คู่มือบริหารงานบุคคลกรม ปภ.
คู่มือบริหารงานบุคคลกรม ปภ.
คู่มือบริหารงานบุคคลกรม ปภ.
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
คำนำ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 ซึ่งมีผลใช้บังคับตั้งแต่<br />
วันที่ 26 มกราคม 2551 ได้ปรับเปลี่ยนบทบาทและแนวทางปฏิบัติราชการเพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลง<br />
ของสถานการณ์รอบด้านและเป็นกลไกหลักในการขับเคลื่อนภารกิจของประเทศ ให้เป็นไปด้วยความ<br />
เหมาะสมสอดคล้องกับแนวทางการบริหารราชการแนวใหม่ โดยมุ่งที่จะเปลี่ยนแปลงมุมมองต่อระบบบริหาร<br />
ข้าราชการจากเดิมที่เน้นการพัฒนาข้าราชการให้มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ยึดกระบวนการทำางานและ<br />
ประสิทธิภาพเฉพาะส่วน เปลี่ยนเป็นเน้นให้ข้าราชการเป็นผู้รู้รอบ รู้ลึก และเป็นแรงผลักดันที่สำาคัญต่อความ<br />
สำาเร็จขององค์กร ซึ่งการบังคับใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือนดังกล่าว ทำาให้มีการปรับเปลี่ยน<br />
ระบบบริหารงานบุคคลครั้งใหญ่ในภาคราชการ รวมทั้งกฎ ระเบียบ และหลักเกณฑ์ต่าง ๆ อาทิ ระบบจำาแนก<br />
ตำาแหน่งและค่าตอบแทน ระบบวินัยและพิทักษ์คุณธรรม ระบบการประเมินผลการปฏิบัติราชการ เป็นต้น<br />
ซึ่งข้าราชการจำาเป็นต้องมีความรู้ความเข้าใจเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างถูกต้องตรงตามเจตนารมณ์<br />
ที่กฎหมายกำาหนด<br />
ดังนั้น เพื่อให้ข้าราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้มีความรู้ความเข้าใจ<br />
เกี่ยวกับกระบวนงาน ขั้นตอนการปฏิบัติงานด้านการบริหารงานบุคคล รวมถึงสิทธิประโยชน์และสวัสดิการ<br />
ต่าง ๆ ซึ่งจะช่วยให้การบริหารงานบุคคลของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย สอดคล้องกับบทบัญญัติ<br />
ของกฎหมายที่กำาหนดขึ้น จึงได้จัดทำาคู่มือการบริหารงานบุคคลของข้าราชการกรมป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัย เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานด้านการบริหารงานบุคคลให้กับหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัด<br />
รวมทั้งให้ข้าราชการได้รับทราบขั้นตอนการปฏิบัติงานด้านการบริหารงานบุคคล สิทธิประโยชน์และสวัสดิการ<br />
ต่าง ๆ เป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้ระบบการบริหารงานบุคคลมีความเข้มแข็งสร้างความพึงพอใจให้กับ<br />
ข้าราชการและบุคลากรในสังกัดนำาไปสู่การพัฒนาการบริหารทรัพยากรบุคคลอย่างมีประสิทธิภาพต่อไป<br />
(นายอนุชา โมกขะเวส)<br />
อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
30 กันยายน 2553<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
1
2 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
สารบัญ<br />
หน้า<br />
• งานทะเบียนประวัติและสิทธิประโยชน์ข้าราชการ<br />
- การจัดทำาบัตรประจำาตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ 7<br />
- การขอรับและการจ่ายเบี้ยหวัด บำาเหน็จบำานาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน 10<br />
ผ่านระบบบำาเหน็จบำานาญ<br />
- เงินช่วยพิเศษกรณีข้าราชการหรือข้าราชการบำานาญถึงแก่ความตาย 18<br />
- การขอแก้ไขวัน เดือน ปีเกิด ในทะเบียนประวัติข้าราชการ 20<br />
- การลาของข้าราชการ 21<br />
- การเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำาปีให้แก่ข้าราชการ 34<br />
- การออกหนังสือรับรองสถานภาพการเป็นข้าราชการ 37<br />
- การขอพระราชทานเพลิงศพและหีบเพลิง 40<br />
• งานสวัสดิการ<br />
- โครงการสวัสดิการเงินกู้ 45<br />
- การมอบประกาศเกียรติคุณ 49<br />
- การฌาปนกิจสงเคราะห์ 50<br />
- การลาศึกษาต่อในประเทศ 53<br />
- การคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น 56<br />
• งานสรรหาบรรจุแต่งตั้ง<br />
- การย้ายข้าราชการผู้ได้รับวุฒิเพิ่มขึ้น 61<br />
(จากการขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้จากส่วนราชการอื่น)<br />
- การส่งตัวข้าราชการ ลูกจ้างประจำาและพนักงานราชการ 63<br />
ไปปฏิบัติราชการตามคำาสั่ง<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
3
หน้า<br />
• งานอัตรากำาลังและระบบงาน<br />
- ประเภทและตำาแหน่งของข้าราชการพลเรือน 69<br />
- มาตรฐานความรู้ความสามารถ ทักษะและสมรรถนะที่จำาเป็นสำาหรับตำาแหน่ง 74<br />
ข้าราชการพลเรือน<br />
- สายทางความก้าวหน้าในสายงานของข้าราชการ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย 80<br />
• งานวินัย<br />
- วินัยและการดำาเนินการทางวินัย 85<br />
- การดำาเนินการเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด 95<br />
- การร้องเรียน / ร้องทุกข์ 99<br />
- ตัวอย่างการลงโทษทางวินัยข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานราชการ 101<br />
4 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
งานทะเบียนประวัติและสิทธิประโยชน์ข้าราชการ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
5
6 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
การจัดทำบัตรประจำตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ<br />
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
กฎหมาย คำสั่งและหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้อง<br />
• พระราชบัญญัติบัตรประจำาตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ พ.ศ. 2542<br />
• คำาสั่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ 217/2553 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2553<br />
เรื่อง มอบอำานาจให้รองอธิบดีปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
• คำาสั่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ 384/2553 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2553<br />
เรื่อง มอบอำานาจหน้าที่ให้ผู้อำานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ปฏิบัติราชการแทน<br />
อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
• หนังสือกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ มท 0602/ว 948 และ ว 949 ลงวันที่ 10 สิงหาคม<br />
2552 เรื่อง การซักซ้อมแนวทางปฏิบัติในการขอมีบัตรประจำาตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ<br />
ขั้นตอนการดำเนินงาน<br />
1. ขอรับแบบฟอร์มคำาร้อง<br />
1.1 ข้าราชการสังกัดส่วนกลาง (สำานัก กอง และหน่วยงาน) และข้าราชการบำานาญ ขอรับ<br />
แบบฟอร์มคำาร้องได้ที่กลุ่มงานทะเบียนประวัติและสิทธิประโยชน์ข้าราชการ กองการเจ้าหน้าที่ หรือ<br />
ดาวน์โหลดแบบฟอร์มคำาร้องได้ที่ www.disaster.go.th : บริหารงานบุคคล/ ดาวน์โหลดแบบฟอร์มต่าง ๆ/<br />
กลุ่มงานทะเบียนประวัติและสิทธิประโยชน์ข้าราชการ<br />
1.2 ข้าราชการสังกัดศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต และข้าราชการบำานาญ ขอรับ<br />
แบบฟอร์มคำาร้องได้ที่ฝ่ายบริหารทั่วไป<br />
1.3 ข้าราชการสังกัดสำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดและข้าราชการบำานาญ<br />
ติดต่อขอรับแบบฟอร์มคำาร้องขอมีบัตรได้ที่กลุ่มงานยุทธศาสตร์และการจัดการ<br />
2. การยื่นคำาร้อง<br />
2.1 ให้ทำาคำาขอมีบัตรยื่นต่อหน่วยงานที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการ และหัวหน้าหน่วยงานลงนาม<br />
รับรองความถูกต้อง ทั้งนี้ให้เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบตรวจสอบว่าผู้ทำาคำาขอมีบัตรสังกัดตามกรอบโครงสร้าง<br />
ณ หน่วยงานใด (กรอบตำาแหน่งที่ดำารงอยู่) ก็ให้จัดส่งคำาขอไปยังสังกัดตามตำาแหน่งที่ดำารงอยู่ เพื่อเสนอ<br />
ผู้มีอำานาจออกบัตร ดังนี้<br />
2.1.1 ผู้ขอมีบัตรที่สังกัดส่วนกลาง (สำานัก กอง และหน่วยงาน) ยื่นคำาร้องที่กลุ่มงาน<br />
ทะเบียนประวัติและสิทธิประโยชน์ข้าราชการ กองการเจ้าหน้าที่<br />
2.1.2 ผู้ขอมีบัตรที่สังกัดศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต ยื่นคำาร้องได้ที่<br />
ฝ่ายบริหารทั่วไป<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
7
2.1.3 ผู้ขอมีบัตรที่สังกัดสำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ยื่นคำาร้องได้ที่<br />
กลุ่มงานยุทธศาสตร์และการจัดการ<br />
2.2 กรณีข้าราชการบำานาญให้ทำาคำาขอมีบัตรยื่นที่กองการเจ้าหน้าที่ กรมป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัย หรือจะยื่นต่อผู้ว่าราชการจังหวัดในจังหวัดที่ตนขอรับบำาเหน็จบำานาญก็ได้ ซึ่งในกรณียื่นต่อ<br />
ผู้ว่าราชการจังหวัดนั้น ให้จังหวัดตรวจสอบว่าผู้ทำาคำาขอเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐซึ่งออกจากราชการหรือพ้น<br />
จากตำาแหน่งโดยมีสิทธิได้รับบำาเหน็จบำานาญ หากปรากฏว่าเป็นผู้มีสิทธิได้รับบำาเหน็จบำานาญให้ทางจังหวัด<br />
เสนอคำาขอไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อเสนออธิบดี<br />
อนึ่ง ให้แนบรูปถ่ายขนาด 1 นิ้ว จำานวน 2 รูป และตัวบัตรที่ผู้ขอลงลายมือชื่อแล้วพร้อมแบบ<br />
บ.จ. 1 และแบบ บ.จ. 1 ก. ไปยังหน่วยงานสังกัดตามตำาแหน่งที่ดำารงอยู่ สำาหรับรูปถ่ายของข้าราชการ<br />
บำานาญ ที่ปกคอเสื้อด้านซ้ายให้ติดเครื่องหมายแสดงสังกัดเดิม ส่วนปกคอเสื้อด้านขวาติดเครื่องหมายอักษร<br />
นก (อ่านว่า นอ-กอ) ย่อมาจากคำาว่า “นอกราชการ” แล้วเสนอผู้มีอำานาจออกบัตรต่อไป<br />
3. การออกบัตรประจำาตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ<br />
เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบรับคำาร้อง และดำาเนินการจัดทำาบัตรประจำาตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ เสนอ<br />
ผู้มีอำานาจออกบัตร ดังนี้<br />
3.1 ข้าราชการสังกัดส่วนกลาง (สำานัก กอง และหน่วยงาน) เสนออธิบดีเป็นผู้ออกบัตรสำาหรับ<br />
ข้าราชการประเภททั่วไปตั้งแต่ระดับอาวุโสลงมา และประเภทวิชาการตั้งแต่ระดับชำานาญการลงมา อธิบดี<br />
มอบอำานาจให้รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปฏิบัติราชการแทน ตามคำาสั่งกรมป้องกันและ<br />
บรรเทาสาธารณภัย ที่ 217/2553 ลงวันที่ 30 มีนาคม 2553<br />
3.2 ข้าราชการสังกัดศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตเสนอผู้อำานวยการศูนย์ป้องกัน<br />
และบรรเทาสาธารณภัยเขต (อธิบดีมอบอำานาจหน้าที่ให้ผู้อำานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต<br />
ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ตามคำาสั่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
ที่ 384/2553 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2553)<br />
3.3 ข้าราชการสังกัดสำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เสนอผู้ว่าราชการจังหวัด<br />
เป็นผู้ออกบัตร<br />
3.4 กรณีข้าราชการบำานาญ เสนออธิบดีเป็นผู้ออกบัตร<br />
8 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
แผนผังขั้นตอนการจัดทำาบัตรประจำาตัวเจ้าหน้าที่ของรัฐ<br />
แผนผังขั้นตอนการจัดทําบัตรประจําตัวเจาหนาที่ของรัฐ<br />
(1)<br />
ขอรับแบบฟอรมคํารอง<br />
(1.1)<br />
สํานัก/กอง/หนวยงาน<br />
รับแบบฟอรมคํารอง<br />
ที่กลุมงานทะเบียน<br />
ประวัติฯ กจ.<br />
(1.2)<br />
ศูนย <strong>ปภ</strong>. เขต 1-18<br />
รับแบบฟอรมคํารอง<br />
ที่ฝายบริหารทั่วไป<br />
(1.3)<br />
สํานักงาน <strong>ปภ</strong>. จังหวัด<br />
รับแบบฟอรมคํารองที่<br />
กลุมงานยุทธศาสตร<br />
และการจัดการ<br />
(2.1)<br />
สํานัก/กอง/หนวยงาน<br />
ยื่นคํารองที่กลุมงาน<br />
ทะเบียนประวัติฯ<br />
กองการเจาหนาที่<br />
(2)<br />
การยื่นคํารอง<br />
(2.2)<br />
ศูนย <strong>ปภ</strong>. เขต 1-18<br />
ยื่นคํารองที่<br />
ฝายบริหารทั่วไป<br />
(2.3)<br />
สํานักงาน <strong>ปภ</strong>. จังหวัด<br />
ยื่นคํารองที่<br />
กลุมงานยุทธศาสตร<br />
และการจัดการ<br />
(3.1) สังกัด<br />
สํานัก/กอง/หนวยงาน<br />
เสนอ อ<strong>ปภ</strong>. เปนผูออก<br />
บัตร แตขาราชการประเภท<br />
ทั่วไปตั้งแตระดับอาวุโส<br />
ลงมา และประเภทวิชาการ<br />
ตั้งแตระดับชํานาญการ<br />
ลงมา อธิบดีมอบอํานาจ<br />
ใหรอง อ<strong>ปภ</strong>.ฝายบริหาร<br />
เปนผูออกบัตร<br />
(3)<br />
การออกบัตรขาราชการ<br />
(3.2) สังกัด<br />
ศูนย <strong>ปภ</strong>. เขต 1-12<br />
เสนอผูอํานวยการ<br />
ศูนย <strong>ปภ</strong>. เขต<br />
เปนผูออกบัตร<br />
(3.3) สังกัด<br />
สํานักงาน <strong>ปภ</strong>. จังหวัด<br />
เสนอ<br />
ผูวาราชการจังหวัด<br />
เปนผูออกบัตร<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
9
การขอรับและการจายเบี้ยหวัด บำาเหน็จบำานาญ<br />
และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน<br />
ผานระบบบำาเหน็จบำานาญ<br />
นิยาม<br />
“เบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน” หมายถึง เบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญปกติ<br />
บำเหน็จดำรงชีพ บำนาญพิเศษ บำเหน็จตกทอด บำเหน็จลูกจาง บำเหน็จพิเศษ เงินทำขวัญ เงินทดแทน<br />
ขาราชการวิสามัญ เงินชวยเหลือตามโครงการเกษียณอายุราชการกอนกำหนด เงินทดแทนและเงินชวย<br />
เหลือตามระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีวาดวยบำเหน็จความชอบ คาทดแทนและการชวยเหลือเจาหนาที่<br />
และประชาชนผูปฏิบัติหนาที่ราชการหรือชวยเหลือราชการ เนื่องในการปองกันอธิปไตยและรักษาความสงบ<br />
เรียบรอยของประเทศ พ.ศ.2521 (ระเบียบบทช.)<br />
“ระบบบำเหน็จบำนาญ” หมายถึง ระบบงานที่ทำงานแบบ Web Application เปนระบบงาน<br />
ที่ใชงานเกี่ยวกับการขอรับและการจายเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญและเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน โดยระบบงาน<br />
สามารถทำงานไดทั้งในสวนของการนำขอมูลเขา แกไขขอมูล คำนวณเงินเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญ ฯ<br />
พิมพรายงานเพื่อตรวจสอบ อนุมัติสั่งจาย พิมพหนังสือสั่งจาย รวมทั้งการเตรียมขอมูลสงธนาคารเพื่อนำ<br />
เงินเขาบัญชีเงินฝากธนาคารของผูรับเงิน และสงขอมูลใหกับระบบ GFMIS โดยสามารถทำงานไดทั้งที่<br />
หนวยงานในสวนกลางและสวนภูมิภาค<br />
“ผูมีสิทธิ” หมายความวา ผูมีสิทธิรับเบี้ยหวัด บำเหน็จบำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน<br />
รวมทั้งทายาทหรือบุคคลซึ่งผูตายแสดงเจตนาไว ผูอุปการะ หรือผูอยูในอุปการะ ตามพระราชบัญญัติบำเหน็จ<br />
บำนาญขาราชการ พ.ศ. 2494 และพระราชบัญญัติกองทุนบำเหน็จบำนาญขาราชการ พ.ศ. 2539 แล้ว<br />
แตกรณี<br />
“สวนราชการผูขอ” หมายความวา สวนราชการตนสังกัดหรือจังหวัดซึ่งผูขอรับเงินหรือผูตาย<br />
รับราชการครั้งสุดทาย หรือที่ซึ่งผูรับเบี้ยหวัด บำนาญ เบิกเงินสวัสดิการและสิทธิประโยชน์ตาง ๆ<br />
“สวนราชการผูเบิก” หมายความวา สวนราชการตนสังกัดระดับกรม หรือหนวยเบิกตนสังกัด<br />
ในส่วนภูมิภาคที่ขอเบิกเบี้ยหวัดบำเหน็จบำนาญและเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน หรือเงินสวัสดิการและสิทธิ<br />
ประโยชนตาง ๆ ของผูรับเบี้ยหวัดบำนาญ หรือที่ซึ่งผูมีสิทธิรับเงินแสดงเจตนาขอรับบำเหน็จตกทอดหรือ<br />
บำนาญพิเศษกรณีขาราชการตาย<br />
“นายทะเบียนผูรับบำเหน็จบำนาญ” หมายความวา ขาราชการ ยกเวน ขาราชการที่ชวยราชการ<br />
ที่ไดรับแตงตั้งจากหัวหนาสวนราชการระดับกรมในสวนกลาง หรือหัวหนาหนวยงานในสวนภูมิภาค ซึ่งมี<br />
รหัสผูใชังาน (User ID) และรหัสผาน (Password) ที่กำหนดใหโดยกรมบัญชีกลาง เพื่อทำหนาที่ดูแลประวัติ<br />
ของผูมีสิทธิรับเบี้ยหวัด บำเหน็จ บำนาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน รวมทั้งบุคคลในครอบครัวของผูมี<br />
สิทธิรับเงินดังกลาว<br />
10 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
“นายทะเบียนบุคลากรภาครัฐ” หมายความวา ขาราชการ ยกเวน ขาราชการที่ชวยราชการ<br />
ที่ไดรับแต่งตั้งจากหัวหนาสวนราชการระดับกรมในสวนกลาง หรือหัวหนาหนวยงานในสวนภูมิภาค ซึ่งมี<br />
รหัสผูใช้งาน (User ID) และรหัสผาน (Password) ที่กำาหนดใหโดยกรมบัญชีกลาง เพื่อทำาหนาที่ดูแลประวัติ<br />
ของขาราชการ ลูกจางประจำาและบุคคลในครอบครัวของขาราชการและลูกจางประจำา<br />
กฎหมาย ระเบียบ และคำสั่งที่เกี่ยวข้อง<br />
• พระราชบัญญัติบำาเหน็จบำานาญข้าราชการ พ.ศ. 2494<br />
• พระราชบัญญัติกองทุนบำาเหน็จบำานาญข้าราชการ พ.ศ. 2539<br />
• ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอรับและการจ่ายบำาเหน็จบำานาญข้าราชการ พ.ศ. 2527<br />
และที่แก้ไขเพิ่มเติม<br />
• คำาสั่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่384/2553 ลงวันที่8 กรกฎาคม 2553 เรื่อง มอบอำานาจ<br />
ให้ผู้อำานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตปฏิบัติราชการแทนอธิบดี<br />
• ระเบียบกระทรวงการคลังว่าด้วยการขอรับและการจ่ายบำาเหน็จบำานาญข้าราชการ (ฉบับที่ 9)<br />
พ.ศ. 2546<br />
• กฎกระทรวงกำาหนดอัตราและวิธีการรับบำาเหน็จดำารงชีพ พ.ศ. 2546<br />
• กฎกระทรวงกำาหนดอัตราและวิธีการรับบำาเหน็จดำารงชีพ (ฉบับที่ 2) พ.ศ. 2551<br />
ขั้นตอนดำเนินการ<br />
ก. การขอรับและการจายเบี้ยหวัด บำาเหน็จบำานาญปกติ ของขาราชการ<br />
ใหผูมีสิทธิรับเงินเบี้ยหวัด บำาเหน็จบำานาญปกติ ของขาราชการ ซึ่งเกษียณอายุราชการ ขอลา<br />
ออกจากราชการ ทางราชการสั่งใหออกจากราชการ หรือปลดออกจากราชการ หรือทายาทผูมีสิทธิไดรับ<br />
มรดกตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยของขาราชการดังกลาว ซึ่งถึงแกความตายกอนไดรับเงิน<br />
ไปติดต่อสวนราชการสังกัดสุดทาย เพื่อยื่นเรื่องขอรับเบี้ยหวัด บำาเหน็จบำานาญปกติ สำาหรับขาราชการที่<br />
จะพนจากราชการเพราะเกษียณอายุราชการ ใหยื่นคำาขอรับเงินลวงหนาไดเปนเวลา 8 เดือนกอนวันครบ<br />
เกษียณอายุ โดยมีขั้นตอนดำาเนินการ ดังนี้<br />
1. การยื่นเรื่องขอรับเงิน<br />
1.1 กรอกรายการในแบบขอรับเบี้ยหวัด บำาเหน็จ บำานาญ (แบบ 5300) ใหถูกตอง ครบถวน<br />
แลวลงชื่อแสดงเจตนาขอรับเบี้ยหวัด บำาเหน็จปกติ บำานาญปกติ บำาเหน็จดำารงชีพ หรือบำาเหน็จแทนบำานาญ<br />
และระบุชื่อสวนราชการผูเบิกในชอง “ขอรับเงินทาง” เพื่อเปนสถานที่ซึ่งผูมีสิทธิรับเงินจะไปติดตอขอเบิก<br />
เงินและสิทธิประโยชนตาง ๆ<br />
1.2 กรอกรายการในแบบแจงรายการลดหยอนภาษีเงินได สำาหรับผู รับเบี้ยหวัดบำาเหน็จบำานาญ<br />
ปกติ (แบบ สรจ.1) พรอมแนบ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
11
(1) สำาเนาทะเบียนบานหนาที่มีชื่อ และเลขประจำาตัวประชาชนของผู รับเบี้ยหวัดบำาเหน็จ<br />
บำานาญปกติ<br />
(2) สำาเนาสมุดบัญชีเงินฝากธนาคารหนาที่มีชื่อและเลขที่บัญชีเงินฝาก ของผูรับเบี้ยหวัด<br />
บำาเหน็จบำานาญปกติ ประเภทออมทรัพย สะสมทรัพย หรือกระแสรายวัน ยกเวน บัญชีเงินฝากประเภท<br />
ประจำา<br />
1.3 กรอกรายการในหนังสือแสดงเจตนา ขอใหโอนเงินเบี้ยหวัดบำาเหน็จบำานาญเขาบัญชีเงิน<br />
ฝากธนาคารของบุคคลอื่น (แบบ สรจ.2) กรณีมีความจำาเปนตองใชบัญชีรวมหรือใชบัญชีผูอื่น พรอมแนบ<br />
สำาเนาบัญชีเงินฝากธนาคารที่จำาเปนตองใชฉบับดังกลาว ยื่นตอหัวหนาสวนราชการ<br />
1.4 กรอกรายการในหนังสือรับรองและขอเบิกบำาเหน็จดำารงชีพ (แบบ สรจ. 3) กรณีประสงค<br />
จะขอรับบำาเหน็จดำารงชีพ<br />
1.5 ยื่นแบบขอรับเบี้ยหวัดบำาเหน็จบำานาญปกติ (แบบ 5300) พรอมหลักฐานที่เกี่ยวของตอ<br />
เจาหนาที่ผูรับผิดชอบเกี่ยวกับการขอรับเบี้ยหวัด บำาเหน็จบำานาญปกติ<br />
2. การรับเรื่อง<br />
ใหเจาหนาที่ผูรับผิดชอบเกี่ยวกับการขอรับเบี้ยหวัด บำาเหน็จบำานาญ และเงินอื่นในลักษณะ<br />
เดียวกัน ซึ่งมีรหัสผูใชงาน (User ID) และรหัสผาน (Password) ที่กำาหนดใหโดยกรมบัญชีกลาง ดำาเนินการ<br />
2.1 ตรวจสอบแบบคำาขอ (แบบ5300) และหลักฐานประกอบการขอรับเงินที่เกี่ยวของ<br />
เบื้องตนกับฐานขอมูลในระบบบำาเหน็จบำานาญในสวนของทะเบียนประวัติ<br />
2.2 กรณีหลักฐานการขอรับเงินและฐานขอมูลในระบบบำาเหน็จบำานาญถูกตอง ครบถวน ใหลง<br />
ทะเบียนรับเรื่องในระบบบำาเหน็จบำานาญ<br />
2.3 ออกใบรับเรื่องใหผูมีสิทธิที่ยื่นเรื่องขอรับเงิน<br />
2.4 กรณีหลักฐานการขอรับเงินไมถูกตอง ไมครบถวน ใหลงทะเบียนรับเรื่องในระบบบำาเหน็จ<br />
บำานาญ และออกใบรับเรื่องใหผูยื่นเรื่องขอรับเงิน พรอมทั้งแจงในใบรับเรื่องวาใหยื่นหลักฐานใด เพิ่มเติม<br />
(ถามี)<br />
2.5 สำาหรับกรณีหลักฐานการขอรับเงินถูกตอง ครบถวน แตฐานขอมูลบุคคลในระบบบำาเหน็จ<br />
บำานาญไมถูกตอง ไมครบถวน ใหสงเรื่องใหนายทะเบียนแกไขเพิ่มเติมฐานขอมูลทันที ดังนี้<br />
(1) นายทะเบียนผูรับบำาเหน็จบำานาญ กรณีเปนผูที่พนจากราชการแลว<br />
(2) นายทะเบียนบุคลากรภาครัฐ กรณีเปนขาราชการซึ่งยังไมพนจากราชการ ยื่นเรื่อง<br />
ขอรับเงินลวงหนา เชน เปนขาราชการที่จะเกษียณอายุซึ่งสามารถยื่นเรื่องขอรับเงินลวงหนาได 8 เดือน<br />
ในปที่จะเกษียณอายุ เปนตน<br />
2.6 ใหนายทะเบียนผู รับบำาเหน็จบำานาญ ซึ่งมีรหัสผู ใชงาน (User ID) และรหัสผาน (Password)<br />
ที่กำาหนดใหโดยกรมบัญชีกลาง หรือนายทะเบียนบุคลากรภาครัฐ เมื่อไดรับเรื่องจากเจาหนาที่ผู้รับผิดชอบแลว<br />
ใหนายทะเบียนดังกลาวบันทึก แกไขเพิ่มเติม ฐานขอมูลใหถูกตอง ครบถวน แลวสงเรื่องคืนทันที<br />
12 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
2.7 ใหเสนอแบบคำาขอ และหลักฐานประกอบการขอรับเงินที่เกี่ยวของซึ่งดำาเนินการตาม<br />
ขั้นตอนดังกลาวขางตนแลว ตอผูมีอำานาจลงนามในแบบคำาขอ กอนนำาไปบันทึกขอมูล<br />
3. การหักเงินบำาเหน็จปกติเพื่อชำาระหนี้<br />
กรณีสวนราชการประสงคจะหักหนี้จากผูรับบำาเหน็จปกติ และผูมีสิทธิรับเงินไดทำาหนังสือลง<br />
ลายมือชื่อยินยอมใหหักเงินดังกลาว เพื่อชำาระหนี้ยื่นตอสวนราชการผูขอแลว<br />
3.1 ใหเจาหนาที่ผูรับผิดชอบบันทึกขอมูลลงในระบบ และพิมพรายงานในแบบหนังสือแจง<br />
รายการหักเงินบำาเหน็จ เพื่อชำาระหนี้ของสวนราชการผูขอ (แบบ สรจ.9) เสนอตอหัวหนาสวนราชการผูขอ<br />
หรือผูที่ไดรับมอบหมาย ตรวจสอบและลงนาม<br />
3.2 ใหสงขอมูลการหักหนี้ พรอมกับการสงขอมูลการขอรับบำาเหน็จปกติ ใหกรมบัญชีกลาง<br />
(สำานักบริหารการรับ-จายเงินภาครัฐ หรือสำานักงานคลังเขต 1 - 9) ผานระบบบำาเหน็จบำานาญ โดยผูที่ไดรับ<br />
มอบหมาย ซึ่งมีรหัสผูใชงาน (User ID) และรหัสผาน (Password) ที่กำาหนดใหโดยกรมบัญชีกลาง<br />
3.3 ใหสงหนังสือแจงรายการหักเงินบำาเหน็จเพื่อชำาระหนี้ของสวนราชการผูขอ (แบบ สรจ.9)<br />
พรอมกับการสงหลักฐานการขอรับบำาเหน็จปกติ ผานระบบบำาเหน็จบำานาญ หรือสงทางไปรษณียให้<br />
กรมบัญชีกลาง (สำานักบริหารการรับ-จายเงินภาครัฐ หรือสำานักงานคลังเขต 1 - 9)<br />
4. การสงเรื่องใหกรมบัญชีกลาง<br />
4.1 ใหเจาหนาที่ผูรับผิดชอบบันทึกขอมูลและรายละเอียดในแบบคำาขอรับและหลักฐาน<br />
ที่เกี่ยวของ ซึ่งผูมีอำานาจลงนามแลว ในระบบบำาเหน็จบำานาญ<br />
สำาหรับการขอรับเงินเพิ่มใหเจาหนาที่ผูรับผิดชอบกรอกรายการในแบบขอรับเงินเพิ่ม<br />
(แบบ 5316) ใหถูกตอง ครบถวน แลวเสนอแบบคำาขอและหลักฐานประกอบการขอรับเงินที่เกี่ยวของตอผู มี<br />
อำานาจลงนามในแบบคำาขอ กอนนำาไปบันทึกขอมูล<br />
4.2 ใหผูมีอำานาจตรวจสอบความถูกตอง ครบถวน ของขอมูลที่บันทึก แลวสงขอมูลการขอรับ<br />
เบี้ยหวัดบำาเหน็จบำานาญปกติและขอมูลหนี้ที่ใหหักจากบำาเหน็จปกติ (ถามี) ไปยังกรมบัญชีกลาง<br />
(สำานักบริหารการรับ-จายเงินภาครัฐ หรือสำานักงานคลังเขต 1 - 9) ผานระบบบำาเหน็จบำานาญ โดยผูที่<br />
ไดรับมอบหมายซึ่งมีรหัสผูใชงาน (User ID) และรหัสผาน (Password) ที่กำาหนดใหโดยกรมบัญชีกลาง<br />
4.3 ใหสงหลักฐานดังตอไปนี้ ใหกรมบัญชีกลาง (สำานักบริหารการรับ-จายเงินภาครัฐ<br />
หรือสำานักงานคลังเขต 1 - 9) ผานระบบบำาเหน็จบำานาญ หรือสงทางไปรษณีย<br />
(1) แบบขอรับเบี้ยหวัด บำาเหน็จบำานาญปกติ (แบบ 5300)<br />
(2) สมุดประวัติ หรือแฟมประวัติ<br />
(3) หลักฐานการตรวจสอบและรับรองเวลาราชการ ของกรมการเงินกลาโหม กระทรวง<br />
กลาโหม (แบบ 5304) หรือสำานักงานตำารวจแหงชาติ (แบบ 5305) สำาหรับผูซึ่งไดขึ้นทะเบียนทหาร<br />
กองประจำาการหรือตำารวจกองประจำาการ แลวแตกรณี<br />
(4) หลักฐานการมีสิทธิไดนับเวลาทวีคูณ (ยกเวนกฎอัยการศึก)<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
13
(5) สำาเนาประกาศเกษียณอายุ สำาเนาคำาสั่งที่ใหออกจากราชการ อนุญาตใหลาออกจาก<br />
ราชการ หรือปลดออกจากราชการ แลวแตกรณี<br />
(6) คำาสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนหรือเลื่อนเงินเดือน เพื่อประโยชนในการคำานวณ บำาเหน็จ<br />
บำานาญ กรณีเกษียณอายุ<br />
(7) หนังสือแจงรายการหักเงินบำาเหน็จเพื่อชำาระหนี้ ของสวนราชการผูขอ (แบบ สรจ.9)<br />
4.4 สำาหรับหลักฐานที่เกี่ยวของอื่น ๆ นอกจากที่ระบุ ใหสวนราชการเก็บรักษาไวเพื่อใชใน<br />
การตรวจสอบตอไป<br />
5. การขอเบิกเงิน<br />
สวนราชการผูเบิกจะไดรับหนังสือสั่งจายจากกรมบัญชีกลาง ผานระบบบำาเหน็จบำานาญ ซึ่ง<br />
สามารถสั่งพิมพออกจากระบบบำาเหน็จบำานาญ เพื่อใชเปนหลักฐานประกอบการเบิกจายได เมื่อไดรับหนังสือ<br />
สั่งจายจากกรมบัญชีกลางทางระบบบำาเหน็จบำานาญแลว<br />
5.1 ใหตรวจสอบการมีชีวิตของผู มีสิทธิรับเงิน จากฐานขอมูลทะเบียนราษฎรกรมการปกครอง<br />
ผานระบบบำาเหน็จบำานาญ<br />
5.2 กรณีมีเงื่อนไขซึ่งกรมบัญชีกลางระบุมาในหนังสือสั่งจาย ใหเจาหนาที่ผู้รับผิดชอบ<br />
ดำาเนินการตามเงื่อนไขที่ระบุใหเรียบรอยกอนทำาคำาขอเบิก<br />
5.3 ใหเจาหนาที่ผูรับผิดชอบซึ่งมีรหัสผูใชงาน (User ID) และรหัสผาน (Password)<br />
ที่กำาหนดใหโดยกรมบัญชีกลาง บันทึกรายการขอเบิกเขาระบบแลวพิมพรายงานเปนแบบสรุปรายการขอ<br />
เบิกเงินเบี้ยหวัด บำาเหน็จบำานาญและเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน (แบบ สรจ. 10) พรอมกับแนบหลักฐานซึ่ง<br />
ดำาเนินการตามเงื่อนไขที่กรมบัญชีกลางระบุในหนังสือสั่งจาย เสนอผูเบิกลงนาม แลวใหผูที่ไดรับมอบหมาย<br />
ซึ่งมีรหัสผูใชงาน (User ID) และรหัสผาน (Password) ที่กำาหนดใหโดยกรมบัญชีกลาง สงขอมูลให<br />
กรมบัญชีกลาง (สำานักบริหารการรับ-จายเงินภาครัฐ) ผานระบบบำาเหน็จบำานาญ ภายในเวลาที่กำาหนด<br />
5.4 การทำาคำาขอเบิกเงินขางตน หมายความวา สวนราชการผูเบิกไดตรวจสอบ และดำาเนิน<br />
การตามเงื่อนไขที่กรมบัญชีกลางระบุในหนังสือสั่งจายเรียบรอยแลว<br />
สำาหรับผูที่มีรายชื่ออยูในคำาขอเบิกกรณีเปนผูเกษียณอายุ หมายถึง ผูนั้นไดอยูรับราชการ<br />
หรือทำางานโดยไดรับเงินเดือนถึงวันที่ 30 กันยายน ของปที่เกษียณอายุ<br />
ผูอยู ในระหวางการถูกดำาเนินการทางวินัยหรือเปนผูถูกฟองคดีอาญา หรือตองหาวากระทำา<br />
ความผิดอาญากอนออกจากราชการ หมายถึง ผูนั้นไดทำาสัญญาค้ำาประกันตามที่กระทรวงการคลังกำาหนด<br />
เรียบรอยแลว<br />
ข. การขอรับและการจายบำาเหน็จตกทอด (กรณีขาราชการหรือผูรับบำานาญตาย)<br />
1. การยื่นเรื่องขอรับเงิน<br />
ใหทายาทหรือผูมีสิทธิรับเงินบำาเหน็จตกทอดของขาราชการ หรือผูรับบำานาญ ซึ่งถึงแก<br />
ความตาย ไปติดตอสวนราชการตนสังกัดของผู ตาย เพื่อยื่นเรื่องขอรับบำาเหน็จตกทอด โดยดำาเนินการดังนี้<br />
14 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
1.1 กรอกรายการในแบบขอรับบำานาญพิเศษ และหรือบำาเหน็จตกทอดกรณีถึงแกความตาย<br />
(แบบ 5309) และใหผูมีสิทธิรับเงินลงลายมือชื่อในแบบ 5309 ทุกคน<br />
1.2 กรอกรายการในหนังสือแสดงเจตนาขอใหโอนเงินเบี้ยหวัดบำาเหน็จบำานาญ เขาบัญชีเงิน<br />
ฝากธนาคารของบุคคลอื่น (แบบ สรจ.2) กรณีมีความจำาเปนตองใชบัญชีรวมหรือใชบัญชีผูอื่น พรอมแนบ<br />
สำาเนาบัญชีเงินฝากธนาคารที่จำาเปนตองใชฉบับดังกลาว ยื่นตอหัวหนาสวนราชการผูขอ<br />
1.3 กรณีผูมีสิทธิรับเงินรายใด ประสงคจะใหสวนราชการหักเงินที่มีสิทธิไดรับเพื่อชำาระหนี้<br />
ใหทำาเปนหนังสือและลงลายมือชื่อยินยอมใหหักเงินบำาเหน็จตกทอดที่ตนมีสิทธิไดรับ<br />
1.4 ใหแนบหลักฐานที่เกี่ยวของ (หลักฐานการเปนผูมีสิทธิรับเงินบำาเหน็จตกทอด) ไปกับแบบ<br />
คำาขอ (แบบ 5309) ดังนี้<br />
(1) บิดาของผูตาย<br />
- สำาเนาทะเบียนบาน<br />
- สำาเนามรณบัตรหรือหนังสือรับรองการตายของผู ที่ควรเชื่อถือได กรณีบิดาตายไป<br />
กอนแลว<br />
- หลักฐานการสมรส สำาเนาทะเบียนสมรสหรือใบสำาคัญการสมรสหรือหลักฐานการ<br />
หยากับมารดาของผูตาย หรือหนังสือรับรองของผูควรเชื่อถือได ที่รับรองวาบิดามารดาสมรสกอน<br />
วันที่ 1 ตุลาคม 2478 (กรณีไมมีหลักฐานการสมรส) หรือสำาเนาทะเบียนบาน หรือสูติบัตรของบุตรรวมบิดา<br />
มารดาเดียวกันกับผูตาย ซึ่งเกิดภายในป 2478 หรือกอนนั้น<br />
(2) มารดาของผูตาย<br />
- สำาเนาทะเบียนบาน<br />
- สำาเนามรณบัตร หรือหนังสือรับรองการตายของผู ที่ควรเชื่อถือได กรณีมารดาตาย<br />
ไปกอนแลว<br />
(3) คูสมรสของผูตาย<br />
- สำาเนาทะเบียนบาน<br />
- สำาเนาทะเบียนสมรส หรือใบสำาคัญการสมรส<br />
- สำาเนาทะเบียนการหยา หรือใบสำาคัญการหยาหรือคำาสั่งศาล กรณีที่มีการหยา<br />
- สำาเนาคำาพิพากษา หรือคำาสั่งศาลที่แสดงวาคูสมรสคนใด เปนคูสมรสที่ชอบดวย<br />
กฎหมาย กรณีที่มีการสมรสซอน<br />
(4) บุตรของผูตาย<br />
- สำาเนาทะเบียนบาน<br />
- กรณีที่ผู ตายเปนบิดา ใหแนบสำาเนาทะเบียนสมรสหรือใบสำาคัญการสมรส หรือหยา<br />
ของบิดากับมารดา หรือสำาเนาทะเบียนการรับรองบุตรของบิดา หรือสำาเนาคำาพิพากษาของศาลวาเปนบุตร<br />
- สำาเนาทะเบียนการรับบุตรบุญธรรม กรณีที่เปนบุตรบุญธรรมของผูตาย<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
15
- สำาเนามรณบัตร หรือหนังสือรับรองการตายของผูที่ควรเชื่อถือได กรณีบุตรรายใด<br />
ไดตายไปกอนแลว<br />
(5) บุคคลซึ่งผูตายแสดงเจตนาไว<br />
- สำาเนาทะเบียนบานหรือบัตรประจำาตัวประชาชน<br />
- แบบหนังสือแสดงเจตนาระบุตัวผูรับบำาเหน็จตกทอด<br />
- หลักฐานการตายของบิดา มารดา และบุตร ของผูตาย<br />
- หลักฐานการตาย หรือหยา ของคูสมรสของผูตาย<br />
2. การรับเรื่อง<br />
ใหเจาหนาที่ผู รับผิดชอบปฏิบัติเหมือนการรับเรื่องบำาเหน็จบำานาญปกติ สำาหรับการแกไขขอมูล<br />
ในทะเบียนประวัติของผูรับบำาเหน็จบำานาญซึ่งเปนบุคคลที่ผูตายไดแสดงเจตนาไว ใหใชหลักฐานประกอบ<br />
ดังนี้<br />
2.1 แบบหนังสือแสดงเจตนาระบุตัวผูรับบำาเหน็จตกทอด<br />
2.2 สำาเนาทะเบียนบานหรือบัตรประจำาตัวประชาชน<br />
สำาหรับกรณีทายาทหรือผู มีสิทธิรับเงินรายใดยังไมสามารถลงนามหรือยื่นหลักฐานยังไมถูกตอง<br />
ไมครบถวน ใหแจงกันสวนไวในแบบคำาขอรับเงิน (แบบ 5309) เมื่อมีหลักฐานพรอมแล้วจึงยื่นแบบคำาขอ<br />
รับเงินพรอมหลักฐานของรายดังกล่าวสงไปใหกรมบัญชีกลางในภายหลัง<br />
3. การหักเงินบำาเหน็จตกทอดเพื่อชำาระหนี้ (เหมือนบำาเหน็จปกติ)<br />
ใหทายาทหรือผูมีสิทธิรับเงินทำาหนังสือ และลงลายมือชื่อยินยอมใหหักเงินบำาเหน็จตกทอด<br />
เพื่อชำาระหนี้ยื่นตอสวนราชการผูขอ กรณีรายใดไมยินยอมสวนราชการจะหักเงินบำาเหน็จตกทอดจากรายนั้น<br />
ไมได<br />
4. การสงเรื่องใหกรมบัญชีกลาง (สำานักบริหารการรับ–จายเงินภาครัฐ)<br />
ใหสงขอมูลแบบคำาขอและหลักฐาน โดยสงไปใหกรมบัญชีกลาง (สำานักบริหารการรับ-จายเงิน<br />
ภาครัฐ ) โดยวิธีการเดียวกันกับบำาเหน็จปกติ<br />
สำาหรับหลักฐานที่กำาหนดใหสงไปใหกรมบัญชีกลาง (สำานักบริหารการรับ-จายเงินภาครัฐ)<br />
มีดังนี้<br />
กรณีขาราชการถึงแกความตาย<br />
(1) แบบขอรับบำานาญพิเศษและหรือบำาเหน็จตกทอด กรณีขาราชการถึงแกความตาย<br />
(แบบ 5309)<br />
(2) สมุดประวัติ หรือแฟมประวัติ<br />
(3) หลักฐานการตรวจสอบและรับรองเวลาราชการของกรมการเงินกลาโหม กระทรวงกลาโหม<br />
(แบบ 5304) หรือสำานักงานตำารวจแหงชาติ (แบบ 5305) สำาหรับผูซึ่งไดขึ้นทะเบียนทหารกองประจำาการ<br />
หรือตำารวจกองประจำาการ แลวแตกรณี<br />
16 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
(4) หลักฐานการมีสิทธิไดนับเวลาทวีคูณ (ยกเวนกฎอัยการศึก)<br />
(5) สำาเนาคำาสั่งเลื่อนขั้นเงินเดือนหรือเลื่อนเงินเดือนเพื่อประโยชนในการคำานวณบำาเหน็จ<br />
ตกทอด กรณีไดรับการเลื่อนขั้นกรณีพิเศษ<br />
(6) สำาเนามรณบัตรของขาราชการซึ่งถึงแกความตาย<br />
(7) สำาเนามรณบัตร สำาเนาหนังสือการจดทะเบียนรับบุตรบุญธรรม หรือหนังสือการจดทะเบียน<br />
รับรองบุตร หรือสำาเนาคำาพิพากษาของศาลวาเปนบุตร<br />
กรณีที่ศาลมีคำาพิพากษาวาเปนบุตรภายหลังวันที่บิดาถึงแกความตายเกินกวา 1 ป ให้สงสำาเนา<br />
การยื่นคำารองตอศาลเพื่อเปนหลักฐานวาไดยื่นคำารองภายใน 1 ป นับแตวันที่บิดาถึงแกความตาย หรือวัน<br />
ที่ไดรู หรือควรไดรูถึงความตายของบิดา<br />
(8) สำาเนาคำาพิพากษาหรือคำาสั่งศาลที่แสดงวาคูสมรสคนใดเปนคูสมรสที่ชอบดวยกฎหมาย<br />
กรณีที่มีการสมรสซอน<br />
(9) หนังสือแสดงเจตนาระบุตัวผูรับบำาเหน็จตกทอด กรณีไมมีทายาทผูมีสิทธิรับเงินตาม<br />
กฎหมายบำาเหน็จบำานาญ<br />
(10) หนังสือแจงรายการหักเงินบำาเหน็จเพื่อชำาระหนี้ของสวนราชการผูขอ (แบบ สรจ.9)<br />
สำาหรับหลักฐานที่เกี่ยวของอื่น ๆ ใหสวนราชการเก็บรักษาไวเพื่อใชในการตรวจสอบตอไป<br />
กรณีผูรับบำานาญปกติ และหรือบำานาญพิเศษเหตุทุพพลภาพถึงแกความตาย<br />
(1) ใหเจาหนาที่ผูรับผิดชอบของสวนราชการตนสังกัด (สวนราชการผูเบิก) ของผูตายจัดทำา<br />
แบบแจงของดเบิกเบี้ยหวัด บำานาญ (แบบ สรจ.12) เสนอผูมีอำานาจใหความเห็นชอบ เพื่องดจายเงิน<br />
ใด ๆ ที่ผูรับบำานาญปกติ หรือบำานาญพิเศษเหตุทุพพลภาพ มีสิทธิไดรับ แลวแจงกรมบัญชีกลาง (สำานัก<br />
บริหารการรับ-จายเงินภาครัฐ) เพื่องดเบิกตอไป<br />
(2) สงหลักฐานอื่น ๆ เหมือนกรณีที่ขาราชการถึงแกความตาย ยกเวนตาม (2) (3) (4)<br />
หรือ (5)<br />
5. หลักฐานการสั่งจายบำาเหน็จตกทอด<br />
5.1 สวนราชการผูขอจะไดรับหนังสือสั่งจายจากกรมบัญชีกลางผานระบบบำาเหน็จบำานาญ และ<br />
สามารถสั่งพิมพหนังสือสั่งจายออกจากระบบบำาเหน็จบำานาญเพื่อใชเปนหลักฐานประกอบการเบิกจายได<br />
5.2 กรณีที่กรมบัญชีกลางไมจายรายใด จะไดรับทราบผลจากกรมบัญชีกลางผานระบบบำาเหน็จ<br />
บำานาญ<br />
6. การขอเบิกเงิน<br />
ใหสวนราชการผูเบิก ดำาเนินการเหมือนการขอเบิกเงินบำาเหน็จปกติ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
17
เงินช่วยพิเศษกรณีข้าราชการหรือ<br />
ข้าราชการบำนาญถึงแก่ความตาย<br />
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง<br />
พระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำาเหน็จบำานาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน<br />
พ.ศ. 2535 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 23 มาตรา 42<br />
สิทธิในการได้รับเงินช่วยพิเศษ<br />
1. กรณีข้าราชการถึงแก่ความตาย ให้จ่ายเงินช่วยพิเศษจำานวน 3 เท่าของเงินเดือน รวมเงิน<br />
เพิ่มค่าวิชา เงินประจำาตำาแหน่งที่ต้องฝ่าอันตรายเป็นปกติ เงินเพิ่มพิเศษสำาหรับการสู้รบ และเงินเพิ่มพิเศษ<br />
สำาหรับการปราบปรามผู้กระทำาผิด (ถ้ามี) ให้รวมเงินดังกล่าวกับเงินเดือนเพื่อคำานวณเป็นเงินช่วยพิเศษ<br />
จำานวน 3 เท่าด้วย<br />
2. กรณีผู้รับบำานาญปกติ หรือบำานาญพิเศษเหตุทุพพลภาพถึงแก่ความตาย ให้จ่ายเงินช่วย<br />
พิเศษจำานวน 3 เท่าของบำานาญรวมกับเงินช่วยค่าครองชีพผู้รับเบี้ยหวัดบำาเหน็จบำานาญ (ช.ค.บ.) สำาหรับ<br />
ผู้รับบำานาญพิเศษในฐานะทายาท ผู้อุปการะ หรือผู้อยู่ในอุปการะ ไม่มีสิทธิได้รับเงินช่วยพิเศษ<br />
ผู้มีสิทธิได้รับเงินช่วยพิเศษ ให้จ่ายแก่บุคคลตามลำาดับ ดังนี้<br />
1. ให้จ่ายแก่บุคคลซึ่งข้าราชการหรือผู้รับบำานาญได้แสดงเจตนาระบุให้เป็นผู้มีสิทธิได้รับเงิน<br />
ช่วยพิเศษไว้เป็นหนังสือยื่นต่อส่วนราชการเจ้าสังกัดตามแบบที่กระทรวงการคลังกำาหนด<br />
2. กรณีข้าราชการหรือผู้รับบำานาญไม่ได้แสดงเจตนาไว้ หรือบุคคลที่ได้แสดงเจตนาไว้ได้ถึงแก่<br />
ความตายไปก่อนผู้แสดงเจตนา หรือถึงแก่ความตายไปก่อนที่จะมีการจ่ายเงินช่วยพิเศษ ให้จ่ายแก่บุคคล<br />
ตามลำาดับ ได้แก่ 1) คู่สมรส 2) บุตร 3) บิดา-มารดา<br />
หากปรากฏว่าบุคคลในลำาดับก่อนมีชีวิตอยู่ บุคคลในลำาดับถัดไปไม่มีสิทธิได้รับเงินช่วยพิเศษ<br />
ถ้าหากผู้มีสิทธิได้รับเงินช่วยพิเศษในลำาดับเดียวกันมีหลายคน ให้จ่ายแก่ผู้ซึ่งบุคคลในลำาดับนั้นมอบหมาย<br />
เป็นหนังสือหรือบุคคลที่เป็นผู้จัดการงานศพ<br />
18 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
การขอรับเงินช่วยพิเศษ<br />
1. การขอรับเงินช่วยพิเศษ ต้องยื่นขอรับภายใน 1 ปี นับแต่วันที่ข้าราชการผู้รับบำานาญถึงแก่<br />
ความตาย<br />
2. ใช้แบบคำาขอรับเงินช่วยพิเศษกรณีข้าราชการถึงแก่ความตาย สำาหรับผู้รับบำานาญให้ใช้<br />
แบบเดียวกัน<br />
3. ผู้มีสิทธิรับเงินช่วยพิเศษของข้าราชการ ผู้รับบำานาญ กรอกแบบคำาขอรับเงินช่วยพิเศษและ<br />
ยื่นแบบขอรับต่อส่วนราชการผู้เบิกพร้อมหลักฐานที่แสดงความเป็นผู้มีสิทธิได้รับเงินช่วยพิเศษ เช่น สำาเนา<br />
ทะเบียนบ้าน หลักฐานการสมรสของคู่สมรส เป็นต้น<br />
4. เมื่อส่วนราชการผู้เบิกได้รับแบบคำาขอรับเงินช่วยพิเศษพร้อมหลักฐานและตรวจสอบความ<br />
ถูกต้องแล้ว ส่วนราชการผู้เบิกก็จะดำาเนินการขอเบิกเงินช่วยพิเศษผ่านระบบ GFMIS และเมื่อได้รับอนุมัติ<br />
การขอเบิกเงินดังกล่าวจากกรมบัญชีกลางแล้ว ส่วนราชการผู้เบิกก็จะดำาเนินการจ่ายเงินให้แก่ผู้มีสิทธิต่อไป<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
19
การขอแก้ไขวัน เดือน ปีเกิด ในทะเบียนประวัติข้าราชการ<br />
กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง<br />
• พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 มาตรา 8 (12)<br />
• ระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการแก้ไขวันเดือนปีเกิดในทะเบียนประวัติข้าราชการ พ.ศ. 2548<br />
ขั้นตอนดำเนินการ<br />
1. ข้าราชการผู้ใดประสงค์จะขอแก้ไขวันเดือนปีเกิดในทะเบียนประวัติ ให้ยื่นคำาขอแก้ไขพร้อม<br />
หลักฐานต้นฉบับสูติบัตรหรือทะเบียนคนเกิด เพื่อประกอบการพิจารณา ต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับชั้น<br />
ในกรณีที่เป็นการพ้นวิสัยที่จะหาหลักฐานต้นฉบับสูติบัตรหรือทะเบียนคนเกิดได้ ให้ส่งหนังสือ<br />
รับรองจากส่วนราชการหรือหน่วยงานที่มีหน้าที่เก็บรักษาสูติบัตรหรือทะเบียนคนเกิดซึ่งแจ้งเหตุขัดข้องที่<br />
ไม่อาจหาสูติบัตรหรือทะเบียนคนเกิดได้ พร้อมด้วยหลักฐานต่าง ๆ ดังต่อไปนี้<br />
(1) ทะเบียนสำามะโนครัวหรือสำาเนาทะเบียนบ้าน<br />
(2) หลักฐานการศึกษาอย่างใดอย่างหนึ่งที่แสดงวันเดือนปีเกิด จากสถานศึกษาทุกแห่งที่ผู้นั้น<br />
เคยศึกษา<br />
(3) หลักฐานทางทหารในกรณีที่ผู้ยื่นคำาขอเป็นข้าราชการชาย ได้แก่ ใบสำาคัญทหารกองเกิน<br />
(แบบ สด.9) หรือใบสำาคัญทหารกองหนุน (แบบ สด.8) หรือทะเบียนทหารกองประจำาการ (แบบ สด.3) หรือ<br />
สมุดประจำาตัวทหารกองหนุน<br />
(4) หลักฐานทางราชการแสดงวันเดือนปีเกิดของพี่น้องร่วมมารดา ในกรณีที่มีพี่น้องร่วม<br />
มารดา<br />
(5) หลักฐานอื่นของทางราชการที่ระบุวันเดือนปีเกิดโดยชัดแจ้ง (ถ้ามี)<br />
หลักฐานต่างๆ ให้ใช้ต้นฉบับ หากไม่สามารถส่งต้นฉบับได้ให้ใช้สำาเนาซึ่งผู้มีอำานาจหน้าที่<br />
รับรองความถูกต้องแทน<br />
ในกรณีที่ไม่อาจส่งหลักฐานตาม (2) หรือ (3) ได้ ให้ส่งหนังสือรับรองจากส่วนราชการหรือ<br />
หน่วยงานที่มีหน้าที่เก็บรักษา แจ้งเหตุขัดข้องที่ไม่อาจหาหลักฐานดังกล่าวได้<br />
2. เมื่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับชั้นได้รับคำาขอแก้ไขให้ตรวจสอบคำาขอแก้ไขและหลักฐานโดยเร็ว<br />
หากเห็นว่าคำาขอแก้ไขหรือหลักฐานไม่ถูกต้องครบถ้วนให้แจ้งผู้ยื่นคำาขอแก้ไขให้จัดทำาให้ถูกต้องครบถ้วน<br />
ให้หัวหน้าส่วนราชการเสนอคำาขอแก้ไขพร้อมหลักฐานต่อเจ้าหน้าที่ควบคุมเกษียณอายุภายในสองเดือน<br />
นับแต่วันที่ได้รับคำาขอแก้ไข โดยให้ทำาความเห็นประกอบการพิจารณาไปด้วย<br />
3. ให้เจ้าหน้าที่ควบคุมเกษียณอายุพิจารณาคำาขอแก้ไขวันเดือนปีเกิดโดยเร็ว และส่งผลการ<br />
พิจารณาให้หัวหน้าส่วนราชการแจ้งให้ข้าราชการผู้ขอแก้ไขวันเดือนปีเกิดทราบโดยพลัน<br />
4. คำาวินิจฉัยของเจ้าหน้าที่ควบคุมเกษียณอายุให้ถือเป็นที่สุด<br />
20 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
การลาของข้าราชการ<br />
การลาแบ่งออกเป็น 9 ประเภท ได้แก่ (1) การลาป่วย (2) การลาคลอดบุตร (3) การลากิจ<br />
ส่วนตัว (4) การลาพักผ่อน (5) การลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮัจย์ (6) การลาเข้ารับการตรวจ<br />
เลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล (7) การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย (8) การลาไป<br />
ปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ (9) การลาติดตามคู่สมรส<br />
การนับวันลาให้นับตามปีงบประมาณโดยถือปฏิบัติตามระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ<br />
พ.ศ. 2535<br />
การเสนอหรือจัดส่งใบลาอนุญาตให้ลาและคำานวณวันลาให้นับต่อเนื่องกัน โดยนับวันหยุดราชการ<br />
ที่อยู่ในระหว่างวันลาประเภทเดียวกันรวมเป็นวันลาด้วย เว้นแต่การนับเพื่อประโยชน์ในการคำานวณวันลา<br />
สำาหรับวันลาป่วยที่มิใช่วันลาป่วยตามกฎหมายว่าด้วยการสงเคราะห์ข้าราชการผู้ได้รับอันตรายหรือการป่วย<br />
เจ็บเพราะเหตุปฏิบัติราชการ วันลากิจส่วนตัวและวันลาพักผ่อนให้นับเฉพาะวันทำาการ<br />
ข้าราชการซึ่งได้รับอนุญาตให้ลา หากประสงค์จะยกเลิกวันลาที่ยังไม่ได้หยุดราชการ ให้เสนอขอ<br />
ถอนวันลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับจนถึงผู้มีอำานาจอนุญาตให้ลา และให้ถือว่าการลาหมดเขตเพียงวันที่<br />
ขอถอนวันลานั้น<br />
แบบใบลาให้ใช้ตามแบบท้ายระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ.2535 เว้นแต่ในกรณีจำาเป็น<br />
หรือรีบด่วน จะใช้ใบลาที่มีข้อความไม่ครบถ้วนตามแบบ หรือจะลาโดยวิธีการอย่างอื่นก็ได้ แต่ทั้งนี้ต้องส่ง<br />
ใบลาตามแบบในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการ<br />
ระเบียบและคำสั่งที่เกี่ยวข้อง<br />
• ระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2535 แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่ 2) พ.ศ.2539<br />
• คำาสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 58/2552 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 เรื่อง มอบอำานาจการพิจารณา<br />
อนุญาตการลาของข้าราชการ<br />
• คำาสั่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ 419/2551 ลงวันที่ 1 สิงหาคม 2551 เรื่อง มอบอำานาจ<br />
หน้าที่ของอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ผู้อำานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัยเขต 1-18 ปฏิบัติราชการแทนอธิบดีในเรื่องการอนุญาตการลาของข้าราชการ สำาหรับ<br />
การลาป่วย ลากิจส่วนตัว ลาคลอดบุตร และลาพักผ่อน<br />
• คำาสั่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ที่ 296/2551 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2551<br />
เรื่อง การมอบอำานาจให้ผู้อำานวยการวิทยาลัยป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยปฏิบัติราชการแทนอธิบดี<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
21
การลาป่วย<br />
นิยาม “การลาป่วย” หมายถึง การลาหยุดราชการเพื่อรักษาตัวเมื่อมีอาการป่วย<br />
หลักเกณฑ์การลาป่วย<br />
1. การลาป่วยตั้งแต่30 วันขึ้นไป ต้องมีใบรับรองแพทย์ซึ่งเป็นผู้ที่ได้ขึ้นทะเบียนและรับใบอนุญาต<br />
เป็นผู้ประกอบวิชาชีพเวชกรรมแนบไปกับใบลาด้วย ในกรณีจำาเป็นหรือเห็นสมควรผู้มีอำานาจอนุญาตจะสั่ง<br />
ให้ใช้ใบรับรองของแพทย์ซึ่งผู้มีอำานาจอนุญาตเห็นชอบแทนก็ได้<br />
2. การลาป่วยไม่ถึง 30 วัน ไม่ว่าจะเป็นการลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งติดต่อกัน ถ้าผู้มีอำานาจเห็น<br />
สมควรจะสั่งให้มีใบรับรองแพทย์ประกอบใบลาหรือสั่งให้ผู้ลาไปรับการตรวจจากแพทย์ของทางราชการเพื่อ<br />
ประกอบการพิจารณาอนุญาตก็ได้<br />
3. มีสิทธิได้รับเงินเดือนระหว่างลาป่วยปีหนึ่งไม่เกิน 60 วันทำาการ แต่ถ้าผู้บังคับบัญชาตั้งแต่<br />
ตำาแหน่งอธิบดีหรือตำาแหน่งเทียบเท่าขึ้นไปเห็นสมควรจะให้ได้รับเงินเดือนต่อไปอีกก็ได้แต่ไม่เกิน 60<br />
วันทำาการ ตามพระราชกฤษฎีกาการจ่ายเงินเดือน เงินปี บำาเหน็จบำานาญ และเงินอื่นในลักษณะเดียวกัน<br />
พ.ศ.2535<br />
ขั้นตอนการลาป่วย<br />
1. ให้เสนอหรือส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับจนถึงผู้มีอำานาจอนุญาต<br />
2. ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนหรือในวันที่ลาก็ได้ ยกเว้นกรณีจำาเป็นจะเสนอหรือจัดส่งใบลาใน<br />
วันแรกที่มาปฏิบัติราชการก็ได้<br />
3. กรณีป่วยจนไม่สามารถลงชื่อในใบลาได้ จะให้ผู้อื่น(ใครก็ได้) ลาแทนได้ แต่เมื่อสามารถลงชื่อ<br />
ได้แล้ว ต้องเสนอหรือจัดส่งใบลาโดยเร็ว<br />
อำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ลาป่วย<br />
ผู้ลา จำานวนวัน/ครั้ง ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค<br />
ข้าราชการ<br />
ทุกตำาแหน่งในกลุ่ม/ฝ่าย<br />
ข้าราชการทุกตำาแหน่ง<br />
ในสำานัก/กอง<br />
หรือเทียบเท่า<br />
ข้าราชการ<br />
ทุกตำาแหน่งในสังกัด<br />
ข้าราชการ<br />
ทุกตำาแหน่งในสังกัด<br />
ต่อเนื่อง<br />
ไม่เกิน 30 วัน<br />
ต่อเนื่อง<br />
มากกว่า 30 วัน<br />
แต่ไม่เกิน 60 วัน<br />
ผู้อำานวยการส่วน<br />
หัวหน้ากลุ่ม/หัวหน้าฝ่าย<br />
ผู้อำานวยการสำานัก/กอง<br />
ผู้อำานวยการศูนย์ฯ/<br />
เลขานุการกรม/<br />
หัวหน้าหน่วยงาน<br />
22 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.<br />
หัวหน้ากลุ่ม/<br />
หัวหน้าฝ่าย<br />
หัวหน้าสำานักงาน<br />
ป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัยจังหวัด<br />
ต่อเนื่อง<br />
มากกว่า 60 วัน<br />
แต่ไม่เกิน 120 วัน<br />
อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด<br />
ต่อเนื่อง<br />
มากกว่า 120 วัน ปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวง
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
การลาคลอด<br />
นิยาม “การลาคลอดบุตร” หมายถึง การลาหยุดราชการของสตรีซึ่งมีครรภ์ในช่วงก่อนคลอด วันคลอด<br />
และหลังคลอด<br />
หลักเกณฑ์การลาคลอดบุตร<br />
1. มีสิทธิลาคลอดบุตรครั้งหนึ่งได้ 90 วัน (นับวันหยุดราชการรวมด้วย)<br />
2. ไม่ต้องมีใบรับรองแพทย์<br />
3. มีสิทธิได้รับเงินเดือนระหว่างลาคลอดบุตร 90 วัน<br />
4. ข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ลาคลอดบุตร และได้หยุดราชการไปแล้วแต่ไม่ได้คลอดบุตรตาม<br />
กำาหนด หากประสงค์จะขอถอนวันลาคลอดบุตรที่หยุดไป ให้ผู้มีอำานาจอนุญาตให้ถอน โดยให้ถือว่าวันที่ได้<br />
หยุดราชการไปแล้วเป็นวันลากิจส่วนตัว<br />
5. การลาคลอดบุตรคาบเกี่ยวกับการลาประเภทใดซึ่งยังไม่ครบกำาหนดวันลาของการลาประเภทนั้น<br />
ให้ถือว่าการลาประเภทนั้นสิ้นสุดลงและให้นับเป็นการลาคลอดบุตรตั้งแต่วันเริ่มวันลาคลอดบุตร<br />
ขั้นตอนการลาคลอดบุตร<br />
1. ให้เสนอใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับจนถึงผู้มีอำานาจอนุญาต<br />
2. จะเสนอใบลาก่อนหรือในวันลาก็ได้<br />
3. ในกรณีที่ไม่สามารถลงชื่อในใบลาได้ สามารถให้ผู้อื่น(ใครก็ได้) ลาแทนได้ และเมื่อสามารถ<br />
ลงชื่อเองได้แล้วให้เสนอหรือจัดส่งใบลาโดยเร็ว<br />
อำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ลาคลอดบุตร<br />
ผู้ลา ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค<br />
ข้าราชการทุกตำาแหน่ง<br />
ในสำานัก/กอง หรือเทียบเท่า<br />
ผู้อำานวยการสำานัก/ผู้อำานวยการศูนย์ฯ/<br />
ผู้อำานวยการกอง/เลขานุการกรม/<br />
หัวหน้าหน่วยงาน<br />
หัวหน้าสำานักงานป้องกัน<br />
และบรรเทาสาธารณภัย<br />
จังหวัด<br />
ข้าราชการทุกตำาแหน่งในสังกัด อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
23
การลากิจส่วนตัว<br />
นิยาม “การลากิจส่วนตัว” หมายถึง การลาหยุดราชการเพื่อทำากิจธุระ เช่น ลาหยุดราชการเพื่อดูแลรักษา<br />
ผู้ป่วย เป็นต้น<br />
การลากิจส่วนตัวแยกได้ดังนี้<br />
1. การลากิจส่วนตัว (ด้วยเหตุอื่นๆ)<br />
2. การลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตร<br />
หลักเกณฑ์การลากิจส่วนตัว<br />
1. การลากิจส่วนตัว (ด้วยเหตุอื่นๆ)<br />
(1) มีสิทธิได้รับเงินเดือนระหว่างลากิจส่วนตัว ปีหนึ่งได้ไม่เกิน 45 วันทำาการ แต่ในปีที่เริ่มรับ<br />
ราชการ ให้ได้รับเงินเดือนระหว่างลาได้ไม่เกิน 15 วันทำาการ<br />
(2) เมื่อมีราชการจำาเป็นเกิดขึ้นระหว่างลากิจส่วนตัว ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำานาจอนุญาตจะ<br />
เรียกตัวมาปฏิบัติราชการก็ได้<br />
2. การลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตร<br />
(1) ข้าราชการที่ได้ลาคลอดบุตร 90 วัน (นับวันหยุดราชการด้วย) โดยได้รับเงินเดือนแล้ว มี<br />
สิทธิลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตรต่อเนื่องจากการลาคลอดบุตรได้ไม่เกิน 150 วันทำาการ โดยไม่มีสิทธิได้รับ<br />
เงินเดือนระหว่างการลา<br />
(2) ระหว่างลากิจส่วนตัวเพื่อเลี้ยงดูบุตร แม้จะมีราชการจำาเป็นเกิดขึ้น ก็จะเรียกตัวมาปฏิบัติ<br />
ราชการในระหว่างการลานั้นไม่ได้<br />
ขั้นตอนการลากิจส่วนตัว<br />
1. เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับจนถึงผู้มีอำานาจอนุญาต<br />
2. ต้องได้รับอนุญาตก่อนจึงหยุดราชการได้ เว้นแต่กรณีมีเหตุจำาเป็นไม่สามารถรอรับอนุญาตได้<br />
ก็สามารถหยุดราชการไปก่อนได้ แต่จะต้องชี้แจงเหตุผลให้ผู้มีอำานาจอนุญาตทราบโดยเร็ว<br />
24 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
อำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ลากิจส่วนตัว<br />
ผู้ลา จำานวนวัน/ครั้ง ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค<br />
ข้าราชการ<br />
ทุกตำาแหน่งในกลุ่ม/ฝ่าย<br />
ต่อเนื่องไม่เกิน<br />
15 วัน<br />
ผู้อำานวยการส่วน/<br />
หัวหน้ากลุ่ม/หัวหน้าฝ่าย หัวหน้ากลุ่ม/หัวหน้าฝ่าย<br />
ข้าราชการ<br />
ทุกตำาแหน่งในสำานัก/กอง<br />
หรือเทียบเท่า<br />
ต่อเนื่องไม่เกิน<br />
30 วัน<br />
ผู้อำานวยการสำานัก/<br />
ผู้อำานวยการศูนย์ฯ/<br />
ผู้อำานวยการกอง/<br />
เลขานุการกรม/<br />
หัวหน้าหน่วยงาน<br />
หัวหน้าสำานักงาน<br />
ป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัยจังหวัด<br />
ข้าราชการ<br />
ทุกตำาแหน่งในสังกัด<br />
ต่อเนื่องไม่เกิน<br />
45 วัน<br />
อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด<br />
ข้าราชการ<br />
ทุกตำาแหน่งในสังกัด<br />
ตามที่เห็นสมควร ปลัดกระทรวง ปลัดกระทรวง<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
25
การลาพักผ่อน<br />
นิยาม “การลาพักผ่อน” หมายถึง การลาหยุดราชการเพื่อพักผ่อนประจำาปี<br />
หลักเกณฑ์การลาพักผ่อน<br />
1. มีสิทธิลาพักผ่อนในปีหนึ่งได้ 10 วันทำาการ<br />
2. ผู้ที่ได้รับการบรรจุครั้งแรก หรือบรรจุกลับเข้ารับราชการในปีงบประมาณใดไม่ถึง 6 เดือน ไม่มี<br />
สิทธิลาพักผ่อนในปีงบประมาณนั้น<br />
3. ผู้ซึ่งลาออกจากราชการเพื่อดำารงตำาแหน่งทางการเมืองหรือเพื่อสมัครรับเลือกตั้ง แล้วต่อมา<br />
ได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีกหลัง 6 เดือนนับแต่วันออกจากราชการไม่มีสิทธิลาพักผ่อนประจำาปีที่ได้รับการ<br />
บรรจุเข้ารับราชการ<br />
4. ผู้ซึ่งถูกสั่งให้ออกจากราชการเพื่อไปรับราชการทหารตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร<br />
และกรณีไปปฏิบัติงานใดๆตามความประสงค์ของทางราชการ แล้วต่อมาได้รับบรรจุเข้ารับราชการอีก มีสิทธิ<br />
ลาพักผ่อนประจำาปีในงบประมาณที่ได้รับการบรรจุกลับเข้ารับราชการตั้งแต่วันแรกที่บรรจุกลับ<br />
5. ผู้ที่รับราชการติดต่อกันมาไม่ถึง 10 ปี สะสมวันลาได้ โดยวันลาพักผ่อนสะสมรวมกับวัน<br />
ลาพักผ่อนในปีปัจจุบันแล้วต้องไม่เกิน 20 วันทำาการ<br />
6. ผู้ที่รับราชการติดต่อกันมาตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สะสมวันลาได้ โดยวันลาพักผ่อนสะสมรวมกับ<br />
วันลาพักผ่อนในปีปัจจุบันแล้วต้องไม่เกิน 30 วันทำาการ<br />
7. ในระหว่างลาพักผ่อนถ้ามีราชการจำาเป็น ผู้บังคับบัญชาหรือผู้มีอำานาจอนุญาตสามารถเรียก<br />
ตัวกลับมาปฏิบัติราชการได้ โดยให้ถือว่าการลาเป็นอันหมดเขตเพียงวันก่อนวันเดินทางกลับ<br />
8. ข้าราชการในสถานศึกษาที่ได้หยุดราชการตามวันหยุดภาคการศึกษาเกินกว่าวันลาพักผ่อนแล้ว<br />
ไม่มีสิทธิลาพักผ่อน<br />
ขั้นตอนการลาพักผ่อน<br />
1. ให้เจ้าหน้าที่ผู้ควบคุมวันลาตรวจสอบจำานวนวันลา<br />
2. ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับจนถึงผู้มีอำานาจอนุญาต<br />
3. ต้องได้รับอนุญาตก่อนถึงจะหยุดราชการได้<br />
4. ผู้มีอำานาจอนุญาตจะอนุญาตให้ลาครั้งเดียวหรือหลายครั้งก็ได้ โดยมิให้เสียหายแก่ราชการ<br />
อำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ลาพักผ่อน<br />
ผู้ลา ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค<br />
ข้าราชการทุกตำาแหน่ง<br />
ในสำานัก/กอง หรือเทียบเท่า<br />
ผู้อำานวยการสำานัก/กอง<br />
ผู้อำานวยการศูนย์ ฯ/เลขานุการกรม/<br />
หัวหน้าหน่วยงาน<br />
26 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.<br />
หัวหน้าสำานักงานป้องกัน<br />
และบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด<br />
ข้าราชการทุกตำาแหน่งในสังกัด อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด
การลาอุปสมบทหรือการลาไปประกอบพิธีฮัจย์<br />
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
นิยาม<br />
“การลาอุปสมบท” หมายถึง การลาหยุดราชการของข้าราชการผู้ได้รับพระราชทานพระบรม<br />
ราชานุญาตให้ลาอุปสมบทได้แล้ว<br />
“การลาไปประกอบพิธีฮัจย์” หมายถึง การลาหยุดราชการของข้าราชการที่นับถือศาสนาอิสลาม<br />
ซึ่งประสงค์จะไปประกอบพิธีฮัจย์ ณ เมืองเมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย<br />
หลักเกณฑ์การลาอุปสมบทหรือลาไปประกอบพิธีฮัจย์<br />
1. การเสนอหรือจัดส่งใบลา ต้องเสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนวันลาไม่น้อยกว่า 60 วัน<br />
2. กรณีมีเหตุไม่อาจเสนอหรือจัดส่งใบลาก่อนวันลาไม่น้อยกว่า 60 วันได้ ให้ชี้แจงเหตุผลความ<br />
จำาเป็นประกอบการลา โดยการอนุญาตขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของผู้มีอำานาจที่จะพิจารณาให้ลาหรือไม่ก็ได้<br />
3. การลาอุปสมบทจะต้องอุปสมบทภายใน 10 วัน นับแต่วันเริ่มลา และเมื่อลาสิกขาแล้วต้องกลับ<br />
มารายงานตัวเข้าปฏิบัติราชการภายใน 5 วัน นับแต่วันที่ลาสิกขา<br />
4. จะต้องออกเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ภายใน 10 วันนับแต่วันเริ่มลา และต้องกลับมารายงาน<br />
ตัวเข้าปฏิบัติราชการภายใน 5 วัน นับแต่วันที่เดินทางกลับถึงประเทศไทยหลังจากการเดินทางไป<br />
ประกอบพิธีฮัจย์<br />
5. กรณีได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ลาและได้หยุดราชการไปแล้ว แต่มีเหตุทำาให้<br />
ไม่สามารถอุปสมบทหรือเดินทางไปประกอบพิธีฮัจย์ได้ตามที่ขอลาไว้ ให้กลับมารายงานตัวกลับเข้ารับ<br />
ราชการตามปกติ และขอถอนวันลาและให้ถือว่าวันที่ได้หยุดราชการไปแล้วเป็นวันลากิจส่วนตัว<br />
ขั้นตอนการลาอุปสมบทหรือลาไปประกอบพิธีฮัจย์<br />
1. ให้ข้าราชการผู้ที่ประสงค์จะลากรอกรายละเอียดลงในแบบใบลา และเสนอต่อผู้บังคับบัญชา<br />
ตามลำาดับจนถึงผู้มีอำานาจอนุญาต<br />
2. เมื่อได้รับหนังสือและแบบใบลาจากข้าราชการแล้ว เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบดำาเนินการตรวจสอบ<br />
สิทธิในการลาของข้าราชการผู้นั้นจาก กพ.7 ว่ายังไม่เคยลามาก่อน<br />
3. ตรวจสอบจำานวนวันลาในแบบใบลาของข้าราชการที่ลาให้ถูกต้องตามสิทธิ คือไม่เกิน 120 วัน<br />
4. ดำาเนินการจัดทำาหนังสือขออนุญาตลา และหนังสือแสดงการได้รับพระราชทานพระบรม<br />
ราชานุญาตเสนอต่อผู้มีอำานาจอนุญาต<br />
5. ส่งหนังสือแจ้งไปยังต้นสังกัดของข้าราชการผู้ขออนุญาตโดยแนบสำาเนาหนังสือที่ได้รับอนุญาต<br />
ลาและหนังสือแสดงการได้รับพระราชทานพระบรมราชานุญาตฉบับจริง เพื่อแจ้งให้ข้าราชการผู้ขอลาทราบ<br />
ต่อไป<br />
6. บันทึกประวัติการลาของข้าราชการลงใน กพ.7<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
27
อำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ลาอุปสมบทหรือลาไปประกอบพิธีฮัจย์<br />
ตามคำาสั่งกระทรวงมหาดไทย ที่ 58/2552 ลงวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2552 ปลัดกระทรวงมหาดไทย<br />
ได้มอบอำานาจให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกรมเป็นผู้มีอำานาจในการพิจารณาหรืออนุญาตให้ข้าราชการทุก<br />
ระดับและตำาแหน่งในสังกัดราชการบริหารส่วนกลางลาอุปสมบท และมอบอำานาจให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็น<br />
ผู้มีอำานาจในการพิจารณาหรืออนุญาตให้ข้าราชการทุกระดับและตำาแหน่งในสังกัดในราชการบริหารส่วน<br />
ภูมิภาค ลาอุปสมบท<br />
อำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ลาพักผ่อน<br />
ผู้ลา ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค<br />
ข้าราชการทุกระดับ<br />
และตำาแหน่ง ในสังกัด<br />
อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด<br />
การลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล<br />
นิยาม<br />
“การลาเข้ารับการตรวจเลือก” หมายถึง การลาหยุดราชการของข้าราชการที่ได้รับหมายเรียกให้<br />
ไปรับการตรวจเลือก เพื่อเข้ารับราชการเป็นทหารกองประจำาการ<br />
“การลาเข้ารับการเตรียมพล” หมายถึง การลาหยุดราชการของข้าราชการที่ได้รับหมายเรียกให้<br />
เข้าไปรับการระดมพล เข้ารับการตรวจสอบพล เข้ารับการฝึกวิชาทหาร หรือเข้ารับการทดลองความ<br />
พรั่งพร้อมตามกฎหมายว่าด้วยการรับราชการทหาร<br />
หลักเกณฑ์การลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล<br />
1. ต้องเป็นผู้ได้รับหมายเรียกการตรวจเลือก<br />
2. เมื่อพ้นจากการเข้ารับการตรวจเลือกแล้ว ให้มารายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการตามปกติต่อ<br />
ผู้บังคับบัญชาตามปกติภายใน 7 วัน ยกเว้นมีเหตุจำาเป็น หัวหน้าส่วนราชการ หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง<br />
ปลัดกระทรวง ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือรัฐมนตรีเจ้าสังกัด อาจขยายเวลาให้ได้ แต่รวมแล้วไม่เกิน<br />
15 วัน<br />
ขั้นตอนการลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล<br />
1. ให้รายงานลาต่อผู้บังคับบัญชาก่อนวันเข้ารับการตรวจเลือกไม่น้อยกว่า 48 ชั่วโมง (กรณีลาเข้า<br />
รับการตรวจเลือก) หรือให้รายงานลาต่อผู้บังคับบัญชาภายใน 48 ชั่วโมง นับแต่เวลารับหมายเรียกเป็นต้นไป<br />
(กรณีลาเข้ารับการเตรียมพล)<br />
28 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
หัวหน้าส่วนราชการ ให้รายงานลาต่อปลัดกระทรวง<br />
หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง ให้รายงานลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด<br />
ปลัดกรุงเทพมหานคร ให้รายงานลาต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร<br />
2. รายงานลาแล้วให้ไปเข้ารับการตรวจเลือก หรือเข้ารับการเตรียมพล ตามวันเวลาในหมายเรียกนั้น<br />
ได้เลย โดยไม่ต้องรอคำาสั่งอนุญาต<br />
3. ผู้บังคับบัญชาที่ได้รับรายงานลา มีหน้าที่ต้องรายงานลาไปตามลำาดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการ<br />
หรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง<br />
อำนาจในการพิจารณาอนุญาตให้ลาเข้ารับการตรวจเลือกหรือเข้ารับการเตรียมพล<br />
ผู้ลา ส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค<br />
ข้าราชการทุกระดับ<br />
และตำาแหน่ง ในสังกัด<br />
อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด<br />
การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย<br />
นิยาม “การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย” หมายถึง การลาหยุดราชการเพื่อไปศึกษา<br />
ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย<br />
หลักเกณฑ์การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย<br />
หลักเกณฑ์ตามระเบียบการลา ฯ ข้อ 34 กำาหนดไว้สรุปว่า ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปศึกษา<br />
ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย ณ ต่างประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับ<br />
จนถึงปลัดกระทรวง หรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง เพื่อพิจารณาอนุญาต<br />
การลาไปศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัยในประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับ<br />
บัญชาตามลำาดับจนถึงหัวหน้าส่วนราชการหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง เพื่อพิจารณาอนุญาต เว้นแต่<br />
ข้าราชการกรุงเทพมหานครให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อปลัดกรุงเทพมหานคร<br />
สำาหรับหัวหน้าส่วนราชการให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง<br />
และข้าราชการในราชบัณฑิตยสถานให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ส่วนปลัดกรุงเทพมหานคร<br />
ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร เพื่อพิจารณาอนุญาต<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
29
การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ<br />
นิยาม “การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ” หมายถึง การลาหยุดราชการของข้าราชการ<br />
ซึ่งประสงค์จะไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ<br />
หลักเกณฑ์การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ<br />
การลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศต้องถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำ าหนดไว้ในระเบียบ<br />
ว่าด้วยการลา ฯ ข้อ 35 , 36 , 37 , 38 , 39 , 40 , 41 และ 42 ดังนี้<br />
ข้อ 35 ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ ให้เสนอหรือจัดส่ง<br />
ใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับจนถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัด เพื่อพิจารณา โดยถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำ าหนด<br />
ไว้ในส่วนนี้<br />
ข้อ 36 การไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ มี 2 ประเภท คือ<br />
“ประเภทที่ 1” ได้แก่ การปฏิบัติงานในกรณีหนึ่งกรณีใดดังต่อไปนี้<br />
(1) การไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศซึ่งประเทศไทยเป็นสมาชิกและเป็นวาระ<br />
ที่จะต้องส่งไปปฏิบัติงานในองค์การนั้น<br />
(2) รัฐบาลไทยมีข้อผูกพันที่จะต้องส่งไปปฏิบัติงานตามความตกลงระหว่างประเทศ<br />
(3) ประเทศไทยต้องส่งไปปฏิบัติงานเพื่อพิทักษ์รักษาผลประโยชน์ของประเทศตามความ<br />
ต้องการของรัฐบาลไทย<br />
“ประเภทที่ 2” ได้แก่ การปฏิบัติงานนอกเหนือจากประเภทที่ 1<br />
ข้อ 37 ข้าราชการที่ไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศต้องมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้<br />
(1) เป็นข้าราชการประจำาตลอดมาเป็นระยะเวลาติดต่อกันไม่น้อยกว่าห้าปี ก่อนถึงวันที่<br />
ได้รับอนุญาตให้ไปปฏิบัติงาน เว้นแต่ผู้ที่ไปปฏิบัติงานในองค์การสหประชาชาติ กำาหนดเวลาห้าปีให้ลดเป็น<br />
สองปี<br />
สำาหรับผู้ที่เคยไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศประเภทที่2 มาแล้ว จะต้องมีเวลา<br />
ปฏิบัติราชการในส่วนราชการไม่น้อยกว่าสองปีนับแต่วันเริ่มกลับเข้าปฏิบัติหน้าที่ราชการ หลังจากที่เดินทาง<br />
กลับจากการไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศประเภทที่ 2 ครั้งสุดท้าย<br />
(2) ผู้ที่ไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศประเภทที่ 2 ต้องมีอายุไม่เกินห้าสิบสอง<br />
ปีบริบูรณ์นับถึงวันที่ได้รับอนุญาตให้ไปปฏิบัติงาน<br />
(3) เป็นผู้ปฏิบัติหน้าที่ราชการมีความรู้ความสามารถเหมาะสมมีความประพฤติเรียบร้อย<br />
และไม่อยู่ในระหว่างถูกสอบสวนว่ากระทำาผิดวินัย<br />
การขอยกเว้นหรือผ่อนผันคุณสมบัติตาม(1) วรรคสองและ(2) ให้เสนอเหตุผลความจำาเป็น<br />
ต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อพิจารณาเป็นรายๆไป<br />
30 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ข้อ 38 ให้ข้าราชการที่ได้รับการคัดเลือกให้ไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ ยื่นใบลาต่อ<br />
ผู้บังคับบัญชาไปตามลำาดับจนถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัด เพื่อพิจารณาอนุญาต และมีคำาสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นลา<br />
ไปปฏิบัติงานได้โดยถือว่าเป็นการไปทำาการใด ๆ อันจะนับเวลาระหว่างนั้น เหมือนเต็มเวลาราชการ มีกำาหนด<br />
เวลาไม่เกินสี่ปีสำาหรับการไปปฏิบัติงานประเภทที่ 1 หรือมีกำาหนดเวลาไม่เกินหนึ่งปีสำาหรับการไป<br />
ปฏิบัติงานประเภทที่2 โดยไม่รับเงินเดือน เว้นแต่อัตราเงินเดือนที่ได้รับจากองค์การระหว่างประเทศต่ำากว่า<br />
อัตราเงินเดือนของทางราชการที่ผู้นั้นได้รับอยู่ในขณะนั้น ให้มีสิทธิได้รับเงินเดือนจากทางราชการสมทบ<br />
ซึ่งเมื่อรวมกับเงินเดือนจากองค์การระหว่างประเทศแล้ว ไม่เกินอัตราเงินเดือนของทางราชการที่ข้าราชการ<br />
ผู้นั้นได้รับอยู่ในขณะนั้น<br />
ข้อ 39 ข้าราชการที่ได้รับอนุญาตให้ไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ หากประสงค์จะอยู่<br />
ปฏิบัติงานต่อให้ยื่นเรื่องราวพร้อมทั้งเหตุผลความจำ าเป็นและประโยชน์ที่ทางราชการจะได้รับต่อผู้บังคับบัญชา<br />
ตามลำาดับชั้น จนถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัด เพื่อพิจารณาอนุญาตและมีคำาสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นไปปฏิบัติงานได้<br />
โดยถือว่าเป็นการไปทำาการใดๆอันจะนับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการ ตามกฎหมายว่าด้วยกำาหนด<br />
หลักเกณฑ์การสั่งให้ข้าราชการไปทำาการซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลาราชการได้อีกแต่เมื่อรวม<br />
แล้วต้องไม่เกินสี่ปี<br />
การอนุญาตให้ข้าราชการผู้ใดไปปฏิบัติงานประเภทที่ 2 เกินกว่าหนึ่งปี ให้ผู้บังคับบัญชา<br />
สั่งให้ผู้นั้นออกจากราชการในช่วงเวลาที่ไปปฏิบัติงานเกินกว่าหนึ่งปีด้วย<br />
ข้อ 40 เมื่อกระทรวงทบวงกรมเจ้าสังกัดได้มีคำาสั่งให้ข้าราชการไปปฏิบัติงาน ตามข้อ 38 หรือให้<br />
ไปปฏิบัติงานต่อหรือให้ออกจากราชการ ตามข้อ 39 แล้ว ให้ส่วนราชการส่งสำาเนาคำาสั่งดังกล่าวให้กระทรวง<br />
การคลังและองค์กรกลางบริหารงานบุคคลที่เกี่ยวข้องทราบด้วย<br />
ข้อ 41 ให้กระทรวง ทบวง กรมเจ้าสังกัด จัดทำาสัญญาผูกมัดข้าราชการที่ไปปฏิบัติงานในองค์การ<br />
ระหว่างประเทศประเภทที่ 2 ให้กลับมารับราชการในส่วนราชการเป็นเวลาหนึ่งเท่าของระยะเวลาที่ไป<br />
ปฏิบัติงาน ข้าราชการผู้ใดไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศแล้วไม่กลับมารับราชการหรือกลับมา<br />
รับราชการไม่ครบกำาหนดตามสัญญาให้ชดใช้เงินเบี้ยปรับแก่ทางราชการดังนี้<br />
(1) ไม่กลับเข้ารับราชการเลยให้ชดใช้เป็นจำานวนเท่ากับเงินเดือนเดือนสุดท้ายที่ได้รับ<br />
คูณด้วยระยะเวลาที่ลาไปปฏิบัติงานที่คิดเป็นเดือน เศษของเดือนถ้าเกินสิบห้าวันให้คิดเป็นหนึ่งเดือน<br />
(2) กลับมารับราชการไม่ครบกำาหนดตามสัญญาให้ชดใช้เบี้ยปรับตาม (1) ลดลงตามส่วน<br />
การทำาสัญญาตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามแบบและวิธีการที่กระทรวงการคลังกำาหนด<br />
เมื่อจัดทำาแล้วให้ส่งให้กระทรวงการคลังและสำานักงานตรวจเงินแผ่นดินแห่งละ 1 ชุดด้วย<br />
ข้อ 42 ข้าราชการที่ไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ เมื่อปฏิบัติงานแล้วเสร็จให้รายงานตัว<br />
เข้าปฏิบัติหน้าที่ภายในสามสิบวันนับแต่วันถัดจากวันเสร็จสิ้นการปฏิบัติงานและให้รายงานผลการไปปฏิบัติงาน<br />
ให้รัฐมนตรีเจ้าสังกัดทราบภายในสามสิบวันนับแต่วันที่กลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการ<br />
การรายงานผลการปฏิบัติงานตามวรรคหนึ่ง ให้ใช้แบบรายงานการไปปฏิบัติงานในองค์การ<br />
ระหว่างประเทศตามที่กำาหนดไว้ท้ายระเบียบนี้<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
31
ขั้นตอนในการลาไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศ<br />
1. ให้ยื่นใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับจนถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อพิจารณาอนุญาต และ<br />
มีคำาสั่งให้ข้าราชการผู้นั้นลาไปปฏิบัติงานได้<br />
2. การขออยู่ปฏิบัติงานต่อ ให้ยื่นเรื่องราวพร้อมด้วยเหตุผลความจำาเป็นและประโยชน์ที่ทาง<br />
ราชการจะได้รับตามแบบท้ายระเบียบต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับชั้น จนถึงรัฐมนตรีเจ้าสังกัดเพื่อพิจารณา<br />
อนุญาต<br />
3. ให้ส่วนราชการส่งสำาเนาคำาสั่งที่สั่งให้ข้าราชการไปปฏิบัติงานในองค์การระหว่างประเทศให้<br />
กระทรวงการคลัง และองค์กรกลางบริหารงานบุคคลที่เกี่ยวข้องทราบ<br />
การลาติดตามคู่สมรส<br />
นิยาม “การลาติดตามคู่สมรส” หมายถึง การลาหยุดราชการของข้าราชการเพื่อติดตามสามีหรือภริยา<br />
โดยชอบด้วยกฎหมายที่เป็นข้าราชการ หรือพนักงานรัฐวิสาหกิจซึ่งไปปฏิบัติหน้าที่ราชการ หรือไปปฏิบัติงาน<br />
ในต่างประเทศ หรือทางราชการสั่งให้ไปปฏิบัติงานในต่างประเทศตามความต้องการของทางราชการ<br />
ตามกฎหมายว่าด้วยการกำาหนดหลักเกณฑ์การสั่งให้ไปทำาการ ซึ่งให้นับเวลาระหว่างนั้นเหมือนเต็มเวลา<br />
ราชการ หรือเต็มเวลาทำางานตั้งแต่ 1 ปีขึ้นไป แต่ไม่รวมถึงกรณีที่คู่สมรสลาไปศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน หรือ<br />
ปฏิบัติการวิจัย ณ ต่างประเทศ<br />
หลักเกณฑ์การลาติดตามคู่สมรส<br />
การลาติดตามคู่สมรสต้องถือปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่กำาหนดไว้ในระเบียบการลาฯ ข้อ 43, 44 และ<br />
45 ดังนี้<br />
ข้อ 43 ข้าราชการซึ่งประสงค์จะลาติดตามคู่สมรสให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตาม<br />
ลำาดับจนถึงปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงแล้วแต่กรณีเพื่อพิจารณาอนุญาตให้ลาได้ไม่เกิน<br />
สองปีและในกรณีจำาเป็นอาจอนุญาตให้ลาต่อได้อีกสองปีแต่เมื่อรวมแล้วต้องไม่เกินสี่ปีถ้าเกินสี่ปีให้ลาออก<br />
จากราชการ<br />
สำาหรับปลัดกระทรวงหัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรงและข้าราชการในราชบัณฑิตยสถาน<br />
คู่สมรสให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัดส่วนปลัดกรุงเทพมหานครให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อ<br />
ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาอนุญาต<br />
ข้อ 44 การพิจารณาอนุญาตให้ข้าราชการลาติดตามคู่สมรสผู้มีอำานาจอนุญาตจะอนุญาตให้ลาครั้ง<br />
เดียวหรือหลายครั้งก็ได้โดยมิให้เสียหายแก่ราชการแต่เมื่อรวมแล้วจะต้องไม่เกินระยะเวลาตามที่กำาหนดใน<br />
ข้อ 43 และจะต้องเป็นกรณีที่คู่สมรสอยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติงานในต่างประเทศเป็นระยะเวลา<br />
ติดต่อกันไม่ว่าจะอยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติงานในประเทศเดียวกันหรือไม่<br />
32 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ข้อ 45 ข้าราชการที่ได้ลาติดตามคู่สมรสครบกำาหนดระยะเวลาตามข้อ 43 ในช่วงเวลาที่คู่สมรส<br />
อยู่ปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติงานในต่างประเทศติดต่อกันคราวหนึ่งแล้ว ไม่มีสิทธิขอลาติดตาม<br />
คู่สมรสอีกเว้นแต่คู่สมรสจะได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือปฏิบัติงานประจำาในประเทศไทยแล้ว ต่อมา<br />
ได้รับ คำาสั่งให้ไปปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือไปปฏิบัติงานในต่างประเทศอีกในช่วงเวลาใหม่จึงจะมีสิทธิขอลา<br />
ติดตามคู่สมรสตามข้อ 43 ได้ใหม่<br />
ขั้นตอนในการลาติดตามคู่สมรส<br />
1. ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตามลำาดับจนถึงปลัดกระทรวงหรือหัวหน้าส่วนราชการ<br />
ขึ้นตรงแล้วแต่กรณีเพื่อพิจารณาอนุญาต<br />
2. การลาติดตามคู่สมรสของปลัดกระทรวง หัวหน้าส่วนราชการขึ้นตรง และข้าราชการใน<br />
ราชบัณฑิตยสถาน ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อรัฐมนตรีเจ้าสังกัด ส่วนปลัดกรุงเทพมหานครให้เสนอหรือ<br />
จัดส่งใบลาต่อผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครเพื่อพิจารณาอนุญาต<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
33
การเสนอขอพระราชทาน<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปีให้แก่ข้าราชการ<br />
นิยาม<br />
“เครื่องราชอิสริยาภรณ์(Royal Decoration)” หมายถึง เครื่องประดับสำาหรับพระมหากษัตริย์และ<br />
เป็นเครื่องหมายแห่งเกียรติยศหรือบำาเหน็จความชอบที่พระมหากษัตริย์ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด<br />
กระหม่อมพระราชทานแก่บุคคลที่สมควรได้รับพระราชทาน<br />
กฎหมาย ระเบียบ และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้อง<br />
• พระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชูยิ่งช้างเผือก พ.ศ. 2484<br />
• พระราชบัญญัติเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ. 2484<br />
• ระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชู<br />
ยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่งมงกุฎไทย พ.ศ. 2536<br />
• ระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเป็นที่เชิดชู<br />
ยิ่งช้างเผือก และเครื่องราชฯ อันมีเกียรติยิ่งมงกุฎไทย (ฉบับที่ 3) พ.ศ. 2553<br />
• หนังสือสำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0507/ว 150 ลงวันที่ 10 มิถุนายน 2546 เรื่อง การนับ<br />
ระยะเวลาสำาหรับการเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำาปีให้แก่ข้าราชการที่ได้รับการ<br />
บรรจุกลับเข้ารับราชการ<br />
• หนังสือสำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ที่ นร 0508/ว (ท) 4079 ลงวันที่ 9 กรกฎาคม 2553 เรื่อง<br />
การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ให้แก่ข้าราชการตามระบบจำาแนกประเภทตำาแหน่ง<br />
ขั้นตอนการดำเนินงาน<br />
1. การดำาเนินงานของกรม<br />
(1) แจ้งหน่วยงานในสังกัดกรม (ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขต และสำานักงานป้องกัน<br />
และบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด) ให้ตรวจสอบคุณสมบัติของข้าราชการในสังกัดว่าเป็นผู้สมควรเสนอขอ<br />
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ตามระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรี และให้รวบรวมเอกสารทั้งหมดนำา<br />
เข้าที่ประชุมคณะอนุกรรมการพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ในระดับศูนย์ป้องกัน<br />
และบรรเทาสาธารณภัยเขต และสำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และให้แจ้งมติที่ประชุม<br />
คณะอนุกรรมการ ฯ ไปยังกรมเพื่อดำาเนินการ<br />
(2) ตรวจสอบคุณสมบัติของข้าราชการในสังกัดกรมผู้สมควรเสนอขอพระราชทานเครื่องราช<br />
อิสริยาภรณ์ฯ ตามระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรี โดยสำารวจจากทะเบียนประวัติใน ก.พ. 7 เป็นรายบุคคล<br />
และพิจารณาว่าผู้ใดมีคุณสมบัติสมควรจะเสนอขอในปีนั้นๆ<br />
(3) จำาแนกว่าบุคคลผู้มีสิทธิเสนอขอในปีนั้นๆ สมควรขอในกรณีใด ประเภทและชั้นตราใด<br />
34 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
(4) นำาข้อมูลที่ได้ตรวจสอบแล้วว่ามีคุณสมบัติครบถ้วนของแต่ละบุคคลบันทึกลงในโปรแกรม<br />
คอมพิวเตอร์และแบบฟอร์มที่ทางสำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีกำาหนดให้<br />
(5) รวบรวมเอกสารทั้งหมดเพื่อนำาเข้าที่ประชุมในคณะกรรมการพิจารณาการเสนอขอ<br />
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ เพื่อทำาหน้าที่ตรวจสอบเอกสาร หลักฐานต่างๆ พิจารณาคุณสมบัติ<br />
กลั่นกรองความดีความชอบ ตามระเบียบที่กำาหนด พร้อมทั้งรับรองว่าเป็นบุคคลที่สมควรเสนอขอ<br />
พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ได้<br />
(6) จัดประชุมในคณะกรรมการฯ และนำามติที่ประชุมมาดำาเนินการ<br />
(7) จัดทำาเอกสาร และตรวจสอบความถูกต้องของเอกสารก่อนนำาเสนอให้อธิบดีลงนามถึง<br />
ปลัดกระทรวง ในฐานะผู้เสนอขอพระราชทานของหน่วยงาน ในแบบบัญชีแสดงคุณสมบัติ และแบบรายงาน<br />
ความดีความชอบสำาหรับผู้เสนอขอพระราชทานฯ กรณีพิเศษ พร้อมนี้กรมได้จัดทำาบัญชีรายชื่อข้าราชการ<br />
และข้อมูลประกอบตามแบบบัญชีรายชื่อและเอกสารประกอบการขอพระราชทาน ตามแบบที่สำานักเลขาธิการ<br />
คณะรัฐมนตรีกำาหนด เสนอกระทรวงเพื่อพิจารณา<br />
(8) เมื่อผ่านกระบวนการขั้นตอนต่างๆ ทั้งในระดับกระทรวง และสำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว<br />
กรมจะได้สำาเนาราชกิจจานุเบกษาฉบับที่มีรายชื่อของข้าราชการในสังกัดมาเก็บไว้เป็นหลักฐาน<br />
(9) เจ้าหน้าที่ดำาเนินการบันทึกการได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ตามที่ประกาศ<br />
ในราชกิจจานุเบกษา ลงในสมุดประวัติ ก.พ. 7 ของผู้ได้รับพระราชทานแต่ละคน และบันทึกลงในฐานข้อมูล<br />
บุคคลในระบบ Excel<br />
2. การดำาเนินงานของกระทรวงมหาดไทย และสำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี<br />
(1) กระทรวงดำาเนินการแต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง เพื่อพิจารณากลั่นกรองและ<br />
รับรองอีกชั้นหนึ่ง ก่อนนำาเสนอปลัดกระทรวง<br />
(2) กระทรวงจัดให้มีการประชุมในคณะกรรมการฯ เพื่อพิจารณาในภาพรวมของแต่ละหน่วยงาน<br />
ภายใต้กระทรวง และกระทรวงจะรวบรวมเอกสารทั้งหมดจัดส่งให้สำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีดำาเนินการ<br />
ต่อไป<br />
(3) สำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีตรวจสอบ กลั่นกรองความถูกต้องและนำาเสนอต่อ<br />
คณะกรรมการพิจารณาเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ ชั้นสายสะพาย และชั้นต่ำากว่าสาย<br />
สะพาย<br />
(4) สำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอรายชื่อบุคคลพร้อมทั้งชั้นตราเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ<br />
ที่สมควรขอพระราชทาน ให้นายกรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบ<br />
(5) สำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีเสนอรายชื่อให้สำานักราชเลขาธิการเพื่อนำาความกราบ<br />
บังคมทูลพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ฯ<br />
(6) นายกรัฐมนตรีลงนามรับสนองพระบรมราชโองการ<br />
(7) สำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีประกาศรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับพระราชทานเครื่องราช<br />
อิสริยาภรณ์ฯ ประจำาปีนั้นๆ ในราชกิจจานุเบกษา และจัดพิมพ์ราชกิจจานุเบกษา ฉบับดังกล่าว<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
35
แผนผังขั้นตอน (Flow Chart)<br />
การเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ประจำปีให้แก่ข้าราชการ<br />
การเสนอขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
สวนกลาง<br />
(1)<br />
กรม <strong>ปภ</strong>.<br />
(2)<br />
ตั้งคณะกรรมการพิจารณา<br />
ตามระเบียบ<br />
ศูนย <strong>ปภ</strong>. เขต<br />
และสํานักงาน<br />
<strong>ปภ</strong>. จังหวัด<br />
ตั้งคณะอนุกรรมการ<br />
พิจารณาตามระเบียบ<br />
(3)<br />
กระทรวงมหาดไทย<br />
(4)<br />
ตั้งคณะกรรมการพิจารณา<br />
ตามระเบียบ<br />
(5)<br />
สํานักงานเลขาธิการ<br />
คณะรัฐมนตรี<br />
(ตรวจสอบ กลั่นกรอง) (6)<br />
คณะกรรมการพิจารณา<br />
ชั้นต่ํากวาสายสะพาย<br />
(8)<br />
สํานักราชเลขาธิการ<br />
(นําความกราบบังคมทูล)<br />
(6)<br />
คณะกรรมการพิจารณา<br />
ชั้นต่ํากวาสายสะพาย<br />
(7)<br />
นายกรัฐมนตรี<br />
ใหความเห็นชอบ<br />
(9)<br />
สํานักเลขาธิการ<br />
คณะรัฐมนตรี<br />
(11)<br />
ประกาศราชกิจจานุเบกษา<br />
(10)<br />
นายกรัฐมนตรีลงนาม<br />
รับสนอง<br />
พระบรมราชโองการ<br />
36 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
การออกหนังสือรับรองสถานภาพการเป็นข้าราชการ<br />
นิยาม<br />
“หนังสือรับรอง” หมายถึง หนังสือที่ส่วนราชการออกให้เพื่อรับรองแก่ บุคคล นิติบุคคล หรือ<br />
หน่วยงาน เพื่อวัตถุประสงค์อย่างหนึ่งอย่างใดให้ปรากฎแก่บุคคลโดยทั่วไปไม่จำาเพาะเจาะจง<br />
กฎหมาย ระเบียบ และหนังสือสั่งการที่เกี่ยวข้อง<br />
• ระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยงานสารบรรณ พ.ศ. 2526 ในหัวข้อหนังสือที่เจ้าหน้าที่ทำาขึ้นหรือ<br />
รับไว้เป็นหลักฐานในราชการ<br />
• พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2534<br />
• คำาสั่งกรม <strong>ปภ</strong>. ที่ 294/2551 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 เรื่อง มอบอำานาจให้รองอธิบดี<br />
ผู้อำานวยการสำานัก ผู้อำานวยการกอง เลขานุการกรม และหัวหน้ากลุ่ม ปฏิบัติราชการแทนอธิบดี<br />
• คำาสั่งกรม <strong>ปภ</strong>. ที่ 384/2553 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2553 เรื่อง มอบอำานาจหน้าที่ของอธิบดีกรม<br />
ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ให้ผู้อำานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1- 8 ปฏิบัติ<br />
ราชการแทน<br />
ขั้นตอนการดำเนินงาน<br />
1. ขอรับแบบฟอร์มคำาร้อง<br />
1.1 ข้าราชการสังกัดส่วนกลาง (สำานัก กอง และหน่วยงาน) และข้าราชการบำานาญ ขอรับ<br />
แบบฟอร์มคำาร้องได้ที่กลุ่มงานทะเบียนประวัติและสิทธิประโยชน์ข้าราชการ กองการเจ้าหน้าที่ หรือ<br />
ดาวน์โหลดแบบฟอร์มคำาร้องได้ที่ www.disaster.go.th : บริหารงานบุคคล/ ดาวน์โหลดแบบฟอร์มต่าง ๆ/<br />
กลุ่มงานทะเบียนประวัติและสิทธิประโยชน์ข้าราชการ<br />
1.2 ข้าราชการสังกัดศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1-18 และข้าราชการบำานาญ<br />
ขอรับแบบฟอร์มคำาร้องได้ที่ฝ่ายบริหารทั่วไป<br />
1.3 ข้าราชการสังกัดสำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และข้าราชการบำานาญ<br />
ขอรับแบบฟอร์มคำาร้องได้ที่กลุ่มงานยุทธศาสตร์และการจัดการ<br />
2. การยื่นคำาร้อง<br />
2.1 ผู้ขอที่สังกัดส่วนกลาง (สำานัก กอง และหน่วยงาน) กรอกรายละเอียดครบถ้วนและเสนอ<br />
ผู้บังคับบัญชาของผู้ขอลงนาม แล้วยื่นคำาร้องที่กลุ่มงานทะเบียนประวัติและสิทธิประโยชน์ข้าราชการ กอง<br />
การเจ้าหน้าที่<br />
2.2 ผู้ขอที่สังกัดศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1 - 18 ยื่นคำาร้องได้ที่ฝ่ายบริหาร<br />
ทั่วไป<br />
2.3 ผู้ขอที่สังกัดสำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ยื่นคำาร้องได้ที่กลุ่มงาน<br />
ยุทธศาสตร์และการจัดการ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
37
3. การออกหนังสือรับรอง<br />
เจ้าหน้าที่ผู้รับผิดชอบรับคำาร้อง และดำาเนินการจัดทำาหนังสือรับรอง เสนอผู้มีอำานาจลงนาม<br />
ดังนี้<br />
3.1 ข้าราชการประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ ประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงาน และระดับ<br />
ชำานาญงาน ที่สังกัดส่วนกลาง (สำานัก/กอง/หน่วยงาน) เสนอผู้อำานวยการกองการเจ้าหน้าที่ลงนาม (อธิบดี<br />
มอบอำานาจให้ผู้อำานวยการกองการเจ้าหน้าที่ปฏิบัติราชการแทน ตามคำาสั่งกรมป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัย ที่ 294/51 ลงวันที่ 27 พฤษภาคม 2551) นอกเหนือจากนี้อยู่ในอำานาจของอธิบดี<br />
3.2 ข้าราชการสังกัดศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1-18 และข้าราชการบำานาญ<br />
เสนอผู้อำานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยลงนาม (อธิบดีมอบอำานาจหน้าที่ให้ผู้อำานวยการ<br />
ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เขต 1-18 ปฏิบัติราชการแทน ตามคำาสั่งกรมป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัย ที่ 384/53 ลงวันที่ 8 กรกฎาคม 2553)<br />
3.3 ข้าราชการสังกัดสำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด และข้าราชการบำานาญ<br />
เสนอผู้ว่าราชการจังหวัดลงนาม (เว้นแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดมอบอำานาจให้หัวหน้าสำานักงานป้องกันและ<br />
บรรเทาสาธารณภัยจังหวัด เป็นผู้ลงนาม)<br />
38 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
แผนผังขั้นตอน (Flow Chart)<br />
การออกหนังสือรับรองสถานภาพการเป็นข้าราชการ<br />
แผนผังขั้นตอนการออกหนังสือรับรองสถานภาพการเปนขาราชการ<br />
(1)<br />
ขอรับแบบฟอรมคํารอง<br />
(1.1)<br />
สํานัก/กอง/หนวยงาน<br />
รับแบบฟอรมคํารอง<br />
ที่กองการเจาหนาที่<br />
(1.2)<br />
ศูนย <strong>ปภ</strong>. เขต 1-18<br />
รับแบบฟอรมคํารอง<br />
ที่ฝายบริหารทั่วไป<br />
(1.3)<br />
สํานักงาน <strong>ปภ</strong>. จังหวัด<br />
รับแบบฟอรมคํารองที่<br />
กลุมงานยุทธศาสตร<br />
และการจัดการ<br />
(2.1)<br />
สํานัก/กอง/หนวยงาน<br />
ยื่นคํารองที่กลุมงาน<br />
ทะเบียนประวัติฯ<br />
กองการเจาหนาที่<br />
(2)<br />
การยื่นคํารอง<br />
(2.2)<br />
ศูนย <strong>ปภ</strong>. เขต 1-18<br />
ยื่นคํารองที่<br />
ฝายบริหารทั่วไป<br />
(2.3)<br />
สํานักงาน <strong>ปภ</strong>. จังหวัด<br />
ยื่นคํารองที่<br />
กลุมงานยุทธศาสตร<br />
และการจัดการ<br />
(3.1)<br />
สํานัก/กอง/หนวยงาน<br />
ขาราชการเสนอ<br />
ผูอํานวยการกองการ<br />
เจาหนาที่ลงนามนอก<br />
เหนือจากนี้เสนอ อ<strong>ปภ</strong>.<br />
(3)<br />
การออกหนังสือรับรอง<br />
(3.2)<br />
ศูนย <strong>ปภ</strong>. เขต 1-18<br />
เสนอผูอํานวยการ<br />
ศูนย <strong>ปภ</strong>. เขต<br />
ลงนาม<br />
(3.3)<br />
สํานักงาน <strong>ปภ</strong>. จังหวัด<br />
เสนอ<br />
ผูวาราชการจังหวัด<br />
ลงนาม<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
39
การขอพระราชทานเพลิงศพและหีบเพลิง<br />
หลักเกณฑ์ผู้ได้รับการขอพระราชทานเพลิงศพ ในกรณีเป็นข้าราชการพลเร ือนสามัญ<br />
กรณีปกติ<br />
กรณีพิเศษ<br />
1. ข้าราชการพลเรือนสามัญตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป<br />
2. ผู้ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์<br />
ตั้งแต่ “เบญจมดิเรกคุณาภรณ์” (บ.ภ.)<br />
“เบญจมาภรณ์มงกุฎไทย” (บ.ม.) ขึ้นไป<br />
1. บิดามารดาของข้าราชการระดับ 6 ขึ้นไป<br />
2. บิดามารดาของผู้ได้รับพระราชทาน เครื่องราช<br />
อิสริยาภรณ์ “ตริตาภรณ์ช้างเผือก” (ต.ช.)<br />
ขึ้นไป<br />
หมายเหตุ ผู้ที่ทำาอัตวินิบาตกรรม (ฆ่าตัวตาย) ไม่พระราชทานเพลิงศพและเครื่องประกอบเครื่องเกียรติยศ<br />
ขั้นตอนดำาเนินการ<br />
กรณีที่ 1 : การขอพระราชทานเพลิงศพ : เจ้าภาพหรือทายาทนำาหลักฐานประกอบการ<br />
ขอพระราชทานไปติดต่อที่สำานัก/ศูนย์/กอง/หน่วยงานยังหน่วยงานต้นสังกัดของผู้ถึงแก่กรรม และหน่วยงาน<br />
ต้นสังกัดจะมีหนังสือแจ้งไปยังกองการเจ้าหน้าที่ เพื่อดำาเนินการขอพระราชทานเพลิงศพไปยังกองพระราช<br />
พิธี สำานักพระราชวังต่อไป โดยให้ระบุ ดังนี้<br />
1) ชื่อ ตำาแหน่ง ชั้น ยศ ของผู้ถึงแก่กรรม<br />
2) ถึงแก่กรรมด้วยโรคอะไร ที่ไหน เมื่อใด<br />
3) ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ อะไรบ้าง<br />
4) มีความประสงค์จะขอรับพระราชทานเครื่องราชเกียรติยศประกอบศพอย่างใดบ้าง<br />
5) ประกอบการฌาปนกิจศพที่วัดไหน จังหวัดไหน เวลาใด<br />
สำาหรับในกรณีของส่วนภูมิภาค สามารถดำาเนินการได้ใน 2 แนวทาง คือ เจ้าภาพหรือทายาทนำา<br />
หลักฐานประกอบการขอพระราชทานไปติดต่อได้ที่สำ านักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัดยังหน่วยงาน<br />
ต้นสังกัด หรือได้ที่กองการเจ้าหน้าที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เพื่อดำาเนินการขอพระราชทาน<br />
เพลิงศพไปยังกองพระราชพิธี สำ านักพระราชวังต่อไป หากเสนอขอทางจังหวัดจะอยู่ในอำ านาจของผู้ว่าราชการจังหวัด<br />
เป็นผู้ลงนามหนังสือถึงสำานักพระราชวัง และหากเสนอผ่านกรมจะอยู่ในอำานาจของอธิบดีเป็นผู้ลงนามหนังสือ<br />
ถึงสำานักพระราชวัง<br />
กรณีที่ 2 : การขอพระราชทานเพลิงศพกรณีพิเศษ : เจ้าภาพหรือทายาทนำาผู้ประสงค์ขอ<br />
พระราชทานเพลิงศพกรณีพิเศษ ให้ทำาหนังสือถึงเลขาธิการพระราชวังและนำาหลักฐานประกอบการขอ<br />
พระราชทานไปติดต่อที่กองพระราชพิธี สำานักพระราชวัง โดยให้ระบุ ดังนี้<br />
40 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
1) ชื่อ - สกุล และประวัติโดยย่อของผู้ถึงแก่กรรม<br />
2) ถึงแก่กรรมด้วยโรคอะไร ที่ไหน เมื่อใด<br />
3) ระบุคุณงามความดีที่เป็นประโยชน์แก่ประเทศชาติ หรือคุณสมบัติตามหลักเกณฑ์การพิจารณา<br />
การขอพระราชทานเพลิงศพเป็นกรณีพิเศษ<br />
4) ระบุวัน เวลา สถานที่ที่จะประกอบการฌาปนกิจ<br />
หลักฐานที่ต้องใช้ในการขอพระราชทานเพลิงศพในกรณีพิเศษ มีดังนี้<br />
1. ใบมรณบัตรของผู้ถึงแก่กรรม<br />
2. ทะเบียนบ้านของทายาทของผู้ถึงแก่กรรม<br />
3. บัตรประจำาตัวประชาชน หรือบัตรประจำาตัวข้าราชการของทายาทของผู้ถึงแก่กรรม<br />
ทั้งนี้ ทายาทต้องนำาเอกสารต้นฉบับและลงนามรับรองสำาเนาถูกต้องของเอกสารข้างต้น จำานวน<br />
2 ชุด แนบมาพร้อมกับหนังสือจากหน่วยงานด้วย<br />
ข้อกำหนดของกองพระราชพิธี<br />
1. ติดต่อวัดเพื่อเตรียมการพระราชทานเพลิงศพ ซึ่งในการขอพระราชทานเพลิงศพจะต้องไม่ตรง<br />
กับวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และเฉลิมฉลองสิริราชสมบัติ พระราชพิธี<br />
ฉัตรมงคล (และตามประเพณีนิยมไม่มีการเผาศพในวันศุกร์) โดยกรณีพระราชทานเพลิงในกรุงเทพฯ และ<br />
ปริมณฑลใกล้กรุงเทพฯ ในระยะไม่เกิน 50 กิโลเมตร สำานักพระราชวังจะจัดเจ้าพนักงานเพลิงหลวงไป<br />
พระราชทานโดยรถยนต์หลวง ซึ่งเจ้าภาพจะไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ ในการพระราชทานเพลิงศพ<br />
สำาหรับเครื่องประกอบเกียรติ(ผู้ได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์ตั้งแต่ชั้นประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ปม.)<br />
ได้แก่ หีบ โกศ ฉัตร นั้น ทางสำานักพระราชวังจะได้เชิญไปประกอบและแต่งตั้งไว้มีกำาหนดเพียง 7 วัน<br />
เมื่อพ้นไปแล้วเจ้าภาพหรือทายาทยังไม่กำาหนดพระราชทานเพลิง ถ้าทางราชการมีความจำาเป็นก็จะถอน<br />
ส่วนประกอบรองนอกหีบโกศไปใช้ในราชการต่อไป<br />
2. ในการพระราชทานเพลิงศพนั้น เมื่อเจ้าหน้าที่เชิญเพลิงพระราชทานหรือเจ้าภาพเชิญหีบเพลิง<br />
ไปถึงมณฑลพิธี ห้ามเปิดหรือบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี เนื่องจากเป็นการไม่สมควร<br />
3. เจ้าภาพงานพระราชพิธีพระราชทานเพลิงศพ เมื่อจะขอรับหมายรับสั่งให้ติดต่อขอรับได้ที่<br />
เจ้าหน้าที่กองพระราชพิธี สำานักพระราชวัง<br />
4. ก่อนงานพระราชทานเพลิงศพ 1 วัน ให้เจ้าภาพติดต่อยืนยันความถูกต้องกับเจ้าหน้าที่<br />
กองพระราชพิธี<br />
5. การพระราชทานพระมหากรุณาธิคุณให้รับศพใดไว้ในพระบรมราชานุเคราะห์ เป็นกรณีที่ทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตามพระราชอัธยาศัย ดังนั้น การที่จะกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรม<br />
ราชานุญาตในเรื่องดังกล่าว จึงไม่เป็นการเหมาะสมและไม่บังควรอย่างยิ่ง<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
41
แผนผังขั้นตอน (Flow Chart)<br />
แผนผังขั้นตอน (Flow Chart)<br />
การขอพระราชทานเพลิงศพและหีบเพลิง<br />
การขอพระราชทานเพลิงศพและหีบเพลิง<br />
(1)<br />
เจาภาพที่จัดการศพ<br />
ยื่นคํารองพรอมหลักฐาน<br />
(2)<br />
สํานัก/ศูนย/กอง/หนวยงาน<br />
มีหนังสือแจง<br />
(3)<br />
กองการเจาหนาที่<br />
ตรวจหลักฐาน นําเสนอ<br />
(4)<br />
กรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
อธิบดีลงนามในหนังสือ<br />
(5)<br />
สํานักพระราชวัง<br />
ดําเนินการขอพระราชทานเพลิงศพ<br />
สวนภูมิภาค<br />
2 แนวทาง<br />
(1)<br />
เจาภาพที่จัดการศพ<br />
ยื่นคํารองพรอมหลักฐาน<br />
(2)<br />
สํานักงานปองกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด<br />
ตรวจหลักฐาน นําเสนอ<br />
(3)<br />
จังหวัด<br />
ผูวาราชการจังหวัดลงนามในหนังสือ<br />
(4)<br />
สํานักพระราชวัง<br />
ดําเนินการขอพระราชทานเพลิงศพ<br />
42 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
งานสวัสดิการ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
43
44 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
โครงการสวัสดิการเงินกู้<br />
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
กรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัย ไดจัดสวัสดิการดานเงินกูโดยการจัดทําบันทึกขอตกลงกับ<br />
ธนาคารในการใหบริการสินเชื่อแกขาราชการและลูกจางประจํากรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัยในเงื่อนไข<br />
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดสวัสดิการด้านเงินกู้โดยการจัดทำาบันทึกข้อตกลงกับ<br />
พิเศษกวาบุคคลทั่วไป ธนาคารในการให้บริการสินเชื่อแก่ข้าราชการและลูกจ้างประจำากรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยในเงื่อนไข<br />
ไดแก อัตราดอกเบี้ยพิเศษต่ํากวา, ไดรับวงเงินกูสูงกวา, ระยะเวลาการผอนชําระคืน<br />
ยาวกวา พิเศษกว่าบุคคลทั่วไป เพื่อใหขาราชการและลูกจางประจําสามารถจัดหาที่อยูอาศัยเปนของตนเองไดสะดวกขึ้น ได้แก่ อัตราดอกเบี้ยพิเศษต่ำากว่า, ได้รับวงเงินกู้สูงกว่า, ระยะเวลาการผ่อนชำาระ และชวย<br />
แกไขปญหาภาระหนี้สิน คืนยาวกว่า เพื่อให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำาสามารถจัดหาที่อยู่อาศัยเป็นของตนเองได้สะดวกขึ้น อันจะเปนการเสริมสรางขวัญกําลังใจในการปฏิบัติงาน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของ<br />
ขาราชการและลูกจางประจําใหดีขึ้นอยางแทจริงและยั่งยืน ช่วยแก้ไขปัญหาภาระหนี้สิน อันจะเป็นการเสริมสร้างขวัญกำาลังใจในการปฏิบัติงาน ปจจุบันกรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัยได<br />
และพัฒนาคุณภาพชีวิต<br />
ของข้าราชการและลูกจ้างประจำาให้ดีขึ้นอย่างแท้จริงและยั่งยืน ปัจจุบันกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
จัดทําบันทึกขอตกลงกับธนาคารจํานวน 3 แหง ไดแก ธนาคารอาคารสงเคราะห, ธนาคารออมสิน และ<br />
ได้จัดทำาบันทึกข้อตกลงกับธนาคารจำานวน 3 แห่ง ได้แก่ ธนาคารอาคารสงเคราะห์, ธนาคารออมสิน และ<br />
ธนาคารกรุงไทย<br />
คุณสมบัติ/หลักเกณฑที่เกี่ยวของ<br />
คุณสมบัติ/หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง<br />
ที่ ธนาคาร วัตถุประสงค<br />
ในการกู<br />
1 อาคาร ซื้อ ซอมแซม<br />
สงเคราะห สราง ไถถอน<br />
บาน/ หองชุด<br />
2 ออมสิน<br />
- สวัสดิการ<br />
ใชจายตามความ<br />
จําเปน<br />
โครงการสวัสดิการเงินกู<br />
คุณสมบัติ<br />
ผูกู<br />
ขาราชการ/<br />
ลูกจางประจํา<br />
ขาราชการ/<br />
ลูกจางประจํา<br />
วงเงินใหกู ระยะเวลา<br />
การกู<br />
ไมเกิน 100% ของ<br />
ราคาประเมินที่ดิน<br />
พรอมอาคาร หรือ<br />
หองชุด<br />
ไมเกิน 1,500,000 บาท<br />
ไมเกิน 30 ป และอายุ<br />
ผูกูรวมกับจํานวนปที่<br />
ขอกูตองไมเกิน 70 ป<br />
ไมเกิน 15 ป<br />
อัตรา<br />
ดอกเบี้ย<br />
MRR - 1%<br />
MLR + 1%<br />
- เคหะ<br />
ซื้อ ซอมแซม<br />
สราง ไถถอน<br />
บาน/ หองชุด<br />
ขาราชการ/<br />
ลูกจางประจํา<br />
ไมเกิน 100% ของ<br />
ราคาประเมินที่ดิน<br />
พรอมอาคาร ไมเกิน<br />
90%ของหองชุด<br />
ไมเกิน 30 ป และอายุ<br />
ผูกูรวมกับจํานวนปที่<br />
ขอกูตองไมเกิน 65 ป<br />
ปที่ 1 = 1.25<br />
ปที่ 2 MLR -2<br />
ปที่ 3 เปนตนไป<br />
MLR -1<br />
-ไทรทอง<br />
กูเพื่อใชจายโดย<br />
ใชหลักทรัพย<br />
ค้ําประกัน<br />
ขาราชการ/<br />
ลูกจางประจํา<br />
ไมเกิน 85% ของ<br />
ราคาประเมินที่ดิน<br />
พรอมอาคาร ไมเกิน<br />
70%ของหองชุด<br />
ไมเกิน 15 ป และอายุ<br />
ผูกูรวมกับจํานวนปที่<br />
ขอกูตองไมเกิน 60 ป<br />
MLR + 1%<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
45
ที่ ธนาคาร วัตถุประสงค<br />
ในการกู<br />
-พัฒนา ชําระหนี้<br />
คุณภาพชีวิต<br />
3<br />
กรุงไทย<br />
- สินเชื่อ<br />
อเนกประสงค<br />
ใชจายตามความ<br />
จําเปน<br />
คุณสมบัติ ผูกู วงเงินใหกู ระยะเวลาการกู อัตราดอกเบี้ย<br />
ขาราชการ/<br />
ลูกจางประจํา<br />
รวมกลุมกัน<br />
5 – 10 คน<br />
ขาราชการ/<br />
ลูกจางประจํา<br />
ไมเกิน<br />
1,500,000บาท<br />
ไมเกิน<br />
2,000,000บาท<br />
ไมเกิน 15 ป<br />
ไมเกิน 15 ป<br />
MLR<br />
MRR + 0.75%<br />
- สินเชื่อ<br />
เพื่อที่อยูอาศัย<br />
ซื้อ ซอมแซม สราง<br />
ไถถอนบาน/ หองชุด<br />
ขาราชการ/<br />
ลูกจางประจํา<br />
ไมเกิน 100%<br />
ของราคา<br />
ประเมินที่ดิน<br />
พรอมอาคาร<br />
ไมเกิน 90%<br />
ของหองชุด<br />
ไมเกิน 30 ป<br />
และอายุผูกูรวม<br />
กับจํานวนปที่<br />
ขอกูตองไมเกิน<br />
65 ป<br />
ปที่ 1 = 1.25<br />
ปที่ 2 MLR -1.5<br />
ปที่ 3 เปนตน<br />
ไป MLR -0.5<br />
- บานกรุงไทย<br />
กบข. เพื่อ<br />
สมาชิก กบข.<br />
ซื้อ ซอมแซม สราง<br />
ไถถอนบาน/ หองชุด<br />
ขาราชการที่เปน<br />
สมาชิก กบข.<br />
ไมเกิน 100%<br />
ของราคา<br />
ประเมินที่ดิน<br />
พรอมอาคาร<br />
ไมเกิน 30 ป<br />
และอายุผูกูรวม<br />
กับจํานวนปที่<br />
ขอกูตองไมเกิน<br />
65 ป<br />
เดือนที่ 1-3 =<br />
0%เดือนที่ 4-12<br />
= MLR -4.20<br />
ปที่ 2 MLR -2<br />
ปที่ 3 เปนตนไป<br />
MLR -0.5<br />
- การศึกษา<br />
เพื่อสมาชิก<br />
กบข.<br />
การศึกษาของสมาชิก<br />
และบุตร<br />
ขาราชการที่เปน<br />
สมาชิก กบข.<br />
ตามระดับ<br />
การศึกษา,<br />
ไมเกิน 500,000<br />
บาท<br />
ไมเกิน 8 ป<br />
ปที่ 1 MRR -1.5<br />
ปที่ 2 เปนตนไป<br />
MRR + 0.75<br />
หมายเหตุ MLR = Minimum loan rate ดอกเบี้ยเงินกูธรรมดาขั้นต่ํา<br />
MRR = Minimum retail rate ดอกเบี้ยลูกคารายยอยขั้นต่ํา<br />
46 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ขั้นตอนการดำเนินงาน<br />
1. แจ้งเวียนโครงการและหลักเกณฑ์การกู้เงินให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำาทราบ<br />
2. ข้าราชการและลูกจ้างประจำาผู้ประสงค์ขอกู้เงินจัดทำาบันทึกขอหนังสือผ่านสิทธิและหนังสือ<br />
ยินยอมให้หักเงินเดือนส่งให้กองการเจ้าหน้าที่ (บันทึกขอหนังสือผ่านสิทธิ และหนังสือยินยอมให้หักเงิน<br />
เดือน สามารถดาวน์โหลดได้จาก www.disaster.go.th : เกี่ยวกับกรม/ บริหารงานบุคคล/ ดาวน์โหลดแบบ<br />
ฟอร์มต่างๆ/ ฝ่ายสวัสดิการ)<br />
3. ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ขอกู้ และผู้ค้ำาประกัน (กรณีมีผู้ค้ำาประกัน)และจัดทำาหนังสือผ่าน<br />
สิทธิให้ผู้ขอกู้<br />
4. ส่งหนังสือผ่านสิทธิให้ผู้ขอกู้นำาไปติดต่อยื่นคำาขอกู้กับธนาคารพร้อมหลักฐานอื่นๆ<br />
5. ธนาคารพิจารณาการให้กู้ เมื่อได้รับอนุมัติธนาคารจะแจ้งให้กรมหักเงินเดือน/ค่าจ้าง<br />
นำาส่งธนาคารชำาระหนี้ทุกเดือนจนกว่าจะชำาระหนี้เสร็จสิ้น<br />
6. กองการเจ้าหน้าที่แจ้งกองคลังหักเงินเดือน/ค่าจ้างของผู้กู้นำาส่งธนาคาร<br />
7. เมื่อผู้กู้ชำาระหนี้เสร็จสิ้น ธนาคารจะมีหนังสือแจ้งให้กรมงดหักเงินเดือน/ค่าจ้าง<br />
8. หากผู้กู้ต้องการกู้เงินเพิ่ม ต้องแจ้งความประสงค์โดยการจัดทำาหนังสือผ่านสิทธิ(ตามข้อ 3)<br />
9. จัดทำาทะเบียนผู้กู้<br />
10. กรณีผู้กู้พ้นสภาพการเป็นข้าราชการ/ลูกจ้างประจำา กองการเจ้าหน้าที่จะแจ้งให้ธนาคาร<br />
ทราบ และกรมจะพ้นจากหน้าที่ในการหักเงินเดือนของผู้กู้รายนั้น<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
47
แผนผังขั้นตอน (Flow Chart)<br />
แผนผังขั้นตอนการเขารวมโครงการสวัสดิการเงินกู (Work Flow)<br />
แผนผังขั้นตอนการเข้าร่วมโครงการสวัสดิการเงินกู้<br />
ธนาคาร ทําขอตกลง (MOU) กับกรม<br />
ธนาคารแจงโครงการฯ พรอมหลักเกณฑการใหกู<br />
เขาสูกระบวนการเดิม<br />
เวียนแจงขาราชการ/ลูกจางในสังกัด<br />
- website<br />
- หนังสือเวียน<br />
ผูมีความประสงคขอกูเงินแจงความประสงคขอหนังสือ<br />
ผานสิทธิจากกรมตามแบบที่กําหนด<br />
ตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องตน<br />
- ดูจาก slip เงินเดือน<br />
สวัสดิการทําหนังสือผานสิทธิใหผูขอกูถือไป ธนาคาร ยื่นกู<br />
ธนาคาร พิจารณาอนุมัติ<br />
ธนาคาร ไมอนุมัติ ระงับเรื่อง (ธนาคารแจงผูกูเอง)<br />
ธนาคาร แจง <strong>ปภ</strong>. ใหหัก<br />
เงินเดือนสงทุกเดือน<br />
รวบรวมขอมูล ฐานขอมูล<br />
ลงทะเบียนไวอยางเปนระบบ<br />
นําเรียนในที่ประชุม<br />
คณะกรรมการสวัสดิการกรม<br />
อยางนอยปละ 1 ครั้ง<br />
กรณีกูเพิ่ม<br />
กรมโดยฝายสวัสดิการ<br />
แจงกองคลัง<br />
กองคลังแจงกรมบัญชีกลางหัก<br />
เงินเดือน สงธนาคารโดยตรง<br />
กรณีสงครบวงเงิน<br />
กรณีผูกูขาดสง<br />
ธนาคารแจงใหกรมระงับการ<br />
หักเงินเดือนสง<br />
ธนาคารแจงหนวยงาน<br />
ใหดําเนินการแกไข<br />
48 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
การมอบประกาศเกียรติคุณ<br />
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดสวัสดิการด้านการมอบประกาศเกียรติคุณให้แก่<br />
ข้าราชการและลูกจ้างประจำา เพื่อเป็นขวัญ กำาลังใจ และเป็นการระลึกถึงคุณความดีและผลงานของผู้ที่<br />
ได้อุทิศกำาลังกาย กำาลังใจ ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความรู้ความสามารถ ความอุตสาหะพยายาม ความ<br />
เสียสละ โดยจัดให้มีการมอบประกาศเกียรติคุณ จำานวน 2 ประเภท คือ<br />
1. ประกาศเกียรติคุณชั้น 1 มอบให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำาที่ออกจากราชการเนื่องจาก<br />
เกษียณอายุ<br />
2. ประกาศเกียรติคุณชั้น 2 มอบให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำาที่รับราชการครบยี่สิบปีบริบูรณ์<br />
นับถึงวันที่ 3 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันก่อตั้งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
คุณสมบัติ/หลักเกณฑ์ที่เกี่ยวข้อง<br />
1. คุณสมบัติของผู้สมควรได้รับประกาศเกียรติคุณชั้น 1<br />
1) อายุครบหกสิบปีและออกจากราชการ เนื่องจากเกษียณอายุ<br />
2) มีความประพฤติเรียบร้อยและปฏิบัติราชการด้วยความวิริยะ อุตสาหะ เสียสละ และ<br />
เอาใจใส่ต่อหน้าที่เป็นอย่างดีเสมอมา<br />
2. คุณสมบัติของผู้สมควรได้รับประกาศเกียรติคุณชั้น 2<br />
1) รับราชการครบยี่สิบปีบริบูรณ์นับถึงวันที่ 3 ตุลาคม ซึ่งเป็นวันก่อตั้งกรม<br />
2) มีความประพฤติเรียบร้อยและปฏิบัติราชการด้วยความวิริยะ อุตสาหะ เสียสละ และเอาใจใส่<br />
ต่อหน้าที่เป็นอย่างดีเสมอมา<br />
3) ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัย เว้นแต่ กรณีความผิดที่ถูกลงโทษนั้นไม่สูงกว่าโทษภาคทัณฑ์และ<br />
คณะอนุกรรมการพิจารณาเห็นว่าสมควรได้รับการยกเว้นเป็นกรณีพิเศษ<br />
ขั้นตอนการดำเนินงาน<br />
1. สำารวจรายชื่อข้าราชการและลูกจ้างประจำาที่มีคุณสมบัติสมควรได้รับประกาศเกียรติคุณ<br />
2. ตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมควรได้รับประกาศเกียรติคุณ<br />
3. จัดทำาบัญชีรายชื่อของผู้สมควรได้รับประกาศเกียรติคุณ<br />
4. จัดประชุมคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการเพื่อมอบประกาศเกียรติคุณ<br />
5. จัดทำาใบประกาศเกียรติคุณ<br />
6. เสนออธิบดีขออนุมัติมอบประกาศเกียรติคุณ<br />
7. อัดกรอบวิทยาศาสตร์ใบประกาศเกียรติคุณ<br />
8. จัดพิธีมอบประกาศเกียรติคุณ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
49
การฌาปนกิจสงเคราะห์<br />
การฌาปนกิจสงเคราะห์กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ได้จัดตั้งขึ้นปี พ.ศ. 2525 เมื่อครั้ง<br />
มีสถานะเป็นสำานักงานเร่งรัดพัฒนาชนบท ต่อมาได้ปรับเปลี่ยนบทบาทและภารกิจหน้าที่ตามพระราชบัญญัติ<br />
ระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ. 2545 จึงเปลี่ยนชื่อการฌาปนกิจสงเคราะห์ตามชื่อใหม่ของกรม<br />
คือ การฌาปนกิจสงเคราะห์กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
การฌาปนกิจสงเคราะห์กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีวัตถุประสงค์เพื่อให้สมาชิก<br />
ทำาการสงเคราะห์ซึ่งกันและกันในการจัดการศพ หรือจัดการศพและสงเคราะห์ครอบครัวของสมาชิกที่ถึงแก่<br />
ความตายด้วยเงินสงเคราะห์ โดยไม่ประสงค์จะนำาผลกำาไรมาแบ่งปันกัน<br />
การฌาปนกิจสงเคราะห์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ดำาเนินการบริหารงานในรูป<br />
คณะกรรมการ โดยมีคณะกรรมการดำาเนินกิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
จำานวน 15 คน (อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เป็นประธานกรรมการ)<br />
สมาชิกของการฌาปนกิจสงเคราะห์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มี 2 ประเภท คือ<br />
1. ประเภทสามัญ<br />
2. ประเภทวิสามัญ<br />
คุณสมบัติ<br />
ผู้สมัครเป็นสมาชิกของการฌาปนกิจสงเคราะห์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย จะต้องมี<br />
คุณสมบัติ ดังนี้<br />
1. เป็นผู้มีความประพฤติดี และยินยอมปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับของการฌาปนกิจสงเคราะห์<br />
2. มีอายุในวันสมัครไม่เกินหกสิบปีบริบูรณ์<br />
3. ไม่เป็นโรคติดต่อร้ายแรง<br />
4. คุณสมบัติเฉพาะผู้สมัครสมาชิกประเภทสามัญ คือ เป็นข้าราชการ ลูกจ้างประจำา พนักงาน<br />
ราชการ ในสังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือกรมทรัพยากรน้ำา หรือกรมทางหลวงชนบท หรือ<br />
พนักงานของการฌาปนกิจสงเคราะห์กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย หรือเจ้าหน้าที่สหกรณ์ออมทรัพย์<br />
รพช. จำากัด<br />
5. คุณสมบัติเฉพาะผู้สมัครสมาชิกประเภทวิสามัญ คือ เป็น สามี หรือ ภริยา ของผู้เป็นสมาชิก<br />
สามัญ<br />
50 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ขั้นตอนดำเนินการ<br />
1. สมัครเข้าเป็นสมาชิก<br />
1.1 กรณีสมัครเข้าเป็นสมาชิกประเภทวิสามัญ ให้ดำาเนินการดังนี้<br />
- ยื่นใบสมัครพร้อมสามี หรือภริยาผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกประเภทสามัญ<br />
- ยื่นใบสมัครภายในหนึ่งปีนับแต่สามี หรือภริยาเข้าเป็นสมาชิกสามัญแล้ว<br />
- หากจดทะเบียนสมรสภายหลังจะสมัครได้ภายในหนึ่งปีนับแต่วันจดทะเบียนสมรส<br />
1.2 การชำาระเงินแรกเข้า ผู้สมัครต้องยื่นใบสมัครพร้อมชำาระเงิน จำานวน 150 บาท ประกอบด้วย<br />
- ค่าสมัคร จำานวน 50 บาท<br />
- เงินสงเคราะห์ล่วงหน้า จำานวน 100 บาท<br />
1.3 สมาชิกภาพของสมาชิกจะสมบูรณ์ ต่อเมื่อ<br />
1) ผู้สมัครได้ชำาระเงินค่าสมัคร<br />
2) คณะกรรมการมีมติให้รับเข้าเป็นสมาชิก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่คณะกรรมการดำาเนิน<br />
กิจการการฌาปนกิจสงเคราะห์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีมติรับ<br />
1.4 ผู้สมัครเข้าเป็นสมาชิกจะต้องระบุชื่อ และชื่อสกุล ของผู้ที่ให้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์<br />
ให้ชัดแจ้งในใบสมัคร<br />
2. หน้าที่ของสมาชิก<br />
2.1 ปฏิบัติตามระเบียบ คำาสั่ง ข้อบังคับของการฌาปนกิจสงเคราะห์ และมติคณะกรรมการ<br />
2.2 ต้องชำาระเงินสงเคราะห์ภายในสามสิบวัน นับแต่วันที่ได้รับแจ้งการตายของสมาชิกจาก<br />
การฌาปนกิจสงเคราะห์<br />
2.3 เก็บรักษาหนังสือสำาคัญแสดงการเป็นสมาชิกของการฌาปนกิจสงเคราะห์ไว้หากหาย ชำารุด<br />
ให้แจ้งการฌาปนกิจสงเคราะห์เพื่อออกใบแทนใหม่<br />
2.4 การย้ายที่อยู่ เปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนชื่อสกุล แก้วันเดือนปีเกิด ของสมาชิก ให้ยื่นคำาร้อง<br />
ตามแบบ ฌ.<strong>ปภ</strong>. 4 ต่อการฌาปนกิจสงเคราะห์ ภายในสิบห้าวัน นับแต่วันย้าย เปลี่ยน หรือแก้ไข เพื่อ<br />
การฌาปนกิจสงเคราะห์จะได้แก้ไขหลักฐานต่างๆ ในทะเบียนให้ถูกต้อง<br />
2.5 เมื่อต้องการเปลี่ยนตัวบุคคลตามที่แสดงความจำานงไว้ในใบสมัคร ให้แจ้งความประสงค์เป็น<br />
หนังสือตามแบบ ฌ.<strong>ปภ</strong>. 3 ต่อการฌาปนกิจสงเคราะห์ เพื่อดำาเนินการแก้ไขในทะเบียนให้ถูกต้อง<br />
3. การจัดเก็บเงินสงเคราะห์ จะจัดเก็บจากสมาชิกเป็นรายเดือนศพละ 10 บาท ซึ่งส่วนมากจะ<br />
มีผู้เสียชีวิตเฉลี่ยเดือนละ 10 ศพ เป็นเงิน 100 บาท โดยขอความอนุเคราะห์กองคลังของกรมป้องกันและ<br />
บรรเทาสาธารณภัย กรมทรัพยากรน้ำา และกรมทางหลวงชนบท เป็นผู้หักจากเงินเดือนของสมาชิกที่<br />
ปฏิบัติงานในสังกัดนั้น ๆ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
51
4. การสิ้นสุดสมาชิกภาพ<br />
4.1 ตาย<br />
4.2 ลาออก โดยยื่นหนังสือขอลาออกตามแบบ ฌ.<strong>ปภ</strong>. 7 ต่อคณะกรรมการ<br />
4.3 คณะกรรมการมีมติให้พ้นสมาชิกภาพ เนื่องจากค้างชำาระเงินสงเคราะห์ หรือการฌาปนกิจ<br />
สงเคราะห์ไม่สามารถหาหลักแหล่งที่อยู่ของสมาชิกผู้นั้นได้ ไม่ติดต่อการชำาระเงินสงเคราะห์จนครบกำาหนด<br />
เก้าสิบวัน<br />
ผู้ที่คณะกรรมการมีมติให้พ้นสมาชิกภาพเนื่องจากค้างชำาระเงินสงเคราะห์ สามารถยื่นหนังสือ<br />
ขออุทธรณ์ต่อคณะกรรมการได้ภายในสามสิบวันนับแต่วันที่ได้รับหนังสือแจ้งการพ้นจากสมาชิกภาพ เพื่อ<br />
ขอคืนสมาชิกภาพกลับเป็นสมาชิกดังเดิม<br />
5. การจ่ายเงินสงเคราะห์ให้ผู้ที่สมาชิกแจ้งไว้ในใบสมัคร<br />
เมื่อสมาชิกถึงแก่ความตายผู้มีสิทธิรับเงินสงเคราะห์จะได้รับเงินสงเคราะห์ตามจำานวนสมาชิก<br />
การฌาปนกิจสงเคราะห์ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยที่มีอยู่จริง ณ วันที่แจ้งการขอรับเงินสงเคราะห์<br />
ของสมาชิกที่ถึงแก่ความตาย พร้อมเอกสารหลักฐานครบถ้วนตามที่กำาหนดไว้ในแบบ ฌ.<strong>ปภ</strong>. 5 ดังนี้<br />
(1) สำาเนาบัตรประจำาตัวข้าราชการของผู้รับรองและค้ำาประกัน<br />
(2) สำาเนาบัตรประจำาตัวข้าราชการ หรือ บัตรประจำาตัวประชาชนของผู้ยื่นคำาร้อง<br />
(3) สำาเนาทะเบียนบ้านของผู้ยื่นคำาร้อง<br />
(4) สำาเนาทะเบียนบ้านผู้ตาย<br />
(5) สำาเนาใบมรณบัตร<br />
(6) หนังสือสำาคัญแสดงการเป็นสมาชิก<br />
(7) ใบเสร็จรับเงินครั้งสุดท้าย<br />
6. การฌาปนกิจสงเคราะห์จะหักค่าใช้จ่ายในการดำาเนินงาน 4% จากเงินสงเคราะห์<br />
โดยแบ่งจ่ายเป็น 3 งวด<br />
- งวดที่ 1 ไม่เกิน 15 วัน นับจากวันที่ยื่นเอกสารครบถ้วน<br />
- งวดที่ 2 ไม่เกิน 45 วัน นับจากวันที่ได้รับเงินสงเคราะห์ในงวดที่ 1<br />
- งวดที่ 3 ไม่เกิน 30 วัน นับจากวันที่ได้รับเงินสงเคราะห์ในงวดที่ 2<br />
52 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
การลาศึกษาต่อในประเทศ<br />
ก.พ. ได้กำาหนด หลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการให้ข้าราชการพลเรือนสามัญไปศึกษา<br />
เพิ่มเติม ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัยในประเทศ ตามหนังสือสำานักงาน ก.พ. ที่ นร 1013.8.5/ว 22<br />
ลงวันที่ 15 กันยายน 2552 เพื่อให้ส่วนราชการใช้เป็นแนวทางในการพัฒนาข้าราชการในประเทศโดย<br />
วิธีการต่าง ๆ<br />
นิยาม<br />
“ผู้มีอำานาจอนุมัติ” หมายถึง (1) นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี สำาหรับปลัดสำานักนายกรัฐมนตรี<br />
ปลัดกระทรวง หรือหัวหน้าส่วนราชการที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี (2) ปลัดกระทรวงรองปลัด<br />
กระทรวง ผู้ทำาหน้าที่หัวหน้ากลุ่มภารกิจ หรือหัวหน้าส่วนราชการที่เทียบเท่า หรือหัวหน้าส่วนราชการที่ขึ้น<br />
ตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรี หรืออธิบดี สำาหรับข้าราชการในสังกัด (3) หัวหน้าส่วนราชการซึ่งมี<br />
ฐานะเป็นกรม สำาหรับข้าราชการในส่วนราชการนั้น<br />
“ส่วนราชการ” หมายถึง กระทรวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะ<br />
เป็นกรม หรือส่วนราชการที่ไม่มีฐานะเป็นกรมแต่มีหัวหน้าส่วนราชการเป็นอธิบดีหรือเทียบเท่า ทั้งนี้<br />
ที่อยู่ในบังคับบัญชาหรือในกำากับดูแลของฝ่ายบริหาร<br />
“ข้าราชการ” หมายความว่า ข้าราชการพลเรือนสามัญ<br />
“ศึกษาเพิ่มเติม” หมายความว่า การเพิ่มพูนความรู้ด้วยการเรียนหรือการวิจัยตามหลักสูตร<br />
ของสถาบันการศึกษาในประเทศ เพื่อให้ได้มาซึ่งปริญญาหรือประกาศนียบัตรวิชาชีพ และเป็นการเรียน<br />
หรือการวิจัยในเวลาราชการ<br />
การให้ข้าราชการไปศึกษาเพิ่มเติม ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย ให้ผู้มีอำานาจอนุมัติ<br />
พิจารณาถึงอัตรากำาลังที่มีอยู่โดยให้มีผู้ปฏิบัติงานเพียงพอไม่ให้เสียหายแก่ราชการและไม่ต้องตั้งอัตรากำ าลัง<br />
เพิ่ม ในกรณีที่มีปัญหาเกี่ยวกับการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขนี้ ให้ผู้มีอำานาจอนุมัติเป็นผู้<br />
วินิจฉัยชี้ขาด คำาวินิจฉัยนั้นเป็นที่สุด<br />
หลักเกณฑ์การไปศึกษาเพิ่มเติมของข้าราชการ<br />
1. สาขาวิชาและระดับความรู้ที่ไปศึกษาเพิ่มเติมต้องสอดคล้องหรือเป็นประโยชน์กับงานหรือ<br />
ตำาแหน่งที่ดำารงอยู่ เว้นแต่เป็นการไปศึกษาเพิ่มเติมเพื่อพัฒนาตนเองและได้รับความเห็นชอบจากผู้มีอำ านาจ<br />
อนุมัติ<br />
2. ต้องเป็นการไปศึกษาเพิ่มเติมในสถาบันการศึกษาที่กระทรวงศึกษาธิการให้การรับรอง<br />
มาตรฐานหลักสูตร<br />
3. การศึกษาเพิ่มเติมตามคำาสั่งหรือการมอบหมายของทางราชการในหลักสูตรที่ อ.ก.พ. กรม<br />
หรือ อ.ก.พ. กระทรวง พิจารณาเห็นว่าเป็นความจำาเป็นอย่างยิ่ง เพื่อประโยชน์ต่อการปฏิบัติงานในส่วน<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
53
ราชการ ให้ถือเสมือนว่าข้าราชการที่ไปศึกษาในหลักสูตรนั้นๆ ไปปฏิบัติราชการ ซึ่งอาจจะนำาผลงานจาก<br />
การศึกษามาประกอบการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนได้<br />
คุณสมบัติของข้าราชการที่ไปศึกษาเพิ่มเติมในประเทศ<br />
1. พ้นจากการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการแล้ว ในกรณีที่มีความจำาเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้<br />
ข้าราชการที่ยังอยู่ในระหว่างการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการไปศึกษาเพิ่มเติม ให้กระทำาได้ต่อเมื่อได้รับ<br />
อนุมัติเป็นการเฉพาะรายจากผู้มีอำานาจอนุมัติ<br />
2. มีเวลากลับมาปฏิบัติราชการหลังจากศึกษาเสร็จแล้ว เพียงพอที่จะชดใช้ได้ครบก่อนเกษียณ<br />
อายุราชการ ทั้งนี้ ให้รวมระยะเวลาที่ต้องชดใช้สำาหรับการลาศึกษา ฝึกอบรม หรือปฏิบัติการวิจัย เดิมที่<br />
ชดใช้ไม่แล้วเสร็จด้วย<br />
3. ผู้บังคับบัญชาตั้งแต่ผู้อำานวยการกองหรือเทียบเท่าขึ้นไปรับรองว่าเป็นผู้ที่มีความประพฤติดี<br />
และตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการ<br />
4. ในกรณีที่เคยได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาเพิ่มเติม หรือปฏิบัติการวิจัยในประเทศตามหลักเกณฑ์<br />
วิธีการ และเงื่อนไขนี้ หรือตามระเบียบอื่น จะต้องกลับมาปฏิบัติราชการแล้วเป็นเวลาไม่น้อยกว่าหนึ่งปี<br />
หลักฐานประกอบการไปศึกษาเพิ่มเติมในประเทศ<br />
1. หลักสูตรหรือแนวทางการศึกษาเพิ่มเติมของสถาบันการศึกษาที่จะไปศึกษา พร้อมหนังสือ<br />
ตอบรับจากสถาบันการศึกษาที่จะไปศึกษาเพิ่มเติม<br />
2. บันทึกแสดงเหตุผล ความจำาเป็น และความต้องการของทางราชการที่จะต้องให้ข้าราชการ<br />
ผู้นั้นไปศึกษาเพิ่มเติม ตลอดจนแผนงานหรือโครงการที่จะให้ข้าราชการผู้นั้นกลับมา<br />
3. คำารับรองของผู้บังคับบัญชาตามคุณสมบัติของข้าราชการที่ไปศึกษาเพิ่มเติมในประเทศ<br />
4. หลักฐานการศึกษาของข้าราชการที่จะไปศึกษา<br />
5. หลักฐานการได้รับทุน (ถ้ามี)<br />
การทำสัญญา<br />
ข้าราชการที่ได้รับอนุมัติให้ไปศึกษาเพิ่มเติมหรือปฏิบัติการวิจัยต้องทำาสัญญาตามระเบียบ<br />
หลักเกณฑ์ วิธีการ และแบบที่กระทรวงการคลังกำาหนด ให้ส่วนราชการทำาสัญญาให้ข้าราชการที่ไปศึกษา<br />
เพิ่มเติมหรือปฏิบัติการวิจัยกลับมาปฏิบัติราชการเป็นเวลาไม่น้อยกว่าระยะเวลาที่ใช้ในการศึกษาเพิ่มเติม<br />
หรือปฏิบัติการวิจัยแล้วแต่กรณีหากข้าราชการผู้ใดไม่กลับมาปฏิบัติราชการตามสัญญา ต้องชดใช้เงินเดือน<br />
ทุนที่ได้รับระหว่างศึกษา และเงินที่ทางราชการจ่ายช่วยเหลือ กับให้ใช้เงินอีกจำานวนหนึ่งเท่ากับจำานวน<br />
เงินเดือน ทุน และเงินทางราชการจ่ายช่วยเหลือดังกล่าวให้เป็นเบี้ยปรับแก่ทางราชการอีกด้วย และใน<br />
กรณีที่กลับมาปฏิบัติราชการไม่ครบกำาหนดตามสัญญา ก็ให้ลดจำานวนเงินที่จะต้องชดใช้ลงตามส่วน<br />
54 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ข้าราชการผู้ใดอยู่ในระหว่างปฏิบัติราชการชดใช้แต่โอนไปรับราชการที่ส่วนราชการหรือหน่วยงาน<br />
ของรัฐแห่งใหม่ ถ้าได้รับอนุมัติให้ผ่อนผันเรื่องนับเวลาที่โอนไปปฏิบัติราชการดังกล่าวเป็นเวลารับราชการ<br />
ชดใช้ต่อเนื่อง ให้ส่วนราชการหรือหน่วยงานของรัฐแห่งใหม่นั้นรับโอนทั้งสิทธิและหน้าที่ตามสัญญานั้นด้วย<br />
การทำาสัญญาอนุญาตให้ข้าราชการไปศึกษาภายในประเทศ ผู้ค้ำาประกัน ได้แก่ บิดาหรือมารดา<br />
ของผู้ทำาสัญญา ถ้าไม่มีต้องให้พี่ หรือน้องร่วมบิดาหรือมารดาของผู้ทำาสัญญาเป็นผู้ค้ำาประกัน<br />
ขั้นตอนการดำเนินงาน<br />
1. หน่วยงานของข้าราชการที่ลาศึกษาเพิ่มเติมจัดทำาหนังสือขออนุญาตลาศึกษาต่อถึงอธิบดี<br />
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยพร้อมด้วยหลักฐานในการศึกษาเพิ่มเติม<br />
2. กองการเจ้าหน้าที่จัดทำาหนังสือถึงอธิบดีเพื่อขออนุญาตให้ข้าราชการลาศึกษาต่อ และเมื่อ<br />
อธิบดีอนุมัติแล้วให้ข้าราชการดังกล่าวทำาสัญญาอนุญาตให้ข้าราชการไปศึกษาภายในประเทศและสัญญา<br />
ค้ำาประกัน โดยกองการเจ้าหน้าที่จะทำาคำาสั่งให้ข้าราชการลาศึกษาภายในประเทศ และทำาหนังสือถึงสถาบัน<br />
การศึกษาเพื่อแจ้งว่าทางกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้อนุมัติให้ข้าราชการดังกล่าวไปศึกษาเพิ่มเติม<br />
3. ข้าราชการที่ลาศึกษาเพิ่มเติมต้องเขียนใบลาไปศึกษา ฝึกอบรม ดูงาน หรือปฏิบัติการวิจัย<br />
โดยให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ลงชื่อเห็นควรอนุญาตให้ลาศึกษาเพิ่มเติมได้<br />
4. เมื่อเสร็จสิ้นระยะเวลาที่ลาศึกษาต่อให้จัดทำ าหนังสือแจ้งการรายงานตัวกลับเข้าปฏิบัติราชการ<br />
ให้กองการเจ้าหน้าที่ เพื่อจักได้จัดทำาคำาสั่งให้ข้าราชการกลับเข้าปฏิบัติราชการต่อไป<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
55
การคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น<br />
คณะกรรมการจัดงานวันข้าราชการพลเรือน ที่มีปลัดสำานักนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน และ<br />
เห็นชอบมอบหมายปลัดกระทรวงศึกษาธิการเป็นเจ้าภาพรับผิดชอบดำาเนินงานในฐานะประธานอนุกรรมการ<br />
คัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น มีหน้าที่รับผิดชอบในกระบวนการทั้งปวงอันเกี่ยวเนื่องกับการคัดเลือก<br />
ข้าราชการพลเรือนดีเด่น มีผลการทำางานเริ่มนับแต่การคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น ประจำาปี 2526<br />
จัดพิธีเชิดชูเกียรติในวันข้าราชการพลเรือน 1 เมษายน 2527 เป็นต้นมา โดยมีกรอบความคิดของการทำางาน<br />
เพื่อมุ่งส่งเสริมและยกย่องข้าราชการและลูกจ้างประจำาฝ่ายพลเรือนที่ประพฤติปฏิบัติงานเป็นแบบอย่างให้<br />
ข้าราชการอื่นได้ประพฤติปฏิบัติตามและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น ทั้งในด้านการดำาเนินงาน การปฏิบัติตนให้เป็นที่<br />
ยอมรับกับบุคคลผู้เกี่ยวข้อง ทั้งในหน้าที่ราชการและสังคม กับการปฏิบัติงานที่เพียบพร้อมด้วยจรรยาบรรณ<br />
ข้าราชการปรากฏชัดเจนเป็นที่ยอมรับและมีผลงานโดดเด่นเป็นประโยชน์ยิ่งกับภารกิจราชการที่รับมอบหมาย<br />
รวมถึงผลการปฏิบัติตน งาน ส่งผลกับประชาชนที่เป็นผู้รับบริการเป็นสำาคัญ<br />
คุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการคัดเลือก<br />
1. เป็นข้าราชการพลเรือนหรือลูกจ้างประจำาในส่วนกลาง<br />
2. มีระยะเวลาในการปฏิบัติงานติดต่อกันต่อเนื่องจากสังกัดไม่น้อยกว่า 5 ปี<br />
3. เป็นผู้ไม่เคยถูกลงโทษทางวินัยหรืออยู่ระหว่างสอบสวนทางวินัย<br />
4. ไม่อยู่ระหว่างการสอบสวนของพนักงานสอบสวนในคดีอาญา หรืออยู่ระหว่างการดำาเนินคดี<br />
อาญาในศาล เว้นแต่เป็นคดีที่ได้กระทำาโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ<br />
5. ไม่เคยได้รับการคัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่นมาก่อน<br />
6. เป็นผู้มีความประพฤติปฏิบัติตนชอบด้วยคุณธรรม ศีลธรรม จรรยาบรรณข้าราชการ เป็น<br />
ที่ยอมรับของบุคคลในส่วนราชการและสังคม<br />
7. เป็นบุคคลที่ได้รับการยอมรับ ยกย่องในเพื่อน ในสังคมร่วมงานอย่างเปิดเผยทั้งต่อหน้า<br />
และลับหลัง<br />
8. ประพฤติปฏิบัติงานในหน้าที่และนอกเหนือหน้าที่ สม่ำาเสมอ เต็มใจ มีจิตมุ่งผลสัมฤทธิ์ของ<br />
งานที่รับผิดชอบ จนมีผลงานปรากฏที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนราชการ ประชาชนมากกว่าผู้อื่นอย่างเด่นชัด<br />
9. มีผลงานเชิงประจักษ์ดีเด่นเป็นที่ยอมรับสมควรได้รับการยกย่อง ให้หมายรวมถึงผลการปฏิบัติงาน<br />
ในหน้าที่เป็นอันดับแรก ผลงานจากการอุทิศทุ่มเท เสียสละ เกิดประโยชน์ยิ่งกับส่วนราชการและประชาชน<br />
ทั้งนี้อาจปรากฏเป็นผลงานด้านเอกสารที่สืบค้นได้เชิงประจักษ์และ/หรือผลการปฏิบัติที่ไม่ปรากฏเป็นเอกสาร<br />
แต่เป็นรูปธรรมที่ยอมรับอย่างกว้างขวางของผู้เกี่ยวข้องสำาหรับการปฏิบัติหน้าที่ของลูกจ้างประจำา เป็นต้น<br />
10. กรณีที่ไม่มีผู้มีคุณสมบัติครบถ้วนถึงระดับได้รับการพิจารณา ส่วนราชการจะงดส่งผล<br />
การคัดเลือกได้ ทั้งนี้จะไม่ส่งผลถึงปีต่อไปแต่ประการใด<br />
56 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
หลักเกณฑ์การคัดเลือก<br />
1. ส่วนราชการต้องคัดเลือกไม่เกินจำานวนที่คณะอนุกรรมการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น<br />
กำาหนด โดยพิจารณาจากข้อมูลบุคลากรตามกรอบอัตรากำาลังที่มีอยู่จริง ณ วันที่ 30 กันยายน<br />
ของปีงบประมาณที่แล้ว<br />
รายละเอียด จำานวน (คน) คัดเลือกได้ (คน) หมายเหตุ<br />
ข้าราชการ+ลูกจ้างประจำา 1 – 300 ไม่เกิน 1 ไม่จำากัดกลุ่ม<br />
ข้าราชการ+ลูกจ้างประจำา 301 – 3,000 ไม่เกิน 2 ไม่จำากัดกลุ่ม<br />
ข้าราชการ+ลูกจ้างประจำา 3,001 – 10,000 ไม่เกิน 3 ไม่จำากัดกลุ่ม<br />
ข้าราชการ+ลูกจ้างประจำา 10,001 ขึ้นไป ไม่เกิน 4 ไม่จำากัดกลุ่ม<br />
2. กลุ่มของผู้รับการคัดเลือก ส่วนราชการจำาแนกกลุ่มได้ 3 กลุ่ม<br />
กลุ่มที่ 1 กลุ่มที่ 2 กลุ่มที่ 3<br />
ตำาแหน่งประเภทอำานวยการ<br />
- ระดับต้น<br />
ตำาแหน่งประเภทวิชาการ<br />
- ระดับชำานาญการ<br />
- ระดับชำานาญการพิเศษ<br />
ตำาแหน่งประเภททั่วไป<br />
- ระดับอาวุโส<br />
ตำาแหน่งประเภทวิชาการ<br />
- ระดับปฏิบัติการ<br />
ตำาแหน่งประเภททั่วไป<br />
- ระดับปฏิบัติงาน<br />
- ระดับชำานาญงาน<br />
ลูกจ้างประจำา<br />
ผลการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น ตามข้อ 1 ให้เป็นไปตามมติของคณะกรรมการคัด<br />
เลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นของกรม ไม่จำาเป็นว่าต้องมีทุกกลุ่ม แต่หากกลุ่มที่ 2 และ กลุ่มที่ 3 มีค่า<br />
คุณภาพงาน คน พฤติกรรม เท่าเทียมหรือใกล้เคียง แต่เลือกได้เพียงคนเดียว ขอให้ ส่วนราชการพิจารณา<br />
กลุ่มที่ 3 เป็นอันดับแรก<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
57
วิธีการคัดเลือก<br />
1. ให้ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นของผู้สมควรได้รับการคัดเลือก ประเมินประวัติและผลงานโดย<br />
พิจารณาจากความสามารถเฉพาะตัว ความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ การเสียสละ วิริยะ อุตสาหะ รวมถึงการ<br />
ครองตน ครองคน ครองงาน และมีผลงานดีเด่น เป็นที่ยอมรับของบุคลากรในหน่วยงาน<br />
2. คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นของกรมป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัย<br />
ขั้นตอนการดำเนินการ<br />
1. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย แจ้งเวียนหน่วยงานในสังกัดกอง หน่วยงานในส่วนกลาง<br />
ศูนย์ฯ เขต และวิทยาเขต พิจารณาคัดเลือกข้าราชการและลูกจ้างประจำาที่มีคุณสมบัติสมัครเข้ารับการ<br />
คัดเลือกเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น<br />
2. คณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นของกรมป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัย กำาหนดหลักเกณฑ์และคัดเลือกบุคคลเพื่อเสนอชื่อเป็นข้าราชการพลเรือนดีเด่น<br />
3. อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย เห็นชอบลงนามในหนังสือถึงปลัดกระทรวง<br />
ศึกษาธิการ เรื่องการคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น<br />
4. กระทรวงศึกษาธิการตรวจสอบพิจารณาคัดเลือกและแจ้งชื่อให้กรมป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัย เพื่อไปรับเข็มเชิดชูเกียรติ (ครุฑทองคำา) ในวันที่ 1 เมษายน ของทุกปี<br />
สำาหรับสำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ซึ่งเป็นราชการส่วนภูมิภาค<br />
การคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่น ให้ดำาเนินการคัดเลือกข้าราชการที่มีคุณสมบัติตรงตามที่กระทรวง<br />
ศึกษาธิการกำาหนด และให้ส่งแบบกรอกประวัติและแบบประเมินให้สำานักงานจังหวัดเพื่อพิจารณาในสัดส่วน<br />
ของจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการพิจารณาคัดเลือกข้าราชการพลเรือนดีเด่นของจังหวัดจะพิจารณาคัดเลือก<br />
และรายงานผลการคัดเลือกให้ผู้ว่าราชการจังหวัดลงนามถึงปลัดกระทรวงศึกษาธิการ<br />
58 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
งานสรรหาบรรจุแต่งตั้ง<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
59
60 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
การย้ายข้าราชการผู้ได้รับวุฒิเพิ่มขึ้น<br />
(จากการขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้จากส่วนราชการอื่น)<br />
การย้ายข้าราชการผู้ได้รับวุฒิเพิ่มขึ้น หมายถึง การย้ายข้าราชการพลเรือนสามัญผู้ดำารง<br />
ตำาแหน่งในสายงานที่เริ่มต้นจากประเภททั่วไป ซึ่งเดิมดำารงตำาแหน่งตั้งแต่ระดับ 3 ขึ้นไป ของสายงานที่เริ่มต้น<br />
จากระดับ 1 หรือ ระดับ 2 ที่ได้รับวุฒิปริญญาเพิ่มขึ้นตรงตามที่กำาหนดไว้เป็นคุณสมบัติเฉพาะสำาหรับ<br />
ตำาแหน่งประเภทวิชาการระดับปฏิบัติการ (ระดับ 3 เดิม) ของสายงานที่จะแต่งตั้ง และไม่เคยดำารงตำาแหน่ง<br />
ในสายงานที่เริ่มต้นจากประเภทวิชาการ (ระดับ 3 เดิม) มาก่อน ซึ่งเป็นการแต่งตั้งจากผู้ที่สอบแข่งขันได้<br />
ขั้นตอนการดำเนินงาน<br />
1. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย มีหนังสือแจ้งหน่วยงานในสังกัดให้ทราบว่า กรณี<br />
หน่วยงานมีข้าราชการประเภททั่วไปได้รับวุฒิปริญญาตรีเพิ่มขึ้น และได้รับการขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้<br />
ในการสอบแข่งขันเพื่อบรรจุและแต่งตั้งบุคคลเข้ารับราชการเป็นข้าราชการพลเรือนสามัญประเภทวิชาการ<br />
ปฏิบัติการในส่วนราชการอื่น หากประสงค์ขอย้ายเปลี่ยนสายงาน ให้ทำาหนังสือแจ้งกองการเจ้าหน้าที่<br />
2. หน่วยงานต้นสังกัดมีหนังสือถึงกองการเจ้าหน้าที่ กรณีข้าราชการประเภททั่วไปผู้ได้รับ<br />
วุฒิปริญญาตรีเพิ่มขึ้น และได้รับการขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้จากส่วนราชการอื่น แจ้งความประสงค์ขอย้าย<br />
ปรับเปลี่ยนสายงานเป็นประเภทวิชาการปฏิบัติการ<br />
3. กองการเจ้าหน้าที่ ตรวจสอบอัตราว่างในสังกัดกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประเภท<br />
วิชาการปฏิบัติการ ซึ่งมีชื่อตำาแหน่งตรงกับตำาแหน่งที่ข้าราชการได้ขึ้นบัญชีการสอบแข่งขัน และดำาเนินการ<br />
ตามขั้นตอนที่ 5 กรณีที่ 1 หรือหากไม่มีตำาแหน่งดังกล่าวว่าง จะตรวจสอบตำาแหน่งอื่นประเภทวิชาการ<br />
ปฏิบัติการ โดยข้าราชการจะต้องมีคุณสมบัติตรงตามคุณสมบัติเฉพาะสำาหรับตำาแหน่งที่จะแต่งตั้ง เพื่อนำา<br />
มาใช้เป็นตำาแหน่งในการย้ายข้าราชการ และดำาเนินการตามขั้นตอนที่ 5 กรณีที่ 2<br />
4. กองการเจ้าหน้าที่ประสานข้าราชการผู้สอบขึ้นบัญชี ฯ เพื่อชี้แจงทำาความเข้าใจหลักเกณฑ์<br />
และสายทางความก้าวหน้าเพื่อประกอบการพิจารณาย้ายข้าราชการ หากเงินเดือนข้าราชการเกินขั้นสูงของ<br />
ประเภทวิชาการปฏิบัติการ ต้องทำาข้อตกลงยินยอมปรับลดเงินเดือนลงมาเท่ากับขั้นสูงของประเภทวิชาการ<br />
ปฏิบัติการ<br />
5. การจัดทำาคำาสั่ง แยกการดำาเนินการเป็น 2 กรณี คือ<br />
กรณีที่ 1 ชื่อตำาแหน่งสายงานที่ว่างตรงกับบัญชีสอบ ดำาเนินการดังนี้<br />
1) ประสานส่วนราชการเจ้าของบัญชีผู้สอบแข่งขันได้เพื่อตรวจสอบสถานภาพของประกาศ<br />
การขึ้นบัญชีว่าได้มีการนำาบัญชีไปใช้แล้ว บัญชียังไม่ถูกยกเลิก และขอนำารายชื่อข้าราชการในสังกัด<br />
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยผู้ได้รับการขึ้นบัญชีมาดำาเนินการจัดทำาคำาสั่งย้ายข้าราชการผู้ได้รับการ<br />
ขึ้นบัญชี ฯ ตามแนวทางหนังสือสำานักงาน ก.พ. ที่ นร 0711/ ว 12 ลงวันที่ 1 ตุลาคม 2533<br />
2) จัดทำาคำาสั่งย้ายข้าราชการผู้ได้รับวุฒิเพิ่มขึ้นเพื่อแต่งตั้งให้ดำ ารงตำาแหน่งประเภทวิชาการ<br />
ปฏิบัติการ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
61
กรณีที่ 2 ชื่อตำาแหน่งสายงานที่ว่างไม่ตรงกับบัญชีสอบ ดำาเนินการดังนี้<br />
1) ประสานส่วนราชการเจ้าของบัญชีผู้สอบแข่งขันได้เพื่อตรวจสอบสถานภาพของประกาศ<br />
การขึ้นบัญชีว่าได้มีการนำาบัญชีไปใช้แล้ว บัญชียังไม่ถูกยกเลิก และขอนำารายชื่อข้าราชการในสังกัดกรม<br />
ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยผู้ได้รับการขึ้นบัญชีมาดำาเนินการจัดทำาคำาสั่งย้ายข้าราชการผู้ได้รับการขึ้น<br />
บัญชี ฯ ตามแนวทางหนังสือสำานักงาน ก.พ. ที่ นร 1006/ ว 15 ลงวันที่ 28 มิถุนายน 2547<br />
2) จัดทำาคำาสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการคัดเลือกข้าราชการผู้สอบแข่งขันได้ในตำาแหน่งหนึ่งไป<br />
ขึ้นบัญชีผู้สอบแข่งขันได้ในตำาแหน่งอื่น หลักเกณฑ์และวิธีการ ฯ ตามแนวทางหนังสือสำานักงาน ก.พ.<br />
ที่ นร 0708.4/ว 15 ลงวันที่ 9 กันยายน 2535 คณะกรรมการประกอบด้วยข้าราชการพลเรือนจำานวน<br />
ไม่น้อยกว่า 3 คน โดยตั้งกรรมการคนหนึ่งเป็นประธาน<br />
3) ประชุมคณะกรรมการคัดเลือก ฯ เพื่อกำาหนดแนวทางการคัดเลือก วัน เวลา การ<br />
คัดเลือกพร้อมทั้งกำาหนดระยะเวลาทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการในตำาแหน่งที่ได้รับแต่งตั้ง<br />
4) แจ้งให้ข้าราชการผู้สอบขึ้นบัญชีฯ สมัครเข้ารับการประเมินความเหมาะสมกับตำาแหน่ง<br />
โดยแจ้งเป็นหนังสือส่งทางไปรษณีย์ลงทะเบียนก่อนวันเริ่มรับสมัครไม่น้อยกว่า 10 วัน และกำาหนดระยะ<br />
เวลารับสมัครไม่น้อยกว่า 3 วันทำาการ<br />
5) จัดเตรียมสถานที่สอบคัดเลือก จัดทำาข้อมูลข้าราชการให้คณะกรรมการคัดเลือกเพื่อ<br />
ประกอบ การพิจารณาคัดเลือก<br />
6) ดำาเนินการคัดเลือก<br />
7) ประมวลผลการสอบสรุปเสนออธิบดี พร้อมประกาศรายชื่อผู้ผ่านการคัดเลือก โดยผู้ผ่าน<br />
การคัดเลือกต้องเป็นผู้ได้รับคะแนนไม่ต่ำากว่าร้อยละ 60<br />
8) จัดทำาคำาสั่งย้ายข้าราชการผู้ได้รับวุฒิเพิ่มขึ้นเพื่อแต่งตั้งให้ดำ ารงตำาแหน่งประเภทวิชาการ<br />
ปฏิบัติการ<br />
หมายเหตุ : การดำาเนินการกรณีที่ 2 เมื่อได้จัดทำาคำาสั่งย้ายข้าราชการผู้ได้รับวุฒิเพิ่มขึ้น ให้ปฏิบัติงานใน<br />
ตำาแหน่งที่ได้รับแต่งตั้งไม่น้อยกว่า 1 ปี จึงจะย้ายหรือโอนได้<br />
6. แจ้งสังกัดที่ข้าราชการไปปฏิบัติงาน พร้อมแบบประเมินผลการทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ<br />
7. เมื่อครบระยะเวลาที่กำาหนดให้ประเมินผลการปฏิบัติราชการตามตำาแหน่งที่ได้รับการ<br />
แต่งตั้งให้สังกัดที่ข้าราชการไปปฏิบัติงานแจ้งผลการประเมินส่งให้กองการเจ้าหน้าที่ โดยคะแนนผลการ<br />
ประเมินต้องไม่ต่ำากว่าร้อยละ 60 จึงจะถือว่าผ่านการประเมิน หากคะแนนไม่ถึงร้อยละ 60 ต้องให้ข้าราชการ<br />
ทดลองปฏิบัติหน้าที่ราชการ เป็นระยะเวลาอีก 1 เดือนจึงจัดทำาการประเมินผลการปฏิบัติงานอีกครั้ง<br />
62 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
การส่งตัวข้าราชการ ลูกจ้างประจำ และพนักงานราชการ<br />
ไปปฏิบัติราชการตามคำสั่ง<br />
ข้าราชการ ลูกจ้างประจำา และพนักงานราชการ ที่ได้รับคำาสั่งเลื่อน / ย้าย / ปฏิบัติราชการ<br />
ต้องส่งมอบงานและเดินทางไปปฏิบัติราชการตามสังกัดที่มีคำาสั่งภายในเวลาที่กำาหนด โดยการเจ้าหน้าที่<br />
ของสังกัดที่ปฏิบัติราชการอยู่ต้องดำาเนินการส่งตัวข้าราชการ ลูกจ้างประจำา และพนักงานราชการ ไปปฏิบัติ<br />
ราชการตามคำาสั่ง พร้อมทั้งรายงานผลการส่งตัวมายังกองการเจ้าหน้าที่<br />
นิยาม<br />
“ส่วนกลาง” หมายถึง สำานัก / กอง / ว<strong>ปภ</strong>. / ว<strong>ปภ</strong>.เขต / ศูนย์ฯ เขต 1-18<br />
“ส่วนภูมิภาค”<br />
หมายถึง สำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด<br />
“สังกัดเดิม” หมายถึง สังกัดที่ปฏิบัติราชการ<br />
“สังกัดใหม่” หมายถึง สังกัดที่มีคำาสั่งให้ไปปฏิบัติ<br />
กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง<br />
• พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน พ.ศ.2534 มาตรา 32 และที่แก้ไขเพิ่มเติมโดย<br />
มาตรา 12 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน (ฉบับที่ 5) พ.ศ.2545<br />
• พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 มาตรา 49<br />
• ระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยพนักงานราชการ พ.ศ.2547 ข้อ 4 ข้อ 22 ข้อ 31<br />
• ระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการรับส่งงานในหน้าที่ราชการ พ.ศ.2524<br />
ขั้นตอนการดำเนินงาน<br />
1. กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยมีคำาสั่งให้ข้าราชการ ลูกจ้างประจำา และพนักงานราชการ<br />
เลื่อน/ย้าย/ปฏิบัติราชการ<br />
2. กองการเจ้าหน้าที่จัดทำาหนังสือภายนอก/หนังสือภายใน แจ้งให้สังกัดเดิม (สังกัดปฏิบัติ)<br />
จัดทำาหนังสือภายนอก / หนังสือภายใน ส่งตัวข้าราชการ ลูกจ้างประจำา และพนักงานราชการ ไปปฏิบัติ<br />
ราชการในสังกัดใหม่ตามคำาสั่งที่ได้รับ พร้อมทั้งแนบแบบประเมินประสิทธิภาพประสิทธิผลการปฏิบัติราชการ<br />
รายละเอียดวันลากิจ ลาป่วย และลาพักผ่อน (ถ้ามี)<br />
3. กองการเจ้าหน้าที่เป็นผู้จัดทำาหนังสือถึงผู้ว่าราชการจังหวัดกรณีมีข้าราชการได้รับคำาสั่ง<br />
เลื่อน/ย้าย/ปฏิบัติราชการในส่วนภูมิภาค<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
63
การจัดทำาหนังสือส่งตัวให้สังกัดเดิมปฏิบัติแล้วแต่กรณี ดังนี้<br />
การจัดทําหนังสือสงตัวใหสังกัดเดิมปฏิบัติแลวแตกรณี ดังนี้<br />
สังกัดเดิม สังกัดใหม ผูลงนามในหนังสือ ลงนามถึง การแจงผล หมายเหตุ<br />
สงตัว<br />
สวนกลาง สวนกลาง ผูอํานวยการกอง ผูอํานวยการ สังกัดเดิมแจงผล<br />
-<br />
ผูอํานวยการสํานัก<br />
ผูอํานวยการวิทยาลัย ฯ<br />
หัวหนาหนวยงาน<br />
(สังกัดใหม) การสงตัวมาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
สวนกลาง ศูนย ฯ เขต ผูอํานวยการกอง ผูอํานวยการศูนย ฯ สังกัดเดิมแจงผล<br />
-<br />
ผูอํานวยการสํานัก<br />
ผูอํานวยการวิทยาลัย ฯ<br />
หัวหนาหนวยงาน<br />
(สังกัดใหม) การสงตัวมาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
สวนกลาง <strong>ปภ</strong>.จังหวัด อธิบดี ผูวาราชการจังหวัด<br />
(สังกัดใหม)<br />
สังกัดเดิมแจงผล<br />
การสงตัวมาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
ผูที่ไดรับคําสั่งใหไป<br />
รับหนังสือสงตัวที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
ศูนย ฯ เขต สวนกลาง ผูอํานวยการศูนย ฯ ผูอํานวยการ สังกัดเดิมแจงผล<br />
-<br />
(สังกัดใหม) การสงตัวมาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
ศูนย ฯ เขต ศูนย ฯ เขต ผูอํานวยการศูนย ฯ ผูอํานวยการศูนย ฯ<br />
(สังกัดใหม)<br />
สังกัดเดิม (ศูนยฯ เขต)<br />
แจงผลการสงตัวมาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
-<br />
ศูนย ฯ เขต <strong>ปภ</strong>.จังหวัด ผูอํานวยการศูนย ฯ ผูวาราชการจังหวัด<br />
<strong>ปภ</strong>.จังหวัด สวนกลาง ผูวาราชการจังหวัด<br />
(สังกัดเดิม)<br />
<strong>ปภ</strong>.จังหวัด ศูนย ฯ เขต ผูวาราชการจังหวัด<br />
(สังกัดเดิม)<br />
(สังกัดใหม)<br />
อธิบดี<br />
สังกัดเดิม (ศูนยฯ เขต)<br />
แจงผลการสงตัวมาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
สังกัดเดิม (<strong>ปภ</strong>.จังหวัด)<br />
แจงผลการสงตัวมาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
ผูอํานวยการศูนย ฯ สังกัดเดิม (<strong>ปภ</strong>.จังหวัด)<br />
แจงผลการสงตัวมาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
แนบหนังสือถึงผูวา<br />
ราชการจังหวัด<br />
มาใหสังกัดเดิม<br />
กองการเจาหนาที่<br />
แนบหนังสือถึงผูวา<br />
ราชการจังหวัด<br />
มาใหสังกัดเดิม<br />
กองการเจาหนาที่<br />
แนบหนังสือถึงผูวา<br />
ราชการจังหวัด<br />
มาใหสังกัดเดิม<br />
64 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
สังกัดเดิม สังกัดใหม ผูลงนามในหนังสือ<br />
สงตัว<br />
<strong>ปภ</strong>.จังหวัด <strong>ปภ</strong>.จังหวัด ผูวาราชการจังหวัด<br />
(สังกัดเดิม)<br />
ลงนามถึง การแจงผล หมายเหตุ<br />
ผูวาราชการจังหวัด<br />
(สังกัดใหม)<br />
กรม <strong>ปภ</strong>. ตางกรม อธิบดี ผูบังคับบัญชา<br />
(สังกัดใหม)<br />
สังกัดเดิม (<strong>ปภ</strong>.จังหวัด)<br />
แจงผลการสงตัวมาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
แนบหนังสือถึงผูวา<br />
ราชการจังหวัด<br />
มาใหสังกัดเดิม<br />
- ผูที่ไดรับคําสั่งใหไป<br />
รับหนังสือสงตัวที่<br />
กองการเจาหนาที่<br />
หมายเหตุ หมายเหตุ กองการเจาหนาที่จะแจงคําสั่งกรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัยใหผูไดรับคําสั่งทราบ<br />
กองการเจ้าหน้าที่จะแจ้งคำาสั่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยให้ผู้ได้รับคำ าสั่งทราบ<br />
ภายใน 10 วัน นับจากวันที่มีคำาสั่ง<br />
ภายใน 10 วัน นับจากวันที่มีคําสั่ง<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
65
66 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
งานอัตรากำลังและระบบงาน<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
67
68 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ประเภทและตำแหน่งของข้าราชการพลเรือน<br />
การประกาศใช้พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 เมื่อวันที่ 26 มกราคม<br />
2551 ทำาให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในระบบราชการ โดยมีการยกเลิกระบบจำาแนกตำาแหน่งและ<br />
ค่าตอบแทน จากระบบที่เรียกว่า Single Classification Scheme มาเป็นระบบ Multi Classification Scheme<br />
คือ จากกลุ่มเดียวที่มีระดับมาตรฐานกลาง (Common Level) หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่า”ซี” ที่ใช้กันมา<br />
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2518 ด้วยเหตุผลที่ว่า มาตรฐานกลางเพียงมาตรฐานเดียวไม่สามารถบริหารกำาลังคนที่มีความ<br />
แตกต่างกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ มาเป็นระบบจำาแนกตำาแหน่งใหม่ เพื่อช่วยให้การบริหารเป็นไปอย่าง<br />
คล่องตัว มีประสิทธิภาพ โดยมาตรา 45 และมาตรา 46 ของพระราชบัญญัติดังกล่าว ได้บัญญัติให้จัดระบบ<br />
โครงสร้างตำาแหน่งข้าราชการใหม่ เป็น 4 ประเภท ตามลักษณะงานที่อยู่ในราชการ คือ ตำาแหน่งประเภท<br />
บริหาร (S) อำานวยการ (M) วิชาการ (K) และทั่วไป (O) และในแต่ละประเภทจะประกอบด้วยกลุ่มสายงาน<br />
ที่มีลักษณะสอดคล้องกับความหมายของประเภทตำาแหน่งนั้นๆ ดังนี้<br />
1. ตำาแหน่งประเภทบริหาร หมายถึง ตำาแหน่งที่มีอำานาจและหน้าที่ในการบริหารงานในฐานะ<br />
ที่เป็นหัวหน้าส่วนราชการและรองหัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงหรือกรมตำาแหน่งที่มีฐานะเป็นปฏิบัติงาน<br />
ตรวจและแนะนำาการปฏิบัติราชการของส่วนราชการระดับกระทรวง และตำาแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำาหนดเป็น<br />
ตำาแหน่งประเภทบริหาร ประกอบด้วย 4 สายงาน คือ สายงานนักบริหาร นักการทูต นักปกครอง และ<br />
ตำาแหน่งในสายงานตรวจราชการ (ระดับกระทรวง) จำาแนกเป็น 2 ระดับ ได้แก่<br />
1.1 บริหารระดับต้น : ตำาแหน่งรองอธิบดี รองผู้ว่าราชการจังหวัด อัครราชทูต กงสุลใหญ่<br />
และตำาแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำาหนด<br />
1.2 บริหารระดับสูง : ตำาแหน่งปลัดกระทรวง รองปลัดกระทรวง ผู้ตรวจราชการกระทรวง<br />
อธิบดี ผู้ว่าราชการจังหวัด เอกอัครราชทูต และตำาแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำาหนด<br />
2. ตำาแหน่งประเภทอำานวยการ หมายถึง ตำาแหน่งที่มีอำานาจและหน้าที่ในการบริหารงาน<br />
ในฐานะหัวหน้าส่วนราชการที่ต่ำากว่าระดับกรมซึ่งมีการแบ่งส่วนราชการตามกฎหมายว่าด้วยระเบียบบริหาร<br />
ราชการแผ่นดิน และตำาแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำาหนด จำาแนกเป็น 2 ระดับ ได้แก่<br />
2.1 อำานวยการระดับต้น : ตำาแหน่งผู้อำานวยการกอง ผู้อำานวยการศูนย์ป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัยเขต หัวหน้าส่วนราชการประจำาจังหวัด หัวหน้าสำานักงานจังหวัด นายอำาเภอ และตำาแหน่งอื่น<br />
ที่ ก.พ. กำาหนด<br />
2.2 อำานวยการระดับสูง : ตำาแหน่ง ผู้อำานวยการสำานัก ผู้ตรวจราชการกรม หัวหน้าส่วน<br />
ราชการประจำาจังหวัดที่ผ่านการประเมินคุณภาพงานตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำาหนด หัวหน้าสำานักงาน<br />
จังหวัดที่ผ่านการประเมินคุณภาพงานตามหลักเกณฑ์ที่ก.พ. กำาหนด นายอำาเภอที่ผ่านการประเมินคุณภาพงาน<br />
ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำาหนด กงสุล และตำาแหน่งอื่นที่ ก.พ. กำาหนด<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
69
3. ตำาแหน่งประเภทวิชาการ หมายถึง ตำาแหน่งในฐานะผู้ปฏิบัติงานที่ใช้ความรู้ในทางวิชาการ<br />
ซึ่งจำาเป็นต้องใช้ผู้สำาเร็จการศึกษาระดับปริญญาตามที่ก.พ. กำาหนด หรือปฏิบัติงานในหน้าที่ของตำาแหน่งนั้น<br />
จำาแนกเป็น 5 ระดับ ได้แก่<br />
3.1 ระดับปฏิบัติการ : ตำาแหน่งแรกบรรจุ<br />
3.2 ระดับชำานาญการ : ตำาแหน่งที่ต้องอาศัยประสบการณ์ สามารถปฏิบัติงานด้านวิชาการ<br />
ที่จำาเป็นต้องมีประสบการณ์ หรือตำาแหน่งหัวหน้าหน่วยงานด้านวิชาการ<br />
3.3 ระดับชำานาญการพิเศษ : ตำาแหน่งหัวหน้าหน่วยงานด้านวิชาการในงานสูงมากสามารถ<br />
ปฏิบัติงานวิชาการที่ต้องอาศัยความรู้ชำานาญงานในงานที่ยุ่งยากซับซ้อน หรือเป็นหัวหน้าหน่วยงานด้าน<br />
วิชาการหรือหัวหน้าหน่วยงานปฏิบัติการกึ่งวิชาการขนาดใหญ่<br />
3.4 ระดับเชี่ยวชาญ : ตำาแหน่งที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในงานสูงหรือตำาแหน่งที่ต้องใช้<br />
ความเชี่ยวชาญด้านวิชาการระดับกรม<br />
3.5 ระดับทรงคุณวุฒิ : ตำาแหน่งที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญในงานสูงมากเป็นพิเศษในฐานะ<br />
ผู้ทรงคุณวุฒิในงานด้านนั้น หรือให้คำาปรึกษาระดับกระทรวงโดยเน้นตำาแหน่งที่ต้องใช้ความเชี่ยวชาญด้าน<br />
วิชาการระดับกระทรวง<br />
4. ตำาแหน่งประเภททั่วไป หมายถึง ตำาแหน่งในฐานะผู้ปฏิบัติงานซึ่งเน้นการใช้ทักษะฝีมือ<br />
หรือผู้ที่มีประสบการณ์ในงาน โดยไม่จำาเป็นต้องใช้ผู้สำาเร็จการศึกษาระดับปริญญาตามที่ ก.พ. กำาหนด<br />
จำาแนกเป็น 4 ระดับ ได้แก่<br />
4.1 ระดับปฏิบัติงาน : ตำาแหน่งแรกบรรจุ<br />
4.2 ระดับชำานาญงาน : หัวหน้าหน่วยงานระดับต้น หรือตำาแหน่งที่ใช้ทักษะ<br />
ความสามารถเฉพาะที่จำาเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ ตำาแหน่งเทคนิคเฉพาะด้านที่จำาเป็นต้องมีประสบการณ์<br />
หรือตำาแหน่งปฏิบัติการในสายงานหลักที่ต้องมีประสบการณ์ หรือตำาแหน่งบริการสนับสนุนที่ต้องมี<br />
ประสบการณ์<br />
4.3 ระดับอาวุโส : ตำาแหน่งหัวหน้าหน่วยงานขนาดใหญ่ หรือตำาแหน่งที่ใช้ทักษะความ<br />
สามารถเฉพาะในระดับสูงมาก หรือตำาแหน่งที่ใช้เทคนิคเฉพาะด้านสูงมาก<br />
4.4 ระดับทักษะพิเศษ : ตำาแหน่งสำาหรับสายงานที่ใช้ทักษะความสามารถเฉพาะสูงมาก<br />
เป็นพิเศษ (เฉพาะตัวบุคคล)<br />
ก.พ. ได้จัดทำามาตรฐานกำาหนดตำาแหน่งโดยจำาแนกตำาแหน่งเป็นประเภทและสายงานตาม<br />
ลักษณะงาน เพื่อให้ยึดถือเป็นหลักในการกำาหนดตำาแหน่งข้าราชการพลเรือนสามัญในส่วนราชการ จำานวน<br />
รวม 245 สายงาน ในกลุ่มอาชีพ 8 กลุ่ม ประกอบด้วย<br />
กลุ่มอาชีพ 1 หมายถึง กลุ่มอาชีพบริหาร อำานวยการ ธุรการ งานสถิติ งานนิติการ<br />
งานการทูตและต่างประเทศ<br />
กลุ่มอาชีพ 2 หมายถึง กลุ่มอาชีพการคลัง การเศรษฐกิจ การพาณิชย์และอุตสาหกรรม<br />
70 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
กลุมอาชีพ 2 หมายถึง กลุมอาชีพการคลัง การเศรษฐกิจ การพาณิชยและอุตสาหกรรม<br />
กลุมอาชีพ<br />
กลุ่มอาชีพ<br />
3 หมายถึง<br />
3 หมายถึง<br />
กลุมอาชีพคมนาคม<br />
กลุ่มอาชีพคมนาคม<br />
ขนสง และติดตอสื่อสาร<br />
ขนส่ง และติดต่อสื่อสาร<br />
กลุมอาชีพ<br />
กลุ่มอาชีพ<br />
4 หมายถึง<br />
4 หมายถึง<br />
กลุมอาชีพเกษตรกรรม<br />
กลุ่มอาชีพเกษตรกรรม<br />
กลุ่มอาชีพ 5 หมายถึง กลุ่มอาชีพวิทยาศาสตร์<br />
กลุมอาชีพ 5 หมายถึง กลุมอาชีพวิทยาศาสตร<br />
กลุ่มอาชีพ 6 หมายถึง กลุ่มอาชีพแพทย์ พยาบาลและสาธารณสุข<br />
กลุมอาชีพ 6 หมายถึง กลุมอาชีพแพทย พยาบาลและสาธารณสุข<br />
กลุ่มอาชีพ 7 หมายถึง กลุ่มอาชีพวิศวกรรม สถาปัตยกรรม และช่างเทคนิคต่างๆ<br />
กลุมอาชีพ 7 หมายถึง กลุมอาชีพวิศวกรรม สถาปตยกรรม และชางเทคนิคตางๆ<br />
กลุ่มอาชีพ 8 หมายถึง กลุ่มอาชีพการศึกษา ศิลปะ สังคม และการพัฒนาชุมชน<br />
กลุมอาชีพ 8 หมายถึง กลุมอาชีพการศึกษา ศิลปะ สังคม และการพัฒนาชุมชน<br />
สำาหรับรายชื่อตำาแหน่งตามพระราชบัญญัติข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2551 (ไทย-อังกฤษ)<br />
ตามสายงาน สําหรับรายชื่อตําแหนงตามพระราชบัญญัติขาราชการพลเรือน ประเภทและระดับตำาแหน่ง ที่เกี่ยวข้องกับกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ.2551 (ไทย-อังกฤษ) ประกอบด้วย ตาม<br />
สายงาน 29 สายงาน ประเภทและระดับตําแหนง ในกลุ่มอาชีพ 6 กลุ่ม ที่เกี่ยวของกับกรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัย (ยกเว้นกลุ่มอาชีพที่ 4 และกลุ่มอาชีพที่ 6) สรุปได้ดังนี้ ประกอบดวย 29 สาย<br />
งาน ในกลุมอาชีพ 6 กลุม (ยกเวนกลุมอาชีพที่ 4 และกลุมอาชีพที่ 6) สรุปไดดังนี้<br />
ลําดับ ชื่อสายงาน<br />
(Classification Name)<br />
ชื่อตําแหนงในสายงาน<br />
(Classification Title)<br />
ประเภท<br />
Category<br />
ระดับ<br />
ตําแหนง<br />
Level<br />
ตําแหนงประเภทบริหาร : กลุมอาชีพ 1กลุมอาชีพบริหาร อํานวยการ ธุรการ งานสถิติ งานนิติการ งานการทูตและ<br />
ตางประเทศ<br />
1 บริหาร<br />
นักบริหาร<br />
บริหาร S1-S2<br />
Executive<br />
Executive<br />
ตําแหนงประเภทอํานวยการ : กลุมอาชีพ 1กลุมอาชีพบริหาร อํานวยการ ธุรการ งานสถิติ งานนิติการ งานการทูต<br />
และตางประเทศ<br />
2 อํานวยการ<br />
Management<br />
ผูอํานวยการ<br />
Director<br />
อํานวยการ M1-M2<br />
3 อํานวยการเฉพาะดาน<br />
Management in Specific<br />
Field<br />
ผูอํานวยการเฉพาะดาน (ระบุชื่อสายงาน)<br />
เชนผูอํานวยการเฉพาะดาน (แพทย)<br />
Director (Classification Name)<br />
e.g. Director (physician)<br />
อํานวยการ<br />
ตําแหนงประเภทวิชาการ<br />
กลุมอาชีพ 1กลุมอาชีพบริหาร อํานวยการ ธุรการ งานสถิติ งานนิติการ งานการทูตและตางประเทศ<br />
4 จัดการงานทั่วไป<br />
General Administration<br />
นักจัดการงานทั่วไป<br />
General Administration Officer<br />
วิชาการ<br />
5 ทรัพยากรบุคคล<br />
Human Resource<br />
นักทรัพยากรบุคคล<br />
Human Resource Officer<br />
วิชาการ<br />
M1-M2<br />
K1-K3<br />
K1-K5<br />
6 นิติการ Legal Affairs นิติกร Legal Officer วิชาการ K1-K5<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
71
ลําดับ ชื่อสายงาน<br />
(Classification Name)<br />
7 วิเคราะหนโยบายและแผน<br />
Plan and Policy Analysis<br />
8 วิชาการคอมพิวเตอร<br />
Computer Science<br />
9 วิชาการพัสดุ<br />
Supply<br />
10 วิเทศสัมพันธ<br />
International Cooperation<br />
ชื่อตําแหนงในสายงาน<br />
(Classification Title)<br />
นักวิเคราะหนโยบายและแผน<br />
Plan and Policy Analyst<br />
นักวิชาการคอมพิวเตอร<br />
Computer Technical Officer<br />
นักวิชาการพัสดุ<br />
Supply Analyst<br />
นักวิเทศสัมพันธ<br />
Foreign Relations Officer<br />
กลุมอาชีพ 2 กลุมอาชีพการคลัง การเศรษฐกิจ การพาณิชย และอุตสาหกรรม<br />
11 วิชาการเงินและบัญชี<br />
Finance and Accounting<br />
นักวิชาการเงินและบัญชี<br />
Finance and Accounting Analyst<br />
12 วิชาการตรวจสอบภายใน นักวิชาการตรวจสอบภายใน<br />
Internal Audit<br />
Internal Auditor<br />
กลุมอาชีพ 3 กลุมอาชีพคมนาคม ขนสง และติดตอสื่อสาร<br />
13 วิชาการเผยแพร<br />
Dissemination<br />
14 วิชาการโสตทัศนศึกษา<br />
Audio-Visual Technic<br />
นักวิชาการเผยแพร<br />
Dissemination Technical Officer<br />
นักวิชาการโสตทัศนศึกษา<br />
Audio-Visual Technical Officer<br />
ประเภท<br />
Category<br />
วิชาการ<br />
วิชาการ<br />
วิชาการ<br />
วิชาการ<br />
วิชาการ<br />
วิชาการ<br />
วิชาการ<br />
วิชาการ<br />
ระดับ<br />
ตําแหนง<br />
Level<br />
K1-K5<br />
K1-K5<br />
K1-K3<br />
K1-K4<br />
K1-K4<br />
K1-K4<br />
K1-K3<br />
K1-K3<br />
กลุมอาชีพ 5 กลุมอาชีพวิทยาศาสตร<br />
15 วิทยาศาสตร<br />
Science<br />
นักวิทยาศาสตร<br />
Scientist<br />
กลุมอาชีพ 7 กลุมอาชีพวิศวกรรม สถาปตยกรรม และชางเทคนิคตางๆ<br />
16 วิศวกรรมเครื่องกล<br />
Mechanical Engineering<br />
17 วิศวกรรมไฟฟา<br />
Electrical Engineering<br />
18 วิศวกรรมโยธา<br />
Civil Engineering<br />
วิศวกรเครื่องกล<br />
Mechanical Engineer<br />
วิศวกรไฟฟา<br />
Electrical Engineer<br />
วิศวกรโยธา<br />
Civil Engineer<br />
วิชาการ<br />
วิชาการ<br />
วิชาการ<br />
วิชาการ<br />
K1-K5<br />
K1-K4<br />
K1-K4<br />
K1-K5<br />
72 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ลําดับ ชื่อสายงาน<br />
(Classification Name)<br />
ชื่อตําแหนงในสายงาน<br />
(Classification Title)<br />
ประเภท<br />
Category<br />
ระดับ<br />
ตําแหนง<br />
Level<br />
กลุมอาชีพ 8 กลุมอาชีพการศึกษา ศิลปะ สังคม และการพัฒนา<br />
19 สังคมสงเคราะห นักสังคมสงเคราะห<br />
วิชาการ K1-K4<br />
Social Work<br />
Social Worker<br />
ตําแหนงประเภททั่วไป<br />
กลุมอาชีพ 1 กลุมอาชีพบริหาร อํานวยการ ธุรการ งานสถิติ งานนิติการ งานการทูต และตางประเทศ<br />
20 ปฏิบัติงานธุรการ<br />
General Service Operation<br />
ทั่วไป O1-O3<br />
เจาพนักงานธุรการ<br />
General Service Officer หรือ<br />
Office Clerk<br />
21 ปฏิบัติงานพัสดุ<br />
Supply Operation<br />
เจาพนักงานพัสดุ<br />
Supply Officer<br />
กลุมอาชีพ 2 กลุมอาชีพการคลัง การเศรษฐกิจ การพาณิชย และอุตสาหกรรม<br />
22 ปฏิบัติงานการเงินและบัญชี เจาพนักงานการเงินและบัญชี<br />
Finance and Accounting Finance and Accounting Officer<br />
กลุมอาชีพ 3 กลุมอาชีพคมนาคม ขนสง และติดตอสื่อสาร<br />
23 ปฏิบัติงานสื่อสาร เจาพนักงานสื่อสาร<br />
Telecommunications Telecommunications Officer<br />
Operation<br />
24 ปฏิบัติงานโสตทัศนศึกษา เจาพนักงานโสตทัศนศึกษา<br />
Audio-Visual Operation Audio-Visual Officer<br />
กลุมอาชีพ 7 กลุมอาชีพวิศวกรรม สถาปตยกรรม และชางเทคนิคตางๆ<br />
25 ปฏิบัติงานชางพิมพ<br />
Printing Operation<br />
26 ปฏิบัติงานเครื่องคอมพิวเตอร<br />
Computer Operation<br />
27 ปฏิบัติงานชางเครื่องกล<br />
Mechanical Operation<br />
28 ปฏิบัติงานชางไฟฟา<br />
Electrical Operation<br />
29 ปฏิบัติงานชางโยธา<br />
Civil Works Operation<br />
นายชางพิมพ<br />
Printer<br />
เจาพนักงานเครื่องคอมพิวเตอร<br />
Computer Operator<br />
นายชางเครื่องกล<br />
Mechanic<br />
นายชางไฟฟา<br />
Electrician<br />
นายชางโยธา<br />
Civil Works Technician<br />
ทั่วไป O1-O3<br />
ทั่วไป O1-O3<br />
ทั่วไป O1-O3<br />
ทั่วไป O1-O3<br />
ทั่วไป O1-O3<br />
ทั่วไป O1-O3<br />
ทั่วไป O1-O3<br />
ทั่วไป O1-O3<br />
ทั่วไป O1-O3<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
73
มาตรฐานความรู้ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะที่จำเป็น<br />
สำหรับตำแหน่งข้าราชการพลเรือน<br />
นิยาม<br />
“ความรู้ความสามารถ” หมายถึง องค์ความรู้ต่างๆ ที่ใช้ในการปฏิบัติงาน<br />
“ทักษะ” หมายถึง การนำาความรู้มาใช้ในการปฏิบัติงานจนเกิดความชำานาญ<br />
และคล่องแคล่ว<br />
“สมรรถนะ” หมายถึง คุณลักษณะเชิงพฤติกรรมที่เป็นผลมาจากความรู้ความ<br />
สามารถทักษะ และคุณลักษณะอื่นๆ ที่ทำาให้บุคคลสร้าง<br />
ผลงานได้โดดเด่นในองค์การ<br />
ก.พ. ได้กำาหนดมาตรฐานความรู้ความสามารถ ทักษะ และสมรรถนะที่จำาเป็นสำาหรับตำาแหน่ง<br />
ตามมาตรฐานกำาหนดตำาแหน่ง โดยกำาหนดเป็นระดับต่างๆ ในแต่ละประเภทตำาแหน่ง ดังนี้<br />
ก. ความรู้ความสามารถที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานในตำแหน่ง ประกอบด้วย ความรู้<br />
ความสามารถที่ใช้ในการปฏิบัติงาน และความรู้เรื่องกฎหมายและกฎระเบียบราชการ<br />
1. ความรู้ความสามารถที่ใช้ในการปฏิบัติงาน<br />
1.1 ตำาแหน่งประเภททั่วไป<br />
(1) ระดับปฏิบัติงาน ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 1 คือ มีความรู้พื้นฐาน<br />
ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ<br />
(2) ระดับชำานาญงาน ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 2 คือ มีความรู้ความ<br />
สามารถที่กำาหนดในระดับที่ 1 และ มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และความชำานาญหรือทักษะ<br />
เฉพาะทาง<br />
(3) ระดับอาวุโส ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่3 คือ มีความรู้ความสามารถ<br />
ที่กำาหนดในระดับที่ 2 และ มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และความชำานาญหรือทักษะในงานเชิง<br />
เทคนิคหรืองานฝีมือเฉพาะทางระดับสูง<br />
(4) ระดับทักษะพิเศษ ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 4 คือ มีความรู้ความ<br />
สามารถที่กำาหนดในระดับที่ 3 และ มีความรู้ความสามารถ ประสบการณ์ และความชำานาญหรือทักษะใน<br />
งานเชิงเทคนิคหรืองานฝีมือเฉพาะทางระดับสูงมาก จนได้รับการยอมรับในระดับชาติ<br />
1.2 ตำาแหน่งประเภทวิชาการ<br />
(1) ระดับปฏิบัติการ ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 1 คือ มีวุฒิการศึกษา<br />
ระดับปริญญาและสามารถนำาองค์ความรู้ที่ศึกษามาใช้ในการปฏิบัติหน้าที่ราชการได้<br />
74 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
(2) ระดับชำานาญการ ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 2 คือ มีความรู้ความ<br />
สามารถที่กำาหนดในระดับที่ 1 และ มีความรู้ความเข้าใจในหลักการ แนวคิด ทฤษฎีของงานในสายอาชีพที่<br />
ปฏิบัติอยู่ รวมทั้งสามารถถ่ายทอดได้<br />
(3) ระดับชำานาญการพิเศษ ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 3 คือ มีความรู้<br />
ความสามารถที่กำาหนดในระดับที่ 2 และ มีความรู้ความเข้าใจอย่างถ่องแท้เกี่ยวกับลักษณะงาน หลักการ<br />
แนวคิด ทฤษฎีของงานในสายอาชีพที่ปฏิบัติอยู่ จนสามารถนำามาประยุกต์ใช้ให้เข้ากับสถานการณ์ต่างๆ ได้<br />
(4) ระดับเชี่ยวชาญ ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 4 คือ มีความรู้ความ<br />
สามารถที่กำาหนดในระดับที่ 3 และ มีความเชี่ยวชาญในสายอาชีพที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่และสามารถ<br />
แก้ไขปัญหาที่ยุ่งยากซับซ้อน รวมทั้งให้คำาปรึกษาแนะนำาได้<br />
(5) ระดับทรงคุณวุฒิ ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 5 คือ มีความรู้ความ<br />
สามารถที่กำาหนดในระดับที่4 และ เป็นผู้เชี่ยวชาญในสายอาชีพที่ปฏิบัติหน้าที่ราชการอยู่เนื่องจากการสั่งสม<br />
ประสบการณ์และองค์ความรู้ รวมทั้งเป็นที่ปรึกษาระดับบริหารหรือปฏิบัติหน้าที่ราชการที่ต้องตัดสินใจแก้ไข<br />
ปัญหาทางวิชาการที่ยากและซับซ้อนเป็นพิเศษ<br />
1.3 ตำาแหน่งประเภทอำานวยการ<br />
(1) ระดับต้น ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 1 คือ มีความรู้ความสามารถที่<br />
กำาหนดในระดับที่ 3 ของตำาแหน่งประเภทวิชาการหรือของตำาแหน่งประเภททั่วไป<br />
(2) ระดับสูง ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 2 คือ มีความรู้ความสามารถที่<br />
กำาหนดในระดับที่ 4 ของตำาแหน่งประเภทวิชาการหรือของตำาแหน่งประเภททั่วไป<br />
1.4 ตำาแหน่งประเภทบริหาร<br />
ความรู้ความสามารถที่ใช้ในการปฏิบัติงานของตำาแหน่งประเภทบริหารกำาหนดให้<br />
ต้องมีความรู้ความสามารถระดับที่ 2 คือ มีความรู้ความสามารถที่กำาหนดในระดับที่ 4 ของตำาแหน่งประเภท<br />
วิชาการหรือของตำาแหน่งประเภททั่วไป<br />
2. ความรู้เรื่องกฎหมายและกฎระเบียบราชการ<br />
2.1 ตำาแหน่งประเภททั่วไป<br />
(1) ระดับปฏิบัติงาน และระดับชำานาญงาน ต้องมีความรู้เรื่องกฎหมายและ<br />
กฎระเบียบราชการระดับที่ 1 คือ มีความรู้ความเข้าใจกฎหมาย หรือระเบียบที่เกี่ยวข้องกับการปฏิบัติหน้าที่<br />
ราชการงานประจำาที่ปฏิบัติอยู่<br />
(2) ระดับอาวุโสขึ้นไป ต้องมีความรู้เรื่องกฎหมายและกฎระเบียบราชการระดับ<br />
ที่ 2 คือ มีความรู้ความเข้าใจตามที่กำาหนดในระดับที่ 1 และ สามารถหาคำาตอบในทางกฎหมายได้เมื่อมี<br />
ข้อสงสัยในการ ปฏิบัติหน้าที่ราชการ<br />
2.2 ตำาแหน่งประเภทวิชาการ<br />
(1) ระดับปฏิบัติการ และระดับชำานาญการ ต้องมีความรู้เรื่องกฎหมายและ<br />
กฎระเบียบราชการระดับที่ 2 คือ มีความรู้ความเข้าใจตามที่กำาหนดในระดับที่ 1 และ สามารถหาคำาตอบ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
75
ในทางกฎหมายได้เมื่อมีข้อสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ<br />
(2) ระดับชำานาญการพิเศษขึ้นไป ต้องมีความรู้เรื่องกฎหมายและกฎระเบียบ<br />
ราชการระดับที่ 3 คือ มีความรู้ความเข้าใจตามที่กำาหนดในระดับที่ 2 และ สามารถนำาไปประยุกต์เพื่อ<br />
แก้ปัญหาหาในทางกฎหมายหรือตอบคำาถามข้อสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ราชการให้แก่หน่วยงานหรือบุคคล<br />
ที่เกี่ยวข้องได้<br />
2.3 ตำาแหน่งประเภทอำานวยการ ต้องมีความรู้เรื่องกฎหมายและกฎระเบียบราชการ<br />
ระดับที่3 คือ มีความรู้ความเข้าใจตามที่กำาหนดในระดับที่2 และ สามารถนำาไปประยุกต์เพื่อแก้ปัญหาในทาง<br />
กฎหมายหรือตอบคำาถามข้อสงสัยในการปฏิบัติหน้าที่ราชการให้แก่หน่วยงานหรือบุคคลที่เกี่ยวข้องได้<br />
2.4 ตำาแหน่งประเภทบริหาร ต้องมีความรู้เรื่องกฎหมายและกฎระเบียบราชการระดับ<br />
ที่ 4 คือ มีความรู้ความเข้าใจตามที่กำาหนดในระดับที่ 3 และ มีความรู้ความเข้าใจกฎหมายหรือระเบียบอื่น<br />
ที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายหรือระเบียบในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ รวมทั้งสามารถแนะนำาหรือให้คำาปรึกษา<br />
ในภาพรวมได้<br />
ข. ทักษะที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานในตำแหน่ง ประกอบด้วย การใช้คอมพิวเตอร์ การใช้<br />
ภาษาอังกฤษ การคำานวณ การจัดการข้อมูล<br />
1. ทักษะการใช้คอมพิวเตอร์<br />
1.1 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงานและระดับชำานาญงาน ต้องมีทักษะระดับ<br />
ที่ 1 คือ สามารถใช้คอมพิวเตอร์ในระดับเบื้องต้นได้<br />
1.2 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโสขึ้นไป ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ<br />
ขึ้นไป ประเภทอำานวยการ และประเภทบริหาร ต้องมีทักษะระดับที่ 2 คือ มีทักษะตามที่กำาหนดในระดับ<br />
ที่ 1 และ สามารถใช้โปรแกรมขั้นพื้นฐานได้อย่างคล่องแคล่ว<br />
2. ทักษะการใช้ภาษาอังกฤษ<br />
2.1 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงานและระดับชำานาญงาน ต้องมีทักษะระดับ<br />
ที่ 1 คือ สามารถพูด เขียน อ่าน และฟังภาษาอังกฤษในระดับเบื้องต้น และสื่อสารให้เข้าใจได้<br />
2.2 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโสขึ้นไป ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการขึ้นไป<br />
ประเภทอำานวยการ และประเภทบริหาร ต้องมีทักษะระดับที่ 2 คือ มีทักษะตามที่กำาหนดในระดับที่ 1 และ<br />
สามารถพูด เขียน อ่าน และฟังภาษาอังกฤษ และทำาความเข้าใจสาระสำาคัญของเนื้อหาต่างๆ ได้<br />
3. ทักษะการคำานวณ<br />
3.1 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงานและระดับชำานาญงาน ต้องมีทักษะระดับ<br />
ที่ 1 คือ มีทักษะในการคิดคำานวณขั้นพื้นฐานได้อย่างถูกต้องและรวดเร็ว<br />
3.2 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโสขึ้นไป ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการ<br />
ขึ้นไป ประเภทอำานวยการ และประเภทบริหาร ต้องมีทักษะระดับที่ 2 คือ มีทักษะตามที่กำาหนดในระดับ<br />
ที่ 1 และ สามารถทำาความเข้าใจข้อมูลด้านตัวเลขได้อย่างถูกต้อง<br />
76 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
4. ทักษะการจัดการข้อมูล<br />
4.1 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงานและระดับชำานาญงาน ต้องมีทักษะระดับ<br />
ที่1 คือ สามารถเก็บรวบรวมข้อมูลได้อย่างเป็นระบบและพร้อมใช้ รวมถึงสามารถแสดงผลข้อมูลในรูปแบบ<br />
ต่างๆ เช่น กราฟ รายงาน เป็นต้น<br />
4.2 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโสขึ้นไป ประเภทวิชาการ ระดับปฏิบัติการขึ้นไป<br />
ประเภทอำานวยการ และประเภทบริหาร ต้องมีทักษะระดับที่ 2 คือ มีทักษะตามที่กำาหนดในระดับที่ 1 และ<br />
สามารถวิเคราะห์และประเมินผลข้อมูลได้อย่างถูกต้อง<br />
ค. สมรรถนะที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติงานในตำแหน่ง ประกอบด้วย สมรรถนะหลัก 5 ด้าน<br />
สมรรถนะทางการบริหาร 6 ด้าน สมรรถนะเฉพาะตามลักษณะงานที่ปฏิบัติอย่างน้อย 3 ด้าน<br />
1. สมรรถนะหลัก มี 5 ด้าน ได้แก่ การมุ่งผลสัมฤทธิ์ บริการที่ดี การสั่งสมความ<br />
เชี่ยวชาญในงานอาชีพ การยึดมั่นในความถูกต้องชอบธรรมและจริยธรรม และการทำางานเป็นทีม<br />
1.1 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงานและชำานาญงาน และประเภทวิชาการ<br />
ระดับปฏิบัติการ ต้องมีสมรรถนะหลักระดับที่ 1 คือ แสดงความพยายามในการปฏิบัติหน้าที่ให้ดี สามารถ<br />
ให้บริการที่ผู้รับบริการต้องการได้ด้วยความเต็มใจ แสดงความสนใจและติดตามความรู้ใหม่ๆในสาขาอาชีพ<br />
ของตนหรือที่เกี่ยวข้อง มีความสุจริต ทำาหน้าที่ของตนในทีมให้สำาเร็จ<br />
1.2 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโสขึ้นไป และประเภทวิชาการ ระดับชำานาญการ<br />
ต้องมีสมรรถนะหลักระดับที่ 2 คือ แสดงสมรรถนะระดับที่ 1 และ สามารถทำางานได้ผลงานตามเป้าหมาย<br />
ที่วางไว้ช่วยแก้ปัญหาให้แก่ผู้รับบริการ มีความรู้ในวิชาการและเทคโนโลยีใหม่ๆในสาขาอาชีพของตน มีสัจจะ<br />
เชื่อถือได้ ให้ความร่วมมือในการทำางานกับเพื่อนร่วมงาน<br />
1.3 ตำาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำานาญการพิเศษ และประเภทอำานวยการ ระดับ<br />
ต้น ต้องมีสมรรถนะหลักระดับที่ 3 คือ แสดงสมรรถนะระดับที่ 2 และ สามารถปรับปรุงวิธีการทำางาน<br />
เพื่อให้ได้ผลงานที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ให้บริการที่เกินความคาดหวังแม้ต้องใช้เวลาหรือความพยายาม<br />
อย่างมาก สามารถนำาความรู้วิทยาการหรือเทคโนโลยีใหม่ๆมาปรับใช้กับการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ยึดมั่น<br />
ในหลักการ ประสานความร่วมมือของสมาชิกในทีม<br />
1.4 ตำาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ และประเภทอำานวยการ ระดับสูง<br />
ต้องมีสมรรถนะหลักระดับที่ 4 คือ แสดงสมรรถนะระดับที่ 3 และ สามารถกำาหนดเป้าหมายรวมทั้งพัฒนา<br />
งานเพื่อให้ได้ผลงานที่โดดเด่นหรือแตกต่างอย่างมีนัยสำาคัญ เข้าใจและให้บริการที่ตรงตามความต้องการ<br />
ที่แท้จริงของผู้รับบริการได้ ศึกษาพัฒนาตนเองให้มีความรู้และความเชี่ยวชาญในงานมากขึ้นทั้งในเชิงลึก<br />
และเชิงกว้างอย่างต่อเนื่อง ยืนหยัดเพื่อความถูกต้อง สนับสนุนช่วยเหลือเพื่อนร่วมทีมเพื่อให้งานประสบ<br />
ความสำาเร็จ<br />
1.5 ตำาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิ และประเภทบริหาร ต้องมีสมรรถนะหลัก<br />
ระดับที่ 5 คือ แสดงสมรรถนะระดับที่ 4 และ กล้าตัดสินใจแม้ว่าการตัดสินใจนั้นจะมีความเสี่ยงเพื่อให้บรรลุ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
77
เป้าหมายของหน่วยงานหรือส่วนราชการ ให้บริการที่เป็นประโยชน์อย่างแท้จริงให้แก่ผู้รับบริการ สนับสนุน<br />
การทำางานของคนในส่วนราชการที่เน้นความเชี่ยวชาญในวิทยาการด้านต่างๆ อุทิศตนเพื่อความยุติธรรม<br />
สามารถนำาทีมให้ปฏิบัติภารกิจให้ได้ผลสำาเร็จ<br />
2. สมรรถนะทางการบริหาร มี 6 ด้าน ได้แก่ สภาวะผู้นำา วิสัยทัศน์ การวางกลยุทธ์<br />
ภาครัฐ ศักยภาพเพื่อนำาการปรับเปลี่ยน การควบคุมตนเอง การสอนงานและการมอบหมายงาน<br />
2.1 ตำาแหน่งประเภทอำานวยการ ระดับต้น ต้องมีสมรรถนะทางการบริหารระดับ<br />
ที่1 คือ ดำาเนินการประชุมได้ดีและคอยแจ้งข่าวสารความเป็นไปโดยตลอด รู้และเข้าใจวิสัยทัศน์ขององค์กร<br />
รู้และเข้าใจนโยบายรวมทั้งภารกิจภาครัฐว่ามีความเกี่ยวโยงกับหน้าที่ความรับผิดชอบของหน่วยงานอย่างไร<br />
เห็นความจำาเป็นของการปรับเปลี่ยน ไม่แสดงพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม สอนงานหรือให้คำาแนะนำาเกี่ยวกับ<br />
วิธีปฏิบัติงาน<br />
2.2 ตำาแหน่งประเภทอำานวยการ ระดับสูง ต้องมีสมรรถนะทางการบริหารระดับ<br />
ที่ 2 คือ แสดงสมรรถนะระดับที่ 1 และ เป็นผู้นำาในการทำางานของกลุ่มและใช้อำานาจอย่างยุติธรรม ช่วย<br />
ทำาให้ผู้อื่นรู้และเข้าใจวิสัยทัศน์ขององค์กร นำาประสบการณ์มาประยุกต์ใช้ในการกำาหนดกลยุทธ์ได้ สามารถ<br />
ทำาให้ผู้อื่นเข้าใจการปรับเปลี่ยนที่จะเกิดขึ้น ควบคุมอารมณ์ในแต่ละสถานการณ์ได้เป็นอย่างดี ตั้งใจพัฒนา<br />
ผู้ใต้บังคับบัญชาให้มีศักยภาพ<br />
2.3 ตำาแหน่งประเภทบริหาร ระดับต้น ต้องมีสมรรถนะทางการบริหารระดับที่ 3<br />
คือ แสดงสมรรถนะระดับที่2 และ ให้การดูแลและช่วยเหลือทีมงาน สร้างแรงจูงใจให้ผู้อื่นเต็มใจที่จะปฏิบัติ<br />
ตามวิสัยทัศน์ นำาทฤษฎีหรือแนวคิดซับซ้อนมาใช้ในการกำาหนดกลยุทธ์ กระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้ผู้อื่น<br />
เห็นความสำาคัญของการปรับเปลี่ยน สามารถใช้ถ้อยทีวาจาหรือปฏิบัติงานต่อไปได้อย่างสงบ แม้จะอยู่ใน<br />
ภาวะที่ถูกยั่วยุ วางแผนเพื่อให้โอกาสผู้ใต้บังคับบัญชาแสดงความสามารถในการทำางาน<br />
2.4 ตำาแหน่งประเภทบริหาร ระดับสูง ต้องมีสมรรถนะทางการบริหารระดับที่ 4<br />
คือ แสดงสมรรถนะระดับที่ 3 และ ประพฤติตนสมกับเป็นผู้นำา กำาหนดนโยบายให้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์<br />
ของส่วนราชการ กำาหนดกลยุทธ์ที่สอดคล้องกับสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น วางแผนที่ดีเพื่อรับการปรับเปลี่ยน<br />
ในองค์กร จัดการความเครียดได้อย่างมีประสิทธิภาพ สามารถช่วยแก้ไขปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา<br />
ศักยภาพของผู้ใต้บังคับบัญชา<br />
3. สมรรถนะเฉพาะตามลักษณะงานที่ปฏิบัติ ได้แก่ การคิดวิเคราะห์ การมองภาพ<br />
องค์รวม การใส่ใจและพัฒนาผู้อื่น การสั่งการตามอำานาจหน้าที่ การสืบเสาะหาข้อมูล ความเข้าใจข้อแตกต่าง<br />
ทางวัฒนธรรม ความเข้าใจผู้อื่น ความเข้าใจองค์กรและระบบราชการ การดำาเนินการเชิงรุก การตรวจสอบ<br />
ความถูกต้องตามกระบวนงาน ความมั่นใจในตนเอง ความยืดหยุ่นผ่อนปรน ศิลปะการสื่อสารจูงใจ<br />
สุนทรียภาพทางศิลปะ ความผูกพันที่มีต่อทางราชการ และการสร้างสัมพันธภาพ (ทุกประเภทตำาแหน่ง<br />
ต้องกำาหนดอย่างน้อย 3 ด้าน ยกเว้นประเภทบริหาร)<br />
3.1 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับปฏิบัติงานและชำานาญงาน และประเภทวิชาการ<br />
ระดับปฏิบัติการต้องมีสมรรถนะเฉพาะตามลักษณะงานที่ปฏิบัติระดับที่ 1<br />
78 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
3.2 ตำาแหน่งประเภททั่วไป ระดับอาวุโสขึ้นไป และประเภทวิชาการ ระดับชำานาญการ<br />
ต้องมีสมรรถนะเฉพาะตามลักษณะงานที่ปฏิบัติระดับที่ 2<br />
3.3 ตำาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับชำานาญการพิเศษ และตำาแหน่งประเภทอำานวยการ<br />
ระดับต้น ต้องมีสมรรถนะเฉพาะตามลักษณะงานที่ปฏิบัติระดับที่ 3<br />
3.4 ตำาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับเชี่ยวชาญ และตำาแหน่งประเภทอำานวยการ ระดับ<br />
สูง ต้องมีสมรรถนะเฉพาะตามลักษณะงานที่ปฏิบัติระดับที่ 4<br />
3.5 ตำาแหน่งประเภทวิชาการ ระดับทรงคุณวุฒิต้องมีสมรรถนะเฉพาะตามลักษณะงาน<br />
ที่ปฏิบัติระดับที่5 รวมทั้งต้องมีสมรรถนะทางการบริหารด้านวิสัยทัศน์ การวางกลยุทธ์ภาครัฐ และศักยภาพ<br />
เพื่อนำาการปรับเปลี่ยนในระดับที่ 3 ด้วย กล่าวคือ แสดงสมรรถนะทางการบริหารด้านดังกล่าวในระดับที่ 2<br />
และ สร้างแรงจูงใจให้ผู้อื่นเต็มใจที่จะปฏิบัติตามวิสัยทัศน์ นำาทฤษฎีหรือแนวคิดซับซ้อนมาใช้ในการกำาหนด<br />
กลยุทธ์ และกระตุ้นและสร้างแรงจูงใจให้ผู้อื่นเห็นความสำาคัญของการปรับเปลี่ยน<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
79
สายทางความก้าวหน้าในสายงานของข้าราชการ<br />
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
ความเป็นมา<br />
สำานักงาน ก.พ.ร. กำาหนดให้ทุกส่วนราชการนำาเกณฑ์คุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐ<br />
((Public Sector Management Quality Award : PMQA) มาเป็นเครื่องมือในการบริหารจัดการองค์กรเพื่อ<br />
ยกระดับการทำางานไปสู่มาตรฐานสากล (High Performance) ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้มี<br />
การดำาเนินการพัฒนาระบบคุณภาพการบริหารจัดการภาครัฐมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548<br />
จนถึงปัจจุบัน โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ได้จัดทำาแผนพัฒนาองค์การ หมวดบังคับ คือ หมวด 1 :<br />
การนำาองค์กร และหมวดภาคสมัครใจ คือ หมวด 5 : การมุ่งเน้นทรัพยากรบุคคล ทั้งนี้ การดำาเนินการ<br />
ในหมวด 5 กิจกรรม HR5 กำาหนดให้ส่วนราชการจะต้องมีแผนการสร้างความก้าวหน้าในสายงานให้แก่<br />
บุคลากร เพื่อสร้างขวัญและกำาลังใจในการปฏิบัติงานให้กับบุคลากร<br />
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจัดทำาแผนกลยุทธ์การบริหารทรัพยากรบุคคล<br />
ประจำาปีงบประมาณ 2552 -2554 เพื่อใช้เป็นกรอบการบริหารทรัพยากรของหน่วยงานและแผนปฏิบัติการ<br />
บริหารทรัพยากรบุคคล กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย ประจำาปีงบประมาณ 2553 เพื่อนำาแผนกลยุทธ์<br />
ไปสู่การปฏิบัติ โดยแผนงาน/โครงการในมิติที่3 เรื่องประสิทธิผลของการบริหารทรัพยากรมนุษย์ กำาหนด<br />
ให้จัดทำาสายทางความก้าวหน้าในสายงานให้แก่บุคลากรให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ พ.ศ. 2554<br />
กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจึงได้มีคำาสั่งที่ 337/2553 ลงวันที่ 14 มิถุนายน 2553 แต่งตั้งคณะ<br />
ทำางานจัดทำาสายทางความก้าวหน้าในสายงานของข้าราชการกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
ประจำาปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 ซึ่งคณะทำางานฯ มีหน้าที่ศึกษา วิเคราะห์ตำาแหน่งในสายงานเพื่อกำาหนด<br />
เงื่อนไขพื้นฐานและจัดทำาสายทางความก้าวหน้าในสายงานของข้าราชการกรมป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัย โดยปีงบประมาณ พ.ศ. 2553 จัดทำาแล้วเสร็จ 7 สายงาน ได้แก่ ตำาแหน่งนักวิเคราะห์นโยบาย<br />
และแผน วิศวกรโยธา นักทรัพยากรบุคคล นักสังคมสงเคราะห์ นิติกร นักวิชาการเงินและบัญชี และ<br />
เจ้าพนักงานการเงินและบัญชี และจะดำาเนินการต่อเนื่องให้แล้วเสร็จครบทุกสายงานในปีงบประมาณ<br />
พ.ศ.2554<br />
สำาหรับภาพรวมของการกำาหนดสายทางความก้าวหน้าในสายงานของข้าราชการกรมป้องกัน<br />
และบรรเทาสาธารณภัย สรุปได้ดังนี้<br />
80 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ภาพรวมสายทางความก้าวหน้าในสายงานต่างๆ ภาพรวมสายทางความกาวหนาในสายงานตางๆ : กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
: กรมปองกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
K4+ M1 > 2 ป<br />
อาวุโส (O3)<br />
ชํานาญงาน<br />
(O2)<br />
ปวช. > 6ป<br />
ปวท. > 5ป<br />
ปวส. > 4ป<br />
ทรงคุณวุฒิ (K5)<br />
K4 > 2ป<br />
O2 > 6ป K2 > 4ป<br />
ชํานาญการพิเศษ<br />
(K3)<br />
ป.ตรี > 6 ป<br />
ป.โท > 4 ป<br />
ป.เอก> 2 ป<br />
เชี่ยวชาญ (K4)<br />
K3 > 3ป<br />
ชํานาญการ(K2)<br />
ไมกําหนดระยะเวลา<br />
1) K3 > 3 ป และ 2) เคย/ปฏิบัติงานในตําแหนง<br />
เทียบเทา ผอ.กอง/หัวหนากลุม/ผอ.สวน /รองผอ.วิทยาลัย /<br />
หัวหนากลุมงาน หรือ ผานการฝกอบรมหลักสูตร นบ.<strong>ปภ</strong>.<br />
หรือหลักสูตรเทียบเทา<br />
ระดับสูง (M2)<br />
ผอ.สํานัก<br />
ผอ.ศูนยฯเขต<br />
อํานวยการ<br />
M1+ K3 > 4 ป<br />
หรือ M1 > 1 ป<br />
ระดับตน (M1)<br />
ผอ.กอง/เทียบเทา<br />
หน.สนง.<strong>ปภ</strong>.จังหวัด<br />
K5 + M > 2 ป<br />
1) O3+M1>7 ป<br />
หรือ O3 >7 ป<br />
และ<br />
1) O3> 6 ป<br />
และ<br />
M > 2 ป<br />
ระดับสูง(S2)<br />
อธิบดี<br />
S1 > 1ป<br />
ระดับตน (S1)<br />
รองอธิบดี<br />
บริหาร<br />
S1+M > 3 ป<br />
การดํารงตําแหนงบริหาร จะตองผานการ<br />
อบรมหลักสูตร “นักบริหารระดับสูง” จาก<br />
ก.พ.หรือหลักสูตรที่ ก.พ.รับรอง<br />
ทั่วไป<br />
ปฏิบัติงาน (O1)<br />
กลุมตําแหนง<br />
(สอบแขงขัน)<br />
กลุมที่ 1 : เจาพนักงานธุรการ เจาพนักงานพัสดุ<br />
เจาพนักงานการเงินและบัญชี เจาพนักงานโสตทัศนศึกษา<br />
กลุมที่ 2 : นายชางเครื่องกล<br />
กลุมที่ 3 : นายชางไฟฟา ,เจาพนักงานสื่อสาร<br />
เจาพนักงานเครื่องคอมพิวเตอร<br />
กลุมที่ 4 : นายชางโยธา<br />
กลุมที่ 5 : นายชางพิมพ<br />
ปฏิบัติการ (K1)<br />
วิชาการ<br />
กลุมตําแหนง<br />
กลุมที่ 1 : นักจัดการงานทั่วไป , นักวิเทศสัมพันธ<br />
นักวิเคราะหนโยบายและแผน,นักทรัพยากรบุคคล,<br />
นักสังคมสงเคราะห<br />
กลุมที่ 2 : นิติกร<br />
กลุมที่ 3 : นักวิชาการเงินและบัญชี ,<br />
นักวิชาการพัสดุ นักวิชาการตรวจสอบภายใน<br />
กลุมที่ 4 : นักวิชาการเผยแพร นักวิชาการโสตทัศนศึกษา<br />
2) เคย/ปฏิบัติงานในตําแหนง เทียบเทา ผอ.กอง/หัวหนากลุม/ผอ.สวน /รองผอ.วิทยาลัย /<br />
หัวหนากลุมงาน หรือ ผานการฝก อบรมหลักสูตร นบ.<strong>ปภ</strong>.หรือหลักสูตรเทียบเทา<br />
กลุมที่ 5: นักวิชาการคอมพิวเตอร<br />
กลุมที่ 6: นักวิทยาศาสตร<br />
กลุมที่ 7: วิศวกรเครื่องกล<br />
กลุมที่ 8: วิศวกรไฟฟา<br />
กลุมที่ 9: วิศวกรโยธา<br />
หมายเหตุ<br />
การยาย/แตงตั้ง(เลื่อน) ภายในประเภทเดียวกัน<br />
การยาย/แตงตั้ง ตางประเภท<br />
* การแตงตั้งขาราชการใหดํารงตําแหนงประเภทใด ระดับตําแหนงใด ตองพิจารณาถึง<br />
กรอบตําแหนงและอัตราวาง ,กฎ ระเบียบและหลักเกณฑ ก.พ. รวมทั้ง คุณสมบัติเฉพาะ<br />
ตําแหนงและความรูความสามารถและสมรรถนะที่จําเปนสําหรับตําแหนงนั้น<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
81
82 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
งานวินัย<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
83
84 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
วินัยและการดำเนินการทางวินัย<br />
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ความหมายของวินัย<br />
วินัย คือการควบคุมความประพฤติให้เป็นไปตามระเบียบแบบแผน ซึ่งวินัยข้าราชการ<br />
พลเรือน ได้แก่ บทบัญญัติวินัยที่กำาหนดไว้ในกฎหมายว่าด้วยระเบียบข้าราชการพลเรือน เช่น กำาหนดให้<br />
ข้าราชการต้องซื่อสัตย์ สุจริต ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการ รักษาความลับของทางราชการ ปฏิบัติตามคำาสั่ง<br />
ของผู้บังคับบัญชาและรักษาชื่อเสียงของตน เป็นต้น นอกจากนี้วินัยยังหมายถึงลักษณะเชิงพฤติกรรมที่<br />
แสดงออกมาว่าสามารถจะควบคุมตนเองให้อยู่ในกรอบของบทวินัยตามที่กำาหนดไว้ในกฎหมายดังกล่าวด้วย<br />
ขอบเขตและความสำคัญของวินัย<br />
ในฐานะที่ข้าราชการเป็นตัวแทนของรัฐในการบริหารราชการและติดต่อประชาชน ข้าราชการ<br />
จึงต้องทำาตัวให้ประชาชนเชื่อถือ ไว้วางใจ และเป็นตัวอย่างที่ดีของประชาชน เมื่อข้าราชการมีวินัยดี<br />
ประชาชนก็จะมีความเชื่อถือศรัทธาผู้นั้น และส่งผลให้ประชาชนศรัทธาในหน่วยงานและรัฐบาลโดยส่วนรวม<br />
อีกด้วย<br />
โดยที่ข้าราชการจะต้องเป็นตัวอย่างที่ดี เป็นที่ศรัทธาของประชาชน จึงต้องรักษาวินัยโดย<br />
เคร่งครัดกว่าลูกจ้างของเอกชน เช่น พนักงานของธนาคารหรือบริษัทต่าง ๆ โดยจะต้องรักษาชื่อเสียง ไม่<br />
กระทำาการอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว เป็นต้น<br />
จุดมุ่งหมายของวินัย<br />
1. เพื่อประสิทธิภาพและประสิทธิผลของราชการ<br />
2. เพื่อความเจริญของประเทศ<br />
3. เพื่อความมั่นคงของชาติ<br />
4. เพื่อความผาสุกของประชาชน<br />
ผลดีของวินัยต่อราชการ<br />
1. เพิ่มพลังงาน เมื่อข้าราชการมีวินัยดี ก็จะปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์และมีความมุ่งมั่น<br />
ที่จะปฏิบัติงานอย่างเต็มที่<br />
2. เพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงาน เมื่อข้าราชการตั้งใจทำางานด้วยความซื่อสัตย์<br />
ก็จะทำางานได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดผลสำาเร็จอย่างคุ้มค่าและอย่างประหยัด<br />
3. ทำาให้ประชาชนศรัทธา นอกจากประชาชนจะศรัทธาต่อตัวข้าราชการเองแล้วยังส่งผล<br />
ให้ประชาชนศรัทธาต่อหน่วยงานและศรัทธาต่อรัฐบาลอีกด้วย<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
85
ผลดีของวินัยต่อตัวข้าราชการ<br />
1. มีความภูมิใจที่ได้กระทำ าความดี มีวินัยดีซื่อสัตย์สุจริต และปฏิบัติงานอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
2. ทำาให้เกิดความสำาเร็จในการปฏิบัติงาน เมื่อข้าราชการมีวินัยดีแล้วจะทำางานอะไรก็จะ<br />
สำาเร็จลุล่วงด้วยดี เป็นที่เชื่อถือของผู้บังคับบัญชา ผู้ร่วมงาน และผู้พบเห็น<br />
3. ทำาให้มีความเจริญในหน้าที่การทำางาน เมื่อมีวินัยดี ปฏิบัติงานสำาเร็จลุล่วง เป็นที่<br />
เชื่อถือของผู้บังคับบัญชา ย่อมได้รับความไว้วางใจในการมอบหมายงานให้ปฏิบัติ ได้รับการเลื่อนเงินเดือน<br />
เป็นพิเศษ และได้รับการเลื่อนตำาแหน่งอีกด้วย<br />
การรักษาวินัยข้าราชการ (มาตรา 87)<br />
ผู้บังคับบัญชามีหน้าที่<br />
1. เสริมสร้างและพัฒนาให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชามีวินัย ซึ่งจะต้องเป็นไปตามหลักเกณฑ์และ<br />
วิธีการที่ ก.พ. กำาหนด แต่ขณะนี้ ก.พ.ยังไม่ได้กำาหนด เมื่อ ก.พ.กำาหนดเรื่องนี้ก็คงอยู่ในกรอบของ<br />
หลักการเดิมที่กำาหนดไว้ในพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 คือ<br />
- ปฏิบัติตนเป็นแบบอย่างที่ดี<br />
- การฝึกอบรม<br />
- การสร้างขวัญและกำาลังใจ<br />
- การจูงใจ<br />
2. ป้องกันมิให้ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชากระทำาผิดวินัย ก.พ.ยังไม่ได้กำาหนดหลักเกณฑ์และ<br />
วิธีการเช่นเดียวกับการเสริมสร้างและพัฒนา เมื่อ ก.พ.กำาหนดก็คงอยู่ในกรอบของหลักการเดิมตาม<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 คือ<br />
- เอาใจใส่<br />
- สังเกตการณ์<br />
- ขจัดเหตุ<br />
3. ปราบปรามผู้กระทำาผิดวินัย (มาตรา 90 และมาตรา 91)<br />
- เมื่อมีการกล่าวหาหรือสงสัยว่าผู้ใต้บังคับบัญชากระทำาผิดวินัย ผู้บังคับบัญชาชั้นต้นต้อง<br />
รายงานให้ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำานาจสั่งบรรจุทราบโดยเร็ว<br />
- ผู้มีอำานาจสั่งบรรจุต้องรีบดำาเนินการหรือสั่งให้สืบสวนหรือพิจารณาว่ากรณีมีมูลหรือไม่<br />
ถ้าเห็นว่ากรณีมีมูลต้องดำาเนินการทางวินัยโดยเร็วด้วยความยุติธรรมและโดยปราศจากอคติ ผู้บังคับบัญชา<br />
ละเลยหรือปฏิบัติโดยไม่สุจริต ถือว่ากระทำาผิดวินัย<br />
86 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
โทษทางวินัย<br />
โทษทางวินัยมี 5 สถาน คือ<br />
ความผิดวินัยอย่างไม่ร้ายแรง<br />
1. ภาคทัณฑ์ เป็นโทษสำาหรับกรณีกระทำาผิดวินัยเล็กน้อย<br />
นอกจากนี้ ในกรณีกระทำาผิดวินัยเล็กน้อยและมีเหตุอันควรงดโทษ จะงดโทษให้โดย<br />
ให้ทำาทัณฑ์บนเป็นหนังสือหรือว่ากล่าวตักเตือนก็ได้<br />
ผู้ถูกลงโทษภาคทัณฑ์ไม่มีข้อห้ามไม่ให้เลื่อนเงินเดือน ดังนั้น หากผู้นั้นมีคุณสมบัติที่จะ<br />
เลื่อนเงินเดือน ก็อาจได้รับการเลื่อนเงินเดือนได้<br />
2. ตัดเงินเดือน เป็นการลงโทษตัดเงินเดือนเป็นจำานวนเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือนและเป็น<br />
จำานวนเดือน เช่น ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 2 เดือน เมื่อพ้นเวลา 2 เดือนแล้ว ก็จะได้รับเงินเดือนตาม<br />
ปกติ ผู้ถูกลงโทษตัดเงินเดือนในครึ่งปีที่ผ่านมาจะไม่ได้รับการเลื่อนเงินเดือนในครึ่งปีนั้น<br />
3. ลดเงินเดือน เป็นการลดเงินเดือนของผู้นั้นลงเป็นจำานวนเปอร์เซ็นต์ของเงินเดือน<br />
ผู้ถูกลงโทษลดเงินเดือนในครึ่งปีที่ผ่านมาจะไม่ได้รับการเลื่อนเงินเดือนในครึ่งปีนั้น<br />
การดำาเนินการทางวินัยอย่างไม่ร้ายแรง ในกรณีที่ผลการสืบสวนหรือพิจารณาตามมาตรา<br />
91 ปรากฏว่ากรณีมีมูล ถ้าความผิดนั้นมิใช่เป็นความผิดวินัยอย่างร้ายแรง และได้แจ้งข้อกล่าวหาและสรุป<br />
พยานหลักฐานให้ผู้ถูกกล่าวหาทราบพร้อมทั้งรับฟังคำาชี้แจงของผู้ถูกกล่าวหาแล้ว ผู้บังคับบัญชาซึ่งมีอำานาจ<br />
สั่งบรรจุตามมาตรา 57 เห็นว่าผู้ถูกกล่าวหาได้กระทำาผิดตามข้อกล่าวหา ให้ผู้บังคับบัญชาสั่งลงโทษตาม<br />
สมควรแก่กรณีโดยไม่ตั้งคณะกรรมการสอบสวนก็ได้ (มาตรา 92)<br />
ความผิดวินัยอย่างร้ายแรง<br />
4. ปลดออก เป็นการลงโทษให้พ้นจากราชการ โดยได้รับบำาเหน็จบำานาญเสมือนผู้นั้น<br />
ลาออกจากราชการ<br />
5. ไล่ออก เป็นการลงโทษให้พ้นจากราชการ โดยไม่ได้รับบำาเหน็จบำานาญ<br />
การดำเนินการทางวินัย<br />
1. การสอบสวน<br />
จุดมุ่งหมายของการสอบสวน<br />
- เพื่อให้ได้ความจริงและยุติธรรม<br />
- เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงและนำาสืบพยานหลักฐาน แก้ข้อกล่าวหา<br />
- เพื่อเป็นหลักประกันความเป็นธรรมและความมั่นคงแก่ข้าราชการ<br />
2. การพิจารณาความผิดและกำาหนดโทษ<br />
2.1 หลักการพิจารณาความผิด<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
87
(1) หลักนิติธรรม คือ การพิจารณาตามที่กฎหมายบัญญัติไว้<br />
- ต้องมีกฎหมายกำาหนดว่าการกระทำาเช่นนั้นเป็นความผิด<br />
- การกระทำานั้นต้องเข้าองค์ประกอบความผิดตามที่กฎหมายบัญญัติไว้ทุก<br />
ประการ<br />
- เมื่อการกระทำาเข้าองค์ประกอบเป็นความผิดตามมาตราใด ก็ปรับบทเป็น<br />
ความผิดตามมาตรานั้น<br />
(2) หลักมโนธรรม คือ การพิจารณาโดยคำานึงถึงความเป็นจริง ถูกต้องเหมาะสม<br />
ตามเหตุผลที่ควรจะเป็น<br />
2.2 หลักการกำาหนดโทษ<br />
(1) หลักนิติธรรม คือ การกำาหนดโทษในกรอบกฎหมายบัญญัติไว้<br />
(2) หลักมโนธรรม คือ การพิจารณากำาหนดโทษ โดยคำานึงถึงความเป็นจริง ถูกต้อง<br />
เหมาะสม ตามเหตุผลที่ควรจะเป็น โดยคำานึงถึง<br />
- ลักษณะการกระทำาผิด<br />
- ผลของการกระทำาผิด<br />
- คุณความดีของผู้กระทำาผิด<br />
- การให้โอกาสแก้ไขความประพฤติ<br />
- เหตุเบื้องหลังการกระทำาผิด<br />
- สภาพของผู้กระทำาผิด<br />
(3) หลักความเป็นธรรม กำาหนดโทษโดยคำานึงถึงความเท่าเทียมเสมอหน้า<br />
- ไม่เลือกที่รักมักที่ชัง<br />
- ความผิดอย่างเดียวกันควรกำาหนดโทษใกล้เคียงกัน<br />
(4) หลักนโยบายของทางราชการ การกำาหนดโทษข้าราชการควรคำานึงถึงนโยบาย<br />
ของทางราชการด้วย<br />
3. การลงโทษทางวินัย การลงโทษเป็นมาตรการอันหนึ่งที่ใช้ในการรักษาวินัย ซึ่งเป็น<br />
มาตรการในทางปราบปรามผู้กระทำาผิดโดยมิได้มีจุดมุ่งหมายที่จะให้เป็นการตอบโต้หรือแก้แค้นต่อผู้กระทำา<br />
ผิด แต่มีจุดมุ่งหมาย ดังนี้<br />
(1) เพื่อรักษาความศักดิ์สิทธิ์ของกฎหมายหรือระเบียบแบบแผน<br />
(2) เพื่อรักษามาตรฐานความประพฤติ ขวัญ และสมรรถภาพของข้าราชการ<br />
(3) เพื่อจูงใจให้ข้าราชการปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้น<br />
(4) เพื่อรักษาชื่อเสียงของทางราชการและความเชื่อมั่นของประชาชนต่อทางราชการ<br />
88 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ข้อควรคำานึงเกี่ยวกับเรื่องวินัย<br />
1) ความผิดทางวินัยไม่มีอายุความ แม้จะกระทำาผิดวินัยไว้นานเท่าไรก็ตามหากปรากฏ<br />
ความผิดขึ้น ผู้บังคับบัญชาสามารถลงโทษได้เสมอ ซึ่งต่างกับอายุความฟ้องร้องในทางอาญา หากไม่ฟ้องร้อง<br />
ภายในกำาหนดอายุความแล้วจะฟ้องร้องดำาเนินคดีไม่ได้ เช่น หนีคดีเช็คเมื่อพ้น 5 ปีแล้ว ก็ไม่อาจฟ้องร้อง<br />
เป็นคดีอาญาได้<br />
2) การลงโทษทางวินัยต้องดำาเนินการตามขบวนการของกฎหมาย เช่น กรณีที่เป็นความผิด<br />
วินัยอย่างร้ายแรงต้องมีการตั้งคณะกรรมการสอบสวน แจ้งข้อกล่าวหาและสรุปพยานหลักฐานเท่าที่มีให้ผู้<br />
ถูกกล่าวหาทราบ และให้โอกาสนำาพยานเข้าสืบแก้ข้อกล่าวหา ต้องนำาเรื่องเสนอ อ.ก.พ.จังหวัด อ.ก.พ.กรม<br />
หรือ อ.ก.พ.กระทรวง แล้วแต่กรณี เมื่อ อ.ก.พ.ดังกล่าวมีมติประการใด ผู้บังคับบัญชาต้องสั่งให้เป็นไป<br />
ตามนั้น<br />
3) ผู้สั่งลงโทษต้องเป็นผู้บังคับบัญชาที่มีอำานาจลงโทษได้ ซึ่งมาตรา 96 วรรคหนึ่ง และ<br />
มาตรา 97 วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 กำาหนดให้ผู้บังคับบัญชา<br />
ซึ่งมีอำานาจสั่งบรรจุตามมาตรา 57 เป็นผู้สั่งลงโทษ แต่ผู้มีอำานาจสั่งบรรจุอาจมอบหมายให้ผู้บังคับบัญชา<br />
ระดับต่ำาลงไปปฏิบัติแทนได้ ทั้งนี้ตามหลักเกณฑ์ที่ ก.พ. กำาหนด<br />
ในการสั่งลงโทษ ผู้บังคับบัญชาในขณะลงโทษเป็นผู้สั่ง เช่น ข้าราชการอยู่จังหวัดหนึ่งถูก<br />
สอบสวนทางวินัย ต่อมาข้าราชการผู้นั้นย้ายไปอีกจังหวัดหนึ่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดใหม่ที่ข้าราชการผู้นั้นย้าย<br />
มาเป็นผู้บังคับบัญชาผู้มีอำานาจลงโทษทางวินัยข้าราชการผู้นั้น<br />
4) สภาพการเป็นข้าราชการ กรณีการกระทำาที่จะนำามาดำาเนินการทางวินัยจะต้องเป็นการ<br />
กระทำาขณะที่เข้ามาเป็นข้าราชการแล้ว จะนำากรณีที่เคยกระทำาก่อนเป็นข้าราชการมาลงโทษทางวินัยไม่ได้<br />
แต่อาจถูกสั่งให้ออกเพราะเป็นผู้ขาดคุณสมบัติทั่วไปที่จะเข้ารับราชการได้และขณะลงโทษจะต้องยังมีสภาพ<br />
เป็นข้าราชการอยู่ หากผู้นั้นออกจากราชการไปแล้ว ก็ไม่อาจลงโทษได้ เว้นแต่มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำา<br />
ผิดวินัยอย่างร้ายแรง หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทำาผิดอาญา อันมิใช่ความผิดที่ได้กระทำาโดย<br />
ประมาทที่ไม่เกี่ยวกับราชการ หรือความผิดลหุโทษอยู่ก่อนออกจากราชการ ซึ่งมิใช่เพราะเหตุตาย ผู้บังคับ<br />
บัญชายังมีอำานาจดำาเนินการทางวินัยและลงโทษปลดออก หรือไล่ออกจากราชการได้ แต่ต้องดำาเนินการ<br />
สอบสวนตามมาตรา 93 วรรคหนึ่ง ภายใน 180 วัน นับแต่วันที่ผู้นั้นพ้นจากราชการ (มาตรา 100)<br />
4. การดำาเนินการระหว่างการสอบสวนพิจารณาทางวินัย<br />
- การพักราชการ<br />
- การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน<br />
ข้าราชการที่มีกรณีถูกกล่าวหาว่ากระทำาผิดวินัยอย่างร้ายแรงจนถูกตั้งกรรมการสอบสวน<br />
หรือถูกฟ้องคดีอาญา หรือต้องหาว่ากระทำาผิดอาญา เว้นแต่เป็นความผิดที่ได้กระทำาโดยประมาท หรือความผิด<br />
ลหุโทษ ผู้มีอำานาจสั่งบรรจุมีอำานาจสั่งพักราชการ หรือสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน เพื่อรอฟังผลการ<br />
สอบสวน หรือพิจารณา หรือผลแห่งคดีได้ และเมื่อปรากฏผลการสอบสวนหรือพิจารณาว่าข้าราชการผู้นั้น<br />
มิได้กระทำาผิดหรือกระทำาผิดไม่ถึงกับจะถูกลงโทษปลดออกหรือไล่ออกและไม่มีกรณีจะต้องออกจากราชการ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
89
ด้วยเหตุอื่น ก็ต้องสั่งให้ผู้นั้นกลับเข้าปฏิบัติราชการหรือกลับเข้ารับราชการตามเดิม ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และ<br />
วิธีการเกี่ยวกับการสั่งพักราชการ การสั่งให้ออกจากราชการไว้ก่อน ระยะเวลาการพักราชการและให้ออกจาก<br />
ราชการไว้ก่อน การให้กลับเข้าปฏิบัติราชการหรือกลับเข้ารับราชการ และการดำาเนินการเพื่อให้เป็นไปตาม<br />
ผลการสอบสวนหรือพิจารณา ให้เป็นไปตามที่กำาหนดในกฎ ก.พ. (มาตรา 100)<br />
5. การอุทธรณ์และการร้องทุกข์<br />
การอุทธรณ์ เป็นหลักประกันความเป็นธรรมแก่ข้าราชการที่ถูกลงโทษทางวินัย และ<br />
ถูกสั่งให้ออกจากราชการบางกรณี โดยผู้ถูกสั่งมีสิทธิอุทธรณ์ต่อ ก.พ.ค. ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบหรือ<br />
ถือว่าทราบคำาสั่ง ตามมาตรา 114 พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2551 ประกอบกฎ<br />
ก.พ.ค.ว่าด้วยการอุทธรณ์และการพิจารณาวินิจฉัยอุทธรณ์ พ.ศ. 2551<br />
การร้องทุกข์ เป็นหลักประกันความเป็นธรรมและความสัมพันธ์อันดีระหว่างข้าราชการ<br />
โดยให้ร้องทุกข์ในเรื่องที่ไม่อาจอุทธรณ์ได้ภายใน 30 วัน นับแต่วันทราบหรือถือว่าทราบเหตุแห่งการร้อง<br />
ทุกข์ โดยร้องทุกข์ได้ดังนี้<br />
(1) ถ้าเหตุร้องทุกข์เกิดจากหัวหน้าส่วนราชการระดับกรมที่อยู่ในบังคับบัญชา หรือ<br />
รับผิดชอบการปฏิบัติราชการขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีหรือต่อรัฐมนตรี ปลัดกระทรวง รัฐมนตรีเจ้าสังกัด<br />
หรือนายกรัฐมนตรี ให้ร้องทุกข์ต่อ ก.พ.ค.<br />
(2) ถ้าเหตุร้องทุกข์เกิดจากผู้บังคับบัญชาระดับต่ำากว่าผู้บังคับบัญชาตาม (1) ให้ร้องทุกข์<br />
ต่อผู้บังคับบัญชาชั้นเหนือขึ้นไป เช่น เหตุร้องทุกข์เกิดจากอธิบดีให้ร้องทุกข์ต่อปลัดกระทรวง<br />
ทั้งนี้ ตามมาตรา 122 และมาตรา 123 แห่งพระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน<br />
พ.ศ. 2551 ประกอบกฎ ก.พ.ค. ว่าด้วยการร้องทุกข์และการพิจารณาวินิจฉัยเรื่องร้องทุกข์ พ.ศ. 2551<br />
90 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ลำดับขั้นตอนการสอบสวน<br />
ลําดับขั้นตอนการสอบสวน<br />
1. ประธานกรรมการลงลายมือชื่อ วันเดือนปที่รับทราบคําสั่ง<br />
2. ประชุมคณะกรรมการฯ เพื่อวางแนวทางสอบสวน (ขอ 6)<br />
พิจารณาเรื่องที่กลาวหา กําหนดขอกลาวหา<br />
15 วันนับแตวัน<br />
3. - แจงและอธิบายขอกลาวหาใหผูถูกกลาวหาทราบ (สว.2) ขอ 14 รับทราบคําสั่ง<br />
แจงสิทธิของผูถูกกลาวหา<br />
- ถามผูถูกกลาวหาวาจะรับสารภาพหรือไม<br />
4. - รวบรวมพยานหลักฐานที่เกี่ยวของกับขอกลาวหา 60 วันนับแต<br />
(กรณีที่ผูถูกกลาวหาไมรับสารภาพ) แจง สว.2<br />
- ประชุมเพื่อพิจารณาวามีพยานหลักฐานใดสนับสนุนขอกลาวหาวา<br />
ผูถูกกลาวหาไดกระทําการใด เมื่อใด อยางไร และเปนความผิดวินัย<br />
กรณีใด ตามมาตราใด<br />
5. - แจงขอกลาวหาที่ปรากฏตามพยานหลักฐานและสรุปพยานหลักฐาน 15 วันนับแตวันที่<br />
ที่สนับสนุนขอกลาวหาใหผูถูกกลาวหาทราบ (ขอ 15) ดําเนินการตาม 4.<br />
- ถามความประสงคของผูถูกกลาวหาวาจะยื่นคําชี้แจงเปนหนังสือ<br />
หรือจะใหถอยคําตอคณะกรรมการฯ<br />
6. สอบสวนและรวบรวมพยานหลักฐานฝายผูถูกกลาวหา (ขอ 15) 60 วันนับแตวันที่<br />
ดําเนินการตาม 5.<br />
7. ประชุมพิจารณาพยานหลักฐานทั้งหมดเพื่อลงมติวาผูถูกกลาวหา<br />
กระทําผิดวินัยหรือไม ถาผิด ผิดกรณีใด มาตราใด ควรไดรับโทษ<br />
สถานใด หรือหยอนความสามารถฯ ตามมาตรา 110 (6) หรือ<br />
มลทินหรือมัวหมอง ตามมาตรา 110 (7) (ขอ 30)<br />
8. ทํารายงานการสอบสวน ขอ 31<br />
9. เสนอสํานวนการสอบสวนตอผูสั่งแตงตั้งคณะกรรมการสอบสวน<br />
30 วันนับแต<br />
วันที่ดําเนินการ<br />
ตาม 6.<br />
หมายเหตุ<br />
1. รวมระยะเวลาสอบสวน ตามที่กฎ ก.พ. กําหนด 180 วัน<br />
2. สามารถขยายเวลาไดตามความจําเปนในแตละขั้นตอนครั้งละไมเกิน 60 วัน<br />
3. หากดําเนินการไมแลวเสร็จภายใน 270 วัน ประธานกรรมการตองรายงานใหผูสั่งแตงตั้ง<br />
คณะกรรมการสอบสวนฯ รายงานให อ.ก.พ.กระทรวงทราบ เพื่อติดตามเรงรัดการสอบสวน<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
91
มีการกล่าวหาหรือมีกรณีสงสัย<br />
มีการกลาวหาหรือมีกรณีสงสัย ม.90<br />
ผูบังคับบัญชา<br />
รายงาน ม.90<br />
ผูมีอํานาจสั่งบรรจุ ม.57<br />
ม.91<br />
สืบสวน<br />
ม.91 ว.1 ผล ม.91 ว.2<br />
พิจารณาในเบื้องตน<br />
ผล ม.91 ว.2<br />
ไมมีมูล มีมูล มีกรณีสงสัย มีมูลไมรายแรง มีมูลรายแรง<br />
ม.91 ว.1<br />
ยุติเรื่อง ไมรายแรง รายแรง แตงตั้งคณะกรรมการ<br />
ม.92 ว.1<br />
สอบสวน<br />
สืบสวนทางวินัย<br />
(แตงตั้งคณะกรรมการ) ปลดออก<br />
ม.92 ว.2 ม.92 ว.1<br />
ไลออก<br />
สั่งใหออก<br />
ไมผิด ผิดไมรายแรง มีมูลรายแรง<br />
ภาค<br />
ตัด<br />
ลด<br />
ม.93<br />
ยุติ<br />
เรื่อง<br />
ม.92 ว.2 ม.92 ว.1 + ม.96<br />
ยุติเรื่อง ภาค / ตัด / ลด<br />
ม.103<br />
ผูมีอํานาจ<br />
สั่งบรรจุ ม.57<br />
เห็น สั่งการ<br />
รายงาน อ.ก.พ.<br />
กระทรวง<br />
สั่งการ<br />
ตามมติ<br />
อ.ก.พ.กรม<br />
อ.ก.พ.จังหวัด<br />
ม.103 ม.97<br />
ว.2<br />
ปลดออก<br />
ไลออก<br />
สั่งใหออก<br />
ยุติเรื่อง<br />
ภาค / ตัด / ลด<br />
หมายเหตุ ม.94 (3) ม.97 ว.2 ม.104 รายงาน ก.พ.<br />
92 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
7 วัน<br />
พน/ไมมีสาระสําคัญ<br />
กระบวนการสอบสวนพิจารณา<br />
ผูสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวน<br />
คัดคานตนเอง<br />
แจงผูถูกกลาวหา แจงคณะกรรมการสอบสวน<br />
คัดคานคณะกรรมการ<br />
สอบสวน/ผูชวยเลขานุการ<br />
ประธานดําเนินการประชุม<br />
วางแนวทางการสอบสวนและ<br />
จัดทําขอกลาวหาและสรุปพยานฯ<br />
พยานหลักฐานเพิ่มเติม<br />
ผูถูกกลาวหา แจงขอกลาวหาวากระทําผิด<br />
กรณีใด เมื่อใด มีพฤติการณ<br />
ถามผูถูกกลาวหากระทําหรือ<br />
ละเวนกระทําตามขอกลาวหา<br />
หรือไมอยางไร<br />
อยางไร เปนความผิดมาตราใด<br />
และแจงสรุปพยานหลักฐานที่<br />
สนับสนุนขอกลาวหา<br />
รับสารภาพ<br />
ไมรับสารภาพ<br />
ถามตอถึงขอเท็จจริงเบื้องตนเพื่อการสอบสวน<br />
เสร็จโดยเร็ว และกําหนดนัดใหถอยคําชี้แจงแกขอ<br />
กลาวหา หรือทําคําชี้แจงเปนหนังสือ<br />
บันทึกคํารับสารภาพ เหตุผล รวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม<br />
มีพยานหลักฐานเพิ่มเติมที่สนับสนุนขอกลาวหา<br />
หรือขอกลาวหาเปลี่ยนแปลงไป<br />
พยานหลักฐานเพิ่มเติมไมสนับสนุนขอกลาวหา<br />
ใหสอบสวนตอไปตามควรแกกรณี<br />
การประชุมพิจารณาวินิจฉัย<br />
1. ทบทวนวาการสอบสวนถูกตองตามหลักเกณฑและวิธีกําหนดใน<br />
กฎ ก.พ. หรือไม<br />
2. ทํารายงานการสอบสวน<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
93
(ตอ)<br />
ประชุมคณะกรรมการฯ ตรวจ<br />
รายงานการสอบสวนและ<br />
ลงลายมือชื่อ ใหเลขานุการ<br />
ลงลายมือชื่อกํากับทุกคน<br />
การทํารายงานการสอบสวน<br />
กระทําผิดวินัยหรือไม ถาผิด ฟงขอเท็จจริงวาอยางไรเปน<br />
ความผิดตามมาตราใด ควรไดรับโทษสถานใด มีเหตุลดหยอน<br />
หรือไม (ถามี)<br />
หยอนความสามารถในอันที่จะปฏิบัติหนาที่ราชการฯ หรือ<br />
มีมลทินหรือมัวหมองฯ<br />
ผูสั่งตั้งคณะกรรมการสอบสวนตรวจสอบความถูกตองของสํานวน<br />
สั่งยุติเรื่อง<br />
1. การสอบปากคํา<br />
2. การประชุมครบ<br />
3. การกําหนดขอฯ<br />
หรือการแจงขอฯ<br />
4. นอกจาก 1,2,3<br />
เปนสาระสําคัญ<br />
กระทําผิดไมรายแรงสั่งการตามที่เห็นสมควร<br />
กระทําผิดวินัยอยางรายแรง / หยอนความสามารถฯ<br />
มลทินหรือมัวหมองฯ สงเรื่องให อ.ก.พ.<br />
หากการแตงตั้งคณะกรรมการ<br />
หรือจํานวนคณะกรรมการไมถูกตอง<br />
มีผลใหการสอบสวนของคณะกรรมการ<br />
เสียไปทั้งหมด<br />
สอบสวนเพิ่มเติมโดยกําหนดประเด็นพรอมทั้งสงเอกสาร<br />
ที่เกี่ยวของตามความจําเปน<br />
94 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
การดำเนินการเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิด<br />
กฎหมายและระเบียบที่เกี่ยวข้อง<br />
• พ.ร.บ. ความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539<br />
• ระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่<br />
พ.ศ. 2539<br />
ขั้นตอนดำเนินการ<br />
จำาแนกเป็น 2 กรณี ได้แก่ กรณีเกิดความเสียหายกับหน่วยงานของรัฐ และกรณีเจ้าหน้าที่กระทำา<br />
ให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอก<br />
ก. กรณีเกิดความเสียหายกับหน่วยงานของรัฐ<br />
1. ผู้เกี่ยวข้องต้องรายงานผู้บังคับบัญชาตามลำาดับชั้น<br />
2. หัวหน้าหน่วยงานของรัฐแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงเบื้องต้น<br />
3. แต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด<br />
3.1 ในกรณีที่ความเสียหายมิได้เกิดจากการกระทำาของเจ้าหน้าที่และจะไม่แต่งตั้งคณะ<br />
กรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ต้องรายงานให้ปลัดกระทรวง รัฐมนตรี ที่กำากับดูแลเพื่อ<br />
พิจารณาอีกครั้ง<br />
3.2 ในกรณีที่ความเสียหายเกิดจากการกระทำาของเจ้าหน้าที่ให้แต่งตั้งคณะกรรมการสอบ<br />
ข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด และเข้าสู่กระบวนการตามระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์<br />
การปฏิบัติเกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539<br />
3.3 การแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด ต้องเป็นไปตาม<br />
หลักเกณฑ์ที่กำาหนด คือ (1) จำานวนไม่เกิน 5 คน (2) ให้กำาหนดเวลาแล้วเสร็จของคณะกรรมการไว้ด้วย<br />
(3) อาจแต่งตั้งเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นของรัฐร่วมเป็นกรรมการได้<br />
3.4 เงื่อนไขการร่วมกันแต่งตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด<br />
(1) ความเสียหายเกิดจากเจ้าหน้าที่หน่วยงานของรัฐแห่งหนึ่งทำาให้เกิดความเสียหาย<br />
แก่หน่วยงานของรัฐอื่น<br />
(2) หน่วยงานของรัฐมากกว่าหนึ่งแห่งได้รับความเสียหาย<br />
(3) ความเสียหายเกิดจากการเจ้าหน้าที่หลายหน่วยงาน<br />
4. อำานาจและหน้าที่คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด<br />
4.1 ตรวจสอบข้อเท็จจริง<br />
4.2 รวบรวมพยานหลักฐานทั้งหมด<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
95
4.3 ให้โอกาสผู้เกี่ยวข้องทุกฝ่ายในการชี้แจงและแสดงพยานหลักฐานของตนอย่างเพียงพอ<br />
และเป็นธรรม<br />
4.4 เสนอความเห็นต่อผู้แต่งตั้ง<br />
(1) มีผู้ต้องรับผิดหรือไม่<br />
(2) รับผิดเป็นจำานวนคนละเท่าใด<br />
5. หลักการวินิจฉัยของคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริงความรับผิดทางละเมิด<br />
5.1 ความเสียหายไม่ได้เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ ให้รับผิดตามประมวลกฎหมายแพ่งและ<br />
พาณิชย์<br />
ไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่<br />
- รับผิดอย่างลูกหนี้ร่วม<br />
- รับผิดเต็มจำานวน หักลดหย่อนไม่ได้<br />
- หักส่วนที่เกิดจากความบกพร่องของรัฐไม่ได้<br />
- ฟ้องล้มละลายได้<br />
5.2 ความเสียหายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่<br />
(1) จงใจหรือประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงให้รับผิดตามพระราชบัญญัติความรับผิดทาง<br />
ละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539<br />
(2) ประมาทเลินเล่อ ไม่ต้องรับผิด<br />
- ไม่จงใจ - จงใจ<br />
- ประมาทเลินเล่อ ปฏิบัติหน้าที่ - ประมาทเลินเล่อ<br />
ไม่ร้ายแรง<br />
อย่างร้ายแรง<br />
- ไม่ต้องรับผิด - รับผิด<br />
- หน่วยงานรับภาระ - ลดหย่อนได้ตามความร้ายแรง<br />
ความเสียหายเอง - หักส่วนที่เกิดจากความบกพร่องของรัฐ<br />
- แบ่งส่วน<br />
- ฟ้องล้มละลายไม่ได้<br />
96 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
6. อำานาจและหน้าที่ของผู้แต่งตั้งคณะกรรมการฯ<br />
6.1 วินิจฉัยสั่งการ โดยไม่จำาเป็นต้องสั่งการตามความเห็นของคณะกรรมการฯ<br />
- มีผู้ต้องรับผิดหรือไม่<br />
- รับผิดเป็นจำานวนคนละเท่าใด<br />
6.2 ส่งสำานวนให้กระทรวงการคลังภายใน 7 วัน นับแต่วันสั่งการ<br />
6.3 ระหว่างรอผลจากกระทรวงการคลังให้ตระเตรียมการออกคำาสั่งเพื่อมิให้คดีขาดอายุ<br />
ความ 2 ปี<br />
7. การมีคำาสั่งเมื่อได้รับการแจ้งผลการตรวจสอบจากกระทรวงการคลัง<br />
7.1 หน่วยงานของรัฐที่เป็นกระทรวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะ<br />
เป็นกรม ราชการส่วนภูมิภาค ให้มีคำาสั่งตามความเห็นของกระทรวงการคลัง<br />
7.2 หน่วยงานของรัฐที่เป็นราชการส่วนท้องถิ่น รัฐวิสาหกิจที่ตั้งขึ้นโดยพระราชบัญญัติหรือ<br />
พระราชกฤษฎีกา และหน่วยงานที่มีพระราชกฤษฎีกากำาหนดให้เป็นหน่วยงานของรัฐให้มีคำาสั่งตามที่เห็นว่า<br />
ถูกต้อง<br />
8. การออกคำาสั่งและแจ้งคำาสั่งให้ผู้ต้องรับผิด<br />
8.1 ต้องมีรูปแบบตามที่พระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 กำาหนด<br />
8.2 ต้องแจ้งสิทธิอุทธรณ์และอายุความฟ้องคดีต่อศาลให้ผู้ต้องรับผิดทราบ<br />
8.3 หากผู้ต้องรับผิดไม่ชดใช้ภายในกำาหนด ให้ดำาเนินการใช้มาตรการบังคับทางปกครอง<br />
ตามพระราชบัญญัติวิธีปฏิบัติราชการทางปกครอง พ.ศ. 2539 มาตรา 57<br />
9. การใช้สิทธิของผู้ต้องรับผิด<br />
9.1 อุทธรณ์ต่อหน่วยงานผู้ออกคำาสั่ง<br />
9.2 ฟ้องศาลปกครองให้เพิกถอนคำาสั่ง<br />
9.3 ขอทุเลาการบังคับทางปกครองต่อศาลปกครอง<br />
ข. กรณีเจ้าหน้าที่กระทำาให้เกิดความเสียหายแก่บุคคลภายนอก<br />
(เฉพาะหน่วยงานของรัฐที่เป็นกระทรวง กรม หรือส่วนราชการที่เรียกชื่ออย่างอื่นและมีฐานะ<br />
เป็นกรมและราชการส่วนภูมิภาค)<br />
1. บุคคลภายนอกยื่นคำาขอหรือฟ้องคดีต่อศาล<br />
1.1 บุคคลภายนอกยื่นคำาขอ<br />
(1) หน่วยงานออกใบรับคำาขอให้ไว้เป็นหลักฐานแก่ผู้ยื่น<br />
(2) แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาคำาขอ<br />
(3) ดำาเนินการให้เสร็จสิ้นภายใน ๑๘๐ วัน<br />
(4) หากไม่สามารถดำาเนินการให้เสร็จภายใน ๑๘๐ วัน ต้องขออนุมัติรัฐมนตรีเจ้าสังกัด<br />
ขยายระยะเวลาได้อีกไม่เกิน ๑๘๐ วัน<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
97
1.2 บุคคลภายนอกฟ้องคดีต่อศาล<br />
(1) แต่งตั้งคณะกรรมการเตรียมการสู้คดี<br />
(2) ประสานงานกับสำานักงานอัยการสูงสุดเพื่อสู้คดี<br />
(3) รายงานให้กระทรวงการคลังทราบ<br />
(4) ปฏิบัติตามคำาแนะนำาของกระทรวงการคลัง<br />
2. คณะกรรมการมีอำานาจหน้าที่สอบสวนข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น แล้วเสนอความเห็นต่อผู้แต่งตั้งว่า<br />
เป็นความเสียหายที่มิได้เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่ หรือเป็นความเสียหายที่เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่<br />
2.1 กรณีความเสียหายมิได้เกิดจากการปฏิบัติหน้าที่<br />
- แถลงต่อศาลเพื่อให้เรียกเจ้าหน้าที่ผู้กระทำาละเมิดเข้ามาในคดีและขอให้ศาลยกฟ้อง<br />
หน่วยงานของรัฐ ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 6<br />
2.2 กรณีความเสียหายเกิดจากการปฏิบัติหน้าที่<br />
- แจ้งให้พนักงานอัยการแถลงต่อศาลเพื่อให้เจ้าหน้าที่พ้นฐานะการเป็นคู่ความในคดี<br />
ตามพระราชบัญญัติความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539 มาตรา 5<br />
3. การไล่เบี้ยเจ้าหน้าที่<br />
3.1 เมื่อหน่วยงานของรัฐชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ผู้เสียหาย ถือว่าเกิดความเสียหายกับ<br />
หน่วยงานของรัฐ ให้ดำาเนินการตาม หมวด 1 ของระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักเกณฑ์การปฏิบัติ<br />
เกี่ยวกับความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ พ.ศ. 2539<br />
3.2 ใช้สิทธิไล่เบี้ยภายในหนึ่งปีนับแต่วันที่หน่วยงานของรัฐได้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่<br />
ผู้เสียหาย<br />
98 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
การร้องเรียน/ร้องทุกข์<br />
การดำาเนินการเกี่ยวกับเรื่องราวร้องทุกข์ร้องเรียน มีความสำาคัญสำาหรับส่วนราชการหน่วยงาน<br />
ต่าง ๆ มาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน เพราะในการบริหารราชการหรือการให้บริการของส่วนราชการนั้น<br />
ผลงานจะเป็นสิ่งที่พึงพอใจของประชาชนหรือผู้รับบริการหรือไม่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ของ<br />
ส่วนราชการ หน่วยงานต่าง ๆ ซึ่งการแสดงออกโดยผ่านกระบวนการร้องทุกข์ ร้องเรียน สามารถเป็นเครื่อง<br />
ชี้วัดได้อย่างหนึ่ง เป็นที่น่าสังเกตว่า หากส่วนราชการหรือหน่วยงานใดปฏิบัติงานเป็นที่พึงพอใจของ<br />
ประชาชนมากย่อมมีโอกาสถูกตำาหนิติเตียนจากประชาชนน้อย ตรงกันข้ามหากส่วนราชการหรือหน่วยงานใด<br />
ปฏิบัติงานเป็นที่พึงพอใจของประชาชนน้อย ย่อมมีโอกาสได้รับการติเตียนจากประชาชนมาก กระทรวง<br />
มหาดไทยเป็นส่วนราชการที่รับผิดชอบงาน โดยมีบทบาทและหน้าที่ความรับผิดชอบอย่างกว้างขวางมาตั้งแต่<br />
อดีตจนถึงปัจจุบัน การปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการในสังกัด มีผลกระทบต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของ<br />
ประชาชนโดยตรงนับตั้งแต่เกิดจนกระทั่งตาย ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ของส่วนราชการหน่วยงานต่าง ๆ ทั้ง<br />
ในส่วนกลาง ส่วนภูมิภาค รวมทั้งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น อาจเป็นที่พึงพอใจหรือไม่เป็นที่พึงพอใจของ<br />
ประชาชนก็ได้ ดังนั้น การดำาเนินการเกี่ยวกับเรื่องร้องทุกข์ ร้องเรียน จึงเป็นงานที่สำาคัญอย่างหนึ่งของ<br />
กระทรวงมหาดไทย รวมทั้งเป็นหัวใจสำาคัญในการ “บำาบัดทุกข์ บำารุงสุข” ของประชาชน อันเป็นอุดมการณ์<br />
สูงสุดของกระทรวงมหาดไทยด้วย<br />
เพื่อให้การพิจารณาความหมายของเรื่องร้องทุกข์ร้องเรียน ชัดเจนยิ่งขึ้น จึงแบ่งแยกพิจารณา<br />
ความหมายของคำาว่า “เรื่องราวร้องทุกข์ ร้องเรียน” ไว้ 2 ประการ คือ<br />
(1) เรื่องราวร้องทุกข์ ร้องเรียนข้าราชการ หมายถึง เรื่องราวที่ข้าราชการเป็นผู้ถูกร้องเรียน<br />
เนื่องจากปฏิบัติหน้าที่หรือปฏิบัติตน<br />
(2) เรื่องราวร้องทุกข์ ร้องเรียนประชาชน หมายถึง เรื่องราวที่ผู้ร้องเรียนประสงค์ให้ได้รับ<br />
การปลดเปลื้องความทุกข์ที่ตนได้รับ หรือเป็นเรื่องที่ผู้ร้องเรียนหรือผู้อื่นหรือสาธารณชนได้รับความเสียหาย<br />
และยังรวมถึงข้อขัดแย้งระหว่างประชาชนกับประชาชนอีกด้วย<br />
“บัตรสนเท่ห์” หมายถึง จดหมายฟ้องหรือกล่าวโทษผู้อื่น โดยมิได้ลงชื่อหรือไม่ลงชื่อจริงของ<br />
ผู้เขียน<br />
ส่วนราชการที่รับเรื่องราวร้องเรียน/ร้องทุกข์<br />
ในเขตพื้นที่กรุงเทพมหานคร ประกอบด้วย<br />
- สำานักราชเลขาธิการ<br />
- สำานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี<br />
- สำานักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี<br />
- สำานักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน<br />
- สำานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
99
- สำานักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตภาครัฐ<br />
- สำานักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน<br />
- ศาลปกครอง<br />
- กระทรวง ทบวง กรม<br />
- สำานักงานปลัดกระทรวงมหาดไทย<br />
- สำานักงานรัฐมนตรี กระทรวงมหาดไทย<br />
- ศูนย์ดำารงธรรม กระทรวงมหาดไทย ฯลฯ<br />
จังหวัดอื่น ๆ ประกอบด้วย<br />
- ผู้ว่าราชการจังหวัด นายอำาเภอ/ปลัดอำาเภอผู้เป็นหัวหน้าประจำากิ่งอำาเภอ<br />
- ศูนย์ดำารงธรรมจังหวัด<br />
- หัวหน้าส่วนราชการอื่น ๆ ในจังหวัด<br />
- กำานัน ผู้ใหญ่บ้าน<br />
- องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ฯลฯ<br />
ขั้นตอนดำเนินการ<br />
การดำาเนินการเกี่ยวกับเรื่องราวร้องเรียน/ร้องทุกข์ได้มีการกำาหนดแนวทางและขั้นตอนในการ<br />
ปฏิบัติงานดังต่อไปนี้<br />
1. การรับและลงทะเบียนหนังสือเรื่องร้องเรียน/ร้องทุกข์<br />
- กรณีร้องเรียนเป็นหนังสือที่ส่งมาจากหน่วยงานภายนอก ภายในกรมป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัย รวมทั้งที่มาร้องด้วยตนเองที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
2. การตรวจสอบ<br />
- กองการเจ้าหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงแล้วรายงานผล<br />
- มอบหมายให้ ผต.กรม ไปตรวจสอบ/สอบสวน และสดับตรับฟังข้อเท็จจริงตลอดจน<br />
เสนอแนะแนวทางแก้ไขปัญหา แล้วรายงานผล<br />
- แต่งตั้งคณะกรรมการไปสอบข้อเท็จจริง แล้วรายงานผล<br />
3. การรายงานผล<br />
- กองการเจ้าหน้าที่/ผต.กรม/คณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง สรุปผลการตรวจสอบข้อเท็จจริง<br />
และรายงานผลให้อธิบดีทราบหรือพิจารณาสั่งการหรือยุติเรื่อง ถ้าเป็นกรณีที่เป็นเรื่องร้องเรียนต่อรัฐมนตรี<br />
ว่าการ กระทรวงมหาดไทย จะนำารัฐมนตรีว่าการ กระทรวงมหาดไทยเพื่อโปรดทราบ ทั้งนี้ ให้แจ้งผู้ร้อง<br />
(ถ้ามี) ทราบต่อไป<br />
100 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
ตัวอย่างการลงโทษทางวินัยข้าราชการ<br />
ลูกจ้าง และพนักงานราชการ<br />
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
1. ไม่ปฏิบัติตามคำสั่งผู้บังคับบัญชา<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 5 มาปฏิบัติราชการสายและป่วยบ่อยครั้งประกอบกับการเสนอใบลา<br />
แต่ละครั้งจะล่าช้าเสมอ และเมื่อผู้บังคับบัญชามีคำาสั่งให้เสนอใบรับรองแพทย์เพื่อประกอบการพิจารณา<br />
อนุญาต เจ้าหน้าที่ผู้นี้ก็มิได้ปฏิบัติตาม ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้ว่ากล่าวตักเตือนเรื่องการมาปฏิบัติหน้าที่ราชการ<br />
และการลาราชการถึงสองครั้งแล้ว แต่เจ้าหน้าที่ผู้นี้ก็ยังมีพฤติการณ์เช่นเดิม อีกทั้งเจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้ลงนาม<br />
ในบัญชีลงเวลาการปฏิบัติราชการ ซึ่งในวันเวลาดังกล่าวเจ้าหน้าที่ผู้นี้มิได้มาปฏิบัติหน้าที่ราชการเต็มวัน<br />
ผู้บังคับบัญชาให้เจ้าหน้าที่ผู้นี้ทำ าบันทึกชี้แจงข้อเท็จจริง ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้ให้ถ้อยคำ ารับสารภาพว่าพลั้งเผลอ<br />
ฐานความผิดวินัย<br />
ฐานไม่ปฏิบัติตามคำาสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบ<br />
ของทางราชการ<br />
ฐานไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการและจรรยาบรรณของ<br />
ข้าราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ภาคทัณฑ์<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 88 วรรคหนึ่ง และมาตรา 91<br />
2. เปิดเผยความลับทางราชการ<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 6 ว ได้เปิดเผยความลับและสำาเนาเอกสารลับของทางราชการที่เป็นชื่อ<br />
บุคคลไปให้แก่บุคคลภายนอกที่ไม่เกี่ยวข้องทราบ และเมื่อผู้บังคับบัญชาเรียกมาสอบถามก็ได้ให้ถ้อยคำา<br />
ปกปิดข้อเท็จจริง โดยให้ข้อมูลอันเป็นเท็จ ทำาให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ<br />
ฐานความผิดวินัย<br />
ฐานเปิดเผยความลับของทางราชการ<br />
ฐานรายงานเท็จต่อผู้บังคับบัญชา<br />
ระดับโทษ<br />
ลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
101
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 87 วรรคหนึ่ง และมาตรา 90<br />
วรรคหนึ่ง<br />
3. ค่าเช่าบ้าน<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 5 ได้รับอนุมัติให้มีสิทธิเบิกค่าเช่าบ้าน แต่ขณะที่ยังไม่ได้เข้าอาศัยบ้าน<br />
หลังที่เช่าบิดาได้ถึงแก่กรรม เจ้าหน้าที่ผู้นี้จึงได้ไปพักอาศัยอยู่ที่บ้านมารดาและได้พักอาศัยอยู่จนถึงปัจจุบัน<br />
แต่ได้นำาหลักฐานการเช่าบ้านที่ได้รับอนุมัติดังกล่าวแล้วนั้น ไปใช้สิทธิเบิกค่าเช่าบ้านจากทางราชการ<br />
ตลอดมา โดยมิได้พักอาศัยอยู่จริง รวม 5 ปี 3 เดือน เป็นเงินทั้งสิ้น 89,700 บาท แต่เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้ใช้<br />
เงินคืนแก่ทางราชการครบถ้วน เมื่อทราบว่าไม่มีสิทธิเบิกแล้ว<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานกระทำาการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง<br />
ระดับโทษ<br />
ปลดออก<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคสอง<br />
4. ประโยชน์ส่วนตัว<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 8ว ได้รับรถยนต์จากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
เพื่อนำาไปใช้ในการปฏิบัติราชการที่สำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด แต่นำารถไปใช้ส่วนตัว<br />
ซึ่งกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยได้สั่งให้นำารถยนต์คันดังกล่าวไปคืนหลายครั้งก็ไม่ดำาเนินการตาม<br />
คำาสั่ง ครั้งสุดท้ายได้นำารถยนต์มาคืน แต่เจ้าหน้าที่ไม่รับมอบรถเนื่องจากรถไม่อยู่ในสภาพสมบรูณ์ จึงให้<br />
นำาไปซ่อมแซมให้อยู่ในสภาพสมบูรณ์ก่อน<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานอาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำานาจหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น<br />
ฐานไม่ปฏิบัติตามคำาสั่งของผู้บังคับบัญชาซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมายและระเบียบ<br />
ของทางราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสอง และมาตรา 88<br />
วรรคหนึ่ง<br />
102 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
5. ไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการ<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 5 และเจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี 3 ได้รับแต่งตั้งเป็นคณะ<br />
กรรมการตรวจรับพัสดุ โครงการช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำาท่วม โดยได้จัดซื้อวัสดุอุปกรณ์ไว้แล้ว แต่ไม่<br />
ดำาเนินการให้แล้วเสร็จภายในปีงบประมาณ<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เกิดผลดีหรือความก้าวหน้าแก่ราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ตัดเงินเดือนคนละ 5% เป็นเวลา 1 เดือน<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 83<br />
6. ต้องยื่นใบลา<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าพนักงานธุรการ 4 จัดส่งใบลาเพื่อขออนุญาตลาป่วย ภายหลังจากหยุดราชการไปแล้ว ล่าช้า<br />
เป็นเวลานานนับเดือนบ่อยครั้ง ผู้รับผิดชอบควบคุมวันลาทวงถามอยู่เนืองๆ ก็ยังไม่เร่งรีบดำาเนินการให้เป็น<br />
ไปตามระเบียบการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2535<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ภาคทัณฑ์<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 91<br />
7. สูบน้ำที่บ้าน<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 5 นำาเครื่องสูบน้ำาของศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตไปใช้<br />
ส่วนตัวที่บ้านพัก โดยไม่ขออนุญาตจากผู้บังคับบัญชา<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานอาศัยหรือยอมให้ผู้อื่นอาศัยอำานาจหน้าที่ราชการของตน ไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือโดยทางอ้อม<br />
หาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น<br />
ระดับโทษ<br />
ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
103
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสอง<br />
8. ไม่ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่บริหารงานการเงินและบัญชี 5 ไม่ตั้งใจทำางานการเงินและบัญชีของสำานักงานป้องกันและบรรเทา<br />
สาธารณภัยจังหวัด ซึ่งตนเองมีหน้าที่รับผิดชอบให้เรียบร้อย ถูกต้อง และเป็นปัจจุบัน ทำาให้การส่งมอบงาน<br />
แก่ผู้รับเพื่อปฏิบัติเกิดความล่าช้า และทำางานไม่สัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา ไม่ช่วยเหลือกันในการปฏิบัติงาน<br />
การเงินและบัญชีกับผู้ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่ช่วยเหลือกันในการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ระหว่างข้าราชการและผู้ร่วมปฏิบัติราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 83 และมาตรา 93<br />
9. ไม่สุภาพไม่ช่วยเหลือ<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 7 ปฏิบัติหน้าที่ราชการอย่างขาดมนุษยสัมพันธ์ และใช้อารมณ์ของ<br />
ตนเองเป็นใหญ่ ทำาให้ไม่เป็นที่ยอมรับจากผู้นำาท้องถิ่น ผู้มาติดต่อประสานงานและผู้ใต้บังคับบัญชา<br />
นอกจากนั้นยังไม่ให้คำาปรึกษาหารือแก่ผู้ใต้บังคับบัญชา ทำาให้การติดต่อประสานงานกับหน่วยงานอื่น<br />
ทำาได้ยาก<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่สุภาพเรียบร้อย ไม่รักษาความสามัคคี และไม่ช่วยเหลือกันในการปฏิบัติราชการระหว่าง<br />
ข้าราชการด้วยกันและผู้ร่วมปฏิบัติราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ภาคทัณฑ์<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 93<br />
10. ทำร้ายร่างกาย<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
นายช่างเครื่องกล 6 ได้ทำาร้ายร่างกายภรรยาต่อหน้าผู้บังคับบัญชาและเพื่อนร่วมงานอีกหลายคน<br />
ในสถานที่ทำางาน เพราะภรรยามาขอแบ่งเงินเดือนเพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในครอบครัว<br />
104 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ฐานความผิดวินัย<br />
ฐานกระทำาการใดๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว<br />
ระดับโทษ<br />
ภาคทัณฑ์<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคหนึ่ง<br />
11. ค่าน้ำมันเชื้อเพลิง<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่บริหารงานธุรการ 5 วางฎีกาเบิกเงินค่าน้ำามันเชื้อเพลิงที่ใช้ในราชการ จำานวน 61,698 บาท<br />
และค่าวัสดุสำานักงานฯ จำานวน 15,705 บาท แต่ไม่นำาไปชำาระให้แก่เจ้าหนี้ผู้ขาย เป็นเหตุให้สำานักงานฯ<br />
ถูกทวงถามให้ชำาระหนี้ และได้มีการทำาสัญญากู้ยืมเพื่อฝึกอบรมและลูกหนี้เงินยืมได้ส่งเงินที่เหลือคืนแล้ว<br />
แต่ไม่ปรากฏหลักฐานการส่งเงินคืน จำานวน 32,815 บาท รวมทั้งสัญญากู้ยืมเงินที่ระบุท้ายฎีกาไม่ตรงกับ<br />
ฎีกาที่วางเบิก อีกทั้งยังได้แก้ไขสำาเนาเอกสารแบบรายงานงบเดือน ฉบับที่เก็บรักษาไว้ที่สำานักงาน ทำาให้<br />
ข้อมูลบางรายการไม่ตรงกับข้อมูลในฎีกาเบิกเงิน<br />
ฐานความผิดวินัย<br />
ฐานปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ราชการโดยมิชอบ เพื่อให้ตนเองหรือผู้อื่นได้ประโยชน์ที่<br />
มิควรได้ เป็นการทุจริตต่อหน้าที่ราชการ<br />
ฐานความผิดอาญา<br />
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน ปฏิบัติหรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ เพื่อให้เกิดความเสียหายแก่<br />
ผู้หนึ่งผู้ใด หรือปฏิบัติ หรือละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต<br />
ผู้ใดเป็นเจ้าพนักงาน มีหน้าที่ทำาเอกสาร กรอกข้อความลงในเอกสาร หรือดูแลรักษาเอกสาร<br />
กระทำาการปลอมเอกสารโดยอาศัยโอกาสที่ตนมีหน้าที่นั้น<br />
ผู้ใดทำาให้เสียหาย ทำาลาย ซ่อนเร้น เอาไปเสีย หรือทำาให้สูญหายหรือไร้ประโยชน์ซึ่งพินัยกรรม<br />
หรือเอกสารใดของผู้อื่น ในประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน<br />
ผู้ใดปลอมเอกสารสิทธิหรือเอกสารราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ไล่ออก<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสาม<br />
ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 มาตรา 161 มาตรา 188 และมาตรา 265<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
105
12. เบิกเงินสวัสดิการเสพสุรากลางวัน<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
นายช่างเครื่องกล 4 ได้เสพสุราในเวลารับประทานอาหารกลางวัน และเมื่อกลับมาปฏิบัติหน้าที่<br />
ราชการ ได้ส่งเสียงดังก่อให้เกิดความรำาคาญแก่เพื่อนร่วมงาน<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่รักษาชื่อเสียงตน และรักษาเกียรติศักดิ์ของตำาแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย<br />
โดยไม่กระทำาการใดๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว<br />
ระดับโทษ<br />
ลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคหนึ่ง<br />
13. ไม่สุภาพเรียบร้อย<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
หัวหน้าสำานักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยจังหวัด ไม่สามารถปกครองผู้ใต้บังคับบัญชาให้<br />
ปฏิบัติงานด้วยความเรียบร้อยด้วยหลักการและเหตุผลที่ถูกต้องตามทำานองคลองธรรม เกิดความขัดแย้ง<br />
ในการปฏิบัติงาน เป็นผลทำาให้ผู้ใต้บังคับบัญชาขาดขวัญและกำาลังใจในการทำางาน และขาดความสามัคคี<br />
ฐานความผิดวินัย<br />
ฐานไม่สุภาพเรียบร้อย และไม่รักษาความสามัคคีระหว่างข้าราชการด้วยกันและผู้ร่วมปฏิบัติ<br />
ราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ภาคทัณฑ์<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 93<br />
14. อาศัยอำนาจหน้าที่ราชการของตนหาประโยชน์ให้แก่ตนเองหรือผู้อื่น<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
นายช่างโยธา 7 ได้ขออนุญาตผู้บังคับบัญชานำารถยนต์ของราชการไปราชการ แต่กลับนำารถยนต์<br />
ไปก่อนวันขออนุญาต 1 วัน เพื่อไปหาภรรยาและครอบครัว และเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันได้รับความเสียหาย<br />
เป็นเหตุให้ไม่ได้ใช้รถยนต์นานถึง 7 เดือน นอกจากนี้ก็ไม่รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบ ตามนัย<br />
ข้อ 19 วรรคสอง ของระเบียบสำานักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยรถราชการ พ.ศ. 2523 เพียงแต่ผู้ใต้บังคับบัญชา<br />
รายงานให้กรมทราบว่า ข้าราชการผู้นี้ประสบอุบัติเหตุได้รับบาดเจ็บ และเมื่อผู้นี้หายจากบาดเจ็บแล้วก็ไม่<br />
ตรวจสอบว่า ผู้ใต้บังคับบัญชาของตนดำาเนินการขาดตกบกพร่องหรือไม่ อย่างไร<br />
106 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานอาศัยอำานาจหน้าที่ราชการของตนไม่ว่าจะโดยทางตรงหรือทางอ้อมหาประโยชน์ให้แก่ตนเอง<br />
หรือผู้อื่น และฐานไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ภาคทัณฑ์<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 82 วรรคสอง และมาตรา 91<br />
15. เบิกเงินสวัสดิการ<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 6 ว ได้เบิกเงินค่าอาหารทำาการนอกเวลาและเบิกเงิน<br />
ค่าใช้จ่ายในการเดินทางไปราชการซ้ำากัน โดยในวันที่ 3 และ 8 มิถุนายน 2550 วันที่ 2, 4, 5, 6 สิงหาคม<br />
2550 และวันที่ 9 และ 10 กันยายน 2550 เจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้เดินทางไปราชการที่ต่างจังหวัด แต่ได้เบิกเงิน<br />
ค่าอาหารทำาการล่วงเวลาเป็นเงินจำานวน 2,000 บาท ตามทาง สอบสวนไม่ปรากฏเจตนาฉ้อโกง แต่เป็น<br />
กรณีทำาหลักฐานการปฏิบัติงานนอกเวลาภายหลังวันทำาการล่วงเวลานั้น<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานกระทำาการใดๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว<br />
ระดับโทษ<br />
ลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคหนึ่ง<br />
16. อ้างมั่ว<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
หัวหน้างานจัดซื้อและพัสดุฯ ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตแห่งหนึ่ง ได้รับคำาสั่งจาก<br />
ผู้อำานวยการศูนย์ ฯ ให้ไปประชุมในหลักสูตรหัวหน้างานจัดซื้อและพัสดุที่ส่วนกลาง เป็นเวลา 3 วัน แต่<br />
หัวหน้างานจัดซื้อและพัสดุ ไม่ไปร่วมประชุมตามคำาสั่ง โดยอ้างเหตุความเจ็บป่วยของภรรยาซึ่งจะต้องดูแล<br />
รักษา และรถเสียตลอดทั้งเดินทางไปสถานที่ประชุมไม่ถูก ซึ่งจากการสอบสวนปรากฏว่าข้ออ้างไม่เป็น<br />
ความจริงตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่ปฏิบัติตามคำาสั่งของผู้บังคับบัญชา ซึ่งสั่งในหน้าที่ราชการโดยชอบด้วยกฎหมาย และ<br />
ระเบียบของทางราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 3 เดือน<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
107
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 88 วรรคหนึ่ง<br />
17. ละทิ้งหน้าที่ราชการ<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่พัสดุ 2 ได้ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่า 15 วัน โดยไม่<br />
แจ้งเหตุต่อผู้บังคับบัญชา ซึ่งผู้บังคับบัญชาได้ติดตามและแจ้งให้มาปฏิบัติหน้าที่ราชการหรือยื่นใบลาออก<br />
ให้ถูกต้อง แต่เจ้าหน้าที่ผู้นี้ก็เพิกเฉยไม่ได้กลับมาปฏิบัติหน้าที่ราชการอีกเลยจนถึงปัจจุบัน และผู้บังคับ<br />
บัญชาได้สืบสวนแล้วพบว่าตลอดเวลาที่ละทิ้งหน้าที่ราชการได้พักอยู่ที่บ้านตลอดมาแต่ไม่มาปฏิบัติงาน<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อกันในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินสิบห้าวันโดยไม่มีเหตุผลอันสมควร<br />
ระดับโทษ<br />
ไล่ออก<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 92 วรรคสอง<br />
18. ลืมนานไปหน่อย<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี ศูนย์ป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเขตแห่งหนึ่ง ได้รับเงินคืนเงิน<br />
ทดรองราชการจำานวน 320 บาท จากผู้ยืมเงินทดรองราชการ และได้นำาเงินจำานวนดังกล่าวไปเก็บไว้ในตู้<br />
เอกสาร ไม่ได้นำาส่งคลังในวันที่ได้รับเงินนั้น จนหลงลืม ต่อมาได้นำาส่งเงินหลังจากวันที่ได้รับเป็นเวลา 3 วัน<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่ตั้งใจปฏิบัติหน้าที่ด้วยความเอาใจใส่ และระมัดระวังรักษาประโยชน์ของทางราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 2 เดือน<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 84 วรรคหนึ่ง<br />
19. ไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความอุตสาหะ เอาใจใส่ รักษาประโยชน์ของทางราชการ<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่บริหารงานธุรการ 5 รับผิดชอบงานด้านบริหารทั่วไป เมื่อได้รับหนังสือหรือบันทึกเวียน<br />
แล้ว ไม่บันทึกเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อพิจารณาดำ าเนินการทันทีมักจะเก็บรวมเรื่องไว้แล้วบันทึกเสนอพร้อมกัน<br />
ในคราวเดียว เป็นเหตุให้การพิจารณาเรื่องดังกล่าวล่าช้า<br />
108 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการด้วยความอุตสาหะ เอาใจใส่ รักษาประโยชน์ของทางราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ภาคทัณฑ์<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มาตรา 84 วรรคหนึ่ง<br />
20. ไม่สนใจเอาใจใส่<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
นายช่างโยธา 6 ได้จดทะเบียนสมรสกับหญิงอื่น ขณะที่ได้จดทะเบียนสมรสกับภรรยาอยู่แล้ว และ<br />
ไม่สนใจเอาใจใส่ ไม่ส่งเสียเงินเพื่อเป็นค่าเลี้ยงดู และค่าใช้จ่ายในครอบครัว ถึงแม้ต่อมาภายหลังเจ้าหน้าที่<br />
ผู้นี้จะได้จดทะเบียนหย่ากับหญิงคนดังกล่าว และยินยอมทำาตามข้อเรียกร้องของภรรยาตามกฎหมาย คือ<br />
ส่งเงินเป็นค่าเลี้ยงดูและค่าใช้จ่ายให้แก่ครอบครัวเป็นรายเดือนเป็นจำ านวนครึ่งหนึ่งของเงินเดือนประจำาก็ตาม<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่รักษาชื่อเสียงของตน และรักษาเกียรติศักดิ์ของตำาแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้<br />
เสื่อมเสีย โดยไม่กระทำาการใดๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว<br />
ระดับโทษ<br />
ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 2 เดือน<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคหนึ่ง<br />
21. ทอดทิ้ง<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
นักพัฒนาทรัพยากรบุคคล 7 มีภรรยาที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว แต่กลับมีความสัมพันธ์ฉันชู้สาว<br />
กับหญิงอื่นโดยไปไหนมาไหนด้วยกัน แต่ยังคงส่งเสียเงินให้แก่ภรรยาของตนใช้จ่าย ต่อมาภายหลังจึงทอดทิ้ง<br />
เป็นเหตุให้ภรรยาไม่พอใจ จนถึงขนาดไปต่อว่าและด่าทอข้าราชการผู้นี้บริเวณริมรั้วที่ทำางานถึง 2 ครั้ง<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่รักษาชื่อเสียงของตน และรักษาเกียรติศักดิ์ของตำาแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้<br />
เสื่อมเสีย โดยไม่กระทำาการใดๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว<br />
ระดับโทษ<br />
ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 2 เดือน<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคหนึ่ง<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
109
22. ผิดระเบียบการลา<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่ธุรการ 2 ได้หยุดราชการบ่อยครั้ง ครั้งละหลายวันโดยอ้างว่าป่วย ไม่ปฏิบัติตามระเบียบ<br />
ว่าด้วยการลาของข้าราชการ ซึ่งกำาหนดในเรื่องการลาป่วยว่า “ให้เสนอหรือจัดส่งใบลาต่อผู้บังคับบัญชาตาม<br />
ลำาดับจนถึงผู้มีอำานาจอนุญาตก่อนหรือจัดส่งใบลาในวันแรกที่มาปฏิบัติราชการก็ได้” แต่รวมเสนอใบลา<br />
ขออนุญาตลาป่วยหลาย ๆ ครั้ง ต่อผู้บังคับบัญชาในคราวเดียวกัน<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่ถือและปฏิบัติตามระเบียบและแบบธรรมเนียมของทางราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ตัดเงินเดือน 5% เป็นเวลา 1 เดือน<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 91<br />
ระเบียบว่าด้วยการลาของข้าราชการ พ.ศ. 2535 ข้อ 17<br />
23. ละทิ้งหน้าที่ราชการ<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่การเงินและบัญชี 3 ได้ขาดราชการ 6 ครั้ง รวม 50 วัน โดยยื่นใบลาป่วยพร้อมใบ<br />
รับรองแพทย์ ซึ่งพอเชื่อได้ว่าป่วยจริงเพียง 2 ครั้ง รวม 21 วัน แต่การขาดราชการอีก 4 ครั้ง รวม 29 วัน<br />
โดยไม่มีการลาและไม่ได้แจ้งให้ผู้บังคับบัญชาทราบ แม้ผู้บังคับบัญชาจะตักเตือนแล้ว แต่ก็ไม่ได้ผล<br />
ฐานความผิดวินัย<br />
ฐานไม่ปฏิบัติหน้าที่ราชการให้เป็นไปตามระเบียบของทางราชการและฐานละทิ้งหน้าที่ราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ลดขั้นเงินเดือน 1 ขั้น<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ.2535 มาตรา 85 วรรคหนึ่ง และมาตรา 92<br />
วรรคหนึ่ง<br />
24. ประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป 5 ได้รับมอบหมายให้ปฏิบัติหน้าที่ฝ่ายป้องกันและปฏิบัติการและเป็น<br />
ผู้รับหนังสือจังหวัด จำานวน 2 ฉบับ ซึ่งได้สั่งการให้เตรียมการป้องกันภัยอันเกิดจากอุทกภัย แล้วเก็บไว้<br />
โดยมิได้เสนอหนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าวให้ผู้บังคับบัญชาทราบ เป็นเหตุให้หนังสือทั้งสองฉบับดังกล่าว<br />
สูญหายไป<br />
110 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานประมาทเลินเล่อในหน้าที่ราชการ<br />
ระดับโทษ<br />
ภาคทัณฑ์<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 84 วรรคหนึ่ง<br />
25. ชู้สาว<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 6ว มีความสนิทสนมกับผู้ใต้บังคับบัญชาซึ่งเป็นหญิงเกินกว่า<br />
ผู้บังคับบัญชาจะมีต่อผู้ใต้บังคับบัญชากันธรรมดา ทำาให้บุคคลอื่นเข้าใจว่ามีความสัมพันธ์ฉันชู้สาวกัน<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่รักษาชื่อเสียงของตน และเกียรติศักดิ์ของตำาแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย<br />
ระดับโทษ<br />
ภาคทัณฑ์<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคหนึ่ง<br />
26. ชู้สาว<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
เจ้าหน้าที่วิเคราะห์นโยบายและแผน 8ว มีความสัมพันธ์กับหญิงอื่น โดยไปเช่าห้องพักนอนด้วยกัน<br />
ที่โรงแรม ทั้งที่แต่ละฝ่ายก็มีภรรยาและสามีที่ชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว หลังจากนั้นยังติดต่อมีความสัมพันธ์<br />
กันอีกหลายครั้ง<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานกระทำาการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง<br />
ระดับโทษ<br />
ปลดออก<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคสอง<br />
27. ยาเสพติด<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
นายช่างโยธา 3 ถูกเจ้าหน้าที่ตำารวจจับกุมตัวดำาเนินคดีในความผิดฐานมียาเสพติดให้โทษประเภท 1<br />
(ยาบ้า) จำานวน 8 เม็ด ไว้ในครอบครองโดยผิดกฎหมาย ซึ่งเจ้าหน้าที่ผู้นี้ได้มีหนังสือรับสารภาพต่อผู้บังคับบัญชา<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
111
ฐานความผิด<br />
ฐานกระทำาการอื่นใดอันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่วอย่างร้ายแรง<br />
ระดับโทษ<br />
ไล่ออก<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคสอง<br />
28. ละทิ้งหน้าที่ราชการ เป็นเหตุให้เสียหายแก่ราชการ<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
บุคลากร 4 ได้ละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกัน เป็นเวลา 19 วัน โดยไม่มีเหตุผลอัน<br />
สมควร แต่ได้กลับมาปฏิบัติราชการตามปกติ<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานละทิ้งหน้าที่ราชการติดต่อในคราวเดียวกันเป็นเวลาเกินกว่าสิบห้าวัน โดยไม่มีเหตุผลอันสมควร<br />
ระดับโทษ<br />
ปลดออก<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 92 วรรคสอง<br />
29. ไม่รับผิดชอบต่อครอบครัว<br />
พฤติการณ์การกระทำาความผิด<br />
นายช่างโยธา 6 มีภรรยาโดยชอบด้วยกฎหมายอยู่แล้ว และมีบุตรด้วยกัน 1 คน แต่ได้อยู่กินกับ<br />
หญิงอื่น โดยไม่ได้จดทะเบียนสมรส จนมีบุตรสาววัยสามขวบด้วยกัน 1 คน<br />
ฐานความผิด<br />
ฐานไม่รักษาชื่อเสียงของตน และเกียรติศักดิ์ของตำาแหน่งหน้าที่ราชการของตนมิให้เสื่อมเสีย โดย<br />
ไม่กระทำาการใดๆ อันได้ชื่อว่าเป็นผู้ประพฤติชั่ว<br />
ระดับโทษ<br />
ภาคทัณฑ์<br />
พระราชบัญญัติฯ ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
พระราชบัญญัติระเบียบข้าราชการพลเรือน พ.ศ. 2535 มาตรา 98 วรรคหนึ่ง<br />
112 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.
คู่มือบริหารงานบุคคล<br />
คณะผู้จัดทำ<br />
ที่ปรึกษา<br />
1. นายอนุชา โมกขะเวส อธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
2. นายศรีสมบัติ พรประสิทธิ์ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
3. นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
4. นายประทีป กีรติเรขา รองอธิบดีกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
ผู้จัดทำ<br />
1. ว่าที่ร้อยตรีอรรษิษฐ์ สัมพันธรัตน์ เลขานุการกรม รักษาราชการแทน<br />
ผู้อำนวยการกองการเจ้าหน้าที่<br />
2. กลุ่มอัตรากำลังและระบบงาน กองการเจ้าหน้าที่<br />
3. กลุ่มงานสรรหาบรรจุแต่งตั้ง กองการเจ้าหน้าที่<br />
4. กลุ่มงานทะเบียนประวัติและสิทธิประโยชน์ข้าราชการ กองการเจ้าหน้าที่<br />
5. กลุ่มงานวินัย กองการเจ้าหน้าที่<br />
6. ฝ่ายสวัสดิการ กองการเจ้าหน้าที่<br />
กองการเจ้าหน้าที่<br />
113
ค่านิยมองค์กร “DISASTER”<br />
D : Dedication<br />
I : Integrity<br />
การอุทิศตน เสียสละและมีจิตให้บริการ<br />
การปฏิบัติงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีคุณธรรมและจริยธรรม<br />
โดยน้อมนำาแนวทางเศรษฐกิจพอเพียงมาใช้ในการดำารงชีวิต<br />
S : Safety Mind การมีจิตมุ่งเน้นความปลอดภัย<br />
A : Alert & Agility ความตื่นตัวและคล่องตัวในการปฏิบัติงาน พร้อมเรียนรู้<br />
S : Social Responsibility ความรับผิดชอบต่อสังคม โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลางในการทำางาน<br />
T : Teamwork การทำางานร่วมกันเป็นหมู่/คณะ โดยใช้การสื่อสารอย่างเปิดเผย<br />
เพื่อเสริมสร้างความเข้าใจที่ดีภายในองค์กร<br />
E : Efficiency การมุ่งเน้นประสิทธิภาพ-ประสิทธิผลของงาน<br />
R : Relationship ความมีมนุษย์สัมพันธ์ที่ดี<br />
กองการเจ้าหน้าที่ กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
โทรศัพท์ 0-2637-3152-69 โทรสาร 0-2243-2205<br />
114 ป้องกันภัยเชิงรุก บรรเทาทุกข์เมื่อเกิดภัย ฟื้นฟูและกู้ภัย คือหัวใจกรม <strong>ปภ</strong>.