à¹à¸£à¸·à¹à¸à¸à¹à¸à¸à¸à¸±à¸ - สà¸à¸²à¸à¸±à¸à¸à¸£à¸°à¸à¸à¹à¸à¸¥à¹à¸²
à¹à¸£à¸·à¹à¸à¸à¹à¸à¸à¸à¸±à¸ - สà¸à¸²à¸à¸±à¸à¸à¸£à¸°à¸à¸à¹à¸à¸¥à¹à¸²
à¹à¸£à¸·à¹à¸à¸à¹à¸à¸à¸à¸±à¸ - สà¸à¸²à¸à¸±à¸à¸à¸£à¸°à¸à¸à¹à¸à¸¥à¹à¸²
- No tags were found...
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
ปีที่ ๑๐ ฉบับที่ ๖ เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
สะท้อนโลกทัศน์การเมืองการปกครองผ่านประกวดภาพจิตรกรรมและ<br />
ภาพถ่ายทางการเมืองการปกครองไทย ชิงเงินรางวัลกว่าแสนบาท<br />
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า และ<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร เชิญชวนประชาชนทั่วไป ถ่ายทอดทัศนคติ ความเข้าใจและความ<br />
รู้สึกทางการเมืองการปกครองโดยส่งภาพจิตรกรรมและภาพถ่ายทางการเมืองการ<br />
ปกครองไทยเข้าประกวด ภายใต้หัวข้อ “ความขัดแย้ง ความชอบธรรม และการปฏิรูป<br />
ระบบรัฐ : การจัดสรรผลประโยชน์ที่เป็นธรรมในสังคมไทย” เงินรางวัลแยกเป็นด้าน<br />
จิตรกรรม รางวัลที่ ๑ จำนวน ๔๐,๐๐๐ บาท รางวัลที่ ๒ จำนวน ๒๐,๐๐๐ บาท และ<br />
รางวัลที่ ๓ จำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท ส่วนเงินรางวัลสำหรับผลงานศิลปะภาพถ่าย รางวัลที่<br />
๑ จำนวน ๓๐,๐๐๐ บาท รางวัลที่ ๒ จำนวน ๑๕,๐๐๐ บาท และรางวัลที่ ๓ จำนวน<br />
๑๐,๐๐๐ บาท รางวัลชมเชยของทั้ง ๒ ประเภท มี ๒ รางวัลๆ ละ ๕,๐๐๐ บาท <br />
ผู้สนใจขอเชิญส่งผลงานเข้าประกวด ตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ ๓๑ กรกฎาคม<br />
๒๕๕๒ (อาจมีการขยายเวลา) สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ พิพิธภัณฑ์พระบาท<br />
สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โทรศัพท์ ๐-๒๒๘๐-๓๔๑๓ ต่อ ๑๑๑ , ๑๐๓ และ ๑๐๕<br />
หรือ ศูนย์ประชาสัมพันธ์ สถาบันพระปกเกล้า ๐-๒๕๒๗-๗๘๓๐-๙ ต่อ ๒๓๐๒ และ<br />
๒๓๑๐<br />
วิทยาลัยพัฒนาการปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้าจัด ค่ายอบรม<br />
โครงการเยาวชนสร้างสรรค์นวัตกรรมท้องถิ่น เพื่อส่งเสริมให้เยาวชนเข้ามามีส่วน<br />
ร่วมทางการเมืองการบริหารในระดับท้องถิ่น โดยคัดเลือกโครงการของเยาวชนที่<br />
ผ่านการคัดเลือก ๘ โครงการ จำนวน ๖๔ คน มาเข้าร่วมการฝึกอบรมการบริหาร<br />
โครงการ ระหว่างวันที่ ๖ – ๘ มิถุนายน ๒๕๕๒ ณ สถาบันวิชาการทีโอที จังหวัด<br />
นนทบุรี เพื่อให้เยาวชนมีความรู้ความสามารถใน<br />
การบริหารและวิเคราะห์ความเสี่ยงในการดำเนิน<br />
โครงการ และนำความรู้ที่ได้ไปประยุกต์ใช้ดำเนิน<br />
กิจกรรมที่มีความสร้างสรรค์และเป็นประโยชน์ต่อ<br />
ท้องถิ่นของตนในด้านต่างๆ โดยเยาวชนจะเริ่ม<br />
ดำเนินกิจกรรมต่อเนื่องระหว่างวันที่ ๑๕ มิ.ย.- ๓๑<br />
ส.ค ๒๕๕๒ โดยทางวิทยาลัยฯจะเสนอผลการ<br />
ดำเนินกิจกรรมของเยาวชนทั้ง ๘ กลุ่มนี้ต่อไป<br />
<br />
เรื่องในฉบับ<br />
ข่าวประชาสัมพันธ์<br />
๒<br />
ถึงเวลาหรือยังที่จะต้องคุยกับกลุ่มขบวนการ ๓<br />
การพัฒนาการสื่อสารในสมัยรัชกาลที่ 7 ๕<br />
ระบบอุปถัมภ์ในการเมืองไทย<br />
๗<br />
มารู้จักการปกครองท้องถิ่นกันเถอะ (ตอนที่ 1) ๘<br />
7 ปีวันรัฐพิธี : วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ๙<br />
มุมสร้างสำนึกพลเมือง<br />
๑๑
จดหมายข่าว<br />
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
<br />
สำนักวิจัยและพัฒนาและสำนักสันติวิธีและธรรมาภิ<br />
บาล สถาบันพระปกเกล้า จัดอบรมเชิงปฏิบัติการ<br />
หลักสูตร “ประชาธิปไตยเพื่อการสานเสวนาหาทางออก<br />
(Deliberative Democracy)” โดย Sandra S.<br />
Hodge, Ph.D. (ดร. แซนดร้า ฮอดจ์) ศาสตราจารย์จาก<br />
มหาวิทยาลัยมิซซูรี (University of Missouri)<br />
ประเทศสหรัฐอเมริกา ผู้เชี่ยวชาญด้านการสานเสวนาหา<br />
ทางออก โดยมีการอภิปราย กิจกรรมกลุ่ม และบรรยาย<br />
เป็นเวลา ๓ วัน เปิดโอกาสให้ผู้เข้ารับการอบรมได้<br />
อภิปรายแนวคิดที่หลากหลายและตรงประเด็นกับการ<br />
พิจารณาหารือ การมีส่วนร่วมของประชาชน และการจัดการความขัด<br />
แย้งด้วยสันติวิธี พร้อมมีการสรุปเป็นภาษาไทยโดย ศ. นพ.วันชัย<br />
วัฒนศํพท์ และ ดร.ถวิลวดี บุรีกุล<br />
<br />
เมื่อวันที่ ๑๕ มิถุนายน ๒๕๕๒ ที่ผ่านมา วิทยาลัยพัฒนาการ<br />
ปกครองท้องถิ่น สถาบันพระปกเกล้า โดยการสนับสนุนจากมูลนิธิเอเชีย<br />
(Asia Foundation) จัดสัมมนาเวทีท้องถิ่นประจำปี ๒๕๕๒ ครั้งที่ ๒<br />
ณ โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค กรุงเทพมหานคร ในหัวข้อ เรื่อง วิพากษ์ร่าง<br />
พระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานของ<br />
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น โดยดำเนินการยกร่างกฎหมายการมีส่วน<br />
ร่วมของประชาชนในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น เพื่อดำเนินการยกร่าง<br />
พระราชบัญญัติว่าด้วยการมีส่วนร่วมของประชาชนในการบริหารงานของ<br />
องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น พ.ศ. ...ให้เกิดขึ้น โดยดำเนินการจัดให้มี<br />
การรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนในต่างจังหวัดมาแล้วทั้งสิ้น ๑๐<br />
จังหวัด ซึ่งการรับฟังความคิดเห็นครั้งสุดท้ายที่ กรุงเทพฯ เพื่อเป็น<br />
สื่อกลางในการประชาสัมพันธ์ และเปิดโอกาสให้จากภาคต่างๆ ได้ร่วม<br />
กันวิพากษ์วิจารณ์ และให้ข้อเสนอแนะต่อร่างกฎหมาย<br />
สถาบันพระปกเกล้า โดยสำนักวิจัยและพัฒนา ได้ปฏิบัติงานตาม<br />
โครงการจัดทำพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยการรวม กลุ่มของข้าราชการ<br />
พลเรือนสามัญ ด้วยการสนับสนุนของสำนักงาน ก.พ. โครงการฯ จัด<br />
กิจกรรมในรูปแบบการเสวนาเพื่อรับฟังความคิดเห็นจากข้าราชการใน<br />
ภูมิภาคต่างๆ จำนวน ๙ เวที ทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้ได้จัดเวทีรับฟังความ<br />
คิดเห็นแล้ว ๓ ครั้ง คือที่จังหวัดสุพรรณบุรี ชลบุรี และนครราชสีมา <br />
ผู้เข้าร่วมเสวนาประกอบด้วยข้าราชการพลเรือนสามัญที่ปฏิบัติหน้าที่ทั้ง<br />
ในระดับบริหารและปฏิบัติการจากทุกสังกัดกระทรวงของจังหวัดต่างๆ<br />
โดยในแต่ละเวทีจะมีตัวแทนข้าราชการพลเรือนสามัญจาก ๖ จังหวัด<br />
จังหวัดละ ๕ คนนอกจากนี้ยังมีนักวิชาการในพื้นที่และสมาชิกวุฒิสภา<br />
เข้าร่วมเสวนาแสดงความคิดเห็นด้วย สำหรับภาพกิจกรรม สรุปผลการ<br />
รับฟังความคิดเห็นจากแต่ละเวที และรายละเอียดทั้งหมด สามารถดูได้<br />
จาก www.kpi.ac.th ในส่วนข่าวประชาสัมพันธ์
∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“<br />
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
®¥À¡“¬¢à“«<br />
จดหมายข่าว <br />
®¥À¡“¬¢à“« ∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“<br />
King ®¥À¡“¬¢à“« Prajadhipokùs ∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“<br />
Institute Newsletter ถึง เวลา หรือ ยัง<br />
King Prajadhipokùs Institute Newsletter<br />
«—µ∂ÿª√– ߧå:<br />
Ò. «—µ∂ÿª√– ‡æ◊ ËÕ‡º¬·æ√à¢à“« ߧå: “√ ª√–“ —¡æ—π∏å°‘®°√√¡·≈–º≈ß“π ที่จะต้องคุยกับกลุ่มขบวนการ<br />
Ò. ‡æ◊ ¢Õß ËÕ‡º¬·æ√à¢à“« ∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“ “√ ª√–“ —¡æ—π∏å°‘®°√√¡·≈–º≈ß“π<br />
Ú.‡æ◊ËÕ ¢Õß ∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“ à߇ √‘¡·≈–‡º¬·æ√৫“¡√Ÿâ‡°’ˬ«°—∫°“√‡¡◊Õß<br />
Ú.‡æ◊ËÕ °“√ª°§√Õß„π√–∫Õ∫ª√–“∏‘ª‰µ¬<br />
à߇ √‘¡·≈–‡º¬·æ√৫“¡√Ÿâ‡°’ˬ«°—∫°“√‡¡◊Õß<br />
เมธัส อนุวัตรอุดม*<br />
∑“ߧ≥–ºŸâ®—¥∑”¬‘π¥’∑’Ë®–‡ªìπ<br />
°“√ª°§√Õß„π√–∫Õ∫ª√–“∏‘ª‰µ¬<br />
◊ËÕ°≈“ß„π°“√·≈°‡ª≈’ˬπ<br />
¢à“« ∑“ߧ≥–ºŸâ®—¥∑”¬‘π¥’∑’Ë®–‡ªìπ “√¢âÕ¡Ÿ≈∑’Ë¡’ª√–‚¬πåÀ√◊Õπà“ ◊ËÕ°≈“ß„π°“√·≈°‡ª≈’ˬπ<br />
π„®µàÕ “∏“√≥π<br />
·≈–¢Õ ¢à“« “√¢âÕ¡Ÿ≈∑’Ë¡’ª√–‚¬πåÀ√◊Õπà“ ß«π ‘∑∏‘Ï„π°“√ √ÿª¬àÕµ—¥∑Õπ π„®µàÕ À√◊Õ‡æ‘Ë¡‡µ‘¡ “∏“√≥π<br />
µ“¡§«“¡‡À¡“– ·≈–¢Õ ß«π ‘∑∏‘Ï„π°“√ √ÿª¬àÕµ—¥∑Õπ À√◊Õ‡æ‘Ë¡‡µ‘¡ หลังเกิดเหตุการณ์ยิงมัสยิดอัลฟุรกอนที่อ.เจาะไอร้อง มีผู้เสียชีวิต ๑๐ คน บาดเจ็บ<br />
µ“¡§«“¡‡À¡“– §«“¡‡ÀÁπ·≈–∑—»π–„π·µà≈–‡√◊ËÕ߇ªìπ¢ÕߺŸâ‡¢’¬π´÷Ëß<br />
¡<br />
๑๒ คนเมื่อวันที่ ๘ มิถุนายนที่ผ่านมา ทำให้ปัญหาภาคใต้กลับมาอยู่ในความสนใจของ<br />
∑“ߧ≥–ºŸâ®—¥∑”·≈– §«“¡‡ÀÁπ·≈–∑—»π–„π·µà≈–‡√◊ËÕ߇ªìπ¢ÕߺŸâ‡¢’¬π´÷Ëß<br />
∂“∫—πæ√–ª°‡°≈Ⓣ¡à®”‡ªìπ®–µâÕß<br />
‡ÀÁπ¥â«¬‡ ∑“ߧ≥–ºŸâ®—¥∑”·≈– ¡Õ‰ª ∂“∫—πæ√–ª°‡°≈Ⓣ¡à®”‡ªìπ®–µâÕß สังคมใหญ่อีกครั้งหนึ่ง มีการวิเคราะห์ถึงเหตุการณ์และความเหี้ยมโหดของผู้กระทำกัน<br />
‡ÀÁπ¥â«¬‡ ¡Õ‰ª<br />
อย่างหลากหลาย ผู้รับผิดชอบในการแก้ปัญหาของภาครัฐต่างออกมาพูดถึงเหตุการณ์<br />
§≥–∑’˪√÷°…“:<br />
»“ §≥–∑’˪√÷°…“: µ√“®“√¬å ¥√.∫«√»—°¥‘Ï Õÿ«√√≥‚≥<br />
ดังกล่าวอย่างกว้างขวาง อีกสี่วันถัดมาก็เกิดเหตุคนร้ายยิงพระของวัดวาลุการาม จ.ยะลา<br />
√Õß»“ µ√“®“√¬å µ√“®“√¬å«ÿ≤‘ ¥√.∫«√»—°¥‘Ï “√ µ—π‰¬ Õÿ«√√≥‚≥<br />
π“ßæß…å∑Õß √Õß»“ µ√“®“√¬å«ÿ≤‘ µ—Èߟæß»å “√ µ—π‰¬<br />
มรณภาพขณะบิณฑบาตเมื่อเช้าวันที่ ๑๒ มิถุนายน ตามมาด้วยการขว้างระเบิดใส่รถ<br />
𓬫‘∑«— π“ßæß…å∑Õß —¬¿“§¿Ÿ¡‘ µ—Èߟæß»å<br />
โดยสารสายบ้านนิคมกือลอง-นครยะลาบนเส้นทางสายมาลายูบางกอก-พงยือไร จ.ยะลา<br />
¥√.∂«‘≈«¥’ 𓬫‘∑«— —¬¿“§¿Ÿ¡‘ ∫ÿ√’°ÿ≈<br />
ซึ่งมีผู้เสียชีวิต ๑ คน บาดเจ็บ ๑๔ คนในวันต่อมา<br />
π“ß«’√πÿ ¥√.∂«‘≈«¥’ æ≈π‘°√ ∫ÿ√’°ÿ≈<br />
ºŸâ૬»“ π“ß«’√πÿ รองศาสตราจารย์ µ√“®“√¬å æ≈π‘°√ดร.อรทัย ¥√.Õ√∑—¬ ก๊กผล °ä°º≈<br />
ท่ามกลางความรุนแรงรายวันและความสับสนในพื้นที่ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง นายกฯ<br />
æ≈‡Õ° ºŸâ૬»“ ‡Õ°—¬ µ√“®“√¬å »√’«‘≈“» ¥√.Õ√∑—¬ °ä°º≈<br />
√Õß»“ æ≈‡Õ° ‡Õ°—¬ µ√“®“√¬å »√’«‘≈“»<br />
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้กล่าวเน้นย้ำต่อสังคมและผู้เกี่ยวข้องว่าที่ผ่านมาจนกระทั่งถึงขณะนี้<br />
¥√.‰¬«—≤πå §È”Ÿ<br />
¥√.Õ√—≠ √Õß»“ µ√“®“√¬å µ∂‘æ—π∏åÿ ¥√.‰¬«—≤πå §È”Ÿ<br />
รัฐบาลได้มีแนวทางแก้ไขปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ที่ชัดเจน คือใช้การ<br />
π“ß ¥√.Õ√—≠ “« ÿ√“ß§å ‚ µ∂‘æ—π∏åÿ Ցߧ‡«∑¬å<br />
พัฒนาเป็นตัวนำให้เกิดสันติสุขในพื้นที่ โดยล่าสุดเตรียมทุ่มงบประมาณไปยัง ๕ โครงการ<br />
π“¬æ‘ π“ß “«‘…∞å ÿ√“ß§å »‘√‘ Ցߧ‡«∑¬å ÿ«√√≥<br />
π“¬æ‘ ‘…∞å »‘√‘ ÿ«√√≥<br />
คือฮาลาล ประมง ยางพารา ปาล์ม และการท่องเที่ยว ซึ่งรัฐบาลเชื่อว่าแนวทางการใช้การ<br />
∫√√≥“∏‘°“√:<br />
π“ß<br />
∫√√≥“∏‘°“√:<br />
“« √âÕ¬π¿“ «—≤π“°‘µµ‘°Ÿ≈<br />
พัฒนาเป็นตัวนำที่กำลังดำเนินการอยู่นี้จะเป็นคำตอบให้กับการแก้ไขปัญหาได้ ๑<br />
π“ß “« √âÕ¬π¿“ «—≤π“°‘µµ‘°Ÿ≈<br />
°Õß∫√√≥“∏‘°“√:<br />
แนวคิดความเชื่อดังกล่าวน่าจะตั้งอยู่บนสมมติฐานที่ว่าปัญหาความไม่สงบใน<br />
นางสาวศิริกมล π“ß °Õß∫√√≥“∏‘°“√: “«»‘√‘°¡≈ จันทรปัญญา ®—π∑√ªí≠≠“<br />
π“ß “«‡æ≈‘πæ‘» “«»‘√‘°¡≈ ®—π∑√ªí≠≠“<br />
ภาคใต้เกิดจากการกระทำของคนจำนวนน้อย โดยที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย แต่อาจจะมี<br />
‡æ√≈È”<br />
นางสาวน้ำผึ้ง π“ß “«πÈ”º÷Èß “«‡æ≈‘πæ‘» จิ๋วปัญญา<br />
®‘Ϋªí≠≠“ ‡æ√≈È”<br />
แนวร่วมอยู่บ้างเนื่องจากความรู้สึกว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจและสังคม <br />
นางสาวศรัณย์ธร π“ß “«πÈ”º÷Èß ®‘Ϋªí≠≠“ แดงอุดม<br />
ª√– “πß“π°“√º≈‘µ:<br />
จากการที่ไม่มีคุณภาพชีวิตและระบบการศึกษาที่ดี อยู่ในพื้นที่ที่ยังไม่ได้รับการพัฒนา และ<br />
𓬩—µ√—¬ ª√– “πß“π°“√º≈‘µ: «‘¬“ππ∑å<br />
จากพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่รัฐบางส่วนที่ออกนอกกรอบของกฎหมาย โดยเชื่อว่าหากรัฐบาล<br />
𓬩—µ√—¬ นายสมบัติ หวังเกษม «‘¬“ππ∑å<br />
»‘≈ª°√√¡·≈–®—¥Àπâ“:<br />
ใช้นโยบายการเมืองนำการทหารด้วยการซื้อใจประชาชนส่วนใหญ่ผ่านการพัฒนาคุณภาพ<br />
𓬠»‘≈ª°√√¡·≈–®—¥Àπâ“:<br />
ÿ“µ‘ «‘«—≤πåµ√–°Ÿ≈ ‚∑√»—æ∑å apple¯-˘ˆ˘¯-ÒappleÒapple<br />
𓬠ÿ“µ‘ «‘«—≤πåµ√–°Ÿ≈ ‚∑√»—æ∑å apple¯-˘ˆ˘¯-ÒappleÒapple ชีวิตที่ดีได้ ในขณะที่เจ้าหน้าที่รัฐไม่สร้างเงื่อนไขเพิ่มเติม มวลชนก็จะตีตัวออกห่างจาก<br />
æ‘¡æå∑’Ë:<br />
∫√‘…—∑ æ‘¡æå∑’Ë:<br />
ผู้ก่อความไม่สงบ ทำให้แนวร่วมลดจำนวนลง ชาวบ้านในพื้นที่คอยแจ้งข่าวและเป็นหู<br />
ส เจริญ »Ÿπ¬å°“√æ‘¡æå การพิมพ์ ·°àπ®—π∑√å ®”°—¥ ¯¯/Û «—≤π“𑇫»πå<br />
´Õ¬ ∫√‘…—∑ ๑๕๑๐/๑๐ »Ÿπ¬å°“√æ‘¡æå ÿ∑∏‘ ถนนประชาราษฎร์ “¡‡ ·°àπ®—π∑√å ππÕ° À⫬¢«“ß ๑ ®”°—¥ แขวงบางซื่อ ¯¯/Û °∑¡. «—≤π“𑇫»πå เป็นตาให้แก่เจ้าหน้าที่รัฐ ก็จะทำให้งานการข่าวถูกต้องแม่นยำมากขึ้น ซึ่งจะนำไปสู่การ<br />
‚∑√»—æ∑å:apple-ÚÚ˜ˆ-ˆ˜ÒÛ ´Õ¬ เขตบางซื่อ ı ÿ∑∏‘ กรุงเทพมหานคร “√ “¡‡ ππÕ° ·≈– ๑๐๘๐๐ À⫬¢«“ß apple-ÚÚ˜ˆ-ˆ˜ÚÒ °∑¡.<br />
จับกุมผู้ก่อความไม่สงบได้ และเมื่อกลุ่มขบวนการก่อความไม่สงบนี้หมดไปไม่ว่าจะสาเหตุ<br />
‚∑√»—æ∑å:apple-ÚÚ˜ˆ-ˆ˜ÒÛ โทรศัพท์ “√: ๐๒-๙๑๓-๒๐๘๐ apple-ÚÚ˜˜-¯ÒÛ˜·≈– โทรสาร apple-ÚÚ˜ˆ-ˆ˜ÚÒ ๐๒-๙๑๓-๒๐๘๑<br />
𓬠‚∑√ “√: —𵑠apple-ÚÚ˜˜-¯ÒÛ˜ ·°àπ®—π∑√å ºŸâæ‘¡æ废₅≥“<br />
จากการขาดแนวร่วมหรือจากการจับกุมปราบปรามโดยเจ้าหน้าที่รัฐก็ตาม สันติสุขก็จะกลับ<br />
นางจรินพร เสนีวงศ์ ณ อยุธยา ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา<br />
𓬠—𵑠·°àπ®—π∑√å ºŸâæ‘¡æ废₅≥“<br />
∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“ ‡ªìπ ∂“∫—π∑“ß«‘“°“√·Ààß“µ‘ ´÷Ëß<br />
คืนสู่ชายแดนใต้ได้ในที่สุด<br />
‡ªìπ𑵑∫ÿ§§≈ ∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“ Õ¬Ÿà„π°”°—∫¥Ÿ·≈¢Õߪ√–∏“π√—∞ ‡ªìπ ∂“∫—π∑“ß«‘“°“√·Ààß“µ‘ ¿“ ‡ªìπ ´÷Ëß<br />
‡ªìπ𑵑∫ÿ§§≈ Àπ૬ߓπ¢Õß√—∞∑’ˉ¡à‡ªìπ Õ¬Ÿà„π°”°—∫¥Ÿ·≈¢Õߪ√–∏“π√—∞ à«π√“°“√µ“¡°ÆÀ¡“¬«à“¥â«¬ ¿“ ‡ªìπ<br />
กล่าวคือ สมมติว่าประชากรในจังหวัดชายแดนภาคใต้มี ๑๐๐ คน มีกลุ่มขบวนการ<br />
°“√®—¥√–‡∫’¬∫ªØ‘∫—µ‘√“°“√ΩÉ“¬√—∞ Àπ૬ߓπ¢Õß√—∞∑’ˉ¡à‡ªìπ à«π√“°“√µ“¡°ÆÀ¡“¬«à“¥â«¬ ¿“·≈–‰¡à‡ªìπ ก่อความไม่สงบประมาณ ๑๐ คน เป็นแนวร่วมประมาณ ๒๐ คน ส่วนอีก ๗๐ คนเป็น<br />
√—∞«‘ °“√®—¥√–‡∫’¬∫ªØ‘∫—µ‘√“°“√ΩÉ“¬√—∞ “À°‘®µ“¡°ÆÀ¡“¬«à“¥â«¬«‘∏’°“√ß∫ª√–¡“≥·≈– ¿“·≈–‰¡à‡ªìπ<br />
ประชาชนส่วนใหญ่ที่ไม่เห็นด้วยกับการใช้ความรุนแรง ๒ จากแนวทางของรัฐบาลขณะนี้ อาจ<br />
°ÆÀ¡“¬Õ◊Ëπ √—∞«‘ “À°‘®µ“¡°ÆÀ¡“¬«à“¥â«¬«‘∏’°“√ß∫ª√–¡“≥·≈–<br />
°ÆÀ¡“¬Õ◊Ëπ<br />
∑’˵—Èß ∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“:<br />
* นักวิชาการ สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า<br />
∑’˵—Èß Ù˜/ÒappleÒ ∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“: Õ“§“√»Ÿπ¬å —¡¡π“ —Èπ ·≈– „π∫√‘‡«≥<br />
๑<br />
∂“∫—πæ—≤π“¢â“√“°“√æ≈‡√◊Õπ Ù˜/ÒappleÒ Õ“§“√»Ÿπ¬å —¡¡π“ —Èπ (°.æ.) Û ·≈– ∂π𵑫“ππ∑å ı „π∫√‘‡«≥ ข้อมูลจากหนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับวันอาทิตย์ที่ ๑๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒ หน้า ๑๕. <br />
µ”∫≈µ≈“¥¢«—≠ ∂“∫—πæ—≤π“¢â“√“°“√æ≈‡√◊Õπ Õ”‡¿Õ‡¡◊Õß ®—ßÀ«—¥ππ∑∫ÿ√’ (°.æ.) ∂π𵑫“ππ∑å<br />
๒<br />
ÒÒappleappleapple ตัวเลขดังกล่าวเป็นเพียงการสมมติเพื่อประโยชน์ในการอธิบาย ไม่ได้ต้องการสะท้อนสัดส่วน<br />
‚∑√. µ”∫≈µ≈“¥¢«—≠ appleÚ-ıÚ˜-˜¯Ûapple-˘ Õ”‡¿Õ‡¡◊Õß ‚∑√ ®—ßÀ«—¥ππ∑∫ÿ√’ “√ appleÚ-ıÚ˜-˜¯ÚÚ ÒÒappleappleapple ที่แท้จริงในพื้นที่<br />
‚∑√. appleÚ-ıÚ˜-˜¯Ûapple-˘ ‚∑√ “√ appleÚ-ıÚ˜-˜¯ÚÚ
จดหมายข่าว<br />
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
ตีความได้ว่ารัฐบาลพยายามที่จะดึงมวลชนทั้งหมด ๙๐ คนมาอยู่ข้างรัฐ<br />
จากการพัฒนาคุณภาพชีวิตผ่านโครงการต่างๆ โดยที่กลุ่มขบวนการอีก<br />
๑๐ คนจะ “ฝ่อ” ไปเอง หรือหากไม่สลายไป ก็จะสามารถจับกุมปราบ<br />
ปรามกลุ่มขบวนการที่เหลือให้หมดสิ้นไปได้<br />
แน่นอนที่สุด คงไม่มีใครปฏิเสธว่ามาตรการในการแก้ไขปัญหา<br />
ที่จำเป็นต้องทำส่วนหนึ่งคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนในพื้นที่<br />
ที่สอดคล้องกับวิถีชีวิต ให้ประชาชนทุกหมู่เหล่ากินดีอยู่ดี สามารถ<br />
ปฏิบัติศาสนกิจตามความเชื่อของตนได้อย่างเสรี ซึ่งเป็นแนวทางถูกต้อง<br />
เหมาะสมแล้วและควรได้รับการสนับสนุนส่งเสริมอย่างเต็มที่ <br />
แต่อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนก็ไม่แน่ใจว่างานการเมืองที่เน้นการพัฒนา<br />
เพียงอย่างเดียวจะเพียงพอหรือไม่ในการยุติความรุนแรงโดยที่ไม่ต้อง<br />
มีการพูดคุยกับกลุ่มที่ใช้ความรุนแรงอย่างจริงจังและต่อเนื่องเพื่อ<br />
ทำความเข้าใจว่าคนกลุ่มนี้ต้องการอะไร และไม่แน่ใจว่ารัฐบาลจะ<br />
สามารถจับกุม ปรับความคิด หรือปราบปรามกลุ่มขบวนการนี้ได้อย่าง<br />
เบ็ดเสร็จเด็ดขาดตามสมมติฐานข้างต้น เมื่อดูจากความรุนแรงรายวันที่<br />
ยังคงเกิดขึ้นยืดเยื้อมากว่า ๕ ปีแล้วท่ามกลางความพยายามแก้ปัญหา<br />
จากทุกภาคส่วนและการทุ่มเทงบประมาณซึ่งเป็นภาษีประชาชนไปกว่า<br />
แสนล้านบาท โดยที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดการสูญเสียลงได้ ความไม่<br />
แน่ใจดังกล่าวนี้ทำให้เกิดคำถามขึ้นว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่รัฐบาลจะต้อง<br />
คุยกับกลุ่มขบวนการด้วยการมอบหมายหน่วยงานหรือกลุ่มบุคคล<br />
เฉพาะเพื่อดำเนินการอย่างจริงจังและต่อเนื่อง<br />
การพูดคุยเพื่อสันติภาพ (Peace Talks) นี้ถือเป็นงานการเมือง<br />
เชิงรุกที่เป็นรูปธรรมอีกประการหนึ่ง ความขัดแย้งในหลายกรณีทั่วโลก<br />
ไม่ว่าจะเป็นที่แคว้นบาสก์ อาเจะห์ ไอร์แลนด์เหนือ หรือมินดาเนา ก็เริ่ม<br />
ต้นคลี่คลายลงด้วยแนวทางนี้ทั้งสิ้น การพูดคุยนี้เป็นการทำความเข้าใจ<br />
ความต้องการของผู้ก่อความไม่สงบ เพื่อนำมาวิเคราะห์และพิจารณา<br />
หาทางออกร่วมกันที่เป็นประโยชน์ต่อคนส่วนใหญ่ในพื้นที่และมีความ<br />
เป็นไปได้ในทางปฏิบัติ ซึ่งจะเป็นการแก้ไขปัญหาที่ตรงจุดในการลด<br />
ความรุนแรงผ่านการสื่อสารกับผู้กระทำโดยตรง เพื่อยุติการสูญเสียชีวิต<br />
ของทุกๆฝ่ายให้ได้โดยเร็วที่สุด ทั้งนี้ การพูดคุยดังกล่าวนี้ไม่ใช่การหา<br />
ข่าวอย่างที่เคยปฏิบัติกันมา และที่สำคัญคือไม่ใช่การเจรจาแต่อย่างใด<br />
หากแต่เป็นการทำความเข้าใจกับคนไทยด้วยกันที่มีความเห็นต่างจาก<br />
รัฐ ๓ <br />
หากนโยบายการเมืองนำการทหารของรัฐบาลมีการดำเนินงานสองขา<br />
คู่ขนานกันไปคือการพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชนในพื้นที่และการ<br />
พูดคุยเพื่อสันติภาพกับกลุ่มขบวนการในการทำความเข้าใจว่าทำไมจึง<br />
ต้องใช้ความรุนแรง ก็น่าจะเป็นแนวทางการแก้ปัญหาที่เข้าเป้ามากยิ่ง<br />
ขึ้น ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าจะไม่มีการบังคับใช้กฎหมายต่อผู้กระทำ<br />
ผิด ซึ่งต้องดำเนินไปตามกระบวนการยุติธรรมและพยานหลักฐานอยู่<br />
แล้ว หรือไม่ได้หมายความว่าจะงดใช้การทหาร เพียงแต่ต้องเป็นการใช้<br />
การทหารเพื่อสนับสนุนงานการเมืองเท่านั้น<br />
ในเมื่อเป้าหมายสูงสุดของรัฐบาลคือสันติสุขในพื้นที่ หากทางเลือก<br />
ใดที่อาจจะนำมาซึ่งเป้าหมายนี้ได้ ก็น่าจะเป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่คุ้มค่า<br />
ต่อรัฐบาลที่จะลองหันมาพิจารณา<br />
<br />
<br />
๓<br />
รายงานปัญหาความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้: บทวิเคราะห์และแนวทางการแก้ปัญหาเชิงรุกที่ยั่งยืนด้วยสันติวิธี โดยนักศึกษาหลักสูตรประกาศนียบัตร<br />
ชั้นสูง “การเสริมสร้างสังคมสันติสุข” รุ่นที่ ๑ สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า, หน้า ๔๓
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
จดหมายข่าว<br />
<br />
การพัฒนาการสื่อสารในสมัยรัชกาลที่ ๗<br />
ม.ร.ว.พฤทธิสาณ ชุมพล*<br />
เมื่อเดือนมีนาคม ๒๕๕๒ นี้ สถาบันพระปกเกล้าให้ผมไปบรรยาย<br />
เกี่ยวกับพระราชประวัติพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ให้<br />
ผู้บริหารระดับต้นของสำนักงานคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม<br />
แห่งชาติ (กทช.) ฟัง ผมจึงได้ลองหาข้อมูลเรื่องกิจการสื่อสารในสมัย<br />
รัชกาลที่ ๗ เตรียมไว้บ้าง แต่เอาเข้าจริงไม่ได้ใช้ จึงขอนำเกร็ดความรู้<br />
บางประการมาเล่าสู่กันฟัง ณ ที่นี้<br />
เชื่อหรือไม่ว่า ไทยเราวางสายโทรศัพท์ก่อนที่เราจะสร้างทางรถไฟ<br />
เสียอีก เท่ากับว่าการสื ่อสาร (สมัยใหม่) มาก่อนการคมนาคม (สมัยใหม่) <br />
กล่าวคือ เมื่อพ.ศ. ๒๔๑๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่<br />
หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้วางสายโทรเลขจากกรุงเทพฯถึง<br />
สมุทรปราการและต่อกับประภาคารปากน้ำ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๒๑ สร้าง<br />
สายที่ ๒ กรุงเทพฯบางปะอิน-อยุธยา และใน พ.ศ. ๒๔๒๖ กรุงเทพฯ-<br />
ปราจีนบุรี-อรัญประเทศ-ศรีโสภณ (ชายแดนสยาม-กัมพูชา) และ<br />
กรุงเทพฯ-กาญจนบุรี-เมาะลำเลิง (Moulmein) (ในพม่า) ส่วนโทรศัพท์<br />
นั้นเริ่มทดลองใน พ.ศ. ๒๕๒๔ ทั้งหมดนี้ภายใต้การดำเนินงานของกรม<br />
กลาโหม ต่อมาเมื่อวันที่ ๔ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๒๖ จึงได้ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ตั้งกรมโทรเลข (ซึ่งรวมโทรศัพท์ไว้ด้วย) และกรม<br />
ไปรษณีย์ ในขณะที่รถไฟนั้นเริ่มใน พ.ศ. ๒๔๓๔<br />
เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น <br />
สรรพสิริ วิริยศิริ วิเคราะห์ไว้ว่า ในการพัฒนาประเทศนั้น<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงระมัดระวังเรื่องผล<br />
กระทบที่อาจมีต่อความมั่นคงของชาติมาก แม้ว่าจะทรงตระหนักดีถึง<br />
ความสำคัญของการสื่อสารคมนาคมต่อการพัฒนาประเทศ โดยทรง<br />
อุปมาอุปไมยว่า พระนครเหมือนหัวใจ สูบเลือดไปทั่วร่างกาย ก็ตาม<br />
ในเรื่องรถไฟ ก่อนที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจะ<br />
ทรงบรรลุพระราชนิติภาวะ อังกฤษก็ได้ขอสัมปทานรถไฟ ซึ่งสยามได้<br />
อนุญาต แต่ปรากฏว่าอังกฤษดำเนินการไม่สำเร็จ ต่อมาเมื่อ พ.ศ.<br />
๒๔๑๘ อังกฤษได้ขออีกครั้ง คราวนี้ทรงบริหารราชการแผ่นดินด้วย<br />
พระองค์เองแล้ว ไม่ทรงอนุญาต เพราะมีพระราชวินิจฉัยว่าจะทำให้เสีย<br />
เปรียบอังกฤษ สยามจึงตอบไปว่า ดำริจะทำเองอยู่แล้ว<br />
อันที่จริง สยามยังรีรอเรื่องรถไฟ แต่กำลังทำเรื่องโทรเลขดังกล่าว<br />
แล้ว โดยกรมกลาโหมรับผิดชอบ และทำไปยังจุดใกล้ชายแดนแทบ<br />
* กรรมการพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทั้งสิ้น ซึ่งเห็นได้ว่าเป็นไปเพื่อการส่งข่าวสารเกี่ยวกับภัยคุกคามจาก<br />
เจ้าอาณานิคมให้ทันกาล สายโทรเลขเหล่านี้ย่อมเดินไปตามทางเกวียน<br />
แทบทั้งสิ้น<br />
ส่วนรถไฟนั้น มาเริ่มใน พ.ศ. ๒๔๓๔ โดยทรงพระกรุณาโปรด<br />
เกล้าฯให้เดนมาร์คมาทำ เพราะเดนมาร์คสนใจแต่เรื่องการค้า ไม่ล่า<br />
อาณานิคมในภูมิภาคแถบนี้ ทางรถไฟสายแรก กรุงเทพฯ-ปากน้ำ<br />
สร้างเสร็จเมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ เพียงสามเดือนก่อนเหตุการณ์ ร.ศ. ๑๑๒<br />
ที่เรือรบฝรั่งเศสตีฝ่าป้อมและเรือรบของไทยที่ปากน้ำเข้ามาที่กรุงเทพฯ<br />
ได้ บีบบังคับไทยให้จำยอมสละดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง และจ่ายค่า<br />
ปฏิกรรมสงครามจำนวนมากให้แก่ฝรั่งเศส ยังความหนักพระราชหฤทัย<br />
แก่สมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงเป็นที่ยิ่ง ปรากฏในพระราชหัตถเลขาถึง<br />
เสนาบดีสภาว่า “ถ้าความเป็นเอกราชของกรุงสยามได้สิ้นสุดไปเมื่อใด<br />
ชีวิตรฉันก็คงจะสิ้นสุดไปเมื่อนั้น”<br />
ครั้นวันที่ ๘ พฤศจิกายน ปีเดียวกันนั้นเอง (ร.ศ. ๑๑๒ หรือ พ.ศ.<br />
๒๔๓๖) พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวก็พระราชสมภพ<br />
กลับมาเรื่องโทรเลข ใน พ.ศ. ๒๔๔๗ ซึ่งเป็นปีพระราชสมภพของ<br />
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ ๗ สยามได้<br />
ให้บริษัท B.Grimm &Co.ของชาวเยอรมันเป็นตัวแทนบริษัท<br />
Telefunken ติดตั้งเครื่องวิทยุโทรเลข ๒ ชุด ชุดหนึ่งบนภูเขาทองใกล้ๆ<br />
กับที่ตั้งในปัจจุบันของพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
อีกชุดหนึ่งที่เกาะสีชัง เพื่อทดลองการส่งและรับวิทยุโทรเลขระหว่างกัน<br />
ผลเป็นอย่างไรยังหาหลักฐานไม่ได้<br />
ในปีเดียวกันนั้นเอง เจ้านายพระองค์หนึ่ง ซึ่งทรงมีบทบาทสำคัญยิ่ง<br />
ในการพัฒนาการสื่อสารและการคมนาคมในสมัยรัชกาลที่ ๖ และที่ ๗<br />
คือ พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร (ทรงพระกรุณาโปรด<br />
เกล้าฯ สถาปนาเป็นกรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน ในรัชกาลที่ ๗) ได้<br />
เสด็จกลับจากทรงศึกษาด้านวิศวกรรมในยุโรป ในรัชกาลที่ ๖ รักษาการ<br />
ในตำแหน่งเจ้ากรมการรถไฟสายเหนือใน พ.ศ. ๒๔๕๓ และทรงเป็น<br />
ผู้บัญชากรมรถไฟหลวงใน พ.ศ. ๒๔๖๐ ควบคุมกิจการรถไฟทั่ว<br />
ประเทศ ทรงขยายเส้นทางเดินรถและทรงนำรถจักรดีเซลเข้ามาใช้ใน<br />
สยามประเทศ เป็นประเทศแรกในทวีปเอเซีย<br />
ครั้น พ.ศ. ๒๔๕๖ กระทรวงทหารเรือได้ตั้งสถานีวิทยุโทรเลขถาวร<br />
ที่ศาลาแดงและที่สงขลา เพื่อใช้ในราชการกองทัพเรือโดยเครื่องรับส่ง
จดหมายข่าว<br />
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
วิทยุแบบ Marconi และ Telefunken ในปีต่อมาพระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานคำว่า ‘วิทยุ’ ให้ใช้แทนคำว่า<br />
‘ราดิโอ’ หรือ ‘เรดิโอ’ (radio) ๔ ปีต่อมา กรมไปรษณีย์โทรเลขได้ร่วม<br />
กับกระทรวงทหารเรือเปิดให้ประชาชนใช้วิทยุโทรเลขนั้นได้เป็นครั้งแรก<br />
ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ ๗ เสด็จในกรมฯทรงดำรงตำแหน่งเสนาบดี<br />
กระทรวงพาณิชย์และคมนาคมตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๖๙ จึงทรงพัฒนาทั้ง<br />
การรถไฟและการสื่อสาร ทรงทดลองการรับส่งวิทยุกระจายเสียง ที่วัง<br />
บ้านดอกไม้ของพระองค์เองอยู่หลายปี ทั้งได้ทรงตั้งกองช่างวิทยุขึ้น ตั้ง<br />
แต่ พ.ศ. ๒๔๗๑ กระจายเสียงในนามสถานีวิทยุกระจายเสียง ‘๔ พี.เจ’<br />
และ ‘๑๑ พี.เจ’ ในเวลาต่อมา อักษรย่อพระนามของเสด็จในกรมฯ<br />
(Purachatra Jayakorn) <br />
สถานีวิทยุกระจายเสียงได้ย้ายมาตั้งที่โฮเต็ลพญาไท หรือพระราชวัง<br />
พญาไทแต่เดิม (ซึ่งปัจจุบันอยู่ในบริเวณโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า)<br />
ซึ่งยังอยู่กลางทุ่งพอสมควร <br />
พิธีเปิด “สถานีวิทยุกรุงเทพที่พญาไท” กระทำในวันฉัตรมงคล <br />
วันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๓ มีการถ่ายทอดพระราชดำรัสของ<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวจากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย <br />
ไปตามสายเข้าเครื่องส่งกระจายเสียงสู่ประชาชน ความว่า : <br />
“การวิทยุกระจายเสียงที่ได้เริ่มจัดขึ้นและทำการทดลองตลอดมา<br />
นั้น ก็ด้วยความมุ่งหมายว่าจะส่งเสริมการศึกษา การค้าขาย และการ<br />
บันเทิง แก่พ่อค้าประชาชน เพื่อควบคุมการนี้ เราได้แก้ไขพระราช<br />
บัญญัติดังที่ประกาศใช้เมื่อเดือนกันยายนแล้ว และบัดนี้ได้สั่งเครื่อง<br />
กระจายเสียงอย่างดีเข้ามาตั้งที่สถานีวิทยุโทรเลขพญาไทเสร็จแล้ว เรา<br />
จึงขอถือโอกาสสั่งให้เปิดใช้เป็นปฐมฤกษ์ ตั้งแต่บัดนี้ไป”<br />
ต่อมาอีก ๓ วัน ในวันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๗๓ พระบาท<br />
สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชดำเนินทรงเหยียบสถานีวิทยุใน<br />
เวลา ๑๗.๐๐น. และในราชสำนักรัชกาลที่ ๗ มีการใช้คำว่า ‘วุ’ แทน<br />
คำว่า ‘วิทยุ’ เป็นการแสดงถึงความเอ็นดูเครื่องมือสื่อสารชนิดนี้ซึ่ง<br />
พระองค์ทรงสดับเป็นประจำ<br />
สำหรับพระราชบัญญัติวิทยุโทรเลข พ.ศ. ๒๔๕๗ แก้ไขเพิ่มเติมเมื่อ<br />
วันที่ ๓๐ กันยายน พ.ศ. ๒๔๗๓ มีสาระสำคัญตรงที่ เปิดโอกาสให้<br />
ประชาชนทั่วไปมีเครื่องรับวิทยุ แต่ผู้ที่รับฟังได้ในขณะนั้นคงมีไม่มาก<br />
กว่า ๑๐,๐๐๐ คน เพราะกำลังส่งยังจำกัด (๒.๕ กิโลวัตต์ โดยเครื่อง<br />
Philips ของ เนเธอร์แลนด์) เรียกว่า ‘เครื่องแร่’ ต้องใช้หูฟัง ฟังได้เพียง<br />
ลำพังคนเดียว อย่างไรก็ดี การส่งกระจายเสียงเป็นปฐมฤกษ์ในสยาม<br />
ครั้งนั้น เกิดขึ้นเพียง ๑๐ ปี หลังจากที่มีการเริ่มกระจายเสียงทางวิทยุ<br />
ครั้งแรกในโลกที่ประเทศอังกฤษ จึงนับว่าสยามสมัยรัชกาลที่ ๗ <br />
ทันสมัยมากทีเดียว ในกิจการนี้ ปัจจุบันจึงถือว่าวันที่ ๒๕ กุมภาพันธ์<br />
เป็นวันวิทยุกระจายเสียง<br />
สถานีวิทยุกรุงเทพที่พญาไทนี้ ใช้ชื่อย่อว่า HSP๑ (คลื่นยาว ๓๕๐<br />
เมตร) และ HSP๒ (คลื่นสั้น ๓๑ เมตร) ตามลำดับ (ย่อมาจาก Hotel<br />
Siam at Phyathai กระมัง) ใช้ ‘ฆ้องสี่เสียง’ เป็นเสียงขานจาก<br />
กรุงเทพฯ (Bangkok calling) ตอนเปิดสถานี ซึ่งเสด็จในกรมฯ ทรง<br />
คิดค้นขึ้นโดยใช้เสียงไซโลโฟน (xylophone) หรือระนาดฝรั่ง ตาม<br />
เสียงระนาดเชิญรับประทานอาหารในเรือโดยสาร ทำนอง ‘ฆ้องสี่เสียง’ นี้<br />
จึงเป็นที่รู้จักคุ้นหูกันสืบมาทางวิทยุกรมประชาสัมพันธ์ในสมัยหลัง ‘ฆ้อง<br />
สี่เสียง’ นี้ปัจจุบันเก็บรักษาไว้ ณ พิพิธภัณฑ์กระจายเสียง กรม<br />
ประชาสัมพันธ์<br />
ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๔๗๔ เสนาบดีสภาเห็นชอบ<br />
ให้กระทรวงพาณิชย์และคมนาคมอนุญาตให้ห้างร้านประกาศโฆษณา<br />
ทางวิทยุได้ โดยให้ประกาศโดยไม่พรรณนาถึงคุณภาพ เป็นการ<br />
ประชาสัมพันธ์มากกว่าการโฆษณา และรัฐได้ค่าธรรมเนียมเป็นการ<br />
ตอบแทนมาชดเชยกับการที่กิจการวิทยุกระจายเสียงขาดทุนประมาณ<br />
เดือนละ ๔๐๐ บาท<br />
ครั้นวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ.๒๔๗๗ (ซึ่งยังอยู่ในรัชกาลที่ ๗)<br />
กระทรวงกลาโหมโดยนายพันเอกหลวงพิบูลสงคราม รัฐมนตรีว่าการฯ<br />
ประกาศเลิกยิงปืนเที่ยง เพราะมีการส่งสัญญาณบอกเวลาโดยทางวิทยุ<br />
เป็นที่แพร่หลายแล้ว<br />
มาบัดนี้ ๗๙ ปี หลังจากที่มีสถานีวิทยุกระจายเสียงเป็นครั้งแรกใน<br />
สมัยรัชกาลที่ ๗ ไทยได้เลิกโทรเลขไปแล้ว แต่ยังมีวิทยุ ที่ประชาชน<br />
(และเอกชน) ดำเนินการเองในนาม ‘วิทยุชุมชน’ ทั้งที่มีและไม่มีโฆษณา<br />
ให้กทช.ได้คิดหาหนทางออกระเบียบอนุญาต กำกับ ควบคุม ต่อไป<br />
อีกทั้งมีโทรทัศน์และเครื่องมือสื่อสารโทรคมนาคมอีกมากมายหลาย<br />
ชนิด ซึ่งมีทั้งประโยชน์และโทษ คละกันไปอย่างซับซ้อนซ่อนเงื่อน<br />
จำเป็นที่รัฐและประชาสังคมจะต้องพิจารณาถึงความเหมาะสมในการใช้<br />
ในการเป็นเจ้าของครอบครอง ดำเนินการให้สอดคล้องกับการเป็นสังคม<br />
ประชาธิปไตยสมัยใหม่ให้ดี<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
กรมศิลปากร, พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปกมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, กรุงเทพฯมหานคร : รัฐสภา/รุ่งศิลปะ<br />
การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด, (พิมพ์ครั้งที่๒) ๒๕๒๔, หน้า ๓๑๕-๓๔๖.<br />
ศุภลักษณ์ หัตถพนม, “ฆ้องสี่เสียง” สยามรัฐสัปดาหวิจารณ์ ปีที่ ๕๖ ฉบับที่ ๒๒ วันที่ ๒๐-๒๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๒, หน้า ๓๘-๓๙.<br />
สรรพสิริ วิริยศิริ, “พระมหากษัตริย์ผู้พระราชทาน ‘หูทิพย์’” ใน เอกสารประกอบการประชุมทางวิชาการเรื ่องสังคมไทยในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู ่หัว<br />
จัดโดย สถาบันไทยศึกษาและฝ่ายวิจัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ ๗-๙ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๗.<br />
สรศัลย์ แพ่งสภา, ราตรีประดับดาวที่หัวหิน. กรุงเทพมหานคร : สำนักพิมพ์สารคดี, ๒๕๓๙.
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
จดหมายข่าว<br />
<br />
“ระบบอุปถัมภ์ในการเมืองไทย”<br />
“ระบบอุปถัมภ์” และ “ระบบเครือญาติ” เป็นคำที่สังคมไทย และคน<br />
ไทยได้ยิน ได้รับรู้และรับทราบมาโดยตลอด บางคนได้สัมผัสหรือมี<br />
ประสบการณ์ตรง บางคนเพียงแต่รับรู้จากบุคคลอื่น แต่อย่างไรก็ตาม พอ<br />
สรุปได้ว่ามีสิ่งเหล่านี้อยู่ในสังคมไทยมาจนถึงทุกวันนี้ <br />
จากงานเสวนา “บูรณาการงานวิจัย เรื่อง นักการเมืองถิ่น” ซึ่งจัดโดย<br />
สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า เมื่อวันที่ ๑๑ มิถุนายน ๒๕๕๒<br />
โดยที่มีวัตถุประสงค์เพื่อถอดบทเรียนการศึกษาเกี่ยวกับนักการเมืองถิ่น<br />
ในจังหวัดต่างๆ ทำให้ผู้เขียนได้เข้าถึงข้อมูลเกี่ยวกับระบบเครือญาติ<br />
และระบบอุปถัมภ์ ซึ่งผ่านการศึกษาวิเคราะห์ในระดับหนึ่งจากเครือข่าย<br />
นักวิชาการในแต่ละจังหวัด <br />
จากข้อมูลที่เครือข่ายนักวิชาการนำเสนอในงานดังกล่าว ทำให้ผู้เขียน<br />
มีข้อสรุปเบื้องต้นว่าในการเมืองไทยมีระบบอุปถัมภ์ที่ส่งผลกระทบต่อการ<br />
เลือกตั้งอย่างมาก ระบบเครือญาตินั้นก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบอุปถัมภ์<br />
ในขณะเดียวกันระบบอุปถัมภ์ก็เป็นส่วนหนึ่งของระบบเครือญาติ ทั้งสอง<br />
ระบบนี้สัมพันธ์ใกล้ชิดอย่างที่แยกออกจากกันได้ยาก <br />
ทั้งระบบอุปถัมภ์และระบบเครือญาติได้ฝังรากลึกและสืบทอดจากรุ่นสู่<br />
รุ่นมาตลอดช่วงเวลา ๗๗ ปี และเมื่อวิเคราะห์เชื่อมโยงระบบอุปถัมภ์ใน<br />
สังคมการเมืองไทย ผู้เขียนขอนำเสนอข้อสรุปเป็น ๔ ประการ ดังนี้<br />
๑. ระบบอุปถัมภ์ทำให้ “ทายาททางการเมือง” ได้รับชัยชนะในการ<br />
เลือกตั้ง ซึ่งมีผลให้อำนาจทางการเมืองทั้งในระดับชาติและระดับพื้นที่ถูก<br />
ผูกขาดอยู่เพียงไม่กี่กลุ่มการเมืองหรือตระกูลเท่านั้น <br />
๒. ทายาททางการเมืองมี ๒ ประเภท คือ ทายาทซึ่งเป็นบุคคลที่สืบ<br />
เชื้อสายเดียวกัน และทายาทซึ่งเป็นบุคคลอื่นนอกเหนือจากสืบเชื้อสาย<br />
เดียวกัน ซึ่งทายาททั้งสองประเภทดังกล่าวมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดทั้ง<br />
ในส่วนตัวและในหน้าที่การงานในฐานะเป็น “ผู้แทน” ของประชาชน<br />
๓. การพิจารณาตัดสินใจเลือก “ผู้แทน” ของประชาชนผู้มีสิทธิเลือก<br />
ตั้งยึดระบบอุปถัมภ์เป็นหลัก โดยที่ส่วนใหญ่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งจะรับบทเป็น<br />
ผู้รับการอุปถัมภ์มากกว่า ส่วนผู้แทนเป็นได้ทั้งผู้อุปถัมภ์และบางครั้งเป็น<br />
ผู้รับการอุปถัมภ์ด้วย โดยที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งมีการตอบแทนผู้อุปถัมภ์โดย<br />
การลงคะแนนเสียงให้ อีกทั้งยังชักชวนแนะนำผู้ใกล้ชิดให้ลงคะแนนให้<br />
ด้วย เนื่องจากผู้เลือกตั้งส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับความซื่อสัตย์หรือบุญคุณ<br />
ของผู้อุปถัมภ์ <br />
ทั้งนี้ รูปแบบการอุปถัมภ์มีหลากหลาย ถูกพัฒนาและปรับรูปแบบ<br />
ให้มีประสิทธิผลในแต่ละยุคแต่ละสมัย อาจเป็นการอุปถัมภ์โดยตรงหรือ<br />
* นักวิชาการ สำนักวิจัยและพัฒนา สถาบันพระปกเกล้า <br />
ปัทมา สูบกำปัง*<br />
โดยอ้อม เป็นการให้ทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด หรือแม้แต่การจัดทำ<br />
นโยบายเพื่อประโยชน์ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งก็ตาม ส่วนทรัพย์สินที่ใช้ใน<br />
เครือข่ายระบบอุปถัมภ์นั้นอาจเป็นของผู้อุปถัมภ์และกลุ่มผู้สนับสนุน<br />
ผู้อุปถัมภ์ หรือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดินที่ถูกนำมาใช้ในระบบอุปถัมภ์ได้<br />
หากผู้อุปถัมภ์ได้รับการเลือกตั้งเป็นผู้แทน และมีเสียงข้างมากได้ร่วมเป็น<br />
รัฐบาล <br />
๔. การพิจารณาตัดสินใจเลือก “ผู้แทน” ของผู้มีสิทธิเลือกตั้ง ส่วน<br />
ใหญ่พิจารณาจากบทบาทอำนาจหน้าที่ที่ควรจะเป็นตามที่รัฐธรรมนูญและ<br />
กฎหมายกำหนดน้อยมาก กล่าวคือ แทนที่จะเลือกผู้สมัครรับเลือกตั้งที่มี<br />
คุณสมบัติและความรู้ความสามารถในการทำหน้าที่พิจารณาออกกฎหมาย<br />
เพื่อบังคับใช้ในสังคม หรือทำหน้าที่ควบคุมตรวจสอบการทำงานของ<br />
รัฐบาล รวมถึงเจ้าหน้าที่ผู้ใช้อำนาจรัฐอื่นด้วย กลับเลือกโดยพิจารณาจาก<br />
ผลประโยชน์ที่ได้รับเป็นการเฉพาะหน้าหรือชั่วครั้งชั่วคราว ภายใต้ความ<br />
สัมพันธ์ที่มีต่อกันมาอย่างยาวนาน ในขณะเดียวกันผู้แทนก็ไม่ได้ให้ความ<br />
สำคัญกับการทำหน้าที่ดังกล่าวมากนัก แต่เน้นหนักไปในการทำประโยชน์<br />
หรือช่วยแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนในพื้นที่เขตเลือกตั้งเป็นหลัก <br />
สาเหตุของปรากฎการณ์ตามข้อ ๓ และ ๔ นั้น อาจเกิดจากการที่<br />
ผู้มีสิทธิเลือกตั้งและผู้แทนยังขาดความรู้ความเข้าใจอย่างถูกต้อง หรือขาด<br />
ความตระหนักและให้ความสำคัญกับเรื่องดังกล่าว อย่างไรก็ตาม ในช่วง<br />
สิบกว่าปีที่ผ่านมานี้ มีแนวโน้มว่าผู้มีสิทธิเลือกตั้งตัดสินใจเลือกโดย<br />
พิจารณาจากนโยบายของพรรคการเมือง แต่ยังคงจำกัดอยู่เฉพาะนโยบาย<br />
ที่มีลักษณะเป็นนโยบายประชานิยมมากกว่าลักษณะอื่นๆ <br />
จากบทสรุป ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่าเพราะ<br />
เหตุใดในช่วงเวลา ๗๗ ปี ประเทศไทยจึงเกิดปฏิวัติรัฐประหารและกบฏ<br />
รวม ๒๕ ครั้ง มีรัฐธรรมนูญ ๑๘ ฉบับ ซึ่งอาจเพิ่มเป็น ๑๙ ฉบับในเร็ววัน<br />
นี้ และมีการเลือกตั้งทั่วไป ๒๒ ครั้ง ซึ่งตัวเลขในเชิงปริมาณนี้มีแนวโน้ม<br />
เพิ่มขึ้น แต่เชิงคุณภาพนั้น ยังมองไม่เห็นว่าจะมีการพัฒนาประชาธิปไตย<br />
ให้เต็มใบได้อย่างไร <br />
๒๔ มิถุนายน ๒๕๕๒ ครบรอบ ๗๗ ปีของประชาธิปไตยไทย ผู้เขียน<br />
ขอไว้อาลัยแก่ประชาธิปไตยไทยภายใต้ระบบอุปถัมภ์ และคิดว่าคงไม่สาย<br />
เกินไปที่ “เรา” จะมาเริ่มทำความรู้จักและเรียนรู้ “ระบบอุปถัมภ์” ที่อยู่คู่<br />
กับสังคมไทยอย่างยาวนาน และเราต้องช่วยกันรณรงค์ให้สังคมวงกว้าง<br />
ปฏิเสธและไม่ยอมรับให้เกิดการอุปถัมภ์ในแวดวงการเมืองอีกต่อไป ซึ่งวัน<br />
นี้นับเป็นฤกษ์ดีสำหรับการเริ่มต้น โดยอาจเริ่มจากจุดเล็กๆ จากตัวเรา<br />
ครอบครัวและชุมชนของเรา เพื่อขยายไปทั่วประเทศในเรื่องระดับชาติ<br />
ทำให้การเลือกตั้งเป็นการเลือกผู้แทนเพื่อให้ทำหน้าที่ในการออกกฎหมาย<br />
และควบคุมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐ มิใช่การเลือกผู้อุปถัมภ์และหรือ<br />
ทายาททางการเมืองของผู้ใด หากทำได้ถึงจุดนี้ประชาชนจะได้รับรางวัล<br />
คือเป็นผู้ที่มีอำนาจอย่างแท้จริง อันเป็นการสอดคล้องกับหลักการปกครอง<br />
ในระบอบประชาธิปไตย
จดหมายข่าว<br />
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
มารู้จักการปกครองท้องถิ่นกันเถอะ (ตอนที่ ๑)<br />
สุมามาลย์ ชาวนา*<br />
คุณรู้หรือไม่ อบต. อบจ. ย่อมาจากอะไร และเป็นหน่วยงานที่มีไว้เพื่อ<br />
ประโยชน์อะไร และคุณรู้หรือไม่ว่า เงินเกือบ ๔๐๐ ล้านบาท หรือ ๑ ใน<br />
๔ ของรายได้รัฐบาล เป็นงบประมาณที่รัฐจัดสรรให้แก่องค์กรปกครองส่วน<br />
ท้องถิ่น หากคุณไม่สามารถตอบคำถามเหล่านี้ได้ หรือไม่แน่ใจ คุณไม่ใช่<br />
คนแปลกหรือประหลาดแต่อย่างใด เพราะตั้งแต่การเปลี่ยนแปลงการ<br />
ปกครองมาเป็นระบอบประชาธิปไตยเมื่อ ๗๗ ปีมาแล้วนั้น เราถูกตีกรอบ<br />
ให้สนใจอยู่แต่การเมืองในระดับชาติเท่านั้น แทบจะไม่มีการกล่าวถึงหรือ<br />
ให้ความสำคัญกับการเมืองหรือการปกครองท้องถิ่นเลยทีเดียว ทั้งที่แท้<br />
จริงแล้วหากศึกษาอย่างลึกซึ้งแล้วจะพบว่าการปกครองท้องถิ่นมี<br />
ประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเฉกเช่นเดียวกับการปกครองระดับชาติ อีกทั้งเป็น<br />
รากฐานของการปกครองระบอบประชาธิปไตย<br />
การปกครองท้องถิ่นกับประชาธิปไตย<br />
การปกครองท้องถิ่นแตกต่างจากการปกครองระดับชาติ คือ การ<br />
ปกครองระดับชาติจะมุ่งเน้นการใช้อำนาจผ่านตัวแทน การเลือกตั้ง การ<br />
ควบคุมผู้แทน การปกครองที่ดี คือ การเลือกผู้แทนที่ดี ทำให้มีการล้อ<br />
เลียนว่านี่คือ ระบอบประชาธิปไตย ๔ ปีครั้ง หรือ one-day citizen ที่<br />
ประชาชนจะมีอำนาจ มีส่วนร่วมทางการเมืองเพียงแค่ในวันเลือกตั้ง อีก<br />
๑,๔๕๙ วัน เป็นเรื่องของผู้แทนของรัฐบาล ในขณะที่การปกครองท้องถิ่น<br />
นั้นหัวใจหลัก คือ การปกครองตนเอง<br />
การปกครองตนเองนั้น เริ่มต้นมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ หรือกว่า<br />
๒๕๐๐ ปีมาแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งในนครรัฐเอเธนส์ต้นแบบของ<br />
ประชาธิปไตย พลเมืองของเอเธนส์ (ผู้ชายอายุ ๒๐ ปีขึ้นไปและไม่เป็น<br />
ทาส) จะผลัดเปลี่ยนกันเป็นผู้ปกครองโดยการจับฉลาก พลเมืองมีหน้าที่<br />
เข้าประชุมสภาพลเมืองเพื่อออกกฎหมาย และกำหนดนโยบายสำคัญๆ<br />
แม้แต่การประกาศสงคราม เพราะถือว่าทุกคนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ดังนั้น<br />
ประชาธิปไตยดั้งเดิมจึงไม่ใช่การปกครองเพื่อประชาชน แต่คือการ<br />
ปกครองโดยประชาชน ซึ่งอาจจะถูกหรือผิด ดีหรือไม่ดี แต่ประชาชนก็เป็น<br />
ผู้ตัดสินใจเอง เลือกเอง ทำให้เกิดความรู้สึกผูกพัน เป็นเจ้าของ<br />
พัฒนาการการปกครองท้องถิ่นในประเทศไทย<br />
สำหรับการปกครองท้องถิ่นในประเทศไทยนั้นอาจแบ่งคร่าวๆ ได้ ๓<br />
ยุค ด้วยกัน ยุคแรก คือ ยุคเริ่มต้นการกระจายอำนาจและการปกครอง<br />
ท้องถิ่น ในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้<br />
จัดตั้งสุขาภิบาลกรุงเทพขึ้นเมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๐ เพื่อดูแลความสะอาด <br />
สุขอนามัย และถนนหนทาง แต่ยังไม่นับว่าเป็นการปกครองท้องถิ่น เพราะ<br />
ผู้บริหารคือข้าราชการทั้งสิ้น กระทั่ง พ.ศ. ๒๔๔๘ มีการจัดตั้งสุขาภิบาลท่า<br />
ฉลอม โดยมีกำนันผู้ใหญ่บ้าน ซึ่งเป็นราษฎรในท้องถิ่นเป็นผู้รับผิดชอบ<br />
รวมทั้งมีการมอบภาษีโรงร้านให้กับสุขาภิบาลเพื่อเป็นรายได้ในการบริหาร<br />
ถือได้ว่าเป็นการปกครองท้องถิ่นครั้งแรกของประเทศไทย ต่อมาในสมัย<br />
รัชกาลที่หก ได้ทรงสร้างเมืองจำลอง “ดุสิตธานี” หรือ “นคราภิบาล”<br />
(municipality) เพื่อให้ข้าราชบริพารมีความเข้าใจและคุ้นเคยกับการ<br />
ปกครองตนเอง จนกระทั่งในสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมี<br />
พระบรมราชโองการให้ร่างกฎหมายเทศบาลขึ้น เพื่อให้ประชาชนในท้องถิ่น<br />
มีส่วนร่วมในการปกครอง และให้เป็นโรงเรียนฝึกหัดทางการเมือง เพื่อ<br />
เตรียมความพร้อมสำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตย แต่การจัดตั้ง<br />
เทศบาลได้เกิดขึ้นภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองไปแล้ว เมื่อ พ.ศ.<br />
๒๔๗๖ การปกครองท้องถิ่นในยุคที่หนึ่งนี้อำนาจการบริหารตกอยู่ในมือ<br />
ของข้าราชการ กำนันผู้ใหญ่บ้าน และถูกบังคับบัญชาจากราชการส่วนกลาง<br />
ส่วนภูมิภาค มากกว่าประชาชนจะได้ปกครองตนเอง<br />
ยุคที่สอง คือ ยุคแห่งความไม่ไว้วางใจการปกครองท้องถิ่น ในช่วง<br />
รัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงคราม สมัยที่สอง ซึ่งการปกครองท้องถิ่นได้รับ<br />
ความสำคัญมากเนื่องจากการต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ มีการจัดตั้งองค์กร<br />
ปกครองส่วนท้องถิ่นหลายรูปแบบ ทั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด องค์การ<br />
บริหารส่วนตำบล แต่ภายหลังการรัฐประหาร พ.ศ. ๒๕๐๐ ประเทศไทย<br />
ปกครองด้วยระบอบเผด็จการ ทำให้การปกครองท้องถิ่นเป็นเพียง<br />
สัญลักษณ์เท่านั้น ไม่ได้ส่งเสริมการปกครองตนเองอย่างแท้จริง ประกอบ<br />
กับรัฐมีความหวาดระแวงต่อลัทธิคอมมิวนิสต์ว่าจะเข้ามายึดอำนาจการ<br />
ปกครอง จึงยุบสภาท้องถิ่น ถอดถอนผู้บริหารท้องถิ่นที่มาจากการเลือกตั้ง<br />
และแต่งตั้งข้าราชการไปปฏิบัติหน้าที่แทน เพื่อสกัดกั้นการขยายตัวของ<br />
คอมมิวนิสต์ ทั้งนี้ ความหวาดระแวงนี้ลดลงเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์แห่ง<br />
ประเทศไทยล่มสลายไป<br />
ยุคที่สาม คือ ยุคแห่งการฟื้นฟูการกระจายอำนาจ การปกครอง<br />
ท้องถิ่น และการปฏิรูปการเมือง หรือยุคของการปกครองท้องถิ่นสมัยใหม่<br />
ซึ่งเริ่มต้นภายหลังเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ พ.ศ.๒๕๓๕ ที่ประชาชนหลาก<br />
หลายกลุ่มออกมาเรียกร้องให้มีการปฏิรูปการเมือง ให้เพิ่มสิทธิเสรีภาพให้<br />
ประชาชน ปรับประชาธิปไตยแบบมีผู้แทนเป็นประชาธิปไตยที่ประชาชนมี<br />
ส่วนร่วม ทำให้ระบบการเมืองและระบบราชการมีความสุจริต โปร่งใส<br />
ตรวจสอบได้ และต้องทำให้รัฐบาลมีเสถียรภาพเพื่อแก้ไขปัญหาบ้านเมือง<br />
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จนนำไปสู่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ. ๒๕๔๐<br />
ซึ่งเป็นรัฐธรรมนูญที่ให้ความสำคัญกับการกระจายอำนาจและการปกครอง<br />
ท้องถิ่นมากที่สุด โดยมีบัญญัติไว้ทั้งในหมวดแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ<br />
และหมวดว่าด้วยการปกครองส่วนท้องถิ่น ซึ่งมีถึง ๑๐ มาตรา ด้วยกัน <br />
ซึ่งรายละเอียดจะขอกล่าวถึงในฉบับหน้า<br />
หนังสืออ้างอิง<br />
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ.๒๕๔๖.ภาพรวมของรัฐธรรมนูญ และรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐.นนทบุรี:สถาบันพระปกเกล้า.<br />
ปธาน สุวรรณมงคล.๒๕๔๗.การปกครองท้องถิ่นไทยในบริบทรัฐธรรมนูญแก่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๔๐.นนทบุรี:มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.<br />
เอนก เหล่าธรรมทัศน์. ๒๕๕๑. การเมืองภาคพลเมือง.กรุงเทพฯ:สถาบันพระปกเกล้า.
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
จดหมายข่าว<br />
<br />
๗ ปีวันรัฐพิธี : <br />
วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว <br />
ฉัตรบงกช ศรีวัฒนสาร ๑<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อประเทศชาติและ<br />
ประชาชน ทั้งด้านการเมืองการปกครอง เศรษฐกิจ สังคม การศึกษา และการศาสนา พระราชดำริที่สำคัญ<br />
ยิ่งประการหนึ่ง คือ การพัฒนาการเมืองไปสู่ระบอบประชาธิปไตย โดยทรงพระกรุณาให้มีการเตรียมร่าง<br />
รัฐธรรมนูญพระราชทานแก่ชาวไทยทั้งปวง แม้จะยังมิได้ดำเนินการตามแนวพระราชดำริ เพราะเกิดการ<br />
ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ จากนั้นในระดับท้องถิ่นก็ทรงวางรากฐานเทศบาลเพื่อ<br />
ปูแนวทางพัฒนาประชาธิปไตยระดับล่าง แม้ร่างพระราชบัญญัติเทศบาลจะไม่แล้วเสร็จ ก่อนเปลี่ยนแปลง<br />
การปกครอง แต่แนวพระราชดำริดังกล่าวที่ทรงริเริ่มหรือที่ทรงดำเนินการค้างไว้ก็ได้รับการสานต่อ เช่นร่าง<br />
พระราชบัญญัติเทศบาลได้นำมาเป็นพระราชบัญญัติจัดระเบียบเทศบาล พ.ศ. ๒๔๗๖ ซึ่งเป็นต้นแบบของ<br />
การปกครองท้องถิ่นในรูปแบบเทศบาลมาจนปัจจุบัน<br />
* นักวิชาการพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันพระปกเกล้า
10 เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
จดหมายข่าว<br />
เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียรติพระองค์ให้เป็นที่ประจักษ์แก่<br />
อนุชนรุ่นหลังอย่างชัดเจนยิ่งขึ้น รวมทั้งเป็นการน้อมสำนึกใน<br />
พระมหากรุณาธิคุณ ในปลายปี พ.ศ. ๒๕๔๔ สถาบันพระปกเกล้า<br />
เสนอต่อคณะรัฐมนตรีให้มีวันสำคัญเกี่ยวกับพระองค์ว่าสมควร<br />
กำหนดให้วันคล้ายวันสวรรคตของพระองค์ คือ วันที่ ๓๐<br />
พฤษภาคม ของทุกปีเป็น “วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า<br />
อยู่หัว” และต่อมาวันที่ ๗ พฤษภาคม ๒๕๔๕ คณะรัฐมนตรีได้<br />
มีมติเห็นชอบให้กำหนดวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ของทุกปีเป็น<br />
“วันพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า<br />
อยู่หัว” อันเป็นวันรัฐพิธีโดยไม่ถือ<br />
เป็นวันหยุดราชการ ในวันดังกล่าว<br />
หน่วยงานราชการต่างๆ จะ<br />
ประกอบพิธีถวายพวงมาลาถวาย<br />
ราชสักการะพระบรมราชานุสาวรีย์<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า<br />
อยู่หัว ส่วนสถาบันพระปกเกล้าจะ<br />
มีพิธีบำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทาน<br />
เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่<br />
พระองค์ท่านตลอดมา ในปี ๒๕๕๒<br />
สถาบันพระปกเกล้าประกอบพิธี<br />
บำเพ็ญกุศลทักษิณานุประทาน<br />
เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา <br />
นอกจากนี้นับเป็นปีที่ ๗ ของ<br />
กิจกรรมดังกล่าว และ ๖๘ ปีแห่ง<br />
วันสวรรคต ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๘๔ ยังมีกิจกรรมการ<br />
แถลงข่าว โครงการประกวดภาพจิตรกรรมและภาพถ่ายทางการ<br />
เมืองการปกครองไทย และนิทรรศการทางทัศนศิลป์เรื่อง<br />
“ความขัดแย้ง ความชอบธรรม และการปฏิรูประบบรัฐ : การ<br />
จัดสรรผลประโยชน์ที่เป็นธรรมในสังคมไทย” ณ ห้องประชุมชั้น<br />
๕ อาคารรำไพพรรณี พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ตั้งแต่เวลา ๑๓.๐๐ - ๑๔.๐๐ นาฬิกา<br />
เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๒ ที่ผ่านมาพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จ<br />
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวได้จัดกิจกรรม “นั่งรถรางชมเส้นทางประชาธิปไตย” เพื่อร่วม<br />
เฉลิมฉลองวันพิพิธภัณฑ์สากล โดยในปี พ.ศ. ๒๕๕๒ สภาพิพิธภัณฑ์สากล (ICOM<br />
International Council of Museum) โดยกำหนดหัวข้อในการเฉลิมฉลองคือ<br />
“พิพิธภัณฑ์กับการท่องเที่ยว” พิพิธภัณฑ์ฯจึงได้จัดกิจกรรมให้สอดคล้องกับแนวคิด<br />
ดังกล่าว โดยจัดเส้นทางรถรางเที่ยวพิเศษ เริ่มจากสนามหลวง - อนุสาวรีย์<br />
ประชาธิปไตย-พระบรมรูปทรงม้า<br />
(หมุดคณะราษฎร)-พิพิธภัณฑ์<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
-อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา-สนามหลวง<br />
โดยมีวิทยากรคือ นายระพีพัฒน์ เกษ<br />
โกศล และนายณพัดยศ เอมะสิทธิ์<br />
เจ้าหน้าที่จากทางกองการท่องเที่ยว<br />
สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการ<br />
ท่องเที่ยว กรุงเทพมหานคร เป็นผู้<br />
บรรยายตลอดทั้ง ๒ ข้างทาง
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒ จดหมายข่าว 11<br />
<br />
มุมสร้างสำนึกพลเมือง<br />
จินห์จุฑา ลิ้มสวัสดิ์*<br />
มุมสร้างสำนึกพลเมืองฉบับนี้ มีความเคลื่อนไหวของโครงการสร้าง<br />
สำนึกพลเมือง (Project Citizen)** มาแจ้งให้ทราบกัน โดยตั้งแต่<br />
เดือนธันวาคม ๒๕๕๑ ถึงเดือนเมษายน ๒๕๕๒ โครงการดังกล่าวซึ่ง<br />
อยู่ภายใต้การดูแลของสำนักขึ้นตรงต่อเลขาธิการ ร่วมกับสำนักฝึก<br />
อบรม เผยแพร่และประชาสัมพันธ์ จัดอบรมให้แก่ครูและผู้บริหาร<br />
โรงเรียนของสำนักงานคณะกรรมการขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ครอบคลุมทั้ง<br />
๔ ภาค ได้แก่ ๑. ภาคกลาง (กรุงเทพฯ ฉะเชิงเทรา) ๒. ภาคเหนือ<br />
(เชียงใหม่ พะเยา) ๓. ภาคอีสาน (สุรินทร์ บุรีรัมย์) ๔. ภาคใต้ (สงขลา<br />
พัทลุง นราธิวาส ยะลา ปัตตานีและสตูล) มีโรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการ<br />
จำนวน ๕๖ โรงเรียน <br />
การอบรม Project Citizen ณ จังหวัดเชียงใหม่<br />
การอบรม Project Citizen ณ จังหวัดปัตตานี<br />
การอบรม Project Citizen ณ จังหวัดสงขลา<br />
การอบรม Project Citizen ณ จังหวัดสุรินทร์<br />
นอกจากจะจัดอบรมให้แก่ครูและผู้บริหารโรงเรียนของสำนักงาน<br />
คณะกรรมการขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) แล้ว ตั้งแต่เดือน เมษายน –<br />
มิถุนายน ๒๕๕๒ ยังได้มีการจัดทำข้อตกลงความร่วมมือกับสำนักงาน<br />
คณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) กระทรวงศึกษาธิการ โดยมุ่งหวัง<br />
ให้ครู อาจารย์ นำความรู้ดังกล่าวสร้างสำนึกความเป็นพลเมือง ผ่าน<br />
กระบวนการแก้ไขปัญหาสาธารณะในชุมชน อีกทั้งยังสานความสัมพันธ์<br />
ระหว่างนักเรียนกับคนในชุมชนอีกด้วย ซึ่งการลงนามข้อตกลงเป็น<br />
ความร่วมมือระหว่างศาสตราจารย์ ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เลขาธิการ<br />
สถาบันพระปกเกล้า และนายเฉลียว อยู่สีมารักษ์ เลขาธิการคณะ<br />
กรรมการการอาชีวศึกษา โดยได้รับเกียรติจากรัฐมนตรีช่วยว่าการ<br />
กระทรวงศึกษาธิการ (นางสาวนริศรา ชวาลตันพิพันธ์) เป็นประธานลง<br />
นามความร่วมมือดังกล่าว จัดอบรมโครงการดังกล่าวให้แก่ ครู อาจารย์<br />
และผู้บริหารของ สอศ. จากภาคกลาง ภาคตะวันออกและภาคเหนือ<br />
ได้แก่ ภาคกลาง (กรุงเทพฯ) ภาคตะวันออก (ชลบุรี ระยอง จันทบุรี)<br />
ภาคเหนือ (น่าน แม่ฮ่องสอน พะเยา เชียงราย) มีวิทยาลัยที่เข้าร่วม<br />
โครงการจำนวน ๒๘ วิทยาลัย <br />
* พนักงานฝึกอบรม สำนักฝึกอบรม เผยแพร่ และประชาสัมพันธ์<br />
** โครงการสร้างสำนึกพลเมือง (Project Citizen) เป็นความร่วมมือระหว่างสถาบันพระปกเกล้า และศูนย์พลเมืองศึกษา (Center for Civic Education หรือ<br />
CCE) ประเทศสหรัฐอเมริกา
∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“<br />
12 จดหมายข่าว ®¥À¡“¬¢à“«<br />
เดือนมิถุนายน ๒๕๕๒<br />
<br />
∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“<br />
โรงเรียนที่เข้าร่วมโครงการจะต้องได้รับการติดตามการดำเนิน<br />
®¥À¡“¬¢à“«<br />
โครงการ ที่มีคณะวิทยากรจะเข้าเยี่ยมโรงเรียน เพื่อให้คำแนะนำ อีก<br />
ทั้งยังเป็นประเมินการผลการดำเนินงานของโครงการอีกด้วย สถาบัน<br />
พระปกเกล้าเล็งเห็นความสำคัญของผู้ประเมินจึงได้จัดอบรมเพื่อ<br />
นิเทศโครงการสร้างสำนึกพลเมือง (Project Citizen)<br />
∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“<br />
ให้แก่<br />
ศึกษานิเทศก์ของสำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา ®¥À¡“¬¢à“«<br />
จำนวน<br />
๒๘ คน จากศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีวศึกษาภาคตะวันออกและ<br />
กรุงเทพฯ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีวศึกษาภาคกลาง ศูนย์ส่งเสริม<br />
และพัฒนาอาชีวศึกษา ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ศูนย์ส่งเสริมและ<br />
พัฒนาอาชีวศึกษาภาคเหนือ ศูนย์ส่งเสริมและพัฒนาอาชีวศึกษา<br />
ภาคใต้ และสำนักมาตรฐานการอาชีวศึกษาและวิชาชีพ <br />
การอบรม Project Citizen ณ จังหวัด เชียงราย<br />
ภาพรวมของอบรมเป็นไปด้วยดี มีการ<br />
แลกเปลี่ยนความคิดเห็น และประสบการณ์กัน<br />
อย่างกว้างขวาง แม้การอบรมจะเข้มข้นและ<br />
เคร่งเครียดไปบ้าง ก็ได้รับความร่วมมือและ<br />
ความสนใจอย่างมาก สำหรับการดำเนินงาน<br />
และความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ของโครงการจะมี<br />
ความคืบหน้าอย่างไรจะบอกกล่าวในทราบกัน<br />
ในโอกาสต่อไป<br />
<br />
”√–§à“Ω“° à߇ªìπ√“¬‡¥◊Õπ<br />
∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“<br />
„∫Õπÿ≠“µ‡≈¢∑’Ë ÒˆÒ/ÙÚ<br />
Õ“§“√»Ÿπ¬å —¡¡π“—Èπ Û ·≈–—Èπ ı<br />
ª≥®.ππ∑∫ÿ√’<br />
„π∫√‘‡«≥ ∂“∫—πæ—≤π“¢â“√“°“√æ≈‡√◊Õπ (°æ.)<br />
Ù˜/ÒappleÒ ∂π𵑫“ππ∑å µ”∫≈µ≈“¥¢«—≠<br />
”√–§à“Ω“° à߇ªìπ√“¬‡¥◊Õπ ”√–§à“Ω“° à߇ªìπ√“¬‡¥◊Õπ<br />
∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“<br />
Õ”‡¿Õ‡¡◊Õß ®—ßÀ«—¥ππ∑∫ÿ√’ ÒÒappleappleapple<br />
„∫Õπÿ≠“µ‡≈¢∑’Ë ÒˆÒ/ÙÚ „∫Õπÿ≠“µ‡≈¢∑’Ë ÒˆÒ/ÙÚ<br />
‚∑√. Õ“§“√»Ÿπ¬å —¡¡π“—Èπ<br />
appleÚ-ıÚ˜-˜¯Ûapple-˘<br />
Û ·≈–—Èπ Û ·≈–—Èπ ı ı<br />
ª≥®.ππ∑∫ÿ√’ ª≥®.ππ∑∫ÿ√’<br />
„π∫√‘‡«≥ ∂“∫—πæ—≤π“¢â“√“°“√æ≈‡√◊Õπ (°æ.)<br />
http://www.kpi.ac.th<br />
Ù˜/ÒappleÒ ∂π𵑫“ππ∑å µ”∫≈µ≈“¥¢«—≠<br />
(°æ.)<br />
Ù˜/ÒappleÒ Õ”‡¿Õ‡¡◊Õß ∂π𵑫“ππ∑å ®—ßÀ«—¥ππ∑∫ÿ√’ ÒÒappleappleapple µ”∫≈µ≈“¥¢«—≠<br />
‡Àµÿ∑’Ë¢—¥¢âÕßπ”®à“¬ºŸâ√—∫‰¡à‰¥â<br />
Õ”‡¿Õ‡¡◊Õß ‚∑√. appleÚ-ıÚ˜-˜¯Ûapple-˘ ®—ßÀ«—¥ππ∑∫ÿ√’ ÒÒappleappleapple<br />
‚∑√. http://www.kpi.ac.th appleÚ-ıÚ˜-˜¯Ûapple-˘<br />
Ò. ®à“ÀπⓉ¡à—¥‡®π<br />
‡Àµÿ∑’Ë¢—¥¢âÕßπ”®à“¬ºŸâ√—∫‰¡à‰¥â<br />
http://www.kpi.ac.th<br />
Ú. ‰¡à¡’‡≈¢∑’Ë∫â“πµ“¡®à“Àπâ“<br />
Ò. ®à“ÀπⓉ¡à—¥‡®π ‡Àµÿ∑’Ë¢—¥¢âÕßπ”®à“¬ºŸâ√—∫‰¡à‰¥â<br />
Û. ‰¡à¬Õ¡√—∫<br />
Ú. ‰¡à¡’‡≈¢∑’Ë∫â“πµ“¡®à“Àπâ“ Ù. ‰¡à¡’ºŸâ√—∫µ“¡®à“Àπâ“<br />
Û. ‰¡à¬Õ¡√—∫ ı. Ò. ‰¡à¡“√—∫¿“¬„π°”Àπ¥<br />
®à“ÀπⓉ¡à—¥‡®π<br />
Ù. ‰¡à¡’ºŸâ√—∫µ“¡®à“Àπâ“ ˆ. Ú. ‰¡à¡’‡≈¢∑’Ë∫â“πµ“¡®à“Àπâ“<br />
‡≈‘°°‘®°“√<br />
ı. ‰¡à¡“√—∫¿“¬„π°”Àπ¥<br />
˜. Û. ¬â“¬ ‰¡à¬Õ¡√—∫<br />
ˆ. ‡≈‘°°‘®°“√<br />
‰¡à∑√“∫∑’ËÕ¬Ÿà„À¡à<br />
˜. ¬â“¬ ‰¡à∑√“∫∑’ËÕ¬Ÿà„À¡à ¯. Ù. Õ◊ËπÊ ‰¡à¡’ºŸâ√—∫µ“¡®à“Àπâ“<br />
¯. Õ◊ËπÊ ı. ‰¡à¡“√—∫¿“¬„π°”Àπ¥<br />
≈ß◊ËÕ.........................................<br />
ˆ. ‡≈‘°°‘®°“√<br />
≈ß◊ËÕ.........................................<br />
˜. ¬â“¬ ‰¡à∑√“∫∑’ËÕ¬Ÿà„À¡à<br />
หากท่านใดต้องการสมัครเป็นสมาชิกจดหมายข่าวสถาบันพระปกเกล้า ∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“ กรุณาส่งไปรษณียบัตรหรือจดหมาย °√ÿ≥“°√Õ°◊ËÕ-π“¡ °ÿ≈ ¯. ∑’ËÕ¬Ÿà Õ◊ËπÊ<br />
À“°∑à“π„¥µâÕß°“√ ¡—§√‡ªìπ ¡“‘°®¥À¡“¬¢à“« ∂“∫—πæ√–ª°‡°≈â“ °√ÿ≥“°√Õ°◊ËÕ-π“¡ °ÿ≈ ∑’ËÕ¬Ÿà ·≈–‡∫Õ√å‚∑√»—æ∑å พร้อมชื่อ-นามสกุล ·≈–‡∫Õ√å‚∑√»—æ∑å ที่อยู่<br />
¡“¬—ß และเบอร์โทรศัพท์มายังสถาบันฯ<br />
¡“¬—ß ∂“∫—πœ<br />
วงเล็บมุมซองว่า “สมัครสมาชิกจดหมายข่าว” (หมายเหตุ: ห้ามส่งจดหมายฉบับนี้ผ่านตู้ไปรษณีย์)<br />
≈ß◊ËÕ.........................................