Otitis Media
Otitis Media
Otitis Media
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
Srinagarind Med J 2010: 25 (Suppl)<br />
<strong>Otitis</strong> <strong>Media</strong><br />
พรเทพ เกษมศิริ<br />
ภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา คณะแพทยศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน<br />
LECTURE<br />
เปนภาวะหูชั้นกลางอักเสบของหูชั้นกลางโดยแบงออก<br />
เปน 3 กลุม<br />
1. Acute otitis media<br />
2. <strong>Otitis</strong> media with effusion<br />
3. Chronic otitis media<br />
Anatomy<br />
หูชั้นกลางนั้นนับตั้งแตเยื่อแกวหูไปจนถึง oval window<br />
และมีการติดตอกับ mastoid antrum และ mastoid air<br />
cell ทางดานหลังผานทาง aditus ad antrum สวนทางดาน<br />
หนาจะติดกับ nasopharynx ผานทาง eustachian tube<br />
<strong>Otitis</strong> media<br />
การติดเชื้อในหูชั้นกลางเกิดไดจาก 3 ทางคือ<br />
1. เกิดจากการที่เชื้อโรคจากคอ หรือจมูก ผานเขาทาง<br />
eustachian tubeไปสูหูชั้นกลาง<br />
2. เกิดจากเชื้อโรคเขาทางรูหู ผานแกวหูที่ทะลุอยูกอน<br />
แลว เขาไปสูหูชั้นกลาง และ mastoid air cell<br />
3. ผานทางกระแสเลือด<br />
อุบัติการณ<br />
มักเกิดในเด็กมากกวาในผูใหญโดยเฉพาะเด็กที่อายุนอย<br />
กวา 2 ป เนื่องจาก eustachian tube ของเด็กสั้นกวา และอยู<br />
ในแนวระนาบมากกวา นอกจากนี้ยังพบวามีปจจัยเสี่ยงตอ<br />
การเกิดหูชั้นกลางอักเสบดังนี้<br />
1. ปจจัยทางสิ่งแวดลอม<br />
- การเลี้ยงดูใน day-care ทําใหเสี่ยงตอการติดเชื้อ<br />
ทางเดินหายใจงายมากขึ้นเสี่ยงตอการเกิดหูชั้นกลางอักเสบ<br />
- การเลี้ยงดูดวยนมแมเชื่อวามี Immunoglobulin<br />
ชวยปองกันการติดเชื้อและในเด็กที่ถูกเลี้ยงดวยขวดนมมัก<br />
จะเกิดการติดเชื้อไดงายกวาจากการที่มีโอกาสเกิดกรดไหล<br />
ยอนงายกวา ทําใหมีโอกาสเกิดการติดเชื้อผาน eustachian<br />
tube<br />
- การสัมผัสสารจากการสูบบุหรี่ซึ่งจะทําใหเยื่อบุหู<br />
ชั้นกลางบวมอักเสบได<br />
- ในฤดูหนาวมีโอกาสติดเชื้อทางเดินหายใจงาย<br />
สงผลใหเสี่ยงตอการเกิดหูชั้นกลางอักเสบ<br />
2. ปจจัยจากตัวผูปวยเอง<br />
- ภูมิคุมกันบกพรอง<br />
- มี craniofacial anomaly เชน cleft palate<br />
Acute otitis media<br />
เชื้อกอโรค<br />
เชื้อสวนใหญเปนแบคทีเรียพบประมาณ 56-75% โดย<br />
เปนเชื้อ Streptococcus pneumoniae 40%, Haemophilus<br />
infl uenza 25-30%, Moraxella catarrhalis 10-20%<br />
อาการและอาการแสดง<br />
ระยะที่ 1 Hyperemia ผูปวยจะมาดวยอาการปวดหู<br />
หรือความรูสึกแนนๆ มีไข การไดยินมักจะผิดปกติ ตรวจดู<br />
พบวา เยื่อแกวหูจะแดงอักเสบ ซึ่งเปนอาการที่สําคัญใน<br />
การแยกหูชั้นกลางอักเสบ จากภาวะนํ้าในหูชั้นกลาง (<strong>Otitis</strong><br />
media with effusion)<br />
ระยะที่ 2 Exudation ระยะนี้จะเริ่มมีซีรั่มออกมาจาก<br />
หลอดเลือดที่ขยายตัว เขาไปในหูชั้นกลาง และในโพรง<br />
อากาศมาสตอยด ผูปวยจะมีอาการปวดมากขึ้น และไขสูง<br />
การไดยินลดลง ตรวจดูหูจะพบเยื่อแกวหูบวมแดงและ<br />
โปงออก จนไมสามารถมองเห็นโครงสรางปกติได<br />
ระยะที่ 3 Suppuration เปนระยะที่แรงดันในหูชั้น<br />
กลางมากจนเกิดทะลุเล็กๆ ของเยื่อแกวหู และมีนํ้าปนเลือด<br />
(hemorrhagic หรือ serosangunous fl uid) ไหลออกมา ตอ<br />
มาอาจจะเปลี่ยนเปนมูกปนหนอง (mucopurulent) ก็ได<br />
อาการปวดและไขจะลดลงอยางมาก ตรวจดูหูจะพบหนอง<br />
ไหลจากรูทะลุ โดยมากการอักเสบในหูชั้นกลางแบบเฉียบพลัน<br />
นี้จะหยุดในระยะนี้ เยื่อแกวหูก็จะสามารถซอมแซมปดได<br />
เอง มีสวนนอยที่รูทะลุคงอยูเกิดเปนหูนํ้าหนวกเรื้อรังตอไป<br />
ระยะที่ 4 Coalescence mastoiditis มักพบกรณีที่<br />
เกิดจากเชื้อที่รุนแรงทําใหเกิดการอักเสบเปนระยะเวลานาน<br />
เกินกวา 2 สัปดาห เกิดจากที่หนองขังในโพรงกระดูกมาส<br />
ตอยด กดเจ็บหลังหูเล็กนอยและมีหนองไหลตลอด อาจจะ<br />
ตรวจพบ sagging บริเวณผนังกระดูกของรูหูดานบนหลังได<br />
fi lm mastoid จะพบบริเวณโพรงอากาศมาสตอยดทึบทั้งหมด<br />
การประชุมวิชาการ ครั้งที่ 26 ประจําป 2553 27
Srinagarind Med J 2010: 25 (Suppl)<br />
LECTURE<br />
และไมเห็นกระดูกบางๆ ที่แบง air cell ใน มาสตอยดเลย<br />
ระยะที่ 5 Complication เปนระยะที่เกิดโรคแทรกซอน<br />
สามารถทําลายกระดูกและโครงสรางที่อยูรอบๆ หรือเชื้ออาจ<br />
จะไปตามหลอดเลือดดําที่อักเสบ (thrombophlebitis) เกิด<br />
โรคแทรกซอนขึ้น เชน ฝหลังหู facial nerve palsy lateral<br />
sinus thrombosis เยื่อหุมสมองอักเสบ ฝในสมอง และ<br />
petrositis เปนตน<br />
ระยะที่ 6 Resolution เปนระยะที่หายจากการอักเสบ<br />
หนองหยุดไหลจากหู เยื่อแกวหูเริ่มมีการซอมแซมปดไดเอง<br />
การไดยินจะกลับสูสภาพปกติหรือเกือบปกติ ระยะนี ้อาจเกิด<br />
ตามหลังระยะที่ 3 หรือ 5 บางรายที่รูทะลุไมสามารถปดไดก็<br />
จะกลายเปนหูนํ้าหนวกเรื้อรังได<br />
Investigation<br />
สวนใหญมักจะสง plain fi lm mastoid ในกรณีที่สงสัย<br />
ภาวะ coalescent mastoiditis<br />
การรักษา<br />
ในผูปวยหูชั้นกลางอักเสบเฉียบพลันที่เยื่อแกวหูยังไม<br />
ทะลุสามารถหายเองไดประมาณรอยละ 70-80 แตเชื่อวาการ<br />
ใหยาปฏิชีวนะ 5-10 วัน ชวยลดความรุนแรง ระยะเวลาของ<br />
อาการ และชวยลดภาวะแทรกซอนที่อาจจะเกิดขึ้น<br />
ยาปฏิชีวนะที่เลือกใชเปนอันดับแรกคือ amoxicillin<br />
40 mg/kg/day หากมีอาการแพยาควรเปลี่ยนไปใชกลุม<br />
Macrolide แตหากผูปวยมีปจจัยเสี่ยงตอการติดเชื้อ<br />
penicillin-resistant S. pnumoniae เชน เด็กอายุนอยกวา<br />
2 ป เลี้ยงดูใน day care เปนตน หรือในกลุมผูปวยที่เคย<br />
ไดรับยาปฏิชีวนะภายใน 1 เดือนมากอน ควรพิจารณาให<br />
amoxicillin 90 mg/kg/day หรือ ปรับยาปฏิชีวนะเปนในกลุม<br />
ที่ 2 เชน amoxicillin-clavalunate 90 mg/kg/day, cefdinir,<br />
cefpodoxime, cefprozil, cefuroxime ถาหากอาการยัง<br />
ไมดีขึ้นให ceftriaxone injection or fl uoroquinolone สวน<br />
การผาตัดเจาะเยื่อแกวหู (tympanocentesis) พิจารณาทํา<br />
ในกรณีรักษาดวยยาไมดีขึ้นหรือในกรณีอาการปวดหูรุนแรง<br />
ไขสูง ตองการทราบเชื้อกอโรค<br />
สวนในกลุมที่เยื่อแกวหูทะลุใหยาปฏีชีวนะเชนเดียว<br />
กับในผูปวยที่แกวหูยังไมทะลุ และพิจารณาใหยาหยอดหู<br />
(topical ofl oxacin eardrop) ในกลุมผูปวยที่มีหนองไหล<br />
ออกจากหูหรือมีหูชั้นนอกอักเสบรวมดวยหากผูปวยมีภาวะ<br />
แทรกซอนควรปรึกษาแพทยเฉพาะทาง<br />
<strong>Otitis</strong> media with effusion (OME)<br />
เปนภาวะที่มีนํ้าในหูชั้นกลางโดยที่ไมมีอาการแสดงของ<br />
ภาวการณติดเชื้อ อยางไรก็ตามมีการศึกษาเพาะเชื้อพบเชื้อ<br />
แบคทีเรีย 30% จากนํ้าในหูชั้นกลาง ภาวะ OME มักเกิด<br />
ในเด็กโดยเฉพาะในเด็กที่มีปจจัยเสี่ยง เชน craniofacial<br />
anomaly, Down’s syndrome, cleft lip and palate แตหาก<br />
พบภาวะ OME ในผูใหญควรจะตองแยกภาวะ nasopharyngeal<br />
carcinoma ดวยเพราะอาจเกิดจากมะเร็งไปอุด<br />
eustachian tube<br />
อาการและอาการแสดง<br />
- ผูปวยมักจะมาดวยอาการหูอื้อ การไดยินลดลง<br />
ซึ่งหากพบในเด็กอาจทําใหเกิด delay speech and<br />
language ได<br />
- ตรวจรางกายพบวามี air bubble, air fl uid level,<br />
ในหูชั้นกลางหรืออาจตรวจพบ dull tympanic membrane<br />
- การตรวจรางกายที่สําคัญควรใช pneumatic<br />
otoscope ซึ่งจะพบวามีการขยับของเยื่อแกวหูลดลง<br />
Investigation<br />
ผูปวยควรจะไดรับการตรวจ audiogram และ tympannogram<br />
ซึ่งจะพบวาผูปวยมี conductive hearing loss และ<br />
tympanogram type B<br />
การรักษา<br />
ให antibiotic short course ซึ่งเชื้อสวนใหญคลายกับ<br />
acute otitis media แตวาถาอาการยังไมดีขึ้นควรสงปรึกษา<br />
แพทยเฉพาะทางเพื่อพิจารณาทําการผาตัดเจาะเยื่อแกวหู<br />
(myringotomy) รวมกับพิจารณาใส ventilation tube สวน<br />
ในเด็กที่มีปจจัยเสี่ยงควรสงปรึกษาแพทยเฉพาะทางเพราะ<br />
เด็กกลุมนี้มักจะเปน recurrent OME หรือ chronic OME<br />
เนื่องจากเด็กกลุมนี้ eustachian tube ทํางานไมดี<br />
Chronic otitis media<br />
ระยะเวลาของการอักเสบเรื้อรังของหูชั้นกลางนั้นยังไมมี<br />
ระยะเวลาที่แนชัดประมาณนานเกินกวา 2 สัปดาหถึง 3 เดือน<br />
รวมกับมีเยื่อแกวหูทะลุซึ่งอาจพบวามีหนองหรือไมมีก็ไดหูชั้น<br />
กลางอักเสบเรื้อรังสามารถแบงออกเปน 2 ประเภท<br />
1. หูอักเสบชนิดไมรายแรง (Safe Ear) ไดแก<br />
- เยื่อแกวหูทะลุตรงกลาง (central perforation)<br />
จะสังเกตุพบวาขอบของ annulus ยังอยูครบวง และไมพบวา<br />
มี cholesteatoma<br />
เชื้อกอโรค สวนใหญเปน Pseudomonas aeruginosa,<br />
Staphylococcus aureus<br />
อาการและอาการแสดง มักมาดวยหนอง (mucopurulent<br />
discharge) ไหลจากหูเปนๆ หายๆ อาจตรวจพบวามี<br />
granulation หรือ polyp ได มักไมพบวามีอาการปวดหูรวม<br />
ดวย หากมีอาการปวดหูแสดงวาอาจจะมีภาวะแทรกซอน<br />
28<br />
การประชุมวิชาการ ครั้งที่ 26 ประจําป 2553
Srinagarind Med J 2010: 25 (Suppl)<br />
เกิดขึ้น นอกจากนี้ผูปวยมักเสียการไดยินแบบการนําเสียง<br />
เสีย บางรายอาจมีเสนประสาทหูเสื่อมรวมดวยจาก Bacterial<br />
Toxin<br />
การรักษา<br />
- ทําความสะอาด ดูดหนองในรูหู<br />
- ให topical antibiotic : fl uoroquinolone ear drop<br />
14-28 วัน<br />
ถาหากอาการยังไมดีขึ้นให systemic antibiotic รวม<br />
ดวย หลังจากใหการรักษาดวย antibiotic อยางเต็มที่แลว<br />
ยังไมดีขึ้นจําเปนตองประเมินหา cholesteatoma และ<br />
mastoiditis<br />
ในผูปวยบางรายหลังการรักษาดวย antibiotics ไปแลว<br />
ยังพบวาแกวหูทะลุอยูไมสามารถปดเองไดซึ่งอาจพิจารณารับ<br />
การผาตัดปะเยื่อแกวหู (tympanoplasty) วัตถุประสงคหลัก<br />
ในการปะเยื่อแกวหูคือ<br />
1) เพื่อกําจัดการติดเชื้อในหูชั้นกลาง<br />
2) เพื่อปองกันการติดเชื้อผานเยื่อแกวหูที่ทะลุเขา<br />
สูหูชั้นกลาง<br />
3) เพื่อชวยใหการไดยินดีขึ้น<br />
2. หูอักเสบชนิดรายแรง (Unsafe ear) ไดแก<br />
- เยื่อแกวหูทะลุบริเวณขอบ (marginal perforation)<br />
ซึ่งพบวา annulus ไมครบวง<br />
- เยื่อแกวหูทะลุบริเวณ attic<br />
- ตรวจพบวามี cholesteatoma รวมดวย<br />
Cholesteatoma คือภาวะที่มี stratified squamous<br />
keratinizing epithelium เขาไปอยูในหูชั้นกลางหรือ mastoid<br />
cavity โดย cholesteatoma สามารถที่จะทําลายกระดูก<br />
บริเวณรอบขางไดและสามารถทําใหเกิด complication ตาม<br />
มาได ดังนั้นจึงจําเปนที่จะตองแยกภาวะ cholesteatoma<br />
โดยมักพบในผูปวยดังตอไปนี้<br />
1) ผูปวยเด็กที่มี facial palsy (LMN type) โดยที่<br />
ไมมีประวัติเยื่อแกวหูะลุมากอน เนื่องจากอาจมี congenital<br />
cholesteatoma ที่เชื่อวาเกิดจาก ectoderm มีการติดคาง<br />
ในกระดูก temporal bone และโตขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเปน<br />
Cholesteatomaอยูใกลกับ facial canal จึงมาดวยอาการ<br />
หนาเบี้ยวได<br />
2) ผูปวยที่ตรวจรางกายแลวพบวามี retraction<br />
pocket or perforation บริเวณดานบนของ tympanic<br />
membrane (attic cholesteatoma)<br />
3) ผูปวยที่มี marginal perforation<br />
4) ผูปวยที่มีอาการหนองไหลออกจากหูเปนๆ หายๆ<br />
รักษาดวยยาเต็มที่แลวอาการไมดีขึ้น<br />
การวินิจฉัย<br />
- ตรวจพบ cholesteatoma ที่ดานบนของเยื่อแกวหู<br />
(attic cholesteatoma)<br />
- ในกรณี congenital cholesteatoma อาจตรวจ<br />
พบ white keratin pearl อยูหลังเยื่อแกวหูที่ยังไมทะลุ<br />
Investigation<br />
ในกรณีที่สงสัย cholesteatoma อาจส่ง plain film<br />
mastoid ซึ่งอาจพบ lytic lesion และชวยในการวางแผน<br />
ในการผาตัด<br />
การรักษา<br />
ทําการผาตัด mastoidectomy<br />
ภาวะแทรกซอนจากโรคหูชั้นกลางอักเสบ (complication<br />
of otitis media)<br />
เกิดจากมีการติดเชื้อกระจายออกไปนอก middle ear<br />
cleft ซึ่งพบภาวะแทรกซอนไดทั้งในโรคหูนํ้าหนวกชนิด<br />
เฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง ซึ่งมักเกิดจากโรคหูนํ้าหนวกเรื ้อรัง<br />
มากกวา โดยเฉพาะถามี cholesteatoma รวมดวย<br />
ภาวะแทรกซอนแบงออกเปน 3 ประเภท ตามตําแหนงที่<br />
เกิดดังนี้<br />
1) ภาวะแทรกซอนที่เกิดนอกกระดูก temporal bone<br />
และนอกกระโหลกศรีษะ (extratemporal extracranial<br />
complication) ไดแก<br />
1.1 Subperiosteal abscess<br />
ฝใตเยื่อหุมกระดูกเปนโรคแทรกซอนที่เกิดจากการ<br />
อักเสบภายในโพรงกระดูกมาสตอยด หนองที่เกิดขึ้นภายใน<br />
จะเซาะแตกออกมาภายใตเยื่อหุมกระดูก โดยรอบเกิดเปนโรค<br />
แทรกซอนตาง ๆ ไดแก<br />
• Postauricular abscess เปนภาวะที่หนองแตก<br />
ออกมาขังอยูใตเยื่อหุมกระดูก mastoid หลังหู<br />
อาการและอาการแสดง ผูปวยจะมาดวยอาการปวด<br />
บวม แดง รอนบริเวณหลังหู ไข ถาหนองมีปริมาณมากจะดัน<br />
ใบหูไปทางดานหนาและดานลางจนกางออกอยางชัดเจน<br />
• Bezold’s abscess เปนฝที่เกิดจากหนองแตก<br />
เซาะไปตามผนังดานในของ tip ของกระดูก mastoid ออกไป<br />
ใต fascia ของกลามเนื้อ sternocleidomastoid กลายเปนฝ<br />
ใตกลามเนื้อมัดนี้<br />
Investigation<br />
ภาพถาย plain X-rays of mastoid พบวา mastoid<br />
ทึบ มีการทําลายของโพรงกระดูก mastoid<br />
การรักษา ทําการผาตัดระบายเอาหนองออก รวม<br />
กับใหยาปฏิชีวนะ แลวพิจารณาทําผาตัด mastoidectomy<br />
LECTURE<br />
การประชุมวิชาการ ครั้งที่ 26 ประจําป 2553 29
Srinagarind Med J 2010: 25 (Suppl)<br />
LECTURE<br />
2) ภาวะแทรกซอนที่เกิดภายในกระดูก temporal<br />
bone (intratemporal complication) ไดแก<br />
2.1 Mastoiditis<br />
เปนการอักเสบในโพรงอากาศ mastoid ซึ่งมีการ<br />
ทําลาย bony septa ของ mastoid air cell<br />
อาการและอาการแสดง<br />
Coalescent Mastoiditis มักเกิดตามหลังผูปวย<br />
ที่เปนการอักเสบของหูชั้นกลางชนิดเฉียบพลัน ตรวจหูพบ<br />
วามีปวดบวมแดงรอน กดเจ็บบริเวณหลังหู บางครั้งจะมีหู<br />
กาง รวมกับมีไข เมื่อสง mastoid fi lm จะพบวามี cloudy<br />
ของ mastoid air cell ในบางรายอาจพบวามีหนองขังอยูใต<br />
periostium กลายเปน subperiosteal abscess ก็ได<br />
ใน chronic mastoiditis ผูปวยมักจะมาดวยมีหนอง<br />
ไหลจากหูเปนเวลานานไมหยุด และอาจจะมีไขตํ่า ๆ หรือเมื่อ<br />
หยุดยาปฏิชีวนะอาการอาจจะเปนขึ้นมาอีก บางครั้งตรวจพบ<br />
ปวดบวมแดงรอนหลังหู<br />
การรักษา<br />
ใน acute coalescent mastoiditis without<br />
subperiosteal abscess ใหยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดํา<br />
รวมกับทําการผาตัดเจาะเยื่อแกวหู (myringotomy) ในราย<br />
ที่เยื่อแกวหูยังไมทะลุ สวนในผูปวย chronic mastoiditis<br />
มักจะตอบสนองตอการใหยาปฏิชีวนะ แตถาหลังจากให<br />
ยาปฏิชีวนะแลวยังไมดีขึ้น หรือหยุดยาแลวมีอาการขึ้นมา<br />
อีกตองพิจารณาวาอาจมี cholesteatoma อยูควรพิจารณา<br />
ทําการผาตัด mastoidectomy<br />
2.2 Facial nerve paralysis<br />
เสนประสาทนี้จะวิ่งผานโพรงกระดูก Mastoid เพื่อ<br />
ไปเลี้ยงกลามเนื้อใบหนา ดังนั้นหากมีการติดเชื้อหูชั้นกลาง<br />
ก็มีโอกาสทําใหเกิดเสนประสาทอัมพาตไดไมวาจะเปนการ<br />
ติดเชื้อแบบเฉียบพลันหรือเรื้อรัง<br />
อาการและอาการแสดง<br />
พบวามีการอัมพาตของเสนประสาทที่เลี้ยงใบหนา<br />
แบบ lower motor neuron type รวมกับมีการอักเสบของหู<br />
ขางเดียวกันกับขางที่เสนประสาทอัมพาต<br />
นอกจากนี้พิจารณาสง fi lm x-rays of mastoid เพื่อ<br />
ประเมินวามีภาวะ coalescent mastoiditis หรือไม<br />
การรักษา<br />
หากเกิดจากการอักเสบเฉียบพลัน และพบวา<br />
mastoid film ไม่มีภาวะ coalescent mastoiditis ให้ยา<br />
ปฏิชีวนะทางหลอดเลือดรวมกับทําการผาตัดเยื่อแกวหู<br />
(myringotomy) ก็เพียงพอ แตถาการอักเสบเปนมานานเกิน<br />
14 วันรวมกับ mastoid fi lm พบวามี coalescent mastoiditis<br />
ควรทําการผาตัด mastoidectomy สวน การอัมพาตของ<br />
เสนประสาทที่เกิดจากการอักเสบเรื้อรังควรนึกถึงวาอาจมี<br />
cholesteatoma อยู ควรใหยาปฏิชีวนะรวมกับทําการผาตัด<br />
mastoidectomy และ facial nerve decompression<br />
2.3 Labyrinthitis<br />
เปนการอักเสบของหูชั้นใน โดยสาเหตุอาจเปนจาก<br />
toxic substance, virus หรือ bacteria ก็ได<br />
อาการและอาการแสดง<br />
มักมาดวยอาการเวียนศรีษะบานหมุนรวมกับสูญเสีย<br />
การไดยินทั้งแบบการนําเสียงและประสาทหูเสีย ตรวจพบวา<br />
มี nystagmus<br />
การรักษา<br />
ใหยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดํา และรักษาตาม<br />
อาการเชนใหยาแกวิงเวียน (antivertigo drugs) ในกรณีที่เกิด<br />
จากการอักเสบของหูชั้นกลางชนิดเฉียบพลันใหทําการผาตัด<br />
เจาะเยื่อแกวหู (myringotomy) ถาเปนจาก การอักเสบของหู<br />
ชั้นกลางชนิดเรื้อรังพิจารณาทํา mastoidectomy และตองเฝา<br />
ระวังอาจจะเกิดภาวะแทรกซอนทางสมอง<br />
3. ภาวะแทรกซอนที่เกิดภายในกระโหลกศรีษะ<br />
(intracranial complication)<br />
3.1 เยื่อหุมสมองอักเสบ (meningitis)<br />
เปนโรคแทรกซอนทางสมองของโรคหูนํ้าหนวกที่<br />
พบไดบอยที่สุด มักเกิดจากการอักเสบของหูชั้นกลางชนิด<br />
เฉียบพลัน<br />
อาการและอาการแสดง<br />
ผูปวยจะมีไข ปวดศีรษะ คอแข็ง คลื่นไสอาเจียน ถา<br />
หากมีอาการชัก หรือมีอาการทางระบบประสาทที่ผิดปกติ<br />
เฉพาะที่ (focal neurological signs) ตองพึงระวังวาอาจมีฝ<br />
ในสมอง<br />
การวินิจฉัย<br />
ผูปวยควรไดรับการตรวจเอกซเรยคอมพิวเตอรกอน<br />
ทําการเจาะหลัง (lumber puncture) หากไมพบฝในสมอง<br />
แลวจึงทําการเจาะหลังเชื้อจากนํ้าไขสันหลัง โดยจะพบวา<br />
มี จํานวนเม็ดเลือดขาวสูง โปรตีนสูงแตกลูโคสลดลง และ<br />
อาจพบเชื้อในนํ้าไขสันหลังดวย<br />
การรักษา<br />
ใหยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดํารวมกับการผาตัด<br />
เจาะเยื่อแกวหู (myringotomy) หากเกิดตามหลังการอักเสบ<br />
หูชั้นกลางเฉียบพลัน แตถาหากเกิดจากการอักเสบหูชั้นกลาง<br />
เรื้อรังพิจารณาทํา mastoidectomy นอกจากนี้พิจารณาให<br />
dexamethazone เพื่อชวยลดการเกิดเสนประสาทหูเสื่อม<br />
30<br />
การประชุมวิชาการ ครั้งที่ 26 ประจําป 2553
Srinagarind Med J 2010: 25 (Suppl)<br />
1.2 ฝในสมอง (brain abscess)<br />
ฝในสมองเปนภาวะแทรกซอนที่พบไดเปนอันดับ 2<br />
รองจากเยื่อหุมสมองอักเสบแตเปนสาเหตุของการตายจาก<br />
โรคหูนํ้าหนวกที่พบไดบอยที่สุด ตําแหนงที่พบบอยที่สุดคือ<br />
temporal lobe เชื้อกอโรคสวนใหญเปน mixed organisms<br />
ประกอบดวย anaerobe เชน Peptococcus , Peptostreptococcus<br />
และ Bacteroide fragilis สําหรับ aerobic bacteria<br />
ที่พบไดแก Streptococcus species, Staphylococcus<br />
species, Proteus, E.coli, Pseudomonas species และ<br />
Klebsiella species เปนตน<br />
อาการและอาการแสดง ขึ้นกับระยะของโรค โดยทั่วไป<br />
แบงเปน 4 ระยะ ไดแก<br />
ระยะที่ 1 Invasion (initial encephalitis) จะมีอาการ<br />
ไขหนาวสั่น ปวดศีรษะ ออนเพลีย ซึมลง เปนอยูประมาณ<br />
2-3 วัน<br />
ระยะที่ 2 Localization (latent or quiescent<br />
abscess) ระยะนี้ไมคอยมีอาการอาจจะมีไขตํ่า ๆ ปวด ศีรษะ<br />
อาการจะเปน ๆ หาย ๆ เพลีย เบื่ออาหาร ระยะนี้จะเปนอยู<br />
ประมาณหลายสัปดาห<br />
ระยะที่ 3 Enlargement (abscess) จะเริ่มมีอาการทาง<br />
ระบบประสาท ขึ้นอยูกับตําแหนงของ lesion<br />
ระยะที่ 4 Termination (rupture of abscess) ถาถึง<br />
ระยะนี้ผูปวยมักจะเสียชีวิต เนื่องจากหนองแตกเขา ventricle<br />
และ subarchnoid space<br />
การวินิจฉัย<br />
จากประวัติ ตรวจรางกาย และการสงตรวจเอกซเรย<br />
คอมพิวเตอรรวมกับการฉีดสี ในบริเวณที่เปนฝจะพบลักษณะ<br />
เปน hypodense area ซึ่งมี enhancing ring ลอมรอบ<br />
การรักษา<br />
ใหยาปฏิชีวนะ เขาหลอดเลือดดํา รวมกับผาตัดระบาย<br />
หนองในเนื้อสมอง เมื่อผูปวยอยูในสภาพที่พรอมหลังจาก<br />
รักษาเรื่องฝในสมองแลวพิจารณาทํา mastoidectomy<br />
เอกสารอางอิง<br />
1. Bluestone CD. Defi nition of otitis media and related<br />
diseases. In: Alper CM, Bluestone CD, Casselbrant<br />
ML, eds. Advance therapy of otitis media. Hamilton: BC<br />
Decker Inc 2oo4; 1-8.<br />
2. Pichichero ME. First-Line treatment of acute otitis<br />
media. In: Alper CM, Bluestone CD, Casselbrant ML,<br />
eds. Advance therapy of otitis media. Hamilton: BC<br />
Decker Inc 2oo4; 32-8.<br />
3. Belmont MJ. Watchful waiting for otitis media with<br />
effusion. In : Alper CM, Bluestone CD, Casselbrant ML,<br />
eds. Advance therapy of otitis media . Hamilton: BC<br />
Decker Inc 2oo4; 171-4.<br />
4. Rosenfeld RM. Antibiotics otitis media with effusion. In:<br />
Alper CM, Bluestone CD, Casselbrant ML, eds. Advance<br />
therapy of otitis media. Hamilton: BC Decker Inc 2oo4;<br />
175-9.<br />
5. Luxford WM, Syms MJ. Chronic suppurative otitis<br />
media with cholesteatoma. In: Alper CM, Bluestone CD,<br />
Casselbrant ML, eds. Advance therapy of otitis media.<br />
Hamilton: BC Decker Inc 2oo4; 295-8.<br />
6. Coates H. Chronic suppurative otitis media without<br />
cholesteatoma. In: Alper CM, Bluestone CD, Casselbrant<br />
ML, eds. Advance therapy of otitis media. Hamilton: BC<br />
Decker Inc 2oo4; 299-305.<br />
7. Luntz M, Brodsky A. Acute mastoiditis. In: Alper CM,<br />
Bluestone CD, Casselbrant ML, eds. Advance therapy<br />
of otitis media. Hamilton: BC Decker Inc 2oo4; 325-9.<br />
8. Schaitkin B. Facial paralysis in otitis media. In: Alper CM,<br />
Bluestone CD, Casselbrant ML, eds. Advance therapy<br />
of otitis media . Hamilton: BC Decker Inc 2oo4; 334-6.<br />
9. Bluestone CD. Labarynthitis. In: Alper CM, Bluestone<br />
CD, Casselbrant ML, eds. Advance therapy of otitis<br />
media. Hamilton: BC Decker Inc 2oo4; 348-54.<br />
10. Haddad J.Subperiosteal abscess/Bezold’s abscess.<br />
In: Alper CM, Bluestone CD, Casselbrant ML, eds.<br />
Advance therapy of otitis media . Hamilton: BC Decker<br />
Inc 2oo4;359-361<br />
11. Tucci DL. Approach to the patient with ear problems.<br />
In: Beers MH, Porter RS, Jones TV, eds. The Merck<br />
Manual of diagnosis and therapy. Whitehouse station:<br />
Merck research laboratories Division of Merck & CO INC<br />
2006;778-9.<br />
12. Browning GG. Acute otitis media in adults. In: Gleeson M,<br />
Browning GG, Burton MJ, Clarke R, eds. Scott-Brown’s<br />
Otorhinolaryngology, Head and Neck Surgery. 7 th ed.<br />
London: Edward Arnold Publishers 2008; 3385-7.<br />
13. Fai Tong MC, van Hasselt CA. <strong>Otitis</strong> media with effusion<br />
in adults. In: Gleeson M, Browning GG, Burton MJ,<br />
Clarke R, eds. Scott-Brown’s Otorhinolaryngology,<br />
Head and Neck Surgery. 7 th ed. London: Edward Arnold<br />
Publishers 2008; 3387-94.<br />
LECTURE<br />
การประชุมวิชาการ ครั้งที่ 26 ประจําป 2553 31
Srinagarind Med J 2010: 25 (Suppl)<br />
LECTURE<br />
14. Browning GG, Merchant SN, Kelly G, eds. Chronic otitis<br />
media In: Gleeson M, Browning GG, Burton MJ, Clarke<br />
R, eds. Scott-Brown’s Otorhinolaryngology, Head and<br />
Neck Surgery. 7 th ed. London: Edward Arnold Publishers<br />
2008; 3395-445.<br />
15. Chole RA, Sudhoff HH. Chronic otitis media, Mastoiditis<br />
and pretrositis In: Flint PW, Hayghey BH, Lund VJ, eds.<br />
Cumming Otolaryngology Head & Neck surgery. 5 th<br />
ed.Philadephia: Mosby 2010;1963-78.<br />
16. พัชรีพร แซเซียว. ปวดหู คันหู ของเหลวไหลจากหู. ตํารา หู<br />
คอ จมูก สําหรับ นักศึกษาแพทย และแพทยเวชปฏิบัติทั่วไป<br />
2551; 69-115.<br />
32<br />
การประชุมวิชาการ ครั้งที่ 26 ประจําป 2553