สารบัญ และคำนำ ในหนังสือ 'เมื่อใดจึงเป็นชาติไทย'
สารบัญ และคำนำ ในหนังสือ 'เมื่อใดจึงเป็นชาติไทย' บรรณาธิการโดย ฐนพงศ์ ลือขจรชัย และ พิพัฒน์ พสุธารชาติ
สารบัญ และคำนำ ในหนังสือ 'เมื่อใดจึงเป็นชาติไทย' บรรณาธิการโดย ฐนพงศ์ ลือขจรชัย และ พิพัฒน์ พสุธารชาติ
- TAGS
- nationalism
- state
- nation
- thailand
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
<strong>สารบัญ</strong><br />
บทนำา เมื่อใดจึงเป็น(รัฐ)ชาติไทย?: เมื่อตาบอดวิ่งหารัฐชาติไทย 7<br />
ฐนพงศ์ ลือขจรชัย<br />
เมื่อ(รัฐ)ชาติไทยไม่ใช่ “ช้าง” ที่คลำาได้ (ต่อให้ตาใสก็เถอะ) 39<br />
ธงชัย วินิจจะกูล<br />
กิตติกรรมประกาศ 43<br />
บทที่ 1 เมืองไทยยุคใหม่: สัมพันธภาพระหว่างรัฐกับประวัติศาสตร์สำานึก 45<br />
สมเกียรติ วันทะนะ<br />
บทที่ 2 แนวความคิดชาติบ้านเมือง: กำาเนิด พัฒนาการ และอำานาจการเมือง 101<br />
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์<br />
บทที่ 3 แนวคิดสาธารณรัฐนิยมในประวัติศาสตร์ไทย 143<br />
แพทริค โจรี<br />
หมายเหตุเรื่องแนวคิดสาธารณรัฐนิยมกับความรักชาติ 177<br />
พิพัฒน์ พสุธารชาติ และฐนพงศ์ ลือขจรชัย<br />
บทที่ 4 การอ่านประวัติศาสตร์ “ไทย” ผ่านกรอบคิดเรื่อง “ชาติพันธุ์”<br />
ในห้วงยามที่ตัวแบบความเป็น “ไทย” ในกรอบวิธีคิดชาตินิยมซึ่งมีอายุเก่าแก่<br />
กว่าศตวรรษกำาลังเสื่อมถอยโรยรา<br />
เดวิด สเตร็คฟัส<br />
187
บทที่ 5 คนเอเชียในบังคับต่างประเทศกับการสร้างความเป็นพลเมืองของสยามสมัยใหม่ 233<br />
ศิวศิลป์ จุ้ยเจริญ<br />
บทที่ 6 ชาติไทยของสยามเหนือชาวปัตตานีมลายูในศตวรรษที่ 19 259<br />
ฐนพงศ์ ลือขจรชัย<br />
บทที่ 7 จาก “มลายูปาตานี” สู่ “มุสลิม”: ภาพหลอนแห่งอัตลักษณ์ทางชาติพันธุ์<br />
ในภาคใต้ของไทย<br />
แพรทริค โจรี<br />
277<br />
บทที่ 8 การสร้างรัฐประชาชาติไทยกับการต่อสู้ด้วยอาวุธของชาวนาอีสาน:<br />
กรณีบ้านนาบัว จังหวัดนครพนม 295<br />
สมชัย ภัทรธนานันท์<br />
บทที่ 9 ปัญหาการปรับใช้ทฤษฎีชาติในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ภาคพื้นทวีป 325<br />
ฐนพงศ์ ลือขจรชัย<br />
ประวัติการตีพิมพ์บทความ 348
บทนำ<br />
เมื่อใดจึงเป็น(รัฐ)ชำติไทย?:<br />
เมื่อตำบอดวิ่งหำรัฐชำติไทย<br />
ฐนพงศ์ ลือขจรชัย 1<br />
1. บทนำ 2<br />
การศึกษาการเกิดขึ้นของรัฐชาติไทยอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มคือ 1. กลุ่ม<br />
ที่เชื่อว่ารัฐชาติเกิดในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 2. กลุ่มที่เชื่อว่ารัฐชาติไทยเกิดขึ้นหลัง<br />
อภิวัฒน์สยาม ค.ศ. 1932 (พ.ศ.2475) เป็นอย่างน้อย โดยกลุ่มแรกมองว่าการปฏิรูปใน<br />
ช่วงศตวรรษที่ 19 ที่ได้สร้างการปกครองในรูปแบบรัฐสมัยใหม่ที่มีประชากร ดินแดน<br />
รัฐบาล และอธิปไตย ประกอบกับมีการใช้แนวคิดเรื่อง “ชาติไทย” ในการสร้างความ<br />
ชอบธรรมแก่รัฐและผู้ปกครองสะท้อนให้เห็นว่า “รัฐชาติไทย” ได้เกิดขึ้นแล้ว ส่วน<br />
กลุ่มที่ 2 มองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 คือการเกิดขึ้นของรัฐสมัยใหม่หรือ<br />
รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute state) เท่านั้น โดยแนวคิดเรื่อง “ชาติ” ยังไม่ได้<br />
สมานเข้ากับรัฐ อีกทั้งรัฐสยามในเวลานั้นยังไม่มีประสิทธิภาพและเทคโนโลยีมาก<br />
พอในการบูรณาการประชาชนให้มีสำานึกเรื่องชาติ กว่าแนวคิดเรื่องชาติจะมีอิทธิพล<br />
หรือรัฐชาติไทยได้กำาเนิดขึ้นก็ต้องหลังอภิวัฒน์สยาม ค.ศ. 1932 เป็นอย่างน้อย<br />
1<br />
นักศึกษาระดับปริญญาเอก สาขาประวัติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<br />
2<br />
ผู้เขียนเลือกที่จะเขียนคำาว่า “รัฐชาติ” ในภาษาไทยโดยไม่มี - (hyphen) เพราะในภาษาไทยไม่มี<br />
hyphen แต่เจตนาของผู้เขียนแล้ว nation กับ state ต้องมี - เสมอ กล่าวคือต้องเป็น nation-state<br />
ดังนั้นในบทความของผู้เขียน รัฐชาติ = nation-state—สำาหรับประเด็นเรื่อง hyphen ดูเพิ่มเติม<br />
Marco Antonsich, On territory, the nation-state and the crisis of the hyphen, Progress<br />
in Human Geography (2009), Volume: 33 issue: 6, page(s): 789–806.<br />
7
ข้อถกเถียงนี้ได้ดำาเนินมาในสังคมไทยเป็นเวลาอย่างน้อย 50 ปี โดยอาจเริ่ม<br />
นับตั้งแต่บทความของ เกษม ศิริสัมพันธ์ และนิออน สนิทวงศ์ “แนวพระราชดำาริ<br />
ทางการเมืองในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” ใน ค.ศ. 1967 3 ที่เสนอ<br />
ว่าไทยเป็นรัฐชาติเมื่อมีการปฏิรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 5 (เริ่มเมื ่อ ค.ศ.<br />
1892) ข้อเสนอนี้ถูกแย้งโดยนักรัฐศาสตร์จำานวนมาก (ซึ่งจะกล่าวถึงต่อไป) จนถึง<br />
ปัจจุบันก็ไม่มีข้อยุติและดูจะยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้น การถกเถียงเรื่องรัฐชาติไทย<br />
ได้ขยายวงกว้างไปยังนักวิชาการหลากหลายสาขาวิชา (discipline) ทั้งประวัติศาสตร์<br />
รัฐศาสตร์ สังคมวิทยา มนุษยศาสตร์ สหวิทยาการ หรือแม้แต่นิติศาสตร์ในบางแง่มุม<br />
ยังไม่รวมถึงนักเขียนอิสระอีกเป็นจำานวนมาก ทำาให้ข้อถกเถียงทวีความซับซ้อนและ<br />
เกือบจะกลายเป็นการวิเคราะห์วิพากษ์ เพื่อโจมตีอีกฝ่ายตามอำาเภอใจ (arbitrary)<br />
รวมทั้งยังมีแนวโน้มที่จะสร้างวิวาทะแบบเหมารวม (stereotype) และบนพื้นฐาน<br />
(fundamental) ที่แตกต่างตั้งแต่ในระดับ นิยามศัพท์ การใช้ทฤษฎี กรอบการศึกษา<br />
การให้เหตุผล จนทำาให้การวิวาทะในเรื่องนี้มีความยุ่งเหยิง (messy) อย่างมาก<br />
บทความชิ้นนี้พยายามจะจัดกลุ่มและแยกแยะ (classify) ข้อเสนอ กรอบวิธีใน<br />
การศึกษา ทฤษฎี และเกณฑ์ในการให้เหตุผลของนักวิชาการแต่ละท่านว่าเหตุใด<br />
ท่านนั้น ๆ จึงระบุว่า “รัฐชาติไทย” เกิดหรือยังไม่เกิดในช่วงเวลาต่าง ๆ ในประวัติศาสตร์<br />
ทั้งนี้ ผู้เขียนมุ่งสำารวจ “รัฐชาติไทย” (Thai nation-state) ไม่ใช่ “ชาติไทย” (Thai<br />
nation) ซึ่งทั้งสองคำานี้มีความคาบเกี ่ยวกันอยู่แต่สามารถแยกจากกันได้ โดยจะ<br />
อภิปรายต่อไป<br />
อนึ่ง นักวิชาการหลายท่านมีงานเขียนหลายชิ้นและหลายท่านก็ไม่ได้ระบุหรือ<br />
ศึกษารัฐชาติไทยโดยตรง ผู้เขียนจึงต้องขอถือวิสาสะในการเลือกบทความ หนังสือ<br />
หรือบทสัมภาษณ์ของนักวิชาการท่านนั้น ๆ ในการจัดประเภทการศึกษา เนื่องจาก<br />
ในแต่ละงานของนักวิชาการท่านเดียวกันอาจมีข้อเสนอที่ขัดกันหรือมีความชัดเจนไม่<br />
เท่ากัน ผู้เขียนจะพยายามเลือกงานที่มีการระบุข้อเสนอเรื่องรัฐชาติไทยที่ชัดเจนที่สุด<br />
ในการจัดกลุ่มการศึกษาเรื่องรัฐชาติไทยเพื่อเป็นข้อแนะนำา (guideline) สำาหรับผู้ที่<br />
สนใจศึกษาเรื่อง “รัฐชาติไทย” ต่อไป<br />
3<br />
เกษม ศิริสัมพันธ์ และนิออน สนิทวงศ์, “แนวพระราชดำาริทางการเมืองในพระบาทสมเด็จพระ<br />
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” สังคมศาสตร์ปริทัศน์ , ปีที่ 5 ฉบับที่ 3 (ธันวาคม 2510 ถึง กุมภาพันธ์ 2511).<br />
8
2. ปัญหำกำรศึกษำ “รัฐชำติไทย”<br />
ก่อนจะเข้าการจัดกลุ่มนักวิชาการในการศึกษาเรื่องรัฐชาติไทย ผู้เขียนจำาเป็น<br />
ต้องระบุปัญหาในการศึกษาเรื่องรัฐชาติไทยก่อน โดยปัญหาในการศึกษาเรื่องรัฐชาติ<br />
ไทยอาจแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มในเชิงกรอบการวิเคราะห์คือ 1. กลุ่มที่แบ่งระหว่าง<br />
รัฐจารีตกับรัฐชาติ (nation-state) และ 2. กลุ่มที่แบ่งระหว่าง “รัฐ” “ชาติ” และ<br />
“รัฐชาติ”<br />
1. กลุ่มที่แบ่งระหว่างรัฐจารีตกับรัฐชาติ มองว่ารัฐไทยก่อนศตวรรษที่ 19 เป็น<br />
รัฐจารีตที่ไม่มีอาณาเขตแน่นอน ไม่มีการรวมศูนย์อำานาจ มีประชากรหลากหลาย<br />
ชาติพันธุ์ และไม่มีแนวคิดเรื่องอำานาจอธิปไตยจนเมื่อการเข้ามาของชาวตะวันตก<br />
โดยเฉพาะเมื่ออังกฤษกับฝรั่งเศสได้ยึดรัฐโดยรอบของสยามเป็นอาณานิคมทำาให้<br />
สยามได้ปฏิรูปตัวเองให้กลายเป็นรัฐสมัยใหม่หรือรัฐชาติไทยในช่วงศตวรรษที ่ 19–<br />
ต้นศตวรรษที ่ 20 โดยเป็นรัฐชาติแบบใดและด้วยเกณฑ์ใดยังมีความเห็นในราย<br />
ละเอียดที่ต่างกันออกไปในแต่ละท่าน<br />
ส่วน 2. กลุ่มที่แบ่งระหว่าง “รัฐ” “ชาติ” และ “รัฐชาติ” กลุ่มนี้เห็นด้วยกับ<br />
กลุ่มที่ 1 ที่มองว่ารัฐก่อนศตวรรษที่ 19 เป็นรัฐจารีตหรือรัฐก่อนสมัยใหม่ (premodern<br />
state) และการปฏิรูปของสยามในสมัยรัชกาลที่ 5 ได้ทำาให้สยามกลายเป็น<br />
รัฐสมัยใหม่ (modern state) แต่รัฐสมัยใหม่ที่เกิดขึ้นไม่ใช่ “รัฐชาติ” หรือ “รัฐ<br />
ประชาชาติ” เพราะแม้ในสมัยรัชกาลที่ 5 จะปรากฏแนวคิดเรื่อง “ชาติไทย” แล้ว<br />
แต่ประชาชนส่วนใหญ่ภายในรัฐยังไม่เคยนิยามหรือคิดว่าตัวเองเป็น “คนไทย” หรือ<br />
ยังไม่เคยนิยามตนเองด้วยแนวคิดเรื่อง “ชาติไทย” โดยกลุ่มนี ้เห็นว่า “รัฐชาติไทย”<br />
เกิดขึ้นหลังการอภิวัฒน์สยาม ค.ศ. 1932 เป็นอย่างน้อย<br />
จากการแบ่งแยกทั้งสองกลุ่มข้างต้น นำามาสู่ปัญหาประการต่อมาคือ นิยาม<br />
คำาว่า “ชาติ” และ “รัฐชาติ” ของทั้งสองกลุ่มเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ผู้เขียนคง<br />
ไม่อาจลงรายละเอียดในนิยามของนักวิชาการแต่ละท่าน (และส่วนมากก็ไม่ได้ให้<br />
นิยามไว้) จึงขอทำาการสรุปอย่างกว้างจากการตีความของผู้เขียนเอง<br />
กลุ่มที่ 1 น่าจะใช้นิยามของคำาว่า “ชาติ” ตามความหมายทั่วไปในภาษาไทย<br />
ปัจจุบัน ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 ได้ให้นิยามไว้ว่า “ชาติ<br />
[ชาด, ชาดติ] น. ประเทศ; ประชาชนที่เป็นพลเมืองของประเทศ กลุ่มชนที่มีความ<br />
รู้สึกในเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา ภาษา ประวัติศาสตร์ ความเป็นมา ขนบธรรมเนียม<br />
9
ประเพณี และวัฒนธรรมอย่างเดียวกัน หรืออยู่ในปกครองรัฐบาลเดียวกัน” 4 จะเห็น<br />
ได้ว่าในนิยาม “ชาติ” ในภาษาไทยมีความหมายซ้อนกับรัฐชาติ กล่าวคือ “ชาติ” มี<br />
ความหมายเท่ากับ “ประเทศ” และเป็นประเทศที่มีประชาชนเป็นพลเมืองที่มีความ<br />
รู้สึกอย่างน้อยในเรื่อง “เชื้อชาติ” ร่วมกัน กล่าวคือ “ชาติ” ในความหมายของกลุ่มนี้<br />
จึงไม่ต่างจาก “รัฐชาติ”<br />
นอกจากนี้ “รัฐชาติ” ในกลุ่มนี้ไม่ต้องการประชาชนคือไม่ต้องเป็น “ประชา<br />
ชาติ” ก็ได้ เพราะมองว่าแนวคิดเรื่องชาติไทยถูกให้นิยามโดยชนชั้นสูงมาตลอด ดังที่<br />
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ให้เหตุผลว่า เพราะ “ชาติไทยจึงไม่เคยสร้างโดยราษฎรเอง<br />
เลย” 5 ดังนั้น ชาติไทยจึงเป็นสิ่งที่ชนชั้นสูงคิดและอาจมีความหมายหรืออดีตที่แปลก<br />
แตกต่างออกไปได้ เมื่อชาติที่ชนชั้นสูงคิดได้เข้าสู่กระบวนการปฏิรูปในช่วงศตวรรษ<br />
ที่ 19 ทำาให้สยามกลายเป็นรัฐสมัยใหม่ ประกอบกับการนำาแนวคิดเรื่อง “ชาติไทย”<br />
มาใช้ในการสร้างความชอบธรรมเหนือรัฐสมัยใหม่นี้ “รัฐชาติไทย” จึงเกิดขึ้นในช่วง<br />
ศตวรรษที่ 19–ต้นศตวรรษที่ 20<br />
ส่วนในกลุ่มที่ 2 มักใช้นิยามของ “รัฐ” “ชาติ” และ “รัฐชาติ” ตามความหมาย<br />
ของโลกวิชาการภาษาอังกฤษ 6 ดังนี้ “รัฐ” หมายถึงชุมชนทางการเมืองที่ถูกสร้างขึ้น<br />
โดยประชาชนในดินแดนภายใต้รัฐบาลหนึ่ง “ชาติ” หมายถึงกลุ่มคนที่อาศัยอยู่บน<br />
ดินแดนที่ถูกกำาหนด ซึ่งมีการแสดงออกทางการเมืองในด้านอัตลักษณ์ร่วม 7 และ<br />
รัฐชาติ หมายถึง รัฐที่คนส่วนมากมีวัฒนธรรมและสำานึกร่วม หรือหมายถึงเขตแดน<br />
4<br />
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน,<br />
2542), อ้างคำาว่า “ชาติ” และ “ชาติพันธุ์” .<br />
5<br />
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, ‘เก่งกิจ-ธเนศ’ ถกหนังสือ ‘แผนที่สร้างชาติ: รัฐประชาชาติกับการทำาแผนที่<br />
หมู่บ้านไทยในยุคสงครามเย็น’—https://prachatai.com/journal/2018/04/76515 (สืบค้นเมื่อ 20<br />
ตุลาคม พ.ศ. 2562)<br />
6<br />
ดูเพิ่มเติม บทสุดท้าย<strong>ในหนังสือ</strong>เล่มนี้ ‘ปัญหาการปรับใช้ทฤษฎีชาติในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้<br />
ภาคพื้นทวีป’<br />
7<br />
nation = ‘A people inhabiting a defined territory which seeks political expression of<br />
its shared identity, usually through a claim to statehood’ และ state = ‘A political<br />
community formed by a territorially-defined population which is subject to one government’,<br />
see Rod Hague and Martin Harrop, Comparative Government and Politics<br />
(Basingstoke, United Kingdom: Palgrave Macmillan, 1998), 6–8.<br />
10
ในอุดมคติทางวัฒนธรรมที่สอดคล้องกับหน่วยทาง การเมือง 8 แน่นอนว่านิยามทั ้งสาม<br />
เป็นเพียงนิยามอย่างง่ายเพื่อให้เข้าใจความแตกต่างของคำาทั้งสาม กล่าวคือ รัฐเป็น<br />
สิ่งที่แสดง ออกมาในทางรูปธรรม ส่วนชาติมักถูกอธิบายในทางนามธรรมหรืออัตวิสัย<br />
และรัฐชาติคือการทำาให้ชาติที่เป็นนามธรรมปรากฏตัวบนรัฐที่เป็นรูปธรรม<br />
ดังนั้น “ชาติ” กับ “รัฐชาติ” จึงมีความหมายที่แตกต่างกัน “รัฐ” และ “ชาติ”<br />
จึงสามารถศึกษาแยกออกจากกันได้ โดย “รัฐ” สามารถมองอย่างกว้างได้เป็นรัฐ<br />
ก่อนสมัยใหม่และรัฐสมัยใหม่ โดยรัฐสมัยใหม่ไม่จำาเป็นต้องเป็น “รัฐชาติ” ก็ได้<br />
ยิ่งไปกว่านั้น “รัฐชาติ” ในความหมายของตะวันตกยังเป็น “รัฐประชาชาติ” ที่<br />
ประชาชนหรือมวลชน (mass) ภายในดินแดนต้องนิยามตนเองด้วย “ชาติ” เช่น<br />
รักชาติยิ่งชีพ ยอมตายเพื่อชาติ ต้องปกป้องเอกราชของชาติไว้ เป็นต้น รัฐชาติจึง<br />
ขาดอารมณ์ความรู้สึกที่มีต่อชาติของประชาชนไปไม่ได้9<br />
จะเห็นได้ว่าความแตกต่างของทั้งสองกลุ่มนี้คือ นิยามคำาว่า “ชาติ” กลุ่มแรก<br />
ไม่ได้แยกชาติออกจากรัฐอย่างชัดเจน โดยคำาว่า “ชาติ” และ “รัฐชาติ” รวมทั้ง<br />
“รัฐประชาชาติ” มีความหมายไม่ได้แตกต่างกันอย่างมีนัยสำาคัญ โดยเฉพาะเมื ่อมอง<br />
ชาติโดยไม่ต้องการประชาชน กล่าวคือเป็นชาติแบบ “บนลงล่าง” (top down)<br />
รัฐชาติจึงเกิดได้เมื่อชนชั้นนำามีการนำาแนวคิดเรื่องชาติมาใช้ กล่าวคือในช่วงศตวรรษ<br />
ที่ 19 เป็นต้นมา<br />
ส่วนกลุ่มที่ 2 มองว่ารัฐชาติจะเกิดเมื่อประชาชนนิยามตัวเองเป็น “ชาติ<br />
เดียวกัน” ไม่ว่าแนวคิดเรื่องชาตินั้นจะเป็นแบบ “บนลงล่าง” หรือร่วมกันจินตนาการ<br />
ขึ้นมา 10 หัวใจสำาคัญคือการนิยามตนเองด้วย “ชาติ” รัฐชาติจึงเป็นกระบวนการ<br />
8<br />
A nation-state is a state in which the great majority shares the same culture and is<br />
conscious of it. The nation-state is an ideal in which cultural boundaries match up<br />
with political ones—รัฐชาติมีผู้ให้นิยามไว้จำานวนมาก แต่มีนัยร่วมกันคือการมองว่า รัฐชาติเป็น<br />
เขตแดนหรือดินแดนทางวัฒนธรรมหนึ่ง ๆ<br />
9<br />
อ่านเพิ่มเติม พิพัฒน์ พสุธารชาติ (บรรณาธิการ), เมื่อใดจึงเป็นชาติ (กรุงเทพฯ: Illuminations<br />
Editions, 2562).—ไม่ว่าจะเป็น วอคเกอร์ คอนเนอร์ (Walker Connor) แอนโทนี ดี. สมิธ<br />
(Anthony D. Smith) หรือจอห์น เบรยยี่ (John Breuilly) ก็มองว่าชาติต้องเป็นของมวลชน แต่<br />
จะอย่างไร แค่ไหน เมื่อไหร่ ยังเป็นข้อถกเถียงที่ยังไม่ยุติ<br />
10<br />
อ่านเพิ่มเติม เบน แอนเดอร์สัน, ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำาเนิดและการแพร่ขยาย<br />
ของชาตินิยม, บรรณาธิการแปลโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (2552; ฉบับพิมพ์ซำ้า, กรุงเทพฯ: มูลนิธิ<br />
โครงการตำาราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2557).<br />
11
(process) ที่รัฐต้องดำาเนินการด้วยวิธีต่าง ๆ นานาเพื่อให้ประชาชนนิยามตนเองและ<br />
เกิดความรักชาติขึ้นมา ซึ่งกระบวนการนี้อาจเป็นกระบวนการที่อาจไม่มีที่สิ้นสุดก็ได้<br />
แต่อย่างน้อยการจะเรียกว่า “รัฐชาติ” ได้ก็ต้องมีประชาชนจำานวนมากนิยามตนเอง<br />
เป็นพวกเดียวกันและยึดโยงกับชาติด้วย ซึ่งยังไม่เกิดในช่วงศตวรรษที่ 19 เพราะใน<br />
ช่วงเวลาดังกล่าวเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของกระบวนการ “บูรณาการชาติ” (nation<br />
integration) อันยาวนาน (และอาจไม่มีที่สิ้นสุด)<br />
3. เมื่อใดจึงเป็น (รัฐ)ชำติไทย<br />
แนวคิดเรื่องการเกิดขึ้นของ “รัฐชาติไทย” เราแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ ๆ<br />
คือ 1. กลุ่มที่เชื่อว่ารัฐชาติไทยเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 และ 2. กลุ่มที่เชื่อว่า<br />
รัฐชาติไทยเกิดขึ้นหลังอภิวัฒน์สยาม ค.ศ. 1932 เป็นอย่างน้อย ดังที่ได้นำาเสนอไว้<br />
ข้างต้น อย่างไรก็ดี นักวิชาการแต่ละท่านในทั้งสองกลุ่มได้ใช้วิธีการ กรอบการศึกษา<br />
และเหตุผลที่ไม่เหมือนกัน ซึ่งจะอภิปรายดังต่อไปนี้<br />
3.1 กลุ่มที่เชื่อว่ำรัฐชำติไทยเกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19<br />
1. เกษม ศิริสัมพันธ์ และนิออน สนิทวงศ์ ได้วางรากฐานแนวคิดเรื่องการ<br />
เกิดขึ้นของรัฐชาติไทยในช่วงศตวรรษที่ 19 อย่างสำาคัญว่า ในช่วงศตวรรษที่ 19<br />
การปฏิรูปที่สำาคัญมีลักษณะเป็นการต่อสู้เพื่อรวมศูนย์อำานาจไว้ที่สถาบันกษัตริย์เพื่อ<br />
ต่อสู้กับภัยคุกคามจากตะวันตก ทางหนึ่งคือการที่ “คนรุ่นใหม่” ในหมู่ชนชั้นนำาไทย<br />
ได้ “ปรับปรุงสังคมไทยตามคตินิยมตะวันตก” เพื่อรวมศูนย์อำานาจ 11 อีกทางคือการ<br />
ปลดปล่อยให้ “ไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน” มีอิสระ โดยการเลิกระบบไพร่และทาส เพราะ<br />
“เป็นการเปลี่ยนแปลงสภาพของคนไทยทั้งประเทศให้พ้นจากสถานะไพร่มาเป็น<br />
พลเมืองที่สมบูรณ์” 12 ยิ่งไปกว่านั้น “การเปลี่ยนแปลงทางสังคมจะต้องริเริ่มและ<br />
ดำาเนินการจากเบื้องบนมาสู่เบื้องล่าง หาใช่การต่อสู้เพื่อเรียกร้องสิทธิและความเป็น<br />
11<br />
เกษม ศิริสัมพันธ์ และนิออน สนิทวงศ์, “แนวพระราชดำาริทางการเมืองในพระบาทสมเด็จพระ<br />
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว” สังคมศาสตร์ปริทัศน์, อ้างแล้ว, น. 29<br />
12<br />
เพิ่งอ้าง, น. 32<br />
12
อิสระจากเบื้องล่างไปสู่เบื้องบนเช่นในยุโรปไม่” กษัตริย์จะต้องทรงแสดงบทบาทผู้นำา<br />
การเปลี่ยนแปลงมาสู่ชาติบ้านเมือง 13<br />
เกษมและนิออน สรุปว่า “ผลสำาเร็จประการสำาคัญของการปฏิรูปการปกครอง<br />
ในช่วงศตวรรษที่ 19 คือ การสร้างรัฐประชาชาติ (national-state) ขึ้นได้ ประเทศไทย<br />
กลายมาเป็นรัฐเดี่ยว… ผลสำาคัญของการก่อตั้งรัฐประชาชาติ ก็คือการรวมอำานาจ<br />
การปกครองไว้ที่ส่วนกลาง” 14 จะเห็นได้ว่า เกษมและนิออนมองว่า การรวมอำานาจ<br />
การปกครองไว้ที่ศูนย์กลาง (centralization) และการยกเลิกระบบไพร่และทาส ได้<br />
ทำาให้ประชาชนกลายมาเป็นพลเมือง (citizen) และได้สร้างรัฐเดี่ยวขึ้นมาได้ ผลลัพธ์<br />
คือการเกิดขึ้นของ “รัฐชาติไทย” ในช่วงศตวรรษที่ 19<br />
2. สุเนตร ชุตินธรานนท์ และรัตนพร พวงพัฒน์ ได้กล่าวว่ารัฐจารีตในภูมิภาค<br />
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นเป็นลักษณะมณฑล (mandala) ที่รัฐต่าง ๆ ไม่มีความคิด<br />
เรื่องเส้นแบ่งพรมแดนรัฐที่แบ่งรัฐหนึ่งออกจากอีกรัฐหนึ่งอย่างตายตัว ประกอบกับ<br />
แนวคิดเรื่อง “จักรพรรดิราช” หรือราชาธิราชทำาให้กษัตริย์ “มีแนวความคิดเรื่องตัวตน<br />
ในเชิงเขตแดนพื้นที่หรือภูมิภาคว่าไม่มีการแบ่งแยกหากแต่เป็นปริมณฑลหนึ่งเดียว<br />
ของพระองค์เอง” 15 แต่เมื่อมหาอำานาจตะวันตกได้เข้ามายังภูมิภาคนี้ อังกฤษและ<br />
ฝรั่งเศสได้ขอให้ราชสำานักไทยกำาหนดเส้นพรมแดน (borderline) ทำาให้ราชธานีที่<br />
กรุงเทพฯ จำาเป็นต้องอ้างสิทธิ์เหนือดินแดนต่าง ๆ ที่เจ้าผู้ครองรัฐหรือเมืองขึ้นเคยอยู่<br />
ภายใต้มณฑลทางอำานาจของรัฐตน ด้วยเหตุนี้จึงเริ่มเกิดรัฐไทยที่มีขอบเขตแยกกับ<br />
รัฐเพื่อนบ้านและทำาให้กษัตริย์ยุติการแสดงพระองค์เป็นเจ้าจักรพรรดิราชไปโดย<br />
ปริยาย 16 ด้วยเหตุนี้ “…รัฐไทยใหม่ อันเป็นรัฐที่เกิดขึ้นจากการรวบรวมเอาดินแดน<br />
ที่แตกต่างทางเชื้อชาติ ภาษา และวัฒนธรรมเข้าไว้ในปริมณฑลรัฐชาติเดียว” ทั้งนี้<br />
เพราะแนวคิดในเรื่องรัฐชาติ (national state) รัฐจึงต้องสถาปนาความเป็นเอกภาพ<br />
ทางสังคมของประชากรของสยามรัฐขึ้น 17<br />
ในแง่นี้ สุเนตรและรัตนพร ได้มองว่ารัฐชาติไทยได้เกิดขึ้นแล้วเมื่อรัฐไทยได้มี<br />
13<br />
เพิ่งอ้าง, น. 33–34<br />
14<br />
เพิ่งอ้าง, น. 35<br />
15<br />
สุเนตร ชุตินธรานนท์ และรัตนพร พวงพัฒน์, “อุษาคเนย์: พลวัตการรับรู้จากอดีตถึงปัจจุบัน”, ใน<br />
สุเนตร ชุตินธรานนท์ และคณะ, ชาตินิยมในแบบเรียนไทย, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2552), น. 13–14<br />
16<br />
เพิ่งอ้าง, น. 20–21<br />
17<br />
เพิ่งอ้าง, น. 21<br />
13
ขอบเขตแบ่งแยกกับรัฐเพื่อนบ้านอย่างชัดเจน ประกอบกับเมื่อมีการใช้แนวคิดเรื่อง<br />
รัฐชาติมาแทนที่จักรพรรดิราชทำาให้ต้องสถาปนาเอกภาพทางสังคมของประชาชน<br />
ภายในรัฐที่มีขอบเขตชัดเจน “รัฐชาติไทย” จึงได้เกิดขึ้นแล้วในช่วงศตวรรษที่ 19<br />
3. ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ ได้แสดงทัศนะเรื่อง “รัฐชาติไทย” ไว้ในการวิจารณ์<br />
หนังสือแผนที่สร้างชาติฯ ของเก่งกิจ กิติเรียงลาภ ว่า ในกรณีของสยามได้เกิดการ<br />
ปะทะกันของแผนที่แบบจารีต (แผนที่การเดินทัพหรือการค้า) กับแผนที่แบบใหม่<br />
(แผนที่แบบในปัจจุบัน) ในช่วงรัชกาลที่ 4–5 และจบลงด้วยชัยชนะของแผนที่แบบ<br />
ใหม่และการสร้างรัฐรวมศูนย์ ทำาให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า “state-mind หรือความคิดที่มี<br />
รัฐแบบใหม่อยู่ในหัว ไม่ใช่เขาพระสุเมรุอีกต่อไป” โดยแผนที่แบบใหม่นี้ไม่ได้เป็น<br />
เครื่องมือของรัฐฝ่ายเดียว แต่มันได้สร้างผลต่อประชาชนให้เกิดความรู้สึกชาตินิยม<br />
ต่อต้านเจ้าอาณานิคมและการเสียดินแดนด้วย 18 แม้จะกล่าวว่าการสร้างรัฐชาติเป็น<br />
“กระบวนการ” แต่ก็เป็นกระบวนการที่เกิดคู่ขนานระหว่าง “การสร้างรัฐที่เป็นกลไก<br />
ในการปกครองทั้งหลายกับการเกิดชาติที่เป็นจินตกรรมร่วมกันของคนจำานวนมาก<br />
ภายในรัฐหรือประเทศนั้น ๆ” การปฏิรูปในช่วงศตวรรษที่ 19 จึงเป็นการสร้างระบบ<br />
และกลไกของรัฐใหม่ที่ได้สร้างระบบการศึกษา เช่น โรงเรียนก็มีแต่ของหลวงสำาหรับ<br />
ลูกคนมีฐานะ รวมถึงจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เป็นต้น ซึ่งการปฏิรูปแบบนี้เองที่<br />
“จะนำาไปสู่การเกิดชาติในความคิดของราษฎร” ทั้งนี้ “ชาติไทย” ไม่ว่าจะเป็น การที่<br />
รัชกาลที่ 6 ทรงปลุกความรักชาติ หรือ กรมพระยาดำารงราชานุภาพทรงสร้างคำา<br />
บรรยายประวัติศาสตร์ชาติไทย ก็เป็นการ “สร้างจากบนลงล่าง เป็นจินตนาการของ<br />
ชนชั้นนำา มากกว่าเป็นความรับรู้ในความเป็นมาของชาติตนที่เป็นของราษฎรจริง ๆ”<br />
หรือต่อมาในยุคจอมพล ป. พิบูลสงคราม จะพยายามสร้างชาติของราษฎร ก็ต้อง<br />
“ไปยืมพล๊อตเรื่องประวัติศาสตร์สุโขทัยจาก ร.๖ และกรมฯดำารง มาใช้ใหม่…ชาติ<br />
ไทยจึงไม่เคยสร้างโดยราษฎรเองเลย” 19<br />
แม้ธเนศจะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า “รัฐชาติไทย” เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษ<br />
ที่ 19 หรือไม่ แต่ธเนศมองว่า กระบวนการสร้าง “ชาติไทย” เป็นกระบวนการสร้าง<br />
จากบนลงล่าง แม้แต่ในยุคภายหลังอภิวัฒน์สยาม ค.ศ. 1932 ก็ยังได้ใช้แนวคิดเรื่อง<br />
18<br />
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, “‘เก่งกิจ-ธเนศ’ ถกหนังสือ ‘แผนที่สร้างชาติ: รัฐประชาชาติกับการทำา<br />
แผนที่หมู่บ้านไทยในยุคสงครามเย็น’”, อ้างแล้ว<br />
19<br />
เพิ่งอ้าง.<br />
14
ชาติไทยจากรัชกาลที่ 6 หรือสมเด็จกรมพระยาดำารงราชานุภาพ ดังนั้น ผู้เขียนจึง<br />
ตีความว่า ธเนศน่าจะมองว่า “รัฐชาติไทย” ต้องเกิดก่อน ค.ศ. 1932 เพราะชาติไทย<br />
ในยุค ค.ศ. 1932 ไม่ได้ต่างจากยุคก่อน โดยธเนศได้เคยให้ทัศนะต่องานของสมเด็จ<br />
กรมพระยาดำารงราชานุภาพไว้ว่า “ทรงกระทำาน่าจะคล้าย ๆ กับที่นักวิชาการตะวันตก<br />
ได้ทำาและกำาลังทำาอยู่ในบรรดารัฐอาณานิคมทั้งหลาย” ในการเขียน “ประวัติศาสตร์<br />
นิพนธ์สมัยใหม่ที่กำาลังก่อตั้งรัฐชาติและสถาบันที่รองรับการดำารงอยู่ของมัน” 20<br />
4. ธงชัย วินิจจะกูล ไม่ได้เสนอเรื่องการเกิด “รัฐชาติไทย” ไว้<strong>ในหนังสือ</strong><br />
“กำาเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ” 21 เพียงแต่นำาเสนอว่า<br />
รูปร่างของรัฐหรือภูมิกายาที่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้ถูกนำามาใช้เป็นอุปลักษณ์<br />
(metaphor) ของ “ชาติไทย” แต่ในงาน “โฉมหน้าราชาชาตินิยม” และ “ออกนอก<br />
ขนบประวัติศาสตร์ไทย” ในส่วนที่ได้โต้เถียงกับข้อเสนอของ นครินทร์ เมฆไตรรัตน์<br />
(โปรดดูข้อ 3.2) ได้สรุปไว้ค่อนข้างชัดเจนว่า คำาว่า “ชาติ” มีนิยามและความหมาย<br />
ที่เคลื่อนไปตามยุคสมัย โดยชาติในศตวรรษที่ 19 หมายถึง “สังคมการเมือง (political<br />
community) หนึ่ง ๆ โดยไม่จำาเป็นต้องเป็นชุมชนการเมืองของคนที่มีศาสนา<br />
หรือชาติพันธุ์ตามกำ าเนิดเดียวกัน” 22 และชาติในประวัติศาสตร์ไทยกลับมีประวัติมาจาก<br />
รัฐจักรวรรดิก่อนสมัยใหม่ที่ปรับตัวสู่สมัยใหม่ในแบบอาณานิคม “เป็นชุมชนจินตกรรม<br />
ที่มีประชาชนสูงตำ่าสามัคคีกันภายใต้ร่มบารมีของกษัตริย์” 23 กล่าวคือ ชาติในสังคม<br />
สยามที่มีจุดร่วมคือรัฐของพระราชา (ราชาชาตินิยม) ไม่ใช่ชาติที่ปัจเจกชนที่มีความ<br />
สัมพันธ์กันในแนวราบ (horizontal) ซึ่งก็คือ “ราชาชาตินิยม” หรือชาตินิยมภายใต้<br />
กษัตริย์24<br />
ธงชัยยอมรับว่ารัฐสมัยใหม่เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 จากการปะทะกับ<br />
ตะวันตก และแม้ธงชัยไม่ได้ระบุว่ารัฐชาติเกิดขึ้นเมื่อใด แต่จากนิยามว่าชาติคือ<br />
20<br />
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, “ประวัติศาสตร์สอนอะไร”—https://www.the101.world/thanet72-<br />
speech/ (สืบค้นเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562)<br />
21<br />
ธงชัย วินิจจะกูล, กำาเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ, แปลโดย พวงทอง<br />
ภวัครพันธุ์, ไอดา อรุณวงศ์ และพงษ์เลิศ พงษ์วนานต์ (กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ ร่วมกับ<br />
สำานักพิมพ์อ่าน, 2556), น. 110<br />
22<br />
ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), น. 91<br />
23<br />
ธงชัย วินิจจะกูล, โฉมหน้าราชาชาตินิยม (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2559), น.(15)–(16)<br />
24<br />
เพิ่งอ้าง, น. (16)<br />
15
สังคมการเมืองและเป็นจินตกรรมที่ประชาชนอยู่ภายใต้ร่มบารมีของกษัตริย์ แสดง<br />
ว่า “ชาติไทย” เกิดขึ้นก่อนช่วงศตวรรษที่ 19 แต่เคลื่อนที่มาปะทะกับแนวคิดของ<br />
ตะวันตก ชาติจึงได้ปรับตัวเองเข้าสู่รัฐสมัยใหม่หรืออาจเรียกว่า “ภาวะสมัยใหม่แบบ<br />
อาณานิคม” (colonial modernity) 25 “รัฐชาติไทย” จึงได้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19<br />
5. ไชยันต์ รัชชกูล กล่าวอย่างชัดเจนว่า สยาม “กลายเป็นรัฐ-ชาติ เมื่อต้น<br />
ทศวรรษ 1900” โดยก่อนหน้าสยามไม่ใช่หน่วยทางการเมืองที่มีเอกภาพ ไม่มีการ<br />
จัดตั้งองค์กรทางการเมืองเป็นหนึ่งเดียว 26 โดยรัฐรูปแบบใหม่ของสยามได้ก่อตัวขึ้นจาก<br />
องค์ประกอบ 2 ประการคือ 1. การผนวกดินแดน และ 2. การรวมศูนย์การปกครอง<br />
ซึ่งเป็นผลทางการเมืองที่เกิดขึ้นโดยทันทีจากการต่อสู้ทางการคลังเรื่องการเก็บภาษี27<br />
ต่อจากนั้นก็ทำา “การปลูกฝังครอบงำาโลกทัศน์แผ่ขยายอำานาจของกรุงเทพฯ” หรือ<br />
“ลัทธิอาณานิคมภายใน” ผ่านระบบมณฑลที่เชื่อมกรุงเทพฯ เข้ากับภูมิภาคและเมือง<br />
ต่าง ๆ ซึ่งแท้จริงแล้วก็คือ “กระบวนการครอบงำาและการรวมศูนย์อำานาจ” 28<br />
ไชยันต์ เสนอต่อไปว่า สยามได้เปลี่ยนผ่านสู่ “ระบบทุนนิยมรอบนอก” ที่ชาวนา<br />
ได้กลายมาเป็น “คนในบังคับ” (subjects) ใต้กฎหมายของสยาม ไม่ใช่ทาสหรือแรงงาน<br />
ภายใต้บังคับของนายอีกต่อไป ทำาให้มีสถานะเสมือนพลเมือง รวมทั้งระบบยุติธรรม<br />
หรือระบบบริหารราชการอื่น ๆ ได้ถูกส่งจากส่วนกลางออกไปทำาให้ “บุคคลได้มีสัมพันธ์<br />
โดยตรงกับอำานาจอธิปไตยของรัฐ” อันเป็นองค์ประกอบสำาคัญของรัฐชาติ29<br />
6. ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี ได้เสนอว่า ในปลายศตวรรษที่ 19 รัฐไทยได้เริ่มใช้<br />
เอกสารเพื่อจำาแนก ควบคุมและสร้างความรู้เกี่ยวกับประชาชน พร้อม ๆ กับ “การ<br />
พยายามของรัฐสยามในการสร้างความหมายของความเป็นชาติ และความเป็น<br />
พลเมือง” เมื่อรัฐสยามรับเอาแนวคิดเรื่อง “เชื้อชาติ” และเลือกใช้คำาที่แสดงความเป็น<br />
“ชาติพันธุ์ไทย” เพื่อผนวกชาติพันธุ์ให้รวมเป็นชุมชนชาติเดียวกันภายใต้อัตลักษณ์<br />
ไทย “จึงนำาไปสู่การลากเส้นแบ่งว่าด้วยเชื้อชาติของประชาชนเป็นครั้งแรกโดยชนชั้น<br />
25<br />
เพิ่งอ้าง, น. (15)<br />
26<br />
ไชยันต์ รัชชกูล, อาณานิคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การก่อรูปรัฐไทยสมัยใหม่จากศักดินานิยมสู่<br />
ทุนนิยมรอบนอก, แปลโดย พงษ์เลิศ พงษ์วนานต์, (กรุงเทพฯ: อ่าน, 2560), น. 6<br />
27<br />
เพิ่งอ้าง, น. 115<br />
28<br />
เพิ่งอ้าง, น. 118–128<br />
29<br />
เพิ่งอ้าง, น. 167–168<br />
16
นำาไทยในสมัยนั้น” 30 ทั้งนี้ กำาเนิดการสร้างชาติในกรณีของไทย ไม่ได้เกิดจากความ<br />
เป็นชาติและพลเมืองเพื่อโต้ตอบอาณานิคมตะวันตกเพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจาก<br />
“ความต้องการทางเศรษฐกิจของคนนอกบังคับ และเพื่อปกป้องทรัพยากรของประเทศ<br />
มิให้ต้องตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มิใช่คนในบังคับได้” 31<br />
จะเห็นได้ว่าปิ่นแก้วมองว่า ในช่วงศตวรรษที่ 19 ได้มีการ “ลากเส้นแบ่งว่าด้วย<br />
เชื้อชาติของประชาชนเป็นครั้งแรก” กล่าวคือได้มีการขีดเส้นแบ่งแบบ “รัฐชาติไทย”<br />
เกิดขึ้นแล้ว ทั้งนี้ ปิ่นแก้วเห็นว่า “การสร้างโครงสร้างของอัตลักษณ์ปัจเจกบุคคล<br />
โดยรัฐเป็นกระบวนการที่วางอยู่บนข้ออ้างของรัฐชาติ ในการนิยามสิทธิและโอกาส<br />
ของปัจเจกบุคคล… ในแง่นี้จึงเป็นการผูกร่างของปัจเจกบุคคลเข้ากับร่างของชาติ” 32<br />
ดังนั้น ชาติจึงเป็นเรื่องของรัฐชาติที่จะบังคับประชาชนภายในรัฐให้กลายเป็นชาติ<br />
เดียวกันผ่านเอกสารที่ระบุอัตลักษณ์ต่าง ๆ เช่น บัตรประชาชน สำามะโนประชากร<br />
(census) ทะเบียนบ้าน เป็นต้น ที่ลดอัตลักษณ์ของปัจเจกชนที่มีหลากหลายให้เหลือ<br />
เพียงเป็นคนสัญชาติใด<br />
7. จักรกริช สังขมณี ได้เสนอว่า ชายแดนของรัฐไม่ได้เป็นเพียง “เขต” แดน<br />
ของรัฐ แต่ยังทำาหน้าที่เป็น “ขันธ์” ที่สร้างความเป็นปึกแผ่น มั่นคง และ “ตัวตน<br />
ของความเป็นชาติ” โดยเฉพาะเมื่อประชาชนต้องการจะก้าวข้ามผ่านเส้นเขตแดน<br />
ของรัฐชาติ33 กระบวนการสร้างชาติภายใต้อาณาเขตของรัฐชาติสมัยใหม่ เป็นความ<br />
พยายามรวบรวมเอาผู้คนที่มีลักษณะของความหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน พร้อม ๆ<br />
กับแบ่งแยกผู้คนเหล่านั้นที่อาจมีลักษณะร่วมทางวัฒนธรรมและระบบนิเวศบาง<br />
ประการออกจากกันด้วย 34<br />
จักรกริชได้กล่าวต่อไปว่า “กรณีของไทยอาจกล่าวได้ว่าเขตแดนรัฐ-ชาติสมัย<br />
ใหม่เป็นผลมาจากยุคสมัยอาณานิคม” กล่าวคือ จักรกริชมองว่ารัฐชาติไทยได้เกิด<br />
ขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19 จากการที่รัฐได้สร้าง “เขต” และ “ขันธ์” ขึ้นผ่านการปะทะ<br />
30<br />
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, อัตลักษณ์เอกสาร วงศาวิทยาการควบคุมประชากรของรัฐไทย (เชียงใหม่:<br />
ศูนย์บริหารงานวิจัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2561), น. 52–53<br />
31<br />
เพิ่งอ้าง, น. 56<br />
32<br />
เพิ่งอ้าง, น. 22<br />
33<br />
จักรกริช สังขมณี, Limology ชายแดนศึกษากับเขต-ขันธ์วิทยาของพื้นที่ใน/ระหว่าง (กรุงเทพฯ:<br />
ศยาม, 2561), น. 73–74<br />
34<br />
เพิ่งอ้าง, น. 87<br />
17
กับอาณานิคมตะวันตก โดยรัฐได้แบ่งแยกคนที่อาจมีลักษณะร่วมกันออกจากกัน<br />
และในทางกลับกันก็ได้รวมคนที่อาจมีความหลากหลายเข้าไว้ด้วยกัน ซึ่งสิ่งนี้ได้สร้าง<br />
เขตของรัฐและขันธ์ของชาติขึ้น ทำาให้ “รัฐชาติไทย” ได้เกิดขึ้นในช่วงศตวรรษที่ 19<br />
นอกจากนี้ ยังมีนักวิชาการอีกหลายท่านที่เห็นว่า “รัฐชาติไทย” เกิดในช่วง<br />
ศตวรรษที่ 19 เช่น นฤมิต หิญชีระนันทน์ ได้เสนอว่า “รัฐชาติไทย” เกิดขึ้นอย่าง<br />
น้อยใน ค.ศ. 1905 เนื่องจากไทยได้รับรองนอร์เวย์ (Norway) ที่ได้ประกาศเอกราช<br />
จากสวีเดน (Sweden) 35 มอริซิโอ เพเลจจี (Maurizio Peleggi) ได้ศึกษาการบริโภค<br />
ภายในของชนชั้นนำาสยามในการสร้างภาพความอารยะ (civilize) ว่าเป็นการเปลี่ยน<br />
“ชาวนาให้กลายเป็นชาวสยาม” (peasant into Siamese) 36 โนบุระ อิชิกาวะ (Noboru<br />
Ishikawa) ศึกษาผู้คนตามชายแดนในการปรับตัวเองเข้าสู่รัฐสมัยใหม่ของสยาม โดย<br />
สรุปว่า แท้จริงแล้วมาตรการและกฎเกณฑ์ที่รัฐสมัยใหม่ใช้ในบริเวณพื้นที่ชายแดน<br />
ก็เพียงเพื่อประทับตราให้คนและสินค้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐ และสิ่งนี้เองที่เป็นส่วน<br />
หนึ่งของกระบวนการสร้างขอบเขตและอำานาจอธิปไตยของรัฐขึ้นมา 37 เป็นต้น<br />
3.2 กลุ่มที่เชื่อว่ำรัฐชำติไทยเกิดขึ้นหลังอภิวัฒน์สยำม พ.ศ. 2475 เป็นอย่ำงน้อย<br />
1. สมเกียรติ วันทะนะ ได้เสนอว่า “ผลของการปฏิรูปในช่วงศตวรรษที่ 19<br />
มิได้สร้างรัฐประชาชาติขึ้นมาโดยอัตโนมัติ แต่เป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ (Absolutist<br />
State) มากกว่า ข้าพเจ้าเองเคยเสนอว่าจะเรียกรัฐไทยว่าเป็นรัฐประชาชาติได้อย่าง<br />
สมความหมายก็ต่อเมื่อถึงต้นพุทธศตวรรษที่ 26 นี้เองด้วยซำ้า” 38 โดยสมเกียรติ<br />
35<br />
การเสวนาหัวข้อ “รัฐ” กับการศึกษารัฐไทย ตั้งข้อสังเกตต่อแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ รวม<br />
ทั้งการศึกษาเกี่ยวกับ “รัฐไทย” โดยเป็นการเสวนาวิชาการชุด “สะท้อนย้อนคิดสังคมศาสตร์ ศาสตร์<br />
สังคม” ครั้งที่ 1 ตอน “รัฐ” กับการศึกษารัฐไทย วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้องประชุมสีฟ้า<br />
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์—“ช่วงอภิปรายถาม-ตอบ | “รัฐ” กับการ<br />
ศึกษารัฐไทย [4] จบ” (นาทีที่ 28–36)—https://www.youtube.com/watch?v=G_w5o0xZm<br />
G8&t=1987s (สืบค้นเมื่อ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2562)<br />
36<br />
Maurizio Peleggi, Lords of Things: The Fashioning of the Siamese Monarchy’s Modern<br />
Image (Hawaii, USA: University of Hawaii Press, 2002), p. 9<br />
37<br />
Noboru Ishikawa. Between frontiers: nation and identity in a Southeast Asian borderland<br />
(Athens: Ohio University Press, 2010).<br />
38<br />
สมเกียรติ วันทะนะ, “เมืองไทยยุคใหม่ สัมพันธภาพระหว่างรัฐกับประวัติศาสตร์สำานึก”, ใน<br />
อยู่เมืองไทย: รวมบทความทางสังคมการเมืองเพื่อเป็นเกียรติแด่ ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก ใน<br />
18
ได้เสนอว่าจริง ๆ แนวทางวิเคราะห์ของทั้งผู้ที่มองว่า “รัฐชาติไทย” เกิดขึ้นในช่วง<br />
ศตวรรษที่ 19 หรือหลัง ค.ศ. 1932 ไม่ใช่ว่าไปด้วยกันไม่ได้อย่างสิ้นเชิง แต่เป็นการ<br />
ที่กลุ่มแรกเน้นดู “จุดก่อตัว” และกลุ่มที่ 2 มักดู “จุดอยู่ตัว” ซึ่งจุดเน้นที่ต่างกันนี้<br />
ในทางทฤษฎีแล้วสามารถประนีประนอมกันได้ เพราะรัฐชาติไม่ใช่สิ่งที่สำาเร็จในชั่ว<br />
ข้ามคืน แต่เป็นกระบวนการ (process) ที่กินเวลายาวนานหลายสิบปีขึ้นไป 39<br />
อย่างไรก็ดี สมเกียรติยำ ้าต่อไปว่า การประนีประนอมเช่นนี้ก็มีขีดจำ ากัดเหมือนกัน<br />
เนื่องจากกฎเกณฑ์ของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ย่อมไม่อาจปล่อยให้องค์ประกอบ<br />
ของรัฐชาติเติบโตได้อย่างเต็มที่ “เพราะสัมพันธภาพทางอำานาจของรัฐประชาชาติ<br />
นั้นในที่สุดแล้วต้องเบียดขับและทำาลายสัมพันธภาพทางอำานาจแบบรัฐสมบูรณาญา<br />
สิทธิ์โดยปริยาย” 40 ในแง่นี้ สมเกียรติรับได้ว่าแนวคิดเรื่อง “ชาติไทย” ได้ก่อตัวขึ้น<br />
ในช่วงศตวรรษที่ 19 แล้ว แต่ในศตวรรษที่ 19 สยามยังไม่ใช่ “รัฐชาติ” อย่างแน่นอน<br />
แต่เป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์มากกว่า โดยแนวคิดรัฐชาติและรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์นั้น<br />
ไปด้วยกันไม่ได้ เพราะเป็นแนวคิดที่มีความขัดแย้งและพร้อมจะทำาลายกันเอง การ<br />
จะเรียกรัฐไทยว่า “รัฐชาติ” ได้ อย่างน้อยก็ต้องหลัง ค.ศ. 1932 เป็นต้นมา<br />
2. นครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ได้เสนอว่า แนวความคิดเรื่อง “ชาติ” (Chat) ใน<br />
อุดมการณ์ทางการเมืองของชนชั้นนำาในสมัยรัชกาลที่ 5 มีความแตกต่างจากแนวคิด<br />
“ชาติ” (Nation) ในลัทธิชาตินิยมแบบตะวันตก กล่าวคือ “ชาติ” ของชนชั้นนำาสยาม<br />
จะถูกอธิบายในกรอบความคิดทางการเมืองแบบ Royal Absolutism ซึ่งนครินทร์<br />
เรียกว่า “แนวคิดแบบรักชาติบ้านเมือง” โดยในกรอบแนวความคิดนี้จะอธิบาย<br />
“ชาติ” ว่า “ประกอบไปด้วยกลุ่มคนที่มีความแตกต่างกันในทางสถานะ ภูมิหลัง<br />
ภาษา วัฒนธรรม หน้าที่ที่มีต่อสังคม ฯลฯ แต่ก็ผูกพันกันได้เพราะว่ามีประมุข คือ<br />
พระมหา กษัตริย์ร่วมกัน เรื่องนี้มีความแตกต่างจากชาติ nation ในความหมายของ<br />
ทางตะวันตกในทางตรงข้ามที่เน้นว่า ชาติ คือประชาชนที่มีความเป็นหนึ่งเดียวกัน” 41<br />
ดังนั้น แม้จะใช้คำาว่า “ชาติ” เหมือนกัน แต่ในศตวรรษที่ 19 “ชาติ” ที่ปรากฏอยู่ไม่ได้<br />
โอกาสอายุครบ 60 ปี, บรรณาธิการโดย สมบัติ จันทรวงศ์และ ชัยวัฒน์ สถาอานันท์ (กรุงเทพฯ:<br />
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2530), น. 75<br />
39<br />
เพิ่งอ้าง.<br />
40<br />
เพิ่งอ้าง, น. 75–76<br />
41<br />
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, “แนวคิดชาติบ้านเมือง: กำาเนิด พัฒนาการ และอำานาจการเมือง,” วารสาร<br />
ธรรมศาสตร์ ปีที่ 27 ฉ. 2 (มิถุนายน 2549): 10<br />
19
มีความหมายตรงกับ nation<br />
สำาหรับนครินทร์ “ความคิดทางการเมืองในแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กับ<br />
ความคิดทางการเมืองตามลัทธิความรักชาติบ้านเมืองนั้น เป็นสิ่งที ่ดำาเนินควบคู่ไป<br />
พร้อม ๆ กันได้ มิได้มีความขัดแย้งต่อกันแต่ประการใด” 42 อย่างไรก็ดี ในขณะที่ชาติ<br />
แบบ “รักชาติบ้านเมือง” เล่นบทนำาอยู่ “ชาติ” ในกระแสรองที่หมายถึง “ประชาชน<br />
หรือราษฎร” ก็ได้ก่อตัวขึ้นตั้งแต่ช่วงปลายศตวรรษที่19 เช่นกัน “ชาติ” กระแสรองนี้<br />
ได้ต่อสู้และผลักดันจนเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ค.ศ. 1932 ขึ้น 43 “รัฐชาติ<br />
ไทย” ในความหมายที่ตรงกับ nation-state จึงเกิดใน ค.ศ. 1932 แต่ก็สูญเสียพลัง<br />
และกลับไปใช้ในความหมายเดิมภายใต้การปฏิวัติของจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ เมื่อ<br />
วันที่ 20 ตุลาคม ค.ศ. 1958 “นับว่ามีผลสำาคัญอย่างยิ่งในการทำาให้ “วันชาติที่แปล<br />
ว่าประชาชน” สิ้นสุดลงไป และวันชาติที่เน้นอุดมการณ์ชาติศาสนา พระมหากษัตริย์<br />
ได้รับการรื้อฟื้นขึ้นอย่างเป็นทางการและเป็นกิจจะลักษณะ” วันที่ 24 มิถุนายนของ<br />
ทุกปีจึงไม่ได้เป็นวันหยุดราชการของไทย 44<br />
3. เบเนดิกต์ แอนเดอร์สัน (Benedict Anderson) ได้พูดถึงกรณีของ “สยาม”<br />
ไว้<strong>ในหนังสือ</strong> “ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำาเนิดและการแพร่ขยายของ<br />
ชาตินิยม” ว่า “พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวของสยาม…ไม่ได้มีความ<br />
พยายามหนักแน่นใด ๆ ที่จะผลักดันลัทธิชาตินิยมทางการผ่านระบบการศึกษาสมัยใหม่ ”<br />
แต่พระองค์ได้นำาพาความทันสมัยมาสู่สยาม โดยตัวแบบของพระองค์ไม่ใช่อังกฤษหรือ<br />
ฝรั่งเศส แต่เป็น “รัฐราชการ” (bureaucratic state) ที่ได้ต้นแบบจากอาณานิคมอินเดีย<br />
ตะวันออกของดัตช์ อาณานิคมมลายูและอินเดีย (Raj) ของอังกฤษ การปฏิรูปใน<br />
สมัยรัชกาลที่ 5 แสดงให้เห็นว่าพระองค์ต้องการให้เป็นระบบและดึงอำานาจเข้าสู่<br />
ศูนย์กลางสลายบรรดารัฐประเทศราชตามชายขอบและหน่วยทางการเมืองที่มีอำานาจ<br />
กึ่งอิสระตามประเพณีลง และต้องการส่งเสริมเศรษฐกิจในลักษณะรัฐอาณานิคม 45<br />
แอนเดอร์สันเสนอต่อไปว่า นักชาตินิยมคนแรกของสยาม คือ พระบาท สมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู ่หัว โดยพระองค์ได้มุ่งเป้าลัทธิชาตินิยมไปที่กลุ่มคนจีน เพราะ<br />
42<br />
เพิ่งอ้าง, น. 18<br />
43<br />
เพิ่งอ้าง, น. 23<br />
44<br />
เพิ่งอ้าง, น. 28<br />
45<br />
เบน แอนเดอร์สัน, ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำาเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม,<br />
อ้างแล้ว, น. 133–134.<br />
20
ชาวจีนถูกมองว่าเป็นหัวหอกขบวนการสาธารณรัฐที่คุกคามการดำารงอยู่ของสถาบัน<br />
กษัตริย์อย่างรุนแรง ซึ่งเบนสรุปว่า นี่คือลักษณะเด่นของลัทธิชาตินิยมแบบทางการ<br />
(official nationalism) ที่เบียดขับกลุ่มคุกคามให้หลุดพ้นไปจากจินตกรรมแบบประชา<br />
ชาติ (emerging nationally-imagined community) 46 ซึ่งกว่าแนวคิดชาตินิยมทางการ<br />
จะแพร่กระจายไปยังประชาชนทั่วไปก็ยังคงต้องใช้เวลาอีกพอสมควร กล่าวคือ แม้<br />
แอนเดอร์สันจะไม่ได้ยืนยันว่า “รัฐชาติไทย” เกิดขึ้นตอนไหน แต่ไม่ได้เกิดขึ้นในช่วง<br />
ปลายศตวรรษที่ 19 หรือต้นศตวรรษที่ 20 อย่างแน่นอน 47<br />
4. กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ได้เสนอ<strong>ในหนังสือ</strong> “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์”<br />
ว่า รัฐไทยที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่ 19 เป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolutist state)<br />
ที่พัฒนาขึ้นมาจากรัฐศักดินา (feudal state) โดยมีลักษณะเป็น “รัฐที่รวมอำานาจเข้าสู่<br />
ศูนย์กลางผ่านการสถาปนาระบบราชการสมัยใหม่ เพื่อให้พระมหากษัตริย์เข้าถึง<br />
ประชากรและทรัพยากรของชาติได้โดยตรง” 48 แนวคิดชาตินิยมในศตวรรษที ่ 19<br />
เป็นผลงานรังสรรค์ของกษัตริย์ซึ่งมุ่งหวังจะวางรากฐานทางอุดมการณ์ให้แก่ความ<br />
สัมพันธ์ระหว่างสยามกับเศรษฐกิจโลก โดยยังจำากัดอยู่เพียงในหมู่ชนชั้นนำาสยาม<br />
ระดับสูงเท่านั้น ต่อมาแนวคิดชาตินิยมได้กระจายตัวขึ้นและถูกชนชั้นกระฎุมพีสมัย<br />
ใหม่ใช้อ้างเพื่อเรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองซึ่งรับรองการมีส่วนร่วม<br />
ของกลุ่มชนชั้นใหม่ในนาม “ชาติ” หรือ “ประชาชน” 49<br />
ในปี ค.ศ. 1932 “รัฐชาติไทย” เข้ามาแทนที่รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์เมื่อ<br />
“อำานาจอธิปไตยโอนจากพระมหากษัตริย์มาสู่ประชาชน” 50 กล่าวคือ รัฐสมัยใหม่ได้<br />
สร้างแนวคิดเรื่อง “ชาติ” (nation) ขึ้นมาในสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นครั้งแรก “ปรากฏ<br />
ในแบบเรียนต่าง ๆ โดยเฉพาะหนังสือธรรมจริยา การทำาให้คนตระหนักในความรู้สึก<br />
เป็นชาติเพื่อทำาให้คนเป็นผู้ผลิตให้ระบบเศรษฐกิจ” แต่ “รัฐชาติไทย” เกิดขึ้นหลัง<br />
46<br />
เพิ่งอ้าง, น. 134–135<br />
47<br />
อ่านเพิ่มเติม เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, “ศึกษารัฐไทย วิพากษ์ไทยศึกษา”, แปลโดย ดาริน<br />
อินทร์เหมือน, ใน เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, ศึกษารัฐไทย ย้อนสภาวะไทยศึกษา, (กรุงเทพฯ:<br />
ฟ้าเดียวกัน, 2558), น. 3–56<br />
48<br />
กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย, แปลโดย อาทิตย์<br />
เจียมรัตตัญญู. (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), น. 323<br />
49<br />
เพิ่งอ้าง, น. 327–328<br />
50<br />
เพิ่งอ้าง, น. (14)<br />
21
ค.ศ. 1932 “เมื่ออำานาจอธิปไตยของรัฐย้ายจากองค์พระมหากษัตริย์มาสู่ประชาชน”<br />
ทั้งนี้ คำาว่า “รัฐชาติ” เกิดขึ้นมาเมื่อรัฐอาณานิคมต่าง ๆ ได้รับเอกราช ซึ่งกระบวนการ<br />
รับเอกราชได้มีการโอนถ่ายอำานาจอธิปไตยมาสู่ชาติ ทั้งนี้ ในกรณีของรัฐไทยอำานาจ<br />
อธิปไตยไม่ได้อยู่ที่เจ้าอาณานิคมแต่อยู่ที่กษัตริย์ จึงต้องมองว่า ค.ศ. 1932 คือ<br />
กระบวนการที่อำานาจอธิปไตยได้ถ่ายจากองค์กษัตริย์มาที่ชาติหรือประชาชน 51 “รัฐ<br />
ชาติไทย” จึงเกิดขึ้นหลังอภิวัฒน์สยาม ค.ศ. 1932<br />
5. นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้เขียนถึงเรื่อง “ชาติไทย” จำานวนมาก กระจายอยู่ใน<br />
หนังสือ บทวิจารณ์ คำาให้สัมภาษณ์ โดยผู้เขียนรวบรวมและสรุปแนวคิดเรื่อง<br />
“รัฐชาติไทย” ได้ดังนี้ นิธิ เอียวศรีวงศ์ เสนอว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในปลายศตวรรษที่ 19<br />
เป็นการบูรณาการทางดินแดน เรียกว่า “การบูรณาการทางดินแดน” หรือ “การ<br />
บูรณาการรัฐ” (state integration) ไม่ใช่การบูรณาการชาติ (nation integration)<br />
เป็นการล้มล้างอำานาจของผู้ปกครองท้องถิ่นมารวมไว้ที่ส่วนกลางเท่านั้นไม่ได้กระทบ<br />
ประชาชน 52 สิ่งที่ “สยามหนุ่ม” พยายามทำาในศตวรรษที่ 19 คือการสถาปนาระบอบ<br />
สมบูรณาญาสิทธิราชย์โดยใช้แทรกเข้าไปในระบบราชการที่มีอยู่ จนในช่วง ค.ศ.<br />
1932 ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จึงถูกเรียกว่า “ระบอบเจ้า” เพราะมีฐานอำานาจ<br />
ที่คับแคบ 53 ยิ่งไปกว่านั้น ผู้นำาคณะราษฎรภายหลังการอภิวัฒน์สยาม ยังใช้แนวคิด<br />
เรื่อง “เชื้อชาติไทย” มาเป็นแกนหลักในการอธิบายชาติ ทำาให้มโนทัศน์เกี่ยวกับ<br />
พลเมืองของ “รัฐชาติ” ไม่อาจพัฒนาขึ้นได้อย่างเต็มที่54 โดยสิ่งที่เกิดขึ้นภายใต้รัฐ<br />
ธรรมนูญ พ.ศ. 2475 คือ “รัฐราชการ” มากกว่า เพราะระบบราชการได้เข้ามาแทนที่<br />
ในการกำาหนดนโยบายสาธารณะและเข้ามามีอำานาจทางการเมืองเสียเอง 55 กล่าวคือ<br />
51<br />
กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, “รัฐ” กับการศึกษารัฐไทย: ไชยันต์ รัชชกูล | กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด |<br />
วรเจตน์ ภาคีรัตน์”,—https://prachatai.com/journal/2018/02/75576 (สืบค้นเมื่อ 25<br />
พฤศจิกายน พ.ศ. 2562)<br />
52<br />
นิธิ เอียวศรีวงศ์, “มุมมองประวัติศาสตร์และสังคม” ใน ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, ความเป็นมาของ<br />
ทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไทย, (กรุงเทพฯ: โครงการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะ<br />
ศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2555), น. 129–142<br />
53<br />
นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์ว่าด้วยวัฒนธรรม, รัฐ และรูปการณ์<br />
จิตสำานึก, (พิมพ์ครั้งที่3), (กรุงเทพฯ:มติชน, 2557). น. 107–108<br />
54<br />
เพิ่งอ้าง, น. 148<br />
55<br />
นิธิ เอียวศรีวงศ์, “รัฐราชการ(1)”—https://www.matichon.co.th/columnists/news_604174<br />
(สืบค้นเมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562)<br />
22
แม้ในช่วง ค.ศ. 1932 “รัฐชาติไทย” ก็ยังไม่เกิดขึ้น<br />
6. เก่งกิจ กิติเรียงลาภ ได้เสนอว่า “การควบคุมทุกส่วนของชีวิตพลเมืองให้ได้<br />
เป็นคุณสมบัติสำาคัญของรัฐประชาชาติที่ต้องขยับขยายแขนขาและสายตาลงไปจับจ้อง<br />
ทุกสัดส่วนของประชากร” 56 กล่าวคือ การที่รัฐชาติจะเกิดขึ้นได้ รัฐจำาเป็นต้องมีเทค<br />
โนโลยีหรือเครื่องมือที่จะเข้าไปควบคุมประชาชนภายในรัฐได้อย่างเพียงพอ เก่งกิจ<br />
เสนอต่อไปว่า ด้วยข้อจำากัดทางเทคโนโลยีรัฐไทยจึงไม่เคยแผ่อำานาจของตนไปสู่<br />
หน่วยที่เรียกว่า “หมู่บ้าน” ก่อนช่วงสงครามเย็นและการเข้ามาของสหรัฐฯ โดยก่อน<br />
หน้านั้น หมู่บ้านสำาหรับชนชั้นนำาไทยเป็นเพียงจินตนาการถึงกลุ่มคนที่อยู่ “บ้าน<br />
นอกคอกนา” และมองคนเหล่านั้นเป็น “คนอื่น” 57 อีกทั้งหมู่บ้านในประเทศไทยก็<br />
ไม่เคยมีขอบเขตที่ชัดเจน หมู่บ้านจำานวนมากมีการเคลื่อนที่ (mobility) อยู่ตลอด<br />
หลายแห่งเกิดใหม่และหลายแห่งก็ยุบตัวลงไป ซึ่งทำาให้หมู่บ้านสามารถที่จะหลีกหนี<br />
ออกจากการควบคุมของอำานาจเหนือพื้นที่ของรัฐ 58 “รัฐชาติไทย” จึงไม่เคยเกิดก่อน<br />
หน้าช่วงสงครามเย็น<br />
เก่งกิจได้สรุปว่า แผนที่ในศตวรรษที่ 19 เป็นเพียงแผนที่รัฐ (state map)<br />
ที่มีจุดมุ่งหมายเพื่อขยายอำานาจและความมั่นคงของรัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ โดยหาก<br />
ปรากฏแนวคิดเรื่องชาติในช่วงเวลาดังกล่าว “ชาติเป็นเพียงจินตกรรมนามธรรมที่<br />
ปราศจากรายละเอียดและไม่เคยสัมพันธ์กับชีวิตของผู้คนอย่างจริงจัง” แต่แผนที่ที่ทำา<br />
ในยุคอเมริกันต่างหากคือ “แผนที่ชาติ (nation map) ที่มาพร้อมกระบวนการก่อรูป<br />
และสถาปนาอำานาจของรัฐประชาชาติ” 59 ในแง่นี้ “รัฐชาติไทย” ไม่เคยเกิดขึ้นก่อน<br />
การเข้ามาของสหรัฐฯ เป็นอย่างน้อย เพราะรัฐไทยในยุคก่อนหน้าขาดเทคโนโลยีและ<br />
เครื่องมือที่จะเข้าถึงประชาชนหรือแม้แต่หมู่บ้านอย่างเพียงพอทำาให้รัฐไม่สามารถ<br />
ที่จะสถาปนาความชอบธรรมเหนือหมู่บ้านหรือประชาชนภายในอาณาเขตของรัฐได้<br />
อย่างทั่วถึง กระทั่งไม่รับรู้ถึงการดำารงอยู่ของหมู่บ้านหรือคนบางกลุ่ม จึงเป็นการ<br />
ยากที่จะกล่าวว่า “รัฐชาติไทย” เกิดขึ้นแล้ว<br />
56<br />
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ, แผนที่สร้างชาติ: รัฐประชาชาติกับการทำาแผนที่หมู่บ้านไทยในยุคสงครามเย็น,<br />
(กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2561). น. 23<br />
57<br />
เพิ่งอ้าง, น. 143<br />
58<br />
เพิ่งอ้าง, น. 22, 148<br />
59<br />
เพิ่งอ้าง, น. 152<br />
23
7. ชาตรี ประกิตนนทการ ไม่ได้เสนอโดยตรงว่า “รัฐชาติไทย” เกิดขึ้นเมื่อใด<br />
แต่มองว่าการสร้าง “ร่างกาย” ของสยามที่เกิดขึ้นจากความรู้ทางภูมิศาสตร์และ<br />
เทคโนโลยีการทำาแผนที่ในช่วงศตวรรษที่ 19 นั้น “ไม่เพียงพอต่อการสร้างตัวตนของ<br />
รัฐสยามสมัยใหม่” ความรู้ทางประวัติศาสตร์ศิลปะ โบราณคดี และโบราณสถาน<br />
เป็นอีกเครื่องมือในการสร้างร่างกายของรัฐสยามสมัยใหม่ หรือ “รัฐสมบูรณาญา<br />
สิทธิราชย์” ที่สำาคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน 60 แต่ยังไม่ใช่การสร้างจิตวิญญาณหรือ<br />
สัญลักษณ์ของชาติ โดย “กระบวนการสร้างจิตสำานึกทางอุดมการณ์นี้เป็นเรื่องซับซ้อน<br />
และกินเวลายาวนาน (แม้จนปัจจุบันก็ยังไม่อาจพูดได้ว่าจบสิ้นแล้ว) ต้องทำาต่อเนื่อง<br />
และผลิตซำ้าไม่รู้จบ” 61<br />
ชาตรี เสนอต่อไปว่า การเขียนประวัติศาสตร์ศิลปะได้เปลี่ยนไปสู ่การเขียน<br />
แบบชาตินิยมหรือแบบเชื้อชาตินิยม ที่อธิบายความหมายโบราณวัตถุสถานต่าง ๆ ใน<br />
ฐานะที่เป็นวัตถุสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึง “จิตวิญญาณ” ของชาติไทยและความเป็น<br />
ไทยอันเก่าแก่ยาวนาน ให้สอดคล้องกับการ “เปลี่ยนไปจากรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br />
มาสู่รัฐชาติสมัยใหม่หลังการปฏิวัติ 2475” โดยการให้นิยามและความหมายของ<br />
ศิลปะได้เปลี่ยนความหมายไปเรื่อย ๆ ตามอุดมการณ์และสถานการณ์ทางการเมือง<br />
ในแต่ละยุค 62 ในแง่นี้ แม้ชาตรีจะไม่ได้ระบุอย่างชัดเจนว่า“รัฐชาติไทย” เกิดขึ้นเพราะ<br />
เหตุใด แต่อย่างน้อยกระบวนการสร้างจิตวิญญาณของชาติในประวัติศาสตร์ศิลปะ<br />
นั้นได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำาคัญ จากแบบรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่การแบบ<br />
ชาตินิยมเพื่อรองรับ “รัฐชาติไทย” ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม ค.ศ. 1932<br />
นอกจากนี้ เกษียร เตชะพีระ มองว่า การอภิวัฒน์สยาม ค.ศ. 1932 ที่ล้ม<br />
ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ เกิดจากความขัดแย้งว่า “ตกลงความเป็นเจ้าของและ<br />
สิทธิอำานาจเหนือรัฐดังกล่าว พึงเป็นของพระเจ้าแผ่นดิน หรือของ “ชาติ” ในสำานึก<br />
แห่งพลังข้าราชการหัวใหม่ซึ่งมีพวกเขาเองเป็นตัวแทน” 63 แต่สิ่งที่ยังคงดำารงอยู่สืบ<br />
60<br />
ชาตรี ประกิตนนทการ, “การประกอบสร้างศิลปะไทยฉบับทางการ ประวัติศาสตร์ศิลปะ กับการ<br />
ก่อร่างสร้างชาติ พ.ศ. 2408–2525” (วิทยานิพนธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์<br />
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สิงหาคม พ.ศ. 2561), น. 77<br />
61<br />
เพิ่งอ้าง, น. 115<br />
62<br />
เพิ่งอ้าง, น. 215–216<br />
63<br />
เกษียร เตชะพีระ, “ปริศนาแห่งการปฏิวัติ 2475 (ตอนต้น): ว่าด้วยความเลี่ยงไม่ได้”—https://<br />
www.matichonweekly.com/featured/article_46206 (9 ธันวาคม พ.ศ. 2562)<br />
24
เนื่องต่อมาหลังการปฏิวัติคือระบบราชการรวมศูนย์อัตตาณานิคม-ศักดินา (centralized<br />
autocolonial-patrimonial bureaucracy) “ฉะนั้น รัฐที่บังเกิดขึ้นหลังการปฏิวัติ<br />
2475 จึงเป็นรัฐรัฐธรรมนูญ (constitutional state) ของคณะราษฎร ที่ประกอบไปด้วย<br />
อำานาจรัฐใหม่ในระบอบรัฐธรรมนูญ (constitutional regime) ที่เข้ามาแทนที่ระบอบ<br />
สมบูรณาญาสิทธิราชย์” 64 แสดงว่าแม้แต่ภายหลังการอภิวัฒน์สยาม ค.ศ. 1932<br />
“รัฐชาติไทย” ก็ยังไม่เกิด หรือในงานของผู้เขียนเองก็มองว่า สยามได้กลายเป็นรัฐ<br />
สมัยใหม่ผ่านการปะทะ/แลกเปลี่ยน โดยเฉพาะการทำาสนธิสัญญากับจักรวรรดินิยม<br />
ตะวันตกจนกลายเป็นรัฐสมัยใหม่ในช่วงปลายศตวรรษที่19 พร้อม ๆ กับสร้างคำาอธิบาย<br />
ความชอบธรรมเหนือประชาชนและดินแดนผ่านแนวคิดเรื่อง “ชาติ” 65 แต่สยามยัง<br />
ไม่ได้กลายเป็น “รัฐชาติ” เพราะกว่าคำาอธิบายจะแพร่กระจายหรือมีประสิทธิภาพ<br />
เหนือประชาชนส่วนมากภายในรัฐ ก็ต้องมีระบบการศึกษาภาคบังคับที่ให้ประชาชน<br />
เรียนรู้ประวัติศาสตร์และสร้างความทรงจำาร่วมกันเป็นอย่างน้อย<br />
4. วิวำทะ “(รัฐ)ชำติไทย”<br />
การโต้เถียงที่สำาคัญเรื่อง (รัฐ)ชาติไทย เริ่มจากบทความ “ศึกษารัฐไทย วิพากษ์<br />
ไทยศึกษา” (Studies of the Thai State: The State of Thai Studies) ของแอนเดอร์สัน<br />
ที่ตีพิมพ์ในปี ค.ศ. 1979 โดยแอนเดอร์สัน ได้ทำาการทบทวนวรรณกรรม “ไทยศึกษา”<br />
ในโลกภาษาอังกฤษ ซึ่งในขณะนั้น สยามถูกมองในโลกวิชาการว่า 1. สยามมีความ<br />
พิเศษเพราะไม่เคยตกเป็นอาณานิคม 2. สยามเป็นรัฐชาติแห่งแรกในเอเชียตะวันออก<br />
เฉียงใต้ 3. ราชวงศ์จักรีได้สร้างความทันสมัยและสร้างชาติขึ้น และ 4. ความสำาเร็จ<br />
เหล่านี้เกิดจากพื้นฐานของสังคมไทยและการมีผู้นำาที่รักบ้านเกิดเมืองนอน (patriotic<br />
leaders) 66 แอนเดอร์สันตอบโต้มุมมองทั้งสี่อย่างถึงที่สุดว่า ในบางแง่มุมแล้ว 1. สยาม<br />
เป็นอาณานิคมทางอ้อม 2. สยามเกือบจะเป็นประเทศสุดท้ายในภูมิภาคที่เป็นรัฐชาติ<br />
64<br />
เพิ่งอ้าง.<br />
65<br />
ฐนพงศ์ ลือขจรชัย, เสียดินแดนมลายู ประวัติศาสตร์ชาติ ฉบับ Plot twist (กรุงเทพฯ: มติชน,<br />
2562).<br />
66<br />
เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, “ศึกษารัฐไทย วิพากษ์ไทยศึกษา”, แปลโดย ดาริน อินทร์เหมือน, น. 11<br />
25
อิสระ 3. การสร้างความทันสมัยของราชวงศ์จักรีเป็นแบบระบอบอาณานิคม และ<br />
4. ความสำาเร็จหรือล้มเหลวของสยาม เป็นผลจากการสร้างความสงบ (pacification)<br />
ของจักรวรรดินิยมยุโรป ไม่ใช่เกิดจากผู้นำาของสยาม 67<br />
ข้อเสนอของแอนเดอร์สัน ได้รับการตอบรับจากนักวิชาการไทยจำานวนมาก<br />
สมเกียรติ วันทะนะ ก็เป็นหนึ ่งในนักวิชาการคนสำาคัญที่รับแนวคิดมา โดยสมเกียรติ<br />
ได้เขียนบทความสำาคัญ 3 ชิ้น ได้แก่ 1. “รัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ในสยาม 2435–2475” 68<br />
2. “สองศตวรรษของรัฐและประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย” 69 และ 3. “เมืองไทยยุคใหม่<br />
สัมพันธภาพระหว่างรัฐกับประวัติศาสตร์สำ านึก” ซึ่งเป็นบทความแรก<strong>ในหนังสือ</strong>เล่มนี้<br />
ที่จะชี้ให้เห็นถึงนิยามและ “แบบแผนในอุดมคติ” ของรัฐชาติตามหลักสากล และ<br />
นำามาเทียบกับรัฐไทยในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นต้นมา ว่า “รัฐไทย” กลายเป็น<br />
“รัฐประชาชาติ” ตามหลักสากลเมื่อใด อย่างไรก็ดี สมเกียรติไม่ได้แยกระหว่าง<br />
“รัฐสมัยใหม่” และ “ชาติ” ออกจากกัน โดยได้วิเคราะห์รัฐสมัยใหม่ในฐานะของ<br />
“รัฐประชาชาติ” อย่างเป็นเนื้อเดียวกัน<br />
แนวทางการวิเคราะห์ของแอนเดอร์สัน ได้ถูกท้าทายอย่างสำาคัญ ด้วยแนวคิด<br />
“ราชาชาตินิยม” (royal-nationalism) ของธงชัย วินิจจะกูล ซึ่งได้เสนอครั้งแรกในปี<br />
ค.ศ. 2001 โดยแนวคิดนี้มีรากฐานและพัฒนามาจากหนังสือสำาคัญอย่าง “กำาเนิด<br />
สยามจากแผนที่ฯ” ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษครั้งแรกในปี ค.ศ. 1994 ของธงชัย<br />
เช่นกัน โดยธงชัยมองว่าราชาชาตินิยมคือ “แม่บทของประวัติศาสตร์ไทย” (master<br />
narrative of Thai history) ที่มีโครงเรื่องง่าย ๆ คือ “ถูกต่างชาติคุกคาม (แม้ว่าสยาม<br />
จะไม่เคยเกะกะระรานคนอื่นเลยก็ตาม) พระมหากษัตริย์ที่ปรีชาสามารถนำาการต่อสู้<br />
จนกอบกู้/รักษาเอกราชไว้ได้ มีสันติสุข เจริญรุ่งเรืองดังแต่ก่อน” 70 ซึ่งไม่เหมือนกับ<br />
ที่แอนเดอร์สัน ได้เสนอเรื่อง “ชาติไทย” ไว้<strong>ในหนังสือ</strong>ชุมชนจินตกรรมว่า ในสมัย<br />
67<br />
เพิ่งอ้าง, น. 13<br />
68<br />
สมเกียรติ วันทะนะ, “รัฐสมบูรณาญาสิทธิ์ในสยาม 2435–2475,” บทความประกอบปาฐกถาทาง<br />
วิชาการ จัดโดย สมาคมสังคมศาสตร์แห่งประเทศไทย สถาบันวิจัยสังคม และ คณะรัฐศาสตร์<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย วันที่ 19 มีนาคม 2525 ห้องประชุมตึก 3 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์<br />
มหาวิทยาลัย, 28 หน้า<br />
69<br />
สมเกียรติ วันทะนะ, “สองศตวรรษของรัฐและประวัติศาสตร์นิพนธ์ไทย” วารสารธรรมศาสตร์,<br />
ปีที่ 13 ฉบับที่ 3 (กันยายน 2527): น. 152–171<br />
70<br />
ธงชัย วินิจจะกูล, โฉมหน้าราชาชาตินิยม, อ้างแล้ว, น. 5–6<br />
26
รัชกาลที่ 5 ไม่ได้มีความพยายามหนักแน่นใด ๆ ที่จะผลักดันลัทธิชาตินิยม แต่นัก<br />
ชาตินิยมคนแรกของไทย คือรัชกาลที่ 6 71<br />
ธงชัยได้วิจารณ์หนังสือชุมชนจินตกรรมของแอนเดอร์สัน ไว้ว่า “กำาเนิดและ<br />
รากฐานของชาตินิยมไทยไม่ใช่เป็นเพียงแค่ปฏิกิริยาต่อชาตินิยมของประชาชนดังที่<br />
IC เสนอไว้ในบทว่าด้วยชาตินิยมทางการ…ชาตินิยมไทยมีต้นกำาเนิดท่ามกลางภาวะ<br />
ที่สยามเป็นกึ่งอาณานิคมกึ่งจักรวรรดินิยม” 72 แต่ชาตินิยมไทยเป็นผลผลิตของ<br />
สัมพันธภาพทางอำานาจอย่างน้อยสี่ปัจจัย ได้แก่ 1. สัมพันธภาพกับฝรั่งตะวันตก<br />
2. สัมพันธภาพกับรัฐและสังคมอารยธรรมอื่น ๆ ในภูมิภาค 3. ปฏิสัมพันธ์ระหว่าง<br />
กลุ่มวัฒนธรรมหลัก ๆ ที่ต่างกันในสังคมไทย ที่สำาคัญที่สุดคือไทยกับจีน 4. อำานาจ<br />
อันเกิดจากความเชื่อเรื่องธรรมชาติหรือธาตุแท้ของชุมชนชาติของไทย หรือ “ความ<br />
เป็นไทย” ทั้งสี่ประการหล่อหลอมให้เกิดชาตินิยมนานาชนิดในสังคมไทย 73 และได้<br />
สรุปว่าชุมชนจินตกรรมของแอนเดอร์สันถือเอาการเกิดปัจเจกชนที่มีความสัมพันธ์<br />
กันในแนวราบ (horizontal) แต่ชาติในประวัติศาสตร์ไทยกลับมีประวัติมาจากรัฐ<br />
จักรวรรดิก่อนสมัยใหม่ที่ปรับตัวสู่สมัยใหม่ในแบบอาณานิคม “เป็นชุมชนจินตกรรม<br />
ที่มีประชาชนสูงตำ่าสามัคคีกันภายใต้ร่มบารมีของกษัตริย์” 74<br />
ข้อเสนอของธงชัย ได้รับทั้งการตอบรับและปฏิเสธจากนักวิชาการจำานวนมาก<br />
และหลากหลายมิติ ผู้เห็นด้วย เช่น ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ,<br />
พวงทอง ภวัครพันธุ์, ธนภาษ เดชพาวุฒิกุล และอีกหลายท่าน (ซึ่งจะไม่ขอพูดถึง<br />
ผู้ที่เห็นด้วยในบทความนี้) ส่วนผู้ที่ไม่เห็นด้วย เช่น นิธิ เอียวศรีวงศ์, กุลลดา<br />
เกษบุญชู มี้ด, เก่งกิจ กิติเรียงลาภ, สายชล สัตยานุรักษ์ เป็นต้น<br />
สายชล ได้วิจารณ์ธงชัยไว้ว่า “ราชาชาตินิยม” ไม่ใช่เป็นอุดมการณ์ที่เน้นรักษา<br />
เอกราช มากเท่ากับเป็นอุดมการณ์ที่เน้นการจัดระเบียบและการจรรโลงความสัมพันธ์<br />
เชิงอำานาจในรัฐ อันได้แก่การรวมศูนย์อำานาจไว้ที่กษัตริย์ และโครงสร้างการแบ่งคน<br />
71<br />
เบน แอนเดอร์สัน, ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำาเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม,<br />
อ้างแล้ว, น. 133–135.<br />
72<br />
ธงชัย วินิจจะกูล “วิจารณ์ ชุมชนจินตกรรม Imagined Communities ของเบ็น แอนเดอร์สัน”<br />
ใน วารสารอ่าน ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 เมษายน-กันยายน 2552, น. 25<br />
73<br />
เพิ่งอ้าง, น. 26<br />
74<br />
ธงชัย วินิจจะกูล, โฉมหน้าราชาชาตินิยม, อ้างแล้ว, น.(15)–(16)<br />
27
เป็นลำาดับชั้นตามชาติกำาเนิดและหน้าที่ต่อรัฐ แม้ภัยคุกคามจากต่างชาติจะถูกเน้น<br />
แต่ “ก็มิได้มุ่งให้คนในชาติจงรักภักดีต่อพระมหากษัตริย์เท่านั้น แต่มุ่งให้ทุกคนเสีย<br />
สละเพื่อชาติ” 75 เก่งกิจได้โต้แย้งว่า “แผนที่ที่ อ. ธงชัย วินิจจะกูล ศึกษา<strong>ในหนังสือ</strong><br />
Siam Mapped เป็นแผนที่ของรัฐที่กำ าหนดขอบเขตของรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ไม่ได้<br />
เป็นส่วนหนึ่งการการนำามาสร้างชาติ เพราะคนไม่ได้รับรู้ว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของ<br />
แผนที่ คนรับรู้ว่าเป็นส่วนหนึ่งของแผนที่ก็ต่อเมื่อรัฐไทยเข้าไปถึงหมู่บ้านในยุค<br />
สงครามเย็น ตนจึงจงใจตั้งชื่อกึ่งล้อเลียนกึ่งเสนอว่าอันนี้คือการศึกษาแผนที ่สร้าง<br />
ชาติจริง ๆ ไม่ใช่สมัย ร.5” 76 ส่วนกุลลดามองว่า แนวคิดชาตินิยมถูกรังสรรค์ขึ้นใน<br />
ศตวรรษที่ 19 แต่ค่อย ๆ เกิดการกระจายตัวขึ้นในหมู่ “ข้าราชการกระฎุมพี” จนเกิด<br />
การเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงในเหตุการณ์ “กบฏ ร.ศ. 130” ก่อนจะสุกงอมและ<br />
สำาเร็จในการ “อภิวัฒน์สยาม พ.ศ. 2475” โดยคณะราษฎร เพราะเป็นการที่อำานาจ<br />
อธิปไตยของรัฐย้ายจากกษัตริย์มาสู่ประชาชน 77<br />
และนครินทร์ เมฆไตรรัตน์ ในบทความเรื่อง “แนวคิดชาติบ้านเมือง: กำาเนิด<br />
พัฒนาการ และอำานาจการเมือง” ซึ่งเป็นบทความที่2<strong>ในหนังสือ</strong>เล่มนี้ โดย<br />
นครินทร์ ไม่ได้กล่าวถึงราชาชาตินิยมในบทความ แต่เนื้อหาสาระมุ่งวิจารณ์ราชา<br />
ชาตินิยมของธงชัย ดังนี้ 1. รัฐชาติไทยพึ่งเกิดหลังอภิวัฒน์สยาม ค.ศ. 1932 ก่อน<br />
หน้าจึงไม่นับว่าเป็นชาติหรือลัทธิชาตินิยม 2. เมื่อไม่มีชาติ จึงมีแต่ “ลัทธิรักชาติ<br />
บ้านเมือง” (patriotism) และ 3. “ราชา” และ “ชาตินิยม” เป็นสองอย่างที่ไปด้วยกัน<br />
ไม่ได้ จึงไม่อาจมี “ราชาชาตินิยม” 78<br />
ธงชัยได้โต้แย้งทั้ง 4 คนดังนี้ 1. ข้อวิจารณ์ของสายชลนั้น “ผิดอย่างจังแทบ<br />
ทั้งหมด” 79 2. ข้อวิจารณ์ของเก่งกิจนั้น แผนที่ระดับหมู่บ้านเป็นเพียงการเติมเต็ม<br />
75<br />
สายชล สัตยานุรักษ์, “วิพากษ์ ศาสตราจารย์ ดร.ธงชัย วินิจจะกูล: “ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชา<br />
ชาตินิยม จากยุคราชาชาตินิยมอำาพรางสู่ราชาชาตินิยมใหม่หรือลัทธิเสด็จพ่อของกระฎุมพีไทยใน<br />
ปัจจุบัน”, ใน ธงชัย วินิจจะกูล, โฉมหน้าราชาชาตินิยม, อ้างแล้ว, น. 164—ภาคผนวก 1<br />
76<br />
‘เก่งกิจ-ธเนศ’ ถกหนังสือ ‘แผนที่สร้างชาติ: รัฐประชาชาติกับการทำาแผนที่หมู่บ้านไทยในยุค<br />
สงครามเย็น’, อ้างแล้ว<br />
77<br />
กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย.<br />
78<br />
ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย, อ้างแล้ว, น. 89–90<br />
79<br />
อ่านเพิ่มเติม ธงชัย วินิจจะกูล, “อย่าดูเบาวิธีวิทยา: ตอบอาจารย์สายชลโฉมหน้า,” ใน ธงชัย<br />
วินิจจะกูล, โฉมหน้าราชาชาตินิยม, อ้างแล้ว, น. 188–213 -ภาคผนวก 2<br />
28
ระบอบภูมิศาสตร์ให้สมบูรณ์เท่านั้น แต่แผนที่ที่ “…สร้างสำานึกถึงความเป็นชาติใน<br />
หัวสมองของผู้คน” คือแผนที่เขตแดนที่ทำาให้เราสามารถเห็นภาพรวมของประเทศ 80<br />
3. ข้อเสนอของกุลลดาที่มองว่า อำานาจอธิปไตยของรัฐย้ายจากกษัตริย์มาสู่ประชาชน<br />
ทำาให้เกิดรัฐชาตินั้น “เราจะถือได้ไหมว่า ในปัจจุบันประเทศไทยที่เคยเป็น “รัฐชาติ”<br />
ไม่ใช่รัฐชาติอีกต่อไปแล้วเพราะอำานาจอธิปไตยของรัฐย้ายจากประชาชนไปสู่ใครก็<br />
ไม่รู้ เราจะถือได้ไหมว่า ประเทศไทยเป็น “รัฐชาติ” เป็นครั้งเป็นคราว…” 81<br />
และ 4. ต่อข้อวิจารณ์ของนครินทร์ ธงชัยโต้ว่า ‘ชาติ’ ในศตวรรษที่ 19 หมายถึง<br />
“สังคมการเมือง (political community) หนึ่ง ๆ โดยไม่จำาเป็นต้องเป็นชุมชนการเมือง<br />
ของคนที่มีศาสนาหรือชาติพันธุ์ตามกำาเนิดเดียวกัน” ซึ่งพอดีกับชาติในสังคมสยาม<br />
ที่มีจุดร่วมคือรัฐของพระราชา (ราชาชาตินิยม) สำานึกความเป็นชาติและลัทธิชาตินิยม<br />
เกิดขึ้นก่อนรัฐชาติหรือรัฐประชาชาติทั้งนั้น“เพราะรัฐชาติมิได้ก่อให้เกิดลัทธิชาตินิยม<br />
แต่ชาตินิยมต่างหากที่ก่อให้เกิดรัฐชาติ” และได้อธิบายต่อไปว่า patriotism สำาหรับ<br />
บางคนก็อาจเป็น nationalism ของอีกคนก็ได้ อีกทั้งแนวคิด patriotism ยังเป็นเรื่อง<br />
ของประสบการณ์ในยุโรปและอเมริกา และเติบโตควบคู่กับการเกิดสาธารณรัฐ<br />
(republic) “patriotism คือการปกป้องชุมชนการเมืองที่ราษฎรรู้สึกเป็นเจ้าของ” การ<br />
กล่าวถึง “ความรักชาติ” ในสังคมสยามยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ว่าหมายถึง patriotism<br />
จึงออกจะเป็นการ “แปลกันเองตามใจชอบ” 82<br />
ปัญหาจากข้อวิจารณ์ของธงชัย คือแนวคิดเรื่อง “ลัทธิรักชาติบ้านเมือง” (patriotism)<br />
ของนครินทร์ เมื่อใช้กับสยามในช่วงศตวรรษที่ 19 มีความเหมาะสมหรือ<br />
ไม่? เพราะแนวคิดเรื่อง “สาธารณรัฐ” ดูจะเป็นสิ่งแปลกปลอมในสยาม อย่างไร<br />
ก็ตาม แพทริค โจรี (Patrick Jory) จะทำาให้เราแปลกใจในเรื่องนี้ “แนวคิดสาธารณ<br />
รัฐนิยมในประวัติศาสตร์ไทย” ซึ่งเป็นบทความที่3<strong>ในหนังสือ</strong>เล่มนี้ โจรีได้พบว่า<br />
จุดกำาเนิดของแนวคิดเรื่องสาธารณรัฐในสังคมไทยสามารถสืบย้อนกลับไปได้จนถึง<br />
ครึ่งหลังของคริสต์ศตวรรษที่ 19 จาก 1. ลัทธิอาณานิคมของยุโรปซึ่งคุกคามอิสรภาพ<br />
ของสยาม และ 2. การรวมอำานาจเข้าสู่สถาบันกษัตริย์ภายใต้พระบรมราโชบายของ<br />
รัชกาลที่ 5 ทว่าแนวคิดเรื่องนี้ไม่เป็นที่รับรู้เท่าใดนักเพราะเหตุผลทางการเมืองและ<br />
80<br />
ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562), อ้างแล้ว, น. 88<br />
81<br />
เพิ่งอ้าง, น. 90<br />
82<br />
เพิ่งอ้าง, น. 91–92<br />
29
ทางกฎหมายเป็นสำาคัญ 83<br />
อย่างไรก็ดี แม้มีแนวคิดสาธารณรัฐในสยาม และรัฐก็มีอำานาจจำากัดในการ<br />
สร้างจินตกรรมเรื่องชาติ คำาถามที่สำาคัญต่อมาคือ รัฐสยามสร้างความชอบธรรม<br />
หรือควบคุมราษฎรหรือประชาชนภายใต้ดินแดนสมัยใหม่ของตนอย่างไร บทความ<br />
ที่4และ5 <strong>ในหนังสือ</strong>เล่มนี้ ของเดวิด สเตร็คฟัส (David Streckfuss) และศิวศิลป์<br />
จุ้ยเจริญ ช่วยสร้างความเข้าใจในเรื่องนี้<br />
สเตร็คฟัส ได้เสนอว่า ชนชั้นนำาสยามได้ใช้ความรู้ทางมานุษยวิทยาเรื่องเชื้อชาติ<br />
และชาติพันธุ์แบบผิด ๆ จากอาณานิคมฝรั่งเศส และทัศนะทางประวัติศาสตร์ปฏิรูปใหม่<br />
(history revisionism) มาทำาการลบชาติพันธุ์ต่าง ๆ (พหุชาติพันธุ์) โดยเฉพาะ “ลาว”<br />
ที่มีจำานวนมากในทางเหนือและอีสาน ให้กลายเป็นคนเชื้อชาติ “ไทย” ที่มีชาติพันธุ์<br />
และวัฒนธรรมเพียงหนึ่งเดียว (Thai mono-ethnicity) สเตร็คฟัส ยอมรับว่า “ตัว<br />
แบบเชิงชาตินิยมของเชื้อชาติไทย (Thai race nationalist model)” ก็วางอยู่บนฐาน<br />
แนวคิด “ราชาชาตินิยม” ของธงชัย ที่เป็น “ระบบวิธีคิดแบบชาตินิยมที่มีจุดศูนย์รวม<br />
อยู่ที่เชื้อชาติโดยมีพระมหากษัตริย์เป็นผู ้นำาในทางจิตวิญญาณ” โดยปิ่นแก้ว เหลือง<br />
อร่ามศรี ได้เสริมข้อเสนอของสเตร็คฟัสว่า รัฐสยามรับเอาแนวคิดเรื่อง “เชื้อชาติ”<br />
และเลือกใช้คำาที่แสดงความเป็น “ชาติพันธุ ์ไทย” เพื่อผนวกชาติพันธุ์ให้รวมเป็น<br />
ชุมชนชาติเดียวกันภายใต้อัตลักษณ์ไทย “จึงนำาไปสู่การลากเส้นแบ่งว่าด้วยเชื้อชาติ<br />
ของประชาชนเป็นครั้งแรกโดยชนชั้นนำาไทยในสมัยนั้น” 84 แต่กำาเนิดการสร้างชาติใน<br />
กรณีของไทย ไม่ได้เกิดจากความเป็นชาติและพลเมืองเพื่อโต้ตอบอาณานิคมตะวันตก<br />
เพียงอย่างเดียว แต่ยังเกิดจาก “ความต้องการทางเศรษฐกิจของคนนอกบังคับ และ<br />
เพื ่อปกป้องทรัพยากรของประเทศมิให้ต้องตกไปอยู่ในมือของผู้ที่มิใช่คนในบังคับได้” 85<br />
ศิวศิลป์ ได้ให้มุมมองเชิงประวัติศาสตร์ที่แย้งกับปิ่นแก้วว่า แท้จริงแล้วสยาม<br />
ไม่เคยมีกฎหมายในการกำาหนดคุณสมบัติของคนในบังคับของตนอย่างเป็นเอกภาพ<br />
รัฐบาลสยามเพียงแต่อาศัยรูปแบบการควบคุมแรงงานในการระบุตัวตนไปพร้อม ๆ<br />
83<br />
Patrick Jory, “Republicanism in Thai History,” in Maurizio Peleggi, ed., A Sarong for<br />
Clio: Essays on the Intellectual and Cultural History of Thailand (Ithaca, NY: Cornell<br />
University Press, 2015), pp. 97–117<br />
84<br />
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, อัตลักษณ์เอกสาร วงศาวิทยาการควบคุมประชากรของรัฐไทย, อ้างแล้ว,<br />
น. 52–53<br />
85<br />
เพิ่งอ้าง, น. 56<br />
30
กับการรับรู้แนวคิดเรื่องชาติพันธุ์ ทำาให้ “กฎหมายสัญชาติ กฎหมายแปลงชาติแบบ<br />
ตะวันตกที่เป็นองค์ประกอบหนึ่งไม่ได้อยู่ในความรับรู้ของรัฐบาลสยาม” แม้รัฐบาล<br />
จะทำาข้อตกลงกับตะวันตกในเรื่องคนในบังคับแต่ปัญหาดังกล่าวก็ไม่สามารถจัดการ<br />
ได้อย่างเด็ดขาดและใช้เวลาอีกนานในการแก้ไขปัญหา ยิ่งไปกว่านั้น แม้ว่าต่อมาจะ<br />
มีการตราพระราชบัญญัติแปลงชาติ ร.ศ. 130 และกฎหมายสัญชาติ พ.ศ. 2456 การ<br />
บังคับใช้กฎหมายก็ยังจำากัดอยู่ในวงแคบเท่านั้น<br />
ส่วนผู ้เขียนไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของสเตร็คฟัส ในการที่บอกว่าชนชั้นนำา<br />
สยามได้ใช้แนวคิดเรื่องชาติพันธุ์มาเปลี่ยน “ลาว” ให้กลายเป็น “ไทย” เพราะ ใน<br />
ทางกลับกันด้วยตรรกะนี้ ทำาไมถึงยอมรับได้ว่า “ลาว” หายไป ทั้ง ๆ ที่ แนวคิดเรื่อง<br />
“ชาติไทย” พึ่งเริ่มปรากฏตัวในช่วงเวลาเดียวกัน และในเมื่อ “ไทย” เองก็เป็นสิ่งที่<br />
ประกอบสร้างขึ้น แต่ทำาไม “ลาว” จึงถูกมองว่าเป็นสิ่งที่จริงแท้กว่าไทย เพราะหาก<br />
ไม่มีไทยก็ต้องไม่มีลาว ด้วยตรรกะในช่วงเวลาเดียวกัน หรือหากจะมีลาวก็ต้อง<br />
ยอมรับว่า “ไทย” เป็นสิ่งที่มีอยู่จริงไม่ต่างจากลาว รวมทั้งเหตุใดชนชั้นนำาสยามจึง<br />
ลบแค่ “ลาว” ชาติพันธุ์อื่น ๆ ทำาไมจึงไม่ถูกลบและดำารงอยู่มาจนถึงปัจจุบัน<br />
ในบทความที่6ของหนังสือเล่มนี้ผู้เขียนเสนอว่า ชนชั้นนำาสยามในตอน<br />
แรกพยายามจะสร้างรัฐสมัยใหม่ที่มีต้นแบบมาจากอาณานิคมของอังกฤษในอินเดีย<br />
(British Raj) ที่ปกครองคนหลากหลายหรือต่างชาติพันธุ์ให้สอดคล้องกับสภาพความ<br />
เป็นจริงของอาณาจักร โดยระบุว่าผู้คนเหล่านั้นเป็น “ชาติเดียวกัน” เพราะขึ้นกับ<br />
กษัตริย์องค์เดียวกัน อย่างไรก็ดี นโยบายนี้ได้เปลี่ยนไปสู่ “ชาติไทยเดียวกัน” เพื่อ<br />
ตอบโต้การที่ฝรั่งเศสอ้างความชอบธรรมในการรวม “ชาติลาว” โดยสยามได้เริ่มจัด<br />
คนหลากหลายชาติพันธุ์ในความเป็นจริง ให้กลายเป็นคน “ชนชาติไทย” ในลำาดับ<br />
ชั้นต่าง ๆ (class) และสร้างคำาอธิบายการหลอมกลืนชาติพันธุ์ผ่านการสมรสขึ้น และ<br />
แสดงออกเป็นรูปธรรมผ่านการจดสำามะโนครัวประชากร โดยในบทความผู้เขียนมุ่ง<br />
ศึกษาการกลืนชาวมลายู (มลายู) ที่สยามไม่เคยมองว่าเป็น “ไทยด้วยกัน” จึงต้อง<br />
อธิบายความชอบธรรมผ่านการสมรส ซึ่งจะต่างจาก “ลาว” “ไทใหญ่” หรือ “ฉาน”<br />
ที่สยามมองว่าเป็นไทยด้วยกัน กระบวนการกลืนหรือสร้างชาติไทยในคนสองกลุ่มนี้<br />
จึงต่างกัน<br />
แพรทริค โจรี ได้อธิบายสิ่งที่เกิดขึ้นต่อจากบทความของผู้เขียน (ที่กล่าวเฉพาะ<br />
ในช่วงศตวรรษที่ 19) ในบทความที่7ของหนังสือเล่มนี้ ว่ารัฐไทยได้เปลี่ยนแปลง<br />
คนในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ให้กลายเป็น “ไทยมุสลิม” ได้อย่างไร<br />
31
“ภายใต้นโยบายผสมกลมกลืนเพื่อการบูรณาการแห่งชาติ (national integration)<br />
ของไทย ซึ่งเริ่มต้นขึ ้นในยุคสมัยจอมพล ป. มาจนถึงทศวรรษ 1990 อัตลักษณ์<br />
ทางชาติพันธุ์ของชาวมลายูทั้งในทางภาษา การแต่งกาย การศึกษา ประวัติศาสตร์<br />
และวัฒนธรรมต่าง ๆ ถูกควบคุมจากรัฐอย่างเคร่งครัด โดยรัฐบาลได้พยายามแทนที่<br />
อัตลักษณ์เหล่านั้นด้วยภาพลักษณ์ทางศาสนาคือ การเป็น “ไทยมุสลิม” หรือ<br />
“ไทยอิสลาม” ด้วยหวังว่าการเปลี่ยนแปลงชื่อนามทางภาษาจะนำามาซึ่งความ<br />
สำาเร็จของนโยบายผสมกลมกลืน ดังนั้น นับตั้งแต่รัฐบาลสมัยจอมพล ป. เป็นต้น<br />
มา ต่างก็ถือว่าอดีตชาว “มลายูปาตานี” ภายในรัฐไทยจะมีเพียงอัตลักษณ์อย่าง<br />
เป็นทางการในฐานะของ “ไทยมุสลิม” เท่านั้น”<br />
อย่างไรก็ดี แม้ผู้เขียนจะไม่เห็นด้วยกับสเตร็คฟัสกับสิ่งที่เกิดขึ้นในศตวรรษที่19<br />
แต่ผลลัพธ์ของการบูรณาการชาติและการลบชาติพันธุ์ต่าง ๆ ก็ได้สร้างความขัดแย้ง<br />
และความไม่พอใจจาก “ความเป็นไทยและความไม่เป็นไทย” ที่ดำารงอยู่คู่กัน สมชัย<br />
ภัทรธนานันท์ ได้เขียนเรื่อง “การสร้างรัฐประชาชาติไทยกับการต่อสู้ด้วยอาวุธของ<br />
ชาวนาอีสาน: กรณีบ้านนาบัว จังหวัดนครพนม” อันเป็นบทความที่8<strong>ในหนังสือ</strong><br />
เล่มนี้สมชัยได้เสนอ ความไม่สมำ่าเสมอของการสร้างรัฐประชาชาติตั้งแต่ช่วงศตวรรษ<br />
ที่ 19 จนมาถึงปัญหาความขัดแย้งที่เกิดในช่วงสงครามเย็น (cold war)ที่เป็นปม<br />
ปัญหาความขัดแย้งระหว่างชาวนาบัวกับทางการไทย ในการ “ให้ความช่วยเหลือหรือ<br />
การต่อต้านขบวนการประเทดลาว” โดยฝ่ายชาวนาบัวเห็นว่าการเข้าร่วมกับขบวนการ<br />
ประเทดลาวเป็นการปฏิบัติการช่วยเหลือเพื่อนร่วมชาติเพื่อกอบกู้มาตุภูมิ ขณะที่ทาง<br />
การไทยเห็นว่าการช่วยเหลือขบวนการดังกล่าวเป็นกบฏแบ่งแยกดินแดน<br />
ในประเด็นนี้ ผู้เขียนจึงเห็นว่า การสร้าง “ชาติไทย” ในศตวรรษที่ 19 ก็ได้<br />
หว่านเมล็ดพันธุ์ของ “กลุ่มชาตินิยมลาว” ในพื้นที่ทางเหนือและอีสานของไทย พอ ๆ<br />
กับที่ “ความเป็นลาว” ถูกลบ ดังที่ธเนศ วงศ์ยานนาวา กล่าวไว้ว่า “การสร้างชาติ<br />
(nation-building) ของกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งสามารถนำาไปสู่การเกิดขึ้นของความเป็น<br />
ชาตินิยม (nationalism) ของอีกกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่ง” 86 กล่าวคือ หากมองอีกมุมหนึ่ง<br />
“ชาติพันธุ์ลาว” ก็เกิดจากกระบวนการสร้าง “ชาติไทย” นั้นเอง ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่ได้<br />
หมายความว่า ความเป็นไทยและความเป็นลาว ไม่มีแก่นสารของความเป็นจริงเลย<br />
86<br />
ธเนศ วงศ์ยานนาวา, “ตาบอดคลำา “nation” ตะวันตก”, ใน เมื่อใดจึงเป็นชาติ, อ้างแล้ว, น. 28<br />
32
แต่การที่ความเป็นไทยและความเป็นลาว ซึ่งอาจเป็นเรื่องการแบ่งแยกทางวัฒนธรรม<br />
(สูง-ตำ่า) หรือทางการเมือง (รัฐหรือผู้ปกครอง) ถูกยกระดับขึ้นมาให้กลายเป็นการ<br />
แบ่งแยกของ “ชาติ” หรือ “ชาติพันธุ์” ก็ตกอยู่ใต้กระบวนการสร้างชาติ (nationbuilding)<br />
ไม่ต่างกัน<br />
บทความสุดท้าย<strong>ในหนังสือ</strong>เล่มนี้ผู้เขียนได้พยายามสรุปว่า การนำาทฤษฎี<br />
ชาติที่พัฒนาขึ้นในโลกตะวันตก เมื่อมาปรับใช้กับกรณีของไทยหรือเอเชียตะวันออก<br />
เฉียงใต้ภาคพื้นทวีปจะเกิดปัญหาเช่นไร ความสับสนระหว่างการศึกษาชาติพันธุ์ไทย<br />
กับชาติไทย ความคลุมเครือระหว่างการศึกษา nation history กับ history of nation<br />
รวมไปถึงปัญหาการสร้างเค้าโครงการเขียนประวัติศาสตร์ชาติในภูมิภาคนี้ที่พื้นที่<br />
อาณาเขตหรือดินแดนไม่ชัดเจน ทั้งนี้ ผู้เขียนไม่ได้มีทางออกของปัญหาที่ชัดเจนเพียง<br />
แต่ชี้ให้เห็นถึงปัญหาที่มักถูกละเลยหรือมองข้ามไปในการศึกษา“ชาติไทย” ที่ผ่านมา<br />
5. สรุป<br />
ข้อถกเถียงว่า “เมื่อใดจึงเป็น(รัฐ)ชาติไทย” แท้จริงเป็นข้อถกเถียงที่ดำาเนินต่อ<br />
มาจาก ข้อถกเถียงว่ารัฐไทยก่อนศตวรรษที่ 19 เป็นรัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์หรือไม่<br />
ซึ่งได้ข้อยุติร่วมกันแล้วในหมู่นักวิชาการว่าก่อนศตวรรษที่ 19 รัฐไทยไม่ได้เป็นรัฐ<br />
สมบูรณาญาสิทธิราชย์ แต่เป็นรัฐในรูปแบบใดนั้นยังไม่มีข้อสรุปที่แน่ชัดเช่นกัน<br />
ข้อสรุปดังกล่าวนำามาสู่ปัญหาว่า แล้วในช่วงศตวรรษที่ 19 รัฐไทยเป็น “รัฐชาติ”<br />
หรือไม่ โดยกลุ่มแรกมองว่า ในช่วงศตวรรษที่ 19 เป็นรัฐชาติแล้ว ผ่านการให้เหตุผล<br />
ที่ต่างกัน (ถึงขั้นหักล้างกันเอง) เช่น เพราะมีการรวมศูนย์อำานาจและยกเลิกระบบ<br />
ไพร่ทาส เพราะมีการสร้างคำาอธิบายในเรื่องชาติแบบของไทยแล้ว เพราะเกิดสิ่งที่<br />
เรียกว่า “พลเมือง” ขึ้นแล้ว เพราะรัฐได้สร้างความเป็นอื่นขึ้นมาได้แล้ว หรือเพราะ<br />
ประชาชนต้องสัมผัสกับอธิปไตยของรัฐโดยตรงไม่ผ่านตัวกลางหรือเจ้านายในระบบ<br />
เก่าแล้ว เป็นต้น<br />
ส่วนกลุ่มที่เห็นว่ารัฐชาติไทยนั้นจะเกิดขึ้นได้ต้องหลังจากการอภิวัฒน์สยาม<br />
ค.ศ. 1932 เป็นอย่างน้อย ได้ให้เหตุผลว่า การจะเป็นรัฐชาติได้ ต้องเป็น “ประชา<br />
ชาติ” คือต้องสร้างสำานึกของประชาชนให้ยึดโยงกับ “ชาติ” ให้ได้เสียก่อน ซึ่งอย่าง<br />
น้อย ๆ ก็ต้องมีระบบการศึกษา การคมนาคม เทคโนโลยี หรือการควบคุมจากรัฐที่<br />
33
เพียงพอเสียก่อน ซึ่งในศตวรรษที่ 19 รัฐไทยไม่ได้มีความสามารถเพียงพอที่จะทำา<br />
เช่นนั้น<br />
จากการวิเคราะห์ของผู ้เขียนพบว่า ทั้งสองกลุ่มมีแนวทางการวิเคราะห์และ<br />
สาขาวิชา (discipline) ที่ต่างกัน โดยในกลุ่มแรกส่วนมากเป็นนักประวัติศาสตร์และ<br />
นักมนุษยศาสตร์ โดยได้มองรัฐใน 2 รูปแบบ คือ รัฐจารีตและรัฐชาติ ส่วนในกลุ่ม<br />
ที่ 2 ส่วนมากจะเป็นนักรัฐศาสตร์ ที่มองรัฐในหลายรูปแบบเช่น รัฐจารีต รัฐศักดินา<br />
รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือรัฐชาติ เป็นต้น โดยได้แยกการพัฒนาของ “รัฐ”<br />
และ “ชาติ” ออกจากกัน<br />
“เมื่อใดจึงเป็น(รัฐ)ชาติไทย” จึงเป็นข้อถกเถียงที่ดำาเนินมากว่า 50 ปี และ<br />
คาดว่ายังคงเป็นข้อถกเถียงที่เข้มข้นต่อไปไม่น้อยกว่าทศวรรษ บทความนี้จึงมุ่ง<br />
ทำาการจัดประเภท (classify) และสรุปข้อเสนอของนักวิชาการแต่ละท่านให้ชัดเจน<br />
(clarify) เพื่อเป็นข้อแนะนำา (guideline) สำาหรับผู้สนใจศึกษาเรื่อง “(รัฐ)ชาติ” ไทย<br />
ผู้เขียนหวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือเล่มนี้จะช่วยเพิ่มความเข้าใจและขยายมุมมอง<br />
ในการมอง ในการศึกษาเรื่อง “(รัฐ)ชาติไทย” ที่มีความซับซ้อน ยุ่งเหยิง และวุ่นวาย<br />
(chaos) จากทั้งสาขาวิชา ทฤษฎี ระเบียบวิธี และกรอบวิธีการศึกษา ยังไม่รวม<br />
อุดมการณ์และอคติทางการเมืองของนักวิชาการแต่ละท่าน อย่างไรก็ดี “ชาติ” นั้นเป็น<br />
สิ่งที่น่าหลงใหลและน่าเบื่อ และไม่ว่าจะรักหรือจะชัง คุณก็ไม่สามารถหนีมันไปได้<br />
34
บรรณำนุกรม<br />
กุลลดา เกษบุญชู มี้ด, ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์: วิวัฒนาการรัฐไทย, แปลโดย อาทิตย์<br />
เจียมรัตตัญญู. (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562).<br />
เก่งกิจ กิติเรียงลาภ, แผนที่สร้างชาติ: รัฐประชาชาติกับการทำาแผนที่หมู่บ้านไทยในยุคสงครามเย็น,<br />
(กรุงเทพฯ: Illuminations Editions, 2561).<br />
เกษม ศิริสัมพันธ์ และนิออน สนิทวงศ์, “แนวพระราชดำาริทางการเมืองในพระบาทสมเด็จพระ<br />
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว สังคมศาสตร์ปริทัศน์, ปีที่ 5 ฉบับที่ 3 (ธันวาคม 2510 ถึง กุมภาพันธ์<br />
2511).<br />
จักรกริช สังขมณี, Limology ชายแดนศึกษากับเขต-ขันธ์วิทยาของพื้นที่ใน/ระหว่าง (กรุงเทพฯ:<br />
ศยาม, 2561).<br />
ชาตรี ประกิตนนทการ, “การประกอบสร้างศิลปะไทยฉบับทางการ ประวัติศาสตร์ศิลปะ กับการก่อ<br />
ร่างสร้างชาติ พ.ศ. 2408–2525” (วิทยานิพนธ์ ปรัชญาดุษฎีบัณฑิต สาขาวิชาประวัติศาสตร์<br />
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ สิงหาคม พ.ศ. 2561).<br />
ไชยันต์ รัชชกูล, อาณานิคมสมบูรณาญาสิทธิราชย์ การก่อรูปรัฐไทยสมัยใหม่จากศักดินานิยมสู่<br />
ทุนนิยมรอบนอก, แปลโดย พงษ์เลิศ พงษ์วนานต์, (กรุงเทพฯ: อ่าน, 2560).<br />
ฐนพงศ์ ลือขจรชัย, เสียดินแดนมลายู ประวัติศาสตร์ชาติ ฉบับ Plot twist (กรุงเทพฯ: มติชน,<br />
2562).<br />
ธงชัย วินิจจะกูล, กำาเนิดสยามจากแผนที่: ประวัติศาสตร์ภูมิกายาของชาติ, แปลโดย พวงทอง<br />
ภวัครพันธุ์, ไอดา อรุณวงศ์ และพงษ์เลิศ พงษ์-วนานต์ (กรุงเทพฯ: โครงการจัดพิมพ์คบไฟ ร่วม<br />
กับ สำานักพิมพ์อ่าน, 2556).<br />
ธงชัย วินิจจะกูล, โฉมหน้าราชาชาตินิยม (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2559).<br />
ธงชัย วินิจจะกูล, ออกนอกขนบประวัติศาสตร์ไทย (นนทบุรี: ฟ้าเดียวกัน, 2562).<br />
ธงชัย วินิจจะกูล “วิจารณ์ ชุมชนจินตกรรม Imagined Communities ของเบ็น แอนเดอร์สัน” ใน<br />
วารสารอ่าน ปีที่ 2 ฉบับที่ 1 (เมษายน-กันยายน, 2552).<br />
นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, “แนวคิดชาติบ้านเมือง: กำาเนิด พัฒนาการ และอำานาจการเมือง,” วารสาร<br />
ธรรมศาสตร์ ปีที่ 27 ฉ. 2 (มิถุนายน 2549): 2–41.<br />
นิธิ เอียวศรีวงศ์, “มุมมองประวัติศาสตร์และสังคม” ใน ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ. ความเป็นมาของ<br />
ทฤษฎี แบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไทย. (กรุงเทพฯ: โครงการเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา<br />
คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2555).<br />
นิธิ เอียวศรีวงศ์, ชาติไทย, เมืองไทย, แบบเรียนและอนุสาวรีย์ว่าด้วยวัฒนธรรม, รัฐ และรูปการณ์<br />
จิตสำานึก, [พิมพ์ครั้งที่ 3], (กรุงเทพฯ:มติชน, 2557).<br />
พิพัฒน์ พสุธารชาติ (บรรณาธิการ). เมื่อใดจึงเป็นชาติ. กรุงเทพฯ: Illuminations Editions. 2562.<br />
เบน แอนเดอร์สัน, ชุมชนจินตกรรม บทสะท้อนว่าด้วยกำาเนิดและการแพร่ขยายของชาตินิยม,<br />
บรรณาธิการแปลโดย ชาญวิทย์ เกษตรศิริ (2552; ฉบับพิมพ์ซำ้า, กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการ<br />
35
ตำาราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, 2557).<br />
เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, “ศึกษารัฐไทย วิพากษ์ไทยศึกษา”, แปลโดย ดาริน อินทร์เหมือน, ใน<br />
เบเนดิกท์ แอนเดอร์สัน, ศึกษารัฐไทย ย้อนสภาวะไทยศึกษา, (กรุงเทพฯ: ฟ้าเดียวกัน, 2558).<br />
ปิ่นแก้ว เหลืองอร่ามศรี, อัตลักษณ์เอกสาร วงศาวิทยาการควบคุมประชากรของรัฐไทย (เชียงใหม่:<br />
ศูนย์บริหารงานวิจัย มหาวิทยาลัยเชียงใหม่, 2561).<br />
ราชบัณฑิตยสถาน, พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2542 (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน,<br />
2542)<br />
สมเกียรติ วันทะนะ, “เมืองไทยยุคใหม่ สัมพันธภาพระหว่างรัฐกับประวัติศาสตร์สำานึก”, ใน อยู่เมือง<br />
ไทย: รวมบทความทางสังคมการเมืองเพื่อเป็นเกียรติแด่ ศาสตราจารย์เสน่ห์ จามริก ในโอกาส<br />
อายุครบ 60 ปี, บรรณาธิการโดย สมบัติ จันทรวงศ์ และชัยวัฒน์ สถาอานันท์ (กรุงเทพฯ:<br />
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, 2530).<br />
สุเนตร ชุตินธรานนท์ และรัตนพร พวงพัฒน์, “อุษาคเนย์: พลวัตการรับรู้จากอดีตถึงปัจจุบัน”, ใน<br />
สุเนตร ชุตินธรานนท์ และคณะ, ชาตินิยมในแบบเรียนไทย, (กรุงเทพฯ: มติชน, 2552).<br />
Marco Antonsich, On territory, the nation-state and the crisis of the hyphen, Progress<br />
in Human Geography (2009), Volume: 33 issue: 6, page(s): 789–806.<br />
Maurizio Peleggi, Lords of Things: The Fashioning of the Siamese Monarchy’s Modern Image<br />
(Hawaii, USA: University of Hawaii Press, 2002).<br />
Noboru Ishikawa. Between frontiers: nation and identity in a Southeast Asian borderland<br />
(Athens: Ohio University Press, 2010).<br />
Rod Hague and Martin Harrop, Comparative Government and Politics (Basingstoke,<br />
United Kingdom: Palgrave Macmillan, 1998).<br />
แหล่งอ้างอิงออนไลน์<br />
การเสวนาหัวข้อ “รัฐ” กับการศึกษารัฐไทย ตั้งข้อสังเกตต่อแนวทางการศึกษาประวัติศาสตร์ รวม<br />
ทั้งการศึกษาเกี่ยวกับ “รัฐไทย” โดยเป็นการเสวนาวิชาการชุด “สะท้อนย้อนคิดสังคมศาสตร์<br />
ศาสตร์สังคม” ครั้งที่ 1 ตอน “รัฐ” กับการศึกษารัฐไทย วันพุธที่ 14 กุมภาพันธ์ 2561 ณ ห้อง<br />
ประชุมสีฟ้า ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา คณะสังคมศาสตร์—“ช่วงอภิปรายถาม-ตอบ<br />
| “รัฐ” กับการศึกษารัฐไทย [4] จบ” (นาทีที่ 28–36)—https://www.youtube.com/<br />
watch?v=G_w5o0xZmG8&t=1987s<br />
กุลลดา เกษบุญชู มี้ด: “รัฐ” กับการศึกษารัฐไทย: ไชยันต์ รัชชกูล | กุลลดา เกษบุญชู-มี้ด |<br />
วรเจตน์ ภาคีรัตน์—https://prachatai.com/journal/2018/02/75576 (สืบค้นเมื่อ 25<br />
พฤศจิกายน พ.ศ. 2562)<br />
เกษียร เตชะพีระ, “ปริศนาแห่งการปฏิวัติ 2475 (ตอนต้น): ว่าด้วยความเลี่ยงไม่ได้”—https://<br />
www.matichonweekly.com/featured/article_46206 (9 ธันวาคม พ.ศ. 2562)<br />
36
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, “ประวัติศาสตร์สอนอะไร”—https://www.the101.world/thanet72-<br />
speech/ (สืบค้นเมื่อ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562)<br />
ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ, ‘เก่งกิจ-ธเนศ’ ถกหนังสือ ‘แผนที่สร้างชาติ: รัฐประชาชาติกับการทำาแผนที่<br />
หมู่บ้านไทยในยุคสงครามเย็น’—https://prachatai.com/journal/2018/04/76515 (สืบค้น<br />
เมื่อ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2562)<br />
นิธิ เอียวศรีวงศ์, “รัฐราชการ(1)”—https://www.matichon.co.th/columnists/news_604174<br />
(สืบค้นเมื่อ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562)<br />
37