สุขภาวะองค�รวมแนวพุทธ
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
พระพรหมคุณาภรณ<br />
(ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
๒๐ สิงหาคม ๒๕๔๘
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
© พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ISBN 974-506-697-4<br />
พิมพครั้งที่<br />
๑ Ñ สิงหาคม ๒๕๔๘<br />
พิมพครั้งที่<br />
๕ Ñ มกราคม ๒๕๔๙<br />
-<br />
แบบปก:<br />
พิมพที่
คํ าปรารภ
สารบัญ<br />
คํ าปรารภ ก<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ ๑<br />
คํ าอาราธนา ๑<br />
ความเขาใจรวมกอนเริ่ม<br />
๓<br />
๑. สุขภาวะในระบบชีวิตแหงธรรมชาติ ๙<br />
ปญหาสุขภาวะของคนไทย ซับซอนยิ่งกวาในอเมริกา<br />
๙<br />
ระวัง! องครวม ไมใชเหมารวม ๑๓<br />
องครวมของชีวิต ที่มีสุขภาวะ<br />
๑๖<br />
จะสัมพันธกับสิ่งแวดลอมอยางไร<br />
มีตัวกํ ากับอยูในแดนของจิตใจ<br />
๒๒<br />
เมื่อรูไมชัด<br />
ก็คิดไมชัด เมื่อคิดไมชัด<br />
ปฏิบัติการก็วิบัติ ๒๖<br />
จะมีสุขภาวะได ตองบริหารใจใหมีภาวะจิตที่เปนดานบวก<br />
๓๒<br />
องครวมจะมีได ตองบูรณาการแดนที่สามเขาไป<br />
ใหคนเปนอิสระขึ้นมา<br />
๓๔<br />
สุขภาวะที่แท<br />
ตองเปนไปตามความจริงแหงธรรมชาติของชีวิต ๓๗<br />
๒. สุขภาวะในระบบชีวิต-สังคมยุคไอที ๔๓<br />
เปนนักพึ่งพา<br />
ไดแตหาความสุข แตไมมีความสุข ๔๓<br />
พัฒนาวิธีหาความสุข แตไมพัฒนาศักยภาพที่จะมีความสุข<br />
๔๘<br />
เทคโนโลยียิ่งกาวหนา<br />
พามนุษยที่ไมพัฒนาใหยิ่งถอยจม<br />
๕๓<br />
สุขภาวะจะมีจริงได ตองพลิกผันอารยธรรมสูทิศทางใหม<br />
๕๙<br />
สุขภาวะจะสํ าเร็จได ตองแกไขใหหมดความขัดแยงในระบบ ๖๖
ข<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ภาวะจิตใจกับปญญา ในระบบสัมพันธที่ควรศึกษาใหชัด<br />
๖๙<br />
พัฒนาการดํ าเนินชีวิต เริ่มดวยดูฟงใหเปน<br />
๗๖<br />
พัฒนาการดํ าเนินชีวิต ตองหัดกินใชใหเปนดวย ๘๑<br />
ชีวิตใคร สุขมาก หรือทุกขมาก ดูที่งานอาชีพ<br />
๘๗<br />
สังคมมีวินัย คนจึงมีโอกาส ๙๐<br />
ยุคไอที จะบมอินทรีย หรือปลอยอินทรียใหเขามอม ๙๔<br />
ภาวะจิตเพื่อชีวิต<br />
และภาวะจิตเพื่อสังคม<br />
๑๐๐<br />
บทสรุปเชิงสาระ ๑๐๗<br />
ระบบการพัฒนาคน เพื่อมีองครวมการดํ<br />
าเนินชีวิตที่ดี<br />
๑๐๗<br />
ระบบตรวจสอบ และวัดผล ๑๑๐<br />
ชีวิตแหงความสุข เปนอยางไร ๑๑๔<br />
ถาองครวมชีวิตมีสุขภาวะจริง องครวมโลกจะมีสันติสุขดวย ๑๑๗<br />
ผู ตรวจราชการ (น.พ. สถาพร วงษเจริญ): กลาวขอบคุณ ๑๑๙<br />
ผนวก ๑: การปฏิบัติตอความสุข ๑๒๐<br />
ผนวก ๒: องคประกอบหลัก ในการประเมินสุขภาพแนวพุทธ ๑๒๕
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ ๑<br />
คํ าอาราธนา ๒<br />
ผมและคณะ ซึ่งไดทํ<br />
างานเรื่องสุขภาพองครวมแนวพุทธ<br />
ประกอบ<br />
ดวยบุคลากรทั้งในกระทรวงและนอกกระทรวงสาธารณสุข<br />
ที่สนใจใน<br />
เรื่องนี้<br />
ทั้งแพทย<br />
พยาบาล และบุคลากรอื่นๆ<br />
แกนนํ าสํ าคัญก็คือ คุณหมอชูฤทธิ์<br />
เต็งไตรสรณ ซึ่งเดิมปฏิบัติงาน<br />
อยูที่สถาบันบํ<br />
าราศนราดูร ขณะนี้ก็ไดขอโอนไปอยูที่กรมพัฒนาการ<br />
แพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก เพื่อจะไดทํ<br />
างานดานนี้ใหกวาง<br />
ขวางออกไป และมีคณะที่มาจากโรงพยาบาลหลายๆ<br />
แหง เชน มาจาก<br />
โรงพยาบาลอุตรดิตถ โรงพยาบาลประจวบคีรีขันธ ที่ใกลๆ<br />
จากสถาบัน<br />
บํ าราศนราดูร โรงพยาบาลศิริราช โรงพยาบาลชลประทาน ที่อื่นๆ<br />
ก็มา<br />
เชน จาก กศน.เขตดุสิต ก็มาดวย<br />
คณะทํ างานในเรื่องนี้ไดพยายามนํ<br />
าเอาเรื่องสุขภาพแนวพุทธที่ได<br />
พัฒนามาระดับหนึ่งแลวไปถายทอด<br />
ไปเผยแพร และพยายามจัดสราง<br />
เปนหลักสูตรฝกอบรมเพื่อเผยแพรใหกวางขวางขึ้นไป<br />
ตลอดเวลาที่ผานมา<br />
ตองขอกราบขอบพระคุณที่พวกเราไดรับความ<br />
่อง สุขภาวะองครวมแนวพุทธ วิสัชนาตามคํ าอาราธนาของ กรมพัฒนาการแพทยแผนไทย<br />
และการแพทยทางเลือก โดยพระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต) ที่วัดญาณเวศกวัน<br />
เมื่อวัน<br />
ที่<br />
๒๖ พฤศจิกายน ๒๕๔๗<br />
๑ เรื<br />
๒ คํ ากลาวอาราธนา ของ นายแพทยวิชัย โชควิวัฒน อธิบดีกรมพัฒนาการแพทยแผนไทย<br />
และการแพทยทางเลือก
๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
กรุณาเปนอยางยิ่งจากทานอาจารยที่ชวยชี้แนะ<br />
และวันนี้ก็ถือโอกาสมา<br />
กราบขอความเมตตาจากทานอาจารยที่จะไดชี้แนะในเรื่องนี้ตอไป<br />
โดย<br />
ประเด็นสํ าคัญ หรือหัวขอใหญๆ ที่จะขอกราบเรียน<br />
มีอยู<br />
๔ ขอ ไดแก<br />
๑. ปญหาดานสุขภาวะของคนไทยในปจจุบัน ในมุมมองของ<br />
พุทธศาสนา<br />
๒. อะไรคือสาเหตุที่ทํ<br />
าใหคนไทยในปจจุบันมีปญหาเกี่ยวกับสุข<br />
ภาวะ<br />
๓. คนไทยควรมีสุขภาวะอยางไร<br />
๔. วิธีการพัฒนาสุขภาวะตามแนวพุทธ เปนเชนไร<br />
• องคประกอบของสุขภาวะ<br />
• กระบวนการพัฒนา<br />
• วิธีวัดผล<br />
ขอกราบอาราธนาพระอาจารยชวยชี้แนะดวยจะเปนพระคุณ
ความเขาใจรวมกอนเริ่ม<br />
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต):<br />
เจริญพรทานอธิบดี และทานผูตรวจราชการ<br />
คุณหมอและทุกทาน<br />
ซึ่งอยู<br />
ในวงวิชาการทางการแพทยและสาธารณสุข ในการจะพูดเรื่องนี้ซึ่ง<br />
มีหลายหัวขอที่ทานอธิบดีไดบอกแจงมา<br />
อาตมภาพก็ไมแนใจวาจะตอบ<br />
ครบไหม จะตองขอใหทานชวยคอยเตือนดวยวาไดพูดไปครบหรือยัง อัน<br />
ไหนยังขาดตกบกพรอง<br />
กอนที่จะพูดก็มีขอที่ขอทํ<br />
าความเขาใจนิดหนึ่ง<br />
คือ ทานจะใหพูด<br />
ถึงสุขภาวะในแงที่พุทธศาสนามอง<br />
ทีนี้<br />
คํ าวา "สุขภาวะ" นั้น<br />
คิดวาเปนคํ าที่คอนขางใหม<br />
เรามีคํ าวา<br />
“สุขภาพ” ที่ใชกันมานาน<br />
ที่จริง<br />
ทั้ง<br />
"สุขภาวะ" และ "สุขภาพ" ในภาษาบาลีเดิมก็เปนคํ า<br />
เดียวกัน และ “สุขภาวะ” เปนคํ าเดิมในภาษาบาลีดวยซํ้<br />
าไป เราใชคํ าใน<br />
ภาษาไทยที่แผลง<br />
“ว” เปน “พ” เปนสุขภาพเรื่อยมา<br />
แตตอนนี้มีการใชวาสุขภาวะ<br />
โดยเปลี่ยนจากตัว<br />
“พ” กลับไปเปน<br />
“ว” ก็เลยเปนจุดสังเกตขึ้นมาวา<br />
คงจะมีความคิดที่อยูเบื้องหลังการหัน<br />
มาใชคํ านี้<br />
อาตมภาพจึงคิดวา ตอนแรกนี้<br />
กอนที่จะพูดไปถึงวาพุทธศาสนา<br />
มองเรื่องนี้อยางไร<br />
เราคงตองพูดถึงความหมายของตัวคํ าพูดใหเขาใจ<br />
ความหมายตรงกันหนอย<br />
อาตมภาพก็เลยขอโอกาส จะขอฟงวา คํ าวา “สุขภาวะ” นี้<br />
ซึ่ง<br />
คิดวาเปนคํ าที่ใชกันใหม<br />
ในวงการสาธารณสุข หรือในวงวิชาการ<br />
สมัยนี้<br />
ก็ตาม เปนคํ าที่มีความหมายพิเศษอยางไร<br />
อาตมภาพขอ<br />
โอกาสสักนิดหนึ่ง
๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
อธิบดี (นายแพทยวิชัย โชควิวัฒน):<br />
ก็ขอกราบเรียนวา อันที่จริงแลว<br />
คํ าวา “สุขภาวะ” จริงๆ นาจะเปน<br />
คํ าที่ตั้งใจจะใชแทนคํ<br />
าวาสุขภาพ โดยสมัยกอนสุขภาพจะเปนเรื่องของ<br />
โรคภัยไขเจ็บเปนหลัก ตอมามีการพิจารณาเรื่องของสุขภาพในทางที่<br />
กวางขึ้น<br />
ตามแนวทางที่องคการอนามัยโลกไดชี้แนะและใหคํ<br />
าจํ ากัด<br />
ความไวนานแลว ตั้งแตกอตั้งองคการอนามัยโลกเมื่อ<br />
๕๐ กวาปมาแลว<br />
วา คํ าวา สุขภาพ หมายถึงความสมบูรณ บริบูรณพรอม ทั้งรางกาย<br />
จิต<br />
ใจ และสังคม หรืออยูในสังคมไดดวยความสุข<br />
โดยไมจํ ากัดเฉพาะความ<br />
ปราศจากโรค หรือปราศจากความพิการเทานั้น<br />
นั้นเปนความหมายที่ยึด<br />
ถือกันมานาน<br />
ตอมาในระยะหลัง เรื่องของสุขภาพก็มีการขยายความกวางขึ้นไป<br />
อีกวา ไมเพียงแตรางกาย จิตใจ และสังคม แตมีความหมายครอบคลุม<br />
ถึงสิ่งที่ภาษาอังกฤษใชคํ<br />
าวา Spiritual well-being ดวย ซึ่งตอมาก็ไดขอ<br />
ยุติวา นาจะหมายถึงสุขภาวะทางดานของปญญาเขามาประกอบดวย<br />
และทิศทางของการที่จะพูดเรื่องสุขภาพนี้ไดมีการเปลี่ยนจุดเนนเดิมซึ่ง<br />
พูดถึงเรื่องการแกปญหาเมื่อเกิดโรคภัยไขเจ็บขึ้นแลวเปนหลัก<br />
ตอมา<br />
พยายามเนนในเรื่องของการปองกันหรือการสรางเสริมสุขภาพกอนที่จะ<br />
เกิดโรคขึ้นควบคูกันไปดวย<br />
โดยเชื่อวาวิธีการอยางที่กลาวนี้จะชวยใหเรา<br />
สามารถที่จะสรางสุขภาพไดดีกวา<br />
หรือพูดในภาษาที่สั้นๆ<br />
วา เนนที่การ<br />
สรางนํ าซอม<br />
นอกจากนี้<br />
ความหมายของคํ าวา "สุขภาพ" ซึ่งเดิมมองเรื่องของ<br />
สังขารรางกายเปนหลัก ตอมาก็มองใหครอบคลุมตามความหมายที่องค<br />
การอนามัยโลกสงเสริมและแนะนํ า คือใหมีลักษณะเปนภาพองครวม<br />
พยายามที่จะใหโยงใยออกไปวาสุขภาพเปนเรื่องของชีวิตเลยทีเดียว<br />
ไม<br />
ใชเรื่องของสุขภาพตามความหมายดั้งเดิมเทานั้น
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
เมื่อมีการตั้งองคการที่มาสงเสริมสุขภาพ<br />
ที่เรียกวา<br />
สสส. ก็<br />
พยายามที่จะใหความหมายของสุขภาพในลักษณะที่ครอบคลุมกวางขวาง<br />
เมื่อมีการใหความหมายในทางกวางและมองในภาพองครวม<br />
และเปลี่ยน<br />
จุดเนนจากการซอมมาเปนการสราง ก็มีความพยายามที่จะตีความความ<br />
หมายของคํ านี้ใหกวางขวาง<br />
โดยที่ถาจะใชคํ<br />
าวาสุขภาพเดิมก็จะคิดถึง<br />
เฉพาะในความหมายเดิมๆ ในความหมายที่แปลมาจากคํ<br />
าวา Health<br />
ในภาษาอังกฤษ เพราะฉะนั้นจึงเกิดมีคํ<br />
าที่อธิบายวา<br />
สุขภาพหมายถึง<br />
สุขภาวะ และทํ าใหคํ าวา "สุขภาวะ" ในบางครั้งก็คลายๆ<br />
จะเขามาแทนที่<br />
คํ าวาสุขภาพ อันนี้เปนความเขาใจของกระผมตามที่ไดเกี่ยวของมา<br />
พระพรหมคุณาภรณ (ป.อ.ปยุตฺโต):<br />
ก็ขออนุโมทนาทานอธิบดี เปนการทํ าความเขาใจเกี่ยวกับความ<br />
หมายของถอยคํ าไวกอน ตามที่ฟงนี้ที่จริงก็คือเรื่องสืบตอ<br />
เปนแตเพียง<br />
วาเราชักจะเขาใจความหมายของคํ าวา “สุขภาพ” แคบลงไป ซึ่งก็เปน<br />
เรื่องธรรมดา<br />
เพราะแตกอนนั้นเราก็เนนเรื่องของรางกายที่มีปญหาโรค<br />
ภัยไขเจ็บวา เมื่อไมมีโรคภัยไขเจ็บก็คือการมีสุขภาพที่แข็งแรง<br />
ตอนนี้<br />
เราไมอยากใหคนมองแคบอยางนั้น<br />
และเพื่อจะใหศัพทสื่อได<br />
ดียิ่งขึ้น<br />
ปองกันไมใหคนมองกลับไปเอาความหมายที่แคบอยางนั้น<br />
ก็เลย<br />
ใชคํ าวา “สุขภาวะ” เปนอันวาใหมองใหกวาง ใหครอบคลุมมากยิ่งขึ้น<br />
เมื่อขยายความหมายหรือมองใหครอบคลุมขึ้นอยางนี้<br />
ก็ทํ าใหมี<br />
ขอสังเกตอยางหนึ่งวา<br />
สุขภาพที่ใชคํ<br />
าวาสุขภาวะนี้<br />
จะสื่อความหมายที่<br />
ใกลกับความสุขมากขึ้น<br />
คือ เดิมเราพูดถึงเรื่องโรคภัยไขเจ็บก็เปนเรื่อง<br />
ทุกข คลายๆ วา เมื่อมีสุขภาพดีก็มองแควารางกายแข็งแรงไมมีโรค<br />
ปลอดโรคก็คือหายทุกข ทีนี้เราบอกใหมวาใหมีความสุขดวย<br />
คือเนนไปที่<br />
ความสุขดวย เปนอันวาจะมองทั้งในแงหมดทุกข<br />
และมีสุข<br />
/ 136<br />
๕
๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ทีนี้<br />
ภาวะที่หายทุกข<br />
หรือหมดทุกข และมีสุข หรือปลอดทุกข<br />
และเปนสุข นี้<br />
ถาวากันไปแลว มันก็เปนดานหนึ่งของภาวะที่สมบูรณ<br />
ถา<br />
ใชคํ าสมัยใหม จะเรียกวาเปนสวนหนึ่งหรือดานหนึ่งของภาวะที่เรียกวา<br />
องครวมก็ได<br />
หมายความวา ในการที่เราจะมีสุขภาวะ<br />
หรือแมแตจะมีความสุข<br />
ธรรมดาทั่วไปใหเปนสุขแทจริงสักหนอยหนึ่งนั้น<br />
ยังมีภาวะดานอื่นๆ<br />
ประกอบอยูดวย<br />
ที่เราควรจะมองหรือตองคํ<br />
านึงถึงอีกหลายอยาง<br />
ดานอื่นๆ<br />
ที่เราจะมองไดหรือตองคํ<br />
านึงถึงนั้น<br />
มีอะไรบาง ขอยกมา<br />
ดูกัน<br />
ดานหนึ่งคือ<br />
ความเสรี ไดแกความปลอดโปรง โลงเบา หลุดพน ไม<br />
ถูกปดกั้นจํ<br />
ากัดบีบคั้น<br />
ไมติดขัดคับของ ไมถูกผูกมัดกดทับไว แตเคลื่อน<br />
ไหวไดคลองตามปรารถนา คือภาวะที่เปน<br />
อิสระ ๑<br />
อีกดานหนึ่งคือ<br />
ความสงบ ไดแกภาวะที่ไมมีความรอนรนกระวน<br />
กระวาย ไมกระสับกระสาย ไมเรารอน ไมวาวุ น ไมพลุ งพลาน ทั้งรางกาย<br />
และจิตใจไมถูกรบกวน ไมมีอะไรมาระคายเคือง คือสงบ อยู ตัวของมัน ๒<br />
อีกดานหนึ่งคือ<br />
ความสะอาด หรือความบริสุทธิ์<br />
หมดจดสดใส ไม<br />
มีความขุนมัวเศราหมอง<br />
ไมเลอะเทอะเปรอะเปอน<br />
แตมันไมใชแคความ<br />
สะอาดดานวัตถุหรือรูปธรรม แตหมายถึงทางดานจิตใจที่ไมมีความ<br />
หมองมัว ไมมีความขุนมัวเศราหมอง<br />
๓<br />
แลวอะไรอีก ก็คือ ความสวาง กระจางแจง แจมชัด ใสสวาง หรือ<br />
ผองใส มองเห็นทั่วตลอด<br />
๔<br />
๑ ตามหลัก เรียกวา "วิมุตติ"<br />
๒ ตามหลัก เรียกวา “สันติ”<br />
๓ ตามหลัก เรียกวา "วิสุทธิ"<br />
๔ ตามหลัก เรียกวา "วิชชา"
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ลองคิดดูสิ ถาคนไหนบอกวาจะมีความสุข แตเขาถูกกดถูกบีบคั้น<br />
ถูกจํ ากัด ติดขัด ถูกผูกมัด มัวแตดิ้นรน<br />
มัวแตตะเกียกตะกายหาทางหนี<br />
อยู<br />
อยางนี้จะมีความสุขไหม<br />
ก็ไมมีความสุข เพราะฉะนั้นภาวะดานหนึ่ง<br />
ของความสุขก็คือความเปนอิสระ หรืออิสรภาพ<br />
พรอมกันนั้น<br />
ก็ตองไมมีความพลุงพลาน<br />
วาวุน<br />
กระสับกระสาย<br />
เรารอน หรือรอนรนกระวนกระวาย ถูกรบกวนอะไร ความวาวุนเปนตน<br />
เหลานี้<br />
ตองไมมี ถาวาวุนอยู<br />
มันก็มีความสุขไปไมได คือไมมีความสุขนั่น<br />
เอง เพราะฉะนั้นสันติจึงเปนภาวะดานหนึ่งของการมีความสุข<br />
แลวก็ที่บอกเมื่อกี้<br />
ถาใจขุนของหมองมัว<br />
ความคิดเศราหมอง ก็<br />
เปนสุขไปไมได ดังนั้น<br />
ความหมดจด สดใส ไมขุนมัว<br />
ไมเศราหมองตางๆ<br />
คือความสะอาดที่วานี้<br />
จึงเปนภาวะอีกดานหนึ่งของการมีความสุข<br />
นอกจากนั้น<br />
ถาเราอยูในความมืดมัว หรือมืดมน มองไมเห็น<br />
อะไรๆ ที่มีอยูและที่เปนไปอยูรอบตัว<br />
อะไรๆ ที่เกี่ยวของอยูก็ไมรูไมเขาใจ<br />
มันก็ไมโลงไมโปรงเชนเดียวกัน และก็ไมมีทางที่จะมีความสุขไดจริงเลย<br />
แตถารูเขาใจมองเห็นสวางกระจางแจงชัดเจน<br />
ก็พรอมที่จะเปนสุขไดจริง<br />
นี้คือภาวะดานตางๆ<br />
ซึ่งมีอยูดวยกันกับความสุข<br />
และความสุข<br />
เปนอาการปรากฏดานหนึ่งของภาวะที่มีความสมบูรณนี้<br />
ภาวะดาน<br />
ตางๆ เหลานี้<br />
ถาใชศัพท ก็อาจจะเรียกวา วิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ<br />
วิชชา คือความสวาง ผองใส กระจางแจง มองเห็นชัดเจน ซึ่งเปน<br />
ลักษณะของปญญา<br />
วิมุตติ คือความหลุดพนเปนอิสระ เปนภาวะที่สํ<br />
าคัญมาก อยางที่<br />
วาแลว ถาคนถูกมัด หรือแมแตแคถูกขัง ถูกบีบ ถูกกด เสียแลว ก็แย<br />
หมดความหมาย จะอึดอัด ติดขัดไปหมด จะไปไหนก็ไมได บางทีแมแต<br />
เคลื่อนไหวก็ไมได<br />
เพราะไมเสรี ทางพระจึงบอกวาจะตอง "เสรี สยังวสี"<br />
"เสรี" คือเคลื่อนไหวไปไหนๆ<br />
ไดตามปรารถนา "สยังวสี" คือมี<br />
/ 136<br />
๗
๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
อํ านาจในตัวเอง ก็คือภาวะที่เปนอิสระแหงวิมุตติ<br />
วิสุทธิ คือความหมดจด สดใส บริสุทธิ์<br />
ไมขุนมัว<br />
ไมเศราหมอง ซึ่ง<br />
ในทางจิตใจสํ าคัญมากที่จะทํ<br />
าใหมีความปลอดโปรงโลงไปได<br />
สันติ คือความสงบ ไมรอนรนกระวนกระวาย ไมมีอะไรรบกวน แม<br />
กระทั่งระเคืองระคาย<br />
เปนภาวะที่ประณีตอยางยิ่ง<br />
ซึ่งสุขที่แทยอมขาดไมได<br />
วิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ ที่วามาทั้งหมดนี้<br />
เปนลักษณะหรือภาวะ<br />
ดานตางๆ ที่สํ<br />
าคัญของภาวะสมบูรณอันเดียวกัน ซึ่งเมื่อมีสิ่งเหลานี้แลว<br />
อาการแหงความสุขก็ปรากฏออกมาได<br />
แตถาขาดไปแมแตบางดาน ความสุขถึงจะบอกวามี ก็จะเปน<br />
ความสุขที่แทจริงไมได<br />
จะเปนไดเพียงสิ่งที่เรียกวาเอามาโปะไวขางหนา<br />
หรือพอกไวขางนอก เปนของหลอก ไมสามารถเปนความสุขที่แทจริง<br />
อันนี้ก็เปนเรื่องของภาวะที่เรียกวาความสุข<br />
ซึ่งเหมือนกับวา<br />
ลักษณะที่เปน<br />
วิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ นั้น<br />
เปนลักษณะองคประกอบ<br />
ของภาวะที่เปนความดีงามสมบูรณของชีวิต<br />
พูดใหเขากับเรื่องในที่นี้วา<br />
เปนการทํ าความเขาใจเบื้องตนเกี่ยว<br />
กับ "สุขภาวะ" ใหเห็นวา ในการที่เราจะมีสุขภาวะนั้น<br />
ภาวะที่เปนสุขเปน<br />
ความสมบูรณอยางหนึ่งที่มีองคประกอบ<br />
หรือดานตางๆ หลายดาน ที่<br />
เราจะตองมองตองคํ านึงถึง และดานเหลานั้นเราจะตองใชเปนเครื่อง<br />
ตรวจสอบความสุขดวย<br />
หมายความวา ความสุขใดๆ ที่ใครก็ตามพูดขึ้นมานั้น<br />
เราตรวจ<br />
สอบไดวาเปนความสุขที่แทจริงหรือเปลา<br />
ถาไมมีภาวะที่วามาเหลานั้น<br />
แลว ก็ไมใชความสุขที่แทจริง<br />
ถาพูดวาเปนความสุข มันก็เปนความสุขที่<br />
ชั่วคราว<br />
ไมยั่งยืน<br />
ยังขาด ยังพรอง และที่สํ<br />
าคัญอยางยิ่งก็คือ<br />
เปนความ<br />
สุขที่ยังมีปญหา<br />
ซึ่งก็คือยังเปนทุกขอยูนั่นเอง<br />
(ทานเรียกวายังอยูใน<br />
อํ านาจของทุกข คือมีศักยภาพแหงการที่จะเปนทุกข)
- ๑ -<br />
สุขภาวะในระบบชีวิตแหงธรรมชาติ<br />
ปญหาสุขภาวะของคนไทย ซับซอนยิ่งกวาในอเมริกา<br />
ทีนี้ก็หันมาพูดถึงเรื่องสุขภาวะของคนไทยในแงที่พุทธศาสนามอง<br />
หรือในมุมมองของพระพุทธศาสนาวาเปนอยางไร<br />
อาตมภาพคิดวา เวลานี้สังคมไทยของเรามีทั้งปญหารวมกับเขา<br />
และปญหาเฉพาะของตัวเอง<br />
ปญหารวมที่สํ<br />
าคัญก็คือ เรารวมอยูในโลกที่กํ<br />
าลังพัฒนาในระบบ<br />
ที่มีทุนนิยมบริโภคเปนใหญครอบงํ<br />
าอยู<br />
นอกจากจะรวมกับเขาแลว เรา<br />
ยังชอบที่จะเปนอยางเขาดวย<br />
แลวเราก็ตาม เราพยายามวิ่งไล<br />
เรา<br />
พยายามที่จะเปนอยางนั้น<br />
เราอยากเปนอยางสังคมอเมริกาที่เปน<br />
บริโภคนิยม ซึ่งเราเห็นวาพรั่งพรอม<br />
เปนแบบอยาง เราพยายามตามเขา<br />
เต็มที่<br />
นี้คือลักษณะรวมที่เรามี<br />
อยางไรก็ตาม พรอมกันนั้นเราก็ไมไดเปนอยางอเมริกา<br />
แตเรามี<br />
ลักษณะที่ถูกเขาเรียกวาเปนสังคมที่กํ<br />
าลังพัฒนา ซึ่งเปนลักษณะของตน<br />
เอง จะถือวาเปนความลาหลัง หรือเปนความดอยก็แลวแต เรามีปญหา<br />
เศรษฐกิจในเรื่องความยากจนขนแคน<br />
ความที่การศึกษายังตํ่<br />
า รวมทั้ง<br />
ปญหาสุขภาพที่มีโรคภัยไขเจ็บมาก<br />
อะไรตางๆ เหลานี้<br />
เปนเรื่องดาน<br />
ปญหาเฉพาะของตนเอง แลวก็โยงออกมาสูปญหาสุขภาวะนี้ดวย<br />
ทีนี้<br />
ในดานปญหาสุขภาวะแงที่รวมกันกับเขาในโลกยุคโลกาภิวัตน
๑๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ที่วาไปรวมกับสังคมอื่นที่เขาเจริญกาวหนาเปนบริโภคนิยมนั้น<br />
บางครั้ง<br />
สังคมไทยเราก็ไปจองรับสวนที่เปนความบกพรองของเขา<br />
เอามาตามจน<br />
ลํ้<br />
าหนาเขาไปเลย ทั้งที่สวนที่ดีของเขาก็มี<br />
แตเราไมคอยไดเอามา อันนี้ก็<br />
เลยกลายเปนการซํ้<br />
าเติมตัวเองใหหนักขึ้นไปอีก<br />
คือ ตัวเองมีปญหาของ<br />
ตัวเองอยูแลว<br />
ยังไปเอาสวนรายของเขามาอีก ก็เลยยิ่งแย<br />
ก็เลยอยากจะยกตัวอยางมาบอกเลาใหเห็นภาพกันบาง กอนที่จะ<br />
พูดอะไรลงไปในสวนที่เปนเนื้อหาสาระ<br />
เมื่อตอนที่อาตมภาพไปรับการผาตัดนิ่วในถุงนํ้<br />
าดี ขณะที่กํ<br />
าลัง<br />
นอนรอคุณหมอที่จะใหดมยาสลบทานติดประชุม<br />
ก็เลยคุยกับคุณหมอที่<br />
จะผาตัดให และคุณหมอทานอื่นๆ<br />
ดวย<br />
คุณหมอที่จะผาตัดพึ่งกลับจากอเมริกา<br />
ไมใชไปเรียนจบกลับ<br />
มานะ แตคุณหมอเปนผูใหญแลว<br />
ทานก็เดินทางไปดูอเมริกา ไปดูอะไรก็<br />
ไปดูปญหาของอเมริกา คือดูการแกปญหาโรคใหม ที่เปนโรคอารยธรรม<br />
คือโรคอวน (obesity) ไปดูวิธีแกปญหาโรคอวน<br />
วิธีแกปญหาโรคอวนที่เปนโรคเดนนํ<br />
าในปจจุบันของอเมริกา ก็คือ<br />
การตองผาตัดกระเพาะ คุณหมอเปนแพทยผาตัดอยูแลว<br />
ก็เลยตรงกับ<br />
งานของทาน<br />
คุณหมอเลาใหฟงวา วิธีแกปญหาโรคอวนที่อเมริกานั้นก็คือ<br />
เขาจะ<br />
ผาตัดกระเพาะของคนที่เปนโรคอวนนี้<br />
จากกระเพาะที่ใหญประมาณ<br />
๒<br />
กํ าปน<br />
จะผาตัดใหเล็กลงจนเหลือความจุเพียง 15 cc. คือ ๑๕ ลบ.ซม.<br />
ก็ลองคิดดู การที่ตองผาตัดใหเล็กลงไปเพราะอะไร<br />
ก็เพราะวาคน<br />
ที่เปนโรคอวนนั้น<br />
เพราะกินมาก เขาก็เลยตองเย็บกระเพาะใหเล็กลง<br />
เพื่อจะใหกินไดนอยๆ<br />
เอนี่…<br />
ถาจะวาในแงของสุขภาวะ ก็รางกายมันสมบูรณดีอยูแลว<br />
อวัยวะก็สมประกอบ แลวเรื่องอะไรจะไปผาตัดใหมันผิดปกติ<br />
นี่ก็กลาย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
เปนวา ในการสรางสุขภาวะสมัยใหมนี้<br />
เราอาจจะตองไปทํ าอวัยวะที่เปน<br />
ปกติใหมันผิดปกติ เชน ทํ าใหกระเพาะอาหารวิปริต นอกจากทํ าใหเล็ก<br />
ลงไปผิดขนาดแลว ก็ถูกผาตัดอีกดวย<br />
แลวคุณหมอยังบอกอีกวา ตอไปถาพวกนี้ยังกินจุอีก<br />
กระเพาะก็<br />
จะยืดออกไปใหม จึงตองใหคนมีการควบคุมตัวเองดวย (แตจะใหคนรู<br />
จักควบคุมตัวเองนั้นยาก<br />
จึงตองควบคุมทางสังคม) อเมริกาก็เลยตองมี<br />
การแกปญหาสังคมในเรื่องการกินจุกกินจิก<br />
เชนเขาเคยมี refreshment<br />
stand ที่เปนเครื่องหมายของความพรั่งพรอมสะดวกสบาย<br />
แตเดี๋ยวนี้<br />
เขากลับใหเลิกใช หรือหามใช ฯลฯ<br />
อะไรตางๆ เหลานี้<br />
เปนปญหาของประเทศที่เจริญแลว<br />
ซึ่งมีความ<br />
มั่งคั่งพรั่งพรอม<br />
ที่เขาคิดวาจะหาความสุขไดเต็มที่<br />
และคงจะมีความสุข<br />
กันเต็มที่<br />
แตก็มีอาการแหงความเสียสุขภาวะอยางที่วานี้<br />
ทีนี้<br />
ในดานของประเทศไทย คุณหมอไปดูอเมริกามานี่<br />
ก็คือเตรียม<br />
ไว เผื่อจะตองผาตัดกระเพาะคนไทยตอไป<br />
เพราะไดทราบมาวา ตอนนี้<br />
เด็กไทยก็เริ่มเปนโรคอวนกันแลว<br />
เด็กไทยที่เปนโรคอวนนั้น<br />
โดยมากเปนเพราะอยูกับเกม<br />
กินอาหาร<br />
ขยะ (junk food) และไมไดบริหารอิริยาบถเพียงพอ เปนปรากฏการณ<br />
ใหมของยุคสมัย จนทํ าใหคนเริ่มสังเกตเห็นความแตกตางระหวางเด็กใน<br />
โรงเรียนที่ผูปกครองมีฐานะดี<br />
ซึ่งมีนักเรียนอวนๆ<br />
เยอะ กับเด็กในโรง<br />
เรียนที่ผู<br />
ปกครองคอนขางยากจน ซึ่งมีแตนักเรียนผอมเกร็ง<br />
ตางจากสมัยกอน ที่เด็กทั้งหลายใชเวลาวิ่งเลนมาก<br />
แลวก็มีราง<br />
กายปราดเปรียวคลายๆ กันทั่วไป<br />
ทํ าไปทํ ามา โรงเรียนที่ผูปกครองเด็กคอนขางยากจน<br />
จะกลายเปน<br />
มีขอดีที่ไดเปรียบ<br />
อยางนอยก็ในแงที่วานี้<br />
โรคอวน (obesity) นี้เปนตัวอยางที่ชัด<br />
ซึ่งเมื่อเรียกใหรวบรัด<br />
ก็คือ<br />
/ 136<br />
๑๑
๑๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
เปนโรคอารยธรรม ที่บงบอกในตัววา<br />
ความเจริญอยางสูงในโลกปจจุบัน<br />
ไมไดเปนหลักประกันวาจะทํ าใหคนเรามีสุขภาวะดีขึ้น<br />
แปลกที่วา<br />
เพียงแคการดํ าเนินชีวิตขั้นตื้นๆ<br />
เทานี้<br />
คนก็มีชีวิตที่เสีย<br />
ดุลไปแลว ทั้งอยางนี้<br />
ก็ยังขืนเรียกวาเปนอารยธรรมกันอยูได<br />
เราพูดกันนักถึงการหาความสุข และอันที่จริงคนในโลกที่เจริญ<br />
เปนดินแดนที่พัฒนาสุดยอดแลว<br />
มีเครื่องบํ<br />
ารุงความสุขทุกอยางไวใหหา<br />
ก็นาจะมีความสุข แตพอดูกันจริงๆ ลึกลงไป สุขภาวะที่เรามองโดยโยง<br />
สภาพรางกายไปประสานกับดานอื่นๆ<br />
มันขาดหมดเลย<br />
การที่วาคนอเมริกันมีปญหาสุขภาวะอยางนั้นไดอยางไรนี้<br />
เปนตัว<br />
อยางที่ชัดของการที่วาความสุขที่คนเขาใจและใฝหา<br />
ไมตรงกันเลยกับ<br />
ความสุขตามหลักการที่เรียกวาสุขภาวะ<br />
แตกลายเปนวา คนที่วาเจริญเหลานี้<br />
พากันหาความสุขที่ไมเปน<br />
สุข(ภาวะ) หรือหาความสุขที่เสียสุข(ภาวะ)<br />
พูดงายๆ ก็คือหา(ความ)สุข<br />
ที่เปน(ความ)ทุกข<br />
หรือพูดใหลึกลงไปอีกก็คือวา คนเจริญเหลานี้มีความ<br />
เห็นผิด คือเปนมิจฉาทิฐินั่นเอง<br />
หมายความวาจุดเริ่มของปญหาอยูที่นี่<br />
การที่คนเปนโรคอวนเปนเรื่องที่ชวยใหสืบสาวหาเหตุปจจัยไดงาย<br />
ขึ้นวาทํ<br />
าไมคนยุคนี้จึงสูญเสียสุขภาวะ<br />
และพรอมกันนั้นก็เปนเครื่องบงชี้<br />
ดวยวา การที่จะมีสุขภาวะนั้นไมใชเปนเรื่องที่จะมองแครางกายอยางเดียว<br />
ตัวอยางเชน ในเรื่องอาหารที่มีกินกันดีนี้<br />
ถึงจะมีกินอยางพรั่งพรอม<br />
บริบูรณ แตถากินไมเปน ก็กลายเปนวาทํ าใหเกิดโทษแกชีวิตของตัวเอง<br />
ไมใชเปนโรคขาดอาหารเพราะขาดแคลนอาหาร แตเปนโรคขาดอาหาร<br />
เพราะขาดแคลนปญญา หรือเปนโรคกินเกิน (overnutrition) เพราะกิน<br />
โดยไมใชปญญา รวมแลวก็คือปฏิบัติไมถูก แลวก็ตั้งจิตผิดทางนั่นเอง<br />
เอาเปนวา ปญหาสุขภาวะของคนไทยนี้ไมอยากจะพูดละเอียดลง<br />
ไปมาก เอาแคผิวเผินไวแคนี้ก็พอ<br />
คือรวบรัดวา เรามีปญหาทั้งที่รวมกับ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
สังคมที่เขาพัฒนาไปแลว<br />
ซึ่งเขาเองก็มีปญหามากมายอยางที่เรียกวา<br />
โรคอารยธรรม คือเจริญมากขึ้นแลว<br />
ก็มาเจอปญหาโรคหัวใจมากขึ้น<br />
โรคเสนเลือดในสมองตีบ หรือแตก อะไรตางๆ จนกระทั่งมาถึงโรคอวนนี้<br />
อันเปนโรคประเภทที่เกี่ยวกับการดํ<br />
าเนินชีวิตไมถูกตอง ที่ฝรั่งเรียกวา<br />
unhealthy lifestyles<br />
เดี๋ยวนี้ฝรั่งพูดกันมากวา<br />
ปญหาโรคภัยไขเจ็บของเขาที่เกิดขึ้นนั้น<br />
มาจาก lifestyles ที่ผิดพลาด<br />
ซึ่งก็เปนเรื่องที่วากันมานานจนเกาแลว<br />
สวนปญหาของไทยเราเอง ก็มีตางหากที่เปนเรื่องเฉพาะของตัวเอง<br />
อยู แลว ที่บอกวาเรามีการศึกษานอย<br />
และนับวายากจน ก็เลยมาพันกับ<br />
เรื่องของความเจ็บไข<br />
และยิ่งไมมีปญญาที่จะจัดการกับสิ่งแวดลอมใหดี<br />
เมื่อสิ่งแวดลอมยิ่งเสีย<br />
ก็ยิ่งทับถมซํ<br />
าเติมตัวเอง ้ สุขภาพก็ยิ่งแยลงไปอีก<br />
เพราะวาสิ่งแวดลอมไมใชจะมีปญหาเฉพาะกับตัวคนเองตรงๆ<br />
เทานั้น<br />
แตสิ่งแวดลอมที่เสียนั้น<br />
มันก็เสียแกสัตวและแกพืชที่คนกินเขาไปดวย<br />
พอคนไปกินสัตวกินพืชที่เปนพิษภัยมีสารเคมีเปนตน<br />
จะเปนพิษ<br />
จากนํ า ้ จากดิน จากอากาศ หรือจากอะไรก็ตาม เสร็จแลวมันก็กลับมา<br />
เปนโทษแกตัวคนเองอีก พันกันไปหมด เรียกวาเปนปญหาในระบบ<br />
ความสัมพันธแหงเหตุปจจัย รวมความวา ไมตองลงลึกไปใหถึงขั้นที่จะ<br />
สาธยายอะไรๆ พูดแคเปนหัวขอก็พอ<br />
ระวัง! องครวม ไมใชเหมารวม<br />
ทีนี้ก็ลองสืบลงไปวา<br />
ทํ าไมจึงเกิดปญหาสุขภาวะอยางนี้<br />
ถาตอบ<br />
แบบรวบรัด ก็อาจจะพูดสั้นๆ<br />
งายๆ วา เพราะเปนอยูไมเปน<br />
แมแตกินก็<br />
กินไมเปน และเปนอยูไมเปน<br />
ก็คือดํ าเนินชีวิตไมเปน<br />
การดํ าเนินชีวิตนั้น<br />
เมื่อพูดตามภาษาแบบที่นิยมกันในปจจุบัน<br />
ก็<br />
เปนองครวมอยางหนึ่ง<br />
องครวมแหงการดํ าเนินชีวิตนั้น<br />
ก็คืออะไรๆ ทั้ง<br />
/ 136<br />
๑๓
๑๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
หมดที่จะทํ<br />
าใหเราเปนอยู<br />
หรือมีชีวิตอยูได<br />
มีทั้งกาย<br />
ทั้งใจ<br />
ทั้งปญญา<br />
หมดทั้งระบบของมัน<br />
การดํ าเนินชีวิตนี้เปนระบบ<br />
เราพูดวาจะตองดํ าเนินชีวิตใหเปน<br />
หรืออาจจะเปลี่ยนวาใหถูกตองก็ได<br />
เมื่อเปนอยูไมถูกตอง<br />
ดํ าเนินชีวิตไม<br />
ถูกตอง มันก็เกิดปญหาขึ้นมา<br />
ทีนี้เรามองวาชีวิตและระบบแหงการดํ<br />
าเนินชีวิตนั้นเปนองครวม<br />
ชีวิตที่ดํ<br />
าเนินชีวิตไปนั้นจึงมีหลายดาน<br />
ไมวาดานไหนก็ตามถาเปนอยู<br />
หรือดํ าเนินผิดพลาดไป ก็เกิดปญหาและสงผลกระทบกันหมด<br />
ชีวิตโดยตัวของมันเองก็เปนองครวมอยูแลว จึงมีองคประกอบ<br />
มากมาย และมีดานตางๆ แลวชีวิตนี้ยังเขาไปเปนองครวมขององครวม<br />
อื่นที่ใหญขึ้นไปอีก<br />
องครวมอื่นที่วาชีวิตเขาไปเปนสวนหนึ่งนั้น<br />
เอาที่<br />
สํ าคัญก็คือระบบของธรรมชาติ แลวก็มีสังคมที่วาเราตองเขาเปนสมาชิก<br />
ดวย องครวมหนวยยอยๆ ก็เปนองครวมขององครวมใหญๆ ขยายขึ้นไป<br />
เปนอันวา องครวมทุกระดับประกอบดวยองครวม และองครวม<br />
ทุกอยางนั้นจะดํ<br />
าเนินไปดวยดี ก็ตอเมื่อประดาองครวมเปนอยูเปนไป<br />
ดวยดี ถาองครวมอันใดอันหนึ่งติดขัดแปรปรวนไมเปนไปตามปกติ<br />
องค<br />
รวมก็ยอมมีความวิปริตแปรปรวนไปดวย นี้เปนเรื่องธรรมดาในระบบ<br />
ความสัมพันธ เพราะฉะนั้นเราจึงตองมองเรื่องสุขภาวะนี้ในฐานะที่มัน<br />
เปนระบบความสัมพันธของเหตุปจจัยในองครวม<br />
ขอยํ้<br />
าวา ที่เรียกวาองครวมนั้น<br />
ก็คือองครวมแหงระบบความ<br />
สัมพันธของเหตุปจจัยนั้นเอง<br />
คือองครวมหรือองคประกอบทั้งหลายที่<br />
สัมพันธซึ่งกันและกันโดยเปนเหตุปจจัยแกกัน<br />
ตรงนี้มีขอพิจารณาอยางหนึ่งวา<br />
องครวมนั้น<br />
จะตองไมใชเหมารวม<br />
องครวมนี้ถามองไมถูก<br />
จะกลายเปนเหมารวม ถามองแบบเหมารวมก็จะ<br />
พลาด
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
องครวมนี้เตือนเราอยูเสมอวามันประกอบไปดวยองครวม<br />
หมาย<br />
ความวา การที่องครวมจะอยูดีไดนั้น<br />
องครวมทุกอยางที่มาประกอบเปน<br />
องครวมนั้น<br />
จะตองอยูในภาวะที่เปนปกติ<br />
เรียบรอยดวยดี และไมใชแคมี<br />
องคประกอบครบถวนเปนปกติเทานั้น<br />
แตองครวมหรือองคประกอบ<br />
เหลานี้มันมีการเคลื่อนไหว<br />
มีการทํ าหนาที่ของมันเองดวย<br />
ดังนั้นการ<br />
เคลื่อนไหวทํ<br />
าหนาที่ของมันจะตองสัมพันธประสานกลมกลืนกันดีกับ<br />
องครวมอื่นดวย<br />
นี่ก็หมายความวา<br />
การที่องครวมจะอยูดีนั้น<br />
ไมใชแคมีองครวมมา<br />
ประกอบกันเทานั้น<br />
แตหมายถึงวาตองมีระบบความสัมพันธขององครวม<br />
ทั้งหลายที่ดํ<br />
าเนินไปดีดวย ดังนั้น<br />
ในการมององครวมนี้<br />
สิ่งสํ<br />
าคัญก็คือ<br />
ตองชัดไปหมดทั่วตลอดประดาองครวมที่ดํ<br />
ารงอยูและดํ<br />
าเนินไปในความ<br />
สัมพันธกันนั้น<br />
แลวการมององครวม ถาไปสุดโตง ก็จะเปนเหมารวมอยางที่วา<br />
คือจะมองอะไรพราไปหมด คลุมเครือ และจะไปสุดโตง ดังนั้นจึงอยา<br />
เหมาวาองครวมดีไปหมด<br />
ยุคหนึ่งก็มุงแตแยกสวน<br />
อีกยุคหนึ่งก็จะไปองครวม<br />
ในอดีตก็เปน<br />
กันมาแลว<br />
บางยุคที่วาเปนองครวม<br />
แตดูไปก็ไดแคเหมารวม คือมองอะไร<br />
แบบรวมๆ จริง แตเห็นพราๆ ไมมีอะไรชัดสักอยาง ก็ไดประโยชนบาง แต<br />
ไมดีจริงหรอก<br />
ตอมาอีกยุคหนึ่งก็มุ<br />
งแตแยกสวนออกไปๆ ดูแตองครวม แตไมเห็น<br />
ทั้งองครวมและองครวม<br />
ทั้งนี้เพราะวา<br />
องครวมนั้นเมื่อมองในแงแยกสวนก็เห็นแตละ<br />
อยางๆ ไมเห็นความเปนองครวม และเมื่อแยกสวน<br />
หรือแยกแยะเปน<br />
สวนยอยๆ ออกไป ก็เลยไมมองวาสวนยอยๆ นั้นๆ<br />
มาสัมพันธกันอยางไร<br />
/ 136<br />
๑๕
๑๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
มองแตละอยางๆ ขาดจากกัน ก็ไมสามารถมองเห็นองครวมได ดังนั้น<br />
การที่จะแยกแยะดูแตละอยางโดยไมตระหนักวามันเปนองคที่ประกอบ<br />
กันอยู<br />
ถึงจะดูอยางเดียวนั้นชัดแคไหนก็เปนเพียงการไปสุดโตงเทานั้น<br />
เพราะฉะนั้น<br />
มนุษยจึงมีความโนมเอียงที่จะไปสุดโตง<br />
๒ แบบ<br />
ดานหนึ่งก็ไปหาองครวมที่คลุมเครือไมชัดเจน<br />
ไมใชองครวมที่แทจริง<br />
เปนแคเหมารวมอยางที่วาแลว<br />
อีกดานหนึ่งก็ไปทางแยกสวนมองแตละ<br />
อยางขาดลอยจากกัน<br />
ถาเราจะไมไปสุดโตงทั้ง<br />
๒ อยาง ก็ตองไดครบทั้ง<br />
๒ คือตองไดทั้ง<br />
องครวมและองครวม หมายความวา ทั้งแยกสวนก็เกง<br />
วิเคราะหใหเห็น<br />
ชัดเจนในแตละอยาง แลวก็รูดวยวาแตละอยางนั้นมาสัมพันธกันอยางไร<br />
ถามันสัมพันธกันดี ไดสัดสวนสอดคลอง กลมกลืน ประสานเกื้อกูลซึ่งกัน<br />
และกัน แลวมันก็กลายเปนองครวมปกติที่ดํ<br />
าเนินไปดวยดี อันนี้แหละคือ<br />
ทางสายกลางที่มีความสมบูรณในตัวเอง<br />
ดังนั้น<br />
พุทธศาสนาจึงเนนระบบ<br />
ความสัมพันธ มากกวาจะมุ งแคแยกแยะองคประกอบ เพราะวาจากองค<br />
รวมที่สัมพันธกันเปนระบบที่ดี<br />
ก็จะเปนองครวมที่สมบูรณ<br />
ดังนั้น<br />
ถาเราแยกแยะเปน ก็แยกไปเถอะ ยิ่งแยกแยะใหชัดเจนเทาไร<br />
ก็ยิ่งดี<br />
แตขอสํ าคัญคืออยาลืมมองความสัมพันธ ถาองครวมทั้งหลาย<br />
สัมพันธกันดวยดีแลว ก็คือการที่องครวมดํ<br />
าเนินไปดวยดีนั่นเอง<br />
เพราะ<br />
ฉะนั้น<br />
เรื่ององครวมและองครวมนี้จะตองดํ<br />
าเนินไปดวยกัน ตัดแยกออก<br />
จากกันไมได<br />
องครวมของชีวิต ที่มีสุขภาวะ<br />
ทีนี้ก็มาพูดถึงเรื่ององครวมและองครวม<br />
ในแงที่เกี่ยวกับสุขภาวะ<br />
ของคน<br />
อยางที่พูดแลวเมื่อกี้นี้<br />
เราจะดูการดํ าเนินชีวิตทั้งหมดของคน<br />
โดย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
เริ่มดวยมองที่ชีวิต<br />
ซึ่งจะเปนองครวมที่ไปสัมพันธในองครวมที่ใหญขึ้นไป<br />
ชีวิตก็เปนองครวมของมันเอง องครวมแหงชีวิตนี้<br />
ถาวาตามหลัก<br />
พุทธศาสนา เราแยกงายๆ ขั้นที่หนึ่ง<br />
ก็แยกเปนกายกับใจ หรือรูปธรรม<br />
กับนามธรรม หรือพูดสั้นๆ<br />
วา รูปกับนาม<br />
จากนั้นก็แยกยอยออกไปๆ<br />
รูปธรรมก็แยกยอยออกไปเปนธาตุ<br />
ตางๆ นามธรรมก็แยกยอยออกไปเปนสวนประกอบตางๆ จะแยกอยาง<br />
ไรก็ได เวลาพูดรวมก็บอกวาเปนนามรูป หรือจะแยกตามระบบขันธ ๕ ก็<br />
เปน ๕ อยาง แลวก็จํ าแนกกระจายออกไปๆ จะแยกใหละเอียดพิสดาร<br />
ขนาดไหน ก็แยกกันไป แลวแตความตองการของเรา<br />
ขอใหสังเกตวา คํ าวา “นามรูป” นี้แหละ<br />
คือคํ าที่ตามปกติทานใช<br />
เรียกชีวิตนี้<br />
ซึ่งเปนคํ<br />
าที่บงบอกในตัวทั้งองครวมใหญสองอยางคือดานจิต<br />
ใจและดานรางกาย ที่รวมเปนคํ<br />
าเอกพจน อันแสดงถึงองครวมอันเดียว<br />
อยางไรก็ตาม การแยกแยะชีวิตในแงองคประกอบของมันนั้น<br />
เปน<br />
เพียงการมองดานหนึ่งเทานั้น<br />
คือมองดูชีวิตที่เหมือนกับวาตั้งอยูนิ่งๆ<br />
เพียงเปนสวนหนึ่งของธรรมชาติ<br />
แตอีกดานหนึ่งที่สํ<br />
าคัญก็คือ การมองดู<br />
ชีวิตที่กํ<br />
าลังเคลื่อนไหวดํ<br />
าเนินไปในทามกลางสิ่งแวดลอม<br />
พูดสั้นๆ<br />
วา<br />
มองดูการดํ าเนินชีวิต ซึ่งก็เปนอีกองครวมหนึ่ง<br />
คือองครวมแหงการ<br />
ดํ าเนินชีวิต เปนองครวมแบบเคลื่อนไหว<br />
ยํ้<br />
าอีกวา ไมใชเปนเพียงตัวชีวิตเองเทานั้น<br />
แตคือชีวิตที่เปนอยู<br />
ดํ าเนินไปในสภาพแวดลอม โดยเปนองครวมยอยที่สัมพันธกับองครวม<br />
ยอยอื่นๆ<br />
ภายในและกับองครวมใหญ ตอนนี้ละที่สํ<br />
าคัญ คือ (องครวม<br />
แหง)การดํ าเนินชีวิต<br />
การมองดูชีวิตที่เปนอยู<br />
คือดูการดํ าเนินชีวิตนี้เปนอยางไร<br />
ในที่นี้<br />
จะขอทํ าความเขาใจใหชัดเจนเสียกอนวา เรามองชีวิต ๒ ชั้น<br />
คือ<br />
๑. ชีวิตที่ถือวามีตัวตนเฉพาะของมัน<br />
ที่อยู<br />
ในธรรมชาติ และมันก็<br />
/ 136<br />
๑๗
๑๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
เปนสวนหนึ่งของธรรมชาติ<br />
หรือเปนธรรมชาติอยางหนึ่ง<br />
๒. ชีวิตนั้นที่กํ<br />
าลังดํ าเนินไป ซึ่งมีปฏิสัมพันธอยู<br />
ทามกลางสิ่งแวด<br />
ลอม โดยเปนองครวมอันหนึ่งในองครวมใหญ<br />
เราตองมองชีวิตใหตลอดทั้งสองชั้น<br />
แมวาขอที่หนึ่งจะสํ<br />
าคัญ แต<br />
ขอที่สองเปนจุดเนนในที่นี้<br />
อยางแพทยก็ตองเรียนขอที่หนึ่งกอน<br />
ตอง<br />
เรียนเรื่องรางกาย<br />
เรียนสรีรวิทยา เรียนกายวิภาค แตมันไมจบเทานั้น<br />
ในที่นี้<br />
เราจะมองสุขภาวะในความหมายที่กวางขวางออกไป<br />
ก็<br />
ตองมาดูวา การดํ าเนินชีวิตที่วาเปนองครวมนั้น<br />
ก็เปนระบบอยางหนึ่ง<br />
คือมันไมใชเปนองครวมเฉยๆ แตเปนองครวมแหงระบบความสัมพันธ<br />
และในการที่จะใหมีสุขภาวะนั้นก็คือ<br />
เราจะตองดูแลระบบความสัมพันธ<br />
นี้ใหเปนไปดวยดี<br />
ที่วาเปนระบบความสัมพันธก็คือ<br />
ถาเราแยกชีวิตออกไปเปนดาน<br />
ตางๆ หรือเปนองคประกอบดานตางๆ แลว องคประกอบดานตางๆ เหลานั้น<br />
ก็มีความสัมพันธเปนเหตุเปนปจจัยแกกันดวย ไมใชขาดลอยจากกัน<br />
ทีนี้เราก็มาดูวาชีวิตของเรานั้นเปนอยูอยางไร<br />
หรือพูดอีกสํ านวน<br />
หนึ่งวา<br />
การดํ าเนินชีวิตของเราคืออยางไร<br />
ดานที่หนึ่ง<br />
ดูจากขางนอกกอน ชีวิตของเราสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
และสิ่งแวดลอมก็แยกเปน<br />
๒ อยาง คือ<br />
๑. สิ่งแวดลอมทางกายภาพ<br />
และ<br />
๒. สิ่งแวดลอมทางสังคม<br />
คือเพื่อนมนุษยดวยกัน<br />
ทั้งสองอยางนี้เราตองสัมพันธตลอดเวลา<br />
ทีนี้<br />
ในการสัมพันธนั้น<br />
เราสัมพันธดวยเครื่องมืออะไร<br />
หรือมีอะไร<br />
เปนเครื่องติดตอสื่อสาร<br />
ชีวิตของเรานั้น<br />
มีเครื่องมือหรือชองทางสัมพันธกับโลกหรือสิ่งแวด<br />
ลอม ที่ทางพระเรียกวา<br />
“ทวาร” ซึ่งแปลวาประตู
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ทวาร คือประตูนี้<br />
มี ๒ ชุด ไดแก<br />
ชุดที่<br />
๑ คือทวารหรือประตูที่เปนชองทางแหงการรับรูและการเสพ<br />
เรียกวา ผัสสทวาร แตนิยมเรียกวา อินทรีย มี ๖ อยาง คือ<br />
๑. ตา รับรูและเสพดวยการเห็น<br />
มอง หรือดู เรียกวา จักขุทวาร<br />
เรียกงายๆ วา จักขุ<br />
๒. หู รับรูและเสพดวยการไดยินหรือฟง<br />
เรียกวา โสตทวาร เรียก<br />
งายๆ วา โสตะ<br />
๓. จมูก รับรูและเสพดวยการไดกลิ่นหรือดม<br />
เรียกวา ฆานทวาร<br />
เรียกงายๆ วา ฆานะ<br />
๔. ลิ้น<br />
รับรูและเสพดวยการรูรสหรือลิ้มหรือชิม<br />
เรียกวา ชิวหา<br />
ทวาร เรียกงายๆ วา ชิวหา<br />
๕. กาย รับรูและเสพดวยการแตะตองลูบคลํ<br />
า เรียกวา กายทวาร<br />
เรียกงายๆ วา กาย<br />
๖. ใจ รับรู และเสพอารมณทุกประเภททั้งที่สืบเนื่องจาก<br />
๕ ทวารแรก<br />
และที่เปนสวนเฉพาะของมันเอง<br />
เรียกวา มโนทวาร เรียกงายๆ วา มโน<br />
อนึ่ง<br />
ควรทราบดวยวา โดยสรุป อินทรีย ๖ นั้น<br />
ทํ าหนาที่<br />
๒ อยาง คือ<br />
๑) หนาที่รู<br />
คือรับรู ขอมูลขาวสาร เชน ตาดู รูวาเปนอะไร<br />
วาเปน<br />
ปากกา เปนนาฬิกา เปนดอกไม ใบไมสีเขียว สีเหลือง รูปรางยาวสั้น<br />
ใหญเล็ก หูไดยินเสียงวา ดัง เบา เปนถอยคํ าสื่อสารวาอยางไร<br />
เปนตน<br />
๒) หนาที่รูสึก<br />
หรือรับความรูสึก<br />
พรอมกับรับรูขอมูล<br />
เราก็มีความ<br />
รู สึกดวย บางทีตัวเดนกลับเปนความรูสึก<br />
เชน เห็นแลวรูสึกสบายหรือไม<br />
สบาย ถูกตาไมถูกตา สวยหรือนาเกลียด ถูกหูไมถูกหู เสียงนุมนวล<br />
ไพเราะหรือดังแสบแกวหูรํ าคาญ เปนตน<br />
- หนาที่ดานรู<br />
เรียกงายๆ วา ดานเรียนรู<br />
หรือศึกษา<br />
- หนาที่ดานรูสึก<br />
เรียกงายๆ วา ดานเสพ<br />
/ 136<br />
๑๙
๒๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
พูดสั้นๆ<br />
วา อินทรียทํ าหนาที่<br />
๒ อยาง คือ ศึกษา กับ เสพ<br />
ถาจะพัฒนาชีวิต ก็ตองใชอินทรียเพื่อรู<br />
หรือศึกษาใหมาก<br />
ชุดที่<br />
๒ คือทวารหรือประตูที่เปนชองทางแสดงออกซึ่งพฤติกรรม<br />
ในการสัมพันธกับสิ่งแวดลอมนั้น<br />
เรียกวา กรรมทวาร แบงออกเปน ๓ คือ<br />
ก) โดยการเคลื่อนไหว<br />
ใชรางกาย ใชมือ ใชเทา ทํ าโนนทํ านี่<br />
เรียก<br />
วา กายทวาร คือประตูกาย<br />
ข) โดยการพูด ใชถอยคํ า เจรจาปราศรัยกับคนอื่น<br />
เรียกวา วจีทวาร<br />
คือประตูวาจา<br />
ค) โดยการคิด เราคิดตอสิ่งแวดลอม<br />
ตอเพื่อนมนุษย<br />
ตอสิ่งทั้ง<br />
หลายวาจะเอาอยางไรๆ แลวก็ตั้งเจตนากอนจะออกไปสูการ<br />
พูดการทํ า เรียกวา มโนทวาร คือประตูใจ<br />
อันนี้คือชองทางในการสัมพันธดวยการกระทํ<br />
าตอสิ่งแวดลอม<br />
ขอใหสังเกตวา ในสองชุดนี้มีขอที่ซํ้<br />
าชื่อกัน<br />
๒ อยาง คือ กาย และ<br />
ใจ แตมีแงความหมายตางกัน<br />
กายในชุดที่<br />
๑ เปนเรื่องของผัสสะ<br />
คือการรับรู<br />
เชนวา เย็น รอน<br />
ออน แข็ง เปนตน แตกายในชุดที่<br />
๒ เปนเรื่องของกรรม<br />
คือการทํ าการ<br />
หรือกิจกรรมตางๆ เชน เคลื่อนไหว<br />
จับโนนจับนี่<br />
ยึด ดึง ผลัก ดัน กาว<br />
เดิน กระโดด เปนตน<br />
ใจในชุดที่<br />
๑ เปนเรื่องของการรับรู<br />
โดยเปนศูนยรวมในการรับรู<br />
ไม<br />
วาจะเปนอารมณที่มาทางตา<br />
ทางหู ทางจมูก ฯลฯ จะไดเห็น ไดยิน ได<br />
กลิ่น<br />
ฯลฯ ก็ตาม ก็เขามาที่มโน<br />
ใหจิตใจรับรูหมด<br />
แลวจากจุดรวมคือมโน คือใจที่รับรูนี้<br />
มันก็เปนจุดเริ่มทางดานการ<br />
กระทํ า คือเปนประตูแรกของการกระทํ าดวย ไดแกคิด จากใจรูแลวใจก็<br />
คิด โดยใจนั้นก็เปนศูนยรวมในการกระทํ<br />
าดวย คือเปนจุดเริ่มที่ขยายไปสู<br />
การพูดและการทํ า
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
อาจจะเขียนเปนแผนภาพใหเขาใจงายขึ้น<br />
ดังนี้<br />
ตา - เห็น<br />
หู - ไดยิน กาย - ทํ า<br />
จมูก - ไดกลิ่น<br />
ใจ: รูอารมณ<br />
คิด<br />
ลิ้น<br />
- รูรส<br />
กาย - รูรอนแข็ง<br />
วาจา - พูด<br />
เปนอันวา มโนคือใจ เปนทั้งศูนยรวมของการรับรู-เสพ<br />
เปนทั้ง<br />
ศูนยรวมของการกระทํ า และเปนจุดบรรจบหรือจุดรับชวงสืบตอจากการ<br />
รับรูสูการกระทํ<br />
า<br />
เรามีประตูหรือชองทางสํ าหรับติดตอสัมพันธกับสิ่งแวดลอมภาย<br />
นอกสองชุด คือ “ผัสสทวาร” ประตูสํ าหรับรับรู<br />
๖ และ “กรรมทวาร” ประตู<br />
สํ าหรับทํ าการ ๓ อยางนี้<br />
ซึ่งที่จริงมันก็คือเครื่องมือที่จะชวยใหชีวิตของ<br />
เราพัฒนาไปดวยดีนั้นเอง<br />
เราจะตองมีความสัมพันธที่ดีโดยประตูทั้งสองชุดนี้<br />
ถาเรามีความ<br />
สัมพันธที่ไมถูกตองเมื่อไร<br />
ก็จะเกิดปญหาตอสุขภาวะ และปกติภาวะทุก<br />
อยาง ขัดขวางตอวิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ คือตออะไรๆ ทุกอยางที่ไดพูดมา<br />
สิ่งแวดลอมนั้น<br />
ทางพระเรียกวาโลก คํ าวา “โลก” ในที่นี้<br />
หมายถึงสิ่ง<br />
แวดลอมทั้งหมด<br />
คือรวมทั้งสัตวโลกคือสังคม<br />
และสังขารโลกคือสิ่งแวด<br />
ลอมทางดานกายภาพทั้งหลาย<br />
คลุมถึงโอกาสโลกคือโลกในอวกาศดวย<br />
พูดงายๆ วา การที่จะมีสุขภาวะไดนั้น<br />
เราจะตองจัดการหรือ<br />
บริหารการติดตอสัมพันธกับสิ่งแวดลอมทั้งสองสายนี้ใหเปนไปดวยดี<br />
นี้เปนดานหนึ่งแหงการดํ<br />
าเนินชีวิตที่ดีของเรา<br />
เรื่องจึงยังไมจบเทานี้<br />
/ 136<br />
๒๑
๒๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
จะสัมพันธกับสิ่งแวดลอมอยางไร<br />
มีตัวกํ ากับอยูในแดนของจิตใจ<br />
ตอจากนี้<br />
ที่ลึกเขาไปคือดานจิตใจ<br />
ซึ่งมีเจตจํ<br />
านงเปนตัวเชื่อมออก<br />
มาสู ความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
การที่เราจะดู<br />
จะฟง จะดม จะพูด จะทํ าอะไรอยางไรนั้น<br />
มีอะไร<br />
กํ าหนดหรือชักนํ ากํ ากับอยู เบื้องหลัง<br />
ตัวที่ชักนํ<br />
ากํ าหนดกํ ากับนั้นอยู<br />
ในใจ ก็คือเจตจํ านง หรือเจตนานี่<br />
เอง เปนตัวเริ่มตนตั้งเรื่องและนํ<br />
าไปวาจะเอาอยางไร ถาไมมีเจตจํ านง<br />
ไมมีความตั้งใจมุงหมายแลว<br />
การพูดการกระทํ าก็เลอะเทอะเลื่อนลอย<br />
เหมือนกับใบไมที่รวงหลน<br />
เหมือนกิ่งไมที่ผุแลวก็หักลงมา<br />
หรือเหมือน<br />
ใบไมหรือกิ่งไมที่ถูกลมพัดแกวงไปแกวงมา<br />
ไมมีความหมายอะไร<br />
ดวยเหตุนี้<br />
เจตนาที่เปนองคประกอบในดานจิตใจนี้จึงเปนสิ่ง<br />
สํ าคัญ เปนตัวเชื่อมโยงจิตใจออกมาสูการสัมพันธกับสิ่งแวดลอมทั้งดวย<br />
ผัสสทวารและดวยกรรมทวาร<br />
ดูตอไปอีก เจตนาหรือเจตจํ านงที่วาจะไปทางไหนจะเอาอยางไร<br />
นั้น<br />
ก็มีแรงจูงใจมาเปนตัวชักพาอีกที คือเจตนาจะไปไหนอยางไรก็แลว<br />
แตแรงจูงใจ แลวแรงจูงใจจะเปนอยางไรก็แลวแตคุณสมบัติตัวปรุงแตง<br />
ทั้งหลายที่แวดลอมอยูเบื้องหลังในจิตใจคอยปรุงแตงมันอีก<br />
คุณสมบัติเหลานี้มีมากมาย<br />
(เรียกวาเจตสิก) มีทั้งที่ดีและที่ชั่ว<br />
ที่<br />
เรียกวาบุญวาบาป เรียกวากุศลหรืออกุศล เชน ความโลภ ความโกรธ<br />
ความหลง ความหวง ความริษยา ศรัทธา เมตตา กรุณา สติ ปญญา<br />
เปนตน เปนตัวที่มาปรุงแตงเจตนา<br />
แลวเจตนาก็แสดงตัวออกมาทาง<br />
ทวารทั้งสองชุดนั้นแหละ<br />
มาทํ าใหเราใชทวารนั้นสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
อยางไร จะไดประโยชนหรือเกิดโทษภัย<br />
มองดานหนึ่ง<br />
เราเห็นไดวา การสัมพันธปฏิบัติตอสิ่งแวดลอมจะ<br />
ดํ าเนินไปได ตองอาศัยเจตนาและแรงจูงใจเปนตนในแดนของจิตใจ เปน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๒๓<br />
ตัวกํ ากับบังคับบัญชา แตเมื่อมองในทางยอนกลับ<br />
ก็เห็นไดชัดเชนกันวา<br />
แดนของจิตใจที่แสดงตัวออกมาทางเจตนานั้น<br />
ก็ไดอาศัยแดนความ<br />
สัมพันธปฏิบัติตอสิ่งแวดลอมนั่นแหละ<br />
เปนชองทางระบายความ<br />
ปรารถนาหรือเครื่องมือสนองความตองการของมัน<br />
แตรวมแลว นี้ก็คือเราเขามาถึงแดนที่สองของการดํ<br />
าเนินชีวิต<br />
ในแดนที่สองแหงจิตใจนี้<br />
ถาแยกแยะออกไปอีก ก็จะมีภาวะของจิต<br />
หรือสภาพจิตตางๆ มากมาย ที่ภาษาฝรั่งเรียกวา<br />
emotions ซึ่งคนไทยเรา<br />
ไปแปลกันวาอารมณ ก็เลยเกิดความสับสน<br />
ตอนนี้ที่จริงเราจะตองมาแกไขปญหาเรื่องความหมายของศัพท<br />
ดวย เราแปล emotion วาอารมณมาไมรูกี่สิบปแลว<br />
เมื่อประมาณครึ่ง<br />
ศตวรรษที่แลว<br />
ในทางวิชาการมีความพยายามที่จะบัญญัติศัพทใหม<br />
โดยใหใชศัพทบัญญัติสํ าหรับ emotion วา “อาเวค” แตไมติด “อาเวค”<br />
อยูในบัญชีศัพทบัญญัติทางปรัชญาโดยเปนคํ<br />
าแปลของ emotion มาจน<br />
บัดนี้<br />
แตแทบไมมีใครรู<br />
คนก็ใชคํ าวา “อารมณ” กันเรื่อยมาตามเดิม<br />
แมแตเมื่อเราไปไดยินฝรั่งพูดถึงเรื่องพัฒนาการ<br />
คือ development<br />
๔ ดาน (ที่พอดีมาตรงกับพระพุทธศาสนาในดานศัพท<br />
แตความหมายไม<br />
ตรงกันแท ซึ่งนาจะตองพูดกันตอไป)<br />
เราก็ใชคํ าแปลที่ทํ<br />
าใหเกิดความสับ<br />
สนกันมาจนบัดนี้<br />
คือ<br />
1. Physical development พัฒนาการทางกาย<br />
2. Mental development ๑ เราแปลกันมาวา พัฒนาการทางจิตใจ<br />
3. Emotional development เราแปลกันมาวา พัฒนาการทางอารมณ<br />
4. Social development พัฒนาการทางสังคม<br />
การที่เราแปล<br />
emotion วาอารมณนี้<br />
นอกจากทํ าใหเกิดปญหาใน<br />
ตัวมันเองที่ไมชัดเจนชั้นหนึ่งแลว<br />
ยังทํ าใหแปลคํ าวา mental คลาด<br />
๑ ปจจุบันนิยมเปลี่ยนมาใชคํ<br />
าวา Cognitive development (ดูอธิบายขางหนา)
๒๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
เคลื่อนไปดวย<br />
(ตอมาเร็วๆ นี้<br />
คนไทยบางคนคงสงสัยวา ฝรั่งนี่ถาจะมอง<br />
พัฒนาการของเด็กไมครบ ก็เลยเติม "พัฒนาการทางปญญา" เขาไป<br />
กลายเปนพัฒนาการ ๕ ดาน ที่ยิ่งคลุมเครือ<br />
เหมือนกับฟองตัวเองวาเรา<br />
ไมรู ที่ไปที่มา<br />
ความเปนไปเปนมา และความหมายที่แทจริง<br />
ของความคิด<br />
ถอยคํ าและเรื่องราวนี้)<br />
ที่ไปที่มาของเรื่องนี้ก็คือ<br />
John Dewey (1859-1952) นักปรัชญา<br />
และนักการศึกษา เจาทฤษฎีที่มีอิทธิพลมากที่สุดตอขบวนการ<br />
progressive education ในอเมริกา ซึ่งที่จริงเปนเรื่องที่สืบกันมานาน<br />
แลวกอน John Dewey (ในยุโรปตั้งแตคริสตศตวรษที่<br />
17)<br />
ทาน John Dewey เปนผูนํ<br />
าสํ าคัญที่ไดพัฒนา<br />
และทํ าใหแนวคิด<br />
เรื่องนี้แพรหลายไปเปนอยางยิ่ง<br />
และมาโดงดังมากในเมืองไทยชวงทศ<br />
วรรษตอจาก พ.ศ.๒๕๐๐ ตอนนั้นในวงวิชาการการศึกษาในเมืองไทยเรา<br />
มักเรียกทานวา จอหน ดุย<br />
อิทธิพลของ progressive education นี้<br />
เดนขึ้นมากับคติทางการ<br />
ศึกษาที่จํ<br />
ากันแมนดวยความนิยมชมชื่น<br />
เชน child-centered education;<br />
learning by doing; total development of the individual หรือ<br />
education of the "whole child" แลวตรงนี้แหละก็มาถึงแนวคิดเรื่อง<br />
พัฒนาการ ๔ ดานนี้<br />
ขอแทรกนิดหนึ่งวา<br />
ในเมืองไทยเราชวงทศวรรษนี้<br />
child-centered<br />
education ไดกลับเฟองฟูขึ้นมาอีก<br />
และมีการเนนยํ้<br />
ากันเปนการใหญ<br />
แตดูๆ ฟงๆ ไปไมแนใจวาเปน child-centered education ที่ถูกตองตาม<br />
ความหมายของเจาของแหลงความคิดนั้นหรือเปลา<br />
บางทีเหมือนกับวา<br />
พูดฮือกันไปแบบสมัยนิยมหรือแฟชั่น<br />
อยาวาแตเมืองไทยตอนนี้<br />
ที่หางตนแหลงมาไกลทั้งดานกาลเวลา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๒๕<br />
และระยะทางเลย แมแตในอเมริกาเองในยุคของ John Dewey นั่น<br />
แหละ เจาตัว John Dewey ยังตองหวงกังวลและวุนวายกับปญหาที่<br />
พวกลูกศิษยหรือผูเลื่อมใสไฟแรงนํ<br />
าเอาแนวคิดของเขาไปใช แตมีความ<br />
เขาใจไมชัดเจนเพียงพอ แลวทํ าใหเกิดภาวะเลยเถิดและความบกพรอง<br />
ขึ้นใน<br />
progressive education เขาถึงกับเขียนไวในหนังสือ Experience<br />
and Education (1938) วากลาวอยางแรงตอพวกนักการศึกษาที่มุงแต<br />
จะลอเราความสนใจของเด็กหรือทํ าใหเด็กสนุกสนานบันเทิง แลวก็เอา<br />
แตกิจกรรมโดยไมใสใจเนื้อหาบทเรียน<br />
กวางออกไปในระดับสังคมประเทศชาติ เมื่อ<br />
ค.ศ.1954 ทั้งสหรัฐ<br />
และสหภาพโซเวียตตางก็ตกลงวาจะเตรียมสรางดาวเทียมสํ าหรับปลอย<br />
ขึ้นไปในปภูมิกายภาพนานาชาติ<br />
(IGY, 1957-58)<br />
พอถึงป ค.ศ.1957 (๔ ต.ค. ๒๕๐๐) โซเวียตก็ปลอยดาวเทียมดวง<br />
แรกของโลก คือสปุตนิก<br />
๑ (Sputnik 1 หนัก 83.6 ก.ก.) ขึ้นไปสํ<br />
าเร็จ นํ า<br />
โลกเขาสูยุคอวกาศ<br />
หรือ space age แลวถัดมาอีกไมเต็มเดือน คือ ๓<br />
พ.ย. ๒๕๐๐ ก็ปลอย Sputnik 2 (หนัก 508 ก.ก.) ที่มีสุนัขชื่อไลกา<br />
(Laika) ขึ้นไปดวย<br />
ทางฝายอเมริกา หลังโซเวียตปลอย Sputnik 1 ขึ้นไปแลวได<br />
๒ เดือน<br />
๒ วัน (๖ ธ.ค. ๒๕๐๐) จึงไดทํ าการปลอยยานทดสอบ Vanguard มีดาว<br />
เทียมดวงจิ๋วเสนผานศูนยกลางเพียง<br />
15 ซม. หนักแค 1.36 ก.ก. แตจรวด<br />
ขึ้นไปได<br />
3 ฟุต ก็โงนเงน ลมลงมาระเบิดเสีย เปนอันไมสํ าเร็จ<br />
พอโซเวียตปลอยสปุตนิก<br />
๑ ขึ้นไปสํ<br />
าเร็จ อเมริกาที่กํ<br />
าลังชื่นชมใน<br />
child-centered education ก็ตีกลับ พลิกตรงขาม คนอเมริกันพากัน<br />
เสียใจ ทอใจ หดหูใจ<br />
คับแคนใจมาก ก็เลยหันมาโทษการศึกษาของตัว<br />
เองวา child-centered education นี้แหละเปนตัวรายที่ทํ<br />
าใหการศึกษา<br />
ของตนตกตํ่<br />
า ทํ าใหเด็กออนแอ ขาดวินัย ไมมีความเขมแข็ง วิชาการ
๒๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ออน แพโซเวียต โดยทํ าใหเกิดความออนแอทั้งทางวิชาการ<br />
และออนแอ<br />
ดานบุคลิกภาพ เขาวาอยางนั้น<br />
นี่เปนบทเรียนเกาของอเมริกา<br />
เราก็อยา<br />
ลืมชายตามองไวดวย<br />
เปนอันวา child-centered education ที่เรากํ<br />
าลังชื่นชมกันมากนี้<br />
เคยโดนติเตียนดาวามาหนักแลวในอเมริกา เมื่อเบื่อหนาย<br />
childcentered<br />
education แลว ก็หันกลับไปหา teacher- and subjectcentered<br />
education กันใหม เพราะฉะนั้น<br />
หลังป 1957 อเมริกาจึงหวน<br />
กลับไปหาการศึกษาที่เนนเนื้อหาและวินัยอีกครั้ง<br />
จนกระทั่งประมาณป<br />
1988 จึงไดหันกลับมาเอา child-centered education อีกที<br />
นี่ก็หมายความวา<br />
ลูกตุ มอเมริกันมันแกวงไปแกวงมา แกวงไปซายที<br />
แกวงมาขวาที ไทยเราไมนาจะลืมตัวมัวหลงใหลแกวงไปตามอเมริกันมาก<br />
นัก ตองดูใหดีวาอเมริกันเปนอยางไร หาความรู และทํ าความเขาใจกันใหชัด<br />
เจนวา child-centered education กับ teacher-centered education หรือ<br />
subject-centered education นั้นมันอยางไรกันแน<br />
และแคไหนมันจึงจะดี<br />
ไมใชวา พอเขา subject-centered เราก็ subject-centered บาง<br />
เดี๋ยวเขา<br />
child-centered มา เราก็พลอย child-centered ดวย ไมควร<br />
จะแคไหลไปตามกระแส แตควรจับหลักใหดี<br />
นี่ก็นอกเรื่องไปแลว<br />
แตที่จริงก็ไมถึงกับนอกเรื่อง<br />
ควรจะเรียกวาได<br />
ใชเวลาออกไปพูดเรื่องประกอบ<br />
เพราะเรื่องที่วามานั้น<br />
ถามองใหดี จะ<br />
เห็นวาก็เกี่ยวของกับสุขภาวะดวย<br />
เมื่อรูไมชัด<br />
ก็คิดไมชัด เมื่อคิดไมชัด<br />
ปฏิบัติการก็วิบัติ<br />
ขอยอนกลับมาที่เรื่องของสุขภาวะ<br />
เมื่<br />
อกี้พูดถึงเรื่อง<br />
development หรือพัฒนาการ ๔ ดาน ในแงของถอยคํ าวา เราเฉไปกับ<br />
คํ าแปลของ emotional แลวพลอยแปลคํ าวา mental พลาดไปดวย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๒๗<br />
ที่วานี้หมายความวา<br />
การแปล emotion วา "อารมณ" เปนจุดที่ทํ<br />
า<br />
ใหเขว เพราะ "อารมณ" เปนคํ าจากภาษาบาลีคํ าหนึ่งที่เมื่อนํ<br />
ามาใชใน<br />
ภาษาไทยไดมีความหมายเพี้ยนไป<br />
ในภาษาไทยเรามีคํ ามากมายที่เพี้ยนความหมาย<br />
อยางเดี๋ยวนี้คํ<br />
าที่<br />
กํ าลังนิยมใชในความหมายที่เพี้ยนจากเดิม<br />
ก็เชนคํ าวา "สังคายนา" ที่เรา<br />
ใชในความหมายวาชํ าระสะสาง ซึ่งไมใชความหมายเดิมในภาษาบาลี<br />
"อารมณ" ก็เปนคํ าหนึ่งที่มีความหมายเพี้ยนไป<br />
ทานที่เรียนทาง<br />
ธรรมมายอมรู วา ตามความหมายเดิมในภาษาบาลีนั้น<br />
"อารมณ" คือสิ่ง<br />
ที่จิตยึด-จับ-รับรู<br />
คลายกับคํ าวา "ประสบการณ" คือ experience นั่นเอง<br />
แต experience มีความหมายกวางใหญไมกระชับ วงการศึกษาธรรมจึง<br />
แปลกันใหตรงลงไปวา "อารมณ" คือ sense-object<br />
ยกตัวอยาง เชน รูป ภาพ สิ่งที่เราเห็น<br />
ก็เปนอารมณ คืออารมณ<br />
ทางตา เสียง ก็เปนอารมณ คืออารมณทางหู กลิ่น<br />
ก็เปนอารมณ คือ<br />
อารมณทางจมูก รสตางๆ ก็เปนอารมณ คืออารมณทางลิ้น<br />
สิ่งที่เราสัมผัส<br />
เย็นรอน ออนแข็ง ก็เปนอารมณ คืออารมณทางกาย สิ่งที่ใจรูใจรูสึกใจนึก<br />
ใจคิด ก็เปนอารมณ คืออารมณทางใจ<br />
คงจะเปนเพราะวา พอพูดถึงคํ าวาอารมณ เรามักไปติดอยูแค<br />
อารมณทางใจ คือ สิ่งที่ใจรูใจรูสึกใจนึกใจคิด<br />
และแมแตอารมณทางใจ<br />
นั้นก็มักเอาเฉพาะดานความรูสึก<br />
ไปๆ มาๆ คํ าวา "อารมณ" ก็ถูกเขาใจ<br />
และถูกใชในความหมายที่แคบลงไปๆ<br />
แลวในที่สุดก็เพี้ยนไป<br />
จนอารมณ<br />
มาตรงกับ emotion<br />
ทีนี้พอฝรั่งพูดถึง<br />
emotional development เราก็เลยแปลวา<br />
พัฒนาการทางอารมณ ซึ่งก็เขาใจกันไดตามความหมายแบบไทยๆ<br />
ที่วา<br />
มานั้น<br />
แตพอเจอ mental development อีกตัว ก็เลยเกิดเรื่อง<br />
mental นั้นเปนคํ<br />
างายๆ เรารูกันดี<br />
เคยแปลกันวา "ทางจิตใจ" เราก็
๒๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
เลยแปล mental development วา พัฒนาการทางจิตใจ<br />
เราไมนึกสงสัยบางหรือวา "อารมณ" ตามความหมายแบบไทยเรา<br />
นั้นก็เปนเรื่องทางจิตใจ<br />
เมื่อแปลอยางนั้น<br />
สองขอจะไมซํ้<br />
ากันหรือ<br />
เราไมนึกสงสัยบางหรือวา เมื่อเราแปลอยางนั้น<br />
ในพัฒนาการ ๔<br />
ดานก็ไมมีเรื่องปญญาเลย<br />
แลวฝรั่งเจาตํ<br />
ารับบอกวานี่เปนการพัฒนา<br />
the whole child แสดงวาฝรั่ง<br />
เชน Dewey นั้น<br />
แยมาก ไมนึกถึงวาเด็ก<br />
จะตองมีพัฒนาการทางปญญา นี่เปนไปไดหรือ<br />
นี่แหละ<br />
คนไทยบางทานคงนึกวาชุดเดิมที่วา(ตามฝรั่ง)กันมา<br />
ขาด<br />
ขอปญญา ในระยะนี้ก็เลยไดยินออกวิทยุและไดเห็นในหนังสือพิมพ<br />
บาง<br />
ทีเติมเขาไปเปนพัฒนาการ ๕ ดาน คือ พัฒนาการทางกาย พัฒนาการ<br />
ทางจิตใจ พัฒนาการทางอารมณ พัฒนาการทางสติปญญา และ<br />
พัฒนาการทางสังคม โดยเอา ๔ ขอเกาไวอยางเดิม แตมีพัฒนาการทาง<br />
ปญญาเพิ่มขึ้นมาอีก<br />
๑ ขอ แปลวาฝรั่งตกไป<br />
ฝรั่งบกพรอง<br />
รูไมครบ<br />
บอก<br />
ไดแค ๔ แตที่จริงฝรั่งเขาก็ครบพอสมควรในระดับหนึ่ง<br />
ที่จริง<br />
เรานาจะไดสังเกตดวยวา ชุดพัฒนาการ/development ๔<br />
ดานของฝรั่งนั้น<br />
บางครั้ง<br />
แทนที่จะมี<br />
mental development เขาเปลี่ยน<br />
เปน intellectual development คือ ถามี intellectual development ก็ไม<br />
มี mental development ถามี mental development ก็ไมมี intellectual<br />
development (ใช mental กับ intellectual เปน alternative terms)<br />
พรอมกันนั้น<br />
เราก็คงสังเกตเห็นวา คํ าวา mind และ mental ของ<br />
ฝรั่งนั้น<br />
มีความหมายกวางแบบคลุมๆ ไมชัดเจน ถามาคํ าเดียว อาจ<br />
หมายถึงความคิด เปนเรื่องทางสติปญญาหรือสมองก็ได<br />
และอาจจะ<br />
คลุมไปถึงเรื่องทางจิตใจ<br />
รวมถึงความรูสึกดวยก็ได<br />
ดวยเหตุนี้<br />
เราจึงเห็นฝรั่งใชคํ<br />
าคูบอยๆ<br />
เพื่อชวยแยกความหมายให<br />
ชัดขึ้น<br />
เชนพูดหรือเขียนวา mind and heart บาง head and heart บาง<br />
thoughts and emotions บาง mind and emotion บาง ซึ่งจะเห็นวาใน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
กรณีที่ใชคํ<br />
าคูเพื่อแยกใหชัดอยางนี้<br />
เขาให mind หมายถึงดานความคิด<br />
เหตุผล ดานสมอง หรือสติปญญา ไมใชดานความรูสึกหรือภาวะจิตใจ<br />
โดยเฉพาะคูสุดทาย<br />
คือ mind and emotion (ซึ่งในรูปคุณศัพทก็<br />
คือ mental and emotional) ฝรั่งก็ใชบอย<br />
เพราะเกรงวาถาใช mind คํ า<br />
เดียว คนจะมองแคดานความคิดเหตุผล ก็จึงใส emotion ควบไวดวย<br />
เปนการบอกยํ้<br />
าวาครบหมดทั้งดานความคิดและความรูสึกนะ<br />
นี่ก็เลยเปนการบอกไปดวยวา<br />
mind กับ emotion เปนคนละดาน<br />
โดยแยกความหมายใหเห็นความแตกตางกันเสร็จไปดวย<br />
อนึ่ง<br />
ที่วา<br />
mind และ mental เมื่อมาเดี่ยวๆ<br />
อาจจะใชในความ<br />
หมายกวางๆ คลุมๆ ทั้งดานความคิด<br />
และความรูสึก เชนในคํ าวา<br />
mental health และ mental illness เปนตนนั้น<br />
เมื่อมองดูใหชัดอีก<br />
หนอยจะพบวา ตามปกติ ถึงจะมาเดี่ยวๆ<br />
นั่นแหละ<br />
mind และ mental<br />
ก็มีความหมายเอียงมาในขางความคิดหรือสติปญญาอยูแลว<br />
อยางในศัพทวิชาการคุนๆ<br />
บางคํ าที่ใชกัน<br />
ก็บอกชัดอยู แลว เชน<br />
mental age ก็รู กันในการแปลวา คือ อายุสมอง (เราไมแปลวา อายุจิตใจ)<br />
หรือคํ าพื้นๆ<br />
วา mental ability ก็คือ intellectual capacity หรือ<br />
brainpower และ mental retardation ก็คือสมองทึบ (low IQ)<br />
เปนอันเอาแคงายๆ วา mind นี้<br />
ถามาคู กับ emotion หรือถา mental<br />
มาคู กับ emotional แลว mind หรือ mental ก็ตองเปนดานสติปญญา<br />
ความคิด ดานสมอง และ emotion หรือ emotional ก็เปนดานความรูสึก<br />
เปนเรื่องของจิตใจ<br />
คือเปนสภาพจิต หรือภาวะจิต อยางที่ฝรั่งพูดวา<br />
state of mind เชน ความโกรธ ความโลภ ความหลง ความดีใจ เสียใจ<br />
ถึงตอนนี้<br />
ในเรื่อง<br />
development/พัฒนาการ ๔ ดานนั้น<br />
ก็ควรจะ<br />
แปลกันใหแนชัดลงไปเสียทีวา emotional development ก็คือ<br />
“พัฒนาการทางจิตใจ” หรือจะแปลอยางเดิมแบบไทยๆ วาพัฒนาการ<br />
/ 136<br />
๒๙
๓๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ทางอารมณ ก็ใหรู กันไปเลยวามีความหมายตรงกับพัฒนาการทางจิตใจ<br />
นั่นแหละ<br />
(จะเอาพัฒนาการทางอารมณ หรือจะเอาพัฒนาการทางจิตใจ<br />
ก็เลือกเอาอยางเดียวใหแนชัดและเสร็จไป ไมตองไปซํ้<br />
าซอนสับสน)<br />
สวน mental development ก็คือ intellectual development ซึ่ง<br />
ตองแปลวา “พัฒนาการทางปญญา” แนชัดอยูแลว<br />
พึงทราบวา ในระยะหลังนี้<br />
ในทางวิชาการ โดยเฉพาะจิตวิทยาการ<br />
ศึกษา มีการหันไปใชคํ าวา “cognitive development” (เทาที่คนไดขณะนี้<br />
พบใชเกาสุดคือป 1972 แตถาวาตาม Oxford English Dictionary ชุด<br />
ใหญ มีตัวอยางที่ใชครั้งแรกป<br />
1974) แทน mental development ที่เปน<br />
คํ าเกาซึ่งใชกันมาแสนนาน<br />
(วาตาม Oxford English Dictionary ก็ใชกัน<br />
มากวาศตวรรษ ตั้งแตราว<br />
ค.ศ. 1854 หรือ 1858)<br />
สวน development ดานอื่นๆ<br />
ยังคงใชคํ าศัพทเดิม แตมักเอา<br />
พัฒนาการทางจิตใจ (หรือจะเรียกวาพัฒนาการทางอารมณ ก็แลวแต)<br />
กับพัฒนาการทางสังคม รวมเขาเปนขอเดียวกัน เปน emotional and<br />
social development และมีเรื่องปลีกยอยอื่นอีก<br />
ซึ่งจะไมพูดในที่นี้ใหฟ<br />
นเฝอ<br />
ไดใชเวลาไปมากมายกับคํ าแปลของสองขอในเรื่องพัฒนาการ<br />
๔<br />
ดาน บางทานอาจจะนึกวาไมนาจะเสียเวลากับเรื่องนี้มากเกินควร<br />
แตที่<br />
จริงเปนเรื่องที่ควรตองยอมเสียเวลา<br />
เพราะเอาอยางงายที่สุด<br />
สังคมไทย<br />
ในระดับของคนที่มีอิทธิพลทางปญญา<br />
ไดพูดไดใชถอยคํ าและแนวคิดนี้<br />
กันมาประมาณ ๔๐ ปแลว ซึ่งก็หมายความวาความสับสนพรามัวใน<br />
เรื่องนี้ไดมีมาเกือบครึ่งศตวรรษแลว<br />
เวลาที่เราใชที่นี่แคนี้ตองนับวาคุม<br />
มองลึกลงไปในทางเหตุผล เราตองถือวาเรื่องอยางนี้สํ<br />
าคัญมาก<br />
เพราะถอยคํ าเปนเครื่องสื่อความหมาย<br />
บอกไปถึงขอมูล และสื่อความ<br />
คิดความเขาใจของผูพูด ถาถอยคํ าสื่อความหมายไมชัด<br />
คนฟงก็ได<br />
ความรู ที่ไมชัด<br />
ยิ่งคนพูดเองก็ใชถอยคํ<br />
าโดยไมเขาใจชัดดวย คนฟงก็ยิ่ง
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
สับสนหรือเขาใจผิดไปเลย<br />
อยางนอย เมื่อรูไมชัด<br />
ก็คิดไมชัด เมื่อคิดไมชัด<br />
ปฏิบัติการก็ผิด<br />
พลาด ไมสํ าเร็จ หรือไมไดผลดี ถาเปนกรณีวิกฤต อยางการศึกสงคราม<br />
ก็อาจถึงกับเสียบานเสียเมืองพินาศวอดวาย<br />
ในเรื่องที่สํ<br />
าคัญตอชีวิตและสังคมอยางการศึกษาหรือการพัฒนา<br />
มนุษยนี้<br />
จะตองพูดดวยความตระหนักในความรับผิดชอบ โดยทํ าใหมั่นใจ<br />
แกตนเองวา ที่จะพูดนั้น<br />
ตนรู เขาใจชัดเจนแลว ไมใชพูดไปเพียงดวยเห็น<br />
วาเปนถอยคํ าที่ฟงดูโกหรูดี<br />
โดยเฉพาะในที่นี้<br />
เรื่อง<br />
development/พัฒนาการ ๔ ดานนั้น<br />
มีแง<br />
ที่ควรใสใจสํ<br />
าคัญ ๓ อยาง คือ<br />
๑) เปนแนวคิดในการพัฒนาคนซึ่งเขาลักษณะที่เรียกวาเปนแบบ<br />
องครวม ดังคํ าพูดในสายความคิดของเขาวา “… to educate the<br />
‘whole child’” หรือ “total development of the individual” และไดถือ<br />
เปนหลักในการจัดการศึกษาสมัยใหมแบบตะวันตก ที่ไทยเราดํ<br />
าเนิน<br />
ตามมากวาครึ่งศตวรรษ<br />
ไมวาจะอยางไร อยางนอยก็ตองรูเทาทันไว<br />
๒) จะมองวาเปนการบังเอิญหรืออยางไรก็ตาม แนวคิดนี้<br />
อยาง<br />
นอยโครงรางโดยรวม มาสอดคลองหรือเกือบตรงกันกับหลักการพัฒนา<br />
มนุษยของพระพุทธศาสนา ที่เรียกวา<br />
“ภาวนา ๔” แมวาจะมีสาระเชิงลึก<br />
และรายละเอียดตางกันไมนอย แตก็เปนจุดบรรจบและเปนโอกาสดีที่จะ<br />
ไดความรู เทาทันมากยิ่งขึ้น<br />
ดวยการเปรียบเทียบ เปนตน<br />
๓) การพัฒนาคน เฉพาะอยางยิ่งแบบองครวม<br />
เปนเรื่องที่เกี่ยว<br />
กับสุขภาวะโดยตรง เปนจุดบรรจบของการศึกษากับเรื่องสุขภาวะ<br />
อนึ่ง<br />
การพูดถึงสุขภาวะในความหมายที่มองกันใหมนี้<br />
อาจจะเปน<br />
สวนที่ชวยเสริมแกวงวิชาการทางการศึกษา<br />
ใหมองความหมายของการ<br />
พัฒนาคนใหชัดเจนและตรงจุดยิ่งขึ้นดวย<br />
/ 136<br />
๓๑
๓๒<br />
จะมีสุขภาวะได ตองบริหารใจใหมีภาวะจิตที่เปนดานบวก<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ทีนี้ก็หันมาพูดในเรื่องหลักการกันอีก<br />
ไดบอกแลววา เรามีความ<br />
สัมพันธกับสิ่งแวดลอมโดยผานทางทวารหรือประตู<br />
๒ ชุด แลวลึกเขาไป<br />
เราก็มีจิตใจซึ่งมีตัวเชื่อมออกมาบัญชาการความสัมพันธนั้น<br />
คือเจตนา<br />
หรือเจตจํ านง แลวเบื้องหลังเจตนา<br />
ก็มีแรงจูงใจ พรอมดวยองคประกอบ<br />
ตางๆ ที่เปนสภาพจิต<br />
ทั้งฝายดี<br />
และฝายราย ที่คอยปรุงแตงแรงจูงใจนั้น<br />
นี้แหละคือที่ไดวามา<br />
แลวองคประกอบหรือสภาพเหลานี้<br />
เมื่อแยกประเภทออกไป<br />
เราก็<br />
จะเห็นวา เมื่อเราตองการพัฒนามนุษย<br />
เราก็ตองไดสิ่งที่ดีงามเกื้อกูล<br />
เรา<br />
จึงควรเอาแตพวกดี ที่เปนคุณ<br />
เปนกุศล สวนพวกเสียพวกราย คือพวก<br />
บาป พวกโทษ พวกอกุศล เราไมควรเอา<br />
องคประกอบหรือสภาพจิตพวกที่ดีงามเกื้อกูล<br />
ก็มีมากมาย<br />
เริ่มดวยองคประกอบหรือสภาพจิตที่เราเรียกวาคุณธรรม<br />
หรือ<br />
ความดี เชน เมตตา ไมตรีจิต กรุณา ความสงสารเห็นใจ ความเอื้อเฟอ<br />
เผื่อแผ<br />
ความรู สึกรวมใจหรืออุดหนุนสงเสริม ความสุภาพออนโยน ความ<br />
กตัญู ความมีศรัทธา เปนตน อันเปนดานดี เปนคุณภาพของจิตใจ<br />
หรือเรียกสั้นๆ<br />
วา คุณภาพจิต<br />
แลวอีกดานหนึ่งของจิตใจก็มี<br />
ความเพียรพยายาม ความขยัน<br />
ความเขมแข็ง ความอดทน ความใฝรูใฝทํ<br />
า ความรับผิดชอบ ความมีสติ<br />
ความรู จักยับยั้งชั่งใจ<br />
ความจริงใจจริงจัง ความมั่นใจ<br />
ความแนวแนมั่นคง<br />
มีสมาธิ เปนตน ซึ่งก็เปนคุณสมบัติสํ<br />
าคัญ เรียกวาสมรรถภาพของจิตใจ<br />
หรือเรียกสั้นๆ<br />
วา สมรรถภาพจิต<br />
ในที่สุด<br />
อีกดานหนึ่งที่สํ<br />
าคัญก็คือ เรื่องของความสุขความทุกข<br />
ทางดานทุกข ก็เชน ความขุนมัว<br />
ความโศกเศรา ความหมนหมอง ความ<br />
คับแคน ความเหงา ความวาเหว เปนตน เปนสิ่งไมเกื้อกูล<br />
เราไมตองการ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
เราเอาแตสภาพจิตหรือภาวะจิตที่ดี<br />
เชน ความอุนใจ<br />
ความอิ่มใจ<br />
ความ<br />
ปลื้มใจ<br />
ความซาบซึ้ง<br />
ความราเริงสดใส ความสงบเย็น ความผอนคลาย<br />
ความชื่นใจ<br />
ความโปรงโลง ความเบิกบานใจ เปนตน ที่รวมอยูในคํ<br />
าวา<br />
ความสุข แลวเราก็จัดเปนพวกหนึ่งที่เรียกตรงๆ<br />
วาเปนสุขภาพของจิตใจ<br />
(สุขภาพที่แปลตรงๆ<br />
วา ความเปนสุข) หรือเรียกสั้นๆ<br />
วา สุขภาพจิต<br />
เอาเปนวา ทางดานจิตใจก็มีองคประกอบตางๆ ซึ่งเปนสภาพจิตหรือ<br />
ภาวะจิตมากมาย ครอบคลุมสิ่งที่ฝรั่งเรียกวา<br />
emotions (ในที่นี้เราเอา<br />
เฉพาะที่เปน<br />
positive) ทั้งที่เปนดานคุณภาพ<br />
ดานสมรรถภาพ และดาน<br />
สุขภาพของมัน เมื่อแยกประเภทออกไปอยางนี้<br />
เราก็จับจุดที่จะเสริมสราง<br />
และที่จะตรวจสอบสุขภาวะไดงายขึ้น<br />
เห็นไดงายวา สภาพจิตหรือภาวะจิตสามดานที่พูดมานี้<br />
สํ าคัญอยาง<br />
ยิ่งตอชีวิตที่ดี<br />
ที่นาอยู<br />
ที่จะเรียกไดเต็มปากวามีความสุข<br />
เมื่อบอกวา<br />
การที่<br />
จะมีสุขภาวะจริง จะมีเพียงสุขภาพกายดีเทานั้นไมพอ<br />
ตองมีจิตใจอยางนี้<br />
ดวย เงื่อนไขนี้<br />
คนทั้งหลายคงยอมรับกันไดทั่ว<br />
จึงจํ าเปนตองพัฒนาคนทางดานจิตใจ ใหมีสภาพจิตทั้งสามดานที่<br />
กลาวมานี้<br />
แลวหลายคนก็อาจจะคิดวา เหนือขึ้นมาจากการมีสุขภาพของราง<br />
กายดี เมื่อคุณสมบัติทางจิตใจดานตางๆ<br />
จนถึงความสุขในใจพรั่งพรอม<br />
อยางนี้แลว<br />
สุขภาพจิตก็ดีแลว ก็นาจะนับวาถึงจุดหมายของการมีสุขภาวะ<br />
แตเรื่องไมจบในตัวมันเองเทานั้น<br />
การเกี่ยวของปฏิบัติตอสิ่งแวดลอม<br />
ก็ดี ภาวะความเปนไปของจิตใจ ก็ดี อยู ในระบบความสัมพันธของการ<br />
ดํ าเนินชีวิต ซึ่งมีองคประกอบที่อาศัยและเปนปจจัยสงผลตอกัน<br />
นอกจากการสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
และภาวะจิต ซึ่งจะอิงอาศัย<br />
เปนปจจัยแกกันดํ าเนินไปแลว ยังมีองคประกอบของการดํ าเนินชีวิตอีก<br />
แดนหนึ่งรวมเปนปจจัยดํ<br />
าเนินไปดวย โดยเฉพาะการพัฒนาคนทางดาน<br />
/ 136<br />
๓๓
๓๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
จิตใจที่เราเห็นวาจํ<br />
าเปนนั้น<br />
จะไมมีทางสํ าเร็จไดถาขาดองคประกอบของ<br />
การดํ าเนินชีวิตในแดนนี้<br />
องครวมจะมีได ตองบูรณาการแดนที่สามเขาไป<br />
ใหคนเปนอิสระขึ้นมา<br />
อีกแดนหนึ่งแหงการดํ<br />
าเนินชีวิตของเรา ที่ขาดไมไดนั้น<br />
ก็คือ<br />
ความรู<br />
และจากความรู<br />
ก็โยงไปหาความคิดความเขาใจตางๆ ซึ่งมนุษย<br />
จํ าเปนตองมี<br />
ในการที่เราจะเกี่ยวของสัมพันธปฏิบัติตอสิ่งแวดลอมในขอที่หนึ่ง<br />
คือจะใชทวารหรือประตู ไมวาจะชุด ๓ หรือชุด ๖ ก็ตาม ไปสัมพันธกับ<br />
สิ่งแวดลอมทางกายภาพก็ตาม<br />
ทางสังคมก็ตาม โดยที่เจตนาของเราจะ<br />
คิดตั้งใจวาจะเอาอยางไรหรือจะไปทํ<br />
าอะไรอยางไรนั้น<br />
เราก็คิดตั้งใจไป<br />
ไดเทาที่เรารู<br />
หรือในขอบเขตแหงความรูของเรา<br />
รู แคไหน ก็คิดตั้งใจหรือ<br />
มีเจตจํ านงไปไดแคนั้น<br />
เปนอันวา เราปฏิบัติตอสิ่งแวดลอม<br />
หรือเขาไป<br />
สัมพันธกับมันไดภายในขอบเขตความรูของเรา<br />
ทีนี้<br />
ถาเราขยายขอบเขตแหงความรูของเราออกไป<br />
เราก็สามารถ<br />
เกี่ยวของสัมพันธปฏิบัติตอสิ่งแวดลอมไดในขอบเขตที่กวางขวางและได<br />
ผลยิ่งขึ้น<br />
ความรูที่พัฒนาไปก็คือปญญา<br />
หรือพูดรวมอยูในคํ<br />
าวาปญญา<br />
นั้นเอง<br />
ปญญา นี้<br />
จัดแยกไปไดมากมายหลายดานหลายระดับหลาย<br />
ขอบเขต ตั้งแตความรูเขาใจตอขอมูล<br />
แลวมาเปนความรูที่ปรุงแตงความ<br />
คิด ใหเกิดความเขาใจที่ขยายเพิ่มขึ้นไปอีก<br />
เปนการมองเห็นทางที่จะทํ<br />
า<br />
การ จัดการ ดํ าเนินการ หรือที่จะแกปญหาตางๆ<br />
เขาใจเหตุผล หยั่งเห็น<br />
เหตุปจจัย เห็นชํ าแรกแยกแยะรายละเอียดออกไป รูเห็นตามที่มันเปน<br />
จนกระทั่งเปนความสวางโพลงเห็นรวมทั่วตลอดทีเดียวหมดทั้งมวล<br />
ปญญาซึ่งทํ<br />
าหนาที่ในขั้นระดับขอบเขตหรือแงดานตางๆ<br />
ก็มีชื่อ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
เรียกเปนคํ าเฉพาะหรือชื่อยอยแยกออกไป<br />
จึงมีคํ าศัพทที่ใชเรียกปญญา<br />
มากมาย<br />
ปญญาเปนองคประกอบหรือคุณสมบัติสํ าคัญ ที่จะทํ<br />
าใหการ<br />
ดํ าเนินชีวิตสองแดนแรกที่พูดมาแลว<br />
คือการสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
และ<br />
ภาวะที่เปนไปตางๆ<br />
ของจิตใจดํ าเนินไปได โดยปญญานั้นใหแสงสวาง<br />
สองทาง ชี้ทาง<br />
บอกทางให ขยายขอบเขต อยางที่พูดมาแลววา<br />
เรารูแค<br />
ไหน มีความคิดเทาใด ชีวิตสองแดนแรกก็ดํ าเนินไปไดในขอบเขตเทานั้น<br />
จนกระทั่งในที่สุดปญญาก็เปนตัวปลดปลอย<br />
ทํ าใหเกิดอิสรภาพ<br />
หนาที่ของปญญานั้น<br />
ในที่สุดก็ไปรวมที่การปลดปลอยหรือทํ<br />
าให<br />
เกิดอิสรภาพ นี้แหละ<br />
ดังจะเห็นงายๆ เราไปไหน ถาเราไมรูจักสถานที่นั้น<br />
ไมรูวาเปนที่<br />
อะไร มีสภาพอยางไร เชนวามีอะไรที่จะเปนอันตรายตอเราบางหรือไม<br />
หรือแมแตแคไมรูวาเราควรจะปฏิบัติตอสถานที่นั้นหรือปฏิบัติตัวใน<br />
สถานที่นั้นอยางไร<br />
แคนี้ความสัมพันธปฏิบัติตอสิ่งแวดลอมก็ติดขัด<br />
ถูก<br />
จํ ากัด ชักจะงึกๆ งักๆ เกๆ กังๆ ภาวะจิตก็เกิดความรูสึกอึดอัด<br />
ตื้อตัน<br />
บีบ<br />
คั้น<br />
เรียกงายๆ วาเกิดทุกขขึ้นมาทันที<br />
แตพอรู วานี้คืออะไร<br />
ตรงไหนมีอะไร เปนอยางไร เราควรทํ าอยางไร<br />
จะปฏิบัติตอมันอยางไร เขาทางไหน ออกทางไหน มองเห็นทางแกไข<br />
จัดการ พอรูทั่วหรือรูเทา<br />
ก็โลงทันที นี้คือปญญา<br />
อีกตัวอยางหนึ่ง<br />
คนจํ านวนมากติดในพฤติกรรมเคยชินที่เปน<br />
อันตรายตอสุขภาพกายของตนเอง ติดการพนัน ติดเกม แมกระทั่งติดการ<br />
บริโภคที่ทํ<br />
าใหเปนโรคอวน บางคนติดสิ่งเมา<br />
ติดยา บางคนติดสิ่งเสพ<br />
ทางใจ ซึ่งลวนเปนการเสียสุขภาวะ<br />
ในการแกไข บางทีตองใชวิธีการที่ซับซอน<br />
เชน การสรางความเคย<br />
ชินใหม การใหไดสิ่งดีที่ทดแทน<br />
การมีหรือรวมกลุ มกัลยาณมิตร การฝก<br />
/ 136<br />
๓๕
๓๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ความเขมแข็งของจิตใจ เปนตน<br />
แตทั้งนี้<br />
ในกระบวนการทั้งหมดนั้น<br />
จะตองมีการเสริมสรางความรู <br />
ความเขาใจหรือพัฒนาปญญา ที่จะทํ<br />
าใหตระหนักถึงโทษภัยของสิ่งที่<br />
ตองการแกไข ใหเห็นคุณของการหลุดพนไป ใหเห็นทางออกในการแกไข<br />
ใหเกิดความพรอมใจในการที่จะไถถอนตัว<br />
ตลอดจนปญญาที่จะมานํ<br />
ามา<br />
หนุนฉันทะในการดํ าเนินกระบวนวิธีแกไขทั้งหมด<br />
จะเห็นไดดวยวา ถาไมหลุดโลงเปนอิสระ ทุกอยางก็ยังลงตัวจริง<br />
ไมได ความสงบ (สันติ) ก็เสียไปหรือไมมี เพราะวา เมื่อถูกจํ<br />
ากัด คับของ<br />
ติดขัด อึดอัด ทั้งจิตใจและพฤติกรรมก็จะเครียด<br />
ดิ้นรน<br />
อาจจะงุนงาน<br />
พลุ งพลาน กระวนกระวาย หงุดหงิด เปนตน พรอมกันนั้น<br />
ความขุนมัว<br />
ความหมองใจ ก็พวงมา สูญเสียหรือไมอาจจะมีความหมดจดสดใส<br />
(วิสุทธิ) และในภาวะเชนนี้<br />
คนก็ไมอาจจะมีความสุขจริงได ความเต็มอิ่ม<br />
สมบูรณของชีวิตก็เกิดขึ้นไมได<br />
เมื่อพูดโดยรวมตามภาษาของเราในที่นี้ก็คือ<br />
ไมมีสุขภาวะ<br />
ทั้งหมดนี้จะเห็นวา<br />
ตัวตัดสินสุดทายก็คือ อิสรภาพ (วิมุตติ) นี่เอง<br />
ถาไมมีอิสรภาพ หรือความหลุดโลงนี้<br />
สุขภาวะแทจริงที่เต็มตามความ<br />
หมายก็ไมอาจจะเกิดขึ้นได<br />
และอิสรภาพ หรือวิมุตตินั้น<br />
จะมีได ก็ตองมี<br />
ปญญา ดังนั้น<br />
ปญญาจึงเปนองคประกอบซึ่งเปนที่บูรณาการแหงสุขภาวะ<br />
อยางไรก็ดี จะตองทํ าความเขาใจกันไวกอนวา ปญญานั้นมีหลาย<br />
ขั้นหลายระดับอยางที่พูดไปแลว<br />
และสุขภาวะก็เปนเรื่องสัมพัทธที่แยก<br />
ไดเปนตางขั้นตางระดับโดยสัมพันธกับองคประกอบที่เกี่ยวของโดย<br />
เฉพาะปญญาในระดับตางๆ นั้น<br />
ปญญาที่จะใหบรรลุอิสรภาพแทจริง<br />
อันจะใหมีสุขภาวะสมบูรณ<br />
เต็มตามความหมายนั้น<br />
หมายถึงปญญาที่มองเห็นชีวิตและโลกตาม<br />
ที่มันเปน<br />
รูเขาใจความจริงของสิ่งทั้งหลาย<br />
ซึ่งทํ<br />
าใหหมดความติดของ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๓๗<br />
ไมมีความยึดติดถือมั่น<br />
จึงไมหวั่นไหว<br />
ไมติดของ โปรงโลง เปนอิสระ<br />
อยูในโลก แตไมติดโลก ทํ าการเพื่อโลก<br />
โดยใจพนอยูเหนือโลก<br />
วางจิตใจ<br />
พอดีลงตัวตอชีวิตและโลก<br />
ภาวะที่วานั้นอาจจะเขาใจไมงาย<br />
แตก็เห็นไดไมยากวา เมื่อคน<br />
หลายคนประสบสถานการณที่กระทบอันเดียวกัน<br />
คนเหลานั้นจะมีความ<br />
สงบหรือกระวนกระวาย ความมั่นคงหรือหวั่นไหว<br />
ความสดใสสวางหรือ<br />
ขุ นมัว ความหลุดโลงหรือความกดดัน เปนตน ตางๆ กันไป โดยขึ้นตอ<br />
การจัดการตัวเองและวางจิตใจตอสถานการณนั้น<br />
ซึ่งมีปญญาเปนตัว<br />
แปรทางบวกสํ าคัญที่สุด<br />
องคประกอบในการดํ าเนินชีวิตนี้<br />
เมื่อถึงปญญาก็ครบสามแดน<br />
ถาปญญานั้นพัฒนาดีพอ<br />
ชีวิตก็จะเต็มอิ่มสมบูรณในตัวของมัน<br />
ทํ าให<br />
เกิดมีอิสรภาพ เรียกวาปญญาปลดปลอยชีวิตใหเปนอิสระ ทํ าใหเราพน<br />
การครอบงํ าของโลกขึ้นไปถึงแดนที่สี่คืออิสรภาพ<br />
พูดอีกสํ านวนหนึ่งวา<br />
เมื่อการดํ<br />
าเนินชีวิตที่มีองครวมสามแดนนั้น<br />
มีบูรณาการกันเปนองครวมแหงการดํ าเนินชีวิตที่ดีแลว<br />
องครวมแหง<br />
ชีวิตนั้น<br />
ก็ขามพนเครื่องหนวงเหนี่ยวคับของผูกพันขึ้นไปไดสูวิมุตติ<br />
อัน<br />
เปนผลที่ตองการ<br />
คืออิสรภาพ ซึ่งจะทํ<br />
าใหมีความสงบ ความสดใส และ<br />
ความสุขที่แทจริงได<br />
หมายความวาทั้งสามแดนไดพัฒนาครบ<br />
จนถึงอิสร-<br />
ภาพแลว จึงจะมีสุขภาวะที่แทได<br />
ถาไมมีอิสรภาพ สุขภาวะที่แทก็มีไมได<br />
สุขภาวะที่แท<br />
ตองเปนไปตามความจริงแหงธรรมชาติของชีวิต<br />
ขอทบทวนวา ในที่นี้เราไดพูดถึงองครวมในการดํ<br />
าเนินชีวิตที่วา<br />
ใน<br />
การที่จะเปนอยูหรือดํ<br />
าเนินชีวิตไดถูกตอง ระบบที่พรอมดวยองครวม<br />
สามแดนแหงการดํ าเนินชีวิตของเรา จะตองพัฒนาไปอยางมีบูรณาการ<br />
สามแดน ที่เปนองครวมแหงระบบการดํ<br />
าเนินชีวิตของเรานั้น<br />
คือ
๓๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
แดนที่<br />
๑ การติดตอสื่อสารกับโลก<br />
คือการสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ทางกายภาพ และสิ่งแวดลอมทางสังคม<br />
โดย<br />
ก) การรับรู-เสพ<br />
ทางผัสสทวาร หรืออินทรีย ๖ (ตา หู จมูก<br />
ลิ้น<br />
กาย ใจ)<br />
ข) การประกอบกรรม หรือพฤติกรรม ทางกรรมทวาร ๓<br />
(กาย-ทํ า วาจา-พูด ใจ-คิด)<br />
แดนที่<br />
๒ ภาวะจิตใจ หรือสภาพจิต ที่อยูขางในและเปนเบื้องหลัง<br />
ซึ่งใชงานและกํ<br />
าหนดนํ ากํ ากับการสัมพันธกับโลกภายนอก โดยมีเจต<br />
จํ านงหรือเจตนาเปนตัวทํ าการ<br />
แดนที่<br />
๓ ปญญา คือความรู-คิด-เขาใจ-หยั่งเห็น<br />
ซึ่งจะเปนแสงที่<br />
สองสวาง ชี้นํ<br />
า บอกชองทาง ขยายขอบเขต ปรับแกและพัฒนาระบบทั้ง<br />
หมด ตลอดจนปลดปลอยชีวิตใหมีอิสรภาพ<br />
สามแดนนี้มิใชวาจะทํ<br />
าหนาที่ของมันแตละอยางตางหากกัน<br />
แต<br />
มันดํ าเนินไปโดยประสานและเปนปจจัยแกกันและกัน ตรงนี้เปนจุด<br />
สังเกตสํ าคัญที่วา<br />
การดํ าเนินชีวิตสามแดนนี้ไมใชวาแตละอยางจะ<br />
พัฒนาไปโดยลํ าพังของมันตางหากกัน แตแทจริงนั้น<br />
มันพัฒนาตัวของ<br />
มันเองโดยลํ าพังไมได จะตองพัฒนาตัวโดยอาศัยซึ่งกันและกัน<br />
มีหลักการพื้นฐานวา<br />
ชีวิตเกิดมาไมไดสมบูรณในตัวทันที ดังนั้น<br />
ชีวิต<br />
มนุษยที่จะเปนอยู<br />
ดีได จะตองมีการพัฒนาตลอดเวลา ไมใชแครางกาย<br />
พัฒนาเติบโตขึ้นมาเทานั้น<br />
แตการพัฒนาที่แทคือพัฒนา<br />
๓ แดนที่วาขางตน<br />
แมแตรางกายที่จะเจริญเติบโตพัฒนาอยางดีได<br />
เชนจะไมมาเจอ<br />
หรือจบดวยโรคอวน ก็อยูที่การพัฒนา<br />
๓ แดนนั้นแหละใหถูกใหดี<br />
ฉะนั้น<br />
การที่จะมีสุขภาวะจึงมีขอเรียกรองพื้นฐาน<br />
หรือขอกํ าหนด<br />
จากธรรมชาติวา มนุษยตองมีปญญาที่จะรูเขาใจธรรมชาติแหงชีวิตของ<br />
ตน และมองเห็นตระหนักถึงความจํ าเปนในการพัฒนาชีวิตของตนนั้น
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
พรอมทั้งพัฒนาปญญาที่จะชวยใหวางใจตอชีวิตและจัดการกับการ<br />
พัฒนาชีวิตนั้นไดอยางถูกตอง<br />
เหตุที่ชีวิตตองมีการพัฒนาตลอดเวลา<br />
ก็เพราะวา อยางงายๆ<br />
ธรรมดาที่สุด<br />
เมื่อเรามีชีวิตเปนอยู<br />
เราก็ตองพบประสบการณใหมๆ ตอง<br />
เจอสถานการณใหมๆ อยู เรื่อยไป<br />
ซึ่งเราจะตองรู<br />
เขาใจและปฏิบัติตอมันให<br />
ถูกตองหรือใหไดผล นี่ก็คือเราจะตองเรียนรูมัน<br />
หาทางปฏิบัติจัดการมัน<br />
หรือฝกตัวปรับตัวใหเขากับมัน ชีวิตของเราจึงจะอยู ดีหรือแมแตอยู รอดได<br />
การหาทางปฏิบัติจัดการกับประสบการณและสถานการณตางๆ<br />
ดวยการเรียนรู<br />
ปรับตัว ตลอดจนฝกหัดทํ าการใหมๆ ใหไดผล นี้แหละคือ<br />
การพัฒนาชีวิต ซึ่งมีศัพทเฉพาะเรียกวา<br />
"การศึกษา" แปลเปนไทยวา<br />
เรียนรู<br />
ฝก หัด พัฒนา<br />
ในเรื่องธรรมชาติของชีวิตมนุษยนี้<br />
จะตองถือเปนหลักการใหญขั้น<br />
พื้นฐานวา<br />
“มนุษยเปนสัตวที่ตองฝก”<br />
ตองฝกจึงจะประเสริฐ หรือ<br />
ประเสริฐไดดวยการฝก คือตองมีการศึกษานั้นเอง<br />
ตามปกติเราใชคํ าวาการ “ศึกษา” ซึ่งที่จริงเปนเพียงการพูดทับ<br />
ศัพทตามภาษาสันสกฤตวา “ศิกฺษา” ตรงกับคํ าจากบาลีที่เปนภาษาพระ<br />
วา “สิกฺขา” จะเปนศึกษา หรือสิกขา ก็แปลเปนไทยวา “ฝก” นั่นเอง<br />
ถา<br />
แปลขยายออกไป ก็บอกวา เรียนรู<br />
ฝกฝน หัด พัฒนา อันเดียวกันทั้งนั้น<br />
เพียงแตวาในตางยุคตางสมัยก็มีความนิยมและนัยแหงความหมาย<br />
เปลี่ยนแปรแปลกกันไป<br />
ชีวิตเราเกิดมาอยู ในโลก หรือดํ าเนินไปทามกลางสิ่งแวดลอม<br />
เรา<br />
อยูไดหรือดํ าเนินชีวิตไปได ก็เพราะมีเครื่องมือติดตอสื่อสารสัมพันธกับ<br />
โลกหรือสิ่งแวดลอมนั้น<br />
และมันก็เปนเครื่องมือในการพัฒนาชีวิตของเรา<br />
เองดวย (ที่จริงจะวาใหถูก<br />
ตองพูดโยงตอกันตลอดกระบวนวา เปน<br />
เครื่องมือติดตอสื่อสารสัมพันธกับโลก<br />
ในการที่จะพัฒนาชีวิตของเรา)<br />
/ 136<br />
๓๙
๔๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
คือ ผัสสทวาร ๖ และกรรมทวาร ๓<br />
เรามีเครื่องมือติดตอสื่อสารสัมพันธ<br />
คือ ตา หู ฯลฯ จนถึงใจ แลว<br />
ยังไดกัลยาณมิตร ตั้งตนแตพอแม<br />
มาชวยอีก จากตาดูหูฟง เปนตน เราก็<br />
ฝกเราก็หัดตามที่กัลยาณมิตรสอนใหถายทอดมา<br />
วิธีการที่จะเปนอยูเรา<br />
ตองเรียนรูตองฝกตองหัดหมดทุกอยาง<br />
ไมวาจะเปนการกิน นอน นั่ง<br />
ขับ<br />
ถาย จนถึงจะเดิน จะพูด ตองเรียนรูฝกหัดเอาทั้งนั้น<br />
อาศัยสัญชาตญาณ<br />
แทบไมไดเลย ตางจากสัตวชนิดอื่นทั่วไปที่ชีวิตสวนใหญอยู<br />
ไดดวยสัญชาต-<br />
ญาณ จึงเปนความพิเศษของมนุษยอยางที่บอกแลววา<br />
เปนสัตวที่ตองฝก<br />
และประเสริฐไดดวยการฝก หรือวาฝกศึกษาแลวประเสริฐสุด<br />
เปนอันวา ชีวิตมนุษยนี้จะตองพัฒนาไป<br />
และการที่จะพัฒนาไปได<br />
นั้นก็คือพัฒนาการดํ<br />
าเนินชีวิตสามแดนที่วาไปแลว<br />
และเมื่อพัฒนาถูก<br />
ตอง การพัฒนาสามแดนนั้นก็จะเปนปจจัยหนุนเสริมกันและกัน<br />
ในแดนที่หนึ่ง<br />
คือการสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ก็จะเห็นวา เราตอง<br />
อาศัยความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมมาเสริมสนองจิตใจ<br />
การสัมพันธกับ<br />
สิ่งแวดลอมทํ<br />
าใหจิตใจของเรามีทางออก ทั้งออกไปรับรูโลกหรือสิ่งแวด<br />
ลอม ไดขอมูลประสบการณทั้งหลายที่จะมาใชในการพัฒนาชีวิตของตน<br />
และออกไปเสพหรือทํ าการตางๆ เพื่อสนองความตองการของตน<br />
ถาจิต<br />
ใจของเราไมมีทางออกในการสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
เราก็จะอึดอัด เราก็<br />
จะไมมีทางไดสนองความตองการ เราก็จะไมสามารถมีความสุข<br />
แตในเวลาเดียวกัน ถาการสัมพันธนั้นดํ<br />
าเนินไปไมถูกตองหรือไม<br />
ไดผล ก็กลับเกิดผลรายตอจิตใจ กลายเปนเดือดรอนเกิดทุกข<br />
ที่วานั้นเปนแงที่จิตใจตองอาศัยการสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
แต<br />
พรอมกันนั้น<br />
การสัมพันธกับสิ่งแวดลอมจะดํ<br />
าเนินไปได และจะดํ าเนิน<br />
ไปในทิศทางไหน อยางไร ก็ตองอาศัยจิตใจ เริ่มดวยตองมีเจตนา<br />
ที่ชี้นํ<br />
า<br />
สั่งการวาจะเอาอะไรจะทํ<br />
าอะไรอยางไร ซึ่งเขาไปเชื่อมตอกับตัวประกอบ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ในใจที่อยูเบื้องหลังมากมาย<br />
ซึ่งคอยปรุงแตงหันเหเจตนา<br />
เชน ความโลภ<br />
ความเห็นแกตัว ความเผื่อแผเสียสละ<br />
ความโกรธ ความรัก ความมีเมตตา<br />
ฯลฯ เกิดเปนการคิดผูกเรื่อง<br />
วางแผน และการแสดงออกเปนพฤติกรรม<br />
ทางกายและวาจา พูดและทํ าการตางๆ เพื่อสนองความตองการของจิต<br />
ใจที่เปนอยางนั้นๆ<br />
คือมีภาวะจิตอยางนั้นๆ<br />
เสร็จแลวการสัมพันธกับสิ่งแวดลอมและภาวะจิตทั้งหมดเหลานี้ก็<br />
ตองอาศัยปญญา อยางที่บอกเมื่อกี้วา<br />
มันจะเอาอะไรทํ าอะไรอยางไรได<br />
แคไหน ก็อยูในขอบเขตของปญญา<br />
ขึ้นตอปญญาวิสัยของเขา<br />
ในทางกลับกัน ปญญาจะพัฒนาไปได ก็ตองอาศัยความสัมพันธ<br />
กับสิ่งแวดลอม<br />
เริ่มแตการหาขอมูล<br />
ทั้งใชอินทรีย<br />
และประกอบพฤติ<br />
กรรม อาจจะเดินทางไปยังแหลงขอมูล เอาตาดู เอาหูฟง ไปสืบคน ไป<br />
สอบถามดวยวาจา เพื่อจะไดขอมูลเพิ่มเติมที่จะเอามาคิดพิจารณาใหรู<br />
เขาใจเขาถึงความจริง หรือนํ าไปใชประโยชนตอไป<br />
แมแตในขั้นตนแคนี้<br />
ระดับการพัฒนาชีวิตของบุคคลทั้งระบบ<br />
ก็<br />
เขามาแสดงบทบาทรวมเปนปจจัยดวยโดยตลอด เชน ในดานพฤติกรรม<br />
ทางวาจา ถาผูหาขอมูลรูจักพูด<br />
อาจจะไดขอมูลมาบริบูรณและชัดเจน<br />
แตถาถามไมดี พูดไมเปน อาจไมไดรับความรวมมือ หรือไดขอมูลไมชัด<br />
หรือไมตรงเรื่อง<br />
ดังนี้เปนตน<br />
นอกจากอาศัยการติดตอสัมพันธกับสิ่งแวดลอมแลว<br />
การพัฒนา<br />
ปญญานั้นก็ตองอาศัยภาวะจิตใจดวย<br />
เชน ถาจิตใจมีความใฝรู<br />
มีความ<br />
เขมแข็ง มีความอดทน สติดี สมาธิดี การแสวงหาขอมูลตลอดจนการ<br />
วิเคราะหวิจัยที่สืบเนื่องตอไปก็ไดผลดี<br />
แตถาไมขยัน ขาดความอดทน<br />
ทนไมได รอไมได มักงาย ใจลอย หรือทอถอยเร็วไว แมแตจะหาขอมูลก็<br />
ลวกๆ ไมมีสมาธิ ใจไมอยูกับกิจ<br />
จิตไมอยูกับงาน<br />
ไดแตฟุ งซานวุ นวาย<br />
พลานไป ก็คิดอะไรไมคอยสํ าเร็จ ปญญาก็พัฒนาไมได<br />
/ 136<br />
๔๑
๔๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
นี้คือการที่สามแดนของการดํ<br />
าเนินชีวิตตางอาศัยซึ่งกันและกัน<br />
ซึ่ง<br />
จะทํ าใหเราเปนอยูและทํ าใหเราพัฒนาได และดังที่กลาวแลว<br />
เมื่อเรา<br />
เปนอยูถูกตอง ก็คือการที่ชีวิตของเราพัฒนาไปตลอดเวลา<br />
เมื่อเรา<br />
ดํ าเนินชีวิตถูกตอง และชีวิตนั้นพัฒนาไป<br />
เราก็บรรลุผล ที่มีพรอมทั้ง<br />
วิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ ครบทั้งหมด<br />
คือเกิดสุขภาวะ ซึ่งเปนไปตาม<br />
ธรรมดาของธรรมชาติอยางนั้นเอง
- ๒ -<br />
สุขภาวะในระบบชีวิต-สังคมยุคไอที<br />
เปนนักพึ่งพา<br />
ไดแตหาความสุข แตไมมีความสุข<br />
ยอนมาพูดถึงเรื่องสุขภาวะในวงแคบอีกหนอย<br />
หันกลับไปหาโรค<br />
อวนอีกที คราวนี้ก็มาดูความเปนอยูหรือการดํ<br />
าเนินชีวิต ก็จะมองเห็นวา<br />
คนเหลานั้นเปนอยูไมถูกตอง<br />
กินไมเปน ใชชีวิตไมเปน ดํ าเนินชีวิตไมเปน<br />
มีปมปญหามากมาย<br />
ทํ าไมเขาจึงเปนโรคอวน ทั้งๆ<br />
ที่เขาก็อยู<br />
ในสังคมที่มั่งคั่งพรั่งพรอม<br />
มีกินมีใชบริบูรณ เปนสังคมบริโภค แตก็อยางวา มันกลายเปนพรั่งพรอม<br />
เกินไป แลวก็บริโภคเกินไป หันไปทางไหนก็มีของใหกินใหบริโภคได<br />
งายๆ ทันใจทันที<br />
ตู เครื่องดื่มและตูของกินเลนตั้งวางอยูทั่วทั้งนั้น<br />
เอาสตางคหยอด<br />
ปบ<br />
กดปุมปุบ<br />
ก็รับเอามาดื่มมากินไดเลย<br />
โดยเฉพาะนํ้<br />
าหวานมันทอด<br />
กินเสพฆาเวลาไปเรื่อยๆ<br />
เคยชินหนักเขาก็อดไมได ไปๆ มาๆ ก็กลายเปน<br />
อวนเกินขนาด ถึงขั้นที่นับวาเปนโรค<br />
และเปนกันมากคน เกลื่อนสังคม<br />
แผกระจายไปทั่ว<br />
เหมือนจะเปนโรคระบาด กลายเปนปญหาของชีวิต<br />
และสังคม เรียกวาโรคอวน<br />
(ตามสถิติของศูนยควบคุมและปองกันโรค [Centers for Disease<br />
Control and Prevention (CDC)] วา ใน ค.ศ.1960/พ.ศ.๒๕๐๓ ประชากร<br />
อเมริกันมีคนอวนในอัตราสวน 13% แตใกลปจจุบันคนอวนเพิ่มจํ<br />
านวนขึ้น
๔๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
เปนเกือบ 31%; ที่นาสังเกตมากคือ<br />
ในชวงเวลา ๒๐ ป ระหวาง 1980-<br />
2000/๒๕๒๓-๒๕๔๓ อเมริกามีเด็กและวัยรุนอวนเพิ่มจํ<br />
านวนขึ้นเกือบ<br />
๓ เทาตัว – Microsoft Encarta Reference Library 2005, "Obesity")<br />
มองลึกลงไป ปมปญหาไมใชอยูแคเรื่องวัตถุ<br />
กับพฤติกรรมเทานั้น<br />
ไมใชแความีมาก กินมาก และสะดวก งาย ทันใจ ทันที เลยกินดื่มไป<br />
เรื่อย<br />
อันนั้นก็เปนปจจัยดวย<br />
เเตมูลเหตุที่แทเปนปญหาซับซอนในจิตใจ<br />
คนในสังคมบริโภคเหลานี้<br />
มีวิถีชีวิตภายใตระบบแขงขัน จิตใจมัก<br />
เครียดกระวนกระวาย ไมสงบ ไมมั่นคง<br />
ขาดความอบอุ น ขาดความพึงพอใจ<br />
ไมมีความสุขภายใน การหยิบการเคี้ยวดื่มกินสิ่งเสพบริโภคที่หางายใกล<br />
มือเหลานั้น<br />
เปนทางออกในการระบายความเครียด และระงับความ<br />
กระวนกระวาย เหมือนกินดื่มแกเครียดแกกลุมหรือแกเหงาไปเรื่อยๆ<br />
แตมองอีกชั้นหนึ่ง<br />
ก็เปนปญหาในระดับปญญาดวย โดยเฉพาะ<br />
ปญญาไมออกมาทํ าหนาที่จัดปรับแกไขใหทางออก<br />
ขั้นตน<br />
มองอยางงายที่สุด<br />
เรียกวาเปนการไมบริโภคดวยปญญา<br />
หรือไมรู จักประมาณในการบริโภค ทํ าใหกินไมพอดี พูดงายๆ วากินไมเปน<br />
ในแงของสิ่งเสพบริโภคนั้นเอง<br />
คืออาหาร เขาอาจจะมีความรูวา<br />
รางกายตองการอาหารสวนใดแคไหน เชนวา คารโบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน<br />
อยางไหนเทาไร เขาก็พอมีความรู แตบางทีทั้งที่มีความรู<br />
ก็ไมใสใจความรู <br />
อีกอยางหนึ่ง<br />
การที่สังคมมีขอมูลพรั่งพรอม<br />
ไมไดหมายความวา<br />
คนจะมีปญญา ทั้งที่ขอมูลมีใหพรอมแลว<br />
แตคนไมสนใจหาความรูจาก<br />
ขอมูลเหลานั้น<br />
ขอมูลที่จะเปนประโยชนแกชีวิต<br />
เขาไมหา แตมัวไปเพลิน<br />
กับขอมูลที่เปนโทษ<br />
ชนิดที่บํ<br />
ารุงบํ าเรอใหเกิดโทษภัยแกชีวิตของตนเอง<br />
บางที แมแตมีความรูนั้นอยู<br />
แตไมเอาความรูนั้นมาใชประโยชน<br />
เรียกวามัวตกเปนทาสของตัณหาเสีย ก็เลยไมไดใชปญญา คือสภาพจิต<br />
ไมเอื้อตอการใชปญญา<br />
แตทํ าใหเกิดความประมาท เพลินไปกับความ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ปลอยตัวตามใจตน<br />
จะเห็นวา เรื่องนี้แมจะเปนปญหาดานพฤติกรรม<br />
คือพฤติกรรมการกิน<br />
หรือพฤติกรรมในการเสพบริโภค แตก็โยงกันเปนปญหาในระบบความ<br />
สัมพันธแหงการดํ าเนินชีวิตทั้งหมด<br />
(ครบทั้ง<br />
๓ แดน) คือจิตใจเพลินเมา<br />
ปลอยพฤติกรรมใหดํ าเนินไปใตอํ านาจของตัณหา โดยขาดความเขม<br />
แข็งของจิตใจที่จะหนุนหรือเอื้อโอกาสแกการใชปญญา<br />
จึงไปกินอาหารที่<br />
เปนโทษแกชีวิตของตนเอง และติดเพลินในการเสพ จนเกิดเปนอันตราย<br />
ตอสุขภาพ เปนโรคภัยไขเจ็บขึ้นมา<br />
แลวทั้งที่รู<br />
วาเปนอันตราย ก็ถอนตัวไม<br />
ได ชวยตัวเองหรือพึ่งตนเองไมได<br />
(ตองใหคุณหมอผาตัดจํ ากัดกระเพาะ)<br />
เปนการสัมพันธปฏิบัติตอสิ่งแวดลอมไมถูกตอง<br />
ในแงกินไมเปน<br />
ในทางธรรม การจัดการควบคุมดูแลตัวเองใหสัมพันธปฏิบัติตอ<br />
สิ่งแวดลอมไดอยางถูกตอง<br />
(สังวร) ทานเรียกวาเปน “ศีล”<br />
ศีลที่เปนการปฏิบัติถูกตองตอสิ่งแวดลอมจํ<br />
าพวกสิ่งเสพบริโภค<br />
เรียกวา ปจจัยปฏิเสวนา หรือปจจัยสันนิสิตศีล คือศีลในการเสพปจจัย<br />
ปจจัย คือวัตถุสิ่งของกินใชที่เปนเครื่องเกื้อหนุนชีวิต<br />
ศีลในการ<br />
เสพปจจัย จึงหมายถึงการปฏิบัติคือกินใชเสพวัตถุใหถูกตองตามความ<br />
หมายของมันที่จะเปนเครื่องเกื้อหนุนชีวิต<br />
ถากินใชเสพวัตถุ เชนกินอาหารไปแลว มันไมเปนปจจัยเกื้อหนุน<br />
ชีวิต แตกลายเปนพิษเปนภัยตอชีวิต ก็แสดงวาปฏิบัติตอวัตถุนั้นไมถูก<br />
ตอง คือ กินไมเปน ใชไมเปน สัมพันธไมเปน<br />
เมื่อปฏิบัติตอสิ่งแวดลอมจํ<br />
าพวกวัตถุเสพคือของกินของใชไมถูก<br />
ตอง ไมเปน ก็คือขาดศีลในการเสพปจจัย ที่เรียกวา<br />
ปจจัยปฏิเสวนา<br />
(ปจจัยสันนิสิตศีล) นี่ก็แสดงวาเสียศีล<br />
คือมีการดํ าเนินชีวิตที่ผิด<br />
เปน<br />
ชีวิตที่ขาดการพัฒนาไปขอหนึ่งละ<br />
ปรากฏวา คนไทยสวนใหญ ทั้งที่บอกวาตัวเปนชาวพุทธ<br />
แตไมรู<br />
/ 136<br />
๔๕
๔๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
จักแมแตศีลขั้นตนๆ<br />
อยางปจจัยปฏิเสวนานี้<br />
นี่อะไรกัน<br />
แลวเขาจะได<br />
ประโยชนอะไรจากพระพุทธศาสนาที่เขาบอกวาเขานับถือ<br />
ปจจัยปฏิเสวนานี้<br />
เปนเพียงศีลอยางหนึ่งในศีลหลายประเภท<br />
ที่<br />
เปนการสัมพันธปฏิบัติตอสิ่งแวดลอมอันหลากหลาย<br />
ที่จะตองแบงแยก<br />
ประเภทออกไป<br />
เรื่องศีลประเภทตางๆ<br />
ตลอดถึงวิธีพัฒนาคนวาจะฝกอยางไรใหมี<br />
ศีลในการเสพปจจัยเปนตนนี้<br />
จะตองหันกลับมาพูดกันอีกครั้ง<br />
แตตรงนี้<br />
เอาไวแคนี้กอน<br />
ตอนนี้มาพูดกันตอไปในเรื่องสภาพชีวิต<br />
หรือการดํ าเนินชีวิต ของ<br />
คนในยุคสมัยปจจุบัน<br />
ไดพูดแลววา โรคอวน ที่เปนปญหาจากพฤติกรรมในการกินของ<br />
คนอเมริกันนั้น<br />
มีปมลึกแฝงอยูในจิตใจ<br />
เปนเพราะปญหาจิตใจดวย<br />
อยางที่วา<br />
ในวิถีชีวิตแบบตะวันตกนั้น<br />
คนมีจิตใจไมสบาย มี<br />
ความเครียดมาก เรารอนกระวนกระวาย บางทีก็รูสึกโดดเดี่ยว<br />
เหงา<br />
วาเหว เมื่ออยู<br />
ลํ าพัง หรือแมแตอยูกับคนมาก<br />
แตก็ไมอบอุน<br />
เหมือนตัว<br />
คนเดียว พอวาง หรือมีเวลาวางแทรกเขามาหนอย ไมรูจะทํ<br />
าอะไรดี หัน<br />
ไปหันมา เจอของกินของเสพสะดวกเหลานี้<br />
ก็จับใสปาก หันไปหันมา<br />
เจอตูเครื่องดื่ม<br />
ก็เอาโคกมาดื่มซะ<br />
เดี๋ยวดื่ม<br />
เดี๋ยวกิน<br />
จุกจิกๆ ไปๆ มาๆ ก็<br />
เลยอวนไป กลายเปนการซํ้<br />
าเติมตัวเอง<br />
ทั้งนี้ก็เพราะภาวะจิตใจที่ไมมีความเต็มอิ่ม<br />
มีแตความขาดความ<br />
พรอง สืบเนื่องจากแนวคิดความเชื่อพื้นฐานที่มีอยูในตัวโดยไมตระหนัก<br />
(เชนแนวคิดแฝงในยุคอุตสาหกรรมที่วา<br />
คนจะสุขที่สุด<br />
เมื่อมีวัตถุเสพมาก<br />
ที่สุด)<br />
พรอมทั้งระบบการอยู<br />
รวมกันและวิถีชีวิตในสังคมแบบแขงขันตัวใคร<br />
ตัวมัน แยงกันหาความสุข แยงกันไขวควาเกียรติ อัดประดังกันออกมาบีบ<br />
คั้นจิตใจทํ<br />
าใหมีความเรารอน เครียด โดดเดี่ยว<br />
ทั้งวาวุนและวาเหว<br />
อยู
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๔๗<br />
กับตัวเองไมได ก็เลยตองเที่ยวหาพึ่งพาสิ่งภายนอก<br />
เพื่อหนีความทุกข<br />
และหาความสุข กลายเปนการหาสิ่งพึ่งพาที่จะชวยใหมีความสุข<br />
การพึ่งพาเพื่อหาความสุขนั้นแสดงออกในลักษณะตางๆ<br />
การกิน<br />
เสพก็เปนลักษณะหนึ่งของการพึ่งพาวัตถุเพื่อหาความสุข<br />
ซึ่งก็ชวยใหเขา<br />
ไดความสุขในระดับหนึ่ง<br />
แตก็เปนสิ่งที่เรียกวา<br />
ความสุขแบบพึ่งพา<br />
ความสุขแบบพึ่งพา<br />
ก็คือความสุขที่ไมมีในตัวเอง<br />
ทํ าใหคนสูญ<br />
เสียอิสรภาพ ตองพึ่งพาวัตถุภายนอก<br />
ขาดสิ่งเสพจากภายนอกไมได<br />
ถา<br />
ไมมีสิ่งเสพก็ไมมีความสุข<br />
ขาดสิ่งเสพเมื่อใดก็เปนทุกขทันที<br />
มนุษยพวก<br />
นี้จึงขาดอิสรภาพ<br />
ที่วาขาดอิสรภาพ<br />
ก็เพราะไมมีความสุขนั่นแหละ<br />
จึงตองขึ้นตอสิ่ง<br />
อื่นในการที่จะเปนสุข<br />
คือ เมื่อไมมีความสุข<br />
ก็จึงตองเที่ยวหาความสุข<br />
และ<br />
ที่ตองเที่ยวหาก็เพราะความสุขนั้นอยู<br />
ที่สิ่งอื่นขางนอก<br />
จึงเปนความสุขแบบ<br />
พึ่งพา<br />
และเปนความสุขที่ตองหา<br />
เพราะเปนความสุขที่ตัวเองไมมี<br />
ความสุขแบบพึ่งพานี้<br />
เปนความสุขที่ไมแท<br />
เปนความสุขที่ไมมีอยู<br />
ในตัวเรา ตองขึ้นกับสิ่งอื่น<br />
ถาไมมีสิ่งอื่นบํ<br />
ารุงบํ าเรอ ไมมีสิ่งเสพบริโภค<br />
ก็<br />
จะทุกข ก็จะรอนรนกระวนกระวาย ความสุขประเภทนี้จึงไมปลอดภัย<br />
จะเห็นวา พฤติกรรมสนองการหาความสุขแบบพึ่งพานี้<br />
เปนเรื่อง<br />
โยงกันหมดทั้งพฤติกรรมกินเสพนั้น<br />
กับภาวะจิตใจ และความสัมพันธใน<br />
สังคม การกินจุกกินจิกจนเปนโรคอวนนี้<br />
อาจเปนทางออกของคนทํ านอง<br />
เดียวกับการติดบุหรี่<br />
ตลอดจนการพึ่งสิ่งเสพติดอยางอื่นๆ<br />
ถาแกปญหาแบบองครวมหรือครบวงจรไมได อาจจะตองเลือก<br />
เอาระหวางทางเลือกตางๆ ในการเสพติด วาจะใหคนเสพติดอะไรที่มี<br />
โทษภัยนอยที่สุด<br />
กอนที่เขาจะหลุดพนจากการเสพติดไปได<br />
ปรากฏวา มนุษยในยุคปจจุบันนี้<br />
เต็มไปดวยความสุขแบบพึ่งพา<br />
กันทั่ว<br />
ความสุขแบบพึ่งพานั้น<br />
ในเมื่อมันเปนความสุขที่ไมเปนอิสระ<br />
ขาด
๔๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
สิ่งภายนอกไมได<br />
และสิ่งภายนอกก็คือไมไดมีอยูในตัว<br />
เมื่อตางคนตาง<br />
หาความสุข มองในวงกวาง ก็ตองแยงชิงเบียดเบียนกัน ทํ าใหสังคมไม<br />
สงบสุข แลวแตละคนที่อยูในสังคมนั้นก็สุขสงบไมไดไปดวย<br />
พัฒนาวิธีหาความสุข แตไมพัฒนาศักยภาพที่จะมีความสุข<br />
ทีนี้<br />
สังคมอเมริกันที่เขามีพรั่งพรอมอยางที่วามานั้นได<br />
พูดกัน<br />
ตรงๆ ก็ตองเปนสังคมที่เอาเปรียบสังคมอื่น<br />
เปนที่ยอมรับกันวา<br />
สังคม<br />
อเมริกันมีประชากรเทียบเปนอัตราสวนของโลกเทากับ ๔.๕% แตบริโภค<br />
ทรัพยากรของโลกประมาณ ๓๐-๔๐% เรียกวากินเกินตัว<br />
ถาจะใหประเทศอื่นมั่งคั่งพรั่งพรอมบริบูรณอยางประเทศอเมริกานี้<br />
ก็ตองกินเกินตัวเหมือนอยางประเทศอเมริกา แลวจะมีอะไรใหกินละ<br />
หมายความวา ขณะนี้ก็เหมือนกับวา<br />
ประเทศอื่นยอมใหอเมริกา<br />
กินเยอะๆ เพราะอเมริกากิน ๓๐-๔๐% เหลือใหคนอื่นกิน<br />
๖๐-๗๐%<br />
แลวประเทศอเมริกา ตามสถิติป 2000 มีประชากร ๒๗๕ ลานคน (2004 มี<br />
๒๙๓ ลาน) เทากับประมาณ ๔.๕ % ของประชากรโลกที่มี<br />
๖,๑๐๐ ลานคน<br />
นี่คือประชากร<br />
๔.๕% บริโภคทรัพยากรของโลก ๓๐-๔๐% ในที่นี้เราเอา<br />
แค ๓๐% ก็คํ านวณออกมาวา คน ๑% บริโภคทรัพยากรของโลก ๖.๖%<br />
ทีนี้<br />
ถาคนทั้งโลกจะกินแบบอเมริกันบาง<br />
ก็หมายความวา ประชากร<br />
ในโลกจะตองบริโภคทรัพยากรของโลก ๖๖๐% คือบริโภคทรัพยากรเกิน<br />
กวาที่โลกมีอยู<br />
ไปอีก ๕๖๐% หรือเกินที่มีไปถึง<br />
๕.๖ เทา เมื่อโลกนี้มีไมพอ<br />
ใหกิน ก็คงตองไปหาจากดาวพระอังคาร ซึ่งยังไมเห็นวาจะมีอะไรใหเรา<br />
เรื่องที่เปนไปไมไดนี้เราจะขามไปกอน<br />
ปญหาตอนนี้ก็คือ<br />
ใน<br />
ประเทศที่รํ่<br />
ารวยมีกินมากมายสะดวกสบายถึงอยางนี้<br />
ก็ปรากฏวาคนยัง<br />
ไมมีความสุข หรือกลับมีทุกขหนักขึ้น<br />
แลวความสุขที่มีอยูบาง<br />
ก็เปน<br />
ความสุขแบบพึ่งพา<br />
ตองหากันวุน<br />
ในตัวเองไมมีความสุขเลย กลายเปน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
สุขภาวะที่เลื่อนลอย<br />
ยิ่งกวานั้น<br />
พอหันไปเที่ยวหาความสุขแบบพึ่งพา<br />
ฝากความสุขไว<br />
กับวัตถุเสพบํ ารุงบํ าเรอที่สะดวกทันใจดวยเทคโนโลยี<br />
ไปๆ มาๆ ก็กลับ<br />
เสียสุขภาวะดานรางกาย เกิดปญหาโรคภัยไขเจ็บมีโรคอวนขึ้นมาอีก<br />
ปญหาก็ยิ่งซับซอนพัลวันจนไมรูจะจับจุดแกที่ตรงไหน<br />
เงื่อนสํ<br />
าคัญก็คือการขาดหรือไมมีความสุขอยูในตัว<br />
ไมมีอิสรภาพ<br />
ในตน ที่ทํ<br />
าใหตองวายวนวิ่งวุนไปทุกทิศทุกทางจนขาดจุดหมาย<br />
สภาพจิตขาดความสุข ที่ทํ<br />
าใหตองคอยเที่ยวหามาเติมนี้<br />
วิเคราะห<br />
ลงไปแลวจะพบปมปญหาจิตใจมากมาย ซึ่งเปนเรื่องของความขาดการ<br />
พัฒนาทางจิตใจนั่นเอง<br />
จึงไมรู จักฝกจิตใหมีความเขมแข็ง ควบคุมบังคับ<br />
จิตใจของตัวเองไมได และไมมีความสุขภายใน ทั้งในจิตใจ<br />
และจาก<br />
ความสัมพันธในสังคม หรือจากการอยูกับสิ่งแวดลอมทั่วไป<br />
แลวก็โยงไปที่ปญญา<br />
ซึ่งก็ไมไดพัฒนาใหถูกทาง<br />
ไมรูเขาใจชีวิต<br />
ของตัว ไมรูจักปฏิบัติตอสิ่งแวดลอม<br />
ไมรูจักแกปญหาจิตใจของตัวเอง<br />
ไมรูจักการดํ าเนินชีวิตที่ถูกตอง<br />
ไมรูจักเปนอยูใหถูกตอง เรียกวาขาด<br />
ปญญาพื้นฐานเลยทีเดียว<br />
ยํ าปญหาวา ้ คนขาดปญญาพื้นฐานในการมีชีวิต<br />
เขามีแตความรู<br />
ขอมูล เขาหาแตความรูเชิงเทคนิคที่จะแสวงหาสิ่งเสพบริโภค<br />
เขาพัฒนา<br />
แตความรู ในการประกอบอาชีพบางอยาง ซึ่งเปนเพียงเครื่องมือหาเลี้ยงชีพ<br />
ที่จะสนองความตองการในการมีสิ่งเสพบริโภค<br />
พอถึงตรงนี้<br />
ก็เขาจุดที่พูดสรุปไดงายๆ<br />
วา คนที่หวังความสุขแบบ<br />
ที่ตองหา<br />
แบบพึ่งพาเหลานั้น<br />
พากันวุนวายกับการพัฒนาความสามารถ<br />
ในการหา(สิ่งเสพที่จะทํ<br />
าใหมี)ความสุข แตเขาไมไดพัฒนาความ<br />
สามารถที่จะมีความสุข<br />
ก็เลยไปไมรอด<br />
ทํ าไมจึงไปไมรอด ก็เพราะวา เมื่อคนไมพัฒนาความสามารถที่จะ<br />
/ 136<br />
๔๙
๕๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
มีความสุข พอเขาพัฒนาความสามารถในการหาสิ่งเสพที่จะมาบํ<br />
าเรอ<br />
ความสุขไดมากขึ้น<br />
เขาเกง เขามีวิธีการหาความสุขไดมากมาย (แตเปน<br />
ความสุขแบบพึ่งพาทั้งนั้น)<br />
เขามีสิ่งเสพบริโภคเหลือลน<br />
แตพรอมกันนั้น<br />
โดยไมรู ตัว ปรากฏวาความสามารถที่จะมีความสุขของเขาไดลดนอยลงไป<br />
ถึงตอนนี้<br />
เขาก็ตกที่นั่งลํ<br />
าบาก พอหาสิ่งบํ<br />
าเรอความสุขมาไดมาก<br />
แตความสามารถที่จะมีความสุขลดลง<br />
เขาก็ยิ่งตองหาสิ่งเสพมาใหไดมาก<br />
ขึ้นๆ<br />
เพียงเพื่อจะดึงระดับความสุขไวใหคงอยู<br />
แมแตแคเทาเดิม<br />
เขาอยู ในสังคมระบบแขงขัน แคแขงกับคนอื่นก็เหนื่อยแทบแยอยู<br />
<br />
แลว นี่ยังตองมาหาเครื่องเติมความสุขแขงกับความสามารถมีสุขที่ลดลง<br />
ไปๆ อีก บางทีความสุขที่ได<br />
ก็เลยไมเทาไมทันความทุกขที่ขยายตัวออกไป<br />
อีกดานหนึ่ง<br />
พอดูตัวเองอีกที ปรากฏวา ในกระบวนการวิ่งหาสิ่ง<br />
เสพมาเติมความสุข แขงกับการลดลงของความสามารถที่จะมีความสุขนี้<br />
เขากลายเปนคนที่สุขไดยากขึ้น<br />
พรอมกับกลายเปนคนที่ทุกขไดงายขึ้นดวย<br />
อะไรกัน คนเราเมื่อเติบโตเจริญพัฒนาขึ้น<br />
ก็ควรจะเปนคนที่มีความ<br />
สุขไดงายขึ้น<br />
พรอมกับเปนทุกขไดยากขึ้น<br />
ถาคน ทุกขงาย-สุขไดยาก อยาง<br />
นี้<br />
ก็แสดงวาสวนทางกับการพัฒนา<br />
ดูเถิด คนยุคปจจุบันนี้<br />
เมื่อยังเปนเด็กเล็กๆ<br />
หัวเราะงาย ยิ้มงาย<br />
(ถึง<br />
แมจะรองไหงายดวย) ไมตองมีอะไรมาก ก็เปนสุขได แตพอโตขึ้นมาเปนผู<br />
<br />
ใหญ ชักจะยิ้มยาก<br />
มีความสุขไดยาก และมีทุกขกันมากขึ้นทุกที<br />
ถาเราพัฒนาชีวิตถูกตอง เรานาจะยิ้มงาย<br />
สุขงายขึ้น<br />
ในขณะที่ดาน<br />
ทุกขควรจะลดลงไป คือ ควรจะ สุขไดงาย และ ทุกขไดยาก<br />
เมื่อวิเคราะหคนและสังคมอเมริกัน<br />
ก็จะเห็นชัดวา ในเรื่องคน<br />
หรือในดานชีวิต เขาเจอทั้งหมดอยางที่ไดพูดมานี้<br />
จนถึงขั้นที่เขาแทบจะ<br />
ไปไมไหวแลว จึงไดเกิดปรากฏการณสังคมแปลกๆ มาเรื่อยๆ<br />
มีวัฒน-<br />
ธรรมทวนกระแส ตั้งแตชวงปลายทศวรรษ<br />
1950s ที่เกิด<br />
Beat
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
Generation หนุ มสาวหันมาหาทางออกดวยวิธีทางจิตใจและธรรมชาติ<br />
สมาธิเฟอง<br />
Zen โดดเดน ตอดวยอีกทศวรรษถัดมาก็มีพวก Hippies<br />
หลังนั้น<br />
ศาสนาตะวันออกเขาไปกันใหญ ทั้ง<br />
Yoga, Rajneesh,<br />
Hare Krishna, TM (Transcendental Meditation), Sun Myung Moon<br />
(Unification Church) ตลอดถึง Vajrayana (ในที่นี้<br />
= Tibetan<br />
Buddhism) มีทั้งพวกทํ<br />
าประโยชน ทั้งพวกหาประโยชน<br />
ถาเขาใจสภาพจิตและสภาพสังคมตะวันตกที่เปนมาในภูมิหลัง<br />
ของเขา ก็จะไมนาแปลกใจวาทํ าไมคนที่นั่นจึงหันมาหาทางออกทางจิต<br />
ใจกันมาก และทํ าไมความสนใจสมาธิจึงฟูฟาถึงกับเปนเหมือนแฟชั่น<br />
สิ่งที่นาใสใจพิจารณาอยูที่วา<br />
เขาเขาใจและใชประโยชนจาก<br />
สมาธิอยางถูกตองและตรงตามคุณคาที่แทจริงของมันหรือไม<br />
บางที<br />
หรือมักจะเปนวา คนเหลานั้นสนใจและใชสมาธิเพียงเพื่อแกปญหาจิตใจ<br />
ของเขาเทานั้น<br />
แมวานั่นจะเปนการดีมีประโยชนในระดับหนึ่ง<br />
แตมีจุด<br />
เขวสํ าคัญที่วา<br />
เขาไมไดเขาใจและไมไดมองเห็นสมาธินั้นในฐานะองค<br />
ประกอบของการดํ าเนินชีวิตที่ดีหรือเปนองครวมในระบบการพัฒนามนุษย<br />
(มองสมาธิอยางแยกสวน ไมเห็นสมาธินั้นในระบบองครวม)<br />
ถาเขาเอาแคนั้น<br />
ก็อาจจะเปนเพียงอาการของสังคมตะวันตกที่<br />
แลนไปสุดโตงอีกดานหนึ่ง<br />
คราวหนึ่งไปสุดโตงทางวัตถุ<br />
อีกคราวหนึ่งก็ไป<br />
สุดโตงทางจิต (หมุนกลับไปคลายสังคมชมพูทวีปยุคกอนใกลพุทธกาล)<br />
ที่จริง<br />
อาการแลนสุดโตงก็เหมือนจะปรากฏออกมาอยูแลว<br />
ดังที่<br />
ไดมีขาวแปลกๆ ในสังคมอเมริกันที่คนเหมือนกับสติลอยกันมากขึ้น<br />
หรือ<br />
จิตใจชักจะฟนเฟอน<br />
หรือควบคุมตัวเองไมได<br />
ดานจิตใจ อาการตื่นสมาธิคลายจะซาลง<br />
แตเลื่อนเลยออกไป<br />
กลายเปนความสนใจในเรื่องที่ลึกลับซับซอนมากขึ้น<br />
ดานกินอยู ก็<br />
บริโภคกันยั้งไมไดจนโรคอวนระบาด<br />
อีกดานหนึ่ง<br />
เด็กนักเรียนประถม-<br />
/ 136<br />
๕๑
๕๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
มัธยม อยู ๆ ก็เอาปนไปยิงครูและเพื่อนนักเรียนแบบกราดๆ<br />
ไป ฆากันตาย<br />
อยางไมตองคิดคํ านึงถึงอะไร ขณะที่เด็กวัยรุ<br />
นฆาตัวตายกันมากจนสถิติ<br />
พุงสูงอยางผิดประหลาด เปนปรากฏการณที่สังคมซึ่งพัฒนาตามอยาง<br />
ก็เดินตามรอยดวยอยางเห็นไดชัด (เมืองไทยในระยะที่ผานมาใกลๆ<br />
นี้<br />
ดู<br />
จะตามไดจนบางเรื่องก็ลํ<br />
าหนาตัวอยาง) ้<br />
เรื่องเหลานี้<br />
เมื่อมาถึงสังคมที่ดอยคอยตาม<br />
ถาไมระวังใหดี<br />
ปญหาจะยิ่งซับซอนและหนักหนาขึ้นอีก<br />
เพราะอะไร? ก็เพราะปญหา<br />
“ความสุขจากการไมตองทํ า” จะมาซํ้<br />
าเขาอีก<br />
พวกคนในประเทศพัฒนาแลว ที่ผานยุคอุตสาหกรรมมากวา<br />
๒<br />
ศตวรรษนั้น<br />
มีภูมิตานทานทุกขจากประสบการณของสังคมมามาก และ<br />
ไดปลูกฝงนิสัยรักงานหรือทนงานมาอยางดี ยอมไดเปรียบในดานนี้<br />
อธิบายนิดหนอยวา ถาคนมีการศึกษาที่ถูกตอง<br />
คือการศึกษาที่<br />
แทจริง เขาจะพัฒนาความใฝรูขึ้นมา<br />
อยางที่วาแลวแตตน<br />
และพรอมกัน<br />
นั้น<br />
ก็จะพัฒนาความใฝทํ า หรือใฝสรางสรรค คือความอยากทํ าใหดี ขึ้น<br />
มาดวยเชนกัน ซึ่งเปนเรื่องธรรมดาของธรรมชาติ<br />
เพราะอยากรู-อยากทํ<br />
า<br />
ที่แท<br />
มาดวยกัน<br />
เมื่อรู<br />
ความแตกตางวา อันนี้ดีแลว<br />
แตอันนี้ยังไมดี<br />
ยังไมสมบูรณ<br />
นาพอใจ ก็อยากทํ าใหมันดี แลวจะทํ าอยางไรใหมันดี ก็ตองหาความรูที่<br />
จะทํ า เมื่อหาความรูและทํ<br />
าดวยความอยากรูอยากทํ<br />
า ก็มีความสุขจาก<br />
การหาความรู และจากการทํ า คือ การหาความรู<br />
และการทํ า(งาน) เปน<br />
ความสุข เมื่อการทํ<br />
างานสรางสรรคเปนความสุข นั่นคือการศึกษาไดกาว<br />
ไปในขั้นสํ<br />
าคัญ<br />
แตตรงขาม เมื่อไมมีการศึกษา<br />
คนไมพัฒนา เขาไมกาวจากความรู <br />
สึกไปสู ความรู ความสุขของเขาอยู ที่การไดเสพ<br />
คือไดรับการปรนเปรอหรือ<br />
บํ ารุงบํ าเรอ พูดรวบรัดวา ความสุขของเขาอยู ที่การไมตองทํ<br />
า ถาจะทํ า ก็
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
คือตองทํ า และเปนความทุกข ตอนนี้<br />
การทํ าเปนความทุกข และความสุข<br />
เกิดจากการไมตองทํ า<br />
เมื่อใดแหลงความสุขของคนเหลืออยู<br />
อยางเดียว คือการเสพ ความ<br />
สุขอยู ที่การไดเสพ<br />
ความสุขอยู ที่การไมตองทํ<br />
า และการทํ าเปนความทุกข<br />
เมื่อนั้น<br />
ภาวะทุกขงาย-สุขไดยาก จะยิ่งทบทวี<br />
บุคคลจึงประสบปญหาชีวิตที่<br />
หนักขึ้น<br />
ขณะที่สังคมก็จะยิ่งตํ<br />
าทรุดลงเปนธรรมดา<br />
่<br />
เทคโนโลยียิ่งกาวหนา<br />
พามนุษยที่ไมพัฒนาใหยิ่งถอยจม<br />
ในเรื่องที่พูดมาทั้งหมดนี้<br />
ตั้งแตเรื่องโรคอวน<br />
เรื่องความพรั่งพรอม<br />
สะดวกสบาย ตลอดจนการหาความสุขแบบพึ่งพา<br />
และความสุขจากการ<br />
ไมตองทํ านั้น<br />
มีสิ่งสํ<br />
าคัญที่สุดอยางหนึ่งเกี่ยวของอยู<br />
ตลอดเวลา แตไมได<br />
พูดออกชื่อมา<br />
สิ่งนั้นคือเทคโนโลยี<br />
เทคโนโลยีมีบทบาทสํ าคัญอยางยิ่ง<br />
ถึงขั้นที่เรียกไดวาเปนตัว<br />
บันดาลใหมนุษยไดมาอยูในโลกที่มีความเจริญอยางที่เปนอยูขณะนี้<br />
ดัง<br />
นั้น<br />
ความสุข ความเจริญ และปญหาทั้งหลายที่ไดพูดมา<br />
จึงเกี่ยวของกับ<br />
เทคโนโลยีทั้งนั้น<br />
อยางไรก็ตาม ในที่นี้เราไมมีเวลาที่จะมาพูดถึงเทคโนโลยี<br />
ที่เปน<br />
เรื่องใหญนี้ใหยืดยาว<br />
แตกระนั้นก็พูดไดสั้นๆ<br />
แบบครอบคลุมวา ในยุค<br />
สมัยนี้<br />
ถามนุษยจะบรรลุจุดหมายแหงการมีสุขภาวะ เขาจะตองเรียนรูที่<br />
จะสัมพันธปฏิบัติตอเทคโนโลยีนั้นใหถูกตองใหได<br />
พูดในทางยอนกลับวา ถามนุษยไมรูจักสัมพันธปฏิบัติตอ<br />
เทคโนโลยีใหดี สุขภาวะก็ไมมีทางสํ าเร็จ<br />
กลาวอยางรวบรัด เทคโนโลยีมีบทบาทสํ าคัญ เชน<br />
- ขยายวิสัยแหงอินทรียของมนุษย เชน ตาเห็นแคของใหญใกลๆ<br />
พอมีกลองจุลทรรศนและกลองโทรทรรศน เปนตน ก็เห็นแมแต<br />
/ 136<br />
๕๓
๕๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
สิ่งที่เล็กหรือไกลเกินคํ<br />
าพูด มือคนขนดินไดวันละนิดหนอย รถ<br />
แบคโฮมาคันเดียวก็ทํ างานไดมากกวาคนเปนรอย มี<br />
คอมพิวเตอรก็ขยายวิสัยของสมองคนออกไปอีกมากมาย ฯลฯ<br />
- สรางเครื่องอํ<br />
านวยความสะดวกสบาย อยางที่ฝรั่งชอบพูดวา<br />
comfort and convenience ซึ่งเห็นกันชัดอยู<br />
แลว ไมตองบรรยาย<br />
- เปดชองทางสรางโอกาส เชน มืดแลวหรือที่นั้นมืดจะทํ<br />
าอะไรไม<br />
ได ก็มีแสงไฟฉายไฟฟามาใหทํ าได ชองทางใหมหรือชองทางที่<br />
ไมนึกวาจะเปนไปไดก็เกิดก็มีขึ้น<br />
ในการทํ ากิจธุระหรือดํ าเนิน<br />
กิจการตางๆ แลวก็ทํ าใหมีโอกาสเขาถึงขอมูล หรือแหลงความรู <br />
หลากหลายมากมาย ฯลฯ<br />
- ยนและยืดเวลาของมนุษย (เวลาของธรรมชาติเทาเดิม) ทํ าใหทํ าการ<br />
ตางๆ ไดรวดเร็ว ประหยัดเวลา ออมเวลา ทํ าใหมนุษยมีเวลาวาง<br />
มากขึ้น<br />
โดยเฉพาะมนุษยบางพวกกลายเปนผู มีเวลาเหลือเฟอ<br />
เมื่อวาตามหลักการ<br />
เทคโนโลยีก็เปนปจจัย เมื่อมันเปนปจจัยของชีวิต<br />
ก็คือตองเกื้อหนุนการดํ<br />
าเนินชีวิตที่ดี<br />
และเกื้อหนุนระบบการพัฒนามนุษย<br />
ถามนุษยสัมพันธปฏิบัติตอเทคโนโลยีแลว ไมเกื้อหนุนการดํ<br />
าเนิน<br />
ชีวิตที่ดี<br />
ไมเกื้อหนุนการพัฒนาชีวิตของมนุษย<br />
ก็คือไมทํ าใหเทคโนโลยีเปน<br />
ปจจัยตามหลักการที่วานั้น<br />
และนั่นก็คือการสัมพันธปฏิบัติตอเทคโนโลยี<br />
อยางไมถูกตอง เปนการปฏิบัติที่ผิด<br />
และเมื่อพูดตามภาษาของเราในที่นี้<br />
ก็<br />
คือจะทํ าใหสูญเสียสุขภาวะ และปญหาเรื่องสุขภาวะจะตองเกิดขึ้นแนนอน<br />
พวกมนุษยที่ประสบปญหาที่วามาขางตนนั้น<br />
ไมรู ไมเขาใจหลักการนี้<br />
คือขาดปญญาพื้นฐานของชีวิต<br />
คนพวกนี้มองบทบาททุกขอของเทคโนโลยี<br />
ไปรวมไวที่การหาเสพหาสุขอยางเดียว<br />
คือพวกเขาคิดวา เรามีเทคโนโลยี<br />
เราใชไอที ขยายวิสัยแหงอินทรียใหเกงกาจ จะไดมีอํ านาจยิ่งใหญ<br />
จะได<br />
ทํ าไดหาสิ่งเสพบริโภคบํ<br />
ารุงบํ าเรอกันใหเต็มที่<br />
เราจะมีเครื่องอํ<br />
านวย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ความสะดวกสบายสะสมไวพรั่งพรอมทุกอยาง<br />
เราจะมีชองทางและได<br />
โอกาส แลวก็มีเวลาสนุกสนานบันเทิงหาความสุขกันอยางไมมีขีดจํ ากัด<br />
ขอที่ควรยํ้<br />
าไวในที่นี้<br />
คือเรื่องการปฏิบัติตอเวลา<br />
หรือการใชเวลา<br />
ขณะที่เวลาวางนั้นเปนกํ<br />
าไรกอนใหญที่มนุษยยุคไอทีไดมา<br />
แตเมื่อเขาใช<br />
ผิด คือปฏิบัติตอมันไมถูกตอง มนุษยเหลานั้นก็ใชมันทํ<br />
าลายชีวิตและ<br />
ทํ าลายสังคมของเขาเอง<br />
จะเห็นชัดวา เวลานี้<br />
คนสวนใหญในสังคมนี้<br />
ใชเวลาวางเที่ยวเสพ<br />
สิ่งบํ<br />
าเรอและกิจกรรมบันเทิง ประเภทมัวเมาบางมอมเมาบาง เพื่อหา<br />
ความสุข สะสมนิสัยที่มุงแตจะเสพและสนุกสนานกันตั้งแตยังเด็ก<br />
ตอง<br />
มีโทรศัพทมือถือ เพื่อเอาไวเปนสื่อเสพ<br />
ไมใชเพื่อสื่อสาร<br />
พูดคุยเรื่องราว<br />
แหงความหลงเพอ ตองมีมอเตอรไซคเอาไวไปซิ่งบาง<br />
ไวชวนกันไปหาที่<br />
ชุมนุมมั่วสุมบาง<br />
ตองมีตองใชคอมพิวเตอรเพื่อเลนเกมหรือแชตกัน<br />
คนไทยเองพูดกันมาก ฟงเหมือนวา คนไทยติดการพนันเปนนิสัย<br />
ฝงใจยิ่งกวาคนในสังคมอื่นใดทุกชาติพันธุ<br />
แตความจริง มนุษยทุกชาติก็<br />
ชอบเสี่ยงโชคเสี่ยงทายกันทั้งนั้น<br />
ถาคนไทยจะเปนชนพวกหนึ่งที่มีความ<br />
หนักเอียงหรือดิ่งไปในทางนี้<br />
ก็นาจะเปนเพราะขาดแรงดึงหรือตัวดุลดาน<br />
อื่นมาถวง<br />
เมื่อเอียงดิ่งไปขางเดียวบอยๆ<br />
นานเขา ก็สะสมความเคยชิน<br />
จนกลายเปนลักษณะเดนพิเศษที่สังเกตไดชัดเจน<br />
ตัวอยาง เชน หมู บานในดินแดนแถบหนึ่ง<br />
อยู กันสงบเรียบรอยจนชิน<br />
เวลาเห็นอะไรแปลกตา ชาวบานจํ านวนมากชอบทายหรือเลยตอไปเปน<br />
พนันกัน แมแตมีคนแปลกหนาตางถิ่นผานเขามา<br />
บางคนก็สนุกเอามา<br />
ทายกัน เชนวา สองคนที่เขามานั้น<br />
ทายซิวาเปนพี่นองกัน<br />
หรือเปนนาย<br />
กับลูกนอง และคนไหนเปนพี่<br />
หรือคนไหนเปนนาย ฯลฯ<br />
แตดินแดนอีกแถบหนึ่งมีภัยอันตรายมาก<br />
มีความหวาดระแวงสูง<br />
ในแตละหมู บาน เวลามีคนตางถิ่นเขามา<br />
คนจะตื่นตัวระวังภัย<br />
สอดสายตา<br />
/ 136<br />
๕๕
๕๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ดูหูฟงวาจะมีอะไรผิดหูผิดตา เตรียมสู<br />
(ไมมีใจจะมาคิดทายหรือพนัน)<br />
อีกถิ่นหนึ่ง<br />
คนใฝศึกษาหาความรู ที่หมูบานหนึ่งมีบางคนชอบ<br />
บันทึกเหตุการณ พอมีคนแปลกหนาตางถิ่นมา<br />
ก็จะตามเรื่องวามีอะไรที่<br />
เปนเรื่องราวนาบันทึกไวหรือไม<br />
นี่คือตัวอยางตัวดุลหรือแรงดึงดานอื่น<br />
เชน ภัยอันตราย เหตุบีบคั้น<br />
การสะสมนิสัยที่ตางกัน<br />
เปนตน ถาไมมีปจจัยภายนอกบีบคั้น<br />
แลวยัง<br />
ปลอยกันเรื่อยเป<br />
อย นิสัยเสี่ยงโชคเชิงพนัน<br />
(ไมใชเสี่ยงโชคแบบผจญภัย)<br />
ก็จะเดนแรง แมแตเรื่องที่ควรเปนประโยชนดานอื่น<br />
ก็มาจบที่กลายเปน<br />
เรื่องพนัน<br />
เชน กีฬาก็ไมมีคุณคาในฐานะของกีฬา แตกลายเปนรูปแบบ<br />
หนึ่งของการพนัน<br />
(เชน พนันบอลล) พาใหคนจมอยู ในภาวะจิตลุ มหลงมัว<br />
เมาแหงโมหะ และพาสังคมใหตกตํ่<br />
าเสื่อมโทรม<br />
ฉะนั้น<br />
ตองพยายามแกไข เชน หาหรือสรางแรงดึงดานอื่น<br />
ที่จะฝง<br />
เปนนิสัยฝายดีงาม ขึ้นมาดุลหรือนํ<br />
าออกไป ซึ่งตองทํ<br />
ากันไปเรื่อยๆ<br />
ในระยะ<br />
ยาว ไมใชปลอยเรื่อยเป<br />
อย หรือยอมรับความพายแพ<br />
แตที่เปนอยู<br />
แทนที่จะพยายามแกปญหา<br />
กลับทํ าการที่เหมือนบอก<br />
วายอมแพหรือหมดทางสู เลยหันไปสงเสริม ยิ่งยํ<br />
านิสัยพนันใหหนักแนนฝง<br />
้<br />
ลึกยิ่งขึ้น<br />
เรื่องที่ควรอยูแคชายขอบ<br />
กลายเปนมาไดที่เดนหรากลางสังคม<br />
เมื่อหาทางจัดใหมีเรื่องแจคพ็อตกันอยูเรื่อย<br />
คนก็รอหวังแจคพ็อต<br />
กันอยู นั่น<br />
ถาไมระวัง ปลอยใหเพลินกันดื่นไป<br />
ก็จะกลายเปนการเสริมยํ้<br />
า<br />
นิสัยรอโชคหลงลาภลอย คนหนึ่งคนเดียวหรือไมกี่คนไดผล<br />
แตคนสวน<br />
ใหญมากมายปลอยเวลาผานเปลา อาจจะเสียการศึกษาคนควาหรือเสีย<br />
การเสียงาน คนหนึ่งคนเดียวไดเงิน<br />
แตคนจํ านวนเปนแสนเปนลานเสีย<br />
นิสัย ไมกี่บุคคลไดผลประโยชน<br />
แตสังคมเสียคุณภาพอยางยากจะกู<br />
นอกจากปญหาการมีเวลาวางมากมายที่ใชไมถูกตองแลว<br />
การ<br />
เสพเทคโนโลยี โดยเฉพาะไอที แบบหลงใหลติดเพลิน ยังทํ าใหระบบการ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๕๗<br />
บริหารชีวิตของคนผูเจริญเหลานี้แปรปรวนวิปริตไปหมด<br />
แมแตการ<br />
บริหารรางกายก็เรรวน เรียกวาเสียดุลแหงอิริยาบถ เริ่มเสียสุขภาวะตั้ง<br />
แตดานนอกของชีวิต เริ่มดวยในชีวิตประจํ<br />
าวัน<br />
ไมใชแคนั้น<br />
แมวาเทคโนโลยีจะเปนสิ่งแวดลอมสํ<br />
าคัญที่เราตอง<br />
สัมพันธ แตเรามีสิ่งแวดลอมสํ<br />
าคัญขั้นพื้นฐานยิ่งกวานั้น<br />
ที่จะตอง<br />
สัมพันธใหระบบการดํ าเนินชีวิตของเราเปนไปดวยดี นั่นก็คือสิ่งแวดลอม<br />
ทางธรรมชาติ และสิ่งแวดลอมทางสังคม<br />
เมื่อคนเหลานี้ติดเพลินใชเวลา<br />
อยูกับการเสพเทคโนโลยีเกินควร ก็เกิดภาวะเสียดุลแหงระบบความ<br />
สัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ทั้งทางธรรมชาติ<br />
และทางสังคม<br />
เฉพาะอยางยิ่ง<br />
ในดานสิ่งแวดลอมทางสังคมนั้น<br />
เวลานี้ไดยินกันชัด<br />
วา มีอาการกระเทือนอยางหนักที่สวนแกนกลางของสังคมนั้นทีเดียว<br />
คือ<br />
ความสัมพันธในครอบครัว นี่ก็คือการที่สังคมเสียศูนย<br />
ซึ่งจะทํ<br />
าใหงานเสริม<br />
สรางสุขภาวะสั่นคลอนไปทั้งระบบ<br />
ถาแกไขไมทัน จะตั้งหลักใหมั่นไดยาก<br />
แลวก็มาถึงขอที่สํ<br />
าคัญ คือ คนผูเจริญอยางวาทั้งหลาย<br />
พากันใช<br />
โอกาสที่ตนไดมาจากไอทีนั้นทอดตัวเองลงไป<br />
เพื่อใหเปนโอกาสของนัก<br />
แสวงหาผลประโยชน ที่จะไดจัดการเอาตัวเขาไปเปนเหยื่อ<br />
อยางนอยเขาก็เอาเวลาและโอกาสที่เขาไดจากไอที<br />
ไปมอบใหแก<br />
มารและปวงความชั่วราย<br />
ที่จะใชเวลาและโอกาสนั้นจับตัวเขาหมกไวให<br />
จมอยู ในหลุมแหงความประมาท สูญเสียโอกาสที่จะพัฒนาชีวิต<br />
และแม<br />
แตคุณภาพชีวิต รวมทั้งสุขภาวะที่มีอยูกอนบาง<br />
ก็จะถูกทํ าลายหมดไป<br />
การใชเวลานั้น<br />
เปนองคประกอบสํ าคัญของอารยธรรมมนุษย<br />
เพราะเปนที่มาของการสรางสรรคพัฒนาสิ่งดีเลิศประเสริฐทั้งหลาย<br />
เมื่ออารยธรรมเจริญขึ้น<br />
มนุษยก็ควรจะยิ่งมีความสามารถในการ<br />
ใชเวลาไดดีมากขึ้น<br />
แตถามนุษยลุมหลงโงเขลาปฏิบัติผิดตอสิ่งแวดลอม<br />
กาลเวลาที่กาวไป<br />
ก็กลายเปนที่สะสมปจจัยแหงความวิบัติเสื่อมถอย
๕๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
อารยธรรมก็จะพลัดลงไปในวิถีแหงหายนะ<br />
ในทางที่ถูก<br />
ก็ตองใชทั้งเทคโนโลยี<br />
และเวลาที่เปนกํ<br />
าไรจาก<br />
เทคโนโลยีนั้น<br />
อันรวมอยูในคํ<br />
าวาสิ่งแวดลอม<br />
ใหเปนปจจัยเกื้อหนุนสิ่งที่<br />
เรียกวาองครวมแหงการดํ าเนินชีวิตที่ดี<br />
และเกื้อหนุนระบบการพัฒนา<br />
ชีวิตของมนุษย ถาปฏิบัติถูกตองอยางนี้<br />
สุขภาวะก็สํ าเร็จมาดวยเองโดย<br />
อัตโนมัติ เพราะธรรมดาของธรรมชาติยอมเปนของมันอยางนั้นเอง<br />
แตปญหาอยู ที่วา<br />
มนุษยในโลกที่ถือตัววาพัฒนาแลว<br />
มีอารยธรรม<br />
สูงในยุคนี้<br />
มีวิถีชีวิตที่เลื่อนลอย<br />
มักเปนอยู เพียงดวยแนวคิดความเชื่อที่ยึด<br />
ถือตามๆ กันมา เลื่อนไหลไปแคตามกระแสความรู<br />
สึกนึกเห็น นอยนักที่จะ<br />
ใสใจแสวงความรู ที่ถองแทและคิดใหชัดเจน<br />
ขาดปญญาพื้นฐานของชีวิต<br />
ที่จะรู<br />
จักเปนอยูใหถูกตอง<br />
ไมรูเขาใจระบบการดํ<br />
าเนินชีวิตของตน และไม<br />
ตระหนักถึงการที่จะพัฒนาการดํ<br />
าเนินชีวิตนั้นใหเปนอยูดวยดี<br />
เขาจึงวาย<br />
เวียนอยู ในวังวนแหงปญหาของชีวิตและสังคม ที่เราเรียกวาไมมีสุขภาวะ<br />
เพราะฉะนั้นจึงตองมาพูดเรื่องนี้ใหรูเขาใจกัน<br />
ใหเปนความ<br />
ตระหนักรูขึ้นมา<br />
แลวก็ตองใหมีการพัฒนาคนใหถูกตองตามหลักความ<br />
เปนจริงของธรรมชาติของชีวิตนั้น<br />
ใหเขามีชีวิตที่เปนอยูถูกตองหรือ<br />
ดํ าเนินชีวิตไดอยางดี ดังที่เรียกวาใหเปนองครวมการดํ<br />
าเนินชีวิตที่ดี<br />
ดวยระบบการพัฒนาคนที่ถูกตองนั้น<br />
เปนอันกลับเขามาที่หลักกันอีก<br />
ทวนความวา การพัฒนาคนที่จะ<br />
บรรลุผล ใหเขามีสุขภาวะนั้น<br />
ก็คือ การที่องครวมของการดํ<br />
าเนินชีวิตทั้ง<br />
๓ แดน กาวเกื้อกันไปโดยอิงอาศัยเปนปจจัยแกกันอยางลงตัวพอเหมาะ<br />
พอดีสอดคลองไปดวยกัน โดยมีอินทรียและกายวาจาสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ทั้งทางกายภาพและทางสังคมอยางถูกตองไดผล<br />
เพราะมีจิตใจที่ไดพัฒนา<br />
ใหมีคุณภาพพรอมทั้งสมรรถภาพและสุขภาพอยางดี<br />
เนื่องจากมีปญญาที่<br />
รูเขาใจความตองการของชีวิตทามกลางความเปนจริงของโลก<br />
เปนตน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
คนตองมีความรู เขาใจวาอะไรเปนอะไร ทํ าอะไรอยางไรจะถูกตอง<br />
ไดผลดี ชีวิตจึงจะดํ าเนินไปได ดังนั้นจึงตองมีปญญามานํ<br />
า ตั้งตนแตรู<br />
เขาใจไดขอมูลวา ในการที่จะปฏิบัติตอสิ่งแวดลอมในเรื่องนี้<br />
เชนในการ<br />
ที่จะกินนี่<br />
เรากินอาหารอะไรจึงจะสนองความตองการของชีวิตไดอยาง<br />
ถูกตอง หรือโดยตระหนักรูอยูวาอาหารตรงหนาที่เราจะกินนี่<br />
จะกินอยาง<br />
ไรจึงจะไมมีโทษแตไดประโยชนที่สุด<br />
เมื่อปญญารูเขาใจถูกตองแลว<br />
ถาจิตใจไดมีการพัฒนาไวดี ก็จะมี<br />
ความตองการสอดคลองตามที่ปญญาแจงชัดมา<br />
แลวก็จะนํ าพาพฤติ<br />
กรรมใหปฏิบัติตอสิ่งแวดลอมเชนกินอยางถูกตองดวย<br />
ทํ าใหจิตใจเกิด<br />
ความพึงพอใจที่ไดสนองความตองการดวยความรูเขาใจมองเห็นผลดี<br />
นี่<br />
แหละก็ดํ าเนินไปดวยกันทั้งขบวน<br />
โดยมีองครวมครบทั้งสามแดน<br />
ไมใชแคเจออรอยก็กินไปๆ ไมเคยฝกตัวไว ชีวิตดํ าเนินไปแบบ<br />
ขาดๆ แหวงๆ ไมเต็มระบบ ไมครบองครวม<br />
ตกลงวา นี้คือระบบแหงองครวม<br />
ที่ประกอบดวยองครวมที่มีความ<br />
สัมพันธกันอยางถูกตอง มาเปนปจจัยเกื้อหนุนซึ่งกันและกัน<br />
ใหชีวิตเปน<br />
อยูดํ<br />
าเนินไปไดดีงามยิ่งขึ้น<br />
มีการพัฒนาในทิศทางที่ดียิ่งขึ้น<br />
ไมใชวา อยูกันมาก็อยูกันไป<br />
บอกวาอยูในประเทศพัฒนา<br />
แตการ<br />
ดํ าเนินชีวิตไมไดพัฒนาเลย<br />
สุขภาวะจะมีจริงได ตองพลิกผันอารยธรรมสูทิศทางใหม<br />
ไปๆ มาๆ ไมรู วาคํ าวาพัฒนานี้<br />
เราจะใหความหมายวาอยางไร<br />
ตอนนี้ตองพูดวาคํ<br />
าวาพัฒนานั้นมีปญหาแลวละ<br />
เพราะวามันคับแคบ<br />
มันมีความหมายซึ่งสนองแนวคิดที่ผิด<br />
เมื่อมีแนวคิดที่ไมถูกตอง<br />
เราก็ใหความหมายของคํ าวาพัฒนาผิด<br />
พลาดดวย เปนเรื่องธรรมดา<br />
เพราะวาเมื่อความรูความเขาใจในเรื่องชีวิต<br />
/ 136<br />
๕๙
๖๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
เรื่องความเปนอยู<br />
เรื่องความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมไมมีหรือไมถูกตอง<br />
ก็<br />
พาใหเกิดความผิดพลาดทางปญญา เรียกวามิจฉาทิฐิ เปนทิฐิผิด คือ<br />
เห็นผิด แนวคิดผิด เชื่อผิด<br />
เขาใจผิด<br />
เมื่อทิฐิผิด<br />
ก็คิดผิด พอคิดผิด ก็พูดผิด ก็ทํ าผิด ปฏิบัติตอสิ่งแวด<br />
ลอมผิด ก็เปนอยูผิด<br />
ดํ าเนินชีวิตผิด ไปหมดทั้งกระบวนเลย<br />
เหมือนอยางปจจุบันนี้<br />
ถามองในระดับใหญกวางครอบคลุม เอาทั้ง<br />
อารยธรรม ก็ถือวามนุษยชาวตะวันตกในสายอารยธรรมนี้มีปญญายิ่งใหญ<br />
ตั้งแตยุคกรีก<br />
ก็มีนักปรัชญาเดนสํ าคัญ ทั้งโสเคตรีส<br />
เพลโต<br />
อริสโตเติล ซึ่งมีชื่อเสียงยิ่งใหญเหลือเกิน<br />
แตมาตอนนี้ก็เกิดปญหาใน<br />
เรื่องสํ<br />
าคัญ ที่ชาวตะวันตกดวยกันเองตํ<br />
าหนิติเตียนหรือไมก็โอดครวญวา<br />
ภัยพิบัติรายที่สุดของโลก<br />
ที่ประจักษในปจจุบันนี้<br />
มีตนตอมาจากรากฐาน<br />
แนวคิดที่ผิด<br />
ในอารยธรรมที่ยิ่งใหญของตนนั่นเอง<br />
ภัยพิบัติอะไร ก็ปญหาสิ่งแวดลอมเสื่อมโทรมนี่ไง<br />
แลวแนวคิดตน<br />
ตออะไร ก็แนวคิดที่มุงจะพิชิตธรรมชาติใชไหม<br />
แนวคิดพิชิตธรรมชาตินี้<br />
เปนแนวคิดใหญอันหนึ่ง<br />
ที่เรียกวาเปนทิฐิ<br />
พื้นฐานของอารยธรรมตะวันตก<br />
โสเครตีสก็คิดอยางนี้<br />
เพลโตก็คิดอยาง<br />
นี้<br />
อริสโตเติลก็คิดอยางนี้<br />
บางทีเขาเถียงกันวาอริสโตเติลคิดในแนวตาง<br />
ออกไปหนอย แตโดยรวมแลวก็เปนการคิดที่จะพิชิตธรรมชาตินั้นแหละ<br />
ที่เขาเรียกวา<br />
conquest of nature คือจะเอาชนะธรรมชาติ หรือตองการ<br />
เปนนายธรรมชาติ (mastery of nature) หรือครอบครองธรรมชาติ<br />
(dominion over nature)<br />
อารยธรรมตะวันตกตลอดมาสองพันกวาป มีจุดมุ งหมายอันนี้ทั้ง<br />
หมด คือตองการเอาชนะธรรมชาติ และถือวาเปนรากฐานใหญแหงความ<br />
เจริญปจจุบัน โดยเฉพาะความกาวหนาทางวิทยาศาสตรและเทคโนโลยี<br />
เขาถือกันมา และภูมิใจกันมานักหนา จนกระทั่งถึงทศวรรษ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
1960s ในอเมริกาจึงเกิดอาการตื่นตระหนกตอปญหาธรรมชาติแวดลอม<br />
ที่กํ<br />
าลังจะวิบัติ แลวก็ตื่นตัวหาทางแกไข<br />
มีการเคลื่อนไหวตางๆ<br />
รัฐก็ตั้ง<br />
หนวยงานดานสิ่งแวดลอมขึ้นมา<br />
ความตื่นตัวกวางออกไปถึงระดับโลก<br />
ดังที่ใน<br />
ในป 1972 ก็เกิด<br />
การประชุมสุดยอดของโลกในดานสิ่งแวดลอมขึ้น<br />
เรียกวา Earth<br />
Summit ครั้งแรก<br />
นี้คือผลลัพธของแนวคิดพิชิตธรรมชาติ<br />
เปนการสัมพันธกับสิ่งแวด<br />
ลอมที่ผิดพลาดในระดับที่ใหญที่สุด<br />
คือในระดับโลกเลย เพราะมนุษยที่<br />
คิดจะพิชิตธรรมชาติ ออกไปจัดการกับธรรมชาติตามใจชอบ เพื่อเอา<br />
ธรรมชาติมารับใชบํ ารุงบํ าเรอปรนเปรอตน ก็ทํ าใหสิ่งแวดลอมทั้งหลาย<br />
เสื่อมโทรม<br />
ทั้งทรัพยากรธรรมชาติรอยหรอ<br />
ทั้งเกิดมลภาวะตางๆ<br />
แลวก็<br />
ยอนมาเกิดภัยอันตรายตอชีวิตของมนุษยเอง<br />
เมื่อมนุษยมองเห็นภัยอันนี้วารายแรงนัก<br />
และคิดวาถาขืนทํ าอยาง<br />
เดิมตอไป ตัวเองจะอยูไมได ก็เลยตองคิดจัดวางจริยธรรมที่เรียกวา<br />
Environmental Ethics ขึ้นมา<br />
บอกวาใหคนมี restraint ยอมยับยั้งชั่งใจ<br />
ควบคุมตัวเองในความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ในการที่จะไมบริโภคเกิน<br />
ควร ที่จะไมเอาเปรียบธรรมชาติเกินไป<br />
ไมทํ าลายธรรมชาติมากนัก นี้<br />
เปนตัวอยางบทเรียนจากการสัมพันธกับสิ่งแวดลอมที่ผิด<br />
นอกเหนือจากแนวคิดใหญที่ผิดนี้<br />
ขอใหไปศึกษาดูเถอะ แนวคิด<br />
ยอยก็อันเดียวกัน แมกระทั่งการที่คนแตละคนจะสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ก็อยูใตแนวคิดอันนี้<br />
คือฝรั่งมองตัวคนแยกตางหากจากธรรมชาติ<br />
และ<br />
มองธรรมชาติวาเปนปฏิปกษกับคนมาโดยตลอด รวมเปน ๓ ขั้น<br />
๑. มนุษยแยกตางหากจากธรรมชาติ<br />
๒. มนุษยกับธรรมชาติเปนปฏิปกษกัน<br />
๓. มนุษยจะตองเอาชนะธรรมชาติ<br />
/ 136<br />
๖๑
๖๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
นี้คือแนวคิดหลักที่เปนมา<br />
ในการที่มนุษยจะสัมพันธกับธรรมชาติ<br />
เอาชนะธรรมชาติ ก็คือเปนปฏิปกษกับมัน<br />
ทํ าไมฉันจะตองเอาชนะมันใหได ก็เพราะวาธรรมชาตินี้แหละมัน<br />
ทํ าใหฉันไมมีความสุข ฉันทํ าอะไรไมไดตามชอบใจ ตองคอยตามใจมัน<br />
ไมวาจะทํ าไร ไถนา จะปลูกขาว จะจับปลา จะทํ ามาหากินอะไร ก็ตอง<br />
คอยฝนฟาฤดูกาล หนํ าซํ า ้ ปลูกขาว ทํ าสวนทํ าไรไวงอกงามดี อยูๆ<br />
นํ้<br />
า<br />
เหนือนํ้<br />
าปามาทวมเสียหายหมด อยางนี้ฉันแย<br />
แตที่ฝรั่งเจอทุกป<br />
ฤดู<br />
หนาวมาถึง เปนเดือดรอนใหญทุกที เพราะฉะนั้นฉันจะตองหาทางเอา<br />
ชนะ หาทางใหธรรมชาติอยูใตบงการของฉัน<br />
ความมุงหมายใฝฝนนี้<br />
เปนแรงขับดันใหชาวตะวันตกมีเจตจํ านง<br />
มุ งมั่นที่จะเอาชนะธรรมชาติ<br />
และทํ าใหพัฒนาวิทยาศาสตรขึ้น<br />
เพื่อลวงรู<br />
ลวงเอาความลับของธรรมชาตินั้น<br />
มาใชจัดการกับมัน<br />
มีขํ าๆ แทรกนิดหนึ่งวา<br />
วิทยาศาสตรที่ไดพัฒนากันมาอยางนี้<br />
เมื่อ<br />
ยังไมประยุกตใช ก็เรียกวา วิทยาศาสตรบริสุทธิ์<br />
คือ pure science<br />
ก็เลยมีนักวิทยาศาสตรพวกหนึ่งบอกวา<br />
วิทยาศาสตรอะไรบริสุทธิ์<br />
pure science ที่ไหน<br />
มันไม pure จริงหรอก เหมือนกับเปนการเลนคํ า<br />
กัน วาวิทยาศาสตรนั้นไมบริสุทธิ์จริง<br />
มันไม pure เพราะมีเจตจํ านงที่ไม<br />
บริสุทธิ์อยูเบื้องหลัง<br />
คือเจตนาที่จะเอาชนะธรรมชาติ<br />
หรือเพราะแนวคิด<br />
ที่จะพิชิตธรรมชาตินี้แหละ<br />
ความรูวิทยาศาสตรจึงไดเจริญขึ้นมา<br />
[นอกจากนี้<br />
ในยุคอุตสาหกรรมกาวไกล ที่พยายามใชความรู<br />
วิทยาศาสตรเอาชนะธรรมชาติกันมากขึ้นๆ<br />
ก็มีเรื่องฉาวโฉบอยครั้งวามี<br />
การวิจัยทางวิทยาศาสตรเพื่อรับใชธุรกิจอุตสาหกรรม<br />
โดยมีเรื่องเงินๆ<br />
ทองๆ เขามาเปนแรงจูงใจ ถึงกับมีผูเขียนหนังสือขึ้นมา<br />
(โดย Robert<br />
Bell) ตั้งชื่อวา<br />
impure science]<br />
ในเรื่องนี้<br />
ฝรั่งเขามองอยางไร<br />
ฝรั่งมองวา<br />
วิทยาศาสตรเจริญขึ้นก็
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
คือการที่มนุษยไดลวงรูความลับของธรรมชาติ<br />
แลวจะไดจัดการธรรม<br />
ชาติไดตามความประสงคของมนุษย ทีนี้<br />
การจัดการธรรมชาตินั้น<br />
จะทํ า<br />
ไดอยางไร เราก็ใชเทคโนโลยีจัดการ จึงตองพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นมา<br />
สมัยกอนโนน มนุษยมีเทคโนโลยีที่ไมตองอาศัยวิทยาศาสตร<br />
แต<br />
พอมีวิทยาศาสตรมาชวย เทคโนโลยีก็พัฒนากันใหญ กาวหนามากมาย<br />
พอไดเทคโนโลยีที่กาวหนามา<br />
ก็เอาไปพัฒนาอุตสาหกรรม พออุตสาห-<br />
กรรมพัฒนาขึ้นมา<br />
อุตสาหกรรมก็เอาธรรมชาติมาเปนวัตถุดิบรวมทั้ง<br />
เปนเชื้อเพลิง<br />
แลวก็ผลิตโภคภัณฑขึ้น<br />
เพื่อเอามาสนองความตองการ<br />
ของมนุษยใหเกิดมีสิ่งเสพบริโภคพรั่งพรอม<br />
เรียกวาความเจริญในดานที่<br />
เรียกวาเศรษฐกิจ ดูสั้นๆ<br />
วา เศรษฐกิจพัฒนาขึ้นมาดวยอุตสาหกรรม<br />
เมื่อมองดูตลอดสายจะเห็นวา<br />
ที่วามานี้คือขบวนการพัฒนาของ<br />
อารยธรรมปจจุบัน ไดแก วิทยาศาสตร เทคโนโลยี อุตสาหกรรม<br />
เศรษฐกิจ จนกระทั่งมาเปนสังคมบริโภคนิยมในปจจุบัน<br />
ที่หวังความ<br />
สุขจากการเสพบริโภค<br />
แลวไปๆ มาๆ เมื่อที่ไหนมั่งคั่งพรั่งพรอมสะดวกสบายหนักเขา<br />
พอ<br />
ถึงจุดหนึ่งก็ชักจะหืนเอียน<br />
ไมเห็นจะมีความสุขสมใจหมาย แตกลายเปน<br />
อืดเฟอบาง เบื่อหนายบาง<br />
เกิดปญหาใหมๆ ที่นักหนาบาง<br />
ก็เกิดความ<br />
ผิดหวัง แถมมีปญหาใหมๆ พะรุงพะรังที่จะตองแกไข<br />
แทบจะตองมาคิด<br />
ตั้งตนกันใหม<br />
ทั้งหมดนี้ทํ<br />
าใหเราตองหวนกลับมาพิจารณาวา แนวคิดที่เปนฐาน<br />
ของอารยธรรมปจจุบันนี้<br />
เปนทิฐิที่ผิดตั้งแตวงรอบใหญเลยทีเดียว<br />
เมื่อ<br />
วงรอบใหญผิด วงรอบเล็กในชีวิตของแตละคนก็ผิดไปตาม เพราะแตละ<br />
คน โดยไมรูตัว<br />
ก็มองธรรมชาติเปนปฏิปกษ ที่เราจะตองไปตอสู<br />
ปราบ<br />
ปราม เอาชนะ<br />
คนมองธรรมชาติเปนของนอกตัว ทั้งที่แทจริงนั้น<br />
ชีวิตเราเองก็เปน<br />
/ 136<br />
๖๓
๖๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ธรรมชาติ เราเปนสวนหนึ่งของธรรมชาติ<br />
(ที่จริงเปนธรรมชาติสวนหนึ่ง)<br />
ชีวิตเราเปนธรรมชาติอยูในตัว<br />
เมื่อเรื่องเปนอยางนี้<br />
มนุษยก็จึงตองเปลี่ยนแนวคิดใหม<br />
ตองมอง<br />
ทุกอยางใหมหมด ตองเปลี่ยนทาทีตอธรรมชาติ<br />
ตอสิ่งแวดลอม<br />
และตอ<br />
ชีวิตของตัวเองหมดเลย<br />
ในขั้นพื้นฐานก็ตองไมมีการแบงแยก<br />
ไมมองมนุษยกับธรรมชาติ<br />
แยกจากกัน เพราะวามนุษยนี้คือชีวิตที่เปนธรรมชาติสวนหนึ่ง<br />
มนุษย<br />
เปนธรรมชาติอยูในตัวเอง ตอนนี้เราตองมองประสานใหหมด<br />
พอมอง<br />
ประสานกัน ก็มีทางที่จะเกื้อกูลและอยูอยางกลมกลืนซึ่งกันและกัน<br />
การมีแนวคิดใหม ก็คืองานของปญญาที่รูความจริง<br />
และคิดถูก<br />
ทาง ใหทิฐิถูกตอง เปนสัมมาทิฐิ พอแนวคิดถูกตอง ก็คิดถูก ตั้งใจถูก<br />
วา<br />
จะไมมุงเอาชนะธรรมชาติแลว แตมีเจตจํ านงที่จะใชปญญานั้น<br />
เอา<br />
ความรูเขาใจมาจัดสรรระบบความสัมพันธในธรรมชาติใหดี ใหหันมา<br />
ประสานเกื้อกูลซึ่งกันและกัน<br />
จากนั้น<br />
พฤติกรรมในการสัมพันธกับธรรม<br />
ชาติปฏิบัติตอสิ่งแวดลอม<br />
ก็เปนไปตามในทางที่จะประสานเกื้อกูล<br />
เปนอันวา เมื่อแนวคิดถูกตองแลว<br />
ระบบการดํ าเนินชีวิตของเราก็<br />
กาวไปทางที่จะถูกตองดวย<br />
ดังนั้น<br />
การปรับแกจึงตองทํ าตั้งแตวงเล็กใน<br />
แตละบุคคลไปจนกระทั่งถึงแนวคิดใหญและระบบการทั้งมวลที่เรียกวา<br />
อารยธรรมทั้งหมด<br />
ใหประสานเปนอันเดียวกัน นี้เปนการพูดแบบครอบ<br />
คลุม แตรวมความมันก็ตองเปนอยางนี้<br />
ไมมีทางเลี่ยง<br />
พอถึงขั้นนี้<br />
ที่เราบอกวาจะเชื่อมประสานมนุษยกับธรรมชาติให<br />
เปนอันเดียวกัน ใหชีวิตของเราอยูกันไดดวยดีกับธรรมชาติ<br />
และจะตอง<br />
เกื้อกูลกันกับธรรมชาติ<br />
ก็คือมาคลายกับนักคิดฝรั่งสมัยใหมบางคน<br />
ที่<br />
บอกวาจะใหอยูรวมกันโดยสันติ<br />
คือ peaceful coexistence<br />
กอนหนานี้มีคํ<br />
าวา peaceful coexistence สํ าหรับใชกับมนุษย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ดวยกัน เรียกวาเปนการอยูรวมกันอยางสันติกับเพื่อนมนุษย<br />
แตตอนนี้<br />
เขาจะใหมี peaceful coexistence กับธรรมชาติดวย ความจริง ถามอง<br />
ใหชัด ก็ไมจํ าเปนตองมี เพราะคํ าวา peaceful coexistence นั้นฟองวา<br />
ยังมีแนวคิดที่มองมนุษยกับธรรมชาติเปนคนละพวก<br />
แตกอนนั้นเปนศัตรู<br />
กัน แลวตอนนี้ก็จะมาอยูรวมกันโดยสันติ<br />
นี่คือรองรอยความคิดเดิมของ<br />
ฝรั่ง<br />
และเปนตัวอยางหนึ่งในการหาทางออกของเขา<br />
แทจริงแลว มนุษยกับธรรมชาตินั้นเปนอันเดียวกันเลย<br />
ซึ่งใน<br />
ความเปนจริง หรือโดยสภาวะ มันเปนอันเดียวกันอยูแลว<br />
ทํ าอยางไรจะ<br />
ใหชีวิตเราอยูในธรรมชาติอยางประสานกลมกลืนและเกื้อกูลกัน<br />
เราก็<br />
อยาไปแยกออกมาเปนปฏิปกษกันเสีย ก็เทานั้นเอง<br />
แตทั้งนี้ก็ไมใชวามันจะอยูกันดีไดเฉยๆ<br />
เราก็ตองมีปญญาที่จะจัด<br />
สรรเหตุปจจัยใหระบบมันดํ าเนินไปในทางที่จะเอื้อเกื้อกูลกัน<br />
เปนแตวา<br />
ในจิตใจจะตองมีเจตจํ านงที่มุงในทางที่จะเกื้อกูลอยางนั้น<br />
อันนี้เปนแนวคิดดั้งเดิมเกาแก<br />
ที่จะตองยกขึ้นมายํ้<br />
าเนนกันใหม<br />
และจะตองทํ าใหได เพราะวาการสัมพันธปฏิบัติตอธรรมชาติใหถูกตองนี้<br />
เปนองคประกอบขั้นพื้นฐานของสุขภาวะเลยทีเดียว<br />
ยิ่งในเมื่อปญหาสิ่งแวดลอมเปนปมติดตันใหญของโลกในปจจุบัน<br />
เราจะตองชวยหาทางทํ าใหลงตัวกับปญหาสิ่งแวดลอมนั้นใหได<br />
ตองจับ<br />
เงื่อนที่จะแกไขใหถึงขั้นปญญา<br />
ใหถึงแนวคิด ตองใหตระหนักความจริง<br />
วา มนุษยเราก็เปนชีวิต ชีวิตเราก็เปนธรรมชาติ<br />
ตอนนี้ในดานแนวคิด<br />
เขายอมใหเราประสานมนุษยกับธรรมชาติ<br />
ไดแลว ยอมรับกันแลววาชีวิตกับธรรมชาติเปนอันเดียวกัน ทีนี้ก็อยู<br />
ที่วา<br />
จะไปจัดการในทางปฏิบัติใหลุจุดหมายกันไดอยางไร<br />
/ 136<br />
๖๕
๖๖<br />
สุขภาวะจะสํ าเร็จได ตองแกไขใหหมดความขัดแยงในระบบ<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
เมื่อกี้เราพูดถึงชีวิตที่เปนองครวมซึ่งมีสามแดน<br />
ตอนนี้เราจะกาว<br />
กวางออกไปอีกขอบเขตหนึ่ง<br />
คือมองวา องครวมแหงชีวิตนี้<br />
เปนองครวม<br />
ในองครวมที่ใหญขึ้นไปอีก<br />
องครวมใหญนี้มีองครวมอะไรบาง<br />
ก็มีมนุษย ธรรมชาติ (หรือพูด<br />
ดวยภาษาสมัยใหมวา สิ่งแวดลอม)<br />
และสังคม<br />
ปญหาของปจจุบันก็คือ มนุษย สิ่งแวดลอม<br />
และสังคม ทั้งที่รวม<br />
อยู ในระบบสัมพันธใหญอันเดียวกัน แตไมประสานกลมกลืนกัน กลับจะ<br />
มักขัดแยงกัน ทํ าอยางไรจะใหอยู กันไดดวยดีอยางประสานกลมกลืน ถา<br />
องครวมสามอยางนี้อยูกันดวยดีได<br />
ก็หมายถึงการที่มนุษยจะสามารถมี<br />
สุขภาวะดวย แตถาสามอยางนี้ยังขัดกัน<br />
สุขภาวะของมนุษยก็ยังมาไมได<br />
ในการดํ าเนินชีวิตสามแดนที่วาขางตน<br />
เราพูดไปแลววา ในแดน<br />
แรกตองใหชีวิตมีความสัมพันธที่ดีเกื้อกูลกันกับสิ่งแวดลอม<br />
และกับ<br />
สังคม ถึงตอนนี้เราบอกวายังไมจบเทานั้น<br />
จะตองใหปจเจกชนกับสังคม<br />
และสิ่งแวดลอมกับสังคม<br />
กลมกลืนเกื้อกูลกันดวย<br />
นี่ก็คือการพูดขยายออกไปวา<br />
ตองทํ าให ทั้งชีวิตมนุษย<br />
และสิ่ง<br />
แวดลอม และสังคม ประสานเกื้อกูลกลมกลืนกันทั้งหมด<br />
แตปญหาก็คือ เวลานี้ทั้งสามอยางนั้นขัดกันทั้งหมด<br />
เริ่มตั้งแตเรื่อง<br />
มนุษยกับสิ่งแวดลอมขัดกัน<br />
อันนี้ก็ชัดเจนอยางยิ่ง<br />
ก็คือปญหาเรื่องมนุษย<br />
มุ งเอาชนะธรรมชาติ จนกระทั่งสิ่งแวดลอมเสื่อมโทรมไปทั่ว<br />
ดังที่พูดไปแลว<br />
ตอจากนั้น<br />
มนุษยแตละบุคคลหรือปจเจกชน กับสังคม ก็ขัดแยง<br />
กัน มนุษยแตละคนเห็นแกตัว เมื่อเขาเที่ยวแสวงหาความสุข<br />
ก็แกงแยง<br />
ชวงชิงกัน เบียดเบียนกัน สังคมก็เดือดรอน<br />
ในทางกลับกัน ถาจะใหสังคมอยูดี<br />
บุคคลก็ตองยับยั้งการที่จะได<br />
จะเอา ตองยอมเสียสละเพื่อสังคม<br />
ถาเสียสละเพื่อสังคมก็คือตัวฉันแย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ฉันก็ตองยอมทุกขหรือยอมทน ไมไดความสุข<br />
นี่ก็คือความขัดแยงในทางผลประโยชนระหวางสังคมกับปจเจก<br />
บุคคล คือ ถาจะใหสังคมได ปจเจกบุคคลก็ตองเสีย ถาจะใหปจเจกชน<br />
ได สังคมก็ตองเสีย<br />
สภาพขัดแยงกันอยางนี้<br />
ปจจุบันก็เปนอยูแลว<br />
ขัดกันถึงในระดับ<br />
ลัทธินิยมอุดมการณ จนจะกลายเปนเพียงทางเลือกวาตองเอาอยางใด<br />
อยางหนึ่ง<br />
ทํ าใหมาเถียงกันวา เราจะเอาปจเจกชนเปนหลัก ใหปจเจก<br />
ชนไดตามชอบใจ โดยยอมปลอยสังคมจะเปนอยางไรก็เปนไป หรือจะ<br />
เอาสังคมเปนหลัก ใหปจเจกบุคคลยอมอุทิศตนเสียสละใหแกสังคม<br />
อันนี้ก็ทํ<br />
านองเดียวกับความขัดแยงในความสัมพันธระหวางสังคม<br />
มนุษยกับธรรมชาติ คือ ถาจะใหธรรมชาติอยูดี<br />
มนุษยก็ตองยอมที่จะไม<br />
ไดกินไมไดเสพตามชอบใจ ตองยอมอดยอมลดความสุข หรือแมแตยอม<br />
ทนทุกข แตถาจะใหมนุษยสุขสมหมาย ก็ตองยอมปลอยใหสิ่งแวดลอม<br />
เสื่อมโทรม<br />
สภาพขัดแยงอยางนี้แหละ<br />
ที่ทํ<br />
าใหมนุษยยุคปจจุบันตองประสบ<br />
ปญหามากมาย และทํ าทาจะอับจน หาทางออกไมได เพราะเหตุวา ตัว<br />
เองนั้นหนักไปขางที่จะเอาตัวสุขสบายเปนหลัก<br />
โดยไมตองคํ านึงถึง<br />
สังคมและสิ่งแวดลอม<br />
แตถาเอาแบบนั้น<br />
ก็จะเจอปมตีกลับที่กลืนไมเขาคายไมออก<br />
คือ<br />
ถาปลอยปละละเลยสังคม ไมจัดการควบคุมคนใหสังคมสงบเรียบรอยอยู ดี<br />
พอสังคมวุนวาย<br />
ตัวบุคคลเองก็ตองเดือดรอนดวย หรือถาจะไมพิทักษ<br />
สิ่งแวดลอม<br />
พอมันเสื่อมโทรมไป<br />
คนเองก็อยูดีไมได<br />
ตองเดือดรอนอีก<br />
ดวยเหตุที่วานั้น<br />
มนุษยสมัยนี้จึงตองจํ<br />
าใจจํ ายอมทํ าตามขอ<br />
กํ าหนดของจริยธรรมทางสิ่งแวดลอมขอที่เรียกวา<br />
restraint คือการ<br />
ยับยั้งชั่งใจ<br />
ควบคุมตัวเอง โดยเฉพาะยับยั้งการเสพบริโภค<br />
ซึ่งเทากับ<br />
/ 136<br />
๖๗
๖๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ยอมจํ ากัด ยอมอดยอมลดความสุขของตัวเอง<br />
สถานการณอยางนี้แสดงวา<br />
มนุษยยุคปจจุบันกํ าลังประสบ<br />
ปญหาอยางหนักจากภาวะขัดแยงในระบบการดํ ารงอยูของตนเอง<br />
และ<br />
หาทางออกที่จะแกไขปญหาใหลงตัวไมได<br />
และกลายเปนมนุษยยุคที่มี<br />
ทุกขมาก หรือเต็มไปดวยความทุกขมากมายหลายดาน<br />
ถาอยางนั้น<br />
ก็ตองหาหลักการใหมในการแกปญหา ตองมีแนวคิด<br />
แนววิธีที่จะจัดปรับระบบการดํ<br />
ารงอยูของมนุษยกันใหม ที่จะใหความ<br />
สํ าเร็จของมนุษยไมกอใหเกิดภาวะขัดแยงที่กลาวมา<br />
แตจะตองเปน<br />
ความสํ าเร็จหรือบรรลุจุดหมายที่หมายถึงความอยูดีดวยกันอยางเกื้อกูล<br />
และกลมกลืนในระบบทั้งหมด<br />
นี้แหละคือเหตุผลที่เราจะตองพัฒนามนุษยตามหลักองครวมแหง<br />
การดํ าเนินชีวิตสามแดนที่พูดมาแลว<br />
ซึ่งมีหลักการที่บอกวา<br />
ชีวิตมนุษย<br />
กับธรรมชาติแวดลอม ก็ดี ปจเจกชนกับสังคม ก็ดี จะตองประสานกลม<br />
กลืนเกื้อกูลซึ่งกันและกัน<br />
สอดคลองเปนอันหนึ่งอันเดียวกัน<br />
ไมใหผล<br />
ประโยชนขัดกัน ไมใหเกิดภาวะขัดแยงกัน<br />
เปนอันวา เนื่องจากขณะนี้มนุษยกับสิ่งแวดลอม<br />
ก็ดี ปจเจกชน<br />
กับสังคม ก็ดี มีผลประโยชนขัดกัน เราจะตองเปลี่ยนระบบความสัมพันธ<br />
ใหม ใหองครวมทั้งสามมีผลประโยชนรวมกัน<br />
และกาวไปอยางประสาน<br />
เกื้อกูลซึ่งกันและกันใหได<br />
ถาใครถามวา แนวคิดที่จะชวยใหทํ<br />
าอยางนี้ได<br />
มีไหม ทํ าไดไหม ก็ตอบวามี และทํ าไดแนนอน<br />
ที่ผานมานั้น<br />
การแกปญหาติดตัน ก็เพราะเหตุเพียงแความนุษย<br />
ไมมีปญญามองเห็นความจริง จึงมีแนวคิดที่ผิด<br />
เห็นผิด มองผิด คิดผิด<br />
ดังนั้น<br />
เมื่อจะแกปญหา<br />
ตัวตัดสินก็อยูที่ปญญานั่นแหละ<br />
เมื่อปญญามา<br />
เรามีแนวคิดถูกตอง เห็นถูก คิดถูกตองแลว ก็มาพัฒนาคน มาปรับ<br />
เปลี่ยนสภาพจิตใจใหม<br />
มาจัดสรรความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมใหม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ภาวะจิตใจกับปญญา ในระบบสัมพันธที่ควรศึกษาใหชัด<br />
โดยเฉพาะขอวาจิตใจเปลี่ยนไดดวยปญญานั้น<br />
เปนเรื่องธรรมดา<br />
ของธรรมชาติที่ควรเนนไว<br />
เพราะเวลานี้<br />
เราไปเห็นฝรั่งพูดถึงเรื่อง<br />
emotional intelligence พูดถึง EQ เขา ก็ตื่นกัน<br />
คิดวาเปนเรื่องใหม<br />
ฝรั่งเขาติดอยูกับ<br />
IQ มานาน เอาแตเรื่อง<br />
intelligence เนนแต<br />
ดานสติปญญา ซึ่งนาจะเปนไปดวยอิทธิพลตามสภาพของยุคสมัยดวย<br />
ตามประวัติศาสตร ชาวตะวันตกเริ่มตื่นตัวทางปญญา<br />
ตั้งแตยุค<br />
ฟนฟูศิลปวิทยาการของกรีกและโรมันโบราณ แลวตอมาไมชาก็เขายุค<br />
ปฏิวัติวิทยาศาสตร (ถือวาเริ่มใน<br />
ค.ศ.1543/พ.ศ.๒๐๘๖ และถึงจุดสูง<br />
สุดในป 1687/๒๒๓๐) ตามดวยยุคพุทธิปญญา หรือยุคแหงเหตุผล<br />
(Enlightenment หรือ Age of Reason) แหงคริสตศตวรรษที่<br />
18 ที่ควบ<br />
คู กับยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม (เริ่มแต<br />
1750/๒๒๙๓)<br />
ภาวการณทั้งหลายตลอดยุคสมัยเหลานี้<br />
กระตุนกระแสนิยม<br />
วิทยาศาสตร (scientism) จนคนถือวิทยาศาสตรเปนเครื่องวัดทุกสิ่งทุก<br />
อยาง มองอะไรๆ วาเปนวิทยาศาสตรหรือไม เปนเหตุเปนผลหรือไม ยก<br />
ยองเชิดชู intelligence เอียงดิ่งไปขาง<br />
intellect มาเกือบครึ่งสหัสวรรษ<br />
พรอมนั้น<br />
ตลอดยุคสมัยที่วามา<br />
ตะวันตกก็สุดโตงไปทางความคิด<br />
แยกสวน ซึ่งก็เปนลักษณะความคิดของยุคนิยมวิทยาศาสตรนั่นเอง<br />
ที่<br />
สามารถในการแยกสวนยอยไปวิเคราะหจนชํ านาญพิเศษ แตมักไมมอง<br />
ความสัมพันธเชิงเหตุปจจัยระหวางสวนยอยที่แยกออกไปนั้น<br />
จะเห็นไดแมแตในเรื่องพัฒนาการ<br />
๔ ดาน ที่เขาแยกองครวมออกไป<br />
แตเขาไมไดสนใจกับความสัมพันธระหวางพัฒนาการทั้ง<br />
๔ ดานนั้น<br />
ทั้งที่<br />
ความสัมพันธระหวาง ๔ ดานนั้นแหละเปนเรื่องสํ<br />
าคัญอยางยิ่งสํ<br />
าหรับ<br />
ระบบองครวม ดังไดพูดมาในเรื่ององครวมสามแดนแหงการดํ<br />
าเนินชีวิต<br />
ถึงตอนนี้<br />
ก็ประจวบพอดีวา กระแสนิยมวิทยาศาสตรเสื่อมคลาย<br />
/ 136<br />
๖๙
๗๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
และความคิดแยกสวนชํ านาญพิเศษถอยซาจากความเชื่อถือ<br />
การเพงแต<br />
ดานปญญาโดยเอาเหตุผลเปนเกณฑตัดสินก็มีอํ านาจอางอิงลดลง แนว<br />
คิดองครวมเริ่มเฟองฟูขึ้น<br />
(ภูมิปญญาชาวบาน การแพทยทางเลือก<br />
เปนตน ก็เขามาสู ความสนใจ เปนที่ยอมรับ<br />
และแพรหลายในระยะนี้)<br />
ในชวงนี้เอง<br />
ก็เกิดมีนักจิตวิทยาอเมริกันรุ นใหม ๑ มาเห็นความสํ าคัญ<br />
ของ emotion ในแงที่สัมพันธกับปญญา<br />
(ถาพูดใหถูก นาจะวา ความสํ าคัญ<br />
ของปญญาในแงที่สัมพันธกับ<br />
emotion) และความสํ าเร็จทางสังคม เรื่อง<br />
emotional intelligence ก็โดงดังขึ้นมา<br />
ซึ่งแสดงใหเห็นวา<br />
ทานเหลานี้หันมา<br />
ใสใจจริงจังในเรื่องความสัมพันธเชิงเหตุปจจัยระหวางปญญา<br />
กับภาวะจิตใจ<br />
(อารมณ) และสังคม เขาแนวของการมองอยางเปนระบบ และเปนองครวม<br />
ฝรั่งมาเห็นวาปญญา<br />
(พึงสังเกตวาในที่นี้เขาใชคํ<br />
าวา intelligence)<br />
สัมพันธเชิงปจจัยกับ emotion ไมใชแคทางเดียว แตซึ่งกันและกัน<br />
โดยเฉพาะ เขาบอกวา emotion มีบทบาทสํ าคัญมากกวาที่รู<br />
เขาใจ<br />
คิดกันมา และความชาญฉลาดในการปฏิบัติจัดการดาน emotion ใหดี มี<br />
สวนสํ าคัญยิ่งสํ<br />
าหรับการดํ าเนินชีวิตและการพัฒนาคนใหไดผลดี ที่จะ<br />
ทํ าใหกาวหนาในสังคม และใหสังคมงอกงาม โดยคนมีความสํ าเร็จใน<br />
ชีวิต ดวยการมีพฤติกรรมที่เหมาะที่ดีที่สรางสรรค<br />
ถือไดวา ฝรั่งรายนี้มองครบสามแดน<br />
แมวาในเรื่องพฤติกรรมเขาจะ<br />
พูดถึงเพียงเปนเรื่องพวงพลอยเทานั้น<br />
และเขาไมไดแสดงความเปนระบบ<br />
ออกมาชัดๆ เพราะเขามีจุดเนนซึ่งมุ<br />
งใหเห็นความสํ าคัญของ emotion ที่มี<br />
ตอปญญา ในความสัมพันธกับปญญา และการปฏิบัติจัดการกับ emotion<br />
ในการดํ าเนินชีวิตที่ดีมีความสุขสํ<br />
าเร็จในสังคม (และทั้งนี้<br />
มิไดหมายความ<br />
๑ Peter Salovey และ John Mayer นํ าเสนอความคิดเรื่องนี้<br />
ในป 1990/๒๕๓๓ ตอมานักเขียน<br />
ชื่อ<br />
Daniel Goleman ออกหนังสือ Emotional Intelligence ในป 1995/๒๕๓๘ ทํ าใหความ<br />
คิดนี้โดงดังขึ้นมา<br />
- Microsoft Encarta Reference Library 2005, "Intelligence"
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
วา ความเขาใจในความหมายของคํ าวา "ปญญา" ตลอดจนระบบความ<br />
สัมพันธในเรื่องชีวิตนี้<br />
ระหวางของเขากับของเรา จะตรงหรือเหมือนกัน)<br />
เปนความจริงวา emotion คือพวกสภาพจิต หรือภาวะจิตใจ (หรือ<br />
อารมณ ตามภาษาทั่วไป)<br />
เชน ความโกรธ ความเกลียด ความรัก ความ<br />
มีเมตตากรุณา ความเอื้อเฟอเผื่อแผ<br />
ความเห็นใจ ความราเริงสดใส<br />
ความปลาบปลื้มเปรมใจ<br />
เปนตนนี้<br />
มีความสํ าคัญมาก และโดยธรรม<br />
ชาติเอง emotion หรือภาวะจิตใจนั้น<br />
ยอมพัฒนาไปโดยสัมพันธทั้งกับ<br />
ปญญา และกับพฤติกรรม โดยเฉพาะในการอยูรวมสังคม<br />
เฉพาะอยางยิ่ง<br />
ความสัมพันธเปนปจจัยตอกันระหวางภาวะจิตใจ<br />
กับปญญานั้น<br />
เปนเรื่องสํ<br />
าคัญมากในการพัฒนามนุษย<br />
ดานที่ภาวะจิตใจเปนปจจัยตอปญญา<br />
ก็เห็นไดงาย มีคํ าสอนอยู <br />
ทั่วไป<br />
เชน ในดานราย ดังพุทธพจนวา “คนโกรธแลว ไมรู อรรถ ไมเห็น<br />
ธรรม เมื่อความโกรธครอบงํ<br />
าคนมีแตความมืดตื้อ”<br />
ในดานดี เชน “ผู ปราโมทยเบิกบานใจ จะเกิดปติ ผูมีใจปติ<br />
จะรูสึก<br />
ผอนคลายทั่วทั้งตัว<br />
ผูสงบผอนคลาย<br />
จะไดเสวยสุข ผูมีความสุข<br />
จะมีใจเปน<br />
สมาธิ ผูมีใจเปนสมาธิ<br />
ก็จะรูเขาใจมองเห็นตามเปนจริง”<br />
แตดานที่ควรใสใจมาก<br />
คือการที่ปญญาเปนปจจัยแกภาวะจิต<br />
เพราะเปนจุดสํ าคัญในการพัฒนาคน และจึงเปนแกนของการเสริมสราง<br />
สุขภาวะ เมื่อปญญาของเราพัฒนาไป<br />
emotions ก็พัฒนาไปดวย จะ<br />
เปน positive emotions คือภาวะจิตฝายบวก ที่ดีงามประณีตสะอาด<br />
บริสุทธิ์ยิ่งขึ้นๆ<br />
ซึ่งหมายถึงการมีความสุขเพิ่มขึ้นๆ<br />
ดวย<br />
ขอใหนึกถึงการพัฒนาพระองคของพระพุทธเจานี้แหละ<br />
คือ<br />
มนุษยนี้<br />
ที่เปนพระพุทธเจา<br />
ก็คือปญญาไดพัฒนาขึ้นไปจนสูงสุด<br />
ที่เรียก<br />
วาตรัสรู<br />
และเมื่อปญญาพัฒนาสูงสุดแลวนั้น<br />
ก็จะเหลือแต emotions ที่<br />
เปน positive ฝายบวกฝายดีอยางเดียว<br />
/ 136<br />
๗๑
๗๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
พระพุทธเจาทรงมี emotion ที่เดนที่สุด<br />
ซึ่งพัฒนาตามปญญาขึ้นมา<br />
หรือจะพูดใหถูกวา ซึ่งปญญาทํ<br />
าใหพัฒนาขึ้นมา<br />
เราเรียกวาเปนพุทธคุณ<br />
คือ “กรุณา” ไดแก ความรักที่อยากชวยเหลือสรรพสัตวใหพนจากทุกข<br />
หรือความปรารถนาจะชวยใหผู อื่นมีอิสรภาพดวย<br />
อันเปนภาวะจิตที่เกื้อ<br />
หนุนความสัมพันธทางสังคม นํ าไปสูพฤติกรรมในการชวยเหลือเกื้อกูล<br />
พรอมกับพระมหากรุณา ก็ทรงมีพระเมตตา มุทิตา เปนธรรมดา<br />
โดยเฉพาะทรงมีอุเบกขาเปนพื้นพระทัยตามปกติของพระอรหันต<br />
ตองระวังวาคนไทยสวนใหญเขาใจอุเบกขาผิดพลาดที่สุด<br />
อยาง<br />
นอยตองแยกอุเบกขาที่ผิดออกไปกอน<br />
อุเบกขาที่ผิดสํ<br />
าคัญ คือความ “เฉยโง” (เรียกเต็มวา อัญญาณุเบกขา)<br />
คือเฉยไมรูเรื่อง<br />
เฉยไมเอาเรื่อง<br />
เฉยไมไดเรื่อง<br />
แตอุเบกขาที่แทมากับปญญาที่รูแจง<br />
ในที่นี้คือรูเขาใจมองเห็น<br />
ความจริงของโลกและชีวิตจนจิตวางลงตัวกับโลกและชีวิตนั้น<br />
ดํ ารงอยู ใน<br />
ดุลยภาพ เรียบสงบ<br />
ทานเปรียบวา เหมือนสารถีผูชํ านาญเต็มที่<br />
เมื่อรถวิ่งอยูในทาง<br />
ดวยความเร็วพอดี ทุกอยางลงตัวแลว ก็นั่งสบาย<br />
มีใจนิ่งสงบ<br />
เรียบรื่น<br />
แตพรอมดวยความรูตัวเทาทันทั่วอยูตลอดเวลา<br />
ถารถวิ่งจะผิดความเร็ว<br />
หรือไมอยู ในทาง เปนตน ก็แกไขไดอยางถูกตองฉับไวในทันที<br />
ยังมีภาวะจิต หรือ emotions สํ าคัญของพระพุทธเจา ที่หนุนพระ<br />
มหากรุณาออกสูปฏิบัติการ<br />
โดยเฉพาะทรงมี “ฉันทะที่ไมลดถอย”<br />
(เปน<br />
พุทธธรรมคือคุณสมบัติประจํ าพระองคของพระพุทธเจาประการหนึ่ง)<br />
คือ<br />
ใฝพระทัยหมายมุ งทํ าการตามพุทธประสงคแหงมหากรุณานั้นไปใหสํ<br />
าเร็จ<br />
พรอมนั้น<br />
ทรงมีพุทธลักษณะที่แสดงถึงนํ้<br />
าพระทัยที่ทรงพรอมจะ<br />
ตอนรับชวยเหลือเกื้อกูลผูที่ทรงพบปะเกี่ยวของ<br />
และไมถือพระองค อัน<br />
แสดงถึง positive emotions ในทางสังคม ตามคํ าที่มีผู<br />
กลาวสรรเสริญวา
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๗๓<br />
“พระองคมีพระวาจาตอนรับ ออนโยน ทรงปฏิสันถารใหบันเทิงใจ มีพระ<br />
พักตรเบิกบาน ไมสยิ้ว<br />
ทรงทักทายกอน”<br />
นอกจากนี้<br />
emotions อยางอื่นโดยมากเปนภาวะที่พวงมากับ<br />
ความสะอาดหมดจดสดใสของจิตใจ (วิสุทธิ) ซึ่งเปนความสุขอยูในตัว<br />
เชน ความโปรงโลง ความเบิกบาน ความผองใส ความสุข ความชื่นชม<br />
ในความดีความงาม (เชนที่พระพุทธเจาทรงชื่นชมธรรมชาติแหงปาเขา<br />
ลํ าเนาไพร และตรัสถึงสถานที่ตางๆ<br />
อันเปนรมณีย)<br />
สวนความรูสึกรายๆ<br />
ไมดี เชน ความโกรธ ความเกลียดชัง ความ<br />
คั่งแคน<br />
ความขัดเคือง ความหงุดหงิด ความโลภ ความเห็นแกตัว ความ<br />
กลัว ความเครียด ความกระวนกระวาย ความพลุงพลาน<br />
ความรํ าคาญ<br />
ความหวงแหน ความหวงกังวล ความหดหู ความทอแทถดถอย ความเศรา<br />
ความเหงาหงอย ความวาเหว หมดไป ไมมีเหลือ<br />
ดังที่เราแปล<br />
“พุทธะ” ในความหมายหนึ่งวา<br />
“เบิกบาน” อันนี้แหละ<br />
คือภาวะจิต หรือ emotion ที่พึงตองการ<br />
ซึ่งโยงไปถึงคุณธรรม<br />
ความดีงาม<br />
ความเขมแข็งมั่นคง<br />
สมรรถภาพของจิตใจ และความสุข หมดทั้งนั้น<br />
อัน<br />
ลวนพัฒนาไดดวยปญญา ถาไมมีปญญาที่แท<br />
positive emotions เหลา<br />
นี้จะพัฒนาใหคงอยูยั่งยืนไมได<br />
ขอพึงยํ าตรงนี ้ ้ คือ พระพุทธเจาทรงมีพระคุณสมบัติหลัก ขอใหญ<br />
ที่สุด<br />
๒ อยาง (เปนหลักแกนยิ่งกวาเรื่องพุทธคุณ<br />
๓ ที่เราจํ<br />
ากันวา พระ<br />
ปญญาคุณ พระบริสุทธิคุณ พระมหากรุณาคุณ) คือ ปญญา กับ กรุณา<br />
ถาพูดแบบภาษาไทยงายที่สุด<br />
ก็คือ “รู”<br />
กับ “รัก”<br />
ปญญา คือแดนที่<br />
๓ สวนกรุณา ก็คือคุณสมบัติเดนในแดนภาวะจิต<br />
หลักบอกวา ปญญาใหสํ าเร็จพุทธภาวะ สวนกรุณาใหสํ าเร็จพุทธกิจ<br />
แลวก็ตองไมลืมวา ในเวลาลงมือทํ างานหรือปฏิบัติการจริงนั้น<br />
ฉันทะ คือความใฝใจหมายมุ งทํ าการ ซึ่งหลักบอกวาเปนมูลคือเปนตนตอ
๗๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ของธรรมทั้งหลาย<br />
เปนพระคุณสมบัติที่ทํ<br />
าใหปญญาดํ าเนินกิจแหงกรุณา<br />
ลุลวงถึงความสํ าเร็จ<br />
เมื่อกี้นี้ไดบอกวา<br />
ถาไมมีปญญาที่แท<br />
positive emotions ทั้งหลาย<br />
จะพัฒนาใหคงอยู ยั่งยืนไมได<br />
ทํ าไมจึงวาอยางนั้น<br />
ขอใหพิจารณาดู<br />
อยางงายๆ ที่เคยยกตัวอยางบอยๆ<br />
การที่เรามาพบกัน<br />
ก็เปนปฎิ-<br />
สัมพันธที่สํ<br />
าคัญระหวางมนุษยแลว และปฎิสัมพันธนั้นก็เปนจุดเริ่มที่<br />
ความสัมพันธจะดํ าเนินตอไป โดยองครวมการดํ าเนินชีวิตทั้ง<br />
๓ แดน จะ<br />
เปนปจจัยแกกันกาวไปดวยกัน เฉพาะอยางยิ่ง<br />
ถารูจักเยื้องยางแดน<br />
ปญญาอยางแยบคาย ชีวิตก็จะดํ าเนินไปดวยดีและยิ่งพัฒนา<br />
ตัวอยางวา เพื่อนใกลชิด<br />
เจอหนากันมาทุกวัน เวลาพบก็ทักทาย<br />
กัน ยิ้มแยมแจมใส<br />
แตมาวันนี้<br />
พอเจอหนา เราทักไป เขากลับไมพูดดวย<br />
เสียแลว เรายิ้มก็ไมยอมยิ้มดวย<br />
แถมหนาบึ้งซะอีก<br />
จะเอาอยางไรกันนี่<br />
เราก็มีกิเลสเหมือนกัน เราก็โกรธเปนเหมือนกันนะ ก็เลยโกรธ แลวก็ทํ า<br />
หนาบึ้ง<br />
ไมพูดดวยบาง เกิดเปน negative emotion นี้ก็คือเกิดปญหาละ<br />
และเรื่องก็อาจจะตอไปในทางลบอีกยาว<br />
แตทีนี้<br />
ถาเรามีปญญา และรู จักใชเครื่องมือของปญญา<br />
ที่เรียกวา<br />
โยนิโสมนสิการ ก็คิดวา เออ เพื่อนของเราก็รักกันดีอยู<br />
นะ วันกอนๆ มาทีไร<br />
พบกันก็ทักทาย แลวก็ยิ้มแยมแจมใส<br />
วันนี้เราทักทาย<br />
แตเขาไมพูดดวย<br />
เรายิ้มแตเขาก็ไมยิ้มดวย<br />
เอ…นี่<br />
เขาจะมีปญหาอะไรหรือเปลา เขาอาจจะมีอารมณคางมา<br />
ไมใชวาเขาโกรธเรา เขาอาจจะถูกดุมาจากบาน อาจจะขาดเงิน หรืออาจ<br />
จะมีปญหาสุขภาพ ปวดหัว ปวดทอง หรือวาถาเปนผูใหญ<br />
เขาอาจจะมี<br />
ปญหาครอบครัว ลูกเขาอาจจะไมสบาย เขามีหวงกังวล มีทุกขอยู<br />
พอคิดแคนี้<br />
คือปญญามา ความโกรธก็ไมมีแลว แตกลับจะนํ าไปสู<br />
การแกปญหา โดยคิดตอไปอีกวา เออ…ตอนนี้ถาเปนโอกาสที่จะถาม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๗๕<br />
จะตองถามเขาหนอย ถายังไมใชโอกาส เราก็จะรอเวลา ถาไดโอกาส<br />
เหมาะ เราจะเขาไปถามวา เพื่อนมีปญหาอะไร<br />
มีอะไรใหเราชวยบางได<br />
ไหม อะไรอยางนี้เปนตน<br />
กลายเปนวา ใจของเราสบาย สุขภาพจิตของ<br />
เราดี ใจมีคุณธรรม แลวก็ยังไปชวยแกปญหาใหเขาดวย<br />
ลองเอาทาที ๒ แบบมาเทียบกันดู<br />
แบบแรก เขาบึ้งมา<br />
เราก็บึ้งไป<br />
นี้คือทาทีแบบชอบใจ-ไมชอบใจ<br />
(ตัณหา) เริ่มดวยภาวะจิตอกุศล<br />
คือ negative emotion ไมใชปญญา<br />
เกิดมีตัวตนที่จะกระทบกระทั่งบีบคั้น<br />
เรงเรา negative emotions ให<br />
เพิ่มขยายมากขึ้นๆ<br />
จึงเปนการกอปญหา<br />
แบบหลัง เขาบึ้งมา<br />
เรามองตามเหตุปจจัย เดินความคิดไปตาม<br />
ทางของปญญา (โยนิโสมนสิการ) มีแตปรากฏการณที่พิจารณา<br />
ไมมีตัว<br />
ตนเกิดขึ้นมาที่จะกระทบกระทั่งบีบคั้น<br />
จิตใจโปรงสบาย และมีกรุณา<br />
ความสงสารเห็นใจใฝจะชวยเหลือพวงมา เปนภาวะจิตกุศล คือ<br />
positive emotion ปญญากาวเดินอยูตลอดเวลา<br />
นํ าไปสูการแกปญหา<br />
นี่ละคือบทบาทของปญญา<br />
ที่เชื่อมตอสูอิสรภาพ<br />
ปญญาจะมา<br />
จัดการ emotions โดยละลายภาวะจิตอกุศล (negative emotions) หรือ<br />
ปดกั้นเปลี่ยนพลิกภาวะจิตอกุศล<br />
ใหภาวะจิตกุศล (positive emotions)<br />
ไดโอกาสเขามาแทนที่<br />
และพัฒนาภาวะจิตกุศลใหเขมแข็งเพิ่มพูนและ<br />
ประณีตยิ่งขึ้นไป<br />
ทานที่มีปญญามาก<br />
ก็จะรู เขาใจโลกและชีวิต ผู คนทั้งหลายที่ไดพบ<br />
เขาจะยิ้ม<br />
เขาจะโกรธ เขาจะมีอาการทาทีอะไร ทานก็มองดวยความเขาใจ<br />
พรอมที่จะเห็นใจ<br />
แลวก็ชวยแกไขขจัดปญหา<br />
เมื่อเขาใจ<br />
หยั่งถึงเหตุปจจัย<br />
มองทะลุทั่วตลอดตามสภาวะ<br />
ทานก็<br />
ไมเกิดมีความโกรธตอใคร ดังนั้น<br />
emotions ก็มีแตดี มีแตภาวะจิตกุศล ไม<br />
มีปญหาอะไร พระพุทธเจาไมมีความโลภ ความโกรธ ความหลง จึงทรงมี
๗๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
แตความเบิกบาน ความผองใส ความเมตตากรุณา มีภาวะจิตใจที่ดีงาม<br />
อยางเดียว เปนเรื่องธรรมดาของการพัฒนามนุษยตามความจริงของ<br />
ธรรมชาติในระบบองครวม<br />
เมื่อเขาใจระบบความสัมพันธของการดํ<br />
าเนินชีวิตที่เปนองครวม<br />
สามแดน โดยรูจักใชปญญามานํ ามาจัดระบบความสัมพันธขององค<br />
สามนี้ใหไดผลดีแลว<br />
การพัฒนามนุษยก็กาวไปในวิถีแหงความมีสุข<br />
ภาวะที่สมบูรณ<br />
เปนเรื่องที่ไปดวยกันเองทั้งหมด<br />
ในการที่สุขภาวะพัฒนากาวไปนี้<br />
ปญญาก็จะแจมแจงเปนวิชชา<br />
เหมือนมีแสงสวางใหมองเห็นอะไรๆ ชัดเจน ทํ าใหตั้งจิตวางใจถูกตอง<br />
ในขณะที่วาถาคนไมมีความรู<br />
ก็จะมองสถานการณไมออก แลวก็ตั้งทาที<br />
ตอสถานการณไมถูก จิตใจก็วาวุนพะวักพะวน<br />
แตเมื่อเรารู<br />
เขาใจถูกตอง<br />
แลว ก็จะมองอะไรๆ ออก และตั้งทาทีถูก<br />
ก็จะพนจากความอึดอัดติดขัด<br />
บีบคั้น<br />
แลวจิตใจก็เกิดความสงบ ไมวาวุน<br />
ไมเครียด ไมกระวนกระวาย<br />
ความหมดจด สดใส ความไมขุนมัวเศราหมอง<br />
ก็ตามมา นี่ก็คือสุขภาวะ<br />
ที่บรรลุจุดหมายสมบูรณ<br />
ซึ่งมองดูไดหลายดานอยางที่วามา<br />
ทั้งหมดนี้เปนเรื่องของระบบองครวมของการดํ<br />
าเนินชีวิตที่ดี<br />
ซึ่ง<br />
เปนระบบแหงเหตุปจจัยที่สัมพันธกัน<br />
และในที่สุดเราจะเห็นวา<br />
แมจะพูด<br />
ในแงของสุขภาวะ ปญญาก็เปนองคประกอบสํ าคัญ ถือวาปญญาเปน<br />
ใหญ เปนตัวจัดการใหสํ าเร็จผลจนถึงจุดหมาย<br />
พัฒนาการดํ าเนินชีวิต เริ่มดวยดูฟงใหเปน<br />
หันกลับมาพูดถึงองครวมของการดํ าเนินชีวิตที่ดี<br />
คราวนี้จะทบ<br />
ทวนแบบเปนระบบ<br />
ไดพูดวา การดํ าเนินชีวิตนี้แยกออกไดเปน<br />
๓ แดน คือ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๗๗<br />
แดนที่<br />
๑ คือ ความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ทั้งดานกายภาพ<br />
และ<br />
ดานสังคม ดวยผัสสทวาร ๖ และกรรมทวาร ๓<br />
การมีความสัมพันธที่ดี<br />
และการฝกหรือพัฒนาความสัมพันธที่ดี<br />
นั้น<br />
เรียกสั้นนิดเดียววา<br />
“ศีล” (เมื่อพูดถึงศีล<br />
เรามักจะติดอยูแคศีลหา<br />
แต<br />
ที่จริง<br />
ศีลมีหลายประเภท)<br />
ศีล คือการมีและการฝกพัฒนาความสัมพันธที่ดีนั้น<br />
ตองอาศัย<br />
ทวารสองชุดที่วามา<br />
ก็จึงแยกยอยออกไปอีกเพื่อใหเปนหมวดหมูที่จะ<br />
กํ าหนดหมายทํ าความเขาใจไดงายขึ้น<br />
ซึ่งทานจัดไวเปน<br />
๔ ประเภท คือ<br />
๑. อินทรียสังวร (เรียกเต็มวา อินทรียสังวรศีล) คือ การรูจักใช<br />
อินทรีย ไดแก ตา หู จมูก ลิ้น<br />
กาย ใจ ใหรูจักดู<br />
รูจักฟง<br />
หรือดูเปน ฟงเปน<br />
เปนตน นับวาเปนศีลขั้นตนที่สํ<br />
าคัญมาก จะเรียกวาเปนจุดเริ่มของการ<br />
ศึกษา และของสุขภาวะก็ได<br />
เปนเรื่องชัดๆ<br />
วา ปญหาเดนของยุคสมัยนี้<br />
เกิดจากการใชอินทรีย<br />
ไมถูกตอง เฉพาะอยางยิ่ง<br />
ไอทีนั้นเจอกับมนุษยที่อินทรีย<br />
เมื่อคนใช<br />
อินทรียไมเปน ไมถูก ตาดู หูฟง อยางไมพัฒนา เราก็เจอปญหาหนักจาก<br />
ไอที อยางที่โอดครวญกันอยู<br />
แตไมรูจะแกอยางไรนี้<br />
ถาคนจัดการกับอินทรีย ที่เปนทวารชุดแรกนี้ไมได<br />
เขาก็ดํ าเนิน<br />
ชีวิตใหดีไมได และการพัฒนาก็ไมมี การศึกษา ก็ตาม สุขภาวะ ก็ตาม<br />
หายไปหมด<br />
เอางายๆ เชนดูทีวี ถารู จักดู ก็เปนการศึกษา และคนก็พัฒนา แต<br />
ถาดูไมเปน ก็เกิดปญหา รวมทั้งเสียสุขภาวะ<br />
แลวจะดูอยางไร วิธีงายๆ ก็ถามตัวเองวา เราดูแลวไดความรูไหม<br />
ไดประโยชนไหม ไดแงคิดหรือขอพิจารณาอะไรที่จะเอามาใชเปน<br />
ประโยชน เอาไปแกปญหา หรือเอามาพัฒนาชีวิตของตนไดบางไหม<br />
ในทางตรงขาม หรือวา ดูแลวไดแคความรูสึก<br />
เอาแคสนุกสนาน
๗๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
คิดแคจะเสพ ถาเลยไปอีกก็หลงใหล แลวก็มัวเมา อาจจะเสียเวลา เสีย<br />
การเรียน เสียการพักผอน เสียสุขภาพ เสียความสัมพันธที่ควรจะมี<br />
เสีย<br />
สุขภาวะหลายดาน<br />
เมื่อเทียบการใชอินทรีย<br />
๒ แบบนั้น<br />
แบบแรก เปนการใชอินทรียเพื่อการเรียนรู<br />
ดูฟงเชิงปญญา ทํ าให<br />
เกิดการพัฒนา จัดเปนศีลขออินทรียสังวร<br />
แบบหลัง เปนการใชอินทรียเพื่อสนองความรู<br />
สึกชอบใจ-ไมชอบใจ<br />
ดูฟงเชิงตัณหา ไมทํ าใหเกิดการพัฒนา เปนการขาดศีลขออินทรียสังวร<br />
เมื่อขาดศีล<br />
คนก็อยู แคความรู สึก เอาความชอบใจและไมชอบใจ<br />
เปนตัวกํ าหนด พอชอบใจก็ติดเพลิน พอไมชอบใจก็ขัดเคืองเกลียดชัง<br />
สุขทุกขอยูที่ชอบใจ-ไมชอบใจ<br />
นอกจากไมไดเรียนรู<br />
ไมมีการพัฒนาแลว<br />
ก็เริ่มขึ้นตอสิ่งนั้น<br />
เริ่มเสียอิสรภาพ<br />
แตเมื่อมีศีล<br />
ดูฟงดวยตองการความรู<br />
หรือหาคติที่เปนประโยชน<br />
ตอนนี้จะชอบใจหรือไมชอบใจก็ไมเกี่ยว<br />
พอคิดวาจะดูเพื่อไดความรู<br />
ก็<br />
ขามพนความชอบใจไมชอบใจไปเลย ชอบใจหรือไมชอบใจก็ไมเปน<br />
ปญหา เพราะความพอใจอยูที่การไดความรู<br />
แมแตสิ่งที่เคยไมชอบใจ<br />
เมื่อดูเพื่อหาความรู<br />
ถาสิ่งที่ไมชอบใจทํ<br />
าใหไดความรูมาก<br />
กลับยิ่งชอบ<br />
ใหญ กลับไปชอบสิ่งที่ไมชอบ<br />
สิ่งที่ตัวไมชอบกลายเปนยิ่งชอบ<br />
อันนี้เปนไปได<br />
เพราะความสุขอยูที่การไดสนองความตองการ<br />
จึง<br />
อยูที่ตั้งจิตใหถูก<br />
ตอนกอนนั้นเราตองการสิ่งที่เราชอบใจ<br />
และไมตองการสิ่งที่เราไม<br />
ชอบใจ ดังนั้น<br />
เราจะสุขหรือทุกขก็อยู ที่ไดสิ่งที่ชอบใจหรือไดสิ่งที่ไมชอบใจ<br />
แตตอนนี้เราตองการความรู<br />
ความสุขของเราอยูที่การไดความรู<br />
สิ่งนั้นเราจะชอบหรือไมก็ตาม<br />
เราก็หาความรู จากมันไดทั้งนั้น<br />
ดังนั้นเราจึง<br />
มีความสุขไดทั้งจากสิ่งที่เราชอบและสิ่งที่เราไมชอบ<br />
และยิ่งถาสิ่งที่เราไม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๗๙<br />
ชอบ ทํ าใหเราไดความรูมาก<br />
เราก็เลยกลับยิ่งชอบสิ่งที่ไมชอบนั้นมากขึ้น<br />
แตที่จริง<br />
เมื่อวาโดยหลักการก็คือ<br />
คนที่ใชอินทรียเปน<br />
ใชตาดูหูฟง<br />
เพื่อความรูนี้<br />
จะขามพนสุขทุกขจากความชอบใจไมชอบใจไปได ความ<br />
ชอบใจหรือไมชอบใจไมมีอิทธิพล ไมวาสิ่งที่ชอบหรือไมชอบ<br />
ถาชวยให<br />
ไดความรู<br />
ฉันก็มีความสุขหมด เรียกวาวิมุตคือหลุดพนเปนอิสระไปขั้น<br />
หนึ่งเลย<br />
คือ<br />
- สุขทุกขไมขึ้นตอสิ่งที่ชอบใจไมชอบใจ<br />
ถึงเจอสิ่งไมชอบใจก็ไมทุกข<br />
- ความสุขอยู กับความรู<br />
ซึ่งอยูที่ตัวเอง<br />
ไมฝากไวกับสิ่งภายนอก<br />
ถาเด็กไมพัฒนาไปถึงขั้นมีความอยากรูและใชอินทรียเพื่อสนอง<br />
ความตองการรู ก็เปนอันวา การศึกษาที่จัดตั้งกันขึ้นเปนองคกรเปน<br />
สถาบันอะไรๆ มากมายนี้<br />
แทบไมมีความหมายเลย<br />
การศึกษาที่จริงแทนั้นเริ่มตนที่ตาดูหูฟงนี่แหละ<br />
จึงตองใหมีการ<br />
พัฒนาอินทรีย คือใหรูจักใชตา<br />
หู ฯลฯ<br />
ถาเด็กใชตาหูดูฟงไมเปน แกไดแตดูฟงแคเพียงตามที่ชอบใจ-ไม<br />
ชอบใจ ไมอยากไดความรู<br />
ไมใฝสนองความตองการรูแลว<br />
สุขทุกขของ<br />
แกก็จมอยูแคนี้<br />
ตองใหเด็กขามขั้นแหงการขึ้นตอความรูสึกนี้ไปใหได<br />
ใหเขาลวง<br />
พนปญหาสุขทุกขจากชอบใจ-ไมชอบใจ ไปถึงขั้นมีความสุขจากการได<br />
สนองความตองการความรู<br />
อยางนอยก็ใหเปนขั้นที่มีความสุขจากการได<br />
ความรูนั้นมาดุล<br />
ถาเด็กพัฒนามาถึงขั้นนี้ละก็<br />
พอแมสบายโลงใจแน แตถาเด็กจม<br />
อยู กับขั้นสนองตัณหา<br />
พอแมก็ตองทุกขหนัก เจอแตปญหาไมรู จบ เพราะ<br />
ความชอบใจ-ไมชอบใจนั้นเจอตัวเราใหเปลี่ยนไลลาของเสพใหมไปเรื่อย<br />
ทั้งนี้เพราะวา<br />
นอกจากขึ้นตอสิ่งเสพบริโภคแลว<br />
ยังมาพันกับปญหา<br />
ของยุคสมัย ที่ธุรกิจ<br />
และอะไรๆ แทบทุกอยาง มุ งระดมมาที่การปลุกป<br />
น
๘๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
กระตุ นเราผัสสะในการเสพ มีโภคภัณฑใหมๆ ประสานดวยแรงสื่อโหมกระพือ<br />
มาลอและขยายความตองการเทียมที่จะติดและขึ้นตอมันอยู<br />
ตลอดเวลา<br />
กระแสตัณหาจึงแรงกลา เราคนยุคไอทีใหมุ งมองหาเห็นแกของเสพ<br />
จนแทบไมเห็นแกคน แตมองคนเปนเหยื่อ<br />
หรือมองคนเปนของเสพ อยาง<br />
นอยก็ทํ าใหหมกจมอยู กับการเสพ และตองเที่ยวดิ้นรนแสวงหา<br />
สิ้นเปลือง<br />
เงินทองไมมีทางเพียงพอ สังคมก็วนเวียนอยู ในความสุขแบบพึ่งพา<br />
ความ<br />
สุขที่ตองหา<br />
และความสุขที่ตองแยงชิงกัน<br />
ไมเห็นทางที่จะพนปญหา<br />
นาจะคิดกันบาง ทั้งที่เรียกกันโกวา<br />
“ยุคขาวสารขอมูล” ซึ่งมนุษย<br />
ควรจะอยูกับการหาความรูและกิจกรรมทางปญญา<br />
แตสภาพที่เปนจริง<br />
กลายเปนยุคสมัยแหงความลุมหลงมัวเมาในการเสพบริโภค<br />
และละเลย<br />
วิถีชีวิตแหงการศึกษา<br />
ถาพัฒนาคนขึ้นมาถึงขั้นมีอินทรียสังวรได<br />
ใหคนใฝปญญาแสวง<br />
หาความรู<br />
ก็จะสมกับการเปนยุคขาวสารขอมูล ที่อารยธรรมกาวไปถูก<br />
ทาง มนุษยชาติก็จะไดประโยชนจากความเจริญกาวหนาของยุคสมัยนั้น<br />
และคนก็มีความสุขเพิ่มขึ้นไดจริงดวย<br />
จึงเปนที่นาเสียดายที่อารยธรรมเจริญขึ้นมา<br />
เพียงเพื่อเปนหลุมดัก<br />
มนุษยใหเอาผลแหงความเจริญนั้น<br />
มากลบทับตัวเอง ปรากฏเหมือนวา<br />
เด็กสมัยนี้มิไดพัฒนาตัวใหเขากับสภาพความเจริญ<br />
เขาจึงไมสามารถถือเอา<br />
ประโยชนจากความเจริญของอารยธรรมได เขาไมสามารถแมแตจะพัฒนา<br />
การใชอินทรียของตน แคตาหูดูฟง ที่จะไดประโยชนจากขาวสารขอมูล<br />
ถึงแมขาวสารขอมูลจะทวมทน แตคนสวนใหญไมเอาใจใส เขาได<br />
แตไปเพลินกับความรูสึกสนุกสนาน หมกมุนอยูกับพวกเกม และการ<br />
บันเทิงทั้งหลายเทานั้น<br />
นี้คือเครื่องบงชี้วา<br />
การศึกษาและการพัฒนาสุข<br />
ภาวะแมเพียงขั้นพื้นฐาน<br />
ก็ทํ าทาจะไปไมไหว<br />
ที่พูดมานี้<br />
คือศีลที่เรียกวาอินทรียสังวร<br />
ซึ่งเหมาะที่จะใชตรวจสอบ<br />
ดูกันวา มนุษยไดพัฒนาบางไหม เขาใชตาหูดูฟง เพียงเพื่อชอบใจไม
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ชอบใจแลวติดแคนั้น<br />
หรือวาใชตาหูดูฟงแลวไดความรูที่เปนประโยชนใน<br />
การพัฒนาชีวิต พัฒนาสังคม เพื่อแกปญหาในการดํ<br />
าเนินชีวิต และชวย<br />
แกปญหาของเพื่อนมนุษย<br />
ตลอดจนสรางสรรคสิ่งดีงาม<br />
พัฒนาการดํ าเนินชีวิต ตองหัดกินใชใหเปนดวย<br />
๒. ปจจัยปฏิเสวนา คือ การรูจักเสพบริโภคปจจัยสี่<br />
ตลอดจนวัตถุ<br />
อํ านวยความสะดวกสะบายตางๆ รวมทั้งเทคโนโลยี<br />
หมายถึงกินใชสิ่ง<br />
เสพบริโภคทั้งหลายดวยปญญา<br />
ที่ทํ<br />
าใหเกิดความพอดี ที่เรียกวารูจัก<br />
ประมาณ จัดเปนศีลอยางที่สอง<br />
การกินใชเสพบริโภคนั้น<br />
เปนเรื่องปกติธรรมดาของชีวิต<br />
เปนเรื่อง<br />
พื้นฐานที่สุด<br />
แตก็เปนเรื่องที่สํ<br />
าคัญอยางยิ่ง<br />
ในการกินใชนั้น<br />
ถามนุษย<br />
ขาดปญญา ก็ไมมีการศึกษา คนก็ไมพัฒนา และเริ่มเสียสุขภาวะทันที<br />
ขาดปญญาอยางไร? ก็คือกินเสพโดยไมตระหนักรูความมุงหมาย<br />
เริ่มตั้งแตจะกินอาหาร<br />
ก็ไมรูวากินเพื่ออะไร<br />
ถาถามเด็กวากินเพื่ออะไร<br />
เด็กคงงงเหมือนกัน โดยเฉพาะเด็กสมัยไอทีนี้<br />
สวนมากนึกไมถึง เลย<br />
ตอบไมทัน เด็กบางคนอาจเคยไดยินคํ าที่พูดตอๆ<br />
กันมาวา กินเพื่ออยู<br />
ไมใชอยูเพื่อกิน<br />
ก็จะตอบไปตามนั้น<br />
แตมันคงไมใชเทานี้<br />
กินเพื่ออะไร?<br />
ในการกินอาหาร พระทานใหฝกศีลเบื้องตน<br />
เปน<br />
ศีลขอแรกในแงประเพณีการฝก คือ พอบวชมาป บ ก็ “ปฏิสังขา-โย” ถา<br />
เปนสมัยกอน มีประเพณีมาอยู วัดกอนบวช ก็ใหทองไวตั้งแตกอนบวชเลย<br />
ปฏิสังขา-โย เปนคํ างายๆ แบบชาวบาน ที่เขามักเรียกชื่ออะไรๆ<br />
ตามเสียงที่ไดยิน<br />
คือขอความภาษาบาลีที่พระพุทธเจาทรงสอนไวเปน<br />
แบบอยางในการที่พระสงฆจะพึงพิจารณาเตือนตัวเอง<br />
ใหตระหนักรูถึง<br />
คุณคาที่ตองการหรือความมุ<br />
งหมายในการเสพบริโภคปจจัย ๔ เรียกสั้นๆ<br />
วา “บทพิจารณาปจจัย ๔” ขึ้นตนวา<br />
“ปฏิสังขา โยนิโส …” ชาวบานไดยิน<br />
/ 136<br />
๘๑
๘๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
อยางนี้<br />
ก็เลยเรียกงายๆ สบายๆ วา ปฏิสังขา-โย<br />
ตามประเพณีของเรา ทานจะใหจํ าใหแมนและใหใชกันมั่น<br />
ก็เลย<br />
นํ ามาจัดเปนบทสวด ใหคนอยู วัดจะบวชและพระใหมทองและสวดกันให<br />
คลองตั้งแตตน<br />
จะไดใชเปนประจํ าตลอดไป จะเรียกวา “บทสวดพิจารณา<br />
ปจจัย ๔” หรือ “บทปฏิสังขา-โย” ก็แลวแตชอบ ถาเรียกเปนทางการหนอย<br />
ก็วา “บทปจจัยปจจเวกขณ” ซึ่งก็แปลวา<br />
บทพิจารณาปจจัยนั่นเอง<br />
ถาจะตอบคํ าถามเมื่อกี้วา<br />
“กินเพื่ออะไร?”<br />
วิธีตอบใหไวและชัด ก็<br />
เอาบทพิจารณาของพระนี้แหละมาตอบไดเลย<br />
แตเอามาเฉพาะบท<br />
พิจารณาอาหาร ดังนั้น<br />
ก็เลยจะยกคํ าแปลที่วานั้นมาใหดู<br />
ดังนี้<br />
ขาพเจาพิจารณาแลวโดยแยบคาย จึงบริโภคอาหาร (โดย<br />
รูตระหนักวา)<br />
มิใชเพื่อจะสนุกสนาน<br />
มิใชเพื่อเห็นแกเอร็ดอรอย<br />
บันเทิงมัวเมา มิใชเพื่อสวยเกอวดโก<br />
(แต) เพื่อใหรางกายนี้<br />
ดํ ารงอยู ใหชีวิตดํ าเนินไปได เพื่อระงับความหิวกระหาย<br />
(หรือ<br />
การขาดอาหาร) เพื่อเกื้อหนุนชีวิตที่ดีงาม<br />
(จะไดมีรางกายที่แข็งแรงดี<br />
ซึ่งสามารถทํ<br />
าประโยชน เชนไปศึกษาพัฒนาทํ างานสรางสรรคตางๆ)<br />
ดวยการรับประทานโดยตระหนักรูอยางนี้<br />
เราจะระงับ<br />
เวทนาเกา (คือความเดือดรอนเนื่องจากความหิว)<br />
กับทั้งจะไมให<br />
เกิดเวทนาใหม (เชน ไมอึดอัด แนน จุกเสียด ทองเสีย เปนตน) และ<br />
เราก็จะมีชีวิตดํ าเนินไปได พรอมทั้งจะเปนการบริโภคที่ปราศ<br />
โทษภัยไรขอเสียหาย (เชน ไมตองทํ าการแสวงหาโดยทางทุจริตผิด<br />
ธรรม ไมเบียดเบียนทั้งตนเอง<br />
ผูอื่น<br />
สังคม และธรรมชาติแวดลอม)<br />
พรอมทั้งเปนอยูผาสุก<br />
ทานวาไวยาว คือตองรูเขาใจ<br />
ตองกินดวยปญญา ตระหนักรูวากิน<br />
เพื่ออะไร<br />
อยางนอยก็แยกไดวา การกินใหอรอย เปนเพียงสวนเสริมหรือ<br />
สวนประกอบ บางทีก็เปนเรื่องของคานิยม<br />
เราอาจจะยอมใหบาง แต
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ตองรูเทาทัน และตองไมใหเสียหลัก คือตองใหไดคุณคาที่แทจริงของ<br />
อาหาร คือเพื่อจะใหสุขภาพรางกายแข็งแรง<br />
ไมทํ าใหรางกายบอบชํ้<br />
า อัน<br />
นี้เปนจุดหมาย<br />
ตองใหไดกอน ถาทํ าอยางนี้<br />
ก็เขาทางของสุขภาวะ<br />
แตถากินไมเปน กินโดยไมตระหนักรู คุณคาความมุ งหมายที่แทจริง<br />
แลว บางทีกินอาหารสิ้นเปลืองมากมาย<br />
เชน บางคนจายคากินมื้อละแสน<br />
บางทีไมใชมื้อละแสน<br />
แตแกวละแสนก็มี เสร็จแลว เสียเงินเปลา แลวซํ า้<br />
ราย แทนที่จะไดประโยชนจากอาหารหรือเครื่องดื่มนั้น<br />
กลับทํ าลายหรือ<br />
เบียดเบียนชีวิตของตนเอง ทํ าใหเสียสุขภาพ แสดงวาไมไดกินดวยปญญา<br />
ไมรู จักประมาณในการกิน กินแลวเกิดโทษ พูดสั้นๆ<br />
วา กินไมเปน<br />
เมื่อกี้บอกวา<br />
การบริโภคดวยปญญา เปนการรูจักประมาณในการ<br />
บริโภค ทํ าใหกินพอดี อันนี้เปนธรรมดา<br />
มันจะมาตามกัน เมื่อเรากินดวย<br />
ปญญาแลว ความรู เขาใจจุดมุ งหมายในการกินนั้น<br />
ก็จะมาทํ างานตอไปนี้<br />
๑. จํ ากัดปริมาณอาหารใหพอดีกับความตองการของรางกาย<br />
๒. จํ ากัดประเภทอาหารใหพอดีที่จะไดสิ่งที่มีคุณคาเปนประโยชน<br />
และไดสัดสวน<br />
ถึงตอนนี้<br />
การกินพอดีก็เกิดขึ้น<br />
เพราะฉะนั้น<br />
การกินดวยปญญา<br />
จึงมีชื่อวาการกินพอดี<br />
เรียกเปนภาษาพระวา ความรูจักประมาณในการ<br />
บริโภค (จากคํ าบาลีวา โภชเนมัตตัญุตา)<br />
อยางที่พูดแลวตั้งแตตนวา<br />
การเสพบริโภคกลายเปนปญหาใหญ<br />
ยิ่งของคนยุคนี้<br />
แทนที่จะมั่งคั่งพรั่งพรอมแลวจะ<br />
“อยูดีกินดี”<br />
คือมีสันติสุข<br />
แตกลายเปนวา มั่งคั่งพรั่งพรอมแลว<br />
“อยู ไมเปนกินไมเปน” กลับมาเกิด<br />
ทุกขใหมซํ าเติมตัวเอง ้ ที่คนสมัยกอนไมเคยตองวุ<br />
นวาย อยางโรคอวนขาง<br />
ตนที่กํ<br />
าลังระบาดมากขึ้น<br />
ทํ าใหตองมาถกปญหาสุขภาวะเหมือนกับมาก<br />
แงมากมุมแปลกๆ ยิ่งขึ้น<br />
ตองพูดวา อะไรกัน คนยุคนี้<br />
แคกินก็ไมเปนแลว<br />
เมื่อพูดกันมาถึงตอนนี้<br />
ก็เห็นไดแลววา การกินใชหรือเสพบริโภค<br />
/ 136<br />
๘๓
๘๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ปจจัยใหถูกตองพอดี เปนเรื่องใหญสํ<br />
าคัญมากตอสังคมจนถึงอารยธรรม<br />
ทั้งหมดแคไหน<br />
การแกปญหาเรื่องนี้ไมใชเรื่องเล็กนอยเลย<br />
แคโรคอวน<br />
คนยุคไอทีก็แสนจะวุนวาย<br />
และทํ าทาจะของขัดอยางมาก แตแนนอนวา<br />
จะแกปญหาดวยวิธีรอตัดกระเพาะกัน คงไมใชวิธีการที่ดี<br />
อันนั้นที่จริงไม<br />
นาจะเรียกวาเปนการแกปญหา แตเปนการเอาปญหาหนึ่งมาสกัดอีก<br />
ปญหาหนึ่ง<br />
ไมทํ าใหหมดปญหา<br />
ถาจะแกปญหากันจริง หนีไมพนวา จะตองพัฒนาคน ก็แคใหเขา<br />
ดํ าเนินชีวิตใหถูกตองเทานั้นเอง<br />
และในกรณีนี้ก็คือ<br />
ใหกินเปน ใหกินเสพ<br />
บริโภคดวยปญญา โดยรูจักประมาณ<br />
หรือรูพอดี<br />
พูดงายๆ วา ศีลขอ<br />
ปจจัยปฏิเสวนานี้<br />
เปนคํ าตอบ<br />
การที่จะใหคนมีศีลนั้น<br />
ทานฝกดวยวินัย<br />
เหมือนอยางในการกิน ก็มีการจัดตั้งวางระเบียบในการกิน<br />
เรียก<br />
วาวินัยในการกิน เชน กินเปนเวลา แมแตคนไทยเกาก็มีคํ ากลอนวากัน<br />
มานานวา “ใหเปนมื้อเปนคราวทั้งคาวหวาน”<br />
กินพรอมหนากัน อยางใน<br />
ครอบครัวก็ชวยเสริมสุขภาวะทางสังคมไปดวย แลวก็มีมารยาทในการ<br />
กิน (ซึ่งอาจจะคุมปริมาณอาหารแบบไมรูตัว)<br />
ที่มุงใหเกิดผลดีทั้งทางสุข<br />
ภาพกาย ทางสังคม และตอสิ่งแวดลอม<br />
ขอสํ าคัญ วินัยนั้นควรระวังเทาที่จะเปนไปได<br />
ไมใหเปนการบังคับ<br />
ซึ่งจะทํ<br />
าใหเกิดความฝนใจ ที่เสียสุขภาพจิต<br />
วิธีที่ถูกตองก็คือ<br />
ประสานสามแดนแหงการดํ าเนินชีวิตเขาดวยกัน<br />
อยางที่วาขางตนนั้น<br />
คือเอาปญญาและภาวะจิตดี ใสเขาไปในวินัยนั้น<br />
คือ<br />
ใหปฏิบัติดวยความตระหนักรู ทั้งดานโทษคือผลรายของการไมทํ<br />
าตาม<br />
และดานคุณคือผลดีของการทํ าตาม เมื่อรูเขาใจเห็นคุณคาประโยชน<br />
ของกติกาและการกินพอดีเปนตนแลว เกิดความพึงพอใจและเต็มใจที่<br />
จะปฏิบัติ (มีความสุขในการปฏิบัติและในการนึกถึงผลดีที่จะเกิดจาก
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
การกินพอดีนั้นดวย)<br />
การฝนก็กลายเปนการฝก แลวก็บูรณาการเปน<br />
วินัยแทจริง ตรงตามความหมายของวินัย ที่แปลวา<br />
“การนํ าไปใหวิเศษ”<br />
วินัยเมื่อปฏิบัติไปๆ<br />
ก็ทํ าใหเกิดเปนพฤติกรรมเคยชินที่ดี<br />
จนกลาย<br />
เปนความประพฤติปกติของบุคคลนั้น<br />
เรียกวาเกิดเปนศีลแลว ซึ่งมีผลดี<br />
ทั้งตอชีวิตของบุคคล<br />
และตอสังคม เกิดเปนวัฒนธรรมในการกิน<br />
จะอยางไรก็ตาม รวมความวา จะตองใหการกินเสพบริโภคมีผล<br />
ออกมาวา กินอาหารแลว ชวยใหรางกายแข็งแรงมีสุขภาพดี เพื่อที่รางกาย<br />
นั้นจะไดเปนปจจัยเกื้อหนุนชีวิตแหงการสรางสรรคทํ<br />
าความดีงามตอไป<br />
ตอไป เครื่องนุงหมก็ตองใชเปน<br />
เรานุ งหมเพื่ออะไร<br />
คนจํ านวน<br />
มากติดอยูแควานุงหมแตงตัวเพื่อสวยงาม<br />
ลอตากัน หรือแสดงฐานะ<br />
ความรํ่<br />
ารวย ยศศักดิ์<br />
เพื่ออวดโก<br />
อวดเดน ลํ้<br />
ายุคนํ าสมัย อันนี้ทานวา<br />
เปนแคการหลงติดสมมติในหมูมนุษย<br />
หรือไปตามกระแสสังคม<br />
แตที่จริง<br />
คุณคาแทที่ตองการในการนุงหมนั้นคืออะไร<br />
ก็แคเพื่อกัน<br />
หนาว รอน แดด ลม เหลือบ ยุง ริ้น<br />
ไร สิ่งกระทบกระทั่งกดกีดกระดาง<br />
และปองกันความละอาย<br />
ตองจับหลักไววา ใหไดคุณคาที่แทกอน<br />
สวนคุณคาเทียมเพื่อผล<br />
ทางสังคม เชนเพื่อสนองคานิยมนั้น<br />
เปนเรื่องประกอบ<br />
ใหใชแคพอ<br />
เหมาะสมอยางรู เทาทัน ถาใชดวยปญญาตระหนักรูความมุ<br />
งหมายที่แท<br />
จริงแลว ความพอดีก็เกิดขึ้นได<br />
ในทางสังคม การดํ าเนินชีวิตไมถูกตองในดานการเสพบริโภค<br />
บางทีวาทางนี้ผิดไมเอา<br />
แลวไปทางโนน ก็ไมใชวาจะถูก แตกลายเปนสุด<br />
โตงทั้งสองขาง<br />
เพราะไมไดใชดวยปญญาจริง แตเปนการติดในตัวตน<br />
เหมือนเรื่องเสื้อผานี่แหละ<br />
บางคนมองไปวาเราจะตองแตงใหสวย<br />
งาม จะตองเดนตองโก ตองใชเสื้อผาอยางนี้ใหเขารูวาเรามีฐานะสูง<br />
หรือ<br />
หรูลํ้<br />
านํ าสมัย นี้ก็สุดโตงไปขางหนึ่ง<br />
/ 136<br />
๘๕
๘๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
อีกคนหนึ่งคิดวา<br />
เราไมเอาละเรื่องสวยงามโกเก<br />
ไมตองไปใสใจ<br />
มัน เราจะปลอยตัวมอซอ ซอมซอ สกปรกมอมแมมอยางไรก็ได ไมตอง<br />
ไปคํ านึงถึงใคร อยางนี้ก็สุดโตงไปอีกขาง<br />
ที่ถูกคือทางสายกลางที่เปนทางแหงปญญา<br />
ถามีปญญาตระหนักรู<br />
คิดถูกตอง ดํ าเนินชีวิตถูกตอง มันก็เปนทางสายกลางเอง<br />
คนที่ใชปญญาจริงโดยไมติดอยูกับตัวตน<br />
จะมองวา เออ…มนุษย<br />
เรานี้จะมีชีวิตที่ดี<br />
จะพัฒนาไดผลดี ก็ตองสัมพันธกับสิ่งแวดลอมทั้งทาง<br />
กายภาพและทางสังคมอยางถูกตอง เราอยูทามกลางสิ่งแวดลอม<br />
เราก็<br />
ตองการสิ่งแวดลอมที่ดี<br />
เราเห็นธรรมชาติ เห็นตนไมเขียวสวยสดงดงาม<br />
มีใบสะพรั่งขจี<br />
มีดอกสีสันสดสวย บริเวณสะอาดเรียบรอยงดงาม จิตใจ<br />
ก็สดชื่นเบิกบาน<br />
ปุถุชนตองการสิ่งเหลานี้มาเอื้อตอการพัฒนาชีวิตจิตใจ<br />
มนุษยเรานี้เปนสิ่งแวดลอมของกันและกัน<br />
ตัวเราก็เปนสิ่งแวด<br />
ลอมของผูอื่น<br />
เราก็ควรมีจิตใจเกื้อกูลตอผูอื่น<br />
มีเมตตาไมตรีตอเพื่อน<br />
มนุษย ในฐานะที่เราเปนสิ่งแวดลอมของเพื่อนมนุษยนั้น<br />
เราก็จะแตงตัว<br />
ใหสะอาดหมดจด ถูกตองเรียบรอยตามวัฒนธรรม จะไดชวยใหคนอื่น<br />
ชื่นจิตสบายใจ<br />
แตงแคไหนจะชวยใหเพื่อนมนุษยสดใสสบายใจ<br />
เอาแค<br />
นั้น<br />
ก็เกิดความพอดีขึ้นมา<br />
นี่คือตระหนักรูดวยปญญา<br />
มีความพอใจ<br />
และเกิดความพอดีในการปฏิบัติดวย<br />
ในเรื่องสิ่งของเครื่องใชและเทคโนโลยี<br />
ก็เชนวา เด็กจะซื้อ<br />
คอมพิวเตอรเครื่องหนึ่ง<br />
คุณพอ-คุณแมก็อาจจะถามวา ที่หนูจะซื้อ<br />
คอมพิวเตอรนี้มีวัตถุประสงคจะใชประโยชนอะไร<br />
ใหเขาวิเคราะหใหไดกอน แลวก็ใหเขาวางแผนซื้อคอมพิวเตอรที่<br />
จะไดประโยชนมากที่สุดตามวัตถุประสงคนั้น<br />
หรือใหเขามาวางแผนซื้อ<br />
รวมกันกับคุณพอ-คุณแมก็ได จะไดมารวมกันคิด ทั้งสนุก<br />
และปญญาก็<br />
จะเจริญงอกงาม นอกจากมีศีลและไดประโยชนที่เปนคุณคาแทจริงใน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๘๗<br />
การใชคอมพิวเตอรแลว ก็จะพัฒนาสุขภาวะทางสังคมไปดวย<br />
คนเดี๋ยวนี้มีความมั่งคั่งรํ่<br />
ารวยทางวัตถุปจจัยสี่<br />
แตศีลไมมี แมแต<br />
ในการปฏิบัติตอปจจัยสี่<br />
กินอาหารก็ไมเปน ใชเครื่องนุงหมก็ไมเปน<br />
คนจํ านวนมากกินอาหารหรือใชเสื้อผาแลว<br />
ไมเกื้อกูลตอชีวิตเลย<br />
สิ้นเปลืองเงินทองแพงเสียเปลา<br />
แตเสียหายตอสุขภาพ แลวยังเปน<br />
ปญหาเสียหายตอสังคมอีกดวย จึงตองพัฒนาคนใหม ใหกินใชเสพ<br />
บริโภคเปน ที่จะเปนการเกื้อกูลตอกัน<br />
ทั้งเกื้อกูลตอเพื่อนมนุษยดวย<br />
ตอ<br />
ชีวิตของตนเองดวย และตอสิ่งแวดลอมทั้งหมด<br />
ในเรื่องเสนาสนะ<br />
คือที่อยูอาศัย<br />
และยาบํ าบัดโรค ก็มีบทให<br />
พิจารณาทั้งนั้น<br />
ซึ่งโดยหลักการใหญก็ทํ<br />
านองเดียวกับที่วามา<br />
รวมความวา ที่พูดมาในเรื่องศีลลํ<br />
าดับที่สองนี้<br />
เปนเรื่องการปฏิบัติ<br />
ตอวัตถุปจจัยของกินใชสิ่งเสพบริโภควา<br />
เมื่อปฏิบัติดวยปญญา<br />
เพื่อให<br />
ไดคุณคาที่แท<br />
จึงจะเรียกวามีศีล<br />
ชีวิตใคร สุขมาก หรือทุกขมาก ดูที่งานอาชีพ<br />
๓. สัมมาอาชีวะ ๑ คือ ศีลที่เปนการหาเลี้ยงชีพโดยชอบธรรม<br />
เรียก<br />
ใหงายวา อาชีพสุจริต ก็คือการประกอบอาชีพการงานใหถูกตอง<br />
อาชีพเปนการดํ าเนินชีวิตพื้นฐานของมนุษย<br />
เราอยูในโลกกับสิ่ง<br />
แวดลอม ทั้งดานที่เปนธรรมชาติและวัตถุเทคโนโลยี<br />
และดานสังคมที่<br />
เปนเพื่อนมนุษย<br />
เราจะเปนอยูดวยดี<br />
เราก็ตองมีทุนของตัวเอง คือตองมี<br />
อาชีพบริสุทธิ์<br />
ไดแกอาชีพที่สุจริต<br />
อาชีพสุจริต คืออาชีพที่ไมเบียดเบียนผูอื่น<br />
ไมกอความเดือดรอน<br />
แกเพื่อนมนุษยหรือแกสังคม<br />
เปนกิจกรรมในทางสรางสรรค ชวยแก<br />
๑ ในชุดศีล ๔ หมวดเดิมของพระสงฆ หมวดนี้เรียกวา<br />
อาชีวปาริสุทธิศีล คือ ศีลที่เปน<br />
ความบริสุทธิ์แหงอาชีพ<br />
(ดูเชิงอรรถ ที่ขอ<br />
๔ ขางหนา)
๘๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ปญหาของชีวิตและสังคม แลวก็เปนการปฏิบัติตออาชีพนั้นอยางเที่ยง<br />
ตรงตอความมุงหมายของมัน<br />
สนับสนุนความมุงหมายของอาชีพนั้น<br />
ยกตัวอยาง เชน การแพทยมีขึ้นเพื่ออะไร<br />
ก็เพื่อชวยแกไขปญหา<br />
ใหมนุษยพนจากโรคภัยไขเจ็บ และใหเขามีสุขภาพดี ดังนั้น<br />
ผู ที่ประกอบ<br />
อาชีพแพทย เมื่อทํ<br />
าการดวยตั้งใจวาจะไปชวยเพื่อนมนุษยใหพนจากโรค<br />
ภัยไขเจ็บ ก็เปนอาชีพสุจริตทั้งสองชั้น<br />
สุจริตทั้งสองชั้นเพราะวา<br />
ในชั้นแรก<br />
อาชีพแพทยนั้นก็สุจริตในตัว<br />
คือเปนการงานที่ไมเบียดเบียน<br />
แตเปนการชวยบํ าบัดทุกขบํ าเพ็ญ<br />
ประโยชน และในชั้นที่สอง<br />
ความตั้งใจในอาชีพก็สุจริต<br />
เพราะเปนการ<br />
ปฏิบัติตรงตามความมุงหมายของอาชีพนั้น<br />
ที่วาเพื่อจะแกปญหาของ<br />
มนุษยในการแกไขโรคภัยไขเจ็บ คือมีเจตนาตั้งใจตรงไปตรงมา<br />
ถาเปนครูเปนอาจารย ก็รูกันอยูวา<br />
อาชีพครูมีขึ้นเพื่อจะชวยเด็ก<br />
ใหมีการศึกษา เราทํ าอาชีพครู ก็สุจริตไปชั้นหนึ่งแลว<br />
เพราะเปนอาชีพที่<br />
ดีงามเกื้อกูลไมเบียดเบียน<br />
ทีนี้พอมีเจตจํ<br />
านงมุงวาจะทํ<br />
างานเพื่อชวยให<br />
เด็กมีความรูมีการศึกษามีชีวิตที่ไดพัฒนาอยางดี<br />
ก็สุจริตชั้นที่สอง<br />
จากนี้<br />
ลึกเขาไป ยังมีแถมพิเศษเปนชั้นที่สาม<br />
คือ ในชีวิตของเรานี้<br />
เวลาสวนใหญเราตองใชไปในการประกอบอาชีพ เชนอาจจะหมดไป ๘<br />
ชั่วโมง<br />
ซึ่งเทากับ<br />
๑ ใน ๓ ของวันเลยทีเดียว บางคนเดินทางไปกลับจาก<br />
ที่ทํ<br />
างานใชเวลาอีกหลายชั่วโมง<br />
กลายเปนหมดเวลากับเรื่องของการงาน<br />
อาชีพเกิน ๑๐ ชั่วโมงก็มี<br />
เมื่อเปนเชนนี้ก็ชัดวา<br />
ชีวิตของเราจะดีหรือราย จะไดหรือเสีย ก็อยู<br />
ที่เวลาในอาชีพนี่แหละเปนสํ<br />
าคัญ (คํ าวาอาชีพก็บอกอยูในตัวถึงความ<br />
สํ าคัญของมัน คือเปนคํ าเดียวกับชีพหรือชีวิต หมายความวาชีวิตของเรา<br />
อยูไดดวยมัน) เราจึงจะตองเอาประโยชน(ที่เปนกุศล)จากอาชีพใหได<br />
มากที่สุด<br />
แมแตสุขภาวะจะไดจะเสียก็ดูที่นี่ไดเปนแหลงใหญ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ในเมื่อเวลาของเราสวนใหญหมดไปในอาชีพ<br />
แลวหลักการของ<br />
ชีวิตก็บอกอยูวามนุษยจะดีงามเลิศประเสริฐไดดวยการพัฒนาชีวิตหรือ<br />
ฝกฝนตนเอง เราควรจะใชเวลาใหมากที่สุดในการที่จะพัฒนาชีวิตของ<br />
เรา ในเมื่อเวลาในการประกอบอาชีพเปนเวลาสวนใหญถึงหนึ่งในสาม<br />
ของชีวิตอยางนี้แลว<br />
เราจึงควรจะตองทํ าเวลาในอาชีพนั้นใหเปนเวลา<br />
ของการพัฒนาชีวิตไปดวย ดังนั้น<br />
เราจะตองเอาอาชีพนั้นแหละเปนแดน<br />
หรือเปนเวทีของการพัฒนาชีวิต<br />
ที่จริง<br />
ถาดํ าเนินชีวิตถูกตอง อาชีพยอมเปนเวทีพัฒนาชีวิตของแต<br />
ละคนอยู แลว และอาชีพอํ านวยโอกาสในการพัฒนาชีวิตอยางมาก ดัง<br />
นั้น<br />
เราจะตองเอาประโยชนจากอาชีพในดานที่เปนสาระของชีวิตนี้ใหได<br />
ไมเฉพาะใหมันเปนเวทีหาเงินหาทอง ไมเฉพาะชวยใหคนหายโรคหาย<br />
ภัยเทานั้น<br />
แตใหเปนแดนในการพัฒนาตัวเองดวย<br />
ในการทํ างานอาชีพนั้น<br />
เราจะพัฒนาความสัมพันธทั้งกับสิ่งแวดลอม<br />
ทางวัตถุ ทางธรรมชาติและทางสังคม ทั้งทักษะทุกดาน<br />
ความแคลวคลอง<br />
ทางพฤติกรรม การรู จักพูดจาติดตอสื่อสารใหไดผล<br />
การสรางบรรยากาศ<br />
แหงความราเริงเบิกบานมีความสุขในการอยูและทํ<br />
างานรวมกัน ฯลฯ<br />
เราจะพัฒนาจิตใจของตนเอง ทั้งในความเขมแข็งอดทน<br />
ความ<br />
เพียรพยายาม ความมีวินัย ความรับผิดชอบ ความมีเมตตากรุณา ความ<br />
มีนํ าใจรวมใจสงเสริม ้ ความเอื้อเฟอเผื่อแผ<br />
ความมีสติ มีสมาธิ การมี<br />
ความราเริงเบิกบาน ความสดชื่นแจมใส<br />
ความอิ่มใจชื่นใจ<br />
และความสุข<br />
เราจะพัฒนาปญญา ทั้งในการรอบรูเรื่องราวของการงาน<br />
รูเขาใจ<br />
วิชาการที่เกี่ยวของ<br />
เรียนรูและเพิ่มพูนประสบการณมากมาย<br />
ฝกการคิด<br />
แกปญหาตางๆ หลากหลาย วิเคราะหวิจัยหาทางปรับปรุงพัฒนากิจการ<br />
หรือริเริ่มสรางสรรคการที่จะแผขยายประโยชนสุข<br />
ตลอดจนรูจักโลกเขา<br />
ใจชีวิตหมดเลย<br />
/ 136<br />
๘๙
๙๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ถาตั้งใจตั้งเจตนาโดยมีความตระหนักรูที่จะพัฒนาตนอยางที่วานี้<br />
ก็จะไดผลดีเต็มที่<br />
อีกทั้งจะชวยใหทํ<br />
างานดวยความพึงพอใจมีความสุขใน<br />
อาชีพการงานดวย ไมวาเจอดีเจอราย งานงายงานยาก หรือปญหาใหญ<br />
นอย ก็เปนประสบการณและเปนแบบฝกหัดในการพัฒนาตนทั้งนั้น<br />
มีแต<br />
ได โดยเฉพาะ ยิ่งยาก-ยิ่งไดมาก<br />
แลวอาชีพก็ดํ าเนินไปในสุขภาวะดวย<br />
ควรจะแยกออกมาเนนไวเปนพิเศษในแงของความสุขวา ในเมื่อ<br />
งานอาชีพครองเวลาสวนใหญแหงชีวิตของเรา เราจะมีความสุขมาก หรือ<br />
มีความทุกขมาก ก็อยู ที่การงานนี่แหละ<br />
ดังนั้น<br />
จะตองทํ าใหการงานอาชีพ<br />
เปนชวงเวลาแหงความสุขใหได มิฉะนั้น<br />
เราจะมีชีวิตที่มีความทุกขมากมาย<br />
เมื่อคนพัฒนาโดยใชอาชีพเปนเวทีฝกฝน<br />
ก็จะยิ่งดีงาม<br />
และจะสงผล<br />
กลับมาชวยใหงานในอาชีพยิ่งไดผลมากขึ้นดวย<br />
แลวงานที่ไดผลก็ยิ่งทํ<br />
าให<br />
คนยิ่งพัฒนายิ่งมีความสุข<br />
เปนวงจรปจจยาการ แตถาทํ างานอาชีพไมเปน<br />
อาชีพก็จะไมมีประโยชนเทาที่ควร<br />
ทั้งตัวเองก็ทุกข<br />
แลวบางทีก็เปนโทษไป<br />
เบียดเบียนเพื่อนมนุษยอีก<br />
จึงตองจัดการกับเรื่องอาชีวะนี้ใหดีใหได<br />
สังคมมีวินัย คนจึงมีโอกาส<br />
๔. วินัยบัญญัติ ๑ คือ ศีลประเภทขอบัญญัติเพื่อเปนแบบแผน<br />
สํ าหรับการอยูรวมกันในชุมชน<br />
หรือในสังคม<br />
จะเห็นความแตกตางวา ศีล ๓ หมวดแรก ใหไวเพียงหลักการกวางๆ<br />
แลวผูปฏิบัติก็ควบคุมดูแลตัวเองใหเปนอยูดํ าเนินชีวิตไปตามหลักการ<br />
นั้น<br />
แตศีลหมวดวินัยบัญญัตินี้<br />
ประกอบดวยขอกํ าหนด (ขออนุญาตและ<br />
ขอหาม หรือจาริตตและวาริตต) ที่บัญญัติจัดตั้งวางไวเปนรายการที่แนนอน<br />
๑ ในศีล ๔ หมวด ของเดิม ซึ่งทานจัดแสดงไวสํ<br />
าหรับพระสงฆ ศีลหมวดนี้เรียกวา<br />
ปาฏิโมกข-<br />
สังวรศีล และจัดเปนหมวดแรก ในที่นี้<br />
ใชคํ าวา "วินัยบัญญัติ" (ขอบัญญัติที่เปนวินัย)<br />
เพื่อ<br />
ใหเปนคํ ากลางๆ ที่ใชไดทั่วไป<br />
(ศีล ๔ หมวด ของเดิมสํ าหรับพระสงฆ เรียกวา ปาริสุทธิศีล<br />
๔ เรียงลํ าดับเปน ปาฏิโมกขสังวรศีล อินทรียสังวรศีล อาชีวปาริสุทธิศีล ปจจัยสันนิสิตศีล)
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ชัดเจน อยางที่เรียกวาเปนขอๆ<br />
เปนมาตราๆ เปนตน (ในวินัยของพระ<br />
เรียกแตละขอวา "สิกขาบท" แปลวา ขอศึกษา หรือขอฝก)<br />
แตทั้งนี้<br />
ในศีล ๓ หมวดแรกนั้น<br />
ถาการปฏิบัติใดๆ ควรระบุขอ<br />
กํ าหนดไวใหแนชัด ก็จะนํ ามาบัญญัติไวในหมวดวินัยบัญญัตินี้ดวย<br />
เชน<br />
ขอกํ าหนดเกี่ยวกับอาชีวะที่วางไวเปนสิกขาบทไมนอย<br />
ดังนั้น<br />
วินัย<br />
บัญญัติจึงครอบคลุมศีลทั้งหมดในระดับทั่วไป<br />
หลักการของวินัยบัญญัติก็คือ การอยูรวมกันเปนชุมชนหรือเปน<br />
สังคม ตองมีกติกา ที่เปนขอตกลงหรือขอหมายรูรวมกันในการเปนอยู<br />
สัมพันธกัน และดํ าเนินกิจการตางๆ ซึ่งอาจจะเรียกวา<br />
กฎเกณฑ<br />
ระเบียบ กฎหมาย ตลอดจนรัฐธรรมนูญ ที่จะใหกิจการทั้งหลายดํ<br />
าเนิน<br />
ไปดวยดีและผูคนอยู<br />
กันรมเย็นเปนสุข ในระดับนั้นๆ<br />
อยางไรก็ดี จุดหมายของวินัยมิใชเพียงเพื่อใหกิจการทั้งหลาย<br />
ดํ าเนินไปดวยดีและใหผูคนอยูกันรมเย็นเปนสุข แตวินัยนั้นเปนการจัด<br />
สรรโอกาส และเปนเครื่องมือจัดสรรโอกาส<br />
วินัยจัดสรรโอกาสอยางไร? เราอยูในบานของเรา<br />
ถาในบานไมมี<br />
วินัย สิ่งของเครื่องใช<br />
โตะเกาอี้<br />
วางระเกะระกะไปหมด เราเดินออกจาก<br />
หองนอนจะไปประตู ตองเดินเลี้ยวไปเลี้ยวมา<br />
ออมโนนออมนี่<br />
บางทีชน<br />
นั่นชนนี่<br />
กวาจะไปถึงประตูได ลาชา บางทีเจ็บตัวดวย แยเลย<br />
แตพอมีวินัย สิ่งของเครื่องใชอะไรควรอยูที่ไหน<br />
ก็จัดเขาที่เรียบ<br />
รอยหมด โอกาสเปดใหเต็มที่<br />
เราเดินพรวดเดียวจากหองนอนถึงประตู ก็<br />
ออกไปไดงายและฉับไว<br />
ในระดับสังคมก็เหมือนกัน เรามีกฎจราจร ก็ทํ าใหคนมีโอกาสใน<br />
การเดินทาง ทํ าใหไปไหนมาไหนไดสะดวก แตถาไมมีวินัย ก็ติดขัด เสีย<br />
โอกาส หมดความสะดวก<br />
ถาบานเมืองไมดี คนขาดวินัย เบียดเบียนกัน เกิดอาชญากรรมมาก<br />
/ 136<br />
๙๑
๙๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
มีภัยตอชีวิตรางกายและทรัพยสิน คนจะไปไหนก็หวาดระแวงกัน บอกวา<br />
เวลานั้นยานนั้นแถบนั้นอยาไป<br />
จะทํ ากิจกรรมทางธุรกิจ ทางสังคม ทาง<br />
การศึกษา ก็ติดขัดไปหมด จะพัฒนาชีวิตก็ไมได พัฒนาสังคมก็ไมได เราก็<br />
จัดตั้งตรากฎหมายขึ้นมา<br />
ซึ่งเปนเครื่องมือในการจัดการใหเกิดความเปน<br />
ระเบียบเรียบรอย ทํ าใหมีโอกาสมากที่สุดที่จะอยู<br />
จะทํ าการเพื่อผลที่ตองการ<br />
อนึ่ง<br />
ที่วาวินัยจัดสรรใหมีโอกาสหรือเอื้อโอกาสนั้น<br />
เปนเรื่อง<br />
สัมพันธกับจุดหมาย กลาวคือ วินัยชวยใหเกิดมีโอกาสที่จะอยูจะทํ<br />
าจะ<br />
ดํ าเนินการในทางที่จะบรรลุจุดหมายอยางใดอยางหนึ่ง<br />
ของหมูชน<br />
ชุม<br />
ชน สังคม ตลอดจนองคกร หรือกิจการนั้นๆ<br />
ดวยเหตุนี้<br />
ในเวลาเดียวกัน<br />
นั้น<br />
วินัยจึงปดกั้นโอกาส<br />
เรียกวาปดชองทาง มิใหมีการกระทํ าดํ าเนิน<br />
การที่จะขัดขวางบั่นทอนการกาวไปสูจุดหมายที่มุงหวังนั้น<br />
ตัวอยางก็ดูที่วินัยของพระสงฆนี่แหละ<br />
วาวินัยจัดสรรโอกาสอยางไร<br />
การมีวัดมีพระสงฆขึ้นมานั้น<br />
มีหลักการและความมุงหมายชัดเจน<br />
วา เปนการดํ าเนินวิถีชีวิตแบบสมณะ เพื่อใหผูที่รวมอยูในสังฆะมีเครื่อง<br />
ชวยเกื้อหนุนสงเสริมใหมีความพรอมมากที่สุด<br />
ที่จะที่มุงเจริญไตรสิกขา<br />
คือฝกศึกษาพัฒนาตน ใหลุถึงวิมุตติหลุดพนมีอิสรภาพแหงนิพพาน<br />
และใหชุมชนแหงสังฆะนี้เปนแหลงที่ผูมีชีวิตอันเปนอิสระ<br />
สามารถเอื้อ<br />
ธรรมเพื่อประโยชนสุขแกมหาชนไดเต็มที่<br />
ดังนั้น<br />
ประมวลวินัยบัญญัติสํ าหรับสังฆะ ที่มีชื่อวาปาฏิโมกข<br />
จึง<br />
ประกอบดวยพุทธบัญญัติ ที่จัดวางระเบียบความเปนอยูใหเปนวิถีชีวิต<br />
แหงการเจริญไตรสิกขาและเปนนาบุญที่อํ<br />
านวยธรรม ดวยขอกํ าหนด ทั้ง<br />
ดานที่เอื้อเสริมโอกาสในการที่จะปฏิบัติสูจุดหมาย<br />
และดานที่ปดกั้นชอง<br />
โหวมิใหเกิดมีสิ่งกีดขวางตอการกาวสูจุดหมายนั้น<br />
เมื่อพูดในขั้นจุดหมายรวมของมนุษยชาติ<br />
วาตามหลักพุทธศาสนา<br />
วินัยก็จะมุงจัดตั้งวางระเบียบชีวิตระบบสังคม<br />
(รวมทั้งระบบเศรษฐกิจ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
การเมืองการปกครอง) ที่จะใหมนุษยมีโอกาสดีที่สุดในการดํ<br />
าเนินชีวิตที่ดี<br />
และพัฒนาชีวิตของตน โดยที่พรอมกันนั้น<br />
ก็ปดชองตอสิ่งที่จะกีดขวางบั่น<br />
รอนหรือทํ าลายระบบการดํ าเนินชีวิตที่ดีและการพัฒนาตนของมนุษยนั้น<br />
วินัยพื้นฐานสํ<br />
าหรับสังคมมนุษย จึงไดแก ศีล ๕ ซึ่งเปนขอกํ<br />
าหนด<br />
อยางตํ่<br />
าสํ าหรับชาวบาน ที่จะใหสังคมมีความสงบเรียบรอยในระดับที่<br />
พออยู กันได ไมลุกเปนไฟ ใหบุคคลมีโอกาสพอที่จะดํ<br />
าเนินชีวิตที่ดีและ<br />
พัฒนาชีวิตของตนได จึงถือไดวา ศีล ๕ เปนฐานของการจัดระเบียบ<br />
สังคม ดังที่ปรากฏวา<br />
จากศีล ๕ นี่ก็พัฒนาเปนกฎหมาย<br />
เปนระเบียบกฎ<br />
เกณฑอะไรตออะไรขึ้นไปอีกทีหนึ่ง<br />
โดยมากกฎหมายของเราก็อาศัยศีล ๕ นี่แหละเปนฐาน<br />
ขยาย<br />
ออกไปจากเรื่องศีลนี้แหละ<br />
เปนกฎหมายเกี่ยวกับชีวิตรางกาย<br />
เกี่ยวกับ<br />
ทรัพยสิน เกี่ยวกับครอบครัว<br />
เกี่ยวกับเรื่องทางเพศ<br />
เรื่องการใชวาจา<br />
และ<br />
เรื่องสิ่งเสพติดมัวเมา<br />
เรื่องเหลานี้เปนหัวขอใหญในการตรากฎหมาย<br />
โดยนัยที่วามา<br />
ถาไมมีวินัย มนุษยก็จะสูญเสียโอกาสในการที่จะ<br />
ดํ าเนินชีวิตที่ดีและที่จะพัฒนาชีวิตของตนใหดีงามยิ่งขึ้น<br />
แตนาสังเกตวา<br />
ระบบสังคมหรืออารยธรรมปจจุบันดูเหมือนจะทํ าการในทางที่คอนขาง<br />
จะตรงขาม คือ กลับเอื้อเสริมโอกาส<br />
(เปดชอง) ใหมนุษยดํ าเนินชีวิตใน<br />
ทางที่เปนโทษแกตนเอง<br />
ขัดขวางการพัฒนาชีวิตของตน<br />
บางทีอาจจะเปนเพราะการจัดระเบียบชีวิตและระบบสังคมใน<br />
ปจจุบันนั้น<br />
ยังตั้งอยูบนฐานแหงความคิดที่เลื่อนลอย<br />
ขาดหลักการและ<br />
จุดหมายที่ชัดเจน<br />
อาจเปนไดวา เราอยูในยุคที่เปนเพียงประชาธิปไตยอยางวา<br />
หรือ<br />
ประชาธิปไตยเพียงตามที่สักวาเรียกกัน<br />
(so-called democracy) ที่มนุษย<br />
ยังไมเขาใจความหมายของวินัยและเสรีภาพ มองไมชัดวา วินัยมีไวทํ าไม<br />
เสรีภาพมีเพื่ออะไรกันแน<br />
เริ่มตั้งแตเขาใจผิด<br />
มองวินัยเปนเครื่องบังคับ<br />
/ 136<br />
๙๓
๙๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
แลวก็เลยใชวินัยผิดทาง ไมชวยใหบรรลุจุดหมายของชีวิตและสังคม<br />
ยุติกันแคนี้กอนวา<br />
วินัยเปนเครื่องจัดสรรเอื้ออํ<br />
านวยโอกาสเพื่อให<br />
มนุษยพัฒนาชีวิตของตน แลวทีนี้<br />
เมื่อมนุษยมีเสรีภาพ<br />
เราก็เอาโอกาสที่<br />
วินัยจัดสรรใหนี้ไปใชในการพัฒนาชีวิตนั้นตามความมุงหมาย<br />
นี่ก็หมายความวา<br />
สังคมที่มีวินัย<br />
มีกฎหมาย มีรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุด<br />
คือสังคมที่จัดสรรดวยวินัย<br />
ดวยกฎหมาย ดวยรัฐธรรมนูญ เปนตนนั้น<br />
ให<br />
มนุษยในสังคมนั้นมีโอกาสพัฒนาชีวิตไดดีที่สุด<br />
คงเห็นไดแลววา ศีล ๔ หมวด ที่ทางพระจัดแบงไวนี้<br />
เปนหลักการ<br />
ดํ าเนินชีวิตและพัฒนามนุษย ที่ลวนแลวแตเกี่ยวของกับสุขภาวะทั้งนั้น<br />
ยุคไอที จะบมอินทรีย หรือปลอยอินทรียใหเขามอม<br />
ตอนี้ก็ไปเรื่องของจิตใจ<br />
แลวก็เรื่องปญญา<br />
ตามลํ าดับที่วา<br />
แดนที่<br />
๒ คือ ภาวะจิต ซึ่งโยงถึงการพัฒนาจิตใจดวย<br />
แดนที่<br />
๓ คือ การใชปญญา ซึ่งโยงถึงการพัฒนาปญญาดวย<br />
นอกจากพูดถึงเรื่องของจิตใจ<br />
และเรื่องปญญาในแตละแดนแลว<br />
ก็<br />
ตองพูดถึงเรื่องที่ภาวะจิตกับปญญาเปนปจจัยเกื้อหนุนซึ่งกันและกันดวย<br />
อยางไรก็ตาม พอดีวา ในตอนที่ผานมา<br />
ไดพูดเรื่องภาวะจิต<br />
และ<br />
เรื่องปญญา<br />
รวมทั้งเรื่องที่ภาวะจิตกับปญญาเปนปจจัยแกกันและกัน<br />
มาไมนอยแลว จึงเห็นวาในที่นี้<br />
เรื่องของแดนจิตใจและแดนปญญา<br />
นา<br />
จะพอแคนั้นกอน<br />
เมื่อพอควรแลว<br />
ก็จะพูดถึงเรื่องเกร็ดๆ<br />
และเรื่องแถมพิเศษไว<br />
หนอย เรื่องหนึ่งที่อยากใหสังเกตก็คือ<br />
ในการแกปญหา โดยเฉพาะ<br />
ปญหาชีวิตจิตใจ หรือในการดับทุกขนั้น<br />
วิธีการทางจิตใจ กับวิธีการทาง<br />
ปญญา มีประโยชนในคนละระดับ และไดผลแตกตางกัน<br />
เรื่องที่สํ<br />
าคัญคือความสุข ก็มีความสุขในระดับจิตใจ และความสุข
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ในระดับปญญา ซึ่งประณีตตางกัน<br />
วากันแบบรวบรัด ความสุขในระดับ<br />
จิตใจถึงจะลึกซึ้งแคไหน<br />
ก็ยังไมเปนอิสระจริง ตองมีปญญาเขามาปลด<br />
ปลอย จึงจะเปนอิสระสมบูรณ<br />
ในการแกปญหาจิตใจในชีวิตประจํ าวัน อยางที่เจอกันบอยๆ<br />
เชน<br />
เรื่องความโกรธ<br />
ก็มีทั้งวิธีการทางจิต<br />
และวิธีการทางปญญา ซึ่งอาจจะ<br />
โยงกัน และไดผลแตกตางกันหลายระดับ<br />
การปฏิบัติตอประสบการณและสถานการณตางๆ ก็สามารถใชวิธี<br />
การทางจิต หรือวิธีการทางปญญา หรือทั้งสองอยางประสานกัน<br />
แตในที่<br />
สุด การแกในขั้นปลดปลอยจะตองถึงปญญา<br />
อยางเรื่องเกิดมารวย-เกิดมาจน<br />
เกิดมาสวย-เกิดมาขี้เหร<br />
ฯลฯ ก็<br />
ไมมีฝายไหนไดเปรียบหรือเสียเปรียบจริง อยูที่มีวิธีปฏิบัติจัดการทางจิต<br />
และทางปญญาอยางไร<br />
ในการใชวิธีทางจิต และวิธีทางปญญาทั้งหมดนั้น<br />
ตัวทํ างานสํ าคัญ<br />
ที่พึงใสใจเปนพิเศษ<br />
คือ โยนิโสมนสิการ ที่อาจพลิกสถานการณรายสุด<br />
ให<br />
กลับเปนดีอยางยิ่งก็ได<br />
เมื่อเวลาอาจจะหมดแลว<br />
ก็ขอยกตัวอยางตอนทายสุดเลย คือใน<br />
เวลาที่คนจะตาย<br />
คนทั้งหลายก็มาคิดกัน<br />
รวมทั้งทางแพทยก็ตองคิดวา<br />
จะชวยคนไขที่ใกลตายอยางไร<br />
จะชวยใหเขาตายอยางไรจะดีที่สุด<br />
อยางที่วาแลว<br />
การปฏิบัติในเรื่องนี้<br />
มีทั้งในระดับจิตใจและใน<br />
ระดับปญญา สวนในระดับทางกายนั้นก็ถือวา<br />
แนนอนละ คุณหมอก็<br />
ตองพยายามชวยเต็มที่<br />
ในระดับจิตใจนั้น<br />
ตามปกติเราจะใหคนไขเอาจิตยึดเหนี่ยวกับสิ่ง<br />
ที่ดีๆ<br />
อยางโบราณวาใหบอกอรหัง หรือเอาคํ าวาพุทโธมาใหวา หรือให<br />
ฟงเสียงสวดมนต หรือลูกหลานอาจจะมายืนใกลๆ แลวก็มาพูดทวนให<br />
คุณพอ-คุณแม คุณปู-คุณยา<br />
คุณตา-คุณยายฟงวา เมื่อนั้นๆ<br />
นะ คุณพอ<br />
/ 136<br />
๙๕
๙๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
คุณแมไปทํ าบุญที่นั่นมา<br />
การทํ าบุญครั้งนั้นสํ<br />
าคัญ เปนประโยชนมาก<br />
อยางนั้นๆ<br />
ใหจิตใจของทานอยูกับบุญกุศล<br />
ไมกระวนกระวาย ไมฟุงซาน<br />
ไมแกวงไกวไปที่อื่น<br />
และใจของทานมีความชื่นชมยินดี<br />
เกิดปติ อิ่มใจ<br />
ปลื้มใจ<br />
มีความสุข เบิกบานผองใส<br />
ถาสามารถทํ าใหจิตใจของผูปวยผูกจับอยูกับบุญ อยูกับความดี<br />
อยู กับพระพุทธเจา อยูกับพระธรรม<br />
อยูกับพระรัตนตรัย<br />
อยูกับอะไรก็ได<br />
ที่ดีๆ<br />
ไมไปไหนอื่นเลย<br />
แลวสงบ ผองใสได ก็ถือวาประสบความสํ าเร็จ<br />
คืออยูดวยศรัทธา อยูดวยสิ่งยึดเหนี่ยวที่ทํ<br />
าใหจิตใจไมวาวุน ไมเศรา<br />
หมอง ไมทุกข ไมบีบคั้น<br />
ไมกระวนกระวาย นี้ก็เปนการดีอยางยิ่งแลว<br />
แตยังมีอีกขั้นหนึ่ง<br />
ขอใหคิดเองวา ระหวางการทํ าใหคนใกลตายมี<br />
สิ่งดีงามยึดถือ<br />
เชนบุญกุศลอยูกับใจ<br />
ซึ่งดีมากแลวนี้<br />
กับอีกขั้นหนึ่งคือ<br />
การทํ าใหทานผูที่มีชีวิตในขณะสุดทายนั้น<br />
ไดเกิดมีความรูความเขาใจ<br />
มองเห็นความจริงของชีวิต มองเห็นโลกเห็นชีวิตตามเปนจริงวา สังขาร<br />
ทั้งหลายมันเปนอยางนี้<br />
โลกนี้เปนอยางนี้<br />
มนุษยทั้งหลายเปนอยางนี้<br />
มองเห็นชีวิตสังขารตามสภาวะ แลววางใจตอชีวิตและตอสิ่งทั้งหลายทั้ง<br />
ปวงได วางใจลงตัว ไมยึดอะไรเลย อยางไหนจะดีกวากัน<br />
ยํ าวา ้ ระหวางการมีจิตยึดอยูกับสิ่งที่ดีที่สุด<br />
ระลึกถึงพระรัตนตรัย<br />
หรือใจอยูกับบุญกุศลที่ดีแลวนี้<br />
กับการมีจิตที่มีปญญาสวางแจง<br />
รูเขาใจ<br />
มองเห็นความจริงแลววางไดหมด ไมยึดเลยนี้<br />
อยางไหนดีกวา<br />
(เสียงตอบวา อยางหลัง)<br />
อยางหลังดีกวา นี้แหละจึงบอกวาตองมีการแยก<br />
อยางแรกเปนการ<br />
ใชวิธีการในระดับจิตใจ เรียกวาระดับสมถะ อยางหลังเปนระดับปญญา<br />
ในเชิงวิปสสนา<br />
ในเรื่องผู<br />
ปวยโรครายแรงหมดทางรักษา มีแงพิจารณาอีกอยางหนึ่ง<br />
คือการปดโรคหรือหลอกคนไขไมใหรูโรคที่เปน<br />
วาดีหรือไมดี อันนี้ยังตอง
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๙๗<br />
ตอบแบบมีเงื่อนไข<br />
หรือแยกวาดีขั้นไหน<br />
และไมดีขั้นใด<br />
การปดทํ านองหลอกนั้นไมใชวาไมดีเลย<br />
ก็มีดีอยูขั้นหนึ่ง<br />
เริ่มดวยมี<br />
เจตนาดี คือตั้งใจดี<br />
หวังดีตอผูปวย<br />
เกรงวาถาบอกความจริง ใจผูปวย<br />
อาจจะรับไมได อาจจะหมดกํ าลังใจ แลวก็จะทรุดหนักโดยเร็ว ก็เปนการ<br />
ชวยรักษาระดับจิตใจของเขาไวกอน<br />
ถามวาการพูดทํ านองหลอกอยางนั้นผิดศีลขอมุสาวาทไหม<br />
ก็ดูที่<br />
เจตนา มุสาวาทแทคือเจตนาพูดใหผิดจากความจริงเพื่อทํ<br />
าลายประโยชน<br />
ของเขา หรือเพื่อทํ<br />
าใหเขาเสียประโยชน ตัวเจตนาที่เปนมุสาวาทขั้นเสียศีล<br />
ก็คือตั้งใจจะเบียดเบียนเขา<br />
ถามุงดีตอเขาทานไมถือวาเปนมุสาวาทแท<br />
เพราะเจตนานี้แหละเปนตัวสํ<br />
าคัญ และเจตนาที่ผิดศีลก็คือจะเบียดเบียน<br />
ทีนี้<br />
คุณหมอเห็นคนไขใจไมเขมแข็ง ไมมีกํ าลังใจ จะรับไมไหว ถา<br />
ขืนบอกความจริงนี้<br />
คงวูบเลย จึงตอบเลี่ยงไป<br />
บางทีก็เหมือนกับหลอก<br />
อยางนี้ก็ถือวาไมใชมุสาวาทแท<br />
เพราะวาไมมีเจตนาเบียดเบียน<br />
แตทานก็ยังไมยอมใหบริสุทธิ์รอยเปอรเซ็นต<br />
เพราะอะไร เพราะยัง<br />
มีเจตนาพูดใหคลาดจากความจริง และถาปลอยตัวอยูในขั้นนี้<br />
ก็จะเกิด<br />
ความประมาท เพราะคิดวาเทานั้นพอแลว<br />
พอเจอกรณีอยางนั้นอีก<br />
ก็จะ<br />
ไดแคหลอกคนไขไปเรื่อย<br />
จึงตองพยายามตอไป คือตองพัฒนาทั้งตัวเองของคุณหมอ<br />
และ<br />
พัฒนาคนไข โดยหาทางวาทํ าอยางไร เชนจะพูดจาแบบไหน ใหคนไขพัฒนา<br />
ตัวเองไปสู การยอมรับความจริงได เมื่อไรคนไขมีปญญาสวางแจง<br />
ยอมรับ<br />
ความจริง ปลงจิตวางใจลงตัวได เมื่อนั้นเขาเปนอิสระแลว<br />
นั้นคือดีที่สุด<br />
นี่แหละที่ตองวาเปนขั้นๆ<br />
เมื่อถามวาดีไหม?<br />
ก็ตอบวาดีในขั้นหนึ่ง<br />
อยาบอกวาดีจบไปเลย ไมควรตอบตายตัวไปขางเดียว ทานใหมองอะไรๆ<br />
เปนการพัฒนาไปเปนขั้นๆ<br />
ก็ตองคอยๆ พัฒนา แลวคอยๆ แยกแยะวาไป<br />
หลักนี้ใชไดทั่วไปกับเรื่องของมนุษย<br />
ธรรมดาของมนุษยนี้<br />
เราจะ
๙๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ใหเปนเหมือนกันหมด เชน จะใหทุกคนมีความสุขดวยปจจัยตัวเดียวกัน<br />
เหมือนกันหมด เปนไปไมได เพราะวาในเวลาหนึ่งๆ<br />
มนุษยทั้งหลายอยู<br />
ใน<br />
ระดับแหงการพัฒนาที่ตางๆ<br />
กัน จึงมีความตองการเปนตนแตกตางกัน<br />
แตพรอมกันนั้น<br />
มนุษยทุกคนก็มีธรรมชาติที่ตองพัฒนา<br />
ดังนั้น<br />
ใน<br />
ขณะที่แตละคนแตกตางกัน<br />
อยู ในระดับการพัฒนาที่ไมเทากัน<br />
ก็จึงเหมือน<br />
กับมีเงื่อนไขวา<br />
ขออยางเดียวอยาใหเขาหยุดอยูกับที่<br />
คือใหแตละคน<br />
พัฒนากาวหนาตอไป และเราก็ตองมีระบบการ “บมอินทรีย” คือเสริมใส<br />
ปจจัยเกื้อหนุนหรือกระตุนทางบวก<br />
เพื่อชวยใหคนพรอมที่จะพัฒนา<br />
(ถาเรามัวประมาท ไมบมอินทรียคน ก็อาจจะเพลี่ยงพลํ้<br />
าแกฝาย<br />
มอมเมาอินทรียไปอยางไมรูตัว<br />
เชน ในยุคไอทีปจจุบัน มีปจจัยตัวแปร<br />
เลื่อนลอย<br />
หรือปจจัยที่สังคมละเลยควบคุมไมไดมากมาย<br />
ถูกปลอยมา<br />
กระตุนเราปลุกปนดานเสพใหเด็กเกิดความพรอมทางเพศเร็วไวผิดปกติ<br />
ขณะที่ความพรอมในการที่จะเรียนรูกลับยิ่งลาชาหรือทื่อดานไป<br />
เพราะ<br />
ความละเลยไมบมอินทรียอยางที่วา<br />
จึงเสียทาแกฝายมอมอินทรีย)<br />
ในกรณีตัวอยางนี้<br />
ถาพิจารณาใหดี จะมองเห็นหลักการสํ าคัญรอง<br />
รับเปนพื้นอยู<br />
พูดงายๆ วา คือเรื่อง<br />
ปจจัยภายใน กับ ปจจัยภายนอก<br />
อยางเรื่องคนไข<br />
ถาตัวคนไขทํ าใจไดเอง ใจอยูกับบุญกุศลได<br />
จน<br />
กระทั่งมองเห็นและยอมรับความจริง<br />
วางใจลงตัวเปนอิสระได ก็เรียกวา<br />
มีปจจัยภายใน ทํ าใหชวยตัวเองได หรือพึ่งตนได<br />
แตถาคนไขใจไมดีเลย พึ่งตัวเองไมได<br />
คนเฝาไข ญาติ และแพทย<br />
พยาบาล ก็ชวยจัดสภาพแวดลอม ชวยพูดชักนํ า เปนตน (หรือแมวาคนไข<br />
พอจะเขาทางได แตผู ดูแลก็ชวยเกื้อหนุนอีก)<br />
อยางนี้ก็เปนปจจัยภายนอก<br />
ในเรื่องเด็ก<br />
เรื่องนักเรียน<br />
เยาวชน จนถึงคนทั่วไป<br />
ก็เหมือนกัน ก็ใช<br />
หลักการปจจัย ๒ ดาน คือ ปจจัยภายใน กับปจจัยภายนอก นี้แหละ<br />
ปจจัยภายในตัวสํ าคัญ ไดแก โยนิโสมนสิการ ที่ไดเอยชื่อมาเปน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ครั้งคราว<br />
ประปราย<br />
ปจจัยภายนอกที่สํ<br />
าคัญ คือ คนที่เปนกัลยาณมิตร<br />
เชน แพทย พยาบาล<br />
ญาติ และคนเฝาไข ที่จิตใจดี<br />
มีความรู ความเขาใจ รู จักพูดจาแนะนํ า<br />
ทีนี้<br />
พูดถึงตัวหลักการเลยวา ในการจะเขาสู<br />
หรือเริ่มกอองครวม<br />
การดํ าเนินชีวิตที่ดี<br />
โดยมีระบบการพัฒนาชีวิตไดนั้น<br />
ตองมีปจจัยชักนํ า<br />
เกื้อหนุน<br />
เรียกวา ปจจัยแหงสัมมาทิฏฐิ<br />
ปจจัยแหงสัมมาทิฏฐิ คือ ปจจัยที่จะกระตุนเรา<br />
เกื้อหนุน<br />
ชักนํ าให<br />
เกิดความรู ความเขาใจ ไดแนวคิดที่ถูกตอง<br />
เรียกไดวาเปนปจจัยพื้นฐาน<br />
ของการศึกษา หรือปจจัยพื้นฐานของการพัฒนามนุษย<br />
มี ๒ อยาง คือ<br />
๑. ปจจัยภายนอก หรือองคประกอบภายนอก ไดแก ปรโตโฆสะ<br />
(เสียงจากผู อื่น<br />
หรืออิทธิพลจากภายนอก) เฉพาะอยางยิ่งกัลยาณมิตร<br />
๒. ปจจัยภายใน หรือองคประกอบภายใน ไดแก โยนิโสมนสิการ<br />
(ภาษาเกาแปลวา การทํ าในใจโดยแยบคาย) คือ การรู จักมอง รู จักคิด รู จัก<br />
พิจารณา ใหหาประโยชนได และใหเห็นความจริง<br />
ทั้งสองอยางนี้<br />
เปนเรื่องใหญ<br />
ในที่นี้ไดเพียงใหหัวขอ<br />
และยํ าความ ้<br />
สํ าคัญไววา ในการพัฒนามนุษย ซึ่งก็รวมการพัฒนาสุขภาวะอยู<br />
ดวยนี้<br />
จะ<br />
ตองจัดการกับปจจัยสองอยางนี้ใหดี<br />
ทั้งปจจัยภายนอก<br />
คือปจจัยดานสิ่ง<br />
แวดลอม โดยเฉพาะปจจัยทางสังคม และปจจัยภายใน คือปจจัยในตัวบุคคล<br />
ดานปจจัยภายนอก จะตองจัดระบบกัลยาณมิตร ใหมีระบบ<br />
ครอบครัว ระบบโรงเรียน ระบบชุมชน ระบบสื่อมวลชน<br />
ตลอดจนสภาพ<br />
ทั่วไปของสังคม<br />
ที่ดี<br />
รวมไปถึงการดูแลสิ่งแวดลอมทางธรรมชาติ<br />
ทางวัตถุ<br />
และการสงเสริมวัฒนธรรมอยางถูกตอง (ควรเนนเรื่องครอบครัวเปนพิเศษ)<br />
ดานปจจัยภายใน สํ าหรับคนทั่วไป<br />
ก็อาศัยปจจัยภายนอกนั่นแหละ<br />
มาเหนี่ยวนํ<br />
า โดยมีวิธีการที่แยบคาย<br />
และคนจะพึ่งตัวไดจริงก็ตอเมื่อมี<br />
ปจจัยภายในอยูในตัว<br />
/ 136<br />
๙๙
๑๐๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ถามีปจจัยภายนอก เพียงมีปจจัยทางสังคมที่ดี<br />
ก็จะทํ าไดแมแต<br />
การบมอินทรีย ที่จะทํ<br />
าใหคนเกิดความพรอมที่จะกาวไปในการพัฒนา<br />
แตถาไมจัดสภาพสังคมใหดี ปลอยใหปาปมิตรแสดงฤทธิ์กันเกลื่อนไป<br />
ก็คง<br />
จะไดแคการมอมอินทรีย ที่ทํ<br />
าใหเด็กมีความพรอมที่จะเสพติดมัวเมาใน<br />
ดานตางๆ เร็วไวอยางที่อาจจะคาดไมถึง<br />
ที่พูดนี้เปนตัวอยางวา<br />
แมแตในเวลาจะตาย ก็มีสุขภาวะไดใน<br />
ระดับตางๆ จนถึงขั้นสูงสุดที่วาถามีปญญาที่สวางจาอยางนั้น<br />
ก็จะมี<br />
ความสุขที่เปนอิสระ<br />
ดังที่บอกแลววาปญญาเปนตัวปลดปลอย<br />
ทํ าใหลงตัว<br />
ปลงลงได วางได เปนอิสระ ลวงพน โลง ไมมีอะไรมาจํ ากัด หรือวัดได<br />
ในระดับจิตใจ บางทียังตองใชวิธีครองที่<br />
คือเอาสิ่งที่ดีมายึดถือ<br />
กํ ากับไว ใหสิ่งที่ชั่วรายใหทุกขเขามาไมได<br />
หรือใชวิธีทดแทน คือเอาสิ่งที่<br />
ดีเขามาแทนที่สิ่งชั่วรายซึ่งครองที่หรือครอบงํ<br />
าจิตอยูกอน<br />
หรือเปนวิธีขม<br />
เปนวิธีปราบสยบฝายรายไมใหมีกํ าลังเขมแข็งขึ้นมามีอิทธิฤทธิ์<br />
โดยเอา<br />
ฝายดีเชนสมาธิขมเขาไป<br />
รวมความวา วิธีทางจิตใจเปนการขมไวบาง ยึดครองที่บาง<br />
ทด<br />
แทนบาง รวมทั้งปลอบประโลมดวย<br />
แตวิธีทางปญญานี้เปนการลาง<br />
ละลาย หรือหลุดพนเลย หมายความวา ทํ าใหเปนอิสระปลอดโปรงโลง<br />
ไปเลย ดังนั้นสุขภาวะในขั้นปญญาจึงมีความสํ<br />
าคัญอยางที่สุด<br />
ภาวะจิตเพื่อชีวิต<br />
และภาวะจิตเพื่อสังคม<br />
กอนจะจบ ขอพูดเรื่องสํ<br />
าคัญบางอยาง ไหนๆ เราก็พูดถึงการ<br />
พัฒนาในระดับตางๆแลว ก็ควรพูดถึงสิ่งที่จะใชประโยชนในระดับพื้น<br />
ฐาน ชนิดที่ควรจะมีเปนประจํ<br />
าไว<br />
เราบอกวา ชีวิตที่ดํ<br />
าเนินไปอยางถูกตอง เปนอยูถูกตอง<br />
หรือเปน<br />
อยูเปนนี้<br />
มีสามแดน คือ แดนความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
แดนภาวะจิต
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๐๑<br />
ใจ และแดนปญญา ทั้งนี้เราแยกไดแลววา<br />
ปญญาซึ่งพัฒนาถึงขั้นวิชชา<br />
จะเปนตัวปลดปลอยทํ าใหเปนอิสระสูงสุด ทํ าใหสมบูรณ หมายความวา<br />
พอวิชชามา ก็นํ าไปสูวิมุตติหลุดพนเปนอิสระ<br />
พรอมทั้งวิสุทธิ์ก็หมดจด<br />
สดใส และสุขสงบสันติ<br />
ทีนี้ถอยมาในระดับจิตใจ<br />
จะเนนเรื่องภาวะจิตพื้นฐาน<br />
ที่เปนคุณ<br />
สมบัติที่ทุกคนควรมีไวประจํ<br />
าในใจ ซึ่งแยกไดเปน<br />
๒ ชุด คือ<br />
ก) ภาวะจิตฝายประจํ าภายในตัว เพื่อความอยู<br />
ดีของตนเอง และเปน<br />
พื้นฐานของการพัฒนาชีวิตตอไป<br />
ชุดนี้<br />
พุทธศาสนาเนนมากวา เปนเครื่องวัดความกาวหนาของการ<br />
พัฒนาจิตใจ คือ คนไหนที่ไปปฏิบัติธรรม<br />
ถายังไมไดคุณสมบัติ ๕ อยาง<br />
นี้<br />
ถือวายังไมประสบความสํ าเร็จ คือ<br />
๑. ปราโมทย คือ ความราเริงเบิกบานใจ ขอนี้เปนพื้นใจเลย<br />
คนทุก<br />
คนควรมีภาวะจิตนี้เปนประจํ<br />
า นี้คือ<br />
emotion อยางหนึ่ง<br />
ถาพูดในทาง<br />
ธรรม เราไมใชคํ าวาอารมณ จะเลี่ยงไปใชศัพทฝรั่งเลยก็ได<br />
ในดานจิตใจ ทานถือวาปราโมทยนี้สํ<br />
าคัญมาก พระพุทธเจาตรัสวา<br />
“ปาโมชฺชพหุโล ภิกฺขุ ทุกฺขสฺสนฺตํ กริสฺสติ” แปลวา ภิกษุผู มากดวยปราโมทย<br />
จะทํ าทุกขใหหมดสิ้นไป<br />
หมายความวาจะบรรลุนิพพาน ทุกคนจึงควรมี<br />
จิตใจที่ราเริงเบิกบานอยู<br />
เสมอ ใหเปนพื้นใจเลยทีเดียว<br />
แตขอใหเปนความ<br />
ราเริงในเรื่องที่ดีงาม<br />
จึงเปนภาวะจิตกุศล เปน positive emotion<br />
๒. ปติ คือ ความอิ่มใจ<br />
ปลื้มใจ<br />
หมายความวา เวลาทํ างานทํ าการ<br />
ถาจิตของเราไมตั้งไวผิด<br />
ใจของเราไมฟุ งเฟอ ไมไปมัวหวังเพอกับกาลขาง<br />
หนา เราจะไดความอิ่มใจจากงานที่ทํ<br />
า เราทํ างานไป งานก็เดินหนาไป จิต<br />
ของเราก็ปติ อิ่มใจไปกับงานที่เดินหนาไป<br />
ถาไดผลสํ าเร็จสํ าคัญ ก็ปลื้มใจ<br />
๓. ปสสัทธิ คือ ความผอนคลาย เรียบสงบ เย็นใจ ไมเครียด ขอ<br />
สามนี้<br />
ตรงขามกับที่เราเปนปญหากันนักในปจจุบัน<br />
อยางที่บนกันวาคน
๑๐๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
มักจะเครียด แสดงวาดํ าเนินชีวิตผิด เพราะถาเราบอกวาโลกเจริญ เมื่อ<br />
ดํ าเนินชีวิตถูก ก็ตองมีชีวิตที่ดีขึ้น<br />
ตองมีปสสัทธิ<br />
อนึ่ง<br />
สามขอนี้มาตอกันเองโดยธรรมชาติ<br />
เมื่อมีปราโมทยแลว<br />
ก็<br />
เปดโอกาสใหเกิดปติ พอมีปติ อิ่มใจ<br />
ปลื้มใจแลว<br />
ปสสัทธิก็มาเองโดย<br />
อัตโนมัติ ก็จะรูสึกผอนคลายสงบเย็น<br />
มีแงพิเศษวา ปสสัทธินี้เปนขอที่โยงระหวางกายกับใจ<br />
คือพอเกิด<br />
ปสสัทธิแลว ความผอนคลายก็จะมีทั้งทางกายและทางใจ<br />
และความเครียด<br />
ก็เชนเดียวกัน ถาเกิดความเครียดแลว ก็จะเครียดทั้งกายและใจ<br />
๔. สุข คือ ความฉํ าชื ่ ่นรื่นใจ<br />
พอปสสัทธิผอนคลายแลว ความสุขก็<br />
มา คนก็มีความสุข<br />
๕. สมาธิ คือ ภาวะที่จิตมั่นแนว<br />
อยูตัว<br />
ไมมีอะไรรบกวน จะคิด จะ<br />
พิจารณา จะทํ าอะไร ใจก็อยูกับเรื่องนั้น<br />
ไมฟุงซาน<br />
ไมวอกแวกหวั่นไหว<br />
ซึ่งอาศัยความสุข<br />
คือความสุขเปนตัวเอื้อเปดโอกาสใหจิตเปนสมาธิ<br />
ตั้ง<br />
มั่น<br />
อยูตัว<br />
เขาที่<br />
ชวยใหจิตนั้นไมถูกอะไรรบกวน<br />
แลวอะไรๆ ก็รบกวนมัน<br />
ไมได และมันก็อยู กับสิ่งที่ตองการไดตามตองการ<br />
ดูงายๆ วา จิตที่เปนสมาธิก็คือจิตที่อยูกับสิ่งที่ตองการไดตาม<br />
ตองการ ถาจิตของใครยังไมอยูกับสิ่งที่ตองการไดตามที่ตองการ<br />
ก็ยังไม<br />
เปนสมาธิ และจิตนั้นก็ไมถูกรบกวน<br />
อะไรมากวนมันไมได<br />
ควรนึกไวดวยวา ความสุขนี้ก็สํ<br />
าคัญมาก ถาไมมีสุขแลว สมาธิจะ<br />
เกิดไดยาก ทานใหหลักวา สุขเปนบรรทัดฐานของสมาธิ เมื่อมีสุข<br />
ก็เปด<br />
โอกาสใหจิตอยูตัวสงบ<br />
แตพอทุกข จิตถูกบีบคั้น<br />
ก็จะดิ้นรน<br />
จึงเปนสมาธิ<br />
ไดยาก ตอจากนั้น<br />
พอมีสมาธิแลว ก็ยิ่งสุข<br />
เปนอันวา คุณสมบัติ ๕ อยางนี้<br />
ควรทํ าใหมีในจิตใจอยูเสมอ<br />
เปน<br />
ภาวะจิตที่ดี<br />
เปน positive emotions จะเรียกวาสุขภาวะทางจิตก็แลวแต
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๐๓<br />
คือ ปราโมทย ปติ ปสสัทธิ สุข สมาธิ มีชื่อรวมเรียกวา<br />
ธรรมสมาธิ หมาย<br />
ความวา เมื่อภาวะจิตหาขอนี้ตั้งแนวเขาที่แลว<br />
จิตก็เปนสมาธิดวย<br />
พอจิตเปนสมาธิแลว ถาเดินหนาถูก ไมเฉไฉเสีย ก็กาวไปสูปญญา<br />
แตทั้งนี้ก็อยูที่วาจะจัดการอยางไร<br />
แตตอนนี้จิตเองนั้นดี<br />
พรอมแลว จิตที่<br />
เปนสมาธินั้น<br />
ทานใชคํ าวา “กัมมนีย” (หรือ กรรมนีย) แปลวา ควรแกงาน<br />
คือเปนจิตที่เหมาะแกการใชงาน<br />
หรือใชงานไดดี ถาเอาไปใชงานทาง<br />
ปญญาก็จะถูกตองและดีที่สุด<br />
เปนไปตามระบบของการพัฒนาชีวิต<br />
อยางไรก็ตาม บางคนเอาจิตสมาธิที่เหมาะแกงานนี้ไปใชทางอิทธิ<br />
ฤทธิ์ปาฎิหาริยบาง<br />
เอาไปใชเปนที่หลบปญหาอยูสบายกับความสุขบาง<br />
ซึ่งเปนการใชไมถูกทาง<br />
เขวไป จะทํ าใหเกิดปญหา อยางนอยก็ทํ าให<br />
หยุดชะงัก ไมกาวไปสูจุดหมายที่แท<br />
สมาธิแมจะเปนภาวะจิตที่ดี<br />
เปนกุศล แตสิ่งที่ดี<br />
ถาใชไมถูก ก็เปน<br />
โทษได เรียกวากุศลเปนปจจัยแกอกุศล ในทํ านองเดียวกับที่อกุศลก็เปน<br />
ปจจัยแกกุศลได สมาธินั้นมีคํ<br />
าบาลีบอกลักษณะวา มันเปนโกสัชชปกข<br />
(โกสชฺชปกฺข) คือเปนพวกเดียวกับความขี้เกียจ<br />
หมายความวา พอจิตสงบ<br />
สบายอยูตัวดีแลว<br />
ก็ชวนใหไมอยากทํ าอะไร ไมอยากเคลื่อนไหว<br />
เพราะ<br />
ฉะนั้น<br />
จึงตองมีตัวดุลมา นั่นคือวิริยะ<br />
ที่เรียกวาความเพียร<br />
ความเพียรนั้นเปนความแกลวกลา<br />
จะบุกฝา จะเดินหนาเรื่อย<br />
ถา<br />
ไมมีสมาธิดุลไว ความเพียรก็จะทํ าใหพลาน ทานก็เลยใหดุลกันระหวาง<br />
วิริยะกับสมาธิ สมาธิตั้งมั่นสงบ<br />
แตถาไมมีวิริยะ มันก็ไมไป จะหยุดอยู<br />
กับที่แลวก็ขี้เกียจ<br />
เอาแตสบายจะมีความสุข แลวทีนี้พอติดความสุขใน<br />
สมาธิ ก็เกิดความประมาท กลายเปนเสียไป ดังนั้นจึงตองมีวิระยะมาดุล<br />
เมื่อมีทั้งสองอยางมาดุลกัน<br />
วิริยะคือความเพียรนี้จะเดินหนา<br />
เมื่อ<br />
มีสมาธิดวย ก็จะเดินหนาอยางเรียบสงบมั่นคง<br />
เปนการกาวไปดวยดี
๑๐๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
เรียกวามีวิริยะกับสมาธิมาคูกัน<br />
เชนเดียวกับเมื่อมีศรัทธาก็ตองมีปญญา<br />
มาดุลไว ไมใหกลายเปนเชื่องายหรืองมงาย<br />
แลวก็มีสติเปนตัวคอยดูคอย<br />
คุม คอยตรวจสอบ คอยปรับใหเขาที่พอดี<br />
เปนอันวา ในใจก็ใหมี ๕ ขอที่วามานี้แหละ<br />
เปนภาวะจิตที่ดีฝายภายใน<br />
เพื่อความอยู<br />
ดีของตัวเอง และเปนพื้นฐานที่มั่นคงของการพัฒนาชีวิตตอไป<br />
ข) ภาวะจิตฝายแผออกไปภายนอก เพื่อการสัมพันธที่ดีกับเพื่อน<br />
มนุษย และเปนพื้นฐานของการชวยผู<br />
อื่นใหพัฒนา<br />
ในการสัมพันธทางสังคม ธรรมคือคุณสมบัติ ที่พึงพัฒนาขึ้นไวเปน<br />
พื้นฐาน<br />
ก็คือภาวะจิตที่เรียกวา<br />
พรหมวิหาร ๔ ซึ่งคนไทยไดยินชื่อกันจน<br />
คุ น แตก็เขาใจคลาดเคลื่อนกันไปไกลดวย<br />
ในที่นี้<br />
เปนอันวาไมควรจะพูด<br />
ยาวแลว เพราะเวลาไมอํ านวย จึงแสดงไวแตหัวขอและอธิบายยอ ดังนี้<br />
๑. เมตตา คือ ความรัก ความปรารถนาดีอยากใหเขามีความสุข<br />
ความมีใจแผไมตรี และใฝทํ าประโยชนแกผู อื่น<br />
๒. กรุณา คือ ความสงสาร อยากชวยใหพนทุกข ใฝใจจะปลด<br />
เปลื้องบํ<br />
าบัดความทุกขยากเดือดรอนของผูประสบทุกข<br />
๓. มุทิตา คือ ความเบิกบานยินดี ในเมื่อผู<br />
อื่นอยู<br />
ดีมีสุข มีจิตผองใส<br />
บันเทิง เบิกบาน ชื่นชม<br />
ตอสัตวทั้งหลายผู<br />
ประสบความสุขความสํ าเร็จ<br />
พลอยยินดีดวย มีใจสงเสริมเมื่อเขาไดดีมีสุข<br />
เจริญงอกงามยิ่งขึ้นไป<br />
๔. อุเบกขา คือ ความมีใจเปนกลาง ที่จะดํ<br />
ารงอยู ในธรรมตามที่ได<br />
พิจารณาเห็นดวยปญญา คือมีจิตเรียบตรงเที่ยงธรรมดุจตราชู<br />
ไมเอนเอียง<br />
ดวยรักหรือชัง พิจารณาเห็นกรรมที่สัตวทั้งหลายกระทํ<br />
าแลว อันควรไดรับ<br />
ผลดีหรือชั่ว<br />
สมควรแกเหตุอันตนประกอบ พรอมที่จะวินิจฉัยและปฏิบัติ<br />
ไปตามธรรม รวมทั้งรู<br />
จักวางเฉยสงบใจมองดู ไมเขาไปกาวกายแทรกแซง<br />
ในเมื่อไมมีกิจที่ควรทํ<br />
า เพราะเขารับผิดชอบตนไดดีแลว เขาสมควรรับ<br />
ผิดชอบตนเอง หรือเขาควรไดรับผลอันสมกับความรับผิดชอบของตน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๐๕<br />
ตรงนี้ขอแทรกหนอย<br />
ทุกทานคงทราบอยูวา<br />
การทํ างานของจิตใจ<br />
อาศัยระบบของรางกาย และภาวะจิตใจมีความสัมพันธสงผลตอกันกับ<br />
ระบบของรางกายนั้น<br />
เมื่อคนโกรธ<br />
(มีภาวะจิตโกรธ หรือจะยังใชคํ าวามีอารมณโกรธ ก็<br />
แลวแต) กลามเนื้อจะเครียดเขม็งเกร็ง<br />
แมแตกลามเนื้อหนา<br />
หัวใจเตนแรง<br />
หายใจแรงและเร็ว เกิดความเรารอน ระบบการเผาผลาญทั้งหมดเรง<br />
ทํ างานหนัก ฯลฯ ในระยะยาว ถามักโกรธ หงุดหงิด รางกายจะทรุดโทรมไว<br />
แกเร็ว อาจเปนโรคบางอยางงาย เชน เปนแผลในกระเพาะอาหาร<br />
ในทางกลับกัน ถาโกรธหรือกลัวขึ้นมา<br />
แตตั้งสติได<br />
คอยๆ ผอนลม<br />
หายใจ โดยหายใจเขา-ออกยาว ชาๆ สมํ่<br />
าเสมอ อาการเครียดเกร็ง<br />
เปนตน ของรางกาย ก็จะบรรเทาลง แมแตอาการประหมาก็อาจหายได<br />
และภาวะจิตก็จะดีขึ้นดวย<br />
เรียกวา ผอนคลายสบายขึ้นทั้งองคาพยพ<br />
อยางงายๆ ถากายเครียด ใจก็เครียดดวย ถาใจเครียด กายก็<br />
เครียดดวย<br />
ขอควรใสใจพิเศษตอนนี้อยูที่วา<br />
ภาวะจิต ๒ ชุดซึ่งยกมาพูดที่นี่<br />
นอกจากมีความสํ าคัญในการพัฒนาจิตใจ และเอื้อตอการทํ<br />
างานของ<br />
ปญญาแลว ก็สงผลดีตอรางกาย เกื้อหนุนสุขภาพกายอยางมาก<br />
ตรงขามกับความโกรธ ก็คือเมตตา พอเมตตาเกิดขึ้นในใจ<br />
กลาม<br />
เนื้อทั้งหลายไดพัก<br />
การหายใจเรียบรื่น<br />
ทั้งระบบของรางกายผอนคลาย<br />
ความสงบเย็นเกิดขึ้น<br />
การเผาผลาญลดนอย ถามีเมตตาประจํ าใจใน<br />
ระยะยาว นอกจากแกชาแลว ก็จะมีบุคลิกภาพออนโยน มีเสนห หรือ<br />
ชวนคบหา และใหเกิดความสุขแกผูเขามาใกลชิดดวย<br />
คนที่มีภาวะจิตดานลบ<br />
(negative emotions) เชน โศกเศรา หวง<br />
กังวล เบื่อหนาย<br />
ทอแท หมดกํ าลังใจ ฯลฯ นอกจากรางกายจะทรุดโทรม<br />
ไปชั้นหนึ่งแลว<br />
บางทียังทํ าใหเบื่ออาหาร<br />
เปนตน ซํ้<br />
าเขาอีกชั้นหนึ่ง<br />
ทํ าให<br />
เกิดผลเสียรายแรง อาจจะเสื่อมสุขภาพกายถึงขั้นเสี่ยงชีวิตก็ได
๑๐๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
แตในทางตรงขาม ผูมีภาวะจิตที่ดี<br />
เฉพาะอยางยิ่งมีปติ<br />
อิ่มใจ<br />
แม<br />
กายจะอด ก็อยูดีไดนาน<br />
แถมมีผิวพรรณงามผองใสดวย<br />
ดังเรื่องวา<br />
ครั้งหนึ่ง<br />
พระพุทธเจาเสด็จเขาไปบิณฑบาตในหมูบาน<br />
พราหมณแหงหนึ่ง<br />
ไมทรงไดรับอาหารเลย เสด็จกลับออกมาโดยมีบาตรเปลา<br />
มารมาเยาะ พระพุทธเจาไดตรัสวา (สํ.ส.๑๕/๔๖๙/๑๖๗)<br />
เราทั้งหลายไมมีอะไรกังวล<br />
อยูเปนสุขสบายนักหนา จะ<br />
มีปติเปนภักษา เหมือนดังเหลาเทวาพวกอาภัสสรพรหม<br />
อีกตัวอยางหนึ่ง<br />
เมื่อมีผูทูลถามวา<br />
ภิกษุทั้งหลายผูสงบ<br />
ครอง<br />
พรหมจริยธรรม อยู ในปา ฉันภัตเพลาเดียว เหตุใดจึงมีผิวพรรณผองใส<br />
พระพุทธเจาตรัสตอบวา (สํ.ส.๑๕/๒๒/๗)<br />
ผู ถึงธรรม ไมเศราโศกถึงสิ่งที่ลวงแลว<br />
ไมพรํ าเพอถึงสิ ่ ่งที่ยัง<br />
ไมมาถึง เปนอยู กับปจจุบัน เพราะฉะนั้นผิวพรรณจึงผองใส<br />
สวนชนทั้งหลายผูยังออนปญญา<br />
เฝาแตฝนเพอถึงสิ่งที่ยัง<br />
ไมมาถึง มัวหวนละหอยถึงความหลังอันลวงแลว จึงซูบซีด<br />
หมนหมอง เสมือนตนออสด ที่เขาถอนทึ้งขึ้นทิ้งไวที่ในกลางแดด<br />
ไดภาวะจิตดีแค ๒ ชุดนี้<br />
เรื่องสุขภาวะก็เบาใจ<br />
เหมือนมีหลัก<br />
ประกันวา ชีวิตจะงาม-สังคมจะดี มีฐานที่มั่นของการที่จะพัฒนาตอไป
บทสรุป<br />
เชิงสาระ<br />
เทาที่พูดมา<br />
นับวายืดยาว เปนเหตุใหหัวขอทั้งหลายกระจายอยู<br />
หางกันมาก อาจทํ าใหมองภาพรวมของระบบไมชัด จึงสรุปความไวที่นี่<br />
อีกครั้งหนึ่ง<br />
ระบบการพัฒนาคน เพื่อมีองครวมการดํ<br />
าเนินชีวิตที่ดี<br />
ไดพูดถึงองครวมการดํ าเนินชีวิตที่มีองครวม<br />
๓ แดน และระบบการ<br />
พัฒนาชีวิตของมนุษย<br />
การดํ าเนินชีวิต ๓ แดนที่เปนองครวม<br />
คือ แดนความสัมพันธกับ<br />
สิ่งแวดลอม<br />
แดนภาวะจิต และแดนปญญา<br />
ที่จริง<br />
องครวมการดํ าเนินชีวิต และระบบการพัฒนาชีวิต ก็อยูดวย<br />
กัน และโยงเปนเรื่องเดียวกัน<br />
ระบบการพัฒนาชีวิต ก็คือการจัดการใหการดํ าเนินชีวิต ๓ แดนที่<br />
เปนองครวมในองครวมการดํ าเนินชีวิตนั้น<br />
เปนปจจัยเกื้อหนุนกันในการ<br />
กาวไปสู จุดหมายแหงความเปนชีวิตที่ดี<br />
ซึ่งมีคุณลักษณะที่มองไดหลาย<br />
ดาน เฉพาะดานที่ประสงคในที่นี้<br />
เรียกวาสุขภาวะ<br />
เมื่อองครวมการดํ<br />
าเนินชีวิตกาวไปในการพัฒนา หรือมีการพัฒนา<br />
อยู ก็เรียกวา “องครวมการดํ าเนินชีวิตที่ดี”<br />
ระบบการพัฒนาชีวิตของมนุษย หรือเรียกใหสั้นวา<br />
“ระบบการ<br />
พัฒนามนุษย” นี้<br />
โดยสาระก็คือการศึกษา ซึ่งเรียกวา<br />
“สิกขา” และเนื่อง<br />
จากมีองครวม ๓ แดนดังกลาวแลว จึงมีชื่อวา<br />
ไตรสิกขา (สิกขา ๓) ซึ่ง<br />
เปนการพัฒนาขององครวม ๓ แดน คือ
๑๐๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
๑. การพัฒนาแดนความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ทั้งสิ่งแวดลอมทาง<br />
กายภาพ (ธรรมชาติ วัตถุสิ่งของ<br />
เทคโนโลยี) และสิ่งแวดลอมทางสังคม<br />
คือ<br />
มวลเพื่อนมนุษย<br />
เรียกรวมวา ศีล แยกเปน<br />
๑) อินทรียสังวร คือรู จักใชอินทรีย เชน ตา หู ใหดูฟงเปน<br />
เปนตน เพื่อใหไดประโยชน<br />
โดยเนนใหมุงเพื่อการศึกษา<br />
ไมติดหลงในการเสพ<br />
๒) ปจจัยปฏิเสวนา คือกินใชเสพบริโภคดวยปญญา โดยรู จัก<br />
ประมาณ ใหเปนการกินเสพพอดี ที่จะเปนปจจัยเกื้อหนุน<br />
การพัฒนาชีวิต<br />
๓) สัมมาอาชีวะ คือประกอบอาชีพที่สุจริต<br />
ซึ่งไมเบียดเบียน<br />
ใคร แตเปนงานสรางสรรคเกื้อกูล<br />
และทํ าโดยซื่อตรงตามจุด<br />
หมาย กับทั้งไดเปนโอกาสในการพัฒนาชีวิตของตน<br />
๔) วินัยบัญญัติ คือรักษากติกาของชุมชนหรือสังคม โดยถือ<br />
เปนขอปฏิบัติในการฝกตน เพื่อใหวิถีชีวิตรวมกันนั้นเปน<br />
เครื่องเอื้อโอกาสในการกาวสูจุดหมายของการพัฒนาชีวิต<br />
โดยมีตนเองเปนสวนรวมในการสรางสภาพเอื้อโอกาสนั้น<br />
๒. การพัฒนาภาวะจิต ทั้งดานคุณภาพ<br />
สมรรถภาพ และสุขภาพ<br />
ใหเปนจิตใจที่ดีงาม<br />
เขมแข็ง มีความสุข โดยมีเจตจํ านงที่เปนกุศล<br />
และมี<br />
สภาพเอื้อพรอมตอการใชงานทางปญญา<br />
เรียกสั้นๆ<br />
วา สมาธิ<br />
๓. การพัฒนาปญญา ใหรู เขาใจมองเห็นตามเปนจริง ที่จะทํ<br />
าให<br />
ปฏิบัติจัดการแกไขปรับปรุงทุกอยางทุกดานอยางถูกตองไดผล จนหลุดพน<br />
จากปญหา ดับทุกขได ทํ าใหเปนอิสระ สดใสเบิกบาน สุขสงบอยางแทจริง<br />
เรียกงายๆ วา ปญญา<br />
การดํ าเนินชีวิตและการพัฒนาการดํ าเนินชีวิตนั้น<br />
เปนระบบและ<br />
เปนองครวม คือการดํ าเนินชีวิต ๓ แดน ที่เปนองครวม<br />
จะสัมพันธเปน
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๐๙<br />
ปจจัยแกกันกาวประสานไปดวยกันเปนอันหนึ่งเดียว<br />
ซึ่งเปนเรื่องของ<br />
ความเปนไปตามความจริงแหงธรรมดาธรรมชาติของชีวิตนี้เอง<br />
ดังเชน เราสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ไมวาจะเปนวัตถุหรือบุคคล<br />
ดวยอินทรีย เชน ตา หู หรือดวยกาย-วาจา (ศีล) โดยมีเจตนาและสภาพจิต<br />
อยางใดอยางหนึ่ง<br />
(จิตหรือสมาธิ) ตามความรู ความเขาใจความคิดเห็น ตลอด<br />
จนความเชื่อถือ[ตอปจจัยภายนอกที่ชักจูง]อยางใดอยางหนึ่ง<br />
(ปญญา)<br />
การพัฒนาการดํ าเนินชีวิต ตองทํ าโดยสอดคลองตรงกันกับความ<br />
เปนไปของสภาวะในธรรมชาติ และผลที่เกิดขึ้นก็เปนของจริงที่มีสภาวะ<br />
ตามธรรมชาตินั้น<br />
ดังนั้น<br />
เมื่อศึกษาฝกฝนพัฒนาการดํ<br />
าเนินชีวิต ๓ แดนนี้ไปแคไหน<br />
ก็มีองครวมการดํ าเนินชีวิตที่ดีขึ้นเทานั้น<br />
ฝกฝนพัฒนาอยางไร ก็ไดองค<br />
รวมที่ดีขึ้นอยางนั้น<br />
หรือสิกขาไปแคไหน มรรคก็สมบูรณขึ้นแคนั้น<br />
ไตร<br />
สิกขาเปนอยางไร ก็ไดมรรคองครวม ๑ อยางนั้น<br />
หลักการพื้นฐานเลยทีเดียว<br />
ซึ่งไมควรลืมยํ้<br />
าไวดวย คือ เรื่องปจจัย<br />
ชักนํ าเกื้อหนุนเขาสูองครวมการดํ<br />
าเนินชีวิตที่ดี<br />
เพื่อใหระบบการพัฒนา<br />
ชีวิตเดินหนาได ที่เรียกวา<br />
ปจจัยแหงสัมมาทิฏฐิ ๒ อยาง คือ<br />
๑. ปจจัยภายนอก หรือองคประกอบภายนอก ไดแก ปรโตโฆสะ<br />
(เสียงจากผู อื่น<br />
หรืออิทธิพลจากภายนอก) เฉพาะอยางยิ่งกัลยาณมิตร<br />
๒. ปจจัยภายใน หรือองคประกอบภายใน ไดแก โยนิโสมนสิการ คือ<br />
การรู จักมอง รู จักคิด รู จักพิจารณา ใหหาประโยชนได และใหเห็นความจริง<br />
สองอยางนี้<br />
ถือวาเปนปจจัยพื้นฐานของการศึกษา<br />
หรือเปนปจจัย<br />
พื้นฐานของการพัฒนามนุษย<br />
๑ การดํ าเนินชีวิตที่ดี<br />
หรือวิถีชีวิตที่ดี<br />
เรียกวา มรรค ซึ่งเปนองครวม<br />
ที่มีองครวม<br />
หรือองค<br />
ประกอบ ๘ ประการ เรียกเต็มวา (อริย)อัฏฐังคิกมรรค ดังนั้น<br />
องครวมการดํ าเนินชีวิตที่ดี<br />
จึงหมายถึง (อริย)อัฏฐังคิกมรรค นี้<br />
ซึ่งเรียกสั้นๆ<br />
วา มรรค
๑๑๐<br />
ระบบตรวจสอบ และวัดผล<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
เมื่อมีปฏิบัติการแลว<br />
ก็ควรจะมีการตรวจสอบและวัดผลดวย เรื่อง<br />
การศึกษาพัฒนานี้<br />
ก็ทํ านองนั้น<br />
เมื่อฝกศึกษาพัฒนาดวยสิกขา<br />
๓ แลว ก็ตามมาดวยหลักที่จะใช<br />
วัดผล คือ จะดูสุขภาวะ ที่เปนผลของการพัฒนา<br />
ดวยภาวนา ๔<br />
ในตอนปฏิบัติการฝกฝนพัฒนา มีสิกขา ๓ แตทํ าไมในตอนวัดผล<br />
มีภาวนา ๔ ไมเทากัน<br />
อยางที่พูดแลววา<br />
ปฏิบัติการของคนตองสอดคลองตรงตามความ<br />
เปนจริงของธรรมชาติ นี่คือระบบการพัฒนาการดํ<br />
าเนินชีวิต ที่เรียกวา<br />
สิกขา ๓ (ไตรสิกขา) ซึ่งพัฒนาการดํ<br />
าเนินชีวิต ๓ แดน ตรงไปตรงมา<br />
แตตอนวัดผล ไมตองจัดใหตรงกันแลว เพราะวัตถุประสงคอยูที่<br />
จะมองดูผลที่เกิดขึ้นแลว<br />
ซึ่งมุงที่จะดูใหเห็นชัดเจน<br />
ตอนนี้ถาแยก<br />
ละเอียดออกไป ก็จะยิ่งดี<br />
นี่แหละคือเหตุผลที่วา<br />
หลักวัดผลคือภาวนา<br />
ขยายเปน ๔<br />
อยางที่กลาวแลววา<br />
ภาวนา ๔ นี้<br />
ใชในการวัดผลเพื่อดูวาดาน<br />
ตางๆ ของการพัฒนาชีวิตของคนนั้น<br />
ไดรับการพัฒนาครบถวนหรือไม<br />
ดังนั้น<br />
เพื่อจะดูใหชัด<br />
ทานไดแยกบางสวนละเอียดออกไปอีก<br />
แตที่จริงก็ไมไดยุ<br />
งยากซับซอนอะไร ก็แคแบงสิกขาขอ ๑ (ศีล) ออก<br />
ไปเปนภาวนาขอ ๑-๒ เทานั้นเอง<br />
(แบงขอ ๑ เปน ๒ ขอ)<br />
แบงอยางไร? คือ สิกขาขอ ๑ (ศีล) นั้น<br />
มี ๒ สวนอยูแลว<br />
เมื่อจัด<br />
เปนภาวนา จึงแยกเปน ๒ ไดทันที ดังนี้<br />
ศีล ในไตรสิกขา ครอบคลุมความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ทั้งทาง<br />
วัตถุหรือทางกายภาพ และทางสังคม รวมไวในขอเดียวกัน<br />
เมื่อจะจัดเปนภาวนา<br />
ตองการดูใหชัด ก็แบงออกเปน ๒ ขอ โดย
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๑๑<br />
๑. ยกเอาความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมในโลกวัตถุ<br />
แยกออกไป<br />
เปนขอ ๑ กายภาวนา<br />
๒. สวนความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมทางสังคม<br />
คือเพื่อนมนุษย<br />
จัดเปนขอ ๒ ศีลภาวนา<br />
ขอแทรกไวเปนขอควรรูที่นาสังเกตวา<br />
สิกขาที่มี<br />
๓ นั้น<br />
เปนปฏิบัติ<br />
การที่สอดคลองตรงตามความเปนจริงของธรรมชาติอยางไร<br />
(ทํ าไมศีลในสิกขาจึงตองเปนขอเดียว แยกไมได ตอนมาเปนภาวนา<br />
จึงแยกเปน ๒ ได)<br />
บอกแลววา ศีล เปนเรื่องของความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ซึ่งมี<br />
๒<br />
ดาน คือ สิ่งแวดลอมทางกายภาพในโลกวัตถุ<br />
และสิ่งแวดลอมทางสังคม<br />
ที่เปนมนุษยดวยกัน<br />
แมวาสิ่งแวดลอมจะมี<br />
๒ ดาน แตมันก็คือสิ่งแวดลอมนั่นแหละ<br />
ใน<br />
เวลาที่เราสัมพันธกับสิ่งแวดลอมแตละครั้งแตละขณะจิตนั้น<br />
เราสัมพันธ<br />
ไดทีละสิ่งแวดลอมเดียว<br />
ดังนั้น<br />
ในกรณีหนึ่งๆ<br />
ศีลอาจจะเปนความสัมพันธกับสิ่งแวดลอม<br />
ดานที่<br />
๑ (กายภาพ) หรือความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมดานที่<br />
๒ (สังคม)<br />
ก็ได แตตองอยางใดอยางหนึ่ง<br />
ดวยเหตุนี้<br />
ในระบบพัฒนาการดํ าเนินชีวิตของไตรสิกขา ที่มีองครวม<br />
ทั้งสามแดนทํ<br />
างานประสานเปนอันเดียวกัน (แดนจิตใจ และแดนปญญา<br />
ก็ทํ างานพรอมไปดวย ในขณะที่กํ<br />
าลังสัมพันธกับสิ่งแวดลอมหนึ่งๆ)<br />
ศีล<br />
ไมวาจะสัมพันธกับสิ่งแวดลอมดานไหน<br />
จึงตองรวมอยูดวยกันเปนขอ<br />
เดียว ทํ าใหสิกขามีเพียง ๓ คือ ศีล สมาธิ ปญญา<br />
สวนในภาวนาไมมีเหตุบังคับอยางนั้น<br />
แตตองการความชัดเจน<br />
เพื่อประโยชนในการตรวจสอบ<br />
จะไดวัดผลดูจํ าเพาะใหชัดไปทีละอยาง<br />
โดยแยกเปน ในดานกายภาวนา ก็ดูวาความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมทาง
๑๑๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
วัตถุ เชนการบริโภคปจจัย ๔ เปนอยางไร ในดานศีลภาวนา ก็ดูวาความ<br />
สัมพันธกับเพื่อนมนุษยเปนอยางไร<br />
จึงแยกศีล ๒ สวนออกจากกันเปน<br />
คนละขอไปเลย<br />
ทีนี้ก็มาดูหลักของระบบการตรวจสอบวัดผล<br />
ที่เรียกวา<br />
ภาวนา ๔<br />
“ภาวนา” (ในภาษาบาลี ใหความหมายวา “วฑฺฒนา” คือ วัฒนา<br />
นั่นเอง)<br />
แปลวา การทํ าใหเจริญ ทํ าใหเปนทํ าใหมีขึ้น<br />
หรือฝกอบรม แปล<br />
งายๆ วา การพัฒนา หรือการเจริญ<br />
ภาวนา ๔ คือ การพัฒนา (development) ๔ ดาน มีดังนี้<br />
๑. กายภาวนา (การพัฒนากาย การพัฒนาความสัมพันธกับสิ่ง<br />
แวดลอมทางกายภาพ — physical development)<br />
คือ การมีความสัมพันธกับสิ่งแวดลอมทางกายภาพในทางที่<br />
เกื้อกูลและไดผลดี<br />
โดยรูจักอยูดีมีสุขอยางเกื้อกูลกันกับธรรมชาติ<br />
และ<br />
ปฏิบัติตอสิ่งทั้งหลายอยางมีสติ<br />
มิใหเกิดโทษ แตใหเกื้อกูล<br />
เปนคุณ โดย<br />
เฉพาะให ก) รู จักใชอินทรีย เชน ตา หู ดู ฟง เปนตน อยางมีสติ ดูเปน<br />
ฟงเปน ใหไดปญญา และ ข) กินใชดวยปญญา เสพบริโภคปจจัย ๔<br />
และสิ่งของเครื่องใช<br />
ตลอดจนเทคโนโลยี อยางฉลาด ใหพอดี ที่จะไดผล<br />
ตรงเต็มตามคุณคาที่แทจริง<br />
ไมลุมหลงมัวเมา<br />
ไมประมาทขาดสติ<br />
๒. ศีลภาวนา (การพัฒนาศีล, การพัฒนาความสัมพันธทางสังคม<br />
— moral development; social development)<br />
คือ การมีความสัมพันธที่เกื้อกูลกับสิ่งแวดลอมทางสังคม<br />
มีพฤติ<br />
กรรมดีงามในความสัมพันธกับเพื่อนมนุษย<br />
โดยตั้งอยูในวินัย<br />
อยูรวมกับ<br />
ผูอื่นไดดวยดี<br />
และมีอาชีวะสุจริต ไมใชกายวาจาและอาชีพในทางที่<br />
เบียดเบียนหรือกอความเดือดรอนเสียหายเวรภัย แตใชเปนเครื่องพัฒนา<br />
ชีวิตของตน และชวยเหลือเกื้อกูลกัน<br />
สรางสรรคสังคม สงเสริมสันติสุข
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๑๓<br />
๓. จิตภาวนา (การพัฒนาจิตใจ — emotional development;<br />
psychological development ๑ )<br />
คือ การทํ าจิตใจใหเจริญงอกงามขึ้นในคุณธรรม<br />
ความดีงาม<br />
ความเขมแข็งมั่นคง<br />
และความเบิกบานผองใสสงบสุข<br />
สมบูรณดวยคุณภาพจิต คือ งอกงามดวยคุณธรรม เชน มีนํ้<br />
าใจ<br />
เมตตากรุณา เผื่อแผ<br />
เอื้ออารี<br />
มีมุทิตา มีศรัทธา มีความเคารพ ออนโยน<br />
ซื่อสัตย<br />
กตัญู เปนตน<br />
สมบูรณดวยสมรรถภาพจิต คือ มีจิตใจเขมแข็ง มั่นคง<br />
หมั่นขยัน<br />
เพียรพยายาม กลาหาญ อดทน รับผิดชอบ มีสติ มีสมาธิ เปนตน และ<br />
สมบูรณดวยสุขภาพจิต คือ มีจิตใจราเริง เบิกบาน สดชื่น<br />
เอิบอิ่ม<br />
โปรงโลง ผองใส และสงบ เปนสุข<br />
๔. ปญญาภาวนา (การพัฒนาปญญา — cognitive development;<br />
mental development; intellectual development)<br />
คือ การฝกอบรมเจริญปญญา เสริมสรางความรูความคิดความ<br />
เขาใจ ใหรูจักคิด<br />
รูจักพิจารณา<br />
รูจักวินิจฉัย<br />
รูจักแกปญหา<br />
และรูจักจัด<br />
ทํ าดํ าเนินการตางๆ ดวยปญญาบริสุทธิ์<br />
ซึ่งมองดูรูเขาใจเหตุปจจัย<br />
มอง<br />
เห็นสิ่งทั้งหลายตามเปนจริงหรือตามที่มันเปน<br />
ปราศจากอคติและแรงจูง<br />
ใจแอบแฝง เปนผูที่กิเลสครอบงํ<br />
าบัญชาไมได ใหปญญาเจริญพัฒนาจน<br />
๑ ศัพทภาษาอังกฤษสํ าหรับ จิตภาวนา คือการพัฒนาจิตใจ นี้<br />
ใช emotional development<br />
เห็นวาตรงและกระชับที่สุด<br />
สวน psychological development ดูจะยืดหยุ นเกินไป ดังใน<br />
สารานุกรมบริแทนนิกา แสดงความหมายกวางครอบคลุมมาก (Psychological development,<br />
the development of human beings' cognitive, emotional, intellectual, and social<br />
capabilities and functioning over the course of the life span, from infancy<br />
through old age. Ð Encyclopaedia Britannica 2005, "psychological development")<br />
แตใน World Book 2004, "Adolescent" กลาวถึงพัฒนาการ ๔ ดานของเด็กวัยรุน<br />
โดยใชคํ าแยกกันเปน Physical development, Intellectual development,<br />
Psychological development และ Social development
๑๑๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
รู เขาใจหยั่งเห็นความจริง<br />
เปนอยูดวยปญญารูเทาทัน<br />
เห็นแจงโลกและ<br />
ชีวิตตามสภาวะ ลุถึงความบริสุทธิ์ปลอดพนจากกิเลสสิ้นเชิง<br />
มีจิตใจเปน<br />
อิสระสุขเกษมไรทุกข<br />
กอนจะผานไป ควรทราบไวเปนความรูแถมวา<br />
หลักภาวนา ๔ นี้<br />
มักพบในรูปศัพทที่เปนคํ<br />
าแสดงคุณสมบัติของบุคคล คือเปน ภาวิต ๔<br />
(แทนที่จะเปน<br />
ภาวนา ๔ ซึ่งเปนคํ<br />
าแสดงการกระทํ า) สมกับที่เปนเรื่อง<br />
ของการแสดงผลหรือวัดผล เชน บรรยายวาพระพุทธเจาทรงเปนภาวิต<br />
ทั้ง<br />
๔ นั้น<br />
(ผูเปนภาวิตครบ<br />
๔ ก็คือพระอรหันต)<br />
ภาวิต ๔ (ผู ที่ไดฝกอบรม<br />
เจริญ หรือพัฒนาแลว โดยภาวนาทั้ง<br />
๔)<br />
๑. ภาวิตกาย (ผู มีกายที่พัฒนาแลว,<br />
=มีกายภาวนา)<br />
๒. ภาวิตศีล (มีศีลที่พัฒนาแลว,<br />
=มีศีลภาวนา)<br />
๓. ภาวิตจิต (มีจิตที่พัฒนาแลว,<br />
=มีจิตภาวนา)<br />
๔. ภาวิตปญญา (มีปญญาที่พัฒนาแลว,<br />
=มีปญญาภาวนา)<br />
ชีวิตแหงความสุข เปนอยางไร<br />
ความสุขเปนเรื่องใหญ<br />
เหมือนวาทุกคนจะถือเปนจุดหมายของ<br />
ชีวิต และตามหลักที่พูดมา<br />
ความสุขก็เปนลักษณะสํ าคัญดานหนึ่งของ<br />
สุขภาวะ จึงควรจะสรุปหลักการบางอยางที่นาสนใจเกี่ยวกับความสุขไว<br />
ตามปกติ หายากที่จะไดยินใครพูดวาเขามีชีวิตที่มีความสุข<br />
แตทํ าไม<br />
พระพุทธเจาและพระอรหันตทั้งหลายจึงกลาวออกมาอยางชัดเจนเหมือน<br />
เปนคํ าประกาศวา “สุสุข วต ชีวาม” แปลวา “เรามีชีวิตเปนสุขนักหนอ”<br />
พระพุทธเจาถึงกับตรัสใหผูที่ทรงสนทนาดวยยอมรับวาพระองคทรงมี<br />
ความสุขยิ่งกวาองคพระราชามหากษัตริย<br />
เพื่อรวบรัด<br />
ขอพูดเรื่องความสุขรวมไวใน<br />
๒ หัวขอ ดังนี้
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๑๕<br />
ก) วิธีปฏิบัติตอความสุข<br />
พระพุทธเจาตรัสแสดงวิธีปฏิบัติตอความสุขไว ๔ ขอ คือ ทรง<br />
แสดงหลักในการปฏิบัติตอความทุกขและความสุขวา ความเพียร<br />
พยายามในการละทุกขลุสุข ที่จะชื่อวาถูกตอง<br />
สํ าเร็จผล กาวหนาไปใน<br />
ความสุข จนสามารถมีความสุขที่ไรทุกขได<br />
พึงดํ าเนินไปตามวิธีปฏิบัติ<br />
๔ อยาง (ม.อุ.๑๔/๑๒/๑๓) คือ<br />
๑. ไมเอาทุกขทับถมตนที่มิไดถูกทุกขทวมทับ<br />
๒. ไมละทิ้งความสุขที่ชอบธรรม<br />
๓. ไมสยบหมกมุน(แม)ในความสุขที่ชอบธรรมนั้น<br />
๔. เพียรพยายามทํ าเหตุแหงทุกขใหหมดสิ้นไป<br />
(โดยนัยคือ เพียรปฏิบัติเพื่อเขาถึงความสุขที่ประณีตขึ้นไปจนสูงสุด)<br />
ค) ระดับและประเภทของความสุข<br />
หลักในขอกอนสอนวา มนุษยจะตองพัฒนาตนใหมีความสุขที่<br />
ประณีตสูงขึ้นไป<br />
จนถึงความสุขที่สูงสุด<br />
ความสุขนั้นทานกลาวไวหลายระดับหลายประเภท<br />
ในที่นี้จะแสดง<br />
โดยสรุป โดยตั้ง<br />
สามิสสุข-นิรามิสสุข เปนหลัก ดังนี้<br />
๑. สามิสสุข (บางทีเรียกงายๆ วา อามิสสุข หรือ กามสุข) คือ<br />
ความสุขจากวัตถุสิ่งเสพบริโภค<br />
หรือความสุขที่ตองมีเหยื่อลอ<br />
เรียกใหสั้นวา<br />
สุขจากเสพ หรือ สุขขั้นตัณหา<br />
สามิสสุข เปนความสุขที่พึ่งพา<br />
ขึ้นตอสิ่งเสพภายนอก<br />
จึงเปนความ<br />
สุขที่ตองหา<br />
ตองได ตองเอา และถาไมจัดการดานวินัยใหอยูในศีล<br />
(หรือ<br />
จะเรียกตามนิยมบัดนี้ก็วา<br />
จริยธรรม) ก็จะเปนความสุขแบบแกงแยงชวงชิงกัน<br />
ทํ าใหเกิดการเบียดเบียน ตั้งแตอยางเบา<br />
จนถึงอยางรุนแรงที่สุด<br />
เรียกวา<br />
เปนความสุขที่เจือดวยภัยเวร<br />
นอกจากนั้น<br />
ถามัวประมาท ปลอยปละละเลย ไมใหคนพัฒนาตน
๑๑๖<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ดวยการศึกษาที่ตรงตามความหมาย<br />
ความสุขจากการเสพจะพวงเอา<br />
ความสุขจากการไมตองทํ ามาดวย ซึ่งเปนเหตุใหมนุษยสูญเสียความอยาก<br />
ทํ าหรือความใฝทํ าการ (คือฉันทะ) แลวการจะทํ าก็กลายเปนการตองทํ า<br />
คือการกระทํ ากลายเปนความทุกข แตมนุษยไมอาจเปนอยูไดโดยไมตอง<br />
ทํ า(งาน)อะไรเลย ดังนั้น<br />
ในที่สุด<br />
ชีวิตของเขาจึงเต็มไปดวยความทุกข<br />
พรอมกันนั้นเอง<br />
เมื่อมุ<br />
งหนาวิ่งแลนไปในการหาความสุข<br />
โดยไมรู ตัว<br />
และมัวประมาท อีกทั้งจะตองแขงขันแยงชิงกันดวย<br />
คนก็จะสุดโตงไปขาง<br />
เดียว ในแงที่จะพัฒนาความสามารถในการหาสิ่งเสพใหเกงที่สุด<br />
แตละเลย<br />
ลืมนึกถึงการพัฒนาหรือแมแตการที่จะรักษาความสามารถที่จะมีความสุข<br />
ยิ่งอยู<br />
ในโลกนานไป มนุษยยิ่งกลายเปนสัตวที่มีความสุขไดยากขึ้นๆ<br />
แต<br />
มีความทุกขไดงายขึ้นๆ<br />
พูดสั้นๆ<br />
วาเกิดภาวะ ทุกขงาย สุขไดยาก<br />
โดยนัยนี้<br />
ในโลกแหงการแสวงหาความสุขที่เกงกาจแคลวคลองยิ่ง<br />
ขึ้นๆ<br />
ของมนุษย การณจึงกลับกลายเปนวา ผลสัมฤทธิ์แหงความสุขเพิ่ม<br />
ไมทันการแผขยายของปญหาแหงความทุกข<br />
เพื่อแกปญหาความเดือดรอนจากการเบียดเบียนกันในโลก<br />
และทํ า<br />
ใหตัวมนุษยเองมีความสุขสมหวังมากขึ้น<br />
มนุษยจะตองพัฒนาตัวขึ้นสู<br />
ความสุขในระดับที่สูงขึ้นไป<br />
เริ่มตั้งแตมีความสุขที่ประณีตกวามาดุลมากขึ้น<br />
๒. นิรามิสสุข ๑ คือ ความสุขที่ไมขึ้นตอวัตถุสิ่งเสพบริโภค<br />
หรือความ<br />
สุขที่ไมตองมีเหยื่อลอ<br />
เปนความสุขภายในที่ไมตองอาศัยวัตถุภายนอก<br />
ขอ<br />
แบงซอยเปน ๒ ระดับยอย คือ<br />
๒.๑ สุขขั้นตอนิรามิส<br />
หมายถึงความสุขในระดับของการสนอง<br />
ความตองการในทางดีงามสรางสรรค หรือความตองการที่เปนกุศล<br />
เรียก<br />
ใหสั้นวา<br />
สุขขั้นฉันทะ<br />
(ซึ่งอาจแสดงออกผานคุณธรรมอื่นๆ<br />
ไดหลายอยาง)<br />
่เครงครัด ทานหมายถึงความสุขที่แมจะไมอิงอามิส<br />
แตยังเปน<br />
สุขเวทนา จึงไมรวมถึงนิพพานสุข แตในการอธิบายแบบกวางๆ คลุมๆ ทานรวมสุขที่ไม<br />
อิงอามิสหมดสิ้น<br />
คือรวมนิพพานดวย ในที่นี้<br />
ใชคํ าอธิบายแบบกวางๆ<br />
๑ นิรามิสสุข .ในความหมายที
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๑๗<br />
ขอรวบรัดโดยกลาวแตหัวขอ<br />
- สุขจากอยู ใกลชิดชื่นชมธรรมชาติ<br />
- สุขจากอยู รวมสัมพันธชวยเหลือกันกับเพื่อนมนุษยดวยเมตตาการุณย<br />
- สุขจากการคนควาหาความรู แสวงความจริงดวยใจใฝรู ใฝธรรม<br />
- สุขจากการทํ างานหรือกิจกรรมสรางสรรคที่ใจรักใฝทํ<br />
าใฝสรางสรรค<br />
- สุขจากภาวะจิตกุศล เชน มีศรัทธา มีปติในการไดทํ าบุญ-บํ าเพ็ญประโยชน<br />
มีปญญามองสิ่งทั้งหลายดวยความรู<br />
เขาใจโปรงโลง (ปญญาสงผลตอจิต)<br />
๒.๑ สุขขั้นเปนนิรามิส<br />
หมายถึงความสุขในระดับที่เปนนิรามิส<br />
แทจริง เปนอิสระจากสิ่งภายนอกสิ้นเชิง<br />
กลาวแตหัวขอใหญ<br />
- สุขจากสมาธิในฌาน (จิตสงบปลอดพนจากอกุศลและสิ่งรบกวน)<br />
- สุขแหงนิพพาน (ปญญารูแจงจริงถึงขั้นทํ<br />
าใหจิตหลุดพนเปนอิสระ<br />
สมบูรณ มีวิชชา วิมุตติ วิสุทธิ สันติ พรอม)<br />
เรื่องความสุข<br />
ขอยุติแคนี้กอน<br />
ถาองครวมชีวิตมีสุขภาวะจริง องครวมโลกจะมีสันติสุขดวย<br />
มีหลักใหญที่ยกมาเนนเมื่อกี้วา<br />
องครวมใหญที่มนุษยเราเกี่ยวของ<br />
มีองคประกอบ ๓ สวน คือ ชีวิต สังคม ธรรมชาติ แลวทั้งชุดนี้ก็มาเชื่อม<br />
กันที่ชีวิตคน<br />
ขอยํ้<br />
าอีกทีวา คนหรือมนุษยทุกคนนี้มี<br />
๒ ภาวะในตัว คือ<br />
ภาวะหนึ่ง<br />
มนุษยเปนชีวิต ที่เปนสวนหนึ่งของธรรมชาติ<br />
และมันก็<br />
เปนอันเดียวกับธรรมชาติทั่วไปทั้งหมด<br />
ตรงนี้<br />
ถาเราจับจุดถูก เราก็ตอง<br />
พยายามทํ าตัวเราที่เปนชีวิต<br />
ซึ่งเปนธรรมชาตินี้<br />
ใหประสานกลมกลืน<br />
เกื้อกูลกับธรรมชาติทั่วไป<br />
อีกภาวะหนึ่ง<br />
มนุษยเปนบุคคล ที่เปนสวนหนึ่งของสังคม<br />
ซึ่งจะ<br />
ตองรูเขาใจและปฏิบัติใหถูกตองไดผลดี ทั้งในแงเปนสวนรวมที่ดีของ<br />
สังคม และในแงที่เทาทันตอการที่จะไดรับประโยชนหรือผลจากสังคม
๑๑๘<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
เมื่อเราเปนทั้งชีวิตในธรรมชาติ<br />
และเปนบุคคลในสังคมแลว ถาเรา<br />
จะใหสังคมประสานกับธรรมชาติ เราก็ประสานไดที่ตัวเรา<br />
คือตองประสาน<br />
บุคคลกับชีวิตใหได โดยทํ าใหชีวิตกับบุคคลในตัวเรานี้เกื้อกูลซึ่งกันและกัน<br />
อันนี้เปนจุดหนึ่งที่สํ<br />
าคัญ ซึ่งตองพูดกันยาว<br />
คือทํ าอยางไรจะให<br />
ชีวิตที่เปนหนวยธรรมชาติ<br />
กับบุคคลที่เปนหนวยสังคม<br />
ซึ่งอยู<br />
ในตัวเรา<br />
ทั้งสองอยางหรือทั้งสองภาวะนี้<br />
มาประสานเกื้อกูลกันได<br />
ถาเราประสาน<br />
ทํ าใหมันกลมกลืนกันลงตัวไดเมื่อไร<br />
เมื่อนั้นเราจะสามารถทํ<br />
าใหทั้งองค<br />
รวมทั้งระบบที่วามาแลว<br />
กลมกลืนประสานกันไดหมด<br />
ตอนนี้มันตรงขาม<br />
คือเปนปญหาขัดแยงกัน แมแตในการกินอยาง<br />
ที่วากันมานั้น<br />
ก็เปนเรื่องขัดแยงกันระหวางภาวะดานบุคคล<br />
กับภาวะ<br />
ดานชีวิต คือคนกินเพื่อสนองความตองการของบุคคล<br />
เชนมุงเอาความ<br />
โกหรู ไมไดกินเพื่อสนองความตองการของชีวิต<br />
ที่จะใหรางกายไดอาหาร<br />
ที่มีคุณคาแทเปนประโยชน<br />
แถมกินสนองความตองการของภาวะดาน<br />
บุคคลแลว ยังบั่นรอนทํ<br />
าลายภาวะดานชีวิตอีกดวย<br />
ขอใหลองคิดดูเถอะ ปญหาในสังคมพัฒนาแลว ที่ทํ<br />
าลายสุขภาวะ<br />
มากมายนั้น<br />
ก็มาจากการที่คนเอาใจใสแตภาวะดานบุคคลของเขา<br />
และ<br />
มองขามภาวะดานชีวิตของตนไปเสีย ปลอยใหเกิดความขัดแยงระหวาง<br />
สองดานนั้น<br />
โดยภาวะดานชีวิตเปนฝายถูกบั่นรอนทํ<br />
าลาย จึงจะตองแก<br />
ปญหานี้ดวยการปฏิบัติตามระบบองครวมที่กลาวมา<br />
ถาแกไขปญหาความขัดแยงระหวาง ๒ ภาวะนี้ที่ตัวคนไดเมื่อไร<br />
ก็<br />
จะผานรวดเดียวไดหมดทั้งระบบ<br />
คือ มนุษย สังคม ธรรมชาติ จะมา<br />
กลมกลืนเปนอันเดียวและประสานกันได<br />
ทานอธิบดี และทุกทานในกระทรวงสาธารณสุข ตลอดจนวงการ<br />
แพทยทั้งหมด<br />
ซึ่งทํ<br />
างานเกี่ยวกับชีวิตมนุษย<br />
ก็จะนํ าชีวิตนั้นมาประสาน<br />
กับบุคคลนี่แหละ<br />
อยางนอยใหบุคคลเห็นความสํ าคัญและใสใจตอสุขภาวะ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๑๙<br />
ของชีวิต แลวจะทํ าใหระบบขององครวมนี้เปนอยู<br />
และดํ าเนินไปดวยดี ถือ<br />
วาทํ ากุศลที่ยิ่งใหญ<br />
อยางนอยก็จะทํ าใหประเทศชาติของเรา ไดเจริญ<br />
พัฒนาไปในหนทางที่ถูกตอง<br />
ถาออกไปในโลก ก็จะชวยกันนํ าโลกไปใน<br />
ทางที่ถูกตองดวย<br />
อยางนอยก็ไมไปซํ้<br />
าเติมปญหาของตนเอง<br />
เปนอันวาไดพูดไปเรื่อยๆ<br />
ก็ขออนุโมทนาทานอธิบดีกรมพัฒนาการ<br />
แพทยแผนไทยและการแพทยทางเลือก ทานผู ตรวจราชการ และคุณหมอ<br />
ชูฤทธิ์<br />
เจาของเรื่อง<br />
พรอมทั้งคุณหมอที่เปนวิทยากร<br />
และทานผูทรงคุณ<br />
วุฒิจากกระทรวงสาธารณสุข จากโรงเรียน จากโรงพยาบาล และหนวย<br />
งานทางสาธารณสุข ทางการแพทยทุกทาน ถือวาทุกทานกํ าลังทํ างานที่<br />
สํ าคัญมาก ทํ างานอันเปนพื้นฐานของสังคม<br />
ซึ่งเริ่มที่ชีวิตของคนแตละ<br />
คน ตามหลักที่วา<br />
ถาชีวิตไมดีแลว สังคมจะดีไมไดแนๆ<br />
ก็ขอใหทุกทานซึ่งมีจิตใจเปนกุศล<br />
ไดมีสุขภาวะเกิดขึ้นในตัวของ<br />
ทาน แลวขยายไปสูเพื่อนมนุษยอื่นดวย<br />
เริ่มจากในสังคมไทยของเราแลว<br />
ก็ขยายทั่วไป<br />
ดวยการเผยแพรปญญาเปนตน ซึ่งเปนสิ่งสํ<br />
าคัญที่สื่อสาร<br />
ไปถึงกันและกัน แลวก็ชวยการพัฒนามนุษยใหสํ าเร็จ<br />
ขอใหความมุงหมายอันดีงามที่เปนกุศลนี้ของทุกทาน<br />
บรรลุผล<br />
สํ าเร็จดวยดี และขอใหทุกทานเจริญดวยจตุรพิธพรชัย ขอใหเพื่อนมนุษย<br />
ชาวโลก ตั้งแตประเทศไทยของเรานี้<br />
อยู กันดวยความรมเย็นเปนสุขทุกเมื่อ<br />
ผู ตรวจราชการ (นายแพทยสถาพร วงษเจริญ):<br />
- กระผม ในนามของคณะที่ไดมารับฟงธรรมโอวาทจากทานอาจารย<br />
พระพรหมคุณาภรณในวันนี้<br />
ก็ตองขอกราบขอบพระคุณที่ไดนํ<br />
าสิ่งที่ได<br />
เปนคุณเปนประโยชนแกมนุษยชาติทั้งหมด<br />
ใหพวกเราเปนแนวทางใน<br />
การจะไปปฏิบัติใหเกิดประโยชนกวางขวางตอไป พวกเราขอกราบ<br />
ขอบพระคุณเจาคุณอาจารยไว ณ โอกาสนี้ครับ
ผนวก ๑<br />
การปฏิบัติตอความสุข ๑<br />
ขอที่<br />
๑ พระพุทธเจาตรัสวา ไมใหเอาทุกขมาทับถมตนที่ไมมีทุกข<br />
หมายความวา เราอยูในโลก<br />
เราก็มีชีวิตอยูตามธรรมดาสังขาร<br />
สังขารมันก็ไม<br />
เที่ยง<br />
เปนทุกข เปนอนัตตา ตามธรรมดาของมัน เราดํ าเนินชีวิตใหดีงามถูก<br />
ตอง แลวทุกขตามธรรมชาติก็มีของมันไป อันนั้นเราไมไปเถียงมัน<br />
แตเราไม<br />
เพิ่ม<br />
เราไมเอาทุกขมาทับถมตัวเรา เราก็สบายไปขั้นหนึ่งแลว<br />
ในทางตรงขาม ถาเราปฏิบัติไมถูกตอง ทุกขที่มันมีอยูในธรรมชาตินั้น<br />
มันก็เกิดเปนทุกขในใจของเรา เราก็เอาทุกขมาทับถมตัวเอง ดังจะเห็นวาบาง<br />
คนปฏิบัติไมถูกตอง เที่ยวหาทุกขมาใสตนมากมาย…<br />
ทีนี้<br />
ถาเราวางใจถูกตอง อยางนอยเราก็รูวา<br />
ออ นี่คือธรรมดาของโลก<br />
เราไดเห็นแลวไง พระพุทธเจาตรัสไวแลววา เราอยูในโลก<br />
เราตองเจอโลก<br />
ธรรมนะ เราก็เจอจริงๆ แลว เราก็รูวา<br />
ออ นี่ความจริงมันเปนอยางนี้เอง<br />
เราได<br />
เห็น ไดรูแลว<br />
เราจะไดเรียนรูไว<br />
พอบอกวาเรียนรู เทานั้นแหละ<br />
มันก็กลายเปนประสบการณสํ าหรับศึกษา<br />
เราก็เริ่มวางใจตอมันไดถูกตอง<br />
ตอจากนั้น<br />
ก็นึกสนุกกับมันวา ออ ก็อยางนี้<br />
แหละ อยูในโลกก็ไดเห็นความจริงแลววามันเปนอยางไร ทีนี้ก็ลองกับมันดู<br />
แลวเราก็ตั้งหลักได<br />
สบายใจ อยางนี้ก็เรียกวาไมเอาทุกขมาทับถมใจตัวเอง<br />
อะไรตางๆ นี่<br />
โดยมากมันจะเกิดเปนปญหาก็เพราะเราไปรับกระทบ<br />
ถาเราไมรับกระทบ มันก็เปนเพียงการเรียนรู<br />
บางทีเราทํ าใจใหถูกตองกวานั้น<br />
ก็คือ คิดจะฝกตนเอง พอเราทํ าใจวาจะฝกตนเอง เราจะมองทุกอยางในแงมุม<br />
ใหม แมแตสิ่งที่ไมดีไมนาชอบใจ<br />
เราก็จะมองเปนบททดสอบ<br />
พอมองเปนบททดสอบทีไร เราก็ไดทุกที ไมวาดีหรือรายเขามา ก็เปน<br />
บททดสอบใจและทดสอบสติปญญาความสามารถทั้งนั้น<br />
ก็ทํ าใหเราเขมแข็ง<br />
๑ คัดตัดมาจาก หนังสือ ความสุขที่สมบูรณ<br />
[ธรรมกถาของ พระธรรมปฎก (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
เมื่อวันที่<br />
๒๔ ก.ค. ๒๕๓๗] ฉบับพิมพครั้งที่<br />
๗ Ñ พฤศจิกายน ๒๕๔๐ (๓๑ หนา)
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๒๑<br />
ยิ่งขึ้น<br />
เพราะเราไดฝกฝน เราไดพัฒนาตัวเรา เลยกลายเปนดีไปหมด<br />
ถาโชค หรือโลกธรรมที่ดีมีมา<br />
เราก็สบาย เปนสุข แลวเราก็ใชโชคนั้น<br />
เชน ลาภ ยศ เปนเครื่องมือเพิ่มความสุขใหแผขยายออกไป<br />
คือใชมันทํ าความ<br />
ดี ชวยเหลือเกื้อกูลเพื่อนมนุษย<br />
ทํ าใหความสุขขยายจากตัวเรา แผกวางออก<br />
ไป สูผูคนมากมายในโลก<br />
ถาเคราะห หรือโลกธรรมที่รายผานเขามา<br />
ก็ถือวาเปนโอกาสที่ตัวเรา<br />
จะไดฝกฝนพัฒนา มันก็กลายเปนบททดสอบ เปนบทเรียน และเปนเครื่องมือ<br />
ฝกสติ ฝกปญญา ฝกการแกปญหา เปนตน ซึ่งจะทํ<br />
าใหเราพัฒนายิ่งขึ้นไป…<br />
ขอที่<br />
๒ ทานวาไมละทิ้งสุขที่ชอบธรรม<br />
สุขที่ชอบธรรม<br />
คือสุขที่เรา<br />
ควรไดควรมีตามเหตุปจจัย มีหลายขั้นหลายระดับ<br />
เรามีสิทธิ์ที่จะไดรับความ<br />
สุขเหลานั้น<br />
แตใหเปนไปโดยชอบธรรม เชนถาเปนความสุขทางวัตถุ ก็ไมให<br />
เปนความสุขที่เบียดเบียน<br />
กอความเดือดรอนแกผูอื่น<br />
แตควรจะเปนความสุข<br />
ที่เผื่อแผ<br />
ซึ่งชวยใหเกิดความสุขขยายกวางขวางออกไป<br />
ถาสุขของเราเกิดขึ้นโดยตั้งอยูบนความทุกขของผูอื่น<br />
ก็ไมดี ไมชอบ<br />
ธรรม เพราะฉะนั้น<br />
จึงตองใหเปนความสุขที่ชอบธรรม<br />
เราสุข ผูอื่นก็ไมทุกข<br />
ถาใหดียิ่งกวานั้น<br />
ก็ใหเปนสุขดวยกัน<br />
สุขนี้มีหลายแบบ<br />
หรือหลายระดับ คือ<br />
๑. สุขแบบแยงกัน<br />
๒. สุขแบบไปดวยกัน หรือสุขแบบประสานกัน<br />
๓. สุขแบบอิสระ<br />
สุขแบบแยงกันก็คือ ถาเขาสุขเราก็ทุกข ถาเราสุขเขาก็ทุกข โดยมาก<br />
จะเปนความสุขประเภทที่เกี่ยวกับวัตถุ<br />
ความสุขที่เกี่ยวกับวัตถุนั้นตองไดตอง<br />
เอา พอเราไดมาเราสุข คนอื่นเสีย<br />
หรือไมได เขาก็เกิดความทุกข แตพอเขาได<br />
เราเสียเราไมได เขาสุขเราก็ทุกข ความสุขอยางนี้ไมเอื้อตอกัน<br />
ยังกอปญหา…<br />
ความสุขขั้นที่สอง<br />
คือความสุขที่ประสานกัน<br />
ชวยกันสุข ถาเราสุขก็ทํ า<br />
ใหเขาสุขดวย นี่ก็คือความสุขที่เกิดจากการพัฒนาจิตใจ<br />
โดยเฉพาะก็คือ<br />
ความรักแท…ที่ตองการใหคนอื่นเปนสุข…<br />
ความรักแทที่ตองการใหคนอื่นเปนสุข<br />
จะเห็นไดงายๆ เหมือนความรัก
๑๒๒<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ของพอแม พอแมรักลูก ก็คืออยากใหลูกเปนสุข ถาเราอยากใหลูกเปนสุข เรา<br />
ก็ตองพยายามทํ าทุกอยางเพื่อใหลูกเปนสุข<br />
เพื่อจะไดเห็นลูกมีความสุข<br />
พอ<br />
เห็นลูกมีความสุข พอแมก็มีความสุขดวย…<br />
ตามปกติคนเรานี้<br />
จะตองไดตองเอา จึงจะเปนสุข ถาให ตองเสีย ก็ทุกข<br />
แตพอมีความรัก คือเมตตาขึ้นแลว<br />
การใหก็กลายเปนความสุขได<br />
ทีนี้<br />
พอเราให เขาเปนสุข เราเห็นเขาเปนสุขสมใจเรา เราก็สุขดวย<br />
แสดงวาความสุขของบุคคลทั้งสองนี้<br />
อาศัยซึ่งกันและกัน<br />
เปนความสุขแบบ<br />
ประสาน คือ รวมกันสุข หรือสุขดวยกัน ไมใชความสุขแบบแยงกัน<br />
ถาเราพัฒนาจิตใจอยางนี้<br />
โดยขยายความรักความเมตตาออกไป เรา<br />
ก็สามารถมีความสุขเพิ่มขึ้น<br />
โดยที่คนอื่นก็มีความสุขดวย<br />
อยางนี้ก็เปนความ<br />
สุขที่ประกอบดวยธรรม<br />
ถาความสุขอยางนี้เกิดขึ้นมาก<br />
ก็ทํ าใหโลกนี้มีสันติสุข<br />
เริ่มตั้งแตในครอบครัวเปนตนไป…<br />
เปนอันวา ในขั้นตน<br />
มนุษยเรามีความสุขจากการไดการเอา จึงแยง<br />
ความสุขกัน แตเมื่อพัฒนาไปพอถึงขั้นที่<br />
๒ จิตใจมีคุณธรรม เชนมีเมตตา มี<br />
ไมตรี มีศรัทธา การใหกลายเปนความสุข ก็เกิดความสุขจากการให จึง<br />
เปลี่ยนเปนความสุขที่ประสานสงเสริมอุดหนุนซึ่งกันและกัน<br />
มนุษยเราก็พัฒนาตอไปในเรื่องความสุข<br />
แลวก็ทํ าใหทั้งชีวิตและทั้ง<br />
โลกนี้มีความสุขมากขึ้นดวย<br />
แตรวมความก็คือวา เราตองพยายามทํ าตัวใหมี<br />
ความสุขโดยถูกตอง ถาทํ าไดอยางนี้<br />
ก็เปนการมีความสุขโดยชอบธรรม…<br />
ขอที่<br />
๓ ไมสยบมัวเมาในความสุขแมที่ประณีต<br />
พระพุทธเจาตรัสวา<br />
ถาเปนความสุขโดยชอบธรรมแลว เรามีสิทธิ์เสวย<br />
ไมตองไปสละละทิ้ง<br />
แต<br />
ทานสอนไมใหหยุดแคนี้<br />
เพราะถาเราปฏิบัติผิด พอเรามีความสุขแลว เราก็<br />
อาจจะพลาด<br />
จุดที่จะพลาดอยูตรงนี้คือ<br />
เรามีสิทธิ์ที่จะสุข<br />
และเราก็สุขแลว แตเรา<br />
เกิดไปหลงเพลิดเพลินมัวเมา พอเราหลงเพลินมัวเมา ความสุขนั้นก็จะกลับ<br />
กลายเปนปจจัยของความทุกขได พอถึงตอนนี้ก็จะเสีย<br />
เพราะฉะนั้นความสุข<br />
นั้นเราจะตองรูทันดวย<br />
ความสุขก็เปนโลกธรรมอยางหนึ่ง<br />
คือ มันเกิดขึ้นแลว<br />
ก็ตั้งอยู<br />
และดับ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
/ 136<br />
๑๒๓<br />
ไป เปนอนิจจัง เปลี่ยนแปลงไปได<br />
ถาเรารูทันความจริงนี้<br />
เมื่อสุข<br />
เราก็เสวย<br />
สุขนั้นโดยชอบธรรม<br />
แตเราไมหลงมัวเมาในความสุขนั้น<br />
เมื่อรูเทาทัน<br />
ไมหลงมัวเมาแลว มันก็ไมเปนปจจัยใหเกิดทุกข แตถา<br />
หลงมัวเมา สุขก็เปนปจจัยแกทุกข อยางนอยก็ทํ าใหติด แลวก็เพลิดเพลิน<br />
หลงมัวเมา ไมทํ าอะไร ทํ าใหเกิดความประมาท…<br />
ขอที่<br />
๔ พัฒนาความสุขที่ประณีต<br />
และสูงยิ่งๆ<br />
ขึ้นไป<br />
ความสุขมีหลายระดับ อยางที่ยกมาพูดเมื่อกี้<br />
เริ่มตนเรามีความสุข<br />
จากการเสพวัตถุ คือสิ่งที่จะมาบํ<br />
ารุงตา หู จมูก ลิ้น<br />
กายของเรา ใหไดดู ฟง<br />
ดมกลิ่น<br />
ลิ้มรสที่ชื่นชมชอบใจ<br />
พวกนี้เปนความสุขทางประสาทสัมผัสเบื้องตน<br />
เมื่อพัฒนาตอไป<br />
เราก็มีความสุขเพิ่มขึ้นอีก<br />
อยางที่วาเมื่อกี้<br />
คือความ<br />
สุขจากคุณธรรม<br />
ตอนแรกเราเคยมีความสุขจากการไดการเอาอยางเดียว เปนความสุข<br />
ขั้นตน<br />
ยังแคบอยู<br />
พอเรามีคุณธรรมเพิ่มขึ้น<br />
เราก็มีความสุขจากการใหดวย<br />
เมื่อมีศรัทธา<br />
เราก็มีความสุขจากการทํ าบุญทํ ากุศล เมื่อทํ<br />
าบุญทํ า<br />
กุศลไปแลว ระลึกขึ้นมาเมื่อไรก็มีความปติอิ่มใจ<br />
มีความสุขจากการไดทํ า<br />
ประโยชนแกเพื่อนมนุษย<br />
ไดชวยเหลือสังคม และไดทํ าความดีงามตางๆ<br />
ถาเราไมประมาท คือไมหยุดเสียแคความสุขขั้นตน<br />
เราจะสามารถ<br />
พัฒนาในความสุข ทํ าความสุขใหเกิดขึ้นไดอีกมากมาย<br />
ตอจากนี้<br />
ความสุขก็ขยายออกไปอีก เลยจากความสุขในการทํ าความ<br />
ดี ก็ไปสูความสุขที่เกิดจากปญญา<br />
ความสุขที่เกิดจากปญญา<br />
ก็คือความรูเทาทันสังขาร รูโลกและชีวิต<br />
ตามเปนจริง รูเทาทันอนิจจัง<br />
ทุกขัง อนัตตา…<br />
สิ่งทั้งหลายที่เปนอนิจจัง<br />
ทุกขัง อนัตตา มีความเปลี่ยนแปลงเปนไป<br />
ตางๆ มันก็ตองเปนอยางนั้นเปนธรรมดา<br />
เพราะมันอยูในกฎธรรมชาติอยาง<br />
นั้น<br />
ไมมีใครไปแกไขได<br />
แตที่มันเปนปญหาก็เพราะวา<br />
ในเวลาที่มันแปรปรวนเปลี่ยนแปลงไป<br />
ตามกฎธรรมชาตินั้น<br />
มันพลอยมาเบียดเบียนจิตใจของเราดวย เพราะอะไร<br />
เพราะเรายื่นแหยใจของเราเขาไปใตอิทธิพลความผันผวนปรวนแปรของธรรม
๑๒๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
ชาตินั้นดวย<br />
ดังนั้น<br />
เมื่อสิ่งเหลานั้นปรวนแปรไปอยางไร<br />
ใจของเราก็พลอย<br />
ปรวนแปรไปอยางนั้นดวย<br />
เมื่อมันมีอันเปนไป<br />
ใจของเราก็ถูกบีบคั้นไมสบาย<br />
แตพอเรารูเทาทันถึงธรรมดาแลว<br />
กฎธรรมชาติก็เปนกฎธรรมชาติ สิ่ง<br />
ทั้งหลายที่เปนธรรมชาติ<br />
ก็เปนไปตามกฎธรรมชาติ ทํ าไมเราจะตองเอาใจ<br />
ของเราไปใหกฎธรรมชาติบีบคั้นดวย<br />
เราก็วางใจของเราได ความทุกขที่มีใน<br />
ธรรมชาติ ก็เปนของธรรมชาติไป ใจของเราไมตองเปนทุกขไปดวย<br />
ตอนนี้แหละ<br />
ที่ทานเรียกวามีจิตใจเปนอิสระ<br />
จนกระทั่งวา<br />
แมแตทุกขที่<br />
มีในกฎของธรรมชาติ ก็ไมสามารถมาเบียดเบียนบีบคั้นใจเราได<br />
เปนอิสร-<br />
ภาพแทจริง ที่ทานเรียกวา<br />
วิมุตติ<br />
เมื่อพัฒนามาถึงขั้นนี้<br />
เราก็จะแยกไดระหวางการปฏิบัติตอสิ่งทั้งหลาย<br />
ภายนอก กับการเปนอยูของชีวิตจิตใจภายในของเรา<br />
กลาวคือ สํ าหรับสิ่งทั้งหลายภายนอก<br />
ก็ยกใหเปนภาระของปญญา ที่จะ<br />
ศึกษาและกระทํ าไปใหทันกันถึงกันกับกระบวนการแหงเหตุปจจัยของธรรมชาติ<br />
ใหไดผลดีที่สุด<br />
สวนภายในจิตใจก็คงอยู เปนอิสระ พรอมดวยความสุข<br />
ความสุขจากความเปนอิสระถึงวิมุตติ ที่มีปญญารูเทาทันพรอมอยูนี้<br />
เปนความสุขที่สํ<br />
าคัญ<br />
พอถึงสุขขั้นนี้แลว<br />
เราก็ไมตองไปพึ่งอาศัยสิ่งอื่นอีกตอไป<br />
ไมวาจะเปน<br />
รูปธรรมหรือนามธรรม มันจะกลายเปนความสุขที่เต็มอยูในใจของเราเลย<br />
และเปนสุขที่มีประจํ<br />
าอยูตลอดทุกเวลา<br />
เปนปจจุบัน…
ผนวก ๒<br />
องคประกอบหลัก<br />
ในการประเมินสุขภาพแนวพุทธ ๑<br />
ขอตกลงเพื่อความเขาใจเบื้องตน<br />
๑. ไตรสิกขา เปนกระบวนการพัฒนาคน / ภาวนา ๔ เปนการวัดผล<br />
๒. ภาวนา ๔ ที่แยกเปนขอๆ<br />
โดยแตละขอมีองคประกอบหลัก และองค<br />
ประกอบยอยออกไปนั้น<br />
มุ งเพื่อความสะดวกในการวัดผล<br />
จะได<br />
ตรวจดูใหละเอียดใหชัดวามีกี่แง<br />
กี่ดาน<br />
และครบถวนหรือไม เทานั้น<br />
สวนการใหนํ้<br />
าหนักก็แลวแตวัตถุประสงคในการวัดวาตองการเนนที่<br />
กลุ มไหน หรือตองการเนนดานใดเปนพิเศษ<br />
๓. ในความเปนจริง องคประกอบหลักทั้ง<br />
๔ จะทํ างานสัมพันธกัน<br />
อาศัยกัน และสงผลตอกัน ไมสามารถแยกขาดจากกันได<br />
๔. ทัศนคติที่ถูกตองตอทุกองคประกอบ<br />
คือ ไมยึดติด แตตั้งมั่น<br />
และ<br />
ใหเปนไปเพื่อเกื้อกูลตอชีวิตที่ดีงาม<br />
เพื่อการพัฒนาสรางสรรคตนเอง<br />
สังคม และสิ่งแวดลอม<br />
้ จัดทํ าโดย พระครรชิต คุณวโร ตามแนวคิด และรายละเอียด<br />
ที่พระธรรมปฎก<br />
(ป. อ. ปยุตฺโต) ไดอธิบายไวเมื่อวันที่<br />
๗ มิถุนายน ๒๕๔๖<br />
๑ แผนภาพในภาคผนวกนี
๑๒๖<br />
กายภาวนา<br />
สิ่งแวดลอม<br />
ปจจัย ๔ อุปกรณ และเทคโนโลยี<br />
(การเสพ บริโภค ใชสอย)<br />
การใชอินทรีย ๔<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
อยูใกลชิด<br />
ประสานสอดคลอง<br />
ไมเบียดเบียนธรรมชาติ<br />
เห็นคุณคา ดูแลรักษา ซาบซึ้ง<br />
มีความสุขในการไดอยูกับธรรมชาติ<br />
มีทัศนคติทีดีตอธรรมชาติ<br />
อยากรักษาไวใหอนุชนรุนหลัง<br />
เสพ บริโภค ใชสอย อยางเปนปจจัย<br />
เพื่อการพัฒนา<br />
และสรางสรรค๓ เสพบริโภคใชสอยอยางไมลุมหลงมัวเมา<br />
ไมติดอยูในคุณคาเทียม๑<br />
เสพ บริโภค ใชสอยดวยปญญา<br />
เพื่อคุณคาแท๒<br />
ใช (ตา หู เปนตน) อยางมีสติ<br />
มุงใหไดความรู<br />
และคุณคาที่ดีงาม<br />
ไมเห็นแกสนุกสนานบันเทิง<br />
ลุมหลงมัวเมา<br />
เอาแตความเพลิดเพลิน<br />
รูจักเลือกเฟน<br />
การดูแล เอาใจใสสุขภาพรางกาย<br />
สุขภาพรางกาย<br />
ความสะอาด<br />
ทัศนคติตอการมีสุขภาพรางกายแข็งแรง<br />
เพื่อเปนเครื่องเกื้อหนุนชีวิตที่ดีงาม๕<br />
สุขภาพทั่วไป<br />
ความแข็งแรง<br />
ความสามารถในการทํางาน<br />
๑<br />
ไมลุมหลงมัวเมา ไมติดอยูในคุณคาเทียม<br />
/<br />
ไมใชเพียงเพื่อเสพ<br />
ปรนเปรอ สนุกสนาน มัวเมา ไมตองทํ าอะไร<br />
๒<br />
ใชดวยปญญาเพื่อคุณคาที่แทใหเกิดความพอดี<br />
/<br />
รูจักเลือกใชอยางรูคุณคา<br />
เกิดคุณคา พอเหมาะ ดูแลรักษา<br />
๓<br />
ใชอยางเปนปจจัยเพื่อการพัฒนาและสรางสรรค<br />
/<br />
ใชเพื่อแสวงหาและพัฒนาความรูความสามารถในการสรางสรรค<br />
/<br />
ทัศนคติตอปจจัย 4 อุปกรณ และเทคโนโลยี เปนปจจัยเพื่อการพัฒนา<br />
๔<br />
เนนที่<br />
ตา หู (และลิ้น)<br />
เปนสํ าคัญ เพราะมีบทบาทในชีวิตมาก<br />
๕<br />
ทัศนคติตอการมีสุขภาพรางกายแข็งแรง: เพื่อเปนเครื่องเกื้อหนุนชีวิตที่ดีงาม<br />
(พรหมจริยานุคคหายะ)
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ศีลภาวนา<br />
ปฏิสัมพันธ ๑<br />
อาชีพ<br />
วินัย<br />
๑<br />
ปฏิสัมพันธแยกตามกลุมบุคคล<br />
ครอบครัว ญาติมิตร และบุคคลใกลชิด<br />
บุคคลในสถานศึกษา ที่ทํ<br />
างาน ลูกคา<br />
เพื่อนมนุษย<br />
ตางชาติ ตางศาสนา และสัตวรวมโลก<br />
๒<br />
ดานทัศนคติ คือเห็นความสํ าคัญในสิ่งนี้<br />
๓<br />
เชิงปฏิบัติการ คือ ปฏิบัติตาม และจัดใหดียิ่งขึ้น<br />
ไมเบียดเบียน กอความเดือดรอนตอผูอื่น<br />
รูจักสงเคราะห<br />
เกื้อหนุน<br />
เอาใจใส<br />
ทําใหเกิดไมตรี และความสามัคคี<br />
รูจักสื่อสาร<br />
เพื่อชักจูง<br />
และชักนําในการพัฒนา<br />
และสรางสรรคยิ่งขึ้นไป<br />
ไมเบียดเบียนผูอื่น<br />
ไมกอความเสื่อมเสียแกสังคม<br />
ไมทุจริตผิดกฎหมาย<br />
สุจริต สรางสรรค ดีงาม เกื้อกูล<br />
แกไขปญหา<br />
พัฒนาตนเอง สังคม สิ่งแวดลอม<br />
ทรัพยสิน<br />
/ 136<br />
๑๒๗<br />
เพื่อไดผลตอบแทนเปนปจจัยยังชีพ<br />
ทัศนคติตออาชีพ เปนเครื่องมือฝกฝนพัฒนาตนเอง<br />
ใชแกไขปญหา พัฒนาสังคม สิ่งแวดลอม<br />
ความเคารพ รักษากฏเกณฑ กติกา<br />
สิกขาบท ระเบียบ จรรยาบรรณ กฎหมาย ๒<br />
รูจักใชวินัยในการดํารงชีวิต๓<br />
การใช<br />
- เลี้ยงตนและคนที่เกี่ยวของใหเปนสุข<br />
- สงเคราะห เผื่อแผแบงปน<br />
- ทําสิ่งที่ดีงาม<br />
เปนบุญ<br />
การเก็บออมเปนทุน<br />
คุณคาทางจิตปญญา<br />
- ไมลุมหลงมัวเมา<br />
รูเทาทัน<br />
เปนอิสระ<br />
- ใชพัฒนาจิตปญญายิ่งๆ<br />
ขึ้นไป<br />
จัดวัตถุสิ่งของ<br />
จัดแบงเวลา<br />
จัดสภาพแวดลอม<br />
การจัดระเบียบในการอยูรวมกัน
๑๒๘<br />
คุณภาพ<br />
จิตตภาวนา สมรรถภาพ<br />
๑ คุณภาพของความเชื<br />
สุขภาพจิต<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ<br />
มีฉันทะ เพียรพยายาม บากบั่นอดทน<br />
(ตั้งรับ/เดินหนา)<br />
รับผิดชอบ เขมแข็งมีกํ าลังใจ เด็ดเดี่ยว<br />
มีสติคุมไมใหเลื่อนลอย<br />
ไมเถลไถล คุมใหอยูในทาง<br />
ไมถลํ าไปในทางเสื่อม<br />
ไมทิ้งโอกาสที่จะสรางสรรค<br />
มีสมาธิ สงบ ตั้งมั่น<br />
ไมวอกแวกหวั่นไหว<br />
ใสกระจาง ราบเรียบ มีพลังนุมนวลควรแกงาน<br />
ระดับความสุข<br />
ทาทีตอความสุข<br />
ศรัทธา - ความเชื่อที่ประกอบดวยปญญา๑<br />
;<br />
เชื่อมั่นในการทํ<br />
าคุณความดี๒ พรหมวิหาร ๔<br />
ความเคารพ ออนนอม สุภาพ ออนโยน<br />
กตัญูกตเวที<br />
จิตใจกวางขวาง เสียสละ โอบออมอารี<br />
หิริโอตตัปปะ<br />
ราเริงเบิกบาน สดชื่นแจมใสอิ่มใจ<br />
ผอนคลาย ตั้งมั่น<br />
โปรงโลง ไรพรมแดน<br />
สุขจากการไดและ เสพวัตถุ<br />
สุขจากธรรมชาติ<br />
สุขจากการไดทํ าสิ่งสรางสรรค<br />
สุขจากจิตใจเปนบุญกุศล<br />
สุขจากจิตที่สงบเปนสมาธิจนถึงระดับฌาน<br />
สุขจากการมีปญญารูเทาทันตามเปนจริง<br />
และมีจิตใจเปนอิสระ<br />
ไมเอาทุกขทับถมตน<br />
ไมละทิ้งสุขที่ชอบธรรม<br />
ไมสยบมัวเมาในความสุขแมที่ประณีต<br />
พัฒนาความสุขที่ประณีต<br />
และสูงยิ่งๆ<br />
ขึ้นไป<br />
่อ - ยิ่งมีความรูความเขาใจในสิ่งที่เชื่อตรงตามความเปนจริงตามเหตุปจจัยเทาไร<br />
ยิ่งเปนความเชื่อที่มีคุณภาพเทานั้น<br />
่งที่เชื่อ<br />
๒ สิ
พระพรหมคุณาภรณ (ป. อ. ปยุตฺโต)<br />
ปญญาภาวนา<br />
การปฏิบัติตอความรู<br />
ระดับความรู<br />
๑<br />
ขอมูลขาวสาร หรือความรู ที่ไดสดับ<br />
รับฟง ถายทอดมา เชน จากบุคคล หนังสือ และสื่ออื่นๆ<br />
เปนขั้นของการรูโดยการสื่อสาร<br />
และคิดตามสมมติบัญญัติที่ตั้งกันขึ้นมา<br />
/ 136<br />
การมี/ทรงความรู<br />
(เชนรูวิชาชีพการงานที่เปนหนาที่ของตน)<br />
การแสวงหาความรูเพิ่มเติม<br />
การใชความรู<br />
(การเอาความรูนั้นมาใชได)<br />
คิดเปน - แกปญหาเปน - ดับทุกขเปน<br />
๑๒๙<br />
สุตะ๑ (รูขอมูลขาวสาร<br />
- รูอาการปรากฏอยางผิวเผิน<br />
หรือรูอะไร)<br />
: ความรูที่เกี่ยวของตองใชในการดําเนินชีวิต<br />
และกิจการงานทั้งหลาย<br />
ทิฏฐิ (รูหยั่ง<br />
- หยั่งเขาไปในความจริง<br />
หรือรูอยางไร)<br />
:<br />
ความรูเขาใจที่หยั่งลงไปในความเปนจริงของสิ่งทั้งหลาย<br />
ดวยทาทีของการมองตามเหตุปจจัย<br />
ญาณทัสสนะ (รูแจง<br />
- รูอยางถึงความจริง)<br />
:<br />
ความรูเขาใจความจริงของสิ่งทั้งหลายที่สงผลทําใหจิตใจ<br />
หลุดพนเปนอิสระ
๑๓๐<br />
สุขภาวะองครวมแนวพุทธ