cache
cache
cache
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
วิทยานิพนธ<br />
เรื่อง<br />
ผลของแบคทีเรีย Paracoccus pantotrophus ตอคุณภาพน้ําและผลผลิต<br />
กุงขาวแวนนาไม<br />
(Litopenaeus vannamei) ในการเลี้ยงดวยน้ําความเค็มต่ํา<br />
Effects of Paracoccus pantotrophus on Water Quality and Production of<br />
Pacific White Shrimp (Litopenaeus vannamei) Cultured in Low Salinity Water<br />
โดย<br />
นางสาวลลิตา พาณิชกรกุล<br />
เสนอ<br />
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร<br />
เพื่อความสมบูรณแหงปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต<br />
(วิทยาศาสตรการประมง)<br />
พ.ศ. 2550
กิตติกรรมประกาศ<br />
ขาพเจาขอขอบพระคุณ ผูชวยศาสตราจารย<br />
ดร.ชลอ ลิ้มสุวรรณ<br />
อาจารยที่ปรึกษา<br />
วิทยานิพนธหลักที่ไดชวยเหลือในการวางแผนงานวิจัยในการทําวิทยานิพนธเลมนี้<br />
ตลอดจนการให<br />
คําปรึกษา แนะนําและตรวจแกไขขอบกพรองตาง ๆ ขอกราบขอบพระคุณ ผูชวยศาสตราจารย<br />
ดร.นิติ ชูเชิด อาจารยที่ปรึกษาวิทยานิพนธรวมและ<br />
ดร.พรเลิศ จันทรรัชชกูล ที่กรุณาใหคําปรึกษา<br />
และแกไขทําใหวิทยานิพนธสมบูรณยิ่งขึ้น<br />
ขอขอบพระคุณ คุณวีระ และ คุณอรพิน เลขะวิจิตรเลิศ เจาของฟารมเลี้ยงกุง<br />
ตําบลทุงครุ<br />
เขตทุงครุ<br />
กรุงเทพมหานคร ที่ชวยเหลือและเอื้อเฟอสถานที่ในการวิจัย<br />
ตลอดจนอํานวยความ<br />
สะดวกตาง ๆ ในการทําวิจัยครั้งนี้<br />
ขอขอบพระคุณ บริษัท Novozymes Biological, Inc. ประเทศสหรัฐอเมริกา ที่สนับสนุน<br />
ทุนในการทําวิจัยครั้งนี้<br />
ขอขอบคุณพี่<br />
ๆ ปริญญาเอกและเพื่อน<br />
ๆ ปริญญาโททุกคน สําหรับกําลังใจและความ<br />
ชวยเหลือดานตาง ๆ ที่สนับสนุนในการทําวิทยานิพนธจนสําเร็จลุลวงดวยดี<br />
สุดทายนี้<br />
ขอขอบพระคุณ คุณพอ คุณแม พี่สาว<br />
นองสาวและหลานสาวสุดที่รัก<br />
สําหรับ<br />
ความรัก ความอบอุนและความหวงใยซึ่งเปนกําลังใจที่สําคัญจนทําใหขาพเจาสําเร็จการศึกษาใน<br />
ครั้งนี้<br />
ดวยความดีหรือคุณประโยชนอันเกิดจากวิทยานิพนธเลมนี้<br />
ขอมอบใหแกเกษตรกรผูเลี้ยงกุง<br />
ทุกทานที่สรางคุณูปการใหแกวงการเลี้ยงกุงของชาติไทย<br />
ลลิตา พาณิชกรกุล<br />
กุมภาพันธ 2550
สารบัญ<br />
หนา<br />
สารบัญ (1)<br />
สารบัญตาราง (2)<br />
สารบัญภาพ (3)<br />
คํานํา 1<br />
วัตถุประสงค 3<br />
การตรวจเอกสาร 4<br />
อุปกรณและวิธีการ 29<br />
ผลและวิจารณ 46<br />
สรุปและขอเสนอแนะ 76<br />
สรุป 76<br />
ขอเสนอแนะ 77<br />
เอกสารและสิ่งอางอิง<br />
78<br />
ภาคผนวก 92<br />
(1)
สารบัญตาราง<br />
ตารางที่<br />
หนา<br />
1 ผลการวิเคราะหทางสถิติแสดงการศึกษาผลของแบคทีเรีย P. pantotrophus และ<br />
NaNO3ในการควบคุมปริมาณ H2S ในหองปฏิบัติการ<br />
48<br />
2 ผลการวิเคราะหทางสถิติแสดงการศึกษาปริมาณที่เหมาะสมของแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ในการปองกันการเกิด H2S ในหองปฏิบัติการโดยมีการเติม<br />
NaNO3เพื่อรักษาระดับความเขมขนใหคงที่ตลอดระยะเวลาการทดลอง 51<br />
3 น้ําหนักเฉลี่ยและอัตราการเจริญเติบโตของกุงขาวแวนนาไมในบอทดลองที่ใช<br />
แบคทีเรีย P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
53<br />
4 การเปรียบเทียบขอมูลผลผลิตกุงขาวแวนนาไมในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
54<br />
5 ตนทุนการผลิตและผลตอบแทนขั้นตนของการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมในบอทดลอง<br />
ที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม (เฉลี่ยตอบอ)<br />
56<br />
6 คุณสมบัติของน้ําในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม 64<br />
7 คาศักยไฟฟารีดอกซในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม 74<br />
ตารางผนวกที่<br />
1 ผลการวิเคราะหทางสถิติของผลผลิตในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
และบอควบคุม<br />
93<br />
2 ผลการวิเคราะหทางสถิติของคุณสมบัติของน้ําในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
94<br />
3 คุณสมบัติของน้ําตลอดการเลี้ยง<br />
95<br />
4 ผลการวิเคราะหทางสถิติของศักยไฟฟารีดอกซพื ้นบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
103<br />
5 ศักยไฟฟารีดอกซพี้นบอตลอดการเลี้ยง<br />
104<br />
(2)
สารบัญภาพ<br />
ภาพที่<br />
หนา<br />
1 ชั้นของหนาตัดดินพื้นบอ<br />
15<br />
2 การเคลื่อนที่ของน้ําและมวลสารตาง<br />
ๆ ภายในบอเลี้ยงสัตวน้ํา<br />
15<br />
3 การเคลื่อนที่ของสารบริเวณระหวางชั้นดินและน้ําในบอที่ผิวพื้นบอมีออกซิเจน<br />
16<br />
4 การเคลื่อนที่ของสารบริเวณระหวางชั้นดินและน้ําในบอที่ผิวพื้นบอขาดออกซิเจน<br />
16<br />
5 เลนพื้นบอเลี้ยงกุงจากฟารมเลี้ยงกุงเอกชนในเขตอําเภอบางแพ<br />
จังหวัดราชบุรี 32<br />
6 แบคทีเรีย Paracoccus pantotrophus ที่ใชในการทดลอง<br />
32<br />
7 แผนผังฟารมที่ทําการทดลอง<br />
34<br />
8 บอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
35<br />
9 ลูกกุงระยะโพสลารวา<br />
12 (PL12) ที่นํามาปลอยลงเลี้ยงในบอที่ทําศึกษาทั้ง<br />
6 บอ 44<br />
10 ลูกกุงในถังไฟเบอรกลาสซึ่งภายในบรรจุน้ําในบอเลี้ยงและเปดเครื่องใหออกซิเจน<br />
44<br />
11 หลังทําการปลอยลูกกุงจะใชแบคทีเรียจํานวน<br />
0.45 กิโลกรัมตอบอทุกสัปดาห<br />
จนกระทั่งจับกุง<br />
45<br />
12 การชั่งน้ําหนักกุงดวยเครื่องชั่งน้ําหนักแบบดิจิตอล<br />
45<br />
13 การเจริญเติบโตของกุงขาวแวนนาไมในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
และบอควบคุม<br />
53<br />
14 การเปลี่ยนแปลงความโปรงแสงตลอดการเลี้ยง<br />
65<br />
15 การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตอนเชาตลอดการเลี้ยง<br />
65<br />
16 การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตอนบายตลอดการเลี้ยง<br />
66<br />
17 การเปลี่ยนแปลงพีเอชตอนเชาตลอดการเลี้ยง<br />
66<br />
18 การเปลี่ยนแปลงพีเอชตอนบายตลอดการเลี้ยง<br />
67<br />
19 การเปลี่ยนแปลงออกซิเจนที่ละลายในน้ําตอนเชาตลอดการเลี้ยง<br />
67<br />
20 การเปลี่ยนแปลงออกซิเจนที่ละลายในน้ําตอนบายตลอดการเลี้ยง<br />
68<br />
21 การเปลี่ยนแปลงความเค็มตลอดการเลี้ยง<br />
68<br />
22 การเปลี่ยนแปลงการนําไฟฟาตลอดการเลี้ยง<br />
69<br />
23 การเปลี่ยนแปลงความเปนดางรวมตลอดการเลี้ยง<br />
69<br />
24 การเปลี่ยนแปลงความกระดางตลอดการเลี้ยง<br />
70<br />
(3)
สารบัญภาพ (ตอ)<br />
ภาพที่<br />
หนา<br />
25 การเปลี่ยนแปลงแอมโมเนียรวมตลอดการเลี้ยง<br />
70<br />
26 การเปลี่ยนแปลงไนไตรทตลอดการเลี้ยง<br />
71<br />
27 การเปลี่ยนแปลงไนเตรทตลอดการเลี้ยง<br />
71<br />
28 การเปลี่ยนแปลงไฮโดรเจนซัลไฟดตลอดการเลี้ยง<br />
72<br />
29 คาศักยไฟฟารีดอกซตลอดการเลี้ยง<br />
75<br />
(4)
ผลของแบคทีเรีย Paracoccus pantotrophus ตอคุณภาพน้ําและผลผลิต<br />
กุงขาวแวนนาไม<br />
(Litopenaeus vannamei) ในการเลี้ยงดวยน้ําความเค็มต่ํา<br />
Effects of Paracoccus pantotrophus on Water Quality and Production of<br />
Pacific White Shrimp (Litopenaeus vannamei) Cultured in Low Salinity Water<br />
คํานํา<br />
การเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
(Litopenaeus vannamei) ในประเทศไทยสวนใหญมีการปลอย<br />
ลูกกุงลงเลี้ยงในอัตราความหนาแนนที่สูงมากและเลี้ยงดวยอาหารเม็ดสําเร็จรูปที่มีระดับโปรตีนสูง<br />
เพื่อเปนการเพิ่มผลผลิตตอหนวยพื้นที่ใหสูงที่สุด<br />
ดังนั้นของเสียที่ขับถายจากกุงและอาหารที่เหลือ<br />
ในบอจะสะสมมากขึ้นตามระยะเวลาที่เลี้ยง<br />
ซึ่งในสภาวะที่สภาพแวดลอมในบอมีความสมดุล<br />
คือ<br />
มีปริมาณของเสียไมมากและออกซิเจนที่ละลายน้ํามีปริมาณเพียงพอ<br />
แบคทีเรียที่มีอยูภายในบอ<br />
จะยอยสลายของเสียเหลานั้นใหเปนแอมโมเนีย<br />
ไนไตรท ไนเตรทและกาซไนโตรเจนเพื่อระเหยสู<br />
อากาศ แตถาของเสียมีปริมาณมากเกินไป มีการจัดการที่ไมเหมาะสม<br />
อีกทั้งปริมาณออกซิเจนในน้ํา<br />
มีไมเพียงพอ จะมีผลตอการเจริญเติบโตและอัตราการรอดตายของกุง<br />
(ชลอ, 2543) โดยเฉพาะ<br />
บริเวณกลางบอที่มีการสะสมของตะกอนเลนจํานวนมากอาจไมมีออกซิเจนอยูเลย<br />
ทําใหแบคทีเรีย<br />
ในกลุมที่ไมใชออกซิเจนสามารถเจริญเติบโตและทําการยอยสลายแทนกระบวนการเหลานี้จะ<br />
เปนไปอยางชา ๆ และผลิตสารที่มีความเปนพิษตอสัตวน้ํา<br />
ไดแก แอมโมเนีย ไนไตรท กาซมีเทน<br />
และกาซไฮโดรเจนซัลไฟด (H2S) (Hargreaves, 1998; Watanabe, 2001) ซึ่งไฮโดรเจนซัลไฟดเปน<br />
สารประกอบตัวหนึ่งที่มีความเปนพิษโดยตรงตอสัตวน้ํา<br />
(นิศากร และ ชลัญญา, 2526; Bonn and<br />
Follis, 1967; Adelman and Smith, 1972; Oseid and Smith, 1972; Peturiyawate, 1982; Jayamanne,<br />
1986; Boyd and Tucker, 1998) และโดยเฉพาะในบอเลี้ยงกุง<br />
(Suplee and Cotner, 1996) ไฮโดรเจน<br />
ซัลไฟดเกิดจากกระบวนการยอยสลายของสารอินทรียของแบคทีเรียในสภาวะมีปริมาณออกซิเจน<br />
ละลายในน้ําต่ําหรือไมมีเลย<br />
เมื่อมีการสะสมของสารเหลานี้มากขึ้นจะทําใหกุงหยุดกินอาหาร<br />
ออนแอ<br />
เปนโรคและตายในที่สุด<br />
ซึ่งระดับความเขมขนของไฮโดรเจนซัลไฟดที่ทําใหเกิดพิษตอสัตวน้ําอยู<br />
ในชวง 0.01-0.05 มิลลิกรัมตอลิตร (สมพร, 2535) จึงไดมีความพยายามที่จะควบคุมปริมาณ<br />
ไฮโดรเจน ซัลไฟดดวยวิธีทางเคมีและจุลชีววิทยา โดยวิธีทางเคมีจะมีการใชสารเคมีสงผลทํา<br />
ใหแบคทีเรียที่มีประโยชนรวมทั้งสิ่งมีชีวิตเล็ก<br />
ๆ ที่อยูในน้ําถูกทําลายไปดวย<br />
นอกจากนั้นการใช
สารเคมีโดยทั่วไปจะเสียคาใชจายมากและมีความยุงยาก<br />
(Santry, 1966) ดังนั้นการใชวิธีทางจุล<br />
ชีววิทยาจึงเปนทางเลือกหนึ่งเพื่อควบคุมปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
โดยอาศัยกระบวนการตาง ๆ<br />
ของแบคทีเรียจึงนาจะเปนวิธีที่เหมาะสมและสามารถชวยแกปญหาดังกลาว<br />
(อําพิน, 2540) ซึ่งใน<br />
ปจจุบันมีการใชแบคทีเรีย Paracoccus pantotrophus ชวยในการควบคุมปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
และคุณภาพน้ําในโรงงานอุตสาหกรรม<br />
(Gallert and Winter, 2005) แบคทีเรียชนิดนี้สามารถดํารง<br />
อยูไดทั้งสภาวะที่มีออกซิเจนและไมมีออกซิเจน<br />
อาศัยอยูไดทั้งในน้ําและในดิน<br />
เมื่ออยูในสภาวะที่มี<br />
ออกซิเจนแบคทีเรียชนิดนี้สามารถออกซิไดซไฮโดรเจนซัลไฟดไดโดยตรง<br />
สวนในสภาวะที่ไมมี<br />
-<br />
ออกซิเจนแบคทีเรียจะใช NO3 เปนตัวรับอิเลคตรอนตัวสุดทายในกระบวนการดีไนตริฟเคชัน<br />
-<br />
(denitrification) (Heukelekian, 1948) โดยแบคทีเรียชนิดนี้ใช<br />
NO3 ในระดับที่ต่ํากวาแบคทีเรียชนิด<br />
อื่น<br />
อีกทั้งยังเปนการปองกันไมใหเกิดซัลไฟดจากกระบวนการซัลเฟตรีดักชัน<br />
(sulfate reduction)<br />
นอกจากนั้นแบคทีเรียชนิดนี้สามารถผลิตในปริมาณมาก<br />
ๆ ได มีความสะดวกตอการใชงาน งายตอ<br />
การเก็บรักษาและการขนสง<br />
ในการศึกษาครั้งนี้เปนการศึกษาประสิทธิภาพของแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ในการ<br />
ควบคุมปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟดในหองปฏิบัติการและในบอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมที่เลี้ยงดวยน้ํา<br />
ความเค็มต่ําเพื่อเปนแนวทางใหแกเกษตรกรในการควบคุมปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟดที่เกิดขึ้นใน<br />
บอเลี้ยงกุงและสามารถเพิ่มศักยภาพการผลิตของบอเลี้ยงกุงตอไป<br />
2
วัตถุประสงค<br />
1. ศึกษาการควบคุมปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟดในหองปฏิบัติการโดยใชแบคทีเรีย<br />
Paracoccus pantotrophus<br />
2. เปรียบเทียบคุณสมบัติของน้ําที่สําคัญ<br />
ปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟดและคาศักยไฟฟา<br />
รีดอกซ (oxidation reduction potential) ของดินพื้นบอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมในน้ําความเค็มต่ําที่ใช<br />
และไมใชแบคทีเรีย P. pantotrophus<br />
3. เปรียบเทียบการเจริญเติบโต อัตราการรอดตายและปริมาณผลผลิตของบอเลี้ยง<br />
กุงขาวแวนนาไมในน้ําความเค็มต่ําที่ใชและไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
4. เปรียบเทียบตนทุนและผลตอบแทนจากการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมในน้ําความเค็มต่ํา<br />
ที่ใชและไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
3
1. กุงขาวแวนนาไม<br />
การตรวจเอกสาร<br />
กุงขาวแวนนาไมเปนกุงที่มีแหลงกําเนิดมาจากทวีปอเมริกา<br />
อเมริกากลางและอเมริกาใต<br />
โดยมีการเลี้ยงกันอยางแพรหลายในทวีปอเมริกาใต<br />
เชน เอกวาดอร เม็กซิโก บราซิล นอกจากนี้<br />
หลายประเทศในทวีปเอเชียก็มีการเลี้ยงกุงชนิดนี้<br />
ไดแก ไตหวัน จีนและอินโดนีเซีย (ชลอ และ<br />
คณะ, 2548) ซึ่งมีแนวโนมการผลิตกุงขาวแวนนาไมมากขึ้น<br />
โดยเฉพาะประเทศไทยหลังจากมีการ<br />
นํากุงขาวแวนนาไมมาทดลองเลี้ยงในเมื่อป<br />
พ.ศ. 2541 แตไมประสบความสําเร็จมากนักจนกระทั่ง<br />
ป พ.ศ. 2545 กรมประมงไดอนุญาตใหนําพอแมพันธุที่ปลอดเชื้อมาเลี้ยง<br />
เนื่องจากลักษณะเดน<br />
ของกุงขาวแวนนาไมที่สามารถกินอาหารไดหลากหลาย<br />
มีความทนทานตอการเปลี่ยนแปลงสภาพ<br />
แวดลอม จึงทําใหมีการเพิ่มจํานวนการเลี้ยงมากขึ้น<br />
พบวาป พ.ศ. 2548 และ พ.ศ. 2549 ประเทศไทย<br />
มีผลผลิตกุงขาวแวนนาไม<br />
360,000 ตัน และ 509,600 ตันตามลําดับ (สมศักดิ์,<br />
2550) โดยการเลี้ยง<br />
กุงขาวแวนนาไมในประเทศไทยแยกตามความเค็มของน้ําไดเปน<br />
2 แบบ (ชลอ และ พรเลิศ, 2547)<br />
คือ<br />
1.1 การเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมดวยความเค็มต่ํา<br />
สวนใหญการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมดวยน้ําความเค็มต่ําจะทําในเขตพื้นที่น้ําจืดและใน<br />
พื้นที่ภาคกลางโดยใชน้ําความเค็มต่ํามากจนเกือบจะเปนระดับที่ถือวาเปนน้ําจืด<br />
โดยเกษตรกรจะซื้อ<br />
น้ําเค็มความเขมขนสูงจากนาเกลือใสรถบรรทุกน้ําคันละประมาณ<br />
12-13 ตัน ความเค็ม 100-200<br />
สวนในพันสวน (พีพีที) มาเติมในน้ําจืดเพื่อใหไดความเค็มประมาณ<br />
3-4 พีพีที สวนใหญจะกั้นคอก<br />
กอนโดยใชผาพลาสติกแลวเติมน้ําจากนาเกลือลงไปจนไดความเค็มประมาณ<br />
8-10 พีพีที หลังจาก<br />
นั้นจะนําลูกกุงขาวแวนนาไมระยะโพสลารวา<br />
10-12 (พี 10-12) ที่ปรับความเค็มจากโรงเพาะฟกมา<br />
ปลอยในคอก อนุบาลลูกกุงในคอกประมาณ<br />
3-4 วัน จึงเปดคอกใหลูกกุงกระจายทั่วบอ<br />
อีกวิธีคือ<br />
ไมกั้นคอก<br />
จะเตรียมน้ําความเค็มประมาณ<br />
3-5 พีพีที แลวใหทางโรงเพาะฟกปรับความเค็มของลูก<br />
กุงจนอยูที่ความเค็มที่ต่ําที่สุดประมาณใกลเคียงกับที่จะมาปลอยในบอแลวนําลูกกุงมาปลอยโดยตรง<br />
ซึ่งจะทําใหมีอัตราการรอดตายที่สูงกวา<br />
โดยปลอยลงเลี้ยงในอัตราความหนาแนนประมาณ<br />
70,000-<br />
80,000 ตัวตอไร สวนใหญเกษตรกรจะเลี้ยงใหไดกุงขนาดประมาณ<br />
60-80 ตัวตอกิโลกรัม คือ เลี้ยง<br />
ประมาณ 3 เดือน โดยใชอวนตาหางเพื่อลากกุงขนาดใหญออกขายประมาณครึ่งหนึ่ง<br />
หลังจากนั้น<br />
4
เติมน้ําจืดเขาบอจนเต็ม<br />
และเติมน้ําเค็มอีกรอบเพื่อเพิ่มความเค็ม<br />
เลี้ยงอีกประมาณ<br />
2 สัปดาห จะทํา<br />
ใหกุงในบอโตขึ้น<br />
เชน จากขนาด 80 ตัวตอกิโลกรัมเปน 60 ตัวตอกิโลกรัม<br />
1.2 การเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมดวยน้ําความเค็มปกติ<br />
การเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมในพื้นที่ภาคใตที่ใชน้ําความเค็มปกติ<br />
คือ ความเค็มประมาณ<br />
10 พีพีทีขึ้นไปนั้น<br />
สวนใหญจะมีการปลอยกุงในอัตราหนาแนนมากกวา<br />
120,000 ตัวตอไร ผลผลิต<br />
ประมาณ 2 ตันตอไร อัตราการรอดตายประมาณ 80 เปอรเซ็นต การเลี้ยงกุงขาวดวยความเค็มปกติ<br />
จะไดผลดีกวาน้ําความเค็มต่ํา<br />
เนื่องจากมีการถายน้ําในปริมาณที่มากในชวงทาย<br />
ๆ ของการเลี้ยง<br />
2. คุณสมบัติของน้ําบางประการที่มีผลตอการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
ปจจัยที่สําคัญในการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
คือ คุณสมบัติทางกายภาพ เคมีและชีวภาพของ<br />
น้ํา<br />
เชน ความโปรงแสง อุณหภูมิ ความเปนกรดเปนดาง (พีเอช) ออกซิเจนที่ละลายในน้ํา<br />
ความเค็ม<br />
การนําไฟฟา ความเปนดางรวม ความกระดาง แอมโมเนียรวม ไนไตรท ไนเตรทและไฮโดรเจน<br />
ซัลไฟด (H2S) เปนตน (Brock and Main, 1994) ถาคุณสมบัติของน้ําดีมีความเหมาะสมตอการ<br />
เจริญเติบโตของกุง<br />
กุงก็จะเจริญเติบโตเร็ว<br />
แตถาคุณสมบัติของน้ําไมดีก็จะเกิดปญหาในการเลี้ยงได<br />
ความโปรงแสงของน้ําเปนดัชนีที่บงบอกถึงปริมาณแพลงกตอนพืชและตะกอนแขวนลอย<br />
ในบอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
ความขุนของน้ําที่เกิดจากแพลงกตอนโดยปกติจะมีประโยชนตอสัตว<br />
น้ํา<br />
เนื่องจากทําใหเกิดอาหารธรรมชาติสําหรับสัตวน้ําที่อุดมสมบูรณและลดปญหาพรรณไมน้ําและ<br />
สาหรายพื้นบอที่แสงแดดสองไมถึง<br />
สําหรับความขุนที่เกิดจากตะกอนดินจะไปทับถมกันที่พื้นบอ<br />
และสารแขวนลอยที่เปนสารอินทรียอาจทําใหเกิดปญหาการขาดออกซิเจนไดกอใหเกิดการเนาเสีย<br />
ที่บริเวณดังกลาวและเกิดกาซพิษตามมา<br />
ไดแก แอมโมเนียและไฮโดรเจนซัลไฟด (ยนต, 2530) หาก<br />
น้ําในบอมีความขุนมาก<br />
จะทําใหคาความโปรงแสงของน้ําในบอนอยเกินไปแสงจะสองไมถึงพื้น<br />
บอ ทําใหสาหรายพื้นบอเกิดการตายและเกิดการเนาเสียตามมา<br />
แตถาน้ําในบอเลี้ยงกุงใสเกินไป<br />
อาหารธรรมชาติจะมีนอย ความโปรงแสงที่เหมาะสมในบอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมจะอยูในชวง<br />
25-<br />
50 เซนติเมตร (Brock and Main, 1994)<br />
5
อุณหภูมิของน้ําเปนปจจัยหนึ่งที่ควบคุมการเจริญเติบโตและการแพรพันธุของพืชและสัตว<br />
ซึ่งแหลงน้ําธรรมชาติในประเทศไทยมีอุณหภูมิอยูระหวาง<br />
23-32 องศาเซลเซียส (ศิริเพ็ญ, 2543)<br />
โดยการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิมีความสัมพันธโดยตรงกับฤดูกาล<br />
สภาพภูมิประเทศ กระแสลม<br />
ความลึก สภาพแวดลอม ความเขมแสงและคาการนําไฟฟา การละลายของออกซิเจนในน้ํา<br />
(Boyd,<br />
1990) โดยถาปริมาณความเขมแสงมากก็จะทําใหอุณหภูมิที่ผิวน้ําสูงขึ้น<br />
(เปยมศักดิ์,<br />
2525) สวนคา<br />
การนําไฟฟา (electrical conductivity) ถาอุณหภูมิสูงจะทําใหคาการนําไฟฟาสูงขึ้นเพราะเมื่ออุณหภูมิ<br />
ของน้ําสูงขึ้นจะทําใหการแตกตัวเปนอิออนของเกลือมากขึ้น<br />
(สุธี, 2543) โดยอุณหภูมิมีผลตอการ<br />
กินอาหารและการเจริญเติบโตของกุง<br />
ซึ่งอุณหภูมิที่เหมาะสมกับการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมอยู<br />
ระหวาง 26-33 องศาเซลเซียส (Wickins and Lee, 2002) แตกุงสามารถเจริญเติบโตไดดีที่สุดที่อุณหภูมิ<br />
ระหวาง 25-30 องศาเซลเซียส สวนที่อุณหภูมิ<br />
35 องศาเซลเซียสหรือสูงกวานี้กุงจะตาย<br />
(Boyd and<br />
Fast, 1992)<br />
การเปลี่ยนแปลงของคาพีเอชในบอเลี้ยงกุงจะถูกควบคุมโดยปริมาณคารบอนไดออกไซด<br />
และปริมาณอิออนที่มีอยูในน้ํา<br />
ซึ่งในชวงกลางวันแพลงกตอนพืชจะใชคารบอนไดออกไซดจาก<br />
ไบคารบอเนตเพื่อการสังเคราะหแสงทําใหคาพีเอชสูงขึ้น<br />
ถาแพลงกตอนพืชมีปริมาณมากจะทําให<br />
คาพีเอชสูงในตอนบาย สวนในเวลากลางคืนคารบอนไดออกไซดจะเพิ่มมากขึ้นจากกระบวนการ<br />
หายใจโดยแพลงกตอนพืชและสิ่งมีชีวิตที่อยูในบอรวมทั้งกระบวนการยอยสลายสารอินทรีย<br />
จึงทํา<br />
ใหพีเอชต่ําในตอนเชามืด<br />
(ชลอ, 2543) ปริมาณแพลงกตอนในน้ําก็มีผลตอการเปลี่ยนแปลงพีเอช<br />
ดวย คือ ถามีปริมาณแพลงกตอนมากจะทําใหเกิดความแตกตางของคาพีเอชต่ําสุดและสูงสุดในรอบ<br />
วันมาก ซึ่งจะมีผลกระทบตอปริมาณของสารพิษในบอเลี้ยงกุง<br />
เชน แอมโมเนียและไฮโดรเจน<br />
ซัลไฟด สําหรับระดับพีเอชมีผลตอการเลี้ยงสัตวน้ํารวมทั้งกุง<br />
ถาพีเอชนอยกวา 4 กุงจะตาย<br />
คา<br />
พีเอชระหวาง 4-6 มีการเจริญเติบโตชา คาพีเอชระหวาง 6-9 เปนระดับที่มีการเจริญเติบโตดีที่สุด<br />
คา<br />
พีเอชระหวาง 9-11 การเจริญเติบโตชาและพีเอชมากกวา 11 กุงจะตาย<br />
(Boyd, 1987) คาพีเอชยังมี<br />
บทบาทสําคัญในการควบคุมสารพิษชนิดอื่น<br />
ๆ ที่เปนอันตรายใหมีการแตกตัวเพิ่มขึ้นหรือลดลงได<br />
คือ ถาคาพีเอชมีระดับสูงขึ้นจะทําใหความเปนพิษของแอมโมเนียเพิ่มมากขึ้น<br />
แตถาคาพีเอชมีระดับ<br />
ลดลงจะทําใหเปอรเซ็นตของไฮโดรเจนซัลไฟดเพิ่มมากขึ้น<br />
(Tucker and Boyd, 1985)<br />
ออกซิเจนเปนปจจัยสําคัญมากที่สุดสําหรับสิ่งมีชีวิต<br />
เนื่องจากสิ่งมีชีวิตทุกชนิดจําเปนตอง<br />
ใชออกซิเจนในกระบวนการตาง ๆ ภายในรางกายเพื่อการเจริญเติบโต<br />
ความสามารถในการละลาย<br />
น้ําของกาซออกซิเจนมีจํากัดและขึ้นกับความดันของบรรยากาศ<br />
อุณหภูมิของน้ํา<br />
ปริมาณเกลือแร<br />
6
ตาง ๆ ที่มีอยูในน้ํา<br />
(Boyd, 1982) โดยในบอเลี้ยงกุงการละลายของออกซิเจนในน้ําสวนใหญเกิดขึ้น<br />
จากการใชเครื่องใหอากาศ<br />
เนื่องจากในเวลากลางคืนปริมาณออกซิเจนจะลดลงจนถึงเวลาเชามืด<br />
จึง<br />
มีความจําเปนในการเปดเครื่องใหอากาศเพื่อชวยในการเพิ่มออกซิเจนใหอยูในระดับที่เหมาะสม<br />
และชวยทําใหอัตราการรอดตายเพิ่มมากขึ้นดวย<br />
(Madenjian, 1990) แตแหลงที่ใหออกซิเจนในบอ<br />
เลี้ยงกุงมากที่สุด<br />
คือ กระบวนการสังเคราะหแสงของแพลงกตอนพืชในตอนกลางวัน (Boyd, 1987)<br />
ซึ่งชลอ<br />
และ พรเลิศ (2547) กลาววา ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ํามีผลตอการกินอาหาร<br />
การ<br />
เจริญเติบโตและสุขภาพกุง<br />
ถาปริมาณออกซิเจนต่ําเกินไปอาจทําใหกุงตายได<br />
Brock and Main<br />
(1994) กลาววา ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ําควรมากกวา<br />
3 มิลลิกรัมตอลิตร ปริมาณออกซิเจน<br />
ในบอเลี้ยงจะมีการเปลี่ยนแปลงคลายกับคาพีเอช<br />
คือ มีคาต่ําสุดตอนเชามืด<br />
เนื่องจากจะถูกใชไปใน<br />
การยอยสลายสารอินทรียและการหายใจของสิ่งมีชีวิตในบอ<br />
ในตอนกลางวันเมื่อมีแสงแดด<br />
แพลงก<br />
ตอนพืชเริ่มมีการสังเคราะหแสง<br />
ปริมาณออกซิเจนจะเพิ่มขึ้นและมีปริมาณสูงสุดในตอนบาย<br />
โดย<br />
ความเขมขนของออกซิเจนที่ละลายในน้ําที่ต่ํากวา<br />
3.7 มิลลิกรัมตอลิตร เปนระดับที่วิกฤตสําหรับ<br />
การดํารงชีวิตของกุงปกติ<br />
โดยปกติออกซิเจนในบอควรอยูในระดับ<br />
5-8 มิลลิกรัมตอลิตร (Chen,<br />
1985)<br />
ความเค็มมีผลตอการดํารงชีวิตของสัตวน้ํา<br />
โดยเฉพาะอยางยิ่งมีผลกับการควบคุมปริมาณ<br />
น้ําในรางกาย<br />
(ไมตรี และ จารุวรรณ, 2528) แตโดยทั่วไปแลวสัตวน้ํามีความสามารถในการปรับตัว<br />
ใหเขากับสภาพแวดลอมที่เปลี่ยนแปลงไปได<br />
Ponce-Palafox et al. (1997) ไดอธิบายไววา สําหรับ<br />
กุงขาวแวนนาไมที่เลี้ยงในความเค็มสูงกวา<br />
20 พีพีที กุงในระยะ<br />
juvenile จะมีอัตรารอดที่ดี<br />
นอกจากนี้<br />
ความเค็มและอุณหภูมิยังมีผลกับอัตราการรอดตายของสัตวในกลุมครัสเตเซียดวย<br />
(Lester and<br />
Pante, 1991) กุงขาวแวนนาไมในระยะโพสลารวาจะเจริญเติบโตไดดีที่ความเค็มประมาณ<br />
20 พีพีที<br />
และเมื่อความเค็มลดลงเหลือ<br />
5 พีพีที หรือสูงถึง 45 พีพีที การเจริญเติบโตจะลดลง โดยทั่วไปกุงขาว<br />
แวนนาไมสามารถอยูไดในชวงความเค็ม<br />
5-35 พีพีที<br />
คาการนําไฟฟาเปนคาความสามารถในการนําไฟฟาของของเหลว ประสิทธิภาพของการนํา<br />
ไฟฟาของน้ําขึ้นกับปริมาณอิออน<br />
mobility valence และ relative concentration ของน้ําหรือ<br />
ของเหลวนั้น<br />
Reid (1961) รายงานวาความเค็มสามารถวัดไดโดยคาการนําไฟฟาในดินและวัดจาก<br />
ความหนาแนนโดยใช hydrometer ถาคาการนําไฟฟาของสารละลายเพิ่มขึ้น<br />
แสดงวาปริมาณ<br />
อนินทรียสารที่ละลายน้ําสูงขึ้นและถาคานําไฟฟาของสารละลายลดลง<br />
แสดงวาปริมาณอนินทรีย<br />
สารที่ละลายน้ําต่ําลง<br />
(APHA et al., 1989) คาการนําไฟฟาของน้ําธรรมชาติทั่วไปมีคาอยูระหวาง<br />
7
100-1,500 มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตร (Todd, 1959) ไมตรี และ จารุวรรณ (2528) ไดกลาววา ปจจัยที่<br />
มีผลตอคาการนําไฟฟา คือ อุณหภูมิ โดยถาอุณหภูมิน้ําเปลี่ยนแปลง<br />
1 องศาเซลเซียส จะทําใหคา<br />
การนําไฟฟาเปลี่ยนแปลงไปจากเดิมประมาณ<br />
2 เปอรเซ็นต เนื่องจากอุณหภูมิมีผลตอการแตกตัว<br />
เปนอิออนของสารตาง ๆ นอกจากนี้<br />
สมเจตน และคณะ (2529) รายงานวาคาการนําไฟฟาที่นอยกวา<br />
1 มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตร จะไมมีความเค็ม สวนคาการนําไฟฟาที่อยูในชวง<br />
2-4 มิลลิซิเมนส<br />
ตอเซนติเมตร มีความเค็มต่ํา<br />
คาการนําไฟฟาอยูในชวง<br />
5-8 มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตรมีความเค็ม<br />
ปานกลางและคาการนําไฟฟามากกวา 9 มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตร มีความเค็มสูง จากการที่การนํา<br />
ไฟฟามีความสัมพันธกับปริมาณธาตุชนิดตาง ๆ ซึ่งเปนองคประกอบหลักในน้ําทะเล<br />
ทําใหสามารถ<br />
นําคาการนําไฟฟานี้มาใชในการศึกษาหาขอบเขตการแพรกระจายความเค็มจากบอเลี้ยงกุงสูบริเวณ<br />
ขางเคียงได ดังนั้นจึงสามารถใชประโยชนจากคาการนําไฟฟามาเปนพารามิเตอรตรวจสอบการ<br />
ปนเปอนของน้ําจากบอกุงสูแหลงน้ําใตดินที่อยูบริเวณใกลเคียงได<br />
(ประวิทย และ พิภพ, 2539)<br />
ความเปนดาง (alkalinity) หมายถึง ความสามารถหรือคุณสมบัติของน้ําที่ทําใหกรดเปน<br />
2- -<br />
กลาง ความเปนดางของน้ําประกอบดวยคารบอเนต (CO3 ) ไบคารบอเนต (HCO3 ) และ<br />
ไฮดรอกไซด (OH - ) เปนสวนใหญ คาความเปนดางมีผลเกี่ยวเนื่องกับคุณสมบัติดานอื่น<br />
ๆ เชน ความ<br />
เปนกรด (acidity) และความกระดาง (hardness) เปนตน (Brawn et al., 1983) คุณสมบัติที่สําคัญ<br />
ของความเปนดางตอแหลงน้ํา<br />
คือ เปนตัวชวยควบคุมไมใหแหลงน้ํามีการเปลี่ยนแปลงของพีเอ<br />
ชรวดเร็วเกินไป เนื่องจากความเปนดางเปนตัวชวยควบคุมพีเอชในแหลงน้ําไมใหมีการ<br />
เปลี่ยนแปลงอยางรวดเร็ว<br />
น้ําที่มีพีเอชต่ํากวา<br />
4.5 จะไมพบคาความเปนดางอยูเลย<br />
(Molye, 1945;<br />
Mairs, 1966) ซึ่งถาคาพีเอชมากกวา<br />
9 หรือนอยกวา 5 จะมีผลทําใหคาการนําไฟฟาสูงขึ้นเพราะน้ําที่<br />
เปนกรดหรือดางแกจะมีปริมาณ H + และ OH - มากซึ่งมีผลตอคาการเคลื่อนที่ของอิออนสูง<br />
สวน<br />
ความรุนแรงของความเปนพิษของโลหะลดลงเมื่อความเปนดางเพิ่มขึ้น<br />
เนื่องจากโดยทั่วไปพีเอช<br />
เพิ่มขึ้นตามความเปนดาง<br />
(Boyd and Tucker, 1998) สําหรับความเปนดางที่เหมาะสมในการเลี้ยง<br />
สัตวน้ําควรอยูในชวง<br />
100-120 มิลลิกรัมตอลิตร (Boyd, 1982)<br />
สวนใหญความกระดางของน้ํามักเกิดจากตะกอนของแคลเซียมอิออน<br />
(Ca 2+ ) และ<br />
แมกนีเซียมอิออน (Mg 2+ ) ซึ่งจะวัดออกมาเปนปริมาณแคลเซียมคารบอเนต<br />
(CaCO3) ปริมาณความ<br />
กระดางรวม หมายถึง ผลรวมของความกระดางอันเนื่องมาจากผลรวมความเขมขนของแคลเซียม<br />
และแมกนีเซียม (ศิริเพ็ญ, 2543) ในแหลงน้ําตามธรรมชาติโดยทั่วไปจะมีคาความกระดางนอยกวา<br />
1,000 มิลลิกรัมตอลิตร ความกระดางมีความสัมพันธกับคาความเปนดางและพีเอช นอกจากนี้ความ<br />
8
กระดางของน้ํายังชวยลดความเปนพิษไดเชนกัน<br />
โดยเฉพาะพวกโลหะหนัก ดังนั้นน้ํากระดาง<br />
ปานกลางหรือสูงจึงมีความเหมาะสมตอการดํารงชีวิตของสัตวน้ํา<br />
ในการแบงความกระดางของน้ํา<br />
จะใชปริมาณ CaCO3 ที่มีอยูเปนเกณฑ<br />
สามารถแบงไดดังนี้<br />
(Sawyer and McCarty, 1967)<br />
น้ําออน<br />
0 - 75 มิลลิกรัมตอลิตร ของ CaCO3 น้ําคอนขางกระดาง<br />
75 - 150 มิลลิกรัมตอลิตร ของ CaCO3 น้ํากระดาง<br />
150 - 300 มิลลิกรัมตอลิตร ของ CaCO3 น้ํากระดางมาก<br />
> 300 มิลลิกรัมตอลิตร ของ CaCO3 แอมโมเนียเปนสารประกอบไนโตรเจนที่เปนพิษตอกุงและสัตวน้ําอื่น<br />
ๆ ยกเวน แพลงกตอน<br />
พืชและแบคทีเรียที่ใชแอมโมเนียเปนอาหาร<br />
โดยแพลงกตอนพืชจะใชไนโตรเจนในรูปของแอมโมเนีย<br />
และไนเตรท (Patrick, 1977) แอมโมเนียที่พบอยูในน้ํามี<br />
2 รูปแบบ ไดแก แอมโมเนีย ที่แตกตัว<br />
+<br />
เปนอิออน (ionize ammonia; NH4 ) ซึ่งไมเปนพิษตอสัตวน้ําและแอมโมเนียที่ไมแตกตัวเปนอิออน<br />
(un-ionize ammonia; NH3) ซึ่งเปนพิษตอสัตวน้ํา<br />
โดยที่องคการอนามัยโลกไดกําหนดมาตรฐาน<br />
ของแหลงน้ําใหมีปริมาณแอมโมเนียไมเกิน<br />
0.5 มิลลิกรัมตอลิตร ทั้งสองรูปนี้จะเปลี่ยนกลับไป<br />
กลับมาขึ้นอยูกับคาพีเอชและอุณหภูมิ<br />
แตจะพบวาคาพีเอชจะสงผลตอการแตกตัวเปนแอมโมเนียที่<br />
ไม แตกตัวเปนอิออนมากกวาอุณหภูมิ (Boyd, 1989) คือ เมื่อพีเอชสูงอัตราสวนของ<br />
แอมโมเนียที่ไมแตกตัวเปนอิออนจะสูงขึ้น<br />
ทําใหความเปนพิษตอสัตวน้ําเพิ่มขึ้น<br />
การที่แอมโมเนีย<br />
ในน้ําสูงขึ้นจะทําใหกุงขับถายแอมโมเนียไดนอยลง<br />
กอใหเกิดการสะสมแอมโมเนียในเลือดและ<br />
เนื้อเยื่อ<br />
ทําใหคา พีเอชของเลือดเพิ่มขึ้นและมีผลตอการทํางานของเอนไซม<br />
แอมโมเนียจะ<br />
ทําใหการใชออกซิเจนของเนื้อเยื่อสูงขึ้น<br />
โดยจะเขาทําลายเหงือกและความสามารถในการขนสง<br />
ออกซิเจน กุงจะออนแอและติดเชื้อโรคไดงาย<br />
แตถาน้ํามีพีเอชลดลง<br />
แอมโมเนียมอิออนจะมี<br />
อัตราสวนที่เพิ่มมากขึ้น<br />
สงผลใหความเปนพิษตอสัตวน้ําลดลง<br />
สวนอุณหภูมิเมื่ออุณหภูมิสูงขึ้น<br />
ความเปนพิษของแอมโมเนียจะสูงตามไปดวย (Boyd, 1982) และเมื่อคาพีเอชลดลง<br />
ความเปนพิษ<br />
ของแอมโมเนียก็จะลดลง ระดับแอมโมเนียที่ทําใหกุงโตชาอยูระหวาง<br />
0.1-0.4 มิลลิกรัมตอลิตร แต<br />
ถาอยูในชวง<br />
0.4-2.0 มิลลิกรัมตอลิตร จะทําใหสัตวน้ําตาย<br />
โดยทั่วไประดับแอมโมเนียที่ปลอดภัย<br />
สําหรับการเลี้ยงกุงควรมีคานอยกวา<br />
0.1 มิลลิกรัมตอลิตร (ชลอ และ พรเลิศ, 2547)<br />
ไนไตรทเปนสารประกอบไนโตรเจนรูปแบบหนึ่งเกิดจากการที่สารอินทรียจมตัวลงและ<br />
ทับถมที่พื้นบอถูกยอยสลาย<br />
โดยแบคทีเรียที่อาศัยอยูในระหวางอนุภาคตะกอนใหเปนธาตุอาหาร<br />
9
พืชตาง ๆ โดยกระบวนการยอยสลายจําเปนตองอาศัยปริมาณออกซิเจนที่เพียงพอ<br />
สําหรับกระบวน<br />
การยอยสลายกอใหเกิดการเพิ่มขึ้นของกาซคารบอนไดออกไซดและทําใหคาพีเอชลดลง<br />
การยอย<br />
สลายโปรตีนทําใหเกิดแอมโมเนียซึ่งเปนอันตรายตอสัตวและถาบริเวณดังกลาวมีออกซิเจนเพียงพอ<br />
และมีแบคทีเรียในกลุม<br />
nitrifying bacteria ก็อาจเกิดปฏิกิริยาตอไปไดไนไตรทและไนเตรท<br />
(จารุมาศ, 2545) กระบวนการไนตริฟเคชัน (nitrification) ซึ่งเปนกระบวนการแปรสภาพแอมโมเนีย<br />
ใหเปนไนไตรทและไนเตรทตามลําดับ โดยการทํางานของจุลินทรีย (วิทยา, 2526; เพิ่มพูน,<br />
2528;<br />
Alexander, 1961) ซึ่งกระบวนการนี้จะเกี่ยวของกับกระบวนการ<br />
amminization ซึ่งเปนกระบวนการ<br />
ที่สารประกอบโปรตีนจะสลายตัว<br />
คือ ถูกจุลินทรียยอยสลายเปนสารประกอบไนโตรเจนพวก amino<br />
compound ตาง ๆ และในที่สุดจะเปนอามีน<br />
(amine) และกรดอะมิโน (amino acid) อีกกระบวนการ<br />
หนึ่งที่เกี่ยวของกันคือ<br />
กระบวนการ ammonification ซึ่งเกิดตอเนื่องจาก<br />
amminization<br />
สารประกอบพวกอามีนหรือกรดอะมิโนจะเปลี่ยนเปนเปนแอมโมเนีย<br />
แอลกอฮอลและพลังงาน<br />
(วิทยา, 2526) การแปรสภาพแอมโมเนียจะเกิดขึ้นโดย<br />
enzymatic oxidation ซึ่งเปนกิจกรรมของ<br />
nitrifying bacteria ซึ่งเปนพวกที่ตองการออกซิเจน<br />
กระบวนการแปรสภาพจะมีอยู<br />
2 ขั้นตอน<br />
คือ<br />
+<br />
ขั้นตอนที่<br />
1 NH3 หรือ NH4 จะถูกออกซิไดซเปนไนไตรท<br />
Enzymatic<br />
+ -<br />
2NH4 + 3O2 2NO2 + 2H2O + 4H + พลังงาน<br />
oxidation<br />
แบคทีเรียที่เกี่ยวของกับกระบวนการนี้ไดแก<br />
Nitrosomonas, Nitrosococcus<br />
ขั้นตอนที่<br />
2 ไนไตรทจะถูกออกซิไดซเปนไนเตรท<br />
Enzymatic<br />
NO 2 - + O2 2NO 3 - + พลังงาน<br />
oxidation<br />
แบคทีเรียที่เกี่ยวของ<br />
ไดแก Nitrobacter<br />
ไนเตรทในแหลงน้ํามีความสําคัญตอการเจริญเติบโตของแพลงกตอนพืช<br />
ปริมาณไนเตรท<br />
จึงสามารถบงชี้ถึงกําลังผลิต<br />
(productivity) ของแหลงน้ําได<br />
แหลงที่มาของไนเตรทไดมาจาก<br />
กระบวนการไนตริฟเคชัน โดยแบคทีเรีย Nitrobacter sp. นอกจากไนเตรทจะเปนธาตุอาหารที่<br />
สําคัญในการควบคุมกระบวนการสังเคราะหแสงของพืชแลว ไนเตรทยังมีบทบาทสําคัญใน<br />
10
กระบวนการยอยสลายสารอินทรียอีกดวย เนื่องจากไนเตรทเปนตัวรับอิเลคตรอนในลําดับถัดลงมา<br />
จากออกซิเจนและมีความสําคัญมากในระดับดินที่การแทรกซึมของออกซิเจนจากน้ําที่อยูเหนือ<br />
ระดับพื้นบอนั้นถูกจํากัด<br />
เมื่อปริมาณออกซิเจนลดลงจนเกือบหมด<br />
แบคทีเรียในกลุม<br />
Pseudomonas,<br />
Moraxella, Spirillum, Thiobacillus และ Bacillus จะทําการยอยสลายสารอินทรียดวยกระบวนการ<br />
ดีไนตริฟเคชัน (denitrification) โดยกระบวนการนี้จะเกิดเฉพาะในชั้นบาง<br />
ๆ ใตผิวดิน ซึ่งอยูติดกับ<br />
ชั้นที่มีออกซิเจนดานบน<br />
(จารุมาศ, 2548) ดังสมการ<br />
-<br />
4NO3 + 5CH2O (organic matter) + 4H + 2N2 + 5CO2 + 7H2O สารอินทรียจะถูกยอยสลายโดยแบคทีเรียที่ใชออกซิเจนจากไนเตรทเปลี่ยนสารอินทรียไป<br />
เปนคารบอนไดออกไซด น้ําและกาซไนโตรเจน<br />
ซึ่งกาซไนโตรเจนที่ถูกสรางขึ้นจะถูกปลอยสู<br />
-<br />
บรรยากาศ สวนคารบอนไดออกไซดจะทําปฏิกิริยากับน้ําเกิดเปนไบคารบอเนต<br />
(HCO3 ) ปฏิกิริยานี้<br />
จะทําใหความเปนกรดของดินลดลง (Boyd, 1995)<br />
ในสภาวะที่ไมมีออกซิเจนแบคทีเรียบางชนิดสามารถใชซัลเฟตและสารประกอบซัลเฟอร<br />
ออกไซดอื่น<br />
ๆ เปนตัวรับอิเลคตรอนในกระบวนการเมตาบอลิซึมจะไดพวกซัลไฟดออกมา ซึ่งซัลไฟด<br />
เปนอิออนที่แตกตัวอยูในสภาวะที่สมดุลกับไฮโดรเจนซัลไฟดซึ่งมีคาพีเอชเปนตัวกําหนดวาซัลไฟด<br />
จะอยูในรูปไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
(H2S) ไฮโดรซัลไฟดอิออน (HS - ) หรือไบซัลไฟดอิออน (S 2- ) ซัลไฟด<br />
ที่เปนพิษตอสัตวน้ําจะอยูในรูปของไฮโดรเจนซัลไฟดหรือกาซไขเนา<br />
โดยมีระดับความเขมขนอยู<br />
ในชวง 0.01-0.05 มิลลิกรัมตอลิตร สมพร (2535) รายงานวาไฮโดรเจนซัลไฟดที่ความเขมขน<br />
1.3<br />
มิลลิกรัมตอลิตร จะมีผลทําใหกุงเกิดอาการช็อกเปนอัมพาตและจะตายในที่สุด<br />
3. ความสัมพันธระหวางดินและน้ําในการเลี้ยงกุง<br />
ดินพื้นบอมีความสําคัญในการเพาะเลี้ยงสัตวน้ํา<br />
คือ ทําหนาที่ในการเก็บกักน้ําเปนที่อยู<br />
อาศัยของสัตวและพืชน้ํา<br />
เปนที่เก็บสะสมของสาร<br />
และเปนศูนยกลางการหมุนเวียนของธาตุอาหาร<br />
ตาง ๆ ภายในบอ (Boyd, 1990; Matida, 1966) อีกทั้งยังเปนบัฟเฟอร<br />
(buffer) และเปนตัวกรองทาง<br />
ชีวภาพโดยดูดยึดสารอินทรียตกคางจากอาหาร สิ่งขับถายและสารเมตาบอไลทตาง<br />
ๆ (Ray and<br />
Chien, 1992) คุณภาพของดินพื้นบอจะสงผลกระทบตอคุณภาพน้ําในบอและตอตัวกุงโดยตรง<br />
11
เนื่องจากกุงใชเวลาสวนใหญอยูบริเวณพื้นกนบอ<br />
(ยนต และ พรพันธ, 2534; Boyd, 1990; Hajek<br />
and Boyd, 1994)<br />
สําหรับกระบวนการทางฟสิกส เคมีและชีวภาพของดินพื้นบอจะเกี่ยวของกับคุณภาพน้ํา<br />
สภาพดินที่ไมดีจะเปนขอจํากัดที่รุนแรงตอการเลี้ยงกุงแบบกึ่งพัฒนาและพัฒนา<br />
(Boyd, 1992; Ray<br />
and Chien, 1992) ปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นระหวางดินและน้ําจะสงผลตอคุณภาพน้ํา<br />
การเจริญเติบโตและ<br />
อัตราการรอดตายของสัตวน้ํา<br />
(Hajek and Boyd, 1994) การแลกเปลี่ยนที่เกิดขึ้นระหวางดินและน้ํา<br />
จะเกี่ยวของกับอินทรียวัตถุและออกซิเจน<br />
โดยจะเปนพลังงาน แรธาตุและอาหารสําหรับสิ่งมีชีวิต<br />
ในดินขนาดเล็กและสัตวหนาดิน (Guy, 1992) โดยสามารถแบงดินพื้นบอออกเปนชั้นตามระดับ<br />
ความลึกและปริมาณออกซิเจนที่ใชในการยอยสลายสารอินทรีย<br />
(Barnes and Hughs, 1982; Brown<br />
and McLachlan, 1990; Munsiri et al., 1995) ได 4 ชั้น<br />
คือ<br />
3.1 flocculent layer เปนชั้นบนสุดของดินพื้นบอ<br />
ประกอบดวยพวกซากแพลงกตอนที่ตาย<br />
อาหารเหลือสิ่งขับถาย<br />
จุลินทรีย และอนุภาคขนาดเล็ก การเคลื่อนที่ของน้ําผานบริเวณนี้จะชา<br />
เนื่องจากมีความหนืดสูงกวาน้ําที่หมุนเวียนอยูขางบน<br />
(freely-circulating water) สารตาง ๆ เคลื่อนที่<br />
โดยการพา (convection) และการแพรโดยเฉพาะอยางยิ่งการแพรจะมีบทบาทหลักตอการ<br />
ปลดปลอยสารหรืออิออนตาง ๆ จากน้ําในดิน<br />
(interstitial water) สูน้ําในบอ<br />
สวนการเคลื่อนที่ของ<br />
สารลงสูดินชั้นลางตามชองวางระหวางอนุภาคดินเกิดการแพรและการดูดซึมลงสูดานลาง<br />
(downward seepage) (Boyd, 1995)<br />
3.2 oxidized layer หรือ aerobic zone คือ ดินชั้นบนที่มีออกซิเจน<br />
ไนโตรเจนและซัลเฟอร<br />
ซึ่งอยูในสภาพออกซิไดซ<br />
(oxidized states) ไดแก ไนเตรทและซัลเฟตโดยมีคาศักยไฟฟารีดอกซ<br />
ระหวาง 200-400 มิลลิโวลต ดินชั้นนี้จะเกิดกระบวนการไนตริฟเคชันโดยกลุมแบคทีเรียพวก<br />
คีโมลิโทโทรฟ (chemolithotroph) กระบวนการนี้จะเริ่มจากแอมโมเนียมอิออนจะถูกออกซิไดซเปน<br />
ไนไตรทโดยแบคทีเรีย Nitrosomonas และขั้นที่สองไนไตรทถูกออกซิไดซเปนไนเตรทโดย<br />
แบคทีเรีย Nitrobacter ทั้งสองกระบวนการเปนการหายใจแบบใชออกซิเจน<br />
เรียกแบคทีเรียกลุมนี้วา<br />
ไนตริไฟอิ้งแบคทีเรีย<br />
ดินในชั้นนี้ยังมีกระบวนการตรึงกาซไนโตรเจนโดยเปลี่ยนกาซไนโตรเจน<br />
กลับมาเปนไนเตรท (ดวงพร, 2545; ชลอ และ พรเลิศ, 2547) และกระบวนการดีซัลเฟอริเซชัน<br />
(desulferization) คือ กระบวนการกําจัดซัลเฟอรออกจากสารอินทรียทําใหเกิดซัลเฟตโดยแบคทีเรีย<br />
บางชนิดในชั้นที่มีออกซิเจน<br />
12
3.3 redox potential discontinuity layer (RPD) คือ ดินชั้นกลางซึ่งอยูระหวางชั้นที่มี<br />
ออกซิเจนและไมมีออกซิเจนจะมีการเปลี่ยนจากสภาวะออกซิไดซเปนสภาวะรีดิวซ<br />
ออกซิเจนใน<br />
ดินชั้นนี้จะลดลงจนเกือบหมด<br />
คาศักยไฟฟารีดอกซจะมีคาใกลเคียง 0 มิลลิโวลต (Brown and<br />
McLachlan, 1990) เริ่มมีการเกิดกระบวนการดีไนตริฟเคชัน<br />
โดยไนเตรทจะทําหนาที่เปนตัวรับ<br />
อิเลคตรอนตัวสุดทาย เรียกวา การหายใจแบบไมใชออกซิเจน (anaerobic respiration ในที่นี้ก็คือ<br />
nitrate respiration) ไนเตรทถูกเปลี่ยนเปนกาซไนโตรเจน<br />
สําหรับการใชกลูโคสโดยผานการรีดิวซ<br />
ไนเตรทสรุปเปนสมการไดดังนี้<br />
-<br />
4NO3 + C6H12O6 2N2 + 6CO2 + 6H2O ดังนั้นกระบวนการดีไนตริฟเคชันที่เกิดโดยแบคทีเรียบางชนิด<br />
เชน Escherichia coli<br />
ซึ่งมีความสามารถรีดิวซไนเตรทเปนไนไตรท<br />
แตแบคทีเรียอื่น<br />
ๆ สามารถทําขั้นตอนตอจากนี้ไดอีก<br />
2 ขั้นตอนของการหายใจแบบไมใชออกซิเจน<br />
คือ การรีดิวซไนไตรทเปนกาซไนตรัสออกไซด<br />
(N2O) และรีดิวซตอเปนกาซไนโตรเจน เมื่อเกิดกาซไนตริกออกไซดหรือไนตรัสออกไซดหรือ<br />
ไนโตรเจนถือวาเกิดกระบวนการดีไนตริฟเคชัน ตัวอยางแบคทีเรียที่ทําใหเกิดกระบวนการนี้<br />
เชน<br />
Pseudomonas, Moraxella, Spirillum, Thiobacillus และ Bacillus การเกิดไนตรัสออกไซดเกิดไดดี<br />
เมื่อสิ่งแวดลอมมีไนเตรทปริมาณมากและมีคาพีเอชที่ต่ําแตการเกิดกาซไนโตรเจนจะเกิดไดดีกวา<br />
เมื่อมีสารอินทรียเพียงพอที่จะเปนแหลงพลังงานสรุปเปนสมการไดดังนี้<br />
-<br />
4NO3 + 5CH2O (organic matter) 2N2 + 5CO2 + 7H2O สารอินทรียจะถูกแบคทีเรียที่ใชออกซิเจนจากไนเตรทเปลี่ยนสารอินทรียไปเปน<br />
คารบอนไดออกไซด น้ําและกาซไนโตรเจน<br />
ซึ่งกาซไนโตรเจนที่ถูกสรางขึ้นจะถูกสงออกไปสู<br />
-<br />
บรรยากาศ คารบอนไดออกไซดจะทําปฏิกิริยากับน้ําเกิดเปนไบคารบอเนต<br />
(HCO3 ) ปฏิกิริยานี้จะ<br />
ทําใหดินมีความเปนกรดลดลง (Boyd, 1995)<br />
3.4 reduced layer คือ ดินชั้นลางสุดที่ไมมีออกซิเจนซึ่งเปนชั้นรีดิวซ<br />
ในดินชั้นนี้จะมีคา<br />
-<br />
ศักยไฟฟารีดอกซเปนลบ ภายหลังจากการใชไนเตรท (NO3 ) แมงกานีสออกไซด (MnO2) และเหล็ก<br />
2-<br />
ออกไซด (Fe2O3) จนหมดแลว แบคทีเรียพื้นบอบางชนิดจะใชซัลเฟต<br />
(SO4 ) เปนตัวรับอิเลคตรอน<br />
ซึ่งการใชซัลเฟตในการหายใจเปนการรีดิวซซัลเฟตแบบสลาย<br />
(dissimilatory sulfate reduction)<br />
13
และแบคทีเรียกลุมนี้เจริญในสภาวะไมมีออกซิเจนเทานั้น<br />
เรียกแบคทีเรียกลุมนี้วา<br />
sulfate reducing<br />
bacteria ไดแก Desulfovibrio, Desulfomonas (ดวงพร, 2545) ผลจากการรีดิวซทําใหเกิดไฮโดรเจน<br />
ซัลไฟดสรุปเปนสมการไดดังนี้<br />
2-<br />
SO4 + 2CH2O (organic matter) S 2- + 2CO2 + 2H2O S 2- + 2H + H2S ซัลไฟดซึ่งจะอยูในสามรูปแบบ<br />
คือ ไฮโดรเจนซัลไฟด (H2S) ไฮโดรซัลไฟดอิออน<br />
(HS - ) และไบซัลไฟดอิออน (S 2- ) ในน้ําที่มีพีเอชต่ําจะมีเปอรเซ็นตของไฮโดรเจนซัลไฟดสูง<br />
แตถา<br />
น้ํามีคาพีเอชสูงขึ้นเปอรเซ็นตของไฮโดรเจนซัลไฟดจะลดลง<br />
แตไฮโดรซัลไฟดอิออนและไบซัลไฟด<br />
อิออนมากขึ้นความเปนพิษตอสัตวน้ําลดลงดวย<br />
(ชลอ และ พรเลิศ, 2547) พวกโลหะหนักที่มีความ<br />
วองไวมากจะรวมตัวกับกาซไฮโดรเจนซัลไฟด แลวอยูในรูปตกตะกอนเปนโลหะซัลไฟดซึ่งมีสีดํา<br />
(ดวงพร, 2545)<br />
สําหรับรูปแบบการเคลื่อนยายของสารตาง<br />
ๆ ภายในบอในทางเคมีมี 2 ลักษณะ คือ<br />
ผิวดินพื้นบอที่มีออกซิเจน<br />
(oxidized layer) และผิวดินพื้นบอที่ไมมีออกซิเจน<br />
(reduced layer)<br />
แตน้ําที่อยูขางบนยังมีอากาศ<br />
ชั้นที่มีออกซิเจนจะควบคุมไมใหสารรีดิวซ<br />
เชน พวกไนไตรท เฟอรรัส<br />
ไฮโดรเจนซัลไฟด กาซมีเทนและสารรีดิวซตัวอื่น<br />
ๆ แพรขึ้นไปสูน้ําขางบน<br />
ถาน้ําในบอมีออกซิเจน<br />
สารรีดิวซเหลานี้จะตกตะกอนลงมาอีกครั้ง<br />
อยางไรก็ตามการตกคางนาน ๆ จะเปนอันตรายตอกุง<br />
โดยตรง (สุวณิช, 2540; Boyd, 1992; Masuda and Boyd, 1994)<br />
14
ภาพที่<br />
1 ชั้นของหนาตัดดินพื้นบอ<br />
ที่มา:<br />
Munsiri et al. (1995)<br />
ภาพที่<br />
2 การเคลื่อนที่ของน้ําและมวลสารตาง<br />
ๆ ภายในบอเลี้ยงสัตวน้ํา<br />
ที่มา:<br />
Boyd (1990)<br />
15
ภาพที่<br />
3 การเคลื่อนที่ของสารบริเวณระหวางชั้นดินและน้ําในบอที่ผิวพื้นบอมีออกซิเจน<br />
ที่มา:<br />
Boyd (1995)<br />
ภาพที่<br />
4 การเคลื่อนที่ของสารบริเวณระหวางชั้นดินและน้ําในบอที่ผิวพื้นบอขาดออกซิเจน<br />
ที่มา:<br />
Boyd (1995)<br />
16
4. การวัดคาความเนาเสียของพื้นบอโดยใชคาศักยไฟฟารีดอกซในดิน<br />
(redox potential)<br />
คาศักยไฟฟารีดอกซเปนการวัดเชิงปริมาณของแนวโนมในระบบที่จะออกซิไดซหรือ<br />
รีดิวซสารประกอบ คาศักยไฟฟารีดอกซจะเปนบวกและมีคาสูงในระบบออกซิเดชันในดินที่มี<br />
ออกซิเจนอยูเพียงพอ<br />
คาศักยไฟฟารีดอกซอยูในชวง<br />
0 ถึง +600 มิลลิโวลต และมีคาเปนลบหรือต่ํา<br />
ในระบบรีดักชันรุนแรง คือ ดินที่เนาเสียหรือไมมีออกซิเจนอยูเลย<br />
(ทัศนีย, 2534; Guy, 1992; Boyd,<br />
1995) โดยมีคาศักยไฟฟารีดอกซอยูในชวงติดลบอาจต่ําลงถึง<br />
-200 มิลลิโวลตหรือนอยกวานี้<br />
ดังนี้<br />
คาศักยไฟฟารีดอกซโดยประมาณที่สารประกอบตาง<br />
ๆ ในดินจะถูกรีดิวเปนไปตามสมการ<br />
5. กาซไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
O 2 H 2O +380 ถึง +320 มิลลิโวลต<br />
-<br />
NO3 N2, Mn 4+ Mn 2+ +280 ถึง +220 มิลลิโวลต<br />
Fe 3+ Fe 2+ +180 ถึง +150 มิลลิโวลต<br />
2- 2-<br />
SO4 S -120 ถึง -180 มิลลิโวลต<br />
CO 2 CH 4 -200 ถึง -280 มิลลิโวลต<br />
5.1 คุณสมบัติของไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
ไฮโดรเจนซัลไฟดเปนกาซพิษ ไมมีสี มีกลิ่นเหม็นคลายไขเนา<br />
จึงมีชื่อเรียกโดยทั่วไป<br />
วากาซไขเนา (Gregg, 1966) เปนกาซที่มีคุณสมบัติติดไฟได<br />
ในอากาศจะมีอยูเจือจาง 0.002 มิลลิกรัม<br />
ตอลิตร เมื่อเผาไหมในอากาศจะใหเปลวไฟสีน้ําเงินออน<br />
หนักกวาอากาศ 1.5392 กรัมตอลิตร (ที่<br />
0<br />
องศาเซลเซียส 760 มิลลิเมตรปรอท) มีความหนาแนนเมื่อเทียบกับอากาศ<br />
1.19 (อากาศ = 1.00) และ<br />
ความสามารถในการละลายน้ําของกาซไฮโดรเจนซัลไฟดจะขึ้นอยูกับอุณหภูมิ<br />
คือ ไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
17
1 กรัม จะละลายอยูในน้ํา<br />
187 มิลลิลิตร ที่อุณหภูมิ<br />
10 องศาเซลเซียส (Windholz, 1976) ไฮโดรเจน<br />
ซัลไฟดเมื่อละลายน้ําจะไมเสถียรจะแตกตัวออกเปน<br />
2 รูปแบบ คือ รูปที่ไมแตกตัวเปนอิออน<br />
ไดแก<br />
H2S และรูปที่แตกตัวเปนอิออน<br />
ไดแก HS - และ S 2- โดยถูกควบคุมดวยคาพีเอชของน้ํา<br />
ซึ่งจะอยูใน<br />
สภาพที่สมดุลกัน<br />
ดังสมการ (Sawyer and McCarty, 1967)<br />
5.2 แหลงของไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
H 2S HS - + H +<br />
HS - S 2- + H +<br />
แหลงที่มาของไฮโดรเจนซัลไฟดในแหลงน้ํา<br />
มักจะมาจากกระบวนการยอยสลายสาร<br />
โดยธรรมชาติ น้ําเสีย<br />
และของเสียจากโรงงานอุตสาหกรรม ซึ่งโดยปกติในแหลงน้ําธรรมชาติมักจะ<br />
2-<br />
มีซัลเฟตอิออน (SO4 ) อยูมากและสามารถถูกรีดิวซไดภายใตสภาวะที่ไมมีออกซิเจน<br />
(anaerobic<br />
condition) โดยอาศัยแบคทีเรียสกุล Desulfovibrio ซึ่งมักจะใชไฮโดรเจนอิออน<br />
(H + ) จาก lactate<br />
และ pyruvate เปนแหลงพลังงาน เกิดเปนไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
ไฮโดรเจนซัลไฟดเกิดจากการยอยสลายซากของสิ่งมีชีวิต<br />
ซึ่งมีซัลเฟอร<br />
(S) เปน<br />
องคประกอบของกรดอะมิโนบางชนิด เชน ซิสเตอีน (cysteine) เมทไธโอนีน (methionine) ซิสติน<br />
(cystine) รวมทั้งวิตามินและโคเอนไซม<br />
(co-enzyme) บางชนิด (Funchel and Blackbun, 1979) ใน<br />
การยอยสลายพวกซากอินทรียจะมีคา turn over ของซัลไฟดเพียง 4 เปอรเซ็นต (Jørgensen, 1977)<br />
โดยแบคทีเรียสกุล Escherichia และ Proteus ชวยยอยสลายภายใตสภาพที่ไมมีออกซิเจนจะได<br />
ซัลไฟด (S 2- ) และไฮโดรเจนซัลไฟด เปนตน (สมสุข, 2528)<br />
นอกจากนั้นมักพบไฮโดรเจนซัลไฟดในปริมาณที่คอนขางสูง<br />
ในบริเวณที่อยูใกลกับ<br />
แหลงที่มีสารประกอบซัลเฟอรเปนองคประกอบ<br />
เชน พวกไพไรท (pyrite) (FeS) ยิปซั่ม<br />
(gypsvum)<br />
(CaSO4.2H2O) และซัลไฟดของสารทองแดง (Cu) chalcopyrite bornite ซัลไฟดของสังกะสี เชน<br />
sphalerrite ซัลไฟดของตะกั่ว<br />
เชน Galena ซึ่งสารประกอบเหลานี้จะถูกยอยสลายโดยแบคทีเรีย<br />
ภายใตสภาพที่ไมมีออกซิเจนก็จะไดไฮโดรเจนซัลไฟดออกมา<br />
(Jorgensen, 1977; Nurnerg, 1984)<br />
จากการรายงานของ Serokin (1968) และ Dunnettle et al. (1985) กลาววามักพบไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
18
ในแหลงน้ําที่อยูชั้นลางสุดและในตะกอนดินในปริมาณที่คอนขางสูง<br />
เนื่องจากบริเวณนี้มีพวกซาก<br />
สิ่งมีชีวิตและอนินทรียสารมากและไมคอยมีสารที่สามารถออกซิไดซได<br />
จึงมักตองอาศัยการทํางาน<br />
ของแบคทีเรียชวยยอยสลายเทานั้น<br />
ซึ่ง<br />
Novazhilova and Berezina (1966) พบวาจํานวนแบคทีเรียที่<br />
ใชในการรีดิวซซัลเฟอรนั้นจะมีอยูในน้ํานอยมาก<br />
เมื่อเปรียบเทียบกับในตะกอนดินโคลนและปริมาณ<br />
ของแบคทีเรียจะเปลี่ยนแปลงไปตามฤดูกาลดวยคือ<br />
ในฤดูรอนจะพบวามีปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
ในตะกอนโคลนมากกวาในฤดูใบไมผลิ ซึ่งอาจเกิดจากหลังกระบวนการที่เกิดขึ้นในฤดูหนาว<br />
ซึ่ง<br />
มักจะมีกระแสลมและพายุมาก ทําใหแหลงน้ําเกิดการหมุนเวียนไฮโดรเจนซัลไฟดจึงมีโอกาสฟุง<br />
กระจายในมวลน้ํา<br />
ทําใหสัตวน้ําตายเปนจํานวนมากและบางสวนของกาซไขเนานั้นจะระเหยออกสู<br />
บรรยากาศได<br />
5.3 ลักษณะการแพรกระจายของปริมาณซัลไฟดในดินตะกอน<br />
จารุมาศ (2548) กลาวไววาซัลไฟดในรูปแบบตาง ๆ ที่เกิดขึ้นในดินตะกอน<br />
เกิดจาก<br />
กระบวนการชีวภาพและกระบวนการทางอนินทรียเคมี สิ่งมีชีวิตที่มีบทบาทโดยตรงตอการเกิดซัลไฟด<br />
2-<br />
คือ แบคทีเรียกลุมที่ทําการยอยสลายสารอินทรียในดินแบบไมใชออกซิเจน<br />
แตใชซัลเฟต (SO4 )<br />
เปนตัวรับอิเลคตรอนในปฏิกิริยาแบคทีเรียกลุมนี้เรียกวา<br />
sulfate reducing bacteria (เชน<br />
Desulfovibrio) และปฏิกิริยาที่เกิดการยอยสลายของสารอินทรียในกระบวนการ<br />
sulfate reduction<br />
ผลของปฏิกิริยา sulfate reduction จะใหสารประกอบ เชน แอมโมเนียและซัลไฟด<br />
ออกมาสะสมอยูในดินบริเวณนั้นและ/หรืออาจมีการแพรกระจายขึ้นไปที่ผิวดินไดซัลไฟดที่ผลิตใน<br />
ดินจะมีการรวมตัวกับธาตุเหล็กเกิดเปนสารประกอบในรูป FeS ซึ่ง<br />
FeS ก็ยังมีการเปลี่ยนรูปแบบได<br />
สารประกอบที่เรียกวา<br />
pyrite (FeS2) ซึ่งเปนรูปที่ไมละลายน้ําและถือเปนองคประกอบหลักขั้น<br />
สุดทายจากกระบวนการ sulfate reduction ในสภาพดินที่ไมมีออกซิเจนอยูเลย<br />
แตจะพบวาบริเวณ<br />
ผิวหนาดิน โดยทั่วไปที่มีโอกาสสัมผัสกับออกซิเจนในน้ําเหนือผิวดินหรือผิวหนาดินที่มีลักษณะ<br />
โปรง ซึ่งน้ําแทรกซึมผานไดดีจะไมพบปริมาณซัลไฟดอยูเลย<br />
ปฏิกิริยาการยอยสลายสารอินทรียที่<br />
บริเวณดังกลาวก็จะเกิดขึ้นภายใตสภาพที่มีออกซิเจนโดยที่ซัลไฟดหรือไฮโดรเจนซัลไฟดจะเริ่ม<br />
ปรากฏขึ้นเมื่อระดับความลึกของดินเพิ่มมากขึ้น<br />
ระดับที่มีการสะสมของซัลไฟดสูงสุดมีความ<br />
แตกตางกันขึ้นอยูกับชนิดและองคประกอบทางอินทรียสารของดินตะกอนนั้น<br />
ดินตะกอนใน<br />
ธรรมชาติที่มีลักษณะเปนทรายอาจมีระดับสูงสุดของไฮโดรเจนซัลไฟดที่ประมาณ<br />
6-8 เซนติเมตร<br />
ขณะที่ในดินที่เปนโคลนปนทรายอาจมีระดับสูงสุดอยูที่ใกลผิวดินมากกวา<br />
คือ ในระดับประมาณ<br />
19
2-3 เซนติเมตร เทานั้น<br />
เมื่อพิจารณาดินในระดับที่มีความลึกมากขึ้น<br />
สวนใหญซัลไฟด<br />
ในดินจะมีปริมาณลดลง ทั้งนี้เนื่องจากปริมาณอินทรียสารใหม<br />
ๆ ซึ่งแบคทีเรียนํามาใชจะอยูเฉพาะ<br />
บริเวณผิวหนาดิน นอกจากนี้สารละลายซัลเฟต<br />
(ซึ่งมีแหลงที่มาจากผิวน้ําดานบน)<br />
จะมีปริมาณที่<br />
ลดลงตามความลึกของดินดวย<br />
ในดานการศึกษาการเกิดสารประกอบซัลไฟดในดินจะพบวาอัตราการเกิดไดรับ<br />
อิทธิพลจากปริมาณซัลเฟตตลอดจนกระบวนการทางอนินทรียเคมีที่ทําใหมีการเปลี่ยนรูปตาง<br />
ๆ<br />
ของซัลไฟด (Jørgensen, 1977) และบทบาทดังกลาวอาจสูงกวา 50 เปอรเซ็นตของการยอยสลายเกิด<br />
ขึ้นทั้งหมดในดินในเขตใกลฝงที่มีการสะสมของอินทรียสารสูงอีกดวย<br />
5.4 การผลิตกลิ่นไฮโดรเจนซัลไฟดโดยจุลินทรีย<br />
กลิ่นไฮโดรเจนซัลไฟดเกิดโดยกิจกรรมของจุลินทรีย<br />
ซึ่งสามารถเกิดได<br />
2 วิธี คือ<br />
5.4.1 การยอยสลายสารอินทรียโดยเฉพาะโปรตีนที่มีกํามะถันเปนองคประกอบภาย<br />
ใตสภาวะที่ไมมีออกซิเจน<br />
โดยแบคทีเรียพวก proteolytic bacteria ไดแก Proteus, Escherichia และ<br />
Pseudomonas เรียกปฏิกิริยานี้วา<br />
ดีซัลเฟอเรชัน แบคทีเรียกลุมนี้เปน<br />
facultative anaerobe ดํารงชีวิต<br />
อยูไดในสภาวะที่มีและไมมีออกซิเจน<br />
แตสําหรับการสรางไฮโดรเจนซัลไฟดจะเกิดในสภาวะที่ไม<br />
มีอากาศเทานั้น<br />
5.4.2 การรีดิวซซัลเฟตภายใตสภาวะไมมีออกซิเจน การรีดิวซซัลเฟตที่พื้นบอเกิด<br />
จากกิจกรรมของแบคทีเรียในขณะที่ไมมีออกซิเจน<br />
โดยสามารถใชออกซิเจนในซัลเฟตสําหรับการ<br />
ออกซิไดซสารอินทรีย กลาวคือ ใชซัลเฟตเปนตัวรับอิเลคตรอน ผลคือ ซัลเฟตจะถูกรีดิวซใหเปน<br />
ซัลไฟด ปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นเมื่อไมมีตัวรับอิเลคตรอนอื่น<br />
ๆ เชน ออกซิเจนหรือไนเตรทดวย แตถา<br />
มีตัวรับอิเลคตรอนทั้งสามชนิดอยูดวยกันแลว<br />
ลําดับที่จะถูกใช<br />
คือ ออกซิเจน ไนเตรทและซัลเฟต<br />
ตามลําดับ (Heukelekian, 1948) แบคทีเรียที่มีความสามารถในการรีดิวซซัลเฟต<br />
คือ พวก sulfatereducing<br />
bacteria เชน Desulfovibrio, Desulfomonas, Desulfotomaculum โดยมี Desulfovibrio<br />
desulfuricans เปนแบคทีเรียที่พบบอยที่สุดและการเกิดซัลไฟดโดยวิธีนี้เปนกลไกที่สําคัญที่สุดของ<br />
การเกิดไฮโดรเจนซัลไฟดในน้ําเสีย<br />
(Dague, 1972)<br />
20
Heukelekian (1948) ไดสรุปวาในน้ําที่ไหลซึ่งจะมีปริมาณออกซิเจนสูงคาศักย<br />
ไฟฟารีดอกซจะสูงตามไปดวยโอกาสที่จะเกิดไฮโดรเจนซัลไฟดเนื่องจากแบคทีเรียที่รีดิวซซัลเฟต<br />
จึงมีนอยมาก คาศักยไฟฟารีดอกซที่จุลินทรียพวกที่รีดิวซซัลเฟตจะเจริญไดดีมีคา<br />
-200 ถึง -300<br />
มิลลิโวลต (Eliassen, 1949; Boon, 1995) สวนพีเอชที่เหมาะสมตอการรีดิวซซัลเฟตอยูในชวง<br />
6.5-<br />
8.0 (Boon, 1995)<br />
จากการศึกษาไดมีการยอมรับกันอยางกวางขวางวา การตกทับถมกันของ<br />
ตะกอนและเมือกของแบคทีเรียในทอน้ําทิ้งเปนที่เกิดของซัลไฟด<br />
(Heukelekian, 1948; Santry,<br />
1966) ในบริเวณบอเก็บรวบรวมและบําบัดน้ําเสีย<br />
แบคทีเรียที่รีดิวซซัลเฟตสามารถเจริญและสราง<br />
ไฮโดรเจนซัลไฟดได เนื่องจากมีปริมาณสารอินทรียและมีตัวรับอิเลคตรอน<br />
คือ ซัลเฟตจากน้ําเสีย<br />
ไฮโดรเจนซัลไฟดที่สรางขึ้นจะซึมผานเขาไปในน้ําเสียที่ไหลอยูแลวทําใหคาศักยไฟฟารีดอกซ<br />
ของน้ําลดลงและถาน้ําเสียที่ไหลนี้ไมไดรับการเติมอากาศเลยและมีอุณหภูมิที่เหมาะสม<br />
คือ 21-32<br />
องศาเซลเซียส จะเกิดสภาวะที่ทําใหแบคทีเรียที่รีดิวซซัลเฟตเจริญขึ้นมาอยางมากมาย<br />
กอใหเกิด<br />
ปญหาเรื่องกลิ่นของไฮโดรเจนซัลไฟดขึ้น<br />
(Dague, 1972) แมในบอน้ําเสียที่มีการใหอากาศก็มีการ<br />
ตกตะกอนทับถมกันเปนจํานวนมาก เมื่อมีการกวนน้ําในบอจะทําใหเกิดการฟุงกระจายของกลิ่น<br />
ออกมาจากตะกอนจนถึงระดับที่เกิดปญหาเรื่องกลิ่นขึ้นไดเชนกัน<br />
สภาวะแวดลอมอื่นที่มีผลตอแบคทีเรียที่รีดิวซซัลเฟต<br />
เชน คาพีเอช โดยพบวา<br />
แบคทีเรียพวกนี้สามารถปรับตัวเจริญและสรางไฮโดรเจนซัลไฟดอยางรวดเร็วในชวงพีเอชต่ํากวา<br />
6<br />
จนถึง 9 เปนอยางนอย สวนคาพีเอชที่เหมาะสมมีคาระหวาง<br />
7.5-8.0 (Pomeroy and Bowlus, 1946<br />
อางโดย Dague, 1972)<br />
คาพีเอชยังมีความสําคัญในดานอื่นนอกจากผลตอแบคทีเรียกลุมนี้ดวยเพราะ<br />
เมื่อไฮโดรเจนซัลไฟดเกิดในน้ําเสียแลวจะเกิดการแตกตัวไดเปนไฮโดรเจนอิออนและซัลไฟด<br />
อิออน 2 แบบ ดังนี้<br />
H 2S H + + HS -<br />
HS - H + + S 2-<br />
21
ถาคาพีเอชเปลี่ยนแปลงจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของสมดุลนี้<br />
นั่นคือ<br />
ถาความ<br />
เขมขนของไฮโดรเจนอิออนสูงพีเอชจะลดลงจะเกิดกาซไฮโดรเจนซัลไฟดมาก ถาความเขมขนของ<br />
ไฮโดรเจนอิออนต่ําจะเกิดกาซไฮโดรเจนซัลไฟดนอย<br />
ซึ่งความสําคัญในที่นี้<br />
คือ เฉพาะกาซไฮโดรเจน<br />
ซัลไฟดเทานั้นที่หนีออกจากของเหลวไดแลวออกสูบรรยากาศทําใหเกิดกลิ่นเหม็นขึ้น<br />
(Dague, 1972)<br />
5.5 ความเขมขนต่ําสุดของกลิ่นไฮโดรเจนซัลไฟดที่รับรูได<br />
ความเขมขนของกลิ่นแสดงอยู<br />
ในรูปมวลตอปริมาตร มีหนวยเปนสวนในลานสวน<br />
(มิลลิกรัมตอลิตร) โดยความเขมขนต่ําสุดที่สามารถรับรูไดภายใตสภาวะหนึ่ง<br />
เรียกวา threshold<br />
odor (TO) ซึ่งสารประกอบตาง<br />
ๆ ที่มีกลิ่นจะมีคา<br />
TO แตกตางกันและเปลี่ยนแปลงไปตามผูรับกลิ่น<br />
และสภาวะแวดลอม (Dague, 1972) ในกรณีของกาซไฮโดรเจนซัลไฟดมีคา TO เทากับ 0.0011 มิลลิกรัม<br />
ตอลิตร (Cheremisinoff, 1995)<br />
5.6 ผลเสียของกาซไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
จารุมาศ (2545) กลาวไววา กาซไฮโดรเจนซัลไฟดกอใหเกิดผลเสีย คือ<br />
5.6.1 กอใหเกิดปญหาเรื่องกลิ่น<br />
เนื่องจากมีกลิ่นคลายกาซไขเนา<br />
ระดับความเขมขน<br />
ของกาซไฮโดรเจนซัลไฟดที่รับรูไดมีคาต่ํามาก<br />
คือ 0.0011 มิลลิกรัมตอลิตร (Cheremisinoff, 1995)<br />
5.6.2 เปนพิษตอสิ่งมีชีวิต<br />
กาซไฮโดรเจนซัลไฟดในปริมาณความเขมขนที่สูงขึ้นจะ<br />
ทําใหประสาทรับกลิ่นเกิดอาการลา<br />
ในที่สุดกลิ่นเหม็นจึงหายไป<br />
เมื่อมนุษยไดรับกาซนี้เขาไปจะทํา<br />
ใหหมดสติและถึงตายอยางรวดเร็วถาในบรรยากาศมีกาซนี้อยูในปริมาณ<br />
300 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
นอกจากนี้ยังเปนพิษตอสิ่งมีชีวิตในน้ําแมในปริมาณนอยกวา<br />
1 มิลลิกรัมตอลิตร ระดับความเปนพิษ<br />
ยังเปลี่ยนแปลงไดตามพีเอช<br />
อุณหภูมิ และการแตกตัวของกาซไฮโดรเจนซัลไฟดเอง<br />
5.6.3 ทําใหเกิดการกัดกรอนของทอคอนกรีตหรืออุปกรณที่ทําจากโลหะ<br />
เนื่องจากเมื่อ<br />
กาซไฮโดรเจนซัลไฟดถูกออกซิไดซจะเกิดเปนกรดซัลฟูริกซึ่งมีฤทธิ์ในการกัดกรอนและเมื่อกรดนี้<br />
ถูกชะลงสูแหลงน้ําจะเกิดสภาวะกรดที่เปนอันตรายตอสิ่งมีชีวิตในแหลงน้ํานั้นไฮโดรเจนซัลไฟดที่<br />
22
เกิดขึ้นในระบบทอน้ําที่มีการเนาเสียภายในนั้นไดมีการกลาวถึงอยางละเอียดโดย<br />
Boon (1995) ทั้ง<br />
ดานสาเหตุ ผลเสียหายที่เกิดขึ้นและการควบคุม<br />
5.6.4 ทําใหแหลงน้ํามีสภาพไมนาดูเพราะเกิดการตกตะกอนสีดําที่คงตัวของโลหะ<br />
ซัลไฟด เนื่องจากกาซไฮโดรเจนซัลไฟดทําปฏิกิริยากับโลหะ<br />
เชน Fe 2+ , Pb 2+ และ Zn 2+<br />
5.7 การควบคุมกลิ่นของกาซไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
วิธีการที่ใชในการควบคุมกลิ่นตองพิจารณารวมกับปจจัยอื่น<br />
ๆ ณ จุดที่มีกลิ่น<br />
กลาวคือ<br />
ปจจัยทางเคมี ฟสิกสและชีววิทยาและการเลือกวิธีการควบคุมนั้นจําเปนตองศึกษาลงไปใน<br />
รายละเอียดของการเกิดกลิ่นจึงจะสามารถเลือกวิธีที่เหมาะสมได<br />
(Hartman, 1976) ปจจัยตาง ๆ ที่<br />
ตองพิจารณาในการเลือกวิธีที่ดีที่สุด<br />
คือ สภาพภูมิอากาศทองถิ่น<br />
วิธีการบําบัด ประสบการณ<br />
ความสามารถของผูปฏิบัติงาน<br />
ระยะเวลาและความถี่ที่เกิดกลิ่นแตละชนิดและคาใชจายในการ<br />
แกปญหา (Boon, 1995)<br />
วิธีปฏิบัติในการควบคุมกลิ่น<br />
แบงไดเปน 3 วิธีใหญ ๆ คือ วิธีทางเคมี ฟสิกสและ<br />
ชีววิทยา โดยอาจใชแตเพียงวิธีใดวิธีหนึ่งหรืออาจใชหลายวิธีรวมกันขึ้นกับความเหมาะสม<br />
วิธีทางเคมีโดยการใชสารเคมีในการควบคุมกลิ่นนั้นจะตองใชสารเคมีที่ไมรบกวนตอ<br />
ระบบการบําบัดทางชีววิทยาของโรงบําบัดน้ําเสียและตองไมเปนพิษตอคน<br />
ปลา พืชและสิ่งมีชีวิต<br />
ตาง ๆ การบําบัดโดยใชสารเคมีนี้โดยทั่วไปเสียคาใชจายมากและมีความยุงยาก<br />
(Santry, 1966)<br />
สารเคมีที่ใชในการควบคุมกลิ่น<br />
ไดแก ไนเตรท<br />
ไนเตรทควบคุมการเกิดไฮโดรเจนซัลไฟดโดยแบคทีเรียที่รีดิวซซัลเฟตในน้ําเสียได<br />
จาก<br />
การวิจัยของ Jenneman et al. (1986) ที่ทําการศึกษาถึงผลของไนเตรทที่มีตอการผลิตซัลไฟด<br />
โดยแบคทีเรีย พบวาการเติมไนเตรทจะชวยยับยั้งการผลิตซัลไฟดไดเปนเวลานาน<br />
โดยเหตุผล 2<br />
ประการ คือ ประการแรกการเติมไนเตรททําใหคาศักยไฟฟารีดอกซสูงขึ้นจากการเกิดไนตรัสออกไซด<br />
หรือไนตริกออกไซดหรือทั้งสองอยางทําใหเกิดสภาพแวดลอมแบบออกซิไดซ<br />
สวนประการที่สอง<br />
คือ ปริมาณของแบคทีเรียที่รีดิวซซัลเฟตลดลงจากการที่ตองอยูในสภาพแวดลอมแบบออกซิไดซ<br />
เปนเวลานานและมีความเขมขนของไนตรัสออกไซดสูง เนื่องจากไนตรัสออกไซดเปนพิษตอเซลล<br />
23
(Thom and Marquis, 1984) และไนตริกออกไซดนั้นก็มีฤทธิ์ในการควบคุมการเจริญของแบคทีเรีย<br />
บางชนิด (Mancinelli and McKay, 1983) สําหรับ Jobbagy et.al. (1994) ไดใหเหตุผลของการที่<br />
ไนเตรทสามารถลดการรีดิวซซัลเฟตไปเปนไฮโดรเจนซัลไฟดวาเกิดได 2 ทาง คือแบคทีเรียพวก<br />
denitrifying bacteria มีความสามารถทางเมทาบอลิซึมดีกวาแบคทีเรียพวกที่รีดิวซซัลเฟต<br />
จึง<br />
สามารถใชสิ่งปนเปอนหรือสารที่ไฮโดรไลซไดในน้ําเสียดิบไปเปนสารประกอบที่ใชผลิตไฮโดรเจน<br />
ซัลไฟดไมไดอีก อีกทางหนึ่ง<br />
คือ ในการแขงขันเพื่อแยงสารตั้งตนชนิดเดียวกันพวก<br />
denitrifying<br />
bacteria จะทําใหไดดีกวา<br />
สําหรับการดัดแปลงกลิ่น<br />
(odor modification) แบงเปน 2 แบบ คือ odor counteraction<br />
และ odor masking โดย counteraction หมายถึง การเติมสารที่มีกลิ่นชนิดหนึ่งลงไปผสมกับกลิ่น<br />
ที่ไมตองการเกิดเปนของผสมที่ไมมีกลิ่นหรือมีกลิ่นนอยมาก<br />
สวน masking คือ การเติมสารที่มีกลิ่น<br />
ลงไปและดวยคุณลักษณะและความเขมขนของสารนี้จะทําใหไมสามารถรับรูกลิ่นที่ไมตองการได<br />
ทั้ง<br />
2 แบบมีกลไกที่ซอนทับกันอยูและความแตกตางกันก็ไมชัดเจน<br />
แตอาศัยหลักการที่ทําใหประสาท<br />
รับกลิ่นไมรับรูกลิ่นชั่วคราว<br />
การตอบสนองตอกลิ่นจึงนอยลงหรือเมื่อสารสองชนิดผสมกันในอัตรา<br />
สวนหนึ่งจะไดสารผสมที่มีกลิ่นนอยลงหรือกลิ่นเหม็น<br />
เมื่อไปรวมกับสวนผสมจะทําใหกลิ่นโดยรวม<br />
ดีขึ้น<br />
(Cheremisinoff, 1995) การเลือกและการประยุกตใชที่ถูกตอง<br />
สวนมากจะเปนการลองผิดลอง<br />
ถูก หลักการสําคัญ คือ ใชสารเคมีที่ถูกตองในปริมาณเทาที่จําเปน<br />
ในสถานที่ที่ถูกตองในเวลาที่<br />
ตองการซึ่งเปนงานที่ยาก<br />
โดยเฉพาะในแงของกลิ่นที่มีการเปลี่ยนแปลงและขึ้นกับสภาพ<br />
อุตุนิยมวิทยา วิธีการแบบ masking มีการประยุกตใชกันมากในการควบคุมกลิ่น<br />
(Post, 1956;<br />
Dague, 1972)<br />
สวนวิธีทางชีววิทยาเปนการควบคุมกลิ่นของไฮโดรเจนซัลไฟดโดยอาศัยการทํางานของ<br />
แบคทีเรียซึ่งแบงได<br />
2 กรณี คือ แบคทีเรียที่เติมลงไปจะใชกาซไฮโดรเจนซัลไฟดที่เกิดขึ้นเปนแหลง<br />
ของพลังงานในการเจริญซึ่งเปนการกําจัดกลิ่นและกรณีที่สอง<br />
คือ การเติมแบคทีเรียบางชนิดซึ่งเปน<br />
ปฏิปกษตอแบคทีเรียที่สรางไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
เชน ทําใหเกิดการแกงแยงกัน การสรางสารพิษเปน<br />
ตน จัดเปนการปองกันการเกิดกลิ่น<br />
แบคทีเรียที่ใชไฮโดรเจนซัลไฟดเปนแหลงของพลังงานในการ<br />
เจริญสามารถแบงแบคทีเรียเปน 2 กลุม<br />
คือ กลุมแบคทีเรียสังเคราะหแสง<br />
(purple sulfur bacteria, green<br />
sulfur bacteria และ purple nonsulfur bacteria) และกลุม<br />
colorless sulfur bacteria<br />
24
ปฏิกิริยา<br />
แบคทีเรียสังเคราะหแสงกําจัดไฮโดรเจนซัลไฟดไดโดยการออกซิไดซซัลไฟดตาม<br />
HS - -2<br />
+ 2H2O + 2CO2 SO4 + 2(CH2O) + H +<br />
สวนกลุม<br />
colorless sulfur bacteria ออกซิไดซซัลไฟดตามปฏิกิริยา<br />
2- +<br />
H2S + 2O2 SO4 + 2H<br />
กลุม<br />
purple sulfur bacteria สกุลที่มีการศึกษา<br />
คือ Ectothiorhodospira เนื่องจากสะสม<br />
กํามะถันนอกเซลล (Brock, 1994) มีการศึกษาการเปลี่ยนซัลไฟดใหเปนกํามะถัน<br />
โดยแบคทีเรียใน<br />
สกุลนี้พบวาไมมีการสะสมของสารที่มีฤทธิ์กัดกรอนและมีศักยภาพที่จะใชในสภาพแวดลอม<br />
อุตสาหกรรม (Vainstein et al., 1994)<br />
กลุม<br />
green sulfur bacteria สกุลที่มีการศึกษา<br />
คือ Chlorobium โดยพบวาสามารถกําจัด<br />
กํามะถันและตรึงกาซคารบอนไดออกไซดในกาซที่มีองคประกอบเปนกรด<br />
คือ ไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
และกาซคารบอนไดออกไซด (Cork et al., 1983)<br />
กลุม<br />
purple nonsulfur bacteria แบคทีเรียกลุมนี้สวนใหญสามารถใชซัลไฟดไดใน<br />
ปริมาณความเขมขนต่ํา<br />
ระดับซัลไฟดที่พวก<br />
purple และ green sulfur bacteria สามารถใชไดดีนั้น<br />
จะเปนพิษตอพวก purple nonsulfur bacteria แบคทีเรียพวกนี้บางชนิดสามารถเจริญไดในสภาวะที่<br />
ไมมีออกซิเจนและสวนมากเจริญไดในสภาวะมีออกซิเจนและอยูในที่มืด<br />
ตัวอยางแบคทีเรียกลุมนี้<br />
ไดแก สกุล Rhodospirillum (Brock, 1994)<br />
กลุม<br />
colorless sulfur bacteria โดยทั่วไปอาจเรียกสมาชิกสกุลนี้วา<br />
nonphotosynthetic<br />
sulfur bacteria (Brock, 1994) สามารถเปลี่ยนซัลไฟดไดเปนซัลเฟตทั้งในสภาวะที่มีออกซิเจน<br />
และไมมีออกซิเจน (Sublette and Sylvester, 1987 a, b, c; Sublette, 1987) การศึกษาผลของ sulfide<br />
loading ที่มีตอการทํางานของถังปฏิกิริยา<br />
(Sublette and Sylvester, 1987 a; Sublette, 1987) และการ<br />
25
สราง Thiobacillus denitrificans สายพันธุทนตอซัลไฟดเพื่อใชในการออกซิไดซซัลไฟดในปริมาณ<br />
ที่สูงขึ้น<br />
(Sublette and Woolsey, 1989)<br />
แบคทีเรียในสกุล Thiobacillus สายพันธุอื่น<br />
ๆ ที่ไดรับความสนใจและมีการศึกษา<br />
เชน<br />
T. intermedius strain 031 (Cho et al., 1991a) Thiobacillus sp. HA 43 (Cho et al., 1991b)<br />
T. thioparus DW44 (Cho et al., 1991c) และ T. thioparus TK-m (Tanji et al., 1989)<br />
นอกจากนี้ในกลุม<br />
colorless sulfur bacteria ยังมีแบคทีเรียในสกุล Xanthomonas แยก<br />
ไดโดย Cho et al. (1992) ซึ่งพบวามีศักยภาพดีกวาสกุล<br />
Thibacillus คือ ใหผลผลิตของการ<br />
ออกซิไดซซัลไฟดเปนพวกโพลีซัลไฟดทําใหไมมีการเปลี่ยนแปลงพีเอชในถังปฏิกิริยา<br />
จากผลของการออกซิไดซไฮโดรเจนซัลไฟดดวยออกซิเจน โดยใชแบคทีเรียพวก<br />
Thiobacillus ผลผลิตสุดทายจะไดซัลเฟตที่ละลายน้ําแลวมีฤทธิ์เปนกรดกอใหเกิดปญหาการ<br />
กัดกรอนและจัดเปนมลภาวะอีกรูปแบบหนึ่ง<br />
การศึกษาในทางเทคโนโลยีชีวภาพแบบใหมจึงใช<br />
หลักการออกซิไดซซัลไฟดใหเปนกํามะถันแทนที่จะออกซิไดซตอจนไดซัลเฟต<br />
ซึ่งทําไดโดยการ<br />
ควบคุมปริมาณออกซิเจน (Buisman et al., 1990 a, b, c) แตจากการวิจัยของ Janssen et al. (1995) ที่<br />
ศึกษาการออกซิไดซซัลไฟดในถังปฏิกิริยาแบบ fed-batch โดยใชแบคทีเรียผสมพวก thiobacilli<br />
พบวา การควบคุมปริมาณออกซิเจนไมสามารถทําใหเกิดเปนธาตุกํามะถันเพียงอยางเดียวได<br />
ทางดาน ไคเนติกสของการออกซิไดซซัลไฟดดวยวิธีเคมีและชีวภาพ (Buisman et al.,<br />
1990d) และไคเนติกสของเชื้อแบคทีเรียผสมในการออกซิไดซซัลไฟดและซัลเฟอรดวยออกซิเจน<br />
(Buisman et al., 1991)<br />
ในสวนของแบคทีเรียที่เปนปฏิปกษตอจุลินทรียที่สรางไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
ซึ่งในสภาพ<br />
แวดลอมตามธรรมชาติมีแบคทีเรียหลายประเภทที่สามารถยับยั้งการเจริญของกันและกันได<br />
เชน<br />
มีการสรางสารพิษ สารปฏิชีวนะหรือสารบางอยางที่ทําใหแบคทีเรียอีกประเภทหนึ่งไมเจริญไดหรือ<br />
ถูกทําลายไป แบคทีเรียที่สรางกรดก็เปนพวกหนึ่งที่เปนปฏิปกษตอแบคทีเรียชนิดอื่น<br />
เนื่องจากกรด<br />
ที่เกิดขึ้นสามารถยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียชนิดอื่นได<br />
ตัวอยางแบคทีเรียที่สรางกรดที่สําคัญ<br />
เชน<br />
แบคทีเรียที่ผลิตกรดโพรพิโอนิค<br />
(proprionic acid) แบคทีเรียที่ผลิตกรดอะซีติก<br />
(acetic acid) และ<br />
แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลกติก<br />
(lactic acid)<br />
26
แบคทีเรียโพรพิโอนิคหมักน้ําตาลกลูโคส<br />
กรดแลกติก กรดไพรูวิก (pyruvic acid) และ<br />
คารโบไฮเดรตไดกรดโพรพิโอนิค กรดแอซีติกและคารบอนไดออกไซด (Buchanan et al., 1974)<br />
ในกระบวนการหมักที่ใชแบคทีเรียโพรพิโอนิคจึงสามารถปองกันการปนเปอนจากจุลินทรียอื่น<br />
ๆ<br />
ได เนื่องจากกรดที่เกิดขึ้น<br />
เชื้อที่ถูกยับยั้ง<br />
ไดแก แบคทีเรียและรา (Noyes, 1969)<br />
แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลกติกเปนผลิตผลหลักจากการหมักน้ําตาลตาง<br />
ๆ และสาร<br />
ประกอบบางชนิดที่หมักได<br />
แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลกติกแบงเปน<br />
2 กลุมคือ<br />
พวก homofermentative<br />
เปลี่ยนน้ําตาลกลูโคสไปเปนเอทิล<br />
แอลกอฮอล (ethyl alcohol) กรดแอซีติก กรดโพรพิโอนิกและ<br />
คารบอนไดออกไซด การลดลงของพีเอชในสภาพแวดลอมที่แบคทีเรียที่ผลิตกรดแลกติกเจริญอยู<br />
เกิดจากกรดแลกติกเปนสวนใหญและทําใหมีฤทธิ์ตอตานแบคทีเรียชนิดอื่น<br />
ๆ ตัวอยางแบคทีเรีย<br />
กลุมนี้ที่สําคัญ<br />
ไดแก Lactobacillus และ Streptococcus (Salminen and Wright, 1993; Brock, 1994)<br />
การหมักที่เกิดกรดแลกติกสามารถยับยั้งการเจริญของแบคทีเรียชนิดอื่น<br />
เชน การทําอาหารหมักดอง<br />
ตาง ๆ เปนตน<br />
6. แบคทีเรีย Paracoccus pantotrophus<br />
บริเวณพื้นบอหลังจากออกซิเจนถูกใชจนหมดจากกระบวนการหายใจ<br />
ทําใหเกิดสภาพไร<br />
ออกซิเจนในดิน แบคทีเรียในกลุม<br />
facultative anaerobe และ obligate anaerobe (เปนแบคทีเรียพวก<br />
ที่ไมตองการออกซิเจน<br />
โดยพลังงานที่เกิดขึ้นภายในเซลลไดจากขบวนการหมัก<br />
(fermentation)<br />
หรือ การหายใจแบบไมใชออกซิเจน) จะดึงโมเลกุลออกซิเจนจากสารประกอบอื่น<br />
ๆ มาใชแทนโดย<br />
-<br />
เลือกใชสารประกอบที่มีระดับออกซิเดชันสูง<br />
ๆ มาใชกอนเรียงตามลําดับดังนี้<br />
คือ NO3 , MnO2,<br />
2- -<br />
Fe2O3 และ SO4 ตามลําดับ หลังจากใช NO3 , MnO2 และ Fe2O3 จนหมดแลว แบคทีเรียในกลุม<br />
2-<br />
sulfate reducing bacteria จะรีดิวซ SO4 ทําใหเกิดไฮโดรเจนซัลไฟด หลังจากนั้นแบคทีเรีย<br />
P.<br />
pantotrophus (Ralney et al., 1999) ซึ่งเปนแบคทีเรียแกรมลบที่สามารถดํารงชีวิตไดทั้งสภาวะที่มี<br />
ออกซิเจนและไมมีออกซิเจน (facultatively lithoautotrophic bacterium) พบทั่วไปทั้งในดินและน้ํา<br />
2-<br />
จะออกซิไดซ H2S ใหเปนซัลเฟต (SO4 )ได (Friedrich et al., 2001; Rother et al., 2001) ดังสมการ<br />
ที่<br />
1<br />
H 2S + 2O 2 SO 4 2- + 2H + (1)<br />
27
2- 2- 2-<br />
อีกทั้งยังสามารถออกซิไดซไธโอซัลเฟต<br />
(S2O3 ) และซัลไฟท (SO3 ) ใหเปน SO4 ได<br />
(Friedrich et al., 2001) ดังสมการที่<br />
2 และ 3 ตามลําดับ<br />
- 2- +<br />
S2O3 + 5H2O 2SO4 + 10H (2)<br />
Sulfur-oxidizing enzyme system<br />
2- 2- +<br />
SO3 + H2O SO4 + 2H (3)<br />
Sulfur-oxidizing system, sulfite oxidoreductase<br />
-<br />
นอกจากนี้<br />
P. pantotrophus ยังสามารถใช NO3 เปนตัวรับอิเลคตรอนตัวสุดทายในการ<br />
ออกซิไดซซัลเฟอร (S) ดังสมการที่<br />
4<br />
- 2-<br />
4 NO3 + 3S 3SO4 + 2N2 (4)<br />
จากคุณสมบัติเหลานี้แบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีการนํามาใชในการปรับปรุงและบําบัด<br />
คุณภาพน้ําในโรงงานอุตสาหกรรม<br />
(Gallert and Winter, 2005)<br />
28
อุปกรณและวิธีการ<br />
การศึกษาครั้งนี้ไดแบงออกเปน<br />
2 ขั้นตอน<br />
คือ การศึกษาการใชแบคทีเรีย Paracoccus<br />
pantotrophus ในการควบคุมปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟดในหองปฎิบัติการและการศึกษาการใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ในบอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมในที่เลี้ยงดวยน้ําความเค็มต่ํา<br />
โดยทั้ง<br />
2 ขั้นตอนมีวิธี<br />
การศึกษาดังนี้<br />
1. การศึกษาในหองปฏิบัติการ<br />
1.1 การเตรียมการทดลอง<br />
1.1.1 การเตรียมไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
ทําการทดลองในหองปฏิบัติการ ภาควิชาชีววิทยาประมง คณะประมง<br />
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร โดยนําเลนจากพื้นบอเลี้ยงกุงจากฟารมเลี้ยงกุงเอกชนในเขตอําเภอบาง<br />
แพ จังหวัดราชบุรี (ภาพที่<br />
5) มาผสมกับอาหารกุงในอัตราสวนเลนพื้นบอปริมาณ<br />
200 กรัมตอ<br />
อาหารกุง<br />
50 กรัม นํามาใสใน flask ปริมาตร 1,000 มิลลิลิตร กอนที่จะเติมน้ําจากบอเลี้ยงกุงความ<br />
เค็มประมาณ 5 พีพีที ลงไปจนไดปริมาตรรวม 1,000 มิลลิลิตร<br />
1.1.2 การเตรียมแบคทีเรีย<br />
แบคทีเรียที่ใชในการทดลอง<br />
คือ P. pantotrophus หรือ PondDtox ซึ่งไดรับความ<br />
อนุเคราะหจากบริษัท Novozymes Biological, Inc. ประเทศสหรัฐอเมริกา (ภาพที่<br />
6) ประกอบ<br />
ดวยแบคทีเรีย 1 สายพันธุ<br />
คือ P. pantotrophus จํานวน 3.1x10 9 cfu/gram บรรจุอยูในถุงที่สามารถ<br />
ละลายน้ําได<br />
แตละถุงมีน้ําหนัก<br />
0.45 กิโลกรัม<br />
1.2 การดําเนินการทดลอง<br />
จากการทดลองขั้นตน<br />
เมื่อทําการศึกษาเปรียบเทียบหาระดับความเขมขนที่เหมาะสม<br />
ในการเติมแบคทีเรีย P. pantotrophus พบวาระดับความเขมขนต่ําสุดที่สามารถควบคุมปริมาณ<br />
29
ไฮโดรเจนซัลไฟดไดมีคาไมเกิน 10 มิลลิกรัมตอลิตร จากนั้นจึงนําคาความเขมขนที่ไดจากการทดลอง<br />
ขั้นตนนี้ไปใชในการจัดระดับความเขมขนที่เหมาะสมในการทดลองทั้ง<br />
2 การทดลองตอไปไดดังนี้<br />
การทดลองที่<br />
1 การศึกษาผลของแบคทีเรีย P. pantotrophus และ NaNO3 ในการ<br />
ควบคุมปริมาณ H2S ในหองปฏิบัติการ<br />
นําเลนจากพื้นบอกุงผสมรวมกับอาหารกุงในขอ<br />
1.1 มาหมักทิ้งไวนาน<br />
3 วันเพื่อให<br />
เกิดกาซไฮโดรเจนซัลไฟดและบรรจุลง flask จํานวน 12 ใบ จากนั้นจึงแบงกลุมการทดลองออกเปน<br />
4 กลุม<br />
กลุมละ<br />
3 ซ้ํา<br />
ดังนี้<br />
กลุมที่<br />
1 (กลุมควบคุม)<br />
ไมมีการเติมแบคทีเรียและ NaNO3 ลงไปใน flask ทดลอง<br />
กลุมที่<br />
2 เติมเฉพาะ NaNO3 ปริมาณ 200 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
กลุมที่<br />
3 เติมแบคทีเรียปริมาณ 5 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 200 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
กลุมที่<br />
4 เติมแบคทีเรียปริมาณ 10 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 200 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
การทดลองที่<br />
2 การศึกษาปริมาณที่เหมาะสมของแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ในการ<br />
ปองกันการเกิด H2S ในหองปฏิบัติการโดยมีการเติม NaNO3 เพื่อรักษาระดับความเขมขนใหคงที่<br />
ตลอดระยะเวลาการทดลอง<br />
นํา flask ที่มีเลนจากพื้นบอกุงผสมรวมกับอาหารกุงในขอ<br />
1.1 จํานวน 18 ใบ จากนั้น<br />
จึงแบงกลุมการทดลองออกเปน<br />
6 กลุม<br />
กลุมละ<br />
3 ซ้ํา<br />
ดังนี้<br />
กลุมที่<br />
1 (กลุมควบคุม)<br />
ไมมีการเติมแบคทีเรียและ NaNO3 ลงไปใน flask<br />
กลุมที่<br />
2 เติมเฉพาะ NaNO3 ปริมาณ 10 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
กลุมที่<br />
3 เติมแบคทีเรียปริมาณ 0.1 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 10 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
กลุมที่<br />
4 เติมแบคทีเรียปริมาณ 1 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 10 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
กลุมที่<br />
5 เติมแบคทีเรียปริมาณ 5 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 10 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
กลุมที่<br />
6 เติมแบคทีเรียปริมาณ 10 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 10 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
30
จากนั้นนํา<br />
flask ทั้งสองการทดลองเก็บไวในที่มืดที่อุณหภูมิ<br />
28-30 องศาเซลเซียส ซึ่ง<br />
-<br />
ตรวจวัดปริมาณ H2S โดยใชชุดทดสอบ H2S ในน้ําจากบริษัท<br />
Hach (U.S.A.) สวนปริมาณ NO3 ใน<br />
-<br />
น้ําตรวจวัดโดยใชชุดทดสอบ<br />
NO3 จากภาควิชาปฐพีวิทยา คณะเกษตร มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร<br />
โดยทําการทดลองเปนระยะเวลา 7 วัน<br />
1.3 การวิเคราะหขอมูลทางสถิติ<br />
การศึกษาทั<br />
้ง 2 การทดลองทําการวิเคราะหความแตกตางทางสถิติโดยใชโปรแกรม<br />
สําเร็จรูปดวยวิธีการของ Tukey’s test<br />
31
ภาพที่<br />
5 เลนพื้นบอเลี้ยงกุงจากฟารมเลี้ยงกุงเอกชนในเขตอําเภอบางแพ<br />
จังหวัดราชบุรี<br />
ภาพที่<br />
6 แบคทีเรีย Paracoccus pantotrophus ที่ใชในการทดลอง<br />
32
2. การศึกษาในบอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
ทําการศึกษาในฟารมเลี้ยงกุงเอกชน<br />
ที่ตําบลทุงครุ<br />
เขตทุงครุ<br />
กรุงเทพมหานคร ซึ่งเปน<br />
ฟารมเลี้ยงกุงดวยน้ําความเค็มต่ําเลี้ยงแบบระบบปดน้ําหมุนเวียน<br />
คือ ขณะจับกุงจะมีการระบายน้ํา<br />
ออกจากบอเลี้ยงเขาสูบอพักน้ํา<br />
หลังจากทําการบําบัดน้ําใหมีคุณภาพที่เหมาะสมแลวก็จะนําน้ํากลับ<br />
มาใชเลี้ยงกุงในรุนตอไป<br />
พื้นที่ฟารมทั้งหมด<br />
52 ไร ประกอบดวยพื้นที่บอพักน้ําประมาณ<br />
10 ไร พื้นที่<br />
บอเลี้ยงกุงประมาณ<br />
18 ไร ทั้งหมด<br />
7 บอ โดย แตละบอมีพื้นที่บอละ<br />
2.5 ไร มีความลึกประมาณ<br />
1.60 เมตร ขึงเชือกเพื่อปองกันนกและมีการลอมตาขายรอบบอเพื่อปองกันปู<br />
ซึ่งอาจจะเปนพาหะ<br />
ของโรคไวรัสหลายชนิดเขาไปในบอ การศึกษาครั้งนี้ใชบอทดลองทั้งหมด<br />
6 บอ (ภาพที่<br />
8) โดย<br />
แบงเปน 2 กลุม<br />
คือ<br />
กลุมทดลองประกอบดวยบอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
จํานวน 3 บอ คือ บอที่<br />
1-3 ใชเปนบอ<br />
ทดลองที่มีการใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
กลุมควบคุมประกอบดวยบอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
จํานวน 3 บอ คือ บอที่<br />
4-6 ใชเปนบอ<br />
ควบคุมที่ไมมีการใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
33
บอทดลองที่<br />
1<br />
บอทดลองที่<br />
2<br />
บอทดลองที่<br />
3<br />
โรงเก็บอาหาร<br />
บานพัก<br />
ภาพที่<br />
7 แผนผังฟารมที่ทําการทดลอง<br />
คลองสงน้ํา<br />
(คลองราชพฤกษ)<br />
บอพักน้ํา<br />
บอพักน้ํา<br />
ทางเขาฟารม<br />
บอทดลองที่<br />
4<br />
บอทดลองที่<br />
5<br />
บอทดลองที่<br />
6<br />
บอเลี้ยง<br />
N<br />
34
ภาพที่<br />
8 บอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
บอที่<br />
1<br />
บอที่<br />
2<br />
35
ภาพที่<br />
8 (ตอ)<br />
บอที่<br />
3<br />
บอที่<br />
4<br />
36
ภาพที่<br />
8 (ตอ)<br />
บอที่<br />
5<br />
บอที่<br />
6<br />
37
2. 1 การเตรียมบอ<br />
สําหรับบอที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus หลังจากการเลี้ยงรอบที่ผานมาตากบอนาน<br />
2 สัปดาหและนําดินเลนพื้นบอออกกอนหวานปูนมารลในปริมาณ<br />
500-1,000 กิโลกรัมตอไร และ<br />
ใช PondDtox ซึ่งประกอบดวยแบคทีเรีย<br />
1 สายพันธุ<br />
คือ P. pantotrophus จํานวน 3.1x10 9 cfu/gram<br />
บรรจุอยูในถุงที่สามารถละลายน้ําได<br />
แตละถุงมีน้ําหนัก<br />
0.45 กิโลกรัม ใสบอละ 1 ถุง โดยแชลงใน<br />
ถังที่มีน้ําบรรจุอยูผสมใหเขากัน<br />
แลวนําไปสาดใหทั่วบนดินพื้นบอที่เปยกชื้นใชเวลาในการปรับ<br />
สภาพบอนานประมาณ 7 วัน จึงนําน้ําเขาบอ<br />
สวนบอควบคุมตากบอนาน 2 สัปดาห และนําดินเลน<br />
พื้นบอออกกอนหวานปูนมารลในปริมาณ<br />
500-1,000 กิโลกรัมตอไร<br />
2.2 การเตรียมน้ํา<br />
หลังจากเตรียมบอเรียบรอย สูบน้ําจากคลองราชพฤกษซึ่งมีความเค็มอยูระหวาง<br />
5-8<br />
พีพีที เขาสูบอพักน้ํา<br />
หลังจากนั้นใสไตรคลอรฟอนในอัตราความเขมขน<br />
1.0 มิลลิกรัมตอลิตร เพื่อ<br />
กําจัดสัตวจําพวกกุงและปู<br />
ซึ่งอาจจะเปนพาหะนําเชื้อไวรัสดวงขาวหรือไวรัสชนิดอื่น<br />
ๆ และเปด<br />
เครื่องใหอากาศเต็มที่เปนเวลา<br />
1 วัน เพื่อใหสารเคมีผสมทั่วบอ<br />
พักน้ําไวเปนเวลา<br />
1 เดือน หลังจาก<br />
นั้นสูบน้ําจากบอพักน้ําเขาสูบอเลี้ยงทั้ง<br />
6 บอ โดยผานถุงกรองไนลอน เพื่อปองกันสัตวน้ําตาง<br />
ๆ<br />
เขาไปในบอใหไดระดับน้ําสูงประมาณ<br />
1.30 เมตร เปดเครื่องใหอากาศเพื่อใหน้ําหมุนเวียน<br />
ใสปูน<br />
ขาวและโดโลไมท (CaMg(CO3) 2) ทิ้งไวประมาณ<br />
2-3 วัน เพื่อใหคุณภาพน้ําตาง<br />
ๆ มีความเหมาะสม<br />
และเกิดอาหารธรรมชาติ เชน แพลงกตอนพืชและแพลงกตอนสัตว ในบอทดลองกอนปลอยลูกกุง<br />
1 วัน จะใชแบคทีเรีย P. pantotrophus บอละ 1 ถุง แชลงในถังที่มีน้ําบรรจุอยูผสมใหเขากัน<br />
แลว<br />
นําไปสาดใหทั่วบอ<br />
(ภาพที่<br />
11) หลังจากนั้นจึงปลอยลูกกุง<br />
สวนบอควบคุมปลอยลูกกุงตามปกติ<br />
แต<br />
ไมมีการใสแบคทีเรีย P. pantotrophus<br />
2.3 การปลอยลูกกุง<br />
นําลูกกุงระยะโพสลารวา<br />
12 (PL12) ที่ผานการตรวจดวยเทคนิคพีซีอาร<br />
(PCR:<br />
polymerase chain reaction) หรือปฏิกิริยาลูกโซโพลีเมอเรสวาปลอดเชื้อไวรัสดวงขาว<br />
(White Spot<br />
Syndrome Virus; WSSV) ไวรัสหัวเหลือง (Yellow Head Virus; YHV) ไวรัสทอรา (Taura<br />
Syndrome Virus; TSV) และไวรัสตัวพิการ (Infectious Hypodermal and Hematopoietic Necrosis<br />
38
Virus; IHHNV) (ภาพที่<br />
9) และผานการปรับระดับความเค็มจากโรงเพาะฟกลงมาที่<br />
5 พีพีที เมื่อลูก<br />
กุงลําเลียงมาถึงฟารมในเวลาประมาณ<br />
17.00 น. แลวจึงนําลูกกุงที่บรรจุอยูในถุงพลาสติกใสลงใน<br />
ถังไฟเบอรกลาสซึ่งภายในบรรจุน้ําในบอเลี้ยงปริมาตรประมาณ<br />
400 ลิตร พรอมทั้งเปดเครื่องให<br />
อากาศตลอดเวลา เพื่อปรับอุณหภูมิของน้ําในบอและในถุงที่บรรจุลูกกุงใหมีอุณหภูมิใกลเคียงกัน<br />
ประมาณ 30 นาที หลังจากนั้นปลอยลูกกุงผานทางสายยางที่ตออยูกับถังไฟเบอรกลาสลงสูบอเลี้ยง<br />
ในอัตราความหนาแนน 60,000 ตัวตอไร (38 ตัวตอตารางเมตร) ทั้ง<br />
6 บอ (ภาพที่<br />
10)<br />
2.4 การเลี้ยงและการใหอาหาร<br />
ใชอาหารเม็ดสําเร็จรูปสําหรับกุงขาวแวนนาไมที่มีปริมาณโปรตีน<br />
34 เปอรเซ็นต<br />
ไขมัน 5 เปอรเซ็นต ความชื้น<br />
12 เปอรเซ็นต และใยอาหาร (fiber) 4 เปอรเซ็นต ใหอาหารวันละ<br />
4 ครั้ง<br />
คือ 7.00, 11.00, 16.00 และ 22.00 น. โดยเดินหวานรอบบอจากขอบบอเขาไปภายในบอ โดย<br />
เริ่มใหอาหารวันแรกในปริมาณ<br />
1 กิโลกรัมตอกุง<br />
100,000 ตัว หลังจากนั้นเพิ่มอาหาร<br />
200 กรัมตอ<br />
กุง<br />
100,000 ตัวตอวัน เมื่อกุงอายุ<br />
20 วัน จึงเริ่มทําการปรับอาหารตามยอ<br />
โดยเริ่มจากใสอาหารในยอ<br />
5 กรัมตออาหาร 1 กิโลกรัม ใชเวลาตรวจอาหารในยอ 3 ชั่วโมง<br />
เมื่อกุงอายุ<br />
60 วัน ใสอาหารในยอ 5<br />
กรัมตออาหาร 1 กิโลกรัม ใชเวลาตรวจอาหารในยอ 2.5 ชั่วโมง<br />
และเมื่อกุงอายุ<br />
90 วัน ใสอาหารใน<br />
ยอ 5 กรัมตออาหาร 1 กิโลกรัม ใชเวลาตรวจอาหารในยอ 2 ชั่วโมง<br />
ในระหวางการเลี้ยงไมมีการถาย<br />
น้ํา<br />
แตจะมีการเติมน้ําจากบอพักน้ําเขามาทดแทนสวนที่ระเหยหรือซึมออกไปและเมื่อความเค็มของ<br />
น้ําในบอเลี้ยงลดลงเรื่อย<br />
ๆ ในกรณีที่มีฝนตกติดตอกันหลายวันจะนําน้ําเค็มจากนาเกลือมาเติมเพื่อ<br />
เพิ่มความเค็มของน้ําในบอเลี้ยงใหอยูในระดับที่เหมาะสมตอการเจริญเติบโต<br />
2.5 การใชเครื่องใหอากาศ<br />
ในบอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมทั้ง<br />
6 บอ ใชเครื่องใหอากาศแบบเครื่องยนตขนาด<br />
10 แรงมา<br />
โดยใชเครื่องยนต<br />
2 เครื่องตอบอ<br />
แตละเครื่องจะมีแขนตีน้ํา<br />
4 แขน แตละแขนมีใบพัดตีน้ําจํานวน<br />
12-14 วง และเครื่องใหอากาศแบบมอเตอรไฟฟาขนาด<br />
3 แรงมาอีก 1 เครื่อง<br />
ซึ่งแตละเครื่องมี<br />
2<br />
แขน แตละแขนมีใบพัดตีน้ําจํานวน<br />
12 วง การเปดเครื่องใหอากาศในเวลากลางวันเริ่มเปดหลังจาก<br />
หวานอาหารไปแลว 2.5 ชั่วโมง<br />
และปดกอนใหอาหาร 0.5 ชั่วโมง<br />
สําหรับเวลากลางคืนเริ่มเปดเวลา<br />
20.00 น. เปนตนไปจนถึงตอนเชาเวลาประมาณ 7.00 น. ในกรณีที่บางชวงที่สภาพอากาศมืดครึ้มหรือ<br />
39
มีฝนตกปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ํามีคาต่ํา<br />
ปริมาณแอมโมเนียหรือไนไตรทสูงหรือมีแพลงกตอน<br />
พืชตายเปนจํานวนมากก็จะเปดเครื่องใหอากาศตลอดเวลา<br />
2.6 การศึกษาอัตราการเจริญเติบโต อัตราการรอดตายและผลผลิตของกุงขาวแวนนาไม<br />
ในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
เมื่อกุงอายุ<br />
35 วัน จะเริ่มสุมกุงโดยใชแหเพื่อนํามาชั่งน้ําหนักและหลังจากนั้นทุก<br />
ๆ 2<br />
สัปดาหจนกระทั่งสิ้นสุดการเลี้ยง<br />
(ภาพที่<br />
12) โดยจะสุมกุงอยางนอยบอละ<br />
2 จุด คือ บริเวณมุมบอ<br />
และบริเวณหนาเครื่องใหอากาศ<br />
หลังจากนั้นนําคาที่ไดมาคํานวณหาน้ําหนักเฉลี่ยและอัตราการเจริญ<br />
เติบโตของกุง<br />
การศึกษาอัตราการเจริญเติบโต<br />
อัตราการเจริญเติบโตแตละชวง = น้ําหนักกุงเฉลี่ยปจจุบัน<br />
- น้ําหนักกุงเฉลี่ยครั้งกอน<br />
(กรัมตอตัวตอวัน) ระยะเวลาที่เพิ่มจากการชั่งครั้งกอน<br />
(วัน)<br />
อัตราการเจริญเติบโตสะสม = น้ําหนักกุงเฉลี่ยปจจุบัน<br />
- น้ําหนักลูกกุงตอนปลอย<br />
(กรัมตอตัวตอวัน) อายุการเลี้ยง<br />
(วัน)<br />
การศึกษาปริมาณผลผลิต<br />
ปริมาณผลผลิต (กิโลกรัมตอไร) = น้ําหนักกุงที่จับไดทั้งหมด<br />
พื้นที่บอ<br />
(ไร)<br />
การศึกษาอัตราการรอดตาย<br />
อัตราการรอดตาย (เปอรเซ็นต) = จํานวนกุงที่เหลือ<br />
x 100<br />
จํานวนกุงที่ปลอยทั้งหมด<br />
40
2.7 การศึกษาคุณสมบัติของน้ํา<br />
เก็บตัวอยางน้ําในบอเลี้ยงทั้ง<br />
6 บอ เพื่อวิเคราะหคาปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ํา<br />
อุณหภูมิและความเปนกรดเปนดาง (พีเอช) โดยทําการวิเคราะหทุกวัน ๆ ละ 2 ครั้ง<br />
ในเวลา 7.00 น.<br />
และ 16.00 น. สวนคุณสมบัติของน้ําอื่น<br />
ๆ ไดแก ความเค็ม ความเปนดางทั้งหมด<br />
ความกระดางรวม<br />
ความนําไฟฟา ความโปรงแสง ปริมาณแอมโมเนีย ไนไตรท ไนเตรทและปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
จะทําการวิเคราะหทุก ๆ 7 วัน จนกระทั่งจับกุง<br />
การวิเคราะหคุณสมบัติของน้ําที่ทําการศึกษา<br />
มีดังนี้<br />
- ความโปรงแสง วิเคราะหโดยใช Secchi disk<br />
- อุณหภูมิน้ํา<br />
วิเคราะหโดยใชเครื่อง<br />
YSI DO 200-4M<br />
- พีเอช วิเคราะหโดยใชเครื่องวัดพีเอช<br />
Ecoscan pH 5/6<br />
- ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ํา<br />
วิเคราะหโดยใชเครื่อง<br />
YSI DO 200-4M<br />
- ความเค็ม วิเคราะหโดยใชเครื่อง<br />
YSI 30/10 FT<br />
- ความนําไฟฟา วิเคราะหโดยใชเครื่อง<br />
YSI 30/10 FT<br />
- ความเปนดางรวม วิเคราะหโดยใชวิธี Titration (APHA et al., 1995)<br />
- ความกระดาง วิเคราะหโดยใชวิธี EDTA Titrimetric Method (APHA et al., 1995)<br />
- แอมโมเนียรวม วิเคราะหโดยใชวิธี Phenol-hypochlorite method (APHA et al.,<br />
1995)<br />
- ไนไตรท วิเคราะหโดยใชวิธีของ APHA et al.(1995)<br />
- ไนเตรท วิเคราะหโดยใชชุดทดสอบไนเตรทในน้ํา<br />
ภาควิชาปฐพีวิทยา มหาวิทยาลัย<br />
เกษตรศาสตร<br />
- ไฮโดรเจนซัลไฟด วิเคราะหโดยใชชุดทดสอบปริมาณ H2S ในน้ําจากบริษัท<br />
Hach<br />
(U.S.A.)<br />
ควบคุม<br />
2.8 การศึกษาคาศักยไฟฟารีดอกซในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอ<br />
ในระหวางการเลี้ยงทําการวิเคราะหคาศักยไฟฟารีดอกซทั้ง<br />
6 บอจะวิเคราะหทุก ๆ<br />
2 สัปดาหดวยเครื่อง<br />
Ecoscan EUTECH Instruments ในบริเวณแนวหวานอาหารจํานวน 4 จุด และ<br />
บริเวณกลางบอจํานวน 4 จุด จนกระทั่งสิ้นสุดการเลี้ยง<br />
41
3. การศึกษาเปรียบเทียบผลตอบแทนการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
3.1 การวิเคราะหตนทุนและผลตอบแทนจากการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมดวยน้ําความเค็มต่ํา<br />
ตามวิธีของ ศศิวิมล (2544) และ จักรกฤษ (2547) มีรายละเอียด ดังนี้<br />
ตนทุน = คาพันธุกุง<br />
+ คาอาหารกุง<br />
+ คาไฟฟาและน้ํามันเชื้อเพลิง<br />
+ คาน้ําเค็ม<br />
+<br />
คาวัสดุ + ปูนและเคมีภัณฑ + คาแรงงาน + คาอุปกรณและซอมบํารุง +<br />
คาใชจายเบ็ดเตล็ด + คาเชาที่ดิน<br />
+ คาปรับปรุงบอ + คาดอกเบี้ย<br />
ผลตอบแทนทั้งหมด<br />
= ปริมาณผลผลิตกุง<br />
x ราคากุงที่ขายได<br />
ผลตอบแทนสุทธิ = ผลตอบแทนทั้งหมด<br />
– ตนทุนผันแปร<br />
กําไรสุทธิ = ผลตอบแทนทั้งหมด<br />
– ตนทุนทั้งหมด<br />
3.2 องคประกอบของผลตอบแทนของการลงทุนประกอบดวยผลตอบแทนทางตรงจาก<br />
รายไดจากการขายกุงที่ไดจากการเลี้ยงซึ่งคํานวณจาก<br />
รายไดจากการขายกุง<br />
= ปริมาณผลผลิตกุง<br />
x ราคากุงที่ขายได<br />
ซึ่งผลตอบแทนหรือรายไดมาจากการขายกุ<br />
งเพียงอยางเดียว<br />
4. การวิเคราะหขอมูลทางสถิติ<br />
นําขอมูลอัตราการเจริญเติบโต อัตราการรอดตาย ผลผลิต คุณสมบัติของน้ําและคาศักย<br />
ไฟฟารีดอกซของบอที่มีการใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุมมาเปรียบเทียบกันทาง<br />
สถิติโดยใชวิธี t-test (Steel and Torrie, 1980)<br />
42
5. สถานที่ทําการวิจัย<br />
5.1 ฟารมเลี้ยงกุงเอกชน<br />
ตําบลทุงครุ<br />
เขตทุงครุ<br />
กรุงเทพมหานคร<br />
5.2 อาคารจินดาเทียมเมธ ภาควิชาชีววิทยาประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร วิทยาเขต<br />
บางเขน กรุงเทพมหานคร<br />
6. ระยะเวลาการวิจัย<br />
ระหวางเดือนกรกฎาคม 2549 – กุมภาพันธ 2550<br />
43
ภาพที่<br />
9 ลูกกุงระยะโพสลารวา<br />
12 (PL12) ที่นํามาปลอยลงเลี้ยงในบอที่ทําศึกษาทั้ง<br />
6 บอ<br />
ภาพที่<br />
10 ลูกกุงในถังไฟเบอรกลาสซึ่งภายในบรรจุน้ําในบอเลี้ยงและเปดเครื่องใหอากาศ<br />
ตลอดเวลา กอนปลอยลูกกุงผานทางสายยางที่ตออยูกับถังไฟเบอรกลาสลงสูบอเลี้ยง<br />
44
ภาพที่<br />
11 หลังจากปลอยลูกกุงจะใชแบคทีเรียจํานวน<br />
0.45 กิโลกรัมตอบอทุกสัปดาห<br />
จนกระทั่งจับกุง<br />
ภาพที่<br />
12 การสุมกุงชั่งน้ําหนักดวยเครื่องชั่งน้ําหนักแบบดิจิตอล<br />
45
ผลและวิจารณ<br />
1. การศึกษาผลของแบคทีเรีย P. pantotrophus และ NaNO 3 ในการควบคุมปริมาณ H 2S ใน<br />
หองปฏิบัติการ<br />
จากผลการศึกษาผลของแบคทีเรีย P. pantotrophus และ NaNO3ในการควบคุมปริมาณ H2S ในหองปฏิบัติการ แสดงไวดังตารางที่<br />
1 พบวา<br />
กลุมที่<br />
1 ซึ่งเปนกลุมควบคุมที่ไมมีการเติมแบคทีเรียและ<br />
NaNO3 จะมีคา H2S เพิ่มขึ้นอยาง<br />
ตอเนื่อง<br />
เนื่องจากในกลุมควบคุมไมมีการเติมแบคทีเรียและ<br />
NaNO3 จึงทําใหไมสามารถควบคุมคา<br />
H2S ได คา H2S จึงเพิ่มขึ้นอยางตอเนื่องตั้งแตเริ่มจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
กลุมที่<br />
2 เปนกลุมที่มีการเติมเฉพาะ<br />
NaNO3 200 มิลลิกรัมตอลิตร คา H2S จะคอย ๆ ลดลง<br />
-<br />
จนถึงวันที่<br />
5 หลังจากนั้นคา<br />
H2S จะมีคาเพิ่มขึ้นอยางตอเนื่องจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
สวนคา NO3 คอย ๆ ลดลงจนกระทั่งมีคาเปนศูนยตั้งแตวันที่<br />
5 เปนตนไปจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
กลุมที่<br />
3 เปนกลุมที่มีการเติมแบคทีเรียในปริมาณ<br />
5 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 200<br />
มิลลิกรัมตอลิตร คา H2S มีแนวโนมลดลงจนถึงวันที่<br />
4 หลังจากนั้นคา<br />
H2S จะมีคาเพิ่มขึ้นอยาง<br />
-<br />
ตอเนื่องจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
สวนคา NO3 จะคอย ๆ ลดลงจนกระทั่งมีคาเปนศูนยตั้งแตวันที่<br />
4<br />
เปนตนไปจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
กลุมที่<br />
4 เปนกลุมที่มีการเติมแบคทีเรียในปริมาณ<br />
10 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 200<br />
มิลลิกรัมตอลิตร พบวาคา H2S มีแนวโนมลดลงจนถึงวันที่<br />
3 หลังจากนั้นคา<br />
H2S จะมีคาเพิ่มขึ้น<br />
-<br />
อยางตอเนื่องจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
สวนคา NO3 จะคอย ๆ ลดลงจนกระทั่งมีคาเปนศูนยตั้งแตวันที่<br />
3 เปนตนไปสิ้นสุดการทดลอง<br />
จากผลการทดลองแสดงใหเห็นวาการเติมแบคทีเรีย P. pantotrophus รวมกับ NaNO3 สามารถลดปริมาณ H2S ไดผลดีที่สุด<br />
รองลงมา คือ การเติม NaNO3 เพียงอยางเดียวและการไมเติม<br />
ทั้งแบคทีเรียและ<br />
NaNO3 ตามลําดับ โดยกลุมที่<br />
3 ที่มีการเติมแบคทีเรียในปริมาณ<br />
5 มิลลิกรัม<br />
ตอลิตร และ NaNO3 200 มิลลิกรัมตอลิตร สามารถลดปริมาณ H2S ไดผลดีที่สุดและการลดลง<br />
46
-<br />
ของปริมาณ NO3 ในกลุมทดลองที่<br />
2, 3 และ 4 จะแตกตางกัน เนื่องจากการเติมแบคทีเรียของแตละ<br />
-<br />
กลุมมีปริมาณแตกตางกัน<br />
โดยกลุมที่มีการเติมแบคทีเรียที่มีความเขมขนสูงจะมีปริมาณ<br />
NO3 ลดลง<br />
มากกวากลุมที่มีการเติมแบคทีเรียที่มีความเขมขนต่ําและกลุมที่ไมมีการเติมแบคทีเรีย<br />
เนื่องจาก<br />
-<br />
ในสภาวะที่ไมมีออกซิเจนแบคทีเรียจะใช<br />
NO3 เปนตัวรับอิเลคตรอนตัวสุดทายแทนออกซิเจน<br />
(ดวงพร, 2545) การรีดิวซไนเตรทจะทําใหการเจริญเติบโตของพวกแบคทีเรียที่สรางซัลไฟดเจริญ<br />
ไดชาลงทําใหมีการผลิตซัลไฟดลดลงอีกดวย โดยแบคทีเรีย P. pantotrophus มีความตองการ<br />
ไนเตรทในปริมาณที่นอยมาก<br />
ทําใหกระบวนการดีไนตริฟเคชันไมตองใชไนเตรทในปริมาณสูงจน<br />
เกิดการขาดแหลงออกซิเจน จึงเปนการชวยปองกันการเกิดการออกซิไดซซัลเฟตไปเปนซัลไฟดอีก<br />
ทางหนึ่งดวย<br />
ซึ่งจากการศึกษาของ<br />
พุทธ และ วลีรัตน (2547) พบวาการเติม NaNO3 ลงไปเพื่อรักษา<br />
-<br />
คาศักยไฟฟารีดอกซใหอยูในชวงที่มี<br />
NO3 และการเกิดขึ้นของ<br />
H2S จะลดนอยลง ดังนั้น<br />
คา H2S จึง<br />
-<br />
มีคาลดลงซึ่งสัมพันธกับคา<br />
NO3 ที่ลดลง<br />
เนื่องจากเลนพื้นบอที่เลี้ยงกุงอาจมีแบคทีเรียบางชนิดอยู<br />
-<br />
เมื่อมีการเติม<br />
NaNO3 ลงไปทําให NO3 ถูกนําไปใชในกระบวนการของแบคทีเรียซึ่งเปนการชวย<br />
เพิ่มการทํางานของแบคทีเรียที่มีอยูในปริมาณนอยใหสามารถทํางานไดดีขึ้น<br />
จึงชวยลดคา H2S ได<br />
ในระดับหนึ่ง<br />
ซึ่งสอดคลองกับการศึกษาของ<br />
Santschi et al. (1990) ที่กลาวไววา<br />
ในสภาวะที่<br />
- -<br />
ตะกอนดินขาดออกซิเจน NO3 จะถูกเปลี่ยนเปนไนไตรท<br />
(NO2 ) ไนตรัสออกไซด (N2O) และกาซ<br />
ไนโตรเจน (N2) โดยกระบวนการดีไนตริฟเคชันซึ่งออกซิเจนจะถูกดึงออกจากสารประกอบ<br />
-<br />
ไนโตรเจนเพื่อนําไปใชในการสรางพลังงานของแบคทีเรียทําใหปริมาณ<br />
NO3 ลดลง<br />
47
ตารางที่<br />
1 ผลการวิเคราะหทางสถิติแสดงการศึกษาผลของแบคทีเรีย P. pantotrophus และ<br />
NaNO3 ในการควบคุมปริมาณ H2S ในหองปฏิบัติการ<br />
่ ่ ่ ่ วัน พารามิเตอร<br />
(มิลลิกรัมตอลิตร)<br />
กลุมที<br />
1 กลุมที<br />
2 กลุมที<br />
3 กลุมที<br />
4<br />
0 H2S 3.98 ± 0.00<br />
- NO3 a<br />
0.00a 3.98 ± 0.00 a 3.98 ± 0.00<br />
0.00<br />
a 3.98 ± 0.00<br />
0.00<br />
a<br />
0.00a 1 H2S 4.77 ± 0.27<br />
- NO3 c<br />
0.00 a<br />
3.89 ± 0.16 bc<br />
10.00± 0.00 b<br />
3.53 ± 0.31 ab<br />
10.00± 0.00 b<br />
2.65 ± 0.53 a<br />
10.00± 0.00 b<br />
2 H2S 5.04 ± 0.27<br />
- NO3 d<br />
0.00 a<br />
3.71 ± 0.27 c<br />
5.00 ± 0.00b 3.09 ± 0.41 b<br />
5.00 ± 0.00b 1.59 ± 0.00 a<br />
2.50 ± 0.00 b<br />
3 H2S 5.30 ± 0.27<br />
- NO3 d<br />
0.00 a<br />
3.36 ± 0.40 c<br />
5.00 ± 0.00 b<br />
2.21 ± 0.16 b<br />
2.50 ± 0.00 b<br />
1.33 ± 0.00 a<br />
0.00 a<br />
4 H2S 5.83 ± 0.00<br />
- NO3 c<br />
0.00 a<br />
2.47 ± 0.31 b<br />
2.50 ± 0.00 b<br />
1.06 ± 0.92 a<br />
0.00 a<br />
1.80 ± 0.28 ab<br />
0.00 a<br />
5 H2S 6.01 ± 0.16 b 2.30 ± 0.31 a 1.59 ± 0.00 a 2.21 ± 0.67 a<br />
NO 3 -<br />
6 H 2S<br />
NO 3 -<br />
7 H 2S<br />
NO 3 -<br />
0.00 a<br />
6.54 ± 0.16 b<br />
0.00 a<br />
6.89 ± 0.27 c<br />
0.00 a<br />
0.00 a<br />
2.69 ± 1.21 a<br />
0.00 a<br />
3.36 ± 0.40 b<br />
0.00 a<br />
0.00 a<br />
1.94 ± 0.31 a<br />
0.00 a<br />
2.12 ± 0.53 a<br />
0.00 a<br />
0.00 a<br />
3.18 ± 0.27 a<br />
0.00 a<br />
3.71 ± 0.27 b<br />
หมายเหตุ คาเฉลี่ย<br />
± สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานในแนวนอนที่กํากับดวยอักษรที่แตกตางกัน<br />
มีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P
2. การศึกษาปริมาณที่เหมาะสมของแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ในการปองกันการเกิด H2S ใน<br />
หองปฏิบัติการ โดยมีการเติม NaNO3 เพื่อรักษาระดับความเขมขนใหคงที่ตลอดระยะเวลาการ<br />
ทดลอง<br />
ผลการศึกษาปริมาณที่เหมาะสมของแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ในการปองกันการเกิด H2S ในหองปฏิบัติการ โดยมีการเติม NaNO3เพื่อรักษาระดับความเขมขนใหคงที่ตลอดระยะเวลาการทดลอง แสดงไวดังตารางที่<br />
2 พบวา<br />
กลุมที่<br />
1 ซึ่งเปนกลุมควบคุมที่ไมมีการเติมแบคทีเรียและ<br />
NaNO3 จะมีคา H2S เพิ่มขึ้นอยาง<br />
ตอเนื่องตั้งแตเริ่มจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
กลุมที่<br />
2 เปนกลุมที่มีการเติมเฉพาะ<br />
NaNO3 10 มิลลิกรัมตอลิตร พบวาคา H2S คอย ๆ<br />
ลดลงจนถึงวันที่<br />
4 หลังจากนั้นคา<br />
H2S จะมีคาเพิ่มขึ้นอยางตอเนื่องจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
สวนคา<br />
-<br />
NO3 จะมีการเติมใหมีปริมาณที่เพียงพออยูเสมอ<br />
อาจเนื่องจากแมมีการเติม<br />
NaNO3 ลงไปแตไมมี<br />
การเติมแบคทีเรีย ซึ่งแบคทีเรียที่มีอยูในเลนพื้นบอกุงอาจสามารถลดคา<br />
H2S ไดระดับหนึ่ง<br />
แต<br />
แบคทีเรียยังมีปริมาณไมเพียงพอที่จะทําใหคา<br />
H2S หมดไปได<br />
กลุมที่<br />
3 เปนกลุมที่มีการเติมแบคทีเรียในปริมาณ<br />
0.1 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 10<br />
มิลลิกรัมตอลิตร พบวาคา H2S มีแนวโนมลดลงจนถึงวันที่<br />
4 ซึ่งมีคาเปนศูนยและจะมีคาเปนศูนย<br />
-<br />
ตอไปจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
สวนคา NO3 จะมีการเติมใหมีปริมาณที่เพียงพออยูเสมอ<br />
กลุมที่<br />
4 เปนกลุมที่มีการเติมแบคทีเรียในปริมาณ<br />
1 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 10<br />
มิลลิกรัมตอลิตร พบวาคา H2S มีแนวโนมลดลงจนถึงวันที่<br />
4 ซึ่งมีคาเปนศูนยและจะมีคาเปนศูนย<br />
-<br />
ตอไปจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
สวนคา NO3 จะมีการเติมใหมีปริมาณที่เพียงพออยูเสมอ<br />
กลุมที่<br />
5 เปนกลุมที่มีการเติมแบคทีเรียในปริมาณ<br />
5 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 10<br />
มิลลิกรัมตอลิตร พบวาคา H2S มีแนวโนมลดลงจนถึงวันที่<br />
3 ซึ่งมีคาเปนศูนยและจะมีคาเปนศูนย<br />
-<br />
ตอไปจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
สวนคา NO3 จะมีการเติมใหมีปริมาณที่เพียงพออยูเสมอ<br />
49
กลุมที่<br />
6 เปนกลุมที่มีการเติมแบคทีเรียในปริมาณ<br />
10 มิลลิกรัมตอลิตร และ NaNO3 10<br />
มิลลิกรัมตอลิตร พบวาคา H2S มีแนวโนมลดลงจนถึงวันที่<br />
3 ซึ่งมีคาเปนศูนยและจะมีคาเปนศูนย<br />
-<br />
ตอไปจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
สวนคา NO3 จะมีการเติมใหมีปริมาณที่เพียงพออยูเสมอ<br />
จากการศึกษาในกลุมที่<br />
3, 4, 5 และ 6 พบวาจากการเติมทั้งแบคทีเรียและ<br />
NaNO3 ทําใหคา<br />
H2S ลดลงอยางตอเนื่อง<br />
แตความเขมขนที่เหมาะสมที่สุด<br />
คือ กลุมที่<br />
5 และ 6 เนื่องจากสามารถลด<br />
คา H2S จนมีคาเปนศูนยไดภายใน 3 วันเทานั้น<br />
สวนในกลุมที่<br />
3 และ4 สามารถลดคา H2S ไดหมด<br />
-<br />
ภายใน 4 วัน ที่เปนเชนนี้เนื่องจากแบคทีเรียที่เติมลงไปสามารถใช<br />
NO3 จากการเติม NaNO3 ได<br />
อยางเพียงพอตลอดการทดลอง ทําใหกระบวนการทํางานของแบคทีเรียเกิดขึ้นไดอยางตอเนื่องและ<br />
สมบูรณ สวนกลุมที่<br />
2 ที่มีการเติมเฉพาะ<br />
NaNO3 10 มิลลิกรัมตอลิตรอยางเดียว สามารถลดปริมาณ<br />
H2S ไดในระดับหนึ่ง<br />
คือ สามารถลดไดถึงวันที่<br />
4 แตไมสามารถกําจัดไดหมดและตั้งแตวันที่<br />
5 เปน<br />
ตนไปปริมาณ H2S จะคอย ๆ เพิ่มขึ้นจนสิ้นสุดการทดลอง<br />
ดังนั้นจากการทดลองขั้นตนในหองปฏิบัติการ<br />
พบวาความเขมขนของแบคทีเรีย P.<br />
pantotrophus ที่ต่ําที่สุดและมีประสิทธิภาพเพียงพอที่จะสามารถลดปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
ไดหมด คือ 0.1 มิลลิกรัมตอลิตร จึงมีการนําแบคทีเรีย P. pantotrophus ที่ความเขมขนนี้มาใช<br />
ทดลองในบอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมที่เลี้ยงดวยน้ําความเค็มต่ํา<br />
50
ตารางที่<br />
2 ผลการวิเคราะหทางสถิติแสดงการศึกษาปริมาณที่เหมาะสมของแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
ในการปองกันการเกิด H2S ในหองปฏิบัติการ โดยมีการเติม NaNO3 เพื่อรักษาระดับความ<br />
เขมขนใหคงที่ตลอดระยะเวลาการทดลอง<br />
วัน พารามิเตอร<br />
(มก./ล)<br />
0 H2S NO 3 -<br />
1 H 2S<br />
NO 3 -<br />
2 H 2S<br />
NO 3 -<br />
3 H 2S<br />
NO 3 -<br />
4 H 2S<br />
NO 3 -<br />
5 H 2S<br />
NO 3 -<br />
6 H 2S<br />
NO 3 -<br />
7 H 2S<br />
NO 3 -<br />
กลุมที่<br />
1 กลุมที่<br />
2<br />
0.00 a<br />
0.00 a<br />
1.33 ± 0.27 b<br />
0.00 a<br />
1.42 ± 0.15 b<br />
0.00 a<br />
1.50 ± 0.15 c<br />
0.00 a<br />
1.59 ± 0.27 c<br />
0.00 a<br />
2.03 ± 0.15 c<br />
0.00 a<br />
2.48 ± 0.15 c<br />
0.00 a<br />
2.74 ± 0.40 c<br />
0.00 a<br />
0.00 a<br />
0.00 a<br />
1.42 ± 0.41 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
1.33 ± 0.27 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
1.24 ± 0.16 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
1.15 ± 0.16 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
1.33 ± 0.27 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
1.42 ± 0.41 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
1.68 ± 0.55 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
กลุมที่<br />
3<br />
0.00 a<br />
0.00 a<br />
1.59 ± 0.00 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
1.42 ± 0.15 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
1.33 ± 0.27 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
กลุมที่<br />
4<br />
0.00 a<br />
0.00 a<br />
1.50 ± 0.15 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
1.33 ± 0.27 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
1.24 ± 0.31 b<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
กลุมที่<br />
5<br />
0.00 a<br />
0.00 a<br />
0.80 ± 0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.35 ± 0.31 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
51<br />
กลุมที่<br />
6<br />
0.00 a<br />
0.00 a<br />
0.53 ± 0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.18 ± 0.31 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
0.00 a<br />
10.00 ± 0.00 b<br />
หมายเหตุ คาเฉลี่ย<br />
± สวนเบี่ยงเบนมาตรฐานในแนวนอนที่กํากับดวยอักษรที่แตกตางกันมีความแตกตาง<br />
กันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P
3. การศึกษาผลของแบคทีเรีย P. pantotrophus ตออัตราการเจริญเติบโต อัตราการรอดตายและ<br />
ผลผลิตของกุงขาวแวนนาไมในบอเลี้ยง<br />
ปลอยลูกกุงขาวแวนนาไมในบอเลี้ยงทั้ง<br />
6 บอ ในวันที่<br />
19 สิงหาคม 2549 และจับกุงใน<br />
วันที่<br />
7 ธันวาคม 2549 โดยผลการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมในบอทดลองที่มีการใชแบคทีเรีย<br />
P.<br />
pantotrophus และบอควบคุม แสดงไวในตารางที่<br />
3 และภาพที่<br />
9 ตลอดระยะเวลาการเลี้ยงไมพบกุง<br />
ปวยเปนโรคหรือแสดงอาการผิดปกติ เนื่องจากกุงขาวแวนนาไมที่มาใชศึกษาในครั้งนี้ไดผานการ<br />
ตรวจดวยเทคนิคพีซีอารวาปลอดเชื้อไวรัสดวงขาว<br />
ไวรัสหัวเหลือง ไวรัสทอราและ IHHNV ผล<br />
การศึกษาพบวา บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ใหผลผลิตเฉลี่ย<br />
840±40.0 กิโลกรัมตอ<br />
ไร กุงมีน้ําหนักเฉลี่ย<br />
16.77±0.43 กรัม อัตราการเจริญเติบโต 0.15±0.01 กรัมตอวัน อัตราการรอด<br />
ตาย 83.6±6.08 เปอรเซ็นตและอัตราการแลกเนื้อ<br />
1.16±0.06 ในขณะที่บอควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ใหผลผลิตเฉลี่ย<br />
633.33±41.63 กิโลกรัมตอไร กุงมีน้ําหนักเฉลี่ย<br />
15.31±0.35 กรัม<br />
อัตราการเจริญเติบโต 0.14±0.01 กรัมตอวัน อัตราการรอดตาย 69.03±6.18 เปอรเซ็นต และอัตรา<br />
การแลกเนื้อ<br />
1.52±0.17 เมื่อนําคาเฉลี่ยทั้งหมดนี้มาทดสอบทางสถิติพบวามีความแตกตางกันอยาง<br />
มีนัยสําคัญ (P
ตารางที่<br />
3 น้ําหนักเฉลี่ยและอัตราการเจริญเติบโตของกุงขาวแวนนาไมในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
เวลาเลี้ยง<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
(สัปดาห) น้ําหนักเฉลี่ย<br />
อัตราการเจริญเติบโต น้ําหนักเฉลี่ย<br />
อัตราการเจริญเติบโต<br />
(กรัม) (กรัมตอตัวตอวัน) (กรัม) (กรัมตอตัวตอวัน)<br />
5 3.06 0.09 2.91 0.08<br />
7 5.15 0.15 4.71 0.13<br />
9 7.26 0.15 6.17 0.1<br />
11 10.51 0.23 9.18 0.21<br />
13 13.89 0.24 12.34 0.23<br />
15 16.77 0.21 15.31 0.21<br />
กรัม<br />
20.00<br />
15.00<br />
10.00<br />
5.00<br />
0.00<br />
น้ําหนักเฉลี่ย<br />
5 7 9 11 13 15<br />
เวลาเลี<br />
้ยง (สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ภาพที่<br />
13 การเจริญเติบโตของกุงขาวแวนนาไมในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
และบอควบคุม<br />
53
ตารางที่<br />
4 การเปรียบเทียบขอมูลผลผลิตกุงขาวแวนนาไมในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
และบอควบคุม<br />
บอ ขนาดบอ ระยะเวลา น้ําหนัก<br />
อัตราการ อัตราการ ผลผลิต อัตราการ<br />
(ไร) ที่เลี้ยง<br />
เฉลี่ย<br />
รอดตาย แลกเนื้อ<br />
(กิโลกรัม/ไร) เจริญเติบโต<br />
(วัน) (กรัม) (เปอรเซ็นต)<br />
(กรัม/วัน)<br />
บอทดลอง ( เติมจุลินทรีย P. pantotrophus )<br />
1 2.5 111 17.24 77.33 1.22 800 0.16<br />
2 2.5 111 16.39 89.47 1.11 880 0.15<br />
3 2.5 111 16.67 84.00 1.16 840 0.15<br />
เฉลี่ย<br />
2.5 111 16.77±0.43a 83.6±6.08a 1.16±0.06a 840±40.00a 0.15±0.01a บอควบคุม ( ไมเติมจุลินทรีย P. pantotrophus )<br />
4 2.5 111 15.38 67.17 1.62 620 0.14<br />
5 2.5 111 15.63 64.00 1.62 600 0.14<br />
6 2.5 111 14.93 75.93 1.32 680 0.13<br />
เฉลี่ย<br />
2.5 111 15.31±0.35b 69.03±6.18 b 1.52±0.17b 633.33±41.63b 0.14±0.01b หมายเหตุ 1 ไร เทากับ 1,600 ตารางเมตร<br />
คาเฉลี่ย±คาเบี่ยงเบนมาตรฐานในแนวตั้งที่กํากับ<br />
54
4. การศึกษาเปรียบเทียบตนทุนและผลตอบแทนขั้นตนจากการเลี้ยงและจําหนายกุงขาวแวนนาไม<br />
ระหวางบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
จากการศึกษาเปรียบเทียบตนทุนการผลิตและผลตอบแทนขั้นตนจากการเลี้ยงกุงขาว<br />
แวนนาไมในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม (ตารางที่<br />
5) พบวาบอ<br />
ทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีตนทุนการผลิตเฉลี่ยเทากับ<br />
52,446 บาทตอไร รายไดเฉลี่ย<br />
เทากับ 117,600 บาทตอไร สวนบอควบคุมมีตนทุนการผลิตเฉลี่ยเทากับ<br />
47,892 บาทตอไร<br />
รายไดเฉลี่ยเทากับ<br />
85,500 บาทตอไร ซึ่งการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมในบอทดลองจะใหผลตอบแทน<br />
ที่ดีกวาบอควบคุมซึ่งจะเห็นไดจากบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus จะมีกําไรสุทธิขั้นตน<br />
เฉลี่ย<br />
65,154 บาทตอไร โดยมีคามากกวาในบอควบคุม ซึ่งมีกําไรสุทธิขั้นตนเฉลี่ยเพียง<br />
37,608 บาท<br />
ตอไรอยางมีนัยสําคัญ (P
ตารางที่<br />
5 ตนทุนการผลิตและผลตอบแทนขั้นตนของการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมในบอทดลอง<br />
ที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม (เฉลี่ยตอบอ)<br />
หนวย : บาท<br />
บอทดลอง บอควบคุม<br />
ตนทุน<br />
<br />
- คาแบคทีเรีย P. pantotrophus 12,750 -<br />
- คาลูกพันธุ<br />
10,500 10,500<br />
- คาอาหาร 65,131 66,030<br />
- คาสารเคมีและปจจัยการผลิต 14,400 14,400<br />
- คาน้ํามัน<br />
10,167 10,333<br />
- คาซอมแซมและคาใชจายอื่น<br />
ๆ 9,900 10,200<br />
- คาแรงงาน 8,267 8,267<br />
- รวมตนทุนทั้งหมด<br />
131,114 119,730<br />
- รวมตนทุน (บาทตอไร) 52,446 47,892<br />
- รวมตนทุน (บาทตอกิโลกรัม)<br />
- กุงขนาด<br />
60 ตัวตอกิโลกรัม ๆ ละ 140 บาท<br />
62 76<br />
- กุงขนาด<br />
65 ตัวตอกิโลกรัม ๆ ละ 135 บาท<br />
- ผลผลิตทั้งหมด<br />
(กิโลกรัม) 2,100 1,583<br />
- ผลผลิตตอไร (กิโลกรัม)<br />
รายได<br />
840 633<br />
- รายไดทั้งหมด<br />
294,000 213,750<br />
- รายได (บาทตอไร) 117,600 85,500<br />
- รายได (บาทตอกิโลกรัม)<br />
ผลตอบแทน<br />
140 135<br />
กําไรขั้นตนทั้งหมด<br />
162,886 94,020<br />
กําไรสุทธิขั้นตน(บาทตอไร)<br />
65,154 37,608<br />
กําไรสุทธิขั้นตน<br />
(บาทตอกิโลกรัม) 78 59<br />
* ราคากุงขาวแวนนาไม<br />
ณ วันที่<br />
7 ธันวาคม พ.ศ.2549<br />
56
5. การศึกษาคุณสมบัติของน้ําในบอทดลองใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
คุณสมบัติของน้ําในบอทดลองและบอควบคุม<br />
แสดงไวในตารางที่<br />
6<br />
5.1 ความโปรงแสง<br />
ความโปรงแสงของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
7-40<br />
เซนติเมตร และมีคาเฉลี่ย<br />
16.82±8.00 เซนติเมตร สวนบอควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
มีคาอยูระหวาง<br />
8-35 เซนติเมตร และมีคาเฉลี่ย<br />
18.13±8.57 เซนติเมตร (ตารางผนวกที่<br />
3) คาเฉลี่ย<br />
ความโปรงแสงของบอที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม (ตารางที่<br />
6 และภาพที่<br />
14)<br />
ไมมีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P>0.05) (ตารางผนวกที่<br />
2) คาความโปรงแสงทั้งใน<br />
บอทดลองและบอควบคุมมีคาที่สูงในชวงแรกของการเลี้ยง<br />
เนื่องจากปริมาณแพลงกตอนยังมีนอย<br />
แตในขั้นตอนการเตรียมน้ํามีการใชโดโลไมท<br />
ซึ่งมีองคประกอบหลัก<br />
คือ แคลเซียมและแมกนีเซียม<br />
ซึ่งเปนธาตุอาหารสําคัญสําหรับแพลงกตอนพืชและจากปริมาณอาหารที่เพิ่มขึ้นในระหวางการเลี้ยง<br />
ทําใหปริมาณแพลงกตอนเพิ่มขึ้นเรื่อย<br />
ๆ โดยเฉพาะในชวงทายของการเลี้ยงนั้นคาความโปรงแสง<br />
ลดต่ําลงมากเนื่องจากแพลงกตอนพืชจะใชทั้งแอมโมเนียและไนเตรทเปนแหลงของไนโตรเจน<br />
(จูอะดี และ คณะ, 2528) แตในระหวางการศึกษาครั้งนี้ไมพบสาหรายตามพื้นบอ<br />
เนื่องจากปริมาณ<br />
แพลงกตอนชวยปองกันการเกิดสาหรายตามพื้นบอหรือขี้แดด<br />
(benthic algae) ซึ่งเกิดบอยเมื่อน้ําใส<br />
หรือมีความโปรงแสงมาก โดยเฉพาะถาน้ําใสมากในระยะแรกเปนเวลานาน<br />
(ชลอ, 2534; Boyd,<br />
1989)<br />
5.2 อุณหภูมิน้ํา<br />
อุณหภูมิน้ําตอนเชาของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
29.0-30.1 องศาเซลเซียส และมีคาเฉลี่ย<br />
29.5±0.28 องศาเซลเซียส สวนบอควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
29.0-29.9 องศาเซลเซียส และมีคาเฉลี่ย<br />
29.6±0.23 องศาเซลเซียส<br />
สวนอุณหภูมิน้ําตอนบายของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
31.0-33.5<br />
องศาเซลเซียส และมีคาเฉลี่ย<br />
32.0±0.69 องศาเซลเซียส สวนบอควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
30.3-33.5 องศาเซลเซียส และมีคาเฉลี่ย<br />
32.0±0.73 องศาเซลเซียส<br />
(ตารางผนวกที่<br />
3) คาเฉลี่ยอุณหภูมิน้ําในบอทดลองและบอควบคุม<br />
(ตารางที่<br />
6 และภาพที่<br />
15-16)<br />
57
ไมมีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P>0.05) (ตารางผนวกที่<br />
2) เนื่องจากบอเลี้ยงกุงที่ใช<br />
ในการศึกษาครั้งนี้อยูในฟารมเดียวกันอุณหภูมิน้ําจึงไมแตกตางกัน<br />
โดยตลอดระยะเวลาการเลี้ยง<br />
อุณหภูมิน้ําตอนเชาและบายอยูในระดับที่เหมาะสมกับการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
ซึ่งอุณหภูมิที่<br />
เหมาะสมกับการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมอยูระหวาง<br />
26-33 องศาเซลเซียส (Wickins and Lee, 2002)<br />
5.3 พีเอช<br />
พีเอชของน้ําในตอนเชาของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
7.61-7.92 และมีคาเฉลี่ย<br />
7.75±0.07 สวนบอควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยู<br />
ระหวาง 7.60-7.84 และมีคาเฉลี่ย<br />
7.73±0.06 สวนพีเอชของน้ําตอนบายของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
8.24-8.48 และมีคาเฉลี่ย<br />
8.37±0.05 สวนบอควบคุมที่ไมใช<br />
แบคทีเรีย P. pantotrophus อยูระหวาง<br />
8.22-8.55 และมีคาเฉลี่ย<br />
8.38±0.06 (ตารางผนวกที่<br />
3)<br />
พีเอชของน้ําของบอทดลองและบอควบคุม<br />
(ตารางที่<br />
6 และภาพที่<br />
17-18) ไมมีความแตกตางกันทาง<br />
สถิติอยางมีนัยสําคัญ (P>0.05) (ตารางผนวกที่<br />
2) โดยการเปลี่ยนแปลงของพีเอชในบอเลี้ยงกุงใน<br />
ตอนกลางวันแพลงกตอนพืชจะใชคารบอนไดออกไซด ซึ่งไดจากการหายใจของสิ่งมีชีวิตและ<br />
ไบคารบอเนตในน้ําเพื่อการสังเคราะหแสงทําใหคาพีเอชสูงขึ้น<br />
สวนในตอนกลางคืนคารบอน<br />
ไดออกไซดถูกปลอยออกมาจากการหายใจของแพลงกตอนและสิ่งมีชีวิตในน้ําทําใหปริมาณ<br />
คารบอนไดออกไซดสะสมเพิ่มขึ้นและมากที่สุดในตอนเชามืดทําใหพีเอชลดลง<br />
(Boyd, 1982) โดย<br />
แหลงน้ําที่เหมาะสมตอการดํารงชีวิตของกุงไมควรมีการเปลี่ยนแปลงของพีเอชเกินกวา<br />
0.5 หนวย<br />
ในรอบวัน (ชลอ, 2543) พีเอชของน้ําที่เหมาะสมแกการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมควรอยูระหวาง<br />
7.0-<br />
9.0 (Brock and Main, 1994) ดังนั้นพีเอชของน้ําในตอนเชาและบายตลอดการศึกษาในครั้งนี้จึงมีคา<br />
พีเอชอยูในชวงที่เหมาะสม<br />
5.4 ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ํา<br />
ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ําตอนเชาของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
มีคาอยูระหวาง<br />
4.81-5.37 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
5.08±0.18 มิลลิกรัมตอลิตร สวนบอ<br />
ควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
4.81-5.30 มิลลิกรัมตอลิตร และมี<br />
คาเฉลี่ย<br />
5.03±0.14 มิลลิกรัมตอลิตร ปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ําตอนบายของบอทดลองที่ใช<br />
แบคทีเรีย P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
7.13-9.68 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
8.59±0.62<br />
58
มิลลิกรัมตอลิตร สวนบอควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
7.04-9.96<br />
มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
8.20±0.74 มิลลิกรัมตอลิตร (ตารางผนวกที่<br />
3) คาเฉลี่ยปริมาณ<br />
ออกซิเจนที่ละลายในน้ําของบอทดลองและบอควบคุม<br />
(ตารางที่<br />
6 และภาพที่<br />
19-20) มีความ<br />
แตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P0.05) (ตารางผนวกที่<br />
2 ) โดยความเค็มของน้ําทั้งบอทดลองและบอควบคุมจะคอย<br />
ๆ ลดลงเมื่อ<br />
ระยะเวลาการเลี้ยงเพิ่มขึ้น<br />
เนื่องมาจากมีการเติมน้ําจืดเขาไปทดแทนน้ําสวนที่ระเหยและรั่วซึม<br />
ออกไปเพื่อรักษาระดับน้ําในบอใหมีความลึกประมาณ<br />
1.3 เมตร สวนในสัปดาหที่<br />
12 ของการเลี้ยง<br />
ไดนําน้ําเค็มจากนาเกลือมาเติมเพื่อเพิ่มความเค็ม<br />
แตความเค็มของน้ําเพิ่มขึ้นเพียงเล็กนอยเทานั้น<br />
Wickins and Lee (2002) รายงานวา กุงขาวแวนนาไมสามารถเจริญเติบโตไดในน้ําความเค็มระหวาง<br />
0-35 พีพีที แต ชลอ และ พรเลิศ (2547) แนะนําวาการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมดวยน้ําความเค็มต่ําใน<br />
ระหวางการเลี้ยงควรรักษาระดับความเค็มไมใหต่ํากวา<br />
3 พีพีที จะทําใหการเลี้ยงไดผลผลิตสูงและ<br />
สามารถเลี้ยงกุงไดขนาดใหญ<br />
5.6 การนําไฟฟา<br />
คาการนําไฟฟาของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
4.90-<br />
11.87 มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตร และมีคาเฉลี่ย<br />
8.30±2.17 มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตร สวนบอควบคุม<br />
ที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
5.10-9.86 มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตร และมี<br />
59
คาเฉลี่ย<br />
7.69±1.58 มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตร (ตารางผนวกที่<br />
3) คาเฉลี่ยของคาการนําไฟฟาในบอ<br />
ทดลองและบอควบคุม (ตารางที่<br />
6 และภาพที่<br />
22) ไมมีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ<br />
(P>0.05) (ตารางผนวกที่<br />
2) คาการนําไฟฟามีความสัมพันธกับความเค็มและมีการเปลี่ยนแปลงไป<br />
ในทิศทางเดียวกันกับความเค็มตลอดระยะเวลาในการทดลอง (Boyd, 1982; 2002)<br />
5.7 ความเปนดางรวม<br />
คาความเปนดางรวมของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
94-303 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
194±51 มิลลิกรัมตอลิตร สวนบอควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
93-244 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
182±38 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
(ตารางผนวกที่<br />
3) คาความเปนดางรวมของบอทดลองและบอควบคุม (ตารางที่<br />
6 และภาพที่<br />
23)<br />
ไมมีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P>0.05) (ตารางผนวกที่<br />
2) โดยคาความเปนดาง<br />
รวมมีความสําคัญมากในการเพาะเลี้ยงกุง<br />
ซึ่งจะมีความสัมพันธกับอัตราการรอดตายและการเจริญ<br />
เติบโตของกุงทะเลทุกชนิด<br />
(ชลอ และ พรเลิศ, 2547) โดยคาความเปนดางรวมของบอทดลองและ<br />
บอควบคุมตลอดระยะเวลาการเลี้ยงอยูในระดับที่เหมาะสมกับการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
แตชวง<br />
ทายของการเลี้ยงมีฝนตกติดตอกันหลายวันจึงไดมีการเติมวัสดุปูนลงไปเพื่อรักษาคาความเปนดาง<br />
รวมใหเหมาะสมตอการเลี้ยง<br />
ซึ่งคาความเปนดางรวมที่เหมาะสมกับการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมมีคา<br />
อยูระหวาง<br />
120-180 (สุรศักดิ์,<br />
2546)<br />
5.8 ความกระดาง<br />
คาความกระดางของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
758-1826 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
1260±329 มิลลิกรัมตอลิตร สวนบอควบคุมที่ไมใช<br />
แบคทีเรีย P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
772-1532 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
1142±220<br />
มิลลิกรัมตอลิตร (ตารางผนวกที่<br />
3) คาความกระดางของบอทดลองและบอควบคุม (ตารางที่<br />
6 และ<br />
ภาพที่<br />
24) ไมมีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P>0.05) (ตารางผนวกที่<br />
2) ตลอด<br />
ระยะเวลาที่ทําการเลี้ยง<br />
พบวาความกระดางมีคาคอนขางคงที่หรือลดลงบางเล็กนอยในบางชวงจาก<br />
การเติมน้ําจืด แตเนื่องจากในระหวางการเลี้ยงไดมีการเติมแรธาตุลงไปในชวงเวลาที่กุงมีการลอก<br />
คราบเพื่อรักษาระดับของความกระดางไมใหเปลี่ยนแปลงมากเกินไป<br />
คาความกระดางของน้ําทั้งใน<br />
บอทดลองและบอควบคุมของการศึกษาครั้งนี้สวนใหญอยูในระดับที่เหมาะสมตอการเลี้ยงกุง<br />
คือ<br />
60
ไมต่ํากวา<br />
1,000 มิลลิกรัมตอลิตร (ชลอ และ พรเลิศ, 2547) แตมีบางชวงเวลาที่ต่ํากวาระดับที่<br />
เหมาะสม คือ ชวงกอนที่จะมีการนําน้ําเค็มจากนาเกลือมาเติม<br />
5.9 แอมโมเนียรวม<br />
ปริมาณแอมโมเนียรวมของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
0.02-0.81 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
0.27±0.18 มิลลิกรัมตอลิตร สวนบอควบคุมที่ไมใช<br />
แบคทีเรีย P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
0.01-0.78 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
0.30±0.21<br />
มิลลิกรัมตอลิตร (ตารางผนวกที่<br />
3) แอมโมเนียรวมของบอทดลองและบอควบคุม (ตารางที่<br />
6 และ<br />
ภาพที่<br />
25) ไมมีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P>0.05) (ตารางผนวกที่<br />
2) โดย<br />
แอมโมเนียรวมมีแนวโนมเพิ่มสูงขึ้นตามระยะเวลาการเลี้ยงที่เพิ่มขึ้นโดยในชวงแรกของการเลี้ยง<br />
ทั้งในบอทดลองและบอควบคุมปริมาณอาหารที่ใชในการเลี้ยงกุงยังมีไมมากนัก<br />
เนื่องจากกุงยังมี<br />
ขนาดเล็ก แตในชวงทายของการเลี้ยงทั้งในบอทดลองและบอควบคุมมีแอมโมเนียรวมเพิ่มสูงขึ้น<br />
เนื่องจากกุงมีขนาดใหญขึ้นปริมาณอาหารที่ใหในแตละวันจะมากขึ้นดวย<br />
ดังนั้นเมื่อกุงกินอาหาร<br />
มากขึ้นของเสียที่ขับถายออกมาจากกุงและเศษอาหารที่เหลือเพิ่มสูงขึ้นตามไปดวย<br />
รวมทั้งปริมาณ<br />
แพลงกตอนที่เพิ่มมากขึ้นและบางสวนที่ตายจะเพิ่มแอมโมเนีย<br />
แตอยางไรก็ตามระดับแอมโมเนีย<br />
รวมของบอทดลองและบอควบคุมตลอดระยะเวลาการเลี้ยงยังอยูในระดับที่เหมาะสมตอการเลี้ยง<br />
กุงขาวแวนนาไม<br />
ซึ่งแอมโมเนียรวมที่เหมาะสมตอการเลี้ยงกุงควรจะมีปริมาณนอยกวา<br />
1 มิลลิกรัม<br />
ตอลิตร (Brock and Main, 1994)<br />
5.10 ไนไตรท<br />
ปริมาณไนไตรทของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
0.00-<br />
0.09 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
0.04±0.02 มิลลิกรัมตอลิตร สวนบอควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
0.01-0.08 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
0.04±0.02 มิลลิกรัมตอ<br />
ลิตร (ตารางผนวกที่<br />
3) ปริมาณไนไตรทของบอทดลองและบอควบคุม (ตารางที่<br />
6 และภาพที่<br />
26)<br />
ไมมีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P>0.05) (ตารางผนวกที่<br />
2) โดยในชวงทายของการ<br />
เลี้ยงปริมาณไนไตรททั้งในบอทดลองและบอควบคุมมีแนวโนมเพิ่มสูงขึ้น<br />
เนื่องจากปริมาณ<br />
แอมโมเนียรวมที่เพิ่มสูงขึ้นตามระยะการเลี้ยงจึงเกิดกระบวนการไนตริฟเคชัน<br />
โดยแบคทีเรียกลุม<br />
nitrifying bacteria เชน Nitrosomonas sp. และ Nitrococcus sp. เปลี่ยนแอมโมเนียเปนไนไตรทกอนที่ไน<br />
61
ไตรท จะเปลี่ยนเปนไนเตรทโดย<br />
Nitrobacter sp. ในสภาวะที่มีออกซิเจนเพียงพอ<br />
แตไน<br />
ไตรทในบออาจเกิดจากไนเตรทเปลี่ยนเปนไนไตรทไดโดยแบคทีเรียในบริเวณเลนพื้นบอ<br />
โดยเฉพาะบริเวณกลางบอที่มีตะกอนตาง<br />
ๆ ทับถมในปริมาณมากจึงทําใหกระบวนการไนตริฟเค<br />
ชันเกิดไมสมบูรณสงผลใหเกิดการสะสมไนไตรทในบอขึ้นได (ชลอ และ พรเลิศ, 2547; Boyd,<br />
1982) อยางไรก็ตามปริมาณไนไตรททั้งในบอทดลองและบอควบคุมที่ทําการศึกษาอยูในระดับที่<br />
เหมาะสมตอการเลี้ยงกุง<br />
คือ มีคาปริมาณไนไตรทนอยกวา 0.1 มิลลิกรัมตอลิตร (Brock and<br />
Main, 1994)<br />
5.11 ไนเตรท<br />
ปริมาณไนเตรทของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
5.0-<br />
10.0 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
9.11±1.93 มิลลิกรัมตอลิตร สวนบอควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
5.0-10.0 มิลลิกรัมตอลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
8.89±2.10 มิลลิกรัมตอ<br />
ลิตร (ตารางผนวกที่<br />
3) ปริมาณไนเตรทของบอทดลองและบอควบคุม (ตารางที่<br />
6 และภาพที่<br />
27)<br />
ไมมีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P>0.05) (ตารางผนวกที่<br />
3) เนื่องจากชวงเวลาที่<br />
ทําการศึกษาไดมีการใชเครื่องใหอากาศอยางเพียงพอทําใหเกิดการยอยสลายสารอินทรียแบบใช<br />
ออกซิเจนของแบคทีเรียกลุมไนตริไฟอิ้งแบคทีเรีย<br />
(nitrifying bacteria) ในกระบวนการ<br />
ไนตริฟเคชัน (nitrification) เริ่มจากแอมโมเนียมอิออนถูกออกซิไดซเปนไนไตรทโดยแบคทีเรีย<br />
Nitrosomonas และถูกออกซิไดซตอไปเปนไนเตรทโดยแบคทีเรีย Nitrobacter<br />
5.12 ไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
ปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟดของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ไมพบ<br />
ไฮโดรเจน<br />
ซัลไฟด สวนบอควบคุมที่ไมใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
0.00-1.86 มิลลิกรัมตอ<br />
ลิตร และมีคาเฉลี่ย<br />
0.74±0.67มิลลิกรัมตอลิตร (ตารางผนวกที่<br />
3) ปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟดของบอ<br />
ทดลองและบอควบคุม (ตารางที่<br />
6 และภาพที่<br />
28) มีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ<br />
(P
กวาบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus เนื่องจากสารอินทรียถูกทั้งยอยสลายโดยแบคทีเรีย<br />
กลุม<br />
sulfate reducing bacteria ไดแก Desulfovibrio, Desulfotomaculum และ Desulfomonas ผลจาก<br />
การรีดิวซทําใหเกิดกาซไฮโดรเจนซัลไฟดหรือกาซไขเนา (ดวงพร, 2545) แตในบอทดลองที่ใช<br />
แบคทีเรีย P. pantotrophus ซึ่งเปนแบคทีเรียกลุม<br />
sulfur-oxidizing bacteria สามารถออกซิไดซกาซ<br />
2- 2- 2-<br />
ไฮโดรเจนซัลไฟด ซัลเฟอร (S) ไธโอซัลเฟต (S2O3 ) ซัลไฟท (SO3 ) ใหเปนซัลเฟต (SO4 )<br />
63
ตารางที่<br />
6 คุณสมบัติของน้ําในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
คุณสมบัติของน้ํา<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
พิสัย คาเฉลี่ย<br />
พิสัย คาเฉลี่ย<br />
ความโปรงแสง (เซนติเมตร) 7.0-40.0 16.82±8.00 a 8.0-35.0 18.13±8.57 a<br />
อุณหภูมิน้ํา<br />
(องศาเซลเซียส) -เชา 29.0-30.1 29.5±0.28 a 29.0-29.9 29.6±0.23 a<br />
-บาย 31.0-33.5 32.0±0.69 a 30.3-33.5 32.0± 0.73 a<br />
พีเอช -เชา 7.61-7.92 7.75±0.07 a 7.60-7.84 7.73±0.06 a<br />
-บาย 8.24-8.48 8.37±0.05 a 8.22-8.55 8.38±0.06 a<br />
ออกซิเจนที่ละลายในน้ํา<br />
-เชา 4.81-5.37 5.08±0.18 a 4.81-5.30 5.03±0.14 a<br />
(มิลลิกรัมตอลิตร) -บาย 7.13-9.68 8.59±0.62 b 7.04-9.96 8.20±0.74 a<br />
ความเค็ม (พีพีที) 2.60-6.80 4.68±1.30 a 2.80-5.50 4.28±0.87 a<br />
การนําไฟฟา (มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตร) 4.90-11.87 8.30±2.17 a 5.10-9.86 7.69±1.58 a<br />
ความเปนดางรวม (มิลลิกรัมตอลิตร) 94-303 194±51 a 93-244 182±38 a<br />
ความกระดาง (มิลลิกรัมตอลิตร) 758-1826 1260±329 a 772-1532 1142±220 a<br />
แอมโมเนียรวม (มิลลิกรัมตอลิตร) 0.02-0.81 0.27±0.18 a 0.01-0.78 0.30±0.21 a<br />
ไนไตรท (มิลลิกรัมตอลิตร) 0.00-0.09 0.04±0.02 a 0.01-0.08 0.04±0.02 a<br />
ไนเตรท (มิลลิกรัมตอลิตร) 5.0-10.0 9.11±1.93 a 5.0-10.0 8.89±2.10 a<br />
ไฮโดรเจนซัลไฟด (มิลลิกรัมตอลิตร) 0.00-0.00 0.00±0.00 b 0.00-1.86 0.74±0.67 a<br />
หมายเหตุ คาเฉลี่ย±คาเบี่ยงเบนมาตรฐานในแนวนอนที่กํากับดวยอักษรที่แตกตางกันมีความ<br />
แตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P
เซนติเมตร<br />
ภาพที่<br />
14 การเปลี่ยนแปลงความโปรงแสงตลอดการเลี้ยง<br />
องศาเซลเซียส<br />
40<br />
30<br />
20<br />
10<br />
0<br />
40.00<br />
30.00<br />
20.00<br />
10.00<br />
0.00<br />
ความโปรงแสง<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
อุณหภูมิน้ําตอนเชา<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี<br />
้ยง (สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P . pantotrophus บอควบคุม<br />
ภาพที่<br />
15 การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตอนเชาตลอดการเลี้ยง<br />
65
องศาเซลเซียส<br />
40.00<br />
30.00<br />
20.00<br />
10.00<br />
0.00<br />
ภาพที่<br />
16 การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิตอนบายตลอดการเลี้ยง<br />
7.90<br />
7.80<br />
7.70<br />
7.60<br />
7.50<br />
อุณหภูมิน้ําตอนบาย<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี<br />
้ยง (สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
พีเอชตอนเชา<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ภาพที่<br />
17 การเปลี่ยนแปลงพีเอชตอนเชาตลอดการเลี้ยง<br />
66
ภาพที่<br />
18 การเปลี่ยนแปลงพีเอชตอนบายตลอดการเลี้ยง<br />
มิลลิกรัมตอลิตร<br />
8.50<br />
8.40<br />
8.30<br />
8.20<br />
6.00<br />
5.00<br />
4.00<br />
3.00<br />
2.00<br />
พีเอชตอนบาย<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ออกซิเจนที่ละลายในน้ําตอนเชา<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี<br />
้ยง (สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ภาพที่<br />
19 การเปลี่ยนแปลงออกซิเจนที่ละลายในน้ําตอนเชาตลอดการเลี้ยง<br />
67
ภาพที่<br />
20 การเปลี่ยนแปลงออกซิเจนที่ละลายในน้ําตอนบายตลอดการเลี้ยง<br />
พีพีที<br />
มิลลิกรัมตอลิตร<br />
10.00<br />
8.00<br />
6.00<br />
4.00<br />
2.00<br />
6.00<br />
5.00<br />
4.00<br />
3.00<br />
2.00<br />
1<br />
ออกซิเจนที่ละลายในน้ําตอนบาย<br />
ภาพที่<br />
21 การเปลี่ยนแปลงความเค็มตลอดการเลี้ยง<br />
2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี<br />
้ยง (สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ความเค็ม<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
68
มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตร<br />
ภาพที่<br />
22 การเปลี่ยนแปลงการนําไฟฟาตลอดการเลี้ยง<br />
มิลลิกรัมตอลิตร<br />
10.00<br />
8.00<br />
6.00<br />
4.00<br />
2.00<br />
300.00<br />
250.00<br />
200.00<br />
150.00<br />
100.00<br />
50.00<br />
0.00<br />
การนําไฟฟา<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ความเปนดางรวม<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ภาพที่<br />
23 การเปลี่ยนแปลงความเปนดางรวมตลอดการเลี้ยง<br />
69
มิลลิกรัมตอลิตร<br />
ภาพที่<br />
24 การเปลี่ยนแปลงความกระดางตลอดการเลี้ยง<br />
มิลลิกรัมตอลิตร<br />
2000.00<br />
1500.00<br />
1000.00<br />
500.00<br />
0.80<br />
0.60<br />
0.40<br />
0.20<br />
0.00<br />
0.00<br />
ความกระดาง<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
แอมโมเนียรวม<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ภาพที่<br />
25 การเปลี่ยนแปลงแอมโมเนียรวมตลอดการเลี้ยง<br />
70
มิลลิกรัมตอลิตร<br />
ภาพที่<br />
26 การเปลี่ยนแปลงไนไตรทตลอดการเลี้ยง<br />
มิลลิกรัมตอลิตร<br />
0.10<br />
0.08<br />
0.06<br />
0.04<br />
0.02<br />
0<br />
12.00<br />
10.00<br />
8.00<br />
6.00<br />
4.00<br />
ไนไตรท<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ไนเตรท<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ภาพที่<br />
27 การเปลี่ยนแปลงไนเตรทตลอดการเลี้ยง<br />
71
มิลลิกรัมตอลิตร<br />
3<br />
2.5<br />
2<br />
1.5<br />
1<br />
0.5<br />
0<br />
ไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
ภาพที่<br />
28 การเปลี่ยนแปลงไฮโดรเจนซัลไฟดตลอดการเลี้ยง<br />
72
6. การศึกษาคาศักยไฟฟารีดอกซในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
คาศักยไฟฟารีดอกซบริเวณแนวหวานอาหารของบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus<br />
มีคาอยูระหวาง<br />
-15 ถึง -67 มิลลิโวลต และมีคาเฉลี่ย<br />
-45.29±20.22 มิลลิโวลต สวนบอควบคุมที่ไม<br />
ใชแบคทีเรีย P. pantotrophus มีคาอยูระหวาง<br />
-53 ถึง -102 มิลลิโวลต และมีคาเฉลี่ย<br />
-82.57±20.33<br />
มิลลิโวลต พบวาคาศักยไฟฟารีดอกซทั้งในบริเวณแนวหวานอาหารและกลางบอของบอทดลอง<br />
และบอควบคุม (ตารางที่<br />
7 และภาพที่<br />
29) มีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญ (P
บอควบคุมมีคาเปนลบทุกระยะเวลาที่ทําการศึกษาและมีแนวโนมคาติดลบมากขึ้น<br />
เมื่อระยะเวลา<br />
การเลี้ยงมากขึ้น<br />
(ดํารง, 2540)<br />
ตารางที่<br />
7 คาศักยไฟฟารีดอกซในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอควบคุม<br />
ระยะเวลา<br />
เลี้ยง<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
(สัปดาห) แนวหวานอาหาร กลางบอ แนวหวานอาหาร กลางบอ<br />
(มิลลิโวลต) (มิลลิโวลต) (มิลลิโวลต) (มิลลิโวลต)<br />
2 -15 -29 -53 -92<br />
4 -26 -45 -83 -106<br />
6 -42 -64 -91 -111<br />
8 -54 -78 -84 -113<br />
10 -61 -86 -96 -116<br />
12 -52 -93 -82 -124<br />
14 -67 -98 -102 -146<br />
74
มิลลิโวลต<br />
-30<br />
-80<br />
-130<br />
-180<br />
ศักยไฟฟารีดอกซ<br />
1 2 3 4 5 6 7<br />
เวลาเลี้ยง<br />
(สัปดาห)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ( แนวหวานอาหาร )<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ( กลางบอ )<br />
บอควบคุม ( แนวหวานอาหาร )<br />
บอควบคุม ( กลางบอ )<br />
ภาพที่<br />
29 คาศักยไฟฟารีดอกซตลอดการเลี้ยง<br />
75
สรุปและขอเสนอแนะ<br />
สรุป<br />
1. การเติมแบคทีเรีย Paracoccus pantotrophus สามารถควบคุมปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
ที่เกิดขึ้นจากการผสมเลนพื้นบอกุงและอาหารกุงได<br />
อยางไรก็ตามจําเปนจะตองมีปริมาณไนเตรทที่<br />
เพียงพอตลอดการทดลองเพื่อใหกระบวนการทํางานของแบคทีเรียเกิดขึ้นอยางตอเนื่องจึงจะไดผลดี<br />
2. บอเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ตลอดระยะเวลาในการเลี้ยง<br />
ไดผลผลิต 840 กิโลกรัมตอไร มีอัตราการรอดตาย 84 เปอรเซ็นต อัตราการเจริญเติบโต 0.15 กรัม<br />
ตอวัน น้ําหนักเฉลี่ยของกุง<br />
17 กรัม และอัตราการแลกเนื้อ<br />
1.16 ซึ่งใหผลดีกวาบอควบคุมซึ่งไดผล<br />
ผลิต 633 กิโลกรัมตอไร มีอัตราการรอดตาย 69 เปอรเซ็นต อัตราการเจริญเติบโต 0.14 กรัมตอวัน<br />
น้ําหนักเฉลี่ยของกุง<br />
15 กรัม และอัตราการแลกเนื้อ<br />
1.52 ซึ่งมีความแตกตางกันทางสถิติอยางมี<br />
นัยสําคัญ<br />
3. คุณภาพน้ําตลอดระยะเวลาที่ทําการศึกษาในบอที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus และบอ<br />
ควบคุมมีคาใกลเคียงกัน แตพบวาปริมาณออกซิเจนที่ละลายในน้ําชวงบายของบอทดลองที่ใช<br />
แบคทีเรียชนิดนี้มีคาสูงกวาบอควบคุม<br />
ไมตรวจพบปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟดในบอที่ใชแบคทีเรีย<br />
ชนิดนี้ตลอดระยะเวลาในการเลี้ยง<br />
สวนในบอควบคุมปริมาณไฮโดรเจนซัลไฟดจะเริ่มตรวจพบใน<br />
สัปดาหที่<br />
5 เปนตนไปจนกระทั่งจับกุง<br />
ซึ่งมีความแตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญและคา<br />
ศักยไฟฟารีดอกซของบอทดลองที่ใชแบคทีเรียชนิดนี้มีคาเปนลบต่ํากวาบอควบคุม<br />
ซึ่งมีความ<br />
แตกตางกันทางสถิติอยางมีนัยสําคัญเชนกัน<br />
4. ในบอทดลองที่มีการใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus ในระหวางการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไม<br />
จะมีตนทุนในการผลิตสูงกวาบอที่ไมใชแบคทีเรียชนิดนี้<br />
แตจะใหผลผลิตและผลตอบแทนที่สูงกวา<br />
76
ขอเสนอแนะ<br />
1. ในชวง 4 สัปดาหแรกของการเลี้ยงอาจไมตองใชแบคทีเรีย<br />
Paracoccus pantotrophus<br />
เนื่องจากไมมีการตรวจพบไฮโดรเจนซัลไฟด<br />
ดังนั้นจึงควรเริ่มใสแบคทีเรียชนิดนี้หลังจากการเลี้ยง<br />
ผานไปประมาณ 4 สัปดาห ซึ่งจะเปนการลดคาใชจายในดานตนทุนในการเลี้ยงได<br />
2. ควรเก็บแบคทีเรีย P. pantotrophus ไวในภาชนะบรรจุที่ปดสนิท<br />
เก็บไวในบริเวณแหง<br />
และเย็น หางจากแสงแดด ความรอน นอกจากนั้นควรหลีกเลี่ยงการหายใจเอาแบคทีเรียเขาไป<br />
3. ควรมีการศึกษาผลของการใชแบคทีเรีย P. pantotrophus ในฤดูกาลอื่น<br />
ๆ และในบอ<br />
เลี้ยงกุงขาวแวนนาไมที่เลี้ยงในอัตราความหนาแนนที่สูงกวานี้<br />
4. ควรมีการทดลองใชแบคทีเรีย P. pantotrophus ในการเลี้ยงกุงขาวแวนนาไมและ<br />
กุงกุลาดําที่มีความหนาแนนระดับตาง<br />
ๆ เพื่อหาระดับที่เหมาะสมและใหผลตอบแทนสูงสุด<br />
77
เอกสารและสิ่งอางอิง<br />
จักรกฤษ พรหมชนะ. 2547. การวิเคราะหตนทุนและผลตอบแทนทางการเงินของการเลี้ยงกุงขาว<br />
ในจังหวัดฉะเชิงเทรา. วิทยานิพนธปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
จารุมาศ เมฆสัมพันธ. 2548. ดินตะกอน. ภาควิชาชีววิทยาประมง, คณะประมง<br />
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. 146 น.<br />
จารุวัฒน นภีตะภัฏ และ สมนึก กบิลรัตน. 2530. การบริโภคออกซิเจนเปรียบเทียบของกุงกุลาดํา.<br />
กรมประมง. กรุงเทพฯ : (สถานีประมงน้ํากรอย<br />
จังหวัดระยอง) เอกสารวิชาการฉบับที่<br />
13.<br />
กองประมงน้ํากรอย<br />
กรมประมง. 43 น.<br />
จูอะดี พงศมณีรัตน, สิริ ทุกขวินาศ และ สถาพร ดิเรกบุษราคม. 2528. ความชุกชุมของแพลงก<br />
ตอนพืชและความสัมพันธกับคุณสมบัติบางประการของน้ําทางเคมี-ฟสิกสและผลผลิตในนา<br />
กุง<br />
จังหวัดนครศรีธรรมราช. เอกสารวิชาการฉบับที่<br />
28 สถาบันเพาะเลี้ยงสัตวน้ําชายฝง<br />
จังหวัดสงขลา. กรมประมง, กรุงเทพฯ.<br />
ชลอ ลิ้มสุวรรณ.<br />
2534. คัมภีรการเลี้ยงกุงกุลาดํา.<br />
สํานักพิมพฐานเศรษฐกิจ, กรุงเทพฯ. 202 น.<br />
. 2543. กุงไทย<br />
2000 สูความยั่งยืน<br />
และเปนมิตรตอสิ่งแวดลอม.<br />
เจริญการพิมพ,<br />
กรุงเทพฯ. 260 น.<br />
และ พรเลิศ จันทรรัชชกูล. 2547. อุตสาหกรรมการเพาะเลี้ยงกุงในประเทศไทย.<br />
บริษัท เมจิค พับบลิเคชั่น<br />
จํากัด, กรุงเทพฯ. 206 น.<br />
, นิติ ชูเชิด, ทิมโมที วิลเลียม เฟลเกล, ภิญโญ เกียรติภิญโญ และบริษัท ซาย<br />
อาคควาสยาม จํากัด. 2548. รายงานการวิจัยการศึกษาการขยายพันธุพอแมพันธุกุงขาว<br />
แวนนาไมปลอดเชื้อ.<br />
สํานักงานคณะกรรมการวิจัยแหงชาติ. 34 น.<br />
78
ดวงพร คันธโชติ. 2545. นิเวศวิทยาของจุลินทรีย. สํานักพิมพ โอเดียนสโตร, กรุงเทพฯ. 206 น.<br />
ดํารง โลหะลักษณาเดช. 2540. การศึกษาเปรียบเทียบการใชระบบการใหอากาศตาง ๆ กันเพื่อ<br />
จัดการคุณภาพน้ําและดินพื้นบอในการเลี้ยงกุงกุลาดําในระบบปด.<br />
วิทยานิพนธปริญญาโท,<br />
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
ทัศนีย อัตตะนันทน. 2534. ดินที่ใชปลูกขาว.<br />
ภาควิชาปฐพีวิทยา, คณะเกษตร,<br />
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. 420 น.<br />
นิศากร ลุลิตานนท และ ชลัญญา ธารบุปผา. 2526. พิษเฉียบพลันของไฮโดรเจนซัลไฟดตอกุง<br />
แชบวยขาว. รายงานวิชาการ. กองประมงทะเล, กรมประมง. 7 น.<br />
ประวิทย โตวัฒนะ และ พิภพ ปราบณรงค. 2539. การสะสมตัวและการเคลื่อนที่ของไอออน<br />
จากน้ําทะเลที่ใชเลี้ยงกุงในหนาดินตัดที่มีผลกระทบตอสภาพแวดลอมและทรัพยากรดิน<br />
ในอําเภอระโนด จังหวัดสงขลา. วารสารสงขลานครินทร. 18(1): 113-127.<br />
เปยมศักดิ์<br />
เมนะเศวต. 2525. แหลงน้ํากับปญหามลภาวะ.<br />
สํานักพิมพจุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย,<br />
กรุงเทพฯ. 307 น.<br />
พุทธ สองแสงจินดา และ วลีรัตน มูสิกะสังข. 2547. คุณภาพน้ําและการเปลี่ยนแปลงปริมาณ<br />
แบคทีเรียในระบบการจัดการเลี้ยงกุงกุลาดําวิธีการตางๆ<br />
กัน. เอกสารวิชาการฉบับที่<br />
72/2547. สถาบันวิจัยการเพาะเลี้ยงสัตวน้ําชายฝง<br />
กรมประมง. 16 น.<br />
เพิ่มพูน<br />
กีรติกสิกร. 2528. เคมีของดิน. ภาควิชาปฐพีศาสตร คณะเกษตรศาสตร<br />
มหาวิทยาลัยขอนแกน, ขอนแกน. 249 น.<br />
ไมตรี ดวงสวัสดิ์<br />
และ จารุวรรณ สมศิริ. 2528. คุณสมบัติของน้ําและวิธีการวิเคราะหสําหรับวิจัย<br />
ทางการประมง. สถาบันประมงน้ําจืดแหงชาติ,<br />
กรมประมง, กรุงเทพฯ. 115 น.<br />
79
ยนต มุสิก. 2530. กําลังผลิตทางชีวภาพในบอเลี้ยงปลา<br />
II. เอกสารประกอบการสอนวิชา<br />
เพาะเลี้ยงสัตวน้ํา<br />
551. คณะประมง, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. 87 น.<br />
และ พรพันธ ยุทธรักษานุกูล. 2534. อัตราการตกตะกอน คุณสมบัติของดินตะกอน<br />
และดินพื้นบอในบอพักน้ําและบอเลี้ยงปลาในระบบการเลี้ยงกุงแบบหนาแนนบริเวณกน<br />
อาวไทย. วารสารวิทยาศาสตรการประมง 1(1): 47-55.<br />
วรวิทย ชีวาพร. 2531. คุณภาพน้ํา-ดินในการเลี้ยงกุงกุลาดํา,<br />
น. 171-182. ใน การเพาะเลี้ยงกุง<br />
กุลาดํา. คณะวิทยาศาสตร, มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ, ชลบุรี.<br />
วิทยา มะเสนา. 2526. จุลวิทยาทางดิน. ภาควิชาปฐพีศาสตร คณะเกษตรศาสตร<br />
มหาวิทยาลัยขอนแกน, ขอนแกน. 228 น.<br />
ศศิวิมล ไชยพรวัฒนา. 2544. การวิเคราะหตนทุนและผลตอบแทนทางการเงินในการผลิต<br />
กุงกามกรามในจังหวัดสุพรรณบุรีป<br />
2543. วิทยานิพนธปริญญาโท,<br />
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
ศิริเพ็ญ ตรัยไชยาพร. 2543. การวิเคราะหคุณภาพน้ํา.<br />
ภาควิชาจุลชีววิทยา, คณะวิทยาศาสตร,<br />
มหาวิทยาลัยเชียงใหม, 125 น.<br />
สมพร ธนวิริยะกุล. 2535. การคัดเลือกแบคทีเรียเฮตเทอโรโทรปจากธรรมชาติและความสามารถ<br />
ในการยอยสลายอินทรียในบอเลี้ยงกุง.<br />
วิทยานิพนธปริญญาโท, มหาวิทยาลัย<br />
เกษตรศาสตร.<br />
สมสุข มัจฉาชีพ. 2528. นิเวศวิทยา. เจริญการพิมพ, บางปะกอก. กรุงเทพฯ. 292 น.<br />
สมศักดิ์<br />
ปณีตัธยาศัย. 2550. สถานการณผลผลิตกุงไทย.<br />
แหลงที่มา<br />
http://www.newswit.com, 16<br />
กุมภาพันธ 2550.<br />
80
สมเจตน จันทวัฒน, ศุภมาศ พนิชศักดิ์พัฒนา,<br />
จงรัก จันทรเจริญสุข, วิโรจน อิ่มพิทักษ<br />
และ อัญชลี สุทธิปราการ. 2529. ปฐพีวิทยาเบื้องตน.<br />
คณะเกษตร,<br />
มหาวิทยาลัยกษตรศาสตร. 117 น.<br />
สุธี เกื้อเกตุ.<br />
2543. การสะสมและการกระจายของไอออนจากน้ําทะเลในแหลงเลี้ยงกุงกุลาดํา<br />
เขตน้ําจืด:<br />
กรณีศึกษาที่อําเภอบานสราง<br />
จังหวัดปราจีนบุรี. วิทยานิพนธปริญญาโท,<br />
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
สุรศักดิ์<br />
ดิลกเกียรติ. 2546. กุงไทย<br />
กาวใหม. กรุงเทพฯ. 394 หนา.<br />
สุวนิช ชัยนาค. 2540. การเปลี่ยนแปลงสมบัติของดินพื้นบอเลี้ยงกุงกุลาดําบริเวณอาวไทยตอนใน.<br />
วิทยานิพนธปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
อําพิน กันธิยะ, 2540. การควบคุมการผลิตไฮโดรเจนซัลไฟดโดยวิธีจุลชีววิทยา.<br />
วิทยานิพนธปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร.<br />
Adelman, I. R. and L. L. Smith. 1972. Toxicity of hydrogen sulfide to goldfish (Carassius<br />
auratus) as influenced by temperature, oxygen and bioassay techniques. J. Fish. Res.<br />
Board Can. 29: 1309-1377.<br />
Alexander, M. 1961. Introduction to Soil Microbiology. John Wiley & Sons Inc., New<br />
York. 472 p.<br />
APHA, AWWA. and WEF. 1989. Standard Method for the Examination of Water and<br />
Wastewater. 17 th ed. American Public Health Association, Washington, D. C.<br />
1,134 p.<br />
. 1995. Standard Method for the Examination of Water and Wastewater. 20 th ed.<br />
United Book Press, Maryland. 1,220 p.<br />
81
Arrignon, J. V. C., J. V. Huner, P. J. Laurent, J. M. Griessinger, D. Lacroix, P. Gonduin and M.<br />
Autrand. 1994. Warm-Water Crustaceans. The Macmillan Press Ltd. London and<br />
Basingstoke. 114 p.<br />
Barnes, R. S. K. and R. N. Hughes. 1982. An Introduction to Marine Ecology. Blackwell<br />
Scientific Publ., Oxford, London. 339 p.<br />
Bonn, E. W. and B. J. Follis. 1967. Effects of hydrogen sulfide on channel catfish (Ictalurus<br />
punctatus). Trans Am. Fish. Soc. 96: 31-36.<br />
Boyd, C. E. 1982. Water Quality in Management for Fish Pond Culture. Elsevier Scientific<br />
Publishing Co., Amsterdam, Netherlands. 318 p.<br />
Boyd, C. E. 1987. Evaluation of Water Quality and Water Quality Management Techniques<br />
for Brackishwater Aquaculture in Ponds in Thailand. Report for the Asian<br />
Development Bank, Manila, Phillippines. 29 p.<br />
. 1989. Water Quality Management and Aeration in Shrimp Farming. Fisheries<br />
and Allied Aquaculture Departmental Series No. 2. Alabama Agricultural Experiment<br />
Station, Auburn University, Alabama. 83 p.<br />
. 1990. Water Quality in Pond for Aquaculture. Alabama Agricultural Experiment<br />
Station, Auburn University. 482 p.<br />
. 1992. Shrimp pond bottom soil and sediment management, pp. 16-181. In<br />
Proceeding of the Special Session on Shrimp Farming. World Aquaculture Society<br />
Baton Rouge Louisiana, USA.<br />
. 1995. Bottom Soils, Sediment and Pond Aquaculture. Alabama Agricultural<br />
Experiment Station, Auburn University, Alabama, USA. 347 p.<br />
82
Boyd, C. E. 2002. Dissolved salt in water for inland low-salinity shrimp culture. Glob. Aquac.<br />
Advocate. 5: 40-50.<br />
and A. W. Fast. 1992. Pond monitoring and management, pp. 497-513. In A. W. Fast<br />
and L. J. Lester, eds. Marine Shrimp Culture: Principles and Practices. Elsevier<br />
Science B. V., Amsterdam.<br />
and C. S. Tucker. 1992. Water Quality and Pond Soil Analyses for<br />
Aquaculture. Alabama Agricultural Experiment Station, Auburn University, Alabama,<br />
USA. 183 p.<br />
and . 1998. Pond Aquaculture Water Quality Management.<br />
Kluwer Academic Publishers, Boston. 700 p.<br />
Boon, A. G. 1995. Septicity in sewers: causes, consequences and containment. Wat. Sci. Tech.<br />
31 (7): 237-253.<br />
Brawn, T. E., A. W. Morley., N. T. Sanderson and R. D. Tait. 1983. Report of a large fish kill<br />
resulting from natural acid water condition in Austrawa. J. Fish. Biol. 22 (1): 43-47.<br />
Brock, J. A. and K. Main. 1994. A Guide to the Common Problems and Diseases of<br />
Cultured Penaeus vannamei. Publ. by the Oceanic Institute, Makapu Point, Honolulu,<br />
HI, USA. 241 p.<br />
Brown, A. C. and A. McLachlan. 1990. Ecology of Sandy Shores. Elsevier Sciences<br />
Publishers B. V., Amsterdam. 328 p.<br />
Buchanan, R. E. and N. E. Gibbons. 1994. Bergey’s Manual of Determinative Bacteriology.<br />
8 th ed., The Williams and Wilkins Co., Baltimore. 1,268 p.<br />
83
Buisman, C. J. N., B. G. Geraats, P. Ijspeert and G. Lettinga. 1990a. Optimozation of sulfur<br />
Production in a biotechnological sulfide-removing reactor. Biotech. Bioeng. 35: 50-56.<br />
, B. Wit and G. Lettinga. 1990b. Biotechnological sulfide removal in three polyurethane<br />
carrier reactors: stirred reactor, biorotor and upflow reactor. Wat. Res. 24 (2): 245-251.<br />
, and G. Lettinga. 1990c. Sulfide-removal from anaerobic waste water treatment effluent<br />
of a papermill. Wat. Res. 24 (3) : 313-319.<br />
, P. Ijspeert, A. Janssen and G. Lettinga. 1990d. Kinetics of chemical and biochemical<br />
sulphide oxidation in aqueous solution. Wat. Res. 24 (5): 667-671.<br />
, , A. Hof, A. J. H. Janssen, R. ten Hagen and G. Lettinga. 1991. Kinetic<br />
parameters of a mixed culture oxidizing sulfide and sulfur with oxygen. Biotech. Bioeng.<br />
38: 813-820.<br />
Chen, H. C. 1985. Water quality criteria for farming the grass shrimp Penaeus monodon, pp. 165.<br />
In Proceeding of the First International Conference on the Culture of Penaeid<br />
Prawn/Shrimps. 4-7 December 1981, SEAFDEC, Iloilo, Philippines.<br />
Cheremisinoff, P. N. 1995. Handbook of Water and Wastewater Treatment Technology.<br />
Marcel Dekker, Inc., New Jersy, USA. 833 p.<br />
Cho, K. S., L. Zhang, M. Hirai and M. Shoda. 1991a. Removal characteristics of hydrogen<br />
sulfide and methanethiol by Thiobacillus sp. isolated from peat in biological<br />
deodorizarion. J. Ferment. Bioeng. 71 (1): 44-49.<br />
, M. Hirai and M. Shoda. 1991b. Removal of dimethyl disulfide by the peat biofilter<br />
seeded with night soil sludge. J. Ferment. Bioeng. 71 (4): 289-291.<br />
84
Cho, K. S., M. Hirai and M. Shoda. 1991c. Degradation characteristics of hydrogen sulfide,<br />
methanethiol, dimethyl sulfide and dimethyl disulfide by Thiobacillus thioparus DW 44<br />
isolated from peat biofilter. J. Ferment. Bioeng. 71 (6): 384-389.<br />
. 1992. Degradation of hydrogen sulfide by Xanthomonas sp. strain DY 44 isolated from<br />
peat. Appl. Environ. Microbiol. 58 (4): 1183-1189.<br />
Cork, D. J., R. Garunas and A. Sajjad. 1983. Chlorobium limicola forma thiosulfatophilum:<br />
biocatalyst in the production of sulfur and organic carbon from a gas stream containing<br />
H 2S and CO 2. Appl. Environ. Microbiol. 45 (3): 913-918.<br />
Dague, R. R. 1972. Fundamental of odor control. J. Wat. Control Fed. 44 (4): 583-589.<br />
Dunnettle, D. A., D. P. Chynoweth and K. H. Mascy. 1985. The source of hydrogen sulfide in<br />
aerobic sediment. Wat. Res. 19: 875-884.<br />
Eliassen, R., A. N. Heller and G. Kishch. 1949. The effect of chlorinated hydrocarbon and<br />
hydrogen sulfide production. Sewage Works 21 (3): 457-470.<br />
Friedrich, C. G., D. Rother, F. Bardischewsky, A. Quentmeier and J. Fisher. 2001. Oxidation of<br />
reduced inorganic sulfur compounds by bacteria: emergence of a common mechanism.<br />
Appl. Environ. Microbiol. 67: 2873-2882.<br />
Gallert, C. and J. Winter. 2005. Bacterial Metabolism in Wastewater Treatment Systems.<br />
in Environmental Biotechnology. Wiley-VCH Weinheim. 40 p.<br />
Gregg, D. C. 1966. College Chemistry. Allon and Bacon Inc., Boston, America. 606 p.<br />
Guy, D. 1992. The Ecology of the Fish Pond System. Institute of Animal Ecology, University<br />
of Ghent, Belgium. 230 p.<br />
85
Hajek, B. B. and C. E. Boyd. 1994. Rating soil and water information for aquaculture. Aquac.<br />
Eng. 13: 115-128.<br />
Hargreaves, J. A., 1998. Nitrogen biogeochemistry of aquaculture ponds. Aquaculture<br />
166: 181-212.<br />
Hartman, W. J. and D. A. Long. 1976. Municipal wastewater “odor still a problem” part 2.<br />
Water & Sewage Works 123 (1): 38-41.<br />
Heukelekian, H. 1948. Some bacteriological aspects of hydrogen sulfide production from<br />
sewage. Sew. Works. J. 20 (3): 490-498.<br />
Janssen, A. J. H., R. Sleyster, C. van der Kaa, A. Jochemsen. J. Bontsema and G. Lettinga. 1995.<br />
Biological sulfide oxidation in a fed-batch reactor. Biotech. Bioeng. 47 (3): 327-333.<br />
Jenneman, G. E., M. J. McInerney and R. M. Knapp. 1986. Effects of nitrate on biogenic sulfide<br />
production. Appl. Environ. Microbiol. 51 (6): 1205-1211.<br />
Jayamanne, S. C. 1986. A Preliminary Study of H 2S Toxicity on Juveniles of<br />
Macrobrachium rosenbergii. NACA/WP/86/42, Bangkok. 19 p.<br />
Jobbagy, A., I. Szanto, G. I. Varga and J. Simon. 1994. Sewer system odour control in the Lake<br />
Balaton area. Wat. Sci. Tech. 30 (1): 195-204.<br />
Jørgensen, B. B. 1977. The sulfur cycle of a coastal marine sediment (Limfjorden, Denmark).<br />
Limnol. Oceanogr. 22: 814-832.<br />
Lester, L. J. and J. R. Pante. 1991. Penaeid temperature and salinity response, pp. 515-534. In<br />
A. W. Fast and L. J. Lester, eds. Marine Shrimp Culture Principle and Practices.<br />
Elsevier Amsterdam.<br />
86
Madenjian, C. P. 1990. Patterm of oxygen production and consumption in intensively managed<br />
shrimp ponds. Aquac. Eng. 21: 407-417.<br />
Mairs, D. F. 1966. A total alkalinity atlas for marine lake water. Limnol. Oceanogr. 11: 68-72.<br />
Mancinelli, R. L. and C. P. McKay. 1983. Effects of nitric oxide and nitrogen dioxide on<br />
bacterial growth. Appl. Environ. Microbiol. 46 (1): 198-202.<br />
Masuda, K. and C. E. Boyd. 1994a. Phosphorus fraction in soil and water of aquaculture ponds<br />
built on Clayey, Ultisols at Auburn, Alabama. J. World Aquac. Soc. 25: 379-395.<br />
Matida, Y. 1966. The role of soil in fish pond productivity in Asia and the Far East, pp. 1-10. In<br />
Proceedings of the World Symposium on Warm Water Pond Fish Culture. FAO,<br />
United Nation Fish, Rep., Rome.<br />
Moyle, J. B. 1945. Some chemical factors. Influencing the distribution of aquatic plants in<br />
minnesota. Am. Midl. Natur. 34: 402-420.<br />
Munsiri, P., C. E. Boyd, and B. J. Hajek, 1955. Physical and chemical characteristics of bottom<br />
soil profiles in ponds at Auburn, Alabama, USA, and a proposed method for describing<br />
pond soil horizons. J. World Aquac. Soc. 26: 346-377.<br />
Novazhilova, M. I. and E. S. Berezina. 1966. Character of the distribution of sulfate reducing<br />
and sulfur bacteria in the sediments of lake Balkhash. Microbiol. 34 : 436-440.<br />
Noyes, R. 1969. Vitamin B 12 Manufacture. Noyes Development Corp., New jersey. 412 p.<br />
Nurnerg, G. 1984. Iron and hydrogen sulfide interferrance in the analysis of soluble reaction<br />
phosphorus in anoxic water. Water Res. 18: 367-377.<br />
87
Oseid, D. M. and L. L. Smith. 1972. Swimming endurance and resistance to copper and<br />
malathion of bluegill treated by long-term exposure to sublethal levels of hydrogen<br />
sulfide. Trans. Am. Fish. Soc. 4: 620-625.<br />
Patrick, R. 1977. Ecology of freshwater diatoms-diatom communities, pp. 284-332. In<br />
D. Werener, eds. The Biology of Diatoms. University of California Press, Berkeley.<br />
Peturiyawate, O. 1982. Effect of Hydrogen Sulfide on Catfish (Clarias batrachus Linn.) and<br />
Its Antagonistic Action with Some Inorganic Compound. MS. Thesis, Mahiodol<br />
University, Bangkok. 65 p.<br />
Pomeroy, R. and F. D. Bowlus. 1946. Progress report on sulfide control research. Cited by R. R.<br />
Dague. 1972. Fundamental of odor control. J. Wat. Control Fed. 44 (4): 583-589.<br />
Ponce-Palafox, J., C. A. Martinez-Palacios and L. G. Ross. 1997. The effects of salinity and<br />
temperature or the growth and survival rates of juvenile white shrimp, Penaeus vannamei,<br />
Boone, 1931. Aquaculture 157:107-115.<br />
Post, N. 1956. Counteraction of sewage odors. Sew & Ind. Wastes 28 (2): 221-225.<br />
Ralney, F. A., D. P. Kelly, E. Stackebrandt, J. Burghardt, A. Hiraishi, Y. Katayama and A. P.<br />
Wood. 1999. A re-evaluation of the taxonomy of Paracoccus denitrificans and a<br />
proposal for the combination Paracoccus pantotrophus comb. nov. Int. J. Syst.<br />
Bacteriol. 49: 645-651.<br />
Ray, W. M. and Y. H. Chien. 1992. Effect of stocking density and aged sediment on tiger prawn,<br />
Penaeus monodon, nursery system. Aquaculture 104: 231-248.<br />
Reid, G. H. 1961. Ecology of Inland Water and Estuarine. Reingold Pulb. CO.,<br />
New York. 375 p.<br />
88
Rother, D., H. J. Henrich, A. Quentmeier, F. Bardischewsky and C. G. Friedrich. 2001. Novel<br />
genes of the sox gene cluster, mutagenesis of the flavoprotein SoxF, and evidence for a<br />
general sulfur-oxidizing system in Paracoccus pantotrophus GB17. J. Bacteriol. 183:<br />
4499-4508.<br />
Salminen, S. and A. V. Wright (eds.). 1993. Lactic Acid Bacteria. Marcel Dekker, Inc., New<br />
York. 441 p.<br />
Santry, I. W. 1966. Hydrogen sulfide odor control measures. Wat. Pollut. Cotrol Fed. 38(3):<br />
459-463.<br />
Santschi, P., P. Hohener, G. Benoit and M. B. Brink. 1990. Chemical processes at the<br />
sediment-water interface. Mar. Chem. 30: 269-315.<br />
Sawyer, N. G. and P. L. McCarty. 1967. Chemistry or Sanitary Engineers. McGraw-Hill<br />
Book Company, New York. 518 p.<br />
Serokin, Y. I. 1968. Processes of chemical and biological oxidation of hydrogen sulfide in the<br />
water column of meromictic lakes. Microbiol. 34: 428-435.<br />
Steel, R. G. D. and J. H. Torrie. 1980. Principles and Procedures of Statistics: A Biometerial<br />
Approach. 2 nd ed. McGraw-Hill Publishing Co., New York, U.S.A.<br />
Sublette, K. L. 1987. Aerobic oxidation of hydrogen sulfide by Thiobacillus denitrificans.<br />
Biotech. Bioeng. 29: 690-695.<br />
and M. E. Woolsey. 1989. Sulfide and glutaraldehyde resistant strains of Thiobacillus<br />
denitrificans. Biotech. Bioeng. 34: 595-569.<br />
89
Sublette, K. L. and N. D. Sylvester. 1987a. Oxidation of hydrogen sulfide by Thiobacillus<br />
denitrificans: desulfurization of natural gas. Biotech. Bioeng. 29: 249-257.<br />
. 1987b. Oxidation of hydrogen sulfide by continuous culture of Thiobacillus<br />
denitrificans. Biotech. Bioeng. 29: 753-758.<br />
. 1987c. Oxidation of hydrogen sulfide by mixed cultures of Thiobacillus denitrificans<br />
and heterotrophs. Biotech. Bioeng. 29: 759-761.<br />
Suplee, M. W. and J. B. Cotner. 1996. Temporal changes in oxygen demand and bacterial<br />
sulfate reduction in inland shrimp ponds. Aquaculture 145: 141-158.<br />
Tanji, Y., T. Kanagawa and E. Mikami. 1989. Removal of dimethyl sulfide, methyl mercaptan,<br />
and hydrogen sulfide by immobilized Thiobacillus thioparus TK- m. J. Ferment.<br />
Bioeng. 67 (4): 280-285.<br />
Thom, S. R. and R. E. Marquis. 1984. Microbial growth modification by compressed gases and<br />
hydrostatic pressure. Appl. Environ. Microbiol. 47 (4): 780-787.<br />
Todd, D. K. 1959. Ground Water Hydrology. John Wiley & Sons. Inc., New York. 336 p.<br />
Tucker, C. S. and C. E. Boyd. 1985. Water quality, pp. 135-227. In C. S. Tucker, ed.<br />
Channel Catfish Culture. Elsevier Scientific Publishing Co., Amsterdam, Netherlands.<br />
Vainshtein, M. B., G. I. Gogotova and N. J. Heinritz. 1994. Removal of H 2S by the purple sulfur<br />
bacterium Ectothiorhodospira shaposhnikovii. World. J. Microbiol. Biotech. 10: 110-<br />
111.<br />
Watanabe, K., 2001. Microorganism relevant to bioremediation. Curr. Opin. Biotechnol. 12:<br />
237-241.<br />
90
Wickins, J. F. and D. O’C. Lee. 2002. Crustacean Farming Ranching and Culture.<br />
Blackwell Science Ltd, UK. 446 p.<br />
Windholz, M. 1976. An Encyclopedia of Chemical and Drugs. Merck & Go. Inc., Rahway,<br />
New York. 1,313 p.<br />
91
ภาคผนวก<br />
92
ตารางผนวกที่<br />
1 ผลการวิเคราะหทางสถิติของผลผลิตในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
Paracoccus pantotrophus และบอควบคุม<br />
คาเฉลี่ย<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม t df P<br />
ผลผลิตเฉลี่ย<br />
(กิโลกรัมตอไร) 840.0±40.00 633.3±41.63 -6.200 4
ตารางผนวกที่<br />
2 ผลการวิเคราะหทางสถิติของคุณสมบัติของน้ําในบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
Paracoccus pantotrophus และบอควบคุม<br />
คาเฉลี่ย<br />
บอทดลอง บอควบคุม t df P<br />
ความโปรงแสง (เซนติเมตร) 16.8±8.00 18.1±8.57 0.750 88 >0.05<br />
อุณหภูมิน้ํา<br />
(องศาเซลเซียส) - เชา 29.5±0.28 29.6±0.23 0.962 88 >0.05<br />
94<br />
- บาย 32.0±0.69 32.0± 0.73 -0.359 88 >0.05<br />
พีเอช - เชา 7.8±0.07 7.7±0.06 -1.239 88 >0.05<br />
- บาย 8.4±0.05 8.4±0.06 0.165 88 >0.05<br />
ออกซิเจนที่ละลายในน้ํา<br />
(มิลลิกรัมตอลิตร) - เชา 5.1±0.18 5.0±0.14 -1.285 88 >0.05<br />
- บาย 8.6±0.62 8.2±0.74 -2.708 88 0.05<br />
การนําไฟฟา (มิลลิซิเมนสตอเซนติเมตร) 8.3±2.17 7.7±1.58 -1.537 88 >0.05<br />
ความเปนดางรวม (มิลลิกรัมตอลิตร) 194±51.00 182 ±38.00 -1.302 88 >0.05<br />
ความกระดาง (มิลลิกรัมตอลิตร) 1260±329.00 1142±220.00 -1.994 88 >0.05<br />
แอมโมเนียรวม (มิลลิกรัมตอลิตร) 0.3±0.18 0.3±0.21 -0.628 88 >0.05<br />
ไนไตรท (มิลลิกรัมตอลิตร) 0.04±0.02 0.04±0.02 0.314 88 >0.05<br />
ไนเตรท (มิลลิกรัมตอลิตร) 9.1±1.93 8.9±2.10 -0.522 88 >0.05<br />
ไฮโดรเจนซัลไฟด (มิลลิกรัมตอลิตร) 0.0±0.00 0.7±0.67 -7.349 88
ตารางผนวกที่<br />
3 คุณสมบัติของน้ําตลอดการเลี้ยง<br />
เวลาเลี้ยง<br />
บอ Trans. Temp. (°C) pH D.O. (mg/l) Salinity EC. Tot. Alk Hardness TAN Nitrite Nitrate H2S (สัปดาห)<br />
(cm.) เชา บาย เชา บาย เชา บาย (ppt) (mS/cm) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l)<br />
1 1 35 29.7 32.9 7.64 8.37 5.26 9.68 3.80 5.65 190.67 758.00 0.02 0.00 5.00 0.00<br />
2 40 29.8 32.7 7.69 8.34 4.96 8.72 5.80 10.34 202.67 1438.00 0.02 0.00 10.00 0.00<br />
3 30 29.9 33.1 7.68 8.34 5.27 9.16 6.50 11.51 196.67 1652.00 0.03 0.01 10.00 0.00<br />
4 33 29.8 32.5 7.72 8.36 4.81 9.75 3.00 5.45 166.00 772.00 0.02 0.01 10.00 0.00<br />
5 35 29.7 33.2 7.73 8.33 4.95 9.00 4.80 9.17 168.67 1264.00 0.01 0.02 5.00 0.00<br />
6 30 29.4 32.9 7.80 8.32 5.21 7.92 5.40 9.65 196.00 1356.00 0.02 0.01 10.00 0.00<br />
2 1 30 29.6 32.1 7.81 8.30 4.82 7.70 3.30 5.99 213.33 836.00 0.02 0.02 10.00 0.00<br />
2 35 29.8 32.9 7.81 8.43 4.86 7.89 5.90 10.51 170.67 1338.00 0.03 0.03 10.00 0.00<br />
3 25 30.1 33.5 7.80 8.41 5.35 9.26 6.80 11.85 200.00 1338.00 0.05 0.02 10.00 0.00<br />
4 30 29.6 32.1 7.76 8.34 4.98 8.67 3.30 6.11 140.00 808.00 0.02 0.03 10.00 0.00<br />
5 33 29.7 32.1 7.76 8.38 5.16 7.70 5.40 9.70 152.00 1278.00 0.01 0.03 10.00 0.00<br />
6 28 29.1 32.7 7.74 8.36 5.16 7.44 5.50 9.80 166.67 1326.00 0.02 0.01 10.00 0.00<br />
95
ตารางผนวกที่<br />
3 (ตอ)<br />
เวลาเลี้ยง<br />
บอ Trans. Temp. (°C) pH D.O. (mg/l) Salinity EC. Tot. Alk Hardness TAN Nitrite Nitrate H2S (สัปดาห)<br />
(cm.) เชา บาย เชา บาย เชา บาย (ppt) (mS/cm) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l)<br />
3 1 25 29.5 32.9 7.79 8.41 4.96 9.01 3.2 6.02 204.67 844.00 0.15 0.06 10.00 0.00<br />
2 25 29.9 32.9 7.72 8.39 5.17 8.27 6.0 10.60 172.67 1544.00 0.13 0.04 5.00 0.00<br />
3 20 29.9 33.2 7.66 8.35 4.97 8.88 6.8 11.87 173.33 1826.00 0.17 0.03 10.00 0.00<br />
4 30 29.8 33.5 7.79 8.49 5.13 9.96 3.3 6.11 182.00 1464.00 0.08 0.02 10.00 0.00<br />
5 30 29.8 32.9 7.80 8.33 5.29 9.96 5.4 9.63 147.33 1364.00 0.10 0.02 10.00 0.00<br />
6 28 29.8 32.9 7.74 8.39 4.93 8.28 5.5 9.86 153.33 1480.00 0.13 0.02 10.00 0.00<br />
4 1 22 29.7 32.8 7.77 8.41 4.85 8.79 3.5 5.90 229.33 970.00 0.21 0.05 10.00 0.00<br />
2 22 29.7 31.8 7.66 8.42 4.97 7.13 6.4 10.40 181.33 1446.00 0.22 0.01 5.00 0.00<br />
3 23 29.2 31.7 7.78 8.44 5.17 8.14 5.5 10.40 194.68 1762.00 0.25 0.05 10.00 0.00<br />
4 25 29.7 32.7 7.73 8.41 5.08 7.05 3.6 5.10 208.00 910.00 0.17 0.02 10.00 0.00<br />
5 30 29.6 32.7 7.84 8.35 5.11 8.89 5.3 9.20 140.00 1218.00 0.14 0.02 10.00 0.00<br />
6 25 29.9 31.6 7.71 8.34 4.83 8.15 5.1 9.70 180.67 1430.00 0.16 0.04 5.00 0.00<br />
96
ตารางผนวกที่<br />
3 (ตอ)<br />
เวลาเลี้ยง<br />
บอ Trans. Temp. (°C) pH D.O. (mg/l) Salinity EC. Tot. Alk Hardness TAN Nitrite Nitrate H2S (สัปดาห)<br />
(cm.) เชา บาย เชา บาย เชา บาย (ppt) (mS/cm) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l)<br />
5 1 20 29.5 32.1 7.74 8.45 5.12 8.61 3.0 5.51 230.67 768.00 0.12 0.02 10.00 0.00<br />
2 12 29.8 32.7 7.62 8.31 5.22 8.56 5.5 9.84 127.33 1418.00 0.08 0.02 10.00 0.00<br />
3 21 30.0 32.5 7.68 8.33 5.11 8.41 6.1 10.69 182.00 1562.00 0.16 0.02 5.00 0.00<br />
4 22 29.8 32.0 7.70 8.50 5.20 9.08 3.0 5.60 200.67 808.00 0.28 0.06 10.00 0.00<br />
5 29 29.8 32.1 7.72 8.36 5.05 7.06 4.7 8.40 113.33 1192.00 0.23 0.01 5.00 0.27<br />
6 20 29.8 32.7 7.72 8.39 4.94 8.33 5.1 9.19 154.00 1280.00 0.26 0.01 10.00 0.00<br />
6 1 18 29.2 31.7 7.68 8.42 4.98 8.29 2.9 5.46 97.00 790.67 0.19 0.01 10.00 0.00<br />
2 15 29.3 31.9 7.78 8.41 5.27 9.01 5.3 9.39 94.00 1416.00 0.15 0.06 10.00 0.00<br />
3 18 29.3 31.1 7.81 8.45 5.31 9.45 5.8 9.85 113.00 1596.00 0.20 0.01 10.00 0.00<br />
4 15 29.7 31.4 7.61 8.45 4.82 7.28 3.0 5.58 95.00 804.00 0.11 0.04 5.00 0.27<br />
5 25 29.7 32.5 7.75 8.31 4.96 7.04 4.6 8.30 98.00 1308.00 0.24 0.04 10.00 0.53<br />
6 15 29.7 31.1 7.77 8.46 5.12 8.59 4.9 8.51 93.00 1320.00 0.15 0.04 10.00 0.27<br />
97
ตารางผนวกที่<br />
3 (ตอ)<br />
เวลาเลี้ยง<br />
บอ Trans. Temp. (°C) pH D.O. (mg/l) Salinity EC. Tot. Alk Hardness TAN Nitrite Nitrate H2S (สัปดาห)<br />
(cm.) เชา บาย เชา บาย เชา บาย (ppt) (mS/cm) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l)<br />
7 1 15 29.4 31.8 7.66 8.38 5.09 9.07 3.0 5.56 238.00 826.67 0.17 0.07 10.00 0.00<br />
2 12 30.0 33.1 7.81 8.48 5.33 9.59 5.1 9.04 162.67 1308.00 0.21 0.05 10.00 0.00<br />
3 12 30.0 33.1 7.75 8.39 5.26 9.12 5.4 9.56 229.33 1546.00 0.14 0.04 10.00 0.00<br />
4 15 29.6 31.8 7.67 8.39 5.10 7.70 3.1 5.71 231.33 841.33 0.15 0.02 10.00 0.27<br />
5 25 29.7 31.7 7.73 8.41 4.85 7.92 4.7 8.45 162.00 1248.00 0.25 0.07 10.00 0.80<br />
6 15 29.7 33.0 7.68 8.39 5.07 8.84 4.5 8.22 162.67 1248.00 0.16 0.03 10.00 0.27<br />
8 1 15 29.2 31.1 7.80 8.36 4.85 8.93 3.0 5.50 266.00 872.00 0.20 0.02 10.00 0.00<br />
2 14 29.1 31.2 7.68 8.32 4.92 8.72 4.9 8.80 148.67 1294.00 0.31 0.06 5.00 0.00<br />
3 15 29.4 31.2 7.80 8.41 4.87 7.75 5.4 9.50 302.67 1572.00 0.24 0.06 10.00 0.00<br />
4 13 29.7 30.4 7.74 8.26 5.30 7.50 3.1 5.70 244.00 937.33 0.12 0.06 10.00 0.53<br />
5 20 29.9 31.6 7.77 8.44 4.95 8.10 4.4 8.50 178.67 1236.00 0.43 0.06 5.00 0.80<br />
6 12 29.6 31.4 7.78 8.38 4.85 7.54 4.6 8.20 182.00 1242.00 0.27 0.02 10.00 0.53<br />
98
ตารางผนวกที่<br />
3 (ตอ)<br />
เวลาเลี้ยง<br />
บอ Trans. Temp. (°C) pH D.O. (mg/l) Salinity EC. Tot. Alk Hardness TAN Nitrite Nitrate H2S (สัปดาห)<br />
(cm.) เชา บาย เชา บาย เชา บาย (ppt) (mS/cm) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l)<br />
9 1 12 29.5 31.3 7.83 8.37 4.81 7.46 2.9 5.31 214.67 772.00 0.34 0.02 10.00 0.00<br />
2 12 29.6 32.3 7.78 8.45 5.30 8.64 4.9 8.73 130.67 1266.00 0.26 0.07 10.00 0.00<br />
3 12 29.3 31.7 7.62 8.39 5.24 9.16 5.2 9.27 211.33 1426.00 0.37 0.03 10.00 0.00<br />
4 10 29.4 31.2 7.60 8.37 4.97 8.04 2.9 5.39 225.33 854.67 0.24 0.04 10.00 0.80<br />
5 15 29.4 31.5 7.60 8.38 5.04 7.75 4.5 8.12 170.67 1184.00 0.28 0.04 10.00 0.80<br />
6 10 29.4 31.5 7.71 8.35 4.82 7.85 4.5 8.05 167.33 1230.00 0.44 0.05 5.00 0.80<br />
10 1 10 29.7 31.5 7.84 8.39 5.16 8.86 3.0 5.50 228.67 828.00 0.30 0.07 10.00 0.00<br />
2 10 29.3 31.9 7.68 8.34 5.11 8.78 5.0 8.90 110.67 1368.00 0.32 0.07 10.00 0.00<br />
3 8 29.2 31.0 7.74 8.36 5.30 9.20 2.7 5.44 233.33 1534.00 0.28 0.07 10.00 0.00<br />
4 10 29.5 30.3 7.73 8.38 5.21 8.97 3.0 5.60 207.33 908.00 0.22 0.04 10.00 1.06<br />
5 13 29.5 31.8 7.64 8.55 4.91 7.58 4.7 8.40 152.67 1256.00 0.33 0.05 10.00 1.33<br />
6 8 29.4 31.0 7.76 8.39 4.97 8.39 4.6 8.30 182.00 942.00 0.54 0.05 10.00 0.80<br />
99
ตารางผนวกที่<br />
3 (ตอ)<br />
เวลาเลี้ยง<br />
บอ Trans. Temp. (°C) pH D.O. (mg/l) Salinity EC. Tot. Alk Hardness TAN Nitrite Nitrate H2S (สัปดาห)<br />
(cm.) เชา บาย เชา บาย เชา บาย (ppt) (mS/cm) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l)<br />
11 1 8 29.5 32.2 7.87 8.33 5.11 8.75 3.2 5.90 234.67 882.67 0.34 0.07 10.00 0.00<br />
2 8 29.1 31.8 7.65 8.29 4.85 7.62 5.0 9.00 127.33 1326.00 0.38 0.06 5.00 0.00<br />
3 7 29.0 31.3 7.77 8.38 5.37 9.22 5.4 9.50 272.67 1482.00 0.33 0.07 10.00 0.00<br />
4 9 29.1 31.3 7.76 8.48 5.16 8.81 3.4 6.20 236.00 1000.00 0.35 0.07 10.00 1.06<br />
5 10 29.6 31.7 7.80 8.39 5.17 7.24 4.7 8.50 218.00 1170.67 0.49 0.07 5.00 1.33<br />
6 8 29.0 31.2 7.74 8.22 4.83 7.90 4.6 8.30 213.33 1232.00 0.78 0.04 10.00 1.06<br />
12 1 7 29.3 31.1 7.75 8.39 5.03 8.97 2.8 5.33 272.67 881.33 0.38 0.08 10.00 0.00<br />
2 9 29.2 31.8 7.61 8.33 4.81 7.13 5.2 9.32 142.67 1340.00 0.45 0.08 10.00 0.00<br />
3 10 29.4 32.0 7.75 8.35 4.85 7.79 2.6 4.90 228.00 1670.00 0.36 0.05 10.00 0.00<br />
4 8 29.4 31.5 7.63 8.37 5.27 8.91 2.8 5.34 230.00 868.00 0.38 0.07 10.00 1.59<br />
5 9 29.4 31.5 7.78 8.32 5.15 7.88 4.7 8.38 212.67 1156.00 0.48 0.07 10.00 1.59<br />
6 8 29.3 33.1 7.72 8.34 4.96 8.71 2.9 5.41 194.67 1208.00 0.51 0.04 10.00 1.33<br />
100
ตารางผนวกที่<br />
3 (ตอ)<br />
เวลาเลี้ยง<br />
บอ Trans. Temp. (°C) pH D.O. (mg/l) Salinity EC. Tot. Alk Hardness TAN Nitrite Nitrate H2S (สัปดาห)<br />
(cm.) เชา บาย เชา บาย เชา บาย (ppt) (mS/cm) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l)<br />
13 1 11 29.4 31.1 7.81 8.34 4.98 8.29 3.5 6.36 224.67 942.67 0.37 0.04 5.00 0.00<br />
2 12 29.2 31.7 7.81 8.42 4.93 8.76 5.3 9.41 142.67 1374.00 0.52 0.08 10.00 0.00<br />
3 15 29.6 31.7 7.62 8.34 4.87 7.85 5.7 10.17 258.67 1580.00 0.76 0.04 10.00 0.00<br />
4 10 29.5 31.8 7.74 8.40 5.10 8.77 3.7 6.68 214.67 1028.00 0.42 0.08 10.00 1.59<br />
5 12 29.9 32.1 7.78 8.41 5.04 7.68 4.6 8.27 202.67 1062.67 0.54 0.08 10.00 1.59<br />
6 10 29.1 31.6 7.68 8.25 4.89 7.87 5.0 8.86 224.00 1430.00 0.68 0.05 5.00 1.33<br />
14 1 15 29.6 31.8 7.79 8.33 5.17 8.56 3.5 6.45 230.67 770.00 0.43 0.05 10.00 0.00<br />
2 10 29.7 31.5 7.82 8.46 5.29 9.12 5.5 9.77 135.33 1430.00 0.50 0.07 5.00 0.00<br />
3 12 29.5 31.7 7.80 8.41 5.26 9.03 5.9 9.77 227.33 1568.00 0.81 0.04 10.00 0.00<br />
4 12 29.3 31.5 7.65 8.37 5.07 8.62 3.6 5.12 236.00 910.00 0.49 0.06 5.00 1.86<br />
5 15 29.8 31.6 7.81 8.37 5.09 7.71 4.6 8.25 197.33 1057.33 0.61 0.05 10.00 1.86<br />
6 15 29.6 32.4 7.73 8.36 4.84 8.13 5.0 8.98 194.00 1466.00 0.73 0.06 10.00 1.59<br />
101
ตารางผนวกที่<br />
3 (ตอ)<br />
เวลาเลี้ยง<br />
บอ Trans. Temp. (°C) pH D.O. (mg/l) Salinity EC. Tot. Alk Hardness TAN Nitrite Nitrate H2S (สัปดาห)<br />
(cm.) เชา บาย เชา บาย เชา บาย (ppt) (mS/cm) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l) (mg/l)<br />
15 1 20 29.7 31.5 7.74 8.27 4.92 8.45 3.4 6.24 214.67 761.00 0.55 0.04 10.00 0.00<br />
2 15 29.7 32.4 7.92 8.24 5.03 8.21 5.4 8.89 140.00 1218.00 0.41 0.09 10.00 0.00<br />
3 15 29.8 32.3 7.78 8.37 5.12 8.56 5.5 9.64 229.33 1537.00 0.38 0.07 10.00 0.00<br />
4 15 29.7 32.2 7.79 8.41 5.13 8.95 3.5 6.42 231.33 841.33 0.48 0.08 10.00 1.86<br />
5 15 29.9 32.4 7.70 8.36 5.16 7.89 4.6 8.22 187.33 910.67 0.59 0.07 10.00 1.86<br />
6 11 29.8 32.4 7.71 8.35 4.87 7.59 5.2 9.26 162.67 1532.00 0.36 0.08 5.00 1.59<br />
102
ตารางผนวกที่<br />
4 ผลการวิเคราะหทางสถิติของศักยไฟฟารีดอกซพื้นบอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
Paracoccus pantotrophus และบอควบคุม<br />
ศักยไฟฟารีดอกซ (มิลลิโวลต)<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
พิสัย คาเฉลี่ย<br />
พิสัย คาเฉลี่ย<br />
t df P<br />
บริเวณแนวหวานอาหาร -15 ถึง -67 -53±21.4 -53 ถึง -102 -81±19.2 4.712 46 P
ตารางผนวกที่<br />
5 ศักยไฟฟารีดอกซพี้นบอตลอดการเลี้ยง<br />
เวลาเลี้ยง<br />
บอทดลองที่ใชแบคทีเรีย<br />
P. pantotrophus บอควบคุม<br />
(สัปดาห) แนวหวานอาหาร กลางบอ แนวหวานอาหาร กลางบอ<br />
บอ 1 บอ 2 บอ 3 บอ 1 บอ 2 บอ 3 บอ 4 บอ 5 บอ 6 บอ 4 บอ 5 บอ 6<br />
2 -12 -24 -9 -34 -22 -31 -49 -37 -73 -95 -87 -94<br />
4 -24 -41 -13 -54 -37 -44 -79 -65 -66 -109 -97 -112<br />
6 -48 -35 -43 -48 -75 -69 -105 -88 -80 -121 -108 -94<br />
8 -58 -34 -70 -73 -95 -66 -72 -94 -86 -126 -114 -99<br />
10 -65 -52 -66 -65 -96 -97 -90 -77 -121 -123 -106 -119<br />
12 -51 -40 -65 -94 -81 -104 -94 -81 -71 -131 -116 -125<br />
14 -72 -64 -65 -92 -119 -83 -115 -82 -109 -178 -138 -122<br />
104