ตารางที่ 2
ตารางที่ 2
ตารางที่ 2
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
การเกิดโรคมะเร็งปอดมากขึ ้น อีกทั ้งประวัติโรคเลือดออกง่าย การรักษาด้วยยากลุ ่มต้านแข็งตัวของเลือด<br />
(anticoagulant) รวมถึงยาที่มีผลต่อเกล็ดเลือด<br />
เช่น heparin, aspirin, clopidogrel เป็ นต้น<br />
2. การตรวจร่างกาย<br />
ความผิดปกติบางอย่างที่ตรวจพบจากการตรวจร่างกายอาจช่วยในการวินิจฉัยโรคได้<br />
เช่น ฟังปอดพบ<br />
เสียง pleural friction rub ควรนึกถึง pulmonary embolism เสียง localized หรือ diffuse crackles นึกถึงภาวะ<br />
เลือดออกในเนื ้อปอดหรือมีโรคปอดเดิมที่สัมพันธ์กับเลือดออก เสียงหลอดลมตีบควรนึกถึง chronic<br />
bronchitis หรือเสียง rhonchi เด่นอาจนึกถึง bronchiectasis<br />
การตรวจระบบหัวใจและหลอดเลือดอาจพบอาการแสดงของโรคบางอย่าง เช่น pulmonary arterial<br />
hypertension อาจตรวจพบเสียง 2 ของหัวใจดัง(loud S2) หัวใจห้องขวาล่างโต(right ventricular hypertrophy)<br />
jugular venous pressure สูง ส่วนถ้าเป็ นโรค mitral stenosis อาจตรวจพบเสียงหัวใจแบบ diastolic rumbling<br />
murmur หรือถ้าผู ้ป่ เป็ วย น heart failure อาจตรวจพบเสียง S3 หรือ S4 gallop, PMI lateral shifted to the left<br />
และ heaving<br />
การตรวจผิวหนังและเยื่อบุผิวอาจพบความผิดปกติที่พบใน<br />
Kaposi's sarcoma ลักษณะ arteriovenous<br />
malformation ที่พบในโรค Osler-Rendu-Weber หรือลักษณะรอยโรคผิวหนังที่จําเพาะพบในโรค systemic<br />
lupus erythematosus<br />
3. การตรวจสืบค้นเพิ่มเติม<br />
การตรวจสืบค้นเพิ ่มเติมที่มีประโยชน์ในผู้ป่<br />
วยที่ไอเป็<br />
นเลือดอันดับแรกนั ้นคือ ภาพถ่ายรังสีทรวงอก<br />
(chest radiograph) อาจจะตรวจด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์(CT scan)ร่วมด้วยเพื่อค้นหารอยโรคที่เป็ นก้อน เนื ้อ<br />
ปอดผิดปกติแบบเฉพาะที่หรือแบบทั่วๆ<br />
โดยเฉพาะโรคหลอดลมพองตัว(bronchiectasis) ควรได้รับการตรวจ<br />
ด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดความละเอียดสูง(HRCT) เนื่องจากสามารถเห็นรายละเอียดได้ดี อีกทั<br />
้งวิธีตรวจ<br />
นี ้เป็ นมาตรฐานของการวินิจฉัยโรคหลอดลมพองตัว<br />
ส่วนการตรวจสืบค้นอื่นๆได้แก่<br />
การตรวจนับปริมาณเลือด(complete blood count), การแข็งตัวของ<br />
เลือด(coagulation profile), การประเมินการทํางานของไต(blood urea nitrogen และ creatinine) และการตรวจ<br />
ปัสสาวะ(uninalysis)<br />
การตรวจเสมหะด้วยการย้อมเชื ้อแกรม(gram stain) และ acid-fast stain อาจร่วมกับการเพาะเชื ้อ จะ<br />
ช่วยบอกเชื ้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการไอเป็ นเลือดของผู้ป่ วยได้<br />
การส่องกล้องตรวจหลอดลมและปอด(fiberoptic bronchoscopy) มีประโยชน์ในการหาตําแหน่งที่มี<br />
เลือดออกและตรวจดูรอยโรคภายในหลอดลม(endobronchial lesion) ถ้ามีเลือดออกปริมาณมากการส่องกล้อง<br />
แบบท่อเหล็กตรง(rigid bronchoscopy) มักดีกว่าแบบปรับมุมมอง(fiberoptic bronchoscopy) เนื่องจากสามารถ<br />
ดูแลรักษาเรื่องทางเดินหายใจและดูดเลือดที่ตกค้างในหลอดลมได้ดีกว่า