You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
หน่วยงานนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง<br />
วันเฉลิมพระชนมพรรษา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ<br />
Bike for Mom ปั่นเพื่อแม่<br />
โครงการฝนหลวง<br />
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น ส ำ นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๒๙๓ เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘<br />
www.<strong>lakmuang</strong>online.com
อาศิรวาท ๑๒ สิงหามหาราชินี<br />
ธ ทรงเป็น มิ่งขวัญ รังสรรค์ชาติ เกื้อกูลราษฎร์ บำรุงไทย ให้ไพศาล<br />
ทรงนิยาม สยามรัฐ ชัชวาล สุขสราญ ทุกทิศา นภาลัย<br />
กลาโหม ประโคมชัย ในทั่วหล้า เชิญเทวา พรประพรม สมสมัย<br />
นิรมิต ฤทธาฤกษ์ อันเกริกไกร น้อมเทิดไท้ ขอพระองค์ ทรงพระเจริญ<br />
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ<br />
ข้าพระพุทธเจ้า ข้าราชการ ลูกจ้าง และพนักงานราชการ<br />
ในสังกัดกระทรวงกลาโหม
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น ข อ ง ส ำ นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์<br />
พล.อ.วันชัย เรืองตระกูล<br />
พล.อ.อ.สุวิช จันทประดิษฐ์<br />
พล.อ.ไพบูลย์ เอมพันธุ์<br />
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา<br />
พล.อ.ธีรเดช มีเพียร<br />
พล.อ.ธวัช เกษร์อังกูร<br />
พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์<br />
พล.อ.อู้ด เบื้องบน<br />
พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ<br />
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล<br />
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ<br />
พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท<br />
พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์<br />
พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์<br />
พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน<br />
พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก<br />
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์<br />
ที่ปรึกษา<br />
พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล<br />
พล.อ.อ.ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์<br />
พล.อ.ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ<br />
พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงษ์ ร.น.<br />
พล.อ.วิชิต ศรีประเสริฐ<br />
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล<br />
พล.อ.นพดล ฟักอังกูร<br />
พล.อ.อดุลยเดช อินทะพงษ์<br />
พล.อ.ชัชวาลย์ ขำเกษม<br />
พล.อ.นิวัติ ศรีเพ็ญ<br />
พล.ท.สุวโรจน์ ทิพย์มงคล<br />
พล.ท.ศิริพงษ์ วงศ์ขันตี<br />
พล.ท.ดำรงศักดิ์ วรรณกลาง<br />
พล.ท.ชุติกรณ์ สีตบุตร<br />
พล.ท.นเรศรักษ์ ฐิตะฐาน<br />
พล.ท.ถเกิงกานต์ ศรีอำไพ<br />
พล.ท.เดชา บุญญปาล<br />
พล.ท.พรรณนพ ศักดิ์วงศ์<br />
พล.ท.ภาณุพล บรรณกิจโศภน<br />
พล.ท.นภนต์ สร้างสมวงษ์<br />
พล.ต.ภราดร จินดาลัทธ<br />
พล.ต.สราวุฒิ รัชตะนาวิน<br />
ผู้อำนวยการ<br />
พล.ต.ณภัทร สุขจิตต์<br />
รองผู้อำนวยการ<br />
พ.อ.ณัฐวุฒิ คล้ายโอภาส<br />
พ.อ.ยุทธนินทร์ บุนนาค<br />
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ<br />
พ.อ.ดุจเพ็ชร์ สว่างวรรณ<br />
กองจัดการ<br />
ผู้จัดการ<br />
น.อ.ธวัชชัย รักประยูร<br />
ประจำกองจัดการ<br />
น.อ.กฤษณ์ ไชยสมบัติ<br />
พ.ท.ธนะศักดิ์ ประดิษฐ์ธรรม<br />
พ.ต.ไพบูลย์ รุ่งโรจน์<br />
เหรัญญิก<br />
พ.ท.พลพัฒน์ อาขวานนท์<br />
ผู้ช่วยเหรัญญิก<br />
ร.ท.เวช บุญหล้า<br />
ฝ่ายกฎหมาย<br />
น.ท.สุรชัย สลามเต๊ะ<br />
พิสูจน์อักษร<br />
พ.อ.หญิง วิวรรณ วรวิศิษฏ์ธำรง<br />
กองบรรณาธิการ<br />
บรรณาธิการ<br />
น.อ.พรหมเมธ อติแพทย์ ร.น.<br />
รองบรรณาธิการ<br />
พ.อ.ทวี สุดจิตร์<br />
พ.อ.สุวเทพ ศิริสรณ์<br />
ผู้ช่วยบรรณาธิการ<br />
พ.อ.หญิง ใจทิพย์ อุไพพานิช<br />
ประจำกองบรรณาธิการ<br />
น.ท.ณัทวรรษ พรเลิศ<br />
น.ท.วัฒนสิน ปัตพี ร.น.<br />
พ.ท.ชาตบุตร ศรธรรม<br />
พ.ต.หญิง สิริณี ศรประทุม<br />
พ.ต.จิโรตม์ ชินวัตร<br />
ร.อ.หญิง ลลิดา กล้าหาญ<br />
ร.ท.หญิง พัชรี ชาญชัยพิชิต<br />
ร.ต.จิรวัฒน์ ถนอมธรรม<br />
จ.ส.อ.หญิง ปาลดา สมพงษ์ผึ้ง<br />
จ.อ.หญิง สุพรรัตน์ โรจน์พรหมทอง<br />
น.ท.หญิง รสสุคนธ์ ทองใบ ร.น.<br />
พ.ท.ชุมศักดิ์ สมไร่ขิง<br />
น.ต.ฐิตพร น้อยรักษ์ ร.น.<br />
พ.ต.หญิง สมจิตร พวงโต<br />
ร.อ.หญิง กัญญารัตน์ ชูชาติ ร.น.<br />
ร.ต.ศุภกิจ ภาวิไล<br />
ร.ท.วัชรเทพย์ ปีตะนีละผลิน<br />
ร.ต.หญิง กันยารัตน์ พุกพัก<br />
จ.ส.อ.สมหมาย ภมรนาค<br />
ส.อ.ธีร์นริศวร์ ขอพึ่งธรรม
บทบรรณาธิการ<br />
วันแม่แห่งชาติ ๑๒ สิงหาคม เป็นอีกวันสำคัญของปวงชนชาวไทย โดยเฉพาะ ในวโรกาสมหามงคล<br />
สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเจริญพระชนมพรรษา ๘๓ พรรษา สมเด็จพระบรม<br />
โอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงมีพระปณิธานที่จะจัดกิจกรรมจักรยานเฉลิมพระเกียรติ เพื่อ<br />
เป็นการแสดงออกถึงความกตัญญูกตเวที และความจงรักภักดีต่อสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรม<br />
ราชินีนาถ และเป็นการแสดงความสามัคคีร่วมกันของประชาชนชาวไทย ภายใต้ชื่อ “ Bike for mom<br />
ปั่นเพื่อแม่” ซึ่งกำหนดจัดกิจกรรม ในวันอาทิตย์ที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๘ ตั้งแต่เวลา ๑๕.๐๐ น.<br />
เป็นต้นไป และกิจกรรมครั้งนี้ถือเป็นกิจกรรมประวัติศาสตร์จัดพร้อมกันทุกจังหวัดทั่วประเทศ<br />
โดยสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร เสด็จฯ นำขบวนปั่นจักรยาน ด้วยพระองค์เอง<br />
ในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา มีหลายกรณีที่เป็นกระแสกวนใจการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาล<br />
อาทิ กรณีคณะกรรมาธิการสหภาพยุโรป (EU) ประกาศให้ใบเหลืองประเทศไทย ในเรื่องการทำประมง<br />
ผิดกฎหมาย หรือ IUU Fishing กรณีกลุ่มนักศึกษานำโดยกลุ่มที่เรียกตัวเองว่า กลุ่มดาวดิน ออกมา<br />
เรียกร้องความเป็นประชาธิปไตย รวมถึงกรณีการส่งกลับอุยกูร์ ๑๐๙ คน ไปยังสาธารณรัฐประชาชน<br />
จีน โดยเฉพาะในกรณีการเรียกร้องประชาธิปไตยและอุยกูร์ ถูกเชื่อมโยงให้น้ำหนักไปในเรื่องเสรีภาพ<br />
และสิทธิมนุษยชน และมีกระแสกดดันจากสหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศตะวันตกที่ไม่เห็นด้วยกับ<br />
การดำเนินการของรัฐบาล แต่จากบทบาทท่าทีของรัฐบาลและหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทำให้ประชาชน<br />
เริ่มมีความเข้าใจในเรื ่องดังกล่าวกับงานความมั่นคง ยกตัวอย่างเช่น กรณีของชาวอุยกูร์ ทุกประเทศ<br />
ในภูมิภาคนี้ก็ถือปฏิบัติในลักษณะเดียวกับประเทศไทย จึงไม่ใช่เรื่องที่ผิดปกติที่ประเทศไทยจะดำเนิน<br />
การในลักษณะดังกล่าว และก็ถือเป็นเรื่องปกติที่จะได้รับกระแสกดดันและไม่เห็นด้วย แต่ก็เป็นเรื่อง<br />
ที่น่ายินดีที่ประชาชนในประเทศเริ่มมีความเข้าใจ<br />
การให้ข้อมูลข่าวสาร การทำความเข้าใจในเรื่องต่างๆ ของรัฐบาลและหน่วยงานที่รับผิดชอบ<br />
เป็นอีกช่องทางหนึ่งที่จะประชาสัมพันธ์สร้างการรับรู้ และทำให้เกิดแนวคิดไปในแนวทางเดียวกัน<br />
นับเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยสนับสนุนการบริหารราชการแผ่นดินให้ประเทศได้ก้าวเดินไปอย่างมั่นคง<br />
ยั่งยืน ซึ่งช่องทางที่ท่านผู้อ่านจะได้รับทราบแนวทางการดำเนินงานของรัฐบาล อีกช่องท่างหนึ่งคือ<br />
จดหมายข่าวรัฐบาลเพื่อประชาชน เอกสารประชาสัมพันธ์นี้ผลิตเผยแพร่ทุก ๑๕ วัน เริ่มเผยแพร่<br />
ฉบับแรกตั้งแต่วันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๕๘ ซึ่งท่านผู้อ่านสามารถหาอ่านได้ทาง www.prd.go.th<br />
แต่อย่างไรก็ตามท่านผู้อ่านอย่าลืมที่จะติดตามอ่านวารสารหลักเมืองนะครับ<br />
2
ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๒๙๓ เดือนสิงหาคม พ.ศ. ๒๕๕๘<br />
๔<br />
อัคราภิรักษศิลปิน...<br />
เกริกก้องธรณินสยาม<br />
๘<br />
๕๒ ปี วันคล้ายวัน<br />
สถาปนา โรงงาน<br />
เภสัชกรรมทหาร<br />
ศูนย์การอุตสาหกรรม<br />
ป้องกันประเทศ<br />
และพลังงานทหาร<br />
๑๐<br />
๙ แผ่นดินของการ<br />
ปฏิรูประบบราชการ<br />
พระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
(ตอนที่ ๒)<br />
๑๔<br />
บทบาทอินเดีย<br />
ต่อความมั่นคงของไทย<br />
๑๖<br />
ความคืบหน้า<br />
การแก้ปัญหา การทำ<br />
ประมงผิดกฎหมาย<br />
(IUU Fishing)<br />
๑๘<br />
แสนยานุภาพของชาติ<br />
ต่างๆ ในทะเลจีนใต้<br />
๒๒<br />
บทสัมภาษณ์<br />
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เรื่อง กระทรวงกลาโหม<br />
หลักประกันความมั่นคง<br />
ของชาติ เคียงข้าง<br />
ประชาชน<br />
๒๖<br />
โครงการฝนหลวง<br />
สำคัญอย่างไร<br />
๘<br />
๒๒<br />
๓๒<br />
๔๘<br />
๑๖<br />
๒๖<br />
๓๖<br />
๕๒<br />
๔<br />
๑๘<br />
๓๐<br />
๔๐<br />
๖๒<br />
๒๘<br />
การอนุรักษ์ช้าง<br />
๓๐<br />
โครงการจิตสำนึก<br />
รักเมืองไทย<br />
๓๒<br />
Cyber Supremacy<br />
“กำลังรบ ที่ไม่เผยตัว”<br />
๓๖<br />
ดุลยภาพทางการทหาร<br />
ของประเทศอาเซียน<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์<br />
เอดับเบิ้ลยู-๑๓๙<br />
๔๐<br />
เทคโนโลยี ระบบไฟฟ้า<br />
เครื่องกลจุลภาค<br />
(MEMS) กับการใช้งาน<br />
ทางทหาร<br />
๔๔<br />
การบริหารอำนาจ<br />
๔๘<br />
การสถาปนาราชธานี<br />
กรุงหงสาวดีใหม่<br />
๒๑๕๖<br />
๕๒<br />
การใช้บทสนทนาใน<br />
ภาษาอังกฤษ<br />
๕๔<br />
สาระน่ารู้ทางการแพทย์<br />
“สวย-หล่อ<br />
ด้วยคอลลาเจน”<br />
๖๒<br />
กิจกรรมสมาคมภริยา<br />
ข้าราชการสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
ข้อคิดเห็นและบทความที่นำลงในวารสารหลักเมืองเป็นของผู้เขียน มิใช่ข้อคิดเห็นหรือนโยบายของหน่วยงานของรัฐ และมิได้ผูกพันต่อทางราชการแต่อย่างใด<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร./โทรสาร ๐-๒๒๒๕-๘๒๖๒ http://61.19.220.3/opsd/sopsdweb/index_1.htm<br />
พิมพ์ที่ : แผนกโรงพิมพ์ กองบริการ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ออกแบบ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
3
4
อัคราภิรักษศิลปิน...<br />
เกริกก้องธรณินสยาม<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
พระราชกรณียกิจนานัปการที่สมเด็จ<br />
พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรง<br />
บำเพ็ญตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ยังคงจารึก<br />
อยู่ในจิตใจที่เปี่ยมไปด้วยความจงรักภักดีและ<br />
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพสกนิกร<br />
ชาวไทย รวมทั ้ง ยังเป็นที่ประจักษ์ต่อสายตา<br />
ของชาวโลก ทั้งนี้ พระราชกรณียกิจทั้งปวง<br />
ทรงบำเพ็ญเพื่ออำนวยประโยชน์และสร้าง<br />
ความสุขให้เกิดขึ้นต่อประชาชนและประเทศ<br />
ชาติทั้งสิ้น อันประกอบด้วย โครงการศิลปาชีพ<br />
โครงการป่ารักษ์น้ำ แนวพระราชดำริเพื่อแก้ไข<br />
ปัญหาความยากจนให้แก่ประชาชน แนว<br />
พระราชดำริเพื่อสิทธิสตรี และโครงการ จำนวน<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
มากมายอันเกิดจากพระราชดำริและพระ<br />
ราชเสาวนีย์ โดยทุกพระราชกรณียกิจล้วน<br />
แล้วแต่เกิดจากพระราชปณิธานที่ทรงมี<br />
พระราชประสงค์เพื่อความมั่นคงเป็นปึกแผ่น<br />
ของประเทศและความสุขของประชาชน จึงทรง<br />
บำเพ็ญด้วยพระวิริยะอุตสาหะ และบ่งบอก<br />
ให้สังคมไทยรับรู้รับทราบถึงพระราชวิริยภาพ<br />
และพระอัจฉริยภาพเป็นอย่างดี<br />
แต่ยังมีประชาชนชาวไทยจำนวนไม่น้อย<br />
ที่ยังไม่ทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณและพระ<br />
ราชกรณียกิจอันสำคัญที่ทรงมีต่อประเทศชาติ<br />
อีกประการหนึ ่งคือ พระราชกรณียกิจในเรื่อง<br />
ของศิลปกรรม ซึ่งในระยะเวลาไม่น้อยกว่า<br />
๕๐ ปีที่ผ่านมา พระองค์ทรงให้ความสำคัญต่อ<br />
ศิลปะอันเกิดจากภูมิปัญญาไทย ทรงตระหนัก<br />
ในคุณค่าของศิลปะของไทยที่มีความงดงาม<br />
มีเอกลักษณ์ มีความประณีต และเป็นสมบัติ<br />
อันทรงคุณค่าเป็นอย่างยิ่งของแผ่นดินไทย<br />
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการทำนุบำรุง<br />
รักษา ฟื้นฟู และอนุรักษ์ศิลปกรรมของชาติ<br />
ที่กำลังจะสูญสิ้นไปตามกาลเวลา และกำลัง<br />
ถูกคุกคามอย่างหนักจากกระแสวัฒนธรรม<br />
ที่ถาโถมมาจากภายนอกประเทศ ทั้งจากโลก<br />
ตะวันตกและประเทศในทวีปเอเชีย ให้คง<br />
สภาพและในบางส่วนที่ลบเลือนหายไป<br />
ให้กลับคืนมาเป็นสมบัติและเป็นศิลปกรรมของ<br />
5
ประเทศและผืนแผ่นดินไทยเพื่อสืบทอดไปยัง<br />
อนุชนรุ่นต่อไป<br />
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม<br />
ราชินีนาถ ทรงมีพระราชกุศโลบายในการรักษา<br />
และการสืบทอดศิลปกรรมของไทย โดยทรง<br />
เริ่มจากการอนุรักษ์งานศิลปะทั้งปวงที่มีอยู่<br />
ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีการสืบค้น สืบเสาะ<br />
แสวงหางานศิลปะท้องถิ่นและภูมิปัญญา<br />
ท้องถิ่นที่กำลังลบเลือนไปจากสังคมไทยและ<br />
รวบรวมให้เป็นหมวดหมู่ ทรงโปรดเกล้าฯ ให้<br />
มีการคิดค้นพัฒนากรรมวิธีในการผลิตและ<br />
สร้างสรรค์งานศิลปะให้สามารถประยุกต์<br />
ใช้ได้กับเทคโนโลยีสมัยใหม่เพื่อสร้างความ<br />
สะดวกในการผลิตงาน ทรงส่งเสริมและ<br />
สนับสนุนให้มีการสร้างกระบวนการผลิตงาน<br />
อย่างเป็นมาตรฐานและเป็นศาสตร์ให้สามารถ<br />
ดำเนินงานสืบต่อไปได้อย่างเป็นระบบเชิง<br />
วิทยาศาสตร์ ซึ่งสิ่งสำคัญที่เป็นปัญหาใหญ่<br />
ของงานศิลปกรรมไทยคือการบริหารจัดการ<br />
ทางการตลาดเพื่อนำเสนอผลิตภัณฑ์อันเกิด<br />
จากภูมิปัญญาไทยให้แพร่หลายไปสู่สากล<br />
จึงทรงโปรดเกล้าฯ ให้จัดวางระบบทางการ<br />
ตลาดเพื่อสร้างตราผลิตภัณฑ์ (brand) และ<br />
ให้มีการวางแผนการตลาดอย่างเป็นระบบ<br />
เพื่อนำสินค้าสู่ผู้บริโภคได้อย่างสะดวกภายใต้<br />
บริบทของระบบการตลาดในยุคปัจจุบัน ทั้งนี้<br />
งานศิลปกรรมที่ทรงส่งเสริมและสนับสนุนที่<br />
ประจักษ์ต่อสาธารณชน ประกอบด้วย<br />
งานด้านหัตถศิลป์ ซึ่งทรงสนับสนุนให้<br />
ประชาชนชาวไทยชนบทมีงานศิลปหัตถกรรม<br />
เป็นอาชีพเสริม นอกเหนือจากการประกอบ<br />
อาชีพเกษตรกรรมซึ่งเป็นอาชีพหลัก ทำให้<br />
ประชาชนมีรายได้เพิ่มพูนมากขึ้น ดังจะ<br />
เห็นได้จากผ้าทอมือของไทยจากผ้าไหม<br />
ที่เป็นหัตถกรรมที่ทำให้คนไทยทั้งประเทศ<br />
ได้เห็นความงดงามและประณีตของผ้าไทย<br />
ซึ่งมีเทคนิคในการทอที่มีความวิจิตรพิสดาร<br />
สามารถรังสรรค์ได้หลากหลายรูปแบบ อาทิ<br />
ผ้าไหมมัดหมี่ ผ้าไหมแพรวา ผ้าขิด ผ้าจก ผ้ายก<br />
ผ้าปัก<br />
งานด้านประณีตศิลป์ ซึ ่งส่วนใหญ่เป็น<br />
เครื่องใช้ เครื่องตกแต่ง เครื่องประดับทั้งที่เป็น<br />
งานดินเผา งานเครื่องทอง เครื่องเงิน เครื่องถม<br />
งานลงยา และอื่นๆ เครื่องจักสานที่ต่างประเทศ<br />
รู้จักกันดีคือ เครื่องจักสานย่านลิเภา<br />
6<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
งานคีตศิลป์ ทั้งงานศิลปะประเภท<br />
ดนตรีไทย นาฏศิลป์ซึ่งเป็นที่ประจักษ์กันดีคือ<br />
ทรงอนุรักษ์ ฟื้นฟู “โขน” ที่เป็นความงดงาม<br />
ทางวัฒนธรรมและเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ<br />
ประเทศ<br />
นอกจากนี้ ยังทรงโปรดเกล้าฯ ให้ศึกษา<br />
ค้นคว้า และรวบรวมศาสตร์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับ<br />
งานศิลปกรรม อาทิ งานสถาปัตยกรรม งาน<br />
จิตรกรรม งานประติมากรรม และงานวรรณคดี<br />
ให้เป็นมรดกทางปัญญาและมรดกทางศิลปะ<br />
ของประเทศให้คงอยู่ รวมทั้ง พัฒนาให้มี<br />
ความเจริญรุ่งเรืองสำหรับถ่ายทอดคุณค่า<br />
ไปยังอนุชนรุ่นต่อๆ ไป<br />
พระราชกรณียกิจทั้งปวงขององค์<br />
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ<br />
ที่เกี่ยวเนื่องกับศิลปกรรมอันบังเกิดจาก<br />
พระราชหฤทัยที่ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณและ<br />
ห่วงใยต่ออาณาประชาราษฎร์ นับเป็นความ<br />
ปลาบปลื้มปีติในจิตใจพสกนิกรชาวไทยเป็น<br />
อย่างยิ่งและก่อเกิดให้ประชาชนทั่วประเทศ<br />
ต่างสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้มีการ<br />
ถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติ และถวายพระ<br />
ราชสมัญญานานัปการ ซึ่งในปีพุทธศักราช<br />
๒๕๕๕ เนื่องในมหามงคลวโรกาสที่สมเด็จ<br />
พระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ทรง<br />
เจริญพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ในการนี้<br />
กระทรวงวัฒนธรรม จึงได้กราบบังคม<br />
ทูลเกล้าฯ ถวายพระราชสมัญญาแด่พระองค์<br />
ท่าน คือ อัคราภิรักษศิลปินซึ่งมีความหมายว่า<br />
ศิลปินยิ่งใหญ่ผู้ปกปักรักษางานศิลปะ เพื่อ<br />
น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่ทรง<br />
บำเพ็ญพระราชกรณียกิจ ในการอนุรักษ์ดูแล<br />
และส่งเสริมงานด้านศิลปวัฒนธรรมของ<br />
ชาติไทย ให้มีความวัฒนาถาวรเป็นอัตลักษณ์<br />
ของชาติไทยอย่างมั่นคง<br />
เนื่องในวันมหามงคล ๑๒ สิงหาคม<br />
๒๕๕๘ ซึ่งเป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
ขององค์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรม<br />
ราชินีนาถ ผู้เขียนใคร่ขอเชิญชวนพสกนิกร<br />
ชาวไทยร่วมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมี<br />
พระวิริยะอุตสาหะ ตรากตรำ บำเพ็ญพระราช<br />
กรณียกิจ เพื่อสร้างความร่มเย็นเป็นสุขให้แก่<br />
มหาชนชาวไทย สร้างเอกลักษณ์ของความเป็น<br />
ไทย และเพื่อความเจริญรุ่งเรืองเป็นปึกแผ่น<br />
ให้แก่ประเทศชาติ ด้วยการบำเพ็ญคุณงาม<br />
ความดีเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล และ<br />
น้อมเกล้า ฯ ถวายพระพรชัยมงคลด้วยความ<br />
จงรักภักดี พร้อมกราบอาราธนาคุณพระศรี<br />
รัตนตรัย และอานุภาพแห่งสรรพสิ่งศักดิ์สิทธิ์<br />
ทั่วสากล ได้โปรดอภิบาลประทานพรชัยมงคล<br />
ให้สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ<br />
ทรงมีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง เจริญด้วย<br />
จตุรพิธพรชัย มีพระราชประสงค์จำนงหมาย<br />
ในสิ่งใด ขอจงสัมฤทธิ์ดังพระราชหฤทัย<br />
ปรารถนา สถิตเป็นองค์มิ่งขวัญของมหาชน<br />
ชาวไทยตราบชั่วนิรันดร์กาลด้วยเทอญ<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
7
๕๒ ปี วันคล้ายวันสถาปนา<br />
โรงงานเภสัชกรรมทหาร<br />
ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร<br />
โรงงานเภสัชกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ ประเทศ<br />
ไทยเกิดภาวะการขาดแคลนยา<br />
และเวชภัณฑ์ กรมแพทย์เหล่าทัพ<br />
แก้ปัญหาโดยทำการผลิตและจัดหาเอง<br />
ทำให้สิ้นเปลืองงบประมาณ ต่อมากองทัพไทย<br />
ได้รับความช่วยเหลือทางการทหารจาก<br />
ประเทศสหรัฐอเมริกา พันโท Paul F Austin<br />
เภสัชกรที่ปรึกษาฝ่ายการแพทย์จัสแม็คไทย<br />
ได้เสนอแนะให้จัดตั้งหน่วยสิ่งอุปกรณ์สาย<br />
แพทย์และผลิตภัณฑ์ร่วม เพื่อแก้ปัญหา<br />
ดังกล่าวกระทรวงกลาโหม จึงได้อนุมัติให้จัดตั้ง<br />
โรงงานเภสัชกรรมทหารขึ้น โดยเป็นหน่วย<br />
ในสังกัดสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
และได้กระทำพิธีเปิดในวันที่ ๒๓ สิงหาคม<br />
พ.ศ. ๒๕๐๖ มีที่ตั้ง ณ ซอยตรีมิตร ถนนพระราม ๔<br />
กรุงเทพมหานคร โดยได้รับการสนับสนุน<br />
เงินทุนหมุนเวียนจากกระทรวงการคลัง<br />
ตลอด ๕๑ ปีที่ผ่านมา โรงงานเภสัชกรรม<br />
ทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
และพลังงานทหาร ได้มีการพัฒนาและเติบโต<br />
อย่างต่อเนื่อง โรงงานเภสัชกรรมทหารฯ<br />
มีภารกิจในการผลิต รับจ้างผลิต จัดหา วิจัย<br />
วิเคราะห์ ยาและเวชภัณฑ์ต่างๆ เพื่อใช้และ<br />
จำหน่ายส่วนราชการของกระทรวงกลาโหม<br />
ส่วนราชการอื่นและประชาชน ปัจจุบันมี<br />
พลตรี อนุมนตรี วัฒนศิริ ผู้อำนวยการโรงงาน<br />
เภสัชกรรมทหารฯ เป็นผู้บังคับบัญชา โรงงาน<br />
เภสัชกรรมทหารฯ ได้มีการพัฒนามาตาม<br />
ลำดับ ปัจจุบันมีเภสัชกรปฏิบัติงาน ๓๘<br />
นาย มีเครื่องจักรและอุปกรณ์ที่ทันสมัย<br />
มีการวิเคราะห์ วิจัย และพัฒนาสูตรตำรับยา<br />
อย่างต่อเนื่อง ได้รับการรับรองมาตรฐานการผลิตยา<br />
8<br />
โรงงานเภสัชกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร
ที่มี GMP จากกระทรวงสาธารณสุขตั้งแต่ปี<br />
๒๕๔๕ เป็นต้นมา และก้าวสู่มาตรฐานที่สูงขึ้น<br />
GMP PIC/S พร้อมทั้งได้นำระบบสารสนเทศ<br />
ERP (Enterprise Resource Planning) มาใช้<br />
ในการบริหารจัดการการผลิตและจัดจำหน่าย<br />
ยาและเวชภัณฑ์ และได้จัดทำเว็บไซต์ของ<br />
หน่วย “www.dpfthailand.com เพื่อเผยแพร่<br />
ประชาสัมพันธ์ให้ผู้รับบริการทราบ<br />
ตามพระราชกฤษฎีกาว่าด้วยหลักเกณฑ์<br />
และวิธีการบริหารกิจการบ้านเมืองที่ดี<br />
พ.ศ.๒๕๔๖ และการปฏิรูประบบบริหารราชการ<br />
ภาครัฐ โรงงานเภสัชกรรมทหารฯ จึงได้<br />
ปรับระบบปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ<br />
เกิดประสิทธิผลมุ่งมั่นในปณิธาน “ผลิตยา<br />
คุณภาพ เพื่อกองทัพ และประชาชน”ภายใต้<br />
วิสัยทัศน์ “เป็นผู้นำด้านคุณภาพในการผลิต<br />
ยาเพื่อความมั่นคง”“To be the Quality<br />
leader in defensive pharmaceutical<br />
manufacturing” โดยเป็นศูนย์กลางการผลิต<br />
จัดหา วิจัย ยาและเวชภัณฑ์ เพื่อความมั่นคง<br />
ของกระทรวงกลาโหมที่ทันสมัยได้มาตรฐาน<br />
สากล สามารถสนับสนุนกองทัพและประเทศ<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทั้งในยามปกติและ<br />
สงคราม<br />
การสนับสนุนกิจการของกระทรวง<br />
กลาโหม โดยการผลิตยาจำเป็นพื้นฐานและ<br />
ยาที่ใช้ในการปฏิบัติการตามแผนป้องกัน<br />
ประเทศ ค้นคว้า วิจัย ผลิตสารต้านพิษ เช่น<br />
ยาฉีดอะโทรปีนซัลเฟต ยาเวชกรรมป้องกันทาง<br />
การทหาร เช่น ผงโรยเท้าและโลชั่นทากันยุง<br />
การเตรียมแผนการระดมสรรพกำลังการสำรอง<br />
ยาและเวชภัณฑ์คงคลังเพื่อสนับสนุนภารกิจ<br />
ของหน่วยเหนือ เช่น การป้องกันประเทศ<br />
การก่อความไม่สงบภายใน การสนับสนุนยา<br />
และเวชภัณฑ์แก่มิตรประเทศ การเข้าร่วม<br />
คณะทำงานแพทย์ทหารอาเซียนเพื่อให้การ<br />
สนับสนุนยาและเวชภัณฑ์ในสภาวะฉุกเฉิน<br />
กรณีเกิดภัยพิบัติต่างๆ เช่น น้ำท่วม ภัยหนาว<br />
การสนับสนุนโครงการพระราชดำริและรักษา<br />
สันติภาพของสหประชาชาติ<br />
การพึ่งพาตนเอง โดยใช้ทรัพยากรใน<br />
ประเทศเป็นวัตถุดิบในการผลิต เน้นการใช้<br />
สมุนไพรทดแทนสารเคมีจากต่างประเทศ<br />
โรงงานเภสัชกรรมทหารฯ ได้ปรับปรุงอาคาร<br />
สำหรับผลิตยาสมุนไพรจนกระทั่งได้รับ<br />
มาตรฐานตามหลักเกณฑ์วิธีการที่ดีในการ<br />
ผลิตยา (GMP) ประเภทสมุนไพรจากสำนักงาน<br />
คณะกรรมการอาหารและยา ในปี ๒๕๕๑<br />
รวมถึงการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร<br />
จากสมุนไพรเพื่อรองรับความต้องการของ<br />
ผู้บริโภค<br />
การให้ความสำคัญในการศึกษา ค้นคว้า<br />
วิจัยและพัฒนา โรงงานเภสัชกรรมทหารฯ<br />
ได้แสวงหาความร่วมมือกับสถาบันการศึกษา<br />
ของรัฐและองค์การเภสัชกรรมในด้านต่างๆ<br />
อาทิ เช่น ร่วมมือกับคณะเวชศาสตร์เขตร้อน<br />
และกรมแพทย์ทหารบก ในการวิจัยและพัฒนา<br />
สารทากันยุง Insect Repellent milky Lotion<br />
ความเข้มข้น ๓๓ เปอร์เซ็นต์ สำหรับยุงก้นปล่อง<br />
ที่เป็นสาเหตุสำคัญของโรคมาเลเรีย ร่วมมือ<br />
กับมหาวิทยาลัยมหิดล วิจัย และพัฒนาสูตร<br />
ยาต้านพิษ อาวุธชีวเคมีและยากำพร้าและ<br />
การวิจัยและพัฒนาสูตรตำรับยาใหม่ ร่วมมือ<br />
กับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ในโครงการ<br />
ศึกษาวิจัยชีวสมมูลของยาสามัญใหม่ ร่วมมือ<br />
กับมหาวิทยาลัยศิลปากรวิจัยพัฒนาและ<br />
วิจัยเภสัชตำรับ และร่วมมือกับมหาวิทยาลัย<br />
เชียงใหม่ ในการศึกษาวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์<br />
สมุนไพร รวมทั้งการที่โรงงานเภสัชกรรม<br />
ทหารฯ อุทิศตนเป็นแหล่งฝึกศึกษาและ<br />
ดูงานของนักศึกษา และบุคลากรจากภาครัฐ<br />
และเอกชน จำนวนปีละมากกว่า ๑๐๐ คน<br />
นอกจากนี้นักวิจัยของโรงงานเภสัชกรรม<br />
ทหารฯ ยังได้ทำการวิจัยสูตรตำรับแผ่นปิดแผล<br />
ห้ามเลือดจากไคโตซาน ซึ่งเป็นสารสกัด<br />
จากเปลือกกุ้งปูและแกนปลาหมึกได้เป็นผล<br />
สำเร็จ จนถึงขั้นนำเข้าสู่สายการผลิตต่อไป<br />
ในปัจจุบันการวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่สำคัญ<br />
ได้แก่ การวิจัยและพัฒนาเพื่อขึ้นทะเบียน<br />
ตำรับยา Pseudoephedrine HCL จำนวน ๓<br />
ตำรับ และการวิจัยและพัฒนายา Morphine<br />
Sulfate injection 10 mg/ml เพื่อสนับสนุน<br />
ให้คณะกรรมการอาหารและยา กระทรวง<br />
สาธารณสุข<br />
โรงงานเภสัชกรรมทหารฯ เป็นสมบัติ<br />
ของกองทัพและประชาชน ความภาคภูมิใจ<br />
ของหน่วยคือการได้รับความเชื่อถือ ความ<br />
เชื่อมั่นจากผู้บังคับบัญชาและผู้รับบริการ<br />
ปัจจุบันหน่วยมีศักยภาพเพียงพอที่จะสนอง<br />
ความต้องการต่อภารกิจของหน่วยเหนือได้<br />
ทุกสถานการณ์ กำลังพลทุกนายพร้อมที่จะ<br />
ปฏิบัติงานอย่างทุ่มเท เสียสละ และจะพัฒนา<br />
ขีดความสามารถ คุณภาพ มาตรฐานอย่าง<br />
ต่อเนื่อง เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติ<br />
กองทัพ และประชาชนตลอดไป<br />
9
พระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
(ตอนที่ ๒)<br />
สำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหม<br />
แผ่นดิน<br />
ของการปฏิรูประบบราชการ<br />
10 สำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหม
พระราชดำริเกี่ยวกับการเศรษฐกิจ<br />
การส่งเสริมการค้าขายกับต่างประเทศ<br />
เนื่องจากการค้าขายกับต่างประเทศนำรายได้<br />
เข้าสู่รัฐจำนวนมาก เป็นสินค้าส่งออกที่ล้วนมา<br />
จากส่วยรัฐไม่ต้องลงทุนมาก กิจการค้ากับต่าง<br />
ประเทศคึกคักมาตั้งแต่รัชกาลพระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธเลิศหล้านภาลัย เมื่อกรมหมื่นเจษฎา<br />
บดินทร์ทรงกำกับ และยิ่งเห็นเด่นชัดในรัชกาล<br />
ที่ ๓ โดยเฉพาะการค้ากับจีน เป็นไปในรูปการค้า<br />
แบบบรรณาการ เพราะให้ผลประโยชน์เต็มเม็ด<br />
เต็มหน่วย นอกจากจีนแล้วยังมีประเทศ<br />
คู่ค้าอื่นๆ อีก คือ สิงคโปร์ ปีนังและมะละกา<br />
การที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงทำการค้าขายกับต่างประเทศต่อเนื่องเป็น<br />
เวลานาน ทรงเก็บเงินรายได้จากกิจการนี้เป็น<br />
เงินพระคลังข้างที่ไว้ในถุงแดง เป็นจำนวนถึง<br />
๔๐,๐๐๐ ชั่ง เพื่อใช้สอยในการแผ่นดิน<br />
การที่ทรงยินยอมทำสนธิสัญญาเบอร์นี่<br />
กับอังกฤษเมื่อพุทธศักราช ๒๓๖๙ ทำให้การค้า<br />
กับต่างประเทศขยายตัวมาก มีเรือสินค้าต่างชาติ<br />
เข้ามาค้าขายมากกว่าเดิม คงเป็นผลสืบเนื่อง<br />
มาจากนโยบายรัฐ สนับสนุนการค้าขายกับ<br />
ต่างชาติอย่างเสรี ดังที่พระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำริตั้งแต่ต้น<br />
รัชกาลมีพระราชประสงค์ให้ประชาชนทั่วไป<br />
ทำการค้าขายให้ได้รับผลประโยชน์ทั่วกัน<br />
การส่งเสริมการเกษตรและอุตสาหกรรม<br />
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงส่งเสริมการเกษตรและอุตสาหกรรมอย่าง<br />
เด่นชัด เนื่องจากข้าวเป็นสินค้าส่งออกที่มีความ<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
สำคัญยิ่ง ขณะเดียวกันรัฐต้องควบคุมการ<br />
ส่งออกเพื่อป้องกันการขาดแคลนข้าวภายใน<br />
ประเทศ ด้วยการออกกฎหมายควบคุมราคา<br />
ข้าวและห้ามมิให้นำข้าวออกนอกประเทศ<br />
ยกเว้นว่าปีนั้นมีข้าวพอกินไป ๓ ปี จึงนำข้าว<br />
ออกนอกประเทศได้ ทรงออกพระราชกำหนด<br />
ให้ยกเลิกการบังคับซื้อข้าวส่งฉางหลวงให้<br />
ชาวนานำมาส่งขึ้นฉางหลวงด้วยตนเอง หรือ<br />
จะยอมเสียค่าจ้างขนส่งแก่เจ้าพนักงานก็ได้<br />
ใช้ที่ตวงข้าวตามมาตรฐานที่รัฐกำหนด นอกจากนี้<br />
ทรงมีนโยบายเพิ่มผลผลิตด้วยการส่งเสริมให้<br />
ชาวนาทำนาปีละ ๒ ครั้ง หากพื้นที่ใดรกร้าง<br />
ก็ให้เจ้าเมือง กรมการเมืองคิดหาทางเพาะปลูก<br />
ให้เกิดประโยชน์<br />
ด้านอุตสาหกรรม พระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวมีนโยบายให้รัฐผลิต<br />
น้ำตาลทราย ซึ่งเป็นสินค้าที่ตลาดโลกกำลัง<br />
ต้องการ โดยเฉพาะน้ำตาลทรายจากไทย<br />
มีคุณภาพดีกว่าที่อื่น ทรงส่งเสริมอุตสาหกรรม<br />
ต่อเรือ ซึ่งเป็นกิจการที่ทำรายได้ให้แก่รัฐอย่าง<br />
มากอีกอย่างหนึ่ง เนื่องจากค่าจ้างแรงงานและ<br />
ไม้ที่ใช้ต่อเรือมีราคาถูกและยังหาได้ง่ายเช่น<br />
เดียวกับอุตสาหกรรมการทำเหมืองแร่ เฉพาะ<br />
แร่เหล็กและดีบุก เป็นสินค้าออกที่สำคัญ<br />
เนื่องจากการอุตสาหกรรมในยุโรปกำลังเฟื่องฟู<br />
และต้องการวัตถุดิบ เช่น ดีบุก ไปใช้ในการ<br />
ผลิตสินค้าอุปโภคและบริโภคหลายรูปแบบ<br />
11
การผดุงความยุติธรรมและความสงบสุข<br />
แก่บ้านเมือง<br />
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงธำรงความบริสุทธิ์ยุติธรรมแก่อาณา<br />
ประชาราษฎร์ ให้ความสำคัญกับการปกครอง<br />
และทรงเห็นแก่ประโยชน์และความถูกต้อง<br />
ของราษฎรเป็นสำคัญ หลักฐานที่สนับสนุน<br />
พระราชดำรินี้ สืบเนื่องจากกรณีการสำเร็จ<br />
โทษกรมหมื่นรักษรณเรศ พระราชวงศ์ชั้น<br />
12<br />
ผู้ใหญ่ที่มีผู้กล่าวหาว่าพิจารณาคดีไม่ยุติธรรม<br />
เมื่อพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรง<br />
ไต่สวนและพบว่ากรมหมื่นรักษรณเรศมีความผิด<br />
ตามคำกล่าวหา ก็ทรงพิพากษาให้ได้รับโทษ<br />
สถานหนักเพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่าง<br />
การแสดงถึงความยุติธรรมที่ชัดเจนอีก<br />
ประการหนึ่ง คือ การออกพระราชกำหนด<br />
พุทธศักราช ๒๓๖๗ เนื่องจากพระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นใจในความทุกข์ยาก<br />
ของชาวนาที่ถูกข้าราชการ คือ ข้าหลวงเสนาที ่<br />
มีหน้าที่ประเมินการเก็บอากรนาหลังการเก็บ<br />
เกี่ยวใช้อำนาจและอภิสิทธิ ์แก่ชาวนา ใจความ<br />
สำคัญของพระราชกำหนดฉบับนี้ คือ ให้ยกเลิก<br />
การบังคับซื้อข้าวส่งฉางหลวง แต่ให้ชาวนานำ<br />
มาส่งขึ้นฉางหลวงด้วยตนเอง หรือจะยอมเสีย<br />
ค่าจ้างขนส่งแก่เจ้าพนักงานก็ได้ โดยให้ใช้ที่<br />
ตวงข้าวตามมาตรฐานที่รัฐกำหนด เพื่อลด<br />
ปัญหาการฉ้อโกงของขุนนางและข้าราชการ<br />
ยิ่งกว่านั้น ยังทรงให้ข้าราชการที่เคยได้รับการ<br />
ยกเว้น ไม่ต้องเสียค่านามาแต่ก่อน ต้องเสีย<br />
หางข้าว ค่านาไร่ละ ๒ ถัง เหมือนราษฎรทั่วไป<br />
การผดุงความยุติธรรมอีกประการหนึ่ง<br />
ที่พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
พระราชทานให้แก่ราษฎร คือ ทรงตั้งกลอง<br />
สำหรับให้ราษฎรตีร้องทุกข์พระราชทานชื่อว่า<br />
“กลองวินิจฉัยเภรี”<br />
การดำเนินนโยบายต่างประเทศ<br />
การติดต่อทางการทูตกับประเทศตะวันตก<br />
ในสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเป็นผลจากการ<br />
ขยายตัวของตลาดการค้าในเอเชีย หลังจาก<br />
ที่อังกฤษทำการปฏิวัติอุตสาหกรรมในคริสต์<br />
ศตวรรษที่ ๑๘ ในสมัยรัชกาลที่ ๒ อังกฤษส่ง<br />
จอห์น ครอว์ฟอร์ด เข้ามาขอแก้ไขการเก็บภาษี<br />
และการค้าขายบางอย่างที่รัฐบาลไทยผูกขาด<br />
อยู่ เพื่อดูท่าทีของฝ่ายไทยและหาโอกาสตกลง<br />
ในเรื่องดินแดนแหลมมลายู ซึ่งบางส่วนเคย<br />
เป็นของไทยแต่การเจรจาต้องล้มเหลว<br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว อังกฤษส่งคณะทูตที่มีร้อยเอก<br />
เฮนรี่ เบอร์นี่ เป็นหัวหน้า เข้ามาขอเจริญ<br />
สัมพันธไมตรี เมื่อพุทธศักราช ๒๓๖๘ อีกครั้ง<br />
ผลของการเจรจาเป็นที่ตกลง มีการทำสนธิ<br />
สัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ต่อกัน<br />
เมื่อวันที่ ๒๐ มิถุนายน พุทธศักราช ๒๓๖๙<br />
ประกอบด้วยสนธิสัญญาทางพระราชไมตรี<br />
รวม ๒๔ ข้อ และสนธิสัญญาทางการพาณิชย์<br />
ที่แยกออกอีกฉบับหนึ่งรวม ๖ ข้อ นับเป็นสนธิ<br />
สัญญาทางพระราชไมตรีและการพาณิชย์ฉบับ<br />
แรกที่ไทยทำกับต่างประเทศตะวันตกในสมัย<br />
กรุงรัตนโกสินทร์<br />
การทำสนธิสัญญากับอังกฤษฉบับนี้ ไทย<br />
ไม่เสียผลประโยชน์มากนัก แม้ว่าจะต้องยกเลิก<br />
ระบบผูกขาดโดยพระคลังสินค้า และเก็บภาษี<br />
จากเรือของพ่อค้าอังกฤษรวมเป็นอย่างเดียว<br />
เรียกภาษีปากเรือ ทั้งนี้ เพราะสนธิสัญญาฉบับ<br />
นี้มีผลใช้บังคับเฉพาะพ่อค้าอังกฤษและคนใน<br />
บังคับของอังกฤษเท่านั้น และเรือสำเภาของ<br />
พ่อค้าอังกฤษในแต่ละปี ก็เดินทางมาค้าขายน้อย<br />
อยู่แล้ว การทำสนธิสัญญาจึงน่าจะเป็นผลให้เรือ<br />
ของพ่อค้าอังกฤษเข้ามาค้าขายมากกว่าเดิม<br />
สำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหม
นอกจากนี้ การค้าทางเรือของรัฐบาลและ<br />
ขุนนางข้าราชการยังสามารถดำเนินต่อไปได้<br />
ด้วย เพราะไม่มีกำหนดห้ามในสัญญา ยิ่งกว่านั้น<br />
การทำสนธิสัญญายังเป็นผลให้รัฐบาลมี<br />
รายได้เพิ่มมากขึ้นจากการเก็บภาษี เนื่องจาก<br />
รัฐบาลได้กำหนดให้มีการผูกขาดการจัดเก็บ<br />
ภาษีอากรจากสินค้าหลังจากที่ได้มีการทำ<br />
สนธิสัญญาและตั้งภาษีสินค้าใหม่ ๓๘ อย่าง<br />
ดังกล่าวมาแล้ว ที่สำคัญคือการค้ากลับตกอยู่<br />
ในมือพระคลังตามเดิมเพราะแม้ว่าพ่อค้า<br />
อังกฤษจะซื้อและขายสินค้าใดๆ ต้องแจ้ง<br />
ให้เจ้าพนักงานของพระคลังทราบเสียก่อน<br />
หมายความว่าพระคลังจะเป็นผู้กำหนดราคา<br />
สินค้า ทำให้รัฐบาลสามารถขึ้นภาษีสินค้าที่<br />
พ่อค้าในประเทศขาย โดยการโอนการเสียภาษี<br />
ที่เพิ ่มขึ้นให้แก่พ่อค้าต่างชาติ จะเห็นได้ว่า แม้<br />
สนธิสัญญานี้จะทำให้อิทธิพลทางการค้าของ<br />
พระคลังและข้าราชการลดลงในทางทฤษฎี แต่<br />
ในทางปฏิบัติยังคงมีอยู่<br />
การศาสนา<br />
ศาสนาเป็นสถาบันสำคัญที่ช่วยเกื้อหนุน<br />
ความเข้มแข็งและความเป็นปึกแผ่นให้แก่รัฐ<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมี<br />
พระราชศรัทธาแรงกล้าในพระบวรพุทธศาสนา<br />
ทรงรักษาศีลบำเพ็ญทาน ทำนุบำรุงคณะสงฆ์<br />
สร้างและปฏิสังขรณ์วัดวาอารามกว่า ๖๐ วัด<br />
ทรงประกอบพระราชกุศลอย่างสม่ำเสมอใน<br />
รัชกาลนี้ มีการรวบรวมคัมภีร์พระไตรปิฎก<br />
ไว้เป็นหลักฐานไม่น้อยกว่า ๗ เล่ม แม้ว่าจะ<br />
ทรงเคร่งครัดในพระบวรพุทธศาสนา แต่ก็<br />
มิได้ทรงกีดกันศาสนาอื่นทรงแสดงพระองค์<br />
อัครศาสนูปถัมภก กล่าวคือ ได้พระราชทาน<br />
พระบรมราชานุญาตให้มีการเผยแพร่คริสต์<br />
ศาสนาในเมืองไทย ทั้งนิกายโรมันคาธอลิกและ<br />
โปรเตสแตนท์ อีกทั้งยังทรงเปิดโอกาสให้<br />
มิชชันนารีสมัยนั้นได้ถ่ายทอดวิทยาการตะวันตก<br />
ให้แก่ผู้สนใจ ซึ่งมีทั ้งพระบรมวงศานุวงศ์และ<br />
ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่รวมอยู่ด้วย รวมทั้งรักษา<br />
โรคโดยใช้ยาแผนปัจจุบันให้แก่ผู้มารักษาได้<br />
อย่างเสรี เหตุการณ์ด้านพระพุทธศาสนาใน<br />
ประเทศไทยที่แสดงให้เห็นพระราชหฤทัยและ<br />
พระราชดำริที่กว้างขวางของพระบาทสมเด็จ<br />
พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ การเกิดนิกายใหม่ที่<br />
เรียกว่าธรรมยุติกนิกาย ซึ่งเป็นการปฏิรูปการ<br />
พระศาสนาครั้งใหญ่ โดยพระสมณเจ้า เจ้าฟ้า<br />
มงกุฎสมมติวงศ์ ขณะทรงพระผนวชอยู่ ณ วัด<br />
บวรนิเวศวิหาร พระสงฆ์นิกายใหม่นี้มีจุดมุ่ง<br />
หมายที่จะปฏิบัติพระธรรมเพื่อให้ทั้งตนเอง<br />
และผู้อื่นหลุดพ้นจากความทุกข์ ถือสันโดษ<br />
และเคร่งครัดในพระธรรมวินัย<br />
จากแนวพระราชดำริและพระราช<br />
จริยวัตรของพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ที่เกี่ยวข้องกับการพระศาสนา<br />
ดังกล่าว ทำให้สังคมไทยในเวลานั้นอยู่ร่วมกัน<br />
ได้อย่างสมานฉันท์และร่มเย็นเป็นสุข<br />
13
บทบาทอินเดีย<br />
ต่อความมั่นคงของไทย<br />
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
สภาความมั่นคงแห่งชาติ ได้<br />
จัดการอภิปรายทางวิชาการ<br />
เรื่อง “บทบาทอินเดียต่อความ<br />
มั่นคงของไทย” เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๘<br />
ณ โรงแรมปทุมวัน ปริ๊นเซส กรุงเทพฯ ซึ่งมี<br />
สาระสำคัญ สรุปได้ดังนี้<br />
๑. บทบาทของสาธารณรัฐอินเดีย ใน<br />
กรอบความร่วมมือความริเริ่มแห่งอ่าวเบงกอล<br />
สำหรับความร่วมมือหลากหลายสาขาทาง<br />
14<br />
วิชาการและเศรษฐกิจ (Bay of Bengal<br />
Initiative for Multi - Sectoral Technical and<br />
Economic Cooperation : BIMSTEC) และ<br />
กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีการพัฒนาและ<br />
เติบโตทางเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว (Emerging<br />
Market) อันประกอบด้วย สหพันธ์สาธารณรัฐ<br />
บราซิล สหพันธรัฐรัสเซีย สาธารณรัฐ<br />
อินเดีย สาธารณรัฐประชาชนจีน และ<br />
สาธารณรัฐแอฟริกาใต้ (Brazil, Russia, India,<br />
Chaina and South Africa : BRICS) ต่อผล<br />
ประโยชน์ด้านความมั่นคงของไทย สรุปได้ว่า<br />
อินเดียต้องการเข้ามามีบทบาทในเอเชียมากขึ้น<br />
ดังนั้น การที่สาธารณรัฐประชาชนจีนเริ่มแสดง<br />
ถึงศักยภาพความเป็นผู้นำในภูมิภาคเอเชีย<br />
จึงทำให้อินเดียเข้าร่วมกับองค์การระหว่าง<br />
ประเทศ ทั้ง BIMSTEC และ BRICS เพื่อ<br />
ผลักดันหรือสนับสนุนบทบาทของตนในเวที<br />
ระหว่างประเทศ โดยประเทศไทยสามารถใช้<br />
สำนักนโยบายและยุทธศาสตร์ สำนักนโยบายและแผนกลาโหม
โอกาสในด้านตลาดที่ใหญ่ของอินเดีย และ<br />
ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีต่อยอดทางภาค<br />
ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อมได้<br />
๒. ความสัมพันธ์และความร่วมมือในเชิง<br />
หุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์ไทย - อินเดีย สรุปได้ว่า<br />
ไทยและอินเดียมีความสัมพันธ์ที่ยาวนาน<br />
ในหลายด้าน ได้แก่ การทูตและการเมือง<br />
การทหาร ความมั่นคง การค้าและการลงทุน<br />
การท่องเที่ยว ความเชื่อมโยงทางการคมนาคม<br />
วัฒนธรรม ศาสนา และประชาชน การศึกษา<br />
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และการกงสุล<br />
ซึ่งอินเดียและไทยต่างมีผลประโยชน์ร่วมกัน<br />
ทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ไทยมีที่ตั้งที่เป็นจุด<br />
ยุทธศาสตร์ทำให้เป็นศูนย์กลางเชื่อมโยงกับ<br />
ประเทศต่างๆ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก<br />
เฉียงใต้และเอเชียตะวันออก รวมทั้งเอเชียใต้<br />
ส่วนอินเดียถือเป็นมหาอำนาจในเอเชีย<br />
ประเทศหนึ่งที่สามารถสร้างดุลยภาพในการ<br />
ดำเนินนโยบายต่างประเทศในภูมิภาค ดังนั้น<br />
จึงควรรักษาระดับความสัมพันธ์ระหว่างไทย<br />
กับอินเดียที่มีมายาวนาน เพื่อผลประโยชน์<br />
ร่วมกันต่อไป<br />
๓. สถานการณ์ด้านการข่าว ภัยคุกคาม<br />
ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของไทย สรุปได้<br />
ว่า อินเดียมีความสัมพันธ์อันดีกับไทย ไม่มี<br />
ประเด็นที่อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคง<br />
อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายต่อกลุ่ม<br />
แบ่งแยกดินแดนของนายนเรนทรา โมดี<br />
นายกรัฐมนตรีอินเดีย อาจส่งผลให้กลุ่ม<br />
แบ่งแยกดินแดนเข้ามาเคลื่อนไหวในไทยได้<br />
สำหรับสาธารณรัฐประชาชนจีน สาธารณรัฐ<br />
อิสลามปากีสถาน ยังคงติดตามนโยบายของ<br />
อินเดียอย่างระมัดระวัง นอกจากนี ้ การขาด<br />
ดุลการค้ากับไทยเป็นผลให้อินเดียทบทวนการ<br />
ทำข้อตกลงว่าด้วยการค้าเสรี (Free-Trade<br />
Agreement : FTA) กับไทย และอาจส่งผล<br />
กระทบต่อการส่งออกสินค้าของไทยได้ซึ่งที่ผ่าน<br />
มาอินเดียได้ห้ามนำเข้าสินค้าประเภทอัญมณี<br />
จากไทยโดยอ้างแหล่งกำเนิดสินค้าที่มาจาก<br />
แหล่งเดียวกันเป็นเหตุ เป็นต้น<br />
นับได้ว่าอินเดียเป็นประเทศมหาอำนาจ<br />
ที่มีบทบาทสำคัญทั้งในด้านเศรษฐกิจและ<br />
ความมั่นคงในภูมิภาคจากการเป็นประเทศที่<br />
มีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ มีความก้าวหน้าทาง<br />
เทคโนโลยีสูง และมีความเข้มแข็งทางการ<br />
ทหาร สามารถสร้างดุลยภาพและความเจริญ<br />
ก้าวหน้าให้เกิดขึ้นในภูมิภาคได้ ในขณะที่<br />
ไทยมีจุดแข็งสำคัญที่ทำให้อินเดียต้องการเข้า<br />
มาปฏิสัมพันธ์ คือ การมีภูมิรัฐศาสตร์ที่เป็น<br />
ศูนย์กลางของภูมิภาคเชื่อมโยงไปยังภูมิภาค<br />
ต่างๆ และเป็นประเทศที่มีความสัมพันธ์อันดี<br />
กับอินเดียมาอย่างยาวนาน ไทยจึงควรใช้<br />
จุดแข็งดังกล่าวในการพัฒนาความสัมพันธ์กับ<br />
อินเดียให้ใกล้ชิดยิ่งขึ ้นเพื่อผลประโยชน์ร่วม<br />
กันโดยการส่งเสริมการค้า การลงทุน และ<br />
การเชื่อมโยงระหว่างกัน รวมทั้งร่วมกันแก้ไข<br />
ปัญหาด้านความมั่นคง โดยเฉพาะในเรื่องการ<br />
ก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติที่อินเดีย<br />
ให้ความสำคัญ และอาจส่งผลกระทบต่อความ<br />
มั่นคงของไทย<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
15
ความคืบหน้าการแก้ปัญหา การทำ<br />
ประมงผิดกฎหมาย (IUU Fishing)<br />
พันตรีหญิง สมจิตร พวงโต<br />
ภ<br />
ายใต้ข้อจำกัดด้านเวลาและ<br />
สภาพปัญหาความขัดแย้ง<br />
ภายในประเทศ หลาย ๆ ปัญหา<br />
รัฐบาลได้พยายามแก้ไขอย่างจริงจัง แม้ว่า<br />
ปัญหาเหล่านั้นจะมีมาอย่างยาวนานแล้ว<br />
ก็ตาม เช่นเดียวกับปัญหาการทำประมงผิด<br />
กฎหมาย (IUU Fishing) ซึ่งในเรื ่องนี้ พลเอก<br />
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและ<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้กล่าวถึง<br />
ความคืบหน้าในการแก้ปัญหาการทำประมงผิด<br />
กฎหมายหลังจากที่คณะกรรมาธิการสหภาพ<br />
ยุโรป (อียู) ประกาศให้ใบเหลืองประเทศไทย<br />
ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรง<br />
ลงพระปรมาภิไธยพระราชบัญญัติประมง<br />
พุทธศักราช ๒๕๕๘ แล้ว และจะประกาศใน<br />
ราชกิจจานุเบกษา ในเร็ว ๆ นี้ ขณะเดียวกัน<br />
คณะรัฐมนตรีได้มีมติเกี่ยวกับการยกพระราช<br />
กำหนด เพื่อมาอุดช่องว่างของกฎหมายบาง<br />
16<br />
ประเด็นที่สหภาพยุโรปต้องการ<br />
อย่างไรก็ตามในระหว่างนี้ นายกรัฐมนตรี<br />
สามารถใช้อำนาจตามมาตรา ๔๔ ในรัฐธรรมนูญ<br />
ฉบับปัจจุบันได้ อาทิ การให้อำนาจทหารเรือ<br />
ในการตรวจตราเรือทุกลำก่อนออกจากท่าเรือ<br />
ต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ เช่น หากพบเรือล ำใด<br />
มีอวนลากจะไม่อนุญาตให้ออกเรือเด็ดขาด<br />
เพื่อไม่ให้มีโอกาสในการนำอวนลากไปใช้<br />
จับปลา นอกจากนี้ยังได้ขอความร่วมมือ<br />
สื่อมวลชนให้นำเสนอข่าวในกรณีการแก้ปัญหา<br />
การทำประมงผิดกฎหมายว่ารัฐบาลกำลัง<br />
พยายามแก้ไขปัญหาเรื่องนี้อย่างจริงจัง<br />
ในส่วนของการแก้ปัญหาที่ประชุมได้มี<br />
ข้อสรุปร่วมกันว่า ในเรื่องกฎหมายขณะนี้<br />
พระราชบัญญัติประมงที่ปรับปรุงขึ้นได้ผ่านการ<br />
พิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.)<br />
เรียบร้อยแล้ว อยู่ระหว่างรอการประกาศใน<br />
ราชกิจจานุเบกษา ซึ่งคาดว่าจะประกาศใน<br />
เร็ววันนี้ และจะมีผลบังคับใช้ภายใน ๖๐ วัน<br />
อย่างไรก็ตามพระราชบัญญัติประมงฉบับ<br />
ดังกล่าว อาจจะมีรายละเอียดบางกรณีที่<br />
จำเป็นต้องเพิ่มเติม ซึ่งที่ประชุมได้กำหนดให้<br />
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เร่งดำเนินการ<br />
จัดทำกฎหมายลูก และอาจรวมถึง พระราช<br />
กำหนดเพื่อให้ครอบคลุมทุกกฎกติกาที่สหภาพ<br />
ยุโรปได้ตั้งข้อเรียกร้องไว้<br />
ในส่วนของการจัดทำ National Plan<br />
of Actions ซึ่งกระทรวงเกษตรและสหกรณ์<br />
ได้ศึกษาและกำหนดแผนงานไว้นานแล้ว และ<br />
มีกำหนดจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะ<br />
รัฐมนตรีต่อไป ซึ่งในแผนปฏิบัติการดังกล่าว<br />
จะลงรายละเอียดถึงระดับการนำข้อกฎหมาย<br />
และระเบียบต่าง ๆ รวมทั ้งการกำหนดบทบาท<br />
หน้าที่ของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องไปสู่การปฏิบัติ<br />
พันตรีหญิง สมจิตร พวงโต
อย่างเป็นรูปธรรม สำหรับการจัดระบบเฝ้า<br />
ติดตามเรือประมงขณะออกจับสัตว์น้ำต้อง<br />
ดำเนินการเรื่องการแจ้งเข้า - ออกท่าเรือ ซึ่งเรา<br />
เริ่มดำเนินการตั้งแต่วันที่ ๑ เมษายน ที่ผ่านมา<br />
และจะดำเนินการให้แล้วเสร็จทุกจังหวัด<br />
ทุกท่าเรือ ภายในเดือนพฤษภาคม<br />
นอกจากนี้ยังได้มอบหมายให้กองทัพเรือ<br />
เร่งรัดการติดตั้ง VMS ในเรือประมง ทั้งนี้ ตาม<br />
กฎหมายเดิมกำหนดให้ติดตั้ง VMS ในเรือ<br />
ประมงขนาดมากกว่า ๖๐ ตันกรอสขึ้นไป ซึ่งมี<br />
จำนวน ๑,๙๙๖ ลำ แต่ในกฎหมายใหม่กำหนด<br />
ให้เรือประมงขนาดตั้งแต่ ๓๐ - ๖๐ ตันกรอส<br />
ซึ่งมีจำนวน ๓,๔๖๒ ลำ ต้องติดตั ้ง VMS<br />
ด้วย โดยแม้ขณะนี้กฎหมายยังไม่ประกาศใช้<br />
อย่างเป็นทางการ แต่ที่ประชุมมีมติเร่งรัดให้<br />
ประชาสัมพันธ์ให้เรือประมงดำเนินการติดตั้ง<br />
ไปล่วงหน้าแล้ว เพื่อแสดงความมุ่งมั ่นต่อการ<br />
แก้ไขปัญหา โดยกำหนดให้แล้วเสร็จภายใน<br />
เดือนมิถุนายน การมีระบบตรวจสอบย้อนกลับ<br />
สินค้าประมงตั้งแต่ผู้บริโภคปลายทางจนถึง<br />
ต้นทางของการจับสัตว์น้ำเป็นกรณีที ่ต้อง<br />
ดำเนินการควบคู่กันไปเพื่อสร้างความมั่นใจ<br />
ให้กับผู้บริโภค ซึ่งทำให้ตรวจสอบได้ว่าสินค้า<br />
นั้นเป็นสินค้าที่ได้จากการทำประมงที่ถูกต้อง<br />
ตามกฎหมายในทุกขั้นตอน<br />
ทั้งนี้ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหมได้สั่งการให้ตั้ง Core<br />
Team เพื่อกำกับการทำงานของทุกหน่วย<br />
โดยจะประชุมติดตามงานทุก ๒ สัปดาห์ โดย<br />
กำหนดให้ทุกอย่าง ต้องแล้วเสร็จภายใน<br />
๓ เดือน และในขณะที่รอการประกาศใช้<br />
กฎหมายอย่างเป็นทางการ เพื่อมิให้เกิด<br />
ช่องว่างของการทำงานจะมีการจัดตั้ง<br />
คณะทำงานชุดเฉพาะกิจ โดยมีกรมเจ้าท่า<br />
เป็นหน่วยหลักและให้ทุกส่วน ที่เกี่ยวข้อง ทั้ง<br />
กรมประมง กระทรวงแรงงานและสวัสดิการ<br />
สังคมร่วมกันจัดชุดลงตรวจสอบเรือประมง<br />
ทั้งหมดให้ปฏิบัติตามกฎหมายของทุกหน่วย<br />
ที่เกี่ยวข้อง โดยคณะทำงานชุดเฉพาะกิจ<br />
จะประจำทุกท่า เพื่อให้เรือทุกลำได้รับการ<br />
ตรวจสอบ<br />
สำหรับในส่วนของกระทรวงการต่าง<br />
ประเทศได้ออกเอกสารและเดินสายชี้แจง<br />
สหภาพยุโรป ถึงรูปธรรมการแก้ไขปัญหาของ<br />
ประเทศไทย ขณะเดียวกันได้มอบหมายให้<br />
กระทรวงพาณิชย์ชี้แจงประเทศคู่ค้าและบริษัท<br />
ที่สั่งซื้อสินค้าประมงของไทย เพื่อสร้างความ<br />
เชื่อมั่นว่าประเทศไทยได้ดำเนินการทุกอย่าง<br />
เพื่อให้เป็นไปตามระเบียบการทำประมงของ<br />
สหภาพยุโรป เนื่องจากการสั่งซื้อสินค้าประมง<br />
โดยปกติจะเป็นการทำสัญญาซื้อขายล่วงหน้า<br />
ดังนั้นการสร้างความมั่นใจให้กับคู่ค้าดังกล่าว<br />
จะทำให้ประเทศไทยยังคงรักษาตลาด และ<br />
ยอดการจำหน่ายอย่างต่อเนื่องต่อไป<br />
อย่างไรก็ตาม การแก้ไขปัญหาการทำ<br />
ประมงที่ผิดกฎหมายจะดำเนินการได้อย่าง<br />
ครบถ้วนสมบูรณ์จำเป็นต้องได้รับความร่วมมือ<br />
จากผู้ประกอบการ โดยจะต้องไม่เอาประโยชน์<br />
ความสะดวกสบาย และการละเลยข้อกฎหมาย<br />
ต่าง ๆ ที่เคยปฏิบัติกันมาเป็นที่ตั้ง แต่ต้องให้<br />
ความร่วมมืออย่างจริงจังกับเจ้าหน้าที่เพื่อให้<br />
ประเทศก้าวผ่านปัญหาครั้งนี้ไปได้ร่วมกัน<br />
ข้อมูลจาก : ผลการประชุมคณะอนุกรรมการ<br />
การแก้ปัญหาประมงที่ผิดกฎหมาย<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
17
แสนยานุภาพของ<br />
ชาติต่างๆ ในทะเลจีนใต้<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ<br />
ในน่านน้ำทะเลจีนใต้มีความ<br />
ปัจจุบันสถานการณ์ความขัดแย้ง<br />
ร้อนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เพราะ<br />
นอกจากจะเป็นพื้นที่อุดมสมบูรณ์ด้วยพลังงาน<br />
จำนวนมหาศาลแล้ว ยังเป็นพื้นที่ทับซ้อนที่<br />
มหาอำนาจและชาติต่างๆ ในภูมิภาคเอเชีย-<br />
แปซิฟิค ต่างอ้างถึงกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของ<br />
ทั้งเหตุผลจากการประกาศเขตเศรษฐกิจ<br />
จำเพาะและหลักฐานทางประวัติศาสตร์<br />
จนเกิดเป็นข้อพิพาทที่ยังไม่สามารถหาข้อ<br />
ยุติได้ ทำให้ประเทศที่มีข้อพิพาทต่างเสริมสร้าง<br />
แสนยานุภาพกันอย่างขนานใหญ่ เพื่อหวัง<br />
18<br />
สร้างดุลอำนาจขึ้นในพื้นที่ดังกล่าว บทความนี้<br />
จะขอนำเสนอแสนยานุภาพของแต่ละประเทศ<br />
ที่เกี่ยวข้องกับข้อพิพาทในทะเลจีนใต้โดย<br />
สังเขป<br />
จีน เป็นประเทศที่มีบทบาทโดดเด่นที่สุด<br />
ประเทศหนึ่งในกรณีข้อพิพาทเหนือทะเลจีนใต้<br />
ทั้งนี้จากการประกาศแผนที่ "เส้น ๙ จุด"<br />
(nine-dotted-line) ที่แสดงถึงอาณาเขต<br />
ของตน โดยลากเส้นลงมาจากเกาะไหหนาน<br />
หรือ "ไหหลำ" ของจีนบริเวณอ่าวตั๋งเกี๋ย ขนาน<br />
กับชายฝั่งเวียดนามมาจนถึงเกาะบอร์เนียว<br />
บริเวณรัฐซาราวักของมาเลเซีย แล้ววนกลับ<br />
เลียบชายฝั่งบรูไน ผ่านรัฐซาบาห์ ตัดตรง<br />
เข้าไปในน่านน้ำของฟิลิปปินส์ เลาะชายฝั่ง<br />
ของจังหวัดปาลาวัน เรื่อยไปจนถึงเกาะลูซอน<br />
แล้วขึ้นไปสิ้นสุดที่เกาะไต้หวัน อาณาเขต<br />
ดังกล่าวครอบคลุมหมู่เกาะพาราเซลและหมู่<br />
เกาะสแปรตลีอันอุดมสมบูรณ์ไปด้วยก๊าซ<br />
ธรรมชาติและน้ำมันจำนวนมหาศาลเข้าไป<br />
ด้วย ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งกับเวียดนาม<br />
มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ บรูไนและไต้หวันที่ต่าง<br />
อ้างกรรมสิทธิ์เช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้เกิด<br />
พื้นที่ทับซ้อนระหว่างจีนกับอินโดนีเซียบริเวณ<br />
หมู่เกาะ "นาทูน่า" (Natuna) อีกด้วย<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
นอกจากนี้ยังทำให้สิงคโปร์เข้ามาเกี่ยวพัน<br />
ในข้อพิพาทอีกประเทศหนึ่ง เพราะแผนที่<br />
"เส้น ๙ จุด" ของจีน ครอบคลุมเส้นทางเดิน<br />
เรือที่สำคัญของโลกที่เดินทางผ่านช่องแคบ<br />
มะละกา ซึ่งถือเป็นเส้นเลือดใหญ่ทางเศรษฐกิจ<br />
ของสิงคโปร์อีกด้วย<br />
ล่าสุดเมื่อเดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๘ จีน<br />
ได้ทำการดัดแปลงแนวหินโสโครก ซึ่งเป็น<br />
พื้นที่พิพาทสำคัญในหมู่เกาะสแปรตลีของ<br />
ทะเลจีนใต้ที่ชื่อ "กางเขนเพลิง" (Fiery Cross<br />
Reef) หรือที่จีนเรียกว่า "หยงชู" (Yongshu)<br />
ฟิลิปปินส์เรียกว่า "กากิติงงัน" (Kagitingan)<br />
ส่วนเวียดนามเรียกว่า "ดา ชู ต๊าป" (Da<br />
Chu Thap) โดยสร้างสนามบินที่มีทางวิ่ง<br />
ยาว ๓,๐๐๐ เมตร พร้อมท่าเรือขนาดใหญ่<br />
สำหรับแนวหินโสโครก "กางเขนเพลิง" นับเป็น<br />
หนึ่งในเจ็ดแนวหินโสโครกที่ครอบครอง<br />
โดยจีน และถูกอ้างกรรมสิทธิ์โดยฟิลิปปินส์<br />
เวียดนามและไต้หวันเช่นเดียวกัน แต่จีน<br />
ก็ไม่ใช่ประเทศแรกที่มีการก่อสร้างสนามบิน<br />
ในหมู่เกาะข้อพิพาทแห่งนี้ ฟิลิปปินส์ก็มีการ<br />
ก่อสร้างสนามบินที่มีความยาว ๑,๒๐๐ เมตร<br />
ขึ้นที่เกาะ "ปากาซา" (Pagasa) เขตจังหวัด<br />
"ปาลาวัน" (Palawan) สามารถรองรับเครื่องบิน<br />
ขับไล่และเครื่องบินลำเลียงแบบ ซี-๑๓๐ ได้<br />
ส่วนมาเลเซียก็ก่อสร้างสนามบินยาว ๑,๐๖๗<br />
เมตรขึ ้นที่ "แนวหินนกนางแอ่น" (Swallow<br />
Reef) ซึ่งอ้างกรรมสิทธิ์และเข้าครอบครองมา<br />
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๖ ทางด้านเวียดนามก็มีการ<br />
ก่อสร้างสนามบินที่มีความยาว ๖๑๐ เมตร<br />
ที่เกาะ "ลากอส" (Lagos) ด้วยเช่นกัน<br />
แสนยานุภาพของจีนในน่านน้ำ<br />
ทะเลจีนใต้ที่ถูกจับตามองเป็นอย่างมาก คือ<br />
เครื่องบินรบที่จะถูกนำมาใช้ถ่วงดุลอำนาจ<br />
กับชาติต่างๆ ในทะเลจีนใต้ นั่นคือ เครื่อง<br />
บินแบบ เจ-๒๐ “มังกรทรงพลัง” (J-20<br />
Mighty Dragon) ซึ่งเป็นเครื่องบินรบยุคที่ ๕<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
(5 th Generation) รุ่นแรกของจีน เครื่องบิน<br />
เจ-๒๐ มีขนาดใหญ่ ลำตัวยาว รูปทรงของปีกเป็น<br />
รูปสามเหลี่ยม มี ๒ เครื่องยนต์ ใช้เทคโนโลยี<br />
การผลิตขั้นสูง โลกตะวันตกได้ตรวจพบเครื่องบิน<br />
รุ่นนี้จำนวน ๖ ลำ กำลังทดสอบการบินครั้งแรก<br />
ในช่วงปี พ.ศ.๒๕๕๒ โดย ๒ ลำสุดท้ายตรวจ<br />
พบเมื่อเดือนพฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๗ และใน<br />
ปี พ.ศ.๒๕๕๔ จีนได้เปิดตัวเครื่องบินรุ่นนี้เพื่อ<br />
แสดงแสนยานุภาพต่อรัฐมนตรีกลาโหมสหรัฐฯ<br />
ขณะเดินทางเยือนจีน แหล่งข่าวตะวันตกคาดว่า<br />
เครื่องบินแบบ เจ-๒๐ จะสามารถปฏิบัติการได้<br />
จริงระหว่างปี พ.ศ.๒๕๖๐ ถึง พ.ศ. ๒๕๖๒<br />
เครื่องบินรบแบบ เจ-๒๐ นี้เป็นเครื่องบิน<br />
ที่มีระยะทำการไกล พร้อมเทคโนโลยีล่องหน<br />
(stealth) มีระบบอาวุธติดตั้งภายในลำตัว<br />
เครื่องถึง ๒ ระบบ สามารถติดตั้งได้ทั้งอาวุธ<br />
ปล่อยนำวิธีแบบอากาศสู่อากาศ และอากาศ<br />
สู่พื้นหรืออาวุธปล่อยต่อต้านเรือผิวน้ำ ส่วน<br />
หัวของเครื่องมีลักษณะทางอากาศพลศาสตร์<br />
ที่คล้ายคลึงกับเครื่องบินแบบ เอฟ-๒๒<br />
แรพเตอร์ (F-22 Raptor) ของสหรัฐฯ อย่างมาก<br />
ณ เวลานี้โลกตะวันตกยังไม่ทราบแน่ชัดว่า<br />
เครื่องบินรบแบบ เจ-๒๐ ถูกออกแบบมาเพื่อ<br />
ภารกิจใดเป็นหลัก โดยอาจจะมีภารกิจครอง<br />
อากาศหรือภารกิจอเนกประสงค์ที่คล้ายกับ<br />
เครื่องบินรบแบบ เอฟ-๑๕ อีเกิล (F-15 Eagle)<br />
แต่ที่ชัดเจนที่สุดคือ เครื่องบินรบรุ่นนี้ถูกผลิต<br />
ขึ้นมาเพื่อเป็นคู่ต่อสู้โดยตรงกับเครื่องบินรบ<br />
แบบ เอฟ-๒๒ แรพเตอร์และแบบ เอฟ-๑๕<br />
อีเกิลของสหรัฐฯ ที่สิงคโปร์มีใช้ในประจำการ<br />
ส่วนแสนยานุภาพทางเรือที่สำคัญของจีน<br />
ในน่านน้ำทะเลจีนใต้คือ กองเรือยกพลขึ้นบก<br />
ขนาดใหญ่แบบ-๗๑ (Type-71) ชั้น "ฉางไป่<br />
ชาน" (Changbai Shan) ที่เพิ่งเข้าประจำการ<br />
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๕ เรือยกพลขึ้นบกชั้นนี้<br />
เปรียบเสมือนฐานปฏิบัติการลอยน้ำขนาดใหญ่<br />
ตัวเรือมีความยาว ๒๑๐ เมตร กว้าง ๒๘ เมตร<br />
ระวางขับน้ำ ๒๐,๐๐๐ ตัน สามารถบรรทุก<br />
ทหารนาวิกโยธินได้ ๑ กองพันหรือประมาณ<br />
๕๐๐ - ๘๐๐ นาย บรรทุกรถสะเทินน้ำสะเทินบก<br />
ได้ ๑๕ - ๒๐ คัน และบรรทุกเฮลิคอปเตอร์<br />
โจมตีแบบ แซด-๘ หรือแซด-๙ (จีนออกเสียงว่า<br />
จื่อ-๘ หรือ จื่อ-๙) ได้อีกจำนวน ๔ ลำ ปัจจุบัน<br />
จีนมีเรือยกพลขึ้นบกชั้นนี้จำนวนทั้งหมด ๓ ลำ<br />
ประกอบด้วยเรือ "ฉางไป่ ชาน", เรือ "คุนหลุน<br />
ชาน" (Kunlun Shan) และเรือ "จิงกาง ชาน"<br />
(Jinggang Shan) โดยเรือทั้งสามลำสังกัดใน<br />
"กองเรือทะเลใต้" (South Sea Fleet) รับผิด<br />
ชอบพื้นที่ทะเลจีนใต้ ประจันหน้ากับไต้หวัน<br />
และประเทศที่มีข้อพิพาทกับจีนในพื้นที่<br />
ดังกล่าว นอกจากนี้จีนกำลังต่อเรือชั้น "ฉางไป่<br />
ชาน" อีก ๓ ลำ โดยคาดว่าจะนำเข้าประจำการ<br />
ในกองเรือทะเลตะวันออก (East Sea Fleet)<br />
เพื่อเผชิญหน้ากับญี่ปุ่น สำหรับเรือ "ฉางไป่<br />
ชาน" ของจีน (หมายเลข ๙๘๙) เคยปรากฏโฉม<br />
พร้อมกับเรือฟริเกต "หวูฮั่น" (Wuhan) และ<br />
เรือฟริเกต "ไฮเคา" (Haikou) ในการซ้อมรบ<br />
ทางทะเลของจีนเมื่อต้นปี พ.ศ.๒๕๕๗ บริเวณ<br />
พื้นที่ใกล้ช่องแคบ "ลอมบอค" (Lombok) ซึ่ง<br />
ตั้งอยู่ระหว่างเกาะบาหลีและเกาะลอมบอค<br />
ของอินโดนีเซียมาแล้ว<br />
ปัจจุบันโลกตะวันตกได้มีการจำลอง<br />
สถานการณ์ในการส่งกำลังทหารเข้ายึด<br />
หมู่เกาะ "สแปรตลี" ของจีน เหมือนที่เคยปฏิบัติ<br />
กับเวียดนามกรณีหมู่เกาะ "พาราเซล" (Paracel<br />
Islands) ในทะเลจีนใต้มาแล้วในปี พ.ศ.๒๕๑๖<br />
และ พ.ศ. ๒๕๓๑ โดยในสถานการณ์จำลองนี้ได้<br />
นำแนวคิด "การปฏิวัติกิจการด้านการทหาร"<br />
(RMA : Revolution in Military Affairs)<br />
ที่จีนศึกษาแนวคิดและหลักนิยมของสหรัฐฯ<br />
เป็นต้นแบบในการพัฒนากองทัพของตน<br />
จนถึงขนาดที่เรียกว่า ".. แปลตำราของ<br />
สหรัฐฯ ทุกตัวอักษร ..” แนวคิดนี้ถูกบรรจุไว้ใน<br />
ยุทธศาสตร์ชาติตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๓๖ และกลาย<br />
เป็นหลักนิยมในการยุทธของจีนที่กำหนดว่า<br />
".. สงครามท้องถิ่นภายใต้สภาวะเทคโนโลยี<br />
ขั้นสูง ..” ซึ ่งหมายถึง กองทัพจีนจะมุ่งทำการ<br />
รบในพื้นที่ที่จำกัด โดยใช้อาวุธยุทโธปกรณ์ที่มี<br />
เทคโนโลยีชั้นสูงเข้าทำการรบอย่างรุนแรงและ<br />
เด็ดขาด โดยการรบในลักษณะนี้จะจำกัดเวลา<br />
จำกัดพื้นที่และจำกัดเป้าหมายทางการเมือง<br />
ดังนั้นจึงมีความเป็นไปได้ที่จีนจะใช้เรือยกพล<br />
ขึ้นบกแบบ-๗๑ ชั้น "ฉางไป่ ชาน" ส่งกำลัง<br />
ทหารนาวิกโยธินจำนวน ๑ - ๒ กองพัน พร้อม<br />
รถสะเทินน้ำสะเทินบก ๒๐ - ๓๐ คัน สนับสนุน<br />
ด้วยเครื่องบินรบแบบ เจ-๒๐ เข้ายึดครอง<br />
เกาะใดเกาะหนึ่งในหมู่เกาะ "สแปรตลี" อย่าง<br />
รวดเร็ว จากนั้นจะดัดแปลงที่มั่นบนเกาะเป็น<br />
แนวตั้งรับ พร้อมๆ กับเรือเผินลมของจีนที่มี<br />
19
ที่มั่นอยู่ที่ฐานทัพ บนเกาะ "วู้ดดี้" (Woody)<br />
หรือที่จีนเรียกว่า "ยงซิง” (Yongxing) ใน<br />
หมู่เกาะพาราเซล จะทำหน้าที่ลำเลียงยุทธ<br />
สัมภาระ อาวุธหนัก อาวุธปล่อยนำวิถีต่อสู้<br />
อากาศยาน รวมถึงอาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้าน<br />
เรือผิวน้ำเข้าไปเสริมความมั่นคง ณ ที่หมาย<br />
เพื่อใช้ในการต่อต้านการเข้าตีตอบโต้ของ<br />
ข้าศึกที่มุ่งจะเข้ายึดพื้นที่ดังกล่าวคืนนั่นเอง<br />
สหรัฐฯ เป็นอีกประเทศหนึ่งที่แม้ไม่มี<br />
พื้นที่ทับซ้อนในทะเลจีนใต้ แต่สหรัฐฯ ก็ถือว่า<br />
พื้นที่ในเอเชีย-แปซิฟิคเป็นเขตอิทธิพลดั้งเดิม<br />
ของตนมาตั้งแต่ก่อนสงครามโลกครั้งที่ ๒<br />
การเติบโตและแผ่ขยายอาณาเขตของจีน<br />
เข้ามาในทะเลจีนใต้ได้สร้างความกังวลให้กับ<br />
สหรัฐฯ เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการคุ้มครอง<br />
เรือสินค้าจำนวน ๙๐,๐๐๐ - ๑๐๐,๐๐๐ ลำ<br />
ที่เดินทางผ่านช่องแคบมะละกาในแต่ละปี<br />
ทำให้สหรัฐฯ มีการเพิ่มแสนยานุภาพเข้ามาใน<br />
ภูมิภาคนี้อย่างต่อเนื่องเพื่อหวังถ่วงดุลอำนาจ<br />
กับจีน เช่น การส่งอากาศยานชั้นยอดเข้าไป<br />
ประจำการในญี่ปุ่น เช่น อากาศยานไร้นักบิน<br />
หรือ ยูเอวี รุ่นที่มีประสิทธิภาพสูงสุดรุ่นหนึ่ง<br />
คือ อาร์คิว-๔ "โกลบอล ฮอว์ค" (RQ-4 Global<br />
Hawk) ซึ่งสามารถตรวจการณ์พื้นที่ได้ถึง<br />
๑๐๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ภายในเวลาเพียง<br />
๑ วัน และเครื่องบินขับไล่ที่ได้รับการยอมรับว่า<br />
ดีที่สุดในโลกในยุคปัจจุบัน คือ เอฟ-๓๕ (F-35)<br />
เข้าไปประจำการในญี่ปุ่น นอกเหนือไปจาก<br />
การส่งเครื่องบินแบบ วี-๒๒ ออสเพรย์ (V-22<br />
Osprey) ไปเพิ่มเติมอีกเป็นจำนวนมาก<br />
สหรัฐฯ ยังมีแผนที่จะส่งเรือโจมตีชายฝั่ง<br />
(Littoral Combat Ship : LCS) ชั้น “ฟรีดอม”<br />
(Freedom) จำนวน ๔ ลำเข้ามาประจำการ<br />
อยู่ที่ฐานทัพเรือ "ชางงี" (Changi Naval Base :<br />
CNB) ของสิงคโปร์ภายในปี พ.ศ.๒๕๖๓ หลังจาก<br />
ที่เคยส่งเรือโจมตีชายฝั่งชั้นนี้คือ เรือ "ยูเอสเอส<br />
ฟรีดอม" (USS Freedom) เข้ามาประจำการ<br />
เป็นเวลา ๖ เดือนเพื่อเป็นการชิมลางเมื่อ<br />
ปีที่ผ่านมาแล้ว ปัจจุบันสหรัฐฯ ส่งเรือโจมตี<br />
ชายฝั่งชั้นดังกล่าวอีกลำหนึ่งคือเรือ "ยูเอส<br />
เอส ฟอร์ต เวิร์ธ” (USS Fort Worth) เข้า<br />
มาประจำการ และเพิ่งเกิดการเผชิญหน้ากับ<br />
เรือฟริเกตติดอาวุธปล่อยนำวิถีแบบ ๐๕๔ เอ<br />
(Type 054A) ชื่อ "หยานเฉิง" (Yancheng)<br />
ของจีน เมื่อกลางเดือนพฤษภาคม พ.ศ.๒๕๕๘<br />
ที่ผ่านมา ขณะเรือดังกล่าวของสหรัฐฯ ลาดตระเวน<br />
ผ่านหมู่เกาะสแปรตลี โดยถูกเรือรบของจีน<br />
แล่นตามประกบอยู่ตลอดเวลา แม้ทางเรือ<br />
"ยูเอสเอส ฟอร์ต เวิร์ธ" ของสหรัฐฯ จะวิทยุ<br />
ไปยังเรือ "หยานเฉิง" ของจีนว่า น่านน้ำที่กำลัง<br />
ปฏิบัติการอยู่นี้เป็นน่านน้ำสากล แต่เรือรบ<br />
ของจีนก็ยังคงแล่นตามอยู่อีกระยะหนึ่ง ก่อนที่<br />
จะแยกออกไปอย่างสงบ<br />
เรือโจมตีชายฝั่งของสหรัฐฯ ชั้น "ฟรีดอม"<br />
เป็นเรือรบที่มีเทคโนโลยีล้ำยุคและทันสมัย<br />
ที่สุดของสหรัฐฯ รุ่นหนึ่ง มีระวางขับน้ำ<br />
๓,๙๐๐ ตัน ยาว ๑๑๘ เมตร ความเร็วสูงสุด<br />
๔๕ นอต (๘๓ กิโลเมตรต่อชั่วโมง) ระยะทำการ<br />
๖,๕๐๐ กิโลเมตรที่ความเร็ว ๑๘ นอต มีขีด<br />
ความสามารถในการปฏิบัติการรบในเขตน้ำตื้น<br />
ตั้งแต่บริเวณชายฝั่งไปจนถึงทะเลเปิด ซึ่งเป็น<br />
ลักษณะเฉพาะตัวของทะเลจีนใต้ เนื่องจาก<br />
เป็นทะเลที่เต็มไปแนวหินปะการัง หินโสโครก<br />
โขดหินสลับกับทะเลน้ำลึกที่เรือพิฆาตทั่วไป<br />
ไม่สามารถปฏิบัติการได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
เป็นที่น่าสังเกตว่าแม้สหรัฐฯ จะยืนยันอยู่<br />
เสมอว่า ตนพร้อมที่จะกลับเข้ามาในภูมิภาค<br />
เอเชีย-แปซิฟิคตามนโยบาย "ปรับสมดุลย์"<br />
(Rebalancing Policy) ของประธานาธิบดีบารัก<br />
โอบาม่าก็ตาม แต่สถานการณ์ที่กำลังแปร<br />
เปลี่ยนไปในขณะนี้ ไม่ว่าจะเป็นความปราชัย<br />
ของรัฐบาลอิรักต่อกลุ่มไอเอส แนวโน้มที่เต็ม<br />
ไปด้วยอุปสรรคของรัฐบาลอัฟกานิสถานกับ<br />
กลุ่มตาลีบัน ตลอดจนวิกฤติกาลในยูเครน<br />
ทำให้สหรัฐฯ จำเป็นต้องถอยห่างออกจาก<br />
ภูมิภาคนี้เรื่อยๆ<br />
เวียดนาม เป็นอีกประเทศหนึ่งที่อ้าง<br />
กรรมสิทธิ์เหนือหมู่เกาะสแปรตลีในทะเลจีนใต้<br />
โดยเวียดนามเรียกว่าหมู่เกาะนี้ว่า "ควาน เด๋า<br />
เตรือง ซา" (Quan Dao Troung Sa) ในขณะที่<br />
จีนเรียกว่า "นาน ชา" (Nan Cha) ปัจจุบัน<br />
20<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
เวียดนามครอบครองเกาะที่ใหญ่ที่สุดคือ<br />
เกาะ "สแปรตลี" ซึ่งเป็นชื่อเดียวกันกับชื่อของ<br />
หมู่เกาะ ความขัดแย้งที่ทวีความตึงเครียด<br />
ขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เวียดนามมีการสะสมอาวุธ<br />
ยุทโธปกรณ์อย่างขนานใหญ่ เช่น สั่งซื้อเรือ<br />
ดำน้ำพลังงานดีเซลชั้น "กิโล" (Kilo) ที่ทันสมัย<br />
ที่สุดชนิดหนึ่งของรัสเซียจำนวน ๖ ลำ มูลค่า<br />
กว่า ๑,๘๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ ประกอบด้วย<br />
เรือดำน้ำ "ฮานอย" (Hanoi), "โฮ จิ มินห์ซิตี้"<br />
(Ho Chi Minh City), "ไฮ ฟอง" (Hai Phong),<br />
"ดา นัง" (Da Nang), "คานห์ หัว" (Khanh Hoa)<br />
และ "บา เรีย - วัง เทา" (Ba Ria - Vung Tau)<br />
สำหรับยุทธศาสตร์ของเวียดนามคือการใช้เรือ<br />
ดำน้ำเหล่านี้ทำหน้าที่เสมือน "เพชฌฆาตเงียบ"<br />
ปฏิบัติการอยู่ ในบริเวณดินแดนข้อพิพาท<br />
ใต้ท้องทะเลจีนใต้นั่นเอง เนื่องจากเรือดำน้ำ<br />
ชั้น "กิโล" นี้ติดอาวุธปล่อยนำวิถีที่มีขีดความ<br />
สามารถในการทำลายเรือผิวน้ำ เรือดำน้ำและ<br />
อากาศยานของข้าศึกได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
สำหรับการเสริมสร้างแสนยานุภาพทาง<br />
อากาศนั้น กองทัพเวียดนามได้จัดหาเครื่อง<br />
บินขับไล่ประสิทธิภาพสูง ๒ ที่นั่งและ ๒<br />
เครื่องยนต์แบบ ซู-๓๐ เอ็มเค ๒ เพิ่มขึ้นอีก<br />
จำนวน ๑๒ ลำจากรัสเซีย จากเดิมที่เคยสั่งซื้อ<br />
มาแล้วจำนวน ๒๐ ลำในปี พ.ศ.๒๕๕๒ และ<br />
๒๕๕๓ ซึ่งทำให้เวียดนามมีฝูงบิน ซู-๓๐ ถึง<br />
๓ ฝูงด้วยกัน เครื่องบินที่สั่งซื้อครั้งล่าสุดมีการส่ง<br />
มอบในปี พ.ศ.๒๕๕๗ และ พ.ศ.๒๕๕๘ เครื่องบิน<br />
รุ่นนี้ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถีแบบอากาศสู่พื้น<br />
เพื่อมุ่งทำลายเรือผิวน้ำเป็นหลัก โดยเวียดนาม<br />
ได้จัดซื้ออาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือแบบ<br />
เอเอส-๑๗ คริปตอน รุ่น เคเอช-๓๕เอ จาก<br />
รัสเซียจำนวน ๑๐๐ ลูกและแบบ เอเอส-๑๔ รุ่น<br />
เคเอช-๒๙ ที เพื่อนำมาใช้กับเครื่องบินขับไล่<br />
แบบ ซู-๓๐ และซู-๒๗ ที่มีอยู่เดิมอีกด้วย<br />
สิงคโปร์ เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีความ<br />
กังวลอย่างมากต่อการขยายอิทธิพลของจีนใน<br />
ทะเลจีนใต้ เนื่องจากทะเลจีนใต้แห่งนี้ถือเป็น<br />
เส้นทางเดินเรือที่สำคัญจากช่องแคบมะละกา<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
ซึ่งถือเป็นอู่ข้าวอู่น้ำหล่อเลี้ยงเศรษฐกิจของตน<br />
สิงคโปร์จึงมีการเสริมกำลังอย่างขนานใหญ่<br />
โดยสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์แบบ<br />
ลอคฮีด มาร์ติน เอฟ-๓๕ (Lockheed Martin<br />
F-35) จากสหรัฐฯ เพื่อถ่วงดุลอำนาจกับ<br />
เครื่องบินรบแบบ เจ-๒๐ ของจีน ซึ่งเครื่อง<br />
บินรุ่นนี้เป็นเครื่องบินขับไล่ยุคที่ ๕ (Fifth<br />
Generation) มีขีดความสามารถหลากหลาย<br />
ทั้งเป็นเครื่องบินขับไล่สกัดกั้นทางอากาศ,<br />
โจมตีภาคพื้นดินและลาดตระเวนตรวจการณ์<br />
หาข่าว อีกทั้งยังใช้เทคโนโลยีล่องหนหรือ<br />
"สเตลท์" (Stealth) ทำให้ยากต่อการตรวจจับ<br />
ด้วยเรดาห์อีกด้วย<br />
นอกจากนี้กองทัพอากาศสิงคโปร์ยังมี<br />
เครื่องบินขับไล่สมรรถนะสูงแบบ เอฟ-๑๕<br />
เอสจี สไตรค์ อีเกิล (F-15 SG Strike Eagle)<br />
จำนวน ๒๔ ลำ โดยสั่งซื้อครั้งแรกในปี พ.ศ.<br />
๒๕๔๘ มูลค่ากว่า ๗๔๑ ล้านเหรียญสหรัฐฯ<br />
พร้อมยุทโธปกรณ์ครบชุด เช่น อาวุธปล่อยนำ<br />
วิถีอากาศสู่อากาศ แบบ เอไอเอ็ม-๑๒๐ แอม<br />
แรม (AIM-120 AMRAAM) ซึ่งมีศักยภาพใน<br />
การทำลายเป้าหมายในทุกสภาพอากาศและ<br />
ทั้งในเวลากลางวันและกลางคืน มีความเร็ว<br />
เหนือเสียง ๔ มัค, อาวุธปล่อยนำวิถีอากาศสู่<br />
อากาศแบบ เอไอเอ็ม–๙ ไซด์ไวน์เดอร์ (AIM-<br />
9 Sidewinder) นำวิถีด้วยระบบอินฟาเรด มี<br />
ความเร็ว ๒.๕ มัค และระเบิดนำวิถีแบบ เจบียู<br />
๓๘ เจแดม (GBU 38 JDAM) ซึ่งมีบทบาท<br />
อย่างมากในสมรภูมิอิรักและอัฟกานิสถาน<br />
เป็นต้น ต่อมาในปี พ.ศ.๒๕๕๐ สิงคโปร์ได้<br />
สั่งซื้อเครื่องบินขับไล่ชนิดดังกล่าวเพิ่มเติมอีก<br />
๘ ลำ และ ๔ ลำตามลำดับจนครบ ๒๔ ลำ เมื่อ<br />
เดือนมีนาคม พ.ศ.๒๕๕๖<br />
มาเลเซีย เป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีข้อ<br />
พิพาทเหนือทะเลจีนใต้ และส่งกำลังทาง<br />
เรือเข้าไปครอบครองน่านน้ำบริเวณโขดหิน<br />
โสโครกที่อ้างว่าเป็นของตนจำนวน ๓ เกาะ<br />
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๒๖ และสร้างเป็นสถานี<br />
เทียบเรือเรียกว่า "สถานียูนิฟอร์ม" (Uniform<br />
Station) โดยมาเลเซียเรียกเกาะแนวหิน<br />
ปะการังนี้ว่า "แนวหินนกนางแอ่น" หรือใน<br />
ภาษามลายูเรียกว่า "ลายัง ลายัง" (Layang<br />
Layang) ส่วนจีนเรียกว่า "ดาน วาน เจียว"<br />
(Dan Wan Jiao) โดยมาเลเซียมีการสั่งซื้อเรือ<br />
ดำน้ำสกอร์ปีเน่ (Scorpene) จำนวน ๒ ลำจาก<br />
การร่วมผลิตของประเทศฝรั่งเศสและสเปน<br />
คือ เรือดำน้ำ "ตุนกู อับดุล ราห์มาน" (Tunku<br />
Abdul Rahman) ส่วนเรือดำน้ำอีกลำหนึ่งคือ<br />
เรือดำน้ำ "ตุนกู อับดุล ราซัก" (Tunku Abdul<br />
Razak) เข้าประจำการในปี พ.ศ.๒๕๕๓ เรือทั้ง<br />
สองลำนี้ติดอาวุธปล่อยนำวิถีจากใต้น้ำต่อต้าน<br />
เรือผิวน้ำแบบ เอกโซเซต์ เอสเอ็ม ๓๙ (Exocet<br />
SM39) อันทรงอานุภาพของฝรั่งเศส<br />
จากที่กล่าวมาเป็นเพียงตัวอย่างของ<br />
ยุทโธปกรณ์บางประเภทเท่านั้น เพราะแต่ละ<br />
ประเทศยังมีแสนยานุภาพอื่นๆ อีกมากมาย<br />
ที่ใช้ในการถ่วงดุลอำนาจในทะเลจีนใต้ เช่น<br />
ฟิลิปปินส์ยังมีเรือตรวจการณ์ชายฝั่ง "เกรโกริ<br />
โอ เดล พิล่าร์" สิงคโปร์ยังมีกองเรือดำน้ำ<br />
"ชาลเลนเจอร์" (Challenger) และชั้น "อาร์เชอร์"<br />
(Archer) ซึ่งเข้าประจำการเมื่อเดือนเมษายน<br />
พ.ศ.๒๕๕๖ นับเป็นเรือดำน้ำที่มีความ<br />
ทันสมัยมากที่สุดรุ่นหนึ่งในภูมิภาคเอเชียตะวัน<br />
ออกเฉียงใต้ เป็นต้น เพียงเท่าที่กล่าวมาก็จะ<br />
เห็นได้ว่ายุทโธปกรณ์ของประเทศต่างๆ เป็น<br />
แสนยานุภาพที่มีความใกล้เคียงกันอย่างมาก<br />
ทำให้เป็นที่จับตามองในขณะนี้ว่า บรรดา<br />
ประเทศที่มีข้อพิพาทเหล่านี้จะเลือกหนทาง<br />
ใดในการยุติข้อขัดแย้งดังกล่าว เพราะต่างก็<br />
เชื่อกันว่าทั้งจีน สหรัฐฯ และประเทศต่างๆ<br />
ในอาเซียน ล้วนต่างเป็นประเทศที่ใฝ่สันติ ไม่<br />
ต้องการเลือกหนทางที่รุนแรงเป็นทางออก<br />
อย่างแน่นอน หากแต่ความผิดพลาดจากที่อาจ<br />
เกิดขึ้นจากการเผชิญหน้าอันตึงเครียด อาจส่ง<br />
ผลทำให้เกิดผลตามมาอย่างรุนแรงและคาด<br />
ไม่ถึงเลยทีเดียว<br />
21
สัมภาษณ์ พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เรื่อง กระทรวงกลาโหมหลักประกัน<br />
ความมั่นคงของชาติ เคียงข้างประชาชน<br />
โดย คุณชลรัศมี งาทวีสุข เป็นผู้ดำเนินรายการ<br />
ออกอากาศเมื่อวันที่ ๑๓ กรกฎาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา<br />
คุณชลรัศมีฯ บทบาทของกระทรวง<br />
กลาโหมในปัจจุบันมีอะไรบ้างคะ<br />
พลเอก ศิริชัยฯ<br />
บางท่านอาจยังไม่ทราบว่า นอกเหนือ<br />
จากบทบาทหน้าที่ในการป้องกันประเทศ<br />
และการปกป้องสถาบันฯ ซึ่งเป็นความ<br />
รับผิดชอบหลัก กฎหมายยังได้กำหนดให้<br />
กระทรวงกลาโหมมีหน้าที่ครอบคลุมภารกิจ<br />
อื่นๆ ทั้งในเรื่องของการพัฒนาประเทศ การ<br />
ป้องกันและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ การ<br />
ช่วยเหลือประชาชน รวมไปถึงการสนับสนุน<br />
รัฐบาลในการแก้ไขปัญหาที่สำคัญของชาติ<br />
22<br />
โดยได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา<br />
ความมั่นคงในมิติที่มีความหลากหลายใน<br />
ปัจจุบัน โดยใช้ศักยภาพทั้งปวงของกองทัพ<br />
สนับสนุนการดำเนินงานทั้งในเรื่องการช่วย<br />
เหลือประชาชนที่ประสบความเดือดร้อน รวม<br />
ถึงการยกระดับคุณภาพชีวิตให้กับประชาชน<br />
ผ่านโครงการและกิจกรรมต่างๆ<br />
คุณชลรัศมีฯ สำหรับความมั่นคงในด้าน<br />
การต่างประเทศเป็นอย่างไรบ้างคะ<br />
พลเอก ศิริชัยฯ<br />
กระทรวงกลาโหมยังมีส่วนในการ<br />
ร่วมรับผิดชอบต่อเสถียรภาพ<br />
ความมั่นคงในภูมิภาคและของ<br />
โลก ขอเรียนว่า ที่ผ่านมาเราได้<br />
มีการส่งกำลังสนับสนุนภารกิจ<br />
รักษาสันติภาพภายใต้กรอบ<br />
สหประชาชาติ และการปฏิบัติการ<br />
เพื่อมนุษยธรรมแล้วไม่น้อยกว่า<br />
๑๘ ภารกิจ ล่าสุดเมื่อเดือน<br />
เมษายนที่ผ่านมา ยังได้จัดหน่วย<br />
ช่วยเหลือผู้ประสบภัยแผ่นดินไหว<br />
ที่ประเทศเนปาล อีกด้วย<br />
บทบาทที่สำคัญอีกประการหนึ่งคือ<br />
การรักษาความมั่นคงทางทะเลร่วมกับมิตร<br />
ประเทศ กองทัพเรือได้จัดให้มีการลาดตระเวน<br />
บริเวณเขตแดนทางทะเลร่วมกับมาเลเซีย<br />
เวียดนาม เมียนมา และอินเดีย ส่งผลให้เกิด<br />
ความปลอดภัยในเส้นทางเดินเรือขนส่งสินค้า<br />
ซึ่งนับว่าเป็นการรักษาผลประโยชน์ของชาติ<br />
ทางทะเลที่มีมูลค่ามหาศาล<br />
สำหรับการดำเนินงานเตรียมความ<br />
พร้อมสู่ประชาคมอาเซียน นั้น ท่าน<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมได้ให้<br />
ความสำคัญเป็นพิเศษต่อการใช้กลไกการ<br />
ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน และการ<br />
ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรี<br />
กลาโหมประเทศคู่เจรจาอีก ๘ ประเทศ<br />
ซึ่งกลไกดังกล่าวนับว่ามีความสำคัญ<br />
อย่างยิ่งในการสร้างความมั่นใจและความ<br />
ไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน ต้องขอเรียนว่า<br />
ความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างไทยกับ<br />
กองทัพมิตรประเทศ โดยเฉพาะประเทศ<br />
เพื่อนบ้านในสมัยรัฐบาลปัจจุบันนี้ถือได้ว่า<br />
ดีที่สุดในรอบหลายปีที่ผ่านมา ซึ่งจะเป็น<br />
รากฐานสำคัญในการเสริมสร้างบรรยากาศ<br />
ให้เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุน<br />
ของภูมิภาค อันจะนำไปสู่ความมั่นคง ปลอดภัย<br />
และความอยู่ดีกินดีของประชาชนในภูมิภาค<br />
อย่างยั่งยืนต่อไป
และในฐานะที่ไทยและสหพันธรัฐรัสเซีย<br />
เป็นประธานร่วมในคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญ<br />
ด้านการแพทย์ทหาร ได้กำหนดแผนการจัด<br />
ตั้งศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนขึ้นในประเทศไทย<br />
ภายในปลายปีนี้ เพื่อเป็นศูนย์ในการประสาน<br />
งานด้านการแพทย์เมื่อมีเหตุการณ์ภัยพิบัติเกิด<br />
ขึ้นในภูมิภาค<br />
คุณชลรัศมีฯ บทบาทของกระทรวง<br />
กลาโหมในการรักษาความมั่นคง<br />
ปลอดภัยให้กับประชาชนภายในประเทศ<br />
มีอะไรบ้างคะ<br />
พลเอก ศิริชัยฯ<br />
การรักษาอธิปไตยตามแนวชายแดน<br />
ถือเป็นความรับผิดชอบหลัก ที่กองทัพไทย<br />
ได้ให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยได้จัดกอง<br />
กำลังป้องกันชายแดนจำนวน ๘ กองกำลัง<br />
และใช้กลไกความร่วมมือที่มีอยู่แล้ว เช่น<br />
คณะกรรมการชายแดนทั่วไป คณะกรรมการ<br />
ชายแดนส่วนภูมิภาค ชุดประสานงานชายแดน<br />
ส่วนท้องถิ่น ในการป้องกันความขัดแย้งกับ<br />
ประเทศเพื่อนบ้าน นำไปสู่การเสริมสร้าง<br />
ความสงบสุขให้กับประชาชนตามแนว<br />
ชายแดน และนอกเหนือจากภารกิจในการ<br />
รักษาอธิปไตยแล้วกองกำลังเหล่านี้ยังทำหน้าที่<br />
ในการสกัดกั้นยาเสพติด และแรงงานต่างด้าว<br />
โดยในห้วง ๖ เดือนที่ผ่านมา สามารถจับกุม<br />
ผู้ลักลอบขนยาเสพติด ยึดยาบ้า และจับกุม<br />
แรงงานต่างด้าวได้เป็นจำนวนมาก<br />
คุณชลรัศมีฯ สำหรับพื้นที่ที่มีความ<br />
น่าห่วงใยในจังหวัดชายแดนภาคใต้<br />
กระทรวงกลาโหมมีบทบาท อย่างไรคะ<br />
พลเอก ศิริชัยฯ<br />
สำหรับการรักษาความปลอดภัยใน<br />
พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ กระทรวง<br />
กลาโหมมีบทบาทในการสนับสนุนเจ้าหน้าที่<br />
ฝ่ายทหาร เข้าปฏิบัติงานในพื้นที่มาอย่าง<br />
ต่อเนื่องในกรอบของกองอำนวยการ<br />
รักษาความมั่นคงภายในภาค ๔ ส่วนหน้า<br />
ซึ่งนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหม นอกจากจะให้ความสำคัญกับการ<br />
รักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน<br />
ของประชาชนแล้ว ยังให้ความสำคัญกับการ<br />
น้อมนำแนวทางพระราชทาน “เข้าใจ เข้าถึง<br />
พัฒนา” รวมทั ้งยึดถือแนวทางสันติ และไม่ใช้<br />
ความรุนแรงในการแก้ไขสถานการณ์ ซึ่งทำให้<br />
สถานการณ์ในพื้นที่ดีขึ้นตามลำดับ โดยวัดได้<br />
จากสถิติเหตุการณ์และจำนวนการสูญเสีย<br />
ในรอบ ๖ เดือน ที่ลดลงไปกว่าครึ ่งเมื่อเปรียบ<br />
เทียบกับห้วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา<br />
คุณชลรัศมีฯ การสนับสนุนรัฐบาลในการ<br />
แก้ปัญหาของชาติ ไม่ทราบว่าบทบาท<br />
ของกระทรวงกลาโหม ในการสนับสนุน<br />
รัฐบาลที่สำคัญที่กำลังดำเนินการอยู่ใน<br />
ปัจจุบันมีอะไรบ้างคะ<br />
พลเอก ศิริชัยฯ<br />
เรื่องนี้ท่านนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหมได้กรุณาสั่งการให้<br />
กองทัพดำเนินการสนับสนุนรัฐบาลและคณะ<br />
รักษาความสงบแห่งชาติในการบริหารราชการ<br />
แผ่นดิน เพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ<br />
ในทุกมิติอย่างเต็มศักยภาพ รวมทั้งสนับสนุน<br />
การวางรากฐานเพื่อการปฏิรูปประเทศ และ<br />
การเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์<br />
ให้กับคนในชาติ โดยเฉพาะในเรื่องที่จะต้องมี<br />
การบูรณาการการทำงานของหลายหน่วยงาน<br />
ยกตัวอย่างเช่น การแก้ไขปัญหาการ<br />
ค้ามนุษย์และการทำประมงผิดกฎหมาย<br />
(IUU Fishing) ซึ่งรัฐบาลกำหนดให้เป็น<br />
“วาระแห่งชาติ”นั้น ได้มีการจัดตั้ง “ศูนย์<br />
บัญชาการแก้ไขปัญหาการทำการประมง<br />
ผิดกฎหมาย” มีท่านผู้บัญชาการทหารเรือ<br />
เป็นผู้บัญชาการศูนย์ฯ และให้กองทัพเรือ<br />
ทําหน้าที่เป็นหน่วยงานหลักในการปฏิบัติการ<br />
ทางทะเลและชายฝั่ง และปฏิบัติงานร่วมกับ<br />
หน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้อง<br />
การแก้ไขปัญหาการโยกย้ายถิ่นฐาน<br />
แบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย กระทรวง<br />
กลาโหมได้จัดตั้งศูนย์อำนวยการลาดตระเวน<br />
และช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมผู้โยกย้าย<br />
ถิ่นฐานแบบไม่ปกติในมหาสมุทรอินเดีย<br />
มีท่านผู้บัญชาการทหารสูงสุดเป็นผู้อำนวยการ<br />
ศูนย์ฯ ทำหน้าที่ในการประสานงานกับมิตร<br />
ประเทศในการลาดตระเวนทั้งทางบก ทะเล และ<br />
อากาศ และการให้ความช่วยเหลือผู้โยกย้าย<br />
ถิ่นฐานฯ ให้เป็นไปตามหลักมนุษยธรรม<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
23
่<br />
่<br />
คุณชลรัศมีฯ ในการช่วยเหลือประชาชน<br />
กระทรวงกลาโหมได้มีการดำเนินการ<br />
อย่างไรบ้างคะ<br />
พลเอก ศิริชัยฯ<br />
กระทรวงกลาโหมได้จัดตั้งศูนย์บรรเทา<br />
สาธารณภัยกระทรวงกลาโหม เพื่อทำหน้าที<br />
เป็นศูนย์ประสานการเตรียมความพร้อม<br />
ในการป้องกัน บรรเทาสาธารณภัย และช่วย<br />
เหลือประชาชน โดยท่านรัฐมนตรีซึ่งเป็น<br />
ผู้อำนวยการศูนย์ ฯ ได้ให้นโยบายไว้ว่า “ทหาร<br />
จะต้องเป็นหน่วยงานแรกในการเข้าไป<br />
ให้ความช่วยเหลือบรรเทาความเดือดร้อน<br />
ให้กับประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ” โดยในห้วง<br />
ที่ผ่านมาได้สนับสนุนการแก้ไขปัญหาภัยแล้ง<br />
ของรัฐบาล ใน ๒ ส่วน<br />
ส่วนแรก เป็นเชิงป้องกัน โดยได้ดำเนิน<br />
การขุดลอกคลองตามโครงการขุดลอกแหล่งน้ำ<br />
การปลูกต้นไม้ เพื่อรักษาผืนป่าต้นน้ำ การ<br />
สร้างฝายชะลอน้ำ การช่วยปรับปรุงสภาพลำน้ำ<br />
รวมทั้งใช้อากาศยานโปรยเมล็ดพันธุ์ไม้ลงใน<br />
พื้นที่ป่าเสื่อมโทรม<br />
ส่วนที่สอง เป็นการช่วยเหลือเฉพาะหน้า<br />
ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน ได้แก่ การ<br />
แจกจ่ายน้ำสำหรับการอุปโภคและบริโภค<br />
ให้กับประชาชนในพื้นที่ที่ประสบภัยแล้ง<br />
โดยได้แจกจ่ายไปแล้วประมาณ ๔๐ ล้านลิตร<br />
การขุดบ่อบาดาลโดยหน่วยบัญชาการ<br />
ทหารพัฒนาของกองบัญชาการกองทัพไทย<br />
และหน่วยทหารช่างของกองทัพบก สำหรับ<br />
กองทัพอากาศก็ได้จัดเครื่องบิน จำนวน ๖<br />
เครื่อง สนับสนุนโครงการฝนหลวงในพื้นที<br />
ภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ<br />
คุณชลรัศมีฯ ในห้วงเวลาของการ<br />
ปฏิรูปประเทศนี ้อยากทราบว่ากระทรวง<br />
กลาโหมมีการปฏิรูปอย่างไร บ้างคะ<br />
พลเอก ศิริชัยฯ<br />
ขอเรียนว่าในเรื่องของการปฏิรูปและการ<br />
ปรับปรุงโครงสร้างนั้น ในส่วนของกระทรวง<br />
กลาโหมเราได้ดำเนินการมาโดยตลอด เพื่อ<br />
ให้ทันต่อสถานการณ์ภัยคุกคามที่มีความ<br />
หลากหลายมากขึ้นและเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด<br />
เวลา และเมื่อรัฐบาลได้สั่งการให้มีการปฏิรูป<br />
การทำงานของทุกหน่วยงาน เราจึงได้กำหนด<br />
หัวข้อ และ Time line ในการปฏิรูป<br />
ให้ชัดเจนมากขึ้น โดยแบ่งการดำเนินการ<br />
ออกเป็น ๒ ระยะ<br />
ในห้วงระยะ ๕ ปีแรกนี้จะมุ่งเน้นการ<br />
ดำเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในเรื่องการปฏิรูป<br />
ระบบบริหารจัดการกระทรวงกลาโหม และ<br />
การเสริมสร้างกองทัพให้มีความพร้อมทั้ง<br />
ในเรื่องกำลังพล ยุทโธปกรณ์ หลักนิยม<br />
การฝึกศึกษา การวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรม<br />
ป้องกันประเทศเพื่อการพึ่งพาตนเอง และการ<br />
พัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจ<br />
ป้องกันประเทศ การปฏิบัติภารกิจร่วมกับ<br />
กองทัพมิตรประเทศและอาเซียน รวมถึงการ<br />
สนับสนุนรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาของชาติ<br />
ในมิติต่าง ๆ<br />
ในห้วงระยะ ๕ ปีถัดไปจะดำเนินการ<br />
ปรับปรุงโครงสร้างให้มีความสอดรับกับการ<br />
บริหารราชการยุคใหม่ที่มุ่งเน้นความคล่องตัว<br />
มีความทันสมัย และสามารถปฏิบัติภารกิจที ่มี<br />
ความหลากหลายมากยิ่งขึ้น<br />
24
คุณชลรัศมีฯ อีกประเด็นที่อยู่ในความสนใจ<br />
ของประชาชน อยากเรียนถามถึงเรื่องการ<br />
จัดหาเรือดำน้ำ ของกองทัพเรือค่ะ<br />
พลเอก ศิริชัยฯ<br />
ขอเรียนว่า เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องใหม่ที่เพิ่งคิดกัน<br />
ในสมัยนี้ แต่เป็นเรื่องที่ได้กำหนดไว้ในแผน<br />
พัฒนากองทัพเรือ และมีการเสนอมานานแล้ว<br />
ตั้งแต่ปี ๕๓ แต่มีการชะลอการดำเนินการไว้<br />
ซึ่งเรือดำน้ำนั้นถือเป็นอาวุธทางยุทธศาสตร์<br />
ในการป้องปรามการรุกล้ำอธิปไตยทางทะเล<br />
และการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล<br />
ที่มีมูลค่ามหาศาล ซึ่งหลายประเทศในอาเซียน<br />
ตระหนักในเรื่องนี้ดี และได้จัดหาเรือดำน้ำ<br />
มาใช้งานในกองทัพของตนแล้ว สำหรับแผนการ<br />
จัดหา ที่กองทัพเรือเสนอไม่ได้เป็นการดำเนิน<br />
การภายในปีเดียวแต่เป็นแผนระยะยาวในห้วง<br />
๗ ถึง ๑๐ ปี เพราะได้ตระหนักดี ถึงปัญหา<br />
ด้านงบประมาณ ขอเรียนว่าทั้งหมดทั้งปวงนี้<br />
ยังอยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของกระทรวง<br />
กลาโหม ซึ่งเมื่อผ่านการพิจารณาในกระทรวง<br />
กลาโหมแล้ว ยังต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อ<br />
พิจารณาความเหมาะสมต่อไป<br />
คุณชลรัศมีฯ ท้ายนี้ท่านมีอะไรอยากจะ<br />
ฝากไปถึงประชาชนที่รับชมรายการอยู่<br />
ในขณะนี้<br />
พลเอก ศิริชัยฯ<br />
อยากฝากไปถึงพี่น้องประชาชน ขอให้<br />
ท่านมีความเชื่อมั่นในกระทรวงกลาโหม ว่าจะ<br />
เป็นหลักประกันความมั่นคงของชาติและอยู่<br />
เคียงข้างประชาชนในทุกสถานการณ์ โดยท่าน<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการ<br />
ทหารสูงสุด และผู้บัญชาการทหารทั้ง ๓ เหล่าทัพ<br />
ทุกท่านมีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างเต็มที่<br />
ในการปฏิบัติงานตามนโยบายของรัฐบาล<br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการยกระดับคุณภาพชีวิต<br />
ของประชาชน เพราะเมื่อประชาชนมีอาชีพ<br />
มีรายได้ อยู่ดีกินดี มีความปลอดภัยในชีวิตและ<br />
ทรัพย์สินแล้ว ก็จะทำให้ประเทศชาติมีความ<br />
มั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืน ได้ในที่สุด<br />
ข้อมูลเพิ่มเติม : https://www.youtube.com/<br />
watch?v=1J67lXU5DYg<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
25
โครงการฝนหลวง<br />
สำคัญอย่างไร<br />
แผนกเผยแพร่ฯ<br />
“โครงการฝนหลวง” คือ<br />
โครงการที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริส่วน<br />
พระองค์ในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างฝนเทียม สำหรับบรรเทา<br />
ความแห้งแล้งให้แก่เกษตรกร จากพระราช<br />
กรณียกิจในการเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยม<br />
พสกนิกรในทุกภูมิภาคอย่างต่อเนื่อง นับแต่<br />
เสด็จขึ้นเถลิงถวัลย์ราชสมบัติตราบเท่าทุก<br />
วันนี้ ทำให้ทรงพบเห็นว่า ภาวะแห้งแล้งได้มี<br />
แนวโน้มรุนแรงขึ้นตามลำดับ เพราะการตัดไม้<br />
ทำลายป่า การเผาป่า ฯลฯ เป็นสาเหตุให้<br />
สภาวะแวดล้อมทางธรรมชาติเปลี่ยนแปลง<br />
26<br />
อย่างรวดเร็ว ซึ่งสร้างความเดือดร้อนให้แก่<br />
ราษฎรในทุกภาคของประเทศ ส่งผลถึงความ<br />
เสียหายต่อเศรษฐกิจโดยรวมของชาติ ระหว่าง<br />
ทางที่เสด็จพระราชดำเนิน ทั้งภาคพื้นดิน และ<br />
ทางอากาศยาน พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงสังเกตเห็นว่า มีเมฆปริมาณมากปกคลุม<br />
ท้องฟ้า แต่ไม่สามารถก่อรวมตัวกันจนเกิด<br />
เป็นฝนได้ เป็นเหตุให้เกิดภาวะฝนทิ้งช่วง<br />
ระยะยาวทั้งๆ ที่เป็นช่วงฤดูฝน ทรงคิดว่าน่า<br />
จะมีมาตรการทางวิทยาศาสตร์ ที ่จะช่วยให้<br />
เมฆเหล่านั้นก่อรวมตัวกันจนเกิดเป็นฝนได้<br />
ทรงเชื่อมั่นว่า ด้วยลักษณะของสภาพอากาศ<br />
และภูมิประเทศของประเทศไทยซึ่งตั้ง<br />
อยู่ในภูมิภาคเขตร้อน และอยู่ในอิทธิพลของ<br />
ฤดูมรสุมของทวีปเอเชีย โดยเฉพาะฤดูมรสุม<br />
ตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งเป็นฤดูฝน และเป็นฤดู<br />
เพาะปลูกประจำปีของประเทศไทย จะสามารถ<br />
ดัดแปรสภาพอากาศ ให้เกิดเป็นฝนตกได้<br />
การทำฝนเทียมหรือฝนหลวงเป็นกรรมวิธี<br />
การเหนี่ยวนำน้ำจากฟ้า ใช้เครื่องบินบรรจุ<br />
สารเคมีขึ้นไปโปรยในท้องฟ้า โดยดูจากความชื้น<br />
ของเมฆและสภาพทิศทางลมประกอบกัน<br />
ปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดฝนคือ ความร้อน<br />
ชื้นปะทะความเย็น และมีแกนกลั่นตัว<br />
แผนกเผยแพร่ฯ
ที่มีประสิทธิภาพในปริมาณที่เหมาะสม<br />
กล่าวคือ เมื่อมวลอากาศร้อนชื้นที่ระดับผิวพื้น<br />
ขึ้นสู่อากาศเบื้องบน อุณหภูมิของมวลอากาศ<br />
จะลดต่ำลงจนถึงความสูงที่ระดับหนึ่ง หาก<br />
อุณหภูมิที่ลดต่ำลงนั้นมากพอก็จะทำให้ไอน้ำ<br />
ในมวลอากาศอิ่มตัว จะเกิดขบวนการกลั่นตัวเอง<br />
ของไอน้ำในมวลอากาศขึ้นบนแกนกลั่นตัว<br />
เกิดเป็นฝนตกลงมา ฉะนั้นสารเคมีที่ใช้<br />
จึงประกอบด้วย “สูตรร้อน” ใช้เพื่อกระตุ้น<br />
เร่งเร้ากลไกการหมุนเวียนของบรรยากาศ,<br />
“สูตรเย็น” ใช้เพื่อกระตุ้นกลไกการรวมตัวของ<br />
ละอองเมฆให้โตขึ้นเป็นเม็ดฝน และสูตรที่ใช้<br />
เป็นแกนดูดซับความชื้น เพื่อใช้กระตุ้นกลไก<br />
ระบบการกลั่นตัวให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้น<br />
ทั้งนี้ ฝนหลวงไม่เพียงแต่จะเป็น<br />
ประโยชน์สำหรับแหล่งน้ำที่จำเป็นต้องใช้ใน<br />
การเพาะปลูกสำหรับเกษตรกรในสภาวะแห้งแล้ง<br />
เท่านั้น แต่ยังรวมถึงปัญหาฝนแล้งหรือ<br />
ฝนทิ้งช่วงยาวนาน ปัญหาการขาดแคลนน้ำ<br />
เพื่อการอุปโภค บริโภค ภาวะความต้องการ<br />
น้ำกิน น้ำใช้ ที่ทวีความรุนแรงมากในภาค<br />
ตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากคุณสมบัติ<br />
ของดินในภูมิภาคนี้เป็นดินร่วนปนทรายไม่<br />
สามารถอุ้มซับน้ำได้ จึงไม่สามารถเก็บกักน้ำ<br />
ได้ดีเท่าที่ควร การเสริมสร้างเส้นทางคมนาคม<br />
ทางน้ำ เป็นการเพิ่มปริมาณน้ำโดยเฉพาะใน<br />
บริเวณแม่น้ำที่ตื้นเขินให้สามารถใช้เป็นเส้น<br />
ทางคมนาคมได้ ซึ่งเป็นสิ ่งสำคัญยิ่งเพราะน้ำ<br />
ในแม่น้ำบางสายถือเป็นเส้นทางการขนส่ง<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
สินค้าที่สำคัญ นอกจากนั้นการขนส่งทางน้ำยัง<br />
เสียค่าใช้จ่ายน้อยกว่าทางอื่นอีกด้วย และการ<br />
จราจรทางน้ำยังเป็นอีกช่องทางหนึ่ง สำหรับผู้<br />
ที่ต้องการหลีกเลี่ยงปัญหาการจราจรทางบก<br />
ที่นับวันยิ่งทวีความรุนแรงมากสำหรับการ<br />
ป้องกันและบำบัดภาวะมลพิษของสิ่งแวดล้อม<br />
หากน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยาลดน้อยลงเมื่อใด<br />
น้ำเค็มจากทะเลอ่าวไทยก็จะไหลหนุนเนื่อง<br />
เข้าไปแทนที่ทำให้เกิดน ้ำกร่อย และสร้างความ<br />
เสียหายแก่เกษตรกรเป็นจำนวนมาก“ฝนหลวง”<br />
จึงได้บรรเทาภาวะแวดล้อมเป็นพิษอันเกิดจาก<br />
การระบายน้ำเสียและขยะมูลฝอยลงสู่แม่น้ำ<br />
เจ้าพระยา ปริมาณน้ำจากฝนหลวงจะทำให้<br />
ภาวะมลพิษจากน้ำเสียเจือจางลงได้<br />
ส่วนด้านการเพิ่มปริมาณน้ำในเขื่อน<br />
ภูมิพลและเขื่อนสิริกิติ์เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า<br />
นั้น บ้านเมืองเราเริ่มประสบปัญหาการ<br />
ขาดแคลนพลังงานไฟฟ้ามากขึ้น เนื่องจากมี<br />
ความต้องการใช้ไฟฟ้าในปริมาณที่สูงขึ้น เมื่อ<br />
เกิดภาวะวิกฤตโดยระดับน้ำเหนือเขื่อนมีระดับ<br />
ต่ำมากจนไม่เพียงพอต่อการใช้พลังงานน้ำ<br />
ในการผลิตกระแสไฟฟ้า การทำฝนหลวงจึงมี<br />
ความสำคัญในหลายๆ ด้าน<br />
การทำฝนหลวงเป็นเทคโนโลยีที่ยังใหม่<br />
ต่อการรับรู้ของบุคคลทั่วไป และในประเทศไทย<br />
ยังไม่มีนักวิชาการ หรือผู้เชี่ยวชาญด้านนี้<br />
ในระยะแรกเริ ่มของโครงการฯ ดังนั้น<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงทรงเป็นกำลัง<br />
สำคัญ และทรงร่วมในการพัฒนากิจกรรมนี้<br />
ทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม ทรงวางแผนการ<br />
ทดลองปฏิบัติการการติดตามและประเมินผล<br />
ปฏิบัติการทุกครั้งอย่างใกล้ชิดและรวดเร็ว<br />
ชนิดวันต่อวัน ทรงปฏิบัติให้เป็นแบบอย่าง<br />
ในการประสานงาน ขอความร่วมมือจาก<br />
ผู้เชี ่ยวชาญ และองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องเพื่อ<br />
สนับสนุนกิจกรรม อาทิ เช่น กรมอุตุนิยมวิทยา<br />
กรมชลประทาน การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่ง<br />
ประเทศไทย กองบินตำรวจ กองการสื่อสาร<br />
กรมตำรวจ และกองทัพอากาศ ในรูปของ<br />
ศูนย์อำนวยการฝนหลวงพิเศษสวนจิตรลดา<br />
และกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในรูปของ<br />
คณะกรรมการดำเนินการทำฝนหลวง ซึ่งการที่<br />
พระองค์ติดตามโครงการดังกล่าวอย่างใกล้ชิด<br />
มาตลอด และได้ให้แนวทางในการปฏิบัติ<br />
อย่างเป็นรูปธรรม จึงทำให้โครงการฝนหลวง<br />
พัฒนาก้าวหน้าอย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับ<br />
ประเทศอื่นๆ<br />
จากประโยชน์นานัปการของโครงการ<br />
ฝนหลวง อันเกิดจากพระปรีชาสามารถ<br />
และสายพระเนตรอันยาวไกลของพระบาท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่ทรงคำนึงถึงประโยชน์<br />
ทุกข์สุขของราษฎรชาวไทยเสมอมานั้น<br />
การขนานนามพระองค์ว่า “พระบิดาแห่ง<br />
ฝนหลวง” จึงเป็นการแสดงความรำลึกใน<br />
พระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ ที่จะคงอยู่ในใจ<br />
ของปวงชนชาวไทยตลอดไป<br />
27
การอนุรักษ์ช้าง<br />
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช<br />
ช้างเป็นสัตว์ที่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้อง<br />
กับสถาบันหลักของประเทศและมีความผูกพัน<br />
กับวิถีชีวิตของคนไทยเสมอมา ตั้งแต่อดีตจนถึง<br />
ปัจจุบัน เมื่อวันที่ ๑๓ มีนาคม พ.ศ.๒๕๐๖<br />
กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ได้มีมติเลือก<br />
ให้ “ช้างเผือก” เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ<br />
เนื่องจากช้างเผือกเป็นสัตว์ที่มีความเกี่ยวข้อง<br />
กับประวัติศาสตร์และประเพณีของไทย ซึ่งใน<br />
อีก ๓๕ ปีต่อมา ในวันที่ ๒๖ พฤษภาคม พ.ศ.<br />
๒๕๔๑ มติคณะรัฐมนตรีประกาศให้วันที่ ๑๓<br />
มีนาคม ของทุกปี เป็นวันช้างไทย เพื่อให้คนไทย<br />
และเยาวชนรุ่นหลังได้รำลึกและตระหนัก<br />
ถึงคุณค่าและความสำคัญของช้างซึ่งเป็นสัตว์<br />
ประจำชาติและเพื่อสร้างจิตสำนึกรัก หวงแหน<br />
พร้อมใจมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์ช้างไทย<br />
ให้คงอยู่คู่ประเทศไทย ตราบนานเท่านาน<br />
ช้างในปัจจุบันมี ๒ สายพันธุ์ ได้แก่<br />
๑. ช้างแอฟริกา (Loxodonta Africana)<br />
มีลักษณะเด่นคือ ผิวออกสีน้ำตาล สูงประมาณ<br />
๓.๕ เมตร ใบหูใหญ่กว่าช้างเอเชีย กะโหลก<br />
ศีรษะเล็ก มีมันสมองน้อย<br />
๒. ช้างเอเชีย (Elephas maximus)<br />
เป็นช้างที่กระจายพันธุ์อยู่ในทวีปเอเชีย ๑๓<br />
28<br />
ประเทศ คือ อินเดีย บังคลาเทศ ภูฏาน เนปาล ศรีลังกา พม่า ไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม จีน<br />
มาเลเซียและอินโดนีเซีย มีลักษณะเด่น คือ ผิวสีออกดำ สูงประมาณ ๓ เมตร ใบหูเล็ก กะโหลก<br />
ศีรษะใหญ่มีมันสมองมาก<br />
ความแตกต่างระหว่างช้างเอเชียกับช้างแอฟริกา<br />
ลักษณะ ช้างแอฟริกา ช้างเอเชีย<br />
รูปร่างทั่วไป<br />
- หลังแอ่น<br />
- หูใหญ่<br />
- มีงาทั้งเพศผู้และเพศเมีย<br />
- ตีนหน้ามี ๔ เล็บ<br />
- ตีนหลังมี ๓ เล็บ<br />
- หลังโค้ง<br />
- หูเล็ก<br />
- มีงาเฉพาะเพศผู้บางตัว<br />
- ตีนหน้ามี ๕ เล็บ<br />
- ตีนหลังมี ๔ เล็บ<br />
ความสูง<br />
เพศผู้ : ๓.๖ เมตร เพศผู้ : ๒.๗ เมตร<br />
เพศเมีย : ๓ เมตร<br />
เพศเมีย : ๒.๓ เมตร<br />
น้ำหนัก<br />
เพศผู้ : ๕.๕ ตัน<br />
เพศผู้ : ๓.๕ ตัน<br />
เพศเมีย : ๔ ตัน<br />
เพศเมีย : ๓ ตัน<br />
โหนกหัว ๑ ลอน ๒ ลอน<br />
จะงอยปลายงวง ๒ จะงอย ๑ จะงอย<br />
จานวนกระดูกซี่โครง ๒๑ คู่ ๑๙ คู่<br />
กรมอุทยานแห่งชาติ สัตว์ป่า และพันธุ์พืช
ช้างป่ามีบทบาทสำคัญต่อระบบนิเวศ<br />
ธรรมชาติ เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่ต้องการถิ่น<br />
อาศัยที่อุดมสมบูรณ์และกว้างขวางเพื่อตอบ<br />
สนองต่อความต้องการพื้นฐานในการดำรงชีพ<br />
ช้างช่วยสร้างด่านสัตว์ เปิดแหล่งดินโป่ง<br />
หรือแม้แต่ขุดหาแหล่งน้ำให้สัตว์อื่นๆ ได้ใช้<br />
ประโยชน์ในหน้าแล้งด้วย ฯลฯ พฤติกรรม<br />
เหล่านี้ได้เอื้อประโยชน์ต่อสัตว์ป่าเป็นจำนวน<br />
มาก ฉะนั้นการอนุรักษ์ถิ่นอาศัยของช้างป่าจึง<br />
เป็นการอนุรักษ์ถิ่นอาศัยของสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ<br />
ในระบบนิเวศด้วย<br />
ในปัจจุบัน ช้างจัดเป็นสัตว์ป่าที่ใกล้<br />
จะสูญพันธุ์ เนื่องจากการบุกรุกป่าและ<br />
เปลี่ยนแปลงแหล่งอาศัยของช้างป่า เกิดปัญหา<br />
“ช้างติดเกาะ” ผลที่ตามมาคือการล่าและจับ<br />
ช้างป่าทำได้ง่ายขึ้น ช้างป่าออกไปทำลายพืชไร่<br />
และทรัพย์สินของราษฎรได้บ่อยขึ้น ซึ่งจะ<br />
นำมาทั้งการบาดเจ็บและเสียชีวิตของทั้งคน<br />
และช้าง หากไม่มีมาตรการแก้ไขที่เหมาะสม<br />
และยั่งยืน ดังนั้นการอนุรักษ์ช้างจึงเป็นสิ่งที่<br />
คนไทยทุกคนควรจะได้ร่วมมือร่วมใจกัน ทำให้<br />
เกิดเป็นรูปธรรมขึ้นเพื่อให้ช้างได้รับการดูแล<br />
มีสวัสดิภาพที่ดีสมศักดิ์ศรีที่เป็นสัตว์สัญลักษณ์<br />
ประจำชาติและดำรงเผ่าพันธุ์บนผืนแผ่นดินไทย<br />
ร่วมกับคนไทยตลอดไป<br />
การพิสูจน์งาช้างนั้นหากเป็นการตรวจ<br />
สอบทางกายภาพด้วยตาสามารถตรวจแยก<br />
ได้เฉพาะ งาช้างแมมมอธกับงาช้างปัจจุบัน<br />
(งาช้างเอเชียและงาช้างแอฟริกา) โดยดูจาก<br />
มุมของเส้นลายงาที่หน้าตัดขวางของงาช้าง<br />
นั้น หากเป็นงาช้างแมมมอธ มุมของเส้นลาย<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
จะเป็นมุมแหลมกว่างาช้างปัจจุบัน<br />
ในส่วนของการจำแนกงาช้างแอฟริกา<br />
กับงาช้างเอเชียนั้น ไม่สามารถจำแนกทาง<br />
กายภาพได้ โดยเฉพาะงาช้างที่มีขนาดไม่<br />
ใหญ่มาก และงาช้างที่นำไปทำเป็นผลิตภัณฑ์<br />
ต่างๆ แล้ว เพราะการตรวจจำแนกชนิดต้อง<br />
ใช้วิธีการตรวจสอบทางพันธุกรรม (DNA)<br />
โดยหากเป็นผลิตภัณฑ์งาช้างชิ้นเล็กๆ การ<br />
ตรวจสอบอาจทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นเสียหาย<br />
เพราะต้องทำการบดผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเพื ่อ<br />
นำมาสกัดสารพันธุกรรม โดยหน่วยปฏิบัติการ<br />
นิติวิทยาศาสตร์สัตว์ป่า กรมอุทยานแห่งชาติ<br />
สัตว์ป่า และพันธุ์พืช หรือ DNP WIFOS เป็น<br />
หน่วยงานที่ให้บริการตรวจพิสูจน์พันธุกรรม<br />
ของสัตว์ป่า เพื่อจำแนกชนิดพันธุ์และชนิดพันธุ์<br />
ย่อยของสัตว์ป่า และซากสัตว์ป่าของกลางใน<br />
ชนิดพันธุ์ที่สำคัญ ซึ่งกลุ่มสัตว์ที่สามารถตรวจ<br />
พิสูจน์ได้คือ สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมทั่วไป และ<br />
กลุ่มสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมที่อาศัยอยู่ในน้ำ<br />
ในกรณีที่เป็นผลิตภัณฑ์งาช้าง สามารถ<br />
นำมาตรวจพิสูจน์เพื่อระบุชนิดพันธุ์ได้ด้วยวิธี<br />
การเนสเดตพีซีอาร์ ( Nested PCR ) โดยชนิด<br />
พันธุ์ที่สามารถตรวจพิสูจน์ได้ ได้แก่ ช้างเอเชีย<br />
ช้างทุ่งแอฟริกา ช้างป่าแมมมอธ เพื่อประโยชน์<br />
ในการพิจารณาดำเนินคดีโดยมีจุดประสงค์<br />
เพื่อใช้แก้ปัญหาอาชญากรรมสัตว์ป่า และ<br />
ช่วยอนุรักษ์ทรัพยากรสัตว์ป่าในประเทศไทย<br />
อย่างยั่งยืน<br />
ประเทศไทยเป็น ๑ ใน ๘ ของประเทศ<br />
ได้แก่ ไทย จีน มาเลเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์<br />
อูกันตา แทนซาเนีย และเคนย่า ที่อนุสัญญา<br />
ว่าด้วยการค้าระหว่างประเทศซึ่งชนิดสัตว์ป่า<br />
และพืชป่าที่ใกล้สูญพันธุ์ (CITES) จัดให้เป็น<br />
ประเทศที่มีปัญหาเกี่ยวกับการค้างาช้างที่<br />
ผิดกฎหมายและถูกกล่าวหาว่าไม่มีมาตรการ<br />
ควบคุมการค้างาช้างภายในประเทศอย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ<br />
คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ ๑๖<br />
กันยายน พ.ศ.๒๕๕๗ ให้ความเห็นชอบแผน<br />
ปฏิบัติการงาช้างแห่งประเทศไทย ( Thailand<br />
National Ivory Action Plan) ฉบับแก้ไข<br />
จำนวน ๕ กิจกรรมดังนี้<br />
๑. การออกระเบียบและกฎหมายที่<br />
เกี่ยวข้องกับการครอบครองและการค้า<br />
งาช้าง<br />
๒. การจัดทำระบบทะเบียนข้อมูล<br />
ผู้ประกอบกิจการค้างาช้างและรายการสินค้า<br />
งาช้างข้อมูลการครอบครองงาช้างบ้านและ<br />
งาช้างแอฟริกาที่ถูกกฎหมายและข้อมูลงาช้าง<br />
ของกลาง<br />
๓. การกำกับดูแลและการบังคับใช้<br />
กฎหมาย<br />
๔. การประชาสัมพันธ์ให้ความรู้ความ<br />
เข้าใจเกี่ยวกับพันธกรณีตามอนุสัญญา CITES<br />
ระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้องและการ<br />
กำกับดูแลการค้างาช้างบ้านต่อประชาชน<br />
ทั่วไป ผู้ค้างาช้าง เจ้าของช้างและแจ้งเตือน<br />
ชาวต่างชาติ ไม่ให้ซื้องาช้างและไม่นำออกจาก<br />
ประเทศไทย<br />
๕. ติดตามและประเมินผล<br />
ผลิตภัณฑ์งาช้างที่มีขายในท้องตลาด<br />
- งาช้างสมบูรณ์ หรืองาท่อน (รวมถึง<br />
งาช้างแกะสลัก)<br />
- ผลิตภัณฑ์จากงาช้าง อาทิ เครื่อง<br />
ประดับ ของใช้ เครื่องมือ อุปกรณ์และสิ่งของ<br />
ใดๆ ที่ทำจากงานช้างหรือมีงาช้างเป็นส่วน<br />
ประกอบ<br />
วัสดุทดแทนงาช้าง<br />
- กระดูกสัตว์ แตกต่างจากฟัน เขี้ยว<br />
หรืองาสัตว์ คือมีร่องหรือรูขนาดเล็ก ลักษณะ<br />
คล้ายกับรอยขูด ขีด กระจายทั่วเนื้อและผิว<br />
กระดูกซึ่งเป็นลักษณะที่ไม่พบในฟัน เขี้ยวและ<br />
งาของสัตว์<br />
- เรซิน ถูกขึ้นรูปหรือใส่แบบพิมพ์<br />
เพื่อเลียนแบบงาและผลิตภัณฑ์จากงาช้าง<br />
และมีวิธีการทำให้เกิดลายพิมพ์บนผิว<br />
บางครั้งเรซิ่นก็ถูกนำมาผสมกับเศษงาหรือผงงา<br />
อีกด้วย แต่ทั้งนี้เรซิ่นจะมีความมันวาวกว่างา<br />
และรูปแบบรายจะไม่เป็นธรรมชาติและ<br />
หากถูกความร้อนจะได้กลิ่นของพลาสติก<br />
29
โครงการจิตสำนึกรักเมืองไทย<br />
แผนกแผนและโครงการฯ<br />
จิตสำนึกในการป้องกันประเทศ<br />
สืบเนื่องจากนโยบายการสร้าง<br />
และรักษาความมั่นคงภายใต้<br />
ผลผลิตการสร้างความปรองดองสมานฉันท์<br />
ของคนในชาติ โดยสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหมที่ต้องการสร้างความรัก ความสามัคคี<br />
ของคนในชาติ ในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุข<br />
ภายใต้การปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี<br />
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดย<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม จึงได้จัด “โครงการจิตสำนึก<br />
รักเมืองไทย” ขึ้น ซึ่งเป็นโครงการต่อเนื่องของ<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (เริ่มดำเนิน<br />
โครงการตั้งแต่ปี ๒๕๕๒) ดำเนินการโดย<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างจิตสำนึก<br />
และการมีส่วนร่วมทางสังคม ตลอดจนความ<br />
รับผิดชอบต่อสาธารณะ โดยมุ่งเน้นไปที่เยาวชน<br />
ของชาติที่เป็นพลังอันบริสุทธิ์และรอยต่อที่<br />
สำคัญของสังคมไทย โดยจัดเวทีให้กับเยาวชน<br />
นักเรียน นิสิต นักศึกษาจากทั่วประเทศ ได้<br />
สะท้อนแนวคิดและมุมมองต่อสถานการณ์ทาง<br />
สังคมไทยที่มีการปรับเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา<br />
ตลอดจนแนวทางที่ควรเป็นไปของสังคมใน<br />
30<br />
แผนกแผนและโครงการฯ
มุมมองของเยาวชนสู่การนำเสนอ<br />
ผ่านกิจกรรมที่สร้างสรรค์ อาทิเช่น<br />
ผลงานจิตรกรรมภาพวาด ในการ<br />
จัดการประกวดในปีที่ ๑ ผลงาน<br />
ภาพถ่ายและภาพยนตร์สั้นในปีที่<br />
๒ ผลงานภาพถ่าย สปอตโทรทัศน์<br />
และการประกวดสร้างสรรค์<br />
บทเพลง ในปีที่ ๓, ๔, ๕ และใน<br />
ปีที่ ๖ เป็นการจัดการประกวด<br />
ผลงานโปสเตอร์ประชาสัมพันธ์<br />
สปอตโทรทัศน์ และการประกวด<br />
สร้างสรรค์บทเพลง<br />
สำหรับในปี ๒๕๕๘ นี้<br />
เป็นการดำเนินโครงการเข้า<br />
สู่ปีที่ ๗ ได้สานต่อแนวความ<br />
คิดและการดำเนินงานของปีที่<br />
ผ่านมา โดยขยายผลสร้างการมี<br />
ส่วนร่วมของภาคส่วนต่างๆ ของ<br />
สังคม และเสริมสร้างการมีส่วน<br />
ร่วมของหน่วยงานภาครัฐและ<br />
สถาบันการศึกษาต่างๆ ประกอบ<br />
ด้วย สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
กลาโหม โดยสำนักงานเลขานุการสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม สถาบันการศึกษา ทั้ง<br />
ภาครัฐและเอกชนจากทั่วประเทศ สำหรับ<br />
ในปีนี้มีการปรับเปลี่ยนรูปแบบการประกวด<br />
เพื่อให้เกิดความน่าสนใจในกลุ่มเด็กและ<br />
เยาวชนมากยิ่งขึ้น โดยให้เยาวชนได้มีเวที<br />
แสดงความสามารถและความคิดสร้างสรรค์<br />
ผ่านกิจกรรมการประกวดการแสดง ภายใต้<br />
หัวข้อ “Show Time Show Thai” ซึ่งเป็นการ<br />
นำค่านิยมหลัก ๑๒ ประการ ของนายก<br />
รัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบ<br />
แห่งชาติ ในข้อที่ ๕ คือรักษาวัฒนธรรมประเพณี<br />
ไทยอันงดงาม เป็นหัวข้อหลักเพื่อให้เยาวชน<br />
ได้นำเสนอแนวความคิดการแสดงออกทาง<br />
อารมณ์ ความรู้สึก และการเล่าเรื่องผ่านการ<br />
แสดงในเชิงศิลปะการแสดงและดนตรี ผสม<br />
ผสานอัตลักษณ์ความเป็นไทยและความร่วม<br />
สมัยของสังคมไทยในปัจจุบัน<br />
ซึ่งได้กระทำพิธีเปิดและแถลงข่าว<br />
โครงการฯ ไปเรียบร้อยแล้ว เมื่อวันพฤหัสบดี<br />
ที่ ๒๑ พฤษภาคม ๒๕๕๘ เวลา ๑๓๓๐<br />
ณ ห้องพินิตประชานาถ ในศาลาว่าการ<br />
กลาโหม และได้จัดกิจกรรมประชาสัมพันธ์<br />
โครงการ (Roadshow) ในภูมิภาคต่างๆ<br />
ทั่วประเทศ ห้วงเดือนมิถุนายน ๒๕๕๘ ประกอบ<br />
ด้วย พื้นที่ภาคเหนือ เมื่อวันพุธที่ ๑๐ มิถุนายน<br />
๒๕๕๘ ณ โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว จังหวัด<br />
เชียงใหม่, พื้นที่ภาคกลาง-ตะวันตก-ตะวัน<br />
ออก เมื่อวันอังคารที่ ๑๖ มิถุนายน ๒๕๕๘<br />
ณ โรงแรมริเวอร์แคว จังหวัดกาญจนบุรี, พื้นที่<br />
ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เมื่อวันอังคารที่<br />
๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๘ ณ โรงแรมเซ็นทารา<br />
แอนด์ คอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ จังหวัด<br />
ขอนแก่น และพื้นที่ภาคใต้ เมื่อวันอังคาร<br />
ที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๕๘ ณ โรงแรมทวิน<br />
โลตัส จังหวัดนครศรีธรรมราช ทั้งนี้ จะมีการ<br />
จัดพิธีประกาศผลและมอบรางวัลโครงการ<br />
ในห้วงเดือนกันยายน ๒๕๕๘<br />
ทั้งนี้ สิ่งที่ได้รับจากการดำเนินโครงการ<br />
ในประการสำคัญ คือ การร่วมกันตระหนักถึง<br />
ปัญหาทางสังคม และการมีส่วนร่วมกันสะท้อน<br />
แนวคิด/และมุมมองทางสังคม สู่การขับเคลื่อน<br />
การแก้ปัญหาร่วมกัน ผ่านกระบวนการร่วมคิด<br />
ร่วมทำ จากการประสานงานกันทั้งองค์กร<br />
ทางการศึกษา และภาคประชาสังคม ที่มี<br />
อุดมการณ์ แนวคิด และเป้าประสงค์เดียวกัน<br />
ที่อยากเห็นประเทศไทย ก้าวเดินไปข้างหน้า<br />
อย่างมีความสุข มีรอยยิ้ม และยินดีร่วมสร้าง<br />
อนาคต ด้วยการสนับสนุนให้เยาวชนเกิด<br />
แนวคิด และแสดงออกถึงความต้องการในการ<br />
มีส่วนร่วมในการกำหนดวิถีความเป็นอยู่ของ<br />
สังคมที่เป็นสุขและมีคุณภาพต่อไป<br />
31
Cyber Supremacy<br />
“กำลังรบ ที่ไม่เผยตัว”<br />
นาวาอากาศเอก ปิยะพันธ์ ขันถม<br />
ความเป็นไปของผู้คนในโลกยุคใหม่<br />
มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงกันอย่างกลมกลืนกับ<br />
เทคโนโลยีด้านคอมพิวเตอร์สูงมาก ผู้คน<br />
สามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ ขึ้นอย่างรวดเร็ว<br />
และมีประสิทธิภาพ ข้อจำกัดหลายอย่างถูก<br />
ทำลายลงด้วยเทคโนโลยีด้านนี้ ในทุกด้านของ<br />
32<br />
ความเป็นไปในชีวิต ผู้คนแทบจะปรับตัวไม่ทัน<br />
กันเลยกับการเปลี่ยนแปลงและก้าวหน้าแบบ<br />
ติดจรวดและดูเหมือนมหัศจรรย์ เหลือเชื่อแต่<br />
ก็เป็นไปได้<br />
โลกในทุกยุคจะมีอยู่สองด้านเสมอ คือ<br />
ด้านสงบและด้านที่เป็นสงคราม ด้านที่สงบนั้น<br />
ก็ใช่ว่าจะราบรื่นไปทุกหย่อมหญ้า หากแต่<br />
ยังเต็มไปด้วยข้อขัดแย้งที่รอการแตกระเบิด<br />
กระจายไปทั ่วทุกภูมิภาคของโลกใบนี้ ปฐมบท<br />
ข้อขัดแย้งก็ยังเป็นเรื ่องอมตะแบบเดิมๆ คือ<br />
ศาสนา เชื้อชาติ ดินแดน ซึ่งดูเหมือนคู่ปรปักษ์<br />
จะมีทั้งที ่เป็นทวิภาคีและพหุภาคีซึ่งตามห ้ำหั ่น<br />
นาวาอากาศเอก ปิยะพันธ์ ขันถม
กันมาแต่ชาติปางก่อน เกิดสงครามเข่นฆ่า<br />
พยายามทำลายล้างกัน ตามวิธีการแต่ละยุค<br />
สมัย ตั้งแต่ หอก ดาบ ปืน จรวด เครื่องบิน<br />
ขีปนาวุธ ดาวเทียม เลเซอร์ แม้กระทั่งเวทมนต์<br />
คาถา<br />
ปัจจุบัน ที่โลกยุคนี้มีศักย์สงครามตัว<br />
ใหม่ ซึ่งทุกประเทศกำลังเร่งรัดจัดตั้งและ<br />
พัฒนากันมากคือ Cyber Warfare นั่น<br />
หมายความว่า Key Element หรือ Domain<br />
ของพลังอำนาจแห่งสงครามยุคใหม่จะ<br />
ประกอบด้วย Air-Sea-Land-Space and<br />
Cyber สงครามหรือวิกกฤตต่างๆ ทั่วโลกใน<br />
ช่วงคาบเกี่ยวระหว่างศตวรรษที่ ๒๐ และ ๒๑<br />
มี Cyber Warfare เข้ามาเกี่ยวข้องกันอย่าง<br />
ชัดเจน โดยพวกเขาโจมตีกันทาง Cyber เพื่อ<br />
ทำลายหรือทำให้เป็นอุปสรรคต่อระบบ C3I<br />
รวมไปถึงระบบที่เป็นลมหายใจด้านเศรษกิจ<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
ของฝ่ายตรงข้ามเช่น ระบบคมนาคม ระบบ<br />
ไฟฟ้า ระบบประปา ระบบโทรคมนาคมและ<br />
กระจายเสียงที่เป็นสาธารณะ ระบบการจราจร<br />
ทางอากาศระบบธนาคารและตลาดหลักทรัพย์<br />
เป็นต้น<br />
ความชัดเจนที่โดดเด่นของบทบาทของ<br />
ศักย์สงครามด้าน Cyber สามารถเรียนรู้ได้<br />
จาก Bosnia and Cosovo Crisis และ Gulf<br />
war ประเทศผู้ถือใหญ่ทางเทคโนโลยีหรือ<br />
ครองความได้เปรียบจาก Cyber Warfare<br />
ซึ่งสามารถเรียกระดับของสงคราม ที่มีความ<br />
ได้เปรียบด้าน Cyber ในช่วงนี้ ได้ว่าระดับ Cyber<br />
Supremacy เหมือนการทำ Air Campaign<br />
ของกำลังทางอากาศ ที่พวกเขาต้องครองความ<br />
เป็นเจ้าอากาศหรือ Air Supremacy ให้ได้<br />
ก่อนเป็นอันดับแรก<br />
วิกกฤตหรือสงคราม Bosnia and<br />
Cosovo Crisis และ Gulf war นั้น สหรัฐฯ<br />
สามารถทำ Cyber Supremacy ได้สำเร็จ<br />
ทำให้ระบบสำคัญหลายอย่างเป็นอัมพาต เปิด<br />
การปฎิบัติการทางทหารด้านอื่นได้เกือบจะ<br />
เสรี แม้กระทั่งสำหรับกำลังทางอากาศ และ<br />
นำไปสู่ชัยชนะในที่สุด และผลของชัยชนะนั้น<br />
ไม่ได้สังเวยชีวิตประชาชนหรือทหารมากมาย<br />
เหมือนอย่างสงครามในอดีต ที่ผู้คนเป็นเรือนแสน<br />
เรือนล้านที่ต้องตายไป บ้านเมืองยับเยิน<br />
ต้องใช้เวลาเกือบชั่วอายุคนในการกู้คืนสภาพ<br />
บ้านเมืองบอบช้ำจากการสงครามอย่าง<br />
แสนสาหัส ดังตัวอย่างของสงครามใหญ่ในอดีต<br />
ที่ใกล้ตัวคือ สงครามโลกครั้งที่ ๒ นั่นเอง<br />
ด้วยความสำคัญยิ่งของศักย์ใหญ่สงคราม<br />
ด้าน Cyber นี้ ทำให้ประเทศเกือบจะทั่วโลก<br />
มีความตื่นตัวให้ความสำคัญขึ้นมามาก มีการ<br />
ศึกษาอย่างจริงจัง ถึงการจัดตั้งองค์กร พัฒนา<br />
บุคลากร จัดหาเทคโนโลยี เปิดสถาบันการ<br />
ศึกษา การหาพันธมิตร เปลี่ยนแปลงแก้ไขเรื่อง<br />
วัตถุประสงค์และนโยบายชาติ กำหนดทิศทาง<br />
ของ กระทรวงกลาโหมตนเองใหม่ รวมไปถึง<br />
ข้อกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกันทั้งในภูมิภาค<br />
ตนเองและระหว่างประเทศ<br />
การเริ่มต้นที่เป็นพื้นฐานสำคัญเหนืออื่น<br />
ใดในงานด้าน Cyber Warfare ก่อนที่จะไป<br />
ถึงขั้นก้าวหน้า ในเชิงรุกหรือรับนั้น ก็คือการ<br />
สร้างแนวความคิดที่ถูกต้องและพัฒนาความรู้<br />
ของกำลังพลให้ชัดเจนเสียก่อน ในเรื่อง Cyber<br />
Warfare ที่เป็นไปได้กับสิ่งแวดล้อมของตนเอง<br />
และทิศทางที่ต้องเดินไปในอนาคต เพราะถ้า<br />
หากมี แนวความคิดเชิงยุทธศาสตร์ (Cyber<br />
Strategy Concept) ที่ผิดฝั่งผิดฝาหรือเพี้ยนๆ<br />
ตั้งแต่ต้นแล้ว ในกาลข้างหน้าจะเป็นเรื่องที่<br />
แก้ยาก เสียเวลาและสิ้นเปลืองงบประมาณไป<br />
อย่างน่าเสียดาย เพราะเทคโนโลยีด้านนี้เป็น<br />
เรื่องที่หาได้ไม่ง่าย และต้องลงทุนสูงมาก<br />
แนวความคิดยุทธศาสตร์ไซเบอร์เพื่อ<br />
การป้องกันประเทศ<br />
Cyber Strategy for National Defense<br />
Concept<br />
ก่อนการเกิดแนวความคิดยุทธศาสตร์<br />
ไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศของชาติ<br />
นั้น ต้องมองไปถึงภาพที่ใหญ่กว่าที่เป็น<br />
พื้นฐานในการขับเคลื่อนและไล่ลำดับกันลงมา<br />
คือ เรื่องของรัฐธรรมนูญ ผลประโยชน์แห่งชาติ<br />
วัตถุประสงค์และนโยบายความมั่นคงชาติ<br />
อำนาจหน้าที่ของกระทรวงกลาโหม จนกระทั่ง<br />
มาถึงระดับของ นโยบาย รัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม เป็นต้น ข้อมูลสำคัญเหล่านี้<br />
จะเป็นตัวกำหนดกรอบทิศทางในการเดินหน้า<br />
ของแนวความคิดยุทธศาสตร์ไซเบอร์เพื่อ<br />
การป้องกันประเทศ ต่อไป ซึ่งอาจอธิบาย<br />
อย่างง่ายๆ โดยใช้ชุดแบบจำลองแนวความ<br />
คิดดังนี้<br />
CONCEPT<br />
Objective<br />
CSNDC<br />
DOM<br />
CARE<br />
AID<br />
33
๑. Objective : หลักวัตถุประสงค์ : ใน<br />
ระดับชาติ ได้มีการกล่าวไว้อย่างกว้างๆ และ<br />
ครอบคลุมแล้วคือ การมีศักยภาพในการ<br />
ป้องกันประเทศ สนับสนุนภารกิจที่ไม่ใช่การรบ<br />
และสามารถผนึกกำลังของกองทัพและทุก<br />
ภาคส่วน ในการเผชิญกับภัยคุกคามประเทศใน<br />
ทุกรูปแบบ ซึ่งใคร่ครวญอย่างไร Cyber ก็ต้อง<br />
เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องแน่ๆ<br />
๒. CSNDC : แนวความคิดยุทธศาสตร์<br />
ไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศ(Cyber<br />
Strategy for National Defense Concept) :<br />
เป็นกระบวนการทำความเข้าใจถึงวัตถุประสงค์<br />
ของชาติ ย่อยสลายให้ละเอียดลงมาอีก<br />
ว่าสุดท้ายแล้วต้องการอะไร<br />
๓. DOM : เป็นผลผลิตจากกระบวนการ<br />
34<br />
ของ CSNDC ทำให้เราทราบว่า จะต้อง<br />
ทำให้เกิดอะไรขึ้นมาบ้างตามแนวความคิด<br />
ยุทธศาสตร์ไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศ<br />
๓.๑. D : Defensive : เชิงป้องกัน : ต้อง<br />
สามารถรับมือกับภัยคุกคาม Cyber ได้อย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ<br />
๓.๒. O : Offensive : เชิงรุก : สามารถ<br />
เป็นฝ่ายรุกหรือทำสงคราม Cyber ได้<br />
๓.๓. M : Mobilization : การระดม<br />
สรรพกำลัง : สามารถบูรณาการขีดความ<br />
สามารถด้าน Cyber จากทุกองค์กรทั้งภาครัฐ<br />
และเอกชน อีกทั้งการพัฒนาและร่วมมือกับ<br />
มิตรประเทศ<br />
๔. CARE : เป็นชุดความคิดเพื่อพิจารณา<br />
ว่า การเกิดขึ้นของ DOM นั้น ควรคำนึงถึงเรื่อง<br />
ราวที่องค์ประกอบสำคัญอะไรบ้าง เพื่อทำให้<br />
เกิดความเชื่อมั่น หรือเป็นการคิดแบบบริหาร<br />
ความเสี่ยง เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดอุปสรรคใน<br />
วันข้างหน้า<br />
๔.๑. C : Cyber Technology : คือ<br />
กระบวนการบริหารจัดการ ให้ได้มาและใช้งาน<br />
ทั้ง Hardware Software และ Peopleware<br />
๔.๒. A : Allied Force : คือการ<br />
บูรณาการและแสวงหาความร่วมมือกับมิตร<br />
ประเทศ<br />
๔.๓. R : Restriction : คือขีดจำกัด<br />
ด้านงบประมาณ บุคลากร หรือแม้กระทั่ง<br />
สถานการณ์เป็นผู้ผลิตหรือผู้ใช้เทคโนโลยีด้าน<br />
นี้<br />
๔.๔. E : Environment : คือภัยคุกคาม<br />
นาวาอากาศเอก ปิยะพันธ์ ขันถม
ของไซเบอร์ ที่มาในรูปแบบต่างๆ รวมไป<br />
ถึงกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งกฎหมายในราช<br />
อาณาจักรและกฎหมายสากล ตลอดไป<br />
จนกระทั่ง ความคาดหวังที่รัฐบาลมอบให้<br />
กระทรวงกลาโหม ในเรื่องความมั่นคงทั้งปวง<br />
๕. AID : เป็นผลผลิตสุดท้ายที่เห็นขีด<br />
ความสามารถด้านไซเบอร์ที่ชัดเจน เหมือน<br />
เป็นการอธิบาย DOM ในอีกมิติหนึ่ง จำกัน<br />
ง่ายๆ คือ ป้องกัน ป้องปราม ผนึกกำลัง<br />
๕.๑. A : Advantage : มีศักยภาพและ<br />
ความพร้อม สามารถชิงความได้เปรียบใน<br />
ปฎิบัติการไซเบอร์<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
๕.๒. : Integration : สามารถบูรณาขีด<br />
ความสามารถได้ทั้งภาครัฐและเอกชน รวมไป<br />
ถึงประเทศพันธมิตร<br />
๕.๓. D : Disadvantage : สามารถปฎิบัติ<br />
การเชิงรุก จำกัดเสรีหรือลดขีดความสามารถ<br />
ของฝ่ายตรงข้ามได้<br />
โลกในยุคปัจจุบัน โอกาสที่ข้อขัดแย้ง<br />
ในภูมิภาคระหว่างประเทศ จะไปไกลถึงขั้น<br />
สงครามทำลายล้างกันให้สิ้นซากนั้น มีความเป็น<br />
ไปได้น้อยมาก เนื่องจากโลกมีความเป็นอารยะ<br />
มากขึ้น มีองค์กรระหว่างประเทศคอยพิทักษ์<br />
หรือดูแลในเรื่องมนุษยธรรมอย่างเข้มแข็ง<br />
ซาตานที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์อาจมีมาก แต่<br />
ก็มีความเป็นไปได้น้อยที่คนประเภทนี้จะได้<br />
เป็นผู้นำประเทศ เหมือนอย่างในอดีตที่ผ่าน<br />
มาของโลกใบนี้<br />
หากแต่ว่า ข้อเท็จจริงในเรื่องความ<br />
ขัดแย้งและบาดหมางยังคงมีอยู่ และมีการ<br />
เปลี่ยนวิธีการทำลายกัน ตามเทคโนโลยีใน<br />
ยุคสมัย โลกในศตวรรษที่ ๒๑ นี้ ต้องหนีไม่<br />
พ้นภัยคุกคามด้าน Cyber ซึ่งเมื่อเกิดขึ ้นแล้ว<br />
ผลลัพธ์จะมีค่ามหาศาลต่อความสูญเสียของ<br />
ระบบเศรษฐกิจของชาติ กระทบต่อความเป็น<br />
อยู่ของประชาชนในวงกว้างและในเกือบจะทุก<br />
เรื่องราวของชีวิตประจำวัน<br />
เป็นความจำเป็นและสำคัญอย่างยิ่งยวด<br />
ที่ประเทศต้องมีการบริหารจัดการด้านไซเบอร์<br />
ซึ่งในปัจจุบันหน่วยที่มีภารกิจและที่เป็นผู้นำ<br />
ในเรื่องนี้ ถูกวางไว้ที่ กรมเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
และอวกาศกลาโหม (ทสอ.กห.) ซึ่งกำลังอยู่<br />
ในขั้นการพัฒนาสร้างหรือนำแนวความคิด<br />
ยุทธศาสตร์ไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศ<br />
(Cyber Strategy for National Defense<br />
Concept) ไปสู่ความเป็นไปได้ ยอมรับได้<br />
ปฎิบัติได้ เชื่อถือได้ และคาดหวังหรือเป็นที่พึ่ง<br />
ได้จากรัฐและประชาชน ต่อไป<br />
35
ดุลยภาพทางการทหารของประเทศอาเซียน<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์<br />
เอดับเบิ้ลยู-๑๓๙<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ เอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-139) กองทัพบกไทย ประจำการที่กรมการขนส่งทหารบก กองทัพบกไทยใช้สีเขียวกับ<br />
อากาศยาน<br />
36<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
ประเทศอินโดนีเซียจัดซื้อเครื่อง<br />
บินเฮลิคอปเตอร์รุ่นใหม่แบบ<br />
เอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-139)<br />
รวม ๓ เครื่อง จากประเทศอิตาลี เมื่อวันที่ ๙<br />
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๗ เพื่อใช้ในภารกิจทาง<br />
ด้านพลเรือนสนับสนุนทางด้านอุตสาหกรรม<br />
แก๊สและน้ำมันในทะเล อินโดนีเซียจะได้รับมอบ<br />
เครื่องบินระหว่างปี พ.ศ.๒๕๕๘ - ๒๕๕๙<br />
เนื่องจากเป็นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ชนิด<br />
สองเครื่องยนต์จึงสามารถปฏิบัติการทาง<br />
ทะเลได้ดี เฮลิคอปเตอร์รุ่นเอดับเบิ้ลยู-๑๓๙<br />
(AW-139) พัฒนาร่วมกันระหว่างอิตาลีกับ<br />
สหรัฐอเมริกา โรงงานตั้งอยู่ที่จังหวัดวาเรเซ<br />
(Varese) ทางตอนเหนือของประเทศอิตาลี<br />
มีคนงาน ๑๓,๐๕๐ นาย เครื่องบินต้นแบบได้ขึ้น<br />
ทำการบินครั้งแรกเมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ พ.ศ.<br />
๒๕๔๔ ทำการบินทดสอบกว่า ๔,๐๐๐ ชั่วโมง<br />
ผ่านการรับรองของสมาพันธ์การบินนานาชาติ<br />
(FAA) เป็นเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ขนาดกลางที่<br />
ใช้งานได้หลายภารกิจประกอบด้วย การขนส่ง<br />
ทางทหาร (กำลังทหารและ VIP), การส่งกลับ<br />
สายแพทย์, การดับไฟป่า, การค้นหาและกู้ภัย<br />
(SAR) ทางทะเลและบนบก, การขนส่งบริเวณ<br />
ชายฝั่งทะเลและการลาดตระเวนทางทะเลเป็น<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์อเนกประสงค์ใช้งานได้<br />
ในภารกิจทางด้านทหารและในภารกิจทางด้าน<br />
พลเรือนเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบ เอดับเบิ้ลยู<br />
-๑๓๙ (AW-139) นักบิน ๒ นาย,บรรทุก<br />
ผู้โดยสาร ๑๕ ที่นั่ง,ขนาดยาว ๑๓.๗๗ เมตร,<br />
เส้นผ่าศูนย์กลางของใบพัดหลัก ๑๓.๘ เมตร<br />
(ใบพัดหลักชนิด ๕ กลีบ และใบพัดหลังชนิด<br />
สี่กลีบ), สูง ๓.๗๒ เมตร, กว้าง ๒.๒๖ เมตร<br />
น้ำหนัก ๓,๖๒๒ กิโลกรัม (๗,๙๘๕ ปอนด์),<br />
น้ำหนักบินขึ้นสูงสุด ๖,๔๐๐ กิโลกรัม (๑๔,๑๑๐<br />
ปอนด์), เครื่องยนต์เทอร์โบชาฟท์ (PT6C-67C)<br />
ให้กำลังขนาด ๑,๕๓๑ แรงม้า (๒ เครื่อง),<br />
อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ๖๕๐ ลิตรต่อ<br />
ชั่วโมง, ความเร็วสูงสุด ๓๑๐ กิโลเมตรต่อ<br />
ชั่วโมง, ความเร็วเดินทาง ๓๐๖ กิโลเมตร<br />
ต่อชั่วโมง, พิสัยบินไกล ๑,๒๕๐ กิโลเมตร<br />
และเพดานบินสูง ๖,๐๙๖ เมตร (๒๐,๐๐๐<br />
ฟุต) สามารถจะติดตั้งปืนกลขนาด ๗.๖๒<br />
มิลลิเมตร (FN MAG ได้สองกระบอก ทางด้าน<br />
ประตูทั้งสองข้าง) ในภารกิจการค้นหาและ<br />
กู้ภัย (SAR) ในพื้นที่การรบทำการผลิตขึ้นใน<br />
ปี พ.ศ.๒๕๔๖<br />
กองทัพอากาศอิตาลีนำเครื่องบิน<br />
เฮลิคอปเตอร์เอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-139) เข้า<br />
ประจำการใช้ในภารกิจค้นหาและกู้ภัย (SAR<br />
รวม ๑๕ เครื่อง) และการขนส่งรวม ๒๐ เครื่อง,<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบเอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-139) กองทัพอากาศอิตาลี นำเข้า<br />
ประจำการ ๒๐ เครื่อง เป็นรุ่นค้นหาและกู้ภัย (SAR) รวม ๑๕ เครื่อง<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบเอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-139) บรรทุกผู้โดยสาร ๑๕ ที่นั่ง<br />
ขนาดยาว ๑๓.๗๗ เมตร, เส้นผ่าศูนย์กลางของใบพัดหลัก ๑๓.๘ เมตร (ใบพัดชนิด ๕ กลีบ),<br />
สูง ๓.๗๒ เมตร, กว้าง ๒.๒๖ เมตร, น้ำหนักบินขึ้นสูงสุด ๖,๔๐๐ กิโลกรัมและความเร็ว<br />
เดินทาง ๓๐๖ กิโลเมตรต่อชั่วโมง (ในภาพสำหรับใช้งานด้านพลเรือนประเทศมาเลเซีย)<br />
หน่วยยามฝั่งสเปน (SMSA) ได้ประจำการด้วยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบเอดับเบิ้ลยู-<br />
๑๓๙ (AW-139) รวม ๙ เครื่องขณะปฏิบัติการเหนือทะเล (ในภาพของหน่วยยามฝั่งสเปน)<br />
37
กองทัพอากาศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์<br />
ประจำการ ๒๔ เครื่อง, หน่วยยามฝั่งสเปน<br />
(SMSA) ประจำการ ๙ เครื่อง, หน่วยยามฝั่งญี่ปุ่น<br />
(JCG) ประจำการ ๑๔ เครื่อง (จัดซื้อเพิ่มเติม<br />
และรอรับมอบอีก ๑๐ เครื่อง) และกองทัพ<br />
อากาศกาต้าร์ประจำการ ๑๘ เครื่อง ประเทศ<br />
ที่ได้นำเข้าประจำการในกองทัพรวม ๑๕<br />
ประเทศ (ประเทศในทวีปเอเชียประจำการรวม<br />
๖ ประเทศประกอบด้วยหน่วยยามฝั่งญี่ปุ่น<br />
(JCG) รวม ๒๔ เครื่อง, หน่วยยามฝั่งเกาหลีใต้<br />
(KCG) รวม ๓ เครื่อง (SAR), บังคลาเทศรวม<br />
๒ เครื่อง (SAR), กาต้า รวม ๑๘ เครื่อง (รุ่นใช้<br />
งานทั่วไป), สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์รวม ๑๕<br />
เครื่อง รอรับมอบอีก ๙ เครื่อง ปี พ.ศ.๒๕๕๘<br />
รวมประจำการทั้งสิ้น ๒๔ เครื่อง และไทย)<br />
และใช้งานในภารกิจทางด้านพลเรือนรวม ๑๗<br />
ประเทศ (ประเทศในทวีปเอเชียนำเข้าประจำการ<br />
๔ ประเทศ ประกอบด้วยด้วย กาต้าร์รวม ๑๖ เครื่อง<br />
(ใช้สนับสนุนการขุดเจาะแก็สและบ่อน้ำมัน),<br />
มาเลเซีย, ญี่ปุ่น (ตำรวจและหน่วยงานดับไฟป่า)<br />
รวม ๑๙ เครื่อง และอินโดนีเซีย รอการรับ<br />
มอบส่วนใหญ่ใช้สนับสนุนในภารกิจสนับสนุน<br />
แท่นขุดเจาะแก๊สและบ่อน้ำมันในทะเล และ<br />
การค้นหากู้ภัยทางทะเล)<br />
ประเทศมาเลเซียนำเครื่องบิน<br />
เฮลิคอปเตอร์แบบเอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-<br />
139) ปฏิบัติการทางด้านหน่วยงานทางด้าน<br />
ความมั่นคงทางทะเล (MMEA) รวม ๓ เครื่อง<br />
ได้รับมอบเครื่องบินเมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม<br />
พ.ศ.๒๕๕๓ ที่ได้จัดซื้อเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๑ เป็น<br />
เงิน ๖๑ ล้านเหรียญสหรัฐ ใช้ในภารกิจค้นหา<br />
และกู้ภัย (SAR) ลาดตระเวนชายฝั่งและ<br />
ความมั่นคงทางทะเล สามารถปฏิบัติการได้<br />
นาน ๕ ชั่วโมง ๕๖ นาทีหน่วยงานดับไฟป่า<br />
และกู้ภัยมาเลเซีย (Malaysian Fire and<br />
Rescue Department) ได้จัดซื้อเครื่องบิน<br />
38<br />
หน่วยยามฝั่งญี่ปุ่น (JCG) ประจำการด้วยเครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบเอดับเบิ้ลยู-๑๓๙<br />
(AW-139) รวม ๑๔ เครื่อง (รอรับมอบอีก ๑๐ เครื่อง) พร้อมด้วยกว้านที่สามารถจะดึง<br />
ผู้ประสบภัยขึ้นจากทะเลนำขึ้นสู่เครื่องบิน หน่วยยามฝั่งญี่ปุ่น (JCG) มีกำลัง ๑๒,๖๐๐ นาย<br />
มีเครื่องบิน ๗๓ เครื่อง (แยกเป็นเครื่องบิน ๒๗ เครื่อง และเฮลิคอปเตอร์ ๔๖ เครื่อง)<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบเอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-139) เครื่องยนต์ เทอร์โบชาฟท์<br />
(P&W PT6C-67C) ให้กำลังขนาด ๑,๕๓๑ แรงม้ารวม ๒ เครื่องเส้นผ่าศูนย์กลางของใบพัด<br />
หลัก ๑๓.๘ เมตร (ใบพัดชนิด ๕ กลีบ) อัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง ๖๕๐ ลิตรต่อชั่วโมง และ<br />
ความเร็วสูงสุด ๓๑๐ กิโลเมตรต่อชั่วโมง<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบเอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-139) หน่วยยามฝั่งเกาหลีใต้(KCG)<br />
ใช้ในภารกิจค้นหาและกู้ภัยทางทะเล (SAR) ประจำการรวม ๓ เครื่อง ปี พ.ศ.๒๕๕๒ –<br />
๒๕๕๓<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
่<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ เอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-139) กองทัพบกไทย ขณะทำการบิน<br />
เฮลิคอปเตอร์รุ่นใช้งานทางพลเรือนแบบ<br />
เอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-139) รวม ๒ เครื่อง<br />
ได้รับมอบเครื่องบินเมื่อวันที่ ๒ พฤษภาคม<br />
พ.ศ.๒๕๕๓ และบริษัทการบินภายในประเทศ<br />
มาเลเซีย (Weststar Aviation) ที่สนับสนุน<br />
การขุดเจาะแก๊สและน้ำมันในทะเล (ทำการ<br />
บินไปลงที่แท่นขุดเจาะเพื่อจะส่งเจ้าหน้าที<br />
ทางเทคนิคไปประจำแท่นขุดเจาะน้ำมันพร้อม<br />
ทั้งนำเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคที่พ้นหน้าที ่กลับสู่<br />
ฐานปฏิบัติการบริเวณชายฝั่ง, การส่งชุดการ<br />
ซ่อมบำรุงแท่นขุดเจาะน้ำมัน และการขนย้าย<br />
ฉุกเฉินเจ้าหน้าที่ทางเทคนิคจากแท่นขุดเจาะ<br />
น้ำมันสู่ฐานปฏิบัติการชายฝั่งทะเล) มีใช้งาน<br />
๙ เครื่องและได้จัดซื้อเพิ่มเติมอีก ๒ เครื่อง<br />
ได้รับมอบเมื่อวันที่ ๑๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๘<br />
ใช้ในภารกิจขนส่งเจ้าหน้าที่ (VIP)<br />
กองทัพบกไทย (RTA) ประจำการด้วย<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์แบบเอดับเบิ้ลยู-๑๓๙<br />
(AW-139) ผลิตจากประเทศอิตาลี รวม ๒<br />
เครื่องได้รับอนุมัติให้จัดซื้อเมื่อเดือนกันยายน<br />
พ.ศ.๒๕๕๕ ทำการแยกชิ้นส่วนมาทางเรือ<br />
เดินทางมาถึงประเทศไทยเดือนธันวาคม พ.ศ.<br />
๒๕๕๖ ทำการประกอบเครื่องบินและทดสอบ<br />
ได้รับมอบเข้าประจำการเมื่อวันที่ ๑๙ มีนาคม<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ บริเวณลานอเนกประสงค์ภายใน<br />
กรมทหารราบที่ ๑๑ รักษาพระองค์<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ เอดับเบิ้ลยู-๑๓๙ (AW-139) กองทัพอากาศอังกฤษ<br />
ขณะทำการฝึกกู้ภัยบริเวณชายฝั่งทะเล<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
39
เปิดประตู<br />
สู่เทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
เทคโนโลยี ระบบไฟฟ้าเครื่องกลจุลภาค (MEMS)<br />
กับการใช้งานทางทหาร<br />
จ<br />
ากความต้องการอุปกรณ์ที่<br />
มีขนาดเล็ก สมรรถนะสูง<br />
และมีราคาไม่สูงในหลายๆ<br />
อุตสาหกรรม ทำให้เทคโนโลยีระบบไฟฟ้า<br />
เครื่องกลจุลภาค หรือ Micro-Electro-<br />
Mechanical System (MEMS) ได้รับการพัฒนา<br />
อย่างกว้างขวาง ซึ่งระบบ MEMS ส่วนใหญ่<br />
จะใช้ในเครื่องมือตรวจจับ (Sensor) และ<br />
Actuator 1 ชนิดต่างๆ เพื ่อวัดค่าต่างๆ เช่น<br />
อุณหภูมิ ความดัน ความเร่ง เป็นต้น คาดว่าในปี<br />
ค.ศ.๒๐๑๗ เทคโนโลยีระบบไฟฟ้าเครื่องกล<br />
จุลภาคจะมีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงถึง หนึ่ง<br />
หมื่นสองพันล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐฯ โดยที่<br />
ส่วนแบ่งทางการตลาดของอุปกรณ์ระบบไฟฟ้า<br />
เครื่องกลจุลภาคสูงสุด เป็นอุปกรณ์ตรวจวัด<br />
ทางอุตสาหกรรมและยานยนต์ต่างๆ รองลง<br />
มาเป็นอุปกรณ์ทางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
(ดูรูปที่ ๑ ประกอบ)<br />
ระบบ MEMS คือ ระบบที่มีขนาดเล็ก<br />
(micro-scale) ที่ประกอบด้วยสองส่วน<br />
หลัก ได้แก่ส่วนที่เป็นระบบเครื่องกล เช่น<br />
microgear หรือ microlever เป็นต้น<br />
และส่วนที่เป็นอิเล็กโทรนิก โดยส่วนที่<br />
เป็นเครื่องกลจะเคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที่<br />
เพื่อปฏิบัติหน้าที่ใดหน้าที่หนึ่ง และระบบ<br />
อิเล็กโทรนิกจะควบคุมการเคลื่อนไหวของ<br />
๑<br />
Actuator คืออุปกรณ์ที่ใช้สำหรับควบคุมการทำงานของ<br />
วาล์ว เป็นอีกรูปแบบหนึ่งของการควบคุม ซึ ่งจุดมุ่งหมาย<br />
ของการใช้ Actuator ก็คือความเที่ยงตรงของตำแหน่ง<br />
การเคลื่อนที่ของวาล์วโดยอาศัยการควบคุมจากสัญญาณ<br />
ไฟฟ้า<br />
40<br />
ระบบเครื่องกล หรือเก็บข้อมูลที่ได้จากการ<br />
เคลื่อนไหวหรือเคลื่อนที ่ของระบบเครื่องกล<br />
โดยทั่วไปแล้วเทคโนโลยีระบบไฟฟ้าเครื่องกล<br />
จุลภาค จะหมายรวมถึง เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้อง<br />
กับวัสดุหรือกระบวนการที่ใช้ในการสร้าง<br />
ชิ้นส่วน MEMS หรือการประกอบรวมชิ้น<br />
ส่วน MEMS ตลอดจนการประยุกต์ใช้อุปกรณ์<br />
ที่เป็น MEMS นอกจากนี้ ระบบขนาดเล็ก<br />
(Microsystem) จำพวก microchemical<br />
reactor หรือ microthermal system และ<br />
รูปที่๑ แนวโน้มอุตสาหกรรม MEMS<br />
smart material ซึ่งถูกใช้ในลักษณะของ<br />
เครื่องตรวจจับ (sensor) หรือแหล่งกำเนิด<br />
พลังงาน (power source) จะจัดเป็น MEMS<br />
ด้วยเช่นกัน<br />
ในทางทหารนั้น เทคโนโลยีระบบไฟฟ้า<br />
เครื่องกลจุลภาค มีส่วนสำคัญในการพัฒนา<br />
ยุทโธปกรณ์เพื่อใช้ในกองทัพมากมายหลาย<br />
ประเภท ยกตัวอย่างเช่น เทคโนโลยีกระสุน<br />
ปัจจุบันเทคโนโลยีกระสุนส่วนใหญ่จะตั้งเป้า<br />
ไปที่การพัฒนาให้มีความแม่นยำสูง (High-<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
precision Ammunition) เพื่อให้บรรลุผล<br />
ดังกล่าวจะต้องอาศัยเทคโนโลยีด้านการ<br />
ข่าว (Intelligence) การนำวิถี (Guidance)<br />
และการควบคุม (Terminal Control)<br />
Power MEMS Technology 2 สามารถ<br />
นำมาใช้กับระบบนำวิถีและระบบควบคุมของ<br />
กระสุนความแม่นยำสูง หรือการประยุกต์ใช้<br />
Microthruster ที่อาศัยเทคโนโลยี MEMS<br />
ในส่วนควบคุมการนำทาง (guidance control)<br />
สำหรับอาวุธนำวิถี ซึ่งจะมีส่วนช่วยอย่างมาก<br />
ในเรื่องของการขยายระยะยิงและในขณะ<br />
เดียวกันจะสามารถลดขนาดและน้ำหนักของ<br />
กระสุนและอาวุธนำวิถีได้อีกด้วย<br />
ระบบ ESA (Electronically Steerable<br />
Antenna) ที่ใช้กับระบบเรดาร์ทางทหาร<br />
เป็นอีกหนึ่งระบบที่ต้องใช้ MEMS สวิทช์<br />
รูปที่ ๒ การพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่ใช้เทคโนโลยี MEMS (ที่มา Yole Research)<br />
๒ Power MEMS Technology จะหมายถึง เทคโนโลยี<br />
ขนาดจุลภาคที่เกี่ยวข้องกับการผลิตพลังงาน (power<br />
generation) และการแปรสภาพพลังงาน (energy<br />
conversion)<br />
รูปที่ ๓ ระบบกระสุนความแม่นยำสูงที่ต้องใช้ Microthruster Chip<br />
รูปที่ ๔ Thurster Chip ที่อาศัย<br />
เทคโนโลยี MEMS ผลงานวิจัยและ<br />
พัฒนาของ DARPA สหรัฐอเมริกา<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
41
รูปที่ ๕ ระบบ ESA ที่ใช้ MEMS switch (ที่มา MEMS Journal)<br />
รูปที่ ๖ ระบบ Land Warrior ของสหรัฐอเมริกา ซึ่งประกอบด้วย อาวุธประจำกาย<br />
หมวกเหล็ก คอมพิวเตอร์ระบบสื่อสารแบบดิจิตอลและเสียง ระบบระบุตำแหน่งพิกัด เครื่อง<br />
แบบพร้อมเครื่องป้องกัน และยุทโธปกรณ์ประจำตัว<br />
จำนวนหลายพันอันต่อหนึ่งระบบ ซึ่งคุณสมบัติ<br />
ที่สำคัญคือมีน้ำหนักเบา ใช้พลังงานน้อย<br />
และค่าใช้จ่ายต่ำ เมื่อเปรียบเทียบกับระบบ<br />
Mechanically Gimbaled Antenna<br />
ระบบ Land Warrior ซึ่งเป็นระบบที่ผนวก<br />
รวมอาวุธและยุทโธปกรณ์ประจำกายทหารราบ<br />
ทั้งหมดเข้าด้วยกันและอาศัยเทคโนโลยีที่<br />
ก้าวหน้าเพื่อช่วยเพิ่มขีดความสามารถและ<br />
ประสิทธิภาพของทหารเป็นรายบุคคลตั้งแต่<br />
การตระหนักรู้ถึงสถานการณ์ ขีดความสามารถ<br />
ในการสร้างความเสียหายต่อข้าศึก และความ<br />
อยู่รอดในสนามรบ เนื่องจากระบบทั้งหมดจะ<br />
เป็นสิ่งที่อยู่บนตัวของทหาร ขนาดและน้ำหนัก<br />
จึงเป็นปัจจัยสำคัญยิ่ง เทคโนโลยี MEMS จึงเป็น<br />
ส่วนประกอบสำคัญของระบบอย่างหลีกเลี่ยง<br />
ไม่ได้<br />
เห็นได้ชัดว่า ระบบ MEMS เป็นเทคโนโลยี<br />
แบบ dual use กล่าวคือสามารถใช้งานได้ทั ้ง<br />
ทางทหารและในเชิงพาณิชย์ และมีการพัฒนา<br />
อย่างต่อเนื่อง ฉะนั้นจึงมีระบบ MEMS แบบ<br />
ต่างๆ ให้เลือกใช้ในท้องตลาด ดังนั้นการเลือก<br />
ใช้ MEMS ในลักษณะ COTS (Commercialof-the-Shelf)<br />
จึงเป็นเรื่องปกติในการวิจัย<br />
และพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศของ<br />
หน่วยงานต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งหมายรวมถึงสถาบัน<br />
เทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน)<br />
ด้วยเช่นกัน ดังนั้นการคอยติดตามสถานภาพ<br />
และความก้าวหน้าของเทคโนโลยี MEMS<br />
จึงเป็นสิ่งที่ควรดำเนินการอย่างต่อเนื่อง<br />
42<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ
รูปที่ ๗ ระบบ Advanced Soldier System ของญี่ปุ่น<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
43
การบริหารอำนาจ<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์<br />
อำนาจเป็นเครื่องมือหลักในการนำ<br />
และบริหารคน ทีมและระบบ ซึ่งผู้นำทุกคน<br />
ต้องเข้าใจและเรียนรู้เพราะไม่มีการสอน<br />
ในหลักสูตรตามมหาวิทยาลัยใดๆ มีแต่คำกล่าว<br />
ไว้ว่าอำนาจเป็นสิ่งที่มีคุณมากและโทษก็มาก<br />
ด้วยเช่นกัน มันช่วยให้ผู้นำทำงานได้สำเร็จ<br />
ขณะเดียวกันมันก็ก่อให้เกิดการเสพติด<br />
หลงตน ประมาทและเสียคนมามากนักต่อนัก<br />
จากประวัติศาสตร์ทำให้เราเรียนรู้ได้อย่างดี<br />
ว่าผู้ที่มีอำนาจแล้วไม่รู้จักใช้หรือหลงอำนาจ<br />
และใช้อย่างไม่เหมาะสม ล้วนนำมาซึ่งหายนะ<br />
อำนาจที่ผู้นำจะต้องบริหารให้ได้มีองค์ประกอบ<br />
หลายประการ ได้แก่ สัมพันธภาพระหว่างอำนาจ<br />
44<br />
ในตนเอง อำนาจจากการยอมรับ และอำนาจ<br />
ตามตำแหน่ง สัมพันธภาพระหว่างอำนาจที่<br />
ผู้นำต้องรับผิดชอบโดยตรง และอำนาจที่ผู้นำ<br />
ต้องร่วมรับผิดชอบหากผู้นำสามารถบริหาร<br />
ระบบเหล่านี้ได้ด้วยดี อำนาจจะเป็นเครื่องมือที่<br />
ทรงประสิทธิภาพของผู้นำ แต่หากบริหารไม่ได้<br />
อำนาจจะเป็นอาวุธร้ายทำลายตัวผู้นำเอง<br />
หากแบ่งอำนาจออกเป็น ๓ อย่าง คือ<br />
อำนาจในตัวเอง อำนาจจากการยอมรับและ<br />
อำนาจตามตำแหน่งแล้ว อำนาจในตัวเอง<br />
จะเป็นด่านแรกของการสร้างอำนาจอื่นๆ หาก<br />
ใครก็ตามไม่มีอำนาจตรงนี้จะเป็นเรื่องยาก<br />
มากที่จะได้รับอำนาจอื่นๆ หรือหากได้มาก็ไม่<br />
สามารถรองรับหรือรักษาไว้ได้ ผู้นำที่มีอำนาจ<br />
มากนั้นใจต้องใหญ่ จิตต้องชำนาญ กรรมต้อง<br />
สนับสนุน ความสัมพันธ์ต้องเอื้ออำนวยและ<br />
ร่างกายต้องอยู่ในการควบคุม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง<br />
ความสัมพันธ์ระหว่างจิตกับใจต้องยอดเยี่ยม<br />
เพราะเมื่อจิตกับใจทำงานร่วมกันเป็นความ<br />
นึกคิดแล้วจะมีพลังบังคับความอยากและ<br />
ไม่อยาก รวมถึงอารมณ์ที่เป็นตัวก่อได้ทั้งความ<br />
สุขและความทุกข์<br />
สำหรับ อำนาจจากการยอมรับ เกิดจาก<br />
หลายตัวแปรประกอบกัน อาทิ ความเข้าใจ<br />
ผู้คนในทุกสถานการณ์ การยอมรับที่กว้างขวาง<br />
การสร้างบุญคุณ ความเป็นผู้มีผลงานแห่ง<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์
ความสำเร็จชัดเจน มีมนุษยสัมพันธ์เป็น<br />
กันเองแต่เป็นอิสระ การเป็นกุญแจสำคัญ<br />
ทางข้อมูลหรือสายงาน และความมียุทธวิธีที่<br />
เหมาะสมกับทุกฝ่าย ปัญหาใหญ่ของโลกทุกวันนี้<br />
คือความไม่เข้าใจกัน ก่อให้เกิดสิ่งต่างๆ ต่อเนื่อง<br />
ตามมามากมาย เช่น การคิดผิด การตัดสินใจ<br />
ผิดพลาด การพูดผิด การปฏิบัติการผิดพลาด<br />
ความไม่สมานสามัคคี ความไม่ร่วมมือ การ<br />
กล่าวหา ความบาดหมาง ความแตกแยก การตั้ง<br />
ตนเป็นศัตรูและสงครามนานารูปแบบ หากทุกคน<br />
เรียนรู้ที่จะเข้าใจตนเองและหันมาทำความ<br />
เข้าใจกันและกัน ปัญหาทั้งหลายก็จะหายไป<br />
เกิดพลังสร้างสรรค์สิ่งที่ดีงามยังประโยชน์แก่<br />
ทุกฝ่ายได้สมควร ใครก็ตามที่มีความเข้าใจ<br />
ผู้อื่นยิ่งมากเท่าใดก็จะทำให้เป็นที่รักมากเท่านั้น<br />
อย่างน้อยๆ ผู้นำจะต้องหมั่นเข้าใจผู้อื่นอยู่<br />
เสมอ เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ ทุกคนอยาก<br />
เป็นคนดีแม้จะยังดีไม่ได้ทั ้งหมด มนุษย์ทุกคน<br />
อยากเก่งแม้จะเก่งไม่ได้อย่างที่อยากก็ตาม<br />
มนุษย์ทุกคนอยากเป็นที่รักแม้เขาจะยังรัก<br />
คนอื่นไม่เป็นก็ตาม มนุษย์ทุกคนต้องการการ<br />
พัฒนาตนเอง<br />
การเป็นผู้นำที่ได้รับการยอมรับอย่าง<br />
กว้างขวาง มีหลักง่ายๆ อยู่ว่า จงยอมรับผู้อื่น<br />
แล้วผู้อื่นจะยอมรับท่าน แต่การยอมรับคน<br />
นั้นไม่ได้หมายความว่าจะต้องยอมรับทุกสิ่ง<br />
ในตัวเขาเพราะธรรมดามนุษย์มีทั้งกิเลสตัณหา<br />
ปัญญา คุณธรรมและความโง่กันถ้วนหน้า ใน<br />
ฐานะผู้นำย่อมมีหน้าที่ที่จะต้องพาทุกคนไปสู่<br />
สภาวะที่ดีขึ้น ซึ่งการจะพาใจดวงใดของใครไป<br />
สู่สภาวะที่ดีขึ้นได้จะต้องทำให้เขายอมรับเรา<br />
เชื่อฟังเรา เราจึงจะนำเขาได้ เขาจะยอมรับ<br />
เราก็เมื่อเรายอมรับเขา หากเราดูหมิ่นเหยียด<br />
หยามเขาแล้วก็จะมีแต่เป็นศัตรูทำลายล้างกัน<br />
และตกต่ำกันทั้งคู่ แต่ถ้าเรายอมรับเขาและ<br />
เขายอมรับเราก็จะเป็นการยกระดับกันและ<br />
กัน เป็นประโยชน์สุขกันทุกฝ่าย เมื่อคิดจะเป็น<br />
ผู้นำให้ยิ่งใหญ่ต้องยอมรับชนทุกชั้น ทุกเพศวัย<br />
ทุกระดับการศึกษา ทุกศาสนา ทุกรายได้<br />
นอกจากนี้ ผู้นำที่จะได้รับการยอมรับ<br />
และมีอำนาจเหนือผู้อื่นจะต้องรู้จักการสร้าง<br />
บุญคุณ บุญคุณเป็นหนี้ชนิดหนึ่งซึ่งมักจะต้อง<br />
ชดใช้ด้วยกลไกกรรมเพราะคนส่วนใหญ่ยังมี<br />
ความเชื่อว่า หากไม่ใช้หนี้บุญคุณจะไม่เจริญ<br />
คนที่เป็นหนี ้บุญคุณใครจึงมักจะเกิดสำนึกที่<br />
จะทดแทน ดังนั้นหากเลือกทำความดีกับคน<br />
ที่มีแนวโน้มกตัญญูก่อนจะยังความเจริญแก่<br />
ทุกฝ่าย หากผู้นำได้สร้างบุญคุณแก่คนไว้มาก<br />
ย่อมมีผู้ยินดีพลีตนเพื่อเขามากและยอมรวม<br />
พลังทำการใหญ่ได้ ส่วนคนใจแคบไม่สร้างบุญคุณ<br />
กับคนอื่นจึงไม่มีใครยินดีทำอะไรเพื่อเขา<br />
สั่งก็แล้ว ให้รางวัลก็แล้ว ไม่มีใครตั้งใจทำ หรือ<br />
ทำก็สักแต่ว่าทำอย่างไม่เต็มใจ ผู้นำที่ยิ่งใหญ่<br />
ย่อมยินดีช่วยคนยามเดือดร้อนจึงได้บริวารที่<br />
ภักดีโดยง่าย แต่นักประจบสอพลอมักพยายาม<br />
ช่วยคนเวลาเขาได้ดี พวกนี้เป็นเพียงมิตรเทียม<br />
ส่วนพวกดูหมิ่นเหยียดหยามและไร้น้ำใจต่อคน<br />
เดือดร้อน ไร้เมตตา ยากที่จะมีโอกาสเป็นผู้นำ<br />
ที่ยิ่งใหญ่ ผู้นำที่กำลังได้ดีควรรีบใช้โอกาสสร้าง<br />
บุญคุณอันยิ่งใหญ่แก่ผองชน<br />
การสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นจะเป็น<br />
อีกปัจจัยที่สำคัญต่อการยอมรับอีกประการ<br />
หนึ่ง ความสำเร็จที่มีคุณค่า มีตั้งแต่การค้นคว้า<br />
สร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆ ที่มีประโยชน์ ความสำเร็จ<br />
ที่คนจำนวนมากปรารถนา ความสำเร็จที่สำเร็จ<br />
ได้ยากและความสำเร็จที่ยังความพึงพอใจ<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
45
ให้กับคนทั้งหลาย ไม่ต้องเสียเวลาไปเรียกร้อง<br />
ให้คนสนใจหรือยอมรับ แต่ให้ก้มหน้าก้มตา<br />
สร้างความสำเร็จอย่างชาญฉลาด<br />
ผู้นำในยุคประชาธิปไตยยังต้องสร้าง<br />
ความเป็นกันเอง ไม่ถือตัว ตระหนักรู้ถึง<br />
ความต่างของคนทั้งในด้านความเชื่อและต่าง<br />
วัฒนธรรม รู้จักจำแนกความนิยม ความเชื่อ<br />
ความหลงใหลของแต่ละคนและแต่ละ<br />
ชุมชน เพื่อจะได้มีปฏิสัมพันธ์อย่างเหมาะสม<br />
หลักกว้างๆ คือ การยอมรับความแตกต่าง<br />
ประนีประนอมศักดิ์ศรี จรรโลงความดีและ<br />
ประสานประโยชน์ทุกฝ่าย ผู้นำจะต้องไม่ยึด<br />
สิ่งใดสิ่งหนึ่งอย่างสุดโต่งแต่พร้อมพิจารณา<br />
สิ่งใหม่ๆ และกลั่นกรอง ผสมผสานกับสิ่งเก่าๆ<br />
ให้ลงตัว<br />
อำนาจสุดท้าย คือ อำนาจตามตำแหน่ง<br />
ซึ่งถือเป็นอำนาจที่มาพร้อมกับหน้าที่และ<br />
ความรับผิดชอบ แต่ละความรับผิดชอบจะถูก<br />
กำหนดให้มีอำนาจในการตัดสินใจ เป็นอำนาจ<br />
ตามกฎหมาย หรือข้อตกลงที่ผู้นำที่ดำรง<br />
ตำแหน่งนั้นสามารถใช้ได้ หากไม่ใช้อาจเข้า<br />
ข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ อำนาจประเภทนี้<br />
มีความชัดเจนตามกฎหมาย ผู้คนจึงพยายาม<br />
ไล่ล่าเพื่อให้ได้มา แต่อำนาจตามตำแหน่งย่อมมี<br />
องค์ประกอบของมัน ได้แก่ความเป็นผู้มีความรู้<br />
ความสามารถพิเศษตรงตามตำแหน่ง การ<br />
แสดงบทบาทที่เหมาะสมกับหน้าที่ มีความรับ<br />
ผิดชอบ มีความสัมพันธ์อันพอดีกับผู้เกี่ยวข้อง<br />
ความเป็นที่เข้าใจได้รับความเห็นชอบ หรือ<br />
ฉันทานุมัติจากผู้มีอำนาจ<br />
อำนาจที่มนุษย์มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นอำนาจ<br />
ในตัวเองที่สั่งสมมา อำนาจจากการยอมรับ หรือ<br />
อำนาจจากหน้าที ่และตำแหน่ง ขึ้นอยู่กับการ<br />
รู้จักใช้อย่างชาญฉลาด เพราะเป็นดาบสองคม<br />
ใช้ดีก็เป็นสุขถ้วนหน้า หากไม่ดีก็อันตราย<br />
หันมาทำลายตนและครอบครัวได้ ผู้นำจึงควร<br />
ยึดหลักการใช้อำนาจโดยใช้ตามข้อตกลงแห่ง<br />
ความรับผิดชอบ ใช้อย่างไม่มีอารมณ์ ใช้เพื่อ<br />
ประโยชน์สุขของทุกฝ่าย ใช้อย่างสอดคล้อง<br />
กับกฎระเบียบ และหลักคุณธรรม ใช้อย่างรู้<br />
ชัดในผลต่อเนื่อง ใช้อย่างสมดุลระหว่างอำนาจ<br />
แต่ละประเภทที่พึงมี ใช้อย่างพอดีในสัมพัทธ์<br />
กับอำนาจของผู้อื่น อย่าใช้อำนาจทำให้ผู้อื่น<br />
เดือดร้อนโดยไม่จำเป็น ใช้อำนาจอย่างตระหนัก<br />
ว่าเป็นสิ่งที่คนมอบให้ นั่นหมายความว่า<br />
จงใช้อำนาจเพื่อประโยชน์ของคนทั้งหลาย หาก<br />
ไม่สามารถควรคืนอำนาจนั้นกลับไป เพราะ<br />
ประชาชนส่วนใหญ่ได้มอบอำนาจให้ชั่วคราว<br />
เพื่อกอปรภารกิจที่ยังประโยชน์แก่เขา หาก<br />
เขาคิดว่าผู้อื่นจะทำให้เขาได้ดีกว่า เขาก็อาจ<br />
ทวงอำนาจนั้นไปให้คนอื่นได้เป็นเช่นนี้ทุกยุค<br />
ทุกสมัย ดังนั้นการได้มาซึ่งอำนาจ และการ<br />
สูญเสียอำนาจ หรือการถ่ายโอนอำนาจจึงเป็น<br />
เรื่องปกติธรรมดาที่ผู้นำต้องเข้าใจ และทำใจ<br />
ไม่ได้ คำแนะนำสำหรับผู้นำก็คือ เมื่อถึงเวลา<br />
ควรเปลี่ยนแปลง จงยินดีปรับเปลี่ยนก่อนที่<br />
จะต้องจำใจเปลี่ยน จะเป็นการฉลาดและ<br />
สง่างามกว่า<br />
การรักษาอำนาจเป็นอีกขั้นตอนหนึ่ง<br />
ที่ยาก คงเคยได้ยินคำกล่าวว่า การได้มาซึ่ง<br />
อำนาจนั้นยาก แต่การรักษาอำนาจ ยิ่งยากเสีย<br />
กว่า ผู้นำพึงรู้วิธีรักษาอำนาจทุกประเภทที่มีอยู่<br />
แล้วใช้ให้มั่นคงและเจริญงอกงามโดยคำนึงถึง<br />
ความมั่นคงในระเบียบวินัย ความไม่กระทบตน<br />
ไม่กระทบคนอื่นโดยไม่จำเป็น การรักษาไว้<br />
ซึ่งส่วนรวม ความสม่ำเสมอในการปฏิบัติงาน<br />
ความมีสติสัมปชัญญะอยู่ตลอดเวลา ความมี<br />
ระบบดุลอำนาจอย่างเหมาะสม<br />
ต่อจากนั้น ผู้นำยังต้องพัฒนาอำนาจที่มี<br />
อยู่เพื่อให้สามารถประกอบภารกิจได้มากขึ้น<br />
ด้วยการเพิ่มความเข้มข้นขององค์ประกอบ<br />
แห่งอำนาจ ยังความพึงพอใจในปัจจุบันและ<br />
46<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์
สร้างความหวังที่ชัดเจนในอนาคต ดูดรับพลัง<br />
สัมพันธภาพในระบบอำนาจสัมพัทธ์ และการ<br />
พัฒนาระบบอำนาจอย่างไม่หยุดยั้ง เพราะ<br />
ทุกอย่างมีเกิดขึ้น เจริญเติบโต เสื่อมสลาย<br />
ไปในที่สุด รวมทั้งภาวะอำนาจของผู้นำ แต่<br />
ก่อนจะสลาย จุดสูงสุดไปได้แค่ไหนขึ้นอยู่กับ<br />
การพัฒนา ดังนั้นเมื่อมีอำนาจแล้วต้องรู้จัก<br />
พัฒนาให้เต็มที่ ให้สมบูรณ์ที่สุดเท่าที่จะทำได้<br />
ยิ่งอำนาจมากเท่าใดก็ยิ่งสร้างความสำเร็จ<br />
ยิ่งใหญ่ได้มากและง่ายเท่านั้น กล่าวว่าอำนาจ<br />
คือเครื่องมือในการนำ มีอำนาจมากก็มีเครื่องมือ<br />
พร้อมใช้ มีอำนาจน้อยก็ขาดแคลนอุปกรณ์<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
การนำ ไม่มีอำนาจเลยก็นำใครไม่ได้หรือได้<br />
เพียงเล็กน้อย ยากจะประสบความสำเร็จ<br />
คำแนะนำจึงมีอยู่ว่า อย่ารังเกียจอำนาจ<br />
มันเป็นสิ่งจำเป็นต่อผู้นำ แต่อย่าหลงใหลอำนาจ<br />
เพราะเครื่องมือมีไว้ให้ใช้ไม่ได้มีไว้ให้หลง<br />
ขั้นตอนสุดท้ายของผู้นำคือ การมีตัวช่วย<br />
ร่วมรับผิดชอบ ยิ่งภารกิจใหญ่มากเท่าไรก็ยิ่ง<br />
ต้องการคนช่วยและร่วมรับผิดชอบมากเท่านั้น<br />
อำนาจเป็นสิ่งที ่คนมักแย่งชิงกันอยู่เนืองๆ ใน<br />
องค์กรใหญ่ ดังนั้นผู้นำต้องมีระบบการมอบ<br />
อำนาจที่เหมาะสมโดยจัดเป้าหมายภาระ<br />
หน้าที่หรือตำแหน่ง คุณสมบัติของผู้ที่ควรได้รับ<br />
อำนาจชุดหนึ่งๆ ขอบเขตความรับผิดชอบ<br />
และการตัดสินใจ ระบบการตรวจสอบ<br />
การใช้อำนาจ และระยะเวลาแห่งการใช้<br />
อำนาจ<br />
ที่สำคัญสิ่งที่ไม่ควรมองข้ามเลยคือ ผู้นำ<br />
ควรสร้างระบบการสละอำนาจด้วย ตั้งแต่การ<br />
สร้างทายาท สืบต่ออำนาจ เพราะผู้นำคนหนึ่ง<br />
ไม่สามารถสืบทอดอำนาจตลอดไปได้ หากไม่มี<br />
ระบบทายาทรองรับไว้ อาจเกิดผลเสียหายต่อ<br />
ภารกิจขององค์กรได้ ผู้นำที่มีทายาทสืบทอด<br />
ที่ดีเท่านั้นจักยิ่งใหญ่และดำรงอุดมการณ์ให้<br />
ดำเนินสืบไป<br />
การสละอำนาจอย่างเหมาะสมก่อนที่มี<br />
ความจำเป็นบีบบังคับ จะทำให้ผู้นำก้าวสู่ฐานะ<br />
ที่เหมาะสม อย่าครองอำนาจในสถานการณ์<br />
ไม่เหมาะสมต่อไป จะสร้างความเสียหาย<br />
ทั้งแก่ตนเองและหมู่คณะ หมดโอกาสก้าวหน้า<br />
และอาจพบกับความตกต่ำ ปิดฉากอย่างไม่<br />
คาดฝันได้<br />
ไม่มีใครอยู่ค ้ำฟ้า ผู้นำต้องพร้อมสละ<br />
อำนาจ เมื่อสละแล้วก็จะพบกับความเจริญ<br />
สืบไป<br />
ทั้งหมดนี้คือ ศาสตร์แห่งอำนาจ ที่ผู้นำ<br />
ในทุกภาคส่วน ควรเรียนรู้และทำความเข้าใจ<br />
เพื่อให้ได้ชื่อว่า เป็นผู้นำที่พึงปรารถนา<br />
47
การสถาปนาราชธานี<br />
กรุงหงสาวดีใหม่ ๒๑๕๖<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์<br />
48<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
ภาพวาด ฟิลิป เดอ บริโต นิโคเต ชาวโปรตุเกสเป็นเจ้าเมืองสิเรียม (Syriam) ในยุคที่สอง<br />
ของอาณาจักรพม่าแห่งราชวงศ์ตองอูห้วงปี พ.ศ.๒๑๔๒-๒๑๕๖ นาน ๑๓ ปี เป็นห้วงหนึ่ง<br />
ของประวัติศาสตร์พม่า ที่มีชาวต่างชาติเป็นเจ้าเมือง<br />
อ<br />
าณาจักรพม่าอยู่ในห้วงช่วงชิง<br />
ความเป็นใหญ่ ระหว่างราชวงศ์<br />
ตองอูที่เป็นเชื้อสายพระเจ้า<br />
บุเรงนอง (King Bayinnaung) พระเจ้ากรุง<br />
อังวะ (Ava) ทรงมีกองทัพขนาดใหญ่เมื่อ<br />
ครอบครองเมืองทางด้านเหนือจึงมีกำลังทหาร<br />
เพิ่มมากขึ้น จึงยกกองทัพลงใต้สู่เมืองสิเรียม<br />
ปากแม่น้ำอิระวดี เป็นการปิดล้อมเมืองครั้งใหญ่<br />
อีกครั้งหนึ่ง มีการต่อสู้อย่างรุนแรงแต่สามารถ<br />
ยึดเมืองสิเรียมได้สำเร็จ อาณาจักรพม่าแห่ง<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
กรุงอังวะ เริ ่มต้นมีอำนาจเหนือเมืองต่างๆ<br />
แห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดี บทความนี้ กล่าวถึง<br />
การสถาปนาราชธานีกรุงหงสาวดีใหม่ พ.ศ.<br />
๒๑๕๖<br />
กล่าวทั่วไป<br />
พระเจ้ากรุงอังวะ (Anaukpetlun Min)<br />
ทรงยกกองทัพใหญ่ลงมาทางด้านใต้ได้เข้าล้อม<br />
เมืองสิเรียม แต่กำแพงเมืองสิเรียมมีความ<br />
มั่นคงล้อมเมืองอยู่นานแม้ว่าจะทุ่มกำลังทหาร<br />
เข้าตีหลายครั้งก็ยังไม่สามารถที่จะหักเข้า<br />
เมืองได้ ในที่สุดสามารถเข้ายึดได้เมืองสิเรียม<br />
เมื่อเดือน ๕ ขึ้น ๗ ค่ำปีฉลู พ.ศ.๒๑๕๖ ทหาร<br />
พม่าสามารถจับกุมเจ้าเมืองสิเรียม และเจ้า<br />
เมืองตองอู (นัดจินหน่อง) พระเจ้ากรุงอังวะ<br />
แห่งพม่ามีรับสั่งให้ประหารชีวิตทั้งสองคน<br />
เมื่อรบชนะศึกที่เมืองสิเรียม ปี พ.ศ.๒๑๕๖<br />
ได้รับการยกย่องว่าเป็นกษัตริย์พม่าแห่ง<br />
ราชวงศ์ตองอูอย่างแท้จริง พระเจ้ากรุงอังวะ<br />
(Anaukpetlun Min) มีพระอนุชารวม<br />
๒ พระองค์ ประกอบด้วย พระเจ้าทาลุนและ<br />
มังรากะยอชวา (เจ้าเมืองอังวะ)<br />
การสถาปนาราชธานีหงสาวดีใหม่<br />
๒๑๕๖<br />
เมื่อชนะศึกเมืองสิเรียม พ.ศ.๒๑๕๖<br />
พระเจ้ากรุงอังวะมีอำนาจเหนือเมืองต่างๆ<br />
แห่งลุ่มแม่น้ำอิระวดี พระองค์ทรงย้าย<br />
ราชธานีจากกรุงอังวะ กลับมายังกรุงหงสาวดี<br />
ราชธานีเก่าที่ถูกทิ้งร้างมาตั้งแต่สมัยของ<br />
49
ภาพวาดพระราชวังหลวงกรุงหงสาวดีห้วงที่อยู่ในยุครุ่งโรจน์ แห่งราชวงศ์ตองอูอาณาจักรพม่าในยุคที่ ๒<br />
พระเจ้านันทบุเรง (Nanda Bayin) ได้เสด็จ<br />
ไปประทับที่เมืองตองอูเพื่อจะหนีกองทัพใหญ่<br />
กรุงศรีอยุธยาที่มีจอมทัพคือ สมเด็จพระ<br />
นเรศวร พระราชวังกรุงหงสาวดีถูกกองทัพ<br />
เมืองยะไข่เผาทำลายได้รับความเสียหาย<br />
อย่างหนักเหลือเพียงแต่ซากเมือง (เมืองถูก<br />
ทิ้งร้างนาน ๑๔ ปี) พระเจ้ากรุงอังวะ<br />
(Anaukpetlun Min) ทรงสร้างได้แต่พลับพลา<br />
ที่ประทับแต่ไม่สามารถที่จะบูรณะพระราชวัง<br />
ให้เหมือนเดิมอย่างในอดีตได้ (ใช้งบประมาณ<br />
ในท้องพระคลังเป็นจำนวนมากพร้อมด้วย<br />
ช่างฝีมือเป็นจำนวนมาก แต่ห้วงการรบอัน<br />
ยาวนานจึงเป็นข้อจำกัดอย่างมาก) เพื่อให้<br />
กรุงหงสาวดีเป็นศูนย์กลางอำนาจการปกครอง<br />
ของอาณาจักรพม่า พระองค์ทรงเริ่มต้นขยาย<br />
อาณาเขตภายในอาณาจักรเพื่อรวมให้เป็นหนึ่ง<br />
เดียวเป็นผลให้มีกองทัพขนาดใหญ่ที่เข้มแข็ง<br />
ทรงเริ่มต้นขยายอาณาจักรไปทางหัวเมือง<br />
มอญทางตอนใต้และสามารถรวบรวมมอญทาง<br />
ตอนใต้ไว้ในอำนาจ ทรงยกกองทัพพร้อมด้วย<br />
ทหาร ๔๐,๐๐๐ นาย เข้าตีเมืองทวายแตกและ<br />
ยกกองทัพเข้าตีเมืองตะนาวศรีโดยการปิดล้อม<br />
เมือง (เมืองขึ้นของกรุงศรีอยุธยา) แต่ก็ถูก<br />
กองทัพอยุธยาพร้อมด้วยทหารอาสาโปรตุเกส<br />
(๔๐ นาย เพื่อต้องการแก้แค้นแทน ฟิลิป เดอ<br />
บริโต นิโคเต) ต้านทานไว้ได้และสามารถตี<br />
กองทัพพระเจ้าอังวะ ให้ถอยกลับไปได้<br />
กรุงหงสาวดี (Hanthawaddy) ตั้งอยู่<br />
ทางด้านฝั่งตะวันออกของแม่น้ำพะโค เป็น<br />
ราชธานีของมอญมาในอดีตก่อนที่จะเป็น<br />
ราชธานีของอาณาจักรพม่าแห่งราชวงศ์ตองอู<br />
ในสมัยพระเจ้าตะเบงชะเวตี้ปี พ.ศ.๒๐๘๒<br />
หงสาวดีเจริญรุ่งเรืองถึงที่สุดในสมัยพระเจ้า<br />
บุเรงนอง ทรงสร้างพระราชวังมีชื่อเรียกว่า<br />
กัมโพชธานีมีขนาดใหญ่มากมีประตูเมืองทาง<br />
เข้าออกถึง ๑๐ ประตู โดยใช้ช่างจากเมืองขึ ้น<br />
(รวมถึงอยุธยาและเชียงใหม่) มาทำการ<br />
ก่อสร้างกรุงหงสาวดีมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่เมืองคือ<br />
พระธาตุมุเตา (พระธาตุชเวมอดอ)<br />
เมื่อเดือน ๑๑ พ.ศ.๒๑๕๗ พระเจ้ากรุงอังวะ<br />
ทรงยกกองทัพจากเมืองเมาะตะมะขึ้นเหนือ<br />
สู่เมืองล้านนา (เชียงใหม่) ที่มีความวุ่นวาย<br />
เมื่อกองทัพพม่าเดินทัพถึงเมืองลำพูนพระเจ้า<br />
เชียงใหม่ สะโดะยอ ทรงทิ้งเมืองเชียงใหม่<br />
กวาดต้อนผู้คนไปยังเมืองลำปาง ต้องทำการรบ<br />
เป็นเวลานานในที่สุดพระเจ้าเชียงใหม่<br />
สิ้นพระชนม์ขณะทำสงครามขุนนางทั้งปวงจึง<br />
ยอมแพ้ พระเจ้ากรุงอังวะ ทรงตั้งพระยาน่าน<br />
เป็นพระเจ้าเชียงใหม่แล้วทรงยกกองทัพกลับสู่<br />
กรุงหงสาวดี เมื่อกองทัพพม่ากลับไปแล้วเมือง<br />
ล้านนา (เชียงใหม่) ก็กลับมาขึ้นกับอาณาจักร<br />
กรุงศรีอยุธยาศูนย์กลางอำนาจการปกครอง<br />
อีกครั้งหนึ่ง ปี พ.ศ.๒๑๗๑ พระเจ้ากรุงอังวะ<br />
ถูกพระราชโอรสคือมังเรทิป (Minyedeippa)<br />
ลอบปลงพระชนม์ พระองค์ทรงอยู่ในราช<br />
สมบัตินาน ๒๓ ปี (พ.ศ.๒๑๔๘ - ๒๑๗๑) ทรง<br />
เป็นพระราชนัดดาของพระเจ้าบุเรงนอง<br />
50<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
บทสรุป<br />
อาณาจักรพม่าหลังสิ้นพระชนม์<br />
ของพระเจ้านันทบุเรงเป็นผลให้มี<br />
การแย่งชิงความเป็นใหญ่ระหว่าง<br />
ราชวงศ์<br />
ราชวงศ์ตองอู พระเจ้ากรุงอังวะ<br />
(Anaukpetlun Min) ทรงสามารถที่จะ<br />
รวบรวมเมืองต่างๆ ภายในอาณาจักร<br />
ให้เป็นหนึ่งเดียว ทรงย้ายราชธานี<br />
มาอยู่ที่กรุงหงสาวดี (Hanthawaddy)<br />
เพื่อให้เป็นศูนย์กลางของอำนาจการ<br />
ปกครองที่เคยรุ่งโรจน์ในสมัยพระเจ้า<br />
บุเรงนองแต่อาณาจักรพม่าไม่เคยกลับ<br />
มายิ่งใหญ่อย่างในอดีตอีกเลย<br />
ภาพวาด ฟิลิป เดอ บริโต นิโคเต เจ้าเมืองสิเรียม (Syriam) ที่ถูกจับได้เมื่อเมืองถูกตีแตกโดยกองทัพพม่าแห่งกรุงอังวะ<br />
(Anaukpetlun Min) ถูกประหารชีวิตโดยการตรึงกางเขน ขณะมีอายุ ๔๗ ปี<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
51
Is a three–bedroom<br />
apartment available?<br />
พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ<br />
เป็นนักศึกษาทุน<br />
DC หรือ Defence Coopertio<br />
ช่วงที่ผู้เขียน<br />
ซึ่งเรียนปริญญาโทที ่เครือรัฐ<br />
ออสเตรเลียนั้น ประสบการณ์หนึ่งที่น่าตื่นเต้น<br />
ก่อนเริ่มเรียนในมหาวิทยาลัยคือ การหา<br />
บ้านเช่าให้ได้ก่อนเปิดภาคการเรียน และ<br />
ด้วยความที่ผู้เขียนเคยชินกับระบบไทยๆ อยู่<br />
กับบ้านตัวเองมาตลอดชีวิต และไม่เคยคิดว่า<br />
ตัวเองจะต้องไปหาบ้านเช่าที่มีฝรั่งเป็นเจ้าของ<br />
จะต้องสอบถามรายละเอียด เครื่องใช้ต่างๆ<br />
ภายในบ้าน และจะต้องทำสัญญาเช่าต่างๆ นาๆ<br />
การใช้ภาษาอังกฤษเพื่อเจรจาต่อรองและคุย<br />
กันให้เข้าใจจริงๆ ก่อนย้ายเข้าไปอยู่ในบ้าน<br />
จึงไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับนักเรียนไทยในต่างแดน<br />
วารสารหลักเมืองฉบับนี้จะยกตัวอย่างบท<br />
สนทนาในการสอบถามเช่าห้องชุดและแนะนำ<br />
โครงสร้างไวยากรณ์ที่นิยมใช้ในสำนวนที่<br />
เกี่ยวข้องกับการใช้ตัวเลขกับคำนามที่มีสอง<br />
คำนาม ดังนี้<br />
52<br />
Wandee: Hello, I am Wandee Tosuwan. I saw your advertisement in the<br />
classified section of the newspaper. Is a three –bedroom apartment<br />
available? สวัสดีค่ะ ดิฉัน วันดี โตสุวรรณ ค่ะ ดิฉันเห็นประกาศของคุณในหน้าโฆษณา<br />
ในหนังสือพิมพ์ คุณมีห้องชุดสำหรับห้องนอน ๓ ห้องไหมคะ<br />
Manager: Yes, we have three-bedroom apartments available. Do you want<br />
an apartment with or without furniture? มีครับ เรามีห้องชุดที่มี 3 ห้องนอนว่าง<br />
อยู่ครับ คุณต้องการแบบมีอุปกรณ์เครื่องเรือนพร้อม หรือไม่มีครับ<br />
Wandee Well I will be living here only one year. Do you have any<br />
apartment that includes appliances like a stove and a refrigerator?<br />
คือว่า ดิฉันจะอยู่เพียงปีเดียวนะคะ คุณมีห้องชุดที่รวมอุปกรณ์ต่างๆ เช่น เตาอบ หรือ<br />
ตู้เย็น ไหมคะ<br />
Manager: Yes, we do. The apartment rent also includes utilities which are your gas,<br />
electricity, water and others. มีครับ ห้องชุดที่ให้เช่าประกอบด้วย ของใช้ที่ใช้<br />
กับเตาแก็ส ไฟฟ้า น้ำประปา และอื ่นๆ อีกครับ<br />
Wandee ; Great. I like this district because it is fairly close to my office. But before<br />
signing a lease, can I see the apartment this afternoon? เยี่ยมเลย ดิฉันชอบ<br />
สถานที่นี้ เพราะอยู่ใกล้ที่ท ำงานมาก แต่ก่อนที่จะลงนามในสัญญาเช่า ดิฉันขอชมห้องใน<br />
บ่ายนี้ได้ไหมคะ<br />
พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ
Manager: Surely can. I am glad to show it to you. ได้เลย ผมยินดีที่จะพาคุณชมห้องครับ<br />
เรามาศึกษาการผสมคำนามที่ระบุถึงจำนวนกันดีกว่า เช่น ห้องชุด ๓ ห้องนอน ( Three-bedroom apartment) ด้วยการจำง่ายๆ แบบนี้ค่ะ<br />
a/an/the/ + ตัวเลข + ขีด+ คำนาม (ไม่เติม s หรือ es) + คำนาม (ถ้าเป็นคำนามเอกพจน์ไม่เติม s หรือ es แต่คำนามพหูพจน์<br />
เติม s หรือ es เช่น a four-year plan (แผนสำหรับสี่ปีหนึ่งแผน) แต่ถ้าเป็นแผนสำหรับสี่ปีหลายแผน ก็ต้องเป็น four-year plans.<br />
1. There are several five-lane highways in Houston. มีทางหลวงที่มี ๕ เส้นทางอยู่หลายเส้นในฮุสตัน<br />
2. Sakda works at that thirty-story building. ศักดาทำงานที่อาคาร ๓๐ ชั้นนั้น<br />
3. This is a two-hour meeting. นี้คือการประชุมเป็นเวลา ๒ ชั่วโมง<br />
4. Please me three fifty-baht bills. ขอธนบัตรใบละ ๕๐ บาท ๓ ใบ ครับ<br />
5. We are a part of seven-member group. เราเป็นกลุ่มที่มีสมาชิก ๕ คน<br />
6. I don’t like four –door cars. ฉันไม่ชอบรถยนต์ที่มี ๔ ประตู<br />
7. We are planning to go on a nine-temple tour. เราวางแผนที่จะไปทัวร์วัด ๙ วัด<br />
8. My elder brother has a two-car garage. พี่ชายของฉันมีที่จอดรถสำหรับรถได้ ๒ คัน<br />
9. Did you buy a six-bathroom house? คุณซื้อบ้านที่มีห้องน ้ำ ๖ ห้อง เชียวหรือ<br />
10. This is a two-litre bottle. นี้คือขวดน้ำที่บรรจุได้ ๒ ลิตร<br />
11. John needs two-foot pieces of wood. จอห์นต้องการไม้ความยาว ๒ ฟุต<br />
12. Jinda has a ten-year old daughter. จินดามีลูกสาวอายุ ๑๐ ขวบ ๑ คน<br />
13. He is a four-star general. เขาเป็นนายพล ๔ ดาว<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
53
สาระน่ารู้ทางการแพทย์<br />
“สวย-หล่อ ด้วยคอลลาเจน”<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เมื่ออายุเริ่มมากขึ้น หลายคนเป็น<br />
ต้องเริ่มปวดเศียรเวียนเกล้า กับผิวพรรณ<br />
ที่เริ่มหย่อนคล้อยไม่เด้งดึ๋งปึ๋งปั๋งเหมือน<br />
ก่อน อย่าเพิ่งทำหน้าหงอย น้อยใจในชะตา<br />
กรรม เพราะคนเราไม่หยุดสวย หยุดหล่อ<br />
กันแน่ๆ สาระหน้ารู้ทางการแพทย์ประจำ<br />
เดือนนี้สำนักงานแพทย์ฯ จึงชวนพวกเรา<br />
มาดูกันว่าถ้าอยากให้ผิวเด้งใส ไร้ริ้วรอย<br />
ควรทานอาหารชนิดไหนกัน<br />
ถ้าให้นึกถึงอาหารบำรุงผิว เพื่อลดริ้วรอย<br />
ชื่อของคอลลาเจน (Collagen) เป็นต้องผุด<br />
ขึ้นมาในหัวหลายคนเป็นแน่และถูกต้องอย่าง<br />
ที่หลายคนเข้าใจคอลลาเจนคือ สารอาหารที่<br />
ช่วยบำรุงผิวให้มีสุขภาพดีได้จริงและไม่ใช่แค่<br />
คอลลาเจนแบบขวด แบบเม็ด ที่เราคุ้นเคย<br />
เท่านั้นอาหารสดหลายชนิดที่เราๆ รับประทาน<br />
กันอยู่ก็มีคอลลาเจน ที่สำคัญเป็นคอลลาเจนที่<br />
ทรงอานุภาพยิ่งกว่าคอลลาเจนสำเร็จรูปอีก<br />
จริงๆ แล้วคอลลาเจนมีอยู่ในอาหาร<br />
ธรรมชาติด้วย และคอลลาเจนที่อยู่ในอาหารนั้น<br />
เป็นคอลลาเจนที ่ดูดซึมง่าย ให้จำง่ายๆ เลยว่า<br />
ถ้าอยากได้คอลลาเจนไม่ใช่แค่รับประทานจาก<br />
คอลลาเจนแบบขวด หรือแบบเม็ดอย่างเดียว<br />
เพราะคอลลาเจนสำเร็จรูปเหล่านั้น เมื่อกิน<br />
เข้าไปแล้วมันจะถูกร่างกายย่อยแล้วย่อยอีก<br />
จนไม่รู้ว่าตกลงแล้วเหลือคอลลาเจนที่ดูดซึม<br />
เข้าสู่ร่างกายเท่าไหร่ อาจจะปัสสาวะออกหมด<br />
เลยก็ได้ ดังนั้นการเลือกรับประทานอาหารที่มี<br />
คอลลาเจนตามธรรมชาติจะดีกว่า<br />
ซุปเปอร์ขาไก่ กินแล้วสวยขอยกตัวอย่าง<br />
อาหารที่อุดมไปด้วยคอลลาเจนว่ามีมากมาย<br />
หลายชนิดแต่ต้องรีบเน้นย้ำกันก่อนว่าสำหรับ<br />
คอลลาเจนนั ้นถ้าจะกินให้ได้ประโยชน์จริง<br />
ต้องรับประทานคู่กับวิตามินซี (Vitamin C)<br />
เท่านั ้น “อาหารที่มีคอลลาเจน ตามธรรมชาติ<br />
มีหลายอย่าง แต่ข้อสำคัญคือต้องทานคู่กับ<br />
วิตามินซีด้วย เพราะวิตามินซีจะช่วยดึง<br />
คอลลาเจนเข้าสู่ร่างกายได้ ตัวอย่างเช่น ต้มยำ<br />
ขาไก่ หรือถ้าเป็นคอข้าวต้มกุ๊ยจะรู้จักในชื่อ<br />
‘ซุปเปอร์ตีนไก่’ ซึ่งตีนไก่ หรือขาไก่ที่เราเห็นว่า<br />
เป็นวุ้นๆ จากเอ็นของมันนี่แหละคือ คอลลาเจน<br />
อย่างดีเลยและอย่างที่บอกว่าจะมีแค่คอลลาเจน<br />
อย่างเดียวไม่พอ มันต้องมีอะไรเปรี้ยวๆ เป็น<br />
วิตามินซีด้วย ซึ ่งมันก็คือ ต้มยำขาไก่, ขาไก่ตุ๋น<br />
มะนาวดอง นั่นเอง”<br />
นอกจาก ต้มยำขาไก่รสเปรี้ยวจะถือ<br />
เป็น ‘ซุปสวย’ ที่คุณยกนิ้วเชียร์แล้ว เมนูอื่นๆ<br />
ที่เปี่ยมคอลลาเจนไม่แพ้กันก็ยังมี “อาหาร<br />
อื่นๆ ที่มีคอลลาเจนยังมีอีกหลายชนิด ถ้าเป็น<br />
ฝรั่ง เขาก็รู้จักกินคอลลาเจนมานานแล้วเช่น<br />
ช่วงวันคริสต์มาส จะมีเยลลี่หัวหมูพอฆ่าหมู<br />
54<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุนสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ตัวหนึ่งเขาแทบจะไม่ทิ้งอะไรเลย เมื่อได้เนื้อ<br />
ไปแล้วส่วนที่เหลือคือพวกหัวหมู หางหมูนั้น<br />
เขาจะเอามาเคี่ยว ทำเป็นสตูพอทิ้งไว้จนเย็น<br />
มันก็จะกลายเป็นเยลลี่หัวหมู หรือคนจีนก็ทำ<br />
พวกหมูตั้งพวกนั้นก็มีคอลลาเจนเหมือนกัน<br />
กระทั่งอาหารบางอย่างที่สมัยนี้เขานิยมใส่<br />
คอลลาเจนสำเร็จรูปเข้าไป เช่น ส้มตำใส่<br />
คอลลาเจนสำเร็จรูปอย่างนั้นก็ได้คอลลาเจน<br />
เหมือนกัน เหมือนเรากินต้มยำขาไก่เลยเพียง<br />
แต่ว่าอาจจะแพงขึ้นมา เพราะเราต้องไปซื้อ<br />
คอลลาเจนมาจากต่างประเทศทั้งที่คอลลาเจน<br />
แบบไทยๆ เราก็มี”<br />
อาหารทะเล แหล่งรวมคอลลาเจนชั้นเลิศ<br />
อีกแหล่งหนึ่ง “ปลาฉลามเป็นคอลลาเจนชั้นดี<br />
หูของมันก็มีคอลลาเจน แต่อาจจะแพงไป<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
สักหน่อย ดังนั้นเรากินเนื้อปลาฉลามก็ได้ อย่างคน<br />
สมัยก่อนพอเขาเอาหูฉลามส่งขายภัตตาคาร<br />
แล้ว เขาจะเอาเนื้อปลาฉลามมาผัดเผ็ดผัดทั้ง<br />
กระดูกเลย สมัยนี้ถ้าไปแถวเยาวราชก็ยังมี<br />
ผัดเผ็ดปลาฉลามขายอยู่ ราคาไม่แพงนัก หรือจะ<br />
เป็นปลากระเบนก็ได้ คือพวกนี้เป็นสัตว์กระดูก<br />
อ่อน ซึ่งกระดูกอ่อน หรือที่ฝรั่งเรียกคาร์ทีเลจ<br />
(Cartilage) นี่แหละคือ คอลลาเจนอย่างดีเลย<br />
ถึงขั้นมีฝรั่งหัวใสเอามาสกัดเป็นชาร์คคาร์ทีเลจ<br />
(Shark Cartilage - กระดูกอ่อนปลาฉลาม)<br />
ขายกันราคาแพง ทั้งที่จริงแล้วมันคือ คอลลาเจน<br />
กลุ่มเดียวกันเลย”และไม่ใช่แค่ปลาใหญ่<br />
อย่างฉลามไปด้วย ปลาเล็กปลาน้อย กระทั่ง<br />
ปลาหมึก ก็ยังเปี่ยมคอลลาเจนจริงๆ แล้ว<br />
คอลลาเจนที่ดีคือ คอลลาเจนจากพวกอาหาร<br />
ทะเล อย่างเช่น ปลา ปลาหมึก หอยนางรม หรือ<br />
อย่างประเทศญี่ปุ่น จะทำคอลลาเจนมาจาก<br />
ปลาทะเลน้ำลึกทั้งหลายเพราะคอลลาเจน<br />
จากอาหารทะเลจะดูดซึมได้ดีกว่าไก่ แต่จริงๆ<br />
แล้วเรากินอาหารทะเลธรรมดาก็ได้เหมือนกัน<br />
เช่น ต้มยำหัวปลากระพงขาวนี่ก็คอลลาเจน<br />
ทั้งนั้นแต่การกินคอลลาเจนจากอาหารทะเล<br />
จะมีข้อเสียนิดนึง เพราะกลัวจะได้ของแถมเป็น<br />
พวกสารตะกั่ว สารปรอทหรือโลหะหนักที่ตก<br />
อยู่ตามทะเล หลายคนเลยเลือกเป็นพวก<br />
คอลลาเจนสกัดซึ่งพวกนี้จะมีข้อดีคือ มันอาจ<br />
จะทำให้บริสุทธิ์แล้ว ก็อาจจะปลอดภัยหน่อย<br />
แต่เราก็จะต้องแลกกับราคาที่สูงขึ้น”<br />
น้ำต้มกระดูกเมนูสบายกระเป๋าเปี่ยม<br />
ประโยชน์ต่อผิวหลายคนฟังเมนูอาหารทะเล<br />
แล้วกลัวสู้ราคาไม่ไหว ก็ไม่ต้องหวั่นใจไป<br />
เพราะเรามีเมนูราคาย่อมเยากว่ามาเสนอ<br />
ด้วย “ถ้าเกรงว่าปลาฉลามแพงไปหน่อยทาน<br />
น้ำต้มกระดูกไก่ น้ำต้มหมูก็ยังได้เพราะน้ำซุป<br />
เหล่านี้มักเอากระดูกมาต้มซึ่งตรงข้อกระดูก<br />
เหล่านี้ก็มีคอลลาเจนอยู่” ทว่าเข้าใจกันดีว่า<br />
หลายคนกลัวอ้วน ห่วงเรื่องน้ำหนักเกิน เลยฝาก<br />
ทิปส์ง่ายๆ ในการทานอาหารให้ได้คอลลาเจน<br />
แต่ไม่อ้วนมาว่า “ถ้ากลัวอ้วนเราอาจจะใช้<br />
วิธีช้อนไขมันที่อยู่ด้านหน้าซุปออกก่อน เช่น<br />
หากต้มขาไก่ให้เราคอยช้อนไขมันด้านหน้า<br />
ออกระหว่างต้ม แค่นี้น้ำข้างล่างก็ไขมันน้อย<br />
ลงเยอะแล้ว”<br />
ทานคอลลาเจนแค่ไหน..ถึงพอเหมาะ<br />
ก่อนปิดท้ายเรื่องอาหารชะลอวัย ขอฝากความรู้<br />
เรื่องปริมาณที่เหมาะสมในการทาน<br />
คอลลาเจนมาว่า “ปริมาณการทานคอลลาเจน<br />
ถ้าเป็นอาหารสด อย่างเช่น ต้มยำขาไก่ ทาน<br />
วันละหนึ ่งมื้อก็พอ หรือสมมุติทานขาไก่ตุ๋น<br />
มะนาวดองสักหนึ่งถ้วยก็พอแล้ว ส่วนผักโดย<br />
ทั่วไปแล้วจะไม่ค่อยมีคอลลาเจน ยกเว้นบาง<br />
ประเภทเช่น หัวบุก อาจจะมีบ้างแต่ก็ยังสู้<br />
พวกเนื้อไม่ได้ เนื้อจะมีคอลลาเจนเยอะกว่า<br />
แต่อย่างไรก็ตามให้จำไว้เสมอว่าการทานต้องมี<br />
วิตามินซีด้วย ไม่อย่างนั้นกินคอลลาเจนเข้าไป<br />
ก็ไม่มีประโยชน์เลย อันนี้รวมถึงคอลลาเจนทุก<br />
ประเภทครับ ไม่ว่าจะเป็นคอลลาเจนแบบเม็ด<br />
แบบฉีดมันต้องมีการเพิ่มวิตามินซีเข้าไปด้วย<br />
เสมอ เพราะวิตามินซีจะทำให้คอลลาเจน<br />
ดูดซึมได้ดี จึงเป็นอีกหลักการว่าถ้าจะซื้อ<br />
คอลลาเจนเป็นอาหารเสริมให้รู้ไว้เลยว่าถ้ามี<br />
แค่คอลลาเจนอย่างเดียว มันจะไม่ค่อยดูดซึม<br />
พอเข้าสู่ร่างกายแล้วจะถูกน้ำย่อยในตัวเรา<br />
ย่อยและขับออกมาเป็นปัสสาวะเกือบหมด<br />
ที่อุตส่าห์ซื้อมาราคาแสนแพงก็ไม่ได้ประโยชน์<br />
อะไรเลย”<br />
55
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จเป็นองค์ประธานในพิธีพระราชทานกระบี่ ปริญญาบัตร และเกียรติบัตรแก่<br />
ผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า สถาบันการศึกษาทางทหารต่างประเทศ และวิทยาลัยแพทยศาสตร์พระมงกุฎเกล้า<br />
ประจำปี ๒๕๕๗ โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรี<br />
ช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ หอประชุมนักเรียนนายร้อย<br />
พระจุลจอมเกล้า จังหวัดนครนายก เมื่อ ๒๓ มิ.ย.๕๘<br />
สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬา<br />
ภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี เสด็จ<br />
แทนพระองค์ทอดพระเนตร การแสดง<br />
กาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที่ ๔๒ โดยมี<br />
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
และผู้บัญชาการเหล่าทัพเฝ้ารับเสด็จ<br />
ณ หอประชุมใหญ่ ศูนย์วัฒนธรรม<br />
แห่งประเทศไทย เขตห้วยขวาง<br />
เมื่อ ๙ ก.ค.๕๘<br />
56
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายก<br />
รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหม ให้การต้อนรับ ดร.โรแลนด์ บุช<br />
(Roland Busch) กรรมการบริหารบริษัท<br />
ซีเมนส์ จำกัด (มหาชน) สำนักงานใหญ่<br />
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ในโอกาสเข้า<br />
เยี่ยมคำนับ ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม เมื่อ ๑๗ มิ.ย.๕๘<br />
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นาย Shiro Sadoshima (ชิโระ<br />
ซะโดะชิมะ) เอกอัครราชทูตญี่ปุ ่นประจำประเทศไทย ในโอกาสเยี่ยมคำนับและหารือข้อราชการ ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
เมื่อ ๒๔ มิ.ย.๕๘<br />
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นาย Thierry Viteau (ตีแยรี วีโต)<br />
เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐฝรั่งเศสประจำประเทศไทย ในโอกาสเข้าเยี่ยมคำนับและหารือข้อราชการ ณ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหม เมื่อ ๒๔ มิ.ย.๕๘<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
57
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเบิกเนตร “ พระพุทธไตรเสนากลาโหมพิทักษ์” โดยมี นางพรวิมล ดิษฐกุล<br />
นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และรองปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ หอสวดมนต์ วัดปริวาสราชสงคราม เมื่อ ๖ ก.ค.๕๘<br />
พลอากาศเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
พลอากาศเอก ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์ รองปลัดกระทรวง<br />
กลาโหมและคณะ เดินทางเยี่ยมชมกิจการกองบิน ๗ และร่วม<br />
ทำการบินกับเครื่องบินขับไล่แบบที่ ๒๐ ก (GRIPEN 39 D)<br />
โดยมี พลอากาศเอก อานนท์ จารยะพันธุ์ รองผู้บัญชาการ<br />
ทหารอากาศให้การต้อนรับ ณ ฝูงบิน ๗๐๑ กองบิน ๗ จังหวัด<br />
สุราษฎร์ธานี เมื่อ ๒๙ มิ.ย.๕๘<br />
58
พลโท ดอกเตอร์ เดชา เหมกระศรี เลขาธิการสมาคมจักรยานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ นำคณะนักกีฬาจักรยานทีมชาติไทย<br />
ที่เดินทางไปเข้าร่วมแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ ๒๘ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ เข้าพบพลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อรายงาน<br />
ผลการแข่งขัน ณ ห้องสนามไชย ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๗ มิ.ย.๕๘<br />
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม มอบเครื่องหมายแสดงความสามารถทางการกีฬาชั้น ๑ เสื้อแบบเบลเซอร์และเงินรางวัล<br />
ให้กับ ร้อยโทหญิง จันทร์เพ็ง นนทะสิน นักกีฬาจักรยานที่ได้รับเหรียญเงินประเภทถนน ไทม์ไทรอัล บุคคลหญิง ระยะทาง ๒๙.๔๕ กม. สังกัด<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ ๒๘ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ โดยมี พลตรี ณภัทร สุขจิตต์<br />
เลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นผู้รับมอบ และสิบโทหญิง วิชชุดา ไพจิตรกาญจนกุล นักกีฬายิงปืน ได้รับเหรียญทองจากประเภท<br />
ปืนยาวท่านอน (ทีมหญิง) สังกัด พลสารวัตร หมวดสารวัตรทหารหญิง กองร้อยสารวัตรทหารที่ ๒ กองสารวัตรทหาร สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม ในการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ ๒๖ ณ ประเทศอินโดนีเซีย ณ ห้องยุทธนาธิการ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๓๐ มิ.ย.๕๘<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
59
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นายกมล นาคคง ประธานกรรมการบริหาร บริษัท SK AVANCE ENERGY<br />
ในโอกาสเข้าพบปะหารือ โดยมี รองปลัดกระทรวงกลาโหม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมให้การต้อนรับ<br />
ณ ห้องสนามไชย ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๒๔ มิ.ย.๕๘<br />
พลเอก ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นายอาเมียร์ คายน์ ( Amir Kain) รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
และเจ้ากรมรักษาความปลอดภัยหน่วยงานด้านการป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหมรัฐอิสราเอล ในโอกาสเข้าเยี่ยมคำนับและหารือข้อราชการ<br />
ณ ห้องสราญรมย์ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๙ มิ.ย.๕๘<br />
60
พลเอก นพดล ฟักอังกูร เจ้ากรมเสมียนตรา เป็นประธานใน พิธีเปิดกิจกรรมปฏิบัติธรรมเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์และพระบรม<br />
วงศานุวงศ์ถวายเป็นพระราชกุศลแด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และพระบรมวงศานุวงศ์<br />
ทุกพระองค์ ณ วัดพิชยญาติการาม วรวิหาร เขตคลองสาน เมื่อ ๒๓ มิ.ย.๕๘<br />
พลตรี ณภัทร สุขจิตต์<br />
เลขานุการสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม และ<br />
คณะ เดินทางไปเยี่ยมสถานี<br />
วิทยุเครือข่ายสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ณ อำเภอสันป่าตอง จังหวัด<br />
เชียงใหม่ พร้อมเสวนา<br />
โครงการจิตสำนึกรักเมืองไทย<br />
ปีที่ ๗ ในหัวข้อการประกวด<br />
“Show Time Show Thai”<br />
จากค่านิยม หลัก ๑๒ ประการ<br />
ข้อที่ ๕ “รักษาวัฒนธรรม<br />
ประเพณีไทยอันงดงาม” ณ<br />
โรงแรมโลตัส ปางสวนแก้ว<br />
จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อ ๑๐<br />
มิ.ย.๕๘<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
61
กิจกรรมสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
นางธัญรัศม์ อาจวงษ์ อุปนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมการสมาคมฯ ร่วมเฝ้ารับเสด็จ<br />
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี พระวรราชาทินัดดามาตุ เสด็จทรงประกอบพิธียกช่อฟ้าและตัดหวายลูกนิมิตพระอุโบสถ<br />
ณ วัดอาวุธวิกสิตารามเขตบางพลัด กทม. เมื่อ ๒๖ มิ.ย.๕๘<br />
นางพรวิมล ดิษฐกุล นายก<br />
สมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม อุปนายกสมาคมฯ<br />
และกรรมการสมาคมฯ ร่วม เข้าเฝ้า<br />
พระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าโสมสวลี<br />
พระวรราชาทินัดดามาตุ ถวายเงิน<br />
รายได้จากการจำหน่ายสินค้าในงาน<br />
เพื่อนพึ่ง (ภาฯ) ประจำปี ๕๗<br />
ณ วังสวนกุหลาบ เมื่อ ๒๙ มิ.ย.๕๘<br />
62
นางพรวิมล ดิษฐกุล นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมงานวันคล้ายวันสถาปนาสมาคมแม่บ้านองค์การ<br />
สงเคราะห์ทหารผ่านศึก ณ ห้องประชุมชั้น ๕ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก เมื่อ ๓๐ มิ.ย.๕๘<br />
นางธัญรัศม์ อาจวงษ์ อุปนายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และคณะกรรมการสมาคมฯ ร่วมจัดกิจกรรม<br />
“โครงการปล่อยเต่าคืนสู่ทะเล” ณ ศูนย์อนุรักษ์พันธุ์เต่าทะเล หน่วยบัญชาการต่อสู้อากาศยานและรักษาฝั่ง กองทัพเรือ และร่วมวางพวงมาลา<br />
ณ อนุสาวรีย์ทหารนาวิกโยธิน จังหวัดชลบุรี เมื่อ ๗ ก.ค.๕๘<br />
หลักเมือง สิงหาคม ๒๕๕๘<br />
63
นางพรวิมล ดิษฐกุล นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม เฝ้าฯ รับเสด็จ สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ<br />
เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์อัครราชกุมารี และร่วมเป็นเกียรติ<br />
ชมการแสดงกาชาดคอนเสิร์ต ครั้งที ่ ๔๒ บรรเลงโดยวงดุริยางค์ราชนาวี<br />
เพื่อหารายได้โดยเสด็จพระราชกุศลบำรุงสภากาชาดไทย ณ หอประชุมใหญ่<br />
ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย เมื่อ ๙ ก.ค. ๕๘<br />
64
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานใน พิธีเปิดหอพระพุทธไตรเสนากลาโหมพิทักษ์ โดยมี นางพรวิมล ดิษฐกุล<br />
นายกสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี<br />
ณ ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร จังหวัดลพบุรี เมื่อ ๑๕ ก.ค.๕๘