Objective :à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¸§à¸à¸§à¸£à¸£à¸à¸à¸£à¸£à¸¡ (literature review) à¹à¸à¸µà¹à¸¢à¸§ ... - Thaiwonders
Objective :à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¸§à¸à¸§à¸£à¸£à¸à¸à¸£à¸£à¸¡ (literature review) à¹à¸à¸µà¹à¸¢à¸§ ... - Thaiwonders
Objective :à¸à¸²à¸£à¸à¸à¸à¸§à¸à¸§à¸£à¸£à¸à¸à¸£à¸£à¸¡ (literature review) à¹à¸à¸µà¹à¸¢à¸§ ... - Thaiwonders
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
หัวขอ ( Topic ) : ยาตานไวรัสที่มีความไวตอ Influenza A (H1N1) virus 2009<br />
ชนิดา ทองพิฑูรรัตน, ดุษฎี หนูอินทร<br />
<strong>Objective</strong> : การทบทวนวรรณกรรม (<strong>literature</strong> <strong>review</strong>) เกี่ยวกับโรคไขหวัดใหญสายพันธุใหม 2009 และการ<br />
รักษาดวยยาตานไวรัส<br />
Request : โรคไขหวัดใหญ 2009 มียารักษาคือยาใด รักษาไดผลดีหรือไม<br />
Data sources : วรรณกรรมสืบคนมาจาก science direct, medline, pubmed ฐานขอมูลของ center of disease<br />
control and prevention และฐานขอมูลของกรมวิทยาศาสตรการแพทย คําที่ใชในการสืบคนคือ flu 2009 , swine<br />
flu, influenza A (H1N1) and treatment และสิ่งสงตรวจ<br />
Study selection and data selection : การสืบคนเกี่ยวกับโรคไขหวัดใหญสายพันธุใหม 2009 และการรักษา โดย<br />
วรรณกรรมที่สืบคนไดสวนใหญเปนภาษาอังกฤษ มีทั้งขอมูลที่ไดมาจากการทําการศึกษาวิจัยและขอมูลที่เปน<br />
แนวทางการรักษาโรคไขหวัดใหญสายพันธุใหม 2009 จาก center of disease control and prevention (CDC)<br />
ขอมูลเกี่ยวกับประสิทธิภาพของยาที่ใชในการรักษาโรคไขหวัดใหญสายพันธุใหม 2009 ขอมูลเกี่ยวกับการดื้อ<br />
ของยาที่ใชในการรักษา โดยในลักษณะการศึกษาแบบการวิจัย (trail) จะเปนแบบ clinical trails, randomizedcontrolled<br />
trail, randomized placebo-controlled trail ขอมูลเกี่ยวกับสิ่งสงตรวจและสถานที่สงตรวจ specimen ใน<br />
การวินิจฉัยโรคไขหวัดใหญสายพันธุใหม 2009<br />
Data synthesis : มีขอมูลจาก CDC guideline แนะนําใหใชยา Oseltamivir และ Zanamivir ในการรักษา และควร<br />
เริ่มยาภายใน 24 ชั่วโมงเมื่อมีอาการ มี 1 รายงานเกี่ยวกับประสิทธิภาพการรักษากลาววาภายใน 36 ชั่วโมง<br />
หลังจากเกิดอาการจะลดระยะเวลาความจ็บปวย 30% ลดความรุนแรง 40% และสามารถกลับมาทํากิจกรรมตางๆ<br />
ตามปกติภายใน 2-3 วัน
มี 3 รายงานการดื้อยา Oseltamivir ตอการรักษา influenza A(H1N1) โดย คือ 1 รายงานกลาววา ในเดือน<br />
พฤศจิกายน 2007 ถึงเดือนมกราคม 2008 มีรายงานดื้อยา oseltamivir ในทวีปยุโรปตอ influenza A(H1N1)<br />
viruses 14% , มี 1 รายงานกลาววา ในป ค.ศ. 2007 ถึง 2008 มีรายงานดื้อยา oseltamivir ในสหรัฐอเมริกาตอ<br />
influenza A(H1N1) viruses 12.3 % และมีรายงานเบื้องตนในป 2008-2009 วามีการดื้อยา oseltamivirตอ<br />
influenza A(H1N1) viruses 98.5% และมี 1 รายงานกลาววา ในเดือนพฤษภาคม ป คศ. 2009 พบวามีรายงานดื้อยา<br />
oseltamivir ในสหรัฐอเมริกาตอ influenza A(H1N1) viruses 99.2 % แตยังไมมีรายงานการดื้อยาตอ zanamivir<br />
มี 1 รายงาน ที่พบการดื้อยา Zanamivir ตอ influenza Bในเด็กที่ภูมิตานทานต่ํา<br />
Conclusion: ยาที่ใชในการรักษาและปองกันโรคไขหวัดใหญสายพันธุใหม 2009 ตามแนวทางการรักษาของ<br />
CDC guideline มี 2 ชนิด คือ Oseltamivir และ Zanamivir ยาที่เลือกใชไปตัวแรกคือ Oseltamivir หากเกิดการดื้อ<br />
ยาหรือมีการใชยา Oseltamivir ไปแลวยังใหผลการรักษาที่ไมดีพอรวมทั้งผูปวยมีตอบสนองตอการรักษาก็<br />
สามารถใชยา Zanamivir เปนยาที่ใชรักษาตอไป โดยระยะเวลาในกสรรักษา คือ 5 วัน สวนระยะเลาในการ<br />
ปองกันคือ 10 วัน<br />
Key words : flu 2009 , swine flu, influenza A (H1N1) and treatment และสิ่งสงตรวจสําหรับการวินิจฉัย
คําถาม: โรคไขหวัด 2009 มียารักษาคือยาใด รักษาไดผลดีหรือไม<br />
บทนํา<br />
ไวรัสไขหวัดใหญ (Influenza virus) ประกอบดวย 3 สายพันธุ คือ A, B และ C แตสายพันธุที่มี<br />
ความสําคัญมากที่สุดคือ สายพันธุ A เพราะเชื้อพบไดในคนและสัตวซึ่งเปนปจจัยที่ทําใหเกิดการระบาดใหญ<br />
สายพันธุ B เปนชนิดที่พบไดตามฤดูกาลไมมีความรุนแรงมาก สําหรับสายพันธุ C จะพบไดนอย นอกจากนี้แต<br />
ละสายพันธุ ยังแบงเปนสายพันธุยอย (subtype) อีกหลายชนิด โดยใชสัญลักษณแทนวา H และ N ซึ่งเฉพาะ<br />
ไขหวัดใหญแยกได H 16 และ N 9 ชนิด ซึ่งเชื้อไขหวัดใหญบางสายพันธุอาจผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันระบาด<br />
(1)<br />
ใหญ<br />
ไวรัสไขหวัดใหญสายพันธุใหม คือสายพันธุ A ชนิด H1N1 ซึ่งสายพันธุที่กอใหเกิดการระบาดนี้เปน<br />
สายพันธุใหมที่ยังไมพบการติดเชื้อในคนหรือหมูมากอน (reassortant virus) ระหวางไขหวัดใหญในคน สัตวปก<br />
และหมู แตพบวาสารพันธุกรรมของไวรัสไขหวัดสายพันธุใหมนี้มีความคลายคลึงกับไขหวัดหมูมากที่สุด<br />
(ประมาณ 90%) จึงเปนที่มาของชื่อเรียกโรคไขหวัดหมู อยางไรก็ตาม จนถึงปจจุบันยังไมมีรายงานการพบเชื้อ<br />
ไวรัสชนิดนี้ในหมูหรือหลักฐานที่แสดงวาหมูเปนพาหะแพรกระจายเชื้อดังกลาวซึ่งแตกตางจากไขหวัดนกที่มี<br />
การระบาดมากอนหนานี้ ตามมติในที่ประชุมขององคการอนามัยโลก (WHO) จึงไดใหเรียกไวรัสไขหวัดใหญ<br />
ชนิดนี้วา ไขหวัดสายพันธุใหม (H1N1) 2009 สําหรับประเทศไทย กรมควบคุมโรคติดตอ กระทรวงสาธารณสุข<br />
ใหคําจํากัดความวา “ไขหวัดสายพันธุใหม” โดยพบวาไวรัสนี้เปนไวรัสลูกผสมนี้เกิดจากการพัฒนาการขั้น<br />
สูงสุด (ขั้นที่ 5) ที่กลายมาเปนไวรัสที่ติดตอจากคนสูคนได ซึ่งมีพัฒนาการของเชื้อโรคที่จะเขาสูคนเปน 5 ระดับ<br />
ดังนี้<br />
1. เชื้อโรคอยูในสัตว และไมเคยติดตอมายังคน เชน เชื้อมาลาเรียในลิง<br />
2. มีการติดตอจากสัตวสูคนแตหยุดเพียงคนนั้นโดยไมมีการแพรจากคนสูคนเชน โรคพิษสุนัขบาจากสุนัข<br />
3. เริ่มมีการขามสายพันธุ โดยไวรัสจากชนิดหนึ่งถายทอดไปยังสัตวอีกชนิดและแพรไปยังคนเชน โรค<br />
Ebola ที่มีแหลงรังโรคในคางคาวแพรไปยังลิงและสงตอถึงคนโดยมีการติดตอจากคนสูคนแตอยูใน<br />
วงจํากัด เนื่องจากโรคมีความรุนแรงมากในคนและผูติดเชื้อเสียชีวิตในเวลาอันรวดเร็วจนไมสามารถสง<br />
ตอไปคนอื่นๆ<br />
4. เชื้ออยูในสัตวไดหลายชนิด ขึ้นกับสภาวะภูมิอากาศอากาศ ความแหงแลง หรืออุดมสมบูรณ เชน ไวรัส
ในตระกูลไขเลือดออก ไขสมองอักเสบ โดยอาจแฝงในลิงหรือสัตวขุดรูตางๆและมียุงเปนพาหะกัดคน<br />
และเมื่อคนมีจํานวนไวรัสหรือเชื้อโรคมากขึ้น ก็จะถูกกัดยุงกัดและนําเชื้อไปใหคนอื่นอีกซึ่งเห็นไดชัด<br />
ในไขเลือดออก<br />
5. มีวิวัฒนาการในสัตว และติดตอไปยังคนและติดเชื้อในคนไดอยางสมบูรณจนกระทั่งมีการติดตอ<br />
ระหวางคนสูคน ไมตองอาศัยสัตวอีกตอไป เชน โรคเอดสที่มีตนกําเนิดมาจากลิง<br />
ไวรัสไขหวัดใหญสายพันธุใหม 2009 นี้มีสายพันธุกรรมผสมระหวางไวรัสไขหวัดใหญในคน ในหมู<br />
และในนกจึงนับเปนพัฒนาการขั้นสูงสุด แตจะไมมีการถายทอดเมื่อมีการบริโภคเนื้อสัตวเหลานี้โดยเฉพาะอยาง<br />
ยิ่งเมื่อปรุงสุก (1)<br />
การแพรเชื้อ<br />
จะมีการแพรติดตอเชนเดียวกับโรคไขหวัดใหญทั่วไป คือ<br />
1. แพรไปยังผูอื่นโดยการไอหรือจามรดกัน ( เชื้อจะอยูในเสมหะ น้ํามูก น้ําลาย)<br />
2. ติดจากมือและสิ่งของที่มีเชื้อปนเปอนอยู และเชื้อจะเขาสูรางกายทางจมูกและตา หากนํามือที่มีเชื้อไป<br />
สัมผัส (1)<br />
อาการ<br />
ลักษณะอาการของผูที่ติดเชื้อไขหวัดใหญสายพันธุใหมนี้จะเหมือนกับอาการปวยดวยโรคจาก<br />
การติดเชื้อทางเดินหายใจทั่วไปเชน เชื้อ parainfluenza virus หรือ rhinovirus โดยระยะฟกตัว<br />
ประมาณ 1 สัปดาห กลาวคือ มีไข มีอาการทางระบบทางเดินหายใจ คือ ไอ เจ็บคอ คัดจมูก น้ํามูกไหล<br />
ออนเพลียและปวดเมื่อตามตัว มีขอนาสังเกตอยางยิ่งจากการรายงานใน N Eng J Med 2009 พบวา<br />
รอยละ 25 มีอาการทองเสียรวมดวย ดังนั้นจึงเปนการยากที่จะคัดแยกผูที่ติดเชื้อไขหวัดใหญออกจาก<br />
ผูปวยจากการติดเชื้อไวรัสในทางเดินหายใจชนิดอื่นดวยอาการทางคลินิกเพียงอยางเดียว<br />
โดยการคัดแยกผูปวยจะตองกระทํารวมกับการสอบประวัติการสัมผัสโรคในประเทศที่เปน<br />
แหลงระบาดดวย ซึ่งผูที่เปนกลุมเสี่ยงเชน เด็กเล็ก ผูสูงอายุและหญิงตั้งครรภรวมทั้งผูที่เปน<br />
โรคเบาหวานและผูที่ติดยาเสพติดเปนตน (1)
การปองกัน<br />
1. รักษาสุขภาพรางกายใหแข็งแรงอยูเสมอ<br />
2. ออกกําลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน นอนหลับพักผอนใหเพียงพอ<br />
3. หลีกเลี่ยงการไปในที่ชุมชน หรือสถานที่แออัดและลางมือบอยๆ<br />
4. ผูที่ปวยเปนหวัด ควรสวมหนากากอนามัย เพื่อปองกันโอกาสการกลายพันธุของเชื้อไวรัส<br />
สายพันธุใหม ที่จะเขาผสมกับไวรัสไขหวัดใหญตามฤดูกาลในตัวผูปวย ซึ่งอาจจะทําใหเกิด<br />
เชื้อใหมที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้น ดื้อยาเพิ่มขึ้น และแพรระบาดจากคนสูคนมากขึ้นตอไป (1)<br />
ผูปวยควรมาพบแพทยเมื่อไร<br />
1. ผูที่เดินทางมาจากตางประเทศหรือมีประวัติสัมผัสกับผูตองสงสัยติดเชื้อไขหวัดใหญสายพันธุ<br />
ใหม<br />
2. หากมีอาการไขสูง 38.5 O Cไขนาน 7 วัน เจ็บหนาอก ปวดทอง อาเจียน มีจุดเลือดตามตัว ตา<br />
เหลือง เจ็บคอมาก มีเสมหะสีเขียวๆเหลืองๆ ผิวสีมวงหรือไดพยายามรักษาตัวเองแลวแตยัง<br />
ไมหาย ควรไปพบแพทยเพื่อตรวจรางกายดวยวิธี PCR ซึ่งการตรวจดวยวิธีนี้สามารถหาเชื้อ<br />
ไขหวัดสายพันธุใหมไดภายใน 24 ชั่วโมง และควรเขารับการตรวจรักษาภายในหองตรวจ<br />
พิเศษ Negative pressure เพื่อปองกันการกระจายของเชื้อไวรัสตอไปยังผูอื่น (1)<br />
การสงตัวอยางตรวจวิเคราะหเชื้อไวรัสไขหวัดใหญสายพันธุใหม ชนิด A (H1N1) (2)<br />
เมื่อพบผูปวยที่สงสัย ใหรายงานสํานักระบาดวิทยากอนทุกครั้ง และขอใหคณะผูเฝาระวังการระบาดแตละ<br />
พื้นที่ ประสานกับโรงพยาบาลของเอกชนวา หากไมไดแจงผานทางหองปฏิบัติการจะใหบริการโดยคิดคาใชจาย<br />
ตามปกติ<br />
วิธีเก็บตัวอยางและสงตัวอยาง<br />
ควรเก็บตัวอยางใหเร็วที่สุดภายใน 1-3 วัน เมื่อเริ่มปรากฏอาการของโรคและเก็บซ้ําอีกครั้ง หากมี<br />
อาการปอดบวมหรือปอดอักเสบ การเก็บใชวิธีไรเชื้อ (aseptic technique) ตัวอยางเพื่อตรวจหาสารพันธุกรรม<br />
หรือแยกเชื้อ ไดแก throat swab, nasopharyngeal swab, nasopharyngeal aspiration, nasal swab
1. Throat swab ใช swab ปายภายในบริเวณ posterior pharynx จุมปลาย swab ใน viral transport media<br />
(VTM) หักดาม swab ทิ้งปดหลอดใหสนิท<br />
2. Nasopharyngeal swab เก็บโดยสอดลวด swab เขาไปในรูจมูกถึงสวนของ nasopharynx ทิ้งไว<br />
ประมาณ 2-3 วินาที คอยๆ หมุนลวด swab แลวดึงออก จุมปลาย swab ลงใน VTM และตัดปลายลวด<br />
สวนเกินจากหลอด ปดฝาใหสนิท<br />
3. Nasopharyngeal aspiratation เก็บโดยใชสายพลาสติกที่ตอกับเครื่องดูดสอดใสเขาไปในชองจมูกดูด<br />
ตัวอยางประมาณ 2-3 ml. ใสในหลอดที่ปราศจากเชื้อ กรณีดูดเสมหะไดนอยใหใช viral transport media<br />
(VTM) ลางเซลลที่คางสายลงในหลอด<br />
4. Nasal swab ใช swab สอดเขาในรูจมูกขนานกับ palate ทิ้งไวประมาณ 2-3 วินาทีคอยๆหมุน swab<br />
ออกแลวดึงออกจุมปลาย swab ใน viral transport media หักดาม swab ทิ้งเพื่อปดหลอดใหสนิท<br />
หมายเหตุ : ไมควรใช swab ที่มี calcium alginate หรือ swab ที่ดามทําดวยไมเพราะอาจมีสารที่ยับยั้งไวรัสบาง<br />
ชนิดหรือยับยั้งปฏิกิริยา PCR ควรใช Dacron หรือ Rayon swab ที่ดามทําดวยลวดหรือพลาสติก<br />
การสงสิ่งสงตรวจและขอควรระวัง<br />
ตัวอยางสารคัดหลั่งหรือ swab ที่บรรจุในภาชนะตองปดจุกใหสนิท พันดวยเทป ปดฉลาก แจงชื่อผูปวย<br />
ชนิดของตัวอยาง วันที่เก็บ บรรจุใสถุงพลาสติก รัดยางใหแนน แชในกระติกน้ําแข็งรีบนําสงทันที ถาจําเปนตอง<br />
รอ ควรเก็บไวในตูเย็น (4 o C) หามแชในชองแชแข็งของตูเย็น (-20 o C) ถาตองการเก็บนานเกิน 48 ชั่วโมง ให<br />
เก็บ –70 o C<br />
Viral transport media (VTM) ขอไดที่<br />
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรสาธารณสุข กรมวิทยาศาสตรการแพทย โทร. 029510000 ตอ 99248<br />
ศูนยวิทยาศาสตรการแพทย<br />
สํานักงานสาธารณสุขจังหวัด<br />
สถานที่สงตัวอยางตรวจวิเคราะห ไขหวัดใหญสายพันธุใหม กรมวิทยาศาสตรการแพทย<br />
สวนกลาง<br />
สถาบันวิจัยวิทยาศาสตรสาธารณสุข<br />
ตั้งอยู กรมวิทยาศาสตรการแพทย อาคาร 1 เลขที่ 88/7 ถนนติวานนท ตําบล ตลาดขวัญ อ. เมือง<br />
จ.นนทบรี 11000 โทรศัพท (02) 5912153, (02) 9510000 ตอ 99248 โทรสาร : (02) 5912153
สวนภูมิภาค<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยเชียงราย<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยเชียงใหม<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทย นครสวรรค<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยพิษณุโลก<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยชลบุรี<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยสมุทรสงคราม<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยขอนแกน<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยนครราชสีมา<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยอุดรธานี<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยอุบลราชธานี<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยตรัง<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยสงขลา<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยสุราษฎรธานี<br />
- ศูนยวิทยาศาสตรการแพทยภูเก็ต<br />
(3)<br />
แนวทางการรักษาโรคไขหวัดใหญสายพันธุใหม<br />
ยาตานเชื้อไวรัส<br />
ยาตานเชื้อไวรัสไขหวัดใหญที่ยอมรับใหใชในประเทศสหรัฐอเมริการมี 4 ชนิด คือ Oseltamivir,<br />
Zanamivir, Amantadine และ Rimantadine แตพบวาสายพันธุของเชื้อไวรัสไขหวัดใหญสายพันธุใหมชนิด A<br />
สายพันธุ H1N1 พบวามีการดื้อยา Amantadine และ Rimantadine จึงไมมีการใชในการรักษาไขหวัดใหญสาย<br />
พันธุใหมในประเทศสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก การทดสอบจากหองทดลองพบวา สายพันธุของเชื้อไวรัส<br />
ไขหวัดใหญใหญสายพันธุใหม ยังมีความไวตอยา Oseltamivir และ Zanamivir Center Of Disease Control<br />
(CDC) guideline แนะนําวาสามารถใช Oseltamivir หรือ Zanamivir สําหรับการรักษาหรือปองกันการติดเชื้อ<br />
ไขหวัดใหญสายพันธุใหม ซึ่งสามารถรักษาอาการจากไขหวัดใหญเทานั้นไมสามารถรักษาอาการไขอื่นๆจาก<br />
การติดเชื้อไวรัสที่มีอาการใกลเคียงกัน และควรเริ่มยาภายใน 48 ชั่วโมง เพราะมีโอกาสที่เชื้อไวรัสจะ
กลายพันธุไดอีกในอนาคต หลังจากที่เริ่มมีอาการ และอาจมีการใหยาปฏิชีวนะ ในผูปวยที่มีการเชื้อ<br />
แบคทีเรียแทรกซอนเชน pneumonia เปนตน<br />
1. Oseltamivir ใชในการรักษาและปองกันการติดเชื้อไวรัสไขหวัดใหญทั้งชนิด A และ B ในคนที่มีอายุ 1<br />
ปขึ้นไป<br />
2. Zanamivir ใชในการรักษาการติดเชื้อไวรัสไขหวัดใหญทั้งชนิด A และ Bในคนที่มีอายุ 7 ปขึ้นไปและ<br />
ใชในการปองกันการติดเชื้อไวรัสไขหวัดใหญทั้งชนิด A และ Bในคนที่มีอายุ 5 ปขึ้นไป ไมแนะนําให<br />
ใชในคนที่เปนโรคปอดเรื้อรัง เชนโรคหอบหืด เปนตน
ตารางที่ 1 ขอมูลทั่วไปของยา Oseltaivir และ Zanamivir<br />
Oseltamivir<br />
Zanamivir<br />
ชื่อสามัญทางยา (4) Oseltamivir phosphate Zanamivir<br />
ชื่อทางการคา (5) Fluhalt ® , Rimivat ® , Virobin (DI) ® , Relenza ®<br />
Tamiflu ® , GPO-A-Flu ®<br />
ชื่อทางเคมีและสูตร<br />
โครงสราง<br />
ethyl (3R,4R,5S)-5-amino-4- (2R,3R,4S)- 4-<br />
acetamido-3-<br />
[(diaminomethylidene)amino]- 3-<br />
(pentan-3-yloxy)cyclohex-1-ene- acetamido- 2-[(1R,2R)- 1,2,3-<br />
1-carboxylate (6) trihydroxypropyl]- 3,4-dihydro- 2Hpyran-<br />
6-carboxylic acid (7)<br />
http://www.rxlist.com/relenza-drug.htm<br />
ออกฤทธิ์ยับยั้ง influenza virus<br />
การจัดกลุมยา (4) Antiviral agent; Neuraminidase Antiviral; Neuraminidase Inhibitor<br />
Inhibitor<br />
ฤทธิ์ทางเภสัชวิทยา ออกฤทธิ์ยับยั้ง influenza virus<br />
คือ oseltamivir carboxylate (8)<br />
neurominidase<br />
Oseltamivir เปน prodrug<br />
Hydrolyzed เปนรูป active form<br />
neurominidase (9)
ตารางที่ 1 ขอมูลทั่วไปของยา Oseltamivir และ Zanamivir (ตอ)<br />
ขอบงใชในการรักษา<br />
Oseltamivir<br />
Treatment, influenza A and B<br />
Chemoprophylaxis, influenza A<br />
and B (8)<br />
Zanamivir<br />
1.Treatment, influenza A<br />
2.Chemoprophylaxis, influenza A (9)<br />
Pharmacokinetics (8),(9)<br />
Absorption ดูดซึมได 80% จากทางเดินอาหาร ดูดซึมได 7% - 21% จากทางเดินอาหาร<br />
เขาปอด<br />
ดูดซึม 70-87% จากทางเดินอาหารเขา<br />
oropharynx<br />
Bioavailability 75% N/A<br />
Plasma Protein binding<br />
3% Oseltamivir carboxylate<br />
42% Oseltamivir<br />
< 10%<br />
Half life<br />
Oseltamivir carboxylate 6-10 hr 2.5-5.1 hr<br />
Oseltamivir 1-3 hr<br />
Metabolism Hepatic (CYP450) N/A<br />
Excretion ยาที่ดูดซึมไดและไมดูดซึมถูกขับ<br />
ออกทางปสสาวะ<br />
รูปแบบยา (8),(9)<br />
Capsule 75 mg/cap.<br />
Suspension 15 mg/ml<br />
ชองทางการบริหารยา (8),(9) รับประทาน Oral Inhalation<br />
ยาที่ดูดซึมไดจะถูกขับออกทาง<br />
ปสสาวะ และยาที่ไมดูดซึมจะถูกขับ<br />
ออกทางอุจจาระ<br />
Oral inhalation: 5 mg/blister
ตารางที่ 1 ขอมูลทั่วไปของยา Oseltamivir และ Zanamivir (ตอ)<br />
(10)<br />
ความเสี่ยงในหญิงมีครรภ<br />
Oseltamivir<br />
Risk factor : C M<br />
Zanamivir<br />
Risk factor : C M<br />
ความเสี่ยงในหญิงใหนมบุตร<br />
(11)<br />
อาการไมพึงประสงคจากการ<br />
ใชยา<br />
• ปวดศีรษะ (prophylaxis 13-24%,<br />
ยาผานน้ํานม / ไมแนะนํา ไมทราบขอมูลการขับออกทาง<br />
น้ํานม / ควรใชอยางระวัง<br />
• อาเจียน 2-15% (8)<br />
ไดรับยาอยางใกลชิด (11) อาการหลอดลมหดเกร็ง<br />
• คลื่นไส 3-10% (8)<br />
treatment 2%) (9)<br />
(การรับประทานพรอมอาหารชวย • เจ็บคอ(prophylaxis 8-19%) (9)<br />
ลดอาการคลื่นไสอาเจียนได) • อาการทางจมูก (prophylaxis 12-<br />
• ปวดทอง 2-5% (6)<br />
20%, treatment 2%) (9)<br />
• Transient neuropsychiatric events • ไอ (prophylaxis 7-17%, treatment<br />
(self-injury หรือ delirium) พบ
ตารางที่ 1 ขอมูลทั่วไปของยา Oseltamivir และ Zanamivir (ตอ<br />
(8),(9)<br />
ขอหามใช<br />
อันตรกิริยาระหวางยา<br />
(12),(13)<br />
Oseltamivir<br />
หามใชในผูที่แพยา Oseltamivir<br />
phosphateและสวนประกอบอื่นๆ ใน<br />
ตํารับ<br />
- มีผลในการลด therapeutic effect<br />
ของ Influenza virus vaccine ซึ่งมีผล<br />
เฉพาะ live และ attenuated Influenza<br />
virus vaccine โดยมีความเสี่ยงใน<br />
ระดับ D (Consider therapy<br />
modification) 18.<br />
- ไมมีผลตอปฏิกิริยาทางเภสัช<br />
จลนศาสตรของ Acetaminophen<br />
- ไมมีผลปฏิกิริยาทางเภสัช<br />
จลนศาสตรที่แนนอนเมื่อมีการใชยา<br />
Zanamivir<br />
หามใชในผูที่แพยา Zanamivir และ<br />
สวนประกอบอื่นๆ ในตํารับ<br />
- Zanamivirไมถูกเปลี่ยนแปลงหรือไม<br />
มีผลตอเอนไซม CYP ประกอบดวย<br />
CYP1A1,1A2,2A6,2C9,2C18,2D6,2E1<br />
และ 3A4 ปฏิกิริยาของยาที่เปนสารตั้ง<br />
ตนหรือตัวยับยั้งของเอนไซมขางตนมี<br />
ผลที่ไมแนนอน 21.<br />
- มีผลในการลด therapeutic effect ของ<br />
Influenza virus vaccine ซึ่งมีผลเฉพาะ<br />
live และ attenuated Influenza virus<br />
vaccine โดยมีความเสี่ยงใน
ตารางที่ 1 ขอมูลทั่วไปของยา Oseltamivir และ Zanamivir (ตอ)<br />
Oseltamivir<br />
การตรวจติดตามผูปวย (8),(9) - virology studies ไมมีความจําเปนใน<br />
การตรวจ<br />
- อาการทางคลินิกของผูปวย เชน ไข ไอ<br />
ปวดเมื่อยกลามเนื้อ เจ็บคอ ปวดศีรษะ<br />
เปนตน<br />
- อาการของ behavioral change ไดแก<br />
confusion delirium<br />
ขอแนะนําในการใชยา (8),(9) - ยานี้ไมสามารถใชแทน influenza<br />
vaccine ได<br />
- ควรรับประทานยาภายใน 2 วันหลัง<br />
เกิดการติดเชื้อหรือมีอาการแสดงของ<br />
ไขหวัด เชน ไข ไอ ปวดเมื่อยกลามเนื้อ<br />
เจ็บคอ ปวดศีรษะ เปนตน<br />
- ไมควรเพิ่มขนาดหรือความถี่การใชยา<br />
เอง<br />
- ยานี้อาจทําใหเกิดอาการคลื่นไสและ<br />
อาเจียน การรับประทานยาพรอมอาหาร<br />
การรักษาความสะอาดในชองปาก เคี้ยว<br />
หมากฝรั่งหรืออมลูกอมอาจชวยลด<br />
อาการดังกลาว<br />
Zanamivir<br />
- virology studies ไมมีความจําเปน<br />
ในการตรวจ<br />
- อาการทางคลินิกของผูปวย เชน<br />
ไข ไอ ปวดเมื่อยกลามเนื้อ เจ็บคอ<br />
ปวดศีรษะ เปนตน<br />
- อาการทางระบบทางเดินหายใจ<br />
จากผลขางเคียงของยา<br />
ยานี้ไมสามารถใชแทน influenza<br />
vaccine ได<br />
- การใชยาควรใชยาตามวิธีการใช<br />
ใหถูกตอง<br />
-ผูปวยที่เปน Asthma หรือ COPD<br />
จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิด<br />
bronchospasm อาจจําเปนตองใช<br />
bronchodilator กอนใหยา<br />
- ยาอาจทําใหเกิดอาการมึนงงหรือ<br />
ปวดศีรษะ (ควรขับยาน<br />
ยานพาหนะและทํางานที่มีความ<br />
อันตรายอยางระมัดระวัง) เจ็บคอ<br />
ทองเสีย คลื่นไส อาเจียน เปนตน
Oseltamivir<br />
ความคงตัวและการเก็บ Capsule: เก็บที่อุณหภูมิ 25 องศา<br />
รักษา (8),(9) เซลเซียส (77 องศาฟาเรนไฮต)<br />
Oral suspension: เก็บที่อุณหภูมิ 25<br />
องศาเซลเซียส (77 องศาฟาเรนไฮต)<br />
เมื่อ reconstitute แลว เก็บในตูเย็นที่<br />
อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียส (35-<br />
46องศาฟาเรนไฮต) หามแชแข็งใช<br />
ภายใน 10 วันหลังจากการเตรียม<br />
Zanamivir<br />
เก็บที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส<br />
(77 องศาฟาเรนไฮต) หามเจาะ<br />
blister จนกวาจะใชยา<br />
วิธีการบริหารยา<br />
การใช Oseltamivir capsule<br />
‐ ผูใหญและเด็กอายุมากกวา 13 ปขึ้นไป รับประทานครั้งละ 75 mg วันละ 2 ครั้ง ติดตอกันเปนเวลา 5 วัน<br />
การรักษาควรเริ่มใหภายใน 2 วันแรกหลังจากผูปวยเริ่มปรากฎอาการ<br />
‐ ในผูปวยเด็กอายุ 1-12 ป ขึ้นกับน้ําหนักตัวของผูปวย<br />
‐ การใชยาในเด็กอายุต่ํากวา 1 ป ขอมูลความปลอดภัยในการใชยา oseltamivir ในเด็กต่ํากวา 1 ปยังไม<br />
เพียงพอ อยางไรก็ตามผูปวยกลุมนี้มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดอาการแทรกซอนที่รุนแรงและเสียชีวิตไดสูง<br />
จากการติดเชื้อไขหวัดใหญตามฤดูกาลเปนไปไดวา oseltamivir อาจไดประโยชน(13)<br />
การใชยา Oseltamivir suspension<br />
1. เขยาผงยาใหกระจายตัว<br />
2. ตวงน้ํา 23 มิลลิลิตรโดยอุปกรณที่เที่ยงตรง เติมน้ําลงไปทั้งหมดเขยาขวด<br />
นาน 15 วินาที เขยาขวดกอนใชทุกครั้ง(13)
การเตรียมยา Oseltamivir capsule เปนยา suspension (14)<br />
1. คํานวณปริมาณของยาโดยดูจากน้ําหนักตัวของผูปวย<br />
ตารางที่ 2 แสดงปริมาณของ oral suspension (15 mg/ml) ที่ตองการโดยพิจารณาจากน้ําหนักตัวของผูปวย<br />
Body Weight (kg)<br />
Body Weight (lbs)<br />
15 kg or less 33 lbs or less 30 mL<br />
16 to 23 kg 34 to 51 lbs 40 mL<br />
24 to 40 kg 52 to 88 lbs 50 mL<br />
41 kg or more 89 lbs or more 60 mL<br />
Total Volume to Compound<br />
per patient (mL)
2. พิจารณาจํานวนแคปซูลและปริมาณ vehicle (Cherry Syrup or Ora-Sweet SF)<br />
ตารางที่ 3 แสดงจํานวนของ capsule และปริมาณของ vehicle<br />
Total Volume of<br />
Compounded Oral<br />
Suspension needed to<br />
be Prepared<br />
Required number of<br />
TAMIFLU 75 mg<br />
Capsules<br />
Required volume of<br />
vehicle<br />
Cherry Syrup (Humco)<br />
OR Ora-Sweet SF<br />
(Paddock Laboratories<br />
30 mL 40 mL 50 mL 60 mL<br />
6 capsules (450<br />
mg oseltamivir)<br />
8 capsules (600 mg<br />
oseltamivir)<br />
10 capsules (750 mg<br />
oseltamivir)<br />
29 mL 38.5 mL 48 mL 57 mL<br />
12 capsules (900 mg<br />
oseltamivir)<br />
ขั้นตอนการเตรียม (14)<br />
1. แกะแคปซูลออกแลวเคาะผงยาในแคปซูลทั้งหมดลงในโกรงที่สะอาด<br />
2. บดลดขนาด granule ใหได fine powder<br />
3. เติม vehicle ประมาณ 1/3 ของปริมาตรทั้งหมด(ใชประมาณ 10 มล. จากปริมาณ vehicle ทั้งหมด 29<br />
มล.) ลงในโกรงและบดขนาดยาอีกครั้งจนได suspension ที่เปนเนื้อเดียวกัน<br />
4. เท suspension ที่ไดลงในขวดแกวสีชาที่ sterile และมีการ label ปริมาตร 30 มล. เรียบรอยแลว<br />
5. เติม vehicle อีกประมาณ 1/3 ลงในโกรงเพื่อ rinse suspension ที่เหลือจากโกรงลงในขวดยา<br />
6. ทําซ้ําขอ 5 โดยเติม vehicle อีกประมาณ 1/3 ลงในโกรงเพื่อ rinse suspension ที่เหลือจากโกรงลงใน<br />
ขวดยาจนหมด
7. ปดฝาขวดยาดวย child-resistant cap<br />
8. ปดฉลาก เขยาขวดใหยาเขากันกอนใชยา<br />
การเก็บรักษา เก็บไวในตูเย็นชองธรรมดาที่อุณหภูมิ 2-8 องศาเซลเซียสไดนาน 5 สัปดาห เก็บที่อุณหภูมิหอง<br />
ประมาณ 25 องศาเซลเซียส ได 5 วัน<br />
ตัวอยางสูตรตํารับ (15)<br />
การพัฒนาสูตรตํารับยา Oseltamivir Suspension 10 mg/ml<br />
กลุมงานเภสัชกรรม สถาบันสุขภาพเด็กแหงชาติมหาราชินี<br />
สูตรตํารับ 10 mg/ml<br />
ชื่อยา Oseltamivir capsule 75 mg<br />
จํานวนยาที่ใช 4 แคปซูล<br />
น้ํากระสายยาที่ใช น้ําเชื่อมที่มีสารกันเสีย * เติมจนครบ 30 ml<br />
วิธีการเตรียม<br />
1. แกะแคปซูลเอาผงยาใสในโกรงบดใหเปนผงละเอียด<br />
2. ผสมน้ํากระสายยาทีละนอยตาม geometric proportion แลวบดใหเขาเปนเนื้อเดียวกัน<br />
3. เทใสภาชนะบรรจุที่เตรียมไว<br />
4. เติมน้ํากระสายยาลางยาที่เหลือในโกรง และเติมใหครบปริมาตรที่กําหนด<br />
5. เขยาแรงๆ เพื่อใหเปนเนื้อเดียวกัน<br />
การเก็บรักษา เก็บในขวดสีชาและในตูเย็น<br />
ความคงตัว 10 วัน<br />
* น้ําเชื่อมที่มีสารกันเสีย 100 ml<br />
Sucrose 80 g.<br />
Sodium benzoate 0.1 g.<br />
Water qs to<br />
100 ml
ตารางที่ 4 แสดง การใหยาและผสม Oseltamivir suspension เพื่อใชรักษา ( 5 วัน )<br />
น้ําหนัก ( Kg ) ขนาดที่ใช จํานวนเม็ด น้ําเชื่อมที่มีสาร<br />
กันเสีย<br />
กรณีอายุนอยกวา 1 ป<br />
< 3 เดือน 1.2 ml วันละ 2<br />
ครั้ง<br />
3-5 เดือน 2 ml วันละ 2<br />
ครั้ง<br />
6-11 เดือน 2.5 ml วันละ 2<br />
ครั้ง<br />
กรณีอายุมากกวา 1 ป<br />
< 15 kg 3 ml วันละ 2<br />
ครั้ง<br />
> 15 kg – 23 kg 4.5 ml วันละ 2<br />
ครั้ง<br />
> 23 kg – 40 kg 6 ml วันละ 2<br />
ครั้ง<br />
> 40 kg 1 แคปซูล วันละ<br />
2 ครั้ง<br />
2 เม็ด 15 ml<br />
3 เม็ด 22 ml<br />
4 เม็ด 30 ml<br />
4 เม็ด 30 ml<br />
6 เม็ด 45 ml<br />
8 เม็ด 60 ml<br />
ถาผูปวยกลืนไมได ใหแกะแคปซูล<br />
ผสมน้ํา
Zanamivir (16)<br />
ยา Zanamivir มีลักษณะเปนผงยาสีขาว ใชสําหรับสูดพน สามารถละลายในน้ําอุณหภูมิ 20 องศา<br />
เซลเซียส ไดประมาณ 18 mg/ml<br />
5 mg blister บรรจุอยูใน Rotadisk ซึ่งใชสําหรับสูดพนโดยใช diskhaler และ 1 กลองประกอบดวย 5<br />
Rotadisks(รวมทั้งหมด 10 dose)<br />
รูปที่ 1 แสดงตัวอยางผลิตภัณฑ Zanamivir(Relenza ® )
รูปที่2 แสดงสวนประกอบตางๆของ Diskhaler
รูปที่ 3 วิธีการบริหารยา (16)<br />
Step A: ใสยา zanamivir ลงไปในชองของ dishaler<br />
Step B: เจาะ blister เพื่อให blister แตก<br />
Step C: สูดยาพรอมกับหายใจเขา<br />
Step D: นํา blisterที่ใชแลวออกแลวใส blister ใหมแทนที่
(3)<br />
ขนาดยาที่ใชในการรักษาโรคไขหวัดสายพันธุใหม<br />
ตารางที่ 5 แสดงขนาดของยาที่แนะนําในการรักษาและปองกันการติดเชื้อไวรัส H.influenza A (H1N1)<br />
Agent, group Treatment Chemoprophylaxis<br />
Oseltamivir<br />
Adults<br />
75-mg capsule twice per day for 5<br />
days<br />
75-mg capsule once per day for 10 days<br />
Children<br />
12 months<br />
≥<br />
15 kg or less 60 mg per day divided into 2 doses 30 mg once per day<br />
16-23 kg 90 mg per day divided into 2 doses 45 mg once per day<br />
120 mg per day divided into 2<br />
24-40 kg<br />
60 mg once per day<br />
doses<br />
>40 kg<br />
150 mg per day divided into 2<br />
doses<br />
75 mg once per day<br />
Zanamivir<br />
Adults<br />
Two 5-mg inhalations (10 mg total)<br />
twice per day<br />
Two 5-mg inhalations (10 mg total) once<br />
per day<br />
Children<br />
Two 5-mg inhalations (10 mg total) Two 5-mg inhalations (10 mg total) once<br />
twice per day (age, 7 years or older) per day (age, 5 years or older)
ตารางที่ 6 แสดงขนาดของยา oseltamivir ที่แนะนําในการรักษา H.influenza A (H1N1) ในเด็กอายุนอยกวา 1 ป<br />
Age<br />
Recommended treatment dose for 5 days<br />
ผูที่ควรไดรับการปองกันโดยการใชยาตานไวรัส (3)<br />
1. ผูที่มีความเสี่ยง (เชน ผูที่เปนโรคเรื้อรัง ผูสูงอายุ)ในการติดเชื้อที่ไดรับการสัมผัสกับผูปวย<br />
2. เด็กนักเรียนที่มีความเสี่ยง (เชน เด็กที่เปนโรคเรื้อรัง) ในการติดเชื้อที่อยูในสถานศึกษาที่มีการสัมผัสกับ<br />
ผูปวยอยางใกลชิด<br />
3. นักทองเที่ยวหรือผูที่ทํางานที่มีความเสี่ยง(เชน ผูที่มีโรคเรื ้อง ผูสูงอายุ)ตอการติดเชื้อ ที่กลับมาแดน<br />
ระบาด(เชน แมกซิโก)<br />
4. บุคลากรทางสาธารณสุขที่ยังไมไดรับการปองกัน ที่มีการสัมผัสกับผูปวยที่ไดรับการวินิจฉัยวาติดเชื้อ<br />
ไขหวัดใหญสายพันธุใหม<br />
ประสิทธิภาพในการรักษา<br />
หากไมมีการดื้อยาแนะนําใหใช oseltamivir เปนยาตัวแรกในการรักษาและปองกันเนื่องจากมี<br />
ประสิทธิภาพสูงและมีผลขางเคียงจากยานอย (17)<br />
มีการศึกษาแนะนําใหใช oselnamivir เพื่อลดความรุนแรงและระยะเวลาในการรักษา acute influenza<br />
ในผูปวยสุขภาพดี และลดอัตราการเกิด secondary complications. โดยผูปวยที่ไดรับ oseltamivir ภายใน 36<br />
ชั่วโมง หลังจากเกิดอาการจะลดระยะเวลาความเจ็บปวยได 30 % ลดความรุนแรง 40 % และฟนกลับมาทํา<br />
กิจกรรมตางๆตามปกติภายใน 2 – 3 วัน (18)
รูปที่ 4 อุบัติการณการดื้อของยา Oseltamivir ตอเชื้อ H.influenza A (H1N1)<br />
จากรูปที่ 4 แสดงอุบัติการณการดื้อของยา Oseltamivir<br />
หมายถึงพื้นที่นั้นมีอุบัติการณดื้อยานอยกวา 1%<br />
หมายถึงพื้นที่นั้นมีอุบัติการณดื้อยา 1.0-9.9%<br />
หมายถึงพื้นที่นั้นมีอุบัติการณดื้อยา 10.0-24.9%<br />
หมายถึงพื้นที่นั้นมีอุบัติการณดื้อยามากกวา 25%<br />
หมายถึงพื้นที่นั้นไมสามารถหาขอมูลการดื้อยาได
จากรูปที่ 1 ขอมูลจาก Public Health Information and Geographic Information System (WHO 2008)<br />
ผูเขียนคาดวาอุบัติการณการดื้อยาในประเทศไทยนาจะอยูในระดับที่ 2 คือมีอุบัติการณดื้อยา 1.0-9.9%<br />
ในเดือนพฤศจิกายน 2007 ถึงเดือนมกราคม 2008 มีรายงานดื้อยา oseltamivir ในทวีปยุโรปตอ<br />
influenza A(H1N1) viruses 14% (17)<br />
ในป ค.ศ. 2007 ถึง 2008 มีรายงานดื้อยา oseltamivir ในสหรัฐอเมริกาตอ influenza A(H1N1) viruses<br />
12.3 % และมีรายงานเบื้องตนในป 2008-2009 วามีการดื้อยา oseltamivirตอ influenza A(H1N1) viruses 98.5%<br />
(19)<br />
และมีการศึกษาของ ในเดือนพฤษภาคม ป คศ. 2009 พบวามีรายงานดื้อยา oseltamivir ในสหรัฐอเมริกาตอ<br />
influenza A(H1N1) viruses 99.2 % แตยังไมมีรายงานการดื้อยาตอ zanamivir (20)<br />
อุบัติการณการดื้อของยา Zanamivir ตอเชื้อ H.influenza A (H1N1) (21)<br />
พบการรายงานการดื้อยา Zanamivir 1 case จากเด็กซึ่งมีภาวะภูมิคุมกันบกพรอง(immunocompromised)<br />
ซึ่งมีการติดเชื้อ influenza B virus<br />
สรุป<br />
โรคไขหวัดใหญสายพันธุใหมที่มีการแพรระบาดในปจจุบันเกิดจากการติดเชื้อไวรัส influenza A<br />
(H1N1) มียาที่ใชในการรักษาตามแนวทางการรักษาของ CDC guideline คือ ยา Oseltamivir และ Zanamivir<br />
โดยยาทั้ง 2 ชนิดมีประสิทธิภาพในรักษาและปองกันโรคไขหวัดใหญสายพันธุใหมได ยาตัวแรกที่เลือกใช คือ<br />
Oseltamivir ถาหากมีการคื้อยาในบางพื้นที่ หรือมีการใชยา Oseltamivir ไปแลวยังใหผลการรักษาที่ไมดีพอ<br />
รวมทั้งผูปวยมีตอบสนองตอการรักษาก็สามารถใชยา Zanamivir เปนยาที่ใชรักษาตอไป