131 ปี กระทรวงกลาโหม ในทศวรรษที่ 14
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>
1<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
2
3<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
คำปรำศรัย<br />
รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงกลำโหม<br />
เนื่องในโอกำสวันคล้ำยวันสถำปนำกระทรวงกลำโหม ครบ ๑๓๑ <strong>ปี</strong><br />
พี่น้องประชาชน เพื่อนข้าราชการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
ทหารผ่านศึก และครอบครัวของกาลังพลที่รัก ทุกท่าน<br />
พลเอก<br />
(ประวิตร วงษ์สุวรรณ)<br />
รัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงกลำโหม<br />
เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
ครบ ๑๓๑ <strong>ปี</strong> ในวันอาทิตย์ที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๕๖๑<br />
ผมขอส่งความปรารถนาดีและขอขอบคุณในความร่วมมือร่วมใจ<br />
ของท่านทั้งหลายที่ได้ให้การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของกระทรวง<br />
กลาโหมให้บรรลุผลสาเร็จด้วยดีมาโดยตลอด<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> นับว่าเป็นสัญลักษณ์ความมั่นคงของ<br />
ประเทศที่มีประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน เคียงคู่กับการสร้าง<br />
ราชอาณาจักรไทย และประวัติศาสตร์ของการต่อสู ้เพื่อปกป้อง<br />
และรักษาชาติบ้านเมือง และด้วยพระราชปณิธานอันมุ่งมั่นของ<br />
บูรพกษัตริยาธิราชเจ้าแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ที่ทรงเล็งเห็นความส าคัญของการ<br />
วางรากฐานด้านกิจการทหารให้มีการจัดแบบมาตรฐานสมัยใหม่<br />
โดยเฉพาะความจาเป็นเร่งด่วนในการรักษาเอกราช อธิปไตย และ<br />
ความมั่นคงของประเทศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
จึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้สถาปนา “กรมยุทธนาธิการ”<br />
ขึ้นเมื่อวันที่ ๘ เมษายน พุทธศักราช ๒๔๓๐ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้น<br />
ในการปรับปรุงโครงสร้างการจัดหน่วยและยุทธวิธีทางทหารให้มี<br />
ความสอดคล้องกับยุคสมัย และต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง<br />
จนเป็น<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ในปัจจุบัน<br />
4
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> โดยข้าราชการทหาร จึงถือว่ามีภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่ในอันที่จะสืบสานพระราชปณิธานในการสร้างความ<br />
ทันสมัยและความเจริญรุ่งเรืองให้แก่กิจการทหาร ปฏิบัติหน้าที่ราชการเพื่อตอบแทนบุญคุณของแผ่นดิน ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต มีความ<br />
เป็นทหารอาชีพ ดารงตนด้วยความสานึกในเกียรติและศักดิ์ศรีของทหาร เพื่อให้เป็นที่เชื่อมั่นและศรัทธาต่อนานาประเทศ และประชาชน<br />
ชาวไทย ทั้งนี้ภาระหน้าที่ของทหารตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา และในอนาคตจะยังคงไม่เปลี่ยนแปลง คือ<br />
การพิทักษ์รักษาเอกราช อธิปไตยและความมั่นคงของชาติ การปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การพิทักษ์รักษา<br />
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือปัญหาความทุกข์ร้อนของประชาชน และ<br />
การเป็นกลไกด้านความมั่นคงของรัฐที่สาคัญในการแก้ไขปัญหาของชาติในด้านต่างๆ ตลอดไป<br />
ผมและข้าราชการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ขอให้คามั่นสัญญาว่า จะยึดมั่นและธารงไว้ซึ่งภารกิจในการรักษาสถาบันหลักของชาติ และการ<br />
ปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขให้ดารงอยู่อย่างมั่นคง รวมทั้งจะดูแลความมั่นคงในภาพรวม และสนับสนุน<br />
นโยบายของรัฐบาล โดยมุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่มีความปลอดภัยให้กับประชาชนเพื่อสร้างรากฐานที่ดี อันจะส่งผลทาให้ประเทศ<br />
มีความมั่นคงและมั่งคั่ง อย่างยั่งยืน<br />
ในโอกาสวันคล้ายวันสถาปนา<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> ซึ่งได้เวียนมาบรรจบครบ ๑๓๑ <strong>ปี</strong> นี้ ผมขออาราธนาอานาจคุณพระศรีรัตนตรัย<br />
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก เดชะพระบารมีสมเด็จพระบูรพกษัตริย์แห่งสยามทุกพระองค์ ตลอดจนพระบารมีแห่งองค์สมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร โปรดดลบันดาล พระราชทานพรให้ทุกท่านประสบแต่ความสุข ความเจริญ มีก าลังกาย<br />
กาลังใจที่เข้มแข็ง เพื่อร่วมกันเสริมสร้างความมั่นคงและการพัฒนาประเทศของเราให้เจริญรุ่งเรืองสืบไป<br />
5
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
6
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
สำรบัญ<br />
คำปรำศรัยรัฐมนตรีว่ำกำรกระทรวงกลำโหม ๔<br />
บทนำ ๘<br />
กระทรวงกลำโหมในอดีต ๑๐<br />
กระทรวงกลำโหม<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔ ๒๗<br />
เทิดรำชำ ๔๓<br />
รักษ์รำษฎร์ ๕๑<br />
ชำติมั่นคง ๖๗<br />
ปัจฉิมบท ๑๑๙<br />
7
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
กระทรวงกลำโหม<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
บทนำ<br />
<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๖๑ คือ<strong>ปี</strong>แห่งการครบรอบการสถาปนากระทรวง<br />
กลาโหมเป็น<strong>ปี</strong>ที่ ๑๓๑ และเป็น<strong>ปี</strong>แห่งการเริ่มต้นของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
ในทศวรรษใหม่หรือทศวรรษที่ ๑๔ ซึ่งเป็นความสืบเนื่องของกาลเวลานาน<br />
ถึง ๑๓ ทศวรรษ ที่มีปฐมเหตุมาจากการประกาศพระบรมราชโองการของ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ชื่อว่า ประกาศจัดการทหาร<br />
ให้จัดตั้งกรมยุทธนาธิการ เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๔๓๐ และได้มีการพัฒนา<br />
อย่างต่อเนื่องมาเป็นกระทรวงยุทธนาธิการ และเป็น<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
ในปัจจุบัน ดังนั้น ใน<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๖๑ นี้ จึงนับเป็นการเริ่มต้นก้าวใหม่<br />
ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔ ระหว่าง<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๖๑ –<br />
๒๕๗๐ อันเ<strong>ปี</strong>่ยมล้นไปด้วยเกียรติภูมิและมีศักดิ์ศรีอย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งยังจะ<br />
เป็นกลไกสาคัญในการขับเคลื่อนภารกิจการป้องกันประเทศ รักษาอธิปไตย<br />
ปกป้องและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ การรักษาความมั่นคงของรัฐ<br />
และการรักษาผลประโยชน์ของชาติให้บังเกิดประโยชน์สูงสุดต่อประชาชน<br />
ชาวไทย สังคมไทย และประเทศชาติ อย่างมีเสถียรภาพต่อไปในอนาคต<br />
ประเทศไทย ระหว่าง<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๕๑ – ๒๕๖๐ ซึ่งเป็นห้วงเวลาเดียวกันกับทศวรรษที่ ๑๓ ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
ได้เกิดเหตุการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคมอย่างมากมาย ซึ่งส่งผลกระทบในด้านต่างๆ ต่อประเทศ ตลอดจนได้มีความพยายามที่จะ<br />
แก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่องโดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ของประเทศรวมทั้งทรัพยากรของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>จนบรรลุผลสัมฤทธิ์เป็นอย่างดี ทั้งนี้<br />
สิ่งที่ประชาชนชาวไทยต่างปลาบปลื้มยินดีเป็นอย่างยิ่งคือการที่ได้รับพระราชทานรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐<br />
เพื่อเป็นหลักชัยสาคัญในการขับเคลื่อนประเทศ จนนามาสู่การจัดทาแผนและขั้นตอนการปฏิรูปประเทศ การจัดทายุทธศาสตร์ชาติ<br />
๒๐ <strong>ปี</strong> ตลอดจนการวางรากฐานการแก้ไขปัญหาที่เคยสะสมมา โดยดาเนินการในลักษณะการบูรณาการเป็นองค์รวม เพื่อให้สามารถย่างก้าว<br />
ได้อย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๖๑ เป็นต้นไป<br />
8
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติภารกิจของ<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>และกิจการทหารไว้ในบทบัญญัติมาตรา ๕๒ มีสาระสาคัญโดยสรุปคือ<br />
มีการกาหนดภารกิจใหม่ให้<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ปฏิบัติควบคู่ไปกับการสานภารกิจเดิมที่ได้เคย<br />
ดาเนินการไว้แล้วเป็นอย่างดีให้มีความสมบูรณ์และถือปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง กอปรกับ<br />
ในระหว่าง<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๕๘ - ๒๕๖๐ ได้มีการตรากฎหมายหลายฉบับที่มีความเกี่ยวข้อง<br />
กับการปฏิบัติในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> รวมถึงมีการนาเสนอร่างกฎหมายบรรจุ<br />
เข้าสู่การพิจารณาในสภานิติบัญญัติแห่งชาติอีกหลายฉบับ จึงเป็นการกาหนดบริบทและ<br />
ภารกิจ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ที่จะต้องดาเนินการ<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔ และดาเนินการสืบเนื่องต่อไป<br />
หนังสือ กระทรวงกลำโหม <strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔ จึงเป็นการนาเสนอภารกิจและบทบาท<br />
ใหม่ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ที่จะดาเนินการในต้นทศวรรษที่ ๑๔ เป็นต้นไป รวมถึงการนาเสนอ<br />
ภารกิจสาคัญที่<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ดาเนินการมาตั้งแต่ในอดีตและจะดาเนินการต่อเนื่องต่อไป<br />
ในอนาคต เพื่อให้ภาคประชาสังคม และประชาชนทุกภาคส่วนได้รับทราบถึงการด าเนินภารกิจ<br />
ทางการทหาร ได้ร่วมภาคภูมิใจในกิจการทหารของไทย และร่วมให้การสนับสนุนการปฏิบัติ<br />
การของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>และทหารไทยในทุกมิติ เพื่อให้บรรลุถึงการสร้างความตระหนัก<br />
รับรู้ของภาคประชาสังคมในเรื่องกิจการทหาร และพัฒนาการมีส่วนร่วมในการรักษาความ<br />
มั่นคงของชาติ การรักษาผลประโยชน์ของชาติจากทุกภาคส่วน ซึ่งจะทาให้การดาเนินการ<br />
ตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญสามารถบรรลุผลสัมฤทธิ์ได้อย่างเป็นรูปธรรมและมีทิศทาง<br />
ที่ชัดเจนเป็นที่คาดหวังได้ของประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
9
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
กระทรวงกลำโหม<br />
ในอดีต<br />
10
11<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑. กระทรวงกลำโหมในอดีต<br />
ในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น กิจการทหารของไทยยังคงยึดแบบแผนการดาเนินกิจการทหารตามแนวทางของกรุงศรีอยุธยาและ<br />
กรุงธนบุรีทั้งในเรื่องของการเตรียมกาลังไพร่พล การแบ่งเหล่าทหารและการจัดหน่วยให้พร้อมเผชิญเป็นภัยคุกคามที่เกิดจากกองทัพของ<br />
ประเทศเพื่อนบ้านทั้งทางตะวันตกและตะวันออก<br />
กฎหมายตราสามดวงของกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น<br />
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประเทศไทยต้องเผชิญกับภัยคุกคามขนาดใหญ่ อันเกิดจากจักรวรรดินิยม<br />
ตะวันตกที่มีแสนยานุภาพสูงกว่าประเทศไทยจึงได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ วางรากฐานในการพัฒนาประเทศให้ทัดเทียมนานา<br />
อารยประเทศให้มีประสิทธิภาพและทันสมัยอย่างเร่งด่วนหลายด้าน ทั้งในเรื่องของการจัดกาลัง การจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ การฝึก<br />
พื้นฐานและการฝึกทางยุทธวิธี ทั้งยังทรงเลือกจ้างทหารนอกราชการจากต่างประเทศมาเป็นผู้ฝึกทหารและเป็นกองร้อยตามระเบียบแบบแผน<br />
และฝึกสอนทหารบกตามแบบอย่างทหารอังกฤษเป็นครั้งแรก เรียกว่า “ทหารเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง” หลังจากนั้นจึงได้จัดแบ่งทหารออกเป็น<br />
๒ กอง คือ กองทหารหน้าและกองทหารรักษาพระองค์ปืนปลายหอกวังหลวงเดิม<br />
ทหารเกณฑ์หัดอย่างฝรั่ง กองทหารรักษาพระองค์ปืนปลายหอกวังหลวงเดิม<br />
12
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระคทาองค์ที่ ๑<br />
ใน<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๔๑๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดาริให้นารูปแบบอย่างการทหารที่ชาวยุโรป<br />
ปฏิบัติมาดัดแปลงแก้ไขให้เหมาะสมกับประเทศไทยในเวลานั้น โดยทรงใช้นายทหารต่างประเทศเป็นผู้ฝึก และมีเจ้านายหรือข้าราชการ<br />
ซึ่งเป็นผู้ที่ทรงไว้วางพระราชหฤทัยเป็นผู้บังคับบัญชา ทั้งยังขึ้นตรงต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งมีรูปแบบการจัดกิจการทหารเป็น<br />
๒ หน่วย กล่าวคือ<br />
๑. ทหำรบก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวบรวมหน่วยทหารต่างๆ และให้ตั้งเป็นหน่วยทหารอยู่ในสังกัดของทหารบก รวม ๗ กรม<br />
ประกอบด้วย กรมทหารมหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมทหารรักษาพระองค์ กรมทหารล้อมวัง กรมทหารหน้า กรมทหารปืนใหญ่<br />
กรมทหารช้าง และกรมทหารฝีพาย<br />
๒. ทหำรเรือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับเปลี่ยนหน่วยทหารเดิม และให้ตั้งเป็นหน่วยทหารอยู่ในสังกัดของทหารเรือ<br />
รวม ๒ กรม ประกอบด้วย กรมทหารเรือพระที่นั่งเวสาตรี (ทหารช่างแสงเดิม) และกรมอรสุมพล (ทหารมารีนเดิม)<br />
13
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
พระบรมฉายาลักษณ์<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงพระคทาองค์ที่ ๓<br />
พระบรมฉายาลักษณ์<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพระคทาองค์ที่ ๑<br />
ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดาริเกี่ยวกับกิจการทหารทั้งฝ่ายทหารบกและฝ่ายทหารเรือ ที่แยก<br />
การปฏิบัติอาจประสบปัญหาในการดาเนินกิจการและการประสานงาน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระบรมวงศานุวงศ์และเสนาบดี<br />
เข้าเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายการปรึกษาหารือในเรื่องที่จะจัดการฝ่ายทหารบกและฝ่ายทหารเรือ ให้มีแบบแผนดีและเรียบร้อย<br />
เป็นอันเดียวกันเหมือนอย่างโบราณราชประเพณีและเทียบเคียงได้อย่างประเทศในทวีปยุโรป เพื่อป้องกันความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นจาก<br />
แนวความคิดการล่าอาณานิคมที่อาจเกิดขึ้นแก่ประเทศในสมัยนั้น เมื่อเป็นเช่นนี้ ในวันศุกร์แรม ๑ ค่า เดือน ๕ <strong>ปี</strong>กุนอัฐศก จุลศักราช<br />
๑๒๔๘ หรือ วันศุกร์ที่ ๘ เมษำยน ๒๔๓๐ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระบรมราชโองการชื่อว่า ประกำศจัดกำรทหำร<br />
โดยมีสาระสาคัญว่า<br />
(๑) ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ ควบรวมกรมทหารบกและกรมทหารเรือ ตั้งขึ้นเป็นกรมใหญ่เรียกว่า “กรมยุทธนำธิกำร” สาหรับ<br />
จัดการและบังคับบัญชาการทหารบกและทหารเรืออย่างใหม่ในลักษณะการรวมกาลังเป็นปึกแผ่นอย่างกองทัพสาหรับประเทศไทย<br />
(๒) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดาริพระราชอิสริยยศ ตาแหน่งที่ จอมทัพ<br />
(๓) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร ทรงดารงตาแหน่งเป็น ผู้บังคับบัญชำทหำรทั่วไปในกรมทหำร<br />
(๔) กาหนดตาแหน่ง เจ้าพนักงานใหญ่เป็นผู้ช่วยทั้งฝ่ายทหารบก ฝ่ายทหารเรือ การยุทธภัณฑ์ และการใช้จ่าย ในกิจการทหารบก<br />
และทหารเรือทั่วไป<br />
<strong>14</strong>
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช<br />
เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร<br />
พระฉายาลักษณ์ นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ<br />
เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
โรงทหารหน้าในยุคแรก<br />
15
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
แต่เนื่องจากในขณะนั้น สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ยังทรงพระเยาว์ โดยทรงมี<br />
พระชนมพรรษา ๙ พรรษา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุ<br />
วงศ์วรเดชและเป็นนายพันโทพิเศษกรมทหารมหาดเล็ก มาเป็นผู้บังคับบัญชาการกรมยุทธนาธิการไปพลางก่อนโดยให้มีที่ตั้งหน่วยของ<br />
กรมยุทธนำธิกำร ขึ้นที่โรงทหารหน้า (หรือศาลาว่าการกลาโหมในปัจจุบัน)<br />
หอคอยยุคแรกสร้างโรงทหารหน้า<br />
(ด้านทิศตะวันออกบริเวณถนนช้างโรงสี)<br />
หอคอยยุคปลายรัชสมัยรัชกาลที่ ๕<br />
(ด้านทิศตะวันออกบริเวณถนนช้างโรงสี)<br />
ในเวลาต่อมา กรมยุทธนาธิการ ได้มีการพัฒนาภารกิจและการจัดของหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเผชิญภัยคุกคามที่<br />
เปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยต่างๆ จนพัฒนาเป็น<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ดังที่ปรากฏในปัจจุบันตามลาดับ ดังนี้<br />
16
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทหารหน้าในยุคแรก<br />
17
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑. <strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๔๓๓ มีการยกฐานะ กรมยุทธนาธิการ ขึ้นเป็น กระทรวงยุทธนำธิกำร (Ministry of War and Marine)<br />
โดยประกาศเป็นพระรำชบัญญัติจัดกำรกรมยุทธนำธิกำรในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๓ ทั้งนี้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงดารงพระราชสถานะเป็นจอมทัพ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงเป็นองค์<br />
รับสนองพระบรมราชโองการ<br />
กระทรวงยุทธนาธิการ ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๓<br />
18
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๒. <strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๔๓๕ เป็นการปฏิรูประบบราชการเป็นครั้งแรก โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระบรมราชโองการ<br />
ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ ชื่อว่า ประกำศตั้งเสนำบดี จนครบ ๑๒ กระทรวง ตามภารกิจเพื่อให้เกิดการรวมศูนย์งาน โดยมีทั้งกระทรวง<br />
กลาโหมและกระทรวงยุทธนาธิการ แต่ต่อมาใน<strong>ปี</strong>เดียวกัน ได้ลดฐานะกระทรวงยุทธนาธิการ ลงเป็น กรมยุทธนาธิการ ซึ่งมีลักษณะพิเศษ<br />
ที่ไม่สังกัดกระทรวงใด โดยทาหน้าที่เป็นองค์กรฝ่ายทหารบกที่ทาหน้าที่ป้องกันประเทศ<br />
๓. <strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๔๓๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระบรมราชโองการชื่อว่า ประกำศจัดปันหน้ำที่กระทรวงกลำโหม<br />
กระทรวงมหำดไทย โดยให้<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>รับผิดชอบราชการที่เกี่ยวกับทหาร และกระทรวงมหาดไทยให้รับผิดชอบราชการที่เกี่ยวกับ<br />
พลเรือน จึงมีการโอนกรมยุทธนาธิการมาขึ้นสังกัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> โดยให้กรมยุทธนำธิกำร กากับดูแลกิจการทหารบก และกรมทหำรเรือ<br />
กากับดูแลกิจการทหารเรือ<br />
19
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ในยุคแรก<br />
๔. <strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๔๕๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการยกฐานะกรมยุทธนาธิการ ขึ้นเป็น กระทรวง<br />
กลาโหม มีหน้าที่ดูแลการปกครองเฉพาะกิจการทหารบก พร้อมกับยกฐานะกรมทหารเรือ ขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ มีหน้าที่ดูแลการ<br />
ปกครองเฉพาะกิจการทหารเรือ<br />
๕. <strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๔๗๔ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการควบรวมกระทรวงทหารเรือกับกระทรวงทหารบก<br />
เข้าเป็นกระทรวงเดียวกัน ภายใต้นาม <strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
๖. ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใน<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๔๗๕ ได้มีการตราพระราชบัญญัติเกี่ยวกับราชการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
เป็นครั้งแรกใช้ชื่อว่า พระรำชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันรำชอำณำจักร พุทธศักรำช ๒๔๗๖ ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
และกิจการทหารไทยในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมาเป็น พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> พุทธศักราช<br />
๒๕๕๑ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันโดยมีการจัดส่วนราชการที่สาคัญออกเป็น สานักงานรัฐมนตรี สานักงานปลัดกระทรวง และกองทัพไทย (ซึ่งมี<br />
ส่วนราชการในสังกัด กล่าวคือ กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และส่วนราชการอื่นตามที่กาหนดโดย<br />
พระราชกฤษฎีกา) ทั้งนี้ สามารถแสดงการจัดส่วนราชการของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
พุทธศักราช ๒๕๕๑ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม ดังนี้<br />
20
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
สานักงานรัฐมนตรี<br />
สานักงานปลัดกระทรวง<br />
กองทัพไทย<br />
สานักงาน<br />
จเรทหารทั ่วไป<br />
กองบัญชาการ<br />
กองทัพไทย<br />
กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ<br />
ส่วนราชการอื ่นตามที ่กาหนด<br />
โดยพระราชกฤษฎีกา<br />
แผนผัง แสดงการจัดส่วนราชการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
21
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๕<br />
ภาพที่ทาการกรมส่งกาลังบารุงทหารบก ภายในศาลาว่าการกลาโหม พ.ศ.๒๕๑๕<br />
22
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>และกิจการทหารของประเทศไทย มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องมาตลอดระยะเวลา ๑๓๑ <strong>ปี</strong> ได้ถวายความปลอดภัย<br />
และถวายพระเกียรติแด่องค์พระมหากษัตริย์และสถาบันพระมหากษัตริย์ พร้อมกับสร้างความมั่นคงให้เกิดขึ้นในราชอาณาจักรและดารง<br />
บทบาทเป็นหลักประกันความเป็นเอกราชของประเทศชาติรักษาอธิปไตย รักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ พร้อมกับสร้างความ<br />
เชื่อมั่นและความมั่นใจให้แก่ประชาชนในการดาเนินกิจกรรมทางการเมือง เศรษฐกิจและสังคม ดาเนินชีวิตและประกอบสัมมาชีพได้อย่าง<br />
มีความสุขในราชอาณาจักรด้วยความมั ่นคงปลอดภัย แม้ในระยะเวลาของทศวรรษที่ ๑๔ ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> และในระยะเวลาที่จะ<br />
สืบเนื่องต่อไป ภายใต้คามั่นและเจตนารมณ์สาคัญที่ว่า<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
เทิดราชา<br />
รักษ์ราษฎร์<br />
ชาติมั่นคง<br />
23
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ศาลาว่าการกลาโหมประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๕<br />
24
25<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
26
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
กระทรวงกลำโหม<br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
27
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๒. กระทรวงกลำโหม<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๖๐ ถือเป็น<strong>ปี</strong>เริ่มต้นแห่งการใช้บังคับรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และยังเป็น<strong>ปี</strong>แรก<br />
ของการเริ่มต้นการขับเคลื่อนประเทศตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ <strong>ปี</strong> (พ.ศ.๒๕๖๐ – ๒๕๗๙) นอกจากนี้ ยังมีการประกาศใช้พระราชบัญญัติ<br />
ที่สาคัญของประเทศอีกหลายฉบับ รวมถึงมีการนาเสนอร่างพระราชบัญญัติที่ผ่านความเห็นชอบของรัฐบาลเพื่อเข้าสู่กระบวนการนิติบัญญัติ<br />
ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติอีกหลายฉบับด้วยเช่นกัน ซึ่งกฎหมายและยุทธศาสตร์ชาติดังกล่าวได้ส่งผลตรงต่อการปฏิบัติภารกิจทางทหาร<br />
ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>เป็นอย่างมาก นอกเหนือจากพระราชบัญญัติที ่เกี่ยวข้องกับ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>และกิจทางการทหารที ่ได้ถือปฏิบัติ<br />
กันมาก่อนหน้านี้แล้วจึงกล่าวได้ว่า<br />
28
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
• กฎหมายที่ใช้บังคับก่อน<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้กาหนดบทบาทและภารกิจ<br />
ทางทหารที่<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>จะต้องปฏิบัติในปัจจุบันและในอนาคตประกอบด้วย<br />
พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.๒๕๔๕ พระราชบัญญัติจัดระเบียบ<br />
ราชการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> พ.ศ.๒๕๕๑ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติม พระราชบัญญัติกาลังพล<br />
สารอง พ.ศ.๒๕๕๘ รวมทั้ง พระราชบัญญัติที่กาหนดให้<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>เป็นหน่วย<br />
รับผิดชอบหลักและหน่วยสนับสนุนอื่น<br />
• กฎหมายที่มีการบัญญัติขึ้นใหม่ตั้งแต่<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นต้นไป และ<br />
ยุทธศาสตร์ชาติจะเพิ่มเติมบทบาทหน้าที่ทางทหารของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ที่จะต้อง<br />
ดาเนินการ<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔ เป็นต้นไป ประกอบด้วย รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย<br />
พุทธศักราช ๒๕๖๐ พระราชบัญญัติระเบียบบริหารราชการในพระองค์ พ.ศ.๒๕๖๐<br />
พระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ.๒๕๖๐ ร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการ<br />
รักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... ร่างพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์<br />
ของชาติทางทะเล พ.ศ. ....รวมทั้ง พระราชบัญญัติและร่างพระราชบัญญัติที่กาหนดให้<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>เป็นหน่วยรับผิดชอบหลักและหน่วยสนับสนุนอื่น<br />
29
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ <strong>ปี</strong> (พ.ศ.๒๕๖๐ – ๒๕๗๙) ได้ก่อให้เกิดการ<br />
กาหนดภารกิจใหม่ที่<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>จะต้องปฏิบัติในกิจการทหาร กล่าวคือ<br />
๑. รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทย พุทธศักรำช ๒๕๖๐<br />
ภารกิจของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>และกิจการทหารไทยได้มีการบัญญัติไว้อย่างชัดเจนในบทบัญญัติมาตรา ๕๒ ความว่า<br />
“มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์ เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขต<br />
ที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และความสงบเรียบร้อยของประชาชน<br />
เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มีการทหาร การทูต และการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ”<br />
30
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
โดยภารกิจที่<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>จะต้องดาเนินการเพิ่มเติมนอกเหนือจากบทบัญญัติในรัฐธรรมนูญฉบับก่อนหน้านี้คือ<br />
๑.๑ กำรพิทักษ์รักษำไว้ซึ่งเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย<br />
ซึ่งจากการตรวจสอบกับรัฐธรรมนูญฯ ฉบับที่ผ่านมา พบว่า<br />
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ เป็นรัฐธรรมนูญ<br />
ฉบับแรกของประเทศที่มีการกล่าวถึงบทบาทหน้าที่ของรัฐในการพิทักษ์รักษา<br />
บูรณภาพแห่งเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยอย่างชัดเจน โดยที่เขตพื้นที่<br />
ทางทะเลนั้น ได้มีการกาหนดไว้ค่อนข้างชัดเจนในกฎหมายระหว่างประเทศ<br />
ตามอนุสัญญำสหประชำชำติว่ำด้วยกฎหมำยทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ (United<br />
Nations Convention on the Law Of the Sea : UNCLOS 1982)<br />
ที่ประเทศไทยได้ยื ่นสัตยาบันสารสาหรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา<br />
สหประชาชาติฯ ต่อสหประชาชาติ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้<br />
การกาหนดพื้นที่ทางทะเลตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ สรุปดังนี้<br />
31
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑.๑.๑ น่ำนน้ำภำยใน (Internal Waters) คือ น่านน้าที่อยู่ภายในเส้นฐาน (Baselines) ซึ่งเป็นเส้นฐานปรกติตาม<br />
แนวน้าลดที่อยู่บริเวณชายฝั่ง โดยรัฐชายฝั่งมีอานาจอธิปไตย เช่นเดียวกับสิทธิเหนือดินแดนที่เป็นแผ่นดิน<br />
๑.๑.๒ ทะเลอำณำเขต (Territorial Waters) คือ อาณาเขตทางทะเลของรัฐชายฝั่งวัดออกจากเส้นฐาน ไม่เกิน ๑๒ ไมล์<br />
ทะเล โดยรัฐชายฝั่งมีอานาจอธิปไตยเหนือทะเลอาณาเขตของตน และอานาจอธิปไตยนี้ครอบคลุมไปถึงห้วงอากาศเหนือพื้นท้องทะเล<br />
และใต้ผิวพื้นท้องทะเลของทะเลอาณาเขตนั้นๆ ด้วย<br />
๑.๑.๓ เขตต่อเนื่อง (Contiguous Zone) คือ เขตที่อยู่ต่อเนื่องจากเส้นขอบนอกของทะเลอาณาเขต ออกไปอีก ๑๒ ไมล์<br />
ทะเล ในเขตต่อเนื่องนี้ รัฐชายฝั่งมีอานาจในการควบคุมมิให้มีการฝ่าฝืนกฎหมายต่างๆ และคุ้มครองวัตถุโบราณหรือวัตถุทางประวัติศาสตร์<br />
ที่อยู่บนพื้นทะเลในเขตต่อเนื่อง<br />
๑.๑.๔ เขตเศรษฐกิจจำเพำะ (Exclusive Economic Zones) คือ เขตที่มีความกว้างไม่เกิน ๒๐๐ ไมล์ทะเลจาก<br />
เส้นฐาน ซึ่งรัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยในการสารวจ แสวงประโยชน์ อนุรักษ์ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งที่มีชีวิตและไม่มีชีวิต<br />
ส่วนกิจกรรมที่ไม่เกี่ยวข้องกับทางเศรษฐกิจ เช่น การเดินเรือ การบิน ไม่ตกอยู่ในสิทธิอธิปไตยของรัฐชายฝั่ง<br />
๑.๑.๕ ไหล่ทวีป (Continental Shelf) คือ พื้นทะเลและใต้ผิวพื้นของพื้นที่ใต้น้า ซึ่งยืดขยายจากทะเลอาณาเขต<br />
ไปจนถึงขอบด้านนอกสุดของทวีปที่มีน้าลึกไม่เกิน ๒๐๐ เมตร หรือที่ระยะ ๒๐๐ ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน ซึ่งรัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเหนือ<br />
ทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งบนและใต้ผิวพื้นไหล่ทวีป ไม่ว่าจะมีชีวิตหรือไม่มีชีวิต ส่วนรัฐอื่นๆ ยังมีสิทธิที่จะวางสายเคเบิล หรือท่อทางใต้ทะเล<br />
บนไหล่ทวีปนั้นได้ โดยต้องได้รับความยินยอมจากรัฐชายฝั่งก่อน<br />
32
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑.๑.๖ ทะเลหลวง (High Seas) คือ ส่วนของทะเลที่มิใช่ส่วนหนึ่งของเขตเศรษฐกิจจาเพาะ ทะเลอาณาเขต หรือน่านน้า<br />
ภายใน โดยทุกรัฐมีเสรีภาพในการใช้ทะเลหลวง เพื่อการเดินเรือ การบิน การวางสายเคเบิลและท่อทางใต้ทะเล การประมง การสร้าง<br />
เกาะเทียม และสิ่งติดตั้งอื่นๆ รวมทั้งการค้นคว้าวิจัยทางวิทยาศาสตร์<br />
อีกทั้งหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ยังได้กาหนดว่า ประเทศหรือรัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเพื่อความมุ่งประสงค์ในการ<br />
ควบคุมมิให้มีการฝ่าฝืนกฎหมาย ในการสารวจ การแสวงประโยชน์ การอนุรักษ์และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติทั้งที่มีชีวิตหรือไม่มี<br />
ชีวิตในน้า เหนือพื้นดิน ท้องทะเล และในพื้นดิน ท้องทะเลกับดินใต้ผิวดิน ของพื้นดินท้องทะเลนั้น และมีสิทธิอธิปไตยในส่วนที่เกี่ยวกับ<br />
กิจกรรมอื่นๆ เพื่อการแสวงประโยชน์ และการสารวจทางเศรษฐกิจในเขต อาทิ การผลิตพลังงานจากน้ากระแสน้าและลม รวมถึง<br />
การมีสิทธิแต่ผู้เดียวในการสร้างหรืออนุญาตให้สร้าง และควบคุมการสร้างเกาะเทียม สิ่งติดตั้ง และสิ่งก่อสร้าง ในเขตเศรษฐกิจจำเพำะ<br />
(Exclusive Economic Zone) ที่มีบริเวณประชิดและอยู่เลยไปจากทะเลอาณาเขต ทั้งนี้ เขตเศรษฐกิจจาเพาะจะอยู่ห่างออกไป<br />
๒๐๐ ไมล์ทะเลจากเส้นฐานที่อยู่บริเวณชายฝั่ง รวมถึง เขตต่อเนื่องและไหล่ทวีป (ดังปรากฏตามแผนภาพ)<br />
33
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าประเทศไทยมีอานาจอธิปไตยและสิทธิอธิปไตยในพื้นที่ทางทะเล กล่าวคือ<br />
(๑) มีอำนำจอธิปไตย (sovereignty) เหนือน่านน้าภายในและทะเลอาณาเขต ในระยะทาง ๑๒ ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน<br />
(๒) มีสิทธิอธิปไตย (sovereignty rights) เหนือเขตต่อเนื่องเขตเศรษฐกิจจาเพาะและไหล่ทวีปในระยะทาง ๒๐๐ ไมล์ทะเล<br />
จากเส้นฐาน<br />
จึงทาให้ประเทศไทยมีพื้นที่ที่เป็นอาณาเขตทางทะเลซึ่งมีอานาจอธิปไตย และเขตสิทธิอธิปไตยลงไปในทะเลไม่น้อยกว่ำ<br />
๓๒๓,๔๘๘.๓๒ ตำรำงกิโลเมตร เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เป็นพื้นที่ทางบก จานวนไม่น้อยกว่า ๕๑๓,๑๒๐ ตารางกิโลเมตร หรืออาจกล่าวได้ว่า<br />
มีพื้นที่ทางทะเลอีกประมาณ ๒ ใน ๓ ของพื้นที่ทางบกนั่นเอง<br />
34
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงทาให้การปฏิบัติการทางทะเลและชายฝั่งใน<br />
เขตสิทธิอธิปไตยนั้นต้องมีการปรับปรุงเพิ่มเติมอีกหลายประการ ทั้งนี้<br />
กองทัพเรือ ซึ่งเป็นหน่วยงานทางทหารหลักที่มีความพร้อมและมีความ<br />
เชี่ยวชาญในการดาเนินงานมากที่สุด ทั้งในเรื่องกาลังพล ระบบอาวุธ<br />
ยุทโธปกรณ์ องค์ความรู้และเรื่องอื่นๆ อย่างไรก็ตามการที่เขตสิทธิอธิปไตย<br />
มีพื้นที่เป็นจานวนมากและอยู่ ๒ ฝั่งทะเลคือ อ่าวไทยและทะเลอันดามัน<br />
จึงต้องใช้องค์ความรู้ในสายวิทยาการของทหารเรือ เพื่อให้พร้อมปฏิบัติการ<br />
ในทุกพื้นที่กล่าวคือ<br />
• การลาดตระเวนและปฏิบัติการชายฝั่ง<br />
• การลาดตระเวนและปฏิบัติการไกลฝั่ง<br />
• การลาดตระเวนการเฝ้าระวังและปฏิบัติการใต้ผิวน้า<br />
• การลาดตระเวนทางอากาศและปฏิบัติการด้วยอากาศยาน<br />
นอกจากนี้<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ยังสามารถพิจารณา<br />
สนธิกาลังกับกองทัพบกและกองทัพอำกำศเพื่อร่วม<br />
ปฏิบัติการกับกองทัพเรือในเหตุการณ์ที่อาจส่งผล<br />
กระทบต่อความมั่นคงของชาติหรือรักษาผลประโยชน์ของ<br />
ชาติ ซึ่งจะทาให้การปฏิบัติทุกภารกิจสาเร็จลุล่วงไปด้วยดี<br />
สร้างความมั่นใจและความภาคภูมิใจของพี่น้องประชาชน<br />
ชาวไทยที่มีต่อทหารหาญทุกคนและ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
อย่างเต็มเ<strong>ปี</strong>่ยม<br />
35
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑.๒ กำรพิทักษ์รักษำไว้ซึ่งเกียรติภูมิของชำติ<br />
จากการสืบค้นจากพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ พบว่า เกียรติภูมิ มีควำมหมำยว่ำ เกียรติเพรำะ<br />
ควำมนิยม ซึ่งหากอธิบายความแล้ว “ความนิยม” มีความหมายในทางกว้างว่า เป็นสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ให้การยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นสังคม<br />
ในระดับพื้นที่ หรือสังคมในระดับประเทศ หรือสังคมในระดับนานาชาติ หรือสังคมในระดับสากล ทั้งนี้ การยอมรับนั้นย่อมนามาสู่ความ<br />
ภาคภูมิใจของคนในสังคมอย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี<br />
จึงกล่าวได้ว่า เกียรติภูมิของชำติ คือ เกียรติยศและศักดิ์ศรีที่สังคมทั่วไปทั้งสังคมในหมู่มิตรประเทศหรือระดับนำนำชำติ<br />
หรือสำกลที่สังคมโลกให้กำรยอมรับในควำมเป็นชำติไทย และถือเป็นศักดิ์ศรีที่ประชำชนชำวไทยทุกคนมีควำมภูมิใจต่อเกียรติยศ<br />
ดังกล่ำว<br />
เมื่อเป็นเช่นนี้<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>และทหารทุกคนจึงมีภารกิจสาคัญที่จะต้องธารงเกียรติภูมิของประเทศให้เป็นที่ยอมรับ<br />
ของประชาชนชาวไทย และได้รับการยอมรับกล่าวขานของนานาประเทศและประชาคมระหว่างประเทศถึงเกียรติยศในทุกภูมิภาคซึ่งจะ<br />
ต้องเป็นเรื่องของความมีระเบียบวินัย ความสามารถในการปฏิบัติการทางทหารในทุกภารกิจและทุกมิติทั้งภายในประเทศและการปฏิบัติ<br />
การร่วมกับมิตรประเทศภายนอกประเทศ การสร้างความสัมพันธ์ทางทหารที่ดีกับ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>มิตรประเทศโดยเฉพาะการด ารงบทบาท<br />
การทูตทหารอย่างมีศักดิ์ศรี<br />
๒. ยุทธศำสตร์ชำติ ๒๐ <strong>ปี</strong><br />
(พ.ศ.๒๕๖๐ – ๒๕๗๙)<br />
ยุทธศาสตร์ชาติที่ได้นาเสนอ<br />
ต่อสาธารณชนเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๖๑<br />
มีการกาหนดภารกิจที่เกี่ยวข้องกับกระทรวง<br />
กลาโหมและหน่วยงานความมั่นคง ไว้ใน<br />
ยุทธศำสตร์ที่ ๑ ยุทธศำสตร์ด้ำนควำมมั่นคง<br />
ที่มุ่งเน้นการบริหารจัดการสภาวะแวดล้อม<br />
ของประเทศให้มีความมั่นคงปลอดภัยและ<br />
มีความสงบเรียบร้อยในทุกระดับและทุกมิติ<br />
โดยมีประเด็นยุทธศาสตร์รวม ๕ ประเด็น<br />
กล่าวคือ<br />
36
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๒.๑ ประเด็นยุทธศำสตร์ที่ ๑ : กำรรักษำควำม<br />
สงบภำยในประเทศ โดยมุ่งหวังให้สถาบันหลักมีความมั่นคง<br />
และยั่งยืน ประชาชนอยู่ดีมีสุข และมีความมั่นคงปลอดภัย<br />
รวมทั้งสังคมมีความเข้มแข็งและสามัคคีปรองดอง<br />
๒.๒ ประเด็นยุทธศำสตร์ที่ ๒ : ป้องกันและแก้ไข<br />
ปัญหำที่มีผลกระทบต่อควำมมั่นคง โดยมุ่งหวังในการแก้ไขปัญหา<br />
เดิมที่มีอยู่อย่างตรงประเด็นควบคู่ไปกับการป้องกันไม่ให้ปัญหา<br />
ใหม่เกิดขึ้น ด้วยการบริหารจัดการและการพัฒนาประเทศโดยใช้<br />
ปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง เพื่อดาเนินการให้สอดรับกับเป้าหมาย<br />
การพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Goals–<br />
SDGs)<br />
37
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๒.๓ ประเด็นยุทธศำสตร์ที่ ๓ : พัฒนำศักยภำพของประเทศให้พร้อมเผชิญภัยคุกคำมที่กระทบต่อควำมมั่นคงของชำติ<br />
โดยมุ่งหวังในการยกระดับขีดความสามารถของกองทัพ รวมถึง การติดตามป้องกันแก้ไขปัญหาความมั่นคงทุกมิติทุกรูปแบบและทุกระดับ<br />
แบบบูรณาการ<br />
๒.๔ ประเด็นยุทธศำสตร์ที่ ๔ : บูรณำกำรควำมร่วมมือด้ำนควำมมั่นคงกับอำเซียนและนำนำชำติรวมถึงองค์กรภำครัฐ<br />
และที่มิใช่ภำครัฐ โดยมุ่งหวังในการยกระดับขีดความสามารถของกองทัพ รวมถึง การติดตามป้องกันแก้ไขปัญหาความมั่นคงทุกมิติ<br />
ทุกรูปแบบและทุกระดับแบบบูรณาการ<br />
38
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๒.๕ ประเด็นยุทธศำสตร์ที่ ๕ : พัฒนำกลไกกำรบริหำรจัดกำรควำมมั่นคงแบบบูรณำกำร โดยมุ่งหวังในการสร้างเสริม<br />
ความสงบสันติสุขความมั่นคงและความเจริญก้าวหน้าอย่างยั่งยืน รวมถึงการส่งเสริมให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศที่จะรองรับปัญหา<br />
ร่วมกันได้<br />
39
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
อย่างไรก็ตาม ภารกิจของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ที่ได้กาหนดไว้ในกฎหมายที่บัญญัติเป็นหน้าที่ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> ไว้เป็นภารกิจหลัก<br />
ที่ถือปฏิบัติอยู่ในปัจจุบันก็ยังเป็นภารกิจที่จะต้องดาเนินการอย่างต่อเนื่องสืบไป ประกอบด้วย<br />
• พระรำชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.๒๕๔๕ บัญญัติไว้ว่า<br />
มาตรา ๘ <strong>กระทรวงกลาโหม</strong> มีอานาจหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกันและรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักรจากภัยคุกคาม<br />
ทั้งภายนอกและภายในประเทศ การรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ สนับสนุนการพัฒนาประเทศ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกาหนดให้<br />
เป็นอานาจหน้าที่ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>หรือส่วนราชการที่สังกัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
• พระรำชบัญญัติจัดระเบียบรำชกำรกระทรวงกลำโหม พ.ศ.๒๕๕๑ บัญญัติไว้ว่า<br />
มาตรา ๘ <strong>กระทรวงกลาโหม</strong> มีอานาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) พิทักษ์รักษาเอกราชและความมั่นคงแห่งราช<br />
อาณาจักรจากภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายในราชอาณาจักร<br />
ปราบปรามการกบฏและการจลาจล โดยจัดให้มีและใช้กาลัง<br />
ทหารตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยหรือตามที่มี<br />
กฎหมายกาหนด<br />
(๒) พิทักษ์รักษาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
ตลอดจนสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
40
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
(๓) ปกป้อง พิทักษ์รักษาผลประโยชน์แห่งชาติและการปกครองระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข<br />
พัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคงตลอดจนสนับสนุนภารกิจอื่นของรัฐในการพัฒนาประเทศ การป้องกันและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ และ<br />
การช่วยเหลือประชาชน<br />
(๔) ศึกษา วิจัย พัฒนา และดาเนินการด้านอุตสาหกรรมป้องกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
และด้านกิจการอวกาศเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทั้งนี้ เพื่อ<br />
สนับสนุนภารกิจของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>และความมั่นคงของประเทศ<br />
(๕) ปฏิบัติการอื่นที่เป็นการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจาก<br />
สงครามเพื่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือปฏิบัติการอื่นใด ทั้งนี้ ตามที่มี<br />
กฎหมายกาหนดหรือตามมติคณะรัฐมนตรีในการดาเนินการตาม (๔)<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>อาจมอบหมายให้ส่วนราชการใน<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>หรือ<br />
หน่วยงานอื่นในกากับของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>เป็นผู้ดาเนินการก็ได้หรือ<br />
อาจร่วมงาน ร่วมทุนหรือดาเนินการกับภาคเอกชนตามบทบัญญัติแห่ง<br />
กฎหมายก็ได้<br />
สาหรับการดาเนินภารกิจของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔ ต่อไปนี้ <strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้กาหนดภารกิจที่สาคัญ และได้<br />
มอบหมายให้ส่วนราชการขึ้นตรงต่อ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>คือ สานักงานปลัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> กองทัพไทย ซึ่งประกอบด้วย กองบัญชาการ<br />
กองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ดาเนินภารกิจ ใน ๓ ภารกิจหลักคือ<br />
(๑) เทิดราชา<br />
(๒) รักษ์ราษฎร์<br />
(๓) ชาติมั่นคง<br />
โดยกาหนดให้เป็นภารกิจสาคัญที่จะต้องเร่งดาเนินการให้สอดรับกับ<br />
ภารกิจและสถานการณ์ต่างๆ ที่เปลี่ยนแปลงไป ตลอดจนพร้อมเผชิญ<br />
สถานการณ์ใหม่ที ่อาจเกิดขึ้นในอนาคต โดย<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>จะต้อง<br />
ดาเนินการใน ๓ ประเด็นดังนี้คือ<br />
กลำโหมเทิดรำชำ รักษ์รำษฎร์ ชำติมั่นคง<br />
41
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
42
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
เทิดรำชำ<br />
43
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
เนื่องจากใน<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๖๐ สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ได้ตราพระราชบัญญัติขึ้นใหม่ ๒ ฉบับที่เกี่ยวกับภารกิจ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
การพิทักษ์รักษาปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจนสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ คือ พระราชบัญญัติระเบียบ<br />
บริหารราชการในพระองค์ พ.ศ.๒๕๖๐ และพระราชบัญญัติการถวายความปลอดภัย พ.ศ.๒๕๖๐ จึงเป็นหน้าที่ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>และ<br />
ทหารไทยทุกคนที่จะต้องถวายงานแด่องค์พระประมุขของชาติและสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้สอดรับกับเจตนารมณ์ของพระราชบัญญัติ<br />
ทั้ง ๒ ฉบับดังกล่าว โดยได้ดาเนินภารกิจด้วยความตระหนักว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ยังคงดารงเป็นมิ่งขวัญของประชาชนชาวไทยทุกคน<br />
จึงเป็นสถาบันที่มีความสาคัญต่อประเทศชาติเป็นอย่างยิ่งและยังเป็นสถาบันหลักของชาติในฐานะที่เป็นศูนย์รวมจิตใจและสิ่งยึดเหนี่ยว<br />
ของสังคมไทย<br />
44
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ซึ่งจากการประเมินสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในทศวรรษหน้า พบว่า ยังคงมีแนวโน้มของการล่วงละเมิดสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
ผ่านเครื่องมือและสื่อต่างๆ ด้วยเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารตามกระแสโลกาภิวัตน์และแนวความคิดเสรีนิยมประชาธิปไตย<br />
จึงทาให้ความเคารพและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ของประชาชนชาวไทยได้ถูกนาไปบิดเบือนโดยกลุ่มผู้ไม่หวังดีของบุคคล<br />
ในภูมิภาคอื่นที่ขาดความเข้าใจในสภาพวิถีชีวิต วัฒนธรรม อัตลักษณ์และโครงสร้างของสังคมไทยอย่างแท้จริง ตลอดจนมีการเคลื่อนไหว<br />
สร้างสถานการณ์ความขัดแย้งภายในประเทศที่มีลักษณะเชื่อมโยงสถาบันพระมหากษัตริย์มาแสวงหาผลประโยชน์ทางการเมืองและ<br />
ด้านต่างๆ<br />
ทั้งนี้ <strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้ดาเนินการพิทักษ์รักษาสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
โดยยึดถือนโยบายของรัฐมนตรีว่าการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> ในการป้องกันและปราบ<br />
ปรามการกระทาล่วงละเมิดพระบรมเดชานุภาพ โดยสานักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ<br />
ได้ร่วมมือกับทุกภาคส่วน ในการเฝ้าตรวจการดาเนินการล่วงละเมิดสถาบันฯ ทั้งใน<br />
เรื่องการแจ้งเตือนด้านการข่าว การตอบโต้/ชี้แจงทาความเข้าใจ การแจ้งให้หน่วย<br />
ที่เกี่ยวข้องทราบ เพื่อดาเนินการตามกฎหมาย รวมทั้งดาเนินการตรวจสอบ ติดตาม<br />
เฝ้าระวัง และรวบรวมข้อมูลผู้กระทาผิดที่เกี่ยวข้องกับการหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
รวมทั้งจัดทายุทธศาสตร์ที่กาหนดวัตถุประสงค์เฉพาะ “เพื่อถวายความปลอดภัย<br />
แด่พระมหากษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ในพื้นที่รับผิดชอบ” เป็นความสาคัญ<br />
เร่งด่วนลาดับแรก โดยกาหนดแนวทางการปฏิบัติในการถวายความปลอดภัยในพื้นที่<br />
รับผิดชอบและได้รับมอบหมาย ประกอบด้วย<br />
45
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑) การประสานความร่วมมือกับหน่วยร่วมถวายความปลอดภัยโดยให้ความสาคัญกับการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง<br />
เพื่อให้การถวายความปลอดภัยโดยส่วนรวมมีประสิทธิภาพสูงสุด เช่น การประสานงานด้านข่าว การปฏิบัติในการถวายความปลอดภัย<br />
เป็นต้น<br />
๒) การเสริมสร้างความเข้าใจและสร้างเครือข่ายการถวายความปลอดภัย โดยใช้เครื่องมือในการประชาสัมพันธ์ที่มีอยู ่ให้ความรู้<br />
ความเข้าใจในความสาคัญของสถาบันพระมหากษัตริย์ต่อสังคมไทย การปฏิบัติตามระเบียบการถวายความปลอดภัยแด่สถาบันพระมหา<br />
กษัตริย์ และพิจารณากาหนดช่องทางการสื่อสารและรูปแบบการแจ้งหรือรายงานจากประชาชนในพื้นที่เพื่อสร้างเครือข่ายในการถวาย<br />
ความปลอดภัยให้มากขึ้น การติดตามและเฝ้าระวังสถานการณ์ ความเคลื่อนไหวของกลุ่มบุคคลไม่หวังดีที่ล่วงละเมิดสถาบัน โดยเฉพาะ<br />
ทางเว็บไซต์/สื่อออนไลน์<br />
46
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๓) การถวายความปลอดภัยด้วยกาลังทางบก ทางเรือและทางอากาศ โดยมีการบรรจุแนวทางและแผนการเตรียมความพร้อมของ<br />
กาลังพลและยุทโธปกรณ์ในการปฏิบัติภารกิจในการถวายพระเกียรติและความปลอดภัยในพื้นที่รับผิดชอบและตามที่ได้รับมอบหมาย<br />
ได้ทันที ทั้งในการจัดกาลังเฝ้าถวายความปลอดภัยในพื้นที่ต่างๆ รวมทั้งการใช้กาลังตามที่ได้รับมอบหมาย<br />
๔) การจัดกิจกรรมเทิดพระเกียรติในวโรกาสและโอกาสต่างๆ<br />
47
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๕) การสนับสนุนโครงการพระราชดาริ โดยมอบหมายให้ สานักงานปลัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> กองบัญชาการกองทัพไทย<br />
กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ร่วมถวายงานและสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์เป็นภารกิจสาคัญ<br />
ซึ่งโครงการที่สาคัญหลายโครงการได้เป็นโครงการที่ส่วนราชการในสังกัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>รับผิดชอบในการดาเนินการอย่าง<br />
ต่อเนื่อง อาทิ โครงการในส่วนความรับผิดชอบของกองทัพเรือ ประกอบด้วย โครงการอนุรักษ์เต่าทะเลตามแนวพระราชดาริ<br />
สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ โครงการอนุรักษ์พันธุกรรมพืชอันเนื่องมาจากพระราชดาริ<br />
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โครงการอนุรักษ์แนวปะการังและสิ่งมีชีวิตใต้ทะเลไทย ในพระดาริพระเจ้าหลานเธอ<br />
พระองค์เจ้าสิริวัณณวรีนารีรัตน์ นอกจากนี้ ยังมีโครงการจานวนมากที่ส่วนราชการในสังกัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>มุ่งมั่นที่จะถวาย<br />
เป็นราชพลีเพื่อเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้สถิตยั่งยืนเป็นหลักชัยของประชาชนชาวไทยชาติไทยสืบต่อไปชั่วกัลปาวสาน<br />
48
49<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
50
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
รักษ์รำษฎร์<br />
51
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
บทบาทหน้าที่ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ในด้านการพัฒนา<br />
ประเทศและช่วยเหลือประชาชนนั้น ได้รับการบัญญัติไว้ใน<br />
รัฐธรรมนูญแห่งรำชอำณำจักรไทยพุทธศักรำช ๒๕๖๐ ในภารกิจ<br />
การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและพระรำชบัญญัติ<br />
จัดระเบียบรำชกำรกระทรวงกลำโหม พ.ศ.๒๕๕๑ ในภารกิจการ<br />
พัฒนาประเทศเพื่อความมั่นคง การสนับสนุนภารกิจอื่นของรัฐ<br />
ในการพัฒนาประเทศ การป้องกันและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติ<br />
และการช่วยเหลือประชาชน<br />
จากการประเมินสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในทศวรรษหน้า พบว่า การที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างเร่งพัฒนาทางเศรษฐกิจ<br />
จึงทาให้เกิดการใช้ทรัพยากรธรรมชาติอย่างเกินขอบเขต น ามาสู่การเสียสมดุลทางธรรมชาติ และได้บังเกิดผลส่งให้ภัยพิบัติทางธรรมชาติทั่วโลก<br />
มีแนวโน้มรุนแรงขึ้น ซึ่งภัยพิบัติดังกล่าวเป็นภัยคุกคามต่อชีวิตทรัพย์สินของประชาชนเป็นอย่างมาก รวมทั้งส่งผลต่อความมั่นคง<br />
ทางสังคมจิตวิทยา และเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ จึงเป็นภารกิจสาคัญที่ส่วนราชการในสังกัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ที่ประกอบด้วย<br />
สานักงานปลัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ ร่วมปฏิบัติภารกิจที่สาคัญในการ<br />
พัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชน กล่าวคือ<br />
52
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑) กำรบรรเทำสำธำรณภัย<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัย<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> เพื่อทาหน้าที่กาหนดนโยบายและแนวทางของกระทรวง<br />
กลาโหม เกี่ยวกับการป้องกัน แก้ไข บรรเทาภัยพิบัติที่เกิดจากสาธารณภัย และอุบัติภัย รวมทั้งแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ และ<br />
เป็นศูนย์กลางในการประสานงานกับรัฐบาล และหน่วยงานฝ่ายพลเรือน รวมทั้งภาคเอกชน ภาคประชาสังคม และองค์การระหว่างประเทศ<br />
ในการอานวยการป้องกัน แก้ไข บรรเทาภัยพิบัติ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ติดตามสถานการณ์ านวยการ อ<br />
ประสานงาน ในการให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติให้ทันต่อเหตุการณ์ รวมถึงการอานวยการประชาสัมพันธ์ โดยใช้เครื่องมือ<br />
ของส่วนราชการใน<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>โดยมีรัฐมนตรีว่าการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> ดารงตาแหน่งเป็นผู้อานวยการศูนย์ฯ<br />
53
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้ประสบภัยพิบัติได้รับความช่วยเหลืออย่างทันต่อสถานการณ์ จึงได้มอบนโยบายและเน้นย้าให้<br />
“ทหำรจะต้องเป็นหน่วยงำนแรกในกำรเข้ำไปให้ควำมช่วยเหลือบรรเทำ<br />
ควำมเดือดร้อนให้กับประชำชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ”<br />
โดยได้นาศักยภาพและขีดความสามารถของหน่วยทหารมาใช้ในการดาเนินการใน ๔ ลักษณะ ได้แก่<br />
54
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑.๑) กำรเตรียมควำมพร้อม ประกอบด้วย การจัดทาแผนบรรเทาสาธารณภัย<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> และแผนบรรเทาสาธารณภัย<br />
กองทัพไทยและเหล่าทัพ การฝึกซ้อมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกับทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนานาชาติ ระดับประเทศ<br />
จนถึงระดับท้องถิ่น การพัฒนาและเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างพลเรือนกับทหาร เพื่อให้พร้อมรับมือกับภัยพิบัติ และการตรวจความพร้อม<br />
ของกาลังพลและยุทโธปกรณ์ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่<br />
๑.๒) กำรช่วยเหลือเชิงป้องกัน ประกอบด้วย การขุดลอกคูคลอง และกาจัดผักตบชวา รวมทั้งสิ่งกีดขวางทางน้า การพัฒนา<br />
แหล่งน้าและสร้างแก้มลิง การสร้างฝายต้นน้า การปลูกป่า การรณรงค์ป้องกันและประชาสัมพันธ์เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาล<br />
สาคัญ และแก้ไขปัญหาไฟป่าและหมอกควัน<br />
55
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑.๓) กำรช่วยเหลือเฉพำะหน้ำ ประกอบด้วย การผลิตและแจกจ่ายน้าอุปโภคบริโภค การอพยพประชาชน และเคลื่อนย้าย<br />
สิ่งของเครื่องใช้ไปยังพื้นที่ปลอดภัย การลาเลียงและแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์และถุงยังชีพ การบริการทางการแพทย์ การผลักดันน้า<br />
และเร่งระบายน้าจากพื้นที่ท่วมขัง การประกอบอาหารปรุงสุกเพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัย การแจกจ่ายผ้าห่มกันหนาว การซ่อมแซม<br />
ถนนและสร้างสะพานชั่วคราว การซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน และการทาความสะอาดภายหลังน้าลด<br />
๑.๔) กำรฟื้นฟู ซึ่งเป็นการดาเนินการตามนโยบายรัฐบาล อาทิ การสร้างบ้านใหม่ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย และการสร้างถนน<br />
ที่ได้รับความเสียหายจากน้ากัดเซาะ<br />
พร้อมกันนี้ ได้มีการพัฒนาขีดความสามารถด้านการบรรเทาสาธารณภัยเพื่อสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้กับประชาชน<br />
โดยการพัฒนาขีดความสามารถของกาลังพล และยุทโธปกรณ์ มีการวางกาลังครอบคลุมทุกภูมิภาค เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือประชาชน<br />
ได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลา นอกจากนี้ จะมุ่งมั่นพัฒนาศูนย์ฝึกบรรเทาสาธารณภัยของหน่วยต่างๆ อาทิ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองทัพบก<br />
กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ เพื่อให้มีความพร้อมในการฝึกอบรมครอบคลุมทุกภัยพิบัติมีความเป็นมาตรฐานระดับสากล มีเป้าหมาย<br />
เป็นศูนย์กลางในการฝึกอบรมด้านการบรรเทาภัยพิบัติของไทย และภูมิภาคอาเซียน<br />
56
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
อย่างไรก็ตาม การรวมตัวเป็นประชาคมอาเซียนของประเทศในภูมิภาค ทาให้แนวโน้มมีการพัฒนาทางเศรษฐกิจสูงขึ้น<br />
ประเทศไทยซึ่งเป็นประเทศที่เป็นศูนย์กลางของการเชื่อมโยงการขนส่งทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศของภูมิภาค โดยร้อยละ ๙๕<br />
ของการขนส่งสินค้าเข้า - ออก ประเทศไทยใช้ทะเลเป็นเส้นทางหลักประกอบกับการขยายตัวด้านการท่องเที่ยวทางทะเลมีแนวโน้มสูงขึ้น<br />
รวมทั้งมีเรือประมงขนาดต่างๆ ทาการประมงจานวนมาก ทาให้เกิดการคับคั่งของการสัญจรในทะเล จึงมีแนวโน้มที่จะเกิดอุบัติภัย<br />
ทางทะเล อาทิ เรือโดนกัน เรืออับปาง การรั่วไหลของน้ามันและสารเคมีที่มากับเรือสูงขึ้นในอนาคต อีกทั้งที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ของประเทศไทย<br />
ที่มีลักษณะเป็นแหลมยื่นไปในทะเล และอยู่ใกล้เคียงกับแนวรอยเลื่อนของเปลือกโลกซึ่งยังมีการเลื่อนหรือขยับตัวอยู่ ที่ผ่านมาจึงได้รับ<br />
ผลกระทบจากสาธารณภัยที่เกิดจากภัยธรรมชาติทางทะเลทั้งด้านอ่าวไทยและทะเลอันดามันบ่อยครั้ง เช่น พายุไต้ฝุ่น พายุดีเพรสชัน<br />
แผ่นดินไหวที่รุนแรงที่ทาให้เกิดเหตุการณ์คลื่นยักษ์สึนามิ เป็นต้น และด้วยลักษณะภูมิประเทศทางภาคใต้เป็นพื้นที่แคบขนาบด้วยฝั่งทะเล<br />
ทั้ง ๒ ด้าน ทาให้เมื่อเกิดภัยธรรมชาติการช่วยเหลือจากทางบกกระทาได้ยาก เนื่องจากมีเส้นทางหลักเพียงเส้นทางเดียว เส้นทางคมนาคม<br />
ถูกตัดขาดได้โดยง่าย รวมทั้งพื้นที่ชายฝั่ง เกาะแก่งในทะเลและพื้นที่ห่างฝั่งทะเลจะมีเพียงกองทัพเรือที่มีทรัพยากรที่สามารถให้การสนับสนุนได้<br />
57
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทั้งนี้ กองทัพเรือ จึงได้ดาเนินการตามยุทธศาสตร์กองทัพเรือระยะ ๒๐ <strong>ปี</strong> (พ.ศ.๒๕๖๐ – ๒๕๗๙) ภายใต้วัตถุประสงค์เฉพาะ<br />
“เพื่อสนับสนุนการบรรเทาสาธารณภัยในทะเล ชายฝั่ง และพื้นที่ที่ได้รับมอบหมาย” โดยกาหนดแนวทางการปฏิบัติที่สอดคล้องกับแผน<br />
และนโยบายป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติดังนี้<br />
๑) มำตรกำรป้องกันก่อนเกิดเหตุ<br />
๑.๑) สนับสนุนการแจ้งเตือนภัย โดยปัจจุบันกองทัพเรือได้จัดตั้งศูนย์รักษาความปลอดภัยทางทะเลกองทัพเรือฝั่งทะเลอันดามัน<br />
(ศรภ.ทร.อม.) ศูนย์เฝ้าตรวจและรายงานการเคลื่อนตัวของคลื่นด้านฝั่งทะเลอันดามัน และสถานีวัดความสั่นสะเทือนจังหวัดเชียงใหม่<br />
ในการสนับสนุนการดาเนินงานของศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติ (ศตช.) โดยใช้ขีดความสามารถของหน่วยงานต่างๆ ในการรวบรวม วิเคราะห์<br />
ข้อมูลสภาพแวดล้อมทางทะเล/ทางบก และแจ้งเตือนภัย อาทิ กรมอุทกศาสตร์ และ สถานีสื่อสารทหารเรือ ซึ่งกองทัพเรือมีแนวทางที่จะ<br />
พัฒนาระบบสนับสนุนการเตือนภัยของศูนย์เตือนภัยแห่งชาติ (ศตช.) ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและครอบคลุมทุกภัยพิบัติทางธรรมชาติ<br />
ต่อไป<br />
58
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑.๒) สนับสนุนการให้ความรู้ประชาชนในพื้นที่รับผิดชอบ เช่น การสังเกตสิ่งผิดปกติทางธรรมชาติ การหนีภัย การสร้างเครื่อง<br />
ป้องกันชีวิตและทรัพย์สิน ความรู้ด้านปฐมพยาบาลเบื้องต้น การดารงชีพในภาวะฉุกเฉิน การปฏิบัติตัวในระหว่างเกิดภัยธรรมชาติรูปแบบ<br />
ต่างๆ โดยการเผยแพร่ความรู้ผ่านสื่อต่างๆ ของกองทัพ โครงการอบรมของศูนย์ไทยอาสาป้องกันชาติในทะเล (ทสปช.) โดยกองทัพเรือ<br />
มีแผนงานในการจัดตั้งศูนย์ฝึกการช่วยเหลือทางมนุษยธรรมและบรรเทาสาธารณภัย (Humanitarian Assistance and Disaster Relief :<br />
HA/DR) ต่อไป<br />
๑.๓) สนับสนุนการป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางทะเล ให้สอดคล้องและเป็นไปตามระบบความปลอดภัย และแจ้งเหตุภัยพิบัติ<br />
ทางทะเล หรือ Global Maritime Distress and Safety System (GMDSS) ขององค์กรทางทะเลระหว่างประเทศ หรือ International<br />
Maritime Organization (IMO) ซึ่งเป็นหน้าที่รับผิดชอบของศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล (ศรชล.)<br />
โดยมีกองทัพเรือเป็นหน่วยงานหลัก ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการดาเนินการสนับสนุนการให้ความรู้ผู้ประกอบอาชีพทางทะเลในเรื่องกฎ<br />
การเดินเรือสากลและระบบความปลอดภัยและแจ้งเหตุภัยพิบัติทางทะเล และสร้างเครือข่ายการช่วยเหลือผู้ประสบภัยในการรายงานหรือ<br />
แจ้งเหตุ ตลอดจนประสานการให้ความช่วยเหลือเบื้องต้นจากผู้ประกอบอาชีพในทะเลที่อยู่บริเวณใกล้เคียง การพัฒนาระบบเครื่องช่วย<br />
การเดินเรือ เช่น ทุ่นไฟอิเล็กทรอนิกส์ แผนที่เดินเรืออิเล็กทรอนิกส์ ให้รองรับการเดินเรือที่ทันสมัยและมีความแม่นย าในการเดินเรือมากขึ้น<br />
โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการยกระดับ ศรชล. สู่การเป็นศูนย์อานวยการในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล และพัฒนาให้มีเอกภาพ<br />
ในการบังคับบัญชา ปรับโครงสร้างให้มีความเหมาะสม และมีกฎหมายและงบประมาณรองรับการปฏิบัติงานซึ่งจะทาให้การดาเนินการ<br />
ป้องกันและแก้ไขอุบัติเหตุทางทะเล ตลอดจนการจัดระเบียบการสัญจรในทะเลมีประสิทธิภาพมากขึ้น<br />
59
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๒) มาตรการสนับสนุนระหว่างเกิดเหตุ โดยปัจจุบันกองทัพเรือ<br />
ได้จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือในพื้นที่ต่างๆ เพื่อช่วยเหลือ<br />
ผู้ประสบภัย ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ ตลอดจนมีการ<br />
จัดกาลังเป็น “หมู่เรือ/หมวดเรือเฉพาะกิจบรรเทาสาธารณภัยทาง<br />
ทะเลกองทัพเรือ” ปฏิบัติภารกิจการให้ความช่วยเหลือแก่ประชาชน<br />
ที่ประกอบกิจกรรมหรือพักอาศัยในบริเวณชายฝั่งทะเล เกาะต่างๆ<br />
และสถานที่ผลิตปิโตรเลียมในทะเล โดยหน่วยต่างๆ ได้ดาเนินการ<br />
จัดกาลังพร้อมรับสถานการณ์อย่างต่อเนื่อง สามารถปฏิบัติการได้อย่าง<br />
รวดเร็ว และทันต่อเหตุการณ์ ตลอดจนมีการประสานโดยใกล้ชิดกับ<br />
หน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย<br />
แห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๘ หรือแผนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้การช่วยเหลือ<br />
ผู้ประสบภัยเป็นไปโดยมีประสิทธิภาพและไม่ซ้าซ้อนกับหน่วยงานอื่นๆ<br />
60
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ในการนี้ กองทัพเรือมีแนวทางในการพัฒนา<br />
ขีดความสามารถที่จาเป็นในการปฏิบัติภารกิจช่วยเหลือ<br />
ผู ้ประสบภัยอย่างเป็นระบบ เช่น ขีดความสามารถในการเป็น<br />
ฐานปฏิบัติการในทะเล ที่สามารถปรับภารกิจของกาลังทางเรือ<br />
ที่เตรียมไว้สาหรับการปฏิบัติการทางทหารเปลี่ยนเป็นภารกิจ<br />
ในการช่วยเหลือและบรรเทาสาธารณภัย (HA/DR) การปฏิบัติ<br />
ในการค้นหาช่วยเหลือผู้ประสบภัยในทะเลและชายฝั่ง (SAR)<br />
โดยสามารถควบคุมบังคับบัญชาหน่วยปฏิบัติได้อย่างต่อเนื่อง<br />
มีความพร้อมในการช่วยเหลือและรองรับการเคลื่อนย้าย<br />
ผู้ประสบภัยจานวนมาก ตลอดจนการช่วยเหลือและฟื้นฟู<br />
ผู้ประสบภัยพิบัติจากทางทะเลได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมี<br />
แนวทางในการจัดหาเรืออเนกประสงค์ยกพลขึ้นบก/ช่วยเหลือ<br />
ผู้ประสบภัยขนาดใหญ่เข้าประจาการ<br />
61
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๓) มาตรการสนับสนุนหลังเกิดเหตุ<br />
ตามแผนป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ<br />
กาหนดขั้นตอนการฟื้นฟูบูรณะภายหลังเหตุการณ์<br />
สาธารณภัย โดยเป็นความรับผิดชอบหลักของกระทรวง<br />
มหาดไทยในการประสานความร่วมมือจากหน่วยงาน<br />
ภาครัฐต่างๆ ซึ่งในส่วนของกองทัพเรือได้มอบหมาย<br />
ให้ศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกองทัพเรือประจาพื้นที่<br />
ต่างๆ ใช้ขีดความสามารถของกาลังในพื้นที่ดาเนินการ<br />
สนับสนุนตามแผนบรรเทาสาธารณภัยของกองทัพเรือ<br />
กาหนดเป็นหลัก โดยมีการเตรียมการจัดกาลังพล<br />
ยุทโธปกรณ์จากส่วนกลาง สนับสนุนตามที่หน่วยใน<br />
พื้นที่ร้องขอ<br />
๔) การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยกองทัพเรือให้ความส าคัญต่อการดาเนินการโครงการตามพระราชดาริ<br />
และโครงการตามนโยบายรัฐบาล เพื่อสนับสนุนในการรักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้ดารงอยู่ และประชาชน<br />
สามารถใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน<br />
62
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๒) สนับสนุนนโยบำยรัฐบำลและคณะรักษำควำมสงบแห่งชำติ<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้บูรณาการกาลังทหาร ตารวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครองเพื่อจัดระเบียบและควบคุมกำรกระทำ<br />
ผิดกฎหมำย ซึ่งมุ่งเน้นในเรื่องการสร้างความเป็นธรรมในสังคม เพื่อให้ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ<br />
จากการประกอบอาชีพสุจริต และมีชีวิตความเป็นอยู ่ที่ดีขึ้น อาทิ การจัดการผู ้มีอิทธิพลและธุรกิจผิดกฎหมายในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ<br />
การปราบปรามการค้ามนุษย์ การจัดระเบียบการที่ดีทางสังคมเพื่อให้เกิดความสะดวกและปลอดภัยในการดาเนินชีวิต การแก้ไขปัญหา<br />
การทาประมงผิดกฎหมาย ขาดการรายงาน และไร้การควบคุมการปรับปรุงและยกระดับระบบการกากับดูแลความปลอดภัยด้านการบิน<br />
พลเรือน จะดาเนินการในทุกกิจกรรมการบิน<br />
63
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๓) กำรสร้ำงควำมสำมัคคีปรองดองของพี่น้องประชำชน<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้ร่วมกับส่วนราชการที่เกี่ยวข้องภายใต้ “คณะกรรมกำรเตรียมกำรเพื่อสร้ำงควำมสำมัคคีปรองดอง”<br />
ได้ดาเนินการรับฟังความคิดเห็นจากผู้แทนพรรคการเมือง กลุ่มการเมือง ประชาชน และทุกภาคส่วน จากทั่วประเทศและนาข้อมูล<br />
มาสังเคราะห์จัดทาเป็น “สัญญำประชำคมเพื่อสร้ำงควำมสำมัคคีปรองดอง” โดยสัญญาประชาคมฯ มีสาระ<br />
สาคัญของสัญญาประชาคมฯ คือ ให้คนไทยทุกคนได้ยึดถือเป็นกรอบแนวทางในการอยู่ร่วมกันอย่างสงบสันติ<br />
ในอนาคตอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อให้ประเทศไทยเป็นหนึ่งเดียว ภายใต้การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมี<br />
พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข กล่าวคือ คนไทยทุกคนต้องเคารพกฎหมาย และมีการบังคับใช้กฎหมายอย่าง<br />
เป็นธรรม รัฐบาล ประชาชน และทุกภาคส่วนต้องร่วมมือกันแก้ไขปัญหาชาติบ้านเมืองในทุกมิติอย่างครบวงจร<br />
โดยมีเป้ำหมำยของสัญญาประชาคมฯ คือ ประชาชนทั้งประเทศต้องได้รับผลประโยชน์สูงสุด รวมทั้งเกิดความ<br />
สามัคคีปรองดอง ดารงชีวิตตามศาสตร์พระราชา บนพื้นฐานตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง มีคุณภาพชีวิต<br />
ที่ดีขึ้น ลดปัญหาความเหลื่อมล้าทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม มีส่วนร่วมในการปฏิรูปประเทศให้ก้าวไปข้างหน้า<br />
๔) กำรพัฒนำประเทศตำมโครงกำรไทยนิยม ยั่งยืน<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้ร่วมบูรณาการการปฏิบัติของส่วนราชการ<br />
ต่างๆ ตามแนวทางประชารัฐภายใต้ “คณะกรรมกำรขับเคลื่อนกำรพัฒนำ<br />
ประเทศตำมโครงกำรไทยนิยม ยั่งยืน” ที่รัฐบาลจัดตั้งขึ้นในทุกระดับ เพื่อให้<br />
เกิดเอกภาพทั้งในด้านแนวความคิดและการปฏิบัติมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้<br />
ของประชาชนเกี่ยวกับสัญญาประชาคมฯ รวมทั้งการสร้างการรับรู้เกี่ยวกับ<br />
ความจริงใจในการแก้ไขปัญหาในด้านต่างๆ ของรัฐบาล โดยกองอานวยการ<br />
รักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (กอ.รมน.) หน่วยงานความมั่นคง<br />
และกาลังเจ้าหน้าที่ตารวจ ทหารในพื้นที่ทุกเหล่าทัพจะร่วมกับกระทรวง<br />
มหาดไทยในการขับเคลื่อนโครงการ “ไทยนิยม ยั่งยืน” ในระดับพื้นที่/ตาบล อย่างเต็มศักยภาพ พร้อมทั้งร่วมแรงร่วมใจกับประชาชน<br />
ในการทาความดีเพื่อประโยชน์ของชุมชนทั่วประเทศ<br />
64
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๕) กำรอนุรักษ์ทรัพยำกรธรรมชำติและสิ่งแวดล้อม<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้มอบหมายให้ส่วนราชการในสังกัดดาเนินการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยมอบหมายให้<br />
๕.๑) กองทัพบก เร่งดาเนินการและร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปกป้อง รักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ<br />
สิ่งแวดล้อมทางบก โดยให้ความสาคัญเร่งด่วนต่อป่าไม้และสภาพแวดล้อมบริเวณต้นน้าของลุ่มน้าต่างๆ เพื่อป้องกันปัญหาภัยแล้งและ<br />
อุทกภัย<br />
๕.๒) กองทัพเรือ เร่งดาเนินการและให้ความสาคัญต่อการดาเนินการโครงการตามพระราชดาริ และโครงการตามนโยบาย<br />
รัฐบาล เพื่อสนับสนุนในการรักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ ่งแวดล้อมให้ดารงอยู่ โดยเฉพาะทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง<br />
ประชาชนสามารถใช้ประโยชน์อย่างยั่งยืน<br />
๕.๓) กองทัพอำกำศ เร่งดาเนินการและร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องปกป้อง รักษาและอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและ<br />
สิ่งแวดล้อมในพื้นที่รับผิดชอบของหน่วย การสนับสนุนโครงการฝนหลวงเพื่อพัฒนาคุณภาพชีวิตที่ดีของประชาชนในพื้นที่ประสบภัยแล้ง<br />
รวมทั้ง การใช้อากาศยานสนับสนุนภารกิจการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามที่รับการร้องขอ<br />
65
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
66
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ชำติมั่นคง<br />
67
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้ทาการศึกษาและประเมินสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในทศวรรษหน้า ในภาพรวมพบว่าประเทศไทย<br />
ยังต้องเผชิญกับปัญหาความมั่นคงทั้งที่เกิดจากภายนอกประเทศอันเกิดจาก<br />
(๑) การขยายอิทธิพลและบทบาทของประเทศมหาอานาจต่อภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีแนวโน้มของการแข่งขันและ<br />
การขยายอิทธิพลในรูปแบบของการใช้พลังอานาจทางทหารและทางเศรษฐกิจเพื่อนามาซึ่งประโยชน์ของตน ทั้งนี้ หากเกิดความขัดแย้ง<br />
ขึ้นของประเทศมหาอานาจก็อาจส่งผลกระทบต่อความมั่นคงและผลประโยชน์ของประเทศไทยได้<br />
(๒) การเป็นประชาคมอาเซียนเมื่อวันที่<br />
๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘ ทาให้อาเซียนมีความเชื่อมโยงกัน<br />
มากขึ้นทั้งทางการเมือง ความมั่นคงเศรษฐกิจและสังคม<br />
ซึ่งนาไปสู่การพัฒนาการทางการเมืองและเศรษฐกิจ<br />
ของประเทศสมาชิกและเพิ่มโอกาสในเส้นทางคมนาคม<br />
ที่ติดต่อระหว่างกันอย่างเสรีและสะดวกรวดเร็ว ทาให้<br />
มีความเสี่ยงต่อความมั่นคงของชาติในประเด็นการ<br />
ย้ายถิ่นฐานของประชากรในภูมิภาค การขยายตัวของ<br />
อาชญากรรมข้ามชาติและเศรษฐกิจนอกระบบ<br />
68
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
(๓) ปัญหาความไม่ชัดเจนของเส้นเขตแดนและอาณาเขตทางทะเลระหว่างกัน รวมถึงมีสิ่งบ่งชี้ถึงการเพิ่มงบประมาณทาง<br />
ทหารของประเทศในภูมิภาคจึงมีความเสี่ยงที่จะนาไปสู่การใช้กาลังทหารต่อกันหากเกิดความขัดแย้งรุนแรงและไม่มีการบริหารจัดการ<br />
ปัญหาร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงมีปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรระหว่างประเทศ<br />
(๔) ความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ปัจจุบันเขตสิทธิอธิปไตยของไทยคือผลประโยชน์ของชาติทางทะเลที่<br />
มีมูลค่าสูงเพราะมีแหล่งทรัพยากรธรรมชาติ และเส้นทางการเดินเรือที่สาคัญในภูมิภาคจึงอาจเกิดปัญหาการอ้างสิทธิทับซ้อนทางทะเล<br />
ปัญหาสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากมนุษย์ ปัญหาความไม่ชัดเจนของกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมายทางทะเล ปัญหาอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่อง<br />
กับทะเล ปัญหาการกระทาผิดกฎหมายในทะเล อาทิ การลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายและการกระทาอันเป็นโจรสลัด ซึ่งอาจส่งผลให้มี<br />
ความเสี่ยงต่อการสร้างดุลยภาพในการรักษาความมั่นคงและผลประโยชน์ของชาติทางทะเล<br />
(๕) ในอนาคตภัยคุกคามที่ไม่ใช่ทางทหารจะส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของโลก ภูมิภาค และแต่ละประเทศเหมือนกัน<br />
โดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ อาทิ อาชญากรรมข้ามชาติประเภทต่างๆ การค้ามนุษย์และการโยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ การก่อการร้ายสากล<br />
ภัยพิบัติขนาดใหญ่ การเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมโลกและโรคระบาด นอกจากนี้ การรายงานข้อมูลและนาเสนอบทวิเคราะห์ของ<br />
สื่อต่างประเทศ และการเรียกร้องขององค์การระหว่างประเทศต่อสถานการณ์ที่อยู่ในความสนใจของนานาชาติ อาจส่งผลกระทบต่อ<br />
ความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น ในขณะที่ภัยคุกคามตามที่กล่าวมาจะยังคงอยู่ และอาจส่งผลต่อความมั่นคงมากขึ้น<br />
ในอนาคต<br />
(๖) ภัยคุกคามด้านไซเบอร์ (Cyber Threat) ถือเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในปัจจุบันและในอนาคต เนื่องจากภัยคุกคาม<br />
ดังกล่าวสามารถส่งผลกระทบที่รุนแรงได้ในหลายมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ ความมั่นคง และการทหาร รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะทวีความ<br />
รุนแรงมากยิ่งขึ้นในอนาคต และเป็นความท้าทายต่อการปฏิบัติการทางทหารโดยตรง<br />
กอปรกับ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๖๑ เป็น<strong>ปี</strong>ที่ประเทศไทยประกาศใช้แผนการปฏิรูปประเทศในด้านต่างๆ เพื่อเป็นห้วงเวลาเริ่มต้นของการ<br />
ขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ <strong>ปี</strong> ดังนั้น <strong>กระทรวงกลาโหม</strong>จึงได้ก าหนดให้มีการดาเนินการเพื่อพัฒนาศักยภาพของหน่วยงานให้พร้อมเผชิญ<br />
ปัญหาและภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้นต่อประเทศ กล่าวคือ<br />
69
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑. กำรปฏิรูปส่วนรำชกำรกระทรวงกลำโหม<br />
ในภาพรวมได้มุ่งเน้นการดาเนินการให้เกิดผลสัมฤทธิ์ในการปฏิรูประบบบริหารจัดการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> ก่อนการปรับปรุง<br />
โครงสร้างกองทัพ โดยในห้วงระยะแรกของการปฏิรูปจะให้ความเร่งด่วนในการเตรียมความพร้อมในเรื่องกาลังพล ยุทโธปกรณ์ การฝึก<br />
ศึกษา การวิจัยและพัฒนาอุตสาหกรรมป้องกันประเทศเพื่อการพึ่งพาตนเอง การพัฒนาขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจป้องกัน<br />
ประเทศ และการปฏิบัติภารกิจร่วมกับกองทัพมิตรประเทศ รวมถึงการปรับปรุงกองทัพเพื่อรองรับภัยคุกคามรูปแบบอื่นๆ<br />
ปัจจุบัน<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้จัดทายุทธศาสตร์และแผนต่างๆ สาหรับใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาศักยภาพของส่วน<br />
ราชการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ที่สาคัญ อาทิ ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๗๙ ซึ่งจะเป็นกรอบแนวทาง<br />
ในการจัดเตรียมกาลังการใช้กาลัง และเป็นทิศทางการพัฒนาในภาพรวมของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> โดยในระยะยาว<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
จะสามารถบรรลุเป้าหมายที่กาหนดไว้ กล่าวคือ<br />
“มีโครงสร้ำงที่กะทัดรัด จำนวนกำลังพลที่เหมำะสม ยุทโธปกรณ์และเทคโนโลยี<br />
ที่ทันสมัย มีขีดควำมสำมำรถในกำรปฏิบัติภำรกิจได้อย่ำงหลำกหลำย”<br />
ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ ๒๐ <strong>ปี</strong>ของรัฐบาล และจะเป็นส่วนหนึ่งของการบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ประเทศไทย<br />
ในมิติด้านความมั่นคงต่อไป<br />
นอกจากนี้ ยังได้จัดทายุทธศาสตร์การพัฒนาบุคลากรของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> แผนแม่บทการปฏิรูปการบริหารจัดการและ<br />
การปรับปรุงโครงสร้าง<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> เพื่อพัฒนาระบบงานและโครงสร้างการจัดส่วนราชการให้สอดคล้องกับการบริหารราชการยุคใหม่<br />
และเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไป แผนพัฒนาขีดความสามารถ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ซึ่งมุ่งเน้นการเสริมสร้างความพร้อมด้านยุทโธปกรณ์และ<br />
เทคโนโลยีทางทหารที่ทันสมัย ตลอดจนการผลักดันการบังคับใช้กฎหมายเพื่อให้มีความเกื้อกูลต่อการปฏิบัติภารกิจของส่วนราชการ<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ที่สาคัญ ได้แก่ พระราชบัญญัติกาลังพลสารอง พ.ศ.๒๕๕๘ เพื่อให้สามารถนากาลังพลสารองมาสนับสนุนการปฏิบัติ<br />
ภารกิจของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้ทั้งในยามปกติและยามสงคราม<br />
70
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
รวมถึงการจัดทาแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และโครงการวิจัยและพัฒนาอาวุธและยุทโธปกรณ์<br />
ทางทหารเพื่อกาหนดเป้าหมายการพัฒนาผลงานวิจัยทางทหารไปสู่สายการผลิตและพัฒนาผลิตภัณฑ์ด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
ให้มีคุณภาพ เป็นที่ยอมรับและเชื่อมั่นของผู้ใช้งานอันจะนาไปสู่การพึ่งพาตนเองด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ของกองทัพอย่างยั่งยืน<br />
๒. กำรรักษำควำมมั่นคงของรัฐ<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> โดยกองทัพไทยได้วางกาลังป้องกันชายแดนและรักษาผลประโยชน์ของชาติ รวมทั้งบูรณาการการปฏิบัติงาน<br />
ร่วมกับตารวจตระเวนชายแดนให้สอดคล้องกับการบริหารจัดการชายแดน การจัดตั้งเขตพัฒนาเศรษฐกิจพิเศษและการเป็นประชาคม<br />
อาเซียน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของกองทัพ ด้วยการฝึกทั้งในระดับหน่วยจนถึงระดับเหล่าทัพ และการฝึกร่วม/ผสม กับ<br />
มิตรประเทศให้มีความพร้อมเผชิญกับภัยคุกคามในทุกรูปแบบ<br />
71
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
นอกจากนี้ <strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ยังได้รับมอบหมายให้มีส่วนร่วมอย่างสาคัญในการแก้ไขปัญหาด้านความมั่นคงในมิติอื่นๆ อาทิ<br />
การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การจัดระเบียบสังคม การสร้างความปรองดองสมานฉันท์ การต่อต้านการก่อการร้ายสากล<br />
และการก่อเหตุร้ายในประเทศ การป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติด แรงงานต่างด้าวและการค้ามนุษย์ สาหรับการแก้ไขปัญหาความ<br />
ไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ กองทัพไทยได้จัดกาลังพลและยุทโธปกรณ์สนับสนุนการปฏิบัติให้กับกองอานวยการรักษาความมั่นคง<br />
ภายในราชอาณาจักรอย่างต่อเนื่อง<br />
๓. กำรรักษำเกียรติภูมิของชำติ<br />
โดยมุ่งเน้นการดาเนินภารกิจทางทหารให้เป็นที่เชื่อมั่นศรัทธาของมิตรประเทศทั้งภายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้<br />
ภายนอกภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และภูมิภาคอื่นทั่วโลก โดยดาเนินบทบาทที่สาคัญ ดังนี้<br />
๓.๑ กำรเสริมสร้ำงควำมร่วมมือด้ำนควำมมั่นคงกับมิตรประเทศ<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ยึดถือแนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ปี</strong> ๒๕๖๐ - ๒๕๖๔ ซึ่งจัดทาขึ้นเพื่อให้หน่วยงานของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ใช้เป็นกรอบแนวทางในการจัดทาแผนงานการเสริมสร้างความ<br />
ร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ โดยมีการจัดลาดับความสาคัญเพื่อลดความซ้าซ้อน และสามารถนาไปสู่การปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม<br />
และเกิดประโยชน์สูงสุด<br />
72
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทั้งนี้ <strong>กระทรวงกลาโหม</strong> ได้ให้ความสาคัญกับความร่วมมือในกรอบประชาคมอาเซียน ให้เป็นภูมิภาคแห่งความสันติสุข โดยมีทิศทาง<br />
ในการแสดงบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในมิติการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ และการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ<br />
นอกจากนี้ยังให้การสนับสนุนในการพัฒนากรอบความร่วมมือในกรอบรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน และรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา<br />
ตลอดจนการรักษาความสัมพันธ์และดุลยภาพกับประเทศที่มีบทบาทสาคัญ มิตรประเทศและองค์การระหว่างประเทศ โดยแนวทาง<br />
การเสริมสร้างความร่วมมือฯ ได้กาหนดความเร่งด่วนในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทางทหารกับประเทศเป้าหมาย โดยแบ่งเป็น ๓ กลุ่ม<br />
ประเทศ ประกอบด้วย<br />
๑) ประเทศรอบบ้านและประเทศสมาชิกอาเซียน<br />
๒) ประเทศมหาอานาจและประเทศคู่เจรจาในกรอบการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศ<br />
คู่เจรจา<br />
๓) มิตรประเทศอื่นๆ ได้แก่ มิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้ว มิตรประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม<br />
และมิตรประเทศที่มีขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
73
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๓.๒ กำรเตรียมควำมพร้อมในกำรดำเนินกำรภำยหลังเป็นประชำคมอำเซียน<br />
ภายใต้เสาหลักด้านประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (ASEAN Political Security Community : APSC)<br />
ซึ่ง<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>รับผิดชอบนั้น ได้ให้ความสาคัญต่อกลไกการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Ministers’ Meeting :<br />
ADMM) และการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting Plus :<br />
ADMM - Plus)<br />
74
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
โดยความร่วมมือระหว่าง<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>อาเซียนที่มีความแน่นแฟ้นดังกล่าว นับว่ามีความสาคัญอย่างยิ่งในการสร้างความ<br />
มั่นใจและความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งจะเป็นรากฐานสาคัญและเกื้อกูลต่อการพัฒนาความร่วมมือในมิติอื่นๆ<br />
และนาไปสู่ความมั่นคง ปลอดภัย อยู ่ดีกินดีของประชาชนในภูมิภาคอย่างยั่งยืนต่อไป และเพื่อเป็นการแสดงบทบาทในการขับเคลื่อน<br />
การดาเนินการของประเทศไทย พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> ได้เข้าร่วมการ<br />
ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ และการเข้าร่วมงานนิทรรศการ Singapore Airshow 2018 ระหว่างวันที่ ๕ - ๗<br />
กุมภาพันธ์ ๒๕๖๑ ณ สาธารณรัฐสิงคโปร์ ทั้งยังได้เข้าร่วมการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมสาธารณรัฐประชาชนจีน<br />
อย่างไม่เป็นทางการอีกด้วย<br />
75
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทั้งนี้ การดาเนินการที่เป็นความภาคภูมิใจของการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนคือ การได้จัดตั้งศูนย์แพทย์ทหำรอำเซียน<br />
ณ กรมแพทย์ทหารบก ซึ่งเป็นความริเริ่มของประเทศไทยเพื่อเป็นศูนย์กลางการดาเนินความร่วมมือด้านการแพทย์ทหารของภูมิภาคฯ<br />
เมื่อเมษายน ๒๕๕๙ และปัจจุบันอยู่ระหว่างการสร้างความสมบูรณ์ และจะส่งมอบให้เป็นศูนย์แพทย์ทหารของอาเซียนอย่างสมบูรณ์<br />
ใน<strong>ปี</strong> ๒๕๖๒ ในระหว่างการเป็นประธานการประชุม ADMM ของประเทศไทย<br />
สาหรับใน<strong>ปี</strong> ๒๕๖๒ เป็นวงรอบที่ประเทศไทยจะทาหน้าที่ประธานอาเซียน ซึ่งในส่วนของเสาหลักด้านการเมือง และความ<br />
มั่นคงนั้น <strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้เตรียมการดาเนินการรองรับการจัดตั้งคณะกรรมการระดับชาติเพื่อเตรียมการประชุมสุดยอดอาเซียนและ<br />
76
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
การประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง โดยมีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยจัดตั้งคณะกรรมการและคณะอนุกรรมการในระดับ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
รองรับ ซึ่งจะได้มีการขับเคลื่อนการดาเนินการของกลาโหมอาเซียน ในเรื่องการจัดทาแนวทางในการบูรณาการความริเริ่มที่มีอยู่ของการ<br />
ประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน และแนวทางในการประเมินผลการดาเนินการของคณะทางานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านในกรอบการประชุม<br />
รัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา เพื่อให้กลาโหมและประเทศคู่เจรจาสามารถที่จะพัฒนาแนวความคิด<br />
ริเริ่มใหม่ๆ ตอบสนองกับภัยคุกคามที่เกิดขึ้น และเป็นการประหยัดงบประมาณ และการซ้ าซ้อนของกิจกรรมต่างๆ รวมทั้งเพื่อให้ผลการด าเนินการ<br />
ของกลาโหมอาเซียน ตามแนวคิดสาคัญของประเทศไทยที่จะใช้ขับเคลื่อนการเป็นประธานอาเซียนใน<strong>ปี</strong> ๒๕๖๒ คือ<br />
“๑๐ ประเทศสมำชิกอำเซียนจะก้ำวหน้ำไปด้วยกัน เพื่อสร้ำงประชำคมอำเซียน<br />
ที่มีประชำชนเป็นศูนย์กลำง ไม่ทอดทิ้งใครไว้ข้ำงหลัง และมองไปสู่อนำคต”<br />
โดยจะมีการจัดทาเอกสารแนวคิดความร่วมมือของกลาโหมประเทศสมาชิกอาเซียน เพื่อสนับสนุนการบริหารจัดการชายแดน และ<br />
เอกสารเกี่ยวกับบทบาทของทหารไทยกับการพัฒนาประเทศ ซึ่งเป็นรูปแบบของประเทศไทยสาหรับประเทศสมาชิกอาเซียนที่สนใจใช้เป็น<br />
แนวทางการดาเนินการ<br />
๓.๓ กำรปฏิบัติกำรเพื่อสันติภำพในกรอบสหประชำชำติ ซึ่งเป็นบทบาทของกองทัพไทยที่มีความสง่างามในเวทีประชาคมโลก<br />
จะได้มีการเตรียมความพร้อมทั้งในด้านกาลังพลและยุทโธปกรณ์ ให้สามารถสนับสนุนกาลังรักษาสันติภาพตามที่ได้รับการร้องขอ<br />
โดยเฉพาะหน่วยทหารราบ กองร้อยทหารช่าง หน่วยแพทย์ และชุดขุดเจาะน้าบาดาล ยึดแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตโดยใช้ศาสตร์<br />
พระราชาและหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง<br />
77
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔. กำรพัฒนำขีดควำมสำมำรถกองทัพ<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้มอบหมายให้กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ พิจารณาทบทวน<br />
ภารกิจและกาหนดแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถกองทัพให้พร้อมเผชิญภัยคุกคามที่อาจเกิดขึ้น เพื่อให้เกิดการพัฒนาไปในทิศทาง<br />
เดียวกัน และสอดรับกับหลักนิยมการปฏิบัติการทางทหารในส่วนที่หน่วยรับผิดชอบ ซึ่งสามารถแบ่งส่วนการดาเนินภารกิจได้ดังนี้<br />
78
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔.๑ กองบัญชำกำรกองทัพไทย<br />
๔.๑.๑ กำรอำนวยกำรยุทธ์ และควบคุมบังคับบัญชำ โดยใช้การปฏิบัติการร่วมกองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพ<br />
อากาศ มุ่งไปสู่การปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง ซึ่งจะเป็นการเพิ่มความรวดเร็วของวงรอบการตัดสินใจ มีการพัฒนาเทคโนโลยี<br />
ระบบเครือข่าย ควบคู่ไปกับการพัฒนาขีดความสามารถและองค์ความรู้ของกาลังพล ให้มีขีดความสามารถ ตลอดจนพัฒนาและบูรณาการ<br />
ระบบฐานข้อมูลอย่างครบถ้วน ถูกต้อง รวดเร็วและทันเวลา<br />
๔.๑.๒ กำรต่อต้ำนกำรก่อกำรร้ำยสำกล และกำรแก้ไขกำรก่อเหตุร้ำยภำยในประเทศ โดยศูนย์ปฏิบัติการต่อต้านการ<br />
ก่อการร้ายสากล จะเป็นทั้งหน่วยประสานงาน วิทยาการ หน่วยปฏิบัติทางยุทธวิธี ทาหน้าที่บูรณาการขีดความสามารถหน่วยปฏิบัติการ<br />
พิเศษของเหล่าทัพ และสานักงานตารวจแห่งชาติ ให้มีความพร้อมในการเผชิญสถานการณ์ทั่วทุกภูมิภาคและทุกรูปแบบ สามารถตอบโต้<br />
เหตุการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลา<br />
79
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔.๑.๓ กำรพัฒนำขีดควำมสำมำรถด้ำนกำรบรรเทำสำธำรณภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้กับประชาชน<br />
โดยการพัฒนาขีดความสามารถของกาลังพล และยุทโธปกรณ์ มีการวางกาลังครอบคลุมทุกภูมิภาค เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือประชาชน<br />
ได้อย่างรวดเร็ว ทันเวลา นอกจากนี้จะมุ่งมั่นพัฒนาศูนย์ฝึกบรรเทาสาธารณภัย หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา ให้มีความพร้อมในการ<br />
ฝึกอบรมครอบคลุมทุกภัยพิบัติ มีความเป็นมาตรฐานระดับสากล มีเป้าหมายเป็นศูนย์กลางในการฝึกอบรมด้านการบรรเทาภัยพิบัติของ<br />
กองทัพไทย และภูมิภาคอาเซียน<br />
80
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔.๑.๔ กำรพัฒนำขีดควำมสำมำรถงำนด้ำนแผนที่ โดยกรมแผนที่ทหารจะเป็นองค์กรหลักของประเทศ ด้านแผนที่<br />
และภูมิสารสนเทศ เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการร่วม ตลอดจนสนับสนุนรัฐบาลในการบูรณาการฐานข้อมูลด้านแผนที่และภูมิสารสนเทศ<br />
ซึ่งเป็นรากฐานที่สาคัญในการเปลี่ยนผ่านไปสู่การขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม ตามแนวคิด “ไทยแลนด์ ๔.๐”<br />
๔.๑.๕ กำรพัฒนำขีดควำมสำมำรถด้ำนเทคโนโลยีทำงทหำร เนื่องจากแนวโน้มด้านเทคโนโลยีทางทหารจะพัฒนา<br />
ไปสู่การใช้ระบบอัตโนมัติ รวมทั้งระบบควบคุมอุปกรณ์และเครื่องมือทางทหารโดยไม่ใช้คนขับ (Unmanned Vehicle/Machine) ซึ่งมี<br />
พัฒนาการมาโดยลาดับ ระบบการติดต่อสื่อสารควบคุมและสั่งการด้วยเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Command Control Communications<br />
Computers) และระบบสารสนเทศ (Intelligence) เพื่อสนับสนุนการตกลงใจในสนามรบและเพื่อการบริหารงานทั่วไป และในอนาคต<br />
จะนาไปสู่ยุคของการปฏิบัติการทางทหารโดยใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network Centric Operations - NCO) มากยิ่งขึ้น การสู้รบโดย<br />
ไม่ใช้อาวุธสังหาร (Non - Lethal Weapons) จะมีบทบาทในการสร้างความได้เปรียบและจากัดเสรีในการปฏิบัติของฝ่ายตรงข้ามในรูปแบบ<br />
ต่างๆ เช่น การปฏิบัติการข้อมูลข่าวสาร (Information Operations) ไปจนถึงการปฏิบัติการที่เชื่อมโยงบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์ (Cyber<br />
Operations) เป็นต้น<br />
81
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔.๒ กองทัพบก<br />
กองทัพบกได้กาหนดแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพไว้อย่างเป็นระบบ ที่มีความสอดคล้องกับการปฏิบัติการ<br />
ทางทหารในทุกภารกิจ โดยมีการกาหนดวิสัยทัศน์กองทัพบก ๒๕๗๙ คือ<br />
“เป็นกองทัพบกที่มีศักยภำพ ทันสมัย เป็นที่เชื่อมั่นของประชำชน และเป็นหนึ่งในกองทัพบกชั้นนำของภูมิภำค<br />
(Capable, Modern, Reliable and One of the Leading Armies in the Region)”<br />
82
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทั้งนี้ สามารถจาแนกรายละเอียดและสาระสาคัญของวิสัยทัศน์กองทัพบก ๒๕๗๙ ออกเป็น ๔ ประการ กล่าวคือ<br />
๑) ศักยภำพ ประกอบด้วยกำลังพลที่มีความรู้ ความสามารถ<br />
ในการปฏิบัติหน้าที่ มีขวัญและกาลังใจที่ดี มีอุดมการณ์และจิตวิญญาณความ<br />
เป็นทหารอาชีพ รวมทั้งมีความเป็นผู้นาตลอดจนมีสุขภาพแข็งแรงทั้งร่างกาย<br />
และจิตใจ ยุทโธปกรณ์มีจานวนเพียงพอ มีประสิทธิภาพ และทันสมัย ได้รับ<br />
การสนับสนุนงบประมำณ ที่เพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจและการพัฒนา<br />
กองทัพอย่างต่อเนื่อง และมีระบบงำนและกำรบริหำรจัดกำรกองทัพที่มี<br />
ประสิทธิภาพ โปร่งใส ตรวจสอบได้ ตลอดจนสามารถดารงควำมต่อเนื่อง<br />
ในกำรรบได้ด้วยระบบการส่งกาลังบารุง ระบบกาลังสารองและการพัฒนา<br />
กาลังประชาชนที่มีประสิทธิภาพและเชื่อถือได้<br />
๒) ทันสมัย ความทันสมัยของกองทัพบก ประกอบด้วยกาลังพล<br />
ที่มีองค์ความรู้ด้านเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีการเรียนรู้เพิ่มเติมต่อเนื่อง<br />
มีความคิดก้าวหน้า มีความรู้ความเข้าใจในการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์โลก<br />
และการมีทักษะด้านภาษา รวมทั้งการมียุทโธปกรณ์ เทคโนโลยีทางทหาร<br />
การพัฒนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสารและไซเบอร์ ที่ตอบสนอง<br />
ต่อการปฏิบัติภารกิจของกองทัพบก ตลอดจนการส่งเสริมการวิจัยและพัฒนา<br />
ยุทโธปกรณ์ การมีระบบการฝึกศึกษาที่ทันสมัย เหมาะสมกับยุทธวิธีและ<br />
หลักนิยมการปฏิบัติการทางทหารในปัจจุบันและอนาคต<br />
๓) ควำมเป็นที่เชื่อมั่น เป็นที่เชื่อมั่นของผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย<br />
(Stakeholder) และกลุ่มเป้าหมายผู้รับบริการด้านความมั่นคงโดยรวม<br />
ของประเทศ โดยกองทัพบกจะต้องเสริมสร้างขีดความสามารถในการ<br />
ปฏิบัติภารกิจป้องกันประเทศ และการเผชิญกับภัยคุกคามรูปแบบอื่นๆ ให้<br />
เป็นไปตามความคาดหวังของประชาชน การดาเนินงานบรรลุผลสัมฤทธิ์<br />
อย่างมีประสิทธิภาพ เป็นที่น่าเชื่อถือและได้รับความไว้วางใจทั้งในระดับ<br />
บุคคลและส่วนราชการ ด้วยการใช้หลักธรรมาภิบาล (Good Governance)<br />
ในการบริหารและปฏิบัติราชการ ได้แก่ หลักนิติธรรม หลักความโปร่งใส<br />
หลักการมีส่วนร่วม หลักความรับผิดชอบ หลักการตรวจสอบได้<br />
หลักความคุ้มค่า และหลักคุณธรรม อันจะนาไปสู่การมีภาพลักษณ์ที่ดีของ<br />
หน่วยงาน<br />
83
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔) เป็นหนึ่งในกองทัพบกชั้นนำของภูมิภำค : กองทัพบกจะต้องมีขีดความสามารถ และความทันสมัย ในเชิงเปรียบเทียบ<br />
กับกองทัพบกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทั้งด้านปริมาณและคุณภาพ รวมทั้งการแสดงบทบาทนาผ่านทางการเข้าร่วมกิจกรรม<br />
ความร่วมมือด้านความมั่นคงในเวทีสากลทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคี โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเวทีประชาคมอาเซียน<br />
ซึ่งกองทัพบกได้ดาเนินการจัดทายุทธศำสตร์กองทัพบกภายใต้กรอบยุทธศาสตร์ทหารของกองทัพไทย และยุทธศาสตร์การป้องกัน<br />
ประเทศของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ระยะ ๒๐ <strong>ปี</strong> (พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๗๙) โดยมีแนวคิดในการเตรียมกาลัง และการบริหารจัดการกองทัพบก<br />
เพื่อปฏิบัติภารกิจในแต่ละห้วงเวลา ๕ <strong>ปี</strong> ตามประเด็นยุทธศาสตร์ ดังนี้<br />
• การพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
กาหนดแนวความคิดในการปฏิบัติ ๓ แนวทาง ได้แก่ การพิทักษ์สถาบัน<br />
พระมหากษัตริย์ การเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ และการปกป้องสถาบัน<br />
พระมหากษัตริย์<br />
• การเสริมสร้างศักยภาพและความพร้อมของกองทัพเพื่อการ<br />
ป้องกันประเทศ กาหนดแนวความคิดในการปฏิบัติ ๔ แนวทาง ได้แก่ การปรับ<br />
โครงสร้างกองทัพบก การเสริมสร้างความพร้อมรบ การเสริมสร้างความ<br />
ต่อเนื่องในการรบ และการเสริมสร้างระบบป้องกันชายแดน<br />
• การสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจการรักษาความมั่นคงภายใน<br />
กาหนดแนวความคิดในการปฏิบัติ ๕ แนวทาง ได้แก่ สนับสนุนการแก้ไข<br />
ปัญหาการก่อเหตุรุนแรงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ สนับสนุนการสร้าง<br />
ความปรองดองสมานฉันท์ของคนในชาติ สนับสนุนการป้องกันภัยคุกคามต่อ<br />
ความมั่นคงภายในและความสงบเรียบร้อยของประเทศ สนับสนุนการดาเนิน<br />
การด้านการข่าวที่เป็นภัยคุกคามต่อการรักษาความมั่นคงภายในและความ<br />
สงบเรียบร้อยของประเทศ และสนับสนุนการปราบปรามและการบังคับใช้<br />
กฎหมายต่อภัยคุกคามที่ส่งผลต่อความมั่นคงภายในและความสงบเรียบร้อย<br />
ของประเทศ<br />
• การสนับสนุนการพัฒนาประเทศและช่วยเหลือประชาชน<br />
กาหนดแนวความคิดในการปฏิบัติ ๒ แนวทาง ได้แก่ การสนับสนุนการพัฒนา<br />
ประเทศ และการช่วยเหลือประชาชน<br />
• การเสริมสร้างความร่วมมือด้านการทหารกับต่างประเทศ<br />
กาหนดแนวความคิดในการปฏิบัติ ๓ แนวทาง ได้แก่ เสริมสร้างความสัมพันธ์<br />
ที่ดีและความร่วมมือทางทหารกับประชาคมระหว่างประเทศ ส่งเสริมการมี<br />
84
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
บทบาทนาในอาเซียน และส่งเสริมการบริหารจัดการชายแดนและ<br />
สนับสนุนการพัฒนาเศรษฐกิจข้ามแดน<br />
• การพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรในการ<br />
ป้องกันประเทศ กาหนดแนวความคิดในการปฏิบัติ ๓ แนวทาง ได้แก่<br />
การพัฒนาการบริหารจัดการด้านการปฏิบัติภารกิจของกองทัพบก<br />
การพัฒนาการบริหารจัดการด้านกาลังพล และการพัฒนาการบริหาร<br />
จัดการด้านยุทโธปกรณ์และงบประมาณ<br />
ทั้งนี้ยังได้กาหนดแนวคิดในกำรพัฒนำกองทัพบก<br />
ที่มุ่งเน้นการเสริมสร้างศักยภาพและความพร้อมของกองทัพ<br />
เพื่อการป้องกันประเทศ และเพื่อการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือ<br />
จากสงคราม รวมทั้งการเสริมสร้างความร่วมมือด้านการทหารกับ<br />
มิตรประเทศ ตลอดจนการพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรเพื่อ<br />
การป้องกันประเทศ เป็นองค์ประกอบสาคัญที่กองทัพบกได้กาหนด<br />
แนวทางในการดาเนินการไว้ทุกระยะ ๕ <strong>ปี</strong> ภายใต้ “แผนพัฒนา<br />
กองทัพบก” โดยคานึงถึงองค์ประกอบในการเสริมสร้างขีดความ<br />
สามารถให้กับหน่วยทหารในด้านต่างๆ รวม ๖ ด้าน ประกอบด้วย<br />
๔.๒.๑ โครงสร้ำงกำรจัดหน่วย มุ่งสู่การ<br />
กาหนดโครงสร้างการจัดส่วนราชการของกองทัพบก ให้มีความ<br />
เหมาะสมและเพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจ รวมทั้งพัฒนา<br />
ปรับปรุงระบบการบริหารจัดการและการดาเนินงานของแต่ละ<br />
ระบบงาน ให้มีประสิทธิภาพ สอดคล้อง และสมดุลกันทั้งระบบ<br />
หน่วยในส่วนกาลังรบและสนับสนุนการรบ จะมีโครงสร้างที่<br />
กะทัดรัดขึ้น เป็นกาลังอเนกประสงค์ อ่อนตัวและทันสมัยแบบ<br />
สากล โดยปรับการจัดหน่วยกาลังรบขนาดกองพลไปสู่โครงสร้าง<br />
หน่วยกาลังรบผสมเหล่าระดับกรม สาหรับหน่วยกาลังรบ<br />
และหน่วยสนับสนุนการรบที่ไม่จัดเป็นกาลังรบผสมเหล่า ให้<br />
ปฏิบัติหน้าที่หน่วยประจาพื้นที่เพื่อรองรับการปฏิบัติภารกิจอื่น<br />
85
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ที่นอกเหนือจากสงคราม โดยจานวนและประเภทหน่วย จะต้องเพียงพอ<br />
ต่อความต้องการใช้กาลังของกองทัพบก ซึ่งจะต้องปฏิบัติงานในลักษณะ<br />
ของภารกิจแบบประจาทั้ง<strong>ปี</strong> ได้แก่ การปฏิบัติภารกิจตามแนวคิดในการ<br />
รักษาความมั่นคงตามแนวชายแดน และการรักษาความมั ่นคงภายในราช<br />
อาณาจักรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ในขณะเดียวกันกองทัพบก<br />
จะต้องจัดเตรียมกาลังในส่วนที่เหลือไว้สาหรับสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจ<br />
ตามเหตุการณ์หรือสถานการณ์ เพื่อสนับสนุนภารกิจตามที่รัฐบาลสั่งการ<br />
และตามที่ได้รับการประสานจากส่วนราชการอื่นในแต่ละพื้นที่และห้วง<br />
เวลา เช่น การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ และการช่วยเหลือ<br />
ประชาชน เป็นต้น<br />
๔.๒.๒ กำรเสริมสร้ำงควำมพร้อมรบ มีวัตถุประสงค์เพื่อให้หน่วยมีความพร้อมรบทั้งด้านกาลังพล ยุทโธปกรณ์ การฝึก<br />
ศึกษาและแผนการปฏิบัติ โดยให้ความเร่งด่วนในการบรรจุกาลังพลให้หน่วยกาลังรบผสมเหล่า ในระดับความพร้อมรบที่กาหนด สาหรับ<br />
หน่วยกาลังรบที่ไม่ประกอบกาลังในกาลังรบผสมเหล่าให้ปรับลดอัตรากาลังพล และทดแทนด้วยกาลังพลสารองในอัตราที่ว่างการบรรจุ<br />
และในแต่ละ<strong>ปี</strong>หน่วยต่างๆ จะต้องได้รับการฝึกตามหลักสูตรที่กาหนดไว้ให้สอดคล้องกับขีดความสามารถของหน่วย เช่น การฝึกชุดปฏิบัติ<br />
การหน่วยทหารทรหด และการฝึกชุดปฏิบัติการหน่วยทหารขนาดเล็กให้กับทุกกองร้อยหน่วยกาลังรบ รวมทั้งดารงความต่อเนื่องในการจัด<br />
การฝึกกรมทหารราบ/ทหารม้าเฉพาะกิจ การฝึกร่วมกองทัพไทย ตลอดจนการฝึกร่วม/ผสมกับมิตรประเทศภายใต้รหัสการฝึกต่างๆ<br />
ทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคี<br />
นอกจากนี้ จะต้องกาหนดความต้องการจัดหา/ซ่อมแซมยุทโธปกรณ์หลักและยุทโธปกรณ์ที่สาคัญ เพื่อดารงสภาพ<br />
ความพร้อมรบ ความทันสมัย มีความเพียงพอต่อการปฏิบัติภารกิจตามความจาเป็นเร่งด่วนของสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคง<br />
และความเป็นไปได้ทางด้านงบประมาณที่คาดว่าจะได้รับการจัดสรรในห้วงเวลา ซึ่งจะต้องดาเนินการให้สอดคล้องและอยู ่ในกรอบของ<br />
“แผนพัฒนาขีดความสามารถของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>”<br />
86
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔.๒.๓ กำรเสริมสร้ำงควำมต่อเนื่องในกำรรบ เป็นการดาเนินการเพื่อให้หน่วยสามารถปฏิบัติภารกิจได้อย่าง<br />
ต่อเนื่อง ด้วยการมีระบบส่งกาลังบารุงให้สอดคล้องกับการใช้กาลังที่สอดคล้องกับประเภทภารกิจและพื้นที่ปฏิบัติการ การดาเนินการตาม<br />
พระราชบัญญัติว่าด้วยกาลังพลสารอง พ.ศ.๒๕๕๘ โดยมุ่งเน้นการใช้กาลังพลเพื่อทดแทนกาลังทหารประจาการได้ตั้งแต่ยามปกติ<br />
ตลอดจนการพัฒนาเครือข่ายและจัดตั้งกาลังประชาชนจากทุกภาคส่วน เพื่อสนับสนุนเจ้าหน้าที่ในการรักษาความมั่นคงภายในประเทศ<br />
และการสนับสนุนการปฏิบัติการทางทหารเมื่อจาเป็น<br />
๔.๒.๔ ควำมทันสมัย การปฏิบัติภารกิจของกองทัพบก ทั้งด้านการปฏิบัติการทางทหาร และการปฏิบัติการทางทหาร<br />
นอกเหนือจากสงคราม มีความจาเป็นที่จะต้องพัฒนาความรู้และขีดความสามารถของกาลังพลให้สอดคล้องกับสภาวะแวดล้อม เทคโนโลยี<br />
และระบบอาวุธยุทโธปกรณ์ที่พัฒนาปรับเปลี่ยนไป โดยพิจารณาด าเนินการในด้านหลักการและวิธีการปฏิบัติงานตามรูปแบบหลักนิยม/คู่มือ<br />
ราชการสนาม/การปฏิบัติทางเทคนิคซึ่งจะต้องมีการปรับปรุงและพัฒนาให้มีความทันสมัยและสอดคล้องกับรูปแบบการรบ รวมทั้งระบบ<br />
อาวุธและยุทโธปกรณ์ที่กองทัพบกจัดหาเข้าประจาการในห้วงเวลา โดยจะพิจารณาจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีความทันสมัยจานวนหนึ่ง<br />
เพื่อทดแทนของเดิมที่ล้าสมัย ในขณะเดียวกันจะต้องให้ความสาคัญกับส่วนที่สามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยการต่อยอดการวิจัยและพัฒนา<br />
จนนาไปสู่กระบวนการผลิตเพื่อนามาใช้งาน ภายใต้ระบบงานอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> ควบคู่กับการ<br />
ติดตามเทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายคอมพิวเตอร์ เพื่อช่วยให้การปฏิบัติภารกิจได้เปรียบฝ่ายตรงข้าม หรือสามารถตอบสนองต่อ<br />
ภัยคุกคามได้อย่างทันท่วงที เช่น ระบบควบคุมอุปกรณ์/เครื่องมือ โดยไม่ใช้คนขับ และการปฏิบัติการที่เชื่อมโยงบนเครือข่ายคอมพิวเตอร์<br />
หรือ Cyber Operations เป็นต้น<br />
87
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔.๒.๕ กำรพัฒนำระบบงำนเพื่อกำรบริหำรจัดกำรกองทัพบก เพื่อให้สอดคล้องกับแนวคิดตามประเด็นยุทธศาสตร์<br />
กองทัพบก ด้านการพัฒนาการบริหารจัดการทรัพยากรในการป้องกันประเทศ การพัฒนาหน่วยกาลังรบ หน่วยสนับสนุนการรบ และหน่วย<br />
ซึ่งปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงคราม จาเป็นที่จะต้องดาเนินการผ่านการสนับสนุนภายใต้การดาเนินงานอย่างเป็นระบบ ประกอบด้วย<br />
(๑) ระบบงานกาลังพล มีเป้าหมายเพื่อให้กองทัพบก<br />
มีการบรรจุกาลังพลในจานวนที่เหมาะสมกับภารกิจ การปฏิบัติงานด้าน<br />
ยุทธการ ภายใต้กรอบงบประมาณที่ได้รับการจัดสรร รวมทั้งเพื่อให้กาลังพล<br />
ของกองทัพบกมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีระบบสวัสดิการเป็นที่ยอมรับ ตลอดจน<br />
การดูแลในเรื่องสิทธิต่างๆ ให้มีความเหมาะสม<br />
(๒) ระบบงานการข่าวกรอง มีเป้าหมาย<br />
ในการพัฒนาและปรับปรุงระบบงาน เพื่อพัฒนาระบบงานข่าวกรองของ<br />
กองทัพบกให้เหมาะสมกับการปฏิบัติการทางทหาร และการปฏิบัติการทาง<br />
ทหารนอกเหนือจากสงคราม ให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น<br />
(๓) ระบบการควบคุมบังคับบัญชาและไซเบอร์<br />
มีเป้าหมายในการพัฒนาและปรับปรุงระบบงาน เพื่อให้กองทัพบกเป็น<br />
กองทัพที่มีความพร้อม มีศักยภาพ และทันสมัย ในด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
และการสื่อสาร ตลอดจนการปฏิบัติการด้านไซเบอร์ (Cyber Operations)<br />
และการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network Centric<br />
Operations : NCO)<br />
88
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
(๔) ระบบงานการฝึก มีเป้าหมายเพื่อปรับปรุงพัฒนา<br />
หลักสูตรการฝึกและพัฒนาหลักนิยมการรบ ให้มีความทันสมัย เพื่อเสริมสร้างความ<br />
สัมพันธ์อันดีและความร่วมมือทางทหารกับเหล่าทัพอื่น และกองทัพมิตรประเทศ<br />
บนพื้นฐานของการได้รับประโยชน์ร่วมกัน (Mutual Benefits)<br />
(๕) ระบบงานการศึกษาทางทหาร มีเป้าหมายเพื่อ<br />
พัฒนาและปรับปรุงระบบการศึกษาทางทหารของกองทัพบกให้มีมาตรฐานทั้งด้าน<br />
การจัดการเรียนการสอน และการประเมินผล เพื่อให้สามารถแต่งตั้งโยกย้ายก าลังพล<br />
ได้ตรงตามระดับความรู้ความสามารถที่กาหนดไว้ ตามระบบหมายเลขความชานาญ<br />
การทางทหาร<br />
(๖) ระบบงานส่งกาลังบารุง มีเป้าหมายเพื่อให้กองทัพบก<br />
มีระบบส่งกาลังบารุงที่มีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และเหมาะสมกับสภาพแวดล้อม<br />
และโครงสร้างด้านการส่งกาลังบารุงที่จะเปลี่ยนแปลงไปในอนาคต ตลอดจนการ<br />
พัฒนาไปสู่การนาระบบเทคโนโลยีสารสนเทศเข้ามาช่วยในการจัดทาฐานข้อมูล<br />
(๗) ระบบงานกิจการพลเรือน มีเป้าหมายเพื่อให้กองทัพบก<br />
สามารถดาเนินการเพื่อปกป้อง เทิดทูน และพิทักษ์รักษาสถาบันหลักของชาติ<br />
และการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขได้<br />
อย่างสมพระเกียรติ และการใช้หน่วยงานทหารเพื่อสนับสนุนรัฐบาล และเพื่อการ<br />
ช่วยเหลือประชาชนในด้านต่างๆ<br />
(๘) ระบบงานการสรรพกาลังและกาลังพลสารอง<br />
มีเป้าหมายเพื่อจัดเตรียมกาลังพลสารองที่มีคุณภาพ และสามารถปฏิบัติการร่วมกับ<br />
กาลังประจาการ (ทหารประจาการและทหารกองประจาการ) ได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
และเพื่อให้การระดมสรรพกาลังเพื่อการทหารมีความทันสมัย สอดคล้องกับ<br />
ยุทธศาสตร์และนโยบายการเตรียมพร้อมแห่งชาติ ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศ<br />
แผนผนึกกาลังและทรัพยากรเพื่อการป้องกันประเทศ ตลอดจนแผนระดมสรรพ<br />
กาลังเพื่อการทหารของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>และกองบัญชาการกองทัพไทย<br />
(๙) ระบบงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร<br />
มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาและบูรณาการโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและ<br />
การสื่อสารข้อมูลที่ทั่วถึง พอเพียงและคุ้มค่า และพัฒนาระบบความมั่นคงปลอดภัย<br />
เพื่อให้การจัดเก็บและแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารมีความปลอดภัย เชื่อถือได้ พร้อมกับ<br />
พัฒนาระบบสารองเพื่อให้สามารถปฏิบัติงานได้อย่างต่อเนื่องตลอดเวลา<br />
89
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
(๑๐) ระบบงานวิจัยและพัฒนาทางทหาร<br />
มีเป้าหมายเพื่อให้การวิจัยและพัฒนาการทางทหารกองทัพบกเป็นไปอย่าง<br />
มีประสิทธิภาพ ได้ผลงานวิจัยที่สามารถพัฒนาขีดความสามารถของ<br />
กองทัพบกให้มีความพร้อมรบ ความต่อเนื่องในการรบ และความทันสมัย<br />
บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง<br />
(๑๑) ระบบงานสารบรรณ มีเป้าหมายเพื่อ<br />
ให้กองทัพบกมีระบบงานสารบรรณที่มีประสิทธิภาพ มีการใช้ระบบ<br />
เทคโนโลยีสารสนเทศในการจัดเก็บฐานข้อมูลกาลังพลของกองทัพบก<br />
เพื่อนามาใช้ในงานธุรการกาลังพล สิทธิกาลังพล ได้แก่ บาเหน็จความชอบ<br />
การขอพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์ และบานาญพิเศษ บาเหน็จ<br />
ตกทอด บาเหน็จบานาญ<br />
(๑๒) ระบบงานกฎหมายและกระบวนการ<br />
ยุติธรรมทหาร มีเป้าหมายเพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับกาลังพลด้าน<br />
กฎหมายที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงและการปฏิบัติการทางทหาร<br />
รวมทั้งจัดระบบงานกฎหมาย และสนับสนุนกระบวนการยุติธรรมให้มี<br />
ความเหมาะสม สามารถอานวยความยุติธรรมได้อย่างรวดเร็ว<br />
(๑๓) ระบบงานงบประมาณและการเงิน<br />
มีเป้าหมายเพื่อให้กองทัพบกมีการจัดทางบประมาณให้สอดคล้องกับ<br />
นโยบายด้านงบประมาณประจา<strong>ปี</strong>ของกองทัพ โดยมุ่งเน้นให้มีความ<br />
เชื่อมโยงกันทั้งระบบ ตั้งแต่ระดับชาติ ระดับกระทรวง และระดับหน่วยงาน<br />
สามารถประเมินผลได้ตามตัวชี้วัด รวมทั้งพัฒนาระบบสารสนเทศเพื่อ<br />
เชื่อมโยงข้อมูลระบบงบประมาณได้ทั้งระบบ ตั้งแต่หน่วยปฏิบัติจนถึง<br />
หน่วยกาหนดนโยบาย<br />
(๑๔) ระบบงานการตรวจสอบและประเมินผล<br />
มีเป้าหมายเพื่อให้การบริหารราชการของกองทัพบกสามารถบรรลุ<br />
เป้าหมายตามหลักเกณฑ์และวิธีการบริหารจัดการบ้านเมืองที่ดีและ<br />
หลักธรรมาภิบาล รวมทั้งจัดให้มีระบบการตรวจสอบและประเมินผล<br />
ที่ถูกต้อง มีความโปร่งใส<br />
90
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
(๑๕) ระบบงานวิเทศสัมพันธ์ มีเป้าหมายเพื่อให้การด าเนินงานด้านวิเทศสัมพันธ์ของกองทัพบกมีความสอดคล้อง<br />
กับแนวนโยบายด้านการต่างประเทศของหน่วยเหนือ รวมถึงการมุ่งพัฒนาและเสริมสร้างให้สานักงานผู้ช่วยทูตฝ่ายทหารไทย/ต่างประเทศ<br />
เป็นกลไกหลักในการดารงความสัมพันธ์และขยายความร่วมมือทางทหารกับมิตรประเทศ เพื่อสร้างเครือข่ายความร่วมมือทางทหาร และ<br />
เป็นไปตามหลักการปฏิบัติการทูตทหารสากล<br />
(๑๖) ระบบงานความร่วมมือทางทหารระหว่างประเทศ มีเป้าหมายเพื่อให้การจัดท าข้อตกลงเกี่ยวกับความร่วมมือ<br />
ด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ เป็นไปตามหลักเกณฑ์และขั้นตอนการดาเนินงานที่<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>กาหนด สอดคล้องกับนโยบาย<br />
ของหน่วยเหนือ โดยกาหนดให้มีหน่วยงานหรือกลไกในการบูรณาการแผนงาน และหน่วยประสานงานและติดตามประเมินผลการปฏิบัติ<br />
ที่ชัดเจน และมีระบบฐานข้อมูลพื้นฐานด้านความสัมพันธ์ทางทหารระหว่างประเทศ และงานเสริมสร้างความร่วมมือกับมิตรประเทศของ<br />
กองทัพบก<br />
91
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
(๑๗) ระบบงานการบินทหารบก<br />
มีเป้าหมายเพื่อพัฒนาระบบงานการบินทหารบกให้มีมาตรฐาน<br />
และมีประสิทธิภาพ ทั้งมาตรฐานด้านการบินให้เป็นที่ยอมรับ<br />
ทั้งในประเทศและระดับสากล และมาตรฐานของการปฏิบัติการ<br />
ทางยุทธวิธีที่สามารถรองรับภารกิจการป้องกันประเทศ ภารกิจ<br />
การปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงคราม และภารกิจอื ่นๆ<br />
ที่ได้รับมอบ<br />
๔.๒.๖ กำรพัฒนำบุคลำกร กองทัพบกให้ความสาคัญต่อการบรรจุกาลังพลทุกระดับ เพื่อให้มั่นใจว่ากาลังพลทุกนายของกองทัพบก<br />
จะเป็นกาลังพลที่มีประสิทธิภาพ มีความรู้ความสามารถ ก้าวทันเทคโนโลยี มีทักษะ บุคลิกลักษณะและทัศนคติตรงกับความต้องการ<br />
ของกองทัพบก และมีจานวนเพียงพอต่อการปฏิบัติงานที่ได้รับมอบหมาย และสืบเนื่องจากกองทัพบกได้รับมอบภารกิจที่มีความหลากหลาย<br />
ดังนั้น กาลังพลของกองทัพบกจะต้องเป็น “Smart<br />
Soldier”กล่าวคือจะต้องเป็นผู้ที่มีความรู้<br />
และทักษะที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติงาน<br />
ในหน้าที่ รวมทั ้งต้องมีสุขภาพร่างกายที่<br />
แข็งแรง กองทัพบกจึงได้กาหนดให้มีโครงการ<br />
สร้างเสริมสมรรถภาพร่างกาย และสนับสนุน<br />
ให้กาลังพลตระหนักถึงประโยชน์ของการดูแล<br />
รักษาสุขภาพ เพื่อให้มีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง<br />
พร้อมปฏิบัติงานตามภารกิจที่ได้รับมอบหมาย<br />
อย่างมีประสิทธิภาพ มีลักษณะทหารเข้มแข็ง<br />
สง่าผ่าเผย เป็นที่เลื่อมใส และเป็นแบบอย่างที่ดี<br />
แก่บุคคลทั่วไป โดยส่งเสริมให้กาลังพลออกกาลังกาย<br />
ตามรูปแบบที ่เหมาะสมกับช่วงอายุเป็นประจา<br />
อย่างต่อเนื่อง<br />
92
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔.๒.๗ กำรบริกำรและสวัสดิกำร เนื่องจากขวัญและกาลังใจของกาลังพลเป็นปัจจัยที่มีความสาคัญต่อการปฏิบัติหน้าที่<br />
กองทัพบกจึงจัดให้มีกิจกรรมด้านการบริการและสวัสดิการต่างๆ เพื่อตอบสนองความต้องการพื้นฐาน เสริมสร้างขวัญและกาลังใจของ<br />
กาลังพล อาทิ<br />
- ร้านค้าสวัสดิการ เพื่อจาหน่ายสินค้าราคาถูก<br />
- สโมสรและสถานที่ออกกาลังกาย เพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง<br />
- ทุนการศึกษาบุตร เพื่อแบ่งเบาภาระของกาลังพลชั้นผู้น้อย<br />
- สถานพักฟื้นตากอากาศ เพื่อผ่อนคลายความตึงเครียด<br />
- สถานที่รักษาพยาบาล เพื่อดูแลกาลังพลที่เจ็บป่วย<br />
- ห้องสมุด เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้และการศึกษานอกระบบ<br />
- การช่วยเหลือกาลังพลของกองทัพบกที่ปลดพิการทุพพลภาพ และครอบครัวกาลังพลตามโครงการจ้างงาน<br />
คนพิการ<br />
- การพัฒนาระบบจัดการด้านที่พักอาศัย และสภาพแวดล้อมในหน่วยทหาร<br />
- การพัฒนากระบวนการงบประมาณด้านกาลังพล<br />
- การพัฒนาบุคลากรทหารกองประจาการและทหารกองหนุน<br />
93
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔.๓ กองทัพเรือ<br />
กองทัพเรือมุ ่งเน้นภารกิจในการรักษาความมั่นคง ทั้งในเรื่องของการเตรียมกาลังกองทัพเรือและป้องกันราชอาณาจักร<br />
การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การสนับสนุนการรักษาความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยภายในประเทศและการพัฒนาประเทศ<br />
โดยบทบาทของกองทัพเรือในอนาคตยังคงมีบทบาททั้งด้านการรบ และบทบาทที่มิใช่การรบ ๓ บทบาท ดังนี้<br />
๑) บทบาทในด้านการปฏิบัติการทางทหาร (Military Role) เป็นบทบาทในการปฏิบัติการทางเรือ และการปฏิบัติการทางบก<br />
เพื่อป้องกันประเทศในรูปแบบต่างๆ ตามสถานการณ์ที่กระทบต่ออานาจอธิปไตยและเอกราชของประเทศ ซึ่งจาเป็นต้องใช้กาลังทางเรือ<br />
ที่เข้มแข็งปฏิบัติการตอบสนองสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วด้วยความเฉียบขาด รุนแรง และเด็ดขาดมีอานาจเหนือพื้นที่การรบ และมีความ<br />
ต่อเนื่องในการปฏิบัติการ<br />
94
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๒) บทบาทในด้านการรักษากฎหมายและช่วยเหลือ (Constabulary and Benign Role) เป็นบทบาทในการรักษา<br />
ผลประโยชน์ของชาติทางทะเล การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การรักษากฎหมายตามที่รัฐบาลมอบอานาจให้ทหารเรือ<br />
เป็นเจ้าหน้าที่ ๒๙ ฉบับ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม และการบรรเทาสาธารณภัยแก่ประชาชน รวมทั้งสนับสนุน<br />
การพัฒนาประเทศในด้านต่างๆ เช่น การวิจัยและพัฒนาเพื่อพึ่งพาตนเอง<br />
๓) บทบาทในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (Diplomatic Role) คือ การใช้กาลังทางเรือในการสนับสนุนการดาเนิน<br />
นโยบายด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของรัฐบาลเพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องปราม และใช้แสดงกาลังเพื่อสนับสนุนการเจรจาต่อรอง<br />
เมื่อมีการขัดกันในผลประโยชน์ของชาติหรือเหตุการณ์วิกฤติที่กระทบต่อผลประโยชน์ของชาติโดยตรง<br />
95
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ตามสภาพทางภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) ประเทศไทยตั้งอยู่บนเส้นทางคมนาคมที่สาคัญของโลก โดยมีความยาวชายฝั่งด้าน<br />
อ่าวไทยมากกว่า ๑,๐๐๐ ไมล์ทะเล ด้านทะเลอันดามันประมาณ ๕๘๐ ไมล์ มีพื้นที่อาณาเขตทางทะเล พื้นที่ทางทะเลของประเทศไทย<br />
ไม่น้อยกว่า ๓๒๓,๔๘๘.๓๒ ตารางกิโลเมตร ซึ่งหมายรวมไปถึงเขตเศรษฐกิจ ที่ครอบคลุมพื้นที่ถัดจากอาณาเขตบนฝั่งไป ๒๐๐ ไมล์<br />
ทะเล ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒ ก่อให้เกิดผลประโยชน์ของชาติทางทะเลในส่วนที่สามารถวัดเป็น<br />
มูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า ๒๔ ล้านล้านบาทต่อ<strong>ปี</strong> ประกอบด้วย ทรัพยากรก๊าซธรรมชาติและน้ามันในทะเล ทรัพยากรสัตว์น้าและ<br />
พืชพันธุ์ในทะเล เส้นทางคมนาคมทางทะเลที่เป็นเส้นทางหลักของประเทศในการนาเข้า – ส่งออกสินค้าและพลังงานมูลค่าของสินค้าและ<br />
การประกอบกิจการเดินเรือพาณิชย์และเรือประมง และ<br />
อุตสาหกรรมต่อเนื่องที่ใช้ทรัพยากรทางทะเลเป็นวัตถุดิบที่<br />
สาคัญ ฐานขุดเจาะน้ามันและก๊าซธรรมชาติในทะเล ท่าเรือ<br />
พาณิชย์และระบบเชื่อมโยงที่เกี่ยวเนื่องกับกิจการทางทะเล<br />
รวมทั้งมูลค่าของการดาเนินกิจการภาคบริการและการ<br />
ท่องเที่ยวที่อาศัยทะเล ทรัพยากรใต้ทะเล เกาะแก่ง และชายฝั่ง<br />
และส่วนที่สามารถวัดเป็นมูลค่าทางเศรษฐกิจ อาทิ อานาจ<br />
อธิปไตย บูรณภาพแห่งดินแดน สิทธิอธิปไตย และเขตอานาจ<br />
ของชาติทางทะเล ความมั่นคง ความสงบเรียบร้อย ความ<br />
ปลอดภัย และการมีสภาวะแวดล้อมที่เอื้อต่อการใช้ประโยชน์<br />
และการดาเนินกิจกรรมทางทะเล รวมทั้งการมีเกียรติ ศักดิ์ศรี<br />
และเป็นที่ยอมรับในประชาคมระหว่างประเทศด้านกิจกรรม<br />
ทางทะเล<br />
96
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ซึ่งจากการประเมินสภาวะแวดล้อมด้านความมั่นคงในทศวรรษหน้า โอกาสในการเกิดการใช้กาลังทหารระหว่างกันในภูมิภาค<br />
ยังคงมีความเป็นไปได้ จากพื้นฐานปัจจุบันที่ประเทศไทยยังมีปัญหาความขัดแย้งด้านอาณาเขตพื้นที่ส าคัญทางประวัติศาสตร์ในหลายพื้นที่<br />
กับประเทศรอบบ้าน และยังคงมีการกล่าวถึงการแข่งขันกันเสริมสร้างกาลังทหาร (Arm Race) ในภูมิภาคเพื่อดูแลผลประโยชน์ของชาติตน<br />
รวมไปถึงการพัฒนาทางเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่องตามกระแสการค้าเสรี ซึ่งทาให้เกิดการแย่งชิงทรัพยากร โดยมีแนวโน้มในการแสวงหา<br />
ทรัพยากรจากทะเลเพิ่มมากขึ้นเนื่องจากทรัพยากรที่หาได้จากทางบกเริ่มขาดแคลน อันส่งผลให้ประเทศต่างๆ เร่งพัฒนาศักยภาพของ<br />
ชาติในการใช้ประโยชน์ทางทะเลอย่างต่อเนื่อง ตลอดจนพยายามที่จะครอบครองพื้นที่ในทะเลมากยิ่งขึ้น โดยเฉพาะในพื้นที่อ้างสิทธิ<br />
ทับซ้อนทางทะเลที่ยังไม่สามารถตกลงกันได้ ซึ่งอาจเป็นต้นเหตุที่สาคัญอีกประการหนึ่งที่จะก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศต่อไป<br />
ในขณะเดียวกันปัญหาความมั่นคงทางทะเลในภูมิภาคจะมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้นตามการพัฒนาทางเศรษฐกิจ จากการรวมตัวของประชาคม<br />
อาเซียนและการเข้ามามีบทบาทของประเทศมหาอานาจ รวมไปถึงผลกระทบจากสถานการณ์ความมั่นคงในภูมิภาค เช่น กรณีพิพาทเกี่ยวกับ<br />
อาณาเขตทางทะเลในพื้นที่ทะเลจีนใต้ การขยายตัวของโครงการ One Belt One Road ปัญหาความตึงเครียดในคาบสมุทรเกาหลีเนื่องจาก<br />
ภัยคุกคามในโจรสลัดและการปล้นเรือโดยใช้อาวุธ ตลอดจนปัญหาการทาผิดกฎหมายในทะเล เช่น ปัญหาการหลบหนีเข้าเมือง การค้า<br />
มนุษย์ การลักลอบขนของหนีภาษี การค้าอาวุธสงคราม อาชญากรรมข้ามชาติ การทาการประมงรุกล้าน่านน้า และการลักลอบขนยาเสพติด<br />
ซึ่งปัญหาดังกล่าวมีแนวโน้มจะรุนแรงและซับซ้อนมากขึ้น<br />
97
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ดังนั้น กองทัพเรือในฐานะหน่วยงานหลักในการปกป้องรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลดังกล่าว จึงมีภารกิจที่ส าคัญและ<br />
ท้าทายอย่างยิ่งในการรักษาความมั่นคงทางทะเลเพื่อเป็นหลักประกันการได้มาซึ่งผลประโยชน์ของชาติทางทะเลและความเจริญก้าวหน้า<br />
ทางเศรษฐกิจของประเทศ โดยต้องพัฒนาศักยภาพและขีดความสามารถให้มีความพร้อมทั้งในส่วนของกาลังทางเรือ ระบบสนับสนุน<br />
รวมทั้งอุตสาหกรรมเพื่อการป้องกันประเทศที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นระบบ บนพื้นฐานของการพึ่งพาตนเอง ซึ่งได้มีการกาหนดแนวทาง<br />
การสร้างความมั่นคงของชาติทางทะเล ตามแนวคิดระดับยุทธศาสตร์ว่า “ปฏิบัติการสองฝั่งมหาสมุทรและสามพื้นที่ปฏิบัติการ” หรือ<br />
“Two Oceans and Three Areas (OOAAA/Double O Triple A)” โดย Two Oceans มองถึงพื้นที่ปฏิบัติการในอนาคตที่เปลี่ยนแปลง<br />
98
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ไปตามบริบทของผลประโยชน์ของชาติทางทะเลที่มิได้หยุดอยู ่เพียงแค่อาณาเขตทางทะเลของไทย แต่แผ่ขยายไปทั่วโลกในพื้นที่<br />
ที่ผลประโยชน์ของชาติไปถึง สาหรับ Three Areas เป็นแนวคิดในการเสริมสร้างกาลังของทัพเรือภาค ให้ขีดความสามารถและเครื่องมือ<br />
ที่เพียงพอ ที่พร้อมปฏิบัติภารกิจตั้งแต่ในยามปกติ โดยกองทัพเรือได้กาหนดกรอบแนวคิดตามยุทธศาสตร์กองทัพเรือ ระยะ ๒๐ <strong>ปี</strong><br />
ที่สอดคล้องและรองรับตามแนวทางของยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ประกอบด้วย<br />
๔.๓.๑ กำรเสริมสร้ำงควำมร่วมมือด้ำนควำมมั่นคงทำงทะเล (Enhance Maritime Security Cooperation) ทั้งใน<br />
ระดับหน่วยงานภายในประเทศและภูมิภาค โดยเป็นเครื่องมือในการดาเนินนโยบายระหว่างประเทศในการสร้างความสัมพันธ์ทางทหาร<br />
กับประเทศต่างๆ และเป็นการแก้ปัญหาเชิงรุกก่อนเกิดความขัดแย้ง หรือสามารถควบคุมสถานการณ์ได้ทันเวลาเมื่อเกิดความขัดแย้ง<br />
ขึ้น ซึ่งมาตรการดังกล่าวจะต้องอยู่บนพื้นฐานของความมีเกียรติและศักดิ์ศรีในเวทีระหว่างประเทศ รวมทั้งผลประโยชน์ที่ประเทศจะได้<br />
รับผ่านการดาเนินกิจกรรมในระดับนโยบาย ได้แก่ การประชุมสัมมนาตามกรอบความร่วมมือด้านความมั่นคงทางทะเลระดับต่างๆ<br />
ทั้งในลักษณะพหุภาคี ตามกรอบความร่วมมือของอาเซียน ภูมิภาคมหาสมุทรแปซิฟิกตะวันตก มหาสมุทรอินเดีย และในลักษณะทวิภาคี<br />
กับกองทัพเรือประเทศเพื่อนบ้านและมิตรประเทศ รวมทั้งการเยือนของผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพเรือ และในระดับการปฏิบัติ<br />
ได้แก่ การประชุมสัมมนา การปฏิบัติการและการฝึกร่วม ร่วม/ผสม การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางทะเลเพื่อเสริมสร้างการตระหนักรู้<br />
และเท่าทันสถานการณ์ทางทะเลในภูมิภาคร่วมกับหน่วยงานด้านการข่าวและกองทัพเรือมิตรประเทศ โดยเน้นการส่งเสริมบทบาทของ<br />
กองทัพไทยในเวทีนานาชาติซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ กองทัพเรือ ที่ตั้งเป้าหมายในการเป็นหน่วยงานด้านความมั่นคงทางทะเลที่มีบทบาทน า<br />
ในระดับภูมิภาค ภายใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๖๗<br />
99
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔.๓.๒ กำรป้องปรำม (Deterrence) โดยใช้แนวคิดที่จะยับยั้งความตั้งใจในการคุกคามของฝ่ายตรงข้าม ด้วยการจัดหา<br />
กาลังรบที่มีความทันสมัย สอดคล้องกับการพัฒนาด้านเทคโนโลยีเข้าประจาการโดยมีขีดความสามารถที่สมดุลกับกาลังรบในภูมิภาคและ<br />
เพียงพอในการรักษาความมั่นคงของชาติทั้งในยามสงบและยามสงคราม ตลอดจนรองรับการปฏิบัติการร่วมเหล่าทัพเพื่อทวีกาลัง (Force<br />
Multiplier) ของกาลังรบให้เกิดศักยภาพสูงสุดโดยสามารถเผชิญกับภัยคุกคามในทุกมิติได้อย่างครอบคลุม ในขณะเดียวกัน กาลังดังกล่าว<br />
ยังสามารถนาไปใช้สนับสนุนการดาเนินนโยบายรัฐบาลในลักษณะต่างๆ สามารถปฏิบัติการอเนกประสงค์ (Multiple Operations)<br />
ในลักษณะของกิจที่ต้องปฏิบัติที่มีความหลากหลายทั้งการใช้กาลังในลักษณะที่ใช้อาวุธและไม่ใช้อาวุธ (Combat & Non-Combat<br />
Operations) และปรับเปลี่ยนการปฏิบัติภารกิจจากลักษณะหนึ่งไปอีกลักษณะหนึ่งได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะจากการใช้กาลังทางทหาร<br />
นอกเหนือการทาสงคราม (Military Operation Other Than War : MOOT WAR) ไปสู่การปฏิบัติการทางทหารในการทาสงคราม<br />
(War Fighting)<br />
100
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ซึ่งกองทัพเรือจะดาเนินโครงการจัดหายุทโธปกรณ์ตามแนวทางการเสริมสร้างกาลังรบและดารงขีดความสามารถตาม<br />
ยุทธศาสตร์กองทัพเรือ ระยะ ๒๐ <strong>ปี</strong> โดยให้ความสาคัญกับการพัฒนากาลังทางเรือ ในขีดความสามารถการปฏิบัติการใต้น้า การรบผิวน้า<br />
การป้องกันภัยทางอากาศ การตรวจการณ์ การปฏิบัติการระยะไกล และความต่อเนื่องในการปฏิบัติการ ขีดความสามารถสาหรับสงคราม<br />
ที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network Centric Warfare : NCW) ขีดความสามารถด้านสงครามไซเบอร์ ระบบอาวุธป้องกันฝั่งและป้องกัน<br />
ภัยทางอากาศ และระบบการติดตามภาพสถานการณ์และแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารทางทะเล รวมถึงการพัฒนาสิ่งอานวยความสะดวก<br />
ฐานทัพท่าเรือ เพื่อให้กองทัพเรือมีดุลกาลังรบที่เหมาะสมกับประเทศในภูมิภาค<br />
101
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทั้งนี้ ในห้วงทศวรรษหน้า จะเป็นการจัดหาเพื่อดารงสภาพความพร้อมรบของยุทโธปกรณ์ที ่มีอยู่และจัดหาให้ครบตาม<br />
ความต้องการทางยุทธศาสตร์ ประกอบด้วย เรือดาน้า เรือฟริเกตสมรรถนะสูง เรือตรวจการณ์ระยะไกล เรือตรวจการณ์ระยะปานกลาง<br />
อากาศยานตรวจการณ์ทางทะเล การพัฒนาระบบการติดตามภาพสถานการณ์ทางทะเลให้ครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการ ตลอดจนการ<br />
ปรับปรุงสิ่งอานวยความสะดวกด้านทะเลอันดามันเพื่อรองรับการปฏิบัติการทางเรือตามแนวคิดทางยุทธศาสตร์โดยดาเนินการควบคู่ไปกับ<br />
การวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์เพื่อเสริมสร้างขีดความสามารถและดารงสภาพความพร้อมรบของกองทัพเรือที่ใช้นวัตกรรมเพื่อการพึ่งพา<br />
ตนเอง และนาไปสู ่การสายการผลิตอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป โดยที่ผ่านมากองทัพเรือได้มุ ่งเน้นการสร้างผลงานวิจัยที่ตรงความต้องการ<br />
102
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทางยุทธการ สามารถนาไปใช้งานได้จริง รองรับ<br />
เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง และมีมาตรฐาน โดยมีการนา<br />
ผลงานการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์มาใช้ประโยชน์<br />
อย่างต่อเนื่อง ไม่ต่ากว่า ๒๐ โครงการ เช่น ระบบควบคุม<br />
บังคับบัญชาแบบพกพา อากาศยานไร้นักบินขึ้นลงทางดิ่ง<br />
แบบนารายณ์ เสื้อเกราะกันกระสุนแบบลอยน้าได้ และ<br />
อยู่ระหว่างการดาเนินโครงการที่สาคัญ เช่น เรือไร้คนขับ<br />
สนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของหน่วยบัญชาการนาวิก<br />
โยธิน อากาศยานไร้นักบินขึ้นลงทางดิ่งแบบ FUVEC<br />
เรือดาน้าขนาดเล็ก (Midget Submarine) เป็นต้น<br />
๔.๓.๓ กำรป้องกันเชิงรุก (Active Defense) ซึ่งเป็นยุทธศาสตร์ขั้นสุดท้ายในการแก้ปัญหาโดยใช้ยุทโธปกรณ์ และกาลังทาง<br />
เรือดาเนินการเมื่อไม่สามารถแก้ปัญหาได้ด้วยยุทธศาสตร์เชิงป้องปรามได้ ด้วยการปฏิบัติการของกาลังที่มีขนาดเหมาะสมแก่สถานการณ์<br />
เพื่อไม่ให้สถานการณ์ขยายตัวจนไม่สามารถควบคุมได้ และอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายระหว่างประเทศและความชอบธรรมของ<br />
ประชาคมโลก โดยมุ่งเน้นการเป็นหน่วยกาลังที่เป็นเครือข่าย และมีความคล่องตัวในการปรับเปลี ่ยนภารกิจและเข้าใจภาพสถานการณ์<br />
103
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทางทะเล (Net and Agile Force, Maritime Domain Understanding) ตลอดจนมีความพร้อมที่จะเข้าดาเนินการต่อกาลังฝ่ายตรงข้าม<br />
ได้ทันท่วงทีในทุกพื้นที่ (Assured Engagement) ซึ่งต้องมีการเตรียมความพร้อมไว้ตั้งแต่ภาวะปกติ โดยมีแนวทางการใช้กาลังตาม<br />
แนวความคิดการปฏิบัติการเชิงรุกของกองทัพเรือในการตอบสนองอย่างรวดเร็ว (Quick Response) ต่อสถานการณ์ที่มีผลกระทบต่อ<br />
ผลประโยชน์ของชาติทั้งในยามปกติและยามสงครามได้อย่างทันท่วงที โดยต้องรู้เท่าทันสถานการณ์ (Situation Awareness) และมีกาลัง<br />
พร้อมเผชิญสถานการณ์ (Respondent Forces) เพื่อคงความริเริ่มในการปฏิบัติการไว้ตลอดเวลา การมีอานาจเหนือพื้นที่การรบ (Battle<br />
Space Dominance) เพื่อให้ได้มาซึ่งการควบคุมทะเล และปฏิเสธการใช้ทะเล อีกทั้งต้องคงความต่อเนื่องในการปฏิบัติการ (Sustained<br />
Operations) ไว้ได้จนบรรลุภารกิจนอกจากนั้นตามยุทธศาสตร์กองทัพเรือ ระยะ ๒๐ <strong>ปี</strong> ได้มีการตรวจสอบและประเมินสภาวะแวดล้อม<br />
ด้านความมั่นคง เพื่อวิเคราะห์ถึงแนวโน้ม แรงบังคับ ภัยคุกคาม โอกาส ปัญหา/อุปสรรค และแนวทางปฏิบัติตามวัตถุประสงค์เฉพาะต่างๆ<br />
เพื่อใช้เป็นกรอบแนวทางปฏิบัติของกองทัพในอนาคตที่สาคัญ ประกอบด้วย<br />
ในส่วนของการป้องกันและปราบปรามการกระทาผิดกฎหมายทางทะเล โดยดาเนินการปรับตัวของกลไกด้านการบังคับใช้<br />
กฎหมายทางทะเล โดยปรับปรุงโครงสร้างของศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล ยกระดับเป็นศูนย์<br />
อานวยการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเลขึ้นตรงต่อสานักนายกรัฐมนตรี เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์ความมั่นคงระหว่างประเทศ<br />
และตอบรับกับภัยคุกคามรูปแบบใหม่ ที่เกินขีดความสามารถของหน่วยงานความมั่นคงใดจะดาเนินการได้โดยลาพังและจาเป็นต้องมีการ<br />
104
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
บูรณาการการปฏิบัติงานร่วมกันในการแก้ปัญหาความซ้ าซ้อนของอานาจหน้าที่ที่ได้รับตามกฎหมาย พื้นที่รับผิดชอบ และรองรับภารกิจตาม<br />
แผนความมั่นคงแห่งชาติทางทะเล พ.ศ.๒๕๕๘ - ๒๕๖๔ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างขั้นตอนการเสนอพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์<br />
ของชาติทางทะเล พ.ศ. ... ซึ่งกองทัพเรือร่วมกับหน่วยงานต่างๆ ในศูนย์ประสานการปฏิบัติในการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล<br />
(ศรชล.) ได้เตรียมการรองรับในด้านต่างๆ เพื่อให้เกิดความพร้อมเมื่อร่างพระราชบัญญัติการรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล<br />
พ.ศ. .... มีผลบังคับใช้เป็นกฎหมาย ทั้งในการพิจารณาโครงสร้างการจัดส่วนราชการ อัตรากาลังพล และแนวทางการบรรจุกาลังพล<br />
การจัดทากฎระเบียบ ข้อบังคับ คาสั่ง ระเบียบการปฏิบัติประจา และคู่มือการปฏิบัติงาน รองรับการปฏิบัติการการจัดทานโยบายและ<br />
แผนปฏิบัติราชการสาหรับใช้ในการบริหารงานภายในอย่างเป็นรูปธรรม<br />
สาหรับการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งสถานการณ์ที่ยังคงมีแนวโน้มยืดเยื้อต่อเนื ่อง และมี<br />
ความซับซ้อนเชื่อมโยงกับปัญหาต่างๆ ทั้งกลุ่มผู้มีอิทธิพลในพื้นที่ การดาเนินธุรกิจผิดกฎหมายและการค้ายาเสพติด โดยกองทัพเรือยังคง<br />
ดารงความพร้อมในการจัดกาลังสนับสนุนการรักษาความสงบเรียบร้อยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ในพื้นที่รับผิดชอบของกองทัพเรือ<br />
ทั้งการรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินให้กับประชาชน และการปฏิบัติการจิตวิทยาและมวลชนสัมพันธ์ในพื้นที ่อย่างต่อเนื ่อง<br />
ตลอดจนได้มีการจัดตั้งกรมทหารพรานนาวิกโยธินในการใช้กาลังประจาถิ่นปฏิบัติภารกิจทดแทนกาลังรบหลักที่มาจากนอกพื้นที่ในการ<br />
แก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ตามนโยบายของรัฐบาล และกองอานวยการรักษาความมั่นคงภายใน<br />
105
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ในขณะที่การรักษาความมั่นคงและสงบเรียบร้อยภายในประเทศ ยังคงมีแนวโน้มของการเกิดสถานการณ์ความขัดแย้งและการ<br />
เคลื่อนไหวทางการเมืองที่มุ่งหวังในการแสวงประโยชน์ โดยใช้การปลุกระดมและปลูกฝังอุดมการณ์ที่บิดเบือนจากหลักการประชาธิปไตย<br />
อันส่งผลกระทบต่อโครงสร้างทางสังคม หลักนิติธรรมและนิติรัฐ และศีลธรรมอันดีของสังคมไทย ซึ่งยังคงมีโอกาสที่กลุ่มผู้ไม่หวังดีที่อาศัย<br />
จังหวะในการสร้างสถานการณ์ความแตกแยกและการเผชิญหน้าของประชาชนที่มีอุดมการณ์ทางการเมืองที่แตกต่างกัน โดยกองทัพเรือ<br />
ยังคงดารงความพร้อมในการปฏิบัติ ในการจัดกาลังสนับสนุนการรักษาความสงบเรียบร้อยและการดาเนินงานตามนโยบายของรัฐบาล<br />
คณะรักษาความสงบแห่งชาติ ตลอดจนตามกรอบการดาเนินงานของคณะกรรมการบริหารราชการแผ่นดินตามกรอบการปฏิรูปประเทศ<br />
ยุทธศาสตร์ชาติ และการสร้างความสามัคคีปรองดองอย่างต่อเนื่อง<br />
๔.๔ กองทัพอำกำศ<br />
การพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพอากาศคานึงถึงความสอดคล้องกับธรรมชาติ คุณลักษณะ และข้อจากัดของกาลัง<br />
ทางอากาศ รวมทั้งทรัพยากรที่มีในครอบครอง เทคโนโลยีที่ใช้งานและพันธมิตร โดยมุ่งหวังที่จะสร้างกองทัพอากาศให้มีความสามารถในการ<br />
ปฏิบัติการทางอากาศตามที่กาหนดในหลักนิยมปฏิบัติการ ได้แก่ การปฏิบัติการทางอากาศยุทธศาสตร์ การปฏิบัติการทางอากาศยุทธวิธี<br />
106
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
และการป้องกันทางอากาศ โดยขีดความสามารถหลักที่กองทัพอากาศต้องดารงไว้และมิอาจละเลยได้ คือ ขีดความสามารถในการปฏิบัติ<br />
การทางอากาศเพื่อป้องกันราชอาณาจักรและรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ เนื่องจากเป็นขีดความสามารถหลักซึ่งมีเพียงกองทัพอากาศ<br />
เพียงส่วนราชการเดียวที่มีภารกิจและศักยภาพที่จะดาเนินการได้กองทัพอากาศเชื่อมั่นว่าการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (Network<br />
Centric Operation : NCO) จะทาให้การปฏิบัติภารกิจของกองทัพอากาศมีประสิทธิภาพสูงสุด ซึ่งเป็นการเพิ่มความรวดเร็วของวงรอบ<br />
การตัดสินใจ (Observe-Orient-Decide-Act : OODA Loop) โดยการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสาร (Information) และความตระหนัก<br />
รู้สถานการณ์ (Situation Awareness) ร่วมกันผ่านระบบเครือข่าย (Network) ที่มีประสิทธิภาพ ทาให้ผู้บังคับบัญชามีข้อมูลถูกต้อง<br />
ครบถ้วน สามารถตัดสินตกลงใจและสั่งการไปยังผู้ปฏิบัติ/หน่วยปฏิบัติ (Shooter) ได้ถูกต้องและทันเวลา นอกจากนี้ ข้อมูลข่าวสารและ<br />
ความตระหนักรู้สถานการณ์ร่วมกัน ยังช่วยเพิ่มขีดความสามารถให้แก่ผู้ปฏิบัติ/หน่วยปฏิบัติเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ สามารถปฏิบัติภารกิจได้<br />
หลากหลาย รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น<br />
107
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ทั้งนี้ ยุทธศาสตร์กองทัพอากาศ ๒๐ <strong>ปี</strong> (พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๗๙) มุ่งเน้นการพัฒนา ๓ มิติสาคัญ เพื่อรองรับการพัฒนาการปฏิบัติ<br />
การที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (NCO) ประกอบด้วย<br />
(๑) มิติทางอากาศ (Air Domain) ประกอบด้วย การบัญชาการและควบคุม (Command and Control : C2) ระบบตรวจจับ<br />
(Sensor) ผู้ปฏิบัติ/หน่วยปฏิบัติ (Shooter) ระบบเครือข่าย (Network) การสนับสนุนและบริการ (Support and Service) บุคลากร<br />
และพฤติกรรมการปฏิบัติงาน (Human & Behavior)<br />
(๒) มิติไซเบอร์ (Cyber Domain)<br />
(๓) มิติอวกาศ (Space Domain)<br />
สาหรับการพัฒนาขีดความสามารถของกองทัพอากาศให้ประสบผลสาเร็จสอดรับยุทธศาสตร์กองทัพอากาศ ๒๐ <strong>ปี</strong> จะต้องมี<br />
ระบบการพัฒนา ดังนี้<br />
108
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔.๔.๑ กำรพัฒนำขีดควำมสำมำรถปฏิบัติกำรในมิติทำงอำกำศ (Air Domain) เนื่องจากกองทัพอากาศต้องเผชิญกับความ<br />
ท้าทายทั้งด้านการรบและมิใช่การรบ โดยภัยคุกคามมีโอกาสเกิดขึ้นในลักษณะจากัดในห้วงเวลาสั้นๆ เกิดขึ้นอย่างฉับพลัน และมีสิ่งบอก<br />
เหตุในระยะเวลากระชั้นชิด ดังนั้น เพื่อให้การเตรียมกาลังทางอากาศมีความพร้อมในการป้องกันประเทศได้ทันที และสามารถเผชิญกับ<br />
ภัยคุกคามอย่างมีประสิทธิภาพ จึงต้องเตรียมกาลังทางอากาศทุกด้านให้เพียงพอ ใกล้เคียงกับกาลังทางอากาศที่ใช้ในการปฏิบัติการจริง<br />
มากที่สุด โดยกาหนดผู้มีส่วนได้เสียหลักและกลุ่มเป้าหมายสาคัญในยุทธศาสตร์ที่ ๒ คือ ประชาชนในทุกภาคส่วน กองทัพไทย และประเทศ<br />
ในกลุ่มอาเซียน โดยมีเป้าหมายเพื่อให้กองทัพอากาศมีสมรรถนะและความพร้อม ตลอดจนสามารถผนึกกาลังร่วมกับเหล่าทัพอื่นในการ<br />
ป้องกันประเทศให้มีความมั่นคงปลอดภัยจากภัยคุกคามทุกรูปแบบจึงต้องมีการเสริมสร้างขีดความสามารถใน ๖ ประการ กล่าวคือ<br />
๑) เสริมสร้ำงขีดควำมสำมำรถกำรบัญชำกำรและควบคุม (Command and Control) การบัญชาการและ<br />
ควบคุมที่สามารถเชื่อมโยงและบูรณาการข้อมูลอย่างครบถ้วน ถูกต้อง ทันสมัย เพื่อการหยั่งรู้สถานการณ์แบบเบ็ดเสร็จ (Total Situation<br />
Awareness) อันจะเป็นเครื่องมือสาหรับผู้บังคับบัญชา ในการวางแผน อานวยการ ควบคุม และบังคับบัญชาการใช้กาลังทางอากาศ<br />
ในการปฏิบัติการรบและการปฏิบัติการที่มิใช่การรบ โดยมีเป้าหมายการพัฒนาเพื่อมุ่งสู่การบัญชาการและควบคุมแบบ Multi-Node<br />
Redundancy หมายถึง หน่วยบัญชาการและควบคุมสามารถเคลื่อนที่เปลี่ยนตาแหน่งที่ตั้งไปยังพื้นที่อื่นๆ ซึ่งมีระบบเครือข่ายรองรับและ<br />
สามารถปฏิบัติภารกิจการบัญชาการและควบคุมทดแทนหน่วยบัญชาการและควบคุมหลักได้โดยสมบูรณ์<br />
109
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๒) เสริมสร้ำงขีดควำมสำมำรถระบบตรวจจับ (Sensor) ระบบตรวจจับที่มีคุณภาพและจานวนที่เหมาะสม<br />
เพียงพอ และมีระบบสารองเพื่อใช้งานทดแทนกันได้ มีขีดความสามารถในการแสวงหาข้อมูลในทุกความต้องการ เพื่อให้ได้รับข้อมูลใน<br />
รูปแบบดิจิตอลที่มีความถูกต้อง ครบถ้วน และทันเวลา อีกทั้งสามารถบูรณาการข้อมูลทั้งหมดให้อยู่ในรูปแบบข้อมูลที่ชาญฉลาด (Smart<br />
Information) รวมทั ้งกระบวนการ (Process) ในการผลิตข้อมูลให้ตรงกับความต้องการของผู ้ใช้ เพื่อใช้ประโยชน์ในการปฏิบัติการรบ<br />
และการปฏิบัติการที่มิใช่การรบ ทั้งนี้ ต้องสามารถรองรับการปฏิบัติการร่วมกับระบบตรวจจับ (Sensor) ของกองบัญชาการกองทัพไทย<br />
เหล่าทัพ และหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องภายใต้มาตรฐานการรักษาความปลอดภัยของกองทัพอากาศ<br />
๓) เสริมสร้ำงขีดควำมสำมำรถผู้ปฏิบัติ/หน่วยปฏิบัติ (Shooter) ผู้ปฏิบัติ/หน่วยปฏิบัติที่มีความชาญฉลาด<br />
(Smart Platform) มีขีดความสามารถในการปฏิบัติการรบและการปฏิบัติการที่มิใช่การรบ โดยใช้เทคโนโลยีที ่ทันสมัย เพื่อให้มีอานาจ<br />
การทาลาย (Fire Power) มีความแม่นยา (Precision) มีความสามารถในการปฏิบัติภารกิจจากระยะไกล (Stand-off) และ/หรือเกิน<br />
ระยะสายตา (Beyond Visual Range) และมีระบบป้องกันตนเอง รวมทั้งรองรับการใช้งานอาวุธสมรรถนะสูงที่ทันสมัย โดยต้องสามารถ<br />
บูรณาการและเชื่อมโยงเข้าสู่การปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (NCO) ของกองทัพอากาศ อีกทั้งต้องมีความพร้อมในการเชื่อมโยงกับ<br />
เครือข่ายของกองบัญชาการกองทัพไทย เหล่าทัพ และฝ่ายพลเรือนที่เกี่ยวข้อง<br />
110
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔) เสริมสร้ำงขีดควำมสำมำรถเครือข่ำย (Network) เครือข่าย (Network) ที่มีขีดความสามารถในการเชื่อมโยง<br />
ทุกเครือข่ายหลักของกองทัพอากาศ ทั้งเครือข่ายด้านการรบ (Combat Network) และด้านสนับสนุนการรบ (Support Network)<br />
โดยทุกเครือข่ายต้องมีความแข็งแกร่ง (Robustness) ความเสถียร (Stability) ความเพียงพอต่อความต้องการ (Sufficiency) ความเชื่อถือได้<br />
(Reliability) ความรวดเร็ว (Speed) ความปลอดภัย (Security) และความทันสมัย (Update) โดยครอบคลุมพื้นที่ปฏิบัติการ รองรับการ<br />
พัฒนาการบัญชาและควบคุมแบบ Multi-Node Redundancy รวมทั้งการบูรณาการระบบตรวจจับและระบบป้องกันทางอากาศกับการ<br />
บัญชาการและควบคุม และสามารถเชื่อมโยงกับระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีที่มีมาตรฐานสากล และสามารถเชื่อมโยงยุทโธปกรณ์หลัก<br />
ของกองทัพอากาศได้ทุกประเภท รวมถึงสามารถเชื่อมโยงกับหน่วยนอกกองทัพอากาศเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการร่วมของกองทัพอากาศ<br />
111
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๕) เสริมสร้ำงขีดควำมสำมำรถกำรสนับสนุนและบริกำร (Support and Service) ระบบส่งกาลังบารุงและ<br />
ระบบคลังที่มีคุณภาพและเป็นไปตามมาตรฐานสากล เพื่อดารงขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจและสนับสนุนการปฏิบัติการที่ใช้<br />
เครือข่ายเป็นศูนย์กลางของกองทัพอากาศอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ<br />
๖) เสริมสร้ำงขีดควำมสำมำรถบุคลำกรและพฤติกรรมกำรปฏิบัติงำน (Human and Behavior) บุคลากรในส่วน<br />
กาลังรบ (War Fighter) ของกองทัพอากาศมีสมรรถนะและขีดความสามารถในลักษณะ Cross-Functional และ Multi-Disciplined<br />
โดยต้องมีความเข้าใจพื้นฐาน ความเชี่ยวชาญ และความพร้อมในการปฏิบัติการ ตลอดจนมีพฤติกรรมการปฏิบัติงาน (Behavior) ที่เหมาะสม<br />
สอดคล้องกับแนวความคิดการปฏิบัติการที่ใช้เครือข่ายเป็นศูนย์กลาง (NCO) ของกองทัพอากาศ<br />
112
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
นอกจากการปฏิบัติการในมิติทางอากาศ (Air Domain) กองทัพอากาศยังตระหนักถึงภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่เพิ่มจานวนขึ้น<br />
อย่างรวดเร็วในมิติอื่นๆ ได้แก่ มิติไซเบอร์ (Cyber Domain) และมิติอวกาศ (Space Domain) ดังนั้นจึงมีความจาเป็นต้องพัฒนาขีดความ<br />
สามารถในมิติดังกล่าวเพิ่มเติม โดยยุทธศาสตร์กองทัพอากาศ ๒๐ <strong>ปี</strong> (พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๗๙) ได้กาหนดแนวทางการพัฒนาขีดความสามารถ<br />
ในมิติไซเบอร์ (Cyber Domain) รวมทั้งการริเริ่มและวางรากฐานสาคัญในการพัฒนาขีดความสามารถในมิติอวกาศ (Space Domain)<br />
เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการในมิติทางอากาศ (Air Domain) และเตรียมความพร้อมในการป้องกันภัยคุกคามในมิติดังกล่าวทั้งในปัจจุบัน<br />
และในอนาคต<br />
๕. กำรรักษำควำมปลอดภัยด้ำนไซเบอร์ (Cyber Security) <strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ตระหนักถึงความสาคัญในการรักษาความปลอดภัย<br />
ด้านไซเบอร์ว่าเป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติในมิติต่างๆ จึงได้จัดทาร่างแผนแม่บทไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศ กระทรวง<br />
กลาโหม พ.ศ.๒๕๖๐ – ๒๕๖๔ และผ่านความเห็นชอบของสภากลาโหม เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ โดยมีสาระสาคัญคือ ร่างแผน<br />
แม่บทฯ นี้ จะครอบคลุมแผนงานหลัก ๖ แผนงาน กล่าวคือ<br />
113
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๑. แผนการจัดองค์กรด้านไซเบอร์ โดย<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพ<br />
อากาศ จะดาเนินการจัดตั้งหน่วยงานไซเบอร์/ศูนย์ไซเบอร์ ขึ้นมารองรับภารกิจด้านไซเบอร์โดยตรง<br />
๒. แผนการป้องกันระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดย<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และ<br />
กองทัพอากาศ เตรียมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรักษาความมั ่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber Security Operation Center ; CSOC) ของ<br />
แต่ละส่วนราชการขึ้นมาเพื่อรองรับภัยคุกคามด้านไซเบอร์ที่จะมาโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร<br />
รวมทั้งจัดทาระบบฐานข้อมูล นอกจากนี้ยังจะมีการจัดตั้งทีมจัดการปัญหาฉุกเฉินด้านความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security<br />
Incident Response Team/Computer Security Incident Response Team ; CSIRT) เพื่อตอบสนองการแก้ไขปัญหาฉุกเฉินด้าน<br />
ความปลอดภัยไซเบอร์ได้อย่างรวดเร็วและทันเวลา<br />
1<strong>14</strong>
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๓. แผนการพัฒนาความพร้อมการปฏิบัติการไซเบอร์เชิงรุกและการปฏิบัติการสงครามไซเบอร์ เป็นการพัฒนาบุคลากรของกองทัพ<br />
ให้มีขีดความสามารถด้านการปฏิบัติการไซเบอร์ ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อการป้องกัน สกัดกั้น ยับยั้งการโจมตี และการตอบโต้ฝ่ายตรงข้าม<br />
ที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความมั่นคงด้านการทหาร โดยการพัฒนาเสริมสร้างขีดความสามารถกาลังพล เครื่องมือ<br />
และเทคโนโลยีต่างๆ รวมถึงการจัดให้มีการแข่งขันทักษะการปฏิบัติการไซเบอร์ (Cyber Contest) ทั้งนี้มิได้มุ่งหมายเพื่อสร้างนักรบ<br />
ไซเบอร์ (Cyber Warrior) หรือใช้เจ้าหน้าที่ดังกล่าวไปโจมตีข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการละเมิดกฎหมาย ทั้งนี้ ทุกภารกิจจะกระทาภายใต้<br />
กรอบของกฎหมาย<br />
115
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๔. แผนการดารงและพัฒนาศักยภาพด้านไซเบอร์ เพื่อดารงความต่อเนื่องและยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการวิจัยและ<br />
พัฒนาเทคโนโลยีด้านไซเบอร์ (R&D) เพื่อวิจัยพัฒนาและติดตามความเจริญก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะ<br />
ภัยคุกคามด้านไซเบอร์นับวันจะทวีความรุนแรง ส่งผลกระทบและความเสียหายในวงกว้างอย่างรวดเร็ว<br />
๕. แผนการสนับสนุนศักยภาพทางไซเบอร์ระดับชาติ เนื่องจากกองทัพเป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงของชาติ จึงต้อง<br />
มีความพร้อมในการสนับสนุนและเป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาล เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้านไซเบอร์ของชาติ ในด้านการรักษาความมั่นคง<br />
ปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อป้องกันภัยคุกคามในระดับชาติด้านไซเบอร์โดเมน (Cyber Domain)<br />
116
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๖. แผนงานความร่วมมือและผนึกกาลังด้านไซเบอร์ เป็นการประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ธุรกิจเอกชน และ<br />
ประชาชนทั่วไป ในการผนึกกาลังด้านไซเบอร์ ซึ่งเป็นกาลังอานาจที่ไม่มีตัวตน และนาไปสู่การระดมสรรพกาลังของประเทศด้านไซเบอร์<br />
ที่มีพลังอานาจที่ยิ่งใหญ่<br />
ทั้งนี้ <strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้ดาเนินการจัดตั้งศูนย์ไซเบอร์ในระดับ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> โดยสานักงานปลัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> โดยกรม<br />
เทคโนโลยีสารสนเทศและอวกาศกลาโหม ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการจัดตั้งศูนย์ Cyber ของกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ<br />
และกองทัพอากาศ ที่มีขอบเขตอานาจหน้าที่ในการประสานนโยบายไซเบอร์กับระดับชาติ รวมทั้งรับผิดชอบด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์ และ<br />
ปฏิบัติงานด้านไซเบอร์ในระดับยุทธศาสตร์ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ในภาพรวม<br />
อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ พ.ศ. .... ประกาศใช้แล้ว ย่อมจะมีผลต่อการ<br />
ดาเนินการของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>โดยเฉพาะบทบัญญัติ มาตรา ๓๘ ที่กาหนดให้กาลังพลของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ตาม<br />
กฎหมายอีกด้วย โดยมีรายละเอียด คือ<br />
“มาตรา ๓๘ เพื่อประโยชน์ในการประสานงานหรือการปฏิบัติการ ให้เจ้าหน้าที่ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ที่ได้รับมอบหมายในการปฏิบัติ<br />
ภารกิจเพื่อตอบสนองและรับมือกับภัยคุกคามไซเบอร์ที่กระทบต่อความมั่นคงทางทหาร เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่ในการปฏิบัติหน้าที่ตาม<br />
พระราชบัญญัตินี้”<br />
117
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
118
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ปัจฉิมบท<br />
119
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
ปัจฉิมบท<br />
ภารกิจทางทหาร<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔ ของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> ถือเป็นส่วนสาคัญในการปฏิบัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร<br />
ไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งยังเป็นการก าหนดภารกิจและกรอบการทางานของ<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>เพื่อสนับสนุน<br />
การดาเนินการตามนโยบายของรัฐบาลและยุทธศาสตร์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติในการพัฒนาประเทศ การช่วยเหลือประชาชน<br />
และการแก้ไขปัญหาที่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ซึ่ง<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>ได้มีการพัฒนาก าลังพล<br />
และปรับปรุงระบบงานให้สอดคล้องกับแนวคิดของรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่มุ่งเน้นให้ทุกส่วนราชการปฏิบัติงานใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๖๑ ภายใต้<br />
แนวความคิด “<strong>ปี</strong>แห่งการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุงการบริหารราชการแผ่นดิน และพัฒนาบุคลากร เพื่อรองรับการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ชาติ<br />
และการปฏิรูปประเทศ”<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong> จึงพร้อมที่จะดาเนินภารกิจในการพิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของชาติ ปกป้องสถาบันชาติ ศาสนา<br />
พระมหากษัตริย์ รักษาความมั่นคงแห่งชาติ รักษาเกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ รวมถึงการช่วยเหลือประชาชนและพัฒนาประเทศ<br />
ซึ่งจะสร้างความเชื่อมั่นให้แก่พี่น้องประชาชนว่า <strong>กระทรวงกลาโหม</strong>พร้อมที่จะยืนเคียงข้างและก้าวเดินไปพร้อมกับพี่น้องประชาชนในการ<br />
ขับเคลื่อนประเทศไทยให้ก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมีเสถียรภาพ ภายใต้วิสัยทัศน์ของชาติคือ มั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน สืบไป<br />
120
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
๘ เมษำยน ๒๕๖๑<br />
วันคล้ำยวันสถำปนำกระทรวงกลำโหมครบ ๑๓๑ <strong>ปี</strong><br />
เกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี ทวีค่ำ เทิดรำชำ คู่ชำติไทย ให้สูงส่ง<br />
รักษ์รำษฎร์ สร้ำงสุขใจ ใฝ่ธำรง ชำติมั่นคง เสริมส่งรัฐ วัฒนำ<br />
รุ่ง ๑๔ ทศวรรษ พิพัฒน์ชำติ พลังอำนำจ สำนกลไก ไทยสง่ำ<br />
ร่วมนิยำม อธิปไตย ได้สืบมำ ด้วยแสนยำ แลสั่งสม อุดมกำรณ์<br />
121
๑๓๑ <strong>ปี</strong><br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong>
กระทรวงกลำโหม<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
พิมพ์ครั้งแรก มีนำคม ๒๕๖๑ จำนวน ๕๐๐ เล่ม<br />
ISBN :<br />
เจ้ำของผู้พิมพ์ผู้โฆษณำ สานักงานปลัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
เลขที่ ๗ ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง<br />
เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐<br />
ประธำนที่ปรึกษำ พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์<br />
คณะที่ปรึกษำ พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน<br />
พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท์<br />
พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุ่งทอง<br />
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ<br />
พลเอก โชคดี เกตสัมพันธ์<br />
พลเอก ฤทธี อินทราวุธ<br />
พลตรี โอภาส อุตตรนคร<br />
บรรณำธิกำรอำนวยกำร พลตรี ยุทธนินทร์ บุนนาค<br />
รองบรรณำธิกำรอำนวยกำร พันเอก ภัทร์นรินท์ วิจิตรพฤกษ์<br />
พันเอก ชูเลิศ จิระรัตนเมธากร<br />
บรรณำธิกำรข้อมูล พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
บรรณำธิกำรบริหำร พันเอก สุวเทพ ศิริสรณ์<br />
รองบรรณำธิกำรบริหำร พันเอก วันชนะ สวัสดี<br />
นาวาเอกหญิง รสสุคนธ์ ทองใบ<br />
กองบรรณำธิกำร นาวาอากาศโทหญิง ฉันทนี บุญปักษ์<br />
นาวาตรีหญิง กัญญารัตน์ ชูชาติ, พันตรีหญิง ลลิดา กล้าหาญ,<br />
ร้อยตรีหญิง ธัญญ์ธชนม์ สุขเสงี่ยม, ร้อยตรีหญิง สุชาดา โยธาขันธ์<br />
จ่าสิบเอก สมหมาย ภมรนาค, สิบเอก เชาว์วัศ ชนะพงศ์นิธิกุล<br />
พิสูจน์อักษร พันเอกหญิง วิวรรณ วรวิศิษฏ์ธารง<br />
อำนวยกำรผลิต<br />
ขอขอบคุณ<br />
ออกแบบและพิมพ์ที่ หจก. อรุณการพิมพ์<br />
สานักงานเลขานุการสานักงานปลัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
กองบัญชาการกองทัพไทย<br />
กองทัพบก<br />
กองทัพเรือ<br />
กองทัพอากาศ<br />
สานักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
123
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
124
125<br />
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
<strong>ในทศวรรษที่</strong> ๑๔<br />
เนื้อหาสาระที่นาเสนอในหนังสือเล่มนี้<br />
เป็นข้อคิดเห็นจากการรวบรวมข้อมูล<br />
และเรียบเรียงออกมาเป็นผลงานของคณะผู้จัดทา<br />
โดยมีเจตนาเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ท่านผู้อ่าน มิได้เป็นข้อยุติหรือมีผลผูกพันกับทางราชการแต่อย่างใด<br />
หากท่านผู้อ่านมีข้อแนะนาเพิ่มเติม ติชม หรือมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์อื่นๆ<br />
คณะผู้จัดทาขอน้อมรับไว้ด้วยความเต็มใจและยินดีเป็นอย่างยิ่ง<br />
โดยท่านสามารถส่งมาได้ที่ กองประชาสัมพันธ์ สานักงานเลขานุการสานักงานปลัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
เพื่อที่จะได้นาไปพัฒนา ปรับปรุง ให้สมบูรณ์และดียิ่งๆ ขึ้นในโอกาสต่อไป<br />
ขอขอบพระคุณ<br />
กองประชาสัมพันธ์ สานักงานเลขานุการสานักงานปลัด<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
ในศาลาว่าการกลาโหม ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง<br />
เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐<br />
โทรศัพท์/โทรสาร ๐ ๒๒๒๕ ๘๒๖๒<br />
www.sopsd.mod.go.th<br />
126
<strong>กระทรวงกลาโหม</strong><br />
เสาหลัก...ความมั่นคง