TNSC Newsletter : November 2012 Vol.3

More documents

Recommendations

Info

LOGISTICS AND SUPPLY CHAIN INNOVATION ➔ FUTURE VALUE CHAIN 2020 สภาผู้ส่งออกฯ ได้เข้าร่วมการประชุม CSCMP Annual Global Conference 2012 ณ เมือง Atlanta รัฐจอร์เจีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 30 กันยายน - 3 ตุลาคม 2012 เพื่อหารือและแลกเปลี่ยน ความคิดเห็นแนวทางการพัฒนากิจกรรมโลจิสติกส์และซัพพลายเชน ซึ่งมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งหัวข้อที่สำคัญคือ Future Value Chain 2020 ซึ่งวิทยากรคือ Mr.John Phillips ตำแหน่ง Senior Vice President สายงาน Customer Supply Chain and Logistics จาก บริษัท PepsiCo Inc. ได้นำเสนอข้อมูลผลการศึกษา เรื่อง Building Strategies for the New Decade ซึ่งเป็นส่วนหนึ่ง ของโครงการ 2020 Future Value Chain โดยมีเนื้อหาสรุปคุณลักษณะ ของตลาดในอนาคตและทิศทางการปรับตัวทางธุรกิจที่สำคัญ ดังต่อไปนี้ • Increased Urbanization หรือการขยายตัวของเมืองใหญ่ ซึ่ง คาดการณ์ว่าภายในปี 2015 จะมีเมืองขนาดใหญ่ประชากร มากกว่า 8 ล้านคนเพิ่มขึ้นอีกกว่าเท่าตัว ขณะที่ในปี 2020 จะมีเมืองขนาด Mega City ที่มีประชากรขนาด 20 ล้านคน เกิดขึ้นมากกว่า 8 แห่ง และเมื่อถึงปี 2050 จะพบว่าประชากร ส่วนใหญ่ทั่วโลกจะอยู่ในเขตเมืองมากกว่า 70% ซึ่งทำให้ ร้านค้าปลีกมีลักษณะเป็น Small - Footprint Store หรือร้านค้า ที่มีขนาดเล็ก และต้นทุนค่าสถานที่ทำให้ส่งผลต่อต้นทุน การจัดเก็บสินค้าคงคลังซึ่งกลายเป็นแรงกระตุ้นให้ต้องลด Non - Productive Inventory ให้มีน้อยที่สุด • Aging Population เป็นกระแสร่วมของหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในหลายด้าน อาทิ การพัฒนา สินค้า การเปลี่ยนแปลงขนาดตัวอักษรบนฉลาก เป็นต้น และ การทำให้เกิดการขาดแคลนแรงงานมากขึ้น • Middle Class is Rapidly Expanding ส่งผลให้รายได้ต่อหัว โดยเฉลี่ยมีอัตราสูงขึ้น และกลุ่มชนชั้นกลางยังเป็นผู้ที่มีความ ต้องการสินค้าคุณภาพสูง ทำให้เป็นแหล่งรายได้สำคัญสำหรับ ภาคการผลิตและธุรกิจค้าปลีก • Increased Impact of Consumer Technology Adoption อาทิ การสั่งซื้อสินค้าผ่าน Mobile Internet จะกลายเป็นพฤติกรรม ผู้บริโภคที่สำคัญ ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบการจำเป็นต้องพัฒนา ช่องทางการจัดจำหน่ายผ่าน Internet / Mobile Application มากขึ้น ซึ่งอาจเป็นการนำเสนอสินค้าผ่าน Social Network อาทิ Facebook, Twitter เป็นต้น • Increased Consumer Service Demands อันเป็นผลมาจาก การเปลี่ยนแปลงในเรื่องของเทคโนโลยีที่รวดเร็วมากขึ้น ทำให้ ผู้บริโภคมีการรอคอยที่ลดลง และทำให้ผู้ประกอบการต้อง พยายามคิดค้นรูปแบบบริการใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น อยู่เสมอ • Increased Importance of Health and Well-being เนื่องจาก ผู้ซื้อมีแนวโน้มต้องการสินค้าเพื่อสุขภาพและมีการดูแลสุขภาพ ของตนเองมากขึ้น อาทิ ผู้บริโภคประเภท Lifestyles of Health and Sustainability (LOHAS) ในสหรัฐฯ ในปัจจุบันมีจำนวน กว่า 41 ล้านคน และคาดว่ายอดขายสำหรับลูกค้ากลุ่มนี้จะมี การเพิ่มจำนวนเป็น 4 เท่า ภายใน 5 ปี ข้างหน้า • Growing Consumer Concern About Sustainability ส่งผลให้ ผู้ประกอบการจำเป็นต้องทำ Carbon Footprint Label ขณะที่ ภาครัฐของหลายประเทศจะต้องวางบทบาทเป็นผู้นำ และเร่งออก กฎหมายเพื่อควบคุมหรือผลักดันให้ภาคเอกชนมีการพัฒนา ในด้านนี้มากขึ้น • Shifting of Economic Power จากประเทศสหรัฐฯ สหภาพ ยุโรป และญี่ปุ่น ไปสู่ประเทศจีน บราซิล และอินเดีย ซึ่งจะมี การเติบโตค่อนข้างเร็ว และกลายเป็นมหาอำนาจทางเศรษฐกิจ กลุ่มใหม่ของโลก • Scarcity of Natural Resource ซึ่งเป็นผลมาจากเพิ่มขึ้นของ ประชากร Demand ที่มีมากกว่า Supply ซึ่งมีการพยากรณ์ว่า ในปี 2030 จะมีประชากรประมาณ 8,300 ล้านคน ทำให้มี ความต้องการอาหารเพิ่มมากขึ้น 50% ความต้องการน้ำสะอาด เพิ่มมากขึ้น 30% ความต้องการพลังงานเพิ่มมากขึ้น 50% ซึ่งจะทำให้มีการพัฒนาพลังงานทดแทน การกำหนดนโยบาย บริหารจัดการน้ำ การเพิ่มขึ้นของราคาและคุณภาพของอาหาร เป็นต้น • Increase in Regulatory Pressure โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กฎหมายด้านสิ่งแวดล้อม ความยั่งยืน และความปลอดภัย ในการบริโภคอาหาร • Rapid Adoption of Supply Chain Technology Capabilities เนื่องจาก Information Technology ทำให้เกิดการเชื่อมโยง ภายในซัพพลายเชนมากขึ้น ทั้งในส่วนของ Visibility และ Traceability ทำให้สมาชิกในอุตสาหกรรมมีความร่วมมือ กันมากขึ้น ก่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ๆ ด้านโลจิสติกส์ และกลายเป็นแรงกดดันสำหรับผู้ประกอบการรายอื่นๆ ให้ต้องเร่งดำเนินการหากต้องการจะแข่งขันต่อไป • Impact of Next - Generation Information Technologies การเปลี่ยนแปลงของ IT อย่างรวดเร็วจากปัจจุบัน ทำให้ระบบ IT ในอนาคตมีความสำคัญต่อองค์กรมากขึ้น โดยไม่เพียงแต่เป็น สิ่งที่ขาดไม่ได้ แต่ยังกลายเป็น “เครื่องมือที่ใช้ในการปรับตัว” ขององค์กร เนื่องจากระบบ IT จะกลายเป็นช่องทางใหม่ ในการทำธุรกิจ ทั้งการพัฒนาช่องทางการจัดจำหน่ายและการ บริหารจัดการภายในองค์กร เป็นแหล่งที่นำไปสู่การสร้างสรรค์ นวัตกรรมใหม่ๆ เพราะระบบ IT ในอนาคตจะสามารถก้าวข้าม ข้อจำกัดต่างๆ ในปัจจุบันไปได้ 6
ซึ่งจากทิศทางข้างต้น เราสามารถสรุปแนวทางในการแข่งขันของ ธุรกิจในอนาคตได้ว่าการกำหนดกลยุทธ์ขององค์กรจะต้อง สามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ 4 ข้อ ประกอบไปด้วย 1. Make Our Business More Sustainable : from Niche to Norm สิ่งสำคัญประการแรกคือ ธุรกิจต้องสามารถทำให้ลูกค้าและผู้บริโภค เกิดความมั่นใจทั้งในส่วนของบริษัท อุตสาหกรรม และซัพพลายเชน ของเรา ซึ่งอาจเกิดขึ้นโดยการเปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ครั้งใหญ่ ควบคู่ ไปกับการทำให้ผู้บริโภคเข้าใจถึงความสำคัญในการเปลี่ยนแปลง แนวทางการทำธุรกิจและการดำรงชีวิตจากเดิมไปสู่ไลฟ์สไตล์ เพื่อสิ่งแวดล้อม และการทำงานร่วมกับซัพพลายเออร์ของกิจการ เพื่อทำให้มีการยกระดับการทำงานให้มีมาตรฐานเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งจะทำให้เกิดความสามารถในการแข่งขันทางธุรกิจอย่างยั่งยืน 2. Optimize a Shared Supply Chain : Collaboration Differently, Complete Differently จากทิศทางในการให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อมเพิ่มมากขึ้นของ ผู้บริโภค จะทำให้บริษัทและซัพพลายเชนทั้งหมดต้องร่วมกันกำหนด ตัวชี้วัดการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 2 รายการ ประกอบ ไปด้วย จำนวนการปล่อย CO2 ลดน้อยลง และปริมาณการใช้ พลังงาน 3. Engage with technology - Enabled Consumers : the Consumer in the Driver’s Seat การเปลี่ยนแปลงในด้านเทคโนโลยีของผู้บริโภคจะทำให้ลักษณะ การดำรงชีวิตและการเลือกซื้อสินค้าเปลี่ยนแปลงไป ทุกที่ ทุกแห่ง ทุกเวลา สามารถกลายเป็นตลาดได้สำหรับผู้ที่มีโทรศัพท์มือถือ ส่งผลให้ภาคอุตสาหกรรมต้องหาทางตอบสนองความต้องการ เหล่านี้ โดยพัฒนา Application ที่ตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว มี การลงทุนในระบบการตรวจสอบข้อมูลที่สามารถเชื่อถือได้ และ การเพิ่มบทบาทของผู้บริโภคเมื่อมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ เป็นต้น โดยสินค้าเพื่อสุขภาพจะเป็นที่ต้องการมากขึ้นในทุกระดับราคา ลูกค้าจะมีการเลือกซื้อสินค้าเหล่านี้มากขึ้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการ เจ็บป่วย เพื่อทำให้มีอายุยืนมากขึ้น ซึ่งธุรกิจสามารถตอบสนองความ ต้องการเหล่านี้ได้ โดยการเปลี่ยนแปลงแนวคิดในการทำธุรกิจไป สู่การพัฒนาร่วมกันในซัพพลายเชน เพื่อให้สามารถผลิตสินค้าที่มี ความปลอดภัยแก่ผู้บริโภคให้ได้มากที่สุด จากกระแสการเปลี่ยนแปลงดังกล่าว บริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมาก ได้มีการปรับตัว ทั้งในส่วนของการเปลี่ยนแปลงภายในองค์กร และ การร่วมมือกับสมาชิกในโซ่อุปทานเพื่อให้สามารถรองรับความ ต้องการของผู้บริโภคในอนาคต โดยมีการนำเสนอเป็นกรณีศึกษา เพื่อให้เห็นแนวทางการดำเนินงานที่ชัดเจน ซึ่งท่านสมาชิกสามารถ Download รายงาน Future Value Chain 2020 ฉบับเต็ม ได้ที่ www.futurevaluechain.com สำหรับผู้ประกอบการไทย สิ่งที่เรียนรู้ได้จาก Future Value Chain 2020 คือโจทย์สำหรับการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมและการค้า ซึ่งแม้ว่าลักษณะของตลาดในประเทศไทยจะไม่ได้เหมือนกับ ประเทศที่เจริญแล้ว แต่โลกาภิวัฒน์ในปัจจุบันจะทำให้พฤติกรรม ผู้บริโภค และการรับรู้ของผู้บริโภคถึงกระแสของตลาดในต่างประเทศ จะทำให้เกิดการลอกเลียนแบบและการถ่ายโอนเทคโนโลยีต่างๆ อย่างรวดเร็ว แม้ว่าปัจจัยหลายอย่างในประเทศไทยจะแตกต่างไป แต่ผู้บริโภคอาจเรียกร้องหรือคัดเลือกสินค้าและบริษัทที่เป็นไป ตามกระแสที่เกิดขึ้นทั่วโลก โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้ส่งออกที่ทำธุรกิจ ร่วมกับ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป ญี่ปุ่น จำเป็นต้องเกาะกระแส ดังกล่าว เพื่อให้สินค้าของตนเองสามารถอยู่รอดได้ในตลาด ทั้งนี้ การพัฒนาสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับสถานการณ์ที่ เปลี่ยนแปลงไป ผู้ประกอบการจำเป็นต้องตระหนักถึงความสำคัญ และใช้ความพยายามในการสร้างความร่วมมือระหว่างสมาชิก ในซัพพลายเชนเพื่อยกระดับการบริหารจัดการและทำให้เกิดเป็น Trusted Industry และสามารถลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากการ ปฏิบัติไม่ได้มาตรฐานโดยสมาชิกรายใดรายหนึ่งในซัพพลายเชน ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวต้องอาศัยความเชื่อใจและระยะเวลาใน การทำงานร่วมกัน ดังนั้นภาคธุรกิจจึงต้องเริ่มดำเนินการนับตั้งแต่ บัดนี้เป็นต้นไป 4. Serve the Health and Well-being of Consumers : Focus on Quality of Life ผู้บริโภคจำนวนมากจะเพิ่มความเอาใจใส่ในสุขภาพของตนเอง มากขึ้นทั้งทางร่างกาย จิตใจ อารมณ์ สติปัญญา และความเป็นอยู่ที่ดี Volume 3 ❘ November ❘ 2012 7
Page 2 and 3: Volume 3 ❘ November 2012 TNSC KNO
Page 4 and 5: EXPORT CORNER นวัตกรร
Page 8: ข่าวประชาสั

TNSC Newsletter : November 2012 Vol.3

Create successful ePaper yourself

Delete template?

Save as template?