ตารางที่ 2
ตารางที่ 2
ตารางที่ 2
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
เอกสารประกอบคําสอน<br />
รายวิชาบทนําเวชศาสตร์คลินิก<br />
พศ.401<br />
(Introduction to Clinical Medicine)<br />
เรื่อง<br />
อาการวิทยาระบบหายใจ<br />
โดย<br />
อาจารย์ นายแพทย์ณรงค์กร ซ้ายโพธิ ์ กลาง<br />
โครงการจัดตั ้งภาควิชาอายุรศาสตร์<br />
คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์<br />
ปี การศึกษา 2555
แผนการสอน<br />
ผู ้สอน: อาจารย์ นายแพทย์ณรงค์กร ซ้ายโพธิ ์ กลาง<br />
ระยะเวลา: 1 ชั่วโมง<br />
ผู ้เรียน: นักศึกษาแพทย์ ชั ้นปี 4<br />
วัตถุประสงค์ เมื่อสิ้นสุดการเรียนการสอนแล้ว<br />
นักศึกษาสามารถ<br />
เนื้อหา<br />
1. บอกแนวทางการซักประวัติผู้ป่ วยที่มาด้วยความผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ<br />
2. บอกสาเหตุหรือการวินิจฉัยแยกโรคของผู้ที่มาด้วยความผิดปกติในระบบทางเดินหายใจ<br />
3. มีเจตคติที่ดีและมีพฤติกรรมที่เหมาะสมในการซักประวัติผู้ป่<br />
วย<br />
1. Cough<br />
2. Hemoptysis<br />
3. Chest pain<br />
4. Dyspnea<br />
การจัดประสบการณ์การเรียนรู ้: บรรยายและซักถาม 1 ชั่วโมง<br />
สื่อการศึกษา<br />
1. power point<br />
2. เอกสารประกอบคําสอน<br />
การประเมินผล<br />
1. สังเกตการมีส่วนร่วมในชั ้นเรียน<br />
2. การสอบ MCQ
อาการไอ (Cough)<br />
การไอเป็ นกลไกป้ องกันตนเองอัตโนมัติ(defence reflex mechanism) ประกอบด้วย 3 ระยะ ได้แก่<br />
1. ระยะการหายใจเข้าลึก<br />
2. ระยะการหายใจออกอย่างแรงเพื่อต้านการปิ<br />
ดของฝาปิ ดกล่องเสียง<br />
3.ระยะการเปิ ดของฝาปิ ดกล่องเสียงและการหายใจออกอย่างเร็วซึ ่งจะทําให้เสียงไอดังเกิดขึ ้น<br />
การไอทําหน้าที่กําจัดสารออกจากกล่องเสียง<br />
หลอดลมคอ หลอดลมใหญ่ เช่น สารคัดหลั่ง<br />
สิ ่ง<br />
แปลกปลอม เชื ้อโรค เป็ นต้น โดยทั ่วไปคนมักจะไอหลังจากเป็ นหวัด(common cold) ระยะเวลา 1-3 สัปดาห์<br />
ซึ ่งเป็ นกลไกหนึ ่งในการกําจัดสิ ่งแปลกปลอมเช่นกัน กลไกการไอจะสูญเสียไปเห็นได้จากตัวอย่างการกดไอ<br />
หลังจากการดมยาสลบซึ ่งทําให้สารคัดหลั่งคั ่งค้างอยู ่ในทางเดินหายใจและเกิดการติดเชื ้อตามมา การไอเป็ น<br />
สัญญาณเตือนของการเกิดโรคทําให้แพทย์ต้องตระหนักถึงความสําคัญและนําไปสู ่การวินิจฉัยโรคของผู ้ป่ วย<br />
เมื่อเกิดการไออย่างมากและเรื<br />
้อรังอาจก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมา ได้แก่ อาเจียน กระดูกซี่โครงหัก<br />
ปัสสาวะเล็ด เป็ นลม ปวดกล้ามเนื ้อ เหนื่อย<br />
อ่อนเพลีย และซึมเศร้า รวมถึงอาจเกิดอาการหรือภาวะอื่นๆได้<br />
ตาม<strong>ตารางที่</strong><br />
1<br />
<strong>ตารางที่</strong><br />
1 ภาวะแทรกซ้อนของอาการไอ<br />
System Complications<br />
Cardiovascular<br />
Arterial hypotension<br />
Loss of consciousness<br />
Rupture of subconjunctival, nasal, and anal veins<br />
Dislodgement/malfunctioning of intravascular catheters<br />
Bradyarrhythmias, tachyarrhythmias<br />
Neurologic<br />
Cough syncope<br />
Headache<br />
Cerebral air embolism<br />
CSF fluid rhinorrhea<br />
Acute cervical radiculopathy<br />
Malfunction in ventriculoatrial shunts<br />
Seizures<br />
Stroke due to vertebral artery dissection
<strong>ตารางที่</strong> 1 (ต่อ)<br />
System Complications<br />
Gastrointestinal<br />
Gastroesophageal reflux events<br />
Hydrothorax in peritoneal dialysis<br />
Malfunction of gastrostomy button<br />
Splenic rupture<br />
Inguinal hernia<br />
Genitourinary<br />
Urinary incontinence<br />
Inversion of bladder through urethra<br />
Musculoskeletal<br />
Asymptomatic elevations of serum creatine phosphokinase<br />
and rupture of rectus abdominis muscles<br />
Rib fracture<br />
Respiratory<br />
Pulmonary interstitial emphysema, with potential risk of<br />
pneumatosis intestinalis, pneumomediastinum,<br />
pneumoperitoneum, pneumoretroperitoneum,<br />
pneumothorax, subcutaneous emphysema<br />
Laryngeal trauma<br />
Tracheobronchial trauma (eg, bronchitis, bronchial<br />
rupture)<br />
Exacerbation of asthma<br />
Intercostal lung herniation<br />
Miscellaneous<br />
Petechiae and purpura<br />
Disruption of surgical wounds<br />
Constitutional symptoms<br />
Lifestyle changes<br />
Self-consciousness, hoarseness, dizziness<br />
Fear of serious disease<br />
Decrease in quality of life -
พยาธิสรีรวิทยา<br />
การไอเป็ นการตอบสนองอัตโนมัติ(cough reflex) สามารถถูกกระตุ้นโดยการเปลี่ยนแปลงด้านการ<br />
อักเสบหรือกลศาสตร์(inflammatory หรือ mechanical change)หลายชนิดภายในหลอดลม การสูดหายใจนําสิ ่ง<br />
กระตุ้นเข้าภายในทางเดินหายใจส่วนบนโดยเฉพาะกล่องเสียง ส่วนปลายของหลอดลมคอ(carina) และส่วน<br />
ต้นของแขนงหลอดลม ตัวรับเส้นประสาทความรู้สึก(sensory nerve receptor)จะตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นซึ่งมี<br />
3 ตัวรับที่สําคัญ<br />
ได้แก่ rapidly adapting receptors(RARs), slowly adapting receptors(SARs) และ C-fiber<br />
receptors การทํางานของRARs จะถูกกระตุ้นด้วยควันบุหรี่<br />
สารละลายกรดและด่าง นํ ้าเกลือที่มีความเข้มข้น<br />
ตํ ่าหรือสูง การกระตุ้นทางกลศาสตร์ ปอดบวมนํ ้า(pulmonary congestion) ปอดแฟบ(atelectasis) หลอดลมตีบ<br />
(bronchoconstriction) และความยืดหยุ่นของปอดลดลง(decrease<br />
lung compliance) ส่วน C-fiber receptors จะ<br />
ตอบสนองต่อสารเคมี เช่น bradykinin(สาร mediator ที่หลั่งในขณะที่มีการอักเสบ)<br />
capsaicin(สาร vanilloid ที่<br />
สกัดจากพริก) และ hydrogen ions(acid pH) ซึ ่งมักเรียกตัวรับชนิดนี ้ว่า chemosensor<br />
1<br />
รูปที่<br />
1 กายวิภาคของเส้นประสาทของการไอ0<br />
1<br />
ตัวรับการไอ(cough receptor) แสดงเป็ นจุดกลม(•) บริเวณแตกแขนงของหลอดลม กล่องเสียง ส่วนปลายของหลอดอาหาร ส่งสัญญาณเชื่อมต่อ<br />
กับเส้นประสาทขาเข้าผ่านทางเส้นประสาท vagus และ superior laryngeal nerve นําไปสู ่ศูนย์การไอ(cough center) และสมองใหญ่(cerebral<br />
cortex) ส่งสัญญาณผ่านเส้นประสาทขาออกเชื่อมต่อกับกล้ามเนื้อที่ตอบสนองต่อการไอได้แก่<br />
กระบังลม และกล้ามเนื้อระหว่างซี่โครง
ตัวรับการไอ(cough receptor)ประกอบด้วย gated ion channels สามารถถูกกระตุ้นด้วยกรด ส่วน<br />
ตัวรับต่อ capsaicin มี transient receptor potential vanilloid-1(TRPV-1) channel พบใน RARs และ C-fibers<br />
ซึ ่งถูกกระตุ้นโดยความร้อน, กรด, สารbradykinin, อนุพันธ์ของ arachidonic acid และ adenosine<br />
triphosphate(ATP) ตําแหน่งที่มี<br />
TRPV-1 channel ปริมาณมากอยู่ที่เส้นประสาทของเยื่อบุผิวของทางเดิน<br />
หายใจและมีปริมาณมากขึ ้นในคนที่ไอเรื<br />
้อรัง ซึ ่ง TRPV-1 inhibitors สามารถกดการไอได้จากการศึกษาใน<br />
สัตว์ทดลองซึ่งอาจจะเป็ นยาแก้ไอที่ใช้ในคนในอนาคต สารbradykinin และ prostaglandin E2 and F2α จะ<br />
กระตุ้นการไอเพิ่มมากขึ ้นจากการตอบสนองต่อ capsaicin โดยผ่านการทํางานของ voltage-gated sodium<br />
channelที่จําเพาะ เส้นประสาทขาเข้า(afferent fiber) จาก cough receptor ภายในทางเดินหายใจจะรวมกันแล้ว<br />
ส่งผ่าน vagus nerve ที่ nucleus tractus solitarius ของก้านสมอง( brainstem) ซึ่ง nucleus tractus solitaries จะ<br />
เชื่อมต่อกับตัวเซลล์ประสาทเกี่ยวกับการหายใจ(respiratory-related<br />
neuron) ที่ศูนย์กลางการหายใจ(central<br />
respiratory generator) ซึ ่งเชื่อมต่อกับการตอบสนองต่อเส้นประสาทขาออก(efferent<br />
cough)<br />
2<br />
รูปที่<br />
2 พยาธิสรีรวิทยาของการตอบสนองอัตโนมัติต่อการไอ(cough reflex)และเส้นประสาทที่ควบคุมการไอ1<br />
2<br />
Cough receptors ได้แก่ rapidly adapting receptors(RARs), C-fiber และ slowly adapting fibers(SAR) เชื่อมต่อเข้าสู<br />
่ brainstem medullary<br />
central cough generator ผ่านทาง intermediary relay neurons อยู่ที่ nucleus tractus solitarius(NTS) Cerebral cortex ส่งสัญญาณควบคุมการไอ<br />
ด้วยความตั้งใจหรือไอมากขึ้นได้(urge-to-cough<br />
sensation) CGRP=calcitonin gene-related peptide, LTD4=leukotriene D4,<br />
PGE2=prostaglandin E, NK1=neulokinin-1, TRPV=transientreceptor potential vanilloid, TNF=tumour necrosis factor
ตัวเซลล์ respiratory neuron อยู ่ที่ศูนย์กลางการไอ(cough<br />
center) หรือ central cough generator (รูปที่<br />
1 และ 2) ทํางานโดยผ่านการกระตุ้น C-fiber, RARs หรือเส้นประสาทขาออก(afferent nerves) รวมถึงกระตุ้น<br />
ของ cough reflex ที่ตัวเซลล์ประสาทของก้านสมอง การไอสามารถถูกควบคุมโดยศูนย์สมองส่วนบน(higher<br />
cortical center) ทําให้ควบคุมหรือยับยั ้งการไอด้วยความตั ้งใจได้ ขณะนอนหลับเราสามารถกดการไอได้เป็ น<br />
เวลานานๆ ในทางตรงกันข้ามผู้ป่ วยที่ไอเรื<br />
้อรังจะไอมากขึ ้นโดยการกระตุ้นด้วยสารบางชนิด เช่น citric acid<br />
หรือ capsaicin เป็ นต้น ที่อยู<br />
่บริเวณ cough receptors(peripheral sensitisation) หรือกระตุ้นด้วยการ<br />
เปลี่ยนแปลงที่ประสาทส่วนกลางที่ก้านสมอง(central<br />
sensitisation)(รูปที่<br />
2) การกระตุ้นประกอบด้วย การ<br />
เปลี่ยนแปลงการหลั่งสารสื่อประสาท(neurotransmitters<br />
หรือ neuromodulators) และการกระตุ้นของเซลล์<br />
ประสาทบริเวณ postsynaptic รวมถึงโครงสร้างของประสาท<br />
การได้รับควันบุหรี่จากผู้อื่น(second-hand<br />
tobacco smoke) มีการกระตุ้นเซลล์ประสาทบริเวณ<br />
nucleus tractus solitaries ทําให้เกิดอาการไอจากการหลั่งสาร<br />
substance P ที่ก้านสมอง<br />
ในภาวะปกติการ<br />
เปลี่ยนแปลงทางกลศาสตร์(mechanical<br />
change) ของ cough receptor ทําให้ เกิดการตอบสนองอัตโนมัติต่อการ<br />
ไอ แต่การระคายเคืองและการอักเสบทําให้การเปลี่ยนแปลงด้าน<br />
neuroplastic ซึ่ง cough receptor จะไม่<br />
ตอบสนองต่อสิ่งกระตุ้นหรืออาจตอบสนองมากเกิน(hypersensitive) ต่อสิ่งกระตุ้นอื่นๆ<br />
อาการไอเป็ นอาการนําที่พาผู้ป่<br />
วยมาพบแพทย์มากที่สุดในอาการทางระบบหายใจ<br />
ทั ้งนี ้เพราะอาการ<br />
ไอถือเป็ นขบวนการป้ องกันของร่างกายอย่างหนึ ่งเพื่อกําจัดสิ<br />
่งแปลกปลอมออกจากร่างกาย คือระบบการ<br />
หายใจตั ้งแต่จมูก ปาก หลอดลม และทางเดินหายใจส่วนล่าง โดยเฉพาะการติดเชื ้อของทางเดินหายใจส่วนบน<br />
จากไวรัส คือ หวัด ก็ทําให้ผู้ป่ วยมีอาการไอได้<br />
ผู้ป่ วยที่มาพบแพทย์ด้วยอาการไอนั<br />
้น อาจแบ่งได้เป็ น 3 กลุ่มตามระยะเวลาของการไอ<br />
ได้แก่<br />
1. ไอเฉียบพลัน(acute cough) คือการไอที่มีระยะเวลาน้อยกว่า 3 สัปดาห์<br />
2. ไอกึ่งเฉียบพลัน(subacute cough) คือการไอที่มีระยะเวลาระหว่าง 3 - 8 สัปดาห์<br />
3. ไอเรื ้อรัง(chronic cough) คือการไอที่มีระยะเวลานานกว่า 8 สัปดาห์<br />
Acute cough<br />
ผู้ป่ วยที่มีอาการไอน้อยกว่า 3 สัปดาห์ จากการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และอาจรวมถึงการตรวจทาง<br />
ห้องปฏิบัติการง่ายๆ ทําให้สามารถแบ่งกลุ่มโรคออกเป็<br />
น 2 กลุ่ม และสาเหตุอื่นๆตาม<strong>ตารางที่</strong><br />
2 คือ
1. กลุ่มโรคที่เป็<br />
นอันตรายถึงชีวิต(life threatening group) ได้แก่ pneumonia, acute asthma, acute<br />
exacerbation of chronic obstructive pulmonary disease(COPD), pulmonary embolism, heart failure, หรือ<br />
โรคที่รุนแรงอื่นๆ<br />
2. กลุ่มโรคที่ไม่เป็<br />
นอันตรายถึงชีวิต(non-life threatening group) ซึ ่งแบ่งเป็ น<br />
2.1 กลุ ่มโรคติดเชื ้อ(infection)ได้แก่ upper และ lower respiratory tract infection<br />
2.2 กลุ ่มอาการกําเริบจากโรคเดิม(exacerbation of pre-existing condition) ได้แก่ upper airway cough<br />
syndrome(post-nasal drip syndrome), asthma, COPD<br />
2.3 กลุ ่มโรคจากสิ ่งแวดล้อมและอาชีพ(environmental and occupation)<br />
<strong>ตารางที่</strong><br />
2 สาเหตุที่พบบ่อยของอาการไอเฉียบพลันในผู้ใหญ่<br />
Common Less common<br />
Common cold<br />
Acute bacterial sinusitis<br />
Pneumonia<br />
Exacerbation of asthma<br />
Exacerbations of COPD<br />
Allergic rhinitis<br />
Environmental irritant rhinitis<br />
Congestive heart failure<br />
Aspiration syndromes<br />
Pulmonary embolism<br />
Foreign bodies<br />
Pertussis<br />
Subacute cough<br />
ผู ้ป่ ที วย ่มีอาการไอกึ ่งเฉียบพลัน นั ่นคือ ระยะเวลาระหว่าง 3 - 8 สัปดาห์ เมื่อซักประวัติและตรวจ<br />
ร่างกาย ตลอดจนการตรวจทางห้องปฏิบัติการง่ายๆ แบ่งออกเป็ น 2 กลุ่ม คือ<br />
1. โรคหลังติดเชื ้อ(postinfectious)ได้แก่<br />
1.1 ปอดอักเสบ(pneumonia)<br />
1.2 หลอดลมอักเสบ(bronchitis)<br />
1.3 ไอกรน(pertussis)<br />
1.4 อาการกําเริบจากโรคเดิม(exacerbation of pre-existing condition) ได้แก่ upper airway cough<br />
syndrome(post-nasal drip syndrome), asthma, bronchitis, gastroesophageal reflux disease<br />
2. ไม่ใช่โรคติดเชื ้อ(non-infectious) พิจารณาสืบค้นเพิ่มเติมแบบอาการไอเรื<br />
้อรัง(chronic cough)
Chronic cough<br />
ส่วนใหญ่ผู้ป่ วยที่มีอาการไอนานเกินกว่า 8 สัปดาห์ มักจะได้รับการรักษามาก่อนแล้ว โดยเฉพาะ<br />
อาจจะได้รับยาฆ่าเชื ้อ(antibiotic),ยาแก้แพ้(antihistamine), ยาสเตียรอยด์ชนิดสูด(inhaled corticosteroids), ยา<br />
ลดกรดไหลย้อน(anti-reflux) รวมถึง ยาลดกรดชนิด proton pump inhibitor มาแล้ว แต่การได้รับยาเหล่านั ้น<br />
อาจไม่เต็มที่เพราะไม่ทราบถึงการวินิจฉัยที่แน่นอน<br />
ดังนั ้นผู้ป่ วยเหล่านี ้จึงต้องได้รับการตรวจสืบค้นที ่<br />
เหมาะสมและได้รับการวินิจฉัยที่แน่นอน<br />
เพื่อการรักษาจะได้ถูกต้อง<br />
สาเหตุส่วนใหญ่ของผู้ป่ วยไอเรื ้อรัง ได้แก่ การสูบบุหรี่<br />
แต่ผู้ป่ วยที่ไอเรื<br />
้อรังจากการสูบบุหรี่มักจะไม่<br />
มาพบแพทย์ด้วยอาการไอ นอกจากจะมีความผิดปกติจากการไอ เช่น ไอมีเลือดปน หรือ อาการเหนื่อยมากขึ<br />
้น<br />
เป็ นต้น นอกจากนี ้สาเหตุของอาการไอเรื ้อรังที่พบบ่อยอีกสาเหตุหนึ<br />
่ง คือ การได้รับยาลดความดันโลหิตรักษา<br />
โรคหัวใจกลุ ่ม angiotensin converting enzyme inhibitor(ACEI) เช่น enalapril เป็ นต้น ในกรณีนี ้ผู้ป่ วยควร<br />
ได้รับการหยุดยาก่อนแล้วประเมินซํ ้า หากเป็ นผลจากยาแล้วอาการไอจะดีขึ ้นหลังหยุดยาในเวลา 1 – 2<br />
สัปดาห์<br />
นอกจากนั ้นสาเหตุอื่นๆที่พบบ่อยของอาการไอเรื<br />
้อรังตาม<strong>ตารางที่</strong><br />
2 ได้แก่<br />
1. กลุ่มอาการไอจากทางเดินหายใจส่วนบน(upper<br />
airway cough syndrome;UACS) ซึ ่งชื่อเดิมเรียกว่า<br />
กลุ่มอาการนํ<br />
้ามูกไหลลงคอ(post-nasal drip syndrome)<br />
2.โรคหืด(asthma)<br />
3. โรคหลอดลมอักสบที่มีเม็ดเลือดขาวชนิดอีโอซิโนฟิ<br />
ลสูงที่ไม่ใช่โรคหืด(non-asthmatic<br />
eosinophilic bronchitis;NAEB)<br />
4. โรคกรดไหลย้อน(gastroesophageal reflux disease;GERD)<br />
ดังนั<br />
้นการตรวจสืบค้นจึงประกอบด้วย การถ่ายภาพไซนัส(sinus imaging) การตรวจสมรรถภาพปอด<br />
และการตรวจภูมิไวหลอดลม(spirometry and bronchial provocation challenge) การตรวจเม็ดเลือดขาวชนิดอี<br />
โอซิโนฟิ ลในเสมหะ(sputum eosinophil) การตรวจภาวะกรด-เบสของหลอดอาหาร 24 ชั่วโมง(24-hour<br />
esophageal pH monitoring) การตรวจหลอดอาหารและทางเดินอาหารส่วนบนด้วยวิธีส่องกล้องและถ่ายภาพ<br />
กลืนสารทึบรังสี(endoscopic or video-fluoroscopic swallow or barium esophagogram) การถ่ายภาพรังสีทรวง<br />
อกด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ละเอียดสูง(chest high resolution computed tomography; chest HRCT) การส่อง<br />
กล้องตรวจหลอดลมปอด(bronchoscopy) และการตรวจอื่นที่เหมาะสม<br />
นอกจากนี ้กรณีที่ไม่สามารถทําการตรวจสืบค้นได้<br />
อาจจะวินิจฉัยโรคได้โดยการทดลองให้การรักษา<br />
ไปก่อนแล้วอาการดีขึ ้น เรียกว่า therapeutic diagnosis ในผู้ป่ วยที่มีไอเรื ้อรังจากโรคดังต่อไปนี ้
1. upper airway cough syndrome(UACS) ซึ ่งอาจเกิดจากโรคจมูกอักเสบจากภูมิแพ้(allergic rhinitis)<br />
โรคจมูกอักเสบจากหลอดเลือด(vasomotor rhinitis) โรคโพรงจมูกอักเสบเรื ้อรัง(chronic sinusitis) การรักษา<br />
ได้แก่ ยาแก้แพ้(antihistamine) ยาลดอาการคัดจมูก(nasal decongestant) ยาพ่นจมูกชนิดสเตียรอยด์<br />
(corticosteroid) หรือ anticholinergic และยาฆ่าเชื ้อ(antibiotic)<br />
2. asthma การรักษาที่ได้ผลที่ดีที่สุดคือ<br />
ยาสเตียรอยด์ชนิดสูด(inhaled corticosteroids) ยาขยาย<br />
หลอดลม(bronchodilator) ยาลดอักสบชนิด leukotriene receptor antagonist<br />
corticosteroids)<br />
3. non-asthmatic eosinophilic bronchitis(NAEB) ยาที่ใช้คือ<br />
ยาสเตียรอยด์ชนิดสูด(inhaled<br />
4. gastroesophageal reflux disease(GERD) ยาที่ใช้คือ<br />
ยาลดกรดชนิด proton pump inhibitor ร่วมกับ<br />
การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมชีวิต(life<br />
style modification) ได้แก่ การลดนํ ้าหนัก งดสูบบุหรี่และดื่มสุรา<br />
หลีกเลี่ยงภาวะเครียด<br />
หลีกเลี่ยงการกินอิ<br />
่มมากเกินไปและการนอนทันทีหลังกินอาหาร งดอาการรสจัด งดชา<br />
และกาแฟ นอนหัวสูง<br />
<strong>ตารางที่</strong><br />
3 สาเหตุที่พบบ่อยของอาการไอเรื<br />
้อรังในผู้ใหญ่<br />
Common Less common<br />
Smoking<br />
Angiotensin converting enzyme inhibitor(ACEI)<br />
Upper airway cough syndrome(UACS) หรือ<br />
post-nasal drip syndrome(PNS)<br />
Asthma<br />
Gastroesophageal reflux disease(GERD)<br />
Chronic infections: bronchiectasis, tuberculosis,<br />
cystic fibrosis<br />
Airway diseases: chronic bronchitis, cough-variant<br />
asthma, atopic cough, non-asthmatic<br />
eosinophilic bronchitis<br />
Parenchymal diseases: chronic interstitial lung<br />
fibrosis, emphysema, sarcoidosis<br />
Tumors: bronchogenic carcinoma, alveolar cell<br />
carcinoma, benign airway tumors, mediastinal<br />
tumors<br />
Foreign bodies<br />
Irritation of external auditory meatus<br />
Cardiovascular diseases: left ventricular failure,<br />
pulmonary infarction, aortic aneurysm<br />
Other diseases: reflux esophagitis, recurrent<br />
aspiration, endobronchial sutures
อาการไอเป็ นเลือด (Hemoptysis)<br />
ไอเป็ นเลือดเป็ นอาการนําของผู้ป่ วยที่ทําให้มาพบแพทย์ได้บ่อยอาการหนึ<br />
่ง มักทําให้ผู้ป่ วยกังวลถึง<br />
อาการนี ้ว่าจะเป็ นโรคร้ายแรงหรือไม่ ดังนั ้นแพทย์ต้องมีความรู้เรื่องอาการวิทยานี<br />
้เพื่อช่วยในการส่งตรวจ<br />
สืบค้นเพิ่มเติมและวินิจฉัยโรค<br />
ร่วมถึงรักษาได้อย่างเหมาะสมและถูกต้อง<br />
ไอเป็ นเลือด(hemoptysis) คือ การที่มีเลือดออกจากปอดหรือหลอดลม อาจปนมากับเสมหะหรือไม่ก็<br />
ได้ อาจมีเลือดปริมาณเล็กน้อยหรือมากก็ได้<br />
อาการคล้ายกับไอเป็ นเลือด(pseudohemoptysis) คือ การที่มีเลือดออกมาทางปากโดยเลือดออกจาก<br />
อวัยวะอื่นที่ไม่ใช่จากปอดหรือหลอดลม<br />
ได้แก่ จมูก เป็ นเลือดกําเดาไหล(epistaxis) หรือทางเดินอาหาร<br />
ส่วนบน เกิดอาการอาเจียนเป็ นเลือด(hematemesis) โดยมีแนวทางของการแยกระหว่างอาการคล้ายกับไอเป็ น<br />
เลือดและอาการไอเป็ นเลือด ตาม<strong>ตารางที่</strong><br />
1<br />
่ ตารางที 1 การแยกระหว่าง hemoptysis และ pseudohemoptysis<br />
ลักษณะ hemoptysis pseudohemoptysis<br />
ประวัติคลื่นไส้อาเจียน ไม่มี มี<br />
โรคประจําตัว โรคปอด โรคกระเพาะอาหารหรือโรคตับ<br />
ภาวะขาดอากาศ(asphyxia) อาจพบ ไม่ค่อยพบ<br />
การตรวจเสมหะ มีฟองปน ไม่มีฟอง<br />
เป็ นของเหลว หรือ กลุ่มก้อน ลักษณะคล้ายสีกาแฟ (coffee<br />
ground)<br />
สีแดงสดหรือชมพู สีนํ ้าตาล ถึง ดําคลํ ้า<br />
การตรวจทางห้องปฏิบัติการ เป็ นด่าง(alkaline pH) เป็ นกรด(acidic pH)<br />
เสมหะพบร่วมกับเซลล์<br />
macrophages และ neutrophils<br />
เสมหะพบร่วมกับเศษอาหาร<br />
การแบ่งประเภทของไอเป็ นเลือด<br />
การไอเป็ นเลือดมักแบ่งตามปริมาณของเลือดที่ออกมาคือ<br />
1. Massive hemoptysis คือ การที่มีเลือดออกจากปอดหรือหลอดลม<br />
ปริมาณที่ออกอาจตั<br />
้งแต่ 100 – 600 mLต่อ<br />
วัน แต่ส่วนใหญ่มักนิยมใช้ปริมาณมากกว่า 200 mLต่อวัน หรือมีภาวะหายใจลําบากและขาดออกซิเจน<br />
2. Non-massive hemoptysis คือ การที่มีเลือดออกจากปอดหรือหลอดลม<br />
ปริมาณน้อยกว่า 200 mLต่อวัน
สาเหตุของการไอเป็ นเลือด<br />
สาเหตุของการไอเป็ นเลือดมีมากมาย สาเหตุที่พบได้บ่อยแสดงตาม<strong>ตารางที่</strong><br />
2<br />
สําหรับสาเหตุที่พบบ่อยที่สุดได้แก่<br />
1.โรคที่มีการอักเสบ คือ bronchitis, bronchiectasis, tuberculosis และ lung abscess<br />
2. มะเร็งปอด<br />
<strong>ตารางที่</strong><br />
2 สาเหตุของอาการไอเป็ นเลือด<br />
Infections<br />
Mycobacteria eg. tuberculosis<br />
Fungal infections (mycetoma)<br />
Lung abscess<br />
Necrotizing pneumonia eg. Klebsiella,<br />
Staphylococcus, Legionella<br />
Trauma<br />
Blunt/penetrating injury<br />
Suction ulcers<br />
Tracheoarterial fistula<br />
Long contusion<br />
Neoplasm<br />
Bronchogenic carcinoma<br />
Bronchial adenoma<br />
Pulmonary metastases<br />
Sarcoma eg. Kaposi’s sarcoma<br />
Vascular<br />
Pulmonary infarct, pulmonary embolism<br />
Mitral stenosis<br />
Arteriobronchial fistula<br />
Arteriovenous malformations<br />
Bronchial telangiectasia<br />
Left ventricular failure<br />
Vasculitis<br />
Behcet’s disease<br />
Wegener’s granulomatosis<br />
Goodpasture’s syndrome<br />
Idiopathic pulmonary hemosiderosis<br />
Lupus pneumonitis<br />
Pulmonary<br />
Bronchiectasis eg. post-infection, cystic fibrosis<br />
Chronic bronchitis<br />
Emphysematous bullae<br />
Iatrogenic<br />
Swan-Ganz catheterization<br />
Bronchoscopy<br />
Transbronchial biopsy<br />
Transtracheal aspirate<br />
Parasitic<br />
Hydatid cyst<br />
Paragonimiasis
<strong>ตารางที่</strong><br />
2 (ต่อ)<br />
Coagulopathy<br />
Von Willebrand’s disease<br />
Hemophilia<br />
Anticoagulant therapy<br />
Thrombocytopenia<br />
Platelet dysfunction<br />
Disseminated intravascular coagulation<br />
Miscellaneous<br />
Lymphangioleiomatosis<br />
Catamenial (endometriosis)<br />
Pneumoconiosis<br />
Broncholith<br />
Idiopathic<br />
Foreign body<br />
Hemoptysis in children<br />
Bronchial adenoma<br />
Foreign body aspiration<br />
Vascular anomalies<br />
แนวทางการวินิจฉัยโรค<br />
การวินิจฉัยโรคต้องอาศัยการซักประวัติ การตรวจร่างกายอย่างละเอียดและการส่งตรวจสืบค้นทาง<br />
ห้องปฏิบัติการเพิ่มเติม เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคได้อย่างถูกต้อง<br />
1. การซักประวัติ<br />
การซักประวัติของผู้ป่ วยมีประโยชน์อย่างมาก ตัวอย่างเช่น เลือดที่ออกมาเป็<br />
นเส้นๆ(blood-streaking)<br />
ปนกับเสมหะปริมาณมากหรือไม่ รวมถึงมีอาการไอเรื ้อรังร่วมด้วย ถ้ามีลักษณะดังกล่าวอาจนึกถึงหลอดลม<br />
อักเสบ(bronchitis) ถ้ามีไข้ หนาวสั ่น ร่วมกับไอเสมหะปนเลือดต้องนึกถึงปอดอักเสบ(pneumonia) หากมี<br />
เสมหะปริมาณมากและมีกลิ่นเหม็นควรนึกถึงฝี ที่ปอด(lung<br />
abscess) กรณีที่มีอาการไอเรื<br />
้อรังและเสมหะ<br />
ปริมาณมากปนเลือดอาจจะเป็ นโรคหลอดลมพอง(bronchiectasis) หากมีอาการไอเป็ นเลือดและมีอาการเจ็บ<br />
หน้าอกสัมพันธ์กับการหายใจ(pleuritic chest pain)ตามมาและเหนื่อยทันทีทันใดร่วมด้วยควรนึกถึงโรคลิ่ม<br />
เลือดอุดตันที่หลอดเลือดปอด(pulmonary embolism)<br />
นอกจากนี ้ ประวัติโรคประจําตัวเดิมควรต้องซักประวัติคด้วยเช่นกัน เช่น โรคไต (พบใน<br />
Goodpasture's syndrome หรือ Wegener's granulomatosis), โรค systemic lupus erythematosus หรือเอสแอลอี<br />
(สัมพันธ์การเกิดเลือดออกในปอดจาก lupus pneumonitis) โรคมะเร็ง(อาจพบมะเร็งปอดกลับมาเป็ นซํ ้า หรือมี<br />
มะเร็งกระจายมาในหลอดลมจากมะเร็งที่อื่นที่ไม่ใช่มะเร็งปอด)<br />
การรักษามะเร็งปอดด้วยเคมีบําบัดหรือการ<br />
ปลูกถ่ายไขกระดูก ผู้ป่ วยโรคเอดส์(AIDS)(อาจพบ Kaposi's sarcoma ที่เนื<br />
้อปอดหรือหลอดลม) ประวัติการ<br />
ทํางานและประวัติสังคมก็มีความสําคัญ เช่น งานเกี่ยวกับ<br />
asbestos ร่วมกับการสูบบุหรี่จะเพิ่มปัจจัยเสี<br />
่ยงต่อ
การเกิดโรคมะเร็งปอดมากขึ ้น อีกทั ้งประวัติโรคเลือดออกง่าย การรักษาด้วยยากลุ ่มต้านแข็งตัวของเลือด<br />
(anticoagulant) รวมถึงยาที่มีผลต่อเกล็ดเลือด<br />
เช่น heparin, aspirin, clopidogrel เป็ นต้น<br />
2. การตรวจร่างกาย<br />
ความผิดปกติบางอย่างที่ตรวจพบจากการตรวจร่างกายอาจช่วยในการวินิจฉัยโรคได้<br />
เช่น ฟังปอดพบ<br />
เสียง pleural friction rub ควรนึกถึง pulmonary embolism เสียง localized หรือ diffuse crackles นึกถึงภาวะ<br />
เลือดออกในเนื ้อปอดหรือมีโรคปอดเดิมที่สัมพันธ์กับเลือดออก เสียงหลอดลมตีบควรนึกถึง chronic<br />
bronchitis หรือเสียง rhonchi เด่นอาจนึกถึง bronchiectasis<br />
การตรวจระบบหัวใจและหลอดเลือดอาจพบอาการแสดงของโรคบางอย่าง เช่น pulmonary arterial<br />
hypertension อาจตรวจพบเสียง 2 ของหัวใจดัง(loud S2) หัวใจห้องขวาล่างโต(right ventricular hypertrophy)<br />
jugular venous pressure สูง ส่วนถ้าเป็ นโรค mitral stenosis อาจตรวจพบเสียงหัวใจแบบ diastolic rumbling<br />
murmur หรือถ้าผู ้ป่ เป็ วย น heart failure อาจตรวจพบเสียง S3 หรือ S4 gallop, PMI lateral shifted to the left<br />
และ heaving<br />
การตรวจผิวหนังและเยื่อบุผิวอาจพบความผิดปกติที่พบใน<br />
Kaposi's sarcoma ลักษณะ arteriovenous<br />
malformation ที่พบในโรค Osler-Rendu-Weber หรือลักษณะรอยโรคผิวหนังที่จําเพาะพบในโรค systemic<br />
lupus erythematosus<br />
3. การตรวจสืบค้นเพิ่มเติม<br />
การตรวจสืบค้นเพิ ่มเติมที่มีประโยชน์ในผู้ป่<br />
วยที่ไอเป็<br />
นเลือดอันดับแรกนั ้นคือ ภาพถ่ายรังสีทรวงอก<br />
(chest radiograph) อาจจะตรวจด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์(CT scan)ร่วมด้วยเพื่อค้นหารอยโรคที่เป็ นก้อน เนื ้อ<br />
ปอดผิดปกติแบบเฉพาะที่หรือแบบทั่วๆ<br />
โดยเฉพาะโรคหลอดลมพองตัว(bronchiectasis) ควรได้รับการตรวจ<br />
ด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ชนิดความละเอียดสูง(HRCT) เนื่องจากสามารถเห็นรายละเอียดได้ดี อีกทั<br />
้งวิธีตรวจ<br />
นี ้เป็ นมาตรฐานของการวินิจฉัยโรคหลอดลมพองตัว<br />
ส่วนการตรวจสืบค้นอื่นๆได้แก่<br />
การตรวจนับปริมาณเลือด(complete blood count), การแข็งตัวของ<br />
เลือด(coagulation profile), การประเมินการทํางานของไต(blood urea nitrogen และ creatinine) และการตรวจ<br />
ปัสสาวะ(uninalysis)<br />
การตรวจเสมหะด้วยการย้อมเชื ้อแกรม(gram stain) และ acid-fast stain อาจร่วมกับการเพาะเชื ้อ จะ<br />
ช่วยบอกเชื ้อโรคที่ก่อให้เกิดอาการไอเป็ นเลือดของผู้ป่ วยได้<br />
การส่องกล้องตรวจหลอดลมและปอด(fiberoptic bronchoscopy) มีประโยชน์ในการหาตําแหน่งที่มี<br />
เลือดออกและตรวจดูรอยโรคภายในหลอดลม(endobronchial lesion) ถ้ามีเลือดออกปริมาณมากการส่องกล้อง<br />
แบบท่อเหล็กตรง(rigid bronchoscopy) มักดีกว่าแบบปรับมุมมอง(fiberoptic bronchoscopy) เนื่องจากสามารถ<br />
ดูแลรักษาเรื่องทางเดินหายใจและดูดเลือดที่ตกค้างในหลอดลมได้ดีกว่า
อาการเจ็บหน้าอก (Chest pain)<br />
อาการเจ็บหน้าอกเป็ นอาการสําคัญที่นําผู้ป่<br />
วยมาพบแพทย์ได้บ่อยอาการหนึ ่ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งใน<br />
ปัจจุบันผู้ป่ วยเข้าใจว่าอาการเจ็บหน้าอกเป็ นอาการนําของโรคหัวใจที่เป็ นสาเหตุทําให้เสียชีวิตได้อย่าง<br />
กระทันหัน อาการเจ็บหน้าอกจึงมีความสําคัญที่แพทย์ต้องสนใจเป็<br />
นพิเศษ<br />
ผู้ป่ วยมักไม่มีอาการเจ็บหน้าอกเพียงอย่างเดียวแต่อาจมีอาการอื่นๆร่วมด้วย<br />
บางครั ้งอาจเรียกว่า<br />
อาการไม่สบายที่หน้าอก(chest<br />
discomfort) นั่นคือ อาการตั ้งแต่เจ็บตื ้อๆ เสียดแทง แปล๊บๆ ปวดร้าวที่หน้าอก<br />
อึดอัด หายใจไม่โล่ง หรืออาจมีอาการจุกแน่นที่หน้าอกหรือใต้ลิ้นปี่<br />
ร่วมด้วย<br />
พยาธิสรีรวิทยา<br />
อวัยวะที่มีปลายประสาทรับความรู้สึกเจ็บคือ<br />
เยื่อหุ้มปอดชั<br />
้นนอก(parietal pleura) หลอดลมใหญ่<br />
(major airways) ผนังหน้าอก กระบังลม mediastinum และเยื่อหุ้มหัวใจส่วนล่างบริเวณที่ติดกับกระบังลม<br />
เมื่อ<br />
มีการอักเสบหรือฉีกขาดที่อวัยวะเหล่านั<br />
้นจะทําให้มีอาการเจ็บหน้าอก บางครั ้งบอกบริเวณที่ผิดปกติได้ชัดเจน<br />
เช่น เจ็บซี่โครง<br />
เจ็บเนื่องจากเยื่อหุ้มปอดอักเสบ<br />
แต่บางครั ้งไม่สามารถบอกตําแหน่งผิดปกติได้ เช่น อาการ<br />
เจ็บหน้าอกจากกล้ามเนื ้อหัวใจขาดเลือดทําให้เจ็บหน้าอกที่บริเวณไหล่หรือต้นแขนด้านใน<br />
เพราะที่บริเวณ<br />
ดังกล่าวมีปลายประสาทรับความรู้สึกจากบริเวณกล้ามเนื ้อหัวใจหรือเยื ่อหุ้มหัวใจ(visceral pleura) เข้าสู ่สมอง<br />
ส่วนกลางซึ ่งแปลเป็ นความรู้สึกว่าเป็ นความรู้สึกที ่ผิวที่ให้ความรู้สึกเจ็บชัดเจนกว่า<br />
เรียกว่า referred pain<br />
สาเหตุของการเจ็บหน้าอกในผู้ป่ วยที่มาห้องฉุกเฉินร้อยละ<br />
50 คือ โรคหัวใจและหลอดเลือด ได้แก่<br />
myocardial infarction(MI), angina, pulmonary embolism(PE) และ heart failure แต่ในแผนกผู้ป่ วยนอกมี<br />
สาเหตุของการเจ็บหน้าอกที่พบบ่อยได้แก่<br />
โรคกล้ามเนื ้อและกระดูก โรคทางเดินอาหาร โรคหัวใจชนิด stable<br />
coronary artery disease(CAD) โรคจิตชนิด panic disorder หรือโรคจิตอื่นๆ และโรคปอด รวมถึงสาเหตุอื่นๆ<br />
ตาม<strong>ตารางที่</strong><br />
1<br />
<strong>ตารางที่</strong><br />
1 สาเหตุของอาการเจ็บหน้าอก<br />
Cardiac causes<br />
Atherosclerotic coronary artery disease<br />
Congenital coronary artery disease<br />
Coronary spasm<br />
Systemic hypertension<br />
Pulmonary hypertension<br />
Aortic stenosis<br />
Pulmonary causes<br />
Pulmonary embolism<br />
Pneumothorax<br />
Pneumonia<br />
Pleuritis<br />
Bronchospasm<br />
Pulmonary hypertension
<strong>ตารางที่</strong><br />
1 (ต่อ)<br />
Cardiac causes (ต่อ)<br />
Aortic insufficiency<br />
Hypertrophic cardiomyopathy<br />
Severe anemia<br />
Severe hypoxia<br />
Polycythemia<br />
Aortic dissection<br />
Aortic aneurysm<br />
Pericarditis<br />
Mitral valve prolapse<br />
Myocarditis<br />
Cardiomyopathy<br />
Gastrointestinal causes<br />
Nutcracker esophagus<br />
Diffuse esophageal spasm<br />
Nonspecific motility disorder<br />
Achalasia<br />
Gastroesophageal reflux<br />
Mallory-Weiss syndrome<br />
Esophagitis<br />
Candida infection<br />
Herpetic infection<br />
Irradiation-induced pain<br />
Esophageal foreign body<br />
Peptic ulcer disease<br />
Pancreatitis<br />
Biliary disease<br />
Splenic infarction<br />
Gaseous bowel distention<br />
Pulmonary causes (ต่อ)<br />
Tracheitis or tracheobronchitis<br />
Intrathoracic tumor<br />
Psychiatric causes<br />
Depression<br />
Anxiety<br />
Panic attacks<br />
Malingering<br />
Other causes<br />
Cocaine use<br />
Lymphoma<br />
Diabetes<br />
Uremia<br />
Renal stones<br />
Mondor’s syndrome<br />
Mediastinitis<br />
Mediastinal emphysema<br />
Mediastinal neoplasm
<strong>ตารางที่</strong><br />
1 (ต่อ)<br />
Neuromusculoskeletal causes<br />
Thoracic outlet syndrome<br />
Anterior scalenus hypertrophy<br />
Cervical rib syndrome<br />
Cervical disc disease<br />
Costochondritis or Tietze’s syndrome<br />
Chest wall trauma or rib fracture<br />
Malignancy<br />
Herpes zoster<br />
Precordial catch syndrome<br />
Entrapment of nerves by sternal wire sutures<br />
Xiphodynia<br />
Slipping rib syndrome<br />
Ostealgia due to neoplasm<br />
Intercostal neuritis<br />
Costovertebral joint dysfunction<br />
แนวทางการวินิจฉัยโรค<br />
1. ประวัติอาการเจ็บหน้าอก<br />
การซักประวัติของอาการเจ็บหน้าอกมีความสําคัญอย่างยิ่ง<br />
ซึ ่งจะช่วยในการวินิจฉัยแยกโรค บางครั ้ง<br />
อาจวินิจฉัยโรคได้ด้วยการซักประวัติเพียงอย่างเดียวโดยตรวจเพิ่มเติมอื่นๆเพียงเล็กน้อย<br />
การซักประวัติ<br />
ประกอบด้วย<br />
1.1 ลักษณะอาการที่เริ่มเป็ น(onset) ได้แก่ เกิดขึ ้นทันทีทันใด(acute)หรือค่อยเป็ นค่อยไป(gradual<br />
หรือinsidious) ถ้าเกิดแบบ acute อาจจะเกิดจาก myocardial infarction, aortic dissection, acute pulmonary<br />
embolism, spontaneous pneumothorax, การแตกของกระเพาะอาหารหรือลําไส้ ส่วน insidious onset อาจจะ<br />
เกิดจาก pneumonia, pleuritis, pericarditis, esophageal spasm หรือ gallbladder stone<br />
1.2 ระยะเวลาที่มีอาการ(duration) อาจช่วยในการวินิจฉัยแยกโรคได้ตาม<strong>ตารางที่</strong><br />
2 และ 3
1.3 บริเวณที่มีอาการ(location) แบ่งเป็ นเจ็บหน้าอกแบบเฉพาะที่(localized)<br />
หรือแบบทั่วๆหน้าอก<br />
(diffuse หรือ generalized) มักจะบอกถึงอวัยวะที่เกิดโรค<br />
แต่อาจไม่ช่วยบอกโรคได้ทั ้งหมดเนื่องจากอาจเกิด<br />
จาก referred pain จากอวัยวะอื่น<br />
1.4 อาการปวดร้าวไปที่อื่น(radiation) จะช่วยบอกอวัยวะที่ผิดปกติโดยใช้ความรู้เกี่ยวกับ<br />
เส้นประสาทรับรู้ความรู้สึกของแต่ละอวัยวะของร่างกาย เช่น aortic dissection มักมีอาการเจ็บหน้าอกเหมือน<br />
มีดคมแทง ร้าวทะลุไปหลังและบริเวณระหว่างกระดูกสะบัก เป็ นต้น<br />
1.5 ลักษณะของการเจ็บ(quality) ได้แก่ บีบ รัด หนักๆเหมือนถูกกดทับ(dullness) จะนึกถึง Cardiac<br />
หรือ Ischemic pain ถ้าปวดๆตื ้อๆเหมือนของมีคมบาดหรือเสียดแทงเหมือนถูกแทง สัมพันธ์กับการหายใจ จะ<br />
นึกถึงโรคกลุ่ม Non-cardiac pain เช่น aortic dissection, pleuritis เป็ นต้น<br />
1.6 ความรุนแรง(intensity หรือ severity) มักจะบอกความรุนแรงของโรคได้ แต่ไม่เสมอไป<br />
1.7 สิ่งที่ทําให้อาการรุนแรงมากขึ้น(aggravating<br />
or precipitating factors) เช่น การออกกําลังทําให้<br />
อาการเจ็บแน่นหน้าอกเป็ นรุนแรงมากขึ ้นในโรค myocardial infarction ถ้าอาการเจ็บหน้าอกเป็ นมากขึ ้นหลัง<br />
มื ้ออาหารในโรค esophageal reflux หรือ spasm, gallbladder stone เป็ นต้น ส่วนหากอาการเจ็บมากขึ ้นเมื่อไอ<br />
จาม หรือหายใจลึกมักบ่งถึงโรคการอักเสบของเยื่อหุ้มปอด(pleuritis)หรือเยื่อหุ้มหัวใจ(pericarditis)หรือ<br />
mediastinum (mediastinitis)<br />
1.8 สิ่งที่ให้อาการทุเลาลง(alleviating or relieving factors) เช่น การหยุดพัก หรือ อาจดีขึ ้นจากการ<br />
อมยา nitroglycerin จะนึกถึง Cardiac หรือ Ischemic pain แต่ถ้าอาการเจ็บหน้าอกดีขึ ้นเมื่อได้รับยาลดกรดใน<br />
กระเพาะอาหาร ควรนึกถึงโรค peptic ulcer หรือ gastroesophageal reflux disease(GERD)<br />
1.9 อาการร่วมอื่นๆ(associated symptoms) อาการร่วมบางอย่างอาจทําให้นึกถึงโรคใดโรคหนึ ่งมาก<br />
ขึ ้น เช่น ถ้ามีอาการเจ็บแน่นหน้าอกอย่างรุนแรงร่วมกับเหงื่อแตกใจสั่น<br />
หน้ามืดจะเป็ นลม จะนึกถึง Cardiac<br />
หรือ Ischemic pain มากขึ ้น ส่วนถ้ามีอาการเจ็บแสบหน้าอก ร่วมกับจุกแน่นที ่คอ ท้องบริเวณใต้ลิ้นปี ่ คลื่นไส้<br />
อาเจียน ควรนึกถึงโรค peptic ulcer หรือ gastroesophageal reflux disease(GERD)<br />
1.10 ประวัติในอดีตที่สัมพันธ์การเจ็บหน้าอกครั ้งนี้ ได้แก่ ลักษณะอาการที่เคยเจ็บมาก่อน<br />
ประวัติการ<br />
ตรวจสืบค้นหรือการรักษารวมถึงผลการรักษา จะเป็ นประโยชน์เพื่อช่วยในการวินิจฉัยโรคครั<br />
้งนี ้<br />
1.11 ประวัติปัจจัยเสี่ยงต่างๆของการเจ็บหน้าอก ได้แก่ โรคประจําตัวเดิม เช่น เบาหวาน ความดัน<br />
โลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เป็ นปัจจัยเสี่ยงของ<br />
Cardiac หรือ Ischemic pain เช่น myocardial infarction, aortic<br />
dissection เป็ นต้น
2. การตรวจร่างกายอย่างละเอียด<br />
การตรวจร่างกายผู้ป่ วยควรคํานึงว่ามีบริเวณที ่มีเจ็บหน้าอกอย่างใดอย่างหนึ ่งหรือไม่ ดังนี ้<br />
1. เป็ นปัญหาเฉพาะที่(localized<br />
pain)<br />
2. เป็ นอาการเจ็บที่ร้าวมาจากที่อื่น(radiated<br />
pain)<br />
3. เป็ นอาการเจ็บหน้าอกของ referred pain<br />
การตรวจร่างกายจึงคํานึงถึงโรคต่างๆที่อาจจะเป็<br />
นสาเหตุของอาการเจ็บหน้าอก ได้แก่<br />
1. โรคหัวใจและหลอดเลือด เช่น myocardial infarction, aortic dissection ควรเน้นการตรวจสัญญาณชีพคือ<br />
ชีพจรดูว่าแรง,เบา,สมํ ่าเสมอ,เท่ากัน 2 ข้างหรือไม่ ความดันโลหิตดูว่าปกติและเท่ากันใน 4 รยางค์(แขน 2ข้าง<br />
และขา 2 ข้าง)หรือไม่ นอกจากนี ้ควรเน้นการตรวจระบบหัวใจ เช่น แขนขาบวม(peripheral edema), เขียวคลํ ้า<br />
(cyanosis), jugular venous pressure(JVP), point of maximum impulse(PMI) หรือ apex, heart sound(gallop,<br />
murmur, distant) และตรวจระบบหายใจ เช่น เสียงกรอบแกรบ(crepitation หรือ rales), เสียงวี๊ด(wheezing)<br />
อาจพบใน congestive heart failure<br />
2. โรคระบบการหายใจ เช่น pleuritis อาจตรวจพบเสียงเสียดสีขณะหายใจ(friction rub) หรือเคาะทึบที่ผนัง<br />
ทรวงอก(dullness on percussion) นอกจากนี ้การตรวจต่อมนํ ้าเหลืองบริเวณคอและเหนือกระดูกไหลปลาร้า<br />
พบว่าโตขึ ้นอาจพบในโรคมะเร็งปอดหรือวัณโรค<br />
3. โรคระบบกระดูกกล้ามเนื ้อและประสาท เช่น costochondritis มักมีอาการบวม แดง กดเจ็บที่ผนังหน้าอก<br />
ด้านหน้า เป็ ต้น ส่วนการอักเสบของข้อไหล่มักพบอาการบวม แดง กดเจ็บที่ข้อไหล่ข้างนั<br />
้นๆซึ ่งเป็ นสาเหตุ<br />
ของการเจ็บหนาอกได้ นอกจากนี ้การติดเชื ้องูสวัด(herpes zoster) ที่ผิวหนังของหน้าอกทําให้ปวดแสบบริเวณ<br />
นั ้นตามแนวกระจายของเส้นประสาทซึ ่งพบได้จากการตรวจร่างกาย<br />
<strong>ตารางที่</strong><br />
2 ลักษณะสําคัญและโรคที่เป็ นสาเหตุของอาการเจ็บหน้าอก<br />
Condition Duration Quality Location Associated Features<br />
Angina<br />
More than 2 and Pressure, tightness, Retrosternal, often -Precipitated by exertion,<br />
less than 10 min squeezing, heaviness, with radiation to or exposure to cold,<br />
burning<br />
isolated discomfort in psychologic-stress<br />
neck, jaw, shoulders, -S4 gallop or mitral<br />
or arms- frequently regurgitation murmur during<br />
on left<br />
pain
<strong>ตารางที่</strong><br />
2 (ต่อ)<br />
Condition Duration Quality Location Associated Features<br />
Unstable angina 10–20 min Similar to angina but<br />
often more severe<br />
Acute<br />
myocardial<br />
infarction<br />
Aortic stenosis<br />
Pericarditis<br />
Aortic dissection<br />
Pulmonary<br />
embolism<br />
Variable; often<br />
more than 30 min<br />
Recurrent<br />
episodes as<br />
described for<br />
angina<br />
Hours to days;<br />
may be episodic<br />
Abrupt onset of<br />
unrelenting pain<br />
Abrupt onset;<br />
several minutes<br />
to a few hours<br />
Similar to angina but<br />
often more severe<br />
As described for<br />
angina<br />
Similar to angina Similar to angina, but occurs<br />
with low levels of exertion or<br />
even at rest<br />
Similar to angina<br />
Unrelieved by<br />
nitroglycerin<br />
As described for<br />
angina<br />
Sharp Retrosternal or<br />
toward cardiac apex;<br />
may radiate to left<br />
shoulder<br />
Tearing or ripping<br />
sensation; knifelike<br />
Anterior chest, often<br />
radiating to back,<br />
between shoulder<br />
blades<br />
Pleuritic Often lateral, on the<br />
side of the embolism<br />
May be associated with<br />
evidence of heart failure or<br />
arrhythmia<br />
Late-peaking systolic murmur<br />
radiating to carotid arteries<br />
-May be relieved by sitting up<br />
and leaning forward<br />
-Pericardial friction rub<br />
-Associated with hypertension<br />
and/or underlying connective<br />
tissue disorder, e.g., Marfan<br />
syndrome<br />
-Murmur of aortic<br />
insufficiency, pericardial rub,<br />
pericardial tamponade, or loss<br />
of peripheral pulses<br />
Dyspnea, tachypnea,<br />
tachycardia, and hypotension
<strong>ตารางที่</strong><br />
2 (ต่อ)<br />
Condition Duration Quality Location Associated Features<br />
Pulmonary<br />
hypertension<br />
Pneumonia or<br />
pleuritis<br />
Spontaneous<br />
pneumothorax<br />
Esophageal<br />
reflux<br />
Esophageal<br />
spasm<br />
Variable Pressure Substernal Dyspnea, signs of increased<br />
venous pressure including<br />
edema and jugular venous<br />
distention<br />
Variable Pleuritic Unilateral, often Dyspnea, cough, fever, rales,<br />
localized<br />
rub<br />
Sudden onset;<br />
several<br />
hours<br />
Pleuritic Lateral to side of<br />
pneumothorax<br />
Dyspnea, decreased breath<br />
sounds on side of<br />
pneumothorax<br />
10–60 min Burning Substernal, epigastric -Worsened by postprandial<br />
recumbency<br />
-Relieved by antacids<br />
2–30 min Pressure, tightness,<br />
burning<br />
Retrosternal Can closely mimic angina<br />
Peptic ulcer Prolonged Burning Epigastric, substernal Relieved with food or<br />
antacids<br />
Gallbladder Prolonged Burning, pressure Epigastric, right May follow meal<br />
disease<br />
upper quadrant,<br />
substernal<br />
Musculoskeletal Variable Aching Variable -Aggravated by movement<br />
disease<br />
-May be reproduced by<br />
localized pressure on<br />
examination<br />
Herpes zoster Variable Sharp or burning Dermatomal Vesicular rash in area of<br />
distribution<br />
discomfort<br />
Emotional and Variable; may be Variable Variable; may be -Situational factors may<br />
psychiatric fleeting<br />
retrosternal<br />
precipitate symptoms<br />
conditions<br />
-Anxiety or depression often<br />
detectable with careful history
ชนิดของอาการเจ็บหน้าอก<br />
มักแบ่งชนิดตามลักษณะของการเจ็บหน้าอกออกเป็ น 2 ประเภทใหญ่ได้แก่<br />
1. อาการเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ(cardiac chest pain) และไม่ใช่โรคหัวใจ(non-cardiac chest pain)<br />
ลักษณะของอาการเจ็บหน้าอกสามารถแยกโรคออกจากกันได้ ตาม<strong>ตารางที่</strong><br />
3<br />
2. อาการเจ็บหน้าอกที่เป็ นอันตรายถึงชีวิต(life-threatening chest pain) และไม่เป็ นอันตรายถึงชีวิต(Non<br />
life-threatening chest pain)<br />
2.1 อาการเจ็บหน้าอกที่เป็<br />
นอันตรายถึงชีวิต ได้แก่<br />
1) acute ischemic heart disease<br />
2) acute pulmonary embolism<br />
3) aortic dissection<br />
4) spontaneous pneumothorax<br />
2.2 อาการเจ็บหน้าอกที่ไม่เป็<br />
นอันตรายถึงชีวิต เช่น pleuritis, peptic ulcer เป็ นต้น<br />
่ ตารางที 3 การวินิจฉัยแยกโรคของอาการเจ็บหน้าอก<br />
อาการเจ็บหน้าอก Cardiac หรือ Ischemic pain Non-cardiac pain<br />
ลักษณะ บีบ รัด หนักๆเหมือนถูกกดทับ ปวดๆตื ้อๆเหมือนของมีคมบาดหรือ<br />
เสียดแทงเหมือนถูกแทง สัมพันธ์กับ<br />
การหายใจ<br />
ระยะเวลา 30 วินาที – 30 นาที สั ้นเป็ นนาที หรือนานเป็ นชั ่วโมง<br />
ตําแหน่งที่เจ็บ<br />
กลางหน้าอก ใต้ sternum ด้านหน้าของ ปวดหน้าอกซ้าย ปวดใต้ราวนม ปวด<br />
ต้นแขน ไหล่ 2 ข้าง บริเวณระหว่าง<br />
กระดูกสะบัก มักบอกขอบเขตไม่ได้<br />
ชัดเจน<br />
เป็ นจุด บอกที่เจ็บได้ชัดเจน<br />
สิ่งที่ทําให้เจ็บหน้าอก<br />
การออกกําลัง ตื่นเต้น<br />
อากาศเย็นหลัง มีอาการพร้อมกับการเริ่มออกกําลัง<br />
เป็ นมากขึ ้น<br />
อาหารมื ้อหนัก<br />
ทันทีหรือภายหลังหยุดออกกําลังแล้ว<br />
มีอาการสัมพันธ์กับการขยับตัวหรือ<br />
บางท่าทางของร่างกาย<br />
สิ่งที่ทําให้อาการทุเลาลง<br />
การหยุดพัก หรือ อาจดีขึ ้นจากการอม<br />
ยา nitroglycerin<br />
มักต้องรักษาที่สาเหตุแล้วจะดีขึ<br />
้น
โรคที่พบบ่อยที<br />
่เป็ นสาเหตุสําคัญของอาการเจ็บหน้าอก ดังนี้<br />
1. Myocardial ischemia และ injury การเกิดภาวะเลือดและออกซิเจนไปเลี ้ยงหัวใจไม่เพียงพอต่อ<br />
ความต้องการทําให้เกิดขาดเลือด(ischemia) มักเกิดจากการอุดตันของหลอดเลือดแดงเลี ้ยงหัวใจ(coronary<br />
artery) เนื่องจากผนังหลอดเลือดแข็งตัว(atherosclerosis)<br />
ปัจจัยที่ทําให้อาการเป็<br />
นมากขึ ้น ได้แก่ การออกกําลัง<br />
ความเครียด ไข้ หลังมื ้ออาหาร ภาวะซีด ภาวะออกซิเจนในเลือดตํ ่า ความดันโลหิตตํ ่า นอกจากนี ้ยังเกิดจาก<br />
ventricular hypertrophy ผลจาก valvular heart disease, hypertrophic cardiomyopathy, ความดันโลหิตสูง<br />
(hypertension) เพราะมีการสูญเสียความสามารถในการไหลของเลือดไปยังกล้ามเนื ้อหัวใจชั ้นใน<br />
(endocardium) ประกอบด้วย<br />
1.1) Angina pectoris เป็ นอาการเจ็บหน้าอกแบบแน่นๆ หนักๆ เหมือนมีของมากดทับหรือบีบ แต่<br />
บางคนอาจไม่เจ็บแบบจําเพาะดังกล่าวแต่อาจมีเพียงอาการเหนื่อย<br />
ตําแหน่งที่เจ็บคือ<br />
ลึกๆตรงกลาง<br />
(retrosternal) ส่วนใหญ่มักเจ็บเป็ นพื ้นที่กว้างๆ<br />
อาจร้าวไปคอ กราม ฟัน ต้นแขน หรือไหล่ บางคนอาจจุกแน่น<br />
บริเวณลิ้นปี่<br />
ตําแหน่งที่ไม่ควรจะปวดร้าวหรือปวดร้าวน้อยมากได้แก่<br />
ร้าวไปใต้สะดือหรือหลัง<br />
โรค stable angina pectoris มักมีอาการค่อยๆมากขึ ้นเมื่อออกแรง<br />
การตื่นเต้น<br />
หรือหลังอาหารมื ้อหนัก<br />
อาการจะดีขึ ้นภายในเวลาเป็ นนาทีเมื่อพัก<br />
หรืออมยาใต้ลิ้นชนิด nitroglycerin แต่ถ้าอาการเจ็บนานเป็ นหลาย<br />
ชั่วโมงนั<br />
้นมักไม่ใช่อาการของ angina<br />
1.2) Unstable Angina และ Myocardial Infarction มีลักษณะอาการเจ็บคล้ายกับ Angina pectoris<br />
แต่ระยะเวลานานและอาการรุนแรงมากกว่า อีกทั ้งอาการที่เริ่มเป็<br />
นมักเป็ นแบบทันทีทันใดในขณะนั่งพัก ตื่น<br />
จากการนอน และการอมยาใต้ลิ้นชนิด nitroglycerin อาจลดอาการเจ็บได้ชั ่วคราวหรือไม่ลดอาการเจ็บเลย มัก<br />
มีอาการเหงื่อแตก<br />
เหนื่อยหอบ<br />
คลื่นไส้<br />
เวียนศีรษะร่วมด้วย การตรวจร่างกายอาจปกติ หรืออาจตรวจพบเสียง<br />
3 และ 4 (S3, S4 gallop) ที่บ่งถึง<br />
myocardial systolic และdiastolic dysfunction ตามลําดับ การตรวจพบ<br />
murmur ของ mitral regurgitation บ่งถึง ischemic papillary muscle dysfunction การเกิด ischemia แบบรุนแรง<br />
ทําให้เกิด pulmonary congestion และ pulmonary edema<br />
2. Pericarditis อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากการอักเสบของเยื่อหุ้มปอดชั<br />
้นนอกที่อยู<br />
่ติดกับเยื่อหุ้มหัวใจ<br />
ส่วนเยื่อหุ้มหัวใจเองทําหน้าที่รับความรู้สึกไม่ดี<br />
ดังนั ้นหากมีการอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจเพียงอย่างเดียวโดย<br />
ไม่ชิดกับเยื่อหุ้มปอดจะทําให้ไม่เกิดอาการเจ็บหน้าอกหรือเจ็บน้อยมาก<br />
เช่น กล้ามเนื ้อหัวใจตาย(myocardial<br />
infarction) ภาวะ uremia และภาวะหัวใจถูกกดทับจากนํ ้าหรือเลือด(cardiac tamponade) เป็ นต้น<br />
การอักเสบของเยื่อหุ้มหัวใจ(pericarditis)ที่อยู ่ชิดติดกับเยื่อหุ้มปอดชั<br />
้นนอกมีเส้นประสาทรับความรู้สึกส่ง<br />
สัญญาณประสาททําให้รู้สึกเจ็บปวดบริเวณไหล่ คอ ท้อง และหลัง อาการเจ็บจะมากขึ ้นจากการกระตุ้นด้วย<br />
การไอ การหายใจเข้าลึก หรือการเปลี่ยนท่าทาง<br />
เช่น นอนหงาย เป็ นต้น และอาการเจ็บจะทุเลาลงด้วยการลุก<br />
นั่งท่าตรงหรือโน้มตัวไปข้างหน้า
3. Aortic dissection เป็ นโรคที่อันตรายและรุนแรงถึงขั<br />
้นเสียชีวิตได้ จากการฉีกขาดของผนังชั ้น<br />
intima ในหลอดเลือดแดง aorta ทําให้เกิดลิ่มเลือดอยู<br />
่ภายใน(intimal hematoma) ภาวะนี ้เกิดจากการกระทบ<br />
กระแทก เช่น อุบัติเหตุรถจักยนยนต์กระแทกที่หน้าอก<br />
หรือเกิดจากการใส่เครื่องมือทางการแพทย์เข้าสู<br />
่หลอด<br />
เลือดแล้วเกิดการฉีกขาด เช่น การใส่สายสวนหลอดเลือด(catheters) หรือ intraaortic balloon pumps เป็ นต้น<br />
ส่วนสาเหตุที่ไม่ใช่การกระทบกระแทกซึ<br />
่งเกิดขึ ้นได้เองนั ้นพบได้น้อย ได้แก่ กลุ่มโรคเนื<br />
้อเยื่อเกี่ยวพัน<br />
(connective tissue diseases) เช่น Marfan syndromes และ Ehlers-Danlos syndromes เป็ นต้นโดยครึ ่ งหนึ ่งของ<br />
โรคนี ้ในผู้หญิงอายุน้อยกว่า 40 ปี เกิดขึ ้นขณะตั ้งครรภ์ ส่วนใหญ่ผู้ป่ วยโรคนี ้มีอาการเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง<br />
และเจ็บมากที่สุดทันทีทันใด ซึ่งผู้ป่ วยมัก จะเสียชีวิตจากความรุนแรงดังกล่าว การเซาะของหลอดเลือด aorta<br />
มักเกิดขึ ้นบริเวณส่วน ascending aorta แล้วขยายไปสู ่ส่วน descending aorta ทําให้เกิดอาการเจ็บหน้าตรง<br />
กลางอกร้าวทะลุหลังและบริเวณระหว่างกระดูกสะบัก การตรวจร่างกายอาจพบอาการแสดงของการลดลงของ<br />
เลือดที่ไปเลี<br />
้ยงแขนงของ aorta เช่น การตรวจไม่พบชีพจรของแขนข้างเดียวหรือทั ้ง 2 ข้าง, หลอดเลือดสมอง<br />
ทําให้กล้ามเนื ้อขาอ่อนแรงทั ้ง 2 ข้าง(paraplegia) เป็ นต้น ถ้าลิ ่มเลือดเซาะถึงส่วนต้นของ aorta ทําให้เกิดความ<br />
ผิดปกติของ coronary arteries หรือ aortic valve ส่งผลทําให้เกิด acute myocardial infarction หรือลิ้นหัวใจ<br />
aortaรั่วเฉียบพลัน(acute<br />
aortic insufficiency) หากมีการแตกของลิ ่มเลือดจะมีเลือดไหลเข้าสู่ระหว่างเยื่อหุ้ม<br />
หัวใจทําให้เกิดภาวะหัวใจถูกกดทับ(pericardial tamponade)<br />
4. Pulmonary embolism อาการเจ็บหน้าอกเกิดจากการขยายและตึงตัวของหลอดเลือด pulmonary<br />
artery หรือการตายของเนื ้อปอดที่อยู<br />
่ชิดเยื่อหุ้มปอด<br />
การเกิดลิ่มเลือดอุดตันของ<br />
pulmonary artery อย่างมาก<br />
(massive pulmonary emboli) อาจทําให้เกิดเจ็บหน้าอกตรงกลางบริเวณ substernum คล้ายกับ acute<br />
myocardial infarction ได้เช่นกัน แต่ส่วนใหญ่มักเกิดลิ่มเลือดอุดตันเล็กน้อยทําให้เกิดการตายของเนื<br />
้อปอด<br />
แบบเฉพาะที่<br />
ส่งผลเกิดเจ็บหน้าอกที่สัมพันธ์กับการหายใจ(pleuritic<br />
chest pain) อาการร่วมอื่นๆได้แก่<br />
อาการ<br />
เหนื่อย<br />
บางครั ้งมีอาการไอเป็ นเลือด สําหรับอาการที่พบบ่อยคือ<br />
ภาวะหัวใจเต้นเร็ว ซึ ่งการตรวจคลื่นไฟฟ้<br />
า<br />
หัวใจ(ECG) สามารถช่วยสนับสนุนการวินิจฉัยโรคนี ้ได้<br />
5. Pneumothorax เป็ นภาวะลมในช่องเยื่อหุ้มปอด<br />
มีอาการเจ็บหน้าอกทันทีทันใดและสัมพันธ์กับ<br />
การหายใจ(pleuritic chest pain)และมีอาการเหนื่อยคล้ายกับการเกิด<br />
pulmonary embolism ถ้าภาวะนี ้เกิดขึ ้น<br />
เองเรียกว่า spontaneous pneumothorax โดยอาจมีหรือไม่มีสิ ่งกระตุ้น รวมถึงอาจมีหรือไม่มีโรคปอดเดิมก็ได้<br />
การตรวจร่างกายมักพบการเคาะโปร่งของทรวงอกด้านที่เกิดโรค(hyperresonance<br />
on percussion) และฟังได้<br />
ยินเสียงปอดลดลง ภาพถ่ายรังสีทรวงอก(chest X-ray) สามารถช่วยยืนยันการวินิจฉัยโรคได้เมื่อพบลมแทรก<br />
ในช่องเยื่อหุ้มปอด
อาการหอบเหนื่อย<br />
(Dyspnea)<br />
อาการหอบเหนื่อยเป็<br />
นอาการที่ผู้ป่<br />
วยรู้สึกหายใจไม่ปกติ ไม่สบาย หายใจไม่อิ่ม<br />
หายใจลําบาก หายใจ<br />
ไม่ทัน หายใจไม่โล่ง ต้องเพิ่มแรงที่ใช้ในการหายใจ<br />
บางรายอาจรู้สึกแน่นหน้าอกหรืออ่อนเพลียเมื่อยล้าแทน<br />
อาการหอบเหนื่อย<br />
ดังนั ้นแพทย์ต้องประเมินดูว่าผู้ป่ วยมีอาการหอบเหนื่อยจริงหรือไม่<br />
และรุนแรงเพียงใด<br />
เพื่อวางแผนในการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างถูกต้องเหมาะสมต่อไป<br />
อาการหอบเหนื่อย(dyspnea) คือ ผู้ป่ วยรู้สึกหายใจไม่สบายหรือหายใจลําบาก ซึ ่งความรุนแรงของ<br />
อาการมีความหลากหลายเป็ นผลจากปัจจัยต่างๆ ได้แก่ ปัจจัยทางกายภาพ จิตใจ สังคม และสิ<br />
่งแวดล้อม<br />
พยาธิสรีรวิทยา<br />
การรับรู้เกี่ยวกับอาการเหนื่อยเป็<br />
นการทํางานประสานกันระหว่างเส้นประสาทขาออก(efferent motor<br />
output) ที่ออกจากสมองกระตุ้นกล้ามเนื<br />
้อหายใจ กับตัวรับผ่านทางเส้นประสาทขาเข้า(afferent sensory input)<br />
ซึ ่งสมองสามารถแปลผลและจัดการกับข้อมูลที่ได้รับตามรูปที่<br />
1<br />
ถ้ามีความต้องการอากาศมากขึ ้นจะมีการกระตุ้นก้านสมองและประสาทรับความรู้สึกแน่นหน้าอก<br />
ผ่านตัวรับเวกัส(vagal-irritant receptor) รวมถึงข้อมูลจากตัวรับที่หลอดลม<br />
ปอด และผนังทรวงอก แล้วส่ง<br />
สัญญาณไปกระตุ้นก้านสมองหรืออาจกระตุ้นสมองส่วนรับความรู้สึกโดยตรง อาการหอบเหนื่อยในแต่ละ<br />
โรคอาจกระตุ้นผ่านกลไกเดียวหรือหลายกลไกก็ได้ และบางครั ้งสามารถปรับเปลี่ยนได้ในแต่ละสถานการณ์<br />
รูปที่<br />
1 สัญญาณขาเข้าและออกทําหน้าที่ควบคุมความรู้สึกหอบเหนื่อย
การประเมินอาการหอบเหนื่อย<br />
1. ลักษณะของอาการหอบเหนื่อย<br />
แพทย์ควรมีการประเมินลักษณะหอบเหนื่อยว่าเป็<br />
นอย่างไร อาจช่วยบ่งบอกโรคบางอย่างได้ตาม<br />
<strong>ตารางที่</strong><br />
1 ซึ ่งเป็ นประโยชน์ในการวินิจฉัยโรคต่อไป<br />
<strong>ตารางที่</strong><br />
1 ลักษณะของอาการหอบเหนื่อยและกลไกพยาธิสรีรวิทยา<br />
ลักษณะ ความผิดปกติ<br />
Chest tightness or constriction Bronchoconstriction, interstitial edema (asthma, myocardial<br />
ischemia)<br />
Increased work or effort of breathing Airway obstruction, neuromuscular disease (COPD,<br />
moderate to severe asthma, myopathy, kyphoscoliosis)<br />
Air hunger, need to breathe, urge to breathe Increased drive to breathe (CHF, pulmonary embolism,<br />
moderate to severe airflow obstruction)<br />
Cannot get a deep breath, unsatisfying breath Hyperinflation (asthma, COPD) and restricted tidal volume<br />
(pulmonary fibrosis, chest wall restriction)<br />
Heavy breathing, rapid breathing, breathing more Deconditioning<br />
2. ความรุนแรงของอาการหอบเหนื่อย<br />
การประเมินอาการหอบเหนื่อยสามารถประเมินได้จากหลายวิธีแต่ที่นิยมใช้กัน<br />
ได้แก่ วิธี modified<br />
Borg scale หรือ visual analogue scale เป็ นการประเมินโดยผู้ป่ วยให้คะแนนความเหนื่อยขณะพักและหลังการ<br />
ทดสอบด้วยการออกกําลัง วิธีการให้คะแนนระดับความเหนื่อยของผู้ป่<br />
วยที่อยู<br />
่ที่บ้าน<br />
เช่น การเดินขึ ้นบันได<br />
เป็ นต้น การประเมินด้วย Baseline dyspnea index และ Chronic respiratory disease questionnaire ใช้ในการ<br />
ประเมินเรื่องความสามารถหรือความพิการจากการทํางาน<br />
นอกจากนี ้ยังมีวิธีที่นิยมกันมากโดยเฉพาะในการ<br />
ประเมินผู้ป่ วยโรค COPD คือ Modified Medical Research Council(MMRC) scaleโดยออกแบ่งเป็ น 5 ระดับ<br />
ดังนี ้<br />
ระดับ 0 ไม่มีอาการหอบเหนื่อย<br />
ยกเว้นไปออกกําลังอย่างหนัก<br />
ระดับ 1 มีอาการหอบเหนื่อยเมื่อเดินเร็วๆ<br />
บนทางราบ หรือเดินขึ ้นเขา<br />
ระดับ 2 เดินบนทางราบได้ช้ากว่าคนปกติที่มีอายุเท่ากัน<br />
หรือต้องหยุดพักเพื่อหายใจเมื่อเดินทาง<br />
ราบได้ระยะหนึ ่ง<br />
ระดับ 3 ต้องหยุดพักหายใจเพราะเหนื่อยเมื่อเดินได้ประมาณ 100 เมตร<br />
ระดับ 4 มีอาการหอบเหนื่อยเมื่อต้องออกจากบ้าน<br />
หรือเหนื่อยเมื่อเปลี่ยนเสื<br />
้อผ้าเอง
กรณีผู้ป่ วยโรคหัวใจ สามารถประเมินระดับความเหนื่อยของผู้ป่ วยว่าทํากิจวัตรประจําวันเป็ นอย่างไร<br />
บ้างและจัดระดับความเหนื่อยตาม<br />
New York Heart Association(NYHA) Functional Classification แบ่งเป็ น<br />
4 ระดับ ดังนี ้<br />
ระดับ 1 ออกกําลังได้ไม่จํากัด<br />
ระดับ 2 จํากัดการออกกําลังเล็กน้อย ไม่เหนื่อยและสบายดีถ้าอยู<br />
่เฉยๆ แต่มีอาการเหนื่อยบ้างเมื่อ<br />
ออกกําลังตามธรรมดา<br />
ระดับ 3 ต้องจํากัดการออกกําลังอย่างมาก ออกกําลังเล็กน้อยก็เหนื่อย<br />
ระดับ 4 ไม่สามารถออกกําลังได้ อยู ่เฉยๆก็เหนื่อย<br />
สาเหตุของอาการหอบเหนื่อย<br />
อาการเหนื่อยมีสาเหตุหลักจากโรค<br />
2 ระบบคือ โรคระบบหายใจ และโรคระบบหัวใจและหลอดเลือด<br />
ซึ ่งโรคระบบหายใจแบ่งความผิดปกติเป็ น 3 แบบ ได้แก่ ความผิดปกติของตัวแลกเปลี่ยนก๊าซ(gas<br />
exchanger)<br />
ตัวทําหน้ าที่หายใจ(ventilatory<br />
pump) และตัวควบคุม(controller) สําหรับโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดแบ่ง<br />
ความผิดปกติเป็ น 3 แบบได้แก่ ความผิดปกติของการสูบฉีดเลือดของหัวใจ(cardiac output) ชนิดตํ ่า ปกติและ<br />
สูง โดยประกอบด้วยโรคต่างๆดังรูปที่<br />
2 และ<strong>ตารางที่</strong><br />
2<br />
<strong>ตารางที่</strong><br />
2 สาเหตุของอาการหอบเหนื่อย<br />
Airway<br />
Obstruction foreign body<br />
Angioedema<br />
Epiglottitis<br />
Other infections eg. diphtheria<br />
รูปที่<br />
2 พยาธิสรีรวิทยาของอาการหอบเหนื่อยและโรคที่เป็<br />
นสาเหตุ<br />
Chest<br />
Pneumothorax<br />
Pleural effusion,<br />
Trauma – rib fractures, flail chest
<strong>ตารางที่</strong><br />
2 (ต่อ)<br />
Lung<br />
Asthma<br />
Pneumonia<br />
Croup(laryngotracheobronchitis)<br />
Bronchiolitis<br />
Pulmonary contusion<br />
Adult respiratory distress syndrome<br />
Chronic obstructive pulmonary disease<br />
Pneumoconiosis<br />
Vascular<br />
Pulmonary embolism<br />
Pulmonary hypertension<br />
Cardiac<br />
Congestive cardiac failure<br />
Acute pulmonary edema<br />
Acute myocardial infarction<br />
Cardiac arrhythmias<br />
Others<br />
Psychogenic hyperventilation<br />
Poisoning, eg. carbon monoxide, cyanide<br />
Metabolic acidosis<br />
Anemia<br />
Guillain-Barre syndrome<br />
แนวทางการวินิจฉัยโรค<br />
1. การซักประวัติ<br />
การซักประวัติของผู้ป่ วยที่มีอาการหอยเหนื่อยเริ่มตั<br />
้งแต่ลักษณะความรู้สึกเหนื่อย<br />
ความสัมพันธ์กับ<br />
ท่าทาง การติดเชื ้อ สิ่งแวดล้อม<br />
ถ้าเป็ นอาการหอบเหนื่อยขณะนอนต้องลุกนั่งตลอดเวลา(orthopnea)<br />
มักบ่งถึง<br />
congestive heart failure หรือกล้ามเนื ้อกระบังลมทํางานผิดปกติ(diaphragmatic dysfunction)มักพบในคนอ้วน<br />
หรือโรคหืด(asthma)ที่กระตุ้นด้วยกรดไหลย้อน<br />
อาการเหนื่อยขณะนอนกลางคืนต้องตื่นขึ<br />
้นมาหายใจเป็ นช่วงๆ(paroxysmal nocturnal dyspnea) อาจ<br />
บ่งถึง congestive heart failure หรือโรคหืด ส่วนอาการเหนื่อยเป็<br />
นช่วงๆแบบทันทีทันใดอาจต้องนึกถึง<br />
myocardial ischemia ภาวะหลอดลมตีบ หรือ pulmonary embolism ถ้ามีอาการเหนื่อยเรื<br />
้อรังอาจต้องนึกถึง<br />
COPD และ interstitial lung disease<br />
อาการหอบเหนื่อยเมื่อนั่งหรือยืนและอาการทุเลาลงเมื่อนอน(platypnea)<br />
ควรนึกถึงโรค left atrial<br />
myxoma หรือ hepatopulmonary syndrome หรือ pulmonary arteriovenous malformation สําหรับอาการ<br />
เหนื่อยเมื่อนอนตะแคงข้างใดข้างหนึ<br />
่งลง(trepopnea) ควรนึกถึงภาวะ pleural effusionข้างเดียว โรคปอดและ<br />
หลอดลมใหญ่ข้างเดียว หรือ congestive heart failure นอกจากนี ้ควรซักประวัติการทํางานซึ ่งอาจเป็ นสาเหตุ<br />
ของโรคปอดจากการทํางานได้ เช่น asbestosis, silicosis เป็ นต้น
2. การตรวจร่างกาย<br />
ความผิดปกติจากการตรวจร่างกายอาจพบได้ตั<br />
้งแต่แรกในขณะซักประวัติ เช่น ผู้ป่ วยพูดไม่จบ<br />
ประโยคต้องหยุดหายใจเพราะเหนื่อย<br />
เป็ นต้น ควรตรวจดูว่ามีการใช้กําลังงานเพื่อการหายใจมากขึ<br />
้นหรือไม่<br />
โดยดูจากกล้ามเนื ้อช่วยหายใจ(accessory muscle) การบุ ๋มของบริเวณเหนือกระดูกกลางอก(supraclavicular<br />
retraction) ต้องใช้มือยันพื ้นหรือยันเข่าข่างใดข้าหนึ ่งเพราะเหนื่อยมากบ่งถึงความผิดปกติตัวทําหน้าที่หายใจ<br />
(ventilatory pump) นอกจากนี ้การวัดสัญญาณชีพโดยเฉพาะอัตราการหายใจ อาจพบลักษณะ respiratory<br />
paradox หรือ abdominal paradox นั ่นคือท้องยุบขณะหายใจเข้าซึ ่งตรงข้ามกับการหายใจในคนปกติซึ ่งบ่งถึง<br />
กล้ามเนื ้อกระบังลมอ่อนแรง การตรวจพบ pulsus paradoxus เป็ นความแตกต่างของความดันเลือดซิสโตลิกที่<br />
เปลี่ยนแปลงตามการหายใจเข้าและออกที่ค่ามากกว่า<br />
10 mmHgอาจบ่งถึงโรค COPD หรือ cardiac tamponade<br />
การตรวจร่างกายทั ่วไปโดยดูภาวะซีด เขียวคลํ ้า ลักษณะที่พบในโรคตับแข็ง(spider<br />
nevi, palmar<br />
erythema, gynecomastia) มีประโยชน์เช่นเดียวกับการตรวจทรวงอกและปอดโดยการเคาะ หากเคาะแล้วทึบ<br />
อาจบ่งถึงนํ ้าในช่องเยื่อหุ้มปอดหรือก้อนที<br />
่ปอด เคาะแล้วเสียงโปร่งอาจเป็ นโรค emphysema หรือ<br />
pneumothorax การฟังเสียงปอดหากพบ wheezes, rales, rhonchi, เสียงหายใจออกยาวและดังลดลง อาจต้อง<br />
นึกถึงโรคของหลอดลมอุดตัน และ interstitial edema หรือ fibrosis ลักษณะนิ้มปุ ้ ม(clubbing of fingers) อาจ<br />
บ่งถึงโรค interstitial pulmonary fibrosis หรือมะเร็งปอด ลักษณะนิ้วมือและนิ้วเท้าเปลี่ยนสีและปวดบวมเมื่อ<br />
โดนอากาศเย็น(Raynaud's phenomenon) อาจบ่งถึงโรคกลุ ่มเนื ้อเยื่อเกี่ยวพันที่สัมพันธ์กับโรคปอด<br />
เช่น<br />
scleroderma เป็ นต้น<br />
การตรวจร่างกายระบบหัวใจและหลอดเลือดก็มีความสําคัญ เช่น โรคหัวใจห้องขวา อาจตรวจพบ<br />
jugular venous distention บวมและเสียง 2 ของหัวใจดัง(loud S2) ส่วนโรคหัวใจห้องซ้าย อาจตรวจพบ S3<br />
และ S4 gallops รวมถึงโรคลิ้นหัวใจอาจตรวจพบเสียง murmur<br />
การตรวจด้วยเครื่องมืออย่างง่ายเพื่อวัดระดับออกซิเจนในเลือดของผู้ป่ วยได้แก่ pulse oximetry โดย<br />
ใช้เครื่องมือที่เรียกว่า<br />
pulse oximeter เป็ นอุปกรณ์ขนาดเล็กและพกพาได้สะดวก ช่วยประเมินความรุนแรงของ<br />
ภาวะขาดออกซิเจนเบื ้องต้นได้ในขณะซักประวัติและตรวจร่างกาย<br />
3. การตรวจสืบค้นเพิ่มเติม<br />
การถ่ายภาพรังสีทรวงอกเป็ นวิธีการตรวจเพิ ่มเติมแรกๆที่ควรส่งตรวจเนื่องจากช่วยวินิจฉัยสาเหตุของ<br />
อาการหอบเหนื่อยได้ค่อนข้างมาก<br />
ตัวอย่างเช่น ลักษณะที่มีปริมาณปอดขยายตัวมากผิดปกติบ่งถึง<br />
COPD แต่<br />
ถ้าปอดขยายตัวน้อยอาจเกิดจาก interstitial edema, fibrosis, กล้ามเนื ้อกระบังลมทํางานผิดปกติ(diaphragmatic<br />
dysfunction) หรือผนังทรวงอกเคลื่อนตัวผิดปกติ<br />
ลักษณะที่มีเส้นเลือดโตผิดปกติอาจบ่งถึง<br />
pulmonary artery
hypertension ลักษณะหัวใจโตมากอาจบ่งถึง dilated cardiomyopathy หรือ valvular disease ลักษณะที่มีนํ<br />
้าใน<br />
ช่องเยื่อหุ้มปอด<br />
2 ข้าง ควรนึกถึง congestive heart failure และโรคกลุ ่มเนื ้อเยื่อเกี่ยวพันบางชนิด<br />
ลักษณะที่มี<br />
นํ ้าในช่องเยื่อหุ้มปอดข้างเดียวอาจเป็<br />
นโรคมะเร็ง วัณโรคเยื่อหุ้มปอด หรือ pulmonary embolism<br />
การตรวจด้วยเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ของทรวงอก(chest CT scan) เป็ นการดูรอยโรคที่ปอดได้อย่าง<br />
ชัดเจนและละเอียดมากขึ ้น เช่น โรค interstitial lung เป็ นต้น นอกจากนี ้ยังช่วยในการวินิจฉัยโรค pulmonary<br />
embolism ด้วยวิธีการตรวจ CT angiography ของ pulmonary artery ซึ ่งไม่สามารถวินิจฉัยได้โดยการใช้<br />
ภาพรังสีทรวงอกแบบธรรมดา<br />
การตรวจอื่นๆที่มีประโยชน์<br />
ได้แก่ การตรวจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนหัวใจ(echocardiography)<br />
จะช่วย<br />
ในการวินิจฉัยโรคหัวใจชนิดต่างๆได้ เช่น ventricular hypertrophy, myocardial infarction, systolic<br />
dysfunction, pulmonary hypertension หรือ valvular heart disease เป็ นต้น<br />
การตรวจพิเศษที่ใช้แยกระหว่างโรคระบบหายใจกับโรคหัวใจคือ<br />
cardiopulmonary exercise test เพื่อ<br />
ดูว่ามีข้อจํากัดในการออกกําลังหรือไม่ เช่น เมื่อออกกําลังสูงสุด(peak<br />
exercise) ผู้ป่ วยสามารถหายใจได้ถึงค่า<br />
หายใจสูงสุดที่ควรจะเป็<br />
น แต่อาจพบลักษณะของการเพิ่มขึ ้นของ dead space หรือ hypoxemia หรือหลอดลม<br />
ตีบ(bronchospasm) นั่นคือ แปลผลว่าอาการหอบเหนื่อยเกิดจากโรคระบบหายใจ<br />
ในทางตรงกันข้ามถ้าอัตรา<br />
ชีพจร >85% ของค่าสูงสุดที่ควรจะเป็<br />
น และค่า anaerobic threshold เกิดเร็ว ความดันเลือดตํ ่าหรือสูงมากๆ<br />
ขณะออกกําลัง ค่าO2 pulse (O2 consumption/heart rate)ตํ ่า หรือการตรวจคลื่นไฟฟ้<br />
าหัวใจเปลี่ยนแปลงบ่งถึง<br />
การขาดเลือดไปเลี ้ยง(ischemic change) แปลผลได้ว่าโรคหัวใจเป็ นสาเหตุของอาการหอบเหนื่อยของผู้ป่<br />
วย
เอกสารอ้างอิง<br />
1. กาญจนา จันทร์สูง, สุทธิพันธ์ จิตพิมลมาศ, วัชรา บุญสวัสดิ ์ , บรรณาธิการ. อาการวิทยาทางอายุรศาสตร์.<br />
ฉบับพิมพ์เรียบเรียงครั ้งที่<br />
2.ขอนแก่น: คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น; 2542.<br />
2. สมเกียรติ วงษ์ทิม. How to approach patients with cough symptom . ใน: นพ.แจ่มศักดิ ์ ไชยคุนา<br />
,บรรณาธิการ. หนังสือประกอบการประชุมวิชาการประจําปี 2553: อุรเวชช์ร่วมสมัย 2553. พิมพ์ครั ้งที่<br />
1.<br />
กรุงเทพมหานคร: ภาพพิมพ์; 2553. หน้า 1-4.<br />
3. Anthony S. Fauci, Dennis L. Kasper, Dan L. Longo, Eugene Braunwald, Stephen L. Hauser, J. Larry<br />
Jameson, Joseph Loscalzo, editors. Harrison's principle of Internal Medicine.7 th ed. New York: McGraw-<br />
Hill; 2008.<br />
4. Chung KF, Pavord ID. Prevalence, pathogenesis, and causes of chronic cough. Lancet 2008;371:1364-74.<br />
5. Bidwell JL, Pachner RW. Hemoptysis: diagnosis and management. Am Fam Physician 2005;72:1253-60.<br />
6. Lordan JL, Gascoigne A, Corris PA.The pulmonary physician in critical care * Illustrative case 7:<br />
Assessment and management of massive haemoptysis. Thorax 2003; 58:814-9.<br />
7. Flook N, Unge P, Agréus L, Karlson BW, Nilsson S. Approach to managing undiagnosed chest pain:<br />
could gastroesophageal reflux disease be the cause?. Can Fam Physician 2007; 53:261-6.<br />
8. Thomas P. "I can't breathe"--assessment and emergency management of acute dyspnoea. Aust Fam<br />
Physician 2005; 34:523-9.