2552 - กระทรวงการต่างประเทศ

ความสัมพันธ์ทวิภาคีกับประเทศต่างๆ
ฮาลาล รวมทั้งเป็นตลาดด้านการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ และที่สำคัญเป็น
ภูมิภาคที่แรงงานจากภาคการก่อสร้างของไทยสามารถเข้าไปทำงานได้
ในโอกาสที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เข้า
ร่วมประชุม 1st ASEAN-GCC Ministerial Meeting ที่ประเทศบาห์เรน
ครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน 2552 ณ กรุงมานามา ประเทศบาห์เรน
และทำหน้าที่เป็นประธานการประชุมร่วมกับ H.E. Sheikh Khalid
Bin Ahmed Bin Mohamed Al-Khalifa รัฐมนตรีต่างประเทศบาห์เรน
ซึ่งได้หารือและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นเพื่อส่งเสริมความร่วมมือ
และความเป็นหุ้นส่วนระหว่างสองภูมิภาคในสาขาต่างๆ ที่จะเป็น
ประโยชน์ร่วมกันต่อไปในอนาคต โดยเฉพาะอย่างยิ่งด้านการค้า
การลงทุน ความมั่นคงด้านอาหาร พลังงาน การเกษตร การท่องเที่ยว
ตลอดจนโครงสร้างพื้นฐานด้านเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม และการ
ส่งเสริมให้มีการปฏิสัมพันธ์ระหว่างประชาชนทั้งสองภูมิภาค พร้อมทั้ง
ได้มอบหมายให้สำนักเลขาธิการของทั้งสององค์การทำการศึกษา
เพื่อจะได้เสนอแนวทางความร่วมมือในเรื่องเขตการค้าเสรี รวมถึง
ความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและการพัฒนาและความร่วมมือด้าน
วัฒนธรรม การศึกษาและสารสนเทศ
ในด้านการลงทุนของไทยในตะวันออกกลางส่วนใหญ่จะเป็น
ในภาคพลังงาน อาทิ ปตท. สผ. ลงทุนสำรวจและผลิตด้าน
ปิโตรเลียมในโอมาน อิหร่าน บาห์เรน และอียิปต์ ส่วนการลงทุนด้านอื่น
ๆ จะเป็นด้านก่อสร้าง และการบริหารจัดการโรงพยาบาล เป็นต้น
ในขณะที่ การลงทุนจากตะวันออกกลางที่เข้ามาจะเน้นไปที่ภาค
การบริการ การบริหารท่าเรือ และพลังงาน เป็นต้น
ด้านแรงงาน ภูมิภาคตะวันออกกลางเป็นตลาดแรงงานสำคัญของ
ไทยมาโดยตลอด ปัจจุบันมีแรงงานไทยออกไปทำงานอยู่ในประเทศต่างๆ
ในภูมิภาคแถบนี้ประมาณ 1 แสนคน ปัญหาสำคัญของแรงงานไทย
คือ ถูกเรียกเก็บค่านายหน้าต่อหัวในอัตราที่สูง ขาดการส่งเสริมการ
พัฒนาฝีมือและทักษะแรงงานอย่างจริงจัง การถูกเอารัดเอาเปรียบ
เรื่องค่าจ้างและสิทธิประโยชน์ที่พึงได้รับโดยนายจ้าง โดยเฉพาะปัญหา
เรื้อรังซึ่งยังไม่สามารถแก้ไขได้ นั่นคือการที่แรงงานไทยส่วนใหญ่ไม่รู้
ภาษาอังกฤษ ทั้งนี้กระทรวงการต่างประเทศได้เปิดสถานเอกอัครราชทูต
ณ กรุงตริโปลี เมื่อเดือนมีนาคม 2552 เพื่อช่วยเหลือและดูแลแรงงาน
ไทยในลิเบียอีกทางหนึ่ง
ด้านการท่องเที่ยว กระทรวงการต่างประเทศได้เสนอให้ออก
มาตรการขยายเวลาพำนักในประเทศไทยสำหรับ คนชาติสมาชิก GCC
ซึ่งได้แก่ คูเวต สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โอมาน กาตาร์ และบาห์เรน
เพื่อให้ได้รับการยกเว้นการตรวจลงตราและสามารถพำนักอยู่ใน
ประเทศไทยได้นานขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ แต่ไม่เกิน 90 วัน ซึ่งขณะนี้
กำลังอยู่ในระหว่างการพิจารณาของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้เพื่อ
ช่วยสนับสนุนการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ (Medical Tourism) และ
ส่งเสริมรวมทั้งพัฒนาประเทศไทยให้เป็นศูนย์กลางการรักษา
พยาบาล (Medical Hub) เนื่องจากนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลาง
โดยเฉพาะจากกลุ่ม GCC เหล่านี้ นิยมเข้ารับบริการด้านการแพทย์
จากโรงพยาบาลชั้นนำของไทย ซึ่งจากสถิติเมื่อปี 2551 ปรากฏว่า
มีจำนวนนักท่องเที่ยวจากตะวันออกกลางเดินทางมายังประเทศ
ไทยเป็นจำนวน 453,891 คน
3. ความสัมพันธ์ด้านการศึกษาและศาสนา
ด้านการศึกษา ปัจจุบัน กระทรวงการต่างประเทศและหน่วย
ราชการที่เกี่ยวข้องได้ให้การดูแลและสนับสนุนนักศึกษาไทยมุสลิม
ทั้งนี้เป็นไปตาม “ยุทธศาสตร์การสนับสนุนการศึกษาของนักศึกษา
ไทยมุสลิมในต่างประเทศ” ซึ่งจะครอบคลุมตั้งแต่ก่อนการไปศึกษาต่อ
ต่างประเทศ การดำเนินการขณะกำลังศึกษา และการดำเนินการภายหลัง
กลับจากจบการศึกษา เช่น การให้คำแนะนำเกี่ยวกับการไปศึกษาต่อ
การอำนวยความสะดวกด้านการขอรับการตรวจลงตรา เป็นต้น
นอกจากนี้ กระทรวงการต่างประเทศยังได้มอบหมายให้สถาน
เอกอัครราชทูต สถานกงสุลใหญ่ของไทยที่ตั้งอยู่ในประเทศที่มีนักศึกษา
ไทยมุสลิมนิยมเดินทางไปศึกษา ส่งเสริมปฏิสัมพันธ์กับนักศึกษาใน
ด้านต่างๆ เช่น อำนวยความสะดวกให้กับทั้งนักศึกษาและคนไทย
ทั้งหลายด้วยการจัดกงสุลสัญจร สนับสนุนเงินช่วยเหลือเพื่อจัดซื้อ
ตำราเรียน อุปกรณ์การศึกษา จัดฝึกอบรมล่ามภาษาอังกฤษแก่นักศึกษา
จัดฝึกอบรมอาชีพ ให้บริการการเรียนทางไกลผ่านศูนย์การเรียนทางไกล
ของกระทรวงศึกษาธิการ ตรวจสุขภาพและรักษาพยาบาลแก่นักศึกษา
เป็นประจำทุกปี ตลอดจนจัดให้มีการแข่งขันกีฬาต่างๆ
กระทรวงการต่างประเทศยังได้ประสานงานกับอีกหลายๆ
ประเทศในตะวันออกกลาง ไม่ว่าจะเป็น คูเวต บาห์เรน ซาอุดี
อาระเบีย อียิปต์ เพื่อขอให้ช่วยกันจัดสรรทุนการศึกษาแก่
62 รายงานประจำปี กระทรวงการต่างประเทศ พ.ศ. 2552