บางส่วนของ บทที่ 5 ศาลรัฐธรรมนูญ กับการแปลความหมาย สร้าง และบังคับใช้ “หลักนิติธรรมไทย”
บางส่วนของ บทที่ 5 ศาลรัฐธรรมนูญ กับการแปลความหมาย สร้าง และบังคับใช้ “หลักนิติธรรมไทย” โดย กล้า สมุทวณิช จากหนังสือ หนังสือ 'นิติรัฐนิติธรรมฯ: ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาเปรียบเทียบ' บรรณาธิการโดย เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง
บางส่วนของ บทที่ 5 ศาลรัฐธรรมนูญ กับการแปลความหมาย สร้าง และบังคับใช้ “หลักนิติธรรมไทย” โดย กล้า สมุทวณิช
จากหนังสือ หนังสือ 'นิติรัฐนิติธรรมฯ: ประวัติศาสตร์ภูมิปัญญาเปรียบเทียบ' บรรณาธิการโดย เข็มทอง ต้นสกุลรุ่งเรือง
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
<strong>บทที่</strong> 5<br />
<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong><strong>กับการแปลความหมาย</strong><br />
สราง และบังคับใช <strong>“หลักนิติธรรมไทย”</strong><br />
กล้า สมุทวณิช 1<br />
บทนำ<br />
ในวงการกฎหมายไทยก่อนหน้านี้ หากพูดถึงหลักการแห่งการ<br />
บัญญัติ การใช้ และการตีความกฎหมาย จะมีคำาสำาคัญสองคำาที่<br />
สลับกันใช้หรือใช้คู่กันไปเลยแบบไม่แน่ใจกำ้ากึ่ง คือคำาว่า (หลัก)<br />
“นิติรัฐ” และ (หลัก) “นิติธรรม” จนกระทั่งผู้ร่างรัฐธรรมนูญแห่ง<br />
ราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ได้เข้ามาชี้ขาดให้ว่านับแต่<br />
นี้ต่อไป ประเทศไทยเราจะใช้ “หลักนิติธรรม” ในการกำากับการ<br />
ปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตาม<br />
รัฐธรรมนูญและหน่วยงานของรัฐ ซึ่งรัฐธรรมนูญฉบับปัจจุบัน<br />
(พุทธศักราช 2560) ก็ได้ต่อให้ด้วยว่า การปฏิบัติหน้าที่ขององค์กร<br />
1<br />
นักวิชาการคดีรัฐธรรมนูญชำานาญการ สำานักงาน<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong> สำาเร็จการ<br />
ศึกษานิติศาสตรบัณฑิต นิติศาสตรมหาบัณฑิต และเนติบัณฑิตไทย มีประกาศ-<br />
นียบัตรกฎหมายปกครองและวิธีพิจารณาคดีปกครองที่คณะกรรมการตุลาการศาล<br />
ปกครอง (ก.ศป.) รับรอง.<br />
171
และหน่วยงานของรัฐตามหลักนิติธรรมดังกล่าวต้องเป็นไปเพื่อ<br />
ประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชน<br />
โดยรวมเข้าไปอีกด้วย<br />
หลังจากนั้นคำาว่า “หลักนิติธรรม” ก็กลายเป็นคำาเกร่ออัน<br />
ใหญ่โต (Buzzword) มีการตั้งหน่วยงานขึ้นมาทำาการศึกษาหลัก<br />
นิติธรรม มีโครงการศึกษาวิจัยที่เกี่ยวข้อง รวมถึงการนำาไปขึ้นต้น<br />
ต่อท้ายหลักสูตรหรือการอบรมต่าง ๆ ของทางราชการ จนในที่สุด<br />
หลักนิติธรรมได้รับการแปลความและขยายความใหม่จนเกิดเป็น<br />
“หลักนิติธรรมแบบไทย ๆ” ขึ้นมาในที่สุด<br />
แต่หากกล่าวว่าใครคือผู้ที่จะ “ชี้ขาด” ได้ว่าหลักนิติธรรมคือ<br />
อะไรหรือหลักการใด เป็นหรือไม่เป็นหลักนิติธรรม ก็ต้องได้แก่ผู้<br />
มีอำานาจในการวินิจฉัยชี้ขาดให้เป็นที่ยุติ คือองค์กรตุลาการ และ<br />
องค์กรตุลาการที่มีบทบาทมากที่สุดในการเมืองการปกครองและ<br />
นิติภพคือ “<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>” ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าหน้าที่และ<br />
อำานาจของ<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>อยู่ที ่การตรวจสอบความชอบด้วยรัฐ-<br />
ธรรมนูญของกฎหมายและร่างกฎหมาย การตรวจสอบความชอบ<br />
ด้วยสมาชิกภาพและสถานะของผู้ดำารงตำาแหน่งทางการเมืองชั้น<br />
สูง รวมถึงการวินิจฉัยปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหน้าที่และอำานาจของ<br />
สถาบันและองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และในเรื่องสำาคัญที่เกี่ยวกับ<br />
พรรคการเมืองเช่นการยุบพรรค อีกส่วนหนึ่งก็เพราะรัฐธรรมนูญ<br />
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2540 บัญญัติให้ผลของคำาวินิจฉัยของศาลรัฐธรรม<br />
นูญนั้น “…เป็นเด็ดขาด มีผลผูกพันรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล<br />
องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ” และ “…ให้ใช้ได้ในคดีทั้งปวง<br />
172
แต่ไม่กระทบต่อคำาพิพากษาของศาลอันถึงที่สุดแล้ว…”<br />
เมื่อหน้าที่และอำานาจของ<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>มีวัตถุแห่งคดีเป็น<br />
ผลพวงแห่งการใช้อำานาจตามรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุด ทั้ง<br />
มีผลผูกพันต่อองค์กรอื่นทุกองค์กรภายใต้รัฐธรรมนูญ และปรากฏ<br />
หลายครั้งว่า<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>ได้หยิบยกเอาคำาว่า “หลักนิติธรรม”<br />
มาอ้างใช้ในการวินิจฉัยคดีหลายเรื่อง ทั้งเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการ<br />
ตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของบทบัญญัติแห่งกฎหมาย<br />
และที่เกี่ยวข้องกับการใช้อำานาจและปฏิบัติหน้าที่ของสถาบันและ<br />
องค์กรตามรัฐธรรมนูญ ดังนั้น “คำาวินิจฉัยของ<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>”<br />
จึงเป็นหลุมแหล่งที่ดีหากเราจะประสงค์จะขุดร่อนหาสิ่งที่เรียกว่า<br />
“หลักนิติธรรม” ในบริบทของประเทศไทย<br />
บทความชิ้นนี้มาจากการศึกษาคำาวินิจฉัยของ<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong><br />
ที่มีการปรับเอาหลักนิติธรรมมาใช้เป็นเหตุผลแห่งการวินิจฉัย มี<br />
ขอบเขตของการรวบรวมข้อมูลตั้งแต่การบังคับใช้ของรัฐธรรมนูญ<br />
แห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 จนถึงช่วงเวลาที่ทำาการ<br />
ศึกษาคือเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2565 โดยแบ่งการนำาเสนอออก<br />
เป็นสี่ส่วน ได้แก่ ส่วนที่หนึ่ง ความหมายของ “หลักนิติธรรม”<br />
และ <strong>“หลักนิติธรรมไทย”</strong> ที่เป็นการศึกษาว่าหลักนิติธรรมในความ<br />
หมายดั้งเดิมทางวิชาการหมายถึงอะไร และหลักการดังกล่าวเข้า<br />
มาในประเทศไทยและกลับกลายมีสภาพเป็นอย่างไร ส่วนที่สอง<br />
หลักนิติธรรมในคำาวินิจฉัยของ<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>ไทยที่จะศึกษาว่า<br />
<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>ไทยวางแนวทางและแปลความ “หลักนิติธรรม”<br />
ไว้อย่างไรบ้าง เพื่อนำ าไปสู่การสรุปวิเคราะห์ในส่วนที่สาม ข้อพิจารณา<br />
173
เกี่ยวกับ <strong>“หลักนิติธรรมไทย”</strong> โดยการแปลความหมายและบังคับ<br />
ใช้ของ<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>ซึ่งเป็นบทสรุปและข้อสังเกตในส่วนสุดท้าย<br />
“หลักนิติธรรม” และ <strong>“หลักนิติธรรมไทย”</strong><br />
การทำาความเข้าใจว่า <strong>“หลักนิติธรรมไทย”</strong> เหมือนหรือต่างจาก<br />
“หลักนิติธรรม” ที่เป็นแนวคิดดั้งเดิมอย่างไรนั้น มีเรื ่องที่จะต้อง<br />
ทำาความเข้าใจได้แก่ (1) “หลักนิติธรรม” ในความหมายตรงตาม<br />
ที่มา จากนั้นจะเป็นการนำาสำารวจ (2) การมีอยู ่ของ “หลักนิติธรรม”<br />
ในบริบททางรัฐธรรมนูญของไทย รวมถึง (3) ความพยายามให้<br />
ความหมายของ “หลักนิติธรรม” ในทางวิชาการของไทย โดยมี<br />
รายละเอียดดังต่อไปนี้<br />
(1) “หลักนิติธรรม” ในความหมายตรงตามที่มา<br />
อาจสรุปได้ว่า “หลักนิติธรรม” หรือ Rule of Law คือหลักการเชิง<br />
ปรัชญาหรือคุณค่าทางกฎหมายที่เชื่อว่านอกจากสิ่งที่ได้เขียนไว้ใน<br />
บทบัญญัติแห่งกฎหมายลายลักษณ์อักษรแล้ว ยังมีคุณค่าหรือ<br />
หลักเกณฑ์แห่งการตรา การใช้ และการตีความกฎหมายที่ไม่เป็น<br />
ลายลักษณ์อักษรกำากับอยู่ ซึ่งหลักการนี้เป็นคุณค่าแห่งความยุติ-<br />
ธรรมที่ยอมรับกันว่ากฎหมายใด ๆ ในที่สุดแล้วก็จะต้องเคารพต่อ<br />
หลักการนี้<br />
ความหมายของคำาว่า “หลักนิติธรรม” ที่ได้รับความนิยม<br />
174
่<br />
อ้างอิงถึงมากที่สุดคือนิยามของ ศาสตราจารย์เอ. วี. ไดซี (A. V.<br />
Dicey) จากหนังสือ Law of the Constitution ซึ่งตีพิมพ์ในปี ค.ศ.<br />
1885 หลักนิติธรรมของไดซีมีนัยสำาคัญสามประการ คือ<br />
ประการแรก ฝ่ายบริหารไม่มีอำานาจลงโทษบุคคลใดตาม<br />
อำาเภอใจ เว้นเพียงในกรณีที่มีการละเมิดกฎหมายโดยชัดแจ้ง<br />
และการลงโทษที่อาจกระทำาได้จะต้องกระทำาตามกระบวนการปกติ<br />
ของกฎหมายต่อหน้าศาลปกติ (ordinary courts) ของแผ่นดิน<br />
ประการที่สอง ไม่มีบุคคลใดอยู่เหนือกฎหมายไม่ว่าเขาจะอยู<br />
ในตำาแหน่งหรือเงื่อนไขประการใด ๆ ไม่ว่าเป็นเจ้าหน้าที่รัฐหรือ<br />
บุคคลธรรมดาล้วนต้องอยู่ภายใต้กฎหมายและศาลเดียวกัน และ<br />
ประการที่สาม หลักทั ่วไปของกฎหมายรัฐธรรมนูญหรือสิทธิ<br />
ขั้นพื้นฐาน (Fundamental rights) ของประชาชนจะต้องเป็นผลจาก<br />
คำาวินิจฉัยตัดสินของศาลหรือกฎหมายธรรมดา มิใช่เกิดจากการ<br />
รับรองคำ้าประกันเป็นพิเศษโดยรัฐธรรมนูญดังเช่นกรณีของรัฐ-<br />
ธรรมนูญประเทศอื่น 2<br />
จรัญ โฆษณานันท์เห็นว่าความคิดเรื่อง “หลักนิติธรรม” ของ<br />
ไดซีมีนำ้าเสียงในเชิงอุดมคติเกี่ยวกับการปกป้องคุ้มครองสิทธิ<br />
เสรีภาพส่วนบุคคลจากการใช้อำานาจโดยพลการ (Arbitrariness)<br />
ของรัฐ แต่ก็มิใช่การวางหลักการทั่วไป หากเป็นการวางหลักโดย<br />
คำานึงถึงหลักปฏิบัติของประเทศอังกฤษในยุคสมัยนั้น เป็นการ<br />
2<br />
จรัญ โฆษณานันท์, นิติปรัชญา, (กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยรามคำาแหง, 2554),<br />
หน้า 356.<br />
175
สังเคราะห์ข้อสรุปจากบริบททางประวัติศาสตร์ของอังกฤษโดย<br />
เฉพาะ 3 โดยเฉพาะการนับถือศาลยุติธรรมศาลเดียวและข้อจำากัด<br />
อำานาจรัฐนั้นเป็นไปตามหลักคอมมอนลอว์ (Common Law) ใน<br />
ฐานะแหล่งที่มาเดียวกัน ไม่ได้แยกเป็นกฎหมายปกครองหรือ<br />
กฎหมายมหาชน ความเชื่อมั ่นของไดซีที่มีต่อศาลยุติธรรมจึงเป็น<br />
การปฏิเสธต่อระบบการควบคุมอำานาจอย่างอื่นนอกเหนือจากศาล<br />
คอมมอนลอว์ที่มีอำานาจชำาระคดีได้เป็นการทั่วไป<br />
แม้ว่า “หลักนิติธรรม” ที่ถ้าจะแปลโดยเคร่งครัดจะเป็นหลัก<br />
การของกฎหมายที ่พัฒนามาจากระบบกฎหมายอังกฤษเท่านั้น<br />
แต่หลักการว่าการปกครองโดยเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือผู้ใช้อำานาจรัฐ<br />
จะต้องมีกรอบจำากัดการใช้อำานาจบางอย่างไม่ว่าจะโดยบทบัญญัติ<br />
แห่งกฎหมายหรือคุณค่าอื่นที่เหนือกว่า เพื่อมิให้การใช้อำานาจนั้น<br />
เป็นไปโดยมิชอบจนล่วงลำ้ากำ้าเกินสิทธิหรือเสรีภาพของประชาชน<br />
ก็เป็นหลักการที่มีอยู่ในทุกระบบกฎหมายเช่นกัน เพียงแต่อาจจะ<br />
มีชื่อเรียกที่แตกต่างกันออกไป ถ้อยคำาหรือหลักกฎหมายที่ใกล้<br />
เคียงกับคำาว่า “หลักนิติธรรม” ที่เป็นที่แพร่หลายไม่แพ้กันคือคำา<br />
ว่า “หลักนิติรัฐ” ซึ่งหลายครั้งในตำารา รายงาน หรือข้อเขียนทาง<br />
วิชาการอาจเรียกรวมกันไปว่า หลักนิติธรรม (หรือ/และ) หลัก<br />
นิติรัฐ 4 ทั้งนี้เพราะในที่สุดแล้วไม่ว่าจะเรียกชื่อว่าอะไรหลักการทั้ง<br />
3<br />
เพิ่งอ้าง, หน้า 357.<br />
4<br />
เช่น การใช้ถ้อยคำาใน โครงการศึกษาวิจัย “กรอบแนวคิดและกรอบยุทธศาสตร์<br />
ในการพัฒนาดัชนีชี้วัดด้านหลักนิติธรรม/นิติรัฐ (Rule of Law Index/Indicators)<br />
ในประเทศไทย” รายงานศึกษาวิจัยฉบับสมบูรณ์ โดย สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนา<br />
176
สองก็มีสาระตรงกัน หรือแม้แต่จะรวมเอาหลักเกณฑ์ทางกฎหมาย<br />
อเมริกาอย่าง “หลักศุภนิติกระบวน” (Due Process of Law) เข้า<br />
มาร่วมวงด้วยก็ยังได้ เพราะทั้งหมดนี้คือความคิดทางกฎหมายที่<br />
เชื่อว่ามีหลักเกณฑ์แห่งความเป็นธรรมอย่างหนึ่งซึ่งอาจเป็นหรือ<br />
ไม่เป็นลายลักษณ์อักษรก็ได้ ที่ต้องอยู่เหนือกว่าการใช้อำานาจรัฐ<br />
เพื่อการจำากัดการใช้อำานาจรัฐและการคุ้มครองสิทธิหรือเสรีภาพ<br />
ของประชาชน<br />
เราอาจอธิบายโดยสรุปได้ว่าหลักนิติธรรมคือหลักการดังกล่าว<br />
ที่พัฒนาในประเทศอังกฤษ ส่วนหลักนิติรัฐเป็นหลักการที่พัฒนาใน<br />
ประเทศภาคพื้นยุโรป ความแตกต่างของหลักการทั้งสองประการ<br />
นี้ที่ชัดเจนที่สุดปรากฏในคำาอธิบายของวรเจตน์ที่ว่า ทั้งหลักนิติรัฐ<br />
(Rechtsstaatsprinzip) และหลักนิติธรรม (The Rule of Law) ต่าง<br />
ได้รับการพัฒนาขึ้นในโลกตะวันตกโดยมีเป้าหมายที่จะจำ ากัดอำานาจ<br />
ของผู้ปกครองให้อยู่ในกรอบของกฎหมาย กล่าวอีกนัยหนึ่ง ทั้ง<br />
หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรมต่างก็ไม่ต้องการให้มนุษย์ปกครอง<br />
มนุษย์ด้วยกันเอง แต่ต้องการให้กฎหมายเป็นผู้ปกครองมนุษย์<br />
ซึ่งหมายความว่าผู้ที่ทรงอำานาจบริหารปกครองบ้านเมืองจะกระทำา<br />
การใด ๆ ก็ตาม การกระทำานั้นจะต้องสอดคล้องกับกฎหมาย จะ<br />
กระทำาการให้ขัดต่อกฎหมายไม่ได้5<br />
ประเทศไทย ที่แม้ตั้งใจจะกล่าวถึงหลัก Rule of Law แต่ก็ใช้คำาแปลรวมไปว่า<br />
“หลักนิติธรรม/นิติรัฐ”<br />
5<br />
วรเจตน์ ภาคีรัตน์, คำาสอนว่าด้วยรัฐและหลักกฎหมายมหาชน, พิมพ์ครั้งที่ 3<br />
แก้ไขเพิ่มเติม, (กรุงเทพฯ: อ่านกฎหมาย, 2564), หน้า 307.<br />
177
่<br />
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาในรายละเอียดแล้วจะพบว่าหลัก<br />
การทั้งสองมีความแตกต่างกันอยู่ สาเหตุแห่งความแตกต่างอยู ่ที<br />
พัฒนาการในทางประวัติศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเยอรมนีซึ่ง<br />
เป็นแหล่งกำาเนิดความคิดว่าด้วยหลักนิติรัฐและในอังกฤษซึ่งพัฒนา<br />
ความคิดว่าด้วยหลักนิติธรรมขึ้น เมื่อพิจารณาความเป็นมาทาง<br />
ประวัติศาสตร์ประกอบกับการปรับใช้หลักนิติรัฐและนิติธรรมใน<br />
ระบบกฎหมายเยอรมันและระบบกฎหมายอังกฤษแล้ว พบว่าหลัก<br />
นิติรัฐและหลักนิติธรรมมีความแตกต่างกันทั้งในแง่ของบ่อเกิดของ<br />
กฎหมาย วิธีการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน การกำาหนดให้มีหรือ<br />
ไม่มีศาลปกครอง และระบบวิธีพิจารณาคดีตลอดจนการแบ่งแยก<br />
อำานาจ สรุปได้ดังนี้<br />
ความแตกต่างในแง่บ่อเกิดของกฎหมาย กล่าวคือ ในระบบ<br />
กฎหมายคอมมอนลอว์ของอังกฤษได้รับการ “<strong>สร้าง</strong>” ขึ้นโดย<br />
ผู้พิพากษา เมื่อศาลได้ตัดสินคดีใดคดีหนึ่งไปแล้ว หลักกฎหมาย<br />
ที่ศาลได้<strong>สร้าง</strong>ขึ้นเพื่อใช้ตัดสินคดีก็ตกทอดต่อมาเป็นลำาดับและ<br />
กลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่จริงในบ้านเมืองด้วย<br />
ส่วนระบบกฎหมายในภาคพื้นยุโรปเกิดขึ้นจากการตราโดยกระ-<br />
บวนการนิติบัญญัติ ผู ้พิพากษาในฐานะที่เป็นผู ้ที่รับใช้รัฐมีหน้าที่<br />
ในการปรับใช้กฎหมาย การตัดสินคดีของผู้พิพากษาในแต่ละคดี<br />
ไม่มีผลเป็นการ<strong>สร้าง</strong>กฎหมายขึ้นมาใหม่<br />
ความแตกต่างในแง่ของการคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐาน โดยเหตุ<br />
ที่ระบบกฎหมายคอมมอนลอว์ในอังกฤษไม่มีรัฐธรรมนูญที่เป็นลาย<br />
ลักษณ์อักษร การประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลในอังกฤษจึง<br />
178
ไม่ได้เป็นการประกันในระดับรัฐธรรมนูญ สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล<br />
ในอังกฤษไม่ได้มีฐานะเป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับโดยตรงและอยู่<br />
ในลำาดับชั้นที่สูงกว่ากฎหมายธรรมดาที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา อย่างไร<br />
ก็ตามในทางปฏิบัติบุคคลย่อมได้รับการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานโดย<br />
องค์กรตุลาการ แต่ภาคพื้นยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบกฎ-<br />
หมายเยอรมัน การคุ้มครองสิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคลเป็นการ<br />
คุ้มครองในระดับรัฐธรรมนูญ กล่าวคือ สิทธิขั้นพื้นฐานของบุคคล<br />
ที่ได้รับการบัญญัติไว้ใน “กฎหมายพื้นฐาน” ซึ่งถือว่าเป็นรัฐธรรม<br />
นูญของประเทศเยอรมนีนั้น ผูกพันทั้งองค์กรนิติบัญญัติ บริหาร<br />
และตุลาการในฐานะที่เป็นกฎหมายที่มีผลใช้บังคับได้โดยตรง<br />
องค์กรนิติบัญญัติมีหน้าที่ในทางรัฐธรรมนูญที่จะต้องไม่ตรากฎ-<br />
หมายให้ขัดหรือแย้งต่อบทบัญญัติว่าด้วยสิทธิขั้นพื้นฐาน มิฉะนั้น<br />
ย่อมต้องถือว่ากฎหมายดังกล่าวขัดต่อรัฐธรรมนูญ<br />
ซึ่งเรื่องนี้ก็ส่งผลมาสู่ความแตกต่างในแง่ของการควบคุม<br />
ตรวจสอบการตรากฎหมายเนื ่องจากตามหลักนิติรัฐ องค์กรนิติ-<br />
บัญญัติย่อมต้องผูกพันต่อรัฐธรรมนูญในการตรากฎหมายขึ้นใช้<br />
บังคับ ประเทศหลายประเทศที่ยอมรับหลักนิติรัฐจึงกำาหนดให้มี<br />
องค์กรที่ควบคุมตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมาย<br />
ที่องค์กรนิติบัญญัติตราขึ้น องค์กรที่ทำาหน้าที่ในลักษณะเช่นนี้โดย<br />
ปกติแล้วย่อมได้แก่<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong> ซึ่ง<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>เองก็ต้อง<br />
ผูกพันตนต่อรัฐธรรมนูญด้วย จึงต้องควบคุมตรวจสอบความชอบ<br />
ด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยองค์กรนิติบัญญัติโดย<br />
เกณฑ์ในทางกฎหมาย ไม่อาจนำาเจตจำานงของตนเข้าแทนที่เจตจำานง<br />
179
ขององค์กรนิติบัญญัติได้ ในขณะที่อังกฤษซึ่งเดินตามหลักนิติธรรม<br />
ถือว่ารัฐสภาเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ในทางทฤษฎีรัฐสภาสามารถตรากฎ<br />
หมายอย่างไรก็ได้ทั้งสิ้น ไม่อาจมีกรณีที่รัฐสภาตรากฎหมายขัด<br />
หรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญได้ แม้หากว่าจะมีผู ้ใดอ้างว่ารัฐสภาตรา<br />
กฎหมายขัดกับรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี การอ้างเช่นนั้นก็หามีผล<br />
ทำาให้กฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภานั้นสิ้นผลลงไม่ ศาลในอังกฤษ<br />
ไม่มีอำานาจที่จะตรวจสอบความชอบด้วยรัฐธรรมนูญจารีตประเพณี<br />
ของกฎหมายที่ตราขึ้นโดยรัฐสภา และด้วยเหตุนี้อังกฤษจึงไม่มี<br />
<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong> การควบคุมการตรากฎหมายของรัฐสภาอังกฤษ<br />
จึงเป็นการควบคุมกันทางการเมือง ไม่ใช่ทางกฎหมาย<br />
ส่วนความแตกต่างในแง่ของการมีศาลปกครองและระบบ<br />
วิธีพิจารณาคดี เนื่องจากระบบกฎหมายอังกฤษไม่มีการแบ่งแยก<br />
กฎหมายเอกชนกับกฎหมายมหาชนออกจากกัน ด้วยเหตุนี้อังกฤษ<br />
จึงไม่มีการจัดตั้งศาลปกครองขึ้นมาเป็นอีกระบบศาลหนึ่งโดยเฉพาะ<br />
คู่ขนานไปกับศาลยุติธรรมดังที่ปรากฏในภาคพื้นยุโรป ในการฟ้อง<br />
ร้องขอให้ตรวจสอบความชอบด้วยกฎหมายของการกระทำาของฝ่าย<br />
ปกครองนั้น ราษฎรอังกฤษอาจฟ้องได้ในศาลยุติธรรมหรือศาล<br />
ธรรมดา โดยหลักนิติธรรมถือว่าทั้งราษฎรและองค์กรเจ้าหน้าที่ของ<br />
รัฐต่างต้องตกอยู่ภายใต้กฎหมายเดียวกันและภายใต้ศาลเดียวกัน 6<br />
6<br />
วรเจตน์ ภาคีรัตน์, “หลักนิติรัฐและหลักนิติธรรม,” 2553, เครือข่ายกฎหมาย<br />
มหาชนไทย, เข้าถึงเมื่อ 15 พฤษภาคม 2565, http://public-law.net/publaw/<br />
view.aspx?id=1431.<br />
180
จากความเป็นมาและสาระที่แตกต่างกันของ “หลักนิติธรรม”<br />
และ “หลักนิติรัฐ” จะเห็นได้ถึงข้อสงสัยว่า เช่นนี้ประเทศไทยซึ่ง<br />
ใช้ระบบประมวลกฎหมายและถือหลักความเป็นกฎหมายสูงสุด<br />
ของรัฐธรรมนูญซึ่งเป็นรูปแบบเดียวกับประเทศทางภาคพื้นยุโรป<br />
แต่เหตุใดเรากลับถือเอา “หลักนิติธรรม” ซึ่งเป็นหลักการของคอม<br />
มอนลอว์และประเทศอังกฤษมาเป็นหลักการสำาคัญในการพิจารณา<br />
ความชอบธรรมของกฎหมายนั้นจะส่งผลอันไม่สอดคล้องประการ<br />
ใดหรือไม่<br />
หากเราจะถือว่าคำาว่า “หลักนิติธรรม” ในบริบทของไทยโดย<br />
แท้จริงแล้วเป็นคำาเดียวกับคำาว่า “หลักนิติรัฐ” อาจไม่สู้เป็นปัญหา<br />
เท่าใด แต่ถ้าเราถือว่า “หลักนิติธรรม” ของไทยเป็นอย่างเดียวกับ<br />
หลักนิติธรรมแบบอังกฤษ ก็จะทำาให้เกิดข้อพิจารณาถึงความสอด-<br />
คล้องของระบบกฎหมายได้ ซึ่งเราจะได้วิเคราะห์กันในส่วนต่อไป<br />
(2) การมีอยู่ของ “หลักนิติธรรม”<br />
ในบริบททางรัฐธรรมนูญของไทย<br />
ดังได้กล่าวไปแล้วว่าก่อนหน้านี้ในประเทศไทย คำาว่า “หลักนิต ิ<br />
ธรรม” และ “หลักนิติรัฐ” ถูกใช้สลับกันหรือแทนที่กันได้เสมอ<br />
สุดแต่ใครจะเลือกใช้ตามความคุ้นเคยและความเข้าใจ กระทั่งเมื่อ<br />
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2550 ถูกตราขึ้น<br />
และประกาศใช้บังคับ คำาว่า “หลักนิติธรรม” ก็ได้รับเลือกให้เป็น<br />
คำาหลักที่แสดงถึงหลักการแห่งกฎหมายและการใช้อำานาจรัฐที่ได้<br />
181
รับการรับรองไว้ในรัฐธรรมนูญ ตามที่บัญญัติไว้ในมาตรา 3 ซึ่ง<br />
นอกจากจะเป็นบทบัญญัติซึ่งประกาศว่าอำานาจอธิปไตยเป็นของ<br />
ปวงชนชาวไทย พระมหากษัตริย์ผู้ทรงเป็นประมุขทรงใช้อำ านาจนั้น<br />
ทางรัฐสภา คณะรัฐมนตรี และศาล ตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรม<br />
นูญแล้ว ในวรรคสองก็ยังบัญญัติว่า “การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา<br />
คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงาน<br />
ของรัฐ ต้องเป็นไปตามหลักนิติธรรม”<br />
หากเป็นจริงตามคำาพูดของวิษณุ เครืองามที่ได้กล่าวไว้ใน<br />
การบรรยายพิเศษ เรื่อง <strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>: ผู้พิทักษ์หลักนิติธรรม<br />
ในการประชุมทางวิชาการ เนื่องในวาระ<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>ครบรอบ<br />
20 ปี เมื ่อวันที ่ 9 เมษายน 2561 ณ โรงแรมเพนนินซูล่า กรุงเทพ<br />
มหานครว่า การที่คำาว่า “หลักนิติธรรม” ถูกกำาหนดให้เป็นหลัก<br />
การแห่งกฎหมายและการใช้อำานาจรัฐในประเทศไทย มิได้เกิดจาก<br />
การตกผลึกของความคิดทางกฎหมาย แต่เกิดจากการลงมติของ<br />
สภาร่างรัฐธรรมนูญในขณะนั้น ซึ่งวิษณุกล่าวว่าคำาว่าหลักนิติธรรม<br />
ชนะไปอย่างฉิวเฉียด 7<br />
แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุใดก็ตาม นั ่นก็ถือเป็นครั้งแรกที่มีการ<br />
รับรองหลักนิติธรรมโดยการตราไว้ในรัฐธรรมนูญให้มีสถานะเป็น<br />
บทบัญญัติลายลักษณ์อักษรและมีสภาพบังคับ จากที่ก่อนหน้านี้<br />
7<br />
สำานักงาน<strong>ศาลรัฐธรรมนูญ</strong>, รายงานการประชุมทางวิชาการ เนื่องในวาระศาล<br />
รัฐธรรมนูญครบรอบ 20 ปี วันที่ 9–10 เมษายน 2561 ณ โรงแรมเพนนินซูล่า<br />
กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย (เอกสารภายใน), (กรุงเทพฯ: สำานักงานศาล<br />
รัฐธรรมนูญ, 2561), หน้า 14.<br />
182
เคยเป็นเพียงหลักการที่ได้รับการยอมรับในการศึกษาทางวิชาการ<br />
ด้านกฎหมายหรือในคำาพิพากษาที่อาจนำาหลักนิติธรรมมาใช้โดย<br />
อาจไม่ได้กล่าวถึงหลักการนี้โดยตรงเท่านั้น<br />
หลักนิติธรรมยังได้รับการรับรองต่อมาในรัฐธรรมนูญแห่ง<br />
ราชอาณาจักรไทยฉบับปัจจุบัน (พุทธศักราช 2560) มาตรา 3<br />
วรรคสอง แต่นอกจากจะกำาหนดให้ “รัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล<br />
องค์กรอิสระ และหน่วยงานของรัฐ ต้องปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไป<br />
ตามรัฐธรรมนูญ กฎหมาย และหลักนิติธรรม” แล้วยังมีเงื่อนไข<br />
ตามมาต่อด้วยว่า การปฏิบัติหน้าที่ให้ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ กฎ-<br />
หมาย และหลักนิติธรรมดังกล่าวต้องเป็นไป “เพื่อประโยชน์ส่วน<br />
รวมของประเทศชาติและความผาสุกของประชาชนโดยรวม”<br />
อีกด้วย<br />
นอกจากนี้ หลักนิติธรรมยังมีสภาพบังคับเพิ่มเติมให้เป็น<br />
หลักการสำาคัญในการตรากฎหมายขึ้นมาใช้บังคับ และรวมถึงการ<br />
พิจารณาในความชอบด้วยรัฐธรรมนูญของกฎหมายที่มีผลใช้บังคับ<br />
อยู่แล้วด้วย ปรากฏตามมาตรา 26 วรรคหนึ่งที่บัญญัติว่า การ<br />
ตรากฎหมายที่มีผลเป็นการจำากัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลต้องเป็น<br />
ไปตามเงื่อนไขที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญในกรณีที ่รัฐธรรมนูญมิได้<br />
บัญญัติเงื่อนไขไว้ กฎหมายดังกล่าวต้องไม่ขัดต่อหลักนิติธรรม<br />
ไม่เพิ่มภาระหรือจำากัดสิทธิเสรีภาพของบุคคลเกินสมควรแก่เหตุ<br />
และจะกระทบต่อศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของบุคคลมิได้ รวมทั้ง<br />
ต้องระบุเหตุผลความจำาเป็นในการจำากัดสิทธิเสรีภาพไว้ด้วย<br />
บทบัญญัติของมาตรา 3 วรรคสองและมาตรา 26 วรรคหนึ่ง<br />
183