12.07.2023 Views

สารบัญ บทนำ และบทที่ 1 ในหนังสือ ไวรัส...ฉบับกระชับ

สารบัญ บทนำ และบทที่ 1 ในหนังสือ ไวรัส...ฉบับกระชับ ของ โดโรธี เอช. ครอว์ฟอร์ด แปลโดย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์

สารบัญ บทนำ และบทที่ 1 ในหนังสือ ไวรัส...ฉบับกระชับ ของ โดโรธี เอช. ครอว์ฟอร์ด
แปลโดย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์

SHOW MORE
SHOW LESS

You also want an ePaper? Increase the reach of your titles

YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.

-es<br />

โดโรธี เอช. ครอว์ฟอร์ด เขียน นชัย ชีวววรรธน์ แปล<br />

<strong>ไวรัส</strong> <strong>ฉบับกระชับ</strong><br />

VIRUSES<br />

A VERY SHORT INTRODUCTION<br />

Virus


<strong>สารบัญ</strong><br />

คำานำาผู้แปล 12<br />

กิตติกรรมประกาศ 16<br />

<strong>บทนำ</strong>า 18<br />

1. <strong>ไวรัส</strong>คืออะไร? 24<br />

2. <strong>ไวรัส</strong>อยู่ทุกหนทุกแห่ง 54<br />

3. ฆ่าหรือถูกฆ่า 70<br />

4. การติดเชื้อ<strong>ไวรัส</strong>อุบัติใหม่:<strong>ไวรัส</strong>ในสัตว์มีกระดูกสันหลัง 90<br />

5. การติดเชื้อ<strong>ไวรัส</strong>อุบัติใหม่:<strong>ไวรัส</strong>ที่แพร่เชื้อผ่านแมลง 126<br />

6. โรคระบาด(Epidemics)และโรคระบาดใหญ่ทั่วโลก(Pandemics) 154<br />

7. <strong>ไวรัส</strong>ที่แฝงตัวอย่างยาวนาน 180<br />

8. <strong>ไวรัส</strong>พวกที่ก่อเนื้องอก 216<br />

9. พลิกกลับมาได้เปรียบ 254<br />

10. อดีตปัจจุบันและอนาคตของ<strong>ไวรัส</strong> 290<br />

อภิธานศัพท์ 306<br />

อ่านเพิ่มเติม 333<br />

กิตติกรรมประกาศของสำานักพิมพ์ 338


รายชื่อภาพประกอบเนื้อหา<br />

รูปที่1 โครงสร้างของ<strong>ไวรัส</strong>ชนิดต่างๆ 33<br />

ThisarticlewaspublishedinMedicalMicrobiology,16 th edn,<br />

D.Greenwoodetal.(eds),p.23,fig.2.16©Elsevier.<br />

รูปที่2 ขนาดโดยเปรียบเทียบของแบคทีเรียทั่วไปและ<br />

ตัวอย่าง<strong>ไวรัส</strong>บางชนิด<br />

34<br />

FromL.CollierandJ.S.Oxford,HumanVirology(OUP,1993),<br />

p.4,fig.1.1©OxfordUniversityPress.<br />

รูปที่3 โครงสร้างของDNA 36<br />

FromB.andD.Charlesworth,Evolution:<br />

AVeryShortIntroduction(OUP,2003),p.25,fig.5b.<br />

รูปที่4 วัฏจักรการติดเชื้อเรโทร<strong>ไวรัส</strong> 41<br />

©2017TakaraBioUSA.,Inc.<br />

รูปที่5 วิวัฒนาการระดับโมเลกุลของยีน<strong>ไวรัส</strong>เมื่อเวลาผ่านไป 44<br />

KindlyprovidedbyProfessorPaulSharp,UniversityofEdinburgh.<br />

รูปที่6 วัฏจักรอหิวาตกโรค 67<br />

FromD.H.Crawford,DeadlyCompanions(OUP,2007),<br />

p.136,fig.5.3©OxfordUniversityPress.


รูปที่7 ช่องทางเข้าสู่ร่างกายมนุษย์ของ<strong>ไวรัส</strong> 74<br />

รูปที่8 กราฟแสดงจำานวนผู้ป่วยอีโบลาในกินี,ไลบีเรีย<br />

และเซียร์ราลีโอนระหว่างค.ศ.2014–16<br />

Reprintedfrom,<br />

withpermission,basedondatatakenfromWHOEbolasituation<br />

reports,datasummary,alldataandstatisticsandEbolamaps<br />

<br />

101<br />

รูปที่9 การอุบัติขึ้นของซาร์สในฮ่องกงนับจากเดือนกุมภาพันธ์<br />

ไปถึงเดือนมิถุนายน2003<br />

104<br />

FromSARSinHongKong:FromExperiencetoAction,<br />

ReportoftheSARSExpertCommitteeChapter3(October2003),<br />

withpermission.<br />

รูปที่10 จำานวนโดยประมาณของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับโรคAIDS,<br />

การติดเชื้อHIVรายใหม่และผู้ที่ยังมีชีวิตที่มีHIV<br />

ในร่างกาย(ค.ศ.1990–2015)ทั่วทั้งโลก<br />

111<br />

Datasource:UNAIDS(via),<br />

availableatOurWorldinData.org.LicensedunderCC-BY-SA<br />

bytheauthorMaxRoser.<br />

รูปที่11 วัฏจักรการแพร่ระบาดของไข้เหลือง 129<br />

FromD.H.Crawford,TheInvisibleEnemy(OUP,2000),p.26,fig.1.4<br />

©OxfordUniversityPress.


รูปที่12.1 การแพร่กระจายของ<strong>ไวรัส</strong>ซิกาไปทั่วโลก 133<br />

รูปที่12.2 การแพร่กระจายของ<strong>ไวรัส</strong>ไข้เด็งกีไปทั่วโลก 135<br />

รูปที่12.3 การแพร่กระจายของ<strong>ไวรัส</strong>ชิคุนกุนยาไปทั่วโลก 136<br />

JessicaPatterson,MDetal.,‘Dengue,ZikaandChikungunya:<br />

EmergingArbovirusesintheNewWorld’,WesternJournal<br />

ofEmergencyMedicine,Vol.17,Issue6(November2016).<br />

รูปที่13 เด็กอายุตำ่ากว่า15ปีในสหรัฐอเมริกาที่เข้ารับการรักษา<br />

โรคหลอดลมอักเสบระหว่างค.ศ.1981–2002<br />

168<br />

ReproducedfromS.D.Roxborghetal,‘Trendsinpneumoniaand<br />

empysemainScottishchildreninthepast25years’,BMJVol.93<br />

(April1,2008.)withpermissionfromBMJpublishingGroupLtd.<br />

รูปที่14 จำานวนลิมโฟไซต์ที่มีCD4และไวรัลโหลดระหว่างช่วงติดเชื้อ,<br />

ไม่แสดงอาการและแสดงอาการของการติดเชื้อHIV<br />

201<br />

ReproducedfromA.MindelandM.Tenant-Flowers,‘NaturalHistory<br />

andManagementofearlyHIVinfection’,ABCofAids(2001),<br />

withpermissionfromBMJPublishingGroupLtd.<br />

รูปที่15 แผนที่โลกแสดงความชุกของการระบาดโรคHBVและHCV 211<br />

BasedonWHOdata.<br />

รูปที่16 แผนที่โลกแสดงบริเวณที่พบการติดเชื้อHTLV-1บ่อย 228<br />

BasedonWHOdata.


รูปที่17 แผนที่การกระจายตัวของมะเร็งต่อมนำ้าเหลือง<br />

เบอร์กิตต์ในแอฟริกา<br />

235<br />

ReproducedfromD.Burkitt,‘DeterminingtheClimaticLimitations<br />

ofChildren’sCancerCommoninAfrica’,BritishMedicalJournal,2<br />

(1962):1019–23,withpermissionfromBMJPublishingGroup.<br />

รูปที่18 ค่าโดยประมาณของอุบัติการณ์และอัตราการเสียชีวิตเปรียบเทียบ<br />

กับอายุของผู้เป็นมะเร็งปากมดลูกแยกตามภูมิภาคของโลก<br />

251<br />

ReproducedwithpermissionfromGlobocan2002:CancerIncidence<br />

MortalityandPrevalenceWorldwideIARCCancerBaseNo.5,<br />

version2.0,2004,Lyon:IARCPress.WithpermissionfromIARC,2017.<br />

รูปที่19 ภาพชื่อฝีวัวหรือมหัศจรรย์แห่งการปลูกฝีแบบใหม่<br />

โดยเจมส์กิลเลย์,ค.ศ.1802<br />

260<br />

BritishCartoonPrintsCollection.Prints&PhotographsDivision,<br />

LibraryofCongress,LC-USZC4-3147.


คำานำาผู้แปล


<strong>ไวรัส</strong>เป็น ‘ส่งมีชีวต’ ที ่มีควมแปลกประหลดมหัศจรรย์<br />

เฉพะตัวสูงมก พวกมันแสดงควมเป็นส่งมีชีวตก็ต่อเมื่อ<br />

เข้สู่ร่งกยของส่งมีชีวตอื่น ไม่ว่จะเป็นแบคทีเรีย พืช<br />

หรือสัตว์ ซึ่งก็รวมทั้งมนุษย์ด้วย หกไม่เช่นนั้นมันก็ทตัว<br />

รวกับ ‘ไม่มีชีวต’<br />

<strong>ไวรัส</strong>แต่ละชนดนอกจกจะจเพะกับส่งมีชีวต<br />

‘เจ้บ้น’ ที่มันเข้ไปพึ่งพ ทตัวเป็น ‘ปรสต’ แล้ว<br />

พวกมันยังมักจเพะลงไปถึงอวัยวะหรือระบบอวัยวะ<br />

ของส่งมีชีวตนั้น ๆ ด้วยซ้ไป เช่น <strong>ไวรัส</strong>บงชนดอยู่ใน<br />

ตับหรือในเซลล์เม็ดเลือดขวของคน ไปยุ่งกับอวัยวะอื่น<br />

น้อยมก<br />

นอกจกขนดตัวที่เล็กมก ๆ จนทให้กว่จะมองเห็น<br />

พวกมันได้ ก็ต้องภยหลังกรประดษฐ์กล้อง จุลทรรศน์<br />

อเล็กตรอนขึ้นแล้วเมื่อไม่ถึง 100 ปีที่ผ่นมดี แม้ว่เร<br />

จะรู้ด้วยหลักฐนจกวธีกรทดลองแบบอื่น ๆ ว่มีส่งมี<br />

ชีวตที่แปลกประหลดนี้อยู่จรงก่อนหน้นั ้นแล้วก็ตม<br />

13


สรพันธุกรรมของพวก<strong>ไวรัส</strong>ก็สั้นมก ๆ มันเก็บ ‘ยีน<br />

(gene)’ ที่จเป็นจรง ๆ ไว้กับตัว<br />

นอกนั้นมันไปพึ่งพอศัยยีนและโปรตีนที่เป็นกลไก<br />

กรทงนของส่งมีชีวตเจ้บ้นทั้งหมด<br />

<strong>ไวรัส</strong>มีทั้งที่ทให้เป็นโรคไม่รุนแรงและพวกที่ทให้<br />

เสียชีวตได้ มีทั้งที่โจมตีอย่ งรวดเร็วและที่แฝงตัวอยู่กับเร<br />

นนนับปี นับสบปี หรือแม้แต่ตลอดชีวต ย่งไปกว่นั้น<br />

<strong>ไวรัส</strong>บงชนดยังเกี่ยวข้องกับโรคอันตรยร้ยแรงอย่ง<br />

มะเร็ง ด้วยกลไกระดับโมเลกุลที่แปลกประหลดคือ มี<br />

กรตัดออกและเตมเข้ของยีนบงยีนกับโครโมโซมของ<br />

มนุษย์<br />

ที่กล่วมเป็นเพียงข้อเท็จจรงแบบภพรวมที่เป็น<br />

ส่วนน้อยอันแสนน่ทึ่งและชวนฉงนสนเท่ห์ หนังสือ<br />

เล่มนี้มีคอธบยเพ่มเตมอย่งวจตรพสดร เพระโดโรธี<br />

ครอว์ ฟอร์ด ผู้เขียน มีควมรู้ที ่ลึกซึ้งและ ‘ทกรบ้น’<br />

มอย่งหนัก จนทให้หนังสือมีรยละเอียดในเชงลึก แต่<br />

ก็ไม่ท้งภพรวมของควมสคัญและผลกระทบจก<strong>ไวรัส</strong><br />

ซึ่งอยู่ใกล้ตัวเรมก ดังจะเห็นได้จกกรระบดใหญ่ไป<br />

ทั่วโลกในปัจจุบันของโรคโควด-19 ที่มี<strong>ไวรัส</strong>เป็นต้นเหตุ<br />

ผู้แปลขอขอบคุณคุณมณฑล ประภกรเกียรต ที่<br />

เป็นผู้แนะนผู้แปลให้กับทงสนักพมพ์ ขอบคุณ ดร.ป๋วย<br />

14


อุ่นใจ ที่รับเป็นบรรณธกรของหนังสือเล่มนี้ ขอบคุณ<br />

ทีมงนผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับกรออกแบบและจัดเตรียม<br />

รูปเล่มออกมอย่งสวยงม และที่สคัญขอขอบคุณคุณ<br />

พพัฒน์ พสุธรชต เจ้ของสนักพมพ์ Illuminations<br />

Editions ที่ไว้วงใจเลือกผู้แปลให้ทงนช้นนี้<br />

สุดท้ย ขอขอบคุณกลังใจจกคุณวรภรณ์<br />

ชุมเกษียร และแมวสวทั้ง 4 นง ที่ทให้บ้นไม่ใช่<br />

สถนที่อันโดดเดี่ยวอ้งว้ง แต่เป็นสถนที่อันอบอุ่นใจ<br />

เชื่อมั่นว่เนื้อหของหนังสือเล่มนี้จะไม่เพียงแต่น่<br />

สนใจ แต่ยังจะมีประโยชน์เป็นอย่งย่ง และเหมะเจะ<br />

กับทุกคนในยุคโควด-19 ดังเช่นทุกวันนี้<br />

นชัย ชีวววรรธน์<br />

25 กรกฎคม 2563<br />

15


กิตติกรรมประกาศ


ดฉันขอบคุณ ดร.อนโกลเฟอร์ โยฮันเนสเสน สหรับ<br />

คแนะนทงวชกรของท่น<br />

ดฉันเป็นหนี้บุญคุณ ดร.คเรน แม็กออเลย์ เป็น<br />

อย่งย่ง ที่ช่วยให้ข้อมูลสคัญอย่งขดเสียมได้ในส่วน<br />

ที่เกี่ยวกับ<strong>ไวรัส</strong>ที่แพร่เชื้อผ่นทงแมลง<strong>ในหนังสือ</strong>เล่มนี้<br />

ซึ่งเพ่มเข้ใหม่ในกรตีพมพ์ครั้งนี้<br />

17


<strong>บทนำ</strong>า


ในเดือนธันวคม 2019 เกดมี<strong>ไวรัส</strong>ชนดใหม่ที่กระโดดข้ม<br />

มยังมนุษย์จกสัตว์ที่ยังระบุไม่ได้แน่ชัดในตลดค้สัตว์<br />

เมืองอู่ฮั่น ประเทศจีน แม้ว่จะมีกรล็อกดวน์บรเวณ<br />

เมืองอู่ฮั่นและห้มกรเดนทงแล้วก็ตม ในเวลแค่<br />

เพียงไม่กี่สัปดห์<strong>ไวรัส</strong>ก็แพร่กระจยไปทั่วประเทศจีน<br />

โดยตดในคนหลยพันคน โรคโควด-19 (COVID-19)<br />

ซึ่งแพร่ได้ทงอกศ โดยมีต้นเหตุจกโคโรน<strong>ไวรัส</strong>ที่มี<br />

สยสัมพันธ์ใกล้ชดกับซร์ส (SARS) ทให้เกดโรคทง<br />

เดนหยใจที่มีอัตรกรเสียชีวตอยู่ที่รว 2% และเมื่อ<br />

ถึงวันที่ 30 มกรคม 2020 มันก็แพร่ไปยังประเทศอื ่น ๆ<br />

อีกมกกว่ 20 ประเทศ โดยตมไปกับกรบนของนัก<br />

ท่องเที่ยวที่ตดเชื้อ หน่วยงนสธรณสุขทั่วโลกกักกัน<br />

ตัวผู้ต้องสงสัยและองค์กรอนมัยโลกก็ประกศว่เป็น<br />

ภัยฉุกเฉนทงสธรณสุขระดับนนชต แต่กระนั้น<br />

ก็ตม <strong>ไวรัส</strong>ก็ยังคงตดต่อกันเป็นลูกโซ่ไปตมประเทศ<br />

ต่ง ๆ ทั้งในเอเชียและยุโรป กับทั้งทให้มีจนวนผู้เสีย<br />

19


ชีวตเพ่มสูงขึ้น เมื่อถึงเดือนมีนคม 2020 หน่วยงน<br />

สธรณสุขก็ด้นรนต่อสู้เพื่อจกัดกรระบด แต่กรแพร่<br />

กระจยไปทั่วโลกดูเหมือนจะเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่พ้น<br />

<strong>ในหนังสือ</strong>เล่มนี้ ผู้เขียนแนะนเบื้องต้นเกี่ยวกับ<br />

<strong>ไวรัส</strong>ต่ง ๆ และรูปแบบกรดเนนชีวตของพวกมัน กร<br />

ต่อสู้ระหว่ง<strong>ไวรัส</strong>กับระบบภูมคุ้มกันของมนุษย์แต่ละคน<br />

ที่ตดเชื้อซึ่งเกดขึ้นอยู่ตลอดเวล และเรื่องที่ว่<strong>ไวรัส</strong>ชนด<br />

ใหม่ๆ ดังเช่น โคโรน<strong>ไวรัส</strong> 2019 อุบัตขึ้นมได้อย่งไร<br />

และแพร่กระจย ระบด หรือก่อให้เกดโรคระบดใหญ่<br />

ทั่วโลก (pandemics) ได้อย่งไร ในบทท้ย ๆ จะพจรณ<br />

ถึง<strong>ไวรัส</strong>ต่ง ๆ ที่อยู่ในร่งกยได้ตลอดชีวต ซึ่งก็รวมทั้ง<br />

พวกที่อจก่อให้เกดเนื ้องอก หนังสือเล่มนี้ได้สรุปมุมมอง<br />

ทงประวัตศสตร์ในเรื่องกรเปลี่ยนรูปแบบกรตดเชื้อ<br />

<strong>ไวรัส</strong>ผ่นยุคสมัยต่ง ๆ และทกรคดคะเนเรื่องที่ว่<br />

มนุษย์กับ<strong>ไวรัส</strong>จะมีปฏสัมพันธ์กันอย่งไรต่อไปในอนคต<br />

โดยมีอภธนศัพท์อธบยศัพท์วชกรต่ง ๆ และที่ม<br />

ของชื่อ<strong>ไวรัส</strong>ชนดต่ง ๆ ด้วย<br />

20


<strong>ไวรัส</strong> <strong>ฉบับกระชับ</strong><br />

VIRUSES<br />

A VERY SHORT INTRODUCTION


บทที่1<br />

<strong>ไวรัส</strong>คืออะไร?


จุลชีพสุดแสนกระจ๋วหลว<br />

ตัวเล็กจ๋วเกนกว่ตจะแลเห็น<br />

เหล่มนุษย์ยังมุ่งมั่นหวังใจเป็น<br />

เพื่อแลเห็นส่งผ่นกล้องจุลทรรศน์<br />

ล้นของมันม้วนงอต่อข้งใต้<br />

ฟันเรียงรยร้อยทวแถวสุดประหลด<br />

หงของมันทั้งเจ็ดรวพู่วด<br />

แต้มดวงดษม่วงแซมชมพูพรย<br />

แต่ละจุดลวดลยคล้ยโดดเด่น<br />

แลดูเห็นสี่สบกลุ่มเป็นแนวแถว<br />

ส่วนค้วนั้นเฉดเขียวอ่อนแลเพรศแพร้ว<br />

ทั้งหมดแคล้วสยตหได้เชยชม<br />

ผแต่นักวทย์ฯ บอกแจ้งสแดงเป็น<br />

กล่วย้เน้นต่อเรให้มั่นใจ<br />

โอ! โปรดเถดอย่ได้ต้องสงสัย<br />

หมีใครเคยแน่แก่ใจจรง<br />

‘The Microbe’ (ค.ศ. 1896)<br />

ฮีแลร์ เบลล็อก (Hiliare Belloc)<br />

25


จุลชีพยุคบรรพกลววัฒน์ขึ้นบนโลกรวสมพันล้นปี<br />

ก่อน แต่มนุษย์เพ่งจะสมรถแยกแยะพวกมันได้ก็เมื่อ<br />

ตอนปลยครสต์ศตวรรษที่ 19 นี้เอง เพียงแค่รวยี่สบ<br />

ปีก่อนที่ฮีแลร์ เบลล็อก จะเขียนบทกวี ‘The Microbe’<br />

ขึ้น แต่แม้ว่บทกวีดังกล่วจะถูกเขียนขึ้นด้วยอรมณ์ขัน<br />

แต่กระนั้นก็ยังสะท้อนให้เห็นได้ถึงควมแคลงใจไม่เชื่อถือ<br />

ในยุคสมัยนั้น ต้องถือเป็นเรื่องก้ วกระโดดทงศรัทธครั้ง<br />

ใหญ่สหรับผู้คนที่จะหันมยอมรับว่ มีส่งมีชีวตขนด<br />

เล็กจ๋วที่เป็นสเหตุทให้เกดโรค ซึ่งนับจนถึงตอนนั้นยัง<br />

เชื่อกันว่มีสเหตุต่ง ๆ นน ตั้งแต่พระประสงค์ของ<br />

พระเป็นเจ้ กรเรียงตัวของดวเคระห์ หรืออกศเสีย<br />

หรือเป็นพษที่ปล่อยออกมจกหนองน ้ และจกอนทรีย­<br />

สรต่ง ๆ ที่กลังย่อยสลย แน่นอนว่กรจะตระหนักรู้<br />

เข้ใจในเรื่องนี้ไม่อจกนเวลแค่ชั่วข้มคืน แต่เกดขึ้นได้<br />

ก็ต่อเมื่อมีกรค้นพบจุลชีพมกขึ้นเรื่อย ๆ จนเกด ‘ทฤษฎี<br />

เชื้อโรค (germ theory)’ และจนกระทั่งรวต้นครสต์ศต­<br />

วรรษที่ 20 จึงได้มีกรยอมรับอย่งกว้งขวง แม้แต่ใน<br />

แวดวงที่ไม่ใช่วทยศสตร์ว่ จุลชีพเป็นตัวกรก่อโรค<br />

กุญแจสคัญสหรับควมรู้ควมเข้ใจแบบก้ว<br />

กระโดดได้แก่ พัฒนกรทงเทคนคเกี่ยวกับกล้อง<br />

จุลทรรศน์จกฝีมือของช่งทเลนส์ชวดัตช์ อันโตนี<br />

26


วน เลเวนฮุก (Antonie van Leeuwenhoek, ค.ศ. 1632–<br />

1723) ในช่วงครสต์ศตวรรษที่ 17 เขเป็นคนแรกที่มอง<br />

เห็นจุลชีพ แต่ต้องรอจนกระทั่งกลงครสต์ศตวรรษ 1800<br />

ที่หลุยส์ ปสเตอร์ (Louis Pasteur, ค.ศ. 1822–95) ซึ่ง<br />

ทงนในกรุงปรีส และโรแบร์ต โคค (Robert Koch,<br />

ค.ศ. 1843–1910) ในเบอร์ลน เสนอแนวคดเรื่อง ‘เชื้อ<br />

โรค (germ)’ ว่เป็นสเหตุของโรคตดเชื้อหรือโรคตดต่อ<br />

(infectious diseases) ปสเตอร์ใช้เครื่องไม้เครื่องมือใน<br />

กรขับไล่ควมเชื่อที่พบได้กว้งขวงเรื่อง ‘ส่งมีชีวตที่<br />

กเนดมจกส่งไม่มีชีวตได้โดยตนเอง (spontaneous<br />

generation)’ ซึ ่งอธบยว่ ชีวตเกดขึ้นได้จกวัตถุที่ไร้ชีวต<br />

หรือสรอนนทรีย์ (inorganic material) เขแสดงให้เห็น<br />

ว่สมรถป้องกันไม่ให้เกดเชื้อรขึ้นในน ้ซุปด้วยกรต้ม<br />

จกนั้นก็เก็บไว้ในภชนะที่มีตัวกรองป้องกันไม่ให้มีอนุ­<br />

ภคใด ๆ จกอกศตกลงไปในน้ซุปได้ ผลจกวธีกร<br />

ดังกล่วแสดงให้เห็นว่ มี ‘เชื้อโรค’ ขนดเล็กที่ล่องลอย<br />

อยู่ในอกศ<br />

โคคค้นพบแบคทีเรียชนดแรกคือ บาซิลลัส แอน­<br />

ทราซี (Bacillus anthraci) ใน ค.ศ. 1876 หลังจกนั้น<br />

ไม่นนเขก็พัฒนจนได้วธีกรเลี ้ยงเชื้อจุลชีพในห้อง<br />

ปฏบัตกร และจกนั้นเขก็ค่อย ๆ ค้นพบจุลชีพที่เป็น<br />

27


สเหตุของโรคร้ยตัวแล้วตัวเล่ ทั้งแอนแทรกซ์ วัณโรค<br />

อหวตกโรค คอตีบ บดทะยัก และซฟิลส ก่อนจะ<br />

จแนกเชื้อและระบุลักษณะสคัญต่ง ๆ จนกลยเป็น<br />

เรื่องชัดเจนว่ แบคทีเรีย (bacteria) มีโครงสร้งที่คล้ย<br />

กับเซลล์สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม แต่ที่ต่งกันคือมีส่วนผนัง<br />

เซลล์ที่ล้อมรอบส่วนที่เรียกว่ไซโทพลซึม (cytoplasm)<br />

ซึ่งเป็นสรภยในทั้งหมดของเซลล์ที่บรรจุไว้ด้วยวง<br />

โมเลกุลดีเอ็นเอเพียงเส้นเดียวขดเป็นเกลียวรูปวงกลม 1<br />

แบคทีเรียส่วนใหญ่อศัยอยู่อย่งอสระและสร้งโปรตีน<br />

ทุกชนดที่จเป็นสหรับกรเมแทบอไลซ์ (metabolize)<br />

หรือกรสร้งและสลยสรต่ง ๆ ในเซลล์ และทกร<br />

แบ่งตัวเพ่มจนวนได้เอง<br />

อย่งไรก็ตม ยังคงมีกลุ่มของโรคตดต่อที่ยังไม่พบ<br />

ส่งมีชีวตที่เป็นสเหตุ เช่น กฬโรค หัด หัดเยอรมัน<br />

และไข้หวัดใหญ่ ถือเป็นเรื่องที่เห็นได้ชัดเจนว่ จุลชีพ<br />

เหล่นี้เล็กมกเสียจนกระทั่งสมรถผ่นตัวกรองที่ใช้<br />

จับแบคทีเรียไปได้ จึงทให้ต่อมได้รับกรตั้งชื่อว่เป็น<br />

1<br />

สรพันธุกรรมของแบคทีเรียจะขดอยู่ในบรเวณที่เรียกว่นวคลีออยด์<br />

(nucleoid) เป็นดีเอ็นเอสยคู่เพียงเส้นเดียวที่มีลักษณะเป็นวง มัก<br />

ขดม้วนเป็นโครงสร้งเกลียวซ้อนเกลียวเรียกว่วงซูเปอร์คอยล์อยู่ใน<br />

เซลล์—ผู้แปล<br />

28


พวก ‘สรที่ผ่นกรกรองได้ (filterable agents)’ ในช่วง<br />

เวลนั้นนักวทยศสตร์ส่วนใหญ่คดว่พวกมันน่จะเป็น<br />

แค่แบคทีเรียขนดจ๋ว<br />

ในปี ค.ศ. 1876 อดอล์ฟ เมเยอร์ (Adolf Mayer,<br />

ค.ศ. 1843–1942) ผู้อนวยกรสถนีทดลองกรเกษตร<br />

ในวเกนนงเกน (Wageningen) ฮอลแลนด์ เร่มศึกษ<br />

วจัยโรคใหม่ที่พบในยสูบซึ่งทลยอุตสหกรรมยสูบ<br />

ของดัตช์ เขเรียกมันว่ ‘โรคโทแบ็กโคโมเซอก (tobacco<br />

mosaic disease)’ เพระทให้เกดเป็นรอยจุดกระดกระด่ง<br />

บนใบของต้นที่ตดโรค เขแสดงให้เห็นได้ว่โรคดังกล่ว<br />

เป็นโรคตดต่อ เพระต้นที่แข็งแรงดีตดโรคได้จก น้<br />

หล่อเลี้ยงในเนื้อเยื่อ (sap) ซึ่งสกัดได้จกต้นที่เป็นโรค<br />

เขคดว่โรคดังกล่วน่จะมีสเหตุมจกแบคทีเรียขนด<br />

เล็กมก ๆ หรือไม่ก็จกสรพษ (toxin) ชนดใดชนดหนึ่ง<br />

ต่อม ในปี ค.ศ. 1892 นักชีววทยชื่อดมทรี อีว­<br />

นอฟสกี (Dmitry Ivanovsky, ค.ศ. 1864–1920) ที่วจัย<br />

โรคโทแบ็กโคโมเซอกที่มหวทยลัยเซนต์ปีเตอร์สเบร์ก<br />

ในรัสเซียเช่นกัน ได้แสดงให้เห็นว่ เชื้อโรคต้นเหตุผ่น<br />

แผ่นกรองที่ใช้จับแบคทีเรียได้ เขชี้ในทนองเดียวกับ<br />

เมเยอร์ว่ โรคนี้ต้องมีสเหตุมจกสรพษทงเคมีที่<br />

เกดจกแบคทีเรีย<br />

29


ในปี ค.ศ. 1898 มร์ตนัส เบเจอร์รงค์ (Martinus<br />

Beijerinck, ค.ศ. 1851–1931) จกมหวทยลัยกรเกษตร<br />

ในวเกนนงเกน ลองทกรทดลองต่อยอดจกที่เมเยอร์<br />

ทไว้ จนสมรถแสดงให้เห็นได้ว่ เชื ้อโรคดังกล่วเตบโต<br />

ได้ในเซลล์ที่กลังแบ่งตัว และจะออกฤทธ์ได้เต็มที่ทุก<br />

ครั้งที่มันทให้ต้นยสูบตดเชื ้อ เขสรุปว่จุลชีพที่มีชีวต<br />

เป็นสเหตุดังกล่ว และเป็นคนแรกที่ตั้งชื่อมันว่ <strong>ไวรัส</strong><br />

(virus) ที่เป็นคละตนซึ่งมีควมหมยว่ ยพษ สรพษ<br />

หรือของเหลวเหนียวหนืด<br />

รวต้นครสต์ศตวรรษที่ 20 มีกรจัดจแนกว่<br />

<strong>ไวรัส</strong>เป็นกลุ่มของจุลชีพที่ก่อโรคซึ่งผ่นตัวกรองได้ และ<br />

ต้องกรเซลล์ของส่งมีชีวตเพื่อเพ่มจนวน แต่ลักษณะ<br />

โครงสร้งของพวกมันตมธรรมชตยังคงเป็นเรื่องลึกลับ<br />

อยู่ ในทศวรรษ 1930 มีกรเตรียม<strong>ไวรัส</strong>โรคโทแบ็กโค­<br />

โมเซอกในรูปผลึกได้ ชี้ให้เห็นว่<strong>ไวรัส</strong>น่จะประกอบด้วย<br />

โปรตีนล้วน ๆ แต่หลังจกนั ้นเพียงไม่นนก็มีกรค้นพบ<br />

ส่วนประกอบที่เป็นกรดนวคลีอก (nucleic acid) 2 ซึ่งมี<br />

2<br />

กรดนวคลีอก (nucleic acid) เป็นสรชีวโมเลกุลที่มีขนดใหญ่<br />

ทหน้ที่เก็บและถ่ยทอดข้อมูลทงพันธุกรรมของส่งมีชีวตจกรุ่น<br />

หนึ่งไปยังรุ่นต่อไปให้แสดงลักษณะต่ง ๆ ของส่งมีชีวต นอกจกนี้<br />

30


ควมสคัญอย่งย่งต่อควมสมรถในกรตดต่อก่อโรค<br />

อย่งไรก็ตม ต่อเมื่อมีกรประดษฐ์กล้องจุลทรรศน์<br />

อเล็กตรอนขึ้นในปี ค.ศ. 1939 จึงสมรถเห็น<strong>ไวรัส</strong>และ<br />

โครงสร้งของพวกมันได้อย่งชัดเจนเป็นครั้งแรก ซึ่ง<br />

แสดงให้เห็นว่พวกมันเป็นจุลชีพกลุ่มหนึ่งที่มีควม<br />

เฉพะตัว<br />

<strong>ไวรัส</strong>ไม่ได้มีลักษณะเป็นเซลล์ แต่เป็นแค่เพียง<br />

อนุภค พวกมันประกอบด้วยเปลือกโปรตีน (protein<br />

coat) ซึ่งล้อมรอบและปกป้องสรพันธุกรรมของพวกมัน<br />

เอไว้ หรืออจจะกล่วอย่งที่นักวทยภูมคุ้มกัน (immunologist)<br />

ชื่อดัง เซอร์ปีเตอร์ มีเดวร์ (Sir Peter<br />

Medawar, ค.ศ. 1915–87) เคยว่ไว้ ‘มันคือข่วร้ยที่ห่อไว้<br />

ด้วยโปรตีน’ โครงสร้งทั้งหมดนี้เรียกว่ ไวริออน (virion)<br />

และส่วนคลุมชั้นนอกเรียกว่ แคปซิด (capsid) แคปซด<br />

มีรูปร่งและขนดที่แตกต่งกันไป แต่ละชนดก็มีลักษณะ<br />

จเพะกับวงศ์ (family) ของ<strong>ไวรัส</strong>นั้น ๆ แคปซดพวกนี้<br />

สร้งขึ้นจกโปรตีนหน่วยย่อย ๆ ที่เรียกว่ แคปโซเมอร์<br />

ยังทหน้ที่ควบคุมกรเจรญเตบโตและกระบวนกรต่ง ๆ ของส่งมี<br />

ชีวต กรดนวคลีอกมี 2 ชนดคือ DNA (deoxyribonucleic acid)<br />

และ RNA (ribonucleic acid)—ผู้แปล<br />

31


(capsomer) ที่จัดเรียงตัวรอบ ๆ สรพันธุกรรมที่อยู่ตรง<br />

กลงและเป็นตัวกหนดรูปร่งของไวรออน ยกตัวอย่ง<br />

<strong>ไวรัส</strong>โรคฝีดษมีรูปทรงคล้ยก้อนอฐ <strong>ไวรัส</strong>โรคเรมมีรูป­<br />

ทรงแบบเหลี่ยมยี่สบหน้ <strong>ไวรัส</strong>โรคกลัวน้มีรูปทรงแบบ<br />

ลูกกระสุน และ<strong>ไวรัส</strong>โทแบ็กโคโมเซอกมีรูปทรงแบบแท่ง<br />

ผอมและยว (รูปที่ 1) <strong>ไวรัส</strong>บงชนดยังมีชั้นรอบนอกที่<br />

ล้อมรอบแคปซดอีกชั้นหนึ่ง เรียกว่ เปลือก (envelope)<br />

<strong>ไวรัส</strong>ส่วนใหญ่เล็กเกนกว่จะมองเห็นได้ภยใต้<br />

กล้องจุลทรรศน์แบบใช้แสง (light microscope) โดยทั ่วไป<br />

แล้วพวกมันมีขนดเล็กกว่แบคทีเรียรว 100–500 เท่<br />

โดยมีขนดเส้นผ่นศูนย์กลงแตกต่งกันได้ตั้งแต่<br />

20–300 นโนเมตร หนึ่งนโนเมตรยวเท่กับ 1 ส่วน<br />

ใน 1,000 ล้นส่วนของเมตร 3 (รูปที่ 2) อย่งไรก็ตม<br />

เมื่อเร็ว ๆ นี้มีกรค้นพบข้อยกเว้นที่เป็น<strong>ไวรัส</strong>ขนดใหญ่<br />

ยักษ์ เรียกว่ มม<strong>ไวรัส</strong> (mimivirus) ย่อมจก microbe–<br />

mimicking virus (<strong>ไวรัส</strong>ที่เลียนแบบจุลชีพ) โดยมีเส้นผ่น<br />

ศูนย์กลงรว 700 นโนเมตร ซึ่งใหญ่กว่แบคทีเรีย<br />

บงชนดเสียอีก ภยในแคปซดของ<strong>ไวรัส</strong>จะมีส่วนสร<br />

3<br />

กล่วอีกอย่งหนึ่งว่ หกแบ่งควมยว 1 เมตรออกเป็น 1,000<br />

ล้นส่วน แต่ละส่วนดังกล่วก็จะยวเท่กับ 1 นโนเมตร—ผู้แปล<br />

32


A<br />

B<br />

C<br />

D<br />

E<br />

F<br />

G<br />

H<br />

I J K L<br />

M<br />

N<br />

O<br />

A ออรโธพอกซ<strong>ไวรัส</strong><br />

B พาราพอกซ<strong>ไวรัส</strong><br />

C แร็บโด<strong>ไวรัส</strong><br />

D พารามิกโซ<strong>ไวรัส</strong><br />

E เฮอรพีส<strong>ไวรัส</strong><br />

F ออรโธมิกโซ<strong>ไวรัส</strong><br />

G โคโรนา<strong>ไวรัส</strong><br />

H โทกา<strong>ไวรัส</strong><br />

I ที-อีเวน โคลิเฟจ<br />

J อะดีโน<strong>ไวรัส</strong><br />

K รีโอ<strong>ไวรัส</strong><br />

L พาโพวา<strong>ไวรัส</strong><br />

M พิคอรนา<strong>ไวรัส</strong><br />

N พารโว<strong>ไวรัส</strong><br />

O <strong>ไวรัส</strong>โทแบ็กโคโมเซอิก<br />

รูปที่ 1 โครงสร้งของ<strong>ไวรัส</strong>ชนดต่ง ๆ


อี. โคไล<br />

พอกซ<strong>ไวรัส</strong><br />

แร็บโด<strong>ไวรัส</strong><br />

เฮอรพีส<strong>ไวรัส</strong><br />

อะดีโน<strong>ไวรัส</strong><br />

1000 นาโนเมตร<br />

พารโว<strong>ไวรัส</strong><br />

รูปที่ 2 ขนดโดยเปรียบเทียบของแบคทีเรียทั่วไปและตัวอย่ง<strong>ไวรัส</strong><br />

บงชนด


พันธุกรรมอยู่ เรียกว่ จีโนม (genome) ซึ่งอจจะเป็น<br />

RNA หรือ DNA ก็ได้ ขึ้นกับชนดของ<strong>ไวรัส</strong> (รูปที่ 3)<br />

จีโนมมีส่วนยีนของ<strong>ไวรัส</strong>อยู่ ซึ่งเป็นตัวเก็บรหัสสหรับ<br />

สร้ง<strong>ไวรัส</strong>ตัวใหม่ และถ่ยทอดลักษณะทงกรรม พันธุ์ให้<br />

รุ่นต่อไป โดยทั่วไป<strong>ไวรัส</strong>มักจะมียีนระหว่ง 4– 200 ยีน<br />

แต่มม<strong>ไวรัส</strong>ก็มีลักษณะผดกว่<strong>ไวรัส</strong>อื่นอีกเช่นกัน คือ<br />

มีรว 600–1,000 ยีน ซึ่งมกกว่แบคทีเรียจนวนมก<br />

ด้วยซ้ไป<br />

ส่งมีชีวตที่มีลักษณะเป็นเซลล์อสระ รวมทั้ง<br />

แบคทีเรียด้วย มีออร์แกเนลล์ (organelle) แบบต่ง ๆ 4<br />

ที่จเป็นอย่งย่งสหรับกรดรงชีวต เช่น ไรโบโซม<br />

(ribosome) ที่ผลตโปรตีน ไมโทคอนเดรีย (mitochondria)<br />

หรือโครงสร้งอื่นที่ใช้สร้งพลังงน และเยื่อหุ้ม<br />

(membrane) ที่สลับซับซ้อนซึ่งใช้ส่งโมเลกุลไปมในเซลล์<br />

รวมไปถึงส่งผ่นผนังเซลล์ (cell wall) กรที่<strong>ไวรัส</strong>ไม่ได้<br />

เป็นเซลล์ มันจึงไม่ต้องทกระบวนกรต่ง ๆ เหล่นี้ และ<br />

ด้วยเหตุนี้เองจึงสมรถทตัวเฉื่อยชไปจนกว่พวกมัน<br />

4<br />

ออร์แกเนลล์ (organelle) เป็นโครงสร้งย่อย ๆ ภยในเซลล์ที่<br />

มีหน้ที่เฉพะ และอยู่ภยในโครงสร้งปิดที่เป็นเยื่อลพด (lipid)<br />

ซึ่งเป็นสรชีวโมเลกุลที่ไม่ละลยในน้—ผู้แปล<br />

35


P S<br />

S<br />

P<br />

A T S<br />

G C<br />

S<br />

P<br />

T<br />

S C<br />

P<br />

S<br />

A<br />

G<br />

P<br />

S P S<br />

รูปที่ 3 โครงสร้งของ DNA แสดง<br />

ให้เห็นสองสยที่จับเข้คู่กันเป็นเกลียว<br />

แกนหลักของแต่ละสยประกอบด้วย<br />

โมเลกุลของน ้ตลดีออกซีไรโบส (S) ที่<br />

จับอยู่กับโมเลกุลฟอสเฟต (P) น้ตล<br />

แต่ละโมเลกุลเชื่อมต่ออยู่กับโมเลกุล<br />

นวคลีโอไทด์ ซึ่งจะเรียงต่อกันเป็น<br />

‘ตัวอักษร’ ในพยัญชนะพันธุกรรม<br />

ประกอบด้วย อะดีนีน (A), กัวนีน<br />

(G), ไซโทซีน (C) และไธมีน (T)<br />

โครงสร้งของ RNA เหมือนกับ DNA<br />

ยกเว้นแต่นวคลีโอไทด์จะเป็นอะดีนีน<br />

(A), กัวนีน (G), ไซโทซีน (C) และ<br />

ยูเรซล (U) (นอกจกต่งกันตรง T<br />

กับ U แล้ว โมเลกุลของ RNA มี<br />

โมเลกุลน้ตลเป็นชนดไรโบส ขณะที่<br />

โมเลกุลของน้ตลใน DNA เป็น<br />

ดีออกซีไรโบส—ผู้แปล)


จะตดเชื้อเข้สู่เซลล์ของส่งมีชีวต จกนั้นมันจึงเข้ยึด<br />

ออร์แกเนลล์ของเซลล์เอไปใช้ทส่งที่มันต้องกร ซึ่ง<br />

บ่อยครั้งในกรทเช่นนั้นก็จะทให้เซลล์ตยไปด้วย ดังนั้น<br />

<strong>ไวรัส</strong>จึงจเป็นต้องได้ส่วนประกอบที่สคัญและจเป็น<br />

จกส่งมีชีวตอื่นเพื่อเตมเต็มวัฏจักรชีวตของพวกมัน และ<br />

ด้วยเหตุนี ้เองจึงเรียกมันได้ว่เป็น พวกปรสิตแท้ (obligate<br />

parasites) แม้แต่มม<strong>ไวรัส</strong>ซึ่งก่อโรคในอะมีบก็ยัง<br />

จเป็นต้องหยบยืมออร์แกเนลล์ของอะมีบให้ผลตโปรตีน<br />

ของมันเพื่อนมใช้ประกอบสร้งมม<strong>ไวรัส</strong>ตัวใหม่<br />

<strong>ไวรัส</strong>ในพืชอจจะตดเชื้อเข้สู่เข้สู่เซลล์พืชผ่นทง<br />

รอยแตกของผนังเซลล์ หรือไม่ก็ผ่นทงแมลงพหะที่ดูด<br />

น้เลี้ยง เช่น พวกเพลี้ย จกนั้นพวกมันจึงแพร่กระจย<br />

ได้อย่งมีประสทธภพย่งจกเซลล์หนึ่งไปยังอีกเซลล์<br />

หนึ่งผ่นทงพลสโมเดสมต (plasmodesmata) ที่เป็น<br />

ช่องเอไว้ขนส่งโมเลกุลระหว่งเซลล์ ในทงตรงกันข้ม<br />

<strong>ไวรัส</strong>ในสัตว์จะตดเข้สู่เซลล์ผ่นกรจับกับโมเลกุลตัวรับ<br />

(receptor) จเพะที่อยู่บนผวเซลล์ ตัวรับของเซลล์แบบนี้<br />

ทตัวคล้ยแม่กุญแจ และมีแต่เฉพะ<strong>ไวรัส</strong>ที่มีลูกกุญแจ<br />

ที่จับได้กับตัวรับอย่งเหมะเจะเท่นั้นที่จะไขแม่กุญแจ<br />

ดังกล่วออก และเข้สู่เซลล์จเพะชนดนั้น ๆ ได้ โมเลกุล<br />

ตัวรับที่จับกับ<strong>ไวรัส</strong>แต่ละชนดจะมีลักษณะแตกต่งกันไป<br />

37


แม้ว่ตัวรับบงชนดอจพบได้ในเซลล์ส่วนใหญ่ แต่ตัวรับ<br />

ที่เหลือสมรถจับได้อย่งจกัดกับเซลล์บงชนดเท่นั้น<br />

ตัวอย่งที่รู้จักกันดีได้แก่ <strong>ไวรัส</strong>โรคเอดส์คือ HIV (human<br />

immunodeficiency virus) ที่ถือลูกกุญแจสหรับแม่กุญแจ<br />

CD4 ดังนั ้น มีแต่เฉพะเซลล์ที่มีโมเลกุล CD4 ที่ผว<br />

ของมันเท่นั้นที่ HIV จะจับด้วยได้ ปฏสัมพันธ์จเพะ<br />

แบบนี้เป็นตัวกหนดว่จะเกดกรตดเชื้อขึ้นหรือไม่ และ<br />

ในกรณีของ HIV จะนไปสู่กรทลยเซลล์ ‘ทีเฮลเปอร์<br />

(helper T)’ ที่มี CD4 อยู่บนผว ซึ่งเป็นเซลล์ที่จเป็น<br />

อย่งย่งในกรตอบสนองทงภูมคุ้มกัน ในที่สุดระบบ<br />

ภูมคุ้มกันก็จะล้มเหลว และส่งผลให้เกดกรตดเชื้อฉวย<br />

โอกสตมม เรื่องนี้ทให้ถึงแก่ชีวตได้ หกไม่ได้รับ<br />

กรรักษด้วยยต้น<strong>ไวรัส</strong> (antiviral drug)<br />

เมื่อ<strong>ไวรัส</strong>จับกับตัวรับของเซลล์ได้แล้ว แคปซด (ซึ่ง<br />

เป็นส่วนคลุมชั้นนอกของ<strong>ไวรัส</strong>) จะเข้สู่เซลล์และปล่อย<br />

จีโนม (DNA หรือ RNA) ของมันเข้สู่ไซโทพลซึม<br />

(ซึ่งเป็นสรภยในทั้งหมดของเซลล์) เป้หมยหลักของ<br />

<strong>ไวรัส</strong>ก็คือกรเพ่มจนวนของตัวเองให้ได้ และกรที่จะ<br />

ทเช่นนั้นได้<strong>ไวรัส</strong>ก็จะต้องดวน์โหลดข้อมูลที่เก็บไว้ใน<br />

สรพันธุกรรมของมันลงไป ส่วนใหญ่แล้วกระบวนกร<br />

ที่ว่นี้จะเกดขึ้นในนวเคลียส (nucleus) ของเซลล์ ซึ่งเป็น<br />

38


สถนที่ซึ่ง<strong>ไวรัส</strong>นั้นสมรถเข้ถึงโมเลกุลที่จเป็นต้องใช้ใน<br />

กรสร้งโปรตีนของมัน <strong>ไวรัส</strong>ขนดใหญ่บงอย่ง เช่น<br />

<strong>ไวรัส</strong>โรคฝีดษมียีนที่ใช้สร้งเอนไซม์ที่พวกมันจเป็น<br />

ต้องใช้ในกรสร้งโปรตีน และด้วยเหตุนี้จึงมีควม<br />

เบ็ดเสร็จในตัวมกกว่ และสมรถใช้วัฏจักรชีวตทั้ง<br />

วัฏจักรอยู่ในไซโพลซึมได้<br />

เมื่อเข้สู่เซลล์ได้แล้ว DNA ของ<strong>ไวรัส</strong>ก็เพียงแต่<br />

อพรงตัวทเสมือนเป็นช้นส่วน DNA ของเซลล์เอง<br />

และจะได้รับกรถอดรหัส (transcribed) และแปลรหัส<br />

(translated) โดยใช้เครื่องไม้เครื่องมือของเซลล์ตมที่มัน<br />

ต้องกร รหัสทง DNA ของ<strong>ไวรัส</strong>จะได้รับกรถอดรหัส<br />

กลยเป็นข้อมูล RNA 5 ซึ่งสมรถถูกอ่นและแปล<br />

ควมหมย จนสร้งเป็นโปรตีน<strong>ไวรัส</strong>แต่ละโปรตีนได้โดย<br />

อศัยไรโบโซม (ซึ่งเป็นออร์แกเนลล์ที่ผลตโปรตีนของ<br />

เซลล์) จกนั้นช้นส่วน<strong>ไวรัส</strong>ที่กระจยแยกกันอยู่ก็จะ<br />

ประกอบเข้ด้วยกันกลยเป็น<strong>ไวรัส</strong>ตัวใหม่นับพัน ๆ ตัว<br />

ซึ่งบ่อยครั้งก็อัดกันอยู่อย่งหนแน่นภยในเซลล์ จนใน<br />

5<br />

DNA ทหน้ที่หลักในกรเก็บรักษและถ่ยทอดข้อมูลทงพันธุ­<br />

กรรมของส่งมีชีวตแต่ละชนด ในขณะที่ RNA ทหน้ที่หลักในกร<br />

ถ่ยทอดข้อควมทงพันธุกรรมจก DNA ไปเป็นโปรตีน—ผู้แปล<br />

39


ที่สุดเซลล์ก็จะระเบดออก ปล่อยพวกมันออกม ซึ่งก็<br />

เลี่ยงไม่ได้ที่จะทให้เซลล์นั้นตย อีกแบบหนึ่งที่เป็นไปได้<br />

คือ <strong>ไวรัส</strong>ตัวใหม่จะหลุดออกไปอย่งค่อนข้งเรียบร้อยกว่<br />

โดยกรค่อย ๆ แตกตัวออกผ่นทงเยื่อหุ้มเซลล์ ในกรณี<br />

หลังนี้ เซลล์อจจะรอดชีวตไปได้และทหน้ที่เป็นแหล่ง<br />

เพะเชื้อรอกรตดต่อไปยังเซลล์อื่นต่อไป<br />

<strong>ไวรัส</strong>ชนด RNA ถือว่ล้หน้<strong>ไวรัส</strong>ชนด DNA อยู่<br />

ก้วหนึ่ง เพระรหัสพันธุกรรมของพวกมันอยู่ในรูป RNA<br />

อยู่แล้ว กรที่พวกมันมีเอนไซม์ที่ช่วยเพ่มจนวน RNA ได้<br />

และแปลรหัสให้กลยเป็นโปรตีนได้ พวกมันจึงไม่ต้อง<br />

พึ่งพเอนไซม์จกเซลล์มกนัก และบ่อยครั้งทีเดียวก็<br />

สมรถทให้วัฏจักรชีวตของพวกมันสมบูรณ์ได้ในไซโท­<br />

พลซึม โดยไม่ทให้เกดกรแตกอย่งรุนแรงของเซลล์<br />

เรโทร<strong>ไวรัส</strong> (Retroviruses) เป็นวงศ์หนึ่งของ<strong>ไวรัส</strong><br />

ชนด RNA ซึ่งรวมเอ HIV ไว้ด้วย พวกมันววัฒน์ไป<br />

จนเกดลูกเล่นเฉพะตัว สมรถซ่อนตัวไม่ให้ภูมคุ้มกัน<br />

ของร่งกยโจมตีและตดเชื้อในเซลล์ได้ตลอดชีวตของมัน<br />

อนุภคเรโทร<strong>ไวรัส</strong>มีเอนไซม์ชนดหนึ่งเรียกว่ รีเวิร์ส<br />

ทราน สคริปเตส (reverse transcriptase) ซึ่งหกเข้ไปใน<br />

เซลล์ได้แล้ว จะสมรถเปลี่ยน RNA ให้เป็น DNA ได้<br />

(รูปที่ 4) จกนั้น DNA ของ<strong>ไวรัส</strong>ชนดนี้จะสมรถ<br />

40


วัฏจักรชีวิตเรโทร<strong>ไวรัส</strong><br />

กลายเปน<strong>ไวรัส</strong>สมบูรณ<br />

แตกตัวออก<br />

เขาประชิด<br />

เขาสูเซลล<br />

การประกอบราง<br />

การแปลรหัส<br />

การถอดรหัส<br />

การถอดรหัส<br />

ยอนทาง<br />

แทรกตัวเขา<br />

ในดีเอ็นเอ<br />

เซลลเจาบาน<br />

รูปที่ 4 วัฏจักรกรตดเชื้อเรโทร<strong>ไวรัส</strong> แสดงให้เห็น<strong>ไวรัส</strong>เข้สู่เซลล์<br />

ตมมด้วยกระบวนกรถอดรหัสย้อนทง (reverse transcription),<br />

กรแทรกตัว (integration) เข้ในดีเอ็นเอเซลล์, กรถอดรหัส<br />

และกรแปลรหัสจีโนม กรประกอบร่งของ<strong>ไวรัส</strong> และกรแตกตัว<br />

ของอนุภคใหม่ออกจกผวเซลล์


เชื่อมต่อหรือ แทรกตัว (integrate) เข้ไปอยู่กับ DNA<br />

ของเซลล์ได้ โดยใช้เอนไซม์อีกชนดหนึ่งของ<strong>ไวรัส</strong>เอง ชื่อ<br />

อินทีเกรส (integrase) ส่วนของลดับ DNA <strong>ไวรัส</strong>ที่<br />

แทรกตัวเข้ไปนี้จะเรียกว่เป็น โปร<strong>ไวรัส</strong> (provirus) ซึ่ง<br />

จะได้รับกรเก็บรักษไว้เป็นอย่งดีภยในเซลล์ โดยจะ<br />

ยังคงอยู ่ไปอย่งถวรและจะได้รับกรเพ่มจนวนไปด้วย<br />

ทุกครั้งที่มีกรเพ่มจนวน DNA ของเซลล์ในตอนที ่เซลล์<br />

แบ่งตัว โปร<strong>ไวรัส</strong>ดังกล่วจะได้รับกรถ่ยทอดต่อไปยัง<br />

เซลล์ลูกทั้งสองเซลล์ จึงซ่อนตัวอยู่ในเซลล์เจ้บ้น<br />

(host) ที่ตดเชื้อได้ เมื่อเวลผ่นไป โปร<strong>ไวรัส</strong>จะสมรถ<br />

สร้ง<strong>ไวรัส</strong>ใหม่ ๆ ที่แตกออกไปทงพื้นผวของเซลล์ แต่<br />

ในกรณีนี้มันจะทให้เซลล์ตย<br />

สหรับเซลล์ของสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม กระบวนกร<br />

เพ่มจนวน DNA ระหว่งกรแบ่งเซลล์จะได้รับกร<br />

ควบคุมไว้อย่งดีมก มีระบบตรวจหที่ผดและมีจุด<br />

ตรวจสอบ (checkpoint) ที่ใช้ตรวจห DNA ที่ได้รับ<br />

ควมเสียหยหรือสร้งขึ้นอย่งผดพลด และแก้ไขข้อ<br />

ผดพลดพวกนั้น หกควมเสียหยมีมกเกนไป เซลล์<br />

จะเข้สู่โปรแกรม ‘ทลยตัวเอง’ ที ่เรียกว่ อะพ็อพโทซิส<br />

(apoptosis) ซึ่งยอมให้เซลล์ตยแทนที่จะให้ส่งผ่น DNA<br />

ต่อไปอย่งผด ๆ แต่แม้จะมีกรตรวจสอบเหล่นี้อยู่ก็ตม<br />

42


ก็ยังเกดควมผดพลดเล็ดลอดไปได้ ทให้เกดกรกลย­<br />

พันธุ์ (mutation) ที่ได้รับกรทซ้และส่งต่อไปยังรุ่น<br />

ต่อไปได้ (รูปที่ 5)<br />

จีโนม (คือ DNA หรือ RNA) ของ<strong>ไวรัส</strong>กลยพันธุ์<br />

ได้เร็วกว่จีโนมของมนุษย์มก ส่วนหนึ่งก็เพระ<strong>ไวรัส</strong>เพ่ม<br />

จนวนได้เป็นตัวลูกตัวหลนนับพันภยในวันหรือสองวัน<br />

นอกจกนี้ <strong>ไวรัส</strong>ชนด RNA ยังขดระบบตรวจสอบควม<br />

ผดพลด จึงทให้มีอัตรกรกลยพันธุ์สูงกว่<strong>ไวรัส</strong>ชนด<br />

DNA ดังนั้น ทุกครั้งที่<strong>ไวรัส</strong>สักตัวตดเชื้อเข้สู่เซลล์สัก<br />

เซลล์, DNA หรือ RNA ของมันก็อจเพ่มจนวนได้นับ<br />

พัน ๆ ครั้ง และเมื่อสยของสรพันธุกรรมใหม่แต่ละสย<br />

เข้ไปอยู่ในอนุภค<strong>ไวรัส</strong>ใหม่ กรตดเชื้อแต่ละรอบจึงย่ง<br />

ทให้เกด<strong>ไวรัส</strong>กลยพันธุ์เพ่มขึ้นไปด้วย กรมีอัตรกร<br />

กลยพันธุ์ที่สูงเช่นนี้ถือเป็นเรื่องจ เป็นสหรับควมอยู่รอด<br />

ของ<strong>ไวรัส</strong>หลยชนด แต่ละรอบของกรตดเชื้อจะไปทให้<br />

เกด<strong>ไวรัส</strong>บงส่วนที่ไม่รอดชีวตต่อไป เนื่องจกกรกลย­<br />

พันธุ์เหล่นั้นไปรบกวนกรทงนของยีนสคัญ ขณะที่<br />

<strong>ไวรัส</strong>ที่เกดกรกลยพันธุ์บงอย่งก็ไม่เกดกรเปลี่ยน­<br />

แปลงของยีนใด ๆ เลย แต่จะมีลูกหลนจนวนน้อยที่จะ<br />

เกดกรกลยพันธุ์ที่มีประโยชน์ ทให้พวกมันได้เปรียบ<br />

บงอย่งเหนือ<strong>ไวรัส</strong>รุ่นเดียวกัน ประโยชน์ดังกล่วอจ<br />

43


ยีน<strong>ไวรัส</strong>สะสมมากขึ้นเมื่อเวลาผานไป<br />

X<br />

วิวัฒนาการระดับโมเลกุล<br />

X<br />

X<br />

X X X X X X X X X X<br />

A เทียบกับ B: เกิดกลายพันธุ 5 ตําแหนงใน 50 รหัส = ความแตกตาง 10%<br />

B เทียบกับ C: เกิดกลายพันธุ 10 ตําแหนงใน 50 รหัส = ความแตกตาง 20%<br />

A<br />

B<br />

C<br />

เวลา<br />

X<br />

X<br />

รูปที่ 5 ววัฒนกรระดับโมเลกุลของยีน<strong>ไวรัส</strong>เมื่อเวลผ่นไป<br />

มีควมแตกต่งที่สะสมมกขึ้นระหว่งลดับที่ใช้ในกรสร้งแผนภูม<br />

ต้นไม้ววัฒนกร (evolutionary tree) ซึ่งควมยวของก่งก้น<br />

ในแนวนอนมีขนดตมจรง และใช้แสดงให้เห็นถึงช่วงเวลนับตั้งแต่<br />

เกดบรรพบุรุษร่วม (แสดงด้วยวงกลม)


จะทให้เกดควมได้เปรียบในหลย ๆ ทง รวมทั้งควม<br />

สมรถที่จะหลบซ่อนจกกรโจมตีของภูมคุ้มกันได้ดีขึ้น;<br />

สมรถรอดชีวตและแพร่กระจยระหว่งเจ้บ้นได้ดีขึ้น;<br />

ต้นทนต่อยต้น<strong>ไวรัส</strong>ดีย่งขึ้น; หรือแบ่งตัวเพ่มจนวน<br />

ด้วยอัตรเร็วที่สูงขึ้น ไม่ว่ควมได้เปรียบดังกล่วจะเป็น<br />

แบบใดก็ตม ก็จะทให้<strong>ไวรัส</strong>ที่กลยพันธุ์ไปบงอย่งเก่ง<br />

กว่พวกในรุ่นเดียวกัน จนในที่สุดกลยเป็นประชกร<br />

ส่วนใหญ่ได้ ยกตัวอย่งที่พบได้บ่อย โดยเฉพะในกรณี<br />

ของ<strong>ไวรัส</strong>แบบ RNA เช่น <strong>ไวรัส</strong>โรคหัด ซึ่งก่อโรคใน<br />

ประชกรมนุษย์มอย่งน้อย 2,000 ปีแล้ว กระนั้น<br />

ก็ตมนักวทยศสตร์คนวณว่ สยพันธุ์ของโรคหัดใน<br />

ยุคปัจจุบันเพ่งเกดขึ้นเมื่อไม่นนมนี้เอง อจตั้งเป็น<br />

สมมุตฐนได้ว่ <strong>ไวรัส</strong>ชนดนี้ ‘เหมะสมกว่’ บรรพบุรุษ<br />

ของมันในบงแง่มุม อจเป็นเรื่องควมสมรถในกร<br />

แพร่กระจยได้ดีกว่ จนสุดท้ยแล้วสมรถเข้แทนที่<br />

สยพันธุ์ก่อนหน้ได้หมดทั่วทั ้งโลก อีกตัวอย่งหนึ่งที่<br />

มีชื่อเสียงมกได้แก่ HIV ซึ่งววัฒน์ไปอย่งรวดเร็วจน<br />

สมรถต้นทนต่อยที่ใช้ควบคุมกรตดเชื้อได้ ในทง<br />

ปฏบัตแล้วนี่ก็หมยควมว่ จเป็นต้องใช้ยต้น<strong>ไวรัส</strong><br />

หลย ๆ ชนดร่วมกันเพื่อให้กรรักษได้ผลดี หรือแม้แต่<br />

เรื่องที่ว่กรดื้อยกลังจะกลยเป็นปัญหใหญ่ เมื่อ<br />

45


<strong>ไวรัส</strong>ที่ดื้อยตดไปยังคนที่ไม่เคยตดเชื้อมก่อน กรตด­<br />

เชื้อครั้งใหม่นี้ก็จะควบคุมได้ยกขึ้นอีกมก กระบวนกร<br />

คล้ย ๆ กันนี้ยังไปขัดขวงควมพยยมที่จะสร้งวัคซีน<br />

HIV ที่มีประสทธภพอีกด้วย<br />

กรวเคระห์กรกลยพันธุ์ในจีโนมของ<strong>ไวรัส</strong>เป็น<br />

วธีกรที่มีประโยชน์ ใช้ตดตมประวัตกรแพร่กระจย<br />

ของ<strong>ไวรัส</strong>ได้ สมมุตฐนนฬกโมเลกุล (molecular clock<br />

hypothesis) ซึ่งมีผู้พัฒนขึ้นในทศวรรษ 1960 ระบุว่<br />

อัตรกรกลยพันธุ์ต่อชั่วรุ่นของยีนใดก็ตมมีค่คงที่<br />

กล่วอีกอย่งหนึ่งว่ สหรับ<strong>ไวรัส</strong>แล้ว หกมีสองตัวอย่ง<br />

ของ<strong>ไวรัส</strong>เดียวกันที่แยกออกมในเวลเดียวกันจกแหล่ง<br />

ที่แตกต่งกัน ก็ย่อมจะเกดกรววัฒน์ไปแล้วในช่วงเวล<br />

เดียวกัน เพระมีบรรพบุรุษร่วมกัน เนื่องจกพวกมันจะ<br />

สะสมกรกลยพันธุ์ด้วยอัตรเร็วที่คงที่ ควมแตกต่ง<br />

มกน้อยของลดับยีน (gene sequences) ของพวกมัน<br />

ก็ย่อมจะนมใช้เป็นมตรวัดเวลที่ผ่นไปนับจกตอน<br />

ที่เคยมีบรรพบุรุษร่วมกันได้ กรวัดช่วงเวลที่เกดววัฒ­<br />

นกรแบบนี้สมรถใช้พสูจน์ควมถูกต้องของส่งมีชีวต<br />

ที่มีลดับววัฒนกรสูงกว่ได้ โดยกรเปรียบเทียบวัน<br />

เวลของกรถือกเนดขึ้นผ่นทงนฬกโมเลกุล ซึ ่ง<br />

ประเมนได้จกซกฟอสซล (fossil records) แต่โชคไม่ดี<br />

46


นักที่<strong>ไวรัส</strong>ไม่ได้ท้งบันทึกแบบนั้นไว้ กระนั้นก็ตม นัก<br />

วทยศสตร์ก็สมรถใช้นฬกโมเลกุลประมณห้วง<br />

เวลกรถือกเนดขึ้นของ<strong>ไวรัส</strong>บงชนดได้ และสมรถ<br />

ร่งแผนภพต้นไม้ววัฒนกร (evolutionary trees) หรือ<br />

แผนภพต้นไม้ววัฒนกรชตพันธุ์ (phylogenic trees)<br />

ซึ่งใช้แสดงควมใกล้ชดหรือเกี่ยวข้องกับ<strong>ไวรัส</strong>ชนดอื่น<br />

เนื่องจก<strong>ไวรัส</strong>มีอัตรกรกลยพันธุ์สูง จึงมีกรเปลี่ยน­<br />

แปลงทงววัฒนกรอย่งมีนัยสคัญ จกกรตรวจวัด<br />

ในเวลสั้นก็ทให้สมรถประเมนได้ว่ HIV เปลี่ยน­<br />

แปลงไปรว 1 เปอร์เซ็นต์ต่อปี มีกรนเทคนคนี้มใช้<br />

จนสมรถเปิดเผยถึงประวัตศสตร์ของ<strong>ไวรัส</strong>โรคหัดได้<br />

นอกจกนี้ยังช่วยให้ค้นพบว่<strong>ไวรัส</strong>ไข้ทรพษมีควมใกล้ชด<br />

มกที่สุดกับ<strong>ไวรัส</strong>ไข้ทรพษในอูฐและหนูทะเลทรย (gerbil)<br />

โดยชี้ว่<strong>ไวรัส</strong>ของโรคทั้งสมชนดนี้เกดขึ้นจก<strong>ไวรัส</strong>บรรพ­<br />

บุรุษร่วม (common ancestor) ที่เกดขึ้นรว 5,000–<br />

10,000 ปีก่อน<br />

กรที่อนุภค<strong>ไวรัส</strong>เฉื่อยชไม่สมรถสร้งพลังงน<br />

หรือผลตโปรตีนได้เองโดยอสระ ปกตแล้วจึงมักไม่จัดว่<br />

พวกมันเป็นส่งมีชีวต แต่กระนั้นก็ตม พวกมันก็มีช้นส่วน<br />

ของสรพันธุกรรมที่เป็นปรสตของเซลล์ และสมรถ<br />

ใช้งนเครื่องจักรภยในเซลล์ให้เพ่มจนวนของพวกมัน<br />

47


ได้อย่งมีประสทธภพย่ง ก็แล้วมันเร่มต้นทตัวเป็น<br />

พวกยึดครองเซลล์อื่นได้อย่งไรและเมื่อใดกันแน่<br />

ถึงทุกวันนี้เรก็ยังไม่มีคตอบสหรับคถมนี้ แต่<br />

ยอมรับกันทั่วไปว่<strong>ไวรัส</strong>น่จะมีอยุเก่แก่มกเป็นอย่งย ่ง<br />

ข้อเท็จจรงที่ว่พบ<strong>ไวรัส</strong>ที่มีลักษณะต่ง ๆ ร่วมกันได้ในส่ง<br />

มีชีวตทั้งสมโดเมน (domain) 6 อันได้แก่ อร์เคีย (Archaea),<br />

แบคทีเรีย และยูแคเรีย (Eukarya) ซึ ่งชี ้ว่พวกมัน<br />

ต้องววัฒน์ขึ้นในขณะที่โดเมนเหล่นี้ยังมีบรรพบุรุษร่วมกัน<br />

ที่เรียกว่ ‘บรรพบุรุษระดับเซลล์สกลตัวสุดท้ย (last<br />

universal cellular ancestor)’ หรือ ‘ลูก้ (LUCA)’ มี<br />

ทฤษฎีหลักอยู่สมทฤษฎีที่ใช้อธบยต้นกเนดของ<strong>ไวรัส</strong>ได้<br />

ทฤษฎีแรกนั้นชี้ให้เห็นว่ <strong>ไวรัส</strong>เป็นส่งมีชีวตชนดแรก<br />

ที่เกดขึ้นใน ‘น ้ซุปปฐมกล (primordial soup)’ ที ่เกดขึ้น<br />

รวสี่พันล้นปีก่อน กรที่<strong>ไวรัส</strong>ในปัจจุบันนี้เป็นปรสตแท้<br />

ทฤษฎีนี้จึงเสนอว่<strong>ไวรัส</strong>แบบ DNA ที่มีขนดใหญ่ เช่น<br />

<strong>ไวรัส</strong>ไข้ทรพษ อจจะเป็นตัวแทนของรูปแบบส่งมีชีวตที่<br />

ครั้งหนึ่งเคยอศัยอยู่อย่งอสระ แต่ปัจจุบันได้สูญเสีย<br />

ควมสมรถที่จะเพ่มจนวนตัวเองอย่งอสระไปเสียแล้ว<br />

6<br />

โดเมน (domain) หรือกลุ่มใหญ่ของส่งมีชีวตแบบหนึ่งที่เซลล์มี<br />

นวเคลียสที่มีเยื่อหุ้มล้อมรอบ—ผู้แปล<br />

48


ขณะที่ทฤษฎีที่สองและสมต่งก็เสนอว่ <strong>ไวรัส</strong>ถือ<br />

กเนดขึ้นก่อนจะเกด DNA ขึ้น ในตอนแรกนั้นเซลล์<br />

พรี-ลูก้ (pre-LUCA) ใช้ RNA เป็นสรพันธุกรรม<br />

ทฤษฎีหนึ่งชี้ว่<strong>ไวรัส</strong>มจกช้นส่วนของ RNA ที่หลุด<br />

ออกม ซึ่งได้ส่วนเปลือกโปรตีนมห่อหุ้ม แล้วมีควม<br />

สมรถในกรตดเซลล์อื่นได้ ขณะที่อีกทฤษฎีเสนอว่<br />

<strong>ไวรัส</strong>เป็นตัวแทนเซลล์ RNA แบบบุพกลที่ลดรูปลงจน<br />

มีรูปแบบกรดเนนชีวตแบบปรสต ผ่นกรแข่งขันจน<br />

ได้ชัยเหนือเซลล์แบบอื่น ๆ ที่ววัฒน์ไปแบบสลับซับซ้อน<br />

มกกว่ ทฤษฎีทั ้งสองนี ้ฟังดูน่เชื่อมกกว่ หกพจรณ<br />

ในเรื่อง<strong>ไวรัส</strong>แบบ RNA แทนที่จะเป็น<strong>ไวรัส</strong>แบบ DNA<br />

และด้วยเหตุนี ้เองนักวทยศสตร์จึงเสนอว่ <strong>ไวรัส</strong>แบบ<br />

DNA ววัฒน์มจกคู่ฉบับ (counterpart) ที่เก่แก่กว่<br />

และเป็น<strong>ไวรัส</strong>แบบ RNA ทฤษฎีเช่นนี ้ได้รับกรสนับสนุน<br />

จกกรค้นพบว่มีเรโทร<strong>ไวรัส</strong> ซึ่งสมรถถอดรหัสจก<br />

RNA ไปเป็น DNA ได้ โดยในกรทเช่นนั้น พวกมัน<br />

ต้องย้อนรอยเส้นกรถ่ยทอดพันธุกรรมที่ปกตแล้วจะต้อง<br />

ผ่นจก DNA ไปยัง RNA และโปรตีนในที่สุด ไม่มี<br />

นักวทยศสตร์คนไหนเชื่อว่เรื่องนี้เป็นไปได้ จวบจน<br />

กระทั่งมีกรค้นพบเอนไซม์รีเวร์สทรนสครปเตส ของ<br />

เรโทร<strong>ไวรัส</strong>ในปี ค.ศ. 1970 ไม่แน่ว่เรโทร<strong>ไวรัส</strong>อจจะ<br />

49


เป็นตัวแทนของตัวเชื่อมที่ขดหยไป (missing link)<br />

ระหว่งโลกของส่งมีชีวตที่ใช้ RNA ในยุคโบรณกับโลก<br />

ของส่งมีชีวตสมัยใหม่ที่ใช้ DNA ววัฒนกรของ<strong>ไวรัส</strong><br />

จัดเป็นสขกรวจัยที่น่สนใจและเป็นหัวข้อที่คนยังคง<br />

ให้ควมสนใจอยู่มก แต่ตรบใดที่ยังตอบปัญหนี้ไม่ได้<br />

ก็ยังจะมีข้อสงสัยเรื่องว่ ควรจะใส่<strong>ไวรัส</strong>ลงไปที่ใดใน<br />

ต้นไม้แห่งชีวต (tree of life) 7 อยู่นั่นเอง<br />

ในช่วงต้นครสต์ศตวรรษที่ 20 มีกรพัฒนเกณฑ์<br />

บงอย่งขึ้นเพื่อใช้ระบุว่ เชื้อที่ก่อโรคนั้นอันที่จรงแล้ว<br />

เป็น<strong>ไวรัส</strong>หรือไม่ กล่วคือ เชื้อดังกล่วจะต้องทะลุผ่น<br />

ตัวกรองที่ใช้กรองแบคทีเรียได้ โดยยังคงมีควมสมรถ<br />

ทให้ตดเชื้อได้ และไม่อจนมเพะเชื้อได้ในอหรเลี้ยง<br />

เชื้อที่เหมะสหรับใช้เลี้ยงแบคทีเรีย กรจแนก<strong>ไวรัส</strong>ดีขึ้น<br />

เป็นอย่งมกเมื่อมีกรประดษฐ์กล้อง จุลทรรศน์อเล็ก­<br />

ตรอนขึ้นในช่วงหลังของทศวรรษ 1930 จนหลังจกนั้น<br />

จึงมีกรนมใช้ค้นห<strong>ไวรัส</strong>ชนดใหม่ๆ แบบกจวัตร รวม<br />

7<br />

Tree of life คือ แผนภพแบบหนึ่งที่คล้ยกับเป็นสแหรกของ<br />

ส่งมีชีวตทั้งหมดในโลกนี้ แสดงให้เห็นว่ ส่งมีชีวตชนดไหนมีบรรพบุรุษ<br />

เป็นส่งมีชีวตชนดไหน คล้ยกับที่เรเห็นในสแหรกวงศคณญต<br />

ของรชวงศ์ต่ง ๆ ในโลกนี้ หรือไม่ก็เพดกรี (pedigree) ของสัตว์เลี ้ยง<br />

ชนะรงวัลกรประกวดต่ง ๆ นั่นเอง—ผู้แปล<br />

50


ไปถึงจัดจแนกลักษณะตมขนดและรูปร่งอย่งแม่นย<br />

มกขึ้น จนเมื่อทรบแน่ชัดว่<strong>ไวรัส</strong>มีสรพันธุกรรมเป็น<br />

DNA หรือ RNA อย่งใดอย่งหนึ่ง แต่ไม่สมรถมีทั้ง<br />

สองอย่งพร้อม ๆ กัน จึงมีกรคดค้นระบบที่ใช้จัดจแนก<br />

กลุ่มตมเกณฑ์ต่ง ๆ ต่อไปนี้ ทให้ได้<strong>ไวรัส</strong>แยกตมวงศ์<br />

(families) สกุล (genera) และสปีชีส์ (species):<br />

• ประเภทของกรดนวคลีอกว่เป็น DNA หรือ RNA<br />

• รูปร่งของแคปซดของ<strong>ไวรัส</strong>ดังกล่ว<br />

• เส้นผ่นศูนย์กลงของแคปซด และ/หรือจนวน<br />

ของแคปโซเมอร์<br />

• มีหรือไม่มีเปลือกหุ้ม<br />

นับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 1980 เป็นต้นม อันเป็นช่วง<br />

ที่จีโนมของ<strong>ไวรัส</strong>ได้รับกรอ่นลดับเบส 8 ครบถ้วนสมบูรณ์<br />

เป็นครั้งแรก เทคนคกรอ่นลดับเบสซึ่งให้ข้อมูลอันมี<br />

ค่ที่ใช้จัดจแนกกลุ่ม<strong>ไวรัส</strong>ก็ได้รับกรนมใช้ในงนจน<br />

8<br />

นวคลีโอไทด์ที่จับตัวกันอยู่บน DNA เรียกว่ เบส (base); เบส<br />

ของ DNA มีเพียง 4 ชนดได้แก่ guanine, cytosine, thymine<br />

และ adenine นยมเรียกโดยย่อว่ G C T และ A ตมลดับ<br />

ในขณะที่เบสของ RNA มีอยู่ 4 ชนด คือ guanine, cytosine,<br />

adenine และ uracil—ผู้แปล<br />

51


เป็นกจวัตร อันที่จรงแล้ว วธีกรที่ใช้ค้นห<strong>ไวรัส</strong>ใหม่ ๆ<br />

ก็มีควมละเอียดอ่อนมกย่งขึ้นด้วย <strong>ไวรัส</strong>จนวนมก<br />

จัดจแนกได้นนก่อนที่จะมีกรส่องกล้องเพื่อดูโครงสร้ง<br />

ทงกยภพที่แท้จรงด้วยซ้ไป ในกรณีเหล่นี้โครงสร้ง<br />

ระดับโมเลกุลของ DNA หรือ RNA จะได้รับกรนม<br />

เปรียบเทียบกับ<strong>ไวรัส</strong>ชนดอื่น ๆ ที่รู ้จักก่อนหน้นั้นแล้ว<br />

เพื่อระบุให้ได้ว่<strong>ไวรัส</strong>ใหม่นั้นอยู่ในวงศ์ใดกันแน่<br />

กรค้นพบ<strong>ไวรัส</strong>ตับอักเสบชนดซี (hepatitis C<br />

virus) ในปี ค.ศ. 1989 ถือเป็นกรณีแรกที่มีกรนตัว<br />

ตรวจสอบระดับโมเลกุล (molecular probe) มใช้ หลัง<br />

จกมีกรแยก<strong>ไวรัส</strong>ตับอักเสบชนดเอและบีออกมได้<br />

ก็พบผู้ป่วยที่มีอกรป่วยตับอักเสบในคลนกอยู่เรื่อย ๆ<br />

แต่กลับตรวจไม่พบกรตดเชื้อ<strong>ไวรัส</strong>ตับอักเสบชนดใด<br />

ชนดหนึ่งข้งต้น มีกรตั้งชื่อโรคดังกล่วว่เป็นตับอักเสบ<br />

แบบไม่ใช่ชนดเอหรือบี (non-A, non-B hepatitis) ซึ่งก็<br />

ย่อมหนีไม่พ้นที่จะทให้นักวทยศสตร์ทนยว่ ต้อง<br />

มี<strong>ไวรัส</strong>ตับอักเสบชนดอื่นอยู ่เป็นแน่ ดังนั้นพวกเขจึง<br />

โคลน (clone) 9 ช้นส่วนของ RNA โดยตรงจกเลือดของ<br />

9<br />

Clone คือ กรสร้งส่งที่มีลักษณะเหมือนกันทุกประกร หรือ<br />

อจหมยถึงส่งที่สร้งขึ้นนั้นที่เหมือนกันทุกประกรก็ได้—ผู้แปล<br />

52


ชมแปนซีที่ฉีดสรจกผู้ป่วยตับอักเสบแบบไม่ใช่ชนดเอ<br />

หรือบี พวกเขพบว่มีชุดลดับ RNA ที่เฉพะตัว ซึ่ง<br />

เมื่อนมต่อกันจะทให้รู้ได้ถึงควมยว, องค์ประกอบ<br />

และโครงสร้งจีโนมที่เฉพะตัวกับ<strong>ไวรัส</strong>ในวงศ์ฟลว<strong>ไวรัส</strong><br />

(flavivirus) แต่แตกต่งออกไปจก<strong>ไวรัส</strong>อื่น ๆ ที่เคยรู้จักกัน<br />

แล้วในตอนนั้น <strong>ไวรัส</strong> ‘ชนดใหม่’ นี้ได้รับกรขนนนม<br />

ว่ <strong>ไวรัส</strong>ตับอักเสบชนดซี<br />

อศัยเทคนคใหม่ทนองนี้นี่เอง ทให้มีกรค้นพบ<br />

<strong>ไวรัส</strong>ก่อโรคเพ่มขึ้นอีกมกมยครอบคลุมไปทั่วส่งแวดล้อม<br />

ที่กว้งขวงกว่เดม ในบทที่ 2 จะสรวจ ‘ไวโรสเฟียร์<br />

(virosphere)’ ที่เรอศัยอยู่ด้วยว่จะกว้งขวงและสลับ<br />

ซับซ้อนมกเพียงใด<br />

53

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!