20.04.2014 Views

คู่มือการวิจัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม

คู่มือการวิจัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม

คู่มือการวิจัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม

SHOW MORE
SHOW LESS

You also want an ePaper? Increase the reach of your titles

YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.

คู่มือการวิจัย<br />

มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

จัดท าโดย ส านักวิจัย<br />

พ.ศ. 2554


2<br />

ค าน า<br />

เอกสารคู่มือการวิจัยเล่มนี้ ส านักวิจัย มหาวิทยาลัยศรีปทุมจัดท าขึ้นเพื่อให้คณาจารย์และ<br />

บุคลากรของมหาวิทยาลัยได้ศึกษาและใช้เป็นแนวปฏิบัติในการด าเนินการวิจัยเกี่ยวกับการวิจัยได้ถูกต้อง<br />

ตามขั้นตอนต่างๆ ซึ่งมหาวิทยาลัยได้ก าหนดไว้<br />

เอกสารเล่มนี้ ประกอบด้วยส่วนส าคัญ 7 ส่วน ได้แก่<br />

ส่วนแรก ประกอบด้วยประกาศทุนประเภทต่างๆ เงื่อนไขและแนวปฏิบัติในการด าเนินการวิจัยที่<br />

และประกาศการสนับสนุนการเผยแพร่ผลงานวิจัยของมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

ส่วนที่สอง แบบฟอร์มวิจัย<br />

ส่วนที่สาม แนวทางการจัดท ารายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์<br />

ส่วนทีสี่ รูปแบบการเขียนอ้างอิง อัญพจน์ และบรรณานุกรม<br />

ส่วนที่ห้า รูปแบบการพิมพ์บทคัดย่อ<br />

ส่วนที่หก รูปแบบการพิมพ์รายงานวิจัย<br />

ส่วนที่เจ็ด จรรยาบรรณนักวิจัยมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

ส านักวิจัยหวังเป็นอย่างยิ่งว่าเอกสารคู่มือวิจัยเล่มนี้ จะอ านวยประโยชน์แก่คณาจารย์และ<br />

บุคลากรของมหาวิทยาลัย ในการติดต่อกับส านักวิจัยและการด าเนินงานต่างๆ เกี่ยวกับการวิจัย และหากมี<br />

ข้อบกพร่องประการใดในเอกสารเล่มนี้ ส านักวิจัยยินดีรับฟังข้อเสนอแนะ เพื่อน าไปพัฒนาแก้ไขปรับปรุง<br />

ให้ดียิ่งขึ้นในโอกาสต่อไป<br />

ส านักวิจัย<br />

มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

สิงหาคม 2554


3<br />

สารบัญ<br />

ส่วนที่ หน้า<br />

1. ประกาศประเภททุนที่มหาวิทยาลัยสนับสนุนและประกาศสนับ<br />

สนับสนุนการเผยแพร่ผลงานวิจัยมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

1.1 ประกาศมหาวิทยาลัยศรีปทุมเรื่อง หลักเกณฑ์การขอรับทุนท างาน 5<br />

วิจัยสถาบัน<br />

1.2 ประกาศหลักเกณฑ์การขอรับทุนวิจัยเพื่อพัฒนาการเรียนการสอน 7<br />

1.3 ประกาศมหาวิทยาลัยศรีปทุมเรื่อง หลักเกณฑ์การให้ทุนนักวิจัยรุ่นใหม่ 9<br />

ส าหรับบุคลากรภายใน<br />

1.4 ประกาศมหาวิทยาลัยศรีปทุมเรื่อง เกณฑ์การให้ทุนนักวิจัยที่มี 12<br />

ประสบการณ์ ส าหรับบุคลากรภายใน<br />

1.5 ประกาศมหาวิทยาลัยศรีปทุมเรื่อง เกณฑ์การให้ทุนสิ่งประดิษฐ์ 16<br />

ส าหรับบุคลากรภายใน<br />

1.6 ประกาศมหาวิทยาลัยศรีปทุมเรื่อง ก าหนดหลักเกณฑ์และอัตรา 20<br />

ค่าตอบแทนผลงานตีพิมพ์ในวารสารวิชาการระดับนานาชาติและ<br />

ระดับชาติ<br />

2. แบบฟอร์มวิจัย 24<br />

3. แนวทางการจัดท ารายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ 63<br />

4. รูปแบบการเขียนอ้างอิง อัญพจน์ และบรรณานุกรม 69<br />

5. รูปแบบการพิมพ์บทคัดย่อ 102<br />

6. ข้อแนะน าในการพิมพ์รายงานวิจัย 104<br />

7. จรรยาบรรณนักวิจัยมหาวิทยาลัยศรีปทุม 111<br />

ภาคผนวก<br />

ภาคผนวก ก. 113


4<br />

ส่วนที่ 1<br />

ประกาศประเภททุนที่มหาวิทยาลัยสนับสนุนและประกาศสนับ<br />

สนับสนุนการเผยแพร่ผลงานวิจัยมหาวิทยาลัยศรีปทุม


24<br />

ส่วนที่ 2<br />

แบบฟอร์มวิจัย


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

25<br />

แบบเสนอโครงการวิจัยส าหรับบุคลากรภายใน<br />

FM วจ.-01<br />

ข้อ 1 ชื่อโครงการ (ภาษาไทย) ...........................................................................................…...<br />

(ภาษาอังกฤษ) .....................................................................................….........<br />

ข้อ 2 ประเภทของงานวิจัย ...........................................................................................…...<br />

ข้อ 3 สาขาที่ท าการวิจัย ...........................................................................................…...<br />

ข้อ 4 ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือที่ปรึกษาโครงการวิจัย<br />

ชื่อ(ภาษาไทย)......................……............... (ภาษาอังกฤษ)…..................................................<br />

คุณวุฒิสูงสุด...............................……......... ต าแหน่ง.............……..........................................<br />

สถานที่ท างาน...................................................................................…………..…..................<br />

ประสบการณ์ในงานวิจัย (หรือมีความช านาญงานวิจัยด้านใด)...................................…..........<br />

ข้อ 5 คณะผู้ด าเนินงานวิจัย (เสนอเรียงล าดับเป็นหมายเลขจนครบทุกคนในคณะ)<br />

ชื่อ(ภาษาไทย)......................……............... (ภาษาอังกฤษ)…..................................................<br />

คุณวุฒิ (เรียงล าดับโดยเริ่มจากปริญญาตรีขึ้นไป).................................................................….<br />

ต าแหน่ง.............................................สถานที่ท างาน...............................................…………..<br />

ประสบการณ์ในงานวิจัย (หรือมีความช านาญงานวิจัยด้านใด).....................................………<br />

ประวัติการได้รับทุน................................................................................................…………..<br />

ผลงานวิจัยที่พิมพ์ออกเผยแพร่ (บอกผลงานที่ส าคัญๆ ไม่จ าเป็นต้องบอกครบทุกเรื่อง)...........<br />

ข้อ 6 รายละเอียดเกี่ยวกับโครงการวิจัยที่เสนอขอรับทุนอุดหนุนการวิจัย โดยละเอียด<br />

6.1 ความส าคัญและที่มาของการวิจัย<br />

(ระบุหลักการและเหตุผลซึ่งท าให้มีความจ าเป็นที่ต้องท าการวิจัยเรื่องนี้ และระบุกรอบ<br />

แนวคิดในการวิจัย หรือทฤษฎีที่รองรับการวิจัยเรื่องนี้)<br />

6.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />

(ระบุวัตถุประสงค์ หรือเป้าหมายของโครงการวิจัยให้ชัดเจน เรียงตามล าดับความส าคัญ<br />

เป็นข้อๆ)


26<br />

6.3 ค าถามการวิจัย<br />

(ระบุค าถามย่อยที่ต้องการค าตอบส าหรับการวิจัยเรื่องนี้เป็นข้อๆ ให้ชัดเจน ค าถามการวิจัย<br />

มีความจ าเป็นอย่างยิ่งส าหรับการวิจัยเชิงส ารวจ เพราะให้แนวทางในการวิเคราะห์ข้อมูล)<br />

6.4 สมมุติฐานการวิจัย (ถ้ามี)<br />

(ระบุสมมุติฐานการวิจัยทุกข้อที่ก าหนดไว้ การวิจัยเชิงส ารวจอาจไม่มีสมมุติฐานการวิจัย<br />

ส าหรับค าถามการวิจัยบางข้อก็ได้)<br />

6.5 ขอบเขตของการวิจัย<br />

(ระบุขอบเขตของงานวิจัยให้ครอบคลุม ดังต่อไปนี้)<br />

- กลุ่มเป้าหมาย หรือประชากร<br />

- เนื้อหาของการวิจัย<br />

- ระยะเวลา<br />

6.6 นิยามศัพท์เฉพาะ<br />

(ให้นิยามศัพท์เฉพาะตามที่จ าเป็นและเห็นสมควร)<br />

6.7 ประโยชน์ที่คาดว่าจะได้รับ<br />

(ระบุความคาดหมายของประโยชน์ที่จะได้รับจากโครงการวิจัย ว่าจะมีผลต่อการพัฒนาใน<br />

เรื่องใด และอย่างไรบ้าง)<br />

6.8 งานวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />

(ระบุงานวิจัยที่มีผู้ท าการวิจัยไว้แล้ว ซึ่งเกี่ยวข้องกับงานวิจัยเรื่องนี้ พร้อมทั้งชี้ให้เห็นว่า<br />

งานวิจัยเรื่องนี้จะเป็นการเพิ่มเติมความรู้ต่อจากงานวิจัยที่ผ่านมาแล้วอย่างไรบ้าง ทั้งนี้ เพื่อ<br />

ป้องกันการท าวิจัยซ้ าซ้อน)<br />

6.9 ระเบียบวิธีการวิจัย<br />

(ระบุรายละเอียดของการด าเนินงานวิจัยให้ครอบคลุมถึงสิ่งต่อไปนี้โดยละเอียดและชัดเจน)<br />

- แบบแผนทางการวิจัย<br />

- ขั้นตอนการด าเนินงาน<br />

- ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง<br />

- เครื่องมือการวิจัย<br />

- การรวบรวมข้อมูล<br />

- การวิเคราะห์ข้อมูล


27<br />

6.10 แผนการด าเนินงานตลอดโครงการ<br />

(ระบุขั้นตอนและระยะเวลาของแผนการด าเนินงานวิจัยแต่ละขั้นตอนโดยละเอียด รวมทั้ง<br />

แผนภูมิแสดงระยะเวลาในการด าเนินงานภายในรอบปี ตามแบบตาราง)<br />

กิจกรรมการวิจัย<br />

เดือน<br />

1.<br />

2.<br />

3.<br />

4.<br />

ขั้นตอนการด าเนินงาน 1 2 3 4 5 6 7 8 9<br />

6.11 สถานที่ท าการวิจัย ทดลอง หรือเก็บข้อมูล<br />

(ระบุสถานที่ๆ จะใช้ท าการวิจัยให้ชัดเจน โดยระบุสถานที่ท าการทดลองหรือเก็บข้อมูล<br />

พร้อมทั้งเหตุผล)<br />

6.12 อุปกรณ์การวิจัย (ถ้ามี)<br />

(ระบุอุปกรณ์การวิจัยนอกเหนือจากเครื่องมือการวิจัยในข้อ 6.9 ตัวอย่างเช่น เครื่องมือ<br />

วิทยาศาสตร์ที่ต้องมีการจัดหา หรือสร้างขึ้นมาใหม่)<br />

6.13 งบประมาณค่าใช้จ่ายตลอดโครงการ<br />

(ระบุรายละเอียดงบประมาณค่าใช้จ่ายในการวิจัยรวมตลอดโครงการ แยกประเภทตาม<br />

หมวดค่าใช้สอย ค่าวัสดุ (ดังรายละเอียดที่แนบ))<br />

6.14 บรรณานุกรม<br />

(ระบุเอกสารที่ใช้อ้างอิงในการเขียนงานวิจัยที่เกี่ยวข้องในหัวข้อ 6.8 และเอกสารอื่นๆ ที่<br />

ใช้ค้นคว้าเพื่อการท าวิจัยเรื่องนี้ โดยเขียนเรียงล าดับตามรูปแบบการเขียนบรรณานุกรม)<br />

ข้อ 7 ค าชี้แจงเพิ่มเติม (ถ้ามี)<br />

(ระบุรายละเอียดอื่นๆ ที่จะช่วยให้การพิจารณาจัดสรรทุนอุดหนุนการวิจัยเป็นไปได้ชัดเจนยิ่งขี้น)<br />

1<br />

0<br />

1<br />

1<br />

1<br />

2


28<br />

ข้อ 8<br />

หลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติ<br />

ข้าพเจ้าเข้าใจ และยินดีปฏิบัติตามหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเกี่ยวกับทุนอุดหนุนงานวิจัย<br />

ของมหาวิทยาลัยศรีปทุมทุกประการ พร้อมนี้ได้ส่งแบบเสนอขอรับทุนอุดหนุนการวิจัย<br />

จ านวน……. ชุด ตามก าหนดในประกาศ มาประกอบการพิจารณา<br />

(ลงชื่อ)......................................................<br />

(.................................................)<br />

หัวหน้าโครงการวิจัย<br />

........../........../..........<br />

ข้อ 9<br />

ความเห็นของหัวหน้าภาค/หัวหน้าหน่วยงาน<br />

.............................................................……..........................................................................<br />

.............................................................……..........................................................................<br />

(ลงชื่อ)......................................................<br />

(.......….........................................)<br />

ต าแหน่ง………………………………....<br />

........../........../..........<br />

ข้อ 10 ความเห็นของคณบดี/ผู้อ านวยการส านัก<br />

O ไม่อนุญาตให้.............................................................…………………….ด าเนินการวิจัย<br />

เนื่องจาก.................................................................................................................…….<br />

………………………………………………………………………………………….<br />

O อนุญาตให้................................................……………..............ด าเนินการวิจัยตามกรอบ<br />

โครงร่างการวิจัยที่เสนอ และจะติดตามการด าเนินงานวิจัยจนแล้วเสร็จโครงการ<br />

(ลงชื่อ)......................................................<br />

(.......….........................................)<br />

ต าแหน่ง………………………………....<br />

........../........../..........


29<br />

หมวดค่าตอบแทน<br />

1. ค่าตอบแทนนักวิจัย<br />

แนวทางการจัดท าค่าใช้จ่ายของโครงการวิจัยที่เสนอขอรับทุนอุดหนุนงานวิจัย<br />

มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

รายการ<br />

จ านวน<br />

ลดพันธกิจ โครงการละ 15,000 บาท<br />

ไม่ลดพันธกิจ โครงการละ 48,000 บาท<br />

2. ค่าตอบแทนผู้ช่วยนักวิจัย 12,000 บาท<br />

หมวดค่าใช้สอย<br />

1. ค่าถ่ายเอกสาร ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 3,000 บาท<br />

2. ค่าผลิตเครื่องมือวิจัย (แบบสอบถาม, แบบทดสอบ)<br />

ฉบับละ 5 บาท ตามจ านวนกลุ่มตัวอย่าง ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 10,000 บาท<br />

3. ค่าเดินทางเพื่อรวบรวมข้อมูล<br />

3.1 ในกรุงเทพฯ ไม่เกิน 4,000 บาท<br />

3.2 จังหวัดปริมณฑล (รัศมีไม่เกิน 150 กิโลเมตร) ไม่เกิน 6,000 บาท<br />

3.3 จังหวัดอื่น ๆ ให้เบิกค่าพาหนะ ค่าเบี้ยเลี้ยง และค่าที่พัก<br />

ตามระเบียบการเดินทางไปปฏิบัติงานของมหาวิทยาลัย<br />

4. ค่าประมวลผลข้อมูลด้วยคอมพิวเตอร์ ไม่เกิน 15,000 บาท<br />

(ค านึงถึงจ านวนข้อมูลประกอบการพิจารณา)<br />

5. ค่าผลิตรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ และบทคัดย่อ โครงการละ 4,200 บาท<br />

6. ค่าจัดท ารูปเล่มรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ โครงการละ 1,000 บาท<br />

หมวดค่าวัสดุ<br />

1. ค่าวัสดุส านักงาน เหมาจ่าย ไม่เกิน 3,000 บาท<br />

2. ค่าไปรษณีย์ (แสตมป์, ซองจดหมาย) ตามที่จ่ายจริง ไม่เกิน 7,000 บาท<br />

(ค่าแสตมป์ และซอง (ไป-กลับ) ชุดละ 6 บาท (3บ. x 2))<br />

3. ค่าอุปกรณ์ หรือเครื่องมือการวิจัยที่ต้องจัดซื้อหรือจัดจ้าง<br />

ให้เป็นไปตามระเบียบของการจัดซื้อจัดจ้างของมหาวิทยาลัย


30<br />

FM วจ.-02<br />

มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

สัญญาขอรับทุนอุดหนุนการวิจัยส าหรับบุคลากรภายใน<br />

เขียนที่................................................<br />

วันที่....….....เดือน..........…..........พ.ศ. .....….......<br />

ข้าพเจ้า (นาย/นาง/นางสาว)..................………..............…………......... อายุ.............ปี สัญชาติ......................<br />

เชื้อชาติ...........…...................... สังกัดหน่วยงาน.............................................. โทรศัพท์.................................<br />

ที่อยู่.............................................................……………..........................…………………………………..... รหัส<br />

ไปรษณีย์.........…................. โทรศัพท์...................………………………...........................................….<br />

เป็นหัวหน้าโครงการวิจัยที่ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยของมหาวิทยาลัยศรีปทุม ประจ าปีการศึกษา........……. เพื่อ<br />

ท าการวิจัยเรื่อง (ภาษาไทย).....................................................................…………….…………...………<br />

.....................................................................................................................................……..…………………<br />

(ภาษาอังกฤษ).............................…………..................................................…………..………<br />

.........................................................................................................................……..………........……………<br />

ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่า ‚ผู้รับทุน‛ ยินยอมปฏิบัติตามสัญญาหลักเกณฑ์ข้อบังคับของมหาวิทยาลัย โดย<br />

อธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีปทุม ซึ่งต่อไปในสัญญานี้เรียกว่า "ผู้ให้ทุน" ดังมีข้อความต่อไปนี้<br />

ข้อ 1 ผู้รับทุนได้ทราบและเข้าใจหลักเกณฑ์ กฎ และข้อบังคับของผู้ให้ทุน ซึ่งมีอยู่แล้วขณะที่ท า<br />

สัญญานี้โดยตลอด ผู้รับทุนขอผูกพันยินยอมปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ กฎ และข้อบังคับดังกล่าว โดยเคร่งครัด<br />

ข้อ 2 ผู้รับทุนจะท าการวิจัยด้วยความวิริยะอุตสาหะให้ส าเร็จ ได้ผลสมความมุ่งหมายของผู้ให้ทุน<br />

หากเกิดอุปสรรคไม่สามารถท าการวิจัยได้ด้วยประการใดก็ดี ผู้รับทุนจะรายงานให้ผู้ให้ทุนทราบทันที และผู้รับทุน<br />

จะรายงานผลการวิจัยตรงตามเวลาและหลักเกณฑ์ที่ได้ก าหนดไว้<br />

ข้อ 3 ผู้รับทุนยินยอมปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับว่าด้วยการเบิกจ่ายเงิน และการส่งใบส าคัญโดย<br />

เคร่งครัดตามเวลาที่ก าหนดไว้ และผู้รับทุนจะใช้เงินทุนอย่างประหยัด มีประสิทธิภาพและให้เกิดประโยชน์สูงสุด<br />

ข้อ 4 ผู้รับทุนรับรองว่าทุก 4 เดือน นับแต่วันที่ได้ท าสัญญาขอรับทุนเป็นต้นไป จะส่งรายงาน<br />

ความก้าวหน้าตามโครงการที่ได้รับอนุมัติ และส่งรายงานสรุปผลเมื่อสิ้นปีของการได้รับทุน แม้ว่าการวิจัยนั้นจะยัง<br />

ไม่เสร็จสมบูรณ์ และเมื่อท าการวิจัยเสร็จสมบูรณ์ตามระยะเวลาที่ก าหนดในโครงการแล้ว จะส่งรายงานฉบับ<br />

สมบูรณ์ตามเงื่อนไขที่มหาวิทยาลัยก าหนด<br />

ข้อ 5 ผู้รับทุนยินยอมให้ลิขสิทธิ์ของผลการวิจัยที่ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยนี้ เป็นของผู้ให้ทุน<br />

นับตั้งแต่เริ่มต้นท าการวิจัยจนกระทั่งผลการวิจัยเสร็จสิ้น และนับต่อไปอีกเป็นระยะเวลา 3 ปี ก่อนที่จะถือเอา<br />

ลิขสิทธิ์นั้นเป็นของผู้รับทุน และเมื่อผู้รับทุนน าผลการวิจัยดังกล่าว ไปลงพิมพ์เผยแพร่ผู้รับทุนรับรอง ที่จะลง<br />

ข้อความแสดงกิตติกรรมประกาศว่า "โครงการวิจัยนี้ ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม" ทั้งนี้ใน<br />

ระยะเวลาดังกล่าว การเผยแพร่งานวิจัยผู้รับทุนต้องได้รับอนุญาตจากผู้ให้ทุนเป็นลายลักษณ์อักษร<br />

ข้อ 6 ในระยะเวลาที่ก าหนดในสัญญาฉบับนี้ ผู้รับทุนจะไม่รับทุนวิจัยในหัวข้อเรื่องเดียวกับทุนวิจัย<br />

ตามสัญญานี้ จากแหล่งทุนภายนอก หากผู้รับทุนฝ่าฝืนผู้ให้ทุนจะงดเว้นการให้ทุนตามสัญญานี้ทันที


ข้อ 7 ผู้ให้ทุนค านึงถึงจริยธรรมและจรรยาบรรณของนักวิชาการและนักวิจัยเป็นส าคัญ การคัดลอก<br />

ผลงานทางวิชาการของผู้อื่น หรือการกระท าใดๆ ที่ไม่เหมาะสมกับจริยธรรมหรือจรรยาบรรณ ให้ถือว่าเป็นการผิด<br />

สัญญาตามสัญญาฉบับนี้<br />

ข้อ 8 หากผู้รับทุนประพฤติผิดสัญญาข้อหนึ่งข้อใด หรือไม่อาจท าการวิจัยให้ลุล่วงตลอดไปตาม<br />

โครงการวิจัยที่ได้รับการจัดสรรเงินทุนอุดหนุนโดยผู้ให้ทุนพิจารณาเห็นว่าผู้รับทุนไม่มีเหตุผลอันสมควร ผู้ให้ทุน<br />

มีสิทธิบอกเลิกสัญญาฉบับนี้ได้ทันทีและมีสิทธิเรียกร้องเงินที่ได้มอบให้แก่ผู้รับทุนคืนทั้งหมด<br />

หนังสือสัญญานี้ท าขึ้นไว้ 2 (สอง) ฉบับ มีข้อความตรงกัน ผู้ให้ทุนถือไว้ 1 (หนึ่ง) ฉบับ และผู้รับทุนถือ<br />

ไว้ 1 (หนึ่ง) ฉบับ<br />

คู่สัญญาได้อ่านและเข้าใจข้อความในสัญญานี้โดยตลอดดีแล้ว จึงได้ลงลายมือชื่อไว้เป็นส าคัญต่อหน้าพยาน<br />

31<br />

(ลงชื่อ)....................................................................ผู้รับทุน<br />

(...................................................................)<br />

…………………………………………..<br />

(ลงชื่อ)........................................................พยาน<br />

(..........................................................)<br />

คณบดี/ผู้อ านวยการ……………………………………………….<br />

(ลงชื่อ)........................................................พยาน<br />

(..........................................................)<br />

ผู้อ านวยการส านักวิจัย<br />

(ลงชื่อ)........................................................พยาน<br />

(..........................................................)<br />

นิติกร<br />

(ลงชื่อ)....................................................................ผู้ให้ทุน<br />

(...................................................................)<br />

…………………………………………..<br />

ปฏิบัติหน้าที่แทนอธิการบดีมหาวิทยาลัยศรีปทุม


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

32<br />

แบบสัญญายืมเงินทุนอุดหนุนการวิจัยส าหรับบุคลากรภายใน<br />

FM วจ.-03<br />

สัญญาการยืมเงินทุนอุดหนุนการวิจัยมหาวิทยาลัยศรีปทุม เลขที่.............ประจ าปีการศึกษา........................<br />

งวดที่………… ยื่นต่อส านักวิจัย วันที่..………….….เดือน......…….………..........พ.ศ..…………….......<br />

ข้าพเจ้า (นาย/นาง/นางสาว)..............................................................………….......………...........................<br />

ต าแหน่ง...........….............................................สังกัดหน่วยงาน................................………........................<br />

หัวหน้าโครงการวิจัยเรื่อง…………………………………….......................................................................<br />

…...............................................................................................…………….................................................<br />

…...............................................................................................…………….................................................<br />

มีความประสงค์ขอยืมเงินทุนอุดหนุนการวิจัย เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการวิจัย ดังรายละเอียดต่อไปนี้<br />

1) หมวดค่าตอบแทน …………………………. บาท<br />

2) หมวดค่าใช้สอย …………………………. บาท<br />

3) หมวดค่าวัสดุ …………………………. บาท<br />

รวมเงิน …………………………. บาท<br />

(ตัวอักษร……………………………………………………………….……………………..)<br />

ข้าพเจ้าได้ยืมเงิน งวดที่…….…….ไปแล้ว เป็นจ านวนเงิน……………………...……บาท ยังคง<br />

เหลือเงินในโครงการอีก…………………………………………บาท<br />

ข้าพเจ้าสัญญาว่า จะปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ และสัญญาเกี่ยวกับการให้ทุนอุดหนุนการวิจัยของ<br />

มหาวิทยาลัยศรีปทุม และจะน าใบส าคัญคู่จ่ายที่ถูกต้อง พร้อมทั้งเงินเหลือจ่าย (ถ้ามี) ส่งใช้ภายหลังในก าหนดเวลา<br />

ในระเบียบการเบิกจ่ายเงินจากมหาวิทยาลัย คืนภายใน……….วัน นับแต่วันที่ได้รับเงินยืมนี้ ถ้าข้าพเจ้าไม่ส่งตาม<br />

ก าหนด ข้าพเจ้ายินยอมให้หักเงินเดือนค่าจ้าง หรือเงินอื่นใดที่ข้าพเจ้าจะพึงได้รับจากมหาวิทยาลัยชดใช้จ านวนเงิน<br />

ที่ยืมไปจนครบถ้วนได้ทันที<br />

(ลงชื่อ)..............................................ผู้ยืม<br />

(.................….…...................)<br />

หัวหน้าโครงการวิจัย<br />

วันที่……/…..…/….…<br />

(ลงชื่อ)..............................................ผู้รับเรื่อง<br />

(.................….…...................)<br />

เจ้าหน้าที่ส านักวิจัย<br />

วันที่……/…..…/….…


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

33<br />

การเสนอขออนุมัติ<br />

FM วจ.-04<br />

เรียน<br />

ประธานคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

ตามที่มหาวิทยาลัย ได้อนุมัติเงินทุนอุดหนุนการวิจัย ประจ าปีการศึกษา………….………….…….<br />

จ านวนทั้งหมดแล้วนั้น บัดนี้ข้าพเจ้า (นาย/นาง/นางสาว)………………………………………….…………<br />

หัวหน้าโครงการวิจัย<br />

เรื่อง…………………………………………............................……………………………………………<br />

……………………………………………………………………………………………………….……..<br />

……………………………………………………………………………………………………………...<br />

ใคร่ขอเบิกเงินทุนอุดหนุนการวิจัย งวดที่…….….. เป็นจ านวนเงิน……………………………………...บาท<br />

(ตัวอักษร…………………………………………………………………………………………………...)<br />

(ด้านล่างส าหรับเจ้าหน้าที่)<br />

(ลงชื่อ).....................................................<br />

(...................…....…………...........)<br />

หัวหน้าโครงการวิจัย<br />

วันที่………/………/……….<br />

ผู้วิจัยได้ ท าแบบสัญญายืมเงินทุนอุดหนุนการวิจัยมหาวิทยาลัยศรีปทุมแล้ว (FM วจ.-03)<br />

ผู้วิจัยได้ ส่งรายงานความก้าวหน้า ครั้งที่……………..แล้ว<br />

ผู้วิจัยได้ ส่งบันทึกการใช้เงิน งวดที่……………..แล้ว<br />

พิจารณาแล้วเห็นควรเบิกเงิน งวดที่…….. จ านวนเงิน………………….……….บาท ได้<br />

ลงชื่อ<br />

วันที่<br />

…………………………………………<br />

(………………………………………)<br />

กรรมการและผู้ช่วยเลขานุการ<br />

คณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

………..…. / ………..…. / …………...<br />

ลงชื่อ<br />

วันที่<br />

…………………………………………<br />

(………………………………………)<br />

กรรมการและเลขานุการ<br />

คณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

………..…. / ………..…. / …………...<br />

อนุมัติ ไม่อนุมัติ เนื่องจาก ………………………………………………………………….<br />

ลงชื่อ<br />

วันที่<br />

…………………………………………<br />

(………………………………………)<br />

ประธานคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

………..…. / ………..…. / …………...


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

34<br />

แบบรายงานความก้าวหน้าของการวิจัยส าหรับบุคลากรภายใน<br />

ครั้งที่…….. ปีการศึกษา……………..<br />

ระหว่างเดือน……………..………..ถึงเดือน…………………..……<br />

FM วจ.-05<br />

ชื่อโครงการ ภาษาไทย …………………………………………………………........……………...<br />

…………………………………………………………........……………...<br />

ภาษาอังกฤษ ……………………………………………………………………………...<br />

……………………………………………………………………………...<br />

1. วัตถุประสงค์ของโครงการ (โดยสรุป)<br />

2. แผนการด าเนินงาน (ดังเอกสารแนบ)<br />

3. ผลงานวิจัยที่ได้ท าไปแล้วในงวดนี้ (โดยละเอียดจากแผนการด าเนินงานวิจัยแต่ละขั้นตอน)<br />

4. การใช้จ่ายงบประมาณ<br />

งบประมาณที่ได้รับ งบประมาณที่ใช้ไป<br />

หมวดค่าตอบแทน<br />

-………………………. …………………. บาท …………………. บาท<br />

หมวดค่าใช้สอย<br />

-………………………. …………………. บาท …………………. บาท<br />

-…………………….... …………………. บาท …………………. บาท<br />

หมวดค่าวัสดุ<br />

-…………………….... …………………. บาท …………………. บาท<br />

-…………………..….. …………………. บาท …………………. บาท<br />

5. งานตามโครงการที่จะท าในงวดต่อไป<br />

6. ค าชี้แจงและปัญหาอุปสรรค (ถ้ามีให้ชี้แจง)<br />

7. ถ้าผู้ด าเนินการวิจัยได้มีการเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ต้องแจ้งให้ทราบดังนี้<br />

ชื่อผู้ท าวิจัย ชื่อผู้ท าวิจัย หน่วยงาน<br />

1)…………………..(ลาออก) ………………….(ท าหน้าที่แทน) ………………….<br />

2)…………………..(ลาออก) ………………….(ท าหน้าที่แทน) ………………….<br />

3)…………………..(ลาออก) ………………….(ท าหน้าที่แทน) ………………….<br />

ลงชื่อ<br />

วันที่<br />

…………………………………………<br />

(………………………………………)<br />

หัวหน้าโครงการวิจัย<br />

………..…. / ………..…. / …………...


35<br />

เอกสารแนบรายงานความก้าวหน้าของงานวิจัย<br />

รายละเอียดของการรายงานความก้าวหน้าของการวิจัย ครั้งที่ 1<br />

ในการรายงานความก้าวหน้าของงานวิจัยครั้งที่ 1 ผู้วิจัยจะต้องเสนอร่างบทที่ 1 และบทที่ 2 ของ<br />

รายงานการวิจัย พร้อมกับเสนอร่างฉบับแรกของเครื่องมือมาให้คณะกรรมการพัฒนางานวิจัยพิจารณา<br />

รายละเอียดของ บทที่ 1 และบทที่ 2 มีดังนี้<br />

บทที่ 1 บทน า<br />

- ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา<br />

- วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />

- ค าถามการวิจัย<br />

- สมมุติฐานการวิจัย<br />

- ขอบเขตการวิจัย<br />

- นิยามศัพท์<br />

บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง<br />

- ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่วิจัย<br />

- ทฤษฏีรองรับเรื่องที่วิจัย<br />

- ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />

- สรุป<br />

รายละเอียดของการรายงานความก้าวหน้าของการวิจัย ครั้งที่ 1<br />

ในการรายงานความก้าวหน้าของงานวิจัยครั้งที่ 2 ผู้วิจัยครั้งที่ 2 ผู้วิจัยจะต้องเสนอบทที่ 1 และบทที่<br />

2 ที่แก้ไขตามข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว ตลอดจนเสนอร่างบทที่ 3 พร้อมด้วยเครื่องมือการวิจัยที่เสร็จ<br />

สมบูรณ์พร้อมที่จะน าไปรวบรวมข้อมูลการวิจัย<br />

รายละเอียดของ บทที่ 3 มีดังนี้<br />

บทที่ 3 ระเบียบวิธีการวิจัย<br />

- รูปแบบการวิจัย<br />

- ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง<br />

- ขั้นตอนการด าเนินงานวิจัย<br />

- เครื่องมือการวิจัย<br />

- การรวบรวมข้อมูล<br />

- การวิเคราะห์ข้อมูล


36<br />

รายละเอียดของการรายงานความก้าวหน้าของการวิจัย ครั้งที่ 3<br />

ในการรายงานความก้าวหน้าของงานวิจัยครั้งที่ 3 ผู้วิจัยจะต้องเสนอร่างรายงานการวิจัยฉบับ<br />

สมบูรณ์ ซึ่งประกอบด้วยบทที่ 1 ถึงบทที่ 5 พร้อมด้วยบรรณานุกรมและภาคผนวก โดยจะต้องพิมพ์ตามรูปแบบที่<br />

มหาวิทยาลัยก าหนด<br />

ส่วนประกอบของบทที่ 4 บทที่ 5 และภาคผนวก มีดังนี้<br />

บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />

ผู้วิจัยต้องเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลการวิจัย โดยเรียงล าดับตามค าถามการวิจัย (หรือ<br />

สมมุติฐานการวิจัยที่ตั้งไว้)<br />

บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ<br />

- สรุปการด าเนินงานวิจัย<br />

- สรุปผลการวิจัย<br />

- อภิปรายผล<br />

- ข้อเสนอแนะเพื่อด าเนินการ<br />

- ข้อเสนอแนะเพื่อการท าวิจัยครั้งต่อไป<br />

บรรณานุกรม<br />

ผู้วิจัยต้องน าเสนอเอกสารที่ใช้ค้นคว้าประกอบการวิจัย โดยเรียงล าดับตามแบบของการ<br />

เขียนบรรณานุกรม<br />

ทั้งนี้ โดยเริ่มต้นบรรณานุกรมจากเอกสารภาษาไทยก่อน แล้วตามด้วยบรรณานุกรมเอกสาร<br />

ภาษาต่างประเทศ<br />

ภาคผนวก<br />

ผู้วิจัยต้องเสนอตัวอย่างเครื่องมือการวิจัยและรายละเอียดอื่น ๆ ของข้อมูลการวิจัยที่ไม่<br />

ต้องการให้ปรากฏในเนื้อหาข้างใน<br />

อภิธานศัพท์ (ถ้ามี)<br />

ในกรณีที่มีความจ าเป็นต้องอธิบายความหมายของศัพท์เป็นจ านวนมาก ควรจัดท าอภิธานศัพท์ด้วย<br />

ประวัติย่อผู้วิจัย ตามหัวข้อต่อไปนี้<br />

- ชื่อและนามสกุล<br />

- วัน เดือน ปีที่เกิด<br />

- สถานที่เกิด<br />

- สถานที่อยู่ปัจจุบัน<br />

- ต าแหน่งหน้าที่การงานปัจจุบัน<br />

- สถานที่ท างานปัจจุบัน<br />

- ประวัติการศึกษา


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

37<br />

FM วจ.-06<br />

แนวทางการพิจารณาโครงการวิจัยที่ขอรับทุนอุดหนุนการวิจัยมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

โครงการวิจัยเรื่อง<br />

.........................................................................................................................................................<br />

…………………………………………………………………………………………………….<br />

…………………………………………………………………………………………………….<br />

ประเด็น<br />

1. ความเหมาะสมของชื่อเรื่อง<br />

- ตรงกับประเด็นปัญหาที่ท าการวิจัย<br />

- ครอบคลุมกับปัญหาที่ท าการวิจัย<br />

- ภาษากะทัดรัด ชัดเจน สื่อให้เข้าใจ<br />

ความเห็นและข้อเสนอแนะ<br />

2. การก าหนดปัญหาและขอบเขตปัญหา<br />

- วิเคราะห์เท็จจริงอย่างถี่ถ้วนและสอดคล้อง<br />

ระหว่างปัญหากับข้อเท็จจริง<br />

- ตัวแปรสมเหตุสมผล<br />

- ขอบเขตของปัญหาเหมาะสม<br />

3. จุดมุ่งหมายของการวิจัย<br />

- ครอบคลุมประเด็นที่จะตอบปัญหา<br />

- เฉพาะเจาะจงจุดมุ่งหมายแต่ละข้อ<br />

- ภาพชัดเจนตรงประเด็น<br />

4. สมมุติฐานของงานวิจัย<br />

- ตรงกับประเด็นปัญหาหรือจุดมุ่งหมาย<br />

- ชัดเจนและเฉพาะเจาะจง<br />

- แสดงความสัมพันธ์ของตัวแปร<br />

- มีการใช้ทฤษฏีและหลักการก าหนดสมมุติฐาน<br />

5. นิยามศัพท์เฉพาะ<br />

- เหมาะสมและเจาะจงเฉพาะ<br />

- ครบถ้วน


38<br />

ประเด็น<br />

6. ขอบเขตของงานวิจัย<br />

- ชัดเจนเหมาะสมกับเรื่องที่วิจัย<br />

- ครอบคลุมต่อจุดมุ่งหมาย<br />

- มีความเป็นไปได้<br />

ความเห็นและข้อเสนอแนะ<br />

7. ข้อจ ากัดของการวิจัย<br />

- ชัดเจน สมเหตุสมผล<br />

8. ข้อตกลงเบื้องต้นของการวิจัย<br />

- ชัดเจน และเหมาะสมตรงประเด็น<br />

9. เอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง<br />

- ตรงตามเรื่อง<br />

- ครอบคลุม และถูกต้อง<br />

- กะทัดรัดและแสดงแนวโน้มของการน าไปตั้ง<br />

สมมุติฐาน<br />

10. การด าเนินการวิจัย<br />

- แบบวิจัยเหมาะสม<br />

- อธิบายวิธีด าเนินการวิจัยชัดเจน<br />

- กลุ่มประชากรและการสุ่มตัวอย่างเหมาะสม<br />

- ความเหมาะสมของการควบคุมตัวแปร<br />

- ความเหมาะสมและคุณสมบัติของเครื่องมือที่<br />

ใช้ในการวิจัย<br />

- ความถูกต้องในการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />

- การควบคุมคุณภาพและการตรวจสอบข้อมูล


39<br />

ประเด็น<br />

11. การวิเคราะห์ข้อมูล<br />

- การแบ่งตัวแปร<br />

- การเลือกใช้สถิติ<br />

- วิเคราะห์ข้อมูลอย่างละเอียดและเป็นไป<br />

ตามล าดับขั้นตอน<br />

12. แหล่งค้นคว้าและหนังสืออ้างอิงครบถ้วน<br />

ความเห็นและข้อเสนอแนะ<br />

13. ประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัย<br />

ข้อสรุปการพิจารณา<br />

ควรให้ทุน<br />

ควรให้ทุน โดยมีการแก้ไขเพิ่มเติม<br />

ไม่สมควรได้รับทุน เนื่องจาก<br />

.........................................................................................................................................................<br />

.........................................................................................................................................................<br />

.........................................................................................................................................................<br />

.........................................................................................................................................................<br />

ลงชื่อ .......................................................<br />

(....................................................)<br />

ผู้พิจารณาโครงการวิจัย<br />

วันที่ ................./.................../ ..................


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

40<br />

แบบรายงานสรุปการติดตามและประเมินผลโครงการวิจัย ครั้งที่ 1<br />

ระหว่างเดือน………..…….. ถึงเดือน……..……….. พ.ศ……….<br />

โครงการวิจัยนี้ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยประเภท.…………..<br />

ปีการศึกษา…………….……..<br />

FM วจ.-07/1<br />

1. ชื่อโครงการวิจัย<br />

1.1 ภาษาไทย…………………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

1.2 ภาษาอังกฤษ..……………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

2. ชื่อผู้ได้รับทุน<br />

2.1 หัวหน้าโครงการ...……………………………………………………………………………….<br />

หน่วยงาน………………………………………………………โทร. …………………………..<br />

2.2 รองหัวหน้าโครงการ……………………………………………………………………………..<br />

หน่วยงาน……………………………………………………โทร. ……………………………..<br />

2.3 ผู้ร่วมโครงการ…………………………………………………………………………………...<br />

หน่วยงาน……………………………………………………โทร. ……………………………..<br />

3. ระยะเวลาท าการวิจัยตลอดโครงการ…....…เดือน ตั้งแต่…….….……..…… ถึง……………….……<br />

4. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อชื่อโครงการวิจัย<br />

4.1 ชื่อโครงการเป็นภาษาไทย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ ……………………………………………………………………………<br />

……………………………………………………………………………………………….<br />

……………………………………………………………………………………………….<br />

4.2 ชื่อโครงการเป็นภาษาอังกฤษ<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ ……………………………………………………………………………<br />

……………………………………………………………………………………………….<br />

……………………………………………………………………………………………….


5. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อการเขียน บทที่ 1 บทน า<br />

5.1 ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

…………………………………………………………………………..…………………….<br />

…………………………………………………………………………..…………………….<br />

…………………………………………………………………………..…………………….<br />

……………………………………………………………………………..………………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

5.2 วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

…………………………………………………………………………………..…………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

…………………………………………………………………………………..…………….<br />

…………………………………………………………………………………..…………….<br />

5.3 ค าถามการวิจัย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

…………………………………………………………………………………..…………….<br />

5.4 สมมุติฐานการวิจัย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

…………………………………………………………………………………..…………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

……………………………………………………………………………..………………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

41


5.5 ขอบเขตของการวิจัย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

………………………………………………………………..……………………………….<br />

…………………………………………………………………..…………………………….<br />

…………………………………………………………………..…………………………….<br />

…………………………………………………………………..…………………………….<br />

…………………………………………………………………..…………………………….<br />

5.6 นิยามศัพท์<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

……………………………………………………………………..………………………….<br />

…………………………………………………………………..…………………………….<br />

……………………………………………………………………..………………………….<br />

………………………………………………………………………..……………………….<br />

…………………………………………………………………………..…………………….<br />

6. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อการเขียน บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง<br />

6.1 ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่วิจัย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

………………………………………………………………………..……………………….<br />

………………………………………………………………………..……………………….<br />

…………………………………………………………………………..…………………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

6.2 กรอบความคิดทางทฤษฎี หรือทฤษฎีที่รองรับเรื่องที่วิจัย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

………………………………………………………………………………..……………….<br />

…………………………………………………………………………………..…………….<br />

42


6.3 ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

…………………………………………………………………………………………..…….<br />

……………………………………………………………………………………..………….<br />

……………………………………………………………………………………..………….<br />

……………………………………………………………………………………..………….<br />

………………………………………………………………..……………………………….<br />

6.4 สรุป<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

………………………………………………………………………..……………………….<br />

………………………………………………………………………..……………………….<br />

…………………………………………………………………………..…………………….<br />

…………………………………………………………………………..…………………….<br />

…………………………………………………………………………..…………………….<br />

7. ความเห็น หรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของผู้ทรงคุณวุฒิ<br />

7.1 ความเห็น หรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ส าหรับการเขียน บทที่ 1<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

7.2 ความเห็น หรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติม ส าหรับการเขียน บทที่ 2<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

…………………………………………………………..……………………………………..<br />

43


8. ความก้าวหน้าของงานวิจัย<br />

งานวิจัยก้าวหน้าตามขั้นตอนและแผนการวิจัย ควรยืมเงินทดรองจ่ายงวดต่อไปได้<br />

งานวิจัยไม่ก้าวหน้าตามขั้นตอนเพียงพอที่จะยืมเงินทดรองจ่ายงวดต่อไปได้<br />

44<br />

(ลงชื่อ)...................................………………..<br />

(...................……..............………..…)<br />

ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือที่ปรึกษางานวิจัย<br />

วันที่………/………/………<br />

ได้รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว จึงน าเสนอประธานคณะกรรมการพัฒนา<br />

งานวิจัย เพื่อพิจารณา<br />

(ลงชื่อ)................................………………………..<br />

(...................…….............…………..…)<br />

เลขานุการคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

วันที่………/………/………<br />

เห็นชอบให้ด าเนินการตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิเสนอ<br />

(ลงชื่อ)................................………………………..<br />

(...................……............……………..…)<br />

ประธานคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

วันที่………/………/………


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

45<br />

แบบรายงานสรุปการติดตามและประเมินโครงการวิจัย ครั้งที่ 2<br />

ระหว่างเดือน………..…….. ถึงเดือน……..……….. พ.ศ……….<br />

โครงการวิจัยนี้ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยประเภท.…………..<br />

ปีการศึกษา…………….……..<br />

FM วจ.-07/2<br />

1. ชื่อโครงการวิจัย<br />

1.1 ภาษาไทย…………………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

1.2 ภาษาอังกฤษ..……………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

2. ชื่อผู้ได้รับทุน<br />

2.1 หัวหน้าโครงการ...……………………………………………………………………………….<br />

หน่วยงาน……………………………………………………โทร. ……………………………..<br />

2.2 รองหัวหน้าโครงการ……………………………………………………………………………..<br />

หน่วยงาน……………………………………………………โทร. ……………………………..<br />

2.3 ผู้ร่วมโครงการ…………………………………………………………………………………...<br />

หน่วยงาน……………………………………………………โทร. ……………………………..<br />

3. ระยะเวลาท าการวิจัยตลอดโครงการ….…เดือน ตั้งแต่…….…………..…… ถึง……………….……<br />

4. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อการเขียน บทที่ 3 ระเบียบวิธีการวิจัย<br />

4.1 รูปแบบการวิจัย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….…………..………………<br />

……………………………………………………………………………….……………….<br />

…………………………………………………………………………….………………….<br />

………………………………………………………………….…………………………….<br />

………………………………………………………………………………….…………….<br />

………………………………………………………………………………….…………….<br />

…………………………………………………………………………………….………….


4.2 ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

……………………………………………………………………………………………..….<br />

………………………………………………………………………………………..……….<br />

…………………………………………………………………………………………..…….<br />

…………………………………………………………………………………………..…….<br />

………………………………………………………………………………………..……….<br />

………………………………………………………………………………………..……….<br />

…………………………………………………………………………………………..…….<br />

…………………………………………………………………………………………..…….<br />

4.3 ขั้นตอนการด าเนินงานวิจัย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

……………………………………………………………………………………..………….<br />

………………………………………………………………………………………..……….<br />

…………………………………………………………………………………………..…….<br />

………………………………………………………………………………………..……….<br />

…………………………………………………………………………………………..…….<br />

…………………………………………………………………………………………..…….<br />

………………………………………………………………………………………..……….<br />

……………………………………………………………………………………………..….<br />

4.4 เครื่องมือการวิจัย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

………………………………………………………………………………….…..………….<br />

……………………………………………………………………………..…….…………….<br />

…………………………………………………………………………………….……..…….<br />

…………………………………………………………………………………….……..…….<br />

……………………………………………………………………………………….……..….<br />

……………………………………………………………………………………….…..…….<br />

…………………………………………………………………………………….……..…….<br />

46


4.5 การรวบรวมข้อมูล<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

…………………………………………………………………………………………...…….<br />

……………………………………………………………………………………...………….<br />

……………………………………………………………………………………...………….<br />

……………………………………………………………………………………...………….<br />

……………………………………………………………………………………...………….<br />

……………………………………………………………………………………...………….<br />

4.6 การวิเคราะห์ข้อมูล<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………<br />

………………………………………………………………………………………...……….<br />

…………………………………………………………………………………...…………….<br />

…………………………………………………………………………………...…………….<br />

………………………………………………………………………………...……………….<br />

………………………………………………………………………………...……………….<br />

………………………………………………………………………………...……………….<br />

5. ความเห็นหรือข้อเสนอแนะเพิ่มเติมของผู้ทรงคุณวุฒิ ส าหรับการเขียน บทที่ 3<br />

………………………………………………………………………………………..………………...<br />

…………………………………………………………………………………….……….…………...<br />

…………………………………………………………………………………………..……………...<br />

…………………………………………………………………………………………..……………...<br />

…………………………………………………………………………………………..……………...<br />

……………………………………………………………………………………………..…………...<br />

………………………………………………………………………………………………..………...<br />

……………………………………………………………………………………………..…………...<br />

………………………………………………………………………………………………..………...<br />

……………………………………………………………………………………………..…………...<br />

………………………………………………………………………………………………..………...<br />

………………………………………………………………………………………………..………...<br />

47


6. ความก้าวหน้าของงานวิจัย<br />

งานวิจัยก้าวหน้าตามขั้นตอนและแผนการวิจัย ควรยืมเงินทดรองจ่ายงวดต่อไปได้<br />

งานวิจัยไม่ก้าวหน้าตามขั้นตอนเพียงพอที่จะยืมเงินทดรองจ่ายงวดต่อไปได้<br />

48<br />

(ลงชื่อ).............................……………………..<br />

(...................……..............………..…)<br />

ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือที่ปรึกษางานวิจัย<br />

วันที่………/………/………<br />

ได้รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว จึงน าเสนอประธานคณะกรรมการพัฒนา<br />

งานวิจัย เพื่อพิจารณา<br />

(ลงชื่อ).............................……………………..<br />

(...................……..............………..…)<br />

เลขานุการคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

วันที่………/………/………<br />

เห็นชอบให้ด าเนินการตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิเสนอ<br />

(ลงชื่อ).............................……………………..<br />

(...................……..............………..…)<br />

ประธานคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

วันที่………/………/………


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

49<br />

FM วจ.-07/3<br />

แบบรายงานสรุปการติดตามและประเมินผลโครงการวิจัย ครั้งที่ 3<br />

ระหว่างเดือน………..…….. ถึงเดือน……..……….. พ.ศ……….<br />

โครงการวิจัยนี้ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยประเภท.…………..<br />

ปีการศึกษา…………….……..<br />

2. ชื่อโครงการวิจัย<br />

1.1 ภาษาไทย…………………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

1.2 ภาษาอังกฤษ..…………………………………………………….………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

……………………………………………………………………………………………………..<br />

2. ชื่อผู้ได้รับทุน<br />

2.1 หัวหน้าโครงการ...……………………………………………………………………………….<br />

หน่วยงาน……………………………………………………โทร. ……………………………..<br />

2.2 รองหัวหน้าโครงการ……………………………………………………………………………..<br />

หน่วยงาน……………………………………………………โทร. ……………………………..<br />

2.3 ผู้ร่วมโครงการ…………………………………………………………………………………...<br />

หน่วยงาน……………………………………………………โทร. ……………………………..<br />

3. ระยะเวลาท าการวิจัยตลอดโครงการ….…เดือน ตั้งแต่…….…………..…… ถึง…………………..…<br />

4. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อการเขียน บทที่ 1 บทน า<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….


5. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อการเขียน บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

6. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อการเขียน บทที่ 3 ระเบียบวิธีการวิจัย<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

7. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อการเขียน บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

8. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อการเขียน บทที่ 5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

50


51<br />

9. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อการเขียนบรรณานุกรม<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

10. ความเห็นของผู้ทรงคุณวุฒิต่อการเขียนภาคผนวก<br />

เหมาะสมดีแล้ว<br />

ควรปรับแก้ ดังนี้ (อาจเสนอปรับแก้ในตัวรายงานด้วยก็ได้) …….……………………………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

11. ความเห็นและข้อเสนอแนะเพิ่มเติมในภาพรวม ส าหรับรายงานการวิจัยทั้งฉบับ<br />

………………………………………………………………………..……………………………….<br />

………………………………………………………………………..……………………………….<br />

………………………………………………………………………..……………………………….<br />

………………………………………………………………………..……………………………….<br />

………………………………………………………………………..……………………………….<br />

……………………………………………………………………..………………………………….<br />

………………………………………………………………………..……………………………….<br />

………………………………………………………………………..……………………………….<br />

………………………………………………………………………..……………………………….<br />

………………………………………………………………..……………………………………….<br />

………………………………………………………………..……………………………………….<br />

………………………………………………………………..……………………………………….


12. ความก้าวหน้าของงานวิจัย<br />

งานวิจัยก้าวหน้าตามขั้นตอนและแผนการวิจัย ควรจัดท าเป็นร่างรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ได้<br />

งานวิจัยไม่ก้าวหน้าตามขั้นตอนเพียงพอที่จะจัดท าเป็นร่างรายงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ได้ควรปรับแก้ดังนี้<br />

………………………………………………............………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

………………………………………………………………………………………….………….<br />

52<br />

(ลงชื่อ)............................…..………………..<br />

(...................……............….……..…)<br />

ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือที่ปรึกษางานวิจัย<br />

วันที่………/………/………<br />

ได้รับทราบความเห็นและข้อเสนอแนะของผู้ทรงคุณวุฒิแล้ว จึงน าเสนอประธานคณะกรรมการพัฒนา<br />

งานวิจัย เพื่อพิจารณา<br />

เห็นชอบให้ด าเนินการตามที่ผู้ทรงคุณวุฒิเสนอ<br />

(ลงชื่อ)............................…..………………..<br />

(...................……............….……..…)<br />

เลขานุการคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

วันที่………/………/………<br />

(ลงชื่อ)............................…..………………..<br />

(...................……............….……..…)<br />

ประธานคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

วันที่………/………/………


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

53<br />

แนวทางในการจัดท ารายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์<br />

FM วจ.-08<br />

ก. ส่วนประกอบตอนต้น<br />

1. หน้าปก<br />

2. หน้าปกใน<br />

3. ค าน า<br />

4. กิตติกรรมประกาศ<br />

5. บทคัดย่อภาษาไทย<br />

6. บทคัดย่อภาษาอังกฤษ<br />

7. สารบัญ<br />

8. สารบัญตาราง<br />

9. สารบัญภาพประกอบ<br />

10. ค าอธิบายสัญลักษณ์และค าย่อที่ใช้ในการวิจัย<br />

ข. ส่วนประกอบเนื้อเรื่อง<br />

บทที่ 1 บทน า ประกอบด้วย<br />

1. ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา<br />

2. วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />

3. ค าถามการวิจัย<br />

4. สมมุติฐานการวิจัย<br />

5. ขอบเขตของการวิจัย<br />

6. นิยามศัพท์<br />

บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วย<br />

1. ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่วิจัย<br />

2. ทฤษฏีที่รองรับ หรือกรอบความคิดทางทฤษฎี<br />

3. ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่วิจัย<br />

4. สรุป<br />

บทที่ 3 ระเบียบวิธีการวิจัย<br />

1. รูปแบบการวิจัย หรือแบบแผนการวิจัย<br />

2. ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง<br />

3. ขั้นตอนการด าเนินงานวิจัย<br />

4. เครื่องมือการวิจัย<br />

5. การรวบรวมข้อมูล<br />

6. การวิเคราะห์ข้อมูล


บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />

น าเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลตามปัญหาการวิจัย<br />

บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ<br />

1. สรุปการด าเนินงานวิจัย<br />

2. สรุปผลการวิจัย<br />

3. อภิปรายผล<br />

4. ข้อเสนอแนะ<br />

ค. ส่วนประกอบตอนท้าย<br />

1. หน้าบอกตอน<br />

2. บรรณานุกรม<br />

3. ภาคผนวก<br />

4. อภิธานศัพท์<br />

5. ประวัติย่อผู้วิจัย<br />

54


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

หัวข้อวิจัย :<br />

ผู้วิจัย :<br />

หน่วยงาน :<br />

ปีที่พิมพ์ :<br />

55<br />

รูปแบบการจัดท าบทคัดย่อ<br />

FM วจ.-09<br />

บทคัดย่อ<br />

ค าส าคัญ : (บอกค าส าคัญ ประมาณไม่เกิน 5 ค า เพื่อให้ผู้อ่านใช้เป็นค าต้นส าหรับการค้นคว้าด้วยเครื่อง<br />

คอมพิวเตอร์)<br />

หมายเหตุ<br />

บทคัดย่อไม่ควรเกิน 2 หน้า กระดาษพิมพ์ (A4)


56<br />

Research Title :<br />

Name of Researcher :<br />

Name of Institution :<br />

Year of Publication :<br />

ABSTRACT<br />

Keywords<br />

: (Identify not more than 5 keywords that will serve as descriptors for computer<br />

search.)


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

57<br />

FM วจ.-10<br />

แบบประเมินงานวิจัย<br />

ชื่อเรื่อง ...........................................................………………………............................................…...<br />

...........................................................………………………............................................…...<br />

...........................................................………………………............................................…...<br />

ชื่อผู้วิจัย ...........................................................………………………............................................…...<br />

...........................................................………………………............................................…...<br />

...........................................................………………………............................................…...<br />

รายการ<br />

ดีมาก<br />

ดี<br />

ปานกลาง<br />

อ่อน<br />

อ่อนมาก<br />

1. ความเหมาะสมของชื่อเรื่อง<br />

1.1 ความตรงประเด็นกับปัญหาที่ท าการวิจัย<br />

1.2 ความครอบคลุมประเด็นของปัญหาการวิจัย<br />

1.3 ความสะดวกในการสื่อสาร (ความชัดเจนกะทัดรัดและการ<br />

ใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย)<br />

2. ความเป็นมาของปัญหา<br />

2.1 ความถี่ถ้วนของการวิเคราะห์ข้อเท็จจริง<br />

2.2 ความชัดเจนของความสอดคล้องระหว่างปัญหาและข้อเท็จจริง<br />

2.3 ความสมเหตุสมผลระหว่างตัวแปรที่ศึกษา<br />

2.4 ความเหมาะสมในการก าหนดขอบเขตของปัญหา<br />

2.5 คุณค่าของผลการวิจัยในเชิงทฤษฎีและ / หรือเชิงปฏิบัติ<br />

3. จุดมุ่งหมายของการวิจัย<br />

3.1 ความครอบคลุมในประเด็นการตอบปัญหา<br />

3.2 ความเฉพาะเจาะจง<br />

3.3 ความชัดเจนในการใช้ภาษาและเสนอประเด็น<br />

4. สมมุติฐานของงานวิจัย (ถ้ามี)<br />

4.1 ความตรงต่อประเด็นที่ปัญหาหรือจุดมุ่งหมาย<br />

4.2 ความเฉพาะเจาะจง<br />

4.3 ความชัดเจน<br />

4.4 การแสดงความสัมพันธ์ของตัวแปร<br />

4.5 การใช้ทฤษฎีและหลักการก าหนดสมมุติฐาน<br />

4.6 ความสามารถที่จะตรวจสอบหรือทดสอบ


58<br />

รายการ<br />

ดีมาก<br />

ดี<br />

ปานกลาง<br />

อ่อน<br />

อ่อนมาก<br />

5. นิยามศัพท์เฉพาะ<br />

5.1 ความเหมาะสมกับเรื่องที่วิจัย<br />

5.2 ความเฉพาะเจาะจง<br />

5.3 ความเป็นที่ยอมรับของสาขาวิชา<br />

5.4 ความครบถ้วนของค าศัพท์ที่ใช้ในการวิจัย<br />

6. ขอบเขตของงานวิจัย<br />

6.1 ความชัดเจนและความเหมาะสมกับเรื่องที่วิจัย<br />

6.2 ความครอบคลุมต่อจุดมุ่งหมายของการวิจัย<br />

6.3 ความเป็นไปได้ของขอบเขตการวิจัย<br />

7. ข้อจ ากัดของการวิจัย<br />

7.1 ความชัดเจนและความเหมาะสมกับเรื่องที่วิจัย<br />

7.2 ความสมเหตุสมผลของการก าหนดข้อจ ากัด<br />

8. ข้อตกลงเบื้องต้นของการวิจัย<br />

8.1 ความชัดเจนและความเหมาะสมกับเรื่องที่วิจัย<br />

8.2 ความตรงต่อประเด็นต่อเรื่องที่วิจัย<br />

8.3 ความสมเหตุสมผลในหลักวิชาการ<br />

9. เอกสารและวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง<br />

9.1 ความตรงประเด็นต่อเรื่องที่วิจัย<br />

9.2 ความครอบคลุมต่อปัญหาที่ศึกษา<br />

9.3 ความถูกต้องของเนื้อหาของวรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง<br />

9.4 ความสามารถเรียบเรียงได้อย่างสมเหตุสมผล<br />

9.5 ความกระทัดรัดและแสดงแนวโน้มแห่งสาเหตุแห่งการน าไปตั้ง<br />

สมมุติฐาน<br />

10. วิธีด าเนินการวิจัย<br />

10.1 ความเหมาะสมของแบบวิจัย (Design)<br />

10.2 ความชัดเจนในการอธิบายวิธีด าเนินการวิจัย<br />

10.3 ความเหมาะสมของการก าหนดกลุ่มประชากรและการสุ่มตัวอย่าง<br />

10.4 ความเหมาะสมของการควบคุมตัวแปร<br />

10.5 ความเหมาะสมและคุณสมบัติของเครื่องมือที่ใช้ในการวิจัย<br />

10.6 การถูกต้องในการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />

10.7 การควบคุมคุณภาพของข้อมูลการตรวจสอบ


59<br />

รายการ<br />

ดีมาก<br />

ดี<br />

ปานกลาง<br />

อ่อน<br />

อ่อนมาก<br />

11. การวิเคราะห์ข้อมูล<br />

11.1 ความเหมาะสมในการจัดแบ่งตัวแปรเพื่อวิเคราะห์<br />

11.2 ความเหมาะสมของการเลือกใช้สถิติวิเคราะห์<br />

11.3 ความละเอียดในการวิเคราะห์ข้อมูล<br />

11.4 ความเป็นล าดับขั้นตอนของการวิเคราะห์ข้อมูล<br />

12. ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />

12.1 ล าดับขั้นของการเสนอผลการวิเคราะห์<br />

12.2 การเสนอผลมีความสอดคล้องกับจุดมุ่งหมายและสมมุติฐาน<br />

12.3 ความชัดเจนและความเหมาะสมในการใช้ตารางรูปภาพ หรือแผนภูมิ<br />

12.4 การเสนอผลการทดสอบนัยส าคัญทางสถิติ และทางความหมาย<br />

13. การสรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ<br />

13.1 ความชัดเจน กระทัดรัดของผลการสรุป<br />

13.2 ความเฉพาะเจาะจงในการชี้ให้เห็นประเด็นหลักของการวิจัยอย่าง<br />

ครบถ้วน<br />

13.3 การแสดงเหตุผล ความสัมพันธ์เชิงทฤษฎีกับข้อค้นพบได้สอดคล้อง<br />

กัน<br />

13.4 ความเหมาะสมในการเลือกประเด็นอภิปราย<br />

13.5 การเสนอแนะที่อยู่ในขอบเขตของข้อค้นพบ<br />

14. รูปแบบของการเขียนรายงานการวิจัย<br />

14.1 ความชัดเจนและความครบถ้วนในการเสนอรายงานการวิจัย<br />

14.2 การจัดระบบและรูปแบบของการเสนอรายงานการวิจัย<br />

14.3 ความสะดวกและความชัดเจนในการสื่อความหมาย<br />

15. แหล่งค้นคว้าและหนังสืออ้างอิง<br />

15.1 ความครบถ้วนของแหล่งค้นคว้า<br />

15.2 ความถูกต้องในการเขียนเชิงอรรถและบรรณานุกรม<br />

16. ความสอดคล้องของการวิจัยทั้งฉบับ<br />

16.1 ความสอดคล้องของทุกบท ทุกตอน<br />

16.2 ความเป็นระบบที่สามารถตรวจสอบได้ทั้งฉบับ<br />

17. ประโยชน์ที่ได้รับจากงานวิจัย<br />

17.1 ผลกระทบที่มีต่อสาขาวิชาการ<br />

17.2 ประโยชน์ที่จะน าไปใช้และประยุกต์ใช้<br />

17.3 ความคุ้มทุนของการวิจัย


ข้อเสนอแนะ……………………………………………………………………………………………<br />

…………………………………………………………………………………………………………<br />

…………………………………………………………………………………………………………<br />

…………………………………………………………………………………………………………<br />

60<br />

โดยสรุปแล้วงานวิจัยเรื่องนี้มีความคิดเห็นอย่างไร<br />

ยอมรับได้โดยไม่ต้องแก้ไข / เพิ่มเติม<br />

ยอมรับได้โดยมีการแก้ไข / เพิ่มเติมตามข้อเสนอแนะ<br />

ยังไม่เป็นที่ยอมรับ<br />

ลงชื่อ<br />

วันที่<br />

…………………………………………<br />

(………………………………………)<br />

ผู้ทรงคุณวุฒิ หรือที่ปรึกษางานวิจัย<br />

………..…. / ………..…. / …………...<br />

ลงชื่อ<br />

วันที่<br />

…………………………………………<br />

(………………………………………)<br />

ผช.เลขานุการคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

………..…. / ………..…. / …………...<br />

ลงชื่อ<br />

วันที่<br />

…………………………………………<br />

(………………………………………)<br />

เลขานุการคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

………..…. / ………..…. / …………...<br />

ลงชื่อ<br />

วันที่<br />

…………………………………………<br />

(………………………………………)<br />

ประธานคณะกรรมการพัฒนางานวิจัย<br />

………..…. / ………..…. / …………...


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

61<br />

แบบน าส่งรายงานการวิจัย<br />

FM วจ.-11<br />

จาก ................................................................ วันที่ …………………………………....<br />

เรียน ................................................................<br />

เรื่อง ................................................................<br />

ด้วยข้าพเจ้า (นาย, นาง, นางสาว) …………………………………………..……......…………..<br />

ต าแหน่ง ……………………………. คณะ / ส านักงาน / ศูนย์ ………………………………….....………….<br />

ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัย ปีการศึกษา …………. ท าการวิจัย เรื่อง ……………………………..…....………<br />

…………………………………………………………………………………………………………......……<br />

………………………………………………………………………………………………………......………<br />

ระยะเวลาในการท าวิจัย ตั้งแต่เดือน ……...……..….…… พ.ศ. ….……. ถึงเดือน ……...…….…..........……<br />

พ.ศ. ….….…. รวม ………… ปี …………... เดือน<br />

บัดนี้ ได้ด าเนินการวิจัยเสร็จสิ้นสมบูรณ์แล้ว และขอส่งเล่มรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ตรงตาม<br />

แบบที่ก าหนด จ านวน 12 เล่ม บทคัดย่อภาษาไทย จ านวน 20 ชุด บทคัดย่อภาษาอังกฤษ จ านวน 20 ชุด<br />

ลงชื่อ<br />

วันที่<br />

…………………………………………<br />

(………………………………………)<br />

หัวหน้าโครงการวิจัย<br />

………..…. / ………..…. / …………...<br />

สถานที่ติดต่อกลับ<br />

ที่อยู่ …………………………………………………………………………………………………………..<br />

………………………………………………………………………...………………………………………<br />

……………………………………………………………………...…………………………………………<br />

โทรศัพท์ ………………………………………………………………..……………………………………..


มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

บัญชีรายชื่องานวิจัย วิทยานิพนธ์ ต ารา เอกสารและบทความทางวิชาการ<br />

คณะ/ส านัก/ส านักงาน/ศูนย์............................................ ภาควิชา ............................................<br />

62<br />

FM วจ.-12<br />

ล าดับ ชื่อ-สกุล ชื่องานวิจัย<br />

(ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)<br />

ชื่อวิทยานิพนธ์<br />

(ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ)<br />

ชื่อต ารา ชื่อบทความ/เอกสารทางวิชาการ<br />

(โปรดระบุชื่อวารสารที่ลงพิมพ์)<br />

ปีที่พิมพ์


63<br />

ส่วนที่ 3<br />

แนวทางการจัดท ารายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์


64<br />

แนวทางการจัดท ารายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์<br />

เมื่อผู้วิจัยด าเนินการวิจัยเสร็จแล้ว จะต้องเสนอรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ต่อส านักวิจัยในการ<br />

จัดท ารายงานการวิจัยดังกล่าว ผู้วิจัยจะต้องพิจารณาจัดท าตามแนวทางที่ส านักวิจัยก าหนดไว้เป็นกรอบใน<br />

การจัดท า โดยรายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์นี้ มีส่วนประกอบ 3 ส่วน แต่ละส่วนมีองค์ประกอบเป็น<br />

รายละเอียดปลีกย่อย ดังต่อไปนี้<br />

1. ส่วนประกอบตอนต้น<br />

คือ ส่วนของรายงานที่เป็นด้านหน้าก่อนที่จะถึงเนื้อเรื่องของรายงาน มีส่วนประกอบย่อย ดังนี้<br />

1) หน้าปก (cover) ควรพิมพ์ด้วยกระดาษแข็ง หรือกระดาษหนาเป็นพิเศษ<br />

2) หน้าปกใน (title page) มีข้อความเหมือนหน้าปก แต่พิมพ์ด้วยกระดาษธรรมดา<br />

เหมือนหน้าอื่นๆ<br />

3) ค าน า (preface) เป็นหน้าซึ่งผู้วิจัย หรือหัวหน้าสถานศึกษาเขียนแนะน ารายงานการวิจัยเรื่องนี้<br />

อาจกล่าวถึงวัตถุประสงค์และแรงจูงใจ ที่ท าให้ผู้วิจัยท างานวิจัยเรื่องนี้<br />

4) กิตติกรรมประกาศ (acknowledgement) เป็นหน้าซึ่งผู้วิจัยเขียนแสดงความขอบคุณต่อบุคคล<br />

หรือหน่วยงานที่มีส่วนช่วยเหลือในการท างานวิจัยเรื่องนี้<br />

5) บทคัดย่อภาษาไทย สรุปย่องานวิจัยเป็นภาษาไทย<br />

6) บทคัดย่อภาษาอังกฤษ (abstract) สรุปย่องานวิจัยเป็นภาษาอังกฤษ<br />

7) สารบัญ (table of contents) เสนอรายการหัวข้อส าคัญของรายงานการวิจัยพร้อมทั้งบอกหน้าที่<br />

ปรากฏ เพื่อความสะดวกในการค้นหา<br />

8) สารบัญตาราง (list of tables) เสนอรายการตารางต่างๆ ที่มีในรายงานการวิจัยพร้อมทั้งบอกหน้า<br />

9) สารบัญภาพประกอบ (list of figures) ในกรณีที่รายงานการวิจัยเล่มนั้น มีการเสนอข้อมูลเป็น<br />

แผนภูมิ แผนผัง กราฟ หรือภาพประกอบ และมีจ านวนมากจนสมควรที่จะท าสารบัญภาพประกอบ เพื่อให้<br />

สะดวกในการค้นหา<br />

10) ค าอภิบายสัญลักษณ์ และค าย่อที่ใช้ในการวิจัย (list of abbreviations) ก าหนดให้มีในกรณีที่<br />

รายงานการวิจัยเล่มนั้น มีการใช้สัญลักษณ์หรือค าย่อ ซึ่งอาจไม่เป็นที่คุ้ยเคยส าหรับผู้อ่าน


65<br />

2. ส่วนประกอบเนื้อเรื่อง<br />

ส่วนประกอบที่เป็นเนื้อเรื่องของรายงานการวิจัย ประกอบด้วยเนื้อหา ซึ่งแยกเป็นบทต่างๆ<br />

รายงานการวิจัยโดยทั่วไป มักจะมีเนื้อหาแบ่งออกเป็น 5 บท ยกเว้นรายงานการวิจัยบางประเภท เช่น<br />

รายงานการวิจัยเชิงประวัติศาสตร์ รายงานการวิจัยทางมานุษยวิทยา หรือแม้แต่รายงานการวิจัยทาง<br />

วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีบางแขวง ดังนั้น ในการก าหนดบทต่างๆ จึงอนุโลมตามความประสงค์ของ<br />

ผู้วิจัยและผู้ทรงคุณวุฒิของงานวิจัยเรื่องนั้น รายละเอียดของบทต่างๆ ทั้ง 5 บท มีดังนี้<br />

2.1 บทที่ 1 บทน า<br />

เป็นบทที่กล่าวน าเพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจความเป็นมา วัตถุประสงค์ และขอบเขตของงานวิจัย<br />

เรื่องนั้น มักประกอบด้วยหัวข้อย่อย ดังต่อไปนี้<br />

1) ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา กล่าวถึง ความเป็นมาของเรื่องที่วิจัยและเหตุผลที่<br />

ต้องท างานวิจัยเรื่องนี้<br />

2) วัตถุประสงค์ของการวิจัย กล่าวถึง วัตถุประสงค์ของการวิจัย โดยอาจจะระบุเป็นข้อๆ ให้<br />

ครอบคลุม<br />

3) ค าถามการวิจัย เนื่องจากการวิจัยเป็นการแสวงหาค าตอบให้แก่ค าถาม หรือปัญหาการวิจัย<br />

ดังนั้น จึงควรระบุค าถามการวิจัยให้ชัดเจน โดยเขียนเป็นข้อๆ ทุกค าถามที่ต้องการหาค าตอบ ค าถามการ<br />

วิจัยนี้ บางทีเรียกว่า ปัญหาย่อยของการวิจัย มีความจ าเป็นมากโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ส าหรับการวิจัยเชิง<br />

พรรณนา<br />

4) สมมุติฐานการวิจัย ในกรณีที่ค าถามการวิจัยนั้นๆ ต้องมีการตั้งสมมุติฐานการวิจัย ให้ระบุ<br />

สมมุติฐานการวิจัย โดยระบุเป็นข้อๆ แต่ละข้อให้มีข้อความของสมมุติฐานที่ต้องทดสอบเพียงประเด็นเดียว<br />

5) ขอบเขตของการวิจัย คือ การก าหนดขอบเขตของการวิจัย โดยทั่วไปมักจะก าหนดโดย<br />

กล่าวถึงประชากรหรือกลุ่มเป้าหมาย เนื้อหาของการวิจัย และระยะเวลาของการวิจัย (การวิจัยบางเรื่องอาจ<br />

ก าหนดตัวแปรที่เกี่ยวข้องไว้ ณ ที่นี้ด้วย)<br />

6) นิยามศัพท์ คือ การให้ค าจ ากัดความ ศัพท์ส าคัญ หรือตัวแปรที่เกี่ยวข้องในงานวิจัยเรื่อง<br />

นั้น ควรให้ค านิยามเฉพาะค าศัพท์ หรือตัวแปรที่จ าเป็นจะต้องนิยามเท่านั้น โดยพิจารณาตามความ<br />

เหมาะสม


2.2 บทที่ 2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง<br />

เป็นบทที่ผู้วิจัยน าเสนอผลการค้นคว้าเกี่ยวกับปัญหา หรือเรื่องที่วิจัย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการแสดง<br />

ให้ผู้อ่านเห็นว่า ผู้วิจัยมีความรู้ความเข้าใจในเรื่องที่ท าวิจัยนั้นเป็นอย่างดี และการท าวิจัยเรื่องนี้ ไม่ได้เป็น<br />

การวิจัยซ้ าซ้อนกับงานวิจัยของผู้อื่นที่ท ามาก่อนแล้ว ในการเขียนบทที่ 2 ผู้วิจัยอาจก าหนดหัวข้อย่อย<br />

แตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับลักษณะของเนื้อหาและตัวแปรที่เกี่ยวข้อง แต่โดยทั่วไปแล้ว บทที่ 2 ของ<br />

รายงานการวิจัย มักจะประกอบด้วยหัวข้อย่อย ดังต่อไปนี้<br />

1) ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่วิจัย ในการน าเสนอความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับเรื่องที่วิจัย ผู้วิจัย<br />

อาจก าหนดหัวข้อย่อยตามลักษณะและขอบเขตของเรื่องที่วิจัย ซึ่งอาจแตกต่างกันออกไป แต่โดยทั่วไปแล้ว<br />

มักประกอบด้วยหัวข้อย่อย เช่น ความหมาย ความส าคัญ หลักการ หรือ ทฤษฎีพื้นฐาน ประเภท ประโยชน์<br />

แนวปฏิบัติเกี่ยวกับเรื่องนั้นๆ ฯลฯ ทั้งนี้ โดยมีวัตถุประสงค์หลักของการน าเสนอ คือ เพื่อท าความกระจ่าง<br />

กับผู้อ่าน เกี่ยวกับเรื่องที่วิจัยแต่ควรเขียนให้กระชับ และน าเสนอเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวข้องจริงๆ มิฉะนั้นจะ<br />

เป็นการลอกต ารามาเสนอ<br />

2) ทฤษฎีที่รองรับ หรือกรอบแนวคิดทางทฤษฎี เป็นการเสนอกรอบแนวคิดทางทฤษฎีที่<br />

รองรับปัญหาการวิจัย ซึ่งอาจน าเสนอในลักษณะของแบบจ าลอง (model) ของความสัมพันธ์ของตัวแปรที่<br />

เกี่ยวข้องในปัญหาการวิจัยนั้น ข้อควรระวังในการน าเสนอ คือ ควรพิจารณาคัดเลือกทฤ ษฎี หรือ<br />

แบบจ าลองที่เกี่ยวข้องกับปัญหาการวิจัยโดยตรง และแสดงความสัมพันธ์ของตัวแปรที่เกี่ยวข้องส าหรับการ<br />

วิจัยเรื่องนั้น<br />

3) ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง เป็นการเสนอผลการวิจัยที่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่วิจัย ซึ่งมีผู้วิจัยไว้<br />

แล้ว ควรเสนอทั้งผลการวิจัยทั้งที่ท าในต่างประเทศและภายในประเทศ และควรมีความสมบูรณ์และเป็น<br />

ปัจจุบันให้มากที่สุดเท่าที่จะท าได้<br />

4) สรุป เป็นการสรุปสาระส าคัญทั้งหมด ของบทที่ 2 แล้วกล่าวโยงมาถึงปัญหาการวิจัยเรื่อง<br />

นั้น โดยอาจเสนอสมมุติฐานการวิจัยไว้ด้วยก็ได้<br />

2.3 บทที่ 3 ระเบียบวิธีวิจัย<br />

เป็นบทที่กล่าวถึงรายละเอียดของระเบียบวิธีการวิจัย หรือการด าเนินงานวิจัย เพื่อให้ผู้อ่านได้<br />

ทราบถึงระเบียบวิธีวิจัย ตลอดจนขั้นตอนการด าเนินงานวิจัยตั้งแต่ต้นจนจบ การก าหนดหัวข้อย่อยและ<br />

เนื้อหาของบทนี้ อาจจะแตกต่างกันไปตามประเภทของการวิจัย แต่โดยทั่วไปแล้ว บทที่ 3 ควรประกอบด้วย<br />

หัวข้อย่อย ดังต่อไปนี้<br />

1) รูปแบบการวิจัย หรือ แบบแผนการวิจัย บอกให้ผู้อ่านทราบว่า งานวิจัยเรื่องนี้เป็นงานวิจัย<br />

ประเภทใด เช่น งานวิจัยเชิงพรรณนา งานวิจัยเชิงคุณภาพ หรืองานวิจัยเชิงทดลอง ถ้าเป็นงานวิจัยเชิง<br />

ทดลอง ควรบอกแบบแผนการทดลองไว้ด้วย<br />

2) ประชากร และกลุ่มตัวอย่าง บอกทั้งประชากรและกลุ่มตัวอย่างส าหรับงานวิจัยเรื่องนั้น<br />

โดยแยกกล่าวอย่างละย่อหน้า แล้วบอกวิธีที่ใช้ในการเลือกกลุ่มตัวอย่างด้วย อาจมีการน าเสนอข้อมูล<br />

รายละเอียดของกลุ่มตัวอย่างในตารางประกอบให้ด้วย<br />

66


3) ขั้นตอนการด าเนินงานวิจัย บอกขั้นตอนการด าเนินงานวิจัย ตามแบบแผนการวิจัยที่<br />

ก าหนดไว้ โดยเฉพาะขั้นตอนส าคัญๆ ทั้งนี้ อาจเขียนเป็นข้อๆ แสดงขั้นตอนให้ชัดเจน<br />

4) เครื่องมือการวิจัย กล่าวถึง เครื่องมือทุกอย่างที่ใช้ในการวิจัย ถ้าเป็นการวิจัยเชิงทดลอง<br />

จะมีทั้งเครื่องมือทดลอง และเครื่องรวบรวมข้อมูล ถ้าเป็นการวิจัยเชิงพรรณนาจะมีเฉพาะเครื่องมือรวบรวม<br />

ข้อมูล ซึ่งในการกล่าวถึงเครื่องมือแต่ละอย่าง จะต้องด าเนินการ ดังนี้<br />

- พรรณนาโดยย่อถึงลักษณะของเครื่องมือนั้น พร้อมทั้งแสดงตัวอย่างของเครื่องมือ<br />

นั้นในภาคผนวก<br />

- บรรยายวิธีการสร้างและการตรวจสอบคุณภาพเครื่องมือ พร้อมทั้งรายงานดัชนี<br />

คุณภาพของเครื่องมือ เช่น ค่าความตรง ค่าความเที่ยง ค่าความยาก และค่าอ านาจจ าแนก<br />

- ถ้าเครื่องมือที่ใช้ เป็นเครื่องมือที่ผู้อื่นสร้างไว้แล้ว ให้รายงานดัชนีคุณภาพของ<br />

เครื่องมือไว้ด้วยเช่นกัน<br />

5) การรวบรวมข้อมูล บอกวิธีการรวบรวมข้อมูล โดยเขียนบอกขั้นตอนและระยะเวลาที่ใช้<br />

ในการรวบรวมข้อมูลการวิจัย<br />

6) การวิเคราะห์ข้อมูล บอกวิธีการวิเคราะห์ข้อมูล พร้อมทั้งวิธีการทางสถิติที่ใช้ในการ<br />

วิเคราะห์ข้อมูล<br />

2.4 บทที่ 4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล<br />

เป็นบทที่เสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล เพื่อแสวงหาค าตอบ แก่ ค าถาม หรือปัญหาการวิจัย ผู้วิจัย<br />

จะต้องเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูล โดยเรียงล าดับตามล าดับของค าถามการวิจัยและสมมุติฐานการวิจัยที่<br />

ต้องทดสอบ ในงานวิจัยบางเรื่องอาจเริ่มต้นด้วยการน าเสนอรายละเอียดของข้อมูลกลุ่มตัวอย่างก่อน แล้ว<br />

จึงเสนอผลการวิเคราะห์ข้อมูลเพื่อตอบค าถามการวิจัย<br />

2.5 บทที่ 5 สรุป อภิปรายผล และข้อเสนอแนะ<br />

เป็นบทสุดท้ายของรายงานการวิจัย มักจะประกอบด้วยหัวข้อย่อย ดังต่อไปนี้<br />

1) สรุปการด าเนินงานวิจัย เป็นการสรุปการด าเนินงานวิจัย โดยน าสาระส าคัญจากบทที่ 1<br />

และบทที่ 3 มาสรุป และเสนอไว้ตามหัวข้อส าคัญๆ ของบทที่ 1 และบทที่ 3 ควรสรุป ย่อๆ เป็นข้อๆ ไม่<br />

เขียนรายละเอียดปลีกย่อย<br />

2) สรุปผลการวิจัย เป็นการสรุปผลการวิจัย ซึ่งได้จากการวิเคราะห์ข้อมูลในบทที่ 4 โดย<br />

น าเสนอเป็นข้อๆ<br />

3) อภิปรายผล เป็นการอภิปรายถึงผลการวิจัยที่ได้รับว่าผลการวิจัยนั้นๆ หมายความว่า<br />

อย่างไร โดยอาจอภิปรายให้สัมพันธ์กับผลการวิจัยที่มีผู้ท าไว้ก่อนแล้ว หรือสัมพันธ์กับนโยบาย หรือการ<br />

ปฏิบัติในเรื่องนั้นๆ แล้วแต่กรณี การอภิปรายผลในบทที่ 5 มักจะเกี่ยวข้องกับการทบทวนวรรณกรรมที่<br />

เสนอในบทที่ 2<br />

67


4) ข้อเสนอแนะ เป็นข้อเสนอแนะของผู้วิจัย มักจะแบ่งเป็น 2 หัวข้อย่อย คือ ข้อเสนอแนะ<br />

เพื่อน าผลการวิจัยไปใช้ และข้อเสนอแนะเพื่อการวิจัยต่อไป ควรเสนอเป็นข้อๆ<br />

3. ส่วนประกอบตอนท้าย<br />

เป็นส่วนที่อยู่ต่อจากเนื้อเรื่องของรายงานการวิจัย ประกอบด้วยส่วนประกอบย่อยดังต่อไปนี้<br />

1) หน้าบอกตอน (half-title) คือ หน้าซึ่งท าหน้าที่แบ่งตอนของรายงานการวิจัย เพื่อบอกให้<br />

ทราบว่าตอนต่อไปจะเป็นอะไร มักใช้คั่นระหว่างเนื้อเรื่องกับบรรณานุกรมและระหว่างบรรณานุกรมกับ<br />

ภาคผนวก ในกรณีที่มีภาคผนวกตอน เช่น ภาคผนวก ก. และภาคผนวก ข. ก็จะมีหน้าบอกตอนคั่นไว้<br />

(โปรดดูตัวอย่างหน้าบอกตอนในภาคผนวก ก. หรือในเอกสารเล่มนี้)<br />

2) บรรณานุกรม (bibliography) คือ รายการวัสดุที่น ามาอ้างอิง ซึ่งอาจประกอบด้วย หนังสือ<br />

บทความ วารสาร วิทยานิพนธ์ และสื่ออื่นๆ ที่ผู้วิจัยได้ค้นคว้าในการท ารายงานการวิจั ยเรื่องนั้น<br />

บรรณานุกรมจะต้องน าเสนอโดยการจัดเรียงตามล าดับอักษรชื่อผู้แต่งถ้ามีรายการทั้งเอกสารภาษาไทยและ<br />

เอกสารภาษาอังกฤษ ให้แยกรายการ โดยจัดให้เอกสารภาษาไทยขึ้นก่อน ตามด้วยเอกสารภาษาอังกฤษ<br />

3) ภาคผนวก (appendix) คือ ส่วนที่ให้ข้อมูลเพิ่มเติมในงานวิจัย แต่ไม่ถือว่าเป็นส่วนหนึ่ง<br />

ของเนื้อเรื่อง เป็นส่วนที่น ามาเพิ่มในตอนท้าย เพื่อช่วยให้ผู้อ่านเข้าใจแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น ภาคผนวกจะมีหรือไม่<br />

มีก็ได้ แล้วแต่ความจ าเป็น ถ้ามีต้องจัดไว้ในหน้าต่อไปจากบรรณานุกรม สิ่งที่เสนอในภาคผนวกมักเป็น<br />

รายละเอียดเพิ่มเติมของรายงานการวิจัย ซึ่งไม่เหมาะสมที่จะน าเสนอในเนื้อเรื่อง เช่น ตัวอย่าง รายชื่อ<br />

ผู้เชี่ยวชาญ หรือค าอธิบายรายละเอียดบางอย่าง<br />

4) อภิธานศัพท์ (glossary) คือ รายการอธิบายความหมายของศัพท์ต่างๆ ที่ใช้ในรายงานการ<br />

วิจัย ซึ่งผู้วิจัยได้รวบรวมเอาไว้ อภิธานศัพท์จะมีก็ต่อเมื่อมีความจ าเป็นที่จะต้องอธิบายความหมายของศัพท์<br />

ต่างๆ เพื่อให้ผู้อ่านเข้าใจความหมายแจ่มแจ้งยิ่งขึ้น<br />

5) ประวัติย่อผู้วิจัย (vista) อยู่ท้ายสุดของรายงานการวิจัย ประวัติย่อของผู้วิจัยให้ระบุ<br />

รายละเอียดต่างๆ ดังนี้<br />

- ชื่อและชื่อสกุล (ให้ระบุว่าเป็น นาย นางสาว นาง หรือยศทางทหารหรือต ารวจด้วย )<br />

- วัน เดือน และปีเกิด<br />

- สถานที่เกิด (ให้บอกอ าเภอ และจังหวัดที่เกิด)<br />

- สถานที่อยู่ปัจจุบัน (ให้ระบุที่อยู่ที่สามารถติดต่อทางไปรษณีย์ได้)<br />

- ต าแหน่งหน้าที่การงานปัจจุบัน (ถ้ามี เช่น อาจารย์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ผู้อ านวยการ<br />

โรงเรียน หัวหน้ากองการประถมศึกษาอ าเภอ เป็นต้น)<br />

- ประวัติการศึกษา (ให้ระบุปีที่ส าเร็จการศึกษา วุฒิที่ได้รับ และสถาบันที่ส าเร็จการศึกษา<br />

ตั้งแต่ระดับการศึกษาสามัญสูงสุด จนถึงปัจจุบัน)<br />

(โปรดดูตัวอย่างการพิมพ์ประวัติย่อผู้วิจัย ในภาคผนวก ก.)<br />

68


69<br />

ส่วนที่ 4<br />

รูปแบบการเขียนอ้างอิง อัญพจน์ และบรรณานุกรม


70<br />

รูปแบบการเขียนอ้างอิง อัญพจน์และบรรณานุกรม<br />

การเขียนอ้างอิง<br />

ระบบการอ้างอิงในการเขียนรายงานวิจัย วิทยานิพนธ์ หรือบทความทางวิชาการซึ่ง<br />

เป็นที่ยอมรับในระดับนานาชาติ มีหลายระบบตามมาตรฐานของแต่ละสาขาวิชา เช่น การอ้างอิงแบบ<br />

APA (The American Psychological Association) และ Harvard เป็นมาตรฐานการอ้างอิงที่ยอมรับกัน<br />

อย่างกว้างขวางทางสังคมศาสตร์, การอ้างอิงแบบ MLA (The Modern Language Association, U. of<br />

Chicago) และ Turabian เป็นมาตรฐานการอ้างอิงที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางทางมนุษยศาสตร์ ส่วน<br />

ทางด้านวิทยาศาสตร์กายภาพและวิทยาศาสตร์ชีวภาพนั้นมีรูปแบบการอ้างอิงที่เป็นมาตรฐานของแต่ละ<br />

สาขาวิชาอยู่หลากหลายรูปแบบ เช่น IEE, Nature, Science ฯลฯ โดยทั่วไประบบอ้างอิงในเนื้อหาที่นิยมใช้<br />

กันทั่วไป มี 3 ระบบ คือ 1) ระบบการอ้างอิงแบบนาม-ปี (หรือ Harvard System) 2) ระบบการอ้างอิงแบบ<br />

ตัวเลข และ 3) ระบบอ้างอิงแบบเชิงอรรถ ส าหรับมหาวิทยาลัยศรีปทุม ก าหนดให้ใช้ระบบการอ้างอิงแบบ<br />

นาม-ปี (Author-Data-System) โดยแทรกบนเนื้อหา<br />

ระบบอ้างอิงแบบนาม-ปี (Author-Data-System)<br />

ส่วนประกอบของรายการอ้างอิงแบบนาม-ปี มีส่วนประกอบที่ส าคัญ 3 ส่วน คือ<br />

1. ผู้แต่ง/ผู้ผลิต/ผู้ให้ข้อมูล<br />

2. ปีที่พิมพ์/ปีที่ผลิต/ปีที่ปรากฏข้อมูล หรือปีที่เข้าถึงข้อมูล<br />

(กรณีเป็นข้อมูลจาก WWW และไม่ปรากฏปีที่ผลิต/ปีเผยแพร่ข้อมูล)<br />

3. เลขหน้าที่ใช้ในการอ้างอิง<br />

(ชื่อผู้แต่ง, ปีที่พิมพ์: เลขหน้า)<br />

หมายเหตุ เครื่องหมา ย “” ในที่นี้แสดงถึงการเว้นระยะ ในการพิมพ์ไม่ต้องใส่เครื่องหมายลงไป<br />

1. การเขียนรายการอ้างอิงต้องเขียนด้วยภาษาเดียวกับต้นฉบับที่ใช้อ้างอิง เช่น หากเอกสารที่ใช้<br />

เป็นเอกสารที่แปลเป็นภาษาไทยชื่อผู้เขียนดั้งเดิมแม้จะเป็นชาวต่างชาติจะต้องเขียนด้วยภาษาไทยด้วย<br />

วิธีการเทียบค าศัพท์ (Transliteration) ชื่อนั้นตามวิธีการของราชบัณฑิตยสถาน<br />

2. ส าหรับข้อมูลทางบรรณานุกรมอื่น ๆ ของทรัพยากรสารสนเทศทั้งหมดที่ใช้อ้างอิง เช่น ชื่อ<br />

เรื่อง สถานที่พิมพ์ ส านักพิมพ์ ฯลฯ จะต้องน าไปรวบรวมเขียนเป็นบรรณานุกรมข้างท้ายบทความ<br />

3. กรณีเป็นเอกสารสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอนุโลมไม่ต้องใส่เลขหน้า


หลักเกณฑ์การเขียนรายการอ้างอิง<br />

ในการเขียนรายการอ้างอิงจากเอกสารหนึ่งเรื่อง มีหลักเกณฑ์และตัวอย่างการเขียน ดังต่อไปนี้<br />

1. หลักเกณฑ์และตัวอย่างการเขียนชื่อผู้แต่งในเนื้อหารายงานวิจัย<br />

• ถ้าเป็นชาวต่างประเทศใช้นามสกุลเท่านั้น ถ้าเป็นชาวไทยให้ใส่ชื่อก่อนแล้วตามด้วย<br />

นามสกุลถึงแม้เขียนเอกสารเป็นภาษาต่างประเทศก็ตาม เพราะถือเป็นแบบที่สากลยอมรับแล้วว่าประเทศ<br />

ไทยใช้เช่นนี้ (ปิยากร หวังมหาพร, 2535: 18)<br />

(Jensen, 1991: 8)<br />

71<br />

• กรณีผู้แต่งมีฐานันดรศักดิ์ บรรดาศักดิ์ สมณศักดิ์<br />

(ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช, 2528: 17)<br />

(พระยาภูมีเสวิน, 2511: 53)<br />

(พระราชวิสุทธิโสภณ, 2517: 70-72)<br />

• กรณีผู้แต่งมียศทางทหาร ต ารวจ หรือต าแหน่งทางวิชาการ เช่น ศาสตราจารย์<br />

หรือ ค าเรียกทางวิชาชีพ เช่น นายแพทย์ เภสัชกร ไม่ต้องใส่ยศ ต าแหน่งทางวิชาการหรือค าเรียกทาง<br />

วิชาชีพนั้นๆ เช่น (จรัส สุวรรณเวลา, 2538: 29)<br />

(วสิษฐ์ เดชกุญชร, 2522: 82-83)<br />

• ผู้แต่งใช้นามแฝง<br />

(หยก บูรพา, 2520: 29-30)<br />

(Twin, 1962: 15-20)<br />

2. การอ้างอิงเอกสารหนึ่งเรื่องที่มีผู้แต่งคนเดียว<br />

ถ้าอ้างอิงเอกสารหรืองานนั้นทั้งงานโดยรวม ให้ระบุชื่อผู้แต่งและปีพิมพ์แทรกในข้อความใน<br />

ต าแหน่งที่เหมาะสม กล่าวคือ ถ้าระบุชื่อผู้แต่งในเนื้อความให้อ้างปีพิมพ์ไว้ในวงเล็บ (ตัวอย่าง 1) หรือให้<br />

ระบุทั้งชื่อผู้แต่งและปีพิมพ์ของเอกสารนั้นในวงเล็บ (ตัวอย่าง 2)<br />

ตัวอย่าง 1<br />

สุจิตรา บรูมินเหนทร์ (2509) ศึกษาว่า ในภาษาไทยมีค าในหมวดใดบ้าง และค าอะไรบ้างที่<br />

น ามาใช้เป็นค าซ้ าได้ ผลการศึกษาพบว่าค าทุกหมวด.............................................................................<br />

Landsteiner (1936) described the happen concept whereby conjugation of small……………..<br />

ตัวอย่างที่ 2<br />

....ในขณะที่การใช้ผลการวิจัยทางสังคมศาสตร์ส่วนใหญ่อยู่ในวงแคบ จ ากัดเฉพาะในกลุ่มสาขาของ<br />

ตนเองเท่านั้น (จรรยา<br />

ในย่อหน้าหนึ่ง<br />

สุวรรณทัต,<br />

ๆ<br />

2520)<br />

เมื่ออ้างถึงงานนั้นซ้ าอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องระบุปีพิมพ์ในการอ้างอิงต่อมา<br />

ได้ ถ้างานนั้นเพิ่งถูกอ้างและไม่สับสนกับงานอื่น ....Previous work on the group living talapoins (ตัวอย่าง (Keverne, 3) 1979), demonstrated that....................


ในย่อหน้าหนึ่งๆ เมื่ออ้างถึงงานนั้นซ้ าอีกครั้งหนึ่ง ไม่ต้องระบุปีพิมพ์ในการอ้างครั้ง<br />

ต่อมาได้ ถ้างานนั้นเพิ่งถูกอ้างและไม่สับสนกับงานอื่น (ตัวอย่างที่ 3)<br />

ตัวอย่าง 3<br />

72<br />

ธีระพันธ์ เหลืองทองค า (1979) ศึกษาซ้ าที่ใช้เป็นค าวิเศษณ์ และค าคุณศัพท์ ในภาษาถิ่นอีสาน<br />

พบว่าสระหลัง (ทั้งสระปากห่อและปากไม่ห่อ) แสดงให้เห็นขนาดใหญ่กว่าหรือค่าสูงกว่า ประคองนิมมาน<br />

เหมินทร์ (2519) อธิบายความสัมพันธ์ของความหมาย และเสียงสระในค าขยายในภาษาอีสานใช้เสียงสระ....<br />

ธีระพันธ์ เหลืองทองค า และ ประคอง นิมมานเหมินทร์ พบว่า เสียงสระในภาษาไทยถิ่นอีสานมี<br />

ความสัมพันธ์โดยตรงกับการใช้ความหมายในเชิงขนาดของ......................................................<br />

In a recent study of group living talapoins, Keverne (1979) demonstrated that…. Keverne also<br />

found…………………………………………………………………………….………………..<br />

การระบุชื่อผู้เขียนที่เป็นชาวต่างประเทศ สามารถท าได้ 2 วิธี<br />

ตัวอย่าง 4<br />

1) ให้ระบุชื่อภาษาต่างประเทศในเนื้อความ และระบุปีพิมพ์ในวงเล็บ (ตัวอย่าง 4)<br />

2) ให้ระบุชื่อเป็นภาษาไทยในเนื้อความก่อน และวงเล็บชื่อภาษาต่างประเทศและปีพิมพ์<br />

(ตัวอย่าง 5)<br />

Read (1972 a: 15-17) ได้อธิบายถึงล าดับขั้นในการเตรียมท ารายงานดังนี้…………...….……………<br />

ตัวอย่าง 5<br />

แมคโดนัฟ (McDonough, 1984: 111) ให้ความเห็นว่า “หลักสูตรการเรียนการสอนภาษาที่มีลักษณะ<br />

เจาะจง เป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะบรรลุหลักการของการศึกษาที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นสื่อ”<br />

อ้างอิงด้วย เช่น<br />

ถ้าอ้างอิงเอกสารเรื่องเดียว เขียนโดยผู้แต่งคนเดียว แต่มีหลายเล่มจบให้ระบุหมายเลขของเล่มที่<br />

(พระบริหารเทพธานี, 2496, เล่ม 3)<br />

(Willmarth, 1980, vol.3)


3. การอ้างอิงเอกสารหนึ่งเรื่องที่มีผู้แต่ง 2 คน<br />

เมื่อเอกสารที่อ้างถึงมีผู้แต่ง 2 คน ให้ระบุชื่อผู้แต่งทั้ง 2 คน ทุกครั้งที่มีการอ้างโดยใช้ค า<br />

และ หรือ and เชื่อมชื่อผู้แต่ง (ตัวอย่าง 6)<br />

ตัวอย่าง 6<br />

Schlachter และ Thompson (1974) ศึกษาวิธีวิจัยที่ใช้ในวิทยานิพนธ์บรรณารักษศาสตร์และ<br />

พบว่า…………………………………………………………………………...…..………………………<br />

73<br />

จากการวิเคราะห์วิธีวิจัยที่ใช้วิทยานิพนธ์บรรณารักษ์ศาสตร์พบว่า วิธีวิจัยส ารวจมีผู้นิยมใช้กัน<br />

แพร่หลายและคงจะเป็นที่นิยมใช้ต่อไป (Schlachter และ Thompson, 1974)……………………………..<br />

In some studies the theoretical constructs and based on assumption and premises about the<br />

information transfer process, which derives from the theoretical formulation of Shannon and Weaver<br />

(1949)…………………………………………………………………………………………………………………….........................<br />

4. การอ้างอิงเอกสารหนึ่งเรื่องที่มีผู้แต่ง 3 คน<br />

ให้ระบุชื่อผู้แต่งทุกคน (ตัวอย่าง 7) หากมีการอ้างอิงถึงครั้งต่อไป ให้ระบุเฉพาะชื่อผู้แต่ง<br />

คนแรก ตามด้วยค าว่า และคณะ หรือ และคนอื่น ๆ ส าหรับเอกสารภาษาไทย ส่วนเอกสารภาษาอังกฤษให้<br />

ตามด้วย et al. หรือ and other (ตัวอย่าง 8)<br />

ตัวอย่าง 7<br />

สาคิตณ์ จันทโนทก, นภาพร ณ เชียงใหม่ และกวี วงศ์พุฒ (2527: 121-135) ได้กล่าวถึงปัญหาการ<br />

วางแผนงบประมาณว่า………………………………………………………………………………<br />

The qualifications needed to be able work at a professional level in the information industry are<br />

……………………………………………………(Carph, Dundee, and Smith, 1999: 25)<br />

ตัวอย่าง 8<br />

……………………………….. (Carph, et al., 1999: 50) ……………………………………………..


ข้อยกเว้น ถ้าเอกสารสองเรื่องที่อ้างครั้งต่อมาเมื่อเขียนย่อโดยใช้ et al. แล้วท าให้รายการที่<br />

อ้างปรากฏคล้ายกัน เช่น Bradley, Ramirez, and Soo (1973)….<br />

Bradley, Soo, and Brown (1983)……<br />

ถ้าเขียนย่อ จะเป็น Bradley et al. (1983) เหมือนกันในกรณีเช่นนี้เพื่อไม่ให้ผู้อ่านสับสนให้เขียน<br />

ชื่อผู้แต่งทุกคน<br />

5. การอ้างอิงเอกสารหนึ่งเรื่องที่มีผู้แต่งมากกว่า 3 คน<br />

ในการอ้างถึงทุกครั้งให้ระบุเฉพาะชื่อผู้แต่งคนแรก ตามด้วยค า และคณะ หรือ และคนอื่นๆ<br />

ส าหรับเอกสารภาษาไทย ส่วนเอกสารภาษาอังกฤษใช้ค าว่า et al. หรือ and other<br />

ข้อยกเว้น ถ้าเอกสารสองเรื่องที่อ้างเมื่อเขียนย่อแล้วท าให้รายการที่อ้างปรากฏคล้ายกัน ในกรณีนี้<br />

เมื่ออ้างถึงเอกสารเหล่านั้นในเนื้อความ ให้พยายามระบุผู้แต่งคนต่อมาเรื่อยๆ จนถึงผู้แต่งที่ซ้ ากัน เช่น<br />

Takac, Schaefer, Malonry, Bryant, Cron, and Wang (1982) และ<br />

Takac, Schaefer, Bryant, Wood, Maloney, and Cron (1982)<br />

ในข้อความการอ้างอิงจะปรากฏ ดังนี้<br />

Takac, Schaefer, Malonry et al. (1982) และ<br />

Takac, Schaefer, Bryant et al. (1982)<br />

6. การอ้างอิงเอกสารที่มีผู้แต่งเป็นสถาบัน<br />

หากเอกสารที่อ้างอิงสถาบันเป็นผู้แต่งแทรกในเนื้อความในระบบนาม-ปี ให้ระบุชื่อผู้แต่งที่<br />

เป็นสถาบัน โดยเขียนชื่อเต็มในการอ้างครั้งแรก และถ้ามีชื่อย่อที่เป็นทางการก็ให้ระบุชื่อย่อนั้นในวงเล็บ<br />

ใหญ่ [ ] ไว้ด้วย กรณีนี้ในการอ้างอิงต่อมาให้ใช้ชื่อย่อนั้นด้วย ถ้าไม่มีชื่อย่อ การอ้างครั้งต่อๆ มาให้ระบุชื่อ<br />

สถาบันเต็มทุกครั้ง เช่น<br />

การอ้างครั้งแรก คือ<br />

(องค์การรับส่งสินค้าและพัสดุภัณฑ์ [ร.ส.พ.], 2519: 25)<br />

(Asian Institute of Technology [AIT], 1981: 19)<br />

การอ้างครั้งต่อมา<br />

(ร.ส.พ., 2519: 25)<br />

(AIT, 1981: 19)<br />

การอ้างถึงผู้แต่งที่เป็นสถาบัน ต้องพยายามให้ผู้อ่านไม่สับสนระหว่างสถาบันที่อ้างถึงนั้นถึง<br />

สถาบันอื่นๆ ทั้งนี้ ถ้าสถาบันนั้นเป็นหน่วยงานราชการ อย่างน้อยต้องอ้างถึงระดับกรมหรือเทียบเท่าและ<br />

เขียนอ้างระดับสูงลงมาก่อน เช่น<br />

74


(กรมสรรพากร, กองนโยบายและแผน, ฝ่ายเอกสารเผยแพร่และแนวปฏิบัติ, 2542: 90)<br />

(กระทรวงอุตสาหกรรม, 2542: 10-15)<br />

(ส านักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, 2542: 58)<br />

(ธนาคารแห่งประเทศไทย, 2542: 10-25)<br />

(Library Association, 1999: 1-2)<br />

(Oxford University Press, 1999: 8-12)<br />

7. การอ้างอิงเอกสารหลายเรื่องโดยผู้แต่งคนเดียวกัน<br />

ในการอ้างเอกสารหลายเรื่องโดยผู้แต่งคนเดียวกัน แต่ปีพิมพ์ต่างกันให้ระบุชื่อผู้แต่งครั้งเดียว<br />

แล้วระบุปีพิมพ์ตามล าดับใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) คั่นระหว่างปีพิมพ์โดยไม่ต้องระบุชื่อผู้แต่งซ้ าอีก เช่น<br />

(ไชยยศ เหมะรัชตะ, 2539: 44-47, 2541: 51-53)<br />

(Frost and Moore, 1998: 17, 1993: 31-32)<br />

แต่ถ้าเอกสารหลายเรื่อง ที่เขียนโดยผู้แต่งคนเดียวกัน แต่ปีพิมพ์ซ้ ากัน ให้ใช้ a b c d ตามหลัง<br />

ปีพิมพ์ ส าหรับเอกสารภาษาต่างประเทศ และใช้ ก ข ค ง ตามหลัก ปีพิมพ์ ส าหรับเอกสารภาษาไทย เช่น<br />

กมล ทองมาก (2529ก: 18) เสนอแนวคิดไว้ว่า…………………..<br />

75<br />

กมล ทองมาก (2529ข: 44-45) เสนอแนวคิดไว้ว่า……………….<br />

อธิบาย: จากตัวอย่างข้างต้น อธิบายได้ว่า ผู้เขียนรายงานได้อ้างหนังสือ 2 เล่ม คือ การท า<br />

ฟาร์มกุ้ง และ เศรษฐกิจฟาร์มกุ้ง_ ที่แต่งโดย ผู้แต่งคนเดียวกันและพิมพ์ในปีเดียวกัน คือ 2529 เพื่อไม่ให้<br />

เกิดความสับสนในการอ้างอิง ผู้เขียนรายงานได้ใช้ตัวอักษร “ก” และ “ข” ก ากับไว้ที่ปี พ.ศ. โดยได้จัดเรียง<br />

ชื่อเรื่องของหนังสือ ตามล าดับอักษรก่อน ดังนี้<br />

การท าฟาร์มกุ้ง 2529ก<br />

เศรษฐกิจฟาร์มกุ้ง 2529ข<br />

อนึ่งในการเขียนบรรณานุกรมท้ายบทความ ตัวเลข พ.ศ. ก็ยังคงมีอักษรก ากับอยู่เช่นเดิม<br />

8. การอ้างอิงเอกสารหลายเรื่องโดยผู้แต่งหลายคน<br />

การอ้างอิงสรุปมาจากเอกสารหลายเรื่องที่เขียนโดยผู้เขียนหลายคน ให้เรียงชื่อผู้เขียน<br />

ตามล าดับอักษรและใส่เครื่องหมายอัฒภาค (;) คั่นเอกสารแต่ละเรื่อง ดังตัวอย่าง<br />

……….....(กรกช ด ารงนิตย์, 2541: 31-32; จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, คณะอักษรศาสตร์, 2540: 50;<br />

พิมลพร ศิริสกุล และนุชวดี สุทธิศิลป์, 2542: 7-8; อาจหาญ ไชยศรี, 2539ก: 8)……………………….<br />

…………….(Feather and Frank 1999: 145; 1988a: 88-89; Miski, 1990: 5)……………………………


9. การอ้างอิงเอกสารที่ไม่ปรากฏนามผู้เขียน<br />

ให้ใส่ชื่อเรื่อง (Title) ของเอกสารนั้น เช่น ชื่อเรื่องของหนังสือหรือชื่อเรื่องจุลสารหรือชื่อ<br />

บทความในวารสารหรือชื่อหัวข้อข่าวหรือชื่อบทความในหนังสือพิมพ์<br />

ดังตัวอย่าง<br />

ชื่อเรื่องของหนังสือ<br />

76<br />

…………..……….(เทคโนโลยีสารสนเทศกับการจัดการศึกษา, ม.ป.ป.: 11-12)…………….<br />

…….The Impact of New Technology on Libraries and Information Centers (1982: 16-17)..<br />

ชื่อบทความในวารสาร/หนังสือพิมพ์<br />

(“เปิดมิติธุรกิจขายข้อมูล ความต้องการแห่งยุคสมัย.”, 2534: 39-44)<br />

(‚Information Brokers.‛, n.d.: 15)<br />

10. การอ้างอิงเอกสารที่ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียน<br />

แต่มีชื่อบรรณาธิการหรือชื่อผู้รวบรวม ให้ใส่ชื่อบรรณาธิการ (Editor) หรือ ชื่อผู้รวบรวม (Compiler)<br />

ดังตัวอย่าง<br />

…………………………(รุ่งโรจน์ ศรีสุบรรณ, บรรณาธิการ, 2538: 30)………………………..……..<br />

…………………………(ชมเพลิน จันทร์เมืองเพ็ญ, ผู้รวบรวม, 2540: 1-2)…………………….…….<br />

…………………………(Lawrence, ed., 2000: 25)……………………………………………………<br />

…………………………(Gootnick and Kents, eds., 1997: 29-30) ……………………………………<br />

11. การอ้างอิงน ามาจากหนังสือแปล<br />

ให้ระบุชื่อผู้เขียนที่เป็นเจ้าของเรื่องถ้าไม่ทราบจึงใส่ชื่อผู้แปล ดังตัวอย่าง<br />

…………………………เมทซ์ (2540: 11-17) กล่าวถึง……………………………………………….<br />

…………………………(แม็คเมอรี่ย์, เชฟเฟอร์ และเนฟวิลล์, 2542: 101)…………..……………….<br />

…………………………(ยุพเรศ วินัยธร, ผู้แปล, 2530: 15-16)……………………………………….<br />

12. การอ้างอิงเอกสารที่ผู้แต่งใช้นามแฝง<br />

ให้ใช้นามแฝง ตามที่ปรากฏ เช่น<br />

…………………………(สิงห์สนามหลวง, 2539: 122)………………………….…..……………….<br />

…………………………(Dr.Y, 1968: 33-39)…………………………………………………………


77<br />

13. การอ้างอิงเอกสารที่เป็นบทวิจารณ์<br />

ให้ใส่ชื่อผู้วิจารณ์ ตัวอย่าง<br />

…………………………คุณสุภาว์ จุลนาพันธ์ (2530: 28-35) ได้วิจารณ์..…………….…..………….<br />

…………………………(Nicol, 1987: 4-9)…………………………………………………………..<br />

14. การอ้างอิงจากส่วนหนึ่งของหนังสือที่รวมบทความ<br />

ผลงานรวมเรื่องของผู้เขียนหลายคน และมีผู้รับผิดชอบในการรวบรวม หรือท าหน้าที่<br />

บรรณาธิการต่างหาก ซึ่งอาจเป็นผู้หนึ่งที่เขียนบทความบางบทในหนังสือเล่มนั้น หรือเป็นบุคคลอื่นก็<br />

ตาม ในการเขียนรายการอ้างอิงให้ระบุเฉพาะชื่อผู้เขียนบทความ ในกรณีไม่ปรากฏชื่อผู้เขียนให้ใช้ชื่อ<br />

เรื่องแทน ตัวอย่าง<br />

…………………………(ลือชัย จุลสัย, 2528: 78)…………………………….……….…..………….<br />

…………………………(กุณฑลวดี ภาสวงศ์, 2528: 11)…………...…………………………………<br />

…………………………(Rokeach, 1988: 17-20)……….……………………………………………<br />

15. การอ้างอิงจากหนังสือหรือเอกสารที่ไม่ปรากฏปีพิมพ์<br />

…………………………(สุนันท์ จักราวรศุข, ม.ป.ป.: 11)…………………………….……….…….<br />

16. …………………………(Joseph, การอ้างอิงเอกสารอื่น n.d.: 3-15)…………………………………………………………<br />

ผู้เขียนบทความต้องการอ้างข้อความที่ถูกอ้างอิงไว้แล้วในเอกสารนั้นๆ โดยไม่ได้อ่านจาก<br />

งานเขียนนั้นโดยตรงในกรณีเช่นนี้ถือว่าเป็นการอ้างเอกสารที่อ้างถึงในเอกสารอื่น ซึ่งไม่ใช่การอ้างถึง<br />

เอกสารนั้นโดยตรง การเขียนรายการอ้างอิงในกรณีนี้ มีหลักการเขียน ดังนี้<br />

16.1 ให้ระบุนามผู้เขียนของเอกสารทั้งสองรายการ โดยระบุนามผู้เขียนและปีพิมพ์ของ<br />

เอกสารอันดับแรกมาก่อนตามด้วย ค าว่า “อ้างถึงใน” ส าหรับเอกสารภาษาไทย หรือ ‚cited in‛ ส าหรับ<br />

เอกสารภาษาต่างประเทศ แล้วระบุนามผู้เขียนของเอกสารอันดับรองและปีพิมพ์ เช่น<br />

……..ได้มีการศึกษาสหสัมพันธ์ระหว่างความรู้ของบรรณารักษ์ในเรื่องนวกรรมกับระดับของการ<br />

ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง ผลการวิจัยพบว่าจ านวนบรรณารักษ์มากกว่าครึ่งหนึ่งรู้สึกตื่นเต้นและต้องการที่<br />

จะเห็นการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นในห้องสมุด....(Yaghmai. 1981: 11-20 cited in weeks, 1983: 45-50)……<br />

เอกสารอันดับแรก


16.2 ถ้ากล่าวถึงนามเจ้าของเอกสารอันดับแรกในเนื้อหาอยู่แล้ว ก็ลงแต่ปีพิมพ์และเลข<br />

หน้า (ถ้ามี) ของเอกสารอันดับแรก และรายการอ้างอิงของเอกสารอันดับรองไว้ในวงเล็บ ( ) เช่น<br />

78<br />

ส าหรับ Fine (1983: 10 cited in French, 1985: 19) เชื่อว่าสาเหตุที่แท้จริงของการต่อต้าน<br />

เทคโนโลยีใหม่ๆ คือ ความกลัว (Fear) ซึ่งพอจะจ าแนกประเภทของความกลัวได้ 2 ประเภท คือ<br />

1. กลัวที่จะสูญเสียความเป็นส่วนตัว และสูญเสียอ านาจในการท างาน<br />

2. กลัวว่าคอมพิวเตอร์จะท าลายความสัมพันธ์ของเพื่อนร่วมงานท าให้กลุ่มของตนไม่ใกล้<br />

ชิดสนิทสนมอย่างเดิม<br />

สมเด็จกรมพระยาด ารงราชานุภาพได้ทรงรายงานถึงจ านวนหนังสือไทยที่มีอยู่ในหอพระ<br />

สมุดส าหรับพระนคร ในปี พ.ศ. 2459 ดังนี้คือ ................(2459: 60 อ้างถึงใน แม้นมาส ชวลิต, 2509: 24)<br />

Cohen 16.3 ถ้าเอกสารอันดับรองไม่ได้ระบุปีพิมพ์ (Miller, 1997: 34) Stated……………………………………………………………<br />

และเลขหน้าของเอกสารอันดับแรกให้เขียน<br />

รายการอ้างอิง ดังนี้<br />

………….(พระยาอนุมานราชธน อ้างถึงใน สายจิตต์ เหมินทร์, 2507: 25-26)………………………...<br />

………….(Bradford, cited inn Deutsch, 1943: 43)……………………………………………………<br />

17. การอ้างอิงเอกสารพิเศษและโสตทัศนวัสดุ<br />

เอกสารพิเศษ เช่น ต้นฉบับตัวเขียน รายการวิทยุโทรทัศน์ ปาฐกถา เป็นต้น หรือ<br />

โสตทัศนวัสดุ เช่น สไลด์ ฟิล์มสตริป เทปบันทึกเสียง แผนที่ เป็นต้น ให้ใส่ชื่อผู้แต่ง, ผู้ผลิตหรือชื่อเรื่อง<br />

(กรณีไม่ปรากฎชื่อผู้แต่ง) เว้นหนึ่งระยะตามด้วยปี ตัวอย่าง<br />

………….(ด ารงศักดิ์ ชัยสนิท, 2549)………………………..............................................................<br />

………….(Kellough, 18. การอ้างอิงจากเอกสารสื่อสารระหว่างบุคคล<br />

2006)………………………………………………………………………….<br />

การสื่อสารระหว่างบุคคล อาจเป็น จดหมาย บันทึก การสนทนา การสัมภาษณ์ ฯลฯ ให้<br />

ระบุชื่อที่ผู้เขียนสื่อสารด้วย พร้อมวันที่(ถ้ามี) เช่น<br />

………….(ปิยากร หวังมหาพร, จดหมาย, 1 มกราคม 2551)……………………….................................<br />

………….(Wichai Nakorntap, interview, September 1, 1997)…………………………..….…………..<br />

………….Milton Friedman (personal communication, April 26, 1983………………….…….……….


19. การอ้างอิงจากข้อมูลที่เป็นฐานข้อมูล<br />

หรือในเว็บไซต์วิชาชีพ (Information Database or Professional Web Site) โครงการ<br />

วิชาการออนไลน์ (Online Scholarly Project) ให้ระบุ ชื่อผู้จัดท าเว็บไซต์หากไม่มีให้ระบุชื่อเว็บไซต์<br />

หรือชื่อโครงการหรือฐานข้อมูลแทน และวันเดือนปีที่จัดท าเว็บไซต์หรือวันเดือนปีที่เข้าใช้ข้อมูล<br />

20. บทความวารสารจากเว็บไซต์<br />

หากเหมือนบทความวารสารที่ตีพิมพ์ให้ใส่ชื่อผู้เขียนบทความ (หรือชื่อบทความถ้าไม่มีชื่อ<br />

ผู้เขียน) เดือน, ปีพิมพ์และเลขหน้าเช่นเดียวกับฉบับตีพิมพ์ เช่น<br />

21. บทความจากวารสารออนไลน์ (ที่ไม่มีฉบับตีพิมพ์)<br />

ให้ใส่ชื่อผู้เขียนบทความ (หรือชื่อบทความถ้าไม่มีชื่อผู้เขียน) และปีที่ผลิตหรือจัดท าเช่น<br />

………….(‚Expenditures for Health Care Plans,‛ 1998)………………………………………………<br />

.หมายเหตุ การเขียนรายการอ้างอิงแทรกปนไปในเนื้อหาของข้อมูลจากเว็บไซต์หรือ<br />

ข้อมูลออนไลน์จะใช้หลักเกณฑ์เดียวกันกับการเขียนรายการอ้างอิงเอกสารคือ ชื่อผู้เขียนหรือผู้จัดท าทั้ง<br />

ที่เป็นบุคคลและหน่วยงานกับปีที่ผลิตหรือจัดท าข้อมูลหรือ วัน เดือน ปี ที่เข้าใช้ข้อมูลเป็นส าคัญ ส่วย<br />

รายละเอียดอื่นๆ ที่ครบถ้วนสมบูรณ์ จะต้องใช้เขียนบรรณานุกรมท้ายบทความหรือเอกสาร<br />

79<br />

ระบบสายอากาศที่ใช้ในตัวดาวเทียมมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบ ได้แก่ Wire, Horn, Reflector และ<br />

Array……(สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล วิทยาเขตนนทบุรี, 2 กันยายน 2544)………………………..<br />

………….(Marriott, et al., 2002, February: 902-911)…………………………………………………<br />

………….(Wheelright, 2001, September)…………………………………………………………….


80<br />

หลักการเขียนอัญพจน์ (Direct Quotation)<br />

อัญพจน์ คือ ข้อความหรือค าพูดที่คัดลอกมา ซึ่งข้อความใดที่ผู้เขียนคัดลอกมาโดยตรงจาก<br />

หนังสือหรือสิ่งพิมพ์ใดๆ เพื่อใช้ประกอบการเขียนรายงานผู้เขียนจ าเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเขียนรายการ<br />

อ้างอิงประกอบข้อความนั้นทันทีเพื่อเป็นการบอกถึงแหล่งที่มาของข้อความนั้นๆ และเพื่อเป็นการให้<br />

เกียรติแก่ผู้เป็นเจ้าของความคิด รวมทั้งยังเป็นการเพิ่มความน่าเชื่อถือให้แก่รายงานอีกด้วย การเขียนอัญ<br />

พจน์ในเนื้อหารายงานมีหลักการเขียน ดังนี้<br />

1. กรณีอัญพจน์เป็นความเรียงความยาวไม่เกิน 4 บรรทัด หรือเป็นร้อยกรองความยาวไม่เกิน<br />

3 บรรทัด ให้เขียนหรือพิมพ์ต่อจากข้อความในรายงานได้ โดยไม่ต้องขึ้นบรรทัดใหม่ และต้องใส่<br />

เครื่องหมายอัญประกาศก ากับข้อความเหล่านั้นด้วยหากเป็นร้อยกรองให้ใส่เครื่องหมายทับ (/) ตรงค า<br />

สุดท้ายของข้อความแต่ละบรรทัดและเว้น 1 ระยะก่อนพิมพ์ข้อความต่อไป เช่น<br />

รัชนัย อินทุใส (2538: 3) กล่าวว่า “ดาวเทียมมีช่วงของวงโคจรที่ใหญ่มาก แต่ไม่ได้ใช้ทุกช่วงของวง<br />

โคจรส าหรับการสื่อสาร วงโคจรที่ส าคัญที่ใช้งานกันอยู่จะใช้เวลาในการโคจรรอบหนึ่ง 24 ชั่วโมง ที่ความ<br />

สูง 35,786 กิโลเมตร จากพื้นผิวโลก ณ จุดเส้นศูนย์สูตร เป็นวงโคจรที่ใช้มากที่สุดส าหรับดาวเทียมสื่อสาร<br />

เช่น ดาวเทียม INTELSAT, EUTELSAT, INMARSAT เป็นต้น”<br />

ตัวอย่าง การเขียนอัญพจน์ที่เป็นบทร้อยกรองที่มีความยาวไม่เกิน 3 บรรทัด<br />

The writer frames the poem with a sense of reality: ‚All things within this world are illusion/ everything<br />

is not our self/3But the world.‛ (Elizabeth, 1987: 10-11)…………………………………..<br />

2. กรณีอัญพจน์เป็นความเรียงความยาวเกิน 4 บรรทัด หรือร้อยกรองมีความยาวเกิน 3<br />

บรรทัด<br />

ไม่ต้องใช้เครื่องหมายอัญประกาศ (“.......”) ก ากับข้อความเหล่านั้น แต่ให้พิมพ์ขึ้นบรรทัด<br />

ใหม่ โดยย่อหน้าเข้ามาอีก 10 ระยะตัวพิมพ์ หรือประมาณ 1 นิ้วจากขอบกระดาษด้ายซ้ายมือ ในกรณีที่มี<br />

ย่อหน้าภายในอัญพจน์ก็ให้ย่อหน้าเข้ามาอีก 3 ระยะตัวพิมพ์ ดังตัวอย่าง


ตัวอย่าง การเขียนอัญพจน์ที่เป็นความเรียงที่มีความยาวเกิน 4 บรรทัด<br />

ตัวอย่าง การเขียนอัญพจน์ที่เป็นบทร้อยกรองที่มีความยาวเกิน 3 บรรทัด<br />

ข้อสังเกต: มีการใช้เครื่องหมายอัญประกาศเดี่ยว (‘....’) คร่อมค าว่าอนันตชีพไว้เพราะจาก<br />

ต้นฉบับเดิมจะมีเครื่องหมายอัญประกาศคู่ก ากับค าดังกล่าว<br />

3. เมื่อตัดข้อความที่คัดลอกออกบางส่วน เนื่องจากไม่สัมพันธ์กับเรื่องที่ต้องการอ้างอิง<br />

มีหลักการ ดังนี้<br />

3.1 กรณีข้อความที่ต้องการตัดออกมีความยาวไม่เกิน 1 บรรทัด ให้ใส่จุด 3 จุดไว้ตรง<br />

ส่วนที่ตัดออก<br />

ดังตัวอย่าง<br />

81<br />

การใช้ดาวเทียมสื่อสารในกิจการโทรคมนาคมของประเทศไทยมีจ านวนมากขึ้น โดย<br />

ประเทศไทยได้เข้าเป็นสมาชิกองค์การ TNTELSAT เมื่อปี พ.ศ. 2509 และเริ่มการสื่อสารผ่านดาวเทียม<br />

ในปี พ.ศ. 2510 ปัจจุบันประเทศไทยใช้ดาวเทียม TELSAT, PALAPA และ ASIASAT ในการใช้<br />

ดาวเทียม ประสิทธิ์ ทีฑพุฒิ (2537: 189) อธิบายว่า<br />

การใช้ดาวเทียมเหล่านี้จะใช้ในกิจการทั้งของราชการและเอกชน ซึ่งการใช้งานเหล่านี้มี<br />

ปริมาณ การใช้เพิ่มขึ้นอย่างมาก คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้มีการท าสัญญาส่งดาวเทียมของประเทศไทย<br />

ขึ้นสู่วงโคจรโดยได้ลงนามในสัญญาเมื่อ 11 กันยายน 2534<br />

เนื่องจากหลักในการท างานดาวเทียม แต่ละดวงเหมือนกัน………………………………<br />

………………...(ข้อความเนื้อหา)…………………………….…………………………………………<br />

มาเร็วเกลอ! แล่นเรือ ไปด้วยข้า<br />

อรุณใหม่ นาฬิกา อ้าปีกหนี<br />

เราจะขึ้น ก้อนเมฆผล็อย ลอยเมฆี<br />

ร้อยสดุดี ‘อนันตชีพ’ พลางรีบไป (สิริวยาส, ผู้แปล, 2542: 174)<br />

“การควบคุมต าแหน่งของดาวเทียมเป็นสิ่งส าคัญเพื่อที่จะให้จานสายอากาศของดาวเทียมซึ่งเป็นชนิดที่<br />

มีบีม (Beam) แคบ ให้ชี้มายังโลกในต าแหน่งที่ถูกต้อง... นอกจากนี้แล้วสนามโน้มถ่วงต่างๆ ซึ่งกระท า<br />

ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง” (ประสิทธิ์ ทีฑพุฒิ, 2537: 25)


3.2 ถ้าต้องการละข้อความหนึ่งย่อหน้า (Paragraph) หรือมากกว่า ให้ใช้จุดไข่ปลา 1<br />

บรรทัด ส่วนข้อความที่คัดลอกต่อมาให้ขึ้นบรรทัดใหม่<br />

ดังตัวอย่าง<br />

หนังสือ สิ่งพิมพ์ โสตทัศนวัสดุ/สื่อ โสตทัศน์ หรือสื่ออิเล็กทรอนิกส์ใดๆ ก็ตามที่ผู้เขียน<br />

บทความได้เขียนอ้างอิงไว้ในส่วนเนื้อหาของบทความ (ในลักษณะการอ้างอิงแทรกปนไปบนเนื้อหา)<br />

หนังสือฯ เหล่านั้นทุกเล่ม/ชิ้น จะต้องน ามาเขียนเป็นบรรณานุกรมท้ายฉบับของบทความ<br />

การเขียนบรรณานุกรม<br />

บรรณานุกรม คือ รายการเอกสาร สิ่งพิมพ์ สื่อโสตทัศน์ ฐานข้อมูลที่ใช้ประกอบการศึกษา<br />

ค้นคว้า หรือเอกสารอ้างอิง จะอยู่ส่วนท้ายของเนื้อหา บรรณานุกรม มีความส าคัญเพราะแสดงถึง<br />

การศึกษาค้นคว้าของผู้เขียน ว่าความกว้างขวางลึกซึ้งมากน้อยเพียงใด มีความทันสมัยแค่ไหน<br />

นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนหนึ่งที่แสดงถึงความน่าเชื่อถือของข้อมูลที่ปรากฏในเอกสารวิชาการนั้นๆ และ<br />

แสดงการเป็นลิขสิทธิ์ด้วย ในที่นี้จะขอแยกกล่าวเป็น 2 หัวข้อ คือ ขั้นตอนการเขียนบรรณานุกรม และ<br />

แบบแผนของบรรณานุกรม<br />

ขั้นตอนการเขียนบรรณานุกรม<br />

1. การเขียนบรรณานุกรมนั้นจะมีรูปแบบและหลักเกณฑ์การเขียนที่แตกต่างกันไปตาม<br />

ประเภทของทรัพยากรสารสนเทศ<br />

2. การเขียนบรรณานุกรมต้องเขียนอย่างถูกต้องตามแบบแผนสากลแล้วจัดเรียงตามล าดับ<br />

อักษรตัวแรกของแหล่งข้อมูล ทั้งนี้มักจะเป็นชื่อผู้แต่ง หรืออาจเป็นชื่อหนังสือ ชื่อบทความบ้างก็ได้<br />

หากไม่ปรากฏผู้แต่ง<br />

82<br />

ท่านพุทธทาสภิกขุ (2530: 18) เสนอแนวคิดในการปลูกฝังเรื่องการไม่ยึดมั่น เพื่อปล่อยวาง<br />

อัตตาหรือยึดถือในความดีและความเป็นแห่งตัวตนของมนุษย์ไว้ว่า<br />

น่าจะมีวัฒนธรรมใหม่ที่ประดิษฐ์ขึ้นมาสั่งสอนลูกเด็กๆ อย่าสอนเขาให้<br />

ยึดมั่นอะไร เป็นตัวกูเป็นของกู มาตั้งแต่อ้อนแต่ออกนัก สอนให้รู้จักว่าควรท าอย่างไร<br />

ในการที่จะไม่มีความทุกข์ในข้อนี้ ควรกินอย่างไร ควรนอนอย่างไร ควรเล่นอย่างไร<br />

………………………………………………………………………………………………<br />

ไปที่ร้านอาหารที่อร่อยที่สุด จะกินจะซื้อให้..ไม่ได้ บอกว่าลูกเอ๋ย<br />

ทั้งหมดนี้เขามีไว้ส าหรับให้เราโง่นะลูกเอ๋ย ไม่มีใครบอกอย่างนี้


อนึ่ง มีข้อควรพิจารณาเพิ่มเติม คือ ในกรณีที่มีสิ่งพิมพ์ทั้งภาษาไทยและภาษาต่างประเทศ<br />

ให้แยกบรรณานุกรมออกเป็น 2 ภาษา คือ ภาษาไทย และภาษาต่างประเทศ แล้วจึงจัดเรียงตามล าดับ<br />

อักษรตัวแรกของรายการแรกของบรรณานุกรมแต่ละรายการ<br />

ในการเขียนหรือพิมพ์บรรณานุกรมนั้นจะต้องเริ่มต้นรายการแรก โดยเขียนหรือพิมพ์ชิดขอบกระดาษ<br />

ด้านซ้ายที่เว้นระยะ 1.5 นิ้วไว้แล้ว และหากข้อความยังไม่จบตอน บรรทัดต่อไปให้ย่อหน้าเข้ามา 8<br />

ระยะตัวอักษร โดยเขียนหรือพิมพ์ที่ตัวอักษรที่ 9<br />

การเว้นระยะมีหลักเกณฑ์ ดังนี้<br />

หลังเครื่องหมาย มหัพภาค (. period) เว้น 2 ระยะ<br />

หลังเครื่องหมาย อัญประกาศ (‚___‛ quotation) เว้น 2 ระยะ<br />

หลังเครื่องหมาย จุลภาค (, comma) เว้น 1 ระยะ<br />

หลังเครื่องหมาย อัฒภาค (; semi-colon) เว้น 1 ระยะ<br />

หลังเครื่องหมาย มหัพภาคคู่ (: colons) เว้น 1 ระยะ<br />

**บางสาขาวิชาจะก าหนดให้ปีพิมพ์อยู่ในเครื่องหมาย ( ) ตามระบบการอ้างอิงแบบ APA Style ก็ได้**<br />

83<br />

แบบแผนของบรรณานุกรม มีทั้งหมด 17 รูปแบบ ดังนี้<br />

1. หนังสือ<br />

แบบแผน<br />

ผู้แต่ง.ปีพิมพ์.ชื่อหนังสือ.จ านวนเล่ม(ถ้ามี). ครั้งที่พิมพ์(ถ้ามี). ชื่อชุด<br />

หนังสือและล าดับที่(ถ้ามี). สถานที่พิมพ์: ส านักพิมพ์หรือโรงพิมพ์.<br />

ข้อสังเกตบางประการเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การลงรายการบรรณานุกรมหนังสือ<br />

1. เครื่องหมาย “” นี้แสดงถึงการเว้นระยะในการพิมพ์หรือเขียนไม่ต้องใส่เครื่องหมายลงไป<br />

2. หากรายการใดไม่มีก็ไม่ต้องลงรายละเอียดในบรรณานุกรม ให้ลงรายการถัดมาได้เลย<br />

3. การลงรายการผู้แต่ง มีหลักการเขียน คือ ผู้แต่งอาจเป็นบุคคลหรือสถาบันก็ได้<br />

- ถ้าเป็นบุคคลประเภทสามัญชน ให้ตัดค าน าหน้าต่อไปนี้ทิ้งไป คือ<br />

ค าน าหน้านามแสดงเพศ (นาย, นาง, นางสาว) ค าน าหน้านามแสดงคุณวุฒิ (ดร.) ค าน าหน้านามแสดง<br />

อาชีพ (เช่น นายแพทย์) ค าน าหน้านามแสดงยศทางทหาร (เช่น พล.อ.) และค าน าหน้านามแสดง<br />

ต าแหน่งทางวิชาการ (ผศ., รศ., ศ.,)<br />

- ถ้าผู้แต่งเป็นชาวต่างประเทศ ให้เขียนชื่อสกุลขึ้นก่อน คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาคตาม<br />

ด้วยชื่อต้น (First Name) และชื่อกลาง (ถ้ามี)<br />

- ถ้าผู้แต่งมีบรรดาศักดิ์ ฐานันดรศักดิ์หรือสมณศักดิ์ กลับเอาบรรดาศักดิ์ ฯลฯ ไว้หลัง<br />

ชื่อกับนามสกุล คั่นด้วยเครื่องหมายจุลภาค (,)


- ถ้าผู้แต่งเป็นสถาบัน ให้บันทึกชื่อสถาบันนั้นๆ โดยเรียงล าดับจากหน่วยงานใหญ่ไป<br />

หาหน่วยงานย่อย ในกรณีเป็นหน่วยงานของรัฐบาลอย่างน้อยต้องอ้างถึงระดับกรมหรือเทียบเท่า<br />

ระหว่างชื่อหน่วยงานคั่นด้วยเครื่องหมายมหัพภาค (.)<br />

4. การลงรายการปีพิมพ์ ใช้หลักเกณฑ์เดียวกับการลงรายการปีพิมพ์ในรายการอ้างอิงแทรก<br />

ปนไปในเนื้อหา<br />

5. การลงรายการชื่อหนังสือ มีหลักการเขียน ดังนี้<br />

- ชื่อหนังสือให้พิมพ์ด้วยตัวหนาและไม่ขีดเส้นใต้<br />

- ชื่อหนังสือที่เป็นภาษาต่างประเทศ ให้ขึ้นต้นอักษรตัวแรกของทุกค าด้วยตัวพิมพ์ใหญ่<br />

ทุกค า ยกเว้นกลุ่มค าประเภท บุพบท (Prepositions) สันธาน (Conjunctions) และค าน าหน้านาม<br />

(Articles) ยกเว้นน าหน้าชื่อเรื่อง หรือน าหน้าชื่อเรื่องรอง(ถ้ามี) และกรณีชื่อเรื่องรอง ให้พิมพ์ตามหลัง<br />

เครื่องหมายมหัพภาคคู่ (:) เช่น The American Revolution, 1775-1783: An Encyclopedia. New<br />

Jersey: A Guide to Its Past and Present.<br />

6. การลงรายการจ านวนเล่ม มีหลักการเขียน ดังนี้<br />

- ลงจ านวนเล่มหรือหมายเลขเล่มของหนังสือ ในกรณีเป็นหนังสือที่มีหลายเล่มจบ<br />

- กรณีใช้เพียงเล่มเดียวให้ระบุหมายเลขเล่มต่อท้ายชื่อหนังสือ หรือชื่อบรรณาธิการ<br />

(กรณีเป็นหนังสือรวมเรื่องที่ต้องการระบุชื่อผู้เขียนเป็นรายการแรก) หรือชื่อผู้แปล (กรณีเป็นหนังสือ<br />

แปลที่มีชื่อผู้แต่งเดิม) คั่นด้วยเครื่องหมายมหัพภาค (.)<br />

- กรณีใช้เพียงเล่มเดียว และแต่ละเล่มมีชื่อเรื่องประจ าเล่ม ให้เขียนบรรณานุกรมเสมือน<br />

เป็นหนังสือ 1 เล่ม โดยไม่ต้องใส่หมายเลขเล่มใดๆ<br />

- เป็นหนังสือหลายเล่มจบ และใช้อ่านประกอบตั้งแต่ 2 เล่มเป็นต้นไป ในการอ้างอิงให้<br />

ระบุจ านวนเล่มทั้งหมดต่อท้ายชื่อหนังสือ<br />

7. การลงรายการครั้งที่พิมพ์ ให้ลงรายการตั้งแต่การพิมพ์ครั้งที่ 2 เป็นต้นไป เช่น พิมพ์ครั้งที่<br />

2, พิมพ์ครั้งที่ 3 เป็นต้น<br />

8. การลงรายการชื่อชุดหนังสือและล าดับที่ กรณีหนังสือชื่อเรื่องนั้นเป็นเล่มหนึ่งในหนังสือ<br />

ชุด (A book in a series) และอ้างเพียงเล่มเดียว ในการเขียนบรรณานุกรมให้เขียนชื่อเรื่องของหนังสือ<br />

เล่มที่อ้างถึงในส่วนชื่อหนังสือ และระบุชื่อเรื่องของชุดและหมายเลขชุด ต่อท้ายจากรายการชื่อหนังสือ<br />

ชื่อบรรณาธิการ(ถ้ามี) หรือชื่อผู้แปล(ถ้ามี) หรือจ านวนเล่ม(ถ้ามี) หรือครั้งที่พิมพ์(ถ้ามี) เช่น<br />

ชุดส่งเสริมการท่องเที่ยว. เล่ม 2.<br />

84<br />

Approaches to Teaching World Literature. 47.<br />

Twayne’s World Authors Series. 679.


9. การลงรายการสถานที่พิมพ์และส านักพิมพ์<br />

- สถานที่พิมพ์ (Place of publication) หมายถึง ชื่อเมือง หรือจังหวัด ถ้าชื่อเมืองไม่เป็นที่<br />

รู้จักแพร่หลาย หรืออาจท าให้สับสนกับเมืองอื่น ให้ระบุชื่อย่อของรัฐ หรือประเทศที่ส านักพิมพ์นั้น<br />

ตั้งอยู่ก ากับไว้ด้วยจากนั้นตามด้วยเครื่องหมายมหัพภาคคู่ (:) โดยไม่ต้องเว้นระยะ เช่น<br />

New York:<br />

Reston, VA:<br />

Princeton, NJ:<br />

- ถ้าในเอกสาร ส านักพิมพ์ (Publisher) ตั้งอยู่ในเมืองมากกว่า 1 เมือง ให้เลือกเมืองแรก<br />

- ถ้าในเอกสารปรากฏส านักพิมพ์มากกว่า 1 แห่ง ให้ระบุชื่อส านักพิมพ์ทุกแห่ง โดยใช้<br />

เครื่องหมายอัฒภาค (;) คั่นระหว่างส านักพิมพ์แต่ละแห่ง เช่น<br />

London: Benn; New York: Barnes.<br />

- ให้ใส่ชื่อเฉพาะของส านักพิมพ์ โดยตัดค าขยายชื่อเฉพาะ เช่น ส านักพิมพ์, ห.จ.ก.,<br />

บริษัท, Publisher, Co., Co.Ltd. หรือ Inc. เช่น<br />

ดอกหญ้า.<br />

McGraw-Hill.<br />

University of Tokyo Press.<br />

- ถ้าไม่ปรากฏชื่อส านักพิมพ์ แต่มีโรงพิมพ์ให้ลงรายการด้วยโรงพิมพ์ เช่น โรงพิมพ์ ส.<br />

ธรรมภักดี เป็นต้น<br />

- ถ้าไม่ปรากฏสถานที่พิมพ์ หรือส านักพิมพ์ และโรงพิมพ์ให้ระบุ ม.ป.ท. หรือ n.p. ซึ่ง<br />

ย่อมาจาก ค าเต็มว่า ไม่ปรากฏสถานที่พิมพ์ หรือส านักพิมพ์ และ no place of publication หรือ no<br />

publisher แทนในรายการสถานที่พิมพ์ หรือส านักพิมพ์แล้วแต่กรณี<br />

ตัวอย่าง หนังสือที่เขียนโดยผู้แต่งคนเดียว<br />

ศุภกิจ ไชยวิรัตน์. 2542. ประเพณีผีตาโขน: การละเล่นพื้นบ้านของไทย. 10 เล่ม. ถึงปัจจุบัน.<br />

กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์นวการพิมพ์.<br />

สุภาพรรณ ณ บางช้าง. 2535. ขนบธรรมเนียมประเพณี. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร:<br />

สถาบันไทยศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />

Herren, R.V. 1994. The Science of Animal Agriculture. Albany, NY: Delmar.<br />

85


86<br />

ตัวอย่าง หนังสือที่เขียนโดยผู้แต่ง 2 คน<br />

ปัจจัย บุนนาค และสมคิด แก้วสนธิ. 2529. จุล-เศรษฐศาสตร์. กรุงเทพมหานคร: จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.<br />

Makay, John J., and Fetzer, Ronald C. 1985. Business communication Skills: Principle and<br />

Practice. 2 nd ed. Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall.<br />

ตัวอย่าง หนังสือที่เขียนโดยผู้แต่ง 3 คน<br />

สาคิตณ์ จันทโนทก, นภาพร ณ เชียงใหม่ และกวี วงศ์พรม. 2537. การวางแผนงบประมาณ.<br />

กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์เอเซีย.<br />

Cutlip, Scott M., Center, Allen H., and Broom, Glen M. 1995. Effective Public Relations. 6 th ed.<br />

Englewood Cliffs, NJ: Prentice-Hall.<br />

ตัวอย่าง หนังสือที่เขียนโดยผู้แต่งมากกว่า 3 คนขึ้นไป<br />

ด ารงศักดิ์ ชัยสนิท และคณะ. 2539. การวิจัยตลาด. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: ข้าวฟ่าง.<br />

Huseman, Richard C., et al. 1990. Business Communication. Chicago: The Dryden Press.<br />

ตัวอย่าง หนังสือที่ผู้แต่งเป็นสถาบัน<br />

กรมสรรพากร. กองนโยบายและแผน. ฝ่ายเอกสารเผยแพร่และแนวปฏิบัติ. 2542. รายงานประจ าปี<br />

2542. กรุงเทพมหานคร: กรมสรรพากร<br />

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย. 2538. ศัพท์บัญญัติการตลาดอังกฤษ-ไทย. กรุงเทพมหานคร:<br />

ศูนย์หนังสือจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.<br />

ตัวอย่าง หนังสือที่เขียนโดยผู้แต่งที่มีฐานันดรศักดิ์ บรรดาศักดิ์ และสมณศักดิ์<br />

ประดิษฐ์มนูธรรม, หลวง. 2517. เค้าโครงเศรษฐกิจ. กรุงเทพมหานคร: สังคมการพิมพ์.<br />

วิจิตรวาทการ, หลวง. 2598-2501. ศาสนาสากลเปรียบเทียบ ศาสนา ลักธิ และปรัชญาต่างๆ ทั่วโลก. 5<br />

เล่ม. พิมพ์ครั้งที่ 2. พระนคร: โรงพิมพ์ ส. ธรรมภักดี.


87<br />

ตัวอย่าง หนังสือที่ไม่ปรากฏผู้แต่ง ให้ลงชื่อเรื่องได้เลย<br />

สมเด็จพระปิยมหาราชกับนักเขียนฝรั่งเศส. ม.ป.ป. กรุงเทพมหานคร: มูลนิธิเอกชนพัฒนาภูมิภาค.<br />

Thailand Executives. 1985. Bangkok: Tawanna Holdings.<br />

ตัวอย่าง หนังสือที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่ง แต่มีชื่อบรรณาธิการ (Editor) หรือผู้รวบรวม<br />

(Compiler)<br />

สมจิตร พรมเดช, บรรณาธิการ. 2538. เศรษฐกิจภาคเหนือประเทศไทยปัจจุบันและอนาคต. พิมพ์ครั้งที่<br />

7. กรุงเทพมหานคร: ศรีสมบัติการพิมพ์.<br />

Gootnick, David E., ed. 1984. The Standard Handbook of Business Communication. New York:<br />

The Free Press.<br />

ตัวอย่าง หนังสือหลายเล่มจบ หนังสือของผู้แต่งคนเดียวหรือหลายคน ชื่อเรื่องเดียวกัน แต่มีหลายเล่ม<br />

จบกรณีที่อ้างมากกว่า 2 เล่ม ในการเขียนบรรณานุกรมให้ระบุจ านวนเล่มทั้งหมดไว้หลังชื่อหนังสือ แต่<br />

ถ้าหากอ้างเพียงเล่มใดเล่มหนึ่ง ในการเขียนบรรณานุกรมให้ระบุเฉพาะเล่มที่อ้างต่อจากชื่อหนังสือ<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

เติมศักดิ์ กฤษณามระ และคนอื่นๆ. 2526. หลักการบัญชีขั้นต้น. 2 เล่ม. พิมพ์ครั้งที่ 2.<br />

กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช.<br />

เติมศักดิ์ กฤษณามระ และคนอื่นๆ. 2526. หลักการบัญชีขั้นต้น. เล่ม 1. พิมพ์ครั้งที่ 2.<br />

กรุงเทพมหานคร: ไทยวัฒนาพานิช.<br />

Fletcher, Ronald. 1981. Handbook of Marketing. 2 vols. 2 nd ed. New York: McGraw-Hill.<br />

Fletcher, Ronald. 1981. Handbook of Marketing. Vol 1. 2 nd ed. New York: McGraw-Hill.<br />

2. หนังสือแปล มี 2 กรณี คือ<br />

2.1 หนังสือแปลที่มีชื่อผู้แต่งเดิมปรากฏ<br />

แบบแผน ผู้แต่ง.ปีพิมพ์.ชื่อหนังสือหรือชื่อเรื่อง.แปลโดย.ชื่อผู้แปล.ครั้งที่พิมพ์.<br />

สถานที่พิมพ์. ส านักพิมพ์ หรือโรงพิมพ์.


88<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

แน้ช, จอร์ช: วอลดอร์พ, แดน; และไรซ์, โรเบิร์ต อี. 2518. มหาวิทยาลัยกับชุมชนเมือง. แปลโดย<br />

อัปสร ทรัยอิน และคนอื่นๆ. กรุงเทพมหานคร: ส านักพิมพ์แพร่พิทยา.<br />

รีส, อัล. 2527. กลยุทธ์การสร้างภาพพจน์. แปลโดย ก้องเกียรติ โอภาสวงการ. กรุงเทพมหานคร:<br />

ซีเอ็ดยูเคชั่น.<br />

Grimal, Pierre. 1986. Love in Ancient Rome. Translated by Arthur Train, Jr. Norman:<br />

University of Oklahoma Press.<br />

2.2 หนังสือแปลที่ไม่ปรากฏชื่อผู้แต่งเดิม แต่มีชื่อผู้แปล ให้ลงรายการผู้แต่งด้วยชื่อผู้แปล<br />

แล้วระบุค าว่า ผู้แปล หรือ tr. หรือ tr. หรือ trs. (ย่อมาจากค าเต็มว่า Translator หรือ Translators)<br />

ตามหลังชื่อผู้แปล โดยใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) คั่น<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

ศิระ โอภาสพงษ์, ผู้แปล. 2542. สุดยอดต านานธุรกิจสะท้านฟ้า. กรุงเทพมหานคร: เอ อาร์ บิซิเนสเพรส.<br />

Coulson, Jessie, tr. 1964. Crime and Punishment. New York: Norton.<br />

3. หนังสือที่พิมพ์ในโอกาสพิเศษ เช่น หนังสืออนุสรณ์งานศพ งานวันสถาปนาหรืออื่นๆ ที่ถือ<br />

เป็นเอกสารอ้างอิงที่ส าคัญ ให้ลงรายการเหมือนหนังสือธรรมดา โดยเพิ่มเติมรายละเอียดของหนังสือ<br />

ดังกล่าวไว้ในวงเล็บท้ายรายการ<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

กัลยานุกูล, พระครู. 2525. “ประวัติสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต).” ใน อนุสรณ์งานพระราชทานเพลิงศพ<br />

นายจ าเนียร บุญพละ, หน้า 1-95. กรุงเทพมหานคร: โรงพิมพ์ส านักเลขาธิการ<br />

4. บทความหรือบทหนึ่งในหนังสือ<br />

การเขียนบรรณานุกรมในลักษณะดังกล่าว มีดังนี้<br />

แบบแผน ผู้เขียนบทความ.ปีพิมพ์. “ชื่อบทความ.”ในชื่อบรรณาธิการ(ถ้ามี),<br />

ชื่อหนังสือ, เลขหน้า.สถานที่พิมพ์: ส านักพิมพ์ หรือโรงพิมพ์.<br />

สถานที่พิมพ์. ส านักพิมพ์ หรือโรงพิมพ์.


89<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

ชัยพร วิชชาวุธ. 2518. “การสอนในระดับอุดมศึกษา.” ใน การสอนและการวัดผลการศึกษา, หน้า 1-30.<br />

พระนคร: ฝ่ายวิชาการ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.<br />

ชวินทร์ ธัมมนันท์กุล. 2541. “การรับรู้และการตัดสินใจ.” ใน มันทนี ยมจินดา (บรรณาธิการ),<br />

มนุษย์กับธรรมชาติ, หน้า 12-36. พิมพ์ครั้งที่ 3. กรุงเทพมหานคร: ฝ่ายวิชาการ<br />

จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.<br />

Weiten, Wayne. 1995. ‚Personality: Theory, Research, and Assessment.‛ In Psychology: Themes<br />

and Variations, pp. 471-513. 3 rd ed. Pacific Grove, CA: Brooks/Cole.<br />

5. รายงานการประชุม/สัมมนาทางวิชาการ<br />

มีวิธีการเขียน 3 แบบ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับลักษณะการจัดท าและการใช้รายงานการประชุม<br />

ประกอบ การเขียนรายงาน กล่าวคือ<br />

1. ในการอ้างอิง หรือการอ่านประกอบการเรียบเรียงเนื้อหาของรายงาน ผู้เขียนใช้ข้อมูล<br />

จากรายงานการประชุมสัมมนาทางวิชาการทั้งเล่ม ในกรณีนี้ให้เขียนบรรณานุกรมในลักษณะเดียวกับ<br />

หนังสือ และเพิ่มรายละเอียดที่เกี่ยวข้องที่จะเป็นการระบุให้ทราบว่าเป็นรายงานการประชุมสัมมนาทาง<br />

วิชาการ (กรณีชื่อเรื่องไม่บ่งบอก แต่ถ้าชื่อเรื่องบ่งบอก รายละเอียดส่วนนี้ก็ไม่จ าเป็นต้องมี)<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

Freed, Barbara F., ed. 1991. Foreign Language Acquisition Research and the Classroom.<br />

Proceeding of Consortium for Language Teaching and Learning Conference, October 1989,<br />

University of Pennsylvania. Lexington: Heath.<br />

Hall, Kira, Meacham, Michael, and Shapiro, Richard, eds. 1989. Proceedings of the Fifteenth<br />

Annual Meeting of the Berkeley Linguistics Society, February 18-20, 1989: General<br />

Session and General Session and Para session on theoretical Issues in Language<br />

Reconstruction. Berkeley: Berkeley Linguistic Society.<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

2. กรณีการอ้างอิงใช้เพียงบางบท ให้ลงรายการในลักษณะเดียวกับบทความในหนังสือ<br />

สมทรวง จันทร์นิต. 2538. “การสืบค้นสารนิเทศออนไลน์.” ใน รายงานการสัมมนาเรื่อง การค้นคืน<br />

สารนิเทศ ในยุคโลกาภิวัฒน์, หน้า 15-40. กรุงเทพมหานคร: สมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทยฯ.


Paitoon Sinlarat. 1995. ‚Success and Failure of Faculty Development in Thai University.‛ In<br />

Somwang Pitiyanawat, et al. (eds.), Preparing Teachers for the World’s Children: An<br />

Era of Transmission, Proceedings of International Conference, Bangkok, 1992, pp. 217-<br />

233. Bangkok: UNICEF.<br />

3. รายงานการประชุมสัมมนาวิชาการ มีการพิมพ์เผยแพร่สม่ าเสมอเป็นประจ าทุกปี ให้<br />

เขียนบรรณานุกรมในลักษณะเดียวกับบทความในวารสาร<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

Thumin, F.J., Craddick, R.A., and Barclay, A. G. 1973. ‚Meaning and Compatibility of a Proposed<br />

Corporate Name and Symbol.‛ Proceedings of the 81th Annual Convention of the<br />

American Psychological Association 8: 835-836.<br />

6. บทความในวารสาร<br />

90<br />

แบบแผน<br />

ผู้เขียนบทความ.ปีพิมพ์. “ชื่อบทความ.” ชื่อวารสารปีที่หรือเล่มที่,<br />

ฉบับที่: เลขหน้า.<br />

สถานที่พิมพ์. ส านักพิมพ์ หรือโรงพิมพ์.<br />

ข้อสังเกต ถ้าไม่มีชื่อผู้เขียนบทความ ให้ลงชื่อบทความเป็นรายการแรกแทนชื่อผู้เขียน<br />

บทความ โดยล าดับ ดังนี้<br />

“ชื่อบทความ.” ปีพิมพ์.ชื่อวารสารปีที่หรือเล่มที่, ฉบับที่: เลขหน้า.<br />

การลงรายการชื่อวารสาร<br />

1. ใช้ตามที่ปรากฏในหน้าปกในของวารสาร<br />

2. เขียนชื่อเต็ม โดยใช้ตัวใหญ่ตัวแรกทุกตัว หรือในกรณีที่ใช้ชื่อย่อต้องเป็นชื่อย่อที่<br />

นักวิชาการในสาขาวิชานั้นยอมรับ เช่น Journal ใช้ตัวย่อ J เป็นต้น<br />

3. ชื่อวารสารพิมพ์ตัวหนา แล้วไม่ต้องขีดเส้น<br />

4. หลังชื่อวารสารไม่มีเครื่องหมายใดๆ<br />

5. การลงรายการปีที่หรือเล่มที่ (Volume)<br />

5.1 วารสารที่มีทั้งปีที่หรือเล่มที่ และฉบับที่ (Number) ให้ระบุให้ครบถ้วน<br />

5.2 วารสารที่ไม่มีปีที่หรือเล่มที่ มีแต่ฉบับที่ให้ใช้ “ฉบับที่” หรือ “No.” เช่น ฉบับที่ 4<br />

หรือ No.7 เป็นต้น


5.3 กรณีที่วารสารไม่มีปีที่หรือเล่มที่และฉบับที่ แต่มีเดือนและปีพิมพ์ ให้ใช้ชื่อเดือน<br />

ตามหลังปีพิมพ์ (กรณีเป็นวารสารภาษาอังกฤษ)<br />

6. การลงรายการเลขหน้า<br />

6.1 ระบุหน้าที่บทความนั้นตีพิมพ์ โดยไม่ต้องมีค าว่า “หน้า”<br />

6.2 ถ้าบทความพิมพ์ต่อในหน้าอื่นของวารสารฉบับเดียวกันให้ระบุเลขหน้าที่ปรากฏ<br />

ทั้งหมด โดยใช้เครื่องหมายจุลภาค (,) คั่น<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ. 2518. “ข้อสังเกตเกี่ยวกับการศึกษาประวัติศาสตร์เศรษฐกิจของไทย.” วารสาร<br />

มนุษยศาสตร์ ฉบับที่ 2: 35-40.<br />

“เปิดมิติธุรกิจขายข้อมูล ความต้องการแห่งยุคสมัย.” 2534. คลังสมอง ฉบับที่ 96: 39-66.<br />

Brown, Bruce, and Brown, Marge. 2000. ‚Customize Your Browser.‛ PC Magazine 19, 4: 115-120.<br />

Garder, H. 1981, December, ‚Do Babies Sing a Universal Song.‛ Psychology Today: 70-76<br />

7. บทความหรือข่าวในหนังสือพิมพ์<br />

91<br />

แบบแผน<br />

ชื่อผู้เขียนบทความ.วัน เดือน ปี. “ชื่อบทความหรือชื่อข่าว.” ชื่อหนังสือพิมพ์:<br />

เลขหน้า.<br />

ข้อสังเกต ในกรณีที่ไม่ปรากฏชื่อผู้เขียนบทความ ให้ลงรายการแรกด้วยชื่อบทความ/ชื่อข่าว<br />

ล าดับ ดังนี้<br />

“ชื่อบทความหรือข่าว.” วัน เดือน ปี. ชื่อหนังสือพิมพ์: เลขหน้า.<br />

การลงรายการ วัน เดือน ปี<br />

1. ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาไทยให้ลง วัน เดือน ปี เช่น 3 ธันวาคม 2540<br />

2. ถ้าเป็นหนังสือพิมพ์ภาษาต่างประเทศ ให้ลง ปี, เดือน วัน เช่น 2004, July 3.<br />

การลงรายการเลขหน้า<br />

1. ให้ระบุหมายเลขหน้า โดยไม่ต้องใส่ค าว่าหน้าลงไป<br />

2. กรณีเป็นหนังสือพิมพ์รายวัน ที่มีการแบ่งเนื้อหาเป็นส่วน/ตอน (Section) โดยแต่ละ<br />

ส่วนจะแยกหน้าออกจากกันโดยเด็ดขาด ไม่ได้เรียงเลขหน้าตั้งแต่ต้นจนจบ ในการแบ่งนั้นจะแบ่งเป็น<br />

ส่วน A, B, C, และ D และในแต่ละส่วนก็จะมีเลขหน้าของตนเอง เช่น A1, B1, C5 หรือ D3 ในการลง<br />

รายการเลขหน้าให้เขียนตามที่ปรากฏ


3. กรณีบทความเริ่มที่หน้า 1 หรือหน้าอื่นใดก็ตาม แล้วมีเนื้อหาต่อข้ามไปหน้าอื่น เช่น<br />

เริ่มที่หน้า 1 และต่อที่หน้า 16 ให้เขียนเฉพาะหน้าแรกที่ปรากฏบทความนั้นตามด้วยเครื่องหมายบวก<br />

(+) เช่น 1+. หรือ A1+. เป็นต้น<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

“ผ่าแผนบุกดาวอังคาร ความลับจักรวาล.” 26 มิถุนายน 2543. มติชน: 7.<br />

อัครพงศ์ ผ่องสุวรรณ. 22-25 มิถุนายน 2543. “ระบบอินเทอร์เน็ต 2000 มิติใหม่แห่งเทคโนโลยีและ<br />

บริการ.”<br />

ประชาชาติ ธุรกิจ: 26-27.<br />

‚The Decade of the Spy.‛ 1994, March 7. Newsweek: 26-27.<br />

Kadri, Francoise. 2000, June 24, ‚Banks Join up to Trade Bounds Online.‛ Bangkok Post: B3.<br />

Siriporn Chanjindamanee. 2000, July 21. ‚SET Decision Called Bid to Decentralise.‛ Nation: B1+.<br />

8. บทความในสารานุกรม<br />

การเขียนบรรณานุกรมบทความในสารานุกรมจะคล้ายกับการเขียนบรรณานุกรมบทความ<br />

ในวารสารยกเว้นไม่มีการลงรายการฉบับที่และในกรณีที่สารานุกรมชื่อเรื่องนั้นมีเล่มเดียวจบก็ไม่ต้อง<br />

ลงรายการเล่มที่และให้เขียนเครื่องหมายและเลขหน้าต่อจากรายการชื่อสารานุกรมได้เลย<br />

92<br />

แบบแผน<br />

ชื่อผู้เขียนบทความ.ปีพิมพ์. “ชื่อบทความ.” ชื่อสารานุกรมเลขที่: เลขหน้า.<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

เจริญ อินทรเกษตร. 2515-2516. “ฐานันดร.” สารานุกรมไทยฉบับราชบัณฑิตยสถาน 11: 6912-6930.<br />

“องค์การสหประชาชาติและองค์การในเครือ.” 2539. สารานุกรมไทยฉบับเยาวชนโดยพระราชประสงค์<br />

ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 21: 293-321.<br />

Kaplan, L. 1975. ‚Library Cooperation in the United States.‛ Encyclopedia of Library and<br />

Information Science 15: 241-244.<br />

Zuk, William. 1989. ‚Bridge.‛ Encyclopedia Americana 4: 522-537.


93<br />

9. บทวิจารณ์หนังสือในวารสาร<br />

แบบแผน<br />

ผู้เขียนบทวิจารณ์.ปีพิมพ์.วิจารณ์เรื่องชื่อหนังสือที่วิจารณ์.โดย<br />

ชื่อผู้แต่งหนังสือ.ชื่อวารสารปีที่หรือเล่มที่, ฉบับที่: เลขหน้า.<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

วัชรียา โตสงวน และชูศรี มณีพฤกษ์. 2527. วิจารณ์เรื่อง แนววิวัฒนาการของทฤษฎีเศรษฐศาสตร์,<br />

โดย โกวิท โปษยานนท์. วารสารเศรษฐศาสตร์ธรรมศาสตร์ 2, 4: 198-206.<br />

Broxis, Peter. 1999. Review of Health on the Internet, by Denis Anthony. Journal of<br />

Librarianship and Information Science 31, 9: 181-182.<br />

10. วิทยานิพนธ์<br />

แบบแผน<br />

ผู้เขียนวิทยานิพนธ์.ปีพิมพ์. “ชื่อวิทยานิพนธ์.” ระดับวิทยานิพนธ์ชื่อสาขาวิชา<br />

หรือภาควิชาคณะชื่อมหาวิทยาลัย.<br />

ข้อสังเกต การลงรายการระดับวิทยานิพนธ์<br />

1. ถ้าเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาโท ให้ใช้ค าว่า “วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต<br />

หรือ Master’s Thesis” หรือชื่อเรียกอย่างอื่นตามที่สถาบันการศึกษาใช้<br />

2. ถ้าเป็นวิทยานิพนธ์ระดับปริญญาเอก ให้ใช้ค าว่า “วิทยานิพนธ์ปริญญาดุษฎีบัณฑิต<br />

หรือ Doctoral dissertation”<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

เบ็ญจรัช เวชวิรัช. 2541. “การศึกษาปัจจัยที่มีผลกระทบต่อมูลค่าการให้สินเชื่อเพื่อการส่งออก และ<br />

น าเข้าของสถาบันการเงินไทย.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชาเศรษฐศาสตร์<br />

บัณฑิตวิทยาลัยมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />

Ubonrat Klinhowhan. 1999. ‚Monetary Transmission Mechanism in Thailand.‛ Master’s Thesis,<br />

Faculty of Economics, Graduate School, Thammasat University.<br />

11. จุลสาร และเอกสารที่ไม่ได้ตีพิมพ์ การเขียนบรรณานุกรมใช้แบบเดียวกับหนังสือ และให้<br />

วงเล็บค าว่าอัดส าเนา หรือพิมพ์ดีด หรือเอกสารไม่ตีพิมพ์ แล้วแต่กรณีพิมพ์ไว้ท้ายสุดของรายการ


94<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

กรมแรงงาน. 2517. แนะแนวอาชีพบรรณารักษ์. กรุงเทพมหานคร: กรมแรงงาน. (อัดส าเนา).<br />

ศิริชัย สาครรัตนกุล. 2536. ธนาคารเพื่อการส่งออกและน าเข้าในต่างประเทศ. กรุงเทพมหานคร: ม.ป.ท.<br />

(อัดส าเนา).<br />

12. การสัมภาษณ์ การเขียนบรรณานุกรมการสัมภาษณ์ มีวิธีการเขียน 2 แบบ คือ<br />

1. ผู้เขียนรายงานเป็นผู้สัมภาษณ์ด้วยตนเอง<br />

แบบแผน<br />

ผู้ให้สัมภาษณ์.วัน เดือน ปี(ที่สัมภาษณ์). ต าแหน่ง(ถ้ามี). สัมภาษณ์.<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

ปัจจัย บุนนาค. 10 กันยายน 2530. อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย. สัมภาษณ์.<br />

แม้นมาส ชวลิต, คุณหญิง. 11 มีนาคม 2537. นายกสมาคมห้องสมุดแห่งประเทศไทย. สัมภาษณ์.<br />

Jantarangs Jaturong. 1998, June 7. Chief, Monetary and Exchange Affairs Section, Economic<br />

Research Department, Bank of Thailand. Interview.<br />

2. การเขียนบรรณานุกรมการสัมภาษณ์ที่ได้จากสื่อสิ่งพิมพ์ ให้ระบุชื่อผู้ให้สัมภาษณ์<br />

ก่อน ตามด้วยวัน เดือน ปี ของเอกสารที่ตีพิมพ์การสัมภาษณ์นั้น ชื่อผู้สัมภาษณ์ (กรณีเป็นบุคคลที่มี<br />

ชื่อเสียง) พร้อมต าแหน่ง(ถ้ามี) และชื่อเรื่องของการสัมภาษณ์ใส่ไว้ภายในเครื่องหมายอัญประกาศ ถ้า<br />

ไม่มีชื่อเรื่องให้ใส่ว่าสัมภาษณ์ หรือ Interview และท้ายสุดเป็นรายละเอียดทางบรรณานุกรมของ<br />

เอกสารหรือวารสารหรือหนังสือพิมพ์ที่ตีพิมพ์บทสัมภาษณ์นั้นๆ<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

สุภาวดี บุญสันติสุข. 2538. สัมภาษณ์โดย อนุชิต ศิมะโรดม. “วิธีการโฆษณาเพื่อขยายตลาดด้าน<br />

อสังหาริมทรัพย์.” วารสารนักบริหาร 17, 8: 10-15.<br />

Gordimer, Nadine. 1991, October 10. Interview. New York Times. Late ed.: C25.<br />

William, K. 1997, October 1. Interview with Simon Buck. ‚The Internet of Thailand.‛ Times: 7-9.<br />

13. เอกสารที่อ้างถึงในเอกสารอื่น<br />

การเขียนบรรณานุกรมเอกสารที่ผู้เขียนไม่ได้เคยอ่านเอกสารเรื่องนั้นจากตัวเล่ม(เรียกว่า<br />

เอกสารอันดับแรก) แต่อ่านจากเอกสารอื่น (เรียกว่าเอกสารอันดับรอง) ที่มีการกล่าวถึงเนื้อหาหรือ<br />

แนวคิดของเอกสารอันดับแรกไว้ และผู้เขียนได้ท าการอ้างอิงแนวคิดต่างๆ เหล่านั้นไว้ การเขียน<br />

บรรณานุกรมเอกสารที่อ้างถึงในเอกสารอื่นนี้


95<br />

แบบแผน<br />

รายละเอียดทางบรรณานุกรมของเอกสารอันดับแรก.อ้างถึงในรายละเอียดทาง<br />

บรรณานุกรมของเอกสารอันดับรอง.<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

ข้อสังเกต กรณีเป็นเอกสารภาษาต่างประเทศ ค าว่า “อ้างถึงใน” ใช้เป็น ‚Cited in‛<br />

เรืองศรี กฤษมาตร. 2540. ทฤษฎีจิตวิทยาพัฒนาการวัยรุ่น. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพมหานคร:<br />

โรงพิมพ์นวการพิมพ์. อ้างถึงใน สมศรี อิงคนุช. 2542. จิตวิทยาวัยรุ่น. กรุงเทพมหานคร: ดวง<br />

กมล.<br />

วิรัช อภิรัตนกุล. 2527. “ผลิตภัณฑ์ใหม่กับการยอมรับของผู้บริโภค.” กลยุทธ์การตลาด 3, 4: 32-34.<br />

อ้างถึงใน ธานินทร์ กูมาโล่ห์. 2528. “ทัศนคติและพฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคที่มีต่อ<br />

ผลิตภัณฑ์ที่มีเครื่องหมาย มาตรฐานการค้า.” วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต ภาควิชา<br />

บริหารธุรกิจ บัณฑิตวิทยาลัย จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.<br />

Weihrich, Heinz, and Koontz, Harold. 1993. Management: A Global Perspective. 10 th ed. New<br />

York: McGraw-Hill. Cited in Charles W.L. Hill and Gareth R. Jones. 1998. Strategic<br />

Management: An Integrated Approach. Boston: Houghton Mifflin.<br />

14. เอกสารพิเศษ การเขียนบรรณานุกรมเอกสารพิเศษต่างๆ เช่น ต้นฉบับตัวเขียนจดหมาย<br />

การบรรยาย อนุทิน เป็นต้น<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

ประเวศ วะสี. 29 มีนาคม 2538. จุดประกายการสร้างสรรค์ปัญญา. โรงแรมอิมพิเรียลควีนส์ปาร์ค.<br />

การอภิปราย.<br />

พรชัย พัชรินทร์รัตนะชัย. 28 กุมภาพันธ์ 2538. ไขจักรวาลสู่จิตมนุษย์. หอประชุมเล็ก<br />

มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์. การบรรยาย.<br />

Lennon, John. 1945-1950. Diary.


15. โสตทัศนวัสดุ การเขียนบรรณานุกรมโสตทัศนวัสดุต่างๆ เช่น สไลด์ เทปบันทึกเสียง เทป<br />

บันทึกภาพ ฟิล์ม(ภาพยนตร์) ฟิล์มสตริป แผนที่ แผนภูมิ<br />

96<br />

แบบแผน<br />

ชื่อผู้จัดท า. (หน้าที่รับผิดชอบ-ถ้ามี). ปีที่เผยแพร่.ชื่อเรื่อง[ลักษณะ<br />

ของโสตทัศนวัสดุ]. สถานที่ผลิต: หน่วยงานที่เผยแพร่.<br />

ข้อสังเกต หน้าที่รับผิดชอบ ถ้ามีจึงระบุ เช่น เป็นผู้ผลิต (Producer) ผู้ก ากับ (Director)<br />

ผู้บรรยาย (Speaker) เป็นต้น<br />

ลักษณะของสื่อโสตทัศน์ ให้ใช้ดังนี้<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

ภาษาไทย<br />

[สไลด์]<br />

[เทปบันทึกเสียง]<br />

[เทปบันทึกภาพ]<br />

[ฟิล์ม]<br />

[ฟิล์มสตริป]<br />

ภาษาอังกฤษ<br />

[Slides]<br />

[Audiocassette]<br />

[Videocassette]<br />

[Film]<br />

[Filmstrip]<br />

[แผนที่] [Map]<br />

[แผนภูมิ]<br />

[แผนภาพ]<br />

[รายการวิทยุ]<br />

[รายการโทรทัศน์]<br />

[Chart]<br />

[Diagram]<br />

[Radio Program]<br />

[Television Program]<br />

การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย. ส านักงานนครราชสีมา. ม.ป.ป. แผนที่จังหวัดนครราชสีมา [แผนที่].<br />

นครราชสีมา: ส านักงานนครราชสีมา การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย.<br />

เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง. (ผู้ด าเนินรายการ). 20 กุมภาพันธ์ 2543. ตามหาแก่นธรรม: นิพพาน [รายการ<br />

โทรทัศน์].<br />

กรุงเทพมหานคร: สถานีโทรทัศน์ช่อง 9.<br />

โจเซฟ, ไฮเดนเบิร์ก. 2539. ท่องอียิปต์ [ฟิล์ม]. 35 มม., สี, 45 นาที. กรุงเทพมหานคร: หน้าต่างโลก.<br />

ถนอมวงศ์ ล้ ายอดมรรคผล. (ผู้บรรยาย). 2538. การพัฒนานิสัยรักการอ่าน [เทปบันทึกภาพ]. 28 นาที.<br />

นนทบุรี: มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช.


สมควร ชื่นจิตต์. 2540. ภาษาอังกฤษส าหรับเลขานุการ [เทปบันทึกเสียง]. 90 นาที. กรุงเทพมหานคร:<br />

โพสท์บุ๊คส์.<br />

Breyer, Pamela, and Stempleski, Susan. 1992. Hello-America: A Video English Course Unit 4<br />

[Videocassette]. 60 min., col., sd. Danbury, CT: Grolier.<br />

Crystal, L. (Executive Producer). 1993, October 11. The MacNeil/Lehrer News Hour<br />

[Television Program]. New York and Washington, DC: Public Broadcasting Service.<br />

Mihalyi, Louis J. 1975. Lanscape of Zambia [Slides]. Col., 20 fr. Santa Barbara, CA: Visual<br />

Education. Sattellite Imagemap of the World [Map]. 1999. London: Derling Kindersley.<br />

Sinclair, Barbara. (Speaker). 1996. Activate Your English: Pre-intermediate Class<br />

[Audiocassette]. 60 min. Cambridge: Cambridge University Press.<br />

97<br />

16. สื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />

เป็นการเขียนบรรณานุกรมข้อมูลที่อยู่ในรูปสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยในที่นี้จะอธิบายเฉพาะ<br />

บางสื่อ ได้แก่ ซีดีรอม (CD-ROM) แผ่นดิสก์ (Diskette) เทปแม่เหล็ก (Magnetic Tape) และฐานข้อมูล<br />

ออนไลน์ (Online Databases) ซึ่งหมายถึงรวมข้อมูลจากเวิลด์ไวด์เว็บ (World Wide Web) ด้วย<br />

การเขียนบรรณานุกรมของสื่อดังกล่าวข้างต้น มีแบบแผนและหลักเกณฑ์การลงรายการ<br />

แตกต่างไปตามวิธีการอ้างถึงข้อมูลในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ และประเภทของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ดังนี้<br />

1. การเขียนบรรณานุกรมข้อมูลที่อยู่ในสื่อประเภทซีดีรอม แผ่นดิสก์ และเทปแม่เหล็ก<br />

โดยข้อมูลดังกล่าวมีลักษณะเช่นเดียวกับหนังสือ เพียงแต่จัดท าในรูปของสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ให้ลง<br />

รายการคล้ายกับหนังสือ แต่ระบุประเภทของสื่อต่อท้ายจากชื่อเรื่อง (คือ ชื่อเรื่องของแฟ้มข้อมูล)<br />

แบบแผน<br />

ชื่อผู้รับผิดชอบหลัก.ปีที่จัดท า.ชื่อเรื่องของแฟ้มข้อมูล[ประเภทของ<br />

สื่ออิเล็กทรอนิกส์]. ครั้งที่พิมพ์/เวอร์ชั่น(ถ้ามี). สถานที่ผลิต:<br />

ชื่อส านักพิมพ์ผู้ผลิต.<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

คลาร์ก, จอห์น. 2541. การเขียนโปรแกรมวินโดวส์ด้วยไมโครซอฟต์วิชัวล์เบสิก 6.0<br />

ภาคปฏิบัติ [ซีดีรอม]. กรุงเทพมหานคร: ซีเอ็ดยูเคชั่น.<br />

พิภพ ลลิตาภรณ์. 2542. การจัดหาท าเลที่ตั้งและการวางผังโรงงานด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์<br />

[แผ่นดิสก์]. กรุงเทพมหานคร: สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น).


Dye, Charles. 1999. Oracle Distributed System [Diskette]. Beijng: O’Reilly. English Poetry<br />

Full-Text Database [Magnetic tape]. 1993. Cambridge: Chadwick.<br />

2. กรณีอ้างอิงข้อมูลเรื่องใดเรื่องหนึ่งในสื่ออิเล็กทรอนิกส์ซึ่งรวบรวมข้อมูลจากหลายๆ<br />

แหล่งในการลงรายการให้เขียนบรรณานุกรมแบบบทความในหนังสือหรือบทความในวารสาร หรือ<br />

หนังสือพิมพ์ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับประเภทของสิ่งพิมพ์ที่อ้างถึง โดยระบุประเภทของสื่ออิเล็กทรอนิกส์<br />

ต่อท้ายชื่อเรื่องของแฟ้มข้อมูล หรือชื่อเรื่องของสื่อนั้นๆ<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

‚Bronte, Emiley.‛ 1992. Discovering Authors [CD-ROM]. Vers. 1.0. Detroit: United states.<br />

Department of State 1993. ‚Industrial Outlook for Petroleum and Natural Gas.‛ National<br />

Trade Data Bank [CD-ROM]. United States: Department of Commerce, United States.<br />

17. แหล่งสารสนเทศบนอินเตอร์เน็ต<br />

17.1 กรณีบทความจากวารสารออนไลน์/วารสารอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Journal)<br />

17.1.1 หากมีทั้งฉบับที่เป็นวารสารอิเล็กทรอนิกส์และฉบับตีพิมพ์<br />

98<br />

แบบแผน<br />

ผู้เขียนบทความ.ปีที่เผยแพร่. “ชื่อบทความ.” [ฉบับอิเล็กทรอนิกส์].<br />

ชื่อวารวาร,ฉบับที่: เลขหน้า.<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

Marriott, L.K., Hauss-Wegzyniak, B., and Benton, R.S. (2002). ‚Long-Term Estrogen Theraphy<br />

Worsens the Behavioral and Neuropathological Cosequences of Chronic Brain<br />

Inflammation.‛ [Electronic version]. Behavioral neuroscience, 116: 902-911.<br />

17.1.2 หากมีแต่ฉบับอิเล็กทรอนิกส์อย่างเดียว<br />

แบบแผน<br />

ผู้เขียนบทความ. ปีที่เผยแพร่. “ชื่อบทความ.” ชื่อวารสาร.ปีที่หรือเล่มที่.ฉบับที่<br />

สืบค้นเมื่อวันที่ เดือน ปี, จากแหล่งที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต<br />

ข้อสังเกต ในการเขียนบรรณานุกรมบทความจากวารสารอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อจบข้อความบรรทัดสุดท้าย<br />

ของรายการบรรณานุกรมแต่ละรายการไม่ต้องใส่เครื่องหมายมหัพภาค (.)


99<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

Indick, W. (2002). ‚Gender Differences in moral Judgement: Is Non-Consequential<br />

Reasoning a Factor?‛ Current Research in Social Psychology, 5, 2 Retrieved November<br />

11, 2002, from http://www.uiowa.edu/~grpproc/crisp/crisp5.2.html<br />

1.7.2 หนังสือออนไลน์<br />

แบบแผน<br />

ผู้เขียนบทความ. (ปีพิมพ์). ชื่อหนังสือ.วันที่สืบค้น, ชื่อแหล่งสารสนเทศ:<br />

ที่อยู่บนอินเตอร์เน็ต<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

Buxhoeveden, S. (n.d.) The Life and tragedy of Alexandra Feodorvna, empress of Russia.<br />

Retrieved January 15, 2002, from the Russian History Web site:<br />

http://www.alexanderpalace.org<br />

17.3 หนังสือพิมพ์ออนไลน์<br />

แบบแผน<br />

ผู้เขียนบทความ. (วันที่ เดือน ปี). “ชื่อบทความ”. ชื่อหนังสือพิมพ์<br />

สืบค้นเมื่อวันที่ เดือน ปี, จากแหล่งที่อยู่บนอินเทอร์เน็ต<br />

ตัวอย่างเช่น<br />

Rodriguez, C. (2001, January 9). ‚Amid dispute, plight of illegal workers revisited.‛<br />

Boston Globe. Retrieved January 10, 2002, from<br />

http://www.boston.com/dailyglobe2/010/nation/Amid_dispute_plight_of_illegal_workers_revisited+.shtml


100<br />

การใช้ค าย่อ<br />

ค าย่อที่เป็นที่ยอมรับในการเขียนรายการอ้างอิง มีตัวอย่างดังต่อไปนี้<br />

ค าย่อ ค าเต็ม ความหมาย หมายเหตุ<br />

comp. compiler ผู้รวบรวม พหูพจน์ใช้ comps.<br />

ed. editor, บรรณาธิการ, พหูพจน์ใช้ eds.<br />

edited by ผู้จัดพิมพ์, จัดพิมพ์โดย<br />

enl. ed. enlarged edition ฉบับพิมพ์ใหม่ มีการเพิ่มเติม<br />

rev. ed. revised edition ฉบับพิมพ์ใหม่ มีการแก้ไข<br />

2 nd ed. second edition พิมพ์ครั้งที่ 2<br />

3 rd ed. third edition พิมพ์ครั้งที่ 3<br />

et al. et alii และคนอื่นๆ (and others)<br />

ibid ibidem เรื่องเดียวกัน (in the same place)<br />

n.d. no date ไม่ปรากฏปีพิมพ์ ภาษาไทยใช้ ม.ป.ป.<br />

n.p. no place ไม่ปรากฏสถานที่พิมพ์ ภาษาไทยใช้ ม.ป.ท.<br />

no. number ฉบับที่<br />

p. page หน้า (หลายหน้า) พหูพจน์ใช้ pp.<br />

r.p.m. Revolution per<br />

minute<br />

รอบต่อนาที<br />

หมายถึงความเร็วของ<br />

แผ่นเสียงที่หมุนไป<br />

tr. translator ผู้แปล พหูพจน์ใช้<br />

trs. Translated by แปลโดย


101<br />

ค าย่อ ค าเต็ม ความหมาย หมายเหตุ<br />

vol. Volume เล่มที่ (เช่น vol. 4)<br />

vols. Volumes จ านวนเล่ม (เช่น 4 vols.)<br />

************************ ส านักวิจัย มหาวิทยาลัยศรีปทุม ************************


102<br />

ส่วนที่ 5<br />

รูปแบบการพิมพ์บทคัดย่อ


103<br />

รูปแบบการพิมพ์บทคัดย่อ<br />

บทคัดย่อ เป็นองค์ประกอบส าคัญอย่างหนึ่งของส่วนประกอบตอนต้นของรายงานการวิจัย<br />

มหาวิทยาลัยศรีปทุมได้ก าหนดรูปแบบการพิมพ์บทคัดย่อส าหรับรายงานการวิจัย ดังต่อไปนี้<br />

1) บทคัดย่อ ต้องมีทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ โดยน าเสนอบทคัดย่อภาษาไทย<br />

ก่อน แล้วตามด้วยบทคัดย่อภาษาอังกฤษ<br />

2) หน้าบทคัดย่อ ต้องพิมพ์ส่วนหัวตามหัวข้อที่ก าหนด ซึ่งประกอบด้วย<br />

- หัวข้อวิจัย (Research Title)<br />

- ผู้วิจัย (Name of Research)<br />

- หน่วยงาน (Name of Institution)<br />

- ปีที่พิมพ์ (Year of Publication)<br />

3) ความยาวของบทคัดย่อ ไม่ควรเกิน 1 หน้ากระดาษ A4 แต่ในกรณีที่รายงานการ<br />

วิจัยฉบับนี้ มีความยาวมาก อนุโลมให้บทคัดย่อมีความยาวเกินกว่า 1 หน้ากระดาษ A4 ได้ แต่ต้องไม่เกิน<br />

2 หน้ากระดาษ A4<br />

4) การเขียนบทคัดย่อ ควรให้มี 3 ย่อหน้าหลัก คือ<br />

- ย่อหน้าที่หนึ่ง กล่าวถึง วัตถุประสงค์ของการวิจัย<br />

- ย่อหน้าที่สอง กล่าวถึง ระเบียบวิธีวิจัย<br />

- ย่อหน้าที่สาม กล่าวถึง ผลการวิจัย<br />

5) การเสนอผลการวิจัยในบทคัดย่อ อาจเสนอเป็นข้อๆ ในแบบความเรียงต่อเนื่องกัน<br />

ไป หรืออาจเสนอแบบขึ้นย่อหน้าใหม่ในแต่ละหัวข้อก็ได้<br />

6) ค าส าคัญส าหรับบทคัดย่อ ในบทคัดย่อต้องมีค าส าคัญ ซึ่งไม่ควรเกิน 5 ค า โดยค า<br />

ส าคัญนี้ จะท าหน้าที่เป็นค าค้น ส าหรับการค้นคว้าด้วยคอมพิวเตอร์<br />

(โปรดดูตัวอย่างบทคัดย่อในภาคผนวก ก.)


104<br />

ส่วนที่ 6<br />

ข้อแนะน าในการพิมพ์รายงานวิจัย


105<br />

ข้อแนะน าในการพิมพ์รายงานวิจัย<br />

1. ข้อแนะน าทั่วไป<br />

รายงานวิจัยที่ดี คือ มีความชัดเจนและถูกต้องตามรูปแบบที่ก าหนด ซึ่งรายงานนั้นจะต้องพิมพ์<br />

ตลอดทั้งฉบับ โดยมีรูปแบบดังต่อไปนี้<br />

1) กระดาษที่ใช้ในการพิมพ์ ให้ใช้กระดาษคุณภาพดี สีขาว ขนาดมาตรฐาน 8.5 x 10.5 หรือ<br />

11 นิ้ว (กระดาษ A4) 70-80<br />

2) กระดาษแบบ เพื่อช่วยให้การเว้นระยะจากริมกระดาษตรงแนวสม่ าเสมอ ควรจะท า<br />

“กระดาษแบบ” ขนาด 8.5 x 10.5 หรือ 11 นิ้ว (ดูตัวอย่างกระดาษแบบ) โดยวิธีนี้ เราสามารถวางหัวเรื่อง<br />

ตรงกลางได้โดยง่าย การย่อหน้าจะอยู่ในแนวเดียวกัน และจะได้กะให้บรรทัดสุดท้ายของการอ้างอิงอยู่<br />

ห่างจากริมกระดาษล่างเป็นระยะหนึ่งนิ้ว ถ้าไม่มีการอ้างอิงก็ให้บรรทัดสุดท้ายอยู่ในระยะนี้เช่นเดียวกัน<br />

และควรจะวางกระดาษแบบไว้ใต้กระดาษที่เราจะเขียน เพื่อช่วยให้มองเห็นระยะต่างๆ ตามที่กะไว้<br />

3) รายงานการวิจัยฉบับสมบูรณ์ ไม่ควรมีการขีด ฆ่า ขูด ลบ และไม่ควรมีการพิมพ์ซ้ าบนตัว<br />

เดิม ตลอดจนพิมพ์จก หรือพิมพ์เพิ่มเติมใต้หรือเหนือบรรทัด ถ้าจ าเป็นต้องแก้ไขเล็กน้อย ควรใช้หมึกด า<br />

แก้อย่างประณีตไม่ควรแก้ด้วยดินสอ การอัดส าเนาควรระวังให้หน้ากระดาษสะอาด<br />

4) การขีดเส้นคู่ ควรจะห่างกันประมาณ 1 มิลลิเมตร<br />

5) การเลือกผู้พิมพ์รายงานการวิจัย ผู้วิจัยจะต้องรับผิดชอบในการเลือกผู้พิมพ์ที่ช านาญใน<br />

เรื่องการพิมพ์เป็นอย่างดีด้วย<br />

6) การใช้กระดาษในการพิมพ์รายงานการวิจัย ควรใช้กระดาษหน้าเดียวเท่านั้น<br />

7) การกั้นหน้ากระดาษ ควรเว้นระยะ ดังนี้<br />

- ขอบกระดาษด้านบน ควรเว้นที่ว่างระหว่างขอบกระดาษไว้ประมาณ 1.5 นิ้ว<br />

- ขอบกระดาษด้านขวา ควรเว้นที่ว่างระหว่างขอบกระดาษไว้ประมาณ 1 นิ้ว และวาง<br />

หมายเลขก ากับหน้าห่างจากริมกระดาษส่วนบน 1 นิ้ว โดยจะต้องวางไว้ในแนวเดียวกันกับขอบขวา ที่<br />

ว่างขอบกระดาษนี้ ควรจะเว้นเท่าๆ กันตลอดไปทุกหน้า นอกจากจะมีการบ่งไว้ว่าควรจะเป็นอย่างอื่น<br />

- ขอบกระดาษด้านซ้าย ควรเว้นที่ว่างระหว่างขอบกระดาษไว้ประมาณ 1.5 นิ้ว<br />

- ขอบกระดาษด้านล่าง ควรเว้นที่ว่างระหว่างขอบกระดาษไว้ประมาณ 1 นิ้ว<br />

8) บรรทัดแรกของเนื้อเรื่องในแต่ละหน้า ควรเริ่มที่บรรทัดแรกของกระดาษที่มีบรรทัด หรือ<br />

ช่วงบรรทัดพิมพ์เดี่ยวที่ 9 จากบนสุดขอบกระดาษ เว้นแต่จะมีการบ่งไว้ให้เป็นอย่างอื่น<br />

9) กรณีที่หน้ากิตติกรรมประกาศ สารบัญตาราง หรือสารบัญภาพประกอบมีขนาดสั้น อาจจะ<br />

เว้นขอบกระดาษให้กว้างกว่าธรรมดาได้ เพื่อให้เนื้อความในหน้านั้นดูได้สัดส่วนกับหน้ากระดาษ


10) การย่อหน้า ขอย่อหน้าหนึ่งๆ นั้น ให้เว้นระยะเจ็ดช่วงตัวอักษรพิมพ์จากขอบที่เว้นไว้แล้ว<br />

11) การให้หมายเลขหน้าในส่วนประกอบตอนต้น<br />

- รายงานการวิจัยภาษาอังกฤษ ให้ใช้เลขโรมัน<br />

- รายงานการวิจัยภาษาไทย ให้ใช้ตัวอักษร ก ข ค<br />

12) การให้หมายเลขหน้าในหน้าที่ส าคัญๆ เช่น หน้าชื่อเรื่อง หน้าแรกสารบัญ และหน้าแรกของ<br />

บท ไม่ต้องใช้หมายเลขหรืออักษรก ากับหน้า<br />

13) การนับจ านวนหน้า ให้นับรวมถึงหน้าที่ไม่ได้ใช้เลข หรืออักษรก ากับหน้าดังกล่าวแล้วด้วย<br />

14) การลงหมายเลขก ากับหน้า ให้เริ่มตั้งแต่บทแรกของรายงานการวิจัยเป็นล าดับไปจนตลอด<br />

ทั้งหน้าบรรณานุกรม ภาคผนวก และดรรชนีด้วย (ถ้ามี)<br />

15) การพิมพ์ตามความยาวของกระดาษ ให้คงใส่หมายเลขไว้ในต าแหน่งเดียวกับหน้าอื่นๆ<br />

ตามปกติ เพื่อว่าเมื่อรวมเย็บเป็นเล่มแล้ว หมายเลขหน้าจะอยู่ตรงกันทั้งเล่ม<br />

16) ข้างหลังตัวเลขที่ก ากับหน้า ไม่ต้องมีเครื่องหมายใดๆ<br />

17) หน้าบอกตอน ให้ใช้หน้าบอกตอนน าหน้าบรรณานุกรม ภาคผนวก อภิธานศัพท์ และ<br />

ดรรชนี<br />

18) ค าว่า “ตอนที่” หรือ “บรรณานุกรม” หรือ “ภาคผนวก” หรือ “ดรรชนี” ให้เขียนเว้นห่าง<br />

จากริมกระดาษลงมาเป็นระยะ 13 ช่วงบรรทัดพิมพ์คู่<br />

19) ควรมีเลขก ากับบทต่างๆ ของรายงานวิจัย<br />

20) ค าว่า “บทที่” และตัวเลขบอก ควรจะวางไว้ตอนกลางส่วนบนสุดของหน้ากระดาษ ส าหรับ<br />

รายงานภาษาอังกฤษ ชื่อเรื่องควรจะพิมพ์ด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่ และพิมพ์ไว้ตรงกลางหน้ากระดาษ<br />

เว้นระยะให้ห่างจากค าว่า “บทที่” สองช่วงบรรทัดพิมพ์คู่<br />

21) หัวข้อกลางหน้ากระดาษของรายงานการวิจัย (ยกเว้นชื่อและตาราง และภาพประกอบ ซึ่งมี<br />

ความยาวมากกว่า 52 ตัวอักษร ผู้วิจัยควรจะพิมพ์เป็นรูปหน้าจั่วกลับ)<br />

22) ถ้าหัวกลางกระดาษมีความยาวเกินกว่าหนึ่งบรรทัด ผู้เขียนจะต้องแบ่งข้อความให้เหมาะ<br />

ด้วยเหตุผลและกระบวนความคิด และต้องให้ถูกต้องตามไวยากรณ์ของภาษาด้วย ตัวอย่างเช่น<br />

106<br />

การศึกษาความสัมพันธ์และเปรียบเทียบความเกรงใจ การรักษาหน้าที่<br />

และแรงจูงใจใฝ่สัมฤทธิ์ ระหว่างนักเรียนไทยเชื้อสายไทย<br />

กับนักเรียนไทยเชื้อสายจีนในกรุงเทพมหานคร<br />

และจังหวัดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br />

The Better I Teach, the Better<br />

My Students Will Do on<br />

My Examinations


23) ข้อความใต้ “ชื่อบท” และหัวข้อใหญ่ที่อยู่บนสุดของกระดาษ ควรจะเว้นระยะสองช่วง<br />

บรรทัดพิมพ์คู่<br />

24) ถ้าหัวข้อใหญ่ไม่อยู่ในส่วนบนหน้ากระดาษ (อาจจะอยู่ตอนกลางหรือตอนล่างของ<br />

หน้ากระดาษ) เวลาพิมพ์ควรจะเว้นสองช่วงบรรทัดพิมพ์คู่ ให้ห่างจากข้อความตอนบน<br />

25) หัวข้อใหญ่ในแต่ละบท ในบรรณานุกรมหรือในภาคผนวก ควรจะอยู่ตรงกลาง<br />

หน้ากระดาษ<br />

26) ถ้าจะขึ้นหัวข้อใหญ่อีก แต่มีที่ว่างส าหรับเนื้อหาได้ไม่เกินหนึ่งบรรทัด ควรจะขึ้นหัวข้อ<br />

ใหญ่นั้นในหน้าถัดไป<br />

27) การแบ่งหัวข้อ ให้ใช้หัวข้อกลางกระดาษเป็นหัวข้อใหญ่ และหัวข้อชิดขอบกระดาษเป็น<br />

หัวข้อรอง ส่วนหัวข้อย่อยลงไปอีก ส าหรับข้อความขยายหัวข้อรองนั้นให้ขึ้นบรรทัดใหม่ ส่วนข้อความ<br />

ขยายหัวข้อย่อยให้พิมพ์ต่อไปในบรรทัดเดียวกัน โดยเว้นวรรคเสียก่อน หัวข้อทุกประเภทนั้นให้ขัดเส้น<br />

ใต้ด้วย<br />

28) การจ าแนกหัวข้อในรายงานการวิจัย ก าหนดให้ใช้ 2 แบบ ดังนี้<br />

แบบที่ 1 การใช้ตัวเลขและเครื่องหมายมหัพภาค (.) ก ากับ ตัวอย่างเช่น<br />

107<br />

- แบบที่ 2 การใช้ตัวเลขและตัวอักษร ตัวอย่างเช่น<br />

-<br />

1. ......................................................................................................................................<br />

1.1 ................................................................................................................................<br />

1.2 ................................................................................................................................<br />

1.2.1 …………………………….……………………………………………….<br />

1.2.2 …………………………….……………………………………………….<br />

2. ......................................................................................................................................<br />

2.1 ................................................................................................................................<br />

2.1.1 …………………………….……………………………………………….<br />

1. ......................................................................................................................................<br />

ก. ..................................................................................................................................<br />

ข. ..................................................................................................................................<br />

1) …………………………….………………………………………………..…<br />

2) …………………………….………………………………………………..…<br />

ก) ......................................................................................................................<br />

ข) …….………………………..……………………………………………...<br />

2. .......................................................................................................................................


ทั้งนี้ ให้เลือกใช้แบบใดแบบหนึ่งเพียงแบบเดียวในรายงานวิจัยหนึ่งๆ<br />

29) การพิมพ์หัวข้อรองและหัวข้อย่อย ควรพิมพ์หัวข้อรองและหัวข้อย่อยให้ห่างสองช่วง<br />

บรรทัดพิมพ์คู่ จากบรรทัดท้ายสุดของย่อหน้าก่อนนั้น ถ้าเป็นหัวข้อย่อยต้องพิมพ์อยู่ในระดับเดียวกับย่อ<br />

หน้าธรรมดาและขีดเส้นใต้<br />

30) ส าหรับวัสดุอ้างอิงภาษาอังกฤษ ที่จะใช้ในเนื้อเรื่อง ตัวอักษรตัวแรกของค าทุกค าต้องขึ้น<br />

ด้วยตัวใหญ่<br />

31) ตัวอักษรหรือตัวเลขในตาราง ควรพิมพ์ไว้ให้อ่านได้สะดวก ทั้งในกรณีที่ใช้หน้ากระดาษ<br />

ธรรมดาหรือใช้หน้ากระดาษตามยาว<br />

32) ถ้ามีสมการหรือสูตรที่ซับซ้อนและกินเนื้อที่มากๆ ควรยกลงมาไว้กลางหน้ากระดาษ และ<br />

เว้นระยะให้ห่างจากข้อความข้างบนกับข้างล่างสองช่วงบรรทัดพิมพ์คู่<br />

2. การพิมพ์ส่วนประกอบของรายงานการวิจัย<br />

2.1 หน้าปกใน (Title page)<br />

เป็นหน้าแรกถัดจากปกนอก ที่หน้าปกในจะมีข้อความทุกอย่างเหมือนที่เขียนไว้ที่ปกนอก<br />

ของรายงานการวิจัย คือ มีชื่อมหาวิทยาลัยศรีปทุม ชื่อเรื่องรายงานการวิจัย ชื่อผู้วิจัยและข้อความแสดง<br />

การได้รับทุนสนับสนุนจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม ตามที่ก าหนดไว้ในแบบสัญญาขอรับทุนอุดหนุน<br />

งานวิจัย (FM วจ.-02) ส าหรับปกนอกส านักวิจัยจะเป็นผู้ท าปกนอกและเย็บเล่มให้ ภายหลังรายงานวิจัย<br />

ได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการพัฒนางานวิจัยแล้ว ส าหรับหน้าปกใน ควรพิมพ์ดังนี้<br />

1) หน้าปกในควรพิมพ์ด้วยตัวหนังสือที่ชัดเจนอ่านง่าย ในการวางหน้ากระดาษในเว้น<br />

หน้ากระดาษทางซ้ายมือและขวามือระระเท่ากันทุกบรรทัด กระแบ่งหน้ากระดาษออกเป็นสามส่วนจาก<br />

บนมาล่าง วางชื่อเรื่องไว้ในส่วนที่หนึ่ง วางชื่อผู้วิจัยไว้กลางหน้ากระดาษ ส่วนข้อความแสดงการได้รับ<br />

ทุนสนับสนุนนั้น ให้วางไว้ในส่วนที่สามของหน้ากระดาษ<br />

2) ชื่อภาษาอังกฤษ ต้องพิมพ์ด้วยตัวอักษรพิมพ์ใหญ่<br />

3) หากชื่อเรื่องมีตัวอักษรเกินกว่า 52 ตัว ควรจะจัดให้เป็นรูปหน้าจั่วกลับ<br />

4) ชื่อผู้วิจัยไม่ต้องใช้ค าน าชื่อ นาย นาง นางสาว แต่ถ้ามียศของ ร.ต. หรือ ร.อ. ให้ใช้ยศ<br />

รวมทั้งชื่อสังกัด เช่น ร.น. เป็นต้น ถ้าผู้วิจัยมีหลายคน เช่น ห้าคน ควรเขียนชื่อละบรรทัด ถ้าจัดท าทั้ง<br />

คณะ ควรใช้ชื่อคณะเป็นผู้วิจัย<br />

5) ข้อความในส่วนที่สาม ให้บรรทัดสุดท้ายของข้อความ ห่างจากขอบล่างของกระดาษ<br />

หนึ่งนิ้ว โดยในส่วนนี้ ใช้ข้อความว่า<br />

108<br />

งานวิจัยนี้ ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

ปีการศึกษา 25....


(ดูตัวอย่างการพิมพ์หน้าปกใน ในภาคผนวก ก.)<br />

2.2 หน้ากิตติกรรมประกาศ และค าน า (Acknowledgement)<br />

กิตติกรรมประกาศ เป็นค ากล่าวแสดงความขอบคุณผู้ที่ให้ความช่วยเหลือท าให้รายงานการ<br />

วิจัยนั้นลุล่วงไปด้วยดี<br />

ค าน า หมายถึง สาเหตุที่ท าให้ผู้วิจัยสนใจที่จะศึกษาเรื่องนั้น บางแห่งบอกไว้ด้วยว่าใน<br />

รายงานการวิจัยนั้น ในแต่ละตอนพูดถึงเรื่องอะไร และกล่าวขอบคุณผู้ช่วยเหลือจนรายงานการวิจัย<br />

ส าเร็จ<br />

ส าหรับ หน้ากิตติกรรมประกาศ และค าน า ควรพิมพ์ดังนี้<br />

1) ค า “กิตติกรรมประกาศ” หรือ “ค าน า” ควรวางไว้ตรงกลางหน้ากระดาษตอนบน ส่วน<br />

ข้อความบรรทัดแรกของประกาศคุณูป การหรือค าน า ใ ห้เว้นส องช่วงบรรทัดพิมพ์คู่จาก<br />

กิตติกรรมประกาศ หรือค าน า<br />

2) ให้ใส่ชื่อสกุลของผู้วิจัย ห่างจากบรรทัดสุดท้ายของข้อความกิตติกรรมประกาศ หรือค า<br />

น า ลงมาสองช่วงบรรทัดคู่<br />

2.3 สารบัญ สารบัญตาราง และสารบัญภาพประกอบ<br />

สารบัญ (Table of Contents) เป็นหน้าบัญชีบทต่างๆ โดยในหน้าสารบัญจะมีบทและตอน<br />

ต่างๆ เรียงตามล าดับที่ปรากฏในรายงานการวิจัย เพื่อช่วยให้ความสะดวกในการค้นและอ่านเรื่องนั้นๆ<br />

สารบัญตาราง (List of Tables) เป็นหน้าที่แสดงชื่อของตารางทุกตาราง เรียงตามล าดับที่<br />

ปรากฏในรายงานการวิจัย โดยสารบัญตารางจะแยกออกต่างหากจากสารบัญ เป็นหน้าซึ่งต่อจากหน้า<br />

สารบัญ<br />

สารบัญภาพประกอบ (List of Figures) เป็นหน้าต่อจากสารบัญตาราง โดยในหน้านี้จะ<br />

แสดงชื่อภาพประกอบทั้งหมดตามล าดับ รวมทั้งภาพประกอบในภาคผนวกด้วย<br />

ส าหรับสารบัญ สารบัญตาราง และสารบัญภาพประกอบ ควรพิมพ์ดังนี้<br />

1) ค าว่า “สารบัญ” “สารบัญตาราง” และ “สารบัญภารพประกอบ” ให้วางไว้ตรงกลาง<br />

หน้ากระดาษตอนบน<br />

2) หัวข้อที่ปรากฏในสารบัญ จะต้องตรงกับหัวข้อที่ปรากฏในตอนต่างๆ ของส่วนเนื้อ<br />

เรื่องรายงานการวิจัยทุกถ้อยค า และแสดงเลขก ากับหน้าแรกของบทนั้นไว้ในด้านขวามือด้วย ถ้ามีหัวข้อ<br />

มากต้องใช้สองหน้า ก็เขียนหรือพิมพ์ต่อในหน้าต่อไป โดยใช้ค าว่า “บทที่” และค า “หน้า” ในหน้าใหม่<br />

เหมือนหน้าแรก<br />

3) ค าว่า “บทที่” “ตาราง” หรือ “ภาพประกอบ” (แล้วแต่กรณี) จะต้องวางตรงแนวกับ<br />

ขอบซ้ายเว้นระยะให้ห่างจากหัวเรื่องสองช่วงบรรทัดพิมพ์คู่ ส่วนค า “หน้า” ให้พิมพ์ไว้ตรงกับแนวขอบ<br />

ด้านขวามือ<br />

109


4) ในการพิมพ์รายการใต้ค า “บทที่” ตาราง หรือ “ภาพประกอบ” ให้ห่างลงมาสองช่วง<br />

บรรทัดพิมพ์คู่<br />

5) หน้าต่างๆ ในส่วนประกอบตอนต้น ไม่ต้อใส่ไว้ในสารบัญ<br />

6) ตัวเลขก ากับบท ตาราง หรือภาพประกอบ ไม่ต้องมีเครื่องหมายมหัพภาคตามหลัง<br />

ตัวเลขนั้น ให้พิมพ์ห่างจากขอบซ้ายสองช่วงตัวอักษร หลังตัวเลขนั้นให้เว้นระยะสองช่วงพิมพ์ แล้วจึง<br />

เขียนหรือพิมพ์ชื่อบท ตาราง หรือภาพประกอบนั้นๆ<br />

7) ในสารบัญนี้ จะต้องระบุหน้าบรรณานุกรม ภาคผนวก และดรรชนี (ถ้ามี) ตามล าดับแต่<br />

ไม่ควรมีข้อย่อยมากเกินควร<br />

8) ในหน้าสารบัญ ควรมีจุดไข่ปลา เริ่มจากที่สุดของชื่อบทหรือชื่อหัวข้อไปยังตัวเลขที่<br />

บอกหน้า และตัวเลขที่บอกหน้านี้ จะต้องวางให้อยู่ในแนวเดียวกันกับอักษรตัวสุดท้ายของค า “หน้า”<br />

ด้วย ไม่ล้ าออกไป (ดูตัวอย่างสารบัญ)<br />

9) จุดไข่ปลาดังกล่าวในข้อก่อน จะต้องอยู่ในระดับเดียวกัน และเริ่มต้นห่างจากอักษรตัว<br />

สุดท้ายของชื่อบท หรือหัวข้อประมาณสองช่วงตัวอักษรพิมพ์<br />

10) ควรเว้นบรรทัดระหว่างชื่อบท โดยเว้นระยะสองช่วงบรรทัดพิมพ์คู่<br />

11) หัวข้อใหญ่ในบทหนึ่งๆ ควรจะย่อหน้าเข้าไปจากอักษรแรกของชื่อบท สองช่วง<br />

ตัวอักษรพิมพ์ ส่วนหัวข้อรองหรือข้อย่อยอื่นๆ ให้ย่อหน้าเข้าไปตามล าดับเช่นเดียวกัน<br />

12) หัวข้อส าคัญๆ ที่ใส่ไว้ในสารบัญ ควรจะเว้นให้ห่างกันหนึ่งช่วงบรรทัดพิมพ์คู่ และถ้า<br />

หัวข้อยาวกว่าหนึ่งบรรทัด ให้ย่อหน้าบรรทัดต่อมาเข้าไปสองช่วงตัวอักษรพิมพ์<br />

13) หัวข้อย่อย ไม่ควรจะรวมไว้ในสารบัญ<br />

14) หน้าของบรรณานุกรม ภาคผนวก และดรรชนี ควรจะแจ้งไว้ในสารบัญด้วยโดยใช้<br />

กฎเกณฑ์เช่นเดียวกับชื่อบท<br />

(ดูตัวอย่าง สารบัญ สารบัญตาราง และสารบัญภาพประกอบในภาคผนวก ก.)<br />

110


111<br />

ส่วนที่ 7<br />

จรรยาบรรณนักวิจัยมหาวิทยาลัยศรีปทุม


112<br />

จรรยาบรรณนักวิจัยมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

จรรยาบรรณนักวิจัย : แนวทางปฏิบัติ<br />

1. นักวิจัยต้องซื่อสัตย์และมีคุณธรรมในทางวิชาการและการจัดการ<br />

2. นักวิจัยต้องตระหนักถึงพันธกรณีที่มีต่อข้อตกลงในการวิจัยต่อหน่วยงานที่สนับสนุนการ<br />

วิจัย และต่อหน่วยงานที่ตนสังกัด<br />

3. นักวิจัยต้องมีพื้นฐานความรู้ในสาขาวิชาที่ท าวิจัย<br />

4. นักวิจัยต้องมีความรับผิดชอบต่อสิ่งที่ศึกษาวิจัยไม่ว่าจะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต<br />

5. นักวิจัยต้องเคารพศักดิ์ศรี และสิทธิของมนุษย์ที่เป็นตัวอย่างในการวิจัย<br />

6. นักวิจัยต้องมีอิสระทางความคิดโดยปราศจากอคติในทุกขั้นตอนของการท าวิจัย<br />

7. นักวิจัยพึงน าผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์ในทางที่ชอบ<br />

8. นักวิจัยพึงเคารพความคิดเห็นทางวิชาการของผู้อื่น<br />

9. นักวิจัยพึงมีความรับผิดชอบต่อสังคมทุกระดับ<br />

**********************************<br />

อานนท์ บุณยะรัตเวช. “จรรยาบรรณนักวิจัย.” ใน โครงการฝึกอบรมเรื่อง "นักวิจัยที่ดีสู่สังคมไทย"<br />

รุ่นที่ 1 เมื่อวันที่ 23 มิถุนายน 2551 โดย ส านักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ ณ โรงแรม<br />

มารวยการ์เด้น.


ภาคผนวก<br />

113<br />

ตัวอย่างการเขียนและพิมพ์รายงานการวิจัย<br />

- ตัวอย่างกระดาษแบบ<br />

- ตัวอย่างหน้าบอกตอน<br />

- ตัวอย่างปกในของรายงานวิจัยที่มีผู้วิจัยคนเดียว<br />

- ตัวอย่างปกในของรายงานวิจัยที่มีผู้วิจัยหลายคน<br />

- ตัวอย่างสารบัญ<br />

- ตัวอย่างสารบัญตาราง<br />

- ตัวอย่างสารบัญตารางภาพประกอบ<br />

- ตัวอย่างบทคัดย่อภาษาไทย<br />

- ตัวอย่างบทคัดย่อภาษาอังกฤษ<br />

- ตัวอย่างประวัติย่อผู้วิจัย


114<br />

ตัวอย่างกระดาษแบบ<br />

1.5 นิ้ว<br />

เลขก ากับหน้า<br />

1 นิ้ว<br />

1.5 นิ้ว 1 นิ้ว<br />

1 นิ้ว


115<br />

ตัวอย่างบอกตอน<br />

บรรณานุกรม


116<br />

ตัวอย่างปกในของรายงานการวิจัยที่มีผู้วิจัยคนเดียว<br />

รายงานการวิจัย<br />

เรื่อง<br />

การพัฒนาการออกแบบอาคารต้านทานแผ่นดินไหวโดยใช้หลักการ<br />

ให้โครงสร้างมีความเสียหายคงที่<br />

DEVELOPMENT OF SEISMIC RESISTANT DESIGN FOR UILDINGS<br />

BASED ON THE CONSTANT-DAMAGE CONCEPT<br />

ไพบูลย์ ปัญญาคะโป<br />

งานวิจัยนี้ ได้รับทุนอุดหนุนการวิจัยจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

ปีการศึกษา 2552


117<br />

ตัวอย่างปกในของรายงานการวิจัยที่มีผู้วิจัยหลายคน<br />

รายงานการวิจัย<br />

เรื่อง<br />

ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อสัมฤทธิผลทางการศึกษาของนักศึกษา<br />

มหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

FACTORS AFFECTING EDUCATIONAL ACHIEVEMENT OF<br />

SRIPATUM UNIVERSITY STUDENTS<br />

นิ่มนวล ศรีจาด<br />

ธาตรี นนทศักดิ์<br />

สุนันท์ อยู่คงดี<br />

งานวิจัยนี้ ได้รับทุนอุดหนุดการวิจัยจากมหาวิทยาลัยศรีปทุม<br />

ปีการศึกษา 2552


118<br />

ตัวอย่างสารบัญ<br />

สารบัญ<br />

บทที่ หน้า<br />

1 บทน า................................................................................................................... 1<br />

ความเป็นมาและความส าคัญของปัญหา……………………………….…. 1<br />

วัตถุประสงค์ของการวิจัย............................................................................. 5<br />

ค าถามการวิจัย............................................................................................. 5<br />

สมมุติฐานการวิจัย....................................................................................... 7<br />

ขอบเขตของการวิจัย.................................................................................... 8<br />

นิยามศัพท์.................................................................................................... 9<br />

2 วรรณกรรมที่เกี่ยวข้อง.......................................................................................... 11<br />

ความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับหลักสูตร.................................................................. 11<br />

กรอบความคิดทางทฤษฏี............................................................................. 50<br />

ผลการวิจัยที่เกี่ยวข้อง.................................................................................. 53<br />

สรุป............................................................................................................. 62<br />

3 ระเบียบวิธีวิจัย..................................................................................................... 64<br />

รูปแบบการวิจัย............................................................................................ 64<br />

ประชากรและกลุ่มตัวอย่าง.......................................................................... 66<br />

ขั้นตอนการด าเนินงานวิจัย.......................................................................... 68<br />

เครื่องมือการวิจัย......................................................................................... 69<br />

การรวบรวมข้อมูล....................................................................................... 76<br />

การวิเคราะห์ข้อมูล...................................................................................... 77<br />

4 ผลการวิเคราะห์ข้อมูล.......................................................................................... 79<br />

ผลการประเมินหลักสูตรด้านพุทธพิสัย....................................................... 79<br />

ผลการประเมินหลักสูตรด้านจิตพิสัย........................................................... 89<br />

ผลการประเมินหลักสูตรด้านทักษะพิสัย..................................................... 96<br />

ผลการประเมินโครงสร้างและเอกสารหลักสูตร.......................................... 102


119<br />

สารบัญ (ต่อ)<br />

บทที่ หน้า<br />

5 สรุป อภิปราย และข้อเสนอแนะ......................................................................... 108<br />

สรุปผลการวิจัย......................................………………………………… 110<br />

อภิปรายผล................................................................................................. 114<br />

ข้อเสนอแนะ.............................................................................................. 119<br />

บรรณานุกรม .................................................................................................... 121<br />

ภาคผนวก ......................................................................................................... 127<br />

ภาคผนวก ก. รายชื่อโรงเรียนกลุ่มตัวอย่าง................................................. 128<br />

ภาคผนวก ข. ตัวอย่างเครื่องมือการวิจัย..................................................... 129<br />

ภาคผนวก ค. รายชื่อผู้ทรงคุณวุฒิ............................................................... 134<br />

ประวัติย่อผู้วิจัย .................................................................................................. 135


120<br />

ตัวอย่างสารบัญตาราง<br />

สารบัญตาราง<br />

ตาราง<br />

หน้า<br />

1 ลักษณะของการประเมินหลักสูตร โดยใช้รูปแบบการประเมินแบบซิป.................. 32<br />

2 แนวทางการประเมินหลักสูตรศิลปศาสตรบัณฑิต สาขาวิชาภาษาอังกฤษสื่อสาร<br />

ธุรกิจ พุทธศักราช 2532 ของมหาวิทยาลัยศรีปทุม............................................ 46<br />

3 จ านวนประชากรและกลุ่มตัวอย่าง จ าแนกตามสถานภาพ...................................... 51<br />

4 สถานภาพของผู้ตอบแบบสอบถาม จ าแนกตามจ านวนและร้อยละของผู้ตอบ<br />

แบบสอบถาม.................................................................................................... 60<br />

5 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษา และ<br />

บัณฑิตที่มีต่อวัตถุประสงค์ของหลักสูตร.......................................................... 61<br />

6 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษา และ<br />

บัณฑิตที่มีต่อโครงสร้างวิชาของหลักสูตร........................................................ 64<br />

7 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษา และ<br />

บัณฑิตที่มีต่อเนื้อหาวิชาของหลักสูตร.............................................................. 67<br />

8 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษา และ<br />

บัณฑิตที่มีต่อคุณลักษณะอาจารย์...................................................................... 72<br />

9 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษา และ<br />

บัณฑิตที่มีต่อวัสดุการเรียน ต าราเรียน และสถานที่เรียน.................................. 75<br />

10 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษา และ<br />

บัณฑิตที่มีต่อกระบวนการเรียนการสอน......................................................... 78<br />

11 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษา และ<br />

บัณฑิตที่มีต่อการวัดและประเมินผล................................................................ 82<br />

12 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษา และ<br />

บัณฑิตที่มีต่อการบริหารหลักสูตร................................................................... 86<br />

13 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษา และ<br />

และบัณฑิตที่มีต่อประสิทธิภาพของบัณฑิต ทางด้านความรู้............................ 89<br />

14 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของอาจารย์ นักศึกษา และ<br />

และบัณฑิตที่มีต่อประสิทธิภาพของบัณฑิต ทางด้านทักษะ............................. 92


121<br />

สารบัญตาราง (ต่อ)<br />

ตาราง<br />

หน้า<br />

15 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของผู้บังคับบัญชาของบัณฑิต<br />

และบัณฑิตที่มีต่อประสิทธิภาพของบัณฑิต ทางด้านเจตคติ............................. 94<br />

16 ค่าเฉลี่ย และค่าเบี่ยงเบนมาตรฐาน ความคิดเห็นของผู้บังคับบัญชาของบัณฑิต<br />

และบัณฑิตที่มีต่อประสิทธิภาพของบัณฑิต ทางด้านเจตคติ…………………. 96<br />

17 ข้อเสนอแนะและความคิดเห็นทั่วไปของอาจารย์ นักศึกษา และบัณฑิตเกี่ยวกับ<br />

วัตถุประสงค์ของหลักสูตร จากแบบสอบถามปลายเปิด……………………... 98


122<br />

ตัวอย่างสารบัญภาพประกอบ<br />

สารบัญภาพประกอบ<br />

ภาพประกอบ<br />

หน้า<br />

1 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไทเลอร์.............................................................. 22<br />

2 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของแฮมมอนด์......................................................... 24<br />

3 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสคริเวน............................................................ 26<br />

4 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสเตก................................................................. 27<br />

5 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของไพรวัส............................................................. 29<br />

6 รูปแบบการประเมินหลักสูตรของสตัฟเฟิลบีม..................................................... 31


123<br />

ตัวอย่างบทคัดย่อภาษาไทย<br />

หัวข้อวิจัย<br />

ผู้วิจัย<br />

หน่วยงาน<br />

ปีที่พิมพ์<br />

: ปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของผู้เยาว์ในบริษัทจ ากัด<br />

: นางสาวปิยะธิดา อุปพงษ์ และ นายสังคม ฮอหรินทร์<br />

: มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตชลบุรี<br />

: พ.ศ. 2542<br />

บทคัดย่อ<br />

การศึกษาเรื่อง “ปัญหาทางกฎหมายเกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของผู้เยาว์ในบริษัทจ ากัด” มี<br />

วัตถุประสงค์เพื่อให้ทราบถึงกฎหมายเกี่ยวกับความสามารถของผู้เยาว์ ลักษณะทั่วไปของบริษัทจ ากัด<br />

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง และปัญหาข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวกับการประกอบธุรกิจของผู้เยาว์ในบริษัทจ ากัด<br />

โดยศึกษาเปรียบเทียบกับกฎหมายของต่างประเทศ เพื่อให้เกิดความชัดเจนและมีความเข้าใจมากขึ้น<br />

เนื่องจากมีปัญหาข้อกฎหมายหลายประเด็นที่ยังมีข้อบกพร่องควรได้รับการปรับปรุงแก้ไข จากการศึกษา<br />

พบว่า มีประเด็นข้อกฎหมายบางประการที่กฎหมายไม่ได้ก าหนดให้ชัดเจน ได้แก่ ปัญหาความไม่<br />

เหมาะสมเกี่ยวกับอายุของผู้เยาว์ที่สามารถเป็น ผู้เริ่มก่อการบริษัทได้ และปัญหาความไม่เหมาะสมเกี่ยวกับ<br />

อายุของผู้เยาว์ที่สามารถเป็นกรรมการบริษัทได้ ซึ่งหากได้มีการบัญญัติเพิ่มเติมหรือแก้ไขปรับปรุงให้<br />

ชัดเจนยิ่งขึ้น ก็จะเป็นการคุ้มครองป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นแก่ผู้เยาว์และบุคคลอื่นที่เกี่ยวข้องได้ดี<br />

ยิ่งขึ้น ซึ่งปัญหาเหล่านี้ ควรมีการแก้ไขปรับปรุงและเพิ่มเติมดังนี้<br />

1. ควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายเพ่งพาณิชย์ โดยก าหนดคุณสมบัติของผู้<br />

เริ่มก่อการบริษัทให้ชัดเจนว่า ผู้เริ่มก่อการบริษัทต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น<br />

2. ควรแก้ไขเพิ่มเติมบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายเพ่งและพาณิชย์ โดยก าหนดคุณสมบัติ<br />

ของกรรมการบริษัทให้ชัดเจนว่ากรรมการบริษัทต้องเป็นบุคคลที่บรรลุนิติภาวะแล้วเท่านั้น<br />

ค าส าคัญ : กฎหมายแพ่งพาณิชย์ บริษัทจ ากัด ผู้เยาว์


124<br />

ตัวอย่างบทคัดย่อภาษาอังกฤษ<br />

Research Title<br />

Name of Researchers<br />

Name of Institution<br />

Year of Publication<br />

: Legal Problems Concerning the Conduct of Business by Minors in the<br />

Limited Liability Companies<br />

: Miss. Piyathida Uppapong and Mr. Sungkom Horharin<br />

: Sripatum University, Chonburi Campus<br />

: B.E. 2542<br />

ABSTRACT<br />

This study of ‚Legal Problems Concerning the Conduct of Business by Minors in the<br />

Limited Liability Companies‛ was conducted with the objective to gain insights on laws concerning the<br />

capacity of minors to conduct juristic and business transactions, the general features of the limited<br />

liability company, related laws, and various legal problems concerning the conduct of business by<br />

minors in the limited liability companies. The research methodology employed was the documentary<br />

research in which the researcher investigated both Thai and foreign laws in order to make comparison<br />

and gain clearer understanding of the problem, since there were many legal issues that needed to be<br />

clarified or amended.<br />

The study revealed many legal issues that were not clearly addressed, namely, the<br />

problem on improper age of minors who could establish a company, and the problem on improper age<br />

of minors who could be members of the board of a company. Had the law on these problems been<br />

amended or clarified, minors and related persons would be better protected from legal damages.<br />

Recommendations for revision and amendment concerning the above problems were given as follows:<br />

1. There should be amendments of the Civil and Commercial Code on age qualification<br />

of minors as founders of a company. The minimum age allowable for company founders should not be<br />

lower than the minimum legal age for juristic transaction.<br />

2. There should be amendments of the Civil and Commercial Code on age qualification<br />

of minors as board members of a company. The minimum age allowable for company board members<br />

should not be lower than the minimum legal age for business transaction.<br />

Keywords : Civil and Commercial Code, Limited liability company, Minors


125<br />

ตัวอย่างประวัติย่อผู้วิจัย<br />

ประวัติย่อผู้วิจัย<br />

ชื่อ นายสมศักดิ์ รักศรีปทุม<br />

วัน เดือน ปีเกิด วันที่ 15 ตุลาคม 2496<br />

สถานที่เกิด อ าเภอเมือง จังหวัดนนทบุรี<br />

สถานที่อยู่ปัจจุบัน บ้านเลขที่ 52 ถนนแจ้งวัฒนะ อ าเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120<br />

ต าแหน่งหน้าที่การงานปัจจุบัน ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สาขาวิชาภาษาอังกฤษ<br />

สถานที่ท างานปัจจุบัน คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยศรีปทุม วิทยาเขตบางเขน<br />

ประวัติการศึกษา<br />

พ.ศ. 2518 อ.บ. จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />

พ.ศ. 2522 อ.ม. จาก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!