้เกิดพฤติกรรมทีไม่<br />
ต้องการ และให้เกิดพฤติกรรมทีต้องการ หรือเปลียนแปลงพฤติกรรมให้เป็ นพฤติกรรมทีเราต้องการ<br />
ดังนั นศาสนาทุกศาสนา จึงมีคําสอนให้มนุษย์ละเว้นสิ งทีประพฤติผิดติดมาจนเป็ น<br />
นิสัย เป็ นสันดานของมนุษย์ เช่น มีศีลเป็ นข้อห้ามว่า ห้ามฆ่าสัตว์ และมีธรรมเป็ นข้อปฏิบัติให้มีใจ<br />
เมตตากรุณา เอื อเฟื อ เป็ นต้น แม้กระนั นเราก็ยังพบสันดานเดิมของมนุษย์ทีแสดงออกมาให้เห็นอยู<br />
เสมอ เพราะบางคนก็ละเว้นได้ เลิกได้ บางคนก็ละเว้นไม่ได้ บางคนก็ละเว้นได้มากบ้างน้อยบ้าง<br />
ต่างกัน จึงทําให้มนุษย์มีความแตกต่างกัน ดํารงศักดิ ชัยสนิท และสุนี เลิศแสวงกิจ (๒๕๓๘:๑๗)
๙<br />
ได้กล่าวถึงธรรมชาติของมนุษย์ในแนวความคิดทางศาสนาว่า มีนักปรัชญาได้ให้ทัศนะเกียวกับ<br />
ธรรมชาติของมนุษย์ไว้หลายประเด็นว่า<br />
๑. มนุษย์เกิดพร้อมกับความอยากเป็ นพื นฐาน ความอยากได้ ความอยากเป็ นและ<br />
ความไม่อยากเป็ น<br />
๒. มนุษย์เป็ นคนเห็นแก่ตัว เอาแต่ใจตนเอง เข้าข้างตนเอง แข่งขันชิงความ<br />
ได้เปรียบ โอ้อวด โหดร้าย<br />
๓. มนุษย์เกิดมาดีแต่กําเนิด แต่มาเปลียนนิสัยใจคอจากสิ งแวดล้อม<br />
๔. มนุษย์คือผู้มีจิตใจสูงแต่ก็ยังมีส่วนบกพร่องทีจะต้องเรียนรู้เพือแสวงหาวิธีการ<br />
ดําเนินชีวิต<br />
นอกจากการศึกษาธรรมชาติของมนุษย์ในแง่ของพฤติกรรม ตามแนวคิดดังทีกล่าว<br />
มาแล้วยังมีการศึกษาในแนวทางอืนๆ อีก เช่น แนวความคิดของนักสังคมวิทยา แนวความคิดของ<br />
นักจิตวิทยาและแนวความคิดของนักมานุษยวิทยา เป็ นต้น จะเป็ นแนวความคิดทางด้านไหนก็ตาม<br />
การศึกษาธรรมชาติของมนุษย์จะสามารถนําไปใช้ประโยชน์ในการสร้างความเข้าใจ และความ<br />
สัมพันธ์อันดีระหว่างมนุษย์ด้วยกันได้<br />
ความแตกต่างระหว่างบุคคล<br />
ความเชือพื นฐานทีจะช่วยให้เข้าใจตนเองและเข้าใจผู้อืนได้ดีก็คือ ความเชือว่าคนเรา<br />
นั นมีความแตกต่างกันทุกๆ ด้าน ทั งทางด้านร่างกาย จิตใจ อารมณ์ ความรู้สึก ตลอดจนด้าน<br />
บุคลิกภาพ ค่านิยม และความเชือ ซึ งถือว่าเป็ นความแตกต่างระหว่างบุคคล ถ้าเรามีความเข้าใจและ<br />
ยอมรับในความแตกต่างระหว่างบุคคลได้ จะช่วยให้เราเข้าใจธรรมชาติและพฤติกรรมทีมนุษย์<br />
แสดงออกมามากยิ งขึ น ซึ งจะทําให้สามารถปรับตัวอยู ่ร่วมกับผู้อืนในสังคม หรือในการทํางานได้<br />
อย่างมีความสุข นอกจากนั น พรรณราย ทรัพยะประภา (๒๕๓๑: ๑๑) กล่าวว่า คนเราทั งหญิงและ<br />
ชายต่างก็มีความรู้ความสามารถมีประสบการณ์ทางการศึกษาเล่าเรียน และการทํางานแตกต่างกัน<br />
ความแตกต่างเหล่านี มีอิทธิพลต่อความรู้สึกนึกคิดและต่อการแสดงพฤติกรรมต่างๆ ของคน มีผลทํา<br />
ให้คนแต่ละคนมีเอกลักษณ์ประจําตัวของเขาเอง เป็ นลักษณะจําเพาะทีไม่เหมือนใคร ปัจจัยสําคัญที<br />
ทําให้คนเราแตกต่างกันได้แก่ พันธุกรรมและสิ งแวดล้อม ซึ งจะมีอิทธิพลต่อการกําหนด<br />
บุคลิกลักษณะของบุคคล
๑๐<br />
พันธุกรรม หมายถึง สิ งทีได้รับการถ่ายทอดมาจากสายเลือดของบิดามารดา ถ่ายทอด<br />
มาตั งแต่บรรพบุรุษ ปู ่ ย่า ตา ยาย เรือยมาจนถึงลูกหลาน สิ งทีได้รับการถ่ายทอดมาจากพันธุกรรม<br />
จากยีนส์ของพ่อแม่ เช่น รูปร่าง เพศ สติปัญญา อารมณ์ นิสัย ความถนัด สุขภาพ หมู ่เลือด ซึ งสิ ง<br />
ต่างๆ ดังกล่าวนั นได้รับการถ่ายทอดมากบ้างน้อยบ้าง มีผลทําให้มนุษย์มีความแตกต่างกันระหว่าง<br />
บุคคล ดังที อํานวย แสงสว่าง (๒๕๔๔: ๓๓) กล่าวไว้ สรุปได้ดังนี<br />
๑. รูปร่าง (Physical Appearance) สิ งทีได้รับการถ่ายทอดมาจากบรรพบุรุษ ได้แก่<br />
ลักษณะโครงสร้างของร่างกายทีมีขนาดแตกต่างกันระหว่างบุคคล เช่น ขนาดใหญ่ ขนาดปานกลาง<br />
ขนาดเล็ก ความสูง ความอ้วน ความผอม ลักษณะสีของนัยน์ตา เช่น สีดํา สีนํ าตาล สีฟ้ า ลักษณะ สี<br />
ผิว เช่น สีดํา สีเหลือง สีขาว เป็ นต้น<br />
๒. เพศ (Sex) เป็ นลักษณะทีถ่ายทอดได้จากพันธุกรรมทางฝ่ ายบิดาหรือมารดา ทั งนี<br />
บุตรจะเป็ นเพศชายหรือเพศหญิง ย่อมขึ นอยู่กับโครโมโซม<br />
๓. สติปัญญา (Intelligence ) ระดับความสามารถทางสมองของมนุษย์ เป็ นสิ งทีได้รับ<br />
การถ่ายทอดมาจากพ่อแม่ ถ้าพ่อแม่มีสติปัญญาฉลาด ย่อมมีโอกาสดีทีจะถ่ายทอดระดับ<br />
สติปัญญาดีไปสู ่ลูกได้มากกว่าพ่อแม่ทีมีสติปัญญาไม่ฉลาด บุคคลทีมีสติปัญญาดี ย่อมมีโอกาสที<br />
จะเลือกศึกษาในสาขาวิชาชีพทีตนมีความสนใจ มีความถนัด และมีศักยภาพทางด้านสติปัญญาทีจะ<br />
ศึกษาได้จนสําเร็จการศึกษาตามหลักสูตรเป็ นต้น<br />
๔. อารมณ์ (Emotion) คือ การแสดงออกทางด้านความรู้สึกเกียวกับพฤติกรรม<br />
กิริยามารยาท ในการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอืน อารมณ์เป็ นสิ งทีได้รับการถ่ายทอดมาจาก<br />
พันธุกรรมส่วนหนึ ง อีกส่วนหนึ งมาจากอิทธิพลของสิ งแวดล้อม<br />
๕. นิสัย (Habit) เป็ นสิ งทีถ่ายทอดได้จากพันธุกรรมส่วนหนึ ง อีกส่วนหนึ งมาจาก<br />
อิทธิพลสิ งแวดล้อม นิสัยเป็ นพฤติกรรมของบุคคล มีทั งนิสัยดี มีความขยัน มีความอดทน มีความคิด<br />
ริเริมสร้างสรรค์<br />
๖. หมู่เลือด (Blood Group) เป็ นสิ งทีได้รับการถ่ายทอดมาจากพันธุกรรมของพ่อแม่<br />
โดยการสืบสายโลหิต ลูกทีเกิดมาจะมีหมู ่เลือดเป็ นกลุ่มเดียวกับพ่อหรือแม่ก็ได้<br />
๗. สุขภาพ (Health) เด็กทีเกิดจากพ่อแม่ทีมีสุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ ก็ย่อมมีสุขภาพ<br />
แข็งแรงสมบูรณ์เช่นเดียวกับพ่อแม่ สุขภาพของคนจึงแตกต่างกัน นอกจากนั นยังมีโรคบางอย่างที<br />
สามารถถ่ายทอดทางพันธุกรรมได้ เช่น โรคเบาหวาน โรคไต โรคหัวใจ เป็ นต้น<br />
จากลักษณะทีถ่ายทอดได้ทางพันธุกรรมดังกล่าว เราจึงควรเรียนรู้ทีจะยอมรับในคุณค่า<br />
ของความเป็ น “คน” ไม่ว่าจะเป็ นหญิงหรือเป็ นชาย ไม่ว่าจะฉลาดหรือไม่ฉลาด ไม่ว่าจะหน้าตาดี
๑๑<br />
หรือไม่ดี ฯลฯ เพราะว่าคนเราเลือกไม่ได้ ถ้าเราเลือกได้อย่างแท้จริงเราก็คงเลือกทีจะเกิดมาเป็ นคน<br />
สวยหรือคนหล่อ ฉลาด และรํ ารวย เราคงไม่เลือกทีจะเกิดมาเป็ นคนขี เหร่ เป็ นคนทีไม่ฉลาด และ<br />
ยากจน<br />
สิงแวดล้อม<br />
ปัจจัยทางด้านสิ งแวดล้อม หมายถึง สิ งทีอยู ่รอบๆ ตัวเราทั งส่วนทีเป็ นลักษณะทาง<br />
กายภาพ เช่น สิ งแวดล้อมทางด้านทีอยู ่อาศัย โรงเรียน ชุมชนหรือทีทํางาน ลักษณะทางสังคมและ<br />
วัฒนธรรม เป็ นต้น สิ งแวดล้อมทีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรมของมนุษย์ได้แก่ สิ งแวดล้อมภายในร่างกาย<br />
ของมนุษย์ อันได้แก่ การทํางานของระบบต่างๆ เช่น ระบบประสาท ระบบฮอร์โมน ระบบการ<br />
ไหลเวียนของโลหิต ระบบย่อยอาหาร ฯลฯ ความแปรปรวนของระบบต่างๆ ในร่างกายย่อมมี<br />
ผลกระทบต่อการแสดงพฤติกรรมของเราด้วย เช่น การเปลียนแปลงระบบฮอร์โมนในร่างกายของ<br />
ผู้หญิงทีเข้าสู ่วัยกลางคนทําให้เกิดอาการหงุดหงิด ขี โมโห หรืออารมณ์เปลียนแปลงง่ายผิดปกติ เรา<br />
จึงควรทําความเข้าใจในปัจจัยนี ด้วยสภาพแวดล้อมเปรียบเสมือนสิ งทีมีอิทธิพลภายนอก ส่วน<br />
พันธุกรรมเป็ นอิทธิพลภายในทีทําให้บุคคลแตกต่างกัน ดังนั นจะเห็นได้ว่า สภาพแวดล้อมจะมี<br />
อิทธิพลต่อบุคคลทั งก่อนเกิดและหลังเกิดดังทีคณาจารย์ภาควิชาจิตวิทยา คณะศึกษาศาสตร์<br />
มหาวิทยาลัยรามคําแหง (๒๕๒๐: ๕๕–๕๖) ได้กล่าวไว้สรุปได้ดังนี<br />
๑. สภาพแวดล้อมก่อนเกิด หมายถึง สภาพภายในมดลูกของมารดา มีอิทธิพลสําคัญใน<br />
การกําหนดพัฒนาการของแต่ละคน สภาพแวดล้อมก่อนเกิด เช่น การรับประทานอาหารของมารดา<br />
การขาดวิตามิน สุขภาพของแม่ และอารมณ์ของแม่ เป็ นต้น ตัวอย่าง ถ้าแม่เป็ นหัดเยอรมันในระยะ<br />
ตั งครรภ์ ๓ หรือ ๔ เดือน อาจทําให้ลูกหูหนวก ลักษณะโครงสร้างหัวใจผิดปกติ เป็ นต้อกระจก<br />
ฟันไม่ครบ มีศีรษะเล็กผิดปกติและปัญญาอ่อน ถ้าแม่เป็ นหลังตั งครรภ์เดือนที ๕ จะไม่มีผลต่อ<br />
ทารก เพราะร่างกายของทารกส่วนต่างๆ สร้างเรียบร้อยแล้ว หรือการสูบบุหรีของมารดาส่วนมากจะ<br />
ไปทําอันตรายทารก จากหลักฐานพบว่าการสูบบุหรีจะมีผลต่ออัตราการเต้นของหัวใจ และภาวะ<br />
ทางเคมีในเลือดของทารก หรือเด็กทีเกิดจากมารดาทีมีความวิตกกังวลสูงขณะตั งครรภ์จะมี<br />
พัฒนาการทางสติปัญญาตํ า มีอารมณ์ไม่มั นคง เป็ นต้น<br />
๒. สภาพแวดล้อมขณะเกิดและหลังเกิด หรือผลของการพัฒนาการทีผิดปกติ ซึ ง<br />
ขณะทีทารกเกิดสมองหรือระบบประสาทอาจได้รับอันตราย เนืองจากการขาดออกซิเจน หรือจาก<br />
การกดบีบของช่องคลอด ทําให้ไม่สามารถเจริญเติบโตเท่าทีพันธุกรรมกําหนดไว้
๑๒<br />
๓. ทัศนะคติของพ่อแม่ทีมีต่อเด็กทั งก่อนและหลังเกิด จะมีผลต่อบุคลิกภาพและการ<br />
ปรับตัวของเด็ก เช่น หวังจะได้ลูกตามเพศทีตนคิดไว้ ความผิดหวังทําให้ไม่ยอมรับลูก การปฏิบัติ<br />
ต่อลูกจะทําให้ลูกทราบและอาจเกิดความรู้สึกไม่ชอบพ่อแม่ และไม่สามารถมีความสัมพันธ์ทีดีกับ<br />
พ่อแม่ หรือต้องการจะได้ลูกตามแบบทีตนคิดหรือหวังไว้ เป็ นต้น<br />
๔. การขาดพ่อหรือแม่ พบว่า ทารกทีถูกแยกจากแม่เป็ นเวลานานนั น มีผลต่อ<br />
พฤติกรรมและความเป็ นอยู ่ ลักษณะทางกายและพฤติกรรมของเด็กทีอยู ่ตามสถาบันเลี ยงเด็ก ซึ งเป็ น<br />
เด็กทีได้รับความสนใจน้อยกว่าเด็กอืน เด็กทีอายุน้อยกว่า ๒ ขวบ จะร้องไห้มาก ไม่กล้าเข้าหมู ่คน<br />
ยิงกว่านั นยัง บั นทอนร่างกายและจิตใจอีกด้วย คือ นํ าหนักตัวลดลง ตัวเล็ก ติดโรคได้ง่ายและมี<br />
พัฒนาการทางทักษะช้า<br />
๕. การเรียนรู้ทางสังคม ครอบครัว โรงเรียน สังคมและวัฒนธรรมมีอิทธิพลต่อ<br />
พัฒนาการและบุคลิกภาพของเด็ก เด็กจะเรียนรู้และปฏิบัติตามกฎเกณฑ์ต่างๆ ทางสังคม จากการ<br />
อบรมของพ่อแม่ ครู อาจารย์ จากการเลียนแบบบุคคลทีใกล้ชิดหรือห่างไกล ซึ งจะเป็ นไปโดยตั งใจ<br />
หรือไม่ตั งใจ นักจิตวิทยาหลายคนเชือว่า ลักษณะของสิ งแวดล้อมทีสําคัญทีมีอิทธิพลต่อการพัฒนา<br />
บุคลิกภาพ คือ วิธีการทีบุคคลได้รับการอบรมเลี ยงดูในวัยเด็ก<br />
นักจิตวิทยาได้พยายามศึกษาว่า ระหว่างพันธุกรรมและสิ งแวดล้อม ปัจจัยใดมี<br />
ความสําคัญมากกว่ากัน ปัจจุบันนี ยังหาข้อสรุปไม่ได้ เพียงแต่ยอมรับว่าปัจจัยทั ง ๒ ประการมี<br />
ความสําคัญพอๆ กันจะร่วมกันในการกําหนดบุคลิกลักษณะของบุคคล แต่มีอิทธิพลไม่เท่ากันขึ นอยู่<br />
กับลักษณะแต่ละอย่าง เช่น ทางด้านสติปัญญา พรรณราย ทรัพยะประภา (๒๕๓๑: ๑๓) กล่าวว่า<br />
พันธุกรรมเป็ นตัวกําหนดระดับสติปัญญา แต่สิ งแวดล้อมจะเป็ นตัวสนับสนุนให้สติปัญญาพัฒนา<br />
ต่อไป หรือเป็ นตัวสกัดกั นไม่ให้สติปัญญาพัฒนาไปตามทีควรจะเป็ นหรือถ้าเป็ นลักษณะทางกาย<br />
พันธุกรรมจะมีอิทธิพลมากกว่าสิ งแวดล้อม และถ้าเป็ นลักษณะทางสังคมหรืออารมณ์ สิ งแวดล้อม<br />
จะมีอิทธิพลมากกว่า เป็ นต้น<br />
เมือคนเรามีความแตกต่างกัน ทั งทางด้านพันธุกรรมและสิ งแวดล้อมตามทีกล่าวมาแล้ว<br />
จึงเป็ นไปไม่ได้ทีคนเราแต่ละคนจะเหมือนกัน มนุษย์มีลักษณะเฉพาะตัวทีไม่เหมือนกัน การที<br />
มนุษย์มีความแตกต่างกันจะเป็ นผลดีต่อการทํางาน เพราะสามารถนําความรู้ความสามารถและ<br />
ลักษณะทีแตกต่างกันไปปฏิบัติหน้าทีต่างๆ ในองค์การได้ เป็ นการแบ่งงานกันทําตามความรู้<br />
ความสามารถ ตามความถนัด และความสนใจ ซึ งจะเป็ นผลดีต่อประสิทธิภาพของงาน<br />
นอกจากนั นแล้วการยอมรับธรรมชาติความแตกต่างของแต่ละคน จะช่วยให้เราเกิดความเข้าใจคน
๑๓<br />
อืนมากขึ น ส่งผลให้สามารถปรับตัวอยู ่ในสังคม และสามารถทํางานร่วมกับบุคคลอืนได้อย่างมี<br />
ความสุข ประสบความสําเร็จ<br />
ความต้องการของมนุษย์<br />
ความต้องการ(Needs) คือ สภาพทีอินทรีย์ขาดสมดุล ซึ งจะก่อให้เกิดแรงผลักดันให้<br />
บุคคลแสดงพฤติกรรมอย่างใดอย่างหนึ ง เพือกลับเข้าสู ่สมดุลตามเดิม เช่น คนทีร่างกายขาดอาหาร<br />
ท้องว่างก็จะเกิดความต้องการอาหาร ซึ งเป็ นแรงผลักดันให้ทําการอย่างใดอย่างหนึ งเพือให้ได้กิน<br />
อาหาร คนทีถูกทอดทิงเปล่าเปลียวเขาก็จะเกิดความต้องการความรัก ความสนใจจากผู้อืน ซึ งเป็ น<br />
แรงผลักดันให้คนๆ นั น แสวงหาความรักความสนใจจากผู้อืนด้วยวิธีการใดวิธีการหนึ ง เป็ นต้น<br />
ความต้องการของมนุษย์เป็ นสิ งสําคัญ ความต้องการในทีนี จะขอกล่าวถึงความต้องการพื นฐานของ<br />
มนุษย์ อันเป็ นองค์ประกอบทีมีความสําคัญในการให้เรารู้จักตัวเองเข้าใจตัวเอง ทั งนี จะขอกล่าวถึง<br />
ความต้องการพื นฐานของมนุษย์ตามแนวคิดของ มาสโลว์ (อ้างใน เมธี ปิ ลันธนานนท์,ม.ป.ป.:<br />
๑๕๓–๑๖๐) ดังนี<br />
แนวความคิดเกียวกับความต้องการของมาสโลว์ (Abraham H. Maslow) มาสโลว์ เป็ น<br />
นักจิตวิทยากลุ่มมนุษย์นิยม (Humanistic) ทฤษฎีของมาสโลว์ยึดหลักสําคัญทีว่า... พฤติกรรมของ<br />
มนุษย์สามารถอธิบายได้ ทฤษฎีดังกล่าวเป็ นทีรู้จักและใช้กันอย่างกว้างขวางในนามของ “Maslow<br />
Hierarchy of Needs” โดยมาสโลว์ได้ตั งสมมติฐานเกียวกับความต้องการของบุคคลไว้ดังนี<br />
๑. มนุษย์ทุกคนมีความต้องการ และความต้องการนี จะมีอยู ่ในตัวมนุษย์ตลอดไปไม่มีที<br />
สินสุด หลักข้อนี จะเห็นได้ชัดเจนว่า มนุษย์ไม่เคยหมดความต้องการ เมือมนุษย์สมใจในความ<br />
ต้องการอย่างหนึ งแล้วก็ยังมีความต้องการต่อไปในลําดับทีสูงขึ นดีขึ นและมากขึ น<br />
๒. อิทธิพลใดๆ จะมีผลต่อมนุษย์ก็ต่อเมือมนุษย์กําลังอยู ่ในความต้องการลําดับนั นๆ<br />
เท่านั น หากความต้องการในลําดับนั น ได้รับการตอบสนองจนเป็ นทีพอใจแล้ว ความต้องการนั นก็<br />
หมดความหมายไปและไม่มีอิทธิพลต่อบุคคลนั น แต่ขณะเดียวกันความต้องการลําดับต่อไปทียัง<br />
ไม่ได้รับการตอบสนองก็จะมีอิทธิพลต่อบุคคลนั นต่อไป<br />
๓. ความต้องการของมนุษย์จะมีเป็ นลําดับขั นจากตํ าไปหาสูง เมือความต้องการขั นตํ า<br />
ได้รับการตอบสนองจนเป็ นทีพอใจแล้ว ความต้องการลําดับสูงขึ นไปก็จะตามมา
๑๔<br />
ความต้องการ<br />
ความสําเร็จในชีวิต<br />
(Self – Actualization Needs)<br />
ความต้องการได้รับการยกย่อง<br />
(Self Esteem Needs)<br />
ความต้องการทางสังคม<br />
(Social or Belonging Needs)<br />
ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs)<br />
ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs)<br />
รูปแสดงลําดับขั นความต้องการตามทฤษฎีของมาสโลว์<br />
เมือความต้องการอย่างหนึ งได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการอย่างอืนใน<br />
ระดับสูงขึ นจะเกิดขึ นมาทันที ลําดับความต้องการของมาสโลว์มีดังนี<br />
๑. ความต้องการทางร่างกาย (Physiological Needs) ความต้องการทางร่างกายเป็ น<br />
ความต้องการทีมาก่อนความต้องการอืนๆ ความต้องการทางร่างกายนี ได้แก่ ความต้องการอาหาร<br />
นํ า ออกซิเจน การนอนหลับ ความต้องการทางเพศ ความอบอุ่นทางร่างกาย เป็ นต้น ถ้าบุคคลยัง<br />
ขาดและไม่สามารถได้รับความพอใจจากความต้องการลําดับนี บุคคลก็จะไม่สนใจทีจะใฝ่ หาความ<br />
ต้องการในลําดับสูงขึ น ในบางหน่วยงานหรือบางองค์การได้ให้ความสนใจ และใช้แรงขับนี จูงใจ
๑๕<br />
บุคลากรของตนในการทํางาน เช่น ให้ความช่วยเหลือด้านการซื ออาหารทีจําเป็ นในราคาถูก บ้างก็มี<br />
การแจกข้าวสาร บ้างก็ให้เงินช่วยเหลือพิเศษในคราวฉุกเฉิน เป็ นต้น ซึ งแสดงให้เห็นว่าหน่วยงาน<br />
หรือองค์การเหล่านี ตระหนักดีว่าองค์การจะบรรลุถึงความสําเร็จตามเป้ าหมายมากน้อยเพียงใด ย่อม<br />
ขึ นกับความร่วมมือร่วมใจสมัครสมานกันของบุคลากร และความร่วมมือร่วมใจเหล่านี จะเกิดขึ นได้<br />
ก็ต่อเมือผู้บริหารเข้าใจถึงความต้องการของมนุษย์และเลือกใช้วิธีการจูงใจให้บุคลากรเกิดความ<br />
พอใจ และเพียงพอในปัจจัยเบื องต้นเหล่านี อันจะทําให้บุคลากรเกิดความรู้สึกเสียสละและอุทิศตน<br />
เพืองาน ตราบใดทีบุคคลยังหิวและรายได้ไม่เพียงพอทีจะจับจ่ายใช้สอยขาดการพักผ่อน ขาดความ<br />
อบอุ่นทางร่างกาย ขาดเครืองนุ่งห่มก็เป็ นการยากทีบุคคลเหล่านั นจะปฏิบัติงานได้อย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ รวมทั งความคิดริเริ มใดๆ ก็ยากทีจะเกิดขึ นได้<br />
๒. ความต้องการความปลอดภัย (Safety Needs) ความต้องการความปลอดภัยเป็ น<br />
ความต้องการทีบุคคลต้องการมีสวัสดิภาพจากสิ งแวดล้อม ต้องการทีจะได้พ้นจากการข่มขู ่ ต้องการ<br />
มีชีวิตทีมั นคง ปลอดภัย ความต้องการลําดับนี จะเกิดขึ นภายหลังจากทีมนุษย์ได้รับการตอบสนองใน<br />
ความต้องการลําดับแรกแล้วจากนั นมนุษย์จะมองหาความต้องการลําดับทีสูงขึ นเป็ นลําดับ เช่น การ<br />
เลือกงานทํา ก็จะมุ่งทีความปลอดภัยในด้านการเงิน ความปลอดภัยจากการถูกไล่ออก เป็ นต้น<br />
จะเห็นได้ว่าในสังคมไทยนิยมการรับราชการ ซึ งมีสาเหตุเนืองมาจากความต้องการลําดับนี ด้วย<br />
บางหน่วยงานและบางองค์การจะจัดสวัสดิการความปลอดภัยให้กับบุคลากรของตน ในลักษณะ<br />
ต่างๆกัน เช่น จัดสรรทีอยู ่อาศัย ช่วยเหลือเมือบุคคลในครอบครัวเกิดเจ็บป่ วยได้รับอุบัติเหตุ อัคคีภัย<br />
เป็ นต้น ทั งนี เป็ นไปเพือสนองความต้องการลําดับนี ให้บุคลากรมีความรู้สึกปลอดภัย มีขวัญและมี<br />
กําลังใจดี เพือเป็ นการจูงใจในการปฏิบัติงานในหน่วยงานของตน<br />
๓. ความต้องการทางสังคม (Social or Belonging Needs) เมือความต้องการทางด้าน<br />
ร่างกาย และความต้องการความปลอดภัยได้รับการตอบสนองแล้ว ความต้องการทางสังคมก็จะเป็ น<br />
สิ งจูงใจพฤติกรรมของบุคคล ดังนั น ความต้องการในด้านนี จะเป็ นความต้องการในการอยู ่ร่วมกัน<br />
และการได้รับการยอมรับจากผู้อืนและมีความรู้สึกว่าตนเองเป็ นส่วนหนึ งของกลุ่ม หรือของสังคม<br />
เช่น ต้องการการยอมรับจากเพือน ต้องการความรัก ต้องการสมาคม หรือต้องการให้บุคคลอืน<br />
ยอมรับการเป็ นสมาชิกในสังคม เช่น การสมัครเข้าเป็ นสมาชิกทางสังคม สโมสรหรือการรวมกลุ่ม<br />
อย่างไม่เป็ นทางการ เป็ นต้น<br />
๔. ความต้องการมีชือเสียงและได้รับการยกย่อง (Self Esteem Needs) เป็ นความ<br />
ต้องการระดับสูงทีเกียวกับความมั นใจในตนเองในเรืองของความรู้ความสามารถ และความสําคัญ<br />
ของบุคคล มาสโลว์ได้แยกความต้องการลําดับนี ออกเป็ น ๒ ชนิด คือ
๑๖<br />
<br />
ก. ความนับถือในตนเอง หมายถึง ความต้องการในการแข่งขัน ความเชือมั นใน<br />
ตนเอง ความเข้มแข็ง ความเก่ง ความก้าวหน้า ความเป็ นอิสรภาพ ซึ งบุคคลต้องการทีจะแสดงออก<br />
ว่า เขาสามารถตอบโต้ความท้าทาย ความสามารถต่างๆ ในชีวิตได้<br />
ข. ความนิยมยกย่องจากผู้อืน หมายถึง บุคคลต้องการแสดงความสามารถและ<br />
ประสบการณ์ของตนให้ประจักษ์ และได้รับความนิยมจากผู้อืนซึ งจะทําให้เขาได้รับเกียรติยศเป็ นที<br />
รู้จัก ได้รับการยอมรับ ความสนใจ ความมีชือเสียง เป็ นต้น<br />
ถ้าบุคคลขาดความต้องการ และไม่ได้รับการสนองตอบความต้องการในลําดับนี จะ<br />
ก่อให้เกิดความรู้สึกเป็ นปมด้อย วางตัวไม่ถูก อ่อนแอ และหมดหวังทีจะมีอะไรช่วยเหลือได้ ความ<br />
ต้องการมีชือเสียงและได้รับการยกย่อง จะต้องตั งอยู่บนความนับถือจากบุคคลอืน นอกจากนั นใน<br />
การบริหารงาน บางองค์การหรือบางหน่วยงาน ผู้บริหารอาจสนใจกับความต้องการของบุคลากร<br />
เพียง ๒-๓ ลําดับต้น ถ้าผู้บริหารทีไม่มีหลักวิชาการในการบริหารงานอาจไม่สนใจลําดับใดเลยก็<br />
เป็ นได้ คือเพียงทํางานไปตามหน้าทีแต่ละวันๆ เท่านั น ใครจะเป็ นอะไร อย่างไรก็มิได้ให้ความ<br />
สนใจ แต่สําหรับผู้บริหารงานด้วยหลักวิชาการมักจะไม่ลืมทีจะให้ความสนใจ ศึกษาถึงความ<br />
ต้องการลําดับต่างๆ โดยเฉพาะความต้องการลําดับสูง เช่น ลําดับ ๔ บุคคลต้องการทีจะมีฐานะเด่น<br />
และได้รับการยกย่อง ผู้บริหารทีฉลาด จึงพยายามทีจะศึกษาและค้นหาความสามารถพิเศษในตัว<br />
บุคคลและใช้คนให้เหมาะสมกับความสามารถของเขา หรือสนับสนุนในกิจกรรมพิเศษทีเขามี<br />
พรสวรรค์อยู่ และนีเป็ นองค์ประกอบหนึ งของเหตุผลทีว่า ทําไมเราจึงต้องจัดกิจกรรมต่างๆ ขึ นใน<br />
สถานศึกษา กิจกรรมต่างๆ ที จะสนองความต้องการลําดับนี จะต้องเป็ นไปด้วยความสมัครใจ ตาม<br />
ความสนใจ และความถนัดของแต่ละบุคคล<br />
๕. ความต้องการประสบความสําเร็จและความสมหวังในชีวิต (Self – Actualization<br />
Needs) เมือมนุษย์ได้รับความพึงพอใจในความต้องการทางร่างกาย ความปลอดภัย ความรัก การ<br />
ยอมรับในสังคม ความมีชือเสียงและได้รับการยกย่องแล้ว มนุษย์ก็จะเกิดความต้องการขั นสูงสุด<br />
คือ ต้องการความสมหวังทีแต่ละบุคคลจะสามารถเป็ นได้ บุคคลทีถึงความต้องการลําดับนี จะมีความ<br />
ต้องการทีจะใช้ความสามารถพิเศษ และศักยภาพในตัวของเขาแสวงหาประโยชน์ เพือทีจะปรับปรุง<br />
และพัฒนาตัวของเขาเองให้ถึงจุดสูงสุด โดยใช้ความสามารถทีซ่อนอยู่ในตัวของแต่ละบุคคลจะ<br />
อํานวยให้ ความต้องการในขั นนี เป็ นความต้องการทีจะใช้ความสามารถทุกๆ อย่าง ของตนอย่าง<br />
เต็มที<br />
นอกจากนี แล้ว วิชัย แหวนเพชร (๒๕๔๓: ๓๔) ยังได้แสดงทัศนะเกียวกับทฤษฎี<br />
ความต้องการของมาสโลว์ว่า ความต้องการในขั นแรกนั นเป็ นความต้องการเพือสนองตอบต่อ
๑๗<br />
ร่างกาย ซึ งก็สอดคล้องกับแนวความคิดของพระพุทธเจ้าทีว่าด้วยปัจจัย ๔ ดังนั นในการบริหารงาน<br />
พนักงานทุกคนควรจะได้รับการตอบสนองขั นพื นฐานให้ดี และเพียงพอเพราะหากพนักงานไม่ได้<br />
รับปัจจัยทีจําเป็ นนี จะส่งผลต่อการปฏิบัติงาน ส่วนความต้องการในลําดับทีสูงขึ นไปนั นจะเป็ น<br />
ความต้องการทีสนองความต้องการทางด้านจิตใจ เช่น ความอบอุ่น ความมั นคง สําหรับความ<br />
ต้องการการยอมรับทางสังคม ความมีเกียรติยศชือเสียงก็จะเป็ นความต้องการทางสังคม ฉะนั นการ<br />
บริหารงานจึงควรคํานึงถึงความต้องการทั งร่างกาย จิตใจ และสังคมประกอบกัน<br />
อย่างไรก็ตามการกระทําของบุคคลย่อมเกิดจากแรงจูงใจอืนๆ ด้วย มิใช่เกิดจากความ<br />
ต้องการเพียงอย่างเดียว การศึกษาและทําความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ในเรืองของพฤติกรรม<br />
ความแตกต่างระหว่างบุคคล และความต้องการของมนุษย์จะช่วยให้เราเกิดความเข้าใจดีขึ นใน<br />
“ความเป็ นคน” และ ผิดหวังในตัวคนน้อยลง เมือเรามีความเข้าใจและยอมรับความแตกต่างของแต่<br />
ละคน รวมทั งเข้าใจความต้องการของคนจะทําให้เราได้รู้จักตนเองรู้จักผู้อืน และสามารถปรับปรุง<br />
พัฒนาตนเอง ให้เป็ นผู้มีมนุษยสัมพันธ์กับบุคคลทั วไปได้รวดเร็วขึ น ช่วยให้เราสามารถปรับตัว<br />
และเลือกใช้ชีวิตได้อย่างเหมาะสม มีความสุขในการดําเนินชีวิต ตลอดจนมีวิธีการทีจะประสาน<br />
สัมพันธ์กับคนอืนๆ ได้ดี ทําให้มีความเข้าใจซึ งกันและกัน ก่อให้เกิดความร่วมมือในการทีจะทํา<br />
กิจกรรมอืนๆ ให้ประสบความสําเร็จต่อไป<br />
การเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์จะช่วยให้เราเกิดความเข้าใจดีขึ นใน “ความเป็ นคนของ<br />
คน” และผิดหวังในตัวคนน้อยลง โดยต้องศึกษาและทําความเข้าใจในเรืองพฤติกรรม ความแตกต่าง<br />
ระหว่างบุคคลและความต้องการของมนุษย์ เมือเรามีความเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ว่ามีความ<br />
แตกต่างกันทั งทางร่างกาย สังคม อารมณ์ และสติปัญญา ยอมรับความแตกต่างของแต่ละคนว่ามี<br />
ปัจจัยมาจากพันธุกรรมและสิ งแวดล้อม จะช่วยให้เราสามารถปรับตัวและเลือกใช้ชีวิตได้อย่าง<br />
เหมาะสม ซึ งจะส่งผลต่อการดําเนินชีวิตและการทํางานในองค์การ<br />
ความหมายของแรงจูงใจและการจูงใจ<br />
แรงจูงใจ คือ พลังผลักดันให้คนมีพฤติกรรม และยังกําหนดทิศทางและเป้ าหมายของ<br />
พฤติกรรมนั นด้วย คนทีมีแรงจูงใจสูง จะใช้ความพยายามในการกระทําไปสู ่เป้ าหมายโดยไม่ลดละ<br />
แต่คนทีมีแรงจูงใจตํ า จะไม่แสดงพฤติกรรม หรือไม่ก็ล้มเลิก การกระทํา ก่อนบรรลุเป้ าหมาย<br />
แรงจูงใจ (motive) เป็ นคําทีได้ความหมายมาจากคําภาษาละตินทีว่า movere ซึ งหมายถึง<br />
"เคลือนไหว (move) " ดังนั น คําว่าแรงจูงใจจึงมีการให้ความหมายไว้ต่างๆ กันดังนี
่<br />
๑๘<br />
๑. แรงจูงใจ หมายถึง "บางสิ งบางอย่างทีอยู ่ภายในตัวของบุคคลทีมีผลทําให้บุคคล<br />
ต้องกระทํา หรือเคลือนไหว หรือ มีพฤติกรรม ในลักษณะทีมีเป้ าหมาย" (Walters.๑๙๗๘ :๒๑๘)<br />
กล่าวอีกนัยหนึ งก็คือ แรงจูงใจเป็ นเหตุผล ของการกระทํา นั นเอง<br />
๒ . แรงจูงใจ หมายถึง "สภาวะทีอยู ่ภายในตัวทีเป็ นพลัง ทําให้ร่างกายมีการ<br />
เคลือนไหว ไปในทิศทางทีมีเป้ าหมาย ทีได้เลือกไว้แล้ว ซึ งมักจะเป็ นเป้ าหมายทีมีอยู ่สภาวะ<br />
สิ งแวดล้อม" (Loundon and Bitta.๑๙๘๘:๓๖๘)<br />
จากความหมายนี จะเห็นได้ว่า แรงจูงใจจะเกียวข้องกับองค์ประกอบทีสําคัญ ๒<br />
ประการ คือ<br />
ก. เป็ นกลไกทีไปกระตุ้นพลังของร่างกายให้เกิดการกระทํา<br />
ข. เป็ นแรงบังคับให้กับพลังของร่างกายทีจะกระทําอย่างมีทิศทาง<br />
การจูงใจ (motivation) เป็ นเงือนไขของการได้รับการกระตุ้นโดยมีการให้ความหมาย<br />
ไว้ ดังนี <br />
๑. การจูงใจ หมายถึง "แรงขับเคลือนทีอยู ่ภายในของบุคคลทีกระตุ้นให้บุคคลมี<br />
การกระทํา" (Schiffman and Kanuk. ๑๙๙๑:๖๙)<br />
๒. การจูงใจ เป็ นภาวะภายใน ของบุคคล ทีถูกกระตุ้นให้กระทําพฤติกรรมอย่างมี<br />
ทิศทางและต่อเนือง (แอนนิต้า อี วูลฟอล์ค Anita E. Woolfolk ๑๙๙๕)<br />
๓. การจูงใจเป็ นภาวะในการเพิ มพฤติกรรม การกระทําหรือกิจกรรมของบุคคล โดย<br />
บุคคลจงใจ กระทําพฤติกรรม นั นเพือให้บรรลุเป้ าหมายที ต้องการ (ไมเคิล ดอมแจน Domjan<br />
๑๙๙๖)<br />
จากคําอธิบายและความหมายดังกล่าว จึงสรุปได้ว่า การจูงใจ เป็ นกระบวนการที<br />
บุคคลถูก กระตุ้นจากสิ งเร้าโดยจงใจ ให้กระทําหรือดินรนเพือให้บรรลุวัตถุประสงค์บางอย่าง ซึ งจะ<br />
เห็นได้ว่า พฤติกรรมทีเกิดจาก การจูงใจ เป็ น พฤติกรรม ทีมิใช่เป็ นเพียงการตอบสนองสิ งเร้าปกติ<br />
ธรรมดา แต่ ต้องเป็ นพฤติกรรมทีมีความเข้มข้น มีทิศทางจริงจัง มีเป้ าหมายชัดเจนว่าต้องการไปสู<br />
จุดใด และ พฤติกรรมทีเกิดขึ น เป็ นผลสืบเนืองมาจาก แรงผลักดัน หรือ แรงกระตุ้น ทีเรียกว่า<br />
แรงจูงใจ ด้วย<br />
ความสําคัญของการจูงใจ
๑๙<br />
การจูงใจมีอิทธิผลต่อผลผลิต ผลิตผลของงานจะมีคุณภาพดี มีปริมาณมากน้อย<br />
เพียงใด ขึ นอยู่กับ การจูงใจในการทํางาน ดังนั น ผู้บังคับบัญชาหรือหัวหน้างานจึงจําเป็ นต้องเข้าใจ<br />
ว่าอะไร คือแรงจูงใจทีจะทําให้พนักงานทํางานอย่างเต็มที และไม่ใช่เรืองง่ายในการจูงใจพนักงาน<br />
เพราะ พนักงานตอบสนองต่องานและวิธีทํางานขององค์กรแตกต่างกัน การจูงใจพนักงานจึงมี<br />
ความสําคัญ สามารถสรุปความสําคัญของการจูงใจในการทํางานได้ดังนี<br />
๑. พลัง (Energy) เป็ นแรงขับเคลือนทีสําคัญต่อการกระทํา หรือ พฤติกรรมของมนุษย์<br />
ในการทํางานใดๆ ถ้าบุคคลมี แรงจูงใจ ในการทํางานสูง ย่อมทําให้ขยันขันแข็ง กระตือรือร้น<br />
กระทําให้สําเร็จ ซึ งตรงกันข้ามกับ บุคคลทีทํางานประเภท “เช้าชาม เย็นชาม” ทีทํางานเพียงเพือให้<br />
ผ่านไปวันๆ<br />
๒. ความพยายาม (Persistence) ทําให้บุคคลมีความมานะ อดทน บากบั น คิดหา<br />
วิธีการนําความรู้ความสามารถ และ ประสบการณ์ของตน มาใช้ให้เป็ นประโยชน์ต่องานให้มาก<br />
ทีสุด ไม่ท้อถอยหรือละความพยายามง่ายๆ แม้งาน จะมีอุปสรรคขัดขวาง และเมืองานได้รับ<br />
ผลสําเร็จ ด้วยดีก็มักคิดหา วิธีการปรับปรุงพัฒนาให้ดีขึ นเรือยๆ<br />
๓. การเปลียนแปลง (variability) รูปแบบการทํางานหรือวิธีทํางานในบางครั ง<br />
ก่อให้เกิดการค้นพบช่องทาง ดําเนินงาน ทีดีกว่า หรือประสบ ผลสําเร็จมากกว่า นักจิตวิทยาบางคน<br />
เชือว่า การเปลียนแปลง เป็ นเครืองหมายของ ความเจริญ ก้าวหน้า ของบุคคล แสดงให้เห็นว่า บุคคล<br />
กําลังแสวงหาการเรียนรู้สิ งใหม่ๆ ให้ชีวิต บุคคลทีมี แรงจูงใจ ในการทํางานสูง เมือดินรน เพือจะ<br />
บรรลุ วัตถุประสงค์ใดๆ หากไม่สําเร็จ บุคคลก็มักพยายามค้นหา สิ งผิดพลาด และพยายามแก้ไข ให้<br />
ดีขึ นในทุกวิถีทาง ซึ งทําให้เกิดการเปลียนแปลง การทํางานจน ในทีสุดทําให้ค้นพบแนวทาง ที<br />
เหมาะสมซึ ง อาจจะต่างไป จากแนวเดิม<br />
๔. บุคคลทีมีแรงจูงใจในการทํางาน จะเป็ นบุคคลทีมุ่งมั นทํางานให้เกิดความ<br />
เจริญก้าวหน้า และการมุ่งมั นทํางานทีตนรับผิดชอบ ให้เจริญก้าวหน้า จัดว่าบุคคลผู้นั นมี<br />
จรรยาบรรณในการทํางาน (work ethics) ผู้มีจรรยาบรรณในการทํางาน จะเป็ นบุคคล ทีมีความ<br />
รับผิดชอบ มั นคงในหน้าที มีวินัยในการทํางาน ซึ งลักษณะดังกล่าวแสดงให้เห็นถึงความสมบูรณ์ ผู้<br />
มีลักษณะ ดังกล่าวนี มักไม่มีเวลาเหลือพอทีจะคิดและทําในสิ งทีไม่ดี<br />
ลักษณะของแรงจูงใจ
๒๐<br />
แรงจูงใจของมนุษย์มีมากมายหลายอย่าง เราถูกจูงใจให้มีการกระทําหรือพฤติกรรม<br />
หลายรูปแบบ เพือหานํ าและ อาหารมาดืมกิน สนองความต้องการทางกาย แต่ยังมีความต้องการ<br />
มากกว่านั น เช่น ต้องการความสําเร็จ ต้องการเงิน คําชมเชย อํานาจ และในฐานะทีเป็ นสัตว์สังคม<br />
คนยังต้องการมีอารมณ์ผูกพันและอยู ่รวมกลุ่มกับผู้อืน แรงจูงใจ จึงเกิดขึ นได้จากปัจจัยภายในและ<br />
ปัจจัยภายนอก<br />
แรงจูงใจภายใน (intrinsic motives)<br />
แรงจูงใจภายในเป็ นสิ งผลักดันจากภายในตัวบุคคล ซึ งอาจจะเป็ นเจตคติ ความคิดเห็น<br />
ความสนใจ ความตั งใจ การมองเห็นคุณค่า ความพอใจ ความต้องการ ฯลฯ สิ งต่างๆ ดังกล่าวมา<br />
เหล่านี มีอิทธิพลต่อพฤติกรรมค่อนข้างถาวร เช่น คนงานทีเห็นคุณค่าของงาน มองว่าองค์การคือ<br />
สถานทีให้ชีวิตแก่เขาและครอบครัว เขาก็จะจงรักภักดีต่อองค์การ กระทํา การต่างๆ ให้องค์การ<br />
เจริญก้าวหน้า หรือในกรณีทีบ้านเมืองประสบปัญหาเศรษฐกิจ ในช่วงเวลาของเศรษฐกิจขาลง<br />
องค์การจํานวนมากอยู ่ในภาวะขาดทุน ไม่มีเงินจ่ายค่าตอบแทน แต่ด้วยความผูกพัน เห็นใจกันและ<br />
กัน ทั งเจ้าของกิจการ และพนักงานต่างร่วมกันค้าขายอาหารเล็กๆ น้อยๆ ทั งประเภท<br />
แซนวิช ก๋วยเตียว ฯลฯ เพียงเพือ ให้มีรายได้ ประทังกันไปทั งผู้บริหารและลูกน้อง และในภาวะ<br />
ดังกล่าวนี จะเห็นว่า พนักงานหลายราย ทีไม่ทิงเจ้านาย ทั งเต็มใจไปทํางานวันหยุดโดยไม่มี<br />
ค่าตอบแทน ถ้าการกระทําดังกล่าวเป็ นไปโดย เนืองจากความรู้สึก หรือเจตคติทีดีต่อเจ้าของกิจการ<br />
หรือด้วยความรับผิดชอบในฐานะสมาชิกคนหนึ งขององค์การ มิใช่เพราะ เกรงจะถูกไล่ออกหรือไม่<br />
มีทีไป ก็กล่าวได้ว่า เป็ นพฤติกรรมทีเกิดจากแรงจูงใจภายใน<br />
แรงจูงใจภายนอก (extrinsic motives)<br />
แรงจูงใจภายนอกเป็ นสิ งผลักดันภายนอกตัวบุคคลทีมากระตุ้นให้เกิดพฤติกรรม<br />
อาจจะเป็ นการได้รับรางวัล เกียรติยศ ชือเสียง คําชม การได้รับการยอมรับยกย่อง ฯลฯ แรงจูงใจนี<br />
ไม่คงทนถาวรต่อพฤติกรรม บุคคลจะ แสดงพฤติกรรม เพือ ตอบสนองสิ งจูงใจดังกล่าว เฉพาะใน<br />
กรณีทีต้องการรางวัล ต้องการเกียรติ ชือเสียง คําชม การยกย่อง การได้รับ การยอมรับ ฯลฯ ตัวอย่าง<br />
แรงจูงใจภายนอกทีมีอิทธิพลต่อพฤติกรรม เช่น การทีคนงาน ทํางานเพียง เพือแลกกับ ค่าตอบแทน
๒๑<br />
หรือเงินเดือน การแสดงความขยันตั งใจทํางานเพียง เพือให้หัวหน้างานมองเห็นแล้ว ได้ความดี<br />
ความชอบ เป็ นต้น<br />
ทฤษฎีแรงจูงใจ Motivation Theory<br />
แนวความคิดของการจูงใจมีได้หลายแง่หลายมุม ดังนั นจึงมีทฤษฎีต่างๆ ทีพยายาม<br />
อธิบายสภาวะ ของอินทรีย์เช่นนี และ พอจะแบ่งออกได้เป็ น<br />
๑. ทฤษฎีเกียวกับสมดุลยภาพและแรงขับ (Homeostasis and drive theory)<br />
พื นฐานเกียวกับ มโนภาพของแรงขับ คือ หลักการของสมดุลยภาพ (homeostasis) ซึ ง<br />
หมายถึง ความโน้มเอียงของร่างกาย ทีจะทําให้สิ งแวดล้อมภายในคงทีอยู ่เสมอ ตัวอย่าง คนทีมี<br />
สุขภาพดีย่อมสามารถ ทําให้อุณหภูมิใน ร่างกายคงทีอยู ่ได้ใน ระดับปรกติไม่ว่าจะอยู ่ในอากาศร้อน<br />
หรือหนาว ความหิว และความกระหาย แสดงให้เห็นถึงกลไกเกียวกับ สมดุลยภาพเช่นกัน เพราะว่า<br />
แรงขับดังกล่าว จะไปกระตุ้นพฤติกรรม เพือก่อให้เกิดความสมดุลย์ของส่วนประกอบหรือสาร<br />
บางอย่างในเลือด ดังนั นเมือเรามองในทัศนะของสมดุลยภาพ ความต้องการเป็ นความไม่สมดุลย์ทาง<br />
สรีรวิทยา อย่างหนึ งอย่างใดหรือเป็ น การเบียงเบนจากสภาวะทีเหมาะสม และการเปลียนแปลงทาง<br />
สรีรวิทยาทีเกิดตามมาก็คือแรงขับ เมือความไม่สมดุลทางสรีรวิทยา คืนสู ่ภาวะปกติ แรงขับจะลดลง<br />
และการกระทํา ทีถูกกระตุ้นด้วยแรงจูงใจก็จะหยุดลงด้วย นักจิตวิทยาเชือว่า หลักการของสมดุลย<br />
ภาพมิได้เป็ นเรืองของสรีรวิทยาเท่านั น แต่ยังเกียวข้องกับจิตใจด้วย กล่าวคือความไม่สมดุลย์ทาง<br />
สรีรวิทยา หรือ ทางจิตใจ (physiological or psychological imbalance) มีส่วนจูงใจพฤติกรรม เพือทํา<br />
ให้ภาวะสมดุลย์กลับคืนมาเช่นเดิม<br />
๒. ทฤษฎีของความต้องการและแรงขับ (Theory of needs and drives)<br />
เมือทฤษฎีของสัญชาตญาณซึ งจะได้กล่าวต่อไปนั นได้รับความนิยมลดลง ได้มีผู้เสนอ<br />
แนวความคิดของแรงขับขึ นมาแทน แรงขับ (drive) เป็ นสภาพทีถูกยั วยุอันเกิดจากความต้องการ<br />
(need) ทางร่างกายหรือเนื อเยือบางอย่าง เช่น ความต้องการอาหาร นํ า ออกซิเจน หรือการหลีกหนี<br />
ความเจ็บปวด สภาพทีถูกยั วยุเช่นนี จะจูงใจอินทรีย์ให้เริ มต้นแสดงพฤติกรรม เพือตอบสนองความ<br />
ต้องการทีเกิดขึ น เช่น การขาดอาหารก่อให้เกิดการเปลียนแปลงทางเคมีบางอย่างในเลือด แสดงให้<br />
เห็นถึงความต้องการสําหรับอาหาร ซึ งต่อมามีผลทําให้เกิดแรงขับ อันเป็ นสภาพของความยั วยุหรือ<br />
ความตึงเครียด อินทรีย์จะพยายามแสวงหาอาหารเพือลดแรงขับนี และเป็ นการตอบสนองความ<br />
ต้องการไปในตัวด้วย บางครั งความต้องการและแรงขับอาจถูกใช้แทนกันได้ แต่ความต้องการมักจะ
๒๒<br />
หมายถึง สภาพสรีรวิทยาของการทีเนื อเยือขาดสิ งทีจําเป็ นบางอย่าง ส่วนแรงขับหมายถึงผลทีเกิด<br />
ตามมาทาง สรีรวิทยาของความต้องการ ความต้องการและแรงขับเคียงคู่กัน แต่ไม่เหมือนกัน<br />
๓. ทฤษฎีเกียวกับเหตุกระตุ้นใจ (Incentive theory)<br />
ในระยะต่อมาคือ ราว ค.ศ. ๑๙๕๐ นักจิตวิทยาหลายท่านเริ มไม่พอใจทฤษฎีเกียวกับ<br />
การลดลงของแรงขับ (drive-reduction theory) ในการอธิบายการจูงใจของพฤติกรรมทุกอย่าง จะ<br />
เห็นได้ชัดว่าสิ งเร้าจากภายนอกเป็ นตัวกระตุ้นของพฤติกรรมได้ อินทรีย์ไม่เพียงแต่ถูกผลักดันให้<br />
เกิดกิจกรรมต่าง ๆ โดยแรงขับภายในเท่านั น เหตุกระตุ้นใจหรือเครืองชวนใจ (incentives) บางอย่าง<br />
ก็มี ความสําคัญในการยั วยุพฤติกรรม เราอาจมองการจูงใจได้ในฐานะเป็ นการกระทําระหว่างกัน<br />
(interaction) ของวัตถุทีเป็ นสิงเร้าในสิ งแวดล้อมกับสภาพทางสรีรวิทยาของอินทรีย์อย่างหนึ ง<br />
โดยเฉพาะ คนทีไม่รู้สึกหิวอาจถูกกระตุ้น ให้เกิดความหิวได้ เมือเห็นอาหารทีอร่อยในร้านอาหาร<br />
ในกรณีนี เครืองชวนใจคือ อาหารทีอร่อยสามารถกระตุ้นความหิวรวมทั งทําให้ความรู้สึกเช่นนี<br />
ลดลง สุนัขทีกินอาหารจนอิ ม อาจกินอีกเมือเห็นสุนัขอีกตัวกําลังกินอยู่ กิจกรรมทีเกิดขึ นมิได้เป็ น<br />
เรืองของแรงขับภายใน แต่เป็ นเหตุการณ์ภายนอก พนักงาน พอได้ยินเสียงกริ งโทรศัพท์ก็รีบยกหู<br />
ขึ นพูด ดั งนั นจึงกล่าวได้ว่าพฤติกรรมทีมีการจูงใจ อาจเกิดขึ นภายใต้การควบคุมของสิ งเร้า หรือเหตุ<br />
กระตุ้นใจมากกว่าทีจะเกิดจากแรงขับ<br />
๔. ทฤษฎีเกียวกับสัญชาตญาณ (Instinct theory)<br />
สัญชาตญาณ คือ แรงทางชีวภาพทีมีมาแต่กําเนิด และเป็ นตัวผลักดันให้อินทรีย์แสดง<br />
พฤติกรรมอย่างหนึ งอย่างใดออกมา พฤติกรรม ของสัตว์ ส่วนใหญ่เชือว่าเป็ นเรืองของสัญชาตญาณ<br />
เพราะสัตว์ไม่มีวิญญาณ สติปัญญาหรือเหตุผล เช่น มนุษย์ William McDougall กล่าวว่าความคิด<br />
และพฤติกรรมทั งหมดของคนเราเป็ นผลของสัญชาตญาณในหนังสือ Social psychology ตีพิมพ์ใน<br />
ปี ค.ศ. ๑๙๐๘ ท่านได้จําแนกสัญชาตญาณต่างๆ ไว้ดังนี<br />
การหลีกหนี (flight)<br />
การขับไล่ (repulsion)<br />
ความอยากรู้ (curiosity)<br />
ความอยากต่อสู้ (pugnacity)<br />
การตําหนิตนเอง (self-abasement)<br />
การเสนอตนเอง (self-assertion)<br />
การสืบพืชพันธุ์ (reproduction)<br />
การรวมกลุ่ม (gregariousness)
๒๓<br />
การแสวงหา (acquisition)<br />
การก่อสร้าง(construction)<br />
จะเห็นว่าทฤษฎีเกียวกับสัญชาตญาณ ไม่ค่อยจะสมเหตุผลนักในทัศนะของนักจิตวิทยาหลายท่าน<br />
๕. ทฤษฎีเกียวกับจิตไร้สํานึก (Theory of unconscious motivation)<br />
ฟรอยด์มีความเชือว่าพฤติกรรมของมนุษย์ถูกกําหนดโดยพลังพื นฐานสองอย่างคือ<br />
สัญชาตญาณแห่งชีวิต (life instincts) ซึ งแสดงออกมา เป็ นพฤติกรรมทางเพศ และสัญชาตญาณแห่ง<br />
ความตาย (death instincts) ซึ งผลักดันให้เกิดเป็ นพฤติกรรมก้าวร้าว สัญชาตญาณ ทั งสองอย่างนี เป็ น<br />
แรงจูงใจทีทรงพลังอย่างยิ งและอยู ่ภายในจิตไร้สํานึก บ่อยครั งคนเรามักจะไม่รู้ว่าอะไรคือ แรงจูงใจ<br />
หรือเป้ าประสงค์ ทีแท้จริง เขาอาจให้เหตุผลทีดีบางอย่างสําหรับพฤติกรรมของเขา แต่เหตุผลเหล่านี<br />
มักไม่ถูกต้อง ตามความเป็ นจริงอยู ่เสมอ<br />
๖.ทฤษฎีเกียวกับการรู้ (Cognitive theory)<br />
การรู้ (cognition) มาจากภาษาลาติน แปลว่าการรู้จัก (knowing) ทฤษฎีนี เน้นเกียวกับ<br />
ความเข้าใจหรือการคาดคะเนเหตุการณ์ต่างๆ โดยอาศัยการกําหนดรู้ (perception) มาก่อน อาจ<br />
รวมทั งการคิดค้นและการตัดสินใจ เช่น ในกรณีทีต้องมีการเลือกสิ งของทีมีคุณค่า ใกล้เคียงกัน การ<br />
กระตุ้นก็ดีหรือพฤติกรรมทีกําลังดําเนินไปสู ่เป้ าประสงค์ (goal-seeking behavior) ก็ดีเกิดจากความรู้<br />
ทีเคยพบมาเป็ น ตัวกําหนด นอกจากนั นยังต้องอาศัยเหตุการณ์ในอดีต สิ งแวดล้อมในปัจจุบันและ<br />
ความคาดหวังในอนาคต Festinger (๑๙๕๗) ได้อธิบายเกียวกับความขัดแย้งหรือความไม่ลงรอยกัน<br />
ของการรู้ (cognitive dissonance) ซึ งมีผลทําให้เกิด แรงจูงใจ ในการเปลียนพฤติกรรม บางอย่างได้<br />
เช่น คนทีติดบุหรี สูบบุหรีจัดเมือทราบข่าวว่า การสูบบุหรีมีส่วนทําให้เกิดเป็ น มะเร็งของปอด เกิด<br />
ความขัดแย้งระหว่างพฤติกรรมของการสูบบุหรีกับข่าวใหม่ เขาจะต้องเลือกเอา อย่างใดอย่างหนึ ง<br />
เพือลดความขัดแย้ง ทีเกิดขึ น ถ้าเขาตัดสินใจเลิกสูบบุหรีความขัดแย้งจะลดลงไปโดยการเลิกความ<br />
เชือเดิมทีว่าสูบบุหรีแล้วจะปลอดภัย รวมทั งความอยากทีจะสูบอีกด้วย<br />
๗.ทฤษฎีเกียวกับจิตวิญญาณ (Spiritual theory)<br />
เป็ นทฤษฎีทีเกียวกับกฎแห่งกรรมในพุทธศาสนา จําลอง ดิษยวณิช (๒๕๔๕) ได้<br />
อธิบายความหมายของคําว่าจิตวิญญาณ ไว้ดังนี "จิตวิญญาณ หมายถึง ภวังคจิต (the life continuum)<br />
ในพุทธศาสนา หรือจิตไร้สํานึก (the unconscious) ในจิตวิเคราะห์ " จิตวิญญาณ ซึ งเป็ นส่วนลึก<br />
ภายในจิตใจของมนุษย์มีแรงจูงใจทีทรงพลังอย่างหนึ งคือ"กรรม" กรรมเป็ นการกระทําของคนเรา<br />
ไม่ว่าจะเป็ นทางใจ ทางวาจา หรือทางกาย ถ้ากระทํากรรมดีก็จะส่งผลไปในทางทีดี ถ้ากระทํากรรม<br />
ชัวก็จะส่งผลไปในทางทีไม่ดี ทํากรรมเช่นใด ย่อมได้ผลเช่นนั น สมดังคํากล่าวว่า "ทําดีได้ดี ทําชั ว
๒๔<br />
ได้ชั ว" พลังกรรมและผลของกรรมถือว่า เป็ นแรงจูงใจ ทีสําคัญอย่างหนึ ง ในชีวิตประจําวันของ<br />
คนเรา และถูกเก็บสั งสมไว้ในจิตไร้สํานึก ความสุขจะเกิดขึ นได้เพราะ เป็ นผลของการ กระทํากรรม<br />
ดี แต่ในทางตรงกันข้ามความทุกข์จะเกิดขึ น เนืองจากผลของการกระทํากรรมทีไม่ดี<br />
เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในการทํางาน<br />
เทคนิคของการใช้แรงจูงใจทีมีอยู ่ในวงการธุรกิจ แต่ละวิธีจะต้องใช้ให้เหมาะสมกับ<br />
บุคคล สถานการณ์และโอกาส จะเห็นว่าแรงจูงใจมีความสําคัญ ซึ งจะส่งผลต่อการเพิมผลผลิตและ<br />
การปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ ดังนั นผู้นําหรือผู้บริหารจึงควรเลือกพิจารณาให้เหมาะสม ซึ ง<br />
ศิริวรรณ เสรีรัตน์ และคณะ (๒๕๔๑: ๑๓๖-๑๔๐) ได้กล่าวไว้ สรุปได้ดังนี<br />
๑. การจูงใจด้วยงาน (Task Motivation) การจูงใจด้วยงานมีจุดมุ่งหมายเพือให้<br />
พนักงานมีเจตคติทีดีต่องาน เกิดความรู้ว่างานนั นมีคุณค่า ทําให้เกิดความรับผิดชอบและก่อให้เกิด<br />
ประโยชน์ทั งต่อตนเอง ต่องาน และสังคม จะทําให้บุคลากรมีความรู้สึกภาคภูมิใจ กระตือรือร้น มี<br />
ความเพียรพยายาม ทุ่มเท และอุทิศตนให้กับงานอย่างเต็มกําลังความสามารถ ตัวอย่างการใช้วิธีการ<br />
จูงใจด้วยงาน เช่น ลักษณะเฉพาะของงาน (ความน่าสนใจ ความแปลกใหม่ การยัวยุ และท้าทาย<br />
งานทีตรงกับความรู้ความสามารถ) การเพิ มพูนความรู้(สนับสนุนให้มีการศึกษาต่อ การฝึ กอบรม)<br />
ความก้าวหน้าในการปฏิบัติงาน (มีการชี แจง อธิบายถึงความก้าวหน้าในการปฏิบัติงานให้บุคลากร<br />
ในหน่วยงานทราบ) การแข่งขัน (แข่งขันกับตนเอง แข่งขันระหว่างกลุ่ม การประกวดการ<br />
ปฏิบัติงาน) เป็ นต้น<br />
๒ การจูงใจด้วยผลตอบแทนทีไม่ใช่เงิน (Non –Money Incentive Motivation)<br />
นอกเหนือจากการจูงใจด้วยวิธีการดังทีกล่าวมาแล้ว การจูงใจด้วยผลตอบแทนทีไม่ใช่เงินก็เป็ นอีก<br />
ทางเลือกหนึ งทีจะสามารถนําไปใช้ได้ เพียงแต่เลือกให้เหมาะสมกับโอกาส บุคคล การจูงใจด้วยวิธี<br />
นี ได้แก่ การตอบสนองความต้องการของบุคคลในระดับสูงขึ น เช่น ความต้องการได้รับการยกย่อง<br />
ต้องการมีเกียรติ ต้องการความมีชือเสียง เป็ นต้น<br />
๓. การจูงใจด้วยผลตอบแทนทีเป็ นเงิน ( Money Incentive Motivation ) เป็ นที<br />
ทราบกันดีอยู ่แล้วว่า ผลตอบแทนทีเป็ นเงินในรูปแบบต่างๆ เป็ นปัจจัยหนึ งทีสามารถจูงใจให้<br />
บุคลากรของหน่วยงานปฏิบัติงานด้วยความกระตือรือร้น ตั งใจ เสียสละ และทํางานอย่างเต็มเวลา<br />
เต็มความสามารถ
๒๕<br />
๔. การจูงใจด้วยสภาพแวดล้อมในการทํางาน (Physical Environment Motivation)<br />
ในการปฏิบัติงานของบุคลากรของหน่วยงานต่างๆ นั น แต่ละวันจะใช้เวลาหลายชั วโมง ดังนั น<br />
สภาพแวดล้อมในการทํางานจึงมีส่วนอย่างมากต่อการปฏิบัติงาน การจัดสภาพแวดล้อมอย่าง<br />
เหมาะสมและเอื ออํานวย จะมีส่วนให้บุคลากรในหน่วยงานตั งใจทํางานอย่างเต็มความสามารถ<br />
กระตือรือร้น ขยันทํางาน สภาพแวดล้อมทีควรพิจารณา เช่น สภาพแวดล้อมทีเอื ออํานวยต่อการ<br />
ทํางาน (แสงสว่าง ความสะอาด อากาศเย็นสบาย มีเนื อทีกว้างขวางพอ มีการตกแต่งพอสมควร) มี<br />
ความพร้อมในด้านอุปกรณ์เครืองใช้ (โต๊ะเก้าอี ทํางาน อุปกรณ์ต่างๆ ทีอยู ่ในสภาพใช้งานได้) สร้าง<br />
บรรยากาศทีอบอุ่นเป็ นกันเอง<br />
๕. การจูงใจด้วยสวัสดิการต่างๆ (Fringe Benefit Motivation) การจูงใจด้วยวิธีนี<br />
โดยทําให้บุคลากรในหน่วยงานรู้สึกสะดวกสบาย มีความมั นคงปลอดภัย เช่น มีรถรับส่ง มีที<br />
จอดรถ การจัดให้มีห้องพยาบาล การตรวจสุขภาพประจําปี มีสโมสร มีทีเล่นกีฬา จัดให้มีการทัศน<br />
ศึกษา จัดกิจกรรมรืนเริงในเทศกาลต่างๆ ประกันชีวิต ประกันสังคม เป็ นต้น<br />
เทคนิคการสร้างแรงจูงใจในการทํางานดังทีกล่าวมาแล้วว่า ผู้นําหรือผู้บริหาร<br />
จะต้องศึกษาและนําไปใช้ให้เหมาะสมเพราะจะก่อให้เกิดผลสําเร็จในการทํางาน การใช้เทคนิคการ<br />
จูงใจวิธีการใดก็ตาม อาจต้องใช้เวลาและความอดทนอาจจะไม่เกิดผลในทันทีและบางครั งอาจต้อง<br />
ใช้หลายๆ วิธีพร้อมกัน<br />
ประโยชน์ของการสร้างแรงจูงใจ<br />
การสร้างแรงจูงใจนับเป็ นเครืองมืออย่างหนึ งของผู้บริหาร จะทําให้ขวัญในการ<br />
ปฏิบัติงานของบุคลากรดีขึ น มีกําลังใจในการปฏิบัติงาน การสร้างแรงจูงใจจะก่อให้เกิดประโยชน์<br />
มากมายหลายประการ ดังที พาชืน บุญเจริญ (ม.ป.ป.: ๕๔) ได้เสนอแนะไว้ดังนี<br />
๑. บุคลากรมีความรู้สึกภาคภูมิใจในหน้าทีการงานทีทําอยู ่ ทําให้หน่วยงานได้รับ<br />
ผลผลิตสูง<br />
๒. ทําให้เกิดความร่วมมือร่วมใจในองค์การขึ น<br />
๓. มีความคิดสร้างสรรค์<br />
๔. เกิดความสนใจและพอใจในการทํางาน เกิดความจงรักภักดีต่อองค์การ และ<br />
เพือนร่วมงาน
่<br />
๒๖<br />
๕. ช่วยให้การบริหารงาน การควบคุมงาน และการปฏิบัติตามกฎระเบียบข้อบังคับ<br />
ขององค์การเป็ นไปอย่างราบรืน<br />
๖. ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายทุกๆ อย่าง<br />
จากทัศนะต่างๆ ของนักวิชาการเกียวกับการจูงใจนั น จะเห็นว่าปัจจัยการจูงใจมี<br />
องค์ประกอบหลายๆ ประการ อาจจะเป็ นผลตอบแทนในการปฏิบัติงานของบุคคล ซึ งแต่ละบุคคล<br />
มีความต้องการแตกต่างกัน บางคนอาจมีความต้องการทางด้านสังคมสูง บางคนอาจมีความต้องการ<br />
ทางด้านร่างกาย ผู้บริหารหรือหัวหน้างานจะต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะการจูงใจมี<br />
ความสําคัญต่อประสิทธิภาพของการปฏิบัติงานเป็ นอย่างยิ ง เอกชัย กีสุขพันธ์ (๒๕๓๐: ๕๖) ได้<br />
เสนอแนะหลักการทีผู้บริหาร จะต้องพิจารณาเป็ นอันดับแรกคือ<br />
๑. ท่านได้สร้างให้ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา เกิดความรู้สึกว่างานทีปฏิบัติอยู<br />
นั นน่าสนใจ ท้าทายความสามารถ และอยากทํางานเพิ มขึ นหรือยัง<br />
๒. ลูกน้องหรือผู้ใต้บังคับบัญชา รู้หรือไม่ว่าท่านคาดหวังอะไรจากเขาในการ<br />
ปฏิบัติงาน และเขาต้องทําอย่างไรเพือให้ถึงมาตรฐานของบริษัททีกําหนดไว้<br />
๓. การกําหนดผลตอบแทนในการปฏิบัติงานมีความชัดเจนและเหมาะสมกับ<br />
ความตั งใจ ความพยายามในการปฏิบัติงานและผลงานหรือไม่<br />
จากข้อพิจารณา ๓ ประการข้างต้นนี นับว่าเป็ นองค์ประกอบทีสําคัญมากสําหรับ<br />
การจูงใจในการปฏิบัติงาน ซึ งจะต้องมีความสอดคล้องสัมพันธ์กัน ระหว่างความต้องการของ<br />
องค์การหรือบริษัทกับความคาดหวังของผู้ปฏิบัติงาน มิฉะนั นแล้วการจูงใจคนจะไม่สามารถบรรลุ<br />
ตามเป้ าหมายทีต้องการได้<br />
การประกอบอาชีพใดๆ ก็ตาม ย่อมมีเป้ าหมายสําคัญอยู ่ทีความสําเร็จอย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ บังเกิดผลดีต่อทุกๆ ฝ่ าย ดังนั นการมีความรู้ความสามารถอย่างเดียวคงไม่เพียงพอและ<br />
งานต่างๆ ก็ไม่อาจทําเพียงคนเดียวได้ จําเป็ นทีจะต้องอาศัยความร่วมมือ ร่วมแรงร่วมใจจาก<br />
หลายๆ ฝ่ าย ต้องอาศัยหลักมนุษยสัมพันธ์ในการอยู ่ร่วมกันในสังคม ในการทํางานต่างๆ ให้<br />
ประสบความสําเร็จ มีความราบรืน เกิดความรักความสามัคคี ซึ งจะเป็ นผลดีต่อการพัฒนาความ<br />
เจริญก้าวหน้าต่อตนเอง และต่อหน่วยงานหรือองค์การ ฉะนั นผู้บริหารหรือหัวหน้างานทีหวัง<br />
ความสําเร็จและมีความก้าวหน้าจะต้องตระหนักและให้ความสําคัญ รวมทั งต้องพยายามศึกษา หลัก<br />
มนุษยสัมพันธ์ในการทํางาน ตลอดจนทฤษฎีต่างๆ ทีเกียวข้อง เพือนําไปประยุกต์ใช้ในการทํางาน<br />
การบริหารงาน และการดํารงชีวิตอย่างมีความสุขต่อไป
่<br />
๒๗<br />
จากการศึกษาค้นคว้าและการวิจัยของนักวิชาการทางด้านมนุษยสัมพันธ์ ได้พบว่า<br />
การใช้อํานาจไม่เป็ นผลดีต่อการบริหารงาน และยังได้ค้นพบอีกว่า ในบางครั งแม้แต่เงินก็ยังไม่<br />
สามารถจะซื อความร่วมมือร่วมใจ และความจงรักภักดีของคนได้ ผู้ทีหวังความสําเร็จและมี<br />
ความก้าวหน้าในการทํางานจะต้องตระหนักและให้ความสําคัญ รวมทั งต้องพยายามศึกษาหลัก<br />
มนุษยสัมพันธ์ ทฤษฎีต่างๆ เพือนําไปประยุกต์ใช้ในการทํางาน การบริหารงาน และการดํารงชีวิต<br />
อย่างมีความสุขต่อไป<br />
งานวิจัยทีเกียวข้อง<br />
ผู้วิจัยได้ศึกษางานวิจัยทีเกียวข้องกับแรงจูงใจในการทํางานทั งในส่วนงานราชการ<br />
พลเรือนและงานราชการทหาร รวมทั งได้ศึกษางานวิจัยทีเกียวข้องกับกระบวนการคัดเลือกบุคคล<br />
เข้ามาเป็ นนักเรียนนายสิบทหารบก ดังนี<br />
นายโสภณ พงค์สุพพัต (๒๕๔๖) ได้ศึกษาวิจัยเรือง “ แรงจูงใจในการทํางานของ<br />
บุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี” การวิจัยครั งนี มีวัตถุประสงค์ เพือทราบระดับ<br />
แรงจูงใจในการทํางานของบุคลากร<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุ ราษฎร์ธานี และเพือเปรี ยบเทียบแรงจูงใจในการทํางานของบุคลากร<br />
มหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ตามปัจจัยพื นฐานส่วนบุคคล ได้แก่ เพศ อายุ ระดับการศึกษา<br />
สถานภาพ รายได้/เดือน และตําแหน่งงาน ประชากรทีใช้ในการวิจัยครั งนี ได้แก่ บุคลากรที<br />
ปฏิบัติงานประจําในมหาวิทยาลัยราชภัฏสุราษฎร์ธานี ประกอบด้วย ข้าราชการครู อาจารย์ประจํา<br />
ตามสัญญาจ้าง ข้าราชการพลเรือน ลูกจ้างประจํา และพนักงานตามสัญญาจ้าง จํานวน ๓๘๕ คน<br />
การศึกษาครั งนี คํานวณกลุ่มตัวอย่างด้วยวิธีของ Taro Yamane ได้กลุ่มตัวอย่าง ๒๑๗ คน เครืองมือ<br />
ทีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถามวัดแรงจูงใจการทํางาน จํานวน ๕๐ ข้อ และแบบสอบถาม<br />
ได้รับการตอบรับกลับคืนมาครบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ การวิเคราะห์ข้อมูลโดยใช้โปรแกรมสําเร็จรูป<br />
SPSS เพือหาค่าร้อยละ ค่าเฉลีย ค่าเบียงเบนมาตรฐาน สถิติ t-test และวิเคราะห์ความแปรปรวนแบบ<br />
ทางเดียว (ANOVA) และการทดสอบแบบ Scheffe ผลการวิจัยปรากฎ ดังนี<br />
๑. แรงจูงใจในการทํางานของบุคลากรมหาวิทยาลัยราชภักสุราษฎร์ธานีโดยรวมอยู<br />
ในระดับปานกลาง เรี ยงลําดับจากมากไปหาน้อย คือ ด้านความสําเร็ จในการทํางาน ด้าน<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างบุคลากรในหน่วยงาน ด้านการควบคุมบังคับบัญชา ด้านการยอมรับนับถือ<br />
ด้านสภาพแวดล้อมในการทํางาน ด้านความรับผิดชอบหรือลักษณะงานทีปฏิบัติ ด้านนโยบายและ
๒๘<br />
การบริหารงาน ด้านความมั นคงในการทํางาน ด้านความก้าวหน้าในตําแหน่งหน้าทีการงาน และ<br />
ด้านรายได้และสวัสดิการ ตามลําดับ<br />
๒. การเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการทํางานของบุคลากรของมหาวิทยาลัย<br />
ราชภัฏสุราษฎร์ธานี จําแนกตามเพศ เมือพิจารณาโดยรวม แรงจูงใจในการทํางานอยู ่ในระดับ<br />
ปานกลาง มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสําคัญทางสถิติทีระดับ ๐.๐๕ หรือไม่แตกต่างกัน<br />
๓. การเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการทํางานของบุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏ<br />
สุราษฎร์ธานี จําแนกตามอายุ เมือพิจารณาโดยรวมแล้วแรงจูงใจในการทํางานอยู ่ในระดับปานกลาง<br />
มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสําคัญทางสถิตทีระดับ ๐.๐๕ หรือไม่แตกต่างกัน แต่เมือพิจารณา<br />
เป็ นรายด้านพบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสําคัญทางสถิติทีระดับ ๐.๐๕ ในด้านความมั นคงใน<br />
งาน และด้านเงินเดือนและสวัสดิการ พบว่า ผู้ทีมีอายุ ๕๑- ๖๐ ปี มีระดับแรงจูงใจในการทํางาน<br />
มากกว่าผู้ทีมีช่วงอายุอืน ๆ ส่วนด้านสภาพแวดล้อมในการทํางาน พบว่า ผู้ทีมีอายุ ๓๑- ๔๐ ปี มี<br />
ระดับแรงจูงใจในการทํางานมากกว่าผู้ทีมีอายุอืน ๆ<br />
๔. การเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการทํางานของบุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏ<br />
สุราษฎร์ธานี จําแนกตามระดับการศึกษา เมือพิจารณาโดยรวมแล้วแรงจูงใจในการทํางานอยู ่ใน<br />
ระดับปานกลาง มีความแตกต่างกันอย่างไม่มีนัยสําคัญทางสถิติทีระดับ ๐.๐๕ ในด้านความสําเร็จใน<br />
การทํางาน ซึ งพบว่า ผู้ทีระดับการศึกษาอนุปริญญา มีระดับแรงจูงใจในการทํางานมากกว่าระดับ<br />
การศึกษาอืน ๆ<br />
๕. การเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการทํางานของบุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏ<br />
สุราษฎร์ธานี จําแนกตามสถานภาพ เมือพิจารณาโดยรวมแล้วพบว่า มีความแตกต่างกันอย่างมี<br />
นัยสําคัญทางสถิติทีระดับ ๐.๐๕ พบว่า ผู้ทีมีสถานภาพสมรส มีระดับแรงจูงในการทํางานมากกว่าผู้<br />
ทีมีสถานภาพโสด ในด้านความสําเร็จในการทํางาน ด้านความรับผิดชอบหรือลักษณะงานทีปฏิบัติ<br />
ด้านความมั นคงในการทํางาน ด้านรายได้และสวัสดิการ และด้านสภาพแวดล้อมในการทํางาน<br />
๖. การเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการทํางานของบุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏ<br />
สุราษฎร์ธานี จําแนกตามรายได้ต่อเดือน เมือพิจารณาโดยรวมแล้วพบว่า มีความแตกต่างกันอย่างไม่<br />
มีนัยสําคัญทางสถิติทีระดับ ๐.๐๕ และเมือพิจารณารายด้าน พบว่าด้านทีมีความแตกต่างกันอย่างมี<br />
นัยสําคัญทางสถิติทีระดับ ๐.๐๕ คือ ด้านรายได้และสวัสดิการ โดยเฉพาะผู้ทีมีรายได้ต่อเดือน<br />
มากกว่า 20,000 บาทขึ นไป มีระดับแรงจูงใจในการทํางานสูงกว่าผู้ทีมีรายได้ต่อเดือนตํ า<br />
๗. การเปรียบเทียบระดับแรงจูงใจในการทํางานของบุคลากรมหาวิทยาลัยราชภัฏ
๒๙<br />
สุราษฎร์ธานี จําแนกตามตําแหน่งงาน พิจารณาโดยรวมแล้วพบว่า มีความแตกต่างกันอย่างไม่มี<br />
นัยสําคัญทางสถิติทีระดับ ๐.๐๕ และเมือพิจารณารายด้าน พบว่าด้านทีมีความแตกต่างกันอย่างมี<br />
นัยสําคัญทางสถิติทีระดับ ๐.๐๕ คือ ด้านความสําเร็จในการทํางาน ด้านความรับผิดชอบหรื อ<br />
ลักษณะงานทีปฏิบัติ ด้านความก้าวหน้าในงาน พบว่า ผู้ทีมีตําแหน่งงานเป็ นข้าราชการพลเรือน มี<br />
ระดับแรงจูงใจในการทํางานสูงกว่าผู้ทีมีตําแหน่งงานพนักงานตามสัญญาจ้าง ลูกจ้างประจํา และ<br />
อาจารย์ประจําตามสัญญาจ้าง ส่วนตําแหน่งอาจารย์ประจํา มีระดับแรงจูงใจในการทํางานสูงกว่า ผู้ที<br />
มีตําแหน่งงานพนักงานตามสัญญาจ้างและอาจารย์ประจําตามสัญญาจ้าง ด้านรายได้และสวัสดิการ<br />
พบว่า ผู้ทีมีตําแหน่งงานเป็ นอาจารย์ประจํา มีระดับแรงจูงใจในการทํางานสูงกว่าตําแหน่งอืน ๆ<br />
และด้านสภาพแวดล้อมในการทํางาน พบว่า ผู้ทีมีตําแหน่งงานเป็ นข้าราชการพลเรื อนมีระดับ<br />
แรงจูงใจในการทํางานสูงกว่าตําแหน่งอืน ๆ<br />
พันโท ทวี หวังพัฒน์ (๒๕๔๐) ได้ศึกษาวิจัยเรือง “ปัจจัยทีมีอิทธิพลต่อความพึง<br />
พอใจในการปฏิบัติงานของนายทหารประทวน: ศึกษาเฉพาะกรณีกรมพลาธิการทหารบก” การวิจัย<br />
ครั งนี มีวัตถุประสงค์<br />
๑. เพือศึกษาระดับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของนายทหารประทวนใน<br />
หน่วย กรมพลาธิการทหารบก<br />
๒. เพือศึกษาปัจจัยทีมีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการปฏิบัติงาน ของ<br />
นายทหารประทวนในหน่วยกรมพลาธิการทหารบก<br />
ขอบเขตของการวิจัย ทําการศึกษาวิจัยข้อมูลความพึงพอใจจากกําลังพลใน<br />
หน่วยกรมพลาธิการทหารบกเฉพาะกําลังพลนายทหารประทวน ยศ สิบตรี ถึง จ่าสิบเอก โดยทํา<br />
การสุ่มตัวอย่างในกลุ่มประชากรของหน่วย กรมพลาธิการทหารบก จากกําลังพลทั งสิน ๘๓๐คน<br />
และทําการคํานวณหาขนาดตัวอย่างได้ จํานวน ๒๗๐ คน ช่วงเดือน เมษายน - สิงหาคม ๒๕๔๖<br />
ผู้วิจัยใช้แบบสอบถามในการเก็บรวบรวมข้อมูล ซึ งได้ส่งแบบสอบถามจํานวนทั งสิน ๓๐๐ ฉบับ<br />
และได้แบบสอบถามกลับคืนมา จํานวน ๒๘๔ ฉบับ แล้วนําข้อมูลทีได้จากแบบสอบถามมา<br />
ทดสอบสมมติฐาน โดยการวิเคราะห์ข้อมูลด้วยโปรแกรมสําเร็จรูปทางสังคมศาสตร์ ในการหา<br />
ค่าความถี ค่าร้อยละ ค่าเฉลียเลขคณิต ส่วนเบียงเบนมาตรฐาน การทดสอบค่าที (t-test) การ<br />
วิเคราะห์ความแปรปรวนทางเดียว (one-way ANOVA) และการวิเคราะห์ถดถอยพหุ (multiple<br />
regression analysis)<br />
ผลการวิจัย พบว่า นายทหารประทวนส่วนใหญ่เป็ นเพศชาย มีอายุอยู ่ระหว่าง<br />
๔๐- ๔๙ ปี วุฒิการศึกษาระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย แต่งงานแล้ว ครองยศในอัตรา จ่าสิบ
๓๐<br />
ตรี - จ่าสิบเอก รับเงินเดือนในช่วง ๕,๐๐๑ – ๙,๙๙๙ บาท มีอายุราชการ ๑๐- ๑๙ ปี กําเนิดจาก<br />
นักเรียนนายสิบ พักอาศัยอยู ่ในบ้านพักสวัสดิการ ทีทางราชการจัดให้ และส่วนใหญ่ไม่มีอาชีพ<br />
เสริม ระดับปัจจัยทีมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในการปฏิบัติงานของนายทหารประทวนในด้าน<br />
ต่าง ๆ คือ การบังคับบัญชา สิ งตอบแทน ความก้าวหน้า ความผูกพันต่อหน่วยงาน และ<br />
สภาพแวดล้อมในการทํางาน หัวข้อทีมีความพึงพอใจในระดับสูง พบว่า ในด้านการบังคับบัญชา<br />
เมือมีปัญหานายทหารประทวนสามารถขอคําแนะนําปรึกษาจากผู้บังคับบัญชาได้ตลอดเวลาทั งเรือง<br />
ส่วนตัวและเรืองงาน ด้านสิ งตอบแทน เมือมีการเจ็บป่ วยเกิดขึ น กําลังพลและครอบครัวได้รับการ<br />
ช่วยเหลือในเรื องการรักษาพยาบาลเป็ นอย่างดี ด้านความก้าวหน้า ผู้บังคับบัญชาส่งเสริ มให้<br />
ผู้ใต้บังคับบัญชา ศึกษาหาความรู้เพิ มเติมหรือเข้าฝึ กอบรม ด้านความผูกพันต่อหน่วยงาน กลุ่ม<br />
ตัวอย่าง คิดว่าหน่วยงานทีปฏิบัติงานอยู ่มีเกียรติมีศักดิ ศรี มีชือเสียงเป็ นทียอมรับของผู้บังคับบัญชา<br />
โดยจะไม่ยอมให้ผู้ใดกระทําความผิดจนเกิดความเสือมเสียแก่หน่วยงาน สภาพแวดล้อมในการ<br />
ทํางาน บรรยากาศของการทํางานในหน่วยงานมีความเป็ นมิตร และเอื ออารีต่อกัน<br />
จากการวิจัยกลุ่มตัวอย่างในภาพรวม เมือพิจารณาปัจจัยทีมีอิทธิพลต่อความพึง<br />
พอใจในการปฏิบัติงาน ทั ง ๕ ตัวแปร คือ การบังคับบัญชา สิ งตอบแทน ความก้าวหน้า ความ<br />
ผูกพันต่อหน่วยงาน และสภาพแวดล้อมในการทํางาน พบว่า ปัจจัยทีมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจ มี<br />
๓ ตัวแปร ทีอยู ่ในเกณฑ์สูง คือ ตัวแปรการบังคับบัญชา ความก้าวหน้า และความผูกพันต่อ<br />
หน่วยงาน และปัจจัยทีมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจ อยู่ในเกณฑ์ปานกลาง ๒ ตัวแปร คือ สิ งตอบ<br />
แทน และสภาพแวดล้อมในการทํางาน เมือพิจารณาปัจจัยทีมีอิทธิพลต่อความพึงพอใจในการ<br />
ปฏิบัติงานทั ง ๕ ตัวแปร ในภาพรวมมีระดับความพึงพอใจ ระดับปานกลาง และเมือพิจารณา<br />
ความพึงพอใจในการปฏิบัติงานซึ งเป็ นตัวแปรตาม อยู ่ในระดับปานกลาง โดยแบ่งเป็ นรายด้าน<br />
คือ ด้านสถานภาพ อยู ่ในระดับปานกลาง และด้านจิตใจ อยู ่ในระดับปานกลาง<br />
ด้านความสัมพันธ์ระหว่างปัจจัยทีมีอิทธิพลในการปฏิบัติงานกับความพึงพอใจใน<br />
การปฏิบัติงาน จากการวิจัย พบว่า การวิเคราะห์ถดถอยเพือหาปัจจัยทีมีความสัมพันธ์กับความพึง<br />
พอใจในการปฏิบัติงานของนายทหารประทวน ในด้านการบังคับบัญชา สิ งตอบแทน<br />
ความก้าวหน้า ความผูกพันต่อหน่วยงานและสภาพแวดล้อมในการทํางาน มีความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
ตัวแปรอิสระอย่างน้อย ๑ ตัว กับตัวแปรตาม อย่างมีนัยสําคัญทางสถิติทีระดับ ๐.๐๕ โดยการ<br />
บังคับบัญชามีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจในการปฏิบัติงานด้านลบ แสดงว่าไม่มีความพึงพอใจ<br />
ในการปฏิบัติงาน หมายความว่าลักษณะการควบคุมงาน หรือการควบคุมบังคับบัญชา พฤติกรรม<br />
ในการควบคุมของผู้บังคับบัญชา หรื อหัวหน้างาน มีความสัมพันธ์กับความพึงพอใจ ในการ
๓๑<br />
ปฏิบัติงานของนายทหารประทวน เช่น ผู้บังคับบัญชาไม่เป็ นกันเอง และไม่ให้ความสนใจ<br />
ผู้ใต้บังคับบัญชา โดยเท่าเทียมกัน ผู้บังคับบัญชาลงโทษผู้ใต้บังคับบัญชาด้วยอารมณ์ หรือหลอก<br />
ให้ผู้ใต้บังคับบัญชา ทํางานเพือผลประโยชน์ส่วนตัว เป็ นต้น ซึ งสิ งเหล่านี มักสร้างความไม่พึง<br />
พอใจในการปฏิบัติงาน ของคนทํางานอยู ่เสมอ ตามแนวความคิดของ กิลเมอร์ (๑๙๗๓ : ๒๘๐) ที<br />
กล่าวว่า “การบังคับบัญชามีส่วนทําให้เกิดความพึงพอใจในงาน” ผู้ใต้บังคับบัญชาสามารถ<br />
ปฏิบัติงานได้ดี เมือมีความเป็ นอิสระในการกระทําสิ งต่าง ๆ ดังนั นหากไม่มีการกําหนดขอบเขต<br />
ของงานทีชัดเจนระหว่างผู้บังคับบัญชา และผู้ใต้บังคับบัญชาแล้ว ผู้ใต้บังคับบัญชาจะไม่มีความ<br />
เป็ นอิสระในการกระทําสิ งต่าง ๆ ทําให้มีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานลดลง<br />
ส่วนสิ งตอบแทน ความก้าวหน้า ความผูกพันต่อหน่วยงาน และสภาพแวดล้อมใน<br />
การทํางาน มีความพึงพอใจในการปฏิบัติงานด้านบวก แสดงว่ามีความพึงพอใจในการ<br />
ปฏิบัติงานหมายความว่าโอกาสก้าวหน้าในงาน การมีโอกาสเลือนตําแหน่งทีสูงขึ น การมีโอกาส<br />
ศึกษาหาความรู้เพิ มเติม หรือได้รับการฝึ กอบรม ได้รับสิ งตอบแทนจากความสามารถในงานทีทํา<br />
รายได้เหมาะสมกับงานทีทํา หน่วยงานมีสวัสดิการเพียงพอ มีบ้านพักอาศัย ได้รับการดูแลเมือมี<br />
การเจ็บป่ วย ผลการพิจารณาบําเหน็จเป็ นทีพอใจของกําลังพล ความผูกพันต่อหน่วยงาน คือมี<br />
ความภูมิใจในการทํางานหน่วยงานนี มีความรักความผูกพันทําให้มีความสุข ทําให้รู้สึกยินดี มี<br />
ความคุ้นเคยเข้าใจ มีการติดต่อสัมพันธ์กับบุคคลอืนอย่างแนบสนิท และสภาพแวดล้อมในการ<br />
ทํางาน เครืองมือเครืองใช้ในการทํางาน และวัตถุสิ งของต่าง ๆ ทีเกียวข้องกับบุคลากร โดยอยู ่ใน<br />
สภาพทีพอใจของทุกคน<br />
พันเอก เดชา เดชะชาติ (๒๕๔๕) ได้ศึกษาวิจัยเรือง “การศึกษาเปรียบเทียบ<br />
ประสิทธิภาพการฝึ ก-ศึกษาของนักเรียนนายสิบทหารบก หลักสูตร ๑ ปี รุ่นปี ๒๕๔๕ ทีมาจากพล<br />
เรือน และทหารกองประจําการ” การวิจัยครั งนี มีวัตถุประสงค์<br />
๑. เพือศึกษาประสิทธิภาพทางการฝึ ก – ศึกษาของนักเรียนนายสิบทหารบก<br />
หลักสูตร ๑ ปี ทีมาจากบุคคลพลเรือนและทหารกองประจําการ<br />
๒. เพือ ศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพทางการฝึ ก - ศึกษาของนัก เรียนนายสิบ<br />
ทหารบก หลักสูตร ๑ ปี ทีมาจากบุคคลพลเรือนและทหารกองประจําการ<br />
ขอบเขตของการวิจัย<br />
๑. ประชากรทีทําการศึกษาเป็ นกลุ่มประชากรตัวอย่าง คือ นักเรียนนายสิบทหารบก<br />
คร-◌ู อาจารย์ และครูฝึ ก
๓๒<br />
๒. ผู้วิจัยจะทําการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพทางการฝึ ก - ศึกษาของนักเรียน<br />
นายสิบทหารบก โดยเก็บข้อมลูจากนัก เรียนนายสิบทหารบกและอาจารย์ผู้สอน ในด้านปัจจัยส่วน<br />
บุคคล ด้านคุณลักษณะและความสามารถในการฝึ ก- ศึกษา<br />
วิธีดําเนินการวิจัย เป็ นการวิจัยแบบเชิงปริมาณ ประชากรทีใช้ในการวิจัย คือ<br />
นักเรียนนายสิบทหารบก หลักสูตร ๑ ปี รุ่น พ.ศ. ๒๕๔๕ จํานวน ๒๐๐ คน (๑๐๐ นายจากบุคคลพล<br />
เรือน และ ๑๐๐ นายจากทหารกองประจําการ) อาจารย์ผู้สอน จํานวน ๑๐๐ คน ตัวแปรทีศึกษา ตัว<br />
แปรต้น ได้แก่ ทีมาของนักเรียนนายสิบ จากทหารกองประจําการ และบุคคลพลเรือน ตัวแปรตาม<br />
คือ ประสิทธิภาพในการฝึ ก- ศึกษา ในด้านคุณลักษณะ และความสามารถในการฝึ ก- ศึกษาเครืองมือ<br />
ทีใช้ในการวิจัย ได้แก่ แบบสอบถาม ๒ ชุด ชุดแรก สําหรับอาจารย์ ชุดทีสอง สําหรับนักเรียนนาย<br />
สิบทหารบก การวิเคราะห์ข้อมูล โดยวิธีทางสถิติ ด้วยค่าร้อยละ เพือ บรรยายลักษณะทั วไปของ<br />
ข้อมูล ใช้ค่าฉลียเป็ นการแยกประเภทและแปลความหมาย และใช้ค่าเบียงเบนมาตรฐานควบคู่กับ<br />
ค่าเฉลียเพือแสดงลักษณะการกระจายของข้อมูล<br />
ผลการวิจัย จากการวิจัยประสิทธิภาพของนักเรียนนายสิบทีมาจากบุคคลพลเรือน<br />
และทหารกองประจําการ หลักสูตร ๑ ปี รุ่นปี พ.ศ.๒๕๔๕ ได้ผลการวิจัยดังนี<br />
๑. นักเรียนนายสิบทีมาจากบุคคลพลเรือนและทหารกองประจําการมีประสิทธิภาพ<br />
ทางการฝึ ก- ศึกษาโดยรวมอยู ่ในระดับดี<br />
๒. ประสิทธิภาพทางการฝึ ก-ศึกษาของนักเรียนนายสิบทีมาจากบุคคลพลเรือนและ<br />
ทหารกองประจําการ มีประสิทธภาพโดยรวมอยู ่ในระดับทีไม่ต่างกัน<br />
๓. นักเรียนนายสิบทีมาจากบุคคลพลเรือนและทหารกองประจําการทีมีปัจจัยส่วน<br />
บุคคลแตกต่างกันเมือมาเข้ารับการฝึ ก-ศึกษาร่วมกัน จะมีประสิทธิภาพทางการฝึ ก - ศึกษาโดยรวม<br />
อยู่ในระดับดีไม่ต่างกัน<br />
ข้อเสนอแนะ จากการศึกษาเปรียบเทียบประสิทธิภาพการฝึ ก-ศึกษาของนักเรียน<br />
นายสิบทหารบก หลักสูตร ๑ ปี รุ่นปี พ.ศ.๒๕๔๕ ทีมาจากบุคคลพลเรือนและทหารกองประจําการ<br />
สามารถนําไปใช้เป็ นข้อมูลในการกําหนดคุณสมบัติของบุคคลในการคัดเลือกเข้าเป็ นนักเรียนนาย<br />
สิบทหารบกต่อไป ดังนี<br />
๑. กองทัพบกควรมีนโยบายในการกําหนดคุณสมบัติของบุคคลทีจะรับการ<br />
คัดเลือกเข้าเป็ นนักเรียนนายสิบทหารบก ทีจะส่งผลให้ได้นักเรียนนายสิบทหารบกทีมีความรู้<br />
ความสามารถในการฝึ ก - ศึกษาเพือให้ได้นายสิบทหารบกมีคุณภาพทีดี
่<br />
๓๓<br />
๒. บุคคลทีจะเข้ามาเป็ นนักเรียนนายสิบทหารบก สามารถคัดเลือกจากทหารกอง<br />
ประจําการได้ทั งหมด เนืองจากผลการวิจัยเห็นว่า นักเรียนนายสิบทีมาจากบุคคลพลเรือนและทหาร<br />
กองประจําการมีประสิทธิภาพในการฝึ ก-ศึกษาโดยรวมไม่ต่างกัน การรับนักเรียนนายสิบจากทหาร<br />
กองประจําการเป็ นการเพิ มยอดการรับนักเรียนนายสิบในส่วนของทหารกองประจําการ เพิม<br />
แรงจูงใจในการสมัครเข้ามาเป็ นทหาร รวมถึง การสร้างจิตสํานึกในการเป็ นพลทหารทีดีเพือจะ<br />
ได้รับการคัดเลือกมาเป็ นนายสิบทีดีต่อไป<br />
๓. จากการศึกษาประสิทธิภาพการฝึ ก - ศึกษาของนักเรียนนายสิบทหารบกในครั ง<br />
นี ทําให้เห็นว่าควรมีการศึกษาติดตามการปฏิบัติตนของนักเรียนนายสิบอย่างต่อเนือง เพือนําไปสู<br />
การพัฒนาและปรับปรุงหลักสูตรนักเรียนนายสิบอย่างเป็ นระบบ รวมทั งจะเป็ นการประเมินคุณภาพ<br />
การฝึ ก -ศึกษาอย่างเหมาะสมอีกด้วย
บทที ๓<br />
วิธีดําเนินการวิจัย<br />
วิธีทีใช้ในการวิจัย<br />
๑. ผู้วิจัยใช้การวิจัยเชิงคุณภาพ โดยการรวบรวมข้อมูลจากเอกสารทีเกียวข้องกับ<br />
หลักสูตรนักเรียนนายสิบทหารบก หลักสูตร ๑ ปี และเอกสารข้อมูลทีเกียวข้องกับการเลือกรับ<br />
ราชการในหน่วยของกองทัพบกของนักเรียนนายสิบ รวมทั งการสัมภาษณ์ ครู อาจารย์และบุคลากร<br />
ทีเกียวข้องกับหลักสูตรและการเลือกรับราชการ ตลอดจนประสบการณ์ของผู้วิจัยเองทีมีตําแหน่ง<br />
เป็ นหัวหน้าแผนกเตรียมการของโรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่<br />
๒. การรวบรวมข้อมูลของการวิจัย สามารถรวบรวมข้อมูลได้จาก กรมนักเรียน<br />
โรงเรียนทหารปื นใหญ่ กองกําลังพลของศูนย์การทหารปื นใหญ่ แบบสอบถามนักเรียนนายสิบ<br />
ทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่และการสัมภาษณ์นักเรียนนายสิบ ครู อาจารย์ บุคลากรทีเกียวข้องกับ<br />
กระบวนการเลือกหน่วยรับราชการของนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่<br />
แหล่งข้อมูล<br />
ผู้วิจัยค้นคว้าข้อมูลจากห้องสมุดวิทยาลัยเสนาธิการทหารสถาบันป้ องกันประเทศ ค้น<br />
หาทางอินเตอร์เน็ท แผนกเตรียมการโรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ สัมภาษณ์ ครู<br />
อาจารย์ และบุคลากรของโรงเรียนทหารปื นใหญ่ และศูนย์การทหารปื นใหญ่ รวมทั งข้อมูลทีได้<br />
จากแบบสอบถามนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ จํานวน ๑๐๓<br />
นาย<br />
เครืองมือทีใช้รวบรวมข้อมูล<br />
ประเภทของข้อมูลและแหล่งข้อมูล แบ่งได้ดังนี
๓๕<br />
๑. แหล่งข้อมูลทีเป็ นข้อมูลปฐมภูมิ ใช้การสัมภาษณ์นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่า<br />
ทหารปื นใหญ่ ครู อาจารย์ และบุคลากรทีเกียวข้องกับกระบวนการดําเนินกรรมวิธีเลือกหน่วยใน<br />
การรับราชการของนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ และทําการบันทึกข้อมูลไว้ รวมทั ง<br />
ข้อมูลทีได้จากการตอบแบบสอบถามความคิดเห็นของนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่<br />
รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ จํานวน ๑๐๓ นาย ซึ งถือว่าเป็ นข้อมูลทีเป็ นปัจจุบันมากทีสุด และนําไปใช้ใน<br />
การตรวจสอบยืนยันความน่าเชือถือของข้อมูลกับข้อมูลอืนทีรวบรวมได้<br />
๒. แหล่งข้อมูลทีเป็ นข้อมูลทุติยภูมิ ใช้ค้นคว้าสํารวจเอกสารทีเกียวข้องทั งทฤษฎีและ<br />
ข้อมูลทีเกียวกับการดําเนินกรรมวิธีเลือกหน่วย ในการรับราชการนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่า<br />
ทหารปื นใหญ่ ซึ งข้อมูลจากเอกสารต่างๆ นั นก็ได้รับความอนุเคราะห์ด้วยดีจากเจ้าหน้าทีของหน่วย<br />
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูลและการจัดเตรียมข้อมูลเพือการวิเคราะห์<br />
๑. วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
ก. ค้นคว้าด้วยตนเองจากเอกสาร และรายงานต่างๆ จากแหล่งข้อมูล<br />
ข. ขอรับการสนับสนุนจากหน่วยงานทีเกียวข้อง เช่น กรมนักเรียน แผนก<br />
เตรียมการโรงเรียนทหารปื นใหญ่ กองกําลังพล ศูนย์การทหารปื นใหญ่<br />
ค. ผู้วิจัยเคยเป็ นอาจารย์โรงเรียนทหารปื นใหญ่ และปัจจุบันเป็ นหัวหน้าแผนก<br />
เตรียมการโรงเรียนทหารปื นใหญ่ จึงรวบรวมข้อมูลได้ด้วยตนเอง<br />
ง. การสัมภาษณ์นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ ครู อาจารย์ และ<br />
บุคลากรทีเกียวข้องและบันทึกไว้<br />
๒. การประมวลผลข้อมูล การจัดเตรียมข้อมูลเพือการวิเคราะห์<br />
ข้อมูลทีรวบรวมได้จากวิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล ผู้วิจัยได้ดําเนินการตรวจสอบ<br />
ความน่าเชือถือกับเอกสารทางวิชาการต่างๆ และได้ข้อมูลทีเป็ นจริง เป็ นปัจจุบัน ถูกต้องเชือถือได้<br />
ผู้วิจัยจัดระเบียบข้อมูลเพือนําไปวิเคราะห์ในบทที ๔ และสรุปผลการวิจัยพร้อมเสนอแนะในบทที<br />
๕ การวิเคราะห์ข้อมูลมีดังนี<br />
ก. การประเมินค่าข้อมูล (EVALUATION)<br />
ข้อมูลจากเอกสารตําราต่างๆ ผู้วิจัยได้ประเมินค่าความน่าเชือถือโดย<br />
ศึกษาจากหน่วยงานทีจัดทําและผู้แต่งตํารา ซึ งเป็ นตําราทีใช้ศึกษาในสถาบันการศึกษาจริง และ
๓๖<br />
ข้อมูลจากเอกสารของหน่วยงานเป็ นสถิติจริงทีถูกต้องเชือถือได้ ข้อมูลทีได้จากการสัมภาษณ์ ครู<br />
อาจารย์ และบุคลากรทีเกียวข้องเป็ นข้อมูลจากผู้ทีมีคุณวุฒิเป็ นทีเชือถือได้ ตลอดจนแบบสอบถาม<br />
นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ทําให้ทราบความคิดเห็นทีเป็ นปัจจุบัน<br />
ข. การตีความข้อมูล (INTERPRETATION)<br />
ผู้วิจัยใช้ความรู้ทางวิชาการทางด้านพฤติกรรมและสังคมจิตวิทยาตลอดจน<br />
ประสบการณ์ในการทํางานด้านการศึกษาตีความข้อมูลทั งจากเอกสารตําราและการสัมภาษณ์<br />
ค. การวิเคราะห์ข้อมูล (ANALYSIS)<br />
ทําการแยกประเภทข้อมูลทีได้จากเอกสาร ตํารา และสัมภาษณ์ ทําการแยก<br />
ประเภทเป็ นเรืองๆ ทีสัมพันธ์ตามลําดับเหตุการณ์ทําการวิเคราะห์ด้วยพื นฐานความเป็ นกลางตาม<br />
ข้อมูลทีปรากฏโดยไม่ได้ใช้ความเป็ นส่วนตัวเข้าไปในกระบวนการวิเคราะห์ข้อมูล<br />
ง. การลงความเห็น (GENERALIZATION)<br />
ผู้วิจัยสรุปเพือตอบคําถามการวิจัยและเสนอแนวความเห็นของผู้วิจัย เพือเป็ น<br />
ประโยชน์ต่อคณะกรรมการดําเนินกรรมวิธีเลือกหน่วย ในการรับราชการของนักเรียนนายสิบเหล่า<br />
ทหารปื นใหญ่ ซึ งจะส่งผลถึงประสิ ทธิภาพและประสิ ทธิผลในการทํางานของกําลังพลของ<br />
กองทัพบกต่อไป การลงความเห็นของผู้วิจัยใช้พื นฐานของหลักวิชาทางด้านจิตวิทยาจากการ<br />
ประเมินค่าข้อมูล การตีความและวิเคราะห์ข้อมูลเป็ นสําคัญ
บทที ๔<br />
ข้อมูลและการวิเคราะห์<br />
ข้อมูล<br />
๑. ผู้วิจัยได้ออกแบบสอบถามเพือการวิจัย เรือง แรงจูงใจทีมีผลกระทบต่อนักเรียน<br />
นายสิบทหารบกในการเลือกรับราชการในหน่วยของกองทัพบก เพือต้องการทราบข้อมูลเกียวกับ<br />
ข้อมูลส่วนบุคคล ความคิดเห็นของนักเรียนนายสิบทหารบกเรืองลักษณะของหน่วยทีต้องการและ<br />
กรรมวิธีในการเลือกหน่วย เพือให้สามารถตรงกับความต้องการและขีดความสามารถของนักเรียน<br />
นายสิ บทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่มากทีสุ ด เท่าทีจะเป็ นไปได้ รวมทั งเพือต้องการทราบ<br />
ข้อเสนอแนะต่างๆของ นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ เกียวกับการดําเนินกรรมวิธี<br />
เลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ โดยได้ทําการแจกให้แก่นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่<br />
รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ จํานวน ๑๐๓ นาย ซึ งจะสําเร็จการศึกษาและดําเนินการเลือกหน่วยเพือเข้ารับ<br />
ราชการภายใน ๓๐ เมษายน พ.ศ. ๒๕๕๒<br />
๒. ข้อมูลอีกส่วนได้จากการสัมภาษณ์ครู อาจารย์ และบุคลากรทีเกียวข้องและ<br />
บันทึกไว้เพือนํามาดําเนินการวิเคราะห์ร่วมกับข้อมูลอืน โดยต้องการทราบเกียวกับข้อมูลส่วน<br />
บุคคล ความคิดเห็นเกียวกรรมวิธีในการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการของนักเรียนนายสิบทหารบก<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่ในปัจจุบัน รวมทั งข้อเสนอแนะต่างๆ<br />
๓. ผู้วิจัยเคยเป็ นอาจารย์โรงเรียนทหารปื นใหญ่ และปัจจุบันเป็ นหัวหน้าแผนก<br />
เตรียมการโรงเรียนทหารปื นใหญ่ จึงสามารถรวบรวมข้อมูลได้จากประสบการณ์ของตนเองทีเคย<br />
เข้าร่ วมดําเนินกรรมวิธีในการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการของนักเรี ยนนายสิ บทหารบก<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล
๓๘<br />
๑. จากแบบสอบถามทีผู้วิจัยได้ทําการแจกให้แก่นักเรี ยนนายสิบทหารบกเหล่า<br />
ทหารปื นใหญ่ รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ จํานวน ๑๐๓ นาย นั น ผู้วิจัยได้รับการตอบแบบสอบถามกลับมา<br />
จํานวน ๑๐๒ ชุด ซึ งก็คือเกือบ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ (๙๙ เปอร์เซ็นต์) สามารถสรุปข้อมูลจากการตอบ<br />
แบบสอบถามได้ดังนี<br />
ก. อายุนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑<br />
๑) อายุ ๑๘ ปี ๒ นาย<br />
๒) อายุ ๑๙ ปี ๒๘ นาย<br />
๓) อายุ ๒๐ ปี ๒๔ นาย<br />
๔) อายุ ๒๑ ปี ๑๔ นาย<br />
๕) อายุ ๒๒ ปี ๑๐ นาย<br />
๖) อายุ ๒๓ ปี ๑๓ นาย<br />
๗) อายุ ๒๔ ปี ๑๑ นาย<br />
ข. วุฒิการศึกษาทางพลเรื อนสูงสุดก่อนเข้ารับการศึกษาทีโรงเรียนนายสิบ<br />
ทหารบกและสถานศึกษาของนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑<br />
๑) ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั นสูง ๔ นาย<br />
๒) มัธยมศึกษาปี ที ๖ ๘๓ นาย<br />
๓) ประกาศนียบัตรวิชาชีพ ๑๒ นาย<br />
๔) ปริญญาตรี ๒ นาย<br />
๕) นักศึกษามหาวิทยาลัยราชภัฏชั นปี ที ๓ ๑ นาย<br />
ค. จังหวัดภูมิลําเนาเดิม (ทีอยู่จริ งก่อนเข้ารับการศึกษาทีโรงเรี ยนนายสิ บ<br />
ทหารบก)<br />
๑) จังหวัดในภาคตะวันออก ๓ นาย<br />
๒) จังหวัดในภาคกลาง ๒๘ นาย<br />
๓) จังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ๓๒ นาย<br />
๔) จังหวัดในภาคเหนือ ๑๙ นาย<br />
๕) จังหวัดในภาคใต้ ๒๐ นาย<br />
ง. ความคิดเห็นเกียวกับหน่วยทีต้องการและกรรมวิธี ในการเลือกหน่วย<br />
เพือรับราชการ
๓๙<br />
๑) จะ เลื อกเข้า รั บราชก า รใ นหน่ วยที มี ที ตั ง อยู่ใกล้สถานศึ ก ษ า<br />
ทางพลเรื อนเพือจะได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาเพือเพิ มคุณวุฒิการศึกษาทางพลเรื อนถึงแม้ว่า<br />
ทีตั งหน่วยอยู่ห่างไกลจากภูมิลําเนาเดิม(ครอบครัว)<br />
๘๑.๘ เปอร์เซ็นต์<br />
๒) จะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีมีอาวุธยุทโธปกรณ์และวัสดุอุปกรณ์<br />
ต่างๆ ทีทันสมัยและมีเทคโนโลยีสูง เพราะรู้สึกเป็ นความท้าทายทีจะได้เรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่<br />
แต่จะไม่เลือกหน่วยทีมีอาวุธยุทโธปกรณ์และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ แบบเดิมๆ หรือแบบทีเคยเรียนรู้<br />
มาแล้วเพราะไม่มีวิทยาการใหม่ๆ ให้เรียนรู้<br />
๗๗.๒ เปอร์เซ็นต์<br />
๓) จะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีมีอัตรา(ตําแหน่งทีสูงขึ น) ว่างมาก<br />
สําหรับรองรับความก้าวหน้าในอาชีพราชการในอนาคต ถึงแม้ว่าทีตั งหน่วยอยู่ห่างไกลจาก<br />
ภูมิลําเนาเดิม (ครอบครัว)<br />
๗๔.๘ เปอร์เซ็นต์<br />
๔) จะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีก่อตั งมานานแล้วเพราะเป็ นหน่วยที<br />
มีความสมบูรณ์ในเรืองระบบการทํางานและสถานทีในการทํางานทีพร้อมและสะดวกสบาย แต่จะ<br />
ไม่เลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีเพิงก่อตั งใหม่ ซึ งยังไม่มีความสมบูรณ์ทั งในเรืองการทํางานและ<br />
สถานทีในการทํางานทียังต้องมีการพัฒนาปรับปรุงอีกมาก ๖๘.๐ เปอร์เซ็นต์<br />
๕) จะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีเป็ นหน่วยสนับสนุนการรบ เช่น<br />
กองพัน ทหารปื นใหญ่ หรือกองพันทหารปื นใหญ่ต่อสู้อากาศยาน แต่จะไม่เลือกเข้ารับราชการ<br />
ในหน่วยทีเน้นหนักงานทางด้านธุรการหรืองานทางด้านการศึกษา ๖๗.๐ เปอร์เซ็นต์<br />
๖) ลําดับทีในการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการควรให้สิ ทธิผู้ทีมีผล<br />
การศึกษาดีกว่าเป็ นผู้มีสิทธิเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการก่อนเรียงตามลําดับไป ๘๙.๔ เปอร์เซ็นต์<br />
๗) ควรให้มีผู้แทนหน่วยระดับกรมหรื อเทียบเท่ามาแนะนําหน่วย<br />
ถึงระดับกองพันหรือเทียบเท่า เพือให้นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ได้ทราบก่อน<br />
การซักซ้อมการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการครั งแรก<br />
๘๙.๐ เปอร์เซ็นต์<br />
๘) ควรให้นักเรี ยนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ กําหนดความ<br />
ต้องการหน่วยทีประสงค์จะเข้ารับราชการเรียงตามลําดับความต้องการ ๓ ลําดับเพือเป็ นแผนสํารอง<br />
ในกรณีทีการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการจริงไม่เป็ นไปตามทีซักซ้อม ๘๖.๖ เปอร์เซ็นต์<br />
๙) ควรมีการซักซ้อมการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการมากกว่า ๑ ครั ง<br />
ก่อนดําเนินการเลือกจริงโดยให้ระยะเวลาของการซักซ้อมต่างกันพอเหมาะคือ ให้มีการซักซ้อม<br />
โดยพิจารณาจากลําดับทีของนักเรียนทีจัดเรียงลําดับตามผลการเรียนมีการเปลียนแปลงจากเดิมมาก<br />
พอสมควรเป็ นเกณฑ์ในการกําหนดวันซักซ้อม<br />
๗๙.๒ เปอร์เซ็นต์
๔๐<br />
จ. ข้อเสนอแนะในการดําเนินกรรมวิธีเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ สามารถ<br />
สรุปเป็ นข้อได้ ดังนี<br />
๑) ควรซักซ้อมการเลือกหน่วยก่อนถึงวันเลือกจริง ๑ วัน เพือไม่ให้เหลือ<br />
เวลามากก่อนถึงวันเลือกจริง<br />
๒) ควรมีความโปร่งใสในเรืองของคะแนน สามารถให้นักเรียนนายสิบ<br />
ทราบในทุกรายวิชา<br />
๓) ควรมีการสํารวจความต้องการเลือกหน่วยของนักเรียนนายสิบ เพือ<br />
เป็ นข้อมูลประกอบการพิจารณาการเปิ ดอัตราการบรรจุ<br />
๔) การจัดลําดับสิ ทธิในการเลือกหน่วย ควรเน้นทีผลการเรี ยนและ<br />
คะแนนความประพฤติเป็ นสําคัญ<br />
๕) ไม่ควรจัดแบ่งเป็ นส่วนในการเลือกหน่วย แต่ควรเรียงตามลําดับคะแนน<br />
๖) การจัดลําดับสิทธิในการเลือกหน่วย ควรพิจารณาจากภูมิลําเนาของ<br />
นักเรียนนายสิบ<br />
๗) การจัดลําดับสิทธิในการเลือกหน่วยควรแบ่งเป็ นกลุ่มๆ ละประมาณ<br />
๒๐ นาย และเรียงตามลําดับคะแนน เพือให้แต่ละหน่วยมีโอกาสได้รับการบรรจุนักเรียนนายสิบ<br />
ทีมีผลการเรียนดีเท่าเทียมกันทุกหน่วย<br />
๘) ควรให้นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ กําหนดความ<br />
ต้องการหน่วยทีประสงค์จะเข้ารับราชการเรี ยงตามลําดับความต้องการ ๕ ลําดับ เพือเป็ น<br />
แผนสํารองในกรณีทีการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการจริงไม่เป็ นไปตามทีซักซ้อม<br />
๙) ควรมีการแจ้งผลการศึกษาของนักเรียนนายสิบ เหล่าทหารปื นใหญ่<br />
โดยเร็ว<br />
๒. ผู้วิจัยได้ดําเนินการสัมภาษณ์ครู อาจารย์ และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษา<br />
ของโรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ โดยมีหัวข้อการสัมภาษณ์ และข้อมูลพร้อมทั ง<br />
ความคิดเห็นของครู อาจารย์และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษาของโรงเรี ยนทหารปื นใหญ่<br />
ศูนย์การทหารปื นใหญ่ ดังนี<br />
ก. ตําแหน่งปัจจุบันของครู อาจารย์และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษาของ<br />
โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ ประกอบด้วย หัวหน้ากองกําลังพล ศูนย์การทหาร
๔๑<br />
ปื นใหญ่ อาจารย์ หัวหน้าแผนก โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ อาจารย์โรงเรียน<br />
ทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ ผู้บังคับกองพันนักเรียนนายสิบ กรมนักเรียนโรงเรียนทหาร<br />
ปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ รองผู้บังคับกองร้อย โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหาร<br />
ปื นใหญ่ ปฏิบัติหน้าทีนายทหารฝ่ ายยุทธการและการฝึ กกองพันนักเรี ยนนายสิบ กรมนักเรียน<br />
โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่<br />
ข. ครู อาจารย์ และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษาของโรงเรี ยนทหาร<br />
ปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ได้ อยู่ในตําแหน่งตามข้อ ก. มาแล้วเป็ นระยะเวลา ๑- ๑๕ ปี<br />
ค. ครู อาจารย์และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษาของโรงเรียนทหารปื นใหญ่<br />
ศูนย์การทหารปื นใหญ่มีความคิดเห็นเกียวกับความสนใจใฝ่ เรียนรู้ของนายสิบทหารบกเหล่าทหาร<br />
ปื นใหญ่ รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ อย่างไร เช่น มีความตั งใจรับการฝึ กศึกษาวิชาทหารปื นใหญ่ วิชา<br />
อืนๆ เพือพัฒนาตนเองมากหรือน้อยอย่างไร สามารถสรุปความคิดเห็นได้คือ นักเรียนนายสิบ<br />
ทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ผลัดนี ส่วนใหญ่มีความสนใจใฝ่ เรียนรู้ตั งใจรับการฝึ กศึกษาวิชาทหาร<br />
ปื นใหญ่เป็ นอย่างดี เพราะเมือจบการศึกษาไปเป็ นนายทหารชั นประทวนแล้วจะต้องนําความรู้ใน<br />
เรืองเทคนิคของเหล่าทหารปื นใหญ่ไปใช้ทีหน่วย<br />
ง. ครู อาจารย์ และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษาของโรงเรี ยนทหาร<br />
ปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ มีความคิดเห็นว่าเห็นว่า นนส.ทบ.เหล่า ป.รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑<br />
มีอุดมการณ์มุ่งมั นทีจะทํางานทีสมบุกสมบัน หนักเอาเบาสู้ หรือ เลือกทํางานทีสบายๆ อยู ่ใกล้<br />
ครอบครัวเป็ นหลักอย่างไร สามารถสรุปความคิดเห็นได้คือ นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหาร<br />
ปื นใหญ่ รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ นี ส่วนใหญ่มีอุดมการณ์มุ่งมั นทีจะทํางานทีสมบุกสมบัน หนักเอา<br />
เบาสู้ และถ้าเป็ นไปได้ก็อยากทีจะอยู ่ใกล้ครอบครัวด้วย<br />
จ. ในทัศนะของ อาจารย์และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษาของโรงเรียน<br />
ทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่มีความคิดเห็นว่า นักเรี ยนนายสิบทหารบกเหล่าทหาร<br />
ปื นใหญ่ รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ มีความต้องการเพิมคุณวุฒิการศึกษาทางพลเรือน หรือพึงพอใจกับ<br />
วุฒิการศึกษาทางพลเรือนทีตนมีอยู ่ในปัจจุบันอย่างไร สามารถสรุปความคิดเห็นได้ คือนักเรียน<br />
นายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ มีความต้องการเพิมคุณวุฒิการศึกษา<br />
ทางพลเรือน เพือเพิมโอกาสในเรืองความเจริญก้าวหน้าในอนาคต และอาจสามารถเพิ มโอกาส<br />
ในการย้ายหรือโอนหน่วยงาน รวมทั งอาจเป็ นช่องทางในการไปประกอบอาชีพส่วนตัวเมือมีโอกาส<br />
ฉ. นอกจากแรงจูงใจ นนส.ทบ.เหล่า ป. ในการเลือกหน่วยเข้ารับราชการเมือ<br />
สําเร็จการศึกษาจาก รร.ป.ศป. ตามข้อ ค. ถึงข้อ จ. แล้วนั น ในทัศนะของอาจารย์และบุคลากร
๔๒<br />
ทีเกียวข้องกับการศึกษาของโรงเรียนทหารปื นใหญ่ศูนย์การทหารปื นใหญ่ มีความคิดเห็นว่ามี<br />
แรงจูงใจอืนใดบ้างทีชักนําให้ นนส.ทบ.เหล่า ป. เลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ สามารถสรุปความ<br />
คิดเห็นได้คือ เกียรติประวัติของหน่วย สวัสดิการทีหน่วยสามารถให้แก่กําลังพล ค่าครองชีพของ<br />
แต่ละพื นทีทีเป็ นทีตั งหน่วย<br />
ช. เพือให้นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ สามารถเลือกหน่วย<br />
เข้ารับราชการเมือสําเร็จการศึกษาจาก รร.ป.ศป. ได้ตรงตามความต้องการของ นนส.ทบ.เหล่า ป.<br />
มากทีสุด ในทัศนะของเห็นครู อาจารย์ และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษาของโรงเรียนทหาร<br />
ปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ ว่าการดําเนินกรรมวิธีในการเลือกหน่วยเข้ารับราชการเมือสําเร็จ<br />
การศึกษาของ นนส.ทบ.ในปัจจุบันนั นเป็ นอย่างไร ควรมีการปรับปรุ งแก้ไขหรื อไม่ อย่างไร<br />
สามารถสรุปความคิดเห็นได้คือ การดําเนินกรรมวิธีในการเลือกหน่วยเข้ารับราชการเมือสําเร็จ<br />
การศึกษาของนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ดีอยู ่แล้ว และการจัดลําดับทีให้สิทธิ<br />
นักเรียนนายสิบเหล่าทหารปื นใหญ่ในการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ ควรนําคะแนนความ<br />
ประพฤติของนักเรียนนายสิบเหล่าทหารปื นใหญ่มาพิจารณาร่วมด้วย เพือเป็ นการฝึ กให้นักเรียน<br />
นายสิบเหล่าทหารปื นใหญ่เป็ นผู้มีระเบียบวินัยตั งแต่ยังเป็ นนักเรียนนายสิบเหล่าทหารปื นใหญ่<br />
แต่ในปัจจุบันใช้เฉพาะคะแนนจากการศึกษาและการฝึ กเท่านั นในการจัดลําดับที<br />
สรุปผลจากการการวิเคราะห์<br />
๑.ภูมิลําเนาของนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ ไม่มีผลกระทบต่อ<br />
นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ ในการตัดสินใจเลือกหน่วยของกองทัพบก มากกว่า<br />
ความคาดหวังในความก้าวหน้าในการรับราชการ เพราะ ความคาดหวังในความก้าวหน้าในการรับ<br />
ราชการของนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่มีผลกระทบต่อนักเรียนนายสิบทหารบก<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่ ในการตัดสินใจเลือกหน่วยของกองทัพบก มากกว่าภูมิลําเนา<br />
นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ส่วนใหญ่จะเลือกเข้ารับราชการใน<br />
หน่วยทีมีอัตรา(ตําแหน่งทีสูงขึ น)ว่างมากสําหรับรองรับความก้าวหน้าในอาชีพราชการในอนาคต<br />
และเป็ นหน่วยทีมีทีตั งอยู่ใกล้สถานศึกษาทางพลเรือน เพือจะได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาเพือเพิม<br />
คุณวุฒิการศึกษาทางพลเรือนถึงแม้ว่าทีตั งหน่วยอยู่ห่างไกลจากภูมิลําเนาเดิม(ครอบครัว) นักเรียน<br />
นายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ต้องการทีจะเรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่ของอาวุธยุทโธปกรณ์<br />
และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ และจะเลือกหน่วยทีเป็ นหน่วยสนับสนุนการรบ เช่น กองพันทหารปื น
้<br />
๔๓<br />
ใหญ่ หรือกองพันทหารปื นใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ซึ งจะต้องใช้ความรู้ความสามารถในเรืองเทคนิค<br />
ของเหล่าเป็ นอย่างมาก รวมทั งจะต้องมีสภาพร่างกายทีทรหดอดทนต่อความตรากตรําในการทํางาน<br />
ความต้องการในการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการของนักเรียนนายสิบทหารบก<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่ดังกล่าว ส่งผลดีต่อกองทัพบกโดยตรง เพราะกองทัพบกจะได้นายทหารชั น<br />
ประทวนทีมีความมุ่งมั นในการทํางานและพัฒนาศักยภาพของตนเองมากกว่าการคิดในเรืองส่วนตัว<br />
ทีจะเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการทีอยู ่ใกล้ครอบครัว ดังนั นข้อมูลทีได้มาจึงไม่สนับสนุน<br />
สมมติฐานทีว่า ภูมิลําเนาของนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ มีผลกระทบต่อนักเรียน<br />
นายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ ในการตัดสินใจเลือกหน่วยของกองทัพบก มากกว่าความ<br />
คาดหวังในความก้าวหน้าในการรับราชการ<br />
๒. การดําเนินกรรมวิธี ในการเลือกหน่วยของนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื น<br />
ใหญ่ดีอยู ่แล้ว และควรเพิมเติม คือ ควรแจ้งให้นักเรียนนายสิบทราบแต่เนินล่วงหน้า ควรให้สิทธิผู<br />
ทีมีผลการศึกษาดีกว่าเป็ นผู ้มีสิทธิเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการก่อนเรียงตามลําดับไป ควรให้มี<br />
ผู ้แทนหน่วยระดับกรมหรือเทียบเท่ามาแนะนําหน่วยถึงระดับกองพันหรือเทียบเท่าและ มีการ<br />
ซักซ้อมในการเลือกหน่วย<br />
นักเรี ยนนายสิ บทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่มีความต้องการทราบแต่เนิ น<br />
ล่วงหน้าถึงตําแหน่งและหน่วย ทีจะเปิ ดให้นักเรียนนายสิบเลือกได้ ซึ งอาจใช้ข้อมูลทีมีอยู ่ หรือสถิติ<br />
เดิมของหน่วยทีสามารถเปิ ดเผยได้ หรือโดยการประมาณการตําแหน่งทีน่าจะเปิ ดในปี ปัจจุบัน<br />
เพือให้นักเรียนนายสิบได้ทราบเป็ นข้อมูลในการตัดสินใจและเตรียมตัวล่วงหน้า ควรให้สิทธิผู้ทีมี<br />
ผลการศึกษาดีกว่าเป็ นผู้มีสิทธิเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการก่อนเรียงตามลําดับไป ควรให้มีผู้แทน<br />
หน่วยระดับกรมหรือเทียบเท่ามาแนะนําหน่วยถึงระดับกองพันหรือเทียบเท่า เพือให้นักเรียนนาย<br />
สิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ได้ทราบก่อนการซักซ้อมการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการครั ง<br />
แรก และให้มีการซักซ้อมในการเลือกหน่วยอย่างน้อย ๒ ครั ง ก่อนจะทําการเลือกจริงในครั ง<br />
ที ๓ แต่มีนักเรียนนายสิบส่วนน้อยเท่านั นทีมีความเห็นว่าควรมีการจัดกลุ่มนักเรียนนายสิบทีมี<br />
ความต้องการในการเลือกหน่วยตามความต้องการของตนเองเป็ นกลุ่มๆ<br />
ความต้องการของนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่เกียวกับการดําเนิน<br />
กรรมวิธีในการเลือกหน่วยดังกล่าวเป็ นการสนับสนุนสมมติฐานทีว่า การแก้ปัญหาการดําเนิน<br />
กรรมวิธี ในการเลือกหน่วยของนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ ควรแจ้งให้นักเรียน<br />
นายสิบทราบแต่เนิ นล่วงหน้า ถึงตําแหน่งและหน่วย ทีจะเปิ ดให้นักเรียนนายสิบเลือกได้ ซึ งอาจใช้<br />
ข้อมูลทีมีอยู ่ หรือสถิติเดิมของหน่วยทีสามารถเปิ ดเผยได้ หรือโดยการประมาณการตําแหน่งทีน่าจะ
๔๔<br />
เปิ ดในปี ปัจจุบัน เพือให้นักเรียนนายสิบได้ทราบเป็ นข้อมูลในการตัดสินใจและเตรียมตัวล่วงหน้า<br />
และให้มีการซักซ้อมในการเลือกหน่วยอย่างน้อย ๒ ครั ง ก่อนจะทําการเลือกจริงในครั งที ๓ แต่<br />
ไม่สนับสนุนสมมติฐานทีว่า ควรมีการจัดกลุ่มนักเรียนนายสิบทีมีความต้องการในการเลือกหน่วย<br />
ตามความต้องการของตนเองเป็ นกลุ่มๆ
บทที ๕<br />
สรุปและข้อเสนอแนะ<br />
สรุปการทําวิจัย<br />
การวิจัยในครั งนี เป็ นการวิจัยแบบผสมคือ มีทั งการวิจัยเชิงปริ มาณและการวิจัยเชิง<br />
พรรณนา ในเรืองแรงจูงใจทีมีผลกระทบต่อนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ในการ<br />
เลือกรับราชการในหน่วยของกองทัพบก เนืองจากเห็นว่านักเรี ยนนายสิบทหารบกเหล่าทหาร<br />
ปื นใหญ่เป็ นบุคลากรทีมีความสําคัญต่อเหล่าทหารปื นใหญ่ และกองทัพบกเป็ นอย่างยิ งเพราะเมือ<br />
นักเรี ยนนายสิ บทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่จบการศึกษาจากโรงเรี ยนทหารปื นใหญ่ จะเป็ น<br />
นายทหารชั นประทวนทีมีความรู้ความสามารถในทางเทคนิคของเหล่า และปกครองบังคับบัญชา<br />
ทหารกองประจําการจํานวนหนึ งทําหน้าทีสนับสนุนการรบ ผู้วิจัยได้ดําเนินการแจกแบบสอบถาม<br />
ความคิดเห็นของนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ โดยได้ทําการแจกให้แก่นักเรียน<br />
นายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ รุ่ นที ๑๒ ผลัดที ๑ จํานวน ๑๐๓ นาย ซึ งจะสําเร็จ<br />
การศึกษาและดําเนินการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการภายใน ๓๐ เมษายน พ.ศ.๒๕๕๒<br />
แล้วสรุปเป็ นประเด็นภาพรวมได้ ๓ ประเด็น คือ<br />
สรุปผลทีได้รับจากการวิจัย<br />
ส่วนใหญ่ของนักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ มีอายุ<br />
โดยเฉลีย ๑๘ ปี วุฒิการศึกษาส่วนใหญ่อยู่ในระดับ ม.๖ มีภูมิลําเนาเดิมอยู ่ในจังหวัดในภาค<br />
ตะวันออกเฉียงเหนือเป็ นส่วนใหญ่ มีความคิดเห็นเกียวกับหน่วยทีจะเลือกเข้ารับราชการเมือจบ<br />
การศึกษาจากโรงเรียนทหารปื นใหญ่คือ จะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีมีอัตรา (ตําแหน่งที<br />
สูงขึ น) ว่างมากสําหรับรองรับความก้าวหน้าในอาชีพราชการในอนาคตถึงแม้ว่าทีตั งหน่วยอยู่<br />
ห่างไกลจากภูมิลําเนาเดิม (ครอบครัว) แสดงให้ทราบว่านายทหารชั นประทวนทีเพิ งสําเร็ จ<br />
การศึกษา ยังมีความมุ่งหวังทีจะก้าวหน้าในอาชีพของตนเองมากกว่าทีจะคิดอยู ่ใกล้ครอบครัว และ
๔๖<br />
ยังคงมีสถานภาพโสดมากกว่าพวกมีภาระทางด้านครอบครัว แต่ก็ยังมีพวกทีให้ความสําคัญกับ<br />
ครอบครัวอยู่บ้าง มีจิตใจทีจะใช้ความรู้ความสามารถทีได้รับการศึกษาในวิชาเหล่าทีได้รับ<br />
การศึกษาจากโรงเรียนทหารปื นใหญ่ จึงตั งใจทีจะเลือกหน่วยทีเป็ นหน่วยสนับสนุนการรบ เช่น<br />
กองพันทหารปื นใหญ่ หรือกองพันทหารปื นใหญ่ต่อสู้อากาศยานมากกว่าทีจะเลือกเข้ารับราชการใน<br />
หน่วยทีเน้นหนักงานทางด้านธุรการ หรืองานทางด้านการศึกษา แต่ก็ยังถือว่าเป็ นเกณฑ์ทีไม่สูงนัก<br />
มีความตั งใจใฝ่ เรียนรู้เพิ มเติมซึ งเห็นได้จากตั งใจทีจะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีมีทีตั งอยู่ใกล้<br />
สถานศึกษาทางพลเรือน เพือจะได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษา เพือเพิมคุณวุฒิการศึกษาทางพลเรือน<br />
ถึงแม้ว่าทีตั งหน่วยอยู่ห่างไกลจากภูมิลําเนาเดิม (ครอบครัว) ต้องการความสะดวกสบายและความ<br />
คล่องตัวในการทํางานมากกว่าทีจะต้องบุกเบิกหรือสร้างสรรค์หน่วยก่อตั งใหม่ จากเหตุผลทีว่า<br />
ตั งใจจะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีก่อตั งมานานแล้ว เพราะเป็ นหน่วยทีมีความสมบูรณ์ในเรือง<br />
ระบบการทํางานและสถานทีในการทํางานทีพร้อม และสะดวกสบาย แต่ก็ยังพอมีผู้ทีมีทัศนะหนัก<br />
เอาเบาสู้ทุกรูปแบบอยู ่บ้าง มีความสนใจใคร่ในวิทยาการและเทคโนโลยีสมัยใหม่ เพราะตั งใจ<br />
ค่อนข้างมากทีจะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีมีอาวุธยุทโธปกรณ์ และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ที<br />
ทันสมัยและมีเทคโนโลยีสูง เพราะรู้สึกเป็ นความท้าทาย ทีจะได้เรียนรู้วิทยาการสมัยใหม่<br />
ส่วนใหญ่ของนักเรี ยนนายสิ บทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ มี<br />
ความเห็นเกียวกับการดําเนินกรรมวิธีเลือกหน่วย เพือเข้ารับราชการของนักเรียนนายสิบทหารบก<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่ คือ ควรมีการซักซ้อมการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการมากกว่า ๑ ครั ง<br />
ก่อนดําเนินการเลือกจริงโดยให้ระยะเวลาของการซักซ้อมต่างกันพอเหมาะคือ ให้มีการซักซ้อม<br />
โดยพิจารณาจากลําดับทีของนักเรียนทีจัดเรียงลําดับตามผลการเรียนมีการเปลียนแปลงจากเดิมมาก<br />
พอสมควรเป็ นเกณฑ์ในการกําหนดวันซักซ้อม แสดงให้เห็นว่านักเรียนนายสิบทหารบกเหล่า<br />
ทหารปื นใหญ่รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ ต้องการความพร้อมและความเป็ นระเบียบเรียบร้อยในการ<br />
ดําเนินกรรมวิธีเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ ต้องการให้การจัดลําดับทีในการเลือกหน่วยเพือเข้า<br />
รับราชการ ควรให้สิทธิผู้ทีมีผลการศึกษาดีกว่าเป็ นผู้มีสิทธิเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการก่อนเรียง<br />
ตามลําดับไป แสดงว่านักเรี ยนนายสิ บทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่รุ่ นที ๑๒ ผลัดที ๑<br />
เห็นความสําคัญของการฝึ กศึกษาหาความรู้ จึงมีแนวความคิดให้ใช้ผลการฝึ กศึกษาเป็ นเครืองตัดสิน<br />
ทีสําคัญในการจัดลําดับที และเพือความไม่ประมาทและป้ องกันความฉุกละหุกและสับสนของ<br />
นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ ในระหว่างการดําเนินกรรมวิธีใน<br />
การเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑<br />
ส่วนมากจึงมีความเห็นด้วยกับการทีควรให้นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ กําหนด
๔๗<br />
ความต้องการหน่วยทีประสงค์จะเข้ารับราชการเรียงตามลําดับความต้องการ ๓ ลําดับ เพือเป็ น<br />
แผนสํารองในกรณีทีการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการจริงไม่เป็ นไปตามทีซักซ้อม นักเรียนนายสิบ<br />
ทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่รุ่ นที ๑๒ ผลัดที ๑ ต้องการทีจะศึกษาหน่วยเพือประกอบการ<br />
ตัดสินใจเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ โดยให้มีผู้แทนหน่วยระดับกรมหรือเทียบเท่ามาแนะนํา<br />
หน่วยถึงระดับกองพันหรือเทียบเท่าเพือให้นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ได้ทราบ<br />
ก่อนการซักซ้อมการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการครั งแรก นอกจากนี นักเรียนนายสิบทหารบก<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ ยังมีข้อเสนอแนะทีน่าสนใจคือ มีความโปร่งใสในเรือง<br />
ของคะแนน สามารถให้นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ทราบในทุกรายวิชา มีการ<br />
สํารวจความต้องการเลือกหน่วยของนักเรียนนายสิบเหล่าทหารปื นใหญ่ เพือเป็ นข้อมูลประกอบ<br />
การพิจารณาการเปิ ดอัตราการบรรจุ<br />
การจัดลําดับสิทธิในการเลือกหน่วย ควรเน้นทีผลการเรียนและคะแนนความประพฤติ<br />
เป็ นสําคัญ ไม่ควรจัดแบ่งเป็ นส่วนในการเลือกหน่วย แต่ควรเรียงตามลําดับคะแนน แต่ในประเด็น<br />
ดังกล่าวยังมีข้อเสนอแนะทีแตกต่างคือ การจัดลําดับสิทธิในการเลือกหน่วยควรแบ่งเป็ นกลุ่มๆ ละ<br />
ประมาณ ๒๐ นาย และเรียงตามลําดับคะแนน เพือให้แต่ละหน่วยมีโอกาสได้รับการบรรจุนักเรียน<br />
นายสิบทีมีผลการเรียนดีเท่าเทียมกันทุกหน่วย มีการแจ้งผลการศึกษาของนักเรียนนายสิบเหล่า<br />
ทหารปื นใหญ่ โดยเร็ว<br />
ความคิดเห็นของอาจารย์และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษา มีความคิดเห็นว่า<br />
นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ รุ่นที ๑๒ ผลัดที ๑ มีความสนใจใฝ่ เรียนรู้ตั งใจรับ<br />
การฝึ กศึกษาวิชาทหารปื นใหญ่เป็ นอย่างดี เพราะเมือจบการศึกษาไปเป็ นนายทหารชั นประทวน<br />
แล้วจะต้องนําความรู้ในเรืองเทคนิคของเหล่าทหารปื นใหญ่ไปใช้ทีหน่วย ส่วนใหญ่มีอุดมการณ์<br />
มุ่งมั นทีจะทํางานทีสมบุกสมบัน หนักเอาเบาสู้ และถ้าเป็ นไปได้ก็อยากทีจะอยู ่ใกล้ครอบครัวด้วย<br />
มีความต้องการเพิ มคุณวุฒิการศึกษาทางพลเรือน เพือเพิ มโอกาสในเรืองความเจริญก้าวหน้าใน<br />
อนาคต และอาจสามารถเพิ มโอกาสในการย้ายหรือโอนหน่วยงาน รวมทั งอาจเป็ นช่องทางในการ<br />
ไปประกอบอาชีพส่วนตัวเมือมีโอกาส แรงจูงใจอืนทีชักนําให้นักเรียนนายสิบทหารบกเหล่าทหาร<br />
ปื นใหญ่ผลัดนี เลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการคือ เกียรติประวัติของหน่วย สวัสดิการทีหน่วยสามารถ<br />
ให้แก่กําลังพลได้ ค่าครองชีพของแต่ละพื นทีทีเป็ นทีตั งหน่วย<br />
ความคิดเห็นของอาจารย์และบุคลากรทีเกียวข้องกับการศึกษา ในเรื องการดําเนิน<br />
กรรมวิธีเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการเมือจบการศึกษาจากโรงเรียนทหารปื นใหญ่ มีความคิดเห็นว่า<br />
การดําเนินกรรมวิธีในการเลือกหน่วยเข้ารับราชการเมือสําเร็จการศึกษาของนักเรียนนายสิบทหารบก
๔๘<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่ดีอยู ่แล้ว และการจัดลําดับทีให้สิทธินักเรียนนายสิบเหล่าทหารปื นใหญ่ในการ<br />
เลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ ควรนําคะแนนความประพฤติของนักเรียนนายสิบเหล่าทหารปื นใหญ่<br />
มาพิจารณาร่วมด้วย เพือเป็ นการฝึ กให้นักเรียนนายสิบเหล่าทหารปื นใหญ่เป็ นผู้มีระเบียบวินัย<br />
ตั งแต่ยังเป็ นนักเรียนนายสิบเหล่าทหารปื นใหญ่ แต่ในปัจจุบันใช้เฉพาะคะแนนจากการศึกษาและ<br />
การฝึ กเท่านั นในการจัดลําดับที<br />
ข้อเสนอแนะ<br />
๑. ข้อเสนอแนะในการแก้ปํ ญหา<br />
ก. จากสรุปผลทีได้รับจากการวิจัยทําให้ทราบว่า แรงจูงใจทีมีผลกระทบต่อนักเรียน<br />
นายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ ในการเลือกรับราชการในหน่วยของกองทัพบกในปัจจุบัน<br />
ประกอบด้วยลักษณะของหน่วยทีมีอัตรา (ตําแหน่งทีสูงขึ น) ว่างมากสําหรับรองรับความก้าวหน้า<br />
ในอาชีพราชการในอนาคต เป็ นหน่วยทีเป็ นหน่วยสนับสนุนการรบ เช่น กองพันทหารปื นใหญ่<br />
หรือกองพันทหารปื นใหญ่ต่อสู้อากาศยาน ตั งอยู่ใกล้สถานศึกษาทางพลเรือนเพือจะได้มีโอกาส<br />
เข้ารับการศึกษาเพือเพิ มคุณวุฒิการศึกษาทางพลเรือน หน่วยทีมีความสมบูรณ์ในเรืองระบบการ<br />
ทํางานและสถานทีในการทํางานทีพร้อมและสะดวกสบาย มีอาวุธยุทโธปกรณ์และวัสดุอุปกรณ์<br />
ต่างๆ ทีทันสมัยและมีเทคโนโลยีสูง ซึ งแรงจูงใจในเรืองลักษณะของหน่วยมีทั งทีหน่วยมีอยู่แล้ว<br />
และทีหน่วยยังไม่มี ผู้วิจัยมีข้อเสนอแนะดังนี<br />
๑) การหมุนเวียนกําลังพลเมือมีโอกาสทําได้ เช่น เมือมีตําแหน่งว่างเกิดขึ น<br />
ให้รีบดําเนินการปรับย้ายทันทีโดยเฉพาะตําแหน่งทีมีอัตราสูงขึ น<br />
๒) ส่งเสริมกําลังพลทางด้านการศึกษาทั งทางทหารและพลเรือน เช่น มีการ<br />
ประชาสัมพันธ์ข่าวประกาศรับสมัครบุคคลเข้ารับการศึกษาทีเป็ นประโยชน์ทุกเรืองโดยเร็ว เพือให้<br />
กําลังพลทีสนใจจะเข้ารับการศึกษาสามารถดําเนินการได้ทันเวลา นํากําลังพลทีสําเร็จการศึกษา<br />
แล้วมาใช้งานหรือขยายผลภายในหน่วย เพือไม่ให้กําลังพลดังกล่าวลืมเรืองทีเรียนมาและเป็ นการ<br />
ฝึ กฝนความชํานาญของกําลังพลด้วย<br />
๓) จัดสถานทีทํางานและสํานักงานให้สะอาด มีระเบียบเรี ยบร้อย มีสิ งที<br />
จําเป็ นสําหรับการทํางาน โดยไม่ควรให้กําลังพลต้องเสียค่าใช้จ่ายในการจัดหาของใช้ส่วนรวมที<br />
ไม่ใช่ของใช้ส่วนตัว
๔๙<br />
๔) ปรนนิบัติบํารุงอาวุธยุทโธปกรณ์ให้อยู ่ในสภาพทีสามารถใช้งานได้เสมอ<br />
เพือจะได้ถ่ายทอดความรู้ให้กําลังพลรุ่นต่อๆ ไป<br />
๕) เน้นยํ าเรืองสวัสดิการกําลังพล<br />
ข. ในเรืองการดําเนินกรรมวิธีในการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการนั นดีอยู ่แล้ว และ<br />
ควรเพิมรายละเอียด คือ<br />
๑) ให้นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ กําหนดความต้องการ<br />
หน่วยทีประสงค์จะเข้ารับราชการเรียงตามลําดับความต้องการ ๓ ลําดับ เพือเป็ นแผนสํารองใน<br />
กรณีทีการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการจริงไม่เป็ นไปตามทีซักซ้อม<br />
๒) ให้มีผู้แทนหน่วยระดับกรมหรือเทียบเท่า มาแนะนําหน่วยถึงระดับกอง<br />
พันหรือเทียบเท่าเพือให้นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ ได้ทราบก่อนการซักซ้อมการ<br />
เลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการครั งแรก<br />
๒.จุดอ่อนและเรืองทีควรทําวิจัยต่อไป<br />
มีเรืองทีน่าสนใจอยู ่อีกเรื องหนึ งคือ ควรนําผลของคะแนน ความประพฤติของ<br />
นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ มาพิจารณาเพือประกอบในการจัดลําดับทีของสิทธิ<br />
ในการเลือกหน่วยด้วยหรือไม่ เพราะในปัจจุบันใช้เฉพาะคะแนนจากการศึกษาและการฝึ กเท่านั น<br />
ในการจัดลําดับที และถ้าจะนําคะแนนความประพฤติมาคิดด้วยแล้ว ควรจะนํามาใช้อย่างไร<br />
นํามาใช้ทั งหมดหรือนํามาใช้เป็ นสัดส่วนเท่าไร ผู้วิจัยมีความคิดว่าเป็ นเรื องทีควรจะได้มีการ<br />
ศึกษาวิจัยเพิ มเติม เพือจะได้เป็ นประโยชน์กับการดําเนินกรรมวิธีเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ<br />
ต่อไป
บรรณานุกรม<br />
หนังสือ<br />
จุลจักร นนทกร. กําไรความคิดจากชีวิตทีติดลบ. กรุงเทพฯ : นวสาสน์<br />
การพิมพ์,๒๕๕๐.<br />
เฟอร์ดินันด์ เอฟ. โฟนีส์ เรียบเรียงโดย ฉัตรชัย อินทสุวรรณ ฝึ กลูกน้องให้เก่ง. กรุงเทพฯ :<br />
ห้างหุ้นส่วน จํากัด เอช – เอน การพิมพ์,๒๕๓๖.<br />
จอร์จ ชินน์ เรียบเรียงโดย นภดล เวชสวัสดิ บุคลิกภาพสู ่ความเป็ นผู้นํา. กรุงเทพฯ :<br />
ห้างหุ้นส่วน จํากัด เอช – เอน การพิมพ์,๒๕๓๒.<br />
อนันต์ เกตุวงศ์ หลักและเทคนิคการวางแผน.กรุงเทพฯ :<br />
สํานักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์,๒๕๓๔.<br />
เครือวัลย์ ลิมปิ ยะศรีสกุล การวิจัยทางรัฐประศาสนศาสตร์ กรุงเทพฯ<br />
จุฬาลงกรณ์ มหาวิทยาลัย,๒๕๓๐.<br />
หนังสือราชการ<br />
กองทัพบก. หลักสูตรการศึกษา หมายเลขหลักสูตร ๗, ๖ – ช.-๑๑๑, ๐๐๖ สําหรับนักเรียน<br />
นายสิบทหารบก หลักสูตร ๑ ปี หมายเลข ชกท.๑๑๑, ๐๐๖ ,๒๕๕๐<br />
เอกสารวิจัยส่วนบุคคล<br />
ไพโรจน์<br />
กฤษดา<br />
รวยลาภ,พันเอก, “การพิจารณาความดีความชอบของข้าราชการสังกัดกองบัญชาการ<br />
ทหารสูงสุด” เอกสารวิจัยนักศึกษาวิทยาลัยเสนาธิการทหาร รุ่นที ๔๑<br />
วิทยาลัยเสนาธิการทหาร สถาบันวิชาการป้ องกันประเทศ,๒๕๔๓<br />
นรภูมิพิภัชน์,พันเอก, “การเรียนภาษาอังกฤษในโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า<br />
ศึกษากรณีหลังเปลียนหลักสูตร เป็ นหลักสูตรปัจจุบัน พ.ศ.๒๕๓๔” เอกสาร<br />
วิจัยนักศึกษาวิทยาลัยเสนาธิการทหาร รุ่นที ๔๓ วิทยาลัยเสนาธิการทหาร<br />
สถาบันวิชาการป้ องกันประเทศ,๒๕๔๕<br />
สุชาติ<br />
หนองบัว,พันเอก, “แนวทางการบริหารจัดการกําลังพลของกองทัพบกให้สอดคล้องกับ<br />
ยุทธศาสตร์การป้ องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม” เอกสารวิจัย<br />
นักศึกษาวิทยาลัยเสนาธิการทหาร รุ่นที ๔๔ วิทยาลัยเสนาธิการทหาร
๕๑<br />
วีรัณ<br />
สถาบันวิชาการป้ องกันประเทศ,๒๕๔๖<br />
ฉันทศาสตร์โกศล,พันเอก,“คุณภาพชีวิตของนายทหารชั นประทวน : ศึกษา<br />
เฉพาะกรณีศูนย์ต่อสู้ป้ องกันภัยทางอากาศ กองทัพบก” เอกสารวิจัยนักศึกษาวิทยาลัย<br />
เสนาธิการทหาร รุ่นที ๔๔ วิทยาลัยเสนาธิการทหาร สถาบันวิชาการป้ องกัน<br />
ประเทศ,๒๕๔๖
ภาคผนวก
ผนวก ก<br />
หลักสูตร สําหรับนักเรียนนายสิบทหารบก หลักสูตร ๑ ปี<br />
หลักสูตรการศึกษา หมายเลขหลักสูตร ๗,๖ - ช. - ๑๑๑,๐๐๖ สําหรับนักเรียนนาย<br />
สิบทหารบกหลักสูตร ๑ ปี หมายเลข ชกท. ๑๑๑,๐๐๖ ระยะเวลาการศึกษา ๕๒ สัปดาห์ หรือ<br />
๒,๐๘๐ ชัวโมง ทบ. อนุมัติเมือ ๒๒ ส.ค. ๕๐ (ตามอนุมัติ ผบ.ทบ. (จก.ยศ.ทบ. รับคําสั งฯ)<br />
ท้ายหนังสือ กศ.ยศ.ทบ. ที กห ๐๔๖๑.๑๑/๑๔๘๐ ลง ๒๒ ส.ค. ๕๐ ) การศึกษาแบ่งเป็ น ๒ ตอน<br />
ตอนที ๑ ศึกษาทีโรงเรียนนายสิบทหารบก<br />
ตอนที ๒ ศึกษาทีโรงเรียนเหล่า<br />
ตอนที ๑ หมายเลขหลักสูตร ๗ - ช - ๑๑๑ หมายเลข ชกท. ๑๑๑<br />
ความมุ ่งหมาย เพือให้นักเรียนนายสิบทีสําเร็จการศึกษา<br />
๑. เป็ นครูฝึ กทหารได้<br />
ได้<br />
๒. มีความรู้ สามารถทีจะปฏิบัติหน้าทีเป็ นผู้นําหน่วยทหารขนาดเล็กในอัตรา ส.อ.ได้<br />
๓. มีความรู้พื นฐานเกียวกับอาวุธประจําหน่วยทหารราบ ระดับหมวดปื นเล็ก<br />
๔.เป็ นเจ้าหน้าทีเสมียนในกองบังคับการ โดยสามารถพิมพ์ดีดและใช้งานคอมพิวเตอร์<br />
๕. มีพื นฐานการขับรถยนต์ทหาร<br />
๖. มีความรู้พื นฐานวิชาเหล่าทหารทีเลือกเข้ารับราชการ<br />
คุณสมบัติของผู ้เข้ารับการศึกษา<br />
<br />
ระยะเวลาการศึกษา ๒๖ สัปดาห์ หรือ ๑,๐๔๐ ชัวโมง ดังนี<br />
๑. การฝึ กศึกษา ๒๒ สัปดาห์<br />
๒. การฝึ กภาคสนาม ๓ สัปดาห์<br />
๓. เวลาเบ็ดเตล็ด ๑ สัปดาห์<br />
ตามระเบียบ ทบ.ว่าด้วยนักเรียนนายสิบทหารบก
๕๔<br />
ทีตั งสถานทีศึกษา โรงเรียนนายสิบทหารบก ค่ายธนะรัชต์ อําเภอปราณบุรี จังหวัด<br />
ประจวบคีรีขันธ์ ๗๗๑๖๐<br />
หลักสูตร นักเรียนนายสิบทหารบก หลักสูตร ๑ ปี<br />
ระยะเวลาการศึกษา ๒๖ สัปดาห์ หรือ ๑,๐๔๐ (๒๗๙) ชั วโมง ๒๔ หน่วยกิต<br />
ลําดับ วิชา ชัวโมง<br />
๑. การฝึ กเบืองต้น ๑๓๒ (๖๐)<br />
๑.๑ การฝึ กเบื องต้น (๑๓๒)<br />
๑.๑.๑ การฝึ กบุคคลท่ามือเปล่า (๔๔)<br />
๑.๑.๒ การฝึ กบุคคลท่าอาวุธ (๔๔)<br />
๑.๑.๓ การฝึ กแถวชิด (๔๔)<br />
๑.๒ การทดสอบความสมบูรณ์แข็งแรงของร่างกาย - (๔๐)<br />
๑.๓ การอบรม - (๒๐)<br />
๑.๓.๑ คุณลักษณะของทหาร (๒)<br />
๑.๓.๒ แบบธรรมเนียมของทหาร (๖)<br />
๑.๓.๓ คุณธรรมของทหาร (๕)<br />
๑.๓.๔ มารยาทและวินัยของทหาร (๓)<br />
๑.๓.๕ ความรักและการป้ องกันประเทศชาติ (๒)<br />
๑.๓.๖ อุดมการณ์กําลังพลของกองทัพบก (๒)<br />
๒. วิชาทหาร ๕๖๐ (๓๒)<br />
๒.๑ วิชาสือสาร (๔๐)<br />
๒.๑.๑ การสือสารทางวิทยุ (๒๓)<br />
๒.๑.๒ การสือสารทางสาย (๑๗)<br />
๒.๒ การปฐมพยาบาล สุขศาสตร์ สุขวิทยา อนามัย (๒๐)<br />
และนิวเคลียร์ ชีวะ เคมี<br />
๒.๒.๑ การปฐมพยาบาล (๑๔)<br />
๒.๒.๒ สุขศาสตร์ (๒)<br />
๒.๒.๓ นิวเคลียร์ ชีวะ เคมี (๔)
๕๕<br />
ลําดับ วิชา ชัวโมง<br />
๒.๓ วิชาแผนที (๔๐) (๔)<br />
๒.๔ วิชาอาวุธและการใช้อาวุธ (๒๑๔)<br />
๒.๔.๑ ปลย.เอ็ม.๑๖ เอ.๑ (๔๐)<br />
๒.๔.๒ ปลย.เอ็ม.๑๖ เอ.๒ (๑๒)<br />
๒.๔.๓ เครืองยิงลูกระเบิด ขนาด ๔๐ มม.เอ็ม.๒๐๓ (๑๖)<br />
๒.๔.๔ เครืองยิงลูกระเบิดอัตโนมัติขนาด ๔๐ มม. (๘)<br />
๒.๔.๕ ปื นพก ๘๖ ขนาด .๔๕ นิว (๑๖)<br />
๒.๔.๖ ปื นเล็กกล เอ็ม.๒๔๙ (๒๔)<br />
๒.๔.๗ ปื นกล เอ็ม.๖๐ (๓๐)<br />
๒.๔.๘ ปื นกล แบบ ๓๘ (๘)<br />
๒.๔.๙ ลูกระเบิดขว้าง (๑๒)<br />
๒.๔.๑๐ ทุ่นระเบิดกับระเบิด (๒๐)<br />
๒.๔.๑๑ การระเบิดทําลาย (๘)<br />
๒.๔.๑๒ กับระเบิดแสวงเครือง (๘)<br />
๒.๔.๑๓ การใช้ดาบปลายปื น (๑๒)<br />
๒.๕ วิชายุทธวิธี (๑๗๘) (๒๘)<br />
๒.๕.๑ การฝึ กเป็ นบุคคล (๓๖) (๔)<br />
๒.๕.๒ หน้าทีเฉพาะทางเทคนิค (๒๖)<br />
๒.๕.๓ การยิงทีมีการตรวจการณ์ (๔)<br />
๒.๕.๔ การเดินทางไกลและพักแรม (๘)(๑๖)<br />
๒.๕.๕ การฝึ กเป็ นหน่วย (๑๐๔)(๘)<br />
๒.๖ วิชาเหล่าทหาร (๖๘)<br />
๒.๖.๑ วิชาเหล่าทหารราบ (๔)<br />
๒.๖.๒ วิชาเหล่าทหารม้า (๔)<br />
๒.๖.๓ วิชาเหล่าทหารปื นใหญ่ (๔)<br />
๒.๖.๔ วิชาเหล่าทหารช่าง (๔)<br />
๒.๖.๕ วิชาเหล่าทหารสือสาร (๔)<br />
๒.๖.๖ วิชาเหล่าทหารสรรพาวุธ (๔)
๕๖<br />
ลําดับ วิชา ชัวโมง<br />
๒.๖.๗ วิชาเหล่าทหารแพทย์ (๔)<br />
๒.๖.๘ วิชาเหล่าทหารขนส่ง (๔)<br />
๒.๖.๙ วิชาเหล่าทหารพลาธิการ (๔)<br />
๒.๖.๑๐ วิชาเหล่าทหารการเงิน (๔)<br />
๒.๖.๑๑ วิชาเหล่าทหารการสัตว์ (๔)<br />
๒.๖.๑๒ วิชาเหล่าทหารพระธรรมนูญ (๔)<br />
๒.๖.๑๓ วิชาเหล่าทหารสารวัตร (๔)<br />
๒.๖.๑๔ วิชาเหล่าทหารดุริยางค์ (๔)<br />
๒.๖.๑๕ วิชาเหล่าทหารสารบรรณ (๔)<br />
๒.๖.๑๖ วิชาเหล่าทหารการข่าว (๔)<br />
๒.๖.๑๗ วิชาเหล่าทหารแผนที (๔)<br />
๓. วิชาการศึกษาทัวไป ๑๗๒ (๑๘๗)<br />
๓.๑ วิชาการขับรถยนต์ทหาร (๔๐) (๘)<br />
๓.๒ วิชาผู้นําทางทหารและการฝึ กปฏิบัติทีมุ่งเน้นผลการปฏิบัติ (๒๔)<br />
๓.๓ วิชาระเบียบงานสารบรรณ (๑๖)<br />
๓.๔ วิชาภาษาอังกฤษทางทหาร (๒๐)<br />
๓.๕ วิชาคอมพิวเตอร์เบื องต้น (๓๐)<br />
๓.๖ วิชาพิมพ์ดีดภาษาไทย (๓๐)<br />
๓.๗ วิชาเอดส์ศึกษา (๘)<br />
๓.๘ วิชาการป้ องกันยาเสพติด (๔)<br />
๓.๙ การบรรยายพิเศษ (-) (๑๗๙)<br />
๓.๙.๑ ประวัติศาสตร์ชาติไทย (-) (๒๔)<br />
๓.๙.๒ ประวัติศาสตร์ทหาร (-) (๑๖)<br />
๓.๙.๓ ความรู้ทั วไป (-) (๒๕)<br />
๓.๙.๔ วิชาศีลธรรมและจริยธรรม (-) (๒๔)<br />
๓.๙.๑๐ ทัศนศึกษาและดูงาน (-) (๙๐)<br />
๔. การฝึ กภาคสนาม ๑๓๒
๕๗<br />
ตอนที ๒ หมายเลขหลักสูตร ๖ - ช - ๐๐๖ หมายเลข ชกท. ๐๐๖<br />
ความมุ ่งหมาย เพือให้นักเรียนนายสิบทีสําเร็จการศึกษา<br />
๑. มีความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าทีในส่วนกองบังคับการส่วนยิง ป.สนาม, หมู ่ ป.,<br />
หมู ่กระสุน ในอัตรา ส.อ. ได้<br />
๒. มีความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าทีในส่วนของหน่วยยิง ปตอ. ในอัตรา ส.อ. ได้<br />
๓. มีความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าทีเป็ นเจ้าหน้าทีหลักฐานทางระดับ,ทางสูง และ<br />
เจ้าหน้าทีบันทึกหลักฐานใน ศอย.<br />
๔. มีความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าทีเป็ นเจ้าหน้าทีในหมู ่ตรวจการณ์หน้าได้<br />
๕. มีความรู้ความสามารถปฏิบัติหน้าทีในชุดแผนที ป. ในอัตรา ส.อ. ได้<br />
๖. เป็ นผู้นําทีดีมีคุณธรรม มีสุขภาพร่างกายแข็งแรง ทรหด อดทนต่อการตรากตรํา<br />
ทํางานในหน้าทีตามภารกิจ<br />
คุณสมบัติของผู ้เข้ารับการศึกษา<br />
ระยะเวลาการศึกษา<br />
ทีตั<br />
ตามระเบียบ ทบ. ว่าด้วยนักเรียนนายสิบทหารบก<br />
๒๖ สัปดาห์ ๑,๐๔๐ ชัวโมง<br />
งสถานศึกษา โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ ค่ายพหลโยธิน<br />
อําเภอเมือง จังหวัดลพบุรี ๑๕๑๖๐<br />
หลักสูตร นักเรียนนายสิบทหารบกหลักสูตร ๑ ปี เหล่าทหารปื นใหญ่<br />
ระยะเวลาการศึกษา ๒๖ สัปดาห์ ๑,๐๔๐ (๑๑๖) ชัวโมง<br />
วิชา เรืองทีทําการสอน ชัวโมง<br />
๑. ภาค ๗๙๒<br />
วิชาการ ๑.๑ วิชาหลัก<br />
๑.๑.๑ ทบทวนคณิตศาสตร์ และการใช้เครืองคํานวณ ๔๘<br />
๑.๑.๑.๑ เลขคณิตและพีชคณิต (๔)<br />
๑.๑.๑.๒ เรขาคณิต (๔)<br />
๑.๑.๑.๓ ตรีโกณมิติ (๘)
๕๘<br />
วิชา เรืองทีทําการสอน ชัวโมง<br />
๑.๑.๑.๔ พละคณิต (๘)<br />
๑.๑.๑.๕ กฎของไซน์ (๔)<br />
๑.๑.๑.๖ การสอบครั งที ๑ (๒)<br />
๑.๑.๑.๗ การใช้เครืองคํานวณ (๑๖)<br />
๑.๑.๑.๘ การสอบครั งสุดท้าย (๒)<br />
๑.๑.๒ อาวุธศึกษาปื นใหญ่สนาม ๖๘<br />
๑.๑.๒.๑ ประวัติและวิวัฒนาการของปื นใหญ่สนาม (๒)<br />
๑.๑.๒.๒ ปบค.๙๕ ขนาด ๑๐๕ มม. เอ็ม.๑๐๑ เอ ๑ (๖)<br />
๑.๑.๒.๓ ปบค.ขนาด ๑๐๕ มม.แอล.๑๑๙ (๖)<br />
๑.๑.๒.๔ ปบค.๒๕ ขนาด ๑๐๕ มม. เอ็ม.๔๒๕ (๖)<br />
๑.๑.๒.๕ ปบค.๒๙ ขนาด ๑๐๕ มม. เอ็ม.๕๖ (๖)<br />
๑.๑.๒.๖ การสอบ (๒)<br />
๑.๑.๒.๗ ปกค.๓๗ ขนาด ๑๕๕ มม.เอ็ม ๑๐๙เอ.๕ อัตตาจร<br />
และรถสายพานบรรทุกกระสุน M ๙๙๒ A๑ (๖)<br />
๑.๑.๒.๘ ปกค. ๐๓ ขนาด ๑๕๕ มม. เอ็ม. ๑๑๔ เอ. ๑ (๖)<br />
๑.๑.๒.๙ ปกค. ๒๕ ขนาด ๑๕๕ มม. เอ็ม. ๑๙๘ (๖)<br />
๑.๑.๒.๑๐ ปนร. ๒๐ ขนาด ๑๕๕ มม. เอ็ม. ๗๑ (๖)<br />
๑.๑.๒.๑๑ การสอบครั งที ๑ (๑)<br />
๑.๑.๒.๑๒ ปนร.๓๔ ขนาด ๑๕๕ มม.แบบGHN–๔๕ A ๑(๔)<br />
๑.๑.๒.๑๓ กระสุนและชนวน (๖)<br />
๑.๑.๒.๑๔ การจัดการเกียวกับอาวุธ (๔)<br />
๑.๑.๒.๑๕ การสอบครั งสุดท้าย (๑)<br />
๑.๑.๓ ส่วนยิงปื นใหญ่สนาม ๑๒๘<br />
(๑๖)<br />
๑.๑.๓.๑ กล่าวนํา การจัดและหน้าทีส่วนยิง ป.สนาม (๒)<br />
๑.๑.๓.๒ ศัพท์ทีใช้ในส่วนยิง (๔)<br />
๑.๑.๓.๓ เครืองมือควบคุมการยิง (๖)<br />
๑.๑.๓.๔ คําสั งยิง (๖)<br />
๑.๑.๓.๕ การสอบครั งที ๑ (๑)<br />
๑.๑.๓.๖ การฝึ กใช้ ปบค.๙๕ ขนาด ๑๐๕ มม. เอ็ม.๑๐๑ (๒๐)<br />
๑.๑.๓.๗ การฝึ กหน้าทีพลประจําปื น ประกอบรถลาก (๘)<br />
๑.๑.๓.๘ การสอบครั งที ๒ (๑)<br />
๑.๑.๓.๙ การฝึ กใช้ ปกค.๒๕ ขนาด ๑๕๕ มม. เอ็ม. ๑๙๘ (๘)
๕๙<br />
วิชา เรืองทีทําการสอน ชัวโมง<br />
๑.๑.๓.๑๐ การฝึ กทดสอบเครืองควบคุมการยิง (๘)<br />
๑.๑.๓.๑๑ การปรับเส้นเล็ง (๒)<br />
๑.๑.๓.๑๒ การฝึ กปรับเส้นเล็ง (๘)<br />
๑.๑.๓.๑๓ การตั ง ป. ตรงทิศ (๔)<br />
๑.๑.๓.๑๔ การฝึ กตั ง ป.ตรงทิศ กลางวันและกลางคืน (๘ (๘))<br />
๑.๑.๓.๑๕ การสอบ ครั งที ๑ (๒)<br />
๑.๑.๓.๑๖การวัดมุมพื นทียอดทีกําบังและการหาระยะกําบัง<br />
(๔)<br />
๑.๑.๓.๑๗ แบบบันทึกของส่วนยิง (๒)<br />
๑.๑.๓.๑๘ การฝึ กหน้าทีพลประจําปื นประกอบคําสั งยิง (๘)<br />
๑.๑.๓.๑๙ การยิงทําลายใกล้ชิด (๔)<br />
๑.๑.๓.๒๐ การยิงเล็งตรง (๔)<br />
๑.๑.๓.๒๑ การยิงรอบตัว (๒)<br />
๑.๑.๓.๒๒ สิ งช่วยตรวจความปลอดภัย (๒)<br />
๑.๑.๓.๒๓ การฝึ กยิงทําลายใกล้ชิด, การยิงเล็งตรง,<br />
การยิงรอบตัวและการปักหลักปลอดภัย (๘)<br />
๑.๑.๓.๒๔ การปฏิบัติเกียวกับกระสุน (๒)<br />
๑.๑.๓.๒๕ การปฏิบัติเมือ ป. ยิงต่อไปไม่ได้ (๒)<br />
๑.๑.๓.๒๖ การสอบครั งสุดท้าย (๒)<br />
๑.๑.๔ อาวุธศึกษา และหลักยิง ปตอ. ๑๓๘<br />
๑.๑.๔.๑ อาวุธศึกษา<br />
๑.๑.๔.๑.๑ อาวุธและยุทโธปกรณ์ ปตอ.ไทย (๒)<br />
๑.๑.๔.๑.๒ อาวุธ ปตอ.๑๒.๗ มม.แบบ เอ็ม.๑๖<br />
และ เอ็ม.๕๕ (๖)<br />
๑.๑.๔.๑.๓ ปตอ.๔๐ มม.แอล. ๖๐ ลจ.,อจ. (๖)<br />
๑.๑.๔.๑.๔ ปตอ.๔๐ มม.แอล. ๗๐ (อังกฤษ) (๔)<br />
๑.๑.๔.๑.๕ การสอบครั งที ๑ (๑)<br />
๑.๑.๔.๑.๖ ปตอ. ๒๐ มม.วัลแคน อจ. และ ลจ. (๘)<br />
๑.๑.๔.๑.๗ ปตอ. ๓๗ มม. และ ปตอ. ๕๗ มม.<br />
(สปจ.) (๖)<br />
๑.๑.๔.๑.๘ กระสุนและชนวน ปตอ. (๖)<br />
๑.๑.๔.๑.๙ การสอบ ครั งที ๒ (๑)
๖๐<br />
วิชา เรืองทีทําการสอน ชัวโมง<br />
๑.๑.๔.๑.๑๐ การฝึ กปรับเส้นเล็ง ปตอ.๑๒.๗ มม.<br />
เอ็ม.๑๖,การฝึ กปรับเส้นเล็ง ปตอ.๔๐<br />
มม. แอล ๖๐ ลจ. และ ปตอ.๔๐ มม.<br />
แอล ๗๐ ลจ. (๘)<br />
๑.๑.๔.๑.๑๑ การฝึ กหน้าทีพลประจําปื น<br />
ปตอ.๑๒.๗ มม. (๑๔)<br />
๑.๑.๔.๑.๑๒ การฝึ กหน้าทีพลประจําปื น ปตอ.๔๐<br />
มม. แอล. ๖๐ ลจ.ปตอ.๔๐ มม. แอล.<br />
๗๐ ลจ. (๑๖)<br />
๑.๑.๔.๑.๑๓ การสอบครั งสุดท้าย (๒)<br />
๑.๑.๔.๒ หลักยิง ปตอ. ๓๐<br />
๑.๑.๔.๒.๑ เครืองควบคุมการยิง ปตอ. (๔)<br />
๑.๑.๔.๒.๒ เครืองเล็งวงกลมความเร็ว (๔)<br />
๑.๑.๔.๒.๓ การตรวจการณ์กระสุนส่องวิถี (๔)<br />
๑.๑.๔.๒.๔ การสอบครั งที ๓ (๑)<br />
๑.๑.๔.๒.๕ การยิงเป้ าหมายทางอากาศและการ<br />
ประเมินผลการยิง (๗)<br />
๑.๑.๔.๒.๖ การยิงเป้ าหมายทางพื นดินและการ<br />
ประเมินผลการยิง (๗)<br />
๑.๑.๔.๒.๗ ระเบียบสนามยิง ปตอ. (๒)<br />
๑.๑.๔.๒.๘ การสอบ ครั งที ๔ (๑)<br />
๑.๑.๔.๓ การตรวจค้นและพิสูจน์ฝ่ าย ( ๑๒ ชม.)<br />
๑.๑.๔.๓.๑ ระบบเรดาร์ในการป้ องกันภัยทาง<br />
อากาศ (๓)<br />
๑.๑.๔.๓.๒ การตรวจค้นและพิสูจน์ฝ่ าย (๔)<br />
๑.๑.๔.๓.๓ การจดจําลักษณะเครืองบิน (๔)<br />
๑.๑.๔.๓.๔ การสอบ ครั งสุดท้าย (๑)<br />
๑.๑.๔.๔ การฝึ กใช้ ปตอ. ๑๖<br />
๑.๑.๔.๔.๑ การฝึ กหน้าทีพลประจําปื น ปตอ.<br />
๑๒.๗ มม. เอ็ม. ๑๖ ในการ ติดพัน<br />
เป้ าหมาย (๘)
๖๑<br />
วิชา เรืองทีทําการสอน ชัวโมง<br />
๑.๑.๖.๙ การสอบครั งที ๒ (๒)<br />
๑.๑.๖.๑๐ การปฏิบัติของ ศอย.ร้อย.ป.เป็ นชุด (๘)<br />
๑.๑.๖.๑๑ การฝึ กปฏิบัติของ ศอย.ร้อย.ป.เป็ นชุด (๑๖)<br />
๑.๑.๖.๑๒ การยิงประณีต (๘)<br />
๑.๑.๖.๑๓ การสอบครั งสุดท้าย (๒)<br />
๑.๑.๗ ยุทธวิธี ป.สนาม ๔๐<br />
๑.๑.๗.๑ ภารกิจโดยทั วไปและคุณลักษณะของ ป.สนาม (๑)<br />
๑.๑.๗.๒ การจัดหน่วย ป.สนาม (๔)<br />
๑.๑.๗.๓ ภารกิจทางยุทธวิธีของ ป.สนาม (๔)<br />
๑.๑.๗.๔ การสอบ (๑)<br />
๑.๑.๗.๕ การจัดพื นทีตั ง ร้อย.ป.สนาม (๖)<br />
๑.๑.๗.๖ การระวังป้ องกันร้อย.ป.สนาม (๖)<br />
๑.๑.๗.๗ การเปลียนทีตั ง ร้อย.ป.สนาม (๔)<br />
๑.๑.๗.๘ การ ลลขต.ของร้อย.ป.สนาม (๘)<br />
๑.๑.๗.๙ การสาธิตการ ลลขต.ของ ร้อย.ป.สนาม (๔)<br />
๑.๑.๗.๑๐ การสอบครั งสุดท้าย (๒)<br />
๑.๑.๘ ยุทธวิธี ปตอ. ๓๒<br />
๑.๑.๘.๑ ภัยคุกคามทางอากาศ (๔)<br />
๑.๑.๘.๒ ภารกิจและการจัดหน่วย พัน.ปตอ. (๔)<br />
๑.๑.๘.๓ การจัดเจ้าหน้าทีต่าง ๆ ของหมู ่ ปตอ.ลํากล้อง (๒)<br />
๑.๑.๘.๔ การใช้ ปตอ.ในการป้ องกันภัยทางอากาศ (๔)<br />
๑.๑.๘.๕ การสอบครั งที ๑ (๒)<br />
๑.๑.๘.๖ การ ลลขต.ของหมู ่ ปตอ. (๖)<br />
๑.๑.๘.๗ ศปภอ.พัน.ปตอ. (๔)<br />
๑.๑.๘.๘การรักษาความปลอดภัยในการรบและความอยู ่รอด<br />
(๔)<br />
๑.๑.๘.๙ การสอบครั งสุดท้าย (๒)<br />
๑.๑.๙ แผนที ป. ๖๐(๔)<br />
๑.๑.๙.๑ กล่าวนํา (๑)<br />
๑.๑.๙.๒ เครืองมือวัดระยะ (๓)<br />
๑.๑.๙.๓ การฝึ กใช้เครืองมือวัดระยะ (๘)<br />
๑.๑.๙.๔ เครืองวัดมุม (๒)<br />
๑.๑.๙.๕ การฝึ กใช้เครืองมือวัดมุม (๘)
๖๒<br />
วิชา เรืองทีทําการสอน ชัวโมง<br />
๑.๑.๙.๖ การคํานวณมุมภาคและระยะ (๒)<br />
๑.๑.๙.๗ การทําแบบฝึ กหัด (๔)<br />
๑.๑.๙.๘ การสอบ (๒)<br />
๑.๑.๙.๙ การลอดลัด (๔)<br />
๑.๑.๙.๑๐ การทําแบบฝึ กหัด (๘)<br />
๑.๑.๙.๑๑ การฝึ กการลอดลัด (๑๖ (๔) )<br />
๑.๑.๙.๑๒ การสอบครั งสุดท้าย (๒)<br />
๑.๑.๑๐ สือสาร ป. ๕๐<br />
๑.๑.๑๐.๑ เครืองมือสือสาร ๔๐<br />
๑.๑.๑๐.๑.๑ กล่าวนําเครืองมือสือสาร ป. (๒)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๒ ชุดวิทยุAN/PRC-๗๗,AN/VRC–๖๔,<br />
และ AN/GRC–๑๖๐ (๔)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๓ชุดวิทยุAN/VRC–๔๖,AN/VRC–๔๗,<br />
และ AN/VRC–๔๙ (๔)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๔ เสาอากาศ RC – ๒๙๒ (๔)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๕ ชุดเครืองควบคุมวิทยุ AN/GRA- ๓๙<br />
(๑)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๖ การฝึ กติดตั งและการใช้งานวิทยุใน<br />
สนาม (๔)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๗ การสอบครั งที ๑ (๑)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๘ สายโทรศัพท์สนาม WD-๑/TT และ<br />
เครืองมือตัดต่อสาย TE – ๓๓ (๑)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๙ การผูกสายและการตัดต่อ<br />
สายโทรศัพท์ (๒)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๑๐ เครืองมือวางสายแบบต่างๆ (๒)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๑๑ โทรศัพท์สนาม TA-๓๑๒/PT (๒)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๑๒ ตู้สลับสาย SB – ๒๒/PT (๒)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๑๓ ตู้สลับสาย SB–๙๙๓/GT และชุด<br />
เชือต่อสาย MX–๑๕๕ (๑)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๑๔ การวางสายแบบต่างๆ (๒)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๑๕ การบํารุงรักษาสายโทรศัพท์สนาม<br />
(๒)<br />
๑.๑.๑๐.๑.๑๖ การฝึ กวางสายแบบต่างๆ (๔)
๖๓<br />
วิชา เรืองทีทําการสอน ชัวโมง<br />
๑.๑.๑๐.๑.๑๗ การสอบครั งที ๒ (๒)<br />
๑.๑.๑๐.๒ ระเบียบการสือสาร ๔<br />
๑.๑.๑๐.๒.๑ การรักษาความปลอดภัยทางการ<br />
สือสาร (๒)<br />
๑.๑.๑๐.๒.๒ ระเบียบการใช้วิทยุโทรศัพท์ (๒)<br />
๑.๑.๑๐.๓ ระบบการสือสาร ๖<br />
๑.๑.๑๐.๓.๑ กล่าวนําระบบการสือสาร (๑)<br />
๑.๑.๑๐.๓.๒ ระบบการสือสาร ร้อย. ปบค. ๑๐๕<br />
มม. (๒)<br />
๑.๑.๑๐.๓.๔ การสอบครั งสุดท้าย (๑)<br />
๑.๑.๑๐.๓.๓ ระบบการสือสาร ร้อย.ปตอ.๔๐ มม.<br />
(๒)<br />
๑.๑.๑๐.๓.๔ การสอบครั งสุดท้าย (๑)<br />
๑.๑.๑๑ ยานยนต์ ๔๘<br />
๑.๑.๑๑.๑ กล่าวนํา (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๒ คุณลักษณะยานยนต์ทหาร (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๓ หลักการทํางานของเครืองยนต์ (๔)<br />
๑.๑.๑๑.๔ ระบบจุดระเบิด (๓)<br />
๑.๑.๑๑.๕ ระบบนํ ามันเชื อเพลิง (๓)<br />
๑.๑.๑๑.๖ ระบบระบายความร้อน (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๗ ระบบหล่อลืน (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๘ การสอบครั งที ๑ (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๙ แบตเตอรี (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๑๐ ระบบประจุไฟฟ้ า (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๑๑ มอเตอร์สตาร์ท (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๑๒ ระบบทางส่งกําลัง (๒)<br />
๑.๑.๑๑.๑๓ แคร่รถ (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๑๔ ระบบห้ามล้อ (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๑๕ ระบบบังคับเลี ยว (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๑๖ การสอบครั งที ๒ (๑)<br />
๑.๑.๑๑.๑๗ ระบบการซ่อมบํารุงของ ทบ. (๒)<br />
๑.๑.๑๑.๑๘ การจัดโรงซ่อมและความปลอดภัย (๑)
๖๔<br />
วิชา เรืองทีทําการสอน ชัวโมง<br />
๑.๑.๑๑.๑๙ แบบพิมพ์ทีใช้ในการซ่อมบํารุงขั นที ๑ และ<br />
ขั นที ๒ (๔)<br />
๑.๑.๑๑.๒๐ การปรนนิบัติบํารุงขั นที ๑ (๘)<br />
๑.๑.๑๑.๒๑ การปรนนิบัติบํารุงขั นที ๒ (๘)<br />
๑.๑.๑๑.๒๒ การสอบครั งสุดท้าย (๑)<br />
๑.๑.๑๒ การค้นหาเป้ าหมาย ๒๐<br />
๑.๑.๑๒.๑ กล่าวนํา (๑)<br />
๑.๑.๑๒.๒ การตรวจการณ์ของ ป. (๔)<br />
๑.๑.๑๒.๓ การวิเคราะห์หลุมระเบิด (๒)<br />
๑.๑.๑๒.๔ การรายงานการยิง ป. (๒)<br />
๑.๑.๑๒.๕ เป้ าหมาย (๒)<br />
๑.๑.๑๒.๖การวิเคราะห์และพิสูจน์ทราบชินส่วนสะเก็ดระเบิด<br />
(๔)<br />
๑.๑.๑๒.๗เครืองมือค้นหาเป้ าหมายในกองร้อยค้นหา<br />
เป้ าหมาย (๔)<br />
๑.๑.๑๒.๘ การสอบ (๑)<br />
๑.๒ วิชารอง ๔๐<br />
๑.๒.๑ การปลูกฝังอุดมการณ์ทางการเมือง (๒๐)<br />
๑.๒.๒ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ (๘)<br />
๑.๒.๓ คุณธรรมและจริยธรรม (๑๒)<br />
๒. ภาคปฏิบัติ ๑๖๘<br />
(๔๘)<br />
๒.๑ วิชาเฉพาะหน้าที/การฝึ กภาคสนาม<br />
๒.๑.๑ การฝึ กชุดหลักยิง ป.สนาม (๔๐)<br />
๒.๑.๒ การฝึ กยิง ป.และปตอ.ทางเทคนิคด้วยกระสุนจริง(๓๒)<br />
๒.๑.๓ การฝึ กภาคสนาม<br />
๒.๑.๓.๑ การฝึ กกองร้อย ป.ปฏิบัติการรบ (๔๐(๓๖))<br />
๒.๑.๓.๒ การฝึ กกองร้อย ปตอ.ปฏิบัติการรบ (๑๖(๑๒))<br />
๒.๑.๔ การฝึ กงาน (๔๐)<br />
- ฝึ กปฏิบัติงานตาม ชกท. ทีได้รับการบรรจุและความมุ่ง<br />
หมาย ของหลักสูตร นนส. ๑ ปี เหล่า ป.
๖๕<br />
วิชา เรืองทีทําการสอน ชัวโมง<br />
๓. เบ็ดเตล็ด ๔๐<br />
(๔๐)<br />
๓.๑ เวลาอะไหล่ และเวลาผู้บังคับบัญชา ๓๕<br />
๓.๒ การบรรยายพิเศษ เรือง อุดมการณ์ความรักชาติ ๕<br />
๓.๒ พลศึกษา (ใช้เวลานอกหลักสูตร) (๔๐)
ผนวก ข<br />
แบบสอบถามเพือการวิจัย<br />
เรือง แรงจูงใจทีมีผลกระทบต่อนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่<br />
ในการเลือกรับราชการในหน่วยของกองทัพบก<br />
แบบสอบถามฉบับนี จัดทําขึ นโดย พันเอก กฤษณภาค สมใจเพ็ง นักศึกษาวิทยาลัย<br />
เสนาธิการทหาร รุ่นที ๕๐ ตําแหน่งปัจจุบันคือ หัวหน้าแผนกเตรียมการ โรงเรียนทหารปื นใหญ่<br />
ศูนย์การทหารปื นใหญ่ ซึ งเคยมีโอกาสเข้าร่วมในขั นตอนการเลือก หน่วยของนักเรียนนายสิบ<br />
ทหารบกเหล่าทหารปื นใหญ่ เมือสําเร็จการศึกษาจากโรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่<br />
ซึ งทําให้เกิดความสนใจว่านายทหารชั นประทวนยุคปัจจุบันทีจบจากโรงเรี ยนทหารปื นใหญ่<br />
ศูนย์การทหารปื นใหญ่ มีแนวความคิดหรือมีแรงจูงใจอย่างไรบ้างในการตัดสินใจเลือกหน่วยเพือ<br />
รับราชการ และจะมีวิธีการใดบ้าง ทีจะสามารถทําให้นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่<br />
สามารถเลือกหน่วยในการรับราชการได้ตรงตามความต้องการของนักเรี ยนนายสิบทหารบก<br />
เหล่าทหารปื นใหญ่มากทีสุด จึงขอความร่วมมือจากนักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่<br />
รุ่ นที ๑๒ ผลัดที ๑ กรุ ณาตอบแบบสอบถามฉบับนี ตามความจริ ง ซึ งข้อมูลนี จะนําไปใช้<br />
เพือการศึกษาเท่านั น และจะไม่มีผลเสียใดๆ ต่อผู้ตอบแบบสอบถาม ซึ งแบบสอบถามฉบับนี<br />
แบ่งออกเป็ น ๓ ส่วน คือ<br />
ส่วนที ๑ ข้อมูลส่วนบุคคล<br />
ส่วนที ๒ ความคิดเห็นเกียวกับหน่วยทีต้องการและกรรมวิธีในการเลือกหน่วย<br />
เพือรับราชการ<br />
ส่วนที ๓ ข้อเสนอแนะในการดําเนินกรรมวิธีเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ<br />
ส่วนที ๑ ข้อมูลส่วนบุคคล<br />
อายุปัจจุบัน............ปี วุฒิการศึกษาทางพลเรือนสูงสุดก่อนเข้ารับการศึกษาทีโรงเรียนนายสิบ<br />
ทหารบก............................................................จากสถานศึกษา……………………......................<br />
ตําบล............................................................อําเภอ/แขวง...................................................................<br />
จังหวัด..........................................................ภูมิลําเนาเดิม (ทีอยู ่จริงก่อนเข้ารับการศึกษาทีโรงเรียน
๖๗<br />
นายสิบทหารบก) บ้านเลขที..........................................ตําบล/เขต.....................................................<br />
อําเภอ/แขวง.............................................................จังหวัด................................................................<br />
ส่ วนที ๒ ความคิดเห็นเกียวกับหน่วยทีต้องการและกรรมวิธีในการเลือกหน่วย<br />
เพือรับราชการ<br />
กรุณาแสดงความต้องการ หรือความคิดเห็นในเรืองหน่วยงานทีท่านมีความประสงค์<br />
จะเข้ารับราชการ และกรรมวิธีในการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการหลังจากจบการศึกษาจาก<br />
โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่ ตามความเป็ นจริง โดยแบ่งความต้องการ หรือ<br />
ความคิดเห็นออกเป็ น ๕ ระดับ คือ<br />
มากทีสุด = ๕ คะแนน<br />
มาก = ๔ คะแนน<br />
ปานกลาง = ๓ คะแนน<br />
น้อย = ๒ คะแนน<br />
น้อยทีสุด = ๑ คะแนน<br />
ลําดับ<br />
รายการ<br />
๑. จะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีมีอัตรา(ตําแหน่งที<br />
สูงขึ น)ว่างมากสําหรับรองรับความก้าวหน้าในอาชีพ<br />
ราชการในอนาคตถึงแม้ว่าทีตั งหน่วยอยู่ห่างไกลจาก<br />
ภูมิลําเนาเดิม (ครอบครัว)<br />
๒. จะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีเป็ นหน่วยสนับสนุน<br />
การรบ เช่น กองพันทหารปื นใหญ่ หรือกองพันทหาร<br />
ปื นใหญ่ต่อสู้อากาศยาน แต่จะไม่เลือกเข้ารับราชการ<br />
ในหน่วยทีเน้นหนักงานทางด้านธุ รการหรื องาน<br />
ทางด้านการศึกษา<br />
มาก<br />
ทีสุด<br />
มาก<br />
ปาน<br />
กลาง<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
ทีสุด
๖๘<br />
ลําดับ<br />
รายการ<br />
๓. จะเลือกเข้ารับราชการในหน่ วยทีมีทีตั งอยู่ใกล้<br />
สถานศึกษาทางพลเรื อนเพือจะได้มีโอกาสเข้ารับ<br />
การศึกษาเพือเพิ มคุณวุฒิการศึกษาทางพลเรื อน<br />
ถึงแม้ว่าทีตั งหน่วยอยู่ห่ างไกลจากภูมิลําเนาเดิม<br />
(ครอบครัว)<br />
๔. จะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีก่อตั งมานานแล้ว<br />
เพราะเป็ นหน่วยทีมีความสมบูรณ์ในเรืองระบบการ<br />
ทํา ง า นและสถานที ใ นการทํา งานที พ ร้ อมและ<br />
สะดวกสบายแต่จะไม่เลือกเข้ารับราชการในหน่วยที<br />
เพิงก่อตั งใหม่ซึ งยังไม่มีความสมบูรณ์ทั งในเรืองการ<br />
ทํางานและสถานทีในการทํางานทียังต้องมีการพัฒนา<br />
ปรับปรุงอีกมาก<br />
๕. จะเลือกเข้ารับราชการในหน่วยทีมีอาวุธยุทโธปกรณ์<br />
และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ทีทันสมัยและมีเทคโนโลยีสูง<br />
เพราะรู้สึกเป็ นความท้าทายทีจะได้เรี ยนรู้วิทยาการ<br />
สมัยใหม่แต่จะไม่เลือกหน่วยทีมีอาวุธยุทโธปกรณ์<br />
และวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ แบบเดิมๆ หรื อแบบทีเคย<br />
เรียนรู้มาแล้วเพราะไม่มีวิทยาการใหม่ๆ ให้เรียนรู้<br />
๖. ควรมีการซักซ้อมการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ<br />
มากกว่า ๑ ครั งก่อนดําเนิ นการเลือกจริ งโดยให้<br />
ระยะเวลาของการซักซ้อมต่างกันพอเหมาะคือให้มี<br />
การซักซ้อมโดยพิจารณาจากลําดับทีของนักเรียนทีจัด<br />
เรียงลําดับตามผลการเรียนมีการเปลียนแปลงจากเดิม<br />
มากพอสมควรเป็ นเกณฑ์ในการกําหนดวันซักซ้อม<br />
๗. ลําดับทีในการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการควรให้<br />
สิทธิผู้ทีมีผลการศึกษาดีกว่าเป็ นผู้มีสิทธิเลือกหน่วย<br />
เพือเข้ารับราชการก่อนเรียงตามลําดับไป<br />
มาก<br />
ทีสุด<br />
มาก<br />
ปาน<br />
กลาง<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
ทีสุด
๖๙<br />
ลําดับ<br />
รายการ<br />
๘. ควรให้นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่<br />
กําหนดความต้องการหน่วยทีประสงค์จะเข้ารับ<br />
ราชการเรียงตามลําดับความต้องการ ๓ ลําดับเพือเป็ น<br />
แผนสํารองในกรณี ทีการเลื อกหน่วยเพือเข้ารับ<br />
ราชการจริงไม่เป็ นไปตามทีซักซ้อม<br />
๙. ควรให้มีผู้แทนหน่วยระดับกรมหรื อเทียบเท่ามา<br />
แนะนําหน่วยถึงระดับกองพันหรื อเทียบเท่าเพือให้<br />
นักเรียนนายสิบทหารบก เหล่าทหารปื นใหญ่ได้ทราบ<br />
ก่อนการซักซ้อมการเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ<br />
ครั งแรก<br />
มาก<br />
ทีสุด<br />
มาก<br />
ปาน<br />
กลาง<br />
น้อย<br />
น้อย<br />
ทีสุด<br />
ส่วนที ๓ ข้อเสนอแนะในการดําเนินกรรมวิธีเลือกหน่วยเพือเข้ารับราชการ<br />
...........................................................................................................................................<br />
...........................................................................................................................................<br />
...........................................................................................................................................<br />
...........................................................................................................................................<br />
...........................................................................................................................................
๗๐<br />
ประวัติย่อผู ้วิจัย<br />
ชือ : พันเอก กฤษณภาค สมใจเพ็ง<br />
วันเดือนปี เกิด : ๒๗ มีนาคม ๒๕๐๗<br />
การศึกษา<br />
: ปริญญาตรีจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า วุฒิปริญญาวิทยาศาสตร์<br />
บัณฑิต สาขา วิทยาศาสตร์<br />
ชั นนายร้อยทหารปื นใหญ่ รุ่นที ๓๒<br />
ชั นนายพันทหารปื นใหญ่ รุ่นที ๓๕<br />
เสนาธิการทหารบก หลักสูตรหลักประจํา ชุดที ๗๔<br />
ประวัติการทํางาน : นายทหารลาดตระเวนและแผนที กองร้อยปื นใหญ่ กองพันทหารปื นใหญ่<br />
ที ๑๐๖<br />
รองผู้บังคับกองร้อยปื นใหญ่ กองพันทหารปื นใหญ่ที ๑๐๖<br />
ผู้บังคับกองร้อยปื นใหญ่ กองพันทหารปื นใหญ่ที ๗๑๑<br />
นายทหารฝ่ ายยุทธการและการฝึ ก กองพันทหารปื นใหญ่ที ๗๑๑<br />
ผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ ายส่งกําลังบํารุง กองพลทหารปื นใหญ่<br />
นายทหารฝ่ ายยุทธการและการฝึ ก กรมทหารปื นใหญ่ที ๗๒<br />
รองผู้บังคับกองพันทหารปื นใหญ่ที ๗๒๓<br />
นายทหารการยิงสนับสนุน กองพลทหารปื นใหญ่<br />
หัวหน้าฝ่ ายกําลังพล กองพลทหารปื นใหญ่<br />
ผู้บังคับกองพันทหารปื นใหญ่ที ๗๒๓<br />
ผู้บังคับกองพันทหารปื นใหญ่ที ๗๒๑<br />
อาจารย์หัวหน้าแผนกวิชายุทธวิธีปื นใหญ่สนาม โรงเรียนทหารปื นใหญ่<br />
ศูนย์การทหารปื นใหญ่<br />
หัวหน้าแผนกเตรียมการ โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่<br />
ตําแหน่งปัจจุบัน<br />
: หัวหน้าแผนกเตรียมการ โรงเรียนทหารปื นใหญ่ ศูนย์การทหารปื นใหญ่