à¸ïาà¸à¸à¸²à¸£à¸ªà¹à¸²à¸£à¸§à¸à¸à¸à¸à¸à¸£à¸à¸µà¸§à¸´ ุ à¸à¸¸à¸à¸à¸¹ïมืà¸à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸´
à¸ïาà¸à¸à¸²à¸£à¸ªà¹à¸²à¸£à¸§à¸à¸à¸à¸à¸à¸£à¸à¸µà¸§à¸´ ุ à¸à¸¸à¸à¸à¸¹ïมืà¸à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸´
à¸ïาà¸à¸à¸²à¸£à¸ªà¹à¸²à¸£à¸§à¸à¸à¸à¸à¸à¸£à¸à¸µà¸§à¸´ ุ à¸à¸¸à¸à¸à¸¹ïมืà¸à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸´à¸à¸±à¸à¸´
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
ุ<br />
กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
กระทรวงทรัพยากรธรร<br />
กระทรวงทรพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม<br />
มชาตและสงแวดลอม<br />
รายงานฉบับสมบูรณ เลมที่ 3/10<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ<br />
สํารวจ และพัฒนาบอน้้ําบาดาล<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงาน<br />
ดานการสํารวจอทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550 ถึง 4000-2550<br />
จัดทําโดย มหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
ธันวาคม 2551
- กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
ก กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม<br />
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ<br />
และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ชุดคูมือ<br />
การปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
และแผนที่น้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550 ถึง 4000-2550<br />
จัดทําโดย<br />
มหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
ธันวาคม 2551
ขอมูลบรรณานุกรม<br />
เจาของ : กรมทรัพยากรน้ําบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม<br />
ชื่อเรื่อง : รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550 ถึง 4000-2550<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
พิมพครั้งที่ 1 : เดือน ธันวาคม พ.ศ. 2551 จํานวน 500 เลม<br />
โรงพิมพ : หางหุนสวนจํากัด โรงพิมพคลังนานาวิทยา 232/199 ม. 6<br />
ถ. ศรีจันทร ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแกน 40000<br />
ISBN 978-974-286-583-2<br />
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2539
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ชุดคูมือ<br />
การปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550 ถึง 4000-2550<br />
เจาของโครงการ<br />
เจาของโครงการ<br />
กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม<br />
จัดทําโดย<br />
มหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
กระทรวงศึกษาธิการ<br />
คณะที่ปรึกษาโครงการ<br />
นางสาวสมคิด บัวเพ็ง อธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
นายอนันต เกตุเอม รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
นายโชติ ตราชู รองอธิบดีกรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
คณะกรรมการพิจารณาดําเนินการจางโดยวิธีตกลง<br />
1. นายปราณีต รอยบาง ประธานกรรมการ<br />
2. นายบรรจง พรมจันทร กรรมการ<br />
3. นายอํานาจ เยาวสุต กรรมการ<br />
4. นายสุทธิพล เอี่ยมประเสริฐกุล กรรมการ<br />
5. นางสาวอุไร บางยี่ขัน กรรมการ<br />
คณะกรรมการตรวจสอบงาน<br />
1. นายสุพจน เจิมสวัสดิ์พงษ ประธานกรรมการ<br />
2. ดร.อรนุช หลอเพ็ญศรี กรรมการ<br />
3. นายสุนทร ปญจาสุธารส กรรมการ<br />
4. นายประกอบ อยูคง กรรมการ<br />
5. นางศจีรัตน อุนประเสริฐสุข กรรมการ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ก<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คณะทํางานตรวจสอบมาตรฐานและคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและ<br />
แผนที่น้ําบาดาล<br />
1. นายกมลศักดิ์ บัวออน ประธานคณะทํางาน<br />
2. นางสาววิลาวัณย ไทยสงคราม คณะทํางาน<br />
3. นายประกอบ อยูคง คณะทํางาน<br />
4. นายวสันต จันทรแสง คณะทํางานและเลขานุการ<br />
คณะทํางานตรวจสอบมาตรฐานและคูมือการปฏิบัติงานดานการประเมินศักยภาพแหลงน้ําบาดาล<br />
1. นายสัมฤทธิ์ ชุษณะทัศน ประธานคณะทํางาน<br />
2. นายสุนทร ปญจาสุธารส คณะทํางาน<br />
3. นายเทิดศักดิ์ ทรัพยทวีวัง คณะทํางานและเลขานุการ<br />
คณะทํางานตรวจสอบมาตรฐานและคูมือการปฏิบัติงานดานการเจาะและพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
1. นายสุพจน เจิมสวัสดิ์พงษ ประธานคณะทํางาน<br />
2. นายสําเริง สโมทัย คณะทํางาน<br />
3. นายพันธศักดิ์ ธีรปญญาภรณ คณะทํางาน<br />
4. นายสุวัฒน เปยมปจจัย คณะทํางาน<br />
5. นายอุโรม แกวจันทร คณะทํางานและเลขานุการ<br />
คณะทํางานตรวจสอบมาตรฐานและคูมือการปฏิบัติงานดานการอนุรักษและฟนฟูทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
1. นายชัยพร ศิริพรไพบูลย ประธานคณะทํางาน<br />
2. นายอดิสัย จารุรัตน คณะทํางาน<br />
3. ดร.อรัญญา เฟองสวัสดิ์ คณะทํางาน<br />
4. นางโศภิษฐ ภิรมยเลิศ คณะทํางาน<br />
5. ดร.อรนุช หลอเพ็ญศรี คณะทํางานและเลขานุการ<br />
คณะทํางานตรวจสอบคูมือการปฏิบัติงานดานระบบฐานขอมูลและสารสนเทศน้ําบาดาล<br />
1. นายไพศาล ลักขณานุรักษ ประธานคณะทํางาน<br />
2. นายเทิดศักดิ์ ทรัพยทวีวัง คณะทํางาน<br />
3. นายบุญเลิศ เลิศพฤกษสุกิจ คณะทํางาน<br />
4. นายธนจักร ริจิรวนิช คณะทํางานและเลขานุการ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ข<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คณะทํางาน<br />
1. รศ.ดร.เกรียงศักดิ์ ศรีสุข หัวหนาโครงการและผูเชี่ยวชาญดานอุทกธรณีวิทยา<br />
2. นายสมชัย วงศสวัสดิ์ รองหัวหนาโครงการและผูเชี่ยวชาญดานอุทกธรณีวิทยา<br />
3. นายเจริญ เชื่อมไธสง ผูเชี่ยวชาญดานการเจาะและพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
4. นายวิฑิต ศิริโภคากิจ ผูเชี่ยวชาญดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
5. นายธีรวัชร อินทรสูต ผูเชี่ยวชาญดานอุทกธรณีวิทยา<br />
6. นายเจตต จุลวงษ ผูเชี่ยวชาญดานอุทกธรณีวิทยา<br />
7. นายธีรศักดิ์ ตั้งสุทธินนท ผูเชี่ยวชาญดานธรณีวิทยา<br />
8. รศ.ดร.วิชัย ศรีบุญลือ ผูเชี่ยวชาญดานวิศวกรรมแหลงน้ํา<br />
9. รศ.ฉลอง บัวผัน ผูเชี่ยวชาญดานอุทกธรณีวิทยา<br />
10. ผศ.หลา อาจวิชัย ผูเชี่ยวชาญดานธรณีวิทยา<br />
11. ผศ.ดร.ศรัญญา พรหมโคตร ผูเชี่ยวชาญดานธรณีเคมี<br />
12. รศ.ดร.อลิศรา เรืองแสง ผูเชี่ยวชาญดานวิศวกรรมสิ่งแวดลอม<br />
13. ดร.พิพัธน เรืองแสง ผูเชี่ยวชาญดานระบบฐานขอมูลและสารสนเทศน้ําบาดาล<br />
14. นายพรศักดิ์ อรุณกิจกําจร ผูเชี่ยวชาญดานวิศวกรรมเครื่องกล<br />
15. ผศ.ดร.อุมา สีบุญเรือง ผูเชี่ยวชาญดานวิศวกรรมสิ่งแวดลอม<br />
16. นายโพยม สราภิรมย ผูเชี่ยวชาญดานวิศวกรรมโยธา<br />
17. นางกฤษณี คชสาร ผูประสานงานโครงการ<br />
18. น.ส.ศิริรัตน อุปสิทธิ์ นักอุทกธรณีวิทยาและผูประสานงานโครงการ<br />
19. น.ส.ธิดารัตน โคตนนท นักอุทกธรณีวิทยา<br />
20. นายสุวันชัย นาดี วิศวกรเกษตร<br />
21. นายสหราช ทวีพงษ นักอุทกธรณีวิทยา<br />
22. นายประยุทธ เสนชัย นักธรณีวิทยา<br />
23. น.ส.เกวรี พลเกิ้น วิศวกรเกษตร<br />
24. นางนันทนา ศรีบุญลือ เจาหนาที่การเงิน<br />
25. น.ส.ปยะมาศ ลีทองดี เจาหนาที่ธุรการ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ค<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คํานํา<br />
น้ําบาดาลเปนแหลงน้ําที่จําเปนอยางยิ่งตอการดํารงชีพโดยเฉพาะชุมชนที่แหลงน้ําอื่นมีไมเพียงพอกับ<br />
ความตองการ รวมทั้งเปนแหลงน้ําทางเลือกสําหรับการพัฒนาอุตสาหกรรมและการเกษตร ดังนั้นหาก<br />
กระบวนการปฏิบัติงานดานการบริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาล เชน การพัฒนาน้ําบาดาล การสํารวจและ<br />
ประเมินศักยภาพแหลงน้ําบาดาล และการอนุรักษและฟนฟูแหลงน้ําบาดาลไมดําเนินการใหเปนไปตาม<br />
มาตรฐานทางวิชาการ อาจกอใหเกิดความเสียหายตอทรัพยากรน้ําบาดาลทั้งในเชิงปริมาณและคุณภาพยากที่จะ<br />
แกไขได ในอดีตที่ผานมาการปฏิบัติงานดานทรัพยากรน้ําบาดาลยังขาดแนวทางปฏิบัติที่ไดมาตรฐานตามหลัก<br />
วิชาการ ดังนั้นในปงบประมาณ 2550 กรมทรัพยากรน้ําบาดาลซึ่งเปนหนวยงานหลักที่รับผิดชอบดานการ<br />
บริหารจัดการทรัพยากรน้ําบาดาลของประเทศไดวาจางมหาวิทยาลัยขอนแกน ใหเปนผูดําเนินงานโครงการ<br />
จัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล เพื่อจัดทํามาตรฐานและคูมือการปฏิบัติงานครอบคลุม<br />
การปฏิบัติงานดานตางๆ ของกรมทรัพยากรน้ําบาดาล 5 ดาน คือ (1) มาตรฐานและหรือคูมือการปฏิบัติงาน<br />
ดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (2) มาตรฐานและหรือคูมือการปฏิบัติงานดานการประเมิน<br />
ศักยภาพแหลงน้ําบาดาล (3) มาตรฐานและหรือคูมือการปฏิบัติงานดานการเจาะและพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(4) มาตรฐานและหรือคูมือการปฏิบัติงานดานการอนุรักษและฟนฟูทรัพยากรน้ําบาดาล และ (5) คูมือการ<br />
ปฏิบัติงานดานระบบฐานขอมูลและสารสนเทศน้ําบาดาล โดยกระบวนการยกรางโดยผูเชี่ยวชาญดานตางๆ และ<br />
การนํารางมาตรฐานและคูมือเขาสูกระบวนการระดมสมองเพื่อรับฟงความคิดเห็นตอรางมาตรฐานและคูมือตางๆ<br />
กอนปรับปรุงแกไขเปนรายงานฉบับสมบูรณ ซึ่งประกอบดวยรายงานทั้งหมด 10 เลม ไดแก รายงานสําหรับ<br />
ผูบริหาร จํานวน 1 เลม ชุดมาตรฐานการปฏิบัติงาน 4 เลม (รวม 25 มาตรฐาน) และชุดคูมือการปฏิบัติงาน 5<br />
เลม (รวม 34 เรื่อง) การตีพิมพชุดมาตรฐานและคูมือการปฏิบัติงานครั้งนี้เปนการจัดทําขึ้นเปนครั้งแรก หากผูใช<br />
พบวามีเนื้อหาสวนใดยังไมครบสมบูรณ มีขอผิดพลาดที่ควรแกไขหรือประสงคจะเสนอแนะความคิดเห็นประการ<br />
ใด โปรดแจงใหกรมทรัพยากรน้ําบาดาลทราบ เพื่อเปนขอมูลสําหรับการพิจารณาแกไขปรับปรุงตอไป<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ง<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
กิตติกรรมประกาศ<br />
กรมทรัพยากรน้ําบาดาล กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ขอขอบคุณคณะผูเชี่ยวชาญ<br />
จากมหาวิทยาลัยขอนแกน และผูมีสวนไดสวนเสียทุกภาคสวน ซึ่งประกอบดวย เจาหนาที่กรมทรัพยากร<br />
น้ําบาดาลจากฝายตางๆ ตัวแทนองคกรปกครองสวนทองถิ่น สมาชิกสมาคมน้ําบาดาลไทย การประปาสวน<br />
ภูมิภาค การประปานครหลวง กรมทรัพยากรน้ํา สํานักงานทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอมจังหวัด สมาชิก<br />
ชมรมชางเจาะน้ําบาดาลแหงประเทศไทย ตัวแทนบริษัทที่ปรึกษาดานน้ําบาดาล ตัวแทนผูใชน้ําบาดาล<br />
ภาคเอกชน และนักวิชาการจากสถาบันการศึกษาตางๆ ที่มีสวนรวมในกระบวนการจัดทํามาตรฐานและคูมือการ<br />
ปฏิบัติงาน ซึ่งจัดทําขึ้นเปนครั้งแรกในป พ.ศ. 2550 นี้ใหสําเร็จลุลวงไปดวยดี โดยไดใหความอนุเคราะหให<br />
คําแนะนําที่เปนประโยชนและอํานวยความสะดวกตอการดําเนินงานในขั้นตอนตางๆ จึงใครขอขอบพระคุณเปน<br />
อยางสูงไว ณ ที่นี้<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน จ<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
เลมที่ 1/10 รายงานสรุปสําหรับผูบริหาร<br />
เลมที่ 2/10 ชุดมาตรฐานการปฏิบัติงานดานการสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (มาตรฐาน ทบ ส<br />
1000-2550 ถึง 4000-2550)<br />
(1) มาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 การสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
บนผิวดิน<br />
(2) มาตรฐาน ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือกวิธีการสํารวจ<br />
ทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
(3) มาตรฐาน ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกส<br />
บนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
(4) มาตรฐาน ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกส<br />
บนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหว<br />
สะเทือนแบบหักเห<br />
(5) มาตรฐาน ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกส<br />
บนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา<br />
(6) มาตรฐาน ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกส<br />
บนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค<br />
(7) มาตรฐาน ทบ ส 3000-2550 การสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
ใตผิวดิน<br />
(8) มาตรฐาน ทบ ส 4000-2550 การจัดทําแผนที่อุทกธรณี<br />
วิทยา<br />
เลมที่ 3/10 ชุดคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (คูมือ ทบ ส 1000-2550 ถึง<br />
4000-2550)<br />
(1) คูมือ ทบ ส 1000-2550 การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบน<br />
ผิวดิน<br />
(2) คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือกวิธีการสํารวจ<br />
ทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
(3) คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
(4) คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือน<br />
แบบหักเห<br />
(5) คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา<br />
(6) คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค<br />
(7) คูมือ ทบ ส 3000-2550 การสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
ใตผิวดิน<br />
(8) คูมือ ทบ ส 4000-2550 การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
เลมที่ 4/10 ชุดมาตรฐานการปฏิบัติงานดานการประเมิน<br />
ศักยภาพแหลงน้ําบาดาล (มาตรฐาน ทบ ป 3001-2550 ถึง<br />
3008-2550)<br />
(1) มาตรฐาน ทบ ป 3001-2550 การสรางแบบจําลอง<br />
เชิงมโนทัศน<br />
(2) มาตรฐาน ทบ ป 3002-2550 การเลือกใชแบบจําลอง<br />
น้ําบาดาลเชิงคณิตศาสตร<br />
(3) มาตรฐาน ทบ ป 3003-2550 การกําหนดเงื่อนไข<br />
ขอบเขตของแบบจําลองการไหลของน้ําบาดาล<br />
(4) มาตรฐาน ทบ ป 3004-2550 การจําลองการไหล<br />
ของน้ําบาดาลและการเคลื่อนที่ของมวลสาร<br />
(5) มาตรฐาน ทบ ป 3005-2550 การประยุกตใชแบบจําลอง<br />
การไหลของน้ําบาดาลตามสภาพปญหาของพื้นที่<br />
(6) มาตรฐาน ทบ ป 3006-2550 การปรับเทียบผลการ<br />
ประยุกตใชแบบจําลองการไหลของน้ําบาดาล<br />
(7) มาตรฐาน ทบ ป 3007-2550 การวิเคราะหความออนไหว<br />
ของพารามิเตอรที่ใชในแบบจําลองการไหลของน้ําบาดาล<br />
(8) มาตรฐาน ทบ ป 3008-2550 การจัดทํารายงานผลการ<br />
ประยุกตใชแบบจําลองการไหลของน้ําบาดาล<br />
เลมที่ 5/10 ชุดคูมือการปฏิบัติงานดานการประเมิน<br />
ศักยภาพแหลงน้ําบาดาล (คูมือ ทบ ป 1000-2550 ถึง<br />
3000-2550)<br />
(1) คูมือ ทบ ป 1000-2550 การประเมินแหลงน้ําตนทุน<br />
ของแองน้ําบาดาล<br />
(2) คูมือ ทบ ป 2000-2550 การประเมินศักยภาพน้ําบาดาล<br />
ของแองน้ําบาดาลและการจัดทําแผนการใชน้ําบาดาล<br />
(3) คูมือ ทบ ป 3000-2550 การจัดทําแบบจําลองน้ําบาดาล<br />
เชิงคณิตศาสตรและการประยุกตใช<br />
เลมที่ 6/10 ชุดมาตรฐานการปฏิบัติงานดานการเจาะและ<br />
พัฒนาบอน้ําบาดาล (มาตรฐาน ทบ พ 1000-2550 ถึง<br />
7000-2550)<br />
(1) มาตรฐาน ทบ พ 1000-2550 การเจาะเพื่อสํารวจและ<br />
พัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ฉ<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
เลมที่ 6/10 ชุดมาตรฐานการปฏิบัติงานดานการเจาะและ<br />
พัฒนาบอน้ําบาดาล (มาตรฐาน ทบ พ 1000-2550 ถึง<br />
7000-2550) (ตอ)<br />
(2) มาตรฐาน ทบ พ 2000-2550 การใชและการแปลคา<br />
ขอมูลหยั่งธรณีวิทยาหลุมเจาะ<br />
(3) มาตรฐาน ทบ พ 3000-2550 การออกแบบและกอสราง<br />
บอน้ําบาดาล<br />
(4) มาตรฐาน ทบ พ 4000-2550 การพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(5) มาตรฐาน ทบ พ 5000-2550 การสูบทดสอบปริมาณ<br />
น้ําบาดาล<br />
(6) มาตรฐาน ทบ พ 6000-2550 การเก็บและวิเคราะห<br />
ตัวอยางตะกอนและหินจากหลุมเจาะ<br />
(7) มาตรฐาน ทบ พ 7000-2550 การเก็บตัวอยางน้ําและ<br />
การวิเคราะหคุณภาพน้ําบาดาล<br />
เลมที่ 7/10 ชุดคูมือการปฏิบัติงานดานการเจาะและพัฒนา<br />
บอน้ําบาดาล (คูมือ ทบ พ 1000-2550 ถึง 12000-2550)<br />
(1) คูมือ ทบ พ 1000-2550 การเจาะเพื่อสํารวจและพัฒนา<br />
บอน้ําบาดาล<br />
(2) คูมือ ทบ พ 2000-2550 การใชและการแปลคาขอมูล<br />
หยั่งธรณีวิทยาหลุมเจาะ<br />
(3) คูมือ ทบ พ 3000-2550 การออกแบบและกอสราง<br />
บอน้ําบาดาล<br />
(4) คูมือ ทบ พ 4000-2550 การพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(5) คูมือ ทบ พ 5000-2550 การสูบทดสอบปริมาณ<br />
น้ําบาดาล<br />
(6) คูมือ ทบ พ 6000-2550 การเก็บและวิเคราะหตัวอยาง<br />
ตะกอนและหินจากหลุมเจาะ<br />
(7) คูมือ ทบ พ 7000-2550 การเก็บตัวอยางน้ําและการ<br />
วิเคราะหคุณภาพน้ําบาดาล<br />
(8) คูมือ ทบ พ 8000-2550 การคัดเลือกและติดตั้ง<br />
เครื่องสูบน้ํา<br />
(9) คูมือ ทบ พ 9000-2550 การบํารุงรักษาบอน้ําบาดาล<br />
(10) คูมือ ทบ พ 10000-2550 การออกแบบกอสรางและ<br />
บริหารจัดการระบบประปาบาดาล<br />
(11) คูมือ ทบ พ 11000-2550 การพิจารณาตัดสินใจสําหรับ<br />
ผูวาจางเจาะบอน้ําบาดาล<br />
(12) คูมือ ทบ พ 12000-2550 การประเมินราคากลาง<br />
การเจาะและพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
เลมที่ 8/10 ชุดมาตรฐานการปฏิบัติงานดานการอนุรักษ<br />
และฟนฟูทรัพยากรน้ําบาดาล (มาตรฐาน ทบ อ 1000-<br />
2550 และ 6000-2550)<br />
(1) มาตรฐาน ทบ อ 1000-2550 การวางเครือขายบอ<br />
สังเกตการณ การติดตามระดับ และคุณภาพน้ําบาดาล<br />
(2) มาตรฐาน ทบ อ 6000-2550 การอุดกลบบอน้ําบาดาล<br />
เลมที่ 9/10 ชุดคูมือการปฏิบัติงานดานการอนุรักษและ<br />
ฟนฟูทรัพยากรน้ําบาดาล (คูมือ ทบ อ 1000-2550 ถึง<br />
7000-2550)<br />
(1) คูมือ ทบ อ 1000-2550 การวางเครือขายบอสังเกตการณ<br />
การติดตามระดับและคุณภาพน้ําบาดาล<br />
(2) คูมือ ทบ อ 2000-2550 การประเมินความเสี่ยงการ<br />
ปนเปอนของแหลงน้ําบาดาล<br />
(3) คูมือ ทบ อ 3000-2550 การประเมินผลกระทบจากการ<br />
ใชน้ําบาดาลเกินสมดุล<br />
(4) คูมือ ทบ อ 4001-2550 การเติมน้ําลงแหลงน้ําบาดาล<br />
(5) คูมือ ทบ อ 4002-2550 การสรางระบบกักเก็บน้ําใตดิน<br />
ดวยเขื่อนใตดิน<br />
(6) คูมือ ทบ อ 4003-2550 การควบคุมการแพรกระจาย<br />
ของสารปนเปอน<br />
(7) คูมือ ทบ อ 4004-2550 การฟนฟูเพื่อปรับปรุงคุณภาพ<br />
น้ําบาดาลโดยวิธีการทางเคมีและชีวภาพ<br />
(8) คูมือ ทบ อ 5000-2550 การอนุรักษแหลงน้ําบาดาล<br />
(9) คูมือ ทบ อ 6000-2550 การอุดกลบบอน้ําบาดาล<br />
(10) คูมือ ทบ อ 7000-2550 การเก็บตัวอยางและการ<br />
วิเคราะหคุณภาพน้ําบาดาลเพื่อการอนุรักษแหลง<br />
น้ําบาดาล<br />
เลมที่ 10/10 ชุดคูมือการปฏิบัติงานดานระบบฐานขอมูล<br />
และสารสนเทศน้ําบาดาล (คูมือ ทบ ฐ 1000-2550)<br />
(1) คูมือ ทบ ฐ 1000-2550 การปฏิบัติงานดานระบบ<br />
ฐานขอมูลและสารสนเทศน้ําบาดาล<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ช<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สารบัญ<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550 การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน 1<br />
1. บทนํา 1<br />
2. ขอบเขต 1<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ 1<br />
4. ศัพทบัญญัติ 2<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน 3<br />
6. คําอธิบายวิธีการ 3<br />
6.1 การวางแผนการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน 3<br />
6.2 การรวบรวมจัดเก็บขอมูลและการเตรียม การสํารวจฯ 5<br />
6.3 วิธีการจัดทําแผนการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดินและแบบจําลองเชิงมโนทัศนของพื้นที่สํารวจ 9<br />
6.4 คูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาภาคสนาม 10<br />
6.5 การรังวัดระดับบอน้ําบาดาลและระดับตําแหนงจุดสํารวจ 13<br />
6.6 การจัดทําตนรางแผนที่และรายงาน 16<br />
7. เอกสารอางอิง 18<br />
8. ภาคผนวก 18<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน 21<br />
1. บทนํา 21<br />
2. ขอบเขต 22<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ 22<br />
4. ศัพทบัญญัติ 23<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน 23<br />
6. คําอธิบายวิธีการ 24<br />
7. เครื่องมือและอุปกรณ 24<br />
8. การคัดเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบน ผิวดิน 24<br />
8.1 การประยุกตใชวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา 25<br />
8.2 ความแตกตางดานคุณสมบัติทางกายภาพของชั้นดินชั้นหินใตผิวดิน 25<br />
8.3 สรุปวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินที่ใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา 26<br />
8.4 การเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินตามมาตรฐานสากล 29<br />
9. เอกสารอางอิง 30<br />
หนา<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ซ<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สารบัญ (ตอ)<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัด<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะ 33<br />
1. บทนํา 33<br />
2. ขอบเขต 33<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ 34<br />
4. ศัพทบัญญัติ 35<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน 35<br />
6. คําอธิบายวิธีการ 36<br />
7. เครื่องมือและอุปกรณ 36<br />
7.1 สวนประกอบเครื่องมือ 36<br />
7.2 การเลือกเครื่องมือและการใชเครื่องมือ 37<br />
8. การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ 38<br />
8.1 วิธีการจัดวางหลักขั้วไฟฟา 38<br />
8.2 คาความตานทานไฟฟาปรากฏ 40<br />
8.3 เทคนิคการสํารวจ 41<br />
8.4 การสํารวจแบบการตรวจวัดความตางศักย ไฟฟาตามธรรมชาติ 44<br />
8.5 การสํารวจตรวจวัดความตางศักยไฟฟาแบบเหนี่ยวนําประจุ 45<br />
8.6 คูมือการแปลความหมายขอมูลการสํารวจความตานทานไฟฟาจําเพาะ 46<br />
8.7 การนําเสนอผลการสํารวจ 47<br />
8.8 ขอจํากัดของการสํารวจ 48<br />
9. ความปลอดภัย 48<br />
10. บุคลากร 49<br />
11. เอกสารอางอิง 49<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัด<br />
ความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห 51<br />
1. บทนํา 51<br />
2. ขอบเขตการดําเนินงาน 51<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ 52<br />
หนา<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ฌ<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สารบัญ (ตอ)<br />
หนา<br />
4. ศัพทบัญญัติ 52<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน 53<br />
6. คําอธิบายวิธีการ 53<br />
7. เครื่องมือและอุปกรณ 53<br />
7.1 แหลงกําเนิดคลื่นไหวสะเทือน 54<br />
7.2 หัวรับคลื่นคลื่นไหวสะเทือน 54<br />
7.3 เครื่องบันทึกสัญญาณคลื่นไหวสะเทือน 55<br />
8. การสํารวจดวยวิธีการตรวจวัดคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห 55<br />
8.1 บทสรุปเกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นไหวสะเทือนและกฎของสเนลล 55<br />
8.2 การสํารวจภาคสนาม 57<br />
8.3 การแปลความหมายขอมูล 59<br />
8.4 ขอจํากัดของการสํารวจตรวจวัดความเร็วคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห 66<br />
9. ความปลอดภัย 66<br />
10. บุคลากร 67<br />
11. เอกสารอางอิง 68<br />
คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา 69<br />
1. บทนํา 69<br />
2. ขอบเขตการดําเนินงาน 69<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ 70<br />
4. ศัพทบัญญัติ 70<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน 71<br />
6. เครื่องมือและอุปกรณ 72<br />
6.1 เครื่องมือและอุปกรณการสํารวจ FDEM 72<br />
6.2 เครื่องมือและอุปกรณการสํารวจ TDEM 72<br />
6.3 เครื่องมือและอุปกรณการสํารวจ VLF-EM 72<br />
7. การสํารวจตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา ในสนาม 73<br />
7.1 หลักการของการสํารวจตรวจวัดสนาม แมเหล็กไฟฟา 73<br />
7.2 วิธีการสํารวจตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา 74<br />
7.3 หลักการวิธีการสํารวจแบบ FDEM 74<br />
7.4 หลักการและวิธีการสํารวจแบบ TDEM 76<br />
7.5 หลักการและวิธีการสํารวจแบบ VLF-EM 76<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ญ<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สารบัญ (ตอ)<br />
หนา<br />
8. วิธีการแปลความหมายขอมูลและการนําเสนอผลการสํารวจ 78<br />
8.1 การแปลความหมายและการนําเสนอขอมูลการสํารวจ แบบ FDEM 78<br />
8.2 การแปลความหมายและการนําเสนอขอมูลการสํารวจ แบบ TDEM 79<br />
8.3 การแปลความหมายและการนําเสนอขอมูลการสํารวจ แบบ VLF-EM 79<br />
8.4 เอกสารสําหรับการศึกษาคนควาตอไป 79<br />
9. ความปลอดภัย 81<br />
10. บุคลากร 81<br />
11. เอกสารอางอิง 82<br />
คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค 83<br />
1. บทนํา 83<br />
2. ขอบเขต 83<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ 84<br />
4. ศัพทบัญญัติ 85<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน 85<br />
6. เครื่องมือและอุปกรณ 86<br />
6.1 เครื่อง micro-gravimeters 86<br />
6.2 ชุดเครื่องมือในการรังวัด 87<br />
7. การสํารวจธรณีฟสิกสแบบตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค 87<br />
7.1 หลักการสํารวจแบบตรวจวัดแรงโนมถวง 87<br />
7.2 วิธีการสํารวจแบบตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค 88<br />
7.3 การปรับแกคาผิดวิสัยของบูเกอร 90<br />
7.4 การปรับแกขอมูลแบบอื่นๆ 92<br />
7.5 การนําเสนอผลงานและแปลความหมายการปรับแกขอมูล 92<br />
7.6 ขอจํากัดในการสํารวจ 93<br />
8. ความปลอดภัย 94<br />
9. บุคลากร 94<br />
10. เอกสารอางอิง 95<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550 การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน 96<br />
1. บทนํา 96<br />
2. ขอบเขตการดําเนินงาน 96<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ฎ<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สารบัญ (ตอ)<br />
หนา<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ 97<br />
4. ศัพทบัญญัติ 98<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน 99<br />
6. เครื่องมือและอุปกรณ 99<br />
6.1 เครื่องมือและอุปกรณที่ใชในการวัดระดับน้ําบาดาลและความลึกบอน้ําบาดาล 99<br />
6.2 อุปกรณที่ใชในการเก็บตัวอยางน้ําบาดาล 101<br />
6.3 เครื่องมือและอุปกรณที่ใชในการวิเคราะหคุณสมบัติเบื้องตนของตัวอยางน้ําบาดาล 101<br />
6.4 เครื่องมือและอุปกรณที่ใชในการเจาะเก็บตัวอยางดินหินระดับตื้น 102<br />
7. การวัดระดับน้ําบาดาล 102<br />
7.1 การวางแผนและการคัดเลือกจุดวัดระดับน้ําบาดาล 103<br />
7.2 วิธีการสํารวจตรวจวัดระดับน้ําบาดาล 103<br />
7.3 วิธีการนําเสนอและการปะยุกตใชขอมูลระดับน้ํา 104<br />
8. การวัดความลึกบอ 107<br />
9. การเก็บตัวอยางน้ําบาดาลและการวิเคราะหน้ําบาดาลในสนาม 107<br />
9.1 การเตรียมการจัดเก็บตัวอยางน้ําจากบอ น้ําบาดาล 107<br />
9.2 วิธีการใชกระบอกตักแบบตางๆ 108<br />
9.3 การวิเคราะหตัวอยางน้ําบาดาลในสนาม 108<br />
10. การจัดเก็บตัวอยางดินหิน 109<br />
10.1 การเจาะดวยชุดเจาะแบบมือหมุน 109<br />
10.2 การเจาะดวยชุดเจาะแบบดูดตัวอยาง 110<br />
10.3 การเจาะแบบกระแทกหมุน 110<br />
10.4 การเจาะแทงหินตัวอยางแบบกระแทก 111<br />
11. ความปลอดภัย 111<br />
12. บุคลากร 111<br />
13. เอกสารอางอิง 112<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550 การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา 113<br />
1. บทนํา 113<br />
2. ขอบเขตการดําเนินงาน 113<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ 114<br />
4. ศัพทบัญญัติ 115<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน 116<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ฏ<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สารบัญ (ตอ)<br />
หนา<br />
6. รูปแบบและองคประกอบของแผนที่อุทกธรณีวิทยาตามมาตรฐานสากล 116<br />
6.1 รูปแบบสากลของแผนที่อุทกธรณีวิทยา 116<br />
6.2 องคประกอบที่สําคัญของแผนที่อุทกธรณีวิทยา 117<br />
7. การใชสัญลักษณสําหรับการแสดงในแผนที่อุทกธรณีวิทยา 119<br />
8. หลักปฏิบัติสากลในการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา 120<br />
8.1 หลักปฏิบัติในการแสดงขอมูลในแผนที่ 120<br />
8.2 การจัดลําดับความสําคัญของขอมูล 120<br />
8.3 หลักปฏิบัติการจัดทําคําอธิบายแผนที่ 121<br />
8.4 ขั้นตอนการตรวจสอบแผนที่ 122<br />
9. การจําแนกแผนที่อุทกธรณีวิทยา 122<br />
9.1 การจําแนกแผนที่ตามวัตถุประสงคของการใชงาน 122<br />
9.2 การจําแนกแผนที่ตามระดับความนาเชื่อถือ 124<br />
9.3 การจําแนกแผนที่ตามมาตราสวน 124<br />
9.4 การจําแนกแผนที่ตามประเภทของขอมูล 126<br />
10. การนําเสนอขอมูลในแผนที่อุทกธรณีวิทยา 126<br />
10.1 นําเสนอขอมูลในแผนที่ใหตรงตามธรรมชาติของขอมูลอุทกธรณีวิทยา 127<br />
10.2 ความคลาดเคลื่อนของขอมูล 128<br />
10.3 ลักษณะผันแปรของกลุมขอมูล 129<br />
10.4 หลักเกณฑที่ใชในการประมาณการขอมูลดานอุทกธรณีวิทยา 129<br />
11. เอกสารอางอิง 130<br />
12. ภาคผนวก 131<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน ฐ<br />
ชุดคูมือการปฏิบัติงานดาน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550 เปนคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (ส) ของกรม<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาล (ทบ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตัวเลขชุดแรกมี 4 ตําแหนง หมายถึง ลําดับ<br />
ของคูมือ ตัวเลขชุดที่สอง “2550” หมายถึง ป พ.ศ. ที่จัดทําเอกสารตนฉบับของคูมือ กรณีที่มีการแกไขและปรับปรุง<br />
คูมือใหใสวงเล็บตอทายและระบุ ป พ.ศ. ที่แกไขปรับปรุง เชน (แกไขปรับปรุง 2555) เปนตน โดยมีเครื่องหมาย (ก)<br />
เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่แกไข และมีเครื่องหมาย (ป) เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่ปรับปรุงขึ้นใหม<br />
1. บทนํา<br />
คูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน ทบ ส<br />
1000-2550 นี้ไดจัดทําขึ้นภายใตโครงการจัดทํา<br />
มาตรฐานการเจาะ สํารวจและพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
พ.ศ. 2550 เปนสวนหนึ่งของชุดคูมือการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล โดยกรมทรัพยากรน้ํา<br />
บาดาลไดมอบหมายใหคณะผูเชี ่ยวชาญดานอุทก<br />
ธรณีวิทยา ธรณีวิทยา วิศวกรรม เครื่องกล และ<br />
วิศวกรรมโยธา เปนผูดําเนินการรางคูมือการสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน เพื่อใหใชควบคูไปกับ<br />
มาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 การสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน โดยคูมือฉบับนี ้ ไดกําหนด<br />
ขั้นตอนและแนวทางสําหรับใชในงานสํารวจฯ เพื่อให<br />
ไดผลงานมีมาตรฐานตามที่กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
กําหนด<br />
2. ขอบเขต<br />
2.1 เอกสารคูมือฉบับนี้ เปนคูมือที่ใชในงาน<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน เปนงานที่<br />
ประกอบดวยหมวดงานตางๆ เชน การวางแผนการ<br />
สํารวจ (planning) รวบรวมและศึกษาขอมูลอุทก<br />
ธรณีวิทยาตางๆ (desk study) และการสํารวจจัดเก็บ<br />
ขอมูลอุทกธรณีวิทยาภาคสนาม (field investigation)<br />
โดยมีเปาหมายสุดทายอยางนอยจะตองจัดทําแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยาของพื้นที่สํารวจในมาตราสวนที่<br />
เหมาะสม และการจัดสรางแบบจําลองอุทกธรณีวิทยา<br />
เชิงมโนทัศน เชน ภาพตัดขวางทางอุทกธรณีวิทยา<br />
(block diagrams)หรือแผนภาพรั้ว (fence diagrams)<br />
เปนตน รวมไปถึงการจัดทํารายงานการสํารวจ<br />
เบื้องตน<br />
2.2 หนวยวัดที่ใชในเอกสารคูมือฉบับนี้เปน<br />
หนวยวัดระบบ Systeme Internationale d’Unites (SI<br />
Units)<br />
2.3 เอกสารคูมือฉบับนี้ สามารถใชหรือ<br />
ประยุกตใชเปนแนวทางหรือการกําหนดแนวทางใน<br />
การปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิว<br />
ดินทั่วๆไป งานสํารวจอุทกธรณีวิทยาขั้นรายละเอียด<br />
เฉพาะพื้นที่ ขึ้นอยูกับการตัดสินใจของผูเชี่ยวชาญ<br />
เฉพาะเรื่อง ซึ่งอาจเพิ่มเติมรายละเอียดการสํารวจ<br />
นอกเหนือจากที่ไดกําหนดในเอกสารนี้ได ตามความ<br />
เหมาะสม<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ<br />
3.1 กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2001-2550 การคัด<br />
เลือกวิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 1<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2002-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2003-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของ<br />
คลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2004-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนาม<br />
แมเหล็กไฟฟา<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2005-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
จุลภาค<br />
- คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะ<br />
- คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่น<br />
ไหวสะเทือนแบบหักเห<br />
- คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็ก<br />
ไฟฟา<br />
- คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
จุลภาค<br />
3.2 American Society for Testing and<br />
Materials (ASTM):<br />
- D 5730-04 Standard Guide for Site<br />
Characterization for Environmental Purposes With<br />
Emphasis on Soil, Rock, the Vadose and<br />
Groundwater.<br />
- D 5879-02 Standard Guide for<br />
Geotechnical Mapping of Large Underground<br />
Openings in Rocks<br />
4. ศัพทบัญญัติ<br />
4.1 คํานิยาม<br />
การสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง (groundwater<br />
investigation for pin-point well drilling)<br />
หมายถึง การสํารวจอุทกธรณีวิทยาที่มีวัตถุประสงค<br />
เพื่อกําหนดตําแหนงจุดเจาะบอน้ําบาดาลที่เหมาะสม<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน (subsurface<br />
hydrogeological investigation) หมายถึง<br />
การสํารวจเพื่อขอมูลดานอุทกธรณีวิทยาใตผิวดินโดย<br />
ใชเครื่องมือหยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
(surface hydrogeological investigation) หมายถึง<br />
การสํารวจเพื่อเก็บขอมูลดานอุทกธรณีวิทยา โดย<br />
ปฏิบัติการสํารวจเฉพาะบนผิวดินที่มิไดใชเครื่องมือ<br />
ใดๆ หยั่งลึกลงไปจากผิวดิน หรือการรวบรวมขอมูล<br />
เกาทั้งที่เปนขอมูลที่ปรากฏบนผิวดินและขอมูลที่อยูใต<br />
ผิวดิน<br />
แบบจําลองเชิงมโนทัศนของพื้นที่สํารวจ<br />
(conceptual site models) หมายถึง แบบจําลองของ<br />
พื้นที่สํารวจ จากขอมูลเบื้องตนของพื้นที่สํารวจเทาที่<br />
มีอยู เพื่อใชในการกําหนดแนวทางและวิธีการสํารวจ<br />
ภาคสนาม<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน<br />
(conceptual hydrogeological models) หมายถึง<br />
แบบจําลองของพื้นที่สํารวจจากขอมูลดานอุทกธรณี<br />
วิทยาที่ไดจากการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
เพื่อใชประกอบกับแผนที่อุทกธรณีวิทยาสําหรับการ<br />
กําหนดแนวทางการสํารวจขั้นตอไป<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 2<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
4.2 คํายอ<br />
กรมฯ หมายถึง กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
การสํารวจฯ หมายถึง การสํารวจอุทกธรณี<br />
วิทยาบนผิวดิน<br />
แบบจําลองฯ หมายถึง แบบจําลองเชิงมโน<br />
ทัศนของพื้นที่สํารวจ<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน<br />
5.1 เอกสารคูมือฉบับนี้ ไดกําหนดขั้นตอนและ<br />
วิธีการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดินไวกวางๆ<br />
สําหรับการปรับใชเพื่อใหไดผลงานการสํารวจฯ ตาม<br />
มาตรฐานที่กรมทรัพยากรน้ําบาดาลกําหนดโดย<br />
สามารถนําไปประยุกตใชในการสํารวจฯ ตางๆ ดังนี้<br />
5.1.1 เปนคูมือการรวบรวมศึกษาและการ<br />
สํารวจจัดเก็บขอมูลภาคสนามเบื้องตน ในงานสํารวจ<br />
น้ําบาดาลเฉพาะแหง ซึ่งอาจจําเปนตองดําเนินการ<br />
สํารวจตอเนื่อง โดยการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
5.1.2 เปนคูมือการรวบรวมศึกษาและสํารวจ<br />
จัดเก็บขอมูลภาคสนามเบื้องตน ในงานสํารวจจัดทํา<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยา หรืองานสํารวจจัดทําแผนที่น้ํา<br />
บาดาล โดยมีกระบวนการดําเนินงานตอเนื่อง ตาม<br />
มาตรฐาน ทบ ส 4000-2550 และคูมือการสํารวจ<br />
จัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา ทบ ส 4000-2550<br />
5.1.3 เปนคูมือการรวบรวมศึกษาและการ<br />
สํารวจจัดเก็บขอมูลภาคสนามเบื้องตน ในงานศึกษา<br />
วิจัย แหลงน้ําบาดาลตางๆ เชน การศึกษาวิจัยเพื่อ<br />
ประเมินแหลงน้ําตนทุนของแองน้ํา การศึกษาวิจัยเพื่อ<br />
ประเมินพื้นที่เติมน้ํา การศึกษาวิจัยเพื่อจัดทํา<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาทางคณิตศาสตร และ<br />
การศึกษาวิจัยทางอุทกธรณีวิทยาดานอื่นๆ<br />
5.2 คูมือสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดินฉบับนี้<br />
ไดกําหนดขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติงานไว<br />
กวางๆ สําหรับการปรับใชกับงานสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยา หรือการศึกษาวิจัยแหลงน้ําบาดาลตาม<br />
วัตถุประสงคตางๆ ซึ่งมีความตองการรายละเอียดของ<br />
ขอมูลตางกัน โดยเฉพาะปริมาณของขอมูลยอมขึ้นอยู<br />
กับ ขนาดของพื้นที่สํารวจ เวลาและงบประมาณของ<br />
งานสํารวจศึกษาวิจัยแหลงน้ําบาดาลแตละงาน<br />
6. คําอธิบายวิธีการ<br />
6.1 การวางแผนการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบน<br />
ผิวดิน<br />
ตามมาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 อยาง<br />
นอยตองประกอบดวยงานดานตางๆ ซึ่งลําดับ<br />
ความสําคัญของงานไมจําเปนเรียงลําดับตามหัวขอที่<br />
จะกลาวถึงดังตอไปนี้<br />
6.1.1 การกําหนดวัตถุประสงคและการคัดกรอง<br />
งาน โดยมีขอพิจารณา ดังนี้<br />
(1) การกําหนดวัตถุประสงค<br />
การสํารวจฯ อาจมีวัตถุประสงคเพื่อ<br />
สํารวจขอมูลดานอุทกธรณีเบื้องตนของงานศึกษาวิจัย<br />
ดานตางๆ ซึ่งผูสํารวจจําเปนตองทําความเขาใจกับ<br />
วัตถุประสงคของชิ้นงานสํารวจนั้นๆ ใหแนชัด สําหรับ<br />
งานสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง มีวัตถุประสงคหลัก<br />
เพื่อกําหนดตําแหนงจุดเจาะบอน้ําบาดาลใหได<br />
ปริมาณน้ําเพียงพอ สําหรับตอบสนองความตองการ<br />
แหลงน้ํา อาจจะกําหนดตําแหนงจุดเจาะบอเพียงบอ<br />
เดียวหรืออาจจําเปนตองสํารวจเพื่อเจาะกลุมบอ<br />
ขึ้นอยูกับความตองการแหลงน้ําและสภาพอุทก<br />
ธรณีวิทยาของพื้นที่สํารวจ หรือในบางพื้นที่อาจไมมี<br />
น้ําบาดาลที่จะใชเพื่อแกไขปญหาความขาดแคลน<br />
แหลงน้ําไดเลย จําเปนตองมีการคัดกรองงาน เพื่อให<br />
งานสํารวจฯมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลตาม<br />
มาตรฐาน<br />
(2) การคัดกรองงาน<br />
สําหรับงานสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะ<br />
แหง ที่มีปริมาณคําขอสํารวจจํานวนมาก จากหนวย<br />
เจาะของกรมฯ หรือประชาชนในพื้นที่ โดยสวนใหญผู<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 3<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ขอมีความรูจํากัดดานอุทกธรณีวิทยา ในเบื้องตนการ<br />
คัดกรองงานสามารถตัดคําขอสํารวจใหลดปริมาณงาน<br />
ลง ตามการพิจารณาของผูบริหาร ดังนั้นการคัดกรอง<br />
งานเปนงานของผูบริหารระดับสํานักหรือระดับสวน<br />
หรือนักวิชาการที่ไดรับมอบหมายจากผูบริหาร ในชวง<br />
ระหวาง พ.ศ. 2539-2542 งานสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะ<br />
แหง เปนงานหนึ่งของกองน้ําบาดาล กรมทรัพยากร<br />
ธรณีที่ไดรับการรับรองตามมาตรฐาน ISO 9000 และ<br />
มีการคัดกรองคําขอสํารวจตามขั้นตอนการปฏิบัติงาน<br />
ดังรายละเอียดในตารางที่ 1 (ภาคผนวก) การคัดกรอง<br />
งานที่นําเสนอในครั้งนี้ไดแกไขดัดแปลงจากขั้นตอน<br />
การปฏิบัติงานดังกลาว ประกอบดวยขั้นตอนการ<br />
ปฏิบัติงาน 9 ขั้นตอน คือ<br />
(1) ขั้นตอนการรับคําขอสํารวจ คําขอ<br />
จากหนวยงานตางๆ หรือจากหนวยเจาะของกรมฯ<br />
หรือจากประชาชนในทองที่ คําขอสํารวจถูกสงมาตาม<br />
สายงาน และลงทะเบียนรับที่สํานักสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาลหรือหนวยงานที่<br />
รับผิดชอบ ผูอํานวยการสํานักจะสงผานคําขอไปที่<br />
สวนสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
(2) ขั้นตอนการตรวจสอบขอมูลของ<br />
พื้นที่สํารวจ ผูอํานวยการสวนสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
จะดําเนินการตรวจสอบขอมูลดานตางๆ ของพื้นที่<br />
สํารวจและตรวจสอบทั้งจากแผนที่ตางๆ และขอมูล<br />
การเจาะในบริเวณพื้นที่สํารวจและพื้นที่ขางเคียง<br />
รวมทั้งวิเคราะหความจําเปนตองสํารวจภาคสนาม<br />
หรือไม หากเห็นวาไมจําเปนตองสํารวจภาคสนาม (N)<br />
ใหบันทึกความเห็นพรอมขอเสนอแนะในคําขอสํารวจ<br />
สงเรื่องกลับสํานักเพื่อทําตอบผูขอ หากเห็นวา<br />
จําเปนตองดําเนินการสํารวจภาคสนาม ใหบันทึก<br />
ความเห็นพรอมขอ เสนอแนะในคําขอสํารวจ สงเรื่อง<br />
ไปยังสายงานสํารวจ<br />
(3) ขั้นตอนการพิจารณาคําขอและ<br />
วิเคราะหระดับความยากงายของงานสํารวจ หัวหนา<br />
สายงานสํารวจจะตรวจสอบขอมูลที่มีอยูอีกครั้งและ<br />
พิจารณาจําแนกความยากงายของงานสํารวจ โดยอาจ<br />
แบงประเภทของงานสํารวจเปนประเภทตางๆ คือ (ก)<br />
ระดับงานงาย มีขอมูลพรอมอยูแลว สงพนักงานไป<br />
ตรวจสอบความถูกตองของขอมูลที่มีอยู โดยการทํา<br />
reconnaissance investigation ก็เพียงพอ (ข) ระดับ<br />
งานปานกลาง จําเปนตองสํารวจภาคสนาม และ<br />
สํารวจธรณีฟสิกสเพิ่มเติม อาจมอบหมายใหพนักงาน<br />
สํารวจเปนผูดําเนินการ ภายใตการควบคุมของนัก<br />
ธรณีวิทยา นักอุทกธรณีวิทยาหรือวิศวกรที่ผานการ<br />
อบรมหรือทํางานดานนี้ (ค) ระดับงานยาก จําเปนตอง<br />
มอบหมายใหนักธรณีวิทยา นักอุทกธรณีวิทยาหรือ<br />
วิศวกรที่ผานการอบรมหรือทํางานดานนี้ เปนผู<br />
ดําเนินงานสํารวจภาคสนาม และ (ง) ระดับงานเฉพาะ<br />
ทาง จําเปนตองมอบหมายใหนักธรณีวิทยา หรือ นัก<br />
อุทกธรณีวิทยาผูเชี่ยวชาญเฉพาะดานเปนผู<br />
ดําเนินงานสํารวจภาคสนาม เชน ผูเชี่ยวชาญดานการ<br />
สํารวจหินปูน ผูเชี่ยวชาญดานการสํารวจหินภูเขาไฟ<br />
และหินอัคนี ผูเชี่ยวชาญดานการสํารวจหินตะกอน<br />
เปนตน<br />
(4) ขั้นตอนการสํารวจภาค สนามอาจ<br />
ดําเนินการโดยการจัดทํา reconnaissance investigation<br />
หรือการสํารวจโดยสํารวจอุทกธรณีวิทยาบน<br />
ผิวดิน หรืออาจจําเปนตองสํารวจอุทกธรณีวิทยาบน<br />
ผิวดินควบคูกับการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน ขึ้นอยู<br />
กับระดับความยากงายของงาน<br />
(5) ขั้นตอนการแปลความหมายขอมูล<br />
การสํารวจและการจัดทํารายงานการสํารวจ<br />
(6) ขั้นตอนการสอบทานรายงานการ<br />
สํารวจ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 4<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(7) ขั้นตอนการทําหนังสือตอบ<br />
(8) ขั้นตอนการประเมินผลการสํารวจ<br />
เปนการประเมินผลสัมฤทธิ์ของการสํารวจ โดยการ<br />
ตรวจสอบจากผลการเจาะบอน้ําบาดาลในพื้นที่สํารวจ<br />
วาตรงตามผลการสํารวจหรือไมอยางไร<br />
(9) ขั้นตอนการปรับสมุดทะเบียนและ<br />
สิ้นสุดกระบวนการ เปนการลงทะเบียนคําขอสํารวจ<br />
ผลการดําเนินการสํารวจ และการประเมินผลการ<br />
สํารวจ เพื่อเปนขอมูลในการแสดงประสิทธิภาพและ<br />
ประสิทธิผลของการปฏิบัติงานดานการสํารวจน้ํา<br />
บาดาลเฉพาะแหง<br />
ขั้นตอนการกรองงานและขั้นตอนการ<br />
ปฏิบัติงานสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหงตางๆ ดังกลาว<br />
ขางตนอาจสรุปเปนตาราง ดังตารางที่ 2 ในภาคผนวก<br />
6.1.2 การกําหนดขอบเขตพื้นที่สํารวจ<br />
จําเปนตองกําหนดใหสอดคลองกับ<br />
วัตถุประสงคของการสํารวจฯ สําหรับงานศึกษาวิจัย<br />
โดยสวนใหญเจาของโครงการมักจะกําหนดขอบเขต<br />
พื้นที่สํารวจไวแลว แตผูสํารวจฯ ตองตรวจสอบ<br />
ขอบเขตของพื้นที่สํารวจที่กําหนดไวแลว จะจัดเก็บ<br />
ขอมูลดานอุทกธรณีวิทยาไดตามวัตถุประสงคของงาน<br />
หรือไม ตัวอยางเชนการศึกษาผลกระทบจากการสูบ<br />
น้ําเกลือใตดินในพื้นที่ทําเกลือ เจาของโครงการอาจ<br />
กําหนดขอบเขตพื้นที่สํารวจไวเฉพาะพื้นที่ทําเกลือแต<br />
ในทางอุทกธรณีวิทยาการสูบน้ําใตดิน ณ จุดใดจุด<br />
หนึ่งจะมีผลกระทบเปนวงกวางตามทิศทางการไหล<br />
ของน้ําบาดาล ดังนั้น จําเปนตองกําหนดขอบเขต<br />
พื้นที่สํารวจตามสภาพอุทกธรณีวิทยาใหเหมาะสม<br />
สําหรับการสํารวจฯ ในการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาสวนใหญมักจะกําหนดขอบเขตของหมูบาน<br />
ที่ขาดแคลนแหลงน้ํา หรือขอบเขตพื้นที่โครงการ<br />
ตางๆ เปนขอบเขตพื้นที่สํารวจ เพราะการเจาะบอน้ํา<br />
บาดาลนอกพื้นที่หมูบานหรือนอกพื้นที่โครงการอาจ<br />
เกิดปญหาความขัดแยงขึ้นภายหลัง แตการสํารวจฯ<br />
บางครั้งอาจจําเปนตองกําหนดขอบเขตพื้นที่สํารวจ<br />
ตามสภาพอุทกธรณีวิทยาของพื้นที่ สําหรับเปนขอมูล<br />
ในการนําขอเสนอแนะจากการสํารวจฯ ตัวอยางเชน<br />
ผลจากการสํารวจธรณีฟสิกสปรากฏวาภายในหมูบาน<br />
หรือพื้นที่โครงการไมมีแหลงน้ําบาดาลเพียงพอ อาจ<br />
จําเปนตองเจาะบอนอกขอบเขตหมูบานหรือพื้นที่<br />
โครงการ หรืออาจจําเปนตองพัฒนาน้ําบาดาลใหได<br />
ปริมาณน้ําที่เพียงพอโดยการเจาะกลุมบอ ซึ่งจะตอง<br />
ขยายพื้นที่สํารวจออกนอกพื้นที่หมูบานหรือพื้นที่<br />
โครงการ เปนตน<br />
6.1.3 งานสรางแบบจําลองเชิงมโนทัศนของ<br />
พื้นที่สํารวจ<br />
ตองทําควบคูกับการวางแผนการสํารวจ<br />
ผลของแบบจําลองฯจะชวยในการตัดสินใจวางแผน<br />
เลือกวิธีการสํารวจที่เหมาะสมไดในขั้นตน และ<br />
หลังจากที่ไดขอมูลภาคสนาม แบบจําลองเชิงมโน<br />
ทัศนของพื้นที่สํารวจจะกลายเปนแบบจําลองอุทก<br />
ธรณีวิทยาเชิงมโนทัศนในที่สุด วิธีการจัดทําแผนการ<br />
สํารวจและแบบจําลองฯอยูในหัวขอ 6.3<br />
6.2 การรวบรวมจัดเก็บขอมูลและการเตรียม<br />
การสํารวจฯ<br />
6.2.1 การรวบรวมจัดเก็บขอมูล<br />
การรวบรวมจัดเก็บขอมูลตามมาตรฐาน<br />
ทบ ส 1000-2550 ไดกําหนดขั้นตอนการศึกษา<br />
รวบรวมขอมูลจากเอกสารตางๆ ดังตอไปนี้<br />
แผนที่ภูมิประเทศ สําหรับแผนที่ภูมิ<br />
ประเทศมาตราสวน 1:50,000 ไดกําหนดใหใชแผนที่<br />
ระบบ WGS-84 โดยมีขอระวังการใชเครื่อง GPS ใน<br />
การกําหนดจุดพิกัด เนื่องจากพื้นที่ประเทศไทยอยู<br />
ระหวาง UTM Zone 2 zones คือ โซน 47 และโซน<br />
48 โดยดานตะวันออกคือพื้นที่สวนใหญของอีสานอยู<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 5<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ในโซน 48 การกําหนดตําแหนงจุดพิกัดตางๆ ใน<br />
สนามจะตองปรับเปลี่ยนใหอยูในโซนที่ถูกตอง<br />
สําหรับขอมูลสืบหาไดจากแผนที่ภูมิ<br />
ประเทศ ประกอบดวยขอมูลหมวดตางๆ คือ (1) การ<br />
ปกครอง (2) การคมนาคม (3) ภูมิประเทศ (4) อุทก<br />
วิทยา (5) การใชประโยชนที่ดิน<br />
(1) ขอมูลทางดานการปกครอง ไดแก<br />
ขอมูลเกี่ยวกับตําแหนงที่ตั้งและอาณาเขต หรือเขต<br />
การปกครองของอําเภอ ตําบล เขตสุขาภิบาล และ<br />
หมูบานตางๆ รวมทั้งตําแหนงที่ตั้งของวัด โรงเรียน<br />
และตําแหนงจุดพิกัดของพื้นที่สํารวจ<br />
ขอจํากัดการปกครองจากแผนที่ภูมิ<br />
ประเทศ มาตราสวน 1:50,000 ก็คือปญหาการเกิด<br />
ใหมของตําบลและหมูบานตางๆ ซึ่งในชวงระยะ 10 ป<br />
ที่ผานมา มีหมูบานและตําบลใหมเกิดเปนจํานวนมาก<br />
และการปรับปรุงแกไขแผนที่ยังไมทันเหตุการณการ<br />
เปลี่ยนแปลงดังกลาว อยางไรก็ตาม ตําแหนงที่ตั้งของ<br />
วัดและโรงเรียนตางๆ ตามหมูบานตางๆ ในแผนที่ มัก<br />
เปนตําแหนงที่ถูกตองใกลเคียงความเปนจริง<br />
(2) การคมนาคม เปนขอมูลเกี่ยวกับการ<br />
เขาถึงพื้นที่สํารวจหรือเสนทางคมนาคมระดับตางๆ<br />
ตั้งแตระดับทางหลวงแผนดินไปจนถึงทางเทา โดยใน<br />
แผนที่จะกําหนดระดับถนน ตั้งแตระดับ 1 ถึง 9 คือ<br />
ระดับที่ 1 เปนทางหลวงแผนดิน ระดับที่ 8 เปนทาง<br />
เทา สวนระดับที่ 9 เปนทางรถไฟ แตเนื่องจาก<br />
ปจจุบันมีการกอสรางถนนคอนขางมาก ควรสืบหา<br />
ขอมูลการเปลี่ยนแปลงของถนนตางๆ จากแผนนี่ทาง<br />
หลวง ของกรมทางหลวง ซึ่งมีการแกไขปรับปรุงทุกป<br />
(3) หมวดภูมิประเทศ แสดงลักษณะ<br />
พื้นผิวภูมิประเทศของพื้นที่สํารวจ และพื้นที่ใกลเคียง<br />
เชน ทางน้ําระดับตางๆ แหลงน้ําผิวดินตางๆ เสน<br />
แสดงระดับความสูงของพื้นที่ รวมทั้งลักษณะพื้นผิว<br />
ภูมิประเทศอื่นๆ เชน พื้นที่เทือกเขา พื้นที่เนินเขา<br />
พื้นที่ลาดเอียงเชิงเขา ที่ราบลุมระหวางเขา เปนตน<br />
(4) ขอมูลทางดานอุทกวิทยา เปนขอมูล<br />
เกี่ยวของกับสภาพทางอุทกวิทยา หรือสภาพแหลงน้ํา<br />
ผิวดินของพื้นที่ เชน หวย หนอง บึง และแหลงน้ําผิว<br />
ดินอื่นๆ รูปแบบของทางน้ํา ความหนาแนนของทาง<br />
น้ํา ทิศทางการไหลของทางน้ํา สันปนน้ํา รวมไปถึง<br />
ขนาดพื้นที่แหลงรับน้ําเพื่อประมาณการปริมาณน้ําฝน<br />
ที่จะไหลเขาสูแองน้ําบาดาลในแตละป<br />
(5) ขอมูลการใชประโยชนที่ดิน แผนที่<br />
ภูมิประเทศมาตราสวน 1:50,000 ไดลงขอมูลเกี่ยวกับ<br />
การใชประโยชนที่ดินพอสมควร เปนตนวาพื้นที่ปาไม<br />
ปาชายเลน พื้นที่ไรนา หรือพื้นที่หมูบานและพื้นที่<br />
สาธารณประโยชนอื่นๆ เชน วัด โรงเรียน สนามกีฬา<br />
เปนตน นอกจากนี้ยังมีขอมูลบางสวนเกี่ยวเนื่องกับ<br />
ขอมูลทางอุทกธรณีวิทยา เชน พื้นที่ชายหาด แนว<br />
เนินกันน้ํา แนวคดโคงของทางน้ํา และพื้นที่เหมือง<br />
เปนตน<br />
ขอมูลหมวดตางๆ ที่ปรากฏบนแผนที่ภูมิ<br />
ประเทศลวนเปนขอมูลในชวงระหวางการทําแผนที่<br />
และจะมีการเปลี่ยนแปลงไปตามกาลเวลา ดังนั้นกอน<br />
ทําการสํารวจฯ ตองมีการตรวจสอบขอมูลปจจุบันจาก<br />
ภาพถายการรับรูระยะไกล เชน Google Earth เปน<br />
ตน<br />
ภาพถายทางอากาศและภาพถายการรับรู<br />
ระยะไกล สามารถใชประโยชนเกี่ยวกับการสํารวจฯ<br />
ไดเปนอยางดี ทั้งนี้เพราะสามารถมองเห็นลักษณะ<br />
ของพื้นผิวโลกไดเปนบริเวณกวางเห็นลักษณะ<br />
พื้นผิวโลกเปน 3 มิติ เสมือนหนึ่งการมองพื้นผิวโลก<br />
จากเครื่องบินหรือจากอวกาศ ดังนั้นภาพถายทาง<br />
อากาศและภาพถายการรับรูระยะไกล นอกจากจะใช<br />
ปรับปรุงขอมูลหมวดตางๆ ตามที่ปรากฏบนแผนที่ภูมิ<br />
ประเทศใหเปนขอมูลปจจุบันแลว ยังใชแปลคาหา<br />
ขอมูลดานตางๆ อันเกี่ยวเนื่องกับการสํารวจอุทก<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 6<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ธรณีวิทยาอื่นๆ ไดอีกเปนตนวา<br />
(1) ขอมูลดานธรณีวิทยาสัณฐาน เปน<br />
ขอมูลดานขอบเขตแอง พื้นที่รับน้ํา รูปแบบทางน้ํา<br />
ความหนาแนนทางน้ํา ในสวนที่แสดงไวไดไมหมดใน<br />
แผนที่ภูมิประเทศ สําหรับเสนทางการคมนาคมและ<br />
การใชประโยชนของที่ดิน เชน บริเวณที่อยูอาศัย<br />
พื้นที่เพาะปลูก หรือพื้นที่ปาไม หรือพื้นที่แหลง<br />
อุตสาหกรรม เปนตน มักจะไดขอมูลที่เปนปจจุบัน<br />
มากกวาแผนที่ภูมิประเทศ<br />
(2) ขอมูลดานธรณีวิทยาภูมิภาค<br />
(regional geology) เปนขอมูลเกี่ยวกับ การกําหนด<br />
ขอบเขตของชั้นหินชนิดตางๆ (อยางคราวๆ) ใน<br />
บริเวณพื้นที่สํารวจได ทั้งนี้โดยการแปลคาจากความ<br />
เขม และจากความหยาบหรือละเอียดของเม็ดสี<br />
(texture) รวมทั้งรูปแบบของทางน้ําในหินชนิดตางๆ<br />
จะมีรูปแบบที่แตกตางกัน ซึ่งเมื่อนําผลจากการแปล<br />
ภาพถายดังกลาวไปตรวจสอบสภาพธรณีวิทยาใน<br />
สนาม ก็สามารถจะจัดทําเปนแผนที่ธรณีวิทยาได<br />
ตอไป<br />
(3) ขอมูลดานธรณีวิทยาโครงสราง จาก<br />
ภาพถาย จะสามารถแปลคาแนวเสนตรงตางๆ ที่<br />
ปรากฏบนภาพถาย ซึ่งอาจจะเปนแนวรอยเลื่อน<br />
(faults) ระบบแนวรอยแตก (jointing systems) ใน<br />
ชั้นหิน แนวรอยเลื่อนรอยแตกในชั้นหิน (fractured<br />
zones) ซึ่งเกิดจากระบบการแตกเลื่อน รวมไปถึง<br />
โพรงถ้ํา รูปแบบและประเภทของโพรงถ้ําในแหลง<br />
หินปูน ซึ่งเปนขอมูลสําคัญสําหรับกําหนดจุดเจาะบอ<br />
น้ําบาดาลในพื้นที่หินแข็งเกือบทุกชนิด ทั้งนี้เพราะ<br />
หินแข็งสวนใหญ มักเปนหินเนื้อแนนไมมีชองวางปฐม<br />
ภูมิที่จะกักเก็บน้ําบาดาลได ดังนั้นในพื้นที่ดังกลาว<br />
การหาน้ําบาดาลหรือการกําหนดจุดเจาะบอน้ําบาดาล<br />
จึงจําเปนตองสํารวจคนหาบริเวณที่เปนแนวรอยแตก<br />
ในเนื้อหินเทานั้น โดยมีหลักเกณฑการคนหาแนว<br />
รอยแตกขนาดใหญๆ และมีการเชื่อมตอระหวางรอย<br />
แตกมากๆ ดังนั้นการเดินสํารวจหรือการสํารวจ<br />
ภาคพื้นดิน เพื่อหารอยแตกของชั้นหินในสนามจะมี<br />
ขอเสียเปรียบ เพราะจะไดขอมูลเฉพาะตรงจุดสํารวจ<br />
เทานั้น ซึ่งอาจไมเพียงพอที่จะประมาณการความ<br />
กวางใหญ และระบบการเชื่อมตอของรอยแตกแยกได<br />
แตการสํารวจคนหารอยแตกโดยอาศัยภาพถายทาง<br />
อากาศหรือภาพถายการรับรูระยะไกล จะมองเห็น<br />
พื้นที่เปนบริเวณกวางในคราวเดียวกัน ทําใหสามารถ<br />
เห็นระบบรอยแตกรอยเลื่อนทั้งระบบไดอยางชัดเจน<br />
ดังนั้นภาพถายจึงมีความสําคัญเปนอยางมากเกี่ยวกับ<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาในบริเวณพื้นที่ดังกลาว<br />
แผนที่ ธรณี วิ ทยาและแผนที่ อุ ทก<br />
ธรณีวิทยา ที่มีอยูในปจจุบันเปนแผนที่ที่มีมาตราสวน<br />
ขนาดเล็ก ซึ่งเหมาะสําหรับการวางแผนการพัฒนา<br />
แหลงน้ําบาดาลระดับประเทศหรือระดับภาคหรือระดับ<br />
จังหวัด ไมสามารถใชในการกําหนดตําแหนงจุดเจาะ<br />
บอน้ําบาดาลในหมูบาน โดยเฉพาะอยางยิ่งหมูบานที่<br />
มีศักยภาพทางน้ําบาดาลต่ํา ซึ่งผลของการเจาะบอน้ํา<br />
บาดาลบางครั้งหางกันเพียงไมกี่เมตร ก็อาจได<br />
ปริมาณน้ําบาดาลที่แตกตางกันสูงมาก อยางไรก็ตาม<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยามาตราสวน 1:500,000 และแผน<br />
ที่น้ําบาดาลรายจังหวัด มาตราสวน 1:100,000<br />
ดังกลาวขางตน ใหขอมูลสําคัญๆ สําหรับการสํารวจ<br />
แหลงน้ําไดเปนอยางดี คือ<br />
- ขอมูลรายละเอียดเกี่ยวกับธรณีวิทยา<br />
ทั่วๆ ไป<br />
- ขอมูลรายละเอียดเกี่ยวกับธรณีวิทยา<br />
โครงสราง<br />
- ขอมูลรายละเอียดเกี่ยวกับประเภทของ<br />
ชั้นน้ําบาดาล เชน น้ําบาดาลในหนวย<br />
หินตางๆ<br />
- ขอมูลดานการลําดับชั้นหินอุมน้ํา<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 7<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
- ขอมูลดานปริมาณน้ําบาดาล<br />
- ขอมูลดานคุณภาพน้ําบาดาล<br />
- ขอมูลดานชนิดและระดับความลึกของ<br />
ชั้นน้ําบาดาลโดยประมาณ<br />
การศึกษาขอมูลทางอุทกธรณีวิทยาจาก<br />
แผนที่ดังกลาวขางตนจะไดขอมูลมากเพียงพอ<br />
สําหรับการสรางแบบจําลองเชิงมโนทัศนของพื้นที่<br />
สํารวจใหชัดเจนและถูกตองยิ่งขึ้น<br />
ขอมูลการเจาะบอน้ําบาดาล ซึ่งเจาะโดย<br />
หนวยงานของรัฐทั่วประเทศ ประมาณ 200,000 บอ<br />
และประมาณการไววามีบอน้ําบาดาลที่เจาะโดย<br />
ภาคเอกชนอีกไมนอยกวา 150,000 บอ กระจัด<br />
กระจายอยูทั่วประเทศ แตขณะนี้มีขอมูลการเจาะที่<br />
สมบูรณเพียงไมเกิน 70,000 บอ ศูนยสารสนเทศ<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาลไดติดตามและรวบรวมขอมูล<br />
ดังกลาวใหสมบูรณมากที่สุดเทาที่เปนไปได สําหรับ<br />
ประโยชนที่ไดจากขอมูลการเจาะ โดยเฉพาะอยางยิ่ง<br />
เกี่ยวกับการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน สรุปได<br />
ดังตอไปนี้ คือ<br />
- ขอมูลชั้นดินหินที่ระดับความลึกตางๆ<br />
- ขอมูลชนิด ความลึกและความหนาของ<br />
ชั้นน้ําบาดาล<br />
- ขอมูลคุณสมบัติของชั้นน้ําบาดาล และ<br />
ปริมาณน้ําที่สูบได<br />
- ขอมูลคุณภาพน้ําบาดาล<br />
- ขอมูลระดับน้ําบาดาล<br />
- ขอมูลอุทกธรณีวิทยาดานอื่นๆ<br />
รายงานการสํารวจอุทกธรณีวิทยา กรม<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาล มีรายงานประเภท “Groundwater<br />
Open-file Report” ประมาณ 300 เรื่อง ซึ่งเปน<br />
รายงานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาพื้นที่ตางๆทั่ว<br />
ประเทศ นอกจากนี้ฝายสํารวจน้ําบาดาล ไดจัดทํา<br />
เอกสารรายงานการสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง โดย<br />
รวบรวมรายงานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาในพื้นที่<br />
ตางๆ ในลักษณะเปน “บันทึกรายงานการสํารวจ”<br />
(Notes of Groundwater Investigation) จํานวนไม<br />
นอยกวา 2,500 ฉบับ รายงานการสํารวจ ดังกลาว<br />
สามารถใชเปนกรณีตัวอยางสําหรับการสํารวจฯใน<br />
พื้นที่ที่มีสภาพอุทกธรณีคลายคลึงกัน<br />
6.2.2 วิธีการเตรียมแผนที่พื้นฐาน<br />
(1) ขั้นตอนการลงตําแหนงพื้นที่สํารวจ<br />
สําหรับการสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง ใหขยายแผน<br />
ที่ภูมิประเทศ มาตรสวน 1:50,000 ครอบคลุมพื้นที่<br />
สํารวจในมาตราสวนที่เหมาะสม<br />
(2) ตรวจสอบและแกไขขอมูลหมวดตางๆ<br />
ในแผนที่ภูมิประเทศดวยภาพถายการรับรูระยะไกล<br />
เพื่อใหไดขอมูลที่เปนปจจุบันมากที่สุด อยางนอยตอง<br />
ตรวจสอบดวยภาพถายการรับรูระยะไกล Google<br />
Earth<br />
(3) ตรวจสอบและแกไขขอมูลหมวดธรณี<br />
วิทยาและอุทกธรณีวิทยาดวยภาพถายทางอากาศ<br />
โดยเฉพาะอยางยิ่งในพื้นที่ที่จําเปนตองสํารวจหาน้ํา<br />
บาดาลในชั้นหินแข็ง กําหนดตําแหนงจุดตรวจสอบ<br />
ตางๆ ที่จําเปนตองสํารวจตรวจสอบภาคสนามลงใน<br />
แผนที่พื้นฐาน<br />
(4) กําหนดขอบเขตพื้นที่สํารวจลงในแผน<br />
ที่พื้นฐาน ซึ่งนอกจากจะมีขอบเขตครอบคลุมพื้นที่<br />
หมูบานแลว ยังตองครอบคลุมพื้นที่ที่มีโครงสรางทาง<br />
ธรณีวิทยาหรือหนวยหินทางอุทกธรณีวิทยาที่<br />
เอื้ออํานวยตอการใหน้ําบาดาล เชนแนวรอยเลื่อน<br />
หรือแนวรอยแตก หรือชั้นหินที่กักเก็บน้ําบาดาลอื่นๆ<br />
เปนตน และบางครั้งอาจจําเปนตองครอบคลุมไปถึง<br />
แหลงน้ําผิวดินอื่นๆ ที่ปรากฏในพื้นที่ขางเคียง<br />
(5) ลงตําแหนงบอน้ําบาดาลที่ไดเจาะไว<br />
แลวพรอมขอมูลบอในแผนที่พื้นฐาน รวมทั้งการลง<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 8<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตําแหนงพื้นที่สํารวจจากรายงานการสํารวจน้ําบาดาล<br />
เฉพาะแหงที่เคยสํารวจไวแลวในพื้นที่ขางเคียง<br />
6.3 วิธีการจัดทําแผนการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
บนผิวดินและแบบจําลองเชิงมโนทัศนของพื้นที่สํารวจ<br />
6.3.1 วิธีการจัดทําแผนการสํารวจอุทกธรณี<br />
วิทยาบนผิวดิน<br />
จากขั้นตอนที่ผานมาการวางแผนการ<br />
สํารวจไดกําหนดวัตถุประสงคของงาน และรวบรวม<br />
ขอมูลตางๆ บริเวณพื้นที่สํารวจและพื้นที่ขางเคียง<br />
เพื่อนําขอมูลตางๆ มาวิเคราะหเพื่อจัดทําแผนการ<br />
สํารวจฯและแบบจําลองฯ ตอไป<br />
จากการวิเคราะหขอมูลทั้งหมด สิ่งที่ตอง<br />
ทราบเพื่อนํามาทําแผนการสํารวจฯภาคสนาม ไดแก<br />
ประเภทและปริมาณขอมูลที่ตองตรวจสอบเพิ่มเติม<br />
เพื่อจะกําหนดวิธีตรวจสอบขอมูลและวิธีการจัดเก็บ<br />
ขอมูลที่ตองการ โดยการจัดทําแผนการสํารวจจะทํา<br />
ควบคูไปกับการสรางแบบจําลองเชิงมโนทัศนของ<br />
พื้นที่สํารวจ โดยแผนการสํารวจจะเปนสวนประกอบ<br />
ของแบบจําลองฯดวย ผลของแบบจําลองฯจะทําให<br />
ทราบวิธีการสํารวจที่เหมาะสมกับพื้นที่สํารวจมาก<br />
ที่สุด<br />
แผนการสํารวจ ประกอบดวย<br />
- วิธีการสํารวจและจัดเก็บขอมูล<br />
ภาคสนาม<br />
- แผนการใชบุคลากรและเครื่องมือ<br />
ที่จําเปนในการสํารวจ<br />
- แผนการใชบุคลากรและเวลาที่ใช<br />
ในการ สํารวจ<br />
6.3.2 วิธีการจัดทําแบบจําลองเชิงมโนทัศนของ<br />
พื้นที่สํารวจ<br />
ตามมาตรฐาน ทบ ป 3000-2550 การ<br />
สรางแบบจําลองเชิงมโนทัศนของพื้นที่สํารวจ อยาง<br />
นอยตองประกอบดวย 3 ขั้นตอน คือ (1) สรางแนว<br />
คิดเพื่อแกปญหาของพื้นที่นั้น (2) กําหนดสวน<br />
ประกอบของแบบจําลองฯ ประกอบดวย แผนการ<br />
สํารวจและการสอบทานวิธีการสํารวจ (3) การทวน<br />
สอบแบบจําลองฯ<br />
(1) แนวคิดการจัดทําแบบจําลองเชิง<br />
มโนทัศนของพื้นที่สํารวจ<br />
แตละพื้นที่สํารวจอาจมีแบบจําลองฯ<br />
หลายรูปแบบขึ้นอยูกับขอมูลเบื้องตนที่ไดจากการ<br />
รวบรวมและศึกษาดังกลาวขางตน ตัวอยางเชน<br />
แนวคิดในการแกไขปญหาความขาดแคลนแหลงน้ํา<br />
ของพื้นที่สํารวจนั้นๆ เปนตนวา พื้นที่สํารวจบริเวณ<br />
เชิงเขาและมีแนวคิดวาสามารถแกไขปญหาดวยน้ํา<br />
บาดาล อาจเสนอแนวคิดโดยการจัดทําแบบจําลองฯ<br />
ได 3 รูปแบบคือ รูปแบบที่ 1 สํารวจหาน้ําบาดาล<br />
ระดับตื้นจากชั้นกรวดทรายตอนบน รูปแบบที่ 2<br />
สํารวจหาน้ําบาดาลระดับลึกจากชั้นหินแข็งที่ถูกปด<br />
ทับอยูขางลาง และรูปแบบที่ 3 ในกรณีที่พื้นที่สํารวจมี<br />
แหลงน้ําบาดาลไมเพียงพอ อาจเสนอแนวคิดในการ<br />
สํารวจหาน้ําบาดาลจากพื้นที่ขางเคียง แตหากพื้นที่<br />
สํารวจและพื้นที่ขางเคียงไมมีแหลงน้ําบาดาลไม<br />
เพียงพอและมีแหลงน้ําผิวดินที่นาจะพัฒนาขึ้นใช<br />
แกปญหาได ก็อาจเสนอแบบจําลองฯ ในการแกไข<br />
ปญหาความขาดแคลนแหลงน้ําของพื้นที่สํารวจนั้น<br />
ดวยแหลงน้ําผิวดิน และหากพื้นที่สํารวจและพื้นที่<br />
ขางเคียงไมมีทั้งแหลงน้ําบาดาลและมีแหลงน้ําผิวดินที่<br />
จะพัฒนาขึ้นใชได ก็อาจเสนอแบบจําลองฯ ในการ<br />
แกไขปญหาความขาดแคลนแหลงน้ําของพื้นที่สํารวจ<br />
นั้น ระบบถังน้ํากลาง (water bank systems) หรือการ<br />
สรางถังกักเก็บน้ําฝนตามครัวเรือนตางๆ หรือการ<br />
สรางโองแจกโอง<br />
(2) สวนประกอบของแบบ จําลองเชิง<br />
มโนทัศนของพื้นที่สํารวจ<br />
สวนประกอบที่สําคัญมี 2 สวนคือ สวนที่ 1<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 9<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
แผนการสํารวจ ซึ่งจัดทําขึ้นเพื่อใหบรรลุวัตถุประสงค<br />
ของโครงการที่ตั้งไว โดยสวนสําคัญของแผนการ<br />
สํารวจ ไดแก วิธีการสํารวจและจัดเก็บขอมูล แผนการ<br />
ใชบุคลากรและเครื่องมือ แผนการใชบุคลากรและเวลา<br />
สวนที่ 2 การสอบทานวิธีการสํารวจในแผนการสํารวจ<br />
ในกรณีที่มีวิธีการสํารวจสําหรับการจัดเก็บขอมูล<br />
ประเภทเดียวกันหลายวิธี จะตองสอบทานเพื่อพิสูจน<br />
ใหเห็นวา วิธีการสํารวจที่เลือกใชเปนวิธีที่เหมาะสม<br />
มากที่สุด<br />
(3) การทวนสอบแบบจําลองเชิงมโน<br />
ทัศนของพื้นที่สํารวจ<br />
ในกรณีที่มีแบบจําลองฯที่จะใชในการ<br />
แกไขปญหาของพื้นที่หลายรูปแบบ ดังตัวอยางในขอ<br />
(1) เพื่อพิสูจนใหเห็นวา แบบจําลองฯ ที่เลือกใชเปน<br />
รูปแบบที่เหมาะสมมากที่สุด<br />
6.4 คูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาภาคสนาม<br />
งานสํารวจภาคสนามเปนงานพื้นฐานของ<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยา ไมวาการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยานั้นจะมีวัตถุประสงคใดก็ตาม ผูสํารวจตอง<br />
สํารวจขอมูลทางดานอุทกธรณีวิทยา และทําความ<br />
เขาใจในดานธรณีวิทยาน้ําบาดาลของพื้นที่สํารวจให<br />
ละเอียดวาในบริเวณพื้นที่สํารวจจะหาน้ําบาดาลได<br />
จากหินชนิดใด มีชั้นน้ําบาดาลกี่ชั้น แตละชั้นมี<br />
ขอบเขตและลักษณะการแผขยายตัวเปนแบบใด<br />
ดังนั้นการสํารวจทางดานอุทกธรณีวิทยาอันเกี่ยวเนื่อง<br />
กับงานในดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยา อาจแบง<br />
ออกเปนการสํารวจในหมวดตางๆ ไดดังนี้<br />
6.4.1 การสํารวจดานภูมิประเทศธรณี<br />
สัณฐานวิทยา ขอมูลดานภูมิประเทศและธรณีสัณฐาน<br />
วิทยาของพื้นที่สํารวจ โดยขอมูลสวนใหญไดจาก<br />
ขั้นตอนการรวบรวมขอมูล เชน ขอมูลจากแผนที่ภูมิ<br />
ประเทศ และขอมูลจากการแปลความหมายภาพถาย<br />
ทางอากาศและภาพถายการรับรูระยะไกล สําหรับการ<br />
สํารวจภาคสนามจะเปนการตรวจสอบความถูกตอง<br />
ของขอมูลที่ไดจากการแปลความหมายดังกลาว และ<br />
งานที่จะตองปฏิบัติในภาคสนาม โดยสรุปดังนี้ คือ<br />
(1) การสํารวจคนหาแหลงน้ําซึมน้ําซับ<br />
ตามพื้นที่ที่ลาดเอียงเชิงเขา<br />
(2) การสํารวจคนหารองรอยของธารน้ํา<br />
ใตผิวดินระดับตื้น<br />
(3) การสํารวจตรวจสอบระดับความสูง<br />
ของพื้นที่ ของจุดสํารวจตางๆ อาจใชระดับความสูง<br />
เปรียบเทียบ เพื่อใชเปนขอมูลสําคัญสําหรับการ<br />
ประมาณการทิศทางการไหลของน้ําบาดาล<br />
6.4.2 การสํารวจดานอุทกธรณีวิทยา<br />
ภูมิภาค ขอมูลบางสวนอาจไดจากการแปล<br />
ความหมายภาพถายอากาศและภาพถายการรับรู<br />
ระยะไกล และจากแผนที่ธรณีวิทยาและแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยามาตราสวนตางๆ เปนตนวา ขอมูลในดาน<br />
ชนิดของหินและการเรียงลําดับชั้นหิน หนวยหินทาง<br />
ธรณีวิทยาและทางอุทกธรณีวิทยา ดังนั้นการสํารวจ<br />
เพื่อคนหาขอมูลทางดานอุทกธรณีวิทยา สําหรับการ<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยาในภาคสนามซึ่งโดยสวนใหญ<br />
จะตองสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยารายละเอียด<br />
ของพื้นที่สํารวจ ในมาตราสวน 1:25,000 หรือ<br />
1:5,000 จึงมีความจําเปนตองตรวจสอบขอมูลที่ได<br />
จากขั้นตอนการเตรียมการ รวมไปถึงการสํารวจ<br />
รายละเอียดเพิ่มเติม ไดแก การสํารวจเพื่อทราบชนิด<br />
และคุณสมบัติในการกักเก็บน้ําบาดาล รวมถึง<br />
คุณสมบัติทางชลศาสตรอื่นๆของหินในพื้นที่สํารวจ<br />
โดยเฉพาะหินที่เปนแหลงใหน้ําบาดาลหรือเปนชั้นหิน<br />
อุมน้ํา รวมทั้งการเรียงลําดับชั้นหินหรือหนวยลําดับ<br />
ชั้นหินทางอุทกธรณีวิทยา (hydrogeological sequences)<br />
ของพื้นที่สํารวจโดยละเอียด ตามมาตรฐาน<br />
ASTM D 5879-93 ไดกําหนดมาตรฐานการตรวจสอบ<br />
กลุมหินตางๆ ไวดัง ตอไปนี้<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 10<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(1) ชนิดของหิน พรอมคํานิยามของหิน<br />
(definitive and adjectives) ตัวอยางเชน<br />
หินทราย, อารโคสิก (ประกอบดวย<br />
แรเฟลดสปารมาก) (Sandstone, arkosic)<br />
หินปูน, มีลักษณะเนื้อทราย, แสดง<br />
ชั้นหินชัดเจน (Limestone, sandy, well-bedded)<br />
(2) สีหิน (color and range) อธิบายให<br />
ชัดเจน ตัวอยางเชน มีสีแดงเขมถึงน้ําตาลแดง(crimson<br />
to reddish brown), มีริ้วสีเหลืองหรือออกเหลือง<br />
แสดงถึงทิศทางการไหลของน้ํา (small yellow yellowish<br />
strip presented according to water flow direction)<br />
(3) ลักษณะเนื้อหิน (texture) ตัวอยาง<br />
เชน (เม็ดแรหรือเม็ดตะกอน) มีขนาดปานกลางถึง<br />
ละเอียด (medium to fine grained), มีการคัดขนาดดี<br />
(well sorted), (เม็ดแรหรือเม็ดตะกอน) แสดงลักษณะ<br />
มีเหลี่ยมมุมถึงมีเหลี่ยมบางดาน (angular to subangular)<br />
(4) แรประกอบหิน (rock forming<br />
minerals) ตัวอยางเชน แรควอรตซ (quartz) ไมโคร<br />
ไคลน (microcline) ไบโอไทต (biotite) มัสโคไวต<br />
(muscovite) คลอไรต (chlorite) เปนตน<br />
(5) ระดับความแข็งของเนื้อหิน (rock<br />
hardness scale) ระดับความผุกรอนของเนื้อหิน ระบุ<br />
ตามตารางที่ 3 (degree of weathering) ตาม<br />
Terzaghi’s Guide ระบุตามตารางที่ 4 (ภาคผนวก)<br />
(6) ชนิดของวัสดุที่ไดจากการผุพัง<br />
(types of weathering products) ตัวอยางเชน แรดิน<br />
(clay), ทราย (sand), ทรายปนแรดิน (clayey sand)<br />
เปนตน<br />
6.4.3 การสํารวจดานโครงสรางธรณี<br />
วิทยา การสํารวจอุทกธรณีวิทยาโดยเฉพาะอยางยิ่ง<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาในบริเวณพื้นที่ที่หินใหน้ํา<br />
เปนหินแข็ง ขอมูลดานโครงสรางธรณีวิทยาจะเปน<br />
ขอมูลที่มีความสําคัญอยางยิ่ง ทั้งนี้เนื่องจากหินแข็ง<br />
โดยสวนใหญแลวมักเปนหินแข็งเนื้อแนนไมมีรูพรุน<br />
ปฐมภูมิสําหรับการกักเก็บน้ําบาดาล แตกักเก็บน้ํา<br />
บาดาลตามชองวางทุติยภูมิหรือที่เกิดจากโครงสราง<br />
ธรณีวิทยา โครงสรางธรณีวิทยาที่เอื้ออํานวยตอการ<br />
กักเก็บน้ําบาดาลในแหลงหินแข็งไดแก โครงสราง<br />
ตางๆ ตามมาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 ซึ่งไดกําหนด<br />
มาตรฐานขั้นต่ําในการตรวจสอบขอมูลธรณีวิทยา<br />
โครงสรางในสนาม โดยแบงออกเปน 2 หมวดคือ<br />
หมวดที่ 1 ธรณีวิทยาโครงสรางที่มีผลทําใหเกิด<br />
ลักษณะผิดวิสัยของชั้นหิน (rock defects) เชน ระบบ<br />
แนวรอยแยกในชั้นหิน (jointing system) แนวรอย<br />
เลื่อน (faults) การผุกรอนของเนื้อหิน(weathering<br />
and decomposition) และหมวดที่ 2 โครงสรางในเนื้อ<br />
หินชนิดตางๆ คือ หินตะกอน (sedimentary rocks)<br />
หินแปรและหินอัคนี ดังนี้<br />
(1) ระบบแนวรอยแยกในชั้นหิน ให<br />
ตรวจแนวรอยแยกวา เปนแนวรอยที่เปดหรือปด หาก<br />
เปนแนวรอยแยกปดใหตรวจสอบวัสดุประสาน<br />
(cementing materials) รวมทั้งใหตรวจวัดขนาด<br />
ระยะหาง จํานวน และทิศทางการวางตัวของระบบ<br />
แนวรอยแยกที่สําคัญ<br />
(2) แนวรอยเลื่อน ใหระบุชนิดของแนว<br />
รอยเลื่อน (dip-slip, normal, reverse, thrust, strikeslip)<br />
ใหตรวจวัดขนาดของแนวรอยเลื่อนและขนาด<br />
ของการเคลื่อนตัว (displacement) ใหระบุชนิดวัสดุที่<br />
ทับถมอยูในแนวรอยเลื่อนนั้น (filling materials :<br />
mylonite, gouge, breccia)<br />
(3) การผุกรอนของเนื้อหิน โดยให<br />
ตรวจสอบระดับการผุกรอนทางกลศาสตร (mechanical<br />
weathering) ระดับการผุกรอนทางเคมี (chemical<br />
weathering) ระดับการผุกรอนอันเกิดจากสายน้ําแร<br />
รอน (hydrothermal) และระดับการผุกรอนอันเกิดจาก<br />
ปฏิกิริยาออกซิเดชั่น (oxidation reaction)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 11<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(4) ในกลุมหินตะกอน ใหระบุประเภท<br />
ของชั้นหิน (stratified, bedded, massive, lensed)<br />
ตรวจสอบระดับการประสานตัวและชนิดของวัตถุ<br />
ประสาน (degree of cementation and type of<br />
cementing materials) ตรวจหาการวางตัวเฉียงระดับ<br />
(cross-bedding) ซึ่งสามารถสืบหาทิศทางการไหล<br />
ของทางน้ําในอดีตกาล และซากดึกดําบรรพ (fossils)<br />
ซึ่งสามารถสืบหาอายุของชั้นหิน<br />
(5) ในกลุมหินแปร ใหระบุระดับการแปร<br />
สภาพของหิน (grade of metamorphism) และ<br />
ลักษณะเนื้อหิน (migmatitic, cataclastic, schistose,<br />
gneissic, foriated)<br />
(6) ในกลุมหินอัคนี ใหระบุลักษณะเนื้อ<br />
หิน (alphanitic, porphyritic, zoned, dike, intrusive,<br />
extrusive, flow banding)<br />
นอกจากนี้ ในการสํารวจอุทกธรณีวิทยามี<br />
ความจําเปนตองสํารวจเพื่อตรวจสอบขอมูลดาน<br />
โครงสรางธรณีวิทยาเพิ่มเติม นอกเหนือจากขอ<br />
กําหนดตามมาตรฐานการทดสอบวัสดุแหงสหรัฐ<br />
อเมริกา (ASTM D 5879-93) ซึ่งกําหนดไวสําหรับ<br />
การสํารวจดานธรณีเทคนิคเทานั้น โดยมีรายการที่<br />
จะตองสํารวจเพิ่มเติม ดังนี้<br />
(7) โพรงหินปูนใตผิวดิน การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาในบริเวณพื้นที่แหลงหินปูน สิ่งที่นัก<br />
อุทกธรณีวิทยาคนหาคือ โพรงถ้ําหินปูนใตผิวดิน โดย<br />
การสํารวจธรณีวิทยาภาคพื้นดินจะดําเนินการสํารวจ<br />
คนหาเครื่องหมายหรือลักษณะที่จะนําไปสูโพรง<br />
หินปูนใตดิน (Gyögy, 1977) ไดแก<br />
- พื้นที่บริเวณชั้นหินปูนที่โผลใหเห็น<br />
แสดงลักษณะภูมิประเทศสูงต่ําชัดเจน หรือเห็นเปน<br />
แทงสูงสลับกับหุบเขา (tower karst) ทั้งนี้สามารถ<br />
แบงแยกระดับของภูมิประเทศแบบคาสต (karst<br />
topography) ที่เกิดจากการผุพังของหินปูน (บริเวณ<br />
เทือกเขานั้นมีสวนประกอบของหินปูนอยูมาก)<br />
ออกเปนระดับตางๆ เชน youth stage karst, mature<br />
stage karst หรือ tower karst<br />
- แหลงน้ําซับน้ําซึม (spring outlets<br />
หรือ spring seepage) ตามบริเวณพื้นที่เชิงเขา<br />
- แสดงลักษณะภูมิประเทศแบบคาสต<br />
ใตผิวดิน (sub-surface karst features) ปรากฏตาม<br />
บริเวณพื้นที่ลาดเอียงเชิงเขาในรูปแบบตางๆ เชน<br />
ปลองหินปูน (karst shafts) พื้นที่ราบแองหินปูน<br />
(doline plains) หลุมยุบ (sink holes) แองน้ําที่เกิด<br />
จากการยุบตัว (collapse ponds) เปนตน<br />
(8) แนวรอยแตกในชั้นหิน (fractured<br />
zones) เกิดในหินแข็งแทบทุกชนิดโดยเฉพาะอยางยิ่ง<br />
แนวรอยแตกที่เกิดจากการบีบอัดในชั้นหินแปรจะมี<br />
แนวรอยแตกอยางเปนระบบสามารถตรวจสอบ<br />
ทิศทางได ในลักษณะเปนระบบแนวรอยแตก แตแนว<br />
รอยแตกในชั้นหินแข็งที่มีคุณคาสามารถเปนแหลงกัก<br />
เก็บน้ําบาดาล จะตองเปนแนวรอยแตกที่มีการ<br />
เชื่อมตอสัมพันธกันเทานั้น รอยแตกที่ไมเชื่อมตอถึง<br />
กันน้ําบาดาลที่กักเก็บอยูตามแนวรอยแตกไมสามารถ<br />
ไหลเชื่อมติดตอกันได ก็ยากที่จะเจาะบอพัฒนาน้ํา<br />
บาดาลขึ้นใชประโยชนได ระบบการเชื่อมตอของแนว<br />
รอยแตกในชั้นหินแข็งประเภทหนึ่งไดแกแนวรอยแตก<br />
เปนโซนกวาง (shrinkage cracks) ซึ่งมักเกิดใน<br />
หินดินดานแข็ง (hard shale) ทั้งในกลุมหินโคราช<br />
ตอนลาง และในกลุมหินลําปาง บอน้ําบาดาลที่เจาะใน<br />
โซนแนวรอยแตกเหลานี้มักไดน้ําบาดาล ปริมาณน้ํา<br />
ขึ้นอยูกับความหนาแนนของโซนรอยแตก<br />
(9) โครงสรางหินคดโคง (anticline and<br />
syncline) โครงสรางหินคดโคงรูปกระทะหงาย-กระทะ<br />
คว่ํา ในหินแข็งชนิดตางๆ อาจเอื้ออํานวยตอการกัก<br />
เก็บน้ําบาดาลได โดยเฉพาะตรงบริเวณสวนโคงงอ<br />
ของชั้นหินแข็ง มักจะเกิดการแตกหักของหินแข็งเปน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 12<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
แนวยาว รวมทั้งโครงสรางคดโคงรูปกระทะหงาย จะ<br />
เปนโครงสรางที่เปนแองกักเก็บน้ําบาดาลได<br />
(10) โครงสรางแองหินบนผิวหินแข็งใต<br />
ผิวดิน ตามบริเวณพื้นที่ลาดเอียงเชิงเขาหินแกรนิต<br />
มักพบโครงสรางที่เปนแองหินใตผิวดิน โดยแองหินนี้<br />
อาจเกิดจากการที่มวลแกรนิตขนาดใหญมีการผุพัง<br />
บริเวณผิวนอกสวนดานบนที่สัมผัสกับหินชนิดอื่น ทํา<br />
ใหเกิดเปนหลุมลึกลงไปในเนื้อหินแกรนิตนั้น หรืออาจ<br />
เกิดจากการที่ขณะที่สวนประกอบของเหลวรอนซึ่ง<br />
เปนตนกําเนิดมวลแกรนิต ถูกดันใหแทรกขึ้นมานั้น<br />
เนื่องจากแรงดันใตพิภพไมสม่ําเสมอและขึ้นกับ<br />
สวนประกอบของเปลือกโลกบริเวณนี้ จึงทําใหรูปราง<br />
มวลแกรนิตมีลักษณะสูงต่ําไมราบเรียบตาม<br />
สภาพแวดลอมขณะแข็งตัวเปนหิน ทําใหบางแหงโผล<br />
เหนือผิวดิน บางแหงกลับยุบตัวเปนแอง การเจาะบอ<br />
น้ําบาดาลตรงบริเวณกนแองมักจะไดน้ําบาดาล ซึ่ง<br />
หากบริเวณนี้เปนสวนที่เปนหินแกรนิตผุ จะประกอบ<br />
ไปดวยกอนแกรนิตขนาดใหญ (granite boulder) ปน<br />
อยูกับชั้นดินเหนียวปนทราย<br />
6.5 การรังวัดระดับบอน้ําบาดาลและระดับ<br />
ตําแหนงจุดสํารวจ<br />
งานสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดินโดย<br />
สวนใหญ มีความจําเปนตองทราบขอมูลระดับความสูง<br />
ของบอและจุดสํารวจตางๆ ขอมูลดังกลาวอาจหาได<br />
จากการอานแผนที่ภูมิประเทศ หรืออาจตองใชทีมงาน<br />
ในการเดินรังวัดระดับความสูงถายทอดจากตําแหนง<br />
จุดความสูงมาตรฐาน (benchmark) ทั้งนี้ขึ้นกับความ<br />
ละเอียด (accuracy) ของขอมูลที่ตองการ โดยสามารถ<br />
แบงงานรังวัดออกเปนชั้นงานตางๆตามความละเอียด<br />
ของงาน ตั้งแตงานรังวัดชั้น 1 จนถึงงานรังวัดชั้น 3<br />
ดังนั้น การใชขอมูลระดับความสูงของการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน จําเปนตองเลือกใชระดับความ<br />
ละเอียดของขอมูลระดับความสูงตามความจําเปน<br />
6.5.1 ขอมูลระดับความสูงจากการประมาณการ<br />
ขอมูลระดับความสูงอาจประมาณการได<br />
คราวๆจากแผนที่ภูมิประเทศ กรมแผนที่ทหาร มาตรา<br />
สวน 1:50,000 ซึ่งแสดงระดับความสูงของพื้นที่ตางๆ<br />
ในแผนที่ดวยเสนระดับความสูง มีระยะระหวางเสนชั้น<br />
ความสูง (contour interval) เทากับ 10 เมตร หรืออาจ<br />
หาระดับความสูงของตําแหนงที่ตองการจากการแปล<br />
ความหมายภาพถายทางอากาศ โดยวิธีการ<br />
เปรียบเทียบความเหลื่อมของตําแหนงของจุด 2 จุด<br />
(parallax) คือตําแหนงของจุดที่ตองการทราบระดับ<br />
ความสูงกับตําแหนงของยอดเขาที่ทราบระดับความ<br />
สูงที่ชัดเจน การประมาณการขอมูลระดับความสูงจาก<br />
แผนที่ภูมิประเทศหรือภาพถายทางอากาศ สวนใหญมี<br />
ความละเอียด ±5 เมตร โดยประมาณ ซึ่งเพียงพอ<br />
สําหรับการประมาณการทิศทางการไหลของน้ําบาดาล<br />
ในพื้นที่ลาดชัน หรือการจัดทําแบบจําลองทางอุทก<br />
ธรณีวิทยาในพื้นที่ทั่วไป<br />
6.5.2 การหาขอมูลระดับความสูงจากเครื่องมือ<br />
ไดแก เครื่องวัดระดับความสูง (altimeter)<br />
ซึ่งสามารถใหขอมูลไดละเอียดกวาการประมาณการ<br />
จากแผนที่ แตการใชเครื่องวัดระดับความสูงทุกครั้ง<br />
จะตองทําการปรับเทียบ (calibrate) เครื่องมือจากจุด<br />
ที่ทราบระดับความสูง ทั้งกอนและหลังการใชงาน<br />
รวมทั้งตองตรวจสอบระดับแรงดันบรรยากาศขณะใช<br />
งาน หากในชวงระหวางใชงานมีแรงดันบรรยากาศ<br />
ผิดปกติจะตองปรับแกคาแรงดันบรรยากาศใหถูกตอง<br />
เครื่องวัดระดับความสูงมีหลายรูปแบบ เชน เครื่องวัด<br />
ระดับความสูงแบบ Robust ที่ใหความละเอียดของ<br />
ขอมูลระดับความสูงในพื้นที่ราบไดดี เครื่องวัดระดับ<br />
ความสูงแบบกลองสองระดับ (hand level) ซึ่งติดตั้ง<br />
ในเข็มทิศแบบ Brunton (Meridian, and Abney<br />
Models) เปนกลองสองระดับเพื่อสองหา true horizon<br />
line ซึ่งสามารถปรับใชในการหาระดับความสูงได<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 13<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(Barnes, 1981) เครื่องกําหนดตําแหนงจุดพิกัด<br />
(GPS) สามารถใชหาคาระดับความสูงไดเชนเดียวกัน<br />
6.5.3 การหาระดับความสูงโดยการรังวัด<br />
ตามมาตรฐานกรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
ทบ ส 1000–2551 กําหนดใหเปนงานสํารวจฯใน<br />
พื้นที่ราบ ที่ตองวิเคราะหระบบการไหลและการ<br />
เคลื่อนที่ของน้ําบาดาลในชั้นหินอุมน้ํา ซึ่งตองมีขอมูล<br />
ระดับความสูงของบอน้ําบาดาลและจุดสํารวจตางๆ ที่<br />
ไดจากการรังวัดระดับความสูงของตําแหนงดังกลาว<br />
ซึ่งมาตรฐานไดกําหนดใหเปนงานรังวัดชั้น 3 คือ<br />
อยางนอยจะตองรังวัดระดับความสูงดวยกลองระดับ<br />
(leveling tele-scope) หรือการรังวัดดาวเทียมจีพีเอส<br />
แบบสถิติ (static global positioning system survey)<br />
โดยมีขั้นตอนและวิธีการสํารวจ (กรมชลประทาน,<br />
2548) ดังนี้<br />
(1) วิธีการรังวัดพิกัดดวยเครื่องรับ<br />
สัญญาณดาวเทียม<br />
เปนวิธีการรังวัดเพื่อกําหนดตําแหนง<br />
จากดาวเทียมจีพีเอสหรือระบบดาวเทียมอื่น โดยนํา<br />
เครื่องรังวัดไปตั้งรับสัญญาณที่ตําแหนงหมุดหลักฐาน<br />
หรือจุดที่ตองการหาคาพิกัด ตามเสนโครงขายการ<br />
รังวัดที่ไดจัดเตรียมไวลวงหนา แลวนําผลการรังวัดมา<br />
ประมวลผลและปรับแกโครงขาย คาพิกัดที่คํานวณได<br />
ตองมีคาพิกัดทางยีออเดซี (geodetic coordinates)<br />
และคาพิกัดกริดยูทีเอ็ม (universal transverse mercator,<br />
UTM) บนพื้นหลักฐานสากล WGS 84 (world<br />
geodetic system 1984) และบนพื้นหลักฐานอินเดีย<br />
2518 (Indian 1975 datum)<br />
(1.1) วิธีการรังวัดงานวงรอบ<br />
เปนวิธีการรังวัดเพื่อคํานวณหาพิกัด<br />
ตําแหนงของจุดตางๆ โดยการวัดมุมและวัดระยะที่<br />
เชื่อมตอระหวางจุดในลักษณะตอเนื่องกัน (traverse)<br />
คาพิกัดตองคํานวณเปนคาพิกัดกริดยูที<br />
เอ็ม บนพื้นหลักฐาน WGS 84 หรือ Indian 1975<br />
(1.2) วิธีการสํารวจโยงคาระดับ<br />
เปนวิธีการรังวัดเพื่อคํานวณหา<br />
คาระดับความสูง (กําหนดสูง-แผนที่ทหาร) ของหมุด<br />
หลักฐานหรือจุดตางๆ ซึ่งอางอิงกับพื้นระดับน้ําทะเล<br />
ปานกลาง (รทก หรือ mean sea level) โดยการวัดคา<br />
ตางระดับตอเนื่องจากจุดถึงจุด ดวยกลองระดับและไม<br />
แบงสวนเมตร<br />
(2) การโยงคาพิกัดดวยวิธีการวงรอบ<br />
ชั้นที่ 3<br />
(2.1) ขอกําหนดเฉพาะและมาตรฐาน<br />
ความถูกตอง<br />
(2.1.1) การวัดมุม<br />
- ความละเอียด ใชกลองวัดมุมที่มีความ<br />
ละเอียด 1 ลิปดาหรือดีกวา กรณีที่ใช<br />
กลองวัดมุมอิเลคทรอนิคสตองมีความ<br />
ละเอียด 20 ฟลิปดา หรือดีกวา<br />
- จํานวนสถานี (ศูนย) ของการวัด ไดแก<br />
2 สถานี<br />
- ความตางของแตละสถานีกับคา<br />
ปานกลางไมเกิน 10 ฟลิปดา<br />
- สถานีแรกและสถานีสุดทายของการวัด<br />
มุมตองไมเปนหมุดเดียวกัน<br />
(2.1.2) การวัดระยะ<br />
- ใชเครื่องวัดระยะอิเลคทรอนิคส หรือ<br />
โซลานเหล็ก (steel tape)<br />
- ความละเอียดของการวัดระยะ<br />
1/7,500 หรือดีกวา<br />
(2.1.3) การวัดอาซิมุทดาราศาสตร<br />
- ทําการรังวัดอาซิมุท ทุก 30-40 มุม<br />
- จํานวนสถานีของการวัด 8-12 สถานี<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 14<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
- probable error ของผลปานกลาง<br />
ไมเกิน 5 ฟลิปดา<br />
- จํานวนแกของมุมวงรอบเมื่อตรวจสอบ<br />
กับคาอาซิมุทไมเกินมุมละ 5 ฟลิปดา หรือ 15 ฟลิป<br />
ดา (N เปนจํานวนมุม)<br />
- ความคลาดเคลื่อนในการบรรจบทาง<br />
ตําแหนง เมื่อปรับแกมุมแลวไมเกิน 1/5,000<br />
(2.2) การกรุยแนวและสรางหมุดหลักฐาน<br />
- คนหาหมุดหลักฐานที่จะใชออกงาน<br />
และเขาบรรจบ ซึ่งเปนหมุดหลักฐานชั้นที่ 3 หรือชั้นที่<br />
สูงกวา<br />
- กรุยแนวเสนวงรอบจากหมุดหลักฐานที่<br />
ทราบคาแลว เขาเขตโครงการพรอมทั้งกําหนด<br />
ตําแหนงของหมุดวงรอบและตําแหนงที่จะสรางหมุด<br />
หลักฐานถาวร<br />
- สรางหมุดชั่วคราว (หมุดไม) ทุกหมุด<br />
วงรอบ<br />
(2.3) การวัดมุมและวัดระยะ<br />
- วัดมุมทุกหมุดวงรอบ<br />
- วัดระยะระหวางหมุดวงรอบ<br />
- วัดอาซิมุทดาราศาสตร เพื่อควบคุม<br />
ทิศทางของเสนวงรอบทุก 40 มุมหรือนอยกวา<br />
(2.4) การคํานวณ<br />
- ตรวจสอบคามุมและระยะใหอยูใน<br />
เกณฑตามขอ 2.1<br />
- คํานวณคาพิกัดในระบบพิกัดยูทีเอ็ม<br />
(3) งานโยงคาระดับโดยวิธีการระดับ<br />
ชั้นที่ 3<br />
(3.1) ขอกําหนดเฉพาะและมาตรฐาน<br />
ความถูกตอง<br />
(3.1.1) เครื่องมือและอุปกรณ<br />
- ใชกลองระดับอัตโนมัติหรือกลอง tilting<br />
ซึ่งมีความไวของหลอดระดับ 60 ฟลิปดาตอ 2 มิลลิ<br />
เมตร หรือดีกวา<br />
- ใชกลองระดับดิจิตอล (digital level)<br />
ซึ่งมีกําลังขยายของกลองสอง ไมนอยกวา 24 เทา<br />
และความเบี่ยงเบนมาตรฐานของการทําระดับไป-กลับ<br />
2.00 มิลิเมตร/กิโลเมตร หรือดีกวา<br />
- ใชไมแบงสวนเมตรแบบธรรมดา หรือ<br />
ใชไมแบงสวนเมตรชนิดแถบรหัส (bar code) ซึ่ง<br />
ประกอบ ดวยหลอดระดับฟองกลมประกอบและเหล็ก<br />
รองรับไมแบงสวนเมตร (ground plates)<br />
(3.1.2) การปฏิบัติงานสนาม<br />
- ความยาวของสายการระดับไมเกิน 40<br />
กิโลเมตร<br />
- ทําระดับเที่ยวเดียว (single run) ถา<br />
หมุดหลักฐานที่ใชออกงานและเขาบรรจบ อยูหางกัน<br />
ไมเกิน 20 กิโลเมตร ถาเกิน 20 กิโลเมตร ใหทําระดับ<br />
แบบไป-กลับ<br />
- ถาไมมีหมุดหลักฐานเขาบรรจบ ใหทํา<br />
ระดับแบบไป-กลับ โดยเดินระดับเที่ยวทํากลับ ผาน<br />
หมุดหลักฐานทุกหมุดของเที่ยวทําไป<br />
- แบงสายการระดับออกเปนตอน ความ<br />
ยาวตอนละ 1-3 กิโลเมตร<br />
- การอานคาระดับใหอานทั้งสามสายใย<br />
คือ สายใยบน (U) สายใยกลาง (M) และสายใยลาง<br />
(L) โดยใหผลบวกของสายใยบนกับสายใยลางเทียบ<br />
กับ 2 เทา ของสายใยกลางตองไมเกิน 2 มิลลิเมตร<br />
- ระยะไกลสุดระหวางกลองกับไมระดับ<br />
ไมเกิน 100 เมตร<br />
- หมุดออกงานและหมุดบรรจบตองไมใช<br />
หมุดเดียวกัน<br />
- ความคลาดเคลื่อนระหวางเที่ยวทําไป<br />
กับเที่ยวทํากลับ และในการเขาบรรจบหมุดไมเกิน 12<br />
มิลลิเมตร (K=ระยะทางเปนกิโลเมตร)<br />
(3.2) การกรุยแนวและสรางหมุดหลักฐาน<br />
- คนหาหมุดหลักฐานการระดับที่ 3 หรือ<br />
ชั้นสูงกวา เพื่อใชออกงานและเขาบรรจบ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 15<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
- กรุยแนวสายการระดับและกําหนด<br />
ตําแหนงที่จะสรางหมุดหลักฐาน<br />
- สรางหมุดหลักฐานถาวร<br />
แบบ ข ทุกระยะ 4-5 กิโลเมตร<br />
แบบ ค ทุกระยะ 2 กิโลเมตร<br />
(3.3) การวัดระดับ<br />
เครื่องมือ วิธีการวัด และคํานวณปรับแก<br />
ใหเปนไปตามเกณฑกําหนดของงานระดับชั้นที่ 3<br />
6.6 การจัดทําตนรางแผนที่และรายงาน<br />
6.6.1 การจัดทําตนรางแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
แผนที่ตนรางอุทกธรณีวิทยาอาจประกอบ<br />
ดวยแผนที่หลัก (main map) และแผนที่ประกอบอื่นๆ<br />
(accessories maps) หรือมีเพียงแผนที่หลักขึ้นอยูกับ<br />
ชิ้นงาน ดังนี้<br />
แผนที่หลัก (main map) เปนการจัดทํา<br />
ตนรางแผนที่อุทกธรณีในสนาม เพื่อนําเสนอขอมูลที่<br />
ไดจากขั้นตอนการรวบรวมขอมูลและการเตรียมการ<br />
และขั้นตอนการสํารวจภาคสนาม ในรูปแบบของแผน<br />
ที่ครอบคลุมพื้นที่สํารวจทั้งหมด โดยการลงขอมูล<br />
ตางๆในแผนที่ ใหใชสัญลักษณและคําอธิบายแผนที่<br />
ตามมาตรฐานสากล (รายละเอียดในเอกสารมาตรฐาน<br />
ทบ ส 4000-2550)<br />
แผนที่ประกอบ (accessories maps)<br />
เปนแผนที่แสดงรายละเอียดของขอมูลที่ไดจากการ<br />
สํารวจภาคสนาม เฉพาะตรงบริเวณพื้นที่ที่ดําเนินการ<br />
สํารวจขอมูลรายละเอียด ซึ่งอาจขยายมาตราสวนของ<br />
แผนที่ใหมีมาตราสวนใหญกวาแผนที่หลัก เพื่อความ<br />
สะดวกในการลงขอมูลการสํารวจขั้นรายละเอียด โดย<br />
ในแผนที่ประกอบทุกแผนจะตองแสดงตําแหนงของ<br />
พื้นที่ในแผนที่หลัก สัญลักษณและคําอธิบายแผนที่ให<br />
ใชหลักเกณฑเชนเดียวกับแผนที่หลัก<br />
องคประกอบหลักของแผนที่ตามขอ<br />
กําหนดของกรมทรัพยากรน้ําบาดาล ทบ ส 4000-<br />
2550 แผนที่หลักและหรือแผนที่ประกอบ ตองแสดง<br />
องคประกอบตางๆ ดังนี้<br />
(1) มาตราสวนของแผนที่ เปน graphic<br />
scale พรอมคําอธิบายเกี่ยวกับมาตราสวนของแผนที่<br />
(2) ลูกศรกํากับทิศ<br />
(3) ตําแหนงการเก็บตัวอยาง (น้ําและ<br />
หิน) พรอมหมายเลขตัวอยาง<br />
(4) ตําแหนงการถายรูปสําหรับเปนภาพ<br />
ประกอบรายงาน<br />
(5) ในแผนที่หลักตองแสดงตําแหนงที่มี<br />
การสํารวจศึกษาขอมูลขั้นรายละเอียด<br />
(6) ในแผนที่หลักตองแสดงตําแหนงของ<br />
แนวตัดขวาง หรือตําแหนงของ block diagrams<br />
ตางๆ<br />
(7) ในแผนที่ประกอบตองแสดงวันที่และ<br />
ชวงระยะเวลาในการสํารวจขอมูลรายละเอียด<br />
6.6.2 การจัดทําแบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิง<br />
มโนทัศน<br />
นอกจากการจัดทําตนรางแผนที่อุทกธรณี<br />
วิทยาแลว จําตองคาดการณถึงสภาพอุทกธรณีวิทยา<br />
ใตผิวดิน โดยการจัดทําแบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิง<br />
มโนทัศนของพื้นที่สํารวจตามขอมูลที่ไดจากขั้นตอน<br />
ตางๆของการสํารวจฯ โดยจําลองสภาพอุทก<br />
ธรณีวิทยาใตผิวดินจากขอมูลที่มีอยู เพื่อคาดคะเนถึง<br />
ลักษณะชั้นหินอุมน้ําในพื้นที่ เชน ความลึก ความหนา<br />
การแผกระจายตัวของชั้นหิน เปนตน<br />
ในการจัดทําแบบจําลองอุทกธรณีวิทยา<br />
เชิงมโนทัศน สามารถแสดงไดหลายรูปแบบ อาจเปน<br />
ภาพตัดขวางทางอุทกธรณีวิทยา(block diagrams)<br />
หรือแผนภาพรั้ว(fence diagrams) เปาหมายสําคัญ<br />
ของการจัดทําแบบจําลองฯ คือ เพื่อใชเปนเครื่องมือ<br />
ในการวางแผนสํารวจขั้นตอไป เชน จําเปนตองสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสหรือไม หากจําเปนจะสํารวจดวยวิธีใดลึก<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 16<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
เพียงไร จะเสนอขอมูลอยางไรใหเหมาะสม จําเปน<br />
ตองเจาะสํารวจหรือไม หากจําเปนจะเจาะดวยวิธีใด<br />
ลึกเพียงไร และเสนอขอมูลดวยวิธีใด<br />
6.6.3 การจัดทํารายงานการสํารวจอุทกธรณี<br />
วิทยาบนผิวดิน<br />
ตามขอกําหนดกรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
รายงานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดินทุกฉบับ<br />
อยางนอยตองมีองคประกอบสําคัญ ดังตอไปนี้ คือ<br />
(1) บทนํา (ประกอบดวยวัตถุประสงค<br />
ของการสํารวจอุทกธรณีวิทยา และรายละเอียดของ<br />
โครงการ)<br />
(2) ผลจากการรวบรวมและการศึกษา<br />
ขอมูล<br />
(3) ผลจากการสํารวจภาคสนาม<br />
(ประกอบดวยวิธีการสํารวจและขอจํากัดตางๆ)<br />
(4) สภาพอุทกธรณีวิทยาเชิงภูมิภาค<br />
และเชิงพื้นที่<br />
ตัวอยางการเขียนรายงานเกี่ยวกับ<br />
สภาพอุทกธรณีวิทยา เชน การสํารวจน้ําบาดาล<br />
เฉพาะแหงในพื้นที่หนึ่งซึ่งปกคลุมดวยตะกอนจําพวก<br />
แกรนิตผุ (weathered granite) เปนพื้นที่ราบเชิงเขาที่<br />
มีขนาดพื้นที่ 500x500 ตารางเมตรโดยประมาณ มี<br />
เขาหินแกรนิตโผลใหเห็นทางดานทิศตะวันตกและทิศ<br />
ตะวันตกเฉียงเหนือ สวนดานทิศตะวันออกของพื้นที่<br />
ราบดังกลาวเปนทะเล ความหนาของตะกอนแกรนิตผุ<br />
ไมทราบแนชัด มีขอมูลจากจุดเจาะบอน้ ําบาดาลเดิม<br />
เพียงจุดเดียว เจาะลึก 30 เมตร ไดน้ําจากชั้นทราย<br />
จําพวก granite wash ที่ระดับความลึกระหวาง 25-30<br />
เมตรโดยประมาณ ลึกลงไปจากชั้นทรายดังกลาวเปน<br />
ชั้นหินแกรนิตแข็ง (fresh granite) ซึ่งโดยทั่วไปไมให<br />
น้ําบาดาล ยกเวนกรณีเจาะพบแนวรอยแตกในชั้นหิน<br />
คาดหมายวาชั้นทราย granite wash นาจะเกิดใน<br />
ลักษณะเปนทางน้ํายุคเกา (paleo channel) โดยมี<br />
แนวไหลจากบริเวณพื้นที่เขาดานทิศตะวันตกผาน<br />
บริเวณพื้นที่ราบเชิงเขาลงสูทะเลดานทิศตะวันออก<br />
การสํารวจหาแหลงน้ําบาดาลไดตั้งเปาหมายในการ<br />
สํารวจคนหาแหลงน้ําบาดาลระดับตื้นจากชั้นทราย<br />
ดังกลาว หรือจากแนวรอยแตกบนผิวหินแกรนิตสด<br />
เทานั้น สวนน้ําบาดาลในรอยแตกระดับลึก นาจะมี<br />
ความกรอยหรือเค็ม อันเนื่องมากจากอิทธิพลจากน้ํา<br />
ทะเล<br />
(5) สภาพปญหาในพื้นที่สํารวจ<br />
ตัวอยางการเขียนรายงาน (เนื้อหา<br />
ตอเนื่องจากขอ 4) จากขอมูลอุทกธรณีวิทยาที่ไดจาก<br />
การสํารวจภาคสนามดังกลาว จําเปนตองทําการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกสเพิ่มเติม โดยใชวิธีสํารวจแบบ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ เพื่อหาลักษณะ<br />
ความลึกความหนาตลอดจนการแผกระจายตัวของชั้น<br />
ทราย granite wash และตรวจสอบวาในพื้นที่สํารวจมี<br />
ชั้นทรายกี่ชั้น รวมทั้งการตรวจสอบความเค็มของน้ํา<br />
บาดาลที่พบในชั้นทรายที่เปนชั้นหินอุมน้ํา แต<br />
เนื่องจากสภาพของพื้นที่สํารวจเปนพื้นที่แคบมี<br />
สิ่งกอสรางเกือบเต็มพื้นที่ รวมทั้งมีสภาพทางอุทก<br />
ธรณีวิทยาที่ไมเอื้ออํานวยตอการสํารวจ ดังขอสรุป<br />
ตอไปนี้<br />
- ชั้นทราย granite wash ที่เคยเจาะพบ<br />
มีลักษณะเปน paleo-channel โดยมีการเกิดของชั้น<br />
ทรายเปนแนวจริงหรือไม หรือเปนเพียงกระเปาะ<br />
ทรายที่เกิดในลักษณะเปน alluvial fan ตรงเชิงเขา<br />
เทานั้น<br />
- นอกเหนือไปจากชั้นทรายgranite<br />
wash ซึ่งหากเปน paleo-channel จริง ในบริเวณ<br />
พื้นที่สํารวจจะมี paleo-channel ที่อยูลึกหรือตื้นกวา<br />
เดิมอีกหรือไม และหากมีจะมีลักษณะการแผขยายตัว<br />
อยางไร<br />
- ความหนาของตะกอนแกรนิตผุใน<br />
บริเวณ พื้นที่สํารวจ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 17<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
- ปญหาเรื่อง lateral resistivity variation<br />
เนื่องจากพื้นที่สํารวจดานหนึ่งเปนเขาหิน granite<br />
มีคา apparent resistivity สูงมาก สวนอีกดานหนึ่ง<br />
เปนทะเลที่มีคา apparent resistivity ที่ต่ํามากๆ<br />
- ปญหาเรื่องน้ําเค็มเนื่องจากพื้นที่<br />
สํารวจเปนชายฝงทะเล หากมีการสูบน้ําบาดาลจาก<br />
แนวรองน้ําเกาขึ้นใชในอัตราสูง อาจชักนําใหน้ําทะเล<br />
รุกล้ําเขาสูชั้นน้ําบาดาลได<br />
7. เอกสารอางอิง<br />
กรมชลประทาน, 2548. หลักการสํารวจและจัดทํา<br />
แผนที่, คณะทํางานปรับปรุงวิธีปฏิบัติงานสํารวจ<br />
จัดทําแผนที่ภูมิประเทศ, การสัมมนาเชิง<br />
ปฏิบัติการ, 25-27 สิงหาคม 2548.<br />
ราชบัณฑิตยสถาน, 2532. ศัพทวิทยาศาสตร ฉบับ<br />
ราชบัณฑิตยสถาน, บริษัทเพื่อนพิมพ จํากัด.<br />
วิฑิต ศิริโภคากิจ., 2542. การสํารวจน้ําบาดาล, กรม<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาล, กรุงเทพฯ.<br />
American Society for Testing and Materials<br />
(ASTM), 2004. Standard Guide for Site<br />
Characterization for Environmental Purposes<br />
With Emphasis on Soil, Rock, the Vadose<br />
and Groundwater, D 5730-04.<br />
American Society for Testing and Materials<br />
(ASTM), 2002. Standard Guide for<br />
Geotechnical Mapping of Large<br />
Underground Openings in Rocks, D 5879-<br />
02.<br />
Brassington, R., 1988. Field Htdrogeology,<br />
Geological Society of London Professional<br />
Handbook Series.<br />
Gyögy, D.,1977. The Cave of Hungary: Bulletin of<br />
the Hungarian Speleological Soceity (HU<br />
ISSN 0324-6221), Budapest, p. 19 –26.<br />
8. ภาคผนวก<br />
ขั้นตอนการกรองงานและขั้นตอนการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยา ดังแสดงในตารางที่ 1-4<br />
ตารางที่ 1 ขั้นตอนการกรองงานและขั้นตอนการสํารวจอุทกธรณีวิทยาเฉพาะแหงตามมาตรฐาน ISO 9000<br />
หัวขอ<br />
1<br />
2<br />
3<br />
4<br />
5<br />
6<br />
7<br />
8<br />
9<br />
10<br />
11<br />
12<br />
กองน้ําบาดาล<br />
กระบวนการ<br />
คําขอสํารวจ<br />
พิจารณา<br />
ตรวจสอบขอมูลในสํานักงาน<br />
วิเคราะหความจําเปน<br />
สํารวจธรณีฟสิกสในสนาม<br />
แปลคาขอมูล<br />
ทํารายงานการสํารวจ<br />
ตรวจสอบรายงาน<br />
ทําหนังสือตอบ<br />
สรุปผลการสํารวจ<br />
ประเมินผลการสํารวจ<br />
ปรับสมุดทะเบียน/จบ<br />
ผูขอ<br />
ฝ.พนบ 1-6<br />
ขั้นตอนการปฏิบัติงาน Procedure Manual<br />
ชื่องาน : การสํารวจน้ําบาดาล<br />
ฝ. แผนงาน<br />
ผอ.กน.<br />
หฝ. สํารวจ สายงาน ฝายธุรการ<br />
N<br />
Y<br />
Y<br />
N<br />
N<br />
Y<br />
รหัส :<br />
เริ่มใช :<br />
แผนที่ :<br />
สมุดรับ<br />
แผนที่<br />
IV-1<br />
RS-1<br />
กน1/2541<br />
บันทึก<br />
เริ่มตน/สิ้นสุด ดําเนินการ พิจารณา สื่อสาร<br />
(จาก กรมทรัพยากรน้ําบาดาล, ไมระบุพ.ศ.)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 18<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 2 ตารางแสดงขั้นตอนการกรองงานและขั้นตอนการสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง<br />
งานสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง รหัสที่ใช<br />
หัวขอ<br />
กระบวนการดําเนินงาน ผูขอ ผอ. ผอ.สวน/ สายงาน ธุรการ<br />
สํานัก/ ผอ,แผนก<br />
ผอ.ศูนยฯ<br />
1 คําขอสํารวจ ลงรับ<br />
2 ตรวจสอบขอมูล N<br />
∗<br />
3 พิจารณา/วิเคราะหความสําคัญ N<br />
Y<br />
∗<br />
Y<br />
4 สํารวจภาคสนาม ∗<br />
5 แปลคาขอมูล/จัดทํารายงาน ∗<br />
6 สอบทานรายงาน Y N<br />
∗<br />
7 ทําหนังสือตอบ ∗<br />
8 ประเมินผลการสํารวจ ∗<br />
9 ปรับสมุดทะเบียน/จบ ลงสมุด<br />
ทะเบียน<br />
จุดเริ่มตน / จุดสิ้นสุด ดําเนินการ พิจารณา ประสานงาน<br />
∗ ใหกําหนดแบบฟอรม / รหัสพรอมกํากับ ว. / ด. / ป. สําหรับตรวจสอบขั้นตอนและระยะเวลาการดําเนินงาน<br />
ตารางที่ 3 ระดับความแข็งของหินชนิดตางๆ<br />
ระดับความแข็ง /<br />
ประเภทของหิน<br />
หินรวนที่มีความแข็ง<br />
นอยมากหรือดิน<br />
แรงกด<br />
โดยประมาณ<br />
การทดสอบความแข็งในสนาม<br />
(มิลลิปาสคาลร)<br />
0.6-1.25 ขีดขูดไดดวยเล็บนิ้วหรือปรากฏรอยบุบเมื่อทุบเบาๆ ดวยคอนธรณี หรือ<br />
การขุดลอกจําเปนตองใชเครื่องมือหรือสามารถขุดลอกเปลือกไดดวยมีด<br />
พก<br />
1.25-5.0 ตัวอยางหินยุยเปนผง เมื่อขูดดวยปลายคอนธรณี<br />
หินรวนที่มีความแข็ง<br />
นอย<br />
หินรวนที่มีความแข็ง 5.0-12.5 เปนรอยขีดตื้นๆ ประมาณ 1-3 มม. เมื่อขูดดวยปลายคอนธรณี<br />
นอยปานกลาง<br />
หินแข็งปานกลาง 12.5-50 ไมสามารถขูดลอกเปลือกหินไดดวยมีดพก<br />
หินแข็ง 50-100 การทุบหินใหแตก ตองทุบแรงๆ ดวยคอนธรณีมากกวา 1 ครั้ง<br />
หินแข็งมาก 100-250 การทุบหินใหแตก ตองทุบแรงๆ ดวยคอนธรณีหลายๆ ครั้ง<br />
หินแกรง > 250 หินจะแตกเปนเกล็ดเล็กเกล็ดนอยเทานั้น เมื่อทุบแรงๆ ดวยคอนธรณี<br />
หลายๆ ครั้ง<br />
(จาก ASTM, 2002)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 19<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 4 ระดับความผุกรอนของหินตาม Tarzaghi’s Guide<br />
หินดั้งเดิม หินที่ผานการจุมน้ํา อบแหงและปนหลายๆ<br />
ครั้ง หรือผานการตากแดดตากฝนนานๆ<br />
การ<br />
เปลี่ยนแปลง<br />
ทางปริมาตร<br />
ของหิน<br />
การจัดกลุม<br />
มีเสียงกังวานเมื่อ<br />
ทุบดวยคอน<br />
ไมมีการเปลี่ยนแปลง เปลี่ยนแปลง (a) หินแข็ง (solid rock)<br />
นอยวัดไมได<br />
แตกเปนชิ้นเล็กๆ ผิวรอยแตกเรียบ (b) หินมีรอยแตกในเนื้อหิน (finely<br />
fissured unaltered rock)<br />
แตกเปนชิ้นเล็กๆ ผิวรอยแตกเปนมัน และ<br />
พบรองรอยเศษแรเนื้อละเอียดซึ่งเปนแรที่<br />
แปรสภาพจากแรดั้งเดิมในหินเนื่องจากการ<br />
ผุพัง (fine grained weathering products)<br />
(c) หินมีการยอยสลายผุพังเล็กนอย<br />
(slightly decomposed rock)<br />
แตกยุยเปนเม็ดทรายหรือทรายละเอียด (d) หินทรายที่มีวัตถุประสานไมคงทน<br />
(sandstone with unstable cement)<br />
มีเสียงหนักทึบ<br />
เมื่อทุบดวยคอน<br />
แตกเปนเศษหินเหลี่ยมเล็กๆไมปรากฏการ<br />
เปลี่ยนแปลงทางเคมี<br />
เปลี่ยนแปลงจน<br />
ตรวจวัดได<br />
(e) หินที่มีสวนประกอบอยูระหวางหิน<br />
,แรดิน สวนประกอบหลักเปนหิน<br />
(intermediate between rock & clay,<br />
rock dominant)<br />
เปลี่ยนแปลงอยางตอเนื่อง เปนสาร<br />
แขวนลอยพวกเศษดิน<br />
(f) หินที่มีสวนประกอบอยูระหวางหิน,แร<br />
ดิน สวนประกอบหลักเปนแรดิน<br />
(intermediate between rock & clay,<br />
clay dominant)<br />
เปลี่ยนแปลงอยางตอเนื่อง เปนสาร<br />
แขวนลอยพวกเศษดินและตะกอนเหลี่ยม<br />
พวกเศษหินแตก<br />
(g) หินที่มีการยอยสลายโดยสมบูรณ<br />
(thoroughly decomposed)<br />
ละลายน้ํากลายเปนสารแขวนลอยสมบูรณ<br />
แบบ<br />
เปลี่ยนแปลง<br />
มากวัดไมได<br />
(h) ตะกอนแรดินเนื้อละเอียด และทราย<br />
ละเอียดจับตัวกันอัดแนนในสภาพอากาศ<br />
แหง (clay silt and very fine sand in<br />
dry or very compacted condition)<br />
(จาก ASTM, 2002)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 20<br />
คูมือ ทบ ส 1000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550<br />
การคัดเลือกวิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 เปนคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (ส) ของกรม<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาล (ทบ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตัวเลขชุดแรกมี 4 ตําแหนง หมายถึง ลําดับ<br />
ของคูมือ ตัวเลขชุดที่สอง “2550” หมายถึง ป พ.ศ. ที่จัดทําเอกสารตนฉบับของคูมือ กรณีที่มีการแกไขและปรับปรุง<br />
คูมือใหใสวงเล็บตอทายและระบุ ป พ.ศ. ที่แกไขปรับปรุง เชน (แกไขปรับปรุง 2555) เปนตน โดยมีเครื่องหมาย (ก)<br />
เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่แกไข และมีเครื่องหมาย (ป) เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่ปรับปรุงขึ้นใหม<br />
1. บทนํา<br />
คูมือการคัดเลือกวิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินฉบับนี้ ไดจัดทําขึ้นภายใตโครงการจัดทํา<br />
มาตรฐานการเจาะ สํารวจและพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
พ.ศ. 2550 เปนสวนหนึ่งของชุดคูมือการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล โดยกรมทรัพยากรน้ํา<br />
บาดาลไดมอบหมายใหคณะผูเชี่ยวชาญดานอุทกธรณี<br />
วิทยา ธรณีวิทยา วิศวกรรม เครื่องกล และวิศวกรรม<br />
โยธา เปนผูดําเนินการรางคูมือการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน เพื่อใหใชควบคูไปกับ มาตรฐาน<br />
ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือกวิธีการสํารวจทางธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดิน โดยคูมือฉบับนี้ ไดกําหนดขั้นตอน<br />
และแนวทางสําหรับใชในงานสํารวจฯ เพื่อใหได<br />
ผลงานมีมาตรฐานตามที่กรมฯกําหนด<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินเปนการสํารวจหา<br />
ขอมูลในเชิงลึก โดยใชเครื่องมือการสํารวจธรณีฟสิกส<br />
บนผิวดินตรวจวัดคุณสมบัติทางกายภาพตางๆของ<br />
ชั้นดินชั้นหินใตผิวดินที่ระดับความลึกตางๆ และจาก<br />
การแปลความหมายจากขอมูลการสํารวจธรณีฟสิกส<br />
บนผิวดิน ทําใหสามารถประมาณการความลึกความ<br />
หนาของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินในพื้นที่สํารวจได<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน มีวิธีการสํารวจ<br />
หลายวิธี ขึ้นอยูกับคุณสมบัติทางกายภาพของชั้นดิน<br />
ชั้นหินใตผิวดินที่ตองการตรวจวัด เชน ตองการ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ ตรวจวัดความ<br />
เร็วของคลื่นไหวสะเทือนที่วิ่งผานชั้นหิน ตรวจวัด<br />
ความเปนตัวนําแมเหล็กไฟฟา หรือตรวจวัดความ<br />
หนาแนนของชั้นดินชั้นหิน เปนตน<br />
การคัดเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
นั้นขึ้นอยูกับปจจัยหลายๆ อยาง หากเลือกวิธีการ<br />
สํารวจที่ถูกตองเหมาะสมกับปจจัยตางๆ ก็จะทําให<br />
สามารถแปลความหมายขอมูลการสํารวจไดงาย<br />
ไดผลการสํารวจที่ถูกตองแมนยํา รวมทั้งประหยัด<br />
คาใชจายและเวลาในการสํารวจภาคสนาม ซึ่งบาง<br />
กรณีอาจจําเปนตองใชการสํารวจธรณีฟสิกสหลายวิธี<br />
ควบคูกันไป เพื่อใหไดขอมูลการสํารวจที่ครบถวน<br />
อยางไรก็ตาม ผลการสํารวจยอมขึ้นกับปจจัยตางๆ<br />
โดยสรุปคือ<br />
1.1 ความชํานาญของผูดําเนินการสํารวจเปน<br />
ปจจัยที่สําคัญที่สุด โดยผูสํารวจตองเปนผูวาง<br />
แผนการสํารวจ ดําเนินการจัดเก็บขอมูลการสํารวจ<br />
ภาคสนาม และการแปลความหมายขอมูลการสํารวจ<br />
นอกจากจะตองเขาใจอยางถองแทเกี่ยวกับ<br />
รายละเอียดดานทฤษฎี วิธีการสํารวจ และวิธีการแปล<br />
ความหมายขอมูลแลว ยังจําเปนตองรูสภาพอุทก<br />
ธรณีวิทยาของพื้นที่ที่สํารวจดวย ดังนั้นการเลือก<br />
วิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินจะตองวิเคราะห<br />
แบบจําลองทางอุทกธรณีวิทยาของพื้นที่ที่สํารวจอยาง<br />
ละเอียด<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 21<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
1.2 ผลจากการวิเคราะหแบบจําลองทางอุทก<br />
ธรณีวิทยา ที่ไดจากขั้นตอนการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
บนผิวดิน มักไดขอมูลใตผิวดินโดยประมาณเทานั้น<br />
ขอมูลดังกลาวเพียงพอสําหรับการศึกษาวิจัยดานอุทก<br />
ธรณีวิทยาในพื้นที่สํารวจหรือไม หากไมเพียงพอ<br />
จําเปนตองสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินหรือไม หาก<br />
จําเปนจะดําเนินการสํารวจดวยวิธีใด โดยปกติการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินจะมีบทสรุปคือ แบบ<br />
จําลองทางธรณีฟสิกสของพื้นที่สํารวจ ซึ่งจะแสดง<br />
ขอมูลอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน โดยเฉพาะอยางยิ่ง<br />
ความลึกและความหนาของชั้นน้ําที่ระดับความลึก<br />
ตางๆ พรอมการลําดับชั้นหินทางธรณีฟสิกส การแผ<br />
กระจายตัวของชั้นน้ํา รวมทั้งคุณภาพความกรอยเค็ม<br />
ของน้ําในชั้นน้ํา<br />
2. ขอบเขต<br />
2.1 เอกสารคูมือฉบับนี้จัดทําขึ้นโดยมีวัตถุ<br />
ประสงคหลัก เพื่อใชในการคัดเลือกวิธีการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินที่เหมาะสมสําหรับประยุกตใชในการ<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยา ภายใตสภาพอุทกธรณีวิทยา<br />
ของพื้นที่สํารวจแบบตางๆ<br />
2.2 วิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินที่กลาว<br />
ถึงในเอกสารคูมือฉบับนี้ เปนวิธีการสํารวจที่ใชในงาน<br />
ทั่วๆไป โดยผานการตรวจสอบและยอมรับในระดับ<br />
สากลวา มีประสิทธิภาพนาเชื่อถือสําหรับการ<br />
ประยุกตใชในการสํารวจดานอุทกธรณีวิทยา ธรณี<br />
เทคนิค และการสํารวจสิ่งฝงกลบมลพิษ (ASTM;<br />
D6429-99 Reapproved, 2006)<br />
2.3 วิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินที่กลาว<br />
ถึงในเอกสารคูมือนี้ จะครอบคลุมเฉพาะวิธีการสํารวจ<br />
ที่นํามาประยุกตใชในดานการสํารวจดานอุทกธรณี<br />
วิทยาเทานั้น โดยประกอบดวยวิธีการสํารวจ 4 วิธี คือ<br />
การสํารวจดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
(resistivity methods) การสํารวจดวยวิธีการตรวจวัด<br />
ความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห (shallow<br />
seismic refraction method) การสํารวจดวยวิธีการ<br />
ตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา (electromagnetic<br />
methods, EM methods) การสํารวจดวยวิธีการ<br />
ตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค (micro-gravity methods)<br />
2.4 เอกสารคูมือฉบับนี้จะสรุปวิธีการประยุกต<br />
ใชการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินแบบตางๆ ดังกลาว<br />
แตไมครอบคลุมถึงรายละเอียดดานทฤษฎี วิธีการ<br />
สํารวจ และวิธีการแปลความหมายขอมูลการสํารวจ<br />
ซึ่งรายละเอียดดังกลาวจะปรากฏในเอกสารคูมือการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินแตละวิธี (คูมือ ทบ ส<br />
2002-2550 ถึง ทบ ส 2005-2550)<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ<br />
3.1 กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2002-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2003-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของ<br />
คลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2004-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนาม<br />
แมเหล็กไฟฟา<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2005-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
จุลภาค<br />
- คูมือ ทบ ส 1000-2550 การสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 22<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
- คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะ<br />
- คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่น<br />
ไหวสะเทือนแบบหักเห<br />
- คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็ก<br />
ไฟฟา<br />
- คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
จุลภาค<br />
3.2 American Society for Testing and<br />
Materials (ASTM):<br />
- D6429-99 (Re 2006) Standard Guide<br />
for Selecting Surface Geophysical Methods<br />
4. ศัพทบัญญัติ<br />
4.1 คํานิยาม<br />
การสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง (groundwater<br />
investigation for pin-point well drilling)<br />
หมายถึง การสํารวจอุทกธรณีวิทยา ที่มีวัตถุประสงค<br />
เพื่อกําหนดตําแหนงจุดเจาะบอน้ําบาดาลที่เหมาะสม<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน (subsurface<br />
hydrogeological investigation) หมายถึง<br />
การสํารวจเก็บขอมูลดานอุทกธรณีวิทยาใตผิวดินโดย<br />
ใชเครื่องมือหยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
(surface hydrogeological investigation) หมายถึง<br />
การสํารวจโดยใชเครื ่องมือทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
เพื่อที่จะจัดเก็บขอมูลดานธรณีวิทยาและอุทกธรณี<br />
วิทยา โดยมิไดใชเครื่องมือใดๆหยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
แบบจําลองเชิงมโนทัศนของพื้นที่สํารวจ<br />
(conceptual site models) หมายถึง การสรางรูป<br />
แบบจําลองของพื้นที่สํารวจจากขอมูลเบื้องตนของ<br />
พื้นที่สํารวจเทาที่มีอยู เพื่อใชในการกําหนดแนวทาง<br />
และวิธีการสํารวจภาคสนาม<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน<br />
(conceptual hydrogeological models) หมายถึง การ<br />
สรางรูปแบบจําลองของพื้นที่สํารวจจากขอมูลดาน<br />
อุทกธรณีวิทยาที่ไดจากการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบน<br />
ผิวดิน เพื่อใชประกอบกับแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
สําหรับการกําหนดแนวทางการสํารวจขั้นตอไป<br />
4.2 คํายอ<br />
กรมฯ หมายถึง กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
การสํารวจฯ หมายถึง การสํารวจอุทกธรณี<br />
วิทยาบนผิวดิน<br />
แบบจําลองฯ หมายถึง แบบจําลองเชิงมโน<br />
ทัศนของพื้นที่สํารวจ<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน<br />
5.1 เอกสารคูมือฉบับนี้ไดกําหนดวิธีการ<br />
คัดเลือกการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน สําหรับสภาพ<br />
อุทกธรณีวิทยาของพื้นที่สํารวจแบบตางๆ สําหรับการ<br />
ปรับใชเพื่อใหไดผลงานการสํารวจตรงตามมาตรฐานที่<br />
กรมทรัพยากรน้ําบาดาลกําหนด โดยสามารถนําไป<br />
ประยุกตใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยาตางๆ ดังนี้<br />
5.1.1 ใชเปนคูมือในการคัดเลือกวิธีการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดิน สําหรับงานสํารวจน้ําบาดาล<br />
เฉพาะแหง ซึ่งอาจตองดําเนินการสํารวจตอเนื่องดวย<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดินตามมาตรฐาน ทบ<br />
ส 3000-2550<br />
5.1.2 ใชเปนคูมือในการคัดเลือกวิธีการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดิน สําหรับงานสํารวจจัดทําแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยา โดยมีกระบวนการสํารวจจัดทําแผนที่<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 23<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
อุทกธรณีวิทยาตอเนื่องตามมาตรฐาน ทบ ส 4000-<br />
2550<br />
5.1.3 ใชเปนคูมือในการคัดเลือกวิธีการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดิน สําหรับงานศึกษาวิจัยแหลงน้ํา<br />
บาดาลตางๆ เชน การศึกษาวิจัยเพื่อประเมินปริมาณ<br />
น้ําสํารองแองน้ํา การศึกษาวิจัยเพื่อประเมินพื้นที่เติม<br />
น้ํา การศึกษาวิจัยเพื่อจัดทําแบบจําลองอุทก<br />
ธรณีวิทยาทางคณิตศาสตร และการศึกษาวิจัยทาง<br />
อุทกธรณีวิทยาดานอื่นๆ<br />
5.2 คูมือการคัดเลือกวิธีการธรณีฟสิกสบนผิว<br />
ดินฉบับนี้ ไดกําหนดขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติ<br />
งานไวกวางๆ สําหรับการปรับใชกับงานสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาหรือการศึกษาวิจัยอุทกธรณีวิทยาตาม<br />
วัตถุประสงคตางๆ ซึ่งตองการรายละเอียดของขอมูล<br />
ตางกัน โดยเฉพาะปริมาณของขอมูลยอมขึ้นอยูกับ<br />
ขนาดของพื้นที่สํารวจ เวลาและงบประมาณของงาน<br />
สํารวจศึกษาวิจัยแหลงน้ําบาดาลแตละงาน ดังนั้น<br />
ขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติงานที่ไดกําหนด<br />
เอกสารฉบับนี้ อาจเปลี่ยนแปลงไดตามที่ผูเชี่ยวชาญ<br />
ของโครงการศึกษาวิจัยแตละโครงการจะเห็นสมควร<br />
6. คําอธิบายวิธีการ<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินเปนขั้นตอนการ<br />
สํารวจภาคสนามที่ตอเนื่องจากการสํารวจอุทกธรณี<br />
วิทยาบนผิวดิน โดยมีเปาหมายเพื่อจัดทํารูปแบบอุทก<br />
ธรณีวิทยาใตดินในขั้นตอนสุดทายของการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน ซึ่งจําลองสภาพอุทกธรณีวิทยา<br />
ใตผิวดินไดคราวๆ โดยการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินเปนการสํารวจบนผิวดิน โดยใชเครื่องมือทาง<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินตรวจวัดคุณสมบัติทางกายภาพ<br />
ของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินที่ระดับความลึกตางๆ และ<br />
ดวยการแปลความหมายจากขอมูลการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดิน ทําใหสามารถประมาณการความลึก<br />
ความหนาของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินในพื้นที่สํารวจ<br />
ภายใตการประมาณการทางวิทยาศาสตร<br />
7. เครื่องมือและอุปกรณ<br />
รายการเครื่องมือและอุปกรณการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินที่เกี่ยวของกับเอกสารคูมือฉบับนี้<br />
ประกอบดวย ชุดเครื่องมือการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินจํานวน 4 ชุดดวยกันคือ<br />
(1) ชุดเครื่องมือการสํารวจตรวจวัดความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะ พรอมอุปกรณ<br />
(2) ชุดเครื่องมือการสํารวจตรวจวัดความเร็วของ<br />
คลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห พรอมอุปกรณ<br />
(3) ชุดเครื่องมือการสํารวจตรวจวัดสนามคลื่น<br />
แมเหล็กไฟฟา พรอมอุปกรณ<br />
(4) ชุดเครื่องมือการสํารวจตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
อยางละเอียด พรอมอุปกรณ<br />
รายละเอียดของชุดเครื่องมือแตละชนิดไดแสดง<br />
ไวในมาตรฐานและคูมือปฏิบัติการดานการสํารวจของ<br />
กรมทรัพยากรน้ําบาดาล ตั้งแตการสํารวจดวยการ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ (คูมือ ทบ ส<br />
2002-2550) การสํารวจดวยการตรวจวัดความเร็ว<br />
คลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห (คูมือ ทบ ส 2003-2550)<br />
การสํารวจดวยการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา<br />
(คูมือ ทบ ส 2004-2550) และการสํารวจดวยการ<br />
ตรวจวัดความโนมถวงจุลภาค (คูมือ ทบ ส 2005-<br />
2550)<br />
8. การคัดเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดิน<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน เปนการสํารวจ<br />
โดยการตรวจวัดหาคุณสมบัติทางทางกายภาพของชั้น<br />
ดินชั้นหินใตดิน ซึ่งเปนลักษณะการหาขอมูลใตผิวดิน<br />
ทางออม การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินมีหลายวิธี<br />
ขึ้นอยูกับวัตถุประสงคของการสํารวจ โดยทั่วไปการ<br />
เลือกใชวิธีการสํารวจขึ้นอยูกับปจจัยหลายๆ อยาง<br />
เชน ความแตกตางดานคุณสมบัติทางกายภาพของชั้น<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 24<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ดินชั้นหินใตผิวดิน (physical contrast) ในพื้นที่สํารวจ<br />
ซึ่งจําเปนตองเลือกวิธีการสํารวจใหเหมาะสม เพื่อให<br />
ไดขอมูลที่มีความถูกตองมากที่สุด นอกจากนี้ยังมี<br />
ปจจัยอื่นๆ เชน คาใชจายและระยะเวลาที่ใชในการ<br />
สํารวจ รวมไปถึงแผนการนําเสนอขอมูลการสํารวจ<br />
เปนตน<br />
ตามมาตรฐานการทดสอบวัสดุแหงสหรัฐอเมริกา<br />
D6429-99 (Reapproved 2006) ไดกําหนดขั้นตอน<br />
การเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน ดังนี้<br />
8.1 การประยุกตใชวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
บทสรุปของการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบน<br />
ผิวดิน ตามมาตรฐาน ทบ ส 1000 - 2550 คือการ<br />
สรางแบบจําลองอุทกธรณีวิทยา ซึ่งจําลองสภาพอุทก<br />
ธรณีวิทยาใตผิวดินของพื้นที่สํารวจจากขอมูลการเจาะ<br />
ที่มีอยูอยางจํากัด ใหเปนแบบจําลองคราวๆ พรอม<br />
ขอสรุปเพื่อเปนแนวทางการสํารวจขั้นตอไป<br />
ปริมาณขอมูลและการแปลความหมาย<br />
ขอมูลเปนปจจัยสําคัญในการบงชี้ความถูกตองแมนยํา<br />
ของงานสํารวจอุทกธรณีวิทยาดานตางๆ โดยเฉพาะ<br />
อยางยิ่งขอมูลอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน ซึ่งไดจากการ<br />
เจาะสํารวจพรอมดวยกระบวนการหยั่งธรณี (well<br />
logging) แตการสํารวจดวยวิธีดังกลาวตองเสีย<br />
คาใชจายสูงและใชเวลามากเมื่อเปรียบเทียบกับการใช<br />
ขอมูลจากการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
โดยทฤษฎีของการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิว<br />
ดินดวยวิธีการตางๆ ขอมูลที่ไดจากการสํารวจ<br />
ภาคสนามเปนขอมูลเชิงปริมาณ แตโดยสวนใหญ<br />
สามารถแปลความหมายขอมูลดังกลาวใหเปนขอมูล<br />
เชิงคุณภาพได การแปลความหมายขอมูลการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินจําเปนตองทราบสภาพอุทกธรณี<br />
วิทยาของพื้นที่สํารวจ โดยเฉพาะอยางยิ่งขอมูลการ<br />
เจาะที่ใชเปนขอมูลเปรียบเทียบ (key wells) นอก<br />
จากนี้การแปลความหมายจําเปนตองใชประสบการณ<br />
ความเชี่ยวชาญและความละเอียดรอบคอบของผูแปล<br />
สําหรับโปรแกรมสําเร็จรูปที่ใชในการแปลความหมาย<br />
ขอมูลการสํารวจธรณีฟสิกสนั้น ไมสามารถผนวก<br />
ขอมูลรายละเอียดดานอุทกธรณีวิทยาหรือรายละเอียด<br />
อื่นๆที่อาจมีความสําคัญเขาไปในกระบวนการแปล<br />
ความหมาย จึงควรใชขอมูลที่ไดจากโปรแกรมเพื่อการ<br />
เปรียบเทียบเทานั้น<br />
8.2 ความแตกตางดานคุณสมบัติทางกายภาพ<br />
ของชั้นดินชั้นหินใตผิวดิน<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธี<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะของชั้นดินชั้นหิน<br />
ใตผิวดินรวมทั้งของเหลวในชั้นดินชั้นหินนั้น จะตอง<br />
คํานึงถึงความแตกตางดานความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ (resistivity contrast) ของชั้นดินชั้นหินที่<br />
ระดับความลึกตางๆในพื้นที่สํารวจ ซึ่งจําเปนตองมีคา<br />
ความแตกตางสูงเพียงพอที่จะจําแนกชั้นดินชั้นหินนั้น<br />
ออกจากกันดวยคาความตานทานไฟฟาจําเพาะได<br />
(resistivity layers) ในทํานองเดียวกันการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการอื่นๆ จําเปนตองคํานึงถึง<br />
ความแตกตางของคาที่เปนตัวจําแนกหรือแบงแยกชั้น<br />
ดินชั้นหินออกจากกัน เชน คาความเร็วคลื่นไหว<br />
สะเทือน (velocity contrast) คาความหนาแนน<br />
(density contrast) คาแรงโนมถวง (gravity contrast)<br />
ของชั้นดินชั้นหินบริเวณพื้นที่สํารวจนั้น เพื่อที่จะ<br />
สามารถจําแนกออกเปนชั้นตามคุณสมบัติที่แตกตาง<br />
กันได<br />
ตัวอยางเชน การเลือกวิธีสํารวจของการ<br />
สํารวจแนวรอยตอระหวางชั้นน้ําเค็มและจืด ซึ่ง<br />
คุณสมบัติของชั้นน้ําเค็มและจืดจะมีความแตกตางดาน<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะของชั้นทรายน้ําจืดกับชั้น<br />
ทรายน้ําเค็มคอนขางสูง ในขณะที่ความเร็วของคลื่น<br />
ไหวสะเทือนที่วิ่งผานชั้นทรายน้ําเค็มและชั้นทรายน้ํา<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 25<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
จืดมีคาใกลเคียงกันมาก สวนความหนาแนนของชั้น<br />
ทรายน้ําเค็มและชั้นทรายน้ําจืดมีความแตกตางกัน<br />
เพียงเล็กนอย แตสามารถตรวจวัดไดดวยเครื่อง<br />
ตรวจวัด ในการปฏิบัติการสํารวจจริงอาจพบปญหา<br />
ปลีกยอย เชน ในกรณีที่พื้นที่สํารวจปกคลุมดวยชั้น<br />
ดินเค็ม การสํารวจตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะจะประสบปญหาได เนื่องจากเปนขอจํากัดของ<br />
วิธีการสํารวจ<br />
การสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดินที่<br />
ประยุกตใชในดานการสํารวจแหลงน้ําบาดาล โดยสวน<br />
ใหญจะใชวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
แตหลายๆกรณีจําเปนตองใชวิธีการตรวจวัดอื่นๆ<br />
ควบคูไปดวย<br />
8.3 สรุปวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินที่ใช<br />
ในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
การคัดเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินจําเปนตองอาศัยปจจัยตางๆ หลายประการ<br />
รวมไปถึงความรูพื้นฐานดานธรณีฟสิกสเพื่อเลือก<br />
วิธีการสํารวจที่เหมาะสมกับสภาพพื้นที่ ความลึกที่<br />
ตองการทราบขอมูล รวมทั้งคาใชจายและเวลาที่ใชใน<br />
การสํารวจ สําหรับหัวขอนี้จะสรุปวิธีการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินที่ใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา 4<br />
วิธี ดังนี้<br />
8.3.1 วิธีการสํารวจตรวจวัดความตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะแบบกระแสตรง<br />
การสํารวจตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะแบบกระแสตรง (direct current resistivity<br />
methods, DC) เปนการสํารวจโดยการปลอยกระแส<br />
ไฟฟากระแสตรงลงสูใตดินผานขั้วหลักไฟฟากระแส<br />
(current electrodes) สองขั้วคือ C 1 และ C 2 และ<br />
ตรวจวัดความตางศักยทางไฟฟา (voltage potentials)<br />
บนผิวดิน จากขั้วหลักไฟฟาความตางศักยสองขั้ว<br />
(potential electrodes) คือ P 1 และ P 2 ซึ่งปกอยูตรง<br />
กลางของระยะหางระหวาง C 1 และ C 2 โดยเปนการ<br />
ตรวจวัดความตางศักยไฟฟาของดินหินใตผิวดินที่<br />
ระดับความลึกตางๆ<br />
การประยุกตใชการสํารวจแบบตรวจวัด<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะแบบกระแสตรงอาจใช<br />
เปนวิธีสํารวจของการสํารวจแบบหยั่งลึก(vertical<br />
electrical resistivity sounding, VES) การสํารวจ<br />
แบบตัดแนว (resistivity profiling) หรือการสํารวจ<br />
แบบทั่วพื้นที่ (resistivity mapping)<br />
ระดับความลึกที่สามารถตรวจวัดไดดวย<br />
วิธีนี้ ขึ้นอยูกับระยะหางของขั้ว C 1 และ C 2 สภาพ<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะของชั้นดินชั้นหินใตดิน<br />
และพลังงานไฟฟาที่ปลอยลงใตผิวดิน โดยปกติ<br />
สามารถวัดไดถึงระดับความลึกมากกวา 300 เมตร<br />
ทั้งนี้ขึ้นอยูกับขนาดพื้นที่สํารวจที่ตองมากพอสําหรับ<br />
การลากสาย ไฟฟาและตอกหลักขั้วไฟฟา และ<br />
คุณสมบัติของชั้นดินชั้นหินบริเวณพื้นที่สํารวจ<br />
เครื่องมือสํารวจที่มีประสิทธิ-ภาพในการปลอย<br />
พลังงานไฟฟาไดสูง ทําใหอาจสามารถตรวจวัดไดลึก<br />
ถึง 500 เมตร หรือมากกวา<br />
ขีดความสามารถในการสํารวจแบบหยั่ง<br />
ลึกโดยปกติสามารถหาความลึกหรือความหนาของชั้น<br />
ดินชั้นหินใตผิวดินไดประมาณ 3 - 4 ชั้น การสํารวจ<br />
ดวยวิธีนี้ มีขอจํากัดของการสํารวจคอนขางนอย เมื่อ<br />
เปรียบเทียบกับการสํารวจดวยวิธีอื่นๆ โดยเฉพาะ<br />
อยางยิ่งสภาพแวดลอมของพื้นที่สํารวจที่สงผลกระทบ<br />
ตอการสํารวจเชน แนวสํารวจอยูใกลแนวสาย<br />
ไฟฟาแรงสูง หรือใกลแนวทอประปา หรือสิ่งกอสราง<br />
ใตผิวดินอื่นๆ อาจมีผลตอการตรวจวัดบางแตไมมาก<br />
ถึงกับไมสามารถสํารวจได<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 26<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
8.3.2 วิธีการสํารวจตรวจวัดความเร็วคลื่นไหว<br />
สะเทือนแบบหักเห<br />
การสํารวจตรวจวัดความเร็วคลื่นไหว<br />
สะเทือนแบบหักเหเปนการตรวจวัดคุณสมบัติทาง<br />
กายภาพของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินดานความเร็วของ<br />
คลื่นไหวสะเทือนที่วิ่งผาน โดยอาศัยทฤษฎีเสียงและ<br />
Snell’s law เมื่อทําใหเกิดเสียงบนผิวดิน คลื่นไหว<br />
สะเทือนจะวิ่งลงสูใตผิวดินผานตัวกลางคือชั้นหินใตผิว<br />
ดินดวยความเร็วระดับหนึ่ง และเมื่อมีการเปลี่ยนชนิด<br />
หิน ความเร็วคลื่นไหวสะเทือนที่กําลังเคลื่อนที่ผานนั้น<br />
จะเปลี่ยนไปตามคุณสมบัติของหินชั้นที่สอง และตรง<br />
บริเวณแนวรอยตอระหวางชั้นหิน (interface) คลื่น<br />
ไหวสะเทือนบางสวนจะถูกสะทอนกลับขึ้นสูผิวดิน<br />
(reflected wave) บางสวนจะเดินทางผานชั้นหินลึกลง<br />
ไป หลักการของการสํารวจแบบนี้จะตรวจจับสวนของ<br />
คลื่นไหวสะเทือนที่หักเหกลับขึ้นสูผิวดินและแปล<br />
ความ หมายขอมูลการสํารวจเพื่อหาความลึกและ<br />
ความหนาของชั้นดินชั้นหินใตผิวดิน<br />
การประยุกตใชการสํารวจตรวจวัดความ<br />
เร็วคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห สามารถนํามาใชใน<br />
การสํารวจดานอุทกธรณีวิทยาในการตรวจวัดความลึก<br />
ของระดับน้ําบาดาล การตรวจสอบคนหาชั้นน้ําบาดาล<br />
ตามแนวรอยแตกรอยเลื่อนในชั้นหินแข็ง และโครง<br />
สรางอุทกธรณีวิทยาใตผิวดินอื่นๆ<br />
ระดับความลึกที่สามารถตรวจวัดไดดวย<br />
วิธีนี้ขึ้นอยูความเขมของพลังงานตนกําเนิดของคลื่น<br />
ไหวสะเทือนที่อยูบนผิวดินและคุณสมบัติทางกายภาพ<br />
ของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินโดยปกติความลึกในการ<br />
ตรวจวัดจะไมเกิน 30 เมตร แตอาจสํารวจไดลึกกวานี้<br />
มากหากใชวัตถุระเบิดเปนตนกําเนิดคลื่น<br />
ขีดความสามารถในการสํารวจแบบหยั่ง<br />
ลึกสามารถตรวจวัดความลึกของชั้นดินชั้นหินใตผิวดิน<br />
ไดประมาณ 3-4 ชั้น ความลึกของการสํารวจที่ได<br />
ขึ้นกับระยะหางของตัวรับคลื่นไหวสะเทือน (geophones)<br />
โดยทั่วไปอยูระหวาง 2-6 เมตร ระยะหาง<br />
ของตัวรับคลื่นไหวสะเทือนมากจะไดขอมูลระดับลึก<br />
กวาระยะหางที่นอยกวา<br />
การสํารวจดวยวิธีนี้ มีขอจํากัดที่สําคัญ<br />
คือ ความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนในชั้นดินชั้นหิน<br />
ระดับตื้นจะตองนอยกวาความเร็วของคลื่นไหว<br />
สะเทือนในชั้นดินชั้นหินระดับลึกลงไปเสมอ หากชั้น<br />
หินที่มีความเร็วคลื่นไหวสะเทือนสูงวางทับอยูบนชั้น<br />
หินที่มีความเร็วคลื่นไหวสะเทือนที่มีความเร็วคลื่นต่ํา<br />
จะไมสามารถตรวจวัดชั้นหินที่มีความเร็วคลื่นต่ําได<br />
เพราะคลื่นที่วัดไดจะเปนคลื่นที ่วิ่งอยูในชั้นหินที่มี<br />
ความเร็วคลื่นสูงเทานั้น ขอจํากัดอีกประการหนึ่งคือ<br />
ไมสามารถตรวจวัดชั้นหินบางๆที่อยูลึกจากผิวดิน<br />
มากๆ ได<br />
8.3.3 วิธีการสํารวจตรวจวัดสนามแมเหล็ก<br />
ไฟฟา<br />
การสํารวจดวยการตรวจวัดสนาม<br />
แมเหล็กไฟฟา สามารถจําแนกเปน 3 แบบ ไดแก<br />
การตรวจวัดดวยวิธี frequency domain electromagnetic<br />
survey (FDEM) ซึ่งบางครั้งอาจเรียกวา terrain<br />
conductivity การตรวจวัดแบบ time domain electromagnetic<br />
survey (TDEM) และการตรวจวัดแบบ<br />
very-low frequency electromagnetic survey (VLF-<br />
EM) สําหรับการประยุกตใชในการสํารวจดานอุทก<br />
ธรณีวิทยาจะใชเฉพาะ FDEM และ VLF-EM เทานั้น<br />
สําหรับ TDEM มักใชในการสํารวจหามวลโลหะ (metallic<br />
bodies) ใตผิวดิน เชน การสํารวจตรวจหาสิ่ง<br />
กอสรางใตดินหรือการสํารวจแรโลหะ เปนตน<br />
หลักการของการสํารวจแบบ FDEM และ<br />
VLF-EM เปนการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟาทุติย-<br />
ภูมิ (secondary electromagnetic field, H S ) ที่เกิด<br />
จากการเหนี่ยวนําของสนามแมเหล็กไฟฟาปฐมภูมิ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 27<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(primary electromagnetic field, H P ) โดยการสํารวจ<br />
แบบ FDEM สนาม H P สรางขึ้นโดยขดลวดสง<br />
สัญญาณ (transmitter coil) สวน VLF-EM อาศัยสวน<br />
ที่เปนสนามแมเหล็กของคลื่นวิทยุความถี่ต่ํา (ระหวาง<br />
3-30 kHz) จากสถานีวิทยุความถี่ต่ําที่ใชในการทหาร<br />
เปนตัวกําเนิดสนาม H P<br />
สนาม H P ในพื้นที่สํารวจจะเคลื่อนที่ใน<br />
แนวระนาบทั้งบนดินและใตผิวดิน เมื่อเคลื่อนที่<br />
กระทบสิ่งกีดขวางคือ ชั้นหินใตผิวดินที่เปนแนวผิด<br />
วิสัยก็จะเหนี่ยวนําใหเกิดสนาม H S ซึ่งเคลื่อนที่ใน<br />
ทิศทางที่ตั้งฉากกับสนาม H P หรือในมุมประมาณ π/2<br />
ตัวรับสัญญาณ ไดแก ขดลวดรับสัญญาณ (receiving<br />
coil) ของการสํารวจแบบ FDEM หรือเครื่องรับ<br />
สัญญาณของการสํารวจแบบ VLF-EM จะแสดงคา<br />
สนามแมเหล็กที่ผิดปกติ ณ จุดสํารวจ เนื่องจากเปน<br />
สัญญาณที่เปนผลรวมทางเวคเตอรของสนาม H P และ<br />
H S แทนที่จะเปนสนาม H P แตอยางเดียว<br />
จากหลักการดังกลาว การสํารวจแบบ<br />
FDEM และ VLF-EM จึงเหมาะสําหรับการสํารวจ<br />
ตรวจหาแนวผิดวิสัยของชั้นหินใตผิวดิน หรือการ<br />
เปลี่ยนแปลงของชั้นหินในแนวระนาบ (lateral<br />
variation) ในขณะที่การสํารวจดวยวิธีการตรวจวัด<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะ เหมาะสําหรับการสํารวจ<br />
ตรวจหาการเปลี่ยนแปลงของชั้นหินในแนวดิ่ง<br />
(vertical variation)<br />
ระดับความลึกของการสํารวจแบบ FDEM<br />
ขึ้นอยูกับระยะหางระหวางขดลวดสงสัญญาณและ<br />
ขดลวดรับสัญญาณ ซึ่งโดยสวนใหญสามารถตรวจวัด<br />
ไดตั้งแต 0.75 ถึง 60 เมตร สําหรับการสํารวจแบบ<br />
VLF-EM ความลึกที่สามารถตรวจวัดไดขึ้นอยูกับคา<br />
ความเปนสื่อไฟฟาของชั้นหินใตดิน โดยสวนใหญ<br />
สามารถตรวจวัดไดลึกไมเกิน 30 เมตร<br />
การสํารวจแบบ FDEM และ VLF-EM<br />
สามารถจัดเก็บขอมูลในภาคสนามไดรวดเร็ว โดยใช<br />
ผูปฏิบัติงานเพียง 1 หรือ 2 คน จึงนิยมใชเปนวิธีการ<br />
สํารวจแบบนํารองเพื่อใหไดขอมูลเบื้องตน ในการ<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยาที่มีพื้นที่สํารวจขนาดใหญ กอน<br />
จะสํารวจขอมูลรายละเอียดดวยการสํารวจแบบ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะตอไป<br />
ขอจํากัดของการตรวจวัดสนาม แมเหล็ก<br />
ไฟฟานั้น ไดแก ความไวตอสิ่งรบกวนจากสภาพ<br />
แวดลอมของพื้นที่สํารวจ ไมวาจะเปนสายไฟฟา รั้ว<br />
ลวดหรือเหล็กหรือสังกะสี หลังคาสังกะสี แนวฝงทอ<br />
ประปา หรือสิ่งกอสรางอื่นๆ นอกจากนี้วิธีการสํารวจ<br />
แบบ VLF-EM แนวผิดวิสัยของชั้นหินใตดินจะตอง<br />
วางตัวตั้งฉากหรือเกือบตั้งฉากกับของสถานี<br />
วิทยุกระจายเสียงที่สงสัญญาณคลื่นวิทยุความถี่ต่ํา จึง<br />
จะสามารถตรวจพบได<br />
8.3.4 วิธีการสํารวจตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
จุลภาค<br />
การสํารวจตรวจวัดแรงโนมถวงเปนการ<br />
ตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงของแรงดึงดูดโลก ที่เกิดจาก<br />
การเปลี่ยนแปลงความหนาแนนของชั้นหินใตผิวดิน<br />
ขอมูลที่ไดจากการสํารวจความเปลี่ยนแปลงผิดวิสัยใน<br />
แนวระนาบ สามารถบงชี้ถึงการเปลี่ยนแปลงของ<br />
ความหนาแนนของชั้นหินในแนวระนาบ การตรวจวัด<br />
แรงโนมถวงจุลภาค สามารถตรวจวัดความเปลี่ยน<br />
แปลงของความหนาแนนที่นอยมากๆ ของชั้นหิน<br />
ใตดินได<br />
การสํารวจดวยวิธีตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
จุลภาค โดยสวนใหญเปนการสํารวจแบบตัดแนว<br />
(profiling) หรือสํารวจแบบทั่วพื้นที่ (mapping) โดยมี<br />
สถานีสํารวจที่มีระยะหางระหวาง 2 ถึง 5 เมตร ใน<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยา สามารถประยุกตใชในการ<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยาในโพรงหินใตดินไดเปนอยางดี<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 28<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
โดยเฉพาะอยางยิ่งสามารถใชในการจําแนกประเภท<br />
ของโพรงถ้ําใตดินออกเปน clay-filled, water-filled,<br />
or air-filled cavities ไดดีกวาการสํารวจดวยวิธีการ<br />
อื่นๆ<br />
ความลึกในการสํารวจขึ้นอยูกับขนาดของ<br />
วัตถุหรือขนาดของโพรงถ้ําใตดิน และความละเอียด<br />
ของการตรวจวัด ในสภาวะปกติสามารถตรวจหา<br />
โพรงหินปูนใตดินไดในระดับความลึกเกินกวา 100<br />
เมตรได การปฏิบัติงานสํารวจภาคสนามถึงแมจะ<br />
สามารถปฏิบัติงานไดคนเดียวไดแตการสํารวจแตละ<br />
สถานีตองใชความละเอียดและใชเวลามาก ทั้งนี้อีกทั้ง<br />
ทุกสถานีตองรังวัดระดับความสูงดวยงานรังวัดที่มี<br />
ความละเอียดระดับ ±1 เซนติเมตร และจําเปนตอง<br />
ปรับแกคาที่วัดได (corrections) กอนนําไปแปล<br />
ความหมายขอมูล<br />
8.4 การเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ตามมาตรฐานสากล<br />
จากการคนควารวบรวมเอกสารและรายงาน<br />
ระดับสากลที่เกี่ยวของกับการเลือกวิธีการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดิน พบวามีเอกสารที่เกี่ยวของกับการ<br />
เลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน เชน เอกสาร<br />
การเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินในพื้นที่ฝง<br />
กลบขยะ (Benson et al., 1982) เอกสารการเลือก<br />
วิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินสําหรับงานธรณี<br />
เทคนิค (Ward, 1990) เอกสารการสํารวจธรณีฟสิกส<br />
บนผิวดิน (Olhoeft, 1988) และมีเอกสารนาสนใจ<br />
จํานวน 2 เลม คือ เอกสารมาตรฐานการทดสอบวัสดุ<br />
แหงสหรัฐอเมริกา (D6429-99 Reapproved 2006)<br />
และเอกสารองคการปองกันดานสิ่งแวดลอมแหง<br />
สหรัฐอเมริกา (EPA/625/R-92/007, 1993) ดังขอสรุป<br />
ตอไปนี้ คือ<br />
8.4.1 เอกสารมาตรฐานการทดสอบวัสดุแหง<br />
สหรัฐอเมริกา (D6429-99 Reapproved 2006)<br />
ครอบคลุมขอเสนอแนะมาตรฐานการคัดเลือกวิธีการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินทั่วๆ ไปในรูปตารางโดย<br />
ใหระดับความสําคัญ “A” สําหรับวิธีการสํารวจที่<br />
เหมาะสมที่สุดสําหรับการประยุกตใชตามลําพังวิธี<br />
เดียว และความสําคัญ “B” สําหรับวิธีการสํารวจระดับ<br />
รองเพื่อประยุกตใชตามลําพังวิธีเดียว หรือใชควบคู<br />
กับวิธีการอื่นในกรณีตองสํารวจหลายวิธี ดังตารางที่ 1<br />
8.4.2 เอกสารองคการปองกันดานสิ่ง แวดลอม<br />
แหงสหรัฐอเมริกา (EPA/625/R-92/007, 1993) ได<br />
เสนอแนะการเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดิน สําหรับงานสํารวจการปนเปอนใตผิวดิน<br />
ภายใตสภาพอุทกธรณีวิทยาตางๆ โดยสรุปในตาราง<br />
ที่ 2<br />
8.4.3 การประยุกตใชการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินสําหรับการสํารวจทางอุทกธรณีวิทยา โดยสวน<br />
ใหญจะใชวิธีการสํารวจดวยการตรวจวัดความตาน<br />
ทานไฟฟาจําเพาะของชั้นดินชั้นหินใตผิวดิน แตสภาพ<br />
อุทกธรณีของพื้นที่สํารวจบางแหงจําเปนตองใชวิธีการ<br />
สํารวจแบบอื่นควบคูกันไปดวย และในบางสภาพพื้นที่<br />
อาจใชวิธีการสํารวจวิธีอื่นเปนหลักขึ้นอยูกับความ<br />
เหมาะสม เอกสารมาตรฐานฉบับนี้จะแสดงวิธีการ<br />
สํารวจที่เหมาะสมสําหรับสภาพอุทกธรณีของพื้นที่<br />
สํารวจแบบตางๆ ดังสรุปในตารางที่ 3<br />
8.4.4 การคัดเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินตามตารางที่ 1 ดังกลาวขางตน เปนเพียงขอมูล<br />
เบื้องตน ภายใตสภาพแวดลอมของพื้นที่สํารวจปกติ<br />
ทั่วๆไป ซึ่งกอนทําการสํารวจธรณีฟสิกส ทุกครั้ง<br />
ผูดําเนินการสํารวจตองทําการตรวจสอบสภาพ<br />
แวดลอมของพื้นที่สํารวจโดยละเอียด เชน ตรวจสอบ<br />
แนวพาดผานของสายไฟและเสา ไฟฟาแรงสูง<br />
ตําแหนงเสาสัญญาณสถานีวิทยุกระจายเสียง แนวฝง<br />
ทอประปาใตดิน หรือสิ่งกอสรางใตดินอื่นๆ รวมทั้ง<br />
ควรหาขอมูลวาในชวงเวลาที่จะทําการสํารวจมีการ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 29<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สํารวจธรณีฟสิกสดวยวิธีเดียวกันในพื้นที่ใกลเคียง<br />
หรือไม ซึ่งสิ่งตางๆ เหลานี้ลวนแตมีอิทธิพลตอผลการ<br />
สํารวจทั้งสิ้น<br />
9. เอกสารอางอิง<br />
American Society for Testing and Materials<br />
(ASTM), 2006. Standard Guide for Selecting<br />
Surface Geophysical Methods, D6429-99<br />
(Re 2006).<br />
US Environmental Protection Agency (US. EPA),<br />
1993. Use of Airborne, Surface, and Borehole<br />
Geophysical Techniques at Contaminated<br />
Sites, a Reference Guide, EPA/<br />
625/R-92/007.<br />
ตารางที่ 1 การเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
การประยุกตใชงาน<br />
การสํารวจ<br />
ตรวจวัด<br />
ความเร็วคลื่น<br />
ไหวสะเทือน<br />
แบบหักเห<br />
การสํารวจ<br />
ตรวจวัดความ<br />
ตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะ<br />
การสํารวจ<br />
ตรวจวัด<br />
สนามแมเหล็ก<br />
ไฟฟา แบบ VLF<br />
วิธีการ<br />
สํารวจ<br />
ตรวจวัดแรง<br />
โนมถวง<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน A A B<br />
การสํารวจชั้นดินปกคลุมและชั้นดินตะกอนหินรวน A A B<br />
การสํารวจชั้นหินแข็งที่ระดับความลึกตางๆ B B B B<br />
การสํารวจระดับความลึกของระดับน้ําบาดาล A B B B<br />
การสํารวจแนวรอยแตก แนวรอยเลื่อนใตผิวดิน B B A B<br />
การสํารวจโพรงและหลุมยุบใตผิวดินในหินปูน B B B A<br />
การสํารวจในพื้นที่แหลงฝงกลบขยะ B B<br />
การสํารวจการรุกล้ําของน้ําเค็มในชั้นน้ํา A B<br />
การสํารวจชั้นน้ําบาดาลเค็ม A B<br />
การสํารวจสิ่งกอสรางใตผิวดิน A<br />
หมายเหตุ: A หมายถึง วิธีการที่ควรเลือกใชเปนอันดับแรก และสามารถประยุกตใชตรวจวัดวิธีเดียวได<br />
B หมายถึง วิธีการที่ควรเลือกใชเปนอันดับรองหรือควรใชควบคูกับวิธีอื่น<br />
(ดัดแปลงจาก ASTM, 2006)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 30<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 2 การเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินสําหรับงานสํารวจการปนเปอนใตผิวดิน<br />
วิธีการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดิน<br />
การสํารวจตรวจวัด<br />
ความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ<br />
การสํารวจตรวจวัด<br />
ความเร็วคลื่นไหว<br />
สะเทือนแบบหักเห<br />
การสํารวจตรวจวัด<br />
สนามคลื่น<br />
แมเหล็กไฟฟา<br />
วิธีการสํารวจตรวจวัด<br />
แรงโนมถวงจุลภาค<br />
สภาพอุทกธรณีวิทยา<br />
ประยุกตใชในการสํารวจการปนเปอนใตผิวดินในสภาพอุทกธรณีวิทยาตางๆ อยางกวางขวาง เพื่อ<br />
สํารวจลักษณะการแพรขยายของสารปนเปอน มีลักษณะคลายวิธีการสํารวจแบบ EM ยกเวนการ<br />
ตรวจหาวัสดุโลหะใตผิวดิน วิธีนี้มีระดับความลึกของการสํารวจ โดยสวนใหญไมเกิน 200 เมตร แต<br />
หากใช power booster อาจสํารวจไดลึกเกินกวา 500 เมตร<br />
ประยุกตใชในการสํารวจความหนาของชั้นตะกอนหินรวน และความลึกของชั้นหินแข็ง และ<br />
ประยุกตใชในการหาแนวรอยแตกรอยเลื่อนในชั้นหินแข็งใตผิวดิน ระดับความลึกของการสํารวจ<br />
โดยสวนใหญไมเกิน 50 เมตร ยกเวนกรณีการใชระเบิดเปนตนกําเนิดเสียงภายใตสภาพอุทกธรณี<br />
ใตผิวดินที่เหมาะสม อาจสํารวจไดลึกเกินกวา 100 เมตร<br />
ประยุกตใชในการสํารวจโครงสรางอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน เพื่อเปนขอมูลเบื้องตนสําหรับการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกสดวยวิธีการอื่น อาจประยุกตใชในการสํารวจการแพรขยายของสารปนเปอน และ<br />
อัตราการเคลื่อนที่ของ contamination plumes รวมไปถึงมลพิษที่ถูกกลบฝงและสิ่งกอสรางใตผิว<br />
ดิน เชน แนวทอและวัสดุโลหะอื่นๆ วิธีนี้มีระดับความลึกโดยสวนใหญไมเกิน 30 เมตร สําหรับ<br />
VLF<br />
ประยุกตใชในการประมาณการความลึกของชั้นตะกอนหินรวน ที่วางตัวเหนือชั้นหินแข็ง หรือ<br />
ประยุกตใชในการสํารวจขอบเขตของพื้นที่ฝงกลบขยะ ในกรณีที่สิ่งฝงกลบมีความหนาแนน<br />
แตกตางจากชั้นดินธรรมชาติในพื้นที่นั้น การสํารวจดวยวิธีนี้สามารถใชในการสํารวจหาโพรง<br />
หินปูนใตดิน และชองวางอันเกิดจากแนวรอยแตกรอยเลื่อนในชั้นหินแข็งไดดี<br />
(ดัดแปลงจาก USEPA, 1993)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 31<br />
คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน
้<br />
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ<br />
ส 2002-2550<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 เปนคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (ส) ของกรม<br />
ทรัพยากรน้ํา้าบาดาล (ทบ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม<br />
ตัวเลขชุดแรกมี 4 ตําแหนง หมายถึง ลําดับ<br />
ของคูมือ ตัวเลขชุดที่สอง “2550” หมายถึง ป พ.ศ. ที่จัดทําเอกสารตนฉบับของคูมือ กรณีที<br />
่มีการแกไขและปรับปรุง<br />
คูมือใหใสวงเล็บตอทายและระบุ<br />
ป พ.ศ. ที่แกไขปรับปรุง เชน (แกไขปรับปรุง 2555) เปนตน โดยมีเครื่องหมาย (ก)<br />
เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่แกไข และมีเครื่องหมาย (ป) เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่ปรั<br />
รับปรุงขึ้นใหม<br />
1. บทนํา<br />
คูมือการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะฉบับนี้<br />
จัดทําขึ้น<br />
ภายใตโครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจและ<br />
พัฒนาบอน้ําบาดาล พ.ศ. 2550 เปนสวนหนึนึ<br />
่งของชุด<br />
คูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล<br />
โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาลไดมอบหมายใหคณะ<br />
ผูเชี่ยวชาญด ดานอุทกธรณีวิทยา ธรณีวิทยา วิศวกรรม<br />
เครื่องกล และวิศวกรรมโยธา เปนผูดําเนินการราง<br />
คูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
เพื่อใหใช<br />
ควบคูไปกับมาตรฐาน ทบ ส 2002-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกส สบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะ โดยคูมือฉบับนี้จะกําหนด<br />
ขั้นตอนและแนวทางสําหรับใชในงานสํารวจฯ เพื่อให<br />
ไดผลงานตามมาตรฐานที่กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
กําหนด<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีตรวจวัด<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
เปนการสํารวจเพื่อตรวจ<br />
วัดคุณสมบัติ ติความตานทานไฟฟาจําเพาะของชั้นดิน<br />
ชั้นหินใตผิวดินที่ระดับความลึกตางๆ<br />
โดยการ<br />
ตรวจวัดหรือสํารวจดวยเครื่องวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ (resistivity meter)<br />
ซึ่งเปนการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินที่นํามาประยุกตใชในการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยามากที่สุดวิธีหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากมีความ<br />
เหมาะสมหลายดาน เชน สามารถประยุกตใชกับ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
33<br />
สภาพอุทกธรณีวิทยาใตผิวดินเกือบทุกรูปแบบ มี<br />
สิ่งรบกวนการสํารวจจากสภาพแวดลอมของพื<br />
พื ้นที่<br />
สํารวจนอยกวาวิธีการสํารวจอื่นๆ มีวิธีการสํารวจ<br />
หลายวิธีใหเลือกใชตามความเหมาะสม รวมทั้ง<br />
สามารถสํารวจขอมูลความเค็ม ทั้งของน้ําบาดาลใน<br />
ชั้นน้ําและชั้นดินชั้นหินเค็มใตผิวดิน อยางไรก็ตาม<br />
บางครั้งนอกจากการสํารวจดวยวิธีตรวจวัดความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะแลว อาจจําเปนตองทําการ<br />
สํารวจทางธรณีฟสิกสวิธีการอื<br />
่นๆ ควบคูไปดวย<br />
เพื่อใหไดขอมูลที่ถู<br />
ถูกตองครบถวนมากยิ่งขึ้น<br />
2. ขอบเขต<br />
2.1 วัตถุประสงคและการประยุกตใชงาน<br />
2.1.1 เอกสารคูมือฉบับนี้<br />
นี้ครอบคลุมเนื้อหา<br />
ทั่วๆไปในดานเครื่องมือและอุปกรณ วิธีการสํารวจ<br />
วิธี ธีการแปลความหมายขอมูล วิธีการนําเสนอผลการ<br />
สํารวจ และขอจํากัดของการสํารวจ สําหรับการสํารวจ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะของชั้นดินชั้นหิน<br />
ใต ตผิวดินและน้ําบาดาลในชั้นน้ําตางๆ โดยใชเครื่อง<br />
สํารวจแบบไฟฟากระแสตรง (DC resistivity meters)<br />
2.1.2 เอกสารคูมือฉบับนี้มีวัตถุประสงคหลั<br />
ลักใน<br />
การจัดทําเพื่อใชเปนคูมือการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิว<br />
ดินดวยวิธีตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
สําหรับประยุกตใชเฉพาะการสํารวจดานอุทก<br />
ธรณีวิทยาเทานั้น<br />
บางสวนของเนื้อหาอาจเกี่ยวพัน<br />
ันกับ<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจํ<br />
จําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
การประยุกตใชในดานสํารวจธรณี<br />
ณีเทคนิคหรือการ<br />
สํารวจสิ่งแวดลอมบาง<br />
2.2 ขอจํากัดของคูมือ<br />
2.2.1 เอกสารคูมือฉบับนี้ไมครอบคลุมถึ<br />
ถึง<br />
รายละเอียดดานเครื่องมือและอุปกรณ และภาคทฤษฎี<br />
ตางๆ แตจะนําเสนอรายชื่อเอกสาร และตําราที่<br />
เกี่ยวของใหผูใชเอกสารคูมือฉบับนี้<br />
ไปศึกษาคนควา<br />
ดวยตนเอง<br />
2.2.2 เอกสารคูมือฉบับนี้มีขอบเขตจํากัดเฉพาะ<br />
การนําวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิ<br />
วิธี<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
ที่นํามาประยุกต<br />
ใชในดานการสํารวจทางอุทกธรณีวิทยาเปนหลัก เชน<br />
การสํารวจแบบหยั่งลึก (sounding)<br />
แบบตัดแนว<br />
(profiling) แบบทั่วพื้นที่ (mapping) โดยมีวิธีการจั จัด<br />
ขั้วไฟฟา (electrodee configurations) แบบ Schlum-<br />
berger, Wenner หรื รือแบบ Dipole-Dipole เทานั้น<br />
2.2.3 เอกสารคูมือฉบับนี้ไม<br />
มครอบคลุมไปถึ ถึง<br />
วิธีการจัดขั้วไฟฟาแบบพิเศษอื่นๆ เชน Half-Wenner<br />
array, Half-Schlumberger array, gradient confi-<br />
guration, หรือ linear electrode array ซึ่งโดยสวน<br />
ใหญเปนวิธีการสํารวจสําหรับประยุกตใชในดานการ<br />
สํารวจแหลงแร สํารวจธรณีเทคนิคหรือการสํารวจ<br />
สิ่งแวดลอม เปนสวนใหญ<br />
2.2.4 เอกสารคูมือฉบับนี้ไดสรุปวิธีการสํารวจ<br />
แบบบ spontaneous potential method (SP method)<br />
และแบบ induced polarization method (IP method)<br />
ที่เกี่ยวของกับการสํารวจการปนเปอนแหลงน้ําบาดาล<br />
เทานั้น แตไมครอบคลุมถึงรายละเอียดและวิธีการ<br />
สํารวจแบบ 3-D resistivity method และ complex<br />
resistivity methods<br />
แตจะแนะนํารายชื่อเอกสารและ<br />
ตําราที่เกี่ยวของ<br />
2.2.5 หนวยวัดที่ใชใน<br />
นคูมือฉบับนี้เป ปน<br />
หนวยวัด Système<br />
Internationale d’Unitès ( SI<br />
Units) สํ สาหรับหนวยวัดที ที่ใชในการสํารวจแบบ resistivity<br />
methods มีหนวยวัดเปน โอหม-เมตร (Ohm<br />
meters, Ω-m)<br />
2.2.6 ขอความที่เกี่ยวของกับความ<br />
ปลอดภัยในเอกสารฉบับนี้ ครอบคลุมเฉพาะความ<br />
ปลอดภัยในการใชเครื่องมือที่มีมาตรฐานและอยูใน<br />
สภาพสมบูรณพรอมใชงานเทานั้น ไมครอบคลุมถึง<br />
ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน หรืออุบััติเหตุใดๆ ที่<br />
อาจเกิดขึ<br />
้นจากการปฏิบัติงานภาคสนาม ซึ่งตาม<br />
ขั้นตอนของเอกสารคูมือฉบับนี้ ผูใชงานจําเปนตอง<br />
คํานึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและทรัพยสินทุก<br />
ขั้นตอนของการปฏิบัติงาน<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ<br />
3.1 กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ<br />
ส 1000-2550 การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ<br />
ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2002-25500 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะ<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2003-25500 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของ<br />
คลื่นไหวสะเทือนแบบหักเหห<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2004-25500 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนาม<br />
แมเหล็กไฟฟา<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2005-25500 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
จุลภาค<br />
- คูมือ ทบ ส 1000-2550 การสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
34<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ
้<br />
้<br />
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
- คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่น<br />
ไหวสะเทือนแบบหักเห<br />
- คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็ก<br />
ไฟฟา<br />
- คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค<br />
3.2 American Society<br />
for Testing and<br />
Materials (ASTM):<br />
- D6431-99 (Re 2005) Standard Guide<br />
for Using Direct Current Resistivity methods for<br />
Subsurface Investigation.<br />
4. ศัพทบัญญัติ<br />
4.1 คํานิยาม<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
(surface<br />
geophysical investigation) หมายถึง การสํารวจโดย<br />
ใชเครื่องมือทางธรณีฟสิกสบนผิวดินเพื่อที่จะจัดเก็บ<br />
ขอมูลดานธรณีวิทยาและอุทกธรณีวิทยา โดยมิไดใช<br />
เครื่องมือใดๆ<br />
หยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
การสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง<br />
(groundwater<br />
investigation for pin-point well drilling)<br />
หมายถึง การสํารวจอุทกธรณีวิทยาที่มีวัตถุประสงค<br />
เพื่อกําหนดตํ ตําแหนงจุดเจาะบอน้ําบาดาลที่เหมาะสม<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน (subsurface<br />
hydrogeological<br />
Investigation) หมายถึง<br />
การสํารวจเพื<br />
่อเก็บขอมูลดานอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
โดยใชเครื่องมือเจาะหรือหยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
แบบจําลองทางธรณีฟสิกส (geophysical<br />
models) หมายถึง แบบจําลองลักษณะธรณีวิทยาหรือ<br />
กายภาพอื่นๆ ของพื้นที่จากขอมูลการสํารวจธรณี<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
35<br />
ฟสิ สิกส เพื่อใหขอมู มูลดานความลึกของแบบจําลองอุทก<br />
ธรณีวิทยาเชิงมโนทัศนมีความถูกตองแมนยํายิ่งขึ<br />
้น<br />
แบบจําลองทางธรณีฟ<br />
ฟสิกสสองมิติ (2-D<br />
geophysical profiles) หมายถึ ถึง ภาพเปนแนวยาว<br />
แสดงขอมูลชั้นดินหินในเชิงลึกที<br />
ที่ไดจากการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกส<br />
แบบจําลองทางธรณีฟ<br />
ฟสิกสสามมิติ (3-D<br />
resistivity models) หมายถึง ภาพสามมิติแสดงข<br />
ขอมูล<br />
ชั้นดินหินทั้งในเชิ<br />
ชิงกวาง ยาว และลึกที่ไดจากการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกส<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน<br />
(conceptual hydrogeological<br />
models) หมายถึง<br />
แบบจําลองของพื<br />
้นที่สํารวจ จากขอมูลดานอุทกธรณี<br />
วิทยาที่ไดจากการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
เพื พื่อใชประกอบกัับแผนที่อุทกธรณีวิทยาสําหรับการ<br />
กําหนดแนวทางการสํารวจขั้นตอไป<br />
4.2 คํายอ<br />
กรมฯ หมายถึง กรมทรั รัพยากรน้ําบาดาล<br />
การสํารวจฯ หมายถึง การสํารวจธรณี<br />
ฟสิ สิกสบนผิวดิน<br />
แบบจําลองฯ หมายถึ ถึง แบบจําลองทาง<br />
ธรณีฟสิกส<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน<br />
5.1 เอกสารคูมือฉบับนี้ไดกํ<br />
กําหนดวิธีการสํารวจ<br />
ดวยการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
เพื่อ<br />
ประยุกตใชใหเหมาะสมกับสภาพอุทกธรณีวิทยา<br />
สําหรับการปรับใชเพื่อใหไดผลงานการสํารวจตรงตาม<br />
มาตรฐานที่กรมทรัพยากรน้ําบาดาลกําหนด<br />
โดย<br />
สามารถนําไปประยุกตใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
ตางๆ ดังนี้<br />
5.1.1 ใชเปนคูมือในการคัดเลือกวิธีการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยการตรวจวัดความตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะ สําหรับงานสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจํ<br />
จําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ซึ่งอาจตองดําเนินการสํารวจตอเนื่อง ดวยการสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน ตามมาตรฐาน ทบ ส 3000-<br />
2550<br />
5.1.2 ใชเปนคู<br />
มือในการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดิ ดนดวยการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
สําหรับงานสํารวจจััดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา โดยมี<br />
กระบวนการสํารวจจัดทําแผนที<br />
ที ่อุทกธรณีวิทยา<br />
ตอเนื่อง ตามมาตรฐาน ทบ ส 4000-2550<br />
5.1.3 ใชเปนคู<br />
มือในการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดิ ดนดวยการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
สําหรับงานศึกษาวิจัยแหลงน้ําบาดาลตางๆ เชน การ<br />
ศึกษาวิจัยเพื่อประเมินปริมาณน้ําสํารองในแองน้ํา<br />
บาดาล การศึกษาวิจัยเพื่อประเมินพื้นที่เติมน้ํา การ<br />
ศึกษาวิจัยเพื่อจัดทําแบบจําลองอุทกธรณีวิทยาทาง<br />
คณิตศาสตร และการศึกษาวิจัยทางอุทกธรณีวิทยา<br />
ดานอื่นๆ<br />
5.2 เอกสารคูมือฉบับนี้ ไดกําหนดขั้นตอนและ<br />
แนวทางการปฏิบัติงานไวกวางๆ สําหรับการปรับใช<br />
กับงานสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยการตรวจวั<br />
วัด<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะ ตามวัตถุประสงคตางๆ<br />
ซึ่งอาจมีความตองการรายละเอียดของขอมูลตางกัน<br />
โดยเฉพาะปริมาณของขอมูลยอมขึ้นอยูกับขนาดของ<br />
พื้นที<br />
่สํารวจ เวลาและงบประมาณของงานสํารวจ<br />
ศึกษาวิจัยแหลงน้ําบาดาลแตละงาน ดังนั้นขั้นตอน<br />
และแนวทางการปฏิ<br />
ฏิบัติงานที่ไดกําหนดไวในเอกสาร<br />
ฉบับนี้ อาจเปลี่ยนแปลงไดตามที่ผูเชี่ยวชาญของ<br />
โครงการศึกษาวิจัยแตละโครงการจะเห็นสมควร<br />
6. คําอธิบายวิธีการ<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยการตรวจวั<br />
วัด<br />
ความตานทานไฟฟ<br />
ฟาจําเพาะเปนขั้ั้นตอนการสํารวจ<br />
ภาคสนามที่ตอเนื่องจากการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบน<br />
ผิวดิน โดยเปนการสํารวจบนผิวดินโดยใชเครื่องมื<br />
มือ<br />
ทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน ตรวจวั วัดคุณสมบัติทาง<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
36<br />
กายภาพของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินที่ระดับความลึก<br />
ตางๆ และดวยการแปลความหมายจากขอมูลการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน ทําใหสามารถประมาณ<br />
การความลึกและความหนาของชั้นดินชั้นหินตางๆใต<br />
ผิวดินในพื้นที่สํารวจ ภายใตการประมาณการทาง<br />
วิทยาศาสตร<br />
7. เครื่องมือและอุปกรณ<br />
7.1 สวนประกอบเครื่องมือ<br />
เครื่องมือที่ใชในการสํารวจตรวจวัดความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะแบงออกเปน 2 ประเภท คือ<br />
เครื่องวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะแบบใชไฟฟา<br />
กระแสตรง (DC resistivity meter) มีแหลงกําเนิด<br />
ไฟฟาเปนแบตเตอรี่ เปนเครื่องสํารวจขนาดเล็ก<br />
(portable) มีขีดความสามารถในการตรวจวัดความ<br />
ตานทานไฟฟาของชั้นดินชั้นหิน (measuring depth)<br />
จํากัดอยูที่ความลึกโดยปกติไมเกิน 200 เมตร แต<br />
ปจจุบันมีเครื่องขยายแรงดันไฟฟา (current booster)<br />
อาจขยายแรงดันไฟฟาจนสํารวจไดถึงระดับความลึก<br />
มากกวา 500 เมตร ในกรณีที่ชั้นดินชั้นหิ<br />
หินใตผิวดินมี<br />
ความแตกตางในดานความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
(resistivity<br />
contrast) ไมแตกตางกันมากนัก ปจจุบัน<br />
เครื่องมือที่ใชในกรมทรัพยากรน้ําบาดาลทั้งหมดเปน<br />
เครื่องประเภทนี้ทั้งสิ้น อีกประเภทหนึ่งเปนเครื่องวัด<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะแบบใชไฟฟากระแสสลับ<br />
(AC resistivity meter) เครื่องตรวจวัดประเภทนี้ขนาด<br />
ใหญใชระบบไฟฟากระแสสลับ มีเครื่องกําเนิดไฟฟา<br />
เปนแหลงกําเนิดพลังงาน ขีดความสามารถในการ<br />
ตรวจวัดไดถึงระดับความลึ<br />
ลึกมากกวา 1,000 เมตร<br />
มาตรฐาน ASTM D6431-99 Reapproved,<br />
2005 (ASTM, 2005) ไดกําหนดใหเครื่องวัดความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะทั้ง 2 ประเภท ตองประกอบ<br />
ดวยสวนประกอบหลัก (รูปที่ 1) ดังนี้<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
รูปที่ 1 schematic circuit และสวนประกอบ<br />
ของเครื่องสํารวจ resistivity meter<br />
(ดัดแปลงจาก Griffiths<br />
and King, 1965)<br />
7.1.1 แหลงกําเนิดพลั<br />
ลังงาน (battery หรือ<br />
generator)<br />
7.1.2 เครื่องปรับและ<br />
ะปลอยพลังงานกระแส<br />
ไฟฟา (transmitter หรือ G-Box)<br />
7.1.3 เครื่องตรวจวัดค<br />
ความตางศักยทางไฟฟา<br />
(receiver หรือ V-Box)<br />
7.1.4 หลักเหล็กสําห<br />
หรับเปนขั้วไฟฟ ฟา (steel<br />
electrode) เรียกวา หลักขั้ ขั้วไฟฟา เปนแทงเหล็กไร<br />
สนิมตันทรงกลม เสนผาศูนยกลางประมาณ 1 นิ้ว<br />
ยาวประมาณ<br />
1 เมตร ปลายดานหนึ่งเหลาแหลม<br />
สําหรับปกหรือตอกลงไปในดิน สวนปลายอีกดานหนึ่ง<br />
ตอกับสายไฟฟา และตอเขาเครื่อง V-Box หรือ G-<br />
Box จํานวนน 4 หลักคือ current electrodes 2 ขั้ว<br />
(เมื่อตอเขาสายไฟฟาเขาเครื่อง G-Box) และ potential<br />
electrodes จํานวน 2 ขั้ว (เมื่อตอเขาสายไฟฟา<br />
เขาเครื่อง V-Box ซึ่งบางครั้งอาจมีความจําเปนตองใช<br />
non-polarizing electrodes)<br />
7. 1.5 หลักหรือถวยกระเบื้อง ใชเปนหลัก<br />
ขั้วไฟฟาสําหรับการตรวจวัดความตางศักยไฟฟาตาม<br />
ธรรมชาติ เนื่องจากสามารถปองกันการเกาะตัวของ<br />
ประจุไฟฟา (polarization) ทําดวยกระเบื้องไมเคลือบ<br />
(porous ceramic) มีลักษณะเปนรูปถวยมีฝาเกลียว<br />
ปดสวนบน ภายในบรรจุสารละลายของ CuSO<br />
4 มี<br />
แทงทองแดงจุมในสารละลายและตอเชื่อมขึ้นบนฝา<br />
ปดดานบนสําหรับเปนขั้วไฟฟาตอกับสายไฟฟา<br />
7.1.6 มวนสายไฟฟา (cable reels) จํานวน<br />
4 มวน เปนสายไฟฟาแบบสายเดี่ยวพรอมที่มวน<br />
สายไฟฟาแบบมื<br />
มือหมุน สําหรัับตอเชื่อมระหวาง<br />
current electrodes กับ G-Box จํานวน 2 มวน เปน<br />
สายไฟฟามวนใหญมีความยาวสายไฟ ระหวาง 500-<br />
1, 000 เมตร และสําหรับตอเชื่อมระหวาง potential<br />
electrodes กับ V-Box จํานวนน 2 มวน สายไฟยาว<br />
ประมาณ 200 เมตร<br />
7.1.7 สายไฟฟาสําหรับการตอเชื่อม<br />
connecting cables ตางๆ เครื่องมือรุนใหมประเภท<br />
portable resistivity meter มักจะรวม battery, G-Box<br />
และ V-Box อยูในกลองเดียวกันเพื่อความสะดวกใน<br />
การขนยาย สําหรับเครื่องขยายแรงดันไฟฟา<br />
สวน<br />
ใหญมักเปนอุปกรณพิเศษที่ตองจัดซื้อเพิ่มเติม<br />
7.2 การเลือกเครื่องมือและการใชเครื่องมือ<br />
ตามมาตรฐาน ASTM D6431-99 Reapproved<br />
2005 ไดกําหนดสวนประกอบทั่วๆ ไปของ<br />
เครื่องตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะดังกลาว<br />
ขางตนแลว ยังได ดกําหนดมาตรฐานเครื่องมือและการ<br />
ใช ชเครื่องมือ (ASTM, 2005) ดังนี้<br />
7.2.1 บริษัทผูผลิตเครื่องตรวจวัดความตาน<br />
ทานไฟฟาจําเพาะสวนใหญ ผานการตรวจสอบ<br />
มาตรฐานแลว ซึ่งมีทั้งเครื่องปรับและปลอยพลังงาน<br />
กระแสไฟฟา (transmitter) และเครื่องตรวจวัดความ<br />
ตางศักยทางไฟฟา (receiver) รวมอยูในกลองเดียว<br />
กันและแยกออกจากกัน กระแสไฟฟาที่ใชในเครื่อง<br />
DC<br />
resistivity meter จะตองปรับไดในชวงระหวาง<br />
milliamps ถึงหลายๆ amps สําหรับการตรวจวัดตาม<br />
ระดับความลึกที่ตองการ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
37<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจํ<br />
จําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
7.2.2 เครื่องตรวจวัดความตานทานไฟฟ<br />
ฟา<br />
จําเพาะจะตองมีสัญญาณเตือน (signal<br />
enhance-<br />
ment) เพื่อเตือนใหปรับเปลี่ยนกระแสไฟฟาที่ใชใน<br />
กรณีที่ปลอยกระแสไฟฟาลงสูชั้นดินนอยหรือมาก<br />
เกินไป<br />
7.2.3 เครื่องตรวจวัดความตานทานไฟฟ<br />
ฟา<br />
จําเพาะจะตองหนวยความจําสําหรับบันทึกขอมูลการ<br />
สํารวจ และสามารถสื่อสารกับระบบคอมพิวเตอร เพื<br />
่อ<br />
การถายเทขอมูล พิมพขอมูล และการแปลความหมาย<br />
ขอมูล<br />
7.2.4 อุปกรณการเชื่อมตอสายไฟระหวาง<br />
เครื่องมือสํารวจและหลักขั้วไฟฟาตางๆ จะตองแนน<br />
ปราศจากการรั่วของกระแสไฟฟา มีระบบปองกันฝุน<br />
และความชื้น หากปฏิบัติงานในพื้นที่ชื้นแฉะควรพัน<br />
สวนเชื่อมตอดวยเทปกันน้ํา<br />
7.2.5 การตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
อาจถูกรบกวนดวยสิ่งกอสรางตางๆ เชน สายไฟฟา<br />
แรงสูง ทอประปาใตดิน หรือเครื่องสํารวจตรวจวั<br />
วัด<br />
ความตานทานไฟฟ<br />
ฟาจําเพาะเครื่องอื่นที่ทํางานใน<br />
พื้นที ที่ใกลเคียงกัน<br />
7.2.6 สิ่งที่ตองระมัดระวัง คือ การรั่วของกระแส<br />
ไฟฟาจากการตอสายไฟฟาไมแนนน ไมสะอาด หรื รือ<br />
เปยกชื้นหรือสายไฟฟาที่มีเปลือกหุมไมสมบูรณ<br />
8. การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะในภาคสนาม<br />
สามารถแบงออกเป<br />
ปน 2 สวนใหญๆ<br />
คือ สวนที่ 1 วิธี<br />
การจัดวางหลักขั้วไฟฟาทั้ง 4 หลัก<br />
ซึ่งมีรูปแบบการ<br />
จัดหลักขั้วไฟฟาตามมาตรฐานสากลหลายวิธี แตละ<br />
วิธีมีขอดีขอดอยที่แตกตางกัน ขึ้นอยูกับสภาพอุทก<br />
ธรณี<br />
วิทยาของพื้นที ที่สํารวจและวัตถุประสงคของการ<br />
สํารวจ สวนที่ 2 เทคนิคของการสํารวจ (field<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
38<br />
techniques) เปนวิธีการสํารวจเพื่อเก็บขอมูลความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะของชั้นดินชั้นหินใตผิวดิน ซึ่ง<br />
ประกอบดวยการสํารวจแบบหยั่งลึก (sounding) แบบ<br />
ตัดแนว ( profiling) แบบทั่วพื้นที่ (mapping)<br />
ดัง<br />
รายละเอียดตอไปนี้<br />
8.1 วิธีการจัดวางหลักขั้วไฟฟา<br />
วิธีการจัดวางหลักขั้วไฟฟา (field, pegging<br />
procedures หรือ electrode configurations หรือ<br />
electrodee array หรือ electrode layout) คือวิธีการจัด<br />
หลักขั้วไฟฟา (electrodes<br />
หรือ electric poles) ทั้ง 4<br />
หลัก โดยทั่วไปการสํารวจโดยวิธี resistivity methods<br />
จะมีหลักหรือขั้วไฟฟาซึ่งประกอบดวยขั้วปลอย<br />
กระแสไฟฟาหรือ current<br />
electrodes 2 ขั้ว (คือ C 1<br />
และ C 2 ) และขั้ววัดความตางศักยไฟฟาหรือ potential<br />
electrodes อีก 2 ขั้ว (คืออ P 1 และ P 2 ) วิธีการจัดวาง<br />
หลักขั้วไฟฟาทั้ง 4 หลักมี มีหลายวิธี (Vingoe, 1979)<br />
เชน (1) Wenner (2) Schlumbergerr (3) Half-<br />
(6) linear<br />
และ (7) gradient configurations เปนตน<br />
Wenner (4) Half-Schlumberger (5) Dipole-Dipole,<br />
แตสําหรับการสํารวจดานอุทกธรณีวิทยา ตามมาตรฐาน<br />
ASTM D6431-99 Reapproved 2005 กําหนดใหใชวิธี<br />
จัดวางหลักขั้วไฟฟาเพียง<br />
3 วิธี คือ (1) Wenner (2)<br />
Schlumberger และ (3) Dipole-Dipole มีราย ละเอียด<br />
วิธีการจัดวางหลักขั้วไฟฟาตางๆ ดังนี้<br />
8.1.11 วิธีการจัดวางหลักขั้วไฟฟาแบบ Wenner<br />
การจัดวางหลักขั้วไฟฟาแบบ Wenner<br />
หลักขั้วไฟฟาทุกหลักตอกลึกลงไปในดินโดยตั้งฉาก<br />
กับผิวดิน ตองตอกหลักขั้ ั้วไฟฟาจนแนนไมโยกคลอน<br />
หลักขั้วไฟฟาทุกหลักจะวางตัวอยูในแนวเสนตรง<br />
เดียวกัน และมีระยะหางระหวางหลัก (a)<br />
เทาๆ กัน<br />
ทั้ง 4 หลัก<br />
การตรวจวัดคาความตานทานไฟฟามัก<br />
เริ่มที่ความลึก 2 เมตร (a<br />
= 2 เมตร) อานคาความ<br />
ตานทานไฟฟาที่ระดับความลึก 2 เมตร<br />
บันทึกคาที่<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
อานไดลงในตารางบันทึก<br />
จนถึงระดับความลึกที่<br />
ตองการ ตัวอยางเชน หากตองการสํารวจถึงระดับ<br />
ความลึก 100 เมตร โดยอานคาความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะของชั้นดินชั้นหินทุกๆ 2 เมตร จะตองเปลี่ยน<br />
ตําแหนงหลัักไฟฟาทั้ง 4 หลักจํานวน 50 ครั้ง สวน<br />
สายไฟฟา C 1 และ C 2 จะขยายออกจากจุดศูนยกลาง<br />
ดานละ 150 เมตร (รูปที่ 2)<br />
a<br />
C 1<br />
P 1<br />
P 2<br />
C 2<br />
รูปที่ 2 แสดงลักษณะการตอกหลักขั้วไฟฟาแบบ<br />
Wenner (Vingoe, 1979)<br />
การจัดวางหลักไ<br />
ไฟฟาแบบ Wenner เปน<br />
วิธีการจัดวางหลักหรือขั้วไฟฟาที่ใชกันมากที่สุดวิธี<br />
หนึ่ง เนื่องจากมีขอดีตางๆ<br />
โดยสรุปดังนี้<br />
(ASTM,<br />
2005)<br />
- สามารถสํารวจไดลึกกวาวิธีการอื่นๆ<br />
โดยใชแรงดัน ันกระแสไฟฟาที่เทากัน เนื่องจากทุกครั้ง<br />
ที่มีการเปลี่ยนแปลงระดับความลึกของการตรวจวัด คู<br />
ของหลักขั้วไฟฟาความตางศักยจะขยายตัวออกไป<br />
พรอมกับคูของหลักขั้วไฟฟากระแสดวยระยะการ<br />
ขยายตัวที่เทาๆ กันเสมอ<br />
- ความผิดพลาดจากตําแหนงการปกหลัก<br />
ในสนามจะมีนอยมาก เนื นื่องจากทุกครั้ั้งที่มีการ<br />
เปลี่ยนแปลงระดับความลึกของการตรวจวัดหลัก<br />
ขั้วไฟฟาทั้ง 4 หลักจะขยายตัวออกไปพรอมๆ กัน<br />
ดวยระยะการขยายตัวที่เทาๆ<br />
กันเสมอ<br />
8.1.2 วิธีการจัดวางหลักขั้วไฟฟาแบบ<br />
Schlumberger<br />
การจัดวางหลักขั้วไฟฟาแบบ Schlum-<br />
berger หลักขั้วไฟฟาทุกหลักตอกลึกลงไปในผิวดิน<br />
โดยวางตัวอยูในแนวเสนตรงเดียวกัน และมีระยะหาง<br />
ระหวางหลักนอกหางกันเทากับระยะ AB สวนหลักใน<br />
ทั้ง<br />
2 หลักอยูตรงกึ่งกลางของ AB<br />
และหางกันเทากับ<br />
ระยะ MN โดย AB จะตองมีคา 5 เทาถึง 20 เทา ของ<br />
MN (รูปที่ 3)<br />
การจัดวางหลักไฟฟาแบบ Schlum-<br />
berger<br />
เปนวิธี ธการจัดวางหลักหรือขั้วไฟฟาที่ขอดี<br />
ตางๆ โดยสรุปดังนี้<br />
- ลดปญหาดาน lateral resistivity varia-<br />
tion ในการสํารวจในพื้นที่ที่ชั้นหินใตผิวดินไมได<br />
วางตัวอยูในแนวระนาบหรือใกลแนวระนาบ<br />
- ใชเวลาในการสํารวจนอยกวาวิธีการ<br />
อื่นๆ ในการสํารวจที่ความลึกเดียวกันและภายใต<br />
สภาพอุทกธรณีวิทยาแบบเดียวกัน<br />
A<br />
M N<br />
P<br />
C 1<br />
P 1<br />
รูปที่ 3 แสดงลัักษณะการตอกหลักขั้วไฟฟาแบบ<br />
Schlumberger (Vingoe, 1979)<br />
8.1.3 วิธีการจัดวางหลักขั้วไฟฟาแบบ<br />
Dipole-Dipole<br />
การสํารวจโดยวิธี Dipole-Dipole เป ปนวิธี<br />
ใช ชกันมากในการสํารวจแหลงแรสํ<br />
สารวจและธรณีวิทยา<br />
โครงสรางใตผิวดิ<br />
ดน แตอาจประยุ ยุกตใชในการสํารวจ<br />
ทางอุทกธรณีวิทยาบาง โดยเฉพาะในกรณีการสํารวจ<br />
หาโพรงหินปูนใตดิ<br />
ดิน (Vingoe, 1979) และการสํารวจ<br />
P 2<br />
C 2<br />
B<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
39<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจํ<br />
จําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ<br />
สํารวจ และพัฒนาบ อน้ําบาดาล<br />
การปนเปอนในชั้นน้ํา โดยทั่ว ไปการสํารวจดวยวิธี<br />
Dipole-Dipole<br />
จะแสดงผลในลั ลักษณะ “pseudo-<br />
section”<br />
ของบริเวณพื้นที่สํารวจ<br />
(รูปที่ 4) เพื่อ<br />
กําหนดบริเวณ conducting zone ในการสํารวจแหลง<br />
แรหรือธรณี วิทยาโครงสรางใตผิวดินตางๆ ซึ่งการ<br />
สํารวจดังกลาวจําเปนตองใชเครื่องมือสํารวจที<br />
ที่มี<br />
กําลัง ังไฟฟาสูง<br />
na<br />
a<br />
a<br />
C 1 C 2<br />
P 1 P 2<br />
รูปที่ 4 แสดงวิธี ธการจัดวางหลักหรือขั้ว ไฟฟา<br />
แบบ Dipole-Dipole (Vingoe, 1997)<br />
การจัดวางหลักไฟฟาแบบ dipole-dipole<br />
เปนวิ วิธีการจัดวางหลักหรือขั้วไฟฟาที<br />
่มีขอดีตางๆ โดย<br />
สรุปดังนี้<br />
- ใชสายไฟฟาในการสํารวจสั้นกวา<br />
วิธีการอื่นในการสํารวจที่ความลึกใกลเคียงกัน<br />
- การใชสายไฟฟาสั้นจะลดปญหากระแส<br />
ไฟฟ ฟารั่วไดดี<br />
- ไดขอมูลลักษณะการวางตัวของชั้นหินน<br />
(dip,<br />
strike) ใตผิวดิน<br />
โดยเฉพาะอยางยิ่งโพรงหินปูนน<br />
ใตดิน<br />
8.2 คาความตานทานไฟฟาปรากฏ<br />
การสํารวจตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินที่ระดับความลึก<br />
ตางๆ คาที่ตรวจวัดไดจากสนามเปนคาความตานทาน<br />
ไฟฟ ฟาปรากฏ (ρ a ) ตัวอยางเชน ในพื้นที่สํารวจมีชั้น<br />
ดินชั<br />
้นหินที่มีคาความตานทานไฟฟาจําเพาะที่<br />
แตกตางกัน 3 ชั้นโดยชั้นที่ 1, 2, และ 3 มีคาความ<br />
ตานทานไฟฟาจริง (true resistivity, ρ) เทากับ 20,<br />
200, และ 500 Ωm ตามลําดับ คาที่อานไดในสนาม<br />
สําหรับชั้นที่ 2 จะเปนคาความตานทาน<br />
ไฟฟาเฉลี่ยระหวางชั้นที่<br />
1 และ 2 สวนชั้นที่ 3 จะเปน<br />
คาเฉลี่ยระหวางชั้นที่ 1, 2, และ 3 คาความตานทาน<br />
ไฟฟาเฉลี่ยคือคาความตานทานไฟฟาปรากฏ ซึ่งมิได<br />
มีคาเทากัับ (20 + 200 + 500) หาร 3 แตมีคาผันแปร<br />
ตามปจจัยตางๆ 3 ประการ คือ คา ρ ความหนาของ<br />
resis-tivity<br />
layers แตละชั้น และวิธีการจัดวางหลัก<br />
ขั้วไฟฟา<br />
สําหรับในเอกสารคูมือฉบับนี้ไมครอบคลุม<br />
ภาคทฤษฎีการคํานวณคาความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ เนื<br />
่องจากมีรายละเอียดในหนังสือวิชาการดาน<br />
นี้โดยเฉพาะ โดยมีรายชื่อบางสวนอยูในเอกสารอางอิง<br />
สวนวิธีการคํานวณคาความตานทาน<br />
ไฟฟาปรากฏ มีวิธีการคํานวณในแตละรูปแบบการจัด<br />
วางหลักขั้วไฟฟาที่เกี่ยวพันกับภาคทฤษฎีที่สลับ<br />
ซับซอนโดยเริ่มตนจากกฎของโอหม (Ohm’s Law)<br />
ดังนั้นจึงขอสรุปสูตรสําหรับการคํานวณคาความ<br />
ตานทานไฟฟาปรากฏ แตละรูปแบบการ<br />
รจัดวางหลัก<br />
ขั้วไฟฟาที<br />
่ไดกลาวมาแลวว ดังนี้<br />
8.2.1<br />
รูปแบบการจััดวางหลักขั้วไฟฟาแบบ<br />
Wenner<br />
การจัดวางหลักขั้วไฟฟาแบบบ Wenner มี<br />
ระยะการจัดหลักขั้วไฟฟาที่เทาๆ กันทั้ง 4 หลัก (รูปที่<br />
2) ดังนั้นสูตรการคํานวณคาความตานทานไฟฟา<br />
ปรากฏ คือ<br />
ρ a = (∆V / I) * 2 π a<br />
เมื่อ ∆V คือ<br />
คาความตางศักยทางไฟฟา<br />
(อานไดจาก volt meter ของเครื่อง resistivity meter)<br />
I คือ คาแรงดันไฟฟา (อานไดจาก amp.<br />
meter ของเครื่อง resistivity meter)<br />
a คือ ระยะหางของการจัดหลักขั้วไฟฟา<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
40<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
8.2.2 รูปแบบการจัดวา<br />
างหลักขั้วไฟฟาแบบ<br />
Schlumberger<br />
การจัดวางหลัก<br />
กขั้วไฟฟาแบบ Schlumberger<br />
มีระยะการจัดหลักขั้วไฟฟาทั้ง<br />
4 หลักไม<br />
เทากัน (รูปที<br />
่ 3) และเมื่อ L มีระยะหางมากกวา 5 เทา<br />
ของระยะ m สูตรสําหรับการคํานวณคาความตานทาน<br />
ไฟฟาปรากฏ<br />
คือ<br />
/<br />
8.2.3 รูปแบบการจัดวา<br />
างหลักขั้วไฟฟาแบบ<br />
Dipole-Dipole<br />
เปนรูปแบบกา<br />
รจัดวางหลักขั้ั้วไฟฟาที่<br />
ประกอบดวยคูของหลักขั้วไฟฟากระแส<br />
2 หลักที่<br />
วางตัวใกลๆ กัน (ระยะ a) และคูของหลักขั้วไฟฟา<br />
ความตางศักย 2 หลักที่วางตัวใกลๆ กัน (ระยะ a<br />
เชนกัน) โดยหลักทั้ง 2 คูวางตัวอยูในเสนตรงเดียวกัน<br />
และมีระยะหางกันเทากับ na<br />
โดย n จะเริ่มตั้งแต 1,<br />
และขยายความยาวของแนวสํารวจออกไปเรื่<br />
รอยๆ จาก<br />
n เทากับ 1 เปน 2, 3, 4, 5 ไปเรื่อยๆ จนกวาจะถึง<br />
ความลึกการสํารวจที่ตองการ (รูปที่ 4) สูตรสําหรับ<br />
การคํานวณคาความตานทานไฟฟาปรากฏ คือ<br />
<br />
1 2/<br />
8.3 เทคนิคการสํารวจ<br />
เทคนิคการสํารวจ<br />
หมายถึง วิธีการสํารวจ<br />
เพื่อเก็บขอมูลดานธรณีฟสิกสในสนาม ซึ่งนอกจากวิธี<br />
การจัดวางหลักขั้วไฟฟา (electrode configurations)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
/ <br />
<br />
<br />
41<br />
เมื่อ ∆V คือคาศักยทางไฟฟาา (อานได<br />
จาก volt meter ของเครื่อง resistivity meter)<br />
I คือ คาแรงดันไฟฟา (อานไดจาก ampmeter<br />
ของเครื่อง resistivity meter)<br />
AB<br />
เปนระยะหางระหวาง current<br />
electrodes ของการจัดหลักขัขั<br />
้วไฟฟา<br />
MN เปนระยะหางระหวาง potential<br />
electrodes ของการจัดหลักขัขั<br />
้วไฟฟา<br />
ทั้ง<br />
3 วิธีการดังกลาวขางตนแลว การเลือกเทคนิคการ<br />
สํารวจและวิธีการจัดวางหลักขั้วไฟฟาใหเหมาะสมกับ<br />
พื้นที่สํารวจ อาจถื ถือไดวาเปนหัวใจสําคัญในการสํารวจ<br />
เก็ ก็บขอมูล ผูสํารวจตองเขาใจสภาพทางธรณีวิทยาใน<br />
บริเวณพื้นที่สํารวจอยางชัดเจน จากขั้นตอนการสราง<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศนของพื<br />
้นที่<br />
สํารวจ จนถึงขั้ั้นตอนการวางแผนการสํารวจ<br />
นอกจากนี้กอนที่จะเริ่มดําเนินการสํารวจ ผูสํารวจตอง<br />
กําหนดแผนการหรือวิธีการเสนอผลงานของงาน<br />
สํารวจชิ้นนั้นไวลวงหนา กอนที่จะกําหนดเทคนิคการ<br />
สํารวจ และวิธีการจัดวางขั้วไฟฟา ดังนั้นการเลือก<br />
เทคนิคการสํารวจดังกลาว จึงขึ้นอยูกับการวินิจฉัย<br />
ของผูสํารวจ และสภาพทางธรณีวิทยาของพื<br />
้นที่<br />
สํารวจ สําหรับเทคนิคการสํารวจเพื่อตรวจวัดความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะ มี 4 วิธี ได ดแก<br />
8.3.1 วิธีการสํารวจแบบหยั่งลึก<br />
การสํ สารวจแบบหยั่งลึก (vertical<br />
elec-<br />
หรือ depth sounding เปนการสํารวจที่มีวัตถุประสงค<br />
หลักในการเก็บขอมูลดานคาความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะที่เปลี่ยนแปลงในแนวดิ่ง (vertical resistivity<br />
variation) ที่จุดสํารวจจุดใดจุดหนึ่งในบริเวณพื<br />
้นที่<br />
trical resistivity sounding, VES) หรือ resistivity drilling<br />
เพื พื่อหารูปแบบการเปลี่ยนแปลงในแนวดิ่ง เพื่อสราง<br />
ลักษณะการแบงชั้นของชั้นดินชั้นหินตามคาความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะ (resistivity<br />
layers) ของจุด<br />
สํารวจนั้น ผลของการสํารวจที่จะไดรับคือ จํานวนชั้น<br />
ที่มีการเปลี่ยนแปลงคาความตานทานไฟฟาปรากฏ<br />
(ρa) และความหนาของ resistivity<br />
layers บริเวณนั้น<br />
การสํ สารวจ VES<br />
เลือกวิธีการวางหลัก<br />
ขั้วไฟฟาได 2 แบบคือ Schlumberger และ Wenner<br />
arrays<br />
(1) การสํารวจดวยวิ<br />
วิธี Wenner<br />
array<br />
เริ่ มตนหาความตานทานไฟฟาปรากฏ (ρ a ) ของชั้น ั้นดิน<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจํ<br />
จําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ที่ระดับความลึก 2 เมตร แลวขยายความลึกของการ<br />
ตรวจวัดครั้งละ 2 เมตร จนถึงระดับความลึกที่ตองการ<br />
(ในแตละจุดสํารวจมักตรวจวัดถึงระดับความลึกไมต่ํา<br />
กวา 100 เมตร) ดังนั้นการสํารวจดังกลาวจะเริ่มตน<br />
ดวยระยะหางระหวางหลักขั้วไฟฟา (electrode<br />
spacing) กําหนดใหเปนระยะ a มีคาเทากับ 2 เมตร<br />
อานและคํานวณหาคาความตานทานไฟฟาปรากฏ<br />
(ρ a ) ของชั้นดินที่ระดับความลึก 2 เมตร แลวจึงขยาย<br />
electrode spacing<br />
เปน 4 เมตร ดวยการยายหลั ลัก<br />
ขั้วไฟฟาไปที่ตําแหนงใหม โดยใหหลักขั้วไฟฟาทั้ง<br />
4<br />
หลักอยูในแนวเดียวกัน และระยะ a มีคาเทากับ 4<br />
เมตร<br />
การสํารวจจะดําเนินการตามรูปแบบดังกลาว<br />
ขางตนตอไปเรื่อยๆ<br />
(2) การสํารวจดวยวิธี Schlumberger<br />
array<br />
เปนวิธีการตรวจสอบเพื่อหา vertical resistivity<br />
variation ที่จุดกึ่งกลางระหวางขั้ววัดความตางศักย<br />
ไฟฟ ฟา (potential electrodes) หรือกึ่งกลางของระยะ<br />
MN เชนเดียวกับการสํารวจดวยวิธีของ Wenner แต<br />
การขยายความลึกของการสํารวจแบบ Schlum-<br />
berger จะไมขยายขั้ว P 1 และ P 2 จนกวาระยะของ<br />
AB จะมากกวาระยะะ MN เกิน 20 เทา จึงขยายระยะ<br />
MN ออกไป<br />
8.3.2 วิธีการสํารวจแบบตัดแนว<br />
วิธีการสํารวจแบบตัดแนว (resistivity<br />
profiling<br />
หรือ trenching) เปนการสํารวจที่มีวัตถุ<br />
ประสงคหลัก ในการเก็บขอมูลดานคาความตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะที่เปลี่ยนแปลงในแนวราบหรือแนว<br />
ขนานพื้นผิวโลก (horizontal resistivity variation)<br />
โดยใชวิธี constantt electrode spacing กลาวคื คือ<br />
การตรวจวัดเพื่อสํารวจคาความตานทานไฟฟาปรากฏ<br />
ที่ระดับความลึกใดความลึกหนึ่งเพียงคาเดียว เชน<br />
ตองการทราบคาความแตกตางคาความตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะที่เปลี่ยนแปลงในแนวราบของชั้นหินที่<br />
ระดับความลึก 30 เมตร ก็จะตรวจวัดความตานทาน<br />
ไฟฟาที่ระดับความลึก 30<br />
เมตร เพียงคาเดียว ใน<br />
กรณีที่ใชวิธีการจัดวางหลักขั้วไฟฟาแบบ Wenner<br />
ระยะ a จะเทากับ 30 เมตร ตรวจวัดคาเพี พียงครั้งเดียว<br />
แลวเคลื่อนยายเครื่องมือสํารวจทั้งชุดไปอานคาความ<br />
ตานทานไฟฟาที่จุดตอไป ซึ่งวางอยูในแนวสํารวจ<br />
เดียวกัน โดยกําหนดใหมี มีระยะ a เทาเดิม เชน ใน<br />
บริเวณพื้นที่สํารวจมีแนว<br />
fault zones ตัดผานตรง<br />
กลางของบริเวณพื้นที่สํารวจในแนวเหนือ-ใต การวาง<br />
แนวสํารวจจะตองวางอยูในแนวทิศตะวันออก-ทิศ<br />
ตะวันตก หรือตั้งไดฉากกับแนว fault zones และ<br />
สมมติวาในพื้นที่สํารวจดังกลาว ดานซีกตะวันตกเปน<br />
ดานที่มีหินแข็งจําพวกหินทราย (sandstone) ซึ่งมีคา<br />
ความตานทานไฟฟาปรากฏประมาณ 2000 Ωm อยูที่<br />
ระดับความลึกนอยกวา 10 เมตร สวนดานซีกตะวัน<br />
ออกของพื<br />
้นที่ หินชนิดเดียวกันนี้อยูที่ระดับความลึก<br />
มากกวา 30 เมตร ตอนบนของหินแข็งดังกลาวปก<br />
คลุมดวยชั้นตะกอนหินรวน ซึ่งมีคา ρ a ประมาณ 50<br />
Ωm การสํารวจโดย resistivity trenching กําหนด<br />
ระยะ constant electrodee spacing เทากับ 30 เมตร<br />
ตรวจวัดตามจุดตางๆ ในแนวสํารวจที่วางไวในแนว<br />
ทิศตะวันออก-ทิศตะวันตกก แลวนําคา ρ a ที่อานไดจาก<br />
จุดตางๆมาสราง resistivity<br />
section ดังรูปที่ 5<br />
วิธีการสํารวจแบบตัดแนวอาจสํารวจโดยใชรูปแบบ<br />
การจัดวางหลักขั้วไฟฟาแบบ Schlumberger,<br />
Wenner หรือ แบบ Dipole-Dipole arrays<br />
ก็ได<br />
8.3.33 วิธีการสํารวจแบบทั่วพื้นที่<br />
วิธีการสํารวจแบบทั่วพื้นที<br />
ที่ (resistivity<br />
mapping)<br />
เปนการสํารวจที่มีวัตถุประสงค<br />
คหลัก ในการ<br />
เก็บขอมูลดาน horizontal resistivity variation และ<br />
แสดงผลการสํารวจในรูปแผนที่ โดยมีวิธีการสํารวจ<br />
เชนเดียวกับการสํารวจแบบตัดแนว เพียงแตวางจุด<br />
สํารวจใหทั่วพื้นที่ในลักษณะเปนระบบตาราง (grid<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
42<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
system) แทนการวางจุดสํารวจตามแนวสํารวจเทานั้น<br />
เมื่อไดคาความตานทานไฟฟาปรากฏของชั้นดินชั้น<br />
หินใตผิวดินที่ระดับความลึกเดียวกัน ตามจุดสํารวจ<br />
ตางๆ ทั่วพื้นที่สํารวจ ทําใหสามารถพล็อตเปน resistivity<br />
contour maps ของพื้นที่สํารวจได<br />
(รูปที่ 6)<br />
ปกติมักทําการสํารวจดวยการตรวจวัดความตานทาน<br />
ไฟฟาปรากฏของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินที่ระดับความ<br />
ลึก 3 - 5 ระดับ เพื่อจัดเก็บขอมูลทั้งในดานน vertical<br />
และ lateral variations พรอมๆกัน ตัวอยางเชน แนว<br />
รอยตอระหวางชั้นหินทรายและหินดินดานน หรือการ<br />
สํารวจหาลักษณะการวางตัวและความหนาของชั้น<br />
กรวดทรายทางน้ํายุคเกา เปนตน<br />
การสํารวจเก็บ<br />
ขอมูลที่จุดสํารวจตางๆ<br />
อาจเลือกใชเทคนิคการสํารวจไดหลายแบบ<br />
อาจเปน<br />
แบบ Wenner, Schlumberger หรือ Dipole-Dipole<br />
arrays ขึ้นอยูกับความลึก สภาพธรณีวิทยา และ<br />
เครื่องมือการสํารวจ<br />
8.3.4 วิธี resistivity pseudo-sections<br />
การสํารวจ resistivity pseudo-section มี<br />
สวนคลายคลึงกับการสํารวจแบบ resistivity<br />
trenching<br />
ในดานการวางจุดสํารวจในแนว profile ตัดขวาง<br />
แสดงธรณีวิทยาโครงสรางใตผิวดินของพื้นที่สํารวจ<br />
และมีสวนคลายคลึงกับการทํา resistivity mapping<br />
ตรงที่ใช fixed spacing ที่ระดับความลึกหลายระดับ<br />
(4-5 ระดับความลึก) เนื่องจากตองการเก็บขอมูลเพื่อ<br />
ศึกษาการเปลี่ยนแปลงคาความตานทานไฟฟาปรากฏ<br />
(ρρ a ) ของชั้นหินใตผิวดินทั้งในดานน vertical และ lateral<br />
resistivity<br />
variations<br />
โดยมีการเสนอผลงานในรูป<br />
cross-section เฉพาะตามแนว profile ของการสํารวจ<br />
เริ่มตนดวยการวางแนว profile กําหนด<br />
จุดสํารวจบน profile กําหนดระดับความลึกของการ<br />
สํารวจ อานคาและบันทึกขอมูลการสํารวจ โดยในแต<br />
ละจุดสํารวจจะอ<br />
อานคาบันทึกขอมูล 4-5 ครั้ง ตาม<br />
ระดับความลึกตางๆที่กําหนดไว<br />
ซึ่งการสํารวจอาจ<br />
เลื อกใช field procedures ไดหลายแบบ ดังที่ไดกลาว<br />
มาแลว แตวิธีที่นิยมใชกันมากที่สุด<br />
ไดแกวิธี Dipole-<br />
Dipole ผลของการสํารวจจะแสดงในรูป crosssection<br />
ตามแนว profile ของการสํารวจ โดยการ<br />
พล็อตคา ρ a ที่ทุกระดับความลึก ตามจุดสํารวจตางๆ<br />
200--<br />
X<br />
X<br />
X<br />
คา a ( - m)<br />
100--<br />
50--<br />
E<br />
X<br />
X<br />
Sediments<br />
X<br />
X<br />
X<br />
จุดสํารวจ<br />
F<br />
W<br />
Depth (m)<br />
--10<br />
--20<br />
sandstone<br />
--30<br />
รูปที่ 5 แสดง resistivity section จากการสํารวจดวย<br />
วิธี resistivity trenching ในบริเวณพื้นที่ ที่มีแนวรอย<br />
เลื่อนตัดผานน (ดัดแปลงจาก Griffith and King, 1976)<br />
รูปที่ 6 แสดง resistivity map จากการสํารวจดวย<br />
วิธี resistivity trenching. (ASTM, 2005)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
43<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจํ<br />
จําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(รูปที<br />
่ 7) การแปลคาขอมูลการสํารวจ resistivity<br />
pseudo-section มักจะแปลคาขอมูลไดยาก โดยเฉพาะ<br />
อยางยิ่งการสํารวจดวยวิธี Dipole-Dipole<br />
แตก็ให<br />
ขอมูลดานธรณีวิทยาโครงสรางใตผิวดินแบบตางๆ<br />
ไดดี เพื่อใชเปนขอมู มูลในการสํารวจในขั้นรายละเอียด<br />
ตอไป<br />
รูปที่ 7 แสดง resistivity pseudo-section จากการ<br />
สํารวจ Dipole -Dipole รวม 5 ระดับความลึก<br />
(Vingoe, 1997)<br />
จากรูปบริเวณสวนกลางของรูปเสน iso-<br />
resistivity contour lines แสดงคา ρ a ต่ําแสดงลักษณะ<br />
เปนโพรงหินปูนใตผิวดินไดอยางเดนชัด<br />
8.4 การสํารวจแบบการตรวจวัดความตางศักย<br />
ไฟฟ ฟาตามธรรมชาติ<br />
การสํารวจแบบการตรวจวัดความตาง<br />
ศักย ยไฟฟาตามธรรมชาติ (spontaneous<br />
potential,<br />
SP method) เป ปนการตรวจวัดความตางศักยทาง<br />
ไฟฟ ฟาที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติบนผิวดิน ซึ่งเกิดจาก<br />
สาเหตุ 2 ประการคือ<br />
(1) เกิดจากการเปลี่ยนแปลง<br />
สภาวะสมดุลทางเคมี<br />
มีของของเหลวใตผิวดิน (electro-<br />
chemical differences) และ (2) เกิดจากการเคลื่อนที่<br />
ของของเหลวใตผิวดิน (electro-kinetic effect หรือ<br />
streaming potentials) ในการสํารวจแบบ SP method<br />
นํามาประยุกตใชไดเฉพาะในพื้นที่สํารวจมีสภาพผิว<br />
ดินคอนขางชื้น หรือ 1st. resistivity layer มีคาความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะคอนขางต่ําเทานั้น รวมทั้งมี<br />
ขอจํากัดในกรณีที่สํารวจใกลสถานีวิทยุ กระจายเสียง<br />
โดยเอกสารฉบับนี้ไดสรุปวิธีการสํารวจแบบการ<br />
ตรวจวัดความตางศักยไฟฟาตามธรรมชาติ ดังนี้<br />
8.4.1<br />
วิธีการสํารวจภาคสนามสําหรั<br />
รับ SP<br />
method<br />
วิธีการสํารวจสามารถทําไดโดยใชหลักขั้ว<br />
ไฟฟาเพียง 2 หลัก คือ P1 และ P 2 โดยหลักขั้วทั้งสอง<br />
จะตองเป ปนหลักขั้วไฟฟาที่ปองกันการเกาะตัวของ<br />
ประจุไฟฟา (non-polarizing electrodes)<br />
ไดแก หลัก<br />
กระเบื้อง ปกหรือฝงแนนบนผิวดิน รอยตอระหวาง<br />
ขั้วไฟฟาและสายไฟฟาตางๆ จะตองแนนปราศจาก<br />
การรั่วของกระแสไฟฟา การสํารวจเริ่มตนโดยหลัก P 1<br />
จะปกแนนอยูกับที่ สวนหลัก P 2 จะปกใกลๆกับ P 1<br />
เมื่ออานคาความตางศักย<br />
ทางไฟฟา (∆V)<br />
หนวยเปน<br />
milli-volts<br />
(mV) แลวจะเลื่อนหลัก P 2 ออกไปเรื่อยๆ<br />
ตามแนวสํารวจ เมื่อนําขอมูลการสํารวจภาคสนามมา<br />
พล็อตตามแนวสํารวจ ก็จะไดขอมูลการเปลี่ยนแปลง<br />
ของความตางศักยไฟฟาตามธรรมชาติของชั้นดินชั้น<br />
หินใตผิวดิน (SP profile, รูปที่ 8) โดยปกติการสํารวจ<br />
ดวยวิธีนี้ จะสํารวจที่ความลึกไดไมเกิน 30<br />
เมตร<br />
8.4.2<br />
การแปลความหมายและการเสนอผลงาน<br />
นอกจากจะเสนอผลงานการสํารวจใน<br />
ลักษณะการตัดแนว ดังกลาวขางตนแลวว หากวางจุด<br />
สํารวจทั่วพื้นที่ดวยวิธีการวางจุดสํารวจเปนตาราง ก็<br />
อาจนําเสนอผลงานในรูปแบบ SP mapping ได โดย<br />
สวนใหญขอมูลที่ไดจากการสํารวจเปนเพียงขอมูล<br />
เปรียบเที ทียบ การแปลความหมายขอมูลแบบ quantitative<br />
interpretation ทําไดโดยวิธีการใช geometric<br />
curve matching หรือโปรแกรมคอมพิวเตอร<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
44<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ
นําใหเกิด<br />
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ele<br />
ตร<br />
m<br />
วิธี<br />
โด<br />
C 2<br />
สล<br />
กร<br />
จะ<br />
C 2<br />
คา<br />
รูปที่ 8 วิธีการสํารวจแบบ<br />
SP method และผลการ<br />
สล<br />
สํารวจแบบ SP profiling (EPA/625/R-92/007 ,1993) อยู<br />
8.4.3 การประยุกตใช<br />
SP method<br />
คล<br />
โดยสวนใหญใ<br />
ใชสําหรับงานดานธรณี<br />
ขั้ว<br />
เทคนิค เชน<br />
การสํารวจหารอยรั่วของเขื<br />
ขื่อน การ<br />
ดัง<br />
สํารวจหารองรอยการไหลของน้ําใตดินในการทํานาย<br />
หน<br />
การเลื่อนทะลายของดิน (land slide) สําหรับดานอุทก<br />
กร<br />
ธรณี วิทยา อาจประยุกตใชในกรณีที่น้ําบาดาลมีการ<br />
กร<br />
ไหลคอนขางเร็ว หรือในกรณีที่น้ําบาดาลมีการ<br />
คอ<br />
แปรเปลี่ยนคุณภาพน้ําที่รวดเร็ว เชน การไหลของน้ํา<br />
คา<br />
บาดาลในโพรงหินปูนใตดิน หรือเพื่อสังเกตการ<br />
แบ<br />
เคลื่อนที่ของสารปนเปอนในน้ําบาดาล (moving<br />
of<br />
ผิว<br />
contaminantt plumes) เปนต ตน<br />
กา<br />
8.5 การสํารวจตรวจวัดความตางศักยไฟฟา<br />
m<br />
แบบเหนี่ยวนําประจุ<br />
ขอ<br />
การสํารวจแบบการตรวจวัดความตาง<br />
ศักยไฟฟาแบบเหนี่ยวนําประจุหรือ IP methods เปน นํา<br />
การตรวจวัดความตางศักยทางไฟฟาเคมีของชั้นดิน<br />
สิ่ง<br />
ชั้นหินใตผิวดินที่ตอบสนอง (electro-chemical<br />
สํา<br />
response) การเหนี่ยวนําของกระแสไฟฟาที<br />
่ปลอยลง ฉบ<br />
ไปจากบนผิวดิน โดยการปลอยกระแสไฟฟาจากหลัก<br />
แส<br />
ขั้วไฟฟา C 1 และ C 2 จากผิวดินเพื่อเหนี่ยว<br />
ectro-chemical response ในชั้นหินใตผิวดิน<br />
แลว<br />
รวจวัดความตางศักยทางไฟฟาา (∆V) หนวยเปน<br />
illi-volts (mV) ในการสํารวจแบบ IP methods มี<br />
ธีการสํารวจ 2 วิธีคือ (1) time domain IP method<br />
ดยการปลอยกระแสไฟฟาจากหลักขั้วไฟฟา C 1 และ<br />
2 แลวหยุดการปลอยกระแสไฟฟาและวัดอัตราการ<br />
ลายตัวของความตางศักยไฟฟาหลังหยุดการปลอย<br />
ระแสไฟฟา และ (2) frequency domain IP method<br />
ะปลอยกระแสไฟฟาสลับจากหลักขั้วไฟฟา C 1 และ<br />
2 ตลอดเวลาและวัดคา electrical resistivity (ρ)<br />
ซึ่ง<br />
า ρ จะคอยลดลงไปเรื่อยๆ เมื่อปลอยกระแสไฟฟา<br />
ลับเปนเวลานานๆ อัตราการลดลงของคา ρ จะขึ้น<br />
กับสภาพชั้นดินชั้นหินใตผิวดินน<br />
โดยหลัักการการสํารวจแบบ IP Methods<br />
ลายกับการปลอยกระแสไฟฟาจาก transmitter ผาน<br />
วหลักไฟฟา C 1 และ C 2 ลงสูชั้ ชั้นดิน กระแสไฟฟา<br />
งกลาวจะไปชาร รจไฟในวัตถุนําไฟฟาใตดิน เสมือน<br />
นึ่งการชารจแบตเตอรี่ และเมื่อหยุดการปลอย<br />
ระแสไฟฟา ในวัตถุนําไฟฟาใตดินจะยังมี<br />
ระแสไฟฟาที่เกิดจากการเหนี่ยวนําดังกลาว และจะ<br />
อยๆสลายตัวไปตามระยะเวลา<br />
ในการตรวจวัดจาก<br />
า ∆V จากเครื่อง<br />
volt meter เปนการวัดเพื่อหารูป<br />
บบการสลายตัวของกระแสไฟฟาในตัวนําไฟฟ<br />
ฟาใต<br />
วดินดังกลาว ซึ่งโดยหลักการมีลักษณะเชนเดียวกับ<br />
ารสํารวจแบบตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา (electro-<br />
agnetic methods) ดังรายละเอียดในเอกสาร<br />
คูมือ<br />
องกรมทรัพยากรน้ําบาดาล ทบ ส 2004-2550<br />
การสํารวจดวย IP method โดยสวนใหญจะ<br />
าไปประยุกตใชในดานธรณี<br />
ณีเทคนิค และดาน<br />
งแวดลอมมากกวาการนําไปประยุกตใชในดานการ<br />
ารวจอุทกธรณีวิทยา (ASTM, 2005) ดังนั้นเอกสาร<br />
บับนี้จะไมกลาวถึงรายละเอียดของการสํารวจ แตจะ<br />
สดงรายชื่อเอกสารที่เกี่ยวของเพื่อสามารถนําไป<br />
ศึกษาคนควาดวยตนเอง ดังนี้<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
45 คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจํ<br />
จําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
เอกสารสําหรับคนควาเกี<br />
่ยวกับการสํารวจ<br />
แบบบ IP methods (EPA/625/R-92/007, 1993)<br />
Barker, R.D., 1974. “The Interpretation<br />
of Induced Polarization Sounding<br />
Curves in Fre-<br />
quency Domain” Geophysics prospecting, 22(4),<br />
pp. 610-626.<br />
Corwin, R.F., 1990. “The Self-Potential<br />
Method for Environmental and Engineering<br />
Applications” Geotechnical and Geophysics, Vol.<br />
1: Review and Tutorial, S.H., Ward (ed.) Soc. Of<br />
Explor. Geophy.<br />
Lange, A.L., and J.F., 1988. Quinlan,<br />
“Mapping Caves from the Surface of Karst<br />
Terranes by the Natural Potential Method” In:<br />
Proc. Second Conf. on Environmental Problems<br />
in Karst Terranes and Their Solutions (Nashvill,<br />
TN),<br />
National Water Well Association, Dublin,<br />
OH, pp. 369-390.<br />
8.6 คูมือการแปลความหมายขอมูลการสํารวจ<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
8.6.1 การแปลความหมายขอมูลการสํารวจแบบ<br />
หยั่งลึก<br />
(1) การแปลความหมายขอมูลดวยวิธี<br />
partial curve matching เปนวิธีการแปลความ หมาย<br />
ดวยการเปรียบเทียบขอมูลการสํารวจจากภาคสนาม<br />
หรือกราฟการสํารวจในสนาม (field curves) เปรียบ-<br />
เทียบกับกราฟทฤษฎี (theoretical curves) เริ่มตน<br />
จากการคํานวณคาความตานทานไฟฟาปรากฏ<br />
(หัวขอ 8.2) เมื่อนําคา ρ a ที่ความลึกตางๆ มาพล็อต<br />
กับความลึกใน logarithmic paper (scale 16) จะได<br />
กราฟความตานทานไฟฟาปรากฏ (field curves) ของ<br />
จุดสํารวจนั้น สําหรับวิธีการแปลความหมายขอมู<br />
มูล<br />
ดวยวิธี partial curve<br />
matching ในปจจุบันไมนิยมใช<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
46<br />
สวนใหญจะแปลความหมายดวยโปรแกรมคอมพิว-<br />
เตอร (ASTM, 2005)<br />
(2) การแปลขอมูลการสํารวจ VES ดวย<br />
โปรแกรมคอมพิวเตอร<br />
การแปลขอมูลการสํารวจวิธีนี้ มีการ<br />
นํามาใชเปนครั้งแรกเมื่อป 1977 ที่ Sydney<br />
โดย<br />
Merrick (1977) และมีการปรับปรุงเพื่อใหขีดความ<br />
สามารถสู สงขึ้น (Davis, 1979) ปจจุบันมีการพัฒนา<br />
โปรแกรมใชอยางแพรหลายและสามารถใชได<br />
แมกระทั่งเครื่องคํานวณขนาดเล็กที่มีคาความจําไม<br />
มากนัก เชน SHARP PC-1150, PC-1251, Hewlett<br />
Packard 41CS, CASIO<br />
FX 702, หรือ<br />
PB Series<br />
เปนตน<br />
นอกจากนี้ยังมีโปรแกรมคอมพิวเตอรที่<br />
ผลิตโดยผูผลิตเครื่องมือสํารวจอีกเปนจํานวนมาก<br />
(ASTM, 2005) ในป 1986 บริษัท Atlas Copco<br />
ABEM AB ประเทศสวีเดนไดพัฒนาโปรแกรมการ<br />
แปลความหมายที่สมบูรณแบบชื่อ ABEM<br />
Super<br />
VES ในขณะที่บริษัท OYO Corporation<br />
ก็ไดพัฒนา<br />
โปรแกรมที่มีความสามารถใกลเคียงกันชื่อ GRIVEL<br />
ในอีก 2 ปตอมา โปรแกรมเหลานี้มีการพัฒนาอยาง<br />
ตอเนื่อง และเปนชุดใชงานระดับมืออาชี<br />
ชีพเปนระยะ<br />
เวลาหลายป ปจจุบันโปรแกรมคอมพิวเตอรสําหรับ<br />
การแปลความหมายขอมูลสามารถหาไดจากผูผลิต<br />
เครื่องมือสํารวจทั่วๆไป<br />
ผูใชสามารถปอนขอมูลอุทก<br />
ธรณีวิทยาเขาไปเพื่อใหไดแบบจําลองทางธรณีฟสิกส<br />
มีสภาพใกลเคียงกับสภาพอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
ของพื้นที่สํารวจ ซึ่งแบบจําลองทางธรณีฟ<br />
ฟสิกสที่ได มี<br />
ทั้งแบบสองและสามมิติ (2-D, 3-D resistivity<br />
models)<br />
8.6.2<br />
การแปลความหมายขอมูลการสํารวจแบบ<br />
ตัดแนวและแบบสํารวจทั่วพื้นที่<br />
ขอมูลจากการสํารวจตรวจวัดความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะ ดวยวิธีการสํารวจแบบตัดแนว<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
และแบบสํารวจทั่วพื้นที่เปนขอมูลเชิงคุณภาพ<br />
กลาวคือเปนขอมูลเชิงเปรียบเทียบ ไมสามารถนํามา<br />
แปลความหมายใหเปนขอมูลเชิงปริมาณ ไมวาจะเปน<br />
การคํานวณหาคาความตานทานไฟฟาที่แทจริง (true<br />
resisitivity) หรือการคํานวณหาคาความลึกความหนา<br />
ที่แทจริง (true depth and thickness) ของชั้นหินที่<br />
ระดับลึกลงไปจากผิวดิน<br />
เอกสารฉบับนี้ไม<br />
มกลาวถึงรายละเอียดของ<br />
การแปลความหมายขอมูลการสํารวจความตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะไว ดังนั้นจึงแนะนําเอกสารที่เกี่ยวของ<br />
สําหรับผูใชคูมือนี้ เพื่อศึกษาคนควาดวยตนเอง<br />
ดังตอไปนี้<br />
เอกสารสําหรับค<br />
คนควาเกี่ยวกับการสํารวจ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟ<br />
ฟาแบบหยั่งลึกโดยใชวิธี<br />
partial curve matching method (EPA/625/R-92/<br />
007, 1993)<br />
Kalenov, E.N., 1957. “Interpretation of<br />
Vertical Electrical Sounding Curves” Gosto-<br />
W.W.,<br />
pekhizdat, Moscow.<br />
Mooney, R.M. ., and Wetzel,<br />
1956. “The Potential about a Point Electrode and<br />
Apparent Resistivity Curves for a Two-, Threeand<br />
Four Layered Earth” University of Minnesota<br />
Press. Minneapolis, MN.<br />
Orellana, E., and Mooney, H. M., 1972.<br />
“Two- and Three-Layer Master Curves and<br />
Auxiliary Point Diagrams for Vertical Electrical<br />
Sounding Using Wenner Arrangement” Inter-<br />
K. L.,<br />
sciencia, Madrid, Spain.<br />
Van Nostrand, R. G., and Cook,<br />
1966. “Interpretation of Resistivity Data” U.S.<br />
Geological Suevey Professional Paper 499.<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
47<br />
Verna, R. K., “Master Table for Electro-<br />
New York.<br />
magnetic Depth Sounding Interpretation” Plenum,<br />
8.7 การนําเสนอผลการสํารวจ<br />
แผนการนําเสนอขอมูลที่ไดจากการสํารวจ<br />
เริ่ รมจากการพิจารณาสภาพอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
ซึ่งไดขอมูลจากแบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโน<br />
ทัศน ซึ่งสรุปรวบยอดจากการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
บนผิวดิน จากนั้นควรพิจารณาจากวัตถุประสงคการ<br />
สํารวจวา ตองการรายละเอียดขอมูลใดเพิ่มเติม<br />
มาก<br />
นอยเพียงใด เพื่อใชเปนแนวทางในการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดิน<br />
เมื่อพิจารณารายละเอียดในดาน<br />
ตางๆ ครบถวนแลว กําหนดแผนการเพื่อทําการ<br />
สํารวจ โดยหากเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสดวย<br />
วิธี ธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ ขั้นตอน<br />
ตอไปคือ การเลือกเทคนิคการสํารวจ รวมทั้งวิธีการ<br />
จัดวางหลักขั้วไฟฟาใหเหมาะสม<br />
เพื่อสามารถกําหนด<br />
ระยะเวลา กําลังคน งบประมาณ รวมถึงอุปกรณ<br />
เครื่องมือตางๆที่จะตองใชได<br />
แผนการนําเสนอขอมูลขึ้นอยูกับการแปล<br />
ความหมายขอมูลการสํารวจวาจะออกมาในลักษณะใด<br />
ซึ่งแตกตางกันไปตามวิธีการสํารวจ ไดแก<br />
8.7.1 ขอมูลการสํารวจแบบหยั่งลึก<br />
มักนําเสนอในลักษณะเปนจุด แสดงขอมูล<br />
เกี<br />
่ยวกับชั้นดินชั้นหินใตผิวดินตามคุณสมบัติความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะ ณ ตําแหนงจุดสํารวจนั้นๆ<br />
โดยมีขอไดเปรียบคือสามารถแปลความหมายขอมูล<br />
การสํารวจเพื่อหาความลึกและความหนาตามที่<br />
ที่เปน<br />
จริงของชั้นดินหินซึ่งทําการแบงแยกเปนชั้นโดยใชคา<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะเปนเกณฑ และหากมีจุด<br />
สํารวจ VES<br />
หลายๆ จุดในแนวเสนตรงเดียวกันก็<br />
สามารถนําเสนอในรูปแบบของ geophysical cross<br />
sections ได แตจําเปนตองใชงบประมาณและเวลา<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจํ<br />
จําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
มากกวาการสํารวจตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะแบบอื่นๆ<br />
8.7.2 ขอมูลการสํารวจแบบตัดแนวและแบบ<br />
ทั่วพื้นที่<br />
มักนําเสนอเปนในลักษณะเปนแบบ<br />
จําลองสองมิติ หรือแบบจําลองสามมิติ แตคาตางๆ ที่<br />
แสดงในแบบจําลองทั้งหมดไมวาจะเปนความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะ คาความลึกความหนาของชั้น<br />
ดินหินซึ่งทําการแบงแยกเปนชั้นโดยใชคาความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะเปนเกณฑนั้<br />
นั้น ลวนแตเปนคา<br />
ขอมูลเชิงเปรียบเทียบเทานั้น<br />
8.7.3 แบบจําลองทางธรณีฟสิ<br />
สกส<br />
ขอสรุปสุดทายสําหรับการนําเสนอผล<br />
สํารวจตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ ไดแกการ<br />
นําเสนอแบบจําลองทางธรณีฟสิกส ซึ่งสามารถ<br />
ตกแตงแบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศนจาก<br />
การสํารวจอุทกธรณี<br />
ณีวิทยาบนผิวดินใหชัดเจนยิ่งขึ้น<br />
ซึ่งมีขอมูลสําคัญที่จะตองนําเสนอในแบบจําลองทาง<br />
ธรณีฟสิกส คือ พื้นที<br />
่ที่มีชั้นน้ําผิดปกติ (groundwater<br />
anomalies) ประเภทของชั้นน้ํา ความลึก และความ<br />
หนาของชั้นน้ํา<br />
8.8 ขอจํากัดของการสํารวจ<br />
ขอจํากัดของการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินโดยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
สามารถสรุปได ตามมาตรฐานการทดสอบวัสดุแหง<br />
สหรัฐอเมริกา (ASTM, D6431-99, 2006) ดังนี้<br />
8.8.1 การแปลความห<br />
หมายขอมูลการ<br />
สํารวจตั้งอยูบนสมมติฐานวา ชั้นดินชั้นหินใตผิวดินใน<br />
พื้นที่สํารวจวางตัวตามแนวระนาบหรือใกลเคียงกับ<br />
แนวระนาบ ชั้นหินทุกชั้นตองวางตัวขนานกันหรือ<br />
เกือบขนานกันและชั้นหินทุกชั้นตองมีคาความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะสม่ําเสมอเทากันหรือเกือบ<br />
เทากันทั้งชั้น หากสภาพอุทกธรณีวิทยาของพื้นที่<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
48<br />
สํารวจไมเปนไปตามขอสมมติฐานดังกลาว การแปล<br />
ความอาจเกิดความผิดพลาดได<br />
8.8.2 กรณีพื้นที่สํารวจมีชั้นดินชั้นหินใต<br />
ผิวดินหลายชั้น หากมีชั้นหินบางๆที<br />
่มีคาความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะที<br />
่ใกลเคียงกัน ชั้นหินบางๆ<br />
ดังกลาวจะไมสามารถสํารวจพบไดดวยวิ<br />
วิธีการสํารวจ<br />
ตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
8.8.3 กรณีพื้นที่สํารวจมีชั้นดินชั้นหินใต<br />
ผิวดิน 3 ชั้น หากมีชั้นหินบางๆ ที่มีคาความตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะสูงมาก และวางตัวอยูระหวางกลางโดย<br />
ปดทับดานบนและดานลางดวยชั้นหินที่มีคาความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะต่ําา (ρ 1 ρρ 3 ) จะเกิด<br />
ปญหาการลัดวงจรของกระแสไฟฟาจะวิ่งทะลุผานชั้น<br />
หินชั้นที่ 2 ไปยังชั้นที่ 3 โดยไมสามารถหาคาความ<br />
ตานทานไฟฟาจําเพาะของหินชั้นที่<br />
2 ได (suppression<br />
problem) และในทางตรงกันขาม หากชั้น<br />
หินระหวางกลางดังกลาวคาความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะต่ํามาก เมื่อเปรียบเทียบกับคาความตานทาน<br />
ไฟฟาจําเพาะของชั้นหินที่ปดทับบนและลาง (ρ 1 >>><br />
ρ 2
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
Where ρ 1 >>ρ 3<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
จากขั้วหลักหรือคอน และควรป องกันเศษ ธร<br />
นเขาตาดวยการสวมแวนปองกันน<br />
ดา<br />
9.4 การปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยหรือพื้นที่ที่มี<br />
กา<br />
ย เชน ใกลแนวสายไฟฟาแรงดันสูง โรงงาน รา<br />
มเคมีภัณฑ โรงงานอุตสาหกรรมอื่น ฟารม ดัง<br />
ะอื่นๆ เปนความรับผิดชอบและอยูใน<br />
ผูร<br />
ณของผูสํารวจโดยตรง<br />
ธร<br />
ฝก<br />
Where ρ 1 >>> ρ 2
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
U.S. . Army Corps of Engineers, 1995. Geophy-<br />
sical Exploration for Engineering and Envi-<br />
ronmental Investigation, EM 1110-1-1802,<br />
1995.<br />
Vingoe, P., 1997.<br />
Electrical Resistivity Survey,<br />
Atlas Coppco, ABEM, Sweden.<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
50<br />
คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ<br />
ส 2003 -2550<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความเร็<br />
ร็ว<br />
ของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 เปนคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (ส) ของกรม<br />
ทรัพยากรน้ํา้าบาดาล (ทบ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม<br />
ตัวเลขชุดแรกมี 4 ตําแหนง หมายถึง ลําดับ<br />
ของคูมือ ตัวเลขชุดที่สอง “2550” หมายถึง ป พ.ศ. ที่จัดทําเอกสารตนฉบับของคูมือ กรณีที<br />
่มีการแกไขและปรับปรุง<br />
มาตรฐานให หใสวงเล็บตอทายและระบุ ป พ.ศ. ที่แกไขปรับปรุง เชน (แกไขปรับปรุง 2555) เป ปนตน โดยมีเครื่องหมาย<br />
(ก) เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่แกไข และมีเครื่องหมาย (ป) เปนตัวยกกํากับหนาขอความที<br />
่ปรับปรุงขึ้นใหม<br />
1. บทนํา<br />
คูมือการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการ<br />
ตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห<br />
ฉบับนี้ไดจัดทําขึ้นภายใตโครงการจัดทํามาตรฐานการ<br />
เจาะ สํารวจและพัฒนาบอน้ํ้าบาดาล พ.ศ. 2550 เปน<br />
สวนหนึ่งของชุดคูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและ<br />
แผนที่น้ําบาดาล โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาลได<br />
มอบหมายใหคณะผูเชี่ยวชาญดานอุทกธรณีวิทยา<br />
ธรณีวิทยา วิศวกรรม เครื่องกล และวิศวกรรมโยธา<br />
เปนผูดําเนินการรางคูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบน<br />
ผิวดิน เพื่อใหใชควบคูไปกับมาตรฐาน ทบ<br />
ส 2003-<br />
2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการ<br />
ตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห<br />
โดยคูมือฉบับนี้ จะกําหนดขั้นตอนและแนวทางสําหรับ<br />
ใชในงานสํารวจฯ เพื่อใหไดผลงานตามมาตรฐานที่<br />
กรมทรัพยากรน้ําบาดาลกําหนด<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีตรวจวัด<br />
ความเร็วของคลื่นไหวสะเทื<br />
ทือนแบบหักเห (seismic<br />
refraction method) เปนการสํารวจเพื่อตรวจวัด<br />
คุณสมบัติทางกายภาพของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินที่<br />
ระดับความลึ ลึกตางๆ ที่ยินยอมใหคลื่นไหวสะเทือนวิ่ง<br />
ผานดวยการตรวจวัดหรือสํารวจดวยเครื่องมือ<br />
(seismographs)<br />
บนผิวดิน ซึ่งเปนการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินที่นํามาประยุกตใชในการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาวิธี ธีหนึ่ง เนื่องจากสามารถนํามาประยุกตใช<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
51<br />
ในการสํารวจอุทกธรณีวิทยาในชั้นหินแข็งไดดี และผล<br />
การสํารวจโดยสวนใหญสามารถแปลความหมายและ<br />
วิเคราะหขอมูลการสํารวจในเชิงคุณภาพ ไดอยาง<br />
ละเอียดและถูกตองแมนยํา อยางไรก็ตามการสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาโดยวิธีทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
หลายๆ กรณีมีความจําเปนตองอาศัยการสํารวจทาง<br />
ธรณีฟสิกสวิธีการอื่นๆ ควบคูไป<br />
2. ขอบเขตการดําเนินงาน<br />
2.1 วัตถุประสงคและการประยุกตใชงาน<br />
2.1.1 เอกสารคูมือฉบับนี้ครอบคลุมเนื้อหาทั่วๆ<br />
ไปในดานเครื่องมือและอุปกรณ วิธีการสํารวจ วิธี ธีการ<br />
แปลความหมายข<br />
ขอมูล วิธีการนําเสนอผลการสํารวจ<br />
และขอจํากัดของการสํารวจ สําหรับการสํารวจ<br />
ตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเหของ<br />
ชั้นดินชั้นหินใตผิวดินและน้ําบาดาลในชั้นหินอุมน้ํา<br />
ตางๆ<br />
2.1.2 เอกสารคูมือฉบับนี้มีวัตถุประสงคหลั<br />
ลักใน<br />
การจัดทําเพื่อใชเปนคูมือการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิว<br />
ดินดวยวิธีตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบ<br />
หักเห สําหรับประยุกตใชเฉพาะการสํารวจดานอุทก<br />
ธรณีวิทยาเทานั้นน บางสวนของสาระอาจเกี่ยวพันกับ<br />
การประยุกตใชในดานสํารวจธรณีเทคนิคหรือการ<br />
สํารวจสิ่งแวดลอมบาง<br />
2.1.3 หนวยวัดที่ใชในคูมือฉบับนี้เปนหนวยวัด<br />
Système Internationale d’Unitès<br />
(SI Units) สําหรับ<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
หนวยวัดที่ใชในการสํารวจแบบ seismic refraction<br />
method มีหนวยวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนเปน<br />
เมตร/มิลลิวินาที (meter/milliseconds, m/ms)<br />
2.2 ขอจํากัดของคูมือ<br />
เอกสารคูมือฉบับนี้ไมครอบคลุมถึง<br />
รายละเอียดดานทฤษฎีตางๆ แตจะนําเสนอรายชื<br />
่อ<br />
เอกสาร และตําราที่เกี่ยวของใหผูใช<br />
ชเอกสารคูมือฉบับ<br />
นี้ไดศึกษาคนควาดวยตนเอง ขอความที่เกี่ยวของกับ<br />
มาตรฐานความปลอดภัยในเอกสารฉบับนี้ ครอบคลุม<br />
เฉพาะความปลอดภัยในการใชเครื่องมือที่มีมาตรฐาน<br />
และอยูในสภาพสมบูรณพรอมใชงานเทานั้น ไมได<br />
ครอบคลุมถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงานหรือ<br />
อุบัติเหตุใดๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงาน<br />
ภาคสนาม ตามขั้นตอนของเอกสารคูมือฉบับนี้<br />
ผูใชงานจําเปนตองคํานึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและ<br />
ทรัพยสินทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ<br />
3.1 กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2001-2550 การคัด<br />
เลือกวิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2002-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดความตาน<br />
ทานไฟฟาจําเพาะ<br />
- คูมือ ทบ ส 1000-25500 การสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจทางธรณีฟสิกสบนผิวดิ<br />
ดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2002-25500 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวั<br />
วัดความตานทาน<br />
ไฟฟ ฟาจําเพาะ<br />
4. ศัพทบัญญัติ<br />
4.1 คํานิยาม<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิ<br />
ดิน (surface<br />
geophysical investigation) หมายถึง การสํารวจโดย<br />
ใชเครื่องมือทางธรณีฟสิกสบนผิวดินเพื่อที่จะจัดเก็บ<br />
ขอมูลดานธรณีวิทยาและอุทกธรณีวิทยา<br />
โดยมิไดใช<br />
เครื่องมือใดๆ หยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
การสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง (groundwell<br />
drilling)<br />
water investigation for pin-point หมายถึง การสํารวจอุทกธรณีวิทยา ที่มีวัตถุประสงค<br />
เพื่อกําหนดตําแหนงจุดเจาะบอน้ําบาดาลที่เหมาะสม<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิ<br />
ผิวดิน (sub-<br />
หมาย ถึง<br />
surface hydrogeological investigation)<br />
การสํารวจเพื่อเก็บขอมูลดานอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
โดยใชเครื รื่องมือเจาะหรือหยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
แบบจําลองทางธรณีฟสิกส ( geophysical<br />
models) หมายถึง แบบจําลองลักษณะธรณีวิทยาหรือ<br />
กายภาพอื่นๆ ของพื้นที ที่จากขอมูลการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกส เพื่อใหขอมูลดานความลึกของแบบจําลองอุทก<br />
ธรณีวิทยาเชิงมโนทัศนมีความถูกตองแมนยํายิ่งขึ้น<br />
แบบจําลองทางธรณีฟสิกสสองมิติ (2D<br />
geophysical profiles) หมายถึง แผนภาพแสดงขอมูล<br />
ธรณีฟสิกสในเชิงลึก เชน resistivity profiles, resis-<br />
เปนตน<br />
tivity pseudo sections, seismic sections<br />
แบบจําลองทางธรณีฟสิกสสามมิติ (3D<br />
resistivity<br />
models) หมายถึง ภาพแสดงขอมูลธรณี<br />
ฟสิกสในลักษณะสามมิติ ทั้งกวาง ยาว และลึก<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน<br />
(conceptual hydrogeological model) หมายถึง<br />
แบบจําลองสภาพอุทกธรณีวิทยาของพื้นที่จากขอมูล<br />
ที่ไดจากการสํารวจฯ เพื่อใชประกอบกับแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยาสําหรับกําหนดแนวทางการสํารวจขั้นตอไป<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
52<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
4.2 คํายอ<br />
กรมฯ หมายถึง กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
การสํารวจฯ หมายถึง การสํารวจอุทกธรณี<br />
วิทยาบนผิวดิน<br />
แบบจําลองฯ หมายถึง แบบจําลองเชิงมโน<br />
ทัศนของพื้นที่สํารวจ<br />
5. ความสํ สาคัญและการใชงาน<br />
5.1 เอกสารคูมือฉบับนี<br />
นี้ครอบคลุมวิธีการสํารวจ<br />
ดวยการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบ<br />
หักเหเพื่อประยุกตใชสภาพอุทกธรณีวิทยา<br />
สําหรับ<br />
การปรับใชเพื่อใหไดผลงานการสํารวจตรงตาม<br />
มาตรฐานที่กรมทรัพยากรน้ําบาดาลกําหนด โดย<br />
สามารถนําไปประยุกตใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
ตางๆ ดังนี้<br />
5.1.1 เปนคูมือใชในก<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินดวยการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือน<br />
แบบหักเห สํ สาหรับงานสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง ซึ่ง<br />
อาจตองดําเนินการสํารวจตอเนื่อง ดวยการสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาใตผิวดินตามมาตรฐาน ทบ<br />
ส 3000-<br />
2550<br />
5.1.2 เปนคูมือใชในก<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินดวยวิ วิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหว<br />
สะเทือนแบบหักเหสําหรับงานสํารวจจัดทําแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยา ( hydrogeological<br />
mapping) โดยมี<br />
กระบวนการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
ตอเนื่อง ตามมาตรฐาน ทบ ส 4000-2550<br />
5.1.3 เปนคูมือใชในก<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินดวยการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือน<br />
แบบหักเหจําเพาะ สําหรับงานศึกษาวิจัยแหลงน้ํา<br />
บาดาลตางๆ<br />
เชน การศึกษาวิจัยเพื่อประเมิ<br />
มนปริมาณ<br />
น้ําสํารองแองน้ําบาดาลของกรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
ตามคูมือ ทบ ป 1000-2550 การศึกษาวิจัยเพื่อ<br />
ประเมินพื้นที่เติมน้ําตามมาตรฐาน ทบ ป 2000-2550<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
53<br />
การศึกษาวิจัยเพื่อจัดทําแบบจําลองอุทกธรณีวิทยา<br />
ทางคณิตศาสตร<br />
ตามคูมือกรมฯ<br />
ทบ ป 3000-2550<br />
และการศึกษาวิจัยทางอุทกธรณีวิทยาดานอื่นๆ<br />
5.2 เอกสารคูมือฉบับนี้ ไดกําหนดขั้นตอนและ<br />
แนวทางการปฏิบัติงานไวกวางๆ<br />
สําหรับการปรั รับใช<br />
กับงาน สํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยการตรวจวัด<br />
ความเร็วของคลื<br />
ลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห ตาม<br />
วัตถุประสงคตางๆ<br />
ซึ่งอาจมีความตองการรายละเอียด<br />
ของขอมูลไมเหมือนกัน โดยเฉพาะปริมาณของขอมูล<br />
ยอมขึ้นอยูกับขนาดของพื้นที่สํารวจ เวลางบประมาณ<br />
ของงานสํารวจศึกษาวิจัยแหลงน้ําบาดาลแตละงาน<br />
ดังนั้นขั้นตอนและแนวทางการปฏิ<br />
ฏิบัติงานที่ไดกําหนด<br />
เอกสารฉบับนี้ อาจเปลี่ยนแปลงไดตามที่ผูเชี่ยวชาญ<br />
ของโครงการศึกษาวิจัยแตละโครงการจะเห็นสมควร<br />
6. คําอธิบายวิธี ธีการ<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน เปนขั้นตอนการ<br />
สํารวจภาคสนามที่ตอเนื่องจากการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิ<br />
ดิน โดยจากรูปแบบอุทกธรณีวิทยา<br />
มโนทัศนที่จัดทําขึ<br />
้นในขั้นตอนสุดทายของการสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาบนผิว ซึ่งจําลองสภาพอุทกธรณีวิทยา<br />
ใต ตผิวดินไดคราวๆ การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
เปนการสํารวจบนผิวดินโดยใชเครื่องมือทางธรณี<br />
ฟสิ สิกสบนผิวดิน ตรวจวัดคุณสมบัติทางกายภาพตางๆ<br />
ของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินที่ระดับความลึกตางๆ<br />
และ<br />
ดวยการแปลความหมายจากขอมูลการสํารวจธรณี<br />
ฟสิ สิกสบนผิวดิน ทําใหสามารถปร<br />
ระมาณการความลึก<br />
ความหนาของชั้นดินชั้นหินตางๆ ใตผิวดินในพื<br />
้นที่<br />
สํารวจภายใตการประมาณการทางวิทยาศาสตร<br />
7. เครื่องมือและอุปกรณ<br />
สวนประกอบที่สําคัญของเครื่องมือวัดความ<br />
สั่นสะเทือนสะทอนกลับ มีสวนประกอบตางๆ 3 สวน<br />
คือ<br />
แหลงกําเนิดคลื่นไหวสะเทือนน เครื่องรับคลื่นไหว<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สะเทือน และเครื่องบันทึกคลื่นไหวสะเทือน ดัง<br />
รายละเอียดตอไปนี้คื<br />
คือ ดังรายละเอียดตอไปนี้คือ<br />
7.1 แหลงกําเนิดคลื่นไหวสะเทื<br />
ทือน<br />
หลักการสําคัญของการสํารวจดวยวิธีวัด<br />
ความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห คือการ<br />
ตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนที่วิ่งผานชั้นหิน<br />
ใตผิวดินที่ระดับความลึกตางๆ ดังนั้นจําเปนตองมี<br />
แหล ลงกําเนิดคลื่นไหวสะเทือน และยิ่งไปกวานั้นการ<br />
ทําใหเกิดคลื่นไหวสะเทือน จะตองรูเวลาแนนอนวา<br />
เริ่มทําใหเกิดคลื่นไหวสะเทือนขึ้นที่เวลาใด เวลาที่<br />
กลาวถึงนี้มีหนวยเปน 1/1000 วินาทีหรือ มิลลิวินาที<br />
(milliseconds,<br />
ms) ดังนั้นการกําเนิดคลื่นไหว<br />
สะเทื ทือนแตละครั้ง จะตองสงสัญญาณไปยังเครื่อง<br />
บันทึกขอมูล ลงบันทึกเวลาของการกําเนิดคลื่นไหว<br />
สะเทือน (time break) เพื่อหาระยะเวลาที่คลื่นไหว<br />
สะเทือนเดินทางจากตนกําเนิดและสะทอนกลับขึ้นมา<br />
จากชั้นหิน (delayedd time or travel time) สําหรับ<br />
วิธีการทําใหเกิดคลื่นไหวสะเทือนมีวิธีการหลายวิธี คือ<br />
(1) การใชคอนทุบ (hammer blow)<br />
เปนวิธีการงายๆ<br />
ใชคอนทุบบนแผนเหล็กหนาที่วางบนพื้นดิน (2) การ<br />
ใชเครื่องทิ้งน้ําหนัก<br />
(weight drop) มีลักษณะการ<br />
ทํางานเหมือนคอน<br />
แตใชตุมน้ําหนััก 10-50 กิโลกรัม<br />
ตัวเครื่องจะยกตุมน้ําหนักขึ้นสูงจากผิวดิน 1.0-1.5<br />
เมตร<br />
แลวทิ้งตุมน้ําหนักลงบนแผนเหล็กหนา (3) การ<br />
ใชวัตถุระเบิด วิธีการจุดวัตถุระเบิดในการกําเนิดคลื่น<br />
ไหวสะเทือน โดยฝงระเบิดพรอมสายชนวนในหลุม<br />
ขนาดเล็กลึกระหวาง 2-20 เมตร นอกจากวิธีการทํา<br />
ใหเกิดเสียงดังกลาวแลว ยังมีวิธีการอื่นๆ อีกมากเชน<br />
air guns, oscillators, vibrators เปนตน<br />
หลักการสําคัญของการสํารวจดวย seismic<br />
refraction<br />
คือการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหว<br />
สะเทื ทือนแบบหักเห กลับมาจากชั้นดินชั้นหินที่ระดับ<br />
ความลึกตางๆ ดังนั้นประเด็นสําคัญของการสํารวจคื<br />
คือ<br />
ระยะทางและเวลา ตรงตําแหนงที่ทําใหเกิดคลื่นไหว<br />
สะเทือน ไมวาจะเปนตําแหนงที่วางแผนเหล็กหนา<br />
หรือตําแหนงของหลุมระเบิดจะตองทราบระยะหาง<br />
จากจุดตรวจวัดตางๆ ที่วางบนผิวดิน และเวลาในการ<br />
ทําใหเกิดคลื่นไหวสะเทื<br />
ทือนจะตองถูกบันทึกไวใน<br />
เครื่องบันทึกเวลา การทําใหเกิดคลื่นไหวสะเทือนไม<br />
วาดวยวิธีการใดจะมีสะพานไฟฟาสงสัญญาณ (time<br />
break switch) สงสัญญาณผานสายไฟฟาไปยังเครื่อง<br />
บันทึกเวลา ซึ่งจะบันทึกเวลาที่เริ่มตนการเกิดคลื่น<br />
ไหวสะเทือนและเวลาที่คลื่นไหวสะเทือนสะทอนกลับ<br />
ขึ้นมาจากผิวดินตามจุดสํ<br />
สารวจตางๆ ที่วางไวหางจาก<br />
shot points<br />
7.2 หัวรับคลื่นคลื่นไหวสะเทือน<br />
หัวรับคลื่นคลื่นไหวสะเทือน ( geophones)<br />
หรือหัวรับคลื่นไหวสะเทือน (seismometers) ที่ใชใน<br />
งานสํารวจ<br />
seismic survey บนผิวดิน ปลายดานลาง<br />
เปนเหล็กแหลมสําหรับปกกับพื้นดินที่ตําแหนงจุด<br />
สํารวจตางๆ หากเครื่องบันทึกรับสัญญาณไดเพียง 1<br />
ชองตัว (single channel seismographs)<br />
จะใชหัวรับ<br />
คลื่น เพียง 1 ตัวเทานั้น แตโดยสวนใหญสําหรับการ<br />
ใชงานทั่วไปจะใชเครื่อง<br />
multi-channel seismographs<br />
ซึ่งมักมีชองรับสัญญาณ 12-96 ชองและมีหัว<br />
รับคลื่น 12-96 ตัว แตละตัวมักจะปกตามจุดสํารวจ<br />
ตางๆ โดยระยะหางกันตามแตความลึกที่ตองการ<br />
สํารวจ สวนใหญจุดสํารวจจะอยูในแนวเสนตรง<br />
เดียวกันในลักษณะเปนการสํารวจแนว (seismic<br />
sections) (รูปที่ 1) ยกเวนกรณีการสํารวจแบบ fan<br />
shooting จะวางจุดสํารวจเปนแนวโคง ภายในตัวหัว<br />
รับคลื่น ประกอบดวยขดลวดและแทงแมเหล็ก มี<br />
ชองวางระหวางขดลวดกับแมเหล็ก (gap) โดยหัวรับ<br />
คลื่นจะทําหนาที่ดักจับสัญญาณคลื่นไหวสะเทือนที่<br />
หักเหและสะทอนกลับขึ้นมาจากชั้นหินใตผิวดิน เมื่อ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
54<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
รูปที่ 1 การวางตัวของจุดตนกําเนิดไหวสะเทือนและการสะทอนกลับของคลื่นไหวสะเทือน<br />
(ดัดแปลงจาก EPA, 1993)<br />
ปกอยูบนผิวดิน จะรับเฉพาะคลื่นไหวสะเทือนในสวน<br />
ที่วิ่งอยูในแนวระนาบเทานั้น<br />
(horizontal component)<br />
และแปลงคลื่ นไหวสะเทือนที่ ที่ไดรับใหเปนกระแสไฟฟา<br />
ไปยัง recorder ขีดความสามารถของหัวรัับคลื่น ใน<br />
การรับคลื่นไหวสะเทือนที่ระดับความถี่ตางๆ ขึ้นอยู<br />
กับความกวางของ gap และขนาดของขดลวด สําหรับ<br />
การสํารวจแบบคลื่นไหวสะเทือนสะทอนหักเห (seis-<br />
สัญญาณที่ไดรับจากแตละชองรับ เมื่อผาน<br />
ตัวกรองคลื่นไหวสะเทือนและขยายสัญญาณแลว<br />
จะ<br />
แสดงผลเปนเสนกราฟบนจอภาพ ผูปฏิบัติงาน<br />
สามารถตรวจสอบความคมชัดของเสนกราฟตางๆ<br />
และสามารถปรับแตง ทั้งเครื่องขยายและเครื่องกรอง<br />
คลื่นของแตละชองสัญญาณไดอีกครั้ง หากปรับแตง<br />
แลวยังไมพอใจ สามารถสั่งการใหทําซ้ําที่จุดเดิม<br />
เชน<br />
mic refraction) ซึ่งเปนการสํ สํารวจระดับตื้นจะใชหัวรับ<br />
ตอกคอน หรือ weight drop ใหมอีกครั้งที่จุดเดิม<br />
คลื่นที่มีความถี่ระหวาง10 - 30 เฮิรทซ<br />
7.3 เครื่องบันทึกสัญญาณคลื่นไหวสะเทือน<br />
เครื่องบันทึกสัญญาณคลื่นไหวสะเทือน<br />
(seismograph) ประกอบดวยสวนสําคัญตางๆ คือ<br />
เครื่องกรองคลื่น (filters) ทําหนาที่เปนตัวกรองและ<br />
ตัดคลื่นรบกวน เครื่องขยายสัญญาณ (amplifiers)<br />
(staking) โดยสัญญาณจากการทําซ้ําครั้งที่ 2-3-4<br />
จะ<br />
ไปสะสมกับสัญญาณครั้งที่ 1 ทําใหสัญญาณมีความ<br />
เข ขมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ<br />
จนกวาผูปฏิบัติ ติงานจะพอใจผลการ<br />
สํารวจที่เห็นบนจอภาพ ผูปฏิบัติงานสามารถสั่งให<br />
recorder บันทึกขอมูลดังกลาวไว<br />
พรอมทั้งสามารถสั่ง<br />
ให หพิมพขอมูลจากเครื่องพิมพ<br />
ปจจุบันอาจมีชองรับสัญญาณถึง 96 ชองแต ตละชองจะ 8. การสํารวจดวยวิธีการตรวจวัดคลื่นไหว<br />
รับและขยายสัญญาณคลื่นที่ไดรับจาก หัวรับคลื่น แต สะเทือนแบบหักเห<br />
ละตัว และชองรับสัญญาณจาก time break<br />
switch 8.1 บทสรุปเกี่ยวกับทฤษฎีคลื่นไหวสะเทือนน<br />
ตางหากอีก 1 ตัว ทําหนาที่ขยายสัญญาณใหมากขึ้น<br />
และกฎของสเนลลล<br />
นอกจากนี้ยังมีสวนประกอบอื่นๆ คือเครื่องบันทึก<br />
เอกสารคูมือฉบับนี้ไมครอบคลุมราย<br />
สัญญาณ จอภาพ และเครื่องพิมพผล<br />
ละเอียดภาคทฤษฎีการสํารวจตรวจวัดคลื่นไหว<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
55<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สะเทื ทือนแบบหักเหห ซึ่งเริ่มตนจากทฤษฎีของคลื่น<br />
(wave theory) และ Snell’s Law แตจะสรุปเฉพาะ<br />
สวนที่เกี่ยวของ ทั้งนี้เพื่อใหผูใชคูมือฉบับนี้สามารถ<br />
คนควาไดดวยตนเองจากเอกสารตางๆ จึงนําเสนอ<br />
ตําราและเอกสารทางเทคนิคที่เกี่ยวของ ดังตอไปนี้<br />
Auld, B.A., 1990. “Acoustic Fields and<br />
Wave in Solids” Vol I and II 2nd<br />
Rev. Robert E.<br />
Kreiger Publishing,<br />
Malabar<br />
Bland, D.R., 1990 .“Wave Theory and<br />
Applications” Oxford University Press, New York.<br />
Davis, J.L., 1988. “Wave Propagation in<br />
solids and Fluids” Springer Verlag, New York.<br />
Hawkins, L.V., 1961. “The Reciprocal<br />
Method of Routine Shallow Seismic Refraction<br />
Investigation” Geophysics 26:806-819<br />
O’Brien, K.M., and Stone, J.W., 1985.<br />
“Role of Geological and Geophysical Data in<br />
Modeling an alluvial Basin, Southwest New<br />
Maxico In: Conference on Surface and Borehole<br />
Geophysical<br />
Methods<br />
and Groundwater<br />
Investigation” National Water Well Association,<br />
Dublin.<br />
Stierman, D.J., and Ruedisili, L.C.,<br />
1986. “The Application of Surface Geophysics to<br />
Mapping Hydrogeological Conditions of a<br />
Glaciated Area in Northwest Ohio, In: Proc. on<br />
Surface and Borehole Geophysical Methods and<br />
Groundwater Instrumentation”<br />
National Water<br />
Welll Association, Dublin<br />
Van Overmeeren, R.A. , 1981. “Combi-<br />
and Gravity Measurements for Groundwater<br />
Exploration in Sudan” Geophysicss 46:1304-1313.<br />
nation of Electrical Resistivity, Seismic Refraction,<br />
Worthington, P.F., 1975. “Procedures<br />
for the Optimum Use of Geophysical Methods in<br />
GroundWater Development Programs” Ass. Eng.<br />
Geol. Bull.<br />
Zohdy, A.A., Eaton, G.P., and Mabey,<br />
D.R., 1974. “Application<br />
of Surface Geophysics to<br />
Ground-Water Investigations” US.GS. Techniques<br />
of Water Resource Investigation.<br />
คลื่นจากแหลงกําเนิดคลื่นไหวสะเทือนบน<br />
ผิวดินมีคลื่นประเภทตางๆ 3 ประเภทแผกระจายตัว<br />
(wave propagations) ออกจากจุดกําเนิดคลื่นเปน<br />
รูปทรงกลมเรียกวา body wave โดยมีจุดกําเนิดเปน<br />
จุดศูนยกลางคลื่นทั้ง 3 ประเภท ใน body<br />
wave คือ<br />
(1) Primary wave หรือ<br />
Compressivee wave (P-<br />
wave (S-<br />
wave) (2) Secondary wave หรือ Shear<br />
wave) และ (3) Rayleigh<br />
wave หรือ Surface wave<br />
(R-wave)<br />
Primary wave<br />
(P-wave) มีลักษณะการ<br />
เคลื่อนที่ในทิศทางที่ตั้งฉากกับ wave front เหมือนกับ<br />
คลื่นไหวสะเทือนในอากาศ เปนคลื่นไหวสะเทือนที่มี<br />
การเคลื่อนที่เร็วที่สุด และเปนคลื่นชนิ นิดเดียวที่ใช<br />
ตรวจวัดโดยวิธี seismic survey และจะถูกดักจับเมื่อ<br />
คลื่นตัวแรกเคลื่อนที่มาถึง<br />
(first arrival) โดยความเร็ว<br />
ของคลื่นไหวสะเทือน P-wave (V P ) ขึ้นอยูกับตัวกลาง<br />
(media) ที่คลื่นไหวสะเทือนวิ่งผาน ซึ่งถูกควบคุมดวย<br />
คุณสมบัติของตัวกลาง 3 ประการ คือ bulk modulus<br />
(k), shear modulus (n) และ density ( ρ) หรือ V P =<br />
[(k + 4n/ /3)]/ρ ความเร็วของ P-wave ที่วิ<br />
่งผานชั้นหิน<br />
ชนิดตางๆ<br />
สรุปไวในตารางที่ 1<br />
คลื่น P-wave จากจุดกําเนิ นิดคลื่นจะวิ่ง<br />
กระจายตั ตัวออกจากจุดกําเนิดเปนรัศมีทรงกลม คลื่น<br />
สวนหนึ่ง (direct wave) จะวิ่งเปนแนวระนาบจากจุด<br />
กําเนิดผานตัวกลางคือชั้นดินดวยความเร็<br />
ร็ว V 1 ไปยัง<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
56<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 1 ความเร็วคลื่นไหวสะเทือนที่วิ่งผานชั้นดินชั้นหินและวัตถุตัวกลาง<br />
หินรวน<br />
ดินเหนียว ทรายแปง ทราย<br />
และกรวด (แหง)<br />
ดินเหนียว ทรายแปง ทรายและกรวด (อิ่มดวยน้ํา) 1.5 - 2.0 น้ําแข็ง<br />
หินตะกอน<br />
ชนิดดิน-หินน<br />
ความเร็วคลื่น<br />
(เมตร/มิลลิวินาที)<br />
0.2 - 0.4 อากาศ<br />
1.5 - 2.0 น้ํา<br />
ชนิดของ<br />
วัตถุตัวกลาง<br />
2.0 - 2.5 คอนกรีต<br />
ความเร็วคลื่น<br />
(เมตร/มิลลิวินาที)<br />
(จาก Milsom<br />
,1989)<br />
หินแปรและหินอัคนีมีรอยแตก<br />
2.5 - 3.7<br />
หินแปรและหินอัคนีเนื้อแนน<br />
4.5 - 6.0<br />
เหล็ก<br />
5.9<br />
หัวรับคลื่น S และ P-wave อีกสวนหนึ่งจะวิ่ ิ่งลึกลงไป<br />
ในชั้นหินชั้ันที่หนึ่งทแยงเปนมุมพอดี<br />
(θ) ดวย<br />
แนวสํารวจเปนแนวเสนตรง (seismic sections)<br />
รายละเอียดตอไปนี้<br />
ดัง<br />
ความเร็ว V 1 ไปจนถึงแนวรอยตอกับชั้นหิน (first (1) การสํารวจแบบ fan shooting เปน<br />
interface) คลื่นสวนหนึ่งจะถูกสะทอนกลับขึ้นสูผิวดิน<br />
ดวยความเร็วเดิม (reflected<br />
wave) โดยมีมุมตก<br />
กระทบเทากัับมุมสะทอนตามม Snell’s Law คลื่นไหว<br />
วิธี ธีการสํารวจเพื่อจัดเก็บขอมูลเบื้้องตนใชในบางกรณี<br />
เทานั้น เชน การคนหาแนวทางน้ํายุคเกา (paleo-<br />
channels) หรือแนวรอยเลื่อนในพื<br />
พื้นที่สํารวจ สมมติวา<br />
สะเทือนอีกสวนหนึ่งเมื่อเดินทางถึง first interface พื้นที่สํารวจเปนรู<br />
รปสี่เหลี่ยมจัตุรััสและมีธารน้ําใตดิน<br />
ดวยความเร็ว V 1 จะถูกหักเหใหวิ่งขนานไปบนแนว<br />
รอยตอดวยความเร็ว V 2 ไปพรอมกับบางส<br />
สวนถูกหัก<br />
ไหลผานพื้นที่ตรงมุมดานทิศตะวันออกเฉียงเหนืออ จะ<br />
วางหัวรับคลื่น เปนรูปโคงมีมุมใดมุมดานทิศตะวัันตก<br />
เหขึ้นสูผิวดินไปยัง หัวรับคลื่นs<br />
ดวยความเร็ว V 1 เฉี ฉียงใตของพื้นที่สํารวจใหเปนจุดศูนยกลางและเปน<br />
คลื่นไหวสะเทือนสวนนี้คือคลื่นไหวสะเทือนหักเห<br />
(refracted wave or head wave) โดยคลื่น<br />
P-wave<br />
shot point ของการสํารวจโดยหัวรับคลื่น ทุกตัวจะวาง<br />
หางจาก shot point ในระยะเทาๆ<br />
กัน ในลักษณะเปน<br />
สวนนี้จะเปนสวนที่นํามาใชประโยชนในการสํารวจ<br />
รัศมีจากจุดศูนยกลางระหวางหัวรับคลื่นs กับ shot<br />
ดวย seismic<br />
refraction method<br />
8.2 การสํารวจภาคสนาม<br />
point จะมีระยะหางประมาณ 3 เท ทาหรือมากกวา ความ<br />
ลึกของแนวโครงสรางที่ตองการคนหา (รูป 2) ซึ่งจะ<br />
8.2.1 วิธีการจัดเก็บขอ<br />
อมูลภาคสนาม<br />
เห็นไดวาหากสํารวจดวย fan shooting ตามแนวสํารวจ<br />
การสํารวจดวยวิ<br />
ธี seismic refraction สวน<br />
AB<br />
จะมี หัวรับคลื่นs รับคลื่นไหวสะเทือนหักเหจาก<br />
ใหญจะใชเครื่องสํารวจแบบ multi-channel ซึ่งมีชองรับ<br />
berried channel ถึง 5 ใน 12 ตัวจากการทําใหเกิดคลื่น<br />
สัญญาณและ<br />
หัวรับคลื่นs ระหวาง 12 ถึง 96 ตัว มี<br />
ไหวสะเทือนเพียงครั้งเดียวที่ shot point “S” ในขณะ<br />
วิธีการจัดเก็บขอมูล 2 วิธีคือ การสํารวจแบบจัดแนว<br />
เดียวกันหากวางหั<br />
หัวรับคลื่น เปนแนวตรง ไมวาจะเปน<br />
สํารวจโคงรูปพัด (fan shooting) และการสํารวจแบบจัด<br />
แนวเหนือใตหรือตะวันออกตะวันตกก็ตามหากโชคไมดี<br />
0.34<br />
1.47<br />
3.2<br />
3.1<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
57<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
้<br />
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
จะไมมีหัวรับคลื่น ตััวใดรับคลื่นไหวสะเทือนหักเหจาก<br />
berried channel เลย<br />
11<br />
12 B<br />
10<br />
9<br />
8<br />
Berried channel 7<br />
6<br />
5<br />
4<br />
3<br />
2<br />
Geophone<br />
1<br />
A<br />
Shot point “S”<br />
รูปที่ 2 การสํารวจแบบ fan shooting เปรียบเทียบบ<br />
การการสํารวจแบบ seismic<br />
section<br />
(2) การสํารวจแบบ seismic section เป ปน<br />
วิธีการสํารวจที่ใชทั่วไป โดยการวางหัวรับคลื่น ทั้งหมด<br />
ใหอยูในแนวเสนตรงเดียวกัน ในกรณี ณีที่ชั้นดินชั้นหินใต<br />
ผิวดินมีแนวตอราบเรียบและวางตัวในแนวระ นาบ เชน<br />
ระดับน้ําบาดาลในพื้นที่ราบเปนตน และตองการสํารวจ<br />
ความลึกของแนวรอยตอระหวางชั้นทรายแหงและทราย<br />
อุมน้ํ น้ํา อาจมี shot point เพียงที่เดี ดียวจะเปนดานหัว<br />
หรือดานทายของแนววางหัวรับคลื่นน ก็ได แตโดยสวน<br />
ใหญจําเปนตองมี shot points ทั้งหัวและทายแนวหรือ<br />
การทํา reversed seismic section เพื่อหาแนวรอยตอ<br />
ของชั้นหินใตดินที่วางตัวเอียง หรือแนวรอยตอของชั้น<br />
หินที<br />
่มีแนวรอยตอแบบขรุขระ และบางครั้งอาจ<br />
จําเปนตองทํา multiple shot point section สําหรับการ<br />
แปลความหมายขอมูลการสํารวจที่ยุงยากกวานี้<br />
ตัวอยางเชน ใน 3-layer irregular interface model อาจ<br />
จําเปนตองมี 7 shot points ในแนวสํ สํารวจแนวเดียวกัน<br />
เพื่อแปลความ หมายหาความลึกความหนาของ<br />
seismic layers ทั้งสามชั้นดังกลาว แตโดยทั่วๆ ไปการ<br />
สํารวจดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหว<br />
สะเทือนแบบหักเห เปนการสํารวจระดับตื้นความลึกไม<br />
เกิน 30 เมตรและหาความลึกความหนาของชั้นดินชั้น<br />
หินใตดินไมเกิน 3ชั้น<br />
8.2.22 วิธีการจัดวางหัวรับคลื่น<br />
โดยปกติความยาวของแนว seismic<br />
section มักจะยาวประมาณ<br />
3 เทาของความลึกของการ<br />
สํารวจ สมมติวาตองการสํารวจความลึกประมาณ 30<br />
เมตร ความยาวของ seismic sectionจะตองยาวไมนอย<br />
กวา 100 เมตร ในการวางหัวรับคลื่นตามแนว seismic<br />
section ซึ่งวางเปนแนวยาวเปนเสนตรงเดียวกัน<br />
ระยะหางระหวางหัวรับคลื่นแตละตัวไมจําเปนตอง<br />
เทากัน โดยสวนใหญมักวางคอนขางถี่ตรงบริเวณหัว<br />
ทาย สวนตรงกลาง section<br />
มักจะวางหางกวา ทั้งนี้<br />
ตองการใหหัวรับคลื่น 1-2<br />
ตัวแรกสามารถรับคลื่นไหว<br />
สะเทือนหัักเหกลับขึ้นมาจากแนวรอยตอระหวางชั้นหิน<br />
ชั้นแรก<br />
หัวรับคลื่นทุกตัวจะตองปกลึกลงไปในผิว<br />
ดินใหแนนน เมื่อตอสายไฟฟาจากหัวรับคลื่นเขาเครื่อง<br />
seismograph<br />
แลว กอนเริ่มสํารวจใหเป<br />
ปดเครื่องและ<br />
ตรวจสอบการทํางานของ<br />
หัวรับคลื่น แตละตัวรวมทั้ง<br />
time-break switch ดวยวาทํางานไดดีตามปกติ โดยให<br />
คนเดินขางๆ หัวรับคลื่นแตละตัว และทดลองกด timebreak<br />
switch หากทํางานตามปกติ<br />
ติจะแสดงการ<br />
เคลื่อนที่ของเสนกราฟบนจอ พรอมกันนี นี้จะปรับแตง<br />
ความไวในการรับคลื่นไหวสะเทือนของหัวรับคลื่นแตละ<br />
ตัวจาก amplifiers<br />
ของเครื่อง seismograph<br />
โดย<br />
ปรับแตงหั หัวรับคลื่นตัวที่อยูใกล shot point ใหมีความ<br />
ไวต่ําขณะที่ตัวที่อยูใกลออกไปจะคอยๆ<br />
เพิ่มความไว<br />
มากขึ้น<br />
เมื่อเตรียมการทุกอยางเรียบรอย การ<br />
สํารวจตองหาจังหวะที่มีเสียงรบกวนนอยที<br />
ที่สุด เชนไมมี<br />
รถวิ่งผานหรือคนเดินผานใกลแนวสํารวจ แลวเริ่มทําให<br />
เกิดคลื่นไหวสะเทือนตรงจุด shot point ซึ่งอาจเปน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
58<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คอนทุบบนแผนเหล็ก หรือใชเครื่องทิ้งน้ําหนัก หรือ<br />
การจุดวัตถุระเบิด ระหวางนี้ใหสังเกตบนจอภาพดูการ<br />
ตอบสนองของหัวรับคลื่นทุกตัววาทํางานปกติ และ<br />
สามารถปรับแตงโดยเพิ่มสัญญาณที่ไดรับใหเสนกราฟ<br />
แตละเสนชัดเจนยิ่งขึ้น หากปรับแตงสัญญาณแลวยังไม<br />
เปนที่พึงพอใจ สามารถทําใหเกิดคลื่นไหวสะเทือนตรง<br />
จุด shot point เดิมไดอีก (staking) เพื่อเพิ่ม<br />
สัญญาณเสียงจากการใหกําเนิดคลื่นครั้งแรก<br />
8.2.3 ขอมูลที่ไดจากก<br />
ารสํารวจภาคสนาม<br />
ผลที่ไดจากการส<br />
สํารวจภาคสนาม<br />
คือกราฟ<br />
บันทึกเวลา (seismograms) ซึ่งเปนกราฟแสดงการ<br />
บันทึกเวลาตางๆ ดังนี้ ทันที ทีที่ทําใหเกิดเสียงตรงจุด<br />
กําเนิดคลื่นน สะพานไฟฟาจะตอครบวงจรและสง<br />
สัญญาณตามสายไฟฟาไปบันทึกเวลา (time-break<br />
signal) บนกราฟบันทึกเวลา และบันทึกเวลาที่ไดรับ<br />
สัญญาณจาก<br />
หัวรับคลื่นแตละตัวจะประกอบดวยคลื่น<br />
ไหวสะเทือนตางๆ คือ จาก หัวรับคลื่นs ที่ใกลจุด<br />
กําเนิดคลื่นจะเปน direct wave ที่เดินทางขนานผิวดิน<br />
ผานชั้นหินบนสุดดวยความเร็ว V 1 เมื่อรูเวลาที่ใชไปใน<br />
การเดินทางและรูระยะทางจากจุดกําเนิดคลื่นไหว<br />
สะเทือน ยอมคํานวณหาคา V 1 ได ที่ หัวรับคลื่นs ตัวที่<br />
หางออกไปจากจุดกําเนิดคลื่นไหวสะเทือน จะสง<br />
สัญญาณการรับคลื่นไปบันทึกในกราฟบันทึกเวลา เปน<br />
คลื่นไหวสะเทือน refracted wave หรือ head<br />
wave ที่<br />
หักเหจากชั้นหินใตผิวดิน โดยเดินทางดวยความเร็ว V 1<br />
เปนมุมทแยง<br />
(critical angle, θ C ) ลึกลงไปใตผิวดิน<br />
จนถึงแนวรอยตอระหวางชั้ันหิน คลื่นจะถูกหักเหให<br />
เดินทางดวยความเร็ว V 2 ผานชั้นหินที่สองที<br />
่อยูลึกลง<br />
ไปถัดจากชั้ั้นหินชั้นแรกและหักเหกลับสูผิวดินและ<br />
เดินทางดวยความเร็ว V 1 ผานชั้นหินชั้นแรก<br />
จากขอมูลดังกล<br />
ลาว คือขอมูลระยะเวลาที่<br />
คลื่นไหวสะเทือนสะทอนกลับ หากการสํารวจใช<br />
เครื่องรับสัญญาณ 24 ชองจากชองที่ 1 ถึงชองที่ 24<br />
ตั้งแตเริ่มใหกําเนิดคลื่นไหวสะเทือนก็คือขอมูลในดาน<br />
เวลาที่ใชในการเคลื<br />
ลื่อนที่ของคลื่นไหวสะเทือน (time, T)<br />
ประกอบกับขอมูลตําแหนงจุดปก<br />
หัวรับคลื่นs ตางๆ<br />
(รูปที่ 1) และระยะหางจาก shot point อันเปนขอมูล<br />
ระยะทาง (distant, X) เมื่อขอมูลทั้งสองนํามาพล็อตใน<br />
arithmetic paper โดย T อยูในแกนตั้ง หนวยเปนน ms.<br />
และ X อยูในแกนนอนหนวยเปนเมตร ก็จะได<br />
T-X<br />
graph หรือ seismic model ของแนวสํารวจดังกลาว<br />
จาก T-X graph ซึ่งโดยสวนใหญจะมีการทํา reverse<br />
seismic section คือ ตําแหนง หัวรั รับคลื่นs ตางๆ จะอยู<br />
ที่เดิมและมีจุดกําเนิดคลื่น 2 จุดคือดานหัวและดานทาย<br />
ของ หัวรับคลื่นs section จะไดกราฟบันทึกเวลา 2 ชุด<br />
สามารถนํามาพล็อต T-X graphs และคํานวณหาความ<br />
ลึกความหนาของชั้นหินใตผิวดินตามรูปแบบ (seismic<br />
models) ตางๆ (รายละเอียดในหัวขอ 8.3)<br />
8.3 การแปลความหมายขอมูล<br />
ในการแปลความหมายขอมูล seismic<br />
refraction เปนการแปลความหมายเพื่อหาคาความ<br />
หนา (thickness, h) และคาความเร็วคลื่น (velocity,<br />
V) )ที่วิ่งผานชั้นหินตางๆ ใตผิวดิน โดยคาที่ไดจากการ<br />
แปลความหมายเปนคาที่แทจริ<br />
ริง ดังนั้น การแปล<br />
ความหมายขอมูล<br />
จําเปนตองวิเคราะหขอมูลจากการ<br />
สํารวจภาคสนามรวม 4 ประการคื คือ (1) รูปแบบหรือ<br />
seismic models ของแนวสํารวจ<br />
(T-X graph) (2)<br />
วิธี ธีการแปลความหมาย (interpretation methods) ซึ่ง<br />
แบงออกแบงออกเปน 3 กลุมใหญๆ คือ (1) Time-<br />
Intercept Method (T I ) ซึ่งสามารถแปลความหมาย<br />
ขอมูลจาก seismic<br />
models ที่งายๆ โดยอาศัย<br />
หลักการทางคณิตศาสตร กระดาษกราฟ ดินสอและ<br />
เครื่องคิดเลข (2) กลุม Reciprocal or Delay Time<br />
Methods สามารถแปลความหมายขอมูลการสํารวจ<br />
ของ seismic models เกือบทุกรูปแบบยกเวนรูปแบบ<br />
ที่ซับซอนมากแตบางรูปแบบจําเปนตองพึงพา<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
59<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
โปรแกรมทางคอมพิวเตอรและ (3) กลุม Ray-Tracing<br />
Method เปนวิธีการแปลความหมายของกลุม seismic<br />
models ที่ยุงยากมากๆ ดังบทสรุปดัังนี้<br />
8.3.1 การแปลความหมายขอมูลโดย Time-<br />
Intercept Method<br />
เปนวิธีการแปลความหมายขอมูลการ<br />
สํารวจสําหรับ seismic<br />
models รูปแบบทีงายๆ<br />
โดยเฉพาะแนวรอยตอระหวางชั้นหิ<br />
หินใตดินเปนแนว<br />
ราบเรียบ (plane interface models) ดังตัวอยางการ<br />
แปลความหมายรูปแบบ single horizontal<br />
plane<br />
model (รูปที่ 3)<br />
จากรูปที่ 3 ระยะจากจุดกําเนิดคลื่น ( S)<br />
ถึงหััวรับคลื่น ตัวที่122 (G) ระยะ SG=<br />
X<br />
(1) travel time (t) สําหรับ direct wave<br />
t = SG/V 1 X/V 1<br />
(2) สําหรับ head wave<br />
คลื่นไหวสะเทือน<br />
จะวิ่งจากจุดกําเนิดคลื่น (S) ไปสูจุด<br />
P ดวยความเร็ ร็ว<br />
V 1 วิ่งจากจุด P ไปจุด Q ดวยความเร็ว V 2 และวิ่งจาก<br />
จุด Q เขาสูหัวรับคลื่น (G) ดวยความเร็ว V 1 หรือ t =<br />
(SP/V 1 )+(PQ/V 2 )+(QG/V 1 ) แต SP = QG = SS’/cosθ c<br />
= h/cosθ c และ PQ=S’G’-S’P-QG’ หรือ<br />
PQ = SG-SS’tanθ c -GG’ tanθ c =X-2h tanθ c ดังนั้น<br />
2/ cos 1/ 2 tan <br />
X/ 2h/ 1/ cos V tan / <br />
Intercept Time (IT) คื คอ เวลาที่ใชไปของ<br />
คลื่นไหวสะเทือนที่วิ่งดวยความเร็ว<br />
V 1 ในชวงระหวาง<br />
SP และ GQ โดยที่ cos ดังนั้น<br />
2 cos / 2/ cos หรือ<br />
h /21 / <br />
สําหรับขั้นตอนการแปลความหมาย single<br />
horizontal plane model ไดสรุปไวในรูปที่ 3 การแปล<br />
ความหมายขอมูลการสํารวจที่เปนรูปแบบ<br />
plane inter-<br />
face models อื่นๆ ไมวาจะเปน multiple<br />
horizontal<br />
plane หรือ<br />
single inclined<br />
plane หรือ multiple inclined<br />
plane มีความเปนมาของสูตรที่ใชในการคํานวณ<br />
คลายคลึงกับสูตรของ single horizontal plane model<br />
ดังกลาวข ขางตนและไมนําเสนอในเอกสารนี้ แตไดสรุป<br />
ขั้นตอนและวิธีการการแปลความหมายพรอมสูตรการ<br />
คํานวณไวดังนี้<br />
การขยายจํานวนชั้นเปน<br />
(n+1) layer<br />
interface<br />
3 rd head wave: / 2 cos , / <br />
2 cos , / 2<br />
cos , / <br />
n th head wave:<br />
/ 2 cos / <br />
8.3.2<br />
การแปลความหมายขอมูลดวยกลุมวิธี<br />
Reciprocal Methods<br />
เปนวิธีการแปลความหมายขอมูลการ<br />
สํารวจสําหรับ seismic models เกือบทุกรูปแบบ โดย<br />
กลุมวิธีการนี้มีวิธีการแปลความหมายขอมูลมากกวา<br />
20 วิธี สําหรับวิธีที่ประยุกตใชในดานการสํารวจทาง<br />
อุทกธรณีวิ วิทยา ซึ่งมักเปนรูปแบบที่คอนขางงาย โดยมี<br />
วิธีการแปลความหมาย 2 วิธีดวยกันคือ delay time<br />
(plus and<br />
minus method) และ simple<br />
reciprocal<br />
method (EM 1110-1-1802, 1995) การแปลความหมาย<br />
ในกลุมวิธี<br />
reciprocal methods จําเปนตองทํา reverse<br />
seismic sections และหาเวลาที่คลื่นไหวสะเทือนเดิน<br />
ทางผานตัวกลางจาก shot<br />
point หนึ่งไปอีก shot point<br />
หนึ่ง (reciprocal time or end to end time, T 0 ) ดัง<br />
รายละเอียดรูปแบบตอไปนี<br />
นี้ คือ<br />
<br />
<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
60<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
Time (m s )<br />
Time (ms.)<br />
1N 3 (Secound<br />
T i<br />
G1<br />
T<br />
P Depth (m)<br />
Direct wave = 1/V 1<br />
G2 G3<br />
G10<br />
G<br />
T T<br />
1. พล็อต T-X graph ในกระดาษกราฟ<br />
2. ใน seismic model นี้จะไดเสนตรง 2 เสน เสนที่<br />
ทํามุมชันกวา เปน direct wave สวนอีกเสนเปน<br />
head wave<br />
3. วัด Gradients จาก direct wave และ head<br />
wave<br />
จะไดคา 1/V 1 1/V 2 ⇒ V 1 และ V 2<br />
4. อานคา intercept time ( T i ) จาก time scale<br />
5. คํานวณความลึกถึง interface (h) จาก<br />
h = VT<br />
/ 2<br />
h<br />
2<br />
V1 i<br />
1−(<br />
V 1<br />
head wave = 1/V 2<br />
/ V )<br />
รูปที่ 3 รายละเอียดของ T-X graph และการแปล<br />
ความหมายรูปแบบ<br />
single horizontal<br />
plane model<br />
(1) รูปแบบ multiple inclined plane<br />
model อาจแปลความหมายขอมูลไดดวยวิธี Time-<br />
Intercept Method และ Delay-Time Method<br />
ขั้นตอนการแปลค<br />
ความหมาย<br />
(1.1) การตรวจสอบและอานคาจาก<br />
T-X graph<br />
(1.1.1) ตรวจสอบ end to end times (T)<br />
จาก T-X graph โดย <br />
และ ,<br />
(การเดินทางของง head wave จาก A ไปสู<br />
B และจาก B ไปสู A ใชเวลากัน)<br />
2<br />
2<br />
G12 (G)<br />
T<br />
Distance (m)<br />
θ<br />
Q<br />
h<br />
h<br />
t<br />
t<br />
1 S<br />
1N 1 (Direct<br />
θ 1,<br />
θ 1,2 ,<br />
S A' B'<br />
1. วัด slope ของ direct wave และ 1 st & 2 nd<br />
head waves<br />
⇒ V 1 V 2 V 3<br />
2. คํานวณ critical angles θ 1, 2 = sin -1 (V 1 / V 2 )<br />
θ 2, 3 = sin -1 (V 2 / V 3 ) และ θ 1, 3 = sin -1 (V 1 / V 3 )<br />
3. อานคา intercept time จาก time scale ไดคา<br />
T 1 และ T 2<br />
4. คํานวณความหนา h 1 และ h 2 จาก<br />
h 1 = V 1 T 1 / 2cosθ 1, 2<br />
h 2 = V 2 / 2cosθ 2, 3 {T 2 - (2h 1 cosθ 1, 3 )}<br />
รูปที่ 4 รายละเอียดของ T-X graph และการแปล<br />
ความหมาย<br />
รูปแบบ multiple horizontal<br />
plane model<br />
(1.1.2) มุมเอียงเท (dip angle, α) หมุน<br />
ตามเข็มเปนบวก ทวนเข็มเปนลบ<br />
(1.1.3) คํานวณ V 1 จาก head wave’s<br />
slopes คา V 1d<br />
ควรมีคาเทากัน (หากไมเทากันใหใช<br />
คาเฉลี่ย)<br />
(1.2) การหาความลึก interface ที่ 1<br />
(1.2.1) หา จาก slopes 2 nd head<br />
wave โดยวัด 1/ และ 1/ โดย<br />
1/ 1/21/ 1/ <br />
(1.2.2) คํานวณ ,<br />
จาก<br />
,<br />
1N 2 (First Head Wave)<br />
)<br />
V 1<br />
sin / <br />
1<br />
V2<br />
2<br />
V 3<br />
C'<br />
D'<br />
θ 3,<br />
G<br />
D<br />
ไดคา ,<br />
V1 < V2
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
1. จําเปนตองทํา reverse seismic section<br />
2. วัด slope ของ direct wave และหาคาา V 1<br />
3. วัด slope ของ head waves (ทั้ง up dip side และ<br />
down dip side) แลวหาคา V 2d และ V 2u<br />
4. คํานวณ critical angle, dip angle จาก<br />
V 2d = V 1 /sin( θ C + α ); V 2u = V 1 /sin( θ C - α ) แต<br />
θ C + α = θ 1, 2d = sin -1 (V 1 /V 2d ) ; θ = sin -1 c - α = θ 1, 2u<br />
(V 1 /V 2u )<br />
ดังนั้น θ C = (θ 1,2d + θ 1,2u ) และ<br />
α = (θ 1,2d - θ 1,2u u)<br />
5. วัดคา intercept time (up & down dip<br />
sides) จาก head<br />
wave segments ได ดคา T 1d และ T 1u<br />
6. หาความหนาที่ A และ B (เปนความหนาตั้งฉากกับ<br />
interface) จาก T 1d = 2h d / V 1 cosθθ c และ<br />
t 1 u = 2h u / V 1 cosθ c<br />
7. ตรวจสอบมุม Dip Angle จาก sinα = (h u - h d ) / L<br />
รูปที<br />
่ 5 รายละเอียดของ T-X graph<br />
และวิธีการแปล<br />
ความหมาย รูปแบบ single inclined plane model<br />
รูปที่ 6 รายละเอียดของ T-X graph และวิธีการแปล<br />
ความหมาย รูปแบบ multiple inclined plane model<br />
(1.2.3) คํานวณความหนาของชั้นที่ 1 ทั้ง<br />
ที่ up & down dip sides<br />
interface<br />
interface<br />
h V /2cos , ,<br />
h V /2 cos ,<br />
(1.2.4) คํานวณ dip angle ของ first<br />
จาก 1<br />
sin<br />
1 1<br />
1<br />
<br />
(1.3) การหาความหนาของ<br />
/<br />
second<br />
(1.3.1) หาคา V 3 จากคาเฉลี ลี่ย V 3d และ<br />
V :V 1/1/2 <br />
(1.3.2) คํานวณ θ , sin<br />
/ ,<br />
θ , sin<br />
n / ไดคา θ , และ θ ,<br />
(1.3.3) คํานวณความหนาของชั้นที่ 2 ทั้ง<br />
ที่ up & down dip sides (hh ,h ) จากสมการดังนี้<br />
h /2 cos , 2 cos ,/ และ<br />
h /2 cos , 2 cos ,/ <br />
(1.3.4) คํานวณ dip angle ของ second<br />
interface จาก sin /<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
62<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(1.4) การหาความหนา (n-1) th interface<br />
(1.4.1) หาคา จากคาเฉลี่ย และ<br />
V :V 1/ /1/2 <br />
(1.4.2) คํานวณ<br />
θ , sin <br />
/ ,<br />
θ , sin / … , sin / <br />
(1.4.3) คํานวณความหนาของชั้นที่<br />
, <br />
จากสมการดังตอไปนี้<br />
, ∑ <br />
2 / cos <br />
2 / cos ,<br />
(1.4.4) คํานวณ<br />
dip angles ตางๆ ของ<br />
(n-1) th interface จาก<br />
( sin /<br />
, และ<br />
(2) รูปแบบ single<br />
irregularr<br />
model<br />
รูปแบบนี้จําเปนตองทํา reverse seismic section และ<br />
แปลความหมายดวยวิธี delay time method แตไม<br />
จําเปนตองใชโปรแกรมคอมพิวเตอร ความเป ปนมาของ<br />
สูตรที่ใชในการคํานวณสามารถพิสูจนไดดวยวิธีการ<br />
ทางคณิตศาสตรที่ไมซับซอนมากนัก โดยเริ่มตนจาก<br />
ตารางบันทึกเวลาที่ไดจากการสํารวจภาคสนามนํามา<br />
คํานวณหาคาตางๆ ดังแสดงในตารางที่ 3 คา X AG เปน<br />
ระยะหางระหวาง หัวรับคลื่น ถึงจุดกําเนิดคลื่น A. สวน<br />
t AG และ t BG<br />
เปนเวลาที่ หัวรับคลื่น รับสัญญาณคลื่น<br />
ไหวสะเทือนจากถึงจุดกําเนิดคลื่น A และ B ตามลําดับ<br />
สวน และ<br />
คํานวณหา และ หรือความลึกถึง interface ที่จุด<br />
วางหัวรับคลื่น<br />
S ตางๆ<br />
- วิธีการแปลคาา<br />
- พล็อต T-X graph ( , และ )<br />
คํานวณ จาก slope ของ direct wave<br />
- ในชวงระหวางง <br />
คํานวณ และ (ตารางที่ 5)<br />
- พล็อตคา และ คํานวณ <br />
และ slope ของเสนกราฟ<br />
- คํานวณ θ และคา<br />
K = delayed<br />
time/depth factor /cos <br />
- คํานวณ delayed times ที่จุดตางๆ<br />
<br />
1/2 <br />
- คํานวณความหนาของ first layer ที่ จุด<br />
ตางๆ / cos <br />
- sketch profile ของ จาก <br />
0 <br />
8.3.3 การแปลความหมายข<br />
ขอมูลดวยกลุมวิธี<br />
กลุม ray-tracing method<br />
การแปลความหมายขอมูลดวยกลุมวิธี<br />
ธกลุม<br />
ray-tracing method และวิธีกลุม reciprocal methods<br />
ที่ซับซอนอื่นๆ เป ปนวิธีการแปลความหมายขอมูลการ<br />
สํารวจสําหรับ seismic models ที่ซับซอนทุกรูปแบบ<br />
โดยกลุมวิธี Reciprocal Methods ซึ่งมีวิธีการแปล<br />
ความหมายขอมูลอีกมากมายหลายวิธีเชน gene-<br />
velocity analysiss function, time-depth analysis<br />
function และอื่นๆ<br />
เปนตน สําหรับกลุมวิธี ray-tracing<br />
method เปนการสราง theoretical<br />
T-X graphs จาก<br />
ralized reciprocal method (GRM), Palmer’s method,<br />
approximated models ดวยโปรแกรมคอมพิวเตอรดวย<br />
รูปแบบเริ่มตนงายๆ โดยใชวิธีการแปลความหมาย<br />
ตางๆ ตามที่ไดกลาวมาแลว และนําขอมูลจากการ<br />
สํารวจภาคสนามมาเทียบเคียงกับบ theoretical T-X<br />
graphs ในโปรแกรมเพื่อหารูปแบบที่เหมาะสม<br />
กลุม<br />
วิธีการแปลความหมายทั้งสองดังกลาวเปนการ<br />
ประยุกตใชโปรแกรมคอมพิวเตอรในการแปล<br />
ความหมาย seismic models ที่ซับซอน (EM 1110-1-<br />
1802,1995) ซึ่ ซงเอกสารคูมือฉบับนี้จะไมกลาวถึ<br />
ถึงใน<br />
รายละเอียด ผูใชเอกสารนี้สามารถหาอานจาก<br />
text<br />
books และ technical papers ตางๆ ในตารางเสนอ<br />
แนะ ในหัวขอที่ 7.4 (4) สําหรับรูปแบบ seismic<br />
models ที่ซับซอนตางๆ ไดแสดงไวในรูปที่ 8<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
63<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 3 การคํานวณคา irregularr interface models<br />
X AG<br />
0<br />
-<br />
-<br />
t AG<br />
t BG<br />
t minus<br />
t plus<br />
t G<br />
h G<br />
X A<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
X B<br />
-<br />
-<br />
-<br />
-<br />
A: Seismic Model<br />
B: T minus<br />
graph<br />
รูปที่ 7 รายละเอียดของ T-X<br />
graph และวิธี ธการแปลความหมาย รูปแบบ single irregular model<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
64<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
รูปที่ 8 Seismic Models ที่ มีรูปแบบที่ซับซ ซอน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
65<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
8.4 ขอจํากัดของการสํารวจตรวจวัดความเร็ว<br />
คลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห<br />
8.4.1 ขอจํากัดดาน blind zone problem<br />
ขอจํากัดขอหนึ่งของการสํารวจ seismic<br />
refraction ก็คือความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนที่วิ่งผาน<br />
ชั้นหินตางๆ จะตองเพิ่มขึ้นตามความลึกของชั้นหิ<br />
หิน<br />
เปนตนวา V 1 >>h 2 ก็<br />
จะกอใหเกิด hidden<br />
layer problem<br />
ขึ้นไดเนื่องจาก<br />
3 rd head wave วิ่งแซงหนา 2 nd head wave ทําให<br />
T-X graph แสดงรูปแบบเปน two-layer model (รูป<br />
ที่ 9)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
66<br />
8.4.3<br />
ขอจํากัดดาน air wave problem<br />
เปนปญหาที่เกิดจากความเร็วของคลื่นไหว<br />
สะเทือนที่วิ่งผานชั้นหินชั้นที่ 1 หรือ V 1 มีความเร็วนอย<br />
กวาคลื่นไหวสะเทือนที่วิ่งในอากาศ (V air ) หรือ V 1 < V air<br />
ซึ่งอาจเกิดขึ้นไดในบริเวณพื้นที่กลบฝงขยะ เนื่องจาก<br />
ชั้นขยะที่ถูกกลบฝง อยางหลวมๆ มีความยืดหยุนสูง<br />
ความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนสามารถวิ่งผานไปไดชา<br />
กวาความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนในอากาศ (V air ปกติ<br />
มีคาประมาณ 0.32 m/ms) ผลทําใหไมมี direct wave<br />
ของชั้นหินชั้นที่ 1 ใน actual model แต direct wave<br />
ที่ปรากฏใหเห็นเปน air wave จาก V air (รูปที่ 9) และ<br />
ทําใหการแปลความหมายใน interpretation<br />
model<br />
เขาใจผิดคิดวา V air คือ V 1 และจะแปลความลึกของ<br />
bedrock ผิดไปจากความเปนจริง<br />
9. ความปลอดภัย<br />
9.1 ผูใชเครื่องมือตองศึกษาและปฏิ<br />
ฏิบัติตามคูมือ<br />
การใชงานตามที่ผูผลิตเครื่องมือไดกําหนดไวใน<br />
เอกสารคูมือประจําเครื่องโดยเครงครัด ในกรณีตองใช<br />
วัตถุระเบิดเปนตนกําเนิดคลื่น ผูใชตองผานการ<br />
ฝกอบรมวิธีการใชการจััดเก็บและการขนยาย โดย<br />
ปฏิบัติตามขั้นตอนตางๆ<br />
อยางเครงครัด<br />
รวมทั้งตอง<br />
ปฏิบัติตามกฎหมายวาดวยการครอบครองขนยายและ<br />
ใชวัตถุระเบิด ตองสวมหมวกนิรภัยขณะปฏิบัติงาน<br />
9.2 เครื่องสํารวจ seismograph และอุปกรณ<br />
การสํารวจตางๆ เปนเครื่องมือทาง electronic ที่<br />
คอนขางออนไหวตอสภาพการกระทบกระเทือน ควร<br />
ขนยายในยานพาหนะที่เหมาะสม และสมควรมีรมกัน<br />
แดดขณะปฏิบัติงานในสนาม<br />
9.3 การปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยหรือพื้นที่ที่มี<br />
วัตถุอันตราย เชน ใกล ลแนวสายไฟฟาแรงดันสูง<br />
โรงงานเคมี ฟารมเลี้ยงสัตว และอื่นๆ เปนความรับ<br />
ผิดชอบและอยูในวิจารณยานของผูสํารวจโดยตรง<br />
9.4 ควรมีวิทยุสื่อสาร ฯลฯ<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
t<br />
t<br />
1/ V 2<br />
1/ V 2<br />
1/ V 3<br />
t 1 t 2<br />
V 1 < V air<br />
t 1 1/ V<br />
V 1<br />
1<br />
x 1,2 x 1,3 V 1<br />
V 2 > V 1<br />
V 2<br />
h 1<br />
t<br />
t 2<br />
1/ V 3<br />
1/ V 1<br />
สํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
V 1<br />
h 2<br />
V 2 < V 1<br />
A : Actual Model<br />
V 3<br />
blind zone problem<br />
hidden layer problem<br />
air-wave problem<br />
รูปที่ 9 Seismic Models ที่เกิดจากขอจํากัดตางๆ<br />
ของการสํารวจแบบ seismic refraction<br />
10. บุคลากร<br />
10.1 บุคลากรระดับผูเชี่ยวชาญตองเปนนัก<br />
ความสําเร็จของงานสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ธรณีวิทยา นักอุทกธรณีวิทยาหรื<br />
รือวิศวกรที่ผานการ<br />
ไมวาดวยวิธีการสํารวจใด<br />
ดๆ ยอมขึ้นอยูกับปจจัย<br />
ฝกอบรมและมีประสบการณดานการสํารวจธรณี<br />
หลายๆ อยางและปจจัยที่สํ<br />
สาคัญที่สุดยอมเปนปจจัย<br />
ฟสิ สิกสไมนอยกวา<br />
15 ป หรือมีผลงานดานการสํารวจ<br />
ดานบุคลากร<br />
การใชเครื่องมือการสํารวจเปนไมใชเปน<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินไมนอยกวา<br />
100 แหง ทําหนาที่<br />
เรื่องยุงยาก เพียงแตอานคูมื มือที่แนบมากับเครื่องมือ<br />
ดานการตรวจสอบการวางแผนการสํารวจ ตรวจสอบ<br />
และใชเครื่องมือดวยความระมัดระวังตามที<br />
ที่คูมือระบุ<br />
การแปลความหมายขอมูลการสํารวจ และตรวจสอบ<br />
เทานั้น แตบุคลากรที่จะเป<br />
ปนนักสํารวจธรณีฟสิกส<br />
รายงานการสํารวจ การตรวจสอบตามขั้นตอนต<br />
ตางๆ<br />
จะตองรับผิดชอบตั้งแตขั้นตอนการวางแผนการสํารวจ<br />
ดังกลาว ดําเนินการภายใตรูปแบบการสนทนา<br />
(dis-<br />
การเลือกเครื รื่องมือและวิธีการสํารวจที่เหมาะสม การ<br />
cussion) ของผูรวมงานตางๆ ในหัวขอที่ 2 และ 3<br />
จัดเก็บขอมูลภาคสนาม การแปลความหมายขอมูล<br />
10.2 บุคลากรระดับผูชํานาญการ ตองเปนนัก<br />
และวิธีการนําเสนอผลการสํารวจ ซึ่งทั้งหมดนักสํารวจ<br />
ธรณีวิทยา นักอุทกธรณีวิทยาหรื<br />
รือวิศวกรที่ผานการ<br />
ธรณีฟสิกสนอกจากจะตองใชเครื่องมือการสํารวจแบบ<br />
ฝกอบรมและมีประสบการณดานการสํารวจธรณี<br />
ตางๆ เปนยังจะตองมีความรู<br />
รูในภาคทฤษฎีการสํารวจ<br />
ฟสิ สิกสไมนอยกวา<br />
10 ป หรือมีผลงานดานการสํารวจ<br />
และการแปลความหมายขอมูลการสํารวจแบตางๆ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินไมนอยกวา<br />
50 แหง ทําหนาที่<br />
รวมทั้งตองทําความเขาใจกับสภาพอุทกธรณีวิทยาใต<br />
ดานการตรวจสอบสภาพอุทกธรณีภาคสนาม<br />
การ<br />
ผิวดินของพื<br />
้นที่สํารวจอีกดวย แตดวยขอจํากัด<br />
วางแผนการสํารวจและควบคุมการสํารวจธรณีฟสิกส<br />
ทางดานบุคลากรและงานที<br />
่จําเปนตองใช เวลามาก<br />
บนผิวดินภาคสนาม รวมทั้งทําหนาที่ดานการแปล<br />
ที่สุดสําหรับงานสํารวจธรณีฟ<br />
ฟสิกสบนผิวดิน ไดแกงาน<br />
ความหมายขอมูลและการจัดทํารายงานการสํารวจ<br />
จัดเก็บขอมูลภาคสนาม ดังนั้นเอกสารคูมือฉบับนี้ ขอ<br />
หรือใหคําปรึกษาดานการแปลความหมายขอมูลและ<br />
นําเสนอบุคลากรสําหรับความรับผิดชอบตางๆ ดังนี้<br />
การจัดทํารายงานการสํารวจ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
67<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การส นผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํ ามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
10.3 บุคลากรระดับปฏิบัติการตองเปนนักธรณี<br />
วิทยาหรือวิศวกรที่ผานการฝกอบรมดานการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกส หรือบุคลากรอื่นๆ ที่ผานการฝกอบรมและ<br />
มีประสบการณดานการสํารวจธรณีฟสิกสไมนอยกวา<br />
10 ปหรือมีผลงานดานการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ไมนอยกวา 50 แหง<br />
ทําหนาที่ดานการสํารวจจัดเก็บ<br />
ขอมูลภาคสนาม และฝกหัดแปลความหมายขอมูลการ<br />
สํารวจและการจัดทํารายงานการสํารวจภายใตการ<br />
ควบคุมของผูชํานาญการหรือผูเชี่ยวชาญ<br />
11. เอกสารอางอิงง<br />
American Society<br />
for Testing and Materials<br />
(ASTM), 2005. Standard Guide for Using<br />
the Seismic-Reflection Method for Shallow<br />
Subsurface Investigation, D 7128 - 05.<br />
Milsom, J., 1989. Field Geophysics, Geology<br />
Society of London, UK.<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
68<br />
คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วของคลื่นไหวสะเทือนแบบหักเห
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ ส 2004 -2550<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา<br />
คูมือ ทบ ส 2004-2550 เปนคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (ส) ของกรม<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาล (ทบ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตัวเลขชุดแรกมี 4 ตําแหนง หมายถึง ลําดับ<br />
ของคูมือ ตัวเลขชุดที่สอง “2550” หมายถึง ป พ.ศ. ที่จัดทําเอกสารตนฉบับของคูมือ กรณีที่มีการแกไขและปรับปรุง<br />
คูมือใหใสวงเล็บตอทายและระบุ ป พ.ศ. ที่แกไขปรับปรุง เชน (แกไขปรับปรุง 2555) เปนตน โดยมีเครื่องหมาย (ก)<br />
เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่แกไข และมีเครื่องหมาย (ป) เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่ปรับปรุงขึ้นใหม<br />
1. บทนํา<br />
คูมือการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการ<br />
ตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟาฉบับนี้ ไดจัดทําขึ้น<br />
ภายใตโครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจและ<br />
พัฒนาบอน้ําบาดาล พ.ศ. 2550 เปนสวนหนึ่งของชุด<br />
คูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล<br />
โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาลไดมอบหมายใหคณะ<br />
ผูเชี่ยวชาญดานอุทกธรณีวิทยา ธรณีวิทยา วิศวกรรม<br />
เครื่องกล และวิศวกรรมโยธา เปนผูดําเนินการราง<br />
คูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน เพื่อใหใช<br />
ควบคูไปกับมาตรฐาน ทบ ส 2004-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนาม<br />
แมเหล็กไฟฟา โดยคูมือฉบับนี้ จะกําหนดขั้นตอนและ<br />
แนวทางสําหรับใชในงานสํารวจฯ เพื่อใหไดผลงาน<br />
ตามมาตรฐานที่กรมทรัพยากรน้ําบาดาลกําหนด<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีตรวจวัด<br />
สนามแมเหล็กไฟฟา (EM methods) เปนการสํารวจ<br />
เพื่อตรวจวัดคุณสมบัติทางกายภาพของชั้นดินชั้นหิน<br />
ใตผิวดินที่ระดับความลึกตางๆ ที่ตอบสนองตอ<br />
สนามแมเหล็กไฟฟาเหนี่ยวนําดวยการตรวจวัดหรือ<br />
สํารวจดวยเครื่องมือวัดสนามแมเหล็กบนผิวดิน ซึ่ง<br />
เปนการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินที่นํามาประยุกตใช<br />
ในการสํารวจอุทกธรณีวิทยาวิธีหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจาก<br />
สามารถนํามาประยุกตใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
ในชั้นหินแข็งไดดี อยางไรก็ตามการสํารวจอุทกธรณี<br />
วิทยาโดยวิธีทางธรณีฟสิกสบนผิวดินหลายๆ กรณีมี<br />
ความจําเปนตองอาศัยการสํารวจทางธรณีฟสิกส<br />
วิธีการอื่นๆ ควบคูไป<br />
2. ขอบเขตการดําเนินงาน<br />
2.1 วัตถุประสงคและการประยุกตใชงาน<br />
2.1.1 เอกสารคูมือฉบับนี้ครอบคลุมเนื้อหาทั่วๆ<br />
ไปในดานเครื่องมือและอุปกรณ วิธีการสํารวจ วิธีการ<br />
แปลความหมายขอมูล วิธีการนําเสนอผลการสํารวจ<br />
และขอจํากัดของการสํารวจ สําหรับการสํารวจตรวจ<br />
วัดสนามแมเหล็กไฟฟาของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินและ<br />
น้ําบาดาลในชั้นหินอุมน้ําตางๆ<br />
2.1.2 การสํารวจดวยการตรวจวัดสนามคลื่น<br />
แมเหล็กไฟฟา อาจจําแนกออกเปน 3 แบบใหญๆ คือ<br />
การตรวจวัดดวยวิธี frequency domain electromagnetic<br />
survey (FDEM) ซึ่งบางครั้งอาจเรียกวา terrain<br />
conductivity การตรวจวัดแบบ time domain electromagnetic<br />
survey (TDEM) และการตรวจวัดแบบ<br />
very-low frequency electromagnetic survey (VLF-<br />
EM) สําหรับการประยุกตใชในการสํารวจดานอุทก<br />
ธรณีวิทยาจะโดยสวนใหญใชเฉพาะ FDEM และ<br />
VLF-EM เทานั้น สําหรับ TDEM มักใชในการสํารวจ<br />
วัตถุโลหะ (metallic bodies) ใตผิวดิน เชนการสํารวจ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 69 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตรวจหาสิ่งกอสรางใตดินหรือการสํารวจแรโลหะเปน<br />
ตน ซึ่งในเอกสารฉบับนี้อาจกลาวพาดพิงถึงบาง<br />
2.1.3 เอกสารคูมือฉบับนี้มีวัตถุประสงคหลักใน<br />
การจัดทําเพื่อใชเปนคูมือการสํารวจธรณีฟสิกสดวยวิธี<br />
ตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟาสําหรับประยุกตใชเฉพาะ<br />
การสํารวจดานอุทกธรณีวิทยาเทานั้น บางสวนของ<br />
สาระอาจเกี่ยวพันกับการประยุกตใชในดานสํารวจ<br />
ธรณีเทคนิคหรือการสํารวจสิ่งแวดลอมบาง<br />
2.1.4 หนวยวัดที่ใชในคูมือฉบับนี้เปนหนวยวัด<br />
Système Internationale d’Unitès (SI Units) สําหรับ<br />
หนวยวัดที่ใชในการสํารวจแบบ EM methods มีหนวย<br />
เปนมิลลิซีเมนตตอเมตร (mS/m)<br />
2.2 ขอจํากัดของคูมือ<br />
เอกสารคูมือฉบับนี้ไมครอบคลุมถึงราย<br />
ละเอียดดานเครื่องมือและอุปกรณ และภาคทฤษฎี แต<br />
จะนําเสนอรายชื่อเอกสารและตําราที่เกี่ยวของใหผูใช<br />
เอกสารคูมือฉบับนี้ไปศึกษาคนควาเพิ่มเติมดวย<br />
ตัวเอง<br />
ขอความที่เกี่ยวของกับมาตรฐานความ<br />
ปลอดภัยในเอกสารฉบับนี้ครอบคลุมเฉพาะความ<br />
ปลอดภัยในการใชเครื่องมือที่มีมาตรฐานและอยูใน<br />
สภาพสมบูรณพรอมใชงานเทานั้นไมอาจครอบคลุมถึง<br />
ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน หรืออุบัติเหตุใดๆ ที่<br />
อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานภาคสนาม ผูใชงาน<br />
จําเปนตองคํานึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและ<br />
ทรัพยสินทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ<br />
3.1 กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2002-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2003-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วคลื่นไหว<br />
สะเทือนแบบหักเห<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2004-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดคลื่นแมเหล็กไฟฟา<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2005-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
- คูมือ ทบ ส 1000-2550 การสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ<br />
- คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วคลื่นไหวสะเทือน<br />
แบบหักเห<br />
- คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
3.2 American Society for Testing and<br />
Materials (ASTM):<br />
- D6820-02 Standard Guide for Use of<br />
the Time Domain Electromagnetic Method for<br />
Subsurface Investigation.<br />
4. ศัพทบัญญัติ<br />
4.1 คํานิยาม<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน (surface<br />
geophysical investigation) หมายถึง การสํารวจโดย<br />
ใชเครื่องมือทางธรณีฟสิกสบนผิวดินเพื่อที่จะจัดเก็บ<br />
ขอมูลดานธรณีวิทยาและอุทกธรณีวิทยาโดยมิไดใช<br />
เครื่องมือใดๆ หยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 70 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน (subsurface<br />
hydrogeological investigation) หมายถึง<br />
การสํารวจเพื่อเก็บขอมูลดานอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
โดยใชเครื่องมือเจาะหรือหยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
การสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง (groundwater<br />
investigation for pin-point well drilling)<br />
หมายถึง การสํารวจอุทกธรณีวิทยาที่มีวัตถุประสงค<br />
เพื่อกําหนดตําแหนงจุดเจาะบอน้ําบาดาลที่เหมาะสม<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน<br />
(conceptual hydrogeological models) หมายถึง การ<br />
สรางรูปแบบจําลองของพื้นที่สํารวจจากขอมูลดาน<br />
อุทกธรณีวิทยาที่ไดจากการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบน<br />
ผิวดินเพื่อใชประกอบกับแผนที่อุทกธรณีวิทยาสําหรับ<br />
การกําหนดแนวทางการสํารวจขั้นตอไป<br />
แบบจําลองทางธรณีฟสิกส (geophysical<br />
models) เปนการสรางรูปแบบจําลองลักษณะธรณี-<br />
วิทยาหรือกายภาพอื่นๆ ของพื้นที่จากขอมูลการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกส เพื่อใหขอมูลดานความลึกของ<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศนมีความถูกตอง<br />
แมนยํายิ่งขึ้น<br />
แบบจําลองสองมิติ (2D geophysical profiles)<br />
หมายถึง ภาพเปนแนวยาวแสดงขอมูลชั้นดิน<br />
หินในเชิงลึกที่ไดจากการธรณีฟสิกส<br />
แบบจําลองสามมิติ (3D resistivity models)<br />
หมายถึง ภาพสามมิติแสดงขอมูลชั้นดินหินทั้งในเชิง<br />
กวาง ยาว และลึกที่ไดจากการสํารวจธรณีฟสิกส<br />
4.2 คํายอ<br />
กรมฯ หมายถึงกรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
การสํารวจฯ หมายถึงการสํารวจธรณีฟสิกส<br />
บนผิวดิน<br />
แบบจําลองฯ หมายถึง แบบจําลองทางธรณี<br />
ฟสิกส<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน<br />
5.1 เอกสารคูมือนี้ไดกําหนดวิธีการสํารวจดวย<br />
การตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟาเพื่อประยุกตใชใน<br />
การสํารวจสภาพอุทกธรณีวิทยาสําหรับการปรับใชใน<br />
งานดานตางๆเพื่อใหไดผลงานการสํารวจตรงตาม<br />
มาตรฐานที่กรมทรัพยากรน้ําบาดาล โดยสามารถ<br />
นําไปประยุกตใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยาตางๆ<br />
ดังนี้<br />
5.1.1 เปนคูมือใชในการคัดเลือกวิธีการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยการตรวจวัดสนามแมเหล็ก<br />
ไฟฟาสําหรับงานสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหงซึ่งอาจ<br />
ตองดําเนินการสํารวจตอเนื่อง ดวยการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาใตผิวดินตามมาตรฐาน ทบ ส 3000-2550<br />
5.1.2 เปนคูมือใชในการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟาสําหรับ<br />
งานสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาโดยมีกระบวน-<br />
การสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาตอเนื่องตาม<br />
มาตรฐาน ทบ ส 4000-2550<br />
5.1.3 เปนคูมือใชในการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินดวยการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟาสําหรับ<br />
งานศึกษาวิจัยแหลงน้ําบาดาลตางๆ เชน การศึกษา<br />
วิจัยเพื่อประเมินปริมาณน้ําสํารองแองน้ําบาดาลของ<br />
กรมทรัพยากรน้ําบาดาล ตามคูมือทบ ป 1000-2550<br />
การศึกษาวิจัยเพื่อประเมินพื้นที่เติมน้ําตามคูมือ ทบ<br />
ป 2000-2550 การศึกษาวิจัยเพื่อจัดทําแบบ จําลอง<br />
อุทกธรณีวิทยาทางคณิตศาสตร ตามมาตรฐาน ทบ ป<br />
3000-2550 และการศึกษาวิจัยทางอุทกธรณี วิทยา<br />
ดานอื่นๆ<br />
5.2 เอกสารคูมือฉบับนี้ ไดกําหนดขั้นตอนและ<br />
แนวทางการปฏิบัติงานไวกวางๆ สําหรับการปรับใช<br />
กับงาน สํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยการตรวจวัด<br />
สนามแมเหล็กไฟฟาตามวัตถุประสงคตางๆ ซึ่งอาจมี<br />
ความตองการรายละเอียดของขอมูลไมเหมือนกัน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 71 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
โดยเฉพาะปริมาณของขอมูลยอมขึ้นอยูกับขนาดของ<br />
พื้นที่สํารวจ เวลา งบประมาณของงานสํารวจศึกษา<br />
วิจัยแตละงาน ดังนั้นขั้นตอนและแนวทางการปฏิบัติ<br />
งานที่ไดกําหนดเอกสารฉบับนี้ จึงสามารถดัดแปลงได<br />
ตามที่ผูเชี่ยวชาญของโครงการแตละโครงการ<br />
เห็นสมควร<br />
6. เครื่องมือและอุปกรณ<br />
การสํารวจดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็ก<br />
ไฟฟา โดยทั่วๆ ไป จําแนกวิธีการสํารวจออกเปน 3<br />
กลุมใหญๆ คือ (1) กลุม frequency domain electromagnetic<br />
methods (FDEM, หรือ FEM) ซึ่งบางครั้ง<br />
อาจเรียกวา terrain conductivity method ซึ่งยังมี<br />
วิธีการสํารวจอีกมากมายหลายวิธีที่ใชเครื่องมือที่<br />
แตกตางกันไป (2) กลุม time domain electromagnetic<br />
methods (TDEM) หรือ pulse electromagnetic<br />
methods (PEM) และ (3) แบบ very-low frequency<br />
electromagnetic method (VLF-EM) ซึ่งแตละกลุม<br />
ถึงแมจะมีหลักการในการสํารวจที่คลายคลึงกัน แตใช<br />
เครื่องมือและอุปกรณในการสํารวจที่คอนขางจะ<br />
แตกตางกันไป โดยสรุปดังนี้คือ<br />
6.1 เครื่องมือและอุปกรณการสํารวจ FDEM<br />
โดยทั่วๆ ไปเครื่องมือการสํารวจสําหรับ<br />
FDEM มีรูปแบบที่แตกตางกันไปเปนจํานวนมาก<br />
หลายรูปแบบแลวแตบริษัทผูผลิตจะออกแบบ มีตั้งแต<br />
ขนาดเล็กไปจนถึงเครื่องสํารวจขนาดใหญ แตสําหรับ<br />
เครื่องมือที่ใชในการสํารวจดานอุทกธรณีวิทยามักจะ<br />
เปนเครื่องสํารวจขนาดเล็กและออกแบบสําหรับใชใน<br />
การสํารวจอานคา apparent conductivity ในพื้นที่<br />
สํารวจการปนเปอนแหลงน้ําบาดาลโดยตรง (EPA/<br />
625/R-92/007, 1993 pp. 4-2) ดังนั้นในเอกสารฉบับ<br />
นี้จะกลาวถึงเฉพาะเครื่องมือและอุปกรณการสํารวจ<br />
แบบ horizontal loops (vertical dipole) และ vertical<br />
loop (horizontal dipole) ซึ่งมีสวนประกอบเครื่องมือ<br />
และอุปกรณตางๆ โดยสรุป ดังนี้<br />
6.1.1 ขดลวดกําเนิดคลื่น (transmitter coils)<br />
อาจเปนขดลวดวงกลมเดี่ยว (single transmitter coil)<br />
หรือขดลวดคูซึ่งตอเชื่อมกันดวยสายไฟฟาสําหรับการ<br />
กอกําเนิดสนามแมเหล็กไฟฟาเหนี่ยวนํา (primary<br />
electromagnetic field, H P ) โดยสามารถผลิตสนาม<br />
แมเหล็กไฟฟาที่ชวงคลื่นตางๆ หลายชวงคลื่น พรอม<br />
อุปกรณประกอบตางๆ เชน แบตเตอรี่เปนแหลง<br />
กําเนิดพลังงาน และอุปกรณเชื่อมตออื่นๆ<br />
6.1.2 ขดลวดรับสัญญาณ (receiver coil) เปน<br />
เครื่องตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟาสามารถปรับรับที่<br />
ชวงคลื่นตางๆ ได<br />
6.1.3 อุปกรณประกอบอื่นๆ<br />
6.2 เครื่องมือและอุปกรณการสํารวจ TDEM<br />
การสํารวจแบบ TDEM มีเครื่องมือลักษณะ<br />
คลายคลึงกับชุดเครื่องมือแบบ FDEM เพียงแต<br />
ขดลวดกําเนิดสนามแมเหล็กไฟฟามักเปนขดลวดรูป<br />
สี่เหลี่ยมจัตุรัต วางลอมรอบบริเวณที่จะทําการสํารวจ<br />
มีน้ําหนักตั้งแตไมกี่กิโลกรัมถึงหลายรอยกิโลกรัม และ<br />
ใหกําเนิดสนามแมเหล็กไฟฟาเพียงชวงคลื่นเดียว<br />
เทานั้น เปนการปลอยกระแสไฟฟา ที่ชวงความถี่เดียว<br />
แลววัดการเปลี่ยนแปลงสนามแมเหล็กที่ลดลงตาม<br />
ระยะเวลา<br />
6.3 เครื่องมือและอุปกรณการสํารวจ VLF-EM<br />
เครื่องมือการสํารวจสําหรับ VLF-EM เปน<br />
เครื่องมือสํารวจขนาดเล็ก ออกแบบสําหรับใชงานการ<br />
สํารวจดวยผูสํารวจเพียงคนเดียว มีลักษณะของ<br />
เครื่องมือที่แตกตางกันไปแลวแตผูผลิตเครื่องมือแตละ<br />
บริษัท สําหรับบริษัทที่ผลิตเครื่องมือมีหลายแหง เชน<br />
GEONICS แหงแคนาดา (Geonics EM 16) และ<br />
ABEM Atlas COPCO แหงสวีเดน (VLF-Wadi) เปน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 72 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตน สวนประกอบเครื่องมือสวนใหญประกอบดวยสวน<br />
ตางๆ 3 สวนโดยสรุป คือ<br />
6.3.1 ชุดรับคลื่นวิทยุ (measuring unit) หรือ<br />
receivers ประกอบดวยเครื่องรับวิทยุความถี่ต่ํา<br />
หลายชุดที่สามารถเลือกรับสถานีสงสัญญาณที่<br />
เหมาะสมกับทิศทางการวางโครงสรางทางธรณีวิทยา<br />
พรอมเครื่องกรองคลื่น (filters) เพื่อตัดกรองคลื่น<br />
รบกวนที่ไมพึงปรารถนา (noise) ออกไป เครื่องขยาย<br />
สัญญาณคลื่นที่สามารถปรับแตงได (amplifiers) วงจร<br />
ไฟฟาอื่นๆ รวมทั้งแบตเตอรี่ และอุปกรณสําหรับ<br />
เชื่อมตออื่นๆ และบางรุนของเครื่องมืออาจมี<br />
เครื่องพิมพผลการสํารวจใหดวย<br />
6.3.2 ชุดควบคุมการทํางาน (controller unit)<br />
เปนชุดควบคุมการทํางานประกอบดวย keyboard ซึ่ง<br />
มีปุมกดคําสั่งตางๆ จอภาพ (screen หรือ display<br />
window) หรือเครื่องฟงสัญญาณ (ขึ้นกับรุนและ<br />
บริษัทผูผลิต) และ micro-computer สําหรับคํานวณ<br />
คาตางๆ รวมทั้งเปนหนวยความจําในการบันทึก<br />
ขอมูลจากการสํารวจ<br />
6.3.3 ชุดเสาอากาศ (antenna unit) ประกอบ<br />
ดวยเสาอากาศสําหรับปรับทิศทางการรับคลื่นวิทยุ<br />
ความถี่ต่ําและ inclinometer สําหรับปรับใหเสาอากาศ<br />
ตั้งไดฉากกับผิวดินเสมอ (หรือเกือบตั้งฉากกับผิวดิน)<br />
หากทํามุมเอียงมากเกินไปจะมีสัญญาณเตือนขึ้นที่<br />
จอภาพหรือสงสัญญาณเตือนไปที่ชุดควบคุมการ<br />
ทํางานเพื่อใหปรับเสาอากาศ หรือปรับทายืนใหตรง<br />
7. การสํารวจตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา<br />
ในสนาม<br />
7.1 หลักการของการสํารวจตรวจวัดสนาม<br />
แมเหล็กไฟฟา<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยการ<br />
ตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา มีหลายวิธีซึ่งนอกจาก<br />
จะแบงวิธีการสํารวจเปน 3 แบบดังกลาวขางตนแลว<br />
ยังอาจแบงโดยถือเอาตนกําเนิดสนามแมเหล็กไฟฟา<br />
(H P ) เปนหลักก็ได โดยแบงออกไดเปน 2 แบบคือ<br />
แบบเครื่องกําเนิดสนามแมเหล็กไฟฟาไมเคลื่อนที่<br />
ประกอบดวยวิธีการสํารวจตางๆ เชน วิธีซันดเบอรก<br />
(Sundberg หรือ compensator method) วิธีทูแรม<br />
(Turam method) เปนตน และแบบเครื่องกําเนิด<br />
สนามแมเหล็กไฟฟาเคลื่อนที่ ประกอบดวยวิธีการ<br />
สํารวจตางๆ เชน วิธี Slingram, Max-Min, EM-Gun,<br />
และ Demigun เปนตน<br />
ทฤษฎีการสํารวจดวย EM methods ทุก<br />
รูปแบบมีหลักการที่คลายคลึงกันคือการตรวจวัด<br />
สนามแมเหล็กผลลัพธ (resulted magnetic field, H R )<br />
ซึ่งเขมกวาสนามแมเหล็ก H P (primary magnetic field)<br />
อันเปนผลเนื่องจาก H P ไปเหนี่ยวนําใหเกิดสนาม<br />
แมเหล็กใหมที่เกิดขึ้นใน conductive bodies ที่อยูใต<br />
ผิวดิน สนามแมเหล็กที่เกิดขึ้นนี้เรียกวา secondary<br />
magnetic field (H S ) ซึ่งมีทิศทางตั้งฉากกับ H P (π/2)<br />
โดยที่ H R มีคาเทากับผลรวมทางเวคเตอรของ H P กับ<br />
H S โดย transmitter coil ที่เปนตนกําเนิดของ H P บน<br />
ผิวดินสนามแมเหล็ก H P จะเดินทางในแนวระนาบทั้ง<br />
บนดินและใตผิวดินและกอใหเกิดกระแสแมเหล็ก<br />
ไฟฟาใตผิวดิน เมื่อกระแสแมเหล็กไฟฟา H P ซึ่ง<br />
เคลื่อนที่ในแนวระนาบไปกระทบวัตถุสื่อไฟฟาใตผิว<br />
ดิน ก็จะเหนี่ยวนําใหเกิดสนามแมเหล็กที่ 2 (H S ) ขึ้น<br />
ในวัตถุสื่อไฟฟาใตผิวดินนั้น โดยจะเคลื่อนไปใน<br />
ทิศทางที่ตั้งไดฉากกับสนาม H P (รูปที่ 1) ดังนั้นจาก<br />
การอานสนามแมเหล็กที่ขดลวดรับสัญญาณจะ<br />
สามารถรับสัญญาณสนามแมเหล็ก H R ที่มีความเขม<br />
ของสนามเพิ่มขึ้น และสามารถนําไปแปลความหมาย<br />
หาคาความลึกและขนาดของวัตถุสื่อไฟฟาใตผิวดิน<br />
นั้นได<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 73 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
รูปที่ 1 หลักการของสํารวจแบบตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา (EPA/625/R-92/007, 1993)<br />
7.2 วิธีการสํารวจตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา<br />
วิธีการสํารวจภาคสนามโดยการตรวจวัด<br />
สนามแมเหล็กไฟฟาที่จะกลาวถึงในเอกสารคูมือฉบับ<br />
นี้ จะประกอบดวยวิธีการหลักๆ 3 วิธีคือ FDEM,<br />
TDEM และ VLF-EM โดยสรุปพรอมเสนอแนะ<br />
เอกสารที่เกี่ยวของเพื่อใหผูใชคู มือฉบับนี้สามารถ<br />
ศึกษาเพิ่มเติมได อยางไรก็ตามการกลาวถึงวิธีการ<br />
สํารวจภาคสนามในเอกสารนี้จําเปนตองผนวก<br />
รายละเอียดหลักการของการสํารวจแตละวิธีอยูดวย<br />
ดังนี้คือ<br />
7.3 หลักการวิธีการสํารวจแบบ FDEM<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินโดยการ<br />
ตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟาในกลุม FDEM methods<br />
การประยุกตใชในดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาเปน<br />
การสํารวจโดยใชเครื่องมือประเภทลวดสงสัญญาณ<br />
แบบระนาบ (horizontal loop) หรืออาจเรียกวาวิธีการ<br />
สํารวจแบบ HLEM โดยมีหลักการและวิธีการสํารวจ<br />
สรุปไดดังตอไปนี้<br />
7.3.1 การสํารวจแบบ FDEM เหมาะสําหรับการ<br />
ประยุกตใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยาในพื้นที่ที่มี<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะต่ํา (low resistivity<br />
areas) เชน พื้นที่ที่เกิดการรุกล้ําของน้ําเค็มเขาสูชั้น<br />
น้ําบาดาล หรือประยุกตใชสํารวจหาพื้นที่ที่น้ําบาดาล<br />
ถูกปนเปอนอื่นๆ โดยใชแทนวิธีการสํารวจตรวจวัด<br />
ความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
7.3.2 การสํารวจแบบ FDEM สามารถจัดเก็บ<br />
ขอมูลภาคสนามไดรวดเร็วโดยใชบุคลากรเพียง 2 คน<br />
คือ คนหนึ่งถือขดลวดเหนี่ยวนํา (transmitter coil: T X )<br />
สวนอีกคนถือขดลวดรับสัญญาณ (receiver coil: R X )<br />
และทําหนาที่ตรวจวัดสนามแมเหล็กตามสถานีสํารวจ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 74 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตางๆ การอานคาในแตละสถานีใชเวลานอยมากเมื่อ<br />
เปรียบเทียบกับ resistivity methods เนื่องจากวิธีการ<br />
สํารวจไมยุงยากซับซอน<br />
7.3.3 ในการสํารวจแบบ FDEM ขดลวด T X<br />
และขดลวด R X จะเคลื่อนที่ไปพรอมๆ กัน ในแนว<br />
สํารวจ ระยะหางระหวางสถานีตรวจวัดจะอยูระหวาง<br />
10, 20 และ 40 เมตร ตามลําดับ โดยแตละจุดสํารวจ<br />
จะปลอยสนามแมเหล็กไฟฟาจาก T X ที่ระดับความถี่<br />
ตางๆ กันเพื่อใชหาความแตกตางของชั้นตัวนําไฟฟา<br />
ใตดิน และกําหนดความถี่ของคลื่นแมเหล็กไฟฟาปฐม<br />
ภูมิ (primary electromagnetic field, H P ) ที่ปลอย<br />
ออกจากขดลวด T X ใหมีความถี่คงที่ เมื่อสนาม<br />
แมเหล็ก H P ผานเขาไปในวัตถุตัวนําไฟฟาใตผิวดิน<br />
จะเหนี่ยวนําใหเกิดสนามแมเหล็ก H S โดยมีขนาด<br />
ความถี่คลื่นแมเหล็กไฟฟา P การวัดคาในภาคสนาม<br />
ที่ขดลวด R X จะวัดคลื่นแมเหล็กไฟฟาผลลัพธ<br />
(resulted electromagnetic field: H R ) โดยขนาดของ<br />
H S และ H R จะขึ้นอยูกับคุณสมบัติความนําไฟฟา<br />
(electrical conductivities, EC) ของวัตถุตัวนําไฟฟา<br />
ใตผิวดินในพื้นที่สํารวจในเชิงเปรียบเทียบกับขนาด<br />
และทิศทางของ H P ที่ไดกําหนดไวแลว แตเนื่องจาก<br />
H P มีทิศทางในแนวระนาบ สวน H S มีทิศทางใน<br />
แนวดิ่ง และ H R เปนซึ่งผลรวมทางเวคเตอรของ H P<br />
และ H S ดังนั้นให H R จะทํามุม θ กับ H P หากเปลี่ยน<br />
ทิศทางของ H R ใหอยูในแนวระนาบและมีทิศทางไป<br />
ทางเดียวกับ H P จะเรียกสวนนี้วา “สวนประกอบจริง”<br />
(real component) ก็จะมีขนาดคลื่นแมเหล็กไฟฟา<br />
เทากับ H R cosθ และหากเปลี่ยนทิศทางของ H R ใหอยู<br />
ในแนวดิ่งและมีทิศทางตั้งฉากกับ H P ก็จะเรียกสวนนี้<br />
วา “สวนประกอบจินตนาการ” (imaginary component)<br />
ก็จะมีขนาดคลื่นแมเหล็กไฟฟาเทากับ H R sinθ<br />
7.3.4 นอกจากขนาดความถี่ของ H S และ H R จะ<br />
ขึ้นอยูกับวัตถุตัวนําไฟฟาใตผิวดินในพื้นที่สํารวจใน<br />
เชิงเปรียบเทียบกับขนาดและทิศทางของ H P แลวยัง<br />
ขึ้นอยูกับระยะเวลาในการปลอยคลื่นแมเหล็กไฟฟา<br />
ของขดลวด T X อีกดวยดังนั้น หากนําเอาปจจัยเรื่อง<br />
ระยะเวลาการปลอยคลื่นของ T X เขามาเกี่ยวของ<br />
สมการสําหรับการคํานวณขนาดของคลื่นแมเหล็ก<br />
ไฟฟา ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง (intensity at t, I t ) ดัง<br />
สมการที่ 1<br />
I t = I oe iwt cos wt + iI 0 sin wt (1)<br />
เมื่อ I t = ขนาดของคลื่นแมเหล็กไฟฟา ณ เวลา t<br />
I 0 = ขนาดของคลื่นแมเหล็กไฟฟาเมื่อ t=0<br />
i = (-1) 1/2<br />
w = ความเร็วเชิงมุมที่กําหนดโดยขนาดของคลื่น<br />
แมเหล็กไฟฟา<br />
t = เวลาที่กําหนดสําหรับการหาขนาดของคลื่น<br />
I o cos wt คือสวนที่เปนสวนประกอบจริงของ<br />
ขนาดคลื่นแมเหล็กไฟฟาเนื่องจากสามารถคํานวณหา<br />
คาที่แทจริงไดเสมอ สวน iI 0 จะเปนสวนที่เปนสวน<br />
จินตนาการเนื่องจากคํานวณหาคาในรูปของ (-1) 1/2<br />
เสมอ<br />
7.3.5 กรณีศึกษาในการประยุกตใช FDEM ใน<br />
การสํารวจทางอุทกธรณีวิทยา<br />
การสํารวจการปนเปอนแหลงน้ําบาดาล<br />
กรณีการสํารวจการปนเปอนน้ําบาดาลสารอนินทรีเคมี<br />
(inorganic compounds หรือ ionic) จากอุตสาหกรรม<br />
เหมืองแร การปนเปอนสาร ionic ในน้ําบาดาลมักจะ<br />
ทําใหคาสื่อความนําไฟฟาของน้ําบาดาลเพิ่มขึ้นเสมอ<br />
จากการศึกษาพบวา การเพิ่ม ionic ลงในชั้นหินอุมน้ํา<br />
ประเภทชั้นทรายเพียงประมาณ 25 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
จะทําใหน้ําบาดาลจืดในชั้นทรายมีสื่อความนําไฟฟา<br />
เพิ่มขึ้นประมาณ 1 mS/m ซึ่งสูงเพียงพอที่จะตรวจวัด<br />
ไดดวยวิธีการสํารวจแบบ FDEM method (EM 1110-<br />
1-1802, 1995)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 75 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ปญหาการประยุกตใช FDEM method ในพื้นที่<br />
ปนเปอนของน้ําบาดาลในชั้นหินแข็งและการปนเปอน<br />
ดวย สวนประกอบของอินทรีเคมีในน้ําบาดาลคอนขาง<br />
เปนปญหาใหญ เนื่องจากสารประกอบอินทรีเคมีโดย<br />
สวนใหญมักทําใหคาความน้ําไฟฟาของน้ําบาดาล<br />
ลดลงแทนที่จะเพิ่มขึ้น<br />
7.4 หลักการและวิธีการสํารวจแบบ TDEM<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินโดยการ<br />
ตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟาในกลุม TDEM methods<br />
มีหลักการโดยสรุปคือ ขดลวดปลอยสัญญาณ (T X ) จะ<br />
ใหกําเนิดสนามแมเหล็ก H P ในชวงเวลาที่จํากัดคือ<br />
ปลอยแลวหยุด ในขณะที่ปลอยสัญญาณ H P จะ<br />
เหนี่ยวนําใหเกิด H S ในตัวนําไฟฟาใตผิวดิน แตทันที<br />
ที่หยุดปลอยสัญญาณ H S ไมไดสลายตัวทันที เสมือน<br />
หนึ่ง H P จะไปชารจแบตเตอรี่ใหเกิด H S ในวัตถุตัวนํา<br />
ไฟฟาใตดินและ H S จะคอยๆ สลายตัวอยางมีรูปแบบ<br />
หลังจากไมมี H P ไปเหนี่ยวนํา ดังนั้นในการสํารวจ<br />
จัดเก็บขอมูลภาคสนามคือการหารูปแบบการสลายตัว<br />
ของ H S โดยทันที่ที่ T X หยุดปลอยสัญญาณ ขดลวด<br />
รับสัญญาณ (R X ) จะเริ่มตรวจวัดสนามแมเหล็กอยาง<br />
ตอเนื่องเพื่อใหไดขอมูลเกี่ยวกับรูปแบบการสลายตัว<br />
ของ H S<br />
วิธีการสํารวจแบบ TDEM methods ขดลวด<br />
ปลอยสัญญาณ (T X ) มีขนาดและรูปแบบที่แตกตางกัน<br />
มาก อาจมีหนักหนักตั้งแตไมกี่กิโลกรัมถึงหนักหลาย<br />
รอยกิโลกรัม อาจมีรูปแบบเปนขดลวดขดเปนรูป<br />
สี่เหลี่ยมจัตุรัสหรือรูปวงกลม และอาจมีตนกําเนิด<br />
พลังงานเปนแบตเตอรี่เล็กๆ ไปจนถึงเครื่องกําเนิด<br />
ไฟฟา ในการจัดเก็บขอมูลภาคสนาม จะเริ่มตนปลอย<br />
กระแสไฟฟาในขดลวด T X เพื่อกอกําเนิด H P ในชวง<br />
เวลาที่กําหนดและหยุดปลอยเปนชวงๆ ชวงระยะเวลา<br />
ที่หยุดปลอยกระแสไฟฟาจะเทากับชวงปลอยกระแส<br />
โดยระหวางชวงที่หยุดปลอยกระแสไฟฟา จะเปนชวง<br />
ระยะเวลาที่ตรวจวัดหารูปแบบการสลายตัวของ<br />
สนามแมเหล็ก ซึ่งแสดงคาการตรวจวัดในรูปแบบของ<br />
คาความตางศักยไฟฟาตอหนวยกระแสไฟฟา (millivolts/amp.)<br />
การประยุกตใช TDEM methods เปนวิธีที่<br />
ใชในการสํารวจหาแหลงแรประเภท massive sulfides<br />
ไดอยางมีประสิทธิภาพ หาความลึกการวางตัวและ<br />
ความกวางของวัตถุตัวนําไฟฟาใตดิน อยางไรก็ตาม<br />
ในปจจุบันไดพัฒนาวิธีการสํารวจเพื่อนํามาประยุกต<br />
ใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบางโดยเฉพาะอยางยิ่ง<br />
การสํารวจหาพื้นที่ปนเปอน (contamination plumes)<br />
ในพื้นที่ตางๆ<br />
7.5 หลักการและวิธีการสํารวจแบบ VLF-EM<br />
7.5.1 หลักการการสํารวจ<br />
ในการสํารวจดวยวิธี VLF-EM มีหลักการ<br />
แตกตางไปจากการสํารวจ EM methods ทั่วๆ ไปคือ<br />
การสํารวจดวยวิธี VLF-EM ไมมี transmitter coil แต<br />
อาศัยสวนที่เปนสนามแมเหล็ก (magnetic components)<br />
ของคลื่นวิทยุที่สงมาจากสถานีวิทยุความถี่ต่ํา<br />
(ระหวาง 15-30 kHz) โดยสถานีวิทยุดังกลาวตั้งอยูใน<br />
ที่ตางๆ ทั่วโลกสงคลื่นความถี่ต่ําอยางตอเนื่อง<br />
สําหรับใชในการทหาร (สวนมากสําหรับเรือดําน้ําใน<br />
การกําหนดทิศทาง) โดยมีกําลังสงและทิศทางที่<br />
แตกตางกัน (ตารางที่ 1) คลื่นวิทยุความถี่ต่ํา เมื่อวิ่ง<br />
ผานตัวกลางบนพื้นผิวโลกหรือตัวกลางใตผิวโลก<br />
ระดับตื้น จะเหนี่ยวนําใหเกิดสนามแมเหล็ก<br />
secondary magnetic field (H S ) ขึ้นในวัตถุตัวนํา<br />
ไฟฟาใตผิวดิน พื้นที่ที่มีความไมตอเนื่องกัน หรือพื้นที่<br />
ที่มีการนําไฟฟาไมเทากัน เชน แนวรอยแตก แนวรอย<br />
เลื่อนของชั้นหินแข็ง หรือกระเปาะของชั้นทราย เปน<br />
ผลใหมีความเขมของสนามแมเหล็กเพิ่มขึ้นคือ H R ซึ่ง<br />
receiver unit ของเครื่อง VLF-EM สามารถตรวจวัด<br />
แนวผิดวิสัย ดังกลาวได รวมทั้งการวัดคา phase<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 76 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
displacement รอบๆ แนวรอยแตกในชั้นหินใตผิวดิน<br />
และนําไปแปลความหมายโดยการพล็อตกราฟระหวาง<br />
ระยะทางกับคา phase displacement และใช filter<br />
operator เพื่อกรองสัญญาณรบกวน โดยสามารถ<br />
ประมาณการความลึกของแนวรอยแตกหรือ วัตถุใต<br />
ผิวดินจะอยูระหวางที่ครึ่งหนึ่งของระยะ Half width ได<br />
ทั้งนี้มีขอจํากัดประการสําคัญ แนวรอยแตกแนวรอย<br />
เลื่อนหรือโครงสรางทางธรณีวิทยาอื่นๆ จะตองวางตัว<br />
ยาวขนานกับจุดกําเนิดคลื่นวิทยุหรือแนวทางที่ตั้งของ<br />
สถานีวิทยุที่ใชในการสํารวจ หรืออยางนอยๆ แนว<br />
รอยแตกตางๆ จะตองทํามุมกับทิศทางไมเกิน 45<br />
องศา กับของสถานีสงคลื่นวิทยุ เชน สถานีวิทยุของ<br />
ออสเตรเลีย (NWC) ซึ่งสงดวยความถี่คลื่น 22.3 kHz<br />
ดวยกําลังสง 1,000 KW. สามารถรับคลื่นไดอยาง<br />
ชัดเจนในประเทศไทย และตั้งอยูในแนวประมาณทิศ<br />
ตะวันออกเฉียงใต การวางแนวสํารวจ หรือ VLF<br />
profiles จะตองวางแนวตั้งฉากกับแนว NW-SE หรือ<br />
อยูในแนวประมาณ NE-SW โดยเบี่ยงเบนจากแนว<br />
ตั้งฉากไดไมเกิน 45 ํ หากโครงสรางทางธรณีวิทยา<br />
ขนานอยูในแนวสํารวจตลอดแนวสํารวจ จะไม<br />
สามารถหาความแตกตางของสนามแมเหล็กทุติยภู<br />
มิได อยางไรก็ตามในประเทศไทยมีสถานีวิทยุความถี่<br />
ต่ําตามจุดที่ตั้งตางๆ ทั่วโลกใหเลือกใชได และ<br />
เครื่องมือ VLF.-EM. ไดออกแบบสําหรับการเลือก<br />
สถานีวิทยุตามภูมิภาคตางๆ ของโลก โดยสามารถ<br />
เลือกใชสถานีวิทยุที่เหมาะสมที่สุดสําหรับพื้นที่ใด<br />
พื้นที่หนึ่งไดตามตารางที่ 1<br />
7.5.2 วิธีการสํารวจจัดเก็บขอมูลภาคสนาม<br />
เนื่องจากการสํารวจดวยวิธี VLF-EM เปน<br />
วิธีการสํารวจที่สามารถใชสํารวจจัดเก็บขอมูลภาค<br />
สนามไดอยางรวดเร็วดวยผูสํารวจเพียงคนเดียว<br />
ดังนั้นจึงมักใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยาเปนการ<br />
สํารวจนํารองในพื้นที่สํารวจ กอนใชการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสวิธีอื่นหาขอมูลรายละเอียดตรงพื้นที่เปาหมาย<br />
โดยเฉพาะอยางยิ่งในพื้นที่สํารวจที่มีชั้นน้ําบาดาล<br />
วางตัวตามแนวยาว เชน น้ําบาดาลในแนวหินแตก น้ํา<br />
บาดาลตามแนวรอยเลื่อน หรือน้ําบาดาลตามแนวลํา<br />
น้ําเกา ซึ่งสามารถประมาณการทิศทางการวางตัวตาม<br />
แนวยาวของชั้นน้ําบาดาลดังกลาวจากการสํารวจอุทก<br />
ธรณีบนผิวดิน ดังนั้นการสํารวจ VLF-EM จึงมัก<br />
สํารวจทั่วพื้นที่ โดยกําหนดแนวสํารวจ (VLF profiles)<br />
ที่ตั้งไดฉากกับแนวโครงสรางทางธรณีวิทยาของพื้นที่<br />
สํารวจ และในแตละแนวสํารวจจะกําหนดจุดสํารวจ<br />
ตางๆ (VLF stations)<br />
(1) การเลือกสถานีวิทยุที่เหมาะสม เมื่อ<br />
วางแผนการสํารวจหลังจากการสํารวจทางธรณีวิทยา<br />
ของพื้นที่แลวและกําหนดทิศทางการสํารวจ (VLF<br />
profiles) ใหตั้งฉากหรือเกือบตั้งฉากกับแนวโครงสราง<br />
ทางธรณีวิทยาแลว และจุดสํารวจตางๆ (VLF<br />
stations) บน VLF profiles โดยกําหนดเปน<br />
coordinate กอนลงมือสํารวจจะตองตรวจหาและ<br />
กําหนดสถานีวิทยุที่เหมาะสมสําหรับการใชคลื่นวิทยุ<br />
ความถี่ต่ําในการสํารวจในพื้นที่นั้นๆ โดยจําเปนตอง<br />
เลือกสถานีวิทยุที่ตั้งอยูในแนวตั้งฉากหรือเกือบตั้ง<br />
ฉากกับแนวโครงสรางทางอุทกธรณีของพื้นที่สํารวจ<br />
วิธีการตรวจหาและกําหนดสถานีวิทยุดังกลาวใน<br />
เครื่อง VLF receivers แตละแบบจะไมเหมือนกัน<br />
ขึ้นกับบริษัทผูผลิต แตโดยสวนใหญจะใชวิธียืนถือ<br />
เครื่องรับคลื่นหันหนาใหตรงกับแนวสํารวจ และคอย<br />
หมุนตัวรอบตัวเองและตรวจสอบสัญญาณ (อาจแสดง<br />
ดวยจอภาพหรือสัญญาณเสียง) จนไดสถานีวิทยุที่<br />
ตองการใหกดคําสั่งเลือก<br />
(2) การกําหนดแนวสํารวจตําแหนง<br />
coordinate ของจุดสํารวจตางๆ เพื่อความสะดวกของ<br />
การบันทึกและการเรียกขอมูลการสํารวจจากเครื่อง<br />
บันทึกขอมูลจากเครื่อง VLF receiver ผูสํารวจตอง<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 77 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 1 แสดงตําแหนงที่ตั้งสถานีวิทยุความถี่ต่ําในประเทศตางๆ ทั่วโลก<br />
เมืองที่ตั้งสถานี ประเทศที่ตั้งสถานี ชื่อเรียกสถานี ความถี่คลื่น (kHz) กําลังสง (kW)<br />
Bordeaux<br />
Rugby<br />
Hegelang<br />
Gorki<br />
**Moscow<br />
**Yosamai<br />
Oxford<br />
Annapolis<br />
**NW. Cape<br />
Hawii<br />
Buenos Aires<br />
Maine<br />
Seattle<br />
ฝรั่งเศส<br />
อังกฤษ<br />
นอรเวย<br />
รัสเซีย<br />
รัสเซีย<br />
ญี่ปุน<br />
อังกฤษ<br />
สหรัฐฯ<br />
ออสเตรเลีย<br />
สหรัฐฯ<br />
อาเจนตินา<br />
สหรัฐฯ<br />
สหรัฐฯ<br />
FUD<br />
GBR<br />
JXZ<br />
ROR<br />
UMS<br />
WDT<br />
GBZ<br />
NSS<br />
NWC<br />
NPM<br />
LPZ<br />
NAA<br />
NLK<br />
หมายเหตุ ** หมายถึงสถานีที่รับคลื่นไดในประเทศไทย (จาก Wynn, 1979)<br />
14.1<br />
16.0<br />
16.4<br />
17.0<br />
17.1<br />
17.4<br />
19.6<br />
21.4<br />
22.3<br />
23.4<br />
23.6<br />
24.0<br />
24.8<br />
500<br />
750<br />
350<br />
315<br />
1000<br />
500<br />
500<br />
400<br />
1000<br />
600<br />
-<br />
1000<br />
125<br />
กําหนดตําแหนง coordinate ของจุดสํารวจ และแนว<br />
สํารวจพรอมดวยระยะความหางของจุดสํารวจ ระยะ<br />
ความหางของแนวสํารวจ (ดวยการใช coordinate<br />
key pad ตามดวย numeric key pad ของเครื่อง<br />
receiver ในกรณีที่ใชเครื่อง Wadi) และเดินสํารวจ<br />
เพื่อตรวจวัดสนามคลื่นแมเหล็กตามจุดสํารวจตางๆ<br />
โดยมีทิศทางการเดินตามผังที่กําหนดไว ดังแสดงใน<br />
รูป 2003-2 ซึ่งแสดง coordinates ของแนวสํารวจแต<br />
ละแนวหางกันแนวละ 25 เมตร เริ่มจากแนวกลาง คือ<br />
profile 0 ดานทิศตะวันตกมีแนวสํารวจอีก 2 แนวคือ<br />
profile 25 W และ profile 50 W เชนเดียวกันดานทิศ<br />
ตะวันออกก็มีแนวสํารวจอีก 2 แนวคือ profile 25 E<br />
และ profile 50 E ในแตละแนวสํารวจมีสถานีสํารวจ 9<br />
สถานี ตั้งแตสถานี 100N ถึง 180N (ระยะหางระหวาง<br />
สถานีสํารวจ 10 เมตร) สําหรับผังการเดินสํารวจเริ่มที่<br />
สถานี 100N ของแนวสํารวจ 50 W กอน ตรวจวัด<br />
ความเขมของสนามแมเหล็กทีละสถานีตามแนว 50 W<br />
จนถึงสถานี 180N แลวมาเริ่มแนวใหมคือ profile 25<br />
W โดยเริ่มจาก 180N ยอนมาทางทิศใตจนถึงสถานี<br />
สุดทายของ profile 25 W คือสถานี 100N และเดิน<br />
สํารวจทุกสถานีตามลูกศรที่แสดงในรูป 2<br />
8. วิธีการแปลความหมายขอมูลและการนําเสนอ<br />
ผลการสํารวจ<br />
8.1 การแปลความหมายและการนําเสนอขอมูล<br />
การสํารวจ แบบ FDEM<br />
ในการสํารวจแบบ FDEM methods โดย<br />
สวนใหญจะใชเครื่อง terrain conductivity meters<br />
อานคาคลื่นแมเหล็กไฟฟาตามสถานีสํารวจตางๆ และ<br />
คํานวณหาขนาดของคลื่นแมเหล็กไฟฟาทั้งที่เปน<br />
สวนประกอบจริงและสวนประกอบจินตนาการดังที่ได<br />
กลาวมาแลวในหัวขอ 8.2.1 (4) ดังนั้นขอมูลที่ไดจาก<br />
การสํารวจภาคสนามจะเปนขอมูลเชิงคุณภาพ<br />
อยางไรก็ตามการแปลความหมายใหเปนขอมูลเชิง<br />
ปริมาณ เพื่อหา geometric parameters ตางๆ ของ<br />
วัตถุตัวนําไฟฟาใตผิวดินอาจทําได ดวยวิธีการ EM<br />
resistivity sounding method ซึ่งมักประสบปญหา<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 78 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ความยุงยากในการจัดเก็บขอมูลภาคสนามดวยวิธี multi-coil orientation หรือ multi-coil separation<br />
170N<br />
160N<br />
150N<br />
140N<br />
130N<br />
120N<br />
110N<br />
100N<br />
50 W 25 W 0 25 E 50 E<br />
รูปที่ 2 แสดง coordinates ของแนวสํารวจ จุดสํารวจ และผังการเดินสํารวจ<br />
ซึ่งก็สามารถแปลความหมายขอมูลไดสูงสุดเปนเพียง<br />
2-layer model เทานั้น สําหรับการนําเสนอผลงานการ<br />
สํารวจ โดยสวนใหญมักดําเนินการสํารวจในลักษณะ<br />
การตัดแนวสํารวจ (profiling) หรือการสํารวจทั่วพื้นที่<br />
(mapping) และนําเสนอตําแหนงที่แสดงคาผิดวิสัย<br />
หรือพื้นที่ที่แสดงคาผิดวิสัย (points หรือ areas of<br />
anomalies)<br />
8.2 การแปลความหมายและการนําเสนอขอมูล<br />
การสํารวจ แบบ TDEM<br />
ในอดีตการแปลความหมายขอมูลการ<br />
สํารวจภาคสนามแบบ TDEM methods จะใชวิธีการ<br />
curve matching เชนเดียวกับการสํารวจตรวจวัด<br />
ความตานทานไฟฟาแบบหยั่งลึก โดยชุด master<br />
curves พัฒนาขึ้นในประเทศรัสเซีย (Kaufman and<br />
Keller, 1983) โดยวิธีการนํา field curve ไปเปรียบเทียบ<br />
กับชุด master curves ก็สามารถคํานวณหาคาตางๆ<br />
ได สําหรับปจจุบันการแปลความหมายขอมูลจะใช<br />
โปรแกรมคอมพิวเตอร ซึ่งมีโปรแกรมตางๆ ให<br />
เลือกใชจํานวนมาก<br />
8.3 การแปลความหมายและการนําเสนอขอมูล<br />
การสํารวจ แบบ VLF-EM<br />
การแปลความหมายขอมูลการสํารวจ<br />
ภาคสนามแบบ VLF-EM โดยสวนใหญจะเปนการ<br />
แปลความหมายในเชิงคุณภาพ (qualitative interprettation)<br />
โดยการนําเสนอในรูปแบบของแผนที่ภาพ<br />
ตัดขวางและแสดงพื้นที่ผิดวิสัย (anomalous areas)<br />
โดยมีหนวยเปนโอหม-เมตร (Ωm) การแปลความ<br />
หมายในเชิงปริมาณ เพื่อหา geometric parameters<br />
ตางๆ ของวัตถุนําไฟฟาใตผิวดินก็สามารถกระทําได<br />
ดวยโปรแกรมคอมพิวเตอร<br />
8.4 เอกสารสําหรับการศึกษาคนควาตอไป<br />
8.4.1 การสํารวจแบบ FDEM methods<br />
(1) Boutwell, G.P., and Lawrence,<br />
T.A., 1988. “Electromagnetic Data Interpretation<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 79 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
Using Multivariate Least-Square Regression” In:<br />
Proc. of the Focus Conf. on Eastern Regional<br />
Ground Water Issues (Stanford, CT), National<br />
Water Well Association, Dublin, OH, pp. 3-20. [EMI]<br />
(2) Benson, R. C., Turner, M.,<br />
Turner, P. and Vogelsong, W. 1988. “In Situ,<br />
Time Series Measurements for Long-Term<br />
GroundWater Monitoring In: GroundWater Contamination:<br />
Field Methods”, A.G. Collins and A.I.<br />
Johnson (eds.), ASTM STP 963, American<br />
Society for Testing and Materials, Philadelphia,<br />
PA, pp. 58-72. [EMI, ER]<br />
(3) Barton, G.J. and Ivanhenko, T.,<br />
1991. “Electromagnetic Terrain Conductivity and<br />
Ground Penetrating Radar Investigations at and<br />
near the CIBA-GEIGY Superfund Site”, Ocean<br />
County, New Jersey: Quality Control Assurance<br />
Plan and Results. In: Proc. (4 th ) Symp. on the<br />
Application of 4-14 Geophysics to Engineering<br />
and Environmental Problems, Soc. Eng. and<br />
Mineral Exploration Geophysicists, Golden, CO,<br />
pp. 357-360.<br />
(4) Chapman, M.J., and Bair, E.S.,<br />
1992. “Mapping a Brine Plume Using Surface<br />
Geophysical Methods in Conjunctions with<br />
Ground Water Quality Data”. Ground Water<br />
12(3):203-209. [ER and EM I]<br />
(5) Jansen, J., 1991. Synthetic Resistivity<br />
Sounding for Groundwater Investigations in:<br />
Ground Water Management 5:877-888 (5 th NOAC).<br />
[vertical EMI sounding]<br />
(6) Valentine, R.M. and Kwader, T.,<br />
1985. Terrain Conductivity as a Tool for Delineating<br />
Hydrocarbon Plumes in a Shallow Aquifer-A<br />
Case Study. In: NWWA Conference on Surface<br />
and Borehole Geophysical Methods and Ground<br />
Water Investigations (2 nd , Fort Worth, TX),<br />
National Water Well Association, Dublin, OH, pp.<br />
52-63. [EMI]<br />
8.4.2 การสํารวจแบบ TDEM methods<br />
(1) Cook, P. G., Walter, G.R., Buselli,<br />
G., Potts, I., and Dodds, A.R., 1992. The Application<br />
of Electromagnetic Techniques to Groundwater<br />
Recharge Investigations. J. Hydrology 130: 201-<br />
229. [ER, EMI, TDEM]<br />
(2) Drew, T.A., Thomas, A. and Wyatt,<br />
R., 1985. Application of Surface Geophysics to<br />
Ground Water Management Planning in: Proc. of<br />
the AGWSE Eastern Regional Ground Water<br />
Conference (Portland, ME), National Water Well<br />
Association, Dublin, OH, pp. 232-242. [EMI]<br />
(3) Duran, P.B. and Haeni, F.P., 1982.<br />
The Use of Electromagnetic-Conductivity Techniques<br />
in the Delineation of Groundwater Leachate<br />
Plumes In: The Impact of Waste Storage and<br />
Disposal on Ground Water Resources, Proc. of the<br />
Northeast Conference, Novitiski and Levine (eds.),<br />
Center for Environmental Research, Cornell University,<br />
Ithaca, NY, pp. 8.4.1-8.4.33.<br />
(4) Fitterman, D.V. and Stewart,<br />
M.T., 1986. Transient Electromagnetic Sounding<br />
for Groundwater Geophysics 51:995-1005.<br />
(5) Kaufman, A.A. and Keller, G.V.,<br />
1983, Frequency and Transient Soundings.<br />
Elsevier, New York<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 80 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
8.4.3 การสํารวจแบบ VLF-EM methods<br />
(1) Bernard, J. and Valla, P., 1991.<br />
Groundwater Exploration in Fissured Media with<br />
Electrical and VLF<br />
(2) Fitzgerald, L.J., Angers, A.K. and<br />
Radville, M.E., 1986. The Application of VLF<br />
Geophysical Equipment to Hazardous Waste Site<br />
Investigations in New England. In: Proc. of the<br />
Third Annual Regional Ground Water Conference<br />
(Springfield, MA), National Water Well Association,<br />
Dublin, OH, pp. 527-540. Methods Geoexploration<br />
27:81-91<br />
(3) Jansen, J. and Taylor, R., 1989.<br />
Geophysical Methods for Groundwater Exploration<br />
or Groundwater Contamination Studies in Fracture<br />
Controlled Aquifers. In: Proc. Third Nat. Outdoor<br />
Action Conf. on Aquifer Restoration, Ground Water<br />
Monitoring and Geophysical Methods, National<br />
Water Well Association, Dublin, OH, pp. 855-869.<br />
[EMI, ER, VLF, thermal]<br />
(4) Watson, J., Stedje, D., Barcelo,<br />
M. and Stewart, M., 1990. Hydrogeologic Investigation<br />
of Cypress Dome<br />
(5) Wetlands in Well Field Areas<br />
North of Tampa Florida. In: Ground Water<br />
Management 3:163-176 (7 th NWWA Eastern GW<br />
Conference). [TDEM, VLF, ER, GPR]<br />
(6) Wynn, J.C. 1979. An Experimental<br />
Ground-Magnetic and VLF-EM Traverse over a<br />
Buried Paleochannel near Salisbury, Maryland, U.S.<br />
Geological Survey Open-File Report 79-105, 8 pp<br />
9. ความปลอดภัย<br />
9.1 ผูใชเครื่องมือตองศึกษาและปฏิบัติตามคูมือ<br />
การใชงานตามที่ผูผลิตเครื่องมือไดกําหนดไวใน<br />
เอกสารคูมือประจําเครื่องโดยเครงครัด รวมทั้งตองพึง<br />
ระมัดระวังเกี่ยวกับไฟฟาแรงดันสูง ซึ่งอาจกอใหเกิด<br />
อันตรายตอผูใชเครื่องมือ ผูรวมงาน ในขณะใชงานได<br />
9.2 เครื่องมือสํารวจแบบ EM methods และ<br />
อุปกรณการสํารวจตางๆ เปนสื่อไฟฟาแรงดันสูงไม<br />
สามารถนํามาใชงานไดในสภาพอากาศฝนฟาคะนอง<br />
9.3 การปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยหรือพื้นที่ที่มี<br />
วัตถุอันตราย เชน ใกลแนวสายไฟฟาแรงดันสูง<br />
โรงงานอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ โรงงานอุตสาหกรรม<br />
อื่น ฟารมเลี้ยงไก และอื่นๆ เปนความรับผิดชอบและ<br />
อยูในวิจารณยานของผูสํารวจโดยตรง<br />
10. บุคลากร<br />
ความสําเร็จของงานสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ไมวาดวยวิธีการสํารวจใดๆ ยอมขึ้นอยูกับปจจัยหลาย<br />
อยางและปจจัยที่สําคัญที่สุดยอมเปนปจจัยดาน<br />
บุคลากร นักสํารวจธรณีฟสิกสจะตองรับผิดชอบตั้งแต<br />
ขั้นตอนการวางแผนการสํารวจ การเลือกเครื่องมือ<br />
และวิธีการสํารวจที่เหมาะสม การจัดเก็บขอมูล<br />
ภาคสนาม การแปลความหมายขอมูล และวิธีการ<br />
นําเสนอผลการสํารวจ ซึ่งทั้งหมดนักสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสนอกจากจะตองใชเครื่องมือการสํารวจแบบ<br />
ตางๆ เปนยังจะตองมีความรูในภาคทฤษฎีการสํารวจ<br />
และการแปลความหมายขอมูลการสํารวจแบบตางๆ<br />
รวมทั้งตองทําความเขาใจกับสภาพอุทกธรณีวิทยาใต<br />
ผิวดินของพื้นที่สํารวจอีกดวย แตดวยขอจํากัด<br />
ทางดานบุคลากรและงานที่จําเปนตองใชเวลามาก<br />
ที่สุดสําหรับงานสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน ไดแกงาน<br />
จัดเก็บขอมูลภาคสนาม ดังนั้นเอกสารคูมือฉบับนี้ ขอ<br />
นําเสนอบุคลากรสําหรับความรับผิดชอบตางๆ ดังนี้<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 81 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
10.1 บุคลากรระดับผูเชี่ยวชาญ ตองเปนนัก<br />
ธรณีวิทยาหรือวิศวกรที่ผานการฝกอบรมและมี<br />
ประสบการณดานการสํารวจธรณีฟสิกสไมนอยกวา<br />
15 ป หรือมีผลงานดานการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิว<br />
ดินไมนอยกวา 100 แหง ทําหนาที่ดานการตรวจสอบ<br />
การวางแผนการสํารวจ ตรวจสอบการแปล<br />
ความหมายขอมูลการสํารวจ และตรวจสอบรายงาน<br />
การสํารวจ การตรวจสอบตามขั้นตอนตางๆ ดังกลาว<br />
ดําเนินการภายใตรูปแบบอภิปราย ของผูรวมงาน<br />
ตางๆ ในหัวขอที่ 2 และ 3<br />
10.2 บุคลากรระดับผูชํานาญการ ตองเปนนัก<br />
ธรณีวิทยา นักอุทกธรณีวิทยา หรือวิศวกรที่ผานการ<br />
ฝกอบรมและมีประสบการณดานการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสไมนอยกวา 10 ป หรือมีผลงานดานการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินไมนอยกวา 50 แหง ทําหนาที่<br />
ดานการตรวจสอบสภาพอุทกธรณีภาคสนาม การ<br />
วางแผนการสํารวจและควบคุมการสํารวจธรณีฟสิกส<br />
บนผิวดินภาคสนาม รวมทั้งทําหนาที่ดานการแปล<br />
ความหมายขอมูลและการจัดทํารายงานการสํารวจ<br />
หรือใหคําปรึกษาดานการแปลความหมายขอมูลและ<br />
การจัดทํารายงานการสํารวจ<br />
10.3 บุคลากรระดับปฏิบัติการ ตองเปนนัก<br />
ธรณีวิทยา นักอุทกธรณีวิทยา หรือวิศวกรที่ผานการ<br />
ฝกอบรมดานการสํารวจธรณีฟสิกส หรือบุคลากรอื่นๆ<br />
ที่ผานการฝกอบรมและมีประสบการณ ทําหนาที่ดาน<br />
การสํารวจจัดเก็บขอมูลภาคสนาม และฝกหัดแปล<br />
ความหมายขอมูลการสํารวจและการจัดทํารายงาน<br />
การสํารวจ ภายใตการควบคุมของผูชํานาญการหรือ<br />
ผูเชี่ยวชาญ<br />
11. เอกสารอางอิง<br />
American Society for Testing and Materials<br />
(ASTM), 2002. Standard Guide for Use of<br />
the Time Domain Electromagnetic Method<br />
for Subsurface Investigation, D 6820 - 02.<br />
Bernard, J., and Valla, P., 1991. Groundwater<br />
Exploration in Fissured Media with Electrical<br />
and VLF.<br />
U.S. Army Corps of Engineer and Engineering<br />
Designs, 1995. Geophysical Exploration for<br />
Engineering and Environmental Investigations,<br />
EM 1110-1-1802.<br />
US Environmental Protection Agency (US. EPA),<br />
1993. Use of Airborne, Surface, and Borehole<br />
Geophysical Techniques at Contaminated<br />
Sites, a Reference Guide.<br />
Wynn, J.C., 1979. An Experimental Ground-<br />
Magnetic and VLF-EM Traverse over a<br />
Buried Paleo-channel near Salisbury,<br />
Maryland, U.S. Geological Survey OpenFile<br />
Report 79-105, 8 pp.<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 82 คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดสนามแมเหล็กไฟฟา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ ส 2005 -2550<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค<br />
คูมือ ทบ ส 2005-2550 เปนคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (อ) ของกรม<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาล (ทบ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตัวเลขชุดแรกมี 4 ตําแหนง หมายถึง ลําดับ<br />
ของคูมือ ตัวเลขชุดที่สอง “2550” หมายถึง ป พ.ศ. ที่จัดทําเอกสารตนฉบับของคูมือ กรณีที่มีการแกไขและปรับปรุง<br />
มาตรฐานใหใสวงเล็บตอทายและระบุ ป พ.ศ. ที่แกไขปรับปรุง เชน (แกไขปรับปรุง 2555) เปนตน โดยมีเครื่องหมาย<br />
(ก) เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่แกไข และมีเครื่องหมาย (ป) เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่ปรับปรุงขึ้นใหม<br />
1. บทนํา<br />
คูมือการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการ<br />
ตรวจวัดแรงโนมถวงแบบจุลภาคฉบับนี้ ไดจัดทําขึ้น<br />
ภายใตโครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจและ<br />
พัฒนาบอน้ําบาดาล พ.ศ. 2550 เปนสวนหนึ่งของชุด<br />
คูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล<br />
โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาลไดมอบหมายใหคณะ<br />
ผูเชี่ยวชาญดานอุทกธรณีวิทยา ธรณีวิทยา วิศวกรรม<br />
เครื่องกล และวิศวกรรมโยธา เปนผูดําเนินการราง<br />
คูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน เพื่อใหใช<br />
ควบคูไปกับมาตรฐาน ทบ ส 2005-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
แบบจุลภาค โดยคูมือฉบับนี้กําหนดขั้นตอนและ<br />
แนวทางสําหรับใชในงานสํารวจฯ เพื่อใหไดผลงาน<br />
ตามมาตรฐานที่กรมทรัพยากรน้ําบาดาลกําหนด<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีตรวจวัด<br />
แรงโนมถวงจุลภาคเปนการสํารวจเพื่อตรวจวัด<br />
คุณสมบัติความหนาแนน ของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินที่<br />
ระดับความลึกตางๆ โดยการตรวจวัดหรือสํารวจดวย<br />
เครื่องมือ (micro-gravimeters) บนผิวดิน ซึ่งเปนการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินที่นํามาประยุกตใชในการ<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยาวิธีหนึ่ง ทั้งนี้เนื่องจากวิธีการ<br />
สํารวจดังกลาว สามารถนํามาประยุกตใชในการ<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยาในชั้นหินแข็งไดดี โดยเฉพาะ<br />
อยางยิ่ง การสํารวจอุทกธรณีวิทยาในโพรงหินปูนใต<br />
ผิวดิน อยางไรก็ตามการสํารวจอุทกธรณีวิทยาโดยวิธี<br />
ทางธรณีฟสิกสบนผิวดินหลายๆ กรณี มีความ<br />
จําเปนตองอาศัยการสํารวจทางธรณีฟสิกสวิธีการอื่นๆ<br />
ควบคูไปกันไปดวย<br />
2. ขอบเขต<br />
2.1 วัตถุประสงคและการประยุกตใชงาน<br />
2.1.1 คูมือฉบับนี้ครอบคลุมเนื้อหาทั่วๆ ไปใน<br />
ดานเครื่องมือและอุปกรณ วิธีการสํารวจ วิธีการแปล<br />
ความหมายขอมูล วิธีการนําเสนอผลการสํารวจและ<br />
ขอจํากัดของการสํารวจ สําหรับการสํารวจตรวจวัด<br />
แรงโนมถวง ของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินและน้ําบาดาล<br />
ในชั้นหินอุมน้ําตางๆ โดยใชเครื่องสํารวจแบบ microgravimeters<br />
2.1.2 คูมือฉบับนี้มีวัตถุประสงคหลักเพื่อใชเปน<br />
คูมือการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยวิธีตรวจวัด<br />
แรงโนมถวงจุลภาคแบบ micro-gravity สําหรับ<br />
ประยุกตใชเฉพาะการสํารวจอุทกธรณีวิทยาเทานั้น<br />
แตบางสวนของอาจเกี่ยวกับการประยุกตใชในงาน<br />
สํารวจธรณีเทคนิคหรือการสํารวจดานสิ่งแวดลอม<br />
2.2 ขอจํากัดของคูมือ<br />
2.2.1 เอกสารคูมือฉบับนี้ไมครอบคลุมถึง<br />
รายละเอียดภาคทฤษฎีตางๆ แตจะนําเสนอรายชื่อ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 83 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
เอกสาร และตําราที่เกี่ยวของใหผูใชเอกสารคูมือฉบับ<br />
นี้ไปศึกษาคนควาเพิ่มเติม<br />
2.2.2 เอกสารคูมือฉบับนี้มีขอบเขตจํากัดเฉพาะ<br />
การนําเสนอวิธีการสํารวจที่ประยุกตใชในดานการ<br />
สํารวจทางอุทกธรณีวิทยาเทานั้น<br />
2.2.3 เอกสารคูมือฉบับนี้มีขอบเขตจํากัดการ<br />
สํารวจบนผิวดินเทานั้น ไมครอบคลุมไปถึงการสํารวจ<br />
ตรวจวัดแรงโนมถวงทางอากาศ หรือการสํารวจใตน้ํา<br />
หรือการสํารวจทางบนผิวน้ํา<br />
2.2.4 หนวยวัดตางๆ ที่ใชในคูมือฉบับนี้ เปน<br />
ระบบหนวยวัดสากล (Système Internationale<br />
d’Unitès, SI Units)<br />
2.2.5 หนวยวัดที่ใชในการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
โลกหรือแรงดึงดูดของโลกตามปกติมีหนวยเปน gal<br />
(cm/sec 2 ) เชนแรงดึงดูดโลกในภาวะปกติจะมีคากับ<br />
980 gal หนวยวัดในการสํารวจแรงโนมถวง ทั่วไปมี<br />
หนวยเปน milli-gal (10 -3 gal) และหนวยวัดสําหรับ<br />
การสํารวจแรงโนมถวงจุลภาคโลกอยางละเอียด<br />
(micro-gravity survey) มีหนวยวัดเปน (micro-gal,<br />
µgal) หรือ 10 -6 gal ซึ่งเปนหนวยวัดที่ใชการสํารวจ<br />
ตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาคในเอกสารคูมือฉบับนี้<br />
2.2.6 ขอความที่เกี่ยวของกับมาตรฐานความ<br />
ปลอดภัยในเอกสารฉบับนี้ ครอบคลุมเฉพาะความ<br />
ปลอดภัยในการใชเครื่องมือที่มีมาตรฐานและอยูใน<br />
สภาพสมบูรณพรอมใชงานเทานั้นไมอาจครอบคลุมถึง<br />
ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน หรืออุบัติเหตุใดๆ ที่<br />
อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานภาคสนาม ซึ่งจะเปน<br />
ความรับผิดของผูใชงานในการปฏิบัติงานดานตางๆ<br />
ตามขั้นตอนของเอกสารคูมือฉบับนี้ ผูใชงาน<br />
จําเปนตองคํานึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและ<br />
ทรัพยสินทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ<br />
3.1 กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2002-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2003-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วคลื่นไหว<br />
สะเทือนแบบหักเห<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2004-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดคลื่นแมเหล็กไฟฟา<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2005-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค<br />
- คูมือ ทบ ส 1000-2550 การสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- คู มือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะ<br />
- คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วคลื่นไหวสะเทือน<br />
แบบหักเห<br />
- คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดคลื่นแมเหล็กไฟฟา<br />
3.2 American Society for Testing and<br />
Materials (ASTM):<br />
- D6430-99 (Re 2005) Standard Guide<br />
for Using the Gravity Method for Subsurface<br />
Investigation.<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 84 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
4. ศัพทบัญญัติ<br />
4.1 คํานิยาม<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน (surface<br />
geophysical investigation) หมายถึง การสํารวจโดย<br />
ใชเครื่องมือทางธรณีฟสิกสบนผิวดินเพื่อที่จะจัดเก็บ<br />
ขอมูลดานธรณีวิทยาและอุทกธรณีวิทยา โดยมิไดใช<br />
เครื่องมือใดๆ หยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
การสํารวจน้ ําบาดาลเฉพาะแหง (groundwater<br />
investigation for pin-point well drilling)<br />
หมายถึง การสํารวจอุทกธรณีวิทยา ที่มีวัตถุประสงค<br />
เพื่อกําหนดตําแหนงจุดเจาะบอน้ําบาดาลที่เหมาะสม<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน (subsurface<br />
hydrogeological investigation) หมายถึง<br />
การสํารวจเพื่อเก็บขอมูลดานอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
โดยใชเครื่องมือเจาะหรือหยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
แบบจําลองทางธรณีฟสิกส (geophysical<br />
models) เปนการสรางรูปแบบ จําลองลักษณะ<br />
ธรณีวิทยาหรือกายภาพอื่นๆ ของพื้นที่จากขอมูลการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกส เพื่อใหขอมูลดานความลึกของรูป<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศนมีความถูกตอง<br />
แมนยํายิ่งขึ้น<br />
แบบจําลองทางธรณีฟสิกสสองมิติ (2D<br />
geophysical profiles) หมายถึง ภาพเปนแนวยาว<br />
แสดงขอมูลชั้นดินหินในเชิงลึกที่ไดจากการธรณีฟสิกส<br />
แบบจําลองทางธรณีฟสิกสสามมิติ (3D<br />
resistivity models) หมายถึง ภาพสามมิติแสดงขอมูล<br />
ชั้นดินหินทั้งในเชิงกวาง ยาว และลึกที่ไดจากการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกส<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน<br />
(conceptual hydrogeological models) หมายถึง<br />
การสรางรูปแบบจําลองของพื้นที่สํารวจจากขอมูลดาน<br />
อุทกธรณีวิทยาที่ไดจากการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบน<br />
ผิวดิน เพื่อใชประกอบกับแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
สําหรับการกําหนดแนวทางการสํารวจขั้นตอไป<br />
4.2 คํายอ<br />
กรมฯ หมายถึง กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
การสํารวจฯ หมายถึง การสํารวจอุทกธรณี<br />
วิทยาบนผิว<br />
แบบจําลองฯ หมายถึง แบบจําลองเชิงมโน<br />
ทัศนของพื้นที่สํารวจ<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน<br />
5.1 เอกสารคูมือนี้ไดกําหนดวิธีการสํารวจดวย<br />
การตรวจวัดแรงโนมถวงแบบ micro-gravity survey<br />
เพื่อประยุกตใชในการสํารวจสภาพอุทกธรณีวิทยาใต<br />
ผิวดินในพื้นที่ตางๆ สําหรับการปรับใชเพื่อใหไดผล<br />
งานการสํารวจตรงตามมาตรฐานที่กรมทรัพยากร<br />
น้ําบาดาลกําหนดโดยสามารถนําไปประยุกตใชในการ<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยาตางๆ ดังนี้<br />
5.1.1 เปนคูมือใชในการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินดวยการตรวจวัดแรงโนมถวงแบบ microgravity<br />
survey สําหรับงานสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะ<br />
แหงโดยเฉพาะอยางยิ่งในพื้นที่แหลงหินปูนและหิน<br />
แข็งอื่นๆ ซึ่งอาจตองดําเนินการสํารวจตอเนื่องดวย<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดินตามมาตรฐาน ทบ<br />
ส 3000-2550<br />
5.1.2 เปนคูมือใชในการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินดวยการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาคสําหรับงาน<br />
สํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาโดยมีกระบวนการ<br />
สํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาตอเนื่องตาม<br />
มาตรฐาน ทบ ส 4000-2550<br />
5.1.3 เปนคูมือใชในการสํารวจธรณีฟสิกสบน<br />
ผิวดินดวยการตรวจวัดวัดแรงโนมถวงแบบ microgravity<br />
survey สําหรับงานศึกษาวิจัยแหลงน้ําบาดาล<br />
ตางๆ เชน การศึกษาวิจัยเพื่อประเมินปริมาณน้ํา<br />
สํารองแหลงน้ําบาดาลในชั้นหินแข็งตามคูมือ ทบ ป<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 85 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
1000-2550 การประเมินแหลงน้ําตนทุนของแองน้ํา<br />
บาดาล คูมือ ทบ ป 2000-2550 การประเมินศักยภาพ<br />
น้ําบาดาลของแองน้ําบาดาลและการจัดทําแผนการใช<br />
น้ําบาดาล และคูมือ ทบ ป 3000-2550 การจัด<br />
แบบจําลองเชิงคณิตศาสตรและการประยุกตใช<br />
5.2 เอกสารคูมือฉบับนี้ไดกําหนดขั้นตอนและ<br />
แนวทางการปฏิบัติงานไวกวางๆ สําหรับการปรับใช<br />
กับงานสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยการตรวจวัด<br />
วัดแรงโนมถวงจุลภาค ตามวัตถุประสงคตางๆ ซึ่งอาจ<br />
มีความตองการรายละเอียดของขอมูลไมเหมือนกัน<br />
โดยเฉพาะปริมาณของขอมูลยอมขึ้นอยูกับขนาดของ<br />
พื้นที่สํารวจเวลา งบประมาณของงานสํารวจศึกษา<br />
วิจัยแหลงน้ําบาดาลแตละงาน ดังนั้นขั้นตอนและแนว<br />
ทางการปฏิบัติงานที่ไดกําหนดเอกสารฉบับนี้<br />
สามารถดัดแปลงใชไดตามที่ผูเชี่ยวชาญของโครงการ<br />
ศึกษาวิจัยแตละโครงการเห็นสมควร<br />
6. เครื่องมือและอุปกรณ<br />
6.1 เครื่อง micro-gravimeters<br />
เครื่องมือที่ใชในการสํารวจตรวจวัดแรงโนม<br />
ถวงจุลภาคไดแกเครื่อง micro-gravimeters ซึ่งโดย<br />
หลักการมีสวนประกอบงายๆ คลายเครื่อง seismographs<br />
สําหรับการตรวจวัดแผนดินไหวโบราณ<br />
ประกอบดวยแขน (beam) ดานหนึ่งยึดติดกับบันพับ<br />
(hinge) ปลายอีกดานหนึ่งหอยดวยตุมน้ําหนักและติด<br />
อยูกับขดลวดสปริง (measuring spring) ซึ่งเชื่อมตอ<br />
ระหวางปลายแขนไปยังหนาปดสําหรับอานคา บน<br />
แขนมีขดลวดสปริงชวยพยุง (supporting spring or<br />
zero length spring) ซึ่งจะชวงรับใหตุมน้ําหนักแขวน<br />
อยูบน measuring spring โดยวามารถอานคาบน<br />
หนาปดไดศูนยหรือใกลเคียงกับศูนยในภาวะปกติ<br />
(รูปที่ 1)<br />
รูปที่ 1 สวนประกอบของเครื่อง micro-gravimeters (ดัดแปลงจาก ASTM, 2005)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 86 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
แตโดยขอเท็จจริงแลวเครื่องสํารวจ microgravimeters<br />
มีสวนประกอบที่ยุงยากมากกวา<br />
เครื่องมือตามหลักการดังกลาวขางตน เนื่องจาก<br />
ขดลวดสปริงตางๆ จะไวตอการตรวจวัดมาก โดย<br />
สามารถตรวจวัดความผิดปกติของแรงโนมถวงจุลภาค<br />
โลกในระดับ µgal หรือ 1 ในลานสวนของหนวยวัด<br />
gal ดังนั้นขดลวดสปริงและสวนประกอบอื่นๆ จะมีการ<br />
ยืดหดแมเพียงเล็กนอยตามสภาวะอุณหภูมิหรือระดับ<br />
แรงดันบรรยากาศไมได ดังนั้นสวนประกอบตางๆ<br />
ดังกลาวตองบรรจุไวภายใตกลองควบคุมอุณหภูมิและ<br />
แรงดันโดยมีแบตอรี่ขนาดเล็กเปนตัวใหพลังงาน<br />
ดังนั้นการเก็บรักษาเครื่องจึงจําเปนตองชารจไฟ<br />
แบตเตอรี่อยางสม่ําเสมอ นอกจากนี้เครื่อง microgravimeters<br />
ยังตองตั้งอยูบนตัวปรับระดับ<br />
(inclinometers) เพื่อปรับใหเครื่องมือตั้งอยูในแนว<br />
ระนาบขณะใชงาน<br />
การเลือกใชเครื่อง micro-gravity meters<br />
จะตองเลือกใหเหมาะสมกับวัตถุประสงคของการใช<br />
งาน โดยตองมีชวงขีดความสามารถในการตรวจวัด<br />
ความไวและความสะดวกในการใชงาน และความ<br />
เที่ยงตรงสูง เครื่อง micro-gravimeters ยุคใหมใช<br />
ระบบ electronic sensors แทนระบบขดลวดสปริงแต<br />
ยังคงตองมีระบบควบคุมอุณหภูมิและความดัน<br />
เหมือนเดิมและมีประสิทธิภาพสูงขึ้น โดยมีความ<br />
คลาดเคลื่อนอยูในระดับ 1 -2 µgals มีระบบการการ<br />
ตัดสิ่งรบกวน (noises) มีระบบจัดเก็บขอมูลการ<br />
สํารวจเชิงตัวเลข มีจอภาพแสดงผลการสํารวจ มี<br />
ระบบปรับแกความเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ (minor<br />
tilt correction system) และสามารถตอเชื่อมกับระบบ<br />
คอมพิวเตอรเพื่อการถายขอมูล<br />
6.2 ชุดเครื่องมือในการรังวัด<br />
เนื่องจากการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยการตรวจวัดวัดแรงโนมถวงแบบ micro-gravity<br />
survey เปนวิธีการสํารวจที่ไวตอการเปลี่ยนแปลง<br />
ระดับความสูงของพื้นที่สํารวจ โดยการเปลี่ยนแปลง<br />
ระดับความสูงเพียง 1-2 เซนติเมตร มีผลตอการ<br />
สํารวจ ดังนั้นเวลาสวนใหญที่ใชในการสํารวจดวยการ<br />
ตรวจวัดวัดแรงโนมถวงแบบ micro-gravity survey<br />
จะเปนงานรังวัดระดับความสูงของสถานีตรวจวัด<br />
ตางๆ<br />
งานรังวัดระดับความสูงของสถานีตรวจวัด<br />
อาจดําเนินการได 2 วิธีคือ รังวัดดวยกลองระดับตอง<br />
เปนงานรังวัดระดับงานชั้นที่ 1 หรือ รังวัดดวยเครื่อง<br />
GPS จะตองมีความละเอียดของงานเทียบเคียงไดกับ<br />
รังวัดระดับงานชั้นที่ 1<br />
7. การสํารวจธรณีฟสิกสแบบตรวจวัดแรงโนม<br />
ถวงจุลภาค<br />
การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินดวยการตรวจวัด<br />
วัดแรงโนมถวง แบบ micro-gravity survey เปนการ<br />
สํารวจเพื่อตรวจวัดคุณสมบัติความหนาแนนของชั้น<br />
ดินชั้นหินใตผิวดินที่ระดับความลึกตางๆ บนผิวดิน ใน<br />
เอกสารคูมือฉบับนี้จะกลาวถึง หลักการการสํารวจ<br />
การปรับแกขอมูลการสํารวจ วิธีการสํารวจ การ<br />
นําเสนอผลงาน และขอจํากัดของการสํารวจ ดัง<br />
รายละเอียดในหัวขอตางๆ ตอไปนี้<br />
7.1 หลักการสํารวจแบบตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
หลักการในการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยการตรวจวัดวัดแรงโนมถวงแบบ micro-gravity<br />
survey เพื่อตรวจวัดคุณสมบัติความหนาแนนของชั้น<br />
ดินชั้นหินใตผิวดินที่ระดับความลึกตางๆ ซึ่งอาศัย<br />
หลักการพื้นฐานแรงโนมถวงโลก (Newston’s Law of<br />
Gravity) และกฎแหงการเคลื่อนที่และอัตราเรง<br />
ระหวางวัตถุทั้งสอง (Law of Motion and Acceleration)<br />
มาประยุกตใชตรวจวัดชั้นดินชั้นหินใตผิวดิน<br />
ที่มีการเปลี่ยนแปลงความหนาแนนของเนื้อหินในแนว<br />
ระนาบ (lateral density changes in density) อัน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 87 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
เนื่องจากแรงดึงดูดโลก โดยวิธีการตรวจวัดแรงดึงดูด<br />
สองสวนบนผิวโลกคือ สวนที่หนึ่งคาแรงดึงดูดที่เกิด<br />
จากมวลของโลกที่คอนขางคงที่ และสวนที่สองเปน<br />
แรงดึงที่นอยมากเมื่อเรียบเทียบกับแรงดึงดูดโลกซึ่ง<br />
เปนแรงที่ผันแปรตามทางดานความหนาแนนของชั้น<br />
หินใตผิวดิน ซึ่งอาจเรียกวาเปน “รองรอยผิดวิสัยทาง<br />
แรงโนมถวง”<br />
จากหลักการดังกลาว ทําใหวิธีการสํารวจ<br />
แบบ gravity methods สามารถประยุกตตรวจวัดเพื่อ<br />
แปลความหมายไปสูสภาพอุทกธรณีวิทยา เปนตนวา<br />
การตรวจวัดเพื่อคนหาแนวธารน้ําใตดิน ซึ่งกอเกิดใน<br />
ชั้นหินแกรนิต ในบริเวณพื้นที่แหลงหินแกรนิตที่ไมมี<br />
ธารน้ําใตดินสามารถตรวจวัดคาแรงดึงดูดทั้งสอง<br />
รวมกันเทากับ 980X10 3 mgal แตเครื่อง gravimeters<br />
ยุคใหมสามารถปรับตั้งตัวเลขดังกลาวใหเปนศูนย<br />
(null setting) ตรงพื้นที่ที่มีธารใตดินจะอานตัวเลขเปน<br />
ติดลบ เนื่องจากความหนาแนนของธารน้ําใตดินที่เปน<br />
ชั้นทรายหรือชั้นทรายที่อิ่มตัวดวยน้ําจะมีความ<br />
หนาแนนนอยกวาชั้นหินแกรนิตเนื้อแข็ง และทําให<br />
แรงดึงดูดสวนที่สองนอยนอยลงกวาในพื้นที่ที่เปน<br />
หินแกรนิตเนื้อแข็ง<br />
สําหรับการสํารวจแบบ micro-gravity<br />
methods มีหลักการการสํารวจที่เหมือกันเพียงแตเปน<br />
การสํารวจอยางละเอียดและใชเครื่องสํารวจที่สามารถ<br />
อานคาการเปลี่ยนแปลงของแรงดึงดูดโลกในระดับ<br />
µgal แทนที่จะเปน mgal ซึ่งหมายความวาการ<br />
แปรเปลี่ยนของชั้นหินใตผิวดินที่มีความแตกตางดาน<br />
ความหนาแนนแมเพียงเล็กนอย ก็สามารถตรวจจับได<br />
ดวยวิธีการสํารวจดังกลาว ตัวอยางเชน จากผลการ<br />
สํารวจดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานในพื้นที่<br />
สํารวจแหงหนึ่งพบโพรงหินปูนใตดินในพื้นที่หลาย<br />
แหง และจะผลการเจาะพบวาโพรงหินปูนตางๆ บาง<br />
แหงเจาะไดน้ํา บางแหงเปนโพรงอากาศไมมีน้ํา และ<br />
บางแหงเปนโพรงดินเหนียว ในกรณีเชนนี้จะใชการ<br />
สํารวจแบบ micro-gravity methods สําหรับการ<br />
แยกแยะประเภทของโพรงหินปูนใตผิวดินไดดี ทั้งนี้<br />
โดยหลักการเบื้องตน ความหนาแนนของ อากาศ น้ํา<br />
และดินเหนียวมีความแตกตางกัน (density contrast)<br />
มากเพียงพอ อยางไรก็ตาม การสํารวจดวยวิธี microgravity<br />
methods ยังขึ้นอยูกับปจจัยตางๆอีกมาก เชน<br />
ขนาดและความลึกของโพรงใตดินดังกลาว รวมไปถึง<br />
สภาพแวดลอมของพื้นที่สํารวจ และสิ่งสําคัญคือความ<br />
ละเอียดลออของผูสํารวจ วิธีการสํารวจไมใชเรื่องยาก<br />
แตการตรวจวัดความเปลี่ยนแปลงของบางสิ่ง<br />
บางอยางที่มีการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กนอย<br />
จําเปนตองใชความละเอียดลออของผูสํารวจอยางสูง<br />
7.2 วิธีการสํารวจแบบตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
จุลภาค<br />
การสํารวจจัดเก็บขอมูลการสํารวจดวย<br />
micro-gravity method โดยเฉพาะการอานคาที่สถานี<br />
ตรวจวัดตางๆ เปนเรื่องงาย เพียงตั้งเครื่องมือและใช<br />
เครื่องมือตามคูมือของการใชเครื่อง micro-gravity<br />
meter เทานั้น โดยผูใชเครื่องมือตองใจเย็นและใช<br />
ความละเอียดลออสูง เพื่อจัดเก็บขอมูลที่ถูกตอง<br />
เพราะทันทีที่ตั้งเครื่องและปลดแขนการตรวจวัด<br />
เครื่องมือตองใชเวลานานพอสมควรที่จะปรับตัวเครื่อง<br />
ใหอยูในสภาพพรอมอานคา<br />
แตโดยขอเท็จจริงแลว การสํารวจดวย<br />
micro-gravity method จําเปนตองดําเนินการตาม<br />
ขั้นตอนตางๆ กอนการตรวจวัดจัดเก็บขอมูลตรง<br />
สถานีสํารวจดังกลาวขั้นตน ดังขอสรุปตอไปนี้<br />
7.2.1 การวางแผนการสํารวจ<br />
ในการวางแผนการสํารวจจําเปนตอง<br />
คํานึงถึงวัตถุประสงคของการสํารวจซึ่งจาก<br />
แบบจําลองทางอุทกธรณีวิทยาของพื้นที่สํารวจหรือ<br />
ผลการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดินอื่นๆ ที่ได<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 88 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ดําเนินการแลวในพื้นที่สํารวจ ทําใหสามารถประมาณ<br />
การเปาหมายของการสํารวจดวย micro-gravity<br />
method โดยสามารถประมาณการความลึก การ<br />
วางตัว รูปราง ขนาดและคา density ของวัตถุ<br />
เปาหมาย ซึ่งทําใหสามารถกําหนดตําแหนงของสถานี<br />
สํารวจแรงโนมถวงจุลภาค แนวสํารวจ และหรือพื้นที่<br />
สํารวจ ตัวอยาง เชน การใช micro-gravity method<br />
ในการจําแนกประเภทของโพรงหินปูนใตดินในพื้นที่<br />
สํารวจที่ไดสํารวจดวยวิธีการตรวจวัดความตานทาน<br />
ไฟฟามากอนแลว จาก resistivity maps ซึ่งไดระบุ<br />
พื้นที่ตรวจพบโพรงใตดินอยูแลว ทําใหสามารถวาง<br />
แผนการสํารวจไดอยางรวดเร็ว<br />
7.2.2 รูปแบบการสํารวจ<br />
การสํารวจดวยวิธี micro-gravity survey<br />
สามารถดําเนินการได 2 รูปแบบคือ การสํารวจแบบ<br />
ตัดแนว (profiling) และการสํารวจแบบทั่วพื้นที่<br />
(mapping) ทั้งนี้ขึ้นอยูกับวัตถุประสงคของการสํารวจ<br />
และรูปราง (shape) ของวัตถุเปาหมาย ซึ่งในการ<br />
สํารวจแรงโนมถวงมักแบงรูปรางของวัตถุเปาหมาย<br />
ออกเปน 4 รูปแบบคือ (1) ทรงกลม (spheres) เชน<br />
โพรงใตดิน (2) ทรงกระบอก (cylinders) เชนธารน้ํา<br />
ใตดิน (3) ลักษณะเปนแผน (slabs) เชนการยกตัว<br />
ของชั้นหินแข็ง และ (4) รูปรางไมแนนอน (irregular<br />
shapes) การเลือกรูปแบบของการสํารวจไมอาจ<br />
กําหนดไดชัดเจน แตอยางนอยผลการสํารวจจะตอง<br />
สามารถกําหนดตําแหนง ความลึก และขนาด หรือ<br />
geometric dimensions ของวัตถุเปาหมายได<br />
หลักการในการวางตําแหนงสถานีสํารวจ<br />
แนวสํารวจ หรือพื้นที่สํารวจ จะพยายามหลีกเลี่ยงการ<br />
วางตําแหนงใหใกลภูเขา หรือ หุบเขาที่มีผลตอการ<br />
ตรวจวัดคาแรงโนมถวงโลก และจําเปนตองแกไขคาที่<br />
ผิดเยนไปจากความเปนจริงดังกลาว โดยวิธีการ<br />
ปรับแกขอมูลแบบ terrain correction (รายละเอียดใน<br />
หัวขอ 8.3.3)<br />
7.2.3 การจัดตั้งและจัดเตรียมสถานีสํารวจ<br />
ระยะหางระหวางสถานีสํารวจแรงโนม<br />
ถวงแบบ micro-gravity survey ปกติจะมีระยะหาง<br />
ระหวางสถานีไมเกิน 5-6 ม และอยางนอยตองมีสถานี<br />
สํารวจไมนอยกวา 3 สถานีในพื้นที่เปาหมาย เชน<br />
การสํารวจโพรงหินปูนโพรงใดโพรงหนึ่งจะตองมี<br />
สถานีตรวจวัดไมนอยกวา 3 สถานีในพื้นที่ของโพรง<br />
นั้นๆ<br />
ในการจัดเตรียมสถานีสํารวจพื้นที่สําหรับ<br />
การตั้งเครื่องมือจะตองเปนพื้นแข็งขนาดพื้นที่สามารถ<br />
วางแผนฐานเครื่องมือขนาดไมนอยกวา 15x15 ตาราง<br />
เซนติเมตร และตองรังวัดระดับความสูงของสถานี<br />
อยางหลีกเลี่ยงไมได ถึงแมจะเปนพื้นที่ราบก็ตาม และ<br />
การรังวัดระดับความสูงของสถานีตรวจวัดดังกลาว<br />
จะตองเปนงานรังวัดระดับชั้นที่ 1 เทานั้น<br />
7.2.4 การจัดตั้ง base stations ในการสํารวจ<br />
แบบ micro-gravity survey<br />
จําเปนตองจัดตั้ง base stations ภายใน<br />
หรือใกลพื้นที่สํารวจ อยางนอย 1-3 แหงโดยการ<br />
เตรียมพื้นที่เชนเดียวกับสถานีสํารวจแตตองปรับพื้น<br />
และเท cement slab ใหสูงเทาพื้นที่เดิม โดย base<br />
stations จะเปนสถานีเพื่อตรวจสอบความผิดเพี้ยน<br />
ของเครื่องมือ ซึ่งเปนความผิดเพี้ยนของคาที่ตรวจวัด<br />
ไดอันเนื่องจากความสั่นสะเทือนของพื้นที่ หรือการ<br />
เปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิ โดยปกติกอนเริ่มและกอน<br />
หยุดงานสํารวจทุกวันจะวัดคาที่ base stations และ<br />
ระหวางวันจะวัดคาอีก 1-2 ครั้ง เพื่อใชเปนขอมูลใน<br />
การปรับแกขอมูลที่วัดไดจากสถานีตรวจวัดตางๆ ที่<br />
ดําเนินการในวันนั้นๆ โดยการปรับแกแบบ drift<br />
correction (รายละเอียดในหัวขอ 8.4) และใช base<br />
stations เปนจุดสําหรับ calibrate เครื่องมือทุกวัน<br />
สําหรับการเริ่มตนสํารวจวันใหม<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 89 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
7.2.5 การอานคาที่สถานีตรวจวัดตางๆ<br />
ถึงแมวาจะเปนการอานคาโดยตรงจาก<br />
เครื่องสํารวจแตก็เปนงานที่เชื่องชาและละเอียด การ<br />
ตรวจวัดตรวจวัดคาอยางเรงรีบมีผลใหเกิดคาผิดเพี้ยน<br />
เนื่องจากสวนที่เคลื่อนที่ดวยระบบ elastic parts ของ<br />
เครื่องมือยังไมหยุดนิ่ง โดยสวนใหญการอานคาในแต<br />
ละสถานีจะอานคาซ้ําแลวซ้ําอีกจนกวาจะไดคาที่ขอน<br />
ขางคงที่<br />
7.3 การปรับแกคาผิดวิสัยของบูเกอร<br />
ถึงแมวาการสํารวจจัดเก็บขอมูลใน<br />
ภาคสนามจะดําเนินการดวยความละเอียดลออ<br />
ภายใตการรังวัดระดับความสูงของสถานีสํารวจตางๆ<br />
ตามขอกําหนด คาที่ตรวจวัดไดตามจุดตางๆ บนผิว<br />
โลก จะมีความแตกตางไปจากคาที่เปนแรงโนมอันเกิด<br />
จากการเปลี่ยนแปลงของชั้นหินใตผิวดินอยางแทจริง<br />
คาที่แตกตางดังกลาว ในการสํารวจดวย gravity<br />
methods เรียกวา “Bouguer Anomaly” หรือคาผิด<br />
วิสัยของบูเกอร ซึ่งเกิดจากสาเหตุตางๆ และ<br />
จําเปนตองปรับแกขอมูลที่ตรวจวัดไดจากภาคสนาม<br />
เพื่อใหไดขอมูลที่ใกลเคียงกับ theoretical gravity ให<br />
ไดมากที่สุดเทาที่จะเปนไปได โดยมีวิธีการปรับแก<br />
ดังนี้<br />
7.3.1 การปรับแกตามเสนรุง<br />
ถาหากโลกของเราเปนทรงกลมโดย<br />
แทจริง หยุดนิ่งอยูกับที่ มีมวลสม่ําเสมอ และตัดสวนที่<br />
เปน lateral density variations ใกลเปลือกโลก อัน<br />
เนื่องจากโครงสรางทางธรณีวิทยาใตผิวดินออกไป<br />
การตรวจวัดแรงดึงดูดของโลก ณ ที่ใดก็ตามบน<br />
ผิวโลกก็จะไดคาที่เทากันหมด การเปลี่ยนแปลงของ<br />
แรงดึงดูดที่ตรวจวัดไดทั้งหมดจึงจะเปนสวนที่เกิดจาก<br />
จึงจะเปนสวนของ lateral density variations ใกล<br />
เปลือกโลกอันเนื่องจากโครงสรางทางธรณีวิทยาใตผิว<br />
ดินอยางแทจริง แตโดยความเปนจริงแลวรูปรางของ<br />
โลกที่ใกลเคียงความเปนจริงที่สุดเปนทรงกลมปลอง<br />
ตรงกลางและแบนตรงขั้วโลก ตรงเสนศูนยสูตรจะอยู<br />
หางจากใจกลางโลกมากกวาตรงขั้วโลกประมาณ 21<br />
กิโลเมตร แรงดึงดูดโลกที่มีตอวัตถุใดๆ บนผิวโลกนับ<br />
จากเสนศูนยสูตรจะเพิ่มขึ้นตามองศาการเพิ่มของเสน<br />
รุง ดังสมการที่ (1)<br />
g = g 0 (1+C 1 sin 2 φ - C 2 sin 2 2φ) (1)<br />
เมื่อ g 0 เปนคาของแรงโนมถวงโลกที่เสน<br />
ศูนยสูตร φ เปนองศาของเสนรุง C 1 และ C 2 เปน<br />
คาคงที่ขึ้นกับรูปรางของโลก ซึ่งสหพันธสากลดานจีโอ<br />
เดซี่และธรณีฟสิกส (International Union of Geodesy<br />
and Geophysics) ไดพัฒนาสูตรการคํานวณคา<br />
g ดังสมการที่ (2)<br />
g = 978.0490 (1+0.0052884 sin 2 φ<br />
- 0.0000059 sin 2 2φ) (2)<br />
7.3.2 การปรับแกระดับความสูง elevation<br />
correction<br />
การปรับแกคาแรงโนมถวงจุลภาคที่<br />
ตรวจวัดไดจากภาคสนามใหใกลเคียงกับคาแรงโนม<br />
ถวงจุลภาคที่แทจริง จําตองดําเนินการปรับแก 2 ดาน<br />
ดวยกัน คือ<br />
(1) การปรับแกดาน free-air correction<br />
สืบเนื่องจากคาแรงโนมถวงผันแปรผกผันกับระยะทาง<br />
ระหวางวัตถุใกลเปลือกโลกกับใจกลางโลก ดังนั้น<br />
ระดับความสูงของสถานีตรวจวัดคาตางๆ การปรับแก<br />
ระดับความสูงของสถานีตรวจวัดทุกสถานีใหบนฐาน<br />
เดียวกัน ซึ่งอาจใชปรับแกขอมูลที่ตรวจวัดไดใหอยูบน<br />
ฐานของระดับความสูงน้ําทะเลปานกลาง (MSL) โดย<br />
ปกติใชคาการปรับแกประมาณ 0.30855 mgal/m<br />
(Butler, 1980) ความสูงเหนือระดับน้ําทะเลปานกลาง<br />
นําไปบวกคาที่วัดไดและต่ํากวาระดับน้ํา ทะเลปาน<br />
กลางใหนําไปลบออกจากคาที่อานได<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 90 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(2) การปรับแกดาน Bouguer collection<br />
ในการคํานวณหาความลึกของวัตถุเปาหมาย<br />
ใตผิวดิน จําเปนตองอาศัยขอมูลความแตกตางดาน<br />
ความหนาแนนของวัตถุนั้นกับวัตถุรอบดานตัวอยาง<br />
เชน density contrast ระหวางหินแกรนิตกับทรายชั้น<br />
น้ํา ซึ่งโดยปกติความหนาแนนของชั้นหินตางๆ ได<br />
ทดสอบและกําหนดคาไวแลวดังแสดงในตาราง 2004-<br />
1 แตการประมาณคาความหนาแนนของวัตถุใตดิน<br />
ผิดพลาดเพียง 0.05 กิโลกรัม/ตารางเมตร ที่มี<br />
ระยะหางประมาณ 350 เมตร จะตองปรับแกโดย<br />
Bouguer collection ประมาณ 0.5 mgal ดังนั้นใน<br />
การปรับแกดวย Bouguer collection สําหรับการ<br />
สํารวจแบบ micro-gravity method โดยการเก็บ<br />
ตัวอยางหินหลายๆ ตัวอยางมาวิเคราะหและเฉลี่ยคา<br />
ความหนาแนนของหินที่เกี่ยวของแทนการใชใชคา<br />
ความหนาแนน จากตารางที่ 1 จึงเปนความจําเปน<br />
อยางยิ่ง<br />
ตารางที่ 1 คาความหนาแนนของหินชนิดตางๆ ในสหรัฐอเมริกา<br />
ชนิดหิน<br />
จํานวน ความหนาแนนเฉลี่ย<br />
จํานวน ความหนาแนนเฉลี่ย<br />
ชนิดหิน<br />
ตัวอยาง (กก./ลบ.ม.)<br />
ตัวอยาง (กก./ลบ.ม.)<br />
หินแกรนิต 155 2.667 หินแกรโนไดโอไรต 11 2.716<br />
หินซินไนท (Syenite) 24 2.757 หินไดโอไรต 13 2.839<br />
หินไรโอไรต 15 2.370 หินบะซอลท 11 2.772<br />
หินทราย:<br />
หินปูน:<br />
หนวยหิน<br />
12 2.500 หนวยหินแกลนโรส 10 2.370<br />
เซ็นตปเตอร<br />
หนวยหินแบรดฟอรด 297 2.400 หนวยหินแบล็คริเวอร 11 2.720<br />
หนวยหิน เค ไวโอ 38 2.320 หนวยหินเอลเลน 57 2.750<br />
เบอรเยอร<br />
หินโดโลไมต<br />
หินดินดาน:<br />
หนวยหินแบล็คแมนเทาว 56 2.800 หนวยหินเพนซิลวาเนีย -- 2.420<br />
หนวยหินไนแอนกาลา 14 2.770 หนวยหินครีเตเชียส 9 2.170<br />
ตะกอนทรายเม็ดละเอียด 54 1.930 ตะกอนทรายแปง ทราย 15 1920<br />
และดินเหนียว<br />
หินไนส 7 2.690 หินชีสต 76 2.820<br />
หินชนวน 17 2.810 หินแอมฟโบไลต 13 2.990<br />
(จาก U.S. Army Corps of Engineers, 1995)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 91 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
7.3.3 การปรับแกภูมิประเทศของพื้นที่สํารวจ<br />
การปรับแกดานภูมิประเทศของพื้นที่<br />
สํารวจ (terrain correction) เปนการแกไขขอมูลการ<br />
สํารวจเพื่อชดเชยคาที่เกิดจากผลกระทบอันเนื่องจาก<br />
พื้นที่สํารวจอยูใกลเขา หรือรองหุบเขา ซึ่งมีผลเกิดให<br />
เกิดความผิดเพี้ยนในการตรวจวัดคา gravity ในสนาม<br />
หากภูเขาหรือหุบเขาใกลสถานีสํารวจมากเกินไป<br />
(ปกติจะตองหางไมนอยกวา 1 km) วิธีการปรับแก<br />
อาศัยการวิเคราะหจากแผนที่ภูมิประเทศ (มาตรสวน<br />
1:50,000) ของพื้นที่สํารวจและคา gravity ที่อานได<br />
จากสถานีตางๆ ใกลพื้นที่เขาโดยวิธีการเปรียบเทียบ<br />
ซึ่งในปจจุบันมีโปรแกรมคอมพิวเตอรสามารถนํามาใช<br />
ในการปรับแก โดยสวนใหญเปนโปรแกรมที่ผูผลิต<br />
เครื่องมือการสํารวจใหมาพรอมเครื่องมือ<br />
7.4 การปรับแกขอมูลแบบอื่นๆ<br />
นอกเหนือไปจากการปรับแกขอมูลตามคา<br />
ผิดวิสัยของบูเกอรดังกลาวขางตนแลว ยังจําเปนตอง<br />
ปรับแกขอมูลที่ไดจากการสํารวจภาคสนามอีก 2 แบบ<br />
คือ<br />
7.4.1 การปรับแกตาม meter factor ซึ่งเปน<br />
factor ที่เปลี่ยนจากตัวเลขที่ตรวจวัดไดในสนามใหมี<br />
หนวยเปน µgal เครื่องมือแตละเครื่องจะมีตาราง<br />
สําหรับการแปลงคาดังกลาวของตัวเครื่องนั้นๆ<br />
7.4.2 การปรับแกแบบ instrumental drift การ<br />
ตรวจวัดคา gravity ณ จุดใดจุดหนึ่งในเวลาที่แตกตาง<br />
กันมักจะไดคาที่แตกตางกันไปเล็กนอยเสมอ เชนการ<br />
ตรวจวัดที่สถานี A แลวไปตรวจวัดที่สถานีอื่นๆ ตอใน<br />
ระยะเวลา 2-3 ชั่วโมงกลับมาตรวจวัดที่สถานี A อีก<br />
ครั้งผลที่ไดรับคือคาที่อานไดครั้งแรกมักไมตรงกับ<br />
คาที่ 2 หรือแมแตอานคาแลววางเครื่องมือไวที่สถานี<br />
A โดยไมแตะตอง อีก 2-3 ชั่วโมงตอมาอานคาอีกครั้ง<br />
ก็มักจะไดคาที่แตกตางกันเล็กนอยไปจากคาที่อาน<br />
ครั้งแรก คาที่แตกตางดังกลาวเกิดอาการลาของระบบ<br />
elastic part ของเครื่องสํารวจหรือเรียกวา “instrumental<br />
drift” ซึ่งโดยปกติมีคาความแตกตางผันแปร<br />
โดยตรงกับระยะเวลาของการใชงาน ยิ่งใชงานหลาย<br />
ชั่วโมงคาที่อานไดยิ่งเพิ่มขึ้นในลักษณะเปน linear<br />
equation ดังนั้น ในขั้นตอนการสํารวจ จึงจําเปนตอง<br />
ยอนกลับไปตรวจสอบ “instrumental drift” ที่ base<br />
station เพื่อหาคาผิดเพี้ยนดังกลาวทุก 2-3 ชั่วโมง<br />
เมื่อนําคาที่อานไดจาก base station มาพล็อตตาม<br />
เวลาของการอานคามักจะไดกราฟเสนตรงเสนหนึ่ง ที่<br />
ใชสําหรับการปรับแกคาผิดเพี้ยน “instrumental drift”<br />
ที่ตรวจวัดจากสถานีตางๆ ในวันนั้น<br />
7.5 การนําเสนอผลงานและแปลความหมาย<br />
การปรับแกขอมูล<br />
ในดานการแปลความหมายของมูลการ<br />
สํารวจดวย micro-gravity methods เอกสารคูมือฉบับ<br />
นี้จะไมกลาวถึงรายละเอียด เนื่องจากปจจุบันมี<br />
โปรแกรมคอมพิวเตอรใหใชสําหรับการแปล<br />
ความหมายขอมูลการสํารวจจํานวนมาก ดังนั้นใน<br />
เอกสารฉบับนี้จะขอสรุปโดยยอดังตอไปนี้ คือ<br />
7.5.1 ในหลายๆ กรณีการแปลความหมาย<br />
ขอมูลการสํารวจในเชิงเปรียบเทียบ (qualitative<br />
interpretation) มักบรรลุเปาหมายของการสํารวจ<br />
ตัวอยางเชน การสํารวจเพื่อจําแนกประเภทของโพรง<br />
หินใตดิน ไดคา gravities ของดินเหนียว น้ํา และ<br />
อากาศ ที่อยูในโพรง และตําแหนงของโพรงตางๆ<br />
ดังกลาว โดยการนําเสนอในลักษณะแผนที่ (Bouguer<br />
Anomaly Maps or Iso-Gravity Maps) สวนขนาด<br />
รูปรางและความลึกของโพรงตางๆ ดังกลาวสวนใหญ<br />
ไดจากการสํารวจโดย resistivity methods กอนหนานี้<br />
แลว<br />
7.5.2 การแปลความหมายขอมูลเพื่อหา ตําแหนง<br />
ความลึก รูปรางและขนาดของวัตถุเปาหมาย ใตผิวดิน<br />
ในลักษณะ quantitative interpretation สามารถ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 92 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
กระทําไดงายๆ ดวยโปรแกรมคอมพิวเตอรมากมาย<br />
และสวนใหญผูผลิตเครื่องมือมักใหโปรแกรมการแปล<br />
ความหมายดังกลาวมาพรอมเครื่องมือ<br />
7.5.3 การแปลความหมายขอมูลในลักษณะ<br />
quantitative interpretation ดวยวิธีการปกติจําเปน<br />
ตองจําแนกวัตถุเปาหมายจากขอมูลการสํารวจ<br />
เบื้องตนวา โดยจําแนกรูปรางของวัตถุเปาหมาย<br />
ออกเปนรูปแบบตางๆ 4 รูปแบบคือ ทรงกลม ทรง<br />
กระบอก เปนแผน (slabs) และรูปรางไมคงที่ เพื่อใช<br />
สูตรการคํานวณใหถูกตอง สําหรับวิธีการแปล<br />
ความหมายดวยวิธีกาใชสูตรตางๆ ดังกลาวสามารถ<br />
หาอานไดตามตํารา เชน Griffiths (1976), Butler and<br />
Dwain (1980), Telford et al (1990) เปนตน<br />
7.5.4 ในการสํารวจดวย micro-gravity method<br />
ถึงแมวามีวิธีการสํารวจที่งายจากการอานคาโดยตรง<br />
แตจําเปนตองใชความละเอียดและความอดทนสูงมาก<br />
ในการสํารวจจัดเก็บขอมูลภาคสนาม รวมทั้ง<br />
จําเปนตองมีการรังวัดระดับความสูงอยางละเอียดของ<br />
สถานีสํารวจ จําเปนตองใชเวลาและคาใชจายคอนขาง<br />
สูงเมื ่อเทียบกับการสํารวจดวยวิธีการอื่นๆ นอกจากนี้<br />
ยังจําเปนตองทําการปรับแกขอมูลการสํารวจแบบ<br />
ตางๆ ดังนั้นการแปลความหมายขอมูลและการ<br />
นําเสนอขอมูล (สํารวจและผูแปลขอมูลการสํารวจ<br />
จําเปนตองมีความชํานาญเฉพาะดาน<br />
7.5.5 ขอมูลจาก Bouguer anomaly maps<br />
สามารถประมาณการความลึกสูงสุด (maximum<br />
depth) ของวัตถุเปาหมายใตผิวดินไดคราวๆ โดยการ<br />
วัดความกวางของพื้นที่ anomaly ในแผนที่ (Butler<br />
and Dwain, 1980) การประมาณการดังกลาวภายใต<br />
ขอสมมติฐานวา พื้นที่ anomaly ดังกลาวเกิดจากวัตถุ<br />
เปาหมายเพียงชิ้นเดียว (single isolated target) ซึ่ง<br />
ขอสมมติฐานดังกลาวมีความเปนไปไดยากโดยเฉพาะ<br />
อยางยิ่งหากวัตถุเปาหมายดังกลาวอยูลึกจากผิวดิน<br />
มากๆ<br />
7.6 ขอจํากัดในการสํารวจ<br />
7.6.1 ขอสมมติฐานเบื้องตนในการสํารวจแบบ<br />
gravity methods ที่วาโลกนี้มีมวลที่สม่ําเสมอ<br />
(homogeneous mass) และการถือเอาจุดใจกลางโลก<br />
เปนจุดศูนยถวง เปนขอสมมติฐานที่ไมเปนจริงและไม<br />
สามารถปรับแกขอมูลการสํารวจได โดยสภาพความ<br />
เปนจริง โลกประกอบดวยทะเล มหาสมุทร แผนดิน<br />
และภูเขา ซึ่งมีความแตกตางของมวลมากมาย ศูนย<br />
ถวงของโลกอาจเคลื่อนไปที่ดานใดดานหนึ่งซึ่ง<br />
ไมจําเปนตองเปนตรงใจกลางโลก<br />
7.6.2 วัตถุใตดินขนาดเล็กใตผิวดินระดับตื้น<br />
สามารถแสดงลักษณะความผิดวิสัยเหมือนกับวัตถุ<br />
ขนาดใหญที่อยูระดับลึก หากไมมีขอมูลการสํารวจ<br />
อื่นๆ ชวยในการแปลความหมายขอมูลการตรวจวัด<br />
gravity อาจผิดเพียนไปจากความเปนจริงไดงาย<br />
7.6.3 การสํารวจแบบ micro-gravity methods<br />
ไวตอการรับสิ่งรบกวนรอบขาง ตั้งแต แผนดินไหว<br />
การเคลื่อนไหวของเปลือกโลก การขึ้นลงของระดับน้ํา<br />
การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิอยางรวดเร็ว ไป<br />
จนกระทั่ง ฝนตกและกระแสลมแรง เปนตน สิ่งรบกวน<br />
ตางๆเหลานี้ ไมสามารถปรับแกขอมูลการสํารวจได<br />
7.6.4 เครื่อง micro-gravity meters มีราคาแพง<br />
ออนไหวและดูแลรักษาใหอยูในสภาพใชงานได<br />
คอนขางยาก<br />
7.6.5 โดยสรุปวิธีการสํารวจแบบ micro-gravity<br />
methods สามารถนํามาประยุกตในการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาไดดี หากมีขอมูลเบื้องตนดานอุทก<br />
ธรณีวิทยาใตผิวดินของพื้นที่สํารวจ โดยเฉพาะอยาง<br />
ยิ่ง การสํารวจเพื่อจําแนกประเภทของโพรงหินปูนใต<br />
ผิวดิน ซึ่งไมมีวิธีการสํารวจบนผิวดินวิธีใด ที่จะ<br />
เทียบเทาวิธีการสํารวจแบบ micro-gravity methods<br />
แตจําเปนตองใชวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
อื่นๆ สํารวจนํารองกอน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 93 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
8. ความปลอดภัย<br />
8.1 ผูใชเครื่องมือ ตองศึกษาและปฏิบัติตาม<br />
คูมือการใชงานตามที่ผูผลิตเครื่องมือไดกําหนดไวใน<br />
เอกสารคูมือประจําเครื่องโดยเครงครัด รวมทั้งตองพึง<br />
ระมัดระวังเกี่ยวกับไฟฟาแรงดันสูง ซึ่งอาจกอใหเกิด<br />
อันตรายตอผูใชเครื ่องมือ ผูรวมงาน ในขณะใชงานได<br />
8.2 เครื่องมือสํารวจแบบ micro-gravity meters<br />
เปนเครื่องมือที่มีราคาสูงมาก ออนไหวและดูแลรักษา<br />
ทั้งในและนอกเวลาการใชงาน รวมทั้งการเคลื่อนยาย<br />
เครื่องมือ ผูใชตองดูแลรักษาตามคูมือประจําเครื่อง<br />
โดยเครงครัด<br />
8.3 การปฏิบัติงานในพื้นที่เสี่ยงภัยหรือพื้นที่ที่มี<br />
วัตถุอันตราย เชน ใกลแนวสายไฟฟาแรงดันสูง<br />
โรงงานอุตสาหกรรมเคมีภัณฑ โรงงานอุตสาหกรรม<br />
อื่น ฟารมเลี้ยงสัตว และอื่นๆ เปนความรับผิดชอบ<br />
และอยูในวิจารณยานของผูสํารวจโดยตรง<br />
9. บุคลากร<br />
ความสําเร็จของงานสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ไมวาดวยวิธีการสํารวจใดๆ ยอมขึ้น อยูกับปจจัย<br />
หลายอยางและปจจัยที่สําคัญที่สุดยอมเปนปจจัยดาน<br />
บุคลากร การใชเครื่องมือการสํารวจเปนไมใชเปนเรื่อง<br />
ยุงยาก เพียงแตอานคูมือที่แนบมากับเครื่องมือและใช<br />
เครื่องมือดวยความระมัดระวังตามที่คู มือระบุเทานั้น<br />
แตบุคลากรที่จะเปนนักสํารวจธรณีฟสิกสจะตอง<br />
รับผิดชอบตั้งแตขั้นตอนการวางแผนการสํารวจ การ<br />
เลือกเครื่องมือและวิธีการสํารวจที่เหมาะสม การ<br />
จัดเก็บขอมูลภาคสนาม การแปลความหมายขอมูล<br />
และวิธีการนําเสนอผลการสํารวจ ซึ่งทั้งหมดนักสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสนอกจากจะตองใชเครื่องมือการสํารวจแบบ<br />
ตางๆ เปนยังจะตองมีความรูในภาคทฤษฎีการสํารวจ<br />
และการแปลความหมายขอมูลการสํารวจแบตางๆ<br />
รวมทั้งตองทําความเขาใจกับสภาพอุทกธรณีวิทยาใต<br />
ผิวดินของพื้นที่สํารวจอีกดวย แตดวยขอจํากัด<br />
ทางดานบุคลากรและงานที่จําเปนตองใชเวลามาก<br />
ที่สุดสําหรับงานสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน ไดแกงาน<br />
จัดเก็บขอมูลภาคสนาม ดังนั้นเอกสารคูมือฉบับนี้ ขอ<br />
นําเสนอบุคลากรสําหรับความรับผิดชอบตางๆ ดังนี้<br />
9.1 บุคลากรระดับผูเชี่ยวชาญตองเปนนักธรณี<br />
วิทยา นักอุทกธรณีวิทยาหรือวิศวกรที่ผานการ<br />
ฝกอบรมและมีประสบการณดานการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสไมนอยกวา 15 ป หรือมีผลงานดานการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินไมนอยกวา 100 แหง ทําหนาที่<br />
ดานการตรวจสอบการวางแผนการสํารวจ ตรวจสอบ<br />
การแปลความหมายขอมูลการสํารวจ และตรวจสอบ<br />
รายงานการสํารวจ การตรวจสอบตามขั้นตอนตางๆ<br />
ดังกลาว ดําเนินการภายใตรูปแบบการสนทนา<br />
(discussion) ของผูรวมงานตางๆ ในหัวขอที่ 2 และ 3<br />
9.2 บุคลากรระดับผูชํานาญการ ตองเปนนัก<br />
ธรณีวิทยา นักอุทกธรณีวิทยาหรือวิศวกรที่ผานการ<br />
ฝกอบรมและมีประสบการณดานการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสไมนอยกวา 10 ป หรือมีผลงานดานการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินไมนอยกวา 50 แหง ทําหนาที่<br />
ดานการตรวจสอบสภาพอุทกธรณีภาคสนาม การ<br />
วางแผนการสํารวจและควบคุมการสํารวจธรณีฟสิกส<br />
บนผิวดินภาคสนาม รวมทั้งทําหนาที่ดานการแปล<br />
ความหมายขอมูลและการจัดทํารายงานการสํารวจ<br />
หรือใหคําปรึกษาดานการแปลความหมายขอมูลและ<br />
การจัดทํารายงานการสํารวจ<br />
9.3 บุคลากรระดับปฏิบัติการ ตองเปนนัก<br />
ธรณีวิทยาหรือวิศวกรที่ผานการฝกอบรมดานการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกส หรือบุคลากรอื่นๆ ที่ผานการ<br />
ฝกอบรมและมีประสบการณดานการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสไมนอยกวา 10 ป หรือมีผลงานดานการสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสบนผิวดินไมนอยกวา 50 แหง ทําหนาที่<br />
ดานการสํารวจจัดเก็บขอมูลภาคสนาม และฝกหัด<br />
แปลความหมายขอมูลการสํารวจและการจัดทํา<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 94 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
รายงานการสํารวจ ภายใตการควบคุมของผูชํานาญ<br />
การหรือผูเชี่ยวชาญ<br />
10. เอกสารอางอิง<br />
American Society for Testing and Materials<br />
(ASTM), 2005. Standard Guide for Using<br />
the Gravity Method for Subsurface Investigation,<br />
D6430-99 (Re 2005).<br />
Griffith, D.H., and King, R.F., 1976. Applied<br />
Geophysics for Engineers and Geologists,<br />
3rd. Pergamon Press Ltd., Headington Hill<br />
Hall, Oxford, Ox3 OBW, England.<br />
U.S. Army Corps of Engineers, 1995, Engineer<br />
Manual CECW-EG, EM 1110-1-1802, Engineering<br />
and Design: Geophysical Exploration<br />
for Engineering and Environmental<br />
Investigations, Washington D.C.<br />
US Environmental Protection Agency (US.EPA),<br />
1993. Use of Airborne, Surface, and<br />
Borehole Geophysical Techniques at Contaminated<br />
Sites, a Reference Guide”, EPA/<br />
625/R-92/007.<br />
US Environmental Protection Agency (US.EPA),<br />
2000. Innovations in Site Characterizations:<br />
Geophysical Investigation at Hazardous<br />
Waste Sites, EPA-542-R00-003.<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 95 คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
ดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ ส 3000 -2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550 เปนคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (ส) ของกรม<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาล (ทบ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตัวเลขชุดแรกมี 4 ตําแหนง หมายถึง ลําดับ<br />
ของคูมือ ตัวเลขชุดที่สอง “2550” หมายถึง ป พ.ศ. ที่จัดทําเอกสารตนฉบับของคูมือ กรณีที่มีการแกไขและปรับปรุง<br />
คูมือ ใหใสวงเล็บตอทายและระบุ ป พ.ศ. ที่แกไขปรับปรุง เชน (แกไขปรับปรุง 2555) เปนตน โดยมีเครื่องหมาย (ก)<br />
เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่แกไข และมีเครื่องหมาย (ป) เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่ปรับปรุงขึ้นใหม<br />
1. บทนํา<br />
คูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดินฉบับนี้ได<br />
จัดทําขึ้นภายใตโครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ<br />
สํารวจและพัฒนาบอน้ําบาดาล พ.ศ. 2550 เปนสวน<br />
หนึ่งของชุดคูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่<br />
น้ําบาดาล โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาลไดมอบหมาย<br />
ใหคณะผูเชี่ยวชาญดานอุทกธรณีวิทยา ธรณีวิทยา<br />
วิศวกรรม เครื่องกล และวิศวกรรมโยธา เปน<br />
ผูดําเนินการรางคูมือการสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิว<br />
ดิน เพื่อใหใชควบคูไปกับ มาตรฐาน ทบ ส 3000-<br />
2550 การสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนใตดิน โดยคูมือ<br />
ฉบับนี้ ไดกําหนดขั้นตอนและแนวทางสําหรับใชใน<br />
งานสํารวจฯ เพื่อใหไดผลงานมีมาตรฐานตามที่กรมฯ<br />
กําหนด<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน เปนการ<br />
สํารวจภาคสนาม เพื่อสืบหาขอมูลในเชิงลึกโดยใช<br />
เครื่องมือการสํารวจหยั่งลึกหรือเจาะลึกลงไปจากผิว<br />
ดิน เพื่อจัดเก็บขอมูลดานอุทกธรณีใตผิวดินของพื้นที่<br />
สํารวจ โดยมีวัตถุประสงคหลักในการสํารวจจัดเก็บ<br />
ขอมูลดานระดับน้ําบาดาล ระดับความลึกของชั้นน้ํา<br />
คุณภาพน้ําบาดาลเบื้องตน และลักษณะการวางตัว<br />
ของชั้นดินชั้นหินใตผิวดินระดับตื้น<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน เปนขั้นตอน<br />
การสํารวจภาคสนามที่ตอเนื่องจากการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน หรือตอเนื่องจากขั้นตอนการ<br />
สํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน โดยจากรูปแบบอุทก<br />
ธรณีวิทยามโนทัศน หรือแบบจําลองทางธรณีฟสิกสที่<br />
จัดทําขึ้นโดยจําลองสภาพอุทกธรณีวิทยาใตผิวดินได<br />
คราวๆ การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน เปนการ<br />
สํารวจเพื่อจัดเก็บขอมูลของชั้นดินชั้นหินใตผิวดิน<br />
และขอมูลเกี่ยวกับน้ําบาดาลในชั้นดินชั้นหินดังกลาว<br />
เพื่อตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องตน รวมทั้งจัดสง<br />
ตัวอยางสําหรับการวิเคราะหตัวอยางดินหินและน้ํา<br />
บาดาลในหองปฏิบัติการ<br />
2. ขอบเขตการดําเนินงาน<br />
2.1 งานสํารวจสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
เปนงานที่ประกอบดวยหมวดงานตางๆ เชนการ<br />
ตรวจวัดระดับน้ําบาดาล การวัดระดับความลึกบอน้ํา<br />
บาดาลและบอเจาะอื่นๆ การจัดเก็บตัวอยางน้ําบาดาล<br />
และการวิเคราะหคุณภาพน้ําบาดาลเบื้องตน และการ<br />
เจาะเก็บตัวอยางชั้นดินชั้นหินระดับตื้น โดยมีขอบเขต<br />
การดําเนินงานดังตอไปนี้คือ<br />
2.1.1 การตรวจวัดระดับน้ําบาดาลและ<br />
ระดับความลึกบอ รวมไปถึงการตรวจวัดระดับแรงดัน<br />
น้ําในบอน้ําพุ สําหรับการตรวจวัดระดับความลึกบอ<br />
รวมไปถึงวิธีการตรวจวัดความลึกบอน้ําบาดาลที่มีการ<br />
กอสรางบอเพื่อหลีกเลี่ยงการแจงขออนุญาตเจาะและ<br />
ใชน้ําบาดาลตามพระราชบัญญัติน้ําบาดาล<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 96<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
2.1.2 การจัดเก็บตัวอยางน้ําบาดาล รวม<br />
ไปถึงการจัดเก็บตัวอยางน้ําบาดาลที่ระดับความลึก<br />
ตางๆ<br />
2.1.3 การวิเคราะหคุณภาพน้ําบาดาล<br />
เบื้องตน เปนการวิเคราะหคุณสมบัติทางกายภาพ<br />
และตรวจวัดคุณสมบัติทางเคมีเบื้องตนของตัวอยาง<br />
น้ําบาดาลในสนาม เฉพาะคุณสมบัติทางเคมีที่<br />
เปลี่ยนแปลงไดอยางรวดเร็วเทานั้น ไมรวมถึงการ<br />
วิเคราะหตัวอยางน้ําบาดาลในหองปฏิบัติการ<br />
2.1.4 การเจาะเก็บตัวอยางชั้นดินชั้นหิน<br />
ระดับตื้น เปนการเจาะดวยอุปกรณหรือเครื่องเจาะ<br />
แบบงายๆ จํากัดความลึกไมเกิน 20 ม. โดยมีวัตถุ<br />
ประสงคสําหรับเก็บตัวอยางชั้นดินชั้นหินใตผิวดินและ<br />
น้ําบาดาลระดับตื้นเพื่อการวิเคราะหในหองปฏิบัติการ<br />
เทานั้น<br />
2.1.5 คูมือฉบับนี้ครอบคลุมถึงเฉพาะ<br />
วิธีการเก็บตัวอยางน้ําบาดาล เพื่อการวิเคราะหทาง<br />
อนินทรีเคมีเทานั้น ไมรวมไปถึงการจัดเก็บตัวอยางน้ํา<br />
บาดาลสําหรับการวิเคราะหทางอินทรีเคมี หรือการ<br />
วิเคราะหแรธาตุหายาก (trace elements) หรือธาตุ<br />
กัมมันตภาพรังสี ซึ่งจําเปนตองควบคุมการจัดเก็บ<br />
ตัวอยางเปนกรณีพิเศษ<br />
2.1.6 คูมือฉบับนี้ไมครอบคลุมถึงวิธีการ<br />
ตรวจวิเคราะหดินหินใตผิวดิน (cutting analysis) และ<br />
การวิเคราะหคุณสมบัติทางเคมีของน้ําบาดาลใน<br />
หองปฏิบัติการ ซึ่งมีรายละเอียดในมาตรฐาน ทบ พ<br />
1000-2550 และคูมือ ทบ พ1000-2550<br />
2.1.7 คูมือฉบับนี้ไมครอบคลุมถึงการ<br />
เจาะบอสํารวจและการเจาะบอสังเกตการณ ซึ่งมี<br />
รายละเอียดในมาตรฐาน ทบ พ 6000-2550 และคูมือ<br />
ทบ พ 6000-2550<br />
2.2 หนวยวัดตางที่ใชในเอกสารคูมือฉบับนี้<br />
เปนหนวยวัดระบบหนวยวัดมาตรฐาน (Système<br />
Internationale d’Unitès หรือ SI Units)<br />
2.3 ขอความที่เกี่ยวของกับมาตรฐานความ<br />
ปลอดภัยในเอกสารฉบับนี้ ครอบคลุมเฉพาะความ<br />
ปลอดภัยในการใชเครื่องมือที่มีมาตรฐานและอยูใน<br />
สภาพสมบูรณพรอมใชงานเทานั้น ไมครอบคลุมถึง<br />
ความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน หรืออุบัติเหตุใดๆ ที่<br />
อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานภาคสนาม ซึ่งจะเปน<br />
ความรับผิดของผูใชงานในการปฏิบัติงานดานตางๆ<br />
ตามขั้นตอนของเอกสารคูมือฉบับนี้ ผูใชงานจึง<br />
จําเปนตองคํานึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและ<br />
ทรัพยสินทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน<br />
2.4 คูมือฉบับนี้สามารถใชหรือประยุกตเปน<br />
แนวทางหรือการกําหนดแนวทางในการปฏิบัติงาน<br />
ดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดินทั่วๆไป งาน<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยาขั้นรายละเอียดเฉพาะพื้นที่<br />
ขึ้นอยูกับการตัดสินใจของผูเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่อง ซึ่ง<br />
อาจเพิ่มเติมรายละเอียดการสํารวจนอกเหนือจากที่ได<br />
กําหนดในเอกสารนี้ได ตามความเหมาะสม<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ<br />
3.1 กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2001-2550 การคัด-<br />
เลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2002-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2003-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วคลื่นไหว<br />
สะเทือนแบบหักเห<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2004-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดคลื่นแมเหล็กไฟฟา<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2005-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวงจุลภาค<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 97<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 3000-2550 การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ พ 1001-2550 การเจาะ<br />
เพื่อการสํารวจและศึกษาคุณสมบัติของชั้นน้ํา<br />
- มาตรฐาน ทบ พ 6000-2550 การเก็บ<br />
และการวิเคราะหตัวอยางตะกอนและหินจากหลุมเจาะ<br />
- คูมือ ทบ ส 1000-2550 การสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ<br />
- คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วคลื่นไหวสะเทือน<br />
แบบหักเห<br />
- คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดคลื่นแมเหล็กไฟฟา<br />
- คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
- คูมือ ทบ พ 1001-2550 การเจาะเพื่อ<br />
การสํารวจและศึกษาคุณสมบัติของชั้นน้ํา<br />
- คูมือ ทบ พ 6000-2550 การเก็บและ<br />
การวิเคราะหตัวอยางตะกอนและหินจากหลุมเจาะ<br />
3.2 American Society for Testing and<br />
Materials (ASTM):<br />
- D5879–02. Standard Guide for Geotechnical<br />
Mapping of Large Underground<br />
Openings in Rocks<br />
- D5980-96 (Re 2004) Standard Guide<br />
for Selection and Documentation of Existing<br />
Wells for Use in Environmental Site Characterization<br />
and Monitoring<br />
- D6000-96 (Re 2002) Standard Guide<br />
for Presentation of Water Level information from<br />
Groundwater sites<br />
- D5612-94 (Re 2003) Standard Guide<br />
for Quality Planning and Field Implementation of<br />
a Water Quality Measurement Program<br />
- D6151-97 (Re 2003) Standard Practice<br />
for Using Hollow Stem Augers for Geotechnical<br />
Exploration and Soil Sampling<br />
- D5730–04. Standard Guide for Site<br />
Characterization for Environmental Purposes with<br />
Emphasis on Soil, Rock, the Vadose and<br />
Groundwater<br />
- D2488–06 Standard Practice for<br />
Description and Identification of Soils<br />
- D6699-01 (Re 2006) Standard Practice<br />
for Sampling Liquids Using Bailers<br />
4. ศัพทบัญญัติ<br />
4.1 คํานิยาม<br />
การเก็บตัวอยางชั้นดินชั้นหินระดับตื้น เปน<br />
การเจาะดวยอุปกรณหรือเครื่องเจาะแบบงายๆ จํากัด<br />
ความลึกไมเกิน 20 เมตรโดยมีวัตถุประสงคสําหรับ<br />
เก็บตัวอยางชั้นดินชั้นหินใตผิวดินและน้ําบาดาลระดับ<br />
ตื้น<br />
การสํารวจน้ําบาดาลเฉพาะแหง (groundwater<br />
investigation for pin-point well drilling)<br />
หมายถึง การสํารวจอุทกธรณีวิทยา ที่มีวัตถุประสงค<br />
เพื่อกําหนดตําแหนงจุดเจาะบอน้ําบาดาลที่เหมาะสม<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน (subsurface<br />
hydrogeological investigation) หมายถึง<br />
การสํารวจเพื่อเก็บขอมูลดานอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
โดยใชเครื่องมือเจาะหรือหยั่งลึกลงไปจากผิวดิน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 98<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คุณภาพน้ําบาดาลเบื้องตนเปนคุณสมบัติ<br />
ทางกายภาพและคุณสมบัติทางเคมีเบื้องตนของ<br />
ตัวอยางน้ําบาดาลในสนาม เฉพาะคุณสมบัติทางเคมี<br />
ที่เปลี่ยนแปลงไดอยางรวดเร็วเทานั้น เชน ความเปน<br />
กรด-ดาง ความนําไฟฟา ปริมาณสารทั้งหมดที่ละลาย<br />
ได อุณหภูมิ และความขุนของน้ํา<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน<br />
(conceptual hydrogeological models) หมายถึง<br />
แบบจําลองของพื้นที่สํารวจจากขอมูลดานอุทกธรณี-<br />
วิทยาที่ไดจากการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
เพื่อใชประกอบกับแผนที่อุทกธรณีวิทยาสําหรับการ<br />
กําหนดแนวทางการสํารวจขั้นตอไป<br />
ระดับน้ําบาดาล หมายถึง แนวหรือพื้นผิว<br />
ในชั้นใหน้ําแบบเปดที่มีความดันของน้ําที่มีคาเทากับ<br />
ความดันบรรยากาศ<br />
4.2 คํายอ<br />
กรมฯ หมายถึง กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
การสํารวจฯ หมายถึง การสํารวจอุทกธรณี<br />
วิทยาใตผิวดิน<br />
แบบจําลองฯ หมายถึง แบบจําลองทางอุทก<br />
ธรณีวิทยา<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน<br />
5.1 คูมือฉบับนี้ไดกําหนดวิธีการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาใตผิวดิน เพื่อประยุกตใชในการสํารวจ<br />
สภาพอุทกธรณีวิทยาในพื้นที่ตางๆ สําหรับการปรับ<br />
ใชเพื่อใหไดผลงานการสํารวจตรงตามมาตรฐานที่<br />
กรมทรัพยากรน้ําบาดาลกําหนด โดยสามารถนําไป<br />
ประยุกตใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยาตางๆ ดังนี้<br />
5.1.1 เปนคูมือใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
ใตผิวดิน ในดานการสํารวจขอมูลการเจาะภาคสนาม<br />
(well inventory) สําหรับงานสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
ทั่วๆ ไป<br />
5.1.2 เปนคูมือใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
ใตผิวดินสําหรับงานสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
โดยมีกระบวนการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
ตอเนื่อง ตามมาตรฐาน ทบ ส 4000-2550<br />
5.1.3 เปนคูมือใชในการวัดระดับน้ําบาดาลและ<br />
การจัดเก็บตัวอยางน้ําบาดาลในงานทดสอบปริมาณ<br />
น้ําในบอน้ําบาดาล (pumping tests) ตามมาตรฐาน<br />
ทบ พ 5000-2550<br />
5.1.4 เปนคูมือใชในการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
ใตผิวดินสําหรับงานศึกษาวิจัยแหลงน้ําบาดาลตางๆ<br />
เชน การศึกษาวิจัยเพื่อประเมินปริมาณน้ําสํารอง<br />
แหลงน้ําบาดาลในชั้นหินแข็ง ตามคูมือ ทบ ป 1000-<br />
2550 การศึกษา วิจัยเพื่อประเมินพื้นที่เติมน้ําตาม<br />
คูมือ ทบ ป 2000-2550 การศึกษาวิจัยเพื่อจัดทํา<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาทางคณิตศาสตร ตาม<br />
มาตรฐาน ทบ ป 3000-2550 และการ ศึกษาวิจัยทาง<br />
อุทกธรณีวิทยาดานอื่นๆ<br />
5.2 คูมือฉบับนี้ไดกําหนดขั้นตอนและแนว<br />
ทางการปฏิบัติงานไวกวางๆ สําหรับการปรับใชกับ<br />
งานสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวผิวดินตามวัตถุ<br />
ประสงคตางๆ ซึ่งอาจมีความตองการรายละเอียดของ<br />
ขอมูลไมเหมือนกันโดยเฉพาะปริมาณของขอมูล<br />
ยอมขึ้นอยูกับขนาดของพื้นที่สํารวจ เวลา และงบ-<br />
ประมาณของงานสํารวจแตละงาน ดังนั้นขั้นตอนและ<br />
แนวทางการปฏิบัติงานที่กําหนดในเอกสารฉบับนี้<br />
สามารถดัดแปลงไดตามที่ผูเชี่ยวชาญของโครงการ<br />
แตละโครงการเห็นสมควร<br />
6. เครื่องมือและอุปกรณ<br />
6.1 เครื่องมือและอุปกรณที่ใชในการวัดระดับน้ํา<br />
บาดาลและความลึกบอน้ําบาดาล<br />
เครื่องมือใชในการวัดระดับน้ําบาดาล มีหลาย<br />
รูปแบบตั้งแตรูปแบบงายๆ การใชเทปเหล็ก (steel<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 99<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
tapes) เปนเทปเหล็กที่ผลิตสําหรับการวัดระดับ<br />
น้ําบาดาลโดยเฉพาะ ผลิตตามมาตรฐานของ United<br />
State Geological Survey (USGS) ที่มีความยึดหด<br />
ตามอุณหภูมินอย หรือการใชเครื่องวัดระดับน้ํา<br />
(water level dippers) ซึ่งปกติอาจเรียกวา “electric<br />
tapes”สําหรับเครื่องวัดระดับน้ํา ประกอบดวยมวน<br />
สายไฟฟา ที่มีดามถือสําหรับเครื่องวัดขนาดเล็ก สวน<br />
ขนาดใหญมวนสายไฟอยูบนโครงเหล็กสําหรับหมุน<br />
เก็บสายไฟฟา มีเครื่องสงสัญญาณซึ่งอาจเปน<br />
หลอดไฟหรือระบบสงเสียง สายไฟเปนสายคูมี<br />
เครื่องหมายบอกระยะความยาวเปนเซนติเมตร ความ<br />
ยาวของสายไฟ ตั้งแต 50-80 เมตร (ขนาดเล็ก) 100-<br />
500 เมตร (ขนาดใหญ) มีหัวโปรบ (probe) เปนเข็ม<br />
ขนาดเล็กๆ ปลายเข็มตออยูกับสายไฟทั้งสองสาย มี<br />
ฉนวนกันไมใหสายไฟทั้งสองสัมผัสกัน เข็มถูกหอหุม<br />
ดวยปลอกเหล็กเจาะรูเฉพาะตรงปลายเข็ม ทําหนาที่<br />
ปองกันตัวเข็ม และถวงน้ําหนักใหสายไฟอยูใน<br />
ลักษณะตรง (รูปที่ 1)<br />
เครื่องวัดระดับน้ําจะตองเลือกขนาดใหเหมาะสม<br />
กับพื้นที่สํารวจ ในบริเวณพื้นที่ระดับน้ําตื้นควรเลือก<br />
ขนาดเล็ก เนื่องจากเครื่องวัดระดับน้ําขนาดใหญมักจะ<br />
ใชสายไฟขนาดใหญและแข็งแรง เพื่อปองกันการยืด<br />
หดของสายไฟฟา เครื่องวัดระดับน้ําขนาดเล็กยอม<br />
สะดวกในการพกพาไปมาในสนามมากกวา อยางไรก็<br />
ตาม การเลือกเครื่องวัดระดับน้ําสําหรับใชงานในพื้นที่<br />
ใด จะตองเผื่อความยาวของสายไฟใหเพียงพอสําหรับ<br />
ระดับน้ําลด draw down (DD.) ในการทดสอบปริมาณ<br />
การใหน้ําของบอน้ําบาดาลหรือ pumping test ซึ่งบาง<br />
พื้นที่อาจมีระดับน้ําลดสูงมาก หากทําการทดสอบดวย<br />
อัตราการสูบสูงๆ<br />
โดยปกติเครื่องมือที่ใชในการวัดระดับความลึกบอ<br />
น้ําบาดาลมักจะเปนเครื่องมืองายๆ ประ กอบดวย<br />
มวนขดลวดสลิงขนสดเล็ก เสนผาศูนยกลางไมเกิน 5<br />
มิลลิเมตร ซึ่งอยูในที่มวนสายเชนเดียวกับเครื่องวัด<br />
ระดับน้ําขนาดใหญ ปลายลวดสลิงผูกติดดวยตุม<br />
น้ําหนัก เพื่อใหสามารถหยอนลงไปในบอน้ําบาดาลใน<br />
การวัดระดับความลึกบอไดโดยสะดวก แตการวัด<br />
ความลึกของบอน้ําบาดาลที่อาจแจงความลึกบอนอย<br />
กวาความเปนจริงจําเปนตองใชเครื่องมือพิเศษซึ่งจะ<br />
กลาวรายละเอียดในหัวขอ 8<br />
สายไฟ<br />
แบนมี<br />
มาตร<br />
สวน<br />
น้ําหนัก<br />
(ก) เครื่องวัดระดับน้ําแบบไฟฟา (ข) สายไฟและขั้วไฟฟาของ<br />
เครื่องวัดระดับน้ําแบบไฟฟา<br />
(ค) เครื่องวัดระดับน้ําแบบเทปเหล็ก<br />
สําหรับบอลึก<br />
รูปที่ 1 เครื่องวัดระดับน้ําบาดาล (Brussington, 1997 และ Garber and Koopman, 1978)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 100<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
6.2 อุปกรณที่ใชในการเก็บตัวอยางน้ําบาดาล<br />
อุปกรณที่ใชในการเก็บตัวอยางน้ําจากบอ<br />
น้ําบาดาลทั่วๆ ไป สําหรับบอเจาะที่มิไดติดตั้งเครื่อง<br />
สูบน้ํา คือกระบอกตักน้ํา (bailer หรือ sampler) ซึ่งมี<br />
สวนประกอบงายๆ คือเปนกระบอกทอขนาดตางๆ<br />
อาจเปนทอเหล็กไรสนิมหรือทอเหล็กอาบสังกะสี หรือ<br />
ทอ PVC หรือทอ PTFE หรือทอ polyethylene<br />
สวนบนของทอผูกติดกับลวดสลิงขนาดเล็กสําหรับ<br />
หยอนกระบอกตักน้ําลงไปในบอ (suspension line)<br />
ปลายทอดานลางอาจมีลิ้นเปดปดใหน้ําเขากระบอก<br />
ตักเมื่อหยอนลงไปในบอ โดยปกติมีแบบตางๆให<br />
เลือกใชตามความเหมาะสม 3 แบบคือ กระบอกตัก<br />
แบบลิ้นเดี่ยว (single valve bailer) กระบอกตักแบบ<br />
ลิ้นคู (double valve bailer) และกระบอกตักแบบใช<br />
ความดันตางศักย (differential pressure bailer) (รูป<br />
ที่ 2) ขวดที่ใชสําหรับเปนภาชนะใสตัวอยางน้ํา<br />
โดยทั่วไปเปนขวดขนาด 1 ลิตร อาจเปนขวดแกวหรือ<br />
ขวดพลาสติกก็ได มีฝาปดขวดใหแนน มีสลากติดขาง<br />
ขวดสําหรับเขียนหมายเลขบอน้ําบาดาลตําแหนงบอ<br />
ระดับความลึกบอ ระดับความลึกของน้ําตัวอยาง<br />
วิธีการเก็บตัวอยาง วันเดือนป ของการเก็บตัวอยาง<br />
รวมทั้ง physical properties ของตัวอยางน้ําในขณะ<br />
เก็บน้ําตัวอยาง เชนความขุน (turbidity) สี กลิ่น และ<br />
รส สลากติดขวดน้ําตัวอยางตอผนึกกับขวดใหแนน<br />
และคงทนเพียงพอสําหรับการขนสงจากสนามสู<br />
หองปฏิบัติการวิเคราะหน้ํา<br />
6.3 เครื่องมือและอุปกรณที่ใชในการวิเคราะห<br />
คุณสมบัติเบื้องตนของตัวอยางน้ําบาดาล<br />
ชุดเครื่องมือสําหรับการตรวจวิเคราะห<br />
ตัวอยางน้ําบาดาลภาคสนาม (well-head analysis)<br />
สวนใหญเปนเครื่องวัดคาตางๆ ในน้ําไดโดยงาย ดวย<br />
หัว probes แบบตางๆ ประกอบดวย<br />
6.3.1 เครื่องวัดคาความเปนกรดเปนดาง<br />
(pH meter)<br />
6.3.2 เครื่องวัดอุณหภูมิของน้ํา<br />
6.3.3 เครื่องวัดคาความความนําไฟฟา<br />
(electrical conductivity meter)<br />
6.3.4 เครื่องวัดปริมาณออกซิเจนละลายน้ํา<br />
6.3.5 อุปกรณตรวจวัดปริมาณสารละลายในน้ํา<br />
อื่นๆ<br />
ปลายทอสวนบนมี<br />
รูสําหรับรอยเชือก<br />
ตัวกระบอก<br />
ปลายทอสวนบนมี<br />
รูสําหรับรอยเชือก<br />
ลิ้นเปดปดตัวบน<br />
ตัวกระบอก<br />
หลอดระบายอากาศ<br />
หลอดเก็บตัวอยางน้ํา<br />
จุกเปดปดสําหรับ<br />
เทน้ําตัวยาง<br />
ลิ้นเปดปด<br />
ลิ้นเปดปดตัวลาง<br />
(ก) กระบอกตักน้ําแบบลิ้นเดี่ยว (ข) กระบอกตักน้ําแบบลิ้นคู (ค) กระบอกตักน้ําแบบใชความดันตางศักย<br />
รูปที่ 2 สวนประกอบของกระบอกตักน้ําแบบ mechanical bailers (ASTM, 2006)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 101<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
6.4 เครื่องมือและอุปกรณที่ใชในการเจาะเก็บ<br />
ตัวอยางดินหินระดับตื้น<br />
อุปกรณและเครื่องเจาะเก็บตัวอยางดินหิน<br />
ใตผิวดินมีมากมายหลายรูปแบบใหเลือกใช ตามความ<br />
เหมาะสมของงาน ตั้งแตอุปกรณการเจาะงายๆ ที่เจาะ<br />
เก็บตัวอยางตะกอนหินรวนไดลึกไมเกิน 10 เมตร ไป<br />
จนถึงเครื่องเจาะเก็บตัวอยางแทงหินแข็ง (core<br />
samples) ดวยการดวยเครื่องเจาะขนาดเล็กที่มีขีด<br />
ความสามารถในการเจาะถึงระดับความลึก 100 เมตร<br />
สําหรับคูมือฉบับนี้จะครอบคลุมเฉพาะการเจาะสํารวจ<br />
เพื่อจัดเก็บตัวอยางชั้นหินรวนและแทงตัวอยางหิน<br />
แข็งที่ระดับความลึกไมเกิน 30 เมตรเทานั้น สวนการ<br />
เจาะสํารวจระดับลึกจะจัดอยูในหมวดของการพัฒนา<br />
บอน้ําบาดาลอุปกรณและเครื่องเจาะเก็บตัวอยางดิน<br />
หินใตผิวดินระดับตื้นประกอบดวยชุดเครื่องมือตางๆ<br />
ดังนี้ (รูปที่ 3)<br />
6.4.1 ชุดเครื่องเจาะแบบมือหมุน<br />
6.4.2 ชุดเครื่องเจาะแบบดูดตัวอยาง<br />
6.4.3 ชุดเครื่องเจาะแบบหมุนตรงขนาดเล็ก<br />
6.4.4 ชุดเครื่องเจาะเก็บตัวอยางแทงหิน<br />
แบบกระแทก<br />
7. การวัดระดับน้ําบาดาล<br />
ขอมูลระดับน้ํานิ่ง (static water level, SWL) ใน<br />
บอน้ําบาดาล เปนขอมูลสําคัญในทางอุทกธรณีวิทยา<br />
สําหรับการศึกษาวิจัยในดานตางๆ คูมือฉบับนี้ไดแนว<br />
ทางการวางแผนและกําหนดการคัดเลือกบอน้ําบาดาล<br />
สําหรับการตรวจวัดระดับน้ําบาดาล วิธีการตรวจวัด<br />
ระดับน้ําบาดาลในภาคสนาม และการนําเสนอผลงาน<br />
การตรวจวัดระดับน้ําบาดาล ดังรายละเอียดตอไปนี้<br />
(ก) อุปกรณชุดเจาะแบบมือหมุน<br />
(ข) ลักษณะการเจาะแบบดูดตัวอยาง<br />
รูปที่ 3 ชุดอุปกรณและเครื่องเจาะเก็บตัวอยางดินหินแบบตางๆ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 102<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
7.1 การวางแผนและการคัดเลือกจุดวัดระดับน้ํา<br />
บาดาล<br />
7.1.1 การวางแผนและการคัดเลือกจุดสํารวจ<br />
ระดับน้ําบาดาลใหตรงตามวัตถุประสงคของงาน<br />
เนื่องจากระดับน้ําบาดาลสามารถนําไป<br />
ประยุกตใชตามวัตถุประสงคในการสํารวจ ศึกษาและ<br />
วิจัยทางอุทกธรณีวิทยาหลายๆ ดาน ดังนั้นการสํารวจ<br />
ระดับน้ําบาดาลในภาคสนามจําเปนตองวางแผนการ<br />
สํารวจจัดเก็บขอมูลใหตรงตามวัตถุประสงคของงาน<br />
โดยมีขอสรุปดังนี้<br />
(1) วัตถุประสงคเพื่อสังเกตการณการ<br />
เปลี่ยนแปลงของน้ําบาดาลของชั้นน้ํา ในกรณีที่เปน<br />
การจัดตั้งสถานีสังเกตการณ (monitoring stations)<br />
ใหคัดเลือกบอเจาะที่หางจากบอผลิตในชั้นน้ําเดียวกัน<br />
อยางนอยพนจากรัศมีการแยงน้ําของบอผลิต เพื่อลด<br />
ผลกระทบจากกรวยน้ําลดจากบอผลิต และบอ<br />
สังเกตการณตองลงทอกรองน้ําตลอดชวงความหนา<br />
ของชั้นน้ํา เฉพาะในชั้นน้ําที่ตองการตรวจวัดระดับน้ํา<br />
เทานั้น (single aquifer, fully penetration well)<br />
(2) วัตถุประสงคเพื่อการศึกษาทิศ<br />
ทางการไหลของน้ําบาดาลในชั้นน้ํา บอที่ใชในการ<br />
ตรวจวัดระดับน้ําจะตองเปนบอที่เจาะในชั้นน้ํา<br />
เดียวกัน และตองไมมีการสูบน้ําจากบอตรวจวัดอยาง<br />
นอย 12 ชั่วโมงกอนการตรวจวัดระดับน้ําหรือจนกวา<br />
ระดับน้ําคืนตัวสูระดับน้ําบาดาลปกติ<br />
(3) วัตถุประสงคเพื่อการศึกษาปริมาณ<br />
การกักเก็บน้ําบาดาลในชั้นหินอุมจะตองมีบอสังเกต-<br />
การณสําหรับตรวจวัดระดับน้ําอยางนอย 2 บอตอ 1<br />
ชั้นน้ํา คือทั้งบอสูบและบอสังเกตการณจะตองลง<br />
ทอกรองน้ําตลอดชวงความหนาของชั้นน้ําเฉพาะใน<br />
ชั้นน้ําที่ตองการตรวจวัดระดับน้ําเทานั้นโดยบอ<br />
สังเกตการณหางจากบอสูบไมเกินรัศมีการแยงน้ํา<br />
ของบอสูบ<br />
7.1.2 การจัดเตรียมเอกสารสําหรับการวาง<br />
แผนการจัดเก็บระดับน้ําบาดาล<br />
(1) แผนที่อุทกธรณีวิทยาพรอมแบบ<br />
จําลองทางอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศนของพื้นที่<br />
สํารวจหรือยางนอยจะตองแสดงแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
โดยสังเขปพรอมดวยแบบจําลองเชิงมโนทัศนของ<br />
พื้นที่สํารวจที่ไดจากการสํารวจอุทกธรณีวิทยา<br />
เบื้องตนของพื้นที่สํารวจ<br />
(2) ตําแหนงบอน้ําบาดาลทั้งหมดใน<br />
พื้นที่สํารวจ พรอมดวยขอมูลบอ เชน ความลึก ขอมูล<br />
การกอสรางบอ ขอมูลชั้นดินชั้นหินจากการเจาะขอมูล<br />
การหยั่งธรณีหลุมเจาะ และขอมูลการใชน้ํา เปนตน<br />
(3) ตําแหนงบอที่คัดเลือกไวสําหรับการ<br />
ตรวจวัดระดับน้ํา<br />
(4) แผนการจัดเก็บขอมูลระดับน้ําพรอม<br />
ระบุชวงระยะเวลาในการจัดเก็บขอมูลตางๆ<br />
(5) ในกรณีที่จําเปนตองรังวัดระดับบอ<br />
ใหจัดทําแผนการรังวัด พรอมวิธีการรังวัด<br />
7.2 วิธีการสํารวจตรวจวัดระดับน้ําบาดาล<br />
7.2.1 มาตรฐานการสํารวจจัดเก็บขอมูลระดับ<br />
น้ําบาดาล<br />
การสํารวจจัดเก็บขอมูลระดับน้ําบาดาล<br />
อาจแบงออกเปนวิธีการสํารวจออกเปน 2 วิธีการ<br />
ใหญๆ คือวิธีการวัดระดับน้ําบาดาลจากบอน้ําบาดาล<br />
และวิธีการใชเครื่องบันทึกระดับน้ําบาดาลอยาง<br />
ตอเนื่องซึ่งตามมาตรฐานกรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
(ทบ ส 3000-2550) ไดกําหนดมาตรฐานการจัดเก็บ<br />
ขอมูลระดับน้ําบาดาล ดังนี้<br />
(1) ตองใชเครื่องมือตรวจวัดระดับน้ํา<br />
บาดาลที่ไดมาตรฐานอยูในสภาพสมบูรณพรอมใชงาน<br />
และสอบเทียบ (calibrate) เครื่องมือตรวจวัดอยาง<br />
สม่ําเสมอ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 103<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(2) เครื่องตรวจวัดระดับน้ําบาดาล<br />
อัตโนมัติ จะตองติดตั้งอยางถูกตองตามคูมือประจํา<br />
เครื่องและสอบเทียบการทํางานของเครื่องมือตรวจวัด<br />
รวมทั้งตรวจสอบระบบ data transfer อยางสม่ําเสมอ<br />
(3) ในการจัดเก็บขอมูลภาคสนาม ตอง<br />
คํานึงถึงสภาพแวดลอมในขณะตรวจวัด เชน ระดับ<br />
ความดันบรรยากาศ การขึ้นลงของระดับน้ําทะเล<br />
แผนดินไหว หรือ น้ําหนักกดทับบนผิวดินที่ใกลพื้นที่<br />
เชนขบวนรถไฟ หรือรถบรรทุกวิ่งผานในพื้นที่<br />
ขางเคียง<br />
7.2.2 การสํารวจจัดเก็บขอมูลระดับน้ําบาดาล<br />
ปกติ หรือการวัดระดับน้ําบาดาลจากบอน้ําบาดาล<br />
ระดับตื้น<br />
การสํารวจจัดเก็บขอมูลระดับน้ําบาดาล<br />
ปกติ หรือการวัดระดับน้ําบาดาลจากบอน้ ําบาดาล<br />
ระดับตื้น โดยใชเครื่องวัดแบบตางๆ เชน เทปเหล็ก<br />
หรือ เครื่องวัดระดับน้ํา มีวิธีการสํารวจในภาคสนาม<br />
โดยสรุป ดังนี้<br />
(1) ตรวจสอบการทํางานของเครื่องมือ<br />
หากเปนเครื่องวัดระดับน้ําใหตรวจสอบ โดยการแช<br />
probe ในน้ําหากเครื่องสงสัญญาณไมทํางาน ใหตรวจ<br />
สภาพแบตเตอรี่ หากยก probe ขึ้นจากน้ําแลวสะบัด<br />
เบาๆ ใหสะเด็ดน้ําแลว เครื่องสงสัญญาณ ยังไมหยุด<br />
ทํางาน ใหตรวจสอบความสะอาดของหัวเข็มบน<br />
Probe หรือลองฉีดลางหัวเข็มบน Probe ดวยน้ํากลั่น<br />
(2) หยอน Probe ลงทางปากบอชาๆ<br />
ระวังไมใหแกวงไปมา จนกวาหัว probe สัมผัสระดับ<br />
น้ําในบอ วงจรไฟฟาจะเปด เครื่องสงสัญญาณจะ<br />
ทํางาน ดึงสายกลับขึ้นมาเล็กนอย จนเครื่องสง<br />
สัญญาณหยุด คอยๆ หยอนลงไปอีกเล็กนอยจนสัมผัส<br />
ระดับน้ําอีกครั้ง ทําซ้ํา 3-4 ครั้ง จนแนใจวาไดความ<br />
ลึกของระดับน้ํา อานความยาวสายไฟ หักระดับความ<br />
สูงของปากบอออก ก็จะไดระดับน้ําบาดาลของพื้นที่<br />
นั้น คอยๆ ดึงสายไฟขึ้นจากบอน้ําบาดาลอยางชาๆ<br />
7.2.3 การสํารวจจัดเก็บขอมูลระดับแรงดันน้ํา<br />
บาดาลจากบอน้ําบาดาลพุ<br />
ในบอน้ําบาดาลแบบพุ (flowing wells)<br />
ระดับความดันน้ําจะอยูสูงกวาผิวดิน การวัดระดับ<br />
ความดันน้ําอาจวัดไดโดยการติดตั้งเครื่องวัดแรงดัน<br />
ซึ่งไดแปลงระดับแรงดันเปนความดันตอเมตรของน้ํา<br />
(meter head of water) โดยสวนใหญจะมีความถูก<br />
ตองแมนยําระหวาง +0.5 เมตรหรืออาจติดตั้งดวยทอ<br />
พลาสติกแข็งใส ซึ่งมีความคลาดเคลื่อนไมเกิน +1<br />
เซนติเมตรแตหากความดันน้ําเกินกวา 2 เมตร ควรใช<br />
การวัดดวย pressure gauge ยกเวนกรณีที่สามารถ<br />
ตรึงทอพลาสติกใส กับตนไม เสาไฟฟาในบริเวณ<br />
ขางเคียงได ขนาดของทอหรือการติดตั้งไมไดระดับตั้ง<br />
ฉากกับผิวดิน ไมมีสวนใหระดับน้ําในทอลดหรือ<br />
เพิ่มขึ้น ระดับน้ําจะขึ้นอยูกับความดันของน้ําในบอ<br />
สวนที่อาจกอใหเกิดความคลาดเคลื่อนไดคือ แรงเสียด<br />
ทานในเสนทอเทานั้น<br />
7.3 วิธีการนําเสนอและการปะยุกตใชขอมูล<br />
ระดับน้ํา<br />
การนําเสนอขอมูลระดับน้ําบาดาลขึ้นอยู<br />
กับวัตถุประสงคของการสํารวจ หรือการประยุกตใช<br />
ขอมูลระดับน้ําบาดาลสําหรับดานอุทกธรณีวิทยา คูมือ<br />
ฉบับนี้จะสรุปการนําเสนอขอมูลระดับน้ําบาดาลดวย<br />
วิธีการตางๆ ดังนี้<br />
7.3.1 การนําเสนอขอมูลในรูปตาราง<br />
ตามมาตรฐานกรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
(ทบ ส 3000-2550) ไดกําหนดตารางระดับน้ําบาดาล<br />
พรอมบันทึกขอมูลบอสังเกตการณ ดังนี้<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 104<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
ตารางการจัดเก็บขอมูลระดับน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 1 การนําเสนอขอมูลในรูปตาราง<br />
ตาราง<br />
3000-1<br />
โครงการ: …………………………………………………………………………………………………………………………………….…<br />
ตําแหนงบอ: E…………….N………….ที่ตั้ง…………บาน :……………ตําบล:………………อําเภอ:……………จังหวัด: ………….….<br />
ชั้นน้ํา: ……………... ระดับความสูงของภูมิประเทศ: …………….ม. รทก. เครื่องมือที่ใชตรวจวัดในภาคสนาม: …………………….<br />
ขอมูลบันทึกการเจาะบอของบอสังเกตการณ: เสนผาศูนยกลางการเจาะ: ……….มม. ความลึก: …..… ม., ขนาดทอกันพัง:..…..……ม.<br />
ความลึกของการลงทอกันพัง:……….. ม. ., ชวงความลึกของทอกรอง:……………. ม.<br />
ชนิดของการบันทึกระดับน้ําบาดาล: …………………….…………………… ผูรับผิดชอบ: ………………………………………………<br />
DATE ต.ค. พ.ย. ธ.ค. ม.ค. ก.พ. มี.ค. เม.ย. พ.ค. มิ.ย. ก.ค. ส.ค. ก.ย.<br />
7.3.2 การนําเสนอขอมูลในรูปของ<br />
Hydrographs แบบตางๆ<br />
ขอมูลระดับน้ําบาดาลอาจนําเสนอใน<br />
รูปแบบ hydrographs เพื่อแสดงความสัมพันธของ<br />
ระดับน้ํารวมกับสภาพอุทกธรณีวิทยาหรือสภาพ<br />
สิ่งแวดลอมอื่นๆ ดังตัวอยางตอไปนี้คือ<br />
(1) Hydrograph แสดงความสัมพันธ<br />
ระหวางระดับน้ําบาดาลและปริมาณน้ําฝน<br />
(2) Hydrograph แสดงความสัมพันธ<br />
ระหวางระดับน้ําบาดาลกับ artificial recharge<br />
(3) Hydrograph แสดงความสัมพันธ<br />
ระหวางระดับน้ําบาดาลกับความดันบรรยากาศ (รูปที่<br />
4)<br />
(4) Hydrograph แสดงความสัมพันธ<br />
ระหวางระดับน้ําบาดาลกับการขึ้นลงของน้ําทะเล<br />
(5) Hydrograph แสดงความสัมพันธ<br />
ระหวางระดับน้ําบาดาลกับปริมาณการสูบน้ําจากบอ<br />
ขางเคียง<br />
(6) Hydrograph แสดงความสัมพันธ<br />
ระหวางระดับน้ําบาดาลกับอุณหภูมิ (รูปที่ 5)<br />
(7) Hydrograph แสดงความสัมพันธ<br />
ระหวางระดับน้ําบาดาลกับปริมาณน้ําทา (รูปที่ 6)<br />
(8) Hydrograph แสดงความสัมพันธ<br />
ระหวางการขึ้นลงของระดับน้ําบาดาลกับการรั่วของ<br />
แหลงกาซธรรมชาติใตผิวดิน ความดันบรรยากาศ (รูป<br />
ที่ 7)<br />
7.3.3 การนําเสนอขอมูลในรูปแผนที่ระดับน้ํา<br />
บาดาล<br />
ขอมูลระดับน้ําบาดาลอาจนําเสนอในรูป<br />
แบบแผนที่ ซึ่งมักจะแสดงเปน 3 รูปแบบคือ (1) แผน<br />
ที่แสดงระดับน้ําบาดาลเหนือระดับน้ําทะเลปานกลาง<br />
หรือเหนือระดับความสูงสมมติอื่นๆ (potentiometric<br />
maps) (2) แผนที่แสดงระดับน้ําบาดาลใตผิวดิน และ<br />
(3) แผนที่แสดงการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ําบาดาล<br />
เปนแผนที่แสดงการเปลี่ยนแปลงระดับน้ําบาดาล<br />
ในชวงระยะเวลาใดเวลาหนึ่ง เชน การเปลี่ยนแปลง<br />
ระดับน้ําบาดาลในชวงระยะเวลา 10 ป โดยนําขอมูล<br />
ความลึกของระดับน้ําที่ตรวจวัดไดจากบอน้ําบาดาล<br />
ตางๆ ในพื้นที่ศึกษาเมื่อ 10 ปที่แลวมาลบดวยระดับ<br />
น้ําที่ตรวจวัดไดในปจจุบัน พลอตลงในแผนที่และ<br />
แสดงความแตกตางของระดับน้ําดวยเสนคอนทัวร<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 105<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
รูปที่ 4 กราฟแสดงความสัมพันธระหวางระดับ<br />
น้ําบาดาลกับความดันบรรยากาศ (ASTM, 2002)<br />
รูปที่ 6 กราฟแสดงความสัมพันธระหวางระดับ<br />
น้ําบาดาลกับปริมาณน้ําทา (ASTM, 2002)<br />
รูปที่ 7 กราฟแสดงความสัมพันธระหวางการขึ้นลง<br />
ของระดับน้ําบาดาลกับการรั่วของแหลงกาซธรรมชาติ<br />
ใตผิวดิน (ASTM, 2002)<br />
รูปที่ 5 กราฟแสดงความสัมพันธระหวางระดับ<br />
น้ําบาดาลกับอุณหภูมิ (ASTM, 2002)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 106<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
8. การวัดความลึกบอ<br />
สําหรับบอน้ําบาดาลที่ไมมีขอมูลการเจาะใดๆ<br />
ขอมูลดานความลึกบอน้ําบาดาลที่ตรวจวัดไดในสนาม<br />
ถือไดวาเปนขอมูลสําคัญที่จะระบุไดวาบอน้ําบาดาล<br />
นั้นสูบน้ําจากชั้นน้ําใด หากทราบสภาพอุทกธรณี<br />
วิทยาใตผิวดินของพื้นที่สํารวจ สําหรับวิธีการวัดระดับ<br />
ความลึกบอสามารถทําไดงายๆ เพียงแตใชดิ่งหรือตุม<br />
น้ําหนักผูกกับเชือกหรือลวดสลิงหรือใชเครื่องวัดความ<br />
ลึกบอ โดยหยอนตุมน้ําหนักลงไปในบอจนถึงกนบอ<br />
และวัดความยาวของเชือกหรือลวดสลิง ก็จะไดความ<br />
ลึกจากกนบอถึงปากบอ แตมีปญหาอยูวา กอนการวัด<br />
โดยปกติจะตองถอนเครื่องสูบขึ้นจากบอกอน<br />
โดยเฉพาะอยางยิ่งเครื่องสูบน้ําแบบจุม submersible<br />
pump ในบอน้ําบาดาลขนาดเล็กหรือบอ 4 นิ้ว แทบจะ<br />
ไมเหลือชองวางระหวางผนังบอกับตัวสูบใหดิ่งหรือ<br />
ตุมน้ําหนักผานลงไปไดเลย<br />
ปญหาใหญอีกปญหาหนึ่ง ที่อาจไมเกิดที่ใดใน<br />
โลกยกเวนประเทศไทย คือการใชเพทุบายของชาง<br />
เจาะ โดยการใสตะแกรงเหล็กไวในบอที่ความลึกนอย<br />
กวา 30 เมตร ทั้งๆ ที่เจาะบอลึกเกินกวา 30 เมตร<br />
แลวแจงวาบอดังกลาวเจาะลึกนอยกวา 30 เมตร เพื่อ<br />
หลีกเลี่ยงไมตองขออนุญาตเจาะและใชน้ําบาดาล ตาม<br />
พระราชบัญญัติน้ําบาดาล บอดังกลาวเมื่อถอนเครื่อง<br />
สูบออกและวัดระดับความลึกบอ ตุมถวงน้ําหนักจะไป<br />
ติดอยูที่ตะแกรงเหล็ก ทําใหวัดความลึกบอไดไมถึง<br />
30เมตรตามที่ผูเจาะแจงไว ในกรณีเชนนี้หากแนใจวา<br />
พื้นที่ดังกลาวไมสามารถเจาะบอน้ําบาดาลระดับตื้นได<br />
(จากขอมูลน้ําบาดาลที่เรามีอยู) อาจจะตองพิสูจน<br />
ความลึกบอ โดยใชแทงเหล็กตอลงไปแทงดูวามี<br />
ตะแกรงคั่นอยูหรือไม หรืออาจใช TV borehole ลงไป<br />
สํารวจก็ได<br />
9. การเก็บตัวอยางน้ําบาดาลและการวิเคราะห<br />
น้ําบาดาลในสนาม<br />
9.1 การเตรียมการจัดเก็บตัวอยางน้ําจากบอ<br />
น้ําบาดาล<br />
การจัดเก็บตัวอยางน้ําบาดาลดวยวิธีการใช<br />
bailers จําเปนตองเตรียมการสํารวจดังนี้<br />
9.1.1 ศึกษาวัตถุประสงคของการจัดเก็บ<br />
ตัวอยางน้ํา รวมทั้งจัดทําแผนที่ตําแหนงบอน้ําบาดาล<br />
ที่จะตองจัดเก็บตัวอยางน้ําทั้งหมด<br />
9.1.2 ในกรณีที่จําเปนตองจัดเก็บตัวอยางน้ําที่<br />
ระดับความลึกตามที่กําหนดไวในวัตถุประสงคของการ<br />
สํารวจ อยางนอยตองใชกระบอกตักแบบลิ้นคู<br />
เนื่องจากสามารถปองกันการปนเปอนจากน้ําบาดาล<br />
ชั้นบนกอนถึงระดับความลึกที่ตองการ<br />
9.1.3 ในกรณีที่จําเปนตองจัดเก็บตัวอยางน้ํา<br />
เพื่อการวิเคราะห VOC ตองใชกระบอกตักแบบใช<br />
ความดันตางศักย (differential pressure bailers)<br />
เทานั้น เนื่องจากกระบอกตักดังกลาวเปนระบบปด<br />
ปองกันตัวอยางน้ําสัมผัสอากาศไดดี<br />
9.1.4 ตองทําความสะอาดพื้นที่ปากบอ กระบอก<br />
ตัก และสายลวดสลิง (suspension line) ทุกครั้งกอน<br />
หยอนกระบอกตักลงบอ เพื่อปองกันการปนเปอนจาก<br />
ผิวดินสูบอน้ําบาดาล การปูลาดแผน polyethylene<br />
บนพื้นที่ปากบอสําหรับวางเครื่องมือ เปนวิธีการ<br />
ปองกันการปนเปอนที่ดี<br />
9.1.5 วัดและทําเครื่องหมายบนสายลวดสลิงให<br />
ตรงตามระดับความลึกที่ตองการจัดเก็บตัวอยาง<br />
9.1.6 ปลายลวดสายลวดสลิงอีกดานหนึ่งใหผูก<br />
ติดกับวัตถุขนาดใหญบนผิวดิน เพื่อปองกันการเลื่อน<br />
ไหลลงไปในบอน้ําบาดาลขณะเก็บตัวอยางน้ํา<br />
9.1.7 จัดเตรียมขวดน้ําสลากติดขางขวดและ<br />
กลองใสขวดน้ําตัวอยาง โดยสลากและกลองใสขวด<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 107<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
จะตองปองกันความเสียหายจากการขนสงตัวอยางน้ํา<br />
ไดเปนอยางดี<br />
9.2 วิธีการใชกระบอกตักแบบตางๆ<br />
9.2.1 กระบอกตักแบบลิ้นเดี่ยว<br />
(1) คอยๆ หยอนกระบอกตักลงไปในบอ<br />
น้ําบาดาลชาๆ ดวยความเร็วคงที่ เพื่อปองกันการ<br />
กวนน้ําในบอ<br />
(2) เมื่อกนกระบอกตักถึงผิวน้ําลิ้นจะ<br />
เปดใหน้ําในบอไหลเขาทางกนผานเขาไปในกระบอก<br />
ตัก และเมื่อกระบอกตักจมน้ําน้ําจะไหลออกทางปาก<br />
กระบอกตัก<br />
(3) เมื่อถึงระดับความลึกที่ตองการเก็บ<br />
ตัวอยางน้ํา และหยุดการหยอนลิ้นที่กนกระบอกตักจะ<br />
ปดทันที ใหสาวสายลวดสลิงกลับสูปากบอ<br />
(4) คอยๆ รินน้ําออกทางปากกระบอก<br />
ตักลางขวดเก็บตัวอยางน้ําดวยน้ําตัวอยาง 2-3 ครั้ง<br />
แลวคอยรินน้ําตัวอยางลงในขวดเก็บตัวอยางจนเต็ม<br />
ผลึกปากขวดและสลากขางขวดใหแนน<br />
9.2.2 กระบอกตักแบบลิ้นคู<br />
การทํางานของกระบอกตักแบบลิ้นคูมี<br />
ลักษณะเหมือนกับกระบอกตักแบบลิ้นเดี่ยว คือน้ําใน<br />
บอน้ําบาดาลจะไหลเขาทางกนและไหลออกทางปาก<br />
กระบอกตักระหวางการหยอนเครื่องมือในน้ํา ลิ้นทั้งที่<br />
กนและปากกระบอกตักจะปดไมใหน้ําไหลเขาออก<br />
ทันทีที่หยุดการหยอน เนื่องจากมีลิ้นปดปากกระบอก<br />
ทําใหน้ําในกระบอกตักไมถูกปนเปอนดวยน้ําดานบน<br />
ขณะที่สาวกระบอกตักขึ้นจากบอ สําหรับการถายเท<br />
น้ําตัวอยางออกจากกระบอกตัก ใหปลดเข็มระบาย<br />
อากาศ (vacuum release pin) ตรงปากกระบอกตัก<br />
ออกน้ําตัวอยางจะไหลออกทางกนกระบอกตัก<br />
9.2.3 กระบอกตักแบบใชความดันตางศักย<br />
สําหรับกระบอกตักแบบใชความดันตาง<br />
ศักย กนกระบอกจะปดตันดวยแทงถวงน้ําหนัก<br />
เพื่อใหกระบอกตักจมลงใตน้ําไดอยางรวดเร็ว ในการ<br />
ทํางานใหหยอนกระบอกตักลงบออยางรวดเร็วถึงจน<br />
ระดับความลึกที่ตองการจัดเก็บตัวอยางน้ํา เมื่อหยุด<br />
การหยอน น้ําจะไหลเขากระบอกตักทางหลอด<br />
ตัวอยางน้ํา โดยมีหลอดระบายอากาศที่อยูสูงกวา (รูป<br />
ที่ 2 (ค) การถายเทน้ําตัวอยางออกจากกระบอกตัก<br />
ใหปลดสายลวดสลิงออก และเทน้ําออกทางหลอด<br />
ระบายอากาศ ขอจํากัดของกระบอกตักแบบนี้คือทํา<br />
ความสะอาดไดยาก<br />
9.3 การวิเคราะหตัวอยางน้ําบาดาลในสนาม<br />
9.3.1 วัตถุประสงค<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
จําเปนตองดําเนินการตรวจวิเคราะหตัวอยางน้ํา<br />
บาดาลในสนาม โดยมีวัตถุประสงคหลัก 2 ประการ<br />
คือ<br />
(1) วิเคราะหคุณสมบัติทางกายภาพและ<br />
คุณสมบัติทางเคมีของตัวอยางน้ําบาดาล ที่สามารถ<br />
เปลี่ยนแปลงไดอยางรวดเร็วเนื่องจากการเปลี่ยน-<br />
แปลงระดับแรงดันบรรยากาศและการสัมผัสอากาศ<br />
ของน้ําตัวอยาง น้ําบาดาลที่อยูในชั้นน้ําจะอยูภายใต<br />
ความกดดันของชั้นน้ํา และทันทีที่นําน้ําตัวอยางขึ้น<br />
จากบอน้ําบาดาลมาสูระดับแรงดันบรรยากาศบนผิว<br />
ดิน จะทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาพสมดุลทางเคมี<br />
ของน้ําตัวอยาง และทําใหขีดความสามารถในการ<br />
ละลาย (dissolubility) ของน้ําเปลี่ยนแปลงไป การนํา<br />
ตัวอยางน้ําจากสนามมาวิเคราะหในหองปฏิบัติการซึ่ง<br />
อาจใชเวลาในการเดินทางหลายวัน จะทําใหคุณสมบัติ<br />
ทางกายภาพและทางเคมีบางตัวแปรเปลี่ยนไปตาม<br />
กาลเวลา เชน อุณหภูมิ คาความนําไฟฟา (electrical<br />
conductivity, EC) คาความเปนกรดเปนดาง (pH)<br />
และคาออกซิเจนละลายในน้ํา (dissolved oxygen,<br />
DO) เปนตน (Warran, 1978)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 108<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
(2) การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
บางกรณีจําเปนตองทราบคุณสมบัติของน้ําบาดาล<br />
บางอยางเพื่อประโยชนในการติดตามชั้นน้ํา<br />
โดยเฉพาะอยางยิ่งคุณสมบัติความกรอยเค็ม (salinity)<br />
ของน้ําบาดาล โดยการตรวจวิเคราะหคาความนํา<br />
ไฟฟาและคาคลอไรดในน้ําบาดาล<br />
9.3.2 วิธีการตรวจวิเคราะหตัวอยางน้ําบาดาล<br />
ในสนาม<br />
การวิเคราะหตัวอยางน้ําบาดาลในสนาม<br />
สามารถทําไดดวยวิธีการหลักๆ 2 วิธี คือ<br />
(1) ใชเครื่องวัดตางๆ ในการตรวจวัด<br />
เชน pH meters, DO meters, EC meters, thermometers<br />
เปนตน การตรวจวัดดวยเครื่องวัดตางๆ จะตอง<br />
ปรับแก (calibrate) เครื่องมือทุกครั้งดวยสารละลาย<br />
มาตรฐาน (standard solutions)<br />
(2) ใชวิธีการไตเตรท (titrations) ซึ่งโดย<br />
สวนใหญจะมีชุดตรวจวัดสารละลายในน้ําชนิดตางๆ<br />
สําหรับใชในภาคสนาม (chemical test kits)<br />
10. การจัดเก็บตัวอยางดินหิน<br />
ขอมูลธรณีวิทยาใตผิวดิน (subsurface geology)<br />
เปนขอมูลโดยตรงที่สําคัญในการสํารวจแหลงน้ํา<br />
บาดาล การสํารวจดวยธรณีฟสิกสบนผิวดินดวย<br />
วิธีการตางๆ หากปราศจากขอมูลดานธรณีวิทยาใตผิว<br />
ดิน ที่ใชในการเทียบเคียง (correlation) อาจทําใหการ<br />
แปลความหมายขอมูลการสํารวจทางธรณีฟสิกส<br />
ผิดเพี้ยนไปอยางมาก โดยเฉพาะอยางยิ่ง การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาในพื้นที่แหลงหินปูนตามขอบที่ราบสูง<br />
โคราช ตัวอยางเชนการสํารวจอุทกธรณีวิทยาดวย<br />
วิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟาจําเพาะในเขต<br />
พื้นที่เชิงเขาใหญ บางแหงหินปูนที่โผลใหเห็นบนผิว<br />
ดินลึกลงรองรับดวยชั้นหินแกรนิตระดับตื้น การ<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยาที่หมูบานจุฬาภรณในอําเภอ<br />
คลองน้ําใส จังหวัดสระแกว หินปูนที่โผลใหเห็นลึกลง<br />
ไปจากผิวดินเพียง 2-3 เมตร รองรับดวยชั้นหินภูเขา<br />
ไฟ ในการแปลความหมายขอมูลการสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสยากที่จะจําแนกชั้นหินแกรนิตหรือหินภูเขาไฟ<br />
ออกจากชั้นหินปูนได นอกจากใชวิธีการเทียบเคียง<br />
ขอมูลการเจาะบอน้ําบาดาลในพื้นที่ขางเคียงเทานั้น<br />
ในพื้นที่ที่ไมมีขอมูลการเจาะ จําเปนตอง<br />
ดําเนินการจัดเก็บตัวอยางดินหินใตผิวดิน สําหรับคูมือ<br />
นี้จะครอบคลุมเฉพาะสํารวจระดับตื้น (ความลึกไมเกิน<br />
30 ม.) เทานั้น โดยรวมไปถึงการเจาะ (boring) เพื่อ<br />
การจัดเก็บชั้นดินตะกอนหรือทรายชั้นน้ําระดับตื้น<br />
สําหรับการวิเคราะหขนาดของเม็ดทรายสําหรับการ<br />
ออกแบบกอสรางบอแนวนอน (collection wells) แต<br />
ไมครอบคลุมถึงวิธีการวิเคราะหขนาดของเม็ดทราย<br />
สําหรับการออกแบบกอสราง และไมครอบคลุมไปถึง<br />
การเจาะระดับลึก ซึ่งจําเปนตองใชเครื่องเจาะขนาด<br />
ใหญนั้น สําหรับอุปกรณและวิธีการเจาะหรือวิธีการใช<br />
เครื่องเจาะขนาดเล็กที่ใชในการเจาะสํารวจระดับตื้น มี<br />
รายละเอียดดังตอไปนี้<br />
10.1 การเจาะดวยชุดเจาะแบบมือหมุน<br />
เปนชุดอุปกรณการเจาะขนาดเล็กสําหับ<br />
การเจาะสํารวจระดับตื้นๆ (boring) ประกอบดวยกาน<br />
เจาะ มือหมุนกานเจาะ และหัวเจาะรูปแบบตางๆ แต<br />
ละรูปแบบเหมาะสําหรับการเจาะเก็บตัวอยางตะกอน<br />
หินรวนชนิดตางๆ เชน ใชหัวเจาะแบบ spiral auger<br />
สําหรับดินเหนียวปนทราย ใช riverside auger สําหรับ<br />
ชั้นทรายหรือดินรวน และใช Edelman Auger สําหรับ<br />
การเจาะในชั้นทรายอิ่มตัวดวยน้ํา อุปกรณทั้งหมด<br />
บรรจุในกลองขนาดประมาณ 0.75X 1.75X0.30 เมตร<br />
สามารถพกติดทายรถได ขีดความสามรถในการเจาะ<br />
ไดลึกไมเกิน 10 เมตร แตหากเจาะพบชั้นกรวด หรือ<br />
เศษหิน มักเจาะไมลง บางครั้งเจาะในชั้นดินที่แข็งจะ<br />
เจาะไดลึกเพียงไมเกิน 4-5 เมตร ดินตะกอนที่เจาะได<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 109<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
เปนตัวอยางแบบมีการรบกวน (disturbed samples)<br />
เทานั้น<br />
วิธีการเจาะใหตอหัวเจาะเขากับตัวมือหมุน<br />
ออกแรงกดมือหมุนพรอมๆ กัน หมุนใหหัวเจาะกัดลึก<br />
ลงไป จนตัวอยางดินเต็มหัวเจาะใหหมุนกลับได<br />
ตัวอยางดินที่ติดอยูบนหัวเจาะขึ้นจากหลุมเจาะ เมื่อ<br />
เทตัวอยางดินออกก็สามารถเจาะตอไปอีกจนหมด<br />
กาน ใหตอกานเจาะเขาไปใหม (ความยาวกานเจาะ<br />
ทอนละ 1 เมตร) หากเจาะหลุมขนาดความลึก 5 เมตร<br />
มักใชเวลาในการเจาะ 2-4 ชั่วโมง ขึ้นอยูกับความยาก<br />
งายในการเจาะของแตละพื้นที่ หัวเจาะที่ใชในการเจาะ<br />
ชั้นดินเหนียว ไดแก spiral auger ซึ่งอาจจะพบกับ<br />
ปญหาบอพัง เมื่อชักกานเจาะ นําตัวอยางออกจาก<br />
รูเจาะ และไมสามารถเจาะใหลึกลงไปได<br />
10.2 การเจาะดวยชุดเจาะแบบดูดตัวอยาง<br />
เปนชุดอุปกรณการเจาะที่เหมาะอยางยิ่ง<br />
สําหรับการเจาะเก็บตัวอยางทรายที่อิ่มน้ํา หรือชั้น<br />
ทรายอุมน้ํา โดยตองเจาะนําดวยชุดเจาะ hand auger<br />
ไปกอนจนถึงระดับความลึกที่เปนชั้นทรายที่อิ่มน้ํา<br />
suction corers มีสวนประกอบงายๆ ที่อาจประกอบ<br />
ขึ้นใชเองไดในภาคสนามได คือ ใชทอ PVC ขนาด<br />
1.5 - 2 นิ้ว ปลายทอดานลาง เลื่อยใหเปนหยักฟน<br />
ปลา ใชลูกสูบยางขนาดพอดีกับทอ PVC ตอกับกาน<br />
อลูมิเนียมกลางขนาด 0.5 – 0.75 นิ้ว ดวยพุกเหล็ก<br />
อัดแนนกับปลายทออะลูมิเนียม แหยทอ PVC ซึ่งมี<br />
ลูกสูบและกานอะลูมิเนียม (กานสูบ) ลงไปในรูที่เจาะ<br />
ไวแลว กดและหมุนทอ PVC ลงไปในขณะเดียวกันให<br />
คอยๆ ชักกานลูกสูบขึ้น ทรายในชั้นน้ําจะถูกดูดเขา<br />
ไปในทอ PVC ขณะที่ทอ PVC ลงลึกไปเรื่อยๆ มี<br />
รายงานวาสามารถ เจาะลึกลงไปไดถึง 10 เมตร เมื่อ<br />
ไดความลึกที่ตองการแลว ใหชักทอ PVC พรอมๆ กัน<br />
กานลูกสูบขึ้น ตองระวังไมใหน้ําหนักของทรายภายใน<br />
ทอ จะดึงกานลูกสูบ ลงไปทางบอเจาะ จะตองดึงกาน<br />
ลูกสูบขึ้นตลอดเวลา ปองกันไมใหทรายในทอ PVC<br />
หลุดกลับลงไปในรูเจาะ เมื่อดึงทอ PVC ขึ้นจากปาก<br />
หลุมเจาะแลว ใหวางทอ PVC พรอมกานลูกสูบกับพื้น<br />
ในแนวนอน คอยดึงทอ PVC ถอยหลัง พรอมกับดัน<br />
กานลูกสูบไปขางหนา ทรายในทอ PVC จะไหลออก<br />
ทางปลายเปนแทงตัวอยาง (core) ของชั้นทรายในชั้น<br />
น้ํา<br />
10.3 การเจาะแบบกระแทกหมุน<br />
เปนเครื่องเจาะแบบหมุน (rotary) มีสวน<br />
ประกอบและลักษณะการทํางาน เหมือนเครื่องเจาะบอ<br />
น้ําบาดาลแบบ direct rotary rigs ทุกประการ เพียง<br />
แตยอสวนลงใหเปนเครื่องเจาะขนาดเล็ก สามารถ<br />
ถอดออกเพื่อการเคลื่อนยาย และประกอบขึ้นใหม ใน<br />
สถานที่เจาะไดโดยสะดวก และใชเวลานอยกวา 30<br />
นาที ประกอบดวย mast unit เปนแผนเหล็กกลวง<br />
สามขาความสูงประมาณ 3 เมตร สวนที่เปน top<br />
head drive unit เปนเครื่องยนตเบนซินหรือดีเซล มี<br />
กานมือจับสําหรับกดกานเจาะ (pull-down) และยก<br />
กานเจาะขึ้น (pull-up) สวนที่เปน mud pump unit<br />
เปนเครื่องสูบน้ําแบบหอยโขงขนาด 2 นิ้ว ขับเคลื่อน<br />
ดวยเครื่องยนตสูบน้ําโคลนผาน swivel ติดตั้ง<br />
ระหวางเครื่องยนตตนกําลังการเจาะ และกานเจาะ<br />
เพื่ออัดน้ําโคลนผานกานเจาะลงสูกนหลุมเจาะสําหรับ<br />
การลอลื่นลดความรอนที่หัวเจาะและพยุง cutting ขึ้น<br />
จากกนรูเจาะ หัวเจาะเปนหัวเหล็กเคลือบแข็งรูปหาง<br />
ปลา 3 แฉก ขนาด 2.5 นิ้ว มีหัวกวานลักษณะ<br />
เดียวกันขนาด 6.5 นิ้ว สําหรับการทําบอขนาด 2-4<br />
นิ้ว ขีดความสามารถในการเจาะ 45 เมตร ในตะกอน<br />
หินรวน ปจจุบันมีการดัดแปลงใชหัวเจาะแบบ augers<br />
มาใชกับเครื่องเจาะแบบนี้ ตัวอยางตะกอนที่ไดจาก<br />
การเจาะดวยเครื่องเจาะนี้จะเปนตัวอยางแบบมีการ<br />
รบกวน (disturbed samples)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 110<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
10.4 การเจาะแทงหินตัวอยางแบบกระแทก<br />
เปนเครื่องเจาะเก็บตัวอยางชั้นดิน-หิน ที่<br />
สมบูรณแบบมากที่สุด สามารถเจาะเก็บตัวอยางดิน-<br />
หิน ไดทุกชนิดแมแตหินแข็ง และไดตัวอยางแบบไม<br />
ถูกรบกวน (undisturbed samples) ไดโดยจัดเก็บ<br />
ตัวอยางดินตะกอนในหลอดพลาสติก (plastic lining)<br />
ซึ่งสามารถรักษาความชื้นของชั้นดินชั้นหิน ในขณะที่<br />
อยูใตผิวดินได หรืออาจจัดเก็บตัวอยางแทงหิน<br />
(cores) ของชั้นหินแข็ง วิธีการเจาะอาศัยแรงกระแทก<br />
เชนเดียวกัน เครื่องเจาะบอน้ําบาดาลแบบ percussion<br />
rigs แตการกระแทกของ Cobra Percussion<br />
Corer ใชหลักการกระแทกขึ้นลงของเครื่องเจาะ ซึ่ง<br />
สวนประกอบคือ percussion unit เปนเครื่องยนต<br />
พรอมกานกระแทกขึ้นลงในแนวดิ่ง กานเจาะและหัว<br />
เจาะ (drill stems & drilling bits) กานเจาะเปนกาน<br />
เหล็กตันแข็งเสนผาศูนยกลาง 1.5 นิ้ว ยาว 1 เมตรตอ<br />
กานดวยเกลียว หัวเจาะเปนหัวแบบ Pistol คลายสิ่ว<br />
ทรงกลมกลวง ผาขางเปดสามารถใชทอพลาสติกใสไว<br />
ภายในหัวเจาะและมี stopper ตรงปลายหัวเจาะได<br />
ความยาวของหัวเจาะ 1 เมตร ขนาดเสนผาศูนยกลาง<br />
2-4 นิ้ว มีหัว reamer ขยายใหเปนรูเจาะขนาด<br />
เสนผาศูนยกลาง 6.5 นิ้ว เมื่อตอหัวเจาะและกานเจาะ<br />
เขากับ Cobra Percussion Corer เดินเครื่องเจาะ<br />
percussion unit จะกระแทกหัวเจาะใหจมลึกลงไปใน<br />
ดิน (เหมือนเอาคอนตอกตะปู) ดินหินจะไหลเขาไปใน<br />
ทอพลาสติกใสผานstopper เมื่อตัวอยางดิน-หินเขาไป<br />
จนเต็มหัวเจาะ จะตองถอนกานขึ้น เพื่อเอาตัวอยางใน<br />
ทอพลาสติกออกจากกานเจาะกอน<br />
การถอนกาน stopper จะทําหนาที่ปองกันมิ<br />
ใหตัวอยางในทอพลาสติกกลับลงไปในรูเจาะ ถอน<br />
กานโดยใชเครื่อง hydraulic extractor ซึ่งในการดึง<br />
กานเจาะดวยระบบ hydraulic โดยมีแรงดึงสําหรับ<br />
ถอนกานถึง 20 กานและสามารถดึงกานเจาะขึ้นใน<br />
อัตรา 4 นาที/กาน ขีดความสามารถในการเจาะ 30<br />
เมตร<br />
11. ความปลอดภัย<br />
การปฏิบัติงานในพื้นที่ปากบอ ซึ่งสวนใหญเปน<br />
พื้นที่ชื้นแฉะ ตองระมัดระวังการลื่นลม<br />
11.1 พื้นที่ปากบอเปนพื้นที่เย็นและชื้นอาจมี<br />
โพรงหญารก มักเปนที่อยูอาศัยของสัตวมีพิษตางๆ<br />
เชน งู ตะขาบ หรือสัตวมีพิษอื่นๆ ควรสวมใสรองเทา<br />
ที่มีความเหมาะสม ไมเขาใกลสัตวเหลานี้<br />
11.2 การหยอนเครื่องมือตรวจวัดลงในบอน้ํา<br />
บาดาลโดยสวนใหญจําเปนตองขยับหรือถอนเครื่อง<br />
สูบน้ําจากบอน้ําบาดาล ซึ่งโดยสวนใหญเปนเครื่องสูบ<br />
น้ําไฟฟา ตองปดสะพานไฟทุกครั้งกอนลงมือทํางาน<br />
11.3 สําหรับเครื่องสูบน้ําแบบมือโยก ผูสํารวจ<br />
จะตองจัดเตรียมนอตยึดฐานเครื่องสูบน้ํามือโยกไป<br />
ดวย เพราะโดยสวนใหญนอตเกามักเปนสนิมกรอน<br />
และขาดตอนคลายนอตขยับเครื่องสูบน้ํา<br />
11.4 เพื่อปองกันการปนเปอนชั้นน้ําบาดาล<br />
เครื่องมือหรืออุปกรณตางๆ รวมทั้งสายหยอนที่จะ<br />
หยอนลงไปตรวจวัดขอมูลในบอน้ําบาดาล จะตองทํา<br />
ความสะอาดจนปราศจากฝุน ไขมัน สารเคมี หรือสิ่ง<br />
ปฏิกูลอื่นๆ ทุกครั้ง<br />
11.5 การปฏิบัติงานภาคสนามตองมีอุปกรณและ<br />
บุคลากรการถอนเครื่องสูบน้ําครบครัน ความผิดพลาด<br />
ที่เกิดจากความขาดแคลนอุปกรณเปดบอมีผลใหผูใช<br />
น้ําจากบอน้ําบาดาลเดือดรอน<br />
11.6 ในกรณีที่จําเปนตองเปดปากบอตอง<br />
ระมัดระวังสัตวมีพิษตางๆ ซึ่งอาจอาศัยตรงพื้นที่ชื้น<br />
เย็นบริเวณปากบอ<br />
12. บุคลากร<br />
การปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาใต<br />
ผิวดิน โดยสวนใหญจําเปนตองขยับเครื่องสูบน้ําหรือ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 111<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ถอนเครื่องสูบน้ํา จําเปนตองมีผูปฏิบัติงานในทีมงาน<br />
สํารวจไมนอยกวา 3 คน<br />
12.1 ผูปฏิบัติงานสํารวจภาคสนามจําเปนตอง<br />
ไดรับการฝกอบรมการใชเครื่องมือและอุปกรณตางๆ<br />
รวมทั้งการใชเครื่องเจาะเก็บตัวอยางดินหินรูปแบบ<br />
ตางๆ<br />
12.2 ผูปฏิบัติงานสํารวจภาคสนามจําเปนตอง<br />
ไดรับการฝกอบรมการดานการถอนและการติดตั้ง<br />
เครื่องสูบน้ําบอน้ําบาดาล จนมีความชํานาญสามารถ<br />
แกไขปญหาตางๆ ในสนามได<br />
13. เอกสารอางอิง<br />
American Society for Testing and Materials (ASTM),<br />
2002. Standard Guide for Presentation of<br />
Water Level information from Groundwater<br />
sites, D 6000-96 (Re 2002).<br />
American Society for Testing and Materials (ASTM),<br />
2006. Standard Practice for Sampling Liquids<br />
Using Bailers, D6699-01 (Re 2006).<br />
Brassington, R., 1988. Field Hydrogeology, Geological<br />
Society of London Professional Handbook<br />
Series.<br />
Garber, M.S., and Koopman, F.C., 1978. Method<br />
of Measuring Water Level in Deep Well,<br />
USGS Techniques of Water Resources<br />
Investigations paper, Chapter 8D.<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 112<br />
คูมือ ทบ ส 3000-2550<br />
การสํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
คูมือ ทบ ส 4000 -2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550 เปนคูมือการปฏิบัติงานดานการสํารวจอุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล (ส) ของกรม<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาล (ทบ) กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดลอม ตัวเลขชุดแรกมี 4 ตําแหนง หมายถึง ลําดับ<br />
ของคูมือ ตัวเลขชุดที่สอง “2550” หมายถึง ป พ.ศ. ที่จัดทําเอกสารตนฉบับของคูมือ กรณีที่มีการแกไขและปรับปรุง<br />
คูมือใหใสวงเล็บตอทายและระบุ ป พ.ศ. ที่แกไขปรับปรุง เชน (แกไขปรับปรุง 2555) เปนตน โดยมีเครื่องหมาย (ก)<br />
เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่แกไข และมีเครื่องหมาย (ป) เปนตัวยกกํากับหนาขอความที่ปรับปรุงขึ้นใหม<br />
1. บทนํา<br />
คูมือการจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา (คูมือ ทบ ส<br />
4000-2550) ฉบับนี้ จัดทําขึ้นภายใตโครงการจัดทํา<br />
มาตรฐานการเจาะ สํารวจและพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
พ.ศ. 2550 เปนสวนหนึ่งของชุดคูมือการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาและแผนที่น้ําบาดาล โดยกรมทรัพยากรน้ํา<br />
บาดาลไดมอบหมายใหคณะผูเชี่ยวชาญดานอุทก<br />
ธรณีวิทยา ธรณีวิทยา วิศวกรรม เครื่องกล และ<br />
วิศวกรรมโยธา เปนผูดําเนินการรางคูมือการจัดทํา<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยา เพื่อใหใชควบคูไปกับ<br />
มาตรฐาน ทบ ส 4000-2550 การสํารวจจัดทําแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยา โดยคูมือฉบับนี้ ไดกําหนดขั้นตอน<br />
และแนวทางสําหรับใชในงานจัดทําแผนที่อุทกธรณี<br />
วิทยา เพื่อใหไดผลงานมีมาตรฐานตามที่กรมฯกําหนด<br />
เอกสารแผนที่อุทกธรณีวิทยาและแผนที่น้ํา<br />
บาดาลรายจังหวัดตางๆ ทั่วประเทศของกรม<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาล และเอกสารตางๆ ที่เกี่ยวของกับ<br />
การสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาสากล จาก<br />
องคการอนามัยโลก (World Health Organization,<br />
WHO) องคการความรวมมือขององคการการศึกษา<br />
วิทยาศาสตรและวัฒนธรรมแหงสหประชาชาติ (The<br />
United Nation of Education, Sciences and Culture<br />
Organization, UNESCO) สมาคมอุทกธรณีวิทยา<br />
สากล (International of Hydrological Sciences,<br />
IAHS) และสมาคมอุทกนักธรณีวิทยาสากล (International<br />
of Hydrogeologists, IAH) เปนเอกสารที่ใช<br />
ในการทบทวนและอางอิงในสําหรับคูมือฉบับนี้ แผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยาเปนเอกสารในรูปแบบของแผนที่ ซึ่ง<br />
แสดงขอมูลจํานวนมากเกี่ยวกับแหลงน้ําบาดาล โดย<br />
แสดงความสัมพันธของแหลงน้ําบาดาลกับพื้นผิวภูมิ<br />
ประเทศ แสดงความสัมพันธของแหลงน้ําบาดาลกับ<br />
สภาพทางธรณีวิทยา และแสดงความสัมพันธของ<br />
แหลงน้ําบาดาลกับแหลงน้ําประเภทอื่นๆ โดยสวนที่<br />
สําคัญที่สุดซึ่งแผนที่อุทกธรณีวิทยา คือ การแสดง<br />
ขอมูลดานปริมาณและดานคุณภาพของน้ําบาดาล<br />
ตามพื้นที่สวนตางๆ ของแผนที่<br />
การแสดงขอมูลอุทกธรณีวิทยาซึ่งเปนขอมูลในรูป<br />
ของแผนแผนที่จะแสดงดวยสัญลักษณ สี และลายเสน<br />
ที่เปนมาตรฐานสากล สวนการแสดงขอมูลแหลงน้ํา<br />
บาดาลและความสัมพันธตางๆ ในเชิงลึกหรือ<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน มักแสดงดวย<br />
ภาพเงา หรือภาพจําลองสองมิติ หรือภาพจําลองสาม<br />
มิติ<br />
2. ขอบเขตการดําเนินงาน<br />
ขอมูลที่ใชในการจัดทําเปนแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
มักมีขอมูลจํานวนมากทั้งที่เปนขอมูลรวบรวมจาก<br />
แหลงขอมูลตางๆ และขอมูลที่ไดจากการสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน (ตามมาตรฐาน 1000-2550)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 113<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ขอมูลที่ไดจากการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
(มาตรฐาน ทบ ส 2000-2550) และขอมูลที่ไดจากการ<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน (มาตรฐาน ทบ ส<br />
3000-2550) ขอมูลดังกลาวบางครั้งอาจพบขอมูลที่<br />
ผิดพลาดหรือขอมูลซึ่งไมนาเชื่อถือ หรือขอมูล<br />
เบี่ยงเบน จนไมสามารถอธิบายได ผูดําเนินการสํารวจ<br />
จัดทําแผนที่ จําตองวิเคราะห ตรวจสอบ และหาก<br />
พบวาขอมูลที่นาสงสัยดังกลาวมีความเปนไปไดหรือ<br />
เปนไปไมได จะตองใหเหตุผลทั้งความเปนไปไดและ<br />
ความเปนไปไมได ภายใตขอสมมติฐานที่นาเชื่อถือ<br />
ดังนั้นเอกสารคูมือฉบับนี้ จึงมีขอบเขตการดําเนินงาน<br />
โดยสรุป ดังนี้<br />
2.1 เปนคูมือสําหรับการดําเนินงานสํารวจจัดทํา<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยา เพื่อใหไดแผนที่ตรงตาม<br />
มาตรฐานที่กรมทรัพยากรน้ําบาดาลกําหนด ซึ่ง<br />
ครอบคลุมมาตรฐานงานดานตางๆ รวม 5 ขั้นตอน คือ<br />
2.1.1 รูปแบบและองคประกอบของแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยาตามมาตรฐานสากล เปนการทบทวนความ<br />
เปนมาของการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
รวมทั้งการกําหนดรูปแบบและองค ประกอบของแผน<br />
ที่อุทกธรณีวิทยา ใหมีมาตรฐานสอดคลองกับแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยาสากล<br />
2.1.2 คูมือการใชสัญลักษณในแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยาตามมาตรฐานสากล เปนการทบทวนการใช<br />
สัญลักษณสีและลายเสนตางๆ สําหรับแสดงขอมูลใน<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยา รวมทั้งกําหนดการใช<br />
สัญลักษณใหสอดคลองกับมาตรฐานแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยาสากล<br />
2.1.3 คูมือปฏิบัติสําหรับการจัดทําแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยา เปนการกําหนดมาตรฐานในการจัดทําแผน<br />
ที่ตามแผนที่อุทกธรณีวิทยาสากล ซึ่งประกอบดวย<br />
หัวขอตางๆ คือ (1) การแสดงขอมูลในแผนที่ (2) การ<br />
จัดลําดับความสําคัญของขอมูล (3) การจัดทําคํา<br />
อธิบายแผนที่ (4) ขั้นตอนการตรวจสอบแผนที่<br />
2.1.4 การจําแนกประเภทแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
เปนการกําหนดการจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
ประเภทตางๆ ตามมาตรฐานสากลโดยมีหัวขอตางๆ<br />
คือ (1) การจําแนกแผนที่ตามวัตถุประสงคของการใช<br />
งาน (2) การจําแนกแผนที่ตามระดับความนาเชื่อถือ<br />
(3) การจําแนกแผนที่ตามมาตราสวน (4) การจําแนก<br />
แผนที่ตามระดับของขอมูล<br />
2.1.5 คูมือการนําเสนอขอมูลที่แสดงในแผนที่<br />
เปนการกําหนดวิธีการใชขอมูลตางๆ สําหรับการ<br />
จัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาตามมาตรฐานสากล ซึ่ง<br />
ประกอบดวยหัวขอตางๆ คือ (1) ธรรมชาติของขอมูล<br />
อุทกธรณีวิทยา (2) ความคลาดเคลื่อนของขอมูล<br />
(Inherent Errors) (3) ลักษณะผันแปรของกลุมขอมูล<br />
(4) มาตรฐานการประมาณการขอมูล<br />
2.2 หนวยวัดที่ใชในเอกสารมาตรฐานนี้เปน<br />
หนวยวัดระบบ Systeme Internationale d’Unites<br />
หรือ SI Units<br />
2.3 ขอความที่เกี่ยวของกับมาตรฐานความ<br />
ปลอดภัยในเอกสารฉบับนี้ ครอบคลุมเฉพาะความ<br />
ปลอดภัยในการใชเครื่องมือที่มีมาตรฐานและอยูใน<br />
สภาพสมบูรณพรอมใชงานเทานั้น ไมอาจครอบคลุม<br />
ถึงความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน หรืออุบัติเหตุใดๆ<br />
ที่อาจเกิดขึ้นจากการปฏิบัติงานภาคสนาม ซึ่งจะเปน<br />
ความรับผิดของผูใชงานในการปฏิบัติงานดานตางๆ<br />
ตามขั้นตอนของเอกสารมาตรฐานฉบับนี้ ผู ใชงานจึง<br />
จําเปนตองคํานึงถึงความปลอดภัยในชีวิตและ<br />
ทรัพยสินทุกขั้นตอนของการปฏิบัติงาน<br />
3. เอกสารที่เกี่ยวของ<br />
3.1 กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 1000-2550 การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2001-2550 การ<br />
คัดเลือกวิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 114<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2002-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2003-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วคลื่นไหว<br />
สะเทือนแบบหักเห<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2004-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดคลื่นแมเหล็กไฟฟา<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 2005-2550 การสํารวจ<br />
ธรณีฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 3000-2550 การสํารวจ<br />
อุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
- มาตรฐาน ทบ ส 4000-2550 การจัดทํา<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
- คูมือ ทบ ส 1000-2550 การสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาบนผิวดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2001-2550 การคัดเลือก<br />
วิธีการสํารวจธรณีฟสิกสบนผิวดิน<br />
- คูมือ ทบ ส 2002-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความตานทานไฟฟา<br />
จําเพาะ<br />
- คูมือ ทบ ส 2003-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดความเร็วคลื่นไหวสะเทือน<br />
แบบหักเห<br />
- คูมือ ทบ ส 2004-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดคลื่นแมเหล็กไฟฟา<br />
- คูมือ ทบ ส 2005-2550 การสํารวจธรณี<br />
ฟสิกสดวยวิธีการตรวจวัดแรงโนมถวง<br />
- คูมือ ทบ ส 3000-2550 การสํารวจอุทก<br />
ธรณีวิทยาใตผิวดิน<br />
3.2 American Society for Testing and<br />
Materials (ASTM):<br />
- D5879-02 Standard Guide for<br />
Geotechnical Mapping of Large Underground<br />
Openings in Rocks.<br />
4. ศัพทบัญญัติ<br />
4.1 คํานิยาม<br />
การเรียงลําดับชั้นหินทางอุทกธรณีวิทยา<br />
(hydrogeological sequences) หมายถึงลักษณะการ<br />
วางตัวของหนวยหินทางอุทกธรณีวิทยาตางๆ เพื่อ<br />
แสดงอายุ หรือลําดับการวางตัวของหนวยหินตางๆ<br />
แบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน<br />
(conceptual hydrogeological models) หมายถึง<br />
แบบจําลองของพื้นที่สํารวจจากขอมูลดานอุทก<br />
ธรณีวิทยาที่ไดจากการสํารวจอุทกธรณีวิทยาบนผิว<br />
ดิน เพื่อใชประกอบกับแผนที่อุทกธรณีวิทยาสําหรับ<br />
การกําหนดแนวทางการสํารวจขั้นตอไป<br />
ภาพจําลองสองมิติ (planar representations)<br />
หมายถึง ภาพแสดงขอมูลอุทกธรณีวิทยาใน<br />
เชิงลึก เชน ขอมูลชั้นดินชั้นหินจากการเจาะ (geological<br />
log, bore hole logs) หรือขอมูลการเรียงลําดับ<br />
ชั้นหินจากการเทียบเคียงขอมูลการเจาะ (assemblage<br />
of logs) ภาพตัดขวางทางอุทกธรณีวิทยา<br />
(hydrogeological cross-sections) เปนตน<br />
ภาพจําลองสามมิติ (perspective views)<br />
ภาพแสดงขอมูลอุทกธรณีวิทยาในลักษณะสามมิติ ทั้ง<br />
กวาง ยาว และลึกหรือหนา เชน ภาพจําลองรูปรั้วสาม<br />
มิติ (fence diagrams) ภาพจําลองรูปกลองสามมิติ<br />
(block diagrams) หรือภาพจําลองรูปนูนสามมิติ<br />
(isometric surface diagrams) เปนตน<br />
ลายเสน (ornaments) หมายถึงลวดลายที่<br />
แสดงในพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งของแผนที่เพื่อใชเปน<br />
สัญลักษณแทนคําอธิบายความหมายและขอบเขตใน<br />
พื้นที่นั้น สวนใหญจะใชลายเสนแสดงขอบเขตและ<br />
ชนิดของหนวยหินทางอุทกธรณีวิทยา<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 115<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สัญลักษณ (symbols) หมายถึงเครื่อง<br />
หมายที่แสดงในพื้นที่ใดพื้นที่หรือจุดใดจุดหนึ่งของ<br />
แผนที่เพื่อใชเปนสัญลักษณแทนคําอธิบายความ<br />
หมายของพื้นที่นั้นหรือจุดนั้น สวนใหญจะใชแสดง<br />
ความหมายดานภูมิประเทศ เชน แหลงน้ําซับ ทางน้ํา<br />
หรือสิ ่งกอสราง เชน บอ เขื่อน อางเก็บน้ํา และอื่นๆ<br />
เปนตน<br />
หนวยหินทางธรณีวิทยา (geological units)<br />
หมายถึง ชั้นหินตางๆ ที่ไดจัดแบงไวตามประเภท<br />
อายุ และลักษณะการวางตัวหรือตามขอมูลอื่นๆ ทาง<br />
ธรณีวิทยา<br />
หนวยหินทางอุทกธรณีวิทยา (hydrogeological<br />
units) หมายถึงชั้นหินตางๆ ที่ไดจัดแบง<br />
ไวตามประเภท อายุ และลักษณะการวางตัว หรือตาม<br />
ขอมูลอื่นๆ ทางอุทกธรณีวิทยา<br />
4.2 คํายอ<br />
กรมฯ หมายถึง กรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
แบบจําลองฯ หมายถึง แบบจําลองอุทก<br />
ธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน<br />
5. ความสําคัญและการใชงาน<br />
5.1 เอกสารคูมือฉบับนี้ ไดกําหนดวิธีการสํารวจ<br />
จัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา เพื่อใหไดแผนที่ตาม<br />
มาตรฐานสากล<br />
5.2 เอกสารคูมือฉบับนี้ เปนคูมือการสํารวจ<br />
จัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาใหไดมาตรฐาน ทบ ส<br />
4000-2550)<br />
5.3 การกําหนดมาตรฐานและคูมืองานสํารวจ<br />
จัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา ไดกําหนดแนวทางและ<br />
วิธีการดําเนินงานกวางๆ ตามมาตรฐานสากล ซึ่งอาจ<br />
จําเปนตองปรับเปลี่ยนรายละเอียดของเนื้องานตามที่<br />
ผูเชี่ยวชาญแตละโครงการจะเห็นสมควร<br />
6. รูปแบบและองคประกอบของแผนที่อุทกธรณี<br />
วิทยาตามมาตรฐานสากล<br />
6.1 รูปแบบสากลของแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
การสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาชุด<br />
แรกของประเทศตางๆ ในภาคพื้นยุโรประหวางป ค.ศ.<br />
1920-1940 โดยสวนใหญมีวัตถุประสงคเพื่อการวาง<br />
แผนการพัฒนาแหลงน้ําบาดาล สําหรับการเกษตร<br />
อุตสาหกรรมและการอุปโภคบริโภค มีการใชสัญญา<br />
ลักษณสีลายเสนในแผนที่หลายรูปแบบ จนไมสามารถ<br />
นําแผนที่ขางเคียงมาปะติดปะตอกันได ในป 1962<br />
สมาคมนักอุทกธรณีวิทยาสากล และสมาคมอุทกธรณี<br />
วิทยาสากล ไดจัดตั้งคณะทํางานสําหรับการติดตาม<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาขึ้นคณะหนึ่ง โดย<br />
จัดการประชุมขึ้นที่กรุงปารีสภายใตการสนับสนุนของ<br />
UNESCO และมีขอตกลงที่จะรวมกันจัดทํามาตรฐาน<br />
สากล สําหรับการทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาขึ้น โดย<br />
กําหนดมาตรฐานการใชสัญลักษณสีลายเสนและ<br />
มาตราสวนของแผนที่ รวมทั้งไดรวมกัน Compile<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยาของภาคพื้นยุโรปขึ้นในป 1964<br />
ภายใตรูปแบบแผนที่ 2 รูปแบบคือ รูปแบบที่ 1<br />
(model 1) เนนหนักไปทางอุทกธรณีวิทยาโดยแสดง<br />
คา permeability และคุณสมบัติทางชลศาสตรของ<br />
ชั้นน้ําในแหลงหินชนิดตางๆ และรูปแบบที่ 2 (model<br />
2) เนนหนักไปทางน้ําบาดาลโดยแสดงขีดความ<br />
สามารถในการใหน้ําของชั้นน้ําประเภทตางๆ<br />
ในป 1965 ไดมีการเสนอแผนที่รูปแบบที่ 3<br />
(model 3) โดยชั้นน้ําตางๆ จะแบงออกเปน 3 กลุม<br />
คือ good aquifers, moderate aquifers และ poor<br />
aquifers ชนิดของหินแสดงดวยลายเสนสีเทา พื้นที่<br />
เปน good aquifers แสดงดวยสีน้ําเงิน สีมวงเปนสี<br />
ของพื้นที่ moderate aquifers และสีน้ําตาลแทนพื้นที่<br />
poor aquifers แตปญหาใหญคือขอตกลงในการ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 116<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
กําหนดขอบเขตของ good aquifers และ moderate<br />
aquifers ดังนั้นไดมีการเสนอแผนที่รูปแบบที่ 4<br />
(model 4)<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยารูปแบบที่ 4 ถือไดวา<br />
เปนแผนที่อุทกธรณีวิทยามิติใหม เปนที่ยอมรับกัน<br />
โดยสวนใหญและในปจจุบันแผนที่อุทกธรณีวิทยาของ<br />
ประเทศตางๆ ยึดถือ model 4 เปนแมบทในการ<br />
สํารวจจัดทําแผนที่มากที่สุด เนื้อหาสาระของแผนที่<br />
Model 4 อยูที่การแสดงโดยแบงแยกชั้นน้ําเปน 3<br />
ประเภทใหญๆ คือ สีน้ําเงินสําหรับน้ําบาดาลที่ไหลไป<br />
ตามชองวางระหวางเม็ดตะกอน ตัวอยางเชนน้ํา<br />
บาดาลในแหลงกรวดทราย หรือหินทรายที่มี primary<br />
permeability สูงๆ เปนตน สีเขียวสําหรับชั้นน้ําที่ไหล<br />
ในชองวางตามแนวรอยแตกของชั้นหิน และสีน้ําตาล<br />
สําหรับพื้นที่ไมมีชั้นน้ํา นอกจากนั้นยังแสดงความ<br />
แตกตางของชั้นน้ําดวยความเขมของสี เชนสีน้ําเงิน<br />
เขม (dark blue) แสดงพื้นที่ของชั้นน้ําประเภท intergranular<br />
flow ที่มีสภาพชั้นน้ําแผกระจายเปนพื้นที่<br />
บริเวณกวาง สีเขียวออน (screened green) แสดงถึง<br />
ชั้นน้ํา fissured flow ที่มีแนวรอยแตกไมตอเนื่องเกิด<br />
เฉพาะพื้นที่ ในขณะเดียวกันสีน้ําตาลออน (screened<br />
brown) แสดงถึงพื้นที่ที่มีชั้นหินอาจเก็บน้ําบาดาลได<br />
บางในพื้นที่ขนาดเล็ก และสีน้ําตาลเขมถือวาเปนพื้นที่<br />
ไมมีแหลงน้ําบาดาลเลย (Anon, 1977)<br />
สําหรับแผนที่อุทกธรณีวิทยาตางๆ ของ<br />
ประเทศไทยและแผนที่น้ําบาดาลรายจังหวัด ซึ่งจัดทํา<br />
โดยกรมทรัพยากรน้ําบาดาล ไดยึดถือรูปแบบแผนที่<br />
Model 4 ตามมาตรฐานสากลในการจัดทําแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยา ดังนั้นในการกําหนดรูปแบบแผนที่อุทก-<br />
ธรณีวิทยาใหใชรูปแบบ model 4 ของมาตรฐานสากล<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
6.2 องคประกอบที่สําคัญของแผนที่อุทกธรณี<br />
วิทยา<br />
ตามมาตรฐานกรมทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
(มาตรฐาน ทบ ส 4000-2550) แผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
อยางนอยตองมีองคประกอบ 3 สวน คือ (1) หนาปก<br />
แผนที่ (map cover) (2) ตัวแผนที่ (map face) และ<br />
(3) องคประกอบอื่นๆ ของแผนที่<br />
6.2.1 หนาปกแผนที่<br />
หนาปกแผนที่เปนเอกสารกํากับแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยาโดยระบุขอมูลตางๆ เพื่อกํากับแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยาแผนนั้น ในกรณีที่แผนที่มีขนาดใหญ<br />
จําเปนตองพับแผนแผนที่ หนาปกแผนที่ตองมีขนาด<br />
เทากับแผนกระดาษ A-4 เมื่อพับแผนแผนที่แลว ให<br />
หนาปกแผนที่อยูดานหนาเปรียบเสมือนหนึ่งเปนปก<br />
แผนที่ สําหรับแผนที่ประกอบรายงานการสํารวจที่มี<br />
ขนาดเล็กใหจัดทําหนาปกแผนที่ตามความเหมาะสม<br />
ขอมูลในหนาปกแผนที่ประกอบดวยสวนตางๆ ดังนี้<br />
ตราสัญลักษณกรมทรัพยากร<br />
น้ําบาดาล<br />
(2) ชื่อแผนที่<br />
(3) ชื่อคณะผูจัดทําแผนที่ ชื่อคณะผูจัด<br />
ทําแผนที่ใหพิมพดวยอักษรสีดําขนาดที่เหมาะสมไว<br />
บริเวณใตกรอบดานบนของแผนที่ตรงบริเวณกึ่งกลาง<br />
ใตกรอบดานบนของแผนที่<br />
(4) มาตราสวนของแผนที่เปนเชิงระยะ<br />
ทาง (graphic scale) พรอมคําอธิบายเกี่ยวกับมาตรา<br />
สวนของแผนที่ ทั้งนี้เมื่อนําแผนที่ไปถายยอหรือขยาย<br />
จะทราบมาตรสวนของแผนที่จาก graphic scale<br />
(5) ลูกศรกํากับทิศใหกําหนดสัญลักษณ<br />
แสดงทิศเหนือ ขนาดเหมาะสมชัดเจน<br />
(6) ระยะเวลาในการสํารวจขอมูลและป<br />
ที่จัดพิมพแผนที่ ใหพิมพตัวเลขปที่จัดพิมพ เปน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 117<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตัวเลขสากลใหเห็นชัดเจนสําหรับการใชเปน<br />
เอกสารอางอิง<br />
6.2.2 ตัวแผนที่<br />
ตัวแผนที่ไดแกสวนที่แสดงขอมูลภายใน<br />
กรอบพื้นที่ที่จัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา ซึ่งอาจ<br />
ประกอบดวยขอมูลตางๆ ดังตอไปนี้<br />
(1) ขอมูลผิวดิน เปนขอมูลสภาพภูมิ<br />
ประเทศ เชน ระดับความสูง ทางน้ํา แมน้ําและแหลง<br />
น้ําผิวดินตางๆ ขอมูลขอบเขตการปกครองดวย ไดแก<br />
ตําแหนงของ หมูบาน ตําบล อําเภอ จังหวัด และ<br />
ขอบเขตของตําบล อําเภอ และจังหวัด และขอมูลการ<br />
คมนาคม โดยแสดงดวยดวยสีสัญลักษณและลายเสน<br />
ตามมาตรฐานสากล<br />
(2) ขอมูลหินทางอุทกธรณีวิทยา เปน<br />
ขอมูลหินทางอุทกธรณีวิทยาตางๆ ทั้งที่เปนชั้นน้ํา<br />
และชั้นหินกั้นน้ํา ในกรณีที่มีชั้นน้ําหลายๆ ชั้นในพื้นที่<br />
เดียวกัน ใหแสดงเปนชั้นน้ําหลัก ซึ่งเปนชั้นหินใหน้ํา<br />
บาดาลสูงสุดในพื้นที่นั้น ขอบเขตของหินอุมน้ําและ<br />
ประเภทของชั้นน้ํา โดยแสดงดวยสีสัญลักษณและ<br />
ลายเสนตามมาตรฐานสากล<br />
(3) ขอมูลปริมาณน้ําที่คาดวาจะพัฒนา<br />
ได (expected well yield) โดยเปนขอมูลปริมาณน้ํา<br />
สูงสุดที่สามารถสูบขึ้นใชได (maximum well yield) มี<br />
หนวยเปนหนวยลูกบาศกเมตรตอชั่วโมง (ลบ.ม./ชม.)<br />
ใหกําหนดเปนระดับการใหน้ําของชั้นหินเปนระดับ<br />
ตางๆ ตามความเหมาะสม บอน้ําบาดาลที่ใชในการ<br />
คํานวณหาปริมาณน้ําสูงสุดจะตองเปนบอที่มีการลง<br />
ทอกรองหรือทอเซาะรองตลอดความหนาของชั้นน้ํา<br />
บาดาล (fully penetrated well) สําหรับแผนที่น้ํา<br />
บาดาลรายจังหวัดของกรมทรัพยากรน้ําบาดาล โดย<br />
สวนใหญไดกําหนดไวเปน 4 ระดับไดแก นอยกวา 2,<br />
2-10, 10-20 และมากกวา 20 ลบ.ม./ชม. ตามลําดับ<br />
(4) ขอมูลคุณภาพน้ํา คาที่ใชกําหนด<br />
คุณภาพน้ําเบื้องตนในแผนที่น้ําบาดาลรายจังหวัดเปน<br />
คาปริมาณสารทั้งหมดที่ละลายในน้ํา (total dissolved<br />
solids, TDS) มีหนวยเปนมิลลิกรัมตอลิตร (mg/l) โดย<br />
กําหนดคุณภาพน้ําตามเกณฑขางตน ออกเปน 3<br />
ระดับ และใชสีแทนคุณภาพแตละระดับ<br />
(5) ขอมูลอื่นๆ นอกเหนือจากขอมูล<br />
หมวดตางๆ ดังกลาวขางตน ในตัวแผนที่อาจแสดง<br />
ขอมูลประกอบอื่นๆ เชน ตําแหนงของแนวตัดขวาง<br />
หรือตําแหนงของ block diagrams ตางๆ ตําแหนง<br />
ของพื้นที่ที่เคยมีการศึกษาวิจัยดานอุทกธรณีวิทยาขั้น<br />
รายละเอียด เปนตน สําหรับแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
ประกอบรายงานการสํารวจ ในตัวแผนที่อาจแสดง<br />
ขอมูลอื่นๆ ดังนี้<br />
(5.1) ตําแหนงการเก็บตัวอยาง (น้ําและ<br />
หิน) พรอมหมายเลขตัวอยาง<br />
(5.2) ตําแหนงการถายรูปสําหรับเปน<br />
ภาพประกอบรายงาน<br />
(5.3) ตําแหนงพื้นที่ที่มีการสํารวจขอมูล<br />
ขั้นรายละเอียด<br />
6.2.3 องคประกอบอื่นๆ ของแผนที่<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยาจะตองมีองคประ-<br />
กอบอื่นๆ ที่แสดงบนแผนที่ ดังนี้<br />
(1) แผนที่ดัชนี แผนที่ดัชนีเปนแผนที่<br />
ขนาดเล็ก ที่ยอ สวนของแผนที่อุทกธรณีวิทยาตาม<br />
ขนาดที่เหมาะสม (โดยทั่วไปมีขนาด 15x15 ตาราง<br />
เซนติเมตร) แสดงขอบเขตของพื้นที่สํารวจจัดทําแผน<br />
ที่และพื้นที่ขางเคียง บางครั้งอาจแสดงตําแหนงและ<br />
ขอบเขตของพื้นที่สํารวจจัดทําแผนที่ตามเลขหมาย<br />
ระวางแผนที่ (map sheet) ของแผนที่ภูมิประเทศ<br />
มาตราสวน 1:50,000 พรอมดวยแผนที่ระวางพื้นที่<br />
ขางเคียง หรือเปนแผนที่ขนาดเล็กตามขนาดและ<br />
มาตราสวนที่เหมาะสม<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 118<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สําหรับแผนที่น้ําบาดาลรายจังหวัดมาตรา<br />
สวน 1:100,000 ของกรมทรัพยากรน้ําบาดาล จัดพิมพ<br />
ในแผนกระดาษขนาด 60 x 75 ตารางเซนติเมตร<br />
ขนาดของพื้นที่จังหวัดซึ่งมีขนาดใหญกวาขนาดของ<br />
กระดาษพิมพดังนั้นชุดแผนที่น้ําบาดาลรายจังหวัด<br />
1 จังหวัด จึงประกอบไปดวยแผนที่แผนยอยมากกวา<br />
1 แผน แผนที่ดัชนี จะเปนแผนที่ยอสวนขนาดเล็กที่<br />
จัดทําไวเพื่อแสดงสวนประกอบของแผนที่น้ําบาดาล<br />
สวนตางๆ เพื่อความสะดวกในการคนหาแผนที่ในสวน<br />
ที่ตองการ<br />
(2) สัญลักษณที่ใชในแผนที่ (legend)<br />
(รายละเอียดในหัวขอ 6)<br />
(3) คําอธิบายแผนที่ (map explanation)<br />
(รายละเอียดในหัวขอ 7.3)<br />
(4) แบบจําลองอุทกธรณี วิทยาเชิงมโน<br />
ทัศน อาจแสดงดวยภาพจําลองสองมิติ เชน ภาพตัด<br />
ขวางทางอุทกธรณีวิทยา หรือภาพจําลองสามมิติ เชน<br />
ภาพจําลองรูปรั้วสามมิติ (fence diagrams) ภาพ<br />
จําลองรูปกลองสามมิติ (block diagrams) เพื่อแสดง<br />
ลักษณะและความสัมพันธทางอุทกธรณีวิทยา<br />
โดยเฉพาะการวางตัวของชั้นหินและชั้นน้ําตางๆ ใต<br />
ผิวดิน ซึ่งไมสามารถมองเห็นในเชิงลึกไดจากตัวแผน<br />
ที่ ทั้งนี้ในแผนที่น้ําบาดาลรายจังหวัดไดกําหนดให<br />
จัดทําแบบจําลองอุทกธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน อยาง<br />
นอยจังหวัดละ 2 แนว โดยการจัดทําแบบจําลองอุทก<br />
ธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน ตองกําหนดแนวที่ผานชั้นหิน<br />
ใหน้ําทุกชั้นที่พบในจังหวัดนั้น และโดยเฉพาะ<br />
โครงสรางทางธรณีวิทยาที่สําคัญเกี่ยวกับการเปน<br />
แหลงน้ําบาดาล รวมทั้งกําหนดใหใชสัญลักษณของ<br />
หนวยหินทางอุทกธรณีวิทยา โครงสรางทางอุทก<br />
ธรณีวิทยา ปริมาณ และคุณภาพน้ํา เชนเดียวกับที่ใช<br />
ในสวนของตัวแผนที่ และใหแสดงตําแหนงบอน้ํา<br />
บาดาลหรือขอมูลการเจาะอื่นๆ ที่นําขอมูลมาใชใน<br />
การจัดทําแบบจําลองฯ ตําแหนงทางน้ํา และตําแหนง<br />
ทางการปกครอง (ตําบล หรือ อําเภอ) สําคัญๆ ที่แนว<br />
ของแบบจําลองฯ ลากผานมาตราสวนของแบบจําลอง<br />
ฯ ตามความเหมาะสม โดยทั่วไปในแผนที่น้ําบาดาล<br />
รายจังหวัดมีมาตราสวน 1:100,000 ในแนวระนาบ<br />
และ 1:2,000 ในดิ่ง<br />
(5) แผนที่ประกอบ (supplementary<br />
maps) แผนที่ประกอบเปนแผนที่ขนาดเล็กยอสวน<br />
ขอบเขตพื้นที่สํารวจจัดทําแผนที่ มีราย ละเอียด<br />
เชนเดียวกับแผนที่ดัชนี พรอมกํากับมาตราสวนที่ใช<br />
คาเสนรุงและเสนแวงที่สําคัญ โดยมีวัตถุประสงคเพื่อ<br />
แสดงขอมูลดานอุทกธรณีวิทยาเฉพาะเรื่องซึ่งไม<br />
สามารถแสดงทับซอนไดในแผนที่หลัก หรืออาจแสดง<br />
ขอมูลทับซอนได แตจะทําใหแผนที่หลักมีรายละเอียด<br />
มากเกินไป ตัวอยางเชน ในแผนที่น้ําบาดาลราย<br />
จังหวัดของกรมทรัพยากรน้ําบาดาล มีแผนที่ประกอบ<br />
ตางๆ เชน แผนที่แสดงปริมาณคลอไรด (chloride<br />
contents map) แผนที่แสดงปริมาณความกระดาง<br />
(Hardness Contents Map) แผนที่แสดงแหลงน้ํา<br />
บาดาลระดับตื้น (shallow aquifer map) และแผนที่<br />
แสดงระดับความลึกของชั้นน้ํา (isopach map of<br />
aquifer’s depth) เปนตน โดยที่แผนที่ประกอบแตละ<br />
แผนจะแสดงคุณสมบัติ เฉพาะแตละอยางของชั้นน้ํา<br />
ทั้งจังหวัด<br />
(6) แหลงขอมูล<br />
(7) เอกสารอางอิงที่ใชในการทําแผนที่<br />
7. คูมือการใชสัญลักษณสําหรับการแสดงใน<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
คณะทํางานจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาสากลของ<br />
IAH และ IAHS ภายใตความรวมมือของ UNESCO<br />
และองคการอนามัยโลก (WHO) ไดมีการปรับปรุง<br />
แกไขและเพิ่มเติม สัญลักษณ ลายเสน และสีที่ใชใน<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาอยางตอเนื่อง และ<br />
กําหนดเปนสัญลักษณสากลเปนมาตรฐานสากล<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 119<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
สําหรับใชในการจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาใน<br />
ปจจุบัน (UNES-CO,1983) โดยแบงเปนหมวดขอมูล<br />
ตางๆ คือ (1) ภูมิประเทศ (2) ภูมิอากาศ (3)<br />
ธรณีวิทยา (4) ศิลาวิทยา (5) อุทกศาสตร (6) ธรณี<br />
วิทยาน้ําบาดาล (7) อุทกเคมี (8) บอน้ําบาดาลและ<br />
สิ่งกอสราง สําหรับหมวดศิลาวิทยาซึ่งเกี่ยวของกับ<br />
หนวยหินทางอุทกธรณีวิทยาของประเทศไทย คณะ<br />
ผูจัดทํามาตรฐานฯ ครั้งนี้ไดรวบรวมสัญลักษณของ<br />
หนวยหินตางๆ จากแผนที่อุทกธรณีวิทยาและแผนที่<br />
น้ําบาดาลรายจังหวัด จัดทําเปนมาตรฐานสําหรับการ<br />
สํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา ดังรายละเอียดใน<br />
ตารางที่ 2 (ภาคผนวก)<br />
8. หลักปฏิบัติสากลในการสํารวจจัดทําแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยา<br />
ตามมาตรฐานสากล (UNESCO, 1983) ได<br />
กําหนดหลักเกณฑการจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาที่<br />
เกี่ยวของกับการจัดการขอมูล ซึ่งกรมทรัพยากรน้ํา<br />
บาดาลเห็นสมควรใหยึดถือเปนมาตรฐาน ดังนี้<br />
8.1 หลักปฏิบัติในการแสดงขอมูลในแผนที่<br />
หลักปฏิบัติแสดงขอมูลในแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยา ตองจัดวางรูปแบบของการแสดงขอมูลให<br />
เหมาะสมเชน contour lines เหมาะสําหรับประเภท<br />
ขอมูลที่มีคาความเปลี่ยนแปลงอยางตอเนื่องเปนชวง<br />
ใดๆ และการเปลี่ยนแปลงของขอมูลแบบคอยๆ ลาด<br />
ชันทีละนอย เชนขอมูลความลึกของระดับน้ําบาดาล<br />
เปนตน แตสําหรับขอมูลที่มีคาการเปลี่ยนแปลงอยาง<br />
ทันทีทันใด การแสดงขอมูลดังกลาวดวยวิธีการ<br />
shading ผสมผสานกับ contour lines ก็อาจแกปญหา<br />
การขาดชวงของ contour lines ไปไดตัวอยางเชน<br />
การแสดงปริมาณน้ําบาดาลในชั้นหินปูน น้ําบาดาลที่<br />
ไดจากแนวรอยแตกและ bedding planes ของหินปูน<br />
อยูในชวงระหวาง 5 - 30 ลบ.ม./ชม. แตบอน้ําบาดาล<br />
ตรงบริเวณกึ่งกลางของพื้นที่แหลงหินปูน ไดน้ําจาก<br />
โพรงหินปูนใตดินสูงถึง 200 ลบ.ม./ชม. โดยมีขอมูล<br />
สามารถกําหนดขอบเขตของโพรงหินปูน (จากการ<br />
สํารวจทางธรณีฟสิกส) ขอมูลดังกลาวหากแสดงดวย<br />
contour lines ในบริเวณพื้นที่ไดน้ําจากแนวรอยแตก<br />
และ bedding planes และ shading ในพื้นที่โพรงหิน<br />
ก็จะไดขอมูลครบถวนโดยไมขาดหาย อยางไรก็ตาม<br />
การแสดงขอมูลดวย contour lines จะตองมีปริมาณ<br />
ขอมูลมากเพียงพอ การแสดงปริมาณน้ําบาดาลจาก<br />
ขอมูลบอน้ําบาดาลจํานวนนอยจะเกิดความผิดพลาด<br />
ไดมาก หากไมมีขอมูลดานอื่นๆ ชวยสนับสนุน เชน<br />
การหาความหนาของชั้นน้ําในพื้นที่ที่ไมมีบอเจาะโดย<br />
วิธีทางธรณีฟสิกส<br />
ขอมูลทางดานอุทกธรณีวิทยาบางสวนเปน<br />
ขอมูลผันแปรตามฤดูกาล (transient data) ตัวอยาง<br />
เชน ระดับน้ําบาดาลหรือปริมาณการใชน้ําบาดาลหรือ<br />
แมแตคุณภาพน้ําบาดาล โดยเฉพาะอยางยิ่งปริมาณ<br />
คลอไรดในน้ําของชั้นน้ําประเภททรายชายหาด การ<br />
แสดงขอมูลเหลานี้อาจแสดงเปนภาพรวมหรือคาเฉลี่ย<br />
เฉพาะชวงเวลาใดเวลาหนึ่งหรือแมแตแสดงขอมูล<br />
เฉพาะชวงเวลาสั้นๆ ทั้งนี้ขึ้นอยูกับวัตถุประสงคของ<br />
การใชงาน ตัวอยางเชน การสํารวจจัดทําแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยาทั่วไป มีวัตถุประสงคหลักเพื่อแสดงสภาพ<br />
แหลงน้ําบาดาล การแสดงขอมูลระดับน้ําบาดาลอาจ<br />
สํารวจจัดเก็บขอมูลระดับน้ําบาดาลในชวงระยะเวลา<br />
ใดเวลาหนึ่งในชวงสั้นๆ มาแสดงในแผนที่ก็ได แต<br />
หากเปนการจัดทําแผนที่โดยมีวัตถุประสงคพิเศษที่จะ<br />
แสดงปริมาณน้ําจากแหลงน้ําผิวดินที่ไปลงเติมชั้นน้ํา<br />
ระดับตื้นในชวงฤดูแลง จําเปนตองใชขอมูลระดับน้ํา<br />
เฉลี่ยของฤดูแลงเทานั้นมาแสดงในแผนที่ดังกลาว<br />
8.2 การจัดลําดับความสําคัญของขอมูล<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยาแสดงขอมูลจํานวน<br />
มากในรูป graphic เพื่อใหผูใชแผนที่รับทราบขอมูล<br />
ตางๆ ไดถูกตองใกลเคียงความเปนจริงมากที่สุดโดย<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 120<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ไมตองอานคําบรรยายที่ยืดยาว ดังนั้นการแสดงขอมูล<br />
ตางๆ ในแผนที่จําเปนตองจัดลําดับความสําคัญของ<br />
ขอมูลใหเหมาะสมและสามารถใชประโยชนตาม<br />
วัตถุประสงคของผูใชไดโดยงาย ตัวอยางเชน groundwater<br />
availability map ขอมูลที่สําคัญที่สุดไดแก<br />
ปริมาณน้ํา คุณภาพน้ ํา ความลึก ความหนา ของชั้น<br />
น้ําและระดับน้ําบาดาลเปนตน ในทางตรงกันขาม<br />
groundwater overexploited map หรือแผนที่แสดง<br />
ความเสี่ยงตางๆ (groundwater vulnerability maps)<br />
ขอมูลที่สําคัญไดแกขอมูลการสูบน้ําขึ้นใชจากชั้นหิน<br />
อุม ขอมูลแสดงทิศทางและอัตราการไหลของน้ําในชั้น<br />
น้ํา ขอมูลการไหลเติมน้ําบาดาลตามกระบวน การทาง<br />
ธรรมชาติ ขอมูลปริมาณการกักเก็บน้ําบาดาลในชั้น<br />
น้ํา ขอมูลการเปลี่ยนแปลงดานคุณภาพน้ําบาดาล<br />
ขอมูลดานคุณสมบัติทางชลศาสตรของชั้นน้ํา ขอมูล<br />
ความสัมพันธทางชลศาสตรระหวางน้ําบาดาลและ<br />
แหลงน้ําผิวดิน (hydraulic continuity) และขอมูล<br />
แหลงมลพิษที่อาจไหลลงปนเปอนในชั้นน้ํา เปนตน<br />
การออกแบบแผนที่ใหสวยงามตามความ<br />
เหมาะสม เปนศิลปะเฉพาะตัวของผูจัดทําแตการ<br />
ตกแตงแผนที่เกินความจําเปน อาจทําใหการใช<br />
ประโยชนตามวัตถุประสงคหลักไดไมเต็มที่ก็เปนได<br />
ขอพึงระวังคือ อยาใหแผนที่มีขนาดใหญเกินความ<br />
จําเปน ขนาดของแทนพิมพมีขีดจํากัด ผูใชแผนที่<br />
อาจจะยุงยากสับสนในการตอชิ้นสวนตางๆ ใหเปน<br />
แผนที่ทั้งบริเวณพื้นที่ของแผนที่ บางครั้งผูใชแผนที่<br />
อาจจําเปนตองไปถายยอแผนที่ หากตัวอักษรตางๆ<br />
บนแผนที่มีขนาดเล็กเมื่อถายยอสวนลงแลว ผูใชแผน<br />
ที่อาจไมสามารถอานขอความตางๆ ในแผนที่ได<br />
8.3 หลักปฏิบัติการจัดทําคําอธิบายแผนที่<br />
ตามมาตรฐาน ทบ ส 4000-2550กําหนดให<br />
จัดทําคําอธิบายแผนที่อุทก-ธรณีวิทยา ทั้งภาษาไทย<br />
และภาษาอังกฤษเปนคําอธิบายสั้นๆ ตรงไปตรงมา<br />
สําหรับคําอธิบายภาษาอังกฤษใหใชเปนวลีสั้นๆ โดย<br />
ไมมีประโยค คําอธิบายแผนที ่ตามมาตรฐานสากล<br />
จะตองประกอบดวยคําอธิบายตามหมวดตางๆ ดังนี้<br />
8.3.1 คําอธิบายเกี่ยวกับองคประกอบตางๆ<br />
ของแผนที่<br />
ตามมาตรฐานสากลของการจัดทําแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยาสากล นอกจากคําอธิบายเกี่ยวกับการ<br />
ใชสัญลักษณสีและลายเสนตางๆ จะตองจัดทํา<br />
คําอธิบายวิธีการใชแผนที่ดัชนีและแผนที่ประกอบ<br />
ตางๆ รวมทั้งจัดทําคําอธิบายเกี่ยวกับแบบจําลองอุทก<br />
ธรณีวิทยาเชิงมโนทัศน<br />
8.3.2 ชวงระยะเวลาการจัดเก็บขอมูลประเภท<br />
ตางๆ ในสนาม<br />
เนื่องจากขอมูลอุทกธรณีวิทยาบางชนิด<br />
เปนขอมูลที่มีการแปรเปลี่ยนตามกาลเวลา เชน ขอมูล<br />
ระดับน้ําบาดาลและขอมูลคุณภาพน้ําในชั้นน้ําอาจ<br />
เปลี่ยนแปลงตามฤดูกาล ดังนั้นการจัดเก็บขอมูล<br />
ดังกลาวในพื้นที่สํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
จําเปนตองจัดเก็บขอมูลในชวงระยะเวลาที่ใกลเคียง<br />
กันใหมากที่สุดเทาที่จะเปนไปได ตามมาตรฐานการ<br />
จัดทําแผนที่สากล ใหระบุชวงระยะเวลาของการ<br />
จัดเก็บขอมูลในคําอธิบายแผนที่<br />
8.3.3 วิธีการแปลความหมายขอมูล<br />
ตามมาตรฐานการจัดทําแผนที่อุทกธรณี<br />
วิทยาสากลใหระบุวิธีการแปลความหมายขอมูลใน<br />
คําอธิบายแผนที่โดยเฉพาะอยางยิ่งขอมูลจากการ<br />
สํารวจดวยวิธีการทางธรณีฟสิกสบนผิวดิน จะระบุ<br />
วิธีการสํารวจ วิธีการแปลความหมายขอมูลการสํารวจ<br />
และอาจจัดทําแผนที่ประกอบแสดงรายละเอียดใน<br />
บริเวณพื้นที่สํารวจพรอม geophysical models<br />
สําหรับการประมาณการขอมูลทางอุทกธรณีวิทยา<br />
อื่นๆ ใหระบุวิธีการประมาณการขอมูล ลักษณะผัน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 121<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
แปรของกลุมขอมูล และความคลาดเคลื่อนของขอมูล<br />
(รายละเอียดในหัวขอ 10.2, 10.3, และ 10.4)<br />
8.4 ขั้นตอนการตรวจสอบแผนที่<br />
เมื่อจัดทําตนรางแผนที่อุทกธรณีวิทยาแลว<br />
เสร็จตามมาตรฐานสากลในการจัดทําแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยาจะตองการตรวจสอบแผนที่ตามขั้นตอน<br />
ตางๆ ดังนี้<br />
8.4.1 ตรวจสอบโดยผูจัดทําแผนที่<br />
ตรวจสอบความสมบูรณของแผนที่อีกครั้ง<br />
เชน ลายเสนสัญลักษณและสีตางๆ ที่ใชในแผนที่ตรง<br />
กับลายเสน สัญลักษณและสีตางๆ ที่ใชในคําอธิบาย<br />
แผนที่หรือไม รวมทั้งตรวจสอบควบคุมชนิดของ<br />
ลายเสนสัญลักษณ และเสนคอนทัวรตางๆ ใหมีความ<br />
ถูกตอง ตรวจสอบขอความการบรรยาย และอื่นๆ<br />
8.4.2 สอบทานโดยคณะทํางาน<br />
สอบโดยคณะทํางานในการสํารวจจัดทํา<br />
แผนที่ อาจมีทีมงานประกอบ ดวยนักธรณีวิทยาใน<br />
การจัดเก็บขอมูลภาคสนาม นักเคมีในการตรวจ<br />
วิเคราะหคุณภาพน้ําบาดาล และนักอุทกธรณีวิทยา<br />
ทําหนาที่เปนผูควบคุมการจัดทําแผนที่ ควรจะใหทุก<br />
คนในคณะทํางานรวมกันตรวจสอบอีกครั้ง<br />
8.4.3 ตรวจสอบโดยผูใชแผนที่<br />
ตรวจสอบโดยผูใชแผนที่ หากแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยาจัดทําขึ้นเพื่อใชประโยชนสําหรับผูจัดทํา<br />
โดยเฉพาะ ผูจัดทําแผนที่ยอมเขาใจในสวนตางๆ ของ<br />
แผนที่เปนอยางดี แตหากแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
ดังกลาวจัดทําขึ้นเพื่อใชประโยชนโดยทั่วไป ผูจัดทํา<br />
แผนที่ควรจะสงตนรางแผนที่ใหเพื่อนรวมงาน ได<br />
ตรวจสอบแผนที่ดวยวาใชประโยชนจากแผนที่ได<br />
ตามที่ผูจัดทําตั้งไวหรือไม มีขอเสนอแนะอยางไร<br />
หรือไม และสิ่งสําคัญ ผูจัดทําแผนที่ ควรจะสงตนราง<br />
แผนที่ใหผูบังคับบัญชาตรวจสอบดวย โดยจะตองให<br />
เวลาแกผูตรวจสอบตามสมควร<br />
8.4.4 ตรวจสอบครั้งสุดทาย<br />
ตรวจสอบขั้นสุดทาย หลังจากผานการ<br />
ตรวจสอบตามขั้นตอนตางๆ ดังกลาวแลวผูใชแผนที่<br />
อาจสงตนราง เพื่อการจัดพิมพ โดยขอใหจัดพิมพตน<br />
รางแผนที่เพื่อการตรวจสอบขั้นสุดทายในจํานวนไม<br />
เกิน 10 ชุด กอนการพิมพจริง โดยผูจัดทําแผนที่จะ<br />
ตองตรวจสอบความคมชัดของลายเสนตางๆ ความ<br />
คมชัดของตัวอักษรตางๆ รวมทั้งความแตกตาง<br />
ระหวางโทนสีตางๆ ใหชัดเจน โดยเฉพาะตรงบริเวณ<br />
รอยตอระหวางแผนที่ ซึ่งในขั้นตอนนี้ยังสามารถ<br />
เปลี่ยนแปลงแกไขความผิดพลาดเล็กๆ นอยๆ ได<br />
กอนการพิมพจริง<br />
9. การจําแนกแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
การจําแนกประเภทแผนที่อุทกธรณีวิทยาตาม<br />
มาตรฐานสากล สามารถใชเปนแนวทางในการสํารวจ<br />
จัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาประเภทตางๆ ใหได<br />
มาตรฐาน กรมทรัพยากรน้ําบาดาล จึงไดกําหนด<br />
มาตรฐานการจําแนกประเภทแผนที่ ตามที่ไดกําหนด<br />
ไวในการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาสากล<br />
(Vrba and Zaporozec, 1994) ดังรายละเอียดตอไปนี้<br />
9.1 การจําแนกแผนที่ตามวัตถุประสงคของการ<br />
ใชงาน<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยาสามารถจําแนกตาม<br />
วัตถุประสงคของการใชงานตางๆ ดังนี้<br />
9.1.1 แผนที่อุทกธรณีวิทยาสําหรับการใชงาน<br />
ทั่วไป<br />
เปนแผนที่อุทกธรณีวิทยาที่จัดทําขึ้นมี<br />
วัตถุประสงคหลายๆ ประการรวมกัน ทั้งนี้โดยสวน<br />
ใหญจะมีเปาหมายหลักสําหรับแสดงสภาพแหลงน้ํา<br />
บาดาลทั้งในดานปริมาณและคุณภาพแหลงน้ําบาดาล<br />
ของพื้นที่ตางๆ เพื่อการวางแผนการการพัฒนา<br />
ทรัพยากรน้ําบาดาล ทรัพยากรน้ําหรืออาจใชเปน<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 122<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
แผนที่แสดงขอมูลความหนา ประเภทของชั้นตะกอน<br />
หินรวนและโครงสรางอุทกธรณีวิทยาใตผิวดิน สําหรับ<br />
การประยุกตใชในดานธรณีวิทยาฐานราก ดังนั้นแผน<br />
ที่ประเภทนี้จึงเปนแหลงรวมขอมูลดานอุทกธรณีวิทยา<br />
จํานวนมาก แตขอมูลที่สําคัญ ไดแกขอมูลดานสภาพ<br />
น้ําแหลงน้ําบาดาลของพื้นที่ตางๆ ขอมูลหนวยหิน<br />
ทางอุทกธรณีวิทยาตางๆ รวมไปถึงความหนาของ<br />
หนวยหินตางๆ และขอมูลการเรียงลําดับของหนวย<br />
หินทางอุทกธรณีวิทยา (hydrogeological sequences)<br />
สําหรับขอมูลระดับรองลงมา อาจเปนขอมูลระดับน้ํา<br />
บาดาล ทิศทางการไหลของน้ําบาดาล หรืออาจแสดง<br />
พื้นที่วิกฤตการณน้ําบาดาล (over-exploited areas)<br />
9.1.2 แผนที่อุทกธรณีวิทยาสําหรับการใชงาน<br />
ดานวิทยาศาสตร<br />
เปนแผนที่อุทกธรณีวิทยาที่แสดงขอมูล<br />
ทางดานวิทยาศาสตรและแหลงน้ําบาดาลเปนหลัก<br />
โดยไมคํานึงถึงวัตถุประสงคอื่น เชน แผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยาที่แสดงขอมูลแหลงทรัพยากรน้ําบาดาล<br />
รวมกับขอมูลดานอุทกวิทยา เชน ปริมาณน้ําฝน หรือ<br />
ปริมาณน้ําทา หรือปริมาณการคายระเหย หรือ<br />
ปริมาณความชื้นในดิน หรือการซึมผานผิวดิน ซึ่งเปน<br />
ขอมูลที่ไดจากการตรวจวัดหรือการคํานวณโดยใช<br />
หลักการทางวิทยาศาสตรหรืออาจเปนแผนที่ที ่แสดง<br />
ขอมูลแหลงน้ําบาดาลในยุคกอนๆ เปนตน<br />
9.1.3 แผนที่อุทกธรณีวิทยาประยุกต<br />
เปนแผนที่อุทกธรณีวิทยาที่จัดทําขึ้นเพื่อ<br />
วัตถุประสงคหลักในการออกแบบดานวิศวกรรม<br />
ตัวอยางเชนแผนที่แสดงรูปแบบของชั้นน้ําในแนวรอย<br />
แตก ความหนาแนนของแนวรอยแตก ในบริเวณพื้นที่<br />
กอสรางเขื่อน หรือแผนที่แสดงปริมาณน้ําฝนลักษณะ<br />
การไหลของทางน้ําผิวดินและน้ําบาดาลรวมไปถึงการ<br />
พยากรณความเสี่ยงตอการทวมขังของน้ํา การไหล<br />
หลากน้ําปาในพื้นที่กอสรางแหลงฝงกากขยะ หรืออาจ<br />
เปนแผนที่แสดงความหนา ขอบเขตการแผกระจาย<br />
และคาความซึมผานได ของกรวดทรายในชั้นน้ําที่<br />
วางตัวเหนือชั้นแร เพื่อใชในการวางแผนการพัฒนา<br />
แหลงแร โดยทั่วไปแผนที่อุทกธรณีวิทยาประยุกต มัก<br />
เปนแผนที่มาตราสวนขนาดใหญในบริเวณพื้นที่เล็กๆ<br />
9.1.4 แผนที่อุทกธรณีวิทยาเพื่อการวางแผน<br />
การพัฒนา<br />
เปนแผนที่อุทกธรณีวิทยาเพื่อใช<br />
ประโยชนในการพัฒนาทรัพยากรอื่นๆ ใหสอดคลอง<br />
กับสภาพแหลงน้ําบาดาล สําหรับการวางแผนการ<br />
พัฒนาใหเกิดประโยชนสูงสุด เปนตนวาการแสดง<br />
ขอมูลแหลงน้ ําบาดาลรวมกับขอมูลการจําแนก<br />
ประเภทของดิน หรือการแสดงขอมูลแหลงน้ําบาดาล<br />
รวมกับขอมูลแหลงน้ําผิวดินในฤดูกาลตางๆ เพื่อการ<br />
พัฒนาทรัพยากรแหลงน้ําใหเกิดประโยชนสูงสุด<br />
ดังนั้นแผนที่อุทกธรณีวิทยาเพื่อการวางแผนการ<br />
พัฒนา จึงอาจเปนแผนที่มาตราสวนขนาดใหญ ระดับ<br />
อําเภอหรือจังหวัด หรืออาจเปนแผนที่มาตราสวน<br />
ขนาดกลาง สําหรับการวางแผนระดับภาค หรือ<br />
ระดับประเทศก็ได<br />
9.1.5 แผนที่อุทกธรณีวิทยาเพื่อการศึกษา<br />
เปนแผนที่อุทกธรณีวิทยา ที่แสดงขอมูล<br />
สภาพแหลงน้ําบาดาลรวมกับขอมูลอื่นๆ สําหรับการ<br />
ศึกษาวิจัยทั้งในระดับปริญญาตรี หรือสูงกวาระดับ<br />
ปริญญาตรี แผนที่ประเภทนี้จึงมีรูปแบบที่หลากหลาย<br />
ขึ้นอยูกับวาจะศึกษาวิจัยในเรื่องใด เปนตนวา การ<br />
ศึกษาวิจัยเกี่ยวกับชนิดของพืชเศรษฐกิจรวมกับ<br />
สภาพแหลงน้ําบาดาลและรายไดของเกษตรกร<br />
การศึกษามูลคาของแหลงน้ําที่ใชในภาคเกษตรและ<br />
อุตสาหกรรมและอื่นๆ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 123<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
9.2 การจําแนกแผนที่ตามระดับความนาเชื่อถือ<br />
ความนาเชื่อถือของแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
ขึ้นอยูกับคุณภาพและปริมาณของขอมูล การตรวจสอบ<br />
ขอมูล การแปลความหมายของขอมูล และขอสมมติ<br />
ฐานตางๆ ที่แสดงบนแผนที่ ในการจัดทําแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยาที่ครอบคลุมพื้นที่เปนบริเวณกวาง บางสวน<br />
ของพื้นที่อาจมีขอมูลที่ไมสมบูรณ ในขณะที่บางสวนมี<br />
ขอมูลจํานวนนอย ในกรณีเชนนี้ อาจจัดทําเปนแผนที่<br />
ดัชนีแสดงความนาเชื่อถือของพื้นที่ตางๆ โดยอาศัย<br />
หลักเกณฑตามรูปที่ 1 (ranking by reliability) เปน<br />
เครื่องมือในการอธิบายประกอบแผนที่ก็ได<br />
ในการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
บางครั้งมีวัตถุประสงคหลักสําหรับการใชงานของ<br />
บุคคลทั่วไป ดังนั้นแผนที่ประเภทนี้ จําเปนตองแสดง<br />
ขอมูลที่เรียบงายไมซับซอน สัญลักษณตางๆ ชัดเจน<br />
เขาใจงาย คําอธิบายแผนที่ชัดเจน ใชภาษางายๆ และ<br />
ที่สําคัญตองแสดงขอมูลที่ไมซับซอนจนเกินไป โดย<br />
การแสดงขอมูลเฉพาะดานหรือหลายดานแตชัดแจง<br />
ความซับซอน จะเพิ่มขึ้นเมื่อการแสดงขอมูลมากดาน<br />
ขึ้นดังแสดงในรูปที่ 1<br />
9.3 การจําแนกแผนที่ตามมาตราสวน<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยาอาจจําแนกตามขนาด<br />
ของมาตราสวนออกเปน 4 ระดับ (Anon, 1977) คือ<br />
9.3.1 มาตราสวนขนาดใหญมาก<br />
เปนแผนที่มาตราสวนนอยกวา 1:20,000<br />
มักเปนแผนที่อุทกธรณี วิทยาประกอบรายงานการ<br />
สํารวจอุทกธรณีวิทยา หรือประกอบรายงานดานอื่นๆ<br />
ในบริเวณพื้นที่ขนาดเล็กและมีรายละเอียดขอมูลอุทก<br />
ธรณีวิทยาจํานวนมาก ตัวอยางเชน การสํารวจน้ํา<br />
บาดาลเพื่อกําหนดตําแหนงจุดเจาะบอน้ําบาดาลใน<br />
บริเวณพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม เปนตน<br />
คําอธิบาย<br />
ระดับความเชื่อถือที่เพิ่มขึ้น<br />
ระดับความเชื่อถือที่เพิ่มขึ้น<br />
A. แสดงขอมูลองคประกอบเดียว<br />
(เชน ศักยภาพแหลงน้ําบาดาล)<br />
B. แสดงขอมูลสององคประกอบ (เชน ศักยภาพ<br />
แหลงน้ําบาดาลและสภาพธรณีวิทยา)<br />
C. แสดงขอมูลสามองคประกอบ<br />
(เชน ศักยภาพแหลงน้ําบาดาล<br />
คุณภาพน้ํา และสภาพธรณีวิทยา)<br />
D. แสดงขอมูลมากกวาสามองคประกอบ<br />
คําอธิบาย<br />
1. พื้นฐานขอมูลทั้งหมดเปนขอมูลประมาณการ<br />
หรือขอมูลทั่วไป<br />
2. 10% เปนขอมูลที่เชื่อถือได: 90% ขอมูลประมาณการ<br />
3. 25% เปนขอมูลที่เชื่อถือได: 75% ขอมูลประมาณการ<br />
4. 50% เปนขอมูลที่เชื่อถือได: 50% ขอมูลประมาณการ<br />
5. 75% เปนขอมูลที่เชื่อถือได: 25% ขอมูลประมาณการ<br />
6. 90% เปนขอมูลที่เชื่อถือได: 10% ขอมูลประมาณการ<br />
7. ขอมูลทั้ง 100% เปนขอมูลที่เชื่อถือได<br />
8.<br />
(ก) แสดงระดับความนาเชื่อถือจํานวน 7 ระดับ<br />
(ข) แสดงระดับความซับซอน 4 ระดับ<br />
รูปที่ 1 ระดับความนาเชื่อถือและระดับความซับซอน (ดัดแปลงจาก Vrba and Zaporozec, 1994)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 124<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
9.3.2 มาตราสวนขนาดใหญ<br />
เปนแผนที่ที่มีมาตราสวน 1:20,000 ถึง<br />
1:100,000 เปนแผนที่อุทกธรณีวิทยาใชประกอบ<br />
แผนการสํารวจอุทกธรณีวิทยาหรือรายงานประเภท<br />
อื่นๆ ที่มีพื้นที่โครงการขนาดใหญและมีรายละเอียด<br />
ขอมูลทางดานอุทกธรณีวิทยาไมมากนัก ตัวอยางเชน<br />
แผนที่อุทก-ธรณีวิทยาบริเวณโครงการชลประทานลุม<br />
น้ําก่ําตอนลาง แผนที่อุทกธรณีวิทยาแองหาดใหญ<br />
แผนที่น้ําบาดาลรายจังหวัดเปนตน<br />
9.3.3 มาตราสวนขนาดเล็ก<br />
เปนแผนที่ที่มีมาตราสวน 1:100,000 ถึง<br />
1:500,000 เปนแผนที่แสดงขอมูลดานอุทกธรณีวิทยา<br />
สําหรับประโยชนในดานการวางแผนการพัฒนาน้ํา<br />
บาดาลระดับภาคระดับประเทศ หรือการวางแผนการ<br />
พัฒนาดานอื่นๆ ที่จําตองใชขอมูลดานแหลงน้ําบาดาล<br />
ประกอบการวางแผน ตัวอยางเชน แผนที่อุทกธรณี<br />
วิทยาประเทศไทย (1:1,000,000) แผนที่อุทกธรณี<br />
วิทยารายภาคของประเทศไทย (มาตราสวน 1:500,000)<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยาลุมแมน้ําโขงตอนลาง (มาตรา<br />
สวน 1:1,000,000) เปนตน<br />
ตารางที่ 1 หลักเกณฑการกําหนดมาตราสวนของแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
มาตราสวน<br />
1 : 25,000,000<br />
1 : 10,000,000<br />
1 : 5,000,000<br />
1 : 1,000,000<br />
1 : 500,000<br />
1 : 250,000<br />
9.3.4 มาตราสวนขนาดเล็กมาก<br />
เปนแผนที่ที่มีมาตราสวนนอยกวา<br />
1:1,000,000 (บางครั้งอาจถึง 1:10,000,000) เปน<br />
แผนที่อุทกธรณีวิทยาที่ใหขอมูลดานอุทกธรณีวิทยา<br />
อยางกวางๆ อาจจะเปนระดับประเทศ ระดับทวีป<br />
หรือ World Water Resources Information เปนตน<br />
จากการศึกษาแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
ประเทศตางๆ ของ UNESCO และ WMO ในป 1977<br />
(Anon, 1977) ไดเสนอวิธีการกําหนดมาตราสวนของ<br />
แผนที่อุทกธรณี วิทยาที่เหมาะสมตามวัตถุประสงค<br />
ของการใชงาน และขนาดของพื้นที่ ดังตารางที่ 1<br />
รวมทั้งไดเสนอวิธีการกําหนดขนาด<br />
มาตราสวนของแผนที่ โดยการนําเอาคาความ<br />
นาเชื่อถือของขอมูล (ranking by reliability) และ<br />
ระดับความซับซอนของขอมูล (ranking by complexity)<br />
มาเปนหลักเกณฑในการพิจารณาโดยแบงขนาดของ<br />
พื้นที่ออกเปน 3 ระดับ คือ ทวีปและโลก ระดับ<br />
ภูมิภาคหรือประเทศ และระดับพื้นที่ ดังตัวอยางใน<br />
ตารางที่ 5 แผนที่ continental หรือ global hydrogeological<br />
map ที่มีความซับซอนของขอมูล<br />
ความเหมาะสมของการกําหนดมาตรสวนตอพื้นที่ที่ครอบคลุม<br />
ทวีป หรือ โลก ภูมิภาค เฉพาะพื้นที่<br />
(continental หรือ global) (regional)<br />
(local)<br />
A – 1 เหมาะสม ไมเหมาะสม<br />
B – 1 เหมาะสม ไมเหมาะสม<br />
B – 1 เหมาะสม ไมเหมาะสม<br />
ไมเหมาะสม เหมาะสม ไมเหมาะสม<br />
ไมเหมาะสม เหมาะสม ไมเหมาะสม<br />
ไมเหมาะสม เหมาะสม ไมเหมาะสม<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 125<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ระดับ A (one-element) และความนาเชื่อถือของ<br />
ขอมูลระดับ 1 มาตราสวนที่เหมาะสมคือ1: 5,000,000<br />
แตหากมีซับซอนของขอมูลมากขึ้น (เพิ่มระดับ A เปน<br />
B หรือ C) และมีความนาเชื่อถือของขอมูลเพิ่มขึ้น<br />
(จากระดับ 1 เปนระดับ 2, 3, 4) มาตราสวนของแผน<br />
ที่ จะใหญขึ้นตามลําดับ (C-4 มาตราสวนที่เหมาะสม<br />
คือ 1:250,000) และสําหรับแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
ระดับพื้นที่ ควรมีขนาดมาตราสวนไมนอยกวา<br />
1:100,000 เปนตน<br />
อยางไรก็ตามขนาดของแผนที่ มีสวนใน<br />
การกําหนดมาตราสวนของแผนที่อุทกธรณีวิทยา ทั้งนี้<br />
เนื่องจากขีดจํากัดของขนาดแทนพิมพ ซึ่งโดยทั่วไป<br />
จะสามารถพิมพไดที ่ขนาดความกวางของกระดาษ<br />
ไมเกิน 110 เซนติเมตร การตอแผนที่ หรือแผนที่ที่มี<br />
สวน ประกอบหลายสวน จะมีความยุงยากไมในการใช<br />
งานมาก โดยทั่วไปมักจะมีชิ้นสวน ประกอบแผนที่ไม<br />
เกิน 4 ชิ้น (4 สวน) และขนาดที่เหมาะสมที่สุดไมควร<br />
มีขนาดเกินกวา 70 x 100 เซนติเมตร<br />
9.4 การจําแนกแผนที่ตามประเภทของขอมูล<br />
ขอมูลอุทกธรณีวิทยาที่แสดงในแผนที่ อาจ<br />
แบงออกไดเปน 3 ระดับ คือ (1) ระดับขอมูลที่ไดจาก<br />
การจัดเก็บในภาคสนามโดยตรง (2) ระดับขอมูลที่ได<br />
จากการคํานวณหรือจากการลงความเห็น และ (3)<br />
ระดับขอมูลที่ไดจากการประมาณการ ดังนั้น หาก<br />
จําแนกแผนที่อุทกธรณีวิทยา ตามประเภทของขอมูล<br />
ตางๆ ดังกลาวก็จะไดแผนที่เปน 3 ประเภท (Anon,<br />
1977) คือ<br />
9.4.1 แผนที่อุทกธรณีวิทยาจากการสํารวจ<br />
ขอมูลภาคสนาม<br />
เปนแผนที่อุทกธรณีวิทยาที่ไดจากการ<br />
สํารวจขอมูลจริงในภาคสนาม เชนแผนที่แสดงระดับ<br />
ความลึกของระดับน้ําบาดาลในชวงระยะเวลาหนึ่งตรง<br />
บริเวณบอเจาะ แผนที่แสดงอุณหภูมิของน้ําบาดาล<br />
ตรงบริเวณปากบอน้ําบาดาล แผนที่แสดงความกรอย<br />
เค็มของน้ําบาดาลบริเวณปากบอ แผนที่แสดงคา<br />
ความตานทานไฟฟาของน้ําบาดาล (แผนที่ปริมาณ<br />
แสดงมวลสารรวมที่แปลคามาจาก electrical conductivity<br />
ไมถือวาเปน field data hydrogeological map<br />
เนื่องจากไดแปลงคา EC ที่ตรวจวัดในสนามเปนคา<br />
TDS)<br />
9.4.2 แผนที่อุทกธรณีวิทยาจากการคํานวณ<br />
ขอมูลการสํารวจ<br />
เปนแผนที่อุทกธรณีวิทยาที่แสดงขอมูล<br />
จากการคํานวณดวยวิธีการตางๆ เชน การแสดงดวย<br />
คาเฉลี่ยของขอมูล แสดงดวยขอมูลที่ไดจากการ<br />
Interpolate หรือ Extrapolate หรือจากการคํานวณ<br />
ดวยสูตรตางๆ หรือจากการคํานวณโดยวิธีการทาง<br />
สถิติอื่นๆ<br />
9.4.3 แผนที่อุทกธรณีวิทยาจากการประมาณ<br />
การขอมูล<br />
เปนแผนที่อุทกธรณีวิทยาที่แสดงขอมูล<br />
จากการแปลความหมายของขอมูลดิบในภาคสนาม<br />
โดยมีวัตถุประสงคที่จะแสดงขอมูลระดับลึก ซึ่งหากไม<br />
แปลความหมายจากขอมูลดิบเสียกอน เปนตนวาการ<br />
แสดงปริมาณน้ําที่สามารถสูบไดในแตละพื้นที่<br />
(groundwater availability maps) โดยนําขอมูลการให<br />
น้ําของบอน้ําบาดาลตางๆ มาแปลคาความหมาย<br />
เสียกอนใหไดคา maximum well yields หรือคา available<br />
well yields เสียกอน แลวจึงนําเอาขอมูลที่ได<br />
จากการแปลความหมายมาแสดงในแผนที่<br />
10. การนําเสนอขอมูลในแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
คุณภาพของแผนที่อุทกธรณีวิทยาขึ้นอยูกับการ<br />
แสดงขอมูลบนแผนที่อยางรวบรัดและถูกตองแนนอน<br />
รวมไปถึงความเดนชัดในการแสดงขอมูลเปนประการ<br />
สําคัญ ดังนั้นการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยามี<br />
ความจําเปนตองศึกษาถึงธรรมชาติของขอมูลประเภท<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 126<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตางๆ ใหดีรวมทั้งเทคนิคในการวิเคราะหขอมูลและ<br />
การประมาณการตางๆ หากมีความจําเปน ถึงแมวา<br />
มาตรฐานสากลในการจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา ได<br />
จัดตั้งมาตรการตางๆ ในการตรวจสอบขอมูล สําหรับ<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยาและการวิเคราะห<br />
ขอมูล และการประมาณการขอมูล แลวก็ตาม แต<br />
ยังคงมีปญหาอีกมากมายที่ผูจัดทําแผนที่ จะตอง<br />
วิเคราะหขอมูลอีกมาก เปนตนวาขอมูลที่ผันแปรตาม<br />
ฤดูกาล ขอมูลที่ผันแปรไปตามกาลเวลา ขอมูลที่เกิด<br />
จากความผิดพลาดจากเครื่องมือจัดเก็บขอมูล ขอมูลที่<br />
เกิดจากความผิดพลาดจากวิธีการจัดเก็บขอมูล รวม<br />
ไปถึงความคลาดเคลื่อนของขอมูลอันสืบเนื่องจาก<br />
ความสลับซับซอนของสภาพชั้นน้ํา เปนตน ดังนั้น<br />
เพื่อใหคุณภาพของแผนที่อุทกธรณีวิทยามีคุณภาพ<br />
ตรงตามมาตรฐานสากล กรมทรัพยากรน้ําบาดาลได<br />
กําหนดมาตรฐานในการนําเสนอขอมูลตางๆ ในแผนที่<br />
ตามมาตรฐาน ทบ ส 4000-2550 ดังรายละเอียด<br />
ตอไปนี้<br />
10.1 นําเสนอขอมูลแผนที่ใหตรงตามธรรมชาติ<br />
ของขอมูลอุทกธรณีวิทยา<br />
ตามมาตรฐานสากลการจัดทําแผนที่อุทก<br />
ธรณีวิทยาไดกําหนดมาตรฐานตามธรรมชาติของขอมูล<br />
อุทกธรณีวิทยา โดยการวิเคราะหลักษณะของขอมูล<br />
ทางอุทกธรณี วิทยา และวิธีการนําเสนอขอมูลในแผนที่<br />
โดยการจําแนกประเภทของ คุณภาพของขอมูล และ<br />
รูปแบบการเปลี่ยนแปลงของขอมูลที่เปนรูปแบบ<br />
เดียวกัน ดังรายละเอียดคือ<br />
10.1.1 ประเภทของขอมูลที่ใชในการจัดทํา<br />
แผนที่<br />
ขอมูลสําหรับการจัดทําแผนที่อุทกธรณี<br />
วิทยา แบงออกเปน 3 ประเภทคือ field data, derived<br />
data และ interpretative data ในขณะเดียวกันระดับ<br />
ความนาเชื่อถือของแผนที่อุทกธรณีวิทยา นอกจากจะ<br />
ขึ ้นอยูกับปริมาณขอมูล แลวยังขึ้น อยูกับประเภทของ<br />
ขอมูลที่แสดงในแผนที่อีกดวย ดังนั้นในการสํารวจ<br />
จัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา การตัดสินใจเลือกชนิดของ<br />
ขอมูลที่จะแสดงในแผนที่นั้นยอมขึ้นอยูกับวัตถุประสงค<br />
ของแผนที่เปนหลักใหญ อยางไรก็ตามการเลือกใช<br />
ประเภทของขอมูล จําเปนตองเขาใจลักษณะทาง<br />
ธรรมชาติของขอมูลนั้นๆ ดวย ตัวอยาง เชน การแสดง<br />
ขอมูลดวย field data ที่เกี่ยวกับการตรวจวัดระดับน้ํา<br />
บาดาลในบอน้ําบาดาลตางๆ โดยไมมีการแปล<br />
ความหมายขอมูล ใหเปนเสนคอนทัวรระดับความลึก<br />
ของระดับน้ําบาดาลและทิศทางการไหลของน้ําบาดาล<br />
แลว ผูใชประโยชนจากแผนที่ไดจะเปนเฉพาะ<br />
นักวิชาการน้ําบาดาลเทานั้น<br />
10.1.2 คุณภาพของขอมูลที่ใชในการจัดทํา<br />
แผนที่<br />
ความรูเกี่ยวกับธรรมชาติของขอมูลอุทก<br />
ธรณีวิทยา ความสมบูรณของการจัดเก็บขอมูล ความ<br />
ผันแปรของขอมูลที่อาจเปลี่ยนแปลงตามฤดูกาลหรือ<br />
ตามกาลเวลา ความคลาดเคลื่อนตามธรรมชาติ และ<br />
คุณสมบัติดานอื่นๆ ของขอมูลประเภทตางๆ ที่จะ<br />
นําไปใชเพื่อการจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา ยอมเปน<br />
ตัวแปรสําคัญของคุณภาพแผนที่ที่จัดทําขึ้น ดังนั้นใน<br />
การสํารวจจัดเก็บขอมูลทางดานอุทกธรณีวิทยา<br />
ภาคสนาม จําเปนตองมีการวางแผนอยางรัดกุม และ<br />
จะตองคํานึงถึงการแปรเปลี่ยนของขอมูลไปตามฤดูกาล<br />
เปนตนวาจะจัดเก็บขอมูลเกี่ยวกับระดับน้ําบาดาล<br />
จะตองจัดเก็บในชวงระยะเวลาเดียว (อาจเปนชวง<br />
หนาแลงชวงหนึ่ง ชวงปลายฤดูฝนอีกชวงหนึ่ง) หรือ<br />
การจัดเก็บขอมูลเกี่ยวกับคุณภาพน้ําบาดาล<br />
โดยเฉพาะอยางยิ่ง คา pH คา electrical conductivity<br />
(EC) คา dissolved oxygen (DO) จําเปนตองวิเคราะห<br />
ทันที ทั้งนี้เพราะคาตางๆ ดังกลาวจะเปลี่ยนแปลงได<br />
รวดเร็วมาก ทันทีที่ตัวอยางน้ําถูกนําขึ้นจากปากบอน้ํา<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 127<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
บาดาลคุณภาพแปรเปลี่ยนไปจากการเปลี่ยนแปลงของ<br />
อุณหภูมิและระดับความดัน นอกจากนี้คาตางๆ<br />
ดังกลาวยังเปลี่ยนแปลงไดตามฤดูกาลอีกดวย คุณภาพ<br />
ของขอมูลทางอุทกธรณีวิทยา นอกจากจะขึ้นอยูกับ<br />
วิธีการจัดเก็บขอมูลดังกลาว ยังขึ้นอยูกับชนิดของ<br />
เครื่องมือ และวิธีการใชเครื่องมือในการจัดเก็บขอมูล<br />
ดวยอีกดวย เชน การวัด pH โดยใชกระดาษลิตมัส<br />
(litmus paper) จะใหคาประมาณการเทานั้น การใช pH<br />
meter จะใหคาถูกตองแนนอนกวา แตหากเครื่อง pH<br />
meter ที่ไมไดรับการ calibrate ใหถูกตองที่จะไมได<br />
ขอมูลที่ดี บางครั้งอาจจําเปนตองใชการตรวจวัด<br />
หลายๆ วิธี ผสมผสานกัน จนกวาจะแนใจวาไดขอมูลที่<br />
ถูกตอง<br />
10.1.3 ความเปนรูปแบบเดียวกันของขอมูล<br />
ขอมูลอุทกธรณีวิทยาบางสวนจะมีการ<br />
เปลี่ยนแปลงของขอมูลที่เปนรูปแบบเดียวกัน เปนตน<br />
วาการแปรเปลี่ยนของระดับน้ําบาดาลตามปกติจะขึ้นลง<br />
ตามฤดูกาล หากติดตามขอมูลระดับน้ําบาดาลที่บอใด<br />
บอหนึ่ง ยอนหลังเปนเวลาหลายๆ ป อาจพบวาปริมาณ<br />
น้ําฝนในแตละปไมแตกตางกันมากนัก ระดับน้ําบาดาล<br />
ในบอดังกลาว ในชวงปลายฤดูฝนแตละปมักมีระดับ<br />
ใกลเคียงกัน ในขณะเดียวกันหากการสูบน้ําบาดาลที่มี<br />
ปริมาณใกลเคียงกันในชวงหนาแลงของแตละป ระดับ<br />
น้ําบาดาลในบอนั้น จะลดลงในระดับใกลเคียงกันดวย<br />
ดังนั้นความสัมพันธระหวางระดับน้ําบาดาลในบอ กับ<br />
ปริมาณการสูบน้ําบาดาลหรือปริมาณน้ําฝนในแตละป<br />
จะมีรูปแบบที่คอนขางจะเปนรูปแบบที่คลายคลึงกัน<br />
การแปรเปลี่ยนของระดับน้ําที่ผิดรูปแบบอาจเกิดจาก<br />
ปจจัยภายนอก ทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบอยาง<br />
ชั่วคราว เปนตนวาการเปลี่ยนแปลงความดัน<br />
บรรยากาศ หรือการเปลี่ยน แปลงน้ําหนักกดทับ ทําให<br />
เกิดการเปลี่ยนแปลงของระดับน้ําบาดาลแบบชั่วคราว<br />
หรือเกิดการเปลี่ยน แปลงรูปแบบอยางอยางถาวร อัน<br />
เกิดจากการสูบน้ําบาดาลจากชั้นน้ําเกินสภาพความ<br />
สมดุลของแหลงน้ํา<br />
สําหรับขอมูลปกติ ไมวาจะเปนขอมูล<br />
ระดับน้ําบาดาล ขอมูลปริมาณน้ําบาดาล (well yield)<br />
ซึ่งสัมพันธกับความหนาของชั้นน้ํา หรือขอมูลคุณภาพ<br />
น้ําบาดาล เชน ความกรอยเค็ม หรือปริมาณเกลือคลอ<br />
ไรดที่มีความสัมพันธกับระดับน้ําบาดาลในชั้นน้ํา มักมี<br />
ตามรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่แนนอน หรือมี data<br />
consistency ที่ดี ทําใหสามารถตรวจสอบโดยการทํา<br />
tests of data consistency ไดดวยวิธีการตางๆ เปนตน<br />
วา graphical regression method หรือ double mass<br />
analysis หรือการตรวจสอบดวยวิธีการทางสถิติอื่นๆ<br />
10.2 ความคลาดเคลื่อนของขอมูล<br />
ตามมาตรฐานการสํารวจจัดทําแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยาสากล (Struckmeier and Maget,<br />
1995) ไดกําหนดหลักปฏิบัติในการใชขอมูลอุทก<br />
ธรณีวิทยาสําหรับการจัดทําแผนที่อีกอยางหนึ่งคือ ขอ<br />
พึงระวังเกี่ยวกับความคลาดเคลื่อนของขอมูล ทั้งใน<br />
ดานความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากอุบัติเหตุ และ<br />
ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากระบบการจัดเก็บขอมูล<br />
ดังรายละเอียดคือ<br />
10.2.1 ความคลาดเคลื่อนที่ของขอมูลเกิดจาก<br />
อุบัติเหตุ<br />
เปนความผิดพลาดของขอมูลที่อาจเกิด<br />
จากการสื่อสารขอมูล หรือความเขาใจผิด หรือการแปล<br />
ความหมายขอมูลที่ผิดพลาด (แตไมเกี่ยวกับความเอน<br />
เอียงของผูจัดเก็บขอมูล ซึ่งถือวาเปนความผิดพลาด<br />
ของบุคคลหรืออาจเกิดจากการแปรเปลี่ยนของขอมูล<br />
ตามธรรมชาติ เชน การเปลี่ยน แปลงของระดับน้ําจาก<br />
การเกิดแผนดินไหว โดยปกติ ความผิดพลาดจาก<br />
อุบัติเหตุมักจะมีคาอยูในกลุมคาเฉลี่ยของขอมูลหรือ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 128<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
อาจมีความคลาดเคลื่อนไปในทางบวกหรือลบ ดังนั้น<br />
หากนําคาเฉลี่ยของกลุมขอมูลขนาดใหญมาใชเปน<br />
ขอมูลแสดงในแผนที่อุทกธรณีวิทยา ความคลาดเคลื่อน<br />
ของขอมูลดังกลาว อาจมีผลใหเกิดความผิดพลาดได<br />
นอยลง<br />
10.2.2 ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจากระบบการ<br />
จัดเก็บขอมูล<br />
เปนความคลาดเคลื่อนของขอมูล ทั้งที่<br />
สืบเนื่องจากความผิดพลาดของผูสํารวจจัดเก็บขอมูล<br />
หรือความคลาดเคลื่อนของเครื่องมือสํารวจ หรือ<br />
ความคลาดเคลื่อนเนื่องจากวิธีการสํารวจ โดยปกติ<br />
ความคลาดเคลื่อนของขอมูลที่เปน systematic errors<br />
สามารถปรับแตงขอมูลไดหากทราบสาเหตุของความ<br />
คลาดเคลื่อนในขณะจัดเก็บขอมูล ความคลาดเคลื่อน<br />
อาจมีคาคงที่ เชน ความคลาดเคลื่อนที่เกิดจาก<br />
เครื่องวัด เมื่อ calibrate เครื่องมือตรวจวัดแลวมีคา<br />
ความคลาดเคลื่อนจากความเปนจริงมากนอยเพียงไร ก็<br />
สามารถนําคาความคลาดเคลื่อนดังกลาวมาบวก (หรือ<br />
ลบ) จากคาที่ตรวจวัดไดในสนาม หรือความคลาด<br />
เคลื่อนอาจเปนสัดสวนกับผลการตรวจวัดก็เปนได<br />
10.3 ลักษณะผันแปรของกลุมขอมูล<br />
ดังที่ไดกลาวแลววาแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
นอกจากจะแสดงขอมูล 3 มิติ คือ ความกวางความ<br />
ยาวและความลึก บนแผนกระดาษแผนที่ที่มีเพียง 2<br />
มิติ ประกอบกับขอมูลทางอุทกธรณีวิทยา มักมีความ<br />
ผันแปรตามฤดูกาลและตามกาลเวลา (spatial data)<br />
เปนมิติที่ 4 ดังนั้นขอมูลดิบทางดานอุทกธรณีวิทยาที่<br />
จัดเก็บในภาคสนาม โดยสวนใหญมักมีการกระจายตัว<br />
หรือความผันแปรคอนขางสูง ลักษณะการกระจายตัว<br />
ของขอมูลดานอุทกธรณีวิทยาอาจเปนแบบคงรูป หรือ<br />
อาจมีการกระจายตัวแบบโดดเดน ที่ไมสามารถคาด<br />
เดาหรือถัวเฉลี่ยเพื่อใหไดคาที่เปน representative<br />
value สําหรับการจัดทําแผนที่ไดโดยวิธีการทางสถิติ<br />
แตการหาคา representative values ตางๆ จะตองยืน<br />
อยูบนหลักของความเปนจริง ตัวอยางเชน คา<br />
transmissibility ที่มีการแปรเปลี่ยนกันไปจากจุดหนึ่ง<br />
การใชคาเฉลี่ยจําตองคํานึงถึง flow pattern และความ<br />
หนาของชั้นน้ํา หรือแมแตการเปลี่ยนแปลงของชั้นน้ํา<br />
ดวย นอกเหนือไปจากนั้น การหาคา representative<br />
values โดยวิธีการทางสถิติ จําเปนตองทราบถึง<br />
ลักษณะการกระจายตัวของขอมูล ซึ่งแบงออกไดเปน<br />
2 ลักษณะใหญ ๆ คือ (1) spatial variability เปน<br />
ความผันแปรของขอมูลอันเนื่องมาจากพื้นผิวภูมิ<br />
ประเทศ หรือปรากฏการณทางดานภูมิอากาศ ซึ่ง<br />
ขอมูลที่เก็บจากจุดสํารวจตางๆ (ในชวงระยะเวลา<br />
เดียวกัน) มีความแตกตางกันไป ตัวอยางเชน ระดับ<br />
น้ําบาดาล ความหนาของชั้นน้ํา ปริมาณน้ําบาดาล<br />
คุณภาพน้ําบาดาล หรือแมแตขอมูลเกี่ยวกับ<br />
คุณสมบัติของชั้นน้ํา และ (2) variability in time เปน<br />
ความผันแปรของขอมูลอันสืบเนื่องจากระยะเวลาของ<br />
การเก็บขอมูล ตัวอยางเชน คา pH คา electrical<br />
conductivity (EC) คา Dissolved Oxygen (DO) ซึ่ง<br />
ไมสามารถหาคา representative values ไดโดย<br />
วิธีการทางสถิติ<br />
10.4 หลักเกณฑที่ใชในการประมาณการขอมูล<br />
ดานอุทกธรณีวิทยา<br />
ปญหาใหญของการสํารวจจัดทําแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยาคือ ปญหาปริมาณขอมูลภาคสนามที่มี<br />
ไมเพียงพอสําหรับการจัดทําแผนที่ โดยเฉพาะอยาง<br />
ยิ่งในการจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยามาตราสวนขนาด<br />
ใหญ ดังนั้น จําเปนตองประมาณการขอมูลบาง<br />
ประเภท ภายใตความรูทางดานอุทกธรณีวิทยาของ<br />
พื้นที่สํารวจและขอมูลที่มีอยู ซึ่งการประมาณขอมูล<br />
ดังกลาวโดยทั่วๆ ไป ใหใชหลักเกณฑ 3 ประการคือ<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 129<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
10.4.1 การประมาณการขอมูลโดยอาศัยขอมูล<br />
ขางเคียง<br />
เปนการประมาณการคาขอมูลที่จุดใดจุด<br />
หนึ่ง โดยอาศัยขอมูลขางเคียง (interpolate) ตัวอยาง<br />
เชน ขอมูลการวัดระดับน้ําบาดาลจากเครื่องบันทึก<br />
ระดับเกิดขาดชวงไป อาจอาศัยขอมูลทางขึ้นโดยของ<br />
ระดับน้ําจากบอน้ําบาดาลขางเคียง ประกอบกับขอมูล<br />
การวัดปริมาณฝนตกที่อยูใกลเคียง เปนขอมูลสําหรับ<br />
การแทรกทับขอมูลระดับน้ําบาดาลขอมูลโดยที่ขาด<br />
หายไปดังกลาวได ในขณะที่การประมาณการคาขอมูล<br />
โดยวิธีซอนทับอาจเปนการประมาณการคาขอมูล โดย<br />
อาศัยหลักวิชาการทางสถิติมากขึ้น ตัวอยางเชน การ<br />
ลดลงของ ระดับน้ําบาดาลในบอ ขึ้นอยูกับปริมาณการ<br />
สูบน้ําของบอน้ําบาดาลขางเคียง โดยมีความสัมพันธ<br />
เปนรูปกราฟเสนตรง ในกรณีเชนนี้เราสามารถหาคา<br />
ของระดับน้ํา จากการสูบน้ําบอขางเคียงที่อัตราการสูบ<br />
ตางๆ เปนตน<br />
10.4.2 การประมาณการขอมูลโดยใชอัตราสวน<br />
เปนการประมาณการขอมูลโดยใช<br />
อัตราสวนเปรียบเทียบ ซึ่งสามารถกระทําไดตอเนื่อง<br />
ตอเมื่อไดจัดเก็บขอมูลเปนปริมาณมากและมีชวง<br />
ระยะเวลาใดเวลาหนึ่งที่ขอมูลขาดชวงไป เปนตนวา<br />
จากขอมูลระดับน้ําบาดาลของชั้นน้ําในพื้นที่หนึ่ง พบวา<br />
อัตราการขึ้นลงของระดับน้ํา มีสวนสัมพันธโดยตรงกับ<br />
ปริมาณน้ําฝนในพื้นที่นั้น (direct recharge) โดยมี<br />
ความสัมพันธเปนอัตราสวน คือ มีน้ําฝนตก 100<br />
มิลลิเมตร ทําใหระดับน้ําสูงขึ้น 0.2 เมตร ในกรณีเชนนี้<br />
ถามีขอมูลเปนปริมาณมากสนับสนุนขอสมมติฐาน<br />
ดังกลาว ก็สามารถใชเปนขอมูลพื้นฐานสําหรับการ<br />
ประมาณการคาระดับน้ําบาดาลในชวงที่ขาดหายไปได<br />
10.4.3 การประมาณการขอมูลโดยใชสมการ<br />
ความสมดุลของแหลงน้ํา<br />
เปนการประมาณการคาขอมูลโดยใช<br />
สมการตางๆ เกี่ยวกับความสมดุลของแหลงน้ําในระบบ<br />
ปด (close system water balance) ตัวอยาง เชน<br />
ปริมาณน้ําที่สูบจากชั้นน้ํา (Q) เปนน้ําที่ไหลเขาสูชั้นน้ํา<br />
ในทิศทางตางๆ หรือ Q=q x +q y +q z ปริมาณ Q วัดได<br />
จากปริมาณสูบ q x และ q y เปนปริมาณน้ําไหลเขาสูชั้น<br />
น้ําจาก cell ขางเคียง (ในแนวระนาบ) หาไดโดยวิธีการ<br />
วัดการระดับน้ําลดจากบอสังเกตการณ ในกรณีเชนนี้<br />
สามารถประมาณการคา q z ปริมาณน้ําไหลเขาสูชั้นน้ํา<br />
จากสวนลึกของชั้นน้ํา (upward flow หรือ base flow)<br />
ได<br />
11. เอกสารอางอิง<br />
American Society for Testing and Materials<br />
(ASTM), 2002. Standard Guide for Geotechnical<br />
Mapping of Large Underground<br />
Openings in Rocks, D 5879-02.<br />
Anon, 1977. Hydrogeological maps, A contribution<br />
to the International Hydrogeological<br />
Decade, Study and Report in<br />
Hydrology, UNESCO/WMO, Lausanne.<br />
Anon, 1983. International Legend for Hydrogeological<br />
Maps, Revised Edition, UNESCO<br />
Technical Document, SC-84/WS/7, Paris.<br />
Struckmeier, W.F., and Maget, J., 1995.<br />
Hydrogeological Maps - A Guide and a<br />
Standard Legend, Scientific Publications Co-<br />
Edited by IAH/UNESCO, No. 17, Hannover.<br />
Vrba, J., and Zaporozec, A., 1994. Guidebook on<br />
Mapping Groundwater Vulnerability, Scientific<br />
Publications Co-Edited by IAH/ UNESCO, No.<br />
16, Hannover.<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 130<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
12. ภาคผนวก<br />
สัญลักษณสากลสําหรับการสํารวจจัดทําแผนที่<br />
อุทกธรณีวิทยา ดังแสดงในตารางที่ 2<br />
ตารางที่ 2 สัญลักษณสากลสําหรับการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา<br />
รายการ<br />
(1) หมวดภูมิประเทศ (topography)<br />
กําหนดใหใชสัญลักษณสีเทา<br />
(2) หมวดภูมิอากาศ<br />
สัญลักษณลายเสนและสีใชตามตามความเหมาะสม<br />
(3) หมวดธรณีวิทยา<br />
กําหนดใหใชสัญลักษณสีดํา<br />
(3.1) ขอมูลชั้นหิน (geological units)<br />
(3.1.1) แนวรอยตอระหวางชั้นหิน<br />
ใหแสดงดวยเสนทึบสีดํา และใหใชเสนประพรอมเครื่องหมายคําถาม<br />
ในบริเวณพื้นที่ประมาณการ<br />
(3.1.2) การลําดับชั้นหิน (hydrogeological sequences)<br />
อักษรยอแสดงอายุและชื่อหมวดหิน และสัญลักษณลายเสนแสดงชนิดหิน<br />
ใหใชสีตามขอกําหนดในมาตรฐานสากล<br />
(3.2) ความสูงหรือความลึกของชั้นหิน (height or depth of formation<br />
ใหแสดงดวยเสนทึบเขียวและใหใชเสนประพรอมเครื่องหมายคําถาม<br />
ในบริเวณพื้นที่ประมาณการ<br />
(3.3) ชั้นหินกั้นน้ําแทรกตัวอยูระหวางชั้นอุมน้ํา (thin impermeable bed)<br />
พื้นที่หินโผลของชั้นหินกั้นน้ําอาจแคบเกินกวาที่จะแสดงในแผนที่ ขอบเขต<br />
หินโผลแสดงดวยเสนสีเขียวลอมรอบดวยสัญลักษณลายเสนชนิดของ<br />
หินกั้นน้ํา<br />
(3.4) แนวระนาบและมุมเอียงเท ของชั้นหิน (strike and dip)<br />
ใหใชเปนสัญลักษณสีดํา<br />
(3.5) ชั้นหินโคงประทุนคว่ํา (axis of anticline)<br />
ใหใชเปนสัญลักษณสีดํา<br />
(จาก UNESCO, 1983)<br />
สัญลักษณ<br />
? ?<br />
PCms. = Permo-Carb.<br />
Metasediments<br />
? ?<br />
?<br />
Concealed<br />
Outcrop<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 131<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 2 สัญลักษณสากลสําหรับการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา (ตอ)<br />
รายการ<br />
(3.6) ชั้นหินโคงรูปประทุน (axis of syncline)<br />
ใหใชเปนสัญลักษณสีดํา<br />
(3.7) แนวรอยเลื่อน (fault)<br />
ใหใชเปนสัญลักษณสีดํา ลูกศรแสดง down throw side<br />
(3.8) แนวรอยเลื่อน (over - thrust fault)<br />
ใหใชเปนสัญลักษณสีดํา<br />
(3.9) โซนหินแตก (zone of fractured rock)<br />
ใหใชเปนสัญลักษณสีมวง<br />
(3.10) ศิลาวิทยา (lithology) มาตรฐานสากลของตัวอักษร สัญลักษณ<br />
และลายเสนกําหนดใหใชสีน้ําตาล (รายละเอียดสัญลักษณของหนวยหิน<br />
อุทกธรณีวิทยาประเทศไทยในตารางที่ 2)<br />
(4) อุทกศาสตร (hydrography)<br />
แหลงน้ําผิวดินตามธรรมชาติทุกชนิด ถาเปนแหลงน้ําจืดกําหนดใหใชสีน้ําเงิน<br />
(4.1) ทางน้ํามีน้ําไหลตลอดป พรอมแสดงทิศทางการไหล<br />
ใชเสนสีน้ําเงิน เสนหนาขึ้นแสดงปริมาณน้ําทามากขึ้น<br />
(4.2) ทางน้ําตามฤดูกาล (seasonal streams)<br />
สัญลักษณ<br />
(4.3) ทางน้ําที่มีน้ําไหลไมตลอดป (intermittent streams)<br />
(4.4) ทางน้ําที่ถูกปนเปอน (polluted streams)<br />
(4.5) ทางน้ําเค็ม (saline streams)<br />
(4.6) ทางน้ําที่ถูกปนเปอนดวยอินทรียสาร Highly polluted stream<br />
(organic pollution) ทางน้ําแสดงดวยสีน้ําเงินพรอมแถบสีเทา<br />
(4.7) สถานีตรวจวัดน้ํา (gauging stations)<br />
(จาก UNESCO, 1983)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 132<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 2 สัญลักษณสากลสําหรับการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา (ตอ)<br />
รายการ<br />
(4.8) แหลงดินพรุ (marsh, permanent)<br />
สัญลักษณ<br />
(4.9) แหลงดินพรุเค็ม (marsh, salty)<br />
(4.10) สันปนน้ําผิวดิน (surface water devide) ๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐๐<br />
(4.11) แหลงน้ําซับน้ําพุ (spring outlet, small scale maps)<br />
(4.12) แหลงน้ําซับน้ําพุ (spring outlet, large scale maps)<br />
(4.13) กลุมแหลงน้ําซับน้ําพุ (group of spring outlets)<br />
(4.14) แหลงน้ําพุรอน (thermal springs)<br />
(4.15) หนองบึงธรรมชาติ (natural ponds)<br />
(4.16) สระน้ําอางเก็บน้ํา (artificial ponds)<br />
(4.17) ทะเลสาบ (lakes)<br />
(4.18) ทะเลสาบน้ําเค็ม (lakes, salty)<br />
(4.19) ภูเขาน้ําแข็ง (glaciers)<br />
(5) อุทกวิทยาน้ําบาดาล (groundwater hydrology)<br />
สีมวงเปนสีที่ถูกกําหนดใหใชกับอุทกวิทยาน้ําบาดาล<br />
(5.1) บอน้ําบาดาล (groundwater wells)<br />
ระดับความสูงหรือความลึกของระดับน้ําบาดาล<br />
(5.2) ทิศทางการไหลของน้ําบาดาล (groundwater flow)<br />
(ความเร็วเปน เมตร/วันอาจระบุเปนตัวเลขได)<br />
450<br />
320 ?<br />
250 ?<br />
125 ?<br />
12<br />
(5.3) สันปนน้ําบาดาล (groundwater devide)<br />
ooooooooooooooooooooooooooooooooo<br />
(5.4) ขอบเขตพื้นที่ชั้นน้ําประเภทมีแรงดันพุ<br />
(boundary of area of artesian flow)<br />
(จาก UNESCO, 1983)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 133<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 2 สัญลักษณสากลสําหรับการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา (ตอ)<br />
รายการ<br />
(5.5) ขอบเขตพื้นที่ชั้นน้ําและชั้นหินกั้นน้ํา<br />
(boundary of water bearing formation and barrier<br />
(5.6) แนวรอยเลื่อนทําหนาที่เปนทางน้ําไหลผาน<br />
(fault, act as conduit)<br />
(5.7) น้ําบาดาลไหลผานรอยเลื่อน<br />
(groundwater moves across the fault)<br />
(5.8) รอยเลื่อนทําหนาที่เปนเขื่อนกั้นน้ํา<br />
(fault, acting as barrier)<br />
(5.9) รอยเลื่อนไมสามารถระบุความสัมพันธกับน้ําบาดาล<br />
(fault, unknown hydrological characteristic)<br />
(5.10) เสนคอนทัวรแสดงความหนาของชั้นน้ํา<br />
(contour lines of aquifer thickness)<br />
(6) อุทกเคมี (hydrochemistry)<br />
(6.1) เสนคอนทัวรแสดงปริมาณเกลือคลอไรดในน้ําบาดาล (contour<br />
lines of salinity content in groundwater) กําหนดใหใชสีสม<br />
(6.2) ความลึกถึงแนวรอยตอระหวางชั้นน้ําจืดและน้ําเค็ม (depth to<br />
fresh/salt water interface) กําหนดใหใชสีสม<br />
สัญลักษณ<br />
/// /// /// /// /// /// /// /// /// ///<br />
∆<br />
∆<br />
200<br />
300<br />
400<br />
25<br />
20<br />
30<br />
40<br />
(6.3) สวนประกอบทางเคมีของน้ําบาดาล<br />
ประเภทน้ําตามคุณสมบัติทางเคมี (water type) ของน้ําบาดาล สามารถแสดงในแผนที่ดวยคูสี<br />
โดยความเขมของสีจะแสดงปริมาณของแรธาตุที่ละลายในน้ําบาดาล ดังตัวอยางตอไปนี้<br />
Sulfate water:<br />
Calcium: yellow สีเหลือง<br />
Magnesiumซ orange สีสม<br />
Sodium yellow-brown สีเหลืองน้ําตาล<br />
(จาก UNESCO, 1983)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 134<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 2 สัญลักษณสากลสําหรับการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา (ตอ)<br />
รายการ<br />
สัญลักษณ<br />
Chloride water:<br />
Calcium: green-brown สีเขียวน้ําตาล<br />
Magnesiumซ blue-green สีเขียวน้ําเงิน<br />
Sodium green สีเขียว<br />
(6.4) อุณหภูมิน้ําบาดาล (water temperature, °C)<br />
กําหนดใหใชสีสม 45 ๐<br />
(7) บอน้ําบาดาลและสิ่งกอสรางอื่นๆ Groundwater well and other artificial works<br />
กําหนดใหใชสีแดง<br />
All artificial works are indicated in red.<br />
(7.1) หลุมเจาะ บอขุดและบอน้ําบาดาล (กําหนดใหใชสีแดง) Borehole, dug, and drilled wells<br />
บอน้ําบาดาลภายใตความดัน (well in confined aquifer)<br />
บอน้ําบาดาลพุ (flowing well)<br />
บอเติมน้ํา (recharging well)<br />
บอน้ําบาดาลแหง (dry well)<br />
บอสังเกตการณ (observation well)<br />
กลุมบอน้ําบาดาล (group of groundwater wells)<br />
(7.2) ปลองอัดน้ําบาดาล<br />
(artificial shaft for groundwater recharge)<br />
(7.3) ปากทางเขาเหมืองใตดิน (mouth of a mining gallery)<br />
(7.4) แหลงน้ําซับกอสรางใหเปนสถานีจายน้ํา<br />
(spring used for water supply)<br />
(7.5) อุโมงคสงน้ําใตดิน (drainage gallery) <br />
(7.6) สถานีสูบน้ําบาดาล (groundwater pumping station)<br />
(7.7) แหลงใตดินที่สรางขึ้น<br />
(cistern or other underground reservoir)<br />
(7.8) อางเก็บน้ํา (storage reservoir for surface water)<br />
(7.9) เสนทางทอสงน้ํา (pipe line for water)<br />
(จาก UNESCO, 1983)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 135<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา
รายงานฉบับสมบูรณ (เลมที่ 3/10)<br />
โครงการจัดทํามาตรฐานการเจาะ สํารวจ และพัฒนาบอน้ําบาดาล<br />
ตารางที่ 2 สัญลักษณสากลสําหรับการสํารวจจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา (ตอ)<br />
รายการ<br />
สัญลักษณ<br />
(7.1) เสนทางทอสงน้ํา (pipe line for water)<br />
(7.11) เขื่อน (dam with capacity in Mm3) 125<br />
(7.12) เขื่อน ผลิตไฟฟา (dam with hydro-electric station)<br />
(8) สัญลักษณในพื้นที่แหลงหินปูน (symbols for karst areas)<br />
ใชสัญลักษณสีน้ําเงินเขม หรือสีมวง หรือสีดํา แลวแตกรณี<br />
(8.1) แหลงน้ําซับในพื้นที่หินปูน (springs in karst area)<br />
(8.2) หลุมยุบ (shallow hole or sink hole)<br />
(8.3) โพรงถ้ําหินปูน (natural cavity)<br />
ใชสัญลักษณสีน้ําเงินเขม หรือสีมวง<br />
(จาก UNESCO, 1983)<br />
จัดทําโดยมหาวิทยาลัยขอนแกน 136<br />
คูมือ ทบ ส 4000-2550<br />
การจัดทําแผนที่อุทกธรณีวิทยา