MTEC issue 68.indd - ศูà¸à¸¢à¹à¹à¸à¸à¹à¸à¹à¸¥à¸¢à¸µà¹à¸¥à¸«à¸°à¹à¸¥à¸°à¸§à¸±à¸ªà¸à¸¸à¹à¸«à¹à¸à¸à¸²à¸à¸´
MTEC issue 68.indd - ศูà¸à¸¢à¹à¹à¸à¸à¹à¸à¹à¸¥à¸¢à¸µà¹à¸¥à¸«à¸°à¹à¸¥à¸°à¸§à¸±à¸ªà¸à¸¸à¹à¸«à¹à¸à¸à¸²à¸à¸´
MTEC issue 68.indd - ศูà¸à¸¢à¹à¹à¸à¸à¹à¸à¹à¸¥à¸¢à¸µà¹à¸¥à¸«à¸°à¹à¸¥à¸°à¸§à¸±à¸ªà¸à¸¸à¹à¸«à¹à¸à¸à¸²à¸à¸´
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
สาร¨าก¼ÙŒบริหาร<br />
สารบัญ<br />
สมาชิกและผู้อ่านที่รักทุกท่าน ขอต้อนรับเข้าสู่จดหมายข่าว<br />
ฉบับรับปใหม่ 2556 นี้ครับ ผมขออาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัย<br />
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายที่ทุกท่านเคารพนับถือ รวมทั้ง<br />
พระบุญญาธิการและพระบารมีของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ<br />
และสมเด็จพระนางเจ้าฯ โปรดดลบันดาลให้ทุกท่านมีสุขภาพ<br />
แข็งแรง ปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ ประสบแต่สิ่งที่ดีตลอดป 2556 ครับ<br />
จดหมายข่าวฉบับนี้ เป็นฉบับที่ 68 แล้วนะครับ ยังมีข่าวสาร<br />
กิจกรรมต่างๆ ของศูนย์ฯ รวมถึงสาระน่ารู้ให้ติดตามเหมือน<br />
เช่นเคยครับ อาทิเช่น ข่าวกิจกรรมที่จัดผ่านไปเมื่อไม่นานนี้ กับ<br />
การประชุมนานาชาติ The 28 th International Conference of<br />
Polymer Processing Society (PPS-28) ซึ่ง เอ็มเทค ก็ได้รับเกียรติ<br />
ให้เป็นเจ้าภาพหลักในการจัดงานครั้งนี้ โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงาน<br />
กว่า 500 คน จาก 42 ประเทศทั่วโลก ซึ่งการประชุมที่จัดขึ้น<br />
จะส่งผลประโยชน์อย่างมากในการพัฒนาความรู้และ<br />
ความสามารถทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรม<br />
ทางด้าน Polymer Processing ให้กับประเทศไทยของเราและ<br />
นานาประเทศเป็นอย่างมากครับ และคาดว่าจะเกิดผลกระทบ<br />
ทั้งในด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อการลงทุนด้านอุตสาหกรรม<br />
โพลิเมอร์ของประเทศไทยได้ในอนาคตด้วยครับ ซึ่งท่านผู้อ่าน<br />
สามารถติดตามรายละเอียดของข่าวได้ภายในเล่ม รวมถึง<br />
ข่าวสาร กิจกรรมต่างๆ ของศูนย์ฯ อีกมากมายครับ แล้วพบกันใหม่<br />
ฉบับหน้า สวัสดีครับ<br />
3<br />
4<br />
เอ็มเทค จัดเวทีประชุมนานาชาติ ส่งเสริมความรู้<br />
นวัตกรรมกระบวนการผลิตด้านโพลิเมอร์<br />
เอ็มเทค จับมือ ภาคเอกชน ยกระดับขีดความ<br />
สามารถด้านการวิเคราะห์ความเสียหายของวัสดุ<br />
รองรับการขยายตัวในภาคอุตสาหกรรม<br />
5 เตรียมพบกับเวทีการแข่งขันออกแบบและสร้าง<br />
หุ่นยนต์แห่งประเทศไทย ครั้งที่ 6<br />
6<br />
7<br />
ผลงานวิจัย เอ็มเทค คว้ารางวัลผลงานประดิษฐ์<br />
คิดค้นในงาน “SEOUL INTERNATIONAL<br />
INVENTION FAIR (SIIF) 2012” ณ กรุงโซล<br />
สาธารณรัฐเกาหลี<br />
เอ็มเทคจัดอบรมเฉพาะกลุ่ม ให้กับ บริษัทไออาร์พีซีฯ<br />
สร้างความเชี่ยวชาญด้านการวิเคราะห์ทดสอบ<br />
10 การวิเคราะห์ความเสียหายทางโลหะวิทยา<br />
(Metallurgical Failure Analysis)<br />
13 เลนส์แว่นตาเปลี่ยนสีเมื่อออกแดดได้อย่างไร <br />
18 ระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย<br />
(มาตรฐาน มอก. 18001 – 2554)<br />
รศ. ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา<br />
ผู้อำนวยการศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ<br />
จดหมายข่าวเอ็มเทค<br />
จัดทำโดย : ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
ที่ปรึกษา : รศ.ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ผศ.ดร.กฤษฎา สุชีวะ ศ.ดร.ปราโมทย์ เดชะอำไพ รศ.ศิริลักษณ์ นิวิฐจรรยงค์ ดร.สมนึก ศิริสุนทร<br />
บรรณาธิการ : สมชัย เมาไพร กองบรรณาธิการ : พลธร เวณุนันท์ ธนากร ใจโพธา กอบกุล อมรมงคล อัครพล สร้อยสังวาลย์<br />
บุญรักษ์ กาญจนวรวณิชย์ มาริสา คุณธนวงศ์ อรุณี สีใส ธนาภรณ์ โกราษฎร์ ระพีพันธ์ ระหงษ์ นพวรรณ สงวนสัตย์ ศิลปชัย สุขโชติ<br />
สยาม แก้วคำไสย์ Disclaimer : ข้อมูล ทัศนะ และข้อความใดๆ ที่ปรากฏในจดหมายข่าวเอ็มเทค เป็นของผู้เขียนหรือเจ้าของ<br />
ต้นฉบับเดิมโดยเฉพาะ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ ไม่จำเป็นต้องเห็นพ้องด้วย<br />
2
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
Newsupdate<br />
เอçมเทค ¨ั´เวทีประªุมนานาªาติ ส่งเสริมความรÙŒนวัตกรรม<br />
กระบวนการ¼Åิต´ŒานâพÅิเมอร์<br />
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ<br />
(เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์<br />
และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) กระทรวง<br />
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี (วท.) จัดเวที<br />
ประชุมสัมมนานานาชาติ PPS-28 ส่งเสริม<br />
องค์ความรู้นวัตกรรมกระบวนการผลิตด้าน<br />
โพลิเมอร์ สร้างเครือข่ายพันธมิตรความร่วมมือ<br />
ภ า ย ใ น ป ร ะ เ ท ศ ร ะ ห ว่ า ง ภ า ค รั ฐ แ ล ะ<br />
อุตสาหกรรม และในระดับสากล ร่วมกับ<br />
หน่วยงานต่างชาติ เพื่อพัฒนาให้เกิดการ<br />
วิจัยและความสามารถทางวิทยาศาสตร์<br />
เทคโนโลยี นวัตกรรมทางด้าน Polymer<br />
P r o c e s s i n g ซึ่ ง จ ะ เ ป็ น ป ร ะ โ ย ช น์ ต่ อ<br />
ผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมโพลิเมอร์<br />
ของประเทศไทย ณ Royal Cliff Beach Hotel<br />
พัทยา จ.ชลบุรี เมื่อวันที่ 11-15 ธันวาคม<br />
2555 ที่ผ่านมา โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมงาน<br />
กว่า 500 คน จาก 42 ประเทศทั่วโลก<br />
การประชุมวิชาการนานาชาติ The 28 th<br />
International Conference of Polymer<br />
Processing Society หรือ PPS-28 เป็นการ<br />
จัดประชุมฯ ที่เกิดจากความร่วมมือของ<br />
องค์กรต่างๆ ทั้งสถานบันการศึกษา หน่วยงาน<br />
ภาครัฐ องค์กร สมาคมทั้งในและต่างประเทศ<br />
ซึ่งประเทศไทย โดยศูนย์เทคโนโลยีโลหะและ<br />
วัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) ได้เข้าร่วมเป็นหนึ่ง<br />
ในสมาชิกของ The Polymer Processing<br />
Society และมีประเทศต่างๆ เข้าร่วมเป็น<br />
สมาชิกจากทั่วโลก ได้แก่ เยอรมัน อังกฤษ<br />
โปรตุเกส อินเดีย บราซิล ฮังกาลี ฝรั่งเศส<br />
ออสเตรีย ญี่ปุน อิสราเอล เกาหลี ไต้หวัน<br />
ตุรกี เบลเยี่ยม อิหร่าน เนเธอร์แลนด์ เยอรมัน<br />
สาธารณะรัฐเช็ก แคนนาดา สาธารณรัฐ<br />
ประชาชนจีน สหรัฐอเมริกา และไทย ซึ่งเป็น<br />
องค์กรที่เป็นศูนย์ร่วมในการส่งเสริมและ<br />
สนับสนุนให้เกิดความความรู้ ความเข้าใจ<br />
ทางด้านวิทยาศาสตร์และนวัตกรรมทางด้าน<br />
polymer processing และจะทำหน้าที่เป็น<br />
เวทีกลางในการจัดการประชุม และสัมมนา<br />
ให้กับนักวิทยาศาสตร์และวิศวกรจากทั่วโลก<br />
ที่ศึกษาและทำงานวิจัยที่เกี่ยวข้อง polymer<br />
processing ได้มาแลกเปลี่ยนความรู้และ<br />
ความก้าวหน้าของงานวิจัยในสาขาดังกล่าว<br />
การจัดงานครั้งนี้ เอ็มเทค ได้รับคัดเลือก<br />
จากที่ประชุมคณะกรรมการใหญ่ของ The<br />
Polymer Processing Society ให้เป็น<br />
เจ้าภาพหลักในการจัดการประชุมนานาชาติ<br />
The 28 th International Conference of<br />
Polymer Processing Society (PPS-28)<br />
ระหว่างวันที่ 11-15 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา<br />
โดยการประชุมที่เกิดขึ้นจะส่งผลประโยชน์<br />
อย่างมากในการพัฒนาความรู้และความ<br />
สามารถทางวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและ<br />
นวัตกรรมทางด้าน Polymer Processing<br />
ให้กับนักวิจัย นักศึกษา คณาจารย์ ตลอดจน<br />
ภาคอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งในประเทศและ<br />
นานาประเทศจากทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะเกิด<br />
ผลกระทบในด้านเศรษฐกิจและสังคมต่อ<br />
การลงทุนด้านอุตสาหกรรมโพลิเมอร์ของ<br />
ประเทศไทยอย่างมาก ทั้งในระดับงานวิจัย<br />
และระดับอุตสาหกรรม รวมถึงจะส่งผล<br />
ทำให้การลดต้นทุนทางด้านกระบวนผลิต<br />
ของภาคอุตสาหกรรมได้ในอนาคตด้วย<br />
3
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
เอçมเทค ¨ับมือ Àาคเอกªน ยกระ´ับขี´ความสามารถ<br />
´Œานการวิเคราะห์ความเสียหายของวัส´ุ<br />
รองรับการขยายตัวãนÀาคอุตสาหกรรม<br />
รศ.ดร. วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ผู้อำนวยการ<br />
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ<br />
(เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์<br />
และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ลงนาม<br />
บันทึกข้อตกลงความร่วมมือการพัฒนา<br />
เทคนิคและวิธีการวิเคราะห์ความเสียหาย<br />
และทดสอบการกัดกร่อนของวัสดุ กับบริษัท<br />
ไทย ปาร์คเกอร์ไรซิ่ง จำกัด เมื่อวันที่ 7<br />
ธันวาคม พ.ศ. 2555 ที่ผ่านมา ณ โรงแรม<br />
ฮอลิเดย์อินน์ จ.เชียงใหม่<br />
งานด้านการวิเคราะห์ความเสียหายและ<br />
การทดสอบการกัดกร่อนของวัสดุนั้น<br />
มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่ง ต่อการเลือกใช้วัสดุ<br />
ให้เหมาะสมกับการใช้งาน เพื่อยืดอายุ<br />
การใช้งาน โดยเฉพาะในอุตสาหกรรมยานยนต์<br />
ที่ประเทศไทยมีบทบาทสำคัญขึ้นเรื่อยๆ<br />
ในระดับโลก “เอ็มเทค” ในฐานะศูนย์วิจัย<br />
เทคโนโลยีด้านวัสดุศาสตร์ ซึ่งมีห้องปฏิบัติการ<br />
ด้านการวิเคราะห์ความเสียหายและการ<br />
กัดกร่อนของวัสดุ และมีผู้เชี่ยวชาญที่มี<br />
ความรู้ความสามารถ<br />
ในการหาสาเหตุความ<br />
เสียหายและป้องกัน<br />
การกัดกร่อนของวัสดุ<br />
อยู่แล้ว ได้ร่วมมือกับ<br />
ทางบริษัท ไทย ปาร์ค<br />
เกอร์ไรซิ่ง ซึ่งก็เป็น<br />
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
บริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านการพัฒนา<br />
เคมีภัณฑ์ สำหรับใช้งานในการเคลือบผิว<br />
ป้องกันการกัดกร่อน การชุบแข็ง และยังมีห้อง<br />
ปฏิบัติการที่มีเครื่องมือทันสมัยสำหรับ<br />
การวิเคราะห์ทดสอบความเสียหายและ<br />
การกัดกร่อนด้วย โดยเมื่อทั้งสองฝายได้<br />
ร่วมมือกันในครั้งนี้ จะเป็นการยกระดับขีด<br />
ความสามารถของบุคลากรทั้งสองหน่วยงาน<br />
และสร้างเครือข่ายความร่วมมือด้าน<br />
การวิเคราะห์ความเสียหาย เพื่อพัฒนา<br />
ความเชี่ยวชาญสำหรับรองรับการขยายตัว<br />
ของงานด้านวิเคราะห์ทดสอบวัสดุในภาค<br />
อุตสาหกรรมให้กับประเทศและภูมิภาค<br />
ในอนาคต<br />
เอçมเทค ร่วมมือ สามมิตรมอเตอร์Ï วิ¨ัยáÅะพั²นา<br />
รถบรรทุกตอบâ¨ทย์¼ÙŒãªŒงานÀาคเกÉตรกร<br />
ศ.ดร.ปราโมทย์ เดชะอำไพ รองผู้อำนวยการ<br />
เอ็มเทค สวทช. ลงนามความร่วมมือ โครงการ<br />
ร่วมวิจัยสำรวจความต้องการในการใช้รถ<br />
เพื่อการเกษตรและวิเคราะห์ความเป็นไปได้<br />
เชิงเศรษฐศาสตร์ในการเพิ่มผลผลิตและ<br />
ลดต้นทุน กับ บริษัท สามมิตรมอเตอร์สแมนู-<br />
แฟคเจอริง จำกัด (มหาชน) เมื่อวันที่ 12<br />
ธันวาคม 2555 ณ ห้องประชุม อาคารเอ็มเทค<br />
สินค้าเกษตรนับเป็นพืชเศรษฐกิจของไทย<br />
ที่มีความสำคัญ แต่กระบวนการจัดการของ<br />
เกษตรกร ยังขาดความรู้และเครื่องมือในการ<br />
จัดการที่ได้มาตรฐานด้านการลดต้นทุน<br />
รวมทั้งการให้ความสำคัญกับ ความปลอดภัย<br />
โดยเฉพาะเรื่องของพาหนะในการขนส่งสินค้า<br />
ทางการเกษตร ตั้งแต่ต้นทาง จนถึงแหล่งผลิต<br />
ที่เกษตรกรนั้น ยังใช้วิธีการแบบชาวบ้าน<br />
ในลักษณะของการดัดแปลงรถเพื่อการขนส่ง<br />
ซึ่งไม่ใช่รถที่ออกแบบมาเพื่อการเกษตร<br />
โดยเฉพาะ ก่อให้เกิดปัญหากับเกษตรกรตามมา<br />
คือเรื่องต้นทุน การปรับเปลี่ยน เพิ่มเติม<br />
อุปกรณ์เพื่อให้เหมาะสมกับการใช้งาน<br />
และอันตรายที่เกิดจากการดัดแปลงรถที่<br />
4<br />
ไม่ได้มาตรฐาน จึงทำให้เกิดโครงการสำรวจ<br />
ความต้องการในการใช้รถเพื่อการเกษตรฯ ขึ้น<br />
โดยการวิจัยจะแบ่งเป็นสองส่วน คือ<br />
การรวบรวมข้อกำหนดเชิงวิศวกรรมของรถ<br />
เพื่อการเกษตรจาก “เสียงของลูกค้า” อาทิ<br />
สิ่งอำนวยความสะดวก หรือ สภาพพื้นถนน<br />
ที่จะนำไปใช้งาน และส่วนที่สอง คือการนำ<br />
ข้อกำหนดเชิงวิศวกรรมมาใช้ในการออกแบบ<br />
พัฒนารถเพื่อการเกษตร<br />
และจากการร่วมมือครั้งนี้ ทีมวิจัยคาดหวัง<br />
จะได้ผลงานรถเพื่อการเกษตรที่เข้าใจคนไทย<br />
โดยได้รับการคิด ออกแบบ พัฒนา และปรับปรุง<br />
โดยคนไทย จากการเก็บข้อมูลจากพื้นที่ใช้งานจริง<br />
ทั่วประเทศ และรถเพื่อการเกษตรนี้จะเป็นรถ<br />
ที่มีราคาคุ้มค่า ได้มาตรฐาน สามารถปรับเปลี่ยน<br />
ได้ตามความต้องการ และใช้งานได้หลากหลาย<br />
รวมถึงเป็นรถที่จดทะเบียนได้อย่างถูกต้อง<br />
ตามกฎหมาย เพื่อเป็นทางเลือกให้เกษตรกร<br />
สามารถนำผลิตผลของไทย ไปแข่งขัน<br />
ในประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนได้อย่างเต็ม<br />
ภาคภูมิ
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
รศ.ดร.วีระศักดิ์ อุดมกิจเดชา ผู้อำนวยการ<br />
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ<br />
(เอ็มเทค) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์<br />
และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ<br />
คุณวีรศักดิ์ โฆษิตไพศาล ประธานเจ้าหน้าที่<br />
บริหาร บริษัทไทยออยล์ จำกัด มหาชน<br />
ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ<br />
ทางการวิจัยและพัฒนาด้านพลังงาน ณ อาคาร<br />
Energy Complex กรุงเทพฯ เมื่อเร็วๆ นี้<br />
เอçมเทค สวทª. ¨ับมือ บริÉัทไทยออยÅ์Ï<br />
วิ¨ัยáÅะพั²นา´ŒานพÅังงาน<br />
ความร่วมมือดังกล่าว ถือเป็นอีกหนึ่งความร่วมมือทางการวิจัยและพัฒนาระหว่าง<br />
เอ็มเทค สวทช. และความสามารถในการดำเนินธุรกิจของภาคอุตสาหกรรม โดยตั้งแต่ต้นป<br />
2555 ที่ผ่านมา เอ็มเทค สวทช. และ บริษัทไทยออยล์ จำกัด (มหาชน) ได้ร่วมกันศึกษา<br />
แนวทางการเปลี่ยนเอธานอลให้เป็นสารเคมีที่มีคุณค่าสูงขึ้น และมีโครงการที่จะศึกษาวิจัย<br />
และแลกเปลี่ยนบุคลากรระหว่างกันอย่างต่อเนื่อง เช่น พลังงานทดแทน การพัฒนาวัสดุกัน<br />
ความร้อนในเตาเผา การศึกษาเพื่อลดการกัดกร่อน ฯลฯ ซึ่งการศึกษาวิจัยดังกล่าว เป็นการ<br />
เพิ่มความสามารถของบุคลากรและบริหารจัดการองค์ความรู้มาต่อยอดให้เกิดนวัตกรรม<br />
ที่ส่งผลให้เกิดคุณประโยชน์และสร้างความยั่งยืนให้กับภาคอุตสาหกรรมของประเทศ ซึ่งเป็นไป<br />
ตามวิสัยทัศน์ของ สวทช. ในการเป็นพันธมิตรร่วมทางที่ดี สู่สังคมฐานความรู้ด้วย<br />
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
เวทีสงเสริมและสนับสนุนความสามารถของเยาวชนไทย<br />
สรางกระแสตื่นตัวใหเยาวชนไทยหันมาสนใจการเรียนรู<br />
ดานวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี<br />
พบกันเร็วๆ นี้ ที่นี่ www.mtec.or.th<br />
หนวยงานรวมจัด<br />
ศูนยเทคโนโลยีโลหะและวัสดุแหงชาติ คณะวิศวกรรมศาตร จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย<br />
คณะวิศวกรรมศาตร มหาวิทยาลัยเชียงใหม สำนักวิชาวิศวกรรมศาตร มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีสุรนารี<br />
คณะวิศวกรรมศาสตร มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร<br />
ขอมูลเพิ่มเติมติดตอ<br />
งานพัฒนากำลังคนดานวัสดุศาสตร<br />
ศูนยเทคโนโลยีโลหะและวัสดุแหงชาติ<br />
สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตรและเทคโนโลยีแหงชาติ<br />
114 อุทยานวิทยาศาตรประเทศไทย ถ.พหลโยธิน ต.คลองหนึ่ง<br />
อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี 12120<br />
โทรศัพท 02 564 6500 ตอ 4680 โทรสาร 02 564 6505<br />
www.mtec.or.th<br />
ลงทะเบียนเปนสมาชิกชาว RDC ไดที่<br />
www.facebook.com/Rdc Thailand<br />
5
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
¼Åงานวิ¨ัย เอçมเทค ควŒารางวัżÅงานประ´ิÉ°์คิ´คŒน<br />
ãนงาน “SEOUL INTERNATIONAL INVENTION FAIR (SIIF) 2012”<br />
³ กรุงâ«Å สาธาร³รั°เกาหÅี<br />
สองผลงานวิจัย ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ (เอ็มเทค) คว้ารางวัลผลงานประดิษฐ์คิดค้น ในงาน “Seoul<br />
International Invention Fair (SIIF) 2012” ณ กรุงโซล สาธารณรัฐเกาหลี เมื่อไม่นานมานี้ โดยเป็นตัวแทนประเทศไทย<br />
เข้าร่วมแสดงนิทรรศการผลงานประดิษฐ์คิดค้นในงานดังกล่าว ผล เอ็มเทค คว้าสองรางวัล จากผลงานประดิษฐ์ของไทย<br />
ที่ส่งเข้าร่วมจำนวน 31 ชิ้นงาน จาก 12 หน่วยงาน และผลงานทั้งหมดในการร่วมจัดแสดงครั้งนี้ มากกว่า 600 ชิ้นงาน<br />
จาก 35 ประเทศ<br />
รางวัลแรก<br />
รางวัลเหรียญทอง<br />
จากผลงาน “นวัตกรรมการนำกลับเนื้อยางและสารอนินท<br />
รีย์จากกากตะกอนของเสียในอุตสาหกรรมน้ำยางพารา”<br />
โดย ดร.สุรพิชญ ลอยกุลนันท์ และคณะวิจัย<br />
รางวัลที่สอง<br />
รางวัลเหรียญเงิน<br />
จากผลงาน “อุปกรณ์ช่วยพ่นยาสำหรับผู้ปวยโรคหืด”<br />
ปัจจุบันประเทศไทยมีโรงงานผลิตน้ำยางข้นอยู่ 77 โรงงาน<br />
สามารถผลิตน้ำยางข้นได้กว่า 1,572,927 ตันต่อป โดยคิดเป็น<br />
สัดส่วนสูงกว่าร้อยละ 64 ของปริมาณความต้องการในตลาดโลก<br />
ในกระบวนการผลิตน้ำยางข้นจะมีกากตะกอนของเสีย หรือ<br />
ขี้แป้งปริมาณมากกว่า 24,000 ตันต่อป และมีการสูญเสียเนื้อยาง<br />
ไปกับขี้แป้ง ซึ่งมีมูลค่ายางสูงถึง 600,000,000 บาทต่อป ดังนั้น<br />
ผลงานดังกล่าว จึงเป็นนวัตกรรมจากงานวิจัยที่จะสามารถช่วย<br />
ลดการสูญเสียเนื้อยางในอุตสาหกรรมผลิตน้ำยางข้นได้มากถึง<br />
6,000 ตันต่อป โดยนำเนื้อยางกลับมาใช้เป็นวัตถุดิบใน<br />
อุตสาหกรรมโลหะ ยานยนต์ และเซรามิก และขี้แป้งที่เหลือใช้<br />
เป็นธาตุอาหารของพืชได้ คิดเป็นมูลค่ามากกว่า 6.58 พันล้านบาท<br />
ต่อป<br />
“อุปกรณ์ช่วยพ่นยาสำหรับผู้ปวยโรคหืด” เป็นผลงาน<br />
ความร่วมมือระหว่าง เอ็มเทค กับ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ได้<br />
พัฒนาขึ้นสำหรับใช้ในการรักษาผู้ปวยที่เป็นโรคทางเดินหายใจ<br />
ซึ่งอุปกรณ์ ดังกล่าว ได้พัฒนาขึ้นให้เหมาะสมกับการใช้รักษาใน<br />
ผู้ปวย ด้านการใช้งานของอุปกรณ์ฯมีการนำกระบอกพ่นยา<br />
(spacer) มาใช้ในการพ่นยา โดยใช้กระบอกพ่นยาร่วมกับเครื่อง<br />
พ่นยาแบบใช้สารผลักดัน มีผลทำให้ลดการสะสมของยาที่<br />
คอหอย ส่วนที่ปากทำให้ลดผลข้างเคียงของยาชนิดสเตียรอยด์<br />
และไม่ต้องอาศัยการประสานงานกันระหว่างการพ่นยากับการ<br />
หายใจเข้า จึงสะดวกกับการใช้กับผู้ปวยเด็กและผู้สูงอายุ ผู้ปวย<br />
สามารถสูดหายใจเข้าออกปกติและไม่ต้องกลั้นหายใจ ทำให้<br />
เพิ่มปริมาณของยาที่เข้าปอด นอกจากนี้ การใช้กระบอกพ่นยา<br />
ยังมีผลทำให้ลดการกลั้นหายใจชั่วขณะจากการที่ละอองยา<br />
กระทบเพดานอ่อนด้วยความเร็วสูง<br />
6
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
เอçมเทค¨ั´อบรมเฉพาะกÅุ่ม ãหŒกับ บริÉัทไออาร์พี«ีÏ<br />
สรŒางความเªี่ยวªาญ´Œานการวิเคราะห์ท´สอบ<br />
เมื่อไม่นานมานี้ ศ.ดร.ปราโมทย์ เดชะอำไพ รองผู้อำนวยการเอ็มเทค<br />
บรรยายการอบรมหลักสูตร Numerical and Finite Element Methods in<br />
Engineering for Analyzing Heat Transfer, Structure and Thermal<br />
Stress Problems ให้กับ บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ณ ห้องอบรม<br />
ของบริษัทฯ อ.เมือง จ.ระยอง โดยมีผู้เข้าร่วมอบรม จำนวน 22 ท่าน จาก<br />
ส่วนงาน Maintenance โดยหลักสูตรดังกล่าวเป็นองค์ความรู้พื้นฐานทาง<br />
ด้านไฟไนต์เอลิเมนต์ในการแก้ไขปัญหาทางวิศวกรรมอย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ ซึ่งผู้เข้าอบรมสามารถนำความรู้ต่างๆ ไปต่อยอดสู่การ<br />
ประยุกต์ใช้งานได้จริงกับงานของทางบริษัทฯ<br />
และเมื่อวันที่ 20-21 ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมา<br />
เอ็มเทคได้จัดอบรมให้กับ บริษัท ไออาร์พีซีฯ<br />
อีกครั้ง กับหลักสูตร FTIR Microscopy<br />
ณ อาคาร 10 ป และ Central Lab อ.เมือง<br />
จ.ระยอง โดยมีผู้เข้าร่วมอบรม จำนวน 21 ท่าน<br />
จากส่วนงานวิจัยและพัฒนา โดยมีคุณวรางคณา<br />
อนุชิตโอฬาร ผู้เชี่ยวชาญในเทคนิค FT-IR<br />
จากห้องปฏิบัติการสเปกโตรสโกปแบบสั่นจาก<br />
เอ็มเทคมาเป็นวิทยากรให้ความรู้ในครั้งนี้ ซึ่งจะ<br />
เป็นการเพิ่มพูนทักษะในการใช้เครื่องมือ หัวข้อ<br />
อบรมสามารถนำความรู้ไปประยุกต์ใช้งาน<br />
ในการวิเคราะห์วัสดุของบริษัทฯ ได้ต่อไป<br />
7
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
การ½ƒกอบรมเฉพาะกÅุ่ม<br />
(Group Training)<br />
บริการฝกอบรมเพื่อถ่ายทอดความรู้ และเทคโนโลยีที่ให้บริการเฉพาะ<br />
เจาะจงกับหน่วยงานหรือบริษัท รูปแบบของการจัดอบรมและเนื้อหา<br />
หลักสูตรสามารถกำหนดได้อย่างอิสระ โดยมุ่งเน้นตอบสนองได้ตรงความ<br />
ต้องการ และสะดวกมากที่สุดเพื่อพัฒนาความรู้ทางเทคนิคของบุคลากร<br />
ในองค์กร<br />
ตัวอย่างหÅักสÙตร<br />
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
âÅหะ<br />
1. โลหะวิทยา การหล่ออะลูมิเนียม<br />
2. ความรู้พื้นฐานและการเลือกใช้งานวัสดุประเภทโลหะ<br />
3. พื้นฐานเทคโนโลยีกระบวนการหล่อความดันสูง HPDC<br />
4. เทคโนโลยีการจำลองแบบกระบวนการหล่อ<br />
และการประยุกต์ใช้งาน<br />
5. คุณสมบัติเชิงกลของโลหะ<br />
6. กระบวนการกัดกร่อนของโลหะและวิธีป้องกัน<br />
7. การออกแบบ Gating System สำหรับแม่พิมพ์<br />
High Pressure Die Casting<br />
8. การวิเคราะห์ความเสียหายงานโลหะ<br />
9. Engineering Materials<br />
10. วิศวกรรมย้อนรอย สำหรับวัสดุ<br />
เ«รามิกส์<br />
1. เทคโนโลยีการผลิตชิ้นส่วนเซรามิกส์ชนิดอลูมินา<br />
โดยการอัดขึ้นรูป<br />
2. เซรามิกส์ในอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า<br />
และอิเล็กทรอนิกส์<br />
3. การพ่นเคลือบด้วยเปลวความร้อน<br />
âพÅิเมอร์<br />
1. พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม : ความรู้พื้นฐาน<br />
และการประยุกต์ใช้งาน<br />
2. พลาสติกสำหรับอุตสาหกรรม : การเลือกใช้วัสดุ<br />
และเทคโนโลยีการฉีดพลาสติก<br />
3. เทคโนโลยีการฉีดขึ้นรูปบรรจุภัณฑ์พลาสติก<br />
โดยวิธี Injection In-Mold Labeling<br />
4. เทคโนโลยีการเชื่อมพลาสติกและวัสดุผสม<br />
5. เทคโนโลยียางพื้นฐาน<br />
6. การประยุกต์ศาสตร์การไหล (Rheology)<br />
ในอุตสาหกรรมพอลิเมอร์ และอุตสาหกรรมอาหาร<br />
การวิเคราะห์áÅะท´สอบวัส´ุ (Materials<br />
Characterization)<br />
1. การวิเคราะห์โดยใช้เทคนิคเอกซเรย์ดิฟแฟรกชั่น<br />
และเอกซเรย์ฟลูออเรสเซนส์ (XRD/XRF)<br />
2. การใช้กล้องจุลทรรศน์อิเล็กตรอนแบบแสง (OM)<br />
/ แบบส่องผ่าน (TEM)<br />
3. FT-IR ความรู้พื้นฐานและการประยุกต์ใช้งาน<br />
4. เทคนิค SEM/EDS ภาคทฤษฎี และปฏิบัติ<br />
การออกáบบáÅะพั²นา¼ÅิตÀั³±์<br />
1. การสร้างแบบจำลองด้วยโปรแกรม Pro/Engineering Wildfire<br />
2. การใช้คอมพิวเตอร์ช่วยในการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์<br />
3. การจำลองการผลิตด้วย Computer Aided Manufacturing (CAM)<br />
หÅักสÙตรอื่นæ เª่น<br />
1. กฎระเบียบและมาตรการด้านสิ่งแวดล้อมในผลิตภัณฑ์<br />
สำหรับผู้ผลิตและส่งออก<br />
2. RoHS/ELV สำหรับผู้ผลิตชิ้นส่วนพลาสติก<br />
3. การบริหารงานวิจัยและพัฒนาในองค์กร<br />
สนใจจัดอบรมสอบถามรายละเอียดได้ที่<br />
คุณพลธร เวณุนันท์<br />
งานพัฒนากำลังคนด้านวัสดุศาสตร์ เอ็มเทค<br />
โทรศัพท์ 0-2564-6500 ต่อ 4677 โทรสาร 0-2564-6500<br />
E-mail: ponlathw@mtec.or.th<br />
8
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
เกçบมา½ากกับกิ¨กรรม<br />
เช่นเคยเหมือนเดิมทุกป กับวันที่เด็กๆ<br />
รอคอยที่จะได้รับสิทธิพิเศษและสนุกสนาน<br />
ไปกับกิจกรรมวันเด็กแห่งชาติ ที่หน่วยงานต่างๆ ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ได้รังสรรค์และจัดเตรียมไว้<br />
ต้อนรับน้องๆอย่างมากมาย โดยมีวัตถุประสงค์เดียวกัน เพื่อให้ประชาชนได้ตระหนักถึงความสำคัญของเด็ก และ<br />
เพื่อให้เด็กได้ตระหนักถึงคุณค่าบทบาท และความสำคัญของตนเอง ตลอดจนได้รับความรู้มากมายจากการเข้าร่วมกิจกรรม<br />
ต่าง ๆ ที่จัดขึ้นในทุกพื้นที่<br />
เอ็มเทค สวทช. ก็เช่นกัน นอกจากจะเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่บทบาทในการวิจัยและพัฒนาด้านวัสดุศาสตร์ของประเทศแล้ว วันเด็ก<br />
แห่งชาติ ประจำป 2556 ที่ผ่านมานี้ เอ็มเทค ก็ไม่ลืมได้ส่งกิจกรรมจากผลงานวิจัยให้เด็กๆ ได้สนุกสนานและสร้างสรรค์จินตนาการ<br />
กับกิจกรรมแต่งแต้มระบายสีจากสีน้ำยางธรรมชาติ ผลพลอยได้จากการวิจัยสารที่มีชื่อว่า TAPP ใช้ทดแทนสารแอมโมเนียซึ่งมีกลิ่นฉุน<br />
สำหรับใช้รักษาสภาพน้ำยางสดในอุตสาหกรรมการผลิตยาง และด้วยเหตุที่สาร TAPP ไม่มีกลิ่นฉุนเหมือนแอมโมเนียและไม่เป็นพิษ<br />
ต่อเซลล์ จึงทำให้งานวิจัยถูกนำมาประยุกต์ด้วยการเติมสีผสมอาหารเพื่อทำเป็นสีน้ำยางใช้ทาลงบนวัสดุต่างๆ ได้ แม้แต่ทาลง<br />
บนร่างกายได้แบบเดียวกับสีบอดี้เพนท์ โดยไม่ก่อความระคายเคืองกับผิวหนัง และไม่มีกลิ่นฉุน ซึ่งจากการทดลองของ<br />
กลุ่มวิจัย พบว่าสีมีสมบัติกันน้ำ เกาะติดผิวหนังได้ทนทานดี และสามารถลอกออกได้ง่าย หากท่านใดสนใจ<br />
สามารถสืบค้นข้อมูลงานวิจัยได้ที่ www.mtec.or.th<br />
9
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
สยาม แก้วคำไสย์<br />
Failure Analysis Engineer<br />
Failure Analysis and Materials Corrosion Laboratory<br />
ความสามารถในการวิเคราะห์เพื่อหาสาเหตุได้อย่างถูกต้องแม่นยำและ<br />
แก้ปัญหาได้จริงนั้น ถือว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดอย่างหนึ่งของนักวิเคราะห์<br />
ความเสียหาย เพราะว่าข้อมูลที่ได้จากการวิเคราะห์จะเป็นประสบการณ์<br />
อันมีค่า สามารถนำไปใช้ในการพัฒนาด้านการออกแบบและวิศวกรรมให้สูงขึ้น<br />
และใช้ในการป้องกันความเสียหายไม่ให้เกิดขึ้นอีกในอนาคต ในการวิเคราะห์<br />
ความเสียหายนั้นจำเป็นต้องใช้สหศาสตร์ในการดำเนินการ ผู้ที่ทำการ<br />
วิเคราะห์ต้องมีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับวัสดุและสภาวะแวดล้อมการใช้งานนั้นๆ<br />
เป็นอย่างดี โดยเฉพาะรูปแบบการเสียหาย (Failure Mode) ต่างๆ นอกจากนี้<br />
นักออกแบบต้องมีความสามารถในการคาดคะเนรูปแบบการเสียหายที่จะเกิดขึ้น<br />
และวิธีป้องกัน ในขณะเดียวกัน เมื่อเกิดความเสียหายขึ้นกับชิ้นส่วนอุปกรณ์<br />
การเลือกวิธีและขั้นตอนในการตรวจสอบก็มีความสำคัญเช่นกัน <br />
การวิเคราะห์ความเสียหาย คือ<br />
อะไร มีความสำคัญอย่างไร<br />
คำว่า ความเสียหาย (Failure) มีความ<br />
หมายกว้างๆ ที่เป็นสากล คือ การที่ชิ้นงาน<br />
หรือชิ้นส่วนไม่สามารถทำหน้าที่ตาม<br />
กำหนดไว้ได้ต่อไป หรือหมดสภาพที่จะ<br />
ทำหน้าที่ต่อไปได้ ซึ่งการหมดสภาพอาจ<br />
เนื่องมาจากการกระทำของแรงทางกล การ<br />
กระทำของสิ่งแวดล้อมที่มีฤทธิ์กัดกร่อน<br />
และเกิดการกระทำร่วมกันของทั้งสองปัจจัย<br />
ที่กล่าวมา <br />
แม้ว่าในปัจจุบันจะมีอุปกรณ์ช่วยในการ<br />
ออกแบบ และมีการใช้เทคนิคการซ่อมบำรุง<br />
ที่ทันสมัยในการตรวจสอบสภาพการใช้งาน<br />
ของชิ้นส่วนอุปกรณ์มากขึ้นก็ตาม แต่สภาวะ<br />
การทำงานจริงมักไม่เป็นไปตามที่ออกแบบ<br />
ไว้ ทำให้ส่วนใดส่วนหนึ่งของโครงสร้างหรือ<br />
ชิ้นส่วนอุปกรณ์มีโอกาสรับแรงเกินพิกัด<br />
(Overload) จนนำไปสู่การแตกหักเสียหาย<br />
ในที่สุด ดังนั้นเมื่อชิ้นส่วนหรือโครงสร้างเกิด<br />
การเสียหาย เราต้องพยายามเรียนรู้จากชิ้น<br />
ส่วนที่เสียหายให้ได้มากที่สุด เราจะทราบ<br />
สาเหตุของการเสียหายของชิ้นส่วนได้โดย<br />
ศาสตร์เฉพาะด้านที่เรียกว่า การวิเคราะห์<br />
ความเสียหาย ซึ่งหมายถึง การวินิจฉัยหา<br />
สาเหตุที่แท้จริงของความเสียหายที่เกิดขึ้น<br />
สำหรับใช้เป็นแนวทางพิจารณาในการแก้ไข<br />
ซ่อมแซม หรือออกแบบใหม่ เพื่อป้องกัน<br />
ความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต <br />
การวิเคราะห์ต้นเหตุของปัญหา (Root<br />
Cause Analysis) จากความเสียหายทางกล<br />
นั้น ถือว่าเป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับนัก<br />
วิเคราะห์ความเสียหาย เนื่องจากการเสีย<br />
หายของชิ้นส่วนทางวิศวกรรมส่วนใหญ่มักมี<br />
ความสลับซับซ้อน จึงต้องการความเชี่ยวชาญ<br />
ในแต่ละสาขาของความรู้ด้านต่างๆ เข้ามาช่วย<br />
ไม่ว่าจะเป็นศาสตร์ทางด้านวัสดุ เครื่องกล<br />
ความร้อน หรือกลศาสตร์ของไหล เป็นต้น<br />
บ่อยครั้งที่การวิเคราะห์ความเสียหายได้มี<br />
การระดมสมองจากผู้เชี่ยวชาญหลากหลาย<br />
สาขา จนสามารถหาสาเหตุที่แท้จริงของ<br />
ปัญหาได้ ยกตัวอย่างเช่น การแตกหักของ<br />
ชิ้นส่วนอันเป็นผลมาจากภาระที่กระทำบน<br />
ชิ้นส่วนนั้นเกินค่าความแข็งแรงของวัสดุ ซึ่ง<br />
ต้องใช้ความเชี่ยวชาญอย่างน้อย 2 สาขาใน<br />
การวิเคราะห์ความเสียหาย โดยวิศวกร<br />
เครื่องกลอาจต้องการประมาณค่าแรงที่<br />
กระทำกับวัสดุ และเปรียบเทียบกับค่าที่ได้<br />
ออกแบบไว้หรือแรงก่อนที่จะเริ่มปฏิบัติการ<br />
และทบทวนปัจจัยอื่นๆ ในระบบที่อาจทำให้<br />
10<br />
แรงกระทำเกินกว่าค่าที่กำหนด ในขณะที่นัก<br />
วัสดุอาจตรวจสอบว่าทำไมวัสดุจึงมีความ<br />
แข็งแรงต่ำ ซึ่งบางทีอาจจะมีค่าต่ำมาก<br />
เนื่องจากวัสดุมีคุณภาพต่ำ ผ่านกระบวนการ<br />
ทางความร้อนที่ไม่ถูกต้องเหมาะสม หรือ<br />
อันที่จริงแล้วอาจจะเกิดจากความแข็งแรง<br />
ของวัสดุลดลงตามเวลาเนื่องจากการใช้งาน<br />
ที่อุณหภูมิสูง หรือพื้นที่ภาคตัดขวางของวัสดุ<br />
ลดลงเนื่องจากเกิดการสึกหรอ การกัดกร่อน<br />
การล้า เป็นต้น ถ้าตรวจพบการล้าตัว (Fatigue)<br />
แล้ว วิศวกรเครื่องกลอาจต้องการตรวจสอบ<br />
ที่มาของแรงที่มีลักษณะเป็นคาบ (Cyclic<br />
Load) อีกครั้ง<br />
จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่านักวิเคราะห์<br />
ความเสียหายที่ดี ไม่จำเป็นต้องมีความ<br />
เชี่ยวชาญในด้านใดด้านหนึ่ง แต่จะต้องเป็น<br />
ผู้ที่รู้จักถามคำถามที่ตรงประเด็น สามารถ<br />
จดจำและประยุกต์ใช้ความรู้ด้านต่างๆ รู้จัก<br />
แหล่งข้อมูล และมีการพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ<br />
เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้ <br />
ความสำคัญของการวิเคราะห์<br />
ความเสียหาย<br />
ในการวิเคราะห์ความเสียหายในแต่ละ<br />
ครั้งสามารถนำไปสู่การหาสาเหตุ ซึ่งเมื่อ<br />
ทราบสาเหตุก็จะนำไปสู่การแก้ปัญหาความ<br />
เสียหาย ซึ่งการเสียหายของโลหะไม่ได้มี<br />
ความหมายเฉพาะการแตกหักหรือการแยก<br />
ออกจากกันเท่านั้น แต่ยังหมายรวมถึงการ<br />
เปลี่ยนแปลงรูปร่าง การสูญเสียเนื้อโลหะ<br />
หรือการเปลี่ยนสมบัติทางกล เมื่อชิ้นส่วน<br />
โลหะไม่สามารถใช้งานตามที่ออกแบบไว้<br />
หรือเปลี่ยนหน้าที่และรูปร่างไปจากตอนเริ่ม<br />
ต้น เมื่อนั้นแสดงว่าชิ้นส่วนเกิดการเสียหาย<br />
จากประสบการณ์ของผู้เขียน พบว่า สภาวะ<br />
สิ่งแวดล้อมในการใช้งานและแรงกระทำ<br />
ระหว่างการใช้งานมักเป็นสาเหตุแรกเริ่มที่<br />
นำไปสู่การเสียหายของโลหะ ยกตัวอย่าง<br />
เช่น สิ่งแวดล้อมที่มีฤทธิ์กัดกร่อน อุณหภูมิ
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
การใช้งานสูง และสิ่งแวดล้อมมีพลังงานสะสมสูง นอกจากนั้นความเค้น แรงกระแทก และ<br />
แรงจากการเสียดสี ก็เป็นตัวอย่างของสภาวะการรับแรงที่นำไปสู่การเสียหายของวัสดุค่อน<br />
ข้างบ่อย โดยเฉพาะปัจจัยที่เกิดร่วมกันระหว่างสิ่งแวดล้อมที่มีฤทธิ์กัดกร่อนและแรงทางกล<br />
มักนำไปสู่การสึกหรอและการเสียหายของชิ้นส่วนโลหะในอัตราที่เร็วยิ่งขึ้น <br />
วัตถุประสงค์ของการวิเคราะห์ความเสียหาย<br />
1. เพื่อชี้ชัดหรือระบุปัญหาที่เกิดขึ้น<br />
2. เพื่อหารากของปัญหา (root cause) สำหรับการเสียหายของชิ้นส่วน อุปกรณ์ทาง<br />
วิศวกรรมสามารถจำแนกรากของปัญหาได้ 4 ประเภทหลักๆ ดังนี้<br />
2.1 ความบกพร่องจากการออกแบบ<br />
2.2 วัสดุมีจุดบกพร่อง<br />
2.3 จุดบกพร่องจากการประกอบ/ติดตั้ง<br />
2.4 ความผิดปกติจากการใช้งาน<br />
3. เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง<br />
4. เพื่อตรวจสอบและยืนยันแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้อง <br />
5. เพื่อดำเนินการเปลี่ยนแปลงและสร้างมาตรฐาน<br />
<br />
ดังนั้นเมื่อทำการวิเคราะห์ความเสียหายในแต่ละกรณี จะทำให้ทราบว่าการเสียหายของ<br />
ชิ้นส่วนเกิดจากปัจจัยใด ซึ่งปัจจัยต่างๆ เหล่านั้นได้แสดงไว้ในรูปที่ 1 และการเสียหายบาง<br />
ครั้งอาจเกิดจากปัจจัยใดปัจจัยหนึ่งเท่านั้น แต่ในบางกรณีอาจเกิดจากหลายๆ ปัจจัยร่วมกันก็ได้<br />
1. การออกแบบ<br />
2. การเลือกใช้วัสดุ<br />
3. การผลิต-ติดตั้งชิ้นส่วน<br />
4. สภาวะการใช้งาน<br />
5. เสียหาย/หมดอายุ<br />
รูปที่ 1 วัฏจักรชีวิตของชิ้นส่วนทางวิศวกรรม<br />
จากข้อมูลที่ได้มีการรวบรวมสาเหตุการเสียหายโดยทั่วไปของชิ้นส่วนโลหะพบว่าเกิดจาก<br />
สาเหตุหลายประการ ดังนี้ <br />
1. ประมาทเลินเล่อ ใช้งานผิดประเภท ไม่ได้ผ่านการฝึกอบรมหรือถูกอบรมแบบไม่ถูกต้อง<br />
2. เกิดจากการซ่อมบำรุงและตรวจสอบที่ไม่ถูกต้องและเหมาะสม ยกตัวอย่างเช่น การ<br />
บำรุงรักษาด้วยการทาสี ในกรณีที่ไม่ได้กำจัดคราบหรือผลิตภัณฑ์การกัดกร่อนออก<br />
จากผิวหน้าก่อนการทาสี อาจทำให้เกิดการเสียหายที่รุนแรงตามมาได้ <br />
3. การออกแบบโครงสร้างที่ไม่ดี หรือการเปลี่ยนแบบที่ไม่ถูกต้อง เช่นมีการก่อสร้าง<br />
เพิ่มเติม<br />
4. เลือกใช้วัสดุที่ไม่เหมาะกับสภาวะการใช้งาน หรือ กระบวนการผลิตที่ผิดพลาด<br />
5. มีจุดบกพร่องภายในวัสดุ เช่น โพรงอากาศในชิ้นงานหล่อ หรือ จุดบกพร่องจากการ<br />
ประกอบติดตั้ง เช่น รอยร้าวขนาดเล็กในแนวเชื่อม <br />
6. การกัดกร่อน <br />
7. การใช้งานในสภาพแวดล้อมที่ไม่<br />
เหมาะสม เช่น เกิดการสูญเสียความ<br />
เหนียวที่อุณหภูมิต่ำ หรือสูญเสีย<br />
ความแข็งแรงที่อุณหภูมิสูง <br />
8. เกิดการล้าตัวหรือสึกหรอหลังจาก<br />
ผ่านการใช้งานเป็นระยะเวลานาน <br />
9. การรับแรงเกินพิกัดในระยะเวลาอัน<br />
สั้น เช่น เกิดธรณีพิบัติ ทอนาโด และ<br />
รับแรงกระแทก เป็นต้น<br />
10. เกิดจากหลายสาเหตุร่วมกัน<br />
<br />
การเสียหายของโลหะ (Metal Failure)<br />
เป็นศาสตร์ที่วิศวกรออกแบบและนัก<br />
วิเคราะห์ความเสียหายต้องมีความรู้เป็นพื้น<br />
ฐาน บุคคลทั้งสองกลุ่มจะต้องมีความรู้เกี่ยว<br />
กับชนิดและสมบัติต่างๆ ของโลหะ รวมทั้ง<br />
ความสามารถในการใช้งานที่สภาวะต่างๆ<br />
ของโลหะเป็นอย่างดี การเลือกโลหะเพื่อใช้<br />
ในงานต่างๆ เป็นหน้าที่ของวิศวกรวัสดุ<br />
(Material Engineer) ส่วนนักออกแบบ<br />
(Designer) จะมีหน้าที่ในการตัดสินใจว่ามี<br />
สิ่งแวดล้อมและเงื่อนไขในการใช้งานอะไร<br />
บ้างที่มีผลต่อวัสดุในระหว่างการใช้งาน และ<br />
นักวิเคราะห์ความเสียหาย (Failure<br />
Analyst) จะมีหน้าที่ตอบคำถามว่า ระบบ<br />
และอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องจะเกิดความเสียหาย<br />
ด้วยสาเหตุและรูปแบบใดได้บ้าง ดังนั้นเพื่อ<br />
ป้องกันการเสียหายที่จะเกิดขึ้น นักออกแบบ<br />
ควรตรวจสอบและตอบคำถามเหล่านั้นเช่น<br />
กัน ขั้นตอนแรกที่ควรปฏิบัติ คือ ต้องรู้และ<br />
เข้าใจว่า ความเสียหายน่าจะเกิดในรูปแบบ<br />
ใดได้บ้าง (เป็นการคาดการณ์จากความรู้<br />
และประสบการณ์)<br />
ถ้าวัสดุสามารถต้านทานการเสียหายได้<br />
ทุกรูปแบบและใช้งานในสิ่งแวดล้อมได้ทุก<br />
สภาวะแล้ว ในทางทฤษฎีสามารถกล่าวได้<br />
ว่าระบบหรือชิ้นส่วนที่ผลิตจากวัสดุนั้นๆ จะ<br />
มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน แต่ในความเป็น<br />
จริงเป็นไปได้ยากมาก เพราะวัสดุต่างๆ มี<br />
โอกาสเกิดการเสียหายได้ทั้งนั้น เนื่องจาก<br />
ไม่มีวัสดุชนิดใดที่มีความสมบูรณ์แบบโดย<br />
ปราศจากจุดบกพร่อง ในบางครั้งวัสดุทาง<br />
วิศวกรรมที่เราเลือกและคิดว่าดีที่สุดก็มี<br />
โอกาสเสียหายและก่อให้เกิดสภาวะการ<br />
11
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
ทำงานที่ไม่ปลอดภัยได้ หน้าที่ของวิศวกร<br />
ออกแบบอีกอย่างหนึ่งคือ ต้องทำให้มีราคา<br />
หรือต้นทุนต่ำที่สุดและสามารถใช้งานได้ใน<br />
ระยะเวลาที่ยาวนาน โดยไม่มีการถอด<br />
เปลี่ยนหรือหยุดซ่อมบำรุงก่อนเวลาอันควร<br />
ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับนัก<br />
ออกแบบที่จะต้องตระหนักและมีความ<br />
เข้าใจว่าโลหะแต่ละชนิดสามารถเสียหายใน<br />
รูปแบบใดได้บ้างและเกิดได้อย่างไร เพื่อ<br />
ป้องกันปัญหาการเสียหายในรูปแบบต่างๆ<br />
ที่จะเกิดขึ้น<br />
ป˜ญหาáÅะขŒอเสนอáนะ<br />
จากการศึกษาปัญหาการเสียหายของชิ้น<br />
ส่วนทางวิศวกรม พบว่าส่วนใหญ่มีปัจจัยมา<br />
จากมนุษย์ (Human Causes) ดังนั้น<br />
แนวทางในการป้องกันหรือลดความเสี่ยงต่อ<br />
การเสียหาย คือ การฝึกอบรมและศึกษา<br />
(Training and Education) ให้มากขึ้น<br />
ส ำ ห รั บ ปั ญ ห า ที่ เ กิ ด ขึ้ น กั บ โ ร ง ง า น<br />
อุตสาหกรรมในประเทศไทยในปัจจุบันนี้<br />
นอกจากจะเกิดจากปัจจัยที่กล่าวมาแล้ว<br />
เป็นหลัก ยังมีปัจจัยด้านศักยภาพและความ<br />
สามารถในการวิเคราะห์ทดสอบ กล่าวคือ<br />
โรงงานอุตสาหกรรมที่มีความคล่องตัวด้าน<br />
การเงิน จะให้ความสนใจในการวิเคราะห์<br />
ความเสียหายของชิ้นส่วน ในขณะที่บริษัท<br />
ขนาดเล็กหรือมีความคล่องตัวทางการเงิน<br />
น้อยจะให้ความสนใจน้อย ทั้งนี้ยังขึ้นอยู่กับ<br />
ผู้บริหารด้วยว่าจะเห็นความสำคัญหรือไม่<br />
ในแง่ของสถาบันหรือหน่วยงานที่ให้บริการ<br />
นั้น ยังมีในปริมาณน้อย แม้ว่าจะมีความ<br />
พร้อมด้านเครื่องมือที่ใช้ในการวิเคราะห์<br />
ทดสอบก็ตาม แต่ยังขาดแคลนบุคลากร<br />
ทำให้เกิดความล่าช้า ซึ่งมีผลกระทบโดยตรง<br />
กับภาคธุรกิจที่ต้องแก้ปัญหาอย่างรวดเร็ว<br />
เพราะว่าการหยุดซ่อมบำรุงแค่ 1 นาที อาจ<br />
ทำให้เกิดความสูญเสียด้านเศรษฐศาสตร์คิด<br />
เป็นเงินหลายล้านบาทได้<br />
ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่ผู้วิเคราะห์ฯ มักพบ<br />
เสมอ คือ ระยะเวลาและงบประมาณ ซึ่งถ้า<br />
การวิเคราะห์ในเรื่องนั้นมีความจำเป็นต้อง<br />
ทำการตรวจสอบ เพื่อให้ได้คำตอบที่ตรง<br />
ตามความต้องการของลูกค้า แต่มีปัญหาดัง<br />
กล่าวมาเกี่ยวข้อง ผู้ที่ทำการวิเคราะห์จะ<br />
ต้องตัดสินใจว่าจะเลือกกระบวนการทดสอบ<br />
ขั้นตอนใดบ้าง ที่เห็นว่าเมื่อดำเนินการแล้ว<br />
จะได้ข้อมูลที่เป็นประโยชน์ อยู่ในขอบเขต<br />
และไม่ทำให้งบประมาณบานปลาย แต่ถ้า<br />
การทดสอบและการวิเคราะห์ถูกจำกัดด้วย<br />
เหตุผลใดๆ ก็ตาม จนทำให้มีผลกระทบต่อ<br />
ความถูกต้องของรายงานที่จะสามารถ<br />
อธิบายสิ่งที่ลูกค้าต้องการได้ เนื่องจากใน<br />
การวิเคราะห์ความเสียหายนั้นจำเป็นต้องมี<br />
การทดสอบและวิเคราะห์ในหัวข้อต่างๆ<br />
ในปริมาณที่เพียงพอ รวมทั้งส่วนอื่นๆ ที่<br />
เกี่ยวข้องตามข้อกำหนด เมื่อผู้ทำการ<br />
วิเคราะห์ฯ พิจารณาแล้วว่าไม่สามารถตอบ<br />
คำถามผู้ว่าจ้างได้หรือได้ข้อมูลที่ไม่เพียงพอ<br />
ก็สามารถปฏิเสธงานนั้นได้ พร้อมชี้แจง<br />
เหตุผล ซึ่งบ่อยครั้งที่เราพบว่า ชิ้นงานที่ใช้<br />
วิเคราะห์ฯ มีมูลค่าหลักร้อย แต่ค่าวิเคราะห์ฯ<br />
มีมูลค่าหลักหมื่น ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับลูกค้าว่า<br />
จะวิเคราะห์ฯ เพื่อจุดประสงค์ใด เพราะ<br />
บางครั้งคำตอบที่ได้จากการวิเคราะห์<br />
สามารถแก้ปัญหาของวัสดุในกระบวนการ<br />
ผลิตที่อาจมีมูลค่าหลักล้านได้ รวมทั้งภาพ<br />
ลักษณ์ของบริษัทที่ประเมินค่าไม่ได้<br />
จากปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นเหล่านี้ ผู้เขียน<br />
และทีมงานห้องปฏิบัติการวิเคราะห์ความ<br />
เสียหายและการกัดกร่อนของวัสดุของ<br />
เอ็มเทคได้มีความตระหนักเป็นอย่างดี โดย<br />
พยายามเพิ่มความเชี่ยวชาญทั้งด้านแนวคิด<br />
และการปฏิบัติ เพื่อสร้างองค์ความรู้ในการ<br />
ช่วยเหลืออุตสาหกรรม จึงได้หาช่องทาง<br />
หลายด้าน เช่น การนำกรณีวิเคราะห์ต่างๆ<br />
มาสรุปเป็นหนังสือทางวิชาการที่มีเนื้อหา<br />
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
เข้าใจง่าย เขียนบทความเผยแพร่ใน<br />
จดหมายข่าวและเวปไซต์ห้องปฏิบัติการให้<br />
กับบุคคลทั่วไปได้ศึกษา ซึ่งสามารถนำไป<br />
ประยุกต์ใช้งานได้จริง นอกจากนี้ยังยกระดับ<br />
ความน่าเชื่อถือของรายงานผลการวิเคราะห์<br />
ให้เป็นที่ยอมรับทั้งในระดับประเทศและ<br />
นานาชาติ โดยการนำเสนอเป็นบทความทาง<br />
วิชาการเผยแพร่ในการประชุมวิชาการระดับ<br />
ประเทศ เช่น การประชุมวิชาการทางโลหะ<br />
วิทยาแห่งประเทศไทย (TMETC) และ<br />
ประชุมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีวัสดุ<br />
แห่งประเทศไทย (MSAT) ซึ่งมีเผยแพร่<br />
ไปแล้วกว่า 35 บทความ และผลงานที่ตีพิมพ์<br />
ในวารสารวิชาการนานาชาติที่มี Citation<br />
Index เช่น วารสาร Engineering Failure<br />
Analysis (บางหัวข้อสามารถศึกษาเพิ่มเติม<br />
ได้จากเอกสารอ้างอิง) และมีช่องทางในการ<br />
สร้างความตระหนักให้กับประชาชนใน<br />
ช่องทางอื่นๆ อีก ได้แก่ การจัดสัมมนาทาง<br />
วิชาการที่จัดขึ้นทุกๆ ป อย่างน้อย 2 หัวข้อ<br />
ได้แก่ การวิเคราะห์ความเสียหายของชิ้นส่วน<br />
โลหะ และการกัดกร่อนและการป้องกัน<br />
ก า ร จั ด กิ จ ก ร ร ม ค่ า ย ส ำ ห รั บ เ ย า ว ช น<br />
การบรรยายตามหน่วยงานสถาบันการศึกษา<br />
เป็นต้น<br />
หลายท่านอาจมองว่าการวิเคราะห์ความ<br />
เสียหายเป็นการแก้ที่ปลายเหตุ แต่อย่าลืม<br />
ว่าวิศวกรรมย้อนรอย (Reverse Engineering)<br />
ที่มีการศึกษาและประยุกต์ให้ดียิ่งขึ้นนี่แหละ<br />
ที่ทำให้ประเทศญี่ปุนพัฒนาจนก้าวไปสู่<br />
ประเทศที่พัฒนาแล้ว<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
[1] James J et al. Introduction to Failure Analysis and Prevention. ASM Handbook Vol.11 Failure<br />
Analysis and Prevention (2002). ASM International. pp.5.<br />
[2] เอกสารประกอบการสัมมนา “Failure Analysis” ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ, 30 พฤศจิกายน –<br />
2 ธันวาคม 2539, Hall C, 2nd Floor, ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิตติ์<br />
[3] Debbie A. Thinking Skill Optimization for Failure Analysts. JPFA (2002) ; 2(6) : 5-7.<br />
[4] Roland H. The Interdisciplinary Nature of Failure Analysis. JPFA (2002) ; 2(3) : 17-9, 42-4.<br />
[5] Robert A. Engineering forensics at Youngstown State University. JPFA (2005); 5(6) : 13-7.<br />
[6] George F. Conducting a Failure Examination. Failure Analysis and Prevention. ASM Handbook<br />
Vol.11. p. 333-42.<br />
[7] Kaewkumsai S., Khonraeng, W., Chainpairot, A., Corrosion fatigue cracking of AISI 316L<br />
stainless steel screen mesh. Eng Fail Anal (2010); 17: pp. 857–863.<br />
[8] Kaewkumsai, S., Khonraeng, W., Sathirachinda, N., High Temperature Failure of Natural Gas<br />
Feed Burner Pipe, Eng Fail Anal (2013); 27: 74–83.<br />
[9] Le M et al., Reducing the risk of failure by better training and education. Eng Fail Anal (2009) ; 16<br />
: 1153-62.<br />
12
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
By Marisa Sci and Tech<br />
เลนส์แว่นตาที่เปลี่ยนสีได้เมื่อออกแดดเป็น<br />
เลนส์ที่ทำจากแก้วพิเศษที่ต่างจากแก้วทั่วไป นั่น<br />
คือ “แก้วโฟโตโครมิก (Photochromic glass)” ที่มี<br />
สมบัติเปลี่ยนสีจากไม่มีสีกลายเป็นสีเข้มได้เมื่อได้<br />
รับรังสียูวีหรือเมื่อได้รับแสงแดดภายนอกอาคาร<br />
เลนส์แว่นตาที่เปลี่ยนสีได้นี้จะช่วยปกป้องดวงตา<br />
ให้พ้นอันตรายจากรังสียูวีได้โดยที่ผู้สวมใส่ไม่ต้อง<br />
ยุ่งยากกับการพกแว่นกันแดดหรือหนีบเลนส์สีเข้ม<br />
แบบพับติดกับแว่นสายตาที่มักจะรบกวน<br />
ทัศนวิสัยในการมองเห็น<br />
สมบัติการเปลี่ยนสีของแก้วโฟโตโครมิกเกิดขึ้นได้อย่างไร <br />
สมบัติการเปลี่ยนสีของแก้วโฟโตโครมิกเกิดขึ้นจาก<br />
ปฏิกิริยาเคมีของผลึกซิลเวอร์คลอไรด์ (AgCl) และผลึก<br />
คอปเปอร์ (I) คลอไรด์ (CuCl) ที่เติมเข้าไปในขณะที่ส่วนผสม<br />
ทั้งหมดยังอยู่ในสถานะหลอมเหลว เมื่อแก้วเย็นตัวลงจน<br />
กลายเป็นของแข็ง ผลึกเหล่านี้ก็จะกระจายเป็นเนื้อเดียวกับ<br />
เนื้อแก้วโดยยังทำให้เนื้อแก้วคงความใสเมื่ออยู่ภายใต้แสงที่<br />
มองเห็นได้เช่นเดียวกับแก้วทั่วไปที่เป็นสารประกอบเชิงซ้อน<br />
ของซิลิเกตที่ผลิตได้จากส่วนผสมของซิลิกา (SiO2) โซเดียม-<br />
คาร์บอเนต (Na2CO3) และไลม์ (แคลเซียมออกไซด์ CaO)<br />
แต่อย่างไรก็ตาม เมื่อแก้วโฟโตโครมิกอยู่ภายใต้รังสียูวี มันจะ<br />
เปลี่ยนจากไม่มีสีกลายเป็นสีเข้มซึ่งต่างจากแก้วทั่วไป กลไก<br />
การเปลี่ยนสีนี้เกิดจากผลึกซิลเวอร์คลอไรด์ถูกกระตุ้นด้วยรังสี<br />
ยูวีทำให้เกิดปฏิกิริยารีดอกซ์ (Redox reaction) หรือปฏิกิริยา<br />
ออกซิเดชั่น - รีดักชั่น (Oxidation - Reduction reaction) ดังนี้<br />
Cl - -----------> Cl + e - ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น<br />
Ag + + e- -----------> Ag ปฏิกิริยารีดักชั่น<br />
เมื่อซิลเวอร์คลอไรด์ที่กระจายอยู่ในเนื้อแก้วได้รับการ<br />
กระตุ้นด้วยรังสียูวีมันจะเกิดปฏิกิริยารีดอกซ์ โดยไอออนของ<br />
คลอไรด์ที่แตกตัวจากซิลเวอร์คลอไรด์แต่ละไอออนจะถูกออกซิไดซ์<br />
จนได้เป็นอะตอมของคลอรีนและอิเล็กตรอน (ปฏิกิริยาออกซิ-<br />
เดชั่น) จากนั้นไอออนของเงินที่แตกตัวจากซิลเวอร์คลอไรด์<br />
แต่ละไอออนจะรับอิเล็กตรอนที่ได้จากปฏิกิริยาออกซิเดชั่น<br />
และเกิดเป็นอะตอมของเงิน (ปฏิกิริยารีดักชั่น) อะตอมของ<br />
เงินเหล่านี้จะรวมตัวกันจนเต็มพื้นที่ของเนื้อแก้ว แสงจึงไม่<br />
สามารถเดินทางผ่านไปได้ทำให้เห็นสีของแก้วเปลี่ยนจากไม่มี<br />
สีเป็นสีที่เข้มขึ้น กระบวนการเปลี่ยนสีเช่นนี้มักเกิดขึ้นทันทีที่ได้รับ<br />
รังสียูวี นอกจากนี้ระดับของความเข้มของสีแก้วที่เปลี่ยนไปยังขึ้นอยู่กับความ<br />
เข้ม (intensity) ของรังสียูวีที่ได้รับ อุณหภูมิและความหนาของแก้วอีกด้วย<br />
อย่างไรก็ตาม กลไกการเปลี่ยนสีจะไม่มีประโยชน์เลย ถ้าหากปฏิกิริยา<br />
ที่เกิดขึ้นไม่สามารถผันกลับได้ ดังนั้นในกระบวนการผลิตจึงมีการเติม<br />
ผลึกคอปเปอร์คลอไรด์ลงไปด้วย เนื่องจากคอปเปอร์คลอไรด์จะทำให้<br />
กระบวนการเปลี่ยนเป็นสีเข้ม (darkening process) สามารถผันกลับ<br />
จากสีเข้มเป็นไม่มีสีได้อีกครั้งเมื่ออยู่ภายใต้สภาพแวดล้อมที่ปราศจาก<br />
รังสียูวี โดยปฏิกิริยาดังกล่าวที่เกิดขึ้นแสดงได้ดังนี้<br />
Cl + Cu + ------------> Cu +2 + Cl -<br />
Cu +2 + Ag ------------> Cu +1 + Ag +<br />
อะตอมของคลอรีนที่ถูกสร้างขึ้นก่อนหน้านี้ในปฏิกิริยาออกซิเดชั่นจะ<br />
ถูกรีดิวซ์โดยไอออนของทองแดงเพื่อป้องกันคลอรีนกลายเป็นกาซระเหย<br />
ออกจากเนื้อแก้ว ส่วนไอออนของทองแดง (+1) จะถูกออกซิไดซ์กลาย<br />
เป็นไอออนของทองแดง (+2) จากนั้นไอออนของทองแดง (+2) จะไปทำ<br />
ปฏิกิริยากับอะตอมของเงินที่ถูกสร้างขึ้นก่อนหน้านี้ในปฏิกิริยารีดักชั่นจน<br />
กลายเป็นไอออนของเงิน จากผลลัพธ์ที่ได้จากปฏิกิริยาเหล่านี้ทำให้เลนส์<br />
ที่มีสีเข้มสามารถเปลี่ยนกลับไปเป็นเลนส์ที่ไม่มีสีได้อีกครั้งเนื่องจาก<br />
อะตอมของเงิน และคลอไรด์ที่เปลี่ยนกลับมาเป็นสถานะเดิม คือสถานะ<br />
ถูกออกซิไดซ์ (oxidized state) และสถานะถูกรีดิวซ์ (reduced state)<br />
นั่นเอง<br />
บทสรุปตามหลักของเลอชาเตอลิเอ (Le Chatelier’s Principle) ใน<br />
สมดุลเคมี<br />
AgCl+ energy Ag + + Cl -<br />
(ใส)<br />
(เข้ม)<br />
เมื่อผู้สวมใส่อยู่ภายนอกอาคารที่มีความเข้มของแสงหรือพลังงานมาก<br />
กว่าภายในอาคาร สมดุลของปฏิกิริยาเลื่อนไปทางขวา ส่งผลให้เลนส์โฟ<br />
โตโครมิกเปลี่ยนเป็นสีเข้ม แต่เมื่อผู้สวมใส่กลับเข้ามาภายในอาคารที่มี<br />
ความเข้มของแสงหรือพลังงานน้อยกว่าภายนอกอาคาร สมดุลของ<br />
ปฏิกิริยาจะเลื่อนมาทางซ้าย ส่งผลให้เลนส์โฟโตโครมิกค่อยๆ สว่างขึ้นจน<br />
กลายเป็นเลนส์ใส<br />
แหล่งข้อมูลอ้างอิง<br />
http://quiz2.chem.arizona.edu/chem535/Photochromism.03.pdf<br />
http://library.kcc.hawaii.edu/external/chemistry/everyday_photo_oxid.html<br />
http://scc.scdsb.edu.on.ca/Students/onlinecourses/Sikora/sch4u/v12/69.pdf<br />
13
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
www.mtec.or.th<br />
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
กรุณากรอกรายละเอียดให้ครบถ้วนและชัดเจนเพื่อสิทธิประโยชน์ของท่าน<br />
ชื่อ-สกุล (นาย/นาง/นางสาว)……………………………………………………………………...........………………………………………<br />
(ภาษาไทย) (ตัวบรรจง)<br />
ชื่อ-สกุล (Mr./Mrs./Ms.)……………………………………………………………………………….................……………………………<br />
(ภาษาอังกฤษ) (BLOCK LETTER)<br />
บริษัท/หน่วยงาน (หจก./บจก./บจม.)…………………………………………………............……………………………………………….<br />
ตำแหน่งงาน…………………………………....………… ที่อยู่……………………………………………………………………………….<br />
โทรศัพท์ …………………………………………… โทรสาร ………………………………………….. E-mail……........…………………..<br />
ประเภทอุสาหกรรม………………………………………………………. ผลิตภัณฑ์ของบริษัท ………….........……………………………<br />
ส่งใบสมัครมาที่ : งานประชาสัมพันธ์ ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ 114 อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย<br />
ถนนพหลโยธิน ตำบลคลองหนึ่ง อำเภอคลองหลวง จังหวัดปทุมธานี 12120 โทร : 0-2564-6500 โทรสาร : 0-2564-6369<br />
14
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
เมื่อพูดถึงคำว่า<br />
“สิ่งทอ” คนโดยทั่วไปจะ<br />
นึกถึงเสื้อผ้า เครื่องนุ่งห่ม หนึ่งใน<br />
ปัจจัยสี่ของมนุษย์ แต่แท้จริงแล้ว<br />
เทคโนโลยีของสิ่งทอได้ก้าวล้ำไป<br />
ประยุกต์อยู่ในหลายๆ สิ่งรอบตัว<br />
อย่างที่เราไม่สามารถรู้ได้เลย<br />
ว่าสิ่งเหล่านั้นคือ<br />
เทคโนโลยีสิ่งทอ<br />
สิ่งทอ มีความหมายกว้างๆ หมายถึง<br />
เส้นใย เส้นด้าย ผ้า หรือผลิตภัณฑ์ที่ทำจาก<br />
เส้นใย เส้นด้าย หรือจากผ้า โดยสามารถ<br />
แยกตามประเภทการใช้งานเป็น 2 กลุ่ม<br />
ใหญ่ๆ คือ สิ่งทอทั่วไป (Conventional<br />
textiles) และสิ่งทอเทคนิค ( Technical textile)<br />
สิ่งทอเทคนิค หรือ สิ่งทออุตสาหกรรม<br />
(Industrial textiles) มีคำอธิบายที่เข้าใจ<br />
ง่ายๆ ว่าคือ สิ่งทอ และผลิตภัณฑ์ที่ผลิตขึ้น<br />
เพื่อให้มีคุณสมบัติและการใช้ประโยชน์ทาง<br />
เทคนิคมากกว่าคุณลักษณะด้านความ<br />
สวยงามหรือการประดับตกแต่ง ซึ่งอาจ<br />
กล่าวได้ว่า สิ่งทอเทคนิค หมายถึง สิ่งทอ<br />
และผลิตภัณฑ์ที่ไม่ใช่เสื้อผ้าที่สวมใส่<br />
ประจำ หรือใช้ในการประดับตกแต่งบ้าน<br />
แต่เป็นวัสดุต่างๆ ที่ใช้เพื่อประโยชน์ทาง<br />
อุตสาหกรรมมากกว่าเพื่อความสวยงาม<br />
ปัจจุบันสถานการณ์สิ่งทอเทคนิคในตลาด<br />
โลกมีสัดส่วนการบริโภคเส้นใยสิ่งทอเทคนิค<br />
เพิ่มมากขึ้นจากร้อยละ 20 เป็นร้อยละ<br />
27-40 จากป 2000-2007<br />
โดยตัวอย่างผลิตภัณฑ์สิ่งทอเทคนิคที่<br />
สามารถพบเห็นได้ใกล้ๆ ตัวเรา เช่น หน้ากาก<br />
อนามัย ผ้าอ้อมเด็ก พื้นพรม ผ้าเช็ด<br />
เอนกประสงค์ ขนแปรงสีฟัน ไหมขัดฟัน ไส้<br />
กรอง ไส้ฉนวน เส้นใยเสริมล้อรถยนต์ เสื้อ<br />
เกราะกันกระสุน เข็มขัดนิรภัย เสื้อชูชีพ วัสดุ<br />
ห่อ/ปลูกต้นไม้ เป็นต้น<br />
ดังนั้น จะพบว่า เทคโนโลยีสิ่งทอ สามารถ<br />
ประยุกต์ใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม<br />
ไม่จำกัดเพียงอุตสาหกรรมสิ่งทอเท่านั้น อาทิ<br />
เช่น อุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง การเกษตร<br />
ยานยนต์ บรรจุภัณฑ์ การแพทย์ เป็นต้น<br />
15
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
เทคโนโลยีในกระบวนการผลิตนอนวูฟเวน<br />
(nonwovens) เป็นอีกเทคโนโลยีหนึ่งที่<br />
สำคัญในสิ่งทอเทคนิค โดยเป็นกระบวนการ<br />
ผลิตที่ขึ้นรูปแผ่นจากเส้นใยโดยตรงโดย<br />
ไม่ผ่านการถักทอ ซึ่งชนิดของเส้นใยที่ใช้<br />
เทคโนโลยีในการขึ้นรูป และการเชื่อมติด<br />
เส้นใยในแผ่น ที่หลากหลายทำให้สามารถ<br />
ออกแบบและขึ้นรูปนอนวูฟเวนที่มีลักษณะ<br />
และสมบัติที่พิเศษหลากหลายตามการใช้<br />
งานที่ต้องการได้<br />
การใช้กระบวนการผลิตนอนวูฟเวน มา<br />
ผลิตสิ่งทอเทคนิค มีความสำคัญมากขึ้น<br />
เรื่อยๆ โดยมีสัดส่วนกว่า 1 ใน 3 ของสิ่งทอ<br />
เทคนิคในตลาดโลก ในป 2000 และมี<br />
แนวโน้มเพิ่มมากถึง 39% ในป 2010 และมี<br />
แนวโน้มผู้บริโภคนอนวูฟเวนเปลี่ยนจาก<br />
ประเทศที่พัฒนาแล้วมาสู่ประเทศกำลัง<br />
พัฒนา<br />
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ<br />
(เอ็มเทค) โดยทีมวิจัยเทคโนโลยีสิ่งทอ<br />
ได้ตระหนักถึงความสำคัญของอุตสาหกรรม<br />
สิ่งทอเทคนิคว่าจะมีความสำคัญมากขึ้น<br />
เรื่อยๆ ทั้งสำหรับตลาดโลกและตลาดใน<br />
ประเทศ โดยเฉพาะสิ่งทอเทคนิคนอนวูฟเวน<br />
ที่เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีมูลค่าสูง และมีความ<br />
ต้องการในเทคโนโลยี การวิจัยและพัฒนา<br />
เพื่อให้ทัดเทียมต่างประเทศ และคงความ<br />
สามารถในการแข่งขัน โดยปัจจุบันห้อง<br />
ปฏิบัติการวิจัยสิ่งทอมีความพร้อมใน<br />
บุคลากรวิจัย เครื่องมือ เครื่องจักร ซึ่ง<br />
สามารถรองรับความต้องการของภาค<br />
อุตสาหกรรมในการพัฒนาวิจัย โดยเครื่องจักร<br />
ที่เอ็มเทคมีความพร้อมสำหรับการทำวิจัย<br />
และพัฒนา ประกอบด้วยเครื่องปันหลอม<br />
ขึ้นรูปเส้นใย (fiber spinning machine)<br />
เครื่องสางเส้นใย (carding machine)<br />
เครื่องปักเข็ม (needle punching machine)<br />
รวมทั้งเครื่องขึ้นรูปนอนวูฟเวนแบบสปันด์บอน<br />
(spunbond) และเมลท์โบรน (melt blown)<br />
ของพันธมิตรวิจัยคือ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี<br />
ราชมงคลธัญบุรี อีกด้วย<br />
16
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
โดยศักยภาพทีมวิจัย ที่พร้อมให้บริการ<br />
คือ การวิจัยและพัฒนาเส้นใยที่มีลักษณะ<br />
และสมบัติเหมาะสมต่อการใช้งาน การ<br />
พัฒนานอนวูฟเวน และการศึกษาเส้นใย<br />
จากแหล่งธรรมชาติ (bio-based fibers)<br />
เพื่อเป็นแนวทางเลือกการใช้งานในสิ่งทอ<br />
อนาคต<br />
ภาคอุตสาหกรรมที่สนใจงานวิจัยและ<br />
พัฒนา สิ่งทอเทคนิคในกระบวนการผลิต<br />
นอนวูฟเวน สามารถติดต่อสอบถามราย<br />
ละเอียดงานวิจัยได้ที่ ฝายพัฒนาธุรกิจ<br />
คุณระพีพันธ์ ระหงษ์ โทร 0 2564 6500<br />
ตอ 4789<br />
ที่มาข้อมูลวิชาการ :<br />
1. สถาบันพัฒนาอุตสาหกรรมสิ่งทอ<br />
2. สำนักนโยบายอุตสาหกรรม<br />
17
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
ณพล คงเจริญ<br />
ศูนย์เทคโนโลยีโลหะและวัสดุแห่งชาติ<br />
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
(มาตรฐาน มอก. 18001 - 2554)<br />
มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม ระบบการจัดการอาชีวอนามัย<br />
และความปลอดภัย : ข้อกำหนด มาตรฐานเลขที่ มอก. 18001 - 2554 เป็น<br />
มาตรฐานฉบับใหม่ล่าสุดที่มีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงจากมาตรฐานฉบับ<br />
เดิมที่ใช้ตั้งแต่ป 2542 โดยมีการประยุกต์เอามาตรฐานการจัดการความ<br />
ปลอดภัยของสากล (OHSAS 18001) และมาตรฐานแรงงานไทย (มรท.<br />
8001) มาใช้เป็นแนวทาง ในภาพรวมมาตรฐานฉบับใหม่นี้ได้เพิ่มเติมและ<br />
ปรับปรุงเนื้อหาสาระให้เข้าใจง่ายยิ่งขึ้น เน้นการมีส่วนร่วมของพนักงานโดย<br />
ผ่านช่องทางการสื่อสาร ลดเอกสารในระบบและสามารถบูรณาการกับระบบ<br />
การจัดการอื่นๆได้ง่ายยิ่งขึ้น เช่น ระบบบริหารคุณภาพ (ISO 9001) ระบบ<br />
การจัดการสิ่งแวดล้อม (ISO 14001) ทั้งนี้ การดำเนินระบบการจัดการมุ่งให้<br />
กิจกรรมต่างๆด้านอาชีวอนามัยและความปลอดภัยของหน่วยงานบรรลุตาม<br />
วัตถุประสงค์เป้าหมายที่ตั้งไว้ ลดและควบคุมความเสี่ยงจากอันตรายต่างๆ<br />
รวมถึงให้ความสำคัญกับด้านสุขภาพอนามัยและโรคที่อาจเกิดจากการ<br />
ทำงานที่จะเกิดกับพนักงานและผู้ที่เกี่ยวข้องไม่ว่าจะเป็นผู้รับเหมา ผู้เยี่ยมชมพื้นที่<br />
การทบทวนการจัดการ<br />
การตรวจสอบ<br />
และการแก้ไข<br />
การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง<br />
นโยบายอาชีวอนามัย<br />
และความปลอดภัย<br />
การวางแผน<br />
การนำไปใช้<br />
และการปฏิบัติ<br />
รูปแบบระบบการจัดการอาชีวอนามัยและความปลอดภัย<br />
18<br />
บุคคลภายนอก เพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานและ<br />
นำสู่การปรับปรุงระบบการจัดการอย่างต่อเนื่อง<br />
สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ<br />
ความปลอดภัยอาชีวอนามัยและสภาพแวดล้อมใน<br />
การทำงาน พ.ศ. 2554<br />
กระบวนการของการบริหารจัดการด้านอาชีวอนามัย<br />
และความปลอดภัย มอก. 18001 - 2554 ยึดกรอบ<br />
แ น ว คิ ด รู ป แ บ บ ร ะ บ บ ก า ร จั ด ก า ร ( ต า ม ภ า พ )<br />
ซึ่งประกอบด้วยข้อกำหนดหลักดังนี้ (1) ข้อกำหนด<br />
ทั่วไป (2) นโยบายอาชีวอนามัยและความ<br />
ปลอดภัย ซึ่ ง ผู้ บ ริ ห า ร ร ะ ดั บ สู ง เ ป็ น ผู้ ก ำ ห น ด<br />
(3) การวางแผน ประกอบด้วยกิจกรรมการชี้บ่ง<br />
อันตรายละประเมินความเสี่ยง การทบทวนกฎหมาย<br />
และข้อกำหนดต่างๆที่เกี่ยวข้องรวมไปถึงการกำหนด<br />
วัตถุประสงค์และเป้าหมาย (4) การนำไปใช้และ<br />
การปฏิบัติ เริ่มตั้งแต่การกำหนดบทบาทหน้าที่และ<br />
ภาระรับผิดชอบ การฝึกอบรมให้มีความสามารถและ<br />
การสร้างจิตสำนึก การสื่อสารข้อมูลข่าวสารต่างๆ<br />
การมีส่วนร่วมและการปรึกษาทั้งในส่วนของพนักงาน<br />
และผู้มีส่วนได้เสีย การกำหนดเอกสารในระบบและ<br />
การควบคุมเอกสาร รวมถึงการควบคุมการปฏิบัติงาน<br />
ทั้งในภาวะปกติและภาวะฉุกเฉิน (5) การตรวจสอบ<br />
และการแก้ไข ประกอบด้วย การติดตามตรวจสอบ<br />
และการวัดผลการดำเนินการต่างๆที่เกี่ยวข้องทั้งหมด<br />
เช่น การตรวจสอบความสำเร็จของการบรรลุวัตถุประสงค์<br />
อาจพิจารณาทั้งเชิงปริมาณเชิงคุณภาพ เชิงรับเชิงรุก<br />
การติดตามประสิทธิผลการควบคุมด้านสุขภาพและ<br />
ความปลอดภัย เป็นต้น การประเมินผลการปฏิบัติตาม<br />
กฎหมาย การสอบสวนอุบัติการณ์ที่เกิดขึ้น การปฏิบัติ<br />
การแก้ไขและป้องกันเมื่อพบความไม่สอดคล้อง<br />
ตามข้อกำหนด การจัดทำและเก็บบันทึกต่างๆ และ<br />
การตรวจประเมินภายใน (6) การทบทวนการจัดการ<br />
เพื่อให้ผู้บริหารตัดสินใจในประเด็นต่างๆ และให้มั่นใจว่า<br />
ระบบยังมีความเหมาะสม พอเพียงและมีประสิทธิผล<br />
นำสู่การปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง
ปีที่ 7 ฉบับที่ 68 ธันวาคม พ.ศ. 2555 - มกราคม พ.ศ. 2556<br />
<strong>MTEC</strong> Newsletter<br />
19