Chapter 5 Managerial Competency Managerial Competency
Chapter 5 Managerial Competency Managerial Competency
Chapter 5 Managerial Competency Managerial Competency
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
<strong>Chapter</strong> 5<br />
<strong>Managerial</strong> <strong>Competency</strong><br />
นํามาจากบทความของคุณ สุกัญญา รัศมีธรรมโชติ<br />
ผศ.ดร. พนม เพชรจตุพร<br />
ดร. ทวิกา ตั งประภา<br />
มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีมหานคร<br />
1
เราเดินกันมาถึงไหนแล้ว !
ทีผ่านมาเราได้ Organizational core competencies และ Employee core<br />
competencies และ Function <strong>Competency</strong> แล้ว<br />
Organizational core<br />
competencies<br />
Employee core competencies
Function <strong>Competency</strong><br />
Function <strong>Competency</strong><br />
Common <strong>Competency</strong><br />
Job A Job B Job C<br />
Job M Job N Job P<br />
Function <strong>Competency</strong><br />
(ของแต่ละตําแหน่งงานในแผนกหนึ ง ๆ )<br />
Common <strong>Competency</strong><br />
+<br />
Job <strong>Competency</strong>
Theory of the Business …… Peter F. Drucker<br />
หลักการของธุรกิจ<br />
(Theory of the Business)<br />
(แทนทีจะเป็ นเรืองของสัญชาตญาณ หลักการของธุรกิจต้องเข้าใจได้ ง่าย ชัดเจน มัน<br />
ต้องแสดงลักษณะของการประกอบการทีประสบความสําเร็จอย่างแท้จริง)<br />
หลักการทางธุรกิจมี 3 ส่วนด้วยกัน ส่วนแรก เป็ นการตั งสมมติฐานเกียวกับ<br />
สภาพแวดล้อมขององค์กร อันได้แก่ โครงสร้างและสังคม การตลาด ลูกค้า และ<br />
เทคโนโลยี การตั งสมมติฐานแบบนี เป็ นการกําหนดว่าองค์กรใช้จ่ายไปเพือ<br />
อะไรบ้าง
ส่วนทีสอง เป็ นการตั งสมมติฐานเกียวกับ พันธกิจขององค์กรทีเฉพาะเจาะจง การ<br />
ตั งสมมติฐานเกียวกับพันธกิจเป็ นการกําหนดว่า องค์กรพิจารณาอะไรว่าเป็ นผลลัพธ์<br />
ทีมีความหมายต่อองค์กร มันเป็ นการชี ให้เห็นว่ามันมองตัวมันอย่างไรในการทําสิ งที<br />
แตกต่างจากผู้อืนในภาพใหญ่ทางเศรษฐกิจและสังคม<br />
ส่วนทีสาม เป็ นการตั งสมมติฐานเกียวกับสมรรถนะหลักต่าง ๆ (Core competencies)<br />
ทีต้องมีเพือบรรลุพันธกิจขององค์กรทีกําหนดไว้แล้ว สมรรถนะหลักขององค์กรเป็ น<br />
การกําหนดว่า พื นทีไหนทีองค์กรต้องทําได้เก่งกว่าผู้อืนเพือรักษาความเป็ นผู้นํา<br />
เอาไว้
ทุก ๆ คนทีเป็ นนักพัฒนาธุรกิจทีมีชือเสียงทีเรารู้จัก ตั งแต่ Medici ผู้ก่อตั งธนาคาร<br />
อังกฤษจนถึง Thomas Watson ของ IBM พวกเขาต้องมีความคิดทีชัดเจน มี<br />
หลักการทางธุรกิจทีแจ่มชัดอันแสดงถึงการตัดสินใจและการดําเนินการของพวก<br />
เขา แทนทีจะเป็ นเรืองของสัญชาตญาณ หลักการของธุรกิจต้องเข้าใจได้ง่าย<br />
ชัดเจน มันต้องแสดงลักษณะของการประกอบการทีประสบความสําเร็จอย่าง<br />
แท้จริง<br />
คนทีสร้างองค์กรขึ นมาต้องมั นใจว่า องค์กรจะต้องยืนหยัดและเติบโตไปอย่าง<br />
ยาวนานแม้ว่าเขาจะออกไปจากองค์กรนั นแล้วก็ตาม
ตัวต่อไปก็คือ <strong>Managerial</strong> <strong>Competency</strong><br />
ในความคิดของท่าน ท่านคิดว่าพนักงานทีทํางานในตําแหน่ง “ผู้จัดการ” หรือ<br />
Manager ต้องทํางานอะไรบ้าง ทั งนี เพราะตําแหน่ง “ผู้จัดการ” ในแต่ละองค์การ<br />
อาจมีหน้าทีความรับผิดชอบและ “งาน” ทีทํา “แตกต่างกัน” ขึ นอยู ่กับลักษณะของ<br />
ธุรกิจและวัฒนธรรมขององค์การ<br />
การกําหนด <strong>Competency</strong> จําเป็ นต้องเริมจากการพิจารณาว่า “งานอะไร” คือสิ งที<br />
พนักงานในตําแหน่ง “ผู้จัดการ” ต้องทํา ในทางทฤษฎีการบริหาร ผู้ทีทํางานใน<br />
ตําแหน่ง “ผู้จัดการ” หรือ Manager จะต้องมีหน้าทีพื นฐานของการบริหารจัดการ<br />
(Basic <strong>Managerial</strong> Functions) อย่างน้อย 4 ประการดังนี คือ
การวางแผน (Planning )<br />
การจัดระบบ (Organizing)<br />
การบังคับบัญชา (Leading)<br />
การควบคุม (Controlling)<br />
“ผู้จัดการ” หรือ Manager หมายถึง ผู ้ทีทําหน้าทีวางแผน (Plan) จัดระบบ<br />
(Organize) กําหนด (Direct) และควบคุม (Control) การใช้ทรัพยากรต่างๆ เช่น<br />
ทรัพยากรบุคคล วัสดุ-อุปกรณ์ การเงิน และข้อมูลสารสนเทศต่างๆ เพือทําให้<br />
องค์การบรรลุเป้ าหมาย
<strong>Competency</strong> for Manager<br />
จากการศึกษาและวิจัยของ Don Hellriegel, Susan E. Jackson และ John W.<br />
Slocum, Jr. พบว่า ผู้ทีทํางานในตําแหน่ง “ผู้จัดการ” และมีขอบเขตความรับผิดชอบ<br />
ตามคํานิยามข้างต้นนั น ควรจะมี Six Key <strong>Managerial</strong> Competencies หรือ<br />
<strong>Competency</strong> หลักของผู<br />
้บริหาร 6 ประการ คือ<br />
1) Communication <strong>Competency</strong> (ความสามารถในการสือสาร)<br />
Formal Communication (การสือสารทีเป็ นทางการ)<br />
Informal Communication (การสือสารทีไม่เป็ นทางการ)<br />
Negotiation (การเจรจาต่อรอง)
2) Planning and Administration <strong>Competency</strong> (ความสามารถในการวางแผน<br />
และการบริหารจัดการ)<br />
Information Gathering, Analysis and Problem Solving (การรวบรวมและ<br />
วิเคราะห์ข้อมูล รวมทั<br />
งการแก้ปัญหา)<br />
Planning and Organizing Projects (การวางแผนและบริหารโครงการ)<br />
Time Management (การบริหารเวลา)<br />
Budgeting and Financial Managements (การบริหารการเงินและ<br />
งบประมาณ)
3) Teamwork <strong>Competency</strong> (ความสามารถในการทํางานเป็ นทีม)<br />
Designing Teams (การสร้างทีมงาน)<br />
Creating a Supportive Environment (การสร้างบรรยากาศในการทํางานทีเกื อกูลกัน)<br />
Managing Team Dynamics (การบริหารการเปลียนแปลงของทีมงาน)<br />
4) Strategic <strong>Competency</strong> (ความสามารถเชิงกลยุทธ์)<br />
Understanding the Industry (ความเข้าใจในธุรกิจ)<br />
Understanding the Organization (ความเข้าใจในองค์การ)<br />
Taking Strategic Actions (การดําเนินกลยุทธ์)
5) Global Awareness <strong>Competency</strong> (ความสามารถในการรับรู ้เรืองระหว่าง<br />
ประเทศ)<br />
Cultural Knowledge and Understanding (ความรู้และความเข้าใจวัฒนธรรมที<br />
หลากหลาย)<br />
Cultural Openness and Sensitivity (ความเปิ ดกว้างและความไวในการรับรู้<br />
วัฒนธรรมอืน)
6) Self-Management <strong>Competency</strong> (ความสามารถในการควบคุมตนเอง)<br />
Integrity and Ethical Conduct (ความซือสัตย์และมีจริยธรรม)<br />
Personal Drive and Resilience (แรงขับส่วนตัวและการตั งสติ)<br />
Balancing Work and Life Demands (การสร้างความสมดุลระหว่างงานกับ<br />
ชีวิตส่วนตัว)<br />
Self-Awareness and Development (ความเข้าใจในตนเองและการพัฒนา<br />
ตนเอง)
จะเห็นได้ว่า <strong>Competency</strong> แต่ละตัวยังประกอบด้วย Competencies ย่อย หรือที<br />
เรียกว่า Supporting Competencies อีกหลายตัวทีเดียว เพือสนับสนุนให้<br />
<strong>Competency</strong> หลักแต่ละตัว มีประสิทธิภาพและประสิทธิผลครบทุกด้านตามที<br />
องค์การทั<br />
วไปต้องการ
ลองมาดูรายละเอียดกัน...<br />
1. Communication <strong>Competency</strong> (ความสามารถในการสือสาร)<br />
Communication <strong>Competency</strong> คือ ความสามารถในการถ่ายทอดและแลกเปลียน<br />
ข้อมูลระหว่างท่านกับผู้อืนอย่างมีประสิทธิภาพ กล่าวคือ ท่านสามารถทําให้ “ผู้รับ<br />
สาร” หรือผู้ทีท่านกําลังสือสารอยู<br />
่ด้วยนั<br />
น “เข้าใจ” ในสิ<br />
งทีท่านกําลัง “สือสาร”<br />
Communication <strong>Competency</strong> มีความสําคัญเพราะ “ผู้บริหาร” ทํางานโดยอาศัย<br />
การทํางานของ “ผู้อืน” (Getting things done through other people) ซึ งการสือสาร<br />
ในทีนี จะหมายรวมถึง<br />
การสือสารทีเป็ นทางการ (Formal Communication)<br />
การสือสารทีไม่เป็ นทางการ (Informal Communication)<br />
การเจรจาต่อรอง (Negotiation)
การสือสารในทีนี มิได้หมายถึง “สิ งทีท่านทํากับผู้อืน” แต่หมายถึง “สิ งทีท่านทํา<br />
ร่วมกับผู้อืน” กล่าวคือ การสือสารมีลักษณะ 2 ทาง ซึ งได้แก่ “การส่งสาร” และ “การ<br />
รับสาร” ระหว่างกัน อย่างไรก็ตาม การสือสารมิได้หมายถึงเพียงแค่ “การพูด” และ<br />
“การเขียน” เท่านั<br />
น แต่ยังหมายรวมถึง “การรับฟัง” ด้วย นอกจากนี<br />
“ภาษากาย”<br />
(Body Language) ก็ถือเป็ นการสือสารอย่างหนึ<br />
งทีรวมอยู<br />
่ในหมวดนี<br />
ด้วย<br />
จากความหมายข้างต้น “การสือสาร” หรือ Communication จึงถือเป็ น “รากฐาน” ที<br />
สําคัญของ <strong>Competency</strong> อืนๆ อีก 5 ตัวของผู้บริหาร ทั งนี เพราะ “การสือสาร” เป็ น<br />
ปัจจัยสําคัญทีทําให้งานของผู้บริหารสัมฤทธิผล เพราะผู้บริหารต้องสือสารให้ผู้อืน<br />
ทราบและเข้าใจว่า “ต้องทําอะไร” (What to do) และ “ทําอย่างไร” (How to do it)
1.1 Formal Communication (การสือสารทีเป็ นทางการ) หมายถึงการแสดงออก<br />
ถึง “พฤติกรรม” (Behavioral Indicator) ดังนี <br />
แจ้งให้ผู้อืนรับทราบเหตุการณ์และกิจกรรมทีเกียวข้องกับเขา เพือให้เขาทราบ<br />
สถานการณ์ทีเป็ นปัจจุบันตลอดเวลา<br />
นําเสนอข้อมูลต่อสาธารณะด้วยรูปแบบทีจูงใจ และตอบคําถามต่างๆ ได้อย่าง<br />
เหมาะสม<br />
เขียนได้ชัดเจน ตรงประเด็น และตอบสนองวัตถุประสงค์ทีต้องการ โดยการใช้<br />
ข้อมูลต่างๆ จากระบบคอมพิวเตอร์
1.2 Informal Communication (การสือสารทีไม่เป็ นทางการ) หมายถึง<br />
“พฤติกรรม” ดังต่อไปนี <br />
สนับสนุนการสือสารแบบ 2 ทาง ด้วยการรับฟังข้อมูลย้อนกลับจากผู้อืน<br />
ใส่ใจความรู้สึกของผู้อืน<br />
สร้างสัมพันธภาพทีแน่นแฟ้ นกับผู้อืน
1.3 Negotiation (การเจจาต่อรอง) หมายถึงการแสดงออกถึง “พฤติกรรม”<br />
ดังต่อไปนี <br />
สามารถเป็ นตัวแทนของทีมในการต่อรองให้ได้ผลลัพธ์ตามเป้ าหมายทีต้องการ<br />
มีทักษะในการสร้างความสัมพันธ์กับผู้บังคับบัญชา และสามารถโน้มน้าว<br />
ผู้บังคับบัญชาให้คล้อยตามได้<br />
สามารถปฏิบัติต่อผู้ใต้บังคับบัญชาอย่างเฉียบขาดและเป็ นธรรม เมือ<br />
ผู้ใต้บังคับบัญชาคนนั นสร้างปัญหา
2. Planning and Administration <strong>Competency</strong> (ความสามารถในการวางแผนและ<br />
การบริหารจัดการ)<br />
Planning and Administration <strong>Competency</strong> เกียวข้องกับการตัดสินใจของบุคคลว่า<br />
งานหรือกิจกรรมอะไรทีจําเป็ นต้องทํา และสามารถกําหนดได้ว่า งานหรือกิจกรรม<br />
เหล่านั<br />
นจะกระทําให้สําเร็จได้ด้วยวิธีใด (How they can be done) ต้องใช้ทรัพยากร<br />
อะไรบ้าง รวมทั งต้องสามารถติดตามและตรวจสอบจนมั นใจได้ว่า งานหรือกิจกรรม<br />
เหล่านั นได้กระทําจนสําเร็จลุล่วงตามเป้ าหมายทีตั งไว้<br />
โดยทั วไปเมือกล่าวถึงทักษะหรือความสามารถของพนักงานทีดํารงตําแหน่ง<br />
“ผู้จัดการ” คนทั วไปมักคิดถึง ความสามารถในการวางแผนและบริหารจัดการมา<br />
ก่อนเป็ นอันดับแรก ซึ ง <strong>Competency</strong> ในด้านนี ยังประกอบด้วย <strong>Competency</strong> ย่อยที<br />
จําเป็ นอีก 4 ประการ คือ
2.1 Information Gathering, Analysis and Problem Solving (การรวบรวม<br />
และวิเคราะห์ข้อมูล รวมทั งการแก้ปัญหา) หมายถึงการแสดงออกถึง<br />
“พฤติกรรม” ดังต่อไปนี<br />
ตรวจสอบข้อมูลและนําข้อมูลทีได้มาวิเคราะห์หาสาเหตุของปัญหา และหา<br />
แนวทาง/ทางเลือกในการแก้ไขปัญหาเหล่านั น<br />
สามารถตัดสินใจได้รวดเร็วและทันเวลา<br />
กล้าเสียงอย่างมีเหตุผล และสามารถคาดการณ์ผลของความเสียงนั นๆ ได้
2.2 Planning and Organizing Projects (การวางแผนและบริหารโครงการ)<br />
หมายถึง การทํางานร่วมกับผู้อืนในการกําหนดเป้ าหมาย วางแผนการจัดสรร<br />
ทรัพยากร และกําหนดระยะเวลาในการทําโครงการ ซึ งประกอบด้วยพฤติกรรม<br />
ดังต่อไปนี<br />
สามารถวางแผนและจัดตารางการทํางาน เพือให้เป้ าหมายขององค์การ<br />
บรรลุผลอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
จัดลําดับความสําคัญของงาน และมอบหมายความรับผิดชอบให้แก่บุคคลที<br />
เกียวข้อง<br />
กําหนด จัดหา และจัดระบบทรัพยากรทีจําเป็ น เพือให้สามารถทํางานได้<br />
สําเร็จ
2.3 Time Management (การบริหารเวลา) หมายถึง “พฤติกรรม” ดังต่อไปนี <br />
สามารถทํางานหลายๆ อย่างได้ดีในเวลาเดียวกัน<br />
สามารถควบคุมงานให้เสร็จตามกําหนดเวลา แม้จะเกิดการเปลียนแปลงใดๆ ก็<br />
ตาม<br />
ทํางานได้อย่างมีประสิทธิภาพภายในเวลาทีจํากัด
2.4 Budgeting and Financial Managements (การบริหารการเงินและ<br />
งบประมาณ) หมายถึง “พฤติกรรม” ดังต่อไปนี<br />
เข้าใจงบการเงิน กระแสเงินสด รายงานทางการเงิน และรายงานผล<br />
ประกอบการประจําปี และใช้ข้อมูลดังกล่าวประกอบการตัดสินใจทางธุรกิจ<br />
เก็บข้อมูลทางการเงินทีถูกต้องและสมบูรณ์<br />
กําหนดแผนการใช้จ่ายงบประมาณให้บุคคลอืน รวมทั งสามารถบริหารการใช้<br />
จ่ายงบประมาณของบุคคลอืนให้เป็ นไปตามแผนดังกล่าว
3. Teamwork <strong>Competency</strong> (ความสามารถในการทํางานเป็ นทีม)<br />
เป็ นทีทราบกันดีว่า ความสําเร็จของงานต่างๆ ในองค์การ ไม่สามารถเกิดขึ นได้<br />
จากการทํางานของบุคคลใดบุคคลหนึ งเพียงลําพัง แต่จําเป็ นต้องอาศัยความ<br />
ร่วมมือจากบุคคลต่างๆ ดังนั<br />
น การทํางานเป็ นทีมจึงเป็ นเรืองทีทุกองค์การให้<br />
ความสําคัญมากในปัจจุบัน ผู้จัดการขององค์การจึงจําเป็ นต้องมี Teamwork<br />
<strong>Competency</strong> หรือ ความสามารถในการทํางานเป็ นทีม ผู้จัดการทีมี <strong>Competency</strong><br />
ด้านนี จะสามารถปฏิบัติงานได้อย่างตรงเป้ าหมาย ซึ ง Teamwork <strong>Competency</strong><br />
ประกอบด้วย <strong>Competency</strong> ย่อย 3 ประการดังต่อไปนี
3.1 Designing Teams (การสร้างทีมงาน) ถือเป็ นขั นแรกของการทํางานทีเป็ น<br />
โครงการต่างๆ (Projects) และเป็ นหน้าทีและความรับผิดชอบของผู้จัดการ หรือ<br />
หัวหน้าทีม (Team Leader) ทีจะต้อง<br />
กําหนดเป้ าหมายทีชัดเจนทีทําให้ทีมเกิดแรงบันดาลใจในการทํางาน<br />
คัดเลือกสมาชิกของทีมทีมีคุณสมบัติทีเหมาะสม เพือให้ทีมมีความหลากหลาย<br />
ในเรืองความรู้และเทคนิคต่างๆ<br />
กําหนดหน้าทีความรับผิดชอบของทีม ตลอดจนมอบหมายงานและความ<br />
รับผิดชอบให้แก่สมาชิกแต่ละคนอย่างเหมาะสม
3.2 Creating a Supportive Environment (การสร้างบรรยากาศในการทํางานที<br />
เกือกูลกัน) ประกอบด้วย “พฤติกรรม” ดังต่อไปนี <br />
ส่งเสริมบรรยากาศการทํางานทีแสดงออกถึงการยอมรับ ยกย่องและให้รางวัล<br />
กับการทํางานเป็ นทีมอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
ช่วยทีมในการกําหนดและจัดหาทรัพยากรทีจําเป็ นต่อการบรรลุเป้ าหมายของ<br />
ทีม<br />
เป็ นพีเลี ยง ทีปรึกษา และผู้ฝึ กสอน ให้แก่สมาชิกในทีมอย่างตั งใจและอดทน
3.3 Managing Team Dynamics (การบริหารการเปลียนแปลงของทีมงาน)<br />
ประกอบด้วย “พฤติกรรม” ดังต่อไปนี<br />
เข้าใจจุดอ่อนและจุดแข็งของทีม สามารถนําจุดแข็งของสมาชิกในทีมไปใช้<br />
ในการปฏิบัติงาน<br />
เมือเกิดข้อขัดแย้งในทีม สามารถนําประเด็นความขัดแย้งนั นมาหาข้อสรุปทีดี<br />
ร่วมกันอย่างมีเหตุผล เพือเพิมศักยภาพของทีม<br />
<br />
แบ่งปันความดีความชอบ (Credit) ให้แก่สมาชิกในทีม
4. Strategic Action <strong>Competency</strong> (ความสามารถเชิงกลยุทธ์)<br />
เป็ นความเข้าใจเกียวกับภารกิจโดยรวม (Overall Mission) และค่านิยม (Values)<br />
ขององค์การ ซึ งท่านในฐานะ “ผู้จัดการ” ต้องสามารถปฏิบัติ และแนะนําให้<br />
ผู้ใต้บังคับบัญชาของท่านปฏิบัติงานให้สอดคล้องกับภารกิจและค่านิยมเหล่านั<br />
น<br />
ซึ งความสามารถดังกล่าวนี เรียกว่า ความสามารถเชิงกลยุทธ์ หรือ Strategic Action<br />
<strong>Competency</strong> ทีหมายรวมถึง
4.1 Understanding the Industry (ความเข้าใจในธุรกิจ) หมายถึง “พฤติกรรม”<br />
ดังต่อไปนี <br />
มีความเข้าใจในธุรกิจขององค์การอย่างถ่องแท้ และสามารถรับรู้การ<br />
เปลียนแปลงทีก่อให้เกิดโอกาส (Opportunities) และอุปสรรค (Threats) ทีสําคัญ<br />
ได้อย่างรวดเร็ว<br />
ทราบข้อมูลและความเคลือนไหวของคู ่แข่ง (Competitors) และหุ้นส่วนทาง<br />
กลยุทธ์ (Strategic Partners) ตลอดเวลา<br />
สามารถวิเคราะห์แนวโน้มของธุรกิจและผลทีจะเกิดขึ นในอนาคต
4.2 Understanding the Organization (ความเข้าใจในองค์การ) หมายถึง<br />
“พฤติกรรม” ดังต่อไปนี <br />
เข้าใจความต้องการของ Stakeholder<br />
เข้าใจจุดแข็งและข้อจํากัดของกลยุทธ์ทางธุรกิจต่างๆ ขององค์การ<br />
เข้าใจถึงขีดความสามารถ (<strong>Competency</strong>) ทีโดดเด่นขององค์การ
4.3 Taking Strategic Actions (การดําเนินกลยุทธ์) ได้แก่ “พฤติกรรม”<br />
ดังต่อไปนี <br />
จัดลําดับความสําคัญของงาน และตัดสินใจให้สอดคล้องกับภารกิจ (Mission)<br />
และเป้ าหมายทางกลยุทธ์ (Strategic Goal) ขององค์การ<br />
ยอมรับกลยุทธ์ใหม่ๆ และนํากลยุทธ์เหล่านั นมาสู ่การปฏิบัติ<br />
กําหนดเป้ าหมายในระดับปฏิบัติการ (Operation Goal) ทีส่งเสริมการบรรลุ<br />
เป้ าหมายของกลยุทธ์หลักขององค์การ
5. Global Awareness <strong>Competency</strong> (ความสามารถในการรับรู ้เรืองระหว่าง<br />
ประเทศ)<br />
ในปัจจุบัน กระแสโลกาภิวัตน์ทําให้การทําธุรกิจขององค์การจําเป็ นต้องใช้<br />
บุคลากรและทรัพยากรต่างๆ จากต่างประเทศมากขึ<br />
น เช่น การสั<br />
งซื<br />
อวัตถุดิบจาก<br />
ต่างประเทศ หรือการใช้เทคโนโลยีทีมาจากต่างประเทศ ฯลฯ รวมทั งการจําหน่าย<br />
สินค้าหรือการส่งออกสินค้าไปจําหน่ายยังต่างประเทศ ดังนั น ผู้บริหารขององค์การ<br />
จําเป็ นต้องมี Global Awareness <strong>Competency</strong> เพือให้องค์การสามารถปรับตัวให้<br />
สอดคล้องกับกระแสโลกาภิวัตน์<br />
Global Awareness <strong>Competency</strong> ประกอบด้วยความสามารถ 2 ประการ คือ
5.1 Cultural Knowledge and Understanding (ความรู ้และความเข้าใจ<br />
วัฒนธรรมทีหลากหลาย)<br />
รับรู้แนวโน้มทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม ตลอดจนสถานการณ์ต่างๆ<br />
ของโลก<br />
รับรู้ผลกระทบของสถานการณ์โลกทีมีต่อองค์การ<br />
สามารถใช้ภาษา (พูด อ่าน และเขียน) ได้มากกว่า 1 ภาษาอย่างคล่องแคล่ว
5.2 Cultural Openness and Sensitivity (ความเปิ ดกว้างและความไวในการรับรู ้<br />
วัฒนธรรมอืน)<br />
เข้าใจความแตกต่างด้านเชื อชาติ วัฒนธรรม ของชนชาติทีเกียวข้องกับธุรกิจ<br />
ขององค์การ และพยายามเรียนรู้ความแตกต่างเหล่านี<br />
โดยปราศจากอคติ<br />
เรียนรู้วัฒนธรรมของชาติอืนได้อย่างรวดเร็ว และสามารถปรับตัวเข้ากับ<br />
วัฒนธรรมเหล่านั นได้อย่างกลมกลืน<br />
ปรับพฤติกรรมของตนได้อย่างเหมาะสม เมือต้องติดต่อกับบุคคลทีมีเชื อชาติ<br />
และวัฒนธรรมทีแตกต่างกัน
6. Self-Management <strong>Competency</strong> (ความสามารถในการควบคุมตนเอง)<br />
ความสามารถในการควบคุมตนเอง ถือเป็ นทักษะสําคัญทีจะละเลยมิได้สําหรับผู้ที<br />
ดํารงตําแหน่ง “ผู้บริหาร” ทั งนี เพราะบ่อยครั งที “สิงทีท่านคาดหวัง อาจไม่เป็ นไป<br />
ตามทีคาดหวังไว้” “งานทีท่านตังใจจะทําให้เสร็จตามกําหนด เพือให้<br />
ผู ้บังคับบัญชาชืนชมในผลงานของท่าน อาจได้รับการตําหนิ เพราะงานออกมา<br />
ล่าช้าและคุณภาพไม่ดีเพียงพอ” และอืนๆ อีกมากมาย ความกดดันเหล่านี มักทํา<br />
ให้บุคคลมีแนวโน้มทีจะโทษ หรือกล่าวหา “ผู้อืน” หรือ “ฝ่ าย/แผนกอืน” ว่าเป็ น<br />
ต้นเหตุทีทําให้ “ท่านถูกตําหนิ” “งานนั นๆ ผิดพลาดหรือไม่เสร็จตามทีกําหนด”
ตัวอย่างเช่น ท่านทํางานไม่เสร็จและมักต้องทํางานล่วงเวลาบ่อยครั ง เพราะท่าน<br />
มักถูกรบกวนด้วยโทรศัพท์จากลูกค้า การถามคําถามจากเพือนร่วมงาน หรือ<br />
เจ้านายชอบเรียกท่านเข้าประชุมทีไร้สาระและกินเวลานาน ฯลฯ จนทําให้ท่านไม่<br />
มีเวลาและสมาธิเพียงพอทีจะทํางานของท่านตามทีตั<br />
งใจไว้ เป็ นต้น แต่หากท่าน<br />
เป็ นผู้ทีมี <strong>Competency</strong> ในด้านนี ท่านจะเป็ นผู้บริหารทีไม่ตกเข้าไปในหลุมพราง<br />
(Trap) ของความคิดดังกล่าว โดยท่านจะต้องฝึ กฝนตนเองให้มีคุณลักษณะ 4<br />
ประการดังต่อไปนี
6.1 Integrity and Ethical Conduct (ความซือสัตย์และมีจริยธรรม) ประกอบด้วย<br />
พฤติกรรม ดังต่อไปนี<br />
มีมาตรฐานส่วนตัวทีชัดเจน ทีสามารถใช้เป็ น “เกณฑ์” ในการดํารงไว้ซึ ง<br />
ความซือสัตย์และจริยธรรม<br />
“กล้า” ทีจะยอมรับความผิดพลาด<br />
<br />
มีความรับผิดชอบต่อการกระทําของตน
6.2 Personal Drive and Resilience (แรงขับส่วนตัวและการตั งสติ)<br />
พยายามตั งเป้ าหมายในการทํางาน และมีความกระตือรือร้นและแรงจูงใจใน<br />
การทํางานให้บรรลุเป้ าหมายนั น<br />
ทุ่มเทและทํางานหนักเพือให้งานสําเร็จ<br />
อดทนกับอุปสรรค และสามารถพลิกฟื นสถานการณ์เมือต้องประสบกับความ<br />
ล้มเหลว
6.3 Balancing Work and Life Issues (การสร้างความสมดุลระหว่างงานกับชีวิต<br />
ส่วนตัว)<br />
สามารถสร้างความสมดุลระหว่าง “งาน” กับ “ชีวิตส่วนตัว” ด้วยการไม่ให้<br />
ความสําคัญกับกิจกรรมด้านใดด้านหนึ<br />
งมากจนเกินไป<br />
ดูแลสุขภาพกายและใจของตนเอง ตลอดจนใช้วิธีการทีสร้างสรรค์ในการลด<br />
ความเครียดทีเกิดจากการทํางาน<br />
<br />
ตั งเป้ าหมายของตนเอง ทั งด้าน “ชีวิตงาน” และ “ชีวิตส่วนตัว”
6.4 Self-Awareness and Development (ความเข้าใจในตนเองและการพัฒนา<br />
ตนเอง)<br />
มีเป้ าหมายทั งในด้าน “ส่วนตัว” และ “อาชีพ” ทีชัดเจน<br />
ใช้จุดแข็งของตนเองให้เป็ นประโยชน์ และพยายามปรับปรุง/แก้ไข “จุดอ่อน”<br />
ของตน<br />
วิเคราะห์และสรุปบทเรียน จากประสบการณ์การทํางานและชีวิตส่วนตัว
จากทีกล่าวมาแล้ว จะเห็นว่า <strong>Managerial</strong> <strong>Competency</strong> ก็ไม่ใช่เรืองลึกลับอะไร<br />
บางแห่งอาจตัดบางตัวออกไปบ้าง แล้วใส่ <strong>Competency</strong> ทีจําเป็ นกับตําแหน่งงานที<br />
ทําในองค์กรนั น ๆ
หลุมพราง!<br />
หลุมพรางของ <strong>Competency</strong>
หลุมพรางที 1<br />
Core <strong>Competency</strong> เป็ นของใคร<br />
Core <strong>Competency</strong> เป็ นคําทีใช้เรียก <strong>Competency</strong> หลักในบริบท (Context) ทีแตกต่าง<br />
กัน Core <strong>Competency</strong> อาจเป็ นได้ทั ง <strong>Competency</strong> ขององค์การและบุคลากรใน<br />
องค์การ ซึ ง <strong>Competency</strong> ของทั งสองกลุ่มนี มีความแตกต่างกัน แต่สัมพันธ์กัน<br />
Organizational Core <strong>Competency</strong> คือ คุณลักษณะทีองค์การต้องการมีหรือเป็ น<br />
เพือให้มีขีดความสามารถตามทีผู้บริหารองค์การต้องการ เช่น ให้มีขีดความสามารถ<br />
ในการแข่งขัน มีการเติบโตอย่างต่อเนือง Core <strong>Competency</strong> ขององค์การถูกกําหนด<br />
จากการทํา SWOT Analysis เพือสะท้อนสิ งทีองค์การเป็ นอยู ่ ตามสภาพแวดล้อม<br />
ภายในและภายนอก ตัวอย่างเช่น สินค้ามีความหลากหลาย สภาพการเงินทีมั นคง<br />
นวัตกรรมในการบริหาร เป็ นองค์การแห่งการเรียนรู้ เป็ นต้น<br />
คัดลอกมาจาก “9 หลุมพรางของ <strong>Competency</strong>” โดย ผศ.ดร.จิรประภา อัครบวร โครงการบัณฑิตศึกษาการ<br />
พัฒนาทรัพยากรมนุษย์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า)
Employee Core <strong>Competency</strong> คือ คุณลักษณะทีทุกคนในองค์การพึงมี พึงเป็ น อัน<br />
จะสะท้อนค่านิยม วัฒนธรรมองค์การ วิสัยทัศน์ พันธกิจ และเสริมรับกับกลยุทธ์<br />
ขององค์การในการดําเนินกิจการ ซึ ง Core <strong>Competency</strong> ของบุคลากรนี มักถูก<br />
กําหนดจาก Organizational Core <strong>Competency</strong> ทีควรเป็ นคือ Developing Self and<br />
Others, Teamwork, Achievement Orientation เป็ นต้น<br />
ดังนั น Core <strong>Competency</strong> จึงมีสองนัยทีมีความแตกต่างกัน ตามบริบทขององค์การ<br />
หรือของบุคลากร อย่างไรก็ตาม Core <strong>Competency</strong> ทั งสองมีความสัมพันธ์กัน<br />
อย่างใกล้ชิด
หลุมพรางที 2<br />
นิยาม <strong>Competency</strong><br />
ความหมายของคําว่า <strong>Competency</strong> หากจะแบ่งกันอย่างหยาบๆ สามารถแบ่งได้ 2<br />
กลุ่มคือ British Approach และ American Approach (ดูตารางเปรียบเทียบ<br />
ความหมายของ <strong>Competency</strong>) จะเห็นได้ว่าการทําความเข้าใจเรืองนี อย่างถ่องแท้<br />
จึงเป็ นเรืองจําเป็ นอย่างยิ<br />
งสําหรับผู้ปฏิบัติงานทีเกียวข้อง เนืองจาก <strong>Competency</strong><br />
อาจหมายถึง <strong>Competency</strong> ของบุคลากรทีเป็ นมาตรฐาน หรือ <strong>Competency</strong> ของ<br />
บุคลากรทีเก่งก็ได้ ทั งสองแนวคิดมีผลต่อการนําไปปฏิบัติทีแตกต่างกัน<br />
ในประเทศไทยเองมีการรับแนวคิด <strong>Competency</strong> มาตรฐานหรือ British Approach<br />
นี มาใช้ เช่น การกําหนด <strong>Competency</strong> ตามวิชาชีพต่างๆ ของกรมพัฒนาฝี มือ<br />
แรงงาน และสภาอุตสาหกรรม ซึ งการกําหนด <strong>Competency</strong> เช่นนี มีวัตถุประสงค์<br />
หลายประการคือ
ตารางเปรียบเทียบ
1. เพือให้เกิดการรับรองความสามารถของบุคลากรในวิชาชีพนั นๆ ไม่ใช่ว่าจบ<br />
การศึกษาจากสถานศึกษาใดก็จะสรุปว่ามี <strong>Competency</strong> ตามตัว หรือใบปริญญา<br />
นั นๆ คงไม่ได้<br />
2. ใช้กําหนดค่าตอบแทนให้กับบุคลากรตาม <strong>Competency</strong> ช่วยทําให้องค์การ<br />
สามารถจูงใจบุคลากรทีดี มีความสามารถทํางานกับองค์กรได้นานๆ และ<br />
3. ใช้เพือการพัฒนาบุคลากรในวิชาชีพนั นๆ ตามระดับ <strong>Competency</strong>
<strong>Competency</strong> ในแนว American Approach มีการนําไปใช้ทีแตกต่างกัน เนืองจาก<br />
วัตถุประสงค์เพือการพัฒนาบุคลากรมากกว่าสิ งอืนใด ซึ งในทีนี การพัฒนา<br />
บุคลากรเป็ นไปในเชิงกลยุทธ์ คือพัฒนาตามแนวทางทีองค์การต้องการเป็ น ดังนั น<br />
<strong>Competency</strong> ในแนวทางนี<br />
จึงเป็ น <strong>Competency</strong> ทีไม่สามารถลอกเลียนกันได้ แต่<br />
ละองค์การต้องการบุคลากรทีมีลักษณะแตกต่างกัน เนืองจากองค์การเองก็มี<br />
<strong>Competency</strong> หรือมี Organization <strong>Competency</strong> ทีแตกต่างกัน<br />
คงเป็ นไปไม่ได้ทีวันนี เราจะสร้างหรือพัฒนาคนของสถาบันบัณฑิตพัฒนาบริหาร<br />
ศาสตร์เอง ให้เป็ นแบบคนของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ งวัฒนธรรม การบริหาร<br />
จัดการของสองมหาวิทยาลัยนี แตกต่างกัน แม้ว่าจะเป็ นองค์การทีให้บริการด้าน<br />
การศึกษาเช่นเดียวกัน แต่คุณลักษณะขององค์การทั งสอง มีความแตกต่างกันอย่าง<br />
เห็นได้ชัด ซึ งหมายถึงคนในองค์การทีต้องการความแตกต่างกันด้วย
เมือเข้าใจความหมายของ <strong>Competency</strong> เช่นนี แล้ว จะทําให้ผู้ทีต้องการใช้<br />
<strong>Competency</strong>-based HRM หยุดคิดสักนิดก่อนลงมือพัฒนา <strong>Competency</strong> ขึ นมาใน<br />
องค์การ เพราะผู้บริหารต้องตอบคําถามแรกคือ ต้องการหา <strong>Competency</strong> ไปเพือ<br />
อะไร เพือสร้างมาตรฐานคุณลักษณะงาน หรือเพือสร้างคุณลักษณะทีคาดหวังทีจะ<br />
ทําให้บุคลากรทํางานได้โดดเด่นในตําแหน่งทีดํารงอยู ่
หลุมพรางที 3<br />
หา <strong>Competency</strong> จากบุคลากร<br />
จากนิยามทีแตกต่างกันของ British Approach และ American Approach นํามาสู ่การ<br />
หา <strong>Competency</strong> ทีแตกต่างกัน<br />
หากยึดตาม British Approach การหา <strong>Competency</strong> สามารถกําหนดจากบุคลากรทั วๆ<br />
ไปทีทํางาน เพราะเป็ นการกําหนดขีดความสามารถของบุคลากรตามวิชาชีพทีทํา แต่<br />
หากยึดตาม American Approach การหา <strong>Competency</strong> ต้องเป็ นการหาจากบุคลากรที<br />
ทํางานดีทีสุดในตําแหน่งงานนั นๆ เพือนํามาเป็ นต้นแบบของการพัฒนา <strong>Competency</strong><br />
ของคนในตําแหน่งนั น<br />
จะเห็นได้ว่าการพัฒนา <strong>Competency</strong> ตามแนว American นั นเป็ นการพัฒนา<br />
<strong>Competency</strong> ตามบริบทของแต่ละองค์การโดยเฉพาะ <strong>Competency</strong> ทีใช้ได้ดีกับการ<br />
ทํางานในองค์การ หรืองานในตําแหน่งหนึ งอาจใช้ไม่ได้ในการทํางานกับอีกองค์การ<br />
หรือตําแหน่งงานอีกตําแหน่ง เช่น <strong>Competency</strong> ของคนทีทํางานเป็ นพนักงานขาย<br />
บริษัทประกันชีวิต จะต้องมี <strong>Competency</strong> แตกต่างกันกับพนักงานขายบริษัทรถยนต์
พนักงานขายประกันอาจต้องมี <strong>Competency</strong> - Product Knowledge มากเพราะข้อมูล<br />
เกียวกับกรมธรรม์เป็ นสิ งจําเป็ นต่อการตัดสินใจของลูกค้า แต่พนักงานขายรถยนต์<br />
<strong>Competency</strong> ตัวนี อาจไม่จําเป็ นเท่าไร เพราะลูกค้าส่วนใหญ่เลือกรถยนต์จากยีห้อ<br />
และรูปร่างหน้าตาของรถยนต์ แต่พนักงานขายรถยนต์ ต้องมีความเอาใจใส่ในลูกค้า<br />
อย่างมาก คือมี <strong>Competency</strong> - Customer Focus สามารถพูดคุยในเรืองทีลูกค้าสนใจ<br />
ดังนั นก่อนทีจะกําหนด <strong>Competency</strong> ตามแนว American Approach นี ต้องทําการ<br />
สังเกต และทําการสัมภาษณ์บุคลากรทีมีผลการปฏิบัติงานดีเด่นในตําแหน่งงาน<br />
ดังกล่าว จึงจะสามารถหา <strong>Competency</strong> ในตําแหน่งงานในบริบทขององค์การนั นได้<br />
ซึ งต่างจากการกําหนด <strong>Competency</strong> ตามแนว British Approach ทีสามารถหาได้จาก<br />
ผู้ปฏิบัติงานทั วๆ ไป
หลุมพรางที 4<br />
<strong>Competency</strong> Model<br />
<strong>Competency</strong> Model เป็ นการกําหนดกลุ่มของ <strong>Competency</strong> ทีจําเป็ นต้องมีใน<br />
องค์การหนึ ง การกําหนด <strong>Competency</strong> Model อาจแตกต่างกันไปตามแต่บริบทของ<br />
องค์การ เช่น บางองค์การอาจมีเพียง Core <strong>Competency</strong> เป็ น <strong>Competency</strong> ทีทุกคน<br />
ในองค์การพึงมี และ Functional <strong>Competency</strong> เป็ น <strong>Competency</strong> ทีกําหนดขึ<br />
นตาม<br />
ตําแหน่งงาน<br />
แต่ละองค์การสามารถกําหนด <strong>Competency</strong> Model แตกต่างกัน ขึ นอยู ่กับลักษณะ<br />
งานในองค์การนั นๆ เช่น Standard Charter Nakhonton Bank กําหนด <strong>Competency</strong><br />
Model ประกอบด้วย <strong>Competency</strong> 4 กลุ่มคือ Core <strong>Competency</strong>, Product<br />
<strong>Competency</strong>, Regulation <strong>Competency</strong> และ Technical <strong>Competency</strong> ส่วน TRUE<br />
แบ่ง <strong>Competency</strong> Model เป็ น 3 ส่วนคือ Core <strong>Competency</strong>, Role-Specific<br />
<strong>Competency</strong> และ Functional <strong>Competency</strong>
โครงการสร้างระบบพัฒนาบุคลากรของ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ กําหนด<br />
<strong>Competency</strong> Model ประกอบด้วย Core <strong>Competency</strong> และ Functional <strong>Competency</strong><br />
โดยแบ่ง Functional <strong>Competency</strong> ออกเป็ น 2 ส่วนคือ Professional <strong>Competency</strong><br />
(หรือ Management <strong>Competency</strong>) และ Technical <strong>Competency</strong> เนืองจากบุคลากรใน<br />
1 ตําแหน่งจะมีลักษณะงานอยู<br />
่ 2 ส่วน คือส่วนทีเป็ นการบริหารจัดการ กับส่วนทีเป็ น<br />
ความเชียวชาญในงาน<br />
การแบ่ง Functional <strong>Competency</strong> เป็ น 2 ส่วนเช่นนี จะทําให้การจัดวาง <strong>Competency</strong><br />
Profile ง่ายขึ น และการจัดการในงานทรัพยากรมนุษย์บางกรณีมีประสิทธิภาพมากขึ น<br />
เช่น งานฝึ กอบรม งานวางแผนสายอาชีพ การกําหนดค่าตอบแทน การสรรหา<br />
คัดเลือก เป็ นต้น เพราะผู้บริหารงานทรัพยากรมนุษย์สามารถให้ความสําคัญกับ<br />
<strong>Competency</strong> สองกลุ่มนี ต่างกันตามแต่กรณี
ดังนั นการกําหนด <strong>Competency</strong> Model จึงไม่มีรูปแบบทีตายตัว การกําหนดจะให้<br />
<strong>Competency</strong> Model มีองค์ประกอบอะไรบ้างนั น ขึ นกับลักษณะงานขององค์การ<br />
นั นๆ และขึ นกับความต้องการนํา <strong>Competency</strong> ไปใช้เพือวัตถุประสงค์ใด<br />
หมายเหตุ<br />
<strong>Competency</strong> ทีเราใช้เรียนกันตอนนี ก็คือ Core <strong>Competency</strong> + Function<br />
<strong>Competency</strong> + <strong>Managerial</strong> <strong>Competency</strong>
หลุมพรางที 5<br />
<strong>Competency</strong> ยิงมากยิงดี<br />
<strong>Competency</strong> ควรมีจํานวนเท่าใดในแต่ละตําแหน่งนั นเป็ นคําถามยอดนิยม เนืองจาก<br />
<strong>Competency</strong> เป็ นคุณสมบัติทีดีทั งสิน ดังนั นการพิจารณา <strong>Competency</strong> แต่ละตัว จึง<br />
สามารถนํามากําหนดเป็ น <strong>Competency</strong> ของแต่ละตําแหน่งได้เกือบทั งสิน ในทาง<br />
ปฏิบัตินั นการทีมีจํานวน <strong>Competency</strong> มากจนเกินไป สิ งทีเกิดขึ นคือ ผู้ปฏิบัติอาจ<br />
สูญเสียการให้ความสําคัญกับ <strong>Competency</strong> ทีเราต้องการให้เกิดขึ<br />
นจริงๆ หรือเป็ น<br />
<strong>Competency</strong> ทีผลักดันให้เกิดความสําเร็จในงาน<br />
Core <strong>Competency</strong> เป็ นคุณลักษณะทีต้องการให้บุคลากรทุกคนมี การกําหนดว่าเรือง<br />
ใดควรเป็ น Core <strong>Competency</strong> นอกจากจะศึกษาจากวิสัยทัศน์ พันธกิจ คุณค่า<br />
วัฒนธรรมองค์การ สัมภาษณ์ผู้บริหารแล้ว การกําหนดควรพิจารณาถึงความขาด<br />
แคลน <strong>Competency</strong> ตัวสําคัญด้วย (Gap Analysis) เพือให้ <strong>Competency</strong> ทีขาดนั น<br />
ได้รับการกําหนดเป็ น Core <strong>Competency</strong>
หลุมพรางที 6<br />
<strong>Competency</strong> ใช้กับทุกงาน HR<br />
เมือกําหนด <strong>Competency</strong> ตามตําแหน่งงานเรียบร้อยแล้ว ในทางปฏิบัติได้เห็นมีผู้<br />
นําเอา <strong>Competency</strong> ชุดเดียวกันนี ไปใช้ในงานทรัพยากรมนุษย์หลายงานด้วยกัน<br />
ซึ งการใช้ <strong>Competency</strong> ชุดเดียวกันนี ในทุกๆ งานด้านทรัพยากรมนุษย์ อาจทําให้<br />
การใช้ไม่ได้ผลเท่าทีควร เนืองจากการกําหนด <strong>Competency</strong> เพือใช้งานแต่ละเรือง<br />
นั นมีจุดมุ่งหมายในการเอาไปใช้ทีแตกต่างกัน ความยากง่ายของระดับ หรือ<br />
จํานวน <strong>Competency</strong> ทีนําไปใช้งานก็ไม่น่าจะเป็ นชุดเดียวกัน
หลุมพรางที 7<br />
<strong>Competency</strong>-based Pay<br />
<strong>Competency</strong>-based Pay เป็ นอีกเรืองหนึ งทีเห็นบางองค์การลุกขึ นมาจ่าย<br />
<strong>Competency</strong> ทัวถึงกันหมด เช่น ประกาศให้พนักงานไปทําการทดสอบภาษาอังกฤษ<br />
ถ้าผ่านเกณฑ์ทีกําหนดทางองค์การก็จะจ่ายให้กับ <strong>Competency</strong> ภาษาอังกฤษนี ทั งที<br />
พนักงานบางตําแหน่งร้อยวันพันปี ไม่เคยใช้ภาษาอังกฤษในการทํางานเลย การจ่าย<br />
ค่า <strong>Competency</strong> เช่นนี<br />
เป็ นความสูญเปล่าขององค์การ (ยกเว้นกรณีทีองค์การต้องการ<br />
จ่ายเพือเป็ นส่วนเพิมของค่าตอบแทนพนักงาน)
การจ่ายบนพื นฐาน <strong>Competency</strong> นั น ควรเป็ นการจ่ายตาม <strong>Competency</strong> ทีองค์การ<br />
มีความต้องการใช้ในช่วงเวลาหนึ งทีจําเป็ น เช่น การจ่ายให้บุคลากรในตําแหน่ง<br />
นักบินของกองทัพอากาศ ซึ งบุคลากรเหล่านี สามารถทีจะขึ นบินได้ทันทีเมือมี<br />
ความต้องการ หรือจ่ายค่าความสามารถทางภาษาจีนให้กับเลขานุการทีต้องติดต่อ<br />
งานในช่วงทีผู้บริหารทําการขยายงานไปยังประเทศจีน ในกรณีนี หากองค์การทํา<br />
ไม่สําเร็จก็สามารถยุติการจ่ายค่า <strong>Competency</strong> ตัวนี ได้ ซึ งวิธีการเช่นนี ทําให้การ<br />
จ่ายผลตอบแทนอยู ่บนพื นฐานของ <strong>Competency</strong> ทีองค์การต้องการอย่างแท้จริง<br />
และเกิดความเท่าเทียมกัน (Fairness)
หลุมพรางที 8<br />
ประเมิน <strong>Competency</strong> ธรรมดา<br />
ในขณะนี เห็นหลายองค์การมีการปรับเปลียนแบบประเมินผลการปฏิบัติงานใน<br />
ส่วนพฤติกรรมมาเรียกเป็ น <strong>Competency</strong> แล้ว แต่ทําการประเมินเหมือนเดิม คือให้<br />
ค่าคะแนนทีสูง (เช่น 5 คือ ดีมาก) เป็ นค่าคะแนนทีดีทีสุดทีต้องการให้บุคลากรมี<br />
หรือเป็ น ทั<br />
งทีการประเมินแบบ <strong>Competency</strong> จะเป็ นการเทียบกันกับ Profile หรือ<br />
กรอบของ <strong>Competency</strong> ทีได้มีการกําหนดระดับ <strong>Competency</strong> ไว้ตั<br />
งแต่ต้น อันเป็ น<br />
การกําหนดระดับ <strong>Competency</strong> จากความคาดหวังของผู้บริหาร ทีต้องการให้<br />
ลูกน้องของตนมีหรือเป็ น เช่นคุณลักษณะทีกล่าวไว้ใน <strong>Competency</strong> ระดับนั นๆ<br />
หรือเป็ น <strong>Competency</strong> ทีกําหนดจากบุคลากรทีเป็ นต้นแบบในตําแหน่งงานนั น
การประเมินในรูปแบบ <strong>Competency</strong> เป็ นการประเมินทีมิได้ต้องการให้ถึงระดับ<br />
สูงสุดของตัวเลขใน Rating Scale เช่น ตําแหน่งเจ้าหน้าทีบุคคลระดับปฏิบัติการ<br />
ถูกกําหนดให้มี <strong>Competency</strong> เรืองการทํางานเป็ นทีมอยู ่ในระดับ 2 ดังนั นในการ<br />
ประเมิน หากบุคคลผู้นั<br />
นสามารถแสดงพฤติกรรมทีสอดคล้องกับ <strong>Competency</strong> ใน<br />
ระดับดังกล่าวแล้ว ก็ต้องถือว่าผ่านตามเกณฑ์ทีกําหนด ไม่ใช่ว่าได้ <strong>Competency</strong><br />
ระดับ 2 แล้ว จะสู้อีกคนหนึ งในตําแหน่งงานเดียวกันทีประเมิน <strong>Competency</strong> ตัว<br />
เดียวกัน แล้วได้ระดับ 3 ในกรณีหลังนี อาจพิจารณาได้ว่าบุคคลผู้นั น พร้อมทีจะ<br />
ได้รับการเลือนตําแหน่งทีสูงขึ นแล้ว
หลุมพรางที 9<br />
<strong>Competency</strong> มาจากฝึ กอบรม<br />
การฝึ กอบรมเป็ นเพียงวิธีการหนึ งในการพัฒนา <strong>Competency</strong> เท่านั น ต้องยอมรับ<br />
ว่า <strong>Competency</strong> บางตัว เช่น Thinking Skills, Achievement Orientation ยากใน<br />
การใช้ฝึ กอบรมมาพัฒนา เป็ นทีทราบกันดีว่า บุคลิกลักษณะส่วนบุคคลนั นทาง<br />
จิตวิทยากล่าวว่า มีการหล่อหลอมมาตั<br />
งแต่วัยเด็ก ดังนั<br />
นการทีจะพัฒนา<br />
<strong>Competency</strong> หรือคุณลักษณะส่วนบุคคลนั<br />
น อาจต้องใช้วิธีการอืนๆ เช่น การ<br />
มอบหมายงาน (Job Assignment) การกําหนด KPI (Key Performance Indicator)<br />
การประเมินแบบ 360 องศา การติดตามผู้ปฏิบัติงานดีในการทํางาน (Shadowing)<br />
เป็ นต้น
ผศ.ดร.จิรประภา กล่าวสรุปว่า หลุมพรางทั ง 9 เป็ นเพียงส่วนหนึ งของประเด็นการ<br />
บริหารจัดการงานทรัพยากรมนุษย์ ทีเป็ นปัญหาในการบริหารจัดการของนัก<br />
บริหารงานด้านนี ในปัจจุบัน ผู้ทีต้องการใช้ <strong>Competency</strong>-based HRM จึง<br />
จําเป็ นต้องศึกษาถึงแนวคิดเบื<br />
องหลัง ซึ<br />
งจะทําให้มองงานด้านทรัพยากรมนุษย์<br />
เปลียนไปจากมิติเดิมๆ อย่างมาก
จบหัวข้อ 5<br />
คําถาม ………..