จุลชีววิทยา Microbiology
สà¹à¸¥à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸£à¸¢à¸²à¸¢
สà¹à¸¥à¸à¹à¸à¸£à¸°à¸à¸à¸à¸à¸²à¸£à¸à¸£à¸£à¸¢à¸²à¸¢
- No tags were found...
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
<strong>จุลชีววิทยา</strong><br />
<strong>Microbiology</strong><br />
อ. ศิริรัตน์ ศิริพรวิศาล
บทที่ 2 แบคทีเรีย<br />
เป็ นจุลินทรีย์กลุ่มใหญ่<br />
ส าคัญต่อการศึกษาทาง<strong>จุลชีววิทยา</strong>มากที่สุด<br />
ศึกษา : รูปร่าง<br />
ขนาด<br />
การจัดเรียงตัว<br />
โครงสร้างต่าง ๆ<br />
องค์ประกอบภายในไซโพลาสซึม
รูปร่าง<br />
• มีรูปร่างหลายแบบ เช่น<br />
กลม แท่ง แท่งตรง (regular rod)<br />
แท่งกลมปลายมน (rounded end)<br />
แท่งกลมสั ้นคล้ายไข่ (coccoid)<br />
แท่งไม่ตรง (irregular rod)<br />
รูปทรงกระบอกขนาดหัวท้ายไม่เท่ากัน (club-shaped)<br />
รูปแท่งยาวปลายเรียวคล้ายกระสวย (fusiform) แท่งโค้ง (curved rod)<br />
เกลียวสว่าน (spirochete) และแบบเกลียว เป็ นต้น
ก. ข.<br />
ค.<br />
ง.<br />
จ.<br />
ฉ.<br />
ที่มา (Nester, Anderson, Roberts and Nester, 2007, p. 53)
รูปร่างต่างกันเป็ นการปรับตัวให้อยู ่ในสภาพแวดล้อมได้ดีขึ ้น<br />
ช่วยในการแลกเปลี่ยน<br />
สารอาหารกับสภาพ<br />
แวดล้อมได้ดีกว่ารูปกลม<br />
เนื่องจากมีพื ้นที่ผิวต่อ<br />
ปริมาตรมากกว่า<br />
ลดความเสียด<br />
ทานในการ<br />
เคลื่อนที่จาก<br />
สิ่งแวดล้อมได้ดี<br />
เซลล์ทนอยู ่ในสภาพแวดล้อม<br />
ที่แห้งแล้งได้ดี
การจัดเรียงตัว<br />
• เซลล์ที่มีรูปร่างกลมมีการเรียงตัวได้หลายแบบ<br />
สองเซลล์เรียงต่อกัน เรียก diplococci<br />
สี่เซลล์เรียงกัน เรียก tetrad<br />
แปดเซลล์เรียงกันเป็ นลูกบาศ์ก เรียก sarcina
หลายเซลล์เรียงเป็ นกลุ่มคล้ายพวกองุ่น เรียก staphylococci<br />
หลายเซลล์เรียงต่อกันเป็ นสายยาว เรียก streptococci<br />
staphylococci<br />
streptococci
http://classes.midlandstech.com
แบคทีเรียรูปแท่งมักไม่มีการเรียงตัวที่ชัดเจนเท่ากับแบคทีเรียรูปร่าง<br />
กลม แต่อาจพบการเรียงตัวของเซลล์ได้ตามระยะการเจริญ หรือตาม<br />
สภาพอาหารของการเพาะเลี ้ยง<br />
แบคทีเรียบางชนิด Corynebacterium diphtheriae เซลล์มักจะเรียง<br />
ติดกันเป็ นชั ้นหรือเป็ นแถว (palisade arrangement)<br />
Mycobacterium tuberculosis มักจะเรียงกันสามเซลล์เป็ นกิ่งก้าน
http://classes.midlandstech.com
แบคทีเรียรูปร่างโค้งงอหรือ<br />
เกลียวมักอยู ่เป็ นเซลล์เดี่ยว ๆ<br />
http://classes.midlandstech.com
รูปร่างอื่น ๆ<br />
Haloarcula,<br />
a genus of halophilic<br />
archaea, are rectangular.<br />
Stella are star-shaped<br />
http://classes.midlandstech.com
ขนาด<br />
• แบคทีเรียแต่ละชนิดมีขนาดที่แตกต่างกัน<br />
• ทั่วไป กว้าง 0.5-1 ไมโครเมตร ยาว 2-5 ไมโครเมตร<br />
• การวัดขนาดของแบคทีเรีย ใช้ ocular micrometer
ocular micrometer<br />
มีลักษณะเป็ นแผ่นกระจกกลม ส าหรับใส่ในกระบอกเลนส์ตา (ocular lens)<br />
ไมโครมิเตอร์นี ้มีขีดแบ่งเป็ นช่อง ช่องละเท่า ๆ กัน<br />
การหาค่าของช่องเหล่านี ้ท าได้โดย<br />
น ามาเทียบกับขีดแบ่งบน stage micrometer<br />
1 mm แบ่งออกเป็ น 100 ช่อง<br />
แต่ละช่องมีระยะห่าง 0.01 mm หรือ 10 um
การเทียบขนาด<br />
เลื่อนสเกลของไมโครมิเตอร์ทั ้งสองมาขนานกัน ให้ซ้อนกันพอดี<br />
นับจ านวนช่องของออคคิวลาร์ไมโครมิเตอร์<br />
ที่ตรงหรือทับกับสเตจไมโครมิเตอร์พอดี<br />
โดยให้จุดเริ่มต้นของสเกลทั ้งสองตรงกัน<br />
แล้วน ามาเปรียบเทียบ
เลื่อนสเกลของไมโครมิเตอร์ทั ้งสองมา<br />
ขนานกัน ให้ซ้อนกันพอดี<br />
นับจ านวนช่องของออคคิวลาร์ไมโครมิเตอร์<br />
ที่ทับกับสเตจไมโครมิเตอร์พอดีโดยให้<br />
จุดเริ่มต้นของสเกลทั ้งสองตรงกัน
ออคคิวลาร์ไมโครมิเตอร์ a ช่อง<br />
ตรงและทับพอดีกับสเตจไมโครมิเตอร์ b ช่อง<br />
ออคคิวลาร์ไมโครมิเตอร์ 1 ช่อง<br />
ตรงและทับพอดีบสเตจไมโครมิเตอร์ b/a x 0.01 mm<br />
จากนั ้นถอดสเตจไมโครมิเตอร์ออก<br />
น าสไลด์ของแบคทีเรียมาวัดแทน<br />
ค่าที่ได้จากการค านวณใช้ได้เฉพาะก าลังขยายที่ใช้นับเท่านั ้น
หากเปลี่ยนก าลังขยายของเลนส์ตา<br />
เลนส์วัตถุ หรือเลนส์ทั ้งสอง<br />
จะต้องเทียบค่าใหม่ และค่าที่ได้นี ้<br />
ค่าเฉพาะส าหรับกล้องแต่ละตัวไม่สามารถ<br />
น าไปใช้กับกล้องจุลทรรศน์ตัวอื่นได้<br />
กล้องแต่ละตัวมีความคลาดเคลื่อนของ<br />
ก าลังขยายของเลนส์เล็กน้อย
โครงสร้าง<br />
เอนโดสปอร์ (endospore)<br />
ท าให้แบคทีเรียมีความทนทานต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสมได้<br />
ไม่ใช่โครงสร้างส าหรับการสืบพันธุ์<br />
พบในแบคทีเรียบางชนิด คือ<br />
Bacillus Clostridium<br />
Sporosarcin Thermoactinomyces<br />
Desulfotomaculum
รูปร่างและต าแหน่งของสปอร์จะแตกต่างกันไปตามสปี ชีส์ของแบคทีเรีย<br />
เป็ นคุณสมบัติพิเศษที่สามารถใช้ในการจัดจ าแนกชนิดของแบคทีเรีย<br />
ปลายเซลล์และมีการพอง
ตรงกลางเซลล์<br />
ปลายเซลล์และมีการพอง<br />
ค่อนไปทางปลายเซลล์<br />
ปลายเซลล์<br />
ที่มา (Prescott, Harley and Klein, 2005, p. 69 )
แคปซูล (capsule)<br />
พบในแบคทีเรียบางชนิด<br />
มีลักษณะเป็ นสารเหนียวคล้ายเจลปกคลุมหรือเคลือบเซลล์<br />
ช่วยให้แบคทีเรียทนต่อสภาพแวดล้อมที่ไม่เหมาะสม เช่น<br />
ความแห้งแล้ง สารเคมี อุณหภูมิ เป็ นต้น<br />
สามารถในการท าให้เกิดโรค<br />
มีสมบัติเป็ น K-antigen
แคปซูล<br />
Klebsiella<br />
pneumoniae<br />
ที่มา (Prescott, Harley and Klein, 2005, p. 29 )
แฟลเจลลา (flagella)<br />
ระยางค์ที่ใช้ในการเคลื่อนที่ของแบคทีเรีย<br />
พบในแบคทีเรียบางชนิดเท่านั ้น<br />
แฟลเจลลาที่พบในแบคทีเรียแบ่งเป็ น 2 แบบใหญ่ ๆ<br />
peritrichous flagella<br />
polar flagella
peritrichous flagella<br />
แฟลเจลลายื่นออกมารอบ ๆ เซลล์ของแบคทีเรีย<br />
พบใน Salmonella typhosa<br />
Proteus vulgaris<br />
ที่มา (Prescott, Harley and Klein, 2005, p. 63)
polar flagella<br />
เป็ นแฟลเจลลาที่ยื่นออกมาจากปลายเซลล์<br />
ยื่นออกมาเพียง 1 เส้น ที่ปลายด้านใดด้านหนึ ่งของเซลล์ : monotrichous<br />
เช่น Vibrio cholerae ท าให้เกิดโรคอหิวาตกโรค<br />
ที่มา (Prescott, Harley and Klein, 2005, p. 29 และ 63)
amphitrichous flagella<br />
ยื่นออกมามากกว่า 1 เส้น ที่ปลายทั ้งสองข้างของเซลล์<br />
พบใน Chromatium okenii<br />
ที่มา (Prescott, Harley and Klein, 2005, p. 29 และ 63)
lophotrichous flagella<br />
ยื่นออกมามากกว่า 1 เส้น ที่ปลายข้างใดข้างหนึ ่งของเซลล์<br />
พบ Pseudomonas marginalis<br />
ที่มา (Prescott, Harley and Klein, 2005, p. 29 และ 63)
ผนังเซลล์<br />
• ช่วยให้แบคทีเรียคงรูปร่างเป็ นแท่ง กลม หรือเกลียว<br />
• ช่วยป้ องกันเซลล์จาก osmotic pressure<br />
• เป็ นที่ยึดเกาะของแฟลเจลลา<br />
• เป็ นต าแหน่งที่ bacteriophage ส่วนใหญ่มาเกาะเพื่อน า<br />
สารพันธุกรรมเข้าสู ่เซลล์แบคทีเรีย<br />
• มีคุณสมบัติเป็ น somatic antigen
องค์ประกอบทางเคมีของผนังเซลล์<br />
มีสารในกลุ่มของโปรตีน และโพลีแซคคาไรด์ เป็ นโครงสร้างหลัก<br />
กรดแอมิโนหลายชนิด<br />
น ้าตาลสองชนิด<br />
Lysine<br />
Alanine<br />
Glycine<br />
Glutamic acid<br />
N-acetylglucosamine, NAG<br />
N-actylmuramic acid, NAM<br />
ปริมาณและชนิดของกรดแอมิโนแตกต่างกัน<br />
ตามชนิดของแบคทีเรีย
ความแข็งแรงของผนังเซลล์เกิดจาก peptidoglycan<br />
ประกอบด้วย NAG และ NAM เรียงสลับกันเป็ นสายยาว<br />
มีกรดแอมิโนเกาะอยู ่<br />
ท าพันธะเพบไทด์กับกรดแอมิโนที่เกาะอยู ่กับ NAM อีกโมเลกุลหนึ ่ง<br />
เพปไทด์บริดจ์
(NAM)<br />
(NAG)<br />
สายเพนตะเพปไทด์<br />
(กรดแอมิโน)<br />
สายเพนตะ<br />
เพปไทด์<br />
เพปไทด์อินเตอร์บริดจ์<br />
สายเพนตะ<br />
เพปไทด์<br />
เพปทิโดไกลแคน<br />
สายไกลแคน<br />
ที่มา (Nester, Anderson, Roberts and Nester, 2007, p.62)
ซูการ์แบคโบน<br />
โครงสร้างของเพปทิโดไกลแคน<br />
กรดอะมิโน<br />
สะพานเพปไทด์<br />
ที่มา (Nester, Anderson, Roberts and Nester, 2007, p.62)
G+ cell wall<br />
พบชั ้นอื่นที่ประกอบด้วย<br />
lipoprotein<br />
lipopolysaccharide<br />
teichoic acid<br />
G- cell wall<br />
มี peptidoglycan 5-20% เท่านั ้น<br />
ที่เหลือประกอบด้วย lipoprotein<br />
lipopolysaccaride<br />
มี diaminopimilic acid แทนต าแหน่ง lysine<br />
มีจ านวนเพปไทด์บริดจ์ยังมีน้อยกว่า G+
NAG<br />
NAM<br />
G+ cell wall<br />
เพปทิโดไกลแคน<br />
ไซโทพลาสมิก<br />
เมมเบรน<br />
โปรตีนขนส่ง<br />
ที่มา (Nester, Anderson, Roberts and Nester, 2007, p.63)
โปรตีนพอริน<br />
G- cell wall<br />
ลิโพพอลิแซ็กคาไรด์<br />
เมมเบรนชั ้นนอก<br />
ลิโพโปรตีน<br />
เพปทิโดไกลแคน<br />
เพอริพลาสซึม<br />
ไซโทพลาสมิก<br />
เมมเบรน<br />
โปรตีนขนส่ง<br />
ที่มา (Nester, Anderson, Roberts and Nester, 2007, p.64)
pilus<br />
G- G+<br />
outer<br />
membrane<br />
pilus<br />
flagella<br />
peptidoglycan<br />
cytoplasm<br />
flagella<br />
DNA<br />
ribosome<br />
cell wall cell membrane cell membrane cell wall<br />
ที่มา (http://silverfalls.k12.or.us/staff/read_shari/chapter_24_AB.htm, 2007)
ความแตกต่างของผนังเซลล์ G+ และ G- (ต่อ)<br />
G + G -<br />
เซลล์ติดสีย้อม ม่วง แดง<br />
จีนัสของแบคทีเรีย<br />
Bacillus<br />
Staphylococcus<br />
Streptococcus<br />
Escherichia<br />
Neisseria<br />
Pseudomonas
ความแตกต่างของผนังเซลล์ G+ และ G- (ต่อ)<br />
องค์ประกอบของผนังเซลล์ G+ G-<br />
เพปทิโดไกลแคน G + มี peptidoglycan หนา >90% และมีกรดไทโคอิก<br />
บาง<br />
กรดไทโชอิค แต่มีจ านวนชนิดของกรดแอมิโนน้อยกว่า มี ไม่มี G-<br />
เพอริพลาสซึม ไม่มี มี<br />
เมมเบรนชั ้นนอก ไม่มี มี<br />
ลิโพโพลิแซคาไรด์ ไม่มี มี<br />
โปรตีนพอรีน (porin) ไม่มี มี
ความแตกต่างของผนังเซลล์ G+ และ G- (ต่อ)<br />
องค์ประกอบของผนังเซลล์ G+ G-<br />
เพปทิโดไกลแคน หนา บาง<br />
กรดไทโชอิค มี ไม่มี<br />
เพอริพลาสซึม ไม่มี มี<br />
เมมเบรนชั ้นนอก ไม่มี มี<br />
ลิโพโพลิแซคาไรด์ ไม่มี มี<br />
โปรตีนพอรีน (porin) ไม่มี มี
ความแตกต่างของผนังเซลล์ G+ และ G- (ต่อ)<br />
องค์ประกอบของผนังเซลล์ G+ G-<br />
เพปทิโดไกลแคน หนา บาง<br />
กรดไทโชอิค มี ไม่มี<br />
เพอริพลาสซึม ไม่มี มี<br />
เมมเบรนชั ้นนอก ไม่มี มี<br />
ลิโพโพลิแซคาไรด์ ไม่มี มี<br />
โปรตีนพอรีน (porin) ไม่มี มี
ความแตกต่างของผนังเซลล์ G+ และ G- (ต่อ)<br />
องค์ประกอบของผนังเซลล์ G+ G-<br />
เพปทิโดไกลแคน หนา บาง<br />
กรดไทโชอิค มี ไม่มี<br />
เพอริพลาสซึม ไม่มี มี<br />
เมมเบรนชั ้นนอก G – มี outer membrane ไม่มี ล้อมรอบเพปทิโดไกลแคน<br />
มี<br />
ลิโพโพลิแซคาไรด์ ไม่มี มี<br />
โปรตีนพอรีน (porin) ไม่มี มี
ป้ องกันไม่ให้เอนไซม์ที่จ าเป็ นต่อการเจริญของ CW ออกจากช่องว่าง (periplasmic space)<br />
ป้ องกันสารเคมีและเอนไซม์จากภายนอกไม่ให้เข้าไปท าลายเซลล์<br />
ถูกท าลาย lysozyme ได้ยากกว่าของG +<br />
outer membrane ของ G- cell wall<br />
มีปริมาณไขมันมากกว่า ท าให้มีสมบัติเป็ น O antigen และ endotoxin<br />
ป้ องกันไม่ให้ถูกย่อยด้วยเอนไซม์บางชนิด
ความแตกต่างของผนังเซลล์ G+ และ G- (ต่อ)<br />
องค์ประกอบของผนังเซลล์ G+ G-<br />
เพปทิโดไกลแคน หนา บาง<br />
กรดไทโชอิค มี ไม่มี<br />
เพอริพลาสซึม ไม่มี มี<br />
เมมเบรนชั ้นนอก ช่วยป้ องกันการถูก ไม่มี phagocytosis มี<br />
ลิโพโพลิแซคาไรด์ ไม่มี มี<br />
โปรตีนพอรีน (porin) ไม่มี มี
ความแตกต่างของผนังเซลล์ G+ และ G- (ต่อ)<br />
องค์ประกอบของผนังเซลล์ G+ G-<br />
เพปทิโดไกลแคน หนา บาง<br />
กรดไทโชอิค มี ไม่มี<br />
เพอริพลาสซึม ไม่มี มี<br />
เมมเบรนชั ้นนอก ไม่มี มี<br />
ลิโพโพลิแซคาไรด์ ไม่มี มี<br />
โปรตีนพอรีน (porin) ไม่มี มี
ความแตกต่างของผนังเซลล์ G+ และ G- (ต่อ)<br />
คุณสมบัติพื้นฐาน G+ G-<br />
การตอบสนองต่อเพนนิซิลิน ค่อนข้างไว ค่อนข้างช้า<br />
การตอบสนองต่อไลโซไซม ตอบสนอง ไม่ตอบสนองหาก<br />
ไม่ใช้ร่วมกับ<br />
EDTA<br />
รูปร่างที่เกิดจากการก าจัด<br />
เพปทิโดไกลแคน<br />
โพรโทพลาสต์<br />
สเฟี ยโรพลาสต์<br />
ที่มา (Nester, Anderson, Roberts and Nester, 2007, p.61)
เยื่อหุ ้มเซลล์<br />
อยู ่ถัดจาก cw และห่อหุ้มไซโทพลาซึมไว้<br />
มีลักษณะเป็ นเยื่อบาง ๆ<br />
ประกอบด้วย 20-30% phospholipid และ 60-70% protein<br />
ควบคุมการผ่านเข้าออกของสารต่าง ๆ
โครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์<br />
ประกอบด้วยฟอสโฟลิปิ ด 2 ชั ้น<br />
มีโปรตีนแก่น หรือโปรตีนฝังใน (integral protein) :<br />
แทรกอยู ่ระหว่างชั ้นของฟอสโฟลิปิ ด<br />
มีโปรตีนรอบนอก หรือโปรตีนผิว (peripheral protein) :<br />
เกาะอยู ่ด้านนอกของ ฟอสโฟลิปิ ดแบบหลวม ๆ<br />
สามารถเคลื่อนไหลไปมาได้ เรียกลักษณะแบบนี ้ว่า fluid mosaic model<br />
แปรผันกับอุณหภูมิและสัดส่วนของกรดไขมันไม่อิ่มตัวที่อยู ่ในฟอสโฟลิปิ ด
โปรตีนขนส่ง<br />
ฟอสโฟลิปิ ด<br />
ชั ้นฟอสโฟลิปิ ด<br />
ส่วนที่ชอบน ้า<br />
ส่วนที่ไม่ชอบน ้า<br />
หันส่วนที่ชอบน ้าออกด้านนอก<br />
ส่วนที่ไม่ชอบน ้าจะเรียงตัวอยู ่ภายใน<br />
ที่มา (Nester, Anderson, Roberts and Nester, 2007, p. 57)
ไซโทพลาซึม<br />
ส่วนที่อยู ่ถัดจากเยื่อหุ้มเซลล์เข้ามาภายในเซลล์<br />
ลักษณะเป็ นของเหลวที่ประกอบด้วยสารประกอบหลายชนิดรวมกัน<br />
มีไรโบโซม และโครมาทินอยู ่ภายในอีกด้วย
ibosome<br />
มีลักษณะกลม ไม่มีเยื่อหุ้ม ขนาดเล็กมาก<br />
ประกอบด้วย40% protein และ 60% RNA<br />
เกี่ยวข้องกับการสังเคราะห์โปรตีนชนิดต่าง ๆ<br />
มีขนาด 70S ประกอบด้วย 2 หน่วยย่อย<br />
หน่วยย่อยใหญ่ 50S<br />
หน่วยย่อยเล็กขนาด 30 S
70S<br />
30S<br />
50S+30S<br />
50S<br />
ที่มา (Nester, Anderson, Roberts and Nester, 2007, p. 70)
Ribosome<br />
mRNA<br />
Polypeptide chain
nucleoid<br />
สารพันธุกรรมของแบคทีเรีย<br />
กระจายตัวอยู ่ภายในไซโทพลาสซึม (ไม่มีเยื่อหุ้มเหมือนในยูแคริโอต)<br />
มีลักษณะขดเป็ นวงกลม แบบ double helix<br />
แบคทีเรียบางชนิดอาจมีสารพันธุกรรมพิเศษ<br />
ลักษณะเป็ นวงกลมของดีเอ็นเอที่พันกันเป็ นเกลียวคู่อยู ่นอกโครโมโซม<br />
เรียกว่า plasmid หรือดีเอ็นเอนอกโครโมโซม extrachromosomal DNA
ดีเอ็นเอ<br />
เยื่อหุ ้มเซลล์<br />
เซลล์ที่แตก
ความแตกต่างของพลาสมิดและดีเอ็นเอของเซลล์<br />
มีขนาดเล็กกว่าดีเอ็นเอของเซลล์มาก<br />
จ าลองตัวเองได้อย่างอิสระ โดยไม่ขึ ้นกับการแบ่งเซลล์<br />
บางชนิดสามารถแทรกเข้าไปในดีเอ็นเอของเซลล์และจ าลองตัวเอง<br />
พร้อม ๆ กับดีเอ็นเอของเซลล์ได้ เรียกว่า episome<br />
น าข้อมูลทางพันธุกรรมที่เกี่ยวกับ<br />
การดื ้อยา<br />
การสร้างสารพิษต่อแบคทีเรียอื่น<br />
การสร้างสารที่รุนแรงต่อ host<br />
การสืบพันธุ์แบบอาศัยเพศ
ที่มา (Madigan, Martinko and Parker, 1997, p. 329)
granules<br />
แบคทีเรียบางชนิดสามารถส ารองอาหารไว้ภายในเซลล์ในรูปของแกรนูลส์<br />
มักพบในรูปของแป้ ง glycogen, poly--hydroxibutyrate และ volutin<br />
ชนิดของแกรนูลส์มีความจ าเพาะต่อชนิดหรือสปี ชีส์ของแบคทีเรีย<br />
ซัลเฟอร์แกรนูลส์ที่สะสมภายใน<br />
เซลล์ของ Chromatium vinosum<br />
ที่มา (Prescott, Harley and Klein, 2005, p. 50)
colony<br />
มีความแตกต่างกันหลายแบบ<br />
แบคทีเรียชนิดเดียวกันจะมีลักษณะโคโลนีเหมือนกัน<br />
ถือเป็ นส่วนหนึ ่งที่ใช้ในการจัดจ าแนกแบคทีเรีย<br />
Chromobacterium violaceum<br />
Serratia marcescens<br />
http://www2.cedarcrest.edu/academic/bio/hale/MERC.html, 2007<br />
http://www.britannica.com/eb/art/print?id=96593&articleTypeId= 0,2007
รูปร่างของโคโลนี<br />
ระดับความนูนของโคโลนี<br />
ขอบของโคโลนี<br />
กลม ไม่แน่นอน เส้นแขนงรากไม้ เส้นใยฝอย<br />
นูน โค้งนูน แบนราบ นูนตรงกลาง บุ ๋มตรงกลาง<br />
ขอบเรียบ หยักเป็ นลอน เส้นใย หยักเป็ นคลื่น หยักเป็ นจักร
บางชนิดยังสามารถสร้างสีหรือรงควัตถุได้<br />
รงควัตถุที่สร้างขึ ้นไม่ละลายน ้า : โคโลนีเกิดเป็ นสีต่าง ๆ<br />
รงควัตถุที่สร้างละลายน ้าได้ : สีจะละลายและแพร่เข้าสู ่อาหารเลี ้ยงเชื ้อวุ้น<br />
ลักษณะการเรืองแสง<br />
Pseudomonas<br />
aeruginosa ภายใต้แสง<br />
อัลตราไวโอเลต<br />
ที่มา (Prescott, Harley and Klein, 2005, p. 490)
ความหนืดของโคโลนี<br />
ตรวจสอบได้โดยใช้เข็มเขี่ยแตะที่โคโลนีของแบคทีเรียแล้วยกขึ ้น<br />
สังเกตการติดเข็มเขี่ยของเชื ้อ<br />
หนืดคล้ายเนยเหลว (butyrous)<br />
บางชนิดหนืดมาก (viscous)<br />
บางชนิดเป็ นสาย (stringy)<br />
เป็ นยาง (rubbery)<br />
มีความแห้งมาก เปราะ และเป็ นผง<br />
สังเกตความขุ ่นของโคโลนีว่าทึบหรือโปร่งแสง<br />
ที่มา (Nester, Anderson, Roberts and Nester, 2007, p.54)
การสังเกตโคโลนีแบคทีเรียในอาหารแข็งผิวหน้าเอียง<br />
ก ข ค ง จ ฉ<br />
ก. filiform เจริญสม ่าเสมอตามรอยขีด<br />
ข. arborescent เจริญแตกกิ่งก้าน คล้ายต้นไม้<br />
ค. beaded เจริญไม่สม ่าเสมอ แยกกระจายออกตามแนวที่ขีดเชื ้อ<br />
ง. effuse เจริญน้อย บาง และกระจัดกระจาย<br />
จ. rhizoid เจริญคล้ายรากไม้<br />
ฉ. echinulate เจริญมีรอยหยักที่ขอบคล้ายฟันเลื่อย<br />
ที่มา (ดัดแปลงจาก Johnson and Case, 2004, p.77)
ค าถามท้ายบท<br />
1.จากภาพ จงเติมออร์แกเนลล์ให้ถูกต้อง<br />
ก ข ค ง<br />
ญ<br />
จ<br />
ฌ ซ ช ฉ
ค าถามท้ายบท (ต่อ)<br />
2. จงยกตัวอย่างรูปร่าง และการจัดเรียงตัวของแบคทีเรียมา 3 แบบ<br />
3. จงอธิบายวิธีการวัดขนาดของแบคทีเรียมาพอเข้าใจ<br />
4. จงอธิบายความแตกต่างของผนังเซลล์แบคทีเรียแกรมบวก และลบ<br />
5. จงอธิบายลักษณะโครงสร้างของเยื่อหุ้มเซลล์ของแบคทีเรีย<br />
6. แฟลเจลลาของแบคทีเรียมีกี่ชนิด อธิบาย<br />
7. จงอธิบายความแตกต่างระหว่างพลาสมิดและดีเอ็นเอของเซลล์แบคทีเรีย
<strong>จุลชีววิทยา</strong><br />
<strong>Microbiology</strong><br />
อ. ศิริรัตน์ ศิริพรวิศาล