NIMT NEWS - สà¸à¸²à¸à¸±à¸à¸¡à¸²à¸à¸£à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¹à¸«à¹à¸à¸à¸²à¸à¸´
NIMT NEWS - สà¸à¸²à¸à¸±à¸à¸¡à¸²à¸à¸£à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¹à¸«à¹à¸à¸à¸²à¸à¸´
NIMT NEWS - สà¸à¸²à¸à¸±à¸à¸¡à¸²à¸à¸£à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¹à¸«à¹à¸à¸à¸²à¸à¸´
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
September-October 2012<br />
Vol.14, No.69<br />
ผนึกกำลังสร้างเกณฑ์มาตรฐาน<br />
ผนึกกำลังสร้างเกณฑ์มาตรฐาน<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตทั่วประเทศ<br />
WORLD METROLOGY<br />
OIML : องค์การชั่งตวงวัด<br />
ระหว่างประเทศ<br />
<strong>NIMT</strong> ARTICLE<br />
ประโยชน์จากไกลโคไซด์<br />
<strong>NIMT</strong> <strong>NEWS</strong><br />
งานเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย<br />
ประจำปี 2555<br />
สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ
3<br />
4<br />
6<br />
10 16<br />
20<br />
22<br />
24<br />
สารบัญ<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
WORLD METROLOGY<br />
OIML : องค์การชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ<br />
<strong>NIMT</strong> <strong>NEWS</strong><br />
มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2555<br />
“มาตรวิทยา...เพื่อความปลอดภัย”<br />
SPECIAL SCOOP<br />
ผนึกกำลังสร้างเกณฑ์มาตรฐาน<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตทั่วประเทศ<br />
<strong>NIMT</strong> ARTICLE<br />
ประโยชน์จากไกลโคไซด์<br />
<strong>NIMT</strong> ARTICLE<br />
ข้อกำหนดด้านมาตรวิทยาเวลาและความถี่<br />
<strong>NIMT</strong> INTERVIEW<br />
สัมภาษณ์นักมาตรวิทยารุ่นใหม่<br />
<strong>NIMT</strong> ACTIVITIES<br />
ประมวลภาพกิจกรรม<br />
<strong>NIMT</strong> <strong>NEWS</strong><br />
งานเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย<br />
ประจำปี 2555<br />
EDITOR'S<br />
สวัสดีครับ…ท่านสมาชิกชาว Metrology Info ทุกท่าน ฉบับนี้<br />
คณะผู้จัดทำขอเสนอบรรยากาศงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
แห่งชาติ ประจำปี 2555 ระหว่างวันที่ 17-31 สิงหาคม 2555 ณ ศูนย์<br />
นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยในวันที่ 22<br />
สิงหาคม 2555 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จ<br />
พระราชดำเนินเปิดงานและเสด็จทอดพระเนตรนิทรรศการภายในงาน<br />
สำหรับปีนี้นิทรรศการของ มว. ได้นำเสนอผลงานภายใต้หัวข้อ<br />
“มาตรวิทยา…เพื่อความปลอดภัย” เพื่อให้สอดคล้องกับแนวความคิด<br />
ในวันมาตรวิทยาโลกปี 2012<br />
สำหรับสกู๊ปพิเศษในเล่มนี้ขอนำเสนอโครงการสำคัญที่ช่วย<br />
สร้างหลักประกันในด้านความปลอดภัยให้แก่ประชาชน เรื่อง “โครงการ<br />
สถาปนาขีดความสามารถในการตรวจสอบความถูกต้องของระบบ<br />
เครื่องมือวัดความดันโลหิตในประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐาน<br />
สากล” ซึ่งนับว่าเป็นโครงการที่มีประโยชน์ต่อประชาชนเป็นอย่างมาก<br />
เพราะโครงการนี้จะช่วยยกระดับมาตรฐานเครื่องมือวัดความดันโลหิต<br />
ในสถานประกอบการและโรงพยาบาลต่างๆ ให้มีคุณภาพเชื่อถือได้เพิ่ม<br />
ความมั่นใจแก่ผู้บริโภค ว่าได้ใช้เครื่องวัดความดันโลหิตที่มีมาตรฐาน<br />
และสำหรับคอลัมน์มาตรวิทยาต่างแดนให้ทุกท่านได้รู้จักกับหน่วยงาน<br />
มาตรวิทยาด้านกฎหมายเรียกว่า “องค์การชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ”<br />
และบทความด้านมาตรวิทยาที่ทุกท่านได้ให้การสนใจติดตามอ่านกัน<br />
เพื่อเป็นความรู้ดีๆ ที่อยากนำเสนอมาอย่างเช่นเคยครับ<br />
ท้ายนี้ อยากเชิญชวนท่านสมาชิกทุกท่านได้ไปร่วมงาน<br />
นิทรรศการ “วันเทคโนโลยีและนวัตกรรมของไทย 2555” ระหว่าง<br />
วันที่ 25-28 ตุลาคม 2555 จัดโดยกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ มว. ของเรา<br />
ได้เข้าร่วมจัดงานครั้งยิ่งใหญ่นี้ด้วย และได้นำเสนอผลงานวิจัยด้าน<br />
มาตรวิทยาที่เป็นประโยชน์แก่ประชาชนทั่วไปและภาคอุตสาหกรรม<br />
แล้วอย่าลืมมาทักทายกันที่บูธในนิทรรศการด้วยนะครับ…สวัสดี<br />
ประสิทธิ์ บุบผาวรรณา<br />
บรรณาธิการ<br />
Advisors Somsak CHARKKIAN, Ajchara CHAROENSOOK, Virat PLANGSANGMAS, Krairerk OBROMSOOK, Gp. Capt. Piya BHUSAKAEW,<br />
Prawet MAHARATTANASAKUL, Flt. Lt. Tawat CHANGPAN, Somchai NUAMSETTEE, Maj. Arkom KRACHANGMOL,<br />
Doungkamol VIROONUDOMPHOL, Anusorn TONMUANWAI, Nattanit PONGJEERAKUMCHORN, Pornthep KITTIPUTPAIBOON<br />
Editor Prasit BUBPAWANNA<br />
Assistant Editors Janwalee DANTANASAKORN, Chanikcha CHANDARASIRI, Watchareeporn KLINKHACHORN, Pachataporn SOOKSUDET<br />
Publisher Public Relations Section, Policy and Strategic Department, National Institute of Metrology (Thailand),<br />
Ministry of Science and Technology, 3/4–5 Moo 3, Klong 5, Klong Luang, Pathumthani 12120, Thailand<br />
Tel : 0 2577 5100 Fax : 0 2577 2877, 0 2577 2859<br />
E-mail: nimt@nimt.or.th Website: http://www.nimt.or.th<br />
Metrology Info จัดทำขึ้นเพื่อเผยแพร่ข่าวสารความรู้ด้านมาตรวิทยา เพื่อให้เกิดประโยชน์ในการพัฒนาระบบมาตรวิทยาของประเทศ และสร้างความตระหนัก<br />
(Awareness) ให้สาธารณชนได้เห็นถึงความสำคัญของมาตรวิทยาต่อเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ ความคิดเห็นและข้อความต่างๆ เป็นทัศนะของผู้เขียนเท่านั้น
OIML<br />
WORLD<br />
ชณิกชา จันทร์ศิริ<br />
ส่วนประชาสัมพันธ์<br />
International Organization of Legal Metrology<br />
องค์การชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ<br />
มีชื่อภาษาฝรั่งเศสเรียกว่า Organisation<br />
Internationale de Métrologie Légale :<br />
OIML และภาษาอังกฤษเรียกว่า International<br />
Organization of Legal Metrology จัดตั้งขึ้นในปี<br />
ค.ศ. 1955 โดยเป็นองค์กรที่มีข้อตกลงร่วมกัน<br />
ระหว่างรัฐ มีสมาชิกสามัญ 57 ประเทศ เข้าร่วม<br />
กิจกรรมด้านเทคนิค และมีสมาชิกสมทบอีก<br />
ประมาณ 62 ประเทศเป็นผู้สังเกตการณ์ ซึ่ง<br />
รวมถึงประเทศไทยของเราด้วย โดยมีสำนักงาน<br />
ระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายชั่งตวงวัด (Bureau<br />
International de Métrologie Légale :<br />
BIML) ทำหน้าที่เป็นทั้งเลขานุการ และเป็น<br />
สำนักงานใหญ่ของ OIML ด้วย มีสำนักงานตั้งอยู่<br />
ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส<br />
วัตถุประสงค์การจัดตั้ง OIML คือ<br />
1. จัดทำรายละเอียดอันเป็นที่ยอมรับ<br />
ในเรื่องข้อกำหนดสากล และเอกสารในสาขา<br />
ต่างๆ ด้านการชั่งตวงวัด<br />
2. เผยแพร่ข้อมูลทางเทคนิคในด้าน<br />
การชั่งตวงวัด (ข้อมูลในเรื่องกฎหมายและ<br />
ข้อกำหนด ประสบการณ์ความชำนาญทาง<br />
เทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงวิธีปฏิบัติที่ถูกต้อง) ผ่าน<br />
ทางวารสารทุกๆ 3 เดือน หรือทางเว็บไซต์ของ<br />
OIML<br />
3. ขจัดข้อกีดกันทางการค้าอันเกิดจาก<br />
กิจกรรมด้านการชั่งตวงวัด โดยการสนับสนุน<br />
ส่งเสริมให้มีการปรับแก้กฎหมาย และข้อกำหนด<br />
เกี่ยวกับ การวัด สินค้าหีบห่อ และเครื่องมือวัด<br />
ตลอดจนส่งเสริมให้เกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน<br />
เพื่อให้การประเมินทางการชั่งตวงวัดมีความ<br />
สอดคล้องกัน<br />
4. ส่งเสริมและพัฒนาการชั่งตวงวัดใน<br />
ระดับโลก<br />
สำหรับประเทศไทย สำนักงานกลาง<br />
ชั่งตวงวัด อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกรมการค้า<br />
ภายใน กระทรวงพาณิชย์ ในฐานะสมาชิกสมทบ<br />
เป็นหน่วยงานที่รับผิดชอบระบบการวัดแห่งชาติ<br />
ในเชิงพาณิชย์หรือเชิงกฎหมาย อำนาจหน้าที่<br />
หลักของสำนักงานกลางชั่งตวงวัด คือ การ<br />
กำหนดระดับความถูกต้องของการชั่ง ตวง วัด<br />
ในเชิงพาณิชย์เพื่อความเป็นธรรมในการซื้อขาย<br />
แลกเปลี่ยน รวมไปถึงการควบคุมให้มีการปฏิบัติ<br />
ตามพระราชบัญญัติชั่ง ตวง วัด อย่างเคร่งครัด<br />
อีกด้วย<br />
OIML ได้มีการพัฒนาโครงสร้างทาง<br />
เทคนิคทั่วโลก เพื่อเป็นแนวทางของสมาชิก<br />
รายละเอียดเกี่ยวกับการผลิต และการใช้เครื่องมือ<br />
วัดในการใช้งานทางด้านกฎหมาย ในระดับ<br />
ภูมิภาค และระดับชาติ สำหรับผู้ที่สนใจและ<br />
ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมสามารถเข้าไปในเว็บไซต์<br />
www.oiml.org ซึ่งจะให้ความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับ<br />
โครงสร้าง รวมทั้งโครงการที่สำคัญต่างๆ ของ<br />
OIML อีกด้วย<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
3<br />
ที่มา : www.oiml.org / www.cbwmthai.org
4<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
มหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี 2555<br />
“มาตรวิทยา...เพื่อความปลอดภัย”<br />
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาสยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธาน<br />
เปิดงานมหกรรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2555 พร้อมทั้ง<br />
ทอดพระเนตรการจัดแสดงนิทรรศการภายใต้แนวความคิด “จุดประกายความคิด พัฒนาชีวิตด้วย<br />
วิทยาศาสตร์” ของหน่วยงานในสังกัดกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และหน่วยงานต่างๆ<br />
มากมายทั้งในและต่างประเทศ ที่จัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-31 สิงหาคม 2555 ณ ศูนย์แสดงนิทรรศการ<br />
และการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ โดยในปีนี้ มว. ได้จัดกิจกรรมและนิทรรศการในหัวข้อ<br />
“มาตรวิทยา...เพื่อความปลอดภัย” เพื่อให้สอดคล้องกับแนวความคิดในวันมาตรวิทยาโลกปี 2012<br />
คือ “We measure for your safety : เราวัดเพื่อความปลอดภัยของคุณ” โดยแบ่งโซนในการให้<br />
ความรู้เป็น 3 โซนด้วยกันคือ<br />
• มาตรวิทยาในอดีต เป็นการบอกเล่าถึงประวัติความเป็นมาและเหตุการณ์สำคัญต่างๆ<br />
ของงานด้านมาตรวิทยาในประเทศไทยซึ่งมีมาอย่างยาวนาน โดยในสมัยก่อน พ.ศ. 2440 นั้น<br />
คนไทยรู้จักและนิยมใช้วิธีชั่งตวงวัดกันแพร่หลายมาแต่โบราณกาล ได้แก่วิธีของไทย จีน และวิธีฝรั่ง<br />
ซึ่งมีพิกัดอัตราไม่เท่ากัน ทำให้เป็นอุปสรรคต่อความเจริญก้าวหน้าในการค้าขาย จึงได้มีการคิดหา<br />
วิธีการวัดที่เป็นสากลและเป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ จนมีผู้เสนอว่าควรรับแบบวิธีเมตริกมาใช้<br />
เพื่อให้เป็นมาตรฐานเดียวกันกับนานาประเทศ ทำให้ในปี พ.ศ. 2455 ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิก<br />
ของสำนักงานชั่งตวงวัดระหว่างประเทศ และเริ่มใช้การวัดในระบบเมตริกอย่างเป็นทางการ นับว่า<br />
ระบบมาตรวิทยาได้เริ่มเกิดขึ้นแล้วในประเทศไทยซึ่งต่อมาได้มีการดำเนินกิจกรรมทางด้านการวัด<br />
มาอย่างต่อเนื่อง จนถึงในปี พ.ศ. 2555 นี้ ที่ได้ครบรอบ 100 ปี แห่งการดำเนินกิจกรรมด้าน<br />
มาตรวิทยาอย่างสมบูรณ์
<strong>NIMT</strong><br />
วัชรีพร กลิ่นขจร<br />
ส่วนประชาสัมพันธ์<br />
• มาตรวิทยาในปัจจุบัน กล่าวถึงการดำเนินกิจกรรมด้านการวัดที่สร้างความปลอดภัย<br />
ให้กับชีวิต โดย มว. ได้มีการดำเนินกิจกรรมในโครงการสำคัญที่ช่วยสร้างหลักประกันในด้าน<br />
ความปลอดภัยให้แก่ประชาชน ได้แก่ โครงการสถาปนาขีดความสามารถในการตรวจสอบ<br />
ความถูกต้องของระบบเครื่องมือวัดความดันโลหิตในประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐานสากล<br />
โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานหลักทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข คือ กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์<br />
และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา ในการศึกษาคุณภาพเครื่องวัดความดันโลหิตที่ใช้กันใน<br />
โรงพยาบาลทั่วประเทศ พร้อมทั้งจัดทำคู่มือและจัดอบรมวิธีการทดสอบเครื่องวัดความดันโลหิตให้กับ<br />
เจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลักดันให้ประเทศไทยมีมาตรการควบคุมเครื่องวัดความดันโลหิต<br />
ให้เป็นรูปธรรม เพื่อเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้บริโภค ว่าได้ใช้เครื่องวัดความดันโลหิตที่มีคุณภาพมาตรฐาน<br />
เชื่อถือได้ และโครงการมาตรวิทยากับความปลอดภัยด้านอาหาร ซึ่งสถาบันได้มีการดำเนินกิจกรรม<br />
ต่างๆ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการบริโภคอาหารว่ามีความปลอดภัย อาทิ การผลิตวัสดุอ้างอิง<br />
เพื่อตรวจปริมาณแคดเมียมในข้าว การผลิตวัสดุอ้างอิงเพื่อตรวจวัดค่าความหวาน การวิเคราะห์สาร<br />
เมลามีนในนมผง โดยใช้เทคนิค Exact-matching double IDMS เป็นต้น<br />
• มาตรวิทยาในอนาคต ได้กล่าวถึงเหตุการณ์สำคัญที่จะมีผลกระทบกับประเทศ<br />
ในภูมิภาคอาเซียน โดยในปี พ.ศ. 2558 (ค.ศ. 2015) จะเป็นปีที่ก้าวเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน<br />
ซึ่งจะส่งผลเป็นวงกว้างต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ทำให้ทุกภาคส่วนต้องมีการปรับตัว<br />
โดยเฉพาะภาคธุรกิจและการค้าขายแลกเปลี่ยนสินค้าระหว่างประเทศจะเป็นไปอย่างราบรื่นได้<br />
ทุกประเทศต้องใช้ระบบหน่วยวัดเดียวกันที่เป็นสากล สิ่งนี้เองคือที่มาของข้อตกลงระหว่างประเทศ<br />
ว่าด้วยมาตรการวัดปริมาณทางกายภาพ ซึ่งเป็นพื้นฐานที่สำคัญยิ่งต่อการค้าขายแลกเปลี่ยนระหว่าง<br />
ประเทศ นับว่าเป็นหัวใจหลักในการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผลิตที่จะนำไปสู่การเสริมสร้าง<br />
ประสิทธิภาพการผลิต ยกระดับมาตรฐานของผลิตภัณฑ์ และเสริมสร้างความแข็งแกร่งในการแข่งขัน<br />
ทางการค้าระหว่างประเทศ ระบบมาตรวิทยาจะเป็นหลักประกันและกุญแจสำคัญในเรื่อง “การขจัด<br />
ข้อกีดกันทางการค้าด้านเทคนิค” สู่การเพิ่มศักยภาพการแข่งขันของภาคอุตสาหกรรมในการก้าว<br />
เข้าไปสู่เวทีการค้าของอาเซียนอย่างเต็มภาคภูมิ พร้อมกันนี้ยังเพิ่มเติมข้อมูลการแนะนำสถาบัน<br />
มาตรวิทยาของประเทศในเขตภูมิภาคอาเซียนให้ได้ทราบกันว่าประเทศใดบ้างในอาเซียนที่มีสถาบัน<br />
มาตรวิทยาและมีชื่อเรียกกันว่าอย่างไรบ้าง<br />
นอกจากนิทรรศการข้างต้นแล้ว สถาบันยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย อาทิ การร่วมเล่น<br />
เกมตอบคำถามเพื่อชิงรางวัล การต่อจิกซอว์มหาสนุก รวมทั้งการถ่ายภาพเป็นที่ระลึกกับพี่ <strong>NIMT</strong><br />
Man ตัวหุ่นการ์ตูนของสถาบัน เป็นต้น ซึ่งได้รับความสนใจจากน้องๆ เป็นอย่างมาก โดยการจัด<br />
กิจกรรมในครั้งนี้พวกเราชาวมาตรวิทยาหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะเป็นแรงบันดาลใจให้น้องๆ ในวัยเรียน<br />
หันมาสนใจงานด้านมาตรวิทยาและงานด้านวิทยาศาสตร์กันให้มากขึ้นต่อไป<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
5
SPECIAL<br />
ประสิทธิ์ บุบผาวรรณา<br />
บรรณาธิการ<br />
ผนึกกำลังสร้างเกณฑ์มาตรฐาน<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตทั่วประเทศ<br />
6<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
มว. มีโครงการดีๆ<br />
ที่ร่วมมือกับหน่วยงาน<br />
หลักทางด้านการแพทย์และ<br />
สาธารณสุขกับ วพ. และ<br />
อย. ในการศึกษาคุณภาพ<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตที่<br />
ใช้กันในโรงพยาบาลทั่ว<br />
ประเทศ<br />
มนุษย์เราเกิดมาย่อมต้องมีการเจ็บป่วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งคนที่มีโรคประจำตัวจะต้อง<br />
ตระหนักและหาทางป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นได้บ่อยๆ ทั้งต้องทานยา นอนหลับพักผ่อน ออกกำลังกาย<br />
และต้องไปพบแพทย์ตามโรงพยาบาล คลินิก หรือสถานีอนามัยต่างๆ เพื่อให้แพทย์ได้วินิจฉัยและ<br />
รักษาโรคอย่างถูกต้อง จนทำให้ร่างกายเป็นปกติ กลับมาทำงานและดำเนินชีวิตได้เหมือนดังเดิม<br />
ทุกครั้งที่ท่านเจ็บป่วยแล้วต้องเข้าโรงพยาบาลหรือสถานพยาบาลเคยสังเกตหรือไม่ว่า ท่านต้องถูก<br />
ซักประวัติและตรวจวัดความดันโลหิตด้วยเครื่องวัดความดันโลหิตทุกครั้งว่า ท่านมีความดันโลหิต<br />
เป็นอย่างไร มีความดันโลหิตปกติหรือสูงต่ำ เพื่อเป็นข้อมูลประกอบในการวินิจฉัยและรักษาโรคของ<br />
แพทย์ได้อย่างถูกต้อง ดังนั้น อุปกรณ์เครื่องวัดความดันโลหิตจึงมีความสำคัญอย่างมากที่ต้องมี<br />
ความถูกต้องเที่ยงตรงแม่นยำในการวัดความดันโลหิตของผู้ป่วย เพื่อเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับ<br />
ความปลอดภัยและได้ใช้เครื่องวัดความดันโลหิตที่น่าเชื่อถือได้<br />
สถาบันมาตรวิทยาแห่งชาติ (มว.) กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มีโครงการดีๆ ที่<br />
ร่วมมือกับหน่วยงานหลักทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขกับกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ (วพ.)<br />
และสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กระทรวงสาธารณสุข ในการศึกษาคุณภาพเครื่องวัด<br />
ความดันโลหิตที่ใช้กันในโรงพยาบาลทั่วประเทศ พร้อมทั้งจัดทำคู่มือและจัดอบรมวิธีการทดสอบ<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตให้กับเจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้อง ตลอดจนผลักดันให้ประเทศไทยมีมาตรการ<br />
ควบคุมเครื่องวัดความดันโลหิตให้เป็นรูปธรรม เพื่อเพิ่มความมั่นใจแก่ผู้บริโภค ว่าได้ใช้เครื่องวัด<br />
ความดันโลหิตที่มีคุณภาพมาตรฐานเชื่อถือได้ อันเป็นกิจกรรมการวัดที่สร้างความปลอดภัยให้กับ<br />
ชีวิต โดย มว.ได้มีการดำเนินกิจกรรมในโครงการสำคัญที่ช่วยสร้างหลักประกันในด้านความปลอดภัย<br />
ให้แก่ประชาชน ทางคณะผู้จัดทำจึงอยากมาบอกกล่าวเล่าถึงโครงการดีๆ อย่างนี้ให้ผู้อ่าน<br />
ชาวมาตรวิทยาได้เป็นความรู้และเป็นประโยชน์กันครับ
• มุ่งมั่นการสอบกลับได้ทางการวัดสู่<br />
หน่วยวัดสากล<br />
เมื่อปี พ.ศ. 2549 ห้องปฏิบัติการ<br />
ความดัน ฝ่ายมาตรวิทยาเชิงกล มว. ได้สถาปนา<br />
หน่วยวัดความดันและสุญญากาศให้เป็นที่<br />
ยอมรับในระดับนานาชาติที่สามารถสอบกลับได้<br />
ทางการวัดด้านความดันไปสู่หน่วยวัดสากล<br />
หรือหน่วยวัดเอสไอ (SI Units) โดยการสร้าง<br />
การยอมรับในระดับนานาชาติ จะต้องได้รับการ<br />
รับรองขีดความสามารถทางการสอบเทียบและ<br />
การวัด (Calibration Measurement Capability :<br />
CMC) และสาขาความดันประสบผลสำเร็จในการ<br />
สร้างการยอมรับดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว และ<br />
ในปีดังกล่าว มว. กระทรวงวิทยาศาสตร์และ<br />
เทคโนโลยีได้ออกประกาศในราชกิจจานุเบกษา<br />
เรื่อง กำหนดมาตรฐานแห่งชาติ เกี่ยวกับหน่วย<br />
การวัดปริมาณ เครื่องมือ อุปกรณ์ และวัสดุ<br />
อ้างอิงที่ใช้ในการวัดปริมาณ เมื่อวันที่ 28<br />
กันยายน พ.ศ. 2549 ที่มีสาขาความดันรวมอยู่<br />
ด้วย เมื่อได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติแล้ว<br />
หน้าที่สำคัญประการหนึ่ง คือ สร้างการถ่ายทอด<br />
ความถูกต้องของผลด้านการวัดไปสู่ผู้ที่ดำเนิน<br />
กิจกรรมการวัดต่างๆ ในประเทศ ได้แก่ ห้อง<br />
ปฏิบัติการสอบเทียบ/ห้องปฏิบัติการวิเคราะห์<br />
ทางเคมีและชีวภาพ (ผู้ใช้บริการมาตรฐานแห่งชาติ<br />
โดยตรง) ทั้งของภาครัฐและภาคเอกชน และ<br />
ผู้ปฏิบัติการวัด (ผู้ใช้บริการมาตรฐานแห่งชาติ<br />
ผ่านห้องปฏิบัติการสอบเทียบ/ห้องปฏิบัติการ<br />
วิเคราะห์ทางเคมีและชีวภาพ และผลิตภัณฑ์)<br />
ห้องปฏิบัติการความดัน มว. ได้<br />
เล็งเห็นถึงความสำคัญในการถ่ายทอดค่าผลการวัด<br />
ทางด้านความดัน จึงได้ดำเนินโครงการ “การ<br />
สถาปนาขีดความสามารถในการตรวจสอบ<br />
ความถูกต้องของระบบเครื่องมือวัดความดัน<br />
โลหิตในประเทศไทยให้เป็นไปตามมาตรฐาน<br />
สากล” ในการผลักดันให้เกิดองค์ความรู้เกี่ยวกับ<br />
วิธีการทวนสอบเครื่องวัดความดันโลหิตตาม<br />
มาตรฐานสากลขึ้นในประเทศเป็นผลสำเร็จ<br />
ในปี 2554 โดยได้ร่วมมือกับหน่วยงานด้าน<br />
สาธารณสุขหลายแห่งที่ได้ตระหนักถึงความ<br />
จำเป็นที่จะให้องค์ความรู้ดังกล่าวเผยแพร่ไปใน<br />
• ความร่วมมือสร้างความเชื่อมั่นเครื่องวัด<br />
ความดันโลหิต<br />
นำทีมโดย ร.อ.ธวัช ช่างปั้น รักษาการ<br />
หัวหน้าฝ่ายมาตรวิทยาเชิงกล และนักมาตร<br />
วิทยาอีกหลายท่าน ห้องปฏิบัติการความดัน ห้อง<br />
ปฏิบัติการสุญญากาศ และห้องปฏิบัติการอัตรา<br />
การไหล ฝ่ายมาตรวิทยาเชิงกล มว. ได้มีความ<br />
ร่วมมือกับสำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรม<br />
วิทยาศาสตร์การแพทย์ ในโครงการ “การพัฒนา<br />
ขีดความสามารถการทวนสอบเครื่องวัด<br />
ความดันโลหิตของห้องปฏิบัติการทาง<br />
การแพทย์” เพื่อเป็นการยกระดับคุณภาพของ<br />
การวัดความดันโลหิตให้เป็นที่น่ าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น<br />
และความร่วมมือกับกองควบคุมเครื่องมือแพทย์<br />
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา สำนัก<br />
รังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์<br />
การแพทย์ จัดโครงการ “การยกระดับการ<br />
ควบคุมเครื่องวัดความดันโลหิตเพื่อการ<br />
คุ้มครองผู้บริโภค”เพื่อเป็นการกระตุ้นทุกภาคส่วน<br />
ให้ตระหนักถึงการจัดหา เลือกใช้ และบำรุงรักษา<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตที่มีคุณภาพมาตรฐาน<br />
ตลอดอายุการใช้งาน นอกจากนี้ยังเป็นจุดเริ่มต้น<br />
กลุ่มผู้เกี่ยวข้อง ได้แก่ สำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ ของการพัฒนาระบบการควบคุมเครื่องวัดความดัน<br />
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกองควบคุม<br />
เครื่องมือแพทย์ สำนักงานคณะกรรมการอาหาร<br />
และยา กระทรวงสาธารณสุข<br />
โลหิตในอนาคตให้เหมาะสม และเพิ่มความ<br />
มั่นใจแก่ผู้บริโภคว่า ได้ใช้เครื่องวัดความดัน<br />
โลหิตที่มีคุณภาพมาตรฐานเชื่อถือได้<br />
ร.อ.ธวัช ช่างปั้น<br />
รักษาการหัวหน้าฝ่ายมาตรวิทยาเชิงกล<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
7
8<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
เอกสารขั้นตอนการปฏิบัติงาน<br />
มาตรฐานวิธีการทำการทวนสอบ<br />
เครื่องวัดความดันโลหิต<br />
โครงการพัฒนาขีดความสามารถการทวนสอบเครื่องวัด<br />
ความดันโลหิตของห้องปฏิบัติการทางการแพทย์<br />
ในปี 2554 ห้องปฏิบัติการความดัน ฝ่ายมาตรวิทยาเชิงกล<br />
โดยความร่วมมือกับสำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ กรมวิทยาศาสตร์<br />
การแพทย์ ประสบความสำเร็จในการผลักดันให้เกิดองค์ความรู้เกี่ยวกับ<br />
วิธีการทวนสอบเครื่องวัดความดันโลหิตตามมาตรฐานสากล โดยได้<br />
มีการร่วมกันจัดทำเอกสาร “ขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐานวิธี<br />
การทำการทวนสอบเครื่องวัดความดันโลหิต” ขึ้นและได้ประกาศใช้<br />
โดยสำนักรังสีและเครื่องมือแพทย์ เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2554<br />
โดยอ้างอิงตามเอกสารมาตรฐาน OIML R 16-1 : Non-invasive<br />
mechanical sphygmomanometers, Edition 2002 (E) และ OIML<br />
R 16-2 : Non-invasive automated sphygmomanometers, Edition<br />
2002 (E)<br />
ขอบข่ายขั้นตอนการปฏิบัติงานนี้ใช้เพื่อการทวนสอบเครื่อง<br />
เป็นครั้งแรก (Initial Verification) และการทวนสอบเครื่องที่ใช้งานแล้ว<br />
ตามระยะเวลา (Periodic Verification) รวมถึงการทวนสอบหลังการ<br />
ซ่อมแซม โดยใช้วิธีการ คือ การเปรียบเทียบค่าความดันของเครื่องมือ<br />
ที่ทำการทดสอบกับค่าความดันที่อ่านได้จากเครื่องมือมาตรฐานด้าน<br />
ความดัน ซึ่งมีหัวข้อในการทดสอบ ดังนี้ 1) การหาค่าความผิดพลาด<br />
สูงสุดของการอ่านค่าความดันในคัฟ (Cuff) 2) การหาค่าอัตราการรั่ว<br />
ของความดันในระบบ และ 3) การหาค่าผลต่างของความดันขาขึ้น<br />
กับขาลง (เฉพาะเครื่องวัดความดันโลหิตแบบ Aneroid เท่านั้น)<br />
นอกจากนี้ยังร่วมกันให้การฝึกอบรมบุคลากรในสังกัดของ<br />
กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ที่อยู่ตามศูนย์วิทยาศาสตร์การแพทย์<br />
ในจังหวัดต่างๆ เพื่อพัฒนาขีดความสามารถของบุคลากรดังกล่าว<br />
ในการทดสอบเครื่องวัดความดันโลหิตของวิธีการใหม่นี้<br />
โครงการยกระดับการควบคุมเครื่องวัดความดันโลหิต<br />
เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค<br />
ปัจจุบันเครื่องวัดความดันโลหิตมี 2 ชนิด ได้แก่ เครื่องวัด<br />
ความดันโลหิตแบบเชิงกล และ เครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติ<br />
ซึ่งแสดงผลการวัดความดันโลหิตโดยอัตโนมัติเป็นตัวเลข ทำให้เกิด<br />
ความนิยมและใช้กันแพร่หลายมากขึ้น ทั้งในกลุ่มผู้ป่วยและกลุ่ม<br />
ประชาชนที่มีความห่วงใยในการดูแลสุขภาพของตนเอง โดยสามารถ<br />
ที่จะซื้อหาเครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติมาใช้ได้เอง ในด้าน<br />
การควบคุมนั้น ปัจจุบันเครื่องวัดความดันโลหิตที่มีจำหน่ายใน<br />
ประเทศไทยจัดเป็นเครื่องมือแพทย์ทั่วไป กองควบคุมเครื่องมือแพทย์<br />
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา เล็งเห็นความสำคัญของการ<br />
ยกระดับการควบคุม จึงทำโดยการร่วมกับ มว. และกรมวิทยาศาสตร์<br />
การแพทย์ ศึกษาประสิทธิภาพหรือคุณภาพของเครื่องวัดความดัน<br />
โลหิตที่จำหน่ายในท้องตลาดว่าให้ค่าความดันโลหิตได้ถูกต้องและ<br />
แม่นยำหรือไม่ รวมถึงการกำหนดแนวทางการประเมินและยกระดับ<br />
มาตรการควบคุมเครื่องวัดความดันโลหิต เพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค<br />
ให้ได้รับความปลอดภัยและได้ใช้เครื่องวัดความดันโลหิตที่เชื่อถือได้<br />
โดยในปี พ.ศ. 2555 คณะทำงานได้อยู่ระหว่างดำเนินการ<br />
ให้มีการศึกษาและรวบรวมรายละเอียดข้อกำหนดคุณภาพมาตรฐาน<br />
รวมทั้งการกำหนดเกณฑ์การตรวจสอบหรือวิเคราะห์ที่ใช้ในการ<br />
ประเมินเครื่องวัดความดันโลหิต พร้อมทั้งนำเสนอวิธีการทวนสอบ<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตตามมาตรฐานสากล และร่วมออกสำรวจและ<br />
ทวนสอบเครื่องวัดความดันโลหิตที่ใช้ในโรงพยาบาลเป้าหมายทั้งสี่ภาค<br />
รวมจำนวนไม่น้อยกว่า 500 เครื่อง เพื่อทำการประเมินคุณภาพ<br />
มาตรฐานของเครื่อง และสรุปผลการศึกษาคุณภาพเครื่องวัดความดัน<br />
โลหิต เพื่อพิจารณาจัดทำข้อเสนอแนะเพื่อยกระดับการควบคุม<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตต่อไป<br />
การฝึกอบรมถ่ายทอดองค์ความรู้โดยผู้เชี่ยวชาญจากสถาบัน<br />
มาตรวิทยาแห่งประเทศสหพันธรัฐเยอรมนี (PTB) และบราซิล<br />
(INMETRO)
การตรวจวัดความดัน<br />
เครื่องวัดความดันโลหิต มี 2 ชนิด ได้แก่<br />
1. เครื่องวัดความดันโลหิตแบบเชิงกล (Non-invasive Mechanical Sphygmomanometers) มีการใช้งานร่วมกับหูฟัง<br />
(Stethoscope) เหมาะกับการใช้งานโดยผู้ที่มีทักษะในการวัดภายในสถานพยาบาล ได้แก่ เครื่องวัดความดันแบบปรอท (Mercurial<br />
Manometer) เครื่องวัดความดันโลหิตหน้าปัดนาฬิกา (Aneroid Manometer) หรือเครื่องวัดความดันโลหิตที่แสดงค่าความดันเป็นดิจิตอล<br />
(Digital Display)<br />
2. เครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติ (Non-invasive Automated Sphygmomanometers) ซึ่งเป็นเครื่องวัดความดันโลหิต<br />
ที่มีระบบตรวจวัดค่าความดันโลหิตในตัว และแสดงค่าความดันโดยอัตโนมัติเป็นดิจิตอล (Digital Display) มีทั้งแบบวัดที่ต้นแขนและ<br />
แบบข้อมือ ซึ่งปัจจุบันมีจำหน่ายอย่างแพร่หลายทั้งตามร้านจำหน่ายอุปกรณ์ทางการแพทย์ หรือบนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งผู้บริโภค<br />
สามารถเลือกซื้อมาใช้เองภายในบ้าน<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตแบบเชิงกล เครื่องวัดความดันโลหิตแบบอัตโนมัติ<br />
• ความสำเร็จที่คาดว่าจะได้รับในความ<br />
ร่วมมือ<br />
ในความร่วมมือของหน่วยงานทั้ง 3<br />
หน่วยงานครั้งนี้ คณะทำงานทุกคนมีความเชื่อมั่น<br />
ที่จะสร้างการยอมรับให้เป็นรูปธรรมในการใช้<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
เป็นไปตามมาตรฐานสากล ซึ่งจะเป็นการยก<br />
ระดับความถูกต้องแม่นยำของเครื่องวัดความดัน<br />
โลหิตของผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มเป้าหมายให้สูงขึ้น<br />
และสอดคล้องกับมาตรฐานสากล ผลการศึกษา<br />
จะช่วยกระตุ้นทุกภาคส่วนให้ตระหนักถึงการ<br />
จัดหา เลือกใช้ และบำรุงรักษาเครื่องวัดความดัน<br />
โลหิตที่มีคุณภาพมาตรฐานตลอดอายุการใช้งาน<br />
และข้อเสนอด้านมาตรการควบคุมเครื่องวัด<br />
ความดันโลหิต เป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนา<br />
ระบบการควบคุมเครื่องวัดความดันโลหิตใน<br />
อนาคตให้เหมาะสม และเพิ่มความมั่นใจแก่<br />
ผู้บริโภคว่าได้ใช้เครื่องวัดความดันโลหิตที่มี<br />
คุณภาพมาตรฐานเชื่อถือได้<br />
โครงการดังกล่าวยังอยู่ระหว่างการ<br />
ดำเนินการอยู่ ทางคณะผู้จัดทำจะมานำเสนอ<br />
บทสรุปของโครงการพร้อมทั้งภาพบรรยากาศ<br />
ของกิจกรรมต่างๆ มาให้ชาวมาตรวิทยาของเรา<br />
ได้ติดตามความคืบหน้าต่อไป พวกเราในฐานะ<br />
ผู้บริโภคจะได้มีความสบายใจและเชื่อมั่นต่อ<br />
เครื่องวัดความดันโลหิตที่ใช้กันในโรงพยาบาล<br />
หรือสถานพยาบาลทั่วประเทศหรือแม้นแต่เราที่<br />
ห่วงใยต่อสุขภาพนำมาเลือกซื้อได้เอง<br />
ที่มา<br />
ตัวอย่างการปฏิบัติการทวนสอบเครื่องวัดความดันโลหิต<br />
ตามขั้นตอนการปฏิบัติงานมาตรฐานฯ<br />
- โครงการพัฒนาขีดความสามารถ<br />
การทวนสอบเครื่องวัดความดันโลหิตของห้อง<br />
ปฏิบัติการทางการแพทย์<br />
- โครงการยกระดับการควบคุมเครื่องวัด<br />
ความดันโลหิตเพื่อการคุ้มครองผู้บริโภค<br />
- รายงานประจำปี 2554 สถาบัน<br />
มาตรวิทยาแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์และ<br />
เทคโนโลยี<br />
- เอกสารโรคความดันโลหิตสูงและ<br />
เครื่องวัดความดันโลหิต กรมวิทยาศาสตร์การ<br />
แพทย์ กระทรวงสาธารณสุข<br />
- เอกสารขั้นตอนการปฏิบัติงาน<br />
มาตรฐานวิธีการทำการทวนสอบเครื่องวัด<br />
ความดันโลหิต กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์<br />
กระทรวงสาธารณสุข<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
9
<strong>NIMT</strong><br />
พรหทัย กันแก้ว<br />
นักมาตรวิทยา ฝ่ายมาตรวิทยาเคมีและชีวภาพ<br />
ประโยชน์จากไกลโคไซด์<br />
10<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
ยา และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ<br />
ที่ใช้บำบัดรักษาอาการหัวใจ<br />
ล้มเหลว จะมีสารสำคัญใน<br />
การออกฤทธิ์คือ คาร์ดิแอค<br />
ไกลโคไซด์<br />
น้ำตาล (glycone)<br />
HO<br />
HO<br />
OH<br />
ไกลโคไซด์ (Glycosides) เป็น<br />
สารประกอบอินทรีย์กลุ่มสำคัญกลุ่มหนึ่ง<br />
สามารถพบได้จากการสกัดพืชชั้นสูง มีโครงสร้าง<br />
ประกอบไปด้วย 2 ส่วน คือ ส่วนที่เป็นน้ำตาล<br />
เรียกว่า ไกลโคน (Glycone) จับกับส่วนที่ไม่ใช่<br />
น้ำตาล เรียกว่า อะไกลโคน (Aglycone) หรือ<br />
จีนิน (Genin) ไกลโคไซด์ส่วนใหญ่มีฤทธิ์ทาง<br />
ชีวภาพ สามารถนำมาใช้เป็นยารักษาโรคได้<br />
อย่างกว้างขวาง ฤทธิ์ในทางเภสัชวิทยาของ<br />
ไกลโคไซด์ขึ้นอยู่กับส่วนอะไกลโคนเป็นส่วนใหญ่<br />
เมื่อแบ่งตามลักษณะสูตรโครงสร้างของอะไกลโคน<br />
จะแบ่งไกลโคไซด์ได้เป็น 11 กลุ่มดังนี้ คือ<br />
คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ (Cardiac<br />
Glycosides) มีอะไกลโคนเป็นสเตียรอยด์<br />
นิวเคลียส คือมีโครงสร้างเป็นวงแหวนไซโค<br />
เพนทาโนเพอไฮโดรฟีแนนทรีนอยู่ในโมเลกุล<br />
มีฤทธิ์ต่อระบบหัวใจและหลอดเลือด<br />
แอนทราควิโนนไกลโคไซด์<br />
(Anthraquinone Glycosides) มีอะไกลโคน<br />
เป็นอนุพันธ์ของแอนทราซีน (Anthracene) ใช้<br />
ประโยชน์เป็นยาระบายและยาฆ่าเชื้อรา<br />
O<br />
OH<br />
X R<br />
รูปที่ 1 องค์ประกอบของไกลโคไซด์<br />
อะไกลโคน (aglycone)<br />
ซาโปนินไกลโคไซด์ (Saponin<br />
Glycosides) อะไกลโคนเป็นสารจำพวก<br />
สเตียรอยด์ หรือ ไตรเทอร์พีนอยด์ (Triterpeniods)<br />
เป็นสารที่ให้ฟองเมื่อเขย่ากับน้ำ ใช้เป็นสาร<br />
ตั้งต้นในการสังเคราะห์ยาจำพวกสเตียรอยด์<br />
ฮอร์โมนหลายชนิด<br />
ไซยาโนเจนิกไกลโคไซด์ (Cyanogenic<br />
Glycosides) มีอะไกลโคนเป็นอนุพันธ์ของ<br />
Mandelonitrile เมื่อถูกย่อยจะให้กรดไฮโดร<br />
ไซยานิก (Hydrocyanic Acid) หรือไซยาไนด์<br />
ซึ่งเป็นพิษ แต่สามารถขจัดไซยาไนด์ก่อน<br />
รับประทานได้โดยผ่านความร้อน<br />
ไอโซไทโอไซยาเนตไกลโคไซด์<br />
(Isothiocyanate Glycosides) มีอะไกลโคนเป็น<br />
สารประกอบไอโซไทโอไซยาเนต (Isothiocyanate)<br />
มักพบในเครื่องเทศที่มีรสเผ็ดร้อน<br />
ฟลาโวนอยด์ไกลโคไซด์ (Flavoniod<br />
Glycosides) มีอะไกลโคนเป็นสารจำพวก<br />
ฟลาโวนอยด์ (Flavoniod) พบในส่วนต่างๆ ของพืช<br />
โดยเฉพาะในดอก ทำให้ดอกไม้มีสีสวยงาม<br />
ตัวอย่างของฟลาโวนอยด์ไกลโคไซด์ ที่นำมา<br />
ใช้ในทางยาได้แก่ รูติน (Rutin) ใช้รักษาโรค<br />
เส้นเลือดฝอยเปราะ ฟลาโวนอยด์ไกลโคไซด์ใน<br />
ต้น Buchu ใช้ขับปัสสาวะ เป็นต้น<br />
แอลกอฮอลิกไกลโคไซด์ (Alcoholic<br />
Glycosides) ฟีนอลิกไกลโคไซด์ (Phenolic<br />
Glycosides) และแอลดีไฮด์ไกลโคไซด์<br />
(Aldehyde Glycosides) สามกลุ่มนี้มีอะไกลโคน<br />
เป็นสารประเภทแอลกอฮอล์ ฟีนอล และ<br />
แอลดีไฮด์ ตามลำดับ เป็นสารที่ใช้ประโยชน์เป็น<br />
ยาแก้ปวด ยาขับปัสสาวะ และสารแต่งกลิ่นหอม
แลคโทนไกลโคไซด์ (Lactone<br />
Glycosides) หรืออาจเรียกคูมารินไกลโคไซด์<br />
(Coumarin Glycosides) มีอะไกลโคนเป็นสาร<br />
ประเภทแลคโทน (Lactone) ส่วนใหญ่ใช้เป็น<br />
สารแต่งกลิ่น<br />
แทนนินไกลโคไซด์ (Tannin<br />
Glycosides) มีสารจำพวก Polyphenolic เป็น<br />
อะไกลโคน แทนนินไกลโคไซด์เป็นสารกลุ่มใหญ่<br />
ที่พบได้ทั่วไปในพืชเกือบทุกชนิด ใช้ประโยชน์เป็น<br />
ยาฝาดสมาน แก้ท้องเสีย ช่วยรักษาแผลไฟไหม้<br />
และใช้ในอุตสาหกรรมฟอกหนังสัตว์อีกด้วย<br />
CH 3<br />
O<br />
O<br />
O<br />
H 3<br />
C<br />
OH<br />
OH<br />
O<br />
O<br />
C<br />
OH<br />
R 1<br />
H<br />
Daunosamine<br />
ไกลโคไซด์ที่นำมาใช้เป็นยารักษา<br />
โรคมะเร็ง<br />
ยากลุ่ม แอนทราซัยคลิน (Anthracycline)<br />
เป็นยาปฏิชีวนะที่มีฤทธิ์ต้านมะเร็ง สกัดได้<br />
จากเชื้อกลุ่ม Streptomyces โครงสร้างของ<br />
แอนทราซัยคลิน ประกอบด้วยหมู่แอนทราควิโนน<br />
เป็นอะไกลโคน และน้ำตาล Daunosamine<br />
มีกลไกการออกฤทธิ์โดยไปยับยั้งการทำงาน<br />
ของเอนไซม์ Topoisomerases ซึ่งเป็นเอนไซม์<br />
ที่สำคัญ ทำหน้าที่ตัดและเชื่อมสายดีเอ็นเอ<br />
(DNA) เพื่อลดความตึงเครียดของสายดีเอ็นเอ<br />
ขณะที่มีการคลายเกลียวของสายดีเอ็นเอ<br />
ระหว่างกระบวนการถ่ายแบบดีเอ็นเอ (DNA<br />
Replication) และ การถอดรหัสดีเอ็นเอ (DNA<br />
Transcription) ยากลุ่มแอนทราซัยคลินนี้จะไป<br />
แทรกไม่ให้เอนไซม์ Topoisomerases ทำการ<br />
เชื่อมต่อสายคู่ดีเอ็นเอ จึงทำให้เซลล์ถูกทำลาย<br />
ยากลุ่ม แอนทราซัยคลิน (Anthracycline)<br />
ประกอบด้วย 4 อนุพันธ์ ได้แก่<br />
1. เดาโนรูบิซิน (Daunorubicin)<br />
สกัดได้จากเชื้อแบคทีเรีย “Streptomyces<br />
Caeruleorubidis” ใช้ต้านมะเร็งเม็ดเลือดขาว<br />
เท่านั้น<br />
2. ด็อกโซรูบิซิน (Doxorubicin)<br />
หรือ อะเดรียมัยซิน (Adriamycin) สกัดได้จาก<br />
แบคทีเรีย Streptomyces Peucetius Var<br />
Caesius มีฤทธิ์ในการต้านมะเร็งกว้างกว่า<br />
เดาโนรูบิซิน<br />
3. ไอดารูบิซิน (Idarubicin) เป็นตัวยา<br />
ที่สังเคราะห์ขึ้นโดยมีเดาโนรูบิซิน เป็น Lead<br />
Compound ทำให้มีฤทธิ์ต้านมะเร็งสูงขึ้น และ<br />
เป็นพิษต่อหัวใจต่ำกว่าเดาโนรูบิซิน<br />
4. อีพิรูบิซิน (Epirubicin) เป็นอิพิเมอร์<br />
ของด็อกโซรูบิซิน เป็นตัวยาสังเคราะห์โดยมี<br />
ด็อกโซรูบิซิเป็น Lead Compound เพื่อให้ฤทธิ์<br />
ในการต้านมะเร็งเพิ่มขึ้นแต่ความเป็นพิษต่อ<br />
HO NH 2<br />
รูปที่ 2 โครงสร้างของยากลุ่มแอนทราซัยคลิน (Anthracycline)<br />
หัวใจลดลง ขนาดยาของยาอีพิรูบิซิน ขึ้นอยู่กับ<br />
ปัจจัยหลายอย่าง เช่น น้ำหนัก ส่วนสูงของผู้ป่วย<br />
ชนิดและระยะของโรคมะเร็งที่ผู้ป่วยเป็น รวมทั้ง<br />
ผลการตอบสนองต่อยาของผู้ป่วยแต่ละราย<br />
โดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะเป็นผู้วิเคราะห์ แนะนำ<br />
และกำหนดเวลา และมีเภสัชกรผู้เตรียมยาเคมี<br />
บำบัด ตรวจสอบขนาดยาที่ท่านได้รับ เพื่อความ<br />
ปลอดภัยสูงสุดของผู้ป่วย นอกจากนี้ความถี่ของ<br />
การให้ยาอีพิรูบิซิน อาจแตกต่างกันขึ้นอยู่กับสูตร<br />
ยาที่ใช้ และสภาพร่างกายของผู้ป่วย เช่น ทุก<br />
สัปดาห์ หรือทุกเดือน บางครั้งอาจต้องหยุดยา<br />
ชั่วคราว เพื่อให้ร่างกายมีเวลาพัก และซ่อมแซม<br />
เซลล์ปกติให้แข็งแรงพอที่จะให้ยาในครั้งต่อไปได้<br />
ไกลโคไซด์ที่นำมาใช้เป็นยาบำบัดอาการ<br />
หัวใจเต้นผิดปกติ (Antiarrhythemic<br />
Drugs)<br />
ยา และผลิตภัณฑ์ธรรมชาติที่ใช้บำบัด<br />
รักษาอาการหัวใจล้มเหลว จะมีสารสำคัญใน<br />
การออกฤทธิ์คือ คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ (Cardiac<br />
Glycosides) มีข้อมูลว่า คาร์ดิแอคไกลโคไซด์นั้น<br />
มีการนำมาใช้ตั้งแต่ 1,500 ปีก่อนคริสต์ศักราช<br />
โดยนำมาทำเป็นธนูอาบยาพิษ ยาช่วยอาเจียน<br />
ยาระบาย เป็นต้น ซึ่งปัจจุบันมีการนำมาใช้ใน<br />
ผู้ป่วยภาวะหัวใจวาย เนื่องจากไกลโคไซด์ชนิดนี้<br />
สามารถออกฤทธิ์เพิ่มแรงบีบของหัวใจเพื่อให้มี<br />
ระยะพักเพิ่มขึ้น แต่อย่างไรก็ดีพิษของสารกลุ่มนี้<br />
ยังคงเป็นปัญหาสืบเนื่องถึงปัจจุบัน การใช้ยา<br />
ของสารกลุ่มนี้จึงต้องมีการควบคุมปริมาณยา<br />
ในเลือดอย่างใกล้ชิด เพราะระดับยาที่ต่ำที่สุดที่<br />
ให้ผลทางการรักษา มีความใกล้เคียงอย่างมาก รูปที่ 3 ดอกดิจิทาลิส (Digitalis purpurea L.)<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
11
12<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
กับระดับยาต่ำที่สุดที่ทำให้เกิดพิษ ซึ่งอาจส่งผล<br />
ต่อการเต้นของหัวใจที่ผิดปกติหรือทำให้หัวใจ<br />
หยุดเต้นได้<br />
คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ (Cardiac<br />
Glycosides) พบได้ในพืชหลายวงศ์ด้วยกัน<br />
โดยเฉพาะ สกุลที่สำคัญคือ ดิจิทาลิส (Digitalis)<br />
เรียกเป็นภาษาพื้นบ้านว่า “Foxglove” หรือ<br />
“ถุงมือจิ้งจอก” เดิมจัดอยู่ในวงศ์มณเฑียรทอง<br />
(Scrophulariaceae) แต่หลังจากพิจารณาทาง<br />
Phylogenetic ก็ได้รับการจัดให้อยู่ในวงศ์ที่ใหญ่<br />
กว่า คือ วงศ์เทียนเกล็ดหอย (Plantaginaceae)<br />
ถุงมือจิ้งจอกนี้บางพันธุ์มีพิษร้ายแรงมากจน<br />
ได้รับสมญาว่า “กระดิ่งคนตาย” หรือ “ถุงมือ<br />
แม่มด” แต่ในงานวิจัยจะเรียกทุกพันธุ์รวมว่า<br />
“ดิจิทาลิส” ตามชื่อสกุล<br />
นอกจากต้นดิจิทาลิสแล้ว ยังมีการ<br />
ศึกษาพืช หรือสมุนไพรอื่นเพิ่มเติม พบว่าพืช<br />
วงศ์นมตำเลีย (Asclepiadaceae) เช่น ยี่โถ<br />
หอมปีนัง รักดอก และรำเพย รวมถึง พืชตระกูล<br />
Strophanthus ก็มีคาร์ดิแอคไกลโคไซด์ เช่นกัน<br />
แต่มักมีปัญหาในเรื่องการหาขนาดรับประทาน<br />
ยาที่เหมาะสมไม่ได้<br />
คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ (Cardiac<br />
Glycosides) เป็นไกลโคไซด์ที่มีอะไกลโคนเป็น<br />
สเตียรอยด์ ซึ่งบางตำราจะเรียกว่า “Steroidal<br />
Cardioactive Glycosides” เมื่อพิจารณาจาก<br />
โครงสร้างของอะไกลโคน ทำให้แบ่งคาร์ดิแอค<br />
ไกลโคไซด์ ออกเป็น 2 กลุ่มคือ<br />
1. กลุ่มคาร์ดิโนไลด์ (Cardinolide<br />
Aglycone) เป็นสเตียรอยด์ที่มี คาร์บอน 23<br />
อะตอม และมี α-β Unsaturated Lactone เป็น<br />
ส่วนประกอบ<br />
2. กลุ่มบูฟาโนไลด์ (Bufanolide)<br />
เป็นสเตียรอยด์ที่มีคาร์บอน 24 อะตอม และ<br />
มี Unsaturated-6-Membered Lactone เป็น<br />
ส่วนประกอบ<br />
ส่วนน้ำตาลที่พบใน คาร์ดิแอคไกลโคไซด์<br />
ส่วนใหญ่เป็นชนิด 2-Deoxy Sugar (Rare<br />
Sugar)<br />
คาร์ดิแอคไกลโคไซด์ชนิดคาร์ดิโนไลด์<br />
เท่านั้นที่นำมาใช้และปรุงแต่งเป็นยาบำบัดอาการ<br />
หัวใจเต้นผิดปกติ สำหรับคาร์ดิแอคไกลโคไซด์<br />
ชนิดบูฟาโนไลด์ ให้คุณในการรักษาต่ำ และ<br />
พบอาการไม่พึงประสงค์รุนแรง เช่น คาร์ดิแอค<br />
ไกลโคไซด์ชนิดบูฟาโนไลด์ ที่สกัดได้จากต้นหอม<br />
ทะเล (Squill) มีฤทธิ์สั้น การดูดซึมในระบบทาง<br />
เดินอาหารไม่ดี แม้ใช้ขนาดน้อยๆ ก็สามารถก่อ<br />
ให้เกิดอาการระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร แต่<br />
จะมี Reflex Secretion ที่หลอดลม จึงนำมาใช้<br />
เป็นยาขับเสมหะ พบได้ในตำรับยาแก้ไอ และยา<br />
ขับเสมหะ เช่น Mix. Ammon et Sciliae
ตัวอย่างยารักษาโรคหัวใจที่เป็นคาร์ดิแอคไกลโคไซด์<br />
Powdered Digitalis USP ได้จากใบแห้งของดิจิทาลิส “Digitalis purpurea L.”<br />
องค์ประกอบที่สำคัญของ Digitalis คือ Digitoxin และ Gitoxin รูปแบบยาที่ใช้จะเป็น แคปซูล 60<br />
และ 100 มิลลิกรัม หรือ เป็นยาเม็ดแบน 30 50 55 60 และ 100 มิลลิกรัม<br />
Digitoxin USP ได้จากการสกัดต้นดิจิทาลิส “Digitalis purpurea L.” โครงสร้างโมเลกุล<br />
จะมีน้ำตาล Digitoxose 3 โมเลกุล และมีอะไกลโคนเป็น Digitoxigenin ราคาของ Digitoxin จะ<br />
แพงกว่า Powdered Digitalis เล็กน้อย แต่เนื่องจาก Digitoxin เป็นสารบริสุทธิ์ จึงมีความแม่นยำ<br />
เที่ยงตรงในเรื่องขนาดที่ใช้มากกว่า ขนาดที่ใช้รับประทาน ฉีดเข้ากล้ามเนื้อ หรือฉีดเข้าเส้นเลือด<br />
200-400 ไมโครกรัม ทุก 3 ถึง 6 ชั่วโมง แต่ต้องไม่เกิน 1.6 มิลลิกรัม ในเวลา 1 วัน<br />
Gitalin เป็นยาที่ได้จากใบของดิจิทาลิส ซึ่งมีส่วนผสมของไกลโคไซด์แต่ละชนิด ได้แก่<br />
Gitoxin 13-19% Gitaloxin (16-Formylgitoxin) Digitoxin 14-20% และไกลโคไซด์อื่นๆ อีกเล็กน้อย<br />
เตรียมโดยใช้น้ำเย็นสกัดจากใบ Digitalis แล้วทำให้บริสุทธิ์ ระเหยให้แห้ง Residue ที่ได้จะเรียกว่า<br />
“Gitalin” ซึ่งฤทธิ์ของ Gitalin ก็เหมือนฤทธิ์ของ Digitalis แต่ระยะเวลาในการเริ่มออกฤทธิ์จะเร็วกว่า<br />
และสลายตัวได้เร็วกว่า ยานี้ดูดซึมในระบบทางเดินอาหารได้ดี จึงใช้รับประทาน ขนาดรับประทาน<br />
คือ ในระยะเริ่มแรกให้ 2.5 มิลลิกรัม ตามด้วย 0.75 มิลลิกรัม ทุก 6 ชั่วโมง จนกระทั่งได้ผลการรักษา<br />
Peruvoside เป็นคาร์ดิแอคไกลโคไซด์ ที่แยกได้จากส่วนเมล็ดของรำเพย Thevetia<br />
Peruviana K. Schum วงศ์ Apocynaceae ที่ประเทศเยอรมันเตรียมเป็นเภสัชภัณฑ์ชื่อ Encordin ®<br />
ใช้รับประทาน มีฤทธิ์ในการรักษาเทียบเท่า Digoxin<br />
Ouabain USP เป็นไกลโคไซด์ที่ได้จากส่วนเมล็ดของ Strophantus Gratus และจากส่วน<br />
เนื้อไม้ของ Acokanthera schimperi (A. DC.) Schwf. มีโครงสร้างประกอบด้วย น้ำตาลแรมโนส<br />
(Rhamnose) และอะไกลโคน คือ Ouabagenin<br />
Ouabain ให้โดยการรับประทานไม่ปลอดภัย เพราะการดูดซึมในระบบทางเดินอาหารไม่<br />
สม่ำเสมอและช้า จึงใช้ฉีดกรณีฉุกเฉินในรายที่หัวใจล้มเหลว เพราะเป็นสารที่ออกฤทธิ์ได้เร็ว<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
13<br />
H 3<br />
C<br />
O<br />
H 3<br />
C<br />
O<br />
O<br />
O<br />
OH<br />
OH<br />
OH<br />
CH 3<br />
O<br />
O<br />
CH 3<br />
CH 3<br />
HO<br />
O<br />
H<br />
OH<br />
Digitoxin<br />
รูปที่ 4 โครงสร้างของดิจิทอกซิน (Digitoxin)
14<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
OH<br />
OH<br />
HO O<br />
HO<br />
O<br />
OH<br />
รูปที่ 5 โครงสร้างของอาร์บูติน (Arbutin)<br />
ไกลโคไซด์ที่นำมาใช้เป็นยาระบาย<br />
สมุนไพรที่นำมาใช้เป็น ยาระบายที่<br />
เป็นที่นิยม คือ มะขามแขก (Senna) โกฐน้ำเต้า<br />
(Rhubard) ยาดำ (Aloe) เป็นต้น สมุนไพรเหล่านี้<br />
มีสารออกฤทิ์จำพวกเดียวกัน คือ แอนทราควิโนน<br />
ไกลโคไซด์ (Anthraquinone Glycosides)<br />
เมื่อเรารับประทานสมุนไพร หรือยา<br />
ที่มีส่วนผสมของ แอนทราควิโนนไกลโคไซด์<br />
(Anthraquinone Glycosides) เข้าไป แบคทีเรีย<br />
ในลำไส้จะเปลี่ยนให้ แอนทราควิโนนไกลโคไซด์<br />
(Anthraquinone Glycosides) เป็น Free<br />
Anthranol ซึ่งเป็นสารที่สามารถออกฤทธิ์เป็น<br />
Stimulant Cathartics ไปกระตุ้นผนังลำไส้<br />
ให้บีบตัว ตัวอย่างของไกลโคไซด์ที่นำมาใช้<br />
ประโยชน์เป็นยาถ่าย-ยาระบาย เช่น บาบาโลอีน<br />
(Barbaloin) พบได้ในใบของว่านหางจระเข้<br />
ใช้เป็นองค์ประกอบในยาดำ ซึ่งใช้เป็นยาถ่าย<br />
หรือ Sennoside A และ Sennoside B เป็น<br />
แอนทราควิโนนไกลโคไซด์ ที่พบในใบและฝักของ<br />
มะขามแขกใช้เป็นยาระบายสำหรับคนที่ท้องผูก<br />
เป็นประจำ โดยฤทธิ์ในการระบายจะเกิดขึ้นใน<br />
เวลา 6-12 ชั่วโมงหลังรับประทาน<br />
ไกลโคไซด์ที่นำมาใช้ในเครื่องสำอาง<br />
หลายคนคงเคยได้ยินชื่อของ อาร์บูติน<br />
(Arbutin) มีชื่อทางเคมีว่า “Hydroquinonebeta-D-Glucoside”<br />
สามารถพบได้ในพืชจำพวก<br />
Berry ต่างๆ และผิวของลูกแพร์ (Pear) เป็นต้น<br />
ซึ่งเป็นส่วนผสมสำคัญในเครื่องสำอางราคาแพง<br />
มีคุณสมบัติสามารถยับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว หรือ<br />
เมลานิน โดยกลไกการออกฤทธิ์ คือ ไปยับยั้ง<br />
เอนไซม์ Tyrosinase ซึ่งเป็นเอนไซม์สำคัญที่<br />
ทำให้เกิดกระบวนการผลิตเม็ดสี แต่อาร์บูติน<br />
จะไม่ทำลายเซลล์สร้างเม็ดสี จึงไม่ทำให้ผิวบาง<br />
โครงสร้างของ อาร์บูติน ประกอบด้วย ไกลโคน<br />
คือ กลูโคส และ อะไกลโคน คือ ไฮโดรควิโนน ซึ่ง<br />
ก็เป็นส่วนผสมหลักในยาทารักษาฝ้า แต่ไฮโดร<br />
ควิโนนมีการออกฤทธิ์ที่รุนแรง และทำลายเซลล์<br />
เม็ดสี จึงเป็นเครื่องสำอางควบคุม<br />
นอกจากนี้ยังมี อะโลอิน (Aloin)<br />
ซึ่งเป็น แอนทราควิโนนไกลโคไซด์ ที่แยกได้<br />
จากว่านหางจระเข้ มีคุณสมบัติในการดูดรังสี<br />
อุลตราไวโอเลต จึงนิยมนำมาใช้เป็นส่วนผสม<br />
ในโลชั่นป้องกันแสงแดด หรือ กลีเซอไรซิน<br />
(Glycyrrhizin) ซึ่งเป็นซาโปนินไกลโคไซด์ที่ได้<br />
จากรากของชะเอมเทศ (Licorice Root) สารนี้<br />
เมื่อถูกย่อยจะให้ส่วนอะไกลโคนคือ กรด<br />
กลีเซอเรติก (Glycyrrhetic Acid) และ กรดโครูนิก<br />
2 โมเลกุล ชะเอมเทศมีคุณสมบัติในการทำให้<br />
ชุ่มชื้น ส่วนกรดกลีเซอเรติกนั้นมีคุญสมบัติ<br />
ในการลดการอักเสบ ส่วนแอสซิน (Aescin)<br />
ซึ่งเป็นซาโปนินไกลโคไซด์จากเมล็ดของต้น<br />
Horsechestnut นั้นมีการนำมาใช้ในผลิตภัณฑ์<br />
เครื่องสำอางที่ใช้กับผิว หนังศีรษะ และเส้นผม<br />
เนื่องจากสามารถลดการสูญเสียน้ำได้ และ<br />
ยังมี เอเชียทิโคไซด์ (Asiaticiside) และ มาเด
รูปที่ 6 ดอกหอมหมื่นลี้ (Osmanthus fragrans)<br />
คาสโซไซด์ (Madecassoside) จากใบบัวบก<br />
(Centella asiatica (L) Urban) มีสรรพคุณ<br />
เป็นยาฝาดสมาน ทำให้แผลหายเร็ว รักษาแผล<br />
ไฟไหม้ น้ำร้อนลวก ทำให้แผลไม่ปูด ปัจจุบัน<br />
นำออกมาจำหน่ายหลายรูปแบบ เช่น ผง ครีม<br />
ขี้ผึ้ง เป็นต้น<br />
นอกจากประโยชน์ดังที่กล่าวมา นัก<br />
วิทยาศาสตร์ส่วนมากยังคงพยายามศึกษาการ<br />
ออกฤทธิ์ของไกลโคไซด์ที่มีต่อโรคต่างๆ ดังเช่น<br />
Nam-In Baek และคณะนักวิทยาศาสตร์<br />
ชาวเกาหลีเหนือ ได้ทำการสกัดดอกหอมหมื่นลี้<br />
(Osmanthus fragrans) พบว่าในส่วนที่สกัดได้<br />
จากตัวทำละลาย Ethyl Acetate พบ Glycoside<br />
และเรียกว่า “(8E)-Listroside” เมื่อนำมาศึกษา<br />
การออกฤทธิ์ทางชีวภาพ พบว่าสามารถนำมา<br />
พัฒนาเป็นยารักษา หรือบรรเทาอาการของ<br />
โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’s Disease) ได้<br />
ซึ่งอยู่ระหว่างขั้นตอนศึกษาผลข้างเคียงต่อ<br />
ประสิทธิภาพ เพื่อที่จะพัฒนาเป็นยาต่อไป<br />
อ้างอิง<br />
1. วันดี กฤษณพันธ์. เภสัชวินิจฉัย :<br />
ยาและผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติ. กรุงเทพฯ :<br />
ภาควิชาเภสัชวินิจฉัย คณะเภสัชศาสตร์<br />
มหาวิทยาลัยมหิดล, 2536<br />
2. ตรีเพชร กาญจนภูมิ. เคมีของ<br />
สมุนไพร : การหาโครงสร้างเคมีของสาร<br />
แอโรแมติกไกลโคไซด์ด้วยนิวเคลียร์แมกเนติก<br />
เรโซแนนซ์สเปกโตรสโกปี. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์<br />
แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, 2552.<br />
3. โอภา วัชระคุปต์. เคมีของยา.<br />
พิมพ์ครั้งที่ 2. นนทบุรี : พี.เอส.พริ้นท์, 2551<br />
4. รัตนา อินทรานุปกรณ์. การตรวจ<br />
สอบผลและการสกัดแยกสารสำคัญจาก<br />
สมุนไพร. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์<br />
มหาวิทยาลัย, 2547<br />
5. Do-Gyeong Lee, Jin-Sung Choi,<br />
Seung-Woo Yeon, En-Ji Cui1, Hee-Jung<br />
Park, Jong-Su Yoo, In-Sik Chung, and<br />
Nam-In Baek, Secoiridoid Glycoside from<br />
the Flowers of Osmanthus fragrans var.<br />
aurantiacus Makino Inhibited the Activity<br />
of β-Secretase. J. Korean Soc. Appl. Biol.<br />
Chem., 2010. 53(3), 371-374<br />
6. http://www.oknation.net/blog/<br />
print.php?id=615123 เรียกดูวันที่ 20 มิถุนายน<br />
2555<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
15
<strong>NIMT</strong><br />
เทพบดินทร์ บริรักษ์อราวินท์, ทยาทิพย์ ทองตัน และ ปิยพัฒน์ พูลทอง<br />
ฝ่ายมาตรวิทยาไฟฟ้า<br />
ข้อกำหนดด้านมาตรวิทยา<br />
เวลาและความถี่<br />
16<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
ในการทำงานด้านเวลาและ<br />
ความถี่ ถ้าหากเราพิจารณา<br />
ถึงข้อกำหนดสำหรับการ<br />
สอบเทียบ เราจะพบว่า ข้อ<br />
กำหนดหลักๆ ประกอบด้วย<br />
Accuracy และ Stability<br />
บทความนี้ทางห้องปฏิบัติการเวลา<br />
และความถี่ของ มว. ได้รวบรวมนิยามของคำที่<br />
พบบ่อยครั้งในการทำงานทางด้านมาตรวิทยา<br />
เวลาและความถี่ ซึ่งในบางครั้งมักจะเกิดความ<br />
สับสนในการใช้งาน ดังนั้นทางคณะผู้เขียนจึงได้<br />
อ้างอิงนิยามจากบทความต่างๆ เพื่อที่จะอธิบาย<br />
นิยามของคำดังกล่าวให้เกิดความเข้าใจที่ถูกต้อง<br />
และเป็นไปในทางเดียวกัน<br />
ในการทำงานด้านเวลาและความถี่<br />
ถ้าหากเราพิจารณาถึงข้อกำหนดสำหรับการ<br />
สอบเทียบ เราจะพบว่า ข้อกำหนดหลักๆ<br />
ประกอบด้วย Accuracy และ Stability ซึ่งค่า<br />
ดังกล่าวใช้ในการอธิบาย ผลการวัดความถี่ของ<br />
ออสซิเลเตอร์ชนิดต่างๆ<br />
Accuracy<br />
ค่า Accuracy ใช้ในการอ้างถึงค่า<br />
ความต่างของเวลาหรือค่าความต่างของความถี่<br />
ของอุปกรณ์ใดๆ กับค่าในอุดมคติ ยกตัวอย่าง<br />
เช่น ความถูกต้องของเวลา 1 วินาที คือผลต่าง<br />
ของการวัดความแตกต่างระหว่างลูกคลื่นพัลส์<br />
(1PPS : Pulse Per Second) และเทียบกับลูก<br />
คลื่นพัลส์ (1PPS of UTC) อ้างอิง ซึ่งเป็นค่าใน<br />
อุดมคติได้มาจากการคำนวณ หาค่าเฉลี่ยของ<br />
นาฬิกาอะตอมมาตรฐานจากสถาบันมาตรวิทยา<br />
แห่งชาติของประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งเรียกอีก<br />
อย่างหนึ่งว่า เวลา UTC นั่นเอง ในเชิงความถี่<br />
การวัดค่า Frequency Offset และ Fractional<br />
Frequency Offset สามารถบ่งบอกถึงค่า<br />
Accuracy ของออสซิเลเตอร์นั้นๆ ได้<br />
ในการสอบเทียบออสซิเลเตอร์ ค่า<br />
Frequency Offset เป็นค่าที่แสดงให้เห็นถึง<br />
ความแตกต่างของความถี่ระหว่างความถี่ที่วัด<br />
ได้จากเครื่องมือ กับ Nominal Frequency ค่า<br />
ดังกล่าวอาจบอกมาในรูปของค่า Fractional<br />
Frequency Offset ซึ่งเป็นค่าสัมพัทธ์ของค่า<br />
Frequency Offset โดยสามารถคำนวนได้จาก<br />
สมการต่อไปนี้<br />
ƒ (offset) = ƒ measured - ƒ nominal<br />
ƒ nominal<br />
โดยที่ ƒ measured<br />
คือ ค่าความถี่ที่<br />
อ่านได้จากเครื่องนับความถี่ หรือความถี่ของ<br />
เครื่องมือที่นำมาสอบเทียบและ ƒ nominal<br />
คือ ค่า<br />
ความถี่ในอุดมคติ หรือความถี่ของเครื่องมือที่<br />
เป็นมาตรฐาน
ค่า Frequency Offset และ<br />
Fractional Frequency Offset สามารถวัดได้<br />
ทั้งใน Frequency Domain หรือ Time Domain<br />
โดยการวัดใน Frequency Domain นั้นทำได้โดย<br />
ใช้วิธีนับความถี่โดยตรงด้วยเครื่องนับความถี่<br />
(Frequency Counter) ส่วนการวัดค่าใน Time<br />
Domain โดยใช้วิธีการวัดเทียบค่าความแตกต่าง<br />
ของเวลาระหว่างเครื่องที่นำมาสอบเทียบ (UUC :<br />
Unit Under Calibration) และค่าของเครื่อง<br />
ที่ใช้เป็นมาตรฐาน (Primary Standard หรือ<br />
Reference Standard) การวัดช่วงเวลา (Time<br />
Interval Measurement) นั้น ทำได้โดยการใช้<br />
เครื่องออสซิโลสโคป หรือ เครื่องนับช่วงเวลา<br />
เสถียรภาพ (Stability)<br />
เสถียรภาพ เป็นคุณลักษณะที่มีอยู่<br />
ในออสซิเลเตอร์ที่กำหนดความสามารถในการ<br />
จ่ายความถี่ให้ได้ความถี่ซึ่งคงที่ไม่เปลี่ยนแปลง<br />
ภายในช่วงเวลาที่กำหนด เสถียรภาพของตัว<br />
กำเนิดความถี่หรือออสซิเลเตอร์นั้นไม่ได้แสดงว่า<br />
ค่าความถี่ที่สร้างขึ้นเป็นค่าที่ถูกต้องหรือไม่ หาก<br />
แต่เป็นเพียงสิ่งที่ใช้แสดงว่าความถี่ที่สร้างขึ้นนั้น<br />
มีค่าคงที่เช่นเดิมภายใต้เงื่อนไขที่กำหนดเท่านั้น<br />
เสถียรภาพของออสซิเลเตอร์นั้น อาจ<br />
ไม่มีการเปลี่ยนแปลง ถึงแม้ว่า Frequency<br />
Offset จะมีค่าเปลี่ยนแปลงไปก็ตาม เราสามารถ<br />
ปรับแก้ค่าความถี่ของออสซิเลเตอร์ให้ห่างออก<br />
ไปหรือเข้าใกล้ค่า Nominal Frequency โดยที่<br />
ไม่กระทบต่อเสถียรภาพของตัวออสซิเลเตอร์<br />
รูปด้านล่างแสดงการทำงานที่กล่าว<br />
ข้างต้น โดยแสดงสัญญาณสองสัญญาณที่<br />
ความถี่เดียวกันระหว่างช่วงเวลา t 1<br />
และ t 2<br />
ภาพนี้<br />
แสดงให้รู้ว่าสัญญาณ 1 ไม่เสถียร และ มีการ<br />
เปลี่ยนแปลงค่าความถี่ระหว่าง t 2<br />
และ t 3<br />
Unstable Frequency<br />
+1<br />
V<br />
-1<br />
t 1<br />
t 2<br />
t<br />
1<br />
3<br />
Linear Time<br />
Stable Frequency<br />
+1<br />
V<br />
-1<br />
t 1<br />
t 2<br />
t<br />
2<br />
3<br />
Linear Time<br />
17<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69
18<br />
ในการคำนวนหาค่าเสถียรภาพของ<br />
ออสซิเลเตอร์ เราสามารถใช้ Allan Deviation<br />
ซึ่งเป็นวิธีทางสถิติ ในบางครั้งมักถูกเรียกว่า<br />
Allan Variance ซึ่งเป็นค่ายกกำลังสองของ<br />
Allan Deviation โดยสมการของ Allan Deviation<br />
ในกรณีที่ทำการวัด Fractional Frequency<br />
Offset คือ<br />
σ y<br />
(τ) =<br />
1 M-1<br />
∑ (y<br />
2 (M-1) i+1<br />
-y i<br />
) 2<br />
i=1<br />
โดยที่ y i<br />
คือ ชุดของการวัด Fractional<br />
Frequency Offset ที่ประกอบด้วยผลการวัด<br />
แต่ละครั้ง คือ y 1<br />
, y 2 , y 3<br />
เรื่อยไป M คือจำนวน<br />
ค่าอนุกรม y i<br />
และข้อมูลมีการแบ่งช่วงเวลา<br />
ที่ทำการวัดเท่ากัน<br />
ขณะที่ในการวัดเฟสของพัลส์ หรือ<br />
สัญญาณเวลา จะทำการหาค่า Allan Deviation<br />
โดยการใช้สมการ<br />
σ y<br />
(τ) =<br />
1 N-2<br />
∑ [x<br />
2 (N-2)τ 2 i+2<br />
-2x i+1<br />
+x i<br />
] 2<br />
i=1<br />
โดยที่ x i<br />
คือชุดของการวัดเฟสใน<br />
หน่วยของเวลา ซึ่งประกอบด้วย การวัดในแต่ละ<br />
ครั้งเป็น x 1<br />
, x 2<br />
, x 3<br />
ค่า N คือจำนวนค่าอนุกรม<br />
x i<br />
โดยที่ข้อมูลมีการแบ่งช่วงที่เท่ากันในคาบ<br />
เวลา τ วินาที<br />
รูปด้านล่างแสดงกราฟของ Allan<br />
Deviation โดยมีค่าลดลงเมื่อระยะเวลาเฉลี่ย τ<br />
ที่นานขึ้น แสดงให้เห็นถึงเสถียรภาพของอุปกรณ์<br />
ที่เพิ่มขึ้น โดยจุดต่ำสุดของกราฟเรียกว่า Noise<br />
Floor หรือจุดที่สัญญาณรบกวนยังเหลืออยู่<br />
อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ เช่น Aging Rate หรือ<br />
Random Walk<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
Frequency Stability<br />
Allan Deviation, σ y<br />
(τ)<br />
10 -10 10 -9 10 -8<br />
Tau 1<br />
2<br />
4<br />
8<br />
16<br />
32<br />
64<br />
128<br />
256<br />
512<br />
1024<br />
2048<br />
Sigma<br />
1.39e-09<br />
9.41e-10<br />
6.76e-10<br />
3.82e-10<br />
2.27e-10<br />
1.20e-10<br />
7.06e-11<br />
4.94e-11<br />
4.87e-11<br />
5.90e-11<br />
8.07e-11<br />
1.04e-10<br />
10 -11<br />
10 0 10 1 10 2 10 3 10 4<br />
Averaging Time, τ, Seconds
การกำหนดค่าเสถียรภาพสามารถ<br />
แบ่งได้เป็นสองระยะ คือ เสถียรภาพระยะสั้น<br />
ซึ่งช่วงเวลาของการวัดน้อยกว่า 100 วินาที และ<br />
เสถียรภาพระยะยาวซึ่งช่วงระยะเวลาการวัด<br />
มากกว่า 100 วินาที<br />
ในการสอบเทียบมักพบว่าอุปกรณ์<br />
กำเนิดความถี่บางประเภท เช่น Oven Controlled<br />
Crystal Oscillator (OCXO) เป็นออสซิเลเตอร์<br />
ซึ่งมีเสถียรภาพที่ดีในระยะสั้น แต่อุปกรณ์<br />
ประเภท GPS Discipline Oscillator (GPSDO)<br />
มีเสถียรภาพระยะยาวที่ดี โดยค่าเสถียรภาพ<br />
มักจะถูกระบุไว้ในข้อมูลจำเพาะของเครื่องมือ<br />
ประเภทนั้นๆ<br />
กราฟด้านล่างเป็นการสรุปความ<br />
สัมพันธ์ระหว่าง Accuracy และ Stability โดยที่<br />
f 0<br />
คือ Nominal Frequency และ f คือความถี่ที่<br />
วัดได้<br />
นอกจากค่า Accuracy และ Stability<br />
ยังมีค่าอื่นๆ ซึ่งมักจะถูกระบุไว้ในข้อมูลจำเพาะ<br />
ของเครื่องมือ เช่น Aging Rate, Temperature<br />
Variation และ Line Voltage โดยค่าเหล่านี้มี<br />
ผลกระทบต่อ Accuracy และ Stability ของ<br />
เครื่องมือ<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
National Institute of Science and<br />
Technology (NIST). 6 Jul. 2012. http://tf.nist.<br />
gov/general/glossary.htm<br />
Alliance for Telecommunications<br />
Industry Solutions (ATIS). 12 Jul. 2012.<br />
http://www.atis.org/glossary/using.aspx<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
19<br />
f f f f<br />
f 0<br />
Time Time Time<br />
Time<br />
Stable but<br />
not accurate<br />
Not stable and<br />
not accurate<br />
Accurate but<br />
not stable<br />
Stable and<br />
accurate
20<br />
<strong>NIMT</strong><br />
Profile<br />
ชื่อ : ดร.ชัชวาล คุรุภากรณ์ (ต่วย)<br />
การศึกษา : Doctor of Engineering, Nagoya University (Japan)<br />
Master of Engineering, Nagoya University (Japan)<br />
วิศวกรรมศาสตรบัณฑิต จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
ผลงาน :<br />
- พัฒนามาตรฐานแห่งชาติในสาขาการวัดความต้านทาน<br />
(มาตรฐานปฐมภูมิควอนตัมฮอลล์)<br />
- พัฒนามาตรฐานแห่งชาติในสาขาการวัดไฟฟ้าแรงดันสูงกระแสสลับ<br />
- นำเสนอผลงานในการประชุมวิชาการ CPEM2010<br />
คติพจน์ในการทำงาน : ทำในสิ่งที่ต้องทำ<br />
ด<br />
ร.ชัชวาล<br />
คุรุภากรณ์<br />
หนุ่มน้อยหน้าใสดีกรีระดับ<br />
ดอกเตอร์ท่านนี้ นอกจากเก่งในด้าน<br />
วิชาการแล้ว ยังหน้าตาละม้ายคล้าย<br />
ชาวญี่ปุ่น แถมยังพูดภาษาญี่ปุ่นได้<br />
อย่างคล่องแคล่วอีกด้วย “ดร.ชัชวาล<br />
คุรุภากรณ์” และด้วยความสามารถหลาก<br />
หลายด้านเช่นนี้ หนุ่มท่านนี้จึงได้รับการ<br />
คัดเลือกให้เป็น “นักมาตรวิทยารุ่นใหม่”<br />
ลองเข้าไปอ่านประวัติของหนุ่มท่านนี้ดู<br />
นะคะ<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
บทบาท หน้าที่และแผนพัฒนาห้อง<br />
ปฏิบัติการความต้านทาน และห้องปฏิบัติการ<br />
ไฟฟ้าแรงดันสูง ฝ่ายมาตรวิทยาไฟฟ้า<br />
รับผิดชอบงานใน 2 ห้องปฏิบัติการ<br />
ได้แก่ ห้องปฏิบัติการความต้านทาน (มาตรฐาน<br />
ปฐมภูมิควอนตัมฮอลล์) และห้องปฏิบัติการ<br />
ไฟฟ้าแรงดันสูง โดยเน้นงานวิจัยและพัฒนาเพื่อ<br />
ให้การวัดมีความถูกต้องมากขึ้น เพื่อตอบสนอง<br />
ให้เพียงพอต่อความต้องการด้านมาตรวิทยาใน<br />
ปัจจุบัน และอนาคต นอกจากนี้ยังพยายาม<br />
ส่งเสริมให้เกิดการออกแบบ และสร้างอุปกรณ์<br />
เครื่องมือวัดต่างๆ เพื่อทดแทนการนำเข้าอุปกรณ์<br />
เครื่องมือวัดจากต่างประเทศ<br />
งานมาตรวิทยาไทยสามารถก้าวไปสู่<br />
ระดับแนวหน้าของโลกได้หรือไม่ อย่างไร<br />
งานมาตรวิทยาไทยสามารถก้าวไป<br />
สู่ระดับแนวหน้าได้ หากมีการวางแผนและ<br />
กำหนดเป้าหมายร่วมกันอย่างชัดเจน เป็น<br />
ระบบ ระหว่างภาคการศึกษา ภาคอุตสาหกรรม<br />
และภาครัฐ นอกจากนี้ยังต้องดำเนินการตาม<br />
แผนงาน มีการติดตามประเมินผล รวมถึง<br />
การปรับปรุงแผนงานให้สอดคล้องกับความ<br />
เปลี่ยนแปลงต่างๆ ร่วมกันอย่างเหมาะสม<br />
การเป็นนักมาตรวิทยาต้องมีวิสัยทัศน์<br />
อย่างไรบ้าง<br />
ปัจจุบัน วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
มีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ เช่น เทคนิคการวัด<br />
ใหม่ๆ หรือแม้กระทั่งนิยามของ SI ที่อาจจะ<br />
เปลี่ยนแปลงไป ดังนั้นนักมาตรวิทยาจึงจำเป็น<br />
ต้องมีความยืดหยุ่น และพัฒนาตนเองอยู่เสมอ<br />
เพื่อให้สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลง<br />
ดังกล่าวได้
Profile<br />
ชื่อ : ธสร สิงหะเนติ (น้ำ)<br />
การศึกษา : ครุศาสตร์อุตสาหกรรม สาขาวิศวกรรมเครื่องกล สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้า<br />
พระนครเหนือ<br />
ผลงาน :<br />
- สอบเทียบเครื่องมือวัดความชื้นตั้งแต่ช่วงการวัด 20% rh ถึง 95% rh ที่อุณหภูมิ<br />
ตั้งแต่ 20°C ถึง 30°C<br />
- เป็นวิทยากรให้กับสถาบันฯ ในหัวข้อที่เกี่ยวกับการสอบเทียบเครื่องมือวัด<br />
ความชื้น<br />
- งานวิจัยในหัวข้อ “โครงการพัฒนาท่อปรับความชื้นคงที่เพื่อใช้ร่วมกับเครื่อง<br />
กำเนิดความชื้นคงที่มาตรฐาน” และ “Comparison of Calibration method of<br />
Climatic Chamber”<br />
- อยู่ระหว่างพัฒนาเพื่อสถาปนาการสอบเทียบเครื่องมือวัดความชื้นในผลิตภัณฑ์<br />
การเกษตร<br />
คติพจน์ในการทำงาน : การพิจารณาตัดสินผู้อื่น มีแต่จะเพิ่มความหยิ่งทะนงตน<br />
จงเฝ้าดูและพิจารณาตนเอง<br />
<strong>NIMT</strong><br />
อีกหนึ่งสาวมาก<br />
ความสามารถที่ได้รับคัดเลือก<br />
ในฐานะ “นักมาตรวิทยารุ่นใหม่”<br />
ฉบับนี้ขอแนะนำ “ธสร สิงหะเนติ”<br />
นักมาตรวิทยาสาว หน้าสวย<br />
ประจำห้องปฏิบัติการความชื้น<br />
ฝ่ายมาตรวิทยาอุณหภูมิ ลอง<br />
มาฟังความคิดเห็นของเธอกัน<br />
นะคะ<br />
ธสร<br />
สิงหะเนติ<br />
21<br />
มาตรวิทยาเกี่ยวข้องกับประชาชนใน<br />
ปัจจุบันอย่างไร<br />
ทุกอย่างในชีวิตและสุขภาพเกี่ยวข้อง<br />
กับมาตรวิทยาทั้งสิ้น ยกตัวอย่างเช่น เวลาเข้า<br />
โรงพยาบาล เป็นไข้ต้องวัดอุณหภูมิร่างกาย เรา<br />
ก็จะมีข้อสงสัยว่า เครื่องมือวัดตรงตามความเป็น<br />
จริงหรือเปล่า โดนตำรวจจับเพราะขับรถเร็ว ก็มี<br />
ข้อสงสัยอีกว่า เครื่องมือตรวจจับความเร็วเชื่อถือ<br />
ได้หรือไม่ ได้รับการสอบเทียบหรือยัง เข้าไปซื้อ<br />
ผลไม้ในห้างสรรพสินค้า ก็ไม่แน่ใจว่าเครื่องชั่ง<br />
มีสติ๊กเกอร์สอบเทียบเครื่องชั่งหรือไม่ เมื่อมอง<br />
ไปรอบๆ ตัวเรา ก็จะเห็นได้ว่า การวัดเกี่ยวข้อง<br />
กับพวกเราทั้งสิ้น<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
บทบาท หน้าที่และแผนพัฒนาห้อง<br />
ปฏิบัติการ<br />
บทบาทหลักคือ การรักษามาตรฐาน<br />
ปฐมภูมิทางด้านความชื้นให้ถูกต้องและยอมรับ<br />
ได้ในระดับสากล โดยสามารถสอบกลับหน่วยวัด<br />
SI ได้ด้วยตัวเอง ทั้งในส่วนของอุณหภูมิและ<br />
ความดัน หน้าที่รองคือ การสอบเทียบเครื่องมือ<br />
วัดความชื้นในอากาศให้ลูกค้า รวมถึงการทำงาน<br />
เพื่อให้เป็นไปตามแผนกลยุทธ์ของสถาบัน เช่น<br />
การเป็นตัวหลักในการทำ International Comparison<br />
ทางด้านความชื้น หรือการทำแนวทางการสอบเทียบ<br />
เครื่องมือวัดความชื้น เป็นต้น<br />
ประชาชนทั่วไปควรรู้เรื่องเกี่ยวกับมาตร<br />
วิทยาหรือไม่ อย่างไร<br />
สมควรเป็นอย่างยิ่ง เพื่อให้เข้าสมัยกับ<br />
การดำเนินชีวิต แต่จะทำได้หรือไม่นั้น ส่วนหนึ่ง<br />
น่าจะขึ้นอยู่กับความตระหนักในเรื่องของ<br />
วิทยาศาสตร์ของแต่ละประเทศก่อน ตอนนี้<br />
เข้าใจว่าประชาชนทั่วไปยังไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับ<br />
มาตรวิทยามากนัก เพราะแม้แต่นักวิทยาศาสตร์<br />
ในประเทศ หรือแม้แต่งานวิจัยที่วิจัยออกมาก็<br />
ไม่ค่อยได้รับความสนใจ หรือให้ความสำคัญ<br />
กับการวัดที่ถูกต้อง หรือความน่าเชื่อถือของผล<br />
การวัดเท่าไหร่ด้วยซ้ำ
<strong>NIMT</strong><br />
แข่งขันฝีมือแรงงาน (27-30 เมษายน 2555)<br />
มว.ร่วมมือกับ สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา กรมพัฒนาฝีมือแรงงาน<br />
บริษัท มิตูโตโย (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท สุมิพล จำกัด ร่วมกันจัดโครงการ<br />
“การแข่งขันทักษะมาตรวิทยาทางด้านมิติ” ในการแข่งขันฝีมือแรงงานแห่งชาติ ครั้งที่ 24<br />
ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา กรุงเทพฯ<br />
Skill Competition (April 27-30, 2012)<br />
<strong>NIMT</strong>, Office of Vocational Education Commission, Department of Skill<br />
Development, Mitutoyo (Thailand) Co., Ltd. and Sumipol Co., Ltd. arranged<br />
“Dimensional Metrology Skill Competition” at BITEC, Bangna, Bangkok.<br />
22<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
ผู้ช่วย รมว. เยี่ยมชม (10 พฤษภาคม 2555)<br />
ดร.วิบูลย์ แช่มชื่น ผู้ช่วยรัฐมนตรี<br />
ประจำกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และ<br />
คณะ เข้าเยี่ยมชม สถาบันและรับฟังการบรรยาย<br />
โดยมี นายสมศักดิ์ ฉากเขียน รอง ผมว.(1)<br />
ผู้ทำการแทนชั่วคราวในตำแหน่ง ผมว. พร้อม<br />
ด้วยคณะผู้บริหารของสถาบันให้การต้อนรับ ณ<br />
อาคารผดุงมาตร มว. จ.ปทุมธานี<br />
Vice Minister Visit (May 10, 2012)<br />
Mr. Somsak CHARKKIAN, Deputy<br />
Director (1), Acting Director, <strong>NIMT</strong> welcomed<br />
Dr. Wiboon SHAMSHEUN, Vice Minister,<br />
Ministry of Science and Technology together<br />
with his team. On the occasion of visiting<br />
<strong>NIMT</strong> laboratories and listening to the lecture<br />
at Phadungmat building, <strong>NIMT</strong>, Pathum<br />
Thani province.<br />
อบรมเคมี (21-25 พฤษภาคม 2555)<br />
ฝ่ายมาตรวิทยาเคมีและชีวภาพ มว. จัดการฝึกอบรมเรื่อง การประมาณค่าความ<br />
ไม่แน่นอนของการวัดในการวิเคราะห์ทางเคมี ในหัวข้อ “Analytical Method Validation”<br />
(AMV) และ “Estimation of Measurement Uncertainty for Chemists” โดยมีวิทยากรจาก<br />
กรมวิทยาศาสตร์บริการมาบรรยายให้ความรู้ ณ อาคารผดุงมาตร มว. จ.ปทุมธานี<br />
Chemical Training (May 21-25, 2012)<br />
Chemical Metrology and Biometry Department, <strong>NIMT</strong>, arranged a seminar<br />
on Uncertainty of Measurement on Chemical Analysis under the topic “Analytical<br />
Method Validation (AMV)” and “Estimation of Measurement Uncertainty for Chemists”<br />
by the guest speaker from the Department of Science Service helded at Phadungmat<br />
building, <strong>NIMT</strong>, Pathum Thani province.<br />
ทำบุญตักบาตร (1 มิถุนายน 2555)<br />
นายสมศักดิ์ ฉากเขียน รอง ผมว.(1) ผู้ทำการแทนชั่วคราวในตำแหน่ง ผมว. เป็น<br />
ประธานในพิธีทำบุญตักบาตรเนื่องในโอกาสวันสถาปนาสถาบันครบรอบ 14 ปี โดยมีคณะ<br />
ผู้บริหารและพนักงาน มว. ร่วมพิธี ณ อาคารสำนักงานกลาง มว. จ.ปทุมธานี<br />
The Buddhist Ritual (June 1, 2012)<br />
Mr. Somsak CHARKKIAN, Deputy Director (1), Acting Director, <strong>NIMT</strong><br />
chaired of the Buddhist Ritual on the occasion of celebrating 14 th <strong>NIMT</strong> Anniversary.<br />
<strong>NIMT</strong> executives and staffs participated in the ceremony at Administration building,<br />
<strong>NIMT</strong>, Pathum Thani province.
ประมวลภาพ<br />
กิจกรรม<br />
บรรยายเรื่องน่ารู้ (14 มิถุนายน 2555)<br />
นายสมศักดิ์ ฉากเขียน รอง ผมว.(1) ผู้ทำการแทนชั่วคราวในตำแหน่ง ผมว. เป็น<br />
ประธานกล่าวเปิดการบรรยายในหัวข้อ “การสร้างความตระหนักในการใช้คอมพิวเตอร์<br />
อย่างปลอดภัย” เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจแก่ผู้บริหารและพนักงาน มว. ในโอกาสนี้<br />
พ.ต.อ.ญาณพล ยั่งยืน รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เป็นวิทยากรบรรยายในหัวข้อ<br />
ดังกล่าว ณ อาคารสำนักงานกลาง มว. จ.ปทุมธานี<br />
Moral Briefing (June 14, 2012)<br />
Mr. Somsak CHARKKIAN, Deputy Director (1), Acting Director, <strong>NIMT</strong><br />
presided over a lecture on “How to raise awareness of computer security” in order<br />
to give knowledge to <strong>NIMT</strong> executive and staffs. On this occasion, Police Colonel<br />
Yanaphon YOUNGYUEN, Deputy Director of the Department of Special Investigation<br />
gave a lecture at Administration building, <strong>NIMT</strong>, Pathum Thani province.<br />
คาราวานวิทยาศาสตร์ (11-16 มิถุนายน 2555)<br />
องค์การพิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์แห่งชาติ (อพวช.) จัดกิจกรรมคาราวาน<br />
วิทยาศาสตร์ ประจำปี 2555 เพื่อให้ความรู้แก่เด็กและเยาวชน ในโอกาสนี้ มว. ร่วมจัด<br />
นิทรรศการและกิจกรรมให้ความรู้ด้านมาตรวิทยาในชีวิตประจำวัน ณ จ.ลำพูน<br />
Caravan Science (June 11-16, 2012)<br />
The National Science Museum (NSM) organized Caravan science activities<br />
for the year 2012 disseminate knowledge to all children. On this occasion, <strong>NIMT</strong><br />
also organized a metrology exhibition at Lamphun province.<br />
เยี่ยมชม (15 มิถุนายน 2555)<br />
นายสมศักดิ์ ฉากเขียน รอง ผมว. (1) ผู้ทำการแทน<br />
ชั่วคราวในตำแหน่ง ผมว. และผู้บริหาร มว. ให้การต้อนรับ<br />
คณะผู้บริหารและเจ้าหน้าที่ของ บริษัท ยูนิคอุตสาหกรรม<br />
พลาสติก จำกัด ในโอกาสที่เข้าฟังบรรยายและเยี่ยมชมห้อง<br />
ปฏิบัติการ ณ อาคารผดุงมาตร มว. จ. ปทุมธานี<br />
Unique Plastic Industry Co., Ltd. Visit (June 15, 2012)<br />
Mr. Somsak CHARKKIAN, Deputy Director (1),<br />
Acting Director and <strong>NIMT</strong> executives welcomed<br />
staffs from Unique Plastic Industry Co., Ltd. On the<br />
occasion of visiting <strong>NIMT</strong> laboratory and listening<br />
to the lecture at Phadungmat building, <strong>NIMT</strong>,<br />
Pathum Thani province.<br />
บูรณาการและนิทรรศการ<br />
(6-8 มิถุนายน 2555)<br />
นางสาวเสาวณี มุสิแดง รองปลัด<br />
กระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เป็น<br />
ประธานกล่าวเปิดการประชุมเชิงปฏิบัติการ เรื่อง<br />
การบูรณาการงานด้าน วทน : วทน. สัญจรสู่<br />
องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นในกลุ่มจังหวัด<br />
ภาคใต้ (ระนอง พังงา ภูเก็ต กระบี่ ตรัง) ในโอกาสนี้<br />
มว. เข้าร่วมการประชุมและจัดแสดงนิทรรศการ<br />
ให้ความรู้ด้านมาตรวิทยา เรื่อง “เวลามาตรฐาน<br />
ของประเทศไทย” และ “วัสดุอ้างอิงทางเคมี”<br />
ณ โรงแรมมารินไทม์ ปาร์ค แอนด์ สปา รีสอร์ท<br />
จ.กระบี่<br />
Integration and Exhibitions (June 6-8, 2012)<br />
Ms. Saowanee MUSIDANG, Deputy<br />
Permanent Secretary, Ministry of Science<br />
and Technology presided over a workshop<br />
on “The Integration of Science and<br />
Technology in Local Government in the<br />
Southern Province of Thailand (Ranong,<br />
Phang Nga, Phuket, Krabi, Trang)”. On this<br />
occasion, <strong>NIMT</strong> participated in the meeting<br />
and organized a metrology exhibition at<br />
Maritime Park & Spa Resort, Krabi province.<br />
September-October 2012/Vol.14, No.69<br />
23