Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
อาการตาสว่างกับอารมณ์ค้างแบบหลังอาณานิคม<br />
<strong>Philippines</strong> Historiography<br />
and the Searching for the<br />
Destiny of the Nation<br />
สิริฉัตร รักการ
ตะเกียงแห่งกาลายาอันในคืนกาฬปักษ์
กา<br />
ร ขึ้นสู่อำนาจของนายโรดริโก ดูเตอร์เต (Rodrigo Duterte)<br />
และโจเซฟ เอสตราดา (Joseph E. Estrada) ได้ทำให้ความ<br />
สนใจเรื่องเจ้าพ่อและผู้มากบารมีกลับมามีชีวิตชีวาคึกคักขึ้นมาในวง<br />
วิชาการด้านเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาและฟิลิปปินส์ศึกษา โดย<br />
เฉพาะหนังสือรวมบทความเรื่อง An Anarchy of Families: State and<br />
Family in the <strong>Philippines</strong> ซึ่งบรรณาธิการโดย อัลเฟร็ด แม็คคอย<br />
(Alfred W. McCoy) ตีพิมพ์ครั้งแรกเมื่อ 1993 โดยศูนย์เอเชียตะวัน<br />
ออกเฉียงใต้ศึกษา มหาวิทยาลัยวิสคอนซิน ได้ถูกนำมาตีพิมพ์ซํ้าอีก<br />
ครั้งทั้งในอเมริกาและในฟิลิปปินส์เอง ส่วนในโลกวิชาการไทยนั้น<br />
ความสนใจต่อเรื่องนี้ได้นำไปสู่การแปลบทความอันทรงอิทธิพลสูงยิ่ง<br />
ต่อการทำความเข้าใจปรากฏการณ์การเมืองฟิลิปปินส์ร่วมสมัยเรื่อง<br />
“Cacique Democracy in the <strong>Philippines</strong>: Origins and Dreams” ของ<br />
ศาสตราจารย์เบเนดิคต์ แอนเดอร์สัน ซึ่งตีพิมพ์ครั้งแรกอยู่ใน New<br />
Left Review เมื่อ 1988 และถูกนำไปตีพิมพ์ซํ้าอยู่ในหนังสือหลายเล่ม<br />
5
รวมทั้ง The Spectre of Comparisons: Nationalism, Southeast Asia and<br />
the World (1993) โดยมีชื่อในฉบับพากย์ไทยว่า “ประชาธิปไตยแบบ<br />
เจ้าพ่อท้องถิ่นในฟิลิปปินส์” สำนวนแปลอันหมดจดโดยอาทิตย์<br />
เจียมรัตตัญญู ตีพิมพ์อยู่ใน ชุมทางอินโดจีน (2559)<br />
สำหรับข้าพเจ้าแล้ว ปรากฏการณ์ทางการเมืองเหล่านี้กลับทำให้<br />
หวนรำลึกถึงภาพยนตร์ฟิลิปปินส์จำนวนหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่อง “Fight<br />
for Us” ของลีโน บร็อคคา (Lino Brocka) ซึ่งนำออกฉายครั้งแรกเมื่อ<br />
1989 อันเป็นเรื่องราวของบาทหลวงหนุ่มผู้หนึ่ง (แสดงโดย ฟิลลิป<br />
ซัลวาดอร์ (Phillip Salvador)) ถูกส่งเข้ามาเผยแผ่พระวจนะและแสง<br />
สว่างของพระเป็นเจ้าอยู่ในหัวเมืองชนบท ด้วยการเข้ามาทำงานท่าม<br />
กลางมวลชนคนชั้นล่างที่ลุกขึ้นมาขบถ สาธุคุณรูปนี้จึงถูกบีบคั้นให้<br />
ต้องเผชิญหน้ากับอำนาจมืดที่ครอบงำเมืองอยู่ อันนำไปสู่การต่อสู้<br />
ฟาดฟันกันอย่างดุเดือดเลือดพล่านเพื่อโค่นล้มอิทธิพลเถื่อน และจบ<br />
ลงด้วยชัยชนะของเหล่าคนทุกข์เข็ญ ในฉากจบของภาพยนตร์ สาธุ<br />
คุณผู้บังเกิดดวงตาเห็นธรรมของเทววิทยาแห่งการปลดปล่อย ก็ได้<br />
อุ้มเด็กน้อยอยู่ในวงแขนเดินออกมาจากซากความพินาศหลังการต่อสู้<br />
ในฉากอันเต็มไปด้วยความรุนแรงและได้รับความใหลหลงอย่าง<br />
สูงในหมู่ผู้คนทั่วไปในสังคมฟิลิปปินส์เหล่านี้ ตัวเอกของเรื่องถูกบีบ<br />
คั้นให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับอำนาจมืด อิทธิพล และความอยุติธรรมอัน<br />
ชั่วร้ายนานัปการที่พากันดาหน้าเข้ามาเหยียบยํ่าซํ้าเติมชีวิตของคน<br />
ทุกข์ยากให้ลำเค็ญยิ่งขึ้นไปอีก ภาพยนตร์เช่นนี้หลายเรื่องเป็นที่รู้จัก<br />
กันดีและแสดงนำโดยพระเอกขวัญใจคนยากอย่างโจเซฟ เอสตราดา<br />
แน่ละ เอสตราดาไม่ได้คิดว่าตัวเขาเล่นบทบาทดังกล่าวอยู่เฉพาะแต่<br />
ในโลกของแสงและเงาเท่านั้น เพราะในโลกแห่งการเมืองแล้ว เอส<br />
ตราดาก็ประกาศตนอย่างชัดเจนว่าต้องการเป็นตัวแทนของอันเดรส<br />
6
โบนิฟำ ซิโอ (Andres Bonifacio) ผู้เป็น “ซูพรีโม” (ผู้นำสูงสุด) ของ<br />
ขบวนการกาตีปูนันที่ลุกขึ้นจับอาวุธต่อสู้เพื่อปลดแอกจากการเป็น<br />
อาณานิคมของสเปนเมื่อ 1896 อันนำไปสู่การจัดตั้งสาธารณรัฐที่ 1<br />
ของฟิลิปปินส์ในปี 1898 ก่อนจะถูกยึดครอง “อย่างการุญ” โดย<br />
อเมริกาในช่วงสิ้นศตวรรษ<br />
กล่าวให้ถึงที่สุดแล้ว ผู้นำทางการเมืองเหล่านี้ ทั้งเอสตราดา,<br />
ดูเตอร์เต และก่อนหน้านั้นคือ รามอน แมกไซไซ (Ramon Magsaysay)<br />
ต่างก็ตระหนักถึงสงครามการต่อสู้ทางการเมืองระหว่าง “ชนชั้นนำ<br />
ผู้มีการศึกษา” (ilustrado) กับมวลชนคนชั้นล่างผู้ถูกมองว่าโง่เขลา<br />
เบาปัญญา (ignoramus) ดังที่แมกไซไซได้ประกาศว่าตนเองคือ “คน<br />
ของมวลชนคนชั้นล่าง” (man of the masses) โดยกระแสธารแห่งการ<br />
ต่อสู้ทางการเมืองดังกล่าวนี้ได้เผยให้เห็นอย่างชัดเจนในสิ่งที่ข้าพเจ้า<br />
ใคร่ขอเรียกว่า “สงครามประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์สองกระแส”<br />
งานวิชาการด้านฟิลิปปินส์ศึกษาในโลกวิชาการภาษาไทยที่ผ่านมา<br />
โดยเฉพาะการศึกษาประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ ส่วนใหญ่มักเดินตาม<br />
ตำราประวัติศาสตร์กระแสหลักของฟิลิปปินส์ไปอย่างเชื่องๆ หากไม่<br />
เงยหน้าขึ้นมาจากงานกระแสหลัก ก็มักจะละเลยข้อถกเถียงในแวดวง<br />
ประวัติศาสตร์ของฟิลิปปินส์ หรือไม่ก็แสดงอาการรังเกียจงานเขียน<br />
ของนักประวัติศาสตร์แนววิพากษ์หรือนักประวัติศาสตร์ฝ่ายซ้าย รวม<br />
ถึงการไม่สนใจจะหยิบขึ้นมาพิจารณาด้วยซํ้าว่างานเหล่านั้นกำลังเสนอ<br />
ข้อถกเถียงหรือคำอธิบายประการใด บางคนอาจไม่ทันได้ตระหนัก<br />
ด้วยซํ้าว่างานต่างๆ ที่ตัวเองหยิบมาใช้นั้นดำเนินอยู่ในแนวทางอัน<br />
แตกต่างชนิดอยู ่ร่วมโลกกันได้ยากและกำลังหํ้าหั่นกันอยู่ อย่างไร<br />
ก็ตาม ข้อยกเว้นอาจจะมีอยู่บ้างในงานศึกษาประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์<br />
บางเรื่อง แต่นั่นก็นับได้ไม่เกินไปกว่ านิ้วมือข้างเดียว ซึ่งหนึ่งในบรรดา<br />
7
งานไม่กี่ชิ้นที่ว่านั้นคืองานของสิริฉัตร รักการ<br />
“ประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์กับชะตากรรมของชาติ: อาการ<br />
ตาสว่างกับอารมณ์ค้างแบบหลังอาณานิคม” เป็นหนังสือที่ไม่เพียง<br />
แต่จะเผยให้เห็นถึงข้อถกเถียงของเหล่านักประวัติศาสตร์ฟีลีปีโนที่<br />
พยายามก้าวให้พ้นจากประวัติศาสตร์แบบเส้นตรงและสถาปนาความ<br />
ทรงจำร่วมของชาติขึ้นมาใหม่เท่านั้น หากแต่ยังเผยให้เห็นถึงการ<br />
ขับเคี่ยวต่อสู้กันในวิถีการครอบงำและการผลิตสร้างความรู้ทาง<br />
ประวัติศาสตร์ ตลอดจนการสร้างจิตสำนึกร่วมทางประวัติศาสตร์ชาติ<br />
ให้กับพลเมืองฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ ภายใต้เงื่อนไขอันพอจะเทียบเคียงกัน<br />
ได้บ้างของ “อาการตาสว่าง” และ “อารมณ์ค้าง” ดังกล่าว ชาติอื่นๆ<br />
ภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็เกิดปรากฏการณ์ในทำนอง<br />
คล้ายคลึงกันอยู่ เนื่องด้วยชาติเกิดใหม่ทั้งหมายล้วนเคยเป็นดินแดน<br />
อาณานิคมของจักรวรรดินิยมตะวันตกด้วยกันทั้งสิ้น เช่น พม่ า ลาว<br />
เวียดนาม หรืออินโดนีเซีย ซึ่งฟิลิปปินส์มิได้ประสบอยู่เพียงชาติ<br />
เดียวในเวลานั้น อาจยกเว้นกรณีนี้ให้กับชาติไทยที่ไม่เคยตกเป็น<br />
อาณานิคมอย่างเป็นทางการของใคร แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะ<br />
สามารถหนีพ้นจากการมี “อารมณ์ค้าง” ไปได้ ซึ่งแน่นอนว่าแต่ละ<br />
ชาติย่อมมีปัจจัยและบริบทของชาติตนแตกต่างกันออกไป กล่าวอย่าง<br />
รวบรัดเลยก็คือ หนังสือของสิริฉัตรเล่มนี้จะเป็นหมุดหมายสำคัญอีก<br />
หมุดหนึ่งที่จะช่วยสร้างความเข้าใจต่อการสร้างประวัติศาสตร์แห่ง<br />
ชาติ อย่างน้อยก็ต่อชาติในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งยังคง<br />
มีงานศึกษาจริงจังทั้งในภาคภาษาไทยและภาษาอังกฤษไม่มากไปกว่า<br />
หนึ่งโหลอย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยความหวังเช่นนี้ โดยเริ่มนับจากหมุด<br />
หมายหมุดนี้ เราจึงน่าจะได้เห็นงานศึกษาที่น่าตื่นเต้น เต็มไปด้วย<br />
ข้อสนเทศแปลก ใหม่และมีการวิพากษ์ที่ลึกซึ้งรอบด้านเกี่ยวกับการ<br />
8
ศึกษาการสร้างประวัติศาสตร์แห่งชาติของชาติต่างๆ ในเอเชียตะวัน<br />
ออกเฉียงใต้ ไม่ว่าจะเป็นคณะกรรมาธิการประวัติศาสตร์พม่า หรือ<br />
คณะกรรมการค้นคว้าและเขียนประวัติศาสตร์ชาติลาว และแม้<br />
กระทั่งคณะกรรมการชำระประวัติศาสตร์ไทยเองตามหลังมาอย่าง<br />
ไม่ตกขบวนแน่เทียว<br />
แม้การเขียนประวัติศาสตร์แห่งชาติในช่วงหลังการได้รับเอกราช<br />
จะถูกจารขึ้นโดยการพยายามก้าวข้ามกรอบการเขียนประวัติศาสตร์<br />
แบบเส้นตรงของอาณานิคมมาแล้วก็ตาม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่ารูปแบบ<br />
และกลิ่นอายของการเขียนแบบอาณานิคมนั้น ยังคงติดมากับปลาย<br />
ปากกาของนักประวัติศาสตร์ชาวฟิลิปีโนอยู่ไม่น้อย บางครั้งก็อาจจะ<br />
โดยไม่รู้สึกตัวประหนึ่ง “อารมณ์ค้าง” ที่ได้รับมรดกตกทอดมาจาก<br />
ระบอบอาณานิคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การผลิตสร้างชุดความรู้ทาง<br />
ประวัติศาสตร์ของ “คณะกรรมาธิการประวัติศาสตร์แห่งชาติฟิลิป<br />
ปินส์” ที่ยึดโยงอย่างแนบแน่นอยู่กับวีรบุรุษของชาติหรือเรื่องราวของ<br />
รัฐส่วนกลาง (มะนิลา) จึงยังคงเป็นรูปแบบการเขียนที่ดำเนินอยู่กับ<br />
กรอบโครงเรื่องทางประวัติศาสตร์ของเจ้าอาณานิคมอย่างสนิทเสน่หา<br />
เพราะกลุ่มคนที่ก้าวเข้ามามีบทบาทในการเขียนประวัติศาสตร์แห่งชาติ<br />
ฟิลิปปินส์สมัยใหม่ต่อจากเจ้าอาณานิคมคือ เหล่าบรรดาชนชั้นนำผู้<br />
มีการศึกษาตาสว่าง ซึ่งน้อมเกล้ารับเอาจารีตการเขียนประวัติศาสตร์<br />
แบบเจ้าอาณานิคมมาสร้างความชอบธรรมให้แก่สถานะและบทบาท<br />
ของตนในฐานะตัวแสดงนำในการขับเคลื่อนประวัติศาสตร์ของชาติ<br />
การละเลยบทบาทของเหล่ามวลชนคนชั้นล่างในกรณีแบบเรียน<br />
ประวัติศาสตร์แห่งชาตินั้นได้ก่อให้เกิดข้อถกเถียงอย่างเผ็ดร้อนขึ้น<br />
ในแวดวงประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ กระทั่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง<br />
ทั้งในเชิงคำอธิบายและในเชิงวิธีวิทยา ดังที่งานชิ้นนี้ของสิริฉัตรได้<br />
9
แจกแจงให้เห็น แต่หากกล่าวในบริบทของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้<br />
ศึกษาแล้ว การศึกษาบทบาทของมวลชนคนชั้นล่างโดยทั่วไปแยก<br />
จากกันไม่ออกจากการศึกษาขบวนการชาตินิยมและการตื่นขึ ้นของ<br />
จิตสำนึกความเป็นชาติ อันนำไปสู่ขบวนการต่อสู้ปลดแอกอาณานิคม<br />
ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 20 กระนั้นก็ดี แทบจะทันทีที่นักประวัติ<br />
ศาสตร์กำหนดความหมายของความเป็นชาติและการเป็นองค์ประธาน<br />
ผู้กระ ทำการทางประวัติศาสตร์ สถานะของมวลชนคนชั้นล่างก็หล่น<br />
วูบหายไปจากหน้าประวัติศาสตร์ เนื่องจากถูกมองว่าโง่เขลา “ยังไม่<br />
พร้อม” ไร้จิตสำนึกและอุดมการณ์ทางการเมือง พฤติการณ์ทั้งหลาย<br />
ของคนเหล่านี้จึงถูกมองว่าเป็นเพียงปฏิกิริยาตอบสนองต่อสถานการณ์<br />
เฉพาะหน้า หาได้มีจุดมุ่งหมายและโครงการทางการเมืองเป็นของ<br />
ตัวเองแต่อย่างใดไม่ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษานั้น งานชิ้น<br />
บุกเบิกในการศึกษาการเคลื่อนไหวของมวลชนคนชั้นล่างในฐานะผู้<br />
กระทำการทางการเมือง ซึ่งพยายามหาหนทางอธิบายว่า สิ่งที่มวล ชน<br />
เหล่านี้คิดและกระทำนั้นดำเนินอยู่ในขอบเขตของความเป็นเหตุผล/<br />
ความเป็นการเมือง มิใช่ดำรงอยู่ในภาวะก่อนความเป็นการเมืองหรือ<br />
ยังคงดำรงอยู่ใต้อิทธิพลของกรอบคิดทางศาสนา โดยปราศจากเหตุ<br />
ผลและความสุกงอมด้านจิตสำนึกทางการเมือง คือ งานของกลุ่มนัก<br />
ประวัติศาสตร์ฟิลิปปินส์ นับตั้งแต่เตโอโดโร อากอนซิลโล (Teodoro<br />
Agoncillo), เรนาโต คอนสตันติโน (Renato Constantino) และเรย์นัล<br />
โด อีเลโต้ (Reynaldo Ileto) ส่วนงานขึ้นหิ้งอันได้รับการคารวะอย่าง<br />
สูงกรณีการศึกษาขบวนการชาวนาในชวาของสารโตโน การโตดิรโจ<br />
(Sartono Kartodirdjo) นั้นแม้ยังคงมองว่าการเคลื่อนไหวของชาวนา<br />
เหล่านี้ยังคงดำเนินอยู่ในกรอบของภาวะก่อนความเป็นการเมือง แต่<br />
ก็ควรค่าแก่การเอ่ยถึง การสำรวจภูมิทัศน์ของบทสนทนาในประวัติ<br />
10
ศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์ของสิริฉัตร รักการ จึงเป็นประหนึ่งตะเกียง<br />
ที่ถูกจุดขึ้นในอันธกาล ซึ่งมิใช่แต่เพียงจะช่วยสาดแสงลงไปในดินแดน<br />
แห่ง “กาลายาอัน” ของชาวลูซอนเท่านั้น แต่ยังอาจช่วยส่องทางให้<br />
แก่เราในการพยายามค้นหาหนทางแห่งการเขียนประวัติศาสตร์<br />
สำหรับมวลชนคนชั้นล่างในสังคมไทย ซึ่ง ณ ชั ่วโมงนี้ก็ยังไร้ที่ยืน<br />
เร้นลึกอยู่ในหน้าประวัติศาสตร์ โดยมิพักจะต้องพูดถึงสถานะการ<br />
เป็นองค์ ประธานของผู้คนจำนวนมากบนแผ่นดินแต่อย่างใด<br />
แน่ละ งานชิ้นนี้ย่อมจะมีข้อด้อยอยู่อีกไม่น้อย ความตระหนัก<br />
อย่างอ่อนน้อมเช่นนี้คือสิ่งอันควรที่นักวิชาการผู้มีโยนิโสมนสิการ<br />
และยังให้ความนับถือตนเองอยู่บ้างทั้งหลาย จะต้องเตือนตัวเองให้<br />
พิจารณาถึงช่องว่างทางความรู้ที่จะต้องช่วยกันถมให้เต็ม อาทิ หาก<br />
ผู้เขียนสามารถนำเอางานนิพนธ์ของกลุ่มต่อต้านอำนาจส่วนกลาง<br />
อย่างเช่นงานนิพนธ์ทางประวัติศาสตร์ของโลกมินดาเนามาพิจารณา<br />
เปรียบเทียบอย่างจริงจัง เราก็คงได้อ่านงานที่ลุ่มลึกซับซ้อนยิ่งขึ้นไป<br />
อีก อย่างไรก็ตาม งานซึ่งเติบโตงอกงามขึ้นมาจากวิทยานิพนธ์ระดับ<br />
มหาบัณฑิตเล่มหนึ่ง แค่นี้ก็มีคุณูปการอย่างสูงยิ่งต่อการศึกษาประ<br />
วัติศาสตร์ฟิลิปปินส์และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษาในสังคมไทย<br />
แลเป็นงานซึ่งเราควรเปิดหมวกให้เกียรติเป็นการต้อนรับเล่มหนึ่ง<br />
ทวีศักดิ์ เผือกสม และคณะ<br />
11
สารบัญ<br />
ตะเกียงแห่งกาลายาอันในคืนกาฬปักษ์<br />
โดย ทวีศักดิ์ เผือกสม และคณะ<br />
4<br />
กิตติกรรมประกาศ<br />
12<br />
บทนำ<br />
20<br />
บทที่ 1 การเขียนฟิลิปปินส์:<br />
การสร้างความรู้เกี่ยวกับฟิลิปปินส์ในยุคอาณานิคม<br />
44<br />
บทที่ 2 ประวัติศาสตร์แห่งชาติฟิลิปปินส์<br />
ในยุคหลังอาณานิคม (1):<br />
ชะตากรรมของเฟอร์ดินาน มาร์คอส<br />
108
บทที่ 3 ประวัติศาสตร์นิพนธ์ฟิลิปปินส์<br />
ในยุคหลังอาณานิคม (2):<br />
การเมืองในการเขียนประวัติศาสตร์ขอ<br />
งคณะกรรมาธิการประวัติศาสตร์แห่งชาติฟิลิปปินส์<br />
152<br />
บทที่ 4 ประวัติศาสตร์จากจุดยืนของประชาชน:<br />
สถาบันประวัติศาสตร์แห่งชาติฟิลิปปินส์<br />
กับการเล่าเรื่องท้องถิ่นของชาติ<br />
198<br />
บทสรุป<br />
258<br />
ภาคผนวก<br />
264<br />
บรรณานุกรม<br />
282