พยาธิใบไม้ตับในประเทศไทย Liver Fluke in Thailand - มหาวิทยาลัย ...
พยาธิใบไม้ตับในประเทศไทย Liver Fluke in Thailand - มหาวิทยาลัย ...
พยาธิใบไม้ตับในประเทศไทย Liver Fluke in Thailand - มหาวิทยาลัย ...
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553 49<br />
<strong>พยาธิใบไม้ตับในประเทศไทย</strong><br />
<strong>Liver</strong> <strong>Fluke</strong> <strong>in</strong> <strong>Thailand</strong><br />
ณัฏฐวุฒิ แก้วพิทูลย์*<br />
ศูนย์วิจัยและบริการตรวจวินิจฉัยโรคติดเชื อจากปรสิตภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br />
<strong>มหาวิทยาลัย</strong>อุบลราชธานี อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี 34190<br />
สรญา แก้วพิทูลย์<br />
วิทยาลัยแพทยศาสตร์และการสาธารณสุข <strong>มหาวิทยาลัย</strong>อุบลราชธานี อําเภอวารินชําราบ จังหวัดอุบลราชธานี 34190<br />
บทคัดย่อ<br />
พยาธิใบไม้ในตับยังคงเป็นปัญหาที สําคัญทางด้านสาธารณสุขของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br />
ประมาณการว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคพยาธิใบไม้ตับไม่น้อยกว่า 6 ล้านคน ในประเทศไทยมีรายงานพบพยาธิใบไม้ตับครังแรก<br />
โดย Leiper ในปี พ.ศ. 2454 จากนัน Sadun ได้ทําการศึกษาและให้ข้อสรุปว่าพยาธิใบไม้ตับที พบในประเทศไทยเป็นชนิด<br />
Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i และได้รับการยืนยันอีกครังโดย Wykoff และคณะในปี พ.ศ. 2509 พยาธิใบไม้ตับรูปร่างคล้ายใบไม้<br />
ลําตัวเรียวยาว ขนาดโดยเฉลี ย ยาว 7.0 (5.4–10.2) มม. กว้าง x 1.5(0.8–1.9) มม. ไข่พยาธิใบไม้ตับมีขนาด 27 x 15<br />
ไมครอน ตัวแก่ของพยาธิใบไม้ตับ O. viverr<strong>in</strong>i อาศัยอยู ่ในท่อนํ าดีในตับของโฮสต์เฉพาะ เช่น คน สุนัข แมว มีหอยนํ าจืด<br />
Bithynia species เป็นโฮสต์ตัวกลางลําดับที หนึ ง ปลานํ าจืดกลุ่มปลาวงศ์ตะเพียนเป็นโฮสต์ตัวกลางลําดับที สอง พยาธิ<br />
ใบไม้ตับติดต่อสู ่คนโดยการกินปลาดิบๆ สุกๆ ซึ งมีระยะติดต่อ การติดเชื อพยาธิใบไม้ตับมีความสัมพันธ์กับการเกิดโรค<br />
เกี ยวกับระบบตับและทางเดินนํ าดี เช่น ถุงนํ าดีอักเสบ ตัวเหลือง นิวในถุงนํ าดี ตับม้ามโต และหลักฐานทางระบาดวิทยา<br />
และในสัตว์ทดลองพบว่ามีความสัมพันธ์กับการเกิดโรคมะเร็งท่อนํ าดี ดังนันการให้สุขศึกษาเกี ยวกับการควบคุมและ<br />
ป้องกันยังคงมีความสําคัญโดยเฉพาะในพื นที เสี ยง<br />
คําสําคัญ : พยาธิใบไม้ตับ Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i มะเร็งท่อนํ าดี ประเทศไทย<br />
Abstract<br />
Opisthorchiasis caused by Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i rema<strong>in</strong>s a major public health problem <strong>in</strong> <strong>Thailand</strong><br />
especially <strong>in</strong> the Northeast. It is estimated that six million people are <strong>in</strong>fected with O. viverr<strong>in</strong>i (calculated from<br />
overall 9.4% prevalence <strong>in</strong> 2001). The liver fluke was first described <strong>in</strong> 1911 by Leiper. Sadun commented that<br />
the liver fluke <strong>in</strong>fection <strong>in</strong> <strong>Thailand</strong> was caused by O. viverr<strong>in</strong>i, not by O. fel<strong>in</strong>eus, and this was confirmed later<br />
by Wykoff et al. <strong>in</strong> 1965. The adult worms of O. viverr<strong>in</strong>i are flat, leaf-shaped, and transparent. The average size<br />
of fresh worms is 7.0 (5.4–10.2) x 1.5 (0.8–1.9) mm. Eggs are 27 μm x 15 μm <strong>in</strong> average size. The adult worm<br />
lives <strong>in</strong> the hepatic bile ducts of def<strong>in</strong>itive host especially <strong>in</strong> human, dog, and cat. Snails of Bithynia species are<br />
the 1 st <strong>in</strong>termediate host and cypr<strong>in</strong>oids fishes are the 2 nd <strong>in</strong>termediate host, respectively. The liver fluke<br />
<strong>in</strong>fection occurs by eat<strong>in</strong>g traditional raw or uncooked fish products which is popular <strong>in</strong> the northeastern and<br />
northern region particularly <strong>in</strong> the rural areas. The liver fluke <strong>in</strong>fection is associated with a number of<br />
hepatobiliary diseases, <strong>in</strong>clud<strong>in</strong>g cholangitis, obstructive jaundice, cholithiasis, and hepatomegaly. Moreover,<br />
both experimental and epidemiological evidence strongly implicate the liver fluke <strong>in</strong>fection correlated with the<br />
etiology of the bile duct cancer (cholangiocarc<strong>in</strong>oma). Health education programs to prevent and control<br />
opisthorchiasis are still required <strong>in</strong> the high-risk areas.
50 วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553<br />
Keywords : <strong>Liver</strong> fluke, Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i, Cholangiocarc<strong>in</strong>oma, <strong>Thailand</strong><br />
บทนํา<br />
พยาธิใบไม้ตับยังคงเป็นปัญหาที สําคัญทางด้าน<br />
สาธารณสุขของประเทศไทย โดยเฉพาะภาคตะวันออก<br />
เฉียงเหนือ ประมาณการว่ามีผู้ป่วยด้วยโรคพยาธิใบไม้ตับไม่<br />
น้อยกว่า 6 ล้านคน นอกจากนี แล้วยังพบว่าพยาธิใบไม้ตับมี<br />
ความสัมพันธ์กับการเกิดมะเร็งท่อนํ าดีอีกด้วย พยาธิใบไม้<br />
ตับของคนที สําคัญมีอยู ่ 3 ชนิด ได้แก่ Clonorchis s<strong>in</strong>ensis<br />
พบระบาดแถบจีน ญี ปุ่น ฮ่องกง เกาหลี ไต้หวันและ<br />
เวียดนาม Opisthorchis fel<strong>in</strong>eus พบระบาดแถบ ยุโรป<br />
ตะวันนออก เช่นไซบีเรีย Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i พบระบาด<br />
แถบ ประเทศไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม (IARC,<br />
1994) ในประเทศไทยมีรายงานพบครังแรกโดย Leiper ในปี<br />
พ.ศ. 2454 ซึ งได้ตรวจศพที จังหวัดเชียงใหม่และวินิจฉัยว่า<br />
เป็นโรคพยาธิใบไม้ตับชนิด O. fel<strong>in</strong>eus ต่อมาในปี พ.ศ.<br />
2470 เฉลิม พรหมมาศ รายงานว่าพบพยาธิใบไม้ตับกว่า<br />
1,000 ตัว ในท่อนํ าดีของศพชายไทย อายุ 17 ปี ซึ งเป็นชาว<br />
จังหวัดร้อยเอ็ด และให้การวินิจฉัยเป็นพยาธิใบไม้ตับชนิด<br />
O. fel<strong>in</strong>eus เช่นเดียวกัน ระหว่างปี พ.ศ. 2497-2499<br />
Sadun ศึกษาและให้ข้อสรุปว่าพยาธิใบไม้ตับที พบใน<br />
ประเทศไทยไม่ใช่ชนิด O. fel<strong>in</strong>eus แต่เป็น O.viverr<strong>in</strong>i และ<br />
ได้รับการยืนยันอีกครังโดย Wykoff และคณะในปี พ.ศ.2509<br />
สุวัชร วัชรเสถียร และ จําลอง หะริณสุต ได้รายงานการ<br />
สํารวจพยาธิใบไม้ตับในปี พ.ศ. 2501 พบว่าเป็นพยาธิใบไม้<br />
ตับทัวประเทศ 22.1% โดยมีภาคตะวันออกเฉียงเหนือพบ<br />
มากที สุด รองลงมา คือภาคเหนือ และภาคกลาง คิดเป็นร้อย<br />
ละ 29.8, 10.3 และ 0.3 ตามลําดับ ข้อมูลล่าสุดทังประเทศ<br />
พบอัตราความชุกเท่ากับ 9.4% (Jongsusuntigul และ<br />
Imsomboon, 2003) ปัจจุบันนี มีรายงานการศึกษาวิจัยเป็น<br />
จํานวนมากทังด้านการระบาดวิทยา พยาธิชีววิทยา ชีว<br />
โมเลกุลเกี ยวกับพยาธิใบไม้ตับ ซึ งมีข้อมูลที สามารถ<br />
สนับสนุนและสรุปได้ว่าพยาธิเป็นสาเหตุหลักของการเกิด<br />
มะเร็งท่อนํ าดี ถึงแม้ว่าจะระดับอัตราความชุกของพยาธิ<br />
ใบไม้ตับจะลดลงแต่ก็ยังพบระบาดในพื นที เดิมๆ และก็พบ<br />
อัตราป่วยด้วยโรคมะเร็งสูงอยู ่เช่นเดิม จึงถือได้ว่าพยาธิชนิด<br />
นี มีความสําคัญและเป็นปัญหาทางด้านสาธารณสุขของไทย<br />
อย่างยิง บทความนี จึงได้ทําการทบทวนวรรณกรรมต่างๆ<br />
เพื อเป็นประโยชน์ในการนําความรู้ที ทันสมัยมากขึ น ทังด้าน<br />
การระบาดของพยาธิ และสาเหตุ ความสัมพันธ์กับการเกิด<br />
มะเร็งท่อนํ าดี ซึ งจะทําให้เราเข้าใจกลไกและความสัมพันธ์<br />
ของพยาธิกับโฮสต์มากยิงขึ น<br />
รูปร่างลักษณะ<br />
พยาธิใบไม้ตับ (O. viverr<strong>in</strong>i) รูปร่างคล้ายใบไม้<br />
ลําตัวเรียวยาว เมื อมีชีวิตอยู ่มีสีขาวอมชมพู ตัวบางใสรูป<br />
พยาธิ มีลักษณะส่วนท้ายมนกว่าส่วนหัว ขนาดยาว 7.0<br />
(5.4–10.2) มม. กว้าง x 1.5(0.8–1.9) มม. oral sucker<br />
อยู ่ปลายหน้าสุด รังไข่เป็นแขนง มดลูกยาวขดไปมาใน<br />
ส่วนกลางลําตัว อัณฑะมี 2 อันมีลักษณะเป็นกลีบๆ (lobe)<br />
อยู ่ส่วนท้ายของตัว (ภาพที 1)<br />
ภาพที 1 พยาธิใบไม้ตับ Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i รูปร่าง<br />
คล้ายใบไม้ ลําตัวเรียวยาว เมื อมีชีวิตอยู ่มีสีขาว<br />
อมชมพู ตัวบางใสรูปพยาธิ มีลักษณะส่วนท้ายมน<br />
กว่าส่วนหัว ขนาดยาว 5.5-9.5 มม. กว้าง 0.7-1.6<br />
มม. oral sucker อยู ่ปลายหน้าสุด รังไข่เป็นแขนง<br />
มดลูกยาวขดไปมาในส่วนกลางลําตัวอัณฑะมี 2<br />
อันมีลักษณะเป็นกลีบๆ (lobe) อยู ่ส่วนท้ายของ<br />
ตัว (A; O. fel<strong>in</strong>eus, B; O. viverr<strong>in</strong>i, C;<br />
Clonorchis s<strong>in</strong>ensis) (ดัดแปลงจาก Ash, 1997)<br />
ไข่พยาธิใบไม้ตับ (O.viverr<strong>in</strong>i) รูปไข่สีนํ าตาลปนเหลืองมี<br />
ฝาปิด ไหล่ของไข่มองเห็นชัด มีตุ่มเล็กๆอยู ่ทางด้านท้าย<br />
ไข่มีขนาด 27 x 15 ไมครอน (ภาพที 2) เมื อปนกับอุจจาระ<br />
ใหม่ๆ มีพยาธิตัวอ่อนไมราซิเดียมเจริญอยู ่ภายใน เปลือก<br />
ไข่ของพยาธิใบไม้ตับชนิด O.viverr<strong>in</strong>i เมื อดูกล้อง<br />
scann<strong>in</strong>g electron microscope จะเห็นเป็นเส้นๆ เรียก<br />
muskmelon pattern (Kaewkes, 2003)
่<br />
่<br />
<br />
51 วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553<br />
ภาพที 2 ไข่พยาธิใบไม้ตับ Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i รูปไข่สีนํ าตาลปนเหลืองมีฝาปิด ไหล่ของไข่มองเห็นชัด มีตุ่มเล็กๆอยู<br />
ทางด้านท้าย ไข่มีขนาด 27 x 15 ไมครอน (A) เปลือกไข่ของพยาธิใบไม้ตับชนิด O.viverr<strong>in</strong>i เมื อดูกล้อง<br />
scann<strong>in</strong>g electron microscope จะเห็นเป็นเส้นๆ เรียก muskmelon pattern (B) (ดัดแปลงจาก Kaewkes,<br />
2003)<br />
ภาพที 3 อาหารที มีรายงานการปนเปื อนของระยะติดต่อของพยาธิใบไม้ตับ Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i ปลานํ าจืด ซึ งจัดเป็น<br />
โฮสต์ตัวกลางลําดับที สอง เช่น ปลาแม่สะแด้ง ปลาตะเพียนทราย ปลาสร้อยนกเขา ปลาสูตร ปลากะมัง ในเนื อ<br />
ปลาเหล่านี มีระยะติดต่อ คือ เมตาเซอร์คาเรีย (metacercaria) ฝังตัวในรูปซีสต์ มีประชาชนนิยมนํามาปรุงหรือ<br />
ทําอาหารแบบดิบๆ สุกๆ เช่น ก้อยปลา ปลาส้ม ปลาร้า และแจ่วบอง เป็นอาหารที นิยมรับประทานในภาค<br />
ตะวันออกเฉียงเหนือและภาคเหนือของประเทศไทย<br />
วงจรชีวิตของพยาธิ<br />
ตัวแก่ของพยาธิใบไม้ตับ O. viverr<strong>in</strong>i อาศัยอยู ่ในท่อ<br />
นํ าดีในตับของโฮสต์เฉพาะ เช่น คน สุนัข แมว นอกจากนี ยัง<br />
อาจอาศัยอยู ่ในถุงนํ าดีหรือตับอ่อนได้ ไข่จะปนออกมากับ<br />
นํ าดี เข้าสู ่ลําไส้เล็ก และปนออกมากับอุจจาระ ถ้าไข่ตกลงสู<br />
แหล่งนํ า หอยนํ าจืดพวก Bithynia species ซึ งเป็นโฮสต์<br />
กลางลําดับที หนึ งจะกินไข่พยาธิเข้าไป ไข่จะฟักตัวออกมา<br />
เป็นไมราซิเดียม (miracidium) แล้วเจริญต่อไปเป็นเซอร์คา-<br />
เรีย (cercaria) เซอร์คาเรียจะว่ายออกจากหอยไปฝังตัวใน<br />
ปลานํ าจืด โฮสต์ตัวกลางลําดับที สอง เช่น ปลาแม่สะแด้ง<br />
ปลาตะเพียนทราย ปลาสร้อยนกเขา ปลาสูตร ปลากะมัง<br />
เป็นต้น พยาธิเจริญต่อไปเป็นเป็นระยะติดต่อ คือ เมตา<br />
เซอร์คาเรีย (metacercaria) ฝังตัวในรูปซีสต์ เมื อคนและ<br />
สัตว์กินปลาที มีระยะนี แบบสุกๆดิบๆ เช่น ก้อยปลา(ภาพที<br />
3) เมตาเซอร์คาเรียจะแตกออกจากซีสท์ มาอยู ่ในลําไส้<br />
ส่วนดูโอดีนัม แล้วเดินทางผ่านเข้าสู ่ท่อนํ าดีใหญ่ เดินทาง<br />
ต่อไปถึงท่อนํ าดีเล็กแล้วฝังตัวเจริญเป็นตัวแก่ต่อไป<br />
ระยะเวลาตังแต่คนกินตัวอ่อนระยะติดต่อของพยาธิเข้าไป<br />
จนเจริญเป็นตัวเต็มวัยและตรวจพบไข่ในอุจจาระใช้เวลา<br />
ประมาณ 4-8 สัปดาห์ (Wykoff et al., 1965) (ภาพที 4)
52 วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553<br />
ภาพที 4 วงจรชีวิตของพยาธิใบไม้ตับ Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i ตัวแก่ของพยาธิใบไม้ตับอาศัยอยู ่ในท่อนํ าดีในตับของโฮสต์<br />
ไข่จะปนออกมากับอุจจาระตกลงสู ่แหล่งนํ า หอยนํ าจืดโฮสต์กลางลําดับที หนึ งจะกินไข่พยาธิเข้าไป ไข่จะฟักตัว<br />
ออกมาเป็นไมราซิเดียม (miracidium) แล้วเจริญต่อไปเป็นเซอร์คาเรีย (cercaria) และว่ายออกจากหอยไปฝังตัว<br />
ในปลานํ าจืด ซึ งจัดเป็นโฮสต์ตัวกลางลําดับที หนึ ง และเจริญต่อไปเป็นเป็นระยะติดต่อ คือ เมตาเซอร์คาเรีย<br />
(metacercaria) เมื อโฮสต์กินปลาที มีระยะนี แบบสุกๆดิบๆ เมตาเซอร์คาเรียจะแตกออกจากซีสท์ มาอยู ่ในลําไส้<br />
ส่วนดูโอดีนัม แล้วเดินทางผ่าน เข้าสู ่ท่อนํ าดีใหญ่ เดินทางต่อไปถึงท่อนํ าดีเล็กแล้งฝังตัวเจริญเป็นตัวแก่ต่อไป<br />
ดัดแปลงจาก http://www.dpd.cdc.gov/DPDx/HTML/Opisthorchiasis.htm.<br />
การระบาดของ<strong>พยาธิใบไม้ตับในประเทศไทย</strong><br />
จากข้อมูลย้อนหลัง 10 ปี ของสํานักระบาดวิทยา กรม<br />
ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข พบว่าในปี พ.ศ. 2538 มี<br />
รายงานผู้ติดเชื อจํานวน 71 ราย คิดเป็นอัตราป่วยเท่ากับ<br />
0.12 ต่อประชากรแสนคน ช่วงระหว่างปี พ.ศ. 2539-2543<br />
ไม่มีรายงานผู้ป่วย จนกระทัง ปี พ.ศ. 2544 มีผู้ป่วยทังสิ น<br />
1,071 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 1.72 ต่อประชากรแสนคน และ<br />
ผู้ป่วยลดลงในปี พ.ศ. 2545 เหลือ 469 ราย คิดเป็นอัตรา<br />
ป่วย 0.75 ต่อประชากรแสนคน จํานวนผู้ป่วยกลับมีรายงาน<br />
เพิมขึ นในปี พ.ศ. 2546 มีรายงานโรคพยาธิใบไม้ในตับ<br />
จํานวน 995 ราย อัตราป่วย 1.58 ต่อประชากรแสนคน ไม่มี<br />
รายงานผู้เสียชีวิตจากการติดเชื อพยาธิใบไม้ในตับ จังหวัดที<br />
มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคน มากที สุด 10 จังหวัดแรก<br />
ได้แก่ สกลนคร ยโสธร อํานาจเจริญ ลําปาง มุกดาหาร<br />
เชียงราย นครสวรรค์ น่าน ภูเก็ต และ หนองบัวลําภู โดยมี<br />
อัตราป่วย 60.32, 36.14, 23.21, 1.50, 0.59, 0.56, 0.44,<br />
0.41, 0.36 และ 0.20 ตามลําดับ การกระจายของกลุ่มอายุ<br />
ผู้ป่วย พบว่าผู้ป่วยกลุ่มอายุ 45-54 ปี มีรายงานการติดเชื อ<br />
พยาธิมากที สุด 218 ราย หรือคิดเป็นอัตราป่วย 2.94 ต่อ<br />
ประชากรแสนคน รองลงมาเป็นกลุ่มอายุ 55-64 ปี จํานวน<br />
125 ราย คิดเป็นอัตราป่วย 2.85 ต่อประชากรแสนคน ไม่<br />
พบผู้ป่วยในกลุ่มทารกแรกคลอด (0-28 วัน) และในกลุ่ม<br />
เด็กอายุ 0-3 เดือน เริมมีรายงานพบผู้ป่วยในกลุ่มเด็กอายุ<br />
4-5 เดือน จํานวน 2 ราย อาชีพที มีรายงานการติดเชื อ<br />
พยาธิมากที สุดคืออาชีพเกษตรกร จํานวน 759 ราย คิด<br />
เป็นร้อยละ 76.3 รองลงมาพบในกลุ่มนักเรียน จํานวน 113<br />
ราย คิดเป็นร้อยละ 11.4 ไม่พบผู้ป่วยในกลุ่มอาชีพงาน<br />
บ้าน ประมงและเลี ยงสัตว์ อัตราส่วนชายต่อหญิง เท่ากับ<br />
1:1.1 จํานวนผู้ป่วยกระจายรายเดือน พบผู้ป่วยมากในช่วง<br />
ต้นปี ตังแต่เดือนมกราคมถึงกุมภาพันธ์ โดยจํานวนผู้ป่วย<br />
ที เกิดในช่วง 2 เดือนนี มี 489 ราย คิดเป็นร้อยละ 49.0<br />
ของผู้ป่วยที พบทังปี (อัสดง วรรณจักร และพจมาน ศิริ<br />
อารยาภรณ์, 2546) สําหรับข้อมูลผู้ป่วยระหว่างปี 2546-<br />
2549 ดังแสดงในภาพที 5, 6, 7, 8, 9
วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553 53<br />
ภาพที 5 แสดงอัตราการติดเชื อพยาธิใบไม้ตับโดยจําแนกตามลักษณะเวลาเป็นเดือนและปี ตังแต่ปี พ.ศ. 2544-2549<br />
(สํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2550)<br />
ภาพที 6 แสดงอัตราการติดเชื อพยาธิใบไม้ตับโดยจําแนกตามลักษณะอายุ ตังแต่ปี พ.ศ. 2544-2549 (สํานักระบาดวิทยา<br />
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2550)
54 วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553<br />
ภาพที 7 แสดงอัตราการติดเชื อพยาธิใบไม้ตับโดยจําแนกตามลักษณะเพศ ตังแต่ปี พ.ศ. 2544-2549 (สํานักระบาดวิทยา<br />
กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2550)<br />
ภาพที 8 แสดงอัตราการติดเชื อพยาธิใบไม้ตับโดยจําแนกตามอาชีพ ตังแต่ปี พ.ศ. 2544-2549 (สํานักระบาดวิทยา กรม<br />
ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2550)
่<br />
วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553 55<br />
ภาพที 9 แสดงอัตราการติดเชื อพยาธิใบไม้ตับโดยจําแนกตามภาค ตังแต่ปี พ.ศ. 2544-2549 (สํานักระบาดวิทยา กรม<br />
ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2550)<br />
ในปี พ.ศ. 2547 มีรายงานโรคพยาธิใบไม้ตับจํานวน<br />
830 ราย อัตราป่วย 1.33 ต่อประชากรแสนคน ไม่มีรายงาน<br />
ผู้เสียชีวิต จังหวัดที มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนมาก<br />
ที สุด 10 จังหวัดแรก ได้แก่ จังหวัดสกลนคร 49.02ลําพูน<br />
(30.47) อํานาจเจริญ (7.59) ลําปาง (5.20) ยโสธร (4.39)<br />
มุกดาหาร (2.68) เชียงใหม่ (1.11) บุรีรัมย์ (0.97) กาฬสินธุ์<br />
(0.61) และอุทัยธานี (0.60) ผู้ป่วยมีจํานวนเพิมมากขึ น<br />
อย่างชัดเจนตังแต่อายุ 25 ปีขึ นไป กลุ่มอายุผู้ป่วยที มีอัตรา<br />
ป่วยสูงสุดอยู ่ในช่วงกลุ่มอายุ 55 – 64 ปี เท่ากับ 2.98 ต่อ<br />
ประชากรแสนคน พบผู้ป่วย 124 ราย รองลงมาได้แก่ กลุ่ม<br />
อายุ 45 – 54 ปี พบจํานวน 198 ราย อัตราป่วยเท่ากับ<br />
2.59 ต่อประชากรแสนคน อัตราส่วนเพศชายต่อเพศหญิง<br />
เท่ากับ 1.2:1 เป็นผู้ป่วยนอก ร้อยละ 98.9 (821 ราย) ส่วน<br />
ใหญ่อาศัยอยู ่เขตองค์การบริหารส่วนตําบล ร้อยละ 98.3<br />
(816 ราย) ผู้ป่วยที เหลืออาศัยอยู ่ในเขตเทศบาล ภาค<br />
ตะวันออกเฉียงเหนือ มีจํานวนผู้ป่วยสูงสุด 636 ราย คิด<br />
เป็นอัตราป่วย 2.96 ต่อประชากรแสนคน รองลงมาได้แก่<br />
ภาคเหนือพบผู้ป่วย 193 ราย อัตราป่วย 1.61 ต่อประชากร<br />
แสนคนภาคกลางพบผู้ป่วยน้อยมาก ส่วนภาคใต้ไม่มี<br />
รายงานผู้ป่วยเลย ปีนี พบผู้ป่วยจํานวนมากในช่วงต้นปีและ<br />
กลางปีโดยมีการรายงานผู้ป่วยมากกว่า 100 รายขึ นไปใน<br />
เดือนพฤษภาคม ร้อยละ 25.5 (212 ราย) กุมภาพันธ์ ร้อย<br />
ละ 19.2 (159 ราย) กันยายน ร้อยละ 17.2 (143 ราย) และ<br />
มิถุนายนพบ ร้อยละ 16.9 (140 ราย) ผู้ป่วยที พบในช่วงฤดู<br />
ฝน คือ เดือนพฤษภาคมถึงเดือนกันยายน มีทังหมด 600<br />
ราย คิดเป็นร้อยละ 72.3 ของผู้ป่วยที พบทังปี (อัสดง วรรณ<br />
จักร และพจมาน ศิริอารยาภรณ์, 2547)<br />
ในปี พ.ศ. 2548 มีรายงานผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ในตับ<br />
396 ราย ไม่มีผู้เสียชีวิต อัตราป่วย 0.64 ต่อประชากรแสน<br />
คน มีแนวโน้มลดลงตังแต่ปี พ.ศ. 2546 อัตราส่วนส่วนเพศ<br />
ชายต่อเพศหญิง เท่ากับ 1.2:1 กลุ่มอายุที พบอัตราป่วย<br />
สูงสุดสามอันดับแรก คือ กลุ่มอายุ 55 – 64 ปี, 45 – 54 ปี<br />
และ 35 – 44 ปี อัตราป่วย 1.19, 1.14 และ 1.14 ต่อประชากร<br />
แสนคน ตามลําดับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม<br />
ร้อยละ 84.09 (333 ราย/396 ราย) เดือนที พบผู้ป่วยมาก<br />
ที สุด คือ เดือนกันยายน 257 ราย ผู้ป่วยส่วนใหญ่อยู ่ใน<br />
พื นที ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ (242 ราย) และภาคเหนือ<br />
(152 ราย) ภาคกลาง (2 ราย) ไม่มีรายงานผู้ป่วยจาก<br />
ภาคใต้ ซึ งคิดเป็นอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนใน<br />
ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง เท่ากับ<br />
1.28, 1.14 และ 0.01 ตามลําดับ ผู้ป่วยส่วนใหญ่อาศัยอยู<br />
ในพื นที เขตองค์การบริหารส่วนตําบล ร้อยละ 96.21 (381
56 วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553<br />
ราย/ 396 ราย) ในปี พ.ศ. 2548 มีอัตราป่วยโรคพยาธิใบไม้<br />
ในตับน้อยที สุด นับตังแต่ปี พ.ศ. 2544 จังหวัดที มีอัตรา<br />
ป่วยสูงสุด 5 อันดับแรก ได้แก่ จังหวัดแพร่ สกลนคร<br />
ลําปาง ยโสธร และอํานาจเจริญ อัตราป่วยต่อประชากรแสน<br />
คน เท่ากับ 20.11, 13.96, 4.50, 4.25 และ 3.80 ตามลําดับ<br />
(การุณ ชนะชัย, 2548)<br />
ในปีพ.ศ. 2549 มีการรายงานผู้ป่วยโรคพยาธิใบไม้ใน<br />
ตับ 459 ราย อัตราป่วย 0.73 ต่อประชากรแสนคน ไม่มี<br />
ผู้เสียชีวิต อัตราส่วนเพศหญิงต่อเพศชาย เท่ากับ 1 : 1.4<br />
กลุ่มอายุที พบอัตราป่วยสูงสุดสามอันดับแรก คือ กลุ่มอายุ<br />
45 – 54 ปี, 35 – 44 ปี และ 55 – 64 ปี อัตราป่วย 1.81,<br />
1.57 และ 1.10 ต่อประชากรแสนคน ตามลําดับ ผู้ป่วยส่วน<br />
ใหญ่มีอาชีพเกษตรกรรม ร้อยละ 49.02 รองลงมา คือ<br />
นักบวช ร้อยละ 13.07 รับจ้าง ร้อยละ 5.22 และไม่ระบุ ร้อย<br />
ละ 24.18 เดือนกุมภาพันธ์ พบผู้ป่วยมากที สุด 183 ราย<br />
ในขณะที เดือนอื น ๆ พบผู้ป่วยน้อย ไม่เกิน 35 รายต่อ<br />
เดือน ภาคเหนือ อัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุด ภาค<br />
ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง เท่ากับ 1.45, 1.34<br />
และน้อยกว่า 0.01 ตามลําดับ ไม่มีผู้ป่วยในภาคใต้ จังหวัด<br />
ที มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคน สูงสุด 5 อันดับแรก<br />
ได้แก่ จังหวัดน่าน แพร่ ขอนแก่น ยโสธร และสกลนคร<br />
เท่ากับ 15.07, 13.83, 7.55, 4.81 และ 4.33 ตามลําดับ<br />
ผู้ป่วยส่วนใหญ่มาจากพื นที เขตองค์การบริหารส่วนตําบล<br />
ร้อยละ 78.43 และเทศบาล ร้อยละ 21.57 (นัฐพนธ์ เอก<br />
รักษ์รุ่งเรือง, 2549)<br />
ข้อมูลเฝ้าระวังโรคของสํานักระบาดวิทยา กรม<br />
ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข ตังแต่วันที 1 มกราคม<br />
2550-26 พฤศจิกายน 2550 พบผู้ป่วย 559 ราย จาก 19<br />
จังหวัด คิดเป็นอัตราป่วย 0.89 ต่อแสนประชากร ไม่มี<br />
รายงานผู้เสียชีวิต สัดส่วนเพศชายต่อเพศหญิง 1:0.64<br />
กลุ่มอายุที พบมากที สุด คือ 45-54 ปี (28.09%) อาชีพของ<br />
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ คือเกษตรร้อยละ 63 จังหวัดที มีอัตราป่ววย<br />
ต่อแสนประชากรสูงสุด 5 อันดับแรก คือ สกลนคร (22.72<br />
ต่อแสนประชากร) น่าน (14.24 ต่อแสนประชากร) ลําพูน<br />
(13.31 ต่อแสนประชากร) แพร่ (10.89 ต่อแสนประชากร)<br />
และศรีสะเกษ (2.49 ต่อแสนประชากร) ภาคที มีอัตราป่วย<br />
สูงสุด คือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ รองลงมาคือ<br />
ภาคเหนือ คิดเป็นอัตราป่วย 1.68 และ 1.68 ต่อแสน<br />
ประชากร ตามลําดับ ปีนี มีรายงานผู้ป่วยในภาคใต้ด้วย คิด<br />
เป็นอัตราป่วย 0.02 ต่อแสนประชากร ตังแต่ปี พ.ศ. 2546<br />
อุบัติการณ์โรคพยาธิใบไม้ในตับมีแนวโน้มที ลดลงเรื อยมา<br />
แต่ในปี พ.ศ. 2549 และ 2550 กลับมีอัตราป่วยเพิมขึ น<br />
พื นที ที พบจํานวนผู้ป่วย และอัตราป่วยสูงยังคงเป็นภาค<br />
ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคเหนือ ซึ งมีความนิยมในการ<br />
บริโภคปลาดิบ ซึ งเป็นปัจจัยเสี ยงของการเกิดโรค อย่างไรก็<br />
ตาม ในการแปลผลข้อมูล อาจต้องมีการพิจารณาในเรื อง<br />
ของความครอบคลุมการรายงานผู้ป่วยในแต่ละพื นที ซึ งอาจ<br />
มีความแตกต่างกันได้ รวมถึงข้อจํากัดในการตรวจหาไข่<br />
พยาธิโดยใช้กล้องจุลทรรศน์ เนื องจากไข่พยาธิใบไม้ตับ<br />
แยกได้ยากจากไข่พยาธิใบไม้ลําไส้ (ที มักไม่ทําให้เกิด<br />
อาการ รวมทังไม่เป็นปัจจัยเสี ยงต่อโรคมะเร็งตับ) (สํานัก<br />
ระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 2550)<br />
อาการ และ พยาธิสภาพ<br />
โรคพยาธิใบไม้ตับส่วนใหญ่ไม่มีอาการ เมื อมีพยาธิ<br />
สะสมมากๆ เป็นเวลานานอาจจะทําให้เกิดอาการ เช่น<br />
ท้องอืด แน่นท้อง เจ็บบริเวณชายโครงขวา ออกร้อนบริเวณ<br />
หน้าท้อง มีอาการอักเสบของท่อนํ าดี ดีซ่าน ตับโต มีไข้<br />
ระยะสุดท้ายของโรค ผู้ป่วยจะผอมซีด บวม บางรายเป็น<br />
โรคตับแข็ง มีนํ าในช่องท้องหรือท้องมาน สาเหตุที ทําให้เกิด<br />
อาการต่างๆ เนื องจากพยาธิหลังสารและหรือตัวพยาธิเอง<br />
เกาะผนังลําไส้ทําให้เกิดการระคายเคืองต่อผนังท่อนํ าดี และ<br />
การอุดตันของท่อนํ าดี เนื องจากพยาธิมีการเคลื อนตัวไปมา<br />
ในนัน บางตัวอาจไปทําให้เกิดอุดตันท่อนํ าดีส่วนปลาย<br />
นอกจากนันของเสียที ขับออกมาจากตัวพยาธิยังก่อให้เกิด<br />
การระคายเคืองของท่อนํ าดีอีกด้วย ผู้ป่วยมักมีอาการเบื อ<br />
อาหาร มีไข้ตํ าๆ ตับอาจโตกดเจ็บ และเริมมีอาการตัว<br />
เหลือง เริมมีภาวะแทรกซ้อน เช่น ท่อนํ าดีอักเสบเรื อรัง<br />
เป็นๆหายๆ มีไข้สูงปานกลาง ตัวเริมเหลืองมากขึ น ตับโต<br />
กดเจ็บ เริมมีอาการตับแข็ง ม้ามโต แรงดันเลือดสูง อาจพบ<br />
มะเร็งของท่อนํ าดีร่วมด้วย (ณรงค์ ขันตีแก้ว, 2548) เมื อมี<br />
การติดเชื อพยาธิใบไม้ตับ พยาธิจะอาศัยอยู ่ตามท่อทางเดิน<br />
นํ าดีภายในตับเป็นส่วนใหญ่ แต่ก็อาจพบได้ตามท่อทางเดิน<br />
นํ าดีนอกตับ ถุงนํ าดี และตับอ่อน การเกิดพยาธิสภาพเกิด<br />
จากการทําลายเยื อบุผิวท่อทางเดินนํ าดี เกิด epitherial<br />
desquamation ซึ งเกิดจากการเสียดสีทางกายภาพของ<br />
พยาธิใบไม้ตับ (mechanical irritation) และการดูดกัดของ<br />
sucker พยาธิและ/หรือเกิดจาก metabolic products ที<br />
พยาธิใบไม้ตับขับถ่ายออกมา จากรายการศึกษาที ผ่านมา<br />
พบว่า สารที ปล่อยจากตัวพยาธิ (excretory-secretory<br />
products) สามารถกระตุ้นเซลล์เยื อบุท่อทางเดินนํ าดีและ<br />
เซลล์ NIH-3T3 normal mouse fibroblast ซึ งเซลล์มีการ<br />
แบ่งตัวเพิมขึ น สารคัดหลังที ปล่อยออกมานี นําไปสู ่การเกิด
วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553 57<br />
biliary cell hyperplasia ในคนและสัตว์ทดลองที ติดเชื อ<br />
พยาธิใบไม้ตับ (Thuwajit et al., 2004) อีกสาเหตุหนึ งน่าจะ<br />
เกิดจาก ภูมิต้านทานของโฮสต์ต่อพยาธิมีส่วนสําคัญในการ<br />
ทําให้เกิดโรค (บรรจบ ศรีภาและคณะ, 2548; Sripa et al.,<br />
2007) จากการศึกษาที ผ่านมาพบว่า มี lymphocyte, mast<br />
cells, eos<strong>in</strong>ophils และ macrophages <strong>in</strong>filtration รอบๆ<br />
periportal area ซึ งตอบสนองต่อแอนติเจน พยาธิที มี<br />
ออกมาจํานวนมากในช่วงระยะเฉียบพลัน เมื อมีการติดเชื อ<br />
เรื อรัง เป็นเวลานานมักจะพบว่าการอักเสบลดลง มี<br />
immunodepression และ immunomodulation กลไก<br />
เหล่านี เป็น immunopathologic mechanism หลักฐานที<br />
ช่วยยืนยันเกี ยวกับด้าน ภูมิคุ้มกันวิทยาได้ดีคือ ในผู้ป่วยที<br />
ติดเชื อและผนังถุงนํ าดีหนาตัว พบความสัมพันธ์กับระดับ<br />
ของแอนติบอดีชนิด IgG ที จําเพาะต่อแอนติเจนของพยาธิ<br />
ซึ งมีความสัมพันธ์มากกว่าความรุนแรงของการติดเชื อ<br />
(Haswell-Elk<strong>in</strong>s et al., 1991)<br />
ตารางที 1 ผลการประเมินความสามารถในการก่อมะเร็ง<br />
ของหนอนพยาธิชนิดต่างๆ โดย International<br />
Agency for Research on Cancer<br />
Agent<br />
Degree of<br />
evidence of<br />
carc<strong>in</strong>ogenicity<br />
Human Animal<br />
Overall<br />
carc<strong>in</strong>ogenicity<br />
<strong>in</strong> human (group)<br />
Schistosoma S L 1 carc<strong>in</strong>ogenic<br />
haematobium<br />
S. japonicum L L 2B probably<br />
carc<strong>in</strong>ogenic<br />
S. mansoni I L 3 noncarc<strong>in</strong>ogenic<br />
Opisthorchis S L 1 carc<strong>in</strong>ogenic<br />
viverr<strong>in</strong>i<br />
O. fel<strong>in</strong>eus I I 3 noncarc<strong>in</strong>ogenic<br />
Clonorchis<br />
s<strong>in</strong>ensis<br />
L L 1A possibly<br />
carc<strong>in</strong>ogenic<br />
S: sufficient evidence L: Limited evidence I: Inadequate<br />
evidence<br />
ที มา: ไพบูลย์ สิทธิถาวร 2548; IARC, 1994<br />
พยาธิใบไม้ตับเป็นตัวก่อมะเร็ง<br />
ในปี พ.ศ. 2506 วีกิต วีรานุวัฒน์ และณัฐ ภมรประวัติ<br />
ได้ทําการตรวจวิเคราะห์ชิ นเนื อตับ และพบความสัมพันธ์<br />
ระหว่างพยาธิใบไม้ตับกับมะเร็งท่อนํ าดี จากนันได้มี<br />
รายงานการตรวจผู้ป่วยและตรวจชันสูตรพลิกศพผู้ป่วย<br />
มะเร็งท่อนําดีและมะเร็งตับ ในระยะเวลาระหว่าง 2509-<br />
2532 ได้ทําการศึกษาในหลายพื นที ในประเทศไทยซึ งศึกษา<br />
เกี ยวกับความสัมพันธ์ของพยาธิใบไม้ตับกับมะเร็งท่อนํ าดี<br />
สถาบันวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติ (International Agency for<br />
Research on Cancer, IARC)ได้สรุปว่ามีหลักฐานเพียง<br />
พอที จะสรุปได้ว่า พยาธิใบไม้ตับเป็นสาเหตุของมะเร็งท่อ<br />
นํ าดีตับในคน แต่ไม่มีความสัมพันธ์ระหว่างพยาธิใบไม้ตับ<br />
กับมะเร็งเซลล์ตับ (ตารางที 1)<br />
นอกจากนันยังมีปัจจัยอื นๆ เช่น สารเคมีและยารักษา<br />
โรคบางชนิด สารเคมีที เกิดจากอาหารหมักดอง สุรา ฯลฯ<br />
ภาวะทุพโภชนาการ ภาวะทางระบบอิมมูน ปัจจัยทาง<br />
พันธุกรรม และปัจจัยอื นๆ ที เกี ยวข้องกับสิงแวดล้อม เป็น<br />
ปัจจัยส่งเสริมในการเกิดโรค (IARC, 1994; Srivatanakul<br />
et al., 1991) จากการคาดประมาณของสถาบันวิจัยโรค<br />
มะเร็งนานาชาติ ประเทศไทยจัดอยู ่ในกลุ่มประเทศที มี<br />
อุบัติการณ์ของมะเร็งท่อนํ าดีระดับสูงมาก ปัจจุบันนี มะเร็ง<br />
ท่อนํ าดีมีอัตราอุบัติการณ์สูงมากใน ภาคตะวันออกเฉียง<br />
เหนือ ซึ งมีความสัมพันธ์กับความชุกของพยาธิใบไม้ตับ พบ<br />
ระบาดในพื นที เดียวกัน อุบัติการณ์ของมะเร็งท่อนํ าดีเท่ากับ<br />
84.6 ต่อประชากรแสนคน ในเพศชาย และ 36.8 ต่อ<br />
ประชากรแสนคน ในเพศหญิง(Vatanasapt et al., 1995) ผู้<br />
ที เคยติดเชื อพยาธิ หรือกําลังติดเชื อพยาธิใบไม้ตับเสี ยงต่อ<br />
การเกิดมะเร็งท่อนํ าดี (Park<strong>in</strong>s et al., 1991) ในภาค<br />
ตะวันออกเฉียงเหนือพบว่า ผู้ที มีการติดเชื อพยาธิใบไม้ตับ<br />
จํานวนมากความหนาแน่นของพยาธิมากกว่า 6000<br />
egg/gram feces หรือตัวพยาธิ 120 ตัว จะมีความเสี ยงต่อ<br />
การเกิดมะเร็งท่อนํ าดีมากกว่าผู้ไม่ติดเชื อ 14 เท่า (odd<br />
ratio=14) การดื มแอลกอฮอล์บ่อยๆ มีความเสี ยงต่อการ<br />
เกิดมะเร็งท่อนํ าดี ลําดับเอนไซม์ Glutathione-Stransferase<br />
M1 (GSTM1) ก็เป็นอีกปัจจัยเสี ยงต่อการเกิด<br />
มะเร็งท่อนํ าดีเช่นกัน (ตารางที 2) (ไพบูลย์ สิทธิถาวร,<br />
2548)
58 วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553<br />
ตารางที 2 สรุปปัจจัยเสี ยงของมะเร็งท่อนํ าดีที มีนัยสําคัญทางสถิติจากการศึกษาด้านระบาดวิทยาในประเทศไทย<br />
Variables Odds ratio 95% confidence <strong>in</strong>terval<br />
Intensity of O. viverr<strong>in</strong>i (egg/gram feces) *<br />
0 1 reference<br />
1-1,500 1.67 0.2-16.3<br />
1,501-6,000 3.23 0.4-29.5<br />
>6,000 14.08 1.67-118.6<br />
Age*<br />
24-34 1 reference<br />
35-49 4.57 0.5-38.5<br />
>50 9.21 1.1-74.69<br />
Sex*<br />
Female 1 reference<br />
Male 3 0.8-11.2<br />
Antibody titer for O. viverr<strong>in</strong>i**<br />
Negative 1 reference<br />
Positive 6.8 3.31-13.9<br />
No. of praziquantel treatment**<br />
0 1 reference<br />
1 3.4 1.6-5.77<br />
2-4 4.6 1.84-11.5<br />
O. viverr<strong>in</strong>i antibody***<br />
Negative (0.2) 27.09 6.3-116.5<br />
Alcohol dr<strong>in</strong>k<strong>in</strong>g***<br />
Never 1 reference<br />
Occasional 2.2 0.65-7.45<br />
Ex-regular 6.23 1.23-31.57<br />
Regular 4.3 1.12-16.57<br />
Genetic polymorphism***<br />
O. viverr<strong>in</strong>i antibody negative <strong>in</strong>dividual 1 reference<br />
O. viverr<strong>in</strong>i antibody positive <strong>in</strong>dividual<br />
GSTM1 wild 10.34 1.31-81.63<br />
Null 23.53 3.33-97.4<br />
* Haswell-Elk<strong>in</strong>s et al, 19949 ** Chernrungroj, 200010 ***Honjo et al, 2005<br />
ที มา: ไพบูลย์ สิทธิถาวร 2548<br />
กลไกการเกิดมะเร็งท่อนํ าดีที เกิดร่วมกับการติดเชื อ<br />
พยาธิใบไม้ตับนัน เมื อมีการติดเชื อพยาธิใบไม้ตับจะเกิด<br />
การทําลายเซลล์เยื อบุท่อทางเดินนํ าดี จากนันก็จะมีการ<br />
สร้างเซลล์เยื อบุผิวขึ นมาทดแทนใหม่ และนอกจากนี แล้ว<br />
ยังเกิดจากการกระตุ้นจากสารคัดหลังจากพยาธิโดยตรง<br />
เกิด epithelial hyperplasia, goblet cell metaplasia และ<br />
adenomatous hyperplasia การติดเชื อพยาธิก็ทําให้เกิด<br />
การอักเสบมากขึ นรอบๆ ท่อทางเดินนํ าดี มีเซลล์อักเสบ<br />
จํานวนมาก ได้แก่ macrophages, neutrophils,<br />
eos<strong>in</strong>ophils, mast cells, lymphocytes และ plasma cells<br />
(บรรจบ ศรีภาและคณะ, 2548; Sripa et al., 2007) เซลล์<br />
อักเสบเหล่านี จะสร้าง nitric oxide และ oxygen free
วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553 59<br />
radicals ซึ งเมื อมีการสร้างสารเหล่านี ออกมาก็จะสามารถ<br />
ทําลายสารพันธุกรรมของเซลล์ได้โดยตรง หรือเป็นสารตัง<br />
ต้นในการสร้างสารก่อมะเร็ง N-nitroso compounds โดย<br />
กระบวนการ endogenous nitrosation ผ่านเอนไซม์ iNOS<br />
สารก่อมะเร็งเหล่านี จะถูกเมแทไลท์ให้กลายเป็น ultimate<br />
carc<strong>in</strong>ogen โดยเอนไซม์ P450 (CYP) ในตับ โดยเฉพาะ<br />
ชนิด CYP 2E1 และ CYP 2A6 (CYP จัดเป็น Phase I<br />
drug metaboliz<strong>in</strong>g enzyme) สารก่อมะเร็งนี จะสามารถไป<br />
ทําให้เกิด DNA adduct ในเซลล์เยื อบุท่อนํ าดีที มีกําลังมี<br />
การแบ่งเซลล์ เกิดการเปลี ยนแปลงของสารพันธุกรรมและ<br />
พัฒนาเป็นมะเร็งท่อนํ าดีในที สุด ลําดับเหตุการณ์การ<br />
เปลี ยนแปลง ไปเป็นมะเร็งท่อนํ าดีเชื อว่าเป็นแบบ<br />
“dysplasia carc<strong>in</strong>oma sequence” เนื องจากมีการพบรอย<br />
โรคเช่นนี ในเยื อบุท่อทางเดินนํ าดี ในตับบริเวณที ไม่ได้เป็น<br />
มะเร็งและส่วนที อยู ่ใกล้บริเวณที เริมเป็นมะเร็ง (บรรจบ<br />
ศรีภา และคณะ 2548; Sripa et al., 2007; พวงรัตน์<br />
ยงวนิช และสมชาย ปินลออ, 2548) สารก่อมะเร็งต่างๆ<br />
พบในอาหารประจําวัน เช่น ปลาร้า ปลาส้ม ปลาจ่อม และ<br />
อาหารหมักดองอื นๆ ซึ งมีรายงานการปนเปื อนของสารก่อ<br />
มะเร็งโดยเฉพาะกลุ่ม N-nitroso compounds หรือ<br />
precursors นอกจากนี หลักฐานจากการศึกษาใน<br />
สัตว์ทดลองว่าสารก่อมะเร็งกลุ่มนี สามารถชักนําให้เกิด<br />
มะเร็งเซลล์ตับและ มะเร็งท่อนํ าดีได้ (ภาพที 10) วิทยา<br />
ธรรมวิทย์และคณะ ได้ศึกษาวิจัยในสัตว์ทดลองโดยการให้<br />
สารก่อมะเร็ง dimethylnitrosam<strong>in</strong>e ขนาด 25 ppm ในนํ า<br />
ดื มร่วมกับการติดเชื อพยาธิใบไม้ตับ 100 metacercariae<br />
ในหนูแฮมสเตอร์ และพบว่าสามารถชักนําให้เกิดมะเร็งท่อ<br />
นํ าดีได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่พบในกลุ่มที ให้พยาธิใบไม้ตับ<br />
หรือสารก่อมะเร็งอย่างเดียว (Thamavit et al., 1978)<br />
ภาพที 10 แสดงกลไกการเกิดพยาธิสภาพและความสัมพันธ์ของการเกิดมะเร็งท่อนํ าดี เมื อมีการติดเชื อพยาธิใบไม้ตับจะ<br />
เกิดการทําลายเซลล์เยื อบุท่อทางเดินนํ าดีจากการสัมผัสกับตัวพยาธิและ/หรือเกิดจากการกระตุ้นจากสารคัดหลัง<br />
จากพยาธิโดยตรง เกิด epithelial hyperplasia, goblet cell metaplasia และ adenomatous hyperplasia มีเซลล์<br />
อักเสบจํานวนมากรอบๆ ท่อทางเดินนํ าดี เซลล์อักเสบจะสร้าง nitric oxide และ oxygen free radicals สามารถ<br />
ทําลายสารพันธุกรรม หรือเป็นสารตังต้นในการสร้างสารก่อมะเร็ง N-nitroso compounds โดยกระบวนการ<br />
endogenous nitrosation เกิดการเปลี ยนแปลงของสารพันธุกรรมและ พัฒนาเป็นมะเร็งท่อนํ าดีในที สุด นอกจากนี<br />
แล้วยังมีสารก่อมะเร็งกลุ่ม N-nitroso compounds (exogenous nitrosation) พบในอาหารพวก ปลาร้า ปลาส้ม<br />
ปลาจ่อม และอาหารหมักดอง สารก่อมะเร็งกลุ่มนี สามารถชักนําให้เกิด มะเร็งท่อนํ าดี (ดัดแปลงจาก Sripa et al.,<br />
2007)
60 วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553<br />
การตรวจวินิจฉัยโรคพยาธิใบไม้ตับ<br />
การตรวจวินิจฉัยโรคทําได้โดยการตรวจหาไข่พยาธิ<br />
ในอุจจาระดูภาพไข่พยาธิ ซึ งเป็นวิธีการที ง่าย ประหยัด<br />
แต่มีความจําเป็นต้องใช้ความชํานาญ วิธีที นักวิจัยพยายาม<br />
พัฒนากันขึ นมาสําหรับการตรวจวินิจฉัย คือการตรวจหา<br />
ระดับแอนติบอดี แอนติเจนในสารคัดหลังต่างๆ รวมทังการ<br />
พัฒนาวิธีทางชีวโมเลกุล ซึ งให้ผลที มีความไวสูง แต่ก็ยังมี<br />
ปัญหาในด้านราคาแพง ในอดีตจนถึงปัจจุบันได้พยายาม<br />
พัฒนาวิธีการตรวจวินิจฉัยโรคพยาธิใบไม้ตับ โดยเฉพาะ<br />
ในรายที การติดเชื อน้อยๆ หรือมีการอุดตันของท่อทางเดิน<br />
นํ าดีทําให้ไม่สามารถตรวจพบไข่พยาธิในอุจจาระได้<br />
(Sithithaworn et al., 1991) การตรวจหาแอนติเจนของ<br />
พยาธิในอุจจาระก็เป็นอีกวิธีหนึ งที มีกลุ่มนักวิจัยได้<br />
พยายามที จะทําการศึกษาและพัฒนาแต่ก็พบว่ายังไม่<br />
เหมาะสม (Chaicumpa et al., 1992; Siris<strong>in</strong>ha et al.,<br />
1995) การตรวจหาแอนติบอดีที จําเพาะต่อพยาธิใบไม้ตับ<br />
ในผู้ ป่ วยนั นได้ มี ความพยายามนํ ามาใช้<br />
(Wongratancheew<strong>in</strong> et al., 1988; Elk<strong>in</strong>s et al., 1990;<br />
Siris<strong>in</strong>ha et al., 1991; Akai et al., 1995) เช่นวิธี<br />
immunoelectrophoresis โดยใช้แอนติเจนชนิดสกัดอย่าง<br />
หยาบมาเป็นตัวตรวจจับแอนติบอดีในผู้ที ติดเชื อแต่ก็พบว่า<br />
เกิดปฏิกิริยาข้ามกับโรค gnathostomiasis และ<br />
schistosomiasis (Janechaiwat et al., 1980) อีกวิธีคือ<br />
Indirect haemagglut<strong>in</strong>ation ก็ได้พัฒนาเพื อตรวจหา<br />
แอนติบอดีแต่ก็ยังไม่ได้ผลเท่าที ควร (Siris<strong>in</strong>ha et al.,<br />
1983b) อีกวิธีที มีการใช้ในห้องปฏิบัติการบ้างคือ Enzyme<br />
l<strong>in</strong>ked Immunosorbent Assay (ELISA) ซึ งวีธีการตรวจ<br />
ด้วยวิธีนี ได้ผลดีแต่ว่าปัญหาในการแยกแยะระหว่างผู้ที ติด<br />
เชื อปัจจุบันกับผู้ที เคยติดเชื อหรือผู้ที ได้รับการรักษาให้<br />
หายด้วยยาแล้วนัน ยังให้ค่าผลบวกปลอม เนื องจากระดับ<br />
แอนติบอดีของผู้ป่วยจะยังคงมีอยู ่ (Feldheim and<br />
Knobloch, 1982; Akai et al., 1995; Srivatanakul et al.,<br />
1985; Wongratanacheew<strong>in</strong> et al., 1988a;<br />
Poopyruchpong et al., 1990). ในช่วงระยะเวลา 5 ปี<br />
ย้อนหลังมานี มีนักวิจัยหลายกลุ่มได้พัฒนาการตรวจ<br />
วินิจฉัยทางชีวโมเลกุลโดยเฉพาะวิธี polymerase cha<strong>in</strong><br />
reaction (PCR) ซึ งนํามาประยุกต์ใช้ในการตรวจหาชิ น<br />
DNA ในอุจจาระของสัตว์ทดลองและผู้ป่วย ซึ งให้ผลที มี<br />
ความไวและความจําเพาะสูง (Wongratanacheew<strong>in</strong> et al.,<br />
2001; 2002) ขณะที Eursitthichai et al. (2004) ได้พัฒนา<br />
และนําโปรตีน OV28GST มาตรวจวินิจฉัยโรคก็ได้ผลการ<br />
ศึกเป็นที น่าพอใจ แต่อย่างไรก็ตามเกี ยวกับด้านชีวโมลกุล<br />
ถึงแม้ว่าจะให้ค่าความไวและความจําเพาะสูงแต่ก็ยังต้องมี<br />
การทดลองในพื นที ระบาด และศึกษาเกี ยวกับต้นทุน<br />
จุดคุ้มทุน รวมถึงจําเป็นต้องมีผู้เชี ยวชาญประจํา<br />
ห้องปฏิบัติการด้วย ดังนันวิธีที เหมาะสมและยังใช้ใน<br />
ปัจจุบันก็ยังเป็นการตรวจหาไข่พยาธิโดยใช้วิธีต่างๆเพื อ<br />
เพิมประสิทธิภาพ เช่น Modified formal<strong>in</strong> ethyl-acetate<br />
concentration technique, modified Stoll dilution egg<br />
count technique หริอ Katz’s modified thick smear<br />
technique (Katz et al., 1972) เป็นต้น วิธีการเหล่านี เป็น<br />
การปฏิบัติง่ายๆ ต้นทุนตํ า เพียงแต่ว่าผู้ตรวจทาง<br />
ห้องปฏิบัติการจะต้องแม่นยําในการจําแนกไข่พยาธิใบไม้<br />
ตับออกจากพยาธิใบไม้ลําไส้ขนาดเล็ก<br />
การควบคุมและป้ องกันโรคพยาธิใบไม้ตับ<br />
สําหรับการป้องกันการติดโรคพยาธิใบไม้ตับ สิงที<br />
ควรปฏิบัติ คือ ให้ประชาชนเข้าใจถึงวงจรชีวิตของพยาธิ<br />
และการป้องกันไม่ถ่ายอุจจาระเรี ยราด ไม่เป็นที เป็นทาง<br />
โดยเฉพาะอย่างยิงการถ่ายลงนํ า เพิมศักยภาพของชุมชน<br />
ในการพึ งตนเอง และเสริมสร้างความเข้มแข็งให้กับ<br />
เครือข่ายของระบบสาธารณสุขของประเทศ ในด้าน<br />
นโยบายในการควบคุมโรค ควรเน้นผลการลดอุบัติการณ์<br />
ในระยะยาว ทําลายหอยนํ าจืดตัวกลาง รวมถึงการสํารวจ<br />
อุบัติการณ์ของโรคเป็นประจํา ซึ งเป็นการค้นหาผู้ป่วยเชิง<br />
รุก เมื อพบแล้วก็ให้การรักษา ซึ งยาที มีประสิทธิภาพที สุด<br />
ตอนนี ก็คือยา praziquantel การส่งเสริมสุขภาพโดยทัวไป<br />
โดยการส่งเสริมการบริโภคอาหารที มีประโยชน์ เพื อลด<br />
ความเสี ยงในการเป็นโรค เลิกการรับประทานปลาดิบๆ<br />
สุกๆ และมุ่งประเด็นไปที การทําอย่างไรประชาชนจึงจะมี<br />
พฤติกรรมการบริโภคที ปลอดภัย ซึ งความปลอดภัยนี จะ<br />
รวมไปถึงการบริโภคที ถูกสุขลักษณะ ไม่บริโภคปลาดิบ<br />
หรืออาจจะหาวิธีการบริโภคปลาดิบที ปลอดภัย คล้ายกับ<br />
การบริโภคปลาดิบของประเทศญี ปุ่น<br />
บทสรุป<br />
พยาธิใบไม้ตับยังคงเป็นปัญหาที สําคัญทางด้าน<br />
สาธารณสุขของประเทศไทย คนและสัตว์ติดเชื อพยาธิโดย<br />
กินปลาที มีระยะติดต่อ เช่น ก้อยปลา ปลาส้ม ปลาจ่อม<br />
ปลาร้าดิบ ผู้ป่วยระยะแรกๆมักจะไม่มีอาการ เมื อมีพยาธิ<br />
สะสมมากๆ เป็นเวลานานจะทําให้เกิดอาการท้องอืด แน่น<br />
ท้อง เจ็บบริเวณชายโครงขวา ถ้าปล่อยไว้นานๆ จะมี
วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553 61<br />
อาการอักเสบของท่อนํ าดี ดีซ่าน ตับโต มีไข้ ระยะสุดท้าย<br />
ของโรค ผู้ป่วยจะผอมซีด บวม มีนํ าในช่องท้องหรือ<br />
ท้องมาน และเกิดมะเร็งท่อนํ าดี จากข้อมูลการศึกษาทังใน<br />
สัตว์ทดลองและมนุษย์ สถาบันวิจัยโรคมะเร็งนานาชาติได้<br />
สรุปว่า พยาธิใบไม้ตับเป็นสาเหตุของมะเร็งท่อนํ าดีตับใน<br />
คน และพบว่าประเทศไทยมีอุบัติการณ์ของโรคมะเร็งท่อ<br />
นํ าดีสูงที สุดในโลก กลุ่มผู้ป่วยด้วยโรคพยาธิใบไม้ตับที<br />
สําคัญคือวัยทํางาน มักพบในเพศชายมากกว่าเพสหญิง<br />
และพบในกลุ่มอาชีพเกษตรกร ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br />
และภาคเหนือ เป็นพื นที ที มีการรายงานการระบาดตลอด<br />
จากข้อมูลอดีตจนถึงปัจจุบันนี จําเป็นอย่างยิงที ยังต้องมี<br />
การรณรงค์การงดรับประทานอาหารดิบๆ สุกๆ ควบคู ่กับ<br />
การให้ความรู้เรื องของมะเร็งท่อนํ าดีเพื อลดอัตราการ<br />
เจ็บป่วยด้วยโรคดังกล่าว<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
การุณ ชนะชัย. 2548. สรุปรายงานการเฝ้ าระวังโรค:<br />
โรคพยาธิใบไม้ตับ. สํานักระบาดวิทยา กรม<br />
ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข, 366-369.<br />
ณรงค์ขันตีแก้ว. 2548. “มะเร็งท่อนํ าดี<br />
(cholangiocarc<strong>in</strong>oma)”. ศรีนครินทร์เวชสาร,<br />
20, 143-149.<br />
นัฐพนธ์ เอกรักษ์รุ่งเรือง. 2549. สรุปรายงานการเฝ้ า<br />
ระวังโรค: โรคพยาธิใบไม้ตับ. สํานักระบาด<br />
วิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข,<br />
287-293<br />
บรรจบ ศรีภา, พวงรัตน์ ยงวนิชย์ และชวลิต ไพโรจน์กุล.<br />
2548. “สาเหตุและกลไกลการเกิดโรคมะเร็งท่อ<br />
นํ าดี: ปฐมบทความสัมพันธ์กับพยาธิใบไม้ตับ”.<br />
ศรีนครินทร์เวชสาร, 20, 122-134.<br />
ไพบูลย์ สิทธิถาวร. 2548. “บทบาทของพยาธิใบไม้ตับต่อ<br />
การเกิดมะเร็งท่อนํ าดีในสถานการณ์ปัจจุบัน”. ศรี<br />
นครินทร์เวชสาร, 20, 135-142.<br />
พวงรัตน์ ยงวนิชและสมชาย ปินลออ. 2548. “กลไกการ<br />
ก่อมะเร็งท่อนํ าดีโดยอนุมูลอิสระจากพยาธิใบไม้<br />
ตับ”. ศรีนครินทร์เวชสาร, 20, 150-155.<br />
สํานักระบาดวิทยา. 2550. รางานการเฝ้ าระวังโรค: โรค<br />
พยาธิใบไม้ตับ 1 มกราคม 2550-26<br />
พฤศจิกายน 2550.สํานักระบาดวิทยา กรม<br />
ควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข.<br />
อัสดง วรรณจักร และพจมาน ศิริอารยาภรณ์. 2546. สรุป<br />
รายงานการเฝ้ าระวังโรค: โรคพยาธิใบไม้ตับ.<br />
สํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวง<br />
สาธารณสุข, 359-365.<br />
อัสดง วรรณจักรและพจมาน ศิริอารยาภรณ์. 2547. สรุป<br />
รายงานการเฝ้ าระวังโรค: โรคพยาธิใบไม้ตับ.<br />
สํานักระบาดวิทยา กรมควบคุมโรค กระทรวง<br />
สาธารณสุข, 349-352.<br />
Akai PS, Pungpak S, Chaicumpa W, Kitikoon V,<br />
Ruangkunaporn Y, Bunnag D, Befus AD.<br />
1995. “Serum antibody responses <strong>in</strong><br />
opisthorchiasis”. Int J Parasitol, 25, 971-973.<br />
Ash L. R., Oreil T. C., 2007, Ash&Orihel’s Atlas of<br />
Human Parasitology. 5 th Edition. ASCP<br />
Press, Chicago: 330-331<br />
Chaicumpa W., Ybanez L., Kitikoon V., Pungpa S.,<br />
Ruangkunaporn Y., Chongsa-nguan, M.,<br />
Sormani S., 1992. “Detection of Opisthorchis<br />
viverr<strong>in</strong>i antigens <strong>in</strong> stools us<strong>in</strong>g specific<br />
monoclonal antibody”. Int J Parasitol, 22,<br />
527–531.<br />
Chernrungroj G., 2000, Risk factor for<br />
cholangiocarc<strong>in</strong>oma: a case control study:<br />
Doctoral Dissertation to the Faculty of the<br />
Graduate School, Yale University;<br />
Elk<strong>in</strong>s D. B., Haswell-Elk<strong>in</strong>s M. R., Mairiang E., 1990.<br />
“A high frequency of hepatobiliary disease<br />
and suspected CCA associated with heavy<br />
Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i <strong>in</strong>fection <strong>in</strong> a small<br />
community <strong>in</strong> northeast <strong>Thailand</strong>”. Trans R<br />
Soc Trop Med Hyg, 84, 715-719.<br />
Eursitthichai V., Viyanant V., Vichasri-Grams S.,<br />
Sobhon P., Tesana S., Upatham S. E.,<br />
Hofmann A., Korge G., Grams R., 2004.<br />
“Molecular clon<strong>in</strong>g and characterization of a<br />
glutathione S-transferase encod<strong>in</strong>g gene from<br />
Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i”. Asian Pac J Allergy<br />
Immunol, 22, 219-228.<br />
Feldheim, W., Knobloch, J., 1982. “Serodiagnosis of<br />
opisthorchisviverr<strong>in</strong>i <strong>in</strong>festation by an enzyme
62 วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553<br />
immuno-assay”. Trop Med Parasitol, 33, 8–<br />
10.<br />
Haswell-Elk<strong>in</strong>s M. R., Elk<strong>in</strong>s D. B., Sithithaworn P.,<br />
Treesarawat P., Kaewkes S., 1991.<br />
“Distribution patterns of Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i<br />
with<strong>in</strong> a human community”. Parasitology,<br />
103, 97-101.<br />
Honjo S., Srivatanakul P., Sriplung H., Kikukawa H.,<br />
Hanai S., Uchida K., Todoroki T.,<br />
Jedpiyawongse A., Kittiwatanachot P., Sripa<br />
B., Deerasamee S., Miwa M., “Genetic and<br />
environmental determ<strong>in</strong>ants of risk for<br />
cholangiocarc<strong>in</strong>oma via Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i<br />
<strong>in</strong> a densely <strong>in</strong>fested area <strong>in</strong> Nakhon<br />
Phanom, northeast <strong>Thailand</strong>”. 2005. Int J<br />
Cancer. Jun 14 [epub]<br />
IARC. Schistosomes, liver flukes and Helicobacter<br />
pylori. IARC Work<strong>in</strong>g Group on the<br />
Evaluation of Carc<strong>in</strong>ogenic Risks to Humans.<br />
Lyon, 7-14 June 1994.<br />
Janechaiwat J., Tharavanij S., Vajrasthira S.,<br />
Chaicumpa W., 1980. “The immunological<br />
diagnosis of human opisthorchiasis and the<br />
humoral immune response to opisthorchis<br />
<strong>in</strong>fection <strong>in</strong> the hamster”. J Med Assoc Thai,<br />
63, 439–447.<br />
Jongsuksuntigul P., Imsomboon T., 2003.<br />
“Opisthorchiasis control <strong>in</strong> <strong>Thailand</strong>”. Acta<br />
Trop, 88, 229-232.<br />
Kaewkes S., 2003. “Taxonomy and biology of liver<br />
flukes”, Acta Trop; 88, 177-186<br />
Katz M., Chaves A., Pellegr<strong>in</strong>o J., 1972. “A simple<br />
device for quantitative stool thick smear<br />
technique <strong>in</strong> Schistosoma mansoni”, Rev Inst<br />
Med Trop Sao Paulo 379-99.<br />
Leiper R. T., 1911. “Notes of the occurrence of<br />
parasites presumably rare <strong>in</strong> man”. J London<br />
School Trop Med, 1, 16–19<br />
Park<strong>in</strong> D. M., Srivatanakul P., Khlat M., Chenvidhya<br />
D., Chotiwan P., Insiripong S., L'Abbe K. A.,<br />
Wild C. P., 1991. “<strong>Liver</strong> cancer <strong>in</strong> <strong>Thailand</strong>. I.<br />
A case-control study of cholangiocarc<strong>in</strong>oma”.<br />
Int J Cancer 48, 323-8.<br />
Poopyruchpong N., Viyanant V., Upatham E. S.,<br />
Srivatanakul P., 1990. “Diagnosis of<br />
opisthorchiasis by enzyme-l<strong>in</strong>ked<br />
immunoprecipitation assay us<strong>in</strong>g partially<br />
purified antigens”. Asian Pac J Allergy<br />
Immunol, 8, 27–31.<br />
Prommas C., 1927. “Report of a case of Opisthorchis<br />
fel<strong>in</strong>eus <strong>in</strong> Siam”. Ann Trop Med Parasitol,<br />
21, 9-10.<br />
Sadun E. H. 1955. “Studies on Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i<br />
<strong>in</strong> <strong>Thailand</strong>”. Am J Hyg, 62, 81–115<br />
Siris<strong>in</strong>ha S., Tuti S., Vichasri S., Tawats<strong>in</strong> A., 1983b.<br />
“Humoral immune responses <strong>in</strong> hamsters<br />
<strong>in</strong>fected with Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i”.<br />
Southeast Asian J Trop Med Publ Health,<br />
14, 243–251.<br />
Siris<strong>in</strong>ha S., Chawengkirttikul R., Sermswan, R.,<br />
1991a. “Immunodiagnosis of opisthorchiasis”.<br />
Southeast Asian J Trop Med Publ Health,<br />
22, 179–183.<br />
Siris<strong>in</strong>ha S., Chawengkirttikul R., Haswell-Elk<strong>in</strong>s M.<br />
R., Elk<strong>in</strong>s D. B., Kaewkes S., Sithithaworn P.,<br />
1995. “Evaluation of a monoclonal antibodybased<br />
enzyme-l<strong>in</strong>ked immunosorbent assay<br />
for the diagnosis of Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i<br />
<strong>in</strong>fection <strong>in</strong> endemic area”. Am J Trop Med<br />
Hyg, 52, 521–524.<br />
Sithithaworn P., Tesana S., Pipitgool V., 1991.<br />
“Relationship between faecal egg count and<br />
worm burden of Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i <strong>in</strong><br />
human autopsy cases”. Parasitol, 102, 227-<br />
281.<br />
Sripa B., Kaewkes S., Sithithaworn P., Mairiang E.,<br />
Laha T, Smout M., Pairojkul C.,<br />
Bhudhisawasdi V., Tesana S., Th<strong>in</strong>kamrop B.,<br />
Bethony J. M., Loukas A., Br<strong>in</strong>dley P. J.,
วารสารวิชาการ มอบ. ปีที 12 ฉบับที 1 มกราคม – เมษายน 2553 63<br />
2007. “<strong>Liver</strong> fluke <strong>in</strong>duces<br />
cholangiocarc<strong>in</strong>oma”. PLoS Med, 4 e201<br />
Srivatanakul P., Viyanant V., Kurathong S., Tiwaweeh<br />
D., 1985. “Enzyme-l<strong>in</strong>ked immunosorbent<br />
assay for detection of Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i<br />
<strong>in</strong>fection”. Southeast Asian J Trop Med Publ<br />
Health, 16, 234–239.<br />
Srivatanakul P., Ohshima H., Khlat M., Park<strong>in</strong> M.,<br />
Sukaryodh<strong>in</strong> S. 1991. “Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i<br />
<strong>in</strong>festation and endogenous nitrosam<strong>in</strong>es as<br />
risk factors for cholangiocarc<strong>in</strong>oma <strong>in</strong><br />
<strong>Thailand</strong>”. Int J Cancer, 48, 821–825<br />
Thamavit W., Bhamarapravati N., Sahaphong<br />
S,Vasrasthira S., Angsubhakorn S., 1978.<br />
“Effects of Dimethylnitrosam<strong>in</strong>e on Induction<br />
of cholangiocarc<strong>in</strong>oma <strong>in</strong> Opisthorchis<br />
Viverr<strong>in</strong>i- Infected Syrian golden Hamsters”.<br />
Cancer Res, 38, 52-58.<br />
Thamavit W., Kongkanunt R., Tiwwech D., Moore M.<br />
A., 1978. “Level of Opisthorchis <strong>in</strong>festation<br />
and carc<strong>in</strong>ogen dose-dependence of<br />
cholangiocarc<strong>in</strong>oma <strong>in</strong>duction <strong>in</strong> Syrian<br />
golden hamsters”. Virchows Arch B, 54,<br />
4634-4639.<br />
Thuwajit C., Thuwajit P., Kaewkes S., Sripa B.,<br />
Uchida K., Miwa M., Wongkham S., 2004.<br />
“Increased cell proliferation of mouse<br />
fibroblast NIH-3T3 <strong>in</strong> vitro <strong>in</strong>duced by<br />
excretory/secretory product(s) from<br />
Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i”. Parasitology, 129,<br />
455-64.<br />
Vatanasapt V., Mart<strong>in</strong> N., Sriplung S., Ch<strong>in</strong>davijak K.,<br />
Sontipong S., Sriamporn S., 1995. “Cancer<br />
<strong>in</strong>cidence <strong>in</strong> <strong>Thailand</strong> 1988-1991”. Cancer<br />
Epidemiol Biomarkers Prev, 4,475-483.<br />
Viranuvatti V., Kasamsant, D. & Bhamarapravati, N.<br />
1995. “Retention cyst of liver caused by<br />
opisthorchiasis associated with<br />
cholangiocarc<strong>in</strong>oma”. Am J Gastroenterol,<br />
23,442-446.<br />
Viranuvatti V. S., Har<strong>in</strong>asuta C., 1959. Primary<br />
carc<strong>in</strong>oma of the liver. Analysis of 90<br />
cases. Baltimore: Willams and Wilk<strong>in</strong>s, USA<br />
Wongratanacheew<strong>in</strong> S., Bunnag D., Vaeusorn N.,<br />
Siris<strong>in</strong>ha S., 1988a. “Characterization of<br />
humoral immune response <strong>in</strong> the serum and<br />
bile of patients with opisthorchiasis and its<br />
application <strong>in</strong> immunodiagnosis”. Am J Trop<br />
Med Hyg, 38, 356–362.<br />
Wongratanacheew<strong>in</strong> S., Charupatana C., Bunnag D.,<br />
Siris<strong>in</strong>ha S., 1988b. “Effect of praziquantel<br />
treatment on antibody levels and<br />
lymphoproliferative responses <strong>in</strong> patients with<br />
opisthorchiasis”. Southeast Asian J Trop<br />
Med Publ Health, 19, 109–116.<br />
Wongratanacheew<strong>in</strong> S., Good M. F., Sithithaworn<br />
P., Haswell-Elk<strong>in</strong>s M. R., 1991. “Molecular<br />
analysis of T and B cell repertoires <strong>in</strong> mice<br />
immunized with Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i<br />
antigens”. Int J Parasitol, 21, 719-721.<br />
Wongratanacheew<strong>in</strong> S., Pumidonm<strong>in</strong>g W., Sermswan<br />
R., Maleewong W., 2001. “Development of a<br />
PCR-based method for the detection of<br />
Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i <strong>in</strong> experimentally<strong>in</strong>fected<br />
hamsters”. Parasitol, 122, 175–180.<br />
Wongratanacheew<strong>in</strong> S., Pumidonm<strong>in</strong>g W., Sermswan<br />
R. W., Pipitgool V., Maleewong W. 2002.<br />
“Detection of Opishorchis viverr<strong>in</strong>i <strong>in</strong> human<br />
stool specimens by PCR”. J Cl<strong>in</strong> Microbiol,<br />
40, 3879–3880.<br />
Wykoff D. E., Har<strong>in</strong>asuta C., Juttijudata P., W<strong>in</strong>n M.<br />
M. 1965. “Opisthorchis viverr<strong>in</strong>i <strong>in</strong> <strong>Thailand</strong>the<br />
life cycle and comparison with O.<br />
fel<strong>in</strong>eus”. J Parasitol , 51, 207–214