06.06.2022 Views

หลักเมือง พฤษภาคม 65

Create successful ePaper yourself

Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.

สำนักงำนปลัดกระทรวงกลำโหม

หน่วยงำนนโยบำยและยุทธศำสตร์ควำมมั่นคง

ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น ส า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม

ปีที่ ๓๑ ฉบับที ่ ๓๗๔ หลักเมือง พฤษภำคม ๒๕๖๕

www.lakmuangonline.com



ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น ส ำ นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม

Editor Consultants

ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์

พล.อ.วัันชััย เรืืองตรืะกููล

พล.อ.อ.สุุวิิชั จัันทปรืะดิิษฐ์์

พล.อ.ไพบููลย์ เอมพันธุ์ุ์

พล.อ.ยุทธุ์ศัักดิ์์ ศัศัิปรืะภา

พล.อ.ธุ์ีรืเดิชั มีเพียรื

พล.อ.ธุ์วััชั เกูษร์์อังกููรื

พล.อ.สััมพันธุ์์ บุุญญานันต์

พล.อ.อูดิ เบูืองบูน

พล.อ.สิิริิชััย ธุ์ัญญสิิริิ

พล.อ.วิินัย ภัททิยกุุล

พล.อ.อภิชัาต เพ็ญกิิตติ

พล.อ.กิิตติพงษ์ เกูษโกูวัิท

พล.อ.เสุถีียรื เพิมทองอินทร์์

พล.อ.วิิทวััสุ รืชัตะนันทน์

พล.อ.ทนงศัักดิ์์ อภิรัักษ์์โยธุ์ิน

พล.อ.นิพัทธุ์์ ทองเล็กู

พล.อ.สุุรืศัักดิ์์ กูาญจันรััตน์

พล.อ.ศิิริิชััย ดิิษฐ์กูุล

พล.อ.ปรีีชัา จัันทร์์โอชัา

พล.อ.ชััยชัาญ ช้้างมงคล

พล.อ.เทพพงศ์์ ทิพยจัันทร์์

พล.อ.ณััฐ์ อินทรืเจัรืิญ

ที่ปรึกษา

พล.อ.วัรืเกูียรืติ รืัตนานนท์

พล.อ.อ.สุฤษฎ์พงศั์ วััฒนวัรืางกููรื

พล.รื.อ.มนัสุวัี บููรืณัพงศั์ รื.น.

พล.อ.สุรืาวัุธุ์ รืัชัตะนาวัิน

พล.อ.สุนิธุ์ชันกู สุังขจัันทรื์

พล.อ.นุชัิต ศัรืีบูุญสุ่ง

พล.อ.จัิรืวัิทย์ เดิชัจัรืัสุศัรืี

พล.อ.อดิินันท์ ไชัยฤกูษ์

พล.อ.ไพบููลย์ วัรืวัรืรืณัปรืีชัา

พล.อ.ปรืะชัาพัฒน์ วััจันะรืัตน์

พล.ท.กูัมปนาท บูัวัชัุม

พล.ท.สุุรืศัักูดิิ์ วัรืรืณัสุมบููรืณั์

พล.ท.เจัษฎา เปรืมนิรืันดิรื

พล.ท.เรืิงฤทธุ์ิ์ บูัญญัติ

พล.ท.เดิชันิธุ์ิศั เหลืองงามขำา

พล.ท.สุมเกูียรืติ สุัมพันธุ์์

พล.ท.ภัทรืพล ภัทรืพัลลภ

พล.ท.รื่มเกูล้า ปั้นดิี

พล.ท.คมสุัน ศัรืียานนท์

พล.ท.จัิรืศัักูดิิ์ ไกูรืทุกูข์รืาง

พล.ท.ณััฐ์พล เกูิดิชัูชัื่น

พล.ต.ปพน ไชัยเศัรืษฐ์

พล.ต.พจัน์ เอมพันธุ์ุ์

พล.ต.ปรืะจัวับู จัันต๊ะมี

พล.ต.กูานต์นาท นิกูรืยานนท์

พล.ต.หญิง อิษฎา ศัิรืิมนตรืี

ผู้้อำำานวยการ

พล.ต.พัฒนชััย จิินตกูานนท์

รอำงผู้้อำำานวยการ

พ.อ.ชััยวััฒน์ สุวั่างศัรืี

พ.อ.จิิตนาถี ปุณัโณัทกู

กอำงจััดการ

ผู้้จััดการ

น.อ.กูฤษณ์์ ไชัยสุมบััติ

พ.อ.สุุวัเทพ ศิิริิสุรืณั์

พ.อ.สุาโรืจัน์ ธุ์ีรืเนตรื

ประจำำากอำงจััดการ

พ.อ.หญิง สิิริิณีี จังอาสุาชัาติ

พ.ท.ไพบููลย์ รุ่่งโรืจัน์

เหรัญญิก

พ.อ.หญิง พัชัรื์ศัรืัญย์ สุุนทรืาณัฑ์์

ฝ่่ายกฎหมาย

พล.ต.นิติน ออรุ่่งโรืจัน์

พิิสููจน ์อัักษร

พ.อ.หญิง ใจทิิพย์ อุไพพานิชั

กอำงบรรณาธิิการ

บรรณาธิิการ

น.อ.สููงศัักดิ์์ อัครืปรีีดีี รื.น.

รอำงบรรณาธิิการ

น.อ.วััฒนสิิน ปัตพี รื.น.

น.ท.หญิง ฉัันทนี บุุญปักษ์์

ผู้้ช่่วยบรรณาธิิการ

น.ท.หญิง กััญญารััตน์ ชููชัาติ รื.น.

ประจำำากอำงบรรณาธิิการ

พ.ท.หญิง ลลิดิา กล้้าหาญ

พ.ต.วััชัรืเทพย์ ปีตะนีละผลิน

รื.ต.หญิง ภัทชัญา นิตยสุุทธิ์์

พ.จั.อ.สุุพจน์์ นุตโรื

จั.ท.หญิง ศุุภรืเพ็ญ สุุพรืรืณั

กอำงบรรณาธิิการ

กูองผลิตสุือ

สำำนัักูงานเลขานุกูารื

สำำนัักูงานปลัดิกูรืะทรืวังกูลาโหม

โทรื. ๐ ๒๒๒๕ ๘๒๖๒ โทรื.ทหารื ๕๒ ๕๒๐๑๐

สุามารืถีสุ่งขอมูลและแสุดิงควัามคิดิเห็นต่างๆ

ไดิที Email: Printing.opsd@gmail.com

ISSN 0858 - 3803

9 770858 380005


ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น ส ำ นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม

Editor’s talk

สุวััสุดิีท่านผูอ่าน พบูกูันอีกูครืังในห้้วงทีปรืะเทศัไทยมีอุณัหภูมิสููงสุุดิ

ในรือบปีี ตามทีกูรืมอุตุนิยมวิิทยาไดิรืายงานเมือวัันที ๒๗ เมษายนทีผ่านมา

ว่่าเป็นวัันทีดิวังอาทิตย์ทำม ุม ๙๐ องศัากัับูเส้้นศููนย์สููตรืซึ่่งทำาใหปรืะเทศัไทย

ทีตรืงบูรืิเวัณัดิังกล่่าวมีีอุณัหภูมิสููงถึึง ๓๘ องศัาเซึ่ลเซึ่ียสุกูันเลยทีเดีียวั แน่นอน

ว่่าอากูาศัรือนกูารืใช้้ไฟฟ้าในแต่ละครััวัเรืือนก็็ทวีีมากูขึ น โดิยเฉัพาะเครืื องปรัับูอากูาศั

ซึ่่ งใช้้กำำล ังไฟสููง ทำาให้้รายจ่่ายค่าไฟฟ้าสููงขึ นเป็นเงาตามตัวั ปรืะกูอบูกูับู

สำำน ักูงานคณัะกูรืรืมกูารืกูำากูับูกูิจักูารืพลังงาน (กูกูพ.) ไดิมีมติใหปรัับูเพิม

ค่าไฟฟ้าผันแปรื หรืือ ค่า FT สำำาหรัับูกูารืเรีียกูเก็็บค่่าไฟฟ้าในรือบูเดืือนพฤษภาคม-

สิิงหาคม ๖๕ โดิยใหเรีียกูเก็็บูที ๒๔.๗๗ สุตางค์ต่อหน่วัย ส่่งผลใหอัตรืา

ค่าไฟฟ้าเฉัลียเพิมขึน ๒๓.๓๘ สุตางค์ต่อหน่วัย เป็น ๔.๐๐ บูาทต่อหน่วัย โดิย

ปัจัจััยหลักูทีส่่งผลกูรืะทบต่่อค่า FT มาจัากูควัามขัดิแยงรืะหว่่างรััสุเซึ่ีย-ยูเครืน

ซึ่่งส่่งผลต่อวิิกูฤตรืาคาพลังงานโลกูเพิมสููงขึนเป็นปรืะวััติกูารืณั์ ทำาใหตองปรัับู

สุมมติฐ์านกูารืปรืะมาณักูารค่่า FT ใหม่ อันเป็นปัจัจััยลบูเพิมเติมจัากูสุถีานกูารืณั์

ทีก๊๊าซึ่ธุ์รืรืมชัาติ (LNG) ในอ่าวัไทยลดิลงในช่่วังปลายสััมปทาน จัากปััจัจััยทังหมดิ

ทังมวัล อาจท ำาให้้การืใช้้ชีีวิิตปรืะจำำาวัันของท่านผู อ่านช่่วังนีไม่สุะดิวักูสุบูาย

อยู่บูาง ทังจัากค ่าไฟฟ้า ค่านำม ันเชัือเพลิง อีกูทังสุถีานกูารืณั์โควิิดิ-19 ก็็ยัง

ไม่คลีคลาย และกำำลัังจัะกูลายเป็นโรืคปรืะจำำถิ่่นในอนาคต (คาดิวั่าในหลายหน่วัยงาน

มีผูเป็นโรืคโควิิดิ-19 ไปแล้้วปรืะมาณั ๔๐ - ๖๐ เปอร์์เซึ่็นต์) ก็็ขอส่่งกำำลัังใจัให

ทุกท่่านอย่าไดิกูาร์์ดิตกู ลางมือดิวัยแอลกูอฮอล์อย่างสุมำาเสุมอ อย่าเผลอเอามือจัับู

บูรืิเวัณัใบูหนาบ่่อย ๆ เพือป้องกัันเชัือไวัรืัสุเขาสุู่รืะบูบูทางเดิินหายใจัและ

ทางเดิินอาหารื สำำาหรัับูในส่่วันของแนวัทางกูารืปรืะหยัดิไฟฟ้าโดิยสุรืุป ก็็คือกูารืงดิ

ใช้้ไฟฟ้าในอุปกูรืณั์ทีไม่จำำาเป็น ถีอดิปลักูไฟทุกูครืังเมือไม่ใช้้งาน และกูารืใช้้เครืือง

ปรัับูอากูาศัควัรืเปิดิหลังเวัลา ๔ ทุ่มทีอุณัหภูมิ ๒๖ องศัาเซึ่ลเซึ่ียสุ ก็็อาจัชั่วัย

ลดิรืายจ่่ายจัากูเจ้้าบิิลค่าไฟฟ้าตัวัดิีได้้

มาว่่าต่อทีวัารืสุารืหลักูเมืองทียังคงเดิินหนาท่ามกูลางอุณัหภูมิร้้อนแรืง

ในฉับูับูนี ยังคงอยู่เป็นเพื อนท่านผู อ่านในวัันทำางาน วัันหยุดิ และวัันหยุดพิิเศัษที มี

มากูมายในเดืือนพฤษภาคม ดิวัยบูทควัามของพรืะบูาทสุมเด็็จัพรืะปกูเกล ้า

เจ้้าอยู่หัวั พรืะมหากษ ัตริิย์พรืะองค์แรกที่่พรืะรืาชัทานรััฐ์ธุ์รืรืมนูญใหกูับูปวังชัน

ชัาวัไทย บูทควัามวัันฉััตรืมงคล ปรืะเดิิมตอนที ๑ ของ “สุายมู” ดิวัยบูทควัาม

เสุรืิมสิิริิมงคล สุะสุมแตมบุุญฯ ควัามรืู ด้้านกูฎหมาย และที ขาดิไม่ได้้ของเรืา

ในฐ์านะหนึงใน “วัารืสุารืสุายทหารื” คือบูทควัามสุถีานกูารืณั์ทางทหารื

ควัามมันคงทังภายในและต่างปรืะเทศั รืวัมทังขอมูลด้้านยุทโธุ์ปกูรืณั์ทีทันสมััยใน

โลกูดิิจิิทัล อัดิแน่นอยู่ภายในเล่ม ปิดท้้ายดิวัยขาปรืะจำำคืือ สุารืะน่ารืูทางกูารืแพทย์

และเสุรืิมทักูษะภาษาอังกูฤษ ทีอยู่คู่กูับูเรืามายาวันาน

ก่่อนที โรืคติดิเชัือไวัรืัสุโคโรืนา 2019 (โควิิดิ-19) กำำล ังจัะกูลายเป็น

โรืคปรืะจำำถิ่่น ขอใหทุกท่่านเตรีียมกูารืในกูารืใช้้ชีีวิิตในแนวัทาง New Normal

ดิวัยควัามรืะมัดิรืะวััง เรีียนรืูทีอยู่กูับูโรืคนีดิวัยควัามเขาใจั ทังกูารืรืะบูาดิตังแต่

กูารืใช้้ชีีวิิตปรืะจำำาวััน กูารืดิูแลตนเอง ศึึกูษาแนวัทางรัักูษาตนเองหากติิดิเชัือ เพือ

ใหเกิิดิผลกูรืะทบต่่อตนเองและครือบูครััวัใหนอยทีสุุดิ เป็นทีแน่นอนว่่านอยคน

จัะหลีกูเลียงสุถีานกูารืณั์นี หรืืออาจัไม่ปรืะสุบูพบูเจัอโรืคนี แต่ทุกูคนมีวิิธุ์ีทีจัะ

ก้้าวข ้ามผ่านสุถีานกูารืณั์นีไปได้้ ขอเป็นกำำล ังใจัใหทุกท ่านโชัคดีี แล้้วพบู

กัันใหม่...ฉับูับูหนา

๑๘

๑๒

พรืะบูาทสุมเด็็จัพรืะปกูเกล้้าเจ้้าอยู่หัวั...

พรืะมหากษััตริิย์ผูทรืงยึดิมันหลักูกูารืปรืะชัาธุ์ิปไตย

พรืะรืาชพิิธุ์ีฉััตรืมงคล :

พรืะรืาชพิิธุ์ีแห่งกูารืรืำลึึกูถีึงพรืะรืาชพิิธุ์ีบูรืมรืาชัาภิเษกู

๑๐

“๖ พฤษภาคม วัันกำำลัังสำำารือง” นอมรำำลึึกู

วัันตังกูองเสืือป่า หน่วัยกำำลัังปรืะชัาชันสนัับูสุนุนกูองทัพ

๑๒

เสุรืิมสิิริิมงคล สุะสุมแตมบุุญ รัับูพรืทัวัไทย (ตอนที ๑)

“เหล่าสุายบุุญ สุายมู”

๑๔

๑๗ ปี สำำนัักูงานแพทย์ สำำนัักูงานสนัับูสุนุน

สำำนัักูงานปลัดิกูรืะทรืวังกูลาโหม ๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕

๑๖

๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ครืบูรือบู ๓๗ ปี

โรืงงานวััตถุุรืะเบิิดิทหารื กูรืมกูารอุุตสุาหกูรืรืมทหารื

ศููนย์กูารอุุตสุาหกูรืรืมป้องกัันปรืะเทศัและพลังงานทหารื


๒๐

๓๐

๔๒

๓๔

๒๔

๔๖

๕๐

๕๒

๑๘

กลัับูหลังหัน...กัับพิิพิธุ์ภัณัฑ์์กูลาโหม

“นิทรืรืศักูารืครืบูรือบู ๑๗๑ ปี

จัอมพลและมหาอำามาตย์เอกู

เจ้้าพรืะยาสุุรืศัักดิ์์มนตรีี (เจิิม แสุง-ชููโต)

ภายในพิพิธุ์ภัณัฑ์์ศัาลาว่่ากูารืกูลาโหม”

๒๐

กูฎหมายเล่าเรืือง กูฎหมายว่่าดิวัย

กูารืคุมครืองขอมูลส่่วันบุุคคล (ตอนจับู)

๒๔

นักูรืบูตาลิบัันกัับูสุถีานกูารืณั์กูารืกู่อกูารืรืาย

ในปากีีสุถีาน “บูทบูาทกลุ่่มก่่อกูารืรืาย

Tehrik-E Taliban Pakistan: TTP”

๒๘

ยุทธุ์กูารืเสืือดำำาสุมรภููมิเขาคอ

ตอนที ๓ ศึึกูชัิงศัพทหารืพรืานค่ายปักูธุ์งชััย

๓๐

สมุุดิปกูขาวัของจีีน เรืือง “ควัามร่่วัมมือ

เพือกูารพััฒนารืะหว่่างปรืะเทศั

ของจีีนในยุคใหม่” (ตอนที ๔)

๓๔

จุุดยืืนทีแตกต่่าง

๓๖

ขอสัังเกูตและสุิงทาทาย สำำาหรัับู กูอ.รืมน.

ภาค ๔ ส่่วันหนา ในกูารืแก้้ไขปัญหา

จัังหวััดิชัายแดินภาคใต (ตอนที ๑)

๔๐

โครืงกูารืวัิจััยรืะบูบูเฝ้้าตรืวัจัแจ้้งเตือน

ในพืนทีเมืองดิวัยปัญญาปรืะดิิษฐ์์

แบูบูเคลือนที (Mobile AI)

๔๒

เมือตองอยู่กูับูโลกูดิิจิิทัล

๔๖

“3 NEW : สุิงทีคนไทยควัรืรืู เพือควัามอยู่่รอดิ

และควัามสำำาเร็็จัในชีีวิิตยุคหลังโควิิดิ-19

ท่ามกูลางกูารืกูำาเนิดิขึนของโลกูใหม่

บูนดิินแดินแห่ง METAVERSE” ตอนที ๒

ขอคิดิเห็นและบูทควัามที นำาลงในวัารืสุารืหลักูเมืองเป็นของผูเขียน มิใช่่ขอคิดิเห็นหรืือนโยบูายของหน่วัยงานของรััฐ์ และมิไดิผูกพััน

ต่อรืาชักูารืแต่อย่างใดิ สำำนัักูงานเลขานุกูารืสุำนัักูงานปลัดิกูรืะทรืวังกูลาโหม ถีนนสุนามไชัย เขตพรืะนครื กูรืุงเทพฯ ๑๐๒๐๐

โทรื./โทรืสุารื ๐-๒๒๒๕-๘๒๖๒ http://61.19.220.3/opsd/sopsdweb/index_1.htm

พิมพ์ที : บูรืิษัท ธุ์นอรุุณักูารพิิมพ์ จำำากูัดิ ๔๕๗/๖-๗ ถีนนพรืะสุุเมรุุ แขวังบูวัรืนิเวัศั เขตพรืะนครื กูรืุงเทพฯ ๑๐๒๐๐

โทรื. ๐-๒๒๘๒-๖๐๓๓-๔ โทรืสุารื ๐-๒๒๘๐-๒๑๘๗-๘

E-mail : thanaaroon19@gmail.com ออกูแบูบู : บูรืิษัท ธุ์นอรุุณักูารพิิมพ์ จำำากูัดิ

๕๖

๕๐

“Hyperbaric Oxygen (HBO)

Therapy อีกูหนึงวิิธุ์ีรัักูษาผูป่วัย...

ดิวัยออกูซึ่ิเจันบูรืรืยากูาศัสุูง”

๕๒

ภาษาอังกูฤษง่ายๆ สุไตล์ครููวัันดีี

What to do if you test

positive for COVID-19 ?

๕๔

สำำนัักูงานรััฐ์มนตรีี กูรืะทรืวังกูลาโหม

สุารืะสุรืรืพ “กูรืะทูถีาม” สำำคััญไฉัน

๕๖

แนะนำาอาวุุธุ์เพือนบ้้าน จัรืวัดินำาวัิถีี

อากูาศัสุู่อากูาศพิิสััยกูลาง แบูบูอาร์์-๒๗ (R-27)

๕๙

ภาพกิิจักูรืรืม


พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว...

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงยึดมั ่นหลักการประชาธิปไตย

พลโท ชัยวิทย์ ชยาภินันท์

ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ทรงเป็นพระมหา

กษัตริย์ไทยในช่วงของการเปลี่ยนผ่านระบอบการปกครอง

ของประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบการ

ปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

โดยทรงมีพระเมตตาต่อบ้านเมืองและประชาชนภายใต้ร่มเศวตฉัตร

จึงไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงใด ๆ ในบ้านเมือง กอปรกับพระองค์ทรง

มีพระราชวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลจึงทรงมีพระราชวินิจฉัยในการบริหาร

ราชการแผ่นดินจนลุล่วงไปด้วยดี

อย่างไรก็ตาม เมื่อคณะราษฎรซึ่งเป็นคณะผู้ถ่ายโอนพระราช

อำนาจมาสู่ประชาชน ได้บริหารราชการแผ่นดินมาระยะหนึ่ง ก็เกิด

ปัญหาความขัดแย้งของประชาชนในประเทศ และส่งผลมาสู่การ

กระทำที่ไม่ฟังพระราชดำรัสทัดทานการใช้อำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ

และในที่สุดวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ ก็เป็นวันที่ประชาชนชาวไทย

ต้องตื่นตระหนกที่ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสละ

ราชสมบัติ

ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ประชาชนชาวไทยรุ่นหลังที่รับทราบ

ข้อมูลเพียงด้านใดด้านหนึ่งและไม่ได้ศึกษาข้อมูลให้ถ่องแท้รอบด้าน

จึงถูกชักจูงและคล้อยตามไปในเจตนาของคณะบุคคลหรือบุคคลที่

มีความคิดเห็นที่แตกต่างออกไป ซึ่งอาจเกิดจากการรับข้อมูลจาก

แหล่งข้อมูลที่เอนเอียง (Bias) อาจจะเพราะแหล่งข้อมูลมีเจตนาที่

ไม่ต้องการให้เกิดความสงบสุขภายในประเทศ และอาจแสวง

ประโยชน์ในบางเรื่องที่ผู้เขียนไม่ขอกล่าวในที่นี้ และไม่ขอแสดง

ความเห็นใดที่จะนำมาซึ่งความไม่เข้าใจของประชาชนในชาติ

4

ซึ่งผู้เขียนก็ยังคงเห็นว่า ประชาชนชาวไทยทุกคนมีความสุจริตใจ

ที่ต้องการจะเห็นประเทศชาติ บ้านเมือง ได้รับการพัฒนาไปเพื่อ

ประโยชน์สุขของส่วนรวม และเห็นว่าโดยเนื้อแท้ของประชาชน

ชาวไทยทุกคนยังมีความรักและเจตจำนงที่ดีต่อประเทศ ตลอดจน

พร้อมที่จะหันหน้ามาร่วมกันหารือและหาทางออกของประเทศด้วย

สันติวิธี จึงขอใช้โอกาสนี้นำเสนอข้อมูลและอธิบายความตามความ

เป็นจริง ในสิ่งที่ประชาชนชาวไทยควรรู้และนำเรื่องราวในหลาก

หลายมุมมองไปวิเคราะห์และไขว่คว้าหาข้อมูลเพิ่มเติมมาประมวล

ให้ตกผลึกในความคิด แล้วบอกต่อไปยังประชาชนชาวไทยท่านอื่น ๆ

เพื่อให้เข้าใจในเรื่องที่ถูกต้องและเป็นธรรมต่อ พระบาทสมเด็จ

พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยมีสาระสำคัญ ๒ ช่วง กล่าวคือ

๑. ช่วงแรก : เหตุการณ์วันเปลี่ยนแปลงการปกครอง

ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ เมื่อคณะราษฎร ได้นำคณะ

นายทหารมาชุมนุม ณ บริเวณลานหน้าพระที่นั่งอนันตสมาคม

โดยอ้างว่า เป็นการฝึกยุทธวิธีทหารราบต่อสู้รถถัง ณ ลานพระบรมรูป

ทรงม้า หลังจากนั้น พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ก็อ่าน

ประกาศคณะราษฎร ท่ามกลางความตกตะลึงและงงงันสับสน

ของคณะนายทหารที่มาร่วมกิจกรรม

ต่อมา คณะราษฎรก็ได้ทำหนังสือกราบบังคมทูลฯ ว่าประสงค์

จะมีธรรมนูญการปกครองแผ่นดินและขอให้ พระบาทสมเด็จ

พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ภายใต้ธรรมนูญ

การปกครองแผ่นดิน ซึ่งเป็นการแจ้งให้ทราบว่า ขอให้มีเพียงธรรมนูญ

การปกครองแผ่นดิน หรือรัฐธรรมนูญฯ เท่านั้น แต่การที่บ้านเมือง

พลโท ชัยวิทย์ ชยาภินันท์


จะมีทิศทางการเดินทางไปอย่างไร ซึ่งแม้ว่าจะมีหลักการของคณะ

ราษฎร ๖ ประการ ตามที่ พันเอก พระยาพหลพลพยุหเสนา ก็อ่าน

ในประกาศคณะราษฎรข้างต้น ซึ่งก็เป็นเสมือนการโฆษณาในการ

หาเสียงที่กระทำกันในยุคต่อมา ซึ่งประกอบด้วย :-

ประการที่ ๑ จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่น

เอกราชในทางการเมือง ในทางศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของ

ประเทศไว้ให้มั่นคง

ประการที่ ๒ จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ

ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก

ประการที่ ๓ ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทาง

เศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวาง

โครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก

ประการที่ ๔ จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน

ประการที่ ๕ จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ

เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๔ ประการดังกล่าวข้างต้น

ประการที่ ๖ จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร

ทั้งนี้ หลักการ ๖ ประการ ที่คณะราษฎรได้ดำเนินการให้

ปรากฏและเห็นเป็นรูปธรรมก็มีอยู่เพียงประการเดียวคือ

ออกเค้าโครงเศรษฐกิจหรือสมุดปกเหลือง แต่ก็ไม่สามารถปฏิบัติได้

(ซึ่งผู้เขียนไม่ขอลงในรายละเอียด และท่านผู้อ่านสามารถสืบค้น

ข้อมูลได้) สำหรับอีกหลักการที่เหลือนั้น คงต้องยอมรับว่าบังเกิดผล

เป็นรูปธรรมจริงภายหลังปี พ.ศ.๒๕๐๐ ซึ่งเป็นยุคที่คณะราษฎร

(โดย หลวงพิบูลสงคราม ผู้นำคณะราษฎร) สูญสิ้นอำนาจไปแล้ว

และประเทศไทยได้มีการพัฒนาประเทศอย่างเต็มที่ ต่อเนื่องมาจน

ทัดเทียมนานาอารยประเทศดังในปัจจุบัน

“…ข้าพเจ้าเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณา

ประชาราษฎร์ ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อกัน ทั้งเพื่อจัดการโดย

ละม่อมละมัยไม่ให้ขึ้นชื่อว่าได้จลาจลเสียหายแก่บ้านเมือง และ

ความจริง ข้าพเจ้า ได้คิดอยู่แล้วที่จะเปลี่ยนแปลงทำนองนี้ คือ

มีพระเจ้าแผ่นดินปกครองตามพระธรรมนูญ จึงยอมรับที่จะช่วย

เป็น ตัวเชิด เพื่อให้คุมโครงการตั้งรัฐบาลให้เป็นรูปวิธีเปลี่ยนแปลง

ตั้งพระธรรมนูญโดยสะดวก เพราะว่าถ้าข้าพเจ้าไม่ยอมรับเป็น

ตัวเชิด นานาประเทศไม่ยอมรับรัฐบาลใหม่นี้ ซึ่งจะเป็นความลำบาก

ยิ่งขึ้นหลายประการ...”

จึงแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณต่อบ้านเมืองและพระราชวิสัยทัศน์ในการ

บริหารราชการแผ่นดินเป็นอย่างมาก กล่าวคือ

๑.๑ พระมหากรุณาธิคุณต่อประเทศและประชาชน

ชาวไทย ที่ทรงไม่มีพระราชประสงค์ให้เกิดการนองเลือดในแผ่นดิน

จากข้อความว่า “...ข้าพเจ้าเห็นแก่ความสงบเรียบร้อยของอาณา

ประชาราษฎร์ ไม่อยากให้เสียเลือดเนื้อกัน ทั้งเพื่อจัดการโดย

ละม่อมละมัยไม่ให้ขึ้นชื่อว่าได้จลาจลเสียหายแก่บ้านเมือง...”

หากท่านผู้อ่านได้ศึกษาพระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จ

พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒๕ มิถุนายน ๒๔๗๕ จะได้เห็นถึง

พระราชวิสัยทัศน์และพระมหากรุณาธิคุณอย่างชัดเจน จากความ

บางตอนในพระราชหัตถเลขา กล่าวคือ

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

๑.๒ พระราชวิสัยทัศน์ในการบริหารราชการแผ่นดิน

ใน ๒ ประการ คือ

๑.๒.๑ การพระราชทานรัฐธรรมนูญ พระองค์ทรงมี

พระราชประสงค์อย่างชัดเจนว่า ทรงมีแนวทางจะพระราชทาน

รัฐธรรมนูญให้แก่ประเทศอยู่ก่อนแล้ว และหากท่านผู้อ่านได้ศึกษา

ให้ชัดเจนต่อไปจะพบว่า พระองค์หารือกับคณะที่ปรึกษาในเรื่องการ

พระราชทานรัฐธรรมนูญหลายครั้งแล้ว แต่คณะที่ปรึกษาทั้งชาวไทย

และชาวต่างชาติยังเห็นว่าประเทศยังไม่พร้อมที่จะมีรัฐธรรมนูญใน

เวลานั้น อันเนื่องมาจากระบบการศึกษาของไทยยังอยู่ในระยะเริ่มต้น

5


และประสบกับปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำอันเนื่องมาจากการ

สิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ ๑

๑.๒.๒ การบริหารราชการแผ่นดิน พระองค์ทรง

แสดงให้สังคมไทยเห็นว่า การเปลี่ยนแปลงระบอบการ

ปกครองและมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ให้นานาชาติยอมรับนั้น

จำเป็นที่พระองค์จะต้องทรงรับรองสถานะของรัฐบาลไทยใน

สมัยนั้นก่อน เพราะประเทศไทยเป็นราชอาณาจักร (Kingdom)

พระราชอำนาจเป็นของพระมหากษัตริย์

ดังนั้น หากพระองค์ไม่ทรงรับรองก็จะทำให้รัฐบาลใหม่

ไม่มีสถานะให้ต่างชาติรับรองเช่นกัน ซึ่งหากเป็นเช่นนี้จะเกิด

สุญญากาศในทางการเมือง จากข้อความว่า “...จึงยอมรับ

ที่จะช่วยเป็นตัวเชิดเพื่อให้คุมโครงการตั้งรัฐบาลให้เป็นรูปวิธี

เปลี่ยนแปลงตั้งพระธรรมนูญโดยสะดวก เพราะว่าถ้าข้าพเจ้า

ไม่ยอมรับเป็นตัวเชิด นานาประเทศไม่ยอมรับรัฐบาลใหม่นี้

ซึ่งจะเป็นความลำบาก ยิ่งขึ้นหลายประการ...”

จึงเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรง

เข้าใจในการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์

ทรงเป็นประมุข การบริหารราชการแผ่นดิน และการ

วิเทศสัมพันธ์ ได้อย่างละเอียดและลึกซึ้งกว่าคณะราษฎร

หลายชั้น ซึ่งคณะราษฎรอ้างเพียงรัฐธรรมนูญฯ และการขาย

นโยบายที่สวยหรูบอกแก่ประชาชน แต่ในทางปฏิบัติต่อมาอีก

๒๕ ปี (พ.ศ.๒๔๗๕ - ๒๕๐๐) มีแต่การแย่งชิงอำนาจ และ

กำหนดนโยบายบริหารราชการแผ่นดินที่เกือบจะส่งผลให้

ประเทศต้องเป็นผู้พ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ ๒ มาแล้ว

๒. ช่วงแรก : เหตุการณ์วันสละราชสมบัติ

ผู้เขียนขออัญเชิญพระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จ

พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ ซึ่งเป็น

วันประกาศสละราชสมบัติ กล่าวคือ

“...นอกจากนี้ รัฐบาลได้ออกกฎหมายใช้วิธีปราบปราม

บุคคลซึ่งถูกหาว่าทำความผิดทางการเมืองในทางที่ผิด

ยุติธรรมโลก คือไม่ให้โอกาสต่อสู้คดีในศาล มีการชำระโดย

คณะกรรมการอย่างลับไม่เปิดเผย ซึ่งเป็นวิธีการที่ข้าพเจ้า

ไม่เคยใช้ในเมื่ออำนาจสิทธิขาดยังอยู่ในมือของข้าพเจ้าเอง

และข้าพเจ้าได้ร้องขอให้เลิกใช้วิธีนี้ รัฐบาลก็ไม่ยอม...

...ข้าพเจ้าเห็นว่าคณะรัฐบาลและพวกพ้อง ใช้วิธีการ

ปกครองซึ่งไม่ถูกต้องตามหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล

และหลักความยุติธรรมตามความเข้าใจและยึดถือของข้าพเจ้า

ข้าพเจ้าไม่สามารถที่จะยินยอมให้ผู้ใดคณะใดใช้วิธีการ

ปกครองอย่างนั้นในนามของข้าพเจ้าต่อไปได้...

6

พระราชหัตถเลขาของ ร.๗

...ข้าพเจ้าเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่แต่เดิมให้แก่

ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้า ไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้า

ให้แก่ผู้ใด คณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิ์ขาดและโดย

ไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร…

...บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่า ความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎร

มีสิทธิออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ

และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือ

หรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละ

ราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์แต่บัดนี้เป็นต้นไป...”

พลโท ชัยวิทย์ ชยาภินันท์


จะเห็นได้ว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงปริวิตก

และทรงวิปโยคพระราชหฤทัยเป็นอย่างยิ่งจากการกระทำของ

คณะราษฎรที่กระทำต่อประเทศและประชาชนกลุ่มที่มีความเห็น

แตกต่างกล่าวคือ

๒.๑ การกระทำของคณะราษฎรจะใช้พระราชอำนาจใน

การตรากฎหมายทำการบริหารราชการแผ่นดินและการปกครอง

ในรูปแบบที่คลาดเคลื่อนไปจากหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล และ

หลักความยุติธรรมซึ่งทั้งสองหลักนี้มีความเชื่อมโยงกันเป็นหลักการ

การปกครองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญที่อ้างอิงโดยฝ่าย

แบบเสรีนิยม ที่ถือว่า มนุษย์แต่ละคนมีเสรีภาพ (freedom) มาแต่

กำเนิด ด้วยเหตุผลที่ว่ามนุษย์แตกต่างจากสัตว์เดียรัจฉาน ก็คิดเป็น

ใช้เหตุผลเป็น และสร้างสรรค์เป็น ดังนั้น เสรีภาพนี้จึงต้องได้รับ

ความคุ้มครองตามหลักนิติธรรม (the rule of law) ที่ไม่ใช่การ

ปกครองโดยใช้อำนาจตามอำเภอใจของผู้ปกครอง (arbitrary rule)

และพึงจะต้องมีการตัดสินใจเป็นกลาง ไม่เอนเอียงเข้ากับฝ่ายใด

ฝ่ายหนึ่ง ดังนั้น ประชาชนทุกคนจะต้องมีความเสมอภาคกัน

ในสายตาของกฎหมาย (equality before the law) และจะต้องมี

เสรีภาพที่ปราศจากความหวาดกลัวว่าจะมีการใช้อำนาจตามอำเภอใจ

ของผู้ปกครอง (freedom from fear) ซึ่งเป็นที่มาของแนวคิด

ระบอบรัฐธรรมนูญ (constitutionalism) ตามหลักประชาธิปไตย

๒.๒ การที่คณะราษฎรไม่เปิดโอกาสให้ประชาชนใด้สิทธิ

ในการออกเสียงอย่างแท้จริง ซึ่งหลักการประชาธิปไตยนั้น

ต้องพิจารณาจากอำนาจอธิปไตยของปวงชนชาวไทย กล่าวคือ นอกจาก

ประชาชนจะต้องมีเสรีภาพที่มีการปกครองตามหลักนิติธรรมแล้ว

ยังจะต้องมีสิทธิทางการเมือง คือที่จะมีส่วนร่วมในการชี้ว่านโยบาย

ของประเทศด้วย แต่เมื่อพระองค์ได้ทรงทักท้วงแล้วแต่คณะราษฎร

ไม่ฟังเสียงทัดทานของพระองค์ (รายละเอียดในพระราชหัตถเลขา

ฉบับเต็ม หน้าที่ ๔)

พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยว่า

ทรงหมดหนทางที่จะช่วยเหลือ หรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชน

ได้ต่อไปแล้ว จึงทรงสละราชสมบัติและทรงออกจากตำแหน่ง

พระมหากษัตริย์ ตั้งแต่วันที่ ๒ มีนาคม ๒๔๗๗ เป็นต้นไป

ซึ่งการสละราชสมบัติในครั้งนี้เป็นการประกาศให้ประชาชนชาวไทย

และชาวโลกได้รับทราบว่า การที่บุคคลหรือคณะบุคคลดำเนินการ

ทางการเมือง และใช้อำนาจทางการเมืองโดยสิทธิ์ขาดและไม่ฟังเสียง

อันแท้จริงของประชาชนนั้น ได้สร้างความเสียหายให้แก่ประเทศชาติ

สังคม และประชาชนอย่างไร

ในที่สุด พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับใน

ต่างประเทศและทรงต้องหลบภัยสงครามโลกครั้งที่ ๒ ในหลายพื้นที่

และเสด็จสวรรคตอย่างเดียวดาย ในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๔๘๒

ณ ประเทศอังกฤษ แต่ยังคงสร้างแรงบันดาลใจให้แก่ประชาชนผู้มี

จิตใจเป็นประชาธิปไตยว่า พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรง

ยึดมั่นและทรงรักษาหลักการประชาธิปไตยไว้ แม้กระทั่งจะต้อง

ยอมสละราชสมบัติ และเสด็จสวรรคตในต่างประเทศอย่างเดียวดาย

ดังสามัญชนก็ตาม แต่ยังทรงยืนยันที่จะรักษาหลักการประชาธิปไตย

ให้คงอยู่เพื่อประชาชนชาวไทยตลอดกาล

และในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม ๒๕๖๕ เป็นวันคล้ายวันสวรรคต

ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้เขียนจึงขอเชิญชวน

พสกนิกรไทยทุกท่านร่วมน้อมเกล้าฯ รำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ

บูรพมหากษัตริย์แห่งพระราชวงศ์จักรี พระผู้ทรงยึดมั่นหลักการ

ประชาธิปไตย และทรงมอบสิทธิเสรีภาพให้แก่ปวงชนชาวไทย

ตลอดจนพระราชทานรัฐธรรมนูญให้เป็นหลักในการปกครอง

ประเทศและบริหารราชการแผ่นดินไทยตราบจนทุกวันนี้ เพื่อสร้าง

ความเจริญรุ่งเรือง ความผาสุกให้แก่ประเทศไทย และทรงยัง

ประโยชน์สุขให้แก่พสกนิกรชาวไทยด้วยกันทุกท่านเทอญ

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

7


พระราชพิธีฉัตรมงคล :

พระราชพิธีแห่งการรำลึกถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

พันเอกหญิง สมจิตร พวงโต

รองผู้อำนวยการกองเลขานุการ สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

วั

นที่ ๔ พฤษภาคม ๒๕๖๕ นับว่าเป็นวันสำคัญของชาติ

เพราะเป็นวันที่รำลึกถึงพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแห่งองค์

พระมหากษัตริย์แห่งพระราชวงศ์จักรี และเป็นวันที ่พสกนิกร

ชาวไทยต่างปลาบปลื้มและน้อมรำลึกในพระบรมเดชานุภาพ

แห่งพระมหากษัตริยาธิราชเจ้าแห่งพระราชวงศ์จักรี โดยถวายนาม

พระราชพิธีนี้ว่า พระราชพิธีฉัตรมงคล ซึ่งพจนานุกรมฉบับ

ราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๒๕ ได้ให้ความหมายของ

วันฉัตรมงคล หมายถึง พระราชพิธีฉลองพระเศวตฉัตรสิริราช-

กกุธภัณฑ์ พระแสงประจำรัชกาล ทำในวันซึ่งตรงกับวันบรม

ราชาภิเษกเสวยราชสมบัติตามราชประเพณี (ความหมายตาม

พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พุทธศักราช ๒๕๒๕)

สำหรับความเป็นมาของพระราชพิธีฉัตรมงคลในอดีตนั้น เริ่ม

มีในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔

กล่าวคือ ในห้วงเวลาก่อนหน้ารัชสมัยของพระบาทสมเด็จ

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ไม่มีพระราชพิธีฉัตรมงคลแต่เจ้าพนักงาน

ในพระราชฐานที่มีหน้าที่รักษาเครื่องราชูปโภคและทวารประตูวัง

8

ได้จัดให้มีการสมโภชสังเวยเครื่องราชูปโภคที่ตนดูแลรักษาเป็นประจ ำ

ในเดือนหกของทุกปี โดยทำเป็นพิธีส่วนตัวของเจ้าหน้าที่และ

ไม่ถือเป็นพิธีหลวง ต่อมาครั้นรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า

เจ้าอยู่หัว เสด็จขึ้นครองสิริราชสมบัติ ทรงมีพระราชดำริว่า นานา

อารยประเทศต่างให้ความสำคัญต่อวันคล้ายวันบรมราชาภิเษกว่า

เป็นวันมหามงคลสมัยที่ควรแก่การเฉลิมฉลองในประเทศที่มีพระเจ้า

แผ่นดินและมีการจัดพระราชพิธีเฉลิมฉลองวันบรมราชาภิเษก

จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ถือว่าวันคล้ายวันพระราชพิธี

บรมราชาภิเษกนั้น เป็นวันนักขัตฤกษ์มงคลกาลและสมควรที่จะมีการ

สมโภชพระมหาเศวตฉัตรให้เป็นสวัสดิมงคลแก่ราชสมบัติ โดยทรง

ประกอบพระราชพิธีฉัตรมงคลขึ้นเป็นครั้งแรก ในวันบรมราชาภิเษก

เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๓๙๓ และทรงมีพระราชดำริว่า พระราช

พิธีนี้เป็นพิธีใหญ่ แต่เนื่องจากเป็นธรรมเนียมใหม่และยากต่อการ

เข้าใจ อีกทั้งเผอิญที่วันบรมราชาภิเษกไปตรงกับวันสมโภชเครื่อง

ราชูปโภคที่มีแต่เดิม จึงทรงอธิบายว่า วันฉัตรมงคลเป็นวันสมโภช

เครื่องราชูปโภค จึงไม่มีใครติดใจสงสัย ทั้งยังทรงพระกรุณา

พันเอกหญิง สมจิตร พวงโต


โปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้มีการเฉลิมฉลองโดย

นิมนต์พระสงฆ์มาสวดเจริญพระพุทธมนต์ในวันขึ้น ๑๓ ค่ ำ

เดือน ๖ สำหรับในวันรุ่งขึ้นก็ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ

ให้มีการถวายภัตตาหารแด่พระสงฆ์ ณ พระที ่นั่งดุสิต

มหาปราสาท ด้วยเหตุนี้เองจึงถือได้ว่ามีการเฉลิมฉลอง

พระราชพิธีฉัตรมงคลเป็นครั้งแรกของกรุงรัตนโกสินทร์

ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า

เจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรด

กระหม่อมให้จัดพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในเดือน

พฤศจิกายน (เดือน ๑๒) ทั้ง ๒ ครั้ง กล่าวคือ ครั้งแรก

เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๔๑๑ และ ครั้งที่ ๒ เมื่อ

วันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๑๖ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้า

โปรดกระหม่อมให้จัดงานฉัตรมงคลในเดือน ๑๒

แต่ไม่ได้รับการยินยอมจากผู้ใหญ่ในยุคนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรง

สถาปนาเครื่องราชอิสริยาภรณ์ โดยพระราชทานนาม

ว่า “เครื่องราชอิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า” เพื่อเป็น

เครื่องหมายแสดงอิสริยยศและเพื่อระลึกถึงความดี

ความชอบของท่านผู้ใหญ่ที่ได้รักษาแผ่นดินมาแต่ก่อน

และผู้ที่ได้ทำนุบำรุงแผ่นดิน และทรงพระราชทาน

เครื่องราชอิสริยาภรณ์นี้ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน

๒๔๑๖ โดยให้เลื่อนงานพระราชพิธีฉัตรมงคลมาตรงกับ

วันบรมราชาภิเษก แต่ยังให้รักษาประเพณีสมโภชเครื่อง

ราชูปโภคอยู่ตามเดิม และรูปแบบงานวันฉัตรมงคลจึง

เป็นเช่นนี้ตราบจนถึงปัจจุบัน

สำหรับเครื่องมงคลสิริเบญจราชกกุธภัณฑ์ หรือ

เครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์นั้น เป็นเครื่องแสดงพระราช

อิสริยศักดิ์แห่งความเป็นสมเด็จพระมหากษัตริยาธิราช

โดยพระมหาราชครูผู้ใหญ่นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายในขณะ

ประทับพระที่นั่งภัทรบิฐในพระราชพิธีบรมราชาภิเษก

ซึ่งประกอบด้วย พระมหาพิชัยมงกุฎ พระแสงขรรค์ชัยศรี

ธารพระกรชัยพฤกษ์ พัดวาลวิชนีและพระแส้จามรี

ฉลองพระบาทเชิงงอน

สำหรับกิจกรรมที่ประชาชนควรปฏิบัติในวัน

ฉัตรมงคล ได้แก่ การทำบุญตักบาตร ถวายเป็นพระราช

กุศล เพื่อเป็นมงคลแก่ชีวิต ถวายพระพรชัย ประดับ

ธงชาติตามอาคารบ้านเรือน ร่วมทำความดี ปลูกต้นไม้

กิจกรรมจิตอาสา หรือการช่วยเหลือสังคมในรูปแบบ

ต่าง ๆ

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

9


“๖ พฤษภาคม วันกำลังสำรอง”

น้อมรำลึกวันตั้งกองเสือป่ า หน่วยกำลังประชาชนสนับสนุนกองทัพ

หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน

ระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖

ทรงตระหนักถึงภัยที่มาจากการรุกรานชาติบ้านเมือง

โดยชนชาติตะวันตก พระองค์ได้ทรงกำหนดอุดมการณ์ของพระราช

อาณาจักรสยามขึ้น โดยกำหนดให้มี ๓ สถาบันหลัก คือ “ชาติ

ศาสนา พระมหากษัตริย์” ซึ่งถือเป็นนโยบาย ส่วนเครื่องมือที่จะ

ปลูกฝังจิตสำนึกของประชาชนต่อทั้งสามสถาบันนี้ ก็คือ “กิจการ

เสือป่า” และ “ลูกเสือ” ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าเป็นการถือกำเนิด

ของกิจการกำลังสำรองอย่างเป็นทางการ

“เสือป่า” ถือกำเนิดขึ้นเมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พุทธศักราช

๒๔๕๔ เพื่อเปิดโอกาสให้คนไทยที่มิได้รับราชการทหาร เข้ารับการ

ฝึกอบรมให้มีจิตใจรักชาติบ้านเมือง มีกำลังร่างกายแข็งแรง มีความรู

ในเรื่องอาวุธและวิธีการรบ ตลอดจนเป็นผู้มีระเบียบวินัย และเป็น

ผู้นำที่ดี

หลังจากที่ได้ตั้งเสือป่าแล้ว พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า

เจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานกำเนิดกิจการ “ลูกเสือ” ขึ้นอีก โดยมี

วัตถุประสงค์เช่นเดียวกับเสือป่า จะผิดกันก็ที่ “วัย” ของผู้เข้ารับ

การฝึกตามกระแสพระราชปรารภของพระองค์ว่า “กองเสือป่า ก็ได้

จัดตั้งขึ้นเป็นหลักเป็นฐานแล้ว แต่ผู้ที่เป็นเสือป่านั้นเป็นผู้ใหญ่แล้ว

10

ฝ่ายเด็กผู้ยังอยู่ในปฐมวัยก็สมควรจะได้รับการฝึกฝนด้วยเช่นกัน”

จึงได้เกิดกิจการลูกเสือขึ้น เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม พุทธศักราช

๒๔๕๔ และถือเป็นวันกำเนิดลูกเสือแห่งชาติจนทุกวันนี้

จะเห็นได้ว่าวัตถุประสงค์ในการตั้งกองเสือป่า และกองลูกเสือ

นั้น ก็เพื่อผลิตบุคลากรทั้งที ่เป็นเด็กและผู้ใหญ่ ที่มีความรู้ความ

สามารถในวิชาทหาร มีร่างกายและจิตใจที่พร้อมจะร่วมต่อสู้เพื่อ

ช่วยกัน “รักษาดินแดน” รักษาอธิปไตยของชาติ แม้ว่าภายหลังการ

เสด็จสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในปี

พุทธศักราช ๒๔๖๘ ได้ทำให้กิจการเสือป่าสิ้นสุดลง แต่ “หัวใจ”

ของภารกิจนั้นยังคงอยู่ เช่นเดียวกับกิจการลูกเสือที่ยังคงด ำเนินการ

มาตราบจนปัจจุบัน จึงนับได้ว่าพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า

เจ้าอยู่หัว ทรงเป็น “พระบิดาแห่งกิจการกำลังสำรองของไทย”

อย่างแท้จริง

ปัจจุบันประเทศไทยมีการสร้างพลังอำนาจทางทหารเช่นเดียว

กับประเทศอื่น ๆ คือ มีการจัดกำลังกองทัพประจำการไว้ส่วนหนึ่ง

ในอัตราที่พอเพียงแก่การป้องกันประเทศ และเตรียมกำลังสำรอง

ไว้อีกส่วนหนึ่ง เพื่อพร้อมที่จะใช้ทดแทนกำลังที่สูญเสียและสามารถ

ขยายกำลังกองทัพได้ทันทีเมื่อจำเป็น ทั้งนี้ กำลังสำรองยังช่วย

หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน


สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของรัฐบาลและกองทัพในยามปกติ

เพื่อแก้ไขปัญหาและเสริมสร้างความมั่นคงภายในประเทศ อาทิ

การช่วยเหลือประชาชน สังคม และการบรรเทาสาธารณภัย ฯลฯ

จึงกล่าวได้ว่ากำลังสำรองเป็นพลังสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างศักยภาพ

ของชาติให้เจริญรุ่งเรืองได้ในทุกมิติ

“กำลังสำรอง” หมายถึง กำลังที่มิใช่กำลังทหารประจำการ

และทหารกองประจำการ ที่เตรียมไว้สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจ

ตามอำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งได้แก่ กำลังกึ่งทหาร

กลุ่มพลังมวลชนจัดตั้งกลุ่มพลังมวลชนอื่น กำลังพลสำรองที่เป็น

ทหารกองเกินและทหารกองหนุนตามกฎหมายว่าด้วยการ

รับราชการทหาร และกำลังพลสำรองตามกฎหมายว่าด้วยกำลังพล

สำรอง

๑. กำลังพลสำรอง หมายถึง บุคคลซึ่งเป็นกำลังสำรองประเภท

หนึ่งตามกฎหมายว่าด้วยการจัดระเบียบข้าราชการกระทรวง

กลาโหมที่มีการบรรจุในบัญชีบรรจุกำลังตามกฎหมายว่าด้วย

กำลังพลสำรอง อาทิ ทหารกองหนุนที่สำเร็จการฝึกวิชาทหาร ชั้น

ปีที่ ๓ และชั้นปีที่ ๕ พลทหารกองประจำการที่รับราชการครบระยะเวลา

ที่กฎหมายกำหนด และข้าราชการทหารที่ลาออกจากราชการ

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

ซึ่งคนกลุ่มนี้เป็นกำลังสำรองที่กองทัพ สามารถนำมาใช้ในภารกิจ

ทางทหาร และยังสามารถสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของกระทรวง

กลาโหมได้ตามที่กฎหมายกำหนด

๒. กำลังกึ่งทหาร หมายถึง กำลังในส่วนที่บรรจุเข้าในหน่วย

ตามอัตราการจัดและยุทโธปกรณ์ (อจย.) ในลักษณะคล้ายคลึงกับ

หน่วยทหาร มีขีดความสามารถเข้าทำการรบได้ในระดับหนึ่ง อาทิ

อาสาสมัครทหารพราน (อส.ทพ.), อาสารักษาดินแดน (อส.), ตำรวจ

ตระเวนชายแดน (ตชด.) เป็นต้น

๓. กลุ่มพลังมวลชนจัดตั้ง หมายถึง กลุ่มพลังมวลชนที่มีการ

จัดตั้งตามพระราชบัญญัติ กฎกระทรวง ข้อบังคับ และมติคณะ

รัฐมนตรี ที่เกี่ยวข้อง เช่น สหพันธ์สมาคมสตรีอาสาสมัครรักษาดินแดน

แห่งประเทศไทย ในพระอุปถัมภ์ฯ กลุ่มกองหนุนเพื่อความมั่นคง

ของชาติ (กนช.) กลุ่มไทยอาสาป้องกันชาติ (ทส.ปช.) เป็นต้น

๔. กลุ่มพลังมวลชนอื่น หมายถึง กลุ ่มพลังมวลชนที่มีการจัดตั้ง

นอกเหนือจากข้อ ๓ เช่น กลุ่มพลังมวลชนที่จัดตั้งโดยองค์กรหรือ

ส่วนราชการต่าง ๆ

จากที่ได้กล่าวไปข้างต้นจะเห็นได้ว่า กำลังสำรอง เป็นกำลังที่

ประกอบขึ้นจากบุคคลที่มาจากทุกสถานภาพที่ต่างมีเป้าหมาย

เดียวกัน คือ มีจิตสำนึกรักชาติ และมีเจตนารมณ์ที่จะสนับสนุน

ภารกิจของกองทัพ ด้วยการอาสาเข้าร่วมกับกลุ่มต่าง ๆ ที่ได้ก่อตั้งขึ้น

การรวมกลุ่มเหล่านี้ก่อให้เกิดพลังมหาศาลที่สรรค์สร้าง

ประโยชน์ให้แก่บ้านเมือง เป็น “กำลังประชาชนที่สามารถสนับสนุน

กองทัพ” ได้ตามพระบรมราโชบายของพระบาทสมเด็จ

พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

เพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติและน้อมรำลึกในพระมหา

กรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้

พระราชทานกำเนิดกองเสือป่า เมื่อวันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ.๒๔๕๔

อันเป็นรากฐานของกิจการกำลังสำรอง คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติ

เมื่อวันที่ ๔ ตุลาคม พ.ศ.๒๕๔๘ อนุมัติให้วันที่ ๖ พฤษภาคมของทุกปี

เป็น “วันกำลังสำรอง” ซึ่งถือเป็นวันสำคัญของกระทรวงกลาโหม

เพื่อกระตุ้นความตระหนักรู้ถึงความสำคัญและหน้าที่ในการเป็น

กำลังสำรองของชาติ และร่วมใจกันลงมือทำภารกิจที่จะสนับสนุน

ความเจริญก้าวหน้าและความมั่นคงของประเทศชาติสืบไป

โดยในปี พ.ศ.๒๕๖๕ หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน ได้

กำหนดจัดกิจกรรมเพื่อให้กลุ่มพลังมวลชนในนาม “กำลังสำรอง”

ได้มารวมตัวกัน ภายใต้มาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรค

ติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ณ กองบัญชาการหน่วย

บัญชาการรักษาดินแดน ถนนเจริญกรุง เขตพระนคร กรุงเทพฯ

โดยมี พลโท วสุ เจียมสุข ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการ

รักษาดินแดน เป็นประธานในพิธี

11


เสริมสิริมงคล

สะสมแต้มบุญ รับพรทั

“เหล่าสายบุญ สายมู”

่วไทย (ตอนที ่ ๑)

สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

ารสารหลักเมืองฉบับนี้ จะขอเชิญชวนสมาชิกสายบุญ

สายมูมาสักการะวัดใกล้ ๆ กับกรุงเทพมหานครนี่เอง โดยจะ

นำไปพบกับตำนานความศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองแม่กลอง จังหวัด

สมุทรสงคราม นั่นคือ วัดจุฬามณี ซึ่งเป็นที่ประดิษฐานของ “ท้าว

เวสสุวรรณ” องค์แรกแห่งลุ่มแม่น้ำกลอง ซึ่งวัดนี้เป็นวัดโบราณ ที่ตั้งอยู่

ริมฝั่งคลองอัมพวา สร้างขึ้นมาตั้งแต่ในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย

ตรงกับรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททอง สันนิษฐานว่าสร้างขึ้น

ระหว่างปี พ.ศ.๒๑๗๒ - ๒๑๙๐ ท้าวแก้วผลึก (น้อย) เป็นผู้หญิง

12

นายตลาดบางช้าง ต้นวงศ์ราชินิกุลบางช้างเป็นผู้สร้างขึ้น จนทำให้

วัดนี้เป็นวัดที่โด่งดัง สวยงาม และเป็นที่ร่ำลือถึงความศรัทธาใน

โลกโซเชียลจนทำให้มีผู้คนจำนวนมากหลั่งไหลมาสักการะ โดยเมื่อ

มาเยี่ยมชมวัดนี้สิ่งที่ไม่ควรพลาดที่จะต้องมาสักการะจะเริ่มต้นที่...

• สังขารที่ไม่เน่าเปื่อย ของ หลวงพ่อเนื่อง โกวิท อดีต

เจ้าอาวาส ที่ใครไปเยือนก็ต้องไปสักการะ

• ความสวยงามของ โบสถ์จัตุรมุขหินอ่อน มีขนาดกว้าง

๔๐ เมตร ยาว ๘๐ เมตร ประดับประดา ด้วยโคมไฟ บริเวณ

สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม


พื้นโบสถ์จะปูด้วยหยกสีเขียวจากเมืองการาจี ประเทศปากีสถาน

ภายในก็จะประดิษฐานพระประธานบนฐานสูง บานหน้าต่าง

ด้านนอกลงรักฝังมุก เป็นภาพตราพระราชลัญจกร ตั้งแต่

รัชกาลที่ ๑ มาจนถึงรัชกาลปัจจุบัน อีกทั้งยังมีพระนามาภิไธย

ของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนี

พันปีหลวง และพระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนภาพเครื่องอิสริยาภรณ์

ชั้นต่าง ๆ ด้วยเช่นกัน ส่วนผนังด้านในโบสถ์นั้น ก็จะมีภาพจิตรกรรม

ฝาผนังเกี่ยวกับพุทธประวัติและนิทานชาดก ที่ใช้เวลาในการวาด

นานถึง ๖ ปี และ

• องค์ท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณโณ หรือ ท้าวกุเวร ที่ตามความเชื่อ

ของพุทธศาสนามีถึงสี่ภาค ดลบันดาลให้ลูกศิษย์ และผู้ที่มีความ

ศรัทธาได้ดั่งใจหวังมาแล้วมากมาย ซึ่งท้าวเวสสุวรรณเป็น ๑ ใน ๔

ของท้าวจตุโลกบาลที่ทำหน้าที่รักษาทิศทั้ง ๔ ในสวรรค์

ชั้นแรก ซึ่งท้าวเวสสุวรรณที่วัดจุฬามณีแห่งนี้ จะแตกต่างจาก

วัดอื่น เพราะมีอยู่ด้วยกันถึง ๔ ปาง

นอกจากนี้ วัดจุฬามณียังเป็นสถานที่เช่าบูชารัตนมงคล

ที่มีชื่อเสียงเรื่องวัตถุมงคล ของขลัง ของนำโชค ท่านผู้อ่าน

สามารถเช่าวัตถุมงคล บูชาเพื่อเสริมสิริมงคลกันได้ และนี่คือ

“วัดจุฬามณี” จังหวัดสมุทรสาคร อีกหนึ่งวัดดังและศักดิ์สิทธิ์

ใกล้กรุงเทพมหานครและยังอยู่ใกล้สถานที่ท่องเที่ยวอย่าง

ตลาดน้ำอัมพวา ตลาดร่มหุบ ตลาดแม่กลอง ฯลฯ บอกเลยว่า

ถ้าพลาดแล้วต้องเสียใจอย่างแน่นอน

เหล่าสายบุญ สายมู เพื่อเสริมสิริมงคล อำนาจบารมี

โชคลาภ ความสำเร็จ เสริมปีชง และขอพรให้สิ่งดี ๆ เข้ามา

ในชีวิต ผู้เขียน นำคาถาบูชาท้าวเวสสุวรรณ วัดจุฬามณี

มาฝากกัน

(ตั้งนะโม ๓ จบ)

อิติปิ โส ภะคะวา ยมมะราชาโน ท้าวเวสสุวรรณโณ

มะระณัง สุขัง อะหัง สุคะโต นะโม พุทธายะ

ท้าวเวสสุวรรณโณ จาตุมะหาราชิกา ยักขะพันตาภัทภูริโต

เวสสะ พุสะ พุทธัง อะระหัง พุทโธ ท้าวเวสสุวรรณโณ นะโม พุทธายะ

อย่างไรก็ตาม การกราบไหว้ท้าวเวสสุวรรณ เพื่อขอพรเรื่อง

โชคลาภ การประสบความสำเร็จ หรือการคุ้มครองภยันตราย

ถือเป็นการเสริมขวัญและกำลังใจส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน แต่ก็ต้อง

ทำควบคู่ไปกับการทำความดี อยู่ในสัมมาอาชีพ ประพฤติตนอยู่ใน

ศีลธรรม ไม่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ผู้อื่น แล้วสิ่งดี ๆ ก็จะเข้ามา

ในชีวิตของเราอย่างแน่นอน

อ้างอิง: http://travel.trueiq.net, http:llmgrohline.com

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

13


๑๗ ปี สำนักงานแพทย์

สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

๙ พฤษภาคม ๒๕๖๕

สำนักงานแพทย์

สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

สำ

พลตรี พจน์ เอมพันธ์ุ

ผู้อำนวยการสำนักงานแพทย์ฯ

หรับผลการปฏิบัติงานที่ผ่านมา สำนักงานแพทย์ฯ ได้ร่วมกับ

ศูนย์บัญชาการกระทรวงกลาโหม ศูนย์ปฏิบัติการบริหาร

สถานที่กักกันโรคแห่งรัฐของกระทรวงกลาโหม กระทรวง

สาธารณสุข โรงพยาบาลมงกุฎวัฒนะ และทุกภาคส่วน ดำเนินการ

ตามมาตรการป้องกันและสนับสนุนการแก้ไขปัญหา การแพร่ระบาด

ของเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ของสำนักงานปลัด

กระทรวงกลาโหม พร้อมทั้งปฏิบัติงานด้านนโยบายทางการแพทย์

และได้สร้างสรรค์กิจกรรมต่าง ๆ ทางด้านสุขภาพ ซึ่งก่อให้เกิด

ประโยชน์แก่กำลังพล สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และ

ครอบครัว รวมถึงจัดบุคลากรทางการแพทย์ ดำเนินการฉีดวัคซีน

ป้องกันเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19) ในที่ตั้งและนอก

ที่ตั้งหน่วย อย่างต่อเนื่อง

สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวง

กลาโหม เป็นหน่วยงานสำคัญอีกหน่วยงานหนึ่งที่เป็นหน่วยขึ้นตรง

ของสำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มีหน้าที่หลัก

ในการให้บริการทางด้านการแพทย์แก่กำลังพล และครอบครัว

ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตลอดระยะเวลา ๑๖ ปี

ที่ผ่านมาสำนักงานแพทย์ฯ ได้มีการพัฒนาศักยภาพและเติบโต

อย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของบุคลากร เครื่องมือทางด้านการแพทย์

อาคารสถานที่ และวิสัยทัศน์ในการปฏิบัติงานตามภารกิจที่

ได้รับมอบหมายของโครงการต่าง ๆ ตามนโยบายผู้บังคับบัญชา

และความเปลี่ยนแปลงตามสภาพสังคมปัจจุบัน

14

สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม


ด้านงานส่งเสริมและเวชกรรมป้องกัน สำนักงานแพทย์ ยังมี

ส่วนในการส่งเสริมและป้องกัน สร้างภูมิคุ้มกันด้านสุขภาพแก่กำลังพล

ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และมีส่วนร่วมในการสร้าง

เครือข่ายของชุมชนรอบสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

สนับสนุนการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

(COVID-19) และสอนอาจารย์ในการทำ ATK ให้กับนักเรียนชั้น

มัธยมศึกษาตอนปลาย โรงเรียนนวมินทราชินูทิศ หอวังนนทบุรี

สนับสนุนการตรวจคัดกรองโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019

(COVID-19) ผู้เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายสัตย์ปฏิญาณของ

ตุลาการศาลทหารสูงสุดตุลาการศาลทหารกลาง และตุลาการ

ศาลทหารชั้นต้น ก่อนเข้ารับตำแหน่งหน้าที่

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

การพัฒนาเทคโนโลยีและเครื่องมือที่ทันสมัยในการให้บริการ

ทางการแพทย์ ปัจจุบันสำนักงานแพทย์ฯ ได้รับการสนับสนุน

งบประมาณในการจัดหาเครื่องมือและอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่ทันสมัย

เพื่อให้กำลังพลและครอบครัวในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

ได้เข้าถึงบริการทางการแพทย์ที่ทันสมัย ทันต่อสถานการณ์โรค

ในปัจจุบัน ได้แก่ เครื่องเลเซอร์พลังงานต่ำในการรักษาด้าน

กายภาพบำบัด ระบบฟอกอากาศหมุนเวียนให้อากาศบริสุทธิ์และ

เครื่องเอกซเรย์สำหรับงานทันตกรรม เครื่องมือทางจักษุกรรม

เป็นต้น

จากภารกิจในการให้บริการทางการแพทย์ ทั้งในและนอก

ที่ตั้งหน่วย รวมให้บริการแก่กำลังพลและครอบครัว จำนวนกว่า

๒๕,๐๐๐ ราย ในรอบปีที่ผ่านมานั้น ในปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๕

สำนักงานแพทย์ฯ มุ่งเน้นการทำงานเชิงรุก ให้ความสำคัญในภารกิจหลัก

คือให้การดูแลสุขภาพกำลังพลสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

และครอบครัว รวมถึงประชาชนทั่วไป และปฏิบัติภารกิจตาม

นโยบายผู้บังคับบัญชา

จากการที่สำนักงานแพทย์ฯ ได้พัฒนาองค์กร ทั้งในด้านการนำ

องค์ความรู้ ประสบการณ์และการบริหารจัดการที่มุ่งเน้นมาตรฐาน

และผลสัมฤทธิ์ของงานมาดำเนินการ ส่งผลให้สำนักงานแพทย์

สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ภายใต้ความ

ร่วมมือของโรงพยาบาลพระมงกุฎเกล้า กรมแพทย์ทหารบก

กรมแพทย์ทหารเรือ กรมแพทย์ทหารอากาศ สำนักงานแพทย์ทหาร

กองบัญชาการกองทัพไทย และความร่วมแรงร่วมใจของกำลังพลใน

สังกัดทุกนาย สามารถตอบสนองและปฏิบัติภารกิจได้อย่าง

มีประสิทธิภาพ ต่อเนื่องทันต่อเหตุการณ์ในปัจจุบัน และในโอกาส

อันดีที่สำนักงานแพทย์ฯ ได้ดำเนินงานมา ครบ ๑๗ ปี ในวันที่ ๙

พฤษภาคม ๒๕๖๕ นี้

ข้าราชการในหน่วยงานทุกนาย ยังคงมุ่งมั่นในอันที่จะพัฒนา

ศักยภาพและปฏิบัติภารกิจที่ได้รับมอบหมาย อย่างเต็มกำลังความ

สามารถ โดยมี พลตรี พจน์ เอมพันธุ์ ผู้อำนวยการสำนักงานแพทย์

สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้บังคับ

บัญชารับผิดชอบ

15


๑๓ พฤษภาคม ๒๕๖๕ ครบรอบ ๓๗ ปี

โรงงานวัตถุระเบิดทหาร กรมการอุตสาหกรรมทหาร

ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร

โรงงานวัตถุระเบิดทหาร กรมการอุตสาหกรรมทหาร

ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร

พลตรี กานต์นาท นิกรยานนท์

ผู้อำนวยการโรงงานวัตถุระเบิดทหาร กรมการอุตสาหกรรมทหาร

ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร

ความเป็นมา

รงงานวัตถุระเบิดทหารฯ ก่อตั้งในปี พ.ศ.๒๕๒๔ กระทรวง

กลาโหม ได้จัดทำโครงการจัดตั้ง โดยคณะรัฐมนตรีมีมติอนุมัติให้

กระทรวงกลาโหมจัดตั้งโรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ เมื่อ ๓๐ มีนาคม

๒๕๒๕ โดยว่าจ้าง บริษัท โนเบลวัตถุระเบิด จำกัด จากสหราช

อาณาจักร เป็นผู้ดำเนินการก่อสร้างโรงงาน ในระบบ TURNKEY

BASIS ๒ สัญญา เพื่อผลิตดินส่งกระสุนชนิดฐานเดี่ยวและชนิดฐานคู่

ในปี ๒๕๒๘ ถึงปี ๒๕๓๕ ในวงเงิน ๓,๑๓๔.๓ ล้านบาท และ

ในปีงบประมาณ ๒๕๕๒ - ๒๕๕๕ โรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ ได้รับ

การถ่ายทอดเทคโนโลยีจากบริษัท IMI ประเทศอิสราเอล ให้สามารถ

ผลิตดินส่งกระสุนชนิดฐานสาม ตามโครงการผลิตดินส่งกระสุน

ปืนใหญ่ ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร ชนิดเปลือกแข็ง แบบโมดุลล่าร์

จึงทำให้โรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ สามารถผลิตดินส่งกระสุนได้ครบ

ทั้งฐานเดี่ยว ฐานคู่ และฐานสาม

โรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ ตั้งอยู่ริมทางหลวงสายเอเชีย

ระหว่างหลักกิโลเมตรที่ ๓๑๙ และ ๓๒๐ หมู่ ๔ บ้านบางปราบ

ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ มีพื้นที่ประมาณ

๒,๗๕๐ ไร่ เป็นพื้นที่โรงงาน ๑,๐๕๒ ไร่ อีกประมาณ ๑,๔๒๘ ไร่

เป็นอาคารสำนักงาน บ้านพักและพื้นที่ใช้ประโยชน์อื่น ปัจจุบัน

สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ขอใช้พื้นที่ของโรงงานวัตถุระเบิด

ทหารฯ จำนวน ๒๗๐ ไร่ เพื่อก่อสร้างกลุ่มโรงปฏิบัติการและวิจัย

พัฒนา

16

โรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ มีหน้าที่ดำเนินการผลิตวัตถุระเบิด

และกระสุน วิจัยและพัฒนา เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ให้แก่

ส่วนราชการกระทรวงกลาโหม ส่วนราชการอื่นและเอกชน ทั้งภายใน

และภายนอกประเทศ ตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด มี

ผู้อำนวยการโรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ

ภารกิจ

โรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ มีหน้าที่ดำเนินการผลิตวัตถุระเบิด

และกระสุน วิจัยและพัฒนา เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ให้แก่

ส่วนราชการกระทรวงกลาโหม ส่วนราชการอื่นและเอกชน

ทั้งภายในและภายนอกประเทศตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด

วิสัยทัศน์

เป็นหน่วยงานที่ได้รับการยอมรับในมาตรฐานของผลิตภัณฑ์

และประสิทธิภาพการบริหารจัดการด้านการผลิตดินส่งกระสุนและ

กระสุนปืนสนองตอบกองทัพ เพื่อการพึ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน

ขีดความสามารถ

โรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ ผลิตดินส่งกระสุนชนิดฐานเดี่ยว

และฐานคู่ โดยใช้สารละลายเป็นส่วนผสมและอัดขึ้นรูปตาม

มาตรฐาน US. และ/หรือ NATO ซึ่งขีดความสามารถในการผลิต

ดินส่งกระสุน ตามการออกแบบโรงงานสามารถผลิตดินส่งกระสุน

ปีละ ๓๗๒ ตัน โดยแยกเป็นฐานเดี่ยว ๓๐๐ ตัน ฐานคู่ ๗๒ ตัน

หรือ PASTE ๓๐๐ ตัน/ปี เวลาการทำงาน ๔๘ สัปดาห์/ปี และ

ทำงาน ๖ วัน/สัปดาห์ ประกอบด้วย

ผลิตดินส่งกระสุนปืนเล็ก เช่น

- ดินส่งกระสุน ขนาด ๕.๕๖ มิลลิเมตร (M193)

- ดินส่งกระสุน ขนาด ๗.๖๒ มิลลิเมตร

- ดินส่งกระสุน ขนาด ๒๐ มิลลิเมตร

- ดินส่งกระสุน ขนาด ๒๓ มิลลิเมตร

- ผลิตดินส่งกระสุนปืนพกและปืนลูกซอง

โรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ


ผลิตดินส่งกระสุนปืนใหญ่ เช่น

- ดินส่งกระสุน ขนาด ๑๐๕ มิลลิเมตร (๐๑๔)

- ดินส่งกระสุน ขนาด ๑๐๕ มิลลิเมตร (๐๒๔)

- ดินส่งกระสุน ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร (๐๓๔)

- ดินส่งกระสุน ๔๐ มิลลิเมตร L60

- ดินส่งกระสุน ๔๐ มิลลิเมตร L70

- ดินส่งกระสุน ขนาด ๓๐ มิลลิเมตร

- ดินส่งกระสุนต่อสู้อากาศยาน ขนาด ๓๗ มิลลิเมตร

- ดินส่งกระสุนปืนใหญ่ชนิด M3A1, M4A2 และชนิด

เปลือกแข็ง ขนาด ๑๕๕ มิลลิเมตร แบบ TCM

นอกจากนี้ยังผลิตส่วนผสมชนิดต่าง ๆ ประกอบด้วย

- ส่วนผสมดินขับจรวดสูตร N-5

- ดินส่งกระสุนสำหรับลูกระเบิดยิงจากเครื่องยิงลูกระเบิด

(ลย./ค.)

ผลิตกระสุนปืนครบนัด จำนวน ๔,๐๐๐,๐๐๐ นัด/ปี

ประกอบด้วย

- กระสุนปืนพกชนิดต่าง ๆ เช่น ๙ มิลลิเมตร .๓๘ นิ้ว และ

.๔๕ นิ้ว

- กระสุนปืนเล็กยาว ขนาด ๕.๕๖ มิลลิเมตร

- กระสุนปืนลูกซอง

การทดสอบเกราะกันกระสุนส่วนบุคคลและเกราะกันกระสุน

หน่วยมีขีดความสามารถในการทดสอบเกราะ ตามมาตรฐาน NIJ

STANDARD 0101.04 โดยได้ให้การสนับสนุนการทดสอบเสื้อเกราะ

และแผ่นเกราะ ให้กับหน่วยงานทั้งในและนอกกระทรวงกลาโหม

ผลการดำเนินงานของหน่วย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.

๒๕๖๕ (ตุลาคม ๒๕๖๔ - เมษายน ๒๕๖๕)

๑. ด้านการผลิต การสั่งซื้อ และการส่งมอบผลิตภัณฑ์

๑.๑ การผลิตผลิตภัณฑ์

๑.๑.๑ ผลิตดินส่งกระสุน จำนวน ๒,๖๕๗ กิโลกรัม

๑.๑.๒ ผลิตกระสุนปืน จำนวน ๓๐,๑๒๒ นัด

๑.๑.๓ ผลิตไนโตรกลีเซอรีน จำนวน ๑,๒๕๐ กิโลกรัม

๑.๒ การรับใบสั่งซื้อ

- ยอดการรับใบสั่งซื้อผลิตภัณฑ์ ในปีงบประมาณ

๒๕๖๕ (ตุลาคม ๒๕๖๔ - เมษายน ๒๕๖๕) คิดเป็นเงินทั้งสิ้น

๖,๙๖๐,๓๑๔.๓๒ บาท

๒. ด้านการช่วยเหลือประชาชน

๒.๑ โรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ ได้เตรียมความพร้อมของ

บุคลากรและอุปกรณ์ สำหรับการปฏิบัติงาน ในการช่วยเหลือ

ป้องกันบรรเทาสาธารณภัย ตลอดจนภัยพิบัติต่าง ๆ ในพื้นที่อำเภอ

พยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ และจังหวัดใกล้เคียง ตามที่ร้องขอ

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะภัยแล้งและน้ำท่วม เป็นต้น

๒.๒ การจัดตั้งจุดบริการช่วยเหลือประชาชน

โรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่

จัดตั้งศูนย์บริการช่วยเหลือประชาชนในห้วงเทศกาลปีใหม่ และ

เทศกาลสงกรานต์เป็นประจำทุกปี บริเวณด้านหน้าหน่วยฝั่งขาขึ้น

และเป็นที่จุดพักรถ ให้ผู้ขับรถมีโอกาสพักผ่อนในระหว่างเดินทาง

เพื่อลดความเหนื่อยล้าและลดอัตราการเกิดอุบัติเหตุ โดยให้บริการ

ในเรื่องการแนะนำเส้นทาง การช่วยเหลือแก้ไขยานพาหนะ

การปฐมพยาบาล ห้องน้ำ น้ำดื่ม และเครื่องดื่ม ซึ่งเป็นการประชาสัมพันธ์

หน่วยงานสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และสร้างความสัมพันธ์

ที่ดีระหว่างทหาร ส่วนราชการอื่น และประชาชน ซึ่งในปี ๒๕๖๕

โรงงานวัตถุระเบิดทหารฯ ได้ดำเนินการตามมาตรการการป้องกัน

และควบคุมการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 เพื่อ

ความปลอดภัยของกำลังพล และประชาชนผู้รับบริการ

จากผลการปฏิบัติงานและภารกิจที่ผ่านมา โรงงานวัตถุระเบิด

ทหารฯ มีความมุ่งมั่นที่จะปฏิบัติงานตามภารกิจหลัก และปฏิบัติ

ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาอย่างเต็มขีดความสามารถ ตลอดจน

พัฒนาบุคลากรและศักยภาพของหน่วย ให้มีความทัดเทียมและ

ทันสมัยตลอดเวลา ให้เป็นที่เชื่อมั่น ยอมรับ และศรัทธาของหน่วย

งานราชการ ทั้งภายใน ภายนอกกระทรวงกลาโหม และภาคเอกชน

ให้สามารถสนับสนุนการเสริมสร้างพลังอำนาจด้านการทหารในการ

ป้องกันประเทศให้มีความเข้มแข็งและมั่นคงตลอดไป

17


กลับหลังหัน...กับพิพิธภัณฑ์กลาโหม

“นิทรรศการครบรอบ ๑๗๑ ปี

จอมพลและมหาอำมาตย์เอก

เจ้าพระยาสุรศักดิ ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)

ภายในพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม”

พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม

ภาพถ่ายในช่วงระยะเวลาสำคัญต่าง ๆ ของจอมพลและมหาอำมาตย์เอก

เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)

มื่อวันที่ ๒๘ มีนาคมที่ผ่านมา ตรงกับวันคล้ายวันเกิดของ จอมพล

และมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)

โดยท่านเกิดเมื่อปี พ.ศ.๒๓๙๔ ซึ่งในปีนี้ครบรอบ ๑๗๑ ปี ท่าน

เป็นบุตรชายคนที่ ๔ ของพระยาสุรศักดิ์ (แสง ชูโต) กับคุณหญิงเดิม

บุนนาค เริ่มเข้ารับราชการโดยการถวายตัวเป็นมหาดเล็กหลวง

ในรัชกาลที่ ๔ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๑๓ ได้ถวายตัวเป็นทหารมหาดเล็ก

รักษาพระองค์ในรัชกาลที่ ๕ และเมื่ออายุครบ ๑๘ ปี ได้รับตำแหน่ง

เป็นหลวงศัลยุทธสรกรร ต่อมาได้รับบรรดาศักดิ์เป็น จมื่นสราภัย

สฤษดิการ

ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๒๔ ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเจ้าหมื่นไวย

วรนาถ ผู้บังคับการกรมทหารหน้าได้ขอพระราชทานพระบรมราชา-

นุญาตต่อรัชกาลที่ ๕ นำพื้นที่บางส่วนบริเวณฉางข้าวหลวงเก่าของ

พระนครและพื้นที่ส่วนหนึ่งของวังพระราชโอรสในสมัยรัชกาลที่ ๑

ที่ทรุดโทรมและถูกทิ้งร้าง นำมาสร้างอาคารสำหรับเป็นที่ทำการ

ของกรมทหารหน้า โดยท่านเป็นแม่กองในการก่อสร้าง และมี

นายพันเอก พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย เป็นผู้ช่วย

แม่กอง อาคารโรงทหารหน้าถูกก่อสร้างขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๒๕ แล้วเสร็จ

ในปี พ.ศ.๒๔๒๗ ต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๓๐ อาคารได้ถูกใช้เป็นที่ทำการ

ของกรมยุทธนาธิการ ในท้ายที่สุดถูกใช้เป็นที ่ทำการของกระทรวง

กลาโหมมาจนถึงปัจจุบัน

เพื่อเป็นการระลึกถึงจอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยา

สุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) และคุณูปการที่ท่านมีต่อศาลาว่าการ

กลาโหม ทางพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม จึงได้จัดนิทรรศการที่

มีเรื่องราวเกี่ยวข้องกับท่านขึ้น เพื่อให้ผู้เข้าชมพิพิธภัณฑ์ได้ทราบถึง

บทบาทที่สำคัญของท่านในด้านการทหารต่าง ๆ ที่สำคัญ ทั้งการไป

กระบี่ของจอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)

18

พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม


นิทรรศการจอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)

ประติมากรรมเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เมื่อครั้งดำรงตำแหน่ง

จมื่นสราภัยสฤษดิการ เป็นอุปทูตเดินทางไปเจรจาความเมืองที่ประเทศอังกฤษ

เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๒

ราชการที่ประเทศอังกฤษ ในฐานะอุปทูต เพื่อเจรจาความกรณี

กงสุลน็อกซ์ การก่อสร้างอาคารและการนำไฟฟ้าเข้ามาใช้ภายใน

อาคารโรงทหารหน้า รวมถึงการยกทัพไปปราบฮ่อในฐานะ

ผู้บังคับการกรมทหารหน้า ในปี พ.ศ.๒๔๒๘ และเป็นงานครั้งสุดท้าย

ที่ท่านปฏิบัติหน้าที่ในฐานะผู้บังคับการกรมทหารหน้า

โบราณวัตถุที่จัดแสดงภายในนิทรรศการ ประกอบด้วย กระบี่

ของจอมพลและมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม

แสง-ชูโต) ที่ทำขึ้นที่ Pall Mall London ประเทศอังกฤษ ภาพถ่าย

ในช่วงเวลาสำคัญต่าง ๆ ของท่าน เช่น ภาพถ่ายชุดเต็มยศนายพล

ทหารบก พร้อมลายเซ็นของท่าน ลงวันที่ ๑๔.๑๒.๗๓ (๑๔ ธันวาคม

๒๔๗๓) ภาพถ่ายอายุครบ ๖๙ ปี พร้อมลายมือเขียนถวายพระพร

แด่รัชกาลที่ ๖ เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ ในปี พ.ศ.๒๔๖๔

เอกสารลายมือของเจ้าพระยาสุรศักดิ์ ในขณะที่ดำรงตำแหน่ง

เจ้าหมื่นไวยวรนาถ ผู้บังคับการกรมทหารหน้า เขียนกราบบังคมทูล

รัชกาลที่ ๕ เรื่องการก่อสร้างอาคารโรงทหารหน้าและการหา

เอกสารลายมือของเจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี ในขณะที่ดำรงตำแหน่งเจ้าหมื่นไวยวรนาถ

เขียนกราบบังคมทูลรัชกาลที่ ๕ เรื่องการก่อสร้างอาคารโรงทหารหน้า ซึ่งเป็น

เอกสารที่หาชมได้ยาก

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

ประวัติและบทบาททางการทหารของจอมพลและมหาอำมาตย์เอก

เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)

สิ่งของเครื่องใช้ มาประดับประดาภายในอาคาร เขียนขึ้นในระหว่าง

ปี พ.ศ.๒๔๒๔ - ๒๔๒๗ ซึ่งเป็นเอกสารที่หาชมได้ยาก ทางพิพิธภัณฑ์

จึงได้จัดทำในรูปแบบคิวอาร์โค้ด เพื่อให้ผู้เข้าชมสามารถสแกนและ

อ่านเนื้อหาภายในได้ และประติมากรรมรูปเหมือนของท่าน ที่ท่าน

สั่งให้บริษัท D.Brucciani & Co ประเทศอังกฤษทำขึ้นเพื่อเป็น

ที่ระลึกเมื่อครั้งเดินทางไปราชการที่อังกฤษ เมื่อปี พ.ศ.๒๔๒๒ และ

เมื่อท่านเดินทางกลับ ท่านได้นำกลับมายังสยามด้วย

ในครั้งหน้ารอติดตาม ว่าทางพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม

จะมีนิทรรศการเรื่องอะไรมาให้ทุกท่านได้ชมกัน รับรองว่าน่าสนใจ

แน่นอน

เอกสารอ้างอิง :

- สุรศักดิ์มนตรี (เจิม). จอมพล มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยา. ๒๓๙๔-๒๔๗๔. ประวัติการของจอมพล

เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี. [ม.ป.ท.]:ม.ป.พ. ๒๔๗๖. สืบค้นเมื่อวันที่ ๖ เมษายน ๒๕๖๕. จาก

https://digital.library.tu.ac.th/.../Info/item/dc:48266.

- สำนักหอจดหมายเหตุแห่งชาติ.

พิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม

19


กฎหมายเล่าเรื ่อง

กฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ตอนจบ

พลตรี นิติน ออรุ่งโรจน์

หัวหน้าอัยการทหาร กรมพระธรรมนูญ

ต่

อจากฉบับเดือนมีนาคม ๒๕๖๕ ในข้อที่ ๓. กรณีโทษปรับ

ทางปกครองตามมาตรา ๘๔

การกระทำดังต่อไปนี้ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลอาจต้องโทษ

ปรับทางปกครองไม่เกินห้าล้านบาท

๓.๑ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลเก็บรวบรวมข้อมูลส่วน

บุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติเผ่าพันธุ์ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อ

ในลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ ประวัติอาชญากรรม

ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน ข้อมูลพันธุกรรม

ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งกระทบต่อเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

ในทำนองเดียวกันตามที่คณะกรรมการประกาศกำหนด โดยไม่ได้รับ

ความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล อันเป็นการ

ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๖ วรรคหนึ่ง

20

๓.๒ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่เก็บรวบรวมข้อมูลส่วน

บุคคลเกี่ยวกับประวัติอาชญากรรมต้องกระทำภายใต้การควบคุม

ของหน่วยงานที่มีอำนาจหน้าที่ตามกฎหมาย หรือไม่จัดให้มี

มาตรการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลตามหลักเกณฑ์ที่คณะกรรมการ

ประกาศกำหนด อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๖ วรรคสาม

๓.๓ ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วน

บุคคล โดยไม่ได้รับความยินยอมจากเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๗ วรรคหนึ่ง

๓.๔ บุคคลหรือนิติบุคคลที่ได้รับข้อมูลส่วนบุคคลจะต้อง

ไม่ใช้หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลเพื่อวัตถุประสงค์อื่นนอกเหนือจาก

วัตถุประสงค์ที่ได้แจ้งไว้กับผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลในการขอรับข้อมูล

ส่วนบุคคลนั้น อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๗ วรรคสอง

พลตรี นิติน ออรุ่งโรจน์


๔. กรณีโทษปรับทางปกครอง ตามมาตรา ๘๕

การกระทำดังต่อไปนี้ ผู้ประมวลผลข้อมูล

ส่วนบุคคลอาจต้องโทษปรับทางปกครองไม่เกินหนึ่ง

ล้านบาท

๔.๑ ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลไม่จัดให้

มีเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลของตน อันเป็นการ

ไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง

๔.๒ ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลไม่

สนับสนุนการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูล

ส่วนบุคคล โดยจัดหาเครื่องมือหรืออุปกรณ์อย่าง

เพียงพอ รวมทั้งอำนวยความสะดวกในการเข้าถึงข้อมูล

ส่วนบุคคลเพื่อการปฏิบัติหน้าที่ อันเป็นการไม่ปฏิบัติ

ตามมาตรา ๔๒ วรรคสอง

๔.๓ ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลให้

เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลออกจากงานหรือ

เลิกสัญญาการจ้างด้วยเหตุที่เจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ปฏิบัติหน้าที่ตามพระราชบัญญัตินี้ไม่ได้ อันเป็นการไม่ปฏิบัติ

ตามมาตรา ๔๒ วรรคสาม

๕. กรณีโทษปรับทางปกครอง ตามมาตรา ๘๖

การกระทำดังต่อไปนี้ ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอาจ

ต้องโทษปรับทางปกครองไม่เกินสามล้านบาท

๕.๑ ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล ไม่ดำเนินการเกี่ยวกับ

การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตามคำสั่งที่ได้รับ

จากผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ไม่จัดให้มีมาตรการรักษาความมั่นคง

ปลอดภัยที่เหมาะสม ไม่แจ้งให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลทราบถึง

เหตุการณ์ละเมิดข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดขึ้น ไม่จัดทำและเก็บรักษา

บันทึกรายการของกิจกรรมการประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล

อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๔๐ โดยไม่มีเหตุอันควร

๕.๒ ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลไม่ส่ง หรือโอนข้อมูล

ส่วนบุคคลตามนโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคลที่ได้รับการ

ตรวจสอบและรับรอง อันเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง

หรือวรรคสาม

๕.๓ ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลอยู่นอกราชอาณาจักร

ให้ใช้บังคับแก่การเก็บรวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลของ

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

21


เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งอยู่ในราชอาณาจักรโดยการดำเนิน

กิจกรรมของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลหรือผู้ประมวลผลข้อมูลส่วน

บุคคลดังกล่าว เมื่อเป็นกิจกรรมการเสนอสินค้าหรือบริการให้แก่

เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลซึ่งอยู่ในราชอาณาจักร ไม่ว่าจะมีการชำระเงิน

ของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลหรือไม่ก็ตาม หรือการเฝ้าติดตาม

พฤติกรรมของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลที่เกิดขึ้นในราชอาณาจักร

อันเป็นไปตามมาตรา ๕ วรรคสองนั้น ต้องแต่งตั้งตัวแทนของผู้ควบคุม

ข้อมูลส่วนบุคคลเป็นหนังสือซึ่งตัวแทนต้องอยู่ในราชอาณาจักรและ

ตัวแทนต้องได้รับมอบอำนาจให้กระทำการ

แทนผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลโดยไม่มีข้อ

จำกัดความรับผิดใด ๆ ที่เกี่ยวกับการเก็บ

รวบรวม ใช้ หรือเปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลตาม

วัตถุประสงค์ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

หรือไม่ปฏิบัติตามมาตรา ๓๗ (๕) ซึ่งได้นำมา

ใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา ๓๘ วรรคสอง

ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินสาม

ล้านบาท

๖. กรณีโทษปรับทางปกครองตาม

มาตรา ๘๗

ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคลส่ง

หรือโอนข้อมูลส่วนบุคคลเกี่ยวกับเชื้อชาติเผ่า

พันธุ์ ความคิดเห็นทางการเมือง ความเชื่อใน

ลัทธิ ศาสนาหรือปรัชญา พฤติกรรมทางเพศ

ประวัติอาชญากรรม ข้อมูลสุขภาพ ความพิการ ข้อมูลสหภาพแรงงาน

ข้อมูลพันธุกรรม ข้อมูลชีวภาพ หรือข้อมูลอื่นใดซึ่งกระทบต่อ

เจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลในทำนองเดียวกันตามที่คณะกรรมการ

ประกาศกำหนด โดยไม่ได้รับความยินยอมโดยชัดแจ้งจากเจ้าของ

ข้อมูลส่วนบุคคล ตามมาตรา ๒๖ วรรคหนึ่งหรือวรรคสาม ไปยัง

ต่างประเทศ โดยไม่เป็นไปตามนโยบายในการคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล

ที่ได้รับการตรวจสอบและรับรอง ตามมาตรา ๒๙ วรรคหนึ่ง

หรือวรรคสาม ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าล้านบาท

22

พลตรี นิติน ออรุ่งโรจน์


๗. กรณีโทษปรับทางปกครอง

ตามมาตรา ๘๘

ตัวแทนผู้ควบคุมข้อมูลส่วน

บุคคลหรือตัวแทนผู้ประมวลผลข้อมูล

ส่วนบุคคล ไม่บันทึกรายการตาม

มาตรา ๓๙ วรรคหนึ่ง และวรรคสอง

และไม่จัดเจ้าหน้าที่คุ้มครองข้อมูลส่วน

บุคคลตามมาตรา ๔๑ วรรคหนึ่ง ซึ่งได้

นำมาใช้บังคับโดยอนุโลมตามมาตรา

๔๑ วรรคสี่ ต้องระวางโทษปรับทาง

ปกครองไม่เกินหนึ่งล้านบาท

๘. กรณีโทษปรับทางปกครอง

ตามมาตรา ๘๙

ผู้ใดไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของคณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญหรือ

ไม่มาชี้แจงข้อเท็จจริงตามมาตรา ๗๕ หรือไม่ปฏิบัติตามหนังสือแจ้ง

ให้ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล ผู้ประมวลผลข้อมูลส่วนบุคคล หรือ

ผู้ใดมาให้ข้อมูลหรือส่งเอกสารหรือหลักฐานใด ๆ เกี่ยวกับการ

ดำเนินการหรือการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัตินี้ตามมาตรา

๗๖ (๑) หรือไม่อำนวยความสะดวกแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ตามมาตรา

๗๖ วรรคสี่ ต้องระวางโทษปรับทางปกครองไม่เกินห้าแสนบาท

สรุป

พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.๒๕๖๒ ได้

รับรองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคลไว้ไม่ว่าจะเป็นสิทธิในการ

เข้าถึงข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในการแก้ไขข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิใน

การขอให้ลบข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในการคัดค้านการประมวลข้อมูล

ส่วนบุคคล สิทธิในการขอให้ระงับการใช้ข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิใน

การให้โอนย้ายข้อมูลส่วนบุคคล สิทธิในการได้รับแจ้งรายละเอียด

สิทธิในการถอนความยินยอม ซึ่งมีการออกพระราชกฤษฎีกากำหนด

หน่วยงานและกิจการที่ผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลไม่อยู่ภายใต้บังคับ

แห่งพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.๒๕๖๒ (ฉบับที่ ๒)

พ.ศ.๒๕๖๔ กำหนดให้มีการใช้บังคับพระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูล

ส่วนบุคคล พ.ศ.๒๕๖๒ กับหน่วยงานของรัฐตั้งแต่วันที่ ๑ มิถุนายน

๒๕๖๕

นอกจากนี้ มีการกำหนดยกเว้นไม่ให้ใช้บังคับพระราชบัญญัติ

คุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.๒๕๖๒ แก่การดำเนินการของหน่วยงาน

ของรัฐที่มีหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงของรัฐ แต่ขณะเดียวกัน

หน่วยงานของรัฐเดียวกันนั้น หากปฏิบัติหน้าที่ที่ไม่เกี่ยวข้องกับการ

รักษาความมั ่นคงของรัฐ เช่น เก็บรวบรวมข้อมูลส่วนบุคคลของ

ผู้สมัครสอบเข้ารับราชการในหน่วยงานของรัฐ จะต้องดำเนินการ

ตามพระราชบัญญัติดังกล่าว

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

พระราชบัญญัติคุ้มครองข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.๒๕๖๒ มาตรา ๔

วรรคท้าย ได้กำหนดหน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลระหว่าง

ที่มีการขยายระยะเวลาการใช้บังคับ โดยผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคล

ยังคงต้องจัดให้มีการรักษาความปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคลให้

เป็นไปตามมาตรฐาน ตามที่กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม

ได้ออกประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเรื่อง

มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล พ.ศ.

๒๕๖๓ และประกาศกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เรื่อง

มาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล (ฉบับ

ที่ ๒) พ.ศ.๒๕๖๔ กำหนดมาตรฐานการรักษาความมั่นคงปลอดภัย

ของข้อมูลส่วนบุคคล

สำหรับหน้าที่ของผู้ควบคุมข้อมูลส่วนบุคคลและผู้ประมวลผล

ข้อมูลส่วนบุคคลเมื่อถึงกำหนดระยะเวลาการใช้บังคับ มีหลาย

ประการได้แก่ หน้าที่การเก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล

ให้สอดคล้องกับฐานหรือเหตุที่กฎหมายกำหนด หน้าที่การเก็บ

รวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคลอย่างจำกัดภายใต้เงื่อนไขที่

กฎหมายกำหนด หน้าที่รักษาความมั่นคงปลอดภัยของข้อมูลส่วนบุคคล

หน้าที่แจ้งรายละเอียดตามที่กฎหมายกำหนดแก่เจ้าของข้อมูลส่วน

บุคคล หน้าที่ปฏิบัติตามคำขอของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล หน้าที่

จัดให้มีกระบวนการในการตรวจสอบ ติดตาม การปฏิบัติตาม

กฎหมาย ซึ่งหากฝ่าฝืนหรือปฏิบัติตามหน้าที่ดังกล่าว ก็จะมีสภาพ

บังคับหรือความรับผิด ไม่ว่าจะเป็นความรับผิดทางแพ่ง โทษอาญา

และโทษทางปกครอง ด้วยเหตุนี้ หน่วยงานของรัฐทั้งหลาย บุคคล

ทั่วไปที่เก็บรวบรวม ใช้ เปิดเผยข้อมูลส่วนบุคคล ควรที่จะต้องให้

ความสำคัญ หรือให้ผู้ปฏิบัติงานศึกษา ทำความเข้าใจ และปฏิบัติ

ตามกฎหมายนี้ เพื่อคุ้มครองสิทธิของเจ้าของข้อมูลส่วนบุคคล

23


นักรบตาลิบันกับสถานการณ์

การก่อการร้ายในปากีสถาน

“บทบาทกลุ่มก่อการร้าย Tehrik-E Taliban Pakistan: TTP”

พันเอก พิศาล อมรรัตนานุภาพ

รองผู้อำนวยการกองข่าวความมั่นคง สำนักข่าวกรอง กรมข่าวทหาร

“The Pashtuns on this side (Pakistan) were completely sympathetic with the (Taliban) Pashtuns

(in Afghanistan) -- not because of the religious ideology

but because of Pashtun ethnicity and nationality, which is very strong,”

Pakistani Prime Minister Imran Khan: 15 th October 2021

“การที่ชาวปากีสถานเชื้อสายปาสทูน (Pashtuns) มีความเห็นอกเห็นใจชาวอัฟกานิสถานมิได้เกี่ยวข้องกับ

ความเชื่อทางศาสนาหากแต่มาจากความสัมพันธ์ทางเชื้อสายเผ่าพันธุ์” (ปาสทูน)

อิมราน ข่าน นายกรัฐมนตรีแห่งปากีสถาน

ภายหลังจากกองทัพสหรัฐฯ ถอนกำลังออกจากอัฟกานิสถาน โดยเนื้อหาเป็นการวิเคราะห์ถึงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศใน

เมื่อ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๔ ส่งผลให้กลุ่มตาลิบันได้หวนกลับ ลักษณะ ๓ ก๊ก ระหว่าง สหรัฐฯ - จีน - อัฟกานิสถาน (ภายใต้การ

เข้ามาจัดตั้งรัฐบาลเพื่อปกครองประเทศอีกครั้ง ซึ่งในเดือนถัดมา ปกครองของรัฐบาลตาลิบัน) ซึ่งพอสรุปไว้ว่าการเดินหมากรุก

ผู้เขียนจึงได้เขียนบทความลงวารสารหลักเมืองในหัวข้อ “บทบาทใหม่ ระหว่าง จีน - ตาลิบัน จะเป็นไปในลักษณะ Win-Win ที่ทั้ง ๒ ฝ่าย

ด้านความมั่นคง : นักรบตาลิบันกับสงครามต่อต้านการก่อการร้าย” ต่างได้รับชัยชนะ แต่ในขณะที่กระดานฝั่งสหรัฐฯ - ตาลิบัน นั้นยัง

24

พันเอก พิศาล อมรรัตนานุภาพ


คงเป็นเกมระยะยาวที่เต็มไปด้วยกติกาโดยเฉพาะเงื่อนไขที่รัฐบาล

ตาลิบานได้ให้ไว้กับสหรัฐฯ ว่าจะไม่ให้การสนับสนุนกลุ่มก่อการร้าย

ใด ๆ ทั้งทางตรงและทางอ้อม ซึ่งความยากลำบากนั้นมาจากรัฐบาล

ตาลิบันที่มีหมากหลายตัวซึ่งเป็นกลุ่มก่อการร้ายกลุ่มส ำคัญและมีความ

สัมพันธ์ที่เหนียวแน่น อาทิ กลุ่มอัลกออิดะห์ (Al Qaeda) และกลุ่ม

ตาลิบันแห่งปากีสถาน (Tehrik-E Taliban Pakistan : TTP)

ซึ่งการขยับหมากทั้ง ๒ ตัวนี้จะส่งผลกระทบต่อเงื่อนไขดังกล่าว

สถานการณ์ปัจจุบันหมอกควันในอัฟกานิสถานเริ่มจางลงจึงปรากฏ

ภาพเพียงพอที่จะวิเคราะห์สถานการณ์ระยะยาวซึ่งในบทนี้จะ

เป็นการเขียนถึงตัวแสดงใหม่ที่เป็นรัฐและตัวแทนแห่งรัฐ (State

Actor and Proxies) ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจบนเวทีการเมือง

ระหว่างประเทศซึ่งผลกระทบแบบลักษณะการไหลล้น (Spilled

Over) อันหมายถึงจากการตัดสินใจของประเทศในห่วงโซ่ย่อมส่ง

ผลกระทบต่อประเทศในระบบเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ บทความนี้

จะเพ่งมองไปที่การขยับหมากกลุ่ม TTP เนื่องจากยุทธศาสตร์นั้น

สอดคล้องต่อสถานการณ์ในอัฟกานิสถานแต่ในทางตรงกันข้ามกลุ่ม

อัลกออิดะห์นับว่าเป็นหมากที่มักจะไม่มีการขยับมากนักเนื่องจาก

องค์กรมีการเคลื่อนไหวลักษณะแบบคลื่นใต้น้ำที่รอวันเพื่อก่อตัว

เป็นพายุที่สมบูรณ์แบบ (Perfect Strom) จึงจะทำการลงมือก่อเหตุ

ภาพรัฐมนตรีมหาดไทยแห่งอัฟกานิสถาน นายซิราจ ฮัคคานิ (Taliban

Interior Minister Sirajuddin Haqqani)

(หมายเหตุ: กลุ่มตาลิบันแบ่งออกเป็น ๒ กลุ่มหลักคือ ๑) กลุ่ม

ปกครองอัฟกานิสถาน ๒) กลุ่มปกครองพื้นที่พิเศษในปากีสถาน

Federally Administered Tribal Area : FATA)

การวิเคราะห์ผลกระทบในระยะยาว

เมื่อมองลงบนกระดานหมากรุกระหว่างสหรัฐฯ - รัฐบาลตาลิบัน

จะเห็นได้ว่าการเดินหมากแต่ละครั้งจะส่งผลกระทบ (Spilled

over) ไปสู่รัฐบาลปากีสถานที่พบว่ากำลังตกอยู่ในสถานการณ์ที่จะ

ต้องระมัดระวังการวางยุทธวิธีอย่างแยบยล เนื่องจากรัฐบาล

ปากีสถานนั้นมีความขัดแย้งรอบด้านทั้งสหรัฐฯ และมีปัญหาด้าน

ภาพรัฐมนตรีมหาดไทยแห่งอัฟกานิสถาน นายซิราจ ฮัคคานิ (Taliban Interior Minister Sirajuddin Haqqani)

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

25


การเมืองกับนักการเมืองและประชาชนเชื้อสายปาสทูนที่มีความ

สัมพันธ์กับกลุ่มตาลิบันแห่งปากีสถาน (TTP) ซึ่งปัญหาที่บ่มเพาะ

มานานนี้ส่งผลให้นายกรัฐมนตรีอิมราน ข่าน ได้ออกมาแถลงการณ์

โดยมีการกล่าวที่ชัดเจนว่าพื้นที่ FATA คือปัญหาด้านความมั่นคงที่

สำคัญของประเทศ อันสืบเนื่องจากความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ใน

ประเทศ อีกทั้งยังเป็นสถานที่ฝึก/ซ่องสุมกำลังของกลุ่มก่อการร้าย

(Mohmand 2021) ซึ่ง นายกฯ ข่าน มิได้เป็นคนแรกที่ออก

แถลงการณ์ในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากโดยที่ผ่านมากลุ่ม TTP

ได้ใช้เส้นทางบนพื้นที่FATA – Tribal belt --- ในการเดินทางลักลอบ

หลบหนีภายหลังจากการก่อการร้ายแบบเปิดเผยหลายครั้งด้วย

ความร่วมมือระหว่าง สหรัฐฯ - ปากีสถาน ในสงครามต่อต้านการ

ก่อการร้าย (War On Terror 2001) และในปี ๒๐๑๔ ที่มีการใช้

การยุทธวิธีที่รุนแรงเด็ดขาดส่งผลให้กลุ่ม TTP ถูกกดดันอย่างหนัก

จึงต้องล่าถอยและถอนกำลังออกไปจัดเตรียมกำลัง ณ ฐานใหม่ที่

อัฟกานิสถานและปรับกลยุทธ์ใหม่มาทำสงครามนอกแบบด้วย

ยุทธวิธีแบบกองโจร

จากการวิเคราะห์ความสัมพันธ์ระหว่างรัฐบาลตาลิบันแห่ง

อัฟกานิสถานกับกลุ่ม TTP นั้นมีความสัมพันธ์ที่หยั่งรากลึกด้วย

เหตุผล ๒ ประการคือ ๑) ด้านเชื้อสาย/วัฒนธรรมแห่งเผ่าพันธุ์

ปาสทูน (Pashtuns) ที่เป็นประชากรส่วนใหญ่ของทั้ง ๒ ประเทศ

ภาพแผนที่เขตพื้นที่ FATA (สีเหลือง) - พื้นที่อิทธิพลของกลุ่มก่อการร้ายตาลิบันแห่งปากีสถาน (TTP)

26

พันเอก พิศาล อมรรัตนานุภาพ


(จำนวนร้อยละ ๒๕ ในปากีสถาน) ๒) ด้านการเมืองการปกครองที่

ทั้ง ๒ กลุ่มต่างเชื่อฟังคำแนะนำของสภาซูเราะห์เควตตา (Quetta

Shura) ที่ได้สนับสนุนความช่วยเหลือในขณะที่กลุ่มตาลิบานแห่ง

อัฟกานิสถานต้องทำสงครามกองโจร (insurgency) ในการต่อสู้กับ

สหรัฐฯ และพันธมิตรมากว่า ๒๑ ปี และนี่คือประเด็นที่ส่งผลให้การ

เดินหมากระหว่าง สหรัฐฯ - อัฟกานิสถาน ต้องตกอยู่ในสภาวะ

ทางตัน/ชะงักงัน (Stalemate) เนื่องจากในการกลับมาปกครอง

อัฟกานิสถานนั้น ได้มีปรากฏการณ์การเลือกบุคคลที่อยู่ในรายชื่อ

ผู้ก่อการร้ายของสหรัฐฯ (Terrorist list) ประกอบด้วยผู้นำด้าน

การเมืองนายมุลเลาะห์บาราดาห์ (Mullah Abdul Ghani Baradar)

และผู้นำด้านการทหาร นายซิราจ ฮัคคานิ (Sirajuddin Haqqani)

ซึ่งเป็นกลุ่มกองกำลังหลักที่เข้มแข็งในการต่อสู้กับกองกำลังสหรัฐฯ

และพันธมิตร โดยที่บุคลเหล่านี้ได้รับหน้าที่เป็นตัวกลางในการเจรจา

สันติภาพระหว่างรัฐบาลปากีสถาน - กลุ่ม TTP (Peace Mediator/

Facilitator) (หมดอายุเมื่อ ๙ ธันวาคม ค.ศ.๒๐๒๑) และจากการ

ติตตามสถิติด้านการก่อการร้ายพบว่าภายหลังจากกลุ่มตาลิบัน

แห่งอัฟกานิสถานเริ่มมีบทบาทในปี ค.ศ.๒๐๒๑ การก่อการร้ายใน

ปากีสถานมีจำนวนมากถึง ๒๙๔ ครั้ง หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ ๕๖ เมื่อ

เทียบกับปีก่อนซึ่งนี่เป็นเครื่องบ่งชี ้ว่าการเคลื่อนไหวอย่างมีนัย

ของกลุ่ม TTP นั้นมาจาก ๒ ประเด็นหลักคือ ประการแรก กลุ่ม TTP

มีความมั่นใจในเรื่อง Hard Power ที่จะได้กำลังเสริมที่มาจากกอง

กำลังตาลิบันอัฟกานิสถาน ประการต่อมาคือ Soft Power กลุ่ม TTP

ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนในพื้นที่ FATA และนักการเมือง

เชื้อสายปาสทูนและด้วยอำนาจ (Power) ทั้ง ๒ ส่งผลให้กลุ่ม TTP

มีความมั่นใจที่นำไปสู่การแสดงท่าทีที่ชัดเจนในเจตนารมณ์การ

ปกครองตนเองและด้วยองค์ประกอบ Soft Power + Hard

Power นั้นเป็นสิ่งบอกเหตุว่าได้มีสิ่งที่เป็นผลกระทบมาสู่ดินแดน

ปากีสถานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

บทสรุป : รัฐบาลปากีสถานซึ่งกำลังตกอยู่ในสภาวะที่ต้อง

เลือกระหว่างการร่วมวางแผนเดินหมากด้วยการหันไปร่วมมือกับ

สหรัฐฯ ในการแก้ไขปัญหาการก่อการร้าย (กลุ่ม TTP) แต่จะต้อง

เผชิญปัญหาการแก้ไขด้านความขัดแย้งทางชาติพันธุ์ (human

rights) หรือการร่วมเดินหมากบนฝั่งรัฐบาลตาลิบันในการเจรจา

สันติภาพอีกครั้งที่ผ่านการสร้างความร่วมมือกับองค์กร/บุคคลที่อยู่

ในบัญชีรายชื่อผู้ก่อการร้ายของสหรัฐฯ ซึ่งนั่นย่อมหมายถึงการแลก

กับความไว้วางใจของสหรัฐฯ ซึ่งทั้ง ๒ ทางเลือกล้วนจะมีผลกระทบ

ต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและ/หรือความมั่นคงภายใน

ประเทศ (จากบทความครั้งก่อน) แต่ทั้งนี้ปากีสถานยังมีอีกทางเลือก

คือ การช่วยเหลือของรัฐบาลปักกิ่งที่มีบทบาทผู้ก่อตั้ง Shanghai

Cooperation Organization (SCO) ซึ่งเป็นองค์กรที่จัดตั้งเพื่อแก้ไข

ปัญหาการก่อการร้ายและเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชียกลางและ

เอเชียใต้ เพื่อให้อยู่ในฐานะตัวกลางในการนำตัวแสดงทั้งหมดเข้ามา

เจรจาพูดคุยสันติภาพระหว่าง รัฐบาลตาลิบัน - กลุ่ม TTP - รัฐบาล

ปากีสถาน และนี้คืออีกสมรภูมิของสงครามต่อต้านการก่อการร้าย

ที่กำลังรอวันโหมกระหน่ำของพายุที่สมบูรณ์แบบ หรืออีกนัยหนึ่ง

คือ Perfect Strom

Sources:

Khattak, F. (2021), The Rise of The New Pakistani Taliban, Security

section, Qandahar News, 18 th May, viewed 29 th Mar 2022 <https://

gandhara.rferl.org/a/the-rise-of-the-new-pakistani-tali

ban/31261608.html>.

Mohmand, A. (2021), Pakistan’s Imran Khan Under Fire For Claiming

Pashtuns Are Taliban Sympathizers, Security section, Qandahar

News, 15 th Oct, viewed 29 th Mar 2022 <https://gandhara.rferl.

org/a/imran-khan-comments-pashtuns-taliban/31511322.html>.

Jha, M. (2021), Will the TTP and the Afghan Taliban become flagbearers

of Pashtun nationalism in AfPak?, India Narrative, 7 th Dec, viewed

22 nd Mar 2022 <https://www.indianarrative.com/opinion-news/

will-the-ttp-and-the-afghan-taliban-become-flagbearersof-pashtun-nationalism-in-afpak-133380.html>.

(แหล่งที่มา: https://www.france24.com/en/live-news/20220305-taliban-ssecretive-haqqani-network-leader-finally-shows-his-face)

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

27


เช้าวันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๔ ทหารพรานจู่โจมกองร้อย ๙๔๘

จัดชุดออกลาดตระเวนกวาดล้าง ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ (ผกค.)

เขาค้อ การทำงานของทหารพรานจู่โจม ชุดควบคุม ๕๑๓ ค่าย

ปักธงชัย จะไปแค่ ๑ ชุดปฏิบัติการคือ ๑๒ นาย เท่านั้น เพื่อความ

คล่องตัวและเป็นเป้าเล็กหลบหลีกง่าย ซึ่งทหารพรานค่ายปักธงชัย

ถนัดเพราะพวกเราฝึกการรบแบบกองโจรมา

การออกลาดตระเวนรบกวาดล้างผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์

เขาค้อในวันนั้น เราไม่ได้เตรียมอาหารไปมากเพราะตอนค่ำก็จะกลับ

มาแล้ว โดยในเวลาเช้าตรู่สายหมอกยังไม่ทันจางทหารพราน

๑๒ นาย ของหน่วยทหารพรานจู่โจมกองร้อย ๙๔๘ ก็เดินฝ่า

สายหมอกไปที่ตีนเขาค้อ เพราะสายข่าวแจ้งว่าบริเวณนั้นมีฐานที่มั่น

ของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ตั้งอยู่ ซึ่งทั้ง ๑๒ นาย จึงรับหน้าที่

เข้าไปพิสูจน์ทราบเพื่อทำลาย

ทุกคนเดินไปอย่างระมัดระวัง ปืนเตรียมพร้อม สอดส่าย

สายตาไปรอบ ๆ ปลายปืนชี้ไปตามสายตา นิ้วมืออยู่ในโก่งไก

พร้อมจะเหนี่ยวไกส่งผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ไปนรกได้ทันทีหาก

มองเห็น เพราะนักรบค่ายปักธงชัยถือคติว่า “ความไวเป็นของปีศาจ”

ใครไวกว่ารอด คนช้าสิ่งที่ได้รับคือความตาย ชุดลาดตระเวนหน้า

หรือพลลาดตระเวนหน้า เดินนำไปเรื่อย ๆ

พอเข้าใกล้ตีนเนินเขาค้อ ทันใดนั้นก็มีเสียงคำรามก้องของปืน

เซกาเซ่ดังขึ้น แป๊ะ โป้ง! ปัง!ๆๆๆๆ เสียงแป๊ะโป้งแล้วตามด้วยเสียง

ปืนอาก้า AK 47 รัวสนั่นขึ้น ทหารพรานกองร้อย ๙๔๘ ชุดลาด

ตระเวนพิสูจน์ทราบถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์เขาค้อที่เราเรียก

ไอ้เปีย ซุ่มโจมตีอย่างหนัก จึงเกิดการปะทะกันอย่างรุนแรงเพราะ

ทหารพรานไม่ยอมให้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ยิงข้างเดียวแน่

28

ยุทธการเสือดำสมรภูมิเขาค้อ

ตอนที ่ ๓

ศึกชิงศพทหารพรานค่ายปักธงชัย

กรกต เกตุแก้ว

อดีตทหารพรานจู่โจมกองร้อย ๙๑๑ ชค.๕๑๓ ค่ายปักธงชัย

ปัง!ๆๆๆๆๆ บ๊อก! กรึ้ม! เสียงปืนอาก้าและปืน เอ็ม ๗๙ ของ

ทหารพรานยิงตอบโต้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ดังสนั่นหวั่นไหวชนิด

ไม่มีใครยอมใคร ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ยิงสู้จากหลายจุดฝ่าย

ทหารพรานจู่โจมกองร้อย ๙๔๘ เหมือนถูกล้อมแต่การปะทะก็ยังคง

มีต่อไป ทหารพรานชุดปะทะได้วิทยุแจ้งให้ผู้บังคับกองร้อยทราบว่า

กำลังมีการปะทะหนักที่ตีนเขาค้อ การปะทะยาวนานออกไป ในเวลา

ต่อมาทหารพรานตกอยู่ในวงล้อมของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และ

มีทหารพรานสองนายเสียชีวิต ทหารพรานที่เหลือเพียงแค่สิบนาย

ยิงสู้ต่อไปและพยายามจะนำศพของเพื่อนที่เสียชีวิตกลับออกมา

แต่ก็ทำไม่ได้เพราะถูกยิงจากหลายจุดตลอดเวลา เรียกว่าพอขยับ

เป็นถูกยิง เวลานี้ทหารพรานเดนตายทั้งสิบนายตกอยู่ในความยาก

ลำบากการยิงปะทะติดพันกันจนไม่มีเวลากินข้าวที่นำติดตัวไปเลย

เวลาแห่งความตายผ่านไปอย่างเชื่องช้าในความรู้สึกของคนที่

อยู่ในวงล้อม เพื่อนทหารพรานที่จะเข้ามาช่วยก็เข้าไม่ถึงเพราะถูก

ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ส่งกำลังไปดักซุ่มโจมตี การปะทะกินเวลา

นานขึ้นจนถึงตะวันตกดินความมืดกำลังโรยตัวเข้าปกคลุมเขาค้อแต่

ทหารพรานกองร้อย ๙๔๘ ทั้งสิบนายยังตกอยู่ในวงล้อมของ

ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์แถมยังมีคนเสียชีวิตอีกสองนายด้วย

ก่อนตะวันจะตกดินวันนั้น “เสือใหญ่” พันเอก พิจิตร กุลละวณิชย์

(ยศในขณะนั้น) ผู้บัญชาการกองกำลังเขาค้อ ได้เรียกผู้นำหน่วย

ทุกหน่วยเข้าประชุมที ่ บก.ผสมบนเขาค้อ แต่ละหน่วยได้รายงาน

การปฏิบัติในวันนั้นให้ พันเอก พิจิตร ทราบ ในที่ประชุมต่างแสดง

ความเห็นใจทหารพรานจู่โจม ชค.๕๑๓ ค่ายปักธงชัยที่รับหน้าที่หนัก

มาตลอดและถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์รุมยิงจนแทบจะ

เอาชีวิตไม่รอด

เทือกเขาค้อ ส่วนที่เห็นเป็นยอดสูงคือเขาย่า

กรกต เกตุแก้ว


เฮลิคอปเตอร์กันชิพ ติดปืนกลอากาศที่ยิงสนับสนุนในสมรภูมิเขาค้อ

พันตรี โพยม เกตุแก้ว รองหัวหน้าชุดควบคุมและประสานงาน

โครงการ ๕๑๓ (ชค.๕๑๓) ที่คุมทหารพรานจู่โจม ทั้ง ๖ กองร้อย

บนเขาค้อได้รายงานให้เสือใหญ่ทราบว่า เวลานี้ทหารพรานจู่โจม

กองร้อย ๙๔๘ ตกอยู่ในวงล้อมของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์และมี

ผู้เสียชีวิตในการปะทะครั้งนี้จำนวน ๒ นาย ซึ่งยังไม่สามารถนำออก

มาได้ ทางเสือใหญ่ได้แจ้งในที่ประชุมให้ทราบว่า “พรุ่งนี้ ๐๙.๓๐ น.

จะให้เฮลิคอปเตอร์กันชิพสามลำเข้ามายิงสนับสนุนการชิงศพ

ทหารพรานจู่โจมกองร้อย ๙๔๘”

โดยให้ทหารพรานจู่โจมกองร้อย ๙๔๘ ที่เหลือส่งกำลังเข้าไป

แย่งชิงนำคนตายออกมาให้ได้ ส่วนทหารหน่วยอื่น ๆ ให้ทำภารกิจเดิม

หน่วยที่คุ้มกันรถทำทางก็ทำต่อไป หน่วยที่ออกลาดตระเวน

กวาดล้างทำลายผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ก็ทำหน้าที่ต่อไป ส่วนที่

อยู่ฐานก็ปรับปรุงฐานให้แข็งแรง นั่นคือข้อสรุปในการประชุมวันนั้น

ก่อนที่ผู้บังคับบัญชาหน่วยต่าง ๆ จะแยกกันไป

ผู้บังคับกองร้อย ๙๔๘ ได้นำผลการประชุมมาแจ้งให้กำลังพล

ทราบ กำลังพลในกองร้อยรู้สึกร้อนใจมากเมื่อรู้ว่าพรุ่งนี้ ๙ โมงครึ่ง

จึงจะจัดกำลังไปช่วยเพื่อน ๆ ที่ถูกล้อม ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนร่วมตาย

หัวหน้าชุดได้คุยกันตกลงให้นำกำลัง ๑๒ นาย เข้าไปช่วยชุดที่

เฮลิคอปเตอร์รับคนเจ็บจากสนามรบส่งไปโรงพยาบาล

ถูกล้อม เพราะเป็นห่วงเพื่อนมากแม้แต่ข้าวน้ำก็ไม่มีกินแถมยังมี

คนตายอีก พวกเราจะไม่ทิ้งกัน

๑๒ เดนตายตกลงใจจะเข้าไปช่วยเพื่อนที่ถูกล้อมในคืนนี้ แต่

การปฏิบัติการในครั้งนี้จะรู้เพียง ผู้บังคับกองร้อย ๙๔๘ เท่านั้น

ทั้ง ๑๒ คนฝ่าความมืดและความหนาวเข้าไปในพื้นที่ที่เพื่อนของเขา

ถูกล้อมอยู่ ทุกคนเดินฝ่าความมืดไปอย่างระมัดระวัง โชคดีที่ความมืด

ทำให้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ตรวจการไม่เห็นและในที่สุดก็เดิน

เข้าใกล้จุดที่เพื่อนทหารพรานถูกล้อมซึ่งห่างจากจุดนี้ไปราว

๑๐๐ เมตรก็จะถึงจุดที่เพื่อนทหารพรานถูกล้อม แต่เพราะเวลานั้น

ชุดที่ถูกล้อมกับชุดที่เข้าไปช่วยไม่สามารถติดต่อกันทางวิทยุสนาม

ได้ หากเข้าไปตอนนี้อาจทำให้เกิดการปะทะกันเองขึ้นได้ หัวหน้าชุด

ที่ไปช่วยจึงบอกว่า “เราจะนั่งอยู่ตรงนี้รอให้สว่างจึงเข้าไปช่วย

พวกเขา” ทุกคนแสดงความเห็นด้วย

ในคืนนั้นบนเขาค้อมันหนาวมาก ชุดเข้าไปช่วยนั่งกอดปืนรอ

เวลาท่ามกลางความเหน็บหนาว แม้อากาศบนเขาค้อจะแสนหนาว

แต่ภายในใจของนักรบกองร้อย ๙๔๘ นั้นร้อนรนเพราะห่วงเพื่อนที่

ถูกล้อม สงสารเพื่อนที่ต้องอดข้าวอดน้ำอยู่ในวงล้อมมาตั้งแต่เมื่อวาน

พวกเราได้รับความทรมานจากความหิว ความหนาวซึ่งพวกท่านที่อยู่

แนวหลังนั้นอยู่สุขสบายจะมีใครบ้างไหมหนอที่คิดถึงพวกเราบ้าง

ในที่สุดคืนอันโหดร้ายบนเขาค้อก็ผ่านไป แสงทองจับขอบฟ้า

ด้านตะวันออก ๑๒ เดนตาย ชุดเข้าไปชิงศพก็เดินต่อไปเพื่อเข้าไป

ช่วยเพื่อนและนำคนตายออกมาแนวหลัง เดินฝ่าสายหมอกไปได้

ไม่นานเสียงปืนก็ดังขึ้นมา มันคือเสียงปืนของผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์

เขาค้อที่ซุ่มรออยู่เพราะคงรู้ว่าจะต้องมีทหารพรานเข้าไปช่วยเพื่อน

ที่ถูกล้อมอย่างแน่นอน

เมื่อผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ยิงโจมตี ทหารพรานก็ยิงต่อสู้

การรบเป็นไปอย่างดุเดือดเลือดพล่าน ตอนนี้ทหารพรานที่ถูกล้อม

รู้แล้วว่ามีเพื่อนเข้ามาช่วย พวกเขาคงมีกำลังใจขึ้นมาก การปะทะกัน

ใช้เวลานานชุดเข้าไปช่วยรุกคืบไปเรื่อย ๆ ในที่สุดก็เข้าไปถึงคนถูก

ล้อมแต่ยังถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ยิงขัดขวางอยู่ตลอดเวลาจน

ไม่สามารถนำคนตายออกมาได้จนถึงเวลา ๙ โมง ก็รู้สึกใจชื้นขึ้น

เมื่อได้ยินเสียงเฮลิคอปเตอร์

ฮ. หรือเฮลิคอปเตอร์กันชิพติดปืนกลอากาศ ได้บินเข้ามา

ช่วยยิงแต่ก็ถูกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ยิงเฮลิคอปเตอร์เพื่อต่อต้าน

อย่างหนัก ชุดเข้าไปแย่งศพก็ถูกยิงขัดขวาง วันนั้นทั้งวันก็ไม่สามารถ

นำศพออกมาได้ จนตะวันตกดิน เฮลิคอปเตอร์ได้บินกลับไปแล้ว

ทหารพรานตกลงกันว่าจะแหกวงล้อมออกไปตอนตะวันตกดิน

ความมืดจะทำให้ผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์มองไม่เห็นคงจะสามารถ

หนีออกมาได้สำเร็จ!

เหตุการณ์จะเป็นยังไงต่อไป ทหารพรานที่ถูกผู้ก่อการร้าย

คอมมิวนิสต์ล้อมจะแหกวงล้อมมาได้สำเร็จหรือไม่ ติดตามอ่าน

ในตอนต่อไป

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

29


สมุดปกขาวของจีน

เรื ่อง “ความร่วมมือเพื ่อการพัฒนาระหว่างประเทศ

ของจีนในยุคใหม่” (ตอนที ่ ๔)

พลตรี ดร.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล

ข้าราชการบำนาญ

สำ

นักงานสารนิเทศคณะรัฐมนตรีจีน ได้เผยแพร่สมุดปกขาว

ของจีน เรื่อง “ความร่วมมือเพื่อการพัฒนาระหว่างประเทศ

ของจีนในยุคใหม่” เมื่อวันที่ ๑๐ มกราคม ๒๕๖๔ โดยสำหรับ

ตอนที่ ๔ นี้ จะกล่าวถึงการร่วมสร้างสรรค์ความร่วมมือระหว่าง

ประเทศภายใต้แนวคิด “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ซึ่งมีประเด็น

ที่น่าสนใจดังนี้

๑. การสื่อสารนโยบายให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น เนื่องจากการสื่อสารเชิง

นโยบายเป็นพื้นฐานสำหรับการร่วมสร้างประเทศ“ หนึ่งแถบ หนึ่ง

เส้นทาง” /”สายแถบและเส้นทาง” “Belt and Road

Initiative : BRI”) เพื่อเสริมสร้างความไว้วางใจซึ่งกันและกันทาง

การเมือง การดำเนินความร่วมมือในทางปฏิบัติและการรวมผลประโยชน์

ให้ลึกซึ้งยิ่งขึ้น รวมทั้งเพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดในการแสวงหา

30

พื้นที่ร่วมกัน ในขณะที่สงวนความแตกต่างและรวบรวมพื้นฐานร่วมกัน

ตลอดจนแก้ไขความแตกต่าง ทั้งนี้ จีนส่งเสริมการแลกเปลี่ยน

และความเข้าใจแบบสองทางกับประเทศผู้ร่วมสร้าง โดยจัดการฝึก

พลตรี ดร.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล


อบรมอย่างเป็นทางการและจัดส่งที่ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญในการ

ส่งเสริมการพัฒนาของประเทศตาม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง”

ในทิศทางเดียวกันและการทำงานร่วมกัน กล่าวคือ

๑.๑ การก่อสร้างร่วมกันของโครงการริเริ่ม “หนึ่งแถบ

หนึ่งเส้นทาง” จะเชื่อมโยงกับยุทธศาสตร์การพัฒนาของประเทศ

ต่าง ๆ อาทิ การเชื่อมต่อกับ “แผนแม่บทการเชื่อมต่ออาเซียน

ปี ๒๐๒๕” และ “วาระปี ๒๐๖๓” ของสหภาพแอฟริกา เป็นต้น

๑.๒ สร้างโอกาสในการรวมกลุ่ม พัฒนาเศรษฐกิจและ

การค้าในระดับภูมิภาค

๒. เร่งการเชื่อมต่อสิ่งอำนวยความสะดวก อันเป็นการเชื่อม

ต่อโครงข่ายซึ่งถือเป็นกุญแจสำคัญในการสร้าง “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง”

ร่วมกัน โดยจีนสนับสนุนการสร้างช่องทางที่เป็นโครงสร้างหลัก

ร่วมกัน เช่น ถนน ทางรถไฟ ท่าเรือ สะพาน และเครือข่ายท่อ

สื่อสารในประเทศ “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” โดยช่วยสร้างรูปแบบ

การเชื่อมต่อโครงข่าย “ หกทางหกถนน หลายประเทศหลายท่าเรือ”

อาทิ

๒.๑ การก่อสร้างระเบียงเศรษฐกิจจีน – ปากีสถาน โดย

สร้างทางด่วนเปชวาร์ – การาจี ทางหลวงคาราโครัมรวมทั้งโครงการ

ก่อสร้างและขยายส่วนถนนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งส่งเสริมความเจริญ

รุ่งเรืองของการค้าทางบกระหว่างจีน - ปากีสถาน รวมทั้งการ

ก่อสร้างระเบียงเศรษฐกิจจีน - คาบสมุทรอินโดจีน และระเบียง

เศรษฐกิจบังกลาเทศ - จีน - อินเดีย - เมียนมา เพื่อการเชื่อมต่อ

โครงข่ายและการพัฒนาร่วมกันของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และ

เอเชียใต้

๒.๒ การสนับสนุนช่องทางการขนส่งเส้นทางสายไหมทาง

ทะเลแห่งศตวรรษที่ ๒๑ เพื่อช่วยลดปัญหาสินค้าค้างส่งของเรือ

บรรทุกสินค้าในท่าเรือ และได้กลายเป็นจุดเชื่อมต่อโลจิสติกส์

การค้าบนเส้นทางสายไหมทางทะเลในศตวรรษที่ ๒๑

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

31


๒.๓ การสนับสนุนการสร้างศูนย์กลางการขนส่งทาง

อากาศ เพื่อตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น และช่วยอำนวยความ

สะดวกในการพัฒนาการท่องเที่ยวในท้องถิ่น รวมทั้งเพิ่มความ

สะดวกในการเคลื่อนย้ายผู้คนและการค้าข้ามพรมแดน

๓. ส่งเสริมการค้าที่ไม่มีข้อจำกัด เนื่องจากการค้าเป็นกลไก

สำคัญของการเติบโตทางเศรษฐกิจ ด้วยความช่วยเหลือด้านการ

ส่งเสริมการค้า โดยจีนช่วยประเทศที่เกี่ยวข้องในการปรับปรุง

เงื่อนไขการค้าและเพิ่มขีดความสามารถในการพัฒนาการค้าของตน

วางรากฐานที่มั่นคงสำหรับการค้าระหว่างประเทศที่ไม่มีข้อจำกัด

ภายใต้ข้อริเริ่ม “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง”

๓.๑ การส่งเสริมการอำนวยความ

สะดวกทางการค้า เพื่อเพิ่มขีดความสามารถใน

การแข่งขันของประเทศกำลังพัฒนาในรูปแบบของ

ห่วงโซ่อุปทานโลก โดยการเร่งความเร็วและ

ประสิทธิภาพของพิธีการศุลกากรของสินค้าและ

ต่อสู้กับอาชญากรรมลักลอบนำเข้าได้ดีขึ้น

๓.๒ การปรับปรุงความสามารถในการ

พัฒนาการค้า เพื่อสร้างขีดความสามารถทางการค้า

และสนับสนุนเศรษฐกิจที่กำลังพัฒนาโดยเฉพาะ

ประเทศที่พัฒนาน้อยที่สุดเพื่อรวมเข้ากับระบบ

การค้าพหุภาคีได้ดีขึ้น

๔. ส่งเสริมการจัดหาเงินทุน โดยจีนช่วยเหลือประเทศที่

เกี่ยวข้องอย่างแข็งขันในการปรับปรุงระบบการเงินของตนและ

สร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือด้านการจัดหาเงินเพื่อรับประกัน

การสื่อสารทางการเงิน อาทิ

๔.๑ สนับสนุนการปรับปรุงระบบการเงิน เพื่อปรับปรุง

กรอบเศรษฐกิจมหภาคและการเงิน โดยการจัดตั้งศูนย์วิจัยเพื่อการ

พัฒนาทางการเงิน“ หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง”

๔.๒ สร้างแพลตฟอร์มความร่วมมือทางการเงินแบบ

พหุภาคี โดยการจัดตั้งศูนย์ความร่วมมือด้านการเงินเพื่อการพัฒนา

พหุภาคีร่วมกับธนาคารโลก

32

พลตรี ดร.ไชยสิทธิ์ ตันตยกุล


๕. การปรับปรุงการสื่อสารระหว่างคนสู่คน ทั้งนี้เนื่องจาก

ความสัมพันธ์ระหว่างชาติอยู่ในความใกล้ชิดของผู้คนและความใกล้ชิด

ของผู้คนอยู่ที่การสื่อสารด้วยหัวใจ ด้วยการดำเนินการช่วยเหลือ

ด้านการดำรงชีวิตของประชาชน โดยจีนได้เพิ่มการแลกเปลี่ยนทาง

วัฒนธรรมและความร่วมมือทางวัฒนธรรมเพื่อสร้างรูปแบบของ

ความเห็นอกเห็นใจซึ่งกันและกัน รวมทั ้งความเข้าใจซึ่งกันและกัน

และการเคารพซึ่งกันและกัน ตลอดจนสร้างรากฐานทางสังคมใน

การสร้าง “หนึ่งแถบ หนึ่งเส้นทาง” ร่วมกัน อาทิ

๕.๑ การดำเนินโครงการเพื่อการดำรงชีวิต เช่น ที่อยู่อาศัย

น้ำประปา การดูแลทางการแพทย์ การศึกษา และทางหลวงชนบท ฯลฯ

๕.๒ การแลกเปลี่ยนและเพิ่มพูนความรู้รวมทั้งความเข้าใจ

เกี่ยวกับเงื่อนไขและวัฒนธรรมประจำชาติของจีน เพื่อส่งเสริมความ

สัมพันธ์ระหว่างประชาชนกับประชาชน

๕.๓ เสริมสร้างความร่วมมือทางวัฒนธรรม โดยดำเนิน

โครงการให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับมรดกทางวัฒนธรรม

บทสรุป นับตั้งแต่มีการริเริ่มโครงการ “หนึ่งแถบ หนึ่ง

เส้นทาง” / “สายแถบและเส้นทาง” “Belt and Road

Initiative : BRI”) จีนได้ดำเนินความร่วมมือด้านการพัฒนาอย่าง

แข็งขันตามความต้องการในการพัฒนาของประเทศที่เกี่ยวข้อง โดย

มีบทบาทในการสื่อสารเชิงนโยบายที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นในการเร่งการเชื่อมต่อ

สิ่งอำนวยความสะดวก การส่งเสริมการค้าที่ไม่มีข้อจำกัด การส่งเสริม

การเชื่อมต่อทางการเงิน การเสริมสร้างความเชื่อมโยงระหว่าง

ประชาชนกับประชาชน และสนับสนุนการพัฒนาของทุกประเทศ

ในการสร้างพื้นที่ สร้างโอกาสและส่งเสริมการร่วมสร้าง “หนึ่งแถบ

หนึ่งเส้นทาง” หรือ “สายแถบและเส้นทาง” ที่มีคุณภาพสูง

ข้อมูลจากเว็บไซต์ http://www.gov.cn/xinwen/2021-01/10/content_5578617.htm

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

33


จุดยืนที ่แตกต่าง

พลตรี ดร.ดิเรก ดีประเสริฐ

รองเจ้ากรมยุทธศึกษาทหารบก

ท่

ามกลางความตึงเครียดในภูมิภาคยุโรปตะวันออก ที่มียูเครน

เป็นตัวแสดงหลัก ซึ่งมีพรมแดนที่อยู่ติดกับดินแดนของประเทศ

รัสเซียที่กำลังคุกรุ่นและมีแนวโน้มความเป็นไปได้สูงว่า อาจจะเกิด

สงครามยุคใหม่ที่เกิดขึ้นโดยการเริ่มปฏิบัติการของกองทัพรัสเซียใน

รูปแบบใดรูปแบบหนึ่งที่ไม่ได้เป็นการต่อสู้กันโดยตรงระหว่าง

กองทัพรัสเซียกับกองทัพขององค์การป้องกันแอตแลนติกเหนือ

(NATO) หากแต่จะเป็นการต่อสู้ระหว่างกองทัพรัสเซียกับยูเครน

ภายใต้การสนับสนุนทางทหารจาก UN (United Nations) และ

สหรัฐอเมริกาอย่างเต็มรูปแบบที่เรียกกันว่า สงครามตัวแทน

(Proxy War) ซึ่งประเด็นสำคัญของวิกฤตรัสเซีย-ยูเครนในครั้งนี้

ก็คือความขัดแย้งที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนานในภูมิภาคดอนบัส และ

ยิ่งตอกย้ำความเข้มข้นรุนแรงซ้ำเติมสถานการณ์ให้เลวร้ายลงมากขึ้น

เมื่อสภาผู้แทนราษฎรของรัสเซียลงมติ เมื่อวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์

๒๕๖๕ ที่ผ่านมา อนุมัติร่างกฎหมายรับรองสถานะ การเป็นรัฐอิสระ

ของโดเนตสก์ (Donetsk) และลูฮันสก์ (Luhansk) ซึ่งเป็นดินแดน

ตะวันออกของยูเครนและอยู่ติดกับรัสเซีย ซึ่งมีผู้คนในดินแดน

ทั้งสองนี้ เป็นคนที่ใช้ภาษารัสเซียและฝักใฝ่รัสเซีย ซึ่งต้องการเป็น

อิสระจากการปกครองของยูเครน ในขณะที่ยูเครนถือว่าคน

ในโดเนตสก์ และลูฮันสก์นั้น เป็นกลุ่มแบ่งแยกดินแดนของยูเครน

หากแต่รัสเซียเห็นว่า คนในดินแดนทั้งสองแห่งนั้น เป็นบริวาร

ของรัสเซียที่จะต้องได้รับการสนับสนุน โดยในขณะนี้ ประธานาธิบดี

วลาดีเมียร์ ปูติน ได้ลงนามรับรองกฎหมายให้สถานะ การเป็นรัฐอิสระ

ของดินแดนทั้งสองอย่างเป็นทางการแล้ว อันส่งผลให้ความตึงเครียด

ในภูมิภาคนี้ทวีคูณยิ่งขึ้นไปอีก

34

ฌอง-อีฟว์ เลอ ดริยอง รัฐมนตรี

ว่าการกระทรวงการต่างประเทศฝรั่งเศส

กล่าวว่า หากรัสเซียยอมรับ โดเนตสก์

และลูฮันสก์ เป็นรัฐอิสระ ถือเป็นการ

โจมตียูเครนโดยไม่ต้องใช้อาวุธ และ

ละเมิดอธิปไตยของยูเครนอย่างชัดเจน

และการกระทำเช่นนี้ถือว่ารัสเซียถอนตัว

ออกจากข้อตกลงมินสก์ ซึ่งข้อตกลง

กรุงมินสก์ (Minsk Accords) นี้ถูกทำขึ้น

ที่เมืองหลวงของประเทศเบลารุส เพื่อมุ่ง

หวังจะยุติการสู้รบและให้แนวทางด้าน

การเมืองเพื่อการมอบพื้นที่ ที่ถูกกลุ่มแบ่ง

แยกดินแดนยึดครองไว้คืนให้กับรัฐบาล

ยูเครน โดยฝ่ายต่าง ๆ ที่ร่วมลงนามประกอบด้วยองค์การเพื่อความ

ร่วมมือและความมั่นคงในยุโรป (OSCE) รัสเซีย ยูเครน รวมทั้งผู้นำ

ของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนในเขตพื้นที่บริเวณโดเนตสก์กับลูฮันสก์

ของยูเครน อย่างไรก็ตามข้อตกลงดังกล่าวในขณะนั้น เพื่อมุ่งยุติ

การสู้รบระหว่างกำลังฝ่ายรัฐบาลยูเครนกับกลุ่มแบ่งแยกดินแดน

ที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพรัสเซีย ทำให้เกิดการหยุดยิงของ

ทั้งยูเครนและชนกลุ่มน้อยทั้งสองเมืองนั้นไม่เกิดสันติภาพขึ้น

อย่างแท้จริง และ ๗ ปีให้หลัง คู่กรณีที่สำคัญ คือยูเครนกับรัสเซีย

ยังไม่สามารถตกลงกันได้ เพราะต่างฝ่ายต่างมีเป้าหมายของตน

ในกรณีดังกล่าวที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

จวบจนปัจจุบัน ล่าสุดประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ผู้นำ

รัสเซีย กล่าวว่า ข้อตกลงมินสก์ไม่มีอีกต่อไปแล้ว ท่ามกลางความ

ตึงเครียดที่เพิ่มขึ้น ปูตินได้ลงนามรับรองร่างกฎหมายให้สถานะ การ

เป็นรัฐอิสระของสาธารณรัฐประชาชนโดเนตสก์-ลูฮันสก์ ดังกล่าว

พลตรี ดร.ดิเรก ดีประเสริฐ


อย่างเป็นทางการแล้ว จึงเป็นการฉีกข้อตกลงมินสก์อย่างชัดเจน ซึ่ง

ส่งผลให้สถานการณ์ในภูมิภาคนี้เลวร้ายลงไปอีกเป็นทวีคูณ และ

ล่าสุด วุฒิสภารัสเซียมีมติเป็นเอกฉันท์อนุมัติให้ประธานาธิบดี

วลาดิเมียร์ ปูติน มีอำนาจใช้กองทัพรัสเซียนอกประเทศได้ เพื่อให้การ

สนับสนุนกลุ่มแบ่งแยกดินแดน (โดเนตสก์ และลูฮันสก์) ซึ่งตั้งอยู่ใน

ภูมิภาคดอนบาสทางตะวันออกของยูเครนได้ โดยอ้างว่า เป็นการ

ส่งกำลังทหารไปเพื่อรักษาสันติภาพในพื้นที่ดังกล่าว หาใช่เป็นการ

ส่งกำลังทหารไปรุกรานประเทศยูเครนตามข้อกล่าวหาของสหรัฐฯ

และ NATO ด้วยเหตุผลว่า ผู้นำยูเครนใช้ความรุนแรงและการนองเลือด

ต่อกลุ่มคนที่ต้องการเป็นรัฐอิสระจากยูเครน ซึ่งคนเหล่านั้น

ต่างภักดีต่อรัสเซีย อีกทั้ง NATO ก็ได้ให้การสนับสนุนอาวุธ

ยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยแก่ยูเครนเพื่อใช้ในการเผชิญหน้ากับรัสเซีย

อีกด้วย โดยจุดเปราะบางที่ปูตินตัดสินใจส่งกำลังทหารไปรักษา

สันติภาพในดินแดนโดเนตสก์และลูฮันสก์ ก็เพราะเห็นว่าทางการ

ยูเครนสั่งให้ปฏิบัติการต่อต้านการก่อการร้าย โดยเข้าปราบผู้ประท้วง

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

จนในที่สุดเกิดเป็นจลาจลด้วยอาวุธ และเข้าสู่สงครามอย่าง

เต็มรูปแบบ

จากประเด็นอ่อนไหวเปราะบางในกรณีกลุ่มแบ่งแยกดินแดน

ยูเครน ทั้งโดเนตสก์และลูฮันสก์ ที่คุกรุ่นมาโดยตลอด ยิ่งทวีความ

หมิ่นเหม่ในการก่อสงครามหรือความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นเป็น

ลำดับ ดั่งเป็นการเติมน้ำมันเข้ากองไฟก็คือ การแสดงท่าทีของ

องค์การป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) ในการรับยูเครนเข้าเป็น

สมาชิก ซึ่งนั่นจึงซ้ำเติมจุดเปราะบางให้แทบจะขาดสะบั้นลง จาก

ความไม่ไว้วางใจยูเครนของรัสเซีย อันเปรียบเสมือนเป็นหอกข้างแคร่

ของรัสเซียที่เห็นว่าปัญหาโดเนตสก์และลูฮันสก์ ก็ยังไม่ได้รับ

การตอบสนองจากยูเครน การแสดงท่าทีสนับสนุนให้ยูเครนเข้าเป็น

สมาชิก NATO ที่รัสเซียแสดงจุดยืนชัดเจนมาโดยตลอดว่าต้องการ

ให้ NATO หยุดแผ่ขยายอิทธิพลโดยรับประเทศต่าง ๆ ในยุโรปตะวันออก

ที่เคยเป็นอาณานิคมของรัสเซียเข้าเป็นสมาชิกมากขึ้นไปอีก

โดยเฉพาะอย่างยิ่งการที่รัสเซียไม่ต้องการให้ยูเครนเข้าร่วมเป็น

สมาชิก NATO จนเมื่อต้นปี ค.ศ. ๒๐๒๑ ที่ผ่านมา เมื่อสหรัฐฯ และ

NATO เพิกเฉยต่อข้อเรียกร้องของรัสเซียดังกล่าว รัสเซียจึงแสดง

กำลังทหารของกองทัพอันเกรียงไกร ด้วยการระดมกำลังทหาร

จำนวนมากเข้าประชิดชายแดนยูเครน รวมถึงบริเวณภูมิภาค

ดอนบัสเพื่อกดดันสหรัฐฯ และ NATO ให้ยุติความตั้งใจดังกล่าว

อย่างสิ้นเชิง

วิกฤตการณ์รัสเซีย-ยูเครน ได้เดินทางมาถึงจุดตึงเครียดถึง

ขีดสุดอย่างหลีกหนีไม่พ้น เมื่อต่างฝ่ายต่างยืนหยัดในจุดยืนของตน

และในที่สุดประธานาธิบดีวลาดิเมียร์ ปูติน ตัดสินใจออกคำสั่งให้

กองทัพส่งกำลังทหารเข้าไปรักษาสันติภาพในเมืองโดเนตสก์และ

ลูฮันสก์ อันเป็นดินแดนทางภาคตะวันออกของยูเครนที่ยูเครนกล่าวว่า

เป็นกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน ในขณะที่

กลุ่มคนในดินแดนดังกล่าวและรัสเซียกล่าวว่า

เป็นกลุ่มคนที่ต่อสู้เพื่ออิสระในการปกครอง

ตนเองซึ ่งมีความชอบธรรมในการต่อสู้ หลัง

จากประธานาธิบดี ปูติน ได้ลงนามรับรองให้

ทั้งสองเมืองนี้เป็นรัฐอิสระจากการปกครอง

ของยูเครน และรัสเซียมีความจำเป็นที่จะต้อง

ส่งกองกำลังของตนเพื่อเข้าไปรักษาสันติภาพ

นำความสงบสุขมาสู่ชนกลุ่มน้อยในพื้นที่

ดังกล่าวอย่างถูกต้องตามกฎหมายหาใช่

เป็นการรุกรานยูเครน ทั้งยังบานปลายไปสู่

การคว่ำบาตรของประเทศมหาอำนาจตะวันตก

ที่ได้รับการตอบโต้จากรัสเซียแบบไม่ลดละ

เหล่านี้คือ ที่มาของความขัดแย้งอันกำลัง

ส่งผลกระทบลุกลามไปในมิติต่าง ๆ ที่ขยาย

วงกว้างออกไปต่อชีวิตของคนทั้งโลก เพราะ

จุดยืนที่แตกต่างอย่างชัดเจน

35


ข้อสังเกตและสิ ่งท้าทาย

สำหรับ กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้า

ในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ (ตอนที ่ ๑)

พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์

ข้าราชการบำนาญ

ด้

วยผู้เขียนได้มีโอกาสไปบรรยายให้ความรู้ด้านกฎหมายและ

หลักสิทธิมนุษยชนให้กับกำลังพล ทั้งทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่

ฝ่ายปกครองในพื้นที่จังหวัดปัตตานี ยะลา นราธิวาส และสงขลา

ตั้งแต่สมัยรับราชการจนหลังเกษียณอายุราชการ (พ.ศ.๒๕๔๘ จนถึง

พ.ศ.๒๕๖๓) ทำให้รับรู้สภาพปัญหาและสภาวะแวดล้อมพอสมควร

ตลอดจนต้องศึกษาหาความรู้ทั้งด้านกฎหมายภายในประเทศ

และกฎหมายระหว่างประเทศกับหลักสากลตลอดจนหลักสิทธิ

มนุษยชนที่เกี่ยวข้องตลอดเวลา เพื่อนำเสนอผู้บังคับบัญชาและ

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสำหรับนำไปใช้ประโยชน์ประกอบการปฏิบัติ

งาน จึงเห็นควรรวบรวมและเรียบเรียงขึ้นใหม่ เพื่อให้หน่วยงาน

ที่เกี่ยวข้อง นำไปใช้ประโยชน์ประกอบการพิจารณาแก้ไขปัญหา

ในพื้นที่ให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้นต่อไป ซึ่งมีข้อสังเกตและสิ่งท้าทาย

สรุปได้ดังนี้

๑. ลักษณะและรูปแบบของสถานการณ์การปฏิบัติหน้าที่

ของกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ ภาค ๔ ส่วนหน้า

36

(กอ.รมน.ภาค ๔ ส่วนหน้า) ซึ่งมีกำลังพลทหารบรรจุอยู่ด้วยนั้น

เป็นการรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ หรือการทำหน้าที่

บังคับใช้กฎหมาย (Law Enforcement) บางครั้งอาจเข้าข่าย

เป็นการก่อเหตุรุนแรงและความตึงเครียดภายใน (Internal

Disturbances and tensions) มิใช่อยู่ในภาวะการรบ (Combat

Operations) หรือการสงคราม (Warfare) ไม่ว่าจะเป็นการขัดกัน

พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์


ด้วยอาวุธระหว่างประเทศ (International Armed Conflict) หรือ

การขัดกันด้วยอาวุธภายในประเทศ (Internal Armed Conflict)

ก็ตาม เป็นการบังคับใช้กฎหมายอาญาบ้านเมืองปกติทั่วไป

(Domestic Criminal Laws) คล้ายคลึงกับต่างประเทศกรณี

ไอร์แลนด์เหนือใช้กำลังทหารอังกฤษไปเสริมการทำหน้าที่ของ

เจ้าหน้าที ่ตำรวจในการรักษาความสงบเรียบร้อยหรือการบังคับใช้

กฎหมาย

ส่วนการนำเจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารที่บรรจุใน กอ.รมน.ภาค ๔

ส่วนหน้า มาปฏิบัติหน้าที่รักษาความสงบเรียบร้อยหรือการบังคับ

ใช้กฎหมายนั ้น มีกฎหมายรองรับให้กระทำได้ ตามที่บัญญัติใน

มาตรา ๕๖ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๖๐

บัญญัติสรุปได้ว่า รัฐต้องจัดให้มีกำลังทหารเพื่อพิทักษ์ไว้ซึ่งความ

มั่นคงของรัฐและความสงบเรียบร้อยของประชาชน และมาตรา ๘

กับมาตรา ๓๖ แห่งพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวง

กลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ กำหนดสรุปได้ว่า ให้กระทรวงกลาโหมมีอำนาจ

หน้าที่พิทักษ์รักษาความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรจากภัยคุกคาม

ทั้งภายนอกและภายในราชอาณาจักร ตลอดจนปฏิบัติการอื่นที่

เป็นการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงครามเพื่อความมั่นคง

แห่งราชอาณาจักร และป้องกัน ระงับ หรือปราบปรามการกระทำ

ความผิดที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของรัฐซึ่งจำเป็นต้องใช้กำลัง

ทหารระงับเหตุการณ์ร้ายแรงโดยเร็ว นอกจากนี้ในการรักษาความ

สงบเรียบร้อยของประเทศหรือการทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย

พนักงานเจ้าหน้าที่ไม่ว่าจะเป็นตำรวจหรือทหารสามารถเข้าไปได้ใน

ทุกสถานที่เพื่อรักษาความสงบเรียบร้อยหรือทำหน้าที่บังคับใช้

กฎหมาย เช่น แหล่งชุมชน โรงพยาบาล โรงเรียน หรือสถานที่สำคัญ

ทางศาสนาหรือศิลปวัฒนธรรม เป็นต้น ไม่มีข้อจำกัดดังเช่นในกรณี

การรบหรือการสงครามภายใต้หลักกฎหมายสงครามหรือกฎหมาย

ว่าด้วยการขัดกันด้วยอาวุธระหว่างประเทศ ที่ผู้ทำการรบจะต้อง

หลีกเลี่ยงไม่เข้าไปในหรือใช้ประโยชน์ทางทหารจากสถานที่ดังกล่าว

และการที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ฝ่ายความมั่นคง

สามารถปฏิบัติหน้าที่บังคับใช้กฎหมายได้นั้น เป็นไปตามประมวล

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

37


ระเบียบการปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย

(Code of Conduct for Law Enforcement Officials 1979) ซึ่ง

ถือได้ว่าเป็นหลักสากลที่องค์การสหประชาชาติได้จัดทำขึ้น สรุปได้ว่า

ในประเทศที่ทหารสามารถใช้อำนาจหน้าที่อย่างตำรวจหรือโดย

กองกำลังรักษาความมั ่นคงของรัฐ ความหมายของเจ้าหน้าที่ที ่มี

อำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมายรวมถึงเจ้าหน้าที่ดังกล่าวด้วย

ทั้งนี้ กำลังพลทหารจำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมในเรื่อง

การใช้กำลังและอาวุธปืนในการบังคับใช้กฎหมายซึ่งแตกต่างจากการรบ

หรือการสงครามที่ได้รับการฝึกอบรมที่ผ่านมา ตลอดจนการจัดทำ

กฎการใช้กำลัง (Rules of Engagement) ที่เหมาะสมและทันสมัย

ในการปฏิบัติหน้าที่ในพื้นที่และการฝึกอบรมเป็นประจำให้มีความ

ชำนาญ เพื่อให้อยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย ซึ่งจะได้รับการ

คุ้มครองปกป้องไม่ต้องรับผิดทั้งทางอาญา แพ่ง และวินัย

๒. หลักกฎหมายภายในประเทศที่สำคัญซึ่งกำลังพล กอ.รมน.

ภาค ๔ ส่วนหน้า จะต้องยึดถือเป็นหลักปฏิบัติ โดยเฉพาะการใช้

อาวุธปืน และการชันสูตรพลิกศพกับการไต่สวนสาเหตุการตาย

ซึ่งแตกต่างจากการรบหรือการสงคราม ดังนี้

๒.๑ ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๖๘ ซึ่งสรุปได้ว่า

การใช้กำลังหรืออาวุธของทหารที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมายต้อง

พอสมควรแก่เหตุ หรือที่เรียกกันโดยทั่วไปว่าไม่เกินกว่าเหตุ ถือว่า

เป็นการป้องกันโดยชอบด้วยกฎหมายและอยู่ภายใต้หลักการ

ป้องกันตนเอง กล่าวคือ เป็นการป้องกันชีวิตของตนเองหรือผู้อื่นให้

พ้นภยันตรายที่ใกล้จะถึงจากการประทุษร้ายโดยผู้ต้องสงสัย

ผู้ต้องหา หรือผู้ที่จะถูกตรวจค้นหรือจับกุม ดังนั้น ในการทำหน้าที่

บังคับใช้กฎหมายต้องมีการแสดงตน การเตือนด้วยวาจา การยิงเตือน

ในทิศทางที่ปลอดภัย เว้นแต่หากสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยหรือเป็น

อันตรายต่อชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัสของผู้ใด

๒.๒ ประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา

๑๕๐ ซึ่งสรุปได้ว่า ในกรณีที่มีการตายเกิดขึ้นโดยการกระทำของ

เจ้าพนักงานระหว่างปฏิบัติหน้าที่หรือตายในระหว่างอยู่ในความควบคุม

ของเจ้าพนักงานระหว่างปฏิบัติหน้าที่ ให้มีการชันสูตรพลิกศพ แล้ว

มีการร้องขอต่อศาลชั้นต้นแห่งท้องที่ที่ศพนั้นอยู่ เพื่อให้ศาลทำการ

ไต่สวนและทำคำสั่งแสดงว่าผู้ตายคือใคร ตายที่ไหน เมื่อใด และถึง

เหตุกับพฤติการณ์ที่ตาย ถ้าตายโดยคนทำร้ายให้กล่าวว่าใครเป็น

ผู้กระทำเท่าที่จะทราบได้ แล้วส่งสำนวนไปให้พนักงานอัยการหรือ

อัยการทหารเพื่อมีคำสั่งฟ้องทางอาญาหรือไม่ฟ้องเจ้าพนักงาน

ดังกล่าว พนักงานอัยการหรืออัยการทหารจะพิจารณาว่าการกระทำ

ของเจ้าพนักงานดังกล่าวเกินกว่าเหตุหรือไม่ หากเห็นว่าไม่ได้กระท ำ

การเกินกว่าเหตุก็จะสั่งไม่ฟ้อง แต่ถ้าเห็นว่ากระทำเกินกว่าเหตุก็จะ

สั่งฟ้องเป็นคดีอาญาต่อไป

๓. หลักกฎหมายระหว่างประเทศและหลักสากลที่สำคัญ

๓.๑ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก สรุปสาระสำคัญได้ว่า ห้าม

เลือกปฏิบัติต่อเด็ก คุ้มครองเด็กทั้งไทยพุทธและไทยมุสลิมจากการ

ก่อเหตุรุนแรง แก้ไขเยียวยาเด็กที่ได้รับผลกระทบทั้งร่างกายและ

จิตใจ ส่งเสริมโครงการป้องกันมิให้เยาวชนถูกชักจูงและเป็นเครื่องมือ

ของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรงและยาเสพติด ส่งเสริมให้เด็กเข้าใจหลัก

คำสอนของศาสนาอิสลามที่ถูกต้อง ในกรณีต้องควบคุมเด็กหรือ

เยาวชนที่ต้องสงสัยกระทำผิด ต้องให้การดูแลและเมตตาเป็นพิเศษ

38

พลเอก กฤษณะ บวรรัตนารักษ์


ให้ความสำคัญกับการแสดงความคิดเห็นของเด็ก การกระทำหรือ

การดำเนินการทั้งหลายต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของเด็ก

เป็นที่ตั้ง

๓.๒ อนุสัญญาว่าด้วยการขจัดการเลือกปฏิบัติต่อสตรี

สรุปสาระสำคัญได้ว่า ให้ความสำคัญต่อสตรีที่ได้รับผลกระทบจาก

การก่อเหตุรุนแรง ป้องกันความรุนแรงต่อสตรี ให้สตรีได้รับการ

รักษาทั้งสุขภาพกายและใจ ส่งเสริมให้สตรีมีส่วนร่วมในการเสนอแนะ

การแก้ไขความขัดแย้งในสังคมและการก่อให้เกิดความสงบสุข

ในพื้นที่ส่งเสริมให้มีความเสมอภาคทางเพศทั้งในครอบครัวและ

สังคม ให้สตรีได้รับการดูแลทางเศรษฐกิจเท่าเทียมกับบุรุษ

๓.๓ กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิ

ทางการเมือง สรุปสาระสำคัญได้ว่า ห้ามเลือกปฏิบัติด้วยเหตุความ

แตกต่างในเรื่องศาสนาหรือเพศ ไม่มีการทรมานต่อบุคคล ไม่จับกุม

หรือควบคุมตัวบุคคลใดโดยอำเภอใจ การจับกุมหรือควบคุมตัวจะ

ต้องเป็นไปตามกฎหมาย

๓.๔ อนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการ

ลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้มนุษยธรรม หรือย่ำยีศักดิ์ศรี สรุปสาระสำคัญ

ได้ว่า คุ้มครองผู้ถูกคุมขังให้พ้นจากการทรมาน กำหนดมาตรการ

ป้องกันการทรมานเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ มีช่องทางให้มีการร้องเรียน

หรือร้องทุกข์กรณีกล่าวหาว่ามีการทรมาน กำหนดมาตรการ

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

สอบสวนเจ้าหน้าที่ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการทรมาน กำหนดการ

แก้ไขเยียวยาหรือชดเชยกรณีที่ปรากฏว่ามีการทรมาน

๓.๕ อนุสัญญาว่าด้วยสิทธิคนพิการ สรุปสาระสำคัญได้ว่า

ไม่เลือกปฏิบัติต่อคนพิการ สิทธิที่จะได้รับการเคารพต่อศักดิ์ศรี

ทางร่างกายและจิตใจ สิทธิได้รับการอำนวยความสะดวกใน

ความเป็นอยู่

๓.๖ อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการ

บังคับให้หายสาบสูญ (ประเทศไทยลงนามแต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบัน)

สรุปสาระสำคัญได้ว่า ห้ามกระทำ สนับสนุน หรือรู้เห็นเป็นใจในการ

จับกุม คุมขัง ลักพา หรือลิดรอนเสรีภาพของบุคคลโดยพยายาม

ปกปิดชะตากรรมหรือที่อยู่ของบุคคลนั้น ๆ มีการสอบสวนหากมี

การกล่าวหาว่ามีการบังคับให้หายสาบสูญ ให้ความสำคัญกับญาติ

ของผู้เสียหายในกระบวนความเป็นธรรม ญาติผู้สูญหายมีส่วนร่วม

ในการติดตามหาตัวผู้สูญหาย และผู้เสียหายจะได้รับการเยียวยา

๓.๗ หลักการพื้นฐานว่าด้วยการใช้กำลังบังคับและอาวุธปืน

ของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย (Basic Principles

on the Use of Force and Firearms by Law Enforcement

Officials) รับรองโดยที ่ประชุมขององค์การสหประชาชาติ

เป็นหลักสากลในการใช้กำลังและอาวุธปืนของเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจ

หน้าที่บังคับใช้กฎหมาย สรุปสาระสำคัญได้ว่า ใช้กำลังบังคับและ

อาวุธปืนได้เฉพาะที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวดไม่อาจหลีกเลี ่ยงได้

เคารพสิทธิมนุษยชน ออกกฎเกณฑ์และข้อบังคับว่าด้วยการใช้กำลัง

บังคับและอาวุธปืน พัฒนาวิธีการใช้อาวุธและอุปกรณ์ที่เกี่ยวข้องให้

หลากหลายเพื่อให้เหมาะสมกับความจำเป็นที่แตกต่างกันของแต่ละ

สถานการณ์ เจ้าหน้าที่พึงได้รับอุปกรณ์ป้องกันตัว เช่น โล่ หมวก

ป้องกันศีรษะ เสื้อกันกระสุน ฯลฯ เจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนเพื่อเป็นการ

ป้องกันตัวหรือป้องกันผู้อื่นให้พ้นจากภยันตรายร้ายแรงที่ใกล้จะมา

ถึงที่อาจถึงแก่ชีวิตหรือบาดเจ็บสาหัส การแสดงสถานภาพเจ้าหน้าที่

และการเตือนเว้นแต่ในสถานการณ์ที่เสี่ยงต่อชีวิตหรืออันตรายที่

ร้ายแรง การใช้กำลังบังคับต่อการชุมนุมที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย การใช้

กำลังบังคับในการคุมขังหรือควบคุมตัว การกำหนดคุณสมบัติและ

การฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ การป้องกันการใช้กำลังหรืออาวุธปืนเกินกว่า

เหตุอย่างเป็นระบบ และการรายงานกับการแก้ปัญหาเมื่อมีการใช้

กำลังและอาวุธปืนเกินกว่าเหตุ

หมายเหตุ จากการตรวจสอบเบื้องต้นในการกรอกเอกสาร

ทางราชการของชาวไทยมุสลิมตามกฎหมายถือว่ามีเชื้อชาติไทย

สัญชาติไทย จึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องกล่าวถึงอนุสัญญาว่าด้วย

การขจัดการเลือกปฏิบัติทางเชื้อชาติในทุกรูปแบบที่ประเทศไทย

เป็นภาคีแต่อย่างใด

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

39


โครงการวิจัยระบบ

เฝ้าตรวจแจ้งเตือนในพื้นที ่เมืองด้วยปัญญาประดิษฐ์

แบบเคลื ่อนที ่ (Mobile AI)

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม

ความเป็นมา

รมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม ได้ดำเนินโครงการ

วิจัยระบบเฝ้าตรวจแจ้งเตือนในพื้นที่เมืองด้วยปัญญาประดิษฐ์

แบบเคลื่อนที่ (Mobile AI) โดยมี ศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร

กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม เป็นหน่วยเจ้าของโครงการ

และมี พันเอก ดร.กิตติ รัตนดิษฐ์ เป็นนายทหารโครงการ ร่วมกับ

ภาคเอกชน (บริษัท เวสเทิร์น อินทรีเกรทชั่น จำกัด) สนับสนุน

นโยบายการขับเคลื่อนอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของกระทรวง

กลาโหม ในการพัฒนาระบบรักษาความปลอดภัยด้วยเทคโนโลยี

ปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) เพื่อสนับสนุนการ

ปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ การดำเนินโครงการ

เป็นการพัฒนาต่อยอดผลงานวิจัยและพัฒนาระบบรักษาความ

ปลอดภัยจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

ที่มีใช้งานในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยนำเทคโนโลยี AI

มาประยุกต์ใช้ควบคู่กับการปฏิบัติการเชิงรุกที่สามารถเคลื่อนที่

เข้าไปยังเขตพื้นที่เมือง หรือพื้นที่เสี่ยงตามจุดต่าง ๆ และได้ส่งมอบให้

กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า ไว้ใช้งาน

เรียบร้อยแล้ว เมื่อ ๒๓ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๕

วัตถุประสงค์ของโครงการ

๑) เพื่อพัฒนาและสร้างระบบเฝ้าตรวจแจ้งเตือนในพื้นที่เมือง

ด้วยปัญญาประดิษฐ์แบบเคลื่อนที่ (Mobile AI) จำนวน ๑ ระบบ

๒) เพื่อเก็บรวบรวมข้อมูลใบหน้าบุคคลและป้ายทะเบียน

40

หลักการทำงานของระบบเฝ้าตรวจแจ้งเตือนในพื้นที่เมืองด้วยปัญญาประดิษฐ์แบบเคลื่อนที่ (Mobile AI)

ยานพาหนะของคนในพื้นที่

๓) เพื่อสร้างแพลตฟอร์มสำหรับงานเฝ้าตรวจแจ้งเตือน และ

ระบบแสดงผลจากส่วนกลาง

ข้อมูลทางเทคนิค

เป็นนวัตกรรมสำหรับงานเฝ้าตรวจแจ้งเตือนแบบเคลื่อนที่

โดยนำเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) เพื่อประยุกต์ใช้งานตรวจสอบ

ใบหน้าบุคคลและป้ายทะเบียนยานพาหนะด้วยการเคลื่อนที่เข้าไป

ยังเขตพื้นที่เมือง หรือพื้นที่เสี่ยงตามจุดต่าง ๆ และเก็บข้อมูลใบหน้า

บุคคลและป้ายทะเบียนยานพาหนะสำหรับใช้เป็นฐานข้อมูลของ

ประชาชนในพื้นที่ซึ่งสามารถใช้ในการสืบค้นข้อมูลย้อนหลังได้ผ่าน

สัญญาณอินเทอร์เน็ตแบบ 4G มีหลักการทำงานของระบบโดยข้อมูล

ป้ายทะเบียนยานพาหนะจากกล้องสำหรับการใช้งานในการเฝ้าตรวจ

แบบเคลื่อนที่ (Mobile Cam) และข้อมูลใบหน้าบุคคลจากกล้อง

สำหรับติดตัวเจ้าหน้าที่ปฏิบัติงาน (Body Cam) จะถูกส่งไป

วิเคราะห์และประมวลผลด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI)

เปรียบเทียบกับฐานข้อมูลบุคคลและป้ายทะเบียนยานพาหนะ

ต้องสงสัย (Blacklist) แล้วนำไปแสดงผลและแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่

ผ่านอุปกรณ์แบบพกพา

ขั้นตอนการดำเนินโครงการ (ระยะเวลา เมษายน ๒๕๖๔ -

มีนาคม ๒๕๖๕)

๑) พัฒนาและออกแบบระบบเฝ้าตรวจแจ้งเตือนในพื้นที่เมือง

ด้วยปัญญาประดิษฐ์แบบเคลื่อนที่

ศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม


ภาพการอ่านและตรวจจับใบหน้าบุคคลต้องสงสัย (Blacklist) พร้อมการแจ้งเตือนผ่านอุปกรณ์พกพา

๒) จัดหาวัสดุและอุปกรณ์งานวิจัย รวมทั้งสร้างแพลตฟอร์ม

สำหรับงานเฝ้าตรวจแจ้งเตือนเพื่อใช้งานส่วนกลาง

๓) ทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการ (ทางเทคนิค) ณ ศูนย์วิจัย

และพัฒนาการทหาร กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม

๔) ทดสอบในภาคสนาม (ทางยุทธวิธี) ในพื้นที่จังหวัดชายแดน

ภาคใต้ ณ ด่านตรวจเกาะหม้อแกง จังหวัดปัตตานี อบรมการใช้งาน

และสรุปผลการดำเนินโครงการ

ผลการดำเนินโครงการ

๑) ผลการทดสอบในระดับห้องปฏิบัติการ (ทางเทคนิค) ระบบ

เฝ้าตรวจแจ้งเตือนในพื้นที่เมืองด้วยปัญญาประดิษฐ์แบบเคลื่อนที่

สามารถตรวจจับใบหน้าบุคคลและป้ายทะเบียนรถได้อย่างถูกต้อง

แม่นยำผ่านสัญญาณอินเทอร์เน็ต 4G

๒) ผลการประเมินจากผู้ใช้งาน (ทางยุทธวิธี) ระบบมี

ประสิทธิภาพในการอ่านและตรวจจับป้ายทะเบียนยานพาหนะ

ในเวลากลางวันระยะไม่เกิน ๘๐ เมตร เฉลี่ยร้อยละ ๙๗.๗๑ ในเวลา

กลางคืนระยะไม่เกิน ๕๐ เมตร เฉลี่ยร้อยละ ๙๘.๑๓ ซึ่งอยู่ในเกณฑ์

“ดีเยี่ยม” นอกจากนี้ ระบบยังมีประสิทธิภาพในการอ่านใบหน้า

บุคคลต้องสงสัยได้อย่างแม่นยำ และแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่ผ่านอุปกรณ์

พกพาได้ภายในเวลาที่รวดเร็ว (ไม่เกิน ๒ วินาที)

ประโยชน์ที่ได้รับและแนวทางการขยายผล

๑) ช่วยเสริมมาตรการเฝ้าตรวจแจ้งเตือนบุคคลและ

ยานพาหนะต้องสงสัย (Blacklist) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

๒) สามารถยับยั้งการก่อเหตุของบุคคลและยานพาหนะ

ต้องสงสัยในเขตพื้นที่ชุมชน พื้นที่เฝ้าระวัง หรือพื้นที่เสี่ยง โดยการ

ติดตั้งบนรถตรวจการณ์แบบเคลื่อนที่ (Mobile Cam) เช่น รถยนต์

รถจักรยานยนต์ เป็นต้น และติดตัวเจ้าหน้าที่ (Body Cam) ทำให้ลด

การสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินของเจ้าหน้าที่และประชาชนได้

๓) ลดการนำเข้าจากต่างประเทศ โดยหากได้รับการสนับสนุน

และผลักดันให้ทำการผลิตใช้ในส่วนราชการและภาคเอกชนจะ

สามารถประหยัดงบประมาณได้ (ราคาจากการวิจัยและพัฒนา

ประมาณ ๓ ล้านบาทต่อระบบ และราคาจัดหาจากต่างประเทศ

ประมาณ ๕ - ๖ ล้านบาทต่อระบบ)

ภาพการใช้งานระบบเฝ้าตรวจแจ้งเตือนในพื้นที่เมืองด้วยปัญญาประดิษฐ์แบบเคลื่อนที่ (Mobile AI)

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

41


เมื ่อต้องอยู่กับโลกดิจิทัล

จุฬาพิช มณีวงศ์

รองบรรณาธิการ วารสารวิทยาศาสตร์ สมาคมวิทยาศาสตร์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์

แม้จะไม่มีจุดบ่งชี้ที่แน่ชัดว่า การอยู่บนโลกออนไลน์เสมือนจริง

ของคนทุกวันนี้จะมีผลกระทบต่อสภาพจิตใจจนทำให้โรคหดหู่

และการฆ่าตัวตายทำสถิติเพิ่มขึ้นอย่างน่าเป็นห่วง แต่อย่างน้อยก็มี

ความเริ่มตระหนักถึงภัยจากการเสพโซเชียลที่มากเกินไปของคนใน

สังคม

จากหนังสือ My Brain Has too Many Tabs Open ซึ่งแปล

เป็นไทยโดย พรรษรัตน์ พลสุวรรณ ซึ่งเป็นหนังสือติดอันดับขายดี

ในประเทศไทย ได้อธิบายถึงพฤติกรรมของมนุษย์ในโลกโซเชียลและ

บอกวิธีว่าจะทำอย่างไรจึงจะสร้างสมดุลในการใช้ชีวิตและเรียนรู้

ที่จะอยู่กับเทคโนโลยี ซึ่งบางทีถ้ามากเกินไปก็อาจจะเป็นผลเสีย

เป็นหนังสือที่มีเนื้อหาตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบัน ซึ่งทุกคนอาจ

เคยเจอกันมาแล้ว โดยเฉพาะ ๒ ปี ที่ผ่านมา สถานการณ์การแพร่

ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 ยิ่งทำให้ต้องเผชิญกับการทำงานและ

การติดต่อทางออนไลน์มากขึ้นปราศจากเส้นแบ่งในเวลาหรือนอก

เวลางานอีกต่อไป บางคนพบว่าเดินออกจากบ้านลืมกระเป๋าเงินได้

แต่ลืมโทรศัพท์มือถือไม่ได้เพราะชีวิตผูกติดกับโทรศัพท์มือถือ

ทุกอย่าง จ่ายเงิน ดูปฏิทิน ดูนัด ดูเวลา ดูแผนที่ ฯลฯ

42

นอกจากนี้ หนังสือยังแนะนำการใช้โซเชียลในจุดที่พึงระวัง

ทั้งการแซทขณะเดิน ซึ่งมีผู้ประสบอุบัติเหตุกันมานักต่อนักไปจนถึงการ

ใช้ที่มากเกินไป ซึ่งสามารถสังเกตได้จากความรู้สึกในด้านลบ สะดุ้ง

ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงไลน์เพราะโดนตามงานไม่เป็นเวลา เห็นรูปคนอื่น

ไปเที่ยว ชีวิตดี กินอาหารอร่อย ประสบความสำเร็จ ตัดภาพมา

เปรียบเทียบกับตัวเองก็มีความรู้สึกน้อยเนื้อต่ ำใจ เกิดอารมณ์ซึมเศร้า

ถึงเวลาที่จะต้องปิดพักการใช้งานชั่วคราวเพื่อไม่ให้เกิดผลกระทบมาก

จนเกินไป สอดคล้องกับนักจิตวิทยาที่ระบุว่า สมองมนุษย์ถูกออกแบบ

มาให้มีชีวิตรอด จะมีความรู้สึกกับข่าวร้ายมากกว่าข่าวดี เมื่อสมอง

รับเรื่องนั้นมาก ๆ จะคิดว่าเป็นเรื่องจริงทั้งที่ไม่ใช่เรื่องจริง

คุณชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัล

เพื่อเศรษฐกิจและสังคม ให้ทัศนะว่า สังคมไทยเป็นสังคมดิจิทัลแบบ

ร้อยเปอร์เซ็นต์แล้ว เพราะวันนี้ชีวิตประจำวันของคนไทยใช้สมาร์ทโฟน

และอินเทอร์เน็ตในการติดต่อสื่อสารและทำธุรกรรมต่าง ๆ

ทำให้ใช้ไซเบอร์ซีเคียวริตี้หรือการป้องกันการถูกโจมตีในระบบ

คอมพิวเตอร์มีความสำคัญต่อชีวิตและความเป็นอยู่ของประชาชน

อย่างมาก รัฐบาลให้ความสำคัญในเรื่องนี้สูงมาก มีการจัดตั้ง

จุฬาพิช มณีวงศ์


สำนักงานคณะกรรมการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ

หรือ สกมช. เป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแลเพื่อรักษาความ

มั่นคงและความปลอดภัยทางไซเบอร์ โดยร่วมมือกับหน่วยงาน

โครงสร้างพื้นฐานสำคัญทางสารสนเทศ ๘ ด้าน ได้แก่ ด้านความ

มั่นคงของรัฐ ด้านบริการภาครัฐที่สำคัญ ด้านการเงินการธนาคาร

ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและโทรคมนาคม ด้านการขนส่งและ

โลจิสติกส์ ด้านพลังงานและด้านสาธารณูปโภค ด้านสาธารณสุขและ

ด้านอื่น ๆ ทั้งนี้สิ่งที่ต้องทำคู่ขนานกันไปคือ การมีกฎหมายคุ้มครอง

ข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ ๑ พฤษภาคม ๒๕๖๕

โดยผู้ให้บริการของบริษัทต่าง ๆ ต้องมีระบบป้องกันข้อมูลส่วนบุคคล

ไม่ให้รั่วไหลหรือถูกแอบอ้างไปใช้ในทางมิชอบ

พลเอก ดร.ปรัชญา เฉลิมวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการ

การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ให้ข้อมูลว่า ปัจจุบัน

ประชากรไทยประมาณ ๗๐ ล้านคนลงทะเบียนใช้โทรศัพท์มือถือถึง

๑๓๓ เปอร์เซ็นต์ และมีอัตราการอยู่บนอินเทอร์เน็ตเป็นอันดับ ๓

ของโลก โดยใช้เวลาถึงกว่า ๙ ชั่วโมงต่อวัน สูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลกที่

ใช้เวลา ๖ ชั่วโมงต่อวัน จึงเป็นเรื่องง่ายดายและรวดเร็วที่ข้อมูลและ

การติดต่อจากอาชญากรรมทางคอมพิวเตอร์จะมาเคาะประตูบ้าน

อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ ซึ่งปัจจุบันมีการดำเนินการเพื่อรับมือทาง

ไซเบอร์ มีการจัดทำแผนการป้องกันและแก้ไขปัญหาความมั่นคงทาง

ไซเบอร์อยู่ภายใต้ยุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ของชาติ

ในระยะยาวถึงปี ๒๕๗๐

ภารกิจสำคัญที่จะต้องทำคือ การสร้างความตระหนักให้เข้าใจ

ถึงภัยคุกคามทางไซเบอร์ว่าไม่ใช่เรื่องเล็ก ๆ เพียงคลิกเดียวก็

สามารถทำให้ระบบพังได้ ซึ่งจะมีการออกกฎหมายอีก ๔ ฉบับ

เพื่อเป็นแนวทางที่จะให้หน่วยงานที่เป็นโครงสร้างพื้นฐานสำคัญ

ทางสารสนเทศนำไปปฏิบัติตามซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในปี

๒๕๖๕ นี้

“ปฏิบัติการทางไซเบอร์และความมั่นคงทางสังคมเป็นเรื่อง

สำคัญละเลยไม่ได้ เพราะการใช้งานสังคมออนไลน์ของคนรุ่นใหม่

ส่งผลให้ค่านิยมในสังคมเปลี่ยนไปมากจนวัฒนธรรมของเราถูก

ทำลายโดยสื่อสังคมออนไลน์”

พลเอก ปรัชญา เฉลิมวัฒน์ เลขาธิการคณะกรรมการ

การรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ กล่าว

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

43


สำหรับประชาชน ภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ต้องมีการเตรียม

รับมือและกำลังเป็นปัญหาที่พบเห็นได้ในชีวิตประจำวันคือ รูปแบบ

ของคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งมักมาพร้อมกับความโลภ ความกลัวและความรัก

จึงควรตั้งสติให้ดีเพื่อป้องกันการถูกหลอกให้เสียทรัพย์สิน

ไม่ต้องตื่นตระหนกกับการรับสายคอลเซ็นเตอร์ควรตรวจสอบก่อน

รวมถึงการได้รับ sms แปลก ๆ ให้สงสัย สังเกต และระมัดระวังการ

ส่งข่าวแจ้งต่อ ถ้ามีข้อความส่งเข้ามาไม่มีการกดลิงค์กลับ เรื่องแบบ

นี้ก็จะค่อย ๆ หายไป

ศูนย์ปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ได้

สรุปรูปแบบวิธีการ กลโกง ของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ซึ่งสร้างความเสียหาย

จนบางรายสูญเสียเงินเป็นล้านไว้อย่างน่าสนใจ สมควรนำมา

เผยแพร่เตือนกันดังต่อไปนี้

- ทวงหนี้นอกระบบ แก๊งคอลเซ็นเตอร์จะสุ่มโทรหา

เหยื่อและอ้างว่ามีคนกู้เงินจำนวนเท่านั้นเท่านี้โดยให้

ชื่อเหยื่อกับเบอร์โทรศัพท์ไว้ หรืออ้างว่าญาติทางเหยื่อ

ไปกู้เงินมาและให้ชื่อเหยื่อเป็นคนจ่ายหนี้แทน

- พัสดุมียาเสพติด แก๊งคอลเซ็นเตอร์ตีเนียน

โทรหาเหยื่ออ้างพัสดุที่ส่งไปต่างประเทศมีปัญหาเกี่ยวกับ

ยาเสพติดจะต้องคุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทั้งที่เหยื่อ

ไม่เคยส่งอะไรไปเลยซึ่งถ้าหากเหยื่อหลงเชื่อก็จะมีการ

หลอกให้โอนเงินหลักหมื่นหลักแสนมาให้เพื่อไป

ตรวจสอบ กว่าจะรู้ตัวว่าโดนหลอกก็สายเสียแล้ว

- หลอกว่าเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงิน แก๊งคอล-

เซ็นเตอร์หลอกว่าเกี่ยวข้องกับคดีฟอกเงินแสดงตัวเอง

ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ สำนักงานป้องกันและปราบปราม

การฟอกเงินอ้างว่าเหยื่อเกี่ยวพันกับคดีฟอกเงินให้โอนเงินเพื่อมา

ตรวจสอบ สุดท้ายถูกหลอกสูญเงินไป

- หลอกว่าเป็นบริษัทประกัน แก๊งคอลเซ็นเตอร์โทรศัพท์

มาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่บริษัทประกันชีวิตแห่งหนึ่งมีการพูดคุยเรื่อง

รับสินไหม ต่อมาโอนสายให้คุยกับบุคคลที่อ้างว่าเป็นตำรวจโดยหลอก

ว่าบัญชีไปใช้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ต้องอายัดบัญชี ต้องโอนเงิน

กลับไปให้เจ้าหน้าที่ที่ตรวจสอบสุดท้ายถูกหลอก

นอกจากการหลอกลวงในโลกออนไลน์ผ่านแก๊ง

คอลเซ็นเตอร์แล้ว ยังมีรูปแบบการหลอกอีกสารพัด จากสถิติ

ปัญหาที่มา กับรูปแบบสายโทรศัพท์แปลก ๆ ทั้งการโทรเข้ามา

44

จุฬาพิช มณีวงศ์


และข้อความ sms ในปี ๒๕๖๔ มีการใช้โทรศัพท์เพื่อหลอกลวง

ในประเทศไทยกว่า ๖.๔ ล้านครั้ง เพิ่มขึ้นถึง ๒๗๐ เปอร์เซ็นต์ การโทร

หลอกลวงมีความแนบเนียนมากขึ้นและมีความถี่สูงขึ้นโดยพบว่า

สายโทรเข้ามาจากแก๊งคอลเซ็นเตอร์ของมิจฉาชีพมาในรูปแบบการ

บริการจัดส่งสินค้า เริ่มรุนแรงตั้งแต่เดือนเมษายน ๒๕๖๔ ส่งผลให้

เหยื่อสูญเงินมูลค่ากว่า ๑๐๐ ล้านบาท และรูปแบบที่ได้รับรายงาน

คือ การโทรศัพท์ที่อ้างมาจากตำรวจก็เพิ่มสูงขึ้น โดยกล่าวหาว่า

ผู้ใช้มีส่วนร่วมในอาชญากรรม เช่น การฟอกเงิน เป็นต้น

ผลการสำรวจของดุสิตโพล ในหัวข้อมิจฉาชีพแก๊งคอล-

เซ็นเตอร์ไทยสังคม ณ วันนี้ กลุ่มตัวอย่างถึงร้อยละ ๔๐ ระบุว่าเคย

พบเหตุการณ์โทรเข้ามาของแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จากร้อยละ ๓๒

ญาติพี่น้องและเพื่อนพบเจอ และร้อยละ ๒๑ พบเจอด้วยตนเอง ร้อยละ

๘๖ ยืนยันว่าเป็นภัยสังคมอย่างมาก มีเพียงร้อยละ ๑๒ บอกว่า

ค่อนข้างเป็นปัญหาที่เกิดจากสังคม ส่วนสาเหตุที่ทำให้เป็นคอล-

เซ็นเตอร์ระบาดหนักส่วนใหญ่ร้อยละ ๗๖ มองว่าเพราะมีวิธีการ

หลอกลวงที่ทันสมัยและไม่ต้องแสดงตัวตน ร้อยละ ๖๙ มองว่ามี

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

เครือข่ายข้ามชาติหนุนหลัง และร้อยละ ๖๖ มองว่า มาจาก

ผลประโยชน์ เมื่อถามว่าหน่วยงานใดสามารถแก้ปัญหาได้ กว่า

ร้อยละ ๘๐ มองว่าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ รองลงมาเป็นกระทรวง

ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และคณะกรรมการกิจการกระจาย

เสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ

ขณะนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ลงนาม MOU กับสมาคม

สถาบันการเงินของรัฐ สมาคมธนาคารไทยและธนาคารต่าง ๆ

สมาชิกรวม ๒๑ ธนาคาร ในโครงการระบบรับแจ้งความออนไลน์

อาชญากรรมทางเทคโนโลยี ผ่านเว็บไซต์ www.thaipoliceonline.

com สามารถแจ้งความผ่านทางระบบคอมพิวเตอร์และสมาร์ทโฟน

รวมทั้ง กสทช. ได้กำกับผู้ให้บริการโทรศัพท์ระหว่างประเทศ ทั้ง ๖

สายระงับสายโทรเข้ามาจากต่างประเทศที่เป็นโทรศัพท์บ้านรหัส

โทรศัพท์ประเทศที่ยังไม่ได้จัดสรร รวมทั้งตรวจสอบหมายเลข

โทรศัพท์จากต่างประเทศที่ผิดกฎหมาย

คาถาประจำที่ต้องท่องไว้ป้องกันกลโกงแก๊งคอลเซ็นเตอร์คือ

ไม่เชื่อ ไม่รีบ ไม่โอน

พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายก

รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง

กลาโหม มีความเป็นห่วงปัญหาที่พี่น้อง

ประชาชนถูกหลอกผ่านโซเชียลมีเดีย และ

กำชับให้ทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งหา

มาตรการอย่างรัดกุมต่อผู้กระทำผิด

โดยเฉพาะแก๊งคอลเซ็นเตอร์ที่มาจาก

ต่างประเทศ รวมทั้งรณรงค์ให้ ประชาชนมี

ความรู้เท่าทันโลกในยุคดิจิทัลซึ่งมีความ

ทันสมัย ตอบโจทย์สังคมยุคใหม่ที่ต้องการ

ความรวดเร็ว แค่ลัดนิ้วมือแต่ก็พร้อมจะ

สร้างความสูญเสียได้ชั่วพริบตาเช่นกัน

45


“3 NEW : สิ ่งที ่คนไทยควรรู้

เพื ่อความอยู่รอดและความสำเร็จในชีวิตยุคหลังโควิด-19

ท่ามกลางการกำเนิดขึ้นของโลกใหม่ บนดินแดนแห่ง METAVERSE” ตอนที

่ ๒

พลเอก เฉลิม คูหาวิชานันท์

ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

ทุ

กคนที่เกิดมาบนโลกนี้ ล้วนมีความสามารถที่จะประสบ

ความสำเร็จในชีวิต หากมีความตั้งใจจริง มีเป้าหมายของชีวิต

ที่ชัดเจน และทำตามกฎแห่งความสำเร็จ ก้าวเดินไปบนหนทางสู่

เป้าหมาย ด้วยความอดทน และมุ่งมั่น จนถึงจุดหมายแห่งความ

สำเร็จในชีวิตที่ตั้งใจไว้โดยไม่ล้มเลิก

สังคมไทยในปัจจุบันแม้ว่าจะมีเหตุการณ์วิกฤตเกิดขึ้นอย่าง

ต่อเนื่อง ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในด้านต่าง ๆ ของสังคม แต่ใน

เวลาเดียวกันก็ได้นำมาซึ่งสิ่งใหม่ที่ดีกว่าเดิมมากมาย ทำให้เต็มไป

ด้วยโอกาสสุดแล้วแต่ว่าใครจะมีความสามารถมองเห็นโอกาสที่เกิดขึ้น

และใช้โอกาส ให้เกิดประโยชน์และเกิดความสำเร็จในชีวิตของตน

ทั้งนี้สติปัญญาและความคิดนับว่าเป็นปัจจัยส ำคัญประการหนึ่งที่จะ

ช่วยให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จในชีวิตได้อย่างเหมาะสมกับโอกาส

ที่เกิดขึ้นได้

การที่จะเกิดสติปัญญามีความคิดที่ดีและเหมาะสมกับ

โอกาสที่เกิดขึ้นได้นั้น เราต้องเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ ที่พบเห็นและเรียนรู้

ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นของทุกสิ่งรอบ ๆ ตัวเรา เพื่อใช้ประโยชน์

46

ในการบรรลุถึงจุดหมายแห่งความสำเร็จในชีวิตที่ต้องการ

ในบทความตอนที่แล้ว ผู้เขียนได้นำเสนอไว้ว่าสิ่งที่ต้องเรียนรู้

เพื่อความอยู่รอดและความสำเร็จในชีวิตยุคหลังโควิด-19 ท่ามกลาง

พลเอก เฉลิม คูหาวิชานันท์


การกำเนิดขึ้นของโลกใหม่บนดินแดนแห่ง METAVERSE นั้น มี

มากมายหลายสิ่ง แต่ที่นับว่าเป็นหลักสำคัญและสิ่งใหม่ (NEW) ที่

เกิดขึ้นซึ่งส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อสังคมไทยนั้นมีอยู่ ๓ สิ่งใหม่

(3 NEW) โดยสิ่งแรก ได้แก่ New Normal

โดยตอนที่แล้วได้กล่าวถึง New Normal

สิ่งที่เกิดจากการระบาดของโรคโควิด-19

ซึ่งทำให้เราต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบ วิถี

การดำเนินชีวิตจนปัจจุบันประชาชนทั่วไป

ปรับตัวจนกลายเป็นความปกติใหม่

กันไปแล้ว

สำหรับบทความตอนที่ ๒ นี้ จะได้

กล่าวถึง New Normal ที่เกิดจากผล

กระทบของความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี

ที่กำลังเปลี่ยนแปลงไปซึ่งเราต้องเรียนรู้

เพื่อปรับตัวให้อยู่รอดและเพื่อความสำเร็จ

ในชีวิต

ในโลกปัจจุบันการที่เราจะอยู่รอด

ปลอดภัยและบรรลุความสำเร็จในชีวิต

นอกจากการปรับตัวให้สอดคล้องกับ New

Normal ที่เป็นผลกระทบจากการระบาด

ของโรคโควิด-19 ซึ่งเราคงต้องอยู่ร่วมกับ

โรคนี้ต่อไปแล้ว เราต้องเรียนรู้เพื่อปรับตัว

ให้สอดคล้องกับ New Normal ที่เป็นผล

จากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลอีกด้วย

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

47


เทคโนโลยีดิจิทัล ทำให้เกิดนวัตกรรมที่ทำให้รูปแบบการ

ดำเนินชีวิตของคนในโลกปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปอย่างกว้างขวาง

และรวดเร็วเทคโนโลยีดิจิทัลไม่ได้เป็นแค่เพียงเครื่องมือสนับสนุน

การทำงานดังเช่นอดีตที่ผ่านมา แต่กลายเป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในวิถี

ชีวิตของคน

ในโลกยุคดิจิทัลข้อมูลข่าวสารถูกเผยแพร่แลกเปลี่ยนและ

สืบค้นได้รวดเร็วเพียงใช้ปลายนิ้วสัมผัสความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์

เปลี่ยนไปจากการปฏิสัมพันธ์กันโดยตรงซึ่งหน้า กลายเป็นรูปแบบ

ที่เรียกว่า “สังคมก้มหน้า” และสื่อสังคมออนไลน์กลายเป็นช่องทาง

หลักในการติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวของสังคมในยุค

ดิจิทัลและเป็นแหล่งพบปะพูดคุยกันของผู้คนผ่านสมาร์ทโฟน

ปัจจุบันสังคมไทยได้ก้าวเข้าสู่การเป็น “สังคมยุคดิจิทัล” ใน

จังหวะก้าวที่รวดเร็วจนคนไทยปรับตัวตามไม่ทันกระแสของการ

เปลี่ยนแปลง คนไทยทุกรุ่นทุกวัยจำเป็นต้องเรียนรู้และพัฒนาตนเอง

48

อย่างต่อเนื่อง ให้มีทักษะดิจิทัลที่จำเป็นเพื่อความอยู่รอดในการ

ดำรงชีวิตและความอยู่รอดในการทำงานหรือดำเนินธุรกิจทักษะ

ดิจิทัลที่จะช่วยให้อยู่รอดได้ ในสังคมดิจิทัลนั้นมีหลายทักษะ แต่ที่

นับว่าเป็นทักษะดิจิทัลพื้นฐานสำคัญคือ การคิดแบบปรับตัวตาม

สถานการณ์บนพื้นฐานนิสัยที่ไม่ยอมแพ้ ไม่ยึดติดกับบุคคลหรือ

สิ่งของต่าง ๆ อย่างขาดสติ โดยสามารถคิดได้ทั้งในเชิงสร้างสรรค์และ

คิดในเชิงวิเคราะห์ ในบริบทข้อมูลสารสนเทศและข่าวสารที่มีการ

เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา การพัฒนาให้เกิดทักษะการคิดแบบปรับ

ตัวตามสถานการณ์ เราต้องฝึกฝนตนเองให้มีความชำนาญด้านการ

วางแผนแบบเสนาธิการของกองทัพ ต้องฝึกอบรมตนเองให้มีความ

ยืดหยุ่นกับความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมของผู้อื่นฝึกฝนให้

สามารถทำงานเป็นทีม หล่อหลอมภาวะผู้นำให้เข้มแข็งพร้อมที่จะ

ทำหน้าที่ในบทบาทผู้นำของทีมงานดิจิทัลและพัฒนาจิตใจให้เป็น

ผู้ใฝ่ริเริ่มในสิ่งใหม่ ๆ ที่สร้างสรรค์อยู่ตลอดเวลา

ทักษะดิจิทัลพื้นฐานสำคัญอีกทักษะหนึ่ง

ได้แก่ ทักษะในการมีสติรับรู้และเข้าใจอารมณ์

ความรู้สึกและความต้องการของผู้อื่นโดยเริ่มจาก

การฝึกฝนตนเองให้เป็น คู่สนทนาและนักฟังที่ดี

เพื่อรับรู้และเข้าใจความคิดอารมณ์ความรู้สึกและ

ความต้องการของผู้อื่นอย่างแท้จริงและรู้จักให้

คุณค่าและความหมายต่อผู้อื่น ด้วยมุมมองเชิง

สร้างสรรค์ ฝึกจิตใจให้รู้จักการปล่อยวางและให้

เชื่อมั่นในศักยภาพของทุกคนในทีมงานที่จะทำ

ภารกิจได้สำเร็จ

พลเอก เฉลิม คูหาวิชานันท์


ทักษะดิจิทัลพื้นฐานสำคัญ ประการสุดท้ายที่จะช่วยให้อยู่รอด

ในสังคมยุคดิจิทัลคือการเรียนรู้อย่างต่อเนื่องให้รู้ทันเทคโนโลยีและ

สื่อใหม่ ๆ ตลอดเวลา รวมทั้งมีความรู้ความเข้าใจศาสตร์สาขาต่าง ๆ

ที่หลากหลาย ไม่ได้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านใดด้านหนึ่งดังเช่นที่เป็นมา

ในอดีต ต้องพัฒนาตนเองให้มีองค์ความรู้ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น

เนื่องจากองค์ความรู้ต่าง ๆ มีความเชื่อมโยงกัน ซึ่งจะช่วยขยาย

มุมมองไปในมุมมองที่แตกต่างจากความรู้ที่มีอยู่เดิม นอกจากนั้นเรา

ต้องเรียนรู้ให้ทันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นและฝึกฝนให้มีความ

ชำนาญในการแยกแยะและเชื่อมโยงสิ่งต่าง ๆ เพื่อให้สามารถระบุ

ประเด็นปัญหาที่ต้องแก้ไขและความรู้ใหม่ ๆ ที่ต้องพัฒนาเพิ่มเติม

ฝึกจิตใจให้เรียนรู้เข้าใจตนเอง รู้ว่าตนเองต้องการอะไร และเรียนรู้

ในการเข้าใจความต้องการของคนอื่นได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง

ในสถานการณ์ต่าง ๆ

การเรียนรู้เพื่อปรับตัวให้สอดคล้องกับ New Normal ที่เป็น

ผลจากความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว

โดยเฉพาะเทคโนโลยีดิจิทัลนั้น ทักษะดิจิทัลพื้นฐานสำคัญทั้งสาม

ลักษณะที่กล่าวมาจะช่วยให้เรารู้ทันเทคโนโลยีดิจิทัลและมีทักษะที่

จำเป็นสำหรับสังคมยุคดิจิทัล เพื่อความอยู่รอดและความสำเร็จใน

ชีวิต รวมทั้งเป็นพื้นฐานที่จะช่วยให้เราเรียนรู้และสามารถดำรง

อยู่ร่วมกับคนอื่นใน “โลกยุคดิจิทัล” ได้อย่างรู้ทันและปลอดภัย

“New Normal” ที่กล่าวมาข้างต้นเป็นสิ่งแรกที่คนไทย

ควรรู้เพื่อความอยู่รอดและความสำเร็จในชีวิตยุคหลังโควิด-19

ท่ามกลางการกำเนิดขึ้นของโลกใหม่บนดินแดนแห่ง METAVERSE

สำหรับสิ่งที่สองที่คนไทยควรรู้ เพื่อความอยู่รอดและความ

สำเร็จในชีวิตยุคหลังโควิด-19 ท่ามกลางการกำเนิดขึ้นของโลกใหม่

บนดินแดนแห่ง METAVERSE ซึ่งได้ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิต

ของคนไทยจำนวนมากแล้วในขณะนี้ ได้แก่การเกิดขึ้นของสื่อใหม่

หรือ NEW MEDIA

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

49


สาระน่ารู้ทางการแพทย์

“Hyperbaric Oxygen (HBO) Therapy

อีกหนึ ่งวิธีรักษาผู้ป่ วย...ด้วยออกซิเจนบรรยากาศสูง”

สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม

เมื่อได้ยินว่า HBO อย่าเพิ่งมโนไปถึงช่องดูภาพยนตร์อย่างเดียว

เพราะที่จริงแล้วในมุมด้านสุขภาพ HBO ยังหมายถึงทางเลือกอีก

ทางหนึ่งในการรักษาที่ช่วยบรรเทาโรคภัยไข้เจ็บจากหนักเป็นเบา

มีประสิทธิภาพ และให้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพอใจ แต่ยังมีหลายคนที่ยัง

ไม่รู้จักเทคโนโลยีการรักษาที่ว่านี้ดีพอ สำนักงานแพทย์ สำนักงาน

สนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จะมาอธิบายและเข้าใจ

การทำงาน และแนวการทางบำบัดรักษานี้ โปรดติดตามอ่านได้จาก

บทความนี้

หลักการรักษาผู้ป่วยด้วย HBO โดยทั่วไปร่างกายสามารถพา

ออกซิเจนไปกับฮีโมโกลบินในเม็ดเลือดแดงได้ในปริมาณจำกัด แต่

หากเพิ่มปริมาณแรงดันบรรยากาศ จะทำให้เกิดการละลายของ

ออกซิเจนเข้าไปในพลาสมาได้มากขึ้น ร่างกายจะสามารถเก็บ

ออกซิเจนเข้าไปใช้งานในเนื้อเยื่อที่ร่างกายต้องการเยอะขึ้น จึง

สามารถซ่อมแซม สร้างใหม่หรือสมานแผลได้เร็วยิ่งขึ้น กระตุ้นให้มี

การสร้างเส้นเลือดฝอยขึ้นใหม่เรียกว่าเพียงพอต่อการใช้งานได้เป็น

อย่างดี

HBOT (Hyperbaric Oxygen Therapy) ทางการแพทย์

หมายถึง ออกซิเจนบำบัดด้วยแรงดันสูงที่มีความปลอดภัย และให้

50

ผลการรักษาเป็นที่น่าพึงพอใจในระยะเวลาที่สั้นลง โดยใช้ทฤษฎีทาง

สรีรวิทยาเพื่อเพิ่มปริมาณออกซิเจน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ให้กับเซลล์

ในระดับแรงดัน ๑.๓ บรรยากาศ (ATA) ส่งผลให้เซลล์ต่าง ๆ ใน

ร่างกายมีการตื่นตัว และทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น หรือที่

แพทย์ได้อธิบายหลักการทำงานของเครื่องเพื่อให้เข้าใจได้ง่ายขึ้นว่า

“เครื่อง HBO มีหลักการทำงานที่เปรียบเสมือนการนำผู้ป่วย หรือ

คนไข้เข้าไปปรับสภาวะให้เหมือนอยู่ใต้น้ำ โดยปรับแรงดันความลึก

ให้เหมาะสมกับโรคหรืออาการแต่ละรายซึ่งไม่เท่ากัน ในประเทศไทย

จะมีเครื่องที่ใช้อยู่ ๒ แบบ ซึ่งเครื่องที่โรงพยาบาลใช้อยู่นี้เป็นการ

ให้ออกซิเจน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ใช้งานด้วยการปรับแรงดัน

อัดออกซิเจนเข้าไปเสมือนอยู่ใต้น้ำระดับความลึกที่แตกต่างกัน

โดยถือว่าเป็นไปตามมาตรฐาน เพราะสามารถรักษาได้ค่อนข้างครบ

ทุกโรค”

อีกทั้ง ยังเป็นการช่วยชะลอความเสื่อมในร่างกายได้อีกทาง

หนึ่งด้วย การรักษาวิธีนี้ผู้ป่วยจะได้รับออกซิเจนในปริมาณที่สูงกว่า

ปกติหลายเท่า ส่งผลดีต่อการรักษาโรคต่าง ๆ การบำบัดนี้มักใช้ร่วม

กับการรักษาด้วยวิธีอื่นควบคู่กันไป ซึ่งจะช่วยให้ผลการรักษาดี

และเร็วขึ้น

สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม


โรคใดบ้างที่สามารถบำบัดได้ด้วยออกซิเจนบริสุทธิ์

• เร่งการฟื้นฟูระบบสมองและประสาท ในบางภาวะ

• โรคจากการอักเสบ รักษาแผลเรื้อรัง (Chronic Wound)

จากการเป็นเบาหวาน

• แผลจากการฉายรังสี ทำให้แผลหายเร็วขึ้น แผลกดทับ

แผลติดเชื้อ แผลไฟไหม้ หรือแผลผ่าตัดทั่วไป

• ช่วยให้เลือดไหลเวียนไปสู่อวัยวะที่ขาดเลือดได้ดีขึ้น

• ช่วยลดอาการบวมของอวัยวะ

• การบาดเจ็บที่เกิดจากความดันบรรยากาศเปลี่ยนแปลง เช่น

ผู้ป่วยจากการดำน้ำ หรือผู้ป่วยจากการลงอุโมงค์ขุดเจาะ

ด้วยหลักการทำงานที่ง่ายและปลอดภัย HBO จึงได้ถูกนำมา

ใช้บำบัดรักษาโรคได้หลายชนิด โดยเฉพาะ “โรคน้ำหนีบ” และ

อาการที่เกิดจากโรคน้ำหนีบ (โรคน้ำหนีบ เป็นโรคที่มาจากการดำน้ำ

การที่ลงไปในน้ำแล้วฟองอากาศในร่างกายมีการหดตัวลง ซึ่ง

การหดตัวตอนลงไปในน้ำจะไม่ค่อยพบปัญหา แต่ในจังหวะที่ขึ้นมา

หากไม่มีการปรับระดับฟองอากาศไนโตรเจนเหล่านี้จะพองขึ้น

จนกลายเป็นฟองอากาศเล็ก ๆ ไปอุดตามอวัยวะสำคัญ หากไปที่สมอง

อาจจะทำให้หมดสติ บางรายมีอาการรุนแรงอาจถึงขั้นหัวใจ

หยุดเต้นได้ ในบางกรณีอาจเริ่มมีอาการชา อ่อนแรงคล้ายกับโรค

หลอดเลือดในสมอง รวมถึงปวดตามข้อหรือมีความพิการที่กระดูก

สันหลัง ทำให้ไม่สามารถขยับขาได้เหล่านี้คืออาการจากโรคน้ำหนีบ

ทั้งหมด ส่วนโรคอื่น ๆ ที่สามารถบำบัดด้วย HBO คือ โรคหูดับ

ที่ไม่ทราบสาเหตุเกิดจากเส้นประสาทอักเสบซึ่งได้ผลลัพธ์ดีเห็นผล

ชัดเจน เช่นเดียวกับแผลจากเบาหวาน ซึ่งมาจากการที่หลอดเลือดแดง

อุดตัน รวมถึงโรคกระดูกติดเชื้อ หรือ Osteomyelitis และคนไข้ที่

ผ่าตัดมาแล้วแผลยังไม่หาย กับอีกกลุ่มหนึ่งที่ต้องรักษาด้วยวิธีการนี้

เพราะยาอย่างเดียวอาจจะไม่เห็นผลคือ คนไข้ที่ได้รับการฉายแสง

บริเวณใบหน้า เพื่อป้องกันไม่ให้กระดูกติดเชื้อเนื่องจากต้องถอนฟัน

กลุ่มนี้ก็ต้องทำ HBO เพื่อเตรียมความพร้อมของเนื้อเยื่อทั้งก่อน

และหลังการรักษาเพื่อสมานให้แผลปิด คล้ายกับกรณีที่ต้องรักษา

เนื้อเยื ่อจากแผลกดทับ หรือแผลที่มีความรุนแรง รวมไปถึงกรณีที่

ประสบความสำเร็จทางการรักษาเรื่องของดวงตา จากการมี

ก้อนเลือดเล็ก ๆ เข้าไปอุดที่ตัวจอประสาทตา

การเตรียมพร้อมก่อนทำ HBO จะต้องมีการเตรียมตัวให้ดี

สำหรับการทำ HBO เพราะเกี่ยวข้องกับความปลอดภัย “อย่างที่รู้

ว่าออกซิเจนกับไฟเป็นของที่ไม่ถูกกัน เพราะที่ผ่านมาเคยมีกรณี

ระเบิดเกิดขึ้นในต่างประเทศ ฉะนั้นปกติเราก็จะให้เตรียมตัว โดยงด

ฉีดน้ำหอม ใส่เจล หรือไม่ใช้เครื่องสำอางที่มีแอลกอฮอล์ เพราะเป็น

สารนำเชื้อเพลิง หากมีการทำแผลอยู่ต้องเลี่ยงการใช้แอลกอฮอล์

ใช้น้ำเกลือแทน รวมถึงสามารถดูโทรทัศน์แทนการอ่านหนังสือ

ระหว่างทำ เนื่องจากกระดาษมีน้ำหมึกซึ่งเป็นตัวนำเชื้อเพลิง ซึ่งมี

ความเสี่ยงสำหรับเครื่องออกซิเจน ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ ก่อนเริ่มต้น

บำบัดทุกครั้งจะต้องมีการประเมิน และทำงานร่วมกันของทีม

สหสาขาหลายฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นแพทย์ พยาบาล นักเทคนิคการ

แพทย์ที่ผ่านการอบรมและมีประสบการณ์สูง ซึ่งแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ

ด้านเวชศาสตร์ใต้น้ำจะทำหน้าที่ประเมิน เพื่อกำหนดการบำบัด

รักษาในแต่ละกรณี ไม่ว่าจะเป็นจำนวนครั้งในการบำบัดรักษา

ระดับความลึก ระยะเวลา รวมถึงแนะนำแนวทางการรักษา

และข้อควรระวัง

HBO กับประโยชน์ที่มากกว่า นอกจากประโยชน์ด้านการ

บำบัด HBO ยังสามารถช่วยเรื่องผิวพรรณสวยใส สุขภาพดีด้วย

ออกซิเจนบริสุทธิ์ ลดบวม ลดอักเสบที่ใบหน้า หรือเฉพาะจุด “ใน

กลุ่มของคนที่เข้ามาทำ HBO จำนวนหลาย ๆ ครั้ง เช่น กลุ่มคนไข้

ถอนฟัน หรือคนไข้ที่มีแผลเบาหวาน หากสังเกตจะพบว่าหน้าตาดู

สดใส ผิวพรรณดูสุขภาพดีขึ้น รวมไปถึง ช่วยลดการอักเสบของ

กล้ามเนื้อในกลุ่มนักกีฬา จากการที่ร่างกายได้รับออกซิเจนมากขึ้น

ก็เป็นการเพิ่มสมดุลในร่างกาย ทำให้เซลล์ต่าง ๆ ในร่างกายทำงาน

ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ทำให้อาการอักเสบหรือบาดเจ็บลดลงได้

เช่นเดียวกับในกลุ่มของผู้ที่มีปัญหานอนหลับยาก ก็ช่วยให้ร่างกาย

สดชื่น คลายความกังวล จนสามารถนอนหลับได้ดีขึ้น พูดอีกอย่าง

ว่าการที่เข้าไปอยู่ในสภาวะอากาศดี ที่มีออกซิเจนบริสุทธิ์ทำให้

ระบบการหายใจแลกเปลี่ยนก๊าซดีขึ้น เซลล์ต่าง ๆ มีเลือดไหลเวียน

ไปเลี้ยงได้มากขึ้นทำให้ร่างกายได้ฟื้นฟูนั่นเอง”

ที่มาข้อมูลเพิ่มเติม https://www.health-th.com

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

51


ภาษาอังกฤษง่ายๆ สไตล์ครูวันดี

What to do if you test

positive for COVID-19 ?

พันเอกหญิง ดร.วันดี โตสุวรรณ

นักวิจัยพิเศษ ศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร กรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม

คำ

ถามยอดนิยมในช่วงนี้คงไม่พ้นคำถามว่า “ติดโควิดแล้ว

หรือยัง ตรวจ ATK แล้วหรือยัง มีผล ATK ไหม ทำไมไม่

ตรวจ RT-PCR หรือคำศัพท์ใหม่คือ ภาวะ Long Covid ซึ่งหมายถึง

การที่ผู้ป่วยโควิด-19 มีอาการต่อเนื่องหลังติดเชื้อ เป็นต้น นี่ถือเป็น

ปรากฏการณ์ในยุคชีวิตวิถีใหม่ (New Normal) ที่ชาวโลกทั้งหลาย

เริ่มเรียนรู้ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมและสร้างความคุ้นเคยเพื่อรักษา

สุขภาพของแต่ละคน ตลอดจนรับผิดชอบต่อสังคม ดังนั้นอย่าเพิ่งเบื่อ

ที่จะคุยเรื่องโควิด-19 ในแวดวงทางทหาร ถึงแม้จะมีสถานการณ์

การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 กองทัพก็ได้จัดมาตรการป้องกัน

และสามารถปฏิบัติภารกิจทางด้านความมั่นคงต่อไปได้ เช่น การฝึก

คอบร้าโกลด์ ๒๐๒๒ ครั้งที่ ๔๑

ในห้วงตั้งแต่วันที่ ๑๘ กุมภาพันธ์ ถึง ๕ มีนาคม ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา

ถือเป็นการฝึกร่วมผสมที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียอาคเนย์ระหว่าง

กระทรวงกลาโหมของราชอาณาจักรไทยกับกระทรวงกลาโหม

สหรัฐอเมริกา ได้คำนึงถึงสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 โดยปรับ

ลดกำลังพลจาก ๘,๙๖๔ นาย เหลือ ๓,๔๖๐ นาย โดยปรับรูปแบบ

52

การฝึกภาคสนาม งดการฝึกภาคสนามที่เป็นการฝึกขนาดใหญ่ของ

สามเหล่าทัพ การฝึกยกพลขึ้นบก การฝึกอพยพพลเรือนออกจาก

พื้นที่การรบ การฝึกดำเนินกลยุทธ์ด้วยกระสุนจริง นอกจากนี้ทั้งสอง

ฝ่ายได้วางมาตรการป้องกันการระบาดของโควิด-19 ในระหว่างอยู่ใน

ประเทศไทยสองชั้น คือ ห้วงการกักตัว (Alternative State

Quarantine: ASQ) ที่ผู้เข้ารับการฝึกทั้งฝ่ายไทยและมิตรประเทศ

ต้องกักตัว ๗ วัน และตรวจคัดกรองแบบ RT-PCR จำนวน ๒ ครั้ง

และสองห้วงการฝึก จะใช้มาตรการ Bubble and Seal ในทุกพื้นที่

การฝึก โดยจะคัดกรองผู้เข้ารับการฝึกทุกวันและกำหนดให้มีการ

ตรวจ ATK ทุก ๆ ๕ วัน

มาอ่านข้อความภาษาอังกฤษในการฝึกคอบร้าโกลด์เกี่ยวกับ

มาตรการป้องกันโควิด-19 โดยย่อ ดังนี้

The Thai-US Cobra Gold military exercises are set to

kick off later this February until early March 2022, but this

time it will be of limited scale with the 10 observing

countries being excluded due to the Covid crisis.

พันเอกหญิง ดร.วันดี โตสุวรรณ


Upon arrival, the troops will be isolated for seven

days and will undergo two RT-PCR tests. They will then

proceed via “bubble and seal” measures and undergo

ATK tests every five days during their stay in Thailand.

สำหรับท่านที่มีเพื่อนเป็นชาวต่างชาติ หรือมีภารกิจที่จะต้อง

ติดต่อประสานงานกับชาวต่างชาติ

เราอาจจะต้องเตรียมประโยค สำนวน คำศัพท์ภาษาอังกฤษ

เพื่อให้ข้อมูลที่มีประโยชน์ต่อชาวต่างชาติก่อนเขาเดินทางมาถึงเมือง

ไทย เพื่อไม่ให้เขาต้องจ่ายเงินจองตั๋วแล้วเดินทางเข้ามาเมืองไทยไม่

ได้ เช่น the TEST & GO Thailand Pass เป็นต้น ส่วนบทเรียน

ภาษาอังกฤษฉบับ เราจำลองบทสนทนาโต้ตอบคำถามที่ว่า

What to do if you test positive for COVID-19? หากพบ

ว่ามีผลเป็นบวกจากการติดเชื้อโควิด-19 เราจะทำอย่างไร และเรา

มาฝึกอ่านเนื้อหาต่อไปนี้ ด้วยการออกเสียงดัง ๆ ทำความเข้าใจใน

เนื้อหาในภาพรวม หัดเดาความหมาย และลองจับคู่คุยกัน เริ่มดังนี้

คำถามที่ ๑ : How can I buy Antigen Test Kits (ATKs)?

คำตอบ : There are certified Antigen Test Kits (ATKs)

available at your nearest clinic, pharmacy, and public/

private hospital.

คำถามที่ ๒ : How much does the ATK cost?

คำตอบ : They are also known as lateral flow tests.

(ตรวจแล้วรับผลทันที) ATK prices range begins from about

๔๐ baht a piece to about 800 baht per box with 20 kits.

คำถามที่ ๓ : What should I do if I get the positive ATK

result?

คำตอบ : Firstly, you should inform those you’ve been

in close contact with to get tested as well. This is to make

sure everyone takes proper care of themselves and is

aware of the situation. Next, you should confirm the result

with an RT-PCR test by contacting your nearest public or

private hospital and arranging an appointment.

คำถามที่ ๔ : When can I get an RT-PCR test result?

คำตอบ : You will most likely receive the results the

following day. If you are told to go home, be sure to

self-isolate to protect those living with you. You should

also inform your manager at work that you have tested

positive with an ATK and would like to quarantine at home.

คำถามที่ ๕ : Can we choose to stay at home or

hospital?

คำตอบ : Medical advisors or officials will determine

whether you should stay home to isolate or head to one

of the hospitels , field hospitals, or community isolation

centers. If your symptoms are asymptomatic, you may be

approved for home isolation in most cases.

If your symptoms become severe (e.g. chest tightness,

severe gasping for breath, etc.), you should contact your

local hospital for emergency treatment as soon as possible.

คำศัพท์ที่น่าสนใจ

1. Observing countries (ประเทศร่วมสังเกตการณ์)

2. Pharmacy (ร้านขายยา) 3. Situation (สถานการณ์) 4. Proper

care (ดูแลอย่างเหมาะสม) 5. Confirm (ยืนยัน) 6. Appointment

(นัดหมาย) 7. Self-isolate (แยกกักตัว) 8. Positive (ผลบวก)

9. Quarantine (กักตัว) 10. Medical advisors (ที่ปรึกษาทางการ

แพทย์) 11. Determine (พิจารณา) 12. Community isolation

centers (ศูนย์กักตัวชุมชน) 13. Symptoms (อาการ)

14. Asymptomatic (ไม่แสดงอาการ) 15. Severe (รุนแรง)

16. Chest tightness (แน่นหน้าอก) 17. Gasping for breath

(หายใจไม่ออก) 18. Emergency treatment (การรักษา

อย่างเร่งด่วน)

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

53


ส ำนักงำนรัฐมนตรี กระทรวงกลำโหม

สาระสรรพ “กระทู้ถาม” ส าคัญไฉน

54

“ส ำนักงำนรัฐมนตรี กระทรวงกลำโหม มีหน้ำที่เกี่ยวกับรำชกำรทำงกำรเมือง เพื่อสนับสนุน

ภำรกิจของรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงกลำโหมหรือรัฐมนตรีช่วยว่ำกำรกระทรวงกลำโหม

และผู้ด ำรงต ำแหน่งอื่นตำมที่ได้รับมอบหมำย รวมถึงกำรประสำนนโยบำยระหว่ำงกระทรวง”

กระทู้ถำม

เป็นกระบวนการของงานการเมือง

ที่ส าคัญรูปแบบหนึ่ง โดยฝ่ายนิติบัญญัติ (รัฐสภา)

ใช้เป็นกลไกในการตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติ

หน้าที่ของฝ่ายบริหาร (คณะรัฐมนตรี) ซึ่งรัฐธรรมนูญ

แห่งราชอาณาจักรไทยพุทธศักราช ๒๕๖๐ มาตรา

๑๕๐ ได้ก าหนดให้ “สมำชิกสภำผู้แทนรำษฎรหรือ

สมำชิกวุฒิสภำมีสิทธิตั้งกระทู้ถำมรัฐมนตรีในเรื่องใด

เกี่ยวกับงำนในหน้ำที่โดยจะถำมเป็นหนังสือหรือด้วย

วำจำก็ได้ ตำมข้อบังคับกำรประชุมแห่งสภำนั้น ๆ

ซึ่งอย่ำงน้อยต้องก ำหนดให้มีกำรตั้งกระทู้ถำมด้วย

วำจำโดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้ำไว้ด้วย รัฐมนตรีย่อม

มีสิทธิที่จะไม่ตอบกระทู้เมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่ำ

เรื่องนั้นยังไม่ควรเปิดเผยเพรำะเกี่ยวกับควำม

ปลอดภัยหรือประโยชน์ส ำคัญของแผ่นดิน”

ดังนั้นกล่าวได้ว่า “กระทู้ถาม” คือ ข้อซักถาม

ที่ “ฝ่ายนิติบัญญัติ” มีต่อ “ฝ่ายบริหาร” เกี่ยวกับงาน

ในหน้าที่ โดยจะถามเป็นหนังสือหรือด้วยวาจาก็ได้

ซึ่งเป็นกลไกรูปแบบหนึ่งของฝ่ายนิติบัญญัติที่ใช้เป็น

เครื่องมือในการตรวจสอบและติดตามการปฏิบัติหน้าที่

ของฝ่ายบริหาร

วุฒิสภำ มีกระทู้ ๒ แบบ

กระทู้ถำมเป็นหนังสือ สมาชิกวุฒิสภาจะต้อง

เสนอล่วงหน้าเป็นหนังสือยื่นต่อประธานวุฒิสภา

โดยจะต้องมีลักษณะค าถามในข้อเท็จจริงหรือนโยบาย

และแสดงความประสงค์ด้วยว่าจะให้ตอบในที่ประชุม

วุฒิสภาหรือในราชกิจจานุเบกษา

ห้องประชุมพระจันทรา ส าหรับการประชุมวุฒิสภา

กระทู้ถำมด้วยวำจำ* สมาชิกวุฒิสภามีสิทธิตั ้งกระทู้

ถามได้ครั้งละหนึ่งกระทู้ในวันประชุมวุฒิสภาที่มีวาระ

กระทู้ถาม โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า โดยจะต้องระบุชื่อ

เรื่องที่จะถาม พร้อมทั้งระบุว่าถามนายกรัฐมนตรี

หรือรัฐมนตรีผู้ใด ต่อประธานวุฒิสภา โดยต้องมี

ลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

• เป็นเรื่องฉุกเฉินที่มีความจ าเป็นเร่งด่วน

• เป็นเรื่องที่กระทบกระเทือนต่อความสงบเรียบร้อย

ศีลธรรม สิทธิหรือเสรีภาพของประชาชนอย่างร้ายแรง

• เป็นเรื่องที่กระทบถึงประโยชน์ของประเทศชาติ

และประชาชน

สภำผู้แทนรำษฎร มีกระทู้ ๓ แบบ

กระทู้ถำมสดด้วยวำจำ** สมาชิกสภาผู้แทน

ราษฎรมีสิทธิตั้งกระทู้ถามได้ครั้งละหนึ่งกระทู้ ในวัน

ประชุมที่มีวาระการตอบกระทู้ถาม โดยไม่ต้องแจ้ง

ล่วงหน้า โดยต้องมีลักษณะอย่างหนึ่งอย่างใด ดังต่อไปนี้

• เป็นเรื่องส าคัญที่อยู่ในความสนใจของประชาชน

• เป็นเรื่องที่กระทบถึงผลประโยชน์ของประเทศชาติ

และประชาชน

• เป็นเรื่องเร่งด่วน

* กระทู้ถามด้วยวาจา (วุฒิสภา) และ **กระทู้ถามสดด้วยวาจา (สภาผู้แทนราษฎร) ในการประชุมครั้งหนึ่ง ๆ ก าหนดไม่เกิน 3 กระทู้

ส านักงานรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม

สำนักงานรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม


กระทู้ถำมทั่วไป สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร

จะต้องเสนอล่วงหน้าเป็นหนังสือยื่นต่อประธานสภา

เป็นค าถามในข้อเท็จจริงหรือนโยบาย และต้องระบุด้วย

ว่าจะให้ตอบในที่ประชุมหรือในราชกิจจานุเบกษา

กระทู้ถำมแยกเฉพำะ เป็นกระทู้ถามที่มี

ลักษณะเฉพาะเรื่อง เฉพาะพื้นที่ เฉพาะบุคคล

หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรระบุว่าให้ตอบ

ในห้องกระทู้ถาม และจะต้องเสนอล่วงหน้าเป็นหนังสือ

ยื่นต่อประธานสภา โดยอาจจะมีการจัดห้องไว้ส าหรับ

การถามและการตอบกระทู้ถามไว้โดยเฉพาะก็ได้

พลเอกชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม

ตอบชี้แจงกระทู้ถามแยกเฉพาะ สภาผู้แทนราษฎร

การตอบกระทู้ถามทั้งในส่วนวุฒิสภาและสภา

ผู้แทนราษฎร นั้น นายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีที่ถูกตั้ง

กระทู้ถามต้องเข้าร่วมการประชุมเพื่อตอบกระทู้ถาม

ในเรื่องนั้นด้วยตนเอง เว้นแต่มีเหตุจ าเป็นอันมิอาจ

หลีกเลี่ยงได้ ท าให้ไม่อาจตอบกระทู้ แต่ต้องแจ้งเหตุ

จ าเป็นนั้นเป็นหนังสือต่อประธานสภาก่อนหรือในวัน

ประชุมสภา และให้ก าหนดว่าจะตอบได้เมื่อใด

ในกรณีที่มีการมอบหมายให้รัฐมนตรีอื่น

ที่เกี่ยวข้องเป็นผู้ตอบกระทู้ถาม จะต้องแจ้งเป็นหนังสือ

ต่อประธานสภาก่อนถึงระเบียบวาระกระทู้ถาม

ฉะนั้นการตอบกระทู้ถามจึงเป็นบทบาทผู้น า

ที่ส าคัญประการหนึ่งในงานด้านการเมืองของ

นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี (ฝ่ายบริหาร) ในการแสดง

ความรับผิดชอบต่อรัฐสภา (ฝ่ายนิติบัญญัติ) ให้เห็นถึง

ศักยภาพความสามารถทางการบริหารราชการแผ่นดิน

ที่มีความพร้อมในการตอบชี้แจงได้อย่างครบถ้วน

ถูกต้อง ทั้งใช้ในการสื่อสาร การสร้างการรับรู้

และความเชื่อมั่นต่อสาธารณชน ได้อีกทางด้วย

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

ห้องประชุมพระสุริยัน ส าหรับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

และการประชุมร่วมกันของทั้งสองสภา

การจัดเตรียมข้อมูลส าหรับการตอบชี้แจง

“กระทู้ถาม” ของ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม

และรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมให้ได้อย่าง

มีประสิทธิผลนั้น ส านักงานรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม

มีหน้าที่ประสาน ติดตาม ในการรวบรวมข้อมูลจาก

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งภายในและภายนอก

กระทรวงกลาโหมโดยค านึงถึง

• ความถูกต้อง (Accuracy)

• ความทันสมัยเป็นปัจจุบัน (Timeliness)

• ความสมบูรณ์ครบถ้วน (Completeness)

• ตรงความต้องการ (Relevance)

• ตรวจสอบติดตามได้ (Verifiable)

ทั้งนี้รวมถึงการรายงานความคืบหน้า

งานทางด้านธุรการ การอ านวยความสะดวก

การประสานงานกับ ส านักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี

ส านักงานเลขาธิการวุฒิสภา และส านักงานเลขาธิการ

สภาผู้แทนราษฎร เพื่อตอบสนองภาระกิจงานด้าน

การเมืองให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

ข้อบังคับการประชุมวุฒิสภา

พุทธศักราช ๒๕๖๒

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

พุทธศักราช ๒๕๖๐

ข้อบังคับการประชุมสภาผู้แทนราษฎร

พุทธศักราช ๒๕๖๒

รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย

แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่๑)

พุทธศักราช ๒๕๖๐

ส านักงานรัฐมนตรี กระทรวงกลาโหม

55


จรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางอาร์-๒๗อาร์ (R-27R) น้ำหนัก ๒๕๓ กิโลกรัม ยาว ๔.๐๘ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๓๐ มิลลิเมตร ช่วงปีก ๗๗๒ เมตร นำวิถีด้วยระบบเรดาร์

ความเร็ว ๔.๕ มัค และระยะยิง ๗๓ กิโลเมตร

แนะนำอาวุธเพื ่อนบ้าน

จรวดนำวิถี

อากาศสู่อากาศพิสัยกลาง

แบบอาร์-๒๗ (R-27)

กองทัพอากาศอินโดนีเซีย (TNI-AU) ประจำการด้วย

จรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบอาร์-๒๗ (R-27:

AA-10 Alamo) ไม่ทราบจำนวน ติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยว

แบบซู-๒๗ เอสเคเอ็ม (Su-27SKM Flanker) รวม ๕ เครื่อง และ

เครื่องบินขับไล่ชนิดสองที่นั่งซู-๓๐เอ็มเค๒ (Su-30MK2 Flanker-C)

จำนวน ๑๑ เครื่อง ประจำการฝูงบินที่ ๑๔ ฐานทัพอากาศอิสวาฮูดี

(Iswahyudi) จังหวัดชวาตะวันออก จะเพิ่มขีดความสามารถใน

การครองอากาศ อินโดนีเซียมีพื้นที่ขนาดใหญ่ ความยาวจากทิศ

ตะวันออก-ตะวันตก ขนาด ๕,๑๒๐ กิโลเมตร และความกว้างจาก

ทิศเหนือ-ใต้ ขนาด ๑,๗๖๐ กิโลเมตร ชายฝั่งทะเลขนาดยาว

๕๔,๗๒๐ กิโลเมตร

จรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบอาร์-๒๗ (R-27

AA-10 Alamo) ได้พัฒนาขึ้นโดยอดีตสหภาพโซเวียตสร้างจรวด

พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์

ข้าราชการบำนาญ

ต้นแบบและทำการทดสอบขีดความสามารถทางยุทธวิธี ข้อมูลที่

สำคัญคือ น้ำหนัก ๒๕๓ กิโลกรัม ยาว ๔.๐๘ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง

๒๓๐ มิลลิเมตร ช่วงปีก ๗๗๒ เมตร หัวรบดินระเบิดแรงสูงหนัก ๓๙

กิโลกรัม ขับเคลื่อนด้วยเชื้อเพลิงแข็ง นำวิถีด้วยเรดาร์ ความเร็ว ๔.๕

มัค และระยะยิง ๘๐ กิโลเมตร (ขึ้นกับรุ่น) กองทัพอากาศอดีต

สหภาพโซเวียตประจำการปี พ.ศ.๒๕๒๖ มีการผลิตรุ่นหลักรวม ๑๒

รุ่น ที่สำคัญรวม ๙ รุ่น คือรุ่นอาร์-๒๗อาร์ (R-27R AA-10 Alamo-A)

น้ำหนัก ๒๕๓ กิโลกรัม นำวิถีด้วยระบบเรดาร์ และระยะยิง ๗๓

กิโลเมตร อาร์-๒๗ที (R-27T AA-10 Alamo-B) นำวิถีด้วยระบบ

อินฟราเรด และระยะยิง ๖๓ กิโลเมตร รุ่นอาร์-๒๗อีอาร์ (R-27ER

AA-10 Alamo-C) นำวิถีด้วยระบบเรดาร์ และระยะยิง ๑๑๗

กิโลเมตร รุ่นอาร์-๒๗อีอาร์1 (R-27ER1) รุ่นส่งออกของรุ่น

อาร์-๒๗อีอาร์ (R-27ER1) หัวรบหนัก ๓๙ กิโลกรัม และระยะยิง ๑๐๐

56

พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์


เครื่องบินขับไล่แบบซู-๓๐เอ็มเค๒ (Su-30MK2) ติดตั้งจรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบอาร์-๒๗อาร์ (R-27R AA-10 Alamo-A) น้ำหนัก ๒๕๓ กิโลกรัม นำวิถีด้วยระบบเรดาร์

และระยะยิง ๗๓ กิโลเมตร (กองทัพอากาศเวียดนาม)

กิโลเมตร อาร์-๒๗อีที (R-27ET AA-10 Alamo-D) น้ำหนัก ๓๔๘

กิโลกรัม นำวิถีด้วยระบบอินฟราเรดระยะยิง ๑๐๔ กิโลเมตร

อาร์-๒๗พี (R-27P AA-10 Alamo-E) นำวิถีด้วยระบบเรดาร์ ระยะยิง

๗๒ กิโลเมตร อาร์-๒๗อีพี (R-27EP AA-10 Alamo-F) นำวิถีด้วย

ระบบเรดาร์ และระยะยิง ๑๑๐ กิโลเมตร อาร์-๒๗อีเอ (R-27EA

AA-10 Alamo) นำวิถีด้วยระบบเรดาร์ และระยะยิง ๑๓๐ กิโลเมตร

และอาร์-๒๗อีเอ็ม (R-27EM AA-10 Alamo) นำวิถีด้วยระบบเรดาร์

และระยะยิง ๑๗๐ กิโลเมตร จรวดนำวิถีพิสัยกลางอาร์-๒๗ (R-27

Alamo) ติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่หลายแบบ ประกอบด้วย มิก-๒๓

(MiG-23 Flogger) มิก-๒๙ (MiG-29 Fulcrum) ซู-๒๗ (Su-27

Flanker) ซู-๓๐ (Su-30 Flanker-C/G/H) ซู-๓๓ (Su-33 Flanker-D)

ซู-๓๔ (Su-34 Fullback) ซู-๓๕ (Su-35 Flanker-E) และซู-๓๗

(Su-37 Flanker-F)

มิตรประเทศของรัสเซียประจำการด้วยจรวดนำวิถีแบบ

อาร์-๒๗ (R-27 AA-10) ทั่วโลกรวม ๒๙ ประเทศ กลุ่มประเทศเอเชีย

นำเข้าประจำการ ๑๒ ประเทศ (กองทัพอากาศอินเดียจัดหาจรวด

อาร์-๒๗ ประจำการจำนวนมาก รวม ๒ ครั้ง จำนวน ๑,๑๐๐ ลูก ปี

พ.ศ.๒๕๕๕ และปี พ.ศ.๒๕๖๒ ติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่แบบมิก-๒๙

รวม ๖๕ เครื่อง และเครื่องบินขับไล่โจมตีพิสัยไกลแบบซู-๓๐ รวม

๒๖๐ เครื่อง) กลุ่มประเทศอาเซียนประจำการรวม ๓ ประเทศ

กองทัพอากาศมาเลเซีย (RMAF) ประจำการด้วยจรวดนำวิถี

อากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบอาร์-๒๗ (R-27) จำนวน ๒๘๐ ลูก

ติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่โจมตีพิสัยไกลซู-๓๐เอ็มเคเอ็ม (Su-30MKM

Flanker-H) จำนวน ๑๘ เครื่อง ประจำการฝูงบินขับไล่ที่ ๑๒

ฐานทัพอากาศก็องคีดัค (Gong Kedak AFB) ทางวิ่งยาว ๒,๐๒๑

เมตร (๖,๖๐๑ ฟุต) รัฐกลันตันทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของ

จรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางอาร์-๒๗ (R-27) ข้อมูลที่สำคัญคือ น ้ำหนัก ๒๕๓

กิโลกรัม ยาว ๔.๐๘ เมตร เส้นผ่าศูนย์กลาง ๒๓๐ มิลลิเมตร ช่วงปีก ๗๗๒ เมตร หัวรบ

ดินระเบิดแรงสูงหนัก ๓๙ กิโลกรัม นำวิถีด้วยเรดาร์ ความเร็ว ๔.๕ มัค และระยะยิง

๘๐ กิโลเมตร (ขึ้นกับรุ่น)

จรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบอาร์-๒๗ที (R-27T/AA-10 Alamo-B) นำวิถี

ด้วยระบบอินฟราเรด และระยะยิง ๖๓ กิโลเมตร มิตรประเทศรัสเซียประจำการทั่วโลก

รวม ๒๙ ประเทศ

หลักเมือง พฤษภาคม ๒๕๖๕

57


เครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยวแบบมิก-๒๙ (MiG-29 Fulcrum) ภารกิจขับไล่สกัดกั้น ติดตั้งจรวดนำวิถีรวม ๖ ลูก จรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางอาร์-๒๗ (R-27 Alamo) ลูกจรวดด้าน

ในสุด (ใกล้กับลำตัวเครื่องบิน)

ประเทศ กองทัพอากาศมาเลเซีย (RMAF) ได้ จัดหาเครื่องบินขับไล่

ซู-๓๐เอ็มเคเอ็ม (Su-30MKM) เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๔๖ เป็นเงิน

๙๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ นำเข้าประจำการชุดแรก รวม ๒ เครื่อง

เดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๐ รับมอบครบตามโครงการ ๑๘ เครื่อง

เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๒ มาเลเซียวางเครื่องบินขับไล่แบบ

ซู-๓๐เอ็มเคเอ็ม (Su-30MKM Flanker-H) ให้สามารถปฏิบัติการ

ทางอากาศเหนือน่านฟ้าของหมู่เกาะสแปรตลีย์ (Spratly) เมื่อรับการ

เติมน้ำมันทางอากาศจากฝูงบินที่ ๒๐ ฐานทัพอากาศซูบัง (Subang)

รัฐสลังงอร์ เป็นการขยายรัศมีทำการรบให้มากขึ้นเพื่อปฏิบัติการ

เหนือน่านฟ้าของพื้นที่ขัดแย้ง

กองทัพอากาศเวียดนาม (VPAF) ประจำการด้วยจรวดนำวิถี

อากาศสู่อากาศพิสัยกลางแบบอาร์-๒๗ (R-77 AA-10) รวม ๓๒๐ ลูก

ติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่ที่นั่งเดี่ยวแบบซู-๒๗เอสเค/ยูบีเค

(Su-27SK/UBK) รวม ๑๑ เครื่อง เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ.๒๕๕๖

และเครื่องบินขับไล่ชนิดสองที ่นั ่งแบบซู-๓๐เอ็มเค๒ (Su-30MK2)

รวม ๒๔ เครื่อง ปี พ.ศ.๒๕๕๖ ต่อมาจัดหาเครื่องบินขับไล่เพิ่มเติม

แบบซู-๓๐เอ็มเค๒ (Su-30MK2) รวม ๑๒ เครื่อง เป็นเงิน

๔๕๐ ล้านเหรียญสหรัฐ รับมอบเข้าประจำการระหว่างปี พ.ศ.

๒๕๕๗ - ๒๕๕๘ ประจำการประกอบด้วย กรมบินขับไล่ทิ้งระเบิด

ที่ ๙๒๓ ฐานทัพอากาศโทฮ์อัน ทางตอนเหนือของประเทศ

กรมบินขับไล่ ๙๓๕ ฐานทัพอากาศเบียนฮัว ใกล้กับนครโฮจิมินห์

ตอนใต้ของประเทศ และกรมบินขับไล่ที่ ๙๔๐ (Su-27SK/UBK)

สนามบินพูฮ์แค็ททางตอนกลางของประเทศ กองทัพอากาศ

เวียดนามวางเครื่องบินขับไล่ชนิดสองที่นั่งแบบ ซู-๓๐ (Su-30MK2

Flanker-C) สามารถจะปฏิบัติการทางอากาศเหนือน่านฟ้าหมู่เกาะ

สแปรตลีย์ (Spratly) มีความขัดแย้งพื้นที่ทับซ้อนกับเพื่อนบ้าน

อีก ๕ ประเทศ เป็นความขัดแย้งในระดับภูมิภาคแต่ได้ยกระดับเป็น

ความขัดแย้งระดับโลก

จรวดนำวิถีอากาศสู่อากาศพิสัยกลางอาร์-๒๗ (R-27 Alamo) ติดตั้งกับเครื่องบินขับไล่

แบบมิก-๒๙ (MiG-29 Fulcrum) ประจำการทั่วโลก ๒๓ ประเทศ ผลิตขึ้น ๑,๖๐๐ เครื่อง

(ของกองทัพรัสเซีย ๒๘๐ เครื่อง) ติดตั้งที่ใต้ปีกเครื่องบิน (พ.ศ.๒๕๕๒)

58

บรรณานุกรม

๑. https://en.wikipedia.org/wiki/Indonesia_Air_Force

๒. https://en.wikipedia.org/wiki/Sukhoi_Su-30

๓. https://en.wikipedia.org/wiki/R-27_(air-to-air_missile)

๔. https://en.wikipedia.org/wiki/Royal_Malaysian_Air_Force

๕. https://en.wikipedia.org/wiki/Vietnam_People%27s_Air_Force

๖. https://en.wikipedia.org/wiki/Sukhoi_Su-27

๗. https://en.wikipedia.org/wiki/Mikoyan_MiG-29

๘. THE WORLD DEFENCE ALMANAC 2015, Asia and Far East, P.321-355.

พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์


พลเอก ประยุุทธ์์ จัันทร์โอชา นายุกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่่าการกระทรว่งกลาโหม เป็นประธ์านในพิธีีถว่ายุราชสัักการะและถว่ายุ

สัักการะสัิ งศัักดิ์์ สิิทธ์ิ ภายุในศัาลาว่่าการกลาโหม และพิธีีถว่ายุสัังฆทาน เน่ องในโอกาสัว่ันคล้ายุว่ันสัถาปนากระทรว่งกลาโหม ครบ

๑๓๕ ปี โดิ์ยุมี พลเอก ชัยุชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่ว่ยุว่่าการกระทรว่งกลาโหม พลเอก ว่รเกียุรติ รัตนานนท์ ปลัดิ์กระทรว่งกลาโหม

ผู้้บ ัญชาการทหารสููงสุุดิ์ ผู้้บ ัญชาการเหล่าทัพ รองปลัดิ์กระทรว่งกลาโหม ร่ว่มพิธีี เม่อ ๘ เมษายุน ๒๕๖๕

หลัักเมืือง พฤษภาคมื ๒๕๖๕

59


พลเอก ประยุุทธ์์ จัันทร์โอชา นายุกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่่าการกระทรว่งกลาโหม เป็นประธ์านในการประกอบพิธีีบำาเพ็ญกุศัล

ทางพุทธ์ศัาสันาและพิธีีบว่งสัรว่งสัังเว่ยุตามพิธีีพราหมณ์์ เน่องในโอกาสัว่ันคล้ายุว่ันสัถาปนาองค์พระหลักเม่อง ประจำำป ี ๒๕๖๕

ครบรอบ ๒๔๐ ปี โดิ์ยุนิมนต์ สัมเดิ์็จัพระมหารัชมงคลมุนี ผู้้ช ่ว่ยุเจ้้าอาว่าสัว่ัดิ์ไตรมิตร ประกอบพิธีีทางศัาสันา โดิ์ยุมี พลเอก ชัยุชาญ

ช้างมงคล รัฐมนตรีช่ว่ยุว่่าการกระทรว่งกลาโหม พลเอก ว่รเกียุรติ รัตนานนท์ ปลัดิ์กระทรว่งกลาโหม รองปลัดิ์กระทรว่งกลาโหม

ร่ว่มพิธีี ณ์ ศัาลหลักเม่อง เม่อ ๒๑ เมษายุน ๒๕๖๕

60


พลเอก สุุชาติ หนองบัว่ เลขานุการรัฐมนตรีว่่าการกระทรว่งกลาโหม เป็นประธ์านพิธีีเปิดิ์โครงการอบรมเพิมพ้นคว่ามร้ ในหัวข้้อ

เร่อง ทักษะพ่นฐานของนักประสัานงานการเม่องในกิจัการรัฐสัภาและคณ์ะรัฐมนตรี โดิ์ยุมีวััตถุประสังค์เพ่อให้คว่ามร้และเพิมศัักยุภาพ

ให้เจ้้าหน้าที ที ต้องปฏิิบัติงานดิ์้านรัฐสัภาของกระทรว่งกลาโหม รว่มทั งผู้้ ้ประสัานงานการเม่องของแต่ละกระทรว่ง และสร ้างเคร่อข่ายุ

การประสัานงานระหว่่างหน่ว่ยุงาน เพ่อปรับปรุงและพัฒนางานดิ์้านรัฐสัภาให้เกิดิ์ประสิิทธิิภาพสููงสุุดิ์ ณ์ ห้องพินิตประชานาถ

ภายุในศัาลาว่่าการกลาโหม เม่อ ๒๓ เมษายุน ๒๕๖๕

พลเอก สุุชาติ หนองบัว่ เลขานุการรัฐมนตรีว่่าการกระทรว่งกลาโหม เป็นประธ์านในพิธีีเปิดิ์โครงการให้คว่ามร้ ปล้กจิิตสำำน ึก

ในการป้องกันและปราบปรามการทุจริิต และกฎหมายุเบ่องต้นให้กับข้าราชการ โดิ์ยุมีสำำนัักงานคณ์ะกรรมการป้องกันและปราบปราม

การทุจริิตและประพฤติมิชอบในว่งราชการและกรมพระธ์รรมน้ญ ณ ห้้องหลักเม่อง ๑ ภายุในศัาลาว่่าการกลาโหม เม่อ ๒๘ เมษายุน ๒๕๖๕

หลัักเมืือง พฤษภาคมื ๒๕๖๕

61


พลเอก สุุชาติหนองบัว่ เลขานุการรัฐมนตรีว่่าการกระทรว่งกลาโหม เป็นประธ์านในพิธีีเปิดิ์การอบรมให้คว่ามร้ โครงการสุุขภาพดิ์ีดิ์้ว่ยุ

วิิธีีดิ์ุลยุภาพบำบััดิ์ ซึ่่งมีวััตถุประสังค์เพ่อให้คว่ามร้และการปฏิิบัติทีถ้กต้องตามหลักดิ์ุลยุภาพบำบััดิ์ให้แก่ข้าราชการ สำำนัักงานรัฐมนตรี

กระทรว่งกลาโหม ส่่งเสร ิมรักษาฟื้้นฟื้้สัภาว่ะร่างกายุพ่นฐานไดิ์้ดิ์้ว่ยุตนเองอย่่างยุังยืืน โดิ์ยุแพทย์์ผู้้เชียุว่ชาญ ณ ห ้องพินิตประชานาถ

ภายุในศัาลาว่่าการกลาโหม เม่อ ๕ พฤษภาคม ๒๕๖๕

พลตรี คม วิิริยุเว่ชกุล หัว่หน้าสำำน ักงานรัฐมนตรี เป็นประธ์านในพิธีีจััดิ์กิจักรรมปล้กต้นไม้ เพ่อสน ับสน ุนโครงการปล้กป่า

เฉลิมพระเกียุรติ เน่องในโอกาสัมหามงคลพระราชพิธีีบรมราชาภิเษก “รว่มใจัไทยุ เพ่อแผู้่นดิ์ิน สืืบสัานสู่่ ๑๐๐ ล้านต้น” เพ่อให้ข้าราชการ

ในหน่ว่ยุงาน ครอบครัวม ีส่่ว่นร่ว่มในกิจักรรม ตลอดิ์จันสร ้างคว่ามรัก คว่ามสัามัคคี และคว่ามร่ว่มม่อร่ว่มใจัในหน่ว่ยุงานสำำน ักงาน

รัฐมนตรี กระทรว่งกลาโหม ณบ้้านพักข้าราชการสำำนัักงานรัฐมนตรี กระทรว่งกลาโหม เม่อ ๒๙ เมษายุน ๒๕๖๕

62


พันตำารว่จัเอกหญิง อังศุุว่รรณรััตนานนท์ นายุกสัมาคมภริยุาข้าราชการสำำนัักงานปลัดิ์กระทรว่งกลาโหม พร้อมดิ์้ว่ยุ อุปนายุก

สัมาคมฯ และคณ์ะกรรมการสัมาคมฯ ไดิ์้เดิ์ินทางไปตรว่จัเยุี ยุมโครงการต่าง ๆ ของสัมาคมฯ เพ่อติดิ์ตามคว่ามค่บหน้าและรับทราบ

ปัญหาข้อขัดิ์ข้อง ณ์ โรงงานวััตถุระเบิดิ์ทหาร กรมการอุตสัาหกรรมทหาร ศููนย์์การอุตสัาหกรรมป้องกันประเทศัและพลังงานทหาร

อำาเภอพยุุหะคีรี จัังหวััดิ์นครสัว่รรค์ เม่อ ๑๐ มีนาคม ๒๕๖๕

กิิจกิรรมสมาคมภริยาข้้าราชกิาร

สำำนัักงนัปลััดกระทรวงกลัโหม

หลัักเมืือง พฤษภาคมื ๒๕๖๕

63


พันตำารว่จัเอกหญิง อังศุุว่รรณ รััตนานนท์ นายุกสัมาคมภริยุาข้าราชการสำำนัักงานปลัดิ์กระทรว่งกลาโหม พร้อมดิ์้ว่ยุคณ์ะกรรมการ

สัมาคมฯ ร่ว่มกิจักรรมบริจัาคโลหิตถว่ายุเป็นพระราชกุศัล เน่องในวัันคล้ายุว่ันพระราชสัมภพสัมเดิ์็จัพระกนิษฐาธิิราชเจ้้า

กรมสัมเดิ์็จัพระเทพรัตนราชสุุดิ์าฯ สัยุามบรมราชกุมารี และวัันคล้ายุว่ันสัถาปนากระทรว่งกลาโหม ๑๓๕ ปี ณ ห้้องพินิตประชานาถ

ในศัาลาว่่าการกลาโหม เม่อ ๑๕ มีนาคม ๒๕๖๕

พันตำารว่จัเอกหญิง อังศุุว่รรณ ร ัตนานนท์ นายุกสัมาคมภริยุาข้าราชการสำำน ักงานปลัดิ์กระทรว่งกลาโหม พร้อมดิ์้ว่ยุ อุปนายุก

สัมาคมฯ และคณ์ะกรรมการสัมาคมฯ ไดิ์้เดิ์ินทางตรว่จัเยุียุมโครงการต่าง ๆ ของสัมาคมฯ เพ่อติดิ์ตามคว่ามค่บหน้าและรับทราบ

ปัญหาข้อขัดิ์ข้อง ณ์ ศั้นย์์อำานว่ยุการสร้้างอาวุุธ์ ศั้นย์์การอุตสัาหกรรมป้องกันประเทศัและพลังงานทหาร อำาเภอเม่อง จัังหวััดิ์ลพบุรี

เม่อ ๑๘ มีนาคม ๒๕๖๕

กิิจกิรรมสมาคมภริยาข้้าราชกิาร

สำำนัักงนัปลััดกระทรวงกลัโหม

64



Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!