o_18slcsges14hshq1br616n5g7rf.pdf
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
1<br />
ศิลปะภาพพิมพ์ ( Printmaking) ภาพ<br />
พิมพ์ คืออะไร<br />
ภาพพิมพ์ โดยความหมายของค าย่อมเป็นที่<br />
เข้าใจชัดเจนแล้วว่า หมายถึงรูปภาพที่สร้างขึ้นมา<br />
โดยวิธีการพิมพ์ แต่ส าหรับคนไทยส่วนใหญ่เมื่อพูด<br />
ถึง ภาพพิมพ์อาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักว่าภาพพิมพ์คือ<br />
อะไรกันแน่ เพราะค าๆนี้เป็นค าใหม่ที่เพิ่งเริ่มใช้กัน<br />
มาประมาณเมื่อ 30 ปี มานี้เอง<br />
โดยความหมายของค าเพียงอย่างเดียว<br />
อาจจะชวนให้เข้าใจสับสนไปถึงรูปภาพที่พิมพ์ด้วย<br />
กรรมวิธีการพิมพ์ทางอุตสาหกรรม เช่น โปสเตอร์<br />
ภาพพิมพ์ที่จ าลองจากภาพถ่าย หรือภาพจ าลอง<br />
จิตรกรรม อันที่จริงค าว่า ภาพพิมพ์ เป็นศัพท์เฉพาะ<br />
ทางศิลปะที่หมายถึง ผลงานวิจิตรศิลป์ที่จัดอยู่ใน<br />
ประเภท ทัศนศิลป์ เช่นเดียวกันกับจิตรกรรมและ<br />
ประติมากรรม<br />
ภาพพิมพ์ทั่วไปมีลักษณะเช่นเดียวกับ<br />
จิตรกรรมและภาพถ่าย คือตัวอย่างผลงานมีเพียง 2<br />
มิติ ส่วนมิติที่ 3 คือ ความลึกที่จะเกิดขึ้นจากการใช้
2<br />
ภาษาเฉพาะของทัศนศิลป์ อันได้แก่ เส้น สี น้ าหนัก<br />
และพื้นผิว สร้างให้ดูลวงตาลึกเข้าไปในระนาบ 2<br />
มิติของผิวภาพ แต่ภาพพิมพ์มีลักษณะเฉพาะที่ี<br />
แตกต่างจากจิตรกรรมตรงกรรมวิธีการสร้างผลงาน<br />
ที่จิตรกรรมนั้น ศิลปินเป็นผู้สร้างสรรค์ขีดเขียน หรือ<br />
วาดภาพระบาย สีลงไปบนผืนผ้าใบ กระดาษ หรือ<br />
สร้างออกมาเป็นภาพโดยทันที แต่การสร้างผลงาน<br />
ภาพพิมพ์ศิลปินต้องสร้างแม่พิมพ์ขึ้นมาเป็นสื่อก่อน<br />
แล้วจึงผ่านกระบวนการพิมพ์ ถ่ายทอดออกมาเป็น<br />
ภาพที่ต้องการได้<br />
จากกรรมวิธีในการสร้างผลงานด้วยการ<br />
พิมพ์นี้เอง ที่ท าให้ศิลปินสามารถสร้างผลงาน<br />
ต้นแบบ ( Original) ที่ีเหมือนๆกันได้หลายชิ้น<br />
เช่นเดียวกับผลงานประติมากรรม ประเภทที่ป๎้นด้วย<br />
ดินแล้วท าแม่พิมพ์หล่อผลงานชิ้นนั้นให้เป็นวัสดุ<br />
ถาวร เช่นทองเหลือง หรือส าริด ทุกชิ้นที่หล่อ<br />
ออกมาถือว่าเป็นผลงาน ต้นแบบ มิใช่ผลงานจ าลอง<br />
( Reproduction) ทั้งนี้เพราะว่าภาพพิมพ์นั้นก็มิใช่<br />
ผลงานจ าลองจากต้นแบบที่เป็นจิตรกรรมหรือวาด<br />
เส้น แต่ภาพพิมพ์เป็นผลงานสร้างสรรค์ ที่ศิลปินมีทั้ง<br />
เจตนาและความเชี่ยวชาญในการใช้คุณลักษณะ<br />
พิเศษเฉพาะของเทคนิควิธีการทางภาพพิมพ์ แต่ละ
3<br />
ชนิดมาใช้ในการถ่ายทอดจินตนาการ ความคิด<br />
และอารมณ์ ความรู้สึกออกมาในผลงานได้โดยตรง<br />
แตกต่างกับการที่น าเอาผลงานจิตรกรรมที่สร้าง<br />
ส าเร็จไว้แล้วมาจ าลองเป็นภาพโดยผ่าน<br />
กระบวนการทางการพิมพ์<br />
ในการพิมพ์ผลงานแต่ละชิ้น ศิลปินจะจ ากัด<br />
จ านวนพิมพ์ตามหลักเกณฑ์สากล ที่ศิลปสมาคม<br />
ระหว่างชาติ ซึ่งไทยก็เป็นสมาชิกอยู่ด้วย ได้ก าหนด<br />
ไว้โดยศิลปินผู้สร้างผลงานจะเขียนก ากับไว้ที่<br />
ด้านซ้ายของภาพ เช่น 3/30 เลข 3 ตัวหน้าหมายถึง<br />
ภาพที่ 3 ส่วนเลข 30 ตัวหลังหมายถึงจ านวนที่ พิมพ์<br />
ทั้งหมด ในภาพพิมพ์บางชิ้นศิลปินอาจเซ็นค าว่า<br />
A/P ไว้แทนตัวเลขจ านวนพิมพ์ A/Pนี้ย่อมาจาก<br />
Artist's Proof ซึ่งหมายความว่า ภาพๆนี้เป็นภาพที่<br />
พิมพ์ขึ้นมาหลังจากที่ศิลปินได้มีการทดลองแก้ไขจน<br />
ได้คุณภาพสมบูรณ์ตามที่ต้องการ จึงเซ็นรับรองไว้<br />
หลังจากพิมพ์ A/P ครบตามจ านวน 10% ของ<br />
จ านวนพิมพ์ทั้งหมด จึงจะเริ่มพิมพ์ให้ครบตาม<br />
จ านวนเต็มที่ก าหนดไว้ หลังจากนั้นศิลปินจะท าลาย
4<br />
แม่พิมพ์ด้วยการขูดขีด หรือวิธีการอื่นๆ และพิมพ์<br />
ภาพสุดท้ายนี้ไว้เพื่อเป็นหลักฐาน เรียกว่า<br />
Cancellation Proof สุดท้ายศิลปินจะเซ็นทั้ง<br />
หมายเลขจ านวนพิมพ์ วันเดือนปี และลายเซ็นของ<br />
ศิลปินเอง ไว้ด้านล่างขวาของภาพ เพื่อเป็นการ<br />
รับรองคุณภาพด้วยทุกชิ้น จ านวนพิมพ์นี้อาจจะมาก<br />
หรือน้อยขึ้นอยู่กับความนิยมของ “ ตลาด ” และ<br />
ป๎จจัยอื่นๆอีกหลายประการ<br />
ส าหรับศิลปินไทยส่วนใหญ่จะจ ากัดจ านวน<br />
พิมพ์ไว้ค่อนข้างต่ าประมาณ 5-10 ภาพ ต่อ ผลงาน<br />
1 ชิ้น กฎเกณฑ์ที่ศิลปินทั่วโลกถือปฏิบัติกันเป็นหลัก<br />
สากลนี้ย่อมเป็นการรักษามาตรฐานของภาพพิมพ์ไว้<br />
อันเป็นการส่งเสริมภาพพิมพ์ให้แพร่หลายและเป็นที่<br />
ยอมรับกันโดยทั่วไป
5<br />
ประวัติการพิมพ์<br />
ประวัติการพิมพ์สากล<br />
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ศิลปะของ<br />
มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งปรากฏอยู่บนผนัง<br />
ถ้ าลาสควักซ์ (Lascaux) ในฝรั่งเศส และถ้ าอัลตามิ<br />
รา (Altamira) ในสเปน นอกจากปรากฏผลงานด้าน<br />
จิตรกรรมที่มีคุณค่าด้านความงามของมนุษยชาติ<br />
ในช่วงประมาณ 17,000 - 12,000 ปีที่ผ่านมาแล้ว<br />
ยังปรากฏผลงานแกะสลักหิน แกะสลักผนังถ้ าเป็น<br />
รูปสัตว์ลายเส้นซึ่งการแกะสลักภาพลายเส้นบนผนัง<br />
ถ้ านั้น อาจนับได้ว่าเป็นพยานหลักฐานในการแกะ<br />
แบบพิมพ์ของมนุษย์เป็นครั้งแรกก็ได้ นอกจากนั้น<br />
ยังปรากฏการเริ่มต้นพิมพ์ภาพผ่านฉากพิมพ์
6<br />
(Stencil) อีกด้วย โดยวิธีการใช้มือวางทาบลงบน<br />
ผนังถ้ า แล้วพ่นหรือเปุาสีลงบนฝุามือ ส่วนที่เป็นมือ<br />
จะบังสีไว้ ให้ปรากฏเป็นภาพแบน ๆ แสดงขอบนอก<br />
อย่างชัดเจน ซึ่งนักว่าเป็นการพิมพ์อย่างง่าย ๆ วิธี<br />
หนึ่ง<br />
สมัยอารยธรรมประวัติศาสตร์ยุคแรก กลุ่ม<br />
ประเทศเมโสโปเตเมีย (Mesopotamia) ได้รู้จักการ<br />
ใช้ของแข็งกดลงบนดินท าให้เกิดเป็นลวดลาย<br />
ตัวอักษร เรียกว่า อักษรลิ่ม (Cuneiform) มีอายุ<br />
ประมาณ 5,000 ปีก่อนคริสตกาล (5,000 B.C.)<br />
ประมาณ 255 ปีก่อนคริสต์กาล ในภูมิภาคแถบ<br />
เอเชียตอนกลางและจีน ได้รู้จักการแกะสลักดวงตรา<br />
บนแผ่นหิน กระดูกสัตว์และงาช้าง เพื่อใช้ประทับลง<br />
บนดินเหนียว บนขี้ผึ้งซึ่งกล่าวได้ว่า เป็นต้นก าเนิด<br />
ของแม่พิมพ์ Letter Press โดยจะเห็นได้จาก<br />
พงศาวดารจีนโบราณองค์จักรพรรดิจะมีตราหยก<br />
เป็นตราประจ าแผ่นดิน<br />
ค.ศ.105 ชาวจีนชื่อ ไซลั่น คิดวิธีท ากระดาษ<br />
ขึ้นมาได้ และได้กลายเป็นวัสดุส าคัญเท่ากับการ
7<br />
เขียนและการพิมพ์ในเวลาต่อมา<br />
ค.ศ.175 ได้มีการใช้เทคนิคพิมพ์ถู (Rubbing)<br />
ขึ้นในประเทศจีน โดยมีการแกะสลักวิชาความรู้ไว้<br />
บนแผ่นหิน เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่สนใจได้น า<br />
กระดาษมาวางทาบบนแผ่นหินแล้วใช้ถ่านหรือสีทา<br />
ลงบนกระดาษ สีก็ติดบนกระดาษส่วนที่หินนูนขึ้นมา<br />
เทคนิคนี้ดูจะเหมือนกับการถู ลอกภาพรามเกียรติ์ที่<br />
แกะสลักบนแผ่นหินอ่อนที่วัดโพธิ์ในทุกวันนี้ (ก าธร<br />
สถิรกุล. 2515: 185)<br />
ค.ศ.400 ชาวจีนรู้จักการท าหมึกแท่งขึ้น โดย<br />
ใช้เขม่าไฟเป็นเนื้อสี (Pigment) ผสมกาวเคี่ยวจาก<br />
กระดูกสัตว์ หนังสัตว์และเขาสัตว์เป็นตัวยึด<br />
(Binder) แล้วท าให้แข็งเป็นแท่ง ชาวจีนเรียกว่า<br />
"บั๊ก" ต่อมาราวปี ค.ศ.450 การพิมพ์ด้วยหมึกบน<br />
กระดาษจึงเกิดขึ้นโดยใช้ตราจิ้มหมึกแล้วตีลงบน<br />
กระดาษเช่นเดียวกับการประทับตรายางในป๎จจุบัน<br />
(วัลลภ สวัสดิวัลลภ.2527: 82)<br />
ส าหรับชิ้นงานพิมพ์ซึ่งเก่าแก่ที่สุดและยังคง<br />
หลงเหลืออยู่ได้แก่การพิมพ์โดยจักรพรรดินีโชโตกุ<br />
(Shotodu) แห่งประเทศญี่ปุน ในราว ค.ศ.770 โดย
8<br />
พระองค์รับสั่งให้จัดพิมพ์ค าสวดป๎ดรังควานขับไล่<br />
วิญญาณหรือผีร้ายให้พ้นจากประเทศญี่ปุน และ<br />
แจกจ่ายไปตามวัดทั่วอาณาจักรญี่ปุนเป็นจ านวน<br />
หนึ่งล้านแผ่นซึ่งต้องใช้เวลาตีพิมพ์เป็นเวลาถึง 6 ปี<br />
(สนั่น ป๎ทมะทิน. 2513 : 121)<br />
จีนนิยมใช้เทคนิคการพิมพ์ด้วยแม่พิมพ์แกะไม้<br />
และพัฒนาขึ้นตามล าดับ ในปี ค.ศ.868 ได้มีการ<br />
พิมพ์เป็นหนังสือพิมพ์เล่มแรกมีลักษณะเป็นม้วน มี<br />
ความยาว 17.5 ฟุต กว้าง 10.5 นิ้ว โดยวาง เซียะ<br />
(Wang Chieh) ซึ่งยังคงตกทอดมาจนถึงป๎จจุบัน<br />
หนังสือเล่มนี้มีชื่อว่า วัชรสูตร (Diamond Sutra)<br />
(ก าธร สถิรกุล. 2515: 187)<br />
ประมาณปี ค.ศ.1041 - 1049 การพิมพ์แบบ<br />
แม่พิมพ์นูนได้เปลี่ยนแปลงวิธีการเดิมที่ใช้การแกะ<br />
ไม้เป็นแม่พิมพ์ (เรียกว่า Block) แม่พิมพ์ดังกล่าว<br />
สามารถพิมพ์ได้เพียงรูปแบบเดียวมาเป็นการใช้<br />
แม่พิมพ์ชนิดที่หล่อขึ้นเป็นตัว ๆ และน ามาเรียงให้<br />
เป็นค าเป็นประโยค ซึ่งในป๎จจุบันเรียกว่า "ตัว<br />
เรียงพิมพ์ (Movable type) เมื่อพิมพ์เสร็จแล้ว จะ
9<br />
สามารถน ากลับไปเก็บและสามารถน ามาผสมค าใหม่<br />
ในการพิมพ์ครั้งต่อ ๆ ไปได้ ผู้ที่ค้นพบวิธีการใหม่นี้<br />
เป็นชาวจีนชื่อ ไป เช็ง (Pi Sheng) โดยใช้ดิน<br />
เหนียวป๎้นให้แห้งแล้วน าไปเผาไฟ<br />
การสร้างตัวเรียงพิมพ์โลหะ เริ่มมีขึ้นเป็นครั้งแรก<br />
ในประเทศเกาหลีเมื่อประมาณปี ค.ศ.1241 ได้มีการ<br />
หล่อตัวพิมพ์ โลหะขึ้นเป็นจ านวนมากตามด าริของ<br />
กษัตริย์ไทจง (Htai Tjong) (Lechene. 1974:<br />
1053)<br />
ประวัติการพิมพ์ของประเทศทางตะวันตก<br />
ผู้ที่คิดค้นวิธีพิมพ์อย่างเป็นระบบเป็นคนแรกจน<br />
ได้รับการยกย่องว่าเป็นบิดาของการพิมพ์คือ โจฮัน<br />
กูเต็นเบิร์ก (Johann Gutenberg) เพราะเขาได้<br />
ประดิษฐ์แท่นพิมพ์ พัฒนาแม่แบบส าหรับหล่อ
10<br />
ตัวพิมพ์โลหะเป็นตัว ๆ สามารถที่จะเรียงเป็นค า เป็น<br />
ประโยคและเมื่อใช้พิมพ์ไปแล้วก็สามารถน ากลับมา<br />
เรียงใหม่ เพื่อใช้หมุนเวียนได้อีก ซึ่งเรียกว่าเป็นวิธี<br />
Movable ตลอดจนการค้นคิดวิธีการท าหมึกที่<br />
ได้ผลดีส าหรับใช้กับตัวเรียงโลหะ ผลงานอันมี<br />
ชื่อเสียงของกูเต็นเบิร์กคือ คัมภีร์ 42 บรรทัด (42-<br />
Lines Bible) เมื่อปี ค.ศ.1455 นั่นเอง (วัลลภ สวัสดิ<br />
วัลลภ. 2527 : 86)<br />
ค.ศ.1495 Albrecht Durer ศิลปินแกะไม้ชาว<br />
เยอรมัน ซึ่งเคยเป็นจิตรกรช่างเขียนภาพได้คิดวิธี<br />
พิมพ์จากแม่พิมพ์ทองแดง (Copper plate<br />
engraving) โดยการใช้ของแหลมขูดขีดให้เป็นรูป<br />
รอยบนแผ่นทองแดง และใช้พิมพ์แบบ Gravure<br />
เป็นครั้งแรกในเยอรมัน (ก าธร สถิรกุล. 189)<br />
ต่อมีในปี ค.ศ.1793 ชาวเยอรมันชื่อ Alois<br />
Senefilder ได้ค้นพบวิธีการพิมพ์หิน<br />
(Lithography) ซึ่งเป็นวิธีการพิมพ์แบบพื้นราบ<br />
(Planographic printing) ขึ้นเป็นครั้งแรก<br />
ค.ศ.1904 Ira Washington Rubel ช่างพิมพ์
11<br />
ชาวอเมริกันได้สังเกตเห็นว่า ในการปูอนกระดาษ<br />
เข้าพิมพ์โดยแท่น Cylinder press บางครั้งลืมปูอน<br />
กระดาษเข้าไป หมึกจะพิมพ์ติดบนลูกกลิ้งแรงกด<br />
และเมื่อปูอนกระดาษแผ่นถัดไปหมึกบนตัวพิมพ์จะ<br />
ติดบนกระดาษหน้าหนึ่ง แต่หมึกบนลูกกลิ้งจะติด<br />
กระดาษอีกหน้าหนึ่ง เมื่อสังเกตดูแล้วพบว่า หมึกที่<br />
ติดบนลูกกลิ้งก่อนที่จะติดบนกระดาษนั้นจะมี<br />
ลักษณะสวยงามกว่าหมึกที่พิมพ์จากตัวพิมพ์ไปติด<br />
กระดาษโดยตรง จึงได้คิดวิธีพิมพ์ระบบ Offset<br />
printing ขึ้น<br />
ค.ศ.1907 Samuel Simon แห่งเมือง<br />
Manchester ได้ปรับปรุงการพิมพ์ระบบ Silk<br />
screen และจดทะเบียนลิขสิทธิ์ที่ประเทศอังกฤษ<br />
ประวัติการพิมพ์ของในประเทศไทย
12<br />
ในอดีตไทยใช้การเขียนบันทึกความรู้ต่างๆลง<br />
ในใบลาน เพื่อเก็บไว้เป็นหลักฐานและองค์ความรู้ที่<br />
ถ่ายทอดกันระหว่างรุ่นสู่รุ่น เทคโนโลยีเกี่ยวกับการ<br />
พิมพ์ ปรากฎขึ้นในดินแดนสยามเป็นครั้งแรกในรัช<br />
สมัยของพระบาทสมเด็จพระนารายณ์มหาราช อัน<br />
ถือว่าเป็นยุคหนึ่งในสมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี<br />
ที่มีชาวต่างชาติเข้ามาใช้ชีวิตในสยามมากมาย ทั้ง<br />
จีน แขก และฝรั่ง หนังสือในรูปแบบของการพิมพ์<br />
ตัวอักษรมาพร้อมกับหมอสอนศาสนาชาวต่างชาติที่<br />
มีเปูาประสงค์หลักคือการเข้ามาเผยแพร่ศาสนาใน<br />
ภูมิภาคนี้ บาทหลวงที่มีชื่อเสียงและมีบทบาทใน<br />
เรื่องการพิมพ์มากที่สุดในยุคนั้นคงไม่พ้นจาก<br />
บาทหลวงชาวฝรั่งเศสนาม ลาโน (Mgr Laneau) ที่<br />
ได้จัดพิมพ์ค าสอนทางคริสต์ศาสนาขึ้นมาเผยแพร่<br />
จนเป็นที่พอพระทัยในองค์พระบาทสมเด็จพระ<br />
นารายณ์มหาราช และในคราวที่ ออกญาโกษาธิบดี<br />
(ปาน) เป็นราชทูตเดินทางไปเจริญสัมพันธไมตรีกับ<br />
ประเทศฝรั่งเศสก็ได้เข้าเยี่ยมชมกิจการงานพิมพ์<br />
ของฝรั่งเศสและแสดงความสนอกสนใจเป็นอย่าง<br />
มากจนกระทั่งในกาลต่อมาพระนารายณ์มหาราช<br />
ทรงมีรับสั่งให้ตั้งโรงพิมพ์ขึ้น ที่เมืองลพบุรีอันเป็น
13<br />
สถานที่พระองค์ใช้พ านักอยู่ในช่วงปลายรัชกาล แต่<br />
กิจการงานพิมพ์ของสยามในแผ่นดินกรุงศรีอยุธยา<br />
ก็ต้องหยุดชะงักลงอีกครั้งเมื่อมีเกิดการผลัดแผ่นดิน<br />
เป็นแผ่นดินของพระเพทราชา ที่ไม่ค่อยโปรดพวกมิ<br />
ชชั่นนารีเท่าทีควรเป็นเหตุให้พัฒนาการเกี่ยวกับ<br />
การพิมพ์ของสยามในช่วงนั้นต้องหยุดชะงัดลงไป<br />
ด้วย<br />
การลงทุนในงานศิลปะ นอกจากผู้ลงทุนจ าเป็น<br />
ศึกษาทิศทางและความเคลื่อนไหวเกี่ยวกับผลงาน<br />
ของศิลปินที่ได้รับความสนใจในตลาดงานศิลป์ ทั้ง<br />
ระดับประเทศและระดับโลก เพื่อให้รู้จักและเข้าใจถึง<br />
มูลค่าและคุณค่าของตัวงานที่เราเลือกสรร ก็ต้อง<br />
อาศัยรสนิยมและสุนทรีย์ในจิตใจ และต้องมีทุน<br />
ทรัพย์ที่เพียงพอแก่การจับจ่าย เพราะศิลปะ<br />
ประกอบไปด้วยมูลค่าและคุณค่า เป็นเรื่องของจิตใจ<br />
เป็นเครื่องยกระดับจิตใจของมนุษย์ จึงต้องอาศัย<br />
จังหวะและโอกาสที่เหมาะสมในการเลือกลงทุน และ<br />
เพื่อให้นักลงทุนได้ทราบถึงกระแสความต้องการ<br />
ของงานศิลป์เพื่อการเลือกสรรที่คุ้มค่า เราจึงหยิบ<br />
ยกตัวอย่างผลงานที่โด่งดังของเหล่าศิลปินชั้นน าที่<br />
ได้รับความสนใจอย่างสูงในตลาดค้างานศิลปะมา<br />
น าเสนอแก่ท่าน อันจะเป็นประโยชน์แก่นักสะสม
14<br />
ผู้สนใจจะซื้อขายแลกเปลี่ยน และส าหรับผู้ที่เริ่มต้น<br />
ลงทุน<br />
วิวัฒนาการด้านภาพพิมพ์ของโลก<br />
Adam-Eve ผลงานAlbrecht Durer
15<br />
ภาพพิมพ์มีประวัติความเป็นมาเริ่มตั้งแต่<br />
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ (200,000 ปีก่อน คริสตกาล)<br />
โดยมนุษย์โครมันยอง ดังพบภาพพิมพ์รูปมือบนผนัง<br />
ถ้ าในถ้ าลาสโควซ์ ประเทศฝรั่งเศสและถ้ าอัลตามิรา<br />
ประเทศสเปน ต่อมาชาวอียิปต์และชาวเมโสโปเตเมีย<br />
รู้จักการพิมพ์ภาพแบบใช้แรงกดประทับบนผิววัสดุที่<br />
อ่อนนิ่ม เช่น ดิน ขี้ผึ้ง จากนั้นมนุษย์คิดค้นกระดาษ<br />
ขึ้นได้จึงเปลี่ยนวัสดุรองรับที่เป็นดินหรือขี้ผึ้งมาเป็น<br />
กระดาษแทน นับแต่นั้นมาภาพพิมพ์ก็ได้พัฒนามา<br />
อย่างต่อเนื่อง ทั้งในด้านรูปแบบ กลวิธีการพิมพ์ตาม<br />
วิวัฒนาการของมนุษย์และความเจริญก้าวหน้าด้าน<br />
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีมาจนถึงป๎จจุบัน<br />
ความเจริญก้าวหน้าทางด้านการพิมพ์เป็นสิ่งที่<br />
ช่วยส่งเสริมความเจริญก้าวหน้าทางด้านศิลปะ<br />
วิทยาการ เพราะว่ามนุษย์สร้างสรรค์กระบวนการ<br />
พิมพ์ภาพขึ้นมาก็เพื่อตอบสนองความต้องการ ใน<br />
การเผยแพร่ความคิดและความรู้ของมนุษย์ให้<br />
กระจายไปได้อย่างแพร่หลาย ตลอดจนเพื่อเก็บ
16<br />
รักษาความรู้ต่างๆ ไว้ให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาถึงความ<br />
เป็นมาของความรู้ในเรื่องต่างๆ ดังนั้นเพื่อให้เห็น<br />
ภาพรวมของพัฒนาการทางด้านการพิมพ์ภาพที่ก่อ<br />
ประโยชน์ให้มนุษย์อย่างมากในป๎จจุบัน จึงขอ<br />
กล่าวถึงประวัติความเป็นมาของภาพพิมพ์ในกลุ่ม<br />
ประเทศตะวันออก กลุ่มประเทศตะวันตกหรือยุโรป<br />
และในประเทศไทย<br />
วิวัฒนาการด้านการพิมพ์ในกลุ่มประเทศ<br />
ตะวันออก คือ จีน ญี่ปุนนั้น แสดงให้เห็นว่า จีนเป็น<br />
ชนชาติแรกที่คิดค้นการท าภาพพิมพ์ขึ้น โดยการ<br />
แกะสลักลงบนหิน หยก งาช้าง กระดูกสัตว์ และเขา<br />
สัตว์ เพื่อท าเป็นแม่พิมพ์แล้วกดแม่พิมพ์ลงบนดิน<br />
เหนียว ครั่ง ขี้ผึ้งหรือกระดาษให้เกิดลักษณะเป็น<br />
รอย ความรู้การพิมพ์นี้ได้เผยแพร่ไปยังประเทศ<br />
ตะวันตกและประเทศเพื่อนบ้านที่ส าคัญได้แก่<br />
ประเทศญี่ปุน เกาหลี ซึ่งประเทศเกาหลีได้พัฒนา<br />
ความรู้เรื่องการพิมพ์นี้จนสามารถท าตัวเรียงพิมพ์<br />
เป็นโลหะส าเร็จ ในส่วนของประเทศญี่ปุนก็ได้<br />
พัฒนาการพิมพ์ขึ้นจนเป็นที่ยอมรับ ในด้านของภาพ<br />
พิมพ์ที่มีคุณค่า ซึ่งมีสกุลช่างภาพพิมพ์แกะไม้ที่มี
17<br />
ชื่อเสียง คือ สกุลช่างอูกิโยเอะที่สามารถสร้างสรรค์<br />
ผลงานภาพพิมพ์ได้อย่างงดงามและมีเอกลักษณ์<br />
เฉพาะตัว ดังจะเห็นได้จากประเทศญี่ปุนได้ให้<br />
อิทธิพลแก่ศิลปะของประเทศทางตะวันตกหรือยุโรป<br />
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 19<br />
ส่วนภาพพิมพ์ในกลุ่มประเทศตะวันตกมี<br />
พัฒนาการมาอย่างยาวนานและต่อเนื่อง นับตั้งแต่<br />
สมัยก่อนประวัติศาสตร์ที่รู้จักกระบวนการพิมพ์โดย<br />
การวางมือทาบบนผนังถ้ าแล้วเปุาสี หรือทาสีบนฝุา<br />
มือ จากนั้นกดประทับเป็นรูปมือไว้บนผนังถ้ า ต่อมา<br />
อารยธรรมอียิปต์ได้รู้จักน า ภาพแกะสลักเล็กๆ กดลง<br />
บนดินให้เกิดเป็นรอยขึ้น ส่วนในดินแดนเมโสโปเต<br />
เมียค้นพบการใช้ ดินเหนียวแกะเป็นตราสัญลักษณ์<br />
และน าไปตากแดดให้แห้งหรือน าไปเผาไฟ เพื่อให้<br />
เกิดเป็นแม่พิมพ์กดประทับ ต่อมาในปี ค.ศ. 1450 โจ<br />
ฮัน กูเต็นเบิร์ก ได้คิดประดิษฐ์แท่นพิมพ์อย่างง่ายขึ้น<br />
จากนั้นในช่วง ค.ศ. 15 อัลเบรชท์ ดือเรอร์ ได้<br />
คิดค้นกลวิธีภาพพิมพ์ร่องลึก พอถึง ค.ศ. 16 ทอมัส<br />
บิวิค ได้คิดค้นกลวิธีภาพพิมพ์ลายแกะไม้ได้ส าเร็จ
18<br />
หลังจากนั้นวิลเลียม เบลก ได้พยายามปรับปรุง<br />
ภาพพิมพ์ผิวนูน ด้วยวิธีการสร้างภาพผลงาน ลงบน<br />
แผ่นโลหะโดยให้กรดท าปฏิกิริยากับแผ่นโลหะจน<br />
ได้แม่พิมพ์ผิวนูนและในประเทศเยอร์มัน ได้มีการ<br />
คิดค้นกลวิธีภาพพิมพ์มัชฌิมรงค์ ในปี ค.ศ. 1660<br />
เฮอร์คิวลิส ซีเกอร์ ได้คิดกลวิธีภาพพิมพ์อย่างสีน้ า<br />
พอถึงค.ศ. 1793 อะลัวส์ เซเนเฟลเดอร์ ได้ค้นพบ<br />
กลวิธีภาพพิมพ์หิน และในระหว่างปี ค.ศ. 1864-<br />
1901 อองรี เดอ ตูลูส โลเตรก ได้น ากลวิธีภาพพิมพ์<br />
หินมาพัฒนาให้เข้ากับระบบธุรกิจ โดยท า โปสเตอร์<br />
หลายๆ สีออกสู่สาธารณชน ค.ศ. 1907 ซามูเอล ไซ<br />
มอน ได้พัฒนาและปรับปรุงกลวิธีภาพพิมพ์ผ่านฉาก<br />
โดยใช้เส้นไหมมาท าเป็นแม่พิมพ์จนส าเร็จ เรียกอีก<br />
อย่างว่า “กลวิธีภาพพิมพ์ตะแกรงไหม” ซึ่งกลวิธีนี้<br />
เป็นที่นิยมอย่างมากของศิลปินใน ค.ศ. 20 เช่น รอ<br />
เบิร์ต เราเชนเบิร์ก แอนดี วอร์โฮล เป็นต้น<br />
ส าหรับภาพพิมพ์ในประเทศไทยนั้น ระยะ<br />
เริ่มแรกท าขึ้นเพื่อประโยชน์ใช้สอยเชิงพาณิชย์ศิลป์
19<br />
โดยพิมพ์เป็นภาพประกอบหนังสือและหนังสือเป็น<br />
ส่วนใหญ่ หลังจากนั้นได้รับการพัฒนาจนกลายเป็น<br />
งานภาพพิมพ์ระยะต่อมาในระบบการศึกษา โดยมี<br />
คณะจิตรกรรมและประติมากรรม มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากรเป็นผู้บุกเบิกการเรียนการสอนทางด้านภาพ<br />
พิมพ์เป็นแห่งแรก และก็มีสถาบันอื่นๆ เปิดตามมา<br />
จนกระทั่งป๎จจุบันภาพพิมพ์ของศิลปินไทยเป็นที่<br />
ยอมรับในระดับนานาชาติ
20<br />
การพิมพ์ภาพ (PRINTING)<br />
การพิมพ์ภาพ หมายถึง การถ่ายทอดรูปแบบ<br />
จากแม่พิมพ์ออกมาเป็นผลงานที่มี<br />
ลักษณะ เหมือนกันกับแม่พิมพ์ทุกประการ และได้<br />
ภาพที่เหมือนกันมีจ านวนตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป<br />
การพิมพ์ภาพเป็นงานที่พัฒนาต่อเนื่องมาจาก<br />
การวาดภาพ ซึ่งการวาดภาพไม่สามารถ สร้าง<br />
ผลงาน 2 ชิ้น ที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประการได้<br />
จึงมีการพัฒนาการพิมพ์ขึ้นมา ชาติจีน ถือว่าเป็น
21<br />
ชาติแรกที่น าเอาวิธีการพิมพ์มาใช้อย่างแพร่หลาย<br />
มานานนับพันปี จากนั้น จึงได้แพร่หลายออกไปใน<br />
ภูมิภาคต่างๆของโลก ชนชาติทางตะวันตกได้<br />
พัฒนาการพิมพ์ภาพ ขึ้นมาอย่างมากมาย มีการ<br />
น าเอาเครื่องจักรกลต่างๆเข้ามาใช้ในการพิมพ์ ท า<br />
ให้การพิมพ์มีการ พัฒนาไปอย่างรวดเร็วในป๎จจุบัน<br />
การพิมพ์ภาพมีองค์ประกอบที่ส าคัญดังนี้<br />
1. แม่พิมพ์ เป็นสิ่งที่ส าคัญที่สุดในการพิมพ์<br />
2. วัสดุที่ใช้พิมพ์ลงไป<br />
3. สีที่ใช้ในการพิมพ์<br />
4. ผู้พิมพ์<br />
ผลงานที่ได้จากการพิมพ์ มี 2 ชนิด คือ<br />
1. ภาพพิมพ์ เป็นผลงานพิมพ์ที่เป็นภาพต่างๆ เพื่อ<br />
ความสวยงามหรือบอกเล่าเรื่องราวต่างๆ อาจมี<br />
ข้อความ ตัวอักษรหรือตัวเลขประกอบหรือไม่มีก็ได้<br />
2. สิ่งพิมพ์ เป็นผลงานพิมพ์ที่ใช้บอกเล่าเรื่องราว<br />
ต่างๆ เป็นตัวอักษร ข้อความ ตัวเลข อาจมี<br />
ภาพประกอบหรือไม่มีก็ได้
22<br />
ประเภทของการพิมพ์ การพิมพ์แบ่งออกได้<br />
หลายประเภทตามลักษณะต่าง ดังนี้<br />
1. แบ่งตามจุดมุ่งหมายในการ พิมพ์ ได้ 2<br />
ประเภท คือ<br />
1.1 ศิลปะภาพพิมพ์ (GRAPHIC ART) เป็น<br />
งานพิมพ์ภาพเพื่อให้เกิดความสวยงามเป็น งาน<br />
วิจิตรศิลป์<br />
1.2 ออกแบบภาพพิมพ์ (GRAPHIC<br />
DESIGN) เป็นงานพิมพ์ภาพประโยชน์ใช้สอยนอก<br />
เหนือไปจากความสวยงาม ได้แก่ หนังสือต่างๆ บัตร<br />
ต่างๆ ภาพโฆษณา ปฏิทิน ฯลฯ จัดเป็นงาน ประยุกต์<br />
ศิลป์<br />
2. แบ่งตามกรรมวิธีในการพิมพ์ ได้ 2<br />
ประเภท คือ<br />
2.1 ภาพพิมพ์ต้นแบบ ( ORIGINAL PRINT )<br />
เป็นผลงานพิมพ์ที่สร้างจากแม่พิมพ์และวิธี การพิมพ์
23<br />
ที่ถูก สร้างสรรค์และก าหนดขึ้นโดยศิลปินเจ้าของ<br />
ผลงาน และเจ้าของผลงาน จะต้องลงนามรับรอง<br />
ผลงานทุกชิ้น บอกล าดับที่ในการพิมพ์ เทคนิคการ<br />
พิมพ์ และ วัน เดือน ปี ที่พิมพ์ด้วย<br />
2.2 ภาพพิมพ์จ าลองแบบ ( REPRODUCTIVE<br />
PRINT ) เป็นผลงานพิมพ์ที่สร้างจากแม่พิมพ์ หรือ<br />
วิธี การพิมพ์วิธีอื่น ซึ่งไม่ใช่วิธีการเดิมแต่ได้รูปแบบ<br />
เหมือนเดิม บางกรณีอาจเป็นการ ละเมิดลิขสิทธิ์ผู้อื่น<br />
3. แบ่งตามจ านวนครั้งที่พิมพ์ ได้ 2 ประเภท<br />
คือ<br />
3.1 ภาพพิมพ์ถาวร เป็นภาพพิมพ์ที่พิมพ์ออกมา<br />
จากแม่พิมพ์ใดๆ ที่ได้ผลงานออกมามีลักษณะ<br />
เหมือนกันทุกประการ ตั้งแต่ 2 ชิ้นขึ้นไป<br />
3.2 ภาพพิมพ์ครั้งเดียว เป็นภาพพิมพ์ที่พิมพ์<br />
ออกมาได้ผลงานเพียงภาพเดียว ถ้าพิมพ์อีกจะ ได้<br />
ผลงานที่ไม่เหมือนเดิม
24<br />
4. แบ่งตามประเภทของแม่พิมพ์ ได้ 4<br />
ประเภท คือ<br />
4.1 แม่พิมพ์นูน ( RELIEF PROCESS ) เป็น<br />
การพิมพ์โดยให้สีติดอยู่บนผิวหน้าที่ท าให้นูน ขึ้นมา<br />
ของแม่พิมพ์ ภาพที่ได้เกิดจากสีที่ติดอยู่ในส่วนบน<br />
นั้น แม่พิมพ์นูนเป็นแม่พิมพ์ ที่ท าขึ้นมาเป็นประเภท<br />
แรก ภาพพิมพ์ชนิดนี้ได้แก่ ภาพพิมพ์แกะไม้ (<br />
WOOD-CUT ) ภาพพิมพ์แกะยาง ( LINO-CUT )<br />
ตรายาง ( RUBBER STAMP ) ภาพพิมพ์จากเศษ<br />
วัสดุต่างๆ<br />
4.2 แม่พิมพ์ร่องลึก ( INTAGLIO PROCESS<br />
) เป็นการพิมพ์โดยให้สีอยู่ในร่องที่ท าให้ลึกลง ไป<br />
ของแม่พิมพ์โดยใช้แผ่นโลหะท าเป็นแม่พิมพ์ ( แผ่น<br />
โลหะที่นิยมใช้คือแผ่นทองแดง ) และท าให้ลึกลงไป<br />
โดยใช้น้ ากรดกัด ซึ่งเรียกว่า ETCHING แม่พิมพ์<br />
ร่องลึกนี้พัฒนาขึ้นโดย ชาวตะวันตก สามารถพิมพ์<br />
งานที่มีความ ละเอียด คมชัดสูง สมัยก่อนใช้ในการ<br />
พิมพ์ หนังสือ พระคัมภีร์ แผนที่ เอกสารต่างๆ
25<br />
แสตมป์ ธนบัตร ป๎จจุบันใช้ในการพิมพ์งานที่เป็น<br />
ศิลปะ และธนบัตร<br />
4.3 แม่พิมพ์พื้นราบ ( PLANER PROCESS )<br />
เป็นการพิมพ์โดยให้สีติดอยู่บนผิวหน้า ที่ราบเรียบ<br />
ของแม่พิมพ์ โดยไม่ต้องขุดหรือแกะพื้นผิวลงไป แต่<br />
ใช้สารเคมีเข้าช่วย ภาพพิมพ์ ชนิดนี้ได้แก่ ภาพ<br />
พิมพ์หิน ( LITHOGRAPH ) การพิมพ์ออฟเซท (<br />
OFFSET ) ภาพพิมพ์กระดาษ ( PAPER-CUT )<br />
ภาพพิมพ์ครั้งเดียว ( MONOPRINT )<br />
4.4 แม่พิมพ์ฉลุ ( STENCIL PROCESS ) เป็น<br />
การพิมพ์โดยให้สีผ่านทะลุช่องของแม่พิมพ์ลงไป สู่<br />
ผลงานที่อยู่ด้านหลัง เป็นการพิมพ์ชนิดเดียวที่ได้รูป<br />
ที่มีด้านเดียวกันกับแม่พิมพ์ ไม่กลับซ้าย เป็นขวา<br />
ภาพพิมพ์ชนิดนี้ได้แก่ ภาพพิมพ์ฉลุ ( STENCIL )<br />
ภาพพิมพ์ตะแกรงไหม ( SILK SCREEN ) การ<br />
พิมพ์อัดส าเนา ( RONEO ) เป็นต้น
26<br />
กระบวนการหลัก 4 ประการ ของวิธีการท า<br />
ภาพพิมพ์<br />
1. แม่พิมพ์ผิวนูน (Relief Process)<br />
เป็นกระบวนการท าภาพพิมพ์ที่สร้างแม่พิมพ์<br />
โดยการแกะให้เป็นร่องลึกเข้าไป และใช้ผิวบนของ<br />
ส่วนนูนเป็นที่สร้างให้เกิดรูป ในการพิมพ์ต้องใช้
27<br />
ลูกกลิ้ง ที่กลิ้งหมึกแล้วมากลิ้งผ่านไปบนแม่พิมพ์<br />
หมึกพิมพ์จากลูกกลิ้งจะติดเฉพาะผิวบนของส่วนนูน<br />
เท่านั้น ส่วนที่ลึกลงไปจะไม่ติดหมึก แล้วใช้กระดาษ<br />
ทาบปิดลงไปบนแม่พิมพ์ และกดอัดด้วยเครื่องมือ<br />
หรือแท่นพิมพ์ หมึกก็ติดกระดาษเกิดเป็นรูปขึ้นมา<br />
เทคนิคที่รวมอยู่ภายใต้กระบวนการนี้ เช่น<br />
WoodEngraving, Wood-Cut, Lion-Cut เป็นต้น<br />
2. แม่พิมพ์ร่องลึก (Intaglio Process)<br />
เป็นกระบวนการท าภาพพิมพ์ที่ใช้หลักการ<br />
ตรงกันข้ามกับ Relief Process คือแม่พิมพ์มี ความ<br />
นูนและร่องลึกเช่นเดียวกัน แต่ส่วนที่สร้างให้เกิด<br />
เป็นรูป คือส่วนที่เป็นร่องลึกของแม่พิมพ์ ในการ<br />
พิมพ์ต้องอุดหมึกลงไปในร่องลึก และเช็ดผิวบนให้<br />
สะอาด แล้วจึงเอากระดาษปิดทับบนแม่พิมพ์ การ<br />
พิมพ์ต้องอาศัยแท่นพิมพ์ที่มีแรงกดสูงเพื่อเอา
28<br />
กระดาษให้ไปดูดซับหมึกขึ้นมาได้ เทคนิคที่รวมกัน<br />
อยู่ภายใต้กระบวนการนี้ เช่น Etching, Aquatint,<br />
Dry point, Messotint เป็นต้น<br />
3. แม่พิมพ์ผิวราบ (Planographic<br />
Process)<br />
เป็นกระบวนการท าภาพพิมพ์ที่ตัวแม่พิมพ์มีผิว<br />
เรียบแบน แต่หลักของการพิมพ์อาศัยกฎเกณฑ์แห่ง<br />
ความไม่เข้ากันระหว่าง น้ ากับน้ ามัน แม่พิมพ์จะเป็น<br />
หินที่มีเนื้อละเอียดมาก และมีผิวแบนเรียบ รูปที่ต้อง<br />
การจะเกิดจากการขีด เขียนหรือวาดระบายด้วยไข<br />
ในการพิมพ์ก่อนที่จะกลิ้งหมึกพิมพ์จะต้องใช้น้ าหล่อ<br />
เลี้ยงผิวของแม่พิมพ์ให้ชุ่มชื้น เมื่อกลิ้งหมึกพิมพ์ซึ่ง<br />
เป็นไขผ่านไปบนแม่พิมพ์ หมึกพิมพ์ที่เป็นไขจะติด
29<br />
บนรูปที่วาดด้วยไขเท่านั้น หมึกพิมพ์จะไม่ติดบนผิว<br />
หินส่วนที่มีน้ าหล่อเลี้ยงอยู่ แล้วจึงน าเอากระดาษ<br />
มาปิดทับบนแม่พิมพ์รีดกดให้หมึกติดกระดาษ เกิด<br />
เป็นรูปภาพที่ต้องการได้<br />
4. แม่พิมพ์ตะแกรงไหม หรือ แม่พิมพ์ฉลุ (<br />
Serigraphy) Silk-screen<br />
เป็นกระบวนการท าภาพพิมพ์ ที่พัฒนามาจาก<br />
วิธีการ Stencil ซึ่งเป็นวิธีสร้างรูปซ้ าๆ เหมือนๆ กัน<br />
ได้หลายรูป โดยการเจาะกระดาษ หรือวัสดุอื่นให้
30<br />
เป็นรูปแล้วพ่น หรืออาบสีให้ผ่านช่องว่างลงไปติด<br />
เป็นรูปที่ต้องการ ส าหรับ Silk-screen แม่พิมพ์จะ<br />
เป็นตะแกรงที่ละเอียดมาก ตะแกรงนี้จะช่วยยึดทั้ง<br />
ส่วนที่เป็นช่องว่างและส่วนที่ทึบตันให้ติดเป็นแผ่น<br />
ระนาบเดียวกัน วิธีการนี้ช่วยให้การสร้างแม่พิมพ์มี<br />
ความละเอียด ประณีต และเมื่อพิมพ์ออกมารูปจะมี<br />
ความคมชัดกว่า รวมทั้งพิมพ์ซ้ าๆได้ปริมาณมากกว่า<br />
ในการพิมพ์จะใช้ยางที่มีหน้าตัดเรียบคม ปาดหมึก<br />
ผ่านช่องว่างให้ลงไปติดบนแผ่นกระดาษ เกิดเป็น<br />
รูปที่ต้องการได้
31<br />
5. แบ่งตามลักษณะของแม่พิมพ์ ภาพพิมพ์<br />
แบ่งได้ 4 ประเภท<br />
5.1 ภาพพิมพ์ผิวนูน (Relief Printing)<br />
The Kiss<br />
Edvard<br />
ผลงาน<br />
Munch<br />
คือ กระบวนการพิมพ์ที่พิมพ์จากผิวส่วนที่อยู่สูง<br />
บนแม่พิมพ์ ดังนั้นส่วนที่ถูกแกะเซาะออกไปหรือส่วน<br />
ที่เป็นร่องลึกลงไปจะไม่ถูกพิมพ์ ซึ่งแม่พิมพ์ใน<br />
ลักษณะนี้ เช่น แม่พิมพ์แกะไม้ แม่พิมพ์แกะยาง<br />
แม่พิมพ์กระดาษแข็ง แม่พิมพ์วัสดุ เมื่อเวลาพิมพ์
32<br />
แม่พิมพ์เหล่านี้จะใช้เครื่องมือประเภทลูกกลิ้ง ลูก<br />
ประคบหนัง ทาหมึกลงบนส่วนนูนของแม่พิมพ์ แล้ว<br />
น าไปพิมพ์ลงบนกระดาษอาจจะพิมพ์ ด้วยมือหรือ<br />
แท่นพิมพ์ หมึกก็ติดกระดาษเกิดเป็นรูปขึ้นมา<br />
5.2 ภาพพิมพ์ร่องลึก (Intaglio Printing)<br />
ชีวิต<br />
ผลงานกมล<br />
หมายเลข 5<br />
ศรีวิชัยนันท์<br />
คือ กระบวนการพิมพ์ที่พิมพ์จากส่วนที่อยู่ลึก<br />
เป็นร่องของแม่พิมพ์ ซึ่งแม่พิมพ์จะมีส่วนที่นูนและ<br />
ร่องเหมือนกับแม่พิมพ์ผิวนูน แต่เวลาพิมพ์ต้องอุด<br />
หมึกลงไป ในร่องลึกและเช็ดบริเวณที่ไม่ต้องการจะ<br />
พิมพ์ออก แล้วน ากระดาษเปียกน้ าหมาดๆ วางลงบน<br />
แม่พิมพ์ จากนั้นพิมพ์ด้วยแท่นพิมพ์ที่มีแรงกดสูงเพื่อ<br />
กดกระดาษให้ไปดูดซับหมึกขึ้นมา ซึ่งกลวิธีที่<br />
รวมอยู่ภายใต้กระบวนการนี้ ได้แก่ ภาพพิมพ์
33<br />
ภาพถ่าย ภาพพิมพ์มัชฌิมรงค์ ภาพพิมพ์อย่างสีน้ า<br />
ภาพพิมพ์จารเข็ม ภาพพิมพ์แกะลายเส้น ภาพพิมพ์<br />
กัดกรด ภาพพิมพ์แบบเขียนถ่าน ภาพพิมพ์ กัดกรด<br />
พื้นนิ่ม ภาพพิมพ์กัดกรดรูปนูน<br />
5.3 ภาพพิมพ์พื้นราบ (Planographic<br />
Printing หรือ Lithograph)<br />
Brustbild<br />
Arbeitfrau<br />
Kathe<br />
Einer<br />
ผลงาน<br />
Kollwitz<br />
คือ กระบวนการพิมพ์ที่พิมพ์จากพื้นแบนราบ<br />
ส่วนที่ถูกพิมพ์และส่วนที่ไม่ต้องการพิมพ์นั้นจะอยู่ใน
34<br />
ระนาบแม่พิมพ์ บริเวณทั้งสองจะต่างกันเพียงส่วนที่<br />
ต้องการพิมพ์จะเป็นไขหรือน้ ามัน แต่อีกส่วนที่ไม่<br />
ต้องการพิมพ์จะชุ่มด้วยน้ า เมื่อเวลาพิมพ์จะใช้<br />
ลูกกลิ้งที่มีหมึกเชื้อน้ ามันติดอยู่ กลิ้งลงบนแม่พิมพ์ที่<br />
มีน้ าหมาดๆ เมื่อกลิ้งหมึกซึ่งเป็นไขผ่านไปบน<br />
แม่พิมพ์ หมึกเชื้อน้ ามันจะติดลงบนส่วนที่เป็นไขของ<br />
แม่พิมพ์เท่านั้น จากนั้นน าเอากระดาษมาปิดทับบน<br />
แม่พิมพ์ เพื่อรีดกดให้หมึกติดกระดาษเกิดเป็น<br />
รูปภาพตามที่ต้องการ กลวิธีที่รวมอยู่ภายใต้<br />
กระบวนการนี้ ได้แก่ ภาพพิมพ์ครั้งเดียว และภาพ<br />
พิมพ์หิน<br />
4. ภาพพิมพ์ตะแกรงไหม หรือ ภาพพิมพ์<br />
ฉลุ (Silk Screen)<br />
Marilyn<br />
Andy<br />
ผลงาน<br />
Warhol
35<br />
คือ กระบวนการพิมพ์ที่พิมพ์ โดยใช้ไม้ปาดสีรีด<br />
เนื้อสีผ่านตะแกรงเนื้อละเอียดลงมาสู่วัสดุที่ต้องการ<br />
พิมพ์ ซึ่งบริเวณที่ไม่ถูกพิมพ์จะเป็นบริเวณตะแกรง<br />
ที่ถูกกันเอาไว้ไม่ให้สีลอดผ่านลงมาสู่วัสดุที่ต้องการ<br />
พิมพ์
36<br />
ศิลปินของภาพพิมพ์<br />
ศาสตราจารย์ ประหยัด พงษ์ด า<br />
ศาสตราจารย์ ประหยัด พงษ์ด า เป็นศิลปินที่มี<br />
ความเชี่ยวชาญทางด้านงานภาพพิมพ์ เป็นผู้ค้นพบ<br />
กรรมวิธีทางภาพพิมพ์หลายอย่าง เช่น การ<br />
ผสมผสานระหว่างภาพพิมพ์เข้าสู่งานจิตรกรรมเป็น<br />
ภาพเดียวกัน เคยได้รับรางวัลเกียรตินิยมอันดับ ๑<br />
เหรียญทอง ประเภทภาพพิมพ์ จากการแสดง<br />
ศิลปกรรมแห่งชาติ ๒ ครั้ง รางวัลเกียรตินิยมอันดับ<br />
๒ เหรียญเงิน ๔ ครั้ง และรางวัลเกียรตินิยมอันดับ ๓
37<br />
เหรียญเงิน อีก ๒ ครั้ง ได้รับการยกย่องให้เป็น<br />
ศิลปินชั้นเยี่ยม<br />
ศาสตราจารย์ ประหยัด พงษ์ด า เกิดเมื่อวันที่<br />
๒๘ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๗๗ ที่จังหวัดสิงห์บุรี สนใจ<br />
วาดภาพสัตว์ต่าง ๆ มาตั้งแต่เด็ก หลังจากเข้ารับ<br />
การศึกษาศิลปะที่โรงเรียนเพาะช่างและ<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้รับปริญญาตรีศิลปะ<br />
บัณฑิต (จิตรกรรม) แล้ว ได้รับทุนการศึกษาจาก<br />
รัฐบาลอิตาลีไปศึกษาต่อ ณ สถาบันประณีตศิลป์แห่ง<br />
กรุงโรมศึกษาจบหลักสูตรได้รับดีโพลมา ในปี พ.ศ.<br />
๒๕๐๔ ศาสตราจารย์ประหยัดได้สร้างชื่อเสียงการ<br />
สร้างสรรค์ผลงานศิลปะ ได้รับรางวัลในการแสดง<br />
งานศิลปะ ณ ประเทศอิตาลีหลายรางวัล และเมื่อ<br />
กลับมาเมืองไทยแล้วได้คิดค้นสร้างสรรค์กรรมวิธี<br />
ภาพพิมพ์ด้วยเทคนิควิธีแปลกใหม่ ที่มีคุณประโยชน์<br />
อย่างมาก แก่วงการศิลปะภาพพิมพ์<br />
เป็นผู้ริเริ่มออกแบบสร้างสรรค์ดวงตราไปรษณี<br />
ยากรที่มีคุณค่าทางศิลปะอันงดงาม สร้างสรรค์<br />
ผลงานภาพพิมพ์ จนได้รับรางวัลทั้งในและ
38<br />
ต่างประเทศ พ.ศ. ๒๕๐๖ ได้รับเลือกเป็นศิลปิน<br />
เกียรติยศ สาขาภาพพิมพ์ จากสถาบันศิลปะ กรุง<br />
ฟลอเรนซ์ อิตาลี โดยรัฐบาลอิตาลี พ.ศ. ๒๕๒๔<br />
ได้รับเกียรติเป็นศิลปินชั้นเยี่ยมในการแสดง<br />
ศิลปกรรมแห่งชาติในประเทศไทย พ.ศ. ๒๕๓๙<br />
ได้รับการยกย่องเชิดชูเกียรติเป็นผู้มีผลงานดีเด่น<br />
ทางด้านวัฒนธรรม ได้รับพระกรุณาธิคุณจาก<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ให้เขียนภาพประกอบ<br />
ในหนังสือพระมหาชนก จ านวน ๔ ภาพ
40<br />
ศาตราจารย์ประหยัด ยังได้สร้างสรรค์ผลงาน<br />
ศิลปะต่อเนื่องมาจนป๎จจุบัน ผลงานมีคุณค่าเป็นที่<br />
ยอมรับทั้งในและต่างประเทศ เป็นผู้มีอาวุโสผู้หนึ่งที่<br />
ยังให้การศึกษาแก่ศิษย์ ในคณะจิตรกรรม<br />
ประติมากรรม และภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
ในป๎จจุบัน เคยด ารงต าแหน่งหัวหน้าภาควิชาภาพ<br />
พิมพ์ คณบดีคณะจิตรกรรม ประติมากรรม และภาพ<br />
พิมพ์ ผู้อ านวยการโครงการจัดตั้งหอศิลปะ<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้สร้างคุณประโยชน์อย่าง<br />
มากไว้แก่วงการศิลปะ และการศึกษาศิลปะของไทย
41<br />
ศาสตราจารย์ประหยัด พงษ์ด าเกษียณอายุ<br />
ราชการเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๓๗ และแม้จะ<br />
เกษียณอายุราชการไปแล้ว ท่านก็ยังคงรับเชิญเป็น<br />
อาจารย์พิเศษสอนที่คณะจิตรกรรมประติมากรรม<br />
และภาพพิมพ์มาจนป๎จจุบันนี้ นอกเหนือจากงานทาง<br />
วิชาการที่กล่าวมาแล้ว ท่านยังผลงานภาพพิมพ์ และ<br />
งานจิตรกรรม อีกทั้งท่ายังเป็นผู้บุกเบิกคนส าคัญใน<br />
การพัฒนาการออกแบบแสตมป์ไทย ให้ทันสมัยเป็น<br />
สากลโดยการน าเอาลักษณ์ของไทย ที่มีแบบอย่าง<br />
ในทางศิลปวัฒนธรรมที่งดงาม มาออกแบบเป็นดวง
42<br />
แสตมป์ ที่ได้ใช้ติดจดหมายและไปรษณียภัณฑ์ ไป<br />
ยังทั่วทุกมุมโลก อันเป็นการเผยแพร่เอกลักษณ์อันดี<br />
งามของชาติไทยที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งด้วย
ศาสตราจารย์ประหยัด พงษ์ด า จึงได้รับการยก<br />
ย่องเชิดชูเกียรติเป็นศิลปินแห่งชาติ สาขา<br />
43
44<br />
ทัศนศิลป์ (ภาพพิมพ์) ประจ าปีพุทธศักราช<br />
๒๕๔๑<br />
นายอินสนธ์ วงศ์สาม<br />
เป็นศิลปินผู้มีความเชี่ยวชาญทางด้านภาพพิมพ์<br />
แกะไม้ ประติมากรรม แกะสลักไม้ ต่อมาจึงได้หันมา<br />
สร้างประติมากรรมสมัยใหม่ด้วยวัสดุที่เป็นโลหะ<br />
ผลงานประติมากรรมของ อินสนธ์ วงศ์สาม เป็นประ<br />
ติมากรรมตกแต่งที่มีขนาดใหญ่ แสดงความงดงาม<br />
ของการจัดวางรูปทรงอย่างได้จังหวะและลงตัว<br />
ผลงานของนายอินสนธ์ วงศ์สาม
45<br />
"โดดเดี่ยว" ภาพพิมพ์แกะไม้ ของอินสนธ์ วงศ์ สาม<br />
นายประพันธ์ ศรีสุตา<br />
เป็นจิตรกร ที่บังเอิญได้มาเป็นศิลปินภาพพิมพ์<br />
แต่ผลงานที่เขาน ามาแสดงเหล่านี้ก็เผยให้เห็น
46<br />
ความรู้ ความช านาญ และฝีมือทางเชิงช่างที่ผ่าน<br />
การฝึกฝนมาทั้งทางทฤษฎีและปฏิบัติมาแล้วอย่าง<br />
ช่ าชอง<br />
ผลงานของนายประพันธ์ ศรีสุตา<br />
ผลงานภาพพิมพ์แกะไม้ ของ ประพันธ์ ศรีสุตา
47<br />
Dürer's Rhinoceros, woodcut, 1515. By<br />
Albrecht Durer<br />
(Albrecht Durer)
48<br />
The Great Wave off Kanagawa, Hokusai's<br />
most famous print, the first in the series 36<br />
Views of Mount Fuji. Woodcut , 1820<br />
คัทซึชิกะ โฮะคุไซ
49<br />
The Four Horseman of the Apocalypse,<br />
woodcut, 1498.<br />
(Albrecht Durer)
51<br />
Kathe Kollwitz (German, 1867-1945),<br />
Death with Child in Lap, 1921,<br />
Woodcut, 9 3/8 x 11 1/4.<br />
Kathe Kollwitz "Mother and Daughter" 1919
53<br />
An illustration extracted from page 65 of<br />
William Blake, painter and poet<br />
William Blake<br />
ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับภาพพิมพ์<br />
Categories: Articles<br />
โดย สมาพร คล้ายวิเชียร
54<br />
ภาพพิมพ์มือบนผนังถ้ าสมัยก่อนประวัติศาสตร์<br />
มนุษย์สมัยก่อนประวัติศาสตร์บังเอิญเอามือที่<br />
เปื้อนดินโคลนไปจับหรือวางทาบตามผนังถ้ า ท าให้<br />
เกิดรอยฝุามือขึ้น ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงน ามือไปจุ่มสี<br />
แล้วเอามาวางทาบบนผนังถ้ าเกิดเป็นรูปมือใน<br />
ลักษณะต่างๆ ซึ่งเราเรียกวิธีการแบบนี้ว่า “การพิมพ์<br />
ภาพ” และเรียกภาพที่เกิดขึ้นว่า “ภาพพิมพ์” จากนั้น<br />
ก็ได้พัฒนามาอย่างต่อเนื่องด้วยการหาวัสดุต่างๆ<br />
เช่น ไม้ แผ่นโลหะ แผ่นหิน แผ่นยาง ผ้าไหม ฯลฯ<br />
มาใช้พิมพ์แทนที่มือ จนเกิดกระบวนการพิมพ์ขึ้นมา<br />
4 กระบวนการหลักๆ คือ ภาพพิมพ์ผิวนูน ภาพพิมพ์<br />
ร่องลึก ภาพพิมพ์พื้นราบ และภาพพิมพ์ตะแกรงไหม<br />
ซึ่งการพิมพ์ทั้ง 4 กระบวนการนี้ ได้รับ การพัฒนา<br />
คิดค้นขึ้นมา เพื่อใช้พิมพ์ภาพและตัวอักษรให้ได้<br />
เป็นจ านวนมากส าหรับใช้ในวงการธุรกิจ การค้า<br />
โดยพิมพ์เป็นหนังสือ แผ่นพับ ปูายโฆษณา แผ่นปิด
55<br />
ภาพยนตร์ เสื้อผ้า หีบห่อ บรรจุภัณฑ์ กล่องขนม<br />
กล่องไม้ขีด ถุงใส่ของ เป็นต้น<br />
แต่อย่างไรก็ตาม เนื่องจากกระบวนการพิมพ์นั้น<br />
สามารถสร้างภาพได้สวยงามเหมือนกับ ผลงาน<br />
จิตรกรรม อีกทั้งยังสามารถพิมพ์ภาพซ้ าๆ ที่<br />
เหมือนกันได้เป็นจ านวนมาก แต่จิตรกรรมไม่<br />
สามารถท าภาพซ้ ากันได้ ถึงแม้ท าซ้ าก็ไม่เหมือนเดิม<br />
จึงท าให้ไม่เอื้ออ านวยต่อการสะสมและจัดจ าหน่าย<br />
ดังนั้นศิลปินจึงได้น ากระบวนการพิมพ์ทั้ง 4<br />
กระบวนการนั้นมาใช้ในการสร้างสรรค์ ผลงาน<br />
ศิลปะ เพื่อเอื้ออ านวยต่อการสะสมและจัดจ าหน่าย<br />
ให้ได้มากขึ้น จนกระทั่งเมื่อประมาณ 50 มานี้เอง<br />
ภาพพิมพ์ได้รับการยอมรับในวงการศิลปะว่ามี<br />
คุณค่าเป็นศิลปะอีกแขนงหนึ่งที่สามารถถ่ายทอด<br />
จินตนาการ อารมณ์ ความรู้สึกได้อย่างดีเยี่ยม<br />
จากที่กล่าวมาขึ้นต้นจะเห็นได้ว่าภาพพิมพ์นั้น มี<br />
จุดมุ่งหมายในท าอยู่ 2 ลักษณะ คือ ภาพพิมพ์งาน<br />
พาณิชย์ที่พิมพ์ เพื่อใช้เป็นสื่อโฆษณา<br />
ประชาสัมพันธ์หรือส าหรับสร้างความสวยงามให้กับ<br />
ผลิตภัณฑ์ กับภาพพิมพ์งานศิลปะที่พิมพ์ เพื่อเป็นสื่อ<br />
ในการแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึกของศิลปิน
56<br />
ส าหรับเอกสารประกอบการสอนเล่มนี้ ผู้เขียนมุ่งเน้น<br />
เฉพาะภาพพิมพ์งานศิลปะ ดังนั้นจึง ขอกล่าวเฉพาะ<br />
เนื้อหาสาระที่เกี่ยวกับศิลปะภาพพิมพ์หรือภาพพิมพ์<br />
ต้นฉบับเท่านั้น ซึ่งในการศึกษาผู้เรียนจ าเป็นต้องมี<br />
ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับความหมาย ประเภท<br />
รูปแบบ การเซ็นชื่อและการเขียนข้อความต่างๆ ลง<br />
ในภาพพิมพ์ต้นฉบับ ภาพพิมพ์พิสูจน์ ตลอดจนการ<br />
เก็บรักษาผลงานภาพพิมพ์<br />
ภาพพิมพ์ในสหรัฐอเมริกาใช้ค าว่า<br />
“Printmaking” ส าหรับเรียกกระบวนการพิมพ์ที่<br />
สร้างสรรค์เพื่อเป็นศิลปะและใช้ค าว่า “Print”<br />
ส าหรับเรียกกระบวนการพิมพ์ที่เป็นงานพิมพ์ทั่วไป<br />
โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับงานพาณิชย์ต่างๆ<br />
(พีระพงษ์ กุลพิศาล, 2531:68)<br />
ภาพพิมพ์ คือ กระบวนการถ่ายทอดผลงานจาก<br />
แม่พิมพ์ชนิดแผ่นโลหะ แผ่นไม้ แท่นหิน ตะแกรง<br />
ไหม แล้วผ่านกระบวนการพิมพ์ ซึ่งจะได้ผลงานที่<br />
เหมือนๆ กัน เป็นจ านวนมากในด้านวิจิตรศิลป์
57<br />
ศิลปะภาพพิมพ์<br />
ศิลปะภาพพิมพ์ เป็นผลงานทัศนศิลป์ลักษณะ 2<br />
มิติ คือมีความกว้างและความยาว แสดงมิติที่สาม<br />
สร้างขึ้นโดยการประกอบกันของทัศนธาตุ เช่น เส้น<br />
สีแสงเงา รูปร่าง รูปทรง พื้นผิว สี ฯลฯซึ่งเป็นมิติลวง<br />
ตาคล้ายกับผลงานจิตรกรรม แต่แตกต่างกันที่ภาพ<br />
พิมพ์ใช้การถ่ายทอดสีจากแม่พิมพ์ลงบนระนาบ<br />
รองรับแทนที่จะเป็น การขูด ขีด เขียน ปูาย หลด<br />
สลัดฯบนระนาบรองรับโดยตรง ในภาษาอังกฤษ<br />
เรียก Printmaking หรือ Graphic Arts ซึ่งมี<br />
ความหมายเดียวกันคือ ”ศิลปะภาพพิมพ์”
58<br />
หอศิลป์กรุงไทย ร่วมกับ ภาควิชาภาพพิมพ์ คณะ<br />
จิตรกรรมประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร และ บมจ.ปตท. จัดแสดง นิทรรศการศิลปะ<br />
35 ภาพพิมพ์ประวัติศาสตร์รัตนโกสินทร์ 9 รัชกาล<br />
เพื่อเทิดพระเกียรติและเฉลิมฉลอง ในวโรกาสที่<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงครองสิริราชย์<br />
สมบัติครบ 60 พรรษาในปี พ.ศ.2549 และจะทรงมี<br />
พระชนมพรรษาครบ 84 พรรษา ในปี พ.ศ.2554<br />
รวมทั้งเผยแพร่พระเกียรติคุณของราชวงศ์จักรี
59<br />
นิทรรศการศิลปะ 35 ภาพพิมพ์เป็นผลงานของ<br />
ศิลปินแห่งชาติ ศิลปินชั้นเยี่ยมและศิลปินมีชื่อ 23<br />
ท่าน ได้แก่ปรีชา เถาทอง,สมชัย กตัญํุตานันท์<br />
(ชัย ราชวัตร),สุรสิทธิ์ เสาว์คง,พิษณุ ศุภนิมิตร<br />
,ทินกร กาษรสุวรรณ,พัดยศ พุทธเจริญ,ไพรวัลย์ ดา<br />
เกลี้ยง,ญาณวิทย์ กุญแจทอง, ณัฏฐพล สุวรรณกุศล<br />
ส่ง,ธีรวัฒน์ งามเชื้อชิต,อภิชัย ภิรมย์รักษ์,ป๎ญญา<br />
วิจินธนสาร,สุพจน์ สิงห์สาย,สุรเดช แก้วท่าไม้ ,เนติ<br />
กร ชินโย,ธงชัย ศรีสุขประเสริฐ,ชัยรัตน์ แสงทอง,<br />
อนุพงษ์ จันทร,จินตนา เปี่ยมศิริ,เกริกบุระ ยมนาค
60<br />
,สมภพ บุตราช, พงศ์ศิริ คิดดี และ ธีรวัฒน์ คะนะ<br />
มะ โดยได้ร่วมกันบันทึกเหตุการณ์ส าคัญทาง<br />
ประวัติศาสตร์ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ด้วยการ<br />
สร้างสรรค์ผลงานภาพพิมพ์หลากหลายเทคนิคเป็น<br />
ครั้งแรกในประเทศไทย<br />
ผลงาน 35 ภาพพิมพ์ แสดงให้เห็นถึงพระราช<br />
กรณียกิจ และพระมหากรุณาธิคุณของ<br />
พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์จักรี<br />
นับตั้งแต่รัชกาลที่ 1 ถึงรัชกาลที่ 9 รวมไปถึงพระ<br />
ราชจริยวัตรอันงดงามที่ฝ๎งลึกอยู่ในจิตใจของพสก<br />
นิกรชาวไทยไม่เคยลืมเลือน<br />
นิทรรศการศิลปะ 35 ภาพพิมพ์ประวัติศาสตร์<br />
รัตนโกสินทร์ 9 รัชกาล เปิดแสดง ณ หอศิลป์<br />
กรุงไทย วันจันทร์-ศุกร์ เวลา 09.00 -16.00 น. และ<br />
วันเสาร์ เวลา 10.00-17.00 น. (ปิดวันอาทิตย์)<br />
ระหว่างวันนี้ - วันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2554
61<br />
สอบถาม โทร.0 -2222 - 0137<br />
ก่อนที่ผลงานภาพพิมพ์ต้นแบบที่น ามาจัดแสดง<br />
ทั้งหมดจะน าทูลเกล้าฯ ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระ<br />
เจ้าอยู่หัวต่อไป
67<br />
ค าศัพท์ที่เกี่ยวกับการพิมพ์ / อักษรย่อ<br />
ค าแสดงความหมายในงานพิมพ์<br />
Aquatint<br />
เป็นเทคนิคหนึ่งของภาพพิมพ์โลหะร่องลึก (<br />
intalglio) กรรมวิธี คือ โรยผงยางสน (rosin)ลงบน<br />
แม่พิมพ์ด้วยการโรยยางสน หรือด้วยมือ (ห่อยางสน<br />
บดละเอียดเป็นลูกประคบ แล้วตบให้ผงยางละเอียด<br />
หล่นลงบนแม่พิมพ์ ) น าแม่พิมพ์ไปลนความร้อนให้<br />
ผงยางละลายติดบนแผ่นแม่พิมพ์แล้วน าไปแช่<br />
น้ ากรด ผงยางสนนี้จะเป็นตัวกันกรด ภายหลังจึง<br />
ล้างผงยางสนออก ผลของการกัดจะเกิดพื้นผิวบน<br />
แม่พิมพ์ จะเป็นน้ าหนักอ่อนแก่ตามระยะเวลาของ<br />
การแช่ในน้ ากรด ศิลปินมักใช้เทคนิคนี้ประกอบกับ<br />
เทคนิคทางแม่พิมพ์โลหะอื่นๆ วิธีท า Aquatint ด้วย<br />
ผงยางสนนี้ คิดค้นโดยชาวฝรั่งเศสชื่อ Jean<br />
Baptiste Le Prince ในราวปี ค.ศ. 1768
68<br />
นอกเหนือจากวิธีการโรยยางสนแล้ว ยังสามารถใช้<br />
วิธีพ่นแลคเกอร์สเปรย์ หรือสีสเปรย์ได้เช่นกัน<br />
Aquatint Chamber<br />
ตู้โรยยางสนเพื่อท า Aquatint<br />
Arches<br />
ชื่อเมืองในประเทศฝรั่งเศส ที่ท ากระดาษ<br />
Arches<br />
Arjomari<br />
เป็นชื่อผู้ผลิตกระดาษที่มีชื่อเสียงมากที่สุดของ<br />
ฝรั่งเศส Arjomari เป็นค าย่อมาจากตัวอักษรแรก<br />
ของ Arches Johannot Msrais และ Rives ซึ่งเป็น<br />
ชื่อของโรงงานกระดาษ 4 แห่ง ได้จัดตั้ง Arjomari<br />
ขึ้นในปี ค.ศ. 1968 มีโรงงานได้เข้าร่วมสมาคมเพิ่ม<br />
จึงกลายเป็น Arjomari-Prioux.
69<br />
Artist's Proof<br />
การทดลองพิมพ์ (Proof) ของศิลปิน<br />
นอกเหนือจากจ านวนการพิมพ์ editionแต่มีคุณภาพ<br />
เท่ากัน การพิมพ์ Artist's Proof นี้ จะลงชื่อโดย<br />
ศิลปินว่า Artist's Proof หรือ A.Pและลงหมายเลข<br />
ล าดับ เช่น 1/22, 2/30 หรือ i/xx, v/xx.<br />
Asphalum<br />
เป็นสารธรรมชาติที่ประกอบด้วย<br />
ไฮโดรคาร์บอน เป็นไขเหลวหรือบางทีก็เป็นผงต้อง<br />
น ามาเคี่ยวด้วยไฟอุ่น ผสมน้ ามันสน ถูกใช้เป็นตัว<br />
กันกรดในการท าภาพิมพ์โลหะและในขั้นตอนของ<br />
การท าภาพพิมพ์หิน<br />
Assembled Plate
70<br />
คือ เพลท(แม่พิมพ์) ซึ่งประกอบขึ้นด้วยชิ้นส่วน<br />
ต่างๆ เช่น เศษวัสดุสิ่งของ เศษแม่พิมพ์ วัสดุที่เก็บได้<br />
หรือวัสดุอื่นๆ ชิ้นส่วนเหล่านี้จะถูกปะติดบนแผ่นแข็ง<br />
ให้เป็นรูปทรงเพื่อท าแม่พิมพ์ หรือใช้วางประกอบ<br />
กันบนแท่นพิมพ์โดยตรง Assembled Plate ท าขึ้น<br />
เพื่อการพิมพ์รอยนูน (Embossing) การพิมพ์ร่อง<br />
ลึก (Intalgio) และการท าภาพพิมพ์นูน (Relief<br />
Printing)<br />
Blind Printing<br />
การพิมพ์ภาพจากแม่พิมพ์ที่ไม่อัดหมึก ไม่ลง<br />
หมึกเพื่อสร้างรูปทรงสามมิติ<br />
Cancellation Proof<br />
คือภาพพิมพ์ที่พิมพ์จากแม่พิมพ์ที่ได้ท า<br />
เครื่องหมายขีดฆ่าหรือท าลายภายในแม่พิมพืแล้ว<br />
ซึ่งจะพิมพ์หลังจากได้พิมพ์ edition สิ้นสุดลง<br />
ส าหรับภาพพิมพ์หลายสี วิธีปฏิบัติคือท าลายแม่พิมพ์<br />
เดียว การพิมพ์ Cncellation Proof เป็นการประกัน<br />
ต่อนักสะสมว่าจะไม่มีการพิมพ์ต่อไปอีก
71<br />
Carborundum<br />
เป็นชื่อสิ้นค้าของผงที่ใช้ส าหรับขัดชนิดหนึ่ง<br />
ท าจากสารประกอบที่แข็งของคาร์บอนกับซิลิคอน<br />
(Carbon & Silicon )ใช้ส าหรับการขัดผิวหน้า<br />
หินปูนแม่พิมพ์หิน( Lithography Stones)<br />
Chine Colle<br />
เป็นวิธีใช้กระดาษบางของจีนและญี่ปุนเพื่อการ<br />
พิมพ์ กระดาษนี้เรียบเป็นพิเศษและไวต่อการพิมพ์<br />
แต่ถูกท าขึ้นเพื่อใช้บนกระดาษอื่น ในภาษาฝรั่งเศส<br />
Chine Colle นี้ เราจะทาแปูงเปียกไว้ที่ด้านหลังของ<br />
กระดาษบางก่อนที่จะคว่ าหน้าบนเพลท ที่มีหมึกซึ่ง<br />
วางอยู่บนแท่นพิมพ์ จากนั้นจึงวางกระดาษพิมพ์ซึ่ง<br />
แข็งแรงกว่าทับลงไป เมื่อเราพิมพ์ กระดาษบางจะ<br />
ถูกพิมพ์และเกาะติดกระดาษพิมพ์ในเวลาเดียวกัน<br />
Chop หรือ Chop mark
72<br />
คือ ตราหรือสัญลักษณ์ที่ช่างพิมพ์ ศิลปิน และผู้<br />
จัดพิมพ์ (Print Workshop , Publisher ) ใช้ Chop<br />
จะถูกท าขึ้นเป็นตราประทับ (stamps) หรือแม่พิมพ์<br />
รอยนูน (embossing dies) ส าหรับการพิมพ์ตรา<br />
ภาพพิมพ์ ในกรณีบนภาพพิมพ์ไม่มีที่พอหรือไม่มี<br />
พื้นที่ของกระดาษเหลือ<br />
Colour Trial Proof<br />
การทดลองพิมพ์เพื่อทดสอบสีก่อนที่จะพิมพ์<br />
Edition ภาพทดสอบพิมพ์นี้จะถูกเขียนลงว่า Colour<br />
Trial Proof หรือ c.t.p. ตามด้วยเลขอารบิค หรือ<br />
โรมัน<br />
Desensitizing<br />
ขั้นตอนทางเคมีในการพิมพ์ลิโธกราฟ ซึ่ง<br />
บริเวณที่ไม่มีการเขียนภาพของแม่พิมพ์นั้น ถูกท า<br />
ให้ไม่ติดหมึกโดยการกัดกรดด้วย gum etch (กาว<br />
อารบิคผสมกรด) บนผิวหน้าของแม่พิมพ์
73<br />
Drypoint<br />
เป็นกรรมวิธีของภาพพิมพ์โลหะร่องลึก ซึ่ง<br />
ร่องรอยถูกสร้างขึ้นบนแม่พิมพ์โดยการขูดขีดด้วย<br />
เครื่ีองแหลมคม เครื่องมือนี้สร้างขอบแหลมคม<br />
ออกมา ทั้งเส้นที่ขูดขีดเป็นร่องลึกและขอบเส้นที่ยื่น<br />
นี้จะอุ้มหมึกไว้ เมื่อเช็ดแม่พิมพ์และพิมพ์ เส้นที่ได้จะ<br />
มีความอ่อนนุ่มดูคล้ายก ามะหยี่ โดยปกติจะท า<br />
Dypoint บนแม่พิมพ์ทองแดง และมักท าควบคู่กับ<br />
เทคนิคทางแม่พิมพ์โลหะอื่นๆ เช่น etching และ<br />
aquatint<br />
Dutch Mordant<br />
สารละลายเป็นกรด ใช้กัดแม่พิมพ์ทองแดง<br />
ประกอบด้วยส่วนผสมของน้ ากับไฮโดรคลอริค<br />
(Hydrochloric acid) และเกร็ดโปตัสเซียมคลอเรท<br />
(potassium chloratecrtstals)<br />
B.A.T. ย่อมาจากค าในภาษาฝรั่งเศสว่า “bon ?<br />
turer” = ดี ใช้ได้
74<br />
Edition<br />
ชุดของภาพที่เหมือนกันกับภาพทดลองพิมพ์ชิ้น<br />
ที่เรียกว่า “ right to print” เช่น “Edition 25”<br />
(จ านวนพิมพ์ 25) จะมีภาพพิมพ์ 25 ชิ้น แต่ละชิ้นจะ<br />
มีหมายเลข 1/25 2/25 เรียงล าดับหมายเลขจนถึง<br />
25/25 ชุดของภาพจะถูกเซ็นชื่อ ใส่หมายเลขและลง<br />
วันที่โดยศิลปิน ( ใช้อักษรย่อว่า ed. ) Open<br />
Edition การพิมพ์โดยไม่จ ากัดจ านวนครั้ง แต่ต้อง<br />
ก ากับล าดับครั้งที่พิมพ์ไว้ เช่น 2nd ed.. 3/100=<br />
เป็นงานพิมพ์ชิ้นที่ 3 ในจ านวน 100 ชิ้น ของการ<br />
พิมพ์ครั้งที่ 2<br />
Embossing<br />
กรรมวิธีใดก็ตามที่ใช้สร้างรอยนูนขึ้น หรือรอย<br />
บุ๋มลงบนพื้นผิวเพลท เพื่อท า Embossing plate<br />
เช่น ด้วยเทคนิคของการกัดกรด (etching) การ<br />
ประทับรอย (stamping) การแกะ (carving) หรือ<br />
การหล่อ (casting) อย่างไรก็ตาม วัตถุที่เก็บได้
75<br />
(found objects) แม่พิมพ์นูนขึ้นหรือบุ๋มลงและ<br />
ลูกกลิ้งโลหะซึ่งได้รับการแกะสลักหรือกัดกรดเป็น<br />
ภาพนั้น สามารถน ามาใช้สร้างภาพนูนขึ้น ภาพบุ๋ม<br />
ลงหรือสร้างลวดลายบนกระดาษได้<br />
Engraving<br />
เทคนิคทางแม่พิมพ์โลหะชนิดหนึ่งซึ่งแผ่นโลหะ<br />
ถูกแกะสลักเป็นเส้นด้วยเครื่องมือแกะสลักที่เรียกว่า<br />
Burin (อีกชื่อหนึ่งคือ graver) เราใช้ burin แกะ<br />
แม่พิมพ์ โดยดันให้เครื่องมือท ามุมกับแม่พิมพ์เป็นมุม<br />
องศาต่างกัน และด้วยแรงที่แตกต่างกันทั้งแกะเป็น<br />
แนวล าดับจากเส้นที่ลึกไปสู่เส้นที่ตื้นบางเรียวลง เมื่อ<br />
พิมพ์เส้นที่แกะนี้จะแตกต่างกันในความกว้าง ความ<br />
หนา และความเข้มของเส้น เทคนิคของ engraving<br />
บนโลหะ เป็นของยุคโบราณ ใช้โดยชาวกรีก ชาว<br />
โรมัน และชาวอินทรูเรีย (จากเมือง Etruria เมือง<br />
โบราณในอิตาลี) เพื่อตกแต่งวัสดุสิ่งของ จนกระทั่ง<br />
ราวปี ค.ศ. 1430 แม่พิมพ์แกะสลักนี้เริ่มถูกน ามาใช้<br />
เพื่อท าภาพพิมพ์<br />
Etching
76<br />
เป็นเทคนิคทางแม่พิมพ์โลหะร่องลึก ซึ่งรอยที่<br />
วาดเขียนจะถูกกัดเข้าไปในแม่พิมพ์โลหะโดยการ<br />
ปฏิบัติทางเคมีมากกว่าทางเครื่องมือกลไก วิธีการคือ<br />
ทาตัวกัดกรดเคลือบบนผิวหน้าแม่พิมพ์แล้วท าให้<br />
แห้ง (ยกเว้นการเคลือบขี้ผึ้ง soft-ground ซึ่งจะไม่<br />
แห้ง) จากนั้นใช้เครื่องมือหลายชนิดวาดภาพผ่าน<br />
ตัวกัดกรด เปิดผิวหน้าแม่พิมพ์น าแม่พิมพ์ไปแช่ใน<br />
อ่างน้ ากรด ในทางเคมีน้ ากรดจะละลายโลหะใน<br />
ส่วนที่ถูกเปิดออกให้เป็นร่องลงไปในผิวหน้าแม่พิมพ์<br />
เราสามารถใช้วานิช (vanish) เป็นตัวกันกรด หยุด<br />
การกัดกร่อนของกรดในบริเวณที่เราเลือกเปิดให้<br />
กรดกัดโลหะ เพื่อให้เกิดความลึกที่ตางกัน เทคนิค<br />
etching ถูกใช้ประกอบกับเทคนิคอื่นๆ อยู่เสมอ<br />
วิธีการกัดกรดโลหะใช้ตกแต่งเกราะนั้น เป็นที่รู้จัก<br />
กันดีก่อนคริสต์วรรษที่ 16 ที่ประเทศเยอรมันโดย<br />
Urs Graft ได้ให้ก าเนิดภาพพิมพ์ Etching ยุคแรก<br />
ในปี ค.ศ. 1513<br />
Foul Biting<br />
ในกรรมวิธีเทคนิค Etching การกัดผุหรือรอย<br />
หลุมบนเพลทซึ่งเกิดจากผลของความผิดพลาดใน
77<br />
การลงพื้นที่กับน้ ากรด สิ่งผิดปกตินี้บ่อยครั้งเป็นที่<br />
น่าสนใจของศิลปิน และอาจถูกรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่ง<br />
ของการพิมพ์ในขั้นสุดท้าย<br />
Gumpi<br />
เส้นใยจากเปลือกในของต้นไม้ชนิดหนึ่ง โดย<br />
ปกติใช้ในการท ากระดาษญี่ปุน ได้มาจากพันธุ์ไม้<br />
เตี้ยตระกูล Thymelaeaceae มีเส้นใยที่ยาวละเอียด<br />
เหนียว แข็งแรง และเป็นมัน นิยมใช้กระดาษ<br />
Gumpi ในการท า Chine Colle<br />
Graining<br />
ในการท าภาพพิมพ์หิน Graining เป็นวิธีการ<br />
เปลี่ยนผิวหน้าของเพลทหรือหินปูนให้เป็นผิวหน้าที่<br />
ประกอบด้วยรูพรุนเล็กๆ จ านวนมาก ซึ่งจ าเป็นต่อ<br />
การอุ้มน้ าและยึดส่วนที่เป็นภาพในกระบวนการพิมพ์<br />
ลิโธกราฟ มีหลายวิธีการที่จะสร้างพื้นผิวหยาบลง<br />
บนแผ่นโลหะ เช่น การขัดด้วยกรรมวิธีทางเคมี การ<br />
พ่นทราย การขัดแบบลูกบอล การขัดด้วยแปรงแห้ง<br />
หรือแปรงเปียก การขัดด้วยแปรงลูกบอล ส่วนการ
78<br />
ขัดแม่พิมพ์หินปูน มีการขัดด้วยมือ หรือการด้วย<br />
เครื่อง ซึ่งต้องใช้น้ ากับผงคาร์บอรันดัม<br />
(carborundum) และเครื่องมือขัดหินเป็นหลัก<br />
เรียกว่า levigator ในปี ค.ศ. 1973 kenneth tyler<br />
ชาวอเมริกันได้ออกแบบเครื่องขัดไฟฟูา ใช้ใน<br />
workshop ของเขา<br />
Hors de Commerce<br />
การพิมพ์นอกเหนือจากการพิมพ์ edition เพื่อ<br />
จุดประสงค์ในการใช้เป็นการส่วนตัวของศิลปินหรือ<br />
ส านักพิมพ์ใช้ตัวอักษรย่อว่า h.c.Presentation<br />
Proof ศิลปินพิมพ์ขึ้นเพื่อมอบให้เพื่อนหรือผู้<br />
ช่วยเหลือในการท างานชิ้นนั้น ชิ้นงานไม่มีอักษรย่อ<br />
หรือตัวเลข นอกเหนือลายเซ็นและค าจารึก<br />
Image Stencil<br />
คือ กระดาษบาง แผ่นโลหะบาง หรือแผ่น<br />
พลาสติกบางที่ถูกตัดออกเป็นช่องและใช้เป็นตัวช่วย<br />
ในการสร้างงาน โดยปกติมันจะแยกส่วนที่เป็น<br />
positive ให้เป็นบริเวณที่ถูกลงสี (ลงสีทะลุผ่านช่อง
79<br />
ที่ตัดออก) ส่วนในการท ากระดาษนั้น เราสามารถใช้<br />
image stencil วางบนตะแกรงท ากระดาษที่มีเยื่อ<br />
กระดาษขาวซึ่งยังเปียกอยู่ แล้ววางเยื่อกระดาษสี<br />
หรือย้อมสี ลงสีผ่านลายฉลุของแผ่น Image Stencil<br />
แผ่นนี้สามารถใช้ส าหรับการท า pochoir ได้ด้วย (ดู<br />
ที่ค าว่า pochoir)<br />
Intaglio<br />
กรรมวิธีของภาพิมพ์ชนิดหนึ่ง ซึ่งภาพจะถูก<br />
แกะสลักหรือกัดกรดลงในเนื้อแม่พิมพ์โลหะ ด้วย<br />
เทคนิคต่างๆ และเครื่องมือหลายชนิด เราอัดหมึกลง<br />
ไปในร่องรอยของแม่พิมพ์โดยการปูาย การแต้ม<br />
หมึก แล้วเช็ดผิวหน้าของแม่พิมพ์ให้สะอาด หมึกจะ<br />
ติดอยู่ในริองของแม่พิมพ์แรงกดจากแท่นพิมพ์จะท า<br />
ให้กระดาษซับหมึกที่ติดอยู่ตามร่องนี้ขึ้นมา และถ้า<br />
แม่พิมพ์มีขนาดเล็กกว่ากระดาษที่ใช้พิมพ์ จะเกิด<br />
รอยขอบแม่พิมพ์บนกระดาษด้วย (plate mark)<br />
ลักษณะที่เด่นของภาพพิมพ์ชนิดนี้ คือ หมึกพิมพ์ที่<br />
แห้งของภาพจะนูนขึ้นมาจากกระดาษเล็กน้อย ซึ่ง<br />
สามารถตรวจดูได้โดยการสัมผัส หรือมองดูใกล้ๆ
80<br />
วิธีการของ aquatint, engraving, etching,<br />
mezzotintและ dry point คือเทคนิคของ intaglio<br />
Linocut<br />
ภาพพิมพ์นูน (relief print) ในแนววิธีเดียวกับ<br />
ภาพพิมพ์ไม้ (woodcut) วิธีนี้กลายเป็นที่นิยมในต้น<br />
ค.ศ. 1920 แต่ได้รับความสนใจจริงจังภายหลังที่<br />
Henri Matisse ท าภาพพิมพ์ linocut ในปลาย ค.ศ.<br />
1930 ตามด้วย Pablo Picasso ในปี ค.ศ. 1950<br />
แม่พิมพ์ลิโนประกอบด้วยชั้นบางๆของลิโนเลี่ยม (<br />
linoeum) ปะติดบนไม้สามารถแกะแผ่นลิโนเลี่ยมได้<br />
ในทุกทิศทาง เส้นบางๆที่แกะบนผิวหน้ารับหมึกได้<br />
linoeum อาจถูกเตรียมและปฏิบัติเช่นเดียวกัน<br />
แม่พิมพ์ร่องลึก กัดกร่อนได้ด้วยโซเดียมไฮดรอก<br />
ไซด์ ซึ่งสามารถกัดผิวหน้าแผ่น linoleum ให้เกิด<br />
พื้นผิวหยาบได้<br />
Mezzotint
81<br />
เป็นวิธีการท าภาพพิมพ์โลหะร่องลึก (intaglio)<br />
อย่างหนึ่ง ซึ่งผิวหน้าของเพลทจะถูกสลักให้หยาบ<br />
เหมือนกันทั่วเพลท ด้วยเครื่องมือโยกที่มีปลายเป็น<br />
รอยฟ๎นเล็กๆ ที่เรียกว่า rocker วิธีนี้สร้างน้ าหนักบน<br />
เพลทที่ขัดมัน เราไล่น้ าหนักจากเข้มไปอ่อนด้วยการ<br />
ขูดออกและขัดเงา เทคนิค mezzotint ถูกคิดค้นขึ้น<br />
โดย นายทหารชาวเยอรมัน ชื่อ Ludwig von<br />
Siegen ในปีค.ศ.1642<br />
Lithograph<br />
เป็นกระบวนการท าภาพพิมพ์หน้าราบ<br />
(Planography Process) บนพื้นฐานของหลักที่ว่า<br />
ไขมันกับน้ าไม่เข้ากัน คิดค้นขึ้นในปี ค.ศ.1798<br />
โดย Alois Senefe;der ที่เมืองมิวนิค ประเทศ<br />
เยอรมันแม่พิมพ์ท าจากหินปูน จาก บาวาเรีย หรือ<br />
เพลทอะลูมินั่ม ซึ่งถูกขัดให้หยาบมากหรือน้อยเป็น<br />
ระดับต่างๆ กันหลายระดับ บริเวณภาพสามารถถูก
82<br />
สร้างขึ้นโดยดินสอไข เกรยองไข ทุช หรือไขชนิด<br />
ต่างๆ แลคเกอร์ หรือวัสดุซึ่งประกอบขึ้นโดยทางเคมี<br />
เคมีที่ใช้ในการถ่ายรูป และกรรมวิธี “transfer”<br />
ภายหลังจากที่วาดภาพลงบนหินหรือเพลท<br />
สารละลายของกาวอารบิค (gum arabic) และกรด<br />
ไนตริค จะถูกทาลงบนผิวหน้าแม่พิมพ์ให้ทั่ว โดย<br />
ทางเคมีจะก่อให้เกิดบริเวณที่ไม่เขียนภาพให้อุ้มน้ า<br />
และบริเวณที่เป็นภาพให้รับหมึก การปฏิบัตินี้จะท า<br />
ให้ล่วงไปได้ครั้งหนึ่ง เราจะเก็บเพลทหรือหินปูนไว้<br />
โดยมีกาวอารบิคเคลือบป็นชั้นบางๆ บนผิวหน้าและ<br />
แห้งอยู่เสมอ ก่อนการพิมพ์กาวบางๆ นี้จะถูกล้าง<br />
ออกด้วยน้ า แม่พิมพ์จะถูกเช็ดด้วยน้ าอย่างต่อเนื่อง<br />
เพื่อลูกกลิ้งที่มีหมึกเชื้อน้ ามันติดอยู่นั้น สามารถกลิ้ง<br />
บนผิวหน้าของแม่พิมพ์ จนกระทั่งบริเวณที่เป็นภาพ<br />
จะติดหมึกเพียงพอ วาง กระดาษบนแม่พิมพ์นั้นแล้ว<br />
เข้าแท่นลิโธกราฟเพื่อพิมพ์ภาพ ผ่านแรงกดรีดของ<br />
ไม้ครูด (scraper bar) แรงกดรีดนี้จะท าให้กระดาษ<br />
ถอนหมึกพิมพ์ขึ้นมา<br />
Mixed – Media (ส าหรับการพิมพ์)<br />
ใช้ในการอธิบายภาพพิมพ์ที่ถูกสร้างด้วย<br />
เทคนิคทางภาพพิมพ์หลายเทคนิคร่วมกัน เช่น การ
83<br />
พิมพ์ชิลค์สกรีน ภาพพิมพ์หิน การพิมพ์รอยนูน<br />
วิธีการปะติด (collage) ลงสีด้วยมือโดยตรง(handcolouring)<br />
และการเย็บติด ภาพพิมพ์เทคนิคผสมนี้<br />
อาจพิมพ์เป็น edition หรือพิมพ์ขึ้นเพียงชิ้นเดียว<br />
Monoprint<br />
คือภาพพิมพ์ที่ถูกดัดแปลงโดยการลงสีบน<br />
กระดาษก่อนพิมพ์จากแม่พิมพ์หรือโดยการ<br />
เปลี่ยนแปลงแต่ละรอยพิมพ์ระหว่างการพิมพ์หรือ<br />
ภายหลังจากการพิมพ์ภาพ monoprint ได้ภาพ<br />
ทั้งหมดหรือบางส่วนจากแม่พิมพ์ แต่ทว่าส าหรับ<br />
monoprint แล้ว ภาพนั้นจะถูกรายโดยตรงลงบน<br />
แม่พิมพ์แล้วพิมพ์ลงบนกระดาษ บ่อยครั้งที่ภาพพิมพ์<br />
monoprint จะลงสีด้วย (hand- colouring) และอาจ<br />
รวมถึงการปะติด (collage) ด้วย<br />
Monotype<br />
เป็นภาพที่มีลักษณะพิเศษ พิมพ์จากเพลทที่ขัด<br />
มัน กระจก แผ่นโลหะ แผ่นพลาสติก หรือวัสดุอื่นๆ<br />
โดยการกลิ้งหมึกหรือระบายหมึกบนเพลทนั้นๆ แล้ว
84<br />
น าไปพิมพ์ กรรมวิธีนี้ถูกคิดค้นขึ้นโดย Giovanni<br />
Gastiglione ในปี ค.ศ.1640<br />
Pochoir<br />
วิธีการลงสีโดยตรง (hand-colouring) บนภาพ<br />
พิมพ์ ด้วยสี หมึก เกรยอง หรือพลาสเทล (pastels)<br />
ผ่านแผ่นฉลุ (stencil) ด้วยการใช้แปรงพู่กันระบาย<br />
สีหรือพ่นสี แผ่นฉลุมักท าด้วยกระดาษบางที่เคลือบ<br />
มันกระดาษหนา พลาสติก หรือแผ่นโลหะที่ถูกตัด<br />
เป็นช่อง หรืออาจกัดกรดบนแผ่นโลหะบางให้เป็น<br />
ช่องลวดลายได้เช่นกัน “ Pochoir ” เป็นค าภาษา<br />
ฝรั่งเศสส าหรับ “ Stencil ”<br />
Printer's Proof<br />
เป็นภาพพิมพ์ชิ้นส าหรับช่างพิมพ์ (printer) ผู้<br />
ท างานร่วมกับศิลปินและผู้อ านวยการ workshop<br />
ในการสร้างสรรค์และการพิมพ์ edition (ใช้อัษรย่อ<br />
ว่า p.p. )
85<br />
Progressive Proofs<br />
คือการพิมพ์เป็นหลักฐานตามล าดับแบบอย่าง<br />
ของการพิมพ์ Edition ที่เกี่ยวข้องกับการพิมพ์งาน<br />
จากแม่พิมพ์หินปูน เพลท หรือบล็อกสกรีนที่มี 2<br />
แม่พิมพ์ หรือมากกว่านั้นการทดลองพิมพ์นี้โดยปกติ<br />
รับภาระบันทึกโดยศิลปินหรือช่างพิมพ์ ภาพพิมพ์นี้<br />
จะใส่หมายเลขอารบิคและอักษร เช่น 1a 1b 1c 2a<br />
2b เป็นต้น<br />
Proof<br />
เป็นค าศัพท์ค าหนึ่งทั่วๆไป ใช้กับการพิมพ์ก่อน<br />
การพิมพ์จ านวนพิมพ์ (edition) เพื่อทดสอบความ<br />
คืบหน้าของภาพในการลงหมึกและความสามารถ<br />
ทางการพิมพ์บนกระดาษชนิดต่างๆ<br />
Replacement Proof<br />
งานพิมพ์ชิ้นส ารอง ส าหรับกรณีที่มีงานพิมพ์ใน<br />
edition ชิ้นใดชิ้นหนึ่งเกิดความเสียหาย เช่นจากา
86<br />
กรขนส่ง โดยจะไม่เขียนอักษรย่อหรือเครื่องหมาย<br />
ใดๆ ไว้จนกว่าจะน าออกใช้งาน<br />
Registration<br />
ต าแหน่งการวางแม่พิมพ์ที่ถูกต้องที่จะสัมพันธ์<br />
กับแม่พิมพ์อื่น หรือสัมพันธ์กับต าแหน่งการวาง<br />
กระดาษพิมพ์ Registration อย่างง่าย ประกอบด้วย<br />
การสร้างรอยภาพ (image) จากแม่พิมพ์ลงบน<br />
กระดาษไขเพื่อจัดวางต าแหน่งของภาพที่จะพิมพ์ลง<br />
กระดาษ โดยท าเครื่องหมาย (registration mark)<br />
นอกจากนี้การท า registration มีหลายประเภท เช่น<br />
registration needles และ registration pin<br />
Relief Printing<br />
กระบวนการทางภาพพิมพ์ซึ่งภาพถูกสร้างโดย<br />
บริเวณที่ไม่ถูกแกะสลัก หรือผิวหน้าที่ไม่ถูกกระท า<br />
ของแม่พิมพ์ด้วยการใช้ลูกกลิ้งเพื่อลงหมึกบน<br />
แม่พิมพ์หรือด้วยเครื่องมือชนิดอื่น รอยตัดหรือร่อง<br />
ลึกเป็นบริเวณที่ปกติจะไม่พิมพ์ โดยเหตุที่มันเป็น<br />
ซอกเป็นช่อง และยากต่อการลงหมึก ถึงกระนั้น<br />
ระหว่างที่กระดาษพิมพ์ถูกกดลงในบริเวณที่เป็นร่อง
87<br />
ลึกเหล่านี้จะสร้างรอยนูน (emboss) ขึ้น บริเวณที่<br />
เป็นร่องลึกจะพิมพ์ได้เมื่อแม่พิมพ์ถูกลงหมึกในวิธี<br />
เดียวกับแม่พิมพ์ etching ซึ่งผิวหน้าจะถูกเช็ดให้<br />
สะอาด และเหลือหมึกไว้บนร่องลึก woodcut และ<br />
linocut โดยปกติถูกใช้เพื่อการพิมพ์ภาพพิมพ์นูน<br />
(Relief Printing)<br />
Sandblasted Plate<br />
กระบวนการหนึ่งที่ถูกใช้เพื่อเตรียมผิวหน้าของ<br />
แม่พิมพ์โลหะด้วยการพ่นทรายให้เกิดลักษณะพื้นผิว<br />
(texture) ซึ่งคล้ายกับเทคนิคการท า aquatint หรือ<br />
mezzotint<br />
Screen print
88<br />
ภาพพิมพ์ชนิดหนึ่งซึ่งท าโดยเทคนิคของ<br />
Stencil อย่างหนึ่ง ใช้ผ้าไหมหรือใยสังเคราะห์ขึง<br />
ตึงบนกรอบเฟรม ส่วนที่ไม่ต้องการให้เพิดถาพของ<br />
แม่พิมพ์คือส่วนที่ผ้าถูกกันไม่ให้สีผ่านได้ ส่วนที่เกิด<br />
ภาพคือ ส่วนที่ผ้าถูกปิดให้หมึกหรือสีทะลุผ่านได้<br />
โดยการปาดสีด้วยยางปาด (squeegee) การกัน<br />
ส่วนต่างๆ ของผ้าไม่ให้ทะลุผ่านนี้ สามารถท าได้ทั้ง<br />
เขียนโดยตรงลงบนผ้า (เช่นด้วย แอสฟ๎ลตัมเหลว<br />
หรือดินสอไข) และการใช้กระบวนการฉายแสง (ใช้<br />
น้ ายาไวแสงผสมกับกาวอัด)<br />
Serigraph<br />
เป็นชื่อที่ถูกสร้างขึ้นส าหรับภาพพิมพ์ซิลค์สกรีน<br />
ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 ในประเทศ<br />
สหรัฐอเมริกาเกียรติยศส าหรับชื่อและความสนใจ<br />
ใหม่ๆ มากมายในวิธีการนี้ตกเป็นของ Anthony<br />
Velonis จิตรกรและนักออกแบบ เขาเป็นผู้น าแห่ง<br />
สันนิบาตผู้สนับสนุนโครงการศิลปะเพื่อการพิมพ์<br />
สกรีน ภายใต้ WorksProject Administration<br />
(wpa) นักประวัติศาสตร์ศิลป์ีและผู้ดูแลพิพิธภัณฑ์
89<br />
ชื่อ Carl Zigrosser น าค าศัพท์ใหม่นี้มาใช้ในการ<br />
พยายามแยกแยะการพิมพ์สกรีนทางวิจิตรศิลป์ออก<br />
จากการพิมพ์ทางพาณิชย์ศิลป์<br />
Silkscreen<br />
เป็นชื่อดั้งเดิมถูกใช้ในสหรัฐอเมริกาส าหรับการ<br />
พิมพ์สกรีน นับแต่ตาข่ายไหมแทบจะถูกแทนที่โดย<br />
ตาข่ายใยสังเคราะห์อย่างสิ้นเชิง ชื่อนี้จึงถูก<br />
น ามาใช้แบบผิดๆ และล้าสมัย<br />
Spit Bite<br />
เป็นวิธีหนึ่งในการกัดกรดท า Auatint ศิลปิน<br />
ระบายกรดโดยตรงลงบนเพลทที่เตรียมไว้ส าหรับ<br />
การท า Aquatint (เช่นการโรยผงยางสน) กรดจะกัด<br />
บริเวณใดก็ตามที่มันสัมผัส มันกัดลึกมากหรือน้อย<br />
ขึ้นอยู่กับระยะเวลาว่านานเท่าใด ที่กรดถูกทิ้งให้อยู่<br />
ในจุดๆ หนึ่ง และทากรดเท่าใด ศิลปินชอบใช้<br />
วิธีการของ spit bite aquatint เพราะพวกเขา<br />
สามารถสาดพรมน้ ากรดหรือทาด้วยแปรงได้<br />
โดยตรง spit bite ให้ภาพพิมพ์ที่มีลักษณะคล้าย<br />
ภาพเขียนสีน้ า
90<br />
State Print, State Proofs หรือ studio<br />
Proofs อักษรย่อ St.p., S.P., St.PR.<br />
ภาพทดลองพิมพ์ (proof) ท าเพื่อบันทึกความ<br />
คืบหน้าระหว่างขั้นตอนการทดลองพิมพ์ (proofing<br />
process) หรือภาพพิมพ์ที่แสดงถึงความคืบหน้าของ<br />
งานบนแม่พิมพ์ ทั้งที่ท าโดย<br />
ศิลปินหรือช่างพิมพ์ซึ่งอาจกลายเป็นภาพ state<br />
print ได้ ในการพิมพ์สีอาจได้ state print จากการ<br />
พิมพ์เพียงบางแม่พิมพ์หรือทั้งหมด และสีสันจากภพ<br />
ที่ก าหนดจ านวนพิมพ์แล้ว แม่พิมพ์ที่ีใช้ในการพิมพ์<br />
หรือสีสันก็เช่นเดียวกับล าดับในการพิมพ์ สามารถ<br />
ถูกแก้ไขเปลี่ยนแปลงปรับปรุงได้ทั้งแม่พิมพ์ใหม่ก็<br />
สามารถน ามาใช้ได้ด้วยเพื่อการเปลี่ยนแปลงแก้ไข<br />
ภาพต่อไป<br />
Tympan<br />
คือแผ่นพลาสติกที่วางอยู่ระหว่างไม้ครูด<br />
(scraper bar) และกระดาษพิมพ์ที่วางบนแม่พิมพ์
91<br />
ในการพิมพ์ลิโธกราฟ แท่นพิมพ์ถูกออกแบบเพื่อให้<br />
ไม้ครูดถ่ายแรงกดโดยตรงผ่านแผ่น tympan ไปสู่<br />
กระดาษและพิมพ์บนแท่นพิมพ์ tympan จะถูกทา<br />
ด้วยจารบีเพื่อให้มั่นใจว่าไม้ครูดจะเลื่อนไปอย่าง<br />
ราบรื่นไม่หยุดกลางแม่พิมพ์<br />
Woodcut<br />
วิธีการหนึ่งของการพิมพ์นูน (relief printing)<br />
ซึ่งไม้เป็นแม่พิมพ์และใช้เครื่องมือแกะหลายชนิด<br />
เครื่องมือไฟฟูา หรือเครื่องตัดแบบเลเซอร์ (Laser<br />
cutting machines) เพื่อแกะแม่พิมพ์ไม้ ภาพพิมพ์<br />
ไม้เป็นภาพพิมพ์แรกที่เป็นที่รู้จัก ภาพพิมพ์ไม้และ<br />
ภาพประกอบยุคแรกสุดที่มีอยู่นั้นถูกท าขึ้นใน<br />
ประเทศจีนจากพระไตรปิฎกในศาสนาพุทธ ในปี<br />
ค.ศ. 868 กรรมวิธีนี้ได้เข้ามาถึงในทวีปยุโรป ใน<br />
คริสต์วรรษที่ 13 แต่ถูกใช้เพียงเพื่อการพิมพ์สิ่งทอ<br />
เท่านั้น ในปลายคริสต์วรรษที่ 14 ภาพพิมพ์ไม้<br />
กระดานเป็นที่รู้จักครั้งแรกในประเทศตะวันตก<br />
หมายเหตุ
92<br />
Plate size<br />
Image size<br />
ขนาดของแผ่นแม่พิมพ์<br />
ขนาดของภาพผลงาน