lakmuang_309-1
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
Êํҹѡ§Ò¹»ÅÑ´¡ÃзÃǧ¡ÅÒâËÁ<br />
˹‹Ç§ҹ¹âºÒÂáÅÐÂØ·¸ÈÒʵäÇÒÁÁÑ่¹¤§<br />
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
»‚·Õ่ òô ©ºÑº·Õ่ óðù ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />
www.<strong>lakmuang</strong>online.com
นบนอม…จอมทัพไทย<br />
ถวายตน…ขารองบาททุกชาติไป<br />
นอมนบพระผูเสด็จสูสวรรคาลัย นอบนอมเทิด พระทรงชัย เสวยสวรรค<br />
จารึกกิจ แหงองค พระทรงธรรม อเนกอนันต เพื่อบรรดา มหาชน<br />
กลาโหม ปฏิญาณ สานพระกิจ นอมอุทิศ กายและจิต สฤษฏผล<br />
อัญเชิญเหนือ เศียรเกลา เหลาไพรพล ถวายตน ขารองบาท ทุกชาติไป
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์<br />
พลอวันชัย เรืองตระกูล<br />
พลออสุวิช จันทประดิษฐ์<br />
พลอไพบูลย์ เอมพันธุ์<br />
พลอยุทธศักดิ์ ศศิประภา<br />
พลอธีรเดช มีเพียร<br />
พลอธวัช เกษร์อังกูร<br />
พลอสัมพันธ์ บุญญานันต์<br />
พลออู้ด เบื้องบน<br />
พลอสิริชัย ธัญญสิริ<br />
พลอวินัย ภัททิยกุล<br />
พลออภิชาต เพ็ญกิตติ<br />
พลอกิตติพงษ์ เกษโกวิท<br />
พลอเสถียร เพิ่มทองอินทร์<br />
พลอวิทวัส รชตะนันทน์<br />
พลอทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน<br />
พลอนิพัทธ์ ทองเล็ก<br />
พลอสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์<br />
พลอศิริชัย ดิษฐกุล<br />
พลอปรีชา จันทร์โอชา<br />
ที่ปรึกษา<br />
พลอชัยชาญ ช้างมงคล<br />
พลออศิวเกียรติ์ ชเยมะ<br />
พลอชาตอุดม ติตถะสิริ<br />
พลออาชาไนย ศรีสุข<br />
พลรอพงษ์เทพ หนูเทพ รน<br />
พลอวัลลภ รักเสนาะ<br />
พลอวิสุทธิ์ นาเงิน<br />
พลอสุวโรจน์ ทิพย์มงคล<br />
พลอฐิตินันท์ ธัญญสิริ<br />
พลรอกฤษา เจริญพานิช รน<br />
พลทชวลิต สาลีติด<br />
พลทอนุชิต อินทรทัต<br />
พลทนเรศรักษ์ ฐิตะฐาน<br />
พลทศิริพงษ์ วงศ์ขันตี<br />
พลทภาณุพล บรรณกิจโศภน<br />
พลทนภนต์ สร้างสมวงษ์<br />
พลทศิรศักดิ์ ยุทธประเวศน์<br />
พลทชมพล อามระดิษ<br />
พลทอภิชาติ อุ่นอ่อน<br />
พลทรักศักดิ์ โรจน์พิมพ์พันธุ์<br />
พลตภราดร จินดาลัทธ<br />
พลรตสหพงษ์ เครือเพ็ชร รน<br />
พลตสราวุธ รัชตะนาวิน<br />
พลตไชย หว่างสิงห์<br />
พลตกานต์ กลัมพสุต<br />
พลตพุิประสิทธิ์ จิระมะกร<br />
พลตต่างแดน พิศาลพงศ์<br />
ผูอํานวยการ<br />
พลตยุทธนินทร์ บุนนาค<br />
รองผูอํานวยการ<br />
พอภัทร์นรินท์ วิจิตรพฤกษ์<br />
พอชูเลิศ จิระรัตนเมธากร<br />
ผูชวยอํานวยการ<br />
พอดุจเพ็ชร์ สว่างวรรณ<br />
กองจัดการ<br />
ผูจัดการ<br />
นอธวัชชัย รักประยูร<br />
ประจํากองจัดการ<br />
นอกฤษณ์ ไชยสมบัติ<br />
พทธนะศักดิ์ ประดิษฐ์ธรรม<br />
พตไพบูลย์ รุ่งโรจน์<br />
เหรัญญิก<br />
พทพลพัน์ อาขวานนท์<br />
ผูชวยเหรัญญิก<br />
รทเวช บุญหล้า<br />
ฝายกฎหมาย<br />
นทสุรชัย สลามเตะ<br />
พิสูจนอักษร<br />
พอหญิง วิวรรณ วรวิศิษ์ธารง<br />
กองบรรณาธิการ<br />
บรรณาธิการ<br />
นอพรหมเมธ อติแพทย์ รน<br />
รองบรรณาธิการ<br />
พอสุวเทพ ศิริสรณ์<br />
พอวันชนะ สวัสดี<br />
ผูชวยบรรณาธิการ<br />
พอหญิง ใจทิพย์ อุไพพานิช<br />
ประจํากองบรรณาธิการ<br />
นทหญิง รสสุคนธ์ ทองใบ รน<br />
นทวันสิน ปตพี รน<br />
พทชุมศักดิ์ สมไร่ขิง<br />
พทชาตบุตร ศรธรรม<br />
พทหญิง สมจิตร พวงโต<br />
นทฐิตพร น้อยรักษ์ รน<br />
พทจิโรตม์ ชินวัตร<br />
นตหญิง ปรางทอง จันทร์สุข รน<br />
นตหญิง กัญญารัตน์ ชูชาติ รน<br />
รอหญิง ลลิดา กล้าหาญ<br />
จสอสมหมาย ภมรนาค<br />
จอหญิง สุพรรัตน์ โรจน์พรหมทอง
บทบรรณาธิการ<br />
ผ่าน ๕๐ วันแล้วที่ “พ่อ” จากไป แต่ความผูกพันระหว่างพระองค์ท่านกับพสกนิกรของพระองค์ไม่มีวัน<br />
เสื่อมคลาย ในทางตรงกันข้ามยิ่งกลับคิดถง สานกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านมากข้น เมื่อได้เห็น ได้ทราบ<br />
พระราชกรณียกิจในหลาย เรื่องของพระองค์ท่าน ่งพระราชกรณียกิจทุกเรื่องเพื่อประโยชน์และความสุข<br />
ของปวงชนชาวไทยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และพระมหากรุณาธิคุณยิ่งเผื่อแผ่ไปถงพี่น้องประชาชนประเทศเพื่อนบ้าน<br />
ทั้งไกลใกล้อีกหลายประเทศ<br />
สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยสานักงานเลขานุการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้จัดการสัมมนา<br />
ในโครงการตามกิจกรรมการปองกันตอบโต้และทาความเข้าใจมิให้ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ในโครงการ<br />
“เครือข่ายสีขาวเพื่อความมั่นคง สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม” เมื่อห้วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยได้รับ<br />
เกียรติจาก ดรสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพันา กรุณาบรรยายเรื่อง ประสบการณ์ที่ได้รับจากการสนองงาน<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยิ่งทาให้ผู้ที่ได้รับงมีความาบ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และยิ่งได้<br />
ประจักษ์ในพระอัจริยภาพ ตลอดจนความมุ่งมั่นของพระองค์ท่านที่ต้องการให้พสกนิกรของพระองค์มีความสุข<br />
และได้รับประโยชน์อย่างยั่งยืน<br />
ประการแรกที่จะขออนุญาตนาเรื่องในวันนั้นมานาเสนอคือ ดรสุเมธฯ เล่าว่าวันแรกที่ไปเข้าถวายงาน<br />
พระองค์ได้ตรัสกับ ดรสุเมธฯ ว่า มาชวยัน ันมมีอะรจะหนอกจากความสุทีจะมารวมงานกันนการทําระโยชน<br />
หกับผูอน<br />
ประการที่สอง ดรสุเมธฯ ท่านให้มุมมองหรือข้อสังเกตว่า ประเทศไทยในช่วงรัชสมัยของพระองค์ ยังคง<br />
ดารงอยู่ได้โดยไม่เปนส่วนหน่งของ “โดมิโน” เพราะคนไทยยัง “ให” กันอยู่ ทาให้สงครามการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์<br />
หยุดอยู่แค่ประเทศไทย ด้วยเวลาแห่งการต่อสู้ ๑๑ ป<br />
การคิดจะทาประโยชน์ให้กับผู้อื่นเห็นถงประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ และเรื่องของการ “ให” ที่พระองค์<br />
ทรงเพียรพยายามให้คนไทยคิดและปิบัติ รวมถงปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” จงเปนส่วนสาคัญที่ทาให้ประเทศไทย<br />
มีความสุขมีความยั่งยืนมาจนถงทุกวันนี้
๕ ธันวาคม ทั่วหล้ายลยิน<br />
วันดินโลก<br />
<br />
ครั้งหน่งเมื่อเข้าถวายสักการะ<br />
ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท<br />
๑<br />
คาสอนของพ่อมรดกที่ยิ่งใหญ่<br />
๑<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ตอนที่ ๒<br />
๑<br />
๒ ป ศูนย์การอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร<br />
วันคล้ายวันสถาปนา ๒๙ ธันวาคม<br />
๒๕๕๙<br />
๒<br />
หนทางชนะ <br />
ย้อนแย้ง ปลายน้า สู่ ต้นน้า<br />
๒<br />
แนวคิดการจัดกลุ่มงาน<br />
ด้านความมั่นคงของชาติ<br />
(aia curi crs rm<br />
Cc)<br />
๒๙<br />
ความมั่นคงไเบอร์ (Cr curi)<br />
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
<br />
๑<br />
๑<br />
๒<br />
๒<br />
hurirs วิหคสายา<br />
ฝูงบินผาดแผลงชั้นยอดของสหรัฐฯ<br />
และในระดับโลก<br />
<br />
แนะนาอาวุธเพื่อนบ้าน<br />
เครื่องบินขนส่งทางทหาร เอ๔๐๐เอ็ม<br />
๒<br />
เปดประตูสู่เทคโนโลยี<br />
ปองกันประเทศ ๔๘<br />
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงวางรากฐาน<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศของไทย<br />
๖<br />
ราชวงศ์อลองพญาเปลี่ยนแผ่นดินใหม่<br />
<br />
ระบบระบุพิกัดเปาหมายด้วยเลเอร์<br />
(Lasr ar Lcar)<br />
๕๒<br />
สาระน่ารู้ทางการแพทย์ อย่าลืมเติม<br />
สารอาหารให้กระดูก<br />
๕<br />
mssi ram<br />
๕๖<br />
ภาพกิจกรรม<br />
๒๙<br />
๒<br />
๒<br />
<br />
๒<br />
<br />
ข้อคิดเห็นและบทความที่นาลงในวารสารหลักเมืองเปนของผู้เขียน มิใช่ข้อคิดเห็นหรือนโยบายของหน่วยงานของรัฐ และมิได้ผูกพันต่อราชการแต่อย่างใด<br />
สานักงานเลขานุการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทรโทรสาร ๐๒๒๒๕๘๒๒ hsssihm<br />
พิมพ์ที่ ห้างหุ้นส่วนจากัด อรุณการพิมพ์ ๔๕๗๗ ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร ๐๒๒๘๒๐๓๓๔ โทรสาร ๐๒๒๘๐๒๑๘๗๘<br />
mai iarkarimch arkarimch<br />
ออกแบบ ห้างหุ้นส่วนจากัด อรุณการพิมพ์
ันวาคม<br />
ทั<br />
วหล้ายลยินวันดินโลก<br />
พลตรี ชัยวิทย ชยาภินันท<br />
ดิ<br />
นถือได้ว่าเปนแร่ธาตุที่มีความ<br />
สาคัญมากประการหน่งที่มิได้<br />
ด้อยไปกว่าน้าเลย ทั้งนี้เพราะ<br />
ดินคือแหล่งของแร่ธาตุ และแหล่งที่สะสม<br />
สารอาหารที่สาคัญ ดารงประโยชน์ในเรื่อง<br />
ของการเปนแหล่งกักเก็บน้า แหล่ง<br />
เกษตรกรรมและปศุสัตว์ ดินยังเปนสิ่ง<br />
สาคัญในการก่อสร้างที ่อยู่อาศัย และ<br />
อาคารสถาปตยกรรมต่าง เปนวัตถุดิบที่<br />
สาคัญในการผลิตภาชนะใส่น้าและอาหาร<br />
ของมนุษย์ จงอาจกล่าวได้ว่า ดินคือส่วน<br />
ประกอบที่สาคัญต่อการดารงชีวิตทั้งของ<br />
คน สัตว์ และพืช ดังนั้น จงมีความจาเปน<br />
อย่างยิ่งที่จะต้องรักษาคุณภาพของดินให้<br />
คงอยู่ต่อไปจนถงอนุชนรุ่นหลัง โดยคนใน<br />
ยุคนี ้ไม่ควรใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง<br />
ไม่ทาลายหน้าดินด้วยวิธีการต่าง อาทิ<br />
การเผา การใส่หรือทิ้งสารเคมีลงเพื่อทาลาย<br />
ชั้นดิน การตักหน้าดินไปใช้ประโยชน์ที่<br />
ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้มนุษยชาติสามารถ<br />
ใช้ประโยชน์ของดินอย่างมีคุณค่า<br />
ประเทศต่าง ทั่วโลกต่างตระหนัก<br />
ถงความสาคัญของดิน พร้อมกับยกย่อง<br />
ความสาคัญของดินในฐานะที่เปนองค์<br />
ประกอบสาคัญของระบบนิเวศ และมีส่วน<br />
สาคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความมั่นคง<br />
ของมนุษย์ (uma curi) เนื่องจาก<br />
ดินมีความสาคัญต่ออาหาร น้า ความ<br />
มั่นคงทางพลังงาน และยังเปนปจจัย<br />
สาคัญในการช่วยบรรเทาความสูญเสียทาง<br />
ชีวภาพและการเปลี่ยนแปลงสภาพ<br />
ภูมิอากาศ ทั้งนี้ เนื่องจากดินเปนแหล่ง<br />
สาคัญหน่งในแหล่งกักเก็บคาร์บอนตาม<br />
ธรรมชาติ จงได้ทาการก่อตั้งเครือข่ายเพื่อ<br />
ทาการค้นคว้าและแลกเปลี่ยนความรู้<br />
เกี่ยวกับดิน ควบคู่ไปกับการให้ความสาคัญ<br />
ต่อระดับการรับรู้ของสาธารณชนและ<br />
บทบาทของดินต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม<br />
ทั้งนี้ สามารถพันาจนเปนเครือข่ายที่มี<br />
นักวิทยาศาสตร์ด้านดินกว่า ๐๐๐๐ คน<br />
ทั่วโลก<br />
องค์การอาหารและการเกษตรแห่ง<br />
สหประชาชาติ () ได้ตระหนักถงความ<br />
สาคัญและความจาเปนในการอนุรักษ์<br />
ทรัพยากรธรรมชาติประเภทดิน จงได้<br />
จัดการประชุมขององค์การอาหารและ<br />
การเกษตรแห่งสหประชาชาติ ()<br />
ครั้งที่ ๑๔๔ ระหว่างวันที่ ๑๑ ๑๕ มิถุนายน<br />
๒๕๕๕ ณ สานักงานใหญ่องค์การเกษตร<br />
และอาหารแห่งสหประชาชาติ กรุงโรม<br />
ประเทศอิตาลี โดยที่ประชุมได้พิจารณา<br />
พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จ<br />
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
เกี่ยวกับการพันาที่ดินมาอย่างต่อเนื ่อง<br />
และยาวนานจนปรากผลสาเร็จเปนที่<br />
ประจักษ์อย่างกว้างขวางทั้งในประเทศ<br />
4<br />
พตรี ัวิ ินัน
และนานาชาติ ่งนายฮิโรยูกิ โคนุมะ<br />
ผู้ช่วยผู้อานวยการและตัวแทนประจา<br />
ภูมิภาคเอเชียและแปิกขององค์การ<br />
เกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ<br />
(s ssisa ircrra<br />
a ia rsai r sia<br />
a h acic iruki uma)<br />
ได้กล่าวถงพระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า<br />
พวกเราาบ้งถงพระอุตสาหะ<br />
อันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของพระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
ในพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับดิน ่งไม่ใช่<br />
เพาะในระดับประเทศเท่านั้น แต่ยังรวม<br />
ถงในระดับสากลด้วย<br />
ความรักต่อดินและปจจัยสาคัญ<br />
ต่อความมั่นคงทางอาหารและการพันา<br />
ที่ยั่งยืนได้ถูกให้ความสาคัญด้วยการ<br />
เลิมลองในวันดินโลก ่งตรงกับวันที่<br />
๕ ธันวาคม อันเปนวันคล้ายวันพระราช<br />
สมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
ดังนั้น ที่ประชุมฯ จงมีมติสนับสนุน<br />
และร่วมกันผลักดันให้มีการจัดตั้ง วันดิน<br />
โลก (r i a) ให้ตรงกับวันที่<br />
๕ ธันวาคมของทุกป ่งตรงกับวันคล้าย<br />
วันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จ<br />
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕<br />
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดรสตีเน<br />
นอร์ตคลิ (mrius rssr r<br />
h rci) กรรมการบริหาร<br />
สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ เข้า<br />
เฝาทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าฯ ถวาย<br />
รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม<br />
(h umaiaria i ciis)<br />
และขอพระบรมราชานุญาตให้วันที่ ๕<br />
ธันวาคมของทุกปเปน วันดินโลก เพื่อ<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 5
ให้วันดังกล่าวเปนที่รู้จักแพร่หลาย<br />
ในระดับนานาชาติ เกิดความต่อเนื่อง<br />
และจริงจังในการรณรงค์ด้านทรัพยากรดิน<br />
ในทุกระดับ<br />
หลังจากนั้น องค์การอาหารและ<br />
การเกษตรแห่งสหประชาชาติ ()<br />
สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ<br />
และสานักงานที่ปรกษาการเกษตร<br />
ต่างประเทศ ประจากรุงโรม จงได้นาเสนอ<br />
ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวกับบทบาทและ<br />
ความสาคัญของทรัพยากรดินที่มีต่อความ<br />
มั่นคงทางอาหารของโลก และการกาหนด<br />
ให้วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกป เปนวันดิน<br />
โลก กระทั่งมีการรับรองข้อเสนอดังกล่าว<br />
พร้อมทั้งสนับสนุนและส่งเสริมให้องค์การ<br />
สหประชาชาติ จัดกิจกรรมเปนการเพาะ<br />
ต่าง อาทิ การประกาศให้ปพุทธศักราช<br />
๒๕๕๘ (คศ ๒๐๑๕) เปน “ปดินสากล”<br />
อีกด้วย<br />
จงเปนที่น่ายินดีที่ประชาคมโลกต่าง<br />
ตระหนักในความสาคัญและยกย่องว่า<br />
วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกป เปนวันดินโลก ่ง<br />
ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของ<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดช แต่ในทางกลับกัน ก็ยังเปนเรื่อง<br />
น่าเสียดายที่มีประชาชนชาวไทยเพียง<br />
จานวนน้อยคนนักที่จะทราบถงวันสาคัญ<br />
อันน่าภาคภูมิใจนี้ เพราะเมื่อตั้งคาถาม<br />
เกี่ยวกับวันดินโลกไปแล้ว คาตอบส่วน<br />
ใหญ่ที่ได้มาคือไม่ทราบว่าเปนวันที่เท่าไร<br />
และมีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทย<br />
อย่างไร และที่น่าเศร้ามากที่สุดคือ<br />
ประชาชนในประเทศไทยจานวนไม่น้อยที่<br />
ยังคงเดินหน้าทาลายดินอย่างไร้สานก ใน<br />
การร่วมกันรักษาทรัพยากรดินนี้ไว้ให้<br />
คนรุ่นต่อ ไป โดยเพาะมีการเผาปา ถาง<br />
ปาไม้ต้นน้าลาธาร เพื่อปลูกพืชอาหารสัตว์<br />
สาหรับจาหน่ายให้กับกิจการขนาดใหญ่<br />
จนส่งผลให้หน้าดินพังทลายและพื้นที่<br />
ต้นน้าลาธารได้รับความเสียหาย นามาสู่<br />
การเกิดภัยธรรมชาติและภัยแล้งที่ปราก<br />
อยู่ในปจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริม<br />
การปลูกพืชพลังงาน อาทิ มันสาปะหลังที่<br />
ทาให้หน้าดินเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว จง<br />
นับเปนการใช้ประโยชน์ของดินอย่างไม่รู้<br />
คุณค่า ทาให้หน้าดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ใน<br />
ประเทศมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกทาลาย<br />
อย่างต่อเนื่อง<br />
ท่านผู้อ่านทราบบ้างหรือไม่ว่า<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดช ได้พระราชทานชี้แนะทางออก<br />
ในการแก้ไขปญหาเรื่องการอนุรักษ์ดิน<br />
ด้วยแนวทางการเกษตรที่เปนมิตรกับ<br />
สิ่งแวดล้อมอันเปนแนวทางสาคัญที่ทั่วโลก<br />
นาไปใช้ประโยชน์ในเรื่องการอนุรักษ์และ<br />
รักษาดินเพื่อการเกษตรกรรม โดยมี<br />
หลักสาคัญคือ ใช้ประโยชน์ของความ<br />
พอเพียงเปนศูนย์กลางแทนที่จะเปนผล<br />
ประโยชน์ทางการเงิน แนวทางนี้เปนที่<br />
รู้จักกันในชื่อว่า “โคกหนองนาโมเดล”<br />
่งมีเนื้อหาสาคัญ สรุปดังนี้<br />
๑. แนวทางการอนุรักษและฟนฟู<br />
ทรัพยากรปามที่เกื้อกูลต่อความ<br />
ตองการดานเศรษฐกิจและสังคม โดย<br />
พิจารณาประโยชน์ของปา ๔ ประการ คือ<br />
พออยู่ (ปลูกไม้เนื้อแข็งอายุยืนเพื่อใช้สร้าง<br />
ที่พักอาศัยและเครื่องเรือน รวมทั้งยัง<br />
สามารถรักษาไว้เปนทรัพย์สินในอนาคต<br />
ได้) พอกิน (ปลูกต้นไม้ที่ใช้เปนอาหารหรือ<br />
ใช้เปนสมุนไพร) พอใช (ปลูกพืชโตเร็วเพื่อ<br />
นามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน) และ<br />
พอร่มเย็น (ปลูกปาเพื่อประโยชน์ทั้งสาม<br />
6<br />
พตรี ัวิ ินัน
อย่างจะนาไปสู่ความร่มเย็นและระบบ<br />
นิเวศที่อุดมสมบูรณ์มากข้น)<br />
๒. แนวทางการปลูกพืชอย่างผสม<br />
ผสานเพื่อใหเกิดความหลากหลายทาง<br />
ชีวภาพรวมถึงประโยชนสูงสุดจากการใช้<br />
พื้นที่และแสงอาทิตย์ โดยพิจารณาไม้ ๕<br />
ประเภท คือ ไม้สูง (ไม้ลาต้นสูงใหญ่และ<br />
อายุยืน) ไม้กลาง (ไม้ลาต้นไม่สูงนักเช่น<br />
ไม้ผล) ไม้เตี้ย (ต้นไม้พุ่มเตี้ย) ไม้เรี่ยดิน<br />
(พืชตระกูลไม้เลื้อย) และไม้หัวใต้ดิน<br />
. แนวทางการจัดสรรพื้นที่ รวม ๓<br />
ประการ คือ<br />
.๑ จัดทาโคก นาดินจากการขุด<br />
หนองมาถมทาโคกเพื่อให้น้าท่วมไม่ถง<br />
บริเวณนี้เหมาะแก่การพักอาศัย ปลูกผัก<br />
สวนครัว และเลี้ยงสัตว์ด้วย ควรปลูกแฝก<br />
่งมีรากยาวถง ๓ เมตรในพื้นที่ลาดและ<br />
บริเวณรอบหนองน้าเพื่อช่วยยดหน้าดิน<br />
และชะลอการไหลของน้าผิวดิน่งจะช่วย<br />
ให้ดินสามารถกักเก็บน้าได้มากข้น<br />
.๒ จัดทาหนองน้า เพื่อช่วยให้<br />
เกษตรกรมีน้าใช้ตลอดป น้าที่เก็บไว้จะม<br />
ลงไปใต้ผิวดินช่วยให้มีแหล่งน้าดื่มที่<br />
สะอาดแม้ในฤดูแล้ง ประเมินว่าหาก<br />
เกษตรกร ๑ ล้านครอบครัว ขุดหนองน้า<br />
ขนาด ๑๐๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร จะสามารถ<br />
เก็บน้าได้มากกว่าเขื่อนสิริกิติ์ ่งจะ<br />
สามารถแก้ปญหาน้าท่วมได้โดยไม่ต้อง<br />
สูญเสียพื้นที่ปา นอกจากแฝกแล้วควร<br />
ปลูกพืชตระกูลถั่วที่ใบร่วงมาก (อาทิ<br />
จามจุรี ทองหลาง) รอบหนองน้าเพื่อตรง<br />
ไนโตรเจนลงดิน ใบไม้ที่ร่วงลงพื้นจะช่วย<br />
ควบคุมวัชพืชและคลุมหน้าดินให้มีความ<br />
ชุ่มชื้น ส่วนใบไม้ที ่ร่วงลงน ้าจะช่วยเพิ่ม<br />
ปริมาณอินทรียวัตถุและจุลินทรีย์ให้กับน้ า<br />
ที่จะนามาใช้เลี้ยงพืช<br />
. จัดทาคันนา ให้มีความสูงและ<br />
กว้างจะสามารถเก็บได้ทั้งน้าและปลา<br />
อีกทั้งยังสามารถปลูกพืชบนคันนา<br />
ได้อีกด้วย ควรปลูกข้าวพันธุ์พื้นบ้าน<br />
เนื่องจากเปนพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพ<br />
แวดล้อมที ่สุด การปลูกข้าวโดยไม่ใช้<br />
สารเคมีจะทาให้ต้นข้าวมีรากที่ยาวและ<br />
แข็งแรงเพราะจะต้องหาอาหารด้วยตนเอง<br />
จงทนต่อความแห้งแล้งและสามารถหา<br />
อาหารได้ดีกว่า ควรปลูกพืชหมุนเวียนและ<br />
เลี้ยงแหนแดงเพื่อเพิ่มธาตุอาหารในนา<br />
. แนวทางพิจารณาสัดส่วนการ<br />
จัดสรรพื้นที่ โดยพิจารณากาหนดสัดส่วน<br />
การจัดสรรพื้นที่ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง<br />
สามารถปรับใช้ตามความเหมาะสม<br />
กล่าวคือ<br />
ปลูกพืช ๓ ส่วน<br />
สระน้า ๓ ส่วน<br />
นาข้าว ๓ ส่วน<br />
ที่อยู่อาศัย ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ๑ ส่วน<br />
พระราชกรณียกิจของพระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
ได้สะท้อนให้เห็นถงความสาคัญของผืนดิน<br />
ของไทย และการพิทักษ์รักษาไว้่งความ<br />
อุดมสมบูรณ์เพื่อความมั่นคงทางอาหาร<br />
ของไทยและเปนมรดกที่สาคัญสืบทอด<br />
ไปยังอนุชนรุ่นต่อไป ผู้เขียนจงใคร่ขอให้<br />
ทุกท่านกรุณาตระหนักถงความสาคัญและ<br />
ร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรดินเพื่อสนอง<br />
พระราชปณิธานอันแน่วแน่ของพระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
ที่ทรงบาเพ็ญมาจนเปนรากฐานมั่นคง<br />
ของการอนุรักษ์ทรัพยากรประเทศไทย<br />
ให้มีความรุ่งเรืองต่อไป<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 7
ครังหน งม<br />
ระท นั<br />
นั<br />
บว่าเปนบุญวาสนาอย่างยิ่งที่<br />
ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมในงาน<br />
พระราชพิธีบาเพ็ญพระราช<br />
กุศลและถวายสักการะพระบรมศพ<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท<br />
ในพระบรมมหาราชวัง เพราะนอกจากจะ<br />
ได้มีโอกาสร่วมงานพระราชพิธีบาเพ็ญ<br />
พระราชกุศลแล้ว ยังมีโอกาสได้พบเห็น<br />
เรื่องราวสาคัญที่ถือว่าเปนการเปด<br />
โลกทัศน์ที่ดีในชีวิตอีกครั้งหน่ง ่งผู ้เขียน<br />
ใคร่ขอใช้โอกาสนี้ถ่ายทอดให้ทุกท่านได้<br />
กรุณารับทราบด้วย อย่างไรก็ตาม หาก<br />
ท่านใดที่ทราบและอาจมีข้อมูลที ่ชัดเจน<br />
กว่าผู้เขียนด้วยแล้ว ผู้เขียนก็ขออภัยไว้<br />
ณ โอกาสนี้ พร้อมกับขอโอกาสนาเสนอ<br />
เรื่องราวดี ให้ผู้อ่านท่านอื่น ได้กรุณา<br />
ทราบ กล่าวคือ<br />
เรื่องแรก พระที่นั่งดุสิตมหา<br />
ปราสาท ่งถือเปนพระที่นั่งคู่ราชวงศ์จักรี<br />
มีลักษณะของสถาปตยกรรมทรงปราสาท<br />
ก่ออิฐถือปูนฐานแบบจัตุรมุข ด้านเหนือมี<br />
มุขเด็จยื่นออกมา ที่สาคัญคือหน้าบัน<br />
จาหลักรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณ<br />
ล้อมรอบด้วยลายกนกเทพนม มุมยอด<br />
ปราสาททั้งสี่มุมเปนรูปลายพญาครุฑหน้า<br />
บันจาหลักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑไขรา<br />
รอบปราสาทเปนรูปครุฑยุดนาครองรับ<br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ<br />
ยอดาจุาโลกมหาราช ได้เสด็จออกว่า<br />
ข้าวายสักการะ<br />
งดสิมหาปราสาท<br />
พลตรี ชัยวิทย ชยาภินันท<br />
พระทีนังดุสิตมหาราสาท<br />
ราชการที่ท้องพระโรง และต่อมาใน<br />
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง<br />
การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช<br />
นอกจากนี้ ยังเปนสถานที่ประกอบ<br />
พระราชพิธีัตรมงคล ในวันที่ ๕ พฤษภาคม<br />
ของทุกป ทั้งนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธยอดาจุาโลกมหาราชเสด็จ<br />
สวรรคต ได้อัญเชิญพระบรมศพมาตั้งไว้ที่<br />
พระที่นั่งองค์นี้ จนกลายเปนธรรมเนียมที่<br />
จะต้องประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จ<br />
พระมหากษัตราธิราชเจ้า และสมเด็จพระ<br />
อัครมเหสีไว้บนพระที่นั่งองค์นี้ ่งผู้ใหญ่<br />
ท่านหน่งได้กล่าวกับผู้เขียนว่า ที่ต้อง<br />
อัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวมาประดิษฐานไว้บน<br />
พระมหาปราสาท เพราะมีคติว่า พระบาท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปนพระโพธิสัตว์<br />
ที่ทรงมีความเมตตาเสด็จลงมาเพื่อสร้าง<br />
ประโยชน์ให้แก่โลกมนุษย์ และเมื่อทรง<br />
เสร็จสิ้นพระราชภารกิจก็จะเสด็จกลับสู่<br />
สวรรค์ชั้นดุสิตอันเปนที่สถิตของพระ<br />
โพธิสัตว์ทุกพระองค์เพื่อจะได้บาเพ็ญ<br />
บารมีเพื่อตรัสรู้เปนพระพุทธเจ้าพระองค์<br />
ต่อไป<br />
เรื่องที่สอง พระนพปลมหา<br />
เศวตัตร ่งเปนเครื่องสูงสาหรับพระ<br />
มหากษัตริย์ที่สาคัญที่สุด และแสดงถง<br />
ความเปนพระมหากษัตริย์ มีลักษณะเปน<br />
ัตรสีขาว ๙ ชั้น แต่ละชั้นประดับทอง ๓<br />
เส้น ประดิษฐาน ณ พระแท่นพระราช<br />
บัลลังก์ประดับมุก โดยในพระราชพิธีได้<br />
ประดิษฐานพระพุทธรูปประจาพระชนม<br />
วาร (พระพุทธรูปประจาวันจันทร์อันเปน<br />
วันพระราชสมภพมีพุทธลักษณะประทับ<br />
ยืนแบบสมภังค์ แสดงปางห้ามญาติหรือ<br />
ปางอภัยมุทราด้วยพระหัตถ์ขวาเพียง<br />
ข้างเดียว ส่วนพระหัตถ์้ายทอดลงข้าง<br />
พระวรกาย พระพุทธรูปมีพุทธลักษณะ<br />
คล้ายพระพุทธรูปแบบสุโขทัย)<br />
่งสิ่งที่น่าสนใจมากอีกประการหน่ง<br />
คือ ที่พระนพปลมหาเศวตัตร ยัง<br />
ประกอบด้วยองค์เทวดารักษาัตร ที่มี<br />
นามว่า พระกาพูัตร ทาด้วยทองคา อยู่<br />
ในท่าเหาะถือพระขรรค์ อยู่บนกาพูของ<br />
ัตร (ส่วนที่รวมี่ของัตรไว้) โดยมีการจัด<br />
สร้างข้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้จะมีการจัด<br />
8<br />
พตรี ัวิ ินัน
ลองพระบาทเชิงงอน) และเครื่อง<br />
ราชูปโภค (ประกอบด้วย พานพระ<br />
ขันหมาก พาน ๒ ชั้น รูปสี่เหลี่ยมย่อมุม<br />
มีองพลูและเครื่องพร้อมสาหรับใส่หมาก<br />
พระมณฑปรัตนกรัณฑ์ ภาชนะรูปทรง<br />
มณฑปมีพานรองพร้อมฝา สาหรับใส่น้าเย็น<br />
มีจอกลอยอยู่ภายใน พระสุพรรณศรี <br />
กระโถนเล็ก ทาเปนรูปบัวแก สาหรับ<br />
บ้วนพระโอษฐ์และพระสุพรรณราช <br />
กระโถนปากแตรขนาดใหญ่)<br />
> สอง เบื้อง้ายของพระบรมโกศ<br />
พระกําพูัตร<br />
ทาพวงมาลัยห้อยอยู่ที่กาพูัตรเสมอ เพื่อ<br />
เปนการสักการะพระกาพูัตร<br />
เรื่องที่สาม พระบรมโกศ โดยมีการ<br />
ประดิษฐานพระบรมโกศทองใหญ่ ที่มี<br />
ลักษณะเปนพระโกศแปดเหลี่ยม ยอดทรง<br />
มงกุ ทาจากไม้หุ้มทองคา ประดับพลอย<br />
ขาวทรวดทรงและลวดลาย ทั้งยังมีการ<br />
ประดับที่สาคัญ กล่าวคือ<br />
ยอดพระโกศปกพุ่มดอกไม้เพชร<br />
ฝาพระโกศ ประดับดอกไม้ไหว<br />
ดอกไม้เพชร<br />
ปากพระโกศ ห้อยเองเพชร<br />
ระย้าเพชร อุบะดอกไม้เพชร<br />
เอวพระโกศ ปกดอกไม้เพชร<br />
สาหรับเบื้องหน้าพระบรมโกศ มีการ<br />
ประดิษฐานเครื ่องสูงสาหรับพระมหา<br />
กษัตริย์ที่มีความสาคัญยิ่ง ่งประกอบด้วย<br />
> หนึ่ง เบื้องขวาของพระบรมโกศ<br />
(หากท่านเข้าถวายสักการะพระบรมศพ<br />
จะเห็นว่าประดิษฐาน ณ เบื้อง้ายมือ<br />
ของท่าน) คือ พระประทีป เครื่องราช<br />
กกุธภัณฑ์ (ประกอบด้วย พระมหาพิชัย<br />
มงกุ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร<br />
วาลวิชนี พัดวาลวิชนี พระแส้จามรี และ<br />
พระระที เครองราชกกุภัณ<br />
ละเครองราชูโภค<br />
(หากท่านเข้าถวายสักการะพระบรมศพ<br />
จะเห็นว่าประดิษฐาน ณ เบื้องขวามือของ<br />
ท่าน) คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ (ประกอบ<br />
ด้วย สายสะพายรวม ๘ ตระกูล คือ เครื่อง<br />
ขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณ<br />
รุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ เครื่องราช<br />
อิสริยาภรณ์อันเปนมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเปนโบราณ<br />
มงคลนพรัตนราชวราภรณ์ เครื่องราช<br />
อิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐม<br />
จุลจอมเกล้าวิเศษ เครื่องราชอิสริยาภรณ์<br />
อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ ๑ (เสนางคะบดี)<br />
เครองราชอิสริยาภรณ เหรียญราชอิสริยาภรณ<br />
ระจําพระองค ละพระคทาจอมทัพภูมิพล<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเปนที่เชิดชูยิ่ง<br />
ช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่ง<br />
มงกุไทย ชั้นมหาวชิรมงกุ และเครื่อง<br />
ราชอิสริยาภรณ์อันเปนที่สรรเสริญยิ่ง<br />
ดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นปฐมดิเรกคุณาภรณ์)<br />
เหรียญราชอิสริยาภรณ์ประจาพระองค์<br />
และสิ่งที่สาคัญของทหารไทยมาก คือ<br />
พระคทาจอมทัพภูมิพล ่งประดิษฐานบน<br />
หมอนแพรสีเหลืองทองประดับบนพาน<br />
ข้างพานประดิษฐานเครื่องราช<br />
อิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ ่งมงกุไทย<br />
ชั้นมหาวชิรมงกุ ดังภาพที่ปรากตาม<br />
บทความนี้<br />
ผู้เขียนจงขอเรียนให้ทุกท่านได้กรุณา<br />
ทราบอีกครั้งว่า เมื่อท่านมีโอกาสเข้าถวาย<br />
สักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิต<br />
มหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ขอ<br />
ให้ท่านได้กรุณาสังเกตและมองเครื่องสูง<br />
ดังที่ผู้เขียนได้อรรถาธิบายดังกล่าว<br />
่งจะเกิดเปนสิริมงคลแก่ชีวิตของท่าน<br />
ตลอดไป<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 9
10<br />
คําสอนของพ่อ...มรดกที ่ยิ ่งใหญ่
กว่า ๗๐๐ ป ที่ประเทศไทยเปน<br />
ปกแผ่นมาจนถงทุกวันนี้ ความ<br />
ผูกพันที่คนไทยมีต่อสถาบัน<br />
พระมหากษัตริย์มิเคยจืดจางลงแต่อย่างใด<br />
แม้คนไทยยุคนี้จะมีภาพการทรงงานของ<br />
พระเจ้าแผ่นดินน้อยหรือแทบไม่เคยรับรู้<br />
เลย แต่นั่นไม่ได้ทาให้สายใยระหว่างา<br />
กับดินเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเปนผล<br />
มาจากการเติมเต็มเรื่องราวจากคาบอกเล่า<br />
ผ่านสื ่อทุกแขนง ภายหลังการเสด็จ<br />
สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่วันที่ ๑๓<br />
ตุลาคม พศ๒๕๕๙ เปนต้นมา<br />
ความรู้สกของคนไทยตั้งแต่รุ่นทวด<br />
ปู ย่า ตา ยาย เมื่อครั้งต้องพบกับความสูญเสีย<br />
นับจากวันที่ ๒๓ ตุลาคม พศ๒๔๕๓<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พศ<br />
๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
อานันทมหิดลเสด็จสวรรคต จนถงวันที่ ๑๓<br />
ตุลาคม พศ๒๕๕๙ คือความว้าเหว่ เดียวดาย<br />
และรู้สกสูญเสียครั้งใหญ่หลวงเกินกว่า<br />
ใจจะยอมรับ เมื่อตระหนักว่า นับแต่นี้<br />
พระมหากษัตริย์่งเคยเปนศูนย์รวมดวงใจ<br />
จะไม่อยู่อีกต่อไป จงต่างระดมกันค้นคว้า<br />
หาเรื่องราวของพระองค์มาบอกเล่า มีให้<br />
เห็นทั้งคลิปวิดีโอ เทปบันทกพระราชดารัส<br />
ข้อมูลข่าวสาร สารคดี บทสัมภาษณ์จาก<br />
บุคคลต่าง จนภาพที่พร่าเลือน มองเห็น<br />
ได้ชัดเจนประทับอยู่ในความทรงจาเกี่ยว<br />
กับพระราชกรณียกิจและพระราชมรดก<br />
อันล้าค่าที่ฝากไว้ ตลอด ๗๐ ป แห่งการ<br />
ครองสิริราชสมบัติ<br />
เพาะโครงการพระราชดาริ คนไทย<br />
เพิ่งจะมีโอกาสรับรู้ว่า ๗๐ ป ที่ทรงครอง<br />
ราชย์ หรือ ๒๕๕๕๐ วัน ทรงมีโครงการ<br />
พระราชดาริถง ๔๘๕ โครงการ เลี่ย<br />
แล้วทรงมีโครงการใหม่เพื่อประชาชนทุก<br />
๕๔ วันหรือกล่าวอีกนัยหน่ง ใน ๑ สัปดาห์<br />
จะมีโครงการพระราชดาริ ๑ โครงการ<br />
อยู่ตลอดเวลา ทุกโครงการล้วนแล้วแต่<br />
พลิกความหมดหวังให้มองเห็นความหวัง<br />
ทุกโครงการเชื่อว่าจะเปนไปไม่ได้ แต่ทรง<br />
ทาให้กลับกลายเปนไปได้<br />
วลีที่หลายคนพูดว่า ันดน<br />
ัา คือความภาคภูมิใจที่บ่งบอก<br />
ให้รับรู้ว่า คนรุ่นเดียวกันนี้โชคดี แต่มีหลาย<br />
คนโชคดียิ่งกว่าเพราะมีโอกาสได้ยินได้ง<br />
พระบรมราโชวาทและพระราชดารัสใน<br />
โอกาสต่าง ที่สาคัญที่สุดคือ ทุกวันที่ ๔<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />
11
ธันวาคม ก่อนวันเลิมพระชนมพรรษา ๕<br />
ธันวาคมเพียง ๑ วัน จะเปนห้วงเวลาที่<br />
พสกนิกรชาวไทยทุกคนรอคอยพ่อของ<br />
แผ่นดินที่จะมีพระราชดารัสต่อผู้เข้าเฝาฯ<br />
เปนพระราชดารัสที่จะทรงใช้เวลานานกว่า<br />
ทุก ครั้ง เพื่อสอนลูก ของพระองค์<br />
รองศาสตราจารย์มัลลิกา ตัณฑนันทน์<br />
และคณะ ได้มีผลงานวิจัยเรื่อง การศกษา<br />
พระราชดารัสและพระบรมราโชวาท<br />
เกี่ยวกับการดาเนินชีวิตของคนในชาติ ่ง<br />
ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสถาบันวิจัย<br />
และพันา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />
มีรายละเอียดเปนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง<br />
เปนการศกษาวิเคราะห์ประมวลพระราช<br />
ดารัสและพระบรมราโชวาทที่สานักราช<br />
เลขาธิการจัดพิมพ์เปนรายป ตั้งแต่เล่มแรก<br />
คือประมวลพระราชดาริ ป พศ๒๕๑๑<br />
จนถงป ๒๕๔๐ และศกษาเพิ่มเติมอีกจาก<br />
ประมวลพระราชดารัสและพระบรมราโชวาท<br />
ในโอกาสต่าง จากเล่มล่าสุด ในป พศ<br />
๒๕๔ รวมทั้งสิ้น ๕๓ เล่ม<br />
การศกษาวิจัยพบว่า พระบรม<br />
ราโชวาทและพระราชดารัสของพระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
หรือเปนเสมือนคาสอนของพ่อนั้นได้<br />
พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ไว้หลาก<br />
หลายในทุกสาขาอาชีพ สาหรับข้าราชการ<br />
พลเรือน ทหาร ตารวจ ฝายบริหารและ<br />
ฝายนิติบัญญัติ ฝายปกครองส่วนภูมิภาค<br />
นักกหมาย ผู้พิพากษา ตุลาการ<br />
ทนายความ เกษตรกร ผู้นาทางศาสนา<br />
ผู้เผยแผ่ศาสนา เด็กนักเรียน เยาวชน<br />
ประชาชนทั่วไป บัณฑิตผู้สาเร็จการศกษา<br />
แพทย์ นักหนังสือพิมพ์ นักเรียน ครู<br />
อาจารย์ สรุปเปนข้อคิดที ่สามารถนาไป<br />
ประยุกต์ในการดาเนินชีวิตของประชาชน<br />
ทุกเพศทุกวัย หลากหลายอาชีพ เพื่อให้มี<br />
ชีวิตที่ถูกต้องสมบูรณ์และดีงามอันเปน<br />
ประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวมและ<br />
ในระยะยาวต่อไป<br />
สาหรับประเด็นคาสอนที่คณะผู้วิจัย<br />
ได้นามาเปนกรอบการศกษาและวิเคราะห์<br />
ประกอบด้วยบทบาทหน้าที่ความสาคัญ<br />
ของงาน ของกลุ่มบุคคลที่เข้าเฝาฯ ความรู้<br />
พื้นฐานที่จาเปนต้องมีในการปิบัติงาน<br />
การนาความรู้ไปใช้ในการปิบัติงาน<br />
แนวทางปิบัติงาน และแนวทางปิบัติตน<br />
่งจากการศกษาพบว่า คาสอนที่พระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
พระราชทานแก่บุคคลต่าง นั้น แสดงถง<br />
พระราชปณิธานที่จะให้ทุกคนตระหนักใน<br />
หน้าที่และปิบัติหน้าที่เต็มความรู้ความ<br />
สามารถ ประสานประโยชน์และอยู่ร่วมกัน<br />
อย่างเอื้อเอ ช่วยเหลือ่งกันและกัน เพื่อ<br />
ความเจริญมั่นคงของตนและส่วนรวม<br />
เปนสาคัญ<br />
ทั้งนี้ มิเพียงจะแสดงออกในด้าน<br />
พระบรมราโชวาทและพระราชดารัส<br />
เท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงปิบัติพระองค์<br />
เปนแบบอย่างตามครรลองแห่งคาสอนที่<br />
พระราชทานตลอดมา ทั้งในการประกอบ<br />
พระราชกรณียกิจในการครองแผ่นดิน<br />
ทรงศกษาปญหาอย่างลก้งก่อนจะมี<br />
พระราชวินิจัยและพระราชดาริต่าง<br />
โดยคานงถงประโยชน์สุขของอาณา<br />
ประชาราษร์และความเจริญพันา<br />
ของประเทศชาติบ้านเมืองเปนที่ตั้ง<br />
ด้านการดารงพระชนม์ชีพ ทรงเปน<br />
แบบอย่างประจักษ์ชัดในพระจริยวัตร<br />
12 ØÒ ÁÕǧÈ
ตามพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะ<br />
ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชนสุข<br />
แห่งมหาชนชาวสยาม” ตั้งแต่พระราชพิธี<br />
บรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม<br />
พศ๒๔๙๓ แม้แต่แนวปรัชญาเศรษฐกิจ<br />
พอเพียงที่พระราชทานแก่พสกนิกรชาว<br />
ไทยและถูกหยิบยกนาไปใช้อย่างแพร่<br />
หลายจากสหประชาชาติ ก็ทรงบาเพ็ญ<br />
พระองค์เปนแบบอย่างมาช้านาน ด้วยความ<br />
เรียบง่าย ประหยัด จนนามาสู่เรื่องเล่าขาน<br />
มากมาย ทั้งเรื่องการใช้ดินสอที่สั้นกุด การ<br />
ใช้ยาสีนจนรีดหลอดแบนเรียบ การใช้<br />
รองพระบาท ตลอดจนการใช้รถหลวง ่ง<br />
ล้วนแต่มีอายุการใช้งานยาวนานทั้งสิ้น<br />
พระบรมราโชวาทและพระราชดารัส<br />
ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา<br />
ภูมิพลอดุลยเดช ตลอดการครองราชย์ ๗๐<br />
ป ไม่ต่างไปจากคาสอนของพ่อที่มุ่งหวังให้<br />
ลูกประพฤติปิบัติเปนเสมือนเครื่องยด<br />
เหนี่ยวความดีงามและเตือนสติคนในชาติ<br />
ที่อยู่ร่วมกันอย่างหลากหลายสาขาอาชีพ<br />
อาทิ ผู้พิพากษา คุณประสพสุข บุญเดช<br />
อดีตประธานวุิสภา เล่าว่าในฐานะที่เปน<br />
ข้าราชการตุลาการมาตลอดชีวิตการ<br />
ทางาน ๓๐ กว่าป ได้อาศัยพระบรม<br />
ราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช เปนหลักในการ<br />
ปิบัติงาน การทาหน้าที่ผู้พิพากษาทาโดย<br />
พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ จงยด<br />
มั่นในพระบรมราชโองการที่ทรงตรัสว่า<br />
าคองนดนดมอ<br />
นสุงมานาวสาม<br />
ด้วยการปิบัติหน้าที่ด้วยการให้ความเปน<br />
ธรรมแก่ประชาชน ื่อสัตย์สุจริต ไม่ทางาน<br />
ในสิ่งที่ไม่ยุติธรรมแก่สังคมเพราะ<br />
ประชาชนต่างหวังพ่งศาล ทรงให้พระบรม<br />
ราโชวาทแก่ผู้พิพากษาว่า เวลาปิบัติงาน<br />
ต้องคานงถงความเปนธรรม อย่าไปยด<br />
หลักกหมายเพียงอย่างเดียว<br />
แม้แต่ตอนที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติ<br />
เหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ เมื่อ<br />
พลตรี จาลอง ศรีเมือง นามวลชนประท้วง<br />
พลเอก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี<br />
ขณะนั้น จนบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดช เชิญทั้ง ๒ คนมาพูดคุย แล้วมี<br />
พระราชดารัสรับสั่งว่า การรบกันนั้นม่มี<br />
ใครที่จะชนะด มีแต่จะแพดวยกันทั้งคู่<br />
จงทาให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบอีกครั้ง<br />
สานักข่าวบลูมเบิร์กได้เผยผลสารวจ<br />
ดัชนีความทุกข์ยากประจาป ๒๕๕๙ พบว่า<br />
ไทยเปนประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อย<br />
ที่สุดในโลก จาก ๗๔ ประเทศ ในช่วงที่<br />
เศรษฐกิจบเาคะแนนรวมความทุกข์ยาก<br />
มีเพียงร้อยละ ๑๑๑ เท่านั้น และครอง<br />
อันดับหน่งต่อเนื่องเปนปที่ ๒ โดยได้อ้าง<br />
ข้อมูลทางเศรษฐกิจในเรื่องการว่างงาน<br />
อัตราเงินเอ ค่าครองชีพและความเข้มแข็ง<br />
ของตลาดแรงงาน ตามด้วยอันดับสองคือ<br />
สิงคโปร์ และญี่ปุนเปนอันดับ ๓ ส่วน<br />
ประเทศที่ติดอันดับทุกข์ยากมากที่สุดคือ<br />
เวเนุเอลา มีคะแนนรวมความทุกข์ยากถง<br />
ร้อยละ ๑๘๘๒<br />
เหตุผลสาคัญที่คนไทยมีความสุข<br />
ท่ามกลางความทุกข์และวิกฤตได้ก็เพราะ<br />
แนวทางพระราชดาริ เศรษฐกิจพอเพียง<br />
ช่วยสร้างความสุขทางใจ ให้สุขได้ ทุกข์<br />
อย่างพอประมาณ ทุกคนมีความสุขและยิ้ม<br />
ได้เพราะคาสอนมากมายที่พระบาทสมเด็จ<br />
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฝาก<br />
มรดกไว้ให้ปวงชนชาวไทยได้สืบต่อไป<br />
ในการดารงชีวิต ชั่วกาลนาน<br />
บทความโดย : จุาพิช มณีวง<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />
13
ระาทสมดจระมงกกล้าจ้ายหัว<br />
ตอนที ่ ๒<br />
พูงสางวางสามั<br />
าวัองาสมดมงุา<br />
าอูัวสงอาดาา<br />
นาคอง<br />
๑.๒ การเสด็จเขารับราชการเมื่อทรงสาเร็จการศึกษา<br />
เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ สยาม<br />
มกุราชกุมารเสด็จกลับมาถงประเทศสยามในพุทธศักราช ๒๔๔๕<br />
ทรงเข้ารับราชการทหารทันที ได้รับพระราชทานยศนายพลเอก<br />
ราชองครักษ์พิเศษและจเรทัพบก กับทั้งทรงเปนผู้บังคับการกรมทหาร<br />
มหาดเล็กรักษาพระองค์ นอกจากนั้น ทรงช่วยราชการสภาที่ปรกษา<br />
ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และได้ทรงผนวชตาม<br />
โบราณราชประเพณี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมี<br />
สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเปนพระ<br />
อุปชายาจารย์ แล้วประทับจาพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ พรรษา<br />
เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๗<br />
เมื่อทรงลาผนวช ได้ประทับอยู่ที่วังสราญรมย์ ทรงเปนองค์<br />
อุปถัมภ์สยามสมาคมและดารงตาแหน่งสภานายกหอสมุดสาหรับ<br />
พระนคร ได้เสด็จประพาสหัวเมืองทั้งฝายเหนือจนถงเมืองเชียงใหม่<br />
และหัวเมืองปกษ์ใต้จงทรงมีความรู้เรื่องของราษรที่มีวันธรรม<br />
สํานักพันาระบบราชการกลาโหม<br />
14<br />
สนักพันรรกรกโห
แตกต่างกันในบ้านเมือง ทรงสานต่องานด้าน<br />
ประวัติศาสตร์และโบราณคดี ดังจะเห็นได้จาก<br />
บทพระราชนิพนธ์ เที่ยวเมืองพระร่วง และบท<br />
ละครเรื่อง พระร่วง อันแสดงให้เห็นความสน<br />
พระราชหฤทัยค้นคว้าเรื่องราวในอดีตของ<br />
สยาม ทาให้มีการเขียนประวัติศาสตร์ของชาติ<br />
สยามอย่างเปนรูปธรรมชัดเจนในเวลาต่อมา<br />
และการเสด็จประพาสหัวเมืองของสยามทาให้<br />
ทรงมีโอกาสเปรียบเทียบทรัพยากรของสยาม<br />
กับของนานาประเทศที ่ได้เคยเสด็จประพาส<br />
จงนับว่าเปนต้นทุนที่สาคัญในการวางแผน<br />
สร้าง สยามรัฐ อย่างเปนระบบในรัชสมัย<br />
ของพระองค์<br />
ตลอดเวลาหลังจากที่สมเด็จพระบรม<br />
โอรสาธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ สยามมกุราช<br />
กุมาร เสด็จนิวัตพระนครแล้วทรงปรับความรู้<br />
ที่ทรงเล่าเรียนมาแบ่งเบาพระราชกิจจาก<br />
สมเด็จพระบรมชนกนาถหลายประการ<br />
ดังพระราชกรณียกิจต่อไปนี้<br />
๑) การปกครองบานเมือง<br />
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าา<br />
มหาวชิราวุธ สยามมกุราชกุมารทรงมีหน้าที่<br />
ตามเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ เข้าร่วม<br />
ประชุมสภาเสนาบดีตลอดมา ดังนั้น เมื่อ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
เสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๒ เมื่อพุทธศักราช<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />
๒๔๕๐ ได้พระราชทานอานาจในพระราชกิจ<br />
รักษาพระนครไว้แก่สมเด็จพระบรมโอรสา<br />
ธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ สยามมกุราชกุมาร<br />
พระองค์ทรงเปนประธานการประชุมผู้สาเร็จ<br />
ราชการที่กรุงเทพฯ มีพระบรมวงศานุวงศ์<br />
ชั้นผู้ใหญ่เปนที่ปรกษา และทรงเปนประธาน<br />
ประชุมเสนาบดี มีเสนาบดีและผู้แทนเสนาบดี<br />
ทุกกระทรวงเข้าร่วมประชุม พระองค์ทรงมี<br />
พระราชอานาจสิทธิ์ขาดบังคับบัญชาทั้งปวง<br />
๒) การปกครองทองที่<br />
ทรงจาลองแนวคิด เรื่องระบอบการ<br />
ปกครองแบบประชาธิปไตยที่ราษรมีส่วนร่วม<br />
แสดงความเห็นเพื่อพันาบ้านเมืองให้รุ่งเรือง<br />
มาทดลองปิบัติจริงต่อจากแนวคิดเรื่อง<br />
สาธารณรัฐใหม่ ที่พระราชนิพนธ์เมื่อ<br />
ประทับที่กรุงปารีสโดยทรงฝกบรรดา<br />
ข้าราชบริพารเปนทวยนาครในเมืองสมมติ<br />
ของพระองค์ชื่อ เมืองมัง ที่อยู่ในบริเวณสวน<br />
อัมพวา (แปลว่า สวนมะม่วง ดังนั้น เมืองมัง<br />
จงมาจาก มังโก a) หลังพระตาหนัก<br />
จิตรลดาที่ปารุสกวันในพระราชวังดุสิต่งเปน<br />
ที่ประทับชั่วคราว เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔<br />
ระหว่างที่พระตาหนักที่ประทับ ณ วังสราญรมย์<br />
กาลัง่อมแม<br />
เมืองมัง เปนเรือนแถว ๒๐ ห้อง มี<br />
เลียงทางเดินติดต่อกับตาหนักที่ประทับ<br />
มีมหาดเล็กรุ่นเยาว์อยู่ห้องละ ๒ คน นับเปน<br />
หมู่บ้านเล็ก ที่กาลังพันา มีคณะผู้ควบคุม<br />
คณะหน่งเรียกว่า นคราภิบาล ทาหน้าที่เปน<br />
คณะกรรมการจัดการปกครองเมืองมัง<br />
ประกอบด้วย เชบุรุ ่งเปนหัวหน้า<br />
หมู่บ้านและผู้แทนราษร เลขาธิการเปน<br />
เจ้าหน้าที่ธุรการ โยาิการ เปนเจ้าหน้าที่ก่อสร้าง<br />
และรักษาความสะอาดของบ้านเมือง และนาย<br />
แพทย์ สุาภิบาลเปนเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาล<br />
เมืองมัง กาหนดกระเบียบให้ทวย<br />
นาครปิบัติ เช่น ที่ประชุมทวยนาครต้องออก<br />
เสียงลงคะแนนเลือกตั้งนคราภิบาลและ<br />
เชษฐบุรุษ ต้องงคาบังคับบัญชาของเชษฐบุรุษ<br />
และกระทาการตามกระเบียบเพื่อประโยชน์<br />
และการพันาชุมชน เลือกสรรบุคคลให้ทา<br />
หน้าที่ต่าง อย่างเหมาะสมและครบถ้วนทั้ง<br />
ด้านการเงินและการรักษาความสงบเรียบร้อย<br />
ของเมือง โดยมีการจัดประชุมทวยนาครอย่าง<br />
น้อยเดือนละ ๑ ครั้ง เพื่อให้ทวยนาครได้แสดง<br />
ความคิดเห็นในเรื่องต่าง<br />
นอกจากนั้น เมืองมังมี แบงก์ลี<br />
อเทีย เปนธนาคารเพื่อรับฝากและกู้เงิน อัน<br />
เปนการสร้างความเข้าใจเรื่องการออมทรัพย์<br />
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ<br />
สยามมกุราชกุมาร ทรงเปนกรรมการผู้จัดการ<br />
หม่อมหลวงเอพ่งบุญ (คือ เจ้าพระยารามราพ)<br />
15
กับนายเทียบ อัศวรักษ์ (พระยาคทาธรบดี<br />
สีหราชบาลเมือง) เปนกรรมการ เปนการ<br />
นาความรู้วิธีการคลังออมสินของประเทศ<br />
อังกฤษที่ iurh ais ak มา<br />
ทดลองปิบัติ เพราะขณะนั้นแม้จะมีตัวแทน<br />
ธนาคารพาณิชย์ของต่างประเทศมาดาเนินงาน<br />
ในประเทศสยามบ้างแล้วก็เปนการอานวย<br />
ความสะดวกในทางธุรกิจให้บริษัทนาเข้าส่ง<br />
ออก บริษัทก่อสร้าง โรงสี โรงเลื่อย มากกว่า<br />
จะให้บริการรับฝากเงินเพื่อการเก็บออมของ<br />
ราษร พระราชดารินี้ได้ขยายออกเปนการตั้ง<br />
คลังออมสินในรัชสมัยของพระองค์<br />
เนื่องจากทวยนาครในเมืองมัง เปนผู้ที่<br />
มีความรู้ จงมีการออกหนังสือรายสัปดาห์ เพื่อ<br />
แจ้งข่าวสารและให้ความบันเทิงแก่สมาชิก<br />
ส่วนมากจะเปนพระราชนิพนธ์ในสมเด็จ<br />
พระบรมโอรสาธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ สยาม<br />
มกุราชกุมาร นอกจากนั้น ยังมีสโมสรสถาน<br />
เพื่อการพักผ่อนและการสมาคมของทวยนาคร<br />
ตลอดจนการเลี้ยงอาหารเพื่อการสมานสามัคคี<br />
อีกด้วย ในรัชสมัยของพระองค์นั้น มีการออก<br />
หนังสือพิมพ์และการจัดตั้งสมาคมต่าง<br />
จานวนมาก รวมทั้งมีการออกพระราชบัญญัติ<br />
ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้อีกด้วย<br />
การทดลองเรื่องการปกครองในเมืองมัง<br />
ได้ยุติลง เมื่อทรงมีพระราชภารกิจมากข้น<br />
แต่ก็เปนที่เข้าใจว่า เมืองมัง คือเมืองสมมติ<br />
ที่มีมาก่อน ดุสิตธานี อันมีส่วนสัมพันธ์<br />
กับการจัดการปกครองส่วนท้องที่ ที่ค่อย<br />
ประกาศใช้ตามความพร้อมของแต่ละท้องถิ่น<br />
ในรัชสมัยของพระองค์ด้วยเช่นกัน<br />
) การต่างประเทศ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงดาเนินวิเทโศบายต่าง ในการ<br />
เจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ เช่น เสด็จ<br />
พระราชดาเนินไปเยือนนานาประเทศ จัดส่ง<br />
สิ่งของไปตั้งแสดงในงานมหกรรมนานาชาติใน<br />
ต่างประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นพระราชไมตรี<br />
อันดีที่ทรงมีต่อประเทศนั้นและเปนโอกาส<br />
ให้ประเทศสยามได้นาเสนอภาพลักษณ์ของ<br />
ประเทศทั้งด้านความเจริญของบ้านเมือง<br />
ทรัพยากรธรรมชาติและสินค้าออกของ<br />
ประเทศให้เปนที่ปรากในที่ประชุมของนานา<br />
ประเทศด้วย เปนต้น<br />
ระหว่างที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช<br />
เจ้าามหาวชิราวุธ สยามมกุราชกุมาร<br />
ประทับอยู่ในทวีปยุโรปได้มีการจัดแสดงความ<br />
ก้าวหน้าของโลกในมหกรรมนานาชาติ<br />
หลายครั้ง ที่สาคัญคือ มหกรรมที่กรุงปารีส<br />
พุทธศักราช ๒๔๔๓ (คริสต์ศักราช ๑๙๐๐)<br />
จงทรงเข้าใจความหมายและความสาคัญ<br />
ของมหกรรมเช่นนั้นเปนอย่างดี และระหว่าง<br />
ที่เสด็จนิวัตพระนครได้แวะทอดพระเนตร<br />
สถานที่ก่อสร้างงานมหกรรมนานาชาติ ที่เมือง<br />
เ็นต์หลุยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงพบกับ<br />
โปรเสเอร์กอร์ (r r) แห่ง<br />
มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้เคยมีส่วนเกี่ยวข้อง<br />
ในการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ของสยามใน<br />
ต่างประเทศมาก่อน<br />
เมื่อทรงได้รับมอบหมายให้จัดการ<br />
ส่งสิ่งของไปตั้งแสดงในต่างประเทศ จงทรง<br />
วางแผนงานอย่างชัดเจน ทรงจ้างโปรเสเอร์<br />
กอร์ เปนผู้เชี่ยวชาญทาหน้าที่ผู้แทนสยาม จน<br />
เปนที่ประจักษ์ว่า ประเทศสยามประสบผลใน<br />
การสร้างภาพลักษณ์ว่ามีความเจริญทัดเทียม<br />
กับอารยประเทศ เมื่อได้นาเสนอข้อมูลที่แสดง<br />
ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ราษรเกินกว่า<br />
หน้าที่ทั่วไปของพระเจ้าแผ่นดิน ทาให้คณะ<br />
ลูกขุนใหญ่ตัดสินให้ถวายประกาศนียบัตร<br />
เกียรติยศพิเศษแก่พระเจ้าแผ่นดินของสยาม<br />
เช่นเดียวกับพระเจ้าแผ่นดินของอังกฤษและ<br />
เยอรมนี นับตั้งแต่นั้นเปนต้นมา สมเด็จ<br />
พระบรมโอรสาธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ<br />
สยามมกุราชกุมาร จงทรงได้รับมอบหมายให้ทรง<br />
รับผิดชอบเรื่องการตั้งแสดงสิ่งของของสยามใน<br />
ต่างประเทศ คือ การเตรียมสิ่งของไปตั้งแสดง<br />
ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี พุทธศักราช ๒๔๕๔<br />
) การศึกษา<br />
สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าา<br />
มหาวชิราวุธ สยามมกุราชกุมาร ทรงเปนผู้<br />
อ่านมาก เห็นมาก ฝกฝนมาก จงทรงเปนครู<br />
ที่ดีและเริ่มต้นฝกฝนข้าราชบริพารในพระองค์<br />
ก่อนทั้งในเรื่องของระเบียบวินัย การหัดฝกฝน<br />
การปองกันตนเอง การหัดอดออมเงิน การหัด<br />
ให้ปกครองตนเอง อันเปนการสร้างพลเมืองที่<br />
มีคุณภาพตั้งแต่เริ่มต้นในวัยเยาว์ การศกษาที่<br />
ทรงริเริ่มในบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์<br />
มีลักษณะเปนการเล่นตามบทที่สมมติไว้<br />
(r a) เช่น บทบาทหน้าที่ของทวยนาคร<br />
ในเมืองมัง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับทั้งความรู้และความ<br />
เพลิดเพลิน ในเวลาเดียวกันทรงนาความรู้จาก<br />
หนังสือแบบเรียนมาทดลองปิบัติจริงจน<br />
ประสบผล จงทรงได้รับประสบการณ์ตรง มี<br />
โอกาสจะพันาความคิดและจินตนาการของ<br />
ตนได้มากกว่าการอ่านจากหนังสือเพียงอย่าง<br />
เดียว อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ทรงใช้นี้หากไม่<br />
พิจารณาให้ถ่องแท้ จะเข้าใจว่าเปนเพียง การ<br />
เล่นสนุก ที่หาสาระมิได้ เพราะชาวไทยยังไม่<br />
คุ้นเคยกับการเรียนรู้ด้วยวิธีการเช่นนี้<br />
๕) การปองกันประเทศ<br />
เหตุการณ์ รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ มี<br />
ส่วนสาคัญอย่างยิ่งที่ทาให้ทรงตระหนักถงภัย<br />
ของมหาอานาจ รวมทั้งความสาคัญของการ<br />
ปองกันบ้านเมือง จงทรงศกษาวิชาทหารใน<br />
ประเทศอังกฤษ และทรงรับราชการทหารใน<br />
ทันทีที่เสด็จนิวัตพระนคร เมื่อประทับอยู่ ณ<br />
วังสราญรมย์ ทรงประมวลความรู้ด้านการ<br />
ทหารที่ทรงได้รับการอบรมมาจากอังกฤษ<br />
ค่อย ฝกหัดให้ข้าราชบริพารส่วนพระองค์<br />
ให้เรียนรู้และคุ้นเคยกับวิธีการรบแบบต่าง<br />
ในลักษณะของ การ้อมรบ อันเปนที่มา<br />
ของการก่อตั้งเสือปาและลูกเสือ เพื่อฝกให้<br />
ประชาชนเปนกองกาลังปองกันตนเองใน<br />
รัชสมัยของพระองค์<br />
๖) กหมาย<br />
เปนวิชาสาคัญวิชาหน่งที่ทรงศกษา<br />
16 สนักพันรรกรกโห
ณ มหาวิทยาลัยออกอร์ด ที่ทรงนามา<br />
ช่วยเหลือกิจการของสภาส่วนพระองค์ของ<br />
สมเด็จพระบรมชนกนาถ ว่าด้วยเรื่องกหมาย<br />
ระหว่างประเทศ ทรงช่วยร่างกหมายทหาร<br />
(พระธรรมนูญศาลทหารและกอัยการศก)<br />
และได้พระราชนิพนธ์หนังสือว่าด้วยกหมาย<br />
นานาประเทศ เพื่อให้ความรู้แก่ราษรทั่วไป<br />
เรื่องกหมายระหว่างประเทศมีข้อปิบัติ<br />
เกี่ยวกับธรรมเนียมประเพณีและการสมาคม<br />
ของนานาอารยประเทศ เน้นเรื่องการปิบัติของ<br />
ประเทศ (uic raia La) ให้เปน<br />
แบบอย่างในการเรียบเรียงตารากหมายของ<br />
ไทย และก่อนที่จะเสด็จข้นครองราชย์ไม่นาน<br />
นัก ทรงได้รับมอบหมายให้เปนผู้กากับราชการ<br />
กระทรวงยุติธรรม<br />
กล่าวโดยสรุปว่า ความรู้และ<br />
ประสบการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงได้รับจากการเสด็จไปทรงศกษา<br />
ในต่างประเทศเปนเวลา ๘ ปเศษ รวมทั้งทรง<br />
ปิบัติพระราชกิจในฐานะ สยามมกุราช<br />
กุมาร อีก ๘ ปเศษ คือการสั่งสมประสบการณ์<br />
ที่ทาให้พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในการ<br />
ดาเนินตามพระบรมราโชบายในสมเด็จ<br />
พระบรมชนกนาถสาเร็จและเปนพื้นฐานสาคัญ<br />
ในการปกครองประเทศ ทรงสร้าง สยามรัฐ<br />
ในเวลาที่ทรงดารงสิริราชสมบัติ ๑๕ ป<br />
ให้รุ่งเรืองตามพระราชดาริหลายประการมาก<br />
เท่าที่ทรงตั้งพระราชหฤทัย<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />
๒. พระราชดาริในการปกครองบานเมือง<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุเกล้าเจ้า<br />
อยู่หัว ทรงสานต่อพระราชดาริและพระราช<br />
กรณียกิจของสมเด็จพระบรมชนกนาถและ<br />
สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช เพื่อสร้างสยามรัฐ<br />
ให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ แต่การที่ได้<br />
ทรงศกษาวิทยาการในตะวันตก ประกอบกับ<br />
บริบททางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป<br />
เพราะคนไทยมีความรู้ต่าง ตามแบบแผนของ<br />
ตะวันตกมากข้น ทาให้พระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดาริใน<br />
การปกครองบ้านเมืองที่ทันสมัยและแตกต่าง<br />
ไปจากเดิมบ้าง กล่าวโดยสรุป ดังนี้<br />
๒.๑ หลักในการปกครองบานเมือง<br />
๑) พระราชปณิธาน<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุเกล้าเจ้า<br />
อยู่หัวทรงตระหนักถงพระราชภาระในฐานะ<br />
พระเจ้าแผ่นดิน จงมีพระราชปณิธานจะสร้าง<br />
ความเจริญรุ่งเรืองให้แก่บ้านเมือง โดยยดหลัก<br />
การปกครองบ้านเมืองเพื่อประโยชน์สุขของ<br />
ชาติและราษร ไม่เห็นแก่ประโยชน์สุขส่วน<br />
พระองค์ และ ความสามัคคีของหมู่คณะ<br />
นาไปสู่ความสาเร็จ ความสามัคคีนั้นเกิดข้น<br />
ได้เมื่อ ทุกคนทาตามหน้าที่ของตนเต็มความ<br />
สามารถ ดังพระราชดารัสที่ว่า<br />
เราก็ถืออยู่ว่าเราได้เกิดมาเปนคน<br />
ไทย และในตระกูลกษัตริย์อันชาติไทยเรานี้<br />
บรรพบุรุษของเราทั้งหลายได้ช่วยกันตั้งข้นไว้<br />
แล้ว และได้ช่วยกันรักษาสืบต่อกันมาฝายเรา<br />
รู้สกว่าเปนทายาทรับมรดกสาคัญอันนี้ไว้แล้ว<br />
ก็จะต้องตั้งใจรักษาไว้ให้มั่นคงทั้งต้องอุตสาหะ<br />
ทานุบารุง ให้มรดกอันนั้นจาเริญเพิ่มพูนทวีข้น<br />
กว่าเก่าได้อีกเพียงใดก็นับว่าเปนกาไรเพียงนั้น<br />
การใด ที่เราได้เริ่มจัดข้นแล้ว และ่งจะได้จัด<br />
ข้นอีก ต่อไปก็ล้วนทาไปด้วยความมุ่งหมายที่<br />
จะให้เปนประโยชน์นาความเจริญมาสู่ชาติ<br />
เราตังจทํานุบํารุงอาณาระชาชน<br />
ละเอาจสดําริการงานทังวงเพอเน<br />
ระโยชนหงชาติเรา เพอหคงเนทยอยูชัว<br />
กาลนาน เรามิดเสียดายความสําราญความ<br />
สุนสวนตัวองเราเลย เพราะเรารูอยูกจ<br />
วา ามนชาติราจากความเนทยลง<br />
เมอด บุคคลทุก คนทีเนสวนหนงหงชาติ<br />
ก็คงจะมสามารดํารงความเนทยองตน<br />
วดเลยเนนท นสวนตัวเรางมวาเรา<br />
จะตังจละพยายามคิดละเริมการอยางด<br />
นก็ดี จะหการงดเริมลงมอทําลว ละ<br />
จะตองทําตออีกจนกวาจะเนผลเน<br />
ระโยชนก็ดี ตลําพังตัวเราผูเดียวทีหนเลย<br />
จะทําหสําเร็จตลอดดยอมจะตองอาัย<br />
ความสามัคคีรองดองนหมูคนทยทัว<br />
ละทุก คนตองตางเต็มจิบัติหเต็มตาม<br />
หนาทีองตนทีควริบัติ และ<br />
กิจการทังวงทีเราดตั งจทํามา<br />
ลว ตังตดเนพระเจาผนดิน ก็เพอ<br />
ระสงคจะบํารุงความสุสําราญองราร<br />
ทังหลายเนทีตัง สวนตัวเราเองงมจะตอง<br />
ดรับความลําบากยากเย็นระการดก็มิด<br />
เห็นกความยากลําบาก คิดตหรารอง<br />
เราดรับความรมเย็นโดยทัวกันหมากที สุดที<br />
พงกระทําด เมอเราเห็นรารองเรา<br />
อยูเย็นเนสุสบายดวย อหรารทัง<br />
หลายตังจระกอบการทํามาหาเลียงชีพห<br />
เนระโยชนกบานเมององเรา ตังจ<br />
ระพติหเนพลเมองดี เคารพนพระราช<br />
กําหนดกหมาย เพอจะดมีความสุสําราญ<br />
นระหวางกันละกัน ละจะดมีความสามัคคี<br />
รองดองนชาติทยองเรา าชาติทยเรา<br />
รองดองเนอันหนงอันเดียวกันลวก็จะเน<br />
กําลังอันหญ มมีชาติอนเอิบเออมเามา<br />
ทําลายชาติเราด<br />
17
ปนยการสาหกรรมป งกันประทละลังงานทหาร<br />
วันคล้ายวันสาปนาันวาคม<br />
ูนยการอุตสาหกรรมองกันระเทละพลังงานทหาร<br />
พลเอก ฐิตินันท ธัญญสิริ<br />
ผู้อานวยการ<br />
ศูนย์การอุตสาหกรรมปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
ศู<br />
นย์การอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร หรือ<br />
ศอพท ก่อตั้งข้นจากนโยบายของ<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
(พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ) เพื่อเร่งรัดพันา<br />
กิจการอุตสาหกรรมทหาร และการพลังงาน<br />
ทหารให้มีเทคโนโลยีที่ล้าหน้าและทันสมัย<br />
มาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และได้อนุมัติหลัก<br />
การ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๓<br />
จัดตั้งศูนย์การอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />
และพลังงานทหารเปนหน่วยข้นตรงต่อ<br />
สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยกาหนด<br />
ให้วันที่ ๒๙ ธันวาคมของทุกป เปนวันคล้าย<br />
วันสถาปนาศูนย์การอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร และในป<br />
พุทธศักราช ๒๕๕๙ นี้ ก่อตั้งมาครบรอบ<br />
ปที่ ๒<br />
ศูนย์การอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />
และพลังงานทหาร มีหน้าที่พิจารณา เสนอ<br />
ความเห็น วางแผน อานวยการ ประสานงาน<br />
และดาเนินงานในด้านการอุตสาหกรรมทหาร<br />
และการพลังงานทหาร ให้เปนไปตามนโยบาย<br />
ของกระทรวงกลาโหม และปิบัติงานอื่นที่<br />
เกี่ยวข้องตามที่ได้รับมอบหมาย มีหน่วยข้น<br />
ตรง ระดับกอง ประกอบด้วย สานักงานการ<br />
เงิน สานักงบประมาณ กองกลาง กองนโยบาย<br />
และแผน กองพันาอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร และสานักส่งเสริม<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศ ่งมีหน้าที่ส่ง<br />
เสริมงานด้านอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />
ให้กับศูนย์การอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />
และพลังงานทหาร หน่วยราชการอื่น และภาค<br />
เอกชน สาหรับหน่วยข้นตรงของศูนย์การ<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศและพลังงาน<br />
ทหาร ระดับกรม ่งมีอัตราแยกต่างหาก<br />
ประกอบด้วย กรมการพลังงานทหาร กรมการ<br />
อุตสาหกรรมทหาร ศูนย์อานวยการสร้างอาวุธ<br />
และโรงงานเภสัชกรรมทหาร<br />
โดยกรมการพลังงานทหาร มีหน้าที่ใน<br />
การดาเนินงานด้านการสารวจ ขุดเจาะ การ<br />
ผลิต การกลั่นน้ามัน การผลิตกระแสไา<br />
และการดาเนินการด้านพลังงานทดแทน<br />
มีศูนย์พันาปโตรเลียมภาคเหนือเปน<br />
หน่วยรองหลัก<br />
กรมการอุตสาหกรรมทหาร มีหน้าที่<br />
ในการดาเนินงานด้านการผลิต ควบคุม และ<br />
ส่งเสริมงานด้านอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />
มีโรงงานวัตถุระเบิดทหารเปนหน่วยรองหลัก<br />
ศูนย์อานวยการสร้างอาวุธ มีหน้าที่<br />
ในการดาเนินงานด้านการวิจัยพันา ผลิต<br />
ยุทโธปกรณ์ประเภทปนใหญ่เครื่องยิงลูกระเบิด<br />
รวมทั้งกระสุนปนใหญ่ และลูกระเบิดยิง<br />
จากเครื่องยิงลูกระเบิด สนับสนุนให้แก่<br />
ส่วนราชการ หรือองค์กรอื่นทั้งภายในและ<br />
ต่างประเทศ<br />
โรงงานเภสัชกรรมทหาร มีหน้าที่ในการ<br />
ดาเนินงานด้านการผลิตยาและเวชภัณฑ์ เพื่อ<br />
ใช้และจาหน่ายให้แก่ภาครัฐและเอกชน<br />
18<br />
นกรอุตสหกรรองกันรเพังงนหร
บทบาทหนาที่หลักที่สาคัญของศูนยการ<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศและพลังงาน<br />
ทหาร มี ๒ ประการ คือ<br />
๑. การปฏิบัติหนาที่ายอานวยการ<br />
ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและ<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
มีการทบทวนกหมาย นโยบายรัฐบาล<br />
นโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
นโยบายปลัดกระทรวงกลาโหม ระเบียบ คาสั่ง<br />
ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการ มากาหนด<br />
เปนแนวทางการดาเนินงาน โดยป ๒๕๕๘<br />
ได้จัดทาแผนแม่บทอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศ พุทธศักราช ๒๕๕๘ ๒๕๓ เพื่อ<br />
เปนแนวทางหลักในการพันาอุตสาหกรรม<br />
ปองกันประเทศเพื่อให้เกิดความพร้อมในการ<br />
ปองกันประเทศ<br />
๒. การปฏิบัติหนาที่เป็นหน่วยปฏิบัติ<br />
ในการดาเนินงานดานอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร<br />
กาหนดแนวทางการดาเนินงานตาม<br />
แผนแม่บทอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />
พุทธศักราช ๒๕๕๘ ๒๕๓ มีพันธกิจ<br />
ที่สาคัญ ๔ ประการ คือ<br />
๑. ดานการผลิต ดาเนินการควบคุม<br />
กากับดูแลหน่วยผลิต โดยการบริหารงานด้าน<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศด้วยเงินทุน<br />
หมุนเวียน จานวน ๕ ทุน และการบริหารงาน<br />
ด้านพลังงานทหารด้วยเงินอุดหนุนการสารวจ<br />
ปโตรเลียมบนบกในภาคเหนือ<br />
๒. ดานการควบคุม ประกอบด้วย<br />
กหมายด้านความมั่นคงที่กระทรวงกลาโหม<br />
รับผิดชอบเกี่ยวกับยุทธภัณฑ์ จานวน ๔ บับ<br />
่งเปนการควบคุมและตรวจสอบภาคเอกชน<br />
ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />
เพื่อไม่ให้เกิดการนายุทธภัณฑ์ไปใช้ในทาง<br />
ผิดกหมาย และส่งผลกระทบต่อความมั่นคง<br />
. ดานการส่งเสริมอุตสาหกรรม<br />
ปองกันประเทศ ส่งเสริมภาครัฐและเอกชน<br />
ในด้านการผลิตเพื่อพันาการผลิตภัณฑ์<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศ ทั้งในด้าน<br />
คุณภาพ ราคา และระยะเวลาในการผลิต<br />
ให้เปนที่ยอมรับของผู้ใช้ รวมถงการร่วมงาน<br />
ร่วมทุนกับภาคเอกชน<br />
. ดานความร่วมมือดานอุตสาหกรรม<br />
ปองกันประเทศ ่งมุ่งเน้นการสร้างความ<br />
ร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหม<br />
อาเียน<br />
การพันากิจการอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศ<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มี<br />
นโยบายด้านการพันากิจการอุตสาหกรรม<br />
ปองกันประเทศ โดยบูรณาการขีดความ<br />
สามารถของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งใช้<br />
ประโยชน์จากความร่วมมือในกลุ่มประเทศ<br />
สมาชิกอาเียนเพื ่อนาไปสู่การพ่งพาตนเอง<br />
ในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์รายการที่จาเปน<br />
พันากิจการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อ<br />
การปองกันประเทศให้ทัดเทียมกับประเทศ<br />
ในภูมิภาค และสามารถสนับสนุนการพ่งพา<br />
ตนเองของอุตสาหกรรมปองกันประเทศ โดย<br />
ร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั ้งในและต่างประเทศ<br />
ด้วยนโยบายนี้จงจัดทาแผนแม่บท<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศ พุทธศักราช<br />
๒๕๕๘ ๒๕๓ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหมได้กรุณาอนุมัติแผนแม่บทฯ เมื่อวันที่<br />
๙ กันยายน ๒๕๕๘ พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรีได้<br />
มีมติรับทราบแผนแม่บทฯ และให้หน่วยงาน<br />
ภาครัฐให้การสนับสนุนแนวทางการปิบัติ<br />
ตามแผนแม่บทฯ ตามที ่กระทรวงกลาโหม<br />
เสนอ<br />
แผนแม่บทเปนแนวทางหลักในการ<br />
พันาอุตสาหกรรมปองกันประเทศเพื่อให้<br />
เกิดการพ่งพาตนเองด้านความมั่นคง โดย<br />
กาหนดเปาหมายไว้ ๒ ประการ คือ กระทรวง<br />
กลาโหมผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เพาะรายการ<br />
ที่จาเปน และสนับสนุนให้ภาคเอกชนดาเนิน<br />
กิจการอุตสาหกรรมปองกันประเทศ ่ง<br />
ประกอบด้วยกิจที่สาคัญ ๔ ประการ ได้แก่<br />
การผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ การควบคุม<br />
ยุทธภัณฑ์ การส่งเสริมและสนับสนุนกิจการ<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศและการร่วมมือ<br />
กับมิตรประเทศ และดาเนินการภายใต้ ๕<br />
ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การผลิตสนับสนุนภารกิจ<br />
กองทัพ การพันาประสิทธิภาพองค์กร การ<br />
สนับสนุนปจจัยที่เอื้อต่อการประกอบกิจการ<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศ การส่งเสริมและ<br />
พันาอุตสาหกรรมปองกันประเทศ และการ<br />
สร้างและพันากิจการอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศให้เติบโตและแข่งขันได้<br />
ปจจุบัน พลเอก ฐิตินันท์ ธัญญสิริ<br />
ผู้อานวยการศูนย์การอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร บริหาร จัดการ<br />
กากับ ดูแล ศูนย์การอุตสาหกรรมปองกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร ด้วยแนวคิด<br />
“ริเริ่ม รวดเร็ว รอบคอบ กอปรคุณธรรม<br />
นาธรรมาภิบาล” เพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์ของ<br />
ศูนย์การอุตสาหกรรมปองกันประเทศและ<br />
พลังงานทหาร ที่ว่า บริหารจัดการงานด้าน<br />
อุตสาหกรรมปองกันประเทศ และพลังงาน<br />
ทหารอย่างทันสมัย มีประสิทธิภาพ และมุ่งสู่<br />
การพ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 19
หนทางชนะ<br />
ย้นย้งปลายนํ าส ้นนํ า<br />
พันเอก ดรบุญรอด รีสมบัติ<br />
ภ<br />
าพข่าว หรือภาพปรากการ ถ้าจะพูดถงน้า<br />
ก่อเหตุทุกวันนี้ คือ ปลายน้า<br />
เปนเรื่องราวที่กลุ่มผู้เห็นต่าง<br />
ต้องการสื่อสารการมีตัวตน การขับเคลื่อน<br />
ตามแนวทางการต่อสู้ การกาหนดหลักหมุด<br />
จากอดีตถงปจจุบัน ไปยังอนาคต<br />
จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ๑๒ ป ได้เห็น<br />
การไหลของภาพความเคลื่อนไหว ทั้งความ<br />
คิดและการกระทาของขบวนการ <br />
อย่างชัดเจน พอมาถงปลายน้า จะเปนจุด<br />
ที่มีกองเชียร์อยู่มากมาย<br />
๓ ช่วงแล้ว แม้ว่า<br />
ต้นน้า จะสาคัญมากที่สุด โดยเพาะ<br />
ตรงจุด ตาน้า ที่กาลังหมุนโม่วาทกรรม<br />
ไม่หยุดหย่อน<br />
แต่ปลายน้าถ้าเล่นดี ก็อาจจะพลิก<br />
เปลี่ยนสถานการณ์ได้ อยู่ที่ฝายไหนจะ<br />
ตกลงไปในกับดักความรุนแรงมากกว่ากัน<br />
โดยใช้ความรุนแรงแบบไม่บันยะบันยัง<br />
ตรงนี้ก็จะถูกกองเชียร์โห่และไล่ออกนอก<br />
หมู่บ้าน อย่างนั้นต้องพินิจพิเคราะห์อย่าง<br />
ระมัดระวัง กล่าวคือ ใครพลาดก็หลุด<br />
ออกปากอ่าวลงทะเลไปเลย<br />
ภายหลังการระดมความคิดอย่าง<br />
เข้มข้นของ เสธ๙๔ ได้ผลสรุปออกมาว่า<br />
จุด C (Cr rai) ปลายน้า<br />
คือ เสรีในการก่อเหตุของแนวร่วมภายใต้<br />
การสนับสนุนจาก ur i โดยมี<br />
เหตุการณ์ก่อเหตุที่สาคัญ ดังนี้<br />
เหตุแรกนิยมมากที่สุด คือ การวาง<br />
ระเบิด มีทั้งเปาหมายตัวเมือง เศรษฐกิจ<br />
สาคัญ เส้นทางหน้าฐานปิบัติการและ<br />
รถไ (เส้นทางรถไ)<br />
20<br />
พันเอก ดรุญรอด รีสัติ
่<br />
ผูออกบบกราก : พันตรี กรินทร ลิมสังกา ละ พันตรี เอกราช กลวยเครอ<br />
เหตุที่สอง การลอบสังหารเปาหมาย<br />
อ่อนแอ ( ar) เช่น ครู ชาวพุทธ<br />
ผู้หญิงและเด็ก<br />
เหตุที่สาม การลอบวางเพลิง ที่นิยม<br />
คือ ลอบวางเพลิงโรงเรียนเปนอันดับแรก<br />
วางเพลิงบ้านชาวบ้านเปนลาดับถัดมา<br />
เหตุที่สี่ การุ่มโจมตี เข้าตีฐาน<br />
ปิบัติการ ขบวนยานยนต์ หรือชุดรักษา<br />
ความปลอดภัยครู อาจจะมีการวางตะปู<br />
เรือใบ เพื่อปองกันการเข้าช่วยเหลือจาก<br />
เจ้าหน้าที่<br />
เหตุที่หา การปลุกม็อบ<br />
แสดงความเคลื่อนไหว<br />
ทางการเมือง ข้อเรียกร้อง<br />
ข้นอยู่กับสถานการณ์ขณะ<br />
นั้น และเปาหมายสุดท้าย<br />
ก็คือ การขับไล่ทหารออก<br />
จากพื้นที่<br />
เหตุที่หก สงคราม<br />
ปายผ้า มีทั้งการแขวนปายผ้า การปกธง<br />
หรือการพ่นสีข้อความบนพื้นถนนหรือ<br />
ราวสะพาน<br />
เหตุที่เจ็ด การเคลื ่อนไหวของกลุ่ม<br />
s และ Cs ในประเด็นการละเมิด<br />
สิทธิมนุษยชน หรือการเรียกร้องเพื่อ<br />
กาหนดใจตนเอง<br />
เหตุสุดทาย การก่อเหตุจากกรณี<br />
ของ ri ra ส่วนใหญ่จะเปน<br />
ภัยแทรก้อน เรื่องยาเสพติด การค้าน้ามัน<br />
เถื่อน และการค้ามนุษย์ ่งถือว่าเปน<br />
ขบวนการใหญ่มีเงินทุนสนับสนุนสูง<br />
บทสรุป ตลอดระยะเวลา ๑๒ ปที<br />
ผ่านมาพบว่าผู้ก่อการร้ายยังมีเสรีในการ<br />
ก่อเหตุได้ครบทั้ง ๘ กลุ่มก่อเหตุ ข้นอยู่กับ<br />
ว่าจะทาหรือไม่ เพราะมีมาตรการปด<br />
ความลับการปิบัติและการต่อต้านข่าว<br />
กรองที่มีประสิทธิภาพ โดยเพาะขั้นตอน<br />
การปิบัติของ ในเรื่องการเฝาตรวจ<br />
(s) การลาดตระเวน (u) ตัวแทน<br />
() และเส้นทางหลบหนี (rai)<br />
กลายเปนเรื่องที่ยากที่จะเข้าถงได้ ยกเว้น<br />
ต้องใช้ปิบัติการย้อนแย้งเข้าไปและพบ<br />
อีกว่าทุก การก่อเหตุจะต้องได้รับการ<br />
สนับสนุนจาก ur iหรือ<br />
พื้นที่สนับสนุน<br />
ดังนั้น ถ้าจะหยุดการก่อเหตุกรณี<br />
ของปลายน้าจะต้องค้นหา ur<br />
i ให้เจอแล้วจัดการตรงนั้น ดูเหมือน<br />
จะเปนเรื่องยากแต่ถ้าวิเคราะห์พื้นที่<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 21
ปิบัติการแบบ ให้ดีแล้ว จะพบว่า<br />
ขั้นแรก ur i อยู่ที่ไหน อาจ<br />
จะเหวี่ยงแหไปก่อน ขั้นที่สองก็แบ่งพื้นที่<br />
ออกเปนโน ขั้นที่สามแต่ละโนก็ให้มี<br />
เจ้าภาพประจา a พื้นที่ทุกวัน ขั้นที่สี่<br />
การวิเคราะห์จากพื้นที่ก่อเหตุ ดูระยะรัศมี<br />
ปิบัติการของ ur i ถ้า<br />
สามารถขีดวงรอบกะประมาณได้ C<br />
ปลายน้าก็จะไม่หนีไปไหนแต่การต่อสู้ที่<br />
ปลายน้า เพียงอย่างเดียว ก็ยังไม่<br />
สามารถจะหยุด กระแสต้นน้า ได้ ถ้า<br />
ไม่มีการย้อนแย้งข้นไป<br />
ดั่งเพลงนี้ฝนเอยทาไมจงตก<br />
ฝนเอยทาไมจงตก จาเปนต้องตก เพราะ<br />
ว่ากบมันร้อง กบเอยทาไมจงร้อง กบเอย<br />
ทาไมจงร้อง จาเปนต้องร้อง เพราะว่าท้อง<br />
มันปวด ร้องวนไปอย่างนี้ จนรู้เหตุว่า<br />
ทาไมฝนจงตก เพราะกบมันร้อง อีกรอบหน่ง<br />
เกเช่นกัน การลอบวางระเบิดรถไ<br />
ที่โคกโพธิ์ เมื่อวันที่ ๓ กันยายนที่ผ่านมา<br />
มีเรื่องราวคล้าย กับเพลงนี้<br />
รถไเอยทาไมถงถูกวางระเบิด<br />
เพราะว่ามีคนไปวางเพราะว่ามีคนสอน<br />
ให้ไปวางเพราะว่ามีคนใส่ความคิดคน<br />
สอนให้ไปวางเพราะมีคนคิดวาท<br />
กรรม หรือจะมองกระบวนการก่อเหตุ<br />
เปนดังเช่นสายน้า อธิบายว่า การลอบวาง<br />
ระเบิด เปน ปลายน้า ผู้มาก่อเหตุ เปน<br />
กลางน้า ความคิดว่าทาไมต้องมาวาง<br />
ระเบิด เปน ต้นน้า<br />
ดังนั้น ถ้าตัดสลายหรือแก้ที่<br />
ต้นน้า ได้ กลางน้า และ ปลายน้า<br />
ก็เกิดไม่ได้ นั่นคือเหตุว่า ทาไมเราจะต้อง<br />
ระดมสมองเพื่อค้นหาวาทกรรม ต้นน้า<br />
ของ แล้วหยุดตรงนั้นให้ได้ โดยหลัก<br />
การ ก็คือ แก้ปม วาทกรรมC<br />
ต้นน้า นั่นเอง<br />
นักคิดกลุ่ม ยุทธไลน์ เสธ๙๔ คิด<br />
เรื่องนี้เปนสารตั้งต้นไว้ เพื่อให้มีการไป<br />
ต่อยอด ดังนี้<br />
พวกเขามองว่า วาทกรรมเชิงลบ<br />
เปนจุดศูนย์ดุลของต้นน้า ตามแผนภูมิ<br />
จากแผนภูมิพบว่า ต้นทุนการบ่ม<br />
เพาะ มีความเชื่อมโยงกับ วาทกรรมเชิง<br />
ลบ กับ ความสามารถในการบ่มเพาะ<br />
โดยกลุ่มผู้เห็นต่าง กาหนดเครื่องมือข้นมา<br />
๔ ชุด คือ (๑) ความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
วาทกรรมเชิงลบกับต้นทุนการบ่มเพาะ (๒)<br />
22<br />
พันเอก ดรุญรอด รีสัติ
ความสามารถการบ่มเพาะกับผู้ใช้<br />
วาทกรรม (๓) ความสามารถการบ่มเพาะกับ<br />
มาตรการปกปด และ (๔) ความสามารถ<br />
การบ่มเพาะกับสื่อที่ทาให้ประชาชน<br />
หลงเชื่อ<br />
มาเริ่มต้นที่ วาทกรรมเชิงลบ สิ่ง<br />
ที่รู้ตอนนี้ ผู้สร้างวาทกรรมเชิงลบตั้งแต่<br />
จุดเริ่มต้นจนถงปจจุบัน มี ๔ กลุ่มคิด กลุ่ม<br />
แรก ทายาทอดีตสุลต่าน กรณีข้อเรียกร้อง<br />
๗ ข้อ ฮะยีสุหลง กลุ่มที่สอง นักวิชาการ<br />
ในพื้นที่ กลุ่มที่สามนักการเมืองในพื้นที่<br />
เช่น กลุ่มวาดะห์ กลุ่มที่สี่ นักวิชาการ<br />
รับจ้าง เช่น นายชินทาโร ฮารา เปนต้น<br />
จากผู้สร้างวาทกรรมเชิงลบ ย้อนข้น<br />
ไปดู ต้นทุนการบ่มเพาะ ่งถือว่า<br />
เปนแหล่งบ่อเกิด หรือเปนเบ้าหลอม<br />
วาทกรรม ประกอบด้วย การบิดเบือน<br />
ประวัติศาสตร์เชิงบาดแผล โดยใช้วาทกรรม<br />
นักล่าอาณานิคม และจักรวรรดินิยม<br />
มาอธิบาย รัฐไทย หรือ รัฐสยาม ว่า<br />
เปนผู้รุกราน การใช้เชื้อชาติมลายูเปน<br />
อัตลักษณ์ตนเองแล้วแยกออกจากคนส่วน<br />
ใหญ่ของประเทศ การเบือนศาสนาในพื้นที่<br />
จังหวัดชายแดนใต้ ว่าเปนดินแดน<br />
ดารุลฮัรบี เพื่อชี้นาในการทา สงคราม<br />
ญีฮาด และสุดท้ายแหล่งเงินทุน เพื่อการ<br />
ขยายวาทกรรม เปนเงินที่ได้มาจากการ<br />
ะกาต เงินบารุงสมาชิก คนละบาท<br />
เงินจากองค์กรการเมืองท้องถิ่นและ<br />
เงินเถื่อนจากภัยแทรก้อน เปนต้น<br />
วาทกรรม ถ้ามีปจจัยแค่นี้ก็จะไป<br />
ต่อไม่ได้ ถ้าไม่มี ผู้ใช้วาทกรรม หรือผู้<br />
ผลิต้าวาทกรรม ่งประกอบด้วย อุสตา<br />
เปนหัวโจกใหญ่ คิดทุกวัน บ่มเพาะทุกวัน<br />
ผู้นาจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเปนจากสถาบัน<br />
เชคดาวุด (โรงเรียนธรรมวิทยา) หรือสะแปอิง<br />
บาอ หรือมะแ อุเ็ง ส่วนนักการเมือง<br />
จะไม่กล่าวถงในที่นี้ แต่รู้กันอยู่ว่าเปนใคร<br />
นักวิชาการปจจุบันเพิ่มนักสิทธิมนุษยชน<br />
ของพวกกลุ่ม Cs และ s เข้าไปอีก<br />
รวมทั้งสื่อมวลชน (ชอบคิดวาทกรรม แล้ว<br />
พาดหัวข่าวหน้าหน่ง) นอกจากนั้น กลุ่ม<br />
การเมืองของ ก็เปนผู้นาต้นคิด<br />
เหมือนกัน เช่น กรณีการเจรจาสันติสุข<br />
เมื่อป ๒๕๕ นายฮัสัน ตอหยิบ ได้ออก<br />
แถลงการณ์ ่งชี้ให้เห็นว่า ทุกคาพูดถูก<br />
คิดค้นและประกอบสร้างมาจากระบบคิด<br />
หรือยุทธศาสตร์ของ ทั้งสิ้น อาจจะ<br />
เรียกเปน แก่นวาทกรรม ก็ได้<br />
ประเด็นต่อมา ก็คือการสื่อสารและ<br />
มาตรการปกปด เปนเครื ่องมือชิ้นที่ ๓<br />
และ ๔ ที่กลุ่มผู้เห็นต่าง ใช้ ปล่อยของ<br />
และ เก็บของ โดย<br />
จะใช้ช่องทาง<br />
สื่อสารผ่านผู้นาจิต<br />
วิญญาณ การบ่มเพาะ<br />
ตั้งแต่เกิด การใช้หลัก<br />
ศาสนาอิสลามที่ถูก<br />
คัดสรร และเดินตาม<br />
หลักการบ่มเพาะ ๙ วิธี ส่วนมาตรการ<br />
ปกปดนั้น เปนเรื่องการปองกันมิให้<br />
วาทกรรมนั้นถูกเจาะไชจากฝายรัฐ โดยมี<br />
มาตรการ เช่น การต่อต้านข่าวกรอง การ<br />
ปกปดสถานที่บ่มเพาะ และการวางกาแพง<br />
๓ ชั้น เพื่อปกปองวาทกรรมสาคัญ ของ<br />
ขบวนการมิให้ถูกทาลาย<br />
นี่คือบทสรุปของการย้อนแย้ง<br />
ปลายน้า สู่ ต้นน้า คือ วาทกรรม<br />
บ่มเพาะ ที่เชื่อมโยงจากแหล่งบ่มเพาะ<br />
มีผู้สร้าง มีผู้ใช้ มีเครื่องมือ และช่องทาง<br />
สื่อสาร ผลิต้าอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา<br />
ะนั้นการประกอบสร้าง วาทกรรมแก้<br />
จงเปนภารกิจเร่งด่วน ่งต้องการระดม<br />
นักคิด นักยุทธศาสตร์ นักประวัติศาสตร์<br />
นักภาษาศาสตร์ นักการตลาด และนัก<br />
อื่น มาสุมหัวกันคิด เพื่อเอาชนะ<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 23
นวคิดการจัดกล มงาน<br />
ด้านความมั นคงขงชาิ<br />
(National Security Sectors Reform Concept)<br />
การพันาปรับปรุงและเสนอ<br />
เปนนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ<br />
พศ๒๕๕๘ ๒๕๔ เพื่อเปน<br />
กรอบด้านความมั่นคงในระยะ ๗ ป<br />
เชื่อมโยงและต่อเนื่องกับทิศทางด้านการ<br />
พันาประเทศภายใต้แผนพันา<br />
เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติบับที่ ๑๒<br />
(พศ ๒๕๕๙ ๒๕๔) โดยนโยบายความ<br />
มั่นคงแห่งชาติ พศ๒๕๕๘ ๒๕๔<br />
ประกอบด้วย ๑ ประเด็นนโยบาย ่ง<br />
กาหนดเปนสองส่วน คือ ส่วนที่ ๑ นโยบาย<br />
สาคัญเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงที่เปน<br />
แก่นหลักของชาติ ๓ นโยบาย โดยมุ่งการ<br />
เสริมสร้างฐานรากความมั่นคง และเสริม<br />
สร้างสภาวะแวดล้อมที่สันติสุขในจังหวัด<br />
ชายแดนภาคใต้ และส่วนที่ ๒ นโยบาย<br />
ความมั่นคงแห่งชาติทั่วไป ๑๒ นโยบาย<br />
โดยมุ่งสร้างภูมิคุ้มกันของสังคมใน<br />
ทุกระดับ ให้พร้อมเผชิญปญหาและภัย<br />
คุกคามต่าง รวมถงการลดความเสี่ยงจาก<br />
ผลกระทบของภัยคุกคามดังกล่าว ตลอด<br />
จนการเตรียมพร้อมเพื่อปองกันและ<br />
แก้ปญหาความมั่นคงอย่างรอบด้าน มี<br />
ความเข้มแข็งในการปองกันประเทศ และ<br />
พันเอก ดรดิเรก ดีระเสริ<br />
อาจารยอํานวยการ สวนบัณิตกา โรงเรียนเสนาิการทหารบก<br />
การเสริมสร้างสภาวะแวดล้อม ระหว่าง<br />
ประเทศที่เอื้อต่อการรักษาผลประโยชน์<br />
ของชาติ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติฯ มี<br />
จุดหมายสาคัญคือ การมีเสถียรภาพ ความ<br />
เปนปกแผ่น ปลอดภัยจากภัยคุกคาม และ<br />
ก่อเกิดความเชื่อใจในอาเียนและ<br />
ประชาคมโลก ทั้งนี้ โดยให้ความสาคัญต่อ<br />
การขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปิบัติ ใน<br />
การกาหนดเจ้าภาพหรือหน่วยรับผิดชอบ<br />
ให้ชัดเจน การขยายเครือข่ายภาคีด้าน<br />
ความมั่นคงและเปดโอกาสให้ทุกภาคส่วน<br />
เข้ามามีส่วนร่วม การบริหารจัดการ<br />
นโยบายในทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
โดยเพาะการแปลงนโยบายไปสู่การ<br />
ปิบัติ ในการกาหนดให้นโยบายความ<br />
มั่นคงแห่งชาติฯ เปนกรอบการจัดทา<br />
24<br />
พันเอก ดรดิเรก ดีรเสริ
ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและ<br />
แผนปิบัติการหรือแผนบริหารราชการ<br />
แผ่นดินของรัฐบาล ทั้งนี้ ความมั่นคง<br />
แห่งชาติ พศ๒๕๕๘ ๒๕๔ ได้กาหนด<br />
วิสัยทัศน์ไว้ว่า ชาติมีเสถียรภาพและเปน<br />
ปกแผ่น ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต<br />
ประเทศมีการพันาอย่างต่อเนื่อง<br />
ปลอดภัยจากภัยคุกคามข้ามพรมแดน<br />
พร้อมเผชิญวิกฤติการณ์ มีบทบาทเชิงรุก<br />
ในประชาคมอาเียนและดาเนินความ<br />
สัมพันธ์กับนานาประเทศอย่างมีดุลยภาพ<br />
สรุปสถานการณและความเปลี่ยนแปลง<br />
ของบริบทความมั่นคงในระยะ ป<br />
(พ.ศ.๒๕๕ ๒๕๖)<br />
๑. ความเปลี่ยนแปลงของบริบท<br />
ความมั่นคงในระดับโลก การเมืองโลกมี<br />
แนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่หลาย<br />
ขั้วอานาจ โดยสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับ<br />
การท้าทายจากรัสเียและจีน นอกจากนี้<br />
การเกิดข้นของขั้วอานาจใหม่ทางเศรษฐกิจ<br />
โลก คือ กลุ่ม Cs ประกอบด้วย บราิล<br />
รัสเีย อินเดีย จีนและแอริกาใต้ ่งกาลัง<br />
มีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศเพิ่มมากข้น<br />
และมีท่าทีต้องการมีส่วนกาหนดกรอบ<br />
กติกาของโลก โดยมีความเคลื่อนไหว<br />
ที่สาคัญในด้านเศรษฐกิจและการเงิน<br />
ระหว่างประเทศ ่งเปนการท้าทายและ<br />
สร้างดุลอานาจใหม่ และมีแนวโน้มส่งผล<br />
ต่อการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกทั้ง<br />
ทางการเมืองและเศรษฐกิจ นอกจากนี้<br />
ปจจัยความมั่นคงด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม<br />
และภัยธรรมชาติ ถือเปนปญหาสาคัญ<br />
ของโลก<br />
๒. ความเปลี่ยนแปลงของบริบท<br />
ความมั่นคงในระดับภูมิภาค สามารถ<br />
แบ่งได้ดังนี้<br />
๒.๑ การขยายอิทธิพลและบทบาท<br />
ของประเทศมหาอานาจต่อภูมิภาคเอเชีย<br />
ตะวันออกเียงใต มีการปรับเปลี่ยน<br />
นโยบายที่แสดงให้เห็นถงแนวโน้มของการ<br />
แข่งขันและการขยายอิทธิพลของชาติ<br />
มหาอานาจ ทั้งในรูปแบบของการใช้พลัง<br />
อานาจทางทหารและทางเศรษฐกิจเพื่อให้<br />
ได้มา่งประโยชน์ของตน<br />
๒.๒ การขยายตัวของความ<br />
สัมพันธระหว่างประเทศในระดับภูมิภาค<br />
พันาการของกลุ่มประชาคมอาเียน<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 25
ในป พศ๒๕๕๘ ทาให้อาเียนมีความ<br />
เชื่อมโยงกันมากข้น ทั้งทางการเมือง ความ<br />
มั่นคง เศรษฐกิจและสังคม อันจะนาไปสู่<br />
การเสริมสร้างพันาการทางการเมือง<br />
และเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก รวมทั้ง<br />
เพิ่มโอกาสการติดต่อเชื่อมโยงผ่านเส้นทาง<br />
คมนาคมในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การเปน<br />
ประชาคม เปนความท้าทาย<br />
๒. ความขัดแยงทางดินแดนและ<br />
การใชกาลังทางการทหาร ยังคงมีปญหา<br />
ความไม่เข้าใจและความหวาดระแวงที่อาจ<br />
ทาให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับ<br />
ประเทศเพื่อนบ้าน แต่สามารถจากัด<br />
ขอบเขตและระดับความรุนแรงให้อยู่ใน<br />
เพาะพื้นที่ โดยเปนผลจากการเสริมสร้าง<br />
ความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิด<br />
กัน และการเสริมสร้างความสัมพันธ์<br />
ทางการทูตเชิงปองกัน<br />
๒. ความมั่นคงและผลประโยชน<br />
ทางทะเล ปจจุบันผลประโยชน์ทางทะเล<br />
ของประเทศไทยมีมูลค่าสูง และ<br />
ประเทศไทยเปนจุดยุทธศาสตร์เส้น<br />
ทางการเดินเรือที่สาคัญในภูมิภาคและ<br />
เปนแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล<br />
ส่งผลให้มหาอานาจต่าง มุ่งที่จะรักษา<br />
และแผ่ขยายอิทธิพลของตนเองในพื้นที่<br />
ดังกล่าว รวมทั้งภัยคุกคามต่อความมั่นคง<br />
ทางทะเลของประเทศไทยที่สาคัญใน<br />
รูปแบบต่าง ก็มีแนวโน้มที่หลากหลาย<br />
มากข้น<br />
. ความเปลี่ยนแปลงของบริบท<br />
ความมั่นคงขามพรมแดน สามารถแบ่ง<br />
ดดังนี้<br />
.๑ การเคลื่อนตัวของ<br />
ภัยคุกคามขามชาติ ปจจุบันภัยคุกคาม<br />
ข้ามชาติได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วตามสภาวะ<br />
โลกาภิวัตน์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบ<br />
เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และความมั่นคง<br />
ของชาติโดยรวม โดยเพาะอย่างยิ่ง<br />
ผลกระทบจากการก่อการร้ายและ<br />
อาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบต่าง<br />
.๒ การยายถิ่นฐานของ<br />
ประชากร การย้ายถิ่นฐานของประชากร<br />
จากประเทศรอบบ้านเข้าสู่ประเทศไทย<br />
ส่วนใหญ่เปนการย้ายถิ่นในลักษณะเข้า<br />
เมืองผิดกหมายที่ส่งผลให้เกิดปญหาการ<br />
ผลักดันส่งกลับ ส่งผลให้มีผู้ย้ายถิ่นจานวน<br />
มากยังตกค้างอยู่ในประเทศไทย และเกิด<br />
ปญหาการเมืองระหว่างประเทศ โดย<br />
เพาะกลุ่มที่ขัดแย้งกับรัฐบาลของ<br />
ประเทศต้นทาง รวมทั้งปญหาดังกล่าวอาจ<br />
ส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งความมั่นคง<br />
ของมนุษย์ ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน<br />
และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ<br />
. บริบทการเปลี่ยนแปลงที่นาป<br />
สู่ภัยคุกคามรูปแบบใหม่อื่น ปจจุบันภัย<br />
คุกคามความมั่นคงมีขอบเขตที่กว้างขวาง<br />
มีความเชื่อมโยง ับ้อน และส่งผลกระทบ<br />
ต่อประชาชนโดยตรงมากข้น ภัยคุกคาม<br />
ความมั่นคงรูปแบบใหม่ประกอบด้วย<br />
ทั้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยง<br />
กับบริบทโลกในมิติต่าง ทั้งมิติด้าน<br />
เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมถงการ<br />
เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก<br />
. สรุปความเปลี่ยนแปลงของ<br />
บริบทความมั่นคงภายในประเทศ<br />
.๑ ปัญหายาเสพติด ปจจุบัน<br />
สถานการณ์ยาเสพติดของประเทศไทยมี<br />
แนวโน้มรุนแรงเพิ่มข้นมาอย่างต่อเนื่อง<br />
โดยเพาะการแพร่ระบาดของยาเสพติด<br />
ในกลุ่มของเยาวชน่งเปนกลุ่มเสี่ยงที่<br />
สาคัญ ปญหายาเสพติดเปนปญหาที่ส่ง<br />
ผลกระทบต่อเนื่องไปยังปญหาอื่น เช่น<br />
ปญหาอาชญากรรม ปญหาการทาลาย<br />
ศักยภาพของประชากร และปญหาการ<br />
ขยายตัวขององค์กรอาชญากรรม นอกจาก<br />
นี้ ประเทศไทยต้องเผชิญกับการลักลอบ<br />
ค้ายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน โดย<br />
ประเทศไทยเปนทั้งประเทศทางผ่านและ<br />
ประเทศปลายทาง ในขณะที่การลักลอบ<br />
ขนยาเสพติดและแหล่งพักยาเสพติดอยู่<br />
บริเวณพื้นที่ชายแดนฝงไทยและประเทศ<br />
เพื่อนบ้านโดยพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ<br />
เปนพื้นที่สาคัญ<br />
.๒ ความเสี่ยงภัยพิบัติทาง<br />
ธรรมชาติ สภาพการเปลี่ยนแปลงของโลก<br />
ที่เกิดการเปลี ่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ<br />
และสภาวะโลกร้อนเกิดข้นพร้อมกับการ<br />
เพิ่มจานวนของประชากรโลก รวมถงการ<br />
พันาประเทศที ่เน้นการเจริญเติบโต<br />
ทางเศรษฐกิจเปนหลัก นาไปสู่การใช้<br />
ทรัพยากรธรรมชาติโดยขาดความสมดุล<br />
26<br />
พันเอก ดรดิเรก ดีรเสริ
ทาให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงส่งผล<br />
กระทบต่อระบบนิเวศ จนนาไปสู่ภัยพิบัติ<br />
ธรรมชาติเพิ่มข้นและมีแนวโน้มทวีความ<br />
รุนแรงมากยิ่งข้น<br />
ผลประโยชนแห่งชาติได้แก่ ๑ การ<br />
มีเอกราช อธิปไตยและบูรณภาพแห่งเขต<br />
อานาจรัฐ ๒ การดารงอยู่อย่างมั่นคง<br />
ยั่งยืนของสถาบันหลักของชาติ ๓ การ<br />
ดารงอยู่อย่างมั่นคงของชาติและ<br />
ประชาชนจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ<br />
๔ การอยู่ร่วมกันในชาติอย่างสันติสุขเปน<br />
ปกแผ่นมั่นคงทางสังคมท่ามกลางพหุ<br />
สังคมและการมีเกียรติและศักดิ์ศรีของ<br />
ความเปนมนุษย์ ๕ ความเจริญเติบโตของ<br />
ชาติ ความเปนธรรมและความอยู่ดีมีสุข<br />
ของประชาชน ความยั่งยืนของฐาน<br />
ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความ<br />
มั่นคงทางพลังงาน อาหาร ๗ ความ<br />
สามารถในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ<br />
ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสภาวะ<br />
แวดล้อมระหว่างประเทศ ๘ การอยู่ร่วมกัน<br />
อย่างสันติประสานสอดคล้องกันด้านความ<br />
มั่นคงในประชาคมอาเียน และประชาคม<br />
โลกอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี<br />
วัตถุประสงคของนโยบายความ<br />
มั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕ ๒๕๖<br />
ได้กาหนดไว้ ดังนี้<br />
๑ เพื่อส่งเสริมและรักษาไว้่งการ<br />
ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี<br />
พระมหากษัตริย์ทรงเปนประมุข<br />
๒ เพื่อเสริมสร้างจิตสานกของคนใน<br />
ชาติให้มีความจงรักภักดี และธารงรักษา<br />
ไว้่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์<br />
๓ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการ<br />
สร้างความปรองดอง ความเปนธรรม และ<br />
ความสมานันท์ในชาติ เพื่อลดการเผชิญ<br />
หน้า และการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ<br />
๔ เพื่อให้จังหวัดชายแดนภาคใต้<br />
มีความปลอดภัยปราศจากเงื่อนไขของการ<br />
ใช้ความรุนแรง<br />
๕ เพื่อพันาศักยภาพของภาครัฐ<br />
และส่งเสริมบทบาทและความเข้มแข็งของ<br />
ทุกภาคส่วน ในการรับมือกับภัยคุกคาม<br />
ทุกรูปแบบที่กระทบกับความมั่นคง<br />
เพื่อให้การจัดการฐาน<br />
ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม พลังงาน<br />
และอาหาร มีความมั่นคงความยั่งยืนและ<br />
มีความสมดุลกับการขยายตัวของการ<br />
พันาประเทศ รวมถงลดความเสี่ยงจาก<br />
ผลกระทบของกระแสโลกาภิวัตน์<br />
๗ เพื่อพันาศักยภาพการเตรียม<br />
ความพร้อมของชาติในการเผชิญกับภาวะ<br />
สงครามและวิกฤติการณ์ความมั่นคงอย่าง<br />
มีเอกภาพและประสิทธิภาพ<br />
๘ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของ<br />
กองทัพในการปองกันประเทศ สนับสนุน<br />
ภารกิจที่ไม่ใช่การสงคราม และสามารถ<br />
ผนกกาลังของกองทัพกับทุกภาคส่วนใน<br />
การเผชิญกับภัยคุกคามด้านการปองกัน<br />
ประเทศในทุกรูปแบบ<br />
๙ เพื่อส่งเสริมสภาวะแวดล้อมที่<br />
สร้างสรรค์และสันติในการอยู่ร่วมกับ<br />
ประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มประเทศอาเียน<br />
ประชาคมโลกบนพื้นฐานของการรักษา<br />
ผลประโยชน์ และการดารงเกียรติภูมิ<br />
ของชาติ<br />
แนวคิดการจัดกลุ่มงานด้านความ<br />
มั่นคงของชาติ เพื่อให้การจัดกลุ่มงานด้าน<br />
ความมั่นคงของชาติ สอดรับกับภัยคุกคาม<br />
ที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติใน<br />
ปจจุบันและที่มีแนวโน้มที่จะกระทบต่อ<br />
ความมั่นคงของชาติในอนาคตที่ระบุไว้ใน<br />
การศกษาทบทวนสถานการณ์และความ<br />
เปลี่ยนแปลงของบริบทความมั่นคงใน<br />
ระยะ ๗ ป (พศ๒๕๕๘ ๒๕๔ ) ดังกล่าว<br />
ข้างต้น ่งสอดรับกับแนวคิดพื้นฐาน<br />
ในการจัดกลุ่มประเภทภัยคุกคามต่อความ<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 27
มั่นคงของชาติ ตลอดจนวิสัยทัศน์ และ<br />
วัตถุประสงค์ของนโยบายความมั่นคง<br />
แห่งชาติ พศ ๒๕๕๘ ๒๕๔ ของ<br />
สานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ จงได้<br />
จัดกลุ่มงานด้านความมั่นคงของชาติ ออก<br />
เปน ๕ กลุ่มงานด้านความมั่นคงของชาติ<br />
ได้ดังนี้<br />
๑. กลุ่มงานเสริมสรางความ<br />
มั่นคงแห่งรัฐ (Sae Sey) หมายถง<br />
กลุ่มงานด้านความมั่นคงแบบดั้งเดิม<br />
(raiia curi) ในการรักษา<br />
เอกราชและอธิปไตยจากการรุกรานด้วย<br />
กาลังอย่างเปดเผยจากภายนอกประเทศ<br />
ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ<br />
รวมถงการรักษาเสถียรภาพความมั่นคง<br />
ของสถาบันหลักของชาติ ในทุกรูปแบบ<br />
๒. กลุ่มงานเสริมสรางความมั่นคง<br />
ของมนุษยและสังคมวันธรรม<br />
(man an SCle Sey)<br />
หมายถง กลุ่มงานด้านความมั่นคงรูปแบบ<br />
ใหม่ (raiia curi)<br />
ประเภทหน่งที่เสริมสร้างเสถียรภาพ<br />
มาตรฐานการดารงชีวิตในทุกด้านของคน<br />
และสังคม การพันาคุณภาพชีวิตของคน<br />
ให้สูงข้น ความปลอดภัยในชีวิตและ<br />
ทรัพย์สินของประชาชน การพันาการ<br />
ศกษา การสร้างความเปนธรรม โดยลด<br />
ความเหลื่อมล้าในสังคม ความมั่นคงทาง<br />
อาหาร ตลอดถงการแก้ไขและปองกัน<br />
ปญหายาเสพติด<br />
. กลุ่มงานเสริมสรางความมั่นคง<br />
แบบพิเศษ จากภัยคุกคามพิเศษและ<br />
ภัยคุกคามขามชาติ (Seal Sey)<br />
หมายถง กลุ่มงานด้านความมั่นคงรูปแบบ<br />
ใหม่ (raiia curi)<br />
ประเภทหน่งที่เสริมสร้างเสถียรภาพของ<br />
ชาติให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ<br />
ที่เกิดจากภัยคุกคามข้ามพรมแดน<br />
ภัยคุกคามจากอาชญากรรมข้ามชาติ<br />
ทุกรูปแบบ การก่อการร้ายสากลและการ<br />
ก่อการร้ายที่มีผลสืบเนื่องจากต่างประเทศ<br />
ตลอดจนการแก้ไขปญหาความขัดแย้งใน<br />
พื้นที่พิเศษที่มีความขัดแย้งจนถงขั้นการ<br />
ใช้กาลังที่เกิดข้นในประเทศ เช่น ในพื้นที่<br />
จังหวัดชายแดนใต้ เปนต้น และภัยคุกคาม<br />
พิเศษอื่น ที่ได้รับมอบหมาย<br />
. กลุ่มงานเสริมสรางความมั่นคง<br />
ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และซเบอร<br />
( an Cye Sey) หมายถง<br />
กลุ่มงานด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่<br />
(raiia curi) ประเภท<br />
หน่งที่เสริมสร้างเสถียรภาพของชาติ ใน<br />
ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและไเบอร์<br />
ทุกรูปแบบ<br />
๕. กลุ่มงานเสริมสรางความมั่นคง<br />
ทางทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดลอม<br />
และพลังงาน (nnmen an<br />
negy Sey) หมายถง กลุ่มงาน<br />
ด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ (<br />
raiia curi) ประเภทหน่งที่<br />
เสริมสร้างเสถียรภาพของชาติ ในด้าน<br />
ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม<br />
ทรัพยากรน้า ทรัพยากรดิน ตลอดจน<br />
เสถียรภาพความมั่นคงด้านพลังงานของ<br />
ชาติในทุกรูปแบบ<br />
อสาอางอง<br />
สํานักงานสภาความมันคงหงชาติ นโยบายความมันคงหงชาติ พ <br />
: เางอมูลเมอ พย<br />
28<br />
พันเอก ดรดิเรก ดีรเสริ
ความมั นคงร<br />
(Cyber Security)<br />
ความมั่นคงไเบอร์เปนปญหาที่<br />
มีความับ้อนและมีแนวโน้ม<br />
ที่จะทวีความรุนแรงจากการ<br />
โจมตีมากข้น และส่งผลกระทบไปทั่วโลก<br />
โดยสานักข่าว C ของสหรัฐอเมริกา<br />
รายงานว่าในป พศ๒๕๕๙ ความมั่นคง<br />
ไเบอร์เปนหน่งในประเด็นที่โลกให้ความ<br />
สาคัญในระดับสูงและทุกประเทศต้อง<br />
สาคัญในระดับสูงและทุกประเทศต้อง<br />
ตระหนัก รวมทั้งกาหนดมาตรการในการ<br />
รวมทั้งกาหนดมาตรการในการ<br />
ปองกันภัยคุกคามดังกล่าวเนื่องจาก<br />
เหตุการณ์ความรุนแรงต่าง ที่เกิดข้นหลาย<br />
เหตุการณ์ มีสาเหตุจากการโจมตีทาง<br />
ไเบอร์ และที่สาคัญบริษัท และที่สาคัญบริษัท และที่สาคัญบริษัท ir <br />
crrai <br />
่งเปนบริษัทที่มีความ<br />
กองพันายุทาสตร สํานักงานนโยบายละยุทาสตร<br />
สํานักนโยบายละผนกลาโหม<br />
เชี่ยวชาญด้านการหยุดยั ้งภัยคุกคาม<br />
ไเบอร์ของสหรัฐอเมริการะบุว่าไทยเปน<br />
เปาหมายภัยคุกคามไเบอร์สูงสุดในเอเชีย<br />
ตะวันออกเียงใต้<br />
สถานการณปัญหาความมั่นคง<br />
ซเบอรที่สาคัญในหวงที่ผ่านมามีดังนี้<br />
๑) เมื่อเดือนมิถุนายน พศ๒๕๕๘<br />
สถานีโทรทัศน์ C รายงานว่าหน่วย<br />
สืบสวนกลางของสหรัฐอเมริกาถูกจารกรรม<br />
ข้อมูลจากระบบของรัฐบาลกลางที ่อาจ<br />
ถือว่าเปนการจารกรรมข้อมูลครั้งใหญ่ที่สุด<br />
ครั้งหน่ง โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าอาจจะมี<br />
ข้อมูลส่วนบุคคลหลุดออกไปมากถง ๔ ล้าน<br />
รายการ ่งเจ้าหน้าที่สอบสวนสงสัยว่า<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 29
แฮกเกอร์อาจได้รับการสนับสนุนจาก<br />
สาธารณรัฐประชาชนจีน (สปจ) และใน<br />
หลาย กรณี แฮกเกอร์ได้มอบความลับ<br />
ทางการค้าให้กับบริษัทต่าง ที่รัฐบาล<br />
สาธารณรัฐประชาชนจีนเปนเจ้าของ<br />
๒) เมื่อเดือนพฤศจิกายน พศ๒๕๕๘<br />
บริษัท a ่งเปนบริษัทที่เกี่ยวข้อง<br />
กับโทรคมนาคมรายใหญ่ของสหราช<br />
อาณาจักรถูกโจมตีและจารกรรมฐานข้อมูล<br />
ลูกค้า<br />
๓) เมื่อเดือนตุลาคม พศ๒๕๕๘<br />
ธนาคารกลางของบังกลาเทศถูกปล้นเงิน<br />
จานวน ๑๐๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านระบบ<br />
ออนไลน์โดยแฮกเกอร์ใช้มัลแวร์ขั้นสูงใน<br />
การเจาะข้อมูลระบบเครือข่ายการเงินของ<br />
ธนาคารแทนที่ด้วยระบบสาหรับใช้ในการ<br />
จารกรรม เพื่อให้สามารถสั่งการได้โดย<br />
แฮกเกอร์<br />
๔) เมื่อเดือนตุลาคม พศ๒๕๕๘<br />
ตารวจมาเลเียจับกุมแฮกเกอร์ชาวโคโโว<br />
ผู้ต้องสงสัยจารกรรมข้อมูลด้านความมั่นคง<br />
ของสหรัฐอเมริกา เพื่อส่งต่อให้กลุ่ม<br />
ก่อการร้าย h samic a ra<br />
a h La<br />
๕) สาหรับประเทศไทย ในห้วงสองป<br />
ที่ผ่านมา จานวนภัยคุกคามทางไเบอร์เพิ่ม<br />
ข้นถงร้อยละ ๑๕๐ และเปนการโจมตีระบบ<br />
ของภาครัฐถงร้อยละ ๘๐ โดยเมื่อป พศ<br />
๒๕๕๘ เกิดเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย<br />
ทางไเบอร์ จานวน ๔๓๐๐ เหตุการณ์ อีก<br />
ทั้งไทยถูกจัดให้เปน ๑ ใน ๒๕ ประเทศ ที่<br />
ประสบกับปญหาภัยคุกคามทางไเบอร์<br />
มากที่สุดในโลก และเปนอันดับ ๒ ของ<br />
อาเียนรองจากสาธารณรัฐอินโดนีเีย ทั้งนี้<br />
สาเหตุเกิดจากการขาดการเฝาระวัง<br />
และขาดแคลนบุคลากรในการรับมือกับ<br />
ภัยคุกคามฯ ดังกล่าว<br />
การดาเนินการต่อปัญหาความ<br />
มั่นคงซเบอรในระดับนานาชาติ<br />
หลายประเทศได้มีการกาหนด<br />
ยุทธศาสตร์ความมั่นคงไเบอร์แห่งชาติข้น<br />
เพื่อรองรับกับภัยคุกคามไเบอร์ เช่น<br />
สหราชอาณาจักร ได้กาหนดให้ยุทธศาสตร์<br />
ความมั่นคงปลอดภัยไเบอร์แห่งชาติ และ<br />
ให้ความสาคัญเทียบเท่ากับภัยคุกคามจาก<br />
การก่อการร้ายสากลและสหรัฐอเมริกา<br />
ได้เปดเผยยุทธศาสตร์ความมั่นคงระดับชาติ<br />
ว่ามีความพยายามในการเพิ่มความ<br />
ปลอดภัยไเบอร์โดยการสร้างบรรทัดฐาน<br />
ความร่วมมือระหว่างประเทศในการปองกัน<br />
และตรวจสอบภัยคุกคามไเบอร์<br />
ประชาคมอาเียนมีแผนแม่บท<br />
C asr a ่งเปน<br />
ความตกลงในการผลักดันอาเียนไปสู่<br />
เศรษฐกิจดิจิทัลที่มั่นคงปลอดภัยอย่าง<br />
ยั่งยืนโดยกาหนดให้ความมั่นคงไเบอร์เปน<br />
หน่งในยุทธศาสตร์สาคัญของอาเียน โดย<br />
มีเปาหมายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง<br />
ให้กับความมั่นคงด้านสารสนเทศของ<br />
ภูมิภาค ด้วยการจัดทาแนวทางปิบัติเกี่ยว<br />
กับการคุ้มครองข้อมูลการปรับปรุงความ<br />
ร่วมมือและการตอบสนองต่อสถานการณ์<br />
30<br />
กองพันุสตร สนักงนนโุสตร สนักนโนกโห
ุกเินทางไเบอร์ในแต่ละประเทศ<br />
เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกันอย่างมี<br />
ประสิทธิภาพ<br />
การดาเนินการของทย<br />
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและ<br />
สังคมเปนหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน<br />
นโยบายการเสริมสร้างความมั่นคงทาง<br />
เทคโนโลยีสารสนเทศและไเบอร์ของชาติ<br />
ตามนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ พศ<br />
๒๕๕๘ ๒๕๔ นโยบายที่ ๑๐ เสริมสร้าง<br />
ความมั่นคงทางเทคโนโลยีสารสนเทศและ<br />
ไเบอร์ โดยกาหนดแนวทางการดาเนินการ<br />
ไว้ ๓ ประเด็น ได้แก่ ๑) การปกปองและ<br />
ปองกันภัยคุกคามด้านไเบอร์และเสริม<br />
สร้างความปลอดภัยทางเทคโนโลยี<br />
สารสนเทศ ๒) การพันาการบังคับใช้<br />
กหมายและ ๓) การพันาศักยภาพทาง<br />
ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งนี้ กระทรวง<br />
ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้สร้างกลไก<br />
การรับมือและขยายการรับรู้ด้านการ<br />
ปองกันภัยคุกคามไเบอร์ผ่านศูนย์ประสาน<br />
การรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบ<br />
คอมพิวเตอร์ประเทศไทย่งมีบทบาทใน<br />
การผลักดันและเสริมสร้างศักยภาพด้าน<br />
การปองกันทางไเบอร์ อันจะทาให้หน่วย<br />
งานต่าง สามารถวิเคราะห์ภัยคุกคาม และ<br />
ปองกันการโจมตีได้อย่างทันท่วงที<br />
กระทรวงกลาโหม ในฐานะหน่วยงาน<br />
หลักด้านความมั่นคงของชาติ ได้จัดทา<br />
ยุทธศาสตร์ไเบอร์เพื่อการปองกันประเทศ<br />
กระทรวงกลาโหม พศ๒๕๕๘ และแผน<br />
แม่บทไเบอร์เพื่อการปองกันประเทศ<br />
กระทรวงกลาโหม พศ๒๕๐ ๒๕๔<br />
ตลอดจนจัดตั้งและเสริมสร้างขีดความ<br />
สามารถศูนย์ไเบอร์ กรมเทคโนโลยี<br />
สารสนเทศและอวกาศกลาโหม เพื่อ<br />
ประสานงานกับหน่วยงานด้านไเบอร์<br />
ของกองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ<br />
โดยเชื่อมโยงนโยบายด้านไเบอร์กับระดับ<br />
รัฐบาล และนาไปสู่การดาเนินงานของ<br />
หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับปิบัติ<br />
ปจจุบันการดาเนินงานของหน่วยงาน<br />
ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องอาศัยเครือข่าย<br />
คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงทั่วโลกจงมีความ<br />
เสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตีทางไเบอร์ (Cr<br />
ack) ่งในอนาคตภัยคุกคามไเบอร์<br />
แนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากยิ่งข้น<br />
ดังนั้นทุกภาคส่วนจะต้องมีการเตรียมความ<br />
พร้อมทั้งในเรื่องการกาหนดนโยบาย<br />
กระบวนการบริหารความเสี่ยงการควบคุม<br />
การเฝาระวังการทดสอบการเจาะระบบ<br />
รวมทั้งการกู้คืนระบบ (cr) ตลอดจน<br />
การพันาองค์ความรู้และความตระหนักรู้<br />
ให้กับบุคลากรอย่างจริงจังและต่อเนื่องเปน<br />
ปจจัยสาคัญต่อการที่ประเทศไทยจะก้าว<br />
เข้าสู่การพันาตามแนวทาง haia<br />
และ iia cm ่งจะต้อง<br />
มียุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยไเบอร์<br />
ที่มีความชัดเจน เพื่อให้ส่วนราชการ ตลอด<br />
จนภาคเอกชนใช้ยดถือเปนกรอบแนวทาง<br />
ปิบัติในการปองกันภัยคุกคามไเบอร์ได้<br />
อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปด้วย<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 31
Thunderbirdsวิหคสาย า<br />
งินาดลงชันยดขงสหรัละนระดัโลก<br />
นาวาอากาเอก ยะพัน ันม<br />
“Ladies and gentlemen, (Your) มาจาก<br />
United States Air Force Thun-<br />
rirs ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศ<br />
ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความ<br />
อยากรู้อยากเห็นของฝูงชน พวกเขาเหล่านั้น<br />
ต่างสอดส่ายสายตาไปตามแนวขอบา<br />
จากด้านหัวสนามบินไปจนจรดด้านท้าย<br />
ของสนามบิน เพื่อที่จะได้เห็นจุดเริ่มต้น<br />
ของการเปดตัวการแสดงการบินผาดแผลง<br />
(craic ih) ที่น่าตะลงดุจเทพ<br />
รังสรรค์ของหมู่บินผาดแผลง hur-<br />
irs ่งมีแหล่งกาเนิดในยุคปจจุบัน<br />
is <br />
ฝูงอินทรีย์ s ในเดสีขาว<br />
น้าเงินและแดง แสนสะดุดตาเมื่อเริงร่า<br />
ร่ายราบนท้องาเข้ารวมหมู่บินกันจาก<br />
ระยะไกลด้านหลังของฝูงชน ด้วยการเกาะ<br />
หมู่ชิด ความสูงต่า ความเร็วสูง พุ่งเข้าหา<br />
สนามบิน เมื่อ hurirs อยู่เหนือ<br />
สนามบินและปรากตัวให้เห็นอย่าง<br />
ชัดเจน พร้อมกับเสียงกัมปนาทกกก้อง<br />
กระห่มทรงพลังมหาศาลของเครื่องยนต์<br />
เจ็ต ภาพแรกนี้ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจ<br />
เปนอย่างมาก เปนการเข้าหาฝูงชนในแบบ<br />
ที่พวกเขาไม่ได้คาดคิด (urris) มาก่อน<br />
บรรยากาศสนามบินเต็มไปด้วยเสียงอื้ออง<br />
และปลื้มปติ<br />
32<br />
นวอกเอก ิพัน ัน
ภาพประทับใจของ hur-<br />
irs เกิดข้นอย่างต่อเนื่องทั้งภาคพื้น<br />
และภาคอากาศ สาหรับภาคพื้นดิน่งใช้<br />
เวลา ๒๐ นาที นั้น หกนักบินหนุ่มรูปร่าง<br />
สมาร์ทในชุด ui สีน้าเงิน แสดงความ<br />
เคารพประธานและประชาชน และเดิน<br />
แยกย้ายกันไปที่เครื่อง ของตนเอง<br />
อย่างมีแบบแผนพวกเขาข้นเครื่องและติด<br />
เครื่องยนต์ ท่าทางการให้สัญญาณเพื่อ<br />
ตรวจสอบความพร้อมของหมู่บิน และ<br />
ขับเคลื่อน (ai) หมู่บินตามกันไปจนถง<br />
หัวทางวิ่งเพื่อเตรียมตัววิ่งข้น เมื่อมองใน<br />
ภาพรวมแล้วสง่างามยิ่งนักเหมือนราชันย์<br />
บนากาก็ปานนั้น<br />
จุดสูงสุดของความตื ่นเต้นอยู่ที่ภาค<br />
อากาศที่ใช้เวลา ๔๐ นาที พวกเขาแสดง<br />
ท่าทางการบินจากทักษะการบินที่ยอด<br />
เยี่ยมของแต่ละคน่งดูเหมือนพวกเขา<br />
กาลังพยายาม่าตัวตายในรูปแบบที่<br />
พิสดารและสิ้นเปลืองที่สุดในโลก ด้วย<br />
ท่าทางการผาดแผลงต่าง ทั้งในลักษณะ<br />
ของการเกาะหมู่ (rmai) และการ<br />
บินเดี่ยว () อย่างเช่น การบินหมู่<br />
(rmai) แบบ a iam ai<br />
และ ir i และผาดแผลงด้วยท่าทาง<br />
การบิน (aur) แบบ (หมุนตัว<br />
รอบแกนยาวของเครื่อง) r ih<br />
(ท่าบินหงายท้อง) และ L (วงกลมตั้ง)<br />
ท่วงท่ามหัศจรรย์เหล่านี้ ทาให้ผู้ชมทั้ง<br />
หลายแทบไม่ได้หยุดหายใจหรือพูดคุยกัน<br />
เลยตลอดเวลาการแสดงมายากลบน<br />
อากาศของ hurirs<br />
ความสุดยอดของเทคนิคการบินไป<br />
จบที่ภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ hur-<br />
irs คือ m urs เมื่อ <br />
แต่ละเครื่องวิ่งเข้าหากันจากหกทิศทาง<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 33
ด้วยความสูงต่า ความเร็วสูงเมื่อถงจุดนัด<br />
หมายสาคัญเหนือสนามบิน พวกเขาดง<br />
เครื่องไต่ข้นทันทีทันใด ในมุมที่ชันมาก<br />
เกือบเก้าสิบองศา พร้อมกับปล่อยควันสี<br />
เปนหางทางยาวตามทิศทางของเครื่อง<br />
ครั้นถงจุดสูงสุดอันหน่งก็พลิกตัวและแยก<br />
กันออกไปตามทิศทางตรงข้ามตั ้งแต่เริ ่ม<br />
ต้นที่พวกเขาบินสอบเข้าหากัน เปนการจบ<br />
การแสดงที่ตราตรงหยุดความรู้สกทุก<br />
อย่างไว้เลยทีเดียวและเปนากภาพอมตะ<br />
ในเชิงสัญลักษณ์ของ hurirs<br />
ที่ยิ่งใหญ่ด้วยเหมือนกัน<br />
แม้ว่าการแสดงภาคอากาศจะเสร็จ<br />
สิ้นสมบูรณ์ไปแล้วก็ตาม ผู้คนจานวนมาก<br />
ยังอ้อยอิ่งรอการกลับมาลงสนามของเหล่า<br />
นักบิน hurirs พวกเขาเข้าแถว<br />
เปนทางยาวตามแนวทางเดินของนักบิน<br />
เพื่อรอการจับมือทักทายและถ่ายภาพร่วม<br />
กับนักบินเหล่านั้น เปนความทรงจาและ<br />
แรงบันดาลใจที่วิเศษสาหรับพวกเขาใน<br />
อนาคต คนเก่ง ในแต่ละยุคมักจะมีความ<br />
ประทับใจในอดีตที่สร้างพลังภายในให้กับ<br />
พวกเขาในลักษณะนี้เปนส่วนใหญ่ ในกรณี<br />
34<br />
ของ hurirs ก็เช่นเดียวกัน<br />
รวมไปถงการเปนไปในทางเชิญชวนที่<br />
ดีเยี่ยม ทาให้เด็กหนุ่มอเมริกันมีความ<br />
ต้องการอยากเข้าเปนทหารอากาศกันมาก<br />
และประเด็นสาคัญที่กองทัพอากาศ<br />
สหรัฐฯ ได้รับแบบเต็ม คือ เกิดความ<br />
มั่นใจสาหรับประชาชน สาหรับเงินภาษี<br />
อากรของพวกเขา ที่สามารถสร้าง<br />
ศักยภาพด้านการบินได้อย่างเข้มแข็ง มี<br />
กาลังทางอากาศที่เชื่อถือได้ในการปิบัติ<br />
ภารกิจเพื่อสหรัฐฯ หรือประชาคมโลก<br />
ไปไกลกันขนาดนั้นเลย<br />
ในรอบหน่งป ตั้งแต่เดือนมีนาคมถง<br />
เดือนตุลาคม hurirs มี<br />
โปรแกรมที่ต้องแสดงในช่วงวัดหยุด<br />
สุดสัปดาห์มากถง ๔๐ ครั้ง ่งในแต่ละครั้ง<br />
ของการแสดงจะต้องมีทีมงานของ<br />
hurirs ที่เปนส่วนล่วงหน้า<br />
นวอกเอก ิพัน ัน
เดินทางไปยังชุมชนนั้น เพื่อการ<br />
ประชาสัมพันธ์ พวกเขาแทรกมเข้า<br />
พบปะกับประชาชนในเกือบทุกองค์กร<br />
ตั้งแต่ โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย<br />
โบสถ์และโรงพยาบาล เปนต้น นับได้ว่า<br />
งานด้านกิจการพลเรือนของกองทัพ<br />
อากาศสหรัฐฯ หรือ hurirs<br />
เข้มแข็งดีมาก<br />
อย่างไรก็ตาม การแสดงของฝูงบิน<br />
ผาดแผลง hurirs นั้น ก็ย่อม<br />
มีข้อจากัด โดยเพาะปญหาใหญ่จาก<br />
สภาพอากาศ ดังนั้น เพื่อรับประกันความ<br />
ผิดหวังของแน hurirs จง<br />
ได้เตรียมระดับของการแสดงไว้สามระดับ<br />
คือ ระดับ ih สาหรับวันที่อากาศดี<br />
มาก ทั้งระยะการมองเห็นและความสูง<br />
ของฐานเม (Cii) การแสดงการบิน<br />
ในระดับนี้ จัดกันแบบเต็มพิกัดเลย ระดับ<br />
ที่สอง ium เปนระยะที่การมอง<br />
เห็นค่อนข้างดี แต่ฐานเมอยู่ต่าไปหน่อย<br />
ดังนั้นการบินในรูปแบบที่<br />
ต้องการความสูง (ai iu)<br />
จงต้องตัดออกไป ระดับสุดท้าย a<br />
แย่ที่สุดแต่ไม่ถงกับงดการแสดง<br />
hurirs จะทาได้แค่ในบางท่า<br />
เท่านั้น อย่างเช่นการ L ass เปนต้น<br />
นอกเหนือจากอุปสรรคด้านสภาพ<br />
อากาศแล้ว ก็ยังมีมรสุมเรื่องสภาวะทาง<br />
เศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างเช่น ในป<br />
๒๐๑๓ ระบบเศรษฐกิจย่าแย่มีผลกระทบ<br />
กันไปทุกส่วนของประเทศ สาหรับ<br />
ในแวดวงการบินผาดแผลงนั้น ทั้ง<br />
hurirs เอง หรือแม้แต่ u<br />
s ของกองทัพเรือสหรัฐฯ และ<br />
rm ihs ของกองทัพบก<br />
สหรัฐฯ ก็เกิดแรงกระเพื่อมเปนข้อขัดข้อง<br />
ตามมาด้วยเหมือนกัน ฝูงบินเหล่านี้ไม่มี<br />
งบประมาณเพียงพอในการตระเวนแสดง<br />
การบินได้ตามปกติเช่นทุกป แต่ความเปน<br />
hurirs ก็ยังคงอยู่ เพียงแค่ลด<br />
ระดับการปิบัติลงมาเท่านั้น<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 35
The Legend of “Thunderbirds”<br />
hurirs เริ ่มก่อร่างสร้าง<br />
ตัวครั้งแรกในป ๑๙๕๓ ที่ Luk <br />
ria ด้วยเครื่องไอพ่นในยุคสงคราม<br />
เกาหลีคือ (hur) ครั้นมา<br />
ถงป ๑๙๕๕ ได้เปลี่ยนมาเปน <br />
(hursrak) ถัดมาอีกปต้องย้าย<br />
บ้านกันเลยคือในป ๑๙๕ ได้ย้ายมาที่<br />
is aa พร้อมกับเปลี่ยน<br />
เครื่องบินเปนแบบ (ur ar)<br />
และที่ is aa แห่งนี้ มีการ<br />
เปลี่ยนแบบเครื่องบินอย่างต่อเนื่อง<br />
ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ (hurchi)<br />
(ham ) (a)<br />
จนกระทั่งมาถงยุคไอพ่นสมรรถนะสูง<br />
ยุคใหม่ในป ๑๙๘๙ ่งได้เปลี่ยนมาเปน<br />
(ihi ac) และในยุค<br />
ปจจุบันนี้ (๒๐๑) เปน C<br />
ck <br />
การมาเยือนเมืองไทยของ hu-<br />
rirs นั้น ล้วนเปนยุคของ <br />
ทั้งสิ้น ่งได้มาแสดงให้คนไทยได้ชมเปนที่<br />
อัศจรรย์ใจถงสามครั้งด้วยกัน ตั้งแต่ป<br />
๑๙๘๗ (๒๕๓๐) ๑๙๘๔ (๒๕๓๗) และ<br />
ครั้งหลังสุดคือป ๑๙๙๙ (๒๕๕๒)<br />
“Thunderbirds” Team work<br />
ทีมงานแรกที่ทาหน้าที่ของตนเอง<br />
อย่างเข้มข้นและดูเหมือนปดทองหลังพระ<br />
คือ ทีมงานภาคพื้นที่ต้องทางานหนักเพื่อ<br />
รักษาสมรรถนะ (aiairs) มี<br />
ประมาณ ๑๐๐ ๑๒๐ คน ประกอบด้วย<br />
ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ช่างประจาเครื่อง<br />
เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป เจ้าหน้าที่<br />
ส่งกาลังบารุง (Lisica) รวมไปถงนักบิน<br />
ที่ต้องบินกับเครื่องสองที่นั่ง s<br />
สาหรับแขก หรือสื่อมวลชนด้วย ่ง<br />
การเคลื่อนย้ายองคาพยพทั้งปวงของ<br />
ฝูงบินได้รับการสนับสนุนจาก C หรือ<br />
Cs<br />
ทีมงานสุดท้ายคือทีมนักบิน<br />
hurirs ่งนักบินเหล่านี้จะถูก<br />
คัดเลือกโดยสมัครใจจากฝูงบินไอพ่น ใน<br />
กองทัพอากาศสหรัฐฯ ่งกาหนดให้มี<br />
ความหลากหลาย ไม่กีดกันในเรื่องเพศ<br />
และเผ่าพันธุ์ หรือแม้กระทั่งแบบของ<br />
เครื่องบินที่บินอยู่ในปจจุบันโดยในขั้นต้น<br />
นั้น นักบินแต่ละคนต้องมีชั่วโมงบินของ<br />
เครื่องบินรบ (ihr hurs) ไม่ต่ากว่า<br />
๑๐๐๐ ชั่วโมง จากนั ้นต้องผ่านการ<br />
พิจารณาของผู้ฝูงในสังกัด ขั้นตอนต่อมา<br />
คือ การสัมภาษณ์และประเมินค่าจากทีม<br />
งานของผู้ฝูง hurirs และขั้น<br />
สุดท้ายคือการตัดสินใจของ ir<br />
Cma Cmma เมื่อผ่านแล้ว ก่อน<br />
ที่จะบินเดี ่ยวเปนเทพกับ hur-<br />
irs นักบินทุกนายต้องผ่านการฝกขั้น<br />
ปรับสภาพและเทคนิคการบินระดับ<br />
พระกากับเครื่อง แบบสองที่นั่งก่อน<br />
ในช่วงการฝกนั้น นักบินต้องเผชิญ<br />
กับแรงโน้มถ่วงของโลกคือแรง rai<br />
rc สูงถง ความหมายง่าย คือถ้า<br />
นักบินมีน้าหนัก Ls เมื่อเจอกับแรง<br />
ตัวเขาจะมีน้าหนักเปน Ls<br />
36 นวอกเอก ิพัน ัน
ทันที เหมือนร่างกายต้องแบกแรงที่<br />
มองไม่เห็นแต่หนักหน่วงกดดันและสาหัส<br />
ยิ่งกว่าผีอาในค่าคืนที่ฝนร้ายของบางคน<br />
เสียอีก เมื่อเจอแรงที่หนักมากแล้วก็ต้อง<br />
สลับกับการที่ต้องอยู่สภาพไร้น้าหนัก<br />
ตามท่าทางการบินที ่เปลี่ยนแปลงแบบ<br />
ทันทีทันใดคือ นักบินต้องเจอ aai<br />
rc ถง เปรียบได้เหมือนตอน<br />
ร่วงแบบ r a จาก r Casr<br />
จากจุดที่สูงสุดของเครื่องเล่นนี้ แม้ว่าภาร<br />
กรรมจากแรงโน้มถ่วงทั้งบวกและลบมาก<br />
ขนาดนี้พวกเขายังคงขีดความสามารถ<br />
รักษาระยะห่างในหมู่บินแบบปกต่อปกได้<br />
ไกลมากที่สุดถง ๑๘ นิ้ว เลยทีเดียว ใน<br />
ประเด็นเรื่องแรง นี้ hurirs<br />
มีเรื่องเกทับแบบหยอกกันเล่นกับ u<br />
s ของกองทัพเรือชาติเดียวกัน<br />
่งใช้ s (r) ที่สู้แรง ได้แค่<br />
เท่านั้นเอง<br />
เมื่อพวกเขาเหล่านักบิน hur-<br />
irs มีจิตใจที่อาจหาญท้าทายความ<br />
ตายที่อยู่ใกล้พวกเขาแค่สะกิด เปนเรื่อง<br />
ปกติ ข้อผิดพลาดที ่นาไปสู่การสูญเสีย<br />
ต้องเกิดข้นไม่ช้าก็เร็ว จะเกิดกับใคร เวลาใด<br />
และที่ใดเท่านั้นเอง ตลอดช่วงเวลา ๓ ป<br />
ตั้งแต่ป ๑๙๕๓ ๒๐๑ นั้น hu-<br />
rirs สูญเสียนักบินไปแล้ว ๒๐ คน<br />
เปนอุบัติเหตุที่เกิดในขณะเปดการแสดง<br />
(ir h) สามครั้ง ที่เหลือเกิดในขณะ<br />
ฝก้อม<br />
ในเรื่องของภาพลักษณ์ของนักบิน<br />
นั้น นักบินทุกคนต้องยิ้มแย้มแจ่มใส<br />
สะอาดสะอ้าน ดูแลสุขภาพอย่างสม่าเสมอ<br />
พวกเขาต้องออกกาลังกายวันละสอง<br />
ชั่วโมงเพื่อรักษารูปร่างที่สมทรง สง่างาม<br />
เมื่อใส่เครื่องแบบหรือชุดบินแบบ ui<br />
ต้องออกมาดูดี เปนที่ต้องใจของผู้ชมทันที<br />
พวกเขามีข้อกาหนดที่ต้องดูแลตนเองดี<br />
มาก น่าจะดีกว่าดาราหรือนักกีาเสียอีก<br />
ทีมงานทั้งสองทีมนั้น ต้องผ่านการ<br />
ฝกในลักษณะเพาะงานของตนเอง และ<br />
มีช่วงเวลาการทางานในรูปแบบของ<br />
hurirs am rk ประมาณ<br />
๒ ๓ ป หรืออาจมีบวกบ้างแล้วแต่กรณี<br />
ไป ทั้งนี้ พวกเขาต้องเสียสละและยอมรับ<br />
สภาพที ่ต้องห่างเหินจากครอบครัวมาก<br />
เนื่องจากมีช่วงเวลาการตระเวนออกแสดง<br />
ทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลกค่อนข้างเยอะ<br />
hurirs เปนส่วนหน่งที่มี<br />
ลักษณะเชิงสัญลักษณ์ของสหรัฐฯ คล้าย<br />
กับ ir rc ที่ต่างก็แสดงให้<br />
เห็นถงพลังอานาจทางทหารและ<br />
เทคโนโลยีของชาติ ทาให้ดูน่าเกรงขาม<br />
อีกทั้งเปนแรงบันดาลใจในเชิงบวกให้กับ<br />
เด็ก ของพวกเขาหรือทั่วโลกมาก ทาให้<br />
พวกเขาเกิดความตระหนักรู้ว่า พวกเขา<br />
ควรต้องมีจุดมุ่งหมายหรือมี อย่างใด<br />
อย่างหน่งอย่างไร เพื่อเปนพลังขับเคลื่อน<br />
ความตั้งใจ ความใฝฝนของพวกเขาให้เปน<br />
จริงหรือไม่ก็ใกล้เคียง ่งก็น่าจะดูหรูเปน<br />
ประโยชน์ต่อตนเองไม่ทางใดก็ทางหน่ง<br />
อย่างแน่นอน<br />
ทุกอย่างย่อมเดินไปสู่จุดสุดท้ายของ<br />
ตัวเอง C เหยี่ยวเวหา ที่กาลัง<br />
จะเปนตานานสุดแสนจะคลาสสิกด้าน<br />
เทคนิคและท่วงท่าการบินผาดแผลงที่<br />
พิสดารพันลก ดุจเทพนิยายปกรณัมกรีก<br />
ในยุคอารยธรรมเฮเลนนิสติก (isic<br />
Ciiiai) อนาคตของ C <br />
เหยี่ยวเวหา แห่งฝูงบิน hurirs <br />
วิหคสายา เองก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าใน<br />
ปจจุบัน C ยังเปนที่ไว้วางใจได้และ<br />
ยังยอดเยี่ยมอยู่ แต่เมื่อใดก็ตามในอนาคต<br />
อันใกล้นี้ที่เครื่องบินไอพ่นยุคที่ห้าเข้า<br />
ประจาการอย่างเต็มรูปแบบในกองทัพ<br />
อากาศสหรัฐฯ ่งก็คือ (Lih-<br />
i) เมื่อนั้น hurirs คงต้อง<br />
ถูกทดแทนด้วย (Lihi)<br />
อย่างแน่นอน ความน่าอัศจรรย์ใจก็ย่อม<br />
มากข้นเท่าทวีคูณ ตามความล้าเลิศของ<br />
เทคโนโลยีและการแผนแบบของเครื่องบินรบ<br />
ยุคใหม่อย่าง (Lihi)<br />
: <br />
: <br />
: <br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 37
นะนําาว น้าน<br />
คร งินขนสงทางทหารม<br />
พลเอก ทรงพล พนุพง<br />
กองทัพอากาศมาเลเีย ()<br />
จัดื้อเครื่องบินขนส่งทางทหาร<br />
ขนาดหนักรุ่นใหม่ เอ๔๐๐เอ็ม<br />
() รวม ๔ เครื่อง เมื่อเดือนธันวาคม<br />
พศ๒๕๔๘ เปนเงิน ๒๓๐ ล้านเหรียญ<br />
สหรัฐ ได้ทาพิธีลงนามในสัญญาที่งาน<br />
ลิม่า ๐๕ (L Lakai ra-<br />
ia ariim a rsac<br />
hiii) ที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเีย<br />
เปนโครงการจัดหาเครื่องบินขนส่งทาง<br />
ทหารเพื่ออนาคตกองทัพอากาศมาเลเีย<br />
ได้รับมอบเครื่องบินลาแรกเมื่อเดือน<br />
เครองบินนสงทางทหารนาดหนักบบ เอ ติดตังเครองยนตรวมสีเครอง เนเครองบินนสงทางทหารรุนหมบบหนงองโลก<br />
สามารบรรทุกทหารด ทีนัง<br />
มีนาคม พศ๒๕๕๘ หลังจากที่ได้ลงนาม<br />
ในสัญญานานถง ๑๐ ป ประจาการฝูงบิน<br />
ขนส่งที่ ๒๒ ฐานทัพอากาศูบัง (ua<br />
) รัฐาลังงอร์ทางด้านทิศตะวันตก<br />
ของประเทศ (ด้านช่องแคบมะละกา) ที่<br />
เหลืออีก ๓ เครื่อง คาดว่าจะได้รับมอบ<br />
ครบตามโครงการในป พศ๒๕๐<br />
ปจจุบันกองทัพอากาศมาเลเียมีกาลังพล<br />
รวม ๑๕๐๐๐ นาย เครื่องบินรบรวมทั้ง<br />
สิ้น ๒๙๗ เครื่อง (เครื่องบินขนส่งทาง<br />
ทหารขนาดหนักประกอบด้วย ี<br />
๑๓๐เอชี๑๓๐เอช๓๐ รวม ๑๑ เครื่อง<br />
และ เคี๑๓๐ที รวม ๒ เครื่อง รุ่นเติม<br />
น้ามันทางอากาศของฝูงบินขนส่งที่ ๑๔<br />
ฐานทัพอากาศลาบวนมาเลเียตะวันออก<br />
มีทางวิ่งยาว ๒๗๔๕ เมตร และฝูงบิน<br />
ขนส่งที่ ๒๐ ฐานทัพอากาศูบัง มีทางวิ่ง<br />
ยาว ๓๗๘๐ เมตร) กองทัพอากาศ<br />
มาเลเียมีความจาเปนที่จะต้องประจาการ<br />
ด้วยเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาดหนัก<br />
เพื่อจะทาการบินขนส่งกาลังทหารและ<br />
สัมภาระขนาดใหญ่ในยามวิกฤติไปยัง<br />
มาเลเียตะวันออกที่อยู่ห่างไกลได้อย่าง<br />
รวดเร็ว (ทะเลจีนใต้กั้นขวางอยู่) เหตุผล<br />
38<br />
พเอก รงพ พนุพง
เครองบินนสงทางทหารนาดหนักบบ เอ เอ็ม จะชทางวิงนยาว เมตร ณะลงสูพนชทางวิงยาว เมตร<br />
มีพิสัยบินกล กิโลเมตร บรรทุกหนัก ตัน<br />
ทางด้านความมั่นคงของประเทศ โครงการ<br />
ผลิตเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาดหนัก<br />
เริ่มต้นในป พศ๒๕๒๕ ชื่อเรียกว่า<br />
โครงการเครื่องบินขนส่งทางทหารใน<br />
อนาคต ( uur raia<br />
iiar irir) เปนเครื่องบินขนส่ง<br />
ทางทหารขนาดหนัก (เครื่องยนต์ใบพัด<br />
ชนิดสี่เครื่องยนต์) มีพิสัยบินไกล พันาข้น<br />
เพื่อจะนาเข้าประจาการทดแทนเครื่องบิน<br />
ขนส่งทางทหารรุ่นเก่าแบบ ี๑๐<br />
(C rasa) ชนิดสองเครื่องยนต์<br />
ผลิตร่วมเยอรมนีและฝรั ่งเศส มียอดผลิต<br />
๒๑๔ เครื่อง (ผลิตข้นระหว่างป พศ<br />
๒๕๐๘ ๒๕๒๘) ประจาการ ๔ ประเทศ<br />
และเครื่องบินขนส่งทางทหารแบบ ี๑๓๐<br />
เฮอร์คิวลิส (C rcus) ชนิดสี่<br />
เครื่องยนต์ ผลิตจากประเทศสหรัฐอเมริกา<br />
มียอดผลิต ๒๕๐๐ เครื่อง (ผลิตครั้งแรก<br />
เครองยนต เทอรโบพรอพ นําหนัก กิโลกรัม กําลังนาด รงมา<br />
ละบพัดชนิดดกลีบ<br />
ในป พศ๒๔๙๗) ประจาการ ๘ ประเทศ<br />
และยังใช้ในส่วนของภารกิจทางด้าน<br />
พลเรือนอีก ประเทศ เครื่องบินขนส่ง<br />
ทางทหารทั้งสองแบบที่ได้ประจาการ<br />
มาเปนเวลานานแต่โครงการมีความ<br />
ก้าวหน้าช้าด้วยเหตุผลทางด้านเทคนิค<br />
และทางด้านการเมืองประกอบกับการ<br />
พันาเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาด<br />
หนักของสหรัฐอเมริกา รุ่นใหม่แบบ ี๑๗<br />
(C masr) แต่จะเรียกว่า<br />
เครื่องบินขนส่งทางยุทธศาสตร์เปนเครื่อง<br />
บินขนส่งทางทหารประเภทเดียวกัน แต่<br />
มีขีดความสามารถสูงกว่าโดยใช้ขับเคลื่อน<br />
ด้วยเครื่องยนต์ไอพ่น (รวม ๔ เครื ่อง)<br />
เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พศ๒๕๕๓<br />
ประเทศยุโรปรวม ๗ ประเทศ มีความ<br />
ต้องการเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาด<br />
หนัก เอ๔๐๐เอ็ม () รวม ๑๘๐<br />
เครื่อง (ต่อมาได้ปรับลดลงเหลือความ<br />
ต้องการ ๑๗๐ เครื่อง)<br />
เครื่องบินขนส่งทางทหารรุ่นใหม่<br />
แบบ เอ๔๐๐เอ็ม () เครื่องบิน<br />
ต้นแบบทาการข้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๑<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 39
เครองบินนสงทางทหารนาดหญ เอเอ็ม กองทัพอากามาเลเียณะทําการบินรวมกับเครองบินกโจมตีันกาวหนา<br />
บบ อรค จากูงบินโจมตีที <br />
ธันวาคม พศ๒๕๕๒ ข้อมูลที่สาคัญ เจ้า<br />
หน้าที่ประจาเครื่อง ๓ นาย บรรทุกทหาร<br />
๑๑ ที่นั่ง ขนาดยาว ๔๕๑ เมตร สูง<br />
๑๔๗ เมตร ช่วงปกยาว ๔๒๔ เมตร<br />
พื้นที่ปก ๒๒๕๑ ตารางเมตร น้าหนักบิน<br />
ข้นสูงสุด ๑๔๑๐๐๐ กิโลกรัม (๓๑๐๘๕๒<br />
ปอนด์) ความจุเชื้อเพลิง ๕๐๕๐๐<br />
กิโลกรัม เครื่องยนต์เทอร์โบพร็อพ<br />
() ขนาด ๑๑๐๐๐ แรงม้า (รวม<br />
๔ เครื่อง) ใบพัดชนิดแปดกลีบความเร็ว<br />
๗๘๑ กิโลเมตรต่อชั่วโมงพิสัยบินไกล<br />
๔๕๐๐ กิโลเมตร (น้าหนักบรรทุก<br />
๓๐๐๐๐ กิโลกรัม) เพดานบินสูง ๑๒๒๐๐<br />
เมตร (๔๐๐๒ ุต) ใช้ทางวิ่งลงยาว<br />
๗๗๐ เมตร และใช้ทางวิ่งบินข้นยาว ๙๘๐<br />
เมตร เครื่องบินต้นแบบได้ทาการทดสอบ<br />
การบินตามมาตรฐานเดือนกรกาคม<br />
พศ๒๕๕๓ ทาการบินทดสอบกว่า ๑๐๐<br />
เที่ยวบิน มีชั่วโมงบิน ๔๐๐ ชั่วโมง วันที่ ๒๘<br />
ตุลาคม พศ๒๕๕๓ ทาการทดสอบการ<br />
บินโดยรับการเติมน้ามันทางอากาศเดือน<br />
พฤศจิกายน พศ๒๕๕๓ ได้ทดสอบ<br />
เครองบินนสงทางทหารนาดหนักบบ เอเอ็ม กองทัพอากามาเลเียดรับมอบ<br />
เาระจําการลว เครอง ยังคงเหลออีก เครอง ูงบินที านทัพอากูบัง รัสลังงอร<br />
ทางดานตะวันตกองระเท ทางดานชองคบมะละกา<br />
ภารกิจการกระโดดร่มและเดือนธันวาคม<br />
พศ๒๕๕๓ ทาการบินทดสอบเพิ่มข้นเปน<br />
๙๕ ชั่วโมง ยังคงทาการทดสอบขีดความ<br />
สามารถทางการบินในหลายสภาพอากาศ<br />
โดยในเขตหนาวที่เมืองคิรูน่า (irua)<br />
ทางตอนเหนือสุดของประเทศสวีเดน<br />
ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ พศ๒๕๕๔ เมื่อ<br />
ถงเดือนธันวาคม พศ๒๕๕๔ ทาการบิน<br />
ได้ ๗๘๔ เที่ยวบิน รวมกว่า ๒๓๘๐ ชั่วโมง<br />
ต่อมาทาการทดสอบการบินในสภาพพื้นที่<br />
สูงที่กรุงลาปา ประเทศโบลิเวีย (ที่ความ<br />
สูง ๔๐๑ เมตร จากระดับน้าทะเล) ได้<br />
ทาการผลิตเครื่องบินลาแรกของสายการ<br />
ผลิตเพื่อส่งให้ประเทศที่สั่งื้อคือกองทัพ<br />
อากาศฝรั่งเศส () รับมอบเข้าประจา<br />
การอย่างเปนทางการเมื่อวันที่ ๓๐<br />
กันยายน พศ๒๕๕ เครื่องบินขนส่งทาง<br />
ทหารขนาดหนักแบบ เอ๔๐๐เอ็ม<br />
() นาเข้าประจาการในกองทัพ<br />
อากาศในป พศ๒๕๕ ประกอบด้วย<br />
กองทัพอากาศฝรั่งเศส ๙ เครื่อง (จัดหา<br />
๕๐ เครื่อง เปนเงิน ๑๑๗ พันล้านเหรียญ<br />
40 พเอก รงพ พนุพง
ภาพทางดานหลังองเครองบินนสงทางทหารนาดหนักบบ เอเอ็ม สามารจะนสง<br />
เาหมายดกล พนทีหองสัมภาระนาดยาว เมตร<br />
ยานยนตทางทหารยังพนที<br />
กวาง เมตร ละสูง เมตร<br />
สหรัฐ) กองทัพอากาศอังกฤษ ๘ เครื่อง<br />
(จัดหา ๒๒ เครื่อง) กองทัพอากาศเยอรมนี<br />
๓ เครื่อง (จัดหา ๕๓ เครื่อง) และกองทัพ<br />
อากาศตุรกี ๓ เครื่อง (จัดหา ๑๐ เครื่อง)<br />
และยังมีอีกหลายประเทศในยุโรปที่รอการ<br />
รับมอบในอนาคต<br />
เครื่องบินขนส่งทางทหารขนาดหนัก<br />
แบบ เอ๔๐๐เอ็ม () มีการผลิตรุ่น<br />
รวม ๒ รุ่น ประกอบด้วย รุ่น ี๒๙๕เอ็ม<br />
( ri) ได้ผลิตรุ่นต้นแบบ ๕<br />
เครื่อง ต่อมาได้ยกเลิกโครงการและรุ่น<br />
เอ๔๐๐เอ็ม๑๘๐ ( as)<br />
ผลิตจากบริษัทแอร์บัสกองทัพอากาศ<br />
ฝรั่งเศสนาเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาด<br />
หนักแบบ เอ๔๐๐เอ็ม () ปิบัติ<br />
การทางทหารในภารกิจขนส่งไปยังประเทศ<br />
มาลี ทวีปแอริกาตะวันตกเมื่อวันที่ ๒๙<br />
ธันวาคม พศ๒๕๕ เพื่อจะสนับสนุน<br />
ยุทธการเอร์วัล (rai ra)<br />
กองทัพฝรั่งเศสส่งทหารเข้าร่วมปิบัติการ<br />
๕๑๐๐ นาย จัดกาลังดาเนินกลยุทธ์รวม<br />
๑ กองพันทหารราบเพาะกิจ (จัดมาจาก<br />
หลายหน่วย) ร่วมกับกองกาลังนานาชาติ<br />
รวม ๗ ประเทศ (ให้การสนับสนุนอีก<br />
๑๑ ประเทศ) เปนปิบัติการทางทหาร<br />
ขนาดใหญ่นานระหว่างวันที่ ๑๑ มกราคม<br />
พศ๒๕๕ วันที่ ๑๕ กรกาคม<br />
พศ๒๕๕๗<br />
เครองบินนสงทางทหารนาดหนักบบ เอเอ็ม เครองรกองกองทัพอากามาเลเีย<br />
ทําการนบินครังรกเมอวันที มกราคม พ ทําการบินนาน ชัวโมง กับอีก<br />
นาที ทีระเทสเน<br />
ภาพกรากทีตังานทัพอากามาเลเีย เครองบินนสงทางทหารบบ เอเอ็ม ูงบินที านทัพอากาูบัง <br />
ละานทัพอากาทางดานมาเลเียตะวันออก<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 41
ปิดประสทคโนโลย<br />
ปงกันประท<br />
ระมหากัริย้ทรงวางรากาน<br />
สาหกรรมปงกันประทขงทย<br />
สาบันเทคโนโลยีองกันระเท องคการมหาชน<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเปน<br />
พระมหากษัตริย์ผู้ทรงทุ่มเท<br />
พระวรกายและพระทัยในการปกครอง<br />
และพันาชาติบ้านเมือง เพื่อประโยชน์<br />
สุขของปวงอาณาประชาราษร์ ทรงเปน<br />
กษัตริย์นักพันาอย่างแท้จริง ทรงอุทิศ<br />
กาลังพระวรกายและกาลังพระสติปญญา<br />
ปิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ๑<br />
ตลอดช่วงเวลาแห่งการทรงครองสิริราช<br />
สมบัติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา<br />
ภูมิพลอดุลยเดชทรงเปยมไปด้วยพระทัย<br />
ที่มุ่งมั่นในการที่จะทาให้ประเทศไทยมี<br />
ความเข้มแข็ง เจริญก้าวหน้า ได้อย่าง<br />
ยั่งยืน ด้วยการพ่งพาตนเอง<br />
การพ่งพาตนเองตามหลักการทรง<br />
๑<br />
http://www.sportringside.com/contents/8728/<br />
๒<br />
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6/sri09/html/project2.htm<br />
งานในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา<br />
ภูมิพลอดุลยเดช หมายถง ความสามารถ<br />
ในการดารงตนอยู่ได้อย่างอิสระมั่นคง<br />
สมบูรณ์ ่งการพ ่งตนเองได้นั้น มีทั้งใน<br />
ระดับบุคคล และชุมชน การพ่งตนเอง<br />
ต้องสามารถผันเปลี่ยนไปตามกาลเวลาได้<br />
เพื่อให้เกิดความเหมาะสมสอดคล้อง และ<br />
สมดุล ๒ จงทรงพระราชทานหลักการ<br />
42 สันเโนโีองกันรเ องกรหน
อันเปนแก่นแท้ สายพระเนตรอันยาวไกล<br />
และก้าวล้านาหน้ากาลเวลา ที่สามารถ<br />
นาไปขยายผลเพื่อใช้ในการพันาประเทศ<br />
อย่างมีประสิทธิภาพในทุกยุคทุกสมัย<br />
พระราชปณิธานดานการพึ่งพาตนเอง<br />
พระราชปณิธานด้านการพ่งพาตนเอง<br />
ได้ถูกจารกไว้ในประวัติศาสตร์ของไทย<br />
หากย้อนกลับไปในครั้งที่พระองค์เสด็จ<br />
พระราชดาเนินเยือนสหรัฐอเมริกาในสมัย<br />
ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ่งในโอกาส<br />
เดียวกันนั้น สภาคองเกรสของ<br />
สหรัฐอเมริกาได้กราบบังคมทูลเชิญให้ทรง<br />
มีพระราชดารัสแก่สภาคองเกรส เมื่อวันที่<br />
๒๙ มิถุนายน พศ๒๕๐๓ จงทรงมีพระ<br />
ราชดารัสถงการพ่งพาตนเอง มีใจความ<br />
ตอนหน่ง ดังนี้<br />
อเสียเรียบอหนงองระเท<br />
นภูมิภาคนีก็คอ การาดคลนเงินทุน<br />
ละความรูทางเทคนิค ละนระเด็น<br />
นีเองทีสหรั ดกรุณายนมอเามา<br />
ชวยเหลอ นทีนีาพเจาควรจะกลาว<br />
อางงอตกลงความรวมมอทางเทคนิค<br />
ละเรกิจระหวางรับาลองทังสอง<br />
ระเทงนอารัมภบทดระบุวาเสรีภาพ<br />
ละอิสรภาพโดยหลักลวนอยูกับสภาพ<br />
ทางเรกิจทีเม็ง ละยังกลาวอีก<br />
ดวยวา สภาคองเกรสองสหรัอเมริกา<br />
อาัยอํา นาจนิติบัญญัติอนุญาต<br />
สหรัอเมริกานการหความชวยเหลอ<br />
เพอหรับาลทยบรรลุความมุงหมายดวย<br />
ความพากเพียรองตนเอง นอารัมภบทนัน<br />
มีหลักการอยูระการหนงทีจําเนตอง<br />
เนนหนักนันคอ การชวยเหลออง<br />
สหรัอเมริกาเนการชวยหทยดบรรลุ<br />
ความมุงหมายดวยความพากเพียรอง<br />
ตนเอง าพเจาเห็นวามจําเนตองกลาว<br />
วาหลักการอันนีเนสิงทีเราเห็นดวยอยาง<br />
จริงจัง ความจริงพระพุทโอวาทอง<br />
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทเจาองเรามีอยู<br />
ลว ตนนันหละเนทีพงองตน เราอ<br />
อบคุณนความชวยเหลอองอเมริกา<br />
ตเรายังตังจววาวันหนงางหนาเราจะ<br />
ทํากันเองดโดยมพงความชวยเหลอนี<br />
ภายหลังจากที่พระองค์เสด็จ<br />
พระราชดาเนินเยือนสหรัฐอเมริกาแล้ว<br />
พระองค์ได้เสด็จพระราชดาเนินต่อไปยัง<br />
สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่<br />
๒๕ กรกาคม ๒ สิงหาคม พศ๒๕๐๓<br />
ในโอกาสนั้น ได้ทรงทอดพระเนตรกิจการ<br />
การต่อเรือยนต์รักษาฝงของกองทัพเรือ<br />
เยอรมนี จงทรงมีพระราชดาริว่า กองทัพ<br />
เรอนาจะตอเรอยนตเร็วรักางเชนนีด<br />
เพอทีจะหเกิดความชํานาญงานละรูจัก<br />
ชเทคนิคตาง อันจะเนการระหยัด<br />
มากกวาการจัดหาจากตางระเท<br />
กองทัพเรือโดยกรมอู่ทหารเรือจงรับ<br />
สนองพระราชดาริโดยการต่อเรือในชุดเรือ<br />
ต๙๑ ข้น ่งในระหว่างการดาเนินการนั้น<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดชทรงพระราชทานคาแนะนา<br />
ตลอดจนแก้ปญหาต่าง รวมถงทรงเปน<br />
ธุระติดต่อกับสถาบันวิจัยและทดลองแบบ<br />
เรือแห่งชาติของประเทศอังกฤษ ให้ทาการ<br />
ทดสอบแบบของเรือ ต๙๑ ให้ จนกองทัพ<br />
เรือไทยได้รับมอบเรือชุดเรือ ต๙๑ เข้ามา<br />
ใช้ในราชการ และมีการดาเนินการต่อเรือ<br />
ในชุดเดียวกันนี้อีกกว่าสิบลาในเวลาต่อมา<br />
พระราชดาริของพระองค์จาก<br />
เหตุการณ์ทั้งสองครั้ง แสดงให้เห็นถงพระ<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 43
ราชปณิธานด้านการพ่งพาตนเอง โดยที่ไม่<br />
ต้องพ่งพิงหรืออาศัยการสนับสนุนจากต่าง<br />
ประเทศ ตลอดจนทรงเล็งเห็นถงความ<br />
สาคัญในการพันาขีดความสามารถของ<br />
ประเทศให้ก้าวทันกับโลก การพันา<br />
บุคลากร การใช้ศักยภาพและทรัพยากร<br />
ภายในประเทศเพื ่อพันายุทโธปกรณ์<br />
อันเปนการประหยัดงบประมาณ พระองค์<br />
ทรงมีพระวิสัยทัศน์ล้าหน้าเหนือกาลเวลา ๓<br />
เนื่องจากในปจจุบันการพ่งพาตนเองด้าน<br />
เทคโนโลยีปองกันประเทศถือเปนหลัก<br />
ประกันในความมั่นคงด้านการทหาร เช่น<br />
การที่กองทัพมีการส่งกาลังบารุงประเภท<br />
กระสุนและวัตถุระเบิด ตลอดจน<br />
ยุทโธปกรณ์ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้อง<br />
พ่งพาปจจัยภายนอกจนบรรลุภารกิจ ถือ<br />
เปนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของ<br />
ประเทศ เพราะในยามสงคราม การอาศัย<br />
ต่างประเทศในการสนับสนุนยุทโธปกรณ์<br />
อาจก่อให้เกิดข้อเสียเปรียบต่อการดาเนิน<br />
กลยุทธ์ การนาเข้าส่งผลให้ยุทโธปกรณ์<br />
บางรายการมีมูลค่าที่สูงข ้น เนื่องจากมี<br />
ปจจัยเสี่ยงในเรื่องของเส้นทางการลาเลียง<br />
และระยะเวลาที่ใช้ นอกจากนี้ ยังมีปจจัย<br />
เสี่ยงในเรื่องของการถูกคว่าบาตรด้าน<br />
ยุทโธปกรณ์ ทาให้ไม่สามารถนาเข้า<br />
ยุทโธปกรณ์จากประเทศที่อยู่ภายใต้สนธิ<br />
สัญญาหรือข้อตกลงได้<br />
“พระบิดาแห่งการวิจัย”<br />
นอกจากพระองค์จะทรง<br />
พระราชทานแนวทางด้านการพ่งพา<br />
ตนเองแล้ว พระองค์ยังทรงได้รับการถวาย<br />
พระเกียรติเปน พระบิดาแห่งการ<br />
ประดิษฐ์โลก จากสมาพันธ์นักประดิษฐ์<br />
นานาชาติ (raia rai<br />
rs ssciais ()) และ<br />
สมาคมส่งเสริมการประดิษฐ์เกาหลีใต้<br />
(ra i rmi ss<br />
ciai ()) ่งได้กราบบังคมทูลถวาย<br />
พระราชสมัญญานามในงานวันนัก<br />
ประดิษฐ์โลก เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พศ<br />
๒๕๕๑ นอกจากนี้พระองค์ทรงเปน พระ<br />
บิดาแห่งการวิจัย อันเนื่องมาจากความ<br />
สามารถด้านการวิจัยของพระองค์ ที่เปน<br />
ที่ประจักษ์ทั้งในและต่างประเทศ มีผลงาน<br />
วิจัยจานวนมากที่ได้พระราชทานแนวพระ<br />
ราชดาริ และโครงการอันเนื่องมาจากพระ<br />
ราชดาริต่าง ๔ จนได้รับการถวายสิทธิบัตร<br />
ทั้งจากหน่วยงานด้านทรัพย์สินทางปญญา<br />
ในประเทศไทยและทั่วโลก เช่น โครงการ<br />
ฝนหลวง ที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของ<br />
ปวงประชาจากภัยแล้ง ถือเปนพระมหา<br />
กษัตริย์พระองค์เดียวของโลกที่ทรงได้รับ<br />
การถวายสิทธิบัตรกว่าสิบรายการ<br />
นอกจากนี้ ยังทรงมีพระอัจริยภาพและมี<br />
ความสนพระราชหฤทัย โดยหากอ้างถง<br />
พลตารวจเอก วสิษฐ์ เดชกุญชร ่งตีพิมพ์<br />
ในหนังสือมติชนที่ว่า<br />
๓<br />
hmaarchaiisass<br />
๔<br />
hเรารักพระเจ้าอยู่หัวcmcihacarica<br />
44 สันเโนโีองกันรเ องกรหน
พระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราช<br />
หฤทัยในส่วนประกอบและการทางานของ<br />
ปน ถงกับได้ทรงผ่าปนชนิดนั้นออก<br />
เพื่อทรงศกษากลไกและส่วนประกอบของ<br />
ปน ต่อมาในไม่ช้า ก็ทรงสามารถประกอบ<br />
อาวุธปนชนิดนั้นได้ด้วยพระองค์เอง เวลา<br />
เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมหน่วยทหารหน่วย<br />
ตารวจและมีผู้ถวายรายงานว่าปนชนิดนั้น<br />
ชารุดและไม่สามารถจะ่อมแมได้เพราะ<br />
ขาดเครื่องอะไหล่และขาดช่างก็ทรง<br />
พระกรุณารับปนเหล่านั้นไป และทรง่อม<br />
ด้วยพระหัตถ์ โดยทรงใช้ส่วนที่ยังใช้การ<br />
ได้ดีอยู่ของปนกระบอกหน่งไป่อมส่วน<br />
ที่ชารุดเสียหายของปนกระบอกหน่ง ด้วย<br />
วิธีนี้ปนที่เสียหลายกระบอกจงกลายเปน<br />
ปนที่กลับดีข้นมาอีก<br />
จากที่กล่าวมาแล้วนั้น แสดงให้เห็น<br />
ถงแนวทางหน่งในการพ่งพาตนเองและ<br />
การพันาการปรับปรุงยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่<br />
เพื่อให้คืนสภาพกลับคืนหรือมีขีดความ<br />
สามารถที่ดีข้นกว่าเดิม ่งกระทรวง<br />
กลาโหมได้น้อมนาพระราชดาริด้านการ<br />
พ่งพาตนเองมาปิบัติตลอดมาโดยได้จัด<br />
ตั้งสถาบันเทคโนโลยีปองกันประเทศ<br />
องค์การมหาชนแห่งแรกของกระทรวง<br />
กลาโหมที่มีวัตถุประสงค์เพื ่อดาเนิน<br />
โครงการวิจัยขนาดใหญ่ด้านยุทโธปกรณ์ที่<br />
ต้องใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง<br />
ถือเปนการพันาระบบงานวิทยาศาสตร์<br />
และเทคโนโลยีปองกันประเทศครั้งสาคัญ<br />
ที่จะนาไปสู่ความสามารถในการพ่งพา<br />
ตนเองด้านยุทโธปกรณ์ได้อย่างต่อเนื่อง<br />
และยั่งยืน<br />
โดยเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม พศ<br />
๒๕๕๑ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระบรม<br />
ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า<br />
โดยที่เปนการสมควรจัดตั ้งสถาบัน<br />
เทคโนโลยีปองกันประเทศข้นเปนองค์การ<br />
มหาชน ตามกหมายว่าด้วยองค์การ<br />
มหาชน อาศัยอานาจตามความในมาตรา<br />
๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร<br />
ไทย และมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ<br />
องค์การมหาชน พศ๒๕๕๒ จงทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราช<br />
กฤษีกาข้นไว้ โดยได้กาหนดความหมาย<br />
ของ เทคโนโลยีปองกันประเทศ ไว้ว่า<br />
วิทยาการในการนาองค์ความรู้ด้าน<br />
วิทยาศาสตร์ที่มีอยู่หลากหลายแขนงมา<br />
ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการปองกัน<br />
ประเทศและด้านการทหารอื่น รวมถง<br />
การประยุกต์ใช้ประโยชน์แก่ประเทศเปน<br />
ส่วนรวม<br />
ปจจุบัน สถาบันเทคโนโลยีปองกัน<br />
ประเทศมีผลการดาเนินโครงการวิจัยและ<br />
พันาต้นแบบยุทโธปกรณ์ที่ตอบสนอง<br />
ความต้องการใช้งานของกองทัพ อาทิ<br />
จรวดหลายลากล้อง กระสุนปนใหญ่<br />
อัตโนมัติขนาด ๓๐ มิลลิเมตร รถยาน<br />
เกราะล้อยางและอากาศยานไร้คนขับ<br />
เปนต้น ่งเปนต้นแบบยุทโธปกรณ์ที่<br />
รองรับด้วยระบบการส่งกาลังบารุงแบบ<br />
รวมการณ์ (ra Lisics u<br />
r L) และมียุทโธปกรณ์หลายชนิด<br />
ที่เข้าประจาการในหน่วยผู้ใช้หลายหน่วย<br />
งานแล้ว นอกจากนี้ สถาบันเทคโนโลยี<br />
ปองกันประเทศยังได้วางโครงสร้างทาง<br />
ด้านอุตสาหกรรมปองกันประเทศ เพื่อเปน<br />
ฐานแห่งการพ่งพาตนเองด้านยุทโธปกรณ์<br />
ในรายการที่สาคัญต่อยุทธศาสตร์ของ<br />
กระทรวงกลาโหม ยกระดับความพร้อม<br />
ของกองทัพให้สูงข้น ่งจะทาให้การทา<br />
หน้าที่เปนรั้วปกปองอธิปไตยและผล<br />
ประโยชน์ของชาติได้อย่างยั่งยืนนอกเหนือ<br />
จากการวิจัยและพันาเทคโนโลยีปองกัน<br />
ประเทศแล้ว สถาบันเทคโนโลยีปองกัน<br />
ประเทศ (องค์การมหาชน) กระทรวง<br />
กลาโหม ยังได้มีความร่วมมือกับกรม<br />
ฝนหลวงและการบินเกษตร พันาการ<br />
ประยุกต์ใช้จรวดในการดัดแปรสภาพ<br />
อากาศ บนพื้นฐานเทคโนโลยีฝนหลวง<br />
ที่พระองค์ทรงประดิษฐ์คิดค้น ด้วยพระ<br />
อัจริยภาพและพระปรีชาสามารถ เพื่อ<br />
สนับสนุนกรมฝนหลวงและการบินเกษตร<br />
ในการปิบัติราชการสนองแนวพระ<br />
ราชดาริในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร<br />
ทั่วประเทศไทยมีความเปนอยู่ที่ดีข้น<br />
ดวยสํานกนพระมหากรุณาิคุณ<br />
อยางหาทีสุดมิดสาบันเทคโนโลยี<br />
องกันระเทอวายความอาลัย ดวย<br />
การนอมนํานวพระราชดําริอันเยมลน<br />
คุณูการมาสูการิบัติงานององคกร<br />
ละจะสบสานพระราชณิานดานการ<br />
พงพาตนเองเพอเนรากานหง<br />
อุตสาหกรรมองกันระเทองทย<br />
โดยจะมุงมันดําเนินการวิจัยละพันา<br />
เทคโนโลยีองกันระเท ผานการบูรณาการ<br />
ทรัพยากรละองคความรูจากหนวยงาน<br />
นสังกัดกระทรวงกลาโหม หนวยงาน<br />
ภาครั ภาคเอกชนละสาบันการกา<br />
พันาเครอายความรวมมอทีเม็ง<br />
เพอหระเททยสามารพงพาตนเอง<br />
ดานยุทโกรณดอยางสมบูรณละ<br />
สบ สมดังนวพระราชดําริทีทรง<br />
พระราชทานสบ<br />
วงาพระพุทเจา<br />
ผูบริหาร เจาหนาที ละลูกจาง<br />
สาบันเทคโนโลยีองกันระเท<br />
องคการมหาชน กระทรวงกลาโหม<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 45
ราชวงลงาปล ยนนดินหม<br />
พ<br />
พลเอก ทรงพล พนุพง<br />
ระเจ้าอลองพญา (auaa) ข้นครองราชสมบัติเมื่อป พศ๒๒๙๕ อาณาจักรพม่าในยุคที่สองได้ล่มสลายลง<br />
พระองค์สามารถรวบรวมเมืองต่าง ตามแนวแม่น้าอิรวดี จนถงเมืองปากแม่น้า่งเคยเปนเมืองของอาณาจักรมอญ<br />
ในอดีต ระยะเวลา ๘ ป พระองค์สร้างให้อาณาจักรพม่ามีดินแดนขนาดใหญ่อีกครั้งหน ่ง เมื่อพระเจ้าอลองพญา<br />
(auaa) สวรรคตลงในป พศ๒๓๐๓ อาณาจักรพม่าในยุคที่สามมีอาณาเขตขนาดใหญ่และรวมเปนหน่งเดียวอีกครั้ง<br />
หน่งบทความนี้ กล่าวถงราชวงศ์อลองพญา (auaa as) หรือราชวงศ์คองบอง (au as)<br />
เมื่อเปลี่ยนแผ่นดินใหม่<br />
<br />
เสนทางเดินทัพองกองทัพพมาทีเาตีกรุงรีอยุยา ดเาสูชานกรุงรีอยุยา<br />
เมอวันที เมายน พ<br />
กลาวทั วป<br />
อยุธยาก็แตก กองทัพใหญ่พม่าเคลื่อนพล<br />
กองทัพหน้าของพม่าได้เคลื่อนพลรุก เข้าประชิดถงชานกรุงศรีอยุธยา ตั้งค่าย<br />
สู่กรุงศรีอยุธยาได้ปะทะกับกองทัพอยุธยา หลวงที่บ้านกุ่ม (ตอนเหนือของกรุง<br />
ที่ตั้งค่ายสกัดอยู่ที่ลาน้าจักราช ทุ่งนา ศรีอยุธยา) กองทัพหน้าของพม่าตั้งค่ายอยู่<br />
ตาลาน แต่ไม่สามารถที่จะหักเข้าตีได้ต้อง ที่ทุ่งโพธิ์สามต้น เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน<br />
สูญเสียกาลังพลไปมาก เมื่อกองทัพใหญ่ที่ พศ๒๓๐๓<br />
มีกาลังพลมากกว่าเข้าตี ในที่สุดกองทัพ<br />
กงทัมารกสกรงรยยา <br />
การรบระหว่างกองทัพกรุงศรีอยุธยา<br />
กับกองทัพพม่าที่นากองทัพโดยพระเจ้า<br />
อลองพญา จะเรียกว่าสงครามครั้งที่ ๒๒<br />
คราวพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยา พศ๒๓๐๓<br />
ต่อมากองทัพพม่าได้ถอนตัวไปทางเมือง<br />
เหนือ เมื่อเดือน ข้น ๒ ค่า ใช้เส้นทาง<br />
ถอยทัพไปทางด่านแม่ละเมา กองทัพที่<br />
คอยระวังหลังจากการโจมตีของกองทัพ<br />
อยุธยา นาโดยแม่ทัพจากกองทัพหน้า<br />
คือแม่ทัพมัง้องนรธา (ikhau araha)<br />
มีกาลังทหาร ๕๐๐ นาย (เปน<br />
ทหารราบ ๐๐๐ นาย พร้อมด้วยปน<br />
คาบศิลาและกองทหารม้า ๕๐๐ ม้า) กาลัง<br />
ทหารอยุธยาได้ติดตามกองทัพพม่าขณะ<br />
ถอนตัว แต่มีการต่อสู้ไม่มากนัก<br />
พระเจ้าอลองพญา (uaaa)<br />
ได้สิ้นพระชนม์ในกลางทางขณะเข้าสู่<br />
เขตแดนพม่าใกล้กับเมืองสะเทิม (ผลจาก<br />
ปนใหญ่พม่าแตกถูกพระองค์ ขณะที่ทรง<br />
บัญชาการรบอยู่ แต่ประวัติศาสตร์ทาง<br />
ด้านพม่ากล่าวว่าพระองค์ทรงประชวรด้วย<br />
โรคบิด) ่งตรงกับวันที่ ๑๑ พฤษภาคม<br />
พศ๒๓๐๓ มีพระชนมายุได้ ๔๕ พรรษา<br />
อยู่ในราชสมบัตินาน ๘ ป ข่าวการสวรรคต<br />
ของพระองค์ได้เก็บไว้เปนความลับเปน<br />
เวลานาน ๒ สัปดาห์ ต่อมาได้ส่งข่าวสาร<br />
ทูลให้พระราชโอรสองค์โตทราบที่หมู่บ้าน<br />
ชะเวโป<br />
46 พเอก รงพ พนุพง
อมเพชร สรางดวยอิสลับิลาลง มีนหญระจําอม สรางนนสมัยพระมหาจักรพรรดิ กัตริยลําดับที องกันากทีจะมาทางนํา<br />
พระเจาอลองพญา มกัตริย<br />
หงราชวงอลองพญา อาณาจักรพมานยุค<br />
ทีสาม ครองราชยระหวาง พ <br />
นาน พระองคมีความสูง ุต นิว<br />
ก่อนที่พระเจ้าอลองพญา จะทา<br />
สงครามกับอาณาจักรอยุธยาพระองค์ได้ส่ง<br />
พระราชสาส์นถงพระเจ้าจอร์จที ่ ๒ แห่ง<br />
บริเตนใหญ่ แจ้งเหตุสงครามครั้งนี้<br />
ราชวงสลงาปล ยน<br />
นดินหม<br />
พระเจ้าอลองพญา มีพระราชโอรส<br />
รวม พระองค์ ที่สาคัญคือ เจ้าชาย<br />
มังลอก ประสูติเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พศ<br />
๒๒๗๗ ที่มุตโโบ (ks) พระราช<br />
มารดา พระนางยุนาน พระราชโอรส<br />
องค์โต เจ้าชายมังระ ประสูติเมื่อวันที่ ๑๒<br />
กันยายน พศ๒๒๗๙ ที่มุตโโบ พระราช<br />
มารดา พระนางยุนาน พระราชโอรสองค์<br />
ที่ ๒ และเจ้าชายปดุง ประสูติเมื่อวันที่ ๑๑<br />
มีนาคม พศ๒๒๘๘ ที่มุตโโบ พระราช<br />
มารดา พระนางยุนาน พระราชโอรส<br />
ลาดับที่ ๕<br />
พระราชโอรสองค์โตคือเจ้าชาย<br />
มังลอก (auai) ขณะดารง<br />
ตาแหน่งอุปราชวังหน้า ข้นครองราชย์ทรง<br />
พระนามว่าพระเจ้ามังลอกหรือพระเจ้า<br />
นองดอว์คยี (auai) เมื่อวันที่ ๑๑<br />
พฤษภาคม พศ๒๓๐๓ ขณะมีพระชนมายุ<br />
ได้ ๒ พรรษา เวลาต่อมาจะมีความ<br />
วุ่นวายเกิดข้นเพื่อที่จะแย่งชิงราชสมบัติ<br />
แต่พระเจ้ามังลอก (auai) ก็ทรง<br />
ปราบปรามได้สาเร็จ<br />
ทสรป<br />
พระเจ้าอลองพญา (uaaa)<br />
ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญา ทรง<br />
ขยายอาณาจักรให้มีดินแดนขนาดใหญ่ใกล้<br />
เคียงกับยุคที่อาณาจักรพม่ารุ่งเรืองในอดีต<br />
พระราชโอรสองค์โตได้ข้นครองราช<br />
สมบัติต่อมา แต่อาณาจักรพม่าในยุคที่<br />
สาม ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะเข้าครอบ<br />
ครองอาณาจักรอยุธยาอีกครั้งหน่ง เพื่อจะ<br />
ให้มีความยิ่งใหญ่เทียบได้กับอาณาจักร<br />
พม่าในยุคที่สอง ยุคที่ก้าวข้นสู่อานาจ<br />
สูงสุด เปนมหาอานาจทางทหารแห่ง<br />
อุษาคเนย์<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />
47
ระระิกัดป าหมายด้วยลร<br />
(Laser Target Locator)<br />
พลเรอตรี ดรสหพง เครอเพ็ชร<br />
ผูอํานวยการูนยวิจัยละพันาการทหาร<br />
กรมวิทยาาสตรละเทคโนโลยีกลาโหม<br />
ก<br />
สงครามสมัยใหม่ที่เกิดข้นในช่วง<br />
เวลาไม่กี่สิบปที่ผ่านมา ไม่ว่าจะ<br />
เปนสงครามอ่าวเปอร์เีย หรือสงคราม<br />
ต่อต้านการก่อการร้ายในอักานิสถาน จะ<br />
เห็นได้ว่ามีการนาเอาระบบอาวุธที่ใช้<br />
เทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ในสงครามโดยเปน<br />
อาวุธที่ทรงอานุภาพ มีความแม่นยา มี<br />
อานาจการทาลายล้างสูงและสามารถ<br />
ควบคุมให้เกิดความเสียหายในวงที่จากัด<br />
ถือเปนการเปลี่ยนรูปแบบของอาวุธสมัย<br />
ใหม่ เบื้องหลังการใช้งานอาวุธเหล่านี้<br />
กลองระบุพิกัดเาหมายเลเอรองูนยวิจัยละพันาการทหาร<br />
ในการโจมตีเปาหมายได้อย่างแม่นยานั้น<br />
ข้นอยู่กับระบบการค้นหาเปาหมาย และ<br />
การกาหนดพิกัดที่ตั้งของเปาหมายที่มี<br />
ประสิทธิภาพ ่งระบบที่ใช้ในการหาพิกัด<br />
ที่ตั้งเปาหมายข้าศก คือ ระบบระบุพิกัด<br />
เปาหมายด้วยเลเอร์ (Lasr ar<br />
Lcar)<br />
การระบุพิกัดที่ตั้งของเปาหมายได้มี<br />
การพันามาอย่างต่อเนื่องตามเทคโนโลยี<br />
ที่พันาในยุคแรก ใช้เข็มทิศแม่เหล็ก<br />
และแผนที่ในการหาพิกัด โดยอาศัยการ<br />
คานวณจากมุมทิศที่ได้จากการวัดด้วย<br />
เข็มทิศแม่เหล็ก เปรียบเทียบกับแผนที่และ<br />
ภูมิประเทศจริง ่งมีความผิดพลาดสูงต้อง<br />
ใช้ความชานาญและสัญชาตญาณของ<br />
ผู้ปิบัติการ รวมถงใช้เวลามากในการ<br />
ระบุพิกัด<br />
ต่อมาเทคโนโลยีทางด้านการวัดหรือ<br />
เ็นเอร์ ได้มีการพันาอย่างรวดเร็วและ<br />
ได้ถูกนามาประยุกต์ใช้งานในการหาพิกัด<br />
เปาหมาย เช่น ระบบวัดระยะทางเลเอร์<br />
ที่ใช้แสงเลเอร์ในการวัดระยะทาง<br />
สามารถวัดระยะไกลเปนสิบ กิโลเมตร<br />
และมีความแม่นยาสูงมาก อุปกรณ์ระบุ<br />
พิกัดตนเองด้วยดาวเทียมหรือจีพีเอส<br />
() ที่สามารถบอกตาแหน่งตนเองที่ใด<br />
ในโลกก็ได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที เข็มทิศ<br />
แม่เหล็กดิจิทัลที่มีขนาดเล็กลงแต่ความ<br />
สามารถสูงข้น สามารถวัดได้ทั้งมุมหัน<br />
มุมกระดก และมุมเอียง ด้วยความรวดเร็ว<br />
ทาให้มีความสะดวกในการหาพิกัดได้<br />
ข้นมาอีกระดับหน่ง<br />
48<br />
พเรอตรี ดรสหพง เรอเพร
ต่อมาเทคโนโลยีทางด้านไมโคร<br />
โพรเสเอร์ (icrrcssr) ได้ถูก<br />
พันาไปอย่างรวดเร็ว มีความสามารถใน<br />
การคานวณได้รวดเร็วข้น มีหน่วยความจา<br />
มากข้น ขนาดเล็กลง กินกระแสไน้อยลง<br />
และที่สาคัญราคาถูกลง (เพราะผลิตทีละ<br />
จานวนมาก) ส่งผลให้การหาพิกัดเปา<br />
หมายสามารถทาได้อย่างสะดวกรวดเร็ว<br />
และมีขนาดเล็กลง โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์<br />
แต่ละชิ้นในการวัดค่า แล้วนาข้อมูล<br />
ทั้งหมดมาพล็อตลงบนแผนที ่เพื ่อทราบ<br />
พิกัดที่ตั้งข้าศก<br />
ปจจุบันกองทัพได้เริ่มจัดหาอุปกรณ์<br />
ระบุพิกัดเลเอร์มาประจาการใช้งานอยู่<br />
บ้าง แต่มีจานวนน้อยมากเนื่องจากราคา<br />
ที่สูงมาก แต่กองทัพบกก็มีแผนที่จะจัดหา<br />
มาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากมีความ<br />
จาเปนอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับผลการปิบัติ<br />
การกับราคาที่สูงลิ่ว<br />
ศูนย์วิจัยและพันาการทหารเปน<br />
หน่วยงานที่มีภารกิจในการดาเนินการวิจัย<br />
และบุคลากรที่มีองค์ความรู้และ<br />
ประสบการณ์ด้านเลเอร์ออปติกและ<br />
อิเล็กทรอนิกส์ โดยเพาะระบบวัดระยะ<br />
ทางด้วยเลเอร์ ตลอดจนมีห้องปิบัติการ<br />
ทางด้านแสงและการประมวลสัญญาณ<br />
ดิจิทัลที่ทันสมัย รวมถงมีเครือข่ายการวิจัย<br />
ทั้งในและต่างประเทศที่พร้อมให้การ<br />
สนับสนุนในการปิบัติงานวิจัย จงมี<br />
แนวคิดที่จะพันาระบบระบุพิกัดเปา<br />
เลเอร์ข้นมาเพื่อใช้งานเองในประเทศ<br />
ทาให้ประหยัดงบประมาณประเทศ ด้วย<br />
ราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด ง่ายต่อการใช้งาน<br />
สามารถ่อมบารุงได้เอง ปรับปรุงระบบ<br />
(ทั้งด้านอต์แวร์และฮาร์ดแวร์) ที ่มีอยู่<br />
ให้ทันสมัยตามการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี<br />
(ssm ura) ได้<br />
แนวทางการพันาระบบ<br />
เนื่องจากปจจุบันเทคโนโลยีด้านการ<br />
ผลิตได้เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว มี<br />
บริษัทผู้ผลิตที่ทาการผลิตและจาหน่าย<br />
ชิ้นส่วนย่อย (riia uim<br />
auacuri หรือ ) เพื่อให้บริษัทอื่น<br />
นาไปประกอบเปนระบบที่มีความับ้อน<br />
ข้น ่งเปนชิ้นส่วนที่ได้มาตรฐานและ<br />
พร้อมที่จะนาไปประกอบรวมเปนระบบ<br />
ใหญ่ และจากองค์ความรู้ที่ทางศูนย์วิจัย<br />
และพันาการทหาร กรมวิทยาศาสตร์<br />
และเทคโนโลยีกลาโหม ได้สั่งสมมาเปน<br />
เวลาหลายสิบป ทั้งในเรื่องเลเอร์วัด<br />
ระยะทาง และเรื่องการประมวลสัญญาณ<br />
ดิจิทัล และการพันาอต์แวร์ควบคุม<br />
่งเปนหัวใจหลักในการพันาระบบระบุ<br />
พิกัดเปาเลเอร์ ทาให้มีแนวความคิดที่จะ<br />
นาแนวทางนี้ (เรียกทั่วไปว่า Cmmrcia<br />
h h หรือ C) มาใช้<br />
ในการพันาและออกแบบระบบ การใช้<br />
วิธีการนี้จะช่วยย่นระยะเวลาการพันา<br />
ระบบเปนอย่างมาก ระบบที่พันาได้<br />
มาตรฐานตาม รับรอง และที่สาคัญ<br />
ในเรื่องการส่งกาลังบารุงที่สามารถจะ<br />
วางแผนในระยะยาวได้<br />
หลักการทางานของระบบระบุพิกัด<br />
เปาเลเซอร<br />
ระบบระบุพิกัดเปาหมายด้วยเลเอร์<br />
ได้ถูกพันาต่อยอดจากระบบวัด<br />
ผังสดงสวนระกอบละการทํางานองระบบระบุพิกัดเาหมายดวยเลเอร<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 49
ระยะทางด้วยแสงเลเอร์ที่ส่งสัญญาณ<br />
แสงเลเอร์ชนิดพัล์ไปยังเปา ทาการจับ<br />
เวลาในการเดินทางไปกลับของแสง แล้ว<br />
นาเวลานี้มาเปลี่ยนเวลาเปนระยะทาง โดย<br />
การนาระบบวัดระยะทางเลเอร์นี้มา<br />
ประยุกต์ใช้งานร่วมกับระบบหาพิกัด<br />
ตนเองด้วยดาวเทียมหรือจีพีเอส ()<br />
สวนระกอบภายนระบบระบุพิกัดเลเอร<br />
อมูลผลการวัดทีสดงบนจอ <br />
และเข็มทิศแม่เหล็กดิจิทัลหรือดีเอ็มี<br />
(C) อุปกรณ์วัดความเร่ง (accrmr)<br />
ระบบวัดระยะทางเลเอร์จะทาหน้าที่<br />
วัดระยะทางเปาหมาย จะทาหน้าที่<br />
หาตาแหน่งหรือพิกัดตนเอง C จะทา<br />
หน้าที่หามุมทิศของเปา (hai a)<br />
กล้อง CC ทาหน้าที่เล็งไปยังเปาหมายที่<br />
ต้องการหาพิกัด และไมโครคอนโทรลเลอร์<br />
ทาหน้าที่รับข้อมูลจากระบบวัดระยะทาง<br />
ด้วยแสงเลเอร์จีพีเอสและดีเอ็มีเพื่อ<br />
คานวณหาพิกัดเปาหมาย ข้อมูลเปาที่<br />
คานวณได้จะถูกแสดงผลด้วย L ผู้ใช้<br />
สามารถมองข้อมูลได้สองทาง คือผ่าน<br />
เลนส์ตา (ic) หรือบนจอโทรทัศน์<br />
ภายนอก โดยการเชื่อมต่อสัญญาณ<br />
ผ่านสาย <br />
ความสามารถของระบบ (aurs)<br />
ระบบระบุพิกัดเปาด้วยเลเอร์ที่ศูนย์วิจัย<br />
และพันาการทหารได้พันาข้น<br />
มีคุณสมบัติที่สาคัญ ดังต่อไปนี้<br />
๑ วัดระยะทางได้ไกลสุด ๒๐<br />
กิโลเมตร (ข้นอยู่กับขนาด รูปร่าง และ<br />
คุณสมบัติการสะท้อนแสงของเปาและ<br />
สภาพอากาศ) มีความผิดพลาด ๒ เมตร<br />
โดยสามารถเลือกหน่วยวัดเปนเมตรหรือ<br />
ุตก็ได้<br />
๒ วัดมุมทิศเปา (ai a)<br />
มุมกระดก (ich a) และมุมเอียง<br />
( a) โดยสามารถเลือกหน่วยวัด<br />
เปนองศาหรือมิลเลียม (มีความละเอียด<br />
กว่าและใช้ทางการทหารเท่านั้น)<br />
๓ สามารถระบุพิกัดตนเอง (Lca<br />
sii) และพิกัดเปา (ar si-<br />
i) ได้ โดยสามารถเลือกบอกพิกัดได้ทั้ง<br />
ในระบบ หรือ นอกจากนี้<br />
ยังสามารถบอกความสูงของเปาจากระดับ<br />
น้าทะเลได้ด้วย<br />
๔ กล้องเล็งสามารถมองได้ไกลกว่า<br />
๑๐ กิโลเมตร มีอัตราขยายภาพด้วยระบบ<br />
ออปติก (ica m) ๓ เท่า และ<br />
อัตราขยายภาพทางดิจิทัล (iia<br />
m) อีก ๑๒ เท่า<br />
การประยุกตใชงาน<br />
ระบบระบุพิกัดเปาหมายด้วยเลเอร์<br />
นี้สามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ คือ<br />
50<br />
พเรอตรี ดรสหพง เรอเพร
๑ ใช้สาหรับผู้ตรวจการณ์หน้า เพื่อ<br />
หาข้อมูลพิกัดข้าศก ปอนให้กับศูนย์<br />
อานวยการยิงของปนใหญ่ (ir cr)<br />
หรือ ปน ค เพื่อปรับการยิงให้เข้าเปา<br />
ในนัดแรก<br />
๒ ใช้สาหรับตรวจการณ์ทั่วไป<br />
เนื่องจากกล้องมีกาลังขยายสูง สามารถ<br />
มองได้ไกลกว่าสิบกิโลเมตร จงสามารถใช้<br />
แทนกล้องส่องทางไกล ขณะเดียวกันก็<br />
สามารถที่จะทราบตาแหน่งหรือพิกัดของ<br />
ตนเอง ของข้าศก ระยะทาง มุมเปา<br />
ได้ด้วย ทาให้การเข้าปิบัติการของหน่วย<br />
ปิบัติเปนไปด้วยความแม่นยาไม่ผิดพลาด<br />
แนวความคิดในการขยายผล<br />
ศูนย์วิจัยและพันาการทหาร มี<br />
แผนดาเนินการขยายผลระบบระบุพิกัด<br />
เปาหมายด้วยเลเอร์ ดังนี้<br />
๑ ผลิตเพื่อทดลองใช้และ<br />
ประเมินผล (iri sa)<br />
ศูนย์วิจัยและพันาการทหาร<br />
มีแผนที่จะผลิตระบบระบุพิกัดเปาหมาย<br />
ด้วยเลเอร์ อีกจานวน ๒๕ ชุด (หากได้<br />
รับการสนับสนุนงบประมาณ) โดยมี<br />
วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้ได้นาไปทดลองใช้<br />
งานสักระยะหน่ง ขณะเดียวกันก็ประเมิน<br />
ผลการใช้งานตลอดจนรับทราบข้อเสนอ<br />
แนะจากผู้ใช้ เพื่อนาข้อมูลที่ได้จากการ<br />
ประเมินไปทาการปรับปรุง ar<br />
และ arar ให้สมบูรณ์ยิ่งข้นเพื่อ<br />
เตรียมความพร้อมสู่สายการผลิตต่อไป<br />
สวนระกอบภายนกระเากลองระบุพิกัดดวยเลเอร<br />
ในอนาคต โดยแผนนี้จะดาเนินการ<br />
ในปงบประมาณ ๒๕๐<br />
๒ เพิ่มประสิทธิภาพระบบระบุพิกัด<br />
เปาหมายด้วยเลเอร์ให้สูงข้น<br />
ต้นแบบระบบระบุพิกัดเปาหมาย<br />
ด้วยเลเอร์ที ่ศูนย์วิจัยและพันาการ<br />
ทหารได้พันาข้น มีขีดจากัดในการใช้งาน<br />
โดยระบบสามารถใช้งานได้เพาะเวลา<br />
กลางวันที่มีแสงสว่างเท่านั้น แต่ในเวลา<br />
กลางคืนกล้องีีดีไม่สามารถมองเห็น<br />
เปาได้ จากการสอบถามจากผู้ใช้และ<br />
ยุทธวิธีการรบปจจุบัน่งความต้องการให้<br />
ระบบสามารถใช้งานได้ทั้งกลางวันและ<br />
กลางคืน ศูนย์วิจัยและพันาการทหารจง<br />
ได้พันาคาขอโครงการระบบระบุพิกัด<br />
เปาหมายด้วยเลเอร์ระยะที่ ๒ ที่สามารถ<br />
ใช้งานได้ทั้งกลางวันและ<br />
กลางคืน สาหรับโครงการ<br />
นี้มีแผนที่จะดาเนินการ<br />
ในปงบประมาณ ๒๕๐<br />
เช่นกัน<br />
ทั้งหมดที่กล่าวก็เปน<br />
ระบบที่ศูนย์วิจัยและ<br />
พันาการทหารได้พันา<br />
ข้นมาตามความต้องการของผู้ใช้และตาม<br />
ทิศทางของเทคโนโลยีในอนาคต กระผม<br />
หวังว่าระบบระบุพิกัดเปาหมายด้วย<br />
เลเอร์นี้จะเปนจุดเริ่มต้นของการวิจัยและ<br />
พันาที่สามารถจะขยายผลไปสู่สายการ<br />
ผลิตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้แล้วพื้นฐาน<br />
ของระบบนี้ใช้ศาสตร์ทางด้านเลเอร์ ด้าน<br />
อิเล็กทรอนิกส์ การพันาอต์แวร์ ่ง<br />
สามารถนาไปใช้เปนพื้นฐานยุทโธปกรณ์<br />
อื่น ในกองทัพ เช่น ระบบวัดระยะทาง<br />
ในระบบควบคุมการยิง ระบบติดตามเปา<br />
ด้วยแสงเลเอร์ที่ใช้ในหน่วยบัญชาการ<br />
ปองกันภัยทางอากาศ และระบบ<br />
ตรวจการณ์บนเรือรบของกองทัพเรือ<br />
่งมีราคาที่สูงมากและใช้เทคโนโลยีด้านนี้<br />
เช่นกัน<br />
ผมหวังเปนอย่างยิ่งว่าผลงานวิจัยนี้<br />
จะมีประโยชน์ต่อกระทรวงกลาโหมและ<br />
ประเทศไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจ ที่<br />
สามารถพ่งพาตนเองได้ในระยะยาว และ<br />
ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะเปน<br />
พื้นฐานที่สาคัญในการพันายุทโธปกรณ์<br />
ของกองทัพไทย ที่มีความับ้อนและ<br />
ทันสมัยต่อไปในอนาคต<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 51
สาระนาร้ทางการทย<br />
ยาลมิมสาราหารห้กระดก<br />
สํานักงานพทย สํานักงานสนับสนุนสํานักงานลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ป<br />
จจุบันคนเราสนใจเรื่องสุขภาพ<br />
กันมากมีความกระตือรือร้น<br />
ที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคต่าง<br />
และการปองกัน อาหารเสริมสุขภาพ<br />
ทั้งหลายก็ขายดี จนคนไทยข ้นชื ่อว่าชอบ<br />
ื้อสุขภาพ สาหรับคาถามที่นิยมถาม<br />
คาถามหน่งเกี่ยวกับการปองกันการเกิด<br />
โรคกระดูกพรุนก็คือ จาเปนต้องรับประทาน<br />
แคลเียมเสริมหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน<br />
ต้องรับประทานเปนประจาทุกวันหรือไม่<br />
ถ้ารับประทานมากเกินไปจะเกิดโทษต่อ<br />
ร่างกายหรือเปล่า ทาอย่างไรจะรู้ว่ามี<br />
ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน<br />
ถ้ามีกระดูกบางออกกาลังกายได้หรือไม่<br />
ขอตอบแบบให้เข้าใจง่าย เรื่องความ<br />
สมดุลของแคลเียมในร่างกายเปนพื้นฐาน<br />
เสียก่อนนั ่นคือเข้าใจว่าร่างกายได้รับ<br />
แคลเียมจากไหนแล้วไปเกิดประโยชน์<br />
ต่อความแข็งแรงของกระดูกได้อย่างไร<br />
ในผู้ใหญ่ที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว<br />
แคลเียมเปนแร่ธาตุชนิดหน่งที่พบ<br />
อยู่ทั่วไปในน้า ในดิน ในร่างกายของเรา<br />
นอกจากแคลเียมจะเปนส่วนประกอบ<br />
สาคัญของกระดูกและนยังเปนสารที่<br />
จาเปนต่อกระบวนการทางชีวเคมีที่สาคัญ<br />
ต่าง ในเลล์ ดังนั้น ร่างกายจงผลิต<br />
ฮอร์โมนหลายชนิดที่มีหน้าที่ควบคุมสมดุล<br />
แคลเียมโดยเพาะให้มีระดับในเลือด<br />
ที่พอเหมาะตลอดเวลาเพื่อแคลเียมจะได้<br />
ถูกนาไปให้เลล์ในอวัยวะต่าง ได้ใช้<br />
ตลอดเวลาเช่นกัน่งรวมถงกระดูกด้วย<br />
เนื่องจากร่างกายสังเคราะห์แคลเียม<br />
ไม่ได้จงต้องรับมาจากอาหารผ่านการย่อย<br />
และดูดมที่ลาไส้เล็ก ที่จริงแล้วความ<br />
สามารถในการดูดมแคลเียมไม่ว่าจะใน<br />
เด็กหรือผู้ใหญ่ถือว่ามีประสิทธิภาพต่ า คือ<br />
ประมาณ ๒๐ ๒๕ เท่านั้น กล่าวคือถ้าใน<br />
อาหารมีแคลเียม ๑๐๐ หน่วย เมื่อไปถง<br />
ลาไส้จะถูกดูดมเพียง ๒๐ หน่วย ส่วนที่<br />
เหลือก็จะขับถ่ายทิ้งไปในอุจจาระโดย<br />
ทั่วไปเด็ก ๓ ๑๐ ขวบควรได้รับแคลเียม<br />
ประมาณ ๘๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน วัยรุ่นและ<br />
ผู้ใหญ่ ๘๐๐ ๑๐๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน สตรี<br />
มีครรภ์และคุณแม่ที่ให้นมบุตรควรได้รับ<br />
แคลเียมเพิ่มข้นคือ ๑๒๐๐ มิลลิกรัม<br />
ต่อวัน ดังนั้นเพื่อที่เราจะได้รับแคลเียม<br />
เพียงพอ เราควรรับประทานอาหารใดบ้าง<br />
แน่นอนว่านมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น<br />
โยเกิร์ต นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม และเนยแข็ง<br />
มีปริมาณแคลเียมสูง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ดื่ม<br />
นมได้ เราจงต้องทราบแหล่งอาหารชนิด<br />
อื่น ที่มีแคลเียมมาก ได้แก่ปลาเล็กปลา<br />
น้อยหรือปลากระปองที่รับประทาน<br />
ทั้งกระดูก กุ้งแห้ง เต้าหู้อ่อน (ที่เติมแคลเียม<br />
ในระบบการผลิต) กะปและผักบางชนิด<br />
เช่น ยอดแค ผักคะน้า บรอคโคลี และ<br />
งาดา เปนต้น ถ้าจะให้นกภาพออกว่า<br />
แคลเียม ๑๐๐๐ มิลลิกรัม นั่นคือแค่ไหน<br />
ก็อาจใช้ตัวอย่างนมกล่อง่งมีแคลเียม<br />
ประมาณ ๒๕๐ มิลลิกรัมต่อกล่อง<br />
แคลเียม ๑๐๐๐ มิลลิกรัมจะได้จากนม<br />
๓ ๔ กล่อง หรือปลาเล็กปลาน้อยขนาด<br />
๑๐ ช้อนโตะ เปนต้น<br />
ในชีวิตจริงเรารับประทานอาหาร<br />
หลากหลายชนิด แต่ถ้าจะนกถงอาหาร<br />
ที่มีแคลเียมไว้บ้างก็ไม่ยากที่จะได้รับ<br />
แคลเียมในปริมาณที่พอเพียง ดังนั้น<br />
ถ้าจะตอบคาถามว่า ควรต้องรับประทาน<br />
แคลเียมเสริมหรือไม่ก็คงข้นอยู่กับ<br />
ประเภทและปริมาณอาหารที่แต่ละคน<br />
รับประทานในแต่ละวัน บางคนอาจได้<br />
แคลเียมเพียงพอ บางคนอาจรู้สกว่า<br />
ไม่พอแน่ ขอเพิ่มเปนแคลเียมเม็ดดีกว่า<br />
อย่างไรก็ตามถ้าท่านื้อแคลเียมเสริม<br />
ก็ไม่จาเปนต้องรับประทานปริมาณที่<br />
แนะนาบนลากขวด และไม่จาเปนต้อง<br />
ทุกวัน ทั้งนี้เพราะแคลเียมเก็บสะสมที่<br />
กระดูกได้หลายคน ไม่อยากจะคานวณ<br />
ปริมาณแคลเียมในอาหาร ก็ใช้วิธีดื่มนม<br />
๑ กล่อง หรือรับประทานโยเกิร์ต ๑ ถ้วย<br />
ทุกวัน ก็เท่ากับได้รับแคลเียมประมาณ<br />
ร้อยละ ๒๕ ๓๐ แล้วที่เหลืออีกร้อยละ<br />
๗๐ ๗๕ ก็คาดว่าจะได้รับจากอาหารอื่น<br />
52<br />
สนักงนพ สนักงนสนัสนุนสนักงนัดกรรวงกโห
คนไทยเราโชคดีกว่าชาวตะวันตกในเรื่อง<br />
การดูดมแคลเียม งานวิจัยจากกลุ่ม<br />
แพทย์ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล<br />
รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลได้รายงาน<br />
ว่าคนไทยมีพันธุกรรมที่ทาให้เราสามารถ<br />
ดูดมแคลเียมได้ดีกว่าชาวตะวันตก แต่<br />
ถ้าท่านยังต้องการรับประทานแคลเียม<br />
เสริมก็ควรเลือกชนิดเม็ดที่มีราคาไม่แพง<br />
ไม่จาเปนต้องเปนยาเม็ดองูที่มีราคาสูง<br />
คาถามว่า ถ้ารับประทานแคลเียม<br />
เสริมมากเกินไปจะเปนโทษหรือไม่ คาตอบ<br />
คือ อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีอยู่แล้วโดย<br />
ทั่วไปร่างกายจะขับถ่ายแคลเียมส่วนเกิน<br />
ในอุจจาระและปสสาวะ แต่ถ้าได้รับ<br />
แคลเียมมากเกินไปเปนเวลานาน ก็อาจ<br />
เสี่ยงต่อการเกิดแคลเียมสะสมในเนื้อเยื่อ<br />
ต่าง รบกวนการทางานของอวัยวะนั้น<br />
หรือเกิดนิ่วในไตได้ อีกปจจัยหน่งที่มีความ<br />
สาคัญต่อสมดุลแคลเียมคือ วิตามินดี่ง<br />
มีส่วนช่วยในการดูดมแคลเียม เราได้รับ<br />
วิตามินจาก ๒ แหล่ง คือได้จากอาหาร่ง<br />
เปนส่วนน้อยเนื่องจากต้องเปนอาหาร<br />
ประเภทนมและปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น<br />
ปลาแลมอน เปนต้น โชคดีที่อีกแหล่งก็<br />
คือร่างกายของเราเองสามารถสังเคราะห์<br />
วิตามินดีได้โดยอาศัยปิกิริยาจากแสง<br />
อัลตราไวโอเล็ตในแสงแดดต่อผิวหนัง<br />
ดังนั้นเราควรได้รับแสงแดดบ้าง เช่น แสงแดด<br />
ในช่วงเช้าเวลา ๘๐๐ ๙๐๐ น วิตามิน<br />
ดีไม่ได้สาคัญต่อสมดุลแคลเียมเท่านั้นแต่<br />
ยังจาเปนต่อระบบภูมิต้านทานอีกด้วยบาง<br />
คนอาจเลือกที่จะื้อวิตามินมารับประทาน<br />
เด็กและวัยรุ่น มีความต้องการวิตามินดี<br />
ประมาณ ๔๐๐ (raia i)<br />
ส่วนผู้ใหญ่ต้องการ ๘๐๐ ๑๐๐๐ ต่อวัน<br />
แต่วิตามินดีในปริมาณที่สูงเกินไปก็เปนโทษ<br />
เช่นกันเช่นทาให้เกิดการสลายกระดูก<br />
เราสามารถทราบสถานะของกระดูก<br />
ได้โดยวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วย<br />
เครื่อง ่งเปน ra ประเภทหน่ง<br />
หรือเครื่อง car ่งมีบริการ<br />
ตามโรงพยาบาลใหญ่ทั่วไปในปจจุบันยัง<br />
ไม่มีผลงานวิจัยที่สรุปได้อย่างมั่นใจว่า การ<br />
รับประทานแคลเียมเสริมสามารถ<br />
ปองกันการเกิดภาวะมวลกระดูกต่า มีแต่<br />
รายงานว่า ภาวะกระดูกบางมีแนวโน้มที่<br />
จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากแคลเียม<br />
เสริม่งช่วยลดอัตราการสูญเสียกระดูก<br />
ทั้งนี้ การใช้แคลเียมเสริมควรทาควบคู่<br />
ไปกับการออกกาลังกายและการได้รับ<br />
แสงแดดด้วย เมื่อร่างกายดูดมแคลเียม<br />
ได้เพียงพอ ระดับของแคลเียมในกระแส<br />
เลือดก็จะมีค่าในระดับสูงปกติ พารา<br />
ไทรอยด์ฮอร์โมนก็จะไม่ถูกหลั่งมากเกินไป<br />
แต่ถ้าเราขาดแคลเียมระดับแคลเียมใน<br />
เลือดจะลดลงส่งผลให้ต่อมพาราไทรอยด์<br />
หลั่งฮอร์โมนมากข้น พาราไทรอยด์<br />
ฮอร์โมนมีผลส่งเสริมให้เลล์ออสติโอ<br />
คลาสท์ย่อยสลายเนื้อกระดูกเพื่อปล่อย<br />
แคลเียมเข้าสู่กระแสเลือด ทั้งนี้เพื่อรักษา<br />
ระดับของแคลเียมในเลือดให้คงที่เพื่อ<br />
เลล์ต่าง เช่น เลล์กล้ามเนื้อหัวใจจะ<br />
ทางานได้อย่างปกติ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่<br />
ร่างกายได้รับแคลเียมไม่เพียงพอไม่ว่าจะ<br />
มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่มี<br />
ปริมาณแคลเียมต่าเปนเวลานาน หรือ<br />
จากกระบวนการดูดมแคลเียมที่ผิด<br />
ปกติ ร่างกายใช้วิธีย่อยสลายกระดูกเพื ่อ<br />
ปล่อยแคลเียมมาทดแทนระดับที่ลดลง<br />
ในเลือดทันที หากภาวะการขาดแคลเียม<br />
เกิดข้นต่อเนื่องนานเปนเดือน จะมีผลให้<br />
สมดุลแคลเียมของร่างกายเปนลบคือมี<br />
การนาแคลเียมไปใช้หรือขับถ่ายออกจาก<br />
ร่างกายรวมกันแล้วมากกว่าการนา<br />
แคลเียมเข้าสู่ร่างกาย ทาให้เกิดภาวะ<br />
กระดูกบาง หรือถ้ารุนแรงก็จะกลายเปน<br />
โรคกระดูกพรุนได้ ในกรณีเช่นนี้ผู้ปวยอาจ<br />
ต้องใช้ยาที่มีผลลดอัตราการย่อยสลาย<br />
กระดูกมาช่วยด้วย<br />
การออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ<br />
ร่วมกับการรับประทานอาหารครบหมวด<br />
หมู่ ได้รับแคลเียมเพียงพอและได้วิตามิน<br />
ดี (จากแสงแดดหรืออยู่ในรูปของยา) จะ<br />
ช่วยลดการสูญเสียกระดูกตามอายุและ<br />
การตรวจความหนาแน่นของกระดูกจะ<br />
ช่วยบอกว่าเรามีกระดูกปกติหรือกระดูก<br />
บาง (sia) ภาวะกระดูกบางอาจ<br />
นาไปสู่โรคกระดูกพรุนได้ หากไม่ได้รับการ<br />
รักษาหรือการปิบัติตัวให้ถูกต้องผู้ที่เปน<br />
โรคกระดูกพรุนอาจเกิดกระดูกหักเองได้<br />
โดยไม่ต้องมีแรงกระแทกสภาวะทุพพลภาพ<br />
เปนเหตุให้ผู้ปวยต้องนอนอยู่บนเตียง<br />
นาน จงเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน<br />
หรือโรคปอดบวม่งมีอันตรายถงชีวิตหรือ<br />
อย่างน้อยก็ทาให้คุณภาพชีวิตเสียไป<br />
ดังนั้นเราทุกคนทุกวัยควรสนใจและให้<br />
ความสาคัญต่อการดูแลสุขภาพใส่ใจใน<br />
ประเภทของอาหารที่รับประทาน และ<br />
ออกกาลังกายเปนประจาก็จะช่วยให้ห่าง<br />
จากโรคภัยไข้เจ็บ และมีชีวิตที่มีคุณภาพ<br />
และมีความสุข<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />
53
Impossible Dream<br />
เมื่อป พศ๒๕๕๔ ผู้เขียนได้ปิบัติ<br />
หน้าที่หัวหน้าล่ามและเจ้าหน้าที่<br />
ติดต่อในการฝกการใช้อุปกรณ์<br />
ที่ไม่เปนอันตรายแก่ชีวิต L <br />
(Lha a cui<br />
miar ) ณ ค่ายนวมินทราชินี กรมทหาร<br />
ราบที่ ๒๑ จังหวัดชลบุรี ่งจัดโดยกรม<br />
วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีกลาโหม ร่วมกับ<br />
กองกาลังนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา<br />
(ari iiar rc a<br />
uarrs ru) และมีผู้เข้ารับการฝกที่<br />
เปนเจ้าหน้าที่ตารวจและทหารไทยจานวน<br />
ประมาณ ๒๕๐ นาย ผู้สังเกตการณ์จาก ๘<br />
ประเทศทั่วโลกอีก ๒๐ คน รวมทั้งสิ้นกว่า<br />
๓๐๐ คน เพื่อส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ที่ไม่<br />
อันตรายถงแก่ชีวิตโดยนาไปใช้ในการรักษา<br />
สันติภาพหรือการควบคุมฝูงชน นอกจากนี้<br />
ยังเปนการพันาความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
ตารวจและทหารให้เข้าใจถงความสาคัญใน<br />
การปองกันการหยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชน<br />
เปนต้น<br />
จาได้ว่าในการฝก L ครั้งนั้น<br />
ถือว่าเปนการฝกที่หนักพอสมควรผู้เข้าร่วม<br />
การฝก ทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและตารวจของ<br />
ไทยมีความมานะ อดทน และทุ่มเทในการ<br />
ฝกเปนอย่างดีมาก โดยเพาะอย่างยิ่ง การ<br />
ฝกการใช้อุปกรณ์ต่าง เพื่อให้เข้าใจถงผล<br />
ของการใช้อุปกรณ์เหล่านั้น เช่น ปนช็อต<br />
ไา ที่เปนการส่งแรงกระตุ้นไา<br />
ในกล้ามเนื้อของมนุษย์ และการีดสเปรย์<br />
พริกไทย (rsi) เปนต้น โดยผู้เข้า<br />
รับการอบรมจะต้องสมัครใจในการทดสอบ<br />
การถูกยิงด้วยปนช็อตไา การฝกจะเริ่ม<br />
โดยครูฝกจะช่วยพยุงแขนสองข้างไว้และผู้<br />
เข้ารับการฝกจะต้องลงชื่อในการสมัครใจ<br />
จากนั้น แนะนาชื่อ ยืนหันหลัง ครูฝกก็ส่ง<br />
สัญญาณว่า ระวัง hr แล้วยิง<br />
ไปที่ด้านหลังของผู ้ฝก ลูกศรที่อัดแน่นด้วย<br />
พลังไาจะพุ่งออกไปด้วยแรงอัดของ<br />
ไนโตรเจนในกระบอก เชื่อมต่อกับปนด้วย<br />
สายไาหุ้มนวน โดยกระแสไาจะส่ง<br />
ผ่านหัวลูกศรไปยังกล้ามเนื้อทาให้ไม่<br />
สามารถยืนได้ นอกจากนี้ผู้ฝกจะมีความ<br />
กล้าหาญมากในการทดลองการถูกีดด้วย<br />
สเปรย์พริกไทย ที่รู้จักในชื่อ C sra ่ง<br />
การออกฤทธิ์ของสเปรย์พริกไทยนี้ ทาให้<br />
เกิดการอักเสบจนทาให้เปดตาแทบไม่ได้<br />
น้าตาไหล แสบร้อน หายใจไม่ออก ไอ และ<br />
จะมีผลอยู่เปนเวลา ๓๐ ๔๕ นาที ผู้อ่าน<br />
ลองนกภาพดูิคะ เจ้าหน้าที่ทหารและ<br />
ตารวจเขาอดทนขนาดไหน ผู้เขียนอยู่ใน<br />
เหตุการณ์รู้สกภูมิใจมากที่เห็นผู้ฝก ทั้ง<br />
๒๐๐ นาย มีความอดทนและกระตือรือร้น<br />
ต่อการฝกในครั้งนั้นจนกลั้นน้าตาไม่อยู่<br />
เห็นแล้วสงสารและปวดแสบปวดร้อน<br />
ตามไปด้วย<br />
เหตุผลที่ต้องเกริ่นนาให้เห็นภาพมีอยู่<br />
ว่าหลังจากการฝกหนักเปนเวลาติดต่อกัน<br />
๕ วัน ดูเหมือนว่า ผู้เข้ารับการฝกมีจิตใจ<br />
กล้าหาญ รุกรบ และที่สาคัญมีความ<br />
สนิทสนมร่วมกันระหว่างทหาร ตารวจ<br />
และนาวิกโยธินทั้งฝายไทยและฝาย<br />
สหรัฐอเมริกา เริ่มพูดภาษาอังกฤษคล่องข้น<br />
ครูฝกชาวสหรัฐฯ บอกว่าถ้าให้ฝกเปนเดือน<br />
พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ<br />
ผู้เข้ารับการฝกก็น่าจะอยากอยู่ต่อ<br />
ในวันพิธีปด ผู้เขียนก็เปลี่ยนบทบาท<br />
หลังจากเปนล่ามกลางสนามมาเปนเวลา ๕<br />
วัน มาเปนพิธีกรงานเลี้ยงสังสรรค์และนา<br />
เสนอการแสดงแบบไทย เพื่อเปนการ<br />
ต้อนรับชาวต่างชาติ จากนั้นก็ได้มีโอกาสเดิน<br />
คุยกับผู้เข้ารับการฝกทั้ง ๒๐๐ นาย ทุกนาย<br />
เรียกผู้เขียนว่า ครู และขอถ่ายรูปด้วย บาง<br />
นายขอบคุณที่ช่วยเปนล่ามให้ บางนาย<br />
ขอบคุณที่เราวิ่งหาผ้าเย็น น้าดื่มและเปน<br />
พี่เลี้ยงคอยดูแลในระหว่างที่พวกเขาฝก<br />
ผู้เขียนเองก็ภูมิใจมากเช่นกัน ในฐานะที่<br />
เปนทหารถงจะเปนทหารหญิงก็เชื่อว่าเรา<br />
สามารถทางานภาคสนามได้เช่นกัน การ<br />
เปนล่ามที่จะต้องแปลให้ครูฝก ทาให้ได้<br />
เรียนรู้ศาสตร์ วิชา และทักษะต่าง<br />
มากมาย และการได้ฝกร่วมกับเจ้าหน้าที่<br />
ทหารและตารวจ อยู่กับดินกินกับทราย<br />
ทาให้เข้าใจถงความทรหดอดทนของ<br />
เจ้าหน้าที่ทหารตารวจอย่างแท้จริง ในงานเลี้ยง<br />
ผู้เขียนพยายามนกว่า เราน่าจะทากิจกรรม<br />
อะไรสักอย่างที่ให้ผู้เข้าร่วมการฝกทั้งสี่<br />
เหล่าได้ร่วมทากิจกรรมก่อนแยกย้ายกันไป<br />
มีลูกน้องบอกว่า ทายากค่ะหัวหน้า เพราะ<br />
พี่ เขามาจากหลายหน่วยและทุกคนก็คง<br />
อยากจะกลับบ้านค่ะตอนนั้นผู้เขียนตอบ<br />
54<br />
พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ
้<br />
ลูกน้องว่า คาว่า ต้องได้ิ ต้องได้ิ และ<br />
คาว่า mssi ram ก็ปรากข้นมา<br />
ในใจ ผู้เขียนเลยประกาศออกไมโครโน<br />
ว่า เราจะมาร้องเพลงด้วยกันก่อนจาก<br />
เพลงนี้ชื่อว่า ความันอันสูงสุด ที่พระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
ได้ทรงแต่งทานองไว้ และท่านผู้หญิง<br />
มณีรัตน์ บุนนาค เขียนคาร้อง พอผู้เขียน<br />
ประกาศไม่ถง ๕ นาที ผู้เข้าร่วมการฝก<br />
ทั้งหมด ๒๐๐ นาย รีบเดินออกมาหน้าเวที<br />
และยืนอย่างเปนระเบียบส่งสัญญาณให้<br />
ผู้เขียนรู้ว่า ทุกคนพรอม ผู้เขียนจงรีบหา<br />
เนื้อหาเปนภาษาอังกฤษ เพื่ออย่างน้อย<br />
ครูฝกนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาและ<br />
ผู้สังเกตการณ์จากมิตรประเทศจะได้เข้าใจ<br />
เนื้อหาของเพลงและให้เขาได้รับรู้ว่า เรา<br />
จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน กษัตริย เพียงใด<br />
และจะทาให้หน้าที่ในฐานะทหารและ<br />
ตารวจให้ที่ดีสุด คืนนั้น เมื่อทหารและ<br />
ตารวจที่เข้ารับการฝกร้องเพลงความฝน<br />
อันสูงสุด เสียงเพลงดังกกก้องไปทั่วห้อง<br />
ประชุมของค่ายนวมินทราชินี จังหวัดชลบุรี<br />
สายตา น้าเสียงการร้องเพลงของผู้เข้ารับ<br />
การฝกทุกคน บ่งบอกถงความภูมิใจใน<br />
ความเปนข้าราชการในพระบาทสมเด็จ<br />
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เปน<br />
อย่างยิ่ง สร้างความประทับใจให้กับทุกคน<br />
ที่ได้เข้าร่วมพิธีปดในครั้งนี้ สุดท้ายนี<br />
ขออัญเชิญเพลง ความันอันสูงสุด ที่ใช้เปน<br />
ภาษาอังกฤษว่า e mssle Deam<br />
มาให้พี่น้องทหาร ตารวจ ข้าราชการและ<br />
ประชาชนคนไทยทุกคนอีกครั้งค่ะ เพื่อ<br />
เปนการสร้างขวัญและกาลังใจ หากผิดหวัง<br />
ท้อแท้ งเพลงนี้นะคะ แล้วพลังจะกลับ<br />
มาค่ะ<br />
ความฝนอันสูงสุด<br />
ทํานอง: พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว ภูมิพลอดุลยเดช<br />
คํารอง: ทานผูหญิงมณีรัตน บุนนาค<br />
ขอฝนใฝในฝนอันเหลือเชื่อ<br />
ขอสู้ศกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว<br />
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ<br />
ขอฝานผองภัยด้วยใจทะนง<br />
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด<br />
จะรักชาติจนชีวิตเปนผุยผง<br />
จะยอมตายหมายให้เกียรติดารง<br />
จะปดทองหลังองค์พระปิมา<br />
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร<br />
ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา<br />
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา<br />
ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป<br />
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง<br />
หมายผดุงยุติธรรม์อันสดใส<br />
ถงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด<br />
ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน<br />
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่<br />
เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน<br />
คงยืนหยัดสู้ไปใฝประจัญ<br />
ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย<br />
The Impossible Dream<br />
ram h imssi ram <br />
h h uaa <br />
ar ih uara srr <br />
ru hr h ra ar <br />
rih h uriha r <br />
ur a chas rm aar <br />
r h ur arms ar ar <br />
rach h uracha sar <br />
his is m us ha sar <br />
mar h hss mar h ar <br />
h r h rih ihu usi r aus <br />
ii march i r a a caus <br />
k i ru<br />
his rius us<br />
ha m har i i acu a cam<br />
h m ai m rs <br />
h r i r r his<br />
ha ma scr a cr ih scars<br />
i sr ih his as uc cura<br />
rach h uracha sar <br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 55
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสดุดีพระบรม<br />
ราชานุสาวรีย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต โดยมี พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ ลานพระราชวังดุสิต เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๙<br />
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมในการประชุมกองอานวยการร่วมรักษาความสงบ<br />
เรียบรอย (กอร.รส.) และตรวจเยี่ยมใหกาลังใจเจาหนาที่และเครือข่ายจิตอาสาที่ร่วมกันอานวยความสะดวกและใหบริการประชาชน โดยมี<br />
พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมคณะ ณ มณฑลพิธี<br />
ท้องสนามหลวง เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๙<br />
56
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการ<br />
เหล่าทัพ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมพิธีถวายผาพระกฐิน<br />
พระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจาป ๒๕๕๙ ณ วัดชิโนรสาราม วรวิหาร แขวงบ้านช่างหล่อ<br />
เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เมื่อ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมงานวันราชวัลลภ ประจาป ๒๕๕๙ โดยมี พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมพิธี ณ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ เมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 57
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม เป็นประธานในพิธีบาเพ็ญกุศล<br />
ปัณรสมวาร (๑๕ วัน) เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล<br />
แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดช ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม ร่วมพิธี ณ วัดชิโนรสาราม<br />
วรวิหาร เขตบางกอกน้อย เมื่อ ๒๗ ตุลาคม<br />
๒๕๕๙<br />
พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปดการศึกษาหลักสูตรการปองกันราชอาณาจักร รุ่นที่ ๕๙<br />
โดยมี พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมพิธี ณ หอประชุมพิบูลสงคราม<br />
วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร เมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />
58
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีบาเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี รองปลัดกระทรวงกลาโหม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ร่วมพิธี ณ ลานอเนกประสงค์ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 59
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ พันเอก Chris Luckham (คริส ลัคแฮม) ผู้ช่วยทูตฝายทหาร ประจาสถาน<br />
เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร ณ กรุงเทพฯ และคณะ ในโอกาสเขาเยี่ยมคานับและหารือขอราชการ ณ ห้องสนามไชย ภายในศาลาว่าการกลาโหม<br />
เมื่อ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ใหการตอนรับ นางสาว Kelly Magsamen ผูช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
สหรัฐอเมริกาดานกิจการความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟก และคณะ ณ ห้องสนามไชย ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙<br />
60
พลอากาศเอก ศิวเกียรติ์ ชเยมะ รองปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม เป็นประธานในการประชุมใหญ่สามัญประจาป ๒๕๕๙<br />
ของสหกรณ์ออมทรัพย์ จากัด ณ ห้องพินิตประชานาถ ภายใน<br />
ศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />
พลเรือเอก พงษ์เทพ หนูเทพ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการจัดกิจกรรมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื ่อง “รูโรค บริโภคดี<br />
มีวินัย ใส่ใจ การออกกาลังกาย ตานภัย NCDS” ใหกับกาลังพลของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ณ ห้องพินิตประชานาถ ภายในศาลาว่าการ<br />
กลาโหม เมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 61
กิจกรรมสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
สมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แจกจ่ายอาหารและน้าดื่มแก่ประชาชนที่เดินทางมาร่วมถวายบังคม<br />
พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณด้านข้างศาลาว่าการกลาโหม ถนนหลักเมือง เมื่อ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙<br />
นางวิภาพร ช้างมงคล นายกสมาคมภริยาข้าราชการ<br />
สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย คณะกรรมการ<br />
สมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
บวงสรวงสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และร่วมบาเพ็ญกุศล เนื่องใน<br />
วันคลายวันสถาปนาสมาคมภริยาขาราชการสานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม ครบรอบ ๒๖ ป ณ สานักงานสมาคมภริยา<br />
ข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมื่อ ๙ พฤศจิกายน<br />
๒๕๕๙<br />
62
นางวิภาพร ช้างมงคล นายกสมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมภริยาข้าราชการ<br />
สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมกิจกรรม บริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
ณ ห้องพินิตประชานาถ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 63
64
พลเอก ชัยชาญ ชางมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เปนประธานในพิธี “รวมพลังแหงความภักดี” เพื่อเปนการแสดงความอาลัย<br />
ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีนายทหารชั้นผูใหญของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรวมพิธี ณ บริเวณ<br />
หนาอาคารศาลาวาการกลาโหม เมื่อ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙
ISSN 0858 - 3803<br />
9 770858 380005