Download - ราà¸à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢ à¹à¸ªà¸ ศภà¸à¸²à¸ªà¸´à¸à¹à¸à¸à¸¢à¹ à¹à¸«à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨à¹à¸à¸¢
Download - ราà¸à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢ à¹à¸ªà¸ ศภà¸à¸²à¸ªà¸´à¸à¹à¸à¸à¸¢à¹ à¹à¸«à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨à¹à¸à¸¢
Download - ราà¸à¸§à¸´à¸à¸¢à¸²à¸¥à¸±à¸¢ à¹à¸ªà¸ ศภà¸à¸²à¸ªà¸´à¸à¹à¸à¸à¸¢à¹ à¹à¸«à¹à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¸¨à¹à¸à¸¢
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
การอักเสบติดเชื ้ อในช่องเยื่อหุ้มคอชั ้นลึกของโรงพยาบาล<br />
ภูมิพลอดุลยเดช<br />
Deep neck infection in Bhumibol Adulyadej<br />
Hospital<br />
โดย<br />
แพทย์หญิงรัศมี ซิ ่งเถียรตระกูล<br />
การวิจัยนี ้ถือเป็ นส่วนหนึ่งของการศึกษาและการฝึ กอบรมตามหลักสูตร<br />
เพื่อวุฒิบัตรแสดงความรู้ความชํานาญในการประกอบวิชาชีพเวชกรรม<br />
สาขาโสต ศอ นาสิกวิทยา ของแพทยสภา พุทธศักราช 2550<br />
ลิขสิทธิ ์ของสถาบันฝึ กอบรม<br />
โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช
คํารับรองจากสถาบันฝึ กอบรม<br />
ข้าพเจ้าขอรับรองว่ารายงานฉบับนี ้เป็นผลงานของ แพทย์หญิงรัศมี ซิ ่งเถียรตระกูล<br />
ที ่ได้ทําการวิจัยขณะรับการฝึกอบรม ตามหลักสูตรการฝึกอบรมแพทย์ประจําบ้านและแพทย์ใช้ทุน<br />
สาขาโสต ศอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ระหว่างปี พ.ศ. 2548 – 2551 จริง<br />
...................................................................... อาจารย์ที ่ปรึกษาหลัก<br />
( นาวาอากาศโทหญิงกรองกาญจน์ ว่องคงคากุล )<br />
...................................................................... อาจารย์ที ่ปรึกษาร่วม<br />
(....................................................................)<br />
...................................................................... อาจารย์ที ่ปรึกษาร่วม<br />
(....................................................................)<br />
...................................................................................<br />
( นาวาอากาศเอกอรรถพล พัฒนครู )<br />
หัวหน้าภาควิชาโสต ศอ นาสิกวิทยา<br />
โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช
บทคัดย่อภาษาไทย<br />
การอักเสบติดเชื้อในช่องเยื ่อหุ ้มคอชั้นลึกของโรงพยาบาลภูมิ<br />
พลอดุลยเดช<br />
รัศมี ซิ่งเถียรตระกูล, พบ. , นท.หญิงกรองกาญจน์ ว่องคงคากุล, พบ<br />
บทนํา : การอักเสบในช่องเยื่อหุ ้มคอชั ้นลึก(Deep neck infection) ที่เกิดกับผู ้คนจํานวนหนึ่งได้<br />
สร้างความเจ็บปวดทรมานทั ้งทางร่างกายและจิตใจแก่ผู ้ป่ วยและญาติเป็ นอย่างมาก ทาง<br />
โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช แผนกโสต ศอ นาสิกกรรม ก็ได้มีโอกาสดูแลผู ้ป่ วยที่เข้ามารับการ<br />
รักษาด้วยภาวะ Deep neck infection นี ้อย่างต่อเนื่อง จึงเกิดความสนใจที่จะศึกษาข้อมูลของ<br />
ผู ้ป่ วยที่เกิดการอักเสบในเยื่อหุ ้มคอชั ้นลึก เพื่อเป็ นข้อมูลพื ้นฐานในการป้ องกันการเกิดโรคต่อไป<br />
วัตถุประสงค์ : เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ของการอักเสบในช่องคอชั ้นลึก ของผู ้ป่ วยที่นอน<br />
โรงพยาบาล แผนกกอง โสต ศอ นาสิกกรรม โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช<br />
รูปแบบและวิธีการศึกษา : เป็ นการศึกษาแบบเชิงพรรณนา (Descriptive study) โดยทําการ<br />
เก็บรวบรวมข้อมูลด้านลักษณะทางประชากรศาสตร์และตัวแปรอื่นๆ เช่น อายุ, เพศ, โรคประจําตัว<br />
และ สาเหตุที่ทําให้เกิดโรค ในช่วงเดือนมกราคม 2548 ถึง มิถุนายน 2551<br />
ผลการศึกษา : จํานวนผู ้ป่ วยที่เข้าเกณฑ์การศึกษามีทั ้งหมด 65 ราย เป็ นชาย 44 ราย (67.69%)<br />
และหญิง 21 ราย(32.31%) พบมาก ที่สุดช่วงอายุ 21-30 ปี อุบัติการณ์ของการอักเสบในช่องเยื่อ<br />
หุ ้มคอชั ้นลึกของผู ้ป่ วยที่นอนโรงพยาบาล แผนกกองโสต ศอ นาสิกกรรม โรงพยาบาลภูมิพลอดุลย<br />
เดช คิดเป็ น ร้อยละ 9.50 ตําแหน่งของโรคที่พบได้บ่อยที่สุดคือ Peritonsillar space จํานวน 19<br />
ราย (29.23 %) รองลงมาคือ submandibular space 13 ราย (20%) เชื ้อโรคที่ก่อโรคพบมากสุด<br />
คือ Klebsiella pneumoniae และมักพบในผู ้ป่ วยที่เป็ นเบาหวาน ภาวะแทรกซ้อนเกิดขึ ้นกับผู ้ป่ วย<br />
16 ราย(24.62%) พบมากสุดคือ ภาวะทางเดินหายใจอุดตัน มีผู ้ป่ วยเสียชีวิตหนึ่งรายจากภาวะ<br />
ติดเชื ้อในกระแสโลหิต และปอดอักเสบ
สรุปผลการศึกษา: การอักเสบในช่องเยื่อหุ ้มคอชั ้นลึกยังคงเป็ นปัญหาสําคัญที่พบได้ทั่วทุก<br />
ภูมิภาคของประเทศไทย การให้ความรู ้ในการป้ องกันตนเองเช่นในการดูแลสุขภาพปากและฟัน<br />
เป็ นสิ่งสําคัญ นอกจากนี ้การวินิจฉัยและการรักษาที่ถูกต้องและรวดเร็วยังเป็ นหัวใจสําคัญในการ<br />
ลดภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายแก่ชีวิตได้<br />
คําสําคัญ : Deep neck infection, Submandibular space, Peritonsillar abscess
Abstract<br />
Deep neck infection in Bhumibol Adulyadej Hospital<br />
Rusamee Singthientrakool, M.D.<br />
Introduction: Deep neck infection (DNI) is a serious illness for patient and their families.<br />
Deep neck infection remain to be problematic in Bhumibol Adulyadej Hospital.<br />
Objectives: To find out incidence of inpatient disease with deep neck infection in<br />
department of otolaryngology - Bhumibol Adulyadej Hospital.<br />
Materials and Methods: We conducted a retrospective and descriptive study of 65<br />
inpatients with deep neck infection in department of otolaryngology, Bhumibol Adulyadej<br />
Hospital between January 2005 and June 2008<br />
Results: Deep neck infection occurred at any ages which peak incidence during 21-30<br />
year of age. Incidence rate of deep neck infection in department of otolaryngology,<br />
Bhumibol Adulyadej Hospital is 9.5%. More common in male than female about 2 time.<br />
Peritonsillar space was the most common(29.23 %) and submandibular space infection<br />
was the second most common (20%). The most common pathogen from culture was<br />
Klebsiella pneumoniae . Complication rate was 24.62% , airway distress was the most<br />
common complication and one patient died from sepsis with hospital acquired<br />
pneumonia.<br />
Conclusion: Deep neck infection continue to be problematic as encountered by<br />
otolaryngologist in diagnosis and treatment. Education about oral hygiene care and<br />
early to visiting the physician is importance to prevent morbidity and mortality rate. Early<br />
diagnosis and prompted treatment were the keys of success in treatment of these<br />
patients.<br />
Keywords: Deep neck infection, Submandibular space, Peritonsillar abscess
กิตติกรรมประกาศ<br />
รายงานการวิจัยฉบับนี ้สําเร็จลุล่วงได้ด้วยดี ด้วยความกรุณาของคณาจารย์หลายท่าน ที่<br />
ให้คําปรึกษาแนะนํามาตลอด<br />
ขอกราบขอบพระคุณ นาวาอากาศเอกอรรถพล พัฒนครู หัวหน้าภาควิชาโสต<br />
ศอ นาสิกวิทยา โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ที่ได้อนุญาตให้ทําการวิจัย, นาวาอากาศโทหญิง<br />
กรองกาญจน์ ว่องคงคากุล อาจารย์ที่ปรึกษาและควบคุมงานวิจัยแพทย์ประจําบ้าน , นาวา<br />
อากาศเอกจงรักษ์ พรหมใจรักษ์ ผู ้ให้คําแนะนํา ตรวจสอบและแก้ไขข้อบกพร่องต่างๆในรายงานนี ้<br />
และนาวาอากาศเอกหญิงสุภาพร กฤษณีไพบูลย์ ผู ้แนะนําและให้คําปรึกษาด้านการคํานวณขนาด<br />
ตัวอย่างและสถิติ การวิจัยนี ้สําเร็จได้ด้วยดี โดยความร่วมมือจาก เจ้าหน้าที่เวชระเบียน ที่ได้<br />
เสียสละเวลาสืบค้นข้อมูลต่างๆของผู ้ป่ วยที่ใช้ในงานวิจัยนี ้ ผู ้วิจัยขอขอบพระคุณไว้ ณ โอกาสนี ้<br />
แพทย์หญิงรัศมี ซิ ่งเถียรตระกูล<br />
ผู ้วิจัย
สารบัญ<br />
หน้า<br />
คํารับรอง<br />
บทคัดย่อภาษาไทย<br />
บทคัดย่อภาษาอังกฤษ<br />
กิตติกรรมประกาศ<br />
สารบัญเรื่ อง<br />
สารบัญแผนภูมิและตาราง<br />
บทที่ 1 หลักการและเหตุผล<br />
บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม<br />
บทที่ 3 ระเบียบวิธีการศึกษา<br />
บทที่ 4 ผลการศึกษา<br />
บทที่ 5 อภิปรายผล<br />
บทที่ 6 สรุปผลการศึกษา<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
ภาคผนวก<br />
แบบบันทึกข้อมูล/แบบสอบถาม<br />
เอกสารการรับรองจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัย
สารบัญแผนภูมิและตาราง<br />
หน้า<br />
ตารางที่ 1 แสดงค่าเฉลี่ยของอายุผู ้ป่ วย<br />
ตารางที่ 2 แสดงจํานวนผู ้ป่ วยที่มีโรคประจําตัว<br />
ตารางที่ 3 แสดงสาเหตุที่ทําให้เกิด deep neck infection<br />
ตารางที่ 4 แสดงผลการเพาะเชื ้อจากหนองของผู ้ป่ วย<br />
ตารางที่ 5 แสดงวิธีการดูแลรักษาผู ้ป่ วย<br />
แผนภูมิที่1 แสดงจํานวนผู ้ป่ วยในแต่ละเพศ<br />
แผนภูมิที่2 แสดงจํานวนผู ้ป่ วยในแต่ละช่วงอายุ<br />
แผนภูมิที่3 แสดงจํานวนผู ้ป่ วยในแต่ละตําแหน่งของการอักเสบ<br />
แผนภูมิที่4 แสดงภาวะแทรกซ้อนระหว่างการรักษา<br />
แผนภูมิที่5 แสดงจํานวนวันโดยเฉลี่ยที่ผู ้ป่ วยนอนโรงพยาบาล
บทที่ 1 หลักการและเหตุผล<br />
การอักเสบในช่องคอชั ้นลึก(Deep neck infection) เป็ นการอักเสบติดเชื ้อในช่องว่าง<br />
ระหว่างชั ้นเยื่อหุ ้มกระดูกและกล้ามเนื ้อบริเวณคอ 9,10 เป็ นได้ทั ้งการอักเสบแบบฝี หนอง(abscess)<br />
หรือไม่มีหนอง (cellulitis) ก็ได้ เมื่อยุคที่ยาปฏิชีวนะยังไม่พัฒนาพบผู ้ป่ วยเป็ นโรคนี ้กันมาก อัตรา<br />
การตายค่อนข้างสูง แต่ในปัจจุบันยาปฏิชีวนะได้พัฒนาไปมาก ร่วมกับการแพทย์ที่มีความรู ้และ<br />
ความชํานาญในโรคนี ้มากขึ ้น และประชาชนดูแลเอาใจใส่สุขภาพฟันมากขึ ้น ทําให้อุบัติการณ์ของ<br />
การอักเสบในช่องคอชั ้นลึกลดลง 9 แต่ถึงกระนั ้นก็ยังพบผู ้ป่ วยที่มีอาการรุนแรง มีภาวะแทรกซ้อนที่<br />
อันตรายอาจถึงแก่ชีวิตได้อยู่เสมอ 10 เช่นทางเดินหายใจส่วนต้นอุดตัน, หนองเซาะช่องอก<br />
(suppurative mediastinitis), หนองในเยื่อหุ ้มปอดหรือเยื่อหุ ้มหัวใจ, thrombosis of the jugular<br />
vein, venous septic emboli, septic shock และ disseminated intravascular<br />
coagulopathy 9,10 เป็ นต้น<br />
กลุ่มที่ต้องให้ความใส่ใจเป็ นพิเศษคือ ผู ้ป่ วยที่มีระบบภูมิคุ ้มกันตํ่า เช่นผู ้ป่ วยเบาหวานที่<br />
ควบคุมได้ไม่ดี ผู ้ป่ วยที่ได้รับเคมีบําบัด ผู ้ป่ วยโรคระบบภูมิคุ ้มกันบกพร่อง(เอดส์) หรือผู ้สูงอายุ<br />
มากๆ เนื่องจากการดําเนินโรคมีลักษณะค่อนข้างจําเพาะและมักติดเชื ้อที่รุนแรง การรักษาจึงต้อง<br />
ดูแลมากกว่าคนปกติ 10<br />
1-4,8-10,12<br />
สาเหตุการอักเสบติดเชื ้อ มักมีสาเหตุมาจากฟันผุ ผู ้ป่ วยส่วนใหญ่มักมีสุขภาพ<br />
ฟันและเหงือกที่ไม่ดี ไม่ค่อยให้ความสนใจในการดูแลรักษาสุขภาพฟัน เมื่อมีการอักเสบติดเชื ้อก็<br />
มักได้รับการรักษาที่ไม่เพียงพอ หรือมาพบแพทย์ช้า ซึ่งทําให้การอักเสบลุกลามไปมาก<br />
ผู ้จัดทําจึงสนใจที่จะศึกษาถึงอุบัติการณ์ของการอักเสบในช่องคอชั ้นลึก(Deep neck<br />
infection) ของผู้ ป่ วยที่นอนโรงพยาบาล แผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช<br />
รวมถึงการศึกษาสาเหตุ เชื ้อที่พบบ่อย รวมถึงผลข้างเคียงที่ตามมา เพื่อเป็ นพื ้นฐานข้อมูลในการ<br />
หาวิธีการป้ องกันการอักเสบติดเชื ้อและเผยแพร่ข้อมูลให้ความรู ้แก่ประชาชนต่อไป<br />
คําถามการวิจัย<br />
อุบัติการณ์ของการอักเสบติดเชื ้อในช่องคอชั ้นลึก (Deep neck infection) ของผู้ ป่ วยที่<br />
นอนโรงพยาบาล แผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช เป็ นเท่าไร
วัตถุประสงค์หลัก<br />
เพื่อศึกษาอุบัติการณ์ของการอักเสบติดเชื ้อในช่องคอชั ้นลึก (Deep neck infection) ของ<br />
ผู้ ป่ วย ที่นอนโรงพยาบาล แผนก โสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช<br />
วัตถุประสงค์รอง<br />
1) เพื่อศึกษาตําแหน่งของโรค deep neck infection ที่พบได้บ่อยที่สุด ในโรงพยาบาล<br />
ภูมิพลอดุลยเดช<br />
2) ศึกษาวิธีการรักษาผู ้ป่ วยที่มีการอักเสบติดเชื ้อในช่องคอชั ้นลึก ว่าต้องรับการรักษา<br />
ด้วยวิธีผ่าตัด หรือเจาะคอช่วยหายใจมีจํานวนมากน้อยเพียงใด<br />
3) ศึกษาถึงเชื ้อที่พบได้บ่อยจากการอักเสบติดเชื ้อในช่องคอชั ้นลึก รวมถึงความไวต่อยา<br />
และการดื ้อยาฆ่าเชื ้อในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช<br />
4) ศึกษาผลข้างเคียงที่เกิดตามมาหลังมีการอักเสบติดเชื ้อในช่องคอชั ้นลึก<br />
ประโยชน์ที ่คาดว่าจะได้รับ<br />
1. ทราบถึงอุบัติการณ์ของผู ้ป่ วยที่มีการอักเสบในช่องคอชั ้นลึก ของโรงพยาบาลภูมิพลอดุลย<br />
เดช แผนกผู ้ป่ วยใน กองโสต ศอ นาสิกกรรม<br />
2. ทราบสาเหตุที่ทําให้เกิดการอักเสบติดเชื ้อในช่องคอชั ้นลึก<br />
3. เป็ นพื ้นฐานข้อมูลในการหาวิธีการป้ องกันการอักเสบติดเชื ้อและเผยแพร่ข้อมูลให้ความรู ้<br />
แก่ประชาชนต่อไป
บทที่ 2 การทบทวนวรรณกรรม<br />
การอักเสบในช่องคอชั ้นลึก(Deep neck infection) พบได้ทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย<br />
และพบได้ในต่างประเทศ โดยแต่ละพื ้นที่พบมากน้อยแตกต่างกัน แต่การดําเนินโรคและแนว<br />
ทางการรักษาส่วนใหญ่คล้ายคลึงกัน<br />
นายแพทย์สาธิต ก้านทอง ได้รายงานในวารสารขอนแก่นเวชสาร ปี ที่ 32 ฉบับพิเศษ 3<br />
เดือนเมษายน – พฤษภาคม 2551 ว่ามีอุบัติการณ์ของการอักเสบติดเชื ้อฝี หนองในช่องคอชั ้นลึกที่<br />
เกิดขึ ้นในโรงพยาบาลชัยภูมิ แผนกผู ้ป่ วยใน กองโสต ศอ นาสิกกรรม ช่วง พ.ศ. 2542 - 2550 เป็ น<br />
ร้ อยละ 21 พบ Buccal space infection มากที่สุด ร้อยละ 26.1 รองลงมาเป็ น Parotid space<br />
ร้ อยละ 13.2 ภาวะแทรกซ้อน ร้อยละ 13.2 อัตราการตายร้อยละ 0.8<br />
นายแพทย์ชูเกียรติ วงศ์นิจศีล ได้รายงานในวารสารขอนแก่นเวชสาร ปี ที่32 ฉบับที่2 เดือน<br />
เมษายน – มิถุนายน 2551 เก็บข้อมูลของผู ้ป่ วยที่มีการอักเสบติดเชื ้อฝี หนองในช่องคอชั ้นลึกที่<br />
เกิดขึ ้นในโรงพยาบาลขอนแก่น ช่วง มกราคม พ.ศ. 2548 – ธันวาคม 2550 ตําแหน่งที่พบการติด<br />
เชื ้อมากที่สุดคือ Submandibular space ร้ อยละ 32.49 รองลงมาคือ Parotid space ร้ อยละ<br />
25.1 ภาวะแทรกซ้อนรุนแรงร้อยละ 7.3 มีผู ้เสียชีวิตร้อยละ 1.04<br />
นายแพทย์กีร์ดนัย อัศวกุล ได้รายงานในวารสารหู คอ จมูกและใบหน้า ปี ที่ 8 ฉบับที่<br />
2/2550 โดยศึกษารายละเอียดของผู ้ป่ วย deep neck infection ที่เข้ามารับการรักษาใน<br />
โรงพยาบาลมหาราชนครราชสีมา แบบย้อนหลังเป็ นเวลา 3 ปี ตําแหน่งที่พบการติดเชื ้อมากที่สุด<br />
คือ Submandibular และ submental space รองลงมาคือ Pertonsillar space เชื ้อที่พบบ่อย<br />
ได้แก่เชื ้อในกลุ่ม Streptococcus และ Klebsiella pneumoniae พบผู ้ป่ วยเสียชีวิต 3 ราย<br />
นายแพทย์จักรพงศ์ คล้ายคลึงและคณะ ได้รายงานในวารสารหู คอ จมูกและใบหน้า ปี ที่ 1<br />
ฉบับที่1/2543 เรื่อง Deep neck abscess : Clinical review in Ramathibodi hospital พบ<br />
ตําแหน่งที่มีการติดเชื ้อมากที่สุดคือ Masticator space และ submandibular space สาเหตุที่พบ<br />
บ่อยที่สุดคือติดเชื ้อจากฟัน ผลการเพาะเชื ้อพบ Streptococci มากที่สุดโดยเฉพาะ S.viridans<br />
ส่วนผู ้ป่ วยเบาหวานพบ Klebsiella pneumoniae มากที่สุด เสียชีวิต 2 ราย (3.4%)<br />
Alexandre Baba Suebara, et al ได้รายงานเรื่อง Deep neck infection- analysis of<br />
80 cases ไว้ในวารสาร Brazillian journal of otorhinolaryngology 2008 ฉบับที่ 74 โดยศึกษา<br />
ผู ้ป่ วยที่มีการอักเสบในช่องเยื่อหุ ้มคอชั ้นลึก 80 ราย อายุที่พบมากที่สุดคือ 21-30ปี ฟันเป็ นสาเหตุ<br />
ที่พบมากที่สุด ตามด้วยทอนซิลอักเสบ ตําแหน่งการอักเสบพบ submandibular และ
parapharyngeal space infection มากที่สุด เชื ้อที่พบมากที่สุด S.aureus (37.5%) ตามด้วย<br />
streptococcus spp.(25%) ภาวะแทรกซ้อน 12.5% และเสียชีวิต 11.2%<br />
Joon-Kyoo Lee, et al ได้รายงานเรื่อง Predisposing factor of complicated deep<br />
neck infection : analysis of 158 case ตีพิมพ์ใน Yonsei medical journal, ประเทศเกาหลี ตัว<br />
แปรที่ทําให้นอนโรงพยาบาลนานขึ ้นอย่างมีนัยสําคัญได้แก่ การอักเสบลุกลามหลาย space และ<br />
เบาหวาน ( p
บทที่ 3 ระเบียบวิธีการศึกษา<br />
รูปแบบและวิธีการวิจัย<br />
เป็ นการศึกษาแบบเชิงพรรณนา (Descriptive study) โดยทําการเก็บรวบรวมข้อมูลด้าน<br />
ลักษณะทางประชากรศาสตร์และตัวแปรอื่นๆ เช่น อายุ, เพศ, โรคประจําตัว และ สาเหตุที่ทําให้<br />
เกิดโรค<br />
ประชากรตัวอย่าง<br />
ผู ้ป่ วยในทั ้งหมดของแผนกโสต ศอ นาสิก โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช ที่นอน<br />
โรงพยาบาลในช่วงเวลา เดือนมกราคม 2548 ถึง มิถุนายน 2551<br />
เกณฑ์การคัดเข้า (Inclusion criteria)<br />
ผู ้ป่ วยทุกช่วงอายุที่ได้รับการวินิจฉัยว่ามีการอักเสบติดเชื ้อในช่องคอชั ้นลึก (Deep neck<br />
infection) ซึ่งได้แก่ submandibular space, submental space , peritonsillar space ,<br />
retropharyngeal space, parapharyngeal space, buccal space, and canine space<br />
abcess/cellulitis เป็ นต้น และจําเป็ นต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช แผนก โสต<br />
ศอ นาสิก ช่วงเวลาเดือนมกราคม 2548 ถึง มิถุนายน 2551<br />
เกณฑ์การคัดออก (Exclusion criteria)<br />
1. ผู ้ป่ วยที่ไม่ได้นอนโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช<br />
2. ผู ้ป่ วยที่มีการอักเสบติดเชื ้อบริเวณผิวหนังชั ้นตื ้น<br />
ขนาดตัวอย่าง (Sample size)<br />
คํานวณขนาดตัวอย่างโดยใช้สูตร<br />
n = Z 2 P(1-P)<br />
d 2<br />
กําหนด<br />
= 0.05<br />
Z = 1.65
P = อุบัติการณ์ของการเกิดโรค ซึ่งได้จากการศึกษานําร่อง( Pilot study) ในผู ้ป่ วยที่เข้า<br />
มารับการรักษาในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช พบ 0.10<br />
d = ความคลาดเคลื่อนทางคลินิกที่ยอมรับได้ ในที่นี ้กําหนดให้เท่ากับ 0.02<br />
แทนค่า n = (1.65) 2 (0.10)(0.90 )<br />
(0.02) 2<br />
= 612<br />
ดังนั ้นในการศึกษาครั ้งนี ้จะเก็บข้อมูลของผู ้ป่ วยในที่เข้ามารับการรักษาในแผนก ENT<br />
จํานวน 620 คน<br />
วิธีการเลือกตัวอย่าง (Sampling technique)<br />
ทําการเลือกตัวอย่างแบบ Systematic random sampling<br />
วีธีการหรือสิ ่งแทรกแซง<br />
ไม่มี<br />
เครื ่องมือที ่ใช้ในการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
แบบบันทึกข้อมูล ตามภาคผนวก<br />
วิธีการเก็บรวบรวมข้อมูล<br />
1. เมื่ อได้ random sampling มาทั ้งหมด 620 คน แล้วเลือกเฉพาะผู ้ป่ วยที่ได้รับการ<br />
วินิจฉัยโรคในกลุ่ม deep neck infection เท่านั ้นซึ่งมีผู ้ป่ วยที่เข้าเกณฑ์ทั ้งหมด 65<br />
ราย<br />
2. ค้นหาประวัติ ข้อมูล ของผู ้ป่ วยที่เข้าเกณฑ์ (65 ราย)จากแฟ้ มผู ้ป่ วยใน มากรอกข้อมูล<br />
ที่ต้องการลงในแบบบันทึกที่ได้สร้างไว้<br />
3. รวบรวมข้อมูลของผู ้ป่ วยที่ได้มาวิเคราะห์เชิงพรรณนา และนําเสนอในรูปของตาราง<br />
จํานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />
การวิเคราะห์ข้อมูล<br />
1. สถิติที่ใช้ในการวิเคราะห์ข้อมูล คือ สถิติเชิงพรรณนา จะนําเสนอในรูปของตาราง<br />
จํานวน ร้อยละ ค่าเฉลี่ย และส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน<br />
2. วิเคราะห์อุบัติการณ์ของการเกิดการอักเสบติดเชื ้อในช่องคอชั ้นลึก ของแผนกโสต ศอ<br />
นาสิก โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช
ข้อจํากัด<br />
การวิจัยนีเป็ ้ นการศึกษาแบบย้อนหลัง ทําให้มีข้อจํากัดในการสืบค้นข้อมูลจากเวชระเบียน ซึ่งบาง<br />
ข้อมูลอาจเก็บได้ไม่ครบถ้วน<br />
จริยธรรม<br />
1.งานวิจัยนีเป็ ้ นการศึกษาแบบย้อนหลัง รวบรวมข้อมูลจากแฟ้ มประวัติผู ้ป่ วย ไม่ได้ใส่สิ่ง<br />
แทรกแซงใดๆ ให้กับผู ้ป่ วย<br />
2.งานวิจัยจะไม่เปิ ดเผยชื่อของผู ้ป่ วย
บทที่ 4 ผลการศึกษา<br />
โรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช มีอุบัติการณ์ของการอักเสบ ติดเชื ้อในช่องคอชั ้นลึก(Deep<br />
neck infection) เป็ นร้ อยละ 9.5 ของผู ้ป่ วยที่นอนโรงพยาบาลแผนกโสต ศอ นาสิก. เก็บข้อมูล<br />
ตั ้งแต่เดือนมกราคม 2548 ถึง มิถุนายน 2551 ผู ้ป่ วยที่เข้าเกณฑ์มีทั ้งหมด 65 ราย เป็ นชาย 44<br />
ราย ( 67.69%) และเป็ นหญิง 21 ราย(32.31%) โดยพบเพศชายมากกว่าเพศหญิงถึงสองเท่า<br />
(แผนภูมิที่1)<br />
แผนภูมิที่1 แสดงจํานวนผู ้ป่ วยในแต่ละเพศ<br />
พบผู ้ป่ วยตั ้งแต่อายุ 5-93 ปี อายุเฉลี่ยคือ 36.86 ปี ( ตารางที่ 1) ช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุด<br />
คือ 21-30 ปี จํานวน 16 ราย(24.62%) ช่วงอายุที่พบได้บ่อยรองลงมาคือ 31-40 ปี พบ12 ราย<br />
(18.46%) ดังแผนภูมิที่ 2<br />
ตารางที่ 1 แสดงค่าเฉลี่ยของอายุผู ้ป่ วย<br />
อายุเฉลี่ย (ปี) อายุกลาง(ปี) อายุน้อยที่สุด(ปี) อายุมากที่สุด (ปี)<br />
36.86 35 5 93
แผนภูมิที่ 2 แสดงจํานวนผู ้ป่ วยในแต่ละช่วงอายุ<br />
ตําแหน่งที่พบมีการอักเสบติดเชื ้อมากที่สุดคือ peritonsillar space 19 ราย(29.23%)<br />
รองลงมาคือ Submandibular space 13 ราย(20%) ดังแผนภูมิที่ 3<br />
แผนภูมิที่3 แสดงจํานวนผู ้ป่ วยในแต่ละตําแหน่งของการอักเสบ<br />
จํานวนผู้ปวย<br />
Anterior visceral space<br />
Retropharyngeal space + PPS<br />
1<br />
1<br />
Retropharyngeal space<br />
3<br />
Parotid space<br />
5<br />
Ludwig angina<br />
Peritonsillar + PPS<br />
1<br />
1<br />
Peritonsillar space<br />
19<br />
Canine space<br />
4<br />
Parapharyngeal space<br />
2<br />
Masticator space + PPS<br />
1<br />
Masticator space<br />
4<br />
Buccal space<br />
6<br />
Submand. + other space<br />
4<br />
Submandibular space<br />
13<br />
PPS = parapharyngeal space, submand. = submandibular space<br />
0 2 4 6 8 10 12 14 16 18 20
PPS=parapharyngeal space, submand. = submandibular space<br />
ผู้ ป่ วย 19 ราย มีโรคประจําตัวร่วมด้วย ( 29.52%) เบาหวานและความดันโลหิตสูงพบ<br />
มากที่สุด อย่างละ 7 ราย (10.77%) และ 3 รายมีความผิดปกติในการแข็งตัวของเลือด (มีประวัติ<br />
ใช้ Warfarin 2 ราย, Aspirin 1 ราย) ดังตารางที่ 2<br />
ตารางที่ 2 แสดงโรคประจําตัว(Underlying diseases)ของผู ้ป่ วย 19 /65 ราย (29.52%) (ผู ้ป่ วยบางรายมี<br />
โรคประจําตัวมากกว่าหนึ่ง)<br />
Underlying จํานวน ร้ อยละ Underlying diseases จํานวน ร้ อยละ<br />
diseases (ราย)<br />
(ราย)<br />
DM 7 10.77 Chronic renal failure 1 1.54<br />
Hypertension 7 10.77 Stroke 1 1.54<br />
Dyslipidemia 2 3.08 HIV infection 1 1.54<br />
Coagulopathy 3 4.62 Gout 1 1.54<br />
(drug)<br />
Heart disease 3 4.62 Generalize muscle 1 1.54<br />
weakness<br />
Asthma 1 1.54 alcoholism 1 1.54<br />
Hyperthyroidism 1 1.54 Deep vein thrombosis 1 1.54<br />
Anemia 2 3.08<br />
สิ่งที่พบร่วมกับการอักเสบ และคาดว่าน่าจะเป็ น สาเหตุที่ทําให้เกิดโรค พบมากสุดคือ<br />
ฟันผุ 33ราย ( 50.77%) ซึ่งพบร่วมกับการอักเสบหลายตําแหน่ง เช่น Submandibular space,<br />
Masticator space , Canine space , Buccal space และ Ludwig’s angina เป็ นต้นรองลงมา<br />
คือ ทอนซิลอักเสบ 18 ราย (27.69%) ซึ่งส่วนใหญ่พบร่วมกับ Peritonsillar space infection ดัง<br />
ตารางที่ 3<br />
ผลการเพาะเชื ้อจากหนองของผู ้ป่ วยพบว่า ส่วนใหญ่เพาะเชื ้อไม่ขึ ้น ส่วนที่เพาะขึ ้นมี 9<br />
ราย(13.85%) พบ Klebsiella pneumoniae มากที่สุดและสองในสามพบว่าเป็ นเบาหวานร่วม<br />
ด้วย ไม่พบการดื ้อยาของ Klebsiella pneumoniae เลย , เชื ้อที่ พบรองลงมาคือ<br />
Straphylococcus spp. และ Streptococcus spp. แต่พบว่ามีการดื ้อยาสูงมาก ดังตารางที่ 4
ตารางที่3 แสดงสิ่งที่พบร่วมและคาดว่าจะเป็นสาเหตุที่ทําให้เกิด deep neck infection<br />
สาเหตุ<br />
จํานวนผู ้ป่ วย (ราย)(%)<br />
ฟันผุ 33 (50.77)<br />
ฟันคุด 2 (3.08)<br />
ทอนซิลอักเสบ 18 (27.69)<br />
เลือดแข็งตัวผิดปกติ 1 (1.54)<br />
สิ่งแปลกปลอม 2 (3.08)<br />
ไม่ทราบสาเหตุ 9 (13.85)<br />
รวม 65 (100)<br />
ตารางที่ 4 แสดงผลการเพาะเชื ้อจากหนองและเลือดของผู ้ป่ วย 65 ราย<br />
ชนิดของเชื้อแบคทีเรีย จํานวนผู ้ป่ วย(ราย)<br />
Klebsiella pneumoniae 3<br />
Beta-hemolytic streptococcus spp. 1<br />
Non hemolytic streptococcus spp. 1<br />
Straphylococcus spp. 2<br />
Samonella 1<br />
E.coli 1<br />
No growth 27<br />
No data 29<br />
การดูแลรักษาผู ้ป่ วย ผู ้ป่ วยทุกรายได้รับยาปฏิชีวนะทางหลอดเลือดดํา ผู ้ป่ วยมากกว่าครึ่ง<br />
(67.69%) ได้รับการผ่าตัดระบายหนอง ( Incisional & Drainage, I&D ) ทั ้งทางปาก(intraoral)<br />
หรือทางคอ(transcervical approach) โดยส่วนใหญ่ได้รับการทํา I&D เพียงครั ้งเดียว แต่ มี<br />
ผู้ ป่ วย3 ราย ที่ได้รับการผ่าตัดระบายหนองมากกว่า 1ครั ้ง เนื่องจากอาการไม่ดีขึ ้นหรือยังพบ<br />
หนองอยู่ จากการทํา CT scan ดังตารางที่ 5
วิธีการรักษา<br />
ตารางที่5 แสดงวิธีการดูแลรักษาผู ้ป่ วย<br />
จํานวนผู ้ป่ วย(ราย) %<br />
Conservative tx. 21 32.31<br />
I&D 44 67.69<br />
I&D with TT 3 4.61<br />
TT 1 1.54<br />
ET tube intubation 1 1.54<br />
I&D = Incisional and Drainage, TT= tracheostomy, ET tube intubation = endotracheal tube intubation<br />
ผู ้ป่ วยเบาหวานเกือบทุกรายต้องได้รับการผ่าตัดระบายหนอง 6/7 คน (87.5%) ในขณะที่<br />
ผู ้ที่ไม่มีเบาหวานสามารถรักษาได้ด้วยยาเพียงอย่างเดียว 21 ราย(36.21%) และต้องผ่าตัด 37<br />
ราย(63.79%)<br />
ภาวะแทรกซ้อนระหว่างการรักษาพบ 15 ราย ( 23.08%) มีปัญหาทางเดินหายใจลําบาก<br />
มากที่สุด( airway distress) 6 ราย(46%) รองลงมาคือภาวะติดเชื ้อในกระแสเลือด(sepsis) 3<br />
ราย(23%) , ปอดอักเสบ 2 ราย, หนึ่งรายพบ deep vein thrombosis หลังจากหยุดยา Warfarin,<br />
และหนึ่งรายเป็ น canine space abscess ร่วมกับ periorbital cellulitis (แผนภูมิที่ 4)<br />
แผนภูมิที่ 4 แสดงภาวะแทรกซ้อนระหว่างการรักษา<br />
airway distress<br />
46%<br />
Pneumonia<br />
15%<br />
DVT<br />
8%<br />
periorbital cellulitis<br />
8%<br />
sepsis<br />
23%<br />
Total 15 ราย
DVT= Deep vein thrombosis<br />
อัตราการตายเท่ากับ 1.54 % พบเสียชีวิตหนึ่งรายเป็ น parotid abscess ต่อมามีติดเชื ้อ<br />
ในกระแสเลือด, ปอดอักเสบ และเสียชีวิตในที่สุด<br />
จํานวนวันที่ผู ้ป่ วยนอนโรงพยาบาล (ไม่รวมผู ้เสียชีวิต) พบตั ้งแต่ 2-25 วัน เฉลี่ย 9 วัน<br />
โดยส่วนใหญ่หากผู ้ป่ วยมีการอักเสบติดเชื ้อเพียงตําแหน่งเดียวมักนอนโรงพยาบาลไม่เกิน 7 วัน<br />
แต่ถ้ าอักเสบตั ้งแต่สองตําแหน่งขึ ้นไปจะนอนโรงพยาบาลนานขึ ้น (แผนภูมิที่5 )<br />
แผนภูมิที่ 5 แสดงจํานวนวันโดยเฉลี่ยที่ผู ้ป่ วยนอนโรงพยาบาล<br />
Submand. Submandibular +PPS +carotid +PPS + +carotid retropharynx space<br />
25<br />
Submandibular + Masticator space<br />
Submandibular + Masticator space<br />
Parapharyngeal space with other space<br />
Parapharyngeal space with other space<br />
Retropharyngeal space<br />
7<br />
13<br />
Retropharyngeal Parotid space<br />
6<br />
Parotid<br />
Ludwig<br />
space<br />
angina<br />
Peritonsillar space<br />
Ludwig angina<br />
Canine space<br />
Peritonsillar Masticator space space<br />
4<br />
8<br />
12<br />
จํานวนวันที่<br />
นอนรพ.<br />
จํานวนวันที่นอน<br />
รพ.<br />
Canine Buccal space space<br />
Submandibular space<br />
Masticator space<br />
Buccal space<br />
4<br />
12<br />
0 5 10 15 20 25 30<br />
5<br />
Submandibular space<br />
6<br />
0 5 10 15 20 25 30<br />
PPS = parapharyngeal space
บทที่ 5 อภิปรายผล<br />
ผู้ ป่ วย Deep neck infection ในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช พบอุบัติการณ์ร้อยละ 9.50<br />
ของผู ้ป่ วยที่นอนโรงพยาบาลในแผนกโสต ศอ นาสิก ซึ่งใกล้เคียงกับ pilot study ที่ได้ร้อยละ 10<br />
แต่เมื่อเปรียบเทียบกับโรงพยาบาลชัยภูมิที่มีอุบัติการณ์ร้อยละ 21 1 ถือว่าต่างกันมากถึงสองเท่า<br />
อาจเนื่องจากประชากรทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีจํานวนมากกว่ามาก จากการศึกษานี ้พบ<br />
ผู ้ป่ วยตั ้งแต่อายุ 5-93 ปี อายุเฉลี่ย 36.86 ปี ช่วงอายุที่พบบ่อยที่สุดคือ 21-30 ปี (24.62%) ซึ่ง<br />
สอดคล้องกับข้อมูลจากโรงพยาบาลอื่นๆ 1-4 ที่พบผู ้ป่ วยอยู่ในวัยทํางานมากที่สุด<br />
ตําแหน่งที่มีการอักเสบติดเชื ้อมากที่สุดในการศึกษานี ้คือ peritonsillar space (29.23%)<br />
รองลงมาคือ Submandibular space (20%) เมื่อเปรียบเทียบกับ โรงพยาบาลขอนแก่น 2 พบ<br />
Submandibular space มากที่สุด 32.49% รองลงมาคือ Parotid space 25.1% , โรงพยาบาล<br />
รามาธิบดี4 พบ Masticator space และ submandibular space มากที่สุด(27.4%) จะเห็นได้<br />
ว่า Submandibular space infection พบได้บ่อยทั ้งในภาคกลางและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ,<br />
Parotid space abscess พบได้น้อยใน ภาคกลาง แต่พบเป็ นอันดับต้นๆใน ภาค<br />
ตะวันออกเฉียงเหนือ และเมื่อเปรียบเทียบข้อมูลกับประเทศแถบเอเชียด้วยกัน (Huang TT,et al 7<br />
ประเทศไต้หวันและ Lee JK ,et al 6 ประเทศเกาหลี) พบ parapharyngeal space มากที่สุด ตาม<br />
ด้วย Submandibular space<br />
CT scan เป็ นเครื่องมือสําคัญในการช่วยวินิจฉัย deep neck infection 7,9 เนื่องจาก<br />
สามารถแยกฝี หนองกับ cellulitis ได้<br />
6,7 นอกจากนั ้นยังบอกขอบเขตการลุกลามของโรคและเป็ น<br />
แนวทางในการวางแผนรักษาได้ แต่ไม่จําเป็ นต้องทําทุกรายเช่น รายที่ดูดเจาะได้หนองชัดเจน แต่<br />
อาจทําCT scan เมื่ออาการของผู ้ป่ วยไม่ดีขึ ้นหลังรักษา 24-48 ชั่วโมง เช่นเดียวกันหากดูดเจาะ<br />
ไม่ได้หนองอาจลองให้ยาปฏิชีวนะไปก่อนและเฝ้ าติดตามอาการ หากผู ้ป่ วยไม่ดีขึ ้นภายใน 24-48<br />
ชั่วโมงแนะนําให้ทํา CT scan 8,9<br />
สาเหตุของการอักเสบติดเชื ้อที่พบมากที่สุดจากการศึกษานี ้และการศึกษาอื่นๆ ทั ้งในและ<br />
ต่างประเทศ พบเหมือนกัน คือติดเชื ้อที่ฟัน (31%-80%) 1-4,5-7,9 รองลงมาคือทอนซิลอักเสบ 5 บาง<br />
รายไม่ทราบสาเหตุในการศึกษานี ้พบ13.85% ซึ่งพบน้อยกว่าการศึกษาอื่นๆ (25%-73%) 5-7<br />
จากการศึกษานี ้จะเห็นได้ว่าตําแหน่งที่พบการอักเสบมากที่สุด คือ Peritonsillar infection<br />
กับสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็ นสาเหตุที่พบมากที่สุด คือฟันผุ ไม่มีค่อยมีความเกี่ยวข้องกัน เนื่องจากส่วน<br />
ใหญ่ peritonsillar abscess มักมีสาเหตุมาจากทอนซิลอักเสบ 8 จากการศึกษาของ Galioto NJ. 8<br />
ที่สันนิษฐานว่าเมื่อเกิดทอนซิลอักเสบทําให้ Weber’s glands (กลุ่ม mucous salivary glands ที่<br />
อยู่เหนือต่อทอนซิลบริเวณเพดานอ่อนและมีท่อเชื่อมระหว่างต่อมนํ ้าลายกับทอนซิล) เกิดการ
อักเสบ cellulitis และกลายเป็ น peritonsillar abscess ในที่สุด แต่ฟันผุจะเกี่ยวข้องกับการ<br />
อักเสบติดเชื ้อในหลายๆตําแหน่งรวมกัน เช่น submandibular space, Masticator space,<br />
canine space และ Ludwig’s angina เป็ นต้น ทําให้ผลรวมมีจํานวนมากกว่าสาเหตุอื่น 1-5<br />
เชื ้อที่เป็ นตัวก่อโรคจากการศึกษานี ้ได้ข้อมูลต่างจากการศึกษาอื่นๆ โดยเพาะเชื ้อขึ ้น<br />
แบคทีเรียแกรมลบ Klebsiella pneumoniae มากที่สุดซึ่งส่วนใหญ่เป็ นผู ้ป่ วยเบาหวาน แต่จาก<br />
การศึกษาอื่นๆ พบเชื ้อหลายชนิดรวมกัน(polymicrobial) โดยเฉพาะแบคทีเรียแกรมบวก<br />
Streptococcus spp. และ Straphylococcus spp. มากที่สุด 1-5 แต่ก็จะพบ Klebsiella<br />
pneumonia มากในผู ้ที่เป็ นเบาหวานเช่นกัน สาเหตุที่การศึกษานี ้ได้ข้อมูลต่างจากที่อื่นอาจ<br />
เนื่องจากการเก็บข้อมูลทําได้ไม่ครบถ้วนเนื่องจากเป็ นการศึกษาแบบย้อนหลัง และบางราย<br />
จําหน่ายออกจากโรงพยาบาลก่อนได้ผลเพาะเชื ้อ ส่วนเชื ้อแบคทีเรียกลุ่มไม่ใช้ออกซิเจนไม่พบ<br />
ข้อมูล เนื่องจากวิธีการเก็บตัวอย่างค่อนข้างลําบาก แต่คาดว่าน่าจะเป็ นเชื ้อในปากเช่นเดียวกับใน<br />
รายงานของต่างประเทศ 5,7,8<br />
โรคประจําตัวที่ส่งผลต่อการอักเสบพบเหมือนกันทุกการศึกษาคือ เบาหวาน 1-7,9 โดยมีการ<br />
ยืนยันชัดเจนว่าการพยากรณ์โรคแย่ลงจากมีโอกาสติดเชื ้อลุกลามไปหลายตําแหน่ง 6,7 เชื ้อที่พบมัก<br />
เป็ นแบคทีเรียแกรมลบ( Klebsiella pneumoniae ) 1-7 ซึ่งมีความรุนแรงมากกว่าแกรมบวกทั่วไป<br />
6,7<br />
ร่วมกับกระบวนการต่อสู ้กับเชื ้อโรคเป็ นไปอย่างล่าช้าเนื่องจากเลือดมีความหนืดมากกว่าปกติ<br />
การรักษามักต้องได้รับการผ่าตัดระบายหนองร่วมด้วย 6,7 มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรง<br />
เกิดขึ ้นได้สูง และระยะเวลาที่ต้องนอนโรงพยาบาลนานกว่ากลุ่มที่ไม่เป็ นเบาหวานอย่างมี<br />
นัยสําคัญ(p
กว่า 3 วัน มักจะเลือกวิธีเจาะคอให้แก่ผู ้ป่ วย เนื่องจากแพทย์สามารถทําได้เองภายใต้การฉีดยาชา<br />
และยังไม่มีความพร้อมทางด้านใส่ท่อช่วยหายใจผ่าน fiberoptic bronchoscope<br />
สรุปการรักษา deep neck infection ประกอบด้วยหลักใหญ่ๆคือ การให้ยาปฏิชีวนะทาง<br />
หลอดเลือดดํา ,การผ่าตัดกําจัดสาเหตุและระบายหนองและการป้ องกันทางเดินหายใจอุดตัน 2<br />
ระยะเวลานอนโรงพยาบาลโดยเฉลี่ยจากการศึกษานี ้คือ 9 วัน พบว่าพอๆกับการศึกษา<br />
อื่นๆ 2-5 คือ 7-13 วัน ส่วนใหญ่ที่นอนโรงพยาบาลนานเนื่องจากมีภาวะแทรกซ้อน หรือติดเชื ้อ<br />
หลายตําแหน่งร่วมกัน 2-4<br />
อัตราการตาย จากการศึกษานี ้คือ 1.54% ซึ่งพบพอๆกับการศึกษาส่วนใหญ่ของทั ้งในและ<br />
ต่างประเทศ 1-3,5-7 (0.8-1.9%) แต่น้อยกว่าโรงพยาบาลรามาธิบดี4 (3.4%) และ Suebara AB,et<br />
al 5 ,ประเทศบราซิล(11.2%) ผู้ ป่ วย ที่เสียชีวิตส่วนใหญ่มีเบาหวานหรือภูมิคุ ้มกันตํ่าร่วมด้วย 2,5,6<br />
สาเหตุการตายพบคล้ายกันคือติดเชื ้อในกระแสเลือด 1-4,6 แต่บางรายพบหนองเซาะช่องอก<br />
(suppurative mediastinitis) ร่วมด้วย 1-4 และบางการศึกษาเสียชีวิตระหว่าง การแก้ไขทางเดิน<br />
หายใจอุดตัน 3<br />
การศึกษานีเป็ ้ นการศึกษาแบบย้อนหลังจึงทําให้ข้อมูลบางอย่างไม่สมบูรณ์ ร่วมกับ<br />
จํานวนประชากรที่นํามาศึกษาค่อนข้างน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับการศึกษาอื่นๆ 1-3,5 ดังนั ้นข้อมูลที่<br />
ได้อาจมีความคลาดเคลื่อนเล็กน้อย
บทที่ 6 สรุปผลการศึกษา<br />
การอักเสบติดเชื ้อในเยื่อหุ ้มคอชั ้นลึกยังคงเป็ นปัญหาสําคัญที่พบได้ทั่วทุกภูมิภาคทั ้งใน<br />
และต่างประเทศ 1-11 อุบัติการณ์ในโรงพยาบาลภูมิพลอดุลยเดช 9.5% พบบ่อยอายุ 31-59 ปี เพศ<br />
ชายมากกว่าเพศหญิง พบ peritonsillar infection มากที่สุด และ submandibular space<br />
infection พบรองลงมา สาเหตุที่พบมากที่สุดคือฟันผุ เชื ้อที่ทําการเพาะได้จากหนองและเลือดพบ<br />
ทั ้งแกรมบวกและแกรมลบพอๆกัน ผู ้ป่ วยส่วนใหญ่มักต้องผ่าตัดระบายหนอง ภาวะแทรกซ้อนพบ<br />
23.08% มีปัญหาทางเดินหายใจลําบากมากที่สุด( airway distress) ระยะเวลานอนโรงพยาบาล<br />
โดยเฉลี่ย 9 วัน อัตราตาย 1.54%<br />
การวินิจฉัยโรคอย่างถูกต้อง รวดเร็ว และให้การรักษาอย่างเหมาะสม เป็ นหัวใจหลักใน<br />
การดูแลผู ้ป่ วยที่มีการอักเสบติดเชื ้อในเยื่อหุ ้มคอชั ้นลึก และสามารถลดอัตราการเกิด<br />
2-4,9<br />
ภาวะแทรกซ้อนลงมาได้
เอกสารอ้างอิง<br />
1. สาธิต ก้านทอง. Retrospective study of incidence and treatment outcome of deep<br />
neck infection and facial space abscess for 491 patients at Chaiyaphum hospital<br />
during 1999 to 2007. ขอนแก่นเวชสาร 2008; 32 : 153-64<br />
2. ชูเกียรติ วงศ์นิจศีล. Deep neck abscess clinical review at Khon Kaen hospital.<br />
ขอนแก่นเวชสาร 2008;32(2):147-54<br />
3. กีร์ดนัย อัศวกุล. Deep neck infection in Maharat Nakhon Ratchasima hospital.<br />
วารสารหู คอ จมูกและใบหน้า 2007;2 :44-8<br />
4. จักรพงศ์ คล้ายคลึง, ลลิดา เกษมสุวรรณ, บุญชู กุลประดิษฐารมณ์. Deep neck<br />
abscess : Clinical review in Ramathibodi hospital. วารสารหู คอ จมูกและใบหน้า<br />
2000;1:43-7<br />
5. Subara AB, Goncalves AJ, Alcadipani FA, Kavabata NK, Menezes MB. Deep<br />
neck infection- analysis of 80 cases. Brazillian journal of otorhinolaryngology<br />
2008;74(2):253-9<br />
6. Lee JK, Kim HD, Lim SC. Predisposing factor of complicated deep neck<br />
infection : analysis of 158 case. Yonsei medical journal 2007;48:55-62<br />
7. Huang T, Tseng F, Lui T, Hsu C, Chen Y. Deep neck infection in diabetic<br />
patients : comparison of clinical picture and outcomes with non diabetic patients.<br />
Otolaryngology-Head and Neck surgery 2005;132:943-47<br />
8. Galioto NJ. Peritonsillar abscess. Annual clinical focus on infection disease:<br />
prevention, diagnosis and management 2008;77:199-202<br />
9. Alani A, Griffith H, Minhas S.S, Olliff J, Lee D. Parapharyngeal abscess:<br />
diagnosis, complications and management in adults. Eur Arch Otolaryngol<br />
2005 ; 262:345-50<br />
10. Coticchia JM, Getnick GS, Yun RD, Arnold JE. Age, site, and time specific<br />
differences in pediatric deep neck abscesses. Arch Otolaryngol hneck surgery<br />
2004; 130:201-7<br />
11. Ovassapian A, Tuncbilek M, Weitzel EK, Joshi CW. Airway management in adult<br />
patients with deep neck infection: A case series and review of literature. Anesth<br />
analg 2005; 100:585-89
ภาคผนวก<br />
แบบบันทึกข้อมูล<br />
ลําดับ HN เพศ อายุ<br />
โรค<br />
ประจําตัว<br />
จํานวน<br />
วัน TT I&D<br />
(ปี) admit ET (ครั้ง)<br />
ตําแหน่งที่ติด<br />
เชื้อ<br />
ผลpus c/s<br />
or H/C สาเหตุ ภาวะแทรกซ ้อน<br />
Sens &<br />
Resist.