07.01.2022 Views

บทที่ 10 อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของไวรัส

บทที่ 10 อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของไวรัส จากหนังสือ 'ไวรัส ฉบับกระชับ' ของ โดโรธี เอช. ครอว์ฟอร์ด แปลโดย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์

บทที่ 10 อดีต ปัจจุบัน และอนาคต ของไวรัส จากหนังสือ 'ไวรัส ฉบับกระชับ' ของ โดโรธี เอช. ครอว์ฟอร์ด แปลโดย ดร.นำชัย ชีววิวรรธน์

SHOW MORE
SHOW LESS

Create successful ePaper yourself

Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.

<strong>บทที่</strong><strong>10</strong><br />

<strong>อดีต</strong><strong>ปัจจุบัน</strong><br />

<strong>และอนาคต</strong><strong>ของไวรัส</strong>


กรศึกษไวรัสนั้นเร่มต้นขึ้นเพียงไม่ถึงหนึ่งร้อยปี แต่<br />

ตัวไวรัสเองนั้นกลับเป็นปรสตเก่แก่ที่มีประวัตศสตร์<br />

และววัฒนกรเกี่ยวโยงใกล้ชดกับประวัตศสตร์และ<br />

ววัฒนกรของพวกเร<br />

ก่อนกรปฏวัตเกษตรกรรมเมื่อรว ๆ <strong>10</strong>,000 ปี<br />

ก่อน บรรพบุรุษของเรเป็นพรนนักล่หของป่ที่อศัย<br />

อยู่เป็นกลุ่มขนดเล็ก มักพเนจรจกที่แห่งหนึ่งไปยังอีก<br />

แห่งหนึ่งอยู่ตลอดเวล จนวนประชกรที่มีเพียงบงต<br />

แต่กระนั้นไวรัสชนดแฝงตัวดังเช่น เฮอร์พีสไวรัสก็ยัง<br />

สมรถอยู่รอดได้เป็นอย่งดี เห็นได้อย่งชัดเจนว่<br />

พวกมันปรับตัวได้ให้เข้กับในไลฟ์สไตล์แบบพรนนักล่<br />

หของป่ได้อย่งเหมะสม จนสมรถตดต่อไปยังแทบ<br />

ทุกคนได้ จนกระทั่งส่งผ่นจกรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่งได้<br />

ไวรัสเหล่นี้อจจะคุกคมได้ก็แต่เพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ แต่<br />

เมื่อมีกรเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ไปทกรเกษตรแบบ<br />

ลงหลักปักฐนตั้งรกรกมกขึ้น จึงเกดปัญหของโรค<br />

291


ตดต่อจกสัตว์ขึ้นม ไวรัสชนด ‘ใหม่’ จนวนมกมย<br />

กระโดดจกสัตว์เลี้ยงไปยังเกษตรกรในยุคต้นก่อให้เกด<br />

โรคร้ยแรง<br />

ไวรัสไข้ทรพษ หรือโรคฝีดษประหัตประหรชีวต<br />

มนุษย์ไปอย่งนับไม่ถ้วนหลังจกที่ถ่ยโอนเคลื่อนย้ย<br />

มตดเชื้อในมนุษย์ เป็นเหตุกรณ์ที่น่จะเกดขึ้นใน<br />

ชุมชนแรกเร่มในแถบอุดมสมบูรณ์ของหมู่บ้นรมแม่น้<br />

ยูเฟรตีส, ไทกรส, ไนล์, คงค และสนธุ ที่ซึ่งกรเกษตร<br />

รุ่งเรือง แน่นอนว่จรึกอักษรอียปต์โบรณที่เขียนขึ้นใน<br />

ช่วงรวปีที่ 3730 ก่อนครสตกล ได้เอ่ยถึงโรคร้ยที่คล้ย<br />

กับไข้ทรพษ และมัมมี่ชวอียปต์บงร่ง ซึ่งก็รวมทั้ง<br />

กษัตรย์รมเซสที่ 5 จกช่วงปี 1157 ก่อนครสตกลนั้น<br />

มีรอยแผลบนผวหนังที่คล้ย คลึงกับแผลไข้ทรพษด้วย<br />

โรคระบดแรกสุดที่มีบันทึกไว้คือ โรคระบดในกรุง<br />

เอเธนส์ในปีที่ 430 ก่อนครสตกล ซึ่งเกดขึ้นระหว่ง<br />

ช่วงสงครมเพโลโพนเนเชียน (Peloponnesian War)<br />

ของชวเอเธนส์ที่นโดยเพอรเคลส (Pericles) และพวก<br />

สปร์ต ซึ่งผู้เชี่ยวชญส่วนใหญ่เชื่อว่เป็นโรคไข้ทรพษ<br />

เมื่อเพอรเคลสปิดเมืองเอเธนส์เพื่อป้องกันกรจู่โจมของ<br />

ทหรสปร์ต พระองค์ไม่ทรงรู้เลยว่กลังช่วยให้จุลชีพ<br />

ได้พบกับส่งแวดล้อมที่เหมะเจะสหรับพวกมัน เมื่อใน<br />

292


เมืองอัดแน่นไปด้วยผู้อพยพ ไวรัสก็เข้ ยึดหัวหด ระบด<br />

หนักกนเวลนนถึงสี่ปี พร่ผลญชีวตผู้คนไปนับหลย<br />

พันคน รวมทั้งตัวเพอรเคลสเองด้วย ถือได้ว่เป็นคสปส่ง<br />

สหรับชวเอเธนส์ กรพ่ยแพ้ของพวกเขกลยเป็น<br />

กรป่วประกศจุดจบจักรวรรดกรีก<br />

เมื่อประชกรของเมืองต่ง ๆ ในยุโรปและเอเชีย<br />

ขยยตัวเพ่มมกขึ้น ไข้ทรพษก็กลับกลยมเป็นอคัน­<br />

ตุกะที่ขยันแวะเวียนมบ่อย ๆ จนเป็นประจ สังหรผู้คน<br />

ไปมกถึง 30 เปอร์เซ็นต์ของผู้ที่ตดเชื้อ ไข้ทรพษไม่เป็น<br />

ที่รู้จักกันใน ‘โลกใหม่’ จนกระทั่งนักบุกเบกแผ่นดนใหม่<br />

ชวสเปนได้นเอจุลชีพก่อโรคนี้และโรคอื่น ๆ อีกมก มย<br />

เข้ไปในครสต์ศตวรรษที่ 16 ทให้ชวอเมรกันพื้นเมือง<br />

ที่ปรศจกภูมคุ้มกันหรือควมต้นทนทงพันธุกรรม<br />

(genetic resistance) ต่อไวรัสนี้ต้องทนทุกข์ทรมนอย่ง<br />

แสนสหัส ทั้งเผ่อจถูกกวดล้งจนเหี้ยนเตียน จน<br />

ประชกรลดลงไปถึง 90 เปอร์เซ็นต์ในช่วง 120 ปีให้หลัง<br />

ในตอนที่ผู้รุกรนชวสเปนเดนทงมถึง พวกแอซเท็ก<br />

(Aztec) ในเม็กซโกและอนค (Inca) ในเปรูต่งก็มี<br />

ประชกรในรว 20–30 ล้นคน และมีกองทัพที่มีไพร่พล<br />

มหศล ทว่ในปี ค.ศ. 1521 เอร์นันโด กอร์เตส (Hernando<br />

Cortés) พชตชัยเหนือชนเผ่แอซเท็กด้วยทหร<br />

293


เพียงแค่ 600 นยได้สเร็จ และฟรนซสโก พซร์โร<br />

(Francisco Pizarro) ก็สมรถพชตพวกอนคได้ด้วยกลัง<br />

ทหรเพียง 200 นยในปี ค.ศ. 1532 ทั้งคู่ได้รับควม<br />

ช่วยเหลือมจกไข้ทรพษ และอจจะร่วมด้วยโรคจก<br />

จุลชีพอื่นอีก ที่ช่วยสังหรประชกรไปพร้อม ๆ กันมกถึง<br />

กว่ครึ่งหนึ่งของประชกรทั้งหมด และทให้ผู้รอดชีวต<br />

ทั้งสับสนและส้นหวัง จนทให้ผู้รุกรนชวสเปนสมรถ<br />

เข้มเอชัยอย่งง่ยดย<br />

ไม่ต้องสงสัยเลยว่ ไวรัสโรคไข้เหลืองร่วมกับไวรัส<br />

ไข้ทรพษ ไวรัสหัด เชื้อมลเรีย และจุลชีพอื่นที่รับมจก<br />

ต่งแดนนั้นมีส่วนอย่งมกในกรลดจนวนประชกร<br />

ในหมู่เกะแครบเบียน โดยโจมตีทั้งคนอเมรกันพื้นเมือง<br />

และพวกยุโรปที่มตั้งรกรกด้วยควมโหดเหี้ยมอมหต<br />

โดยไม่เลือกหน้อนทร์หน้พรหม อันที่จรงแล้วนโป เลียน<br />

ตั้งใจจะทให้ซนตโดมงโก เป็นเมืองหลวงของจักร­<br />

วรรดโลกใหม่ของพระองค์ และเป็นท่เรือที่ใช้เข้สู่ที่ดน<br />

อันเป็นกรรมสทธ์ของฝรั่งเศสในลุยเซียน จนกระทั่ง<br />

ไข้เหลืองมดับฝันของพระองค์จนหมดส้น กองทัพของ<br />

พระองค์ไม่สมรถกรบกรต่อต้นของกบฏทสที่<br />

นโดยตูแซงท์ ลูแวร์ตูร์ (Toussaint Louverture) ที่เร่ม<br />

ในปี ค.ศ. 1791 และแม้ว่พระองค์จะส่งกองหนุนไปช่วย<br />

294


แต่พอถึงปี ค.ศ. 1802 กองทัพของพระองค์ก็สูญเสีย<br />

ไพร่พลไปมกกว่ 40,000 คน โดยมีเป็นจนวนมกเลย<br />

ที่เสียชีวตจกไข้เหลือง พวกทหรจใจต้องยอมแพ้และ<br />

ถอนตัวจกเกะดังกล่ว และดับประกยควมฝันของ<br />

นโปเลียนที่จะขยยดนแดนไปสู่โลกใหม่ จนพระองค์<br />

ตัดสนใจขยรัฐลุยเซียนให้กับสหรัฐอเมรกไปในรค<br />

15 ล้นดอลลร์<br />

ไข้เหลืองยังเอชนะฝรั่งเศสในเรื่องควมพยยม<br />

ที่จะสร้งคลองปนมในช่วงปลยครสต์ศตวรรษที ่ 19<br />

อีกด้วย พวกฝรั่งเศสด้นรนอยู่นน 20 ปีก่อนจะเลกล้ม<br />

ควมตั้งใจ และโครงกรก็มสเร็จได้โดยพวกอเมเรกัน<br />

ในปี ค.ศ. 1913 โดยมีผู้เสียชีวตรวมกันมกถึง 28,000<br />

คนและเสียค่ใช้จ่ยไปร่วม 300 ล้นดอลลร์<br />

ไวรัสในอนาคตจะเป็นเช่นไรแน่?<br />

เรรู้แล้วว่ไวรัสอยู่ในทุกหนแห่ง และไวโรสเฟียร์นั้นมี<br />

ควมหลยหลยเป็นอย่งย่ง แน่นอนว่ส่งมีชีวตที่เป็น<br />

รังโรคจะส่งเชื้อโรคชนดใหม่ ๆ มให้มนุษย์เป็นระยะ ๆ<br />

คถมก็คือ เรพร้อมเพียงใด? แต่จะกล่วให้เจะจง<br />

มกขึ้นไปอีกก็คือ เรสมรถที่จะทนย ควบคุม รักษ<br />

295


และป้องกันโรคในมนุษย์ที่เกดจกกรตดเชื้อไวรัสชนด<br />

ใหม่ ๆ ได้เพียงใด? ใน<strong>บทที่</strong> 9 เรได้เห็นไปแล้วว่ กร<br />

ปฏวัตจีโนม (genomic revolution) ส่งผลกระทบต่อวช<br />

วทยไวรัส ทให้เกดวธีกรตรวจวนจฉัยโรคแบบใหม่ๆ ที่<br />

รวดเร็ว ทให้สร้งวัคซีนแบบมุ่งเป้ (targeted vaccines)<br />

และออกแบบยต้นไวรัสได้ ผลลัพธ์ที่ได้ตอนเกดกร<br />

ระบดของโรคซร์สในปี ค.ศ. 2001 แสดงให้เห็นว่<br />

สมรถนเครื่องมือพวกนี้มใช้อย่งมีประสทธภพได้<br />

อย่งไร ทันทีที่มีกรแยกแยะโคโรนไวรัสก่อโรคซร์ส<br />

ออกมได้ ก็มีกรอ่นรหัสจีโนมของมัน และมีกร<br />

เตรียม ชุดตรวจวนจฉัย ทั้งหมดที่ว่มนี้เกดขึ้นในเวล<br />

แค่เพียงไม่กี่เดือน และหกไวรัสนี้รอ่นเผยอใบหน้อัน<br />

แสนอัปลักษณ์ขึ้นมให้เห็นอีกเมื่อใด เรก็พร้อมต่อกร<br />

กับพวกมันด้วยยต้นไวรัสและวัคซีน ยุทธวธีแนว ๆ<br />

เดียวกัน แต่ทในขนดที่ใหญ่กว่มก ได้เกดขึ้นใน<br />

ระหว่งกรระบดใหญ่ทั่วโลกของไข้หวัดหมูในปี ค.ศ.<br />

2009 มีกรอ่นรหัสจีโนม<strong>ของไวรัส</strong>อย่งรวดเร็ว มีกร<br />

นยต้นไวรัสมใช้สหรับกรป้องกันและกรรักษ<br />

และมีกรเตรียมวัคซีนจนสเร็จได้ในเวล 6 เดือน แต่<br />

กระนั้นก็ตม ทั้งซร์สและไข้หวัดหมูก็ได้แพร่กระจย<br />

ไปทั่วไกลเกนกว่จุดตั้งต้นมก ก่อนที่จะมีกรจแนกว่<br />

296


เป็นภัยคุกคม ชี้ให้เห็นว่กรทนยกรระบดจัดเป็น<br />

จุดอ่อนสคัญในห่วงโซ่แห่งกรรับมือนี้ เรื่องนี้ก็แน่นอน<br />

ว่เกดขึ้นเช่นกันกับกรแพร่ระบดของอีโบลในระหว่ง<br />

ปี ค.ศ. 2014–16 ในแอฟรกตะวันตก เมื่อปรกฏอย่ง<br />

ชัดเจนว่ไวรัสชนดนี้แพร่กระจยวนเวียนอยู่ในสัตว์ป่<br />

ท้องถ่น โดยไม่มีใครรู้เลยรว <strong>10</strong> ปีก่อนที ่จะเกดกร<br />

ระบดขึ้น<br />

แม้ว่เรจะรู้ว่ ไวรัสอุบัตใหม่ส่วนใหญ่กระโดด<br />

จกสัตว์มยังมนุษย์ เรก็ยังไม่สมรถทนยได้เลยว่<br />

เมื่อไหร่และที่ไหนที่ภัยคุกคมจกไวรัสชนดใหม่จะ<br />

ปรกฏขึ้นในครั้งต่อไป ในช่วงทศวรรษ 1950 องค์กร<br />

อนมัยโลกตั้งเครือข่ยกรเฝ้ระวังไข้หวัดใหญ่โลกขึ้น ซึ่ง<br />

ครอบคลุมมกกว่ 90 ประเทศ โดยตั้งใจจะให้สมรถ<br />

กหนดจุดที่เกดไข้หวัดใหญ่สยพันธุ์ใหม่ที่อจจะทให้<br />

เกดกรระบดใหญ่ไปทั่วโลกได้ แต่กระทั่งปี ค.ศ. 2009<br />

เมื่อทุกคนให้ควมสนใจพุ่งไปที่ไข้หวัดนก H5N1 ใน<br />

เอเชีย ก็เกดมีไข้หวัดหมู H1N1 ขึ ้นในเม็กซโกโดยไม่มี<br />

ใครสังเกตพบ จึงจะเห็นได้อย่งชัดเจนว่ กรศึกษและ<br />

กรตดตมไวรัสที่มีศักยภพอจจะเป็นภัยคุกคมตั้งแต่<br />

อยู่ในสัตว์ที่เป็นส่งมีชีวตเจ้บ้นในเบื้องต้น ยังคงไม่อจ<br />

ทได้และต้องกรเวลเพ่มอีก เรื่องนี้ถือว่ต้องใช้เวล<br />

297


มกและมีค่ใช้จ่ยสูงจนมีรัฐบลและหน่วยงนเพียงไม่<br />

กี่แห่งพร้อมพอที่จะให้ทุนได้ ณ <strong>ปัจจุบัน</strong> ส่งที่เรควรท<br />

จึงเป็นเรื่องกรมีกลไกกรเฝ้ระวังที่สมรถตรวจพบ<br />

กรระบดที่เพ่งเร่มเกดขึ้นมและสมรถจัดกรตัดตอน<br />

กระบวนกรระบดดังกล่วได้<br />

ในขณะเดียวกันนี้ กรจะไล่ล่ไวรัสที่กลังอุบัตขึ้น<br />

นั้น นักวทยศสตร์ก็กลังค้นหไวรัสที่เป็นต้นเหตุ<br />

ของ ‘โรคกพร้’ 1 อยู่ หนึ่งในจนวนนั ้นได้แก่ โรค CFS<br />

(chronic fatigue syndrome) ที่เคยเรียกว่ ME (myalgia<br />

encephalomyelitis) ซึ่งจัดกันมนนแล้วว่ ค่อนข้งจะ<br />

เป็นชุดอกรที่คลุมเครือ <strong>ปัจจุบัน</strong>นยมกันว่มันเป็น<br />

‘ควมเหนื่อยล้ทงร่งกยและจตใจอย่งหนัก โดยไม่มี<br />

สัญญณทงคลนกอื่นใด และไม่สมรถบรรเทได้ด้วย<br />

กรพักผ่อน และมักเป็นอย่งน้อย 6 เดือนขึ้นไป’ โรค<br />

ดังกล่วส่งผลกระทบกับคนรว 250,000 คนในสหรช­<br />

อณจักร และ<strong>ปัจจุบัน</strong>กระทรวงสธรณสุขสหรช­<br />

อณจักรก็จัดว่ มันเป็นโรคเรื้อรังที่ทให้อ่อนแรงหรือ<br />

1<br />

หมยถึง โรคที่พบได้น้อย คือพบน้อยกว่ 1 ใน 2,500 คนของ<br />

ประชกร มักเป็นโรคที่ยังไม่ค่อยมียรักษ ส่วนควมรุนแรงของ<br />

โรคนั้นจะแตกต่งกันไปแล้วแต่โรคนั้น ๆ—ผู้แปล<br />

298


ร่งกยทรุดโทรม อย่งไรก็ตม สเหตุของโรค CFS<br />

ยังไม่รู้แน่ชัด บงคนก็เชื่อว่มีต้นกเนดจกเรื่องทงจต<br />

ขณะที่บ้งก็ตั้งข้อสังเกตว่อจจะเป็นโรคตดเชื้ออะไรสัก<br />

อย่งหนึ่ง ไวรัสที่มีศักยภพทให้เกดโรคนี้ได้ ได้แก่<br />

เอนเทอโรไวรัส, EBV และเฮอร์พีสไวรัส ที่ต่งก็เป็นโรค<br />

ร้ยแรงระดับเป็นพดหัวหนังสือพมพ์ได้อยู่เป็นช่วง ๆ<br />

แต่เท่ที่รู้กัน ใน<strong>ปัจจุบัน</strong> หลักฐนต่ง ๆ ที่มีอยู่ก็ยังไม่<br />

ค่อยน่เชื่อถือมกนัก<br />

นอกจกเรื่องกรทนยและจแนกกรตดเชื้อ<br />

‘รยใหม่ ๆ’ แล้ว เรยังเชื่อได้ว่จะมีกรค้นพบไวรัส<br />

ต่ง ๆ อย่งรวดเร็วขึ้นในครสต์ศตวรรษที่ 21 ด้วยกร<br />

ใช้เทคนคด้นโมเลกุลสมัยใหม่ เป็นไปได้สูงว่โรคใหม่ๆ<br />

จนวนมก รวมทั้งมะเร็งบงชนดด้วยอจจะเป็นโรคมี<br />

ต้นตอมจกไวรัส ซึ่งจะนไปสู่กรสร้งวัคซีนเพื่อใช้<br />

ป้องกัน รวมไปถึงวธีกรรักษแบบใหม่ ๆ วัคซีนแบบที่<br />

รักษได้ที่ออกแบบให้เข้ไปกระตุ้นภูมคุ้มกันร่งกยที่<br />

ตอบสนองและต่อต้นต่อไวรัสก่อเนื้องอกก็มีอยู่สองสม<br />

ชนดที่เร่มทดสอบในระดับคลนกแล้ว และเนื่องจก<br />

ควมรู้เกี่ยวกับปฏกรยของภูมคุ้มกันก็เพ่มพูนมกขึ้น<br />

กรปรับแต่งกรตอบสนองของภูมคุ้มกันที่สลับซับซ้อน<br />

ก็น่จะเป็นไปได้ ทให้สมดุลเปลี่ยนไปและกจัดเนื้องอก<br />

299


ได้ดีย่งขึ้นไปด้วย สหรับในเรื่องนี้ กรทดลองกรบบัด<br />

ด้วยภูมคุ้มกัน (immunotherapy trials) โดยใช้เครื่องมือ<br />

อย่งหลกหลย ซึ่งก็รวมทั้งแอนตบอดีที่จเพะและ<br />

เซลล์ทีที่มีเซลล์เนื ้องอกที่ตดเชื้อไวรัสเป็นเป้หมย ก็ให้<br />

ผลลัพธ์ที่น่พึงพอใจ ทให้เกดควมหวังที่ว่หกน<br />

เครื่องมือเหล่นี้มใช้ในที่ที่เหมะสม ก็จะทให้ได้วธีกร<br />

รักษที่มีรูปแบบคล้ยคลึงกับที่พบตมธรรมชต ซึ่งอจ<br />

จะนมใช้ทดแทนวธีกรทเคมีบบัดหรือรังสีบบัดที่<br />

ก่อผลข้งเคียงอันไม่น่รื่นรมย์นัก<br />

เรื่องที่น่สนใจก็คือ มีส่งบ่งชี้ว่นอกเหนือไปจก<br />

กรทให้ป่วยเป็นโรคตดเชื้อแบบดั้งเดมแล้ว ไวรัสยัง<br />

อจจะมีบทบทในเรื่องกรเป็นสเหตุของโรคเรื้อรังแบบ<br />

ไม่ตดต่อได้ด้วย เช่น โรคปลอกประสทเสื่อมแข็ง (multiple<br />

sclerosis, MS) ที่เป็นโรคเกี่ยวกับระบบประสท<br />

เสื่อมสภพ ซึ่งปกตแล้วมักจะส่งผลกระทบกับวัยรุ่นหรือ<br />

คนอยุไม่มก โดยมีควมเชื่อมโยงกับกรตดเชื้อ EBV<br />

เป็นเบื้องต้น เนื่องจกวทยกรระบด (epidemiology)<br />

ของ MS และไข้ต่อมอักเสบที่มีสเหตุจก EBV มี<br />

รูปแบบคล้ยคลึงกัน โรคทั้งสองดังกล่วพบได้บ่อยที่สุด<br />

ในกลุ่มคนมีฐนะทงเศรษฐกจและสังคมดีในประเทศ<br />

ที่มั่งคั่ง โดย MS จะพบได้บ่อยกว่อย่งมีนัยสคัญใน<br />

300


พวกที่เป็นไข้ต่อมอักเสบ และมีหลักฐนมกขึ้นเรื่อย ๆ<br />

ว่ มีควมเกี่ยวข้องกันโดยตรงระหว่ง EBV กับ MS<br />

อีกตัวอย่งหนึ่งได้แก่ กรณีของไซโตเมกะโลไวรัส<br />

(cytomegalovirus, CMV) ในกลุ ่มเฮอร์พีสไวรัส ซึ่งพบ<br />

กรตดเชื้อแบบแฝงตัวในประชกรรว 50 เปอร์เซ็นต์ใน<br />

ประเทศพัฒนแล้ว ซึ ่งเชื ่อมโยงกับโรคเส้นเลือดเลี ้ยงหัวใจ<br />

(coronary heart disease) พบไวรัสดังกล่วได้ในแผ่นครบ<br />

สะสม (atheromatous plaques) ในหลอดเลือดหัวใจของ<br />

ผู้ตดเชื้อ ซึ่งทให้เกดกรอักเสบแบบเรื้อรัง และอจมี<br />

ส่วนทให้เกดกรอุดตันกรไหลของเลือดในเวลต่อม<br />

จนสมรถส่งผลให้หัวใจวยได้ในที่สุด แน่นอนว่ควม<br />

เกี่ยวข้องอันชวนให้ประหลดใจเหล่นี้จะได้รับกรสืบสวน<br />

สอบสวนกันต่อไป คล้ยกับในกรณีของมะเร็งที่เรได้<br />

พจรณกันไปแล้ว แม้ว่ตัวไวรัสเองอจจะเกี่ยวข้อง โดย<br />

เป็นแค่เพียงตัวเชื่อมโยงตัวเดียวในสยโซ่ของเหตุกรณ์<br />

ซึ่งนไปสู่กรเป็นโรค แต่กรกจัดมันออกไปได้ก็จะช่วย<br />

ป้องกันไม่ให้เป็นโรคได้ ในช่วงศตวรรษนี้ เรสมรถมอง<br />

ไกลไปข้งหน้เกี่ยวกับภัยคุกคมที่เกดจกฝีมือมนุษย์<br />

ในกรณีของฉกทัศน์แบบเลวร้ยที่สุดที่อจส่งผลกระทบ<br />

ได้จกกรต้องรับมือกรตดเชื ้อจกไวรัส แนวคดกรใช้<br />

จุลชีพเป็นอวุธทลยล้งชีวตจนวนมกไม่ใช่เรื่องใหม่<br />

301


และแม้จะมีข้อเท็จจรงในเรื่องของพธีสรเจนีว (Geneva<br />

Protocol) ในปี ค.ศ. 1925 ที ่ห้มไม่ให้ผลตเชื้อเพื่อกรนี้<br />

แต่ก็ไม่ได้หยุดยั้งหลย ๆ ประเทศที่ยังคงเดนหน้โครงกร<br />

พัฒนและทดสอบอย่งกว้งขวงเพื่อหเชื้อทงเลือกที่<br />

เหมะที่สุดที่จะใช้เพื่อกรนี้ แม้จะมีอนุสัญญอวุธชีวพษ<br />

ทงชีววทย (Biological Toxic Weapons Convention)<br />

ออกมในปี ค.ศ. 1975 แต่ก็ล้มเหลวที่จะหยุดยั้งกจกรรม<br />

ทนองนี้ให้หมดไปได้อย่งส้นเชง เนื่องจกกรเตรียม<br />

เชื้อเหล่นี้ถือได้ว่มีค่ใช้จ่ยที่ถูกและเตรียมได้ง่ย โดย<br />

แอบทในโรงงนที่แอบอ้งว่เป็นโรงงนผลตวัคซีนได้<br />

จึงมีควมกังวลใจว่จะมีกรผลตจุลชีพชนดร้ยแรงโดย<br />

กลุ่มผู้ก่อกรร้ย กรจะตรวจสอบกรปล่อยเชื้อเหล่นี้<br />

ให้ทันเวล เพื่อป้องกันไม่ให้เกดหยนะเต็มรูปแบบ<br />

ถือเป็นเรื่องยก เพระพวกมันทั้งมองไม่เห็นด้วยต<br />

ปรศจกกล่นหรือรส และบ่อยครั้งทีเดียวที่อยู่ในรูปที่<br />

คงตัวสูง ออกฤทธ์ได้ดีแม้ในปรมณเพียงน้อยนด และ<br />

ขนส่งได้ง่ยผ่นเส้นเขตแดนนนชตโดยตรวจไม่พบ<br />

เชื้อพวกนี้มีศักยภพที่จะนมใช้โจมตีแบบมุ่งเป้ได้<br />

และยังประยุกต์ใช้แบบกว้งขวงที่จะส่งผลกับประชกร<br />

เป็นจนวนมกได้อีกด้วย กรออกฤทธ์ที่ล่ช้ออกไป<br />

ทให้พวกผู้ก่อกรร้ยมีเวลเพียงพอจะหลบหนี มีไวรัส<br />

302


หลยชนดที่อยู่ในบัญชีรยชื่อที่มีศักยภพเป็นภัยคุกคม<br />

ได้ โดยมีไวรัสอีโบลและไข้ทรพษเป็นสองชนดที่ร้ยแรง<br />

ที่สุด ส่วนไวรัสอื่น ๆ เช่น โรตไวรัสก็อจนมใช้ทให้<br />

ประชกรอ่อนล้ส้นกลัง เพระทให้เกดอกรท้องร่วง<br />

และอเจียน แม้ว่วธีกรนี้จะทให้ประชกรอ่อนแอ แต่<br />

ก็น่จะอยู่ในวสัยที่รักษได้<br />

ภัยคุกคมจกไวรัสที่มนุษย์สร้งขึ้นไม่ได้จกัดอยู่<br />

แค่กับกรใช้เป็นอวุธทลยล้งมวลชน (weapons of<br />

mass destruction) เท่นั้น แต่ยังรวมไปถึงกรกระตุ้นให้<br />

เกดเชื้อไวรัสก่อโรคโดยไม่เจตน เช่น กรปลูกถ่ยอวัยวะ<br />

จกส่งมีชีวตต่งสปีชีส์ (xenotranslplantaion) ดังเช่นกร<br />

ใช้อวัยวะจกสัตว์อย่งหมู มทดแทนอวัยวะที่เสื่อมสภพ<br />

ในมนุษย์ ที่แม้จะเป็นวธีกรที่ดูสมเหตุสมผลในกรเอ<br />

ชนะปัญหเรื่องควรยชื่อที่ยวเหยียดในบัญชีผู้รอเปลี่ยน<br />

อวัยวะ แต่เรก็ยังรู ้น้อยมกเกี่ยวกับไวรัสในสัตว์ต่ง ๆ<br />

เหล่นี้ และเรก็รู้เกี่ยวกับไวรัสของหมูน้อยเกนกว่จะ<br />

บอกได้ว่ เรโทรไวรัสใดของพวกมันที ่จะตดต่อมยังคนได้<br />

เชื้อที่หลุดจกห้องปฏบัตกรก็เป็นประเด็นน่ห่วง<br />

แม้ว่เรื่องเช่นนี้โดยหลัก ๆ แล้วก็ไม่ต่งอะไรเป็นฝันร้ย<br />

แต่ไวรัสที่หลุดออกมโดยไม่คดหมยก็ไม่ใช่เรื่องที่ไม่<br />

เคยเกดขึ้น ดังกรณีตัวอย่ง<strong>ของไวรัส</strong>ไข้หวัดใหญ่ที่หลุด<br />

303


ออกจกห้องปฏบัตกรที่รัสเซีย และทให้เกดกรระบด<br />

ใหญ่ไปทั่วโลกในปี ค.ศ. 1977 (ดู<strong>บทที่</strong> 4) และที่น่ทึ่ง<br />

ที่สุดก็คือ กรณีตดเชื้อท้ย ๆ ของไข้ทรพษนั้นเกดขึ้นเมื่อ<br />

ไวรัสหลุดรอดออกจกห้องปฏบัตกรจุลชีววทยในมห­<br />

วทยลัยเบอร์มงแฮม สหรชอณจักร ในปี ค.ศ. 1978<br />

กรที่<strong>ปัจจุบัน</strong>นี้ในห้องปฏบัตกรมีกรนไวรัสหลยชนด<br />

มใช้เป็นพหะสหรับนยีนแปลกปลอมเข้สู่ร่งกย<br />

จึงต้องมีมตรกรด้นควมปลอดภัยอย่งเข้มงวดในขณะ<br />

ที่ทงนหรือจัดกรเกี่ยวกับวัตถุเหล่นี้ มีกรนไวรัสที่<br />

ผ่นกรดัดแปลงพันธุกรรม (genetically manipulated<br />

viruses) มใช้นส่งวัคซีนหรือไม่ก็แก้ไขควมผดปกตของ<br />

ยีนอีกด้วย ในกรทดลองยีนบบัด (gene therapy) ระยะ<br />

แรก ๆ นั้น หยนะเกดขึ้นเมื่อเรโทรไวรัสที่ใช้เป็นพหะ<br />

ในกรส่งยีนในกรรักษเข้ไปสู่ร่งกยเด็กที่เป็นโรค<br />

ภูมคุ้มกันบกพร่องที่ตดเชื้อโดยถ่ยทอดพันธุกรรมม<br />

จกพ่อแม่ได้กระตุ้นให้เกดโรคมะเร็งเม็ด เลือดขวใน<br />

ผู้ป่วยเด็ก 2 คนจกทั้งหมด <strong>10</strong> คน อันเนื่องมจก<br />

กรแทรกตัวของ DNA ของเรโทรไวรัสเข้ไปในสร<br />

พันธุกรรมของเด็กในตแหน่งใกล้กับโปรโต-อองโคยีนชื่อ<br />

LMO2 แม้ว่จะสมรถรักษโรคมะเร็งเม็ดเลือดขว<br />

ในเด็ก ๆ เหล่นี้ได้สเร็จก็ตม อุบัตกรณ์นี้ก็ทให้เกด<br />

304


กรชะงักงันของกรประยุกต์ใช้เทคนคกรดัดแปลงสร<br />

พันธุ กรรมในทงคลนก<br />

<strong>ปัจจุบัน</strong>นี้ เรอยู่ในยุคที่น่ตื่นเต้นจกกรเกด<br />

ควมก้วหน้ทงเทคโนโลยีอย่งรวดเร็ว จนดูคล้ยกับ<br />

กรเกดกรปฏวัตอุตสหกรรมในอังกฤษช่วงครสต์<br />

ศตวรรษที่ 19 แน่นอนว่เรื่องนี้จะต้องนไปสู่กรปรับ­<br />

ปรุงกรรักษทงกรแพทย์ครั้งใหญ่ แต่เรต้องมั ่นใจว่<br />

ควมกระตือรือร้นของเรจะไม่มีมกเกนไปกว่ควม<br />

สมรถของเรที่จะพัฒนก้วต่อไปอย่งปลอดภัย<br />

ควมก้วหน้ด้นกรรักษบบัดโรคจะต้องอศัยข้อมูล<br />

จกงนวจัยพื้นฐน ที่จะจุดไฟแห่งองค์ควมรู้ทให้เร<br />

สมรถเข้ใจกลไกและวถีแห่งโรคได้<br />

เรควรจะตระหนักถึงคเตือนของนักวทยไวรัส<br />

อวุโส จอร์จ ไคลน์ (George Kelin) ที่ว่<br />

แม้แต่ไวรัสที่โง่เง่าที่สุดก็ยังฉลาดมากกว่านัก<br />

วิทยาไวรัสที่ฉลาดที่สุด<br />

305

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!