สà¹à¸²à¸™à¸±à¸à¸‡à¸²à¸™à¸«à¸¥à¸±à¸à¸›à¸£à¸°à¸à¸±à¸™à¸ªà¸¸à¸‚ภาพà¹à¸«ïœŠà¸‡à¸Šà¸²à¸•à¸´
สà¹à¸²à¸™à¸±à¸à¸‡à¸²à¸™à¸«à¸¥à¸±à¸à¸›à¸£à¸°à¸à¸±à¸™à¸ªà¸¸à¸‚ภาพà¹à¸«ïœŠà¸‡à¸Šà¸²à¸•à¸´
สà¹à¸²à¸™à¸±à¸à¸‡à¸²à¸™à¸«à¸¥à¸±à¸à¸›à¸£à¸°à¸à¸±à¸™à¸ªà¸¸à¸‚ภาพà¹à¸«ïœŠà¸‡à¸Šà¸²à¸•à¸´
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
Thai DRGs version 4.0<br />
ค�าของ CCL สําหรับแต�ละรหัสนั้น<br />
นอกจากจะขึ้นกับตัวมันเองแล�ว<br />
ยังขึ้นอยู�กับ<br />
DC ด�วย SDx ที่เป�น<br />
CC รหัสหนึ่ง<br />
ในผู�ป�วยที่จัดเป�น<br />
DC หนึ่งอาจมีค�า<br />
CCL เป�น 4 แต�เมื่ออยู�ในผู�ป�วยอีกรายหนึ่งที่จัดเป�น<br />
DC อื่น<br />
อาจ<br />
มีค�า CCL เป�น 1 ก็ได� ดังนั้นในการหา<br />
CCL จะต�องรู�ว�า<br />
ผู�ป�วยรายนั้นจัดเป�น<br />
DC ใดด�วย เมื่อรู�<br />
DC แล�วให�นําไปหา<br />
ค�า DCCol โดยใช� DC Column table ( Appendix F2 ) และนํารหัส CC ไปหาค�า CCRow โดยใช� CC Row table<br />
(Appendix F3) จากนั้นใช�<br />
DCCol และ CCRow หาค�า CCL โดยใช� CCL matrix (Appendix F4)<br />
118<br />
สรุปขั้นตอนในการหา<br />
CCL มีดังนี้<br />
1. หา DC นํา DC นี้ไปหา<br />
DCCol โดยใช� Appendix F2 ( DC Column table )<br />
2. นํา SDx ที่ไม�ได�ใช�ในการจัด<br />
DC ไปตรวจสอบกับ Appendix F5 (CC and Exclusion List)<br />
- ถ�า SDx นั้นไม�อยู�ใน<br />
CC List แสดงว�าไม�เป�น CC ดังนั้น<br />
CCL = 0<br />
- ถ�า SDx นั้นอยู�ใน<br />
CC List ต�องตรวจสอบว�า PDx อยู�ใน<br />
Exclusion List หรือไม�<br />
� ถ�า PDx อยู�ใน<br />
Exclusion List แสดงว�าไม�เป�น CC ดังนั้น<br />
CCL = 0<br />
� ถ�า PDx ไม�อยู�ใน<br />
Exclusion List แสดงว�าเป�น CC ดําเนินการต�อตามข�อ 3<br />
3. นํา SDx ที่เป�น<br />
CC ตามข�อ 2 ไปหา CCRow โดยใช� Appendix F3 ( CC Row Table )<br />
4. นํา CCRow ( จากข�อ 3 ) และ DCCol ( จากข�อ 1 ) ไปหาค�า CCL โดยใช� Appendix F4<br />
( CCL Matrix )<br />
5. ทําซ้ําตามข�อ<br />
2 ถึง 4 จนได�ค�า CCL สําหรับ SDx ทุกตัว<br />
เมื่อได�<br />
CCL สําหรับแต�ละ SDx แล�ว ดําเนินการเพื่อหา<br />
PCCL ต�อไปดังนี้<br />
1. นํา SDx มาจัดเรียงใหม�จากรหัสที่มีค�า<br />
CCL มากสุดไปน�อยสุด<br />
2. ตัด SDx ที่สัมพันธ�ใกล�ชิดกันออก<br />
โดยใช� Appendix F5 (CC and Exclusion List) เริ่มจาก<br />
SDx<br />
รหัสแรกที่มีค�า<br />
CCL สูงสุดเป�นตัวตั้ง<br />
ทําเสมือน SDx นี้เป�น<br />
PDx แล�วนํา SDx ที่เหลือทุกรหัสที่มี<br />
CCL มากกว�า 0 ไปตรวจสอบว�า มี SDx รหัสแรกอยู�ใน<br />
Exclusion List หรือไม� SDx ที่อยู�ถัด<br />
ๆ ไป<br />
รหัสใดที่มี<br />
SDx รหัสแรกอยู�ใน<br />
Exclusion List ให�เปลี่ยน<br />
CCL เป�น 0<br />
3. ดําเนินการตามข�อ 2 โดยใช� SDx ที่เหลือที่มีค�า<br />
CCL สูงสุดและมากกว�า 0 เป�นตัวตั้ง<br />
ทํา<br />
ลักษณะเดียวกับข�อ 2 จนครบ SDx ทุกรหัสที่มี<br />
CCL มากกว�า 1 การดําเนินการโดยตัด SDx ที่<br />
สัมพันธ�ใกล�ชิดดังข�อ 2 นี้เรียกว�า<br />
Recursive Exclusion Process<br />
4. นํา SDx ที่มี<br />
CCL มากกว�า 1 ไปหา PCCL โดยใช�สูตร หรือ Appendix F1 ดังที่กล�าวมาแล�ว