สารบัญ คำนิยม คำนำ และบทที่ 1-3 ของหนังสือ 'บนทางสู่อารยะ
สารบัญ คำนิยม คำนำ และบทที่ 1-3 ของหนังสือ 'บนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของนอร์เบิร์ต เอไลอัส' โดย ชาญ พนารัตน์
สารบัญ คำนิยม คำนำ และบทที่ 1-3 ของหนังสือ 'บนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของนอร์เบิร์ต เอไลอัส' โดย ชาญ พนารัตน์
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
Illuminations<br />
Editions
<strong>สารบัญ</strong><br />
<strong>คำนิยม</strong><br />
<strong>คำนำ</strong><br />
vii<br />
xiii<br />
1. เอไลอัส เป็นใคร? 3<br />
2. ชีวประวัติและพัฒนกรทงควมคิดของเอไลอัส 9<br />
3. แนวคิดเรื่องกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์และพัฒนกรรัฐ 25<br />
4. กีฬกับกรใช้เวลว่ง: ควมตื่นเต้นและกรควบคุม 71<br />
5. มนุษย์ในเครือข่ยควมสัมพันธ์ 91<br />
6. พลวัตของกลุ่มทงสังคม 139<br />
7. มุมมองทงญณวิทยและวิธีวิทยในกรวิจัยด้วย<br />
ตัวแบบของเอไลอัส<br />
165<br />
8. ข้อวิจรณ์ต่อกรศึกษของเอไลอัส 177<br />
9. สะท้อนชีวิตและควมคิดของเอไลอัส 189<br />
บรรณนุกรม 199<br />
ดัชนี 208<br />
ประวัติผู้เขียน 211
<strong>คำนิยม</strong><br />
“เพราะอะไรเส้้นทางแห่่งอารยธรรมตะวัันตกท่เจริญรุดห่น้าแบบก้าวั<br />
กระโดด และพุ่งทะยานไปข้้างห่น้าอย่างรวัดเร็วัในช่่วังศตวัรรษท่ 17 จึง<br />
ได้ห่ันเห่เปล่ยนทิศทางแบบกลับตาลปัตรไปส้่โศกนาฏกรรมครังยิงให่ญ่<br />
ข้องประวััติศาส้ตร์โลกในช่่วังส้งครามโลกครังท่ 2”<br />
คำถมนี้น่จะเป็นคำถมที่ผู้เขียนค้งคใจที่สุด จกกรที่ได้ประสบพบเจอ<br />
และคลุกคลีอยู่กับงนเขียนของนอร์เบิร์ต เอไลอัส (Norbert Elias, 1897–<br />
1990) มเป็นเวลกว่สองทศวรรษ นับตั้งแต่ผู้เขียนได้เริ่มสัมผัสกับแวดวง<br />
สังคมศสตร์และมนุษยศสตร์ในระดับบัณฑิตศึกษที่ประเทศสหรัฐอเมริก<br />
จนกระทั่งถึง ณ ปัจจุบันที่ผู้เขียนเองได้กลยมเป็นผู้สอนและวิจัยในสข<br />
วิชดังกล่วในประเทศไทย คำถมดังกล่ว คือ คำถมที่เต็มไปด้วยข้อคิด<br />
เชิงศีลธรรม กรเมือง ปรัชญ และประวัติศสตร์ ที่ชวนให้ผู้เขียนรู้สึก<br />
สลดใจเป็นอย่งยิ่งนั้น เป็นคำถมที่ผู้เขียนอนุมนมจกกรอ่นงนของ<br />
เอไลอัสจนตกผลึก ว่เสมือนเป็นสิ่งที่ตกตะกอนอยู่ในซอกลึกของหัวใจ<br />
เอไลอัสเองมนนแสนนน กรที่จะทำควมเข้ใจถึงที่มที่ไปของคำถม<br />
อันลึกซึ้งที่ผู้เขียนได้อรัมภบทมนั้น คงต้องอศัยประสบกรณ์ ควม<br />
อดทน และควมตั้งใจเป็นอย่งยิ่ง ในกรอ่นงนเขียนชิ้นที่สำคัญที่สุดใน<br />
ชีวิตกรงนของเอไลอัสที่มีชื่อว่ The Civilizing Process: Sociogenetic and<br />
Psychogenetic Investigations (1994/2000) ซึ่งได้รวบรวมเองนเก่สองชิ้น<br />
ได้แก่ The History of Manners (1969) และ State Formation and Civilization<br />
(1982) ฉบับแปลภษอังกฤษเข้ไว้ด้วยกัน ทั้งหมดโดยกรบุกเบิก<br />
ของสำนักพิมพ์ Blackwell Publishing กรเดินทงผ่นห้วงเวลอันยวไกล<br />
เพื่อไปสู่จุดหมย เพื่อตั้งคำถมที่ผู้เขียนได้เกริ่นเอไว้ในตอนต้นและกร<br />
vii
หคำตอบให้กับมันนั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่กรตั้งข้อสังเกตว่เอไลอัสมีเจตนรมณ์<br />
ที่จะอุทิศหนังสือเล่มนี้ให้แก่บิดและมรด ผู้ปกครองของเขซึ่งเสียชีวิตลง<br />
ในค่ยมรณะในเมืองเอชวิทซ์ (Auschwitz) สถปัตยกรรมและนวัตกรรม<br />
ที่สวนทงกับทิศทงของอรยธรรมตะวันตก ที่ถูกสร้งโดยรัฐบลนซีเพื่อ<br />
กักกันและสังหรชวยิว อย่งเหี้ยมโหดในช่วงสงครมโลกครั้งที่สอง<br />
ควมพยยมในกรคลี่คลยปมปัญหที่แฝงอยู่ในคำถมที่สำคัญ ก็ได้<br />
ทำให้ผู้เขียนได้ค้นพบและดื่มดำ่กับควมจริงที่ว่เอไลอัสนั้น แท้ที่จริงแล้ว<br />
ก็คือผู้บุกเบิกในด้นสังคมวิทยประวัติศตร์ที่สำคัญที่สุดคนหนึ่ง ด้วย<br />
วิธีกรศึกษประวัติศสตร์ในเชิงกระบวนกรในระยะยว ในช่วงเวลที่กร<br />
ศึกษประวัติศสตร์เชิงเปรียบเทียบ (ที่ถูกสร้งขึ้นมเพื่อแข่งขันในเชิง<br />
ญณวิทยกับสังคมวิทยกระแสหลักแนวประจักษ์นิยมและปฏิฐนนิยม)<br />
ยังคงครองควมเป็นใหญ่ในสังคมวิทยประวัติศสตร์ในสหรัฐอเมริกและ<br />
ยุโรป ผนวกกับกรใช้แนวคิดและทฤษฎีสังคมจกหลกหลยสำนักม<br />
วิเคระห์และสังเคระห์รวมกันตมแบบฉบับของตัวเองที่ไม่ซำ้ใคร The<br />
Civilizing Process (ซึ่งอจรย์ ดร. ชญ พนรัตน์ แปลเป็นภษไทยและ<br />
ใช้เป็นชื่อหนังสือเล่มนี้ว่ “บนทงสู่อรยะ”) นั้นศึกษกระบวนกรเปลี่ยน<br />
แปลงทงสังคมในระยะยว ทั้งในระดับปัจเจกชนและวัฒนธรรมในชีวิต<br />
ประจำวัน (ประวัติศสตร์จุลภค) ที่เกิดขึ้นควบคู่ขนนไปกับกรเปลี่ยน<br />
แปลงของโครงสร้งทงสังคมและกรเมืองในยุโรปตะวันตก (ประวัติศสตร์<br />
มหภค) นับตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่นจกยุคกลงและก่อนสมัยใหม่เข้สู่สมัย<br />
ใหม่ กระบวนกรเปลี่ยนแปลงทงสังคมในระยะยวแบบคู่ขนนทั้งหมดนั้น<br />
เป็นที่มของแนวคิด “ต้นกำเนิดทงจิตและสังคมในกระบวนกรสร้งอรย-<br />
ธรรม” (The Psychogenesis and Sociogenesis of the Civilizing Process)<br />
เอไลอัสเริ่มเปิดฉกมหกพย์ที่ตัวเองเนรมิตขึ้นด้วยกรศึกษกรเปลี่ยน<br />
แปลงของมรยททงสังคมในประวัติศตร์ยุโรป โดยที่ในช่วงยุคกลงของ<br />
ยุโรปตะวันตกมรยทและกรปฏิบัติตนต่อผู้อื่นในที่สธรณะมักจะถูก<br />
แสดงออกในรูปแบบที่แตกต่งกันไปจกที่ปรกฏให้เห็นในสังคมสมัยใหม่<br />
viii
โดยสิ้นเชิง ภยใต้สถนกรณ์ในชีวิตประจำวัน ผู้คนเหล่ นั้นมักจะแสดงออก<br />
โดยปรศจกกรควบคุมตนเองและกรคิดคำนึงถึงผู้อื่นในที่สธรณะ ไม่<br />
ว่จะเป็นกรรับประทนอหร กรนอน กรจัดระเบียบร่งกย กรใช้<br />
อุปกรณ์และพื้นที่ร่วมกัน เป็นต้น ยิ่งไปกว่นั้นแล้ว ภยใต้สถนกรณ์แห่ง<br />
ควมขัดแย้ง กรแสดงควมโกรธแบบหุนหันพลันแล่น ควมเกลียดชัง<br />
และกรใช้ควมรุนแรงต่อกันจึงสมรถพบเห็นได้โดยทั่วไปในชีวิตประจำ<br />
วัน ยุคก่อนสมัยใหม่ (The Early Modern Period) นั้นเปรียบเสมือนสันปัน<br />
นำ้แห่งประวัติศสตร์อรยธรรมตะวันตก ที่ชวยุโรปตะวันตกเริ่มที่จะมี<br />
ประสบกรณ์เกี่ยวกับกรเปลี่ยนแปลงไปในทิศทงและระดับที่แตกต่งจก<br />
เดิม เมื่อปัจเจกชนเหล่นั้นได้เริ่มแสดงออกถึงกรควบคุมตนเองและปฏิบัติ<br />
ตนต่อผู้อื่นในสังคมและพื้นที่สธรณะอย่งมีมรยทและสุภพมกขึ้น<br />
อย่งสังเกตเห็นได้ชัดจกหลักฐนเชิงประจักษ์ทงประวัติศสตร์ที่เอไลอัส<br />
ได้ศึกษและอ้งอิงเอไว้ในงนของเข<br />
กลไกสำคัญที่เชื่อมโยงกรเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับสังคมและจิตเข้ด้วยกัน<br />
นั้น ก็คือ กรเกิดขึ้นของรชสำนัก (The Court Society) และกรก่อตัว<br />
ของรัฐสมัยใหม่ (The Modern State) ที่มีวิวัฒนกรมจกรัฐสมบูรณ-<br />
ญสิทธิรชย์ที่ก่อตัวขึ้นภยใต้สังคมศักดินของยุโรปตะวันตก พร้อมทั้ง<br />
สภพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตมกันอย่งเห็นได้ชัดเจน ประเด็นที่สำคัญยิ่ง<br />
ไปกว่นั้น ก็คือ เอไลอัสแสดงออกถึงควมเป็นนักสังคมวิทยประวัติศสตร์<br />
ด้วยกรใช้แนวคิดของนักสังคมวิทยคลสสิกสองคน ได้แก่ มักซ์ เวเบอร์<br />
(Max Weber) และเอมิล เดอร์ไคม์ (Émile Durkheim) มเป็นกลไกเชื่อมโยง<br />
กรเปลี่ยนแปลงในระดับสังคมให้เข้กับกรเปลี่ยนแปลงของจิตในระดับ<br />
ปัจเจก ซึ่งเขเองได้นำเอแนวคิดพื้นฐนของนักจิตวิทยวิเคระห์ ซิกมันด์<br />
ฟรอยด์ (Sigmund Freud) มใช้ เพระแท้ที่จริงแล้ว รัฐสมัยใหม่ (ตม<br />
แนวคิดของเวเบอร์) นั้นก็คือ ตัวแสดงที่รวบรวมและผูกขดอำนจในกร<br />
ควบคุมกรใช้ควมรุนแรงในสังคมเอไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว (The Modern<br />
State’s Monopoly of Violence) ซึ่งกลไกดังกล่วนั้นทำให้ควมรุนแรงถูก<br />
ix
ลดระดับลงในพื้นที่สธรณะในชีวิตประจำวันอย่งมกมยมหศล<br />
นอกจกนั้น สังคมที่เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่งของโครงสร้งเครือข่ยที่<br />
เชื่อมโยงกันในแนวรบ ซึ่งปัจเจกชนนั้นได้มีกรพึ่งพอศัยซึ่งกันและกัน<br />
และติดต่อสื่อสรกันมกขึ้นในช่วงเวลดังกล่ว (ตมแนวคิดของเดอร์ไคม์)<br />
ต่งก็สนับสนุนให้เกิดกรเปลี่ยนแปลงของจิตในระดับปัจเจกไปในทิศทงที่<br />
เพิ่มขึ้นของกรควบคุมตนเองและปฏิบัติตนต่อผู้อื่นอย่งมีมรยทและ<br />
สุภพ (ตมแนวคิดของฟรอยด์) ท้ยที่สุดแล้วกรเพิ่มขึ้นของกรควบคุม<br />
ทงสังคม (Social Control) ที่ถือกำเนิดขึ้นมจกรชสำนักและรัฐสมัยใหม่<br />
ก็ไปทำให้กรควบคุมตนเอง (Self-Control) ของปัจเจกชนนั้นมีมกขึ้นไป<br />
ตมเส้นทงแห่งกระบวนสร้งอรยธรรมตะวันตกที่พัฒนไปข้งหน้อย่ง<br />
ต่อเนื่องนั่นเอง สิ่งที่น่สนใจอย่งยิ่ง ก็คือ ข้อสรุปรวบยอดของเอไลอัสนั้น<br />
ยังแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญณของกรสังเคระห์เอแนวคิดของนักทฤษฎี<br />
สังคมร่วมสมัยสองคนเข้ด้วยกัน ได้แก่ แนวคิด “ฮบิตัส” (Habitus) ของ<br />
ปิแอร์ บูดิเยอร์ (Pierre Bourdieu) และแนวคิด “วินัยและกรลงโทษ”<br />
(Discipline and Punishment) ของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) อีกด้วย<br />
หนังสือ บนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของเอไลอัส<br />
ของอจรย์ ดร. ชญ พนรัตน์ นั้นให้คุณูปกรอย่งมกมยมหศลใน<br />
ทงวิชกร จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของงนเขียนชิ้นนี้อยู่ที่กรนำเสนอองค์<br />
ควมรู้ใหม่ให้แก่แวดวงสังคมศสตร์และมนุษยศสตร์ในประเทศไทย ซึ่ง<br />
ผู้เขียนเองยังมิเคยได้พบเห็นผลงนที่เกี่ยวกับเอไลอัสที่เขียนถ่ ยทอดออกม<br />
เป็นภษไทยได้อย่งครอบคลุมและค่อนข้งสมบูรณ์แบบในแวดวงวิชกร<br />
ไทยเลยแม้แต่ชิ้นเดียว โดยส่วนตัวผู้เขียนเห็นด้วยกับอจรย์ ดร. ชญ ว่<br />
งนเขียนของเอไลอัสนั้นมีลักษณะพิเศษตมแนวทงของสังคมวิทยประวัติ-<br />
ศสตร์ที่น่สนใจ ซึ่งเกิดจกกรสังเคระห์แนวคิดและทฤษฎีสังคมจกนัก<br />
คิดหลยคนและหลยสำนักทั้งในยุคคลสสิกและร่วมสมัยที่อจรย์ ดร.<br />
ชญ ได้อภิปรยแจกแจงเอไว้ในหนังสือเล่มนี้ อทิ คร์ล มร์กซ์ (Karl<br />
Marx) มักซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เอมิล เดอร์ไคม์ (Émile Durkheim)<br />
x
ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) คร์ล แมนไฮมม์ (Karl Mannheim)<br />
ปิแอร์ บูดิเยอร์ (Pierre Bourdieu) และนักวิชกรในระดับสกลคนอื่นที่<br />
อจรย์ ดร. ชญอ้งอิงเอไว้<br />
จุดแข็งอีกประกรหนึ่ง<strong>ของหนังสือ</strong>เล่มนี้ คือ กรที่อจรย์ ดร. ชญ ได้นำ<br />
เองนเขียนชิ้นอื่น ๆ ของเอไลอัสมร่วมอภิปรยด้วย โดยที่หนังสือเล่ม<br />
ไม่ได้เขียนถึง The Civilizing Process แค่เพียงอย่งเดียว งนเขียนชิ้นอื่น ๆ<br />
ที่สำคัญที่อจรย์ ดร. ชญได้กล่วถึงและ/หรือนำมร่วมอภิปรยไว้ใน<br />
หนังสือเล่มนี้ ได้แก่ The Germans: Power Struggles and the Development<br />
of Habitus in the Nineteenth and Twentieth Centuries (1996) The Loneliness<br />
of the Dying (2001) What is Sociology? และ (1978) The Society of<br />
Individuals (2001) อย่งไรก็ตม งนเขียนชิ้นหลักอีกชิ้นที่ดูเหมือนจะเป็น<br />
แรงบันดลใจให้อจรย์ ดร. ชญมกที่สุด ก็คงจะเป็น Quest for Excitement:<br />
Sport and Leisure in the Civilizing Process (1986) ทั้งหมดนี้ได้รับ<br />
กรถ่ยทอดผ่นกรเรียงลำดับเนื้อหที่แสดงให้เห็นถึงควมคิดริเริ่มสร้ง<br />
สรรค์และประสบกรณ์ที่มจกผลงนวิจัยของตัวอจรย์ ดร. ชญเอง โดย<br />
เฉพะอย่งยิ่งในเรื่องของกีฬและกรใช้เวลว่งกับกรควบคุมตนเองและ<br />
กรลดทอนควมรุนแรง ซึ่งเขได้นำเอแนวคิดของเอไลอัสมศึกษประวัติ-<br />
ศสตร์ไทยภยใต้หัวข้อดังกล่ว เขเลือกที่จะนำเสนอส่วนนี้ไว้ในตอนกลง<br />
<strong>ของหนังสือ</strong>เล่มนี้ (บทที่ 4) โดยทั้งหมดเริ่มต้นที่กรอรัมภบทถึงตัวนักคิด<br />
ที่ชื่อ นอร์เบิร์ต เอไลอัส (Norbert Elias) (บทที่ 1) ต่อมด้วยอัตชีวประวัติ<br />
และพัฒนกรของควมคิดของนักสังคมวิทยประวัติศสตร์คนนี้ (บทที่ 2)<br />
แล้วจึงพูดสรุปเนื้อหสระสำคัญของงนเขียนชิ้นหลักของเอไลอัสที่มีชื่อว่<br />
The Civilizing Process: Sociogenetic and Psychogenetic Investigations (บทที่<br />
3) หลังจกนั้นเขจึงได้ขยยควม วิเคระห์และสังเคระห์ถึงประเด็นทงด้น<br />
แนวคิดและทฤษฎีอื่น ๆ เช่น มนุษย์กับอัตลักษณ์กลุ่ม: ควมสัมพันธ์ระหว่ง<br />
ตัวฉันกับพวกเร (The Society of Individuals) และ ควมสัมพันธ์ระหว่ง<br />
พวกมีหลักปักฐนและคนนอก (The Established and the Outsi ders) (บท<br />
xi
ที่ 6) รวมไปถึงญณวิทยและวิธีวิทยใน อีก 3 บทต่อม (บทที่ 5–7)<br />
หลังจกบทที่เกี่ยวกับกีฬและกรใช้เวลว่งกับกรควบคุมตนเองและกร<br />
ลดทอนควมรุนแรง ซึ่งเขได้สอดแทรกกรศึกษประวัติศสตร์ไทยอันเป็น<br />
คุณูปกรที่สำคัญ<strong>ของหนังสือ</strong>เล่มนี้เอไว้ด้วย และท้ยที่สุดเขปิดท้ยหนังสือ<br />
เล่มดังกล่ว โดยกรรวบรวมข้อวิจรณ์ที่มีต่องนเขียนของเอไลอัส (บทที่ 8)<br />
และบทสรุปรวบยอดในตอนท้ยสุด<strong>ของหนังสือ</strong> (บทที่ 9)<br />
จุดแข็งในประกรต่อม คือกรใช้ตรรกะและวทศิลป์ในกรเขียน ภษที่ใช้<br />
ทำให้อ่นเข้ใจง่ย กรเขียนมีควมกระชับและตรงประเด็น อ่นแล้วรู้สึก<br />
ลื่นไหลภยในกรอ่นเพียงครั้งเดียว มีกรแสดงออกถึงตัวตนในทงวิชกร<br />
ของอจรย์ ดร.ชญ ผู้ซึ่งมีควมสนใจและเชี่ยวชญในด้นสังคมศสตร์<br />
เชิงประวัติศสตร์ โดยเฉพะอย่งยิ่งในเรื่องของกีฬและกรใช้เวลว่ง กับ<br />
กรควบคุมตนเองและกรลดทอนควมรุนแรงในบริบทของประวัติศสตร์<br />
ไทย ที่เขได้เคยทำงนวิจัยและตีพิมพ์ผลงนในหัวข้อดังกล่วมก่อน<br />
ผู้เขียนหวังเป็นอย่งยิ่งว่หนังสือเล่มนี้จะเป็นบันไดขั้นแรกที่นำพผู้อ่นและ<br />
ผู้ที่ให้ควมสนใจในแวดวงสังคมศสตร์และมนุษยศสตร์ในประเทศไทยไป<br />
สู่งนเขียนของเอไลอัสและสังคมวิทยประวัติศสตร์ ท้ยที่สุดแล้วหนังสือ<br />
บนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของนอร์เบิร์ต<br />
เอไลอัส ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Illuminations Editions ของอจรย์ ดร.<br />
ชญ พนรัตน์ น่จะเป็นตัวแทนของคู่มือในกรอ่นงนของเอไลอัสใน<br />
ประเทศไทยได้เป็นอย่งดี ในระดับที่สตีเฟ่น เม็นเนว (Stephen Mennell)<br />
อีริค ดันนิ่ง (Eric Dunning) และเด็นนิส สมิธ (Dennis Smith) เคยทำเอ<br />
ไว้ในตลดหนังสือคู่มือกรอ่นงนวิชกรทงสังคมศสตร์และมนุษย-<br />
ศสตร์ (Companions) ในตลดหนังสือภษอังกฤษในระดับนนชติ<br />
ผศ.ดร. กีรติ ชื่นพิทยธร<br />
ภควิชสังคมวิทยและมนุษยวิทย<br />
คณะรัฐศสตร์ จุฬลงกรณ์มหวิทยลัย<br />
xii
<strong>คำนำ</strong><br />
ชื่อของ “นอร์เบิร์ต เอไลอัส” (Norbert Elias) หรือบ้งก็เรียกว่ “เอเลียส”<br />
ยังถูกพูดถึงน้อยในประเทศไทย ทั้งที่ควมคิดของเขมีคุณประโยชน์ในกร<br />
มองสังคมมนุษย์หลยประกร โดยเฉพะอย่งยิ่งวัฒนธรรมและอัตลักษณ์<br />
ที่เกี่ยวกับกรใช้และควบคุมควมรุนแรง ตัวแบบที่แก้ปัญหทงสังคมวิทย<br />
เรื่องมนุษย์ในโครงสร้งสังคม และแนวคิดสำหรับศึกษพัฒนกรรัฐอัน<br />
ยวนนกว่สหัสวรรษ ฯลฯ สเหตุที่ชื่อของเอไลอัสถูกพูดถึงน้อย ส่วนหนึ่ง<br />
เป็นเพระโลกวิชกรด้นสังคมวิทยและประวัติศสตร์ที่ใช้ภษอังกฤษ<br />
แทบจะไม่รู้จักผลงนของเอไลอัส จวบจนกระทั่งปลยคริสต์ทศวรรษ 1970<br />
ที่มีกรนำผลงนชิ้นสำคัญของเขอย่ง The Civilizing Process มแปลจก<br />
ภษเยอรมันเป็นภษอังกฤษและตมมด้วยผลงนชิ้นอื่น ๆ งนเขียน<br />
ของเอไลอัสค่อย ๆ ได้รับกรยอมรับว่ได้สร้งคุณูปกรอย่งมีนัยสำคัญต่อ<br />
วงวิชกรในโลกภษอังกฤษ เหตุผลนี้เองที่ทำให้ก่อนคริสต์ทศวรรษ 1980<br />
นักวิชกรไทยจึงไม่ได้มีโอกสเรียนหรืออ่นผลงนของเขผ่นภษอังกฤษ<br />
อย่งไรก็ตม ล่วงมจนถึงปี ค.ศ. 2021 หรือกว่ 40 ปีนับจกที่มีกรทยอย<br />
แปลผลงนของเอไลอัสออกเป็นภษอังกฤษ งนวิชกรภษไทยที่กล่ว<br />
ถึงเอไลอัสก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลยในประเทศไทยเท่ไรนัก ผลที่ตมมก็คือ<br />
วงวิชกรด้นสังคมวิทยและประวัติศสตร์ในไทยยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จก<br />
ควมคิดของเอไลอัสในกรทำวิจัยหรือต่อยอดในทงทฤษฎีมกเท่ที่ควร<br />
ทั้ง ๆ ที่ควมคิดของเอไลอัสมีคุณประโยชน์มกต่อกรศึกษในประเด็นต่ง ๆ<br />
โดยเฉพะอย่งยิ่ง ประเด็นปัญหสำคัญอย่งควมเข้ใจต่อควมรุนแรง<br />
ปัญหแนวคิดที่มองพัฒนกรของควมสัมพันธ์มนุษย์อย่งหยุดนิ่ง ตัวแบบ<br />
ของเอไลอัสเป็นประโยชน์อย่งมกที่จะช่วยสะท้อนประวัติศสตร์ช่วงยว<br />
xiii
ของควมสัมพันธ์เชิงอำนจของมนุษย์ในมิติควมรุนแรง อรมณ์ ชีวิต<br />
ประจำวัน และภพตัวตนตั้งแต่สังคมชนเผ่ นครรัฐ รัฐจรีต รัฐชติ<br />
สังคมระหว่งประเทศ ฯลฯ<br />
จกข้อจำกัดด้นควมเข้ใจต่อทฤษฎีของเอไลอัส และควมไม่แพร่หลย<br />
ในกรใช้ทฤษฎีของเขในประเทศไทย ได้นำไปสู่จุดมุ่งหมยประกรหนึ่ง<br />
<strong>ของหนังสือ</strong>เล่มนี้ ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนเน้นค้นคว้ศึกษวิเคระห์และ<br />
สังเคระห์ทฤษฎี ญณวิทย กรปรับใช้ต่อยอด และจุดอ่อนต่ง ๆ ของ<br />
ทฤษฎีของเอไลอัส หนังสือเล่มนี้แนะนำให้ผู้อ่นเข้ใจเพิ่มเติมถึงมโนทัศน์<br />
ต่ง ๆ ของเอไลอัส ที่อจเป็นที่รู้จักอยู่บ้ง เช่น ทฤษฎีกระบวนกรสู่ควม<br />
ศิวิไลซ์ และ ฮบิตัส (Habitus) ตลอดจนแนะนำมโนทัศน์อื่น ๆ ของเอไลอัส<br />
ที่อจยังไม่เป็นที่แพร่หลยมกนักอย่งเช่น แนวคิดควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิง<br />
ต่อรอง แนวคิดพวกมีหลักปักฐนและคนนอก และแนวคิดในกรศึกษกร<br />
ใช้เวลว่งและกีฬ นอกจกนี้ หนังสือเล่มนี้ได้พยยมรวบรวมมโนทัศน์<br />
สำคัญของเอไลอัสไว้ให้หลกหลยครอบคลุม เพื่อที่จะชี้ถึงควมสัมพันธ์<br />
ของมโนทัศน์หลักและมโนทัศน์ย่อยต่ง ๆ โดยละเอียดเพียงพอจนน่จะเป็น<br />
ประโยชน์ต่อผู้อ่นสำหรับนำไปทดสอบสมมติฐนเพื่อทดลองมองและ/หรือ<br />
ปรับใช้ในงนวิจัยของผู้อ่นได้อย่งรอบด้นเท่ที่ผู้เขียนจะพอนำเสนอไว้ได้<br />
เพื่อให้หนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องนำทงหนึ่งให้แก่นัก(เรียน)สังคมวิทยและ<br />
ประวัติศสตร์ หนังสือเล่มนี้จึงพยยมชี้ถึงกรประกอบสร้งทฤษฎีขึ้นม<br />
ของเอไลอัสผ่นควมเชื่อมโยงกันระหว่งข้อมูลเชิงประจักษ์ แนวคิดทฤษฎี<br />
และญณวิทย ตลอดจนพยยมชี้ถึงกระบวนกรในกรรื้อและประกอบ<br />
ใหม่ของทฤษฎีสังคมวิทยของเอไลอัสโดยนักวิชกรรุ่นหลัง เพื่อนำทฤษฎี<br />
ของเอไลอัสมประกอบบนบริบทใหม่โดยนักวิชกรรุ่นหลังอย่งวิพกษ์และ<br />
ต่อยอดจนสมรถใช้ทฤษฎีที่ปรับใหม่มจับควมสัมพันธ์ทงสังคมที่<br />
ต้องกรศึกษได้อย่งรอบด้น ยิ่งไปกว่นั้น เพื่อให้กรปรับใช้แนวคิดของ<br />
เอไลอัสมีควมแพร่หลย สะดวก และง่ยต่อควมเข้ใจได้ชัดเจนขึ้น<br />
xiv
ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดควมคิดและค้นคว้ต่อไป ผู้เขียนจึงได้ยกตัวอย่ง<br />
จกผลงนต้นฉบับของเอไลอัส และจกงนวิจัยที่ต่อยอดกรศึกษของ<br />
เอไลอัสทั้งที่เขียนโดยนักวิชกรนนชติ และจกประสบกรณ์กรวิจัย<br />
ของผู้เขียนเองอีกด้วย<br />
นอกจกนี้ สถนะควมรู้ในกรศึกษสังคมวิทยกีฬในประเทศไทยยังคง<br />
จำกัดอยู่ในหลยแง่ โดยเฉพะอย่งยิ่งควมขดแคลนงนวิชกรภษ<br />
ไทยที่ได้แนะนำตัวแบบทงทฤษฎีในกรศึกษสังคมวิทยกีฬ มนุษยวิทย<br />
กีฬ และประวัติศสตร์กรใช้เวลว่ง ที่ละเอียดเพียงพอสำหรับกรนำไป<br />
ใช้เป็นพื้นฐนในกรวิจัยกีฬในมิติสังคมศสตร์และมนุษยศสตร์ บทหนึ่ง<br />
ในหนังสือเล่มนี้ที ่เน้นเรื่องกีฬ (ซึ่งก็โยงกับมโนทัศน์อื่น ๆ ในทุกบท) ตม<br />
มุมมองของนอร์เบิร์ต เอไลอัส จึงเป็นควมพยยมเล็ก ๆ ประกรหนึ่งที่จะ<br />
เติมเต็มช่องว่งนี้ ทฤษฎีในกรศึกษกีฬของเอไลอัส และอันที่จริงก็รวม<br />
ถึงเอริก ดันนิง นับว่เป็นตัวแบบในกรศึกษกีฬที่บุกเบิกแผ้วถงที่ทง<br />
ให้แก่วงกรสังคมวิทยกีฬที่เริ่มเติบโตเป็นที่ยอมรับขึ้นมทีละน้อยนับ<br />
ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 และควรกล่วด้วยว่เอไลอัส ได้ริเริ่มศึกษหน้ที่<br />
ทงสังคมของกีฬที่เกี่ยวโยงกับกรใช้และควบคุมควมรุนแรงมตั้งแต่คริสต์<br />
ทศวรรษ 1930 แล้ว ควมคิดของเอไลอัสมีควมสำคัญยิ่งต่อกรศึกษกีฬ<br />
และควมรุนแรงนับแต่นั้นมจนถึงปัจจุบัน<br />
หนังสือ บนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของ<br />
นอร์เบิร์ต เอไลอัส เล่มนี้มีจุดมุ่งหมยเพื่อแนะนำให้ผู้อ่นได้เห็นพัฒนกร<br />
และแนวควมคิดหลักของเอไลอัสส่วนหนึ่ง โดยเฉพะอย่งยิ่งแนวคิดเรื่อง<br />
กระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ ตัวแบบในกรศึกษควมสัมพันธ์ระหว่งมนุษย์<br />
อัตลักษณ์ ตัวแบบในกรศึกษพัฒนกรรัฐตั้งแต่ยุคจรีตถึงรัฐรวมศูนย์<br />
อำนจทงกรเงินและควมรุนแรง และตัวแบบในกรศึกษกีฬ มุมมอง<br />
ต่อระเบียบวิธีวิจัยและมุมมองทงญณวิทยตลอดจนกล่วถึงข้อจำกัดและ<br />
ข้อวิจรณ์ต่อควมคิดของเอไลอัสไว้ด้วย ผู้เขียนหวังว่หนังสือเล่มนี้อจเป็น<br />
xv
ประโยชน์ในแง่ที่ให้ควมเข้ใจต่อตัวแบบทงทฤษฎีสำหรับกรนำไปใช้ทำ<br />
วิจัยทงสังคมศสตร์และประวัติศสตร์ได้อยู่บ้ง<br />
ท้ยที่สุด ผู้เขียนขอขอบคุณคณจรย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผู้ช่วยศสตร-<br />
จรย์ ดร.กีรติ ชื่นพิทยธร ภควิชสังคมวิทยและมนุษยวิทย คณะ<br />
รัฐศสตร์ จุฬลงกรณ์มหวิทยลัย และผู้ช่วยศสตรจรย์ ดร.ฐนิด<br />
บุญวรรโณ ภควิชสังคมวิทยและมนุษยวิทย คณะสังคมศสตร์ มห-<br />
วิทยลัยนเรศวร เป็นอย่งสูงสำหรับข้อเสนอแนะที่มีค่ ยิ่ง ผู้เขียนขอขอบคุณ<br />
คุณพิพัฒน์ พสุธรชติ แห่งสำนักพิมพ์ Illuminations Editions เป็นอย่งยิ่ง<br />
ที่ได้สนับสนุนด้นกรจัดกรต่ง ๆ อย่งกระตือรือร้นและสมำ ่เสมอ นอกจก<br />
นี้ ผู้เขียนขอขอบคุณ The Norbert Elias Foundation, Amsterdam เป็น<br />
อย่งสูงที่อนุญตให้ผู้เขียนใช้ภพถ่ยต่ง ๆ จกเว็บไซต์ The Norbert Elias<br />
Foundation เพื่อใช้ในหนังสือเล่มนี้ และผู้เขียนขอขอบคุณทุกท่นผู้ที่ผู้เขียน<br />
ไม่ได้เอ่ยนมในที่นี้ ที่มีส่วนสนับสนุนหนังสือเล่มนี้ไม่ว่จะเป็นทั้งทงตรง<br />
และทงอ้อม<br />
ชญ พนรัตน์<br />
10 กุมภพันธ์ 2564<br />
xvi
บนทงสู่อรยะ
2<br />
รูป 1: นอร์เบิร์ต เอไลอัส ในวัยใกล้ 80 ปี ขณะอยู่ที่เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ<br />
ใน ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) (Norbert Elias Foundation, Amsterdam, 2021)
1. เอไลอัส เป็นใคร?<br />
นอร์เบิร์ต เอไลอัส 1 (Norbert Elias) (1897–1990) นักสังคมวิทยผู้นิยม<br />
ว่ตนเป็นชวเยอรมันยิว (“German Jew”) เกิดในเบรสเล (Breslau) [หรือ<br />
ปัจจุบันคือ วรอครอว์ (Wroclaw) ในโปแลนด์] จักรวรรดิเยอรมัน ประสบ-<br />
กรณ์ในแนวหน้ในสงครมโลกครั้งที่ 1 เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เข<br />
หันมสนใจวิชสังคมวิทย เมื่อพรรคนซีเยอรมันขึ้นมมีอำนจในปี ค.ศ.<br />
1933 (พ.ศ. 2476) เขลี้ภัยไปฝรั่งเศส และไปอังกฤษในอีก 2 ปีต่อม เข<br />
สูญเสียมรดจกกรฆ่่ล้งเผ่พันธุ์ชวยิวที่เอชวิทซ์ (Auschwitz) จกที่<br />
ตัวของเอไลอัสและคุณแม่ของเขเองก็ต้องเผชิญหน้กับควมรุนแรงถึงชีวิต<br />
งนวิชกรของเขหลยชิ้นโดยเฉพะอย่งยิ่งงนที่ศึกษแง่มุมเรื่องควม<br />
รุนแรงและสภวะศิวิไลซ์ เป็นกรเน้นทำควมเข้ใจชะตชีวิตของมนุษยชติ<br />
และของครอบครัวเอไลอัสเอง นอกจกนี้ ตั ้งแต่ช่วงชีวิตวัยเด็กจนสำเร็จกร<br />
ศึกษในระดับปริญญเอกในเยอรมนีและชีวิตทงวิชกรในอังกฤษ เอไลอัส<br />
เผชิญกับกรถูกกีดกันในฐนะที่เป็น “คนนอก” และตั้งแต่ในคริสต์ทศวรรษ<br />
1970 เป็นต้นไป ข้อเสนอทงวิชกรของเอไลอัสซึ่งในขณะนั้นอยุ 70 ปี<br />
กว่ ๆ ก็เริ่มเป็นที่ยอมรับในยุโรปภคพื้นทวีป เขตัดสินใจกลับไปสอนและ<br />
1<br />
งนวิชกรหลยชิ้นเรียกขนนมสกุลของ “เอไลอัส” ว่ “เอเลียส” (โปรดดู<br />
รชบัณฑิตยสถน, 2549; กญจน และสมสุข, 2551) แต่กระนั้นก็ตม เพื่อควม<br />
เป็นสกล ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนจะเรียกนมสกุล ของ Norbert Elias ให้ใกล้<br />
เคียงกับกรออกเสียงในภษอังกฤษ ซึ่งออกเสียงว่ “เอไลอัส” นอกจกนี้ ควร<br />
กล่วเพิ่มเติมด้วยว่ ตมกรออกเสียงในภษเยอรมัน จะออกเสียงว่ “เอลิอัส”<br />
โปรดฟังกรออกเสียงภษอังกฤษและภษเยอรมันใน van Heerikhuizen (2015)<br />
3
วิจัยที่เยอรมนีและปักหลักที่เนเธอร์แลนด์ จนวระสุดท้ยของชีวิต (Elias et<br />
al., 1994, pp. 79, 155–6; Elias, 1996)<br />
หกจะสรุปถึงภรกิจของเอไลอัสในฐนะนักสังคมวิทย เขมองว่ภรกิจ<br />
ที่สำคัญที่สุดประกรหนึ่งคือ กรพยยมทำควมเข้ใจว่มนุษย์และสิ่ง<br />
ต่ง ๆ มเชื่อมต่อสัมพันธ์กันได้อย่งไร อีกทั้งกรควบคุมและกรใช้ควม<br />
รุนแรงต่อมนุษย์ด้วยกันเปลี่ยนแปลงไปตลอดพัฒนกรของกรรวมกลุ่ม<br />
ตั้งแต่สังคมยุคนครรัฐ รัฐจรีตไปจนถึงยุครัฐชติอย่งไร ทั้งนี ้ก็เพื่อสร้ง<br />
ควมรู้ควมเข้ใจต่อควมสัมพันธ์ทงสังคม เพื่อให้มนุษย์สมรถควบคุม<br />
จัดกรชีวิตและควมสัมพันธ์ระหว่งมนุษย์ให้ดีกว่ที่เคยเป็นมและยัง<br />
เป็นอยู่ (Elias et al., 1994, pp. 36–7, 47–8; Elias, 1996; Elias, 2000)<br />
นับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 (พ.ศ. 2523–2532) เป็นต้นไป ผลงนของ<br />
เอไลอัสได้รับควมสนใจอย่งกว้งขวงในแวดวงสังคมวิทย ผลงนหลย<br />
ชิ้นของเขได้รับกรแปลจกภษเยอรมันเป็นภษอังกฤษ กรศึกษของ<br />
เขหลยชิ้นได้รับกรอ้งอิง ต่อยอด และวิจรณ์อย่งกว้งขวง โดย<br />
เฉพะอย่งยิ่งในประเด็นพลวัตของควมรุนแรงและควมศิวิไลซ์ ประวัติ-<br />
ศสตร์อรมณ์ อัตลักษณ์ในมิติด้นควมศิวิไลซ์ กรเรียนรู้ทงสังคมที่<br />
ติดตัว (habitus หรือ ฮบิตัส) ภพตัวตนอันโยงใยกับกลุ่มทงสังคมต่ง ๆ<br />
พัฒนกรรัฐหลกหลยยุค โดยเฉพะอย่งยิ่งนครรัฐ รัฐฟิวดัล อณจักร<br />
ยุคจรีต รัฐสมบูรณญสิทธิรชย์ รัฐชติ และสังคมนนชติ ตัวแบบ<br />
ควมสัมพันธ์ระหว่งพวกมีหลักปักฐนและคนนอก และกีฬศึกษในมิติ<br />
กรจัดกรควบคุมควมรุนแรง<br />
ลูอิส โคเซอร์ (Lewis Coser) และซิกมันท์ เบแมน (Zygmunt Bauman)<br />
พิจรณว่นอร์เบิร์ต เอไลอัสเป็นหนึ่งในนักสังคมวิทยที่สำคัญยิ่ง (van<br />
Krieken, 1998, p. 2; Morrow, 2009, pp. 215–6) ผลงนอันเป็นที่รู้จักของ<br />
เขมกที่สุดก็คือ The Civilizing Process: Sociogenetic and Psychogenetic<br />
4
Investigations (2000) (หรืออจแปลเป็นไทยได้ว่ กระบวนการสู่ความ<br />
ศิวิไลซ์: การสืบค้นแหล่งกำาเนิดและพัฒนาการทางสังคมและจิตใจ) นัก<br />
สังคมวิทยผู้เป็นสมชิกสังคมวิทยนนชติ (International Sociological<br />
Association) รว 450 คน จัดผลงนชิ้นนี้ว่เป็นหนังสือด้นสังคมวิทย<br />
หนึ่งในสิบเล่มที่สำคัญที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ร่วมกับผลงนของแม็กซ์<br />
เวเบอร์ (Max Weber) ชร์ล ไรท์ มิลส์ (Charles Wright Mills) ปิแอร์<br />
บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) และเออวิง กอฟฟ์แมน (Erving Goffman)<br />
(International Sociological Association, 2019) ลูอิซ โคเซอร์ กล่วแนะนำ<br />
เล่มนี้ ไว้ในปกหลัง<strong>ของหนังสือ</strong> The Civilizing Process ว่เป็น “งนโมเดิร์น<br />
คลสสิคในบรรดงนที่เป็นพื้นฐนอันจำเป็นสูงสุด” (Elias, 2000, p.back<br />
cover) ขณะที่แอนโธนี กิดเดนส์ (Anthony Giddens) กล่วถึงผลงนของ<br />
เอไลอัส ที่กล่วถึงกระบวนกรอัตลักษณ์ของมนุษย์ในควมสัมพันธ์กับกลุ่ม<br />
ทงสังคมต่ง ๆ ในเชิงขัดแย้งและบูรณกร เรื่อง The Society of Individuals<br />
(1991) ว่เป็น “กรบรรลุผลสัมฤทธิ์อย่งพิเศษ” ที่ได้ริเริ่มนำเสนอประเด็น<br />
ใหม่ ๆ ในทฤษฎีสังคมวิทย ซึ่งก็อีกนนมกกว่ที่นักสังคมวิทยจะหันม<br />
สำรวจและถกเถียงกันอย่งกว้งขวง (van Krieken, 1998, pp. 2–3)<br />
ทฤษฎีสังคมวิทยของเอไลอัส เป็นที่รู้จักในแวดวงว่ “figurational sociology”<br />
หรืออจแปลเป็นภษไทยได้ว่ “สังคมวิทยเชิงเครือข่ยควมสัมพันธ์แบบ<br />
พึ่งพิง(ต่อรอง)” ต่อมเอไลอัสรู้สึกไม่พอใจกับคำว่ “figurational sociology”<br />
และหันไปใช้คำว่ “process sociology” หรือ “สังคมวิทยเชิงกระบวนกร”<br />
แทน ส่วนหนึ่งเป็นเพระเอไลอัสให้ควมสำคัญกับกรศึกษสังคมวัฒนธรรม<br />
ผ่นกระบวนกรเปลี่ยนแปลงแบบประวัติศสตร์ช่วงยวมกกว่ที่จะมอง<br />
ควมสัมพันธ์ทงสังคม ณ ช่วงเวลหนึ่งอย่งหยุดนิ่ง อย่งไรก็ตม ไม่ว่<br />
จะเรียกทฤษฎีของเอไลอัสว่ “ทฤษฎีสังคมวิทยเชิงเครือข่ยควมสัมพันธ์<br />
แบบพึ่งพิง” หรือ “ทฤษฎีสังคมวิทยเชิงกระบวนกร” ก็ตม ทฤษฎีที่<br />
เอไลอัสพัฒนขึ้นเป็นทฤษฎีที่เน้นศึกษสังคมหนึ ่ง ๆ ผ่นกรวิเคระห์ควม<br />
เปลี่ยนแปลงของควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงต่อรองระหว่งผู้คน เมื่อมนุษย์ผู้มี<br />
5
ทรัพยกรไม่เท่เทียมมเชื่อมต่อกัน มีหน้ที่ต่อกัน กรที่ต่งฝ่ยต่งก็<br />
รับรู้กรมีอยู่ของกันและกัน อีกทั้งยังต้องพึ่งพิงทรัพยกรของอีกฝ่ย<br />
ประกรนี้มีผลต่อกรเรียนรู้ทงสังคมที่ติดตัว (habitus) โดยเฉพะอย่งยิ่ง<br />
กรเรียนรู้ที่จะควบคุมยับยั้งตนเองในกรกระทำต่ง ๆ รวมถึงกรระงับ<br />
ควมรุนแรง นอกจกนี้ เอไลอัสศึกษพลวัตของเครือข่ยควมสัมพันธ์ที่<br />
มนุษย์พัวพันพึ่งพิงต่อรองกัน เพื่อพิจรณกรกระทำทงสังคม อัตลักษณ์<br />
กรควบคุมตนเองของปัจเจก วัฒนธรรม บรรทัดฐนควมประพฤติ จรรย<br />
มรยท และศีลธรรม เอไลอัสพิจรณถึงกรเปลี่ยนแปลงในมิติประวัติ-<br />
ศสตร์ช่วงยวของควมสัมพันธ์พึ่งพิงเชิงหน้ที่ อันทำให้ผู้คนและสิ่งต่ง ๆ<br />
ได้เชื่อมโยงกันทั้งในมิติด้นควมลงรอยกันและควมขัดแย้ง (Elias, 1978;<br />
Elias, 1996, p. 336; Jary and Jary, 2005, pp. 180, 220) ด้วยเหตุนี้เอง<br />
ผู้เขียนจึงแปลคำว่ “figurational sociology” ว่ “สังคมวิทยเชิงเครือข่ย<br />
ควมสัมพันธ์แบบพึ่งพิง(ต่อรอง)” อย่งไรก็ตม ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับ<br />
รชบัณฑิตยสถน (2549, น. 124) ที่แปล “figurational sociology” ว่<br />
“สังคมวิทยรูปลักษณ์” ทั้งนี้คำว่ “รูปลักษณ์” ไม่ได้สื่อถึงควมสัมพันธ์<br />
ระหว่งมนุษย์แต่อย่งใด หกแต่ชี้ชวนให้เห็นถึงรูปแบบและลักษณะทง<br />
สังคมที่หยุดนิ่งมกกว่ คำว่ “รูปลักษณ์” ยังขดมิติกรพิจรณควม<br />
สัมพันธ์ของมนุษย์อย่งเป็นกระบวนกรบนมิติประวัติศสตร์ช่วงยว คำว่<br />
“รูปลักษณ์” ละเลยแง่มุมที่มนุษย์เข้ไปผูกอยู่ในควมสัมพันธ์และกรพัวพัน<br />
ซึ่งกันและกัน จนส่งผลต่อกรควบคุมยับยั้งกรกระทำหรือไม่กระทำสิ่งหนึ่ง ๆ<br />
ประเด็นด้นกระบวนกรกรเปลี่ยนแปลงของควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงเป็น<br />
พื้นฐนสำคัญของทฤษฎีสังคมวิทยของเอไลอัส เพระฉะนั้น ผู้เขียนจึง<br />
เสนอคำแปลใหม่เพื่อเน้นถึงสระสำคัญดังกล่ว (Elias et al., 1994)<br />
ในบทถัดไป ผู้เขียนจะกล่วถึงชีวิตและพัฒนกรทงควมคิดของเอไลอัส<br />
จกนั้นในบทที่ 3 จะลงรยละเอียดถึงแนวคิดที่เป็นหัวใจหลักของควมคิด<br />
ของเอไลอัสอย่งทฤษฎีกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ และแนวคิดเรื่อง<br />
พัฒนกรรัฐ ทั้งสองประเด็นมีควมเชื่อมโยงกัน ในขณะที่บทที่ 4 ผู้เขียน<br />
6
จะพิจรณว่ พัฒนกรของกีฬสัมพันธ์กับกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์<br />
อย่งไร ในบทนี้ผู้เขียนจะชี้ให้เห็นถึงตัวแบบในกรวิเคระห์กีฬและกรใช้<br />
เวลว่ง ในขณะที่บทที่ 5 และ 6 จะเน้นถึงสระสำคัญของทฤษฎีสังคม<br />
วิทยของเอไลอัส โดยเฉพะอย่งยิ่งเรื่องควมเชื่อมโยงระหว่งปัจเจก<br />
บุคคลกับกลุ่มทงสังคมต่ง ๆ ผ่นกรพิจรณกรเรียนรู้ทงสังคมที่ติดตัว<br />
(ฮบิตัส) อันสัมพันธ์กับกรควบคุมตนเองและภพตัวตน กรอบกร<br />
วิเคระห์กลุ่มทงสังคมและตัวแบบกรพิจรณควมเปลี่ยนแปลงช่วงยว<br />
ของห่วงโซ่ควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงต่อรองระหว่งมนุษย์/กลุ่มทงสังคม ใน<br />
บทที่ 7 ผู้เขียนจะกล่วถึงมุมมองของเอไลอัสในข้อถกเถียงเรื่องสังคมวิทย<br />
ควมรู้ ญณวิทยของทฤษฎี และวิธีวิทย จกนั้นบทที่ 8 จะเน้นนำเสนอ<br />
ข้อวิจรณ์ต่อข้อจำกัดต่ง ๆ ของทฤษฎีสังคมวิทยของเอไลอัส ตลอดจน<br />
ทงออกต่อกรก้วข้มข้อด้อยบงประกรอีกด้วย<br />
7
รูป 2: บ้นของเอไลอัสที่เมืองเบรสเล เขพำนักที่นี่ในระหว่ง ค.ศ. 1905–1920<br />
(Norbert Elias Foundation, Amsterdam, 2021)<br />
รูป 3: ห้องด้นหน้ในบ้นของเอไลอัส<br />
(Norbert Elias Foundation, Amsterdam, 2021)<br />
8
2. ชีวประวัติและพัฒนกรทงควมคิดของเอไลอัส<br />
เอไลอัส เกิดวันที่ 22 มิถุนยน ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) ในเมืองเบรสเล<br />
(Breslau เดิมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเยอรมัน ปัจจุบันคือ Wroclaw เป็น<br />
ส่วนหนึ่งของโปแลนด์) บิดของเขเป็นนักธุรกิจในอุตสหกรรมสิ่งทอขนด<br />
กลง เขนิยมอัตลักษณ์ของตนว่เป็นทั้งชวเยอรมันและยิว สำหรับเอไลอัส<br />
อัตลักษณ์ทั้งสองนี้ก็ไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่งใด ในวัยเด็ก เอไลอัสไม่ประทับ<br />
ใจในตัวไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 (Wilhelm II) จักรพรรดิเยอรมันอย่งมก แต่<br />
เขก็รักประเทศเยอรมนีอย่งมก อย่งไรก็ตม นั่นไม่ได้หมยควมว่เข<br />
เป็นพวกชตินิยม (nationalist) เอไลอัสอธิบยว่ในช่วงเวลนั้น ลัทธิชติ<br />
นิยมแขนงต่ง ๆ ในเยอรมนีต่งก็มีแนวคิดต่อต้นยิว เอไลอัสมองว่ในช่วง<br />
ชีวิตก่อนเขจะลี้ภัยออกจกเยอรมนี (ก่อน ค.ศ. 1933/พ.ศ. 2476) เขรวมถึง<br />
คนยิวอื่น ๆ เป็นคนนอกของสังคมเยอรมัน แต่เอไลอัสก็ชี้ว่ชวยิวมกมย<br />
รวมถึงเขก็ซึมซับวัฒนธรรมเยอรมันมอย่งมกจนกลยเป็นผู้เผยแพร่วิถี<br />
ทงวัฒนธรรมดังกล่ว เอไลอัสมีอรมณ์ร่วมไปกับผลงนทงวรรณกรรม<br />
และศิลปะเยอรมันอย่งของเกอเธ่ (Johann Wolfgang von Goethe) ชิลเลอร์<br />
(Friedrich Schiller) และค้นท์ (Immanuel Kant) หรือแม้แต่ทิวทัศน์และ<br />
รูปแบบสถบัตยกรรมของแต่ละอครของมหวิหรทุกแห่งในเมืองบมเบิร์ก<br />
(Bamberg) (Elias et al., 1994, pp. 10, 16–9, 83–5, 128; Smith, 2001,<br />
pp. 47–8)<br />
เอไลอัสพบควมสนใจส่วนตัวตั้งแต่ในวัยเด็ก เอไลอัสในวัยเยว์ปรรถนที่จะ<br />
เป็นอจรย์มหวิทยลัยและทำวิจัย เขพยยมที่จะไล่ตมควมฝันของ<br />
เข แม้ว่สิ่งนี้จะตีบตันมกก็ตม ทั้งนี้ก็เพระภยใต้รัฐบลของจักรพรรดิ<br />
ชวยิวถูกเลือกปฏิบัติด้วยกรถูกกีดกันออกจกอชีพอจรย์มหวิทยลัย<br />
9
ตอนที่เอไลอัสอยุได้รว 15–16 ปี เอไลอัสกล่วกับเพื่อนในห้อง เรียนว่<br />
เขอยกเป็นอจรย์มหวิทยลัย เพื่อนของเขก็พูดแทรกขึ้นมว่ “นย<br />
ถูกตัดออกจกอชีพนั้นตั้งแต่เกิดแล้ว” และเสียงหัวเระจกเพื่อน ๆ ร่วมชั้น<br />
และครูก็ดังครืน แม้ว่เอไลอัสจะมองว่เสียงหัวเระดังกล่วไม่ได้มีเจตน<br />
มุ่งร้ย แต่เขก็รำลึกถึงควมรู้สึกในช่วงชีวิตตอนนั้นว่ “[เหตุกรณ์ครั้งนี้]<br />
สร้งบดแผลให้กับผมอย่งมก [...]” อย่งไรก็ตม เหตุกรณ์นี้ไม่ได้<br />
ทำลยควมตั้งใจของเข แม้ว่เอไลอัสจะไม่มั่นใจว่เขจะประสบควมสำเร็จ<br />
ในอชีพที่เขฝันไว้หรือไม่ แต่เขก็มีควมมั่นใจอย่งมกว่ ผลงนของเข<br />
จะได้รับกรยอมรับในท้ยที่สุด “[…] ในฐนะที่เป็นผลงนอันมีประโยชน์<br />
ต่อควมรู้ของมนุษยชติ” (Elias et al., 1994, pp. 12–5, 75)<br />
เมื่อเอไลอัสอยุได้ 18 ปี เขกล่วว่เขไม่มีทงเลือกใด เขจำใจต้องเข้<br />
ร่วมสงครมโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ. 1915 (พ.ศ. 2458) เพื่อควมปลอดภัย<br />
ในชีวิต เอไลอัสอสสมัครเข้ทำงนในหน่วยงนด้นกรส่งสัญญณ เข<br />
ทำหน้ที่เดินสยโทรศัพท์ โทรเลข อีกทั้งยังเรียนรู้กรส่งสัญญณด้วยรหัส<br />
มอร์ส ในช่วงสงครมครั้งนั้นเขได้เดินทงไปปฏิบัติหน้ที่กับกลุ่มช่งวง<br />
สยโทรเลขในตอนเหนือของฝรั่งเศส เขได้ขับรถผ่นสมรภูมิที่กำลังทำศึก<br />
เขตกใจอย่งหนักกับภพสยดสยองอย่งศพมนุษย์และม้เป็นครั้งแรก<br />
ในชีวิตและภพอันน่สะพรึงกลัวก็ยังติดตเขมจนบั้นปลยชีวิต สงครม<br />
ครั้งนี้ส่งผลให้เขป่วยทงจิตในอีกสองปีถัดม เขออกจกกรทำงนให้กับ<br />
กองทัพ แล้วหันมเรียนด้นปรัชญ จิตวิทย และกรแพทย์ ที่มหวิทยลัย<br />
เบรสเล (the University of Breslau) ด้วยกรสนับสนุนค่เล่เรียนจก<br />
บุพกรี แต่ต่อมควมสนใจในด้นกรแพทย์ก็หมดลง เขมุ่งควมสนใจ<br />
ไปทงปรัชญ และได้รับปริญญดุษฎีบัณฑิตด้นปรัชญในค.ศ. 1924 (พ.ศ.<br />
2467) ภยใต้หัวข้อที่เป็นภษเยอรมันว่ Idee and Individuum: eian<br />
Beitrag zur Philosophie der Geschichte หรืออจแปลเป็นภษไทยได้ว่<br />
“ควมคิดและปัจเจกบุคคล: ผลงนด้นปรัชญของประวัติศสตร์” แต่<br />
ระหว่งที่เขศึกษกับริชร์ด เฮอนิคส์วลด์ (Richard Hönigswald) อจรย์<br />
10
ที่ปรึกษของเข เอไลอัสโต้เถียงกับอจรย์ที่ปรึกษในประเด็นที่ว่ ผู้คน<br />
ได้รับโลกทัศน์ทงควมคิดอย่งเช่น เวล พื้นที่ และศีลธรรมพื้นฐน ม<br />
ตั้งแต่เกิด หรือจริง ๆ แล้วควมคิดเหล่นี้เกิดจกกรเรียนรู้ทงสังคมภยใต้<br />
บริบทเฉพะทงสังคมและประวัติศสตร์ ควมไม่ลงรอยทงควมคิดนี้มี<br />
ส่วนที่ทำให้เอไลอัสหันไปสนใจศึกษสังคมวิทย (Elias et al., 1994,<br />
pp. 23–30, 91–3; Dunning and Hughes, 2013, p. 29)<br />
สภวะเงินเฟ้อหลังสงครมทำให้ฐนะทงเศรษฐกิจของครอบครัวเอไลอัส<br />
ตกตำ่ลง และก็ทำให้เขต้องหันมทำงนขยท่อให้แก่โรงงนขยวัสดุเหล็ก<br />
เป็นเวลกว่สองปีเพื่อหเลี้ยงบุพกรี ต่อมใน ค.ศ. 1925 (พ.ศ. 2468) หลัง<br />
สภวะเงินเฟ้อ เอไลอัสย้ยมที่มหวิทยลัยไฮเดลแบร์ก (the University<br />
of Heidelberg) เพื่อเริ่มต้นเส้นทงอชีพวิชกร เขได้รับตำแหน่งเป็น<br />
แคนดิเดทในโครงกรวิจัยหลังปริญญเอก (habilitation) จกอัลเฟรด<br />
เวเบอร์ (Alfred Weber) นักสังคมวิทยวัฒนธรรมผู้เป็นน้องชยของแม็กซ์<br />
เวเบอร์ (Max Weber) ภยใต้หัวข้อ The Significance of Florentine Society<br />
and Culture for the Development of Science หรืออจแปลเป็นไทยได้ว่<br />
“นัยสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมฟลอเรนซ์ที่มีต่อพัฒนกรทงควมคิด<br />
แบบวิทยศสตร์” ที่นี่เองที่เขได้พบกับคร์ล แมนไฮม์ (Karl Mannheim)<br />
ช่วงชีวิตที่ไฮเดลแบร์ก เขได้หันมศึกษด้นสังคมวิทยอย่งเต็มตัวและ<br />
มุ่งมั่นที่จะย้ยมทำงนวิชกรในศสตร์นี้ โดยในคริสต์ทศวรรษ 1920<br />
(พ.ศ. 2463–2472) วิชสังคมวิทยยังถือว่เป็นสขวิชที่เพิ่งเกิดใหม่ใน<br />
ประเทศเยอรมนี ในช่วงนั้น สขวิชสังคมศสตร์มีเนื้อหสระที่จะถูก<br />
จัดว่เป็นวิชด้นปรัชญและปรัชญทงจิตวิทยตมกรจัดประเภทของ<br />
สมัยปัจจุบัน ในทศวรรษนี้เอง เอไลอัสได้เริ่มอ่นงนของคร์ล มร์กซ์<br />
(Karl Marx) เป็นครั้งแรก ประสบกรณ์ในชีวิตนอกรั้วมหวิทยลัยส่งผล<br />
ให้เขสนใจวิชที่เชื่อมต่อกับประสบกรณ์จริงในชีวิตอย่งสังคมวิทย<br />
ประสบกรณ์ในโรงงนทำให้เขได้ใกล้ชิดกับชนชั้นแรงงนอย่งที่เขไม่เคย<br />
ได้ประสบมก่อนในชีวิต เขกล่วว่ “ผมคิดว่ประสบกรณ์ในสงครม<br />
11
และชีวิตด้นกรค้ได้เสริมสร้งควมเข้ใจของผมต่อสภพควมเป็นจริง”<br />
ช่วงที่เขอยู่ที่มหวิทยลัยไฮเดลแบร์ก (อันเป็นมหวิทยลัยที่มีชื่อเสียงมก<br />
ในด้นสังคมวิทย) ตรงกันกับช่วงที ่ ทลคอตต์ พร์สันส์ (Talcott Parsons)<br />
มเรียนปริญญเอกที่นั่นพอดี แต่ทั้งสองน่จะไม่ได้พบปะหรือรู้จักกันที่นั่น<br />
(Elias et al., 1994, pp. 30–6, 155; van Krieken, 1998, pp. 15–6; Smith,<br />
2001, p. 71; Kilminster, 2007, p. 10; Dunning and Hughes, 2013, p. 27)<br />
เอไลอัสสนใจสังคมวิทยเพระต้องกรเรียนสขวิชที่ช่วยให้เขสมรถ<br />
“เชื่อมต่อกับประสบกรณ์ในชีวิตจริง” (Elias et al., 1994, p. 35) สำหรับ<br />
เอไลอัส หกมีกรพัฒนวิชสังคมวิทยเพื่อใช้ต่อภพ “ควมเป็นจริง”<br />
ของควมสัมพันธ์ของมนุษย์ได้อย่งที่ดำเนินไป สังคมวิทยจะช่วยให้เข<br />
และมนุษยชติก้วพ้นออกไปจกมยคติต่ง ๆ และได้พบกับ “ควมเป็น<br />
จริง” ของควมสัมพันธ์มนุษย์ เอไลอัสกล่วว่ “[…]เรจำเป็นที่จะต้องได้<br />
มซึ่งควมรู้เกี่ยวกับโลกมนุษย์ที่ดูสมจริงที่สุดเท่ที่จะเป็นไปได้” (Elias<br />
et al., 1994, p. 37) ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เอไลอัสเรียกตนเองว่เป็น “นัก<br />
สัจนิยมเชิงสังคมวิทย” (“sociological realist”) (Kilminster, 2020) ควม<br />
เข้ใจต่อควมสัมพันธ์ “ตมควมเป็นจริง” เท่นั้นที่จะช่วยให้มนุษย์สมรถ<br />
ก้วข้มปัญหใหญ่ ๆ เช่น สงครม ควมตึงเครียดจกสงครมนิวเคลียร์<br />
กรฆ่่ล้งเผ่พันธุ์ เป็นต้น เพระ “ผู้คนสมรถที่จะกระทำอะไรอย่งมี<br />
เหตุผลและทำอะไรได้ดีกว่” เอไลอัสคุ้นเคยกับมยคติมตั ้งแต่ยังเด็ก<br />
มยคติแรกที่เขประสบก็คือกรที่ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 กล่วสรรเสริญ<br />
ควมรุ่งโรจน์ของเยอรมนี และต่อมเขก็ได้ประสบกับมยคติจกกร<br />
โฆ่ษณชวนเชื่อเชิงชตินิยมเพื่อกรสงครมในสงครมโลกครั้งที่ 1 มย<br />
คติดังกล่วขัดแย้งแตกต่งกับประสบกรณ์ตรงที่เขได้เห็นสงครมในแนว<br />
หน้อย่งมก (Elias et al., 1994, pp. 36–7; Elias, 1996, p. 175)<br />
จะเห็นได้ว่ประสบกรณ์ตรงของเอไลอัสในช่วงปลยยุคจักรววรดิและ<br />
สงครมโลกครั้งที่ 1 มีผลต่อโลกทัศน์ของเขมก เอไลอัส เผยว่ “[…]<br />
12
สงครมโลกครั้งที่ 1 คือจุดหักเหสำคัญ จกทั้งหมดที่ผมได้ประสบที่นั่น ผม<br />
กลับมด้วยควมตระหนักว่ มนุษย์เท่นั้นที่จะสมรถช่วยมนุษย์ด้วยกัน<br />
และผมเท่นั้นที่จะช่วยตัวผมเองได้” (Elias et al., 1994, p. 74) เขมองว่<br />
ภรกิจในกรก้วข้มมยคติต่ง ๆ ด้วยกรสร้งควมรู้ที่ใกล้เคียงกับ<br />
ควมสัมพันธ์ของมนุษย์อย่งเป็นจริงที่สุด เพื่อเป็นกรสร้งควมเข้ใจต่อ<br />
โลกที่ดีกว่ เป็นหน้ที่ของนักสังคมวิทยที่จะต้องสืบทอดต่อไปรุ่นสู่รุ่น ใน<br />
บั้นปลยของชีวิต เขยอมรับว่ภรกิจนี้ “[…]เป็นเป้หมยที่ทะเยอทะยน<br />
และเขก็ได้ทำสำเร็จเพียงส่วนหนึ่ง” เขกล่วว่เขได้ผลักดันภรกิจของ<br />
มนุษยชติที่จะสืบต่อไปจกรุ่นสู่รุ่นไปได้เพียงไม่กี่ขั้นเท่นั้น (Elias et al.,<br />
1994, p. 38) อย่งไรก็ตม เอไลอัสก็ยอมรับได้กับงนที่ทำในฐนะที่เป็น<br />
กิจกรรมกรใช้เวลว่งอย่งกรแต่งกลอน (เหมือนกับที่เอไลอัสชอบทำ)<br />
กรวดภพระบยสี หรือเรื่องมยในโลกของกรกีฬต่ง ๆ เขยำ้ว่เรื่อง<br />
ที่เป็นมยจะต้องไม่ได้มีขึ้นเพื่อจัดกรชีวิตทงสังคมของมนุษย์ (Elias et<br />
al., 1994, pp. 39–40)<br />
รวปี ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) เอไลอัสยกเลิกโครงกรวิจัยหลังปริญญเอก<br />
ดังกล่วและย้ยตม คร์ล แมนไฮม์ (Karl Manheim) จกมหวิทยลัย<br />
ไฮเดลแบร์ก ไปที่แฟร้งเฟิร์ต เพื่อไปเป็นผู้ช่วยของแมนไฮม์ แมนไฮม์เป็น<br />
ที่ปรึกษให้แก่โครงกรวิจัยหลังปริญญเอกของเอไลอัส โดยเอไลอัสเปลี่ยน<br />
มทำหัวข้อ The Court Society (“สังคมรชสำนัก” [ของประเทศฝรั่งเศส]) ใน<br />
ขณะนั้นที่แฟร้งเฟิร์ต มีนักวิชกรอย่ง แม็กซ์ ฮ็อกไคม์เมอร์ (Max Horkheimer)<br />
และธีโอดอร์ อดอร์โน (Theodor Adorno) ทำงนอยู ่ ที ่นั ่นเอไลอัส<br />
และฮ็อกไคม์เมอร์ มีควมคิดร่วมกัน โดยทั้งสองให้ควมสำคัญกับพัฒน-<br />
กรทงจิตของมนุษย์ ซึ่งมีควมสัมพันธ์ต่อมิติอื่น ๆ อย่งสังคมวิทยและ<br />
ประวัติศสตร์ (Elias et al., 1994, p. 155; van Krieken, 1998, pp. 18–19)<br />
เอไลอัสได้รับอิทธิพลจกร่องรอยทงควมคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund<br />
Freud) ที่ว่ด้วยควมสัมพันธ์อันไม่สมรถแยกออกจกกันระหว่ง<br />
13
ชีวิตทงสังคมและชีวิตทงจิต ดังที่ฟรอยด์ชี้ว่ ควมศิวิไลซ์ของมนุษย์<br />
ได้ถูกสร้งขึ้นบนกรสละซึ่งสัญชตญณของมนุษย์ (van Krieken, 1998,<br />
p. 20) ประเด็นนี้ฟรอยด์กล่วว่ “คุณค่ที่เรต้องชดใช้ในกรเสริมสร้ง<br />
อรยธรรมของเรก็คือ กรสูญเสียควมพึงพอใจในชีวิต เพระควมรู้สึก<br />
ผิดที่เพิ่มมกขึ้นในตัวเร” (Freud, 1930, p. 71 อ้งถึงใน ยศ, 2550, น. 73)<br />
เอไลอัสนำแนวคิดของฟรอยด์ไปขยยต่อ โดยยำ้ว่โครงสร้งทงจิตของ<br />
มนุษย์ถูกประกอบสร้งโดยสังคมด้วย เอไลอัสมองว่ประวัติศสตร์กร<br />
เปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของชีวิตทงจิต มีควมสัมพันธ์กับกรเพิ่มขึ้นของ<br />
กรซึมซับรับเอกรควบคุมทงสังคม เข้ไปเป็นส่วนหนึ่งของกรควบคุม<br />
ตนเอง (self-control) ในรูปแบบของลักษณะนิสัยที่แสดงถึงควมรู้สึกผิด<br />
ชอบเหมะควร (อภิอัตตหรือ super-ego) (van Krieken, 1998, p. 20) ยิ่ง<br />
ไปกว่นั้น เอไลอัสมองว่ งนของคร์ล มร์กซ์ มีประโยชน์ที่ช่วยสะท้อน<br />
ให้เห็นถึงควมสำคัญของตัวกำหนดทงสังคม (social determinism) แก่น<br />
สรของควมเป็นมนุษย์ไม่ได้แฝงฝังอยู่ในตัวมนุษย์มตั ้งแต่เกิด แต่แก่น<br />
สรของมนุษย์เป็นผลรวมของควมสัมพันธ์ทงสังคม (van Krieken, 1998,<br />
pp. 14, 17) ดังนั้น ด้วยมุมมองทงสังคมวิทยของเอไลอัส (และเช่นเดียว<br />
กับนักสังคมวิทยยุคก่อนหน้อย่งคร์ล มร์กซ์ กับแม็กซ์ เวเบอร์) ที่เน้น<br />
พัฒนกรทงประวัติศสตร์ช่วงยว 1 เอไลอัสจึงสนใจควมเปลี่ยนแปลง<br />
ของกรควบคุมตนเองของมนุษย์อันเป็นผลมจกกรผันแปรไปของควม<br />
สัมพันธ์ทงสังคม ควรกล่วด้วยว่ แม้เอไลอัสจะได้รับอิทธิพลจกงนของ<br />
มร์กซ์ แต่เอไลอัสก็ไม่ได้เชื่อเรื่องเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดแบบที่มร์กซ์<br />
ยึดถือ เอไลอัสให้ควมสำคัญกับแนวทงของเวเบอร์ที่เน้นบทบทของมนุษย์<br />
และกลุ่มทงสังคมที่มีบทบทในกรก่อรูปควมสัมพันธ์ ตลอดจนประกอบ<br />
สร้งโครงสร้งกรรับรู้และควมรู้ (van Krieken, 1998, p. 137)<br />
1<br />
ควรกล่วด้วยว่เอไลอัสปฏิเสธควมคิดแบบประวัติศสตร์นิยม (historicism) ซึ่ง<br />
เน้นว่เหตุกรณ์ทงประวัติศสตร์จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นตมลำดับ ตมพัฒนกร<br />
อันได้ถูกกำหนดไว้ก่อนโดยอัตโนมัติ (Elias, 1996, p. 102)<br />
14
ใน ค.ศ. 1933 (พ.ศ. 2476) นซีขึ้นสู่อำนจทงกรเมืองและมีอำนจมก<br />
ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสถบันด้นสังคมวิทยที่แมนไฮม์สังกัดถูกปิดตัวลง<br />
เอไลอัสจึงพยยมหงนด้นวิชกรในเมืองต่ง ๆ ที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่<br />
เขก็ไม่ได้งน เขกลับไปเยี่ยมบุพกรีที่เบรสเล ก่อนจะตัดสินใจไปหงน<br />
วิชกรที่ปรีสและก็ล้มเหลวอีกครั้ง (van Krieken, 1998, pp. 21–2) เข<br />
อศัยเงินจกบิดเปิดโรงงนของเล่นเล็ก ๆ แต่ก็หมดเงินไปกับธุรกิจนี้ เข<br />
ยอมรับว่ช่วงชีวิตที่ปรีสเป็นช่วงเวลที่ยกลำบกมก และนี่ก็เป็นช่วง<br />
เดียวในชีวิตที่เขต้องทนหิวเพระเขขดเงิน ด้วยสถนกรณ์ที่ “สิ้นหวัง”<br />
และ “ไร้อนคต” ตลอดสองปีในปรีส เขกลับไปเยี่ยมบุพกรีที่เบรสเล<br />
ก่อนจะไปลอนดอนใน ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2478) ตมคำแนะนำของเพื่อนเก่<br />
ที่ลอนดอนเขอศัยเงินจำนวนไม่มกนักจกกองทุนจกคณะกรรมกรผู้ลี้ภัย<br />
ชวยิว ในค.ศ. 1938 (พ.ศ. 2481) พ่อและแม่ของเอไลอัสเดินทงมเยี่ยมเข<br />
ที่อังกฤษ เอไลอัสโน้มน้วให้บุพกรีย้ยมที่นี่เป็นกรถวรเพระเอไลอัส<br />
เชื่อว่บุพกรีตกอยู่ในอันตรย แต่กรเปลี่ยนแปลงอย่งใหญ่หลวงและ<br />
กะทันหันแบบนี้เป็นอะไรที่มกเกินไปสำหรับทั้งสอง บุพกรีของเขเลือกที่<br />
จะอยู่ที่เบรสเล โดยบอกกับนอร์เบิร์ต เอไลอัสว่ทั้งสองจะปลอดภัยเพระ<br />
พวกเขไม่ได้ทำผิดอะไร ควรกล่วด้วยว่ในขณะนั้นชวยิวและชวเยอรมัน<br />
ยังรู้สึกว่เยอรมนียังมีเสถียรภพในฐนะที่เป็นรัฐที่ปกครองโดยรัฐธรรมนูญ<br />
กรใช้กำลังประทุษร้ยต่อร่งกยเป็นอะไรที่เกินจินตนกรในขณะนั้น<br />
(Elias et al., 1994, pp. 49–53)<br />
บิดของเขเสียชีวิตใน ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) ขณะที่ในอีกสองปีถัดม<br />
มรดของเอไลอัสถูกจับและส่งตัวไปยังค่ยกักกันชวยิวสองแห่งในเชคและ<br />
โปแลนด์ซึ่งถูกยึดครองโดยเยอรมนี มรดของเขเสียชีวิตในห้องรมแก๊ส<br />
ที่เอชวิทซ์ (Auschwitz) เอไลอัสต้องจมอยู่กับควมรู้สึกผิดและเจ็บปวดไป<br />
ตลอด จกกรที่เขไม่สมรถโน้มน้วให้บุพกรีอยู่ที่ลอนดอนได้สำเร็จ ใน<br />
บั้นปลยชีวิต เขรำลึกว่ “ผมแค่ไม่สมรถจะลบเลือนภพของคุณแม่ของ<br />
ผมในห้องรมแก๊สไปได้” เอไลอัสยังกล่วถึงควมสะเทือนใจต่อเรื่องนี้อีกด้วย<br />
15
ว่ “[...] แน่นอนผมจะไม่มีทงก้วพ้น ผมไม่มีทงจะก้วข้มเรื่องนี้ไปได้”<br />
(Elias et al., 1994, pp. 52, 79; Elias, 1996, p.x; van Krieken, 1998,<br />
pp. 28–9; Goudsblom, 2016) ผลกระทบจกกรสูญเสียมรดทำให้เอไลอัส<br />
ต้องเจ็บปวด ตกอยู่ในควมรู้สึกผิดที่ไม่สมรถช่วยมรดของตนได้ และ<br />
ในที่สุดเขก็เข้สู่กรบำบัดด้วยจิตวิเคระห์ ผลจกอุปสรรคในชีวิตที่กล่ว<br />
มทั้งหมด ทำให้เอไลอัสเขียนงนวิชกรได้ช้ลง กรตีพิมพ์เผยแพร่ผลงน<br />
วิชกรก็สะดุดลง อีกทั้งยังถูกตัดโอกสไปอย่งมกจกกรทำงนวิชกร<br />
ในมหวิทยลัยในเยอรมนีและอังกฤษ (van Krieken, 1998, pp. 31–2)<br />
รว ค.ศ. 1935–1938 (พ.ศ. 2478–2481) แม้เอไลอัสจะกังวลกับสถนกรณ์<br />
ในเยอรมนี บุพกรีของเขที่ตกอยู่ในอันตรย และอนคตที่เขมองว่ยัง<br />
“มืดมน” แต่เอไลอัสก็ “สนุกอย่งมก” กับกรใช้เวลศึกษค้นคว้เอกสร<br />
ต่ง ๆ ในห้องสมุดของบริติช มิวเซียม แรกเริ่มเดิมทีเอไลอัสตั้งใจจะเขียน<br />
เรื่องลัทธิเสรีนิยมในฝรั่งเศส ระหว่ งที่เขค้นคว้ประเด็นนี้เขพบกับหนังสือ<br />
สอนมรยทโดยบังเอิญ หนังสือเหล่นี้เป็นหลักฐนเชิงประจักษ์ต่อข้อคิด<br />
เห็นของซิกมันต์ ฟรอยด์ อันเกี่ยวกับพัฒนกรของธรรมชติของบุคลิกภพ<br />
มนุษย์ เอไลอัสจึงหันมค้นคว้ข้อมูลเกี่ยวกับจรรยมรยท และแง่มุมต่ง ๆ<br />
ของชวยุโรปในปลยยุคกลงเพื่อศึกษพัฒนกรโครงสร้งบุคลิกภพของ<br />
มนุษย์ จนกลยเป็นผลงนสำคัญของเขเรื่อง The Civilizing Process อัน<br />
ที่จริงในลอนดอน เอไลอัสได้ต่อยอดควมสนใจที่มีมแต่เดิมของเข ตั้งแต่<br />
เขยังอยู่ที่แฟร้งเฟิร์ต เขศึกษสังคมชววังของฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษ<br />
ที่ 18 เขได้ศึกษจนเขียนขึ้นเป็นร่งแรก<strong>ของหนังสือ</strong>เรื่อง The Court Society<br />
(“สังคมรชสำนัก”) (Elias et al., 1994, pp. 52–6; van Krieken, 1998,<br />
pp. 29–30)<br />
นอกจกนี้ ผลงนของเขเรื่อง The Civilizing Process ช่วยให้เขได้รับ<br />
ตำแหน่งนักวิจัยอวุโส ณ the London School of Economics and Political<br />
Science (LSE) แต่ผลจกสงครมโลกครั้งที่ 2 LSE ย้ยไปที่เมืองเคมบริดจ์<br />
16
แต่เขก็ได้อยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่เขจะถูกส่งไปที่ค่ยกักกันในอังกฤษ<br />
(van Krieken, 1998, pp. 31–2) ใน ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) จกกรที่ฝรั่งเศส<br />
พ่ยแพ้ให้แก่เยอรมนี อังกฤษกำลังเผชิญหน้กับกรบุกโจมตีจกกองทัพ<br />
เยอรมัน รัฐบลของเชอร์ชิลซึ่งตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ได้ตัดสินใจกัก<br />
ตัวพลเมืองเยอรมันในสหรชอณจักรทุกคน เอไลอัสถูกกักตัวไว้ที่แคมป์<br />
ฮุยตัน (Camp Huyton) ใกล้กับเมืองลิเวอร์พูล (Liverpool) และต่อมที่<br />
ไอเอิล ออฟ แมน (the Isle of Man) รว 8 เดือน และหลังจกสงครมโลก<br />
ครั้งที่ 2 ยุติลง เอไลอัสหันเหควมสนใจของเขออกจกประเด็นเยอรมัน<br />
ศึกษไปกว่ 17 ปี สเหตุสำคัญมจกกรพยยมแยกควมรู้สึกเพื่อ<br />
เอใจออกห่งจกควมเจ็บปวดที่เขต้องสูญเสียมรดผู้เสียชีวิตในเอชวิทซ์<br />
ขณะที่เขได้ลี้ภัยอยู่ในอังกฤษ กรเอใจออกห่งจกประเด็นเรื่องเยอรมนี<br />
จึงเป็นเสมือนกลไกในกรปกป้องเขจกควมเจ็บปวดทงจิตใจ อย่งไร<br />
ก็ตม เอไลอัสก็ได้กลับมเผชิญหน้และเอชนะกรถอนควมรู้สึกที่เคย<br />
กระทำม ด้วยกรเขียนเรื่องรวเกี่ยวกับกรฆ่่ล้งเผ่พันธุ์และกรพังทลย<br />
ของควมศิวิไลซ์ในเยอรมนีภยใต้ระบอบนซี จนเป็นที่ม<strong>ของหนังสือ</strong>ของ<br />
เขที่มีชื่อว่ The Germans: Power Struggles and the Development of<br />
Habitus in the Nineteenth and Twentieth Centuries (1996) [หรืออจ<br />
แปลเป็นไทยได้ว่ “คนเยอรมัน: กรต่อสู้ชิงอำนจและพัฒนกรของ<br />
ฮบิตัสในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20”] ผลงนชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็น<br />
ภษเยอรมันในปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) (Elias, 1996, p.x; van Krieken,<br />
1998, p. 30; Smith, 2001, pp. 52–3; Mennell, 2015, pp. 2–3)<br />
ใน ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482) The Civilizing Process ได้ตีพิมพ์ออกมในช่วง<br />
สงครมโลกครั้งที่ 2 พอดี หลังสงครมหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ถูกทำลยไปพร้อม<br />
กับควมพินศย่อยยับของกรโจมตีสู้รบ แม้ว่หนังสือจะยังมีสภพดีอยู่<br />
แต่หนังสือก็ขยไม่ได้ เอไลอัสกล่วว่ “ไม่มีใครอยกซื้อหนังสือเล่มนี้”<br />
(Elias et al., 1994, p. 61) อย่งไรก็ตม ในปลยคริสต์ทศวรรษ 1960<br />
(รว พ.ศ. 2510–2512) The Civilizing Process ได้รับกรอ่นอย่งกว้งขวง<br />
17
ในหมู่นักศึกษสังคมวิชกรชวเยอรมันและดัตช์ งนชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์เป็น<br />
ภษเยอรมันอีกครั้งในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ซึ่งก่อนหน้นั้นงนชิ้นนี้<br />
ไม่สมรถเข้ถึงได้มกว่ 30 ปีในเยอรมนี นักเรียนสังคมวิทยอ่นงน<br />
ชิ้นนี้ควบคู่ไปกับงนของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) อย่ง Discipline<br />
and Punish [หรืออจแปลเป็นไทยได้ว่ “ระเบียบวินัยและกรลงโทษ] ใน<br />
ฐนะที่เป็นงนศึกษชีวิตในสังคมสมัยใหม่ The Civilizing Process ได้ถูก<br />
แปลเป็นภษฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1973–1974 (พ.ศ. 2516–2517) และกลยเป็น<br />
หนังสือขยดี ยิ่งไปกว่นั้น ในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) สมคมสังคมวิทย<br />
นนชติ (International Sociological Association) ได้ทำกรสำรวจควม<br />
คิดเห็นว่หนังสือเล่มใดเป็นหนึ่งใน 10 เล่มที ่ทรงอิทธิพลที ่สุดสำหรับนักสังคม<br />
วิทยตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทั้งนี้ก็เพื่อประเมินมรดกทงปัญญด้น<br />
สังคมวิทย ผลกรจัดลำดับรยชื่อหนังสือโดยสมชิกของสมคมกว่ 455<br />
คน ปรกฏว่ The Civilizing Process เป็นหนังสือที่ทรงอิทธิพลลำดับที่ 7<br />
ในอังกฤษ คริสต์ทศวรรษ 1940 (พ.ศ. 2483–2492) หลังจกที่เอไลอัสถูก<br />
ปล่อยตัวออกมจกกรกักตัว เขสอนหนังสือให้แก่นักเรียนภคคำ่ที่<br />
สมคมกรศึกษของแรงงน (the Workers’ Educational Association) และ<br />
มหวิทยลัยเลสเตอร์ (the University of Leicester) โดยเขสอนวิชสังคม<br />
วิทย จิตวิทย และประวัติศสตร์เศรษฐกิจ ในปี ค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495)<br />
เขได้รับสัญชติอังกฤษ และในที่สุดในค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) เอไลอัสใน<br />
วัย 57 ปีก็ได้รับตำแหน่งอจรย์ประจำที่มหวิทยลัยเลสเตอร์ เขทำงน<br />
อยู่ที่มหวิทยลัยแห่งนี้มอย่งต่อเนื่อง เว้นเพียงช่วงเวล 2 ปี ระหว่ง<br />
ค.ศ. 1961–1963 (พ.ศ. 2504–2506) ที ่เขไปสอนสังคมวิทยในประเทศกน<br />
(Elias et al., 1994, pp. 62–5; van Krieken, 1998, pp. 32–5; Goudsblom,<br />
2016; Waddington and Mennell, 2019, p. 22)<br />
ที่มหวิทยลัยเลสเตอร์ เอไลลัสเผชิญหน้กับกระแสต่อต้นประวัติศสตร์<br />
นิยม (“anti-historicist” current) ในแวดวงกรศึกษสังคมวิทยในขณะนั้น<br />
18
จอห์น โกลด์ธอร์ป (John Goldthorpe) เป็นหนึ่งในผู้ที่วิพกษ์วิจรณ์วิธีกร<br />
ศึกษเชิงประวัติศสตร์ของเอไลอัส นอกจกนี้ เอไลอัสยังได้พบกับแอนโธนี<br />
กิดเดนส์ แม้ว่กิดเดนส์จะไม่ได้รับอิทธิพลทงควมคิดด้นสังคมวิทยจก<br />
เอไลอัส แต่กิดเดนส์ก็ประทับใจในตัวเอไลอัส โดยกิดเดนส์ยกเอไลอัสเป็น<br />
นักสังคมวิทยผู้เป็นแบบอย่งในควมมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้หมยต่อโครงกร<br />
ศึกษสังคมวิทยขนนใหญ่อย่งไม่หยุดหย่อนตลอดระยะเวลหลยปี<br />
(Dunning and Hughes, 2013, pp. 32–3, 173)<br />
อย่งไรก็ตม ชีวิตทงวิชกรที่มหวิทยลัยเลสเตอร์ของเอไลอัสก็ไม่ได้<br />
รบรื่น กล่วคือ จวบจนปี ค.ศ. 1965 ผลงนชิ้นสำคัญของเขที่เป็นภษ<br />
อังกฤษมีเพียง Problems of Involvement and Detachment (“ปัญหต่ง ๆ<br />
ของกรพัวพันและกรแยกออก”) และ The Established and the Outsiders<br />
(“พวกมีหลักปักฐนและคนนอก”) เท่นั้น ขณะที่งนอย่ง The Civilizing<br />
Process และ What is Sociology? เพิ่งจะมีฉบับที่แปลเป็นภษอังกฤษในปี<br />
ค.ศ. 1978 เพระฉะนั้นแล้วจกคำบอกเล่ของริชร์ด คิลมินสเตอร์ (Richard<br />
Kilminster) เพื่อนต่งวัยของเอไลอัสในคริสต์ทศวรรษ 1970 (พ.ศ. 2513–<br />
2522) (ผู้ที่เป็นนักศึกษระดับปริญญโทในขณะนั้น และต่อมจะกลยเป็น<br />
นักสังคมวิทย) ได้บอกเล่ประสบกรณ์ตรงของเขว่ คนในอังกฤษจำนวน<br />
มกไม่เข้ใจในสิ่งที่เอไลอัสนำเสนอ จึงทำให้นักวิชกรจำนวนหนึ่งมองว่<br />
เอไลอัสไม่ได้มีควมคิดใหม่ๆ อะไร และพูดจซำ้ซกครำ่ครึ ขณะที่นักวิช<br />
กรในอังกฤษส่วนหนึ่งไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อของเอไลอัส ผลก็คือ ตลอดช่วง<br />
เวลในอชีพวิชกรที่อังกฤษ เอไลอัสรู้สึกสิ้นหวังและเจ็บปวด (Mennell,<br />
2018; Kilminster, 2020) เอไลอัสเองก็รู้สึกว่เขเป็น “คนนอก” และ “[…]<br />
ไม่เคยเรียกตนเองว่เป็นคนอังกฤษ” (Elias et al., 1994, pp. 62, 67) นัก<br />
วิชกรรุ่นใหม่หลยต่อหลยคนชื่นชมนักสังคมวิทยอเมริกัน โดยเฉพะ<br />
อย่งยิ่งแนวคิดเชิงหน้ที่นิยม แต่นักวิชกรรุ่นใหม่หลยคนมองว่เอไลอัส<br />
มีมุมมอง “แปลกประหลด” “โบรณ” และ “ล้สมัย” เมื่อเอไลอัสนำเสนอ<br />
ควมคิดใหม่ๆ อย่งเช่นแนวคิดเรื่องกรวิเคระห์สรรพนม เขกลับได้รับ<br />
19
กรโต้แย้งอย่งรุนแรงจกนักวิชกรรุ่นใหม่ แทบจะไม่มีครั้งใดเลยที่เอไลอัส<br />
มีโอกสได้พูดจนจบ เพระนักวิชกรรุ่นใหม่จะพูดแทรกและโต้เถียงขึ้นม<br />
ก่อน อย่งไรก็ตม เอไลอัสก็ไม่ได้สูญเสียควมเชื่อมั่นในตัวเองไป เขกล่ว<br />
ว่หกเขยอมรับแนวคิดอันเป็นที่ยอมรับกันอยู่อย่งกว้งขวงในอังกฤษ<br />
ชีวิตของเขก็คงจะง่ยกว่ที่เป็น แต่เขก็ยืนยันที่จะไม่ประนีประนอมทง<br />
ควมคิด เขเชื่อมั่นอยู่เสมอว่เขจะทำในสิ่งที่เขมุ่งหวังและคิดว่สำคัญ<br />
ตมแนวทงของเขได้สำเร็จ โดยที่ไม่มีใครจะสมรถมสั่นคลอนควม<br />
ศรัทธของเขลงได้<br />
ในปี ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) หลังจกที่เอไลอัสกลับจกกน มประจำที่<br />
มหวิทยลัยเลสเตอร์ด้วยสัญญแบบปีต่อปี นับแต่ช่วงเวลนี้เองเอไลอัส<br />
สมรถกลับมเขียนงนได้อย่งมีประสิทธิผลอีกครั้งเหมือนกับช่วงก่อน<br />
สงครมโลกครั้งที่ 2 เขร่วมงนกับเอริก ดันนิง (Eric Dunning) และเขียน<br />
ผลงนสำคัญชิ้นหนึ่งในประเด็นสังคมวิทยกรกีฬ งนชิ้นดังกล่วคือ<br />
Quest for Excitement: Sport and Leisure in the Civilizing Process (1986)<br />
(หรืออจเป็นไทยได้ว่ “บนหนทงสู่ควมตื่นเต้น: กีฬและกรใช้เวลว่ง<br />
ในกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์”) งนชิ้นนี้ให้ตัวแบบและหลักฐนเชิงประจักษ์<br />
อันแสดงถึงกรวิเคระห์กีฬในแง่กรควบคุมและจัดกรอรมณ์และควม<br />
รุนแรงในหลยยุคสมัย เช่น ยุคนครรัฐ รัฐจรีต และรัฐสมัยใหม่ เป็นต้น<br />
(Elias and Dunning, 1986; van Krieken, 1998, p. 36)<br />
เอไลอัสได้รับกรยอมรับในทงวิชกรมกขึ้นเรื่อย ๆ ในยุโรปภคพื้นทวีป<br />
แต่กลับไม่ใช่อังกฤษที่ซึ่งเอไลอัสสอนหนังสือและทำวิจัยอยู่ ตั้งแต่ ค.ศ. 1965<br />
(พ.ศ. 2508) ซึ่งในขณะนั้นเอไลอัสอยุ 68 ปี เขดำรงตำแหน่งนักวิชกร<br />
รับเชิญจกมหวิทยลัยหลยแห่งในยุโรปภคพื้นทวีป ในฮอลแลนด์ ได้แก่<br />
อัมเสตอร์ดัม (Amsterdam) และกรุงเฮก (The Hague) และในเยอรมนี ได้แก่<br />
มึนสเตอร์ (Münster) คอนสแตนซ์ (Konstanz) อเคน (Achen) แฟร้งเฟิร์ต<br />
(Frankfurt) โบคุ่ม (Bochum) และบีเลเฟลด์ (Bielefeld) นอกจกนี้ ในปี<br />
20
ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) The Court Society ซึ่งเขียนขึ้นในต้นคริสต์ทศวรรษ<br />
1930 (พ.ศ. 2473–2476) ก็ถูกตีพิมพ์หนแรกเป็นภษเยอรมัน และจกนั้น<br />
ไม่นนงนของเขอีกชิ้นเรื่อง What is Sociology? [หรืออจแปลเป็นไทย<br />
ว่ “สังคมวิทยคืออะไร?”] ก็ตีพิมพ์เป็นภษเยอรมัน จึงกล่วได้ว่นับเป็น<br />
ครั้งแรกที่เอไลอัสได้รับกรยอมรับจกสังคมเยอรมัน (โดยเฉพะอย่งยิ่ง<br />
วงวิชกรเยอรมัน) อันเป็นบ้นเกิดของเข หลังจกที่เขถูกปฏิเสธในช่วง<br />
สงครมโลกครั้งที่ 2 ยิ่งไปกว่นั้น ภยใน ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) ชื่อของ<br />
เอไลอัสได้รับกรยอมรับว่เป็นนักสังคมวิทยที่สำคัญในระดับนนชติเป็น<br />
ครั ้งแรก (Elias et al., 1994, pp. 155–6; Garrigou and Lacroix, 1994, p. 4;<br />
van Krieken, 1998, pp. 34–7; Smith, 2001, p. 72; International Sociological<br />
Association, 2019)<br />
ในคริสต์ทศวรรษ 1970 (พ.ศ. 2513–2522) ที่อัมสเตอร์ดัม จกคำบอกเล่<br />
ของคิลมินสเตอร์ เขเล่ว่เอไลอัสรู้สึกดีใจอย่งมก ที่มีคนเข้ใจควมคิด<br />
ทงสังคมวิทยของเข หลังจกที่เอไลอัสต้องเจ็บปวดมอย่งยวนนจก<br />
กรไม่เป็นที่ยอมรับในวงวิชกรที ่ประเทศอังกฤษ (Kilminster, 2020) ในปี<br />
ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) บทควมเชิงเสียดสีในหนังสือพิมพ์ของนักศึกษบ่ง<br />
ชี้ให้เห็นถึงคำชื่นชมต่อเอไลอัสเป็นอย่งมก ส่วนหนึ่งของบทควมกล่วว่<br />
“ในสถบันด้นสังคมวิทยและกรสัมมนด้นประวัติศสตร์ น้อยมก<br />
ที่จะพูดถึงเรื่องอื่นที่นอกเหนือไปจกเอไลอัส เอไลอัส และก็เอไลอัส<br />
นั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้งเข้ใจได้ เพระเอไลอัสคือสิ่งที่พระเจ้ประทน<br />
ลงม เอไลอัสถูกประทนลงมเพื่อนักสังคมศสตร์ผู้ไม่หลงเชื่อควมคิด<br />
ลวงต [เพื่อนักสังคมศสตร์] ผู้สูญเสียควมศรัทธต่อสังคมศสตร์<br />
สกุลอเมริกัน [...เข]จัดกรเติมเต็มช่องว่งแห่งควมสงสัยและสิ่งที่<br />
น่กังขด้วยควมคิดใหม่ทั้งหมด” (Spinhuis, 1993, p. 2 อ้งถึงใน van<br />
Krieken, 1998, p. 38)<br />
21
ต่อมในปี ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) เอไลอัสได้รับปริญญดุษฎีบัณฑิต<br />
กิตติม ศักดิ์จกมหวิทยลัยบีเลเฟลด์ (the University of Bielefeld) เข<br />
ได้รับรงวัล the Theodor Adorno Prize จกเมืองแฟร้งเฟิร์ต และได้รับ<br />
ตำแหน่งศสตรจรย์เกียรติคุณจกมหวิทยลัยแฟร้งเฟิร์ต (Elias et al.,<br />
1994, pp. 66–7, 76; van Krieken, 1998, pp. 32–5; Dunning and Hughes,<br />
2013, pp. 38–9; Goudsblom, 2016; Waddington and Mennell, 2019,<br />
p. 22; Kilminster, 2020) และก็เป็นช่วงชีวิตในยุโรปภคพื้นทวีปนี้เองที่<br />
เอไลอัสตระหนักว่เขได้รับควมเครพอย่งสูง แต่เขไม่ได้คิดว่นี่คือ<br />
ควมสำเร็จอะไร ช่วงนี้เองเขเริ่มรู้สึกว่งนวิชกรที่เขทำไปจะไม่สูญหย<br />
และสูญเปล่ เขมีกำลังใจมกขึ้นที่จะทำควมปรรถนของเขให้เป็นจริง<br />
ขึ้นม ซึ่งก็คือควมพยยมต่อไปที่จะทำให้ผลงนของเขกลยเป็น<br />
ส่วนหนึ่งของกรสืบทอดวิชสังคมวิทย (Elias et al., 1994, p. 73)<br />
ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) เขย้ยกลับไปที่ยุโรปภคพื้นทวีปเป็นกรถวร เข<br />
ทำงนวิชกรและสอนหนังสือที่เยอรมนี ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ เข<br />
ปักหลักอยู่ที่บีเลเฟลด์ระหว่ง ค.ศ. 1978–1984 (พ.ศ. 2521–2527) ช่วงเวล<br />
นี้เองเขผลิตผลงนวิชกรได้หลยชิ้น แม้ว่เขจะมีปัญหด้นกรมอง<br />
เห็น แต่เขก็สมรถทำงนได้ภยใต้กรช่วยเหลือของบรรดผู้ช่วยผู้เป็น<br />
นักศึกษระดับบัณฑิตศึกษด้นสังคมวิทย ช่วงบั้นปลยชีวิตของเข เข<br />
พยยมสนต่องนเขียนเดิมของเขจนตีพิมพ์ออกมเป็นหนังสืออย่ง The<br />
Society of Individuals [ซึ่งอจแปลได้ว่ “สังคมของปัจเจกชน”] และ Involvement<br />
and Detachment [หรืออจแปลเป็นไทยว่ “ควมพัวพันและกร<br />
แยกออก”] ควรกล่วด้วยว่ผลงนเรื่อง The Society of Individuals ซึ่งขณะ<br />
นั้นยังมีเพียงฉบับภษเยอรมันได้รับรงวัล the European Amalfi Prize ใน<br />
ฐนะที่เป็นหนังสือที่ดีที่สุดที่ตีพิมพ์ในทวีปยุโรปในช่วงปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ.<br />
2530) ยิ่งไปกว่นั้น เขยังเขียน The Loneliness of the Dying [หรือ “ควม<br />
อ้งว้งโดดเดี่ยวของคนใกล้ตย”] หนังสือเล่มนี้ถูกแปลเป็นภษฝรั่งเศส<br />
โดยมิเชล ฟูโกต์ แต่ไม่เคยถูกตีพิมพ์ และนับจก ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528)<br />
22
เอไลอัสย้ยไปที่อัมสเตอร์ดัมและเขียนงนวิชกรอย่ง Time [หรือ “เวล”]<br />
และ The Symbol Theory [หรือ “ทฤษฎีสัญลักษณ์”] ในปีดังกล่วปิแอร์<br />
บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) ผู้ประทับใจในงนเกี่ยวกับสังคมวิทยกรกีฬ<br />
ของเอไลอัส ได้เชื้อเชิญให้เอไลอัสไปบรรยยพิเศษที่ประเทศฝรั่งเศส (Elias,<br />
1991; Elias, 1996, p. x; van Krieken, 1998, pp. 31–9; Dunning and<br />
Hughes, 2013, p. 39)<br />
เอไลอัสในบั้นปลยชีวิต เขมองย้อนกลับไปว่ เขสืบทอดภรกิจกรสร้ง<br />
ตัวแบบทงสังคมวิทยสำหรับทำควมเข้ใจถึงพลวัตควมเปลี่ยนแปลง<br />
ควมสัมพันธ์ทงสังคมได้เพียงไม่กี่ขั้นเท่นั้น (Elias et al., 1994, p. 38)<br />
และเอไลอัสก็มองกรณ์ไกลว่ กว่ที่ดวงอทิตย์จะดับสูญก็ต้องใช้เวลอีก<br />
สมพันล้นปี มนุษย์ยังคงมีเวลอีกมกที่จะบรรลุเป้หมยด้วยกรพบทง<br />
ออกและแก้ปัญหต่ง ๆ ของมนุษย์ได้ (Kilminster, 2020) ในปี ค.ศ. 1990<br />
(พ.ศ. 2533) เขได้รับ “รงวัลโนนิโนแด่ปรมจรย์แห่งยุคสมัยของพวกเร”<br />
(Nonino Prize to a Master of our Time) ซึ่งให้รงวัลแก่บุคคลผู้มีบุคลิก-<br />
ภพแห่งยุคสมัย เขเดินทงไปรับรงวัลที่เมืองแปร์โคโต (Percoto) ประเทศ<br />
อิตลีและล้มป่วย (van Krieken, 1998, p. 40; Premio Nonino, 2016b)<br />
คณะผู้จัดมอบรงวัลโนนิโนได้กล่วถึงเอไลอัสว่เป็น “นักเขียนคลสสิคของ<br />
ควมคิดสมัยใหม่ […ผู้]ได้มุ่งควมสนใจต่อมุมมองเกี่ยวกับข้อห้มร่วมสมัย<br />
ที่มีต่อควมตย ด้วยกรอธิบยถึงควมหมยและคุณค่” “[...เข]อุทิศ<br />
งนวิจัยของเขที่ศึกษควมสัมพันธ์ต่ง ๆ ระหว่งผู้คนที่อยู่ในอำนจและ<br />
ชีวิตในชุมชนเช่นเดียวกับกรศึกษกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์” (Premio<br />
Nonino, 2016b) หลังจกที ่เอไลอัสกลับจกอิตลี เอไลอัสพำนักอยู่ที่<br />
อัมสเตอร์ดัมจวบจนสิ้นอยุขัยด้วยอกรปอดติดเชื้อที่บ้นของเขในวันที่<br />
1 สิงหคม ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) เขเสียชีวิตในวัย 93 ปี (Elias et al.,<br />
1994, p. 156; van Krieken, 1998, p. 40)<br />
23
รูป 4: Über den Prozeß der Zivilisation หรือ The Civilizing Process ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก<br />
เป็นภษเยอรมัน หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ที่บเซิล สวิสเซอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1939<br />
(ถ่ยจกห้องสมุด Staats- und Universitätsbibliothek ของ<br />
The University of Hamburg ในเยอรมนี เมื่อวันที่ 14 กันยยน 2020)<br />
รูป 5: The Civilizing Process ฉบับตีพิมพ์ปี ค.ศ. 2000<br />
(ถ่ยโดยผู้เขียน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกยน 2020)<br />
24
3. แนวคิดเรื่องกระบวนกร<br />
สู่ควมศิวิไลซ์และพัฒนกรรัฐ<br />
บนกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์<br />
สำหรับเอไลอัส คำว่ “ควมศิวิไลซ์” มิได้หมยถึงคุณลักษณะที่มีควม<br />
หมยตรงข้มกับ “ควมป่เถื่อน” “ควมไร้อรยะ” “ควมไม่ศิวิไลซ์” อย่ง<br />
ที่ชวยุโรปตะวันตก หรือแม้แต่ชนชั้นนำสยมสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 20<br />
ยึดถือเป็นมุมมอง ยิ่งไปกว่นั้น ผู้คนในยุคคริสต์ศตวรรษดังกล่วมักจะมี<br />
แนวโน้มที่จะมองว่ ตนเองและยุคสมัยของเขมีมตรฐนควมศิวิไลซ์และ<br />
ควมเป็นเหตุผล (rationality) สูงส่งกว่ควมป่เถื่อนไร้เหตุผลทั้งหลย<br />
ในยุคก่อนหน้อยู่มก หรือผู้คนเหล่นี้อจจะเชื่อในควมก้วหน้ของ<br />
มนุษยชติอีกด้วย อย่งไรก็ตม เอไลอัสมองว่อัตลักษณ์ศิวิไลซ์ที่ชวยุโรป<br />
ตะวัน ตก หรือใครต่อใครที ่เชื่อในควมศิวิไลซ์สูงส่งกว่ของตน มีเหตุมีผล<br />
รวมถึงเชื่อมั่นในศักยภพของมนุษย์ เป็นเพียงมิติภพตัวตน (self-image)<br />
ซึ่งอจจะไม่สัมพันธ์กับกรกระทำของพวกเขที่ได้ปฏิบัติออกม ตลอดจน<br />
ผลจกควมเชื่อดังกล่วอจจะไม่ได้ดำรงอยู่จริงเลยก็ได้ (Elias, 1996,<br />
p. 302)<br />
สำหรับเอไลอัส กรกระทำที่ “ศิวิไลซ์” นอกจกจะเป็นผลมจกกรแสดง<br />
ออกของภพตัวตน (self-image) เอไลอัสยังมองว่กรกระทำนี้ยังอจจะ<br />
เป็นผลมจกกรเรียนรู้ทงสังคมที ่มนุษย์จะสมรถควบคุมตนเอง (selfcontrol)<br />
ให้ประพฤติไม่รุนแรงและประณีตในระดับมตรฐนที่แตกต่งไป<br />
ตมสังคมและยุคสมัย เพระฉะนั้น “ควมศิวิไลซ์” ที่เอไลอัสสนใจศึกษ<br />
จึงมี 2 มิติ คือ 1) ภาพตัวตน (self-image) ที่บุคคลหนึ่งแสดงออกมให้เห็น<br />
25
แต่ภพตัวตนนี้อจสอดคล้องหรือขัดแย้งกับ 2) การควบคุมตนเอง (selfcontrol)<br />
ก็ได้ กรศึกษระดับควมศิวิไลซ์ในมิติด้นกรควบคุมตนเอง<br />
เอไลอัสพุ่งควมสนใจไปที่มตรฐนกรเรียนรู้ทงสังคมในกรควบคุมกร<br />
ใช้ควมรุนแรงและประพฤติอย่งประณีตที่เปลี่ยนแปลงไปในรอบศตวรรษ<br />
หรือมก กว่นั้น มตรฐนควมศิวิไลซ์ครอบคลุมในทุกมิติของชีวิตมนุษย์<br />
ไล่ไปตั้งแต่กรลงโทษต่อข้ศึกผู้แพ้ในยุคกลงด้วยกรเฉือนอวัยวะ กรไล่<br />
ทำร้ยร่ง กยกันของชวนอังกฤษต่งหมู่บ้นในกรเล่นฟุตบอลในยุคกลง<br />
กรป้ยขี้มูกบนโต๊ะอหรของชวยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 15 กรประสบ<br />
คนใกล้ตยทุรนทุรยตมที่สธรณะอย่งเป็นเรื่องปรกติของยุคกลง และ<br />
เปลี่ยนไปเป็นทัศนคติหรือมตรฐนที่รับไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่วทั้งหมด<br />
อย่งสิ้นเชิง (Elias and Dunning, 1986; Elias, 2000; Elias, 2001) อย่งไร<br />
ก็ตม มตรฐนควมศิวิไลซ์ของแต่ละยุคสมัยสมรถพังครืนลงได้ ทั้งนี้<br />
หกผู้คนมีปฏิสัมพันธ์ไปในทงตรงข้มกับมตรฐนดังที่เกิดขึ้นกับชว<br />
เยอรมันในยุคสงครมโลกครั้งที่ 2 (Elias, 1996)<br />
เนื่องจกเอไลอัสพิจรณควมศิวิไลซ์ในมิติกรควบคุมตนเองด้วย กร<br />
ควบคุมตนเองเป็นกรเรียนรู้ที่เกิดจกกรที ่มนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคม ใน<br />
ทุกพัฒนกรของสังคมไม่ว่จะเป็นสังคมแบบชนเผ่ นครรัฐ หรือรัฐรวม<br />
ศูนย์อำนจทงกรเงินและควมรุนแรง ฯลฯ มตรฐนควมรุนแรง กร<br />
ควบคุมตนเองและระดับพฤติกรรมจรรยอันประณีตของแต่ละสังคมมีควม<br />
แตกต่งกันไปตมควมสัมพันธ์ระหว่งมนุษย์ เอไลอัสจึงมองว่ “ใน<br />
พัฒนกรทงสังคมของสยพันธุ์มนุษย์ ไม่มีจุดเริ่มต้นที่ไร้ควมศิวิไลซ์โดย<br />
สิ้นเชิง [...] หรืออีกนัยหนึ่ง กระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์เป็นกระบวนกรทง<br />
สังคมที่ไร้กรเริ่มต้นอย่งแท้จริง” 1 แนวคิดเรื่องควมศิวิไลซ์ของเอไลอัสจึง<br />
1<br />
เอไลอัสกล่วว่ “in the social development of the human species [, there is] no<br />
zero-point of civilization. […] A civilizing process, in other words, is a process without<br />
absolute beginning.” (Elias and Dunning, 1986, p. 46)<br />
26
มีจุดเน้นอยู่ที่กรศึกษระดับพัฒนกรเครือข่ยควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิง<br />
พัวพันและต่อรองของมนุษย์ที่นำไปสู่สังคมซึ่งมีควมสงบและระงับกรใช้<br />
ควมรุนแรงภยในพื้นที่สังคมในระดับหนึ่ง ๆ เอไลอัสพิจรณว่ในสังคม<br />
ดังกล่ว มีระดับควมละเอียดประณีตในกิจวัตรประจำวัน ตลอดจนระดับ<br />
กรควบคุมตนเองผันแปรไปมกน้อยอย่งไร (Elias, 2000)<br />
เอไลอัสพัฒนแนวคิดกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ขึ้นจกกรสังเคระห์<br />
ควมคิดของคร์ล มร์กซ์ และซิกมันด์ ฟรอยด์ เอไลอัสพิจรณแนวคิด<br />
ของมร์กซ์เรื่องวัตถุนิยมเชิงประวัติศสตร์ เพื่อสะท้อนพัฒนกรควม<br />
สัมพันธ์ทงกรผลิตในยุโรปตะวันตกอันส่งผลต่อโครงสร้งบุคลิกภพ<br />
สำหรับกรพิจรณถึงโครงสร้งบุคลิกภพ เอไลอัสได้รับอิทธิพลทงควม<br />
คิดจกฟรอยด์ เอไลอัสวิเคระห์ว่ชีวิตในทงจิต (psychic life) ของมนุษย์<br />
มีพลวัตอย่งไร ตลอดจนพัฒนกรควมสัมพันธ์ทงกรผลิตและควม<br />
สัมพันธ์ชุดอื ่น ๆ (เช่น ควมสัมพันธ์แบบรัฐรวมศูนย์อำนจทงกรเงินและ<br />
ควมรุนแรง) กล่วคือ กรควบคุมพฤติกรรมตนเอง (self-control) ในทุก<br />
มิติของชีวิตและรวมถึงควมก้วร้วรุนแรง ได้ถูกยับยั้งในระดับสูงขึ้นหรือไม่<br />
อย่งไร บนพัฒนกรทงเศรษฐกิจสังคมกรเมืองต่ง ๆ โดยเฉพะอย่ง<br />
ยิ่งกรผูกขดควมรุนแรงของรัฐตมที่แม็กซ์ เวเบอร์ได้นำเสนอเอไว้<br />
(Elias, 2000; van Krieken, 1998, p. 84; เวเบอร์, 2560, น. 33–6)<br />
นอกจกนี้ เอไลอัสยังได้รับอิทธิพลจกกรศึกษพัฒนกรสังคมโดยมี<br />
หน่วยวิเคระห์แบบประวัติศสตร์ช่วงยวตมแนวทงของทั้งมร์กซ์ และ<br />
เวเบอร์2 กรวิเคระห์ของเวเบอร์ ถึงกรถือกำเนิดของกรสะสมทุนใน<br />
ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของชวคริสต์โปรแตสแตนท์ ชี้ให้เห็นว่กร<br />
ศึกษระบบสังคมหนึ่ง ๆ เช่น สังคมทุนนิยม จะต้องมองถึงกรเปลี่ยนแปลง<br />
ทงสังคมที่เกิดขึ้นในระยะยว และกรเปลี่ยนแปลงนี้ก็เกิดจกพฤติกรรม<br />
2<br />
ดู มร์กซ์, 2561; Weber, 2005, pp. 3–4, 13–26; Marx, 1965; Marx and Engels, 2010.<br />
27
ที่ชวคริสต์ผู้เคร่งศสนปฏิบัติอย่งต่อเนื่องยวนน โดยที่ไม่มีใครรู้ว่ผล<br />
ในบั้นปลยจะเกิดระบบเศรษฐกิจสังคมใหม่ขึ้นม แนวคิดกรศึกษควม<br />
เปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมบนประวัติศสตร์ช่วงยว บนควมไม่ได้ตั้งใจ<br />
ของมนุษย์คนใดคนหนึ่งว่สุดท้ยแล้วผลของพฤติกรรมจะนำไปสู่ผลลัพธ์<br />
อะไร อิทธิพลของมร์กซ์และเวเบอร์ สมรถเห็นได้จกกรวิเคระห์ของ<br />
เอไลอัสเรื่องพัฒนกรของกรควบคุมตนเองที่มนุษย์ในยุโรปตะวันตกมีเพิ่ม<br />
ขึ้นตลอดประวัติศสตร์หลยศตวรรษ พัฒนกรนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ กล่ว<br />
คือ ไม่มีใครได้วงแผนล่วงหน้ว่ตลอดหลยศตวรรษข้งหน้จะต้องมีควม<br />
ศิวิไลซ์หรือกรควบคุมพฤติกรรมตนเองของมนุษย์เพิ่มขึ้น (van Krieken,<br />
1998, p. 52; Weber, 2005; Elias, 2000)<br />
ใน The Civilizing Process เอไลอัสตั้งคำถมว่ตั้งแต่ปลยคริสต์ศตวรรษ<br />
ที่ 18 เป็นต้นม เหตุใดควมศิวิไลซ์จึงกลยเป็นภพตัวตน (self-image)<br />
ของบรรดชวยุโรปตะวันตก เอไลอัสสนใจศึกษกระบวนกรกรเกิดขึ้น<br />
และดำเนินไปของกรผลิตภพ ตัวตนที่ชวยุโรปสร้งว่ตนศิวิไลซ์กว่ชว<br />
เอเชียและแอฟริกผู้มีควมล้หลังป่เถื่อนกว่ตน เอไลอัสตอบคำถมนี้ด้วย<br />
กรพิจรณทั้งภพตัวตนและกรควบคุมพฤติกรรมจรรยที ่เปลี ่ยนแปลงไป<br />
ด้วยกรสืบย้อนกลับไปพิจรณภพตัวตนและกรยับยั้งชั่งใจของชวยุโรป<br />
หลยศตวรรษก่อนกรโผล่ขึ้นมของอัตลักษณ์ศิวิไลซ์ซึ ่งกลยมเป็นอัต<br />
ลักษณ์ร่วมกันของชวยุโรป ดังนั้น เอไลอัสจึงสืบหพลวัตของควมสัมพันธ์<br />
เชิงพึ่งพิงต่อรองทงเศรษฐกิจ กรเมืองและวัฒนธรรมของยุโรปตะวันตก<br />
ตั้งแต่รวคริสต์ศตวรรษที่ 8 ว่มีผลต่อกรก่อตัวอย่งช้ ๆ ของเงื่อนไข<br />
อันจะนำไปสู่พัฒนกรของควมศิวิไลซ์ทั้งในแง่ภพตัวตน (self-image)<br />
และควบคุมตนเอง (self-control) อันปรกฏอย่งชัดเจนตั้งแต่รวกลง<br />
คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นม<br />
อย่งไรก็ตม หกกล่วถึงพัฒนกรของควมศิวิไลซ์แล้ว แนวโน้มควม<br />
ศิวิไลซ์จะดำเนินไปอย่งไร ขึ้นอยู่กับควมสัมพันธ์เชิงอำนจระหว่งมนุษย์<br />
28
เพระฉะนั้น แนวโน้มควมศิวิไลซ์อจไม่ได้มีพัฒนกรเป็นเส้นตรง อันจะ<br />
พุ่งไปสู่ระดับควมศิวิไลซ์ที่เพิ่มขึ้นแต่เพียงทิศทงเดียวหกเงื่อนไขของควม<br />
สัมพันธ์ได้นำไปสู่วิถีแห่งกรใช้ควมรุนแรง เช่น ควมต้องกรกอบกู้เกียรติ<br />
ภูมิแห่งชติด้วยวิถีแห่งกรสู้รบ เป็นต้น อัตลักษณ์ควมศิวิไลซ์อจพังลง<br />
และแปรเปลี ่ยนไปเป็นกรบ่มเพะควมรุนแรงแทน ประเด็นนี้จะกล่วถึง<br />
ต่อไปโดยละเอียด (Elias and Dunning, 1986, p. 282; Elias, 1996; Connolly<br />
and Dolan, 2010, pp. 571–594)<br />
ในงนศึกษ The Civilizing Process ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภษเยอรมัน<br />
ใน ค.ศ. 1939 เอไลอัสศึกษควมเปลี่ยนแปลงของจรรยมรยท ผ่น<br />
กรเปรียบเทียบข้อมูลในยุคต่ง ๆ ครอบคลุมช่วงเวลหลยศตวรรษผ่น<br />
หนังสือสอนมรยท บทกลอน หรือแม้แต่ภพวด เพื่อสะท้อนให้เห็นถึง<br />
กระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ในยุโรป (Dunning and Hughes, 2013, p. 92)<br />
เอไลอัสได้ชี้ให้เห็นถึงควมเปลี่ยนแปลงบนประวัติศสตร์อันยวนนของ<br />
มตรฐนพฤติกรรมจรรยของมนุษย์ ควมเปลี่ยนแปลงมีแนวโน้มไปสู่กร<br />
ยับยั้งชั่งใจและควบคุมตนเองที่เข้มงวดมกขึ้น แนวโน้มนี้เห็นได้จกพฤติ-<br />
กรรมที่มีควมรุนแรง ควม “หยบ” และควม “อุจดต” ลดลง ยิ ่งไป<br />
กว่นั้น ผู้คนมีแนวโน้มที่จะรู้สึกละอยต่อพฤติกรรมที่ไม่ศิวิไลซ์เพิ่มมกขึ้น<br />
เอไลอัสเปรียบเทียบพฤติกรรมของชวยุโรปยุคกลง กับยุคสมัยที่ควม<br />
ศิวิไลซ์ได้ก่อตัวขึ้นแล้ว อย่งในช่วงที่รัฐรวมศูนย์ควมรุนแรงได้ถูกสถปน<br />
ขึ้น เอไลอัสยกตัวอย่งกรเปลี่ยนแปลงนี้จกข้อคำสอนในหนังสือสอน<br />
มรยทและพฤติกรรมศิวิไลซ์ของชนชั้นสูงหลกหลยเล่ม ข้อคำสอน<br />
มรยทและพฤติกรรมที่ศิวิไลซ์ เน้นปลูกฝังจรรยมรยทในระดับชีวิต<br />
ประจำวันหลยประกร เช่น กรห้มนำกระดูกที่แทะแล้วกลับไปวงไว้บน<br />
จนอย่งที่เคยปฏิบัติมในอดีต กรห้มถ่มนำ้ลยบนโต๊ะอหร กรห้ม<br />
สั่งนำ้มูกโดยป้ยไปตมเสื้อผ้และร่งกย กรสอนให้สั่งนำ้มูกโดยกรใช้<br />
ผ้เช็ดหน้ กรห้มกรแล่ชำแหละและฆ่่สัตว์ในครัวเรือนเพื่อกรบริโภค<br />
29
หนังสือสอนมรยทได้แนะนำให้เปลี่ยนย้ยหน้ที่กรฆ่่สัตว์ให้เป็นงน<br />
ของพ่อค้เนื้อ ทั้งนี้ก็เป็นเพระชวยุโรปผู้ศิวิไลซ์มีโลกทัศน์ต่อกรกระทำ<br />
ดังกล่วว่เป็นภพ “อุจดต” (Elias, 2000, pp. 54–130) เอไลอัสยังได้<br />
วิเคระห์อีกด้วยว่ สัดส่วนหนังสือสอนมรยทที่มีมก “[...]เป็นภพแทน<br />
ของกรกระจยตัวของมรยทชวรชสำนัก และกรกระจยตัวของแบบ<br />
อย่งควมประพฤติไปสู่ช่วงชั้นกระฎุมพีในวงกว้ง[...]” (Elias, 2000, p. 80)<br />
ในกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ กรเปลี่ยนแปลงของฮบิตัส (กรเรียนรู้ทง<br />
สังคมที่ติดตัว) พฤติกรรมและบรรทัดฐนมุ่งไปสู่กระบวนกรกลยเป็น<br />
ส่วนตัว (privatization) กล่วคือ กรกระทำที่เกี่ยวกับกรแสดงร่งกยต่อ<br />
ที่สธรณะจะถูกผลักให้ไปอยู่หลังฉก เช่น กรอบนำ้ขับถ่ยจกเดิมที่<br />
เคยกระทำในที่สธรณะก็ถูกจำกัดให้ทำเฉพะในห้องนำ้ กรมีเพศสัมพันธ์<br />
และกรนอนก็ถูกจำกัดให้กระทำในห้องนอน กรประหรชีวิตต่อหน้ผู้คน<br />
ที่กระตือรือร้นจะมชมกันอย่งล้นหลมในยุคกลงก็ถูกโยกย้ยไปประหร<br />
ในพื้นที่ปิดอันไม่อนุญตให้ใครได้เห็นดังที่เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 จึง<br />
กล่วได้ว่ ตลอดช่วงเวลหลยศตวรรษ กรแสดงเรือนร่งและกรกระทำ<br />
ดังกล่วต่อหน้สธรณชนได้กลยเป็นเรื่องน่รังเกียจและน่ละอยมกขึ้น<br />
ทีละน้อย ขอบเขตของควมรู้สึกละอยต่อพฤติกรรมดังกล่วก็ค่อย ๆ เพิ่ม<br />
ขึ้น (Elias, 2000, pp. 174–9; Dunning and Hughes, 2013, p. 95)<br />
แนวโน้มกรแสดงร่งกยต่อหน้สธรณชนค่อย ๆ กลยเป็นเรื่องที่กระทำ<br />
ในพื้นที่ส่วนตัวมกขึ้น เห็นได้จกกรที่ในยุคกลงเป็นเรื่องปรกติทั่วไปมก<br />
ที่ผู้คนหลกหลยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในห้องเดียวตลอดทั้งคืน บรรดชนชั้นสูง<br />
และขุนนงก็อยู่ร่วมห้องกับคนรับใช้ ขณะที่คนในช่วงชั้นอื่น ๆ ทั้งชยและ<br />
หญิงก็อยู่ร่วมห้องเดียวกันในยมคำ่คืน และบ่อยครั้งที่แขกจะมร่วมห้อง<br />
ค้งคืนหรือแม้แต่นอนเตียงเดียวกันกับเจ้ของบ้น อย่งไรก็ตม ในเวล<br />
ต่อม กรนอนบนเตียงเดียวกันกับคนแปลกหน้หรือคนที่ไม่ได้เป็นสมชิก<br />
ครอบครัวกลยเป็นเรื่องที่น่ขวยเขินมกขึ้นเรื่อย ๆ และค่อย ๆ กลยเป็น<br />
30
เรื่องปรกติที่ทุกคนจะมีเตียงของตนเอง ขณะที่สมชิกชนชั้นกลงและสูง<br />
ก็มีห้องนอนส่วนตัว นอกจกนี้ ในสังคมของฆ่รวส กรนอนหลับโดยไม่<br />
สวมเสื้อผ้เป็นเรื่องปรกติ หกใครสวมใส่เสื้อผ้ก็จะถูกมองว่เป็นเรื่อง<br />
แปลกประหลด เพระกรกระทำนี้จะกระตุ้นให้คนสงสัยว่ร่งกยของผู้<br />
สวมใส่เสื้อผ้อจมีอะไรผิดปรกติตมลำตัวแขนข ยิ่งไปกว่นั้น กรมอง<br />
เห็นร่งกยอันเปลือยเปล่เป็นเรื่องปรกติสำหรับสังคมยุโรปยุคกลงจวบ<br />
จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ทุกคนไม่สวมเสื้อผ้เลยในช่วงเย็นไปจนถึงช่วง<br />
เวลเข้นอน หรือผู้คนไม่สวมเสื้อผ้ในห้องอบนำ้รวม อย่งไรก็ตม<br />
พฤติกรรมดังกล่วกลยเป็นเรื่องน่รังเกียจและน่อับอยตมมตรฐน<br />
ของสังคมที่มีควมศิวิไลซ์ กรละเมิดข้อบังคับและข้อห้มใด ๆ เช่น กร<br />
ละเมิดข้อบังคับด้วยกรเปลือยกยต่อหน้ผู้คน จะถูกมองว่เป็นอันตรย<br />
ต่อสังคม เป็นต้น (Elias, 2000, pp. 138–142)<br />
ควมเปลี่ยนแปลงทงประวัติศสตร์อันยวนนของมตรฐนพฤติกรรม<br />
มนุษย์ ซึ่งมุ่งสู่กรควบคุมตนเองที่เข้มงวดขึ้น เป็นผลมจกควมสัมพันธ์<br />
เชิงพึ่งพิงพัวพันกันของมนุษย์ในเครือข่ยที่กว้งขวงขึ้น หรือกล่วอีกนัย<br />
หนึ่งก็คือผลจกควมสัมพันธ์ซึ่งสร้งควมตระหนักของกรมีอยู่และพึ่งพิง<br />
เกี่ยวพันระหว่งกันในขอบเขตที่กว้งขวงขึ้น ทำให้มนุษย์แต่ละคนมีควม<br />
ยับยั้งชั่งใจในกรกระทำต่อผู้คนในขอบเขตดังกล่ว เอไลอัสได้แสดงให้เห็น<br />
ว่ มรยทชววังเกิดขึ้นในสังคมยุโรปตะวันตกที่กษัตริย์ ขุนนง และ<br />
กระฎุมพีได้สนควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงพัวพันขึ้นมในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้น<br />
มก่อน กษัตริย์ต้องพึ่งพิงขุนนงและกระฎุมพีในกรช่วยดำเนินงนบริหร<br />
รัฐสมบูรณญสิทธิรชย์ ขุนนงและกระฎุมพีผู ้ต้องกรรักษหรือปรับปรุง<br />
สถนภพทงวัฒนธรรมและกรเมืองพยยมเลียนแบบจรรยมรยทของ<br />
กษัตริย์ที่มีกรควบคุมสัญชตญณอย่งมก<br />
ในยุโรปยุคก่อนกรรวมศูนย์อำนจทงกรเงินและควมรุนแรงแบบรัฐแบบ<br />
สมบูรณญสิทธิรชย์ รัฐที่มีอำนจรวมศูนย์ขนดใหญ่ดำรงอยู่ได้ไม่นน<br />
31
ก็มักจะพังลงในยุคของผู้ปกครองรุ่นถัดไป อัตลักษณ์ของผู้คนมักจะไม่ได้<br />
หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ ยที่กว้งขวงเกินกว่ขอบข่ยของรัฐขนด<br />
เล็ก ๆ ที่ตนผูกสัมพันธ์พึ่งพิง ดังนั้น ภยหลังสงครม เมื่ออัศวินคนหนึ่งไม่มี<br />
ควมรู้สึกว่อัตลักษณ์ของตนผูกโยงเป็นพวกเดียวกันกับเชลยศึกแล้ว ใน<br />
ทงกลับกันกรมีอยู่ของเชลยศึกเหล่นี้เป็นภัยต่อชีวิตของตน อัศวินจึง<br />
มองกรทรมน เฉือนอวัยวะ กรเผทั้งเป็น หรือแขวนคอเชลยเป็นควม<br />
สนุกสนน ประกรนี้แตกต่งอย่งสิ้นเชิงกับบริบทยุคปัจจุบันที่ควมรู้สึก<br />
รับรู้ถึงและเห็นอกเห็นใจต่อควมเจ็บปวดของผู้คนได้เพิ่มขึ้นและขยยตัวใน<br />
วงกว้ง (Elias, 1985, pp. 2–3, 6; Elias, 2000)<br />
ภพวดจำนวนมกสะท้อนมตรฐนควมรุนแรงของยุโรปยุคกลงได้เป็น<br />
อย่งดี ภพวดต่ง ๆ สะท้อนว่บรรดอัศวินมีโลกทัศน์และควมรู้สึกต่อ<br />
โลกใบนี ้อย่งไร ภพของสุนัขที ่หิวโหย สตรีขอทน ซกม้ที่กำลังเน่เปื่อย<br />
หมู่บ้นที่ถูกเผ ชวนผู้ถูกปล้นฆ่่ กรต่อสู้ในทัวร์นเมนท์ ภพเหล่นี้<br />
ไม่ใช่เรื่องน่อับอยหรือน่รังเกียจ หกแต่เป็นภพอันสะท้อนวิถีควม<br />
สัมพันธ์ระหว่งผู้ปกครองและไพร่ทส ในสยตของอัศวิน ภพชวน<br />
ดังกล่วไม่ได้สะท้อนถึงควมน่สงสรแต่อย่งใด หกแต่เป็นควมน่<br />
ขบขัน นอกจกนี้ ในยุคกลง ภพวดที่แสดงภพนักโทษถูกแขวนคอ กร<br />
ประหรชีวิต และควมตยยังไม่ได้ถูกผลักให้ไปอยู่หลังฉก อันที่จริงที่<br />
แขวนคอนักโทษคือสัญลักษณ์แห่งอำนจยุติธรรมของอัศวิน อย่งไรก็ตม<br />
เมื่อกระบวนกรศิวิไลซ์พัฒนไป ภพภูเขก็ยังปรกฏอยู่ หกแต่ไม่มีภพ<br />
ของนักโทษที่ถูกแขวนคออยู่บนภูเขอีกแล้ว สำหรับสังคมรชสำนักในเวล<br />
ต่อม โดยเฉพะอย่งยิ่งตั้งแต่ยุคสมบูรณญสิทธิรชย์เป็นต้นไป ภพ<br />
เหล่นี้กลยเป็นเรื่องที่ “ตำ่ช้” และได้เลือนหยไปจกภพวดและภษ<br />
ของชวรชสำนัก (Elias, 2000, pp. 173–9)<br />
เอไลอัสบอกเล่ถึงมตรฐนควมรุนแรงของชวยุโรปตะวันตกยุคกลง<br />
อันเป็นยุคที่กรรวมศูนย์อำนจควมรุนแรงยังไม่เกิดขึ้นไว้ว่ กรใช้ควม<br />
32
รุนแรงโดยชวยุโรปเกิดขึ้นอย่งดษดื่นทั้งในช่วงศึกสงครมและห้วงเวล<br />
แห่งควมสันติ ควมรุนแรงไม่ใช่เรื่องน่รังเกียจหรือผิดกฎหมยแต่อย่ง<br />
ใด นักรบชวยุโรปมองว่กรฆ่่และกรทรมนเป็นกรกระทำที่จำเป็นตม<br />
วิถีชีวิตของชนชั้นและเป็นควมสนุกสนนบันเทิงประกรหนึ่ง (Elias, 2000,<br />
pp. 161–3) เอไลอัสชี้ว่<br />
“นักรบในยุคกลงไม่เพียงแต่จะรักกรสู้รบเท่นั้น นักรบยังมีชีวิตอยู่<br />
เพื่อกรศึก โดยใช้ชีวิตวัยเยว์เพื่อฝึกฝนต่อสู้ เมื่อเขเติบใหญ่จนได้<br />
เป็นอัศวินแล้ว ก็จะต้องทำสงครมจนแก่ชรตรบเท่ที่ยังมีพละกำลัง<br />
ที่จะต่อสู้ได้อยู่ ชีวิตของเขไม่มีหน้ที่ทงสังคมอื่นใด [...] ยกเว้นใน<br />
บงกรณี หกบังเอิญว่นักรบได้ใช้ชีวิตยมไร้ศึกสงครม อย่งน้อยเข<br />
ก็จำเป็นต้องต่อสู้ในสงครมเสมือน ดังที่เขต้องสู้ในกรประลองต่ง ๆ<br />
และกรแข่งขันเหล่นี้ก็มักจะแตกต่งกับกรต่อสู้จริง ๆ เพียงเล็กน้อย”<br />
(Elias, 2000, p. 164)<br />
ควมรุนแรงอันชอบธรรมดังกล่ว ดำรงอยู่ในรัฐที่ยังไม่สมรถรวมศูนย์<br />
อำนจควมรุนแรงขึ้นเป็นสมบูรณญสิทธิรชย์ ควมรุนแรงมีหน้ที่อัน<br />
จำเป็นสำหรับกรอยู่รอดของนักรบและเมือง ยิ่งไปกว่นั้น เงื่อนไขด้น<br />
จำนวนประชกรในยุโรปที่มีสัดส่วนมกก็เกื้อหนุนให้ควมรุนแรงกลยเป็น<br />
ที่ยอมรับได้ ในสังคมยุโรปตะวันตกยุคกลง ปัจจัยกรผลิตที่สำคัญสูงสุด<br />
ก็คือที่ดิน ควมตึงเครียดอันเป็นผลมจกกรจับจองพื้นที่ทำกรเกษตร<br />
ไปจนหมดก็นำไปสู่กรสงครมระหว่งเจ้ที่ดิน ด้วยเหตุนี้เองจึงมีคำกล่ว<br />
ที่ว่ “ไม่มีที่ดินใดจะไม่มีเจ้ปกครอง” (Elias, 2000, p. 217) เพระฉะนั้น<br />
ลูกหลนผู้เป็นสมชิกชนชั้นขุนศึกจึงเผชิญกับสภวะขดแคลนที่ดิน ที่ดิน<br />
ที่พวกเขได้รับตกทอดมจกบรรพบุรุษมีสัดส่วนเล็กลงเรื่อย ๆ ที่ดินที่<br />
ได้รับจึงไม่เพียงพอต่อควมต้องกรและกรดำรงชีพ กรก่อสงครมอย่ง<br />
สงครมครูเสดเองก็มีแรงจูงใจมจกภวะขดแคลนที่ดินของบรรดอัศวิน<br />
ดังนั้น โลกทัศน์ที่ให้ควมสำคัญกับขอบเขตพื้นที่ เขตแดน และอำนจ<br />
33
อธิปไตยเหนือดินแดนจึงเป็นพัฒนกรเฉพะที่เกิดขึ้นในรัฐต่ง ๆ ของยุโรป<br />
(Elias, 2000, pp. 211–220) เพระฉะนั้น สภวกรณ์ที่สัดส่วนประชกร<br />
มีมกเกินกว่พื้นที่ก็ได้ส่งผลให้อัศวินผู ้ชนะสงครมเห็นว่ เชลยศึกไม่มี<br />
ควมจำเป็นในฐนะแรงงนและทหร หกอัศวินปล่อยเชลยศึกให้อยู่รอดไป<br />
ก็จะเป็นกรเปิดโอกสให้เจ้ที่ดินในท้องถิ่นเกณฑ์คนเหล่นี้มเป็นกำลัง พล<br />
และก็จะกลยเป็นปฏิปักษ์กับอัศวินผู ้ชนะอีกหน ด้วยเหตุนี้เอง หลังศึก<br />
สงครมสิ้นสุดลง กรฆ่่และกรเฉือนอวัยวะเชลยศึกให้พิกรจึงเป็นเหตุ-<br />
กรณ์ปรกติซึ่งมักจะเกิดขึ้น (Elias, 2000, pp. 161–172)<br />
เมื่อพัฒนกรทงเศรษฐกิจและสังคมได้ส่งผลให้เกิดรัฐรวมศูนย์ควม<br />
รุนแรงแล้ว กษัตริย์ในระบอบสมบูรณญสิทธิรชย์จึงได้กลยเป็นผู้มี<br />
อำนจในกรใช้ควมรุนแรงในระดับสูงที่สุดในอณจักร กษัตริย์จึงสมรถ<br />
สร้งแรงกดดันเพื่อบีบนักรบหรือเจ้ที่ดินให้เข้มเป็นขุนนงผู้สังกัดอยู่ภย<br />
ใต้อำนจของพระองค์ ภยใต้รัฐสมบูรณญสิทธิรชย์ สมชิกรัฐทั้งหลย<br />
ต่งก็ถูกคด หวังและกดดันให้มีมตรฐนควมประพฤติอันมีควมศิวิไลซ์<br />
มกขึ้น ยิ่งไปกว่นั้น ขุนนงและกระฎุมพีผู้เข้มรับใช้กษัตริย์ในพระรช-<br />
วัง ก็ได้มีโอกสใกล้ชิดกับวัฒนธรรมรชสำนักมกขึ้น พวกเขพยยม<br />
รักษสถนภพใหม่ของพวกเข (ภยใต้ระเบียบทงสังคมวัฒนธรรมของ<br />
รัฐสมบูรณญสิทธิรชย์) พวกเขไม่อยกแสดงพฤติกรรมใด ๆ อันเป็นที่<br />
อับอยขยหน้ พวกเขจึงเลียนแบบมตรฐนควมศิวิไลซ์ของรชสำนัก<br />
(Elias, 2000)<br />
พัฒนกรรัฐรวมศูนย์และหนทงสู่ควมศิวิไลซ์<br />
เอไลอัสสังคระห์แนวโน้มพัฒนกรรัฐในยุโรปยุคกลงไว้ว่ แม้ว่ขุนศึก<br />
ผู้ครองที่ดินต่ง ๆ จะทำสงครมกันเพื่อรวมศูนย์อำนจทงกรเมือง แต่<br />
พวกเขก็ไม่สมรถสร้งรัฐรวมศูนย์อำนจในกรใช้ควมรุนแรงให้เป็น<br />
หนึ่งเดียวได้ อำนจของขุนศึกผู้ปกครองแว่นแคว้นต่ง ๆ จึงมีแนวโน้ม<br />
34
กระจัดกระจยไม่รวมกันเป็นเอกภพ อย่งไรก็ตม ผลกรวิเคระห์ของ<br />
เอไลอัสชี้ว่ แนวโน้มกรขยยตัวของเศรษฐกิจแบบเงินตร เป็นปัจจัย<br />
สำคัญอันก่อให้เกิดกรพัฒนกลไกอำนจรัฐศูนย์กลงที่ทรงอิทธิพลใน<br />
ทงกรเงินและกรทหร กล่วคือ เมื่อขุนศึกผู้มีอำนจคนหนึ่งสมรถ<br />
ตักตวงผลประโยชน์จกเงินตรของผู้คนผ่นกรเก็บภษีในเขตอำนจของ<br />
ตน ขุนศึกผู้นั้นจึงสะสมเงินตรหรือภษีเรื่อยม จนกระทั่งกลยมเป็นผู้<br />
รำ่รวย ขุนศึกผู้นั้นจึงมีศักยภพทงกรเงินที่มกเพียงพอจนสมรถใช้จ่ย<br />
เงินสำหรับจ้งนักรบในสัดส่วนที่มกกว่ขุนศึกผู้มีอำนจคนอื่น ๆ เพระ<br />
ฉะนั้น หกขุนศึกผู้ทรงอำนจมกทั้งในทงกรเงินและกรทหร ต้องกร<br />
ที่จะสถปนรัฐรวมศูนย์ด้วยกรดึงเอเจ้ที่ดินคนเล็กคนน้อยให้เข้มเป็น<br />
ส่วนหนึ่งของรัฐของตนแล้ว ขุนศึกผู้ทรงอำนจนี้มีควมจำเป็นน้อยลง (อัน<br />
เป็นผลมจกกรมีกองกำลังรับจ้ง) ในกรพึ่งพิงอำนจของบรรดเจ้ที่ดิน<br />
ที่มีอำนจน้อยกว่ อีกทั้งขุนศึกผู้ทรงอำนจทงกรเงินจนจ้งนักรบได้ก็<br />
สมรถพึ่งพิงกับระบบศักดินแบบเดิมน้อยลง ระบบศักดินแบบเดิมเน้น<br />
สถนะเจ้ผู้ครองที่ดินผู้จะต้องระดมประชชนมรบเพื่อตนเองและเจ้ผู้<br />
ครองที ่ดินก็จะต้องประทนที่ดินแก่ประชชนเหล่นั้นสำหรับทำมหกิน<br />
เป็นกรแลกเปลี่ยน<br />
เจ้ที่ดินที่เริ่มสถปนอำนจรัฐรวมศูนย์ นอกจกจะมีควมสมรถในกร<br />
จ้งนักรบจำนวนมกแล้ว เขยังมีเทคนิคในกรจัดกองทัพที่ใช้เทคโนโลยี<br />
อย่งอวุธปืนได้อย่งมีประสิทธิภพอีกด้วย ปัจจัยดังกล่วได้เกื้อหนุนให้<br />
ผู้มีอำนจทงกรเงินและกรทหรคนนั้นมีอำนจทงกรศึกเหนือกว่เหล่<br />
อัศวินผู้ต่อสู้บนหลังม้อีกด้วย (Elias, 2000, p. 192) หกพิจรณในระยะ<br />
ยวแล้ว ผลลัพธ์จกกรรวมศูนย์อำนจทั้งกรเงินและควมรุนแรงของ<br />
รัฐหนึ่ง ๆ มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อกรพยยมสร้งควมสงบและสันติสุข<br />
ภยในรัฐด้วย ภยในรัฐรวมศูนย์อำนจกรใช้ควมรุนแรง กรใช้ควม<br />
รุนแรงต่อกันที่ไม่ได้กระทำในนมรัฐย่อมเป็นสิ่งที่ไร้ควมชอบธรรม ด้วย<br />
เหตุนี้แนวโน้มควมศิวิไลซ์ของรัฐรวมศูนย์หนึ่ง ๆ จึงเพิ่มสูงขึ้นด้วย<br />
35
เอไลอัสได้ระบุถึงควมขัดแย้งทงกรเมืองในยุคกลงไว้ว่ บรรดขุนศึก<br />
ต่งก็ต่อสู้กันเป็นเวลนนหลยศตวรรษ แต่พวกเขก็ไม่สมรถที่จะสถป<br />
นอำนจศูนย์กลงขึ้นมอย่งถวรได้ หกเมื่อใดก็ตมที่ขุนศึกผู้หนึ่ง<br />
พยยมจะสถปนตนเองขึ้นมเป็นอำนจศูนย์กลง ในเวลต่อมไม่นน<br />
เมื่อศูนย์กลงอำนจนี้อ่อนกำลังทงกรปกครองและกรทหรลง บรรด<br />
ผู้ปกครองในท้องถิ่นหรือลูกหลนของเขซึ่งได้รับสิทธิธรรมในกรปกครอง<br />
จกอำนจศูนย์กลงก็จะอ้งสิทธิขดเหนือท้องถิ่นของตนและตั้งตนเป็น<br />
อิสระจกอำนจศูนย์กลง อย่งไรก็ตม แม้ว่อำนจศูนย์กลงจะพยยม<br />
ลดทอนอำนจของเจ้ที่ดินในท้องถิ่นลงด้วยกรแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์หรือ<br />
แม้แต่ข้รชบริพรจกส่วนกลงไปปกครอง แต่ตัวแทนจกอำนจศูนย์กลง<br />
ก็มักจะไม่สมรถจะธำรงอำนจศูนย์กลงในท้องถิ่นได้ยวนนเกินหนึ่ง<br />
ชั่วอยุคน (Elias, 2000, pp. 187–379; Elias, 2008, pp. 99–102)<br />
ตัวอย่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงควมยกลำบกในกรสถปนอำนจรัฐรวม<br />
ศูนย์ก็คือ ยุคแคโรลินเจียน (Carolingian) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8–9<br />
แม้ว่จักรพรรดิชร์เลอมญ (Charlemagne) ได้พยยมแต่งตั้งเคนต์<br />
(Count) ไปปกครองแทนดยุค (Duke) ในท้องถิ่น แต่ตลอดรัชสมัยของ<br />
พระองค์ เคนต์เหล่นี้ต่งก็พยยมอ้งกรรมสิทธิ ์ส่วนตนเหนือแว่นแคว้นที่<br />
พวกเขได้รับสิทธิในกรปกครอง เพระฉะนั้น เพื่อแก้ไขปัญหกรกระจัด<br />
กระจยของอำนจที่หลุดออกไปจกศูนย์กลง จักรพรรดิชร์เลอมญจึง<br />
ส่งผู้แทนหลวง (missi dominici) เข้ไปในท้องถิ่นแว่นแคว้นต่ง ๆ ผู้แทน<br />
หลวงทำหน้ที่ตรวจตรสอดส่องกรทำงนของเคนต์ว่บรรดเคน์เหล่นี้<br />
ได้พยยมเอใจออกห่งจกศูนย์กลงหรือไม่ ในรัชสมัยถัดจกจักรพรรดิ<br />
ชร์เลอมญ ภยใต้กรปกครองของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธ (Louis the<br />
Pious) เคนต์ทั้งหลยต่งก็พยยมอ้งสิทธิเหนือแว่นแคว้นที่ตนปกครอง<br />
เคนต์เหล่นี้พยยมยกแว่นแคว้นที่ตนได้รับสิทธิธรรมในกรปกครองจก<br />
ส่วนกลงให้แก่ลูกหลนของตน เคนต์เหล่นี้ต่งก็ไม่ปรรถนที่จะคืนแว่น<br />
แคว้นที่ตนได้รับกลับไปยังอำนจส่วนกลงเลย (Elias, 2000, p. 199)<br />
36
อย่งไรก็ตม ตลอดช่วงเวลที่เกิดสงครมเพื่อกรสร้งรัฐรวมศูนย์อำนจ<br />
ในกรใช้ควมรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่ ขุนศึกผู้ปกครองแว่นแคว้นเล็ก ๆ ก็ได้<br />
ถูกสังหรและกำจัดออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือผู้ปกครองในสัดส่วนที่<br />
น้อยลง ยิ่งไปกว่นั้น ขุนศึกผู้ชนะเหล่นี้ก็ได้พยยมเพิ่มขีดควมสมรถ<br />
ทงกรปกครองและกรรบให้แก่รัฐของตนขึ้นม เอไลอัสเรียกช่วงเวลนี้<br />
ว่เป็น “กระบวนกรกรต่อสู้เพื่อกำจัด” (the process of elimination contests)<br />
กระบวนกรนี้เกิดขึ้นซำ้แล้วซำ้อีกจนกระทั่งในที่สุดผู้ปกครองในแว่น<br />
แคว้นต่ง ๆ ถูกกำจัดไปมกจนเหลือจำนวนผู้ปกครองในยุโรปตะวันตกเพียง<br />
ไม่กี่คน (Elias, 2000, pp. 187, 263)<br />
เอไลอัสกล่วว่ ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และ 13 กรขยยตัวของกรค้<br />
และเศรษฐกิจแบบเงินตรดำเนินไปอย่งช้ ๆ และในที่สุดกรขยยตัวนี้<br />
ได้ส่งผลต่อพัฒนกรของกรเกิดรัฐรวมศูนย์อำนจทงกรเงินและควม<br />
รุนแรงในยุโรปตะวันตกในเวลต่อม กรเติบโตขึ้นของเศรษฐกิจกรค้และ<br />
เงินตรส่งผลให้เกิดกลุ่มทงสังคมใหม่อย่งกระฎุมพีผู้อศัยอยู่รวมกันใน<br />
เมืองขึ้นม ปัจจัยด้นกรค้และกรเงินนี้ได้เชื่อมห่วงโซ่ควมสัมพันธ์เชิง<br />
พึ่งพิงต่อรองระหว่งผู้คนอย่งกว้งขวงอย่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมก่อน ควม<br />
สัมพันธ์นี้ประกอบด้วยกษัตริย์ อัศวิน และกระฎุมพี ผู้เข้มเกี่ยวพัน พึ่งพิง<br />
และมีหน้ที่ทงสังคมต่อกันมกขึ้น (Elias, 2000, p. 187)<br />
เดิมทีกระฎุมพีก็มีสถนะไม่ต่งจกไพร่ติดที่ดินมกนัก พวกเขถูกเกณฑ์<br />
ให้ไปรบเหมือนกับไพร่ติดที่ดิน อย่งไรก็ตม กระฎุมพีเหล่นี้มีทรัพยกร<br />
อย่งเงินตร พวกเขใช้อำนจทงกรเงินที่พวกเขมีไปต่อรองกับเจ้ที่ดิน<br />
กระฎุมพีผู้อศัยอยู่ในเมืองเรียกร้องที่จะจ่ยเงินให้แก่เจ้ที่ดินเพื่อแลกกับ<br />
กรที่ตนได้รับกรละเว้นจกกรไปสงครม และเจ้ที่ดินเองก็พึงพอใจกับ<br />
ข้อเสนอของกระฎุมพีประกรนี้ เจ้ที่ดินมองว่เงินที่เก็บได้จกกระฎุมพีมี<br />
ประโยชน์ต่อกรเพิ่มพูนอำนจให้แก่ตนเองได้ในหลยทงโดยเฉพะอย่งยิ่ง<br />
กรเพิ่มประสิทธิภพในกรใช้ควมรุนแรง ในที่สุดกรจ่ยเงินเพื่อยกเว้น<br />
37
กรเป็นทหรก็ได้ลงหลักปักฐนเพระเจ้ที่ดินติดพันกับศึกสงครมที่กิน<br />
เวลยวนน จุดเปลี่ยนสำคัญของกรเก็บเงินเพื่อยกเว้นกรไปสงครม<br />
อย่งเป็นครั้งครวจนกลยเป็นสถบันกรเก็บภษีก็คือ สงครมหนึ่งร้อยปี<br />
(the Hundred Years’ War) ในช่วง ค.ศ. 1337–1453 (พ.ศ. 1880–1996)<br />
ระหว่งวงศ์แพลนทเจเนท (the House of Plantagenet) ในอังกฤษ กับวงศ์<br />
วลัวส์ (the House of Valois) ในฝรั่งเศส ในยุคนี้ กรจ่ยเงินเพื่อกร<br />
สงครม (aides) ของกระฎุมพีได้ค่อย ๆ เปลี่ยนจกกรเก็บแบบชั่วครั้ง<br />
ชั่วครวไปเป็นเก็บแบบประจำ ผลลัพธ์ที่ตมมก็คือ เจ้ที่ดินวงศ์วลัวส์<br />
ในฝรั่งเศสเก็บภษีได้อย่งสมำ่เสมอจนท้องพระคลังมั่งคั่งมกขึ้น พระองค์<br />
สมรถนำเงินภษีที่เก็บได้ไปบำรุงกองทัพให้เข้มแข็ง อำนจศูนย์กลงของ<br />
พระองค์จึงค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นม ยิ่งไปกว่นั้น สงครมที่ดำเนินไปอย่ง<br />
ต่อเนื ่องยังส่งผลต่อกรสร้งควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงต่อรองระหว่งกษัตริย์<br />
หรือเจ้ที่ดินกับประชชนขึ้นม กษัตริย์ทำหน้ที่เป็นตัวเชื่อมในกรทำ<br />
สงครมและป้องกันอณจักรจกกรรุกรน และเนื่องจกกรเก็บภษี<br />
ดำเนินไปอย่งต่อเนื่องสมำ่เสมอ กษัตริย์จึงพัฒนกลไกบริหรรชกร<br />
ขึ้นมสำหรับคอยตรวจตรกรจัดเก็บภษีเป็นกรจำเพะ อย่งไรก็ตม<br />
กษัตริย์ไม่สมรถเก็บภษีได้ตมอำเภอใจเพระพระองค์ต้องเผชิญกับกร<br />
ต่อต้นจกประชชนอยู่ไม่ขด กษัตริย์จึงไม่สมรถกดขี่และสร้งภระ<br />
ให้กับประชชนด้วยกรเก็บภษีอย่งมกจนเกินไปได้ ด้วยเหตุนี้เอง องค์กร<br />
รัฐสำหรับทำหน้ที่จัดเก็บภษีจึงเติบโตอย่งค่อยเป็นค่อยไป<br />
ต่อมในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ระบอบรัฐรวมศูนย์อำนจทงกรเงินและ<br />
ควมรุนแรงของวงศ์วลัวส์นี้ได้กลยมเป็นตัวแบบกรบริหรรัฐให้แก่รัฐ<br />
อื่น ๆ ในยุโรป เมื่อทูตจกที่อื่น ๆ ในยุโรป เช่น ทูตจกเวนิส ได้เดินทงม<br />
ฝรั่งเศสเพื่อทำควมเข้ใจนโยบยกรเมืองระหว่งรัฐของฝรั่งเศส บรรด<br />
ทูตต่งก็ประหลดใจกับสถบันและกระบวนกรเก็บภษีของรัฐฝรั่งเศส<br />
ตลอดจนสถนะทงกรเงินอันมั่งคั่งอย่งมกของกษัตริย์ฝรั่งเศส นอกจก<br />
นี้ ควมสำเร็จของรัฐรวมศูนย์ทงกรเงินในฝรั่งเศสวงอยู่บนวิธีกรบริหร<br />
38
กรเงินแบบพวกกระฎุมพี รัฐฝรั่งเศสกำหนดรยจ่ยอย่งเข้มงวด กรใช้<br />
จ่ยจะมีเท่ไรจะอิงจกรยรับเป็นตัวตั้ง ผลที่ตมมจกอำนจรัฐรวมศูนย์<br />
ของฝรั่งเศสคือ กษัตริย์ฝรั่งเศสมีสิทธิในกรแจกจ่ยดินแดนซึ่งถูกรวบไว้<br />
เป็นรชสมบัติ ขุนนง (ผู้มีเชื้อสยมจกเจ้ที่ดินขนดเล็กในท้องถิ่น) ได้<br />
รับพระรชทนเงินเดือนและที่ดินตลอดชีพ เมื่อขุนนงเสียชีวิต ที่ดินและ<br />
ทรัพย์สินก็จะถูกริบคืนมที่กษัตริย์ ระบบกรสืบทอดสมบัติจกรุ่นสู่รุ่นของ<br />
พวกเจ้ที่ดินท้องถิ่นก็ถูกแทนที่ด้วยอำนจรวมศูนย์ของกษัตริย์3 (Elias,<br />
2000, pp. 346–361)<br />
ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ระบอบกรเมืองซึ่งมีองค์กรบริหรกองทัพและกร<br />
เก็บภษีที่แข็งแกร่งได้เกิดขึ้นในฝรั่งเศสเป็นที่แรก กรเก็บภษีที่เสริมให้<br />
กษัตริย์วงศ์วลัวส์มีอำนจทงกรเงินเพิ่มขึ้น ควมมั่งคั่งนี้นำไปสู่กรเพิ่ม<br />
ขีดควมสมรถทงกองทัพ อันเป็นหัวใจสำคัญประกรหนึ่งในกรรวมศูนย์<br />
อำนจกรปกครอง กษัตริย์วงศ์วลัวส์ผู้มีอำนจเก็บภษีในอณบริเวณ<br />
อันกว้งขวงกว่เจ้ที่ดินอื่น ๆ จึงอยู่ในสถนะที่เหนือกว่ที่จะจ้งนักรบใน<br />
สัดส่วนที่มกกว่เจ้ที่ดินคนอื่น ๆ ยิ่งไปกว่นั้น กษัตริย์วงศ์วลัวส์ผู้มีทรัพย์<br />
และกองทัพที่มก ยังสมรถลดกรพึ่งพิงด้นกรสงครมจกเจ้ที่ดินใน<br />
แว่นแคว้นต่ง ๆ (ผู้ต้องส่งกำลังมช่วยทำศึกเพื่อแลกมกับสิทธิธรรมในกร<br />
เป็นเจ้เหนือที่ดิน) นอกจกนี้ อำนจทงกรทหรของกษัตริย์วงศ์วลัวส์<br />
ยังอิงอยู่กับเทคนิคด้นกรทหรอีกด้วย กล่วคือ ภยใต้พัฒนกรของ<br />
อวุธปืนที่ดำเนินไปอย่งช้ ๆ กรจัดตั้งกองทหรรบขนดใหญ่ซึ่งใช้อวุธ<br />
ปืนก็มีแสนยนุภพที่เหนือกว่ขุนนงและเจ้ที่ดินในแว่นแคว้นต่ง ๆ ผู้ยัง<br />
3<br />
ควรกล่วด้วยว่ เมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 15 รัฐอื่น ๆ ในยุโรปก็พัฒนระบบ<br />
รชกรที่มีอยู่แล้วก่อนหน้ไปสู่รูปแบบที่รวมศูนย์อำนจมกขึ้น กล่วคือ กษัตริย์<br />
วงศ์วลัวส์ ในฝรั่งเศส วงศ์ทูดอร์ส์ (the Tudors) ในอังกฤษ และกษัตริย์เฟอร์ดินนด์<br />
และรชินีอิสเบลลแห่งคสติล (Castile) ในสเปน ต่งก็เริ ่มบริหรดินแดนต่ง ๆ<br />
ด้วยกรเพิ่มกรควบคุมสั่งกรโดยตรงจกบัลลังก์ (King, 2004, pp. 13–4)<br />
39
คงสู้รบบนหลังม้อย่งชัดเจน (Elias, 2000, p. 192)<br />
เมื่อก้วขึ้นมเป็นกษัตริย์สมบูรณญสิทธิรชย์ กษัตริย์ฝรั่งเศสตระหนัก<br />
ดีว่อำนจของกระฎุมพีผู้มีฐนะทงเศรษฐกิจดีกำลังก้วขึ้นมมีอำนจ<br />
ขณะเดียวกันขุนนงผู้เป็นอดีตเจ้ที่ดินกำลังตกตำ่ลงทั้งในทงเศรษฐกิจและ<br />
สถนภพ ภยใต้สถนกรณ์นี้ฝ่ยกระฎุมพีกับฝ่ยขุนนงซึ่งมีควมขัดแย้ง<br />
กันต่งฝ่ยต่งก็ไม่สมรถจะกำจัดอีกฝ่ยให้หยไปได้ กษัตริย์พยยม<br />
รักษดุลอำนจระหว่งสองฝ่ยนี้ เอไลอัสเรียกกระบวนกรรักษดุลอำนจ<br />
ของกษัตริย์นี้ว่ “กลไกกรปกครองของวัง” (royal mechanism) ภยใต้<br />
กระบวนกรปกครองนี้ กษัตริย์ฝรั่งเศสพยยมถ่วงดุลอำนจของฝ่ยขุนนง<br />
ผู้กำลังสูญเสียอำนจทงทหร กรเงิน และเกียรติภูมิ กับฝ่ยกระฎุมพี<br />
ในเมืองผู้มั่งคั่ง กษัตริย์พยยมทำให้สองกลุ่มนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อีกทั้ง<br />
กษัตริย์ก็กีดกันไม่ให้สองกลุ่มนี้กลยมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือแม้แต่<br />
จะประนีประนอมกันได้ อย่งไรก็ตม กษัตริย์ก็ใช้ควมระมัดระวัง ที่จะไม่<br />
ทำให้สองกลุ่มนี้ขัดแย้งกันจนนำไปสู่กรกำจัดอีกฝ่ย กษัตริย์พยยมช่วย<br />
รักษฐนันดรและอภิสิทธิ์บงประกรของขุนนงเอไว้ ขณะเดียวกันกษัตริย์<br />
ก็อนุญตให้กระฎุมพีได้ใช้เงินซื้อตำแหน่งรชกรและเข้มช่วยบริหรงน<br />
ภครัฐในด้นกรเก็บภษี อย่งไรก็ตม กษัตริย์ก็ระวังที่จะจำกัดอำนจ<br />
ของกระฎุมพีเอไว้ไม่ให้กระฎุมพีมีอำนจมกจนสมรถทำลยสถนภพ<br />
ของขุนนงลง เพระฉะนั้น กษัตริย์จึงเล่นบทบทในฐนะที่เป็นผู้ประสน<br />
ควมสัมพันธ์สูงสุดในควมสัมพันธ์ทงกรเมืองระหว่งกระฎุมพีและขุนนง<br />
(Elias, 2000, pp. 93–4, 320–344, 387–397)<br />
สำหรับเอไลอัส กรก่อรูปทงสังคมของระบอบสมบูรณญสิทธิ์ (absolutism)<br />
เป็นกุญแจสำคัญที่เบิกทงไปสู่กระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ กรศึกษ<br />
กรเปลี่ยนแปลงของโครงสร้งทงอรมณ์และกรควบคุมตนเองจะต้องให้<br />
ควมสำคัญกับกรวิเคระห์กระบวนกรก่อรูปของรัฐและพัฒนกรกร<br />
ปกครองแบบสมบูรณญสิทธิ์ (Elias, 2000, p. 191)<br />
40