Linear Programming
Linear Programming
Linear Programming
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
–p.1/2
–p.1/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
กำหนดการเชิงเส้น (linear programming) เป็นคณิตศาสตร์ประยุกต์<br />
แขนงหนึ่งที่ถูกคิดค้นขึ้นมาเพื่อนำไปใช้ในการแก้ปัญหาเกี่ยวกับ<br />
การเคลื่อนย้ายกำลังทหาร อาวุธยุธโธปกรณ์ และสัมภาระต่าง ๆ<br />
จากฐานทัพหนึ่งไปยังอีกฐานทัพหนึ่ง ในระหว่างสงครามโลก
–p.2/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ปัญหาที่ใช้กำหนดเป็นปัญหาเชิงเส้น จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ
–p.2/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ปัญหาที่ใช้กำหนดเป็นปัญหาเชิงเส้น จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ<br />
1. ฟังก์ชันจุดประสงค์ (objective function)
–p.2/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ปัญหาที่ใช้กำหนดเป็นปัญหาเชิงเส้น จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ<br />
1. ฟังก์ชันจุดประสงค์ (objective function)<br />
2. เงื่อนไขบังคับ (constrain)
–p.2/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ปัญหาที่ใช้กำหนดเป็นปัญหาเชิงเส้น จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ<br />
1. ฟังก์ชันจุดประสงค์ (objective function)<br />
หมายถึง ฟังก์ชันของสิ่งที่ต้องการหาค่ามากที่สุด หรือหาค่าที่น้อย<br />
ที่สุดในปัญหานั้น ๆ<br />
2. เงื่อนไขบังคับ (constrain)
–p.2/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ปัญหาที่ใช้กำหนดเป็นปัญหาเชิงเส้น จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ<br />
1. ฟังก์ชันจุดประสงค์ (objective function)<br />
หมายถึง ฟังก์ชันของสิ่งที่ต้องการหาค่ามากที่สุด หรือหาค่าที่น้อย<br />
ที่สุดในปัญหานั้น ๆ<br />
2. เงื่อนไขบังคับ (constrain)<br />
หมายถึง ระบบของสมการหรือของอสมการที่เป็นข้อจำกัดของ<br />
ฟังก์ชันจุดประสงค์
–p.2/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ปัญหาที่ใช้กำหนดเป็นปัญหาเชิงเส้น จะประกอบด้วยส่วนสำคัญ 2 ส่วน คือ<br />
1. ฟังก์ชันจุดประสงค์ (objective function)<br />
หมายถึง ฟังก์ชันของสิ่งที่ต้องการหาค่ามากที่สุด หรือหาค่าที่น้อย<br />
ที่สุดในปัญหานั้น ๆ<br />
2. เงื่อนไขบังคับ (constrain)<br />
หมายถึง ระบบของสมการหรือของอสมการที่เป็นข้อจำกัดของ<br />
ฟังก์ชันจุดประสงค์<br />
ในกรณีที่เงื่อนไขบังคับออกมาในรูประบบของอสมการ จึงอาจเรียกเงื่อนไขบังคับนี้ว่า<br />
อสมการข้อจำกัด
–p.3/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong> Problem<br />
ปัญหากำหนดการเชิงเส้น เป็นปัญหาที่ประกอบด้วยฟังก์ชันจุดประสงค์<br />
ซึ่งเป็นฟังก์ชันเชิงเส้น และมีเงื่อนไขบังคับอยู่ในรูประบบของสมการ<br />
เชิงเส้น หรืออสมการเชิงเส้น<br />
Y<br />
Feasible<br />
solution<br />
X
–p.4/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ขั้นตอนการหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดของปัญหาการกำหนดการเชิงเส้น<br />
โดยใช้กราฟ
–p.4/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ขั้นตอนการหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดของปัญหาการกำหนดการเชิงเส้น<br />
โดยใช้กราฟ<br />
1. เขียนกราฟของระบบอสมการที่เป็นเงื่อนไขบังคับ
–p.4/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ขั้นตอนการหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดของปัญหาการกำหนดการเชิงเส้น<br />
โดยใช้กราฟ<br />
1. เขียนกราฟของระบบอสมการที่เป็นเงื่อนไขบังคับ<br />
2. หาจุดมุมของรูปหลายเหลี่ยมทั้งหมด
–p.4/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ขั้นตอนการหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดของปัญหาการกำหนดการเชิงเส้น<br />
โดยใช้กราฟ<br />
1. เขียนกราฟของระบบอสมการที่เป็นเงื่อนไขบังคับ<br />
2. หาจุดมุมของรูปหลายเหลี่ยมทั้งหมด<br />
3. นำจุดมุมแต่ละจุดไปแทนค่าเพื่อหาฟังก์ชันจุดประสงค์
–p.4/2<br />
<strong>Linear</strong> <strong>Programming</strong><br />
ขั้นตอนการหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดของปัญหาการกำหนดการเชิงเส้น<br />
โดยใช้กราฟ<br />
1. เขียนกราฟของระบบอสมการที่เป็นเงื่อนไขบังคับ<br />
2. หาจุดมุมของรูปหลายเหลี่ยมทั้งหมด<br />
3. นำจุดมุมแต่ละจุดไปแทนค่าเพื่อหาฟังก์ชันจุดประสงค์<br />
4. หาจุดมุมซึ่งทำให้ได้ค่าฟังก์ชันจุดประสงค์มากที่สุด (น้อยที่สุด)
–p.5/2<br />
EXAMPLE<br />
1. จงหาค่ามากที่สุดของ P = 5x + 3y เมื่อกำหนดเงื่อนไขบังคับ ดังนี้<br />
2x + 4y ≤ 80<br />
5x + 2y ≤ 80<br />
x ≥ 0<br />
y ≥ 0
–p.6/2<br />
EXAMPLE<br />
2. จงหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุดที่ทำให้ค่า C = 9x + 15y มีค่าน้อยที่สุด<br />
ภายใต้เงื่อนไขบังคับ ดังนี้<br />
3x + 4y ≥ 24<br />
x + 3y ≥ 9<br />
x ≥ 0<br />
y ≥ 0
–p.7/2<br />
EXAMPLE<br />
3. จงหาค่ามากที่สุดและค่าน้อยที่สุดของ P = 2x + 3y<br />
ภายใต้เงื่อนไขบังคับ ดังนี้<br />
2x + 3y ≤ 30<br />
y − x ≤ 5<br />
x + y ≥ 5<br />
0 ≤ x ≤ 10<br />
y ≥ 0
PROBLEM 1<br />
โรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์ ผลิตโต๊ะและตู้ออกจำหน่าย ในการผลิต<br />
เฟอร์นิเจอร์นี้จะใช้คนงาน 2 ประเภท คือ ช่างไม้และช่างสี<br />
การผลิตโต๊ะหนึ่งตัว ช่างไม้และช่างสีต้องทำงานเป็นเวลา 15 ชั่วโมง<br />
และ 5 ชั่วโมงตามลำดับ<br />
และในการผลิตตู้หนึ่งตัว ช่างไม้และช่างสีต้องทำงานเป็นเวลา 10<br />
ชั่วโมงและ 10 ชั่วโมง ตามลำดับ<br />
ถ้าในแต่ละวันช่างไม้และช่างสีที่มีอยู่หลายคนทำงานรวมกัน<br />
ไม่เกิน 60 ชั่วโมง และ 40 ชั่วโมง ตามลำดับ<br />
และกำไรที่ได้จากการขายโต๊ะและตู้อย่างละ 1 ชิ้น เท่ากับ 300<br />
และ 400 บาท ตามลำดับ<br />
แล้วโรงงานควรจะผลิตโต๊ะและตู้ออกจำหน่ายวันละจำนวนเท่าใด<br />
จึงจะมีกำไรสูงสุด<br />
–p.8/2
–p.9/2<br />
PROBLEM 2<br />
ในการผลิตขนม 2 ชนิด ในการผลิตขนมหนึ่งชิ้น<br />
ชนิดที่หนึ่งใช้แป้ง 20 กรัม น้ำตาล 20 กรัม<br />
ส่วนชนิดที่สองใช้แป้ง 20 กรัม น้ำตาล 30 กรัม<br />
ในแต่ละวันเขามีแป้งและน้ำตาลในการใช้ทำขนมทั้งสองชนิด 4,000<br />
กรัม และ 3,000 กรัม ตามลำดับ<br />
ถ้าขนมชนิดที่หนึ่งและชนิดที่สองขายได้กำไรชิ้นละ 3 บาท และ<br />
2.50 บาท ตามลำดับ ผู้ผลิตควรผลิตขนมแต่ละชนิดจำนวนเท่าไร<br />
จึงจะได้กำไรมากที่สุด
–p.10/2<br />
PROBLEM 3<br />
นักธุกิจผู้หนึ่งต้องการทำความสะอาดตู้ 5 ตู้ โต๊ะ 12 ตัว และหิ้ง<br />
หนังสือ 18 หิ้ง เขามีคนงานที่ทำงานนี้อยู่สองคน<br />
คนที่หนึ่งสามารถที่จะทำความสะอาดตู้ได้ 1 ตู้ โต๊ะ 3 ตัว<br />
และหิ้งหนังสือ 3 หิ้งต่อชั่วโมง<br />
ส่วนคนที่สองสามารถทำความสะอาดตู้ 1 ตู้ โต๊ะ 2 ตัว และหิ้ง 6<br />
หิ้งต่อชั่วโมง<br />
คนที่หนึ่งได้รับค่าแรง 25 บาทต่อชั่วโมง และคนที่สองได้รับค่าแรง<br />
22 บาทต่อชั่วโมง เพื่อที่จะเสียค่าแรงน้อยที่สุด เขาควรจะจ้างคนทั้งสอง<br />
ทำงานคนละกี่ชั่วโมง
–p.11/2<br />
PROBLEM 4<br />
อุตสาหกรรมในครัวเรือนแห่งหนึ่ง ผลิตเก้าอี้ 2 ชนิด คือ<br />
ชนิดธรรมดา กับชนิดพิเศษ โดยเก้าอี้ชนิดธรรมดาแต่ละตัวจะต้องเสีย<br />
เวลาผลิตขั้นต้น 1 ชั่วโมง ขั้นที่สอง 2 ชั่วโมง และขายได้กำไรตัวละ 30<br />
บาท ส่วนชนิดพิเศษ แต่ละตัวเสียเวลาในการผลิตขั้นต้น 2 ชั่วโมง<br />
ขั้นที่สอง 2 ชั่วโมงและขายได้กำไรตัวละ 50 บาท<br />
โรงงานที่ผลิตขั้นต้นและขั้นที่สองทำงานวันละ ไม่เกิน 8 และ 10 ชั่วโมง<br />
ตามลำดับ จงหาว่าอุตสาหกรรมภายในครัวเรือนนี้ ควรผลิต<br />
เก้าอี้แต่ละชนิดเป็นจำนวนเท่าใดในแต่ละวัน จึงจะได้กำไรมากที่สุด<br />
และกำไรเป็นเท่าใด
–p.12/2<br />
PROBLEM 5<br />
โรงงานอุตสาหกรรมแห่งหนึ่งผลิตสินค้า 2 ชนิด คือ A และ B<br />
สินค้าทั้งสองชนิดจะต้องผลิตโดยใช้เครื่องจักร 2 เครื่อง<br />
เครื่องแรกสามารถใช้งานได้วันละ 12 ชั่วโมง แต่เครื่องที่ 2 สามารถ<br />
ใช้งานได้เพียง 8 ชั่วโมงเท่านั้น สินค้า A จะต้องผลิตโดยใช้<br />
เครื่องจักรเครื่องแรก และเครื่องที่ 2 เป็นเวลา 2 ชั่วโมงเท่ากัน ส่วนสินค้า<br />
B แต่ละชิ้นจะต้องผลิตโดยใช้เครื่องจักรเครื่องแรก 3 ชั่วโมง<br />
และเครื่องจักรเครื่องที่สอง 1 ชั่วโมง<br />
ถ้าโรงงานได้กำไรจากการขายสินค้า A และสินค้า B ชิ้นละ 600<br />
บาท และ 700 บาท ตามลำดับ และโรงงานสามารถขายสินค้าทุกชิ้น<br />
ที่ผลิตได้ จงหาจำนวนสินค้า A และ B ที่โรงงานควรจะผลิต<br />
ในแต่ละวัน เพื่อให้ได้กำไรสูงสุด
–p.13/2<br />
PROBLEM 6<br />
บริษัทผลิตโต๊ะเก้าอี้แห่งหนึ่ง การผลิตจะต้องผ่านขั้นตอน 2<br />
ขั้นตอน คือ การประกอบและการตกแต่ง การประกอบมีชั่วโมงการทำงาน<br />
60 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ แผนกตกแต่งมีชั่วโมงการทำงาน 48<br />
ชั่วโมงต่อสัปดาห์ การผลิตโต๊ะต้องใช้เวลาประกอบ 4 ชั่วโมง เวลาตกแต่ง 2<br />
ชั่วโมง การผลิตเก้าอี้ต้องใช้เวลาประกอบ 2 ชั่วโมง เวลาตกแต่ง 4 ชั่วโมง<br />
ถ้ากำไรที่ได้จากการขายโต๊ะเป็น 320 บาทต่อตัว และเก้าอี้เป็น 240<br />
บาทต่อตัว ตามลำดับ จงหากำไรสูงสุดในหนึ่งสัปดาห์
–p.14/2<br />
PROBLEM 7<br />
โรงงานแห่งหนึ่งมีการผลิตสินค้า 2 ชนิด คือ แบบ A และแบบ B<br />
ซึ่งแต่ละแบบจะทำกำไร 20 บาท และ 50 บาท ต่อชิ้น<br />
และทั้งสองแบบมีต้นทุน 100 และ 300 บาทต่อชิ้น<br />
แบบ A ใช้เวลาทำชิ้นละ 5 วัน แบบ B ใช้เวลาทำชิ้นละ 12 วัน<br />
ถ้าจะใช้เวลาทำไม่เกิน 75 วัน ด้วยเงินลงทุน 1800 บาท<br />
และต้องการหากำไรสูงสุดจะต้องผลิตสินค้าแต่ละแบบ ๆ ละกี่ชิ้น
–p.15/2<br />
PROBLEM 8<br />
โรงงานแห่งหนึ่งผลิตตุ๊กตา 2 ชนิด แต่ละชนิดต้องผ่านขั้นตอน<br />
การประกอบ 3 ขั้นตอน ถ้าระยะเวลาที่ใช้สำหรับการผลิตในขั้นตอน<br />
ต่าง ๆ และกำไรที่จะได้รับต่อตัวเป็นดังนี้<br />
ตุ๊กตา ขั้นที่ 1 ขั้นที่ 2 ขั้นที่ 3 กำไร (บาท)<br />
ชนิดที่ 1 10 6 9 30<br />
ชนิดที่ 2 5 12 9 50<br />
หมายเหตุ เวลาที่ใช้ในการผลิดแต่ละขั้นตอน หน่วยเป็นนาที<br />
และในแต่ละขั้นตอนมีเวลาทำงานได้วันละไม่เกิน 450, 480 และ 450<br />
นาทีตามลำดับ อยากทราบว่า ทางโรงงานแห่งนี้ควรผลิต<br />
ตุ๊กตาชนิดที่ 1 และชนิดที่ 2 วันละกี่ตัวจึงจะได้กำไรมากที่สุด<br />
และกำไรมากที่สุดเท่าไร
–p.16/2<br />
PROBLEM 9<br />
บริษัทผู้ผลิตโทรทัศน์แห่งหนึ่งต้องการผลิตโทรทัศน์ขนาด 20 นิ้ว<br />
ทั้งชนิดขาวดำและชนิดสีกำลังการผลิตของบริษัท แห่งนี้ไม่เกิน 800<br />
เครื่องต่อเดือน โดยมีต้นทุนในการผลิตโทรทัศน์ขาวดำเครื่องละ 2,500 บาท<br />
และชนิดสีเครื่องละ 3,500 บาท ในขณะเดียวกัน<br />
บริษัทแห่งนี้จะมีกำไรเครื่องละ 1,500 บาทสำหรับโทรทัศน์ขาวดำ และ<br />
2,100 บาทสำหรับโทรทัศน์สี<br />
ถ้าบริษัทแห่งนี้กำหนดเงินทุนในการผลิตไว้ไม่เกิน 2,500,000<br />
บาทต่อเดือน อยากทราบว่าบริษัทแห่งนี้ควรผลิตโทรทัศน์ทั้งชนิด<br />
ขาวดำและชนิดสีอย่างละกี่เครื่องต่อเดือน จึงจะทำให้ได้กำไรมากที่สุด<br />
และกำไรมากที่สุดเท่าใด
–p.17/2<br />
PROBLEM 10<br />
นักโภชนาการแห่งศูนย์เภสัชกรรมแห่งหนึ่ง ให้คำแนะนำเกี่ยวกับ<br />
อาหารแก่ผู้ป่วยคนหนึ่ง โดยแนะนำว่า ในอาหารแต่ละมื้อควรประกอบ<br />
ด้วยแคลเซียมอย่างน้อย 400 มิลลิกรัมธาตุเหล็กอย่างน้อย 10 มิลลิกรัม<br />
และวิตามิน C อย่างน้อย 40 มิลลิกรัม โดยแนะนำอาหาร<br />
สองชนิด A และ B อาหารชนิด A แต่ละออนซ์จะประกอบด้วย<br />
แคลเซียม 30 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 1 มิลลิกรัม วิตามิน C 2 มิลลิกรัม<br />
และคอเรสเทอรอล 2 มิลลิกรัม อาหารชนิด B<br />
แต่ละออนซ์จะประกอบด้วยแคลเซียม 25 มิลลิกรัม ธาตุเหล็ก 0.5<br />
มิลลิกรัม วิตามิน C 5 มิลลิกรัม และคอเรสเทอรอล 5 มิลลิกรัม<br />
จงหาว่าควรใช้อาหารชนิด A และ B อย่างละกี่ออนซ์ ในการ<br />
ปรุงอาหาร1 มื้อ เพื่อให้ได้คอเรสเทอรอลต่ำสุดในขณะเดียวกันให้ได้<br />
ธาตุอาหารต่างๆอย่างน้อยตามที่ต้องการ
–p.18/2<br />
PROBLEM 11<br />
11.1 ค่าสูงสุดของ A เมื่อ A = Bx + y โดยที่<br />
x ≥ 0, y ≥ 0, x + y ≤ 2,2x − y ≤ 2 เท่ากับเท่าใด (2539)
–p.18/2<br />
PROBLEM 11<br />
11.1 ค่าสูงสุดของ A เมื่อ A = Bx + y โดยที่<br />
x ≥ 0, y ≥ 0, x + y ≤ 2,2x − y ≤ 2 เท่ากับเท่าใด (2539)<br />
11.2 สมการจุดประสงค์ 1500 − 8x − 10y<br />
โดยมีอสมการข้อจำกัดดังนี้ x + y ≥ 40,x + y ≤ 100,<br />
0 ≤ x ≤ 80, 0 ≤ y ≤ 70 ค่าสูงสุดของ P เท่ากับเท่าใด (2540)
–p.18/2<br />
PROBLEM 11<br />
11.1 ค่าสูงสุดของ A เมื่อ A = Bx + y โดยที่<br />
x ≥ 0, y ≥ 0, x + y ≤ 2,2x − y ≤ 2 เท่ากับเท่าใด (2539)<br />
11.2 สมการจุดประสงค์ 1500 − 8x − 10y<br />
โดยมีอสมการข้อจำกัดดังนี้ x + y ≥ 40,x + y ≤ 100,<br />
0 ≤ x ≤ 80, 0 ≤ y ≤ 70 ค่าสูงสุดของ P เท่ากับเท่าใด (2540)<br />
11.3 กำหนดให้ P = ax + 2y และมีเงื่อนไขข้อจำกัดดังต่อไปนี้<br />
2x + y ≤ 50,x + 2y ≤ 70,x ≥ 0,y ≥ 0 ถ้าค่าสูงสุดของ P เท่ากับ<br />
100 แล้ว a เท่ากับเท่าใด (2544)
–p.19/2<br />
PROBLEM 12<br />
น้ำมันดีเซล 100 ลิตร ราคาต้นทุนลิตรละ 12 บาท และน้ำมัน<br />
ปาล์ม 120 ลิตรราคาต้นทุนลิตรละ 8 บาท ถ้าจะผสมน้ำมัน<br />
สองชนิดนี้ รวมกันให้มีจำนวนไม่น้อยกว่า 150 ลิตรและขายน้ำมัน<br />
ผสมนี้ในราคาลิตรละ 11 บาท ให้ได้กำไรมากที่สุดแล้ว กำไรที่ได้<br />
เท่ากับเท่าใด (2545)
–p.20/2<br />
PROBLEM 13<br />
A pet supply company mixes two brands of dry dog food.<br />
Brand X costs §15 per bag and contains eight units of nutritional<br />
element A, one unit of nutritional element B, and two units of<br />
nutritional element C. Brand Y costs §30 per bag and contains two<br />
units of nutritional element A, one unit nutritional element B, and<br />
seven unit of nutritional element C. Each bag of mixed dog food<br />
must contain at least 16 units, 5 units, and 20 units of nutritional<br />
element A, B, and C, respectively. Find the number of bags of<br />
brands X and Y that should be mixed to produce a mixture meeting<br />
the minimum cost. What is the minimum cost?