KM (Knowledge Management) หลัà¸à¹à¸à¸à¸ïà¸à¸²à¸£à¸à¸à¸«à¸£à¸·à¸à¸¥à¸à¸ïาà¸à¸£à¸±à¸ à¹à¸¥à¸°à¸à¸¢à¸²
KM (Knowledge Management) หลัà¸à¹à¸à¸à¸ïà¸à¸²à¸£à¸à¸à¸«à¸£à¸·à¸à¸¥à¸à¸ïาà¸à¸£à¸±à¸ à¹à¸¥à¸°à¸à¸¢à¸²
KM (Knowledge Management) หลัà¸à¹à¸à¸à¸ïà¸à¸²à¸£à¸à¸à¸«à¸£à¸·à¸à¸¥à¸à¸ïาà¸à¸£à¸±à¸ à¹à¸¥à¸°à¸à¸¢à¸²
- TAGS
- majeure
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
<strong>KM</strong> (<strong>Knowledge</strong> <strong>Management</strong>)<br />
หลักเกณฑการงดหรือลดคาปรับ และขยายเวลาทําการ<br />
นายธนัท ศรีวิชัย<br />
นบ.,นบท.<br />
นิติกรชํานาญการพิเศษ<br />
กลุมนิติการ<br />
สํานักบริหารกลาง
2<br />
คํานํา<br />
เนื่องจาก พพ. เปนหนวยงานปฏิบัติ จึงตองมีการทําสัญญาซื้อขาย วาจางกอสราง<br />
วาจางที่ปรึกษา เมื่อเกิดอุปสรรคในการปฏิบัติตามสัญญา คณะกรรมการที่บริหารสัญญาไมมีคูมือ<br />
หรือหลักเกณฑในการพิจารณาหรือปฏิบัติงาน ประกอบกับผูจัดทําไดรับมอบหมายจาก ผอ.สบก.<br />
ใหจัดทํา <strong>KM</strong> (<strong>Knowledge</strong> <strong>Management</strong>) ดังนั้น ผูจัดทําจึงไดจัดทํา<br />
<strong>KM</strong> เรื่อง หลักเกณฑการงดหรือลดคาปรับและการขยายเวลาทําการ ที่ผูจัดทํา<br />
ไดจัดทําขึ้นมา ก็เพื่อประโยชนของขาราชการ พนักงานราชการ ลูกจาง ของ พพ. ที่มีหนาที่เปน<br />
คณะกรรมการตรวจรับ คณะกรรมการการตรวจการจาง เพื่อศึกษาทําความเขาใจ ตลอดจนใชเปน<br />
คูมือในการปฏิบัติงาน ผูจัดทําหวังเปนอยางยิ่งวา <strong>KM</strong> เรื่องดังกลาวคงจะเปนประโยชนแก<br />
ขาราชการ พนักงานราชการ ลูกจาง ของ พพ. บางไมมากก็นอย<br />
ผูจัดทําขอขอบคุณคุณสมใจ เพ็งแพง ที่ชวยจัดพิมพในครั้งนี้ดวย<br />
นายธนัท ศรีวิชัย<br />
มิ.ย.2553
3<br />
การงดหรือลดคาปรับ และขยายเวลาทําการ<br />
การทําสัญญาของสวนราชการไมวาจะเปนสัญญาวาจาง สัญญาซื้อขาย สัญญาจาง<br />
ที่ปรึกษา จะกําหนดระยะเวลาใหสงมอบสิ่งของ งานกอสราง หรืองานจาง ซึ่งสัญญาดังกลาว<br />
มักจะกําหนดเบี้ยปรับ (คาปรับ) ทั้งนี้เพื่อกําหนดคาเสียหายอันเนื่องมาจากการผิดสัญญา ในการ<br />
สงมอบสิ่งของ งานกอสราง หรืองานจางลาชา โดยมักจะปรับคูสัญญาเปนรายวัน จนถึงวันที่สง<br />
มอบสิ่งของ งานกอสราง หรืองานจาง ตามระยะเวลาที่ลาชา<br />
ดังนั้น ในสัญญาวาจางก็ดี สัญญาซื้อขายก็ดีหรือสัญญาจางที่ปรึกษาก็ดี จะมีขอ<br />
สัญญาสอดคลองกับระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการพัสดุ ขอ 139 ซึ่งใหอํานาจหัวหนา<br />
สวนราชการที่จะใชดุลพินิจพิจารณาลดหรืองดคาปรับหรือขยายระยะเวลาทําการตามสัญญาไดตาม<br />
จํานวนที่มีเหตุเกิดขึ้นจริงเฉพาะกรณีเหลานี้<br />
1) เหตุเกิดจากความผิดหรือความบกพรองของสวนราชการ<br />
2) เหตุสุดวิสัย<br />
3) เหตุเกิดจากพฤติการณอันหนึ่งอันใดที่คูสัญญาไมตองรับผิดตามกฎหมาย<br />
โดยคูสัญญาตองแจงเหตุดังกลาวใหสวนราชการทราบภายใน 15 วัน นับแตเหตุนั้น<br />
ไดสิ้นสุดลง หากมิไดแจงภายในเวลาที่กําหนด คูสัญญาจะยกมากลาวอางเพื่อขอลดหรืองดคาปรับ<br />
หรือขอขยายเวลาในภายหลังมิได เวนแตกรณีตาม (1) ซึ่งมีหลักฐานชัดแจงหรือ สวนราชการทราบ<br />
ดีอยูแลวตั้งแตตน<br />
ขอสังเกต<br />
สัญญาที่กําหนดสงมอบหรือแลวเสร็จเวลาเดียว การปรับตองปรับทั้งสัญญา การ<br />
ขยายเวลาก็ตองขยายเวลาทั้งสัญญา เวนกรณีกําหนดคาปรับระหวางงวด<br />
(1) เหตุเกิดจากความผิด หรือความบกพรองของสวนราชการซึ่งหมายความวา<br />
ความผิดหรือความบกพรอง นั้น เปนเหตุขัดขวางการทํางาน หรือการสงมอบสิ่งของ ตามสัญญา เชน<br />
- สวนราชการสงมอบพื้นที่กอสรางลาชา<br />
- คณะกรรมการตรวจการจาง ใชระยะเวลาตรวจรับงานลาชา แลวสั่งใหคูสัญญา<br />
แกไขงาน<br />
- สวนราชการ พิจารณาใหความเห็นชอบเรื่องตางๆ ลาชา เชน การเลือกออกอากาศ<br />
การคัดเลือกชุมชน เขารวมโครงการ เห็นชอบแบบกอสราง<br />
-ราษฎรบุกรุกพื้นที่กอสราง<br />
- สวนราชการขอแกไขแบบ
4<br />
(2) เหตุสุดวิสัย<br />
ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 8 บัญญัติวา “เหตุสุดวิสัย<br />
หมายความวา เหตุใดๆ อันจะเกิดขึ้นก็ดี จะใหผลพิบัติก็ดี เปนเหตุที่ไมอาจปองกันไดแมทั้งบุคคล<br />
ผูตองประสบหรือใกลจะตองประสบเหตุนั้น จะไดจัดการระมัดระวังตามสมควรอันพึงคาดหมาย<br />
ไดจากบุคคลในฐานะและภาวะเชนนั้น”<br />
ขอสังเกต<br />
(1) ที่จะเปนเหตุสุดวิสัยไดนั้น จะตองเปนเหตุหรือภัยพิบัติที่เกิดขึ้นโดยไมอาจ<br />
ปองกันได ทั้งนี้อาจเปนเหตุที่เกิดขึ้นตามธรรมดาโลก เชน ฟาผา ลมพายุ น้ําทวมฉับพลัน คลื่นลม<br />
จัดผิดปกติ ฝนตกผิดปกติติดตอกันหลายวัน หรือเหตุจากบุคคลที่ 3 เชน ถูกพนักงานควบคุมตัว<br />
เปนเหตุใหมาใหกรรมการคัดเลือกทหารตรวจไมทันกําหนด โจรปลน เพลิงไหมจากที่อื่น คนงาน<br />
นัดหยุดงาน ฉะนั้นเหตุสุดวิสัย จึงไมใชเรื่องที่ปองกันไมได แตเปนเรื่องที่ผูตองประสบจะ<br />
ปองกันไมไดเทานั้นเอง ถาเหตุที่เกิดขึ้นเปนเพราะความผิดของผูนั้น เชน จําเลยเปนบรรณาธิการ<br />
หนังสือพิมพเขียนขาวใสรายรัฐบาล จึงถูกสั่งปดโรงพิมพ จําเลยมีหนาที่ดูแลรักษารถใหอยูใน<br />
สภาพใชไดตามปกติ แตไมระมัดระวังตรวจตราที่คาดหมาย หามลอรถแตก รถที่จําเลยขับชน<br />
เครื่องกั้นถนน และชนขบวนรถไฟ หรือเพราะความผิดของตัวแทนหรือบุคคลที่ผูนั้นใช หรือ<br />
บุคคลซึ่งตนจะตองรับผิดชอบ ดังนั้นจะอางเปนเหตุสุดวิสัยเพื่อใหตนเองพนความรับผิดไมได<br />
(2) ผูประสบหรือใกลจะตองประสบเหตุนั้น ไมอาจปองกันมิใหเกิดขึ้นได เมื่อได<br />
ใชความระมัดระวังตามสมควร อันพึงคาดหมายไดจากบุคคลนั้นในฐานะเชนนั้น<br />
2.1 ความระมัดระวังในการจัดการปองกันนั้น กฎหมายมิไดระบุใหผูประสบ<br />
หรือใกลจะประสบใชความระมัดระวังสูงสุด เพียงแตใชความระมัดระวังตามสมควรเทานั้น<br />
2.2 เมื่อพิจารณาในเรื่องความระมัดระวังแลว ระดับของความระมัดระวังจึง<br />
แตกตางกันไปแลวแตบุคคล ความระมัดระวังของศัลยแพทยในการผาตัดผูปวย ยอมพึงคาดหมาย<br />
ไดวา อยูในระดับสูงกวาบุรุษพยาบาลผูทําหนาที่เชนเดียวกัน และความระมัดระวังของบุรุษ<br />
พยาบาลในการรักษาผูบาดเจ็บยอมมากกวาบุคคลธรรมดาทั่วไป ในทํานองเดียวกันจะหวังใหความ<br />
ระมัดระวังของแพทยผูรักษาพยาบาลผูบาดเจ็บในยามมีศึกสงครามอยูในระดับเดียวกับที่บานเมือง<br />
เปนปกติไมได หลักเดียวกันนี้ยอมใชไดกับบุคคลในวิชาชีพอื่น เชน วิศวกร สถาปนิก<br />
ทนายความ ผูชําระบัญชี ชางกอสราง ชางตัดผม ชางซอมรถ ฯลฯ<br />
2.3 นอกจากขอ 2.2 แลว ยังตองพิจารณาตอไปวาบุคคลนั้นในฐานะเชนนั้น<br />
ไดใชความระมัดระวังตามสมควรหรือไม เชน ไฟจากที่อื่นลุกลามไหมบาน นาย ก. นาย ก.<br />
ใชกระปองตักน้ ําเพื่อที่จะดับไฟ แตไมอาจดับได เชนนี้ จะอางวาถา นาย ก.มีเครื่องมือดับเพลิง<br />
ไฟก็จะไมไหมบาน ยอมอางไมได เพราะ นาย ก. ไดใชความระมัดระวังตามสมควรที่จะพึง
5<br />
คาดหมายไดจากบุคคลในฐานะเชน นาย ก. แลว ในเรื่องของการฝากทรัพยเชนกัน กฎหมาย<br />
กําหนดใหความระมัดระวังของผูรับฝากโดยไมมีบําเหน็จมีระดับอยางหนึ่ง ถามีบําเหน็จระดับแหง<br />
ความระมัดระวังยอมสูงขึ้นไปเปนอีกอยางหนึ่ง<br />
(3) ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยมีบทบัญญัติเฉพาะเรื่องวา เหตุสุดวิสัยเปนขอ<br />
แกตัวได กลาวคือ กรณีเจาหนี้ไมสามารถทําใหอายุความสะดุดหยุดลง ความเสียหายที่เกิดจาก<br />
ยานพาหนะอันเดินดวยกําลังเครื่องจักรกลซึ่งอยูในครอบครอง รวมถึงทรัพยในครอบครองอันเปน<br />
ของที่เกิดอันตรายไดโดยสภาพ เชน ไฟฟาแรงสูง เปนตน ในกฎหมายลักษณะรับขน ผูขนสงไม<br />
ตองรับผิดตอของที่มอบหมายแกตนนั้นสูญหาย บุบสลาย หรือสงมอบชักชา ผูสงของไมตอง<br />
ชดใชคาระวางพาหนะถาของสูญหายไป ถาผูขนสงไดรับไปแลวเทาใดตองคืนใหแกผูสงของ และ<br />
กรณีความเสียหายเกิดแกคนโดยสาร หรือความเสื่อมเสียใดๆ อันเปนผลโดยตรง แตการที่ตอง<br />
ชักชาในการขนสง ในเรื่องของเจาสํานักโรงแรมความสูญหายหรือบุบสลายตอทรัพยสินของคน<br />
เดินทางหรือแขกผูมาพักแรม<br />
(4) กลับกัน ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยหลายมาตราบัญญัติวา แมเปนเหตุ<br />
สุดวิสัยก็ยังตองรับผิด เพราะเหตุทรัพยสินนั้นสูญหายหรือบุบสลาย กลาวคือ ในเรื่องยืมใชคงรูป<br />
ผูยืมเอาทรัพยสินซึ่งยืมไปใชอยางอื่นนอกจากการอันเปนปกติแกทรัพยสิน หรือนอกจากที่ปรากฏ<br />
ในสัญญา หรือเอาไปใหบุคคลภายนอกใชสอย หรือเอาไปนานแกควรที่จะเอาไว กรณีฝากทรัพย<br />
ผูรับฝากเอาทรัพยนั้นออกใช หรือใหบุคคลภายนอกใชสอย หรือใหบุคคลภายนอกเก็บรักษาโดย<br />
ผูฝากมิไดอนุญาต ในเรื่องจํานํา ผูรับจํานําเอาทรัพยที่จํานําออกใช หรือใหบุคคลภายนอกใชสอย<br />
หรือเก็บรักษาโดยผูจํานําไมไดยินยอม อยางไรก็ตามหากสามารถพิสูจนไดวาทรัพยสินที่ยืมตาม<br />
มาตรา 643 ก็ดี ทรัพยสินที่รับฝากตามมาตรา 660 ก็ดี ทรัพยที่รับจํานําไวตามมาตรา 760 ก็ดี ถึง<br />
อยางไรก็จะตองสูญหาย หรือบุบสลายผูยืม ผูรับฝาก หรือผูรับจํานํา แลวแตกรณีไมตองรับผิด<br />
มีขอนาสังเกตวาในเรื่องการฝากเงิน แมเงินที่รับฝากสูญหายไปดวยเหตุสุดวิสัย ผูรับฝากก็ตองใช<br />
คืนใหกับผูฝากจนครบจํานวน<br />
(5) จากบทบัญญัติของกฎหมาย และแนววินิจฉัยของศาลฎีกา จึงพอสรุปไดวาจะ<br />
เปนเหตุสุดวิสัยหรือไมนั้น ขึ้นอยูกับขอเท็จจริงเปนเรื่องๆ ไป เหตุหนึ่งในสถานการณหนึ่งอาจ<br />
เปนขอแกตัวโดยอางเหตุสุดวิสัยเพื่อใหพนความรับผิดสําหรับบุคคลหนึ่ง แตเหตุเดียวกันนั้นอาจ<br />
ไมเปนขอแกตัวสําหรับอีกคนหนึ่งในอีกสถานการณหนึ่งก็ได ฉะนั้นการที่ลูกหนี้จะตองรับภาระ<br />
ปฏิบัติการชําระหนี้หนักขึ้นกวาปกติจึงไมเปนเหตุสุดวิสัย การทําสัญญายอมรับผิด แมตลอดถึง<br />
เหตุสุดวิสัยนั้น ศาลวินิจฉัยวาไมเปนการขัดตอความสงบเรียบรอยหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน<br />
ในกรณีที่ความเสียหายเกิดขึ้นไดจากหลายสาเหตุ ศาลจะใชดุลพินิจชั่งน้ําหนักคําพยาน แลว<br />
วินิจฉัยเปนเรื่องๆ ไป เชน ในคดีหนึ่งปญหามีวา การที่จําเลยที่ 1 บรรทุกน้ําหนักเกินไป
6<br />
400 กิโลกรัม จะเปนเหตุใหรถตะแคงหรือไม ขอเท็จจริงไดความวาลอรถขวาขางหนาตกหลุม<br />
เปนเหตุใหแหนบรถขางขวาหัก รถเฉไปทางขวา จําเลยที่ 1 พยายามหักพวงมาลัยไปทางซาย แต<br />
ปรากฏวาหักพวงมาลัยไมได โดยแหนบหักไปค้ําคันสงทําใหจําเลยที่ 1 ขับรถไมได กรณีที่<br />
แหนบรถหักไปค้ําคันสงนี้เปนเหตุสุดวิสัยที่จําเลยที่ 1 ไมอาจจะรูและไมสามารถปองกันได แมจะ<br />
ฟงวาแหนบรถหักเนื่องจากบรรทุกน้ําหนักเกินอัตราและรถตกหลุมก็ดี แตกรณีดังกลาวไมนาจะ<br />
เปนเหตุใหรถตะแคง เพราะปรากฏวาจําเลยที่ 1 ไดใชความระมัดระวังตามวิสัย และปฏิบัติใน<br />
พฤติการณที่เกิดขึ้นเยี่ยงคนขับรถทั่วไปทั้งหลายแลว จึงถือไดวาเหตุที่เกิดขึ้นไมใชเนื่องจากความ<br />
ประมาทเลินเลอของจําเลยที่ 1 จําเลยทั้งสองจึงไมตองรับผิดชดใชคาเสียหายใหแกโจทก<br />
(คําพิพากษาฎีกา ที่ 1636/2516)<br />
(6) ถาคูสัญญากําหนดความรับผิดไวกวางๆ โดยมิไดยกเวนความรับผิด ถามีเหตุ<br />
สุดวิสัยเกิดขึ้น ความรับผิดของคูสัญญาจะมีเพียงไร เชน สัญญาเชาขอหนึ่งมีความวา “ขอ<br />
รับผิดชอบในความเสียหายอันเกิดจากวัตถุแหงการเชา .......ผูเชาจะตองรับผิดตอผูใหเชา (เวนแตจะ<br />
สึกหรอโดยปกติของการใช)” ศาลฎีกาวินิจฉัยวา คูสัญญามิไดประสงคจะใหผูเชาตองรับผิด<br />
นอกเหนือไปจากที่ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 562 กําหนดไว จําเลยในคดีนี้<br />
จะตองรับผิดตอโจทกแตในความผิดของจําเลยดังที่บัญญัติไวในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย<br />
การที่เรือแรจมลงเนื่องจากคลื่นลมจัดผิดปกติอันเปนเหตุสุดวิสัย ดังนี้ถือเปนความผิดของจําเลย<br />
ไมได (คําพิพากษาฎีกาที่ 565/2497)<br />
(7) ถาวัตถุแหงสัญญาซึ่งเปนทรัพยเฉพาะสิ่งสูญหาย หรือถูกทําลายโดยเหตุสุดวิสัย<br />
สัญญายอมระงับ แตถามิใชทรัพยเฉพาะสิ่ง เชนทําสัญญาซื้อขายกระสอบ จําเลยตองรับผิดตาม<br />
สัญญา ไมอาจอางเหตุสุดวิสัยเปนขอแกตัวมิใหตองรับผิด เพราะจําเลยสามารถจัดหากระสอบ<br />
ชนิดเดียวกับที่ระบุไวในสัญญาซึ่งมีขายอยูทั่วไปสงมอบใหโจทกได หลักเดียวกันนี้ขยายไปถึง<br />
กรณีที่โรงงานเลิกลมกิจการแตมีโรงงานอื่นผลิตสินคาชนิดเดียวกัน ซึ่งลูกหนี้ตองปฏิบัติการชําระ<br />
หนี้ใหโจทก<br />
(8) ในคดีเรื่องหนึ่ง จําเลยที่ 1 ทําสัญญารับขนสงขาวสารของโจทกทางเรือจาก<br />
กรุงเทพฯ ไปชุมพร มีจําเลยที่ 2 เปนผูค้ําประกัน สัญญาขอหนึ่งมีความวา “ของ (ขาวสาร) ที่<br />
บรรทุกนั้น ถาขาดจํานวนหรือเปยกน้ํา ผูรับจางจะใชคาเสียหายตามทุนหากวาถูกพายุหรือการ<br />
แอ็กซิเดนท ใดๆ ตางยกเลิกสัญญาทั้งสิ้น” จําเลยที่ 1 ถูกเรือกลไฟผูอื่นชนหัวเรือแตกและน้ําเขา<br />
เรือ จําเลยที่ 1 เกรงเรือจะลม จึงใหเอาขาวสารทิ้งน้ําเพื่อใหหัวเรือขึ้นสูงจากระดับน้ําเปนเหตุให<br />
ขาวสารหาย และเสียหายเพราะเปยกน้ํา ศาลฎีกาเห็นวา เหตุดังกลาวเกิดขึ้นกับจําเลยโดยไมรูตัว<br />
จําเลยมิไดมีสวนเกี่ยวของกอใหเกิดเหตุนั้นขึ้นโดยจงใจหรือประมาทเลินเลอแตอยางใด นับวาเปน<br />
อุบัติเหตุเกิดขึ้นตามความมุงหมายแหงสัญญานี้
7<br />
แมคําพิพากษาฎีกาขางตน มิไดกลาววาเหตุที่เกิดขึ้นเปนเหตุสุดวิสัยก็ตาม แตคํา<br />
วินิจฉัยที่วา “จําเลยมิไดมีสวนเกี่ยวของกอใหเกิดเหตุนั้นขึ้นโดยจงใจหรือประมาทเลินเลอแตอยางใด<br />
นับวาเปนอุบัติเหตุเกิดขึ้นตามความมุงหมายแหงสัญญานี้” ประกอบกับนักนิติศาสตรบางทาน<br />
ไดรวบรวมและยอคําพิพากษาฎีกาฉบับนี้ไวภายใตประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 8<br />
จึงมีปญหาวา คําวา อุบัติเหตุ และเหตุสุดวิสัยมีความหมายคลายคลึงหรือแตกตางกันหรือไม<br />
เพียงไร<br />
8.1 “อุบัติเหตุ” หมายความวา เหตุที่เกิดขึ้นโดยไมทันคิด ความบังเอิญเปนแม<br />
จะไมมีบทวิเคราะหศัพทในประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยเชน เหตุสุดวิสัย แตมีปรากฏอยูใน<br />
มาตรา 217 ลูกหนี้ตองรับผิดชอบในกรณีที่การชําระหนี้กลายเปนพนวิสัยเพราะอุบัติเหตุอันเกิดขึ้น<br />
ในระหวางเวลาที่ตนทําผิดนัด มาตรา 439 กรณีคืนทรัพยเพราะเหตุทําละเมิด บุคคลนั้นตอง<br />
รับผิดชอบตลอดถึงการที่ทรัพยถูกทําลายลงโดยอุบัติเหตุ หรือการคืนทรัพยตกเปนพนวิสัยเพราะ<br />
อุบัติเหตุหรือทรัพยนั้นเสื่อมเสียลงโดยอุบัติเหตุ<br />
8.2 โดยความหมายดังกลาวแลวในขอ 8.1 มีขอนาคิดวาอุบัติเหตุเปนจําพวกหนึ่ง<br />
ของเหตุสุดวิสัยในลักษณะที่ไมอาจปองกันได โดยใชความระมัดระวังตามสมควรของบุคคลนั้น<br />
ในภาวะเชนนั้น เชน โดยนัยมาตรา 217 ลูกหนี้จะตองสงมอบรถยนตที่ขายใหกับเจาหนี้ในวันที่<br />
1 มิถุนายน 2525 แตลูกหนี้ไมสงมอบให ลูกหนี้ไดชื่อวาผิดนัดแลว ระหวางนั้นลูกหนี้เอารถยนต<br />
ดังกลาวไปขับขี่ ถูกรถคันอื่นชนเสียหายโดยมิใชเกิดจากความผิดหรือประมาทเลินเลอของตน<br />
ลูกหนี้ก็ตองรับผิดตอเจาหนี้ในความเสียหายที่เกิดขึ้นตามมาตรานี้<br />
กรณีตามตัวอยาง พอถือไดวาเปนเหตุสุดวิสัยไดเชนกัน แตเหตุสุดวิสัย<br />
มีความหมายกวางกวา เพราะอาจเปนเหตุที่เกิดขึ้นจากเหตุการณธรรมชาติหรือจากการกระทําของ<br />
คนก็ได ฉะนั้น พิจารณาในแงนี้ อุบัติเหตุจึงตางกับเหตุสุดวิสัยในมูลเหตุที่มา กลาวคือ อุบัติเหตุ<br />
เปนเหตุที่เกิดขึ้นซึ่งพอจะสืบสาวราวเรื่องไดจากการกระทําของคน สวนเหตุสุดวิสัยโดยทั่วๆ ไป<br />
อาจเนื่องมาจากการกระทําของบุคคล หรือภัยธรรมชาติ เชน ฟาผา น้ําทวม แผนดินไหว ก็ได<br />
8.3 คําวา “อุบัติเหตุ” ตรงกับคําในภาษาอังกฤษวา accident สวนเหตุสุดวิสัย<br />
นั้นตนรางภาษาอังกฤษใชคําวา Force Majeure ซึ่งเปนคําในกฎหมายฝรั่งเศส มีความหมาย<br />
คลายคลึงกับ act of GOD ในกฎหมายอังกฤษ พิจารณาถอยคําภาษาไทยเปรียบเทียบกับถอยคํา<br />
ภาษาตางประเทศแลว เห็นไดวา “อุบัติเหตุ” กับ “เหตุสุดวิสัย” มีความหมายไมเหมือนกัน แต<br />
อาจสรุปไดวา เนื่องจากเหตุที่เกิดขึ้นมิใชเกิดจากความประมาทเลินเลอ หรือมิใชความผิดของ<br />
ผูประสบและเปนเหตุที่เกิดขึ้นโดยบังเอิญ อุบัติเหตุจึงเขาลักษณะเหตุสุดวิสัยได แตมิได<br />
หมายความวา เหตุสุดวิสัยทุกอยางเปนอุบัติเหตุ อุบัติเหตุเปนเพียงสวนหนึ่งของเหตุสุดวิสัยเทานั้น
8<br />
8.4 เหตุผลงายๆ ที่แสดงวา “เหตุสุดวิสัย” กับ “อุบัติเหตุ” มีความหมายไม<br />
เหมือนกันก็คือ คําสองคําเขียนตางกัน หากตองการใหมีความหมายเชนเดียวกันก็นาจะใชคํา<br />
เหมือนกัน เพื่อมิใหเกิดความสับสนและยุงยากในการตีความแกบรรดาผูประกอบวิชาชีพกฎหมาย<br />
ทั้งหลายซึ่งมีขอถกเถียงกันไมมีที่สิ้นสุด เพราะขึ้นชื่อวานักกฎหมายแลว เรื่องที่จะไมโตแยงกัน<br />
เห็นจะไมมีอยางไรก็ตามมีขอนาสังเกตวา เนื่องจากกฎหมายมีบทวิเคราะหศัพทของคําวาเหตุ<br />
สุดวิสัย แตไมใหนิยามของคําวาอุบัติเหตุไว คําพิพากษาที่วินิจฉัยถึงความแตกตางของสองคํานี้<br />
ก็ไมมี แตจากความเขาใจโดยทั่วไปทั้งสองคํานี้มีความหมายตอเนื่องใกลเคียงกันมาก แมไมอาจ<br />
กลาวไดวาเหมือนกัน แตก็สับสนปนเปกันในการสื่อความหมายตามสมควร เชนมักจะไดยินคําพูด<br />
หรือการรายงานขาวในทํานองวา “เกิดอุบัติเหตุรถชนกันที่................ไฟไหมรถของนาย................<br />
สุดวิสัยที่จะดับได” ทั้งๆ ที่อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นในลักษณะนี้ อาจเปนเหตุสุดวิสัยไดตามความหมาย<br />
ของประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยหากพิสูจนไดวา ไมใชเกิดจากความผิดของผูตองประสบ<br />
และผูประสบไดใชความระมัดระวังตามสมควรแลวในทํานองเดียวกัน ถามีภัยธรรมชาติเกิดขึ้น<br />
เชน น้ําทวม แผนดินไหว หรือในกรณีที่ความสูญเสียเกิดจากบุคคลที่ 3 เชน โจรปลน กรรมกร<br />
หยุดงาน ยอมไมมีใครกลาวไดวา เปนอุบัติเหตุ แตอาจเปนเหตุสุดวิสัยไดตามกฎหมาย<br />
สรุป เหตุสุดวิสัยนี้ อาจเกิดจากธรรมชาติหรือการกระทําของบุคคลก็ได<br />
(3) เกิดจากพฤติการณอันหนึ่งอันใด ที่คูสัญญาไมตองรับผิดชอบตามกฎหมาย<br />
นั้น ไมมีขอจํากัดวาจะตองเปนพฤติการณอยางใด ขอสําคัญจะตองเปนพฤติการณ ซึ่งเกิดขึ้น โดย<br />
มิใชความผิดของคูสัญญา อาจเปนเหตุสุดวิสัย หรือเหตุขัดขวางอยางอื่น ซึ่งคูสัญญามิได<br />
กอใหเกิดขึ้นเอง หรือไมตองรับผิดชอบในเหตุนั้น เชน<br />
ตัวอยางที่ 1 ก ยืมรถยนต ข ไปใช สัญญาวาจะคืนใหภายใน 7 วัน ครั้นครบ<br />
กําหนด ก จะตองสงรถยนตคืนให ข นั้น น้ําทวมตําบลที่ ก และ ข อยู ก ไมสามารถสงมอบ<br />
รถยนตคืน ข ไดตามกําหนด ดังนี้ จะถือวา ก ผิดนัดไมได เพราะพฤติการณอันเปนเหตุให ก<br />
ไมสามารถสงคืนรถยนตคืน ข นั้น ก ไมตองรับผิดชอบ<br />
ตัวอยางที่ 2 ถา ก ไมสามารถนํารถยนตไปคืน ข ได เพราะ ก เมาสุรา<br />
อาละวาดจนถูกตํารวจจับไปขังไว หรือ ก เอารถยนตไปใหคนอื่นยืมตอไปจึงไมสามารถคืน<br />
รถยนตแก ข ได ตามกําหนด ดังนี้ ก ไมอาจอางเหตุตามขอ 139(3) ได เพราะพฤติการณอันเปน<br />
เหตุให ก ไมสามารถคืนรถยนตไดตามกําหนดดังกลาวนั้น ก ตองรับผิดชอบ<br />
ตัวอยางคําพิพากษาฎีกาเกี่ยวกับพฤติการณอยางอื่นที่ลูกหนี้ไมตองรับผิดชอบ<br />
ฎีกา 2040/2520 สัญญาซื้อขายเสาเข็ม กําหนดใหผูขายตอกเข็มดวย โดยผูซื้อ<br />
ตองเตรียมสถานที่ใหพรอมที่จะตอกได ตองเตรียมทางใหรถยนตบรรทุกเสาเข็มเขาถึงได เปน
9<br />
หนาที่ผูซื้อตัดเสาเข็มที่ตอกจมดินไมได ผูซื้อไมรื้อถอนรากฐานเกา ไมทําทางใหรถเขาไดสะดวก<br />
ไมตัดหัวเสาเข็ม ทําใหการตอกเข็มสําเร็จลาชากวากําหนด ผูซื้อตองรับผิดใชราคาเสาเข็มที่ซื้อ<br />
ฎีกา 2189/2523 จําเลยทําสัญญาซื้อของจากโจทก ซึ่งตองสั่งซื้อจากตางประเทศ<br />
ของสูญหายในระหวางขนสงมาประเทศไทย จึงเปนเรื่องพนวิสัยที่โจทกจะปองกันได ถือวาเปน<br />
พฤติการณอันโจทกไมตองรับผิดชอบ ตาม ป.พ.พ. มาตรา 205 โจทกยังไมไดชื่อวาผิดนัดจําเลย<br />
ตองใหเวลาแกโจทกปฏิบัติตามสัญญา เพราะเวลาที่กําหนดไวเดิมลวงพนไปแลว<br />
ฎีกา 3095/2523 วันที่กําหนดจะไปจดทะเบียนโอนบานกัน ณ ที่วาการอําเภอ<br />
บังเอิญตรงกับวันอาทิตย โจทกจําเลยจะถือเอาขอกําหนดวันดังกลาวมาเปนขออางวาอีกฝายเปน<br />
ผูผิดนัดหาไดไม<br />
การงดหรือลดคาปรับ<br />
กรณีตองเปนกรณีที่คูสัญญา ไดสงมอบสิ่งของหรือสงมอบงานตามสัญญาแลว<br />
แตสงมอบสิ่งของลาชา หรือสงมอบงานลาชากวากําหนดของสัญญา และจะตองถูกปรับตามสัญญา<br />
แตเนื่องจากมีเหตุอุปสรรคอยางหนึ่งอยางใดตามขอ 139(1)-(3) จึงตองนําเหตุนั้นมางดหรือลด<br />
คาปรับ<br />
ตัวอยางที่ 1 บริษัท ก ตองทํางานใหแลวเสร็จภายใน 30 วัน หรือภายในวันที่<br />
30 กันยายน นับแตวันลงนามในสัญญา แตบริษัท ก สงมอบงานงวดสุดทาย เมื่อวันที่<br />
1 ธันวาคม ดังนี้ บริษัท ก ตองถูกปรับเปนระยะเวลา 62 วัน แตเนื่องจากมีเหตุสุดวิสัย 60 วัน<br />
ดังนั้น เหตุลดคาปรับจึงมีเพียง 60 บริษัท ก จะตองถูกปรับ 2 วัน<br />
ตัวอยางที่ 2 ตามตัวอยางที่ 1 หากบริษัท ก มีเหตุสุดวิสัย 70 วัน ดังนั้น จึง<br />
ตองงดคาปรับใหบริษัท ก เปนเวลาเพียง 62 วัน ตามที่จะตองถูกปรับจริง<br />
การขยายเวลาทําการ โดยปกติเรามักจะเรียกกันวาขยายอายุสัญญา หรือตออายุ<br />
สัญญา ดังนั้น อาจกลาวไดวาการขยายเวลาทําการคือการชดเชยระยะเวลาที่เสียไป หรือระยะเวลา<br />
ที่ขัดขวางการดําเนินการตามสัญญา ทั้งนี้ตองเปนเหตุหนึ่งเหตุใดตาม ขอ 139 (1) – (3) และยังไมมี<br />
การสงมอบสิ่งของ หรืองานงวดสุดทาย ทั้งนี้เพื่อคูสัญญาจะไดนําระยะเวลาที่ขยายใหไปทํางานที่<br />
เหลืออยูหรือเพื่อสงมอบสิ่งของ<br />
การที่ระเบียบขอ 139 วรรคทาย กําหนดใหคูสัญญาฝายผูรับจางหรือผูขายตอง<br />
แจงเหตุภายใน 15 วัน นับแตเหตุนั้นสิ้นสุด เพื่อตองการทราบความจริงวาเหตุตาม (2) และ (3)<br />
ของขอ 139 ไดเกิดขึ้นจริงและมีความเสียหายจริง เพราะบางครั้งแมจะเกิดเหตุตาม (2) และ (3)<br />
ผูรับจางหรือผูขายยังทําการไดอยู มิไดรับความเสียหายแตอยางใด ดังนั้น บางครั้งผูรับจางหรือ<br />
ผูขายจึงมิไดขอลดงดคาปรับ หรือขอขยายระยะเวลามา และโดยเฉพาะเพื่อใหคูสัญญานําพยาน<br />
เอกสารและพยานบุคคลและขอเท็จจริงที่เกิดขึ้น พิสูจนใหสวนราชการไดทราบถึงเหตุที่เกิดขึ้นตาม
10<br />
(2) และ (3) หากปลอยระยะเวลาทิ้งไวเนิ่นนานพยานเอกสาร พยานบุคคลและขอเท็จจริงก็จะ<br />
สูญหาย และหายาก อันจะทําใหสวนราชการจะหาเหตุผลขอเท็จจริง พยานหลักฐานดังกลาวมา<br />
รับรองความรับผิดชอบของตนในการลด งดคาปรับหรือขยายระยะเวลาทําการใหกับคูสัญญา<br />
การแจงเหตุตาม (2) และ (3) ภายใน 15 วัน นับแตเหตุสิ้นสุดนั้น คู สัญญาจะแจง<br />
เหตุกอน 15 วัน ไดหรือไม ผูเขียน(นายบรม ศรีสุข) เห็นวาการแจงเหตุดังกลาวทําได 2 ระยะ ดังนี้<br />
(1) เมื่อมีเหตุตาม (2) และ (3) เกิดขึ้น คูสัญญาฝายผูรับจางหรือผูขายสามารถแจง<br />
เหตุขอลด งดคาปรับหรือขอขยายระยะเวลาทําการไดทันที โดยไมตองรอใหเหตุตาม (2) และ (3)<br />
สิ้นสุดกอนแลวจึงแจงเหตุภายใน 15 วัน ดังกลาว<br />
(2) เมื่อเหตุตาม (2) และ (3) สิ้นสุดลง คูสัญญาฝายผูรับจางหรือผูขายจะแจงเหตุ<br />
ขอลด งดคาปรับหรือขยายระยะเวลาทําการตาม (2) หรือ (3) ภายใน 15 วัน มิฉะนั้นถือวาผูรับจาง<br />
หรือผูขายสละสิทธิดังกลาว<br />
ดังนั้น การที่สวนราชการจะลดหรืองดคาปรับหรือขยายระยะเวลาจะตองพิจารณา<br />
กอนวา “นับแตเหตุตาม (2) และ (3) ไดสิ้นสุดลง คูสัญญาฝายผูรับจางหรือผูขายไดแจงเหตุ<br />
ดังกลาวเปนหนังสือใหสวนราชการทราบกอนหรือภายหลังสิบหาวันนับแตเหตุนั้นสิ้นสุด”<br />
หรือไมมีการแจงเหตุจะถือวาผูรับจางหรือผูขายสละสิทธิ การขอลด งดคาปรับหรือการขอขยาย<br />
ระยะเวลาทําการตามสัญญา (ดู ขอ 2 วรรคสองและขอ 12 วรรคสอง ของตัวอยางสัญญาจางและ<br />
สัญญาซื้อขายทายระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรี ซึ่งกําหนดใหผูรับจางและผูขายตองแจงเหตุตาม<br />
(2) หรือ (3) ภายใน 15 วัน นับแตเหตุนั้นสิ้นสุดลง ประกอบ) เวนแตเปนเหตุตาม (1) ซึ่งมี<br />
หลักฐานชัดแจง หรือสวนราชการทราบดีอยูแลวมาแตตน คูสัญญาฝายผูรับจางหรือผูขายที่ไมแจง<br />
เหตุตาม (1) เพราะโดยหลักเมื่อเปนความผิดหรือความบกพรองของสวนราชการจะตองถือวาสวน<br />
ราชการเปนฝายผิดสัญญา ที่สวนราชการจะตองขยายระยะเวลาทําการให เชน กรณี สวนราชการ<br />
สงมอบพื้นที่ใหผูรับจางเขาทํางานไมได สวนราชการยอมทราบเหตุนั้นมาแตตน และตองถือเปน<br />
ความผิดของสวนราชการเปนตน<br />
ขอสังเกต กรณีสัญญาจางที่ปรึกษา สัญญาจะเขียนแตกตางกัน กลาวคือ ที่ปรึกษา<br />
จะตองแจงเหตุสุดวิสัยใหสวนราชการพิจารณาภายใน 14 วัน นับแตวันที่เกิดอุปสรรควาสวน<br />
ราชการจะยอมรับหรือไม<br />
ปญหาที่สํานักงานอัยการสูงสุด และ กวพ. ตอบขอหารือ ตัวอยางเชน<br />
(1) ผูรับจางขาดเงินทุนหมุนเวียนขาดลูกจางแรงงาน หรืออางวา สวนราชการ<br />
จายเงินคาจางหรือคาสิ่งของลาชาหรือธนาคารอนุมัติจายสินเชื่อลาชา เหตุผลที่ไมถือเปนเหตุ<br />
สุดวิสัยเพราะ เปนหนาที่ของผูรับจางหรือผูขายที่จะตองมีเงินทุนหมุนเวียนหรือตระเตรียมหา<br />
ลูกจางแรงงานใหพอกอนเขาเสนอราคาและทําสัญญา การที่สวนราชการจายเงินลาชาเปนเหตุให
11<br />
ผูรับจางหรือผูขายเรียกคาเสียหายจากสวนราชการได นับแตเวลาที่สวนราชการผิดนัดชําระหนี้เปน<br />
อัตราดอกเบี้ยได 7 ½ % ตอป ตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 7 และ 224 ทั้งนี้<br />
ตามนัยคําตอบขอหารือของสํานักงานอัยการสูงสุดที่ ห.167/2525 หนา 1630 และ 168/2525 หนาที่<br />
1632 คําวิจฉัย กวพ.ที่ พณ.5-26/2546 และที่ พณ.3-15/2546<br />
(2) มีปญหาในทางปฏิบัติกรณีฝนตกเปนเหตุสุดวิสัยนั้น หากเปนฝนตกน้ําทวมขัง<br />
บริเวณสถานที่กอสรางไดเกิดขึ้นในชวงเวลาทําการตามสัญญาเปนประจําทุกป แลวก็นับไดวาเหตุ<br />
นั้นมิใชเหตุสุดวิสัย เพราะกอนทําสัญญาผูรับจางยอมจะใชความระมัดระวังและปองกันในการ<br />
ตอรองระยะเวลาการทํางานใหมีระยะเวลาเทาที่จะสามารถปฏิบัติงานใหแลวเสร็จ เวนแตเหตุนั้น<br />
มิไดเกิดขึ้นเปนประจําทุกปและคาดหมายไมไดวาจะเกิดขึ้นเมื่อใดหรือไมก็อาจถือเปนเหตุสุดวิสัย<br />
ได ทั้งนี้ยอมแลวแตขอเท็จจริง (ตามนัยคําวินิจฉัยอัยการสูงสุดที่ 26/2528) แตอยางไรก็ดี หาก<br />
ปรากฏขอเท็จจริงวาฝนตกน้ําทวมจนเปนเหตุสุดวิสัยที่ทําใหผูรับจางไมสามารถปฏิบัติงานแลว<br />
เสร็จตามสัญญาไดจริง ก็อาจขยายเวลาทําการตามสัญญาได (ตามนัยหนังสือสํานักงานอัยการ<br />
สูงสุด ดวนมาก ที่ อส 0017/8467 ลงวันที่ 22 มิถุนายน 2544 แจงตอบอธิบดีกรมอาชีวศึกษา กับ<br />
นัยคําวินิจฉัย กวพ. เอกสารหมายเลข พณ 1-4/2549 และ 5-38/2550)<br />
แตหากฝนตกเปนอุทกภัยน้ําทวมเปนเหตุถนนขาดจนทําใหผูรับจางขาดแรงงาน<br />
เนื่องจากคนงานกอสรางที่สวนราชการจังหวัดสงขลากลับไปพักนอนที่จังหวัดพัทลุง ซึ่งอยูหาง<br />
ประมาณ 30 กิโลเมตร กลับมาทํางานที่บริเวณกอสรางไมไดเชนนี้ ก็เปนดุลพินิจของสวนราชการ<br />
ขยายเวลาตามความเปนจริงได และโดยผลของน้ําทวมเปนเหตุทําใหพื้นที่กอสรางซึ่งผูรับจางได<br />
ปรับสภาพพื้นที่เรียบรอยพรอมทํางานแลวเกิดการเสียหายระยะเวลาที่ผูรับจางใชไปในการตอง<br />
ปรับพื้นที่ใหเรียบรอยพรอมกอสรางใหม สวนราชการสามารถพิจารณาขยายระยะเวลาทําการ<br />
เพื่อลดหรืองดคาปรับใหไดตามขอเท็จจริง (ตามนัยคําวินิจฉัย กวพ. ที่ พณ 4-12/2549)<br />
เหตุตาม (3) ซึ่งเปนเหตุที่เกิดจากพฤติการณอันใดอันหนึ่งที่คูสัญญาไมตอง<br />
รับผิดชอบตามกฎหมายนี้ หมายถึงเหตุตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 205 ซึ่ง<br />
บัญญัติวา “ตราบใดการชําระหนี้นั้นยังไมไดกระทําลง เพราะพฤติการณอันใดอันหนึ่ง ซึ่งลูกหนี้<br />
ไมตองรับผิดชอบ ตราบนั้น ลูกหนี้ยังหาไดชื่อวาผิดนัดไม” ซึ่งพฤติการณอันใดอันหนึ่งนี้จะตอง<br />
เกิดขึ้นกอนผิดนัดมิใชเกิดขึ้นหลังผิดนัดแลว (หลังสัญญาสิ้นสุดแลว) เชน บริษัท ก. รับจาง<br />
กอสรางอาคารใหแลวเสร็จภายใน 360 วัน ไดทําการกอสรางอาคารจนเลยกําหนดเวลาแลวเสร็จไป<br />
370 วันก็ยังกอสรางไมแลวเสร็จ ระหวางนั้นไดเกิดอุทกภัยน้ําทวมจนกอสรางไมไดเปนเวลา<br />
30 วัน ระยะเวลาน้ําทวม 30 วันนี้ สวนราชการผูวาจางจะขยายระยะเวลาทําการตามสัญญาใหกับ<br />
ผูรับจางไมได เพราะระยะเวลาดังกลาวเกิดขึ้นภายหลังที่ผูรับจางผิดนัดแลว ความเสียหายยอม<br />
เกิดขึ้นแกสวนราชการดวย เชน ทําใหสวนราชการไมไดใชอาคารสํานักงานตองไปเชาสํานักงาน
12<br />
เอกชน เสียคาเชาเปนรายเดือน หากลดหรืองดคาปรับใหผูรับจาง สวนราชการยอมไมไดรับ<br />
คาปรับเปนเสียหายซึ่งเปนไปตามประมวลกฎหมายแพงและพาณิชย มาตรา 205 ประกอบดวย<br />
มาตรา 217 และนัยคําวินิจฉัยสํานักงานอัยการสูงสุดที่ ห.221/2523 หนา 1102 และ ห.80/2523<br />
หนา 910<br />
และพฤติการณนี้โดยหลักจะตองไมใชความผิดของฝายผูรับจางหรือผูขาย แตตอง<br />
เปนความผิด หรือบกพรองของฝายสวนราชการ ซึ่งอาจจะเปนตัวสวนราชการผูวาจางนั้นเอง หรือ<br />
สวนราชการที่มิไดวาจางหรือซื้อก็ตามเพราะถือวาเปนฝายของสวนราชการ เชน มีกลุมอิทธิพล<br />
ขมขูเรียกคาคุมครองซึ่งทางราชการคุมครองไมได (คําวินิจฉัยสํานักงานอัยการสูงสุด<br />
ที่ ห.190/2528 หนา 6841) กรมไปรษณียโทรเลขออกใบอนุญาตสรางเครื่องรับสงวิทยุลาชา (ตาม<br />
คําวินิจฉัยสํานักงาอัยการสูงสุดที่ ห.57/2527 หนา 325) หรือคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม<br />
แหงชาติ (กทช.) ตรวจรับรอง และการออกใบอนุญาตนําเขาเครื่องรับสัญญาณดาวเทียม GPS พรอม<br />
วิทยุและอุปกรณลาชา (ตามนัยคําวินิจฉัย กวพ.สน.2-18/2550) ผูรับจางขุดที่กอสรางพบอาคารเกา<br />
ฝงลึกตองใชเวลารื้อถอนออกกอนกอสราง (ตามคําวินิจฉัยสํานักงานอัยการสูงสุด ที่ ห.41/2530<br />
หนา 47) หรือราชการติดตั้งหมอแปลงไฟฟาลาชาทําใหกอสรางไมแลวเสร็จ แมผูรับจางมีหนาที่<br />
ตามขอกําหนดสัญญาจะตองทําการติดตั้ง โดยคาใชจายของผูรับจาง ซึ่งผูรับจางแจงใหการไฟฟา<br />
ทราบแตตน เมื่อลงนามสัญญาแลว แตการไฟฟามาติดตั้งลาชา เชนนี้ ถือวาเปนพฤติการณที่<br />
ผูรับจางไมตองรับผิดชอบ เพราะผูรับจางไมอาจจางบุคคลอื่นมาติดตั้งมาติดตั้งได เนื่องจากเปน<br />
หนาที่ของการไฟฟาตามกฎหมายที่บุคคลอื่นจะเขาไปดําเนินการแทนไมได แตหากสัญญา<br />
กําหนดใหผูรับจางมีหนาที่รับผิดชอบรื้อยายเสาไฟฟา และออกคาใชจายทั้งหมด โดยผูรับจางไม<br />
ใชเปนเหตุในการขอตอสัญญาเชนนี้ สวนราชการยอมขยายระยะเวลาใหผูรับจางไมได เพราะเปน<br />
ความสมัครใจของผูรับจางเองที่จะไมขอตออายุสัญญา (คําวินิจฉัย กวพ.ที่ พณ.2-30/2546) กรณี<br />
บริษัทผูรับจางอางวาชาวบานไมยินยอมใหกอสรางเพราะเกรงวาจะเกิดความเสียหายถึงตัวบาน<br />
สวนราชการจะขยายเวลาใหไมได เพราะเปนหนาที่ของผูรับจางที่จะตองปองกันความเสียหายที่<br />
อาจเกิดขึ้นจากการทํางานของตน เปนตน<br />
(3) กรณีเคยมีปญหาสัญญาจางกอสรางอาคารกําหนดใหทํางานแลวเสร็จ ภายใน<br />
วันที่ 30 กันยายน 2546 ผูรับจางไดกอสรางแลวเสร็จและสงมอบงานใหกรม ผูวาจางตรวจรับงาน<br />
ในวันที่ 25 กันยายน 2546 คณะกรรมการตรวจการจางใชเวลาตรวจรับงานไปจนถึงวันที่ 5 ตุลาคม<br />
2546 และแจงใหผูรับจางแกไขงานใหถูกตองตามสัญญา ผูรับจางไดใชเวลาแกไขงาน 2 วัน ก็แลว<br />
เสร็จ และสงใหกรมตรวจรับงานในวันที่ 7 ตุลาคม 2546 คณะกรรมการตรวจการจางไดตรวจงาน<br />
เห็นวาถูกตองเรียบรอย กรมไดรับมอบงานในวันที่ 12 ตุลาคม 2546 มีปญหาวากรมจะใชสิทธิ<br />
ปรับผูรับจางกรณีเลยกําหนดเวลาแลวเสร็จ (30 กันยายน 2546) ไดหรือไม กรณีเชนนี้ กรมใชสิทธิ
13<br />
ปรับผูรับจางไมได แมจะเลยกําหนดเวลาแลวเสร็จแลวก็ตาม เพราะการตรวจรับมอบงานนั้นหาก<br />
กรมตรวจรับงานแลว เห็นวางานถูกตองเรียบรอยและรับมอบงานไว การรับมอบงานของกรมก็จะ<br />
มีผลยอนหลังไปถึงวันที่ผูรับจางสงมอบงาน คือวันที่ 25 กันยายน 2546 ตามระเบียบสํานักนายกฯ<br />
พ.ศ.2535 ขอ 72(4) ผูรับจางจึงเหลือระยะเวลาอีก 5 วัน ในการแกไขงาน ดังนั้น เมื่อผูรับจางใช<br />
เวลาแกไขงาน 2 วัน ก็แลวเสร็จและสงมอบงานใหกรมในวันแลวเสร็จนั้น ผูรับจางจึงเหลือเวลา<br />
อีก 3 วัน ที่จะครบกําหนดแลวเสร็จ จึงถือวา ผูรับจางมิไดทํางานลาชาเกินกําหนดระยะเวลาตาม<br />
สัญญา กรมจึงใชสิทธิปรับผูรับจางไมได ชวงระยะเวลาที่เสียไปจนถึงวันที่ 12 ตุลาคม 2546 เปน<br />
ชวงระยะเวลาที่กรมใชไปในการตรวจรับงาน ไมใชความผิดของผูรับจาง จึงนําชวงระยะเวลาเลย<br />
กําหนดระยะเวลาตามสัญญาตั้งแต 1-12 ตุลาคม 2546 มาปรับผูรับจางไมไดดังกลาว<br />
(4) กรณีปญหาที่ผูรับจางใชระยะเวลาการรื้อถอนสิ่งปลูกสรางชั่วคราว กลบเกลี่ย<br />
พื้นดินตลอดจนการทําความสะอาดบริเวณกอสรางจนเลยกําหนดเวลาตามสัญญา มีปญหาวาจะ<br />
ปรับผูรับจางไดหรือไม สํานักงานอัยการสูงสุดวินิจฉัยวางานดังกลาวมิใชงานจางตามรูปแบบ<br />
รายละเอียดทายสัญญา ซึ่งกําหนดใหผูรับจางตองทํางานใหแลวเสร็จภายในกําหนดตามสัญญา<br />
ฉะนั้น การทํางานดังกลาวแมลวงเลยกําหนดเวลาตามสัญญา ผูวาจางไมอาจนํามาคํานวณเพื่อการ<br />
ปรับได (คําวินิจฉัยสํานักงานอัยการสูงสุดที่ ห.44/2544 หนา 1185)<br />
(5) กรณีสวนราชการผูวาจางไดอนุมัติใหผูรับจางเลิกสัญญาดวยความสมัครใจทั้ง<br />
สองฝาย โดยสวนราชการมิไดสงวนสิทธิเรียกคาเสียหายและคาปรับไว สวนราชการจะเรียกรอง<br />
คาเสียหายและคาปรับจากผูรับจางไมได เพราะเปนเรื่อง เลิกสัญญา โดยสมัครใจทั้งสองฝาย ผูรับ<br />
จางจึงมิใชผูปฏิบัติผิดสัญญา ตามนัยคําพิพากษาศาลฎีกาที่ 710/2482 (คําวินิจฉัยสํานักงานอัยการ<br />
สูงสุดที่ ห.78/2521 หนา 463)<br />
(6) กรมฯ ไดวาจาง บริษัทกอสรางอาคารเรียน โดยสัญญากําหนดให “บริษัท<br />
ผูรับจางมีหนาที่ทดสอบการรับน้ําหนักของดินฐานรากที่จะกอสรางอาคารเรียนนั้น” ปรากฏวาเมื่อ<br />
ผูรับจางเขาดําเนินการปรับพื้นที่ และไดมีหนังสือลงวันที่ 15 กรกฎาคม 2545 (ทําสัญญา<br />
27 มิถุนายน 2545) ขอใหโยธาธิการจังหวัดมาทําการทดสอบที่ดินให ซึ่งโยธาธิการจังหวัดไดทํา<br />
การทดสอบ และแจงใหผูรับจางทราบเมื่อ 25 ธันวาคม 2546 ซึ่งกรมฯไดรวมทดสอบดวย และ<br />
กรมฯไดมีหนังสือสั่งการใหโยธาธิการจังหวัดทดสอบอีกครั้งหนึ่ง ผูรับจางขอขยายระยะเวลาที่<br />
ตองเสียไป เพราะรอผลทดสอบ การรับน้ําหนักของดินฐานรากที่โยธาธิการจังหวัดไดใชไป กวพ.<br />
วินิจฉัยวาขยายระยะเวลาไมได เพราะเปนหนาที่ของผูรับจางที่จะตองทดสอบการรับน้ําหนักของ<br />
ดินฐานรากนั้นเอง ที่ผูรับจางสามารถใหวิศวกรของบริษัทหรือบริษัทเอกชนทดสอบได การให<br />
สวนราชการไปทดสอบไมเปนเหตุใหขยายระยะเวลาได เปนเรื่องที่สวนราชการไมมีหนาที่ตาม<br />
สัญญาและเขาไปทําผิดหนาที่โดยพละการ (คําวินิจฉัย กวพ. พณ.ที่ 4-30/2546) อนึ่ง มีขอสังเกต
14<br />
วาในเอกสารประกวดราคาจะกําหนดใหผูรับจางมีหนาที่ไปดู Site งาน (สถานที่กอสราง) และ<br />
ในทางปฏิบัติกอนประกวดราคา ผูเสนอราคาจะตองไปรับฟงคําชี้แจงจากเจาหนาที่และไปดู<br />
สถานที่กอสราง หากผูเสนอราคาไมไปและชนะการประกวดราคา แมสัญญาไมกําหนดหนาที่<br />
ดังกลาว หากเกิดปญหาดังกลาวผูเสนอราคารายนั้น ก็จะตองรับผิดชอบเอง จะขอขยายระยะเวลา<br />
ไมได<br />
(7) คําพิพากษาศาลฎีกาที่ 156/21 หนา 1463 สัญญากําหนดใหปรับวันละ<br />
300 บาท เมื่อผูรับจางกอสรางไมเสร็จตามกําหนดเวลา และสัญญาอีกขอกําหนดใหผูรับจางจะตอง<br />
จายคาควบคุมงานใหแทนผูวาจาง ที่ผูวาจางตองจางผูควบคุมงานนั้นอีกตอหนึ่งนับแตวันที่ลวงเลย<br />
กําหนดเวลาแลวเสร็จตามสัญญาจนถึงวันที่โจทกสงมอบงานเปนรายวัน วันละ 50 บาท อีกสวน<br />
หนึ่งตางหากจากคาปรับดวย ผูวาจางปรับตามสัญญาได โดยไมตองพิสูจนความเสียหายใด ๆ เลย<br />
เกี่ยวกับจํานวนเบี้ยปรับที่สัญญากันไว สวนคาควบคุมงานซึ่งผูรับจางสัญญาจะชดใชใหเปน<br />
คาเสียหายแกผูวาจาง ศาลฎีกาเห็นวาจําเลยมีสิทธิเรียกใหโจทกชําระหรือหักเอาเงินคาจางของ<br />
ผูรับจางไดก็ตอเมื่อไดความวาจําเลยไดจางผูควบคุมงานในระยะที่ลวงเลยกําหนดเวลาดังกลาว<br />
และผูวาจางไดจายหรือจะตองจายเงินจํานวนนี้ใหแกผูควบคุมงาน แตผูวาจางมิไดนําสืบวาได<br />
เสียหายในขอนี้อยางไร ผูรับจางจึงไมมีหนาที่จะตองจายเงินจํานวนนี้ใหผูวาจางศาลพิพากษาให<br />
ผูวาจางคืนเงินคาจางของผูรับจางที่ผูวาจางหักไวเปนคาจางผูควบคุมงาน 11,450 บาท ใหแกผู<br />
รับจาง<br />
(8) มหาวิทยาลัยไดทําสัญญาจางกอสรางอาคารอเนกประสงค 1 หลัง กําหนด<br />
แลวเสร็จ วันที่ 18 มีนาคม แตมหาวิทยาลัยจะตองจัดงานพระราชทานปริญญาบัตรวันที่ 21-23<br />
มีนาคม จึงจําเปนตองปดถนนดานหนาที่ทําการกอสรางอาคารอเนกประสงค ทําใหสามารถใช<br />
ผานเขาออกบริเวณกอสรางไดเพียงทางเดียว และคนมีจํานวนมากอาจกระทบตอความปลอดภัย<br />
ของบุคคลเขาออก มีปญหาวาผูรับจางไมสามารถทํางานไดสะดวก ผูรับจางจะอางเปนเหตุของด<br />
หรือลดคาปรับไดหรือไม กวพ. วินิจฉัยวา หากครบกําหนดสัญญาแลวผูรับจางไมสามารถสงมอบ<br />
งานได ตองถือวาผูรับจางผิดนัดตามสัญญา ประกอบดวย ป.พ.พ.มาตรา 204 วรรคทาย ผูรับจาง<br />
ตองรับผิดในคาปรับ แตอยาไรก็ดี หากผูวาจางสั่งหยุดงานเพราะมีผลกระทบตอการทํางานของ<br />
ผูรับจาง เชน ผูวาจางสั่งหยุดงานเพราะฝนตกชุก น้ําทวมขังบริเวณกอสรางจะมีผลทําใหงานฐาน<br />
รากหรือโครงสรางจะไมแข็งแรง ผูวาจางจะตองพิจารณาลดหรืองดคาปรับใหโดยผูรับจางไมตอง<br />
แจงเหตุ 15 วัน เพราะผูวาจางทราบเรื่องดีอยูแลว (คําวินิจฉัย กวพ.ที่ พณ 1-5/2549 2-13/2549)<br />
(9) กรณีมีปญหาในทางปฏิบัติเสมอที่สวนราชการไดทําบันทึกขยายเวลาทําการ<br />
เพื่อลดหรืองดคาปรับใหแกฝายผูรับจาง โดยกําหนดในบันทึกแกไขสัญญาวาขยายเวลาเฉพาะใน<br />
งวดงานนั้นๆ เทานั้น มิไดขยายเวลาทั้งสัญญา การขยายเวลาทําการมีผลเฉพาะในงวดงานนั้น ๆ
15<br />
ไดหรือไม ตัวอยางเชน งานกอสรางขุดบอบาดาล โดยสวนราชการเปนผูออกแบบและกําหนดจุด<br />
ขุดบอบาดาลในพื้นที่กอสราง ซึ่งสวนราชการไดแบงงวดงานเปน 20 งวด ตอมาในงวดงานที่ 15<br />
เปนงวดที่กําหนดขุดบอบาดาล ปรากฏวาผูรับจางใชเวลาขุดเจาะบอบาดาล 5-6 เดือน ตามที่สวน<br />
ราชการชี้ใหขุดเจาะ 2-3 ที่แลวไมพบน้ํา จึงไดแกไขเปลี่ยนแบบบอบาดาลเปนบอน้ําธรรมดา โดย<br />
ใชผายางรองกนบอโดยใชระยะเวลาการอนุมัติแกไขแบบดังกลาวนานหลายเดือน สวนราชการกับ<br />
ผูรับจางจึงไดตกลงทําบันทึกขยายเวลาทํางานเพื่องดหรือลดคาปรับในงวดที่ 15 ใหแกผูรับจาง<br />
70 วัน เมื่อผูรับจางทํางานแลวเสร็จ วันที่ 30 พฤศจิกายน 2548 เลยกําหนดเวลาแลวเสร็จตาม<br />
สัญญาคือวันที่ 30 กันยายน 2548 ไป 61 วัน สวนราชการปรับผูรับจาง 61 วัน โดยอางวา สวน<br />
ราชการขยายเวลาทําการใหเฉพาะงานงวดที่ 15 และผูรับจางมิไดแจงเหตุเปนหนังสือภายใน 15 วัน<br />
นับแตเหตุสิ้นสุดลง แตผูรับจางอางวาการขยายเวลา 70 วัน เปนการขยายเวลาทั้งสัญญา และการ<br />
ขุดบอบาดาลไมพบน้ําเลยเปนเหตุพนวิสัยที่สวนราชการตองทราบเหตุดีอยูแลว ไมตองแจงเหตุ<br />
เปนหนังสือภายใน 15 วัน นับแตเหตุนั้นสิ้นสุดลง ผูเขียน(นายบรม ศรีสุข) เห็นวา “การกําหนด<br />
งวดงานนั้น” โดยวัตถุประสงคหลักของสัญญาที่กําหนดระยะเวลางานแลวเสร็จและการปรับไว<br />
เปนกําหนดเวลาเดียว เมื่อจะปรับหรือขยายระยะเวลายอมจะมีผลทั้งสัญญามิใชขยายระยะเวลา<br />
เฉพาะงวดนั้น และการกําหนดงวดงานนั้น ดังนั้นเมื่อผูรับจางทํางานไมแลวเสร็จในงวดนั้น ตอง<br />
ถือวาผูรับจางปฏิบัติผิดสัญญา ผูรับจางก็ยังไมมีสิทธิรับเงิน(คาจาง) ในงวดงานนั้น แตหากผู<br />
รับจางทํางานในงวดนั้นแลวเสร็จกอนกําหนดเวลาในงวดนั้น ผูรับจางก็มีสิทธิรับเงิน แตหากผู<br />
รับจางทํางานแลวเสร็จลาชากวาวันที่ 30 กันยายน 2548 ตองถือวาผูรับจางผิดนัดชําระหนี้ ดังนั้น<br />
สวนราชการจึงมีสิทธิปรับผูรับจางตามจํานวนวันที่ผูรับจางทํางานลาชาคือ 61 วัน แตเนื่องจาก<br />
สวนราชการไดทําบันทึกโดยมีเจตนารมณขยายเวลาทําการใหผูรับจาง 70 วัน แมบันทึกจะกําหนด<br />
วาใหขยายเวลาทําการเฉพาะงวดที่ 15 ก็ตาม แตก็ตีความตามเจตนารมณที่แทจริงยิ่งกวาตามถอยคํา<br />
สํานวนหรือตัวอักษร ตาม ป.พ.พ. มาตรา 171 ดังนั้น ตองถือวาสวนราชการขยายเวลาทําการทั้ง<br />
สัญญาใหผูรับจาง 70 วัน จึงตองนับระยะเวลาตอตอจากวันที่ 30 กันยายน 2548 ไปอีก 70 วัน<br />
ดังนั้น จึงปรับผูรับจางไมได ฉะนั้น เมื่อสวนราชการตองการขยายเวลาทําการหรือลดหรืองด<br />
คาปรับใหผูรับจาง จึงตองตีความดังกลาว และโดยเฉพาะการที่ผูรับจางขุดเจาะบอบาดาลไมพบน้ํา<br />
ตองถือวาเปนเหตุพนวิสัยที่เปนความผิดของฝายสวนราชการที่เปนผูออกแบบและกําหนดจุดบอ<br />
บาดาล ที่ตองถือวาสวนราชการทราบเหตุมาแตตน ดังนั้น สวนราชการจะตองนําระยะเวลาที่ผู<br />
รับจางใชไปในการขุดบอบาดาล 5-6 เดือนกับระยะเวลาที่สวนราชการใชไปในการอนุมัติแกไข<br />
แบบซึ่งมีผลทําใหผูรับจางไมสามารถทํางานในชวงดังกลาวได ซึ่งเมื่อคํานวณระยะเวลาแลวยอม<br />
เลยกําหนดเวลาลาชา 61 วันที่สวนราชการไมสามารถปรับผูรับจางได
16<br />
(10) มหาวิทยาลัยไดทําสัญญาเลขที่ 1 จางหาง ก.กอสรางอาคารปฏิบัติการ<br />
นาฏศิลป 1 หลัง ราคา 13 ลานบาท สัญญาสิ้นสุด 20 เมษายน 2548 ตอมามหาวิทยาลัยไดทําสัญญา<br />
เลขที่ 2 จางหาง ก.ตอเติมหองคุมแสงและเสียง 1 หอง ในอาคารปฏิบัติการนาฏศิลปดังกลาวเปน<br />
จํานวนเงิน 92,000 บาท ดําเนินการใหแลวเสร็จในวันที่ 30 เมษายน 2549 ผูรับจางไดขอขยายเวลา<br />
อีก 90 วัน ในสัญญาเลขที่ 1 เพราะการดําเนินการกอสรางหองควบคุมแสงและเสียงมีผลกระทบ<br />
ตอการสรางอาคารนาฏศิลป สวนราชการจะขยายเวลาทําการและผูรับจางจะตองแจงเหตุภายใน<br />
15 วัน ไดหรือไม กวพ.วินิจฉัยวา หากปรากฏขอเท็จจริงวา งานตามสัญญาจางเลขที่ 1 กับเลขที่ 2<br />
มีสวนเกี่ยวของหรือสัมพันธกันโดยการทําการตอเติมหองควบคุมแสงและเสียงกอนจนเปนเหตุให<br />
หางไมสามารถปฏิบัติงานตามสัญญาจางเลขก็มีสิทธิขอขยายเวลาทําการเพื่อลดหรืองดคาปรับได<br />
สวนการแจงเหตุภายใน 15 วัน นับแตเหตุนั้นสิ้นสุดลง หาง ก.จะตองแจงเหตุกอนหรือหลัง<br />
เหตุการณตอเติมหองควบคุมแสงเสียงตามสัญญาจางเลขที่ 2 นั้นเสร็จสิ้นลงภายใน 15 วัน นับแต<br />
เหตุการณกอสรางเพิ่มเติมสัญญาจางเลขที่ 2 สิ้นสุดลง (ตามนัยคําวินิจฉัย กวพ. ที่ พณ 6-22/2549)<br />
การนับระยะเวลาที่เกิดอุปสรรคและพยานหลักฐาน<br />
1. อุปสรรคที่เปนเหตุสุดวิสัย หรือพฤติการณอันหนึ่งที่คูสัญญาไมตองรับผิดชอบ<br />
จะตองมีหลักฐานเปนหนังสือรับรองการเกิดอุปสรรควาเกิดขึ้นตั้งแตเมื่อใด สิ้นสุดลงเมื่อใด<br />
พยานหลักฐาน ไดแก หนังสือรับรองจากองคกรสวนทองถิ่น หรือจากอําเภอทองที่ รายงาน<br />
ผูควบคุมงาน หรือกรณีจําเปนอาจมีหนังสือรับรองจากกรมอุตุนิยมวิทยา<br />
2. มิใชความผิดของคูสัญญา (เปนความผิดของสวนราชการ)<br />
2.1 กรณีที่จะใหสวนราชการพิจารณาใหความเห็นชอบหรืออนุมัติ การพิจารณา<br />
วาเกิดอุปสรรคจะถือวาหนังสือของคูสัญญาสงมาถึงฝายสารบรรณ เมื่อวันที่เทาใด อุปสรรคจะเริ่ม<br />
นับวันรุงขึ้น และเมื่อสวนราชการพิจารณาเห็นชอบหรืออนุมัติ จะมีหนังสือแจงคูสัญญาทราบ<br />
อุปสรรคการรอคอยการเห็นชอบหรืออนุมัติ จะนับถึงวันที่ที่คูสัญญาไดรับหนังสือ โดยจะ<br />
ตรวจสอบจากไปรษณียตอบรับ เชน บริษัท ก. สงหนังสือ ลงวันที่ 1 มิถุนายน สงหนังสือมาถึง<br />
ฝายสารบรรณในวันที่ 3 มิถุนายน เพื่อใหสวนราชการพิจารณาเห็นชอบการคัดเลือกชุมชนเขารวม<br />
โครงการ ดังนี้ อุปสรรคจะเริ่มนับตั้งแตวันที่ 4 มิถุนายน เปนตนไป เมื่อสวนราชการพิจารณา<br />
เสร็จมีหนังสือแจงเห็นชอบ ลงวันที่ 28 มิถุนายน และบริษัท ก.ไดรับหนังสือเมื่อวันที่<br />
30 มิถุนายน ดังนั้น อุปสรรคจะเกิดขึ้นตั้งแตวันที่ 4 มิถุนายน-30 มิถุนายน<br />
2.2 กรณีสวนราชการสั่งใหหยุดงาน อุปสรรคจะเริ่มนับตั้งแตวันที่สั่งให<br />
หยุดงาน และสิ้นสุดลงกอนวันที่ที่สงใหเขาทํางาน เชน หนังสือกรมสั่งใหหยุดงานในวันที่<br />
1 มิ.ย. ตอมากรมไดมีหนังสือสั่งใหเขาทํางานในวันที่ 1 ส.ค. ดังนั้น อุปสรรคจึงเกิดขึ้นตั้งแตวันที่<br />
1 มิ.ย. – 31 ก.ค.
17<br />
การนับจํานวนวันที่เกิดอุปสรรค<br />
โดยปกติการนับจํานวนวันที่เกิดอุปสรรคจะเริ่มนับตั้งแตวันที่เกิดอุปสรรคจนถึง<br />
วันที่อุปสรรคสิ้นสุดลงแตมีบางกรณีจะตองดูแผนงานของคูสัญญาประกอบดวย ดังนี้<br />
1. กรณีตามแผนงานถาแผนงานซ้ําซอนกันบางสวนและไมมีการทํางาน แมวาจะมี<br />
อุปสรรคเกิดขึ้นตั้งแตวันที่ 1 มกราคม 2553 – 30 มิถุนายน 2553 เปนเวลา 181 วัน แตตาม<br />
แผนงานในชวงวันที่ 1 มิถุนายน – 30 มิถุนายน 2553 ไมมีการทํางาน ดังนั้น อุปสรรคที่เกิดขึ้นเปน<br />
เวลา 181 – 30 = 151 วัน<br />
2. กรณีตามแผนงานที่มีระยะเวลาทํางานซ้ําซอนกัน (เริ่มตนพรอมกันสิ้นสุด<br />
พรอม) เมื่อเกิดอุปสรรคขึ้น แตงานอื่น (ที่แผนงานซ้ําซอนกัน) สามารถทํางานได ดังนี้ตองถือวา<br />
เกิดอุปสรรค เชน<br />
(1) งานกอสรางถนนสายที่ 1 เริ่มตั้งแต 1 มกราคม 2553 – 30 มิถุนายน 2553<br />
(2) งานกอสรางถนนสายที่ 2 เริ่มตั้งแต 1 มกราคม 2553 – 30 มิถุนายน 2553<br />
(3) งานกอสรางถนนสายที่ 3 เริ่มตั้งแต 1 มกราคม 2553 – 30 มิถุนายน 2553<br />
งาน (1) เกิดอุปสรรค แตงาน (2) และ (3) สามารถทํางานได ดังนี้ ตองถือวา<br />
เกิดอุปสรรคในการทํางาน<br />
หมายเหตุ ถาถนนทั้ง 3 สายเกิดอุปสรรคทั้งหมด แตระยะเวลาที่เกิดอุปสรรค<br />
ไมเทากัน ตองใชระยะเวลาที่เกิดอุปสรรคมากที่สุดมาขยายอายุสัญญา<br />
วิธีทําบันทึกเสนออนุมัติ<br />
การสรุปขอเท็จจริงในการเสนออนุมัติขยายเวลาทํางาน(ขยายอายุสัญญา) แบงได<br />
เปน 3 สวน ดังนี้<br />
1. เรื่องเดิม แบงออกเปน 2 เรื่อง<br />
1.1 ใหกลาวถึงนิติสัมพันธระหวางคูสัญญากับสวนราชการ เชน ตามที่กรม<br />
ไดทําสัญญาวาจาง บริษัท ก.ใหทําการกอสรางเขื่อนโครงการ...อําเภอ......จังหวัด.........รวมเปนเงิน<br />
..............บาท กําหนดสงมอบงาน ภายในวันที่........................<br />
1.2 ใหกลาวถึงหนังสือของคูสัญญาวาไดขอขยายระยะเวลาทํางานออกไป<br />
เปนเวลากี่วัน เนื่องจากอุปสรรคใด<br />
2. ขอเท็จจริง ใหสรุปปญหา อุปสรรคที่เกิดขึ้นวามีสาเหตุมาจากอุปสรรคใด<br />
มีพยานหลักฐานสนับสนุนอุปสรรคเพียงพอหรือไม หากไมเพียงพอตองขอเพิ่มเติม ทั้งนี้<br />
อุปสรรค ตามขอ 193 (2)–(3) คูสัญญาจะตองแจงอุปสรรคใหสวนราชการทราบภายใน 15 วัน<br />
นับแตวันที่อุปสรรคสิ้นสุดลง หากมิไดแจงภายในกําหนดคูสัญญาจะยกมากลาวอางเพื่อขอลด
18<br />
หรืองดคาปรับ หรือขอขยายเวลาในภายหลังมิได เวนแตกรณีตามขอ 193 (1) ซึ่งมีหลักฐาน<br />
ชัดแจง หรือสวนราชการทราบมีอยูแลว ตั้งแตตน<br />
3. ขอพิจารณา จะตองทําอุปสรรคตามขอเท็จจริงมาปรับกับระเบียบฯ ขอ 193<br />
วาอุปสรรคดังกลาวอยูในขายจะพิจารณางดหรือลดคาปรับหรือขยายเวลาทําการไดหรือไม เพียงใด<br />
เปนเวลากี่วัน คูสัญญาขอขยายระยะเวลาเปนเวลากี่กัน โดยคณะกรรมการตรวจการจางหรือตรวจ<br />
รับตองเสนอความเห็นวาควรขยายใหเปนเวลากี่วันหรือไมสมควรขยายเวลา<br />
ในสวนสุดทายของบันทึกตองสรุปดวยวาอํานาจอนุมัติใหงดหรือลดคาปรับ หรือ<br />
ขยายเวลาทํางาน เปนอํานาจของหัวหนาสวนราชการ ที่จะอนุมัติได ตามระเบียบฯ ขอ 193 (1)<br />
(2) หรือ (3)<br />
วิธีทําหนังสือแจงคูสัญญา<br />
ภายหลังจากหัวหนาสวนราชการไดอนุมัติใหงดหรือลดคาปรับ หรือขยายเวลาทํา<br />
การแลว ปกติกลุมนิติการจะเปนผูจัดทําหนังสือแจง โดยการจัดทําหนังสือแจง จะแบงได 3 สวน ดังนี้<br />
1. สวนที่ 1 ชื่อเรื่อง และอางถึง<br />
ชื่อเรื่อง ควรใชชื่อเดียวกันกับหนังสือของคูสัญญา เนื่องจากเปนหนังสือตอเนื่อง<br />
ทั้งนี้ เพราะเปนไปตามระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยงานสารบรรณ พ.ศ.2526 ขอ 11.4<br />
สําหรับอางถึง ควรอางถึง 2 ขอ คือ 1. อางถึงสัญญาวาจาง หรือซื้อขาย 2. อางถึงหนังสือคูสัญญา<br />
ขอขยายเวลาทําการ<br />
2. สวนที่ 2 เนื้อหาของหนังสือในวรรคหนึ่งจะกลาวสวนที่อางถึง โดยจะตอง<br />
รางหนังสือ สรุป นิติสัมพันธระหวางคูสัญญากับสวนราชการ มีการทําสัญญาวาจางหรือซื้อขาย<br />
เกี่ยวกับอะไรในวงเงินเทาใด กําหนดสงมอบงานหรือสิ่งของเมื่อใด คูสัญญาของดหรือลดคาปรับ<br />
หรือขยายเวลาทําการ (ขอตออายุสัญญา) เนื่องจากอุปสรรคใด เปนเวลากี่วัน<br />
3. สวนที่ 3 การพิจารณาของสวนราชการ<br />
พิจารณาแลวมีความเห็นอยางไร ตองใชเหตุผลตามบันทึกในการพิจารณาตามที่<br />
หัวหนาสวนราชการอนุมัติ โดยสรุปอุปสรรคที่เกิดขึ้นเทาใด งดหรือลดคาปรับ หรือขยายเวลาทําการ<br />
ใหหรือไมเปนจํานวนเทาใด<br />
สําหรับกรณีที่อุปสรรคเกิดขึ้นมากกวาจํานวนที่คูสัญญาขอขยายเวลาทําการ การ<br />
รางหนังสือจะไมชี้แจงวามีอุปสรรคเกิดขึ้นกี่วัน แตจะรางแจงไปวาสวนราชการพิจารณาแลวเห็น<br />
วาอุปสรรคดังกลาวเกิดขึ้นจริง จึงพิจารณาขยายเวลาทําการ (ตออายุสัญญา) เปนเวลา ...........วัน<br />
ตามที่คูสัญญาขอมา โดยนับแตจากวันที่............. ซึ่งเปนวันสิ้นสุดสัญญา และสัญญาจะครบ<br />
กําหนดสงมอบงาน/สิ่งของ ภายในวันที่........................... หากสงมอบงานลาชากวากําหนดดังกลาว<br />
คูสัญญาจะตองถูกปรับตามเงื่อนไขแหงสัญญาทุกประการ
19<br />
บรรณานุกรม<br />
กําธร พันธุลาภ ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยวาดวยหนี้, กรุงเทพฯ : โรงพิมพ<br />
มหาวิทยาลัยรามคําแหง, 2522<br />
ธาดา ศาสตรสาธิต บทบัณฑิตย เนติบัณฑิตยสภา เลมที่ 39 ตอนที่ 3 โรงพิมพบพิธ<br />
การพิมพ, 2535<br />
บรม ศรีสุข<br />
วิธีพิจารณาวินิจฉัยหารือของ ก.ว.พ.และหลักเกณฑสาระสําคัญของการ<br />
จัดหาพัสดุของระเบียบสํานักนายกรัฐมนตรีวาดวยการพัสดุ พ.ศ.2535<br />
โรงพิมพ นิวไทยมิตรการพิมพ (1996), 2551<br />
ประโมทย จารุนิล ประมวลกฎหมายแพงและพาณิชยวาดวยหนี้ , กรุงเทพฯ : โรงพิมพ<br />
มหาวิทยาลัยรามคําแหง, 2550