You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
รอยเวลา...<strong>กลาโหม</strong>
ภาพเรียงร้อย “รอยเวลา..<strong>กลาโหม</strong>”<br />
ให้แนบโน้มสำนึกรำลึกถึง<br />
เกียรติประวัติแกร่งกล้าที่ตราตรึง<br />
ยิ่งผูกพันลึกซึ้งร่มเรือนเรา<br />
คือเรือนแหล่งแห่งรักและศักดิ์ศรี<br />
กว่าร้อยปีกี่รุ่นยังอุ่นเหย้า<br />
บันทึกภาพประทับใจในแสงเงา<br />
เพื่อบอกเล่าเรียงร้อย..รอยเวลา<br />
คำประพันธ์: จิระนันท์ พิตรปรีชา
รอยเวลา...<strong>กลาโหม</strong><br />
สารบัญ<br />
ISBN 978 – 974 – 9752 – 42 - 5<br />
พิมพ์ครั้งที่ ๑ กันยายน ๒๕๕๔<br />
จัดพิมพ์โดย สำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
อำนวยการ<br />
พลตรี ชัยพฤกษ์ พูนสวัสดิ์ เลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
นาวาอากาศเอก ธวัชชัย รักประยูร ผู้อำนวยการกองกลาง<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
จิระนันท์ พิตรปรีชา ประธานที่ปรึกษา กลุ่มสห+ภาพ ชุมชนคนถ่ายภาพ<br />
บรรณาธิการ<br />
พันเอก คงชีพ ตันตระวาณิชย์ ผู้อำนวยการกองประชาสัมพันธ์<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
ธีรภาพ โลหิตกุล กลุ่มสห+ภาพ ชุมชนคนถ่ายภาพ<br />
เกรียงไกร ไวยกิจ กลุ่มสห+ภาพ ชุมชนคนถ่ายภาพ<br />
เพ็ญพัฒน์ มรกตวิศิษฎ์ กลุ่มสห+ภาพ ชุมชนคนถ่ายภาพ<br />
กองบรรณาธิการ<br />
กองประชาสัมพันธ์<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
ศิลปกรรม สายัณห์ ชื่นอุดมสวัสดิ์<br />
ถ่ายภาพ กลุ่มสห+ภาพ ชุมชนคนถ่ายภาพ<br />
ภาพปกหน้า<br />
เกรียงไกร ไวยกิจ<br />
ภาพปกหลัง อำนาจ เกตุชื่น<br />
ผลิต<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
พิมพ์ที่ บริษัท พิมพ์ดี จำกัด โทร ๐ ๒๘๐๓ ๒๖๙๔ – ๗<br />
เปิดประตู...สู่<strong>กลาโหม</strong><br />
ศรีสง่าแห่งราชธานี<br />
จากฉางข้าวหลวง ถึงโรงทหารหน้า<br />
สู่ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
ซุงปูรากฐาน<br />
สถาปัตยกรรมตะวันตกตระการตา<br />
สิ่งศักดิ์สิทธิ์และมรดกล้ำค่า<br />
ในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
สีหนาทปืนไฟ<br />
เกียรติภูมิปืนใหญ่<strong>กลาโหม</strong><br />
<strong>กลาโหม</strong>สามสายธาร<br />
ชีวิตและงานไม่เคยหยุดนิ่ง<br />
<strong>กลาโหม</strong>รักษ์ราษฎร์<br />
ทุกข์ฤาสุข...เคียงข้างประชาชน<br />
จดหมายเหตุ ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
แลไปข้างหน้า <strong>กลาโหม</strong><br />
บทกวี โดย จิระนันท์ พิตรปรีชา<br />
๑๐<br />
๑๒<br />
๒๔<br />
๓๖<br />
๕๔<br />
๗๒<br />
๑๐๖<br />
๑๒๐<br />
๑๒๔<br />
๑๓๘
เปิดประตู...สู่<strong>กลาโหม</strong>
หาก<br />
เอ่ยถึง “กระทรวง<strong>กลาโหม</strong>” ใครๆต่างต้องนึกถึงภาพอาคารงามสง่า<br />
และอุทยานปืนใหญ่โบราณที่ตั้งตระหง่านอยู่ใกล้กับศาลหลักเมือง<br />
และวัดพระศรีรัตนศาสดารามอันเป็นศูนย์กลางพระนครแต่ครั้งอดีต แต่น้อยคนนักที่<br />
จะรู้ว่าสถานที่แห่งนี้มีความเป็นมาเช่นไร ภายในอาคารประกอบด้วยหน่วยงานอะไร<br />
บ้าง และยังมีมรดกศิลปกรรมล้ำค่าอื่นใดที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ ณ ที่แห่งนี้<br />
สำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> จึงได้จัดทำหนังสือ “รอยเวลา...<strong>กลาโหม</strong>” เล่ม<br />
นี้ขึ้น เพื่อเผยแพร่ความรู ้และภาพประทับใจจากอาคารสถานที่แห่งนี้สู ่สาธารณชน โดย<br />
ได้รับความร่วมมือจาก กลุ ่มสห+ภาพ:ชุมชนคนถ่ายภาพ (www.fotounited.net)<br />
ดำเนินการบันทึกภาพและจัดพิมพ์<br />
ตลอดช่วงเวลาสามสัปดาห์ ที่คณะช่างภาพกว่ายี่สิบชีวิตได้เข้ามาสำรวจแทบ<br />
ทุกซอกมุม ภายในบริเวณศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>แห่งนี้ โดยมีคณะเจ้าหน้าที่จากกอง<br />
ประชาสัมพันธ์ สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> เป็นผู้อำนวย<br />
ความสะดวก นำชม และรวบรวมข้อมูลให้คำอธิบาย อีกทั้งไมตรีจิตที่ได้รับจาก<br />
ข้าราชการที่ปฏิบัติงานอยู่ภายในสถานที่นี้ สิ่งที่ช่างภาพทุกท่านได้แสดงออกอย่าง<br />
ชัดเจนก็คือ ความอัศจรรย์ใจระคนภาคภูมิใจเมื่อได้เห็นมรดกสถาปัตยศิลป์ของชาติซึ่ง<br />
ผ่านการใช้งาน ยาวนานกว่าหนึ่งร้อยปี ได้รับการดูแลรักษาอย่างดี และอารมณ์ความ<br />
รู้สึกดังกล่าว ก็ได้รับการถ่ายทอดสู่ผลงานภาพถ่ายที่ปรากฏในหนังสือเล่มนี้เช่นกัน<br />
“รอยเวลา..<strong>กลาโหม</strong>” เล่มนี้ เป็นการแบ่งปันความรู้และภาพประทับใจจากหน่วย<br />
งานราชการ ที่มีหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติและรักษาความมั่นคงภายในราช<br />
อาณาจักร สู่ประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่ายามศึก<br />
หรือยามสงบ กระทรวง<strong>กลาโหม</strong>ได้ทำหน้าที่ รับใช้ชาติ ราษฎร์ ราชัน ในทุกๆ ด้าน<br />
อย่างเข้มแข็งเต็มกำลังความสามารถ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ทั่วไป คณะผู้จัดทำ<br />
หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือเล่มนี้จะเป็นสื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่าง เหล่าทหาร<br />
หาญ และพี่น้องประชาชนให้ได้รู้จักกับ “กระทรวง” ที่อยู่เบื้องหลัง ภารกิจสำคัญ<br />
เหล่านั้นมากยิ่งขึ้น และได้ตระหนักถึงคุณค่าความงดงาม ของอาคารประวัติศาสตร์<br />
แห่งนี้ ในแง่มุมที่ไม่เคยผ่านสายตามาก่อน<br />
คณะผู้จัดทำ<br />
สำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong>
หาก การปฏิรูปประเทศไปสู ่ความทันสมัยทัดเทียมนานาอารยประเทศ เป็น<br />
เหตุผลสำคัญยิ่งยวด ที่ทำให้สมเด็จพระปิยมหาราชาของชาวสยาม<br />
รักษาเอกราชของชาติไว้ได้ ในห้วงยามที่มหาอำนาจตะวันตกกำลังไล่ล่าอาณานิคม<br />
อยู่รอบข้างอย่างเมามัน<br />
และหากการเปลี่ยนแปลงระบบการปกครองประเทศ จากแบบจัตุสดมภ์ (เวียง วัง<br />
คลัง นา) ที่มีมานานนับหลายศตวรรษ มาสู่ระบบบริหารราชการ ด้วยกระทรวง ทบวง<br />
กรม เป็นความจำเป็นต้องปฏิรูปในลำดับต้น ๆ<br />
กรมทหารหน้า ซึ่งมีภารกิจสำคัญยิ่งในการปกปักรักษาเอกราชและอธิปไตยแห่ง<br />
กรุงสยาม ด้วยเป็นหน่วยกำลังหลักทำหน้าที่รักษาพระนคร แห่นำตามเสด็จ จุกช่อง<br />
ล้อมวง ประจำตามหัวเมืองประเทศราช ตลอดจนเมื่อมีการเกณฑ์ทัพ กองทหารหน้า<br />
จะเป็นกองกำลังหลัก จึงนับเป็นหน่วยงานสำคัญในลำดับแรกของการปฏิรูปประเทศ<br />
12
ศรีสง่าแห่งราชธานี<br />
จากฉางข้าวหลวง<br />
ถึงโรงทหารหน้า<br />
สู่กระทรวง<strong>กลาโหม</strong>
โดยมี เจ้าหมื่นไวยวรนาถ ซึ่งต่อมาคือ จอมพล<br />
เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) แม่ทัพ<br />
ใหญ่ผู้ปราบศึกฮ่อและเงี้ยว เป็นผู้รับสนองพระบรม<br />
ราชโองการ และเป็นทั้งนายสถาปนิก วิศวกร และ<br />
แม่กองงานคนสำคัญในการก่อสร้างสถานที่ตั้งกรม<br />
กองทหารให้เป็นที่ถาวร ถูกต้องด้วยแบบแผนและ<br />
สุขลักษณะทัดเทียมกรมกองทหารในยุโรป<br />
โดยท่านเพียรใช้เวลาว่างออกหาสถานที่ต่าง ๆ ที่<br />
เหมาะสม กระทั่งไปพบฉางข้าวขนาดใหญ่ ๗ ฉาง ใกล้<br />
วังร้างของเจ้านายสมัยต้นรัตนโกสินทร์หลายวัง ระหว่าง<br />
ศาลเจ้าพ่อหลักเมือง กับสะพานช้างโรงสีปัจจุบันกว้าง<br />
๓ เส้น ๑๐ วา ยาว ๕ เส้น เป็นฉางข้าวหลวงที่สร้างไว้<br />
เก็บข้าวในราชการทหารใช้ยามฉุกเฉิน หรือยามสงคราม<br />
ก่อนรัชสมัยพระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ ๕ โดยแต่ละ<br />
ฉางชำรุดทรุดโทรม และถูกทิ้งไว้ตามยถากรรม ควรแก่<br />
การรื้อถอน เพื่อสร้างที่ทำการกรมทหารหน้าให้เป็น<br />
ถาวรปึกแผ่น และทันสมัยตามแบบแผนของกรมทหาร<br />
ในต่างประเทศ<br />
เจ้าหมื่นไวยวรนาถ จึงสั่งให้นายทหารทำแผนที่<br />
พร้อมถ่ายภาพประกอบ และเชิญมิสเตอร์โยอาคิม<br />
กรัสซี (Joachim Grassi) นายช่างสถาปนิกชาวอิตาลี<br />
ที่เข้ามารับใช้เบื้องพระยุคลบาทในช่วงต้นรัชกาล ผู้<br />
ออกแบบพระอุโบสถทรง “กอทิก รีไววัล” (Gothic<br />
Revival) ณ วัดนิเวศธรรมประวัติ และเป็นผู้อำนวย<br />
14<br />
(รูปบนซ้าย) ภาพเหล่าผู้บังคับบัญชาทหาร<br />
บกที่นำทหารเข้าร่วมเฉลิมพระเกียรติภาย<br />
หลังการทูลเกล้าถวายพระคฑาจอมทัพ<br />
แด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ณ ภายในศาลาว่าการ<br />
<strong>กลาโหม</strong> เมื่อปีพุทธศักราช ๒๔๔๖<br />
(รูปล่างซ้าย) ภาพถ่ายทางอากาศ<br />
อาคารศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> เมื่อ<br />
ปีพุทธศักราช ๒๔๙๖<br />
(รูปขวา) เจ้าหมื่นไวยวรนาถ<br />
(เจิม แสง-ชูโต) แม่กองการก่อสร้าง<br />
โรงทหารหน้า ตามพระบรมราชโองการฯ
ขบวนทหารรักษาพระองค์ร่วมพิธี<br />
แห่เฉลิมพระเกียรติพระราชวงศ์<br />
ผ่านหน้าศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
การก่อสร้างที่มีชื่อเสียงของเมืองไทยในยุคนั้น เป็นผู้<br />
สเก็ตช์รูปร่างตึกที่จะสร้างขึ้น พร้อมทั้งทำรายจ่ายงบ<br />
ประมาณโดยละเอียด<br />
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
รัชกาลที่ ๕ ทอดพระเนตรและทรงสดับคำอธิบายที่<br />
ทูลเกล้าฯ ถวายของเจ้าหมื่นไวยวรนาถ ก็มีพระราช<br />
กระแสรับสั่งว่าทรงเห็นความจำเป็นตามคำถวายบังคม<br />
ทูลทุกประการ แม้งบประมาณการก่อสร้างเพื่อวาง<br />
รากฐานกิจการทหารในครั้งนี้ จะสูงถึง ๕,๐๐๐ ชั่ง หรือ<br />
ราว ๔๐๐,๐๐๐ บาทในเวลานั้น ขณะที่รายได้ของแผ่น<br />
ดินจะมีอยู่ไม่มาก<br />
แต่ด้วยสายพระเนตรอันยาวไกล พระองค์ทรงตั้งใน<br />
พระราชหฤทัยมั่น ที่จะทรงขวนขวายหามาให้จนสำเร็จ<br />
ตามความมุ่งหมายนั้น แม้ว่าในการก่อสร้างจริง เจ้า<br />
หมื่นไวยวรนาถ จะขอพระราชทานเปลี่ยนแบบจากเดิม<br />
อาคาร ๒ ชั้น เป็นอาคาร ๓ ชั้น เพื่อรองรับการขยาย<br />
กองทัพในอนาคต ซึ่งต้องใช้งบประมาณเพิ่มขึ้นเป็น<br />
เงินทั้งสิ้น ๗,๐๐๐ ชั่ง หรือราว ๕๖๐,๐๐๐ บาท ค่า<br />
เครื่องตกแต่งและเครื่องประกอบอีก ๑๒๕ ชั่ง หรือราว<br />
๑๐,๐๐๐ บาท ใช้เวลาในการก่อสร้างนานเกือบ ๓ ปี<br />
จนกระทั่ง...<br />
15
วันที่ ๑๘ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๔๒๗ พระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู ่หัว ทรงประกอบพระราช<br />
พิธีเปิดอาคาร “โรงทหารหน้า” เป็นปฐมฤกษ์ ด้วยรูป<br />
ลักษณ์ทางสถาปัตยกรรมแบบตะวันตกผสมผสานตาม<br />
พระราชนิยม ซึ่งอาคารสูง ๓ ชั้นนี้ จุทหารได้ประมาณ<br />
๑ กองพลน้อย สำหรับเป็นที่อยู่ของทหารประจำการ<br />
รักษาพระนคร และเป็นที่รวมอาวุธ สัตว์พาหนะ ยาน<br />
พาหนะ เสบียงอาหาร รวมทั้งโรงครัว<br />
ประวัติศาสตร์จารึกว่า นับเป็นอาคารที่ใหญ่ยิ่งและ<br />
งามสง่าที่สุดอาคารหนึ่งในพระนครหลวงเวลานั้น ทั้ง<br />
ยังมีกำลังพลและอาวุธยุทธภัณฑ์มารวมกันเป็นปึกแผ่น<br />
อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในประวัติศาสตร์การทหารแห่ง<br />
ราชอาณาจักรสยาม<br />
ในการนี้ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทวมหเถร)<br />
ทูลถวายบทพระคาถาประจำโรงทหารหน้า ๔ คาถา<br />
ให้เจ้าหมื่นฯ ทูลเกล้าฯ ถวาย ซึ่งพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเลือกบทพระคาถา...<br />
วิเชตฺวา พลตาภูปํ รฏฺเฐ สาเธตุ วุฑฺฒิโย... มี<br />
หมายความว่า “ขอให้พระมหากษัตริย์เจ้าพร้อม<br />
ด้วยปวงทหาร จงมีชัยชนะ ยังความเจริญสำเร็จใน<br />
แผ่นดินเทอญ”<br />
คาถาบทนี้ ประดับไว้ที่หน้าบันโรงทหารหน้า มา<br />
ตราบจนเป็นศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>ในปัจจุบัน<br />
ทั้งนี้ ในปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ มีพระบรมราชโองการ<br />
โปรดเกล้าฯ ให้รวมทหารบกและทหารเรือเข้าด้วยกัน<br />
โดยตราพระราชบัญญัติจัดตั้ง “กรมยุทธนาธิการ” และ<br />
ต่อมา ยกระดับเป็น “กระทรวงยุทธนาธิการ” ในปี<br />
พุทธศักราช ๒๔๓๓ ในการนี้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ขนาน<br />
นาม “โรงทหารหน้า” ว่า “ศาลายุทธนาธิการ” ก่อนจะ<br />
เปลี่ยนเป็น “ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>” ในปี พุทธศักราช<br />
๒๔๓๙<br />
ดังนั้น พระราชบัญญัติจัดตั้ง “กรมยุทธนาธิการ”<br />
ปีพุทธศักราช ๒๔๓๐ จึงถือเป็นหมุดหมายสำคัญแห่ง<br />
การก่อเกิดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> และนับเป็นปีที่ ๑ แห่ง<br />
การสถาปนากระทรวงอันสง่างามที่เป็นศูนย์บัญชาการ<br />
กองทัพแห่งสยามประเทศมาตราบจนวันนี้<br />
อย่างไรก็ตาม ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู ่หัว รัชกาลที่ ๖ กระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
บังคับบัญชาทหารบกฝ่ายเดียว ด้วยโปรดเกล้าฯ ให้<br />
ทหารเรือแยกไปตั้งเป็นกระทรวงทหารเรือ กระทั่งถึงรัช<br />
สมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู ่หัว โปรดเกล้าฯ<br />
ให้ยุบกระทรวงทหารเรือเข้ากับกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> แต่<br />
ทหารอากาศยังมีฐานะเป็น “กรมทหารอากาศ”<br />
จนภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองปี<br />
พุทธศักราช ๒๔๗๕ แล้ว จึงยกฐานะกรมทหารอากาศ<br />
เป็นกองทัพอากาศ ในปีพุทธศักราช ๒๔๘๐ ส่งผลให้<br />
กิจการทหารไทยที่มีทั้ง กองทัพบก กองทัพเรือและ<br />
กองทัพอากาศ เป็นส่วนราชการขึ้นตรงต่อกระทรวง<br />
<strong>กลาโหม</strong>เป็นครั้งแรก ตั้งแต่ปี พุทธศักราช ๒๔๘๑ ตราบ<br />
จนปัจจุบัน<br />
ซึ่งแม้ว่าในภายหลัง จะมีอาคารกระทรวง ทบวง<br />
กรม เกิดขึ้นตามมาอีกมากมาย แต่เป็นที่ประจักษ์แล้ว<br />
ว่า แม้กาลเวลาจะผันผ่านมานานกว่าศตวรรษ ทว่า<br />
ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> ยังดำรงสถานะเป็น “ศรีสง่าแห่ง<br />
ราชธานี” อยู่มิเสื่อมคลาย<br />
16<br />
(รูปบนซ้าย) พระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทาน<br />
ธงชัยเฉลิมพลประจำหน่วยทหาร<br />
ภายในพระบรมมหาราชวัง<br />
(รูปบนขวา) สมเด็จพระสังฆราช<br />
(สา ปุสฺสเทวมหาเถร) สถิตวัด<br />
ราชประดิษฐ์ฯ ผู้ทรงผูกบทคาถา<br />
ประจำศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> ถวาย<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว เพื่อทรงเลือกพระราชทาน<br />
ประจำศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>
(รูปบน) ด้านหน้าศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>เมื่อแรกสร้างเสร็จ<br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
(รูปล่างซ้าย)เหล่าทหารช่างที่ถ่ายภาพร่วมกับ นายพลเอก<br />
พระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชย กรมพระกำแพงเพชร<br />
อัครโยธิน จเรทหารช่าง ภายในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
(รูปล่างขวา) การแต่งกายของเหล่าทหารในรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่<br />
17
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพระราชทาน<br />
กระบี่และปริญญาบัตร แก่นายทหารที่สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน<br />
นายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรือ<br />
อากาศ ณ สนามภายในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> ปีพุทธศักราช ๒๕๒๑<br />
18
นายทหารชั้นผู้ใหญ่ทั้งสามเหล่าทัพ พร้อมด้วยคณะผู้ช่วยทูต<br />
ฝ่ายการต่างประเทศประจำประเทศไทย เข้าร่วมพิธีพระราชทาน<br />
กระบี่ และปริญญาบัตรแก่นายทหารที่สำเร็จการศึกษาฯ<br />
19
20
สมุหพระ<strong>กลาโหม</strong> – เสนาบดีกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> – รัฐมนตรีว่าการกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
21
22
23<br />
ปลัดทูลฉลอง – ปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong>
ซุงปูรากฐาน<br />
สถาปัตยกรรมตะวันตกตระการตา
“...ข้าขอปฏิญาณสาบานตน<br />
หากใครมาประจญพลีชีพให้<br />
เลือดเนื้อทุกทุกหยาด เพื่อเอกราชของไทย<br />
ขอให้ชาติไทยยงยืน...”<br />
(“ทหารของชาติ” เพลงประจำสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
คำร้อง - พลตรีหลวงวิจิตรวาทการ / ทำนอง – พระเจนดุริยางค์)<br />
25<br />
ทหาร<br />
ของชาติ ถือเป็นรากฐานที่สำคัญของสังคม สังคมจะเข้มแข็ง<br />
ต้องเริ่มจากรากฐานที่แข็งแกร่ง ฉันใด อาคารขนาดใหญ่อย่าง<br />
“โรงทหารหน้า” ซึ่งคงทนถาวรมาจนเป็น “ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>” ในปัจจุบัน พึงต้อง<br />
มาจากการวางรากฐานที่แข็งแกร่งในอดีต ฉันนั้น<br />
ภูมิปัญญาอันชาญฉลาดของบรรพชนไทยแต่โบราณ ในการวางรากฐานอาคาร<br />
ขนาดใหญ่ ไม่ใช่การตอกเสาเข็มรองรับฐานราก แต่จะใช้วิธีขุดหลุมใหญ่เท่าตัวอาคาร<br />
ที่จะก่อสร้าง ความลึกอย่างน้อยสิบเมตร แล้วชักลากซุงไม้สักลงไปนอนเรียงกันเป็น<br />
ตับ สลับแนวขึ้นมาหลายชั้น เรียกว่าฐานรากแผ่ แล้วจึงเอาหินบดอัดลงไป เทฐานพื้น<br />
ระดับดินแล้วจึงก่อสร้างอาคารบนนั้น<br />
ซุงไม้สักที่เป็นฐานรากนับพันต้นนี้จะอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำใต้ดิน ทำให้ไม้เปียกอยู่<br />
ตลอดเวลาและจะไม่ผุ เป็นฐานรากที่แข็งแกร่งไปได้หลายร้อยปี จึงเรียกภูมิปัญญาเช่นนี้<br />
อีกอย่างว่า “ซุงปู” ใช้ในการก่อสร้างสถานที่สำคัญ ดังหลักฐานคือพระบรมราชโองการ
ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คราวบูรณ<br />
ปฏิสังขรณ์พระบรมบรรพต หรือภูเขาทอง ตอนหนึ่งว่า...<br />
“...ให้พระยาศรีพิพัฒน์รัตนราชโกษา (ทัด บุนนาค)<br />
ก่อสร้างพระเจดีย์ ขุดรากลึกลงไปถึงโคลน แล้วเอา<br />
หลักแพทั้งต้นเป็นเข็ม ห่มลงไปจนเต็มที่ แล้วเอาไม้ซุง<br />
เป็นเข็มและปูเป็นตาราง แล้วก่อศิลาแลงขึ้นมาเสมอ<br />
ดิน จึงก่อด้วยอิฐในระหว่างองค์ ได้เอาศิลาที่ราษฎรมา<br />
ขาย บรรจุไว้เต็ม...”<br />
นอกจากนั้น ยังเป็นภูมิปัญญาที่ใช้สร้างวังทั้งหลาย<br />
อาทิ วังบูรพาภิรมย์ สร้างถนนสายสำคัญ คือถนน<br />
ราชดำเนิน รวมทั้ง อาคารโรงทหารหน้า ซึ่งเป็นอาคารสี่<br />
ด้านสามชั้น การก่อสร้างใช้อิฐเผาสามโคกเมืองปทุมธานี<br />
แต่โครงสร้างอาคารภายในใช้ไม้สักเป็นวัสดุหลัก โดยมี<br />
รอกเป็นเครื่องทุ่นแรง ส่วนแรงงานใช้กรรมกรชาวจีน<br />
เป็นส่วนใหญ่<br />
ผู ้ออกแบบอาคารโรงทหารหน้า คือ มิสเตอร์โยอาคิม<br />
กรัสซี (Joachim Grassi) นายช่างสถาปนิกชาวอิตาลี ที่<br />
เข้ามารับราชการในสยาม สังกัดกรมโยธาธิการ คนไทย<br />
สมัยนั้นเรียกกันหลายแบบ อาทิ “ยูกิง แกรซี” หรือ<br />
“กราซี” บ้าง “เย เกรซิ” บ้าง หรือ “ซินญอครัสซี” บ้าง<br />
แต่ไม่ว่าจะเรียกอย่างไร เขาคือผู้สนองแนวพระ<br />
ราชดำริล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ในอันที่จะ “...บูชา<br />
พระพุทธศาสนาด้วยของแปลกปลาด แลเพื่อให้อาณา<br />
ประชาราษฎร์ทั้งปวง ชมเล่นเป็นของแปลก...” ด้วยการ<br />
ออกแบบพระอุโบสถวัดนิเวศธรรมประวัติ ที่บางปะอิน<br />
พระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นวัดในพระพุทธศาสนา ทว่ามี<br />
รูปทรง “กอทิก รีไววัล” (Gothic Revival) แบบโบสถ์<br />
คริสต์ทั้งหลายในยุโรป<br />
นอกจากนั้น นายโยอาคิม กรัสซี ยังเป็นผู้ออกแบบ<br />
ก่อสร้างอาคารศาลสถิตยุติธรรม หนึ่งในอาคารที่บ่ง<br />
บอกว่าสยามประเทศมีความเป็นอารยะในด้านการ<br />
ยุติธรรม (ปัจจุบันคืออาคารศาลฎีกา) รวมทั้งอาคาร<br />
“ศุลกสถาน” หรือกรมศุลกากร อันงามสง่าริมฝั่งแม่น้ำ<br />
เจ้าพระยา และยังได้ร่วมงานกับเจ้านาย ขุนนางและ<br />
พ่อค้าจำนวนหนึ่ง ก่อตั้ง “บริษัทขุดคลองและคูนา<br />
สยาม” มีผลงานที่ยังปรากฏถึงปัจจุบัน คือ คลองรังสิต<br />
และคลองแยกทั้งหลาย<br />
ในการออกแบบอาคารโรงทหารหน้า กรัสซีกำหนด<br />
เป็นศิลปะตะวันตกแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นพระราชนิยม<br />
ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ คือสถาปัตยกรรมแบบนีโอ<br />
คลาสสิก (Neo Classicism) ผสมกับแบบนีโอ ปัลลา<br />
เดียน (Neo Palladianism) ซึ่งสมัยนั้นนิยมใช้เป็นแบบ<br />
สร้างอาคารราชการ เพื่อให้ได้บรรยากาศเคร่งขรึม สง่า<br />
งาม แลดูน่าเกรงขาม<br />
เอกลักษณ์ของอาคารแนวนี้ คือ มีผังแบบสี่เหลี่ยม<br />
จัตุรัสล้อมสนามภายใน ซึ่งเป็นแบบที่ “ปัลลาดิโอ”<br />
สถาปนิกชาวอิตาลีใช้ในการออกแบบจัตุรัสเธียเน<br />
(Pallazo Thiene) แห่งเมือง วิเจนซา (Vicenze)<br />
ภาพฐานรากอาคารและผนังอาคารที่รองรับ<br />
น้ำหนักอาคารที่ก่อสร้างโรงทหารหน้า<br />
หรือศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> เมื่อ<br />
ปีพุทธศักราช ๒๔๒๕<br />
26
อธิบายภาพ ลักษณะสถาปัตยกรรมแบบนีโอ<br />
ปัลลาเดียน (Neo Palladianism) คือ มีผัง<br />
แบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมสนามภายใน ซึ่งเป็น<br />
แบบที่ “ปัลลาดิโอ” สถาปนิกชาวอิตาลีใช้ใน<br />
การออกแบบจัตุรัสเธียเน (Pallazo Thiene)<br />
แห่งเมืองวิเจนซา (Vicenze) ประเทศอิตาลี<br />
ประเทศอิตาลี ปี พ.ศ. ๒๐๙๓ ผังแบบนี้มีที่มาจากผัง<br />
บ้านโบราณของชาวโรมัน สถาปนิกสมัยเรอเนสซองซ์<br />
(Renaissance) นิยมปรับใช้กับคฤหาสน์หรือวังขนาด<br />
ใหญ่ เพราะสามารถรับแสงสว่างได้ดี โดยสีของอาคาร<br />
เป็นสีไข่ไก่ตัดขอบเขียวและขาว ตามแบบของอาคาร<br />
ยุคนีโอ คลาสสิกในตะวันตก<br />
กล่าวได้ว่า อาคารโรงทหารหน้า หรือศาลาว่าการ<br />
<strong>กลาโหม</strong> แข็งแกร่งและสง่างามได้ด้วยการผสมผสาน<br />
ภูมิปัญญาตะวันออกเข้ากับศิลปะตะวันตกโดยแท้<br />
พลเรือตรี ศาสตราจารย์ สมภพ ภิรมย์ เรียก<br />
อาคารแนวนี้ว่า “สถาปัตยกรรม<strong>กลาโหม</strong>” (Military<br />
Architecture) หมายถึง ป้อมปราการ (ปราการ คือ<br />
กำแพง) ค่าย คู ประตูเมือง หอรบ คลังสรรพาวุธ คลัง<br />
ยุทโธปกรณ์ อนุสรณ์สถาน อนุสาวรีย์เทิดทูนวีรกรรม<br />
แด่วีรชนผู้ทำการรบต่อสู้อริราชศัตรู ประตูชัย ตลอด<br />
จนโรงเรียนที่สอนวิชาการทหาร โดยรวมเรียกว่า<br />
“สถาปัตยกรรม<strong>กลาโหม</strong>”<br />
27<br />
ในขณะที่อาจารย์สมชาติ จึงศิริอารักษ์ แห่งคณะ<br />
สถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร วิเคราะห์<br />
ไว้ในหนังสือ “สถาปัตยกรรมแบบตะวันตกในสยาม สมัย<br />
รัชกาลที่ ๔ – พ.ศ. ๒๔๘๐” ว่าโดยภาพรวมแล้ว โรง<br />
ทหารหน้า หรือศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> เป็นอาคารที่เรียบ<br />
ง่าย แต่สวยงามตามคติ “เรียบง่ายที่สูงศักดิ์” (Noble<br />
simplicity)<br />
ตราบจนปัจจุบัน ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> ยังถือเป็น<br />
จิตวิญญาณ เกียรติประวัติ และศักดิ์ศรีที่สั่งสมมานาน<br />
ของกองทัพไทย อันควรค่าแก่การสืบทอดรักษาไว้ เฉก<br />
เช่นที่ท่านอดีตปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> พลเอก ธีรเดช<br />
มีเพียร อุปมาไว้ว่า<br />
“...ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> เป็นเสมือนเครื่องบ่งบอก<br />
ถึงรากเหง้า และตัวตนของกิจการทหารไทย ซึ่งมีอายุ<br />
ยืนยาวกว่า ๑๐๐ ปี มีความศักดิ์สิทธิ์ สง่างาม และเป็น<br />
ความภาคภูมิใจ ที่ไม่อาจสรรหาสิ่งใดมาทดแทนได้...”
29
รูปแบบทางสถาปัตยกรรมของศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> เป็นศิลปะตะวันตก<br />
แบบผสมผสาน ซึ่งเป็นพระราชนิยมในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕<br />
คือศิลปะแบบนีโอ คลาสสิก (Neo Classicism) ผสมกับ<br />
นีโอ ปัลลาเดียน (Neo Palladianism) ซึ่งสมัยนั้นนิยมใช้เป็นแบบ<br />
สร้างอาคารราชการ เพื่อให้ได้บรรยากาศเคร่งขรึม สง่างาม แลดูน่าเกรงขาม<br />
30
32
33
34
35
สิ่งศักดิ์สิทธิ์และมรดกล้ำค่า<br />
ในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
วิเชตฺวา พลตาภูปํ รฏฺเฐ สาเธตุ วุฑฺฒิโย<br />
ขอให้พระมหากษัตริย์เจ้าพร้อมด้วยปวงทหาร<br />
จงมีชัยชนะ ยังความเจริญสำเร็จในแผ่นดินเทอญ<br />
(บทพระคาถาทูลถวายล้นเกล้า รัชกาลที่ ๕<br />
โดยสมเด็จพระสังฆราช สา ปุสฺสเทวมหาเถร)<br />
ประดับอยู่ ณ หน้าบันอาคารศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>
หน้าบันกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
ปูนปั้นตราพระเกี้ยว ประดิษฐานเหนือกงจักร<br />
ล้อมช้างสามเศียร มีคชสีห์และราชสีห์อัญเชิญ<br />
พระมหาเศวตฉัตรประดับด้านซ้ายและ<br />
ขวา ด้านล่างทำเป็นลายรูปแถบผ้าประดับ<br />
ลายพันธุ์พฤกษา จารึกบทพระคาถา..<br />
วิเชตฺวา พลตาภูปํ รฏฺเฐ สาเธตุ วุฑฺฒิโย<br />
ผูกโดยสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทวมหาเถร)<br />
แปลว่า “ขอให้พระมหากษัตริย์เจ้าพร้อมด้วย<br />
ปวงทหาร จงมีชัยชนะ ยังความเจริญสำเร็จ<br />
ในแผ่นดินเทอญ” คาถาบทนี้ ประดับที่<br />
หน้าบันโรงทหารหน้า มาตราบจนเป็น<br />
ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>ในปัจจุบัน<br />
ผ่าน กาลเวลาในประวัติศาสตร์มายาวนาน<br />
ถึง ๑๒๕ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๕<br />
ไม่อาจปฏิเสธว่า ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> คือ ๑ ในราชการ<br />
สถานไม่กี่แห่งในสยามประเทศ ที่มีอายุเกินศตวรรษ<br />
ทว่ายังได้รับการทำนุบำรุงให้แข็งแรง เป็นสง่าราศีและ<br />
ความภาคภูมิใจของแผ่นดินมิเสื่อมคลาย<br />
ทั้งยังเป็นที่ตั้งของหน่วยราชการเดิมหน่วยเดียว คือ<br />
กระทรวง<strong>กลาโหม</strong> สืบเนื่องยาวนานผ่านร้อนหนาวมา<br />
ตั้งแต่สมบูรณาญาสิทธิราชย์สมัย จนล่วงเข้าระบอบ<br />
ประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นองค์พระประมุข<br />
ผ่านกระแสเทคโนโลยีโลกจากยุคอนาล็อก จนถึง<br />
ยุคดิจิทัล ผ่านเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ชาติ<br />
มานับครั้งไม่ถ้วน<br />
37<br />
นอกจากบทพระคาถาทูลถวายล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕<br />
โดยสมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทวมหาเถร) ที่จารึก<br />
ไว้ ณ หน้าบันแล้ว ภายในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> ยังมีสิ่ง<br />
ศักดิ์สิทธิ์ และมรดกตกทอดทางการทหารอันล้ำเลอ<br />
ค่า ชนิดหาค่ามิได้ เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวทางจิตใจ ของ<br />
บรรดาข้าราชการทหารทุกหมู่เหล่าที่ปฏิบัติงานภายใน<br />
ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> ต่างให้การเคารพสักการะเพื่อ<br />
ความเป็นสิริมงคลในชีวิตตนเองและครอบครัว<br />
เป็นอนุสรณ์ให้ชนรุ่นหลังตระหนักถึงบุญคุณ<br />
ภูมิปัญญา ความสามารถ และความเหนื่อยยากของ<br />
บรรพชนไทย ในการปกปักรักษาผืนแผ่นดินไว้ให้ลูก<br />
หลานไทยในวันนี้
พระพุทธนวราชตรีโลกนาถศาสดา<strong>กลาโหม</strong>พิทักษ์<br />
พระพุทธรูปขนาดหน้าตักกว้าง ๓๙ นิ้ว เป็นพระประธานประจำพุทธศาสนสถานของกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> พระนาม<br />
“พระพุทธนวราชตรีโลกนาถศาสดา<strong>กลาโหม</strong>พิทักษ์” แปลว่า “พระพุทธรูปที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติ<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๙ ผู้เป็นพระศาสดา ผู้เป็นที่พึ่งในโลกทั้ง ๓ ผู้พิทักษ์รักษาปวงทหาร<br />
กระทรวง<strong>กลาโหม</strong>”ประดิษฐาน ณ ห้องเจ้าพ่อหอกลอง บริเวณชั้น ๓ กองอนุศาสนาจารย์ กรมเสมียนตรา<br />
38
ศาลเจ้าพ่อหอกลอง<br />
ตั้งอยู่ ณ บริเวณสนามภายในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> ประดิษฐานรูปปั้น<br />
เจ้าพระยาสีห์สุรศักดิ์ (จัน) ทหารเอกพระเจ้าตากสินมหาราช มีความเชี่ยวชาญ<br />
ทางหอก และชอบให้ทหารตีกลองศึกในยามออกรบ เหล่าทหารจึง<br />
ขนานนามท่านว่า “เจ้าพ่อหอกลอง” เป็นแบบอย่างของนักรบผู้หาญกล้า<br />
วีรกรรมของท่านเป็นที่เคารพสักการะของเหล่าทหารหาญจวบจนปัจจุบัน<br />
39
40
พญาคชสีห์ (ภาพซ้าย)<br />
เป็นสัตว์ในตำนาน มีลักษณะผสมราชสีห์กับคชสาร<br />
ตามคติไทยถือว่าช้างเป็นสัตว์ประจำชาติ ซึ่งใช้ใน<br />
ราชการสงคราม ราชสีห์เปรียบได้กับคุณลักษณะ<br />
ของข้าราชการ ดังนั้น คชสีห์ จึงสอดคล้องกับ<br />
ข้าราชการที่ออกศึกสงครามคือทหาร โดยสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> จึงได้จัดสร้างประติมากรรม<br />
พญาคชสีห์ ๒ องค์ ในวโรกาสที่พระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี<br />
และศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> มีอายุครบ ๑๒๐ ปี<br />
เพื่อเป็นที่ยึดเหนี่ยวทางใจของข้าราชการทหาร<br />
แล้วนำมาประดิษฐาน ณ ประตูด้านทิศเหนือและ<br />
ทิศใต้ของหน้าศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> โดยองค์ด้าน<br />
ทิศใต้ชื่อ “พญาคชสีห์สยามปฐพีพิทักษ์” และ<br />
องค์ด้านทิศเหนือ ชื่อ “พญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์”<br />
อันสื่อความหมายถึงภาระหน้าที่ของทหาร<br />
ในการปกป้องประเทศชาติและพระมหากษัตริย์<br />
พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ พระบาท<br />
สมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว (ภาพขวา)<br />
ประดิษฐาน ณ ห้องสำนักงานผู้บังคับบัญชา<br />
กรมเสมียนตรา ทรงเป็นพระราชโอรสในพระบาท<br />
สมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ และ<br />
เป็นพระอนุชาต่างมารดาในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๔<br />
ทรงโปรดวิทยาการสมัยใหม่ ทรงศึกษาวิทยาการ<br />
จากตะวันตก แล้วนำกลับมาใช้ในสยามประเทศ<br />
อาทิ การต่อเรือรบ เรือกลไฟ การฝึกทหารแบบ<br />
ยุโรป และวิชาการแพทย์แผนใหม่ ทรงนิพนธ์<br />
ตำราเกี่ยวกับปืนใหญ่สำหรับสอนทหารไทย ทรง<br />
ทำนุบำรุงกำลังด้านทหารเรือ ทรงโปรดปรานการ<br />
ต่อเรือรบ รัชกาลที่ ๔ จึงโปรดเกล้าฯ ให้ดำรง<br />
ตำแหน่ง “ผู้บัญชาการทหารเรือวังหน้า” ด้วย<br />
41
พระบรมรูปหล่อโลหะ และพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (ภาพซ้าย)<br />
ประดิษฐาน บริเวณด้านหน้าห้องภาณุรังสี ด้วยทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ก่อสร้างโรงทหารหน้าขึ้นเพื่อใช้<br />
ในกิจการทหาร ทรงวางรากฐานการบริหารราชการแผ่นดิน<br />
ด้านต่างๆ อันเป็นคุณประโยชน์แก่ประเทศชาติ โดยเฉพาะ<br />
กระทรวง<strong>กลาโหม</strong>ซึ่งเป็นหน่วยงานสำคัญต่อกิจการทหาร<br />
พระรูปสลักหินอ่อน จอมพล สมเด็จเจ้าฟ้าฯ<br />
กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช (ภาพขวา)<br />
พระนามเดิม เจ้าฟ้าชายภาณุรังษีสว่างวงศ์ โอรสองค์ที่ ๔๕<br />
ในรัชกาลที่ ๔ ทรงมีปรีชาชาญทางการทหาร ทั้งที่มีได้ทรงศึกษา<br />
วิชาการทหารจากต่างประเทศ เมื่อล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕<br />
ทรงปฏิรูปการทหารของสยามประเทศ โปรดเกล้าฯ<br />
ให้พระองค์เจ้าภาณุรังสีดำรงตำแหน่งสำคัญทางทหารตามลำดับ<br />
คือ ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ เสนาบดีกระทรวงยุทธนาธิการ<br />
และเสนาธิการกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> (รัฐมนตรีว่าการกระทรวง<strong>กลาโหม</strong>)<br />
ดำรงพระอิสริยยศสูงสุด จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศา<br />
ภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
43
44
รูปปั้นและภาพเขียน จอมพลและ<br />
มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี<br />
(เจิม แสง – ชูโต) (ภาพซ้าย)<br />
บุตรพระยาสุรศักดิ์มนตรี (แสง แสง – ชูโต) ท่าน<br />
เป็นผู้วางรากฐานและปรับปรุงการทหารบกในด้าน<br />
ต่างๆ ทั้งการตั้งกองทหารอาสาและเครื่องแบบ<br />
ทหาร การปฏิวัติยศทหาร ให้กำเนิดโรงเรียนนายร้อย<br />
ทหารบก รวมถึงมีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างโรง<br />
ทหารหน้า หรือศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>ในปัจจุบัน<br />
อารักขเทวสถาน (ภาพขวา)<br />
เดิมเป็นที่ตั้งครุภัณฑ์และยุทธภัณฑ์ของเหล่าทหารม้า<br />
มาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ภายใต้ตัวอาคารประกอบ<br />
ด้วยเสาไม้สักทรงกลม ก่ออิฐถือปูนหุ้มทับเสาไว้<br />
เป็นส่วนใหญ่ แต่ในปี พ.ศ.๒๕๐๘ มีน้ำมันไหลออก<br />
มาจากเสาไม้สักกลางห้องบริเวณหัวเสา ซึ่งตาม<br />
โบราณเชื่อว่า มีรุกขเทวดาสถิตอยู่ จึงมีข้าราชการ<br />
ที่มีจิตศรัทธานำแผ่นทองคำเปลวมาปิดและ<br />
นำสิ่งของมาสักการบูชา แล้วมักประสบความสำเร็จ<br />
ตามที่ได้อธิษฐานไว้ จึงเป็นที่เคารพกราบไหว้ของ<br />
ข้าราชการที่ปฏิบัติงานภายในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
45
เสาธงชาติ หน้ากระทรวง<strong>กลาโหม</strong> (ภาพซ้าย)<br />
เป็นเสาธงชาติที่มีความสง่างามและมีความโดน<br />
เด่นเป็นเอกลักษณ์อยู่คู่กับกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
จัดสร้างขึ้นเมื่อปีพุทธศักราช ๒๕๐๐ ในโอกาส<br />
เฉลิมฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ จึงมีความสูง ๒๕ เมตร<br />
ห้องภาณุรังษี (ภาพขวา)<br />
ตั้งอยู่บริเวณมุขกลาง ชั้นที่ ๓ ของศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
เดิมเคยเป็นห้องเก็บศัสตราวุธและพิพิธภัณฑ์ทหาร<br />
ต่อมา เป็นห้องที่ทำการกองทัพบก จนถึงสมัย<br />
จอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีและ<br />
รัฐมนตรีการว่ากระทรวง<strong>กลาโหม</strong> ได้สั่งการให้สำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> หาชื่อเฉพาะสำหรับห้อง<br />
ประชุมสภา<strong>กลาโหม</strong> กรมเสมียนตราจึงได้เสนอชื่อ<br />
“ห้องภาณุรังษี” เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่<br />
จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข<br />
เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
ปัจจุบันใช้เป็นห้องประชุมและประกอบพิธี<br />
สำคัญ เช่น การประชุมสภา<strong>กลาโหม</strong>
47
48
ห้องสุรศักดิ์มนตรี (ภาพซ้าย)<br />
เดิมเป็นที่ประชุมผู้บัญชาการมณฑลทหารบก ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ต่อมา ในสมัยจอมพลถนอม<br />
กิตติขจร เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> ได้สั่งการให้สำนักงานปลัด<br />
กระทรวง<strong>กลาโหม</strong> ตั้งชื่อห้องนี้ว่า ห้องสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง – ชูโต) เพื่อรำลึกถึงผู้มีบทบาท<br />
ในการก่อสร้างศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> ปัจจุบัน ใช้เป็นห้องประชุมและห้องประกอบพิธีสำคัญ<br />
อาทิ พิธีประดับเครื่องหมายยศนายทหารชั้นนายพล สังกัดสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
ธงปลัดทูลฉลอง (ภาพขวา)<br />
ธงประจำตำแหน่งปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> หรือปลัดทูลฉลองแต่ในอดีต ซึ่งเป็นตำแหน่งผู้ช่วยเสนาบดี<br />
กระทรวง ที่มีมาตั้งแต่รัชสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ แห่งกรุงศรีอยุธยา สืบต่อมาจนถึงรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ จึงเปลี่ยนชื่อตำแหน่งเป็น “ปลัดกระทรวง”<br />
49
50
ตราประทับของส่วนราชการ (ภาพซ้าย)<br />
ใช้ประทับลงบนหนังสือราชการ โดยมีรูปสัญลักษณ์ประจำหน่วยนั้นๆ<br />
แกะสลักเป็นร่องลึกลงบนด้ามงาช้างในภาพเป็นตราประทับของเหล่าทหารการเงิน<br />
สมุดไทยดำ (ภาพขวา)<br />
ทำจากเปลือกไม้ชนิดต่างๆ เช่น เปลือกปอ เปลือกข่อย เปลือกสา ใบสับปะรด เป็นแผ่นยาวติดกัน<br />
พับกลับไปกลับมาได้ เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า เขียนได้ทั้ง ๒ ด้าน ในลักษณะจดหมายเหตุบ้าง<br />
หมายรับสั่งบ้าง ตำนานบ้าง วรรณกรรมเรื่องต่างๆ บ้าง เรียก “สมุดไทย” มี ๒ สี ได้แก่<br />
สีดำ และสีขาว สำหรับสีดำ จะย้อมกระดาษเป็นสีดำ เรียกว่า “สมุดไทยดำ”<br />
51
ห้องกำปั่น<br />
เดิมอยู่ในความรับผิดชอบของปลัดบาญชี<strong>กลาโหม</strong> ต่อมา กรมการเงิน<strong>กลาโหม</strong><br />
ได้รับผิดชอบตั้งแต่เริ่มตั้งหน่วยขึ้นครั้งแรก ตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างของ<br />
กรมการเงิน<strong>กลาโหม</strong> ในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> ลักษณะเป็นสี่เหลี่ยม<br />
กว้าง ๔.๕๐ เมตร ยาว ๖.๕๐ เมตร และสูง ๒.๗๗ เมตร ภายในกรุด้วยเหล็กกล้า<br />
แข็งแรงทุกด้าน ใช้เป็นที่เก็บกำปั่นเก็บเงิน ประตูห้องมีที่ใส่กุญแจ ๓ ชั้น<br />
ประกอบด้วยลูกกุญแจชั้นนอก ชั้นกลาง และชั้นใน ปัจจุบันยกเลิกการใช้งานแล้ว
สีหนาทปืนไฟ<br />
เกียรติภูมิปืนใหญ่<strong>กลาโหม</strong>
เอกราชคงคู่ฟ้า เมืองไทย มั่นเอย<br />
มีสีหนาทปืนไฟ ต่อสู้<br />
จารึกเกียรติเกริกไกร คงมั่น เคียงดาว<br />
ขานเพื่อชนไทยรู้ ก่อเกื้อศรัทธาฯ<br />
พันเอก ชัยวิทย์ ชยาภินันท์ –ผู้ประพันธ์<br />
55
สำ<br />
หรับประชาชน ปืนใหญ่<strong>กลาโหม</strong>อาจเป็น<br />
จุดนัดพบที่ดีเยี่ยม ในยามที่มีคลื่นมหาชน<br />
ล้นหลาม มาเที่ยวชมงานมหรสพสมโภช ณ ท้องสนาม<br />
หลวง แต่นั่นก็สะท้อนความจริงว่าอาคารหน่วยราชการ<br />
ที่มีปืนใหญ่โบราณจำนวนมากตั้งโดดเด่นเป็นเอกลักษณ์<br />
มีเพียงหนึ่งเดียวในพระนครหลวง<br />
สำหรับทหารของชาติ แม้วันนี้ เทคโนโลยีการรบสมัย<br />
ใหม่จะแปรเปลี่ยนศัสตราวุธอันเกรียงไกรในอดีต ให้เป็น<br />
เพียงโบราณวัตถุ ตั้งวางท้าแดด ลม และฝนอยู ่ทุกคืนวัน<br />
ทว่าแท้ที่จริง นี่คือสัญลักษณ์แห่งแสนยานุภาพ<br />
ของกองทัพ ที่เคยทำการรบอย่างหาญกล้า เพื่อปกปัก<br />
รักษาผืนแผ่นดินแห่งเอกราชและอิสรภาพผืนนี้ไว้ให้<br />
ลูกหลานไทย<br />
สีหนาทปืนไฟ หรือปืนใหญ่โบราณทั้ง ๔๒ กระบอก ที่<br />
เด่นตระหง่านอยู ่บนสนามด้านหน้าศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
จึงนับเป็นเกียรติภูมิของชาติที่อนุชนรุ่นหลังพึงจดจำ<br />
รำลึกและร่วมภาคภูมิใจ ว่าครั้งหนึ่ง ปืนใหญ่เหล่านี้เคย<br />
เคียงข้างบรรพชนไทย พิทักษ์ปกป้องปิตุภูมิอันสง่างาม<br />
นี้ไว้ด้วยความเหนื่อยยาก<br />
ทั้งนี้ สามารถจำแนกปืนใหญ่โบราณทั้ง ๔๒ กระบอก<br />
ตามหลักฐานที่ปรากฏได้ ๕ ประเภทคือ ปืนใหญ่ที่<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ประกอบด้วย นารายน์<br />
สังหาญ มารประไลย ไหวอรนพ พระพิรุณแสนห่า<br />
พลิกพะสุธาหงาย พระอิศวรปราบจักรวาฬ และ พระ<br />
กาลผลาญโลกย<br />
ปืนใหญ่ที่สร้างขึ้นจากต่างประเทศ ประกอบด้วย<br />
อัคนิรุท ,SMICVEL, P ๑๐๐๙ ๑๘๖๐, P๑๐๑๐ ๑๘๖๐,<br />
มักกะสันแหกค่าย เหราใจร้าย มังกรใจกล้า คนธรรพ<br />
แผลงฤทธ พรหมมาศปรายมาร ลมประลัยกัลป นิลนน<br />
แทงแขน ไวยราฟฟาดรถ และมะหาจักรกรด<br />
ปืนใหญ่ที่ได้จากการไปราชการสงคราม แล้วนำ<br />
กลับมา ประกอบด้วย พญาตานี ชะนะหงษา และ<br />
ปราบอังวะ<br />
ปืนใหญ่ที่สร้างในประเทศไทย พุทธศักราช ๒๓๓๕<br />
โดยหลวงบรรจงรจนา ประกอบด้วย ศิลป์นารายน์<br />
ปีศาจเชือดฉีกกิน ธรณีไหว ไฟมหากาล มารกระบิล และ<br />
ปล้องตันหักคอเสือ<br />
ปืนใหญ่อื่นๆ ที่ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างหรือการ<br />
ได้มา ประกอบด้วย พระมหาฤกษ์ พระมหาไชย ถอน<br />
พระสุเมรุ ไตรภพพ่าย จีนสาวไส้ ไทยใหญ่เล่นหน้า ฝรั่ง<br />
ร้ายปืนแม่น ขอมดำดิน ยวนง่าง้าว เสือร้ายเผ่นทยา<br />
น สายอสุนีแผ้วราตรี มุวิดทลวงฟัน และแมนแทงทวน<br />
คุณค่าและความหมายของปืนใหญ่โบราณหน้าศาลา<br />
ว่าการ<strong>กลาโหม</strong>ทั้ง ๔๒ กระบอก สำแดงให้ประจักษ์ใน<br />
“กาพย์ห่อโคลง เห่ชมปืนปืนใหญ่กระทรวง<strong>กลาโหม</strong>”<br />
อันงดงามด้วยเกียรติประวัติความเป็นมา ผสานกับ<br />
สุนทรียศิลป์ในการร้อยเรียงฉันทลักษณ์ โดย พันเอก<br />
ชัยวิทย์ ชยาภินันท์ นายทหารฝ่ายเสนาธิการ ในสังกัด<br />
สำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> ตอนหนึ่งว่า...<br />
สีหนาทปืนไฟ รักษาไทยหลายชั่วยาม<br />
ป้องแดนดินถิ่นสยาม ทุกเขตคามคงเป็นไท<br />
สี่สิบสองเรียงราย สื่อความหมายอันเกรียงไกร<br />
ยืนยงดำรงไว้ บอกพิสัยแห่งโยธิน ฯ<br />
59
ปืนพระมหาฤกษ์<br />
ใช้ยิงเป็นสัญญาณยกทัพ และในพระราชพิธี ลักษณะเด่นคือมีลายประดับเป็นลวดลายคร่ำเงิน<br />
เป็นปืนใหญ่ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นเป็น<br />
ปืนคู่แฝด หล่อด้วยสัมฤทธิ์ มีขนาดเท่ากัน คือ มีความยาว ๒.๒๐ เมตร ลำกลองกว้าง ๑๑๕ มิลลิเมตร<br />
60
ปืนพระมหาไชย<br />
ใช้ยิงเป็นสัญญาณยามมีชัยชนะ ลักษณะเด่นคือมีลวดลายทอง<br />
เป็นปืนใหญ่ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นเป็นปืนคู่แฝด หล่อด้วยสัมฤทธิ์ มี<br />
ขนาดเท่ากัน คือ ๒.๒๐ เมตร ลำกล้องกว้าง ๑๑๕ มิลลิเมตร<br />
61
ปืนพระอิศวรปราบจักรวาฬ (ภาพบน)<br />
เป็นปืนหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลายกนกหน้าสิงห์งดงาม ที่เพลา<br />
มีรูปกินรี รูชนวนมีรูปคนมีปีก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ทรงสร้างหล่อที่หน้าโรงละครใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี ราวปี พ.ศ.๒๓๓๐<br />
ปืนพระกาลผลาญโลกย (ภาพขวา)<br />
หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลายหน้าสิงห์ประกอบกนกสวยงาม<br />
เพลามีรูปกินรี รูชนวนมีรูปคนมีปีกจับกนก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า<br />
จุฬาโลกมหาราชทรงสร้างหล่อที่หน้าโรงละครใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชย<br />
ศรี ราวปี พ.ศ. ๒๓๓๐ โดยหล่อเป็นปืนคู่แฝดกับปืนพระอิศวรปราบจักรวาฬ<br />
62
63
ปืนมารประไลย<br />
หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีห่วงสำหรับยก ๔ ห่วง ตอนท้ายลำกล้องมีรูป<br />
คนมีลวดลายและรูปคนมีปีก เพลามีรูปดอกไม้ รูชนวนมีฝาปิดเปิด<br />
ประดับรูปหนุมาน ท้ายลำกล้องทำเป็นรูปสังข์หรือเขางอนมีลวดลาย<br />
ประจัง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้าง<br />
หล่อที่หน้าโรงละครใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี ราวปี พ.ศ.๒๓๓๐<br />
64
ปืนไหวอรนพ<br />
หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ไม่มีหูจับยก มีลวดลายประดับ เพลามีรูปดอกไม้<br />
รูชนวนธรรมดา พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้าง<br />
หล่อที่หน้าโรงละครใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี ราวปี พ.ศ. ๒๓๓๐<br />
65
66
ปืนพระพิรุณแสนห่า (ภาพซ้าย)<br />
หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีลวดลายประดับ มีห่วงสำหรับจับยก<br />
๔ ห่วง มีรูปราชสีห์เผ่นผงาดที่เพลา รูชนวนมีรูปกนกหน้าสิงห์<br />
ขบท้ายรูปลูกฟัก สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงสร้าง<br />
ให้หล่อ ณ สวนมังคุด บริเวณโรงพยาบาลวังหลัง คือศิริราชพยาบาล<br />
อย่างไรก็ตาม ในพระราชพงศาวดารกรุงรัตนโกสินทร์<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ฉบับของ<br />
เจ้าพระยาทิพากรวงศ์ ระบุว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธ<br />
ยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้างตั้งแต่ พ.ศ. ๒๓๒๐<br />
( ปีที่สร้างยังเป็นรัชกาลสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช)<br />
ปืนผลิกพะสุธาหงาย (ภาพขวา)<br />
เป็นปืนหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีห่วงสำหรับจับยก ๔ ห่วง มีลวดลาย<br />
ประดับประดา เพลามีรูปคชสีห์ รูชนวนมีรูปกนก ท้ายรูปลูกฟัก<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงสร้าง ให้หล่อ<br />
ที่หน้าโรงละครใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี ราวปี พ.ศ.๒๓๓๐<br />
67
ปืนพญาตานี (ภาพบน)<br />
มีห่วงใหญ่สำหรับจับยก ๔ ห่วง ตอนท้ายลำกล้องมีเครื่องประกอบยาวยื่นออกไป ทำเป็นรูปสังข์ หรือเขางอน ที่เพลามีรูป<br />
ราชสีห์สลักงดงาม ไม่มีลวดลายประดับ มีขนาดใหญ่และยาวที่สุดในบรรดาปืนใหญ่โบราณที่ตั้งไว้หน้ากระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
นางพญาตานีศรีวัน เจ้าเมืองปัตตานี (จังหวัดปัตตานีปัจจุบัน ) ให้นายช่างชาวจีนฮกเกี้ยน แซ่หลิม ชื่อเคียม ซึ่งชาวมลายู<br />
เรียก หลิมโต๊ะเคียม เป็นผู้สร้าง ณ ตำบลบ้านกะเสะ (กรือเซะ) ในเมืองปัตตานี วันเดือนปีที่หล่อไม่ปรากฏในหลักฐาน<br />
สมเด็จพระบรมราชจักรีวงศ์ ได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นแม่ทัพ เสด็จยกทัพไปรบพม่า<br />
ซึ่งยกมาตีหัวเมืองภาคใต้ ครั้งทรงชนะข้าศึกแล้ว ได้ทรงปราบปรามหัวเมืองภาคใต้ มีชัยชนะราบคาบ<br />
แล้ว ได้ปืนกระบอกนี้มาจากเมืองปัตตานี เมื่อปีมะเส็ง สัปตศก จ.ศ.๑๑๔๗ (พ.ศ.๒๓๒๙) แล้วนำมา<br />
ทูลถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๓๒๙<br />
ปืนนารายณ์สังหาญ (ภาพขวา)<br />
เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีวงแหวนใหญ่สำหรับจับยก ๔ วง ท้ายลำกล้องมีเครื่องประกอบยาวยื่นออกไป<br />
ทำเป็นรูปสังข์หรือเขางอนเกลี้ยงไม่มีลวดลายประดับ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ทรงสร้าง ให้หล่อที่หน้าโรงละครใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี ราวปีพ.ศ.๒๓๓๐<br />
68
69
ปืนใหญ่โบราณหน้ากระทรวง<strong>กลาโหม</strong>ทั้ง ๔๒ กระบอก<br />
แบ่งตามยุคสมัยการสร้างได้ดังนี้<br />
ยุคที่ ๑ : กรุงศรีอยุธยา<br />
๑. ปืนอัคนิรุท สร้างเมื่อปี ๒๑๖๗ โดยประเทศสเปน<br />
๒. ปืน SMICEL สร้างเมื่อปี ๒๑๖๘ โดยประเทศสเปน<br />
๓. ปืน เหราใจร้าย สร้างเมื่อปี ๒๒๑๐ โดย ยาน เดอะ ล่าครัวกซ์<br />
๔. ปืนมังกรใจหล้า สร้างเมื่อปี ๒๒๑๓ โดย ยาน เดอะ ล่าครัวกซ์<br />
๕. ปืนชะนะหงษา สร้างเมื่อปี ๒๓๑๐ โดย ยาน เจ เบรังเยร์ / ฝรั่งเศษ<br />
ยุคที่ ๒ : กรุงธนบุรี<br />
๖. ปืนคนธรรพแผลงฤทธ สร้างเมื่อปี ๒๓๑๑ โดยเจ เบรังเบร์ / ฝรั่งเศษ<br />
๗. ปืนมะหาจักรกรด สร้างเมื่อปี ๒๓๑๑ โดย เจ เบรังเยร์ / ฝรั่งเศษ<br />
๘. ปืนปราบอังวะ สร้างเมื่อปี ๒๓๑๐ โดย เจ เบรังเยร์ / ฝรั่งเศษ<br />
๙. ปืนพิรุณแสนห่า สร้างเมื่อปี ๒๓๒๐ โดย สมเด็จพระเจ้าตากสิน<br />
ยุคที่ ๑ : กรุงรัตนโกสินทร์<br />
๑๐. ปืนพระอิศวรปราบจักรวาฬ สร้างเมื่อปี ๒๓๓๐ โดย รัชกาลที่ ๑<br />
๑๑. ปืนนารายณ์สังหาญ สร้างเมื่อปี ๒๓๓๐ โดย รัชกาลที่ ๑<br />
๑๒. ปืนพลิกพะสุธาหงาย สร้างเมื่อปี ๒๓๓๐ โดย รัชกาลที่ ๑<br />
๑๓. ปืนมารประไลย สร้างเมื่อปี ๒๓๓๐ โดย รัชกาลที่ ๑<br />
๑๔. ปืนไหวอรนพ สร้างเมื่อปี ๒๓๓๐ โดย รัชกาลที่ ๑<br />
๑๕. ปืนพระกาลผลาญโลกย สร้างเมื่อปี ๒๓๓๐ โดย รัชกาลที่ ๑<br />
๑๖. ปืนปีศาจเชือดฉีกกิน สร้างเมื่อปี ๒๓๓๕ โดย หลวงบรรจงรจนา<br />
๑๗. ปืนธรณีไหว สร้างเมื่อปี ๒๓๓๕ โดย หลวงบรรจงรจนา<br />
๑๘. ปืนไฟมหากาล สร้างเมื่อปี ๒๓๓๕ โดย หลวงบรรจงรจนา<br />
๑๙. ปืนมารกระบิล สร้างเมื่อปี ๒๓๓๕ โดย หลวงบรรจงรจนา<br />
๒๐. ปืนศิลป์นารายน์ สร้างเมื่อปี ๒๓๓๕ โดย หลวงบรรจงรจนา<br />
๒๑. ปืนปล้องตันหักคอเสือ สร้างเมื่อปี ๒๓๓๕<br />
โดย หลวงบรรจงรจนา<br />
๒๒. ปืนพรหมมาศปราบมาร สร้างเมื่อปี ๒๓๓๕<br />
โดย เจ เบรังเยร์ / ฝรั่งเศส<br />
๒๓. ปืนลมประไลยกัลป สร้างเมื่อปี ๒๓๔๑<br />
โดยเจ เบรังเยร์ / ฝรั่งเศษส<br />
๒๔. ปืน P ๑๐๐๙ ๑๘๖๐ สร้างเมื่อ ๒๔๐๓<br />
๒๕. ปืน P ๑๐๑๐ ๑๘๖๐ สร้างเมื่อ ๒๔๒๙<br />
๒๖. ปืนพญาตานี สร้างเมื่อปี ๒๓๒๙<br />
๒๗. ปืนไทยใหญ่เล่นหน้า<br />
๒๘. ปืนฝรั่งร้ายปืนแม่น<br />
๒๙. ปืนขอมดำดิน<br />
๓๐. ปืนยวนง่าง้าว<br />
๓๑. ปืนมุงิดหลวงฟัน<br />
๓๒. ปืนแมนแทงทวง<br />
๓๓. ปืนจีนสาวไส้<br />
๓๔. ปืนมักกะสันแหกค่าย<br />
๓๕. ปืนนิลนนแทงแขน<br />
๓๖. ปืนไวยราพฟาดรถ<br />
๓๗. ปืนเสือร้ายเผ่นทยาน<br />
๓๘. ปืนสายอสุนีแผ้วราตรี<br />
๓๙. ปืนถอนพระสุเมรุ<br />
๔๐. ปืนไตรภพพ่าย<br />
๔๑. ปืนพระมหาฤกษ์<br />
๔๒. ปืนพระมหาไชย<br />
หมายเหตุ : ตั้งแต่ ปืนลำดับที่ ๒๗ – ๔๒ ไม่ทราบปีที่สร้าง<br />
และผู้สร้าง
<strong>กลาโหม</strong>สามสายธาร<br />
ชีวิตและงานไม่เคยหยุดนิ่ง
“...สำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> เปรียบเสมือนมันสมองของ<br />
กระทรวง<strong>กลาโหม</strong>อย่างแท้จริง โดยทำหน้าที่กำหนดเป้าหมาย<br />
ยุทธศาสตร์ และแผนการดำเนินการด้านความมั่นคง ที่เชื่อม<br />
โยงจากรัฐบาลไปยังหน่วยปฏิบัติ...ให้เป็นไปด้วยความถูกต้อง<br />
เกิดประสิทธิภาพ มีประสิทธิผล...เพื่อตอบสนองเจตนารมณ์<br />
ของประเทศ ประชาชน และสังคมไทย...”<br />
จากหนังสือ “สู่เป้าหมาย” ตัวตน จิตวิญญาณ และความมุ่งมั่น<br />
สำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> พ.ศ.๒๕๕๓<br />
หน่วย<br />
งานในสังกัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> ประกอบด้วยสำนักงานรัฐมนตรี<br />
สำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> กองทัพไทย (ทำหน้าที่ควบคุม<br />
กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ) และ กรมราช<br />
องครักษ์<br />
บุคลากรผู้ขับเคลื่อนภารกิจในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> จึงมีทั้งทหารบก ทหารเรือ<br />
ทหารอากาศ ประหนึ่งสายธารหลักสามสาย ไหลรินมารวมกันเป็นมหานทีใหญ่ หล่อ<br />
เลี้ยงความบริบูรณ์แห่งกองทัพไทย<br />
จากภารกิจพิทักษ์ปกป้องประเทศชาติที่มีมาแต่ในอดีต ผ่านความเปลี่ยนแปลงแห่ง<br />
ยุคสมัย สู่ความท้าทายและภัยคุกคามใหม่ในปัจจุบันและอนาคต ทั้งความแปรปรวน<br />
ของธรรมชาติขนาดใหญ่ การก่อการร้ายสากลและอาชญากรรมข้ามชาติ ภัยคุกคามที่<br />
มิใช่การเกิดจากกำลังทหาร อาทิ ยาเสพติด แรงงานต่างด้าว หลบหนีเข้าเมือง สงคราม<br />
ข้อมูลข่าวสาร โรคระบาดที่รุนแรงมากขึ้น การปกป้องทรัพยากรธรรมชาติ การปะทะ<br />
ด้วยกำลังขนาดย่อยตามแนวชายแดนและทะเลอาณาเขต และสงครามจำกัดเขต<br />
ภารกิจของสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> จึงมีการปรับเปลี่ยนให้ทันกับความ<br />
เปลี่ยนแปลงบนโลกที่ไม่เคยหยุดนิ่ง โดยจำแนกเป็น ๑๖ ภารกิจสำคัญ อันประกอบด้วย<br />
• ภารกิจด้านการกำหนดนโยบายและยุทธศาสตร์ด้านการป้องกันประเทศ<br />
• ภารกิจด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร คลื่นความถี่และกิจการ<br />
อวกาศ<br />
• ภารกิจด้านกิจการกำลังพลและสวัสดิการ<br />
• ภารกิจด้านกิจการข่าว<br />
• ภารกิจด้านการส่งกำลังบำรุง<br />
• ภารกิจด้านกิจการงบประมาณ<br />
• ภารกิจด้านงานกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมทหาร<br />
75
76
• ภารกิจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<strong>กลาโหม</strong><br />
• ภารกิจด้านการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
และพลังงานทหาร<br />
• ภารกิจด้านการเงินและธนกิจ<br />
• ภารกิจด้านการสรรพกำลัง<strong>กลาโหม</strong><br />
• ภารกิจด้านการตรวจสอบภายใน<br />
• ภารกิจด้านการประชาสัมพันธ์และเลขานุการ<br />
• ภารกิจด้านการดำเนินกิจการสภา<strong>กลาโหม</strong><br />
• ภารกิจด้านการรักษาความปลอดภัย<br />
• ภารกิจด้านการสารบรรณ<br />
ท่ามกลางหมู่อาคารแบบนีโอ ปัลลาเดียน ที่ดู<br />
เคร่งขรึม ประดับประดาด้วยศิลปะนีโอ คลาสสิก อัน<br />
สง่างาม ของศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> บุคลากรผู้ขับเคลื่อน<br />
๑๖ ภารกิจสำคัญ อันประกอบด้วยกำลังพลจากเหล่า<br />
ทหารบก เหล่าทหารเรือ และเหล่าทหารอากาศ จึงไม่<br />
เคยหยุดนิ่ง<br />
จากรุ่งเช้าจรดค่ำคืน ทุกองคาพยพในอาคาร<br />
ประวัติศาสตร์แห่งกองทัพไทย มุ่งมั่นปฏิบัติภารกิจใน<br />
ความรับผิดชอบ ด้วยสำนึกในปณิธานที่จำขึ้นใจ...<br />
<strong>กลาโหม</strong>เทิดราชา รักษ์ราษฎร์ ชาติมั่นคง !<br />
77
82
83
84
85
88
89
93
94
95
97
99
100
101
<strong>กลาโหม</strong>รักษ์ราษฎร์<br />
ทุกข์ฤาสุข...เคียงข้างประชาชน
“...ทหารไทยนั้น นอกจากจะทำหน้าที่สู้รบ<br />
ป้องกันประเทศ เพื่อธำรงรักษาเอกราชอธิปไตย<br />
กับทั้งอิสรภาพของชาติแล้ว ยังทำหน้าที่พัฒนา<br />
บ้านเมืองและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน<br />
ด้วยหน้าที่ประการหลังนี้ ต้องถือว่าเป็นเหมือน<br />
ภารกิจหลักอย่างหนึ่งของทหาร ซึ่งทุกคนจะต้อง<br />
ปฏิบัติโดยเคร่งครัดเสมอเหมือนกับการสู้รบ...”<br />
พระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
พระราชทาน ในพิธีถวายสัตย์ปฏิญาณและสวนสนาม<br />
ของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ วันที่ ๒ ธันวาคม ๒๕๔๕<br />
ทหาร<br />
คือลูกหลานของประชาชน ทุกข์ของพี่น้อง<br />
ประชาชน จึงเป็นทุกข์ของทหารด้วย แม้<br />
ภารกิจหลักในฐานะ “รั้วของชาติ” ยังคงหนักอึ้งอยู่บนบ่า แต่<br />
ยามใดที่มีเหตุด่วนอันรบกวนความสงบสุขของประชาชน ทหาร<br />
ของชาติทุกเหล่าทัพ ต้องพร้อมระดมสรรพกำลังเข้าช่วยขจัด<br />
ปัดเป่า บรรเทาทุกข์ ปลอบโยนและซับน้ำตา<br />
107
108
ทุกข์...จากภัยพิบัติทางธรรมชาติ ปัญหายาเสพติด<br />
การก่อการร้าย ขบวนการค้ามนุษย์ อาชญากรข้ามชาติ<br />
ฯลฯ กระทั่งเข้าร่วมสนับสนุนองค์การสหประชาชาติ ใน<br />
ภารกิจเพื่อสันติภาพและมนุษยธรรม อาทิ การปฏิบัติ<br />
งานในติมอร์ตะวันออก อิหร่าน อิรัก กองกำลังหมู่เรือ<br />
ปราบโจรสลัดในโซมาเลีย กองกำลังเฉพาะกิจ ๙๘๐<br />
ไทย/ดาร์ฟู ในซูดาน ฯลฯ<br />
ทั้งนี้ เพื่อกระบวนการสร้างความเชื่อมั่น ศรัทธา และ<br />
สันติสุข ให้เกิดขึ้นในประชาคมโลก<br />
109<br />
อย่างไรก็ตาม แม้ในยามปกติ ทหารของชาติยัง<br />
ตระหนักถึงภาระหน้าที่ในการยกระดับคุณภาพชีวิต<br />
ประชาชนให้ดีขึ้น อาทิ การพัฒนาอาชีพและชุมชน<br />
โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวชายแดนหรือถิ่นทุรกันดาร<br />
ตามโครงการในพระราชดำริ และโครงการของกองทัพ<br />
ด้วยสำนึกอันแน่วแน่ว่า<br />
ทุกข์ฤาสุข ทหารของชาติจะอยู่เคียงข้าง<br />
ประชาชนเสมอ
110
111
112
113
115
116
117
118
119
จดหมายเหตุ ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>
รัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
• วันอาทิตย์ มกราคม ๒๔๒๙<br />
• วันศุกร์ที่ ๘ เมษายน ๒๔๓๐<br />
• วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน ๒๔๓๐<br />
• วันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๓๑<br />
• พุทธศักราช ๒๔๓๒<br />
• วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๓๕<br />
• วันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๓๗<br />
• วันที่ ๖ มกราคม ๒๔๔๐<br />
• วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๔๖<br />
จัดสมโภชเฉลิมพระเกียรติยศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ ที่โรงทหารหน้า ในการนี้พระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเป็นองค์ประธาน<br />
โปรดเกล้าฯ ให้มีการเฉลิมฉลองโรงทหารหน้าเพื่อเป็นที่ทำการของกรมยุทธนาธิการ ซึ่งเป็นวันเดียวกับการ<br />
ประกาศจัดตั้ง กรมยุทธนาธิการ<br />
เหล่าทหารบก ๕ กรม สังกัดกรมยุทธนาธิการกระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยาที่โรงทหารหน้า ในการนี้โปรดเกล้าฯ<br />
ให้ขนานนามโรงทหารหน้าว่า ศาลายุทธนาธิการ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ เสด็จพระราชดำเนินมาทรงเป็นองค์ประธาน ในงานราตรีสโมสร เนื่อง<br />
ในงานเฉลิมพระชนมพรรษาที่ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการทรงจัดถวายฯ<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ใช้ศาลายุทธบริการเป็นกองบัญชาการ ปราบกบฏอังยี่โรงสีปล่องเหลี่ยมบางรัก และโปรดเกล้าฯ<br />
ให้จำขังพวกกบฏฯ ทีคุกภายใน ศาลายุทธนาธิการ (ด้านทิศตะวันออก)<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทาน ธงประจำหน่วยทหารบก ๕<br />
กรม ที่สนามกลางในศาลายุทธนาธิการ<br />
โปรดเกล้าฯ ให้กระทรวง<strong>กลาโหม</strong> ย้ายที่ทำการจาก ศาลาการลูกขุนในฝ่ายขวาในพระบรมมหาราชวังมาอยู่ ณ<br />
ตึกกลางของศาลายุทธนาธิการ ในการนี้โปรดเกล้าฯ ให้ขนานนาม ศาลายุทธนาธิการใหม่ว่า ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ เสด็จพระราชดำเนิน<br />
มาทรงเป็นองค์ประธานในงานราตรีสโมสร เนื่องในการสมโภชเสด็จกลับจากการประพาสทวีปยุโรป ครั้งที่ ๑<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเสร็จพระราชดำเนินมาพระราชทานพระบรมราโชวาท แก่ผู้<br />
บัญชาการกรมทหารบกและเหล่าทหาร เนื่องในโอกาสที่กรมทหารบกทูลเกล้าฯ ถวายพระคทาจอมทัพ<br />
รัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
• วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๕๘<br />
• ระหว่างพุทธศักราช<br />
๒๔๕๙ - ๒๔๖๐<br />
• ตุลาคม ๒๔๖๐<br />
พลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (ม.ร.ว.อรุณ ฉัตรกุล) เสนาบดีกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> กราบบังคมทูลเชิญพระบาท<br />
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นองค์ประธานในงานราตรีสโมสรเนื่องในวโรกาสที่พระองค์ทรงได้รับการ<br />
ทูลเกล้าฯ ถวายพระยศ พลเอกแห่งกองทัพบกอังกฤษ ณ ห้องประชุมกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดเกล้าฯ ให้ จอมพล สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจักพงษ์ภูจนาก<br />
กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ ทรงเป็นองค์ประธานจัดทำ พิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่ไทยโบราณ ที่สนามหน้าศาลา<br />
ว่าการ<strong>กลาโหม</strong> *<br />
โปรดเกล้าฯ ให้จัดขบวน พิธีพระยายืนชิงช้าประจำพุทธศักราช ๒๔๖๐ ณ ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> โดยนายพลโท<br />
พระยาสีหราชเดโชไชย (แย้ม ณ นคร) ปลัดทูลฉลองกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> เป็นพระยายืนชิงช้า<br />
122
รัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
• ตุลาคม ๒๔๗๔<br />
• วันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๗๔<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พร้อมด้วยพระบรมศานุวงศ์ เสด็จ<br />
พระราชดำเนินไปเสวยพระกระยาหารค่ำ ณ ห้องรับรองกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> ชั้น ๒ (ห้องสุรศักดิ์มนตรี)<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู ่หัว เสด็จมาทรงเป็นองค์ประธานการประชุมใหญ่ที่ศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>เกี่ยว<br />
กับกิจการทหาร<br />
รัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช<br />
• วันที่ ๑๓ พฤษภาคม ๒๔๙๓<br />
• ระหว่างพุทธศักราช ๒๔๙๖-๒๔๙๘<br />
• วันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๔๙๘<br />
• วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๔๙๙<br />
• วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๐๒<br />
• วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๕๑๓<br />
• วันที่ ๒๗ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๘<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานประกาศนียบัตรหลักสูตรเสนาธิการ<br />
ทหารบก ชุดที่ ๒๘ บริเวณ ห้องประชุมกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> ชั้นที่ ๒ (ห้องสุรศักดิ์มนตรี)<br />
กระทรวง<strong>กลาโหม</strong> โดยมติสภา<strong>กลาโหม</strong>ได้อนุมัติ ให้ทำการรื้อถอนอาคารหมู ่ชั้นเดียวประกอบด้านทิศตะวันออก<br />
ของศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong>เพื่อทำการก่อสร้างอาคารวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร<br />
ใช้เป็นสถานที่จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ระหว่างเจ้าหน้าที่ ไทย – อเมริกัน ในวาระฉลองครบรอบ ๕ ปี แห่งสนธิ<br />
สัญญาว่าด้วยการช่วยเหลือทางการทหารระหว่างประเทศไทยกับสหรัฐอเมริกา ณ บริเวณสนามภายในศาลา<br />
ว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินพระราชทานปริญญาบัตรและเข็มหลักสูตรของวิทยาลัย<br />
ป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ ๑ หลักสูตรเสนาธิการทหารบกและหลักสูตรเสนาธิการทหารเรือ ที่ห้องประชุม<br />
กระทรวง<strong>กลาโหม</strong>ชั้น ๒ (ห้องสุรศักดิ์มนตรี)<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินไปในการพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตร แก่นักเรียน<br />
นายร้อยพระจุลจอมเกล้า นักเรียนนายเรือ และนักเรียนนายเรืออากาศ ที่สำเร็จการศึกษาชั้นสูงสุด ณ สนาม<br />
ภายในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong> **<br />
จอมพล ถนอม กิตติขจร เป็นประธานในพิธีสวนสนามอำลาผู้บังคับบัญชาของกองกำลังทหารไทยผลัดที่๔ ที่<br />
ไปร่วมรักษาสันติภาพกับกองกำลังทหารสหรัฐฯ ณ สาธารณรัฐเวียดนาม ที่สนามภายในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ เสด็จฯ แทนพระองค์ในพิธีพระราชทานกระบี่ และปริญญาบัตร<br />
แก่นักเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า นักเรียนนายเรือ และนักเรียนนายเรืออากาศ ณ สนามภายในศาลาว่าการ<br />
<strong>กลาโหม</strong><br />
* นับเป็นการจัดทำพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งครั้งแรก<br />
** นับเป็นการพระราชทานกระบี่และปริญญาบัตรของ สาม เหล่าทัพเป็นครั้งแรกในศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
123
แลไปข้างหน้า....<br />
กระทรวง<strong>กลาโหม</strong>
จาก<br />
ฉางข้าวหลวง ถึงโรงทหารหน้า สู่ศาลาว่าการ<br />
<strong>กลาโหม</strong> เป็นเวลายาวนานกว่า ๑ ศตวรรษ ที่หมู่<br />
อาคารรูปทรงสถาปัตยกรรมตะวันตก อันเป็นศรีสง่าแห่งราชธานี<br />
รัตนโกสินทร์แห่งนี้ ตั้งตระหง่านผ่านห้วงยามแห่งความเปลี่ยนแปลง<br />
ในบ้านเมือง...ครั้งแล้วครั้งเล่า<br />
อุปมาดั่งกระทรวง<strong>กลาโหม</strong> หน่วยราชการหลักของชาติที่ตั้งอยู่<br />
ณ หมู่อาคารนี้มานานครบ ๑๒๕ ปี ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๕ แม้<br />
วันเวลาจะผันผ่านไปเพียงใด กระแสคลื่นแห่งโลกาภิวัตน์จะซัดสาด<br />
รุนแรงแค่ไหน แต่ประชาชนไทยยังมั่นใจได้ว่า กระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
จะยังคงปฏิบัติหน้าที่เป็นหลักในการปกป้องอธิปไตยของชาติ<br />
รับใช้ชาติ ราษฎร์ ราชันย์ ทั้งยามศึกและยามสงบ อย่างเข้มแข็ง<br />
เต็มกำลังความสามารถดังเดิม<br />
หากจะมีความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นบ้าง นั่นคือความพยายามปรับ<br />
ตัว และพัฒนาศักยภาพของตนเอง เพื่อสามารถยืนบนเวทีโลกได้<br />
อย่างทัดเทียม เป็นที่น่าภาคภูมิใจของชาวไทย<br />
แลไปข้างหน้า กระทรวง<strong>กลาโหม</strong> จึงไม่เพียงยึดมั่นภารกิจปกป้อง<br />
อธิปไตยของชาติเป็นหลัก หากยังตระหนักถึงความสำคัญของภารกิจ<br />
ให้ความร่วมมือกับทุกองคาพยพของแผ่นดิน ในการพัฒนาประเทศ<br />
ชาติ ยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน ตามแนวพระบรม<br />
ราโชวาทในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ว่า....<br />
“...หน้าที่พัฒนาบ้านเมืองและชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชน<br />
ต้องถือเป็นเหมือนภารกิจหลักหนึ่งของทหาร ซึ่งทุกคนจะต้องปฏิบัติ<br />
โดยเคร่งครัดเสมอเหมือนกับการสู้รบ...”<br />
ดังนั้น เมื่อรวมภารกิจปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และ<br />
ราชวงศ์จักรีอันเป็นที่รักยิ่งแล้ว มโนสำนึกของข้าราชการทุกหน่วย<br />
งาน ทุกเหล่าทัพ ภายใต้สังกัด<strong>กลาโหม</strong> จึงพร้อมเพรียงเป็นน้ำหนึ่ง<br />
ใจเดียวกัน ในอันที่จะปฏิบัติตามคำขวัญที่ว่า<br />
“<strong>กลาโหม</strong>เทิดราชา รักษ์ราษฎร์ ชาติมั่นคง”<br />
...มิคลอนแคลนชั่วกาลนาน<br />
125
127
130
131
133
แสงเงาเก่ากาลสานส่องสร้าง<br />
เส้นทางวันนี้ที่สดใส<br />
เยี่ยมเรือนเยือนยลดลใจ<br />
จุดไฟแห่งศิลป์จินตนา<br />
ปืนใหญ่เรียงหน้า<strong>กลาโหม</strong><br />
ดวงโคมระเบียงเคียงฝา<br />
สักทองอาคารตระการตา<br />
งามสง่าคชสีห์ฤทธิไกร<br />
มรดกที่พิทักษ์เฝ้ารักษา<br />
เก็บมาแบ่งปันสรรฝากให้<br />
ภาพร้อยรอยเรื่องประเทืองใจ<br />
ประเทศไทยประทับค่าสง่างาม<br />
คำประพันธ์: จิระนันท์ พิตรปรีชา
ที่ปรึกษา<br />
พลโท พิณภาษณ์ สริวัฒน์<br />
พลตรี ธนรัตน์ รื่นเริง พลตรี เนรมิต มณีนุตร์<br />
ประธานคณะทำงาน<br />
พลตรี ชัยพฤกษ์ พูนสวัสดิ์ เลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
รองประธานคณะทำงาน<br />
พันเอก สุรชาติ จิตต์แจ้ง รองเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
คณะทำงาน<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
พันเอก คงชีพ ตันตระวาณิชย์<br />
พันเอก ณภัทร สุขจิตต์<br />
นาวาอากาศเอก ธวัชชัย รักประยูร<br />
นาวาเอก พรหมเมธ อติแพทย์<br />
พันเอก ทวี สุดจิตร์<br />
พันเอกหญิง ฉันทนา กรสมิท<br />
พันเอก ปณิธาน กาญจนวิโรจน์<br />
พันโท ปิยะวัฒน์ ปานเรือง<br />
นาวาโท วัฒนสิน ปัตพี<br />
นาวาโทหญิง รสสุคนธ์ ทองใบ<br />
นาวาตรี ฐิตพร น้อยรักษ์<br />
ร้อยเอก ไพบูลย์ รุ่งโรจน์<br />
ร้อยเอก จิโรตม์ ชินวัตร<br />
ร้อยเอกหญิง ณิชาภา กุหลาบเพ็ชร์<br />
ร้อยโท ยอดเยี่ยม สงวนสุข<br />
ร้อยโทหญิง ลลิดา ดรุนัยธร<br />
พันจ่าอากาศเอก ศุภกิจ ภาวิไล<br />
พันจ่าอากาศเอก ภัทร์ศรัณย์ ยุกตานนท์<br />
จ่าสิบเอกหญิง ธิดารัตน์ ทองขจร<br />
จ่าสิบโท ชัยอภิชาติ วุฒิโสภณ<br />
สิบเอก วีรศักดิ์ มาแสวง<br />
จ่าอากาศเอก เชาวลิต พรหมบุตร<br />
หม่อมหลวง วรธิษณ์ วรวรรณ<br />
ธัญลักษณ์ ยางงาม<br />
สห+ภาพ ชุมชนคนถ่ายภาพ<br />
จิระนันท์ พิตรปรีชา<br />
เพ็ญพัฒน์ มรกตวิศิษฏ์<br />
เกรียงไกร ไวยกิจ<br />
ธีรภาพ โลหิตกุล<br />
ถ่ายภาพ<br />
วรนันทน์ ชัชวาลทิพากร ๕๘, ๑๑๖<br />
ชำนิ ทิพย์มณี ๙๐ (บนซ้าย), ๙๒<br />
นิติศักดิ์ ประสิทธิ์ศิลป์ ๒๕, ๕๙, ๖๒, ๖๕, ๖๗, ๖๘, ๑๐๐, ๑๑๒, ๑๑๓ (บน)<br />
วรรณี ชัชวาลทิพากร ๓๑ (ล่าง), ๕๔,<br />
ธีรภาพ โลหิตกุล ๓๐ (บน), ๕๕,<br />
เกรียงไกร ไวยกิจ ๔, ๗, ๑๐-๑๑, ๓๑ (บน), ๓๗, ๕๐, ๕๖-๕๗, ๘๔, ๑๒๐,<br />
๑๒๕-๑๒๗, ๑๒๘ (ล่าง), ๑๓๖ (บน), ๑๓๗<br />
พิชญ์ เยาว์ภิรมย์ ๔๑, ๕๑, ๕๒-๕๓, ๑๑๗ (บน), ๑๒๙, ๑๔๐<br />
เกษม พึ่งจิตต์ประไพ ๗๒-๗๓,<br />
อัครินทร์ อัศววารินทร์ ๓๕, ๙๔ (บนซ้าย), ๑๓๒ (บน)<br />
ชฎาธาร ฉายปุริยานนท์ ๑๐๔-๑๐๕, ๑๓๑, ๑๔๐<br />
ดำริห์ วงษ์สุนา ๒๔, ๓๕ (บน), ๓๖, ๗๐-๗๑, ๘๖-๘๗, ๑๑๑<br />
ประพันธ์ ไกรศักดาวัฒน์ ๓๔, ๑๐๒-๑๐๓, ๑๓๘-๑๓๙<br />
สุพจน์ ศรีมณีชัย ๑๔๒<br />
กัมพล คุ้มวงษ์ ๒-๓, ๒๙ (ล่าง), ๓๐ (ล่าง), ๘๘, ๑๐๖, ๑๑๔, ๑๑๙,<br />
๑๒๔, ๑๓๖ (ล่าง), ๑๔๑<br />
วีระยุทธ พิริยะพรประภา ๑๒-๑๓, ๓๙, ๑๐๑, ๑๓๕ (บน), ๑๔๑<br />
อำนาจ เกตุชื่น ๘๙, ๙๙ (ล่าง), ๑๐๗, ๑๓๒ (ล่าง)<br />
สุนันท์ คุณากรไพบูลย์ศิริ ๒๗, ๓๘, ๔๒, ๔๗, ๔๘, ๗๔-๗๕, ๗๘-๗๙, ๘๕, ๙๓, ๙๔,<br />
๙๗ (บน), ๙๘, ๑๑๐, ๑๑๓ (ล่าง), ๑๑๕, ๑๑๗ (ล่าง),<br />
๑๓๐, ๑๓๔ (ล่าง)<br />
สว่าง จริยปรัชญากุล ๖ (บน), ๔๐, ๔๓, ๔๕, ๖๖, ๖๙, ๙๑, ๙๗ (ล่าง),<br />
๙๙ (บน),<br />
เอกรินทร์ เอกอัจฉริยะวงศ์ ๓๓, ๔๖, ๘๓ (ขวา), ๙๐ (ล่างซ้าย), ๙๖, ๑๓๔ (ล่าง)<br />
ชัชวาล ดาจันทร์ ๑๑๘<br />
จริยา จุฬาธรรมกุล ๒๖ (ขวา), ๔๔, ๑๒๘ (บน), ๑๔๐, ๑๔๑<br />
วริญญา วัชราทิตย์ ๒๙ (บน),<br />
ภานุมาศ มหิศยา ๘-๙, ๓๒, ๑๓๔ (บน), ๑๔๐, ๑๔๑<br />
กุมารินทร์ กาศคำสุข ๖ (ล่าง), ๒๘, ๖๓, ๖๔, ๑๓๓<br />
ภาพจาก<strong>กลาโหม</strong> ๑๔-๒๓, ๒๖, ๔๙, ๖๐-๖๑, ๗๖-๗๗, ๘๐-๘๓, ๑๐๘-๑๐๙
ขอขอบคุณ<br />
พลเอก กิตติพงษ์ เกษโกวิท ปลัดกระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
กรมเสมียนตรา<br />
สำนักงบประมาณ<strong>กลาโหม</strong><br />
สำนักนโยบายและแผน<strong>กลาโหม</strong><br />
กองพลที่ ๑ รักษาพระองค์<br />
พันเอก ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
พันเอก พรเพิ่ม โพธิผละ<br />
กองพันทหารราบ มณฑลทหารบกที่ ๑๑<br />
พันโท ทศรถ โตคุ้มภัย<br />
นาวาตรีหญิง อัจฉรียา มินวงษ์<br />
กองรักษาการณ์ กระทรวง<strong>กลาโหม</strong><br />
ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานราชการ ที่ปฏิบัติงานภายในอาคารศาลาว่าการ<strong>กลาโหม</strong><br />
สำนักงานป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรุงเทพมหานคร<br />
รัตนโกสินทร์ ไอร์แลนด์ คอนโดมิเนียม