25.02.2022 Views

สารบัญ คำนิยม คำนำ และบทที่ 1-3 ของหนังสือ 'บนทางสู่อารยะ

สารบัญ คำนิยม คำนำ และบทที่ 1-3 ของหนังสือ 'บนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของนอร์เบิร์ต เอไลอัส' โดย ชาญ พนารัตน์

สารบัญ คำนิยม คำนำ และบทที่ 1-3 ของหนังสือ 'บนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของนอร์เบิร์ต เอไลอัส' โดย ชาญ พนารัตน์

SHOW MORE
SHOW LESS

You also want an ePaper? Increase the reach of your titles

YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.

Illuminations<br />

Editions


<strong>สารบัญ</strong><br />

<strong>คำนิยม</strong><br />

<strong>คำนำ</strong><br />

vii<br />

xiii<br />

1. เอไลอัส เป็นใคร? 3<br />

2. ชีวประวัติและพัฒนกรทงควมคิดของเอไลอัส 9<br />

3. แนวคิดเรื่องกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์และพัฒนกรรัฐ 25<br />

4. กีฬกับกรใช้เวลว่ง: ควมตื่นเต้นและกรควบคุม 71<br />

5. มนุษย์ในเครือข่ยควมสัมพันธ์ 91<br />

6. พลวัตของกลุ่มทงสังคม 139<br />

7. มุมมองทงญณวิทยและวิธีวิทยในกรวิจัยด้วย<br />

ตัวแบบของเอไลอัส<br />

165<br />

8. ข้อวิจรณ์ต่อกรศึกษของเอไลอัส 177<br />

9. สะท้อนชีวิตและควมคิดของเอไลอัส 189<br />

บรรณนุกรม 199<br />

ดัชนี 208<br />

ประวัติผู้เขียน 211


<strong>คำนิยม</strong><br />

“เพราะอะไรเส้้นทางแห่่งอารยธรรมตะวัันตกท่เจริญรุดห่น้าแบบก้าวั<br />

กระโดด และพุ่งทะยานไปข้้างห่น้าอย่างรวัดเร็วัในช่่วังศตวัรรษท่ 17 จึง<br />

ได้ห่ันเห่เปล่ยนทิศทางแบบกลับตาลปัตรไปส้่โศกนาฏกรรมครังยิงให่ญ่<br />

ข้องประวััติศาส้ตร์โลกในช่่วังส้งครามโลกครังท่ 2”<br />

คำถมนี้น่จะเป็นคำถมที่ผู้เขียนค้งคใจที่สุด จกกรที่ได้ประสบพบเจอ<br />

และคลุกคลีอยู่กับงนเขียนของนอร์เบิร์ต เอไลอัส (Norbert Elias, 1897–<br />

1990) มเป็นเวลกว่สองทศวรรษ นับตั้งแต่ผู้เขียนได้เริ่มสัมผัสกับแวดวง<br />

สังคมศสตร์และมนุษยศสตร์ในระดับบัณฑิตศึกษที่ประเทศสหรัฐอเมริก<br />

จนกระทั่งถึง ณ ปัจจุบันที่ผู้เขียนเองได้กลยมเป็นผู้สอนและวิจัยในสข<br />

วิชดังกล่วในประเทศไทย คำถมดังกล่ว คือ คำถมที่เต็มไปด้วยข้อคิด<br />

เชิงศีลธรรม กรเมือง ปรัชญ และประวัติศสตร์ ที่ชวนให้ผู้เขียนรู้สึก<br />

สลดใจเป็นอย่งยิ่งนั้น เป็นคำถมที่ผู้เขียนอนุมนมจกกรอ่นงนของ<br />

เอไลอัสจนตกผลึก ว่เสมือนเป็นสิ่งที่ตกตะกอนอยู่ในซอกลึกของหัวใจ<br />

เอไลอัสเองมนนแสนนน กรที่จะทำควมเข้ใจถึงที่มที่ไปของคำถม<br />

อันลึกซึ้งที่ผู้เขียนได้อรัมภบทมนั้น คงต้องอศัยประสบกรณ์ ควม<br />

อดทน และควมตั้งใจเป็นอย่งยิ่ง ในกรอ่นงนเขียนชิ้นที่สำคัญที่สุดใน<br />

ชีวิตกรงนของเอไลอัสที่มีชื่อว่ The Civilizing Process: Sociogenetic and<br />

Psychogenetic Investigations (1994/2000) ซึ่งได้รวบรวมเองนเก่สองชิ้น<br />

ได้แก่ The History of Manners (1969) และ State Formation and Civilization<br />

(1982) ฉบับแปลภษอังกฤษเข้ไว้ด้วยกัน ทั้งหมดโดยกรบุกเบิก<br />

ของสำนักพิมพ์ Blackwell Publishing กรเดินทงผ่นห้วงเวลอันยวไกล<br />

เพื่อไปสู่จุดหมย เพื่อตั้งคำถมที่ผู้เขียนได้เกริ่นเอไว้ในตอนต้นและกร<br />

vii


หคำตอบให้กับมันนั้น เริ่มขึ้นตั้งแต่กรตั้งข้อสังเกตว่เอไลอัสมีเจตนรมณ์<br />

ที่จะอุทิศหนังสือเล่มนี้ให้แก่บิดและมรด ผู้ปกครองของเขซึ่งเสียชีวิตลง<br />

ในค่ยมรณะในเมืองเอชวิทซ์ (Auschwitz) สถปัตยกรรมและนวัตกรรม<br />

ที่สวนทงกับทิศทงของอรยธรรมตะวันตก ที่ถูกสร้งโดยรัฐบลนซีเพื่อ<br />

กักกันและสังหรชวยิว อย่งเหี้ยมโหดในช่วงสงครมโลกครั้งที่สอง<br />

ควมพยยมในกรคลี่คลยปมปัญหที่แฝงอยู่ในคำถมที่สำคัญ ก็ได้<br />

ทำให้ผู้เขียนได้ค้นพบและดื่มดำ่กับควมจริงที่ว่เอไลอัสนั้น แท้ที่จริงแล้ว<br />

ก็คือผู้บุกเบิกในด้นสังคมวิทยประวัติศตร์ที่สำคัญที่สุดคนหนึ่ง ด้วย<br />

วิธีกรศึกษประวัติศสตร์ในเชิงกระบวนกรในระยะยว ในช่วงเวลที่กร<br />

ศึกษประวัติศสตร์เชิงเปรียบเทียบ (ที่ถูกสร้งขึ้นมเพื่อแข่งขันในเชิง<br />

ญณวิทยกับสังคมวิทยกระแสหลักแนวประจักษ์นิยมและปฏิฐนนิยม)<br />

ยังคงครองควมเป็นใหญ่ในสังคมวิทยประวัติศสตร์ในสหรัฐอเมริกและ<br />

ยุโรป ผนวกกับกรใช้แนวคิดและทฤษฎีสังคมจกหลกหลยสำนักม<br />

วิเคระห์และสังเคระห์รวมกันตมแบบฉบับของตัวเองที่ไม่ซำ้ใคร The<br />

Civilizing Process (ซึ่งอจรย์ ดร. ชญ พนรัตน์ แปลเป็นภษไทยและ<br />

ใช้เป็นชื่อหนังสือเล่มนี้ว่ “บนทงสู่อรยะ”) นั้นศึกษกระบวนกรเปลี่ยน<br />

แปลงทงสังคมในระยะยว ทั้งในระดับปัจเจกชนและวัฒนธรรมในชีวิต<br />

ประจำวัน (ประวัติศสตร์จุลภค) ที่เกิดขึ้นควบคู่ขนนไปกับกรเปลี่ยน<br />

แปลงของโครงสร้งทงสังคมและกรเมืองในยุโรปตะวันตก (ประวัติศสตร์<br />

มหภค) นับตั้งแต่ช่วงเปลี่ยนผ่นจกยุคกลงและก่อนสมัยใหม่เข้สู่สมัย<br />

ใหม่ กระบวนกรเปลี่ยนแปลงทงสังคมในระยะยวแบบคู่ขนนทั้งหมดนั้น<br />

เป็นที่มของแนวคิด “ต้นกำเนิดทงจิตและสังคมในกระบวนกรสร้งอรย-<br />

ธรรม” (The Psychogenesis and Sociogenesis of the Civilizing Process)<br />

เอไลอัสเริ่มเปิดฉกมหกพย์ที่ตัวเองเนรมิตขึ้นด้วยกรศึกษกรเปลี่ยน<br />

แปลงของมรยททงสังคมในประวัติศตร์ยุโรป โดยที่ในช่วงยุคกลงของ<br />

ยุโรปตะวันตกมรยทและกรปฏิบัติตนต่อผู้อื่นในที่สธรณะมักจะถูก<br />

แสดงออกในรูปแบบที่แตกต่งกันไปจกที่ปรกฏให้เห็นในสังคมสมัยใหม่<br />

viii


โดยสิ้นเชิง ภยใต้สถนกรณ์ในชีวิตประจำวัน ผู้คนเหล่ นั้นมักจะแสดงออก<br />

โดยปรศจกกรควบคุมตนเองและกรคิดคำนึงถึงผู้อื่นในที่สธรณะ ไม่<br />

ว่จะเป็นกรรับประทนอหร กรนอน กรจัดระเบียบร่งกย กรใช้<br />

อุปกรณ์และพื้นที่ร่วมกัน เป็นต้น ยิ่งไปกว่นั้นแล้ว ภยใต้สถนกรณ์แห่ง<br />

ควมขัดแย้ง กรแสดงควมโกรธแบบหุนหันพลันแล่น ควมเกลียดชัง<br />

และกรใช้ควมรุนแรงต่อกันจึงสมรถพบเห็นได้โดยทั่วไปในชีวิตประจำ<br />

วัน ยุคก่อนสมัยใหม่ (The Early Modern Period) นั้นเปรียบเสมือนสันปัน<br />

นำ้แห่งประวัติศสตร์อรยธรรมตะวันตก ที่ชวยุโรปตะวันตกเริ่มที่จะมี<br />

ประสบกรณ์เกี่ยวกับกรเปลี่ยนแปลงไปในทิศทงและระดับที่แตกต่งจก<br />

เดิม เมื่อปัจเจกชนเหล่นั้นได้เริ่มแสดงออกถึงกรควบคุมตนเองและปฏิบัติ<br />

ตนต่อผู้อื่นในสังคมและพื้นที่สธรณะอย่งมีมรยทและสุภพมกขึ้น<br />

อย่งสังเกตเห็นได้ชัดจกหลักฐนเชิงประจักษ์ทงประวัติศสตร์ที่เอไลอัส<br />

ได้ศึกษและอ้งอิงเอไว้ในงนของเข<br />

กลไกสำคัญที่เชื่อมโยงกรเปลี่ยนแปลงทั้งในระดับสังคมและจิตเข้ด้วยกัน<br />

นั้น ก็คือ กรเกิดขึ้นของรชสำนัก (The Court Society) และกรก่อตัว<br />

ของรัฐสมัยใหม่ (The Modern State) ที่มีวิวัฒนกรมจกรัฐสมบูรณ-<br />

ญสิทธิรชย์ที่ก่อตัวขึ้นภยใต้สังคมศักดินของยุโรปตะวันตก พร้อมทั้ง<br />

สภพสังคมที่เปลี่ยนแปลงไปตมกันอย่งเห็นได้ชัดเจน ประเด็นที่สำคัญยิ่ง<br />

ไปกว่นั้น ก็คือ เอไลอัสแสดงออกถึงควมเป็นนักสังคมวิทยประวัติศสตร์<br />

ด้วยกรใช้แนวคิดของนักสังคมวิทยคลสสิกสองคน ได้แก่ มักซ์ เวเบอร์<br />

(Max Weber) และเอมิล เดอร์ไคม์ (Émile Durkheim) มเป็นกลไกเชื่อมโยง<br />

กรเปลี่ยนแปลงในระดับสังคมให้เข้กับกรเปลี่ยนแปลงของจิตในระดับ<br />

ปัจเจก ซึ่งเขเองได้นำเอแนวคิดพื้นฐนของนักจิตวิทยวิเคระห์ ซิกมันด์<br />

ฟรอยด์ (Sigmund Freud) มใช้ เพระแท้ที่จริงแล้ว รัฐสมัยใหม่ (ตม<br />

แนวคิดของเวเบอร์) นั้นก็คือ ตัวแสดงที่รวบรวมและผูกขดอำนจในกร<br />

ควบคุมกรใช้ควมรุนแรงในสังคมเอไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว (The Modern<br />

State’s Monopoly of Violence) ซึ่งกลไกดังกล่วนั้นทำให้ควมรุนแรงถูก<br />

ix


ลดระดับลงในพื้นที่สธรณะในชีวิตประจำวันอย่งมกมยมหศล<br />

นอกจกนั้น สังคมที่เริ่มก่อตัวขึ้นเป็นรูปเป็นร่งของโครงสร้งเครือข่ยที่<br />

เชื่อมโยงกันในแนวรบ ซึ่งปัจเจกชนนั้นได้มีกรพึ่งพอศัยซึ่งกันและกัน<br />

และติดต่อสื่อสรกันมกขึ้นในช่วงเวลดังกล่ว (ตมแนวคิดของเดอร์ไคม์)<br />

ต่งก็สนับสนุนให้เกิดกรเปลี่ยนแปลงของจิตในระดับปัจเจกไปในทิศทงที่<br />

เพิ่มขึ้นของกรควบคุมตนเองและปฏิบัติตนต่อผู้อื่นอย่งมีมรยทและ<br />

สุภพ (ตมแนวคิดของฟรอยด์) ท้ยที่สุดแล้วกรเพิ่มขึ้นของกรควบคุม<br />

ทงสังคม (Social Control) ที่ถือกำเนิดขึ้นมจกรชสำนักและรัฐสมัยใหม่<br />

ก็ไปทำให้กรควบคุมตนเอง (Self-Control) ของปัจเจกชนนั้นมีมกขึ้นไป<br />

ตมเส้นทงแห่งกระบวนสร้งอรยธรรมตะวันตกที่พัฒนไปข้งหน้อย่ง<br />

ต่อเนื่องนั่นเอง สิ่งที่น่สนใจอย่งยิ่ง ก็คือ ข้อสรุปรวบยอดของเอไลอัสนั้น<br />

ยังแสดงให้เห็นถึงจิตวิญญณของกรสังเคระห์เอแนวคิดของนักทฤษฎี<br />

สังคมร่วมสมัยสองคนเข้ด้วยกัน ได้แก่ แนวคิด “ฮบิตัส” (Habitus) ของ<br />

ปิแอร์ บูดิเยอร์ (Pierre Bourdieu) และแนวคิด “วินัยและกรลงโทษ”<br />

(Discipline and Punishment) ของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) อีกด้วย<br />

หนังสือ บนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของเอไลอัส<br />

ของอจรย์ ดร. ชญ พนรัตน์ นั้นให้คุณูปกรอย่งมกมยมหศลใน<br />

ทงวิชกร จุดแข็งที่สำคัญที่สุดของงนเขียนชิ้นนี้อยู่ที่กรนำเสนอองค์<br />

ควมรู้ใหม่ให้แก่แวดวงสังคมศสตร์และมนุษยศสตร์ในประเทศไทย ซึ่ง<br />

ผู้เขียนเองยังมิเคยได้พบเห็นผลงนที่เกี่ยวกับเอไลอัสที่เขียนถ่ ยทอดออกม<br />

เป็นภษไทยได้อย่งครอบคลุมและค่อนข้งสมบูรณ์แบบในแวดวงวิชกร<br />

ไทยเลยแม้แต่ชิ้นเดียว โดยส่วนตัวผู้เขียนเห็นด้วยกับอจรย์ ดร. ชญ ว่<br />

งนเขียนของเอไลอัสนั้นมีลักษณะพิเศษตมแนวทงของสังคมวิทยประวัติ-<br />

ศสตร์ที่น่สนใจ ซึ่งเกิดจกกรสังเคระห์แนวคิดและทฤษฎีสังคมจกนัก<br />

คิดหลยคนและหลยสำนักทั้งในยุคคลสสิกและร่วมสมัยที่อจรย์ ดร.<br />

ชญ ได้อภิปรยแจกแจงเอไว้ในหนังสือเล่มนี้ อทิ คร์ล มร์กซ์ (Karl<br />

Marx) มักซ์ เวเบอร์ (Max Weber) เอมิล เดอร์ไคม์ (Émile Durkheim)<br />

x


ซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund Freud) คร์ล แมนไฮมม์ (Karl Mannheim)<br />

ปิแอร์ บูดิเยอร์ (Pierre Bourdieu) และนักวิชกรในระดับสกลคนอื่นที่<br />

อจรย์ ดร. ชญอ้งอิงเอไว้<br />

จุดแข็งอีกประกรหนึ่ง<strong>ของหนังสือ</strong>เล่มนี้ คือ กรที่อจรย์ ดร. ชญ ได้นำ<br />

เองนเขียนชิ้นอื่น ๆ ของเอไลอัสมร่วมอภิปรยด้วย โดยที่หนังสือเล่ม<br />

ไม่ได้เขียนถึง The Civilizing Process แค่เพียงอย่งเดียว งนเขียนชิ้นอื่น ๆ<br />

ที่สำคัญที่อจรย์ ดร. ชญได้กล่วถึงและ/หรือนำมร่วมอภิปรยไว้ใน<br />

หนังสือเล่มนี้ ได้แก่ The Germans: Power Struggles and the Development<br />

of Habitus in the Nineteenth and Twentieth Centuries (1996) The Loneliness<br />

of the Dying (2001) What is Sociology? และ (1978) The Society of<br />

Individuals (2001) อย่งไรก็ตม งนเขียนชิ้นหลักอีกชิ้นที่ดูเหมือนจะเป็น<br />

แรงบันดลใจให้อจรย์ ดร. ชญมกที่สุด ก็คงจะเป็น Quest for Excitement:<br />

Sport and Leisure in the Civilizing Process (1986) ทั้งหมดนี้ได้รับ<br />

กรถ่ยทอดผ่นกรเรียงลำดับเนื้อหที่แสดงให้เห็นถึงควมคิดริเริ่มสร้ง<br />

สรรค์และประสบกรณ์ที่มจกผลงนวิจัยของตัวอจรย์ ดร. ชญเอง โดย<br />

เฉพะอย่งยิ่งในเรื่องของกีฬและกรใช้เวลว่งกับกรควบคุมตนเองและ<br />

กรลดทอนควมรุนแรง ซึ่งเขได้นำเอแนวคิดของเอไลอัสมศึกษประวัติ-<br />

ศสตร์ไทยภยใต้หัวข้อดังกล่ว เขเลือกที่จะนำเสนอส่วนนี้ไว้ในตอนกลง<br />

<strong>ของหนังสือ</strong>เล่มนี้ (บทที่ 4) โดยทั้งหมดเริ่มต้นที่กรอรัมภบทถึงตัวนักคิด<br />

ที่ชื่อ นอร์เบิร์ต เอไลอัส (Norbert Elias) (บทที่ 1) ต่อมด้วยอัตชีวประวัติ<br />

และพัฒนกรของควมคิดของนักสังคมวิทยประวัติศสตร์คนนี้ (บทที่ 2)<br />

แล้วจึงพูดสรุปเนื้อหสระสำคัญของงนเขียนชิ้นหลักของเอไลอัสที่มีชื่อว่<br />

The Civilizing Process: Sociogenetic and Psychogenetic Investigations (บทที่<br />

3) หลังจกนั้นเขจึงได้ขยยควม วิเคระห์และสังเคระห์ถึงประเด็นทงด้น<br />

แนวคิดและทฤษฎีอื่น ๆ เช่น มนุษย์กับอัตลักษณ์กลุ่ม: ควมสัมพันธ์ระหว่ง<br />

ตัวฉันกับพวกเร (The Society of Individuals) และ ควมสัมพันธ์ระหว่ง<br />

พวกมีหลักปักฐนและคนนอก (The Established and the Outsi ders) (บท<br />

xi


ที่ 6) รวมไปถึงญณวิทยและวิธีวิทยใน อีก 3 บทต่อม (บทที่ 5–7)<br />

หลังจกบทที่เกี่ยวกับกีฬและกรใช้เวลว่งกับกรควบคุมตนเองและกร<br />

ลดทอนควมรุนแรง ซึ่งเขได้สอดแทรกกรศึกษประวัติศสตร์ไทยอันเป็น<br />

คุณูปกรที่สำคัญ<strong>ของหนังสือ</strong>เล่มนี้เอไว้ด้วย และท้ยที่สุดเขปิดท้ยหนังสือ<br />

เล่มดังกล่ว โดยกรรวบรวมข้อวิจรณ์ที่มีต่องนเขียนของเอไลอัส (บทที่ 8)<br />

และบทสรุปรวบยอดในตอนท้ยสุด<strong>ของหนังสือ</strong> (บทที่ 9)<br />

จุดแข็งในประกรต่อม คือกรใช้ตรรกะและวทศิลป์ในกรเขียน ภษที่ใช้<br />

ทำให้อ่นเข้ใจง่ย กรเขียนมีควมกระชับและตรงประเด็น อ่นแล้วรู้สึก<br />

ลื่นไหลภยในกรอ่นเพียงครั้งเดียว มีกรแสดงออกถึงตัวตนในทงวิชกร<br />

ของอจรย์ ดร.ชญ ผู้ซึ่งมีควมสนใจและเชี่ยวชญในด้นสังคมศสตร์<br />

เชิงประวัติศสตร์ โดยเฉพะอย่งยิ่งในเรื่องของกีฬและกรใช้เวลว่ง กับ<br />

กรควบคุมตนเองและกรลดทอนควมรุนแรงในบริบทของประวัติศสตร์<br />

ไทย ที่เขได้เคยทำงนวิจัยและตีพิมพ์ผลงนในหัวข้อดังกล่วมก่อน<br />

ผู้เขียนหวังเป็นอย่งยิ่งว่หนังสือเล่มนี้จะเป็นบันไดขั้นแรกที่นำพผู้อ่นและ<br />

ผู้ที่ให้ควมสนใจในแวดวงสังคมศสตร์และมนุษยศสตร์ในประเทศไทยไป<br />

สู่งนเขียนของเอไลอัสและสังคมวิทยประวัติศสตร์ ท้ยที่สุดแล้วหนังสือ<br />

บนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของนอร์เบิร์ต<br />

เอไลอัส ที่จัดพิมพ์โดยสำนักพิมพ์ Illuminations Editions ของอจรย์ ดร.<br />

ชญ พนรัตน์ น่จะเป็นตัวแทนของคู่มือในกรอ่นงนของเอไลอัสใน<br />

ประเทศไทยได้เป็นอย่งดี ในระดับที่สตีเฟ่น เม็นเนว (Stephen Mennell)<br />

อีริค ดันนิ่ง (Eric Dunning) และเด็นนิส สมิธ (Dennis Smith) เคยทำเอ<br />

ไว้ในตลดหนังสือคู่มือกรอ่นงนวิชกรทงสังคมศสตร์และมนุษย-<br />

ศสตร์ (Companions) ในตลดหนังสือภษอังกฤษในระดับนนชติ<br />

ผศ.ดร. กีรติ ชื่นพิทยธร<br />

ภควิชสังคมวิทยและมนุษยวิทย<br />

คณะรัฐศสตร์ จุฬลงกรณ์มหวิทยลัย<br />

xii


<strong>คำนำ</strong><br />

ชื่อของ “นอร์เบิร์ต เอไลอัส” (Norbert Elias) หรือบ้งก็เรียกว่ “เอเลียส”<br />

ยังถูกพูดถึงน้อยในประเทศไทย ทั้งที่ควมคิดของเขมีคุณประโยชน์ในกร<br />

มองสังคมมนุษย์หลยประกร โดยเฉพะอย่งยิ่งวัฒนธรรมและอัตลักษณ์<br />

ที่เกี่ยวกับกรใช้และควบคุมควมรุนแรง ตัวแบบที่แก้ปัญหทงสังคมวิทย<br />

เรื่องมนุษย์ในโครงสร้งสังคม และแนวคิดสำหรับศึกษพัฒนกรรัฐอัน<br />

ยวนนกว่สหัสวรรษ ฯลฯ สเหตุที่ชื่อของเอไลอัสถูกพูดถึงน้อย ส่วนหนึ่ง<br />

เป็นเพระโลกวิชกรด้นสังคมวิทยและประวัติศสตร์ที่ใช้ภษอังกฤษ<br />

แทบจะไม่รู้จักผลงนของเอไลอัส จวบจนกระทั่งปลยคริสต์ทศวรรษ 1970<br />

ที่มีกรนำผลงนชิ้นสำคัญของเขอย่ง The Civilizing Process มแปลจก<br />

ภษเยอรมันเป็นภษอังกฤษและตมมด้วยผลงนชิ้นอื่น ๆ งนเขียน<br />

ของเอไลอัสค่อย ๆ ได้รับกรยอมรับว่ได้สร้งคุณูปกรอย่งมีนัยสำคัญต่อ<br />

วงวิชกรในโลกภษอังกฤษ เหตุผลนี้เองที่ทำให้ก่อนคริสต์ทศวรรษ 1980<br />

นักวิชกรไทยจึงไม่ได้มีโอกสเรียนหรืออ่นผลงนของเขผ่นภษอังกฤษ<br />

อย่งไรก็ตม ล่วงมจนถึงปี ค.ศ. 2021 หรือกว่ 40 ปีนับจกที่มีกรทยอย<br />

แปลผลงนของเอไลอัสออกเป็นภษอังกฤษ งนวิชกรภษไทยที่กล่ว<br />

ถึงเอไลอัสก็ยังไม่เป็นที่แพร่หลยในประเทศไทยเท่ไรนัก ผลที่ตมมก็คือ<br />

วงวิชกรด้นสังคมวิทยและประวัติศสตร์ในไทยยังไม่ได้ใช้ประโยชน์จก<br />

ควมคิดของเอไลอัสในกรทำวิจัยหรือต่อยอดในทงทฤษฎีมกเท่ที่ควร<br />

ทั้ง ๆ ที่ควมคิดของเอไลอัสมีคุณประโยชน์มกต่อกรศึกษในประเด็นต่ง ๆ<br />

โดยเฉพะอย่งยิ่ง ประเด็นปัญหสำคัญอย่งควมเข้ใจต่อควมรุนแรง<br />

ปัญหแนวคิดที่มองพัฒนกรของควมสัมพันธ์มนุษย์อย่งหยุดนิ่ง ตัวแบบ<br />

ของเอไลอัสเป็นประโยชน์อย่งมกที่จะช่วยสะท้อนประวัติศสตร์ช่วงยว<br />

xiii


ของควมสัมพันธ์เชิงอำนจของมนุษย์ในมิติควมรุนแรง อรมณ์ ชีวิต<br />

ประจำวัน และภพตัวตนตั้งแต่สังคมชนเผ่ นครรัฐ รัฐจรีต รัฐชติ<br />

สังคมระหว่งประเทศ ฯลฯ<br />

จกข้อจำกัดด้นควมเข้ใจต่อทฤษฎีของเอไลอัส และควมไม่แพร่หลย<br />

ในกรใช้ทฤษฎีของเขในประเทศไทย ได้นำไปสู่จุดมุ่งหมยประกรหนึ่ง<br />

<strong>ของหนังสือ</strong>เล่มนี้ ในหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนเน้นค้นคว้ศึกษวิเคระห์และ<br />

สังเคระห์ทฤษฎี ญณวิทย กรปรับใช้ต่อยอด และจุดอ่อนต่ง ๆ ของ<br />

ทฤษฎีของเอไลอัส หนังสือเล่มนี้แนะนำให้ผู้อ่นเข้ใจเพิ่มเติมถึงมโนทัศน์<br />

ต่ง ๆ ของเอไลอัส ที่อจเป็นที่รู้จักอยู่บ้ง เช่น ทฤษฎีกระบวนกรสู่ควม<br />

ศิวิไลซ์ และ ฮบิตัส (Habitus) ตลอดจนแนะนำมโนทัศน์อื่น ๆ ของเอไลอัส<br />

ที่อจยังไม่เป็นที่แพร่หลยมกนักอย่งเช่น แนวคิดควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิง<br />

ต่อรอง แนวคิดพวกมีหลักปักฐนและคนนอก และแนวคิดในกรศึกษกร<br />

ใช้เวลว่งและกีฬ นอกจกนี้ หนังสือเล่มนี้ได้พยยมรวบรวมมโนทัศน์<br />

สำคัญของเอไลอัสไว้ให้หลกหลยครอบคลุม เพื่อที่จะชี้ถึงควมสัมพันธ์<br />

ของมโนทัศน์หลักและมโนทัศน์ย่อยต่ง ๆ โดยละเอียดเพียงพอจนน่จะเป็น<br />

ประโยชน์ต่อผู้อ่นสำหรับนำไปทดสอบสมมติฐนเพื่อทดลองมองและ/หรือ<br />

ปรับใช้ในงนวิจัยของผู้อ่นได้อย่งรอบด้นเท่ที่ผู้เขียนจะพอนำเสนอไว้ได้<br />

เพื่อให้หนังสือเล่มนี้เป็นเครื่องนำทงหนึ่งให้แก่นัก(เรียน)สังคมวิทยและ<br />

ประวัติศสตร์ หนังสือเล่มนี้จึงพยยมชี้ถึงกรประกอบสร้งทฤษฎีขึ้นม<br />

ของเอไลอัสผ่นควมเชื่อมโยงกันระหว่งข้อมูลเชิงประจักษ์ แนวคิดทฤษฎี<br />

และญณวิทย ตลอดจนพยยมชี้ถึงกระบวนกรในกรรื้อและประกอบ<br />

ใหม่ของทฤษฎีสังคมวิทยของเอไลอัสโดยนักวิชกรรุ่นหลัง เพื่อนำทฤษฎี<br />

ของเอไลอัสมประกอบบนบริบทใหม่โดยนักวิชกรรุ่นหลังอย่งวิพกษ์และ<br />

ต่อยอดจนสมรถใช้ทฤษฎีที่ปรับใหม่มจับควมสัมพันธ์ทงสังคมที่<br />

ต้องกรศึกษได้อย่งรอบด้น ยิ่งไปกว่นั้น เพื่อให้กรปรับใช้แนวคิดของ<br />

เอไลอัสมีควมแพร่หลย สะดวก และง่ยต่อควมเข้ใจได้ชัดเจนขึ้น<br />

xiv


ตลอดจนกระตุ้นให้เกิดควมคิดและค้นคว้ต่อไป ผู้เขียนจึงได้ยกตัวอย่ง<br />

จกผลงนต้นฉบับของเอไลอัส และจกงนวิจัยที่ต่อยอดกรศึกษของ<br />

เอไลอัสทั้งที่เขียนโดยนักวิชกรนนชติ และจกประสบกรณ์กรวิจัย<br />

ของผู้เขียนเองอีกด้วย<br />

นอกจกนี้ สถนะควมรู้ในกรศึกษสังคมวิทยกีฬในประเทศไทยยังคง<br />

จำกัดอยู่ในหลยแง่ โดยเฉพะอย่งยิ่งควมขดแคลนงนวิชกรภษ<br />

ไทยที่ได้แนะนำตัวแบบทงทฤษฎีในกรศึกษสังคมวิทยกีฬ มนุษยวิทย<br />

กีฬ และประวัติศสตร์กรใช้เวลว่ง ที่ละเอียดเพียงพอสำหรับกรนำไป<br />

ใช้เป็นพื้นฐนในกรวิจัยกีฬในมิติสังคมศสตร์และมนุษยศสตร์ บทหนึ่ง<br />

ในหนังสือเล่มนี้ที ่เน้นเรื่องกีฬ (ซึ่งก็โยงกับมโนทัศน์อื่น ๆ ในทุกบท) ตม<br />

มุมมองของนอร์เบิร์ต เอไลอัส จึงเป็นควมพยยมเล็ก ๆ ประกรหนึ่งที่จะ<br />

เติมเต็มช่องว่งนี้ ทฤษฎีในกรศึกษกีฬของเอไลอัส และอันที่จริงก็รวม<br />

ถึงเอริก ดันนิง นับว่เป็นตัวแบบในกรศึกษกีฬที่บุกเบิกแผ้วถงที่ทง<br />

ให้แก่วงกรสังคมวิทยกีฬที่เริ่มเติบโตเป็นที่ยอมรับขึ้นมทีละน้อยนับ<br />

ตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1960 และควรกล่วด้วยว่เอไลอัส ได้ริเริ่มศึกษหน้ที่<br />

ทงสังคมของกีฬที่เกี่ยวโยงกับกรใช้และควบคุมควมรุนแรงมตั้งแต่คริสต์­<br />

ทศวรรษ 1930 แล้ว ควมคิดของเอไลอัสมีควมสำคัญยิ่งต่อกรศึกษกีฬ<br />

และควมรุนแรงนับแต่นั้นมจนถึงปัจจุบัน<br />

หนังสือ บนทางสู่อารยะ: สังคมวิทยาและประวัติศาสตร์ในทัศนะของ<br />

นอร์เบิร์ต เอไลอัส เล่มนี้มีจุดมุ่งหมยเพื่อแนะนำให้ผู้อ่นได้เห็นพัฒนกร<br />

และแนวควมคิดหลักของเอไลอัสส่วนหนึ่ง โดยเฉพะอย่งยิ่งแนวคิดเรื่อง<br />

กระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ ตัวแบบในกรศึกษควมสัมพันธ์ระหว่งมนุษย์<br />

อัตลักษณ์ ตัวแบบในกรศึกษพัฒนกรรัฐตั้งแต่ยุคจรีตถึงรัฐรวมศูนย์<br />

อำนจทงกรเงินและควมรุนแรง และตัวแบบในกรศึกษกีฬ มุมมอง<br />

ต่อระเบียบวิธีวิจัยและมุมมองทงญณวิทยตลอดจนกล่วถึงข้อจำกัดและ<br />

ข้อวิจรณ์ต่อควมคิดของเอไลอัสไว้ด้วย ผู้เขียนหวังว่หนังสือเล่มนี้อจเป็น<br />

xv


ประโยชน์ในแง่ที่ให้ควมเข้ใจต่อตัวแบบทงทฤษฎีสำหรับกรนำไปใช้ทำ<br />

วิจัยทงสังคมศสตร์และประวัติศสตร์ได้อยู่บ้ง<br />

ท้ยที่สุด ผู้เขียนขอขอบคุณคณจรย์ผู้ทรงคุณวุฒิ ได้แก่ ผู้ช่วยศสตร-<br />

จรย์ ดร.กีรติ ชื่นพิทยธร ภควิชสังคมวิทยและมนุษยวิทย คณะ<br />

รัฐศสตร์ จุฬลงกรณ์มหวิทยลัย และผู้ช่วยศสตรจรย์ ดร.ฐนิด<br />

บุญวรรโณ ภควิชสังคมวิทยและมนุษยวิทย คณะสังคมศสตร์ มห-<br />

วิทยลัยนเรศวร เป็นอย่งสูงสำหรับข้อเสนอแนะที่มีค่ ยิ่ง ผู้เขียนขอขอบคุณ<br />

คุณพิพัฒน์ พสุธรชติ แห่งสำนักพิมพ์ Illuminations Editions เป็นอย่งยิ่ง<br />

ที่ได้สนับสนุนด้นกรจัดกรต่ง ๆ อย่งกระตือรือร้นและสมำ ่เสมอ นอกจก<br />

นี้ ผู้เขียนขอขอบคุณ The Norbert Elias Foundation, Amsterdam เป็น<br />

อย่งสูงที่อนุญตให้ผู้เขียนใช้ภพถ่ยต่ง ๆ จกเว็บไซต์ The Norbert Elias<br />

Foundation เพื่อใช้ในหนังสือเล่มนี้ และผู้เขียนขอขอบคุณทุกท่นผู้ที่ผู้เขียน<br />

ไม่ได้เอ่ยนมในที่นี้ ที่มีส่วนสนับสนุนหนังสือเล่มนี้ไม่ว่จะเป็นทั้งทงตรง<br />

และทงอ้อม<br />

ชญ พนรัตน์<br />

10 กุมภพันธ์ 2564<br />

xvi


บนทงสู่อรยะ


2<br />

รูป 1: นอร์เบิร์ต เอไลอัส ในวัยใกล้ 80 ปี ขณะอยู่ที่เมืองเลสเตอร์ ประเทศอังกฤษ<br />

ใน ค.ศ. 1976 (พ.ศ. 2519) (Norbert Elias Foundation, Amsterdam, 2021)


1. เอไลอัส เป็นใคร?<br />

นอร์เบิร์ต เอไลอัส 1 (Norbert Elias) (1897–1990) นักสังคมวิทยผู้นิยม<br />

ว่ตนเป็นชวเยอรมันยิว (“German Jew”) เกิดในเบรสเล (Breslau) [หรือ<br />

ปัจจุบันคือ วรอครอว์ (Wroclaw) ในโปแลนด์] จักรวรรดิเยอรมัน ประสบ-<br />

กรณ์ในแนวหน้ในสงครมโลกครั้งที่ 1 เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ทำให้เข<br />

หันมสนใจวิชสังคมวิทย เมื่อพรรคนซีเยอรมันขึ้นมมีอำนจในปี ค.ศ.<br />

1933 (พ.ศ. 2476) เขลี้ภัยไปฝรั่งเศส และไปอังกฤษในอีก 2 ปีต่อม เข<br />

สูญเสียมรดจกกรฆ่่ล้งเผ่พันธุ์ชวยิวที่เอชวิทซ์ (Auschwitz) จกที่<br />

ตัวของเอไลอัสและคุณแม่ของเขเองก็ต้องเผชิญหน้กับควมรุนแรงถึงชีวิต<br />

งนวิชกรของเขหลยชิ้นโดยเฉพะอย่งยิ่งงนที่ศึกษแง่มุมเรื่องควม<br />

รุนแรงและสภวะศิวิไลซ์ เป็นกรเน้นทำควมเข้ใจชะตชีวิตของมนุษยชติ<br />

และของครอบครัวเอไลอัสเอง นอกจกนี้ ตั ้งแต่ช่วงชีวิตวัยเด็กจนสำเร็จกร<br />

ศึกษในระดับปริญญเอกในเยอรมนีและชีวิตทงวิชกรในอังกฤษ เอไลอัส<br />

เผชิญกับกรถูกกีดกันในฐนะที่เป็น “คนนอก” และตั้งแต่ในคริสต์ทศวรรษ<br />

1970 เป็นต้นไป ข้อเสนอทงวิชกรของเอไลอัสซึ่งในขณะนั้นอยุ 70 ปี<br />

กว่ ๆ ก็เริ่มเป็นที่ยอมรับในยุโรปภคพื้นทวีป เขตัดสินใจกลับไปสอนและ<br />

1<br />

งนวิชกรหลยชิ้นเรียกขนนมสกุลของ “เอไลอัส” ว่ “เอเลียส” (โปรดดู<br />

รชบัณฑิตยสถน, 2549; กญจน และสมสุข, 2551) แต่กระนั้นก็ตม เพื่อควม<br />

เป็นสกล ในหนังสือเล่มนี้ ผู้เขียนจะเรียกนมสกุล ของ Norbert Elias ให้ใกล้<br />

เคียงกับกรออกเสียงในภษอังกฤษ ซึ่งออกเสียงว่ “เอไลอัส” นอกจกนี้ ควร<br />

กล่วเพิ่มเติมด้วยว่ ตมกรออกเสียงในภษเยอรมัน จะออกเสียงว่ “เอลิอัส”<br />

โปรดฟังกรออกเสียงภษอังกฤษและภษเยอรมันใน van Heerikhuizen (2015)<br />

3


วิจัยที่เยอรมนีและปักหลักที่เนเธอร์แลนด์ จนวระสุดท้ยของชีวิต (Elias et<br />

al., 1994, pp. 79, 155–6; Elias, 1996)<br />

หกจะสรุปถึงภรกิจของเอไลอัสในฐนะนักสังคมวิทย เขมองว่ภรกิจ<br />

ที่สำคัญที่สุดประกรหนึ่งคือ กรพยยมทำควมเข้ใจว่มนุษย์และสิ่ง<br />

ต่ง ๆ มเชื่อมต่อสัมพันธ์กันได้อย่งไร อีกทั้งกรควบคุมและกรใช้ควม<br />

รุนแรงต่อมนุษย์ด้วยกันเปลี่ยนแปลงไปตลอดพัฒนกรของกรรวมกลุ่ม<br />

ตั้งแต่สังคมยุคนครรัฐ รัฐจรีตไปจนถึงยุครัฐชติอย่งไร ทั้งนี ้ก็เพื่อสร้ง<br />

ควมรู้ควมเข้ใจต่อควมสัมพันธ์ทงสังคม เพื่อให้มนุษย์สมรถควบคุม<br />

จัดกรชีวิตและควมสัมพันธ์ระหว่งมนุษย์ให้ดีกว่ที่เคยเป็นมและยัง<br />

เป็นอยู่ (Elias et al., 1994, pp. 36–7, 47–8; Elias, 1996; Elias, 2000)<br />

นับตั้งแต่คริสต์ทศวรรษ 1980 (พ.ศ. 2523–2532) เป็นต้นไป ผลงนของ<br />

เอไลอัสได้รับควมสนใจอย่งกว้งขวงในแวดวงสังคมวิทย ผลงนหลย<br />

ชิ้นของเขได้รับกรแปลจกภษเยอรมันเป็นภษอังกฤษ กรศึกษของ<br />

เขหลยชิ้นได้รับกรอ้งอิง ต่อยอด และวิจรณ์อย่งกว้งขวง โดย<br />

เฉพะอย่งยิ่งในประเด็นพลวัตของควมรุนแรงและควมศิวิไลซ์ ประวัติ-<br />

ศสตร์อรมณ์ อัตลักษณ์ในมิติด้นควมศิวิไลซ์ กรเรียนรู้ทงสังคมที่<br />

ติดตัว (habitus หรือ ฮบิตัส) ภพตัวตนอันโยงใยกับกลุ่มทงสังคมต่ง ๆ<br />

พัฒนกรรัฐหลกหลยยุค โดยเฉพะอย่งยิ่งนครรัฐ รัฐฟิวดัล อณจักร<br />

ยุคจรีต รัฐสมบูรณญสิทธิรชย์ รัฐชติ และสังคมนนชติ ตัวแบบ<br />

ควมสัมพันธ์ระหว่งพวกมีหลักปักฐนและคนนอก และกีฬศึกษในมิติ<br />

กรจัดกรควบคุมควมรุนแรง<br />

ลูอิส โคเซอร์ (Lewis Coser) และซิกมันท์ เบแมน (Zygmunt Bauman)<br />

พิจรณว่นอร์เบิร์ต เอไลอัสเป็นหนึ่งในนักสังคมวิทยที่สำคัญยิ่ง (van<br />

Krieken, 1998, p. 2; Morrow, 2009, pp. 215–6) ผลงนอันเป็นที่รู้จักของ<br />

เขมกที่สุดก็คือ The Civilizing Process: Sociogenetic and Psychogenetic<br />

4


Investigations (2000) (หรืออจแปลเป็นไทยได้ว่ กระบวนการสู่ความ<br />

ศิวิไลซ์: การสืบค้นแหล่งกำาเนิดและพัฒนาการทางสังคมและจิตใจ) นัก<br />

สังคมวิทยผู้เป็นสมชิกสังคมวิทยนนชติ (International Sociological<br />

Association) รว 450 คน จัดผลงนชิ้นนี้ว่เป็นหนังสือด้นสังคมวิทย<br />

หนึ่งในสิบเล่มที่สำคัญที่สุดในคริสต์ศตวรรษที่ 20 ร่วมกับผลงนของแม็กซ์<br />

เวเบอร์ (Max Weber) ชร์ล ไรท์ มิลส์ (Charles Wright Mills) ปิแอร์<br />

บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) และเออวิง กอฟฟ์แมน (Erving Goffman)<br />

(International Sociological Association, 2019) ลูอิซ โคเซอร์ กล่วแนะนำ<br />

เล่มนี้ ไว้ในปกหลัง<strong>ของหนังสือ</strong> The Civilizing Process ว่เป็น “งนโมเดิร์น<br />

คลสสิคในบรรดงนที่เป็นพื้นฐนอันจำเป็นสูงสุด” (Elias, 2000, p.back<br />

cover) ขณะที่แอนโธนี กิดเดนส์ (Anthony Giddens) กล่วถึงผลงนของ<br />

เอไลอัส ที่กล่วถึงกระบวนกรอัตลักษณ์ของมนุษย์ในควมสัมพันธ์กับกลุ่ม<br />

ทงสังคมต่ง ๆ ในเชิงขัดแย้งและบูรณกร เรื่อง The Society of Individuals<br />

(1991) ว่เป็น “กรบรรลุผลสัมฤทธิ์อย่งพิเศษ” ที่ได้ริเริ่มนำเสนอประเด็น<br />

ใหม่ ๆ ในทฤษฎีสังคมวิทย ซึ่งก็อีกนนมกกว่ที่นักสังคมวิทยจะหันม<br />

สำรวจและถกเถียงกันอย่งกว้งขวง (van Krieken, 1998, pp. 2–3)<br />

ทฤษฎีสังคมวิทยของเอไลอัส เป็นที่รู้จักในแวดวงว่ “figurational sociology”<br />

หรืออจแปลเป็นภษไทยได้ว่ “สังคมวิทยเชิงเครือข่ยควมสัมพันธ์แบบ<br />

พึ่งพิง(ต่อรอง)” ต่อมเอไลอัสรู้สึกไม่พอใจกับคำว่ “figurational sociology”<br />

และหันไปใช้คำว่ “process sociology” หรือ “สังคมวิทยเชิงกระบวนกร”<br />

แทน ส่วนหนึ่งเป็นเพระเอไลอัสให้ควมสำคัญกับกรศึกษสังคมวัฒนธรรม<br />

ผ่นกระบวนกรเปลี่ยนแปลงแบบประวัติศสตร์ช่วงยวมกกว่ที่จะมอง<br />

ควมสัมพันธ์ทงสังคม ณ ช่วงเวลหนึ่งอย่งหยุดนิ่ง อย่งไรก็ตม ไม่ว่<br />

จะเรียกทฤษฎีของเอไลอัสว่ “ทฤษฎีสังคมวิทยเชิงเครือข่ยควมสัมพันธ์<br />

แบบพึ่งพิง” หรือ “ทฤษฎีสังคมวิทยเชิงกระบวนกร” ก็ตม ทฤษฎีที่<br />

เอไลอัสพัฒนขึ้นเป็นทฤษฎีที่เน้นศึกษสังคมหนึ ่ง ๆ ผ่นกรวิเคระห์ควม<br />

เปลี่ยนแปลงของควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงต่อรองระหว่งผู้คน เมื่อมนุษย์ผู้มี<br />

5


ทรัพยกรไม่เท่เทียมมเชื่อมต่อกัน มีหน้ที่ต่อกัน กรที่ต่งฝ่ยต่งก็<br />

รับรู้กรมีอยู่ของกันและกัน อีกทั้งยังต้องพึ่งพิงทรัพยกรของอีกฝ่ย<br />

ประกรนี้มีผลต่อกรเรียนรู้ทงสังคมที่ติดตัว (habitus) โดยเฉพะอย่งยิ่ง<br />

กรเรียนรู้ที่จะควบคุมยับยั้งตนเองในกรกระทำต่ง ๆ รวมถึงกรระงับ<br />

ควมรุนแรง นอกจกนี้ เอไลอัสศึกษพลวัตของเครือข่ยควมสัมพันธ์ที่<br />

มนุษย์พัวพันพึ่งพิงต่อรองกัน เพื่อพิจรณกรกระทำทงสังคม อัตลักษณ์<br />

กรควบคุมตนเองของปัจเจก วัฒนธรรม บรรทัดฐนควมประพฤติ จรรย<br />

มรยท และศีลธรรม เอไลอัสพิจรณถึงกรเปลี่ยนแปลงในมิติประวัติ-<br />

ศสตร์ช่วงยวของควมสัมพันธ์พึ่งพิงเชิงหน้ที่ อันทำให้ผู้คนและสิ่งต่ง ๆ<br />

ได้เชื่อมโยงกันทั้งในมิติด้นควมลงรอยกันและควมขัดแย้ง (Elias, 1978;<br />

Elias, 1996, p. 336; Jary and Jary, 2005, pp. 180, 220) ด้วยเหตุนี้เอง<br />

ผู้เขียนจึงแปลคำว่ “figurational sociology” ว่ “สังคมวิทยเชิงเครือข่ย<br />

ควมสัมพันธ์แบบพึ่งพิง(ต่อรอง)” อย่งไรก็ตม ผู้เขียนไม่เห็นด้วยกับ<br />

รชบัณฑิตยสถน (2549, น. 124) ที่แปล “figurational sociology” ว่<br />

“สังคมวิทยรูปลักษณ์” ทั้งนี้คำว่ “รูปลักษณ์” ไม่ได้สื่อถึงควมสัมพันธ์<br />

ระหว่งมนุษย์แต่อย่งใด หกแต่ชี้ชวนให้เห็นถึงรูปแบบและลักษณะทง<br />

สังคมที่หยุดนิ่งมกกว่ คำว่ “รูปลักษณ์” ยังขดมิติกรพิจรณควม<br />

สัมพันธ์ของมนุษย์อย่งเป็นกระบวนกรบนมิติประวัติศสตร์ช่วงยว คำว่<br />

“รูปลักษณ์” ละเลยแง่มุมที่มนุษย์เข้ไปผูกอยู่ในควมสัมพันธ์และกรพัวพัน<br />

ซึ่งกันและกัน จนส่งผลต่อกรควบคุมยับยั้งกรกระทำหรือไม่กระทำสิ่งหนึ่ง ๆ<br />

ประเด็นด้นกระบวนกรกรเปลี่ยนแปลงของควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงเป็น<br />

พื้นฐนสำคัญของทฤษฎีสังคมวิทยของเอไลอัส เพระฉะนั้น ผู้เขียนจึง<br />

เสนอคำแปลใหม่เพื่อเน้นถึงสระสำคัญดังกล่ว (Elias et al., 1994)<br />

ในบทถัดไป ผู้เขียนจะกล่วถึงชีวิตและพัฒนกรทงควมคิดของเอไลอัส<br />

จกนั้นในบทที่ 3 จะลงรยละเอียดถึงแนวคิดที่เป็นหัวใจหลักของควมคิด<br />

ของเอไลอัสอย่งทฤษฎีกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ และแนวคิดเรื่อง<br />

พัฒนกรรัฐ ทั้งสองประเด็นมีควมเชื่อมโยงกัน ในขณะที่บทที่ 4 ผู้เขียน<br />

6


จะพิจรณว่ พัฒนกรของกีฬสัมพันธ์กับกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์<br />

อย่งไร ในบทนี้ผู้เขียนจะชี้ให้เห็นถึงตัวแบบในกรวิเคระห์กีฬและกรใช้<br />

เวลว่ง ในขณะที่บทที่ 5 และ 6 จะเน้นถึงสระสำคัญของทฤษฎีสังคม<br />

วิทยของเอไลอัส โดยเฉพะอย่งยิ่งเรื่องควมเชื่อมโยงระหว่งปัจเจก­<br />

บุคคลกับกลุ่มทงสังคมต่ง ๆ ผ่นกรพิจรณกรเรียนรู้ทงสังคมที่ติดตัว<br />

(ฮบิตัส) อันสัมพันธ์กับกรควบคุมตนเองและภพตัวตน กรอบกร<br />

วิเคระห์กลุ่มทงสังคมและตัวแบบกรพิจรณควมเปลี่ยนแปลงช่วงยว<br />

ของห่วงโซ่ควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงต่อรองระหว่งมนุษย์/กลุ่มทงสังคม ใน<br />

บทที่ 7 ผู้เขียนจะกล่วถึงมุมมองของเอไลอัสในข้อถกเถียงเรื่องสังคมวิทย<br />

ควมรู้ ญณวิทยของทฤษฎี และวิธีวิทย จกนั้นบทที่ 8 จะเน้นนำเสนอ<br />

ข้อวิจรณ์ต่อข้อจำกัดต่ง ๆ ของทฤษฎีสังคมวิทยของเอไลอัส ตลอดจน<br />

ทงออกต่อกรก้วข้มข้อด้อยบงประกรอีกด้วย<br />

7


รูป 2: บ้นของเอไลอัสที่เมืองเบรสเล เขพำนักที่นี่ในระหว่ง ค.ศ. 1905–1920<br />

(Norbert Elias Foundation, Amsterdam, 2021)<br />

รูป 3: ห้องด้นหน้ในบ้นของเอไลอัส<br />

(Norbert Elias Foundation, Amsterdam, 2021)<br />

8


2. ชีวประวัติและพัฒนกรทงควมคิดของเอไลอัส<br />

เอไลอัส เกิดวันที่ 22 มิถุนยน ค.ศ. 1897 (พ.ศ. 2440) ในเมืองเบรสเล<br />

(Breslau เดิมเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิเยอรมัน ปัจจุบันคือ Wroclaw เป็น<br />

ส่วนหนึ่งของโปแลนด์) บิดของเขเป็นนักธุรกิจในอุตสหกรรมสิ่งทอขนด<br />

กลง เขนิยมอัตลักษณ์ของตนว่เป็นทั้งชวเยอรมันและยิว สำหรับเอไลอัส<br />

อัตลักษณ์ทั้งสองนี้ก็ไม่ได้ขัดแย้งกันแต่อย่งใด ในวัยเด็ก เอไลอัสไม่ประทับ<br />

ใจในตัวไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 (Wilhelm II) จักรพรรดิเยอรมันอย่งมก แต่<br />

เขก็รักประเทศเยอรมนีอย่งมก อย่งไรก็ตม นั่นไม่ได้หมยควมว่เข<br />

เป็นพวกชตินิยม (nationalist) เอไลอัสอธิบยว่ในช่วงเวลนั้น ลัทธิชติ<br />

นิยมแขนงต่ง ๆ ในเยอรมนีต่งก็มีแนวคิดต่อต้นยิว เอไลอัสมองว่ในช่วง<br />

ชีวิตก่อนเขจะลี้ภัยออกจกเยอรมนี (ก่อน ค.ศ. 1933/พ.ศ. 2476) เขรวมถึง<br />

คนยิวอื่น ๆ เป็นคนนอกของสังคมเยอรมัน แต่เอไลอัสก็ชี้ว่ชวยิวมกมย<br />

รวมถึงเขก็ซึมซับวัฒนธรรมเยอรมันมอย่งมกจนกลยเป็นผู้เผยแพร่วิถี<br />

ทงวัฒนธรรมดังกล่ว เอไลอัสมีอรมณ์ร่วมไปกับผลงนทงวรรณกรรม<br />

และศิลปะเยอรมันอย่งของเกอเธ่ (Johann Wolfgang von Goethe) ชิลเลอร์<br />

(Friedrich Schiller) และค้นท์ (Immanuel Kant) หรือแม้แต่ทิวทัศน์และ<br />

รูปแบบสถบัตยกรรมของแต่ละอครของมหวิหรทุกแห่งในเมืองบมเบิร์ก<br />

(Bamberg) (Elias et al., 1994, pp. 10, 16–9, 83–5, 128; Smith, 2001,<br />

pp. 47–8)<br />

เอไลอัสพบควมสนใจส่วนตัวตั้งแต่ในวัยเด็ก เอไลอัสในวัยเยว์ปรรถนที่จะ<br />

เป็นอจรย์มหวิทยลัยและทำวิจัย เขพยยมที่จะไล่ตมควมฝันของ<br />

เข แม้ว่สิ่งนี้จะตีบตันมกก็ตม ทั้งนี้ก็เพระภยใต้รัฐบลของจักรพรรดิ<br />

ชวยิวถูกเลือกปฏิบัติด้วยกรถูกกีดกันออกจกอชีพอจรย์มหวิทยลัย<br />

9


ตอนที่เอไลอัสอยุได้รว 15–16 ปี เอไลอัสกล่วกับเพื่อนในห้อง เรียนว่<br />

เขอยกเป็นอจรย์มหวิทยลัย เพื่อนของเขก็พูดแทรกขึ้นมว่ “นย<br />

ถูกตัดออกจกอชีพนั้นตั้งแต่เกิดแล้ว” และเสียงหัวเระจกเพื่อน ๆ ร่วมชั้น<br />

และครูก็ดังครืน แม้ว่เอไลอัสจะมองว่เสียงหัวเระดังกล่วไม่ได้มีเจตน<br />

มุ่งร้ย แต่เขก็รำลึกถึงควมรู้สึกในช่วงชีวิตตอนนั้นว่ “[เหตุกรณ์ครั้งนี้]<br />

สร้งบดแผลให้กับผมอย่งมก [...]” อย่งไรก็ตม เหตุกรณ์นี้ไม่ได้<br />

ทำลยควมตั้งใจของเข แม้ว่เอไลอัสจะไม่มั่นใจว่เขจะประสบควมสำเร็จ<br />

ในอชีพที่เขฝันไว้หรือไม่ แต่เขก็มีควมมั่นใจอย่งมกว่ ผลงนของเข<br />

จะได้รับกรยอมรับในท้ยที่สุด “[…] ในฐนะที่เป็นผลงนอันมีประโยชน์<br />

ต่อควมรู้ของมนุษยชติ” (Elias et al., 1994, pp. 12–5, 75)<br />

เมื่อเอไลอัสอยุได้ 18 ปี เขกล่วว่เขไม่มีทงเลือกใด เขจำใจต้องเข้<br />

ร่วมสงครมโลกครั้งที่ 1 ในปี ค.ศ. 1915 (พ.ศ. 2458) เพื่อควมปลอดภัย<br />

ในชีวิต เอไลอัสอสสมัครเข้ทำงนในหน่วยงนด้นกรส่งสัญญณ เข<br />

ทำหน้ที่เดินสยโทรศัพท์ โทรเลข อีกทั้งยังเรียนรู้กรส่งสัญญณด้วยรหัส<br />

มอร์ส ในช่วงสงครมครั้งนั้นเขได้เดินทงไปปฏิบัติหน้ที่กับกลุ่มช่งวง<br />

สยโทรเลขในตอนเหนือของฝรั่งเศส เขได้ขับรถผ่นสมรภูมิที่กำลังทำศึก<br />

เขตกใจอย่งหนักกับภพสยดสยองอย่งศพมนุษย์และม้เป็นครั้งแรก<br />

ในชีวิตและภพอันน่สะพรึงกลัวก็ยังติดตเขมจนบั้นปลยชีวิต สงครม<br />

ครั้งนี้ส่งผลให้เขป่วยทงจิตในอีกสองปีถัดม เขออกจกกรทำงนให้กับ<br />

กองทัพ แล้วหันมเรียนด้นปรัชญ จิตวิทย และกรแพทย์ ที่มหวิทยลัย<br />

เบรสเล (the University of Breslau) ด้วยกรสนับสนุนค่เล่เรียนจก<br />

บุพกรี แต่ต่อมควมสนใจในด้นกรแพทย์ก็หมดลง เขมุ่งควมสนใจ<br />

ไปทงปรัชญ และได้รับปริญญดุษฎีบัณฑิตด้นปรัชญในค.ศ. 1924 (พ.ศ.<br />

2467) ภยใต้หัวข้อที่เป็นภษเยอรมันว่ Idee and Individuum: eian<br />

Beitrag zur Philosophie der Geschichte หรืออจแปลเป็นภษไทยได้ว่<br />

“ควมคิดและปัจเจกบุคคล: ผลงนด้นปรัชญของประวัติศสตร์” แต่<br />

ระหว่งที่เขศึกษกับริชร์ด เฮอนิคส์วลด์ (Richard Hönigswald) อจรย์<br />

10


ที่ปรึกษของเข เอไลอัสโต้เถียงกับอจรย์ที่ปรึกษในประเด็นที่ว่ ผู้คน<br />

ได้รับโลกทัศน์ทงควมคิดอย่งเช่น เวล พื้นที่ และศีลธรรมพื้นฐน ม<br />

ตั้งแต่เกิด หรือจริง ๆ แล้วควมคิดเหล่นี้เกิดจกกรเรียนรู้ทงสังคมภยใต้<br />

บริบทเฉพะทงสังคมและประวัติศสตร์ ควมไม่ลงรอยทงควมคิดนี้มี<br />

ส่วนที่ทำให้เอไลอัสหันไปสนใจศึกษสังคมวิทย (Elias et al., 1994,<br />

pp. 23–30, 91–3; Dunning and Hughes, 2013, p. 29)<br />

สภวะเงินเฟ้อหลังสงครมทำให้ฐนะทงเศรษฐกิจของครอบครัวเอไลอัส<br />

ตกตำ่ลง และก็ทำให้เขต้องหันมทำงนขยท่อให้แก่โรงงนขยวัสดุเหล็ก<br />

เป็นเวลกว่สองปีเพื่อหเลี้ยงบุพกรี ต่อมใน ค.ศ. 1925 (พ.ศ. 2468) หลัง<br />

สภวะเงินเฟ้อ เอไลอัสย้ยมที่มหวิทยลัยไฮเดลแบร์ก (the University<br />

of Heidelberg) เพื่อเริ่มต้นเส้นทงอชีพวิชกร เขได้รับตำแหน่งเป็น<br />

แคนดิเดทในโครงกรวิจัยหลังปริญญเอก (habilitation) จกอัลเฟรด<br />

เวเบอร์ (Alfred Weber) นักสังคมวิทยวัฒนธรรมผู้เป็นน้องชยของแม็กซ์<br />

เวเบอร์ (Max Weber) ภยใต้หัวข้อ The Significance of Florentine Society<br />

and Culture for the Development of Science หรืออจแปลเป็นไทยได้ว่<br />

“นัยสำคัญของสังคมและวัฒนธรรมฟลอเรนซ์ที่มีต่อพัฒนกรทงควมคิด<br />

แบบวิทยศสตร์” ที่นี่เองที่เขได้พบกับคร์ล แมนไฮม์ (Karl Mannheim)<br />

ช่วงชีวิตที่ไฮเดลแบร์ก เขได้หันมศึกษด้นสังคมวิทยอย่งเต็มตัวและ<br />

มุ่งมั่นที่จะย้ยมทำงนวิชกรในศสตร์นี้ โดยในคริสต์ทศวรรษ 1920<br />

(พ.ศ. 2463–2472) วิชสังคมวิทยยังถือว่เป็นสขวิชที่เพิ่งเกิดใหม่ใน<br />

ประเทศเยอรมนี ในช่วงนั้น สขวิชสังคมศสตร์มีเนื้อหสระที่จะถูก<br />

จัดว่เป็นวิชด้นปรัชญและปรัชญทงจิตวิทยตมกรจัดประเภทของ<br />

สมัยปัจจุบัน ในทศวรรษนี้เอง เอไลอัสได้เริ่มอ่นงนของคร์ล มร์กซ์<br />

(Karl Marx) เป็นครั้งแรก ประสบกรณ์ในชีวิตนอกรั้วมหวิทยลัยส่งผล<br />

ให้เขสนใจวิชที่เชื่อมต่อกับประสบกรณ์จริงในชีวิตอย่งสังคมวิทย<br />

ประสบกรณ์ในโรงงนทำให้เขได้ใกล้ชิดกับชนชั้นแรงงนอย่งที่เขไม่เคย<br />

ได้ประสบมก่อนในชีวิต เขกล่วว่ “ผมคิดว่ประสบกรณ์ในสงครม<br />

11


และชีวิตด้นกรค้ได้เสริมสร้งควมเข้ใจของผมต่อสภพควมเป็นจริง”<br />

ช่วงที่เขอยู่ที่มหวิทยลัยไฮเดลแบร์ก (อันเป็นมหวิทยลัยที่มีชื่อเสียงมก<br />

ในด้นสังคมวิทย) ตรงกันกับช่วงที ่ ทลคอตต์ พร์สันส์ (Talcott Parsons)<br />

มเรียนปริญญเอกที่นั่นพอดี แต่ทั้งสองน่จะไม่ได้พบปะหรือรู้จักกันที่นั่น<br />

(Elias et al., 1994, pp. 30–6, 155; van Krieken, 1998, pp. 15–6; Smith,<br />

2001, p. 71; Kilminster, 2007, p. 10; Dunning and Hughes, 2013, p. 27)<br />

เอไลอัสสนใจสังคมวิทยเพระต้องกรเรียนสขวิชที่ช่วยให้เขสมรถ<br />

“เชื่อมต่อกับประสบกรณ์ในชีวิตจริง” (Elias et al., 1994, p. 35) สำหรับ<br />

เอไลอัส หกมีกรพัฒนวิชสังคมวิทยเพื่อใช้ต่อภพ “ควมเป็นจริง”<br />

ของควมสัมพันธ์ของมนุษย์ได้อย่งที่ดำเนินไป สังคมวิทยจะช่วยให้เข<br />

และมนุษยชติก้วพ้นออกไปจกมยคติต่ง ๆ และได้พบกับ “ควมเป็น<br />

จริง” ของควมสัมพันธ์มนุษย์ เอไลอัสกล่วว่ “[…]เรจำเป็นที่จะต้องได้<br />

มซึ่งควมรู้เกี่ยวกับโลกมนุษย์ที่ดูสมจริงที่สุดเท่ที่จะเป็นไปได้” (Elias<br />

et al., 1994, p. 37) ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้เอไลอัสเรียกตนเองว่เป็น “นัก<br />

สัจนิยมเชิงสังคมวิทย” (“sociological realist”) (Kilminster, 2020) ควม<br />

เข้ใจต่อควมสัมพันธ์ “ตมควมเป็นจริง” เท่นั้นที่จะช่วยให้มนุษย์สมรถ<br />

ก้วข้มปัญหใหญ่ ๆ เช่น สงครม ควมตึงเครียดจกสงครมนิวเคลียร์<br />

กรฆ่่ล้งเผ่พันธุ์ เป็นต้น เพระ “ผู้คนสมรถที่จะกระทำอะไรอย่งมี<br />

เหตุผลและทำอะไรได้ดีกว่” เอไลอัสคุ้นเคยกับมยคติมตั ้งแต่ยังเด็ก<br />

มยคติแรกที่เขประสบก็คือกรที่ไกเซอร์วิลเฮล์มที่ 2 กล่วสรรเสริญ<br />

ควมรุ่งโรจน์ของเยอรมนี และต่อมเขก็ได้ประสบกับมยคติจกกร<br />

โฆ่ษณชวนเชื่อเชิงชตินิยมเพื่อกรสงครมในสงครมโลกครั้งที่ 1 มย­<br />

คติดังกล่วขัดแย้งแตกต่งกับประสบกรณ์ตรงที่เขได้เห็นสงครมในแนว<br />

หน้อย่งมก (Elias et al., 1994, pp. 36–7; Elias, 1996, p. 175)<br />

จะเห็นได้ว่ประสบกรณ์ตรงของเอไลอัสในช่วงปลยยุคจักรววรดิและ<br />

สงครมโลกครั้งที่ 1 มีผลต่อโลกทัศน์ของเขมก เอไลอัส เผยว่ “[…]<br />

12


สงครมโลกครั้งที่ 1 คือจุดหักเหสำคัญ จกทั้งหมดที่ผมได้ประสบที่นั่น ผม<br />

กลับมด้วยควมตระหนักว่ มนุษย์เท่นั้นที่จะสมรถช่วยมนุษย์ด้วยกัน<br />

และผมเท่นั้นที่จะช่วยตัวผมเองได้” (Elias et al., 1994, p. 74) เขมองว่<br />

ภรกิจในกรก้วข้มมยคติต่ง ๆ ด้วยกรสร้งควมรู้ที่ใกล้เคียงกับ<br />

ควมสัมพันธ์ของมนุษย์อย่งเป็นจริงที่สุด เพื่อเป็นกรสร้งควมเข้ใจต่อ<br />

โลกที่ดีกว่ เป็นหน้ที่ของนักสังคมวิทยที่จะต้องสืบทอดต่อไปรุ่นสู่รุ่น ใน<br />

บั้นปลยของชีวิต เขยอมรับว่ภรกิจนี้ “[…]เป็นเป้หมยที่ทะเยอทะยน<br />

และเขก็ได้ทำสำเร็จเพียงส่วนหนึ่ง” เขกล่วว่เขได้ผลักดันภรกิจของ<br />

มนุษยชติที่จะสืบต่อไปจกรุ่นสู่รุ่นไปได้เพียงไม่กี่ขั้นเท่นั้น (Elias et al.,<br />

1994, p. 38) อย่งไรก็ตม เอไลอัสก็ยอมรับได้กับงนที่ทำในฐนะที่เป็น<br />

กิจกรรมกรใช้เวลว่งอย่งกรแต่งกลอน (เหมือนกับที่เอไลอัสชอบทำ)<br />

กรวดภพระบยสี หรือเรื่องมยในโลกของกรกีฬต่ง ๆ เขยำ้ว่เรื่อง<br />

ที่เป็นมยจะต้องไม่ได้มีขึ้นเพื่อจัดกรชีวิตทงสังคมของมนุษย์ (Elias et<br />

al., 1994, pp. 39–40)<br />

รวปี ค.ศ. 1930 (พ.ศ. 2473) เอไลอัสยกเลิกโครงกรวิจัยหลังปริญญเอก<br />

ดังกล่วและย้ยตม คร์ล แมนไฮม์ (Karl Manheim) จกมหวิทยลัย<br />

ไฮเดลแบร์ก ไปที่แฟร้งเฟิร์ต เพื่อไปเป็นผู้ช่วยของแมนไฮม์ แมนไฮม์เป็น<br />

ที่ปรึกษให้แก่โครงกรวิจัยหลังปริญญเอกของเอไลอัส โดยเอไลอัสเปลี่ยน<br />

มทำหัวข้อ The Court Society (“สังคมรชสำนัก” [ของประเทศฝรั่งเศส]) ใน<br />

ขณะนั้นที่แฟร้งเฟิร์ต มีนักวิชกรอย่ง แม็กซ์ ฮ็อกไคม์เมอร์ (Max Horkheimer)<br />

และธีโอดอร์ อดอร์โน (Theodor Adorno) ทำงนอยู ่ ที ่นั ่นเอไลอัส<br />

และฮ็อกไคม์เมอร์ มีควมคิดร่วมกัน โดยทั้งสองให้ควมสำคัญกับพัฒน-<br />

กรทงจิตของมนุษย์ ซึ่งมีควมสัมพันธ์ต่อมิติอื่น ๆ อย่งสังคมวิทยและ<br />

ประวัติศสตร์ (Elias et al., 1994, p. 155; van Krieken, 1998, pp. 18–19)<br />

เอไลอัสได้รับอิทธิพลจกร่องรอยทงควมคิดของซิกมันด์ ฟรอยด์ (Sigmund<br />

Freud) ที่ว่ด้วยควมสัมพันธ์อันไม่สมรถแยกออกจกกันระหว่ง<br />

13


ชีวิตทงสังคมและชีวิตทงจิต ดังที่ฟรอยด์ชี้ว่ ควมศิวิไลซ์ของมนุษย์<br />

ได้ถูกสร้งขึ้นบนกรสละซึ่งสัญชตญณของมนุษย์ (van Krieken, 1998,<br />

p. 20) ประเด็นนี้ฟรอยด์กล่วว่ “คุณค่ที่เรต้องชดใช้ในกรเสริมสร้ง<br />

อรยธรรมของเรก็คือ กรสูญเสียควมพึงพอใจในชีวิต เพระควมรู้สึก<br />

ผิดที่เพิ่มมกขึ้นในตัวเร” (Freud, 1930, p. 71 อ้งถึงใน ยศ, 2550, น. 73)<br />

เอไลอัสนำแนวคิดของฟรอยด์ไปขยยต่อ โดยยำ้ว่โครงสร้งทงจิตของ<br />

มนุษย์ถูกประกอบสร้งโดยสังคมด้วย เอไลอัสมองว่ประวัติศสตร์กร<br />

เปลี่ยนแปลงคุณลักษณะของชีวิตทงจิต มีควมสัมพันธ์กับกรเพิ่มขึ้นของ<br />

กรซึมซับรับเอกรควบคุมทงสังคม เข้ไปเป็นส่วนหนึ่งของกรควบคุม<br />

ตนเอง (self-control) ในรูปแบบของลักษณะนิสัยที่แสดงถึงควมรู้สึกผิด<br />

ชอบเหมะควร (อภิอัตตหรือ super-ego) (van Krieken, 1998, p. 20) ยิ่ง<br />

ไปกว่นั้น เอไลอัสมองว่ งนของคร์ล มร์กซ์ มีประโยชน์ที่ช่วยสะท้อน<br />

ให้เห็นถึงควมสำคัญของตัวกำหนดทงสังคม (social determinism) แก่น<br />

สรของควมเป็นมนุษย์ไม่ได้แฝงฝังอยู่ในตัวมนุษย์มตั ้งแต่เกิด แต่แก่น<br />

สรของมนุษย์เป็นผลรวมของควมสัมพันธ์ทงสังคม (van Krieken, 1998,<br />

pp. 14, 17) ดังนั้น ด้วยมุมมองทงสังคมวิทยของเอไลอัส (และเช่นเดียว<br />

กับนักสังคมวิทยยุคก่อนหน้อย่งคร์ล มร์กซ์ กับแม็กซ์ เวเบอร์) ที่เน้น<br />

พัฒนกรทงประวัติศสตร์ช่วงยว 1 เอไลอัสจึงสนใจควมเปลี่ยนแปลง<br />

ของกรควบคุมตนเองของมนุษย์อันเป็นผลมจกกรผันแปรไปของควม<br />

สัมพันธ์ทงสังคม ควรกล่วด้วยว่ แม้เอไลอัสจะได้รับอิทธิพลจกงนของ<br />

มร์กซ์ แต่เอไลอัสก็ไม่ได้เชื่อเรื่องเศรษฐกิจเป็นตัวกำหนดแบบที่มร์กซ์<br />

ยึดถือ เอไลอัสให้ควมสำคัญกับแนวทงของเวเบอร์ที่เน้นบทบทของมนุษย์<br />

และกลุ่มทงสังคมที่มีบทบทในกรก่อรูปควมสัมพันธ์ ตลอดจนประกอบ<br />

สร้งโครงสร้งกรรับรู้และควมรู้ (van Krieken, 1998, p. 137)<br />

1<br />

ควรกล่วด้วยว่เอไลอัสปฏิเสธควมคิดแบบประวัติศสตร์นิยม (historicism) ซึ่ง<br />

เน้นว่เหตุกรณ์ทงประวัติศสตร์จำเป็นจะต้องเกิดขึ้นตมลำดับ ตมพัฒนกร<br />

อันได้ถูกกำหนดไว้ก่อนโดยอัตโนมัติ (Elias, 1996, p. 102)<br />

14


ใน ค.ศ. 1933 (พ.ศ. 2476) นซีขึ้นสู่อำนจทงกรเมืองและมีอำนจมก<br />

ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งสถบันด้นสังคมวิทยที่แมนไฮม์สังกัดถูกปิดตัวลง<br />

เอไลอัสจึงพยยมหงนด้นวิชกรในเมืองต่ง ๆ ที่สวิสเซอร์แลนด์ แต่<br />

เขก็ไม่ได้งน เขกลับไปเยี่ยมบุพกรีที่เบรสเล ก่อนจะตัดสินใจไปหงน<br />

วิชกรที่ปรีสและก็ล้มเหลวอีกครั้ง (van Krieken, 1998, pp. 21–2) เข<br />

อศัยเงินจกบิดเปิดโรงงนของเล่นเล็ก ๆ แต่ก็หมดเงินไปกับธุรกิจนี้ เข<br />

ยอมรับว่ช่วงชีวิตที่ปรีสเป็นช่วงเวลที่ยกลำบกมก และนี่ก็เป็นช่วง<br />

เดียวในชีวิตที่เขต้องทนหิวเพระเขขดเงิน ด้วยสถนกรณ์ที่ “สิ้นหวัง”<br />

และ “ไร้อนคต” ตลอดสองปีในปรีส เขกลับไปเยี่ยมบุพกรีที่เบรสเล<br />

ก่อนจะไปลอนดอนใน ค.ศ. 1935 (พ.ศ. 2478) ตมคำแนะนำของเพื่อนเก่<br />

ที่ลอนดอนเขอศัยเงินจำนวนไม่มกนักจกกองทุนจกคณะกรรมกรผู้ลี้ภัย<br />

ชวยิว ในค.ศ. 1938 (พ.ศ. 2481) พ่อและแม่ของเอไลอัสเดินทงมเยี่ยมเข<br />

ที่อังกฤษ เอไลอัสโน้มน้วให้บุพกรีย้ยมที่นี่เป็นกรถวรเพระเอไลอัส<br />

เชื่อว่บุพกรีตกอยู่ในอันตรย แต่กรเปลี่ยนแปลงอย่งใหญ่หลวงและ<br />

กะทันหันแบบนี้เป็นอะไรที่มกเกินไปสำหรับทั้งสอง บุพกรีของเขเลือกที่<br />

จะอยู่ที่เบรสเล โดยบอกกับนอร์เบิร์ต เอไลอัสว่ทั้งสองจะปลอดภัยเพระ<br />

พวกเขไม่ได้ทำผิดอะไร ควรกล่วด้วยว่ในขณะนั้นชวยิวและชวเยอรมัน<br />

ยังรู้สึกว่เยอรมนียังมีเสถียรภพในฐนะที่เป็นรัฐที่ปกครองโดยรัฐธรรมนูญ<br />

กรใช้กำลังประทุษร้ยต่อร่งกยเป็นอะไรที่เกินจินตนกรในขณะนั้น<br />

(Elias et al., 1994, pp. 49–53)<br />

บิดของเขเสียชีวิตใน ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) ขณะที่ในอีกสองปีถัดม<br />

มรดของเอไลอัสถูกจับและส่งตัวไปยังค่ยกักกันชวยิวสองแห่งในเชคและ<br />

โปแลนด์ซึ่งถูกยึดครองโดยเยอรมนี มรดของเขเสียชีวิตในห้องรมแก๊ส<br />

ที่เอชวิทซ์ (Auschwitz) เอไลอัสต้องจมอยู่กับควมรู้สึกผิดและเจ็บปวดไป<br />

ตลอด จกกรที่เขไม่สมรถโน้มน้วให้บุพกรีอยู่ที่ลอนดอนได้สำเร็จ ใน<br />

บั้นปลยชีวิต เขรำลึกว่ “ผมแค่ไม่สมรถจะลบเลือนภพของคุณแม่ของ<br />

ผมในห้องรมแก๊สไปได้” เอไลอัสยังกล่วถึงควมสะเทือนใจต่อเรื่องนี้อีกด้วย<br />

15


ว่ “[...] แน่นอนผมจะไม่มีทงก้วพ้น ผมไม่มีทงจะก้วข้มเรื่องนี้ไปได้”<br />

(Elias et al., 1994, pp. 52, 79; Elias, 1996, p.x; van Krieken, 1998,<br />

pp. 28–9; Goudsblom, 2016) ผลกระทบจกกรสูญเสียมรดทำให้เอไลอัส<br />

ต้องเจ็บปวด ตกอยู่ในควมรู้สึกผิดที่ไม่สมรถช่วยมรดของตนได้ และ<br />

ในที่สุดเขก็เข้สู่กรบำบัดด้วยจิตวิเคระห์ ผลจกอุปสรรคในชีวิตที่กล่ว<br />

มทั้งหมด ทำให้เอไลอัสเขียนงนวิชกรได้ช้ลง กรตีพิมพ์เผยแพร่ผลงน<br />

วิชกรก็สะดุดลง อีกทั้งยังถูกตัดโอกสไปอย่งมกจกกรทำงนวิชกร<br />

ในมหวิทยลัยในเยอรมนีและอังกฤษ (van Krieken, 1998, pp. 31–2)<br />

รว ค.ศ. 1935–1938 (พ.ศ. 2478–2481) แม้เอไลอัสจะกังวลกับสถนกรณ์<br />

ในเยอรมนี บุพกรีของเขที่ตกอยู่ในอันตรย และอนคตที่เขมองว่ยัง<br />

“มืดมน” แต่เอไลอัสก็ “สนุกอย่งมก” กับกรใช้เวลศึกษค้นคว้เอกสร<br />

ต่ง ๆ ในห้องสมุดของบริติช มิวเซียม แรกเริ่มเดิมทีเอไลอัสตั้งใจจะเขียน<br />

เรื่องลัทธิเสรีนิยมในฝรั่งเศส ระหว่ งที่เขค้นคว้ประเด็นนี้เขพบกับหนังสือ<br />

สอนมรยทโดยบังเอิญ หนังสือเหล่นี้เป็นหลักฐนเชิงประจักษ์ต่อข้อคิด<br />

เห็นของซิกมันต์ ฟรอยด์ อันเกี่ยวกับพัฒนกรของธรรมชติของบุคลิกภพ<br />

มนุษย์ เอไลอัสจึงหันมค้นคว้ข้อมูลเกี่ยวกับจรรยมรยท และแง่มุมต่ง ๆ<br />

ของชวยุโรปในปลยยุคกลงเพื่อศึกษพัฒนกรโครงสร้งบุคลิกภพของ<br />

มนุษย์ จนกลยเป็นผลงนสำคัญของเขเรื่อง The Civilizing Process อัน<br />

ที่จริงในลอนดอน เอไลอัสได้ต่อยอดควมสนใจที่มีมแต่เดิมของเข ตั้งแต่<br />

เขยังอยู่ที่แฟร้งเฟิร์ต เขศึกษสังคมชววังของฝรั่งเศสในคริสต์ศตวรรษ<br />

ที่ 18 เขได้ศึกษจนเขียนขึ้นเป็นร่งแรก<strong>ของหนังสือ</strong>เรื่อง The Court Society<br />

(“สังคมรชสำนัก”) (Elias et al., 1994, pp. 52–6; van Krieken, 1998,<br />

pp. 29–30)<br />

นอกจกนี้ ผลงนของเขเรื่อง The Civilizing Process ช่วยให้เขได้รับ<br />

ตำแหน่งนักวิจัยอวุโส ณ the London School of Economics and Political<br />

Science (LSE) แต่ผลจกสงครมโลกครั้งที่ 2 LSE ย้ยไปที่เมืองเคมบริดจ์<br />

16


แต่เขก็ได้อยู่ที่นั่นเพียงไม่กี่เดือนก่อนที่เขจะถูกส่งไปที่ค่ยกักกันในอังกฤษ<br />

(van Krieken, 1998, pp. 31–2) ใน ค.ศ. 1940 (พ.ศ. 2483) จกกรที่ฝรั่งเศส<br />

พ่ยแพ้ให้แก่เยอรมนี อังกฤษกำลังเผชิญหน้กับกรบุกโจมตีจกกองทัพ<br />

เยอรมัน รัฐบลของเชอร์ชิลซึ่งตื่นตระหนกกับสิ่งที่เกิดขึ้น ได้ตัดสินใจกัก<br />

ตัวพลเมืองเยอรมันในสหรชอณจักรทุกคน เอไลอัสถูกกักตัวไว้ที่แคมป์<br />

ฮุยตัน (Camp Huyton) ใกล้กับเมืองลิเวอร์พูล (Liverpool) และต่อมที่<br />

ไอเอิล ออฟ แมน (the Isle of Man) รว 8 เดือน และหลังจกสงครมโลก<br />

ครั้งที่ 2 ยุติลง เอไลอัสหันเหควมสนใจของเขออกจกประเด็นเยอรมัน<br />

ศึกษไปกว่ 17 ปี สเหตุสำคัญมจกกรพยยมแยกควมรู้สึกเพื่อ<br />

เอใจออกห่งจกควมเจ็บปวดที่เขต้องสูญเสียมรดผู้เสียชีวิตในเอชวิทซ์<br />

ขณะที่เขได้ลี้ภัยอยู่ในอังกฤษ กรเอใจออกห่งจกประเด็นเรื่องเยอรมนี<br />

จึงเป็นเสมือนกลไกในกรปกป้องเขจกควมเจ็บปวดทงจิตใจ อย่งไร<br />

ก็ตม เอไลอัสก็ได้กลับมเผชิญหน้และเอชนะกรถอนควมรู้สึกที่เคย<br />

กระทำม ด้วยกรเขียนเรื่องรวเกี่ยวกับกรฆ่่ล้งเผ่พันธุ์และกรพังทลย<br />

ของควมศิวิไลซ์ในเยอรมนีภยใต้ระบอบนซี จนเป็นที่ม<strong>ของหนังสือ</strong>ของ<br />

เขที่มีชื่อว่ The Germans: Power Struggles and the Development of<br />

Habitus in the Nineteenth and Twentieth Centuries (1996) [หรืออจ<br />

แปลเป็นไทยได้ว่ “คนเยอรมัน: กรต่อสู้ชิงอำนจและพัฒนกรของ<br />

ฮบิตัสในคริสต์ศตวรรษที่ 19 และ 20”] ผลงนชิ้นนี้ตีพิมพ์ครั้งแรกเป็น<br />

ภษเยอรมันในปี ค.ศ. 1989 (พ.ศ. 2532) (Elias, 1996, p.x; van Krieken,<br />

1998, p. 30; Smith, 2001, pp. 52–3; Mennell, 2015, pp. 2–3)<br />

ใน ค.ศ. 1939 (พ.ศ. 2482) The Civilizing Process ได้ตีพิมพ์ออกมในช่วง<br />

สงครมโลกครั้งที่ 2 พอดี หลังสงครมหนังสือเล่มนี้ไม่ได้ถูกทำลยไปพร้อม<br />

กับควมพินศย่อยยับของกรโจมตีสู้รบ แม้ว่หนังสือจะยังมีสภพดีอยู่<br />

แต่หนังสือก็ขยไม่ได้ เอไลอัสกล่วว่ “ไม่มีใครอยกซื้อหนังสือเล่มนี้”<br />

(Elias et al., 1994, p. 61) อย่งไรก็ตม ในปลยคริสต์ทศวรรษ 1960<br />

(รว พ.ศ. 2510–2512) The Civilizing Process ได้รับกรอ่นอย่งกว้งขวง<br />

17


ในหมู่นักศึกษสังคมวิชกรชวเยอรมันและดัตช์ งนชิ้นนี้ถูกตีพิมพ์เป็น<br />

ภษเยอรมันอีกครั้งในปี ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) ซึ่งก่อนหน้นั้นงนชิ้นนี้<br />

ไม่สมรถเข้ถึงได้มกว่ 30 ปีในเยอรมนี นักเรียนสังคมวิทยอ่นงน<br />

ชิ้นนี้ควบคู่ไปกับงนของมิเชล ฟูโกต์ (Michel Foucault) อย่ง Discipline<br />

and Punish [หรืออจแปลเป็นไทยได้ว่ “ระเบียบวินัยและกรลงโทษ] ใน<br />

ฐนะที่เป็นงนศึกษชีวิตในสังคมสมัยใหม่ The Civilizing Process ได้ถูก<br />

แปลเป็นภษฝรั่งเศสใน ค.ศ. 1973–1974 (พ.ศ. 2516–2517) และกลยเป็น<br />

หนังสือขยดี ยิ่งไปกว่นั้น ในปี ค.ศ. 1997 (พ.ศ. 2540) สมคมสังคมวิทย<br />

นนชติ (International Sociological Association) ได้ทำกรสำรวจควม<br />

คิดเห็นว่หนังสือเล่มใดเป็นหนึ่งใน 10 เล่มที ่ทรงอิทธิพลที ่สุดสำหรับนักสังคม­<br />

วิทยตลอดคริสต์ศตวรรษที่ 20 ทั้งนี้ก็เพื่อประเมินมรดกทงปัญญด้น<br />

สังคมวิทย ผลกรจัดลำดับรยชื่อหนังสือโดยสมชิกของสมคมกว่ 455<br />

คน ปรกฏว่ The Civilizing Process เป็นหนังสือที่ทรงอิทธิพลลำดับที่ 7<br />

ในอังกฤษ คริสต์ทศวรรษ 1940 (พ.ศ. 2483–2492) หลังจกที่เอไลอัสถูก<br />

ปล่อยตัวออกมจกกรกักตัว เขสอนหนังสือให้แก่นักเรียนภคคำ่ที่<br />

สมคมกรศึกษของแรงงน (the Workers’ Educational Association) และ<br />

มหวิทยลัยเลสเตอร์ (the University of Leicester) โดยเขสอนวิชสังคม<br />

วิทย จิตวิทย และประวัติศสตร์เศรษฐกิจ ในปี ค.ศ. 1952 (พ.ศ. 2495)<br />

เขได้รับสัญชติอังกฤษ และในที่สุดในค.ศ. 1954 (พ.ศ. 2497) เอไลอัสใน<br />

วัย 57 ปีก็ได้รับตำแหน่งอจรย์ประจำที่มหวิทยลัยเลสเตอร์ เขทำงน<br />

อยู่ที่มหวิทยลัยแห่งนี้มอย่งต่อเนื่อง เว้นเพียงช่วงเวล 2 ปี ระหว่ง<br />

ค.ศ. 1961–1963 (พ.ศ. 2504–2506) ที ่เขไปสอนสังคมวิทยในประเทศกน<br />

(Elias et al., 1994, pp. 62–5; van Krieken, 1998, pp. 32–5; Goudsblom,<br />

2016; Waddington and Mennell, 2019, p. 22)<br />

ที่มหวิทยลัยเลสเตอร์ เอไลลัสเผชิญหน้กับกระแสต่อต้นประวัติศสตร์­<br />

นิยม (“anti-historicist” current) ในแวดวงกรศึกษสังคมวิทยในขณะนั้น<br />

18


จอห์น โกลด์ธอร์ป (John Goldthorpe) เป็นหนึ่งในผู้ที่วิพกษ์วิจรณ์วิธีกร<br />

ศึกษเชิงประวัติศสตร์ของเอไลอัส นอกจกนี้ เอไลอัสยังได้พบกับแอนโธนี<br />

กิดเดนส์ แม้ว่กิดเดนส์จะไม่ได้รับอิทธิพลทงควมคิดด้นสังคมวิทยจก<br />

เอไลอัส แต่กิดเดนส์ก็ประทับใจในตัวเอไลอัส โดยกิดเดนส์ยกเอไลอัสเป็น<br />

นักสังคมวิทยผู้เป็นแบบอย่งในควมมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้หมยต่อโครงกร<br />

ศึกษสังคมวิทยขนนใหญ่อย่งไม่หยุดหย่อนตลอดระยะเวลหลยปี<br />

(Dunning and Hughes, 2013, pp. 32–3, 173)<br />

อย่งไรก็ตม ชีวิตทงวิชกรที่มหวิทยลัยเลสเตอร์ของเอไลอัสก็ไม่ได้<br />

รบรื่น กล่วคือ จวบจนปี ค.ศ. 1965 ผลงนชิ้นสำคัญของเขที่เป็นภษ<br />

อังกฤษมีเพียง Problems of Involvement and Detachment (“ปัญหต่ง ๆ<br />

ของกรพัวพันและกรแยกออก”) และ The Established and the Outsiders<br />

(“พวกมีหลักปักฐนและคนนอก”) เท่นั้น ขณะที่งนอย่ง The Civilizing<br />

Process และ What is Sociology? เพิ่งจะมีฉบับที่แปลเป็นภษอังกฤษในปี<br />

ค.ศ. 1978 เพระฉะนั้นแล้วจกคำบอกเล่ของริชร์ด คิลมินสเตอร์ (Richard<br />

Kilminster) เพื่อนต่งวัยของเอไลอัสในคริสต์ทศวรรษ 1970 (พ.ศ. 2513–<br />

2522) (ผู้ที่เป็นนักศึกษระดับปริญญโทในขณะนั้น และต่อมจะกลยเป็น<br />

นักสังคมวิทย) ได้บอกเล่ประสบกรณ์ตรงของเขว่ คนในอังกฤษจำนวน<br />

มกไม่เข้ใจในสิ่งที่เอไลอัสนำเสนอ จึงทำให้นักวิชกรจำนวนหนึ่งมองว่<br />

เอไลอัสไม่ได้มีควมคิดใหม่ๆ อะไร และพูดจซำ้ซกครำ่ครึ ขณะที่นักวิช­<br />

กรในอังกฤษส่วนหนึ่งไม่เคยแม้แต่ได้ยินชื่อของเอไลอัส ผลก็คือ ตลอดช่วง<br />

เวลในอชีพวิชกรที่อังกฤษ เอไลอัสรู้สึกสิ้นหวังและเจ็บปวด (Mennell,<br />

2018; Kilminster, 2020) เอไลอัสเองก็รู้สึกว่เขเป็น “คนนอก” และ “[…]<br />

ไม่เคยเรียกตนเองว่เป็นคนอังกฤษ” (Elias et al., 1994, pp. 62, 67) นัก<br />

วิชกรรุ่นใหม่หลยต่อหลยคนชื่นชมนักสังคมวิทยอเมริกัน โดยเฉพะ<br />

อย่งยิ่งแนวคิดเชิงหน้ที่นิยม แต่นักวิชกรรุ่นใหม่หลยคนมองว่เอไลอัส<br />

มีมุมมอง “แปลกประหลด” “โบรณ” และ “ล้สมัย” เมื่อเอไลอัสนำเสนอ<br />

ควมคิดใหม่ๆ อย่งเช่นแนวคิดเรื่องกรวิเคระห์สรรพนม เขกลับได้รับ<br />

19


กรโต้แย้งอย่งรุนแรงจกนักวิชกรรุ่นใหม่ แทบจะไม่มีครั้งใดเลยที่เอไลอัส<br />

มีโอกสได้พูดจนจบ เพระนักวิชกรรุ่นใหม่จะพูดแทรกและโต้เถียงขึ้นม<br />

ก่อน อย่งไรก็ตม เอไลอัสก็ไม่ได้สูญเสียควมเชื่อมั่นในตัวเองไป เขกล่ว<br />

ว่หกเขยอมรับแนวคิดอันเป็นที่ยอมรับกันอยู่อย่งกว้งขวงในอังกฤษ<br />

ชีวิตของเขก็คงจะง่ยกว่ที่เป็น แต่เขก็ยืนยันที่จะไม่ประนีประนอมทง<br />

ควมคิด เขเชื่อมั่นอยู่เสมอว่เขจะทำในสิ่งที่เขมุ่งหวังและคิดว่สำคัญ<br />

ตมแนวทงของเขได้สำเร็จ โดยที่ไม่มีใครจะสมรถมสั่นคลอนควม<br />

ศรัทธของเขลงได้<br />

ในปี ค.ศ. 1964 (พ.ศ. 2507) หลังจกที่เอไลอัสกลับจกกน มประจำที่<br />

มหวิทยลัยเลสเตอร์ด้วยสัญญแบบปีต่อปี นับแต่ช่วงเวลนี้เองเอไลอัส<br />

สมรถกลับมเขียนงนได้อย่งมีประสิทธิผลอีกครั้งเหมือนกับช่วงก่อน<br />

สงครมโลกครั้งที่ 2 เขร่วมงนกับเอริก ดันนิง (Eric Dunning) และเขียน<br />

ผลงนสำคัญชิ้นหนึ่งในประเด็นสังคมวิทยกรกีฬ งนชิ้นดังกล่วคือ<br />

Quest for Excitement: Sport and Leisure in the Civilizing Process (1986)<br />

(หรืออจเป็นไทยได้ว่ “บนหนทงสู่ควมตื่นเต้น: กีฬและกรใช้เวลว่ง<br />

ในกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์”) งนชิ้นนี้ให้ตัวแบบและหลักฐนเชิงประจักษ์<br />

อันแสดงถึงกรวิเคระห์กีฬในแง่กรควบคุมและจัดกรอรมณ์และควม<br />

รุนแรงในหลยยุคสมัย เช่น ยุคนครรัฐ รัฐจรีต และรัฐสมัยใหม่ เป็นต้น<br />

(Elias and Dunning, 1986; van Krieken, 1998, p. 36)<br />

เอไลอัสได้รับกรยอมรับในทงวิชกรมกขึ้นเรื่อย ๆ ในยุโรปภคพื้นทวีป<br />

แต่กลับไม่ใช่อังกฤษที่ซึ่งเอไลอัสสอนหนังสือและทำวิจัยอยู่ ตั้งแต่ ค.ศ. 1965<br />

(พ.ศ. 2508) ซึ่งในขณะนั้นเอไลอัสอยุ 68 ปี เขดำรงตำแหน่งนักวิชกร<br />

รับเชิญจกมหวิทยลัยหลยแห่งในยุโรปภคพื้นทวีป ในฮอลแลนด์ ได้แก่<br />

อัมเสตอร์ดัม (Amsterdam) และกรุงเฮก (The Hague) และในเยอรมนี ได้แก่<br />

มึนสเตอร์ (Münster) คอนสแตนซ์ (Konstanz) อเคน (Achen) แฟร้งเฟิร์ต<br />

(Frankfurt) โบคุ่ม (Bochum) และบีเลเฟลด์ (Bielefeld) นอกจกนี้ ในปี<br />

20


ค.ศ. 1969 (พ.ศ. 2512) The Court Society ซึ่งเขียนขึ้นในต้นคริสต์ทศวรรษ<br />

1930 (พ.ศ. 2473–2476) ก็ถูกตีพิมพ์หนแรกเป็นภษเยอรมัน และจกนั้น<br />

ไม่นนงนของเขอีกชิ้นเรื่อง What is Sociology? [หรืออจแปลเป็นไทย<br />

ว่ “สังคมวิทยคืออะไร?”] ก็ตีพิมพ์เป็นภษเยอรมัน จึงกล่วได้ว่นับเป็น<br />

ครั้งแรกที่เอไลอัสได้รับกรยอมรับจกสังคมเยอรมัน (โดยเฉพะอย่งยิ่ง<br />

วงวิชกรเยอรมัน) อันเป็นบ้นเกิดของเข หลังจกที่เขถูกปฏิเสธในช่วง<br />

สงครมโลกครั้งที่ 2 ยิ่งไปกว่นั้น ภยใน ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) ชื่อของ<br />

เอไลอัสได้รับกรยอมรับว่เป็นนักสังคมวิทยที่สำคัญในระดับนนชติเป็น<br />

ครั ้งแรก (Elias et al., 1994, pp. 155–6; Garrigou and Lacroix, 1994, p. 4;<br />

van Krieken, 1998, pp. 34–7; Smith, 2001, p. 72; International Sociological<br />

Association, 2019)<br />

ในคริสต์ทศวรรษ 1970 (พ.ศ. 2513–2522) ที่อัมสเตอร์ดัม จกคำบอกเล่<br />

ของคิลมินสเตอร์ เขเล่ว่เอไลอัสรู้สึกดีใจอย่งมก ที่มีคนเข้ใจควมคิด<br />

ทงสังคมวิทยของเข หลังจกที่เอไลอัสต้องเจ็บปวดมอย่งยวนนจก<br />

กรไม่เป็นที่ยอมรับในวงวิชกรที ่ประเทศอังกฤษ (Kilminster, 2020) ในปี<br />

ค.ศ. 1970 (พ.ศ. 2513) บทควมเชิงเสียดสีในหนังสือพิมพ์ของนักศึกษบ่ง<br />

ชี้ให้เห็นถึงคำชื่นชมต่อเอไลอัสเป็นอย่งมก ส่วนหนึ่งของบทควมกล่วว่<br />

“ในสถบันด้นสังคมวิทยและกรสัมมนด้นประวัติศสตร์ น้อยมก<br />

ที่จะพูดถึงเรื่องอื่นที่นอกเหนือไปจกเอไลอัส เอไลอัส และก็เอไลอัส<br />

นั่นเป็นเรื่องที่ค่อนข้งเข้ใจได้ เพระเอไลอัสคือสิ่งที่พระเจ้ประทน<br />

ลงม เอไลอัสถูกประทนลงมเพื่อนักสังคมศสตร์ผู้ไม่หลงเชื่อควมคิด<br />

ลวงต [เพื่อนักสังคมศสตร์] ผู้สูญเสียควมศรัทธต่อสังคมศสตร์<br />

สกุลอเมริกัน [...เข]จัดกรเติมเต็มช่องว่งแห่งควมสงสัยและสิ่งที่<br />

น่กังขด้วยควมคิดใหม่ทั้งหมด” (Spinhuis, 1993, p. 2 อ้งถึงใน van<br />

Krieken, 1998, p. 38)<br />

21


ต่อมในปี ค.ศ. 1977 (พ.ศ. 2520) เอไลอัสได้รับปริญญดุษฎีบัณฑิต<br />

กิตติม ศักดิ์จกมหวิทยลัยบีเลเฟลด์ (the University of Bielefeld) เข<br />

ได้รับรงวัล the Theodor Adorno Prize จกเมืองแฟร้งเฟิร์ต และได้รับ<br />

ตำแหน่งศสตรจรย์เกียรติคุณจกมหวิทยลัยแฟร้งเฟิร์ต (Elias et al.,<br />

1994, pp. 66–7, 76; van Krieken, 1998, pp. 32–5; Dunning and Hughes,<br />

2013, pp. 38–9; Goudsblom, 2016; Waddington and Mennell, 2019,<br />

p. 22; Kilminster, 2020) และก็เป็นช่วงชีวิตในยุโรปภคพื้นทวีปนี้เองที่<br />

เอไลอัสตระหนักว่เขได้รับควมเครพอย่งสูง แต่เขไม่ได้คิดว่นี่คือ<br />

ควมสำเร็จอะไร ช่วงนี้เองเขเริ่มรู้สึกว่งนวิชกรที่เขทำไปจะไม่สูญหย<br />

และสูญเปล่ เขมีกำลังใจมกขึ้นที่จะทำควมปรรถนของเขให้เป็นจริง<br />

ขึ้นม ซึ่งก็คือควมพยยมต่อไปที่จะทำให้ผลงนของเขกลยเป็น<br />

ส่วนหนึ่งของกรสืบทอดวิชสังคมวิทย (Elias et al., 1994, p. 73)<br />

ค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521) เขย้ยกลับไปที่ยุโรปภคพื้นทวีปเป็นกรถวร เข<br />

ทำงนวิชกรและสอนหนังสือที่เยอรมนี ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์ เข<br />

ปักหลักอยู่ที่บีเลเฟลด์ระหว่ง ค.ศ. 1978–1984 (พ.ศ. 2521–2527) ช่วงเวล<br />

นี้เองเขผลิตผลงนวิชกรได้หลยชิ้น แม้ว่เขจะมีปัญหด้นกรมอง<br />

เห็น แต่เขก็สมรถทำงนได้ภยใต้กรช่วยเหลือของบรรดผู้ช่วยผู้เป็น<br />

นักศึกษระดับบัณฑิตศึกษด้นสังคมวิทย ช่วงบั้นปลยชีวิตของเข เข<br />

พยยมสนต่องนเขียนเดิมของเขจนตีพิมพ์ออกมเป็นหนังสืออย่ง The<br />

Society of Individuals [ซึ่งอจแปลได้ว่ “สังคมของปัจเจกชน”] และ Involvement<br />

and Detachment [หรืออจแปลเป็นไทยว่ “ควมพัวพันและกร<br />

แยกออก”] ควรกล่วด้วยว่ผลงนเรื่อง The Society of Individuals ซึ่งขณะ<br />

นั้นยังมีเพียงฉบับภษเยอรมันได้รับรงวัล the European Amalfi Prize ใน<br />

ฐนะที่เป็นหนังสือที่ดีที่สุดที่ตีพิมพ์ในทวีปยุโรปในช่วงปี ค.ศ. 1987 (พ.ศ.<br />

2530) ยิ่งไปกว่นั้น เขยังเขียน The Loneliness of the Dying [หรือ “ควม<br />

อ้งว้งโดดเดี่ยวของคนใกล้ตย”] หนังสือเล่มนี้ถูกแปลเป็นภษฝรั่งเศส<br />

โดยมิเชล ฟูโกต์ แต่ไม่เคยถูกตีพิมพ์ และนับจก ค.ศ. 1985 (พ.ศ. 2528)<br />

22


เอไลอัสย้ยไปที่อัมสเตอร์ดัมและเขียนงนวิชกรอย่ง Time [หรือ “เวล”]<br />

และ The Symbol Theory [หรือ “ทฤษฎีสัญลักษณ์”] ในปีดังกล่วปิแอร์<br />

บูร์ดิเยอ (Pierre Bourdieu) ผู้ประทับใจในงนเกี่ยวกับสังคมวิทยกรกีฬ<br />

ของเอไลอัส ได้เชื้อเชิญให้เอไลอัสไปบรรยยพิเศษที่ประเทศฝรั่งเศส (Elias,<br />

1991; Elias, 1996, p. x; van Krieken, 1998, pp. 31–9; Dunning and<br />

Hughes, 2013, p. 39)<br />

เอไลอัสในบั้นปลยชีวิต เขมองย้อนกลับไปว่ เขสืบทอดภรกิจกรสร้ง<br />

ตัวแบบทงสังคมวิทยสำหรับทำควมเข้ใจถึงพลวัตควมเปลี่ยนแปลง<br />

ควมสัมพันธ์ทงสังคมได้เพียงไม่กี่ขั้นเท่นั้น (Elias et al., 1994, p. 38)<br />

และเอไลอัสก็มองกรณ์ไกลว่ กว่ที่ดวงอทิตย์จะดับสูญก็ต้องใช้เวลอีก<br />

สมพันล้นปี มนุษย์ยังคงมีเวลอีกมกที่จะบรรลุเป้หมยด้วยกรพบทง<br />

ออกและแก้ปัญหต่ง ๆ ของมนุษย์ได้ (Kilminster, 2020) ในปี ค.ศ. 1990<br />

(พ.ศ. 2533) เขได้รับ “รงวัลโนนิโนแด่ปรมจรย์แห่งยุคสมัยของพวกเร”<br />

(Nonino Prize to a Master of our Time) ซึ่งให้รงวัลแก่บุคคลผู้มีบุคลิก-<br />

ภพแห่งยุคสมัย เขเดินทงไปรับรงวัลที่เมืองแปร์โคโต (Percoto) ประเทศ<br />

อิตลีและล้มป่วย (van Krieken, 1998, p. 40; Premio Nonino, 2016b)<br />

คณะผู้จัดมอบรงวัลโนนิโนได้กล่วถึงเอไลอัสว่เป็น “นักเขียนคลสสิคของ<br />

ควมคิดสมัยใหม่ […ผู้]ได้มุ่งควมสนใจต่อมุมมองเกี่ยวกับข้อห้มร่วมสมัย<br />

ที่มีต่อควมตย ด้วยกรอธิบยถึงควมหมยและคุณค่” “[...เข]อุทิศ<br />

งนวิจัยของเขที่ศึกษควมสัมพันธ์ต่ง ๆ ระหว่งผู้คนที่อยู่ในอำนจและ<br />

ชีวิตในชุมชนเช่นเดียวกับกรศึกษกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์” (Premio<br />

Nonino, 2016b) หลังจกที ่เอไลอัสกลับจกอิตลี เอไลอัสพำนักอยู่ที่<br />

อัมสเตอร์ดัมจวบจนสิ้นอยุขัยด้วยอกรปอดติดเชื้อที่บ้นของเขในวันที่<br />

1 สิงหคม ค.ศ. 1990 (พ.ศ. 2533) เขเสียชีวิตในวัย 93 ปี (Elias et al.,<br />

1994, p. 156; van Krieken, 1998, p. 40)<br />

23


รูป 4: Über den Prozeß der Zivilisation หรือ The Civilizing Process ฉบับตีพิมพ์ครั้งแรก<br />

เป็นภษเยอรมัน หนังสือเล่มนี้ตีพิมพ์ที่บเซิล สวิสเซอร์แลนด์ ในปี ค.ศ. 1939<br />

(ถ่ยจกห้องสมุด Staats- und Universitätsbibliothek ของ<br />

The University of Hamburg ในเยอรมนี เมื่อวันที่ 14 กันยยน 2020)<br />

รูป 5: The Civilizing Process ฉบับตีพิมพ์ปี ค.ศ. 2000<br />

(ถ่ยโดยผู้เขียน เมื่อวันที่ 3 พฤศจิกยน 2020)<br />

24


3. แนวคิดเรื่องกระบวนกร<br />

สู่ควมศิวิไลซ์และพัฒนกรรัฐ<br />

บนกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์<br />

สำหรับเอไลอัส คำว่ “ควมศิวิไลซ์” มิได้หมยถึงคุณลักษณะที่มีควม<br />

หมยตรงข้มกับ “ควมป่เถื่อน” “ควมไร้อรยะ” “ควมไม่ศิวิไลซ์” อย่ง<br />

ที่ชวยุโรปตะวันตก หรือแม้แต่ชนชั้นนำสยมสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 20<br />

ยึดถือเป็นมุมมอง ยิ่งไปกว่นั้น ผู้คนในยุคคริสต์ศตวรรษดังกล่วมักจะมี<br />

แนวโน้มที่จะมองว่ ตนเองและยุคสมัยของเขมีมตรฐนควมศิวิไลซ์และ<br />

ควมเป็นเหตุผล (rationality) สูงส่งกว่ควมป่เถื่อนไร้เหตุผลทั้งหลย<br />

ในยุคก่อนหน้อยู่มก หรือผู้คนเหล่นี้อจจะเชื่อในควมก้วหน้ของ<br />

มนุษยชติอีกด้วย อย่งไรก็ตม เอไลอัสมองว่อัตลักษณ์ศิวิไลซ์ที่ชวยุโรป<br />

ตะวัน ตก หรือใครต่อใครที ่เชื่อในควมศิวิไลซ์สูงส่งกว่ของตน มีเหตุมีผล<br />

รวมถึงเชื่อมั่นในศักยภพของมนุษย์ เป็นเพียงมิติภพตัวตน (self-image)<br />

ซึ่งอจจะไม่สัมพันธ์กับกรกระทำของพวกเขที่ได้ปฏิบัติออกม ตลอดจน<br />

ผลจกควมเชื่อดังกล่วอจจะไม่ได้ดำรงอยู่จริงเลยก็ได้ (Elias, 1996,<br />

p. 302)<br />

สำหรับเอไลอัส กรกระทำที่ “ศิวิไลซ์” นอกจกจะเป็นผลมจกกรแสดง<br />

ออกของภพตัวตน (self-image) เอไลอัสยังมองว่กรกระทำนี้ยังอจจะ<br />

เป็นผลมจกกรเรียนรู้ทงสังคมที ่มนุษย์จะสมรถควบคุมตนเอง (selfcontrol)<br />

ให้ประพฤติไม่รุนแรงและประณีตในระดับมตรฐนที่แตกต่งไป<br />

ตมสังคมและยุคสมัย เพระฉะนั้น “ควมศิวิไลซ์” ที่เอไลอัสสนใจศึกษ<br />

จึงมี 2 มิติ คือ 1) ภาพตัวตน (self-image) ที่บุคคลหนึ่งแสดงออกมให้เห็น<br />

25


แต่ภพตัวตนนี้อจสอดคล้องหรือขัดแย้งกับ 2) การควบคุมตนเอง (selfcontrol)<br />

ก็ได้ กรศึกษระดับควมศิวิไลซ์ในมิติด้นกรควบคุมตนเอง<br />

เอไลอัสพุ่งควมสนใจไปที่มตรฐนกรเรียนรู้ทงสังคมในกรควบคุมกร<br />

ใช้ควมรุนแรงและประพฤติอย่งประณีตที่เปลี่ยนแปลงไปในรอบศตวรรษ<br />

หรือมก กว่นั้น มตรฐนควมศิวิไลซ์ครอบคลุมในทุกมิติของชีวิตมนุษย์<br />

ไล่ไปตั้งแต่กรลงโทษต่อข้ศึกผู้แพ้ในยุคกลงด้วยกรเฉือนอวัยวะ กรไล่<br />

ทำร้ยร่ง กยกันของชวนอังกฤษต่งหมู่บ้นในกรเล่นฟุตบอลในยุคกลง<br />

กรป้ยขี้มูกบนโต๊ะอหรของชวยุโรปในคริสต์ศตวรรษที่ 15 กรประสบ<br />

คนใกล้ตยทุรนทุรยตมที่สธรณะอย่งเป็นเรื่องปรกติของยุคกลง และ<br />

เปลี่ยนไปเป็นทัศนคติหรือมตรฐนที่รับไม่ได้กับพฤติกรรมดังกล่วทั้งหมด<br />

อย่งสิ้นเชิง (Elias and Dunning, 1986; Elias, 2000; Elias, 2001) อย่งไร<br />

ก็ตม มตรฐนควมศิวิไลซ์ของแต่ละยุคสมัยสมรถพังครืนลงได้ ทั้งนี้<br />

หกผู้คนมีปฏิสัมพันธ์ไปในทงตรงข้มกับมตรฐนดังที่เกิดขึ้นกับชว<br />

เยอรมันในยุคสงครมโลกครั้งที่ 2 (Elias, 1996)<br />

เนื่องจกเอไลอัสพิจรณควมศิวิไลซ์ในมิติกรควบคุมตนเองด้วย กร<br />

ควบคุมตนเองเป็นกรเรียนรู้ที่เกิดจกกรที ่มนุษย์อยู่รวมกันเป็นสังคม ใน<br />

ทุกพัฒนกรของสังคมไม่ว่จะเป็นสังคมแบบชนเผ่ นครรัฐ หรือรัฐรวม<br />

ศูนย์อำนจทงกรเงินและควมรุนแรง ฯลฯ มตรฐนควมรุนแรง กร<br />

ควบคุมตนเองและระดับพฤติกรรมจรรยอันประณีตของแต่ละสังคมมีควม<br />

แตกต่งกันไปตมควมสัมพันธ์ระหว่งมนุษย์ เอไลอัสจึงมองว่ “ใน<br />

พัฒนกรทงสังคมของสยพันธุ์มนุษย์ ไม่มีจุดเริ่มต้นที่ไร้ควมศิวิไลซ์โดย<br />

สิ้นเชิง [...] หรืออีกนัยหนึ่ง กระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์เป็นกระบวนกรทง<br />

สังคมที่ไร้กรเริ่มต้นอย่งแท้จริง” 1 แนวคิดเรื่องควมศิวิไลซ์ของเอไลอัสจึง<br />

1<br />

เอไลอัสกล่วว่ “in the social development of the human species [, there is] no<br />

zero-point of civilization. […] A civilizing process, in other words, is a process without<br />

absolute beginning.” (Elias and Dunning, 1986, p. 46)<br />

26


มีจุดเน้นอยู่ที่กรศึกษระดับพัฒนกรเครือข่ยควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิง<br />

พัวพันและต่อรองของมนุษย์ที่นำไปสู่สังคมซึ่งมีควมสงบและระงับกรใช้<br />

ควมรุนแรงภยในพื้นที่สังคมในระดับหนึ่ง ๆ เอไลอัสพิจรณว่ในสังคม<br />

ดังกล่ว มีระดับควมละเอียดประณีตในกิจวัตรประจำวัน ตลอดจนระดับ<br />

กรควบคุมตนเองผันแปรไปมกน้อยอย่งไร (Elias, 2000)<br />

เอไลอัสพัฒนแนวคิดกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ขึ้นจกกรสังเคระห์<br />

ควมคิดของคร์ล มร์กซ์ และซิกมันด์ ฟรอยด์ เอไลอัสพิจรณแนวคิด<br />

ของมร์กซ์เรื่องวัตถุนิยมเชิงประวัติศสตร์ เพื่อสะท้อนพัฒนกรควม<br />

สัมพันธ์ทงกรผลิตในยุโรปตะวันตกอันส่งผลต่อโครงสร้งบุคลิกภพ<br />

สำหรับกรพิจรณถึงโครงสร้งบุคลิกภพ เอไลอัสได้รับอิทธิพลทงควม<br />

คิดจกฟรอยด์ เอไลอัสวิเคระห์ว่ชีวิตในทงจิต (psychic life) ของมนุษย์<br />

มีพลวัตอย่งไร ตลอดจนพัฒนกรควมสัมพันธ์ทงกรผลิตและควม<br />

สัมพันธ์ชุดอื ่น ๆ (เช่น ควมสัมพันธ์แบบรัฐรวมศูนย์อำนจทงกรเงินและ<br />

ควมรุนแรง) กล่วคือ กรควบคุมพฤติกรรมตนเอง (self-control) ในทุก<br />

มิติของชีวิตและรวมถึงควมก้วร้วรุนแรง ได้ถูกยับยั้งในระดับสูงขึ้นหรือไม่<br />

อย่งไร บนพัฒนกรทงเศรษฐกิจสังคมกรเมืองต่ง ๆ โดยเฉพะอย่ง<br />

ยิ่งกรผูกขดควมรุนแรงของรัฐตมที่แม็กซ์ เวเบอร์ได้นำเสนอเอไว้<br />

(Elias, 2000; van Krieken, 1998, p. 84; เวเบอร์, 2560, น. 33–6)<br />

นอกจกนี้ เอไลอัสยังได้รับอิทธิพลจกกรศึกษพัฒนกรสังคมโดยมี<br />

หน่วยวิเคระห์แบบประวัติศสตร์ช่วงยวตมแนวทงของทั้งมร์กซ์ และ<br />

เวเบอร์2 กรวิเคระห์ของเวเบอร์ ถึงกรถือกำเนิดของกรสะสมทุนใน<br />

ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมของชวคริสต์โปรแตสแตนท์ ชี้ให้เห็นว่กร<br />

ศึกษระบบสังคมหนึ่ง ๆ เช่น สังคมทุนนิยม จะต้องมองถึงกรเปลี่ยนแปลง<br />

ทงสังคมที่เกิดขึ้นในระยะยว และกรเปลี่ยนแปลงนี้ก็เกิดจกพฤติกรรม<br />

2<br />

ดู มร์กซ์, 2561; Weber, 2005, pp. 3–4, 13–26; Marx, 1965; Marx and Engels, 2010.<br />

27


ที่ชวคริสต์ผู้เคร่งศสนปฏิบัติอย่งต่อเนื่องยวนน โดยที่ไม่มีใครรู้ว่ผล<br />

ในบั้นปลยจะเกิดระบบเศรษฐกิจสังคมใหม่ขึ้นม แนวคิดกรศึกษควม<br />

เปลี่ยนแปลงของพฤติกรรมบนประวัติศสตร์ช่วงยว บนควมไม่ได้ตั้งใจ<br />

ของมนุษย์คนใดคนหนึ่งว่สุดท้ยแล้วผลของพฤติกรรมจะนำไปสู่ผลลัพธ์<br />

อะไร อิทธิพลของมร์กซ์และเวเบอร์ สมรถเห็นได้จกกรวิเคระห์ของ<br />

เอไลอัสเรื่องพัฒนกรของกรควบคุมตนเองที่มนุษย์ในยุโรปตะวันตกมีเพิ่ม<br />

ขึ้นตลอดประวัติศสตร์หลยศตวรรษ พัฒนกรนี้เกิดขึ้นโดยบังเอิญ กล่ว<br />

คือ ไม่มีใครได้วงแผนล่วงหน้ว่ตลอดหลยศตวรรษข้งหน้จะต้องมีควม<br />

ศิวิไลซ์หรือกรควบคุมพฤติกรรมตนเองของมนุษย์เพิ่มขึ้น (van Krieken,<br />

1998, p. 52; Weber, 2005; Elias, 2000)<br />

ใน The Civilizing Process เอไลอัสตั้งคำถมว่ตั้งแต่ปลยคริสต์ศตวรรษ<br />

ที่ 18 เป็นต้นม เหตุใดควมศิวิไลซ์จึงกลยเป็นภพตัวตน (self-image)<br />

ของบรรดชวยุโรปตะวันตก เอไลอัสสนใจศึกษกระบวนกรกรเกิดขึ้น<br />

และดำเนินไปของกรผลิตภพ ตัวตนที่ชวยุโรปสร้งว่ตนศิวิไลซ์กว่ชว<br />

เอเชียและแอฟริกผู้มีควมล้หลังป่เถื่อนกว่ตน เอไลอัสตอบคำถมนี้ด้วย<br />

กรพิจรณทั้งภพตัวตนและกรควบคุมพฤติกรรมจรรยที ่เปลี ่ยนแปลงไป<br />

ด้วยกรสืบย้อนกลับไปพิจรณภพตัวตนและกรยับยั้งชั่งใจของชวยุโรป<br />

หลยศตวรรษก่อนกรโผล่ขึ้นมของอัตลักษณ์ศิวิไลซ์ซึ ่งกลยมเป็นอัต­<br />

ลักษณ์ร่วมกันของชวยุโรป ดังนั้น เอไลอัสจึงสืบหพลวัตของควมสัมพันธ์<br />

เชิงพึ่งพิงต่อรองทงเศรษฐกิจ กรเมืองและวัฒนธรรมของยุโรปตะวันตก<br />

ตั้งแต่รวคริสต์ศตวรรษที่ 8 ว่มีผลต่อกรก่อตัวอย่งช้ ๆ ของเงื่อนไข<br />

อันจะนำไปสู่พัฒนกรของควมศิวิไลซ์ทั้งในแง่ภพตัวตน (self-image)<br />

และควบคุมตนเอง (self-control) อันปรกฏอย่งชัดเจนตั้งแต่รวกลง<br />

คริสต์ศตวรรษที่ 16 เป็นต้นม<br />

อย่งไรก็ตม หกกล่วถึงพัฒนกรของควมศิวิไลซ์แล้ว แนวโน้มควม<br />

ศิวิไลซ์จะดำเนินไปอย่งไร ขึ้นอยู่กับควมสัมพันธ์เชิงอำนจระหว่งมนุษย์<br />

28


เพระฉะนั้น แนวโน้มควมศิวิไลซ์อจไม่ได้มีพัฒนกรเป็นเส้นตรง อันจะ<br />

พุ่งไปสู่ระดับควมศิวิไลซ์ที่เพิ่มขึ้นแต่เพียงทิศทงเดียวหกเงื่อนไขของควม<br />

สัมพันธ์ได้นำไปสู่วิถีแห่งกรใช้ควมรุนแรง เช่น ควมต้องกรกอบกู้เกียรติ­<br />

ภูมิแห่งชติด้วยวิถีแห่งกรสู้รบ เป็นต้น อัตลักษณ์ควมศิวิไลซ์อจพังลง<br />

และแปรเปลี ่ยนไปเป็นกรบ่มเพะควมรุนแรงแทน ประเด็นนี้จะกล่วถึง<br />

ต่อไปโดยละเอียด (Elias and Dunning, 1986, p. 282; Elias, 1996; Connolly<br />

and Dolan, 2010, pp. 571–594)<br />

ในงนศึกษ The Civilizing Process ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกเป็นภษเยอรมัน<br />

ใน ค.ศ. 1939 เอไลอัสศึกษควมเปลี่ยนแปลงของจรรยมรยท ผ่น<br />

กรเปรียบเทียบข้อมูลในยุคต่ง ๆ ครอบคลุมช่วงเวลหลยศตวรรษผ่น<br />

หนังสือสอนมรยท บทกลอน หรือแม้แต่ภพวด เพื่อสะท้อนให้เห็นถึง<br />

กระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ในยุโรป (Dunning and Hughes, 2013, p. 92)<br />

เอไลอัสได้ชี้ให้เห็นถึงควมเปลี่ยนแปลงบนประวัติศสตร์อันยวนนของ<br />

มตรฐนพฤติกรรมจรรยของมนุษย์ ควมเปลี่ยนแปลงมีแนวโน้มไปสู่กร<br />

ยับยั้งชั่งใจและควบคุมตนเองที่เข้มงวดมกขึ้น แนวโน้มนี้เห็นได้จกพฤติ-<br />

กรรมที่มีควมรุนแรง ควม “หยบ” และควม “อุจดต” ลดลง ยิ ่งไป<br />

กว่นั้น ผู้คนมีแนวโน้มที่จะรู้สึกละอยต่อพฤติกรรมที่ไม่ศิวิไลซ์เพิ่มมกขึ้น<br />

เอไลอัสเปรียบเทียบพฤติกรรมของชวยุโรปยุคกลง กับยุคสมัยที่ควม<br />

ศิวิไลซ์ได้ก่อตัวขึ้นแล้ว อย่งในช่วงที่รัฐรวมศูนย์ควมรุนแรงได้ถูกสถปน<br />

ขึ้น เอไลอัสยกตัวอย่งกรเปลี่ยนแปลงนี้จกข้อคำสอนในหนังสือสอน<br />

มรยทและพฤติกรรมศิวิไลซ์ของชนชั้นสูงหลกหลยเล่ม ข้อคำสอน<br />

มรยทและพฤติกรรมที่ศิวิไลซ์ เน้นปลูกฝังจรรยมรยทในระดับชีวิต<br />

ประจำวันหลยประกร เช่น กรห้มนำกระดูกที่แทะแล้วกลับไปวงไว้บน<br />

จนอย่งที่เคยปฏิบัติมในอดีต กรห้มถ่มนำ้ลยบนโต๊ะอหร กรห้ม<br />

สั่งนำ้มูกโดยป้ยไปตมเสื้อผ้และร่งกย กรสอนให้สั่งนำ้มูกโดยกรใช้<br />

ผ้เช็ดหน้ กรห้มกรแล่ชำแหละและฆ่่สัตว์ในครัวเรือนเพื่อกรบริโภค<br />

29


หนังสือสอนมรยทได้แนะนำให้เปลี่ยนย้ยหน้ที่กรฆ่่สัตว์ให้เป็นงน<br />

ของพ่อค้เนื้อ ทั้งนี้ก็เป็นเพระชวยุโรปผู้ศิวิไลซ์มีโลกทัศน์ต่อกรกระทำ<br />

ดังกล่วว่เป็นภพ “อุจดต” (Elias, 2000, pp. 54–130) เอไลอัสยังได้<br />

วิเคระห์อีกด้วยว่ สัดส่วนหนังสือสอนมรยทที่มีมก “[...]เป็นภพแทน<br />

ของกรกระจยตัวของมรยทชวรชสำนัก และกรกระจยตัวของแบบ<br />

อย่งควมประพฤติไปสู่ช่วงชั้นกระฎุมพีในวงกว้ง[...]” (Elias, 2000, p. 80)<br />

ในกระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ กรเปลี่ยนแปลงของฮบิตัส (กรเรียนรู้ทง<br />

สังคมที่ติดตัว) พฤติกรรมและบรรทัดฐนมุ่งไปสู่กระบวนกรกลยเป็น<br />

ส่วนตัว (privatization) กล่วคือ กรกระทำที่เกี่ยวกับกรแสดงร่งกยต่อ<br />

ที่สธรณะจะถูกผลักให้ไปอยู่หลังฉก เช่น กรอบนำ้ขับถ่ยจกเดิมที่<br />

เคยกระทำในที่สธรณะก็ถูกจำกัดให้ทำเฉพะในห้องนำ้ กรมีเพศสัมพันธ์<br />

และกรนอนก็ถูกจำกัดให้กระทำในห้องนอน กรประหรชีวิตต่อหน้ผู้คน<br />

ที่กระตือรือร้นจะมชมกันอย่งล้นหลมในยุคกลงก็ถูกโยกย้ยไปประหร<br />

ในพื้นที่ปิดอันไม่อนุญตให้ใครได้เห็นดังที่เกิดขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 19 จึง<br />

กล่วได้ว่ ตลอดช่วงเวลหลยศตวรรษ กรแสดงเรือนร่งและกรกระทำ<br />

ดังกล่วต่อหน้สธรณชนได้กลยเป็นเรื่องน่รังเกียจและน่ละอยมกขึ้น<br />

ทีละน้อย ขอบเขตของควมรู้สึกละอยต่อพฤติกรรมดังกล่วก็ค่อย ๆ เพิ่ม<br />

ขึ้น (Elias, 2000, pp. 174–9; Dunning and Hughes, 2013, p. 95)<br />

แนวโน้มกรแสดงร่งกยต่อหน้สธรณชนค่อย ๆ กลยเป็นเรื่องที่กระทำ<br />

ในพื้นที่ส่วนตัวมกขึ้น เห็นได้จกกรที่ในยุคกลงเป็นเรื่องปรกติทั่วไปมก<br />

ที่ผู้คนหลกหลยใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันในห้องเดียวตลอดทั้งคืน บรรดชนชั้นสูง<br />

และขุนนงก็อยู่ร่วมห้องกับคนรับใช้ ขณะที่คนในช่วงชั้นอื่น ๆ ทั้งชยและ<br />

หญิงก็อยู่ร่วมห้องเดียวกันในยมคำ่คืน และบ่อยครั้งที่แขกจะมร่วมห้อง<br />

ค้งคืนหรือแม้แต่นอนเตียงเดียวกันกับเจ้ของบ้น อย่งไรก็ตม ในเวล<br />

ต่อม กรนอนบนเตียงเดียวกันกับคนแปลกหน้หรือคนที่ไม่ได้เป็นสมชิก<br />

ครอบครัวกลยเป็นเรื่องที่น่ขวยเขินมกขึ้นเรื่อย ๆ และค่อย ๆ กลยเป็น<br />

30


เรื่องปรกติที่ทุกคนจะมีเตียงของตนเอง ขณะที่สมชิกชนชั้นกลงและสูง<br />

ก็มีห้องนอนส่วนตัว นอกจกนี้ ในสังคมของฆ่รวส กรนอนหลับโดยไม่<br />

สวมเสื้อผ้เป็นเรื่องปรกติ หกใครสวมใส่เสื้อผ้ก็จะถูกมองว่เป็นเรื่อง<br />

แปลกประหลด เพระกรกระทำนี้จะกระตุ้นให้คนสงสัยว่ร่งกยของผู้<br />

สวมใส่เสื้อผ้อจมีอะไรผิดปรกติตมลำตัวแขนข ยิ่งไปกว่นั้น กรมอง<br />

เห็นร่งกยอันเปลือยเปล่เป็นเรื่องปรกติสำหรับสังคมยุโรปยุคกลงจวบ<br />

จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16 ทุกคนไม่สวมเสื้อผ้เลยในช่วงเย็นไปจนถึงช่วง<br />

เวลเข้นอน หรือผู้คนไม่สวมเสื้อผ้ในห้องอบนำ้รวม อย่งไรก็ตม<br />

พฤติกรรมดังกล่วกลยเป็นเรื่องน่รังเกียจและน่อับอยตมมตรฐน<br />

ของสังคมที่มีควมศิวิไลซ์ กรละเมิดข้อบังคับและข้อห้มใด ๆ เช่น กร<br />

ละเมิดข้อบังคับด้วยกรเปลือยกยต่อหน้ผู้คน จะถูกมองว่เป็นอันตรย<br />

ต่อสังคม เป็นต้น (Elias, 2000, pp. 138–142)<br />

ควมเปลี่ยนแปลงทงประวัติศสตร์อันยวนนของมตรฐนพฤติกรรม<br />

มนุษย์ ซึ่งมุ่งสู่กรควบคุมตนเองที่เข้มงวดขึ้น เป็นผลมจกควมสัมพันธ์<br />

เชิงพึ่งพิงพัวพันกันของมนุษย์ในเครือข่ยที่กว้งขวงขึ้น หรือกล่วอีกนัย<br />

หนึ่งก็คือผลจกควมสัมพันธ์ซึ่งสร้งควมตระหนักของกรมีอยู่และพึ่งพิง<br />

เกี่ยวพันระหว่งกันในขอบเขตที่กว้งขวงขึ้น ทำให้มนุษย์แต่ละคนมีควม<br />

ยับยั้งชั่งใจในกรกระทำต่อผู้คนในขอบเขตดังกล่ว เอไลอัสได้แสดงให้เห็น<br />

ว่ มรยทชววังเกิดขึ้นในสังคมยุโรปตะวันตกที่กษัตริย์ ขุนนง และ<br />

กระฎุมพีได้สนควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงพัวพันขึ้นมในระดับที่ไม่เคยเกิดขึ้น<br />

มก่อน กษัตริย์ต้องพึ่งพิงขุนนงและกระฎุมพีในกรช่วยดำเนินงนบริหร<br />

รัฐสมบูรณญสิทธิรชย์ ขุนนงและกระฎุมพีผู ้ต้องกรรักษหรือปรับปรุง<br />

สถนภพทงวัฒนธรรมและกรเมืองพยยมเลียนแบบจรรยมรยทของ<br />

กษัตริย์ที่มีกรควบคุมสัญชตญณอย่งมก<br />

ในยุโรปยุคก่อนกรรวมศูนย์อำนจทงกรเงินและควมรุนแรงแบบรัฐแบบ<br />

สมบูรณญสิทธิรชย์ รัฐที่มีอำนจรวมศูนย์ขนดใหญ่ดำรงอยู่ได้ไม่นน<br />

31


ก็มักจะพังลงในยุคของผู้ปกครองรุ่นถัดไป อัตลักษณ์ของผู้คนมักจะไม่ได้<br />

หลอมรวมเป็นส่วนหนึ่งของเครือข่ ยที่กว้งขวงเกินกว่ขอบข่ยของรัฐขนด<br />

เล็ก ๆ ที่ตนผูกสัมพันธ์พึ่งพิง ดังนั้น ภยหลังสงครม เมื่ออัศวินคนหนึ่งไม่มี<br />

ควมรู้สึกว่อัตลักษณ์ของตนผูกโยงเป็นพวกเดียวกันกับเชลยศึกแล้ว ใน<br />

ทงกลับกันกรมีอยู่ของเชลยศึกเหล่นี้เป็นภัยต่อชีวิตของตน อัศวินจึง<br />

มองกรทรมน เฉือนอวัยวะ กรเผทั้งเป็น หรือแขวนคอเชลยเป็นควม<br />

สนุกสนน ประกรนี้แตกต่งอย่งสิ้นเชิงกับบริบทยุคปัจจุบันที่ควมรู้สึก<br />

รับรู้ถึงและเห็นอกเห็นใจต่อควมเจ็บปวดของผู้คนได้เพิ่มขึ้นและขยยตัวใน<br />

วงกว้ง (Elias, 1985, pp. 2–3, 6; Elias, 2000)<br />

ภพวดจำนวนมกสะท้อนมตรฐนควมรุนแรงของยุโรปยุคกลงได้เป็น<br />

อย่งดี ภพวดต่ง ๆ สะท้อนว่บรรดอัศวินมีโลกทัศน์และควมรู้สึกต่อ<br />

โลกใบนี ้อย่งไร ภพของสุนัขที ่หิวโหย สตรีขอทน ซกม้ที่กำลังเน่เปื่อย<br />

หมู่บ้นที่ถูกเผ ชวนผู้ถูกปล้นฆ่่ กรต่อสู้ในทัวร์นเมนท์ ภพเหล่นี้<br />

ไม่ใช่เรื่องน่อับอยหรือน่รังเกียจ หกแต่เป็นภพอันสะท้อนวิถีควม<br />

สัมพันธ์ระหว่งผู้ปกครองและไพร่ทส ในสยตของอัศวิน ภพชวน<br />

ดังกล่วไม่ได้สะท้อนถึงควมน่สงสรแต่อย่งใด หกแต่เป็นควมน่<br />

ขบขัน นอกจกนี้ ในยุคกลง ภพวดที่แสดงภพนักโทษถูกแขวนคอ กร<br />

ประหรชีวิต และควมตยยังไม่ได้ถูกผลักให้ไปอยู่หลังฉก อันที่จริงที่<br />

แขวนคอนักโทษคือสัญลักษณ์แห่งอำนจยุติธรรมของอัศวิน อย่งไรก็ตม<br />

เมื่อกระบวนกรศิวิไลซ์พัฒนไป ภพภูเขก็ยังปรกฏอยู่ หกแต่ไม่มีภพ<br />

ของนักโทษที่ถูกแขวนคออยู่บนภูเขอีกแล้ว สำหรับสังคมรชสำนักในเวล<br />

ต่อม โดยเฉพะอย่งยิ่งตั้งแต่ยุคสมบูรณญสิทธิรชย์เป็นต้นไป ภพ<br />

เหล่นี้กลยเป็นเรื่องที่ “ตำ่ช้” และได้เลือนหยไปจกภพวดและภษ<br />

ของชวรชสำนัก (Elias, 2000, pp. 173–9)<br />

เอไลอัสบอกเล่ถึงมตรฐนควมรุนแรงของชวยุโรปตะวันตกยุคกลง<br />

อันเป็นยุคที่กรรวมศูนย์อำนจควมรุนแรงยังไม่เกิดขึ้นไว้ว่ กรใช้ควม<br />

32


รุนแรงโดยชวยุโรปเกิดขึ้นอย่งดษดื่นทั้งในช่วงศึกสงครมและห้วงเวล<br />

แห่งควมสันติ ควมรุนแรงไม่ใช่เรื่องน่รังเกียจหรือผิดกฎหมยแต่อย่ง<br />

ใด นักรบชวยุโรปมองว่กรฆ่่และกรทรมนเป็นกรกระทำที่จำเป็นตม<br />

วิถีชีวิตของชนชั้นและเป็นควมสนุกสนนบันเทิงประกรหนึ่ง (Elias, 2000,<br />

pp. 161–3) เอไลอัสชี้ว่<br />

“นักรบในยุคกลงไม่เพียงแต่จะรักกรสู้รบเท่นั้น นักรบยังมีชีวิตอยู่<br />

เพื่อกรศึก โดยใช้ชีวิตวัยเยว์เพื่อฝึกฝนต่อสู้ เมื่อเขเติบใหญ่จนได้<br />

เป็นอัศวินแล้ว ก็จะต้องทำสงครมจนแก่ชรตรบเท่ที่ยังมีพละกำลัง<br />

ที่จะต่อสู้ได้อยู่ ชีวิตของเขไม่มีหน้ที่ทงสังคมอื่นใด [...] ยกเว้นใน<br />

บงกรณี หกบังเอิญว่นักรบได้ใช้ชีวิตยมไร้ศึกสงครม อย่งน้อยเข<br />

ก็จำเป็นต้องต่อสู้ในสงครมเสมือน ดังที่เขต้องสู้ในกรประลองต่ง ๆ<br />

และกรแข่งขันเหล่นี้ก็มักจะแตกต่งกับกรต่อสู้จริง ๆ เพียงเล็กน้อย”<br />

(Elias, 2000, p. 164)<br />

ควมรุนแรงอันชอบธรรมดังกล่ว ดำรงอยู่ในรัฐที่ยังไม่สมรถรวมศูนย์<br />

อำนจควมรุนแรงขึ้นเป็นสมบูรณญสิทธิรชย์ ควมรุนแรงมีหน้ที่อัน<br />

จำเป็นสำหรับกรอยู่รอดของนักรบและเมือง ยิ่งไปกว่นั้น เงื่อนไขด้น<br />

จำนวนประชกรในยุโรปที่มีสัดส่วนมกก็เกื้อหนุนให้ควมรุนแรงกลยเป็น<br />

ที่ยอมรับได้ ในสังคมยุโรปตะวันตกยุคกลง ปัจจัยกรผลิตที่สำคัญสูงสุด<br />

ก็คือที่ดิน ควมตึงเครียดอันเป็นผลมจกกรจับจองพื้นที่ทำกรเกษตร<br />

ไปจนหมดก็นำไปสู่กรสงครมระหว่งเจ้ที่ดิน ด้วยเหตุนี้เองจึงมีคำกล่ว<br />

ที่ว่ “ไม่มีที่ดินใดจะไม่มีเจ้ปกครอง” (Elias, 2000, p. 217) เพระฉะนั้น<br />

ลูกหลนผู้เป็นสมชิกชนชั้นขุนศึกจึงเผชิญกับสภวะขดแคลนที่ดิน ที่ดิน<br />

ที่พวกเขได้รับตกทอดมจกบรรพบุรุษมีสัดส่วนเล็กลงเรื่อย ๆ ที่ดินที่<br />

ได้รับจึงไม่เพียงพอต่อควมต้องกรและกรดำรงชีพ กรก่อสงครมอย่ง<br />

สงครมครูเสดเองก็มีแรงจูงใจมจกภวะขดแคลนที่ดินของบรรดอัศวิน<br />

ดังนั้น โลกทัศน์ที่ให้ควมสำคัญกับขอบเขตพื้นที่ เขตแดน และอำนจ<br />

33


อธิปไตยเหนือดินแดนจึงเป็นพัฒนกรเฉพะที่เกิดขึ้นในรัฐต่ง ๆ ของยุโรป<br />

(Elias, 2000, pp. 211–220) เพระฉะนั้น สภวกรณ์ที่สัดส่วนประชกร<br />

มีมกเกินกว่พื้นที่ก็ได้ส่งผลให้อัศวินผู ้ชนะสงครมเห็นว่ เชลยศึกไม่มี<br />

ควมจำเป็นในฐนะแรงงนและทหร หกอัศวินปล่อยเชลยศึกให้อยู่รอดไป<br />

ก็จะเป็นกรเปิดโอกสให้เจ้ที่ดินในท้องถิ่นเกณฑ์คนเหล่นี้มเป็นกำลัง พล<br />

และก็จะกลยเป็นปฏิปักษ์กับอัศวินผู ้ชนะอีกหน ด้วยเหตุนี้เอง หลังศึก<br />

สงครมสิ้นสุดลง กรฆ่่และกรเฉือนอวัยวะเชลยศึกให้พิกรจึงเป็นเหตุ-<br />

กรณ์ปรกติซึ่งมักจะเกิดขึ้น (Elias, 2000, pp. 161–172)<br />

เมื่อพัฒนกรทงเศรษฐกิจและสังคมได้ส่งผลให้เกิดรัฐรวมศูนย์ควม<br />

รุนแรงแล้ว กษัตริย์ในระบอบสมบูรณญสิทธิรชย์จึงได้กลยเป็นผู้มี<br />

อำนจในกรใช้ควมรุนแรงในระดับสูงที่สุดในอณจักร กษัตริย์จึงสมรถ<br />

สร้งแรงกดดันเพื่อบีบนักรบหรือเจ้ที่ดินให้เข้มเป็นขุนนงผู้สังกัดอยู่ภย<br />

ใต้อำนจของพระองค์ ภยใต้รัฐสมบูรณญสิทธิรชย์ สมชิกรัฐทั้งหลย<br />

ต่งก็ถูกคด หวังและกดดันให้มีมตรฐนควมประพฤติอันมีควมศิวิไลซ์<br />

มกขึ้น ยิ่งไปกว่นั้น ขุนนงและกระฎุมพีผู้เข้มรับใช้กษัตริย์ในพระรช-<br />

วัง ก็ได้มีโอกสใกล้ชิดกับวัฒนธรรมรชสำนักมกขึ้น พวกเขพยยม<br />

รักษสถนภพใหม่ของพวกเข (ภยใต้ระเบียบทงสังคมวัฒนธรรมของ<br />

รัฐสมบูรณญสิทธิรชย์) พวกเขไม่อยกแสดงพฤติกรรมใด ๆ อันเป็นที่<br />

อับอยขยหน้ พวกเขจึงเลียนแบบมตรฐนควมศิวิไลซ์ของรชสำนัก<br />

(Elias, 2000)<br />

พัฒนกรรัฐรวมศูนย์และหนทงสู่ควมศิวิไลซ์<br />

เอไลอัสสังคระห์แนวโน้มพัฒนกรรัฐในยุโรปยุคกลงไว้ว่ แม้ว่ขุนศึก<br />

ผู้ครองที่ดินต่ง ๆ จะทำสงครมกันเพื่อรวมศูนย์อำนจทงกรเมือง แต่<br />

พวกเขก็ไม่สมรถสร้งรัฐรวมศูนย์อำนจในกรใช้ควมรุนแรงให้เป็น<br />

หนึ่งเดียวได้ อำนจของขุนศึกผู้ปกครองแว่นแคว้นต่ง ๆ จึงมีแนวโน้ม<br />

34


กระจัดกระจยไม่รวมกันเป็นเอกภพ อย่งไรก็ตม ผลกรวิเคระห์ของ<br />

เอไลอัสชี้ว่ แนวโน้มกรขยยตัวของเศรษฐกิจแบบเงินตร เป็นปัจจัย<br />

สำคัญอันก่อให้เกิดกรพัฒนกลไกอำนจรัฐศูนย์กลงที่ทรงอิทธิพลใน<br />

ทงกรเงินและกรทหร กล่วคือ เมื่อขุนศึกผู้มีอำนจคนหนึ่งสมรถ<br />

ตักตวงผลประโยชน์จกเงินตรของผู้คนผ่นกรเก็บภษีในเขตอำนจของ<br />

ตน ขุนศึกผู้นั้นจึงสะสมเงินตรหรือภษีเรื่อยม จนกระทั่งกลยมเป็นผู้<br />

รำ่รวย ขุนศึกผู้นั้นจึงมีศักยภพทงกรเงินที่มกเพียงพอจนสมรถใช้จ่ย<br />

เงินสำหรับจ้งนักรบในสัดส่วนที่มกกว่ขุนศึกผู้มีอำนจคนอื่น ๆ เพระ<br />

ฉะนั้น หกขุนศึกผู้ทรงอำนจมกทั้งในทงกรเงินและกรทหร ต้องกร<br />

ที่จะสถปนรัฐรวมศูนย์ด้วยกรดึงเอเจ้ที่ดินคนเล็กคนน้อยให้เข้มเป็น<br />

ส่วนหนึ่งของรัฐของตนแล้ว ขุนศึกผู้ทรงอำนจนี้มีควมจำเป็นน้อยลง (อัน<br />

เป็นผลมจกกรมีกองกำลังรับจ้ง) ในกรพึ่งพิงอำนจของบรรดเจ้ที่ดิน<br />

ที่มีอำนจน้อยกว่ อีกทั้งขุนศึกผู้ทรงอำนจทงกรเงินจนจ้งนักรบได้ก็<br />

สมรถพึ่งพิงกับระบบศักดินแบบเดิมน้อยลง ระบบศักดินแบบเดิมเน้น<br />

สถนะเจ้ผู้ครองที่ดินผู้จะต้องระดมประชชนมรบเพื่อตนเองและเจ้ผู้<br />

ครองที ่ดินก็จะต้องประทนที่ดินแก่ประชชนเหล่นั้นสำหรับทำมหกิน<br />

เป็นกรแลกเปลี่ยน<br />

เจ้ที่ดินที่เริ่มสถปนอำนจรัฐรวมศูนย์ นอกจกจะมีควมสมรถในกร<br />

จ้งนักรบจำนวนมกแล้ว เขยังมีเทคนิคในกรจัดกองทัพที่ใช้เทคโนโลยี<br />

อย่งอวุธปืนได้อย่งมีประสิทธิภพอีกด้วย ปัจจัยดังกล่วได้เกื้อหนุนให้<br />

ผู้มีอำนจทงกรเงินและกรทหรคนนั้นมีอำนจทงกรศึกเหนือกว่เหล่<br />

อัศวินผู้ต่อสู้บนหลังม้อีกด้วย (Elias, 2000, p. 192) หกพิจรณในระยะ<br />

ยวแล้ว ผลลัพธ์จกกรรวมศูนย์อำนจทั้งกรเงินและควมรุนแรงของ<br />

รัฐหนึ่ง ๆ มีแนวโน้มที่จะส่งผลต่อกรพยยมสร้งควมสงบและสันติสุข<br />

ภยในรัฐด้วย ภยในรัฐรวมศูนย์อำนจกรใช้ควมรุนแรง กรใช้ควม<br />

รุนแรงต่อกันที่ไม่ได้กระทำในนมรัฐย่อมเป็นสิ่งที่ไร้ควมชอบธรรม ด้วย<br />

เหตุนี้แนวโน้มควมศิวิไลซ์ของรัฐรวมศูนย์หนึ่ง ๆ จึงเพิ่มสูงขึ้นด้วย<br />

35


เอไลอัสได้ระบุถึงควมขัดแย้งทงกรเมืองในยุคกลงไว้ว่ บรรดขุนศึก<br />

ต่งก็ต่อสู้กันเป็นเวลนนหลยศตวรรษ แต่พวกเขก็ไม่สมรถที่จะสถป­<br />

นอำนจศูนย์กลงขึ้นมอย่งถวรได้ หกเมื่อใดก็ตมที่ขุนศึกผู้หนึ่ง<br />

พยยมจะสถปนตนเองขึ้นมเป็นอำนจศูนย์กลง ในเวลต่อมไม่นน<br />

เมื่อศูนย์กลงอำนจนี้อ่อนกำลังทงกรปกครองและกรทหรลง บรรด<br />

ผู้ปกครองในท้องถิ่นหรือลูกหลนของเขซึ่งได้รับสิทธิธรรมในกรปกครอง<br />

จกอำนจศูนย์กลงก็จะอ้งสิทธิขดเหนือท้องถิ่นของตนและตั้งตนเป็น<br />

อิสระจกอำนจศูนย์กลง อย่งไรก็ตม แม้ว่อำนจศูนย์กลงจะพยยม<br />

ลดทอนอำนจของเจ้ที่ดินในท้องถิ่นลงด้วยกรแต่งตั้งเชื้อพระวงศ์หรือ<br />

แม้แต่ข้รชบริพรจกส่วนกลงไปปกครอง แต่ตัวแทนจกอำนจศูนย์กลง<br />

ก็มักจะไม่สมรถจะธำรงอำนจศูนย์กลงในท้องถิ่นได้ยวนนเกินหนึ่ง<br />

ชั่วอยุคน (Elias, 2000, pp. 187–379; Elias, 2008, pp. 99–102)<br />

ตัวอย่งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงควมยกลำบกในกรสถปนอำนจรัฐรวม<br />

ศูนย์ก็คือ ยุคแคโรลินเจียน (Carolingian) ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 8–9<br />

แม้ว่จักรพรรดิชร์เลอมญ (Charlemagne) ได้พยยมแต่งตั้งเคนต์<br />

(Count) ไปปกครองแทนดยุค (Duke) ในท้องถิ่น แต่ตลอดรัชสมัยของ<br />

พระองค์ เคนต์เหล่นี้ต่งก็พยยมอ้งกรรมสิทธิ ์ส่วนตนเหนือแว่นแคว้นที่<br />

พวกเขได้รับสิทธิในกรปกครอง เพระฉะนั้น เพื่อแก้ไขปัญหกรกระจัด<br />

กระจยของอำนจที่หลุดออกไปจกศูนย์กลง จักรพรรดิชร์เลอมญจึง<br />

ส่งผู้แทนหลวง (missi dominici) เข้ไปในท้องถิ่นแว่นแคว้นต่ง ๆ ผู้แทน<br />

หลวงทำหน้ที่ตรวจตรสอดส่องกรทำงนของเคนต์ว่บรรดเคน์เหล่นี้<br />

ได้พยยมเอใจออกห่งจกศูนย์กลงหรือไม่ ในรัชสมัยถัดจกจักรพรรดิ<br />

ชร์เลอมญ ภยใต้กรปกครองของจักรพรรดิหลุยส์ผู้ศรัทธ (Louis the<br />

Pious) เคนต์ทั้งหลยต่งก็พยยมอ้งสิทธิเหนือแว่นแคว้นที่ตนปกครอง<br />

เคนต์เหล่นี้พยยมยกแว่นแคว้นที่ตนได้รับสิทธิธรรมในกรปกครองจก<br />

ส่วนกลงให้แก่ลูกหลนของตน เคนต์เหล่นี้ต่งก็ไม่ปรรถนที่จะคืนแว่น<br />

แคว้นที่ตนได้รับกลับไปยังอำนจส่วนกลงเลย (Elias, 2000, p. 199)<br />

36


อย่งไรก็ตม ตลอดช่วงเวลที่เกิดสงครมเพื่อกรสร้งรัฐรวมศูนย์อำนจ<br />

ในกรใช้ควมรุนแรงครั้งแล้วครั้งเล่ ขุนศึกผู้ปกครองแว่นแคว้นเล็ก ๆ ก็ได้<br />

ถูกสังหรและกำจัดออกไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเหลือผู้ปกครองในสัดส่วนที่<br />

น้อยลง ยิ่งไปกว่นั้น ขุนศึกผู้ชนะเหล่นี้ก็ได้พยยมเพิ่มขีดควมสมรถ<br />

ทงกรปกครองและกรรบให้แก่รัฐของตนขึ้นม เอไลอัสเรียกช่วงเวลนี้<br />

ว่เป็น “กระบวนกรกรต่อสู้เพื่อกำจัด” (the process of elimination contests)<br />

กระบวนกรนี้เกิดขึ้นซำ้แล้วซำ้อีกจนกระทั่งในที่สุดผู้ปกครองในแว่น<br />

แคว้นต่ง ๆ ถูกกำจัดไปมกจนเหลือจำนวนผู้ปกครองในยุโรปตะวันตกเพียง<br />

ไม่กี่คน (Elias, 2000, pp. 187, 263)<br />

เอไลอัสกล่วว่ ในคริสต์ศตวรรษที่ 12 และ 13 กรขยยตัวของกรค้<br />

และเศรษฐกิจแบบเงินตรดำเนินไปอย่งช้ ๆ และในที่สุดกรขยยตัวนี้<br />

ได้ส่งผลต่อพัฒนกรของกรเกิดรัฐรวมศูนย์อำนจทงกรเงินและควม<br />

รุนแรงในยุโรปตะวันตกในเวลต่อม กรเติบโตขึ้นของเศรษฐกิจกรค้และ<br />

เงินตรส่งผลให้เกิดกลุ่มทงสังคมใหม่อย่งกระฎุมพีผู้อศัยอยู่รวมกันใน<br />

เมืองขึ้นม ปัจจัยด้นกรค้และกรเงินนี้ได้เชื่อมห่วงโซ่ควมสัมพันธ์เชิง<br />

พึ่งพิงต่อรองระหว่งผู้คนอย่งกว้งขวงอย่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมก่อน ควม<br />

สัมพันธ์นี้ประกอบด้วยกษัตริย์ อัศวิน และกระฎุมพี ผู้เข้มเกี่ยวพัน พึ่งพิง<br />

และมีหน้ที่ทงสังคมต่อกันมกขึ้น (Elias, 2000, p. 187)<br />

เดิมทีกระฎุมพีก็มีสถนะไม่ต่งจกไพร่ติดที่ดินมกนัก พวกเขถูกเกณฑ์<br />

ให้ไปรบเหมือนกับไพร่ติดที่ดิน อย่งไรก็ตม กระฎุมพีเหล่นี้มีทรัพยกร<br />

อย่งเงินตร พวกเขใช้อำนจทงกรเงินที่พวกเขมีไปต่อรองกับเจ้ที่ดิน<br />

กระฎุมพีผู้อศัยอยู่ในเมืองเรียกร้องที่จะจ่ยเงินให้แก่เจ้ที่ดินเพื่อแลกกับ<br />

กรที่ตนได้รับกรละเว้นจกกรไปสงครม และเจ้ที่ดินเองก็พึงพอใจกับ<br />

ข้อเสนอของกระฎุมพีประกรนี้ เจ้ที่ดินมองว่เงินที่เก็บได้จกกระฎุมพีมี<br />

ประโยชน์ต่อกรเพิ่มพูนอำนจให้แก่ตนเองได้ในหลยทงโดยเฉพะอย่งยิ่ง<br />

กรเพิ่มประสิทธิภพในกรใช้ควมรุนแรง ในที่สุดกรจ่ยเงินเพื่อยกเว้น<br />

37


กรเป็นทหรก็ได้ลงหลักปักฐนเพระเจ้ที่ดินติดพันกับศึกสงครมที่กิน<br />

เวลยวนน จุดเปลี่ยนสำคัญของกรเก็บเงินเพื่อยกเว้นกรไปสงครม<br />

อย่งเป็นครั้งครวจนกลยเป็นสถบันกรเก็บภษีก็คือ สงครมหนึ่งร้อยปี<br />

(the Hundred Years’ War) ในช่วง ค.ศ. 1337–1453 (พ.ศ. 1880–1996)<br />

ระหว่งวงศ์แพลนทเจเนท (the House of Plantagenet) ในอังกฤษ กับวงศ์<br />

วลัวส์ (the House of Valois) ในฝรั่งเศส ในยุคนี้ กรจ่ยเงินเพื่อกร<br />

สงครม (aides) ของกระฎุมพีได้ค่อย ๆ เปลี่ยนจกกรเก็บแบบชั่วครั้ง<br />

ชั่วครวไปเป็นเก็บแบบประจำ ผลลัพธ์ที่ตมมก็คือ เจ้ที่ดินวงศ์วลัวส์<br />

ในฝรั่งเศสเก็บภษีได้อย่งสมำ่เสมอจนท้องพระคลังมั่งคั่งมกขึ้น พระองค์<br />

สมรถนำเงินภษีที่เก็บได้ไปบำรุงกองทัพให้เข้มแข็ง อำนจศูนย์กลงของ<br />

พระองค์จึงค่อย ๆ แข็งแกร่งขึ้นม ยิ่งไปกว่นั้น สงครมที่ดำเนินไปอย่ง<br />

ต่อเนื ่องยังส่งผลต่อกรสร้งควมสัมพันธ์เชิงพึ่งพิงต่อรองระหว่งกษัตริย์<br />

หรือเจ้ที่ดินกับประชชนขึ้นม กษัตริย์ทำหน้ที่เป็นตัวเชื่อมในกรทำ<br />

สงครมและป้องกันอณจักรจกกรรุกรน และเนื่องจกกรเก็บภษี<br />

ดำเนินไปอย่งต่อเนื่องสมำ่เสมอ กษัตริย์จึงพัฒนกลไกบริหรรชกร<br />

ขึ้นมสำหรับคอยตรวจตรกรจัดเก็บภษีเป็นกรจำเพะ อย่งไรก็ตม<br />

กษัตริย์ไม่สมรถเก็บภษีได้ตมอำเภอใจเพระพระองค์ต้องเผชิญกับกร<br />

ต่อต้นจกประชชนอยู่ไม่ขด กษัตริย์จึงไม่สมรถกดขี่และสร้งภระ<br />

ให้กับประชชนด้วยกรเก็บภษีอย่งมกจนเกินไปได้ ด้วยเหตุนี้เอง องค์กร<br />

รัฐสำหรับทำหน้ที่จัดเก็บภษีจึงเติบโตอย่งค่อยเป็นค่อยไป<br />

ต่อมในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ระบอบรัฐรวมศูนย์อำนจทงกรเงินและ<br />

ควมรุนแรงของวงศ์วลัวส์นี้ได้กลยมเป็นตัวแบบกรบริหรรัฐให้แก่รัฐ<br />

อื่น ๆ ในยุโรป เมื่อทูตจกที่อื่น ๆ ในยุโรป เช่น ทูตจกเวนิส ได้เดินทงม<br />

ฝรั่งเศสเพื่อทำควมเข้ใจนโยบยกรเมืองระหว่งรัฐของฝรั่งเศส บรรด<br />

ทูตต่งก็ประหลดใจกับสถบันและกระบวนกรเก็บภษีของรัฐฝรั่งเศส<br />

ตลอดจนสถนะทงกรเงินอันมั่งคั่งอย่งมกของกษัตริย์ฝรั่งเศส นอกจก<br />

นี้ ควมสำเร็จของรัฐรวมศูนย์ทงกรเงินในฝรั่งเศสวงอยู่บนวิธีกรบริหร<br />

38


กรเงินแบบพวกกระฎุมพี รัฐฝรั่งเศสกำหนดรยจ่ยอย่งเข้มงวด กรใช้<br />

จ่ยจะมีเท่ไรจะอิงจกรยรับเป็นตัวตั้ง ผลที่ตมมจกอำนจรัฐรวมศูนย์<br />

ของฝรั่งเศสคือ กษัตริย์ฝรั่งเศสมีสิทธิในกรแจกจ่ยดินแดนซึ่งถูกรวบไว้<br />

เป็นรชสมบัติ ขุนนง (ผู้มีเชื้อสยมจกเจ้ที่ดินขนดเล็กในท้องถิ่น) ได้<br />

รับพระรชทนเงินเดือนและที่ดินตลอดชีพ เมื่อขุนนงเสียชีวิต ที่ดินและ<br />

ทรัพย์สินก็จะถูกริบคืนมที่กษัตริย์ ระบบกรสืบทอดสมบัติจกรุ่นสู่รุ่นของ<br />

พวกเจ้ที่ดินท้องถิ่นก็ถูกแทนที่ด้วยอำนจรวมศูนย์ของกษัตริย์3 (Elias,<br />

2000, pp. 346–361)<br />

ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 ระบอบกรเมืองซึ่งมีองค์กรบริหรกองทัพและกร<br />

เก็บภษีที่แข็งแกร่งได้เกิดขึ้นในฝรั่งเศสเป็นที่แรก กรเก็บภษีที่เสริมให้<br />

กษัตริย์วงศ์วลัวส์มีอำนจทงกรเงินเพิ่มขึ้น ควมมั่งคั่งนี้นำไปสู่กรเพิ่ม<br />

ขีดควมสมรถทงกองทัพ อันเป็นหัวใจสำคัญประกรหนึ่งในกรรวมศูนย์<br />

อำนจกรปกครอง กษัตริย์วงศ์วลัวส์ผู้มีอำนจเก็บภษีในอณบริเวณ<br />

อันกว้งขวงกว่เจ้ที่ดินอื่น ๆ จึงอยู่ในสถนะที่เหนือกว่ที่จะจ้งนักรบใน<br />

สัดส่วนที่มกกว่เจ้ที่ดินคนอื่น ๆ ยิ่งไปกว่นั้น กษัตริย์วงศ์วลัวส์ผู้มีทรัพย์<br />

และกองทัพที่มก ยังสมรถลดกรพึ่งพิงด้นกรสงครมจกเจ้ที่ดินใน<br />

แว่นแคว้นต่ง ๆ (ผู้ต้องส่งกำลังมช่วยทำศึกเพื่อแลกมกับสิทธิธรรมในกร<br />

เป็นเจ้เหนือที่ดิน) นอกจกนี้ อำนจทงกรทหรของกษัตริย์วงศ์วลัวส์<br />

ยังอิงอยู่กับเทคนิคด้นกรทหรอีกด้วย กล่วคือ ภยใต้พัฒนกรของ<br />

อวุธปืนที่ดำเนินไปอย่งช้ ๆ กรจัดตั้งกองทหรรบขนดใหญ่ซึ่งใช้อวุธ<br />

ปืนก็มีแสนยนุภพที่เหนือกว่ขุนนงและเจ้ที่ดินในแว่นแคว้นต่ง ๆ ผู้ยัง<br />

3<br />

ควรกล่วด้วยว่ เมื่อสิ้นสุดคริสต์ศตวรรษที่ 15 รัฐอื่น ๆ ในยุโรปก็พัฒนระบบ<br />

รชกรที่มีอยู่แล้วก่อนหน้ไปสู่รูปแบบที่รวมศูนย์อำนจมกขึ้น กล่วคือ กษัตริย์<br />

วงศ์วลัวส์ ในฝรั่งเศส วงศ์ทูดอร์ส์ (the Tudors) ในอังกฤษ และกษัตริย์เฟอร์ดินนด์<br />

และรชินีอิสเบลลแห่งคสติล (Castile) ในสเปน ต่งก็เริ ่มบริหรดินแดนต่ง ๆ<br />

ด้วยกรเพิ่มกรควบคุมสั่งกรโดยตรงจกบัลลังก์ (King, 2004, pp. 13–4)<br />

39


คงสู้รบบนหลังม้อย่งชัดเจน (Elias, 2000, p. 192)<br />

เมื่อก้วขึ้นมเป็นกษัตริย์สมบูรณญสิทธิรชย์ กษัตริย์ฝรั่งเศสตระหนัก<br />

ดีว่อำนจของกระฎุมพีผู้มีฐนะทงเศรษฐกิจดีกำลังก้วขึ้นมมีอำนจ<br />

ขณะเดียวกันขุนนงผู้เป็นอดีตเจ้ที่ดินกำลังตกตำ่ลงทั้งในทงเศรษฐกิจและ<br />

สถนภพ ภยใต้สถนกรณ์นี้ฝ่ยกระฎุมพีกับฝ่ยขุนนงซึ่งมีควมขัดแย้ง<br />

กันต่งฝ่ยต่งก็ไม่สมรถจะกำจัดอีกฝ่ยให้หยไปได้ กษัตริย์พยยม<br />

รักษดุลอำนจระหว่งสองฝ่ยนี้ เอไลอัสเรียกกระบวนกรรักษดุลอำนจ<br />

ของกษัตริย์นี้ว่ “กลไกกรปกครองของวัง” (royal mechanism) ภยใต้<br />

กระบวนกรปกครองนี้ กษัตริย์ฝรั่งเศสพยยมถ่วงดุลอำนจของฝ่ยขุนนง<br />

ผู้กำลังสูญเสียอำนจทงทหร กรเงิน และเกียรติภูมิ กับฝ่ยกระฎุมพี<br />

ในเมืองผู้มั่งคั่ง กษัตริย์พยยมทำให้สองกลุ่มนี้เป็นปฏิปักษ์ต่อกัน อีกทั้ง<br />

กษัตริย์ก็กีดกันไม่ให้สองกลุ่มนี้กลยมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันหรือแม้แต่<br />

จะประนีประนอมกันได้ อย่งไรก็ตม กษัตริย์ก็ใช้ควมระมัดระวัง ที่จะไม่<br />

ทำให้สองกลุ่มนี้ขัดแย้งกันจนนำไปสู่กรกำจัดอีกฝ่ย กษัตริย์พยยมช่วย<br />

รักษฐนันดรและอภิสิทธิ์บงประกรของขุนนงเอไว้ ขณะเดียวกันกษัตริย์<br />

ก็อนุญตให้กระฎุมพีได้ใช้เงินซื้อตำแหน่งรชกรและเข้มช่วยบริหรงน<br />

ภครัฐในด้นกรเก็บภษี อย่งไรก็ตม กษัตริย์ก็ระวังที่จะจำกัดอำนจ<br />

ของกระฎุมพีเอไว้ไม่ให้กระฎุมพีมีอำนจมกจนสมรถทำลยสถนภพ<br />

ของขุนนงลง เพระฉะนั้น กษัตริย์จึงเล่นบทบทในฐนะที่เป็นผู้ประสน<br />

ควมสัมพันธ์สูงสุดในควมสัมพันธ์ทงกรเมืองระหว่งกระฎุมพีและขุนนง<br />

(Elias, 2000, pp. 93–4, 320–344, 387–397)<br />

สำหรับเอไลอัส กรก่อรูปทงสังคมของระบอบสมบูรณญสิทธิ์ (absolutism)<br />

เป็นกุญแจสำคัญที่เบิกทงไปสู่กระบวนกรสู่ควมศิวิไลซ์ กรศึกษ<br />

กรเปลี่ยนแปลงของโครงสร้งทงอรมณ์และกรควบคุมตนเองจะต้องให้<br />

ควมสำคัญกับกรวิเคระห์กระบวนกรก่อรูปของรัฐและพัฒนกรกร<br />

ปกครองแบบสมบูรณญสิทธิ์ (Elias, 2000, p. 191)<br />

40

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!