19.01.2017 Views

lakmuang_309-1

Create successful ePaper yourself

Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.

Êํҹѡ§Ò¹»ÅÑ´¡ÃзÃǧ¡ÅÒâËÁ<br />

˹‹Ç§ҹ¹âºÒÂáÅÐÂØ·¸ÈÒʵäÇÒÁÁÑ่¹¤§<br />

ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />

»‚·Õ่ òô ©ºÑº·Õ่ óðù ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />

www.<strong>lakmuang</strong>online.com


นบนอม…จอมทัพไทย<br />

ถวายตน…ขารองบาททุกชาติไป<br />

นอมนบพระผูเสด็จสูสวรรคาลัย นอบนอมเทิด พระทรงชัย เสวยสวรรค<br />

จารึกกิจ แหงองค พระทรงธรรม อเนกอนันต เพื่อบรรดา มหาชน<br />

กลาโหม ปฏิญาณ สานพระกิจ นอมอุทิศ กายและจิต สฤษฏผล<br />

อัญเชิญเหนือ เศียรเกลา เหลาไพรพล ถวายตน ขารองบาท ทุกชาติไป


ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />

ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์<br />

พลอวันชัย เรืองตระกูล<br />

พลออสุวิช จันทประดิษฐ์<br />

พลอไพบูลย์ เอมพันธุ์<br />

พลอยุทธศักดิ์ ศศิประภา<br />

พลอธีรเดช มีเพียร<br />

พลอธวัช เกษร์อังกูร<br />

พลอสัมพันธ์ บุญญานันต์<br />

พลออู้ด เบื้องบน<br />

พลอสิริชัย ธัญญสิริ<br />

พลอวินัย ภัททิยกุล<br />

พลออภิชาต เพ็ญกิตติ<br />

พลอกิตติพงษ์ เกษโกวิท<br />

พลอเสถียร เพิ่มทองอินทร์<br />

พลอวิทวัส รชตะนันทน์<br />

พลอทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน<br />

พลอนิพัทธ์ ทองเล็ก<br />

พลอสุรศักดิ์ กาญจนรัตน์<br />

พลอศิริชัย ดิษฐกุล<br />

พลอปรีชา จันทร์โอชา<br />

ที่ปรึกษา<br />

พลอชัยชาญ ช้างมงคล<br />

พลออศิวเกียรติ์ ชเยมะ<br />

พลอชาตอุดม ติตถะสิริ<br />

พลออาชาไนย ศรีสุข<br />

พลรอพงษ์เทพ หนูเทพ รน<br />

พลอวัลลภ รักเสนาะ<br />

พลอวิสุทธิ์ นาเงิน<br />

พลอสุวโรจน์ ทิพย์มงคล<br />

พลอฐิตินันท์ ธัญญสิริ<br />

พลรอกฤษา เจริญพานิช รน<br />

พลทชวลิต สาลีติด<br />

พลทอนุชิต อินทรทัต<br />

พลทนเรศรักษ์ ฐิตะฐาน<br />

พลทศิริพงษ์ วงศ์ขันตี<br />

พลทภาณุพล บรรณกิจโศภน<br />

พลทนภนต์ สร้างสมวงษ์<br />

พลทศิรศักดิ์ ยุทธประเวศน์<br />

พลทชมพล อามระดิษ<br />

พลทอภิชาติ อุ่นอ่อน<br />

พลทรักศักดิ์ โรจน์พิมพ์พันธุ์<br />

พลตภราดร จินดาลัทธ<br />

พลรตสหพงษ์ เครือเพ็ชร รน<br />

พลตสราวุธ รัชตะนาวิน<br />

พลตไชย หว่างสิงห์<br />

พลตกานต์ กลัมพสุต<br />

พลตพุิประสิทธิ์ จิระมะกร<br />

พลตต่างแดน พิศาลพงศ์<br />

ผูอํานวยการ<br />

พลตยุทธนินทร์ บุนนาค<br />

รองผูอํานวยการ<br />

พอภัทร์นรินท์ วิจิตรพฤกษ์<br />

พอชูเลิศ จิระรัตนเมธากร<br />

ผูชวยอํานวยการ<br />

พอดุจเพ็ชร์ สว่างวรรณ<br />

กองจัดการ<br />

ผูจัดการ<br />

นอธวัชชัย รักประยูร<br />

ประจํากองจัดการ<br />

นอกฤษณ์ ไชยสมบัติ<br />

พทธนะศักดิ์ ประดิษฐ์ธรรม<br />

พตไพบูลย์ รุ่งโรจน์<br />

เหรัญญิก<br />

พทพลพัน์ อาขวานนท์<br />

ผูชวยเหรัญญิก<br />

รทเวช บุญหล้า<br />

ฝายกฎหมาย<br />

นทสุรชัย สลามเตะ<br />

พิสูจนอักษร<br />

พอหญิง วิวรรณ วรวิศิษ์ธารง<br />

กองบรรณาธิการ<br />

บรรณาธิการ<br />

นอพรหมเมธ อติแพทย์ รน<br />

รองบรรณาธิการ<br />

พอสุวเทพ ศิริสรณ์<br />

พอวันชนะ สวัสดี<br />

ผูชวยบรรณาธิการ<br />

พอหญิง ใจทิพย์ อุไพพานิช<br />

ประจํากองบรรณาธิการ<br />

นทหญิง รสสุคนธ์ ทองใบ รน<br />

นทวันสิน ปตพี รน<br />

พทชุมศักดิ์ สมไร่ขิง<br />

พทชาตบุตร ศรธรรม<br />

พทหญิง สมจิตร พวงโต<br />

นทฐิตพร น้อยรักษ์ รน<br />

พทจิโรตม์ ชินวัตร<br />

นตหญิง ปรางทอง จันทร์สุข รน<br />

นตหญิง กัญญารัตน์ ชูชาติ รน<br />

รอหญิง ลลิดา กล้าหาญ<br />

จสอสมหมาย ภมรนาค<br />

จอหญิง สุพรรัตน์ โรจน์พรหมทอง


บทบรรณาธิการ<br />

ผ่าน ๕๐ วันแล้วที่ “พ่อ” จากไป แต่ความผูกพันระหว่างพระองค์ท่านกับพสกนิกรของพระองค์ไม่มีวัน<br />

เสื่อมคลาย ในทางตรงกันข้ามยิ่งกลับคิดถง สานกในพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ท่านมากข้น เมื่อได้เห็น ได้ทราบ<br />

พระราชกรณียกิจในหลาย เรื่องของพระองค์ท่าน ่งพระราชกรณียกิจทุกเรื่องเพื่อประโยชน์และความสุข<br />

ของปวงชนชาวไทยอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และพระมหากรุณาธิคุณยิ่งเผื่อแผ่ไปถงพี่น้องประชาชนประเทศเพื่อนบ้าน<br />

ทั้งไกลใกล้อีกหลายประเทศ<br />

สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยสานักงานเลขานุการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ได้จัดการสัมมนา<br />

ในโครงการตามกิจกรรมการปองกันตอบโต้และทาความเข้าใจมิให้ล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ในโครงการ<br />

“เครือข่ายสีขาวเพื่อความมั่นคง สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม” เมื่อห้วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา โดยได้รับ<br />

เกียรติจาก ดรสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพันา กรุณาบรรยายเรื่อง ประสบการณ์ที่ได้รับจากการสนองงาน<br />

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ยิ่งทาให้ผู้ที่ได้รับงมีความาบ้งในพระมหากรุณาธิคุณ และยิ่งได้<br />

ประจักษ์ในพระอัจริยภาพ ตลอดจนความมุ่งมั่นของพระองค์ท่านที่ต้องการให้พสกนิกรของพระองค์มีความสุข<br />

และได้รับประโยชน์อย่างยั่งยืน<br />

ประการแรกที่จะขออนุญาตนาเรื่องในวันนั้นมานาเสนอคือ ดรสุเมธฯ เล่าว่าวันแรกที่ไปเข้าถวายงาน<br />

พระองค์ได้ตรัสกับ ดรสุเมธฯ ว่า มาชวยัน ันมมีอะรจะหนอกจากความสุทีจะมารวมงานกันนการทําระโยชน<br />

หกับผูอน<br />

ประการที่สอง ดรสุเมธฯ ท่านให้มุมมองหรือข้อสังเกตว่า ประเทศไทยในช่วงรัชสมัยของพระองค์ ยังคง<br />

ดารงอยู่ได้โดยไม่เปนส่วนหน่งของ “โดมิโน” เพราะคนไทยยัง “ให” กันอยู่ ทาให้สงครามการต่อสู้กับคอมมิวนิสต์<br />

หยุดอยู่แค่ประเทศไทย ด้วยเวลาแห่งการต่อสู้ ๑๑ ป<br />

การคิดจะทาประโยชน์ให้กับผู้อื่นเห็นถงประโยชน์ส่วนรวมและประเทศชาติ และเรื่องของการ “ให” ที่พระองค์<br />

ทรงเพียรพยายามให้คนไทยคิดและปิบัติ รวมถงปรัชญา “เศรษฐกิจพอเพียง” จงเปนส่วนสาคัญที่ทาให้ประเทศไทย<br />

มีความสุขมีความยั่งยืนมาจนถงทุกวันนี้


๕ ธันวาคม ทั่วหล้ายลยิน<br />

วันดินโลก<br />

<br />

ครั้งหน่งเมื่อเข้าถวายสักการะ<br />

ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท<br />

๑<br />

คาสอนของพ่อมรดกที่ยิ่งใหญ่<br />

๑<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

ตอนที่ ๒<br />

๑<br />

๒ ป ศูนย์การอุตสาหกรรมปองกัน<br />

ประเทศและพลังงานทหาร<br />

วันคล้ายวันสถาปนา ๒๙ ธันวาคม<br />

๒๕๕๙<br />

๒<br />

หนทางชนะ <br />

ย้อนแย้ง ปลายน้า สู่ ต้นน้า<br />

๒<br />

แนวคิดการจัดกลุ่มงาน<br />

ด้านความมั่นคงของชาติ<br />

(aia curi crs rm<br />

Cc)<br />

๒๙<br />

ความมั่นคงไเบอร์ (Cr curi)<br />

ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />

<br />

๑<br />

๑<br />

๒<br />

๒<br />

hurirs วิหคสายา<br />

ฝูงบินผาดแผลงชั้นยอดของสหรัฐฯ<br />

และในระดับโลก<br />

<br />

แนะนาอาวุธเพื่อนบ้าน<br />

เครื่องบินขนส่งทางทหาร เอ๔๐๐เอ็ม<br />

๒<br />

เปดประตูสู่เทคโนโลยี<br />

ปองกันประเทศ ๔๘<br />

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงวางรากฐาน<br />

อุตสาหกรรมปองกันประเทศของไทย<br />

๖<br />

ราชวงศ์อลองพญาเปลี่ยนแผ่นดินใหม่<br />

<br />

ระบบระบุพิกัดเปาหมายด้วยเลเอร์<br />

(Lasr ar Lcar)<br />

๕๒<br />

สาระน่ารู้ทางการแพทย์ อย่าลืมเติม<br />

สารอาหารให้กระดูก<br />

๕<br />

mssi ram<br />

๕๖<br />

ภาพกิจกรรม<br />

๒๙<br />

๒<br />

๒<br />

<br />

๒<br />

<br />

ข้อคิดเห็นและบทความที่นาลงในวารสารหลักเมืองเปนของผู้เขียน มิใช่ข้อคิดเห็นหรือนโยบายของหน่วยงานของรัฐ และมิได้ผูกพันต่อราชการแต่อย่างใด<br />

สานักงานเลขานุการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทรโทรสาร ๐๒๒๒๕๘๒๒ hsssihm<br />

พิมพ์ที่ ห้างหุ้นส่วนจากัด อรุณการพิมพ์ ๔๕๗๗ ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร ๐๒๒๘๒๐๓๓๔ โทรสาร ๐๒๒๘๐๒๑๘๗๘<br />

mai iarkarimch arkarimch<br />

ออกแบบ ห้างหุ้นส่วนจากัด อรุณการพิมพ์


ันวาคม<br />

ทั<br />

วหล้ายลยินวันดินโลก<br />

พลตรี ชัยวิทย ชยาภินันท<br />

ดิ<br />

นถือได้ว่าเปนแร่ธาตุที่มีความ<br />

สาคัญมากประการหน่งที่มิได้<br />

ด้อยไปกว่าน้าเลย ทั้งนี้เพราะ<br />

ดินคือแหล่งของแร่ธาตุ และแหล่งที่สะสม<br />

สารอาหารที่สาคัญ ดารงประโยชน์ในเรื่อง<br />

ของการเปนแหล่งกักเก็บน้า แหล่ง<br />

เกษตรกรรมและปศุสัตว์ ดินยังเปนสิ่ง<br />

สาคัญในการก่อสร้างที ่อยู่อาศัย และ<br />

อาคารสถาปตยกรรมต่าง เปนวัตถุดิบที่<br />

สาคัญในการผลิตภาชนะใส่น้าและอาหาร<br />

ของมนุษย์ จงอาจกล่าวได้ว่า ดินคือส่วน<br />

ประกอบที่สาคัญต่อการดารงชีวิตทั้งของ<br />

คน สัตว์ และพืช ดังนั้น จงมีความจาเปน<br />

อย่างยิ่งที่จะต้องรักษาคุณภาพของดินให้<br />

คงอยู่ต่อไปจนถงอนุชนรุ่นหลัง โดยคนใน<br />

ยุคนี ้ไม่ควรใช้ทรัพยากรอย่างสิ้นเปลือง<br />

ไม่ทาลายหน้าดินด้วยวิธีการต่าง อาทิ<br />

การเผา การใส่หรือทิ้งสารเคมีลงเพื่อทาลาย<br />

ชั้นดิน การตักหน้าดินไปใช้ประโยชน์ที่<br />

ไม่เหมาะสม ทั้งนี้ เพื่อให้มนุษยชาติสามารถ<br />

ใช้ประโยชน์ของดินอย่างมีคุณค่า<br />

ประเทศต่าง ทั่วโลกต่างตระหนัก<br />

ถงความสาคัญของดิน พร้อมกับยกย่อง<br />

ความสาคัญของดินในฐานะที่เปนองค์<br />

ประกอบสาคัญของระบบนิเวศ และมีส่วน<br />

สาคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความมั่นคง<br />

ของมนุษย์ (uma curi) เนื่องจาก<br />

ดินมีความสาคัญต่ออาหาร น้า ความ<br />

มั่นคงทางพลังงาน และยังเปนปจจัย<br />

สาคัญในการช่วยบรรเทาความสูญเสียทาง<br />

ชีวภาพและการเปลี่ยนแปลงสภาพ<br />

ภูมิอากาศ ทั้งนี้ เนื่องจากดินเปนแหล่ง<br />

สาคัญหน่งในแหล่งกักเก็บคาร์บอนตาม<br />

ธรรมชาติ จงได้ทาการก่อตั้งเครือข่ายเพื่อ<br />

ทาการค้นคว้าและแลกเปลี่ยนความรู้<br />

เกี่ยวกับดิน ควบคู่ไปกับการให้ความสาคัญ<br />

ต่อระดับการรับรู้ของสาธารณชนและ<br />

บทบาทของดินต่อมนุษย์และสิ่งแวดล้อม<br />

ทั้งนี้ สามารถพันาจนเปนเครือข่ายที่มี<br />

นักวิทยาศาสตร์ด้านดินกว่า ๐๐๐๐ คน<br />

ทั่วโลก<br />

องค์การอาหารและการเกษตรแห่ง<br />

สหประชาชาติ () ได้ตระหนักถงความ<br />

สาคัญและความจาเปนในการอนุรักษ์<br />

ทรัพยากรธรรมชาติประเภทดิน จงได้<br />

จัดการประชุมขององค์การอาหารและ<br />

การเกษตรแห่งสหประชาชาติ ()<br />

ครั้งที่ ๑๔๔ ระหว่างวันที่ ๑๑ ๑๕ มิถุนายน<br />

๒๕๕๕ ณ สานักงานใหญ่องค์การเกษตร<br />

และอาหารแห่งสหประชาชาติ กรุงโรม<br />

ประเทศอิตาลี โดยที่ประชุมได้พิจารณา<br />

พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จ<br />

พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />

เกี่ยวกับการพันาที่ดินมาอย่างต่อเนื ่อง<br />

และยาวนานจนปรากผลสาเร็จเปนที่<br />

ประจักษ์อย่างกว้างขวางทั้งในประเทศ<br />

4<br />

พตรี ัวิ ินัน


และนานาชาติ ่งนายฮิโรยูกิ โคนุมะ<br />

ผู้ช่วยผู้อานวยการและตัวแทนประจา<br />

ภูมิภาคเอเชียและแปิกขององค์การ<br />

เกษตรและอาหารแห่งสหประชาชาติ<br />

(s ssisa ircrra<br />

a ia rsai r sia<br />

a h acic iruki uma)<br />

ได้กล่าวถงพระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />

มหาภูมิพลอดุลยเดช ว่า<br />

พวกเราาบ้งถงพระอุตสาหะ<br />

อันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของพระบาท<br />

สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />

ในพระราชกรณียกิจที่เกี่ยวกับดิน ่งไม่ใช่<br />

เพาะในระดับประเทศเท่านั้น แต่ยังรวม<br />

ถงในระดับสากลด้วย<br />

ความรักต่อดินและปจจัยสาคัญ<br />

ต่อความมั่นคงทางอาหารและการพันา<br />

ที่ยั่งยืนได้ถูกให้ความสาคัญด้วยการ<br />

เลิมลองในวันดินโลก ่งตรงกับวันที่<br />

๕ ธันวาคม อันเปนวันคล้ายวันพระราช<br />

สมภพของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />

มหาภูมิพลอดุลยเดช<br />

ดังนั้น ที่ประชุมฯ จงมีมติสนับสนุน<br />

และร่วมกันผลักดันให้มีการจัดตั้ง วันดิน<br />

โลก (r i a) ให้ตรงกับวันที่<br />

๕ ธันวาคมของทุกป ่งตรงกับวันคล้าย<br />

วันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จ<br />

พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />

ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕<br />

ศาสตราจารย์เกียรติคุณ ดรสตีเน<br />

นอร์ตคลิ (mrius rssr r<br />

h rci) กรรมการบริหาร<br />

สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ เข้า<br />

เฝาทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าฯ ถวาย<br />

รางวัลนักวิทยาศาสตร์ดินเพื่อมนุษยธรรม<br />

(h umaiaria i ciis)<br />

และขอพระบรมราชานุญาตให้วันที่ ๕<br />

ธันวาคมของทุกปเปน วันดินโลก เพื่อ<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 5


ให้วันดังกล่าวเปนที่รู้จักแพร่หลาย<br />

ในระดับนานาชาติ เกิดความต่อเนื่อง<br />

และจริงจังในการรณรงค์ด้านทรัพยากรดิน<br />

ในทุกระดับ<br />

หลังจากนั้น องค์การอาหารและ<br />

การเกษตรแห่งสหประชาชาติ ()<br />

สหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ<br />

และสานักงานที่ปรกษาการเกษตร<br />

ต่างประเทศ ประจากรุงโรม จงได้นาเสนอ<br />

ประเด็นดังกล่าวเกี่ยวกับบทบาทและ<br />

ความสาคัญของทรัพยากรดินที่มีต่อความ<br />

มั่นคงทางอาหารของโลก และการกาหนด<br />

ให้วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกป เปนวันดิน<br />

โลก กระทั่งมีการรับรองข้อเสนอดังกล่าว<br />

พร้อมทั้งสนับสนุนและส่งเสริมให้องค์การ<br />

สหประชาชาติ จัดกิจกรรมเปนการเพาะ<br />

ต่าง อาทิ การประกาศให้ปพุทธศักราช<br />

๒๕๕๘ (คศ ๒๐๑๕) เปน “ปดินสากล”<br />

อีกด้วย<br />

จงเปนที่น่ายินดีที่ประชาคมโลกต่าง<br />

ตระหนักในความสาคัญและยกย่องว่า<br />

วันที่ ๕ ธันวาคมของทุกป เปนวันดินโลก ่ง<br />

ตรงกับวันคล้ายวันพระราชสมภพของ<br />

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />

อดุลยเดช แต่ในทางกลับกัน ก็ยังเปนเรื่อง<br />

น่าเสียดายที่มีประชาชนชาวไทยเพียง<br />

จานวนน้อยคนนักที่จะทราบถงวันสาคัญ<br />

อันน่าภาคภูมิใจนี้ เพราะเมื่อตั้งคาถาม<br />

เกี่ยวกับวันดินโลกไปแล้ว คาตอบส่วน<br />

ใหญ่ที่ได้มาคือไม่ทราบว่าเปนวันที่เท่าไร<br />

และมีความเกี่ยวข้องกับประเทศไทย<br />

อย่างไร และที่น่าเศร้ามากที่สุดคือ<br />

ประชาชนในประเทศไทยจานวนไม่น้อยที่<br />

ยังคงเดินหน้าทาลายดินอย่างไร้สานก ใน<br />

การร่วมกันรักษาทรัพยากรดินนี้ไว้ให้<br />

คนรุ่นต่อ ไป โดยเพาะมีการเผาปา ถาง<br />

ปาไม้ต้นน้าลาธาร เพื่อปลูกพืชอาหารสัตว์<br />

สาหรับจาหน่ายให้กับกิจการขนาดใหญ่<br />

จนส่งผลให้หน้าดินพังทลายและพื้นที่<br />

ต้นน้าลาธารได้รับความเสียหาย นามาสู่<br />

การเกิดภัยธรรมชาติและภัยแล้งที่ปราก<br />

อยู่ในปจจุบัน นอกจากนี้ ยังมีการส่งเสริม<br />

การปลูกพืชพลังงาน อาทิ มันสาปะหลังที่<br />

ทาให้หน้าดินเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว จง<br />

นับเปนการใช้ประโยชน์ของดินอย่างไม่รู้<br />

คุณค่า ทาให้หน้าดินที่เคยอุดมสมบูรณ์ใน<br />

ประเทศมีความสุ่มเสี่ยงที่จะถูกทาลาย<br />

อย่างต่อเนื่อง<br />

ท่านผู้อ่านทราบบ้างหรือไม่ว่า<br />

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />

อดุลยเดช ได้พระราชทานชี้แนะทางออก<br />

ในการแก้ไขปญหาเรื่องการอนุรักษ์ดิน<br />

ด้วยแนวทางการเกษตรที่เปนมิตรกับ<br />

สิ่งแวดล้อมอันเปนแนวทางสาคัญที่ทั่วโลก<br />

นาไปใช้ประโยชน์ในเรื่องการอนุรักษ์และ<br />

รักษาดินเพื่อการเกษตรกรรม โดยมี<br />

หลักสาคัญคือ ใช้ประโยชน์ของความ<br />

พอเพียงเปนศูนย์กลางแทนที่จะเปนผล<br />

ประโยชน์ทางการเงิน แนวทางนี้เปนที่<br />

รู้จักกันในชื่อว่า “โคกหนองนาโมเดล”<br />

่งมีเนื้อหาสาคัญ สรุปดังนี้<br />

๑. แนวทางการอนุรักษและฟนฟู<br />

ทรัพยากรปามที่เกื้อกูลต่อความ<br />

ตองการดานเศรษฐกิจและสังคม โดย<br />

พิจารณาประโยชน์ของปา ๔ ประการ คือ<br />

พออยู่ (ปลูกไม้เนื้อแข็งอายุยืนเพื่อใช้สร้าง<br />

ที่พักอาศัยและเครื่องเรือน รวมทั้งยัง<br />

สามารถรักษาไว้เปนทรัพย์สินในอนาคต<br />

ได้) พอกิน (ปลูกต้นไม้ที่ใช้เปนอาหารหรือ<br />

ใช้เปนสมุนไพร) พอใช (ปลูกพืชโตเร็วเพื่อ<br />

นามาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจาวัน) และ<br />

พอร่มเย็น (ปลูกปาเพื่อประโยชน์ทั้งสาม<br />

6<br />

พตรี ัวิ ินัน


อย่างจะนาไปสู่ความร่มเย็นและระบบ<br />

นิเวศที่อุดมสมบูรณ์มากข้น)<br />

๒. แนวทางการปลูกพืชอย่างผสม<br />

ผสานเพื่อใหเกิดความหลากหลายทาง<br />

ชีวภาพรวมถึงประโยชนสูงสุดจากการใช้<br />

พื้นที่และแสงอาทิตย์ โดยพิจารณาไม้ ๕<br />

ประเภท คือ ไม้สูง (ไม้ลาต้นสูงใหญ่และ<br />

อายุยืน) ไม้กลาง (ไม้ลาต้นไม่สูงนักเช่น<br />

ไม้ผล) ไม้เตี้ย (ต้นไม้พุ่มเตี้ย) ไม้เรี่ยดิน<br />

(พืชตระกูลไม้เลื้อย) และไม้หัวใต้ดิน<br />

. แนวทางการจัดสรรพื้นที่ รวม ๓<br />

ประการ คือ<br />

.๑ จัดทาโคก นาดินจากการขุด<br />

หนองมาถมทาโคกเพื่อให้น้าท่วมไม่ถง<br />

บริเวณนี้เหมาะแก่การพักอาศัย ปลูกผัก<br />

สวนครัว และเลี้ยงสัตว์ด้วย ควรปลูกแฝก<br />

่งมีรากยาวถง ๓ เมตรในพื้นที่ลาดและ<br />

บริเวณรอบหนองน้าเพื่อช่วยยดหน้าดิน<br />

และชะลอการไหลของน้าผิวดิน่งจะช่วย<br />

ให้ดินสามารถกักเก็บน้าได้มากข้น<br />

.๒ จัดทาหนองน้า เพื่อช่วยให้<br />

เกษตรกรมีน้าใช้ตลอดป น้าที่เก็บไว้จะม<br />

ลงไปใต้ผิวดินช่วยให้มีแหล่งน้าดื่มที่<br />

สะอาดแม้ในฤดูแล้ง ประเมินว่าหาก<br />

เกษตรกร ๑ ล้านครอบครัว ขุดหนองน้า<br />

ขนาด ๑๐๐๐๐ ลูกบาศก์เมตร จะสามารถ<br />

เก็บน้าได้มากกว่าเขื่อนสิริกิติ์ ่งจะ<br />

สามารถแก้ปญหาน้าท่วมได้โดยไม่ต้อง<br />

สูญเสียพื้นที่ปา นอกจากแฝกแล้วควร<br />

ปลูกพืชตระกูลถั่วที่ใบร่วงมาก (อาทิ<br />

จามจุรี ทองหลาง) รอบหนองน้าเพื่อตรง<br />

ไนโตรเจนลงดิน ใบไม้ที่ร่วงลงพื้นจะช่วย<br />

ควบคุมวัชพืชและคลุมหน้าดินให้มีความ<br />

ชุ่มชื้น ส่วนใบไม้ที ่ร่วงลงน ้าจะช่วยเพิ่ม<br />

ปริมาณอินทรียวัตถุและจุลินทรีย์ให้กับน้ า<br />

ที่จะนามาใช้เลี้ยงพืช<br />

. จัดทาคันนา ให้มีความสูงและ<br />

กว้างจะสามารถเก็บได้ทั้งน้าและปลา<br />

อีกทั้งยังสามารถปลูกพืชบนคันนา<br />

ได้อีกด้วย ควรปลูกข้าวพันธุ์พื้นบ้าน<br />

เนื่องจากเปนพันธุ์ที่เหมาะสมกับสภาพ<br />

แวดล้อมที ่สุด การปลูกข้าวโดยไม่ใช้<br />

สารเคมีจะทาให้ต้นข้าวมีรากที่ยาวและ<br />

แข็งแรงเพราะจะต้องหาอาหารด้วยตนเอง<br />

จงทนต่อความแห้งแล้งและสามารถหา<br />

อาหารได้ดีกว่า ควรปลูกพืชหมุนเวียนและ<br />

เลี้ยงแหนแดงเพื่อเพิ่มธาตุอาหารในนา<br />

. แนวทางพิจารณาสัดส่วนการ<br />

จัดสรรพื้นที่ โดยพิจารณากาหนดสัดส่วน<br />

การจัดสรรพื้นที่ตามแนวเศรษฐกิจพอเพียง<br />

สามารถปรับใช้ตามความเหมาะสม<br />

กล่าวคือ<br />

ปลูกพืช ๓ ส่วน<br />

สระน้า ๓ ส่วน<br />

นาข้าว ๓ ส่วน<br />

ที่อยู่อาศัย ปลูกผัก เลี้ยงสัตว์ ๑ ส่วน<br />

พระราชกรณียกิจของพระบาท<br />

สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />

ได้สะท้อนให้เห็นถงความสาคัญของผืนดิน<br />

ของไทย และการพิทักษ์รักษาไว้่งความ<br />

อุดมสมบูรณ์เพื่อความมั่นคงทางอาหาร<br />

ของไทยและเปนมรดกที่สาคัญสืบทอด<br />

ไปยังอนุชนรุ่นต่อไป ผู้เขียนจงใคร่ขอให้<br />

ทุกท่านกรุณาตระหนักถงความสาคัญและ<br />

ร่วมกันอนุรักษ์ทรัพยากรดินเพื่อสนอง<br />

พระราชปณิธานอันแน่วแน่ของพระบาท<br />

สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />

ที่ทรงบาเพ็ญมาจนเปนรากฐานมั่นคง<br />

ของการอนุรักษ์ทรัพยากรประเทศไทย<br />

ให้มีความรุ่งเรืองต่อไป<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 7


ครังหน งม<br />

ระท นั<br />

นั<br />

บว่าเปนบุญวาสนาอย่างยิ่งที่<br />

ผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าร่วมในงาน<br />

พระราชพิธีบาเพ็ญพระราช<br />

กุศลและถวายสักการะพระบรมศพ<br />

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />

อดุลยเดช ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท<br />

ในพระบรมมหาราชวัง เพราะนอกจากจะ<br />

ได้มีโอกาสร่วมงานพระราชพิธีบาเพ็ญ<br />

พระราชกุศลแล้ว ยังมีโอกาสได้พบเห็น<br />

เรื่องราวสาคัญที่ถือว่าเปนการเปด<br />

โลกทัศน์ที่ดีในชีวิตอีกครั้งหน่ง ่งผู ้เขียน<br />

ใคร่ขอใช้โอกาสนี้ถ่ายทอดให้ทุกท่านได้<br />

กรุณารับทราบด้วย อย่างไรก็ตาม หาก<br />

ท่านใดที่ทราบและอาจมีข้อมูลที ่ชัดเจน<br />

กว่าผู้เขียนด้วยแล้ว ผู้เขียนก็ขออภัยไว้<br />

ณ โอกาสนี้ พร้อมกับขอโอกาสนาเสนอ<br />

เรื่องราวดี ให้ผู้อ่านท่านอื่น ได้กรุณา<br />

ทราบ กล่าวคือ<br />

เรื่องแรก พระที่นั่งดุสิตมหา<br />

ปราสาท ่งถือเปนพระที่นั่งคู่ราชวงศ์จักรี<br />

มีลักษณะของสถาปตยกรรมทรงปราสาท<br />

ก่ออิฐถือปูนฐานแบบจัตุรมุข ด้านเหนือมี<br />

มุขเด็จยื่นออกมา ที่สาคัญคือหน้าบัน<br />

จาหลักรูปพระนารายณ์ทรงสุบรรณ<br />

ล้อมรอบด้วยลายกนกเทพนม มุมยอด<br />

ปราสาททั้งสี่มุมเปนรูปลายพญาครุฑหน้า<br />

บันจาหลักรูปพระนารายณ์ทรงครุฑไขรา<br />

รอบปราสาทเปนรูปครุฑยุดนาครองรับ<br />

ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธ<br />

ยอดาจุาโลกมหาราช ได้เสด็จออกว่า<br />

ข้าวายสักการะ<br />

งดสิมหาปราสาท<br />

พลตรี ชัยวิทย ชยาภินันท<br />

พระทีนังดุสิตมหาราสาท<br />

ราชการที่ท้องพระโรง และต่อมาใน<br />

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุเกล้า<br />

เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง<br />

การพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช<br />

นอกจากนี้ ยังเปนสถานที่ประกอบ<br />

พระราชพิธีัตรมงคล ในวันที่ ๕ พฤษภาคม<br />

ของทุกป ทั้งนี้ เมื่อพระบาทสมเด็จ<br />

พระพุทธยอดาจุาโลกมหาราชเสด็จ<br />

สวรรคต ได้อัญเชิญพระบรมศพมาตั้งไว้ที่<br />

พระที่นั่งองค์นี้ จนกลายเปนธรรมเนียมที่<br />

จะต้องประดิษฐานพระบรมศพสมเด็จ<br />

พระมหากษัตราธิราชเจ้า และสมเด็จพระ<br />

อัครมเหสีไว้บนพระที่นั่งองค์นี้ ่งผู้ใหญ่<br />

ท่านหน่งได้กล่าวกับผู้เขียนว่า ที่ต้อง<br />

อัญเชิญพระบรมศพพระบาทสมเด็จ<br />

พระเจ้าอยู่หัวมาประดิษฐานไว้บน<br />

พระมหาปราสาท เพราะมีคติว่า พระบาท<br />

สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเปนพระโพธิสัตว์<br />

ที่ทรงมีความเมตตาเสด็จลงมาเพื่อสร้าง<br />

ประโยชน์ให้แก่โลกมนุษย์ และเมื่อทรง<br />

เสร็จสิ้นพระราชภารกิจก็จะเสด็จกลับสู่<br />

สวรรค์ชั้นดุสิตอันเปนที่สถิตของพระ<br />

โพธิสัตว์ทุกพระองค์เพื่อจะได้บาเพ็ญ<br />

บารมีเพื่อตรัสรู้เปนพระพุทธเจ้าพระองค์<br />

ต่อไป<br />

เรื่องที่สอง พระนพปลมหา<br />

เศวตัตร ่งเปนเครื่องสูงสาหรับพระ<br />

มหากษัตริย์ที่สาคัญที่สุด และแสดงถง<br />

ความเปนพระมหากษัตริย์ มีลักษณะเปน<br />

ัตรสีขาว ๙ ชั้น แต่ละชั้นประดับทอง ๓<br />

เส้น ประดิษฐาน ณ พระแท่นพระราช<br />

บัลลังก์ประดับมุก โดยในพระราชพิธีได้<br />

ประดิษฐานพระพุทธรูปประจาพระชนม<br />

วาร (พระพุทธรูปประจาวันจันทร์อันเปน<br />

วันพระราชสมภพมีพุทธลักษณะประทับ<br />

ยืนแบบสมภังค์ แสดงปางห้ามญาติหรือ<br />

ปางอภัยมุทราด้วยพระหัตถ์ขวาเพียง<br />

ข้างเดียว ส่วนพระหัตถ์้ายทอดลงข้าง<br />

พระวรกาย พระพุทธรูปมีพุทธลักษณะ<br />

คล้ายพระพุทธรูปแบบสุโขทัย)<br />

่งสิ่งที่น่าสนใจมากอีกประการหน่ง<br />

คือ ที่พระนพปลมหาเศวตัตร ยัง<br />

ประกอบด้วยองค์เทวดารักษาัตร ที่มี<br />

นามว่า พระกาพูัตร ทาด้วยทองคา อยู่<br />

ในท่าเหาะถือพระขรรค์ อยู่บนกาพูของ<br />

ัตร (ส่วนที่รวมี่ของัตรไว้) โดยมีการจัด<br />

สร้างข้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />

พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้จะมีการจัด<br />

8<br />

พตรี ัวิ ินัน


ลองพระบาทเชิงงอน) และเครื่อง<br />

ราชูปโภค (ประกอบด้วย พานพระ<br />

ขันหมาก พาน ๒ ชั้น รูปสี่เหลี่ยมย่อมุม<br />

มีองพลูและเครื่องพร้อมสาหรับใส่หมาก<br />

พระมณฑปรัตนกรัณฑ์ ภาชนะรูปทรง<br />

มณฑปมีพานรองพร้อมฝา สาหรับใส่น้าเย็น<br />

มีจอกลอยอยู่ภายใน พระสุพรรณศรี <br />

กระโถนเล็ก ทาเปนรูปบัวแก สาหรับ<br />

บ้วนพระโอษฐ์และพระสุพรรณราช <br />

กระโถนปากแตรขนาดใหญ่)<br />

> สอง เบื้อง้ายของพระบรมโกศ<br />

พระกําพูัตร<br />

ทาพวงมาลัยห้อยอยู่ที่กาพูัตรเสมอ เพื่อ<br />

เปนการสักการะพระกาพูัตร<br />

เรื่องที่สาม พระบรมโกศ โดยมีการ<br />

ประดิษฐานพระบรมโกศทองใหญ่ ที่มี<br />

ลักษณะเปนพระโกศแปดเหลี่ยม ยอดทรง<br />

มงกุ ทาจากไม้หุ้มทองคา ประดับพลอย<br />

ขาวทรวดทรงและลวดลาย ทั้งยังมีการ<br />

ประดับที่สาคัญ กล่าวคือ<br />

ยอดพระโกศปกพุ่มดอกไม้เพชร<br />

ฝาพระโกศ ประดับดอกไม้ไหว<br />

ดอกไม้เพชร<br />

ปากพระโกศ ห้อยเองเพชร<br />

ระย้าเพชร อุบะดอกไม้เพชร<br />

เอวพระโกศ ปกดอกไม้เพชร<br />

สาหรับเบื้องหน้าพระบรมโกศ มีการ<br />

ประดิษฐานเครื ่องสูงสาหรับพระมหา<br />

กษัตริย์ที่มีความสาคัญยิ่ง ่งประกอบด้วย<br />

> หนึ่ง เบื้องขวาของพระบรมโกศ<br />

(หากท่านเข้าถวายสักการะพระบรมศพ<br />

จะเห็นว่าประดิษฐาน ณ เบื้อง้ายมือ<br />

ของท่าน) คือ พระประทีป เครื่องราช<br />

กกุธภัณฑ์ (ประกอบด้วย พระมหาพิชัย<br />

มงกุ พระแสงขรรค์ชัยศรี ธารพระกร<br />

วาลวิชนี พัดวาลวิชนี พระแส้จามรี และ<br />

พระระที เครองราชกกุภัณ<br />

ละเครองราชูโภค<br />

(หากท่านเข้าถวายสักการะพระบรมศพ<br />

จะเห็นว่าประดิษฐาน ณ เบื้องขวามือของ<br />

ท่าน) คือ เครื่องราชอิสริยาภรณ์ (ประกอบ<br />

ด้วย สายสะพายรวม ๘ ตระกูล คือ เครื่อง<br />

ขัตติยราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติคุณ<br />

รุ่งเรืองยิ่งมหาจักรีบรมราชวงศ์ เครื่องราช<br />

อิสริยาภรณ์อันเปนมงคลยิ่งราชมิตราภรณ์<br />

เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันเปนโบราณ<br />

มงคลนพรัตนราชวราภรณ์ เครื่องราช<br />

อิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ชั้นปฐม<br />

จุลจอมเกล้าวิเศษ เครื่องราชอิสริยาภรณ์<br />

อันมีศักดิ์รามาธิบดี ชั้นที่ ๑ (เสนางคะบดี)<br />

เครองราชอิสริยาภรณ เหรียญราชอิสริยาภรณ<br />

ระจําพระองค ละพระคทาจอมทัพภูมิพล<br />

เครื่องราชอิสริยาภรณ์ อันเปนที่เชิดชูยิ่ง<br />

ช้างเผือก ชั้นมหาปรมาภรณ์ช้างเผือก<br />

เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่ง<br />

มงกุไทย ชั้นมหาวชิรมงกุ และเครื่อง<br />

ราชอิสริยาภรณ์อันเปนที่สรรเสริญยิ่ง<br />

ดิเรกคุณาภรณ์ ชั้นปฐมดิเรกคุณาภรณ์)<br />

เหรียญราชอิสริยาภรณ์ประจาพระองค์<br />

และสิ่งที่สาคัญของทหารไทยมาก คือ<br />

พระคทาจอมทัพภูมิพล ่งประดิษฐานบน<br />

หมอนแพรสีเหลืองทองประดับบนพาน<br />

ข้างพานประดิษฐานเครื่องราช<br />

อิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ ่งมงกุไทย<br />

ชั้นมหาวชิรมงกุ ดังภาพที่ปรากตาม<br />

บทความนี้<br />

ผู้เขียนจงขอเรียนให้ทุกท่านได้กรุณา<br />

ทราบอีกครั้งว่า เมื่อท่านมีโอกาสเข้าถวาย<br />

สักการะพระบรมศพ ณ พระที่นั่งดุสิต<br />

มหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง ขอ<br />

ให้ท่านได้กรุณาสังเกตและมองเครื่องสูง<br />

ดังที่ผู้เขียนได้อรรถาธิบายดังกล่าว<br />

่งจะเกิดเปนสิริมงคลแก่ชีวิตของท่าน<br />

ตลอดไป<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 9


10<br />

คําสอนของพ่อ...มรดกที ่ยิ ่งใหญ่


กว่า ๗๐๐ ป ที่ประเทศไทยเปน<br />

ปกแผ่นมาจนถงทุกวันนี้ ความ<br />

ผูกพันที่คนไทยมีต่อสถาบัน<br />

พระมหากษัตริย์มิเคยจืดจางลงแต่อย่างใด<br />

แม้คนไทยยุคนี้จะมีภาพการทรงงานของ<br />

พระเจ้าแผ่นดินน้อยหรือแทบไม่เคยรับรู้<br />

เลย แต่นั่นไม่ได้ทาให้สายใยระหว่างา<br />

กับดินเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อันเปนผล<br />

มาจากการเติมเต็มเรื่องราวจากคาบอกเล่า<br />

ผ่านสื ่อทุกแขนง ภายหลังการเสด็จ<br />

สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />

มหาภูมิพลอดุลยเดช ตั้งแต่วันที่ ๑๓<br />

ตุลาคม พศ๒๕๕๙ เปนต้นมา<br />

ความรู้สกของคนไทยตั้งแต่รุ่นทวด<br />

ปู ย่า ตา ยาย เมื่อครั้งต้องพบกับความสูญเสีย<br />

นับจากวันที่ ๒๓ ตุลาคม พศ๒๔๕๓<br />

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พศ<br />

๒๔๘๙ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />

อานันทมหิดลเสด็จสวรรคต จนถงวันที่ ๑๓<br />

ตุลาคม พศ๒๕๕๙ คือความว้าเหว่ เดียวดาย<br />

และรู้สกสูญเสียครั้งใหญ่หลวงเกินกว่า<br />

ใจจะยอมรับ เมื่อตระหนักว่า นับแต่นี้<br />

พระมหากษัตริย์่งเคยเปนศูนย์รวมดวงใจ<br />

จะไม่อยู่อีกต่อไป จงต่างระดมกันค้นคว้า<br />

หาเรื่องราวของพระองค์มาบอกเล่า มีให้<br />

เห็นทั้งคลิปวิดีโอ เทปบันทกพระราชดารัส<br />

ข้อมูลข่าวสาร สารคดี บทสัมภาษณ์จาก<br />

บุคคลต่าง จนภาพที่พร่าเลือน มองเห็น<br />

ได้ชัดเจนประทับอยู่ในความทรงจาเกี่ยว<br />

กับพระราชกรณียกิจและพระราชมรดก<br />

อันล้าค่าที่ฝากไว้ ตลอด ๗๐ ป แห่งการ<br />

ครองสิริราชสมบัติ<br />

เพาะโครงการพระราชดาริ คนไทย<br />

เพิ่งจะมีโอกาสรับรู้ว่า ๗๐ ป ที่ทรงครอง<br />

ราชย์ หรือ ๒๕๕๕๐ วัน ทรงมีโครงการ<br />

พระราชดาริถง ๔๘๕ โครงการ เลี่ย<br />

แล้วทรงมีโครงการใหม่เพื่อประชาชนทุก<br />

๕๔ วันหรือกล่าวอีกนัยหน่ง ใน ๑ สัปดาห์<br />

จะมีโครงการพระราชดาริ ๑ โครงการ<br />

อยู่ตลอดเวลา ทุกโครงการล้วนแล้วแต่<br />

พลิกความหมดหวังให้มองเห็นความหวัง<br />

ทุกโครงการเชื่อว่าจะเปนไปไม่ได้ แต่ทรง<br />

ทาให้กลับกลายเปนไปได้<br />

วลีที่หลายคนพูดว่า ันดน<br />

ัา คือความภาคภูมิใจที่บ่งบอก<br />

ให้รับรู้ว่า คนรุ่นเดียวกันนี้โชคดี แต่มีหลาย<br />

คนโชคดียิ่งกว่าเพราะมีโอกาสได้ยินได้ง<br />

พระบรมราโชวาทและพระราชดารัสใน<br />

โอกาสต่าง ที่สาคัญที่สุดคือ ทุกวันที่ ๔<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />

11


ธันวาคม ก่อนวันเลิมพระชนมพรรษา ๕<br />

ธันวาคมเพียง ๑ วัน จะเปนห้วงเวลาที่<br />

พสกนิกรชาวไทยทุกคนรอคอยพ่อของ<br />

แผ่นดินที่จะมีพระราชดารัสต่อผู้เข้าเฝาฯ<br />

เปนพระราชดารัสที่จะทรงใช้เวลานานกว่า<br />

ทุก ครั้ง เพื่อสอนลูก ของพระองค์<br />

รองศาสตราจารย์มัลลิกา ตัณฑนันทน์<br />

และคณะ ได้มีผลงานวิจัยเรื่อง การศกษา<br />

พระราชดารัสและพระบรมราโชวาท<br />

เกี่ยวกับการดาเนินชีวิตของคนในชาติ ่ง<br />

ได้รับทุนสนับสนุนการวิจัยจากสถาบันวิจัย<br />

และพันา มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์<br />

มีรายละเอียดเปนที่น่าสนใจอย่างยิ่ง<br />

เปนการศกษาวิเคราะห์ประมวลพระราช<br />

ดารัสและพระบรมราโชวาทที่สานักราช<br />

เลขาธิการจัดพิมพ์เปนรายป ตั้งแต่เล่มแรก<br />

คือประมวลพระราชดาริ ป พศ๒๕๑๑<br />

จนถงป ๒๕๔๐ และศกษาเพิ่มเติมอีกจาก<br />

ประมวลพระราชดารัสและพระบรมราโชวาท<br />

ในโอกาสต่าง จากเล่มล่าสุด ในป พศ<br />

๒๕๔ รวมทั้งสิ้น ๕๓ เล่ม<br />

การศกษาวิจัยพบว่า พระบรม<br />

ราโชวาทและพระราชดารัสของพระบาท<br />

สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />

หรือเปนเสมือนคาสอนของพ่อนั้นได้<br />

พระราชทานแก่คณะบุคคลต่าง ไว้หลาก<br />

หลายในทุกสาขาอาชีพ สาหรับข้าราชการ<br />

พลเรือน ทหาร ตารวจ ฝายบริหารและ<br />

ฝายนิติบัญญัติ ฝายปกครองส่วนภูมิภาค<br />

นักกหมาย ผู้พิพากษา ตุลาการ<br />

ทนายความ เกษตรกร ผู้นาทางศาสนา<br />

ผู้เผยแผ่ศาสนา เด็กนักเรียน เยาวชน<br />

ประชาชนทั่วไป บัณฑิตผู้สาเร็จการศกษา<br />

แพทย์ นักหนังสือพิมพ์ นักเรียน ครู<br />

อาจารย์ สรุปเปนข้อคิดที ่สามารถนาไป<br />

ประยุกต์ในการดาเนินชีวิตของประชาชน<br />

ทุกเพศทุกวัย หลากหลายอาชีพ เพื่อให้มี<br />

ชีวิตที่ถูกต้องสมบูรณ์และดีงามอันเปน<br />

ประโยชน์ต่อประเทศชาติโดยรวมและ<br />

ในระยะยาวต่อไป<br />

สาหรับประเด็นคาสอนที่คณะผู้วิจัย<br />

ได้นามาเปนกรอบการศกษาและวิเคราะห์<br />

ประกอบด้วยบทบาทหน้าที่ความสาคัญ<br />

ของงาน ของกลุ่มบุคคลที่เข้าเฝาฯ ความรู้<br />

พื้นฐานที่จาเปนต้องมีในการปิบัติงาน<br />

การนาความรู้ไปใช้ในการปิบัติงาน<br />

แนวทางปิบัติงาน และแนวทางปิบัติตน<br />

่งจากการศกษาพบว่า คาสอนที่พระบาท<br />

สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />

พระราชทานแก่บุคคลต่าง นั้น แสดงถง<br />

พระราชปณิธานที่จะให้ทุกคนตระหนักใน<br />

หน้าที่และปิบัติหน้าที่เต็มความรู้ความ<br />

สามารถ ประสานประโยชน์และอยู่ร่วมกัน<br />

อย่างเอื้อเอ ช่วยเหลือ่งกันและกัน เพื่อ<br />

ความเจริญมั่นคงของตนและส่วนรวม<br />

เปนสาคัญ<br />

ทั้งนี้ มิเพียงจะแสดงออกในด้าน<br />

พระบรมราโชวาทและพระราชดารัส<br />

เท่านั้น แต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />

มหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงปิบัติพระองค์<br />

เปนแบบอย่างตามครรลองแห่งคาสอนที่<br />

พระราชทานตลอดมา ทั้งในการประกอบ<br />

พระราชกรณียกิจในการครองแผ่นดิน<br />

ทรงศกษาปญหาอย่างลก้งก่อนจะมี<br />

พระราชวินิจัยและพระราชดาริต่าง<br />

โดยคานงถงประโยชน์สุขของอาณา<br />

ประชาราษร์และความเจริญพันา<br />

ของประเทศชาติบ้านเมืองเปนที่ตั้ง<br />

ด้านการดารงพระชนม์ชีพ ทรงเปน<br />

แบบอย่างประจักษ์ชัดในพระจริยวัตร<br />

12 ØÒ ÁÕǧÈ


ตามพระปฐมบรมราชโองการ “เราจะ<br />

ครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชนสุข<br />

แห่งมหาชนชาวสยาม” ตั้งแต่พระราชพิธี<br />

บรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม<br />

พศ๒๔๙๓ แม้แต่แนวปรัชญาเศรษฐกิจ<br />

พอเพียงที่พระราชทานแก่พสกนิกรชาว<br />

ไทยและถูกหยิบยกนาไปใช้อย่างแพร่<br />

หลายจากสหประชาชาติ ก็ทรงบาเพ็ญ<br />

พระองค์เปนแบบอย่างมาช้านาน ด้วยความ<br />

เรียบง่าย ประหยัด จนนามาสู่เรื่องเล่าขาน<br />

มากมาย ทั้งเรื่องการใช้ดินสอที่สั้นกุด การ<br />

ใช้ยาสีนจนรีดหลอดแบนเรียบ การใช้<br />

รองพระบาท ตลอดจนการใช้รถหลวง ่ง<br />

ล้วนแต่มีอายุการใช้งานยาวนานทั้งสิ้น<br />

พระบรมราโชวาทและพระราชดารัส<br />

ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา<br />

ภูมิพลอดุลยเดช ตลอดการครองราชย์ ๗๐<br />

ป ไม่ต่างไปจากคาสอนของพ่อที่มุ่งหวังให้<br />

ลูกประพฤติปิบัติเปนเสมือนเครื่องยด<br />

เหนี่ยวความดีงามและเตือนสติคนในชาติ<br />

ที่อยู่ร่วมกันอย่างหลากหลายสาขาอาชีพ<br />

อาทิ ผู้พิพากษา คุณประสพสุข บุญเดช<br />

อดีตประธานวุิสภา เล่าว่าในฐานะที่เปน<br />

ข้าราชการตุลาการมาตลอดชีวิตการ<br />

ทางาน ๓๐ กว่าป ได้อาศัยพระบรม<br />

ราโชวาทของพระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />

มหาภูมิพลอดุลยเดช เปนหลักในการ<br />

ปิบัติงาน การทาหน้าที่ผู้พิพากษาทาโดย<br />

พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ จงยด<br />

มั่นในพระบรมราชโองการที่ทรงตรัสว่า<br />

าคองนดนดมอ<br />

นสุงมานาวสาม<br />

ด้วยการปิบัติหน้าที่ด้วยการให้ความเปน<br />

ธรรมแก่ประชาชน ื่อสัตย์สุจริต ไม่ทางาน<br />

ในสิ่งที่ไม่ยุติธรรมแก่สังคมเพราะ<br />

ประชาชนต่างหวังพ่งศาล ทรงให้พระบรม<br />

ราโชวาทแก่ผู้พิพากษาว่า เวลาปิบัติงาน<br />

ต้องคานงถงความเปนธรรม อย่าไปยด<br />

หลักกหมายเพียงอย่างเดียว<br />

แม้แต่ตอนที่บ้านเมืองเกิดวิกฤติ<br />

เหตุการณ์เดือนพฤษภาคม ๒๕๓๕ เมื่อ<br />

พลตรี จาลอง ศรีเมือง นามวลชนประท้วง<br />

พลเอก สุจินดา คราประยูร นายกรัฐมนตรี<br />

ขณะนั้น จนบ้านเมืองเกิดความวุ่นวาย<br />

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />

อดุลยเดช เชิญทั้ง ๒ คนมาพูดคุย แล้วมี<br />

พระราชดารัสรับสั่งว่า การรบกันนั้นม่มี<br />

ใครที่จะชนะด มีแต่จะแพดวยกันทั้งคู่<br />

จงทาให้บ้านเมืองกลับสู่ความสงบอีกครั้ง<br />

สานักข่าวบลูมเบิร์กได้เผยผลสารวจ<br />

ดัชนีความทุกข์ยากประจาป ๒๕๕๙ พบว่า<br />

ไทยเปนประเทศที่มีความทุกข์ยากน้อย<br />

ที่สุดในโลก จาก ๗๔ ประเทศ ในช่วงที่<br />

เศรษฐกิจบเาคะแนนรวมความทุกข์ยาก<br />

มีเพียงร้อยละ ๑๑๑ เท่านั้น และครอง<br />

อันดับหน่งต่อเนื่องเปนปที่ ๒ โดยได้อ้าง<br />

ข้อมูลทางเศรษฐกิจในเรื่องการว่างงาน<br />

อัตราเงินเอ ค่าครองชีพและความเข้มแข็ง<br />

ของตลาดแรงงาน ตามด้วยอันดับสองคือ<br />

สิงคโปร์ และญี่ปุนเปนอันดับ ๓ ส่วน<br />

ประเทศที่ติดอันดับทุกข์ยากมากที่สุดคือ<br />

เวเนุเอลา มีคะแนนรวมความทุกข์ยากถง<br />

ร้อยละ ๑๘๘๒<br />

เหตุผลสาคัญที่คนไทยมีความสุข<br />

ท่ามกลางความทุกข์และวิกฤตได้ก็เพราะ<br />

แนวทางพระราชดาริ เศรษฐกิจพอเพียง<br />

ช่วยสร้างความสุขทางใจ ให้สุขได้ ทุกข์<br />

อย่างพอประมาณ ทุกคนมีความสุขและยิ้ม<br />

ได้เพราะคาสอนมากมายที่พระบาทสมเด็จ<br />

พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ฝาก<br />

มรดกไว้ให้ปวงชนชาวไทยได้สืบต่อไป<br />

ในการดารงชีวิต ชั่วกาลนาน<br />

บทความโดย : จุาพิช มณีวง<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />

13


ระาทสมดจระมงกกล้าจ้ายหัว<br />

ตอนที ่ ๒<br />

พูงสางวางสามั<br />

าวัองาสมดมงุา<br />

าอูัวสงอาดาา<br />

นาคอง<br />

๑.๒ การเสด็จเขารับราชการเมื่อทรงสาเร็จการศึกษา<br />

เมื่อสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ สยาม<br />

มกุราชกุมารเสด็จกลับมาถงประเทศสยามในพุทธศักราช ๒๔๔๕<br />

ทรงเข้ารับราชการทหารทันที ได้รับพระราชทานยศนายพลเอก<br />

ราชองครักษ์พิเศษและจเรทัพบก กับทั้งทรงเปนผู้บังคับการกรมทหาร<br />

มหาดเล็กรักษาพระองค์ นอกจากนั้น ทรงช่วยราชการสภาที่ปรกษา<br />

ส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมชนกนาถ และได้ทรงผนวชตาม<br />

โบราณราชประเพณี ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม โดยมี<br />

สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส ทรงเปนพระ<br />

อุปชายาจารย์ แล้วประทับจาพรรษาที่วัดบวรนิเวศวิหาร ๑ พรรษา<br />

เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔๗<br />

เมื่อทรงลาผนวช ได้ประทับอยู่ที่วังสราญรมย์ ทรงเปนองค์<br />

อุปถัมภ์สยามสมาคมและดารงตาแหน่งสภานายกหอสมุดสาหรับ<br />

พระนคร ได้เสด็จประพาสหัวเมืองทั้งฝายเหนือจนถงเมืองเชียงใหม่<br />

และหัวเมืองปกษ์ใต้จงทรงมีความรู้เรื่องของราษรที่มีวันธรรม<br />

สํานักพันาระบบราชการกลาโหม<br />

14<br />

สนักพันรรกรกโห


แตกต่างกันในบ้านเมือง ทรงสานต่องานด้าน<br />

ประวัติศาสตร์และโบราณคดี ดังจะเห็นได้จาก<br />

บทพระราชนิพนธ์ เที่ยวเมืองพระร่วง และบท<br />

ละครเรื่อง พระร่วง อันแสดงให้เห็นความสน<br />

พระราชหฤทัยค้นคว้าเรื่องราวในอดีตของ<br />

สยาม ทาให้มีการเขียนประวัติศาสตร์ของชาติ<br />

สยามอย่างเปนรูปธรรมชัดเจนในเวลาต่อมา<br />

และการเสด็จประพาสหัวเมืองของสยามทาให้<br />

ทรงมีโอกาสเปรียบเทียบทรัพยากรของสยาม<br />

กับของนานาประเทศที ่ได้เคยเสด็จประพาส<br />

จงนับว่าเปนต้นทุนที่สาคัญในการวางแผน<br />

สร้าง สยามรัฐ อย่างเปนระบบในรัชสมัย<br />

ของพระองค์<br />

ตลอดเวลาหลังจากที่สมเด็จพระบรม<br />

โอรสาธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ สยามมกุราช<br />

กุมาร เสด็จนิวัตพระนครแล้วทรงปรับความรู้<br />

ที่ทรงเล่าเรียนมาแบ่งเบาพระราชกิจจาก<br />

สมเด็จพระบรมชนกนาถหลายประการ<br />

ดังพระราชกรณียกิจต่อไปนี้<br />

๑) การปกครองบานเมือง<br />

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าา<br />

มหาวชิราวุธ สยามมกุราชกุมารทรงมีหน้าที่<br />

ตามเสด็จสมเด็จพระบรมชนกนาถ เข้าร่วม<br />

ประชุมสภาเสนาบดีตลอดมา ดังนั้น เมื่อ<br />

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

เสด็จประพาสยุโรป ครั้งที่ ๒ เมื่อพุทธศักราช<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />

๒๔๕๐ ได้พระราชทานอานาจในพระราชกิจ<br />

รักษาพระนครไว้แก่สมเด็จพระบรมโอรสา<br />

ธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ สยามมกุราชกุมาร<br />

พระองค์ทรงเปนประธานการประชุมผู้สาเร็จ<br />

ราชการที่กรุงเทพฯ มีพระบรมวงศานุวงศ์<br />

ชั้นผู้ใหญ่เปนที่ปรกษา และทรงเปนประธาน<br />

ประชุมเสนาบดี มีเสนาบดีและผู้แทนเสนาบดี<br />

ทุกกระทรวงเข้าร่วมประชุม พระองค์ทรงมี<br />

พระราชอานาจสิทธิ์ขาดบังคับบัญชาทั้งปวง<br />

๒) การปกครองทองที่<br />

ทรงจาลองแนวคิด เรื่องระบอบการ<br />

ปกครองแบบประชาธิปไตยที่ราษรมีส่วนร่วม<br />

แสดงความเห็นเพื่อพันาบ้านเมืองให้รุ่งเรือง<br />

มาทดลองปิบัติจริงต่อจากแนวคิดเรื่อง<br />

สาธารณรัฐใหม่ ที่พระราชนิพนธ์เมื่อ<br />

ประทับที่กรุงปารีสโดยทรงฝกบรรดา<br />

ข้าราชบริพารเปนทวยนาครในเมืองสมมติ<br />

ของพระองค์ชื่อ เมืองมัง ที่อยู่ในบริเวณสวน<br />

อัมพวา (แปลว่า สวนมะม่วง ดังนั้น เมืองมัง<br />

จงมาจาก มังโก a) หลังพระตาหนัก<br />

จิตรลดาที่ปารุสกวันในพระราชวังดุสิต่งเปน<br />

ที่ประทับชั่วคราว เมื่อพุทธศักราช ๒๔๔<br />

ระหว่างที่พระตาหนักที่ประทับ ณ วังสราญรมย์<br />

กาลัง่อมแม<br />

เมืองมัง เปนเรือนแถว ๒๐ ห้อง มี<br />

เลียงทางเดินติดต่อกับตาหนักที่ประทับ<br />

มีมหาดเล็กรุ่นเยาว์อยู่ห้องละ ๒ คน นับเปน<br />

หมู่บ้านเล็ก ที่กาลังพันา มีคณะผู้ควบคุม<br />

คณะหน่งเรียกว่า นคราภิบาล ทาหน้าที่เปน<br />

คณะกรรมการจัดการปกครองเมืองมัง<br />

ประกอบด้วย เชบุรุ ่งเปนหัวหน้า<br />

หมู่บ้านและผู้แทนราษร เลขาธิการเปน<br />

เจ้าหน้าที่ธุรการ โยาิการ เปนเจ้าหน้าที่ก่อสร้าง<br />

และรักษาความสะอาดของบ้านเมือง และนาย<br />

แพทย์ สุาภิบาลเปนเจ้าหน้าที่รักษาพยาบาล<br />

เมืองมัง กาหนดกระเบียบให้ทวย<br />

นาครปิบัติ เช่น ที่ประชุมทวยนาครต้องออก<br />

เสียงลงคะแนนเลือกตั้งนคราภิบาลและ<br />

เชษฐบุรุษ ต้องงคาบังคับบัญชาของเชษฐบุรุษ<br />

และกระทาการตามกระเบียบเพื่อประโยชน์<br />

และการพันาชุมชน เลือกสรรบุคคลให้ทา<br />

หน้าที่ต่าง อย่างเหมาะสมและครบถ้วนทั้ง<br />

ด้านการเงินและการรักษาความสงบเรียบร้อย<br />

ของเมือง โดยมีการจัดประชุมทวยนาครอย่าง<br />

น้อยเดือนละ ๑ ครั้ง เพื่อให้ทวยนาครได้แสดง<br />

ความคิดเห็นในเรื่องต่าง<br />

นอกจากนั้น เมืองมังมี แบงก์ลี<br />

อเทีย เปนธนาคารเพื่อรับฝากและกู้เงิน อัน<br />

เปนการสร้างความเข้าใจเรื่องการออมทรัพย์<br />

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ<br />

สยามมกุราชกุมาร ทรงเปนกรรมการผู้จัดการ<br />

หม่อมหลวงเอพ่งบุญ (คือ เจ้าพระยารามราพ)<br />

15


กับนายเทียบ อัศวรักษ์ (พระยาคทาธรบดี<br />

สีหราชบาลเมือง) เปนกรรมการ เปนการ<br />

นาความรู้วิธีการคลังออมสินของประเทศ<br />

อังกฤษที่ iurh ais ak มา<br />

ทดลองปิบัติ เพราะขณะนั้นแม้จะมีตัวแทน<br />

ธนาคารพาณิชย์ของต่างประเทศมาดาเนินงาน<br />

ในประเทศสยามบ้างแล้วก็เปนการอานวย<br />

ความสะดวกในทางธุรกิจให้บริษัทนาเข้าส่ง<br />

ออก บริษัทก่อสร้าง โรงสี โรงเลื่อย มากกว่า<br />

จะให้บริการรับฝากเงินเพื่อการเก็บออมของ<br />

ราษร พระราชดารินี้ได้ขยายออกเปนการตั้ง<br />

คลังออมสินในรัชสมัยของพระองค์<br />

เนื่องจากทวยนาครในเมืองมัง เปนผู้ที่<br />

มีความรู้ จงมีการออกหนังสือรายสัปดาห์ เพื่อ<br />

แจ้งข่าวสารและให้ความบันเทิงแก่สมาชิก<br />

ส่วนมากจะเปนพระราชนิพนธ์ในสมเด็จ<br />

พระบรมโอรสาธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ สยาม<br />

มกุราชกุมาร นอกจากนั้น ยังมีสโมสรสถาน<br />

เพื่อการพักผ่อนและการสมาคมของทวยนาคร<br />

ตลอดจนการเลี้ยงอาหารเพื่อการสมานสามัคคี<br />

อีกด้วย ในรัชสมัยของพระองค์นั้น มีการออก<br />

หนังสือพิมพ์และการจัดตั้งสมาคมต่าง<br />

จานวนมาก รวมทั้งมีการออกพระราชบัญญัติ<br />

ที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเหล่านี้อีกด้วย<br />

การทดลองเรื่องการปกครองในเมืองมัง<br />

ได้ยุติลง เมื่อทรงมีพระราชภารกิจมากข้น<br />

แต่ก็เปนที่เข้าใจว่า เมืองมัง คือเมืองสมมติ<br />

ที่มีมาก่อน ดุสิตธานี อันมีส่วนสัมพันธ์<br />

กับการจัดการปกครองส่วนท้องที่ ที่ค่อย<br />

ประกาศใช้ตามความพร้อมของแต่ละท้องถิ่น<br />

ในรัชสมัยของพระองค์ด้วยเช่นกัน<br />

) การต่างประเทศ<br />

พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />

เจ้าอยู่หัวทรงดาเนินวิเทโศบายต่าง ในการ<br />

เจริญสัมพันธไมตรีกับนานาประเทศ เช่น เสด็จ<br />

พระราชดาเนินไปเยือนนานาประเทศ จัดส่ง<br />

สิ่งของไปตั้งแสดงในงานมหกรรมนานาชาติใน<br />

ต่างประเทศ เพื่อแสดงให้เห็นพระราชไมตรี<br />

อันดีที่ทรงมีต่อประเทศนั้นและเปนโอกาส<br />

ให้ประเทศสยามได้นาเสนอภาพลักษณ์ของ<br />

ประเทศทั้งด้านความเจริญของบ้านเมือง<br />

ทรัพยากรธรรมชาติและสินค้าออกของ<br />

ประเทศให้เปนที่ปรากในที่ประชุมของนานา<br />

ประเทศด้วย เปนต้น<br />

ระหว่างที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช<br />

เจ้าามหาวชิราวุธ สยามมกุราชกุมาร<br />

ประทับอยู่ในทวีปยุโรปได้มีการจัดแสดงความ<br />

ก้าวหน้าของโลกในมหกรรมนานาชาติ<br />

หลายครั้ง ที่สาคัญคือ มหกรรมที่กรุงปารีส<br />

พุทธศักราช ๒๔๔๓ (คริสต์ศักราช ๑๙๐๐)<br />

จงทรงเข้าใจความหมายและความสาคัญ<br />

ของมหกรรมเช่นนั้นเปนอย่างดี และระหว่าง<br />

ที่เสด็จนิวัตพระนครได้แวะทอดพระเนตร<br />

สถานที่ก่อสร้างงานมหกรรมนานาชาติ ที่เมือง<br />

เ็นต์หลุยส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ทรงพบกับ<br />

โปรเสเอร์กอร์ (r r) แห่ง<br />

มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย ผู้เคยมีส่วนเกี่ยวข้อง<br />

ในการจัดแสดงพิพิธภัณฑ์ของสยามใน<br />

ต่างประเทศมาก่อน<br />

เมื่อทรงได้รับมอบหมายให้จัดการ<br />

ส่งสิ่งของไปตั้งแสดงในต่างประเทศ จงทรง<br />

วางแผนงานอย่างชัดเจน ทรงจ้างโปรเสเอร์<br />

กอร์ เปนผู้เชี่ยวชาญทาหน้าที่ผู้แทนสยาม จน<br />

เปนที่ประจักษ์ว่า ประเทศสยามประสบผลใน<br />

การสร้างภาพลักษณ์ว่ามีความเจริญทัดเทียม<br />

กับอารยประเทศ เมื่อได้นาเสนอข้อมูลที่แสดง<br />

ว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />

ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ราษรเกินกว่า<br />

หน้าที่ทั่วไปของพระเจ้าแผ่นดิน ทาให้คณะ<br />

ลูกขุนใหญ่ตัดสินให้ถวายประกาศนียบัตร<br />

เกียรติยศพิเศษแก่พระเจ้าแผ่นดินของสยาม<br />

เช่นเดียวกับพระเจ้าแผ่นดินของอังกฤษและ<br />

เยอรมนี นับตั้งแต่นั้นเปนต้นมา สมเด็จ<br />

พระบรมโอรสาธิราช เจ้าามหาวชิราวุธ<br />

สยามมกุราชกุมาร จงทรงได้รับมอบหมายให้ทรง<br />

รับผิดชอบเรื่องการตั้งแสดงสิ่งของของสยามใน<br />

ต่างประเทศ คือ การเตรียมสิ่งของไปตั้งแสดง<br />

ที่เมืองตูริน ประเทศอิตาลี พุทธศักราช ๒๔๕๔<br />

) การศึกษา<br />

สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าา<br />

มหาวชิราวุธ สยามมกุราชกุมาร ทรงเปนผู้<br />

อ่านมาก เห็นมาก ฝกฝนมาก จงทรงเปนครู<br />

ที่ดีและเริ่มต้นฝกฝนข้าราชบริพารในพระองค์<br />

ก่อนทั้งในเรื่องของระเบียบวินัย การหัดฝกฝน<br />

การปองกันตนเอง การหัดอดออมเงิน การหัด<br />

ให้ปกครองตนเอง อันเปนการสร้างพลเมืองที่<br />

มีคุณภาพตั้งแต่เริ่มต้นในวัยเยาว์ การศกษาที่<br />

ทรงริเริ่มในบรรดาข้าราชบริพารของพระองค์<br />

มีลักษณะเปนการเล่นตามบทที่สมมติไว้<br />

(r a) เช่น บทบาทหน้าที่ของทวยนาคร<br />

ในเมืองมัง เพื่อให้ผู้เรียนได้รับทั้งความรู้และความ<br />

เพลิดเพลิน ในเวลาเดียวกันทรงนาความรู้จาก<br />

หนังสือแบบเรียนมาทดลองปิบัติจริงจน<br />

ประสบผล จงทรงได้รับประสบการณ์ตรง มี<br />

โอกาสจะพันาความคิดและจินตนาการของ<br />

ตนได้มากกว่าการอ่านจากหนังสือเพียงอย่าง<br />

เดียว อย่างไรก็ตาม วิธีการที่ทรงใช้นี้หากไม่<br />

พิจารณาให้ถ่องแท้ จะเข้าใจว่าเปนเพียง การ<br />

เล่นสนุก ที่หาสาระมิได้ เพราะชาวไทยยังไม่<br />

คุ้นเคยกับการเรียนรู้ด้วยวิธีการเช่นนี้<br />

๕) การปองกันประเทศ<br />

เหตุการณ์ รัตนโกสินทรศก ๑๑๒ มี<br />

ส่วนสาคัญอย่างยิ่งที่ทาให้ทรงตระหนักถงภัย<br />

ของมหาอานาจ รวมทั้งความสาคัญของการ<br />

ปองกันบ้านเมือง จงทรงศกษาวิชาทหารใน<br />

ประเทศอังกฤษ และทรงรับราชการทหารใน<br />

ทันทีที่เสด็จนิวัตพระนคร เมื่อประทับอยู่ ณ<br />

วังสราญรมย์ ทรงประมวลความรู้ด้านการ<br />

ทหารที่ทรงได้รับการอบรมมาจากอังกฤษ<br />

ค่อย ฝกหัดให้ข้าราชบริพารส่วนพระองค์<br />

ให้เรียนรู้และคุ้นเคยกับวิธีการรบแบบต่าง<br />

ในลักษณะของ การ้อมรบ อันเปนที่มา<br />

ของการก่อตั้งเสือปาและลูกเสือ เพื่อฝกให้<br />

ประชาชนเปนกองกาลังปองกันตนเองใน<br />

รัชสมัยของพระองค์<br />

๖) กหมาย<br />

เปนวิชาสาคัญวิชาหน่งที่ทรงศกษา<br />

16 สนักพันรรกรกโห


ณ มหาวิทยาลัยออกอร์ด ที่ทรงนามา<br />

ช่วยเหลือกิจการของสภาส่วนพระองค์ของ<br />

สมเด็จพระบรมชนกนาถ ว่าด้วยเรื่องกหมาย<br />

ระหว่างประเทศ ทรงช่วยร่างกหมายทหาร<br />

(พระธรรมนูญศาลทหารและกอัยการศก)<br />

และได้พระราชนิพนธ์หนังสือว่าด้วยกหมาย<br />

นานาประเทศ เพื่อให้ความรู้แก่ราษรทั่วไป<br />

เรื่องกหมายระหว่างประเทศมีข้อปิบัติ<br />

เกี่ยวกับธรรมเนียมประเพณีและการสมาคม<br />

ของนานาอารยประเทศ เน้นเรื่องการปิบัติของ<br />

ประเทศ (uic raia La) ให้เปน<br />

แบบอย่างในการเรียบเรียงตารากหมายของ<br />

ไทย และก่อนที่จะเสด็จข้นครองราชย์ไม่นาน<br />

นัก ทรงได้รับมอบหมายให้เปนผู้กากับราชการ<br />

กระทรวงยุติธรรม<br />

กล่าวโดยสรุปว่า ความรู้และ<br />

ประสบการณ์ที่พระบาทสมเด็จพระมงกุเกล้า<br />

เจ้าอยู่หัวทรงได้รับจากการเสด็จไปทรงศกษา<br />

ในต่างประเทศเปนเวลา ๘ ปเศษ รวมทั้งทรง<br />

ปิบัติพระราชกิจในฐานะ สยามมกุราช<br />

กุมาร อีก ๘ ปเศษ คือการสั่งสมประสบการณ์<br />

ที่ทาให้พระองค์ทรงพระปรีชาสามารถในการ<br />

ดาเนินตามพระบรมราโชบายในสมเด็จ<br />

พระบรมชนกนาถสาเร็จและเปนพื้นฐานสาคัญ<br />

ในการปกครองประเทศ ทรงสร้าง สยามรัฐ<br />

ในเวลาที่ทรงดารงสิริราชสมบัติ ๑๕ ป<br />

ให้รุ่งเรืองตามพระราชดาริหลายประการมาก<br />

เท่าที่ทรงตั้งพระราชหฤทัย<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />

๒. พระราชดาริในการปกครองบานเมือง<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุเกล้าเจ้า<br />

อยู่หัว ทรงสานต่อพระราชดาริและพระราช<br />

กรณียกิจของสมเด็จพระบรมชนกนาถและ<br />

สมเด็จพระบรมอัยกาธิราช เพื่อสร้างสยามรัฐ<br />

ให้ทัดเทียมกับนานาอารยประเทศ แต่การที่ได้<br />

ทรงศกษาวิทยาการในตะวันตก ประกอบกับ<br />

บริบททางประวัติศาสตร์ที่เปลี่ยนแปลงไป<br />

เพราะคนไทยมีความรู้ต่าง ตามแบบแผนของ<br />

ตะวันตกมากข้น ทาให้พระบาทสมเด็จ<br />

พระมงกุเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดาริใน<br />

การปกครองบ้านเมืองที่ทันสมัยและแตกต่าง<br />

ไปจากเดิมบ้าง กล่าวโดยสรุป ดังนี้<br />

๒.๑ หลักในการปกครองบานเมือง<br />

๑) พระราชปณิธาน<br />

พระบาทสมเด็จพระมงกุเกล้าเจ้า<br />

อยู่หัวทรงตระหนักถงพระราชภาระในฐานะ<br />

พระเจ้าแผ่นดิน จงมีพระราชปณิธานจะสร้าง<br />

ความเจริญรุ่งเรืองให้แก่บ้านเมือง โดยยดหลัก<br />

การปกครองบ้านเมืองเพื่อประโยชน์สุขของ<br />

ชาติและราษร ไม่เห็นแก่ประโยชน์สุขส่วน<br />

พระองค์ และ ความสามัคคีของหมู่คณะ<br />

นาไปสู่ความสาเร็จ ความสามัคคีนั้นเกิดข้น<br />

ได้เมื่อ ทุกคนทาตามหน้าที่ของตนเต็มความ<br />

สามารถ ดังพระราชดารัสที่ว่า<br />

เราก็ถืออยู่ว่าเราได้เกิดมาเปนคน<br />

ไทย และในตระกูลกษัตริย์อันชาติไทยเรานี้<br />

บรรพบุรุษของเราทั้งหลายได้ช่วยกันตั้งข้นไว้<br />

แล้ว และได้ช่วยกันรักษาสืบต่อกันมาฝายเรา<br />

รู้สกว่าเปนทายาทรับมรดกสาคัญอันนี้ไว้แล้ว<br />

ก็จะต้องตั้งใจรักษาไว้ให้มั่นคงทั้งต้องอุตสาหะ<br />

ทานุบารุง ให้มรดกอันนั้นจาเริญเพิ่มพูนทวีข้น<br />

กว่าเก่าได้อีกเพียงใดก็นับว่าเปนกาไรเพียงนั้น<br />

การใด ที่เราได้เริ่มจัดข้นแล้ว และ่งจะได้จัด<br />

ข้นอีก ต่อไปก็ล้วนทาไปด้วยความมุ่งหมายที่<br />

จะให้เปนประโยชน์นาความเจริญมาสู่ชาติ<br />

เราตังจทํานุบํารุงอาณาระชาชน<br />

ละเอาจสดําริการงานทังวงเพอเน<br />

ระโยชนหงชาติเรา เพอหคงเนทยอยูชัว<br />

กาลนาน เรามิดเสียดายความสําราญความ<br />

สุนสวนตัวองเราเลย เพราะเรารูอยูกจ<br />

วา ามนชาติราจากความเนทยลง<br />

เมอด บุคคลทุก คนทีเนสวนหนงหงชาติ<br />

ก็คงจะมสามารดํารงความเนทยองตน<br />

วดเลยเนนท นสวนตัวเรางมวาเรา<br />

จะตังจละพยายามคิดละเริมการอยางด<br />

นก็ดี จะหการงดเริมลงมอทําลว ละ<br />

จะตองทําตออีกจนกวาจะเนผลเน<br />

ระโยชนก็ดี ตลําพังตัวเราผูเดียวทีหนเลย<br />

จะทําหสําเร็จตลอดดยอมจะตองอาัย<br />

ความสามัคคีรองดองนหมูคนทยทัว<br />

ละทุก คนตองตางเต็มจิบัติหเต็มตาม<br />

หนาทีองตนทีควริบัติ และ<br />

กิจการทังวงทีเราดตั งจทํามา<br />

ลว ตังตดเนพระเจาผนดิน ก็เพอ<br />

ระสงคจะบํารุงความสุสําราญองราร<br />

ทังหลายเนทีตัง สวนตัวเราเองงมจะตอง<br />

ดรับความลําบากยากเย็นระการดก็มิด<br />

เห็นกความยากลําบาก คิดตหรารอง<br />

เราดรับความรมเย็นโดยทัวกันหมากที สุดที<br />

พงกระทําด เมอเราเห็นรารองเรา<br />

อยูเย็นเนสุสบายดวย อหรารทัง<br />

หลายตังจระกอบการทํามาหาเลียงชีพห<br />

เนระโยชนกบานเมององเรา ตังจ<br />

ระพติหเนพลเมองดี เคารพนพระราช<br />

กําหนดกหมาย เพอจะดมีความสุสําราญ<br />

นระหวางกันละกัน ละจะดมีความสามัคคี<br />

รองดองนชาติทยองเรา าชาติทยเรา<br />

รองดองเนอันหนงอันเดียวกันลวก็จะเน<br />

กําลังอันหญ มมีชาติอนเอิบเออมเามา<br />

ทําลายชาติเราด<br />

17


ปนยการสาหกรรมป งกันประทละลังงานทหาร<br />

วันคล้ายวันสาปนาันวาคม<br />

ูนยการอุตสาหกรรมองกันระเทละพลังงานทหาร<br />

พลเอก ฐิตินันท ธัญญสิริ<br />

ผู้อานวยการ<br />

ศูนย์การอุตสาหกรรมปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />

ศู<br />

นย์การอุตสาหกรรมปองกัน<br />

ประเทศและพลังงานทหาร หรือ<br />

ศอพท ก่อตั้งข้นจากนโยบายของ<br />

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />

(พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ) เพื่อเร่งรัดพันา<br />

กิจการอุตสาหกรรมทหาร และการพลังงาน<br />

ทหารให้มีเทคโนโลยีที่ล้าหน้าและทันสมัย<br />

มาใช้ประโยชน์ให้มากที่สุด และได้อนุมัติหลัก<br />

การ เมื่อวันที่ ๓ มกราคม พุทธศักราช ๒๕๓๓<br />

จัดตั้งศูนย์การอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />

และพลังงานทหารเปนหน่วยข้นตรงต่อ<br />

สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยกาหนด<br />

ให้วันที่ ๒๙ ธันวาคมของทุกป เปนวันคล้าย<br />

วันสถาปนาศูนย์การอุตสาหกรรมปองกัน<br />

ประเทศและพลังงานทหาร และในป<br />

พุทธศักราช ๒๕๕๙ นี้ ก่อตั้งมาครบรอบ<br />

ปที่ ๒<br />

ศูนย์การอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />

และพลังงานทหาร มีหน้าที่พิจารณา เสนอ<br />

ความเห็น วางแผน อานวยการ ประสานงาน<br />

และดาเนินงานในด้านการอุตสาหกรรมทหาร<br />

และการพลังงานทหาร ให้เปนไปตามนโยบาย<br />

ของกระทรวงกลาโหม และปิบัติงานอื่นที่<br />

เกี่ยวข้องตามที่ได้รับมอบหมาย มีหน่วยข้น<br />

ตรง ระดับกอง ประกอบด้วย สานักงานการ<br />

เงิน สานักงบประมาณ กองกลาง กองนโยบาย<br />

และแผน กองพันาอุตสาหกรรมปองกัน<br />

ประเทศและพลังงานทหาร และสานักส่งเสริม<br />

อุตสาหกรรมปองกันประเทศ ่งมีหน้าที่ส่ง<br />

เสริมงานด้านอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />

ให้กับศูนย์การอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />

และพลังงานทหาร หน่วยราชการอื่น และภาค<br />

เอกชน สาหรับหน่วยข้นตรงของศูนย์การ<br />

อุตสาหกรรมปองกันประเทศและพลังงาน<br />

ทหาร ระดับกรม ่งมีอัตราแยกต่างหาก<br />

ประกอบด้วย กรมการพลังงานทหาร กรมการ<br />

อุตสาหกรรมทหาร ศูนย์อานวยการสร้างอาวุธ<br />

และโรงงานเภสัชกรรมทหาร<br />

โดยกรมการพลังงานทหาร มีหน้าที่ใน<br />

การดาเนินงานด้านการสารวจ ขุดเจาะ การ<br />

ผลิต การกลั่นน้ามัน การผลิตกระแสไา<br />

และการดาเนินการด้านพลังงานทดแทน<br />

มีศูนย์พันาปโตรเลียมภาคเหนือเปน<br />

หน่วยรองหลัก<br />

กรมการอุตสาหกรรมทหาร มีหน้าที่<br />

ในการดาเนินงานด้านการผลิต ควบคุม และ<br />

ส่งเสริมงานด้านอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />

มีโรงงานวัตถุระเบิดทหารเปนหน่วยรองหลัก<br />

ศูนย์อานวยการสร้างอาวุธ มีหน้าที่<br />

ในการดาเนินงานด้านการวิจัยพันา ผลิต<br />

ยุทโธปกรณ์ประเภทปนใหญ่เครื่องยิงลูกระเบิด<br />

รวมทั้งกระสุนปนใหญ่ และลูกระเบิดยิง<br />

จากเครื่องยิงลูกระเบิด สนับสนุนให้แก่<br />

ส่วนราชการ หรือองค์กรอื่นทั้งภายในและ<br />

ต่างประเทศ<br />

โรงงานเภสัชกรรมทหาร มีหน้าที่ในการ<br />

ดาเนินงานด้านการผลิตยาและเวชภัณฑ์ เพื่อ<br />

ใช้และจาหน่ายให้แก่ภาครัฐและเอกชน<br />

18<br />

นกรอุตสหกรรองกันรเพังงนหร


บทบาทหนาที่หลักที่สาคัญของศูนยการ<br />

อุตสาหกรรมปองกันประเทศและพลังงาน<br />

ทหาร มี ๒ ประการ คือ<br />

๑. การปฏิบัติหนาที่ายอานวยการ<br />

ของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมและ<br />

ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />

มีการทบทวนกหมาย นโยบายรัฐบาล<br />

นโยบายรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />

นโยบายปลัดกระทรวงกลาโหม ระเบียบ คาสั่ง<br />

ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารกิจการ มากาหนด<br />

เปนแนวทางการดาเนินงาน โดยป ๒๕๕๘<br />

ได้จัดทาแผนแม่บทอุตสาหกรรมปองกัน<br />

ประเทศ พุทธศักราช ๒๕๕๘ ๒๕๓ เพื่อ<br />

เปนแนวทางหลักในการพันาอุตสาหกรรม<br />

ปองกันประเทศเพื่อให้เกิดความพร้อมในการ<br />

ปองกันประเทศ<br />

๒. การปฏิบัติหนาที่เป็นหน่วยปฏิบัติ<br />

ในการดาเนินงานดานอุตสาหกรรมปองกัน<br />

ประเทศและพลังงานทหาร<br />

กาหนดแนวทางการดาเนินงานตาม<br />

แผนแม่บทอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />

พุทธศักราช ๒๕๕๘ ๒๕๓ มีพันธกิจ<br />

ที่สาคัญ ๔ ประการ คือ<br />

๑. ดานการผลิต ดาเนินการควบคุม<br />

กากับดูแลหน่วยผลิต โดยการบริหารงานด้าน<br />

อุตสาหกรรมปองกันประเทศด้วยเงินทุน<br />

หมุนเวียน จานวน ๕ ทุน และการบริหารงาน<br />

ด้านพลังงานทหารด้วยเงินอุดหนุนการสารวจ<br />

ปโตรเลียมบนบกในภาคเหนือ<br />

๒. ดานการควบคุม ประกอบด้วย<br />

กหมายด้านความมั่นคงที่กระทรวงกลาโหม<br />

รับผิดชอบเกี่ยวกับยุทธภัณฑ์ จานวน ๔ บับ<br />

่งเปนการควบคุมและตรวจสอบภาคเอกชน<br />

ที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมปองกันประเทศ<br />

เพื่อไม่ให้เกิดการนายุทธภัณฑ์ไปใช้ในทาง<br />

ผิดกหมาย และส่งผลกระทบต่อความมั่นคง<br />

. ดานการส่งเสริมอุตสาหกรรม<br />

ปองกันประเทศ ส่งเสริมภาครัฐและเอกชน<br />

ในด้านการผลิตเพื่อพันาการผลิตภัณฑ์<br />

อุตสาหกรรมปองกันประเทศ ทั้งในด้าน<br />

คุณภาพ ราคา และระยะเวลาในการผลิต<br />

ให้เปนที่ยอมรับของผู้ใช้ รวมถงการร่วมงาน<br />

ร่วมทุนกับภาคเอกชน<br />

. ดานความร่วมมือดานอุตสาหกรรม<br />

ปองกันประเทศ ่งมุ่งเน้นการสร้างความ<br />

ร่วมมือในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหม<br />

อาเียน<br />

การพันากิจการอุตสาหกรรมปองกัน<br />

ประเทศ<br />

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มี<br />

นโยบายด้านการพันากิจการอุตสาหกรรม<br />

ปองกันประเทศ โดยบูรณาการขีดความ<br />

สามารถของภาครัฐและเอกชน รวมทั้งใช้<br />

ประโยชน์จากความร่วมมือในกลุ่มประเทศ<br />

สมาชิกอาเียนเพื ่อนาไปสู่การพ่งพาตนเอง<br />

ในการผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์รายการที่จาเปน<br />

พันากิจการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเพื่อ<br />

การปองกันประเทศให้ทัดเทียมกับประเทศ<br />

ในภูมิภาค และสามารถสนับสนุนการพ่งพา<br />

ตนเองของอุตสาหกรรมปองกันประเทศ โดย<br />

ร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั ้งในและต่างประเทศ<br />

ด้วยนโยบายนี้จงจัดทาแผนแม่บท<br />

อุตสาหกรรมปองกันประเทศ พุทธศักราช<br />

๒๕๕๘ ๒๕๓ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />

กลาโหมได้กรุณาอนุมัติแผนแม่บทฯ เมื่อวันที่<br />

๙ กันยายน ๒๕๕๘ พร้อมทั้งคณะรัฐมนตรีได้<br />

มีมติรับทราบแผนแม่บทฯ และให้หน่วยงาน<br />

ภาครัฐให้การสนับสนุนแนวทางการปิบัติ<br />

ตามแผนแม่บทฯ ตามที ่กระทรวงกลาโหม<br />

เสนอ<br />

แผนแม่บทเปนแนวทางหลักในการ<br />

พันาอุตสาหกรรมปองกันประเทศเพื่อให้<br />

เกิดการพ่งพาตนเองด้านความมั่นคง โดย<br />

กาหนดเปาหมายไว้ ๒ ประการ คือ กระทรวง<br />

กลาโหมผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์เพาะรายการ<br />

ที่จาเปน และสนับสนุนให้ภาคเอกชนดาเนิน<br />

กิจการอุตสาหกรรมปองกันประเทศ ่ง<br />

ประกอบด้วยกิจที่สาคัญ ๔ ประการ ได้แก่<br />

การผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ การควบคุม<br />

ยุทธภัณฑ์ การส่งเสริมและสนับสนุนกิจการ<br />

อุตสาหกรรมปองกันประเทศและการร่วมมือ<br />

กับมิตรประเทศ และดาเนินการภายใต้ ๕<br />

ยุทธศาสตร์ ได้แก่ การผลิตสนับสนุนภารกิจ<br />

กองทัพ การพันาประสิทธิภาพองค์กร การ<br />

สนับสนุนปจจัยที่เอื้อต่อการประกอบกิจการ<br />

อุตสาหกรรมปองกันประเทศ การส่งเสริมและ<br />

พันาอุตสาหกรรมปองกันประเทศ และการ<br />

สร้างและพันากิจการอุตสาหกรรมปองกัน<br />

ประเทศให้เติบโตและแข่งขันได้<br />

ปจจุบัน พลเอก ฐิตินันท์ ธัญญสิริ<br />

ผู้อานวยการศูนย์การอุตสาหกรรมปองกัน<br />

ประเทศและพลังงานทหาร บริหาร จัดการ<br />

กากับ ดูแล ศูนย์การอุตสาหกรรมปองกัน<br />

ประเทศและพลังงานทหาร ด้วยแนวคิด<br />

“ริเริ่ม รวดเร็ว รอบคอบ กอปรคุณธรรม<br />

นาธรรมาภิบาล” เพื่อมุ่งสู่วิสัยทัศน์ของ<br />

ศูนย์การอุตสาหกรรมปองกันประเทศและ<br />

พลังงานทหาร ที่ว่า บริหารจัดการงานด้าน<br />

อุตสาหกรรมปองกันประเทศ และพลังงาน<br />

ทหารอย่างทันสมัย มีประสิทธิภาพ และมุ่งสู่<br />

การพ่งพาตนเองอย่างยั่งยืน<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 19


หนทางชนะ<br />

ย้นย้งปลายนํ าส ้นนํ า<br />

พันเอก ดรบุญรอด รีสมบัติ<br />

ภ<br />

าพข่าว หรือภาพปรากการ ถ้าจะพูดถงน้า<br />

ก่อเหตุทุกวันนี้ คือ ปลายน้า<br />

เปนเรื่องราวที่กลุ่มผู้เห็นต่าง<br />

ต้องการสื่อสารการมีตัวตน การขับเคลื่อน<br />

ตามแนวทางการต่อสู้ การกาหนดหลักหมุด<br />

จากอดีตถงปจจุบัน ไปยังอนาคต<br />

จากเหตุการณ์ที่ผ่านมา ๑๒ ป ได้เห็น<br />

การไหลของภาพความเคลื่อนไหว ทั้งความ<br />

คิดและการกระทาของขบวนการ <br />

อย่างชัดเจน พอมาถงปลายน้า จะเปนจุด<br />

ที่มีกองเชียร์อยู่มากมาย<br />

๓ ช่วงแล้ว แม้ว่า<br />

ต้นน้า จะสาคัญมากที่สุด โดยเพาะ<br />

ตรงจุด ตาน้า ที่กาลังหมุนโม่วาทกรรม<br />

ไม่หยุดหย่อน<br />

แต่ปลายน้าถ้าเล่นดี ก็อาจจะพลิก<br />

เปลี่ยนสถานการณ์ได้ อยู่ที่ฝายไหนจะ<br />

ตกลงไปในกับดักความรุนแรงมากกว่ากัน<br />

โดยใช้ความรุนแรงแบบไม่บันยะบันยัง<br />

ตรงนี้ก็จะถูกกองเชียร์โห่และไล่ออกนอก<br />

หมู่บ้าน อย่างนั้นต้องพินิจพิเคราะห์อย่าง<br />

ระมัดระวัง กล่าวคือ ใครพลาดก็หลุด<br />

ออกปากอ่าวลงทะเลไปเลย<br />

ภายหลังการระดมความคิดอย่าง<br />

เข้มข้นของ เสธ๙๔ ได้ผลสรุปออกมาว่า<br />

จุด C (Cr rai) ปลายน้า<br />

คือ เสรีในการก่อเหตุของแนวร่วมภายใต้<br />

การสนับสนุนจาก ur i โดยมี<br />

เหตุการณ์ก่อเหตุที่สาคัญ ดังนี้<br />

เหตุแรกนิยมมากที่สุด คือ การวาง<br />

ระเบิด มีทั้งเปาหมายตัวเมือง เศรษฐกิจ<br />

สาคัญ เส้นทางหน้าฐานปิบัติการและ<br />

รถไ (เส้นทางรถไ)<br />

20<br />

พันเอก ดรุญรอด รีสัติ


่<br />

ผูออกบบกราก : พันตรี กรินทร ลิมสังกา ละ พันตรี เอกราช กลวยเครอ<br />

เหตุที่สอง การลอบสังหารเปาหมาย<br />

อ่อนแอ ( ar) เช่น ครู ชาวพุทธ<br />

ผู้หญิงและเด็ก<br />

เหตุที่สาม การลอบวางเพลิง ที่นิยม<br />

คือ ลอบวางเพลิงโรงเรียนเปนอันดับแรก<br />

วางเพลิงบ้านชาวบ้านเปนลาดับถัดมา<br />

เหตุที่สี่ การุ่มโจมตี เข้าตีฐาน<br />

ปิบัติการ ขบวนยานยนต์ หรือชุดรักษา<br />

ความปลอดภัยครู อาจจะมีการวางตะปู<br />

เรือใบ เพื่อปองกันการเข้าช่วยเหลือจาก<br />

เจ้าหน้าที่<br />

เหตุที่หา การปลุกม็อบ<br />

แสดงความเคลื่อนไหว<br />

ทางการเมือง ข้อเรียกร้อง<br />

ข้นอยู่กับสถานการณ์ขณะ<br />

นั้น และเปาหมายสุดท้าย<br />

ก็คือ การขับไล่ทหารออก<br />

จากพื้นที่<br />

เหตุที่หก สงคราม<br />

ปายผ้า มีทั้งการแขวนปายผ้า การปกธง<br />

หรือการพ่นสีข้อความบนพื้นถนนหรือ<br />

ราวสะพาน<br />

เหตุที่เจ็ด การเคลื ่อนไหวของกลุ่ม<br />

s และ Cs ในประเด็นการละเมิด<br />

สิทธิมนุษยชน หรือการเรียกร้องเพื่อ<br />

กาหนดใจตนเอง<br />

เหตุสุดทาย การก่อเหตุจากกรณี<br />

ของ ri ra ส่วนใหญ่จะเปน<br />

ภัยแทรก้อน เรื่องยาเสพติด การค้าน้ามัน<br />

เถื่อน และการค้ามนุษย์ ่งถือว่าเปน<br />

ขบวนการใหญ่มีเงินทุนสนับสนุนสูง<br />

บทสรุป ตลอดระยะเวลา ๑๒ ปที<br />

ผ่านมาพบว่าผู้ก่อการร้ายยังมีเสรีในการ<br />

ก่อเหตุได้ครบทั้ง ๘ กลุ่มก่อเหตุ ข้นอยู่กับ<br />

ว่าจะทาหรือไม่ เพราะมีมาตรการปด<br />

ความลับการปิบัติและการต่อต้านข่าว<br />

กรองที่มีประสิทธิภาพ โดยเพาะขั้นตอน<br />

การปิบัติของ ในเรื่องการเฝาตรวจ<br />

(s) การลาดตระเวน (u) ตัวแทน<br />

() และเส้นทางหลบหนี (rai)<br />

กลายเปนเรื่องที่ยากที่จะเข้าถงได้ ยกเว้น<br />

ต้องใช้ปิบัติการย้อนแย้งเข้าไปและพบ<br />

อีกว่าทุก การก่อเหตุจะต้องได้รับการ<br />

สนับสนุนจาก ur iหรือ<br />

พื้นที่สนับสนุน<br />

ดังนั้น ถ้าจะหยุดการก่อเหตุกรณี<br />

ของปลายน้าจะต้องค้นหา ur<br />

i ให้เจอแล้วจัดการตรงนั้น ดูเหมือน<br />

จะเปนเรื่องยากแต่ถ้าวิเคราะห์พื้นที่<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 21


ปิบัติการแบบ ให้ดีแล้ว จะพบว่า<br />

ขั้นแรก ur i อยู่ที่ไหน อาจ<br />

จะเหวี่ยงแหไปก่อน ขั้นที่สองก็แบ่งพื้นที่<br />

ออกเปนโน ขั้นที่สามแต่ละโนก็ให้มี<br />

เจ้าภาพประจา a พื้นที่ทุกวัน ขั้นที่สี่<br />

การวิเคราะห์จากพื้นที่ก่อเหตุ ดูระยะรัศมี<br />

ปิบัติการของ ur i ถ้า<br />

สามารถขีดวงรอบกะประมาณได้ C<br />

ปลายน้าก็จะไม่หนีไปไหนแต่การต่อสู้ที่<br />

ปลายน้า เพียงอย่างเดียว ก็ยังไม่<br />

สามารถจะหยุด กระแสต้นน้า ได้ ถ้า<br />

ไม่มีการย้อนแย้งข้นไป<br />

ดั่งเพลงนี้ฝนเอยทาไมจงตก<br />

ฝนเอยทาไมจงตก จาเปนต้องตก เพราะ<br />

ว่ากบมันร้อง กบเอยทาไมจงร้อง กบเอย<br />

ทาไมจงร้อง จาเปนต้องร้อง เพราะว่าท้อง<br />

มันปวด ร้องวนไปอย่างนี้ จนรู้เหตุว่า<br />

ทาไมฝนจงตก เพราะกบมันร้อง อีกรอบหน่ง<br />

เกเช่นกัน การลอบวางระเบิดรถไ<br />

ที่โคกโพธิ์ เมื่อวันที่ ๓ กันยายนที่ผ่านมา<br />

มีเรื่องราวคล้าย กับเพลงนี้<br />

รถไเอยทาไมถงถูกวางระเบิด<br />

เพราะว่ามีคนไปวางเพราะว่ามีคนสอน<br />

ให้ไปวางเพราะว่ามีคนใส่ความคิดคน<br />

สอนให้ไปวางเพราะมีคนคิดวาท<br />

กรรม หรือจะมองกระบวนการก่อเหตุ<br />

เปนดังเช่นสายน้า อธิบายว่า การลอบวาง<br />

ระเบิด เปน ปลายน้า ผู้มาก่อเหตุ เปน<br />

กลางน้า ความคิดว่าทาไมต้องมาวาง<br />

ระเบิด เปน ต้นน้า<br />

ดังนั้น ถ้าตัดสลายหรือแก้ที่<br />

ต้นน้า ได้ กลางน้า และ ปลายน้า<br />

ก็เกิดไม่ได้ นั่นคือเหตุว่า ทาไมเราจะต้อง<br />

ระดมสมองเพื่อค้นหาวาทกรรม ต้นน้า<br />

ของ แล้วหยุดตรงนั้นให้ได้ โดยหลัก<br />

การ ก็คือ แก้ปม วาทกรรมC<br />

ต้นน้า นั่นเอง<br />

นักคิดกลุ่ม ยุทธไลน์ เสธ๙๔ คิด<br />

เรื่องนี้เปนสารตั้งต้นไว้ เพื่อให้มีการไป<br />

ต่อยอด ดังนี้<br />

พวกเขามองว่า วาทกรรมเชิงลบ<br />

เปนจุดศูนย์ดุลของต้นน้า ตามแผนภูมิ<br />

จากแผนภูมิพบว่า ต้นทุนการบ่ม<br />

เพาะ มีความเชื่อมโยงกับ วาทกรรมเชิง<br />

ลบ กับ ความสามารถในการบ่มเพาะ<br />

โดยกลุ่มผู้เห็นต่าง กาหนดเครื่องมือข้นมา<br />

๔ ชุด คือ (๑) ความสัมพันธ์ระหว่าง<br />

วาทกรรมเชิงลบกับต้นทุนการบ่มเพาะ (๒)<br />

22<br />

พันเอก ดรุญรอด รีสัติ


ความสามารถการบ่มเพาะกับผู้ใช้<br />

วาทกรรม (๓) ความสามารถการบ่มเพาะกับ<br />

มาตรการปกปด และ (๔) ความสามารถ<br />

การบ่มเพาะกับสื่อที่ทาให้ประชาชน<br />

หลงเชื่อ<br />

มาเริ่มต้นที่ วาทกรรมเชิงลบ สิ่ง<br />

ที่รู้ตอนนี้ ผู้สร้างวาทกรรมเชิงลบตั้งแต่<br />

จุดเริ่มต้นจนถงปจจุบัน มี ๔ กลุ่มคิด กลุ่ม<br />

แรก ทายาทอดีตสุลต่าน กรณีข้อเรียกร้อง<br />

๗ ข้อ ฮะยีสุหลง กลุ่มที่สอง นักวิชาการ<br />

ในพื้นที่ กลุ่มที่สามนักการเมืองในพื้นที่<br />

เช่น กลุ่มวาดะห์ กลุ่มที่สี่ นักวิชาการ<br />

รับจ้าง เช่น นายชินทาโร ฮารา เปนต้น<br />

จากผู้สร้างวาทกรรมเชิงลบ ย้อนข้น<br />

ไปดู ต้นทุนการบ่มเพาะ ่งถือว่า<br />

เปนแหล่งบ่อเกิด หรือเปนเบ้าหลอม<br />

วาทกรรม ประกอบด้วย การบิดเบือน<br />

ประวัติศาสตร์เชิงบาดแผล โดยใช้วาทกรรม<br />

นักล่าอาณานิคม และจักรวรรดินิยม<br />

มาอธิบาย รัฐไทย หรือ รัฐสยาม ว่า<br />

เปนผู้รุกราน การใช้เชื้อชาติมลายูเปน<br />

อัตลักษณ์ตนเองแล้วแยกออกจากคนส่วน<br />

ใหญ่ของประเทศ การเบือนศาสนาในพื้นที่<br />

จังหวัดชายแดนใต้ ว่าเปนดินแดน<br />

ดารุลฮัรบี เพื่อชี้นาในการทา สงคราม<br />

ญีฮาด และสุดท้ายแหล่งเงินทุน เพื่อการ<br />

ขยายวาทกรรม เปนเงินที่ได้มาจากการ<br />

ะกาต เงินบารุงสมาชิก คนละบาท<br />

เงินจากองค์กรการเมืองท้องถิ่นและ<br />

เงินเถื่อนจากภัยแทรก้อน เปนต้น<br />

วาทกรรม ถ้ามีปจจัยแค่นี้ก็จะไป<br />

ต่อไม่ได้ ถ้าไม่มี ผู้ใช้วาทกรรม หรือผู้<br />

ผลิต้าวาทกรรม ่งประกอบด้วย อุสตา<br />

เปนหัวโจกใหญ่ คิดทุกวัน บ่มเพาะทุกวัน<br />

ผู้นาจิตวิญญาณ ไม่ว่าจะเปนจากสถาบัน<br />

เชคดาวุด (โรงเรียนธรรมวิทยา) หรือสะแปอิง<br />

บาอ หรือมะแ อุเ็ง ส่วนนักการเมือง<br />

จะไม่กล่าวถงในที่นี้ แต่รู้กันอยู่ว่าเปนใคร<br />

นักวิชาการปจจุบันเพิ่มนักสิทธิมนุษยชน<br />

ของพวกกลุ่ม Cs และ s เข้าไปอีก<br />

รวมทั้งสื่อมวลชน (ชอบคิดวาทกรรม แล้ว<br />

พาดหัวข่าวหน้าหน่ง) นอกจากนั้น กลุ่ม<br />

การเมืองของ ก็เปนผู้นาต้นคิด<br />

เหมือนกัน เช่น กรณีการเจรจาสันติสุข<br />

เมื่อป ๒๕๕ นายฮัสัน ตอหยิบ ได้ออก<br />

แถลงการณ์ ่งชี้ให้เห็นว่า ทุกคาพูดถูก<br />

คิดค้นและประกอบสร้างมาจากระบบคิด<br />

หรือยุทธศาสตร์ของ ทั้งสิ้น อาจจะ<br />

เรียกเปน แก่นวาทกรรม ก็ได้<br />

ประเด็นต่อมา ก็คือการสื่อสารและ<br />

มาตรการปกปด เปนเครื ่องมือชิ้นที่ ๓<br />

และ ๔ ที่กลุ่มผู้เห็นต่าง ใช้ ปล่อยของ<br />

และ เก็บของ โดย<br />

จะใช้ช่องทาง<br />

สื่อสารผ่านผู้นาจิต<br />

วิญญาณ การบ่มเพาะ<br />

ตั้งแต่เกิด การใช้หลัก<br />

ศาสนาอิสลามที่ถูก<br />

คัดสรร และเดินตาม<br />

หลักการบ่มเพาะ ๙ วิธี ส่วนมาตรการ<br />

ปกปดนั้น เปนเรื่องการปองกันมิให้<br />

วาทกรรมนั้นถูกเจาะไชจากฝายรัฐ โดยมี<br />

มาตรการ เช่น การต่อต้านข่าวกรอง การ<br />

ปกปดสถานที่บ่มเพาะ และการวางกาแพง<br />

๓ ชั้น เพื่อปกปองวาทกรรมสาคัญ ของ<br />

ขบวนการมิให้ถูกทาลาย<br />

นี่คือบทสรุปของการย้อนแย้ง<br />

ปลายน้า สู่ ต้นน้า คือ วาทกรรม<br />

บ่มเพาะ ที่เชื่อมโยงจากแหล่งบ่มเพาะ<br />

มีผู้สร้าง มีผู้ใช้ มีเครื่องมือ และช่องทาง<br />

สื่อสาร ผลิต้าอย่างต่อเนื่อง ตลอดเวลา<br />

ะนั้นการประกอบสร้าง วาทกรรมแก้<br />

จงเปนภารกิจเร่งด่วน ่งต้องการระดม<br />

นักคิด นักยุทธศาสตร์ นักประวัติศาสตร์<br />

นักภาษาศาสตร์ นักการตลาด และนัก<br />

อื่น มาสุมหัวกันคิด เพื่อเอาชนะ<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 23


นวคิดการจัดกล มงาน<br />

ด้านความมั นคงขงชาิ<br />

(National Security Sectors Reform Concept)<br />

การพันาปรับปรุงและเสนอ<br />

เปนนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ<br />

พศ๒๕๕๘ ๒๕๔ เพื่อเปน<br />

กรอบด้านความมั่นคงในระยะ ๗ ป<br />

เชื่อมโยงและต่อเนื่องกับทิศทางด้านการ<br />

พันาประเทศภายใต้แผนพันา<br />

เศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติบับที่ ๑๒<br />

(พศ ๒๕๕๙ ๒๕๔) โดยนโยบายความ<br />

มั่นคงแห่งชาติ พศ๒๕๕๘ ๒๕๔<br />

ประกอบด้วย ๑ ประเด็นนโยบาย ่ง<br />

กาหนดเปนสองส่วน คือ ส่วนที่ ๑ นโยบาย<br />

สาคัญเพื่อเสริมสร้างความมั่นคงที่เปน<br />

แก่นหลักของชาติ ๓ นโยบาย โดยมุ่งการ<br />

เสริมสร้างฐานรากความมั่นคง และเสริม<br />

สร้างสภาวะแวดล้อมที่สันติสุขในจังหวัด<br />

ชายแดนภาคใต้ และส่วนที่ ๒ นโยบาย<br />

ความมั่นคงแห่งชาติทั่วไป ๑๒ นโยบาย<br />

โดยมุ่งสร้างภูมิคุ้มกันของสังคมใน<br />

ทุกระดับ ให้พร้อมเผชิญปญหาและภัย<br />

คุกคามต่าง รวมถงการลดความเสี่ยงจาก<br />

ผลกระทบของภัยคุกคามดังกล่าว ตลอด<br />

จนการเตรียมพร้อมเพื่อปองกันและ<br />

แก้ปญหาความมั่นคงอย่างรอบด้าน มี<br />

ความเข้มแข็งในการปองกันประเทศ และ<br />

พันเอก ดรดิเรก ดีระเสริ<br />

อาจารยอํานวยการ สวนบัณิตกา โรงเรียนเสนาิการทหารบก<br />

การเสริมสร้างสภาวะแวดล้อม ระหว่าง<br />

ประเทศที่เอื้อต่อการรักษาผลประโยชน์<br />

ของชาติ นโยบายความมั่นคงแห่งชาติฯ มี<br />

จุดหมายสาคัญคือ การมีเสถียรภาพ ความ<br />

เปนปกแผ่น ปลอดภัยจากภัยคุกคาม และ<br />

ก่อเกิดความเชื่อใจในอาเียนและ<br />

ประชาคมโลก ทั้งนี้ โดยให้ความสาคัญต่อ<br />

การขับเคลื่อนนโยบายไปสู่การปิบัติ ใน<br />

การกาหนดเจ้าภาพหรือหน่วยรับผิดชอบ<br />

ให้ชัดเจน การขยายเครือข่ายภาคีด้าน<br />

ความมั่นคงและเปดโอกาสให้ทุกภาคส่วน<br />

เข้ามามีส่วนร่วม การบริหารจัดการ<br />

นโยบายในทุกระดับอย่างมีประสิทธิภาพ<br />

โดยเพาะการแปลงนโยบายไปสู่การ<br />

ปิบัติ ในการกาหนดให้นโยบายความ<br />

มั่นคงแห่งชาติฯ เปนกรอบการจัดทา<br />

24<br />

พันเอก ดรดิเรก ดีรเสริ


ยุทธศาสตร์การจัดสรรงบประมาณและ<br />

แผนปิบัติการหรือแผนบริหารราชการ<br />

แผ่นดินของรัฐบาล ทั้งนี้ ความมั่นคง<br />

แห่งชาติ พศ๒๕๕๘ ๒๕๔ ได้กาหนด<br />

วิสัยทัศน์ไว้ว่า ชาติมีเสถียรภาพและเปน<br />

ปกแผ่น ประชาชนมีความมั่นคงในชีวิต<br />

ประเทศมีการพันาอย่างต่อเนื่อง<br />

ปลอดภัยจากภัยคุกคามข้ามพรมแดน<br />

พร้อมเผชิญวิกฤติการณ์ มีบทบาทเชิงรุก<br />

ในประชาคมอาเียนและดาเนินความ<br />

สัมพันธ์กับนานาประเทศอย่างมีดุลยภาพ<br />

สรุปสถานการณและความเปลี่ยนแปลง<br />

ของบริบทความมั่นคงในระยะ ป<br />

(พ.ศ.๒๕๕ ๒๕๖)<br />

๑. ความเปลี่ยนแปลงของบริบท<br />

ความมั่นคงในระดับโลก การเมืองโลกมี<br />

แนวโน้มที่จะเปลี่ยนแปลงไปสู่หลาย<br />

ขั้วอานาจ โดยสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับ<br />

การท้าทายจากรัสเียและจีน นอกจากนี้<br />

การเกิดข้นของขั้วอานาจใหม่ทางเศรษฐกิจ<br />

โลก คือ กลุ่ม Cs ประกอบด้วย บราิล<br />

รัสเีย อินเดีย จีนและแอริกาใต้ ่งกาลัง<br />

มีบทบาทในเวทีระหว่างประเทศเพิ่มมากข้น<br />

และมีท่าทีต้องการมีส่วนกาหนดกรอบ<br />

กติกาของโลก โดยมีความเคลื่อนไหว<br />

ที่สาคัญในด้านเศรษฐกิจและการเงิน<br />

ระหว่างประเทศ ่งเปนการท้าทายและ<br />

สร้างดุลอานาจใหม่ และมีแนวโน้มส่งผล<br />

ต่อการเปลี่ยนแปลงระเบียบโลกทั้ง<br />

ทางการเมืองและเศรษฐกิจ นอกจากนี้<br />

ปจจัยความมั่นคงด้านพลังงาน สิ่งแวดล้อม<br />

และภัยธรรมชาติ ถือเปนปญหาสาคัญ<br />

ของโลก<br />

๒. ความเปลี่ยนแปลงของบริบท<br />

ความมั่นคงในระดับภูมิภาค สามารถ<br />

แบ่งได้ดังนี้<br />

๒.๑ การขยายอิทธิพลและบทบาท<br />

ของประเทศมหาอานาจต่อภูมิภาคเอเชีย<br />

ตะวันออกเียงใต มีการปรับเปลี่ยน<br />

นโยบายที่แสดงให้เห็นถงแนวโน้มของการ<br />

แข่งขันและการขยายอิทธิพลของชาติ<br />

มหาอานาจ ทั้งในรูปแบบของการใช้พลัง<br />

อานาจทางทหารและทางเศรษฐกิจเพื่อให้<br />

ได้มา่งประโยชน์ของตน<br />

๒.๒ การขยายตัวของความ<br />

สัมพันธระหว่างประเทศในระดับภูมิภาค<br />

พันาการของกลุ่มประชาคมอาเียน<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 25


ในป พศ๒๕๕๘ ทาให้อาเียนมีความ<br />

เชื่อมโยงกันมากข้น ทั้งทางการเมือง ความ<br />

มั่นคง เศรษฐกิจและสังคม อันจะนาไปสู่<br />

การเสริมสร้างพันาการทางการเมือง<br />

และเศรษฐกิจของประเทศสมาชิก รวมทั้ง<br />

เพิ่มโอกาสการติดต่อเชื่อมโยงผ่านเส้นทาง<br />

คมนาคมในภูมิภาค อย่างไรก็ตาม การเปน<br />

ประชาคม เปนความท้าทาย<br />

๒. ความขัดแยงทางดินแดนและ<br />

การใชกาลังทางการทหาร ยังคงมีปญหา<br />

ความไม่เข้าใจและความหวาดระแวงที่อาจ<br />

ทาให้เกิดความขัดแย้งระหว่างไทยกับ<br />

ประเทศเพื่อนบ้าน แต่สามารถจากัด<br />

ขอบเขตและระดับความรุนแรงให้อยู่ใน<br />

เพาะพื้นที่ โดยเปนผลจากการเสริมสร้าง<br />

ความสัมพันธ์และความร่วมมือที่ใกล้ชิด<br />

กัน และการเสริมสร้างความสัมพันธ์<br />

ทางการทูตเชิงปองกัน<br />

๒. ความมั่นคงและผลประโยชน<br />

ทางทะเล ปจจุบันผลประโยชน์ทางทะเล<br />

ของประเทศไทยมีมูลค่าสูง และ<br />

ประเทศไทยเปนจุดยุทธศาสตร์เส้น<br />

ทางการเดินเรือที่สาคัญในภูมิภาคและ<br />

เปนแหล่งทรัพยากรธรรมชาติทางทะเล<br />

ส่งผลให้มหาอานาจต่าง มุ่งที่จะรักษา<br />

และแผ่ขยายอิทธิพลของตนเองในพื้นที่<br />

ดังกล่าว รวมทั้งภัยคุกคามต่อความมั่นคง<br />

ทางทะเลของประเทศไทยที่สาคัญใน<br />

รูปแบบต่าง ก็มีแนวโน้มที่หลากหลาย<br />

มากข้น<br />

. ความเปลี่ยนแปลงของบริบท<br />

ความมั่นคงขามพรมแดน สามารถแบ่ง<br />

ดดังนี้<br />

.๑ การเคลื่อนตัวของ<br />

ภัยคุกคามขามชาติ ปจจุบันภัยคุกคาม<br />

ข้ามชาติได้ขยายตัวอย่างรวดเร็วตามสภาวะ<br />

โลกาภิวัตน์ที่ส่งผลกระทบต่อระบบ<br />

เศรษฐกิจ การเมือง สังคม และความมั่นคง<br />

ของชาติโดยรวม โดยเพาะอย่างยิ่ง<br />

ผลกระทบจากการก่อการร้ายและ<br />

อาชญากรรมข้ามชาติในรูปแบบต่าง<br />

.๒ การยายถิ่นฐานของ<br />

ประชากร การย้ายถิ่นฐานของประชากร<br />

จากประเทศรอบบ้านเข้าสู่ประเทศไทย<br />

ส่วนใหญ่เปนการย้ายถิ่นในลักษณะเข้า<br />

เมืองผิดกหมายที่ส่งผลให้เกิดปญหาการ<br />

ผลักดันส่งกลับ ส่งผลให้มีผู้ย้ายถิ่นจานวน<br />

มากยังตกค้างอยู่ในประเทศไทย และเกิด<br />

ปญหาการเมืองระหว่างประเทศ โดย<br />

เพาะกลุ่มที่ขัดแย้งกับรัฐบาลของ<br />

ประเทศต้นทาง รวมทั้งปญหาดังกล่าวอาจ<br />

ส่งผลกระทบในหลายมิติ ทั้งความมั่นคง<br />

ของมนุษย์ ประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน<br />

และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ<br />

. บริบทการเปลี่ยนแปลงที่นาป<br />

สู่ภัยคุกคามรูปแบบใหม่อื่น ปจจุบันภัย<br />

คุกคามความมั่นคงมีขอบเขตที่กว้างขวาง<br />

มีความเชื่อมโยง ับ้อน และส่งผลกระทบ<br />

ต่อประชาชนโดยตรงมากข้น ภัยคุกคาม<br />

ความมั่นคงรูปแบบใหม่ประกอบด้วย<br />

ทั้งที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงที่เชื่อมโยง<br />

กับบริบทโลกในมิติต่าง ทั้งมิติด้าน<br />

เศรษฐกิจ สังคม และการเมือง รวมถงการ<br />

เปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศของโลก<br />

. สรุปความเปลี่ยนแปลงของ<br />

บริบทความมั่นคงภายในประเทศ<br />

.๑ ปัญหายาเสพติด ปจจุบัน<br />

สถานการณ์ยาเสพติดของประเทศไทยมี<br />

แนวโน้มรุนแรงเพิ่มข้นมาอย่างต่อเนื่อง<br />

โดยเพาะการแพร่ระบาดของยาเสพติด<br />

ในกลุ่มของเยาวชน่งเปนกลุ่มเสี่ยงที่<br />

สาคัญ ปญหายาเสพติดเปนปญหาที่ส่ง<br />

ผลกระทบต่อเนื่องไปยังปญหาอื่น เช่น<br />

ปญหาอาชญากรรม ปญหาการทาลาย<br />

ศักยภาพของประชากร และปญหาการ<br />

ขยายตัวขององค์กรอาชญากรรม นอกจาก<br />

นี้ ประเทศไทยต้องเผชิญกับการลักลอบ<br />

ค้ายาเสพติดจากประเทศเพื่อนบ้าน โดย<br />

ประเทศไทยเปนทั้งประเทศทางผ่านและ<br />

ประเทศปลายทาง ในขณะที่การลักลอบ<br />

ขนยาเสพติดและแหล่งพักยาเสพติดอยู่<br />

บริเวณพื้นที่ชายแดนฝงไทยและประเทศ<br />

เพื่อนบ้านโดยพื้นที่ชายแดนภาคเหนือ<br />

เปนพื้นที่สาคัญ<br />

.๒ ความเสี่ยงภัยพิบัติทาง<br />

ธรรมชาติ สภาพการเปลี่ยนแปลงของโลก<br />

ที่เกิดการเปลี ่ยนแปลง สภาพภูมิอากาศ<br />

และสภาวะโลกร้อนเกิดข้นพร้อมกับการ<br />

เพิ่มจานวนของประชากรโลก รวมถงการ<br />

พันาประเทศที ่เน้นการเจริญเติบโต<br />

ทางเศรษฐกิจเปนหลัก นาไปสู่การใช้<br />

ทรัพยากรธรรมชาติโดยขาดความสมดุล<br />

26<br />

พันเอก ดรดิเรก ดีรเสริ


ทาให้สิ่งแวดล้อมเสื่อมโทรมลงส่งผล<br />

กระทบต่อระบบนิเวศ จนนาไปสู่ภัยพิบัติ<br />

ธรรมชาติเพิ่มข้นและมีแนวโน้มทวีความ<br />

รุนแรงมากยิ่งข้น<br />

ผลประโยชนแห่งชาติได้แก่ ๑ การ<br />

มีเอกราช อธิปไตยและบูรณภาพแห่งเขต<br />

อานาจรัฐ ๒ การดารงอยู่อย่างมั่นคง<br />

ยั่งยืนของสถาบันหลักของชาติ ๓ การ<br />

ดารงอยู่อย่างมั่นคงของชาติและ<br />

ประชาชนจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ<br />

๔ การอยู่ร่วมกันในชาติอย่างสันติสุขเปน<br />

ปกแผ่นมั่นคงทางสังคมท่ามกลางพหุ<br />

สังคมและการมีเกียรติและศักดิ์ศรีของ<br />

ความเปนมนุษย์ ๕ ความเจริญเติบโตของ<br />

ชาติ ความเปนธรรมและความอยู่ดีมีสุข<br />

ของประชาชน ความยั่งยืนของฐาน<br />

ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม ความ<br />

มั่นคงทางพลังงาน อาหาร ๗ ความ<br />

สามารถในการรักษาผลประโยชน์ของชาติ<br />

ภายใต้การเปลี่ยนแปลงของสภาวะ<br />

แวดล้อมระหว่างประเทศ ๘ การอยู่ร่วมกัน<br />

อย่างสันติประสานสอดคล้องกันด้านความ<br />

มั่นคงในประชาคมอาเียน และประชาคม<br />

โลกอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี<br />

วัตถุประสงคของนโยบายความ<br />

มั่นคงแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕ ๒๕๖<br />

ได้กาหนดไว้ ดังนี้<br />

๑ เพื่อส่งเสริมและรักษาไว้่งการ<br />

ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมี<br />

พระมหากษัตริย์ทรงเปนประมุข<br />

๒ เพื่อเสริมสร้างจิตสานกของคนใน<br />

ชาติให้มีความจงรักภักดี และธารงรักษา<br />

ไว้่งสถาบันชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์<br />

๓ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการ<br />

สร้างความปรองดอง ความเปนธรรม และ<br />

ความสมานันท์ในชาติ เพื่อลดการเผชิญ<br />

หน้า และการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ<br />

๔ เพื่อให้จังหวัดชายแดนภาคใต้<br />

มีความปลอดภัยปราศจากเงื่อนไขของการ<br />

ใช้ความรุนแรง<br />

๕ เพื่อพันาศักยภาพของภาครัฐ<br />

และส่งเสริมบทบาทและความเข้มแข็งของ<br />

ทุกภาคส่วน ในการรับมือกับภัยคุกคาม<br />

ทุกรูปแบบที่กระทบกับความมั่นคง<br />

เพื่อให้การจัดการฐาน<br />

ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม พลังงาน<br />

และอาหาร มีความมั่นคงความยั่งยืนและ<br />

มีความสมดุลกับการขยายตัวของการ<br />

พันาประเทศ รวมถงลดความเสี่ยงจาก<br />

ผลกระทบของกระแสโลกาภิวัตน์<br />

๗ เพื่อพันาศักยภาพการเตรียม<br />

ความพร้อมของชาติในการเผชิญกับภาวะ<br />

สงครามและวิกฤติการณ์ความมั่นคงอย่าง<br />

มีเอกภาพและประสิทธิภาพ<br />

๘ เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของ<br />

กองทัพในการปองกันประเทศ สนับสนุน<br />

ภารกิจที่ไม่ใช่การสงคราม และสามารถ<br />

ผนกกาลังของกองทัพกับทุกภาคส่วนใน<br />

การเผชิญกับภัยคุกคามด้านการปองกัน<br />

ประเทศในทุกรูปแบบ<br />

๙ เพื่อส่งเสริมสภาวะแวดล้อมที่<br />

สร้างสรรค์และสันติในการอยู่ร่วมกับ<br />

ประเทศเพื่อนบ้าน กลุ่มประเทศอาเียน<br />

ประชาคมโลกบนพื้นฐานของการรักษา<br />

ผลประโยชน์ และการดารงเกียรติภูมิ<br />

ของชาติ<br />

แนวคิดการจัดกลุ่มงานด้านความ<br />

มั่นคงของชาติ เพื่อให้การจัดกลุ่มงานด้าน<br />

ความมั่นคงของชาติ สอดรับกับภัยคุกคาม<br />

ที่กระทบต่อความมั่นคงของชาติใน<br />

ปจจุบันและที่มีแนวโน้มที่จะกระทบต่อ<br />

ความมั่นคงของชาติในอนาคตที่ระบุไว้ใน<br />

การศกษาทบทวนสถานการณ์และความ<br />

เปลี่ยนแปลงของบริบทความมั่นคงใน<br />

ระยะ ๗ ป (พศ๒๕๕๘ ๒๕๔ ) ดังกล่าว<br />

ข้างต้น ่งสอดรับกับแนวคิดพื้นฐาน<br />

ในการจัดกลุ่มประเภทภัยคุกคามต่อความ<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 27


มั่นคงของชาติ ตลอดจนวิสัยทัศน์ และ<br />

วัตถุประสงค์ของนโยบายความมั่นคง<br />

แห่งชาติ พศ ๒๕๕๘ ๒๕๔ ของ<br />

สานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ จงได้<br />

จัดกลุ่มงานด้านความมั่นคงของชาติ ออก<br />

เปน ๕ กลุ่มงานด้านความมั่นคงของชาติ<br />

ได้ดังนี้<br />

๑. กลุ่มงานเสริมสรางความ<br />

มั่นคงแห่งรัฐ (Sae Sey) หมายถง<br />

กลุ่มงานด้านความมั่นคงแบบดั้งเดิม<br />

(raiia curi) ในการรักษา<br />

เอกราชและอธิปไตยจากการรุกรานด้วย<br />

กาลังอย่างเปดเผยจากภายนอกประเทศ<br />

ทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศ<br />

รวมถงการรักษาเสถียรภาพความมั่นคง<br />

ของสถาบันหลักของชาติ ในทุกรูปแบบ<br />

๒. กลุ่มงานเสริมสรางความมั่นคง<br />

ของมนุษยและสังคมวันธรรม<br />

(man an SCle Sey)<br />

หมายถง กลุ่มงานด้านความมั่นคงรูปแบบ<br />

ใหม่ (raiia curi)<br />

ประเภทหน่งที่เสริมสร้างเสถียรภาพ<br />

มาตรฐานการดารงชีวิตในทุกด้านของคน<br />

และสังคม การพันาคุณภาพชีวิตของคน<br />

ให้สูงข้น ความปลอดภัยในชีวิตและ<br />

ทรัพย์สินของประชาชน การพันาการ<br />

ศกษา การสร้างความเปนธรรม โดยลด<br />

ความเหลื่อมล้าในสังคม ความมั่นคงทาง<br />

อาหาร ตลอดถงการแก้ไขและปองกัน<br />

ปญหายาเสพติด<br />

. กลุ่มงานเสริมสรางความมั่นคง<br />

แบบพิเศษ จากภัยคุกคามพิเศษและ<br />

ภัยคุกคามขามชาติ (Seal Sey)<br />

หมายถง กลุ่มงานด้านความมั่นคงรูปแบบ<br />

ใหม่ (raiia curi)<br />

ประเภทหน่งที่เสริมสร้างเสถียรภาพของ<br />

ชาติให้ปลอดภัยจากภัยคุกคามทุกรูปแบบ<br />

ที่เกิดจากภัยคุกคามข้ามพรมแดน<br />

ภัยคุกคามจากอาชญากรรมข้ามชาติ<br />

ทุกรูปแบบ การก่อการร้ายสากลและการ<br />

ก่อการร้ายที่มีผลสืบเนื่องจากต่างประเทศ<br />

ตลอดจนการแก้ไขปญหาความขัดแย้งใน<br />

พื้นที่พิเศษที่มีความขัดแย้งจนถงขั้นการ<br />

ใช้กาลังที่เกิดข้นในประเทศ เช่น ในพื้นที่<br />

จังหวัดชายแดนใต้ เปนต้น และภัยคุกคาม<br />

พิเศษอื่น ที่ได้รับมอบหมาย<br />

. กลุ่มงานเสริมสรางความมั่นคง<br />

ทางเทคโนโลยีสารสนเทศ และซเบอร<br />

( an Cye Sey) หมายถง<br />

กลุ่มงานด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่<br />

(raiia curi) ประเภท<br />

หน่งที่เสริมสร้างเสถียรภาพของชาติ ใน<br />

ระบบเทคโนโลยีสารสนเทศและไเบอร์<br />

ทุกรูปแบบ<br />

๕. กลุ่มงานเสริมสรางความมั่นคง<br />

ทางทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดลอม<br />

และพลังงาน (nnmen an<br />

negy Sey) หมายถง กลุ่มงาน<br />

ด้านความมั่นคงรูปแบบใหม่ (<br />

raiia curi) ประเภทหน่งที่<br />

เสริมสร้างเสถียรภาพของชาติ ในด้าน<br />

ทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งแวดล้อม<br />

ทรัพยากรน้า ทรัพยากรดิน ตลอดจน<br />

เสถียรภาพความมั่นคงด้านพลังงานของ<br />

ชาติในทุกรูปแบบ<br />

อสาอางอง<br />

สํานักงานสภาความมันคงหงชาติ นโยบายความมันคงหงชาติ พ <br />

: เางอมูลเมอ พย<br />

28<br />

พันเอก ดรดิเรก ดีรเสริ


ความมั นคงร<br />

(Cyber Security)<br />

ความมั่นคงไเบอร์เปนปญหาที่<br />

มีความับ้อนและมีแนวโน้ม<br />

ที่จะทวีความรุนแรงจากการ<br />

โจมตีมากข้น และส่งผลกระทบไปทั่วโลก<br />

โดยสานักข่าว C ของสหรัฐอเมริกา<br />

รายงานว่าในป พศ๒๕๕๙ ความมั่นคง<br />

ไเบอร์เปนหน่งในประเด็นที่โลกให้ความ<br />

สาคัญในระดับสูงและทุกประเทศต้อง<br />

สาคัญในระดับสูงและทุกประเทศต้อง<br />

ตระหนัก รวมทั้งกาหนดมาตรการในการ<br />

รวมทั้งกาหนดมาตรการในการ<br />

ปองกันภัยคุกคามดังกล่าวเนื่องจาก<br />

เหตุการณ์ความรุนแรงต่าง ที่เกิดข้นหลาย<br />

เหตุการณ์ มีสาเหตุจากการโจมตีทาง<br />

ไเบอร์ และที่สาคัญบริษัท และที่สาคัญบริษัท และที่สาคัญบริษัท ir <br />

crrai <br />

่งเปนบริษัทที่มีความ<br />

กองพันายุทาสตร สํานักงานนโยบายละยุทาสตร<br />

สํานักนโยบายละผนกลาโหม<br />

เชี่ยวชาญด้านการหยุดยั ้งภัยคุกคาม<br />

ไเบอร์ของสหรัฐอเมริการะบุว่าไทยเปน<br />

เปาหมายภัยคุกคามไเบอร์สูงสุดในเอเชีย<br />

ตะวันออกเียงใต้<br />

สถานการณปัญหาความมั่นคง<br />

ซเบอรที่สาคัญในหวงที่ผ่านมามีดังนี้<br />

๑) เมื่อเดือนมิถุนายน พศ๒๕๕๘<br />

สถานีโทรทัศน์ C รายงานว่าหน่วย<br />

สืบสวนกลางของสหรัฐอเมริกาถูกจารกรรม<br />

ข้อมูลจากระบบของรัฐบาลกลางที ่อาจ<br />

ถือว่าเปนการจารกรรมข้อมูลครั้งใหญ่ที่สุด<br />

ครั้งหน่ง โดยเจ้าหน้าที่ระบุว่าอาจจะมี<br />

ข้อมูลส่วนบุคคลหลุดออกไปมากถง ๔ ล้าน<br />

รายการ ่งเจ้าหน้าที่สอบสวนสงสัยว่า<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 29


แฮกเกอร์อาจได้รับการสนับสนุนจาก<br />

สาธารณรัฐประชาชนจีน (สปจ) และใน<br />

หลาย กรณี แฮกเกอร์ได้มอบความลับ<br />

ทางการค้าให้กับบริษัทต่าง ที่รัฐบาล<br />

สาธารณรัฐประชาชนจีนเปนเจ้าของ<br />

๒) เมื่อเดือนพฤศจิกายน พศ๒๕๕๘<br />

บริษัท a ่งเปนบริษัทที่เกี่ยวข้อง<br />

กับโทรคมนาคมรายใหญ่ของสหราช<br />

อาณาจักรถูกโจมตีและจารกรรมฐานข้อมูล<br />

ลูกค้า<br />

๓) เมื่อเดือนตุลาคม พศ๒๕๕๘<br />

ธนาคารกลางของบังกลาเทศถูกปล้นเงิน<br />

จานวน ๑๐๑ ล้านดอลลาร์สหรัฐ ผ่านระบบ<br />

ออนไลน์โดยแฮกเกอร์ใช้มัลแวร์ขั้นสูงใน<br />

การเจาะข้อมูลระบบเครือข่ายการเงินของ<br />

ธนาคารแทนที่ด้วยระบบสาหรับใช้ในการ<br />

จารกรรม เพื่อให้สามารถสั่งการได้โดย<br />

แฮกเกอร์<br />

๔) เมื่อเดือนตุลาคม พศ๒๕๕๘<br />

ตารวจมาเลเียจับกุมแฮกเกอร์ชาวโคโโว<br />

ผู้ต้องสงสัยจารกรรมข้อมูลด้านความมั่นคง<br />

ของสหรัฐอเมริกา เพื่อส่งต่อให้กลุ่ม<br />

ก่อการร้าย h samic a ra<br />

a h La<br />

๕) สาหรับประเทศไทย ในห้วงสองป<br />

ที่ผ่านมา จานวนภัยคุกคามทางไเบอร์เพิ่ม<br />

ข้นถงร้อยละ ๑๕๐ และเปนการโจมตีระบบ<br />

ของภาครัฐถงร้อยละ ๘๐ โดยเมื่อป พศ<br />

๒๕๕๘ เกิดเหตุการณ์ด้านความปลอดภัย<br />

ทางไเบอร์ จานวน ๔๓๐๐ เหตุการณ์ อีก<br />

ทั้งไทยถูกจัดให้เปน ๑ ใน ๒๕ ประเทศ ที่<br />

ประสบกับปญหาภัยคุกคามทางไเบอร์<br />

มากที่สุดในโลก และเปนอันดับ ๒ ของ<br />

อาเียนรองจากสาธารณรัฐอินโดนีเีย ทั้งนี้<br />

สาเหตุเกิดจากการขาดการเฝาระวัง<br />

และขาดแคลนบุคลากรในการรับมือกับ<br />

ภัยคุกคามฯ ดังกล่าว<br />

การดาเนินการต่อปัญหาความ<br />

มั่นคงซเบอรในระดับนานาชาติ<br />

หลายประเทศได้มีการกาหนด<br />

ยุทธศาสตร์ความมั่นคงไเบอร์แห่งชาติข้น<br />

เพื่อรองรับกับภัยคุกคามไเบอร์ เช่น<br />

สหราชอาณาจักร ได้กาหนดให้ยุทธศาสตร์<br />

ความมั่นคงปลอดภัยไเบอร์แห่งชาติ และ<br />

ให้ความสาคัญเทียบเท่ากับภัยคุกคามจาก<br />

การก่อการร้ายสากลและสหรัฐอเมริกา<br />

ได้เปดเผยยุทธศาสตร์ความมั่นคงระดับชาติ<br />

ว่ามีความพยายามในการเพิ่มความ<br />

ปลอดภัยไเบอร์โดยการสร้างบรรทัดฐาน<br />

ความร่วมมือระหว่างประเทศในการปองกัน<br />

และตรวจสอบภัยคุกคามไเบอร์<br />

ประชาคมอาเียนมีแผนแม่บท<br />

C asr a ่งเปน<br />

ความตกลงในการผลักดันอาเียนไปสู่<br />

เศรษฐกิจดิจิทัลที่มั่นคงปลอดภัยอย่าง<br />

ยั่งยืนโดยกาหนดให้ความมั่นคงไเบอร์เปน<br />

หน่งในยุทธศาสตร์สาคัญของอาเียน โดย<br />

มีเปาหมายในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง<br />

ให้กับความมั่นคงด้านสารสนเทศของ<br />

ภูมิภาค ด้วยการจัดทาแนวทางปิบัติเกี่ยว<br />

กับการคุ้มครองข้อมูลการปรับปรุงความ<br />

ร่วมมือและการตอบสนองต่อสถานการณ์<br />

30<br />

กองพันุสตร สนักงนนโุสตร สนักนโนกโห


ุกเินทางไเบอร์ในแต่ละประเทศ<br />

เพื่อให้เกิดการบูรณาการร่วมกันอย่างมี<br />

ประสิทธิภาพ<br />

การดาเนินการของทย<br />

กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและ<br />

สังคมเปนหน่วยงานหลักในการขับเคลื่อน<br />

นโยบายการเสริมสร้างความมั่นคงทาง<br />

เทคโนโลยีสารสนเทศและไเบอร์ของชาติ<br />

ตามนโยบายความมั่นคงแห่งชาติ พศ<br />

๒๕๕๘ ๒๕๔ นโยบายที่ ๑๐ เสริมสร้าง<br />

ความมั่นคงทางเทคโนโลยีสารสนเทศและ<br />

ไเบอร์ โดยกาหนดแนวทางการดาเนินการ<br />

ไว้ ๓ ประเด็น ได้แก่ ๑) การปกปองและ<br />

ปองกันภัยคุกคามด้านไเบอร์และเสริม<br />

สร้างความปลอดภัยทางเทคโนโลยี<br />

สารสนเทศ ๒) การพันาการบังคับใช้<br />

กหมายและ ๓) การพันาศักยภาพทาง<br />

ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ ทั้งนี้ กระทรวง<br />

ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมได้สร้างกลไก<br />

การรับมือและขยายการรับรู้ด้านการ<br />

ปองกันภัยคุกคามไเบอร์ผ่านศูนย์ประสาน<br />

การรักษาความมั่นคงปลอดภัยระบบ<br />

คอมพิวเตอร์ประเทศไทย่งมีบทบาทใน<br />

การผลักดันและเสริมสร้างศักยภาพด้าน<br />

การปองกันทางไเบอร์ อันจะทาให้หน่วย<br />

งานต่าง สามารถวิเคราะห์ภัยคุกคาม และ<br />

ปองกันการโจมตีได้อย่างทันท่วงที<br />

กระทรวงกลาโหม ในฐานะหน่วยงาน<br />

หลักด้านความมั่นคงของชาติ ได้จัดทา<br />

ยุทธศาสตร์ไเบอร์เพื่อการปองกันประเทศ<br />

กระทรวงกลาโหม พศ๒๕๕๘ และแผน<br />

แม่บทไเบอร์เพื่อการปองกันประเทศ<br />

กระทรวงกลาโหม พศ๒๕๐ ๒๕๔<br />

ตลอดจนจัดตั้งและเสริมสร้างขีดความ<br />

สามารถศูนย์ไเบอร์ กรมเทคโนโลยี<br />

สารสนเทศและอวกาศกลาโหม เพื่อ<br />

ประสานงานกับหน่วยงานด้านไเบอร์<br />

ของกองบัญชาการกองทัพไทย และเหล่าทัพ<br />

โดยเชื่อมโยงนโยบายด้านไเบอร์กับระดับ<br />

รัฐบาล และนาไปสู่การดาเนินงานของ<br />

หน่วยงานที่เกี่ยวข้องในระดับปิบัติ<br />

ปจจุบันการดาเนินงานของหน่วยงาน<br />

ทั้งภาครัฐและเอกชนต้องอาศัยเครือข่าย<br />

คอมพิวเตอร์ที่เชื่อมโยงทั่วโลกจงมีความ<br />

เสี่ยงสูงที่จะถูกโจมตีทางไเบอร์ (Cr<br />

ack) ่งในอนาคตภัยคุกคามไเบอร์<br />

แนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมากยิ่งข้น<br />

ดังนั้นทุกภาคส่วนจะต้องมีการเตรียมความ<br />

พร้อมทั้งในเรื่องการกาหนดนโยบาย<br />

กระบวนการบริหารความเสี่ยงการควบคุม<br />

การเฝาระวังการทดสอบการเจาะระบบ<br />

รวมทั้งการกู้คืนระบบ (cr) ตลอดจน<br />

การพันาองค์ความรู้และความตระหนักรู้<br />

ให้กับบุคลากรอย่างจริงจังและต่อเนื่องเปน<br />

ปจจัยสาคัญต่อการที่ประเทศไทยจะก้าว<br />

เข้าสู่การพันาตามแนวทาง haia<br />

และ iia cm ่งจะต้อง<br />

มียุทธศาสตร์ความมั่นคงปลอดภัยไเบอร์<br />

ที่มีความชัดเจน เพื่อให้ส่วนราชการ ตลอด<br />

จนภาคเอกชนใช้ยดถือเปนกรอบแนวทาง<br />

ปิบัติในการปองกันภัยคุกคามไเบอร์ได้<br />

อย่างมีประสิทธิภาพควบคู่ไปด้วย<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 31


Thunderbirdsวิหคสาย า<br />

งินาดลงชันยดขงสหรัละนระดัโลก<br />

นาวาอากาเอก ยะพัน ันม<br />

“Ladies and gentlemen, (Your) มาจาก<br />

United States Air Force Thun-<br />

rirs ทันทีที่สิ้นเสียงประกาศ<br />

ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความ<br />

อยากรู้อยากเห็นของฝูงชน พวกเขาเหล่านั้น<br />

ต่างสอดส่ายสายตาไปตามแนวขอบา<br />

จากด้านหัวสนามบินไปจนจรดด้านท้าย<br />

ของสนามบิน เพื่อที่จะได้เห็นจุดเริ่มต้น<br />

ของการเปดตัวการแสดงการบินผาดแผลง<br />

(craic ih) ที่น่าตะลงดุจเทพ<br />

รังสรรค์ของหมู่บินผาดแผลง hur-<br />

irs ่งมีแหล่งกาเนิดในยุคปจจุบัน<br />

is <br />

ฝูงอินทรีย์ s ในเดสีขาว<br />

น้าเงินและแดง แสนสะดุดตาเมื่อเริงร่า<br />

ร่ายราบนท้องาเข้ารวมหมู่บินกันจาก<br />

ระยะไกลด้านหลังของฝูงชน ด้วยการเกาะ<br />

หมู่ชิด ความสูงต่า ความเร็วสูง พุ่งเข้าหา<br />

สนามบิน เมื่อ hurirs อยู่เหนือ<br />

สนามบินและปรากตัวให้เห็นอย่าง<br />

ชัดเจน พร้อมกับเสียงกัมปนาทกกก้อง<br />

กระห่มทรงพลังมหาศาลของเครื่องยนต์<br />

เจ็ต ภาพแรกนี้ได้สร้างความตื่นตาตื่นใจ<br />

เปนอย่างมาก เปนการเข้าหาฝูงชนในแบบ<br />

ที่พวกเขาไม่ได้คาดคิด (urris) มาก่อน<br />

บรรยากาศสนามบินเต็มไปด้วยเสียงอื้ออง<br />

และปลื้มปติ<br />

32<br />

นวอกเอก ิพัน ัน


ภาพประทับใจของ hur-<br />

irs เกิดข้นอย่างต่อเนื่องทั้งภาคพื้น<br />

และภาคอากาศ สาหรับภาคพื้นดิน่งใช้<br />

เวลา ๒๐ นาที นั้น หกนักบินหนุ่มรูปร่าง<br />

สมาร์ทในชุด ui สีน้าเงิน แสดงความ<br />

เคารพประธานและประชาชน และเดิน<br />

แยกย้ายกันไปที่เครื่อง ของตนเอง<br />

อย่างมีแบบแผนพวกเขาข้นเครื่องและติด<br />

เครื่องยนต์ ท่าทางการให้สัญญาณเพื่อ<br />

ตรวจสอบความพร้อมของหมู่บิน และ<br />

ขับเคลื่อน (ai) หมู่บินตามกันไปจนถง<br />

หัวทางวิ่งเพื่อเตรียมตัววิ่งข้น เมื่อมองใน<br />

ภาพรวมแล้วสง่างามยิ่งนักเหมือนราชันย์<br />

บนากาก็ปานนั้น<br />

จุดสูงสุดของความตื ่นเต้นอยู่ที่ภาค<br />

อากาศที่ใช้เวลา ๔๐ นาที พวกเขาแสดง<br />

ท่าทางการบินจากทักษะการบินที่ยอด<br />

เยี่ยมของแต่ละคน่งดูเหมือนพวกเขา<br />

กาลังพยายาม่าตัวตายในรูปแบบที่<br />

พิสดารและสิ้นเปลืองที่สุดในโลก ด้วย<br />

ท่าทางการผาดแผลงต่าง ทั้งในลักษณะ<br />

ของการเกาะหมู่ (rmai) และการ<br />

บินเดี่ยว () อย่างเช่น การบินหมู่<br />

(rmai) แบบ a iam ai<br />

และ ir i และผาดแผลงด้วยท่าทาง<br />

การบิน (aur) แบบ (หมุนตัว<br />

รอบแกนยาวของเครื่อง) r ih<br />

(ท่าบินหงายท้อง) และ L (วงกลมตั้ง)<br />

ท่วงท่ามหัศจรรย์เหล่านี้ ทาให้ผู้ชมทั้ง<br />

หลายแทบไม่ได้หยุดหายใจหรือพูดคุยกัน<br />

เลยตลอดเวลาการแสดงมายากลบน<br />

อากาศของ hurirs<br />

ความสุดยอดของเทคนิคการบินไป<br />

จบที่ภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ hur-<br />

irs คือ m urs เมื่อ <br />

แต่ละเครื่องวิ่งเข้าหากันจากหกทิศทาง<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 33


ด้วยความสูงต่า ความเร็วสูงเมื่อถงจุดนัด<br />

หมายสาคัญเหนือสนามบิน พวกเขาดง<br />

เครื่องไต่ข้นทันทีทันใด ในมุมที่ชันมาก<br />

เกือบเก้าสิบองศา พร้อมกับปล่อยควันสี<br />

เปนหางทางยาวตามทิศทางของเครื่อง<br />

ครั้นถงจุดสูงสุดอันหน่งก็พลิกตัวและแยก<br />

กันออกไปตามทิศทางตรงข้ามตั ้งแต่เริ ่ม<br />

ต้นที่พวกเขาบินสอบเข้าหากัน เปนการจบ<br />

การแสดงที่ตราตรงหยุดความรู้สกทุก<br />

อย่างไว้เลยทีเดียวและเปนากภาพอมตะ<br />

ในเชิงสัญลักษณ์ของ hurirs<br />

ที่ยิ่งใหญ่ด้วยเหมือนกัน<br />

แม้ว่าการแสดงภาคอากาศจะเสร็จ<br />

สิ้นสมบูรณ์ไปแล้วก็ตาม ผู้คนจานวนมาก<br />

ยังอ้อยอิ่งรอการกลับมาลงสนามของเหล่า<br />

นักบิน hurirs พวกเขาเข้าแถว<br />

เปนทางยาวตามแนวทางเดินของนักบิน<br />

เพื่อรอการจับมือทักทายและถ่ายภาพร่วม<br />

กับนักบินเหล่านั้น เปนความทรงจาและ<br />

แรงบันดาลใจที่วิเศษสาหรับพวกเขาใน<br />

อนาคต คนเก่ง ในแต่ละยุคมักจะมีความ<br />

ประทับใจในอดีตที่สร้างพลังภายในให้กับ<br />

พวกเขาในลักษณะนี้เปนส่วนใหญ่ ในกรณี<br />

34<br />

ของ hurirs ก็เช่นเดียวกัน<br />

รวมไปถงการเปนไปในทางเชิญชวนที่<br />

ดีเยี่ยม ทาให้เด็กหนุ่มอเมริกันมีความ<br />

ต้องการอยากเข้าเปนทหารอากาศกันมาก<br />

และประเด็นสาคัญที่กองทัพอากาศ<br />

สหรัฐฯ ได้รับแบบเต็ม คือ เกิดความ<br />

มั่นใจสาหรับประชาชน สาหรับเงินภาษี<br />

อากรของพวกเขา ที่สามารถสร้าง<br />

ศักยภาพด้านการบินได้อย่างเข้มแข็ง มี<br />

กาลังทางอากาศที่เชื่อถือได้ในการปิบัติ<br />

ภารกิจเพื่อสหรัฐฯ หรือประชาคมโลก<br />

ไปไกลกันขนาดนั้นเลย<br />

ในรอบหน่งป ตั้งแต่เดือนมีนาคมถง<br />

เดือนตุลาคม hurirs มี<br />

โปรแกรมที่ต้องแสดงในช่วงวัดหยุด<br />

สุดสัปดาห์มากถง ๔๐ ครั้ง ่งในแต่ละครั้ง<br />

ของการแสดงจะต้องมีทีมงานของ<br />

hurirs ที่เปนส่วนล่วงหน้า<br />

นวอกเอก ิพัน ัน


เดินทางไปยังชุมชนนั้น เพื่อการ<br />

ประชาสัมพันธ์ พวกเขาแทรกมเข้า<br />

พบปะกับประชาชนในเกือบทุกองค์กร<br />

ตั้งแต่ โรงเรียน วิทยาลัย มหาวิทยาลัย<br />

โบสถ์และโรงพยาบาล เปนต้น นับได้ว่า<br />

งานด้านกิจการพลเรือนของกองทัพ<br />

อากาศสหรัฐฯ หรือ hurirs<br />

เข้มแข็งดีมาก<br />

อย่างไรก็ตาม การแสดงของฝูงบิน<br />

ผาดแผลง hurirs นั้น ก็ย่อม<br />

มีข้อจากัด โดยเพาะปญหาใหญ่จาก<br />

สภาพอากาศ ดังนั้น เพื่อรับประกันความ<br />

ผิดหวังของแน hurirs จง<br />

ได้เตรียมระดับของการแสดงไว้สามระดับ<br />

คือ ระดับ ih สาหรับวันที่อากาศดี<br />

มาก ทั้งระยะการมองเห็นและความสูง<br />

ของฐานเม (Cii) การแสดงการบิน<br />

ในระดับนี้ จัดกันแบบเต็มพิกัดเลย ระดับ<br />

ที่สอง ium เปนระยะที่การมอง<br />

เห็นค่อนข้างดี แต่ฐานเมอยู่ต่าไปหน่อย<br />

ดังนั้นการบินในรูปแบบที่<br />

ต้องการความสูง (ai iu)<br />

จงต้องตัดออกไป ระดับสุดท้าย a<br />

แย่ที่สุดแต่ไม่ถงกับงดการแสดง<br />

hurirs จะทาได้แค่ในบางท่า<br />

เท่านั้น อย่างเช่นการ L ass เปนต้น<br />

นอกเหนือจากอุปสรรคด้านสภาพ<br />

อากาศแล้ว ก็ยังมีมรสุมเรื่องสภาวะทาง<br />

เศรษฐกิจของสหรัฐฯ อย่างเช่น ในป<br />

๒๐๑๓ ระบบเศรษฐกิจย่าแย่มีผลกระทบ<br />

กันไปทุกส่วนของประเทศ สาหรับ<br />

ในแวดวงการบินผาดแผลงนั้น ทั้ง<br />

hurirs เอง หรือแม้แต่ u<br />

s ของกองทัพเรือสหรัฐฯ และ<br />

rm ihs ของกองทัพบก<br />

สหรัฐฯ ก็เกิดแรงกระเพื่อมเปนข้อขัดข้อง<br />

ตามมาด้วยเหมือนกัน ฝูงบินเหล่านี้ไม่มี<br />

งบประมาณเพียงพอในการตระเวนแสดง<br />

การบินได้ตามปกติเช่นทุกป แต่ความเปน<br />

hurirs ก็ยังคงอยู่ เพียงแค่ลด<br />

ระดับการปิบัติลงมาเท่านั้น<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 35


The Legend of “Thunderbirds”<br />

hurirs เริ ่มก่อร่างสร้าง<br />

ตัวครั้งแรกในป ๑๙๕๓ ที่ Luk <br />

ria ด้วยเครื่องไอพ่นในยุคสงคราม<br />

เกาหลีคือ (hur) ครั้นมา<br />

ถงป ๑๙๕๕ ได้เปลี่ยนมาเปน <br />

(hursrak) ถัดมาอีกปต้องย้าย<br />

บ้านกันเลยคือในป ๑๙๕ ได้ย้ายมาที่<br />

is aa พร้อมกับเปลี่ยน<br />

เครื่องบินเปนแบบ (ur ar)<br />

และที่ is aa แห่งนี้ มีการ<br />

เปลี่ยนแบบเครื่องบินอย่างต่อเนื่อง<br />

ไล่เรียงกันมาตั้งแต่ (hurchi)<br />

(ham ) (a)<br />

จนกระทั่งมาถงยุคไอพ่นสมรรถนะสูง<br />

ยุคใหม่ในป ๑๙๘๙ ่งได้เปลี่ยนมาเปน<br />

(ihi ac) และในยุค<br />

ปจจุบันนี้ (๒๐๑) เปน C<br />

ck <br />

การมาเยือนเมืองไทยของ hu-<br />

rirs นั้น ล้วนเปนยุคของ <br />

ทั้งสิ้น ่งได้มาแสดงให้คนไทยได้ชมเปนที่<br />

อัศจรรย์ใจถงสามครั้งด้วยกัน ตั้งแต่ป<br />

๑๙๘๗ (๒๕๓๐) ๑๙๘๔ (๒๕๓๗) และ<br />

ครั้งหลังสุดคือป ๑๙๙๙ (๒๕๕๒)<br />

“Thunderbirds” Team work<br />

ทีมงานแรกที่ทาหน้าที่ของตนเอง<br />

อย่างเข้มข้นและดูเหมือนปดทองหลังพระ<br />

คือ ทีมงานภาคพื้นที่ต้องทางานหนักเพื่อ<br />

รักษาสมรรถนะ (aiairs) มี<br />

ประมาณ ๑๐๐ ๑๒๐ คน ประกอบด้วย<br />

ผู้เชี่ยวชาญทางเทคนิค ช่างประจาเครื่อง<br />

เจ้าหน้าที่บริหารงานทั่วไป เจ้าหน้าที่<br />

ส่งกาลังบารุง (Lisica) รวมไปถงนักบิน<br />

ที่ต้องบินกับเครื่องสองที่นั่ง s<br />

สาหรับแขก หรือสื่อมวลชนด้วย ่ง<br />

การเคลื่อนย้ายองคาพยพทั้งปวงของ<br />

ฝูงบินได้รับการสนับสนุนจาก C หรือ<br />

Cs<br />

ทีมงานสุดท้ายคือทีมนักบิน<br />

hurirs ่งนักบินเหล่านี้จะถูก<br />

คัดเลือกโดยสมัครใจจากฝูงบินไอพ่น ใน<br />

กองทัพอากาศสหรัฐฯ ่งกาหนดให้มี<br />

ความหลากหลาย ไม่กีดกันในเรื่องเพศ<br />

และเผ่าพันธุ์ หรือแม้กระทั่งแบบของ<br />

เครื่องบินที่บินอยู่ในปจจุบันโดยในขั้นต้น<br />

นั้น นักบินแต่ละคนต้องมีชั่วโมงบินของ<br />

เครื่องบินรบ (ihr hurs) ไม่ต่ากว่า<br />

๑๐๐๐ ชั่วโมง จากนั ้นต้องผ่านการ<br />

พิจารณาของผู้ฝูงในสังกัด ขั้นตอนต่อมา<br />

คือ การสัมภาษณ์และประเมินค่าจากทีม<br />

งานของผู้ฝูง hurirs และขั้น<br />

สุดท้ายคือการตัดสินใจของ ir<br />

Cma Cmma เมื่อผ่านแล้ว ก่อน<br />

ที่จะบินเดี ่ยวเปนเทพกับ hur-<br />

irs นักบินทุกนายต้องผ่านการฝกขั้น<br />

ปรับสภาพและเทคนิคการบินระดับ<br />

พระกากับเครื่อง แบบสองที่นั่งก่อน<br />

ในช่วงการฝกนั้น นักบินต้องเผชิญ<br />

กับแรงโน้มถ่วงของโลกคือแรง rai<br />

rc สูงถง ความหมายง่าย คือถ้า<br />

นักบินมีน้าหนัก Ls เมื่อเจอกับแรง<br />

ตัวเขาจะมีน้าหนักเปน Ls<br />

36 นวอกเอก ิพัน ัน


ทันที เหมือนร่างกายต้องแบกแรงที่<br />

มองไม่เห็นแต่หนักหน่วงกดดันและสาหัส<br />

ยิ่งกว่าผีอาในค่าคืนที่ฝนร้ายของบางคน<br />

เสียอีก เมื่อเจอแรงที่หนักมากแล้วก็ต้อง<br />

สลับกับการที่ต้องอยู่สภาพไร้น้าหนัก<br />

ตามท่าทางการบินที ่เปลี่ยนแปลงแบบ<br />

ทันทีทันใดคือ นักบินต้องเจอ aai<br />

rc ถง เปรียบได้เหมือนตอน<br />

ร่วงแบบ r a จาก r Casr<br />

จากจุดที่สูงสุดของเครื่องเล่นนี้ แม้ว่าภาร<br />

กรรมจากแรงโน้มถ่วงทั้งบวกและลบมาก<br />

ขนาดนี้พวกเขายังคงขีดความสามารถ<br />

รักษาระยะห่างในหมู่บินแบบปกต่อปกได้<br />

ไกลมากที่สุดถง ๑๘ นิ้ว เลยทีเดียว ใน<br />

ประเด็นเรื่องแรง นี้ hurirs<br />

มีเรื่องเกทับแบบหยอกกันเล่นกับ u<br />

s ของกองทัพเรือชาติเดียวกัน<br />

่งใช้ s (r) ที่สู้แรง ได้แค่<br />

เท่านั้นเอง<br />

เมื่อพวกเขาเหล่านักบิน hur-<br />

irs มีจิตใจที่อาจหาญท้าทายความ<br />

ตายที่อยู่ใกล้พวกเขาแค่สะกิด เปนเรื่อง<br />

ปกติ ข้อผิดพลาดที ่นาไปสู่การสูญเสีย<br />

ต้องเกิดข้นไม่ช้าก็เร็ว จะเกิดกับใคร เวลาใด<br />

และที่ใดเท่านั้นเอง ตลอดช่วงเวลา ๓ ป<br />

ตั้งแต่ป ๑๙๕๓ ๒๐๑ นั้น hu-<br />

rirs สูญเสียนักบินไปแล้ว ๒๐ คน<br />

เปนอุบัติเหตุที่เกิดในขณะเปดการแสดง<br />

(ir h) สามครั้ง ที่เหลือเกิดในขณะ<br />

ฝก้อม<br />

ในเรื่องของภาพลักษณ์ของนักบิน<br />

นั้น นักบินทุกคนต้องยิ้มแย้มแจ่มใส<br />

สะอาดสะอ้าน ดูแลสุขภาพอย่างสม่าเสมอ<br />

พวกเขาต้องออกกาลังกายวันละสอง<br />

ชั่วโมงเพื่อรักษารูปร่างที่สมทรง สง่างาม<br />

เมื่อใส่เครื่องแบบหรือชุดบินแบบ ui<br />

ต้องออกมาดูดี เปนที่ต้องใจของผู้ชมทันที<br />

พวกเขามีข้อกาหนดที่ต้องดูแลตนเองดี<br />

มาก น่าจะดีกว่าดาราหรือนักกีาเสียอีก<br />

ทีมงานทั้งสองทีมนั้น ต้องผ่านการ<br />

ฝกในลักษณะเพาะงานของตนเอง และ<br />

มีช่วงเวลาการทางานในรูปแบบของ<br />

hurirs am rk ประมาณ<br />

๒ ๓ ป หรืออาจมีบวกบ้างแล้วแต่กรณี<br />

ไป ทั้งนี้ พวกเขาต้องเสียสละและยอมรับ<br />

สภาพที ่ต้องห่างเหินจากครอบครัวมาก<br />

เนื่องจากมีช่วงเวลาการตระเวนออกแสดง<br />

ทั้งในสหรัฐฯ และทั่วโลกค่อนข้างเยอะ<br />

hurirs เปนส่วนหน่งที่มี<br />

ลักษณะเชิงสัญลักษณ์ของสหรัฐฯ คล้าย<br />

กับ ir rc ที่ต่างก็แสดงให้<br />

เห็นถงพลังอานาจทางทหารและ<br />

เทคโนโลยีของชาติ ทาให้ดูน่าเกรงขาม<br />

อีกทั้งเปนแรงบันดาลใจในเชิงบวกให้กับ<br />

เด็ก ของพวกเขาหรือทั่วโลกมาก ทาให้<br />

พวกเขาเกิดความตระหนักรู้ว่า พวกเขา<br />

ควรต้องมีจุดมุ่งหมายหรือมี อย่างใด<br />

อย่างหน่งอย่างไร เพื่อเปนพลังขับเคลื่อน<br />

ความตั้งใจ ความใฝฝนของพวกเขาให้เปน<br />

จริงหรือไม่ก็ใกล้เคียง ่งก็น่าจะดูหรูเปน<br />

ประโยชน์ต่อตนเองไม่ทางใดก็ทางหน่ง<br />

อย่างแน่นอน<br />

ทุกอย่างย่อมเดินไปสู่จุดสุดท้ายของ<br />

ตัวเอง C เหยี่ยวเวหา ที่กาลัง<br />

จะเปนตานานสุดแสนจะคลาสสิกด้าน<br />

เทคนิคและท่วงท่าการบินผาดแผลงที่<br />

พิสดารพันลก ดุจเทพนิยายปกรณัมกรีก<br />

ในยุคอารยธรรมเฮเลนนิสติก (isic<br />

Ciiiai) อนาคตของ C <br />

เหยี่ยวเวหา แห่งฝูงบิน hurirs <br />

วิหคสายา เองก็เช่นเดียวกัน แม้ว่าใน<br />

ปจจุบัน C ยังเปนที่ไว้วางใจได้และ<br />

ยังยอดเยี่ยมอยู่ แต่เมื่อใดก็ตามในอนาคต<br />

อันใกล้นี้ที่เครื่องบินไอพ่นยุคที่ห้าเข้า<br />

ประจาการอย่างเต็มรูปแบบในกองทัพ<br />

อากาศสหรัฐฯ ่งก็คือ (Lih-<br />

i) เมื่อนั้น hurirs คงต้อง<br />

ถูกทดแทนด้วย (Lihi)<br />

อย่างแน่นอน ความน่าอัศจรรย์ใจก็ย่อม<br />

มากข้นเท่าทวีคูณ ตามความล้าเลิศของ<br />

เทคโนโลยีและการแผนแบบของเครื่องบินรบ<br />

ยุคใหม่อย่าง (Lihi)<br />

: <br />

: <br />

: <br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 37


นะนําาว น้าน<br />

คร งินขนสงทางทหารม<br />

พลเอก ทรงพล พนุพง<br />

กองทัพอากาศมาเลเีย ()<br />

จัดื้อเครื่องบินขนส่งทางทหาร<br />

ขนาดหนักรุ่นใหม่ เอ๔๐๐เอ็ม<br />

() รวม ๔ เครื่อง เมื่อเดือนธันวาคม<br />

พศ๒๕๔๘ เปนเงิน ๒๓๐ ล้านเหรียญ<br />

สหรัฐ ได้ทาพิธีลงนามในสัญญาที่งาน<br />

ลิม่า ๐๕ (L Lakai ra-<br />

ia ariim a rsac<br />

hiii) ที่เกาะลังกาวี ประเทศมาเลเีย<br />

เปนโครงการจัดหาเครื่องบินขนส่งทาง<br />

ทหารเพื่ออนาคตกองทัพอากาศมาเลเีย<br />

ได้รับมอบเครื่องบินลาแรกเมื่อเดือน<br />

เครองบินนสงทางทหารนาดหนักบบ เอ ติดตังเครองยนตรวมสีเครอง เนเครองบินนสงทางทหารรุนหมบบหนงองโลก<br />

สามารบรรทุกทหารด ทีนัง<br />

มีนาคม พศ๒๕๕๘ หลังจากที่ได้ลงนาม<br />

ในสัญญานานถง ๑๐ ป ประจาการฝูงบิน<br />

ขนส่งที่ ๒๒ ฐานทัพอากาศูบัง (ua<br />

) รัฐาลังงอร์ทางด้านทิศตะวันตก<br />

ของประเทศ (ด้านช่องแคบมะละกา) ที่<br />

เหลืออีก ๓ เครื่อง คาดว่าจะได้รับมอบ<br />

ครบตามโครงการในป พศ๒๕๐<br />

ปจจุบันกองทัพอากาศมาเลเียมีกาลังพล<br />

รวม ๑๕๐๐๐ นาย เครื่องบินรบรวมทั้ง<br />

สิ้น ๒๙๗ เครื่อง (เครื่องบินขนส่งทาง<br />

ทหารขนาดหนักประกอบด้วย ี<br />

๑๓๐เอชี๑๓๐เอช๓๐ รวม ๑๑ เครื่อง<br />

และ เคี๑๓๐ที รวม ๒ เครื่อง รุ่นเติม<br />

น้ามันทางอากาศของฝูงบินขนส่งที่ ๑๔<br />

ฐานทัพอากาศลาบวนมาเลเียตะวันออก<br />

มีทางวิ่งยาว ๒๗๔๕ เมตร และฝูงบิน<br />

ขนส่งที่ ๒๐ ฐานทัพอากาศูบัง มีทางวิ่ง<br />

ยาว ๓๗๘๐ เมตร) กองทัพอากาศ<br />

มาเลเียมีความจาเปนที่จะต้องประจาการ<br />

ด้วยเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาดหนัก<br />

เพื่อจะทาการบินขนส่งกาลังทหารและ<br />

สัมภาระขนาดใหญ่ในยามวิกฤติไปยัง<br />

มาเลเียตะวันออกที่อยู่ห่างไกลได้อย่าง<br />

รวดเร็ว (ทะเลจีนใต้กั้นขวางอยู่) เหตุผล<br />

38<br />

พเอก รงพ พนุพง


เครองบินนสงทางทหารนาดหนักบบ เอ เอ็ม จะชทางวิงนยาว เมตร ณะลงสูพนชทางวิงยาว เมตร<br />

มีพิสัยบินกล กิโลเมตร บรรทุกหนัก ตัน<br />

ทางด้านความมั่นคงของประเทศ โครงการ<br />

ผลิตเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาดหนัก<br />

เริ่มต้นในป พศ๒๕๒๕ ชื่อเรียกว่า<br />

โครงการเครื่องบินขนส่งทางทหารใน<br />

อนาคต ( uur raia<br />

iiar irir) เปนเครื่องบินขนส่ง<br />

ทางทหารขนาดหนัก (เครื่องยนต์ใบพัด<br />

ชนิดสี่เครื่องยนต์) มีพิสัยบินไกล พันาข้น<br />

เพื่อจะนาเข้าประจาการทดแทนเครื่องบิน<br />

ขนส่งทางทหารรุ่นเก่าแบบ ี๑๐<br />

(C rasa) ชนิดสองเครื่องยนต์<br />

ผลิตร่วมเยอรมนีและฝรั ่งเศส มียอดผลิต<br />

๒๑๔ เครื่อง (ผลิตข้นระหว่างป พศ<br />

๒๕๐๘ ๒๕๒๘) ประจาการ ๔ ประเทศ<br />

และเครื่องบินขนส่งทางทหารแบบ ี๑๓๐<br />

เฮอร์คิวลิส (C rcus) ชนิดสี่<br />

เครื่องยนต์ ผลิตจากประเทศสหรัฐอเมริกา<br />

มียอดผลิต ๒๕๐๐ เครื่อง (ผลิตครั้งแรก<br />

เครองยนต เทอรโบพรอพ นําหนัก กิโลกรัม กําลังนาด รงมา<br />

ละบพัดชนิดดกลีบ<br />

ในป พศ๒๔๙๗) ประจาการ ๘ ประเทศ<br />

และยังใช้ในส่วนของภารกิจทางด้าน<br />

พลเรือนอีก ประเทศ เครื่องบินขนส่ง<br />

ทางทหารทั้งสองแบบที่ได้ประจาการ<br />

มาเปนเวลานานแต่โครงการมีความ<br />

ก้าวหน้าช้าด้วยเหตุผลทางด้านเทคนิค<br />

และทางด้านการเมืองประกอบกับการ<br />

พันาเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาด<br />

หนักของสหรัฐอเมริกา รุ่นใหม่แบบ ี๑๗<br />

(C masr) แต่จะเรียกว่า<br />

เครื่องบินขนส่งทางยุทธศาสตร์เปนเครื่อง<br />

บินขนส่งทางทหารประเภทเดียวกัน แต่<br />

มีขีดความสามารถสูงกว่าโดยใช้ขับเคลื่อน<br />

ด้วยเครื่องยนต์ไอพ่น (รวม ๔ เครื ่อง)<br />

เมื่อวันที่ ๕ พฤศจิกายน พศ๒๕๕๓<br />

ประเทศยุโรปรวม ๗ ประเทศ มีความ<br />

ต้องการเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาด<br />

หนัก เอ๔๐๐เอ็ม () รวม ๑๘๐<br />

เครื่อง (ต่อมาได้ปรับลดลงเหลือความ<br />

ต้องการ ๑๗๐ เครื่อง)<br />

เครื่องบินขนส่งทางทหารรุ่นใหม่<br />

แบบ เอ๔๐๐เอ็ม () เครื่องบิน<br />

ต้นแบบทาการข้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ ๑๑<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 39


เครองบินนสงทางทหารนาดหญ เอเอ็ม กองทัพอากามาเลเียณะทําการบินรวมกับเครองบินกโจมตีันกาวหนา<br />

บบ อรค จากูงบินโจมตีที <br />

ธันวาคม พศ๒๕๕๒ ข้อมูลที่สาคัญ เจ้า<br />

หน้าที่ประจาเครื่อง ๓ นาย บรรทุกทหาร<br />

๑๑ ที่นั่ง ขนาดยาว ๔๕๑ เมตร สูง<br />

๑๔๗ เมตร ช่วงปกยาว ๔๒๔ เมตร<br />

พื้นที่ปก ๒๒๕๑ ตารางเมตร น้าหนักบิน<br />

ข้นสูงสุด ๑๔๑๐๐๐ กิโลกรัม (๓๑๐๘๕๒<br />

ปอนด์) ความจุเชื้อเพลิง ๕๐๕๐๐<br />

กิโลกรัม เครื่องยนต์เทอร์โบพร็อพ<br />

() ขนาด ๑๑๐๐๐ แรงม้า (รวม<br />

๔ เครื่อง) ใบพัดชนิดแปดกลีบความเร็ว<br />

๗๘๑ กิโลเมตรต่อชั่วโมงพิสัยบินไกล<br />

๔๕๐๐ กิโลเมตร (น้าหนักบรรทุก<br />

๓๐๐๐๐ กิโลกรัม) เพดานบินสูง ๑๒๒๐๐<br />

เมตร (๔๐๐๒ ุต) ใช้ทางวิ่งลงยาว<br />

๗๗๐ เมตร และใช้ทางวิ่งบินข้นยาว ๙๘๐<br />

เมตร เครื่องบินต้นแบบได้ทาการทดสอบ<br />

การบินตามมาตรฐานเดือนกรกาคม<br />

พศ๒๕๕๓ ทาการบินทดสอบกว่า ๑๐๐<br />

เที่ยวบิน มีชั่วโมงบิน ๔๐๐ ชั่วโมง วันที่ ๒๘<br />

ตุลาคม พศ๒๕๕๓ ทาการทดสอบการ<br />

บินโดยรับการเติมน้ามันทางอากาศเดือน<br />

พฤศจิกายน พศ๒๕๕๓ ได้ทดสอบ<br />

เครองบินนสงทางทหารนาดหนักบบ เอเอ็ม กองทัพอากามาเลเียดรับมอบ<br />

เาระจําการลว เครอง ยังคงเหลออีก เครอง ูงบินที านทัพอากูบัง รัสลังงอร<br />

ทางดานตะวันตกองระเท ทางดานชองคบมะละกา<br />

ภารกิจการกระโดดร่มและเดือนธันวาคม<br />

พศ๒๕๕๓ ทาการบินทดสอบเพิ่มข้นเปน<br />

๙๕ ชั่วโมง ยังคงทาการทดสอบขีดความ<br />

สามารถทางการบินในหลายสภาพอากาศ<br />

โดยในเขตหนาวที่เมืองคิรูน่า (irua)<br />

ทางตอนเหนือสุดของประเทศสวีเดน<br />

ระหว่างเดือนกุมภาพันธ์ พศ๒๕๕๔ เมื่อ<br />

ถงเดือนธันวาคม พศ๒๕๕๔ ทาการบิน<br />

ได้ ๗๘๔ เที่ยวบิน รวมกว่า ๒๓๘๐ ชั่วโมง<br />

ต่อมาทาการทดสอบการบินในสภาพพื้นที่<br />

สูงที่กรุงลาปา ประเทศโบลิเวีย (ที่ความ<br />

สูง ๔๐๑ เมตร จากระดับน้าทะเล) ได้<br />

ทาการผลิตเครื่องบินลาแรกของสายการ<br />

ผลิตเพื่อส่งให้ประเทศที่สั่งื้อคือกองทัพ<br />

อากาศฝรั่งเศส () รับมอบเข้าประจา<br />

การอย่างเปนทางการเมื่อวันที่ ๓๐<br />

กันยายน พศ๒๕๕ เครื่องบินขนส่งทาง<br />

ทหารขนาดหนักแบบ เอ๔๐๐เอ็ม<br />

() นาเข้าประจาการในกองทัพ<br />

อากาศในป พศ๒๕๕ ประกอบด้วย<br />

กองทัพอากาศฝรั่งเศส ๙ เครื่อง (จัดหา<br />

๕๐ เครื่อง เปนเงิน ๑๑๗ พันล้านเหรียญ<br />

40 พเอก รงพ พนุพง


ภาพทางดานหลังองเครองบินนสงทางทหารนาดหนักบบ เอเอ็ม สามารจะนสง<br />

เาหมายดกล พนทีหองสัมภาระนาดยาว เมตร<br />

ยานยนตทางทหารยังพนที<br />

กวาง เมตร ละสูง เมตร<br />

สหรัฐ) กองทัพอากาศอังกฤษ ๘ เครื่อง<br />

(จัดหา ๒๒ เครื่อง) กองทัพอากาศเยอรมนี<br />

๓ เครื่อง (จัดหา ๕๓ เครื่อง) และกองทัพ<br />

อากาศตุรกี ๓ เครื่อง (จัดหา ๑๐ เครื่อง)<br />

และยังมีอีกหลายประเทศในยุโรปที่รอการ<br />

รับมอบในอนาคต<br />

เครื่องบินขนส่งทางทหารขนาดหนัก<br />

แบบ เอ๔๐๐เอ็ม () มีการผลิตรุ่น<br />

รวม ๒ รุ่น ประกอบด้วย รุ่น ี๒๙๕เอ็ม<br />

( ri) ได้ผลิตรุ่นต้นแบบ ๕<br />

เครื่อง ต่อมาได้ยกเลิกโครงการและรุ่น<br />

เอ๔๐๐เอ็ม๑๘๐ ( as)<br />

ผลิตจากบริษัทแอร์บัสกองทัพอากาศ<br />

ฝรั่งเศสนาเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาด<br />

หนักแบบ เอ๔๐๐เอ็ม () ปิบัติ<br />

การทางทหารในภารกิจขนส่งไปยังประเทศ<br />

มาลี ทวีปแอริกาตะวันตกเมื่อวันที่ ๒๙<br />

ธันวาคม พศ๒๕๕ เพื่อจะสนับสนุน<br />

ยุทธการเอร์วัล (rai ra)<br />

กองทัพฝรั่งเศสส่งทหารเข้าร่วมปิบัติการ<br />

๕๑๐๐ นาย จัดกาลังดาเนินกลยุทธ์รวม<br />

๑ กองพันทหารราบเพาะกิจ (จัดมาจาก<br />

หลายหน่วย) ร่วมกับกองกาลังนานาชาติ<br />

รวม ๗ ประเทศ (ให้การสนับสนุนอีก<br />

๑๑ ประเทศ) เปนปิบัติการทางทหาร<br />

ขนาดใหญ่นานระหว่างวันที่ ๑๑ มกราคม<br />

พศ๒๕๕ วันที่ ๑๕ กรกาคม<br />

พศ๒๕๕๗<br />

เครองบินนสงทางทหารนาดหนักบบ เอเอ็ม เครองรกองกองทัพอากามาเลเีย<br />

ทําการนบินครังรกเมอวันที มกราคม พ ทําการบินนาน ชัวโมง กับอีก<br />

นาที ทีระเทสเน<br />

ภาพกรากทีตังานทัพอากามาเลเีย เครองบินนสงทางทหารบบ เอเอ็ม ูงบินที านทัพอากาูบัง <br />

ละานทัพอากาทางดานมาเลเียตะวันออก<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 41


ปิดประสทคโนโลย<br />

ปงกันประท<br />

ระมหากัริย้ทรงวางรากาน<br />

สาหกรรมปงกันประทขงทย<br />

สาบันเทคโนโลยีองกันระเท องคการมหาชน<br />

พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />

มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงเปน<br />

พระมหากษัตริย์ผู้ทรงทุ่มเท<br />

พระวรกายและพระทัยในการปกครอง<br />

และพันาชาติบ้านเมือง เพื่อประโยชน์<br />

สุขของปวงอาณาประชาราษร์ ทรงเปน<br />

กษัตริย์นักพันาอย่างแท้จริง ทรงอุทิศ<br />

กาลังพระวรกายและกาลังพระสติปญญา<br />

ปิบัติพระราชกรณียกิจนานัปการ ๑<br />

ตลอดช่วงเวลาแห่งการทรงครองสิริราช<br />

สมบัติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา<br />

ภูมิพลอดุลยเดชทรงเปยมไปด้วยพระทัย<br />

ที่มุ่งมั่นในการที่จะทาให้ประเทศไทยมี<br />

ความเข้มแข็ง เจริญก้าวหน้า ได้อย่าง<br />

ยั่งยืน ด้วยการพ่งพาตนเอง<br />

การพ่งพาตนเองตามหลักการทรง<br />

๑<br />

http://www.sportringside.com/contents/8728/<br />

๒<br />

http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6/sri09/html/project2.htm<br />

งานในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา<br />

ภูมิพลอดุลยเดช หมายถง ความสามารถ<br />

ในการดารงตนอยู่ได้อย่างอิสระมั่นคง<br />

สมบูรณ์ ่งการพ ่งตนเองได้นั้น มีทั้งใน<br />

ระดับบุคคล และชุมชน การพ่งตนเอง<br />

ต้องสามารถผันเปลี่ยนไปตามกาลเวลาได้<br />

เพื่อให้เกิดความเหมาะสมสอดคล้อง และ<br />

สมดุล ๒ จงทรงพระราชทานหลักการ<br />

42 สันเโนโีองกันรเ องกรหน


อันเปนแก่นแท้ สายพระเนตรอันยาวไกล<br />

และก้าวล้านาหน้ากาลเวลา ที่สามารถ<br />

นาไปขยายผลเพื่อใช้ในการพันาประเทศ<br />

อย่างมีประสิทธิภาพในทุกยุคทุกสมัย<br />

พระราชปณิธานดานการพึ่งพาตนเอง<br />

พระราชปณิธานด้านการพ่งพาตนเอง<br />

ได้ถูกจารกไว้ในประวัติศาสตร์ของไทย<br />

หากย้อนกลับไปในครั้งที่พระองค์เสด็จ<br />

พระราชดาเนินเยือนสหรัฐอเมริกาในสมัย<br />

ประธานาธิบดี ริชาร์ด นิกสัน ่งในโอกาส<br />

เดียวกันนั้น สภาคองเกรสของ<br />

สหรัฐอเมริกาได้กราบบังคมทูลเชิญให้ทรง<br />

มีพระราชดารัสแก่สภาคองเกรส เมื่อวันที่<br />

๒๙ มิถุนายน พศ๒๕๐๓ จงทรงมีพระ<br />

ราชดารัสถงการพ่งพาตนเอง มีใจความ<br />

ตอนหน่ง ดังนี้<br />

อเสียเรียบอหนงองระเท<br />

นภูมิภาคนีก็คอ การาดคลนเงินทุน<br />

ละความรูทางเทคนิค ละนระเด็น<br />

นีเองทีสหรั ดกรุณายนมอเามา<br />

ชวยเหลอ นทีนีาพเจาควรจะกลาว<br />

อางงอตกลงความรวมมอทางเทคนิค<br />

ละเรกิจระหวางรับาลองทังสอง<br />

ระเทงนอารัมภบทดระบุวาเสรีภาพ<br />

ละอิสรภาพโดยหลักลวนอยูกับสภาพ<br />

ทางเรกิจทีเม็ง ละยังกลาวอีก<br />

ดวยวา สภาคองเกรสองสหรัอเมริกา<br />

อาัยอํา นาจนิติบัญญัติอนุญาต<br />

สหรัอเมริกานการหความชวยเหลอ<br />

เพอหรับาลทยบรรลุความมุงหมายดวย<br />

ความพากเพียรองตนเอง นอารัมภบทนัน<br />

มีหลักการอยูระการหนงทีจําเนตอง<br />

เนนหนักนันคอ การชวยเหลออง<br />

สหรัอเมริกาเนการชวยหทยดบรรลุ<br />

ความมุงหมายดวยความพากเพียรอง<br />

ตนเอง าพเจาเห็นวามจําเนตองกลาว<br />

วาหลักการอันนีเนสิงทีเราเห็นดวยอยาง<br />

จริงจัง ความจริงพระพุทโอวาทอง<br />

สมเด็จพระสัมมาสัมพุทเจาองเรามีอยู<br />

ลว ตนนันหละเนทีพงองตน เราอ<br />

อบคุณนความชวยเหลอองอเมริกา<br />

ตเรายังตังจววาวันหนงางหนาเราจะ<br />

ทํากันเองดโดยมพงความชวยเหลอนี<br />

ภายหลังจากที่พระองค์เสด็จ<br />

พระราชดาเนินเยือนสหรัฐอเมริกาแล้ว<br />

พระองค์ได้เสด็จพระราชดาเนินต่อไปยัง<br />

สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนี ระหว่างวันที่<br />

๒๕ กรกาคม ๒ สิงหาคม พศ๒๕๐๓<br />

ในโอกาสนั้น ได้ทรงทอดพระเนตรกิจการ<br />

การต่อเรือยนต์รักษาฝงของกองทัพเรือ<br />

เยอรมนี จงทรงมีพระราชดาริว่า กองทัพ<br />

เรอนาจะตอเรอยนตเร็วรักางเชนนีด<br />

เพอทีจะหเกิดความชํานาญงานละรูจัก<br />

ชเทคนิคตาง อันจะเนการระหยัด<br />

มากกวาการจัดหาจากตางระเท<br />

กองทัพเรือโดยกรมอู่ทหารเรือจงรับ<br />

สนองพระราชดาริโดยการต่อเรือในชุดเรือ<br />

ต๙๑ ข้น ่งในระหว่างการดาเนินการนั้น<br />

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />

อดุลยเดชทรงพระราชทานคาแนะนา<br />

ตลอดจนแก้ปญหาต่าง รวมถงทรงเปน<br />

ธุระติดต่อกับสถาบันวิจัยและทดลองแบบ<br />

เรือแห่งชาติของประเทศอังกฤษ ให้ทาการ<br />

ทดสอบแบบของเรือ ต๙๑ ให้ จนกองทัพ<br />

เรือไทยได้รับมอบเรือชุดเรือ ต๙๑ เข้ามา<br />

ใช้ในราชการ และมีการดาเนินการต่อเรือ<br />

ในชุดเดียวกันนี้อีกกว่าสิบลาในเวลาต่อมา<br />

พระราชดาริของพระองค์จาก<br />

เหตุการณ์ทั้งสองครั้ง แสดงให้เห็นถงพระ<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 43


ราชปณิธานด้านการพ่งพาตนเอง โดยที่ไม่<br />

ต้องพ่งพิงหรืออาศัยการสนับสนุนจากต่าง<br />

ประเทศ ตลอดจนทรงเล็งเห็นถงความ<br />

สาคัญในการพันาขีดความสามารถของ<br />

ประเทศให้ก้าวทันกับโลก การพันา<br />

บุคลากร การใช้ศักยภาพและทรัพยากร<br />

ภายในประเทศเพื ่อพันายุทโธปกรณ์<br />

อันเปนการประหยัดงบประมาณ พระองค์<br />

ทรงมีพระวิสัยทัศน์ล้าหน้าเหนือกาลเวลา ๓<br />

เนื่องจากในปจจุบันการพ่งพาตนเองด้าน<br />

เทคโนโลยีปองกันประเทศถือเปนหลัก<br />

ประกันในความมั่นคงด้านการทหาร เช่น<br />

การที่กองทัพมีการส่งกาลังบารุงประเภท<br />

กระสุนและวัตถุระเบิด ตลอดจน<br />

ยุทโธปกรณ์ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้อง<br />

พ่งพาปจจัยภายนอกจนบรรลุภารกิจ ถือ<br />

เปนยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคงของ<br />

ประเทศ เพราะในยามสงคราม การอาศัย<br />

ต่างประเทศในการสนับสนุนยุทโธปกรณ์<br />

อาจก่อให้เกิดข้อเสียเปรียบต่อการดาเนิน<br />

กลยุทธ์ การนาเข้าส่งผลให้ยุทโธปกรณ์<br />

บางรายการมีมูลค่าที่สูงข ้น เนื่องจากมี<br />

ปจจัยเสี่ยงในเรื่องของเส้นทางการลาเลียง<br />

และระยะเวลาที่ใช้ นอกจากนี้ ยังมีปจจัย<br />

เสี่ยงในเรื่องของการถูกคว่าบาตรด้าน<br />

ยุทโธปกรณ์ ทาให้ไม่สามารถนาเข้า<br />

ยุทโธปกรณ์จากประเทศที่อยู่ภายใต้สนธิ<br />

สัญญาหรือข้อตกลงได้<br />

“พระบิดาแห่งการวิจัย”<br />

นอกจากพระองค์จะทรง<br />

พระราชทานแนวทางด้านการพ่งพา<br />

ตนเองแล้ว พระองค์ยังทรงได้รับการถวาย<br />

พระเกียรติเปน พระบิดาแห่งการ<br />

ประดิษฐ์โลก จากสมาพันธ์นักประดิษฐ์<br />

นานาชาติ (raia rai<br />

rs ssciais ()) และ<br />

สมาคมส่งเสริมการประดิษฐ์เกาหลีใต้<br />

(ra i rmi ss<br />

ciai ()) ่งได้กราบบังคมทูลถวาย<br />

พระราชสมัญญานามในงานวันนัก<br />

ประดิษฐ์โลก เมื่อวันที่ ๔ กุมภาพันธ์ พศ<br />

๒๕๕๑ นอกจากนี้พระองค์ทรงเปน พระ<br />

บิดาแห่งการวิจัย อันเนื่องมาจากความ<br />

สามารถด้านการวิจัยของพระองค์ ที่เปน<br />

ที่ประจักษ์ทั้งในและต่างประเทศ มีผลงาน<br />

วิจัยจานวนมากที่ได้พระราชทานแนวพระ<br />

ราชดาริ และโครงการอันเนื่องมาจากพระ<br />

ราชดาริต่าง ๔ จนได้รับการถวายสิทธิบัตร<br />

ทั้งจากหน่วยงานด้านทรัพย์สินทางปญญา<br />

ในประเทศไทยและทั่วโลก เช่น โครงการ<br />

ฝนหลวง ที่ช่วยบรรเทาความทุกข์ยากของ<br />

ปวงประชาจากภัยแล้ง ถือเปนพระมหา<br />

กษัตริย์พระองค์เดียวของโลกที่ทรงได้รับ<br />

การถวายสิทธิบัตรกว่าสิบรายการ<br />

นอกจากนี้ ยังทรงมีพระอัจริยภาพและมี<br />

ความสนพระราชหฤทัย โดยหากอ้างถง<br />

พลตารวจเอก วสิษฐ์ เดชกุญชร ่งตีพิมพ์<br />

ในหนังสือมติชนที่ว่า<br />

๓<br />

hmaarchaiisass<br />

๔<br />

hเรารักพระเจ้าอยู่หัวcmcihacarica<br />

44 สันเโนโีองกันรเ องกรหน


พระเจ้าอยู่หัวทรงสนพระราช<br />

หฤทัยในส่วนประกอบและการทางานของ<br />

ปน ถงกับได้ทรงผ่าปนชนิดนั้นออก<br />

เพื่อทรงศกษากลไกและส่วนประกอบของ<br />

ปน ต่อมาในไม่ช้า ก็ทรงสามารถประกอบ<br />

อาวุธปนชนิดนั้นได้ด้วยพระองค์เอง เวลา<br />

เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยมหน่วยทหารหน่วย<br />

ตารวจและมีผู้ถวายรายงานว่าปนชนิดนั้น<br />

ชารุดและไม่สามารถจะ่อมแมได้เพราะ<br />

ขาดเครื่องอะไหล่และขาดช่างก็ทรง<br />

พระกรุณารับปนเหล่านั้นไป และทรง่อม<br />

ด้วยพระหัตถ์ โดยทรงใช้ส่วนที่ยังใช้การ<br />

ได้ดีอยู่ของปนกระบอกหน่งไป่อมส่วน<br />

ที่ชารุดเสียหายของปนกระบอกหน่ง ด้วย<br />

วิธีนี้ปนที่เสียหลายกระบอกจงกลายเปน<br />

ปนที่กลับดีข้นมาอีก<br />

จากที่กล่าวมาแล้วนั้น แสดงให้เห็น<br />

ถงแนวทางหน่งในการพ่งพาตนเองและ<br />

การพันาการปรับปรุงยุทโธปกรณ์ที่มีอยู่<br />

เพื่อให้คืนสภาพกลับคืนหรือมีขีดความ<br />

สามารถที่ดีข้นกว่าเดิม ่งกระทรวง<br />

กลาโหมได้น้อมนาพระราชดาริด้านการ<br />

พ่งพาตนเองมาปิบัติตลอดมาโดยได้จัด<br />

ตั้งสถาบันเทคโนโลยีปองกันประเทศ<br />

องค์การมหาชนแห่งแรกของกระทรวง<br />

กลาโหมที่มีวัตถุประสงค์เพื ่อดาเนิน<br />

โครงการวิจัยขนาดใหญ่ด้านยุทโธปกรณ์ที่<br />

ต้องใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชั้นสูง<br />

ถือเปนการพันาระบบงานวิทยาศาสตร์<br />

และเทคโนโลยีปองกันประเทศครั้งสาคัญ<br />

ที่จะนาไปสู่ความสามารถในการพ่งพา<br />

ตนเองด้านยุทโธปกรณ์ได้อย่างต่อเนื่อง<br />

และยั่งยืน<br />

โดยเมื่อวันที่ ๒๗ ธันวาคม พศ<br />

๒๕๕๑ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />

มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงมีพระบรม<br />

ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศว่า<br />

โดยที่เปนการสมควรจัดตั ้งสถาบัน<br />

เทคโนโลยีปองกันประเทศข้นเปนองค์การ<br />

มหาชน ตามกหมายว่าด้วยองค์การ<br />

มหาชน อาศัยอานาจตามความในมาตรา<br />

๑๘๗ ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร<br />

ไทย และมาตรา ๕ แห่งพระราชบัญญัติ<br />

องค์การมหาชน พศ๒๕๕๒ จงทรงพระ<br />

กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตราพระราช<br />

กฤษีกาข้นไว้ โดยได้กาหนดความหมาย<br />

ของ เทคโนโลยีปองกันประเทศ ไว้ว่า<br />

วิทยาการในการนาองค์ความรู้ด้าน<br />

วิทยาศาสตร์ที่มีอยู่หลากหลายแขนงมา<br />

ประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อการปองกัน<br />

ประเทศและด้านการทหารอื่น รวมถง<br />

การประยุกต์ใช้ประโยชน์แก่ประเทศเปน<br />

ส่วนรวม<br />

ปจจุบัน สถาบันเทคโนโลยีปองกัน<br />

ประเทศมีผลการดาเนินโครงการวิจัยและ<br />

พันาต้นแบบยุทโธปกรณ์ที่ตอบสนอง<br />

ความต้องการใช้งานของกองทัพ อาทิ<br />

จรวดหลายลากล้อง กระสุนปนใหญ่<br />

อัตโนมัติขนาด ๓๐ มิลลิเมตร รถยาน<br />

เกราะล้อยางและอากาศยานไร้คนขับ<br />

เปนต้น ่งเปนต้นแบบยุทโธปกรณ์ที่<br />

รองรับด้วยระบบการส่งกาลังบารุงแบบ<br />

รวมการณ์ (ra Lisics u<br />

r L) และมียุทโธปกรณ์หลายชนิด<br />

ที่เข้าประจาการในหน่วยผู้ใช้หลายหน่วย<br />

งานแล้ว นอกจากนี้ สถาบันเทคโนโลยี<br />

ปองกันประเทศยังได้วางโครงสร้างทาง<br />

ด้านอุตสาหกรรมปองกันประเทศ เพื่อเปน<br />

ฐานแห่งการพ่งพาตนเองด้านยุทโธปกรณ์<br />

ในรายการที่สาคัญต่อยุทธศาสตร์ของ<br />

กระทรวงกลาโหม ยกระดับความพร้อม<br />

ของกองทัพให้สูงข้น ่งจะทาให้การทา<br />

หน้าที่เปนรั้วปกปองอธิปไตยและผล<br />

ประโยชน์ของชาติได้อย่างยั่งยืนนอกเหนือ<br />

จากการวิจัยและพันาเทคโนโลยีปองกัน<br />

ประเทศแล้ว สถาบันเทคโนโลยีปองกัน<br />

ประเทศ (องค์การมหาชน) กระทรวง<br />

กลาโหม ยังได้มีความร่วมมือกับกรม<br />

ฝนหลวงและการบินเกษตร พันาการ<br />

ประยุกต์ใช้จรวดในการดัดแปรสภาพ<br />

อากาศ บนพื้นฐานเทคโนโลยีฝนหลวง<br />

ที่พระองค์ทรงประดิษฐ์คิดค้น ด้วยพระ<br />

อัจริยภาพและพระปรีชาสามารถ เพื่อ<br />

สนับสนุนกรมฝนหลวงและการบินเกษตร<br />

ในการปิบัติราชการสนองแนวพระ<br />

ราชดาริในการช่วยเหลือพี่น้องเกษตรกร<br />

ทั่วประเทศไทยมีความเปนอยู่ที่ดีข้น<br />

ดวยสํานกนพระมหากรุณาิคุณ<br />

อยางหาทีสุดมิดสาบันเทคโนโลยี<br />

องกันระเทอวายความอาลัย ดวย<br />

การนอมนํานวพระราชดําริอันเยมลน<br />

คุณูการมาสูการิบัติงานององคกร<br />

ละจะสบสานพระราชณิานดานการ<br />

พงพาตนเองเพอเนรากานหง<br />

อุตสาหกรรมองกันระเทองทย<br />

โดยจะมุงมันดําเนินการวิจัยละพันา<br />

เทคโนโลยีองกันระเท ผานการบูรณาการ<br />

ทรัพยากรละองคความรูจากหนวยงาน<br />

นสังกัดกระทรวงกลาโหม หนวยงาน<br />

ภาครั ภาคเอกชนละสาบันการกา<br />

พันาเครอายความรวมมอทีเม็ง<br />

เพอหระเททยสามารพงพาตนเอง<br />

ดานยุทโกรณดอยางสมบูรณละ<br />

สบ สมดังนวพระราชดําริทีทรง<br />

พระราชทานสบ<br />

วงาพระพุทเจา<br />

ผูบริหาร เจาหนาที ละลูกจาง<br />

สาบันเทคโนโลยีองกันระเท<br />

องคการมหาชน กระทรวงกลาโหม<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 45


ราชวงลงาปล ยนนดินหม<br />

พ<br />

พลเอก ทรงพล พนุพง<br />

ระเจ้าอลองพญา (auaa) ข้นครองราชสมบัติเมื่อป พศ๒๒๙๕ อาณาจักรพม่าในยุคที่สองได้ล่มสลายลง<br />

พระองค์สามารถรวบรวมเมืองต่าง ตามแนวแม่น้าอิรวดี จนถงเมืองปากแม่น้า่งเคยเปนเมืองของอาณาจักรมอญ<br />

ในอดีต ระยะเวลา ๘ ป พระองค์สร้างให้อาณาจักรพม่ามีดินแดนขนาดใหญ่อีกครั้งหน ่ง เมื่อพระเจ้าอลองพญา<br />

(auaa) สวรรคตลงในป พศ๒๓๐๓ อาณาจักรพม่าในยุคที่สามมีอาณาเขตขนาดใหญ่และรวมเปนหน่งเดียวอีกครั้ง<br />

หน่งบทความนี้ กล่าวถงราชวงศ์อลองพญา (auaa as) หรือราชวงศ์คองบอง (au as)<br />

เมื่อเปลี่ยนแผ่นดินใหม่<br />

<br />

เสนทางเดินทัพองกองทัพพมาทีเาตีกรุงรีอยุยา ดเาสูชานกรุงรีอยุยา<br />

เมอวันที เมายน พ<br />

กลาวทั วป<br />

อยุธยาก็แตก กองทัพใหญ่พม่าเคลื่อนพล<br />

กองทัพหน้าของพม่าได้เคลื่อนพลรุก เข้าประชิดถงชานกรุงศรีอยุธยา ตั้งค่าย<br />

สู่กรุงศรีอยุธยาได้ปะทะกับกองทัพอยุธยา หลวงที่บ้านกุ่ม (ตอนเหนือของกรุง<br />

ที่ตั้งค่ายสกัดอยู่ที่ลาน้าจักราช ทุ่งนา ศรีอยุธยา) กองทัพหน้าของพม่าตั้งค่ายอยู่<br />

ตาลาน แต่ไม่สามารถที่จะหักเข้าตีได้ต้อง ที่ทุ่งโพธิ์สามต้น เมื่อวันที่ ๑๑ เมษายน<br />

สูญเสียกาลังพลไปมาก เมื่อกองทัพใหญ่ที่ พศ๒๓๐๓<br />

มีกาลังพลมากกว่าเข้าตี ในที่สุดกองทัพ<br />

กงทัมารกสกรงรยยา <br />

การรบระหว่างกองทัพกรุงศรีอยุธยา<br />

กับกองทัพพม่าที่นากองทัพโดยพระเจ้า<br />

อลองพญา จะเรียกว่าสงครามครั้งที่ ๒๒<br />

คราวพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยา พศ๒๓๐๓<br />

ต่อมากองทัพพม่าได้ถอนตัวไปทางเมือง<br />

เหนือ เมื่อเดือน ข้น ๒ ค่า ใช้เส้นทาง<br />

ถอยทัพไปทางด่านแม่ละเมา กองทัพที่<br />

คอยระวังหลังจากการโจมตีของกองทัพ<br />

อยุธยา นาโดยแม่ทัพจากกองทัพหน้า<br />

คือแม่ทัพมัง้องนรธา (ikhau araha)<br />

มีกาลังทหาร ๕๐๐ นาย (เปน<br />

ทหารราบ ๐๐๐ นาย พร้อมด้วยปน<br />

คาบศิลาและกองทหารม้า ๕๐๐ ม้า) กาลัง<br />

ทหารอยุธยาได้ติดตามกองทัพพม่าขณะ<br />

ถอนตัว แต่มีการต่อสู้ไม่มากนัก<br />

พระเจ้าอลองพญา (uaaa)<br />

ได้สิ้นพระชนม์ในกลางทางขณะเข้าสู่<br />

เขตแดนพม่าใกล้กับเมืองสะเทิม (ผลจาก<br />

ปนใหญ่พม่าแตกถูกพระองค์ ขณะที่ทรง<br />

บัญชาการรบอยู่ แต่ประวัติศาสตร์ทาง<br />

ด้านพม่ากล่าวว่าพระองค์ทรงประชวรด้วย<br />

โรคบิด) ่งตรงกับวันที่ ๑๑ พฤษภาคม<br />

พศ๒๓๐๓ มีพระชนมายุได้ ๔๕ พรรษา<br />

อยู่ในราชสมบัตินาน ๘ ป ข่าวการสวรรคต<br />

ของพระองค์ได้เก็บไว้เปนความลับเปน<br />

เวลานาน ๒ สัปดาห์ ต่อมาได้ส่งข่าวสาร<br />

ทูลให้พระราชโอรสองค์โตทราบที่หมู่บ้าน<br />

ชะเวโป<br />

46 พเอก รงพ พนุพง


อมเพชร สรางดวยอิสลับิลาลง มีนหญระจําอม สรางนนสมัยพระมหาจักรพรรดิ กัตริยลําดับที องกันากทีจะมาทางนํา<br />

พระเจาอลองพญา มกัตริย<br />

หงราชวงอลองพญา อาณาจักรพมานยุค<br />

ทีสาม ครองราชยระหวาง พ <br />

นาน พระองคมีความสูง ุต นิว<br />

ก่อนที่พระเจ้าอลองพญา จะทา<br />

สงครามกับอาณาจักรอยุธยาพระองค์ได้ส่ง<br />

พระราชสาส์นถงพระเจ้าจอร์จที ่ ๒ แห่ง<br />

บริเตนใหญ่ แจ้งเหตุสงครามครั้งนี้<br />

ราชวงสลงาปล ยน<br />

นดินหม<br />

พระเจ้าอลองพญา มีพระราชโอรส<br />

รวม พระองค์ ที่สาคัญคือ เจ้าชาย<br />

มังลอก ประสูติเมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม พศ<br />

๒๒๗๗ ที่มุตโโบ (ks) พระราช<br />

มารดา พระนางยุนาน พระราชโอรส<br />

องค์โต เจ้าชายมังระ ประสูติเมื่อวันที่ ๑๒<br />

กันยายน พศ๒๒๗๙ ที่มุตโโบ พระราช<br />

มารดา พระนางยุนาน พระราชโอรสองค์<br />

ที่ ๒ และเจ้าชายปดุง ประสูติเมื่อวันที่ ๑๑<br />

มีนาคม พศ๒๒๘๘ ที่มุตโโบ พระราช<br />

มารดา พระนางยุนาน พระราชโอรส<br />

ลาดับที่ ๕<br />

พระราชโอรสองค์โตคือเจ้าชาย<br />

มังลอก (auai) ขณะดารง<br />

ตาแหน่งอุปราชวังหน้า ข้นครองราชย์ทรง<br />

พระนามว่าพระเจ้ามังลอกหรือพระเจ้า<br />

นองดอว์คยี (auai) เมื่อวันที่ ๑๑<br />

พฤษภาคม พศ๒๓๐๓ ขณะมีพระชนมายุ<br />

ได้ ๒ พรรษา เวลาต่อมาจะมีความ<br />

วุ่นวายเกิดข้นเพื่อที่จะแย่งชิงราชสมบัติ<br />

แต่พระเจ้ามังลอก (auai) ก็ทรง<br />

ปราบปรามได้สาเร็จ<br />

ทสรป<br />

พระเจ้าอลองพญา (uaaa)<br />

ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์อลองพญา ทรง<br />

ขยายอาณาจักรให้มีดินแดนขนาดใหญ่ใกล้<br />

เคียงกับยุคที่อาณาจักรพม่ารุ่งเรืองในอดีต<br />

พระราชโอรสองค์โตได้ข้นครองราช<br />

สมบัติต่อมา แต่อาณาจักรพม่าในยุคที่<br />

สาม ยังคงมีความมุ่งมั่นที่จะเข้าครอบ<br />

ครองอาณาจักรอยุธยาอีกครั้งหน่ง เพื่อจะ<br />

ให้มีความยิ่งใหญ่เทียบได้กับอาณาจักร<br />

พม่าในยุคที่สอง ยุคที่ก้าวข้นสู่อานาจ<br />

สูงสุด เปนมหาอานาจทางทหารแห่ง<br />

อุษาคเนย์<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />

47


ระระิกัดป าหมายด้วยลร<br />

(Laser Target Locator)<br />

พลเรอตรี ดรสหพง เครอเพ็ชร<br />

ผูอํานวยการูนยวิจัยละพันาการทหาร<br />

กรมวิทยาาสตรละเทคโนโลยีกลาโหม<br />

ก<br />

สงครามสมัยใหม่ที่เกิดข้นในช่วง<br />

เวลาไม่กี่สิบปที่ผ่านมา ไม่ว่าจะ<br />

เปนสงครามอ่าวเปอร์เีย หรือสงคราม<br />

ต่อต้านการก่อการร้ายในอักานิสถาน จะ<br />

เห็นได้ว่ามีการนาเอาระบบอาวุธที่ใช้<br />

เทคโนโลยีชั้นสูงมาใช้ในสงครามโดยเปน<br />

อาวุธที่ทรงอานุภาพ มีความแม่นยา มี<br />

อานาจการทาลายล้างสูงและสามารถ<br />

ควบคุมให้เกิดความเสียหายในวงที่จากัด<br />

ถือเปนการเปลี่ยนรูปแบบของอาวุธสมัย<br />

ใหม่ เบื้องหลังการใช้งานอาวุธเหล่านี้<br />

กลองระบุพิกัดเาหมายเลเอรองูนยวิจัยละพันาการทหาร<br />

ในการโจมตีเปาหมายได้อย่างแม่นยานั้น<br />

ข้นอยู่กับระบบการค้นหาเปาหมาย และ<br />

การกาหนดพิกัดที่ตั้งของเปาหมายที่มี<br />

ประสิทธิภาพ ่งระบบที่ใช้ในการหาพิกัด<br />

ที่ตั้งเปาหมายข้าศก คือ ระบบระบุพิกัด<br />

เปาหมายด้วยเลเอร์ (Lasr ar<br />

Lcar)<br />

การระบุพิกัดที่ตั้งของเปาหมายได้มี<br />

การพันามาอย่างต่อเนื่องตามเทคโนโลยี<br />

ที่พันาในยุคแรก ใช้เข็มทิศแม่เหล็ก<br />

และแผนที่ในการหาพิกัด โดยอาศัยการ<br />

คานวณจากมุมทิศที่ได้จากการวัดด้วย<br />

เข็มทิศแม่เหล็ก เปรียบเทียบกับแผนที่และ<br />

ภูมิประเทศจริง ่งมีความผิดพลาดสูงต้อง<br />

ใช้ความชานาญและสัญชาตญาณของ<br />

ผู้ปิบัติการ รวมถงใช้เวลามากในการ<br />

ระบุพิกัด<br />

ต่อมาเทคโนโลยีทางด้านการวัดหรือ<br />

เ็นเอร์ ได้มีการพันาอย่างรวดเร็วและ<br />

ได้ถูกนามาประยุกต์ใช้งานในการหาพิกัด<br />

เปาหมาย เช่น ระบบวัดระยะทางเลเอร์<br />

ที่ใช้แสงเลเอร์ในการวัดระยะทาง<br />

สามารถวัดระยะไกลเปนสิบ กิโลเมตร<br />

และมีความแม่นยาสูงมาก อุปกรณ์ระบุ<br />

พิกัดตนเองด้วยดาวเทียมหรือจีพีเอส<br />

() ที่สามารถบอกตาแหน่งตนเองที่ใด<br />

ในโลกก็ได้ภายในเวลาไม่กี่วินาที เข็มทิศ<br />

แม่เหล็กดิจิทัลที่มีขนาดเล็กลงแต่ความ<br />

สามารถสูงข้น สามารถวัดได้ทั้งมุมหัน<br />

มุมกระดก และมุมเอียง ด้วยความรวดเร็ว<br />

ทาให้มีความสะดวกในการหาพิกัดได้<br />

ข้นมาอีกระดับหน่ง<br />

48<br />

พเรอตรี ดรสหพง เรอเพร


ต่อมาเทคโนโลยีทางด้านไมโคร<br />

โพรเสเอร์ (icrrcssr) ได้ถูก<br />

พันาไปอย่างรวดเร็ว มีความสามารถใน<br />

การคานวณได้รวดเร็วข้น มีหน่วยความจา<br />

มากข้น ขนาดเล็กลง กินกระแสไน้อยลง<br />

และที่สาคัญราคาถูกลง (เพราะผลิตทีละ<br />

จานวนมาก) ส่งผลให้การหาพิกัดเปา<br />

หมายสามารถทาได้อย่างสะดวกรวดเร็ว<br />

และมีขนาดเล็กลง โดยไม่ต้องใช้อุปกรณ์<br />

แต่ละชิ้นในการวัดค่า แล้วนาข้อมูล<br />

ทั้งหมดมาพล็อตลงบนแผนที ่เพื ่อทราบ<br />

พิกัดที่ตั้งข้าศก<br />

ปจจุบันกองทัพได้เริ่มจัดหาอุปกรณ์<br />

ระบุพิกัดเลเอร์มาประจาการใช้งานอยู่<br />

บ้าง แต่มีจานวนน้อยมากเนื่องจากราคา<br />

ที่สูงมาก แต่กองทัพบกก็มีแผนที่จะจัดหา<br />

มาใช้ในอนาคตอันใกล้นี้ เนื่องจากมีความ<br />

จาเปนอย่างยิ่ง เมื่อเทียบกับผลการปิบัติ<br />

การกับราคาที่สูงลิ่ว<br />

ศูนย์วิจัยและพันาการทหารเปน<br />

หน่วยงานที่มีภารกิจในการดาเนินการวิจัย<br />

และบุคลากรที่มีองค์ความรู้และ<br />

ประสบการณ์ด้านเลเอร์ออปติกและ<br />

อิเล็กทรอนิกส์ โดยเพาะระบบวัดระยะ<br />

ทางด้วยเลเอร์ ตลอดจนมีห้องปิบัติการ<br />

ทางด้านแสงและการประมวลสัญญาณ<br />

ดิจิทัลที่ทันสมัย รวมถงมีเครือข่ายการวิจัย<br />

ทั้งในและต่างประเทศที่พร้อมให้การ<br />

สนับสนุนในการปิบัติงานวิจัย จงมี<br />

แนวคิดที่จะพันาระบบระบุพิกัดเปา<br />

เลเอร์ข้นมาเพื่อใช้งานเองในประเทศ<br />

ทาให้ประหยัดงบประมาณประเทศ ด้วย<br />

ราคาที่ถูกกว่าท้องตลาด ง่ายต่อการใช้งาน<br />

สามารถ่อมบารุงได้เอง ปรับปรุงระบบ<br />

(ทั้งด้านอต์แวร์และฮาร์ดแวร์) ที ่มีอยู่<br />

ให้ทันสมัยตามการเปลี่ยนแปลงเทคโนโลยี<br />

(ssm ura) ได้<br />

แนวทางการพันาระบบ<br />

เนื่องจากปจจุบันเทคโนโลยีด้านการ<br />

ผลิตได้เจริญรุดหน้าไปอย่างรวดเร็ว มี<br />

บริษัทผู้ผลิตที่ทาการผลิตและจาหน่าย<br />

ชิ้นส่วนย่อย (riia uim<br />

auacuri หรือ ) เพื่อให้บริษัทอื่น<br />

นาไปประกอบเปนระบบที่มีความับ้อน<br />

ข้น ่งเปนชิ้นส่วนที่ได้มาตรฐานและ<br />

พร้อมที่จะนาไปประกอบรวมเปนระบบ<br />

ใหญ่ และจากองค์ความรู้ที่ทางศูนย์วิจัย<br />

และพันาการทหาร กรมวิทยาศาสตร์<br />

และเทคโนโลยีกลาโหม ได้สั่งสมมาเปน<br />

เวลาหลายสิบป ทั้งในเรื่องเลเอร์วัด<br />

ระยะทาง และเรื่องการประมวลสัญญาณ<br />

ดิจิทัล และการพันาอต์แวร์ควบคุม<br />

่งเปนหัวใจหลักในการพันาระบบระบุ<br />

พิกัดเปาเลเอร์ ทาให้มีแนวความคิดที่จะ<br />

นาแนวทางนี้ (เรียกทั่วไปว่า Cmmrcia<br />

h h หรือ C) มาใช้<br />

ในการพันาและออกแบบระบบ การใช้<br />

วิธีการนี้จะช่วยย่นระยะเวลาการพันา<br />

ระบบเปนอย่างมาก ระบบที่พันาได้<br />

มาตรฐานตาม รับรอง และที่สาคัญ<br />

ในเรื่องการส่งกาลังบารุงที่สามารถจะ<br />

วางแผนในระยะยาวได้<br />

หลักการทางานของระบบระบุพิกัด<br />

เปาเลเซอร<br />

ระบบระบุพิกัดเปาหมายด้วยเลเอร์<br />

ได้ถูกพันาต่อยอดจากระบบวัด<br />

ผังสดงสวนระกอบละการทํางานองระบบระบุพิกัดเาหมายดวยเลเอร<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 49


ระยะทางด้วยแสงเลเอร์ที่ส่งสัญญาณ<br />

แสงเลเอร์ชนิดพัล์ไปยังเปา ทาการจับ<br />

เวลาในการเดินทางไปกลับของแสง แล้ว<br />

นาเวลานี้มาเปลี่ยนเวลาเปนระยะทาง โดย<br />

การนาระบบวัดระยะทางเลเอร์นี้มา<br />

ประยุกต์ใช้งานร่วมกับระบบหาพิกัด<br />

ตนเองด้วยดาวเทียมหรือจีพีเอส ()<br />

สวนระกอบภายนระบบระบุพิกัดเลเอร<br />

อมูลผลการวัดทีสดงบนจอ <br />

และเข็มทิศแม่เหล็กดิจิทัลหรือดีเอ็มี<br />

(C) อุปกรณ์วัดความเร่ง (accrmr)<br />

ระบบวัดระยะทางเลเอร์จะทาหน้าที่<br />

วัดระยะทางเปาหมาย จะทาหน้าที่<br />

หาตาแหน่งหรือพิกัดตนเอง C จะทา<br />

หน้าที่หามุมทิศของเปา (hai a)<br />

กล้อง CC ทาหน้าที่เล็งไปยังเปาหมายที่<br />

ต้องการหาพิกัด และไมโครคอนโทรลเลอร์<br />

ทาหน้าที่รับข้อมูลจากระบบวัดระยะทาง<br />

ด้วยแสงเลเอร์จีพีเอสและดีเอ็มีเพื่อ<br />

คานวณหาพิกัดเปาหมาย ข้อมูลเปาที่<br />

คานวณได้จะถูกแสดงผลด้วย L ผู้ใช้<br />

สามารถมองข้อมูลได้สองทาง คือผ่าน<br />

เลนส์ตา (ic) หรือบนจอโทรทัศน์<br />

ภายนอก โดยการเชื่อมต่อสัญญาณ<br />

ผ่านสาย <br />

ความสามารถของระบบ (aurs)<br />

ระบบระบุพิกัดเปาด้วยเลเอร์ที่ศูนย์วิจัย<br />

และพันาการทหารได้พันาข้น<br />

มีคุณสมบัติที่สาคัญ ดังต่อไปนี้<br />

๑ วัดระยะทางได้ไกลสุด ๒๐<br />

กิโลเมตร (ข้นอยู่กับขนาด รูปร่าง และ<br />

คุณสมบัติการสะท้อนแสงของเปาและ<br />

สภาพอากาศ) มีความผิดพลาด ๒ เมตร<br />

โดยสามารถเลือกหน่วยวัดเปนเมตรหรือ<br />

ุตก็ได้<br />

๒ วัดมุมทิศเปา (ai a)<br />

มุมกระดก (ich a) และมุมเอียง<br />

( a) โดยสามารถเลือกหน่วยวัด<br />

เปนองศาหรือมิลเลียม (มีความละเอียด<br />

กว่าและใช้ทางการทหารเท่านั้น)<br />

๓ สามารถระบุพิกัดตนเอง (Lca<br />

sii) และพิกัดเปา (ar si-<br />

i) ได้ โดยสามารถเลือกบอกพิกัดได้ทั้ง<br />

ในระบบ หรือ นอกจากนี้<br />

ยังสามารถบอกความสูงของเปาจากระดับ<br />

น้าทะเลได้ด้วย<br />

๔ กล้องเล็งสามารถมองได้ไกลกว่า<br />

๑๐ กิโลเมตร มีอัตราขยายภาพด้วยระบบ<br />

ออปติก (ica m) ๓ เท่า และ<br />

อัตราขยายภาพทางดิจิทัล (iia<br />

m) อีก ๑๒ เท่า<br />

การประยุกตใชงาน<br />

ระบบระบุพิกัดเปาหมายด้วยเลเอร์<br />

นี้สามารถใช้งานได้หลายรูปแบบ คือ<br />

50<br />

พเรอตรี ดรสหพง เรอเพร


๑ ใช้สาหรับผู้ตรวจการณ์หน้า เพื่อ<br />

หาข้อมูลพิกัดข้าศก ปอนให้กับศูนย์<br />

อานวยการยิงของปนใหญ่ (ir cr)<br />

หรือ ปน ค เพื่อปรับการยิงให้เข้าเปา<br />

ในนัดแรก<br />

๒ ใช้สาหรับตรวจการณ์ทั่วไป<br />

เนื่องจากกล้องมีกาลังขยายสูง สามารถ<br />

มองได้ไกลกว่าสิบกิโลเมตร จงสามารถใช้<br />

แทนกล้องส่องทางไกล ขณะเดียวกันก็<br />

สามารถที่จะทราบตาแหน่งหรือพิกัดของ<br />

ตนเอง ของข้าศก ระยะทาง มุมเปา<br />

ได้ด้วย ทาให้การเข้าปิบัติการของหน่วย<br />

ปิบัติเปนไปด้วยความแม่นยาไม่ผิดพลาด<br />

แนวความคิดในการขยายผล<br />

ศูนย์วิจัยและพันาการทหาร มี<br />

แผนดาเนินการขยายผลระบบระบุพิกัด<br />

เปาหมายด้วยเลเอร์ ดังนี้<br />

๑ ผลิตเพื่อทดลองใช้และ<br />

ประเมินผล (iri sa)<br />

ศูนย์วิจัยและพันาการทหาร<br />

มีแผนที่จะผลิตระบบระบุพิกัดเปาหมาย<br />

ด้วยเลเอร์ อีกจานวน ๒๕ ชุด (หากได้<br />

รับการสนับสนุนงบประมาณ) โดยมี<br />

วัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้ใช้ได้นาไปทดลองใช้<br />

งานสักระยะหน่ง ขณะเดียวกันก็ประเมิน<br />

ผลการใช้งานตลอดจนรับทราบข้อเสนอ<br />

แนะจากผู้ใช้ เพื่อนาข้อมูลที่ได้จากการ<br />

ประเมินไปทาการปรับปรุง ar<br />

และ arar ให้สมบูรณ์ยิ่งข้นเพื่อ<br />

เตรียมความพร้อมสู่สายการผลิตต่อไป<br />

สวนระกอบภายนกระเากลองระบุพิกัดดวยเลเอร<br />

ในอนาคต โดยแผนนี้จะดาเนินการ<br />

ในปงบประมาณ ๒๕๐<br />

๒ เพิ่มประสิทธิภาพระบบระบุพิกัด<br />

เปาหมายด้วยเลเอร์ให้สูงข้น<br />

ต้นแบบระบบระบุพิกัดเปาหมาย<br />

ด้วยเลเอร์ที ่ศูนย์วิจัยและพันาการ<br />

ทหารได้พันาข้น มีขีดจากัดในการใช้งาน<br />

โดยระบบสามารถใช้งานได้เพาะเวลา<br />

กลางวันที่มีแสงสว่างเท่านั้น แต่ในเวลา<br />

กลางคืนกล้องีีดีไม่สามารถมองเห็น<br />

เปาได้ จากการสอบถามจากผู้ใช้และ<br />

ยุทธวิธีการรบปจจุบัน่งความต้องการให้<br />

ระบบสามารถใช้งานได้ทั้งกลางวันและ<br />

กลางคืน ศูนย์วิจัยและพันาการทหารจง<br />

ได้พันาคาขอโครงการระบบระบุพิกัด<br />

เปาหมายด้วยเลเอร์ระยะที่ ๒ ที่สามารถ<br />

ใช้งานได้ทั้งกลางวันและ<br />

กลางคืน สาหรับโครงการ<br />

นี้มีแผนที่จะดาเนินการ<br />

ในปงบประมาณ ๒๕๐<br />

เช่นกัน<br />

ทั้งหมดที่กล่าวก็เปน<br />

ระบบที่ศูนย์วิจัยและ<br />

พันาการทหารได้พันา<br />

ข้นมาตามความต้องการของผู้ใช้และตาม<br />

ทิศทางของเทคโนโลยีในอนาคต กระผม<br />

หวังว่าระบบระบุพิกัดเปาหมายด้วย<br />

เลเอร์นี้จะเปนจุดเริ่มต้นของการวิจัยและ<br />

พันาที่สามารถจะขยายผลไปสู่สายการ<br />

ผลิตอย่างยั่งยืน นอกจากนี้แล้วพื้นฐาน<br />

ของระบบนี้ใช้ศาสตร์ทางด้านเลเอร์ ด้าน<br />

อิเล็กทรอนิกส์ การพันาอต์แวร์ ่ง<br />

สามารถนาไปใช้เปนพื้นฐานยุทโธปกรณ์<br />

อื่น ในกองทัพ เช่น ระบบวัดระยะทาง<br />

ในระบบควบคุมการยิง ระบบติดตามเปา<br />

ด้วยแสงเลเอร์ที่ใช้ในหน่วยบัญชาการ<br />

ปองกันภัยทางอากาศ และระบบ<br />

ตรวจการณ์บนเรือรบของกองทัพเรือ<br />

่งมีราคาที่สูงมากและใช้เทคโนโลยีด้านนี้<br />

เช่นกัน<br />

ผมหวังเปนอย่างยิ่งว่าผลงานวิจัยนี้<br />

จะมีประโยชน์ต่อกระทรวงกลาโหมและ<br />

ประเทศไทยทั้งในด้านเศรษฐกิจ ที่<br />

สามารถพ่งพาตนเองได้ในระยะยาว และ<br />

ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีที่จะเปน<br />

พื้นฐานที่สาคัญในการพันายุทโธปกรณ์<br />

ของกองทัพไทย ที่มีความับ้อนและ<br />

ทันสมัยต่อไปในอนาคต<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 51


สาระนาร้ทางการทย<br />

ยาลมิมสาราหารห้กระดก<br />

สํานักงานพทย สํานักงานสนับสนุนสํานักงานลัดกระทรวงกลาโหม<br />

ป<br />

จจุบันคนเราสนใจเรื่องสุขภาพ<br />

กันมากมีความกระตือรือร้น<br />

ที่จะหาข้อมูลเกี่ยวกับโรคต่าง<br />

และการปองกัน อาหารเสริมสุขภาพ<br />

ทั้งหลายก็ขายดี จนคนไทยข ้นชื ่อว่าชอบ<br />

ื้อสุขภาพ สาหรับคาถามที่นิยมถาม<br />

คาถามหน่งเกี่ยวกับการปองกันการเกิด<br />

โรคกระดูกพรุนก็คือ จาเปนต้องรับประทาน<br />

แคลเียมเสริมหรือไม่ มากน้อยแค่ไหน<br />

ต้องรับประทานเปนประจาทุกวันหรือไม่<br />

ถ้ารับประทานมากเกินไปจะเกิดโทษต่อ<br />

ร่างกายหรือเปล่า ทาอย่างไรจะรู้ว่ามี<br />

ความเสี่ยงต่อการเกิดโรคกระดูกพรุน<br />

ถ้ามีกระดูกบางออกกาลังกายได้หรือไม่<br />

ขอตอบแบบให้เข้าใจง่าย เรื่องความ<br />

สมดุลของแคลเียมในร่างกายเปนพื้นฐาน<br />

เสียก่อนนั ่นคือเข้าใจว่าร่างกายได้รับ<br />

แคลเียมจากไหนแล้วไปเกิดประโยชน์<br />

ต่อความแข็งแรงของกระดูกได้อย่างไร<br />

ในผู้ใหญ่ที่เจริญเติบโตเต็มที่แล้ว<br />

แคลเียมเปนแร่ธาตุชนิดหน่งที่พบ<br />

อยู่ทั่วไปในน้า ในดิน ในร่างกายของเรา<br />

นอกจากแคลเียมจะเปนส่วนประกอบ<br />

สาคัญของกระดูกและนยังเปนสารที่<br />

จาเปนต่อกระบวนการทางชีวเคมีที่สาคัญ<br />

ต่าง ในเลล์ ดังนั้น ร่างกายจงผลิต<br />

ฮอร์โมนหลายชนิดที่มีหน้าที่ควบคุมสมดุล<br />

แคลเียมโดยเพาะให้มีระดับในเลือด<br />

ที่พอเหมาะตลอดเวลาเพื่อแคลเียมจะได้<br />

ถูกนาไปให้เลล์ในอวัยวะต่าง ได้ใช้<br />

ตลอดเวลาเช่นกัน่งรวมถงกระดูกด้วย<br />

เนื่องจากร่างกายสังเคราะห์แคลเียม<br />

ไม่ได้จงต้องรับมาจากอาหารผ่านการย่อย<br />

และดูดมที่ลาไส้เล็ก ที่จริงแล้วความ<br />

สามารถในการดูดมแคลเียมไม่ว่าจะใน<br />

เด็กหรือผู้ใหญ่ถือว่ามีประสิทธิภาพต่ า คือ<br />

ประมาณ ๒๐ ๒๕ เท่านั้น กล่าวคือถ้าใน<br />

อาหารมีแคลเียม ๑๐๐ หน่วย เมื่อไปถง<br />

ลาไส้จะถูกดูดมเพียง ๒๐ หน่วย ส่วนที่<br />

เหลือก็จะขับถ่ายทิ้งไปในอุจจาระโดย<br />

ทั่วไปเด็ก ๓ ๑๐ ขวบควรได้รับแคลเียม<br />

ประมาณ ๘๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน วัยรุ่นและ<br />

ผู้ใหญ่ ๘๐๐ ๑๐๐๐ มิลลิกรัมต่อวัน สตรี<br />

มีครรภ์และคุณแม่ที่ให้นมบุตรควรได้รับ<br />

แคลเียมเพิ่มข้นคือ ๑๒๐๐ มิลลิกรัม<br />

ต่อวัน ดังนั้นเพื่อที่เราจะได้รับแคลเียม<br />

เพียงพอ เราควรรับประทานอาหารใดบ้าง<br />

แน่นอนว่านมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น<br />

โยเกิร์ต นมเปรี้ยวพร้อมดื่ม และเนยแข็ง<br />

มีปริมาณแคลเียมสูง แต่ไม่ใช่ทุกคนที่ดื่ม<br />

นมได้ เราจงต้องทราบแหล่งอาหารชนิด<br />

อื่น ที่มีแคลเียมมาก ได้แก่ปลาเล็กปลา<br />

น้อยหรือปลากระปองที่รับประทาน<br />

ทั้งกระดูก กุ้งแห้ง เต้าหู้อ่อน (ที่เติมแคลเียม<br />

ในระบบการผลิต) กะปและผักบางชนิด<br />

เช่น ยอดแค ผักคะน้า บรอคโคลี และ<br />

งาดา เปนต้น ถ้าจะให้นกภาพออกว่า<br />

แคลเียม ๑๐๐๐ มิลลิกรัม นั่นคือแค่ไหน<br />

ก็อาจใช้ตัวอย่างนมกล่อง่งมีแคลเียม<br />

ประมาณ ๒๕๐ มิลลิกรัมต่อกล่อง<br />

แคลเียม ๑๐๐๐ มิลลิกรัมจะได้จากนม<br />

๓ ๔ กล่อง หรือปลาเล็กปลาน้อยขนาด<br />

๑๐ ช้อนโตะ เปนต้น<br />

ในชีวิตจริงเรารับประทานอาหาร<br />

หลากหลายชนิด แต่ถ้าจะนกถงอาหาร<br />

ที่มีแคลเียมไว้บ้างก็ไม่ยากที่จะได้รับ<br />

แคลเียมในปริมาณที่พอเพียง ดังนั้น<br />

ถ้าจะตอบคาถามว่า ควรต้องรับประทาน<br />

แคลเียมเสริมหรือไม่ก็คงข้นอยู่กับ<br />

ประเภทและปริมาณอาหารที่แต่ละคน<br />

รับประทานในแต่ละวัน บางคนอาจได้<br />

แคลเียมเพียงพอ บางคนอาจรู้สกว่า<br />

ไม่พอแน่ ขอเพิ่มเปนแคลเียมเม็ดดีกว่า<br />

อย่างไรก็ตามถ้าท่านื้อแคลเียมเสริม<br />

ก็ไม่จาเปนต้องรับประทานปริมาณที่<br />

แนะนาบนลากขวด และไม่จาเปนต้อง<br />

ทุกวัน ทั้งนี้เพราะแคลเียมเก็บสะสมที่<br />

กระดูกได้หลายคน ไม่อยากจะคานวณ<br />

ปริมาณแคลเียมในอาหาร ก็ใช้วิธีดื่มนม<br />

๑ กล่อง หรือรับประทานโยเกิร์ต ๑ ถ้วย<br />

ทุกวัน ก็เท่ากับได้รับแคลเียมประมาณ<br />

ร้อยละ ๒๕ ๓๐ แล้วที่เหลืออีกร้อยละ<br />

๗๐ ๗๕ ก็คาดว่าจะได้รับจากอาหารอื่น<br />

52<br />

สนักงนพ สนักงนสนัสนุนสนักงนัดกรรวงกโห


คนไทยเราโชคดีกว่าชาวตะวันตกในเรื่อง<br />

การดูดมแคลเียม งานวิจัยจากกลุ่ม<br />

แพทย์ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาล<br />

รามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดลได้รายงาน<br />

ว่าคนไทยมีพันธุกรรมที่ทาให้เราสามารถ<br />

ดูดมแคลเียมได้ดีกว่าชาวตะวันตก แต่<br />

ถ้าท่านยังต้องการรับประทานแคลเียม<br />

เสริมก็ควรเลือกชนิดเม็ดที่มีราคาไม่แพง<br />

ไม่จาเปนต้องเปนยาเม็ดองูที่มีราคาสูง<br />

คาถามว่า ถ้ารับประทานแคลเียม<br />

เสริมมากเกินไปจะเปนโทษหรือไม่ คาตอบ<br />

คือ อะไรที่มากเกินไปก็ไม่ดีอยู่แล้วโดย<br />

ทั่วไปร่างกายจะขับถ่ายแคลเียมส่วนเกิน<br />

ในอุจจาระและปสสาวะ แต่ถ้าได้รับ<br />

แคลเียมมากเกินไปเปนเวลานาน ก็อาจ<br />

เสี่ยงต่อการเกิดแคลเียมสะสมในเนื้อเยื่อ<br />

ต่าง รบกวนการทางานของอวัยวะนั้น<br />

หรือเกิดนิ่วในไตได้ อีกปจจัยหน่งที่มีความ<br />

สาคัญต่อสมดุลแคลเียมคือ วิตามินดี่ง<br />

มีส่วนช่วยในการดูดมแคลเียม เราได้รับ<br />

วิตามินจาก ๒ แหล่ง คือได้จากอาหาร่ง<br />

เปนส่วนน้อยเนื่องจากต้องเปนอาหาร<br />

ประเภทนมและปลาทะเลที่มีไขมันสูง เช่น<br />

ปลาแลมอน เปนต้น โชคดีที่อีกแหล่งก็<br />

คือร่างกายของเราเองสามารถสังเคราะห์<br />

วิตามินดีได้โดยอาศัยปิกิริยาจากแสง<br />

อัลตราไวโอเล็ตในแสงแดดต่อผิวหนัง<br />

ดังนั้นเราควรได้รับแสงแดดบ้าง เช่น แสงแดด<br />

ในช่วงเช้าเวลา ๘๐๐ ๙๐๐ น วิตามิน<br />

ดีไม่ได้สาคัญต่อสมดุลแคลเียมเท่านั้นแต่<br />

ยังจาเปนต่อระบบภูมิต้านทานอีกด้วยบาง<br />

คนอาจเลือกที่จะื้อวิตามินมารับประทาน<br />

เด็กและวัยรุ่น มีความต้องการวิตามินดี<br />

ประมาณ ๔๐๐ (raia i)<br />

ส่วนผู้ใหญ่ต้องการ ๘๐๐ ๑๐๐๐ ต่อวัน<br />

แต่วิตามินดีในปริมาณที่สูงเกินไปก็เปนโทษ<br />

เช่นกันเช่นทาให้เกิดการสลายกระดูก<br />

เราสามารถทราบสถานะของกระดูก<br />

ได้โดยวัดความหนาแน่นของกระดูกด้วย<br />

เครื่อง ่งเปน ra ประเภทหน่ง<br />

หรือเครื่อง car ่งมีบริการ<br />

ตามโรงพยาบาลใหญ่ทั่วไปในปจจุบันยัง<br />

ไม่มีผลงานวิจัยที่สรุปได้อย่างมั่นใจว่า การ<br />

รับประทานแคลเียมเสริมสามารถ<br />

ปองกันการเกิดภาวะมวลกระดูกต่า มีแต่<br />

รายงานว่า ภาวะกระดูกบางมีแนวโน้มที่<br />

จะได้รับประโยชน์โดยตรงจากแคลเียม<br />

เสริม่งช่วยลดอัตราการสูญเสียกระดูก<br />

ทั้งนี้ การใช้แคลเียมเสริมควรทาควบคู่<br />

ไปกับการออกกาลังกายและการได้รับ<br />

แสงแดดด้วย เมื่อร่างกายดูดมแคลเียม<br />

ได้เพียงพอ ระดับของแคลเียมในกระแส<br />

เลือดก็จะมีค่าในระดับสูงปกติ พารา<br />

ไทรอยด์ฮอร์โมนก็จะไม่ถูกหลั่งมากเกินไป<br />

แต่ถ้าเราขาดแคลเียมระดับแคลเียมใน<br />

เลือดจะลดลงส่งผลให้ต่อมพาราไทรอยด์<br />

หลั่งฮอร์โมนมากข้น พาราไทรอยด์<br />

ฮอร์โมนมีผลส่งเสริมให้เลล์ออสติโอ<br />

คลาสท์ย่อยสลายเนื้อกระดูกเพื่อปล่อย<br />

แคลเียมเข้าสู่กระแสเลือด ทั้งนี้เพื่อรักษา<br />

ระดับของแคลเียมในเลือดให้คงที่เพื่อ<br />

เลล์ต่าง เช่น เลล์กล้ามเนื้อหัวใจจะ<br />

ทางานได้อย่างปกติ ดังนั้นเมื่อใดก็ตามที่<br />

ร่างกายได้รับแคลเียมไม่เพียงพอไม่ว่าจะ<br />

มีสาเหตุมาจากการรับประทานอาหารที่มี<br />

ปริมาณแคลเียมต่าเปนเวลานาน หรือ<br />

จากกระบวนการดูดมแคลเียมที่ผิด<br />

ปกติ ร่างกายใช้วิธีย่อยสลายกระดูกเพื ่อ<br />

ปล่อยแคลเียมมาทดแทนระดับที่ลดลง<br />

ในเลือดทันที หากภาวะการขาดแคลเียม<br />

เกิดข้นต่อเนื่องนานเปนเดือน จะมีผลให้<br />

สมดุลแคลเียมของร่างกายเปนลบคือมี<br />

การนาแคลเียมไปใช้หรือขับถ่ายออกจาก<br />

ร่างกายรวมกันแล้วมากกว่าการนา<br />

แคลเียมเข้าสู่ร่างกาย ทาให้เกิดภาวะ<br />

กระดูกบาง หรือถ้ารุนแรงก็จะกลายเปน<br />

โรคกระดูกพรุนได้ ในกรณีเช่นนี้ผู้ปวยอาจ<br />

ต้องใช้ยาที่มีผลลดอัตราการย่อยสลาย<br />

กระดูกมาช่วยด้วย<br />

การออกกาลังกายอย่างสม่าเสมอ<br />

ร่วมกับการรับประทานอาหารครบหมวด<br />

หมู่ ได้รับแคลเียมเพียงพอและได้วิตามิน<br />

ดี (จากแสงแดดหรืออยู่ในรูปของยา) จะ<br />

ช่วยลดการสูญเสียกระดูกตามอายุและ<br />

การตรวจความหนาแน่นของกระดูกจะ<br />

ช่วยบอกว่าเรามีกระดูกปกติหรือกระดูก<br />

บาง (sia) ภาวะกระดูกบางอาจ<br />

นาไปสู่โรคกระดูกพรุนได้ หากไม่ได้รับการ<br />

รักษาหรือการปิบัติตัวให้ถูกต้องผู้ที่เปน<br />

โรคกระดูกพรุนอาจเกิดกระดูกหักเองได้<br />

โดยไม่ต้องมีแรงกระแทกสภาวะทุพพลภาพ<br />

เปนเหตุให้ผู้ปวยต้องนอนอยู่บนเตียง<br />

นาน จงเสี่ยงต่อการเกิดลิ่มเลือดอุดตัน<br />

หรือโรคปอดบวม่งมีอันตรายถงชีวิตหรือ<br />

อย่างน้อยก็ทาให้คุณภาพชีวิตเสียไป<br />

ดังนั้นเราทุกคนทุกวัยควรสนใจและให้<br />

ความสาคัญต่อการดูแลสุขภาพใส่ใจใน<br />

ประเภทของอาหารที่รับประทาน และ<br />

ออกกาลังกายเปนประจาก็จะช่วยให้ห่าง<br />

จากโรคภัยไข้เจ็บ และมีชีวิตที่มีคุณภาพ<br />

และมีความสุข<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù<br />

53


Impossible Dream<br />

เมื่อป พศ๒๕๕๔ ผู้เขียนได้ปิบัติ<br />

หน้าที่หัวหน้าล่ามและเจ้าหน้าที่<br />

ติดต่อในการฝกการใช้อุปกรณ์<br />

ที่ไม่เปนอันตรายแก่ชีวิต L <br />

(Lha a cui<br />

miar ) ณ ค่ายนวมินทราชินี กรมทหาร<br />

ราบที่ ๒๑ จังหวัดชลบุรี ่งจัดโดยกรม<br />

วิทยาศาสตร์เทคโนโลยีกลาโหม ร่วมกับ<br />

กองกาลังนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกา<br />

(ari iiar rc a<br />

uarrs ru) และมีผู้เข้ารับการฝกที่<br />

เปนเจ้าหน้าที่ตารวจและทหารไทยจานวน<br />

ประมาณ ๒๕๐ นาย ผู้สังเกตการณ์จาก ๘<br />

ประเทศทั่วโลกอีก ๒๐ คน รวมทั้งสิ้นกว่า<br />

๓๐๐ คน เพื่อส่งเสริมการใช้อุปกรณ์ที่ไม่<br />

อันตรายถงแก่ชีวิตโดยนาไปใช้ในการรักษา<br />

สันติภาพหรือการควบคุมฝูงชน นอกจากนี้<br />

ยังเปนการพันาความสัมพันธ์ระหว่าง<br />

ตารวจและทหารให้เข้าใจถงความสาคัญใน<br />

การปองกันการหยุดการละเมิดสิทธิมนุษยชน<br />

เปนต้น<br />

จาได้ว่าในการฝก L ครั้งนั้น<br />

ถือว่าเปนการฝกที่หนักพอสมควรผู้เข้าร่วม<br />

การฝก ทั้งเจ้าหน้าที่ทหารและตารวจของ<br />

ไทยมีความมานะ อดทน และทุ่มเทในการ<br />

ฝกเปนอย่างดีมาก โดยเพาะอย่างยิ่ง การ<br />

ฝกการใช้อุปกรณ์ต่าง เพื่อให้เข้าใจถงผล<br />

ของการใช้อุปกรณ์เหล่านั้น เช่น ปนช็อต<br />

ไา ที่เปนการส่งแรงกระตุ้นไา<br />

ในกล้ามเนื้อของมนุษย์ และการีดสเปรย์<br />

พริกไทย (rsi) เปนต้น โดยผู้เข้า<br />

รับการอบรมจะต้องสมัครใจในการทดสอบ<br />

การถูกยิงด้วยปนช็อตไา การฝกจะเริ่ม<br />

โดยครูฝกจะช่วยพยุงแขนสองข้างไว้และผู้<br />

เข้ารับการฝกจะต้องลงชื่อในการสมัครใจ<br />

จากนั้น แนะนาชื่อ ยืนหันหลัง ครูฝกก็ส่ง<br />

สัญญาณว่า ระวัง hr แล้วยิง<br />

ไปที่ด้านหลังของผู ้ฝก ลูกศรที่อัดแน่นด้วย<br />

พลังไาจะพุ่งออกไปด้วยแรงอัดของ<br />

ไนโตรเจนในกระบอก เชื่อมต่อกับปนด้วย<br />

สายไาหุ้มนวน โดยกระแสไาจะส่ง<br />

ผ่านหัวลูกศรไปยังกล้ามเนื้อทาให้ไม่<br />

สามารถยืนได้ นอกจากนี้ผู้ฝกจะมีความ<br />

กล้าหาญมากในการทดลองการถูกีดด้วย<br />

สเปรย์พริกไทย ที่รู้จักในชื่อ C sra ่ง<br />

การออกฤทธิ์ของสเปรย์พริกไทยนี้ ทาให้<br />

เกิดการอักเสบจนทาให้เปดตาแทบไม่ได้<br />

น้าตาไหล แสบร้อน หายใจไม่ออก ไอ และ<br />

จะมีผลอยู่เปนเวลา ๓๐ ๔๕ นาที ผู้อ่าน<br />

ลองนกภาพดูิคะ เจ้าหน้าที่ทหารและ<br />

ตารวจเขาอดทนขนาดไหน ผู้เขียนอยู่ใน<br />

เหตุการณ์รู้สกภูมิใจมากที่เห็นผู้ฝก ทั้ง<br />

๒๐๐ นาย มีความอดทนและกระตือรือร้น<br />

ต่อการฝกในครั้งนั้นจนกลั้นน้าตาไม่อยู่<br />

เห็นแล้วสงสารและปวดแสบปวดร้อน<br />

ตามไปด้วย<br />

เหตุผลที่ต้องเกริ่นนาให้เห็นภาพมีอยู่<br />

ว่าหลังจากการฝกหนักเปนเวลาติดต่อกัน<br />

๕ วัน ดูเหมือนว่า ผู้เข้ารับการฝกมีจิตใจ<br />

กล้าหาญ รุกรบ และที่สาคัญมีความ<br />

สนิทสนมร่วมกันระหว่างทหาร ตารวจ<br />

และนาวิกโยธินทั้งฝายไทยและฝาย<br />

สหรัฐอเมริกา เริ่มพูดภาษาอังกฤษคล่องข้น<br />

ครูฝกชาวสหรัฐฯ บอกว่าถ้าให้ฝกเปนเดือน<br />

พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ<br />

ผู้เข้ารับการฝกก็น่าจะอยากอยู่ต่อ<br />

ในวันพิธีปด ผู้เขียนก็เปลี่ยนบทบาท<br />

หลังจากเปนล่ามกลางสนามมาเปนเวลา ๕<br />

วัน มาเปนพิธีกรงานเลี้ยงสังสรรค์และนา<br />

เสนอการแสดงแบบไทย เพื่อเปนการ<br />

ต้อนรับชาวต่างชาติ จากนั้นก็ได้มีโอกาสเดิน<br />

คุยกับผู้เข้ารับการฝกทั้ง ๒๐๐ นาย ทุกนาย<br />

เรียกผู้เขียนว่า ครู และขอถ่ายรูปด้วย บาง<br />

นายขอบคุณที่ช่วยเปนล่ามให้ บางนาย<br />

ขอบคุณที่เราวิ่งหาผ้าเย็น น้าดื่มและเปน<br />

พี่เลี้ยงคอยดูแลในระหว่างที่พวกเขาฝก<br />

ผู้เขียนเองก็ภูมิใจมากเช่นกัน ในฐานะที่<br />

เปนทหารถงจะเปนทหารหญิงก็เชื่อว่าเรา<br />

สามารถทางานภาคสนามได้เช่นกัน การ<br />

เปนล่ามที่จะต้องแปลให้ครูฝก ทาให้ได้<br />

เรียนรู้ศาสตร์ วิชา และทักษะต่าง<br />

มากมาย และการได้ฝกร่วมกับเจ้าหน้าที่<br />

ทหารและตารวจ อยู่กับดินกินกับทราย<br />

ทาให้เข้าใจถงความทรหดอดทนของ<br />

เจ้าหน้าที่ทหารตารวจอย่างแท้จริง ในงานเลี้ยง<br />

ผู้เขียนพยายามนกว่า เราน่าจะทากิจกรรม<br />

อะไรสักอย่างที่ให้ผู้เข้าร่วมการฝกทั้งสี่<br />

เหล่าได้ร่วมทากิจกรรมก่อนแยกย้ายกันไป<br />

มีลูกน้องบอกว่า ทายากค่ะหัวหน้า เพราะ<br />

พี่ เขามาจากหลายหน่วยและทุกคนก็คง<br />

อยากจะกลับบ้านค่ะตอนนั้นผู้เขียนตอบ<br />

54<br />

พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ


้<br />

ลูกน้องว่า คาว่า ต้องได้ิ ต้องได้ิ และ<br />

คาว่า mssi ram ก็ปรากข้นมา<br />

ในใจ ผู้เขียนเลยประกาศออกไมโครโน<br />

ว่า เราจะมาร้องเพลงด้วยกันก่อนจาก<br />

เพลงนี้ชื่อว่า ความันอันสูงสุด ที่พระบาท<br />

สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />

ได้ทรงแต่งทานองไว้ และท่านผู้หญิง<br />

มณีรัตน์ บุนนาค เขียนคาร้อง พอผู้เขียน<br />

ประกาศไม่ถง ๕ นาที ผู้เข้าร่วมการฝก<br />

ทั้งหมด ๒๐๐ นาย รีบเดินออกมาหน้าเวที<br />

และยืนอย่างเปนระเบียบส่งสัญญาณให้<br />

ผู้เขียนรู้ว่า ทุกคนพรอม ผู้เขียนจงรีบหา<br />

เนื้อหาเปนภาษาอังกฤษ เพื่ออย่างน้อย<br />

ครูฝกนาวิกโยธินสหรัฐอเมริกาและ<br />

ผู้สังเกตการณ์จากมิตรประเทศจะได้เข้าใจ<br />

เนื้อหาของเพลงและให้เขาได้รับรู้ว่า เรา<br />

จงรักภักดีต่อชาติ ศาสน กษัตริย เพียงใด<br />

และจะทาให้หน้าที่ในฐานะทหารและ<br />

ตารวจให้ที่ดีสุด คืนนั้น เมื่อทหารและ<br />

ตารวจที่เข้ารับการฝกร้องเพลงความฝน<br />

อันสูงสุด เสียงเพลงดังกกก้องไปทั่วห้อง<br />

ประชุมของค่ายนวมินทราชินี จังหวัดชลบุรี<br />

สายตา น้าเสียงการร้องเพลงของผู้เข้ารับ<br />

การฝกทุกคน บ่งบอกถงความภูมิใจใน<br />

ความเปนข้าราชการในพระบาทสมเด็จ<br />

พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เปน<br />

อย่างยิ่ง สร้างความประทับใจให้กับทุกคน<br />

ที่ได้เข้าร่วมพิธีปดในครั้งนี้ สุดท้ายนี<br />

ขออัญเชิญเพลง ความันอันสูงสุด ที่ใช้เปน<br />

ภาษาอังกฤษว่า e mssle Deam<br />

มาให้พี่น้องทหาร ตารวจ ข้าราชการและ<br />

ประชาชนคนไทยทุกคนอีกครั้งค่ะ เพื่อ<br />

เปนการสร้างขวัญและกาลังใจ หากผิดหวัง<br />

ท้อแท้ งเพลงนี้นะคะ แล้วพลังจะกลับ<br />

มาค่ะ<br />

ความฝนอันสูงสุด<br />

ทํานอง: พระบาทสมเด็จพระเจาอยูหัว ภูมิพลอดุลยเดช<br />

คํารอง: ทานผูหญิงมณีรัตน บุนนาค<br />

ขอฝนใฝในฝนอันเหลือเชื่อ<br />

ขอสู้ศกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว<br />

ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ<br />

ขอฝานผองภัยด้วยใจทะนง<br />

จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด<br />

จะรักชาติจนชีวิตเปนผุยผง<br />

จะยอมตายหมายให้เกียรติดารง<br />

จะปดทองหลังองค์พระปิมา<br />

ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร<br />

ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา<br />

ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา<br />

ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป<br />

นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง<br />

หมายผดุงยุติธรรม์อันสดใส<br />

ถงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด<br />

ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน<br />

โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่<br />

เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน<br />

คงยืนหยัดสู้ไปใฝประจัญ<br />

ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย<br />

The Impossible Dream<br />

ram h imssi ram <br />

h h uaa <br />

ar ih uara srr <br />

ru hr h ra ar <br />

rih h uriha r <br />

ur a chas rm aar <br />

r h ur arms ar ar <br />

rach h uracha sar <br />

his is m us ha sar <br />

mar h hss mar h ar <br />

h r h rih ihu usi r aus <br />

ii march i r a a caus <br />

k i ru<br />

his rius us<br />

ha m har i i acu a cam<br />

h m ai m rs <br />

h r i r r his<br />

ha ma scr a cr ih scars<br />

i sr ih his as uc cura<br />

rach h uracha sar <br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 55


พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมพิธีวางพวงมาลาถวายราชสดุดีพระบรม<br />

ราชานุสาวรีย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เนื่องในวันคล้ายวันสวรรคต โดยมี พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวง<br />

กลาโหม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ ลานพระราชวังดุสิต เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๙<br />

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมในการประชุมกองอานวยการร่วมรักษาความสงบ<br />

เรียบรอย (กอร.รส.) และตรวจเยี่ยมใหกาลังใจเจาหนาที่และเครือข่ายจิตอาสาที่ร่วมกันอานวยความสะดวกและใหบริการประชาชน โดยมี<br />

พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมคณะ ณ มณฑลพิธี<br />

ท้องสนามหลวง เมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๕๙<br />

56


พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />

พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการ<br />

เหล่าทัพ และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมพิธีถวายผาพระกฐิน<br />

พระราชทานของกระทรวงกลาโหม ประจาป ๒๕๕๙ ณ วัดชิโนรสาราม วรวิหาร แขวงบ้านช่างหล่อ<br />

เขตบางกอกน้อย กรุงเทพฯ เมื่อ ๓ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />

พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ร่วมงานวันราชวัลลภ ประจาป ๒๕๕๙ โดยมี พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล<br />

ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมพิธี ณ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ เมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 57


พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวง<br />

กลาโหม เป็นประธานในพิธีบาเพ็ญกุศล<br />

ปัณรสมวาร (๑๕ วัน) เพื่อถวายเป็นพระราชกุศล<br />

แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />

อดุลยเดช ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />

โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัด<br />

กระทรวงกลาโหม ร่วมพิธี ณ วัดชิโนรสาราม<br />

วรวิหาร เขตบางกอกน้อย เมื่อ ๒๗ ตุลาคม<br />

๒๕๕๙<br />

พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปดการศึกษาหลักสูตรการปองกันราชอาณาจักร รุ่นที่ ๕๙<br />

โดยมี พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ ร่วมพิธี ณ หอประชุมพิบูลสงคราม<br />

วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร เมื่อ ๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />

58


พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีบาเพ็ญพระราชกุศลปัญญาสมวาร เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลแด่<br />

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมี รองปลัดกระทรวงกลาโหม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />

ร่วมพิธี ณ ลานอเนกประสงค์ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑ ธันวาคม ๒๕๕๙<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 59


พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ พันเอก Chris Luckham (คริส ลัคแฮม) ผู้ช่วยทูตฝายทหาร ประจาสถาน<br />

เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักร ณ กรุงเทพฯ และคณะ ในโอกาสเขาเยี่ยมคานับและหารือขอราชการ ณ ห้องสนามไชย ภายในศาลาว่าการกลาโหม<br />

เมื่อ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />

พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม ใหการตอนรับ นางสาว Kelly Magsamen ผูช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />

สหรัฐอเมริกาดานกิจการความมั่นคงในภูมิภาคเอเชียและแปซิฟก และคณะ ณ ห้องสนามไชย ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙<br />

60


พลอากาศเอก ศิวเกียรติ์ ชเยมะ รองปลัดกระทรวง<br />

กลาโหม เป็นประธานในการประชุมใหญ่สามัญประจาป ๒๕๕๙<br />

ของสหกรณ์ออมทรัพย์ จากัด ณ ห้องพินิตประชานาถ ภายใน<br />

ศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๘ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />

พลเรือเอก พงษ์เทพ หนูเทพ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในการจัดกิจกรรมการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ เรื ่อง “รูโรค บริโภคดี<br />

มีวินัย ใส่ใจ การออกกาลังกาย ตานภัย NCDS” ใหกับกาลังพลของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ณ ห้องพินิตประชานาถ ภายในศาลาว่าการ<br />

กลาโหม เมื่อ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 61


กิจกรรมสมาคมภริยาข้าราชการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />

สมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แจกจ่ายอาหารและน้าดื่มแก่ประชาชนที่เดินทางมาร่วมถวายบังคม<br />

พระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ณ บริเวณด้านข้างศาลาว่าการกลาโหม ถนนหลักเมือง เมื่อ ๒๑ ตุลาคม ๒๕๕๙<br />

นางวิภาพร ช้างมงคล นายกสมาคมภริยาข้าราชการ<br />

สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย คณะกรรมการ<br />

สมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />

บวงสรวงสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และร่วมบาเพ็ญกุศล เนื่องใน<br />

วันคลายวันสถาปนาสมาคมภริยาขาราชการสานักงานปลัด<br />

กระทรวงกลาโหม ครบรอบ ๒๖ ป ณ สานักงานสมาคมภริยา<br />

ข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เมื่อ ๙ พฤศจิกายน<br />

๒๕๕๙<br />

62


นางวิภาพร ช้างมงคล นายกสมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมภริยาข้าราชการ<br />

สานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมกิจกรรม บริจาคโลหิตเพื่อถวายเป็นพระราชกุศล แด่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />

ณ ห้องพินิตประชานาถ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๙ พฤศจิกายน ๒๕๕๙<br />

ËÅÑ¡àÁ×ͧ ¸Ñ¹ÇÒ¤Á òõõù 63


64


พลเอก ชัยชาญ ชางมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหม เปนประธานในพิธี “รวมพลังแหงความภักดี” เพื่อเปนการแสดงความอาลัย<br />

ถวายพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช โดยมีนายทหารชั้นผูใหญของสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมรวมพิธี ณ บริเวณ<br />

หนาอาคารศาลาวาการกลาโหม เมื่อ ๒๒ พฤศจิกายน ๒๕๕๙


ISSN 0858 - 3803<br />

9 770858 380005

Hooray! Your file is uploaded and ready to be published.

Saved successfully!

Ooh no, something went wrong!