132 ปี เรื่องเล่าศาลาว่าการกลาโหม
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
เกียรติภูมิ เกียรติประวัติ เคียงคู่รัฐ พิพัฒน์ความมั่นคง
คำนำ<br />
หนังสือ “๑๓๒ เรื่องเล่า ศาลาว่าการกลาโหม” เล่มนี้ คือหนังสือที่ประกาศเกียรติภูมิของกระทรวงกลาโหม ในโอกาสครบรอบวันสถาปนากระทรวง<br />
กลาโหม ๑๓๒ <strong>ปี</strong> ในวันที่ ๘ เมษายน ๒๕๖๒ โดยเนื้อความและสาระสำคัญของหนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมเรื่องราวและภาพถ่ายในยุคต่างๆ ตั้งแต่เริ่ม<br />
ก่อตั้งกรมยุทธนาธิการ เมื่อวันที่ ๘ เมษายน ๒๔๓๐ และพัฒนาจนมาเป็นกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน จึงปรากฏทั้งเรื่องเล่าของเกียรติภูมิในอดีต<br />
เรื่องเล่าความภาคภูมิใจในปัจจุบัน และเรื่องเล่าภารกิจสำคัญที่จะต้องกระทำในอนาคต รวมเป็น ๑๓๒ เรื่องเล่า และจัดทำเป็น ๔ หมวด กล่าวคือ<br />
หมวดที่ ๑ กระทรวงกลาโหม เด่นสง่า วิวัฒนาการ เรื่องเล่าที่ ๑ ถึง ๗<br />
หมวดที่ ๒ โรงทหารหน้า ภาพหลัง ยังปรากฏ เรื่องเล่าที่ ๘ ถึง ๕๖<br />
หมวดที่ ๓ ปัจจุบัน ทันสมัย เกียรติยศ เรื่องเล่าที่ ๕๗ ถึง ๑๒๒<br />
หมวดที่ ๔ อนาคต รังสรรค์ ความมั่นคง เรื่องเล่าที่ ๑๒๓ ถึง ๑๓๒<br />
สำหรับการนำเสนอเรื่องเล่าทั้งหมด ได้จัดทำเป็นแต่ละเรื่องประกอบพระบรมฉายาลักษณ์ พระฉายาลักษณ์ และภาพถ่ายของบุคคล พร้อมสถานที่<br />
และองค์ประกอบสำคัญที่สอดคล้องกับเนื้อหาในแต่ละเรื่องเล่า จึงกล่าวได้ว่าหนังสือเล่มนี้มีความใกล้เคียงกับหนังสือที่บันทึกประวัติศาสตร์กิจการทหารไทย<br />
ยุคใหม่ในช่วงเวลาของการเปิดประเทศไปสู่ความทันสมัยของกรุงรัตนโกสินทร์ ทั้งยังเป็นช่วงเวลาที่สามารถหาภาพถ่ายมายืนยันเหตุการณ์ได้โดยที่<br />
ผู้อ่านแทบไม่ต้องจินตนาการไปเองตามการบรรยายตัวอักษร เพราะมีหลักฐานที่นำเสนอในเชิงประจักษ์ ซึ่งจะช่วยให้หนังสือเล่มนี้เป็นเอกสารที่รวบรวม<br />
เรื่องราวของผู้คน เหตุการณ์และสถานที่ที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบันและที่จะส่งต่อไปในอนาคต เพื่อให้สังคมไทยได้รับรู้<br />
รับทราบ และร่วมกันเป็นเจ้าของมรดกที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเพื่อกิจการทหารและ<br />
ประเทศไทย และจะได้ร่วมกันรักษาไว้ให้คงยืนหยัดคู่ประเทศชาติบ้านเมืองต่อไปสืบจนลูกหลาน<br />
กระทรวงกลาโหม หวังเป็นอย่างยิ่งว่าหนังสือ “๑๓๒ เรื่องเล่า ศาลาว่าการกลาโหม” เล่มนี้ จะเป็นเอกสารทางประวัติศาสตร์บ่งชี้ให้กำลังพล<br />
ของกระทรวงกลาโหม สถานศึกษา ประชาชนชาวไทยและสังคมไทยได้มองเห็นภาพในอดีตที่ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน และจะฉายนำทางต่อไปสู่อนาคต<br />
ซึ่งจะนำมาสู่การสร้างความรักหวงแหนในแผ่นดินไทย กระทรวงกลาโหม และมรดกทางประวัติศาสตร์อันเกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมทุกประการ<br />
ทั้งยังจะเป็นการจุดประกายความคิดของชนรุ่นปัจจุบันและรุ่นต่อไปที่จะช่วยกันศึกษา ค้นคว้าทางประวัติศาสตร์เพื่อช่วยกันชำระและร่วมปรับปรุง<br />
ให้ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ของหนังสือเล่มนี้มีความสมบูรณ์มากขึ้นในอนาคต<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
มีนาคม ๒๕๖๒
สารบัญ<br />
หมวดที่ ๑ กระทรวงกลาโหม เด่นสง่า วิวัฒนาการ ๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๑ ความหมาย “กลาโหม” ๑๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๒ กระทรวงกลาโหม กับภารกิจการทหารและความมั่นคงของชาติ ๑๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๓ วิวัฒนาการของกระทรวงกลาโหม ๑๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๔ การปรับปรุงกิจการทหารในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๕ กรมยุทธนาธิการ ๑๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๖ กระทรวงยุทธนาธิการ ๑๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๗ กระทรวงทหารเรือ ๒๑<br />
หมวดที่ ๒ โรงทหารหน้า ภาพหลัง ยังปรากฏ ๒๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๘ โรงทหารหน้า ๒๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๙ ที่ตั้งโรงทหารหน้า ๒๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๐ มูลเหตุสำคัญในการจัดสร้างโรงทหารหน้า ๒๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑ โครงสร้างผังอาคารศาลาว่าการกลาโหม ๒๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๒ จุดเด่นทางสถาปัตยกรรมของโรงทหารหน้า ๒๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๓ การใช้พื้นที่สำหรับก่อสร้างอาคารโรงทหารหน้า ๓๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๔ บันทึกประวัติการสร้างโรงทหารหน้า ๓๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๕ การก่อสร้างอาคารโรงทหารหน้า ๓๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๖ พระราชทานนามอาคารและเสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงทหารหน้า ๓๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๗ ตราประจำโรงทหารหน้า ๓๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๘ คาถาประจำโรงทหารหน้า ๓๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๙ การจัดสรรการใช้ประโยชน์อาคารโรงทหารหน้าในยุคแรก ๓๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๒๐ หน่วยทหารที่มีที่ตั้งในโรงทหารหน้าหรือศาลายุทธนาธิการในยุคแรก ๔๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๒๑ ความทันสมัยของระบบสาธารณูปโภคในอาคารโรงทหารหน้า<br />
ตอนที่ ๑ ระบบไฟฟ้า ๔๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๒๒ ความทันสมัยของระบบสาธารณูปโภคในอาคารโรงทหารหน้า<br />
ตอนที่ ๒ ระบบประปา ๔๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๒๓ ความทันสมัยของระบบสาธารณูปโภคในอาคารโรงทหารหน้า<br />
ตอนที่ ๓ ระบบโทรศัพท์ ๔๔<br />
หน้า
เรื่องเล่าที่ ๒๔ ระบบสาธารณสุขในอาคารโรงทหารหน้า ๔๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๒๕ ระบบสุขาภิบาลในอาคารโรงทหารหน้า ๔๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๒๖ การบริการสาธารณะ ๔๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๒๗ หอคอยของโรงทหารหน้า ๔๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๒๘ กิจการทหารและที่ตั้งหน่วยก่อนโรงทหารหน้า ๔๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๒๙ เสด็จพระราชดำเนินเปิดโรงทหารหน้า ๕๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๓๐ ศาลายุทธนาธิการ ๕๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๓๑ ประตูใหญ่หน้าโรงทหารหน้า ๕๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๓๒ สัญลักษณ์ปูนปั้นประดับชั้นบนของอาคารโรงทหารหน้า ๕๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๓๓ ภูมิทัศน์หน้าโรงทหารหน้าและศาลาว่าการกลาโหม ๕๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๓๔ การฝังปากกระบอกปืนใหญ่โบราณ ๕๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๓๕ บันไดทางขึ้นและลงภายในโรงทหารหน้าและศาลาว่าการกลาโหม ๕๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๓๖ กันสาดรอบอาคารศาลาว่าการกลาโหมชั้นล่าง ๖๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๓๗ ที่พักทหารของโรงทหารหน้าและตะรางกลาโหม ๖๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๓๘ โรงทหารหน้า...กองบัญชาการปราบกบฏอั้งยี่ ๖๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๓๙ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๑ ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหมในภาพรวม ๖๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๔๐ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๒ ประวัติและความเป็นมาของปืนใหญ่โบราณของไทย ๖๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๔๑ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๓ ปืนใหญ่โบราณที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น ๖๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๔๒ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๔ ปืนใหญ่โบราณที่สร้างในต่างประเทศ ๖๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๔๓ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๕ ปืนใหญ่โบราณที่ได้จากการไปราชการสงคราม ๗๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๔๔ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๖ ปืนใหญ่โบราณที่สร้างในประเทศไทย โดย หลวงบรรจงรจนา (J.BERENGER) ๗๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๔๕ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๗ ปืนใหญ่โบราณที่ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างหรือการได้มา ๗๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๔๖ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๘ ปืนใหญ่ที่มีคุณลักษณะเป็นพิเศษ ๗๕<br />
หน้า
เรื่องเล่าที่ ๔๗ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๙ กระสุนดินดา ๗๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๔๘ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๑๐ การจารึกชื่อผู้ประดิษฐ์บนกระบอกปืนใหญ่โบราณ ๘๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๔๙ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๑๑ เครื่องหมายแสดงเกียรติภูมิประเทศเจ้าของปืนใหญ่โบราณ ๘๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๕๐ พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๑๒ ตราสัญลักษณ์ปิดปากกระบอกปืนใหญ่โบราณ ๘๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๕๑ การจัดภูมิทัศน์พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม ๘๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๕๒ ศาลากระโจมแตร ๘๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๕๓ การต่อเติมอาคารศาลาว่าการกลาโหม ๘๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๕๔ โคลงสยามานุสสติหน้าศาลาว่าการกลาโหมในยุครัฐนิยม ๘๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๕๕ ระเบียงและผนังอาคารด้านในของศาลาว่าการกลาโหม ๘๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๕๖ ช่องลอดด้านทิศตะวันออก ๙๐<br />
หมวดที่ ๓ ปัจจุบัน ทันสมัย เกียรติยศ ๙๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๕๗ พญาคชสีห์ อธิบดีแห่งหมู่มวลกำลังพล ๙๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๕๘ ป้ายกระทรวงกลาโหม ๙๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๕๙ เสาธงชาติ ๙๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๖๐ รั้วเหล็กรอบสนามหน้าศาลาว่าการกลาโหม ๙๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๖๑ ลิฟต์โดยสารภายในอาคารศาลาว่าการกลาโหม ๙๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๖๒ ศาลเจ้าพ่อหอกลองในศาลาว่าการกลาโหม ๙๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๖๓ กลองประจำพระนคร ๙๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๖๔ ตราสัญลักษณ์สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ๑๐๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๖๕ เกียรติภูมิของสนามภายในอาคารศาลาว่าการกลาโหม ๑๐๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๖๖ เกียรติประวัติของสนามหญ้าด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม ๑๐๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๖๗ การฉลองชัยชนะที่มีต่อฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีน ๑๐๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๖๘ กิจการทหารไทยกับการใช้ประโยชน์ภายในตัวอาคารศาลาว่าการกลาโหม ๑๐๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๖๙ ศาลาว่าการกลาโหมกับการเมืองการปกครองของไทย ๑๐๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๗๐ กองบัญชาการกองทัพบกยุคเริ่มแรก ๑๑๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๗๑ โรงเรียนเสนาธิการทหารบกแห่งแรก ๑๑๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๗๒ ที่ทำการจเรทหาร ที่ปรึกษาทางทหาร และจเรทหารทั่วไป ๑๑๒<br />
หน้า
เรื่องเล่าที่ ๗๓ อาคารวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ๑๑๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๗๔ ห้องประชุมกองบัญชาการทหารสูงสุด ๑๑๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๗๕ อาคารกองบัญชาการทหารสูงสุด ๑๑๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๗๖ แนวความคิดในการต่อเติมอาคารศาลาว่าการกลาโหมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ๑๑๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๗๗ ห้องอารักขเทวสถาน ๑๑๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๗๘ โครงสร้างอาคารภายในศาลาว่าการกลาโหม ๑๑๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๗๙ ภาพจิตรกรรมการจัดทัพของกองทัพไทยในสมัยโบราณ ๑๒๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๘๐ พุทธศาสนสถานของกระทรวงกลาโหม ๑๒๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๘๑ วิมานท้าวเวสสุวัณณ์ ๑๒๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๘๒ แผ่นยันต์ประจำกระทรวงกลาโหม ๑๒๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๘๓ พระบวรฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑๒๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๘๔ ห้องสำหรับจัดการประชุมที่สำคัญของกระทรวงกลาโหม ๑๒๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๘๕ ห้องภาณุรังษี ๑๒๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๘๖ พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ และพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑๒๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๘๗ พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์หินอ่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ๑๒๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๘๘ พระรูปจอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ๑๒๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๘๙ ห้องกัลยาณไมตรี ๑๓๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๐ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ๑๓๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๑ อนุสรณ์จอมพล มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต) ๑๓๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๒ พระบรมฉายาลักษณ์พระราชทาน ๑๓๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๓ ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ๑๓๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๔ ห้องยุทธนาธิการ ๑๓๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๕ ห้องพินิตประชานาถ ๑๓๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๖ ห้องหลักเมือง ๑๓๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๗ ห้องศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงกลาโหม ๑๓๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๘ ห้องพระบารมีปกเกล้า ๑๔๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๙ ห้องริมวัง ๑๔๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๐๐ ห้องสราญรมย์ ๑๔๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๐๑ ห้องขวัญเมือง ๑๔๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๐๒ ห้องกำปั่นเก็บเงินกระทรวงกลาโหม ๑๔๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๐๓ ห้องพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ๑๔๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๐๔ ห้องสมุดกระทรวงกลาโหม ๑๔๖<br />
หน้า
เรื่องเล่าที่ ๑๐๕ ไม้กั้นหน้าประตูใหญ่ ๑๔๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๐๖ กองรักษาการณ์และป้อมทหารยาม ๑๔๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๐๗ รางรถรางข้างกระทรวงกลาโหม ๑๔๙<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๐๘ สะพานหก ๑๕๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๐๙ ถนนสนามไชย ๑๕๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑๐ อาคารกรมพระธรรมนูญ ๑๕๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑๑ การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๑ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ๑๕๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑๒ การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๒ กิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ๑๕๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑๓ การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๓ กิจการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ๑๕๗<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑๔ การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๔ กิจการอวกาศเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ๑๕๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑๕ การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๕ กิจการระดมสรรพกำลัง ๑๖๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑๖ การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๖ กิจการเภสัชกรรมทหาร ๑๖๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑๗ การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๗ กิจการผลิตวัตถุระเบิดทหาร ๑๖๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑๘ การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๘ กิจการผลิตยุทโธปกรณ์ ๑๖๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๑๙ กระทรวงกลาโหมกับการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ ๑๖๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๒๐ สภากลาโหม ๑๖๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๒๑ คณะผู้บัญชาการทหาร ๑๖๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๒๒ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์ ๑๗๐<br />
หมวดที่ ๔ อนาคต รังสรรค์ ความมั่นคง ๑๗๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๒๓ ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๑ การพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย ๑๗๓<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๒๔ ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๒ การพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิของชาติ ๑๗๕<br />
หน้า
เรื่องเล่าที่ ๑๒๕ ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๓ การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Ministers’ Meeting : ADMM) ๑๗๖<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๒๖ ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๔ หน่วยงานประสานงานด้านการแพทย์ทหารระดับอาเซียน ๑๗๘<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๒๗ ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๕ การเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ ๑๘๐<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๒๘ ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๖ ความพร้อมเผชิญภัยคุกคามที่ไม่ใช่ทางทหาร ๑๘๑<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๒๙ ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๗ ความพร้อมเผชิญภัยคุกคามด้านไซเบอร์ (Cyber Threat) ๑๘๒<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๓๐ ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๘ ความพร้อมในการบรรเทาสาธารณภัย ๑๘๔<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๓๑ ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๙ ข้าราชการกลาโหมพลเรือน ๑๘๕<br />
เรื่องเล่าที่ ๑๓๒ ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๑๐ การช่วยเหลือประชาชนและการพัฒนาประเทศ ๑๘๖<br />
หน้า
หมวดที่ ๑<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
เด่นสง่า วิวัฒนาการ<br />
9
เรื่องเล่าที่ ๑<br />
ความหมาย “กลาโหม”<br />
คำว่า “กลาโหม” เป็นคำโบราณที่กล่าวถึงสถานที่หรือตำแหน่ง<br />
ของข้าราชการไทยในยุคโบราณที่มีความเกี่ยวข้องกับกิจการทหาร ซึ่งเป็น<br />
ศัพท์เฉพาะในการกล่าวถึงหรือให้เกียรติต่อสถานที่และตำแหน่งบุคคล<br />
ในเวลาต่อมาได้ยกระดับให้เป็นนามบัญญัติของส่วนราชการระดับกระทรวง<br />
ในกิจการราชการของไทย จนปรากฏเป็นกระทรวงกลาโหมที่เรืองนาม<br />
และเ<strong>ปี</strong>่ยมไปด้วยเกียรติภูมิตราบจนปัจจุบันนี้<br />
มีผู้กล่าวถึงความหมายของคำว่า “กลาโหม” มากมาย และมีนัก<br />
วิชาการหลายท่านได้ให้ความหมายในนานาทัศนะ ทั้งนี้ จากการค้นคว้า<br />
จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์หลายแหล่งและจากข้อคิดเห็นของบรรดา<br />
ผู้ทรงความรู้หลายท่าน ปรากฏดังนี้<br />
๑. การบันทึกในจุลยุทธกาลวงศ์ เรื่องของพงศาวดารไทยที่นิพนธ์<br />
เป็นภาษาบาลีของสมเด็จพระวันรัตน์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวร<br />
มหาวิหาร ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช คือ<br />
“อนุเขตตฺสกิเกน สมุหวรกฺลาโหมํนาม สรุเสนญฺจ...นตุตฺเขตฺต<br />
สกฺกคหณํ เปตฺวา”<br />
แปลเป็นภาษาไทยโดยพระญาณวิจิตร (สิทธิ์ โลจนานนท์) เปรียญ<br />
ความว่า<br />
“แล้วพระราชทานนามขุนนางตามศักดินา ให้ทหารเป็น สมุห<br />
พระกลาโหม...ถือศักดินาหมื่นหนึ่ง”<br />
๒. การบันทึกในกฎมณเฑียรสมัยสมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ<br />
ซึ่งอาลักษณ์คัดลอกกันต่อมา มีการเขียนเป็น“กะลาโหม” อาทิ อัยการ<br />
ลูกขุนหมู่ไพร่พลอ้างเรี่ยวแรงอุกเลมิดพนักงานกะลาโหม อีกทั้ง ในพระ<br />
ไอยการตำแหน่งนายทหารหัวเมือง ก็ปรากฏคำว่ากะลาโหมหลายแห่ง<br />
ได้แก่ นายเวรกะลาโหม, หัวพันกะลาโหม, พระธรรมไตรโลกนาถ สมุห<br />
พระกะลาโหม, หลวงศรีเสาวราชภักดีศรี สมุหกระลาโหมฝ่ายตระพัง เป็นต้น<br />
นอกจากนี้ ในสมัยกรุงศรีอยุธยา คำว่า “กลาโหม” ถือเป็นนามกรม กรมหนึ่ง<br />
ในการจัดส่วนบริหารราชการส่วนกลางของฝ่ายทหาร ที่เรียกว่า เวียง<br />
หรือกรมเมือง กล่าวคือเป็นหน่วยงานที่จัดกำลังทหารไว้ปกป้องขอบ<br />
ขัณฑสีมาหรือป้องกันศัตรูจากภายนอกประเทศ โดยรัชสมัยสมเด็จพระบรม<br />
ไตรโลกนาถเป็นต้นมา กำหนดให้ สมุหพระกลาโหม มีอำนาจควบคุม<br />
10
กิจการเกี่ยวกับทางทหารทั่วประเทศ จนกระทั่งถึงรัชสมัยพระเพทราชา<br />
ได้เปลี่ยนแปลงอำนาจให้มาเป็นควบคุมผู้บังคับบัญชาทหารและพลเรือน<br />
ในแถบหัวเมืองฝ่ายใต้ ส่วน สมุหนายก ดูแลหัวเมืองฝ่ายเหนือทั้งหมด<br />
ที่เป็นฝ่ายทหารและพลเรือน ทั้งนี้เพื่อกระจายอำนาจการปกครองไม่ให้<br />
กำลังทหารอยู่ในการสั่งการของข้าราชการในตำแหน่งเดียว ซึ่งในสมัยต่อมา<br />
ได้มีการบัญญัติ ตราพระคชสีห์ ให้เป็นตราประจำกรมพระกลาโหม ซึ่งมี<br />
การใช้สืบทอดต่อมาจนถึงกระทรวงกลาโหมปัจจุบัน<br />
๓. ในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ปรากฏคำว่ากะลาโหมอยู่เสมอ อาทิ<br />
พระธรรมเทศนาพระราชพงศาวดารสังเขป พระราชนิพนธ์โดย สมเด็จ<br />
พระมหาสมณเจ้า กรมพระปรมานุชิตชิโนรส และบางตำราได้กล่าวว่า<br />
กลาโหม มาจากภาษาบาลีบ้าง หรือมาจากภาษาเขมรโบราณบ้าง ซึ่งก็มี<br />
เหตุผลที่แตกต่างกันไป แต่สรุปได้ว่า สมุหพระกลาโหม เป็นตำแหน่งของ<br />
ผู้บังคับบัญชาทหาร ที่มีหน้าที่นำพาหน่วยทหารเข้ารบป้องกันประเทศ<br />
จนไทยเรามีเอกราชตราบจนทุกวันนี้<br />
อย่างไรก็ตาม คำว่า “กลาโหม” เป็นคำโบราณที่มีการสืบค้นว่า<br />
พบเห็นจากบันทึกครั้งแรก ปรากฏในจารึกสดกกักธม (อําเภออรัญประเทศ<br />
จังหวัดสระแก้ว) หน้า ๔ แห่งศิลา บรรทัดที่ ๒๘ บันทึกไว้ว่า<br />
“กฺรฬาโหม” และปรากฏในสมัยกรุงศรีอยุธยา ซึ่งเป็นยุคภายหลัง<br />
จากอาณาจักรขอมเรืองอำนาจในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยมี<br />
คำในภาษาไทยที่ได้รับการพัฒนามาจากภาษาขอมโบราณที ่รับอิทธิพล<br />
มาจากรากศัพท์ภาษาบาลีและสันสกฤต อาทิ กระทรวง กรม เชลย<br />
ตำรวจ เฉลย ดังนั้น หากวิเคราะห์จากคำศัพท์ที่ว่า “กลาโหม” มีท่านผู้รู้<br />
หลายท่านให้ทัศนะไว้หลายประการ จึงสามารถถอดศัพท์คำว่า กลาโหม<br />
ออกเป็น ๒ คำ และมีความหมายที่พร้อมแหล่งที่มาที่น่าสนใจ กล่าวคือ<br />
คำว่า “กลา” เป็นรากศัพท์ภาษาขอมโบราณที่มีความหมายว่า<br />
“สถาน” หรือ “พื้นที่เปิดโล่ง” ที่เทียบเคียงกับภาษาเขมรที่รับอิทธิพลจาก<br />
ภาษาขอมโบราณที่ว่า kanleng หรือ สถาน<br />
คำว่า “โหม” เป็นรากศัพท์ภาษาบาลีที่มีความหมายว่า “ระดม”<br />
หรือ “ปลุกเสกให้กองทหาร” ซึ่งในพิธีพราหมณ์มักจะใช้การบูชาไฟ ซึ่ง<br />
พิธีจะกระทำขึ้นก่อนออกรบที่เรียกว่า “โหมกูณฑ์” หรือ “บูชาไฟ” ดังนั้น<br />
คำว่า “โหม” คือ การระดมกำลังทหารเพื่อประกอบพิธีกรรมสำหรับการรบ<br />
แม้ว่าในนานาทัศนะของนักวิชาการและท่านผู้รู้จะให้ข้อคิดเห็น<br />
กับคำว่า “กลาโหม” ในลักษณะใดก็ตาม แต่สำหรับในด้านความมั่นคงและ<br />
ด้านการทหาร จึงกล่าวได้ว่าคำว่า “กลาโหม” มีความหมายว่า สถานที่<br />
สําหรับใช้ในการระดมกําลังทางทหารเพื่อการรบหรือมีนัยในการเป็น<br />
หน่วยทหารหรือหน่วยกําลังรบนั่นเอง<br />
11
เรื่องเล่าที่ ๒<br />
กระทรวงกลาโหม กับภารกิจการทหารและความมั่นคงของชาติ<br />
ภารกิจของกระทรวงกลาโหม ซึ่งรับผิดชอบในเรื่องการทหารและ<br />
ความมั่นคงของชาติ ได้มีการบัญญัติไว้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักร<br />
ไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐, แนวทางตามยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ <strong>ปี</strong> (พ.ศ.๒๕๖๑<br />
– ๒๕๘๐) และกฎหมายที่เกี่ยวข้องของกระทรวงกลาโหม ดังนี้<br />
๑. รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐<br />
“มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิ<br />
อธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และ<br />
ความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้มี<br />
การทหาร การทูต และการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ กำลังทหารให้ใช้<br />
เพื่อประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้วย”<br />
๒. ยุทธศาสตร์ชาติ ๒๐ <strong>ปี</strong> (พ.ศ.๒๕๖๑ – ๒๕๘๐)<br />
กำหนดภารกิจที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมและหน่วยงาน<br />
ความมั่นคงไว้ในยุทธศาสตร์ที่ ๑ ยุทธศาสตร์ด้านความมั่นคง ที่มุ่งเน้น<br />
การบริหารจัดการสภาวะแวดล้อมของประเทศให้มีความ มั่นคง ปลอดภัย<br />
และมีความสงบ เรียบร้อยในทุกระดับและทุกมิติ<br />
๓. พระราชบัญญัติปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ.๒๕๔๕<br />
“มาตรา ๘ กระทรวงกลาโหม มีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการป้องกัน<br />
และรักษาความมั่นคงของราชอาณาจักรจากภัยคุกคามทั้งภายนอกและ<br />
ภายในประเทศ การรักษาผลประโยชน์แห่งชาติ สนับสนุนการพัฒนา<br />
ประเทศ และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของ<br />
กระทรวงกลาโหมหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงกลาโหม”<br />
๔. พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑<br />
“มาตรา ๘ กระทรวงกลาโหม มีอำนาจหน้าที่ ดังต่อไปนี้<br />
(๑) พิทักษ์รักษาเอกราชและความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร<br />
จากภัยคุกคามทั้งภายนอกและภายในราชอาณาจักร ปราบปรามการกบฏ<br />
และการจลาจล โดยจัดให้มีและใช้กำลังทหารตามที่รัฐธรรมนูญแห่ง<br />
ราชอาณาจักรไทยหรือตามที่มีกฎหมายกำหนด<br />
(๒) พิทักษ์รักษา ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ตลอดจน<br />
สนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
(๓) ปกป้อง พิทักษ์รักษาผลประโยชน์แห่งชาติและการปกครอง<br />
ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข พัฒนาประเทศ<br />
เพื่อความมั่นคงตลอดจนสนับสนุนภารกิจอื่นของรัฐในการพัฒนาประเทศ<br />
การป้องกันและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติและการช่วยเหลือประชาชน<br />
12
(๔) ศึกษา วิจัย พัฒนา และดำเนินการด้านอุตสาหกรรม<br />
ป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกัน<br />
ประเทศ และด้านกิจการอวกาศเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ทั้งนี้<br />
เพื่อสนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหมและความมั่นคงของประเทศ<br />
(๕) ปฏิบัติการอื่นที่เป็นการปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือ<br />
จากสงครามเพื่อความมั่นคงแห่งราชอาณาจักร หรือปฏิบัติการอื่นใด<br />
ทั้งนี้ ตามที่มีกฎหมายกำหนดหรือตามมติคณะรัฐมนตรีในการดำเนินการ<br />
ตาม (๔) กระทรวงกลาโหมอาจมอบหมายให้ส่วนราชการในกระทรวง<br />
กลาโหมหรือหน่วยงานอื่นในกำกับของกระทรวงกลาโหมเป็นผู้ดำเนินการ<br />
ก็ได้หรืออาจร่วมงาน ร่วมทุนหรือดำเนินการกับภาคเอกชนตามบทบัญญัติ<br />
แห่งกฎหมายก็ได้”<br />
13
เรื่องเล่าที่ ๓<br />
วิวัฒนาการของกระทรวงกลาโหม<br />
ในช่วงต้นของรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงมีพระราชดำริให้นำรูปแบบอย่างการทหารที่ชาวยุโรปปฏิบัติมาดัดแปลง<br />
แก้ไขให้เหมาะสมกับประเทศไทยในเวลานั้น โดยมีรูปแบบการจัดกิจการ<br />
ทหารเป็น ๒ หน่วย กล่าวคือ<br />
๑. ทหารบก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็นหน่วยทหาร<br />
อยู่ในสังกัดของทหารบก รวม ๗ กรม ประกอบด้วย กรมทหารมหาดเล็ก<br />
ราชวัลลภรักษาพระองค์ กรมทหารรักษาพระองค์ กรมทหารล้อมวัง<br />
กรมทหารหน้า กรมทหารปืนใหญ่ กรมทหารช้าง และกรมทหารฝีพาย<br />
๒. ทหารเรือ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งเป็นหน่วยทหาร<br />
อยู่ในสังกัดของทหารเรือ รวม ๒ กรม ประกอบด้วย กรมทหารเรือพระที่นั่ง<br />
เวสาตรี (ทหารช่างแสงเดิม) และ กรมอรสุมพล (ทหารมารีนเดิม)<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๐ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดตั้งเรียกว่า<br />
“กรมยุทธนาธิการ” สำหรับจัดการและบังคับบัญชาการทหารบกและ<br />
ทหารเรืออย่างใหม่ในลักษณะการรวมกำลังเป็นปึกแผ่นอย่างกองทัพ<br />
สำหรับประเทศไทย ในเวลาต่อมา กรมยุทธนาธิการ ได้มีการพัฒนาภารกิจ<br />
และการจัดของหน่วยงานอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สามารถเผชิญภัยคุกคาม<br />
ที่เปลี่ยนแปลงไปในยุคสมัยต่างๆ จนพัฒนาเป็นกระทรวงกลาโหม<br />
ดังที่ปรากฏในปัจจุบันตามลำดับ ดังนี้<br />
๑. <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๓ มีการยกฐานะ กรมยุทธนาธิการขึ้นเป็น กระทรวง<br />
ยุทธนาธิการ (Ministry of War and Marine) โดยประกาศเป็นพระราช<br />
บัญญัติจัดการกรมยุทธนาธิการ ในวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๓ ทั้งนี้ พระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชสถานะเป็นจอมทัพ<br />
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎ<br />
ราชกุมาร ทรงเป็นองค์รับสนองพระบรมราชโองการ<br />
๒. <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๕ เป็นการปฏิรูประบบราชการเป็นครั้งแรก โดยทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระบรมราชโองการ ในวันที่ ๑ เมษายน<br />
๒๔๓๕ ชื่อว่า ประกาศตั้งเสนาบดี จนครบ ๑๒ กระทรวง ตามภารกิจ<br />
เพื่อให้เกิดการรวมศูนย์งาน โดยมีทั้งกระทรวงกลาโหมและกระทรวง<br />
ยุทธนาธิการ แต่ต่อมาใน<strong>ปี</strong>เดียวกันได้ลดฐานะกระทรวงยุทธนาธิการ ลงเป็น<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
กระทรวงกลาโหมในยุคแรก<br />
กรมยุทธนาธิการ ซึ่งมีลักษณะพิเศษที่ไม่สังกัดกระทรวงใด โดยทำหน้าที่<br />
เป็นองค์กรฝ่ายทหารบกที่ทำหน้าที่ป้องกันประเทศ<br />
๓. <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๗ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระบรม<br />
ราชโองการชื่อว่า ประกาศจัดปันหน้าที่กระทรวงกลาโหม กระทรวง<br />
มหาดไทย โดยให้กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบราชการที่เกี่ยวกับทหาร และ<br />
กระทรวงมหาดไทยให้รับผิดชอบราชการที่เกี่ยวกับพลเรือน จึงมีการโอน<br />
กรมยุทธนาธิการมาขึ้นสังกัดกระทรวงกลาโหม โดยให้ กรมยุทธนาธิการ<br />
กำกับดูแลกิจการทหารบก และ กรมทหารเรือ กำกับดูแลกิจการทหารเรือ<br />
14
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ประทับเป็นประธานในการประชุมเสนาบดีสภา<br />
ณ พระที่นั่งวิมานเมฆ พระราชวังดุสิต<br />
๕. <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๗๔ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
มีการควบรวมกระทรวงทหารเรือกับกระทรวงทหารบก เข้าเป็นกระทรวง<br />
เดียวกันภายใต้นาม กระทรวงกลาโหม<br />
๖. ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครองใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๗๕ ได้มี<br />
การตราพระราชบัญญัติเกี่ยวกับราชการกระทรวงกลาโหมเป็นครั้งแรก<br />
ใช้ชื่อว่า พระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ.๒๔๗๖<br />
ซึ่งเป็นกฎหมายแม่บทของกระทรวงกลาโหมและกิจการทหารไทย<br />
ในเวลาต่อมาได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนมาเป็น พระราชบัญญัติ<br />
จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน<br />
โดยมีการจัดส่วนราชการที่สำคัญออกเป็น สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวง และกองทัพไทย (ซึ่งมีส่วนราชการในสังกัด คือ<br />
กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ กองทัพอากาศ และ<br />
ส่วนราชการอื่นตามที่กำหนดโดยพระราชกฤษฎีกา) ทั้งนี้ สามารถแสดง<br />
การจัดส่วนราชการของกระทรวงกลาโหมตาม พระราชบัญญัติจัดระเบียบ<br />
ราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ และฉบับแก้ไขเพิ่มเติมตามแผนผัง<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
สำนักงานรัฐมนตรี<br />
สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กองทัพไทย<br />
สำนักงาน<br />
จเรทหารทั่วไป<br />
กองบัญชาการกองทัพไทย<br />
กองทัพบก<br />
กองทัพเรือ<br />
กองทัพอากาศ<br />
๔. <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๕๓ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
มีการยกฐานะกรมยุทธนาธิการ ขึ้นเป็น กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ดูแล<br />
การปกครองเฉพาะกิจการทหารบก พร้อมกับยกฐานะกรมทหารเรือ<br />
ขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ มีหน้าที่ดูแลการปกครองเฉพาะกิจการทหารเรือ<br />
แผนผัง แสดงการจัดส่วนราชการกระทรวงกลาโหม<br />
ส่วนราชการอื่นตามที่กำหนด<br />
โดยพระราชกฤษฎีกา<br />
15
เรื่องเล่าที่ ๔<br />
การปรับปรุงกิจการทหารในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ประชาชนชาวไทยในยุคปัจจุบันหลายต่อหลายท่านยังอาจมี<br />
ข้อสงสัยว่า เหตุผลประการใดที่ส่งผลให้พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชวินิจฉัยในการปรับปรุงกิจการทหารของไทยให้มี<br />
รูปแบบใหม่ที่ต้องใช้ทรัพยากรของประเทศเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะในเรื่อง<br />
ของงบประมาณ กำลังพล ยุทโธปกรณ์ และสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆ<br />
ประชาชนชาวไทยหลายท่านคงทราบดีว่า ในห้วงเวลาต้นพุทธ<br />
ศตวรรษที่ ๒๔ ได้เกิดการเผยแพร่ลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกจากประเทศ<br />
โลกตะวันตกที่มาจากทวีปยุโรปเป็นอันมาก ทำให้ประเทศเพื่อนบ้านรอบ<br />
ประเทศต่างประสบภัยจากลัทธิดังกล่าวและต้องตกเป็นอาณานิคมของ<br />
ประเทศมหาอำนาจ โดยเฉพาะ อังกฤษ (ที่มีอาณานิคมทางทิศตะวันตก<br />
และทิศใต้ของไทย) และ ฝรั่งเศส (ที่มีอาณานิคมทางทิศตะวันออกของไทย)<br />
หากประเทศไทยไม่พยายามปรับปรุงการบริหารประเทศให้ทันสมัย<br />
ก็เท่ากับเป็นการนั่งรอคอยเวลาให้ประเทศมหาอำนาจทั้ง ๒ ประเทศ<br />
แผ่ขยายอิทธิพลเข้ามายึดครองประเทศไทย อาจทำให้ประเทศไทย<br />
ไม่สามารถรอดพ้นจากการเผยแพร่ลัทธิจักรวรรดินิยมตะวันตกได้อย่าง<br />
แน่นอน ประกอบกับการบริหารจัดการกิจการทหารในสมัยนั ้นเป็นการ<br />
จัดกำลังทหารตามแบบราชการในยุคโบราณที่รับการถ่ายทอดมาตั้งแต่ยุค<br />
ของกรุงศรีอยุธยา ที่มีการจัดกำลังทหารถึง ๔ สังกัด คือ<br />
๑) ทหารในสังกัดวังหลวง<br />
๒) ทหารในสังกัดวังหน้า<br />
๓) ทหารในสังกัดสมุหพระกลาโหม รับผิดชอบการกำกับดูแล<br />
พลเรือนและทหารทางฝั่งใต้ของพระนครและประเทศราช<br />
๔) ทหารในสังกัดสมุหนายก รับผิดชอบการกำกับดูแลพลเรือนและ<br />
ทหารทางฝั่งเหนือของพระนคร<br />
ซึ่งจากการที่มีกำลังทหารในหลายสังกัดที่ขาดความเป็นเอกภาพ<br />
ดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดการสิ้นเปลืองและเกิดความซ้ำซ้อนในการปกครอง<br />
บังคับบัญชาและส่งผลให้สายการบังคับบัญชาเกิดความสับสน จึงสมควร<br />
กิจการทหารตามแบบอย่างการจัดระเบียบบริหารราชการตามแบบอย่าง<br />
ชาติมหาอำนาจตะวันตกด้านการทหาร ดังนั้น การจัดตั้ง กรมยุทธนาธิการ<br />
ในวันที่ ๘ เมษายน ๒๔๓๐ จึงเป็นการเริ่มต้นของการจัดกำลังทหารบกและ<br />
ทหารเรือตามรูปแบบการบริหารจัดการทหารในสมัยใหม่ โดยการรวม<br />
หน่วยทหารในสังกัดวังหลวงและทหารในสังกัดวังหน้าไว้ด้วยกันทั้งทหารบก<br />
และทหารเรือ แต่สำหรับการเรียกระดมกำลังพลของทหารในสังกัด<br />
สมุหพระกลาโหม (ในเวลาต่อมาเปลี่ยนเป็นกระทรวงกลาโหม) และ<br />
สมุหนายก (ในเวลาต่อมาเปลี่ยนเป็นกระทรวงมหาดไทย) ยังคงมีอยู่<br />
ต่อมา เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๓๗ พระบาทสมเด็จพระ<br />
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศพระบรม<br />
ราชโองการที่ชื่อว่า ประกาศจัดปันน่าที่กระทรวงกระลาโหมมหาดไทย เพื่อ<br />
เปลี่ยนแปลงการเรียกระดมกำลังพลของทหารจากเดิมที่เป็นของกระทรวง<br />
กลาโหม (ฝั่งใต้ของพระนครและประเทศราช) กับกระทรวงมหาดไทย (ฝั่ง<br />
เหนือของพระนคร) โดยให้กระทรวงกลาโหม ดำเนินการและกำกับดูแลด้าน<br />
การทหาร และกระทรวงมหาดไทยดำเนินการและกำกับดูแลด้านพลเรือน<br />
ทำให้เกิดการบริหารจัดการกิจการทหารที่เป็นเอกภาพตามแนวทางสากล<br />
และใช้เป็นแนวทางบริหารราชการแผ่นดินตราบจนปัจจุบัน<br />
นอกจากนี้ กิจการทหารควรเป็นสถานที่ท ำการเพื่อรวบรวมและฝึกฝน<br />
อบรมทหารให้เกิดความพร้อมในการรับผิดชอบภารกิจต่างๆ ทางทหาร<br />
สมัยใหม่ จนในที่สุดก็เกิดเป็นโรงทหารหน้า และมีพัฒนาการจนกลาย<br />
มาเป็นศาลาว่าการกลาโหมในปัจจุบัน<br />
16
เรื่องเล่าที่ ๕<br />
กรมยุทธนาธิการ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรด<br />
เกล้าฯ ประกาศพระบรมราชโองการชื่อว่า ประกาศจัดการทหาร เมื่อ<br />
วันศุกร์แรม ๑ ค่ำ เดือน ๕ <strong>ปี</strong>กุน อัฐศกจุลศักราช ๑๒๔๘ หรือ วันศุกร์ที่<br />
๘ เมษายน ๒๔๓๐ เพื่อให้มีแบบแผนดีและเรียบร้อยเป็นอันเดียวกัน<br />
เหมือนอย่างโบราณราชประเพณีและเทียบเคียงได้อย่างประเทศในทวีปยุโรป<br />
โดย ประกาศจัดการทหาร มีสาระสำคัญ ดังนี้<br />
๑. ให้ตราเป็นพระราชบัญญัติ ควบรวมกรมทหารบกและกรม<br />
ทหารเรือ ตั้งขึ้นเป็นกรมใหญ่เรียกว่า “กรมยุทธนาธิการ” สำหรับจัดการ<br />
และบังคับบัญชาการทหารบกและทหารเรืออย่างใหม่ในลักษณะการรวม<br />
กำลังเป็นปึกแผ่นอย่างกองทัพสำหรับประเทศไทย พร้อมทั ้ง ตั้งตำแหน่ง<br />
ผู้บังคับบัญชาการทั่วไปสำหรับกรมทหาร เรียกว่า คอมมานเดออินชิฟ<br />
(Commander In Chief) พร้อมทั้ง โปรดเกล้าฯ ให้ สมเด็จพระบรม<br />
โอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงดำรงตำแหน่ง<br />
ดังกล่าวนี้ เพื่อให้ถูกต้องตามโบราณราชประเพณี โดยกำกับดูแลทหารบก<br />
และทหารเรือ ให้เกิดความเป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา<br />
๒. ตั้งเจ้าพนักงานใหญ่ผู้จัดการในกรมสำหรับช่วยผู้บัญชาการ<br />
ทั่วไป อีก ๔ ตำแหน่ง คือ<br />
๒.๑ เจ้าพนักงานใหญ่ผู้ช่วยบัญชาการทหารบก หรือ เอตซุแตนต์<br />
เยเนอราล (Assistant General)<br />
๒.๒ เจ้าพนักงานใหญ่ผู้บัญชาการใช้จ่าย หรือ เปมาสเตอ<br />
เยเนอราล (Paymaster General)<br />
๒.๓ เจ้าพนักงานใหญ่ผู้บัญชาการยุทธภัณฑ์ หรือ ครอดเตอ<br />
มาสเตอ เยเนอราล (Quartermaster General)<br />
๒.๔ เจ้าพนักงานใหญ่ผู้ช่วยบัญชาการทหารเรือ หรือ สิเกรตาริ<br />
ตูธีเนวี (Secretary to The Navy)<br />
๓. กำหนดอำนาจหน้าที่ของ ผู้บังคับบัญชาการทั่วไป และ<br />
เจ้าพนักงานใหญ่ ทั้ง ๔ ตำแหน่ง<br />
ทั้งนี้ ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กำหนดสาระสำคัญในเรื่อง<br />
ของการปกครองและบังคับบัญชาทางทหาร ไว้ ดังนี้<br />
(๑) พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระราชอิสริยยศ<br />
ในตำแหน่ง จอมทัพ<br />
(๒) สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ทรงดำรง<br />
ตำแหน่งผู้บัญชาการทั่วไป แต่เนื่องจากยังทรงพระเยาว์คือ มีพระชันษา<br />
เพียง ๙ พรรษา (ประสูติเมื่อวันที่ ๒๗ มิถุนายน ๒๔๒๑) จึงได้ทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษี<br />
สว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช (พระยศในขณะนั้น) ทรงเป็นผู้<br />
รักษาการแทนผู้บัญชาการทั่วไปในกรมทหาร จนกว่าพระองค์จะว่าการ<br />
ได้ด้วยพระองค์เอง ซึ่งในเวลาต่อมา ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็น<br />
ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ<br />
(๓) นายพลตรี กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ เป็น ผู้ช่วยบัญชาการ<br />
ทหารบก<br />
(๔) นายพลเรือโท พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์ เป็น ผู้ช่วยบัญชาการ<br />
ทหารเรือ<br />
(๕) นายพลตรี เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ เป็น<br />
เจ้าพนักงานใหญ่ผู้บัญชาการใช้จ่าย<br />
(๖) นายพันเอก พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เป็น<br />
เจ้าพนักงานใหญ่ผู้บัญชาการยุทธภัณฑ์<br />
(๗) นายพลตรี เจ้าฟ้า กรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม เป็น ผู้บัญชาการ<br />
รักษาพระราชวัง<br />
โดยแยกการปกครองบังคับบัญชากรมทหารออกจาก กรมพระ<br />
กลาโหม (คงให้ กรมพระกลาโหม มีอำนาจบังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้<br />
เท่านั้น) และมีที่ตั้งหน่วยของ กรมยุทธนาธิการ ขึ้นที่โรงทหารหน้า<br />
17
พระบรมฉายาลักษณ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร<br />
พระฉายาลักษณ์ นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์<br />
กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
พระฉายาลักษณ์ นายพลตรี กรมหมื่นดำรงราชานุภาพ<br />
พระฉายาลักษณ์ นายพลเรือโท พระองค์เจ้าสายสนิทวงศ์<br />
พระฉายาลักษณ์ นายพลตรี เจ้าฟ้าจิตรเจริญ<br />
กรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์<br />
ภาพนายพันเอก พระยาสุรศักดิ์มนตรี พระฉายาลักษณ์ นายพลตรี เจ้าฟ้ากรมหมื่นประจักษ์ศิลปาคม<br />
18
เรื่องเล่าที่ ๖<br />
กระทรวงยุทธนาธิการ<br />
เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๓ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดระเบียบบริหารราชการแผ่นดิน<br />
เกี ่ยวกับกิจการทหารขึ้นใหม่ โดยการตราพระราชบัญญัติจัดการกรม<br />
ยุทธนาธิการ รัตนโกสินทรศก ๑๐๙ ด้วยการยกฐานะกรมยุทธนาธิการขึ้น<br />
เป็น กระทรวงยุทธนาธิการ (Ministry of War and Marine) โดยมีการ<br />
แบ่งส่วนราชการกระทรวงยุทธนาธิการ ออกเป็น ๒ ฝ่าย กล่าวคือ<br />
๑. ฝ่ายพลเรือน ทำหน้าที่ด้านธุรการ การบริหาร และการส่งกำลัง<br />
บำรุง โดยมี เสนาบดีกระทรวง เป็นผู้บังคับบัญชา<br />
๒. ฝ่ายทหาร ทำหน้าที่เป็นส่วนกำลังรบ โดยพระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร รับสนองพระบรม<br />
ราชโองการ แบ่งออกเป็น ๒ ส่วนราชการ คือ<br />
๑. กรมทหารบก มีการจัดหน่วยของกรมทหารบก แบ่งออก<br />
เป็น ๖ หน่วย ประกอบด้วย กรมนายเวรใหญ่ทหารบก (ต่อมาเปลี่ยนเป็น<br />
กรมเสนาธิการทหารบก) กรมปลัดทหารบกใหญ่ กรมยกกระบัตรทหารบก<br />
ใหญ่ โรงเรียนสอนวิชาทหาร โรงพยาบาลทหารบก และกรมคุกทหารบก<br />
๒. กรมทหารเรือ มีการจัดหน่วยของกรมทหารเรือ แบ่งออกเป็น<br />
๑๐ หน่วย ประกอบด้วย กรมปลัดทหารเรือใหญ่ (กองกลาง) กองบัญชีเงิน<br />
กรมคลังพัสดุทหารเรือ กองเร่งชำระ กรมคุกทหารเรือ กรมอู่ กรมช่างกล<br />
โรงพยาบาลทหารเรือ ทหารมะรีนหรือทหารนาวิกโยธิน เรือรบหลวง และ<br />
เรือพระที่นั่งประจำการ พร้อมทั้งทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ตั้งตำแหน่ง<br />
ตาม พระราชบัญญัติกรมยุทธนาธิการ เมื่อวันที่ ๑๕ เมษายน ๒๔๓๓ ดังนี้<br />
(๑) ให้ นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้า<br />
ภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็น เสนาบดีว่าการยุทธ<br />
นาธิการ (ที่เรียกตามภาษาอังกฤษกว่า มินิสเตอร์ออฟวาแอนต์มริน หรือ<br />
Minister of War and Marine)<br />
(๒) ให้ นายพันเอก พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)<br />
เป็น ผู้บัญชาการทหารบก (ที่เรียกตามภาษาอังกฤษว่า ชิพสตาฟออฟ<br />
ดิอามี หรือ Chief Staff of the Army)<br />
(๓) ให้ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์ กรมหมื่น<br />
ปราบปรปักษ์ เป็น ผู้บัญชาการทหารเรือ (ที่เรียกตามภาษาอังกฤษว่า<br />
ชิพสตาฟออฟดิเนวี หรือ Chief Staff of the Navy)<br />
ต่อมา วันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระบรมราชโองการ<br />
ชื่อว่า ประกาศตั้งเสนาบดี จนครบ ๑๒ กระทรวงจัดตั้งกระทรวงขึ้นใหม่<br />
ตามภารกิจเพื่อให้เกิดการรวมศูนย์งาน โดยแบ่งออกเป็น ๑๒ กระทรวง<br />
ประกอบด้วย กระทรวงมหาดไทย (บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายเหนือรวมทั้ง<br />
ประเทศราชทางเหนือ), กระทรวงกลาโหม (บังคับบัญชาหัวเมืองฝ่ายใต้<br />
ฝ่ายตะวันตก ตะวันออก และเมืองมลายูประเทศราช), กระทรวงการ<br />
ต่างประเทศ, กระทรวงนครบาล (กระทรวงเมือง), กระทรวงวัง, กระทรวง<br />
พระคลังมหาสมบัติ, กระทรวงเกษตรพาณิชยการ, กระทรวงยุติธรรม,<br />
กระทรวงธรรมการ, กระทรวงโยธาธิการ, กระทรวงมุรธาธิการ และ<br />
กระทรวงยุทธนาธิการ (จัดการเกี่ยวกับทหารบกและทหารเรือแบบยุโรป)<br />
และในวันเดียวกันนั้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ในเรื่องที่สำคัญของการจัดส่วนราชการทางทหาร<br />
โดยมีเหตุผลของการปรับเปลี่ยนส่วนราชการในกระทรวงยุทธนาธิการ<br />
กล่าวคือ มีการตราพระราชบัญญัติขึ้นใช้บังคับฉบับหนึ่งชื่อว่า พระราช<br />
บัญญัติกรมยุทธนาธิการ รัตนโกสินทรศก ๑๑๑ ขึ้น โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้<br />
19
พระฉายาลักษณ์ นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ<br />
เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
เสนาบดีว่าการยุทธนาธิการ ทรงฉายภาพกับกำลังพลในกระทรวงยุทธนาธิการ<br />
ภาพนายพันเอก พระยาสุรศักดิ์มนตรี<br />
พระฉายาลักษณ์ พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าขจรจรัสวงศ์<br />
กรมหมื่นปราบปรปักษ์<br />
ก) ให้แยกการบังคับบัญชาการทหารเรือ กรมช้าง กรมแสง จาก<br />
กระทรวงยุทธนาธิการ ไปขึ้นกับ กระทรวงกลาโหม<br />
ข) สำหรับกระทรวงยุทธนาธิการ ให้ลดฐานะเป็น กรมยุทธนาธิการ<br />
ซึ่งเป็นส่วนราชการที่มีลักษณะพิเศษไม่ต้องสังกัดขึ้นกระทรวงใด กับมี<br />
หน้าที่ปกครองบังคับบัญชาทหารบก<br />
ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๓๗ พระบาทสมเด็จพระ<br />
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระบรม<br />
ราชโองการชื่อว่า ประกาศจัดปันน่าที่กระทรวงกะลาโหม มหาดไทย<br />
รัตนโกสินทรศก ๑๑๓ เพื่อแบ่งการบริหารราชการของ กระทรวงกลาโหม<br />
(ซึ่งเดิมเคยบังคับบัญชาหัวเมืองภาคใต้และประเทศราช) กับ กระทรวง<br />
มหาดไทย (ซึ่งเดิมเคยบังคับบัญชาหัวเมืองภาคเหนือ) ให้เกิดความชัดเจน<br />
ในการบริหารราชการอย่างเป็นสัดเป็นส่วนไม่ก้าวก่ายอำนาจหน้าที่ระหว่าง<br />
ฝ่ายพลเรือนกับฝ่ายทหาร หรือเพื่อลดความซ้ำซ้อนในการบริหารราชการ<br />
แผ่นดิน ซึ่งมีสาระสำคัญ กล่าวคือ<br />
ก) แยกข้าราชการพลเรือน คือ การบังคับบัญชาหัวเมืองภาคใต้ไป<br />
ขึ้นอยู่กับมหาดไทย และจัดระเบียบการบริหารราชการพลเรือนแบบใหม่<br />
ข) ให้โอน กรมยุทธนาธิการ ขึ้นตรงต่อ กระทรวงกลาโหม เพื่อความ<br />
เป็นเอกภาพในการบังคับบัญชา โดยรวมการบังคับบัญชาทางการทหารไว้<br />
ที่กระทรวงกลาโหม เพื่อให้กระทรวงกลาโหมรับผิดชอบด้านการป้องกัน<br />
ประเทศ ด้วยกำลังทหารทั้งทางบกและทางเรือ ทั้งในหน่วยทหารที่มีที่ตั้ง<br />
หน่วยอยู่ในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค<br />
20
เรื่องเล่าที่ ๗<br />
กระทรวงทหารเรือ<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๔๕๓ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการออกประกาศตั้งกระทรวง<br />
ทหารบก ทหารเรือ รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ ซึ่งมีสาระสำคัญ ดังนี้<br />
๑. ให้เปลี่ยนชื่อ กรมยุทธนาธิการ เป็น กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่<br />
ดูแลการปกครองเฉพาะกิจการทหารบก โดยมี นายพลเอก พระองค์เจ้า<br />
จิรประวัติวรเดช กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ<br />
ดำรงตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม บังคับบัญชาทหารบกทั่วไป<br />
๒. ให้ยกฐานะกรมทหารเรือ ขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ มีหน้าที่<br />
ดูแลการปกครองเฉพาะกิจการทหารเรือ โดยมี นายพลเรือโท สมเด็จ<br />
เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ<br />
ดำรงตำแหน่งเสนาบดี กระทรวงการทหารเรือ บังคับบัญชาทหารเรือทั่วไป<br />
พระฉายาลักษณ์ นายพลเอก พระองค์เจ้าจิรประวัติวรเดช กรมหมื่นนครไชยศรีสุรเดช<br />
เสนาบดีกระทรวงกลาโหม<br />
พระฉายาลักษณ์ นายพลเรือโท สมเด็จเจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธ์ กรมขุนนครสวรรค์วรพินิต<br />
เสนาบดีกระทรวงการทหารเรือ<br />
21
๓. ให้จัดตั้ง สภาป้องกันพระราชอาณาจักร ทำหน้าที่ประสาน<br />
งานระหว่างกระทรวงกลาโหม และกระทรวงการทหารเรือ ทั้งนี้ พระบาท<br />
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นประธานสภา<br />
ป้องกันพระราชอาณาจักร มีสมาชิกสภา ประกอบด้วย เสนาบดีกระทรวง<br />
กลาโหม เสนาบดีกระทรวงการทหารเรือ จอมพลทหารบก จอมพลทหารเรือ<br />
ทั้งที่ประจำการและมิได้ประจำการ และมีเสนาธิการทหารบก เป็น<br />
เลขานุการประจำสภา<br />
พระฉายาลักษณ์ นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวุฒิไชยเฉลิมลาภ<br />
กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร<br />
ต่อมา ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็น<br />
ห้วงเวลาภายหลังเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ ๑ (พุทธศักราช ๒๔๕๗ –<br />
๒๔๖๑) ในขณะนั้นเกิดเหตุภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก ทั้งนี้เพราะ ในห้วง<br />
สถานการณ์สงครามได้มีการนำปัจจัยการผลิตเข้าใช้ในสงคราม จึงส่งผลให้<br />
ระบบผลิตเกิดความเสียหาย ประกอบกับการที่เกิดสถานการณ์สงคราม<br />
ประมาณ ๕ <strong>ปี</strong> ทำให้ปัจจัยการผลิตประเภทแรงงานและทุนต่างเสียหาย<br />
อย่างหนัก จึงส่งผลต่อการผลิตในยุโรปลุกลามไปในทวีปต่างๆ เป็นผลทำให้<br />
ประเทศไทยได้รับผลกระทบกระเทือนดังกล่าวนี้ด้วย ดังนั้น ฐานะทางการ<br />
เงินและเศรษฐกิจของประเทศอยู่ในภาวะตกต่ำ จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง<br />
ที่ต้องพิจารณาตัดทอนรายจ่ายของประเทศให้น้อยลงให้สมดุลกับรายได้<br />
ทำให้มีการปรับปรุงการจัดระเบียบราชการใหม่ด้วย<br />
ดังนั้น ในวันที่ ๘ พฤศจิกายน ๒๔๗๔ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รวมกระทรวงการทหารเรือ<br />
กับกระทรวงทหารบก เข้าเป็นกระทรวงเดียวกัน ภายใต้นาม กระทรวง<br />
กลาโหม โดยแต่งตั้งให้ นายพลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้า<br />
วุฒิไชยเฉลิมลาภ กรมหลวงสิงหวิกรมเกรียงไกร เสนาบดีกระทรวงทหารเรือ<br />
เดิมเป็น เสนาบดีกระทรวงกลาโหม นับแต่นั้นมา กระทรวงทหารเรือ<br />
จึงยุติบทบาทของส่วนราชการระดับกระทรวง และควบรวมเป็นส่วน<br />
ราชการสำคัญของกระทรวงกลาโหม แต่ก็ยังคงได้รับการบันทึกไว้ใน<br />
ประวัติศาสตร์ไทยว่า ครั้งหนึ่งในอดีตช่วงเวลาประมาณ ๒๑ <strong>ปี</strong> ประเทศไทย<br />
ของเราเคยมีกระทรวงป้องกันประเทศทางเรือที่ชื่อว่า กระทรวงทหารเรือ<br />
ให้จารึกไว้เป็นเกียรติประวัติแห่งความภาคภูมิใจของราชนาวีไทยสืบไป<br />
22
หมวดที่ ๒<br />
โรงทหารหน้า<br />
ภาพหลัง ยังปรากฏ<br />
23
เรื่องเล่าที่ ๘<br />
โรงทหารหน้า<br />
หลังจากที่ทุกท่านเข้าใจพื้นฐานเรื่องกิจการทหารของไทยในรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นอันชัดเจนแล้ว จะได้กล่าวถึง<br />
สถานที่สำคัญของกิจการทหารของไทยในยุคของการเริ่มต้นเปลี่ยนแปลง<br />
ไปสู่กิจการทหารสมัยใหม่ กล่าวคือ<br />
โรงทหารหน้า หรือ ศาลาว่าการกลาโหมในปัจจุบัน นับว่าเป็น<br />
โบราณสถานที่มีความสำคัญของชาติ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินหลวงเนื้อที่ ๑๘ ไร่<br />
๕๓ ตารางวา และเงินงบประมาณในการปลูกสร้างอาคารเป็นเงินจำนวน<br />
๗,๐๐๐ ชั่ง (๕๖๐,๐๐๐ บาท) และค่าตกแต่งอีก ๑๒๕ ชั่ง (๑๐,๐๐๐ บาท)<br />
รวมเป็นมูลค่าก่อสร้างและดำเนินการทั้งสิ้น ๕๗๐,๐๐๐ บาท นอกจากนี้<br />
ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามอาคารว่า “โรงทหารหน้า”<br />
ทั้งยังทรงพระกรุณาเสด็จพระราชดำเนินเป็นปฐมฤกษ์เพื่อทรงเปิดอาคาร<br />
เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๒๗<br />
จึงกล่าวได้ว่า โรงทหารหน้า หรืออาคารศาลาว่าการกลาโหม เป็น<br />
บ้านหลังแรกของทหารไทยในยุคกิจการทหารในรูปแบบใหม่ ซึ่งมีความ<br />
พร้อมและทันสมัยมากในยุคนั้น กล่าวคือ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูนขนาด<br />
๓ ชั้น หลังแรกในกรุงเทพมหานคร, เป็นอาคารที่มีสาธารณูปโภคเพียบพร้อม<br />
ครบถ้วนทั้งไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์ รวมทั้งมีระบบสาธารณสุขและ<br />
ระบบสุขาภิบาลที่เป็นมาตรฐาน สามารถรองรับกำลังพลของหน่วยทหาร<br />
ในระดับกรมหรือมากกว่าได้อย่างครบถ้วน โดยในช่วงแรกใช้เป็นที่ตั้งหน่วย<br />
ของกรมทหารหน้า ซึ่งในขณะนั้นเป็นหน่วยทหารที่มีการจัดหน่วยและ<br />
ใช้ยุทโธปกรณ์สมัยใหม่<br />
เมื่อกิจการทหารได้รับการพัฒนาอย่างเป็นล ำดับ อาคารโรงทหารหน้า<br />
แห่งนี้จึงทำหน้าที่เป็นที่ตั้งหน่วยของ กรมยุทธนาธิการ กระทรวง<br />
ยุทธนาธิการ กระทรวงกลาโหม กองบังคับการกระทรวงกลาโหม สำนักงาน<br />
เลขานุการรัฐมนตรี สำนักงานรัฐมนตรี สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
กองทัพบก กองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ ่งในปัจจุบัน อาคารศาลาว่าการ<br />
กลาโหม เป็นที่ตั้งหน่วยงานสำคัญของกระทรวงกลาโหม ๒ ส่วนราชการ<br />
คือ สำนักงานรัฐมนตรี และสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
อย่างไรก็ตาม สำหรับการเรียกนามของอาคารโรงทหารหน้านั้น<br />
ก็มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน กล่าวคือ ในเวลาต่อมา เมื่อมีการ<br />
จัดตั้งกรมยุทธนาธิการ กระทรวงยุทธนาธิการ และกระทรวงกลาโหมแล้ว<br />
อาคารโรงทหารหน้าจึงได้รับการขนานนามว่าเป็น ศาลายุทธนาธิการ และ<br />
ศาลาว่าการกลาโหม มาโดยลำดับ ตราบจนปัจจุบัน<br />
24
เรื่องเล่าที่ ๙<br />
ที่ตั้งโรงทหารหน้า<br />
โรงทหารหน้าหรือศาลาว่าการกลาโหมในปัจจุบัน มีที่ตั้งอยู่บนเกาะ<br />
รัตนโกสินทร์ ใกล้กับพระบรมมหาราชวังและท้องสนามหลวง (ทุ่งพระ<br />
เมรุเดิม) โดยมีที่ตั้งตามเขตการปกครองคือ ถนนสนามไชย แขวงพระบรม<br />
มหาราชวัง (เดิมคือตำบลกระทรวงกลาโหม) เขตพระนคร (เดิมคืออำเภอ<br />
ในพระนคร) กรุงเทพมหานคร (เดิมคือจังหวัดพระนคร) รหัสไปรษณีย์<br />
๑๐๒๐๐<br />
ทั้งนี้ รอบอาคารมีถนนขนาบข้างทั้ง ๔ ด้าน และอยู่บริเวณใกล้เคียง<br />
กับโบราณสถานและที่ทำการของทางราชการที่สำคัญ กล่าวคือ<br />
๑) ทิศเหนือ คือ ถนนหลักเมือง ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับศาลหลักเมือง<br />
และอาคารกรมพระธรรมนูญ<br />
๒) ทิศใต้ คือ ถนนกัลยาณไมตรี (บางส่วนของถนนบำรุงเมืองเดิม<br />
จรดสะพานช้างโรงสี) ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับกรมแผนที่ทหาร (เดิม) และ<br />
พระราชวังสราญรมย์ (บางส่วนของกระทรวงการต่างประเทศเดิม)<br />
๓) ทิศตะวันออก คือ ถนนราชินี ซึ่งอยู่ติดกับคลองคูเมืองเดิม<br />
(คลองหลอด) และฝั่งตรงข้ามกับถนนอัษฎางค์<br />
๔) ทิศตะวันตก คือ ถนนสนามไชย (เดิมชื่อว่าถนนหน้าจักรพรรดิ)<br />
ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับพระบรมมหาราชวัง และวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
(วัดพระแก้ว)<br />
25
เรื่องเล่าที่ ๑๐<br />
มูลเหตุสําคัญในการจัดสร้างโรงทหารหน้า<br />
การที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ พระราชทานที่ดินหลวง และเงินงบประมาณจำนวนมหาศาล<br />
ในสมัยนั้นเพื่อจัดสร้างโรงทหารหน้า ด้วยมีพระราชประสงค์ที่สำคัญ คือ<br />
๑. เพื่อใช้เป็นสถานที ่รองรับการปฏิรูปกิจการทหารของไทย<br />
ให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศตามแบบอย่างชาติมหาอำนาจการทหาร<br />
ของชาติตะวันตก<br />
๒. เพื่อใช้เป็นสถานที่แสดงพระบรมเดชานุภาพจอมทัพไทย<br />
ให้ปรากฏแก่สายตาชาวไทยและชาวต่างประเทศในขณะนั้น<br />
๓. เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำการของกิจการทหารและเป็นอาคาร<br />
พระราชมรดกการทหารในการรักษาความมั่นคงแห่งชาติและราชบัลลังก์<br />
สืบต่อไปในอนาคต<br />
๔. เพื่อใช้เป็นสถานที่ทำการและดำเนินกิจการทหารของกรม<br />
ทหารหน้า ตามคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานโดยนายพันเอก เจ้าหมื่น<br />
ไวยวรนารถ (เจิม แสง-ชูโต) ผู้บังคับการกรมทหารหน้าในขณะนั้น<br />
ในส่วนของทหาร มีเจตนารมณ์เพื่อใช้ประโยชน์อาคารโรงทหารหน้า<br />
ซึ่งเป็นสถานที่ที่สำคัญของทหารในการสนองงานตามพระราชประสงค์<br />
และรับใช้ใต้เบื้องพระยุคลบาทของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว กล่าวคือ<br />
(๑) ใช้เป็นสถานที่ทำการ ที่ฝึกฝน และเป็นที่พักของเหล่าทหาร<br />
ในสังกัดกรมยุทธนาธิการ ซึ่งมีหน้าที่ กำกับดูแลหน่วยงาน : กรมทหารบก<br />
๗ กรม และกรมทหารเรือ ๒ กรม<br />
(๒) ใช้เป็นสถานที่ทำการและฝึกฝนกำลังทหารเพื่อความมั่นคง<br />
แห่งชาติและราชบัลลังก์<br />
(๓) ใช้เป็นสถานที่ทำการของกระทรวงกลาโหมในการปกครอง<br />
หัวเมืองฝ่ายใต้<br />
(๔) ใช้เป็นสถานที่ชุมนุมพลรบโดยเฉพาะกรมทหารบก<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ฉลองพระองค์ในเครื่องแบบทหารชุดเต็มยศทรงพระคทา<br />
26
เรื่องเล่าที่ ๑๑<br />
โครงสร้างผังอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
อาคารศาลาว่าการกลาโหม เป็นอาคารขนาดสูง ๓ ชั้น สีของอาคาร<br />
เป็นสีไข่ไก่ขั้นด้วยขอบเสาที่มีสีขาว รูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าแคบยาว ๔ หลัง<br />
ต่อกันเป็นรูปสี่เหลี่ยมเกือบเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส ล้อมรอบสนามขนาดใหญ่<br />
ที่มีอยู่ภายใน และมีอาคารด้านทิศตะวันตกทอดยาวจนสุดพื้นที่ดิน<br />
โดยมีลักษณะของสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิก (Classicism) ในรูป<br />
แบบของสถาปนิกแอนเดรีย พาลลาดิโอ ที่เรียกว่า ศิลปะแบบพาลลาเดียน<br />
(Palladianism) ที่มีลักษณะผังรูปแบบสี่เหลี่ยมจัตุรัสล้อมรอบสนามไว้<br />
ภายใน ทั้งนี้เพราะทำให้อาคารสามารถรับแสงสว่างได้ดี เช่นเดียวกับการ<br />
ออกแบบพาลาโซเธียเน (Pallazothiene) แห่งเมืองวิเจนซ่า (Vicenze :<br />
ประเทศอิตาลี ใน<strong>ปี</strong> ค.ศ.๑๕๕๐) โดยมีคุณลักษณะสำคัญ คือ<br />
ด้านหน้าอาคาร จัดทำเป็นประตูเข้าออก ๒ ประตู อยู่ด้าน<br />
ทิศตะวันตกตรงข้ามพระบรมมหาราชวังบริเวณประตูสวัสดิโสภา มีจุดเด่น<br />
ทางสถาปัตยกรรมอยู่ที่มุขกลางด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
อาคารที่ต่อจากมุขกลาง จัดทำเป็นอาคารที่มีเป็นรูปสี่เหลี่ยม<br />
ผืนผ้าแคบยาวแบบห้องแถว มีระเบียงตั้งอยู่ติดกับตัวอาคารสำหรับใช้เป็น<br />
ทางเดินเชื่อมอาคารทั้งสี่เข้าด้วยกัน หลังคาอาคารแถวเป็นทรงปั้นหยา<br />
ไม่ยกสูง ชายคากุดแบบอาคารในยุโรป ทั้งนี้ ตัวอาคารเป็นตึกแถวสี่ด้าน<br />
ก่ออิฐฉาบปูนเรียบมีช่องหน้าต่างในช่องผนังทุกช่อง คั่นด้วยเสาอิงปูนปั้น<br />
นูนต่ำคาดเป็นแนวปล้องเลียนแบบการก่อด้วยอิฐ (Rustication) โดยที่<br />
ความงดงามของอาคารยังอยู่ที่ช่องหน้าต่าง ซึ่งมีขนาดแตกต่างกัน<br />
ในแต่ละชั้น โดยชั้นที่สองมีช่องหน้าต่างใหญ่ที่สุด ซึ่งบานหน้าต่างเป็นไม้<br />
กรุลูกฟักเรียบแบบบาน และมีซุ้มหน้าต่างเป็นปูนปั้นเรียบในลักษณะที่<br />
แตกต่างกันตามแบบโครงสร้างสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิก กล่าวคือ<br />
ชั้นล่าง ซุ้มเหนือหน้าต่างมีลวดลายเป็นก้อนก่อของทับหลัง<br />
แบบโค้งแบน (Flat arch)<br />
27
ชั้นที่สอง ซุ้มเหนือหน้าต่างมีลวดลายเป็นซุ้มคานเครื่องบน<br />
(Architrave)<br />
ชั้นบนสุด ซุ้มเหนือหน้าต่างมีลวดลายเป็นซุ้มหน้าบันโค้งเสี้ยว<br />
วงกลม (Segmental arch)<br />
อาคารศุลกสถาน<br />
ทั้งนี้ หากพิจารณาในภาพรวมแล้ว จะเห็นว่า อาคารศาลาว่าการ<br />
กลาโหม เป็นอาคารที่เรียบง่าย แต่สวยงามตามคติเรียบง่ายที่สูงศักดิ์<br />
(Noble simplicity) ของแนวการออกแบบตามรูปแบบสถาปัตยกรรม<br />
แบบคลาสสิก ซึ่งเป็นลักษณะของอาคารในรูปแบบสถาปัตยกรรมซึ่งได้รับ<br />
การยอมรับกันมากในยุโรปยุคกลาง และเป็นความภาคภูมิใจที่ประเทศไทย<br />
ที่มีอาคารซึ่งได้รับการยอมรับจากนิตยสารการท่องเที่ยวต่างชาติและ<br />
นักท่องเที่ยวต่างชาติว่าเป็นอีกหนึ่งอาคารสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิก<br />
(Classicism) ที ่ตั้งตระหง่านในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นเวลา<br />
นานกว่า ๑๓๐ <strong>ปี</strong> อีกทั้งยังเป็นอาคารที่ได้รับการบันทึกภาพและเผยแพร่<br />
ในนิตยสารต่างชาติหลายฉบับในระยะเวลาที่ผ่านมา<br />
โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า ถนนราชดำเนิน<br />
อย่างไรก็ตาม การจัดทำซุ้มหน้าต่างปูนปั้นในลักษณะของอาคาร<br />
โรงทหารหน้านี้ มีการจัดทำขึ้นในอาคารอีกบางอาคาร อาทิ อาคารโรงเรียน<br />
นายร้อยพระจุลจอมเกล้า ถนนราชดำเนิน (ปัจจุบันคือกองบัญชาการ<br />
กองทัพบก) อาคารศุลกสถาน (ปัจจุบันคือสถานีดับเพลิงบางรัก)<br />
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้สร้างขึ้นใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๓<br />
28
เรื่องเล่าที่ ๑๒<br />
จุดเด่นทางสถาปัตยกรรมของโรงทหารหน้า<br />
อาคารโรงทหารหน้าเป็นอาคารที่มีความโดดเด่นทางสถาปัตยกรรม<br />
แห่งหนึ่งในกรุงเทพมหานคร โดยจุดเด่นของอาคารอยู่ที่มุขกลางด้านหน้า<br />
ของอาคาร ซึ่งนับเป็นการออกแบบที่ลงตัวกับความเป็นที่ตั้งทางทหาร<br />
ที่ควรจะต้องมีความอลังการ ดูสงบ น่าเกรงขาม และบ่งบอกถึงศักยภาพ<br />
ในการปกป้องเอกราช อธิปไตยของประเทศชาติ และผสมผสานได้<br />
อย่างเหมาะสมกับประโยชน์ใช้สอย ที่สำคัญที่สุดคือ มีความสมดุลในทาง<br />
สถาปัตยกรรม กล่าวคือ<br />
๑.๑ อาคารมุขกลาง มีลักษณะเป็นอาคารผังรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า<br />
สำหรับใช้เป็นส่วนบังคับบัญชา มีประตูทางเข้าออกขนาดใหญ่วางขนาบ<br />
ด้านซ้ายและขวา ส่วนหน้าแคบยาวเป็นระเบียงประดับเสาราย ส่วนกลาง<br />
เป็นโถงใหญ่ยาว ๕ ช่วงเสา ส่วนท้ายเป็นโถงบันได นอกจากนี้ ยังมี<strong>ปี</strong>กต่อ<br />
ออกไปอีก ๒ ข้างที่ส่วนท้ายของอาคาร สามารถแบ่งออกเป็นห้องขนาดเล็ก<br />
ได้อีกข้างละ ๓ ห้อง เมื่อมองในภาพรวมแล้ว มีผังเป็นรูปตัว T หันส่วนบน<br />
เข้าข้างในอาคาร<br />
๑.๒ หลังคาจั่วแบบวิหารกรีก มีความละม้ายใกล้เคียงกับ<br />
วิหารพาร์เธนอน (Parthenon) โดยเฉพาะ หน้าจั่วนี้มีบัวปูนปั้นยื่นออกมา<br />
เป็นไขรา (หมายถึง ส่วนของหลังคาที่ยื่นจากฝาหรือจั่วออกไป) ที่รับด้วย<br />
เต้าสั้นๆ ตามรูปแบบของสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิค และบริเวณใต้จั่ว<br />
ในชั้นที่ ๓ ของอาคารจัดทำเป็นโครงสร้างคานโค้งครึ่งวงกลมต่อเนื่อง ๕ ช่วง<br />
๑.๓ ชั้นล่าง เป็นเสาลอยตัวหน้าตัดกลมขนาดใหญ่สูง ๒ ชั้น ตั้งอยู่<br />
บนฐานเสาสูง ๖ ต้น ในระบบเสาดอริค (Doric) กลมเกลี้ยง ก่อสร้างขึ้นมา<br />
เพื่อรับมุขโครงสร้างคานโค้งของชั้นที่สามที่ยื่นมาจากแนวตึก โดยที่<br />
ความสูงของเสาทั้ง ๖ ต้นนั้นเป็นความสูงของเสา ๒ ชั้น และฐานของ<br />
เสาทำเป็นฐานรูปทรงเหลี่ยม ทั้งนี้ อาคารโรงทหารหน้ามีสถาปัตยกรรมที่<br />
ใกล้เคียงกับอาคารศาลสถิตยุติธรรม ที่สร้างขึ้นใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๒๕ ซึ่งพระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น<br />
ในวาระเพื่อเฉลิมฉลอง ๑๐๐ <strong>ปี</strong> ของการก่อตั้งราชวงศ์จักรีและสถาปนา<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ จึงได้โปรดเกล้าฯ ให้สร้างถาวรวัตถุเป็นที่ระลึกทางจิตใจ<br />
และเป็นของขวัญให้แก่ราษฎร ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มของการปฏิรูปกระบวนการ<br />
อาคารศาลสถิตยุติธรรม<br />
ศาลยุติธรรมของประเทศ ซึ่งจุดเด่นของอาคารศาลสถิตยุติธรรมนอกจาก<br />
ตัวอาคารแล้วยังปรากฏเป็นหอนาฬิกาขนาดใหญ่ แต่เป็นที่น่าเสียดายที่<br />
อาคารหลังนี้ได้ถูกรื ้อถอนโดยคำสั่งของคณะราษฎรเพื่อสร้างอาคาร<br />
กระทรวงยุติธรรมขึ้นใหม่<br />
29
เรื่องเล่าที่ ๑๓<br />
การใช้พื้นที่สําหรับก่อสร้างอาคารโรงทหารหน้า<br />
ท่านทราบหรือไม่ว่า ที่ดินหลวงเนื้อที่ ๑๘ ไร่ ๕๓ ตารางวา ที่<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
พระราชทานให้เป็นที่ดินส ำหรับใช้ปลูกสร้างโรงทหารหน้านั้น มีพื้นที่บางส่วน<br />
ซึ่งเคยเป็นวังของเจ้านายชั้นสูงมาก่อน และพื้นที่อีกส่วนหนึ่งเดิมเคย<br />
ใช้เป็นฉางข้าวหลวง (สถานที่สำหรับใช้ในการเก็บข้าวเปลือกและข้าวสาร<br />
ที่เรียกเก็บจากราษฎรเพื่อใช้สำหรับเป็นอาหารสำรองสงครามให้แก่ทหาร<br />
และข้าราชการบางหน่วย) โดยมีรายละเอียด กล่าวคือ<br />
๑. หมู่วังเจ้านายถนนหลักเมือง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า<br />
จุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างหมู่วังเจ้านาย<br />
บริเวณหน้าพระบรมมหาราชวังบริเวณใกล้ศาลหลักเมือง จำนวน ๖ วัง<br />
สำหรับเป็นที่ประทับของพระเจ้าลูกยาเธอ ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หมู่วังเจ้านายถนนหลักเมือง กลายเป็นที่รกร้าง<br />
และไม่มีเจ้านายพระองค์ใดมาประทับอยู่<br />
๒. ฉางข้าวหลวงพระนคร พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า<br />
จุฬาโลกมหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างฉางข้าวหลวงขึ้น<br />
เพื่อเป็นเสบียงอาหารสำรองสงครามสำหรับการป้องกันประเทศในคราว<br />
สงคราม ๙ ทัพ โดยสร้างบริเวณท้ายถนนหลักเมืองใกล้คลองคูเมืองเดิม<br />
(คลองหลอด) หรือบริเวณริมถนนราชินี ซึ่งในเวลาต่อมาเมื่อไม่มีการ<br />
ใช้ประโยชน์จึงถูกปล่อยร้างและผุพังเสียหายเป็นส่วนมาก ในรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
จัดตั้งกรมทหารหน้าและมีที่ตั้งหน่วยอยู่ในพระบรมมหาราชวัง แต่การที่มี<br />
หน่วยทหารอันประกอบด้วยกำลังพลและยุทโธปกรณ์จำนวนมาก ส่งผลให้<br />
การใช้พื้นที่ในการเก็บรักษาเครื่องกระสุนและดินปืน เกิดความคับแคบ<br />
และไม่ปลอดภัย กอปรกับใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๒๔ ได้มีการจัดพระราชพิธี<br />
สมโภชพระนครครบ ๑๐๐ <strong>ปี</strong>, มีการจัดพระราชพิธีถวายพระเพลิง<br />
พระศพสมเด็จพระนางเจ้าสุนันทากุมารีรัตน์และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ<br />
เจ้าฟ้ากรรณาภรณ์เพ็ชรรัตน์ ซึ่งจัดให้มีการแสดงมหกรรมแห่งชาติ<br />
ณ ทุ่งพระเมรุหรือท้องสนามหลวง ซึ่งงานสำคัญทั้ง ๓ งานดังกล่าว<br />
มีความจำเป็นต้องใช้กำลังพลทหารมาปฏิบัติหน้าที่โยธา รักษาการณ์ และ<br />
เวรยามจำนวนมาก จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รับสมัครคนเข้ารับ<br />
ราชการทหารในกรมทหารหน้าอีกจำนวน ๕,๐๐๐ นาย ซึ่งการใช้กำลังพล<br />
จำนวนมากเช่นนี้ ส่งผลให้ประสบปัญหาในเรื่องการพักแรมของทหาร<br />
ที่มีจำนวนจำกัด ทหารเหล่านั้นจึงต้องกระจัดกระจายไปพักอาศัยตาม<br />
พระอารามหลวง อาทิ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร<br />
วัดราชบูรณะราชวรวิหาร และที่พักชั่วคราวที่ตำบลปทุมวัน จึงทรงมีแนว<br />
30
หมู่วังเจ้านาย<br />
พื้นที่สวนสราญรมย์ ตรงข้ามวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พื้นที่ในวงกลมคือหมู่วังเจ้านายก่อนสร้างโรงทหารหน้า<br />
พระราชดำริในการจัดสร้างที่พักถาวรโดยสมควรมีที่ตั้งหน่วยกรมทหารหน้า<br />
บริเวณนอกรั้วพระบรมมหาราชวัง และควรอยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง<br />
เพื่อป้องกันเหตุร้ายได้ทันท่วงที จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้พื้นที่<br />
วังของอดีตพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราช รวม ๓ วัง และฉางข้าวหลวงสำหรับพระนครเป็นพื้นที่สำหรับ<br />
สร้างโรงทหารหน้า ตามโฉนดที่ดิน ฉบับที่ ๖๑/๒๔๗๘ ที่ดินเลขที่ ๓๕<br />
ระวาง ๒ มีเนื้อที่รวม ๑๘ ไร่ ๕๓ ตารางวา เพื่อให้สร้างโรงทหารหน้า<br />
สำหรับดำเนินกิจการของทหาร<br />
ทั้งนี้ พื้นที่หมู่วังของอดีตพระเจ้าลูกยาเธอในพระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รวม ๓ วังประกอบด้วย<br />
หนึ่ง วังที่ ๒ และวังที่ ๖ ของพระองค์เจ้าทับทิม<br />
สอง วังที่ ๔ ของพระองค์เจ้าคัมธรส<br />
กล่าวได้ว่า กระทรวงกลาโหม เป็นส่วนราชการเดียวที่มีกรรมสิทธิ์<br />
ในโฉนดที่ดินซึ่งเป็นของกระทรวงเอง ในขณะที่ส่วนราชการอื่นต่างใช้<br />
ประโยชน์จากที่ดินที่ราชพัสดุโดยมีกรมธนารักษ์ กระทรวงการคลัง เป็น<br />
ส่วนราชการที่ดูแลการใช้ประโยชน์ของที่ดินสำหรับส่วนราชการต่างๆ นั้น<br />
31
เรื่องเล่าที่ ๑๔<br />
บันทึกประวัติการสร้างโรงทหารหน้า<br />
กระทรวงกลาโหม ได้ทำการรวบรวมข้อมูลประวัติการสร้าง<br />
โรงทหารหน้า ซึ่งมีการไว้พิมพ์ในหนังสือ ประวัติของจอมพลและ<br />
มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เมื่อ <strong>ปี</strong> พ.ศ.<br />
๒๕๐๔ โดยมีการบันทึกไว้ในสมุดบันทึกของ เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี<br />
(เจิม แสง-ชูโต) ที่มีเนื้อความที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโรงทหารหน้า ดังนี้<br />
สร้างโรงทหารหน้า (กระทรวงกลาโหม)<br />
เมื่อทหารสมัครกลับเข้ามารับราชการตามเดิมมีจำนวนมาก แต่ที่พัก<br />
อาศัยจะควบคุมทหารให้อยู่ได้เป็นปกติเรียบร้อยนั้นหายาก เจ้าหมื่น<br />
ไวยวรนารถ ผู้บังคับการทหารหน้า จึงคิดเห็นว่าถ้าจะควบคุมและเลี้ยงดู<br />
ทหารมากมายดังนี้ จำต้องทำที่อยู่ให้แข็งแรงมิดชิด พวกทหารจะได้อยู่ใน<br />
ความปกครองควบคุมให้เป็นระเบียบเรียบร้อยได้ จึงได้เที่ยวตรวจตราดูท ำเล<br />
ที่ทางว่าจะมีที่ใด ซึ่งสมควรจะสร้างเป็นโรงทหารหน้าต่อไปได้บ้าง จึงเห็น<br />
ที่ฉางหลวงเก่าสำหรับเก็บข้าว เมื่อขณะเกิดทัพศึกมีอยู่ ๗ ฉาง แต่ทว่า<br />
ปรักหักพักทั้งไม้ก็ผุหมดแล้ว พื้นก็หามีไม่ ต้นไม้และเถาวัลย์ขึ้นปกคลุมจน<br />
มิดฉางหมด ทั้งรอบบริเวณที่นั้นก็มีวังเจ้านายอยู่หลายกรม แต่วังเหล่านั้น<br />
ก็ทรุดโทรมหมดแล้วทุกๆ แห่ง ในเขตเหล่านี้มีบริเวณจรดไปถึง<br />
ศาลหลักเมือง จนถึงสะพานช้างโรงสี (การที่เรียกสะพานช้างโรงสี ก็เพราะ<br />
หมายความว่า ที ่ตรงนั้นเป็นฉางหลวงสำหรับพระนคร และมีโรงสีข้าวอยู่<br />
ด้วย) ที่นี่ตั้งเป็นกรมยุทธนาธิการ และที่ว่าการกระทรวงกลาโหมอยู่ใน<br />
เวลานี้ เนื้อที่ทั้งหมดยาว ๕ เส้น กว้าง ๓ เส้น ๑๐ วา เห็นว่าเป็นที่เหมาะ<br />
สำหรับจะตั้งเป็นโรงทหารหน้าได้ จึงได้ช่างถ่ายรูปฉางข้าวหลวง และ<br />
ที่วังทรุดโทรมทุกๆ แห่ง กะสะเก็ดแผนที่ด้วยเส้นดินสอตามที่ เจ้าหมื่น<br />
ไวยวรนารถต้องการ และคิดว่าจะทำโรงทหารหน้าที่ทหารอยู่ได้ ๔ หมู่<br />
เป็นกองทัพน้อยๆ เพื่อจะได้รักษาความสงบในพระนคร จึงเรียกตัวนายกราซี<br />
ซึ่งเป็นนายช่างรับเหมาในการก่อสร้างทั้งชั้นให้มาหา เจ้าหมื่นไวยวรนารถ<br />
จึงชี้แจงให้นายกราซีเข้าใจความประสงค์ทุกประการ และสั่งให้นายกราซี<br />
ทำแปลนตึกมา ๒ ชนิด แปลน ๑ เป็นตึก ๒ ชั้น อีกแปลน ๑ เป็นตึก ๓ ชั้น<br />
ทั้งให้งบประมาณการที่จะก่อรากทำให้แน่นหนา ใช้เป็นตึกหลายๆ ชั้นได้ด้วย<br />
นายกราซีได้ทำแปลนและเขียนรายการ พร้อมทั้งงบประมาณการก่อสร้าง<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ฉลองพระองค์ในเครื่องแบบทหารชุดเต็มยศทรงพระคทา<br />
มายื่นให้ผู้บังคับการตามคำสั่งทุกประการ เจ้าหมื่นไวยวรนารถได้นำแปลน<br />
ตึก ๒ ชั้น พร้อมทั้งรูปฉายฉางข้าว กับราคางบประมาณของตึกประมาณ<br />
๕,๐๐๐ ชั่ง (๔๐๐,๐๐๐ บาท) นำขึ้นทูลเกล้าฯ ถวายก่อน แลได้กราบบังคม<br />
ทูลชี้แจงความตามเหตุที่จำเป็นทุกๆ อย่าง เมื่อได้ทรงทอดพระเนตรแบบ<br />
แปลนนั้นตลอดแล้ว จึงมีพระราชกระแสรับสั่งแก่เจ้าหมื่นไวยวรนารถ ว่า<br />
“...เวลานี้เงินของแผ่นดินก็ได้น้อย แต่ทว่าเป็นความจำเป็นจริงแล้ว<br />
ข้าก็จะยอมตามความคิดของเจ้า ให้เจ้าจัดแจงทำสัญญากับนายกราซีเสีย<br />
เพื่อจะได้ลงมือทำทีเดียว แต่ข้าจะต้องเอารูปถ่ายฉางข้าวและวังเจ้านายที่<br />
ทรุดโทรมนี้ไว้ก่อน เพื่อจะได้ปรึกษาหารือกับกรมสมเด็จท่านดูด้วย ถ้าเผื่อ<br />
ว่าท่านทรงขัดขวางไม่ทรงยินยอมและเห็นชอบด้วยแล้ว จะได้เอารูปถ่ายนี้<br />
ถวายให้ทอดพระเนตรและทูลชี้แจงให้เข้าพระทัย...”<br />
อยู่มาอีกไม่กี่วันเจ้าหมื่นไวยวรนารถก็นำแปลนตึก ๓ ชั้น และ<br />
งบประมาณเข้าไปอีกเพื่อทูลเกล้าฯ ถวาย เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ทอดพระเนตรเห็น เจ้าหมื่นไวยวรนารถ ถือแปลนเข้าไปก็มีพระราชดำรัส<br />
รับสั่งถามว่า<br />
“...นั้นเจ้าเอาแปลนอะไรมาอีกละ...”<br />
32
เจ้าหมื่นไวยวรนารถคลี่เอาแปลนตึก ๓ ชั้น ให้ทอดพระเนตร และ<br />
กราบบังคมทูลพระกรุณาว่า<br />
“...ที่ซึ่งอยู่ในพระนครกว้างใหญ่เท่าที่กะมานี้หายากเมื่อบ้านเมือง<br />
เจริญขึ้นแล้ว ที่ดินก็จะมีราคาสูงขึ้นอีกมาก ข้าพระพุทธเจ้า มีความเสียดาย<br />
ยิ่งนัก ทั้งที ่นี้ก็เป็นที่ในกำแพงพระนครด้วย ข้าพระพุทธเจ้าจึงได้สั่งให้<br />
นายกราซี เขียนแบบแปลนเป็นตึก ๓ ชั้นขึ้น หวังว่าจะบรรจุทหาร<br />
ให้มากขึ้น ให้เต็มพร้อมมูลเป็นกองทัพน้อยๆ อยู่ในแห่งเดียวกัน<br />
อนึ่งในงบประมาณฉบับแรกนั้นข้าพระพุทธเจ้าได้สั่งนายกราซี<br />
กะประมาณการก่อรากให้มั่นคงแข็งแรงทานน้ำหนักตึกได้ตั้งแต่ ๓ ถึง ๔ ชั้น<br />
แม้นว่าถ้าจะเติมขึ้นอีกชั้นหนึ่ง เงินที่จะต้องเพิ่มขึ้นก็ไม่มากมายเท่าใดนัก<br />
ข้าพระพุทธเจ้ามีความเห็นว่า จะทำเป็นสามชั้นเสียทีเดียวจะดีกว่า...”<br />
เมื่อเจ้าหมื่นไวยวรนารถได้กราบบังคมทูลชี้แจงเรื่องราวครบถ้วน<br />
ทั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงทอดพระเนตรงบประมาณ และ<br />
แปลนที่ได้สะเก็ดมาแล้ว จึงมีพระราชดำรัสตอบว่า<br />
“...ตามข้อความที่เจ้าชี้แจงมานั้น ข้าก็มีความเห็นชอบทุกประการ<br />
เพราะฉะนั้นข้าจำเป็นที่จะต้องช่วยเจ้าให้สำเร็จตามความคิดอันนี้ ดีละเป็น<br />
อันตกลงกันตามความของเจ้าทุกประการ...”<br />
เนื้อความจากบันทึกข้างต้น จึงเป็นข้อมูลทางประวัติศาสตร์ที่ส ำคัญ<br />
ในการก่อสร้างโรงทหารหน้าซึ่งเป็นที่ตั้งหน่วยทหารสำคัญตราบจนปัจจุบัน<br />
ทำให้ทราบถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีต่อทหารหาญอย่างหาที่สุดมิได้<br />
เจ้าหมื่นไวยวรนารถ<br />
33
เรื่องเล่าที่ ๑๕<br />
การก่อสร้างอาคารโรงทหารหน้า<br />
ในปลาย<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๒๔ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ดำเนินการก่อสร้างอาคารโรงทหารหน้า<br />
โดยทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งผู้ดำเนินการก่อสร้าง กล่าวคือ<br />
๑. ให้ นายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนารถ (เจิม แสง-ชูโต) ผู้บังคับการ<br />
กรมทหารหน้า เป็นแม่กองการก่อสร้างโรงทหารหน้า<br />
๒. ให้ นายพันเอก พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย วิศวกรทุน<br />
พระราชทานฯ เป็นผู้ช่วยแม่กองการก่อสร้าง<br />
ซึ่งในการนี้ ทรงมีพระราชวินิจฉัยและพระบรมราชานุญาตให้<br />
ก่อสร้างโรงทหารหน้าตามแบบแปลนที่ นายโจอาคิโน โจอาคิม กราซี<br />
(Giochino Joachim Grassi) สถาปนิกและวิศวกรช่างรับเหมาก่อสร้าง<br />
ชาวอิตาเลียน เป็นผู้ออกแบบ (ประวัติ : นายโจอาคิม กราซี เดินทาง<br />
เข้ามาในประเทศไทย ระหว่าง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๑๓ - ๒๔๓๖ ด้วยการเปิดบริษัท<br />
RASSIBROTHER and CO. ร่วมกับน้องชายคือ นาย Antonio Grassi ซึ่ง<br />
นายโจอาคิม กราซี ประกอบธุรกิจการค้าหลายประเภท โดยผลงานการ<br />
ออกแบบและก่อสร้างของบริษัทแห่งนี้ ได้แก่ การสร้างวังบูรพาภิรมย์<br />
วัดนิเวศธรรมประวัติ พระราชวังบางปะอิน อาคารศาลสถิตยุติธรรม<br />
บ้านพระยาราชานุประพันธ์ ริมคลองบางกอกใหญ่ อาคารเรียนใน<br />
โรงเรียนอัสสัมชัญ อาคารวิคตอเรีย อาคารเสาวภาคย์ในโรงพยาบาลศิริราช<br />
เป็นต้น ทั้งยังร่วมทำการขุดคลองรังสิตประยูรศักดิ์ ร่วมกับพระองค์เจ้า<br />
สายสนิทวงศ์)<br />
ทั้งนี้ จากการพิจารณาในเบื้องต้น พบว่า พื้นดินบริเวณที่จะใช้<br />
ก่อสร้างอาคารมีลักษณะร่วนซุย และการที่สร้างอาคารขนาดใหญ่มาก<br />
จำเป็นต้องรับน้ำหนักอาคารจำนวนมาก อาจทำให้อาคารทรุดตัวได้<br />
จึงต้องมีการทำงานฐานรากให้แข็งแรงและมั่นคง และจำเป็นต้องใช้หิน<br />
ขนาดใหญ่มาถมเป็นฐานรากก่อนสร้างอาคาร แต่เนื่องจากประสบปัญหา<br />
ในเรื่องของการขนส่งหินดังกล่าวที่มีระยะทางไกล และในเวลานั้นยังไม่มี<br />
ระบบการจัดส่งและระบบคมนาคมที่ทันสมัย ประกอบกับในเวลานั้น<br />
ป่าไม้ของประเทศยังค่อนข้างอุดมสมบูรณ์สามารถจัดหาและชักลากได้อย่าง<br />
สะดวก ทำให้ประหยัดเวลาและค่าใช้จ่ายในการดำเนินการค่อนข้างมาก<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ฉลองพระองค์ในเครื่องแบบทหารชุดเต็มยศ<br />
จึงทำให้ฝ่ายเทคนิคพิจารณาเปลี่ยนแปลงการถมพื้นที่จากหินขนาดใหญ่<br />
มาเป็นการกำหนดให้มีการจัดวางแพซุงเพื่อรองรับน้ำหนักอาคาร โดยการ<br />
ขุดเจาะพื้นดินและวางซุงขนาดใหญ่เรียงต่อกันเป็นแพสลับกัน ๓ ชั้นก่อนที่<br />
จะกลบและสร้างอาคาร ทั้งนี้เพราะ สิ่งสำคัญที่สุดคือการรับน้ำหนักอาคาร<br />
ที่มีมหาศาล อันเกิดจากการแบ่งพื้นที่ภายในถึง ๓ ชั้นและมีห้องจำนวน<br />
มากมาย ดังนั้นรากฐานที่สำคัญคือ รากฐานอาคารแบบ Wall Footing<br />
ด้วยการก่อกำแพงรับน้ำหนัก โดยมีการก่ออิฐถือปูนเป็นชั้นนอกสุดและ<br />
ลดหลั่นจากผนังทั้งสองข้าง ถ่ายน้ำหนักออกไปสู่ตอน<strong>ปี</strong>กของฐาน อีกทั้ง<br />
ใต้ฐานรากได้วางท่อนซุงวางซ้อนกันเป็นแพ เรียกว่า แพซุง<br />
ในการดำเนินการก่อสร้างแรงงานก่อสร้างส่วนใหญ่เป็นชาวจีน<br />
วัสดุก่อสร้างโดยทั่วไปใช้วัสดุที่จัดหาได้ภายในราชอาณาจักรในขณะนั้น<br />
อาทิ ไม้สัก อิฐ กระเบื้องดินเผารากกาบกล้วย ทราย ปูนซีเมนต์ ดินเหนียว<br />
ปูนขาว และต้นอ้อย<br />
34
นายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนารถ (เจิม แสง-ชูโต)<br />
แม่กองการก่อสร้าง<br />
นายพันเอก พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ ชุมสาย<br />
ผู้ช่วยแม่กองการก่อสร้าง<br />
นายโจอาคิโน โจอาคิม กราซี (Giochino Joachim Grassi)<br />
สถาปนิกและวิศวกรช่างรับเหมาก่อสร้างชาวอิตาเลียน<br />
ผู้สร้างอาคารโรงทหารหน้า<br />
สำหรับพิธีวางศิลาฤกษ์ ไม่มีการบันทึกไว้ แต่สันนิษฐานว่ามีการจัด<br />
พิธีเช่นเดียวกับการก่อสร้างอาคารสำคัญในสมัยนั้นและพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาเป็นองค์ประธานพิธี<br />
วางศิลาฤกษ์ ซึ่งจากลักษณะโรงทหารหน้าสันนิษฐานว่าการวางศิลาฤกษ์<br />
แพซุง<br />
อยู่ ณ บริเวณตึกกลางของโรงทหารหน้าในขณะนั้น โดยเริ่มดำเนินการ<br />
ก่อสร้างในราวเดือนมิถุนายน ๒๔๒๔ แล้วเสร็จใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๒๗ ใช้ระยะ<br />
เวลาในการก่อสร้างรวมประมาณ ๓ <strong>ปี</strong><br />
35
เรื่องเล่าที่ ๑๖<br />
พระราชทานนามอาคารและเสด็จพระราชดําเนินเปิดโรงทหารหน้า<br />
ในกลาง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๒๗ เมื่ออาคารพระราชทานมีการก่อสร้างใกล้<br />
เสร็จเรียบร้อย นายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนารถ ได้ท ำหนังสือทูลเกล้าฯ ถวาย<br />
เพื่อขอพระราชทานนามของที่ตั้งหน่วยทหารแห่งใหม่นี้เพื่อประดับ<br />
ที่หน้ามุขของอาคาร มีการบันทึกในเรื่องนี้ไว้ว่าพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงมีพระราชหัตถเลขาตอบ นายพันเอก<br />
เจ้าหมื่นไวยวรนารถ ความบางตอนว่า<br />
“...อย่าให้ชื่อพิศดารอย่างไรเลย ให้ใช้นามว่าโรงทหารหน้าเท่านั้น<br />
และให้มีศักราชที่สร้างขึ้นไว้ด้วย...”<br />
ต่อจากนั้น ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายพันเอก เจ้าหมื่น<br />
ไวยวรนารถ ไปเฝ้า สมเด็จพระสังฆราช (สา) วัดราชประดิษฐ์สถิตมหาสีมาราม<br />
ราชวรมหาวิหาร นำกระแสพระราชดำริที่ต้องพระราชประสงค์คาถาสำหรับ<br />
ประจำตรากรมทหารหน้าอีกด้วย<br />
ต่อมา เมื่อวันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๒๗ เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาพระราชทาน<br />
พระราชวโรกาสอันเป็นสิริมงคลให้แก่เหล่าทหาร ด้วยการเสด็จพระราชด ำเนิน<br />
มาทรงกระทำพระราชพิธีเป็นปฐมฤกษ์ในการเปิดโรงทหารหน้า และ<br />
ตามมหาพิชัยฤกษ์ โดยทรงประทับรถพระที่นั ่งทอดพระเนตรอาคารใหม่<br />
และชมการประลองยุทธ์ของทหาร พร้อมพระราชทานนามอาคารว่า<br />
โรงทหารหน้า เพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่มวลหมู่ทหาร ทำให้ทหารไทย<br />
มีที่ทำการหน่วยทหารใหม่ที่เป็นมาตรฐาน และเป็นการหยั่งรากลึกสำคัญ<br />
ของกิจการทหารของประเทศให้มีความมั่นคงและยั่งยืน<br />
ทั้งนี้ สันนิษฐานว่า เริ่มดำเนินการก่อสร้างและมีพิธีวางศิลาฤกษ์<br />
อาคารในราวเดือนมิถุนายน ๒๔๒๔ ดังจะเห็นได้จากภาพถ่ายในอดีตที่<br />
ปรากฏข้อความปูนปั้นบริเวณมุขกลางด้านล่างของตราประจำกระทรวง<br />
กลาโหม ที่เขียนว่า “<strong>ปี</strong>มะเส็ง เชษฐมาส ตรีศก จุลศักราช ๑๒๔๓” คือ<br />
<strong>ปี</strong>มะเส็ง เดือนเจ็ด จุลศักราช ๑๒๔๓ (เดือนมิถุนายน ๒๔๒๔) ทั้งนี้<br />
เพราะมีการบันทึกไว้อย่างชัดเจนว่า อาคารโรงทหารหน้าสร้างเสร็จใน<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๔๒๗ ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างรวมประมาณ ๓ <strong>ปี</strong> จึงเป็นไปได้<br />
อย่างยิ่งว่าการปรากฏข้อความที่บริเวณมุขกลางดังกล่าว คือการแสดง<br />
ให้ทราบถึงระยะเวลาเริ่มสร้างและวางศิลาฤกษ์อาคาร (ค้นคว้าโดย<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์ ผู้เขียน)<br />
36
เรื่องเล่าที่ ๑๗<br />
ตราประจําโรงทหารหน้า<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ฯ<br />
พระราชทานสิ่งอันเป็นมหามงคลให้แก่กิจการทหารไทย โดยประดับไว้ที่<br />
มุขหน้าของอาคารโรงทหารหน้าคือ ตราประจำโรงทหารหน้า ที่มีลักษณะ<br />
เป็นรูปจุลมงกุฎบนหมอนแพรภายใต้รัศมีเปล่งรองรับด้วยช้างสามเศียร<br />
ยืนบนแท่นสอดในจักร ขนาบด้วยคชสีห์และราชสีห์เชิญพระนพปฎล<br />
มหาเศวตฉัตรด้านขวาและด้านซ้าย เหนือชายแพรทาสีม่วงคราม มีอักษร<br />
บาลีซึ่งเป็นคาถาประจำอาคารว่า วิเชตฺวา พลตาภูปํ รฎฺเฐสาเธตุ วุฑฺฒิโย<br />
ประดับด้วยช่อดอกไม้ โดยมีรายละเอียดและความหมาย ดังนี้<br />
๑) ตราจุลมงกุฎบนหมอนแพรปิดทอง หมายถึง ศิราภรณ์<br />
ประดับพระเกศาหรือพระเศียรของพระราชโอรสและพระราชธิดาของ<br />
พระมหากษัตริย์ และเป็นพิจิตรเลขาประจำรัชกาลในพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทั้งนี้เพราะ พระนามาภิไธยของพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น คือ “จุฬาลงกรณ์” ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับ<br />
ศีรษะ หรือ จุลมงกุฎ (พระเกี้ยว) ซึ่งในเวลาต่อมา ได้อัญเชิญตราจุลมงกุฎ<br />
บนหมอนแพรปิดทองขึ้นเป็นพระราชลัญจกรพระจำพระองค์<br />
๒) รัศมีเปล่งเหนือจุลมงกุฎ หมายถึง พระบรมเดชานุภาพที่แผ่ไกล<br />
ไปทั่วทุกทิศ ในคติการปกครองแบบราชาธิปไตย<br />
๓) ช้างสามเศียรยืนแท่นในกรอบ หมายถึง ตราสัญลักษณ์ของ<br />
สยามประเทศ<br />
๔) จักร หมายถึง ราชวงศ์จักรี ซึ่งถือคติว่า จักรของราชวงศ์จักรี<br />
เป็นจักรของพระนารายณ์ที่ต้องเวียนในลักษณะทักขิณาวัฏ คือ เวียนตาม<br />
เข็มนาฬิกาโดยให้คมจักรเป็นตัวนำทิศทาง<br />
๕) คชสีห์เชิญพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร หมายถึง กลาโหม<br />
ซึ่งเป็นใหญ่ฝ่ายทหาร<br />
๖) ราชสีห์เชิญพระนพปฎลมหาเศวตฉัตร หมายถึง มหาดไทย<br />
ซึ่งเป็นใหญ่ฝ่ายพลเรือน<br />
๗) พระนพปฎลมหาเศวตฉัตร (ฉัตร ๙ ชั้น) หมายถึง ฉัตรสำหรับ<br />
พระมหากษัตริย์ที่ทรงรับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกตามโบราณราช<br />
ประเพณี<br />
๘) ชายแพรทาสีม่วงคราม หมายถึง สายสะพายเครื่องราช<br />
อิสริยาภรณ์จุลจอมเกล้า ซึ่งมีนัยว่าพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงบำรุงถึงสกุลวงศ์ ผู้มีบำเหน็จความชอบในบ้านเมืองให้สามัคคี<br />
ช่วยกันในบ้านเมือง<br />
๙) ช่อดอกไม้ หมายถึง ความรุ่งเรืองงอกงามซึ่งสัญลักษณ์นี้ปรากฏ<br />
ในสายสร้อยปฐมจุลจอมเกล้า ห้อยดวงตราจุลจอมเกล้า ซึ่งแตกต่างกันตรง<br />
ที่สายสร้อยไม่ประดับจักร จึงสันนิษฐานไว้ว่า ตราสัญลักษณ์นี้ประดิษฐ์ขึ้น<br />
เพื่อหน่วยทหารในฐานะเป็นหน่วยงานที่พิทักษ์รักษาพระราชวงศ์จักรี<br />
37
เรื่องเล่าที่ ๑๘<br />
คาถาประจําโรงทหารหน้า<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้ นายพันเอก เจ้าหมื่นไวยวรนารถ ผู้บังคับการกรมทหารหน้า เข้าเฝ้าสมเด็จ<br />
พระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทว) วัดราชประดิษฐ์<br />
สถิตมหาสีมารามราชวรมหาวิหาร สมเด็จพระสังฆราชพระองค์ที่ ๙ แห่งกรุง<br />
รัตนโกสินทร์ เพื่อให้ทรงผูกคาถาสำหรับเป็นสิริมงคลให้แก่กิจการทหารไทย<br />
ซึ่งจะนำขึ้นประดิษฐานไว้ ณ โรงทหารหน้า<br />
วิเชตฺวา พลตาภูปํ รฎฺเฐสาเธตุ วุฑฺฒิโย<br />
มีความหมายว่า “ขอให้พระมหากษัตริย์เจ้าพร้อมด้วยปวงทหาร<br />
จงมีชัยชนะ ยังความเจริญให้สำเร็จในแผ่นดิน”<br />
นอกจากนี้ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา<br />
ปุสฺสเทว) ยังได้ทรงผูกคาถาอีกบทหนึ่งตามพระราชดำริของพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อประดับไว้บนตราแผ่นดิน ซึ่งมีข้อความภาษา<br />
บาลี ว่า สัพเพสํ สํฆะภูตานัง สามัคคี วุฑฒิ สาธิกา มีความหมายว่า “ความ<br />
พร้อมเพรียงแห่งชนผู้อยู่ร่วมกันเป็นหมู่ ยังความเจริญวัฒนาถาวรให้ส ำเร็จ”<br />
และถือได้ว่าเป็นคาถาประจำแผ่นดินของไทยมาตราบจนปัจจุบัน<br />
พระฉายสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช (สา ปุสฺสเทว)<br />
ในเบื้องต้น สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช<br />
(สา ปุสฺสเทว) ทรงผูกคาถาไว้จำนวน ๔ บท มอบให้ นายพันเอก เจ้าหมื่น<br />
ไวยวรนารถ เพื่อนำความขึ้นกราบบังคมทูลเกล้าฯ ให้ทรงพระกรุณา<br />
มีพระราชวินิจฉัย ซึ่งต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงพระกรุณาคัดเลือกคาถา ๑ ในจำนวน ๔ บท ขึ้นเป็นคาถาประจำ<br />
โรงทหารหน้า ปรากฏเป็นข้อความภาษาบาลี ว่า<br />
ตราแผ่นดิน<br />
38
เรื่องเล่าที่ ๑๙<br />
การจัดสรรการใช้ประโยชน์อาคารโรงทหารหน้าในยุคแรก<br />
ในช่วงแรกของการก่อสร้างโรงทหารหน้า ได้มีการจัดสรรพื้นที่<br />
อาคารโรงทหารหน้า เพื่อการใช้สอยในกิจการทหาร สามารถสรุปการใช้สอย<br />
ในอาคาร ๓ ชั้น ซึ่งแต่ละชั้นมีการกำหนดไว้ ดังนี้<br />
๑. ชั้นล่าง จัดแบ่งไว้ ดังนี้<br />
๑.๑ ตึกกลาง ใช้เป็นพื้นที่ฝึกหัดฟันดาบ<br />
๑.๒ อาคารด้านทิศเหนือ ติดกับถนนหลักเมืองมี ๒ แถวซ้อนกัน<br />
๒ แถว กล่าวคือ<br />
๑.๒.๑ แถวนอก ซึ่งเป็นอาคาร ๒ ชั้น ใช้เป็นโรงพักม้า<br />
และโรงฝึกม้า โดย<br />
๑.๒.๑.๑ ชั้นล่าง จัดทำเป็นที่พักของม้าและ<br />
โรงเก็บรักษารถพระที่นั่ง สำหรับเมื่อมีการจะเสด็จพระราชดำเนินโดยด่วน<br />
ในที่ใดๆ ก็ทรงรถพระที่นั่งและม้าเทศที่สั่งมาจากเกาะออสเตรเลีย จำนวน<br />
ประมาณ ๓๕๐ ตัว<br />
๑.๒.๑.๒ ชั้นบน จัดทำเป็นที่พักให้ทหารม้า<br />
และอัศวแพทย์พักอาศัย<br />
๑.๒.๒ แถวใน ซึ่งเป็นอาคาร ๓ ชั้น ใช้เป็นที่พัก<br />
ทหารปืนใหญ่, โรงพยาบาลทหาร, คลังเก็บยุทธภัณฑ์และครุภัณฑ์<br />
๑.๓ อาคารด้านทิศใต้ ฝั่งตรงกับทางออกเป็นโรงอาบน้ำและ<br />
ซักผ้าของทหาร, โรงงานของทหารช่าง, ที่ตั้งโรงสูบน้ำจากคลองคูเมืองเดิม<br />
ใกล้สะพาน (ช้างโรงสี) ซึ่งขณะนั้นเรียกว่า “ท่าช้าง” มีเครื่องสูบน้ำ<br />
จำนวน ๒ เครื่อง และท่อสูบน้ำขนาด ๘ นิ้ว<br />
๑.๔ บริเวณด้านหน้า มีประตูใหญ่สองข้างสร้างเป็นห้องทหาร<br />
คอยเหตุ และรักษายามทั้งสองข้าง และจัดทำเป็นคลังเก็บเครื่องครุภัณฑ์<br />
และยุทธอาภรณ์<br />
๒. ชั้นที่ ๒ จัดแบ่งไว้ ดังนี้<br />
๒.๑ ตึกกลาง เป็นห้องประชุมนายทหาร<br />
๒.๒ อาคารด้านทิศเหนือ เป็นที่ประชุมอบรมทหาร ห้องนายแพทย์<br />
ทหาร และโรงพยาบาลทหาร<br />
ภาพแผนที่พระนคร <strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๔๓๖ (กรมยุทธนาธิการอยู่ในวงสีแดง)<br />
๒.๓ อาคารด้านทิศใต้ เป็นที่ประชุมอบรมทหาร อีกทั้งอาคาร<br />
ด้านทิศใต้ฝั่งตะวันออก ใช้เป็นที่เก็บเครื่องสนามและเครื่องยุทธภัณฑ์ต่างๆ<br />
๓. ชั้นที่ ๓ จัดแบ่งไว้ ดังนี้<br />
๓.๑ ตึกกลาง เป็นที่เก็บสรรพาวุธ และเป็นพิพิธภัณฑ์สำหรับ<br />
เครื่องทหารต่างๆ<br />
๓.๒ อาคารด้านทิศเหนือ เป็นที่อยู่ของนายทหารและพลทหาร<br />
๓.๓ อาคารด้านทิศใต้ฝั่งตะวันออก เป็นที่ตั้งถังเหล็กขนาดใหญ่<br />
สำหรับเก็บน้ำใส ซึ่งในชั้นบนเหนือ ทั้งนี้ โรงทหารทั้ง ๓ ชั้นได้จัดทำเป็น<br />
ท่อเหล็กขนาดประมาณ ๘ นิ้ว เชื่อมต่อน้ำจากถังเหล็กชั้นที่ ๓ ฝังอยู่ตาม<br />
ฝาผนังทั้ง ๓ ชั้น ซึ่งทุกบันไดใหญ่ได้จัดทำเป็นห้องสำหรับถ่ายปัสสาวะ<br />
บันไดละ ๒ ห้องทุกๆ ชั้น และมีท่อน้ำไหลมาสำหรับชะล้างเพื่อไม่ให้เกิด<br />
กลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ นอกจากนี้ ตามมุมสนามหญ้าสำหรับฝึกหัดทหารนั้น<br />
มีที่สำหรับถ่ายปัสสาวะทุกสี่มุม มุมหนึ่งมีที่ถ่ายสำหรับ ๔ คน<br />
39
๔. ชั้นที่ ๔ ของอาคารด้านทิศใต้ฝั่งตะวันออก จัดทำเป็นหอนาฬิกา<br />
มีหน้าปัดนาฬิกาสองทาง การที่ทำนาฬิกาขึ้นนี้ เพราะมีความประสงค์จะให้<br />
เป็นทานแก่มหาชนซึ่งสัญจรไปมาให้รู้เวลาได้ทั่วถึงกัน<br />
๕. ชั้นที่ ๕ ของอาคารด้านทิศใต้ฝั่งตะวันออก จัดท ำเป็นห้องสำหรับ<br />
ทหารยามรักษาเหตุการณ์ กับมีเครื่องโทรศัพท์พร้อมเครื่องฉายไฟฟ้า<br />
อยู่บนนั้นด้วยอย่างไรก็ตาม บริเวณทิศตะวันออกริมถนนใหญ่รอบโรงทหาร<br />
(ถนนราชินี) ยังได้มีการจัดสรรพื้นที่สำหรับกิจการทหารไว้ ดังนี้<br />
๑) ปลูกกอไม้ไผ่สีสุก รวม ๓ ด้าน เพื่อป้องกันแสงแดดที่จะส่อง<br />
เข้ามาถึงเฉลียงรอบโรงทหารชั้นใน กับบริเวณโรงทหารนั้น<br />
๒) สระน้ำ จัดทำไว้รวม ๒ สระคือ สระว่ายน้ำ สำหรับฝึกหัด<br />
ว่ายน้ำ จำนวน ๑ สระ และสระน้ำสำหรับให้ทหารอาบน้ำอีก ๑ สระ<br />
๓) ฉางสำหรับเก็บข้าวสาร โดยจัดทำเป็นเป็นห้องๆ เพื่อทำการ<br />
หมุนเวียนข้าวสารเก่าเพื่อนำมาใช้ และนำข้าวสารใหม่เพิ่มเติมเข้ามาเก็บไว้<br />
โดยที่ฉางสำหรับเก็บข้าวสารดังกล่าวนี้จัดทำไว้แทนฉางข้าวเก่าในพระนคร<br />
ซึ่งได้รื้อออกไปแล้ว<br />
๔) ห้องสูทกรรมหรือห้องครัวใหญ่ สำหรับทำอาหารเลี้ยงทหาร<br />
ทั่วไป ซึ่งตั้งอยู่ในอาคารทิศใต้ฝั่งตะวันออก ริมถนนราชินีตัดกับถนน<br />
กัลยาณไมตรี ข้างสะพานช้างโรงสี (ปัจจุบันคือบริเวณธนาคารทหารไทย<br />
สาขากระทรวงกลาโหม)<br />
๕) ระบบผลิตน้ำประปา บริเวณใต้ห้องครัวใหญ่ลงไป ได้ทำเป็น<br />
ระบบประปาเพื่อใช้ในกิจการของโรงทหารหน้ากล่าวได้ว่า อาคารโรงทหาร<br />
หน้า ได้พิจารณาจัดสรรพื้นที่ส ำหรับปฏิบัติภารกิจทางทหารได้ครบถ้วนและ<br />
เหมาะสม สามารถดำรงหน่วยได้อย่างสมบูรณ์ในตัวเองและมีความทันสมัย<br />
เป็นอย่างมาก<br />
40
เรื่องเล่าที่ ๒๐<br />
หน่วยทหารที่มีที่ตั้งในโรงทหารหน้าหรือศาลายุทธนาธิการในยุคแรก<br />
โรงทหารหน้าหรือศาลายุทธนาธิการในยุคแรก มีการนำทหารทั้ง<br />
๑๓ กรม (ยกเว้นกองทหารฝีพาย) มาอยู่ในศาลายุทธนาธิการ ในเวลา<br />
ต่อมา มีการขยับขยายหน่วยออกไปนอกพื้นที่ อาทิ โรงเรียนนายร้อย และ<br />
โรงเรียนนายสิบ แต่ก็มีการตั้งหน่วยทหารเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดความสมบูรณ์<br />
เป็นมาตรฐาน รวม ๑๒ หน่วยงาน เป็นดังนี้<br />
• กรมปลัดทัพบก<br />
• กรมยกกระบัตรทัพบก<br />
• กรมเสนาธิการทหารบก<br />
• จเรทัพบก<br />
• กรมคลังเงินทหารบก<br />
• กรมพระธรรมนูญทหารบก<br />
• ศาลกรมยุทธนาธิการ<br />
• กรมเกียกกายทัพบก<br />
• กรมช่างแสง<br />
• กรมแพทย์ทหารบก<br />
• กรมราชองครักษ์<br />
• แผนกสารวัตรใหญ่ทหารบก<br />
อย่างไรก็ตาม ทราบว่ามีหน่วยทหารที่มีที่ตั้งในศาลายุทธนาธิการ<br />
รวม ๑๒ หน่วยข้างต้น จึงทำให้สามารถบรรจุกำลังพลที่เข้ามาอยู่ในศาลา<br />
ยุทธนาธิการได้จำนวนถึง ๑ กองพล ซึ่งถือได้ว่าเป็นหน่วยทหารที่เป็น<br />
มาตรฐานและสมบูรณ์แบบมากที่สุดในยุคดังกล่าว<br />
41
เรื่องเล่าที่ ๒๑<br />
ความทันสมัยของระบบสาธารณูปโภคในอาคารโรงทหารหน้า<br />
ตอนที่ ๑ ระบบไฟฟ้า<br />
อาคารโรงทหารหน้าถือว่าเป็นอาคารที่มีความทันสมัยมากในยุคนั้น<br />
เพราะเป็นอาคารที่มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกในการ<br />
ดำรงหน่วยได้อย่างครบครัน ประกอบด้วย ไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์<br />
โดยมีสาระสำคัญของระบบไฟฟ้า กล่าวคือ<br />
โรงทหารหน้าเป็นอาคารแรกของประเทศไทย ที่มีการผลิตไฟฟ้าและ<br />
ใช้ไฟฟ้าได้เองโดยมีการติดตั้งเครื่องกำเนิดไฟฟ้าเป็นเครื่องแรกและเป็นครั้ง<br />
แรกในประเทศไทย โดย นายพันเอก พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)<br />
ซึ่งดำรงตำแหน่ง ผู้บังคับการกรมทหารหน้าในขณะนั้น ได้ใคร่ครวญแล้ว<br />
เกรงว่าในกรณีที่จัดงานกลางคืน ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ต้องมีการ<br />
จุดเทียนไขพร้อมๆ กันเป็นร้อยเล่ม และต้องใช้คนมากมาย<strong>ปี</strong>นป่ายอาคาร<br />
เพื่อติดเทียนไข แม้ต่อมาจะเปลี่ยนมาใช้โคมน้ำมันก็ตาม อาจเกิดเพลิงได้<br />
ซึ่งทุกมุมห้องจะต้องมีถังปูนถังน้ำดักเอาไว้ ทำให้เกิดความยุ่งยากและ<br />
ไม่ปลอดภัย กอปรกับท่านเองได้เคยเดินทางไปเจริญพระราชไมตรีกับ<br />
ประเทศอังกฤษ ณ กรุงลอนดอน ร่วมคณะกับ เจ้าพระยาภาสกรวงศ์<br />
ราชทูต โดยท่านดำรงตำแหน่งอุปทูต บรรดาศักดิ์ที่ จมื่นสราภัยสฤษดิ์<br />
การ ได้พบเห็นกรุงลอนดอน สว่างไสวไปด้วยไฟฟ้าในยามค่ำคืน ต่อเมื่อ<br />
กลับมายังสยามจึงคิดว่า สยามน่าจะมีไฟฟ้าใช้แบบเดียวกับอารยประเทศ<br />
ภายหลังจากที่เดินทางกลับถึงประเทศไทยพร้อมคณะทูต ท่าน<br />
ดำริว่า ประเทศไทยควรจะมีไฟฟ้าใช้ในลักษณะเดียวกันกับอารยประเทศ<br />
และการนี้หากจะกระทำให้สำเร็จได้แล้ว คงต้องเริ่มต้นที่ภายในพระบรม<br />
มหาราชวังและบ้านเจ้านายก่อน ท่านจึงได้นำความขึ้นกราบทูลพระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่ก็มีพระราชดำรัสตอบมาว่า “ไฟฟ้า<br />
หลังคาตัด ข้าไม่เชื่อ”<br />
เมื่อเป็นเช่นนี้ ท่านจึงตระหนักว่า ก่อนที่จะเริ่มดำเนินการจำเป็น<br />
ต้องหาหนทางหรือวิธีจูงใจให้ผู้ที่ไม่เคยเห็น หรือผู้ที่ไม่เคยใช้ไฟฟ้าบังเกิด<br />
ความนิยมขึ้นมาก่อน จึงนำความไปกราบบังคมทูลพระเจ้าน้องยาเธอ<br />
กรมหมื่นเทวะวงศ์วโรปการ ขอให้ช่วยกราบทูล สมเด็จพระนางเจ้าฯ<br />
พระบรมราชเทวี ให้ทรงรับซื้อที่ดินซึ่งได้รับมรดกจากบิดา ณ ต ำบลวัดละมุด<br />
บางอ้อ ได้เป็นเงิน ๑๘๐ ชั่ง (๑๔,๔๐๐.๐๐ บาท) เมื่อได้เงินมาแล้ว จึงหารือกับ<br />
42<br />
นายมาโยลา (Mayola) ครูฝึกทหารชาวอิตาเลียน ที่มารับราชการในไทย<br />
ให้เดินทางไปซื้อเครื่องจักรกลก ำเนิดไฟฟ้าที่ประเทศอังกฤษ เมื่อ พ.ศ.๒๔๒๗<br />
โดยให้ซื้อเครื่องกำเนิดไฟฟ้าจำนวน ๒ เครื่อง เพื่อจะได้ผลัดเปลี่ยนกัน<br />
ใช้งาน และซื้อสายเคเบิ้ลสำหรับพาดสายไปจนถึงพระบรมมหาราชวัง<br />
พร้อมจัดซื้อโคมไฟชนิดต่างๆ เข้ามาในประเทศ<br />
หลังจากได้เครื่องจักรกลและอุปกรณ์แล้ว จึงได้ติดตั้งเครื่องจักรกล<br />
กำเนิดไฟฟ้าที่โรงทหารหน้าเพื่อผลิตและจ่ายกระแสไฟฟ้า รวมทั้ง ฝังสาย<br />
เคเบิ้ลใต้ดินจากโรงทหารหน้า ผ่านถนนสนามไชยไปยังพระบรมมหาราชวัง<br />
พร้อมติดตั้งโคมไฟ โดยเปิดใช้ครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๐ กันยายน ๒๔๒๗ ซึ่ง<br />
เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ซึ่งสร้างความตื่นเต้นแก่ผู้พบเห็นเหตุการณ์นั้นเป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้<br />
โรงทหารหน้ายังได้มีการติดตั้งโคมไฟแสงสว่างภายในอาคาร มีการบันทึกว่า<br />
ติดตั้งบริเวณมุมอาคารและประตูทางเข้าออก เพื่อใช้ประโยชน์ของแสงสว่าง<br />
ในการปฏิบัติหน้าที่เวรยามภายในโรงทหารหน้า และทุกมุมด้านนอกของ<br />
อาคาร บริเวณถนนสนามไชย ถนนกัลยาณไมตรี และถนนหลักเมือง ก็ได้<br />
มีการติดตั้งโคมไฟแสงสว่างขึ้นหลายจุดเพื่อประโยชน์ในการรักษาความ<br />
ปลอดภัย และยังเป็นการให้บริการแสงสว่างแก่ประชาชนผู้สัญจรไปมาด้วย<br />
(ในภาพลูกศรชี้ คือ เสาไฟส่งกระแสไฟฟ้านอกอาคารโรงทหารหน้า)<br />
ในเวลาต่อมา ปรากฏว่าไฟฟ้าเป็นที่นิยมกันแพร่หลายทั้งในราช<br />
สำนัก วังเจ้านาย และชาวบ้านผู้มีฐานะ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานเงินที่นายพันเอก<br />
พระยาสุรศักดิ์มนตรี ใช้จ่ายไปในการติดตั้งวางระบบไฟฟ้าคืนให้ ซึ่งได้<br />
พัฒนาเป็นกิจการไฟฟ้าของประเทศมาจนถึงปัจจุบัน
เรื่องเล่าที่ ๒๒<br />
ความทันสมัยของระบบสาธารณูปโภคในอาคารโรงทหารหน้า<br />
ตอนที่ ๒ ระบบประปา<br />
อาคารโรงทหารหน้าถือว่าเป็นอาคารที่มีความทันสมัยมากในยุคนั้น<br />
เพราะเป็นอาคารที่มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกในการ<br />
ดำรงหน่วยได้อย่างครบครัน ประกอบด้วย ไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์<br />
โดยมีสาระสำคัญของระบบประปา กล่าวคือ<br />
โรงทหารหน้าจัดระบบการผลิตน้ำประปาเป็นของตนเอง สำหรับ<br />
ใช้ในการอุปโภคและบริโภคในกิจการทหาร โดยมีระบบการผลิตน้ำประปา<br />
ที่เป็นมาตรฐาน ประกอบด้วย<br />
๑. การขุดเป็นบ่อลึกแบ่งออกเป็น ๓ ห้อง บริเวณใต้ห้องครัว<br />
(บริเวณริมถนนกัลยาณไมตรี ก่อนถึงสะพานช้างโรงสี ที่ในบันทึกระบุไว้ว่า<br />
ท่าช้าง) หรือในปัจจุบัน ก็คือบริเวณใกล้กับที่ตั้งธนาคารทหารไทย สาขา<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
๒. บ่อแต่ละบ่อจัดทำเป็นโพรงน้ำด้านล่างสุดเชื่อมถึงกันตั้งแต่<br />
บ่อที่ ๑ ถึงบ่อที่ ๓ มีการจัดทำระบบกรองน้ำในแต่ละบ่อด้วยการวางชั้น<br />
กรองจากบนลงล่าง แบ่งเป็น ๔ ชั้น ดังนี้<br />
๒.๑ ชั้นบนสุด บรรจุอิฐย่อยก้อนเล็กๆ โรยรองเป็นพื้น เมื่อ<br />
สูบน้ำขึ้นที่ท่าช้างแล้วน้ำก็ไหลผ่านมาในห้องกรองนี้ก่อนจนเป็นน้ำใส<br />
๒.๒ ชั้นที่สอง บรรจุทรายละเอียดที่นำมาจาก อำเภอบางพูด<br />
อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งเป็นทรายคุณภาพดี โรยทับไว้ข้างบน<br />
๒.๓ ชั้นที่สาม บรรจุเศษผงถ่านย่อยๆ โรยทับเพื่อการกรองน้ำ<br />
๒.๔ ชั้นล่าง จัดทำเป็นโพรงเพื่อเก็บน้ำที่กรองใสแล้ว สำหรับ<br />
สูบขึ้นสู่ถังสูงที่เก็บไว้ชั้นที่ ๓ ของอาคารทิศใต้ฝั่งตะวันออก<br />
๓. จัดเครื่องสูบน้ำจากคลองคูเมืองเดิม (คลองหลอด) บริเวณ<br />
เชิงสะพานช้างโรงสี มาถ่ายลงชั้นบนของบ่อที่หนึ่ง เมื่อน้ำคลองผ่านระบบ<br />
กรองแล้วก็จะไหลผ่านโพรงเชื่อมไปยังบ่อที่สองและสาม ในลักษณะ<br />
เดียวกันจนเป็นน้ำสะอาดและปลอดภัย<br />
ถังเหล็กขนาดใหญ่บรรจุน้ำสะอาดบริเวณชั้นสามของอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
๔. เมื่อผลิตน้ำสะอาดได้แล้วมีการสูบขึ้นพักไว้ในถังเหล็กขนาดใหญ่<br />
บริเวณชั้นสามของอาคารด้านทิศใต้หัวมุมใกล้สะพานช้างโรงสี<br />
๕. มีการจัดวางระบบท่อส่งน้ำ (Pipeline) เป็นท่อแป๊ปฝังอยู่ตาม<br />
ฝาผนังทั้ง ๓ ชั้น จึงสามารถเปิดใช้น้ำประปาได้ทั่วโรงทหารหน้าทุกชั้น<br />
กล่าวได้ว่า โรงทหารหน้ามีระบบประปาเพื่อบริการน้ ำให้แก่กำลังพล<br />
ที่ทันสมัยและครบถ้วนมากในสมัยนั้น<br />
43
เรื่องเล่าที่ ๒๓<br />
ความทันสมัยของระบบสาธารณูปโภคในอาคารโรงทหารหน้า<br />
ตอนที่ ๓ ระบบโทรศัพท์<br />
อาคารโรงทหารหน้าถือว่าเป็นอาคารที่มีความทันสมัยมากในยุคนั้น<br />
เพราะเป็นอาคารที่มีระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกในการ<br />
ดำรงหน่วยได้อย่างครบครัน ประกอบด้วย ไฟฟ้า ประปา และโทรศัพท์<br />
โดยมีสาระสำคัญของระบบโทรศัพท์ กล่าวคือ<br />
ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ประเทศไทยต้องเผชิญภัยคุกคาม<br />
จากชาติตะวันตกที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว จึงได้ทรงให้ความสำคัญต่อการแจ้งข่าว เรื่องภัยจากข้าศึกอันเป็น<br />
ภัยต่อความมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้น เมื่อมีการค้นพบระบบการสื่อสารทาง<br />
โทรศัพท์ที่สามารถรับและส่งข้อความ พูดคุยตอบโต้กันได้โดยตรง จึงทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการติดต่อสั่งซื้อระบบโทรศัพท์โดยทันทีที่ทรง<br />
ทราบข่าวว่ามีการผลิตไว้จำหน่าย โดยเมืองไทยเริ่มต้นมีการใช้โทรศัพท์<br />
ในครั้งแรกใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๒๔ ติดตั้งที่กรุงเทพฯ เครื่องหนึ่ง กับที่ปากน้ำ<br />
(จังหวัดสมุทรปราการ) อีกเครื่องหนึ่ง ใช้ประโยชน์จากสายโทรเลขระหว่าง<br />
กรุงเทพฯ กับปากน้ำ (ซึ่งกรมกลาโหมได้สร้างไว้ ตั้งแต่ <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๑๘<br />
เพื่อแจ้งข่าวเกี่ยวกับการผ่านเข้าออกปากแม่น้ำเจ้าพระยา ของเรือกลไฟ)<br />
ต่อมา ได้มีการขยายผลมาใช้ประโยชน์ในการแจ้งข่าวสารความมั่นคงให้แก่<br />
หน่วยทหาร เพื่อการเตรียมความพร้อมในการป้องกันประเทศ และทำการ<br />
ติดตั้งระบบโทรศัพท์ใช้ที่โรงทหารหน้าใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๒๘ โดยใช้ประโยชน์<br />
จากระบบไฟฟ้าของโรงทหารหน้า โดยเฉพาะด้านมุมท้ายสุดของอาคาร<br />
บริเวณทิศใต้ใกล้สะพานช้างโรงสี บริเวณชั้นที่ห้าของอาคาร เป็นที่ตั้งของ<br />
ทหารยามรักษาเหตุการณ์ จึงมีการติดตั้งเครื่องโทรศัพท์พร้อมเครื่องฉาย<br />
ไฟฟ้าอยู่ด้านบนเพื่อใช้ประโยชน์ในยามฉุกเฉิน<br />
แม้ว่าห้องทหารยามรักษาการณ์บนหอนาฬิกาจะปรับเปลี่ยนไปเป็น<br />
ห้องตรวจการณ์ในหอคอยกระทรวงกลาโหมในเวลาต่อมาแล้วก็ตาม ระบบ<br />
โทรศัพท์ก็ยังคงใช้งานอย่างต่อเนื่องตราบจนปัจจุบัน<br />
ภาพอาคารกรมพระกลาโหม บริเวณด้านหลังพระราชวังสราญรมย์<br />
44
เรื่องเล่าที่ ๒๔<br />
ระบบสาธารณสุขในอาคารโรงทหารหน้า<br />
อาคารโรงทหารหน้าถือว่าเป็นอาคารที่มีความทันสมัยมากใน<br />
ยุคนั้น เพราะเป็นอาคารที่มีระบบสาธารณสุขและสิ่งอำนวยความสะดวก<br />
ในการดำรงหน่วยที่เป็นมาตรฐาน กล่าวคือ โรงทหารหน้าเป็นทั้งที่ทำการ<br />
เป็นที่ฝึกฝนทหาร เป็นที่พักทหาร และมีการนำช้าง ม้า สำหรับใช้ในการศึก<br />
และม้าประจำรถพระที่นั่งมาเลี้ยงในพื้นที่ด้วย ย่อมมีความเป็นไปได้ที่<br />
กำลังพลอาจเจ็บป่วย และมีความเสี่ยงภัยที่อาจเกิดโรคติดต่อจากคน<br />
ไปสู่คน หรือจากสัตว์ไปสู่คนได้ ดังนั้น ผู้บังคับบัญชาของโรงทหารหน้า<br />
จึงได้จัดให้มีระบบสาธารณสุขไว้อย่างชัดเจน กล่าวคือ<br />
๑. มีการจัดสรรพื้นที่การใช้ประโยชน์อย่างชัดเจน ทั้งในเรื่องของ<br />
พื้นที่พัก พื้นที่เลี้ยงม้า คือ บริเวณอาคารด้านทิศเหนือ มีโรงเลี้ยงช้างและ<br />
โรงเลี้ยงม้า โดยชั้นล่างให้ม้าอยู่ ชั้นบนให้ทหารม้าอาศัย ซึ่งในพื้นที่ดังกล่าว<br />
มีนายอัศวแพทย์ (สัตวแพทย์) ผู้ฝึกหัดม้า และช่างท ำรองเท้าม้า อาศัยอยู่ด้วย<br />
จึงเป็นการป้องกันในชั้นแรก<br />
๒. ถัดจากโรงเลี้ยงม้า ได้จัดสรรพื้นที่แบ่งเป็นห้องนายแพทย์ทหาร<br />
และโรงพยาบาลทหาร เพื่อให้บริการทางการแพทย์ให้แก่กำลังพล<br />
ซึ่งในสมัยต่อมา ได้จัดตั้ง กรมแพทย์ทหารบก เป็นหน่วยขึ้นตรง<br />
กรมยุทธนาธิการด้วย<br />
๓. การตั้งโรงครัว ได้ตั้งในด้านทิศตะวันออกใกล้กับคลองคูเมืองเดิม<br />
คือ พื้นที่สุดอาคารรอยต่อระหว่างด้านทิศใต้ ห้องผลิตน้ำประปา จัดตั้ง<br />
เป็นโรงครัว จึงทำให้มีการแยกพื้นที่เพื่อความสะอาด และเป็นการวาง<br />
รากฐานระบบสาธารณสุขในอาคารโรงทหารหน้าไว้อย่างเหมาะสม ทั้งนี้<br />
ในข้อ ๑. และ ๒. ปรากฏในภาพตามลูกศรชี้<br />
45
เรื่องเล่าที่ ๒๕<br />
ระบบสุขาภิบาลในอาคารโรงทหารหน้า<br />
การที่โรงทหารหน้ามีการวางระบบประปาเพื่ออำนวยประโยชน์ต่อ<br />
การสร้างระบบสุขาภิบาลให้แก่กำลังพล อาคาร และสภาพแวดล้อมแล้ว<br />
ซึ่งจากการศึกษาค้นคว้าพบว่า บริเวณด้านหลังอาคารหรือด้านทิศตะวันออก<br />
ก่อนถึงคลองคูเมือง ได้จัดทำเป็นกิจการที่มีระบบสุขาภิบาลที่มีผลต่อ<br />
สุขอนามัยของกำลังพลกล่าวคือ<br />
๑. จัดทำเป็นสระน้ำ จำนวน ๒ สระ ซึ่งมีการใช้ประโยชน์ที่มีความ<br />
แตกต่างกัน สามารถจำแนกเป็นสระน้ำเพื่อภารกิจ ๒ ภารกิจ โดยจัดสร้าง<br />
บริเวณด้านหลังอาคารศาลาว่าการกลาโหม (ด้านทิศตะวันออก) ในภาพ<br />
ตามลูกศรชี้ คือ<br />
๑.๑ สระที่หนึ่ง สำหรับให้ทหารอาบน้ำชำระร่างกาย เนื่องจาก<br />
มีกำลังพลเป็นจำนวนมากที่ต้องเข้ารับการฝึก และปฏิบัติงานในภารกิจ<br />
ทางทหาร ที่อาจต้องสัมผัสกับดินโคลนและสิ่งสกปรกอื่น ดังนั้น การที่จัดท ำ<br />
ให้มีสถานที่อาบน้ำเพื่อชะล้างสิ่งสกปรก ย่อมนำมาสู่การรักษาสุขอนามัย<br />
ให้แก่กำลังพล<br />
๑.๒ สระที่สอง สำหรับให้ทหารฝึกหัดว่ายน้ำเพื่อสมรรถภาพ<br />
ร่างกายและเพื่อความพร้อมในการเข้าสู่พื้นที่การรบ<br />
๒. ปลูกกอไม้ไผ่สีสุก ริมถนนใหญ่รอบโรงทหารหน้าทั้ง ๓ ด้าน<br />
เพื่อป้องกันแสงแดดที่จะส่องเข้ามาถึงเฉลียงรอบโรงทหารหน้าชั้นใน<br />
และเพื่อเป็นร่มเงากับเป็นรั้วในตัวเอง รวมทั้ง เพื่อมิให้เกิดภาพที่ไม่น่าดูได้<br />
๓. ห้องสุขา สันนิษฐานว่า คงอยู่ใกล้กับสระที่ใช้อาบน้ำ เพราะ<br />
สามารถควบคุมกลิ่นและความสะอาดได้ เนื่องจากการจัดการระบบ<br />
สุขาภิบาลในสมัยนั้นยังไม่ทันสมัยเท่าในปัจจุบัน จึงต้องอยู่ห่างจากพื้นที่<br />
ทำงานหรือพื้นที ่ฝึกฝน เพื่อป้องกันความสกปรกและแพร่ระบาดของโรค<br />
ในพื้นที่ที่ต้องมีกำลังพล<br />
๔. ห้องปัสสาวะ การที่โรงทหารหน้าจัดท ำระบบท่อส่งน้ำ (Pipeline)<br />
เป็นท่อเหล็กขนาด ๘ นิ้วฝังอยู่ตามฝาผนังทั้ง ๓ ชั้น จึงสามารถเปิดใช้<br />
น้ำประปาได้ทั่วโรงทหารหน้าทุกชั้น โดยเฉพาะบันไดใหญ่ทุกแห่ง ได้จัดทำ<br />
ห้องสุขาสำหรับถ่ายปัสสาวะบันไดละ ๒ ห้อง ทุกๆ ชั้น จึงได้ทำเป็นท่อน้ำ<br />
ไหลมาสำหรับชะล้าง เพื่อไม่ให้เกิดกลิ่นที่ไม่พึงประสงค์ นอกจากนี้ ตามมุม<br />
สนามหญ้าสำหรับฝึกหัดทหารในชั้นล่างนั้น ได้จัดทำห้องสุขาสำหรับถ่าย<br />
ปัสสาวะทั้งสี่แห่ง และมีโถปัสสาวะแห่งละ ๔ โถ รวมทั้งมีระบบประปา<br />
เพื่อบริการน้ำให้แก่กำลังพลอีกด้วย เรียกว่าทันสมัยและครบถ้วนมาก<br />
ในสมัยนั้น<br />
46
เรื่องเล่าที่ ๒๖<br />
การบริการสาธารณะ<br />
หอนาฬิกาโรงทหารหน้า<br />
หอนาฬิกาศาลสถิตยุติธรรม<br />
โรงทหารหน้าได้ใช้ประโยชน์ของการปฏิบัติภารกิจทางทหารร่วม<br />
บริการสาธารณะในลักษณะการอำนวยความสะดวกให้แก่ประชาชนผู้สัญจร<br />
บริเวณอาคารโรงทหารหน้า กล่าวคือ<br />
๑. การให้บริการแสงสว่าง ในเวลาพลบค่ำโรงทหารหน้าจะทำการ<br />
เปิดโคมไฟแสงสว่างบริการแก่ประชาชนผู้สัญจรผ่านอาคารโรงทหารหน้า<br />
บริเวณถนนสนามไชย ถนนกัลยาณไมตรี และถนนหลักเมือง ทั้งนี้เพราะ<br />
เป็นการใช้ประโยชน์ในการดูแลรักษาความปลอดภัยของอาคารควบคู่ไป<br />
กับการให้บริการประชาชนในคราวเดียวกัน<br />
๒. การให้บริการเทียบเวลา ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า อาคารด้านทิศใต้<br />
ฝั่งตะวันออกสุดอาคารก่อนถึงสะพานช้างโรงสี บริเวณชั้นที่ ๕ หรือชั้นบน<br />
สุดมีห้องยามรักษาการณ์ ซึ่งในต ่ำลงมาหรือชั้น ๔ ได้ทำเป็นหอนาฬิกา<br />
รูปร่างสี่เหลี่ยมและมีหน้าปัดนาฬิกาสองด้าน คือ ด้านที่หนึ่ง หันหาคลอง<br />
คูเมืองเดิมหรือคลองหลอด และด้านที่สอง หันเข้าหาถนนกัลยาณไมตรี<br />
โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ประชาชนที่สัญจรผ่านไปมาได้รับทราบและ<br />
เทียบเวลา ทั้งนี้เนื่องจากในสมัยนั้นยังไม่มีนาฬิกาข้อมือ มีแต่นาฬิกาพก<br />
ที่มีสายห้อย นาฬิกานำเข้าจากต่างประเทศและมีราคาสูงมาก จะมีผู้ใช้<br />
ก็คือเจ้านาย ข้าราชการระดับสูง และคหบดีเท่านั้น ระดับประชาชนธรรมดา<br />
ยากที่จะเป็นเจ้าของ ดังนั้น การที่โรงทหารหน้าเปิดโอกาสให้ประชาชน<br />
ได้เทียบเวลาโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย จึงถือว่าเป็นการบริการประชาชนและ<br />
พัฒนาคุณภาพชีวิตให้ราษฎรสยามในยุคนั้น<br />
อย่างไรก็ตาม หลายท่านอาจมีข้อสงสัยว่าเหตุใดจึงมีหน้าปัดนาฬิกา<br />
เพียงสองด้าน แล้วเหตุใดอีกสองด้านคือทิศเหนือและทิศตะวันตกจึงไม่มี<br />
หน้าปัดนาฬิกา ซึ่งจากการศึกษาทราบว่าด้านทิศเหนือนั้นประชาชนและ<br />
เหล่าทหารสามารถเทียบเวลาได้จากหอนาฬิกาที่อยู่บริเวณอาคารศาลสถิต<br />
ยุติธรรม และทางทิศตะวันตกสามารถเทียบเวลาได้จากหอนาฬิกาพระที่นั่ง<br />
ภูวดลทัศไนย ซึ่งเป็นหอนาฬิกาในพระบรมมหาราชวัง ซึ่งพระบาทสมเด็จ<br />
พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมขุน<br />
ราชสีหวิกรม (ต้นสกุล ชุมสาย) คิดแบบ เป็นหอสูง ๑๐ วา มีนาฬิกา<br />
ทั้ง ๔ ด้าน ต่อมา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ปรับปรุงรูปร่างหอนาฬิกาขึ้นใหม่ ก่อนรื้อลง<br />
อย่างถาวรเสียเมื่อจะสร้างทิมดาบใหม่<br />
47
เรื่องเล่าที่ ๒๗<br />
หอคอยของโรงทหารหน้า<br />
กลองประจำพระนคร<br />
ในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
โรงทหารหน้าได้ทำการรื้อถอนหอนาฬิกาออก เนื่องจากการสร้างหอนาฬิกา<br />
เป็นทรงสี่เหลี่ยมและมีการติดตั้งนาฬิกาในชั้นที่ ๔ ทำให้เกิดผลเสีย<br />
ต่อตัวอาคาร เพราะต้องรับแรงต้านจากลมและฝนทำให้อาคารทรุดโทรม<br />
อย่างรวดเร็ว ประกอบกับความไม่คงทนของนาฬิกาที่ประสบปัญหาชำรุด<br />
และขัดข้องเป็นประจำ กอปรกับการแพร่หลายของนาฬิกาพกที่มีมากขึ้น<br />
รวมทั้ง มีวิทยุกระจายเสียงที่บอกเวลา สามารถรับฟังได้ทุกที่ จึงมีแนว<br />
ความคิดที่จะปรับปรุงอาคารชั้นที่ ๔ และชั้นที่ ๕ (บริเวณห้องทหาร<br />
ยามรักษาเหตุการณ์) ขึ้นใหม่เพื่อให้เกิดความเหมาะสมกับสถานการณ์<br />
ที่เปลี่ยนแปลงไป จึงได้มีการปรับแต่งหอคอยจากเดิมทรงเหลี่ยมให้มี<br />
ลักษณะเป็นทรงกระบอกและมีกันสาดในชั้นที่ ๔ และชั้นที่ ๕ ทำให้<br />
สามารถตรวจการณ์ได้ทั้งสองชั้นและติดตั ้งลำโพงเพื่อกระจายเสียง<br />
ต่อสาธารณชนได้<br />
เนื่องจากในยุคต่อมา ทางราชการมีความจำเป็นต้องใช้พื้นที่บริเวณ<br />
หอกลอง (บริเวณสวนเจ้าเชตุ) เพื่อขยายถนนสนามไชย และหมดความ<br />
จำเป็นที่จะต้องใช้การตีกลองบอกสัญญาณของกลอง ๓ ใบ คือ<br />
๑. กลองย่ำพระสุรีย์ศรี<br />
๒. กลองอัคคีพินาศ<br />
๓. กลองพิฆาตไพรี<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้นำกลองทั้งสามใบมาเก็บรักษาบริเวณชั้น ๔ ของอาคาร<br />
ศาลาว่าการกลาโหม ก่อนย้ายไปตั้งที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติในที่สุด<br />
ต่อมา ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๐๐ อาคารศาลาว่าการกลาโหมเกิดรอย<br />
แตกร้าว เนื่องเพราะการสร้างหอคอยชั้นที่ ๔ และชั้นที่ ๕ ในอดีต ทำให้<br />
อาคารชั้นล่างต้องรับน้ำหนักมากและมีการรั่วซึมของน้ำที่เกิดจากฝน<br />
ซัดสาดเป็นประจำ เมื่อมีการก่อสร้างอาคารกองบัญชาการทหารสูงสุด<br />
ประกอบกับเกิดความทรุดโทรมของหอคอย จึงได้รื้อถอนหอคอยออก<br />
และปรับให้คงเหลือเพียง ๓ ชั้น กับมุงหลังคาชั้นสามปิดทั ้งหมดในทรง<br />
ปั้นหยา จึงทำให้ไม่มีหอคอยมาจนถึงปัจจุบัน<br />
48
เรื่องเล่าที่ ๒๘<br />
กิจการทหารและที่ตั้งหน่วยก่อนโรงทหารหน้า<br />
ในอดีตเคยมีผู้สงสัยในเรื่องกิจการทหารและที่ตั้งหน่วยทหาร<br />
ในยุคก่อนการปฏิรูประบบราชการ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๕ ในการนี้<br />
นายพลเอก สมเด็จพระบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าดิศวรกุมาร กรมพระยา<br />
ดำรงราชานุภาพ พระบิดาแห่งประวัติศาสตร์ไทย ได้ทรงอธิบายไว้ในเรื่อง<br />
ประวัติกระทรวงมหาดไทยว่าด้วยสำนักงานมหาดไทย ซึ่งมีความเกี่ยวข้อง<br />
กับกระทรวงกลาโหมในอดีตไว้อย่างชัดเจน ว่า<br />
“...ศาลาที่ทำงานของกลาโหมและพลเรือน ที่เรียกว่า “ศาลาลูกขุน”<br />
นั้น แต่เดิมมี ๓ หลัง ตามแบบอย่างครั้งกรุงศรีอยุธยา หลังหนึ่งอยู่นอก<br />
พระราชวังเป็นสถานที่สำหรับประชุมทางราชการฝ่ายตุลาการชั้นสูง* ศาลา<br />
ลูกขุนอีก ๒ หลัง อยู่ในพระบรมมหาราชวัง จึงเป็นเหตุให้เรียกตรงกันว่า<br />
“ศาลาลูกขุนนอก” และ “ศาลาลูกขุนใน”<br />
ศาลาลูกขุนในเป็นสถานที ่สำหรับประชุมทางราชการชั้นสูงฝ่าย<br />
ธุรการ ซึ่งหลังนี้อยู่ทางด้านซ้ายสำหรับประชุมทางราชการพลเรือนอยู่<br />
ในปกครองของเสนาบดีกระทรวงมหาดไทย และอีกหลังหนึ่งอยู่ข้างขวา<br />
สำหรับประชุมข้าราชการทหาร อยู่ในการปกครองของเสนาบดีกระทรวง<br />
กลาโหม เป็นหัวหน้าข้าราชการทหารเช่นกัน<br />
หน้าที่ฝ่ายธุรการของมหาดไทยและกลาโหมแบ่งออกเป็น ๓ แผนก<br />
คือ<br />
แผนกที่ ๑ คือ หน้าที่อัครมหาเสนาบดีที่ต้องสั่งการงานต่างๆ<br />
แก่กรมอื่นๆ ให้ทำ<br />
แผนกที่ ๒ คือ การบังคับบัญชาหัวเมือง (กลาโหมมีหัวเมืองฝ่ายใต้<br />
อยู่ในปกครอง ๑๖ หัวเมือง)<br />
แผนกที่ ๓ คือ ฝ่ายตุลาการ (มีขุนศาลตุลาการและเรือนจำ)<br />
อนึ่ง งานฝ่ายธุรการของกรมพระกลาโหมหรือกระทรวงกลาโหม<br />
มีปลัดทูลฉลอง เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ และมีปลัดบาญชีและ<br />
เสมียนตราเป็นเจ้าหน้าที่ประจำฝ่ายธุรการ–สารบรรณ<br />
สรุปสถานที่ว่าราชการกิจการทหารในสมัยพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวอยู่ ณ ศาลาลูกขุนในฝ่ายขวาในพระบรมมหาราช<br />
วังชั้นนอก มีข้าราชการกรมพระกลาโหมประจำอยู่ ณ ศาลาลูกขุนในฝ่ายขวา<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ฉลองพระองค์ในเครื่องแบบทหารชุดเต็มยศ<br />
ศาลาลูกขุน<br />
บริเวณศาลาลูกขุนนอก<br />
ศาลาลูกขุนใน<br />
ได้รับเงินเดือนเช่นเดียวกับกระทรวงการต่างประเทศและกระทรวง<br />
มหาดไทย ส่วนข้าราชการที่ทำงานอยู่ที่บ้านสมุหพระกลาโหมหรือเสนาบดี<br />
คงได้ค่าธรรมเนียมเป็นผลประโยชน์ตอบแทนมิใช่เงินเดือน...”<br />
* หมายเหตุ<br />
ศาลาลูกขุนนอก คือ ศาลหลวง ต่อมาสร้างเป็นศาลสถิตยุติธรรม บริเวณใกล้<br />
ศาลหลักเมือง และได้รื้อถอนเพื่อสร้างสำนักงานศาลยุติธรรมและกระทรวงยุติธรรม ปัจจุบัน<br />
อยู่ริมถนนราชดำเนินใน ฝั่งตรงข้ามท้องสนามหลวง (ค้นคว้าโดย พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
ผู้เขียน)<br />
49
เรื่องเล่าที่ ๒๙<br />
เสด็จพระราชดําเนินเปิดโรงทหารหน้า<br />
ภาพอาคารโรงทหารหน้า กำแพงพระบรมมหาราชวัง และถนนหน้าจักรวรรดิวังหลวง<br />
ถ่ายจากมุขกลางของอาคาร ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๒๙ – ๒๔๓๑<br />
(ในภาพยังปรากฏหอกลองประจำพระนครและหอนาฬิกาพระที่นั่งภูวดลทัศไนย)<br />
วันที่ ๑๘ กรกฎาคม ๒๔๒๗ เวลา ๑๑.๐๐ นาฬิกา เป็นวันที่พระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินมาทรงบำเพ็ญ<br />
พระราชกรณียกิจเป็นปฐมฤกษ์ในการเปิดโรงทหารหน้า และตาม<br />
มหาพิชัยฤกษ์ โดยทรงประทับรถพระที่นั่งทอดพระเนตรอาคารใหม่<br />
และชมการประลองยุทธ์ของทหารพร้อมพระราชทานนามอาคารว่า<br />
โรงทหารหน้า เพื่อเป็นสิริมงคลให้แก่มวลหมู่ทหาร ทำให้ทหารไทย<br />
มีที่ทำการใหม่ที่เป็นมาตรฐาน ซึ่งปรากฏข้อความของเหตุการณ์ในหนังสือ<br />
กลาโหมคำฉันท์ ดังนี้<br />
วสันตดิลก ฉันท์ ๑๔<br />
• กำหนดดิถีสถปนา<br />
มุลาฤกษ์ ณ แยบคาย<br />
ศุกร์แรมเอกทศกลาย<br />
กรกเดือนนษัตรวอก<br />
• ร้อยสามรตนโกสินทร์ศก เมฆะปกรวีออก<br />
ฤกษ์มหาพิชยนอก<br />
ห้าโมงเช้าเสด็จจร<br />
• ผูกพระคาถสมณเจ้า<br />
สถิตย์เข้ามุขบวร<br />
เกิดศิริเหล่าพหลอมร<br />
มังคลจ่อบรรลุ<br />
• วิเชตวา พลตา ภูปํ - รฏเฐ สาเธตุ -<br />
วุฑฺฒิโย เกิด ตบะมธุ -<br />
ระก่อชัยยะตำนาน<br />
• นัย พระมหากษัตริยเจ้า อีกทั้งเหล่าทวยทหาร<br />
จงมีชยะตลอดทิวกาล<br />
ประสบผลยังแดนดิน<br />
• ตั้งนามะโรงทหารหน้า แผ่พระเดชะทั่วถิ่น<br />
ไว้เคียงคู่รัตนโกสิน- ทรกรุงจรุงเรือง<br />
• พรั่งพร้อมศิลปะโรมนยล วรรณะล้นผกายเหลือง<br />
ยามพิศก็งามระยับประเทือง<br />
ดุจพิมานเมืองแมน<br />
• อาคารตริชั้นพิศสง่า ทวิทวาร์อร่ามแสน<br />
ปั้นรูปคชสีหประทับแทน ก็ตระหง่านพินิศมอง<br />
• ผันพักตร์ประจิมทิศะสล้าง มุขกลางตริชั้นปอง<br />
ชั้นบนประดับสรรพวุธครอง ทวิชั้นประชุมงาน<br />
• ล่างฝึกประลองอาวุธะทแกล้ว พิศะแววทหารหาญ<br />
ฝึกตระเตรียมนครภิบาล<br />
ชวชาญระวังภัย<br />
• อีกทิศอุดรพลประจักษ์ คณะพักพิง์อาศัย<br />
โยธาแลอัศวพะพิงไพ-<br />
บุละกันลุวันคืน<br />
• ทักษิณจุสัมภระทหาร ยุท์ธภารบ่ต้องฝืน<br />
สุดตึกก่อหอนฬิกะยืน เบญจชั้นตระหง่านพราว<br />
• บูร์พาสระใสไพร่พลอาบ ก่อขนาบปะฉางข้าว<br />
โรงครัวผลิตภัตรคาว<br />
อุปภัมภบำรูง<br />
• สามด้านก่อรั้วรมยรื่น เวฬุยืนผลิต้นสูง<br />
สีสุกสะพรึบพฤกษพรรณปรูง มนรมณ์สิเพลิดเพลิน<br />
• เบิกฤกษ์ปฐมบรมบพิตร พระสถิตแลดำเนิน<br />
ไพร่พลประลองยุทธเผชิญ<br />
พระหทัย ธ ยินดี ฯ<br />
50
เรื่องเล่าที่ ๓๐<br />
ศาลายุทธนาธิการ<br />
บันทึกของทางราชการทหารในอดีต ได้เคยมีการบันทึกไว้ใน<br />
หัวหนังสือราชการระบุที่ตั้งหน่วยทหารบนมุมขวาของหนังสือว่า ศาลา<br />
ยุทธนาธิการในยุคหนึ่ง ทั้งนี้เพราะศาลายุทธนาธิการ มีบทบาทที่เกี่ยวกับ<br />
กิจการทหาร โดยเป็นที่ทำการของกรมยุทธนาธิการ กระทรวงยุทธนาธิการ<br />
ก่อนเปลี่ยนมาเป็นศาลาว่าการกลาโหม<br />
ภายหลังจากวันที่ ๘ เมษายน ๒๔๓๐ จากที่พระบาทสมเด็จพระ<br />
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้โรงทหารหน้าเป็น<br />
สถานที่ทำการของกรมยุทธนาธิการ ในการนี้โปรดเกล้าฯ ให้ขนานนาม<br />
ใหม่ว่า ศาลายุทธนาธิการ นั้นปรากฏว่ามีการบันทึกกิจกรรมของศาลา<br />
ยุทธนาธิการไว้ดังนี้<br />
๑. พิธีถือนํ้ำพิพัฒน์สัตยา วันเสาร์ที่ ๙ เมษายน ๒๔๓๐ พระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เหล่าทหาร<br />
ในสังกัดกรมยุทธนาธิการ กระทำพิธีถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ณ ศาลายุทธนาธิการ<br />
๒. พระราชพิธีรัชดาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว โดยศาลายุทธนาธิการถือเป็นส่วนหนึ่งของการประกอบ<br />
พระราชพิธีรัชดาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อวันที่<br />
๕ ธันวาคม ๒๔๓๖ มีการบันทึกไว้ว่า<br />
“นับแต่ทรงรับบรมราชาภิเษก นับทางจันทรคติได้ ๒๕ <strong>ปี</strong>บริบูรณ์<br />
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีรัชดาภิเษก ณ<br />
พระบรมมหาราชวัง ตั้งแต่วันที่ ๑ - ๘ ธันวาคม ๒๔๓๖ โดยจัดรูปแบบ<br />
พระราชพิธีทำนองเดียวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษก คือ มีวันตั้งน้ำ<br />
วงด้าย (สายสิญจน์รอบมณฑลพระราชพิธี) เจริญพระพุทธมนต์ ๓ วัน<br />
สรงพระมูรธาภิเษก ประทับพระที่นั่งอัฐทิศ รับน้ำอภิเษก ประทับพระที่นั่ง<br />
ภัทรบิฐ พราหมณ์อ่านมนต์เปิดประตูไกรลาส ไม่มีการถวายพระสุพรรณบัฏ<br />
และเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์แล้วเสด็จออกรับคณะทูตานุทูตถวายชัยมงคล<br />
ทรงตั้งพระราชาคณะ ๓ รูปเป็นมงคลฤกษ์ คณะสงฆ์สวดถวายชัยมงคล ณ<br />
พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม เสด็จออกให้ราษฎรเฝ้าทูลละอองธุลี<br />
พระบาทถวายชัยมงคล มีพระธรรมเทศนา ๕ กัณฑ์ เจ้าพนักงานตั้งบายศรี<br />
เวียนเทียนสมโภชพระราชมณเฑียร ๓ วัน และเสด็จพระราชดำเนินศาลา<br />
ภาพทหารกรมยุทธนาธิการรอรับผู้บังคับบัญชาในโรงทหารหน้า<br />
ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๒<br />
ภาพการเตรียมการรับเสด็จในพิธีถวายพระคทาแด่<br />
จอมพล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ยุทธนาธิการ ให้ทหารบก ทหารเรือ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทถวายตัว”<br />
๓. พิธีถวายพระคทาจอมพลแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว โดยกรมทหารบก ซึ่งจัดเมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๔๖ มีการ<br />
บันทึกไว้ว่า<br />
“ผู้บัญชาการกรมทหาร พร้อมด้วยข้าราชการในกรมยุทธนาธิการ<br />
เตรียมรับการตรวจแถว จากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ณ สนามหญ้าภายในศาลายุทธนาธิการ ภายหลังที่กรมทหารบก ทูลเกล้าฯ<br />
ถวายพระคทาจอมพล”<br />
๔. พิธีพระราชทานธงชัยเฉลิมพล พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานธงชัยเฉลิมพลแก่<br />
หน่วยทหาร เมื่อ <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๕๑ มีการบันทึกไว้ว่า<br />
“ซึ่งผืนธงมีรูปลักษณะเป็นสีแดง ตรงกลางปักเป็นรูปช้าง และ<br />
ในปัจจุบันนี้ ธงชัยเฉลิมพลผืนนี้ ไม่สามารถหาหลักฐานพบว่าเก็บไว้ ณ สถาน<br />
ที่ราชการใด โดยหลักฐานการได้รับพระราชทานธงชัยเฉลิมพล ได้แก่ คำสั่ง<br />
51
ศาลายุทธนาธิการ ที่ ๑๘๑/๑๓๒๑๗ ลงวันที่ ๒ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๒๗ และ<br />
คำสั่งศาลายุทธนาธิการที่ ๑๘๖/๑๓๓๙๒ ลงวันที่ ๔ พฤศจิกายน ร.ศ.๑๒๗”<br />
๕. งานเฉลิมพระเกียรติ ศาลายุทธนาธิการได้เคยใช้ประโยชน์<br />
ในการจัดงานเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
เพราะมีการบันทึกไว้ว่า ได้จัดการแสดงบรรเลงเพลงถวายพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๐ ถึง ๒ ครั้ง กล่าวคือ<br />
๕.๑ ครั้งที่หนึ่ง การบรรเลงเพลงสรรเสริญพระบารมี ฉบับที่<br />
เป็นผลงานของ นายปโยตร์ ชูรอฟสกี้ (Pyotr Schurovsky) นักประพันธ์<br />
ชาวรัสเซีย เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๑ ซึ่งสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรม<br />
พระยานริศรานุวัดติวงศ์ ทรงนิพนธ์เนื้อร้องประกอบและได้บรรเลงครั้งแรก<br />
ที่ ศาลายุทธนาธิการ วันที่ ๒๔ กันยายน ๒๔๓๑ (วันจันทร์เดือน ๑๐<br />
แรม ๔ ค่ำ <strong>ปี</strong>ชวด สัมฤทธิศก จุลศักราช ๑๒๕๐) โดยมีเนื้อเพลงสรรเสริญ<br />
พระบารมี ชุดแรกที่ถวายแด่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นดังนี้<br />
ข้าวรพุทธเจ้า เหล่าวิริยพลพลา<br />
สบสมัยกา-<br />
ละปิติกมล<br />
ร่วมมนจำเรียงพรรค์ สรรดุริยพล<br />
สฤษดิมณฑล<br />
ทำสดุดีแด่นฤบาล<br />
ผลพระคุณะรักษา พลนิกายะศุขสานต์<br />
ขอบันดาล พระประสงค์ใด จงสฤษดิดัง<br />
หวังวรหฤทัย ดุจถวายไชย ฉะนี้ฯ<br />
๕.๒ ครั้งที่สอง การบรรเลงถวายพระบาทสมเด็จพระ<br />
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ในวันที่<br />
๒๔ กันยายน ๒๔๓๑ (วันจันทร์เดือน ๑๐ แรม ๔ ค่ำ <strong>ปี</strong>ชวด สัมฤทธิศก<br />
จุลศักราช ๑๒๕๐) ณ ศาลายุทธนาธิการ โดยครั้งนี้เป็นการบรรเลงเพลง<br />
ซึ่ง นายพลตรี เจ้าฟ้ากรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ (พระยศในขณะนั้น)<br />
ทรงพระนิพนธ์ขึ้นเมื่อครั้งดำรงตำแหน่งเจ้าพนักงานใหญ่ใช้จ่าย<br />
กรมยุทธนาธิการ โดยเนื้อเพลงขึ้นต้นมีเนื้อความว่า “บรรยายความตามไท้<br />
เสด็จยาตร ยังไทรโยคประพาสพนาสณฑ์” และต่อมาจึงเรียกชื่อเพลงนี้ว่า<br />
เขมรไทรโยค จนเป็นชื่อที่แพร่หลายไปในที่สุด<br />
๖. ที่ทําการของกระทรวงยุทธนาธิการ ต่อมาเมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๓<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ยกฐานะกรมยุทธนาธิการ ขึ้นเป็นกระทรวง<br />
ยุทธนาธิการ และให้ตั้งกองบัญชาการที่ศาลายุทธนาธิการ<br />
๗. ที่ทําการของกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ ๒๓ ธันวาคม ๒๔๓๗<br />
ภาพโน้ตเพลงสรรเสริญพระบารมี<br />
พระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ<br />
เจ้าฟ้าจิตรเจริญ กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
ภาพคณะแตรฝรั่งบรรเลงเพลงเขมรไทรโยค<br />
ภาพโน้ตเพลงเขมรไทรโยค<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้กระทรวงกลาโหมย้ายสถานที่ทำการจากศาลาลูกขุนในฝ่ายขวา<br />
ในพระบรมมหาราชวังชั้นนอก มาอยู่ที่ตึกกลางของศาลายุทธนาธิการ<br />
และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ใช้สถานที่แห่งนี้เป็นสถานที่ทำการของ<br />
กระทรวงกลาโหม ซึ่งในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ เปลี่ยนชื่อมาเป็นกระทรวงกลาโหม ทำให้<br />
ศาลายุทธนาธิการเปลี่ยนชื่อมาเป็นศาลาว่าการกลาโหม ตราบจนปัจจุบัน<br />
52
เรื่องเล่าที่ ๓๑<br />
ประตูใหญ่หน้าโรงทหารหน้า<br />
ประตูใหญ่หน้าโรงทหารหน้าหรือศาลาว่าการกลาโหม ปัจจุบัน<br />
ใช้เป็นประตูเข้าและออกของอาคาร ทำขึ้นในลักษณะรูปเกือกม้าที่มีขนาด<br />
ใหญ่ กำหนดประตูเข้าอยู่ทางทิศใต้ใกล้กระทรวงการต่างประเทศ ด้านถนน<br />
กัลยาณไมตรี สำหรับประตูทางออก คือประตูทิศเหนือใกล้กับศาลหลักเมือง<br />
ด้านถนนหลักเมือง โดยทั้งสองประตูใหญ่มีการประดับด้วยมีรูปปูนปั้น<br />
รวม ๒ แบบ กล่าวคือ<br />
๑. รูปปั้นนูนต่ำเป็นรูปหน้านายทหาร เป็นรูปหน้าทหารสวมหมวก<br />
ยอด ด้านบนบริเวณกึ่งกลางประตู ทั้งนี้ จากการตรวจสอบหลักฐานต่างๆ<br />
แล้วไม่พบว่าเป็นใบหน้าของท่านใด แต่เมื่อพิจารณาจากโครงสร้างกับ<br />
องค์ประกอบของใบหน้าของรูปปูนปั้นทั้งสองรูป ทำให้สันนิษฐานได้ว่า<br />
๑.๑ รูปปูนปั้นหน้านายทหารด้านประตูทิศใต้ คือ จอมพล<br />
สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยา<br />
ภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
๑.๒ รูปปูนปั้นหน้านายทหารด้านประตูทิศเหนือ คือ จอมพล<br />
และมหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต)<br />
๒. รูปปูนปั้นนูนสูงเป็นเศียรองค์คชสีห์ ขนาบทั้ง ๒ ข้าง ด้านซ้าย<br />
และขวา ทั้งนี้ ประดับไว้เพื่อบ่งบอกถึงความเป็นสัญลักษณ์ของหน่วยทหาร<br />
และที่ทำการของสมุหพระกลาโหม<br />
โดยปกติ การปั้นรูปใบหน้าที่ประดับขอบโค้งบนสุดของประตู<br />
หรือขอบหน้าต่างนั้น ส่วนใหญ่แล้วในยุโรปจะปั้นเป็นรูปหน้าเทพเจ้า<br />
หรือหน้าเทพี ตามความเชื่อในเทพนิยายปกรณัม ซึ่งบางแห่งอาจปั้นเป็น<br />
หน้าสุภาพสตรีเพื่อความสวยงามของอาคาร ซึ่งมีอาคารที่อยู่ใกล้ศาลา<br />
ว่าการกลาโหมคือ อาคารมิวเซียมสยาม ก็มีการปั้นรูปหน้าสุภาพสตรี<br />
โดยช่างชาวต่างชาติที่รับพระราชกระแสรับสั่งของพระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวเป็นผู้ปั้นประดับไว้บนส่วนโค้งบนของขอบหน้าต่าง<br />
ชั้นสองทุกบาน<br />
ต่อมา ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๕๕ มีการต่อเติมอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
ทางทิศตะวันออกขึ้นใหม่ จึงได้ทำการจำลองประตูใหญ่ไปสร้างด้านทิศ<br />
ตะวันออกด้านใต้ ใกล้สะพานช้างโรงสีอีกหนึ่งประตู<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๕๗ ได้มีการอัญเชิญตราแผ่นดินรูปอาร์ม (ซึ่งพระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น)<br />
มาประดิษฐานบริเวณเหนือประตูใหญ่ทั้ง ๒ บาน ตรงช่วงรูปโค้งของแผ่นไม้<br />
โดยดำเนินการตามดำริของ พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม<br />
53
เรื่องเล่าที่ ๓๒<br />
สัญลักษณ์ปูนปั้นประดับชั้นบนของอาคารโรงทหารหน้า<br />
แผ่นปูนและยอดแหลมบริเวณขอบหลังคาใกล้กับบริเวณหน้าจั่วของ<br />
มุขกลางโรงทหารหน้า ที่ท่านเห็นอยู่ในปัจจุบัน เรียกว่า บราลี หรือ ปั้นลม<br />
เพื่อประดับอาคารทรงยุโรปที่เรียกว่า สถาปัตยกรรมโบซารส์ (Beaux Arts)<br />
หรือเรียกว่า Beaux-Arts style ซึ่งเป็นวิถีทางทำให้เกิดจิตวิญญาณใหม่<br />
ภายในขนบธรรมเนียมที่หรูหรามากกว่าการจัดของความคิดที่เป็นจุดส ำคัญ<br />
ของศิลปะ โดยเพิ่มเติมที่งานปั้น ประติมากรรม แกะสลักผนัง หรืองาน<br />
ศิลปะอื่นๆ สำหรับก่อให้เกิดเอกลักษณ์ของอาคารและลักษณะเด่น คือ<br />
การตกแต่งประดับประดาที่มากมายด้วยองค์ประกอบคลาสสิกจากยุคต่างๆ<br />
นำมาผสมผสานกันอย่างซับซ้อน อาทิ ลวดบัว หัวเสา ปูนปั้น และการ<br />
ทำผนังชั้นล่างเลียนแบบการก่อหิน ซึ่งเป็นส่วนประกอบของงานศิลปะ<br />
ที่ประดับประดาอยู่ในอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
สำหรับแผ่นปูนและยอดแหลม ที่ประดับอยู่ด้านหน้าศาลาว่าการ<br />
กลาโหมบริเวณขอบระเบียงชั้น ๓ ของอาคาร บริเวณเหนือประตูทางเข้า<br />
และทางออกไม่ได้มีการบันทึกไว้อย่างชัดเจน จึงมีข้อสันนิษฐาน ดังนี้<br />
๑. บราลียอดแหลมปูนปั้น ลักษณะเป็นกรวยทรงสูงบนแท่นกลม<br />
คาดว่าน่าจะเป็นการนำเสนอในลักษณะของภาชนะทรงสูงสำหรับใช้<br />
ครอบของสูง ซึ่งปกติมีการใช้ผ้าตาดทำเป็นรูปกรวยครอบมงกุฎหรือชฎา<br />
เพื่อใช้ป้องกันความเสียหายและฝุ่นละอองที่จะเข้าไปสร้างความเสียหาย<br />
ภายใน ซึ่งแสดงให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ว่าทหาร คือผู้อาสาปกป้องราชบัลลังก์<br />
สำหรับอีกแนวคิดหนึ่งคาดว่าเป็นการนำเอาตราสัญลักษณ์คชสีห์<br />
ที่อยู่ในกล่องอับหมึกและมีฝาครอบมาเป็นต้นแบบในการจัดทำบราลีนี้<br />
อย่างไรก็ตาม บราลีปูนปั้นลักษณะเช่นนี้ก็มีการสร้างในอาคารของยุโรป<br />
หลายแห่ง และมีอาคารที่ประดับบราลีใกล้เคียงกับทรงนี้คือ อาคารธนาคาร<br />
ไทยพาณิชย์ สาขาถนนเพชรบุรี<br />
๒. ปั้นลมปูนปั้นเป็นแผ่นรูปทหาร ลักษณะเป็นแผ่นสี่เหลี่ยมผืนผ้า<br />
หากสังเกตให้ดีจะเป็นรูปทหารสวมเสื้อคลุมแบบทหารยุโรปคาดกระบี่<br />
พาดด้านหน้า และบริเวณหลังกับไหล่ปั้นเป็นรูปธงพลิ้วข้างละ ๒ ผืน<br />
ทำให้นึกถึง เสี้ยวกาง (ทวารบาล ที่วาดอยู่บริเวณประตูวัดต่างๆ ซึ่งมีความ<br />
เชื่อกันว่าเป็นสัญลักษณ์ป้องกันภัยร้ายที่เข้ามาสู่ภายในวัด) จึงมีความเป็น<br />
ไปได้ว่ามีการสร้างทวารบาลขึ้นเพื่อปกป้องสิ่งไม่ดีที่จะเข้ามาสู่ศาลาว่าการ<br />
กลาโหม แต่เนื่องจากเป็นอาคารทรงยุโรป เมื่อเป็นเช่นนี้ ทวารบาลจึง<br />
ปั้นเป็นรูปทหารยุโรป นับว่าเป็นจินตนาการทางศิลปะตะวันตกกับความ<br />
เชื่อทางตะวันออกที่ผสมผสานออกมาได้อย่างลงตัว อย่างไรก็ตาม ปั้นลม<br />
ลักษณะเช่นนี้มีการสร้างที่เหนือพระที่นั่งอุทยานภูมิเสถียร ในพระราชวัง<br />
บางปะอิน ซึ่งถึงแม้ไม่เหมือนกันทั้งหมด แต่เป็นศิลปะในยุคเดียวกันและ<br />
น่าจะมีคติความคิดที่คล้ายกัน นอกจากนี้ เมื่อมีการต่อเติมอาคารศาลา<br />
ว่าการกลาโหมทางทิศตะวันออก ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๕๕ ได้มีการจำลองปั้นลม<br />
ปูนปั้นเป็นแผ่นรูปทหารประดับเหนืออาคารบริเวณระเบียงชั้นสามอีกด้วย<br />
จากการศึกษาภาพในอดีตทำให้ทราบว่าโรงทหารหน้าก่อน<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๔๘๙ เคยปรากฏบราลียอดแหลมปูนปั้นขนาดใหญ่มีทรวดทรงคล้าย<br />
แจกันตั้งประดับที่เหนือประตูใหญ่ด้านหน้าโรงทหารหน้าทั้ง ๒ ประตู<br />
แต่ในปัจจุบันไม่มีอยู่คงปรากฏในภาพของโรงทหารหน้าในอดีตเท่านั้น<br />
54
เรื่องเล่าที่ ๓๓<br />
ภูมิทัศน์หน้าโรงทหารหน้าและศาลาว่าการกลาโหม<br />
โรงทหารหน้าได้มีการปรับภูมิทัศน์ด้านหน้าอาคารเพื่อความ<br />
เหมาะสมกับการใช้งานและมีหลักคิดที่แตกต่างกันไปรวมแล้วถึง ๔ รัชสมัย<br />
ซึ่งมีสาระสำคัญ กล่าวคือ<br />
๑. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการดำเนินการ ดังนี้<br />
๑.๑ จัดสร้างสัญลักษณ์ประจำโรงทหารหน้า ซึ่งเป็น<br />
ประติมากรรมปูนปั้นนูนต่ำตราแผ่นดินและพระจุลมงกุฎ (พระเกี้ยว)<br />
พร้อมคาถาบาลีประดิษฐานที่หน้าจั่วอาคารมุขกลางที่สื่อความหมายถึง<br />
พระบรมเดชานุภาพองค์จอมทัพไทยที่ทรงพระราชทานกำเนิดสถานที่<br />
แห่งนี้ให้เป็นอาคารพระราชมรดกทางการทหารเพื่อความเจริญและความ<br />
มั่นคงแห่งชาติสืบต่อไปในอนาคต<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ<br />
๑.๒ จัดสร้างรูปปูนปั้นหน้าซุ้มประตูทางเข้า - ออก โดยการปั ้น<br />
ในลักษณะปูนปั้นนูนต่ำเป็นรูปหน้าทหารสวมหมวกแบบยุโรป และ<br />
รูปปูนปั้นนูนสูงในส่วนหน้าองค์คชสีห์ ๒ องค์ ขนาบข้างอยู่เหนือซุ้มประตู<br />
ทางเข้า - ออก ด้านถนนสนามไชย<br />
๒. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้มีการดำเนินการ ดังนี้<br />
๒.๑ อัญเชิญโคลงพระราชนิพนธ์สยามานุสสติเหนือซุ้มประตู<br />
ทางเข้า - ออก เพื่อให้กำลังพลอ่านให้ขึ้นใจ ซึ่งเป็นการปลุกจิตสำนึก<br />
ความรักชาติเมื่อครั้งสมัยสงครามโลกครั้งที่ ๑<br />
๒.๒ จัดทำพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณ โดยพิจารณาจัดทำ<br />
ตามรูปแบบที่มีการจัดวางปืนใหญ่โบราณ ณ โรงเรียนนายร้อยทหารบก<br />
แซนด์เฮิร์สต์ (Sandhurst Military Academy) ประเทศอังกฤษ โดยจัด<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ<br />
ภูมิทัศน์ครั้งแรกใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๖๐ หลังจากนั้นปรับปรุงการจัดวางปืนใหญ่<br />
อีก ๑ ครั้ง ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๖๔<br />
๒.๓ ฝังปากกระบอกปืนใหญ่โบราณ โดยฝังปากกระบอกปืนใหญ่<br />
บริเวณด้านหน้าประตูทางเข้าและออก ข้างละ ๒ กระบอก รวมจำนวน<br />
๔ กระบอก (ในเวลาต่อมา ได้ใช้แนวคิดนี้ไปดำเนินการบริเวณภูมิทัศน์<br />
รอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย)<br />
55
๒.๔ จัดสร้างศาลาทรงกลมประกอบภายในสนามด้านหน้า โดย<br />
การสร้างศาลาทรงกลมภายในลักษณะโปร่งมีเสาข้างใน ๘ เสา โดยให้เป็นที่<br />
ฝึกซ้อมและบรรเลงแตรฝรั่งหรือวงโยธวาทิต (Military Band) ซึ่งลักษณะ<br />
เช่นเดียวกันนี้ ได้จัดทำที่พระราชวังสราญรมย์ โดยสร้างเป็นศาลา ๘ เหลี่ยม<br />
ใช้สำหรับเป็นที่ฝึกซ้อมและบรรเลงแตรฝรั่ง และในระหว่างที่ซ้อมเพลงนั้น<br />
มักจะมีประชาชนมาร่วมฟังการซ้อมเพลงเป็นประจำ<br />
๓. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล โดยการ<br />
ปรับปรุงตามนโยบายรัฐบาลในสมัยนั้น ดังนี้<br />
๓.๑ ต่อเติมมุขหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม พร้อมกับ<br />
อัญเชิญโคลงสยามานุสสติ มาประดิษฐานด้านหน้าของมุขที่ต่อเติม<br />
๓.๒ ปรับปรุงจัดวางปืนใหญ่ไทยโบราณ ระหว่าง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๑ -<br />
๒๔๘๓ เพื่อให้เกิดความสวยงาม โดยคงรูปแบบของพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่<br />
โบราณกลางแจ้ง<br />
๔. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
บรมนาถบพิตร โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในวาระต่างๆ<br />
มีนโยบายให้ดำเนินการปรับปรุงภูมิทัศน์ด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม ดังนี้<br />
๔.๑ จัดสร้างเสาธงชาติเนื่องในโอกาสเฉลิมฉลอง ๒๕<br />
พุทธศตวรรษ<br />
๔.๒ ปรับปรุงการจัดวางปืนใหญ่ไทยโบราณ เพื่อความเหมาะสม<br />
และสนับสนุนการท่องเที่ยวรอบเกาะรัตนโกสินทร์ โดยมีการปรับปรุงการ<br />
จัดวางรวม ๓ ครั้ง กล่าวคือ <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๗, พ.ศ.๒๕๓๗ - ๒๕๓๙<br />
และ พ.ศ.๒๕๔๗ ตามลำดับ โดยมีการจัดวางปืนใหญ่ในปัจจุบันทั้งสิ้น<br />
๔๐ กระบอก<br />
๔.๓ จัดสร้างและจัดวางรูปหล่อโลหะลอยองค์พระยาคชสีห์<br />
โดยจัดสร้างเป็นรูปหล่อสัมฤทธิ์พญาคชสีห์ ๒ องค์ คือ พญาคชสีห์<br />
ราชเสนีพิทักษ์ และพญาคชสีห์สยามปฐพีพิทักษ์ บริเวณด้านหน้าประตู<br />
ทางเข้า - ออก ทิศเหนือและทิศใต้ตามลำดับ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลอง<br />
การสถาปนากระทรวงกลาโหม ครบรอบ ๑๒๐ <strong>ปี</strong> โดยดำเนินการตามดำริ<br />
ของ พลเอก สิริชัย ธัญญสิริ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
๔.๔ ปรับปรุงเสาธงชาติหน้าศาลาว่าการกลาโหม ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.<br />
๒๕๕๖ เพื่อให้เกิดความทันสมัย สวยงาม และโดดเด่น บ่งบอกถึงความ<br />
สง่างามของศาลาว่าการกลาโหม โดยดำเนินการตามดำริของ พลเอก<br />
ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล<br />
ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร<br />
ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารเรือ<br />
56
เรื่องเล่าที่ ๓๔<br />
การฝังปากกระบอกปืนใหญ่โบราณ<br />
แนวความคิดการฝังปากกระบอกปืนโบราณ ทำขึ้นเพื่อเป็นการ<br />
แสดงออกถึงเขตแนว (หลักเขต) และเพื่อความมั่นคงของสถานที่ ซึ่งปืนที่<br />
นิยมใช้ฝังเป็นหลักเขตคือ ปืนคาร์โรเน็ต โดยมีสาระสำคัญในการดำเนินการ<br />
ดังนี้<br />
๑. ปืนคาร์โรเน็ต เป็นปืนใหญ่โบราณที่บรรจุกระสุนจาก<br />
ปากลำกล้อง ไม่มีเกลียวในลำกล้องหล่อขึ้นใช้ครั้งแรกราว<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๑๙ (ค.ศ.<br />
๑๗๗๖ สมัยกรุงธนบุรี โดย บริษัท Iron Company of Carron Company<br />
ตั้งอยู่ที่เมือง Stirlingshire ประเทศสก๊อตแลนด์ โดยลักษณะของปืน ได้รับ<br />
การออกแบบระหว่างหลักนิยมของปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิดเข้าไว้<br />
ด้วยกัน ไม่มีเพลาข้าง แต่มีเพลาเป็นแท่งติดใต้ลำกล้องทำให้สามารถยิง<br />
ลูกกระสุนขนาดใหญ่ได้ จึงนิยมน ำไปติดตั้งบนเรือรบมีอานุภาพการปราบปราม<br />
ในระยะประชิด ทั้งนี้ เริ่มมีการสั่งซื้อเข้ามาในประเทศไทยพร้อมกับปืน<br />
บะเรียม (ปืนบะเหรียม หรือ ปืนใหญ่ทหารราบ ท้ายปืนมีรูปมน<br />
ปากกระบอกเรียวและแคบ) ในรัชสมัยสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรีและ<br />
ต้นกรุงรัตนโกสินทร์<br />
๒. การฝังปากกระบอกปืนใหญ่โบราณในยุคแรก สันนิษฐานว่า<br />
มีการจัดตั้งปืนคาร์โรเน็ต บริเวณหน้าประตูเข้าและออกโรงทหารหน้า<br />
ในรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๒ พระองค์ กล่าวคือ<br />
๒.๑ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจาก<br />
ศาลาว่าการกลาโหมเป็นสถานที่ราชการแห่งแรกที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้จัดตั้งขึ้นเช่นเดียวกับการฝังปืนใหญ่หุ้มปากกระบอกปืนลงดินและ<br />
ทับท้ายด้วยกระบอกปืนขึ้นชี้ฟ้า ซึ่งจัดทำที่บริเวณถนนด้านหน้าศาลา<br />
สหทัยสมาคม และถนนภายในพระบรมมหาราชวัง บริเวณประตูวิเศษไชยศรี<br />
๒.๒ รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เนื่องจาก<br />
พระองค์ทรงพระราชทานปืนใหญ่โบราณให้แก่กระทรวงกลาโหม และทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้งพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลา<br />
ว่าการกลาโหม ระหว่าง <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๖๐ - ๒๔๖๒ และทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้นำปืนใหญ่คาร์โรเน็ต มาตั้งไว้ที่บริเวณประตูทางเข้าและออก<br />
การฝังปากกระบอกปืนใหญ่โบราณบริเวณหน้าประตูเข้าและออกโรงทหารหน้า<br />
การฝังปากกระบอกปืนใหญ่โบราณบริเวณศาลเจ้าพ่อหอกลองในศาลาว่าการกลาโหม<br />
ศาลาว่าการกลาโหม เนื่องเพราะ พระองค์ทรงมีพระราชนิยมปืนใหญ่<br />
และเคยทอดพระเนตรการจัดตั้งปืนใหญ่ในยุโรป โดยมีลักษณะการจัดวาง<br />
ในพื้นที่บริเวณหน้าประตูเข้าและออกศาลาทำการกลาโหม ด้วยการหันปาก<br />
กระบอกปืนลงดินและหันท้ายปืนขึ้นสู่ฟ้า<br />
57
โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่<br />
๓. การฝังปากกระบอกปืนใหญ่โบราณในยุคปัจจุบัน บริเวณ<br />
ด้านข้างหลังศาลเจ้าพ่อหอกลองภายในศาลาว่าการกลาโหม จัดตั้งใน<br />
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร<br />
โดยนำปืนคาร์โรเน็ตที่เคยจัดวางไว้ในโรงปืนใหญ่ ในพระบรมมหาราชวัง<br />
(ขุดค้นพบเมื่อครั้งบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เมื่อ<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๕๒๕) และนำมาวางบริเวณด้านหลังศาลเจ้าพ่อหอกลอง (พระยา<br />
สีห์สุรศักดิ์) กลางสนามภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อครั้งจัดสร้าง<br />
ศาลเจ้าพ่อกลองใหม่ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๐<br />
ทั้งนี้ การจัดวางปืนใหญ่โดยหันปากกระบอกปืนลงดินในกรุงเทพ<br />
มหานครยุคต่อมาได้จัดทำขึ้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บริเวณถนน<br />
ราชดำเนิน ซึ่งมีแนวคิดในการสร้างตามบันทึก กล่าวคือ<br />
“...ปืนใหญ่โบราณที่ปากกระบอกปืนฝังลงดินโดยรอบอนุสาวรีย์<br />
เหมือนเป็นรั้วร้อยติดกันด้วยโซ่เหล็ก หมายถึง ความสามัคคีพร้อมเพรียง<br />
ของคณะปฏิวัติ เว้นช่องเฉพาะทางขึ้นลง มี ๗๕ กระบอก หมายถึง<br />
พ.ศ.๒๔๗๕ ที่มีการเปลี่ยนแปลงการปกครอง...” อย่างไรก็ตาม<br />
การวางปืนใหญ่โบราณที่มีลักษณะที่แตกต่างจากที่ศาลาว่าการกลาโหม<br />
ก็มีขึ้นที่โรงเรียนยุพราชวิทยาลัย จังหวัดเชียงใหม่ โดยการวางปืนใหญ่<br />
ตั้งปากกระบอกปืนขึ้นสู่ฟ้าและนำเอาเสาธงชาติมาติดตั้งต่อยอดจาก<br />
ปากกระบอกปืน และใช้เป็นเสาธงชาติของโรงเรียน<br />
58
เรื่องเล่าที่ ๓๕<br />
บันไดทางขึ้นและลงภายในโรงทหารหน้าและศาลาว่าการกลาโหม<br />
เมื่อท่านเดินทางเข้ามาด้านในอาคารศาลาว่าการกลาโหม ท่าน<br />
สามารถมองเห็นบันไดทางขึ้นและลงหลายแห่ง เป็นการสร้างความสะดวก<br />
ในการทำงาน ทั้งนี้ เมื่อแรกสร้างมีการบันทึกว่าบันไดทางขึ้นและลงที่สร้าง<br />
ในยุคโรงทหารหน้าที่แท้จริงแล้ว มีการจัดท ำเป็นบันไดทางขึ้นและลงภายใน<br />
อาคารทั้งสี่มุม โดยจัดทำบันไดทางขึ้นและลงกับตัวอาคาร รวม ๕ จุด ดังนี้<br />
๑. บันไดทางขึ้นลงมุขกลาง โดยจัดสร้างเป็นบันไดสำหรับขึ้นและ<br />
ลงรวม ๔ แห่ง กล่าวคือ<br />
๑.๑ บันไดไม้พร้อมหลังคาและกันสาด โดยทำเป็นบันไดไม้<br />
หักมุมสำหรับเดินขึ้นชั้นสองบริเวณด้านหลังมุขกลางด้านในติดกับสนาม<br />
ภายในศาลาว่าการกลาโหม ด้านซ้ายและขวาด้านละแห่ง รวมเป็น ๒ แห่ง<br />
ปัจจุบันสามารถมองเห็นได้บริเวณทางขึ้นลง เพื่อเดินเข้าสู่ห้องประชุม<br />
สุรศักดิ์มนตรีในชั้นที่สอง และห้องประชุมภาณุรังษี ในชั้นที่สาม ซึ่งในอดีต<br />
ทำราวระเบียงโปร่งและใช้ขึ้นลงเฉพาะผู้บังคับบัญชาชั้นสูงเท่านั้น<br />
๑.๒ บันไดปูนด้านในใกล้ประตูทางเข้าและออก ด้านซ้าย<br />
และขวาด้านละแห่งรวมเป็น ๒ แห่ง ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้งานอยู่ กล่าวกันว่า<br />
ในอดีตจัดทำเป็นบันไดใช้สำหรับเจ้าหน้าที่ใช้เดินขึ้นลงโดยไม่ให้ไปใช้บันได<br />
ร่วมกับผู้บังคับบัญชาชั้นสูง<br />
๒. บันไดทางขึ้นลงบริเวณมุมอาคารด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้<br />
โดยทำเป็นบันไดไม้หักมุมสำหรับเดินขึ้นลงชั้นสองอีก ๑ แห่ง สำหรับ<br />
เดินขึ้นห้องเสนาบดี ซึ่งปัจจุบันก็ยังใช้งานอยู่แต่ขยับออกจากจุดเดิม<br />
เนื่องจากใช้พื้นที่เดิมสำหรับสร้างลิฟต์โดยสารในยุคต่อมา และยังคง<br />
ใช้สำหรับเป็นทางเดินขึ้นลงสำหรับรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
สำหรับบันไดทางขึ้นลงที่ท่านเห็นนอกเหนือจากที่ได้กล่าวมา<br />
ทั้ง ๕ จุดนั้น เป็นบันไดทางขึ้นลงที่สร้างขึ้นใหม่ในยุคหลัง เพื่ออำนวย<br />
ความสะดวกในการปฏิบัติราชการ<br />
59
เรื่องเล่าที่ ๓๖<br />
กันสาดรอบอาคารศาลาว่าการกลาโหมชั้นล่าง<br />
ในยุคแรกของการสร้างโรงทหารหน้า ได้มีการจัดทำกันสาดขึ้น<br />
เฉพาะบริเวณเชิงบันได และขอบชั้นล่างของอาคารมุขกลาง โดยจะท ำรูปแบบ<br />
เป็นกันสาดยื่นออกมาจากอาคารในลักษณะลาดเอียงมุงด้วยกระเบื้องแผ่น<br />
รูปว่าว และเชิงชายตกแต่งด้วยไม้ฉลุลวดลายโปร่งเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ<br />
และมีการกำหนดแบบดังกล่าวขึ้นทะเบียนโบราณสถานไว้อีกด้วย<br />
ต่อมา เมื่อมีการปรับปรุงต่อเติมผนังระเบียงของอาคารชั้นที่สอง<br />
และชั้นที่สาม โดยจัดทำผนังปิดกั้นน้ำฝนทำให้ชั้นล่างถูกน้ำฝนซัดสาดเป็น<br />
ประจำ ส่งผลถึงความเสียหายบริเวณอาคารอย่างสม่ำเสมอ จึงเกิดความคิด<br />
ที่จะทำกันสาดเพื่อป้องกันน้ำซัดสาดอาคารและยังใช้ประโยชน์เป็นหลังคา<br />
สำหรับช่องจอดรถของผู้บังคับบัญชา โดยการคัดลอกแบบกันสาดขอบ<br />
ชั้นล่างของอาคารมุขกลางซึ่งเป็นแบบยุคโบราณมาเป็นต้นแบบในการ<br />
จัดทำกันสาดรอบอาคารด้านในอาคารศาลาว่าการกลาโหม พร้อมทั้ง<br />
เชิงชายที่มีลวดลายฉลุพร้อมกันไปด้วย จึงถือได้ว่าเป็นอีกหนึ่งของความ<br />
คิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาอาคารศาลาว่าการกลาโหมให้รองรับประโยชน์<br />
ใช้สอยและสอดรับกับความงดงามในรูปแบบของศิลปะโบราณอย่าง<br />
เหมาะสม และมีความกลมกลืนอย่างลงตัว ซึ่งสามารถศึกษาและชื่นชม<br />
ความสวยงามของศิลปะได้ในปัจจุบัน<br />
60
เรื่องเล่าที่ ๓๗<br />
ที่พักทหารของโรงทหารหน้าและตะรางกลาโหม<br />
ตะรางกลาโหม สถานที่ควบคุมตัวกบฏอั้งยี่ การควบคุมตัวกลุ่มกบฏเงี้ยว<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้จัดสร้างสถานที่พักทหาร รวมทั้ง สร้างตะรางกลาโหม (เรือนจำทหาร)<br />
อย่างเป็นสัดส่วนแยกออกจากที่ทำการของกรมทหารหน้า กรมยุทธนาธิการ<br />
และกระทรวงกลาโหม ที่อยู่ภายในอาคารโรงทหารหน้าหรือศาลา<br />
ยุทธนาธิการหรืออาคารศาลาว่าการกลาโหมตามลำดับ โดยนายโจอาคิม<br />
กราซี สถาปนิกและวิศวกรชาวอิตาเลียน เป็นผู้ออกแบบ<br />
โดยการสร้างเป็นอาคารชั้นเดียวจำนวน ๗ หลัง ด้านทิศตะวันออก<br />
ของศาลาว่าการกลาโหม ก่อนถึงถนนราชินี แยกเป็นเรือนนอน โรงครัว<br />
ที่ซักผ้า - อาบน้ำ ที่พักทหาร ตะรางกลาโหม และสถานที่สำหรับติดต่อ<br />
ราชการหรือให้ญาติมาพบได้ตามอัธยาศัย<br />
สำหรับตะรางกลาโหมหรือเรือนจำทหารนอกจากจะใช้ลงโทษ<br />
ทหารที่กระทำผิดกฎ ระเบียบ ข้อบังคับ และวินัยทหารแล้ว มีการบันทึกว่า<br />
ตะรางกลาโหม ได้เคยใช้ประโยชน์ในการคุมขังนักโทษความมั่นคงแห่งชาติ<br />
มาหลายครั้ง อาทิ กรณีเกิดการกบฏของอั้งยี่ในพระนคร เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๒<br />
กรณีการกบฏของเงี้ยวที่จังหวัดแพร่ เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๔๕ และ กบฏ ร.ศ.๑๓๐<br />
(พ.ศ.๒๔๕๕) หรือที่เรียกว่า กบฏเก็กเหม็ง หรือกบฏเหล็ง ศรีจันทร์ โดย<br />
คณะของกบฏนี้ได้ถูกจองจำระหว่างรอการตัดสินคดีความของศาลทหาร<br />
ก่อนถูกส่งตัวไปสู่กองมหันตโทษ (เรือนจำบางขวาง) ต่อไป<br />
ต่อมา ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๖ เนื่องจากมีความจำเป็นจะใช้พื้นที่จัดสร้าง<br />
อาคาร วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร จึงได้รื้อถอนอาคารที่พักทหารและ<br />
ตะรางกลาโหมดังกล่าว ทำให้มีการใช้ประโยชน์ของอาคารดังกล่าวเป็นเวลา<br />
นานถึง ๖๘ <strong>ปี</strong> (พ.ศ.๒๔๒๘ - ๒๔๙๖)<br />
การจับกุมอั้งยี่<br />
61
เรื่องเล่าที่ ๓๘<br />
โรงทหารหน้า...กองบัญชาการปราบกบฏอั้งยี่<br />
เหตุการณ์กบฏอั้งยี่ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมิถุนายน ๒๔๓๒<br />
ซึ่งเป็นการก่อความไม่สงบในพระนคร บริเวณโรงสีปล่องเหลี่ยม บางรัก<br />
ระหว่างกรรมกรชาวจีนเชื้อสายฮกเกี้ยนกับกรรมกรชาวจีนเชื้อสายแต้จิ๋ว<br />
โดยมีสาเหตุมาจากการแย่งงานกันทำ ซึ่งความรุนแรงเกิดขึ้นที่บริเวณ<br />
ริมถนนเจริญกรุง ๒ ฝั่ง ใกล้กับวัดยานนาวา เหตุการณ์ในครั้งนั้นกระทรวง<br />
นครบาลไม่สามารถระงับเหตุได้ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายพลเอก สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ<br />
เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ (พระยศในขณะนั้น) ผู้บัญชาการกรม<br />
ยุทธนาธิการเตรียมการจัดกำลังทหารเข้าปราบปรามพวกอั้งยี่และควบคุม<br />
สถานการณ์แทน<br />
โดยในวันพฤหัสบดีที่ ๒๐ มิถุนายน ๒๔๓๒ ผู้บัญชาการกรมยุทธนา<br />
ธิการ จึงโปรดให้มีการใช้ตึกกลางของศาลายุทธนาธิการเป็นกองบัญชาการ<br />
ปราบอั้งยี่ โดยทูลเชิญ นายพลโท สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ เจ้าฟ้าจิตรเจริญ<br />
กรมขุนนริศรานุวัดติวงศ์ เจ้าพนักงานใหญ่ผู้บัญชาการใช้จ่าย นายพลตรี<br />
สมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอ กรมหมื่นด ำรงราชานุภาพ ผู้ช่วยบัญชาการทหารบก<br />
และนายพลเรือจัตวา พระยาชลยุทธโยธิน รักษาราชการแทนผู้ช่วย<br />
บัญชาการทหารเรือ มาประชุมปรึกษาการปราบอั้งยี่ครั้งนี้ ผลการประชุม<br />
สรุปว่าให้จัดกำลังทหารบกขึ้นรถรางไฟฟ้าสายหลักเมือง - ถนนตก<br />
ไปที่บริเวณใกล้ที่เกิดเหตุ และจัดกำลังทหารเรือ ลงเรือล่องตามแม่น้ำ<br />
เจ้าพระยาจากกรมทหารเรือขึ้นบุกด้านใต้บริเวณนี้เกิดเหตุอีกหนึ่งกองก ำลัง<br />
ในวันศุกร์ที่ ๒๑ มิถุนายน ๒๔๓๒ เวลา ๐๘.๐๐ นาฬิกา จึงดำเนิน<br />
การตามแผนฯ ปรากฏผลว่าทหารดำเนินการปราบอั้งยี่ดังกล่าวได้สำเร็จ<br />
และสามารถควบคุมตัวผู้ก่อความไม่สงบได้ราว ๘๐๐ คน มีจำนวนอั้งยี่<br />
เสียชีวิตราว ๑๐ คน และบาดเจ็บราว ๒๐ คน และนำตัวมาคุมขังที่ตะราง<br />
กลาโหม ก่อนส่งให้กระทรวงนครบาลนำตัวไปดำเนินการตามคดีต่อไป<br />
จากเหตุการณ์ดังกล่าว ถือได้ว่า การใช้กำลังทหารในการปราบ<br />
ปรามผู้ก่อความไม่สงบในพระนครครั้งนี้ ได้สร้างเกียรติประวัติแก่กอง<br />
กำลังทหารในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ควรจารึกไว้ใน<br />
เกียรติประวัติศาลาว่าการกลาโหมให้อนุชนรุ่นหลังได้รับทราบและศึกษา<br />
ค้นคว้าสืบต่อไปในอนาคต<br />
อั้งยี่<br />
กำลังพลกรมยุทธนาธิการบนรถรางไฟฟ้าเพื่อเข้าปฏิบัติการปราบอั้งยี่<br />
62
เรื่องเล่าที่ ๓๙<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๑ ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหมในภาพรวม<br />
ประชาชนชาวไทยและนักท่องเที่ยวต่างชาติต่างให้ความสนใจ<br />
ในเรื่องพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหมหรือ<br />
ที่นิยมเรียกกันว่าปืนใหญ่หน้ากระทรวงกลาโหม ซึ่งมีความโดดเด่นและเป็น<br />
เสมือนสัญลักษณ์ของสถานที่ หรือเป็นหลักเขต (Landmark) หรือจุดนัดหมาย<br />
ของประชาชนทั่วไป เมื่อกล่าวถึงกระทรวงกลาโหมที่มักจะมีคำพูด<br />
เสมอว่า “สถานที่ที่มีปืนใหญ่” นอกจากนี้ ยังมีคำถามเสมอถึงจำนวนและ<br />
นามปืนใหญ่โบราณ จึงขอใช้โอกาสนี้หาคำตอบต่อกรณีดังกล่าว<br />
ปัจจุบัน ปืนใหญ่โบราณที่ตั้งอยู่หน้าศาลาว่าการกลาโหมมีอยู่<br />
จำนวน ๔๐ กระบอก ซึ่งปืนใหญ่โบราณทุกกระบอกได้เคยผ่านเหตุการณ์<br />
การต่อสู้เพื่อปกป้องรักษาเอกราชและอธิปไตยของชาติมาแล้วทั้งสิ้น โดยที่<br />
ปืนใหญ่โบราณทั้ง ๔๐ กระบอกนั้น มีชื่อปืนรวม ๓๘ กระบอก ยกเว้นปืน<br />
ใหญ่โบราณ ๒ กระบอก ที่ระบุเฉพาะ<strong>ปี</strong>ที่สร้างและหมายเลขปืน คือ P.1009<br />
1860 และ P.1010 1860 อย่างไรก็ตาม ในปืนใหญ่โบราณที่มีชื่อทั้ง ๓๘<br />
กระบอกนั้น มีชื่อเป็นภาษาไทย ๓๗ กระบอก แต่ก็มีพิเศษอยู่ ๑ กระบอก<br />
ที่มีชื่อเป็นภาษาอังกฤษ คือ SMICVEL 1625 หรืออาจสรุปได้ว่าปืนใหญ่<br />
โบราณที่ตั้งอยู่หน้าศาลาว่าการกลาโหม มีชื่อภาษาไทย ๓๗ กระบอก มีชื่อ<br />
ภาษาอังกฤษ ๑ กระบอก และไม่มีชื่ออีก ๒ กระบอก<br />
สำหรับปืนใหญ่โบราณที่จัดแสดงที่สนามหญ้าหน้าศาลาว่าการ<br />
กลาโหม สามารถจำแนกตามหลักฐานที่ปรากฏมีอยู่ ออกเป็น ๕ ประเภท<br />
ดังนี้<br />
๑. ปืนใหญ่โบราณที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น จำนวน ๗ กระบอก<br />
ประกอบด้วย นารายณ์สังหาร มารประไลย ไหวอรนพ พระพิรุณแสนห่า<br />
พลิกพสุธาหงาย พระอิศวรปราบจักรวาล และพระกาลผลาญโลกย์<br />
๒. ปืนใหญ่โบราณที่สร้างในต่างประเทศ จำนวน ๒๐ กระบอก<br />
ประกอบด้วย อัคนิรุท SMICVEL1625 มักกะสันแหกค่าย เหราใจร้าย<br />
มังกรใจกล้า คนธรรพแผลงฤทธิ ์ ลมประลัยกัลป พรหมมาศปราบมาร<br />
จีนสาวไส้ ไทยใหญ่เล่นหน้า ฝรั่งร้ายปืนแม่น ขอมดำดิน ยวนง่าง้าว<br />
มุงิดทลวงฟัน แมนแทงทวน นิลนนแทงแขน ไวยราพฟาดรถ มหาจักรกรด<br />
P1009 1860 และ P1010 1860<br />
๓. ปืนใหญ่โบราณที่ได้จากการไปราชการสงคราม จำนวน ๓<br />
กระบอก ประกอบด้วย พญาตานี ชะนะหงษา และปราบอังวะ<br />
๔. ปืนใหญ่ที่สร้างในประเทศไทยโดย หลวงบรรจงรจนา<br />
(J.BERENGER) เป็นผู้สร้าง (ปรากฏชื่อบนกระบอกปืน) จำนวน ๖ กระบอก<br />
ประกอบด้วย ศิลป์นารายณ์ <strong>ปี</strong>ศาจเชือดฉีกกิน ธรณีไหว ไฟมหากาล<br />
มารกระบิล และปล้องตันหักคอเสือ<br />
๕. ปืนใหญ่อื่น ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างหรือการได้มา จำนวน<br />
๔ กระบอก ประกอบด้วย ถอนพระสุเมรุ ไตรภพพ่าย เสือร้ายเผ่นทยาน<br />
และสายอสุนีแผ้วราตรี<br />
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมได้มีการจัดทำบทบรรยายเรื่อง พิพิธภัณฑ์<br />
กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม เผยแพร่ทาง<br />
Internet ใน www.youtube.com จึงสามารถเข้าชมและศึกษาได้<br />
63
เรื่องเล่าที่ ๔๐<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๒ ประวัติและความเป็นมาของปืนใหญ่โบราณของไทย<br />
ปืนใหญ่ ๒ กระบอกที่กรุงศรีอยุธยาส่งมาเพื่อเจริญสัมพันธไมตรี<br />
แด่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส<br />
ปืนใหญ่หรือชื่อที่เรียกในสมัยโบราณคือ สีหนาทปืนไฟ ซึ่งเป็นอาวุธ<br />
สงครามที่มีอำนาจการทำลายล้างสูงในระยะไกล มีไว้ประจำกองทัพมาแต่<br />
โบราณ ปืนใหญ่ที่ใช้ทั่วไปจะมี ปืนใหญ่ประจำป้อม และปืนใหญ่สนาม<br />
ตามหลักฐานที่ปรากฏประเทศไทยมีการใช้ปืนใหญ่มาตั้งแต่ปลายสมัย<br />
สุโขทัย จนถึงสมัยกรุงรัตนโกสินทร์รัชกาลพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ปืนใหญ่ที่นำมาใช้ในกองทัพ มีทั้งปืนใหญ่ที่หล่อขึ้นใช้เองและมี<br />
ทั้งที่สั่งซื้อมาจากต่างประเทศ ประเทศไทยเริ่มหล่อปืนใหญ่ขึ้นใช้เอง<br />
ครั้งแรกในสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช พระองค์โปรดเกล้าฯ ให้หล่อ<br />
ปืนใหญ่ขึ ้นใช้ โดยโรงหล่อปืนใหญ่นั้นตั้งอยู่ที่กรุงศรีอยุธยาในหมู่บ้าน<br />
ฮอลันดา ว่ากันว่าปืนใหญ่ที่หล่อด้วยทองเหลืองของกรุงศรีอยุธยามีคุณภาพ<br />
ดีทัดเทียมกับปืนใหญ่ที่หล่อในยุโรป ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ส่งปืนใหญ่ที่หล่อที่กรุงศรีอยุธยาส่งเป็นเครื่องบรรณาการเพื่อเจริญ<br />
สัมพันธไมตรีแด่พระเจ้าหลุยส์ที่ ๑๔ แห่งฝรั่งเศส จำนวน ๒ กระบอก<br />
สีหนาทปืนไฟ<br />
ประเทศไทยได้มีการหล่อปืนใหญ่ใช้อย่างต่อเนื่องเพราะถือ<br />
เป็นแสนยานุภาพในการป้องกันประเทศและต่อสู้กับข้าศึก ซึ่งหล่อขึ้น<br />
ใช้ครั้งสุดท้ายในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว จากหลักฐาน<br />
ที่ปรากฏพบปืนใหญ่ที่ประเทศไทยหล่อขึ้นเพื่อใช้เองมีอยู่จำนวน<br />
๒๒๗ กระบอก ปืนใหญ่บางกระบอกจมน้ำหายบ้าง ถูกทำลายเมื่อครั้ง<br />
เสียกรุงศรีอยุธยาบ้าง<br />
สำหรับปืนใหญ่หน้าศาลาว่าการกลาโหม ได้มีการบันทึกและ<br />
ร้อยกรองไว้ใน กาพย์ห่อโคลงเห่ชมปืนใหญ่กระทรวงกลาโหม ในบทนำ<br />
เป็นโคลงสี่สุภาพ ที่ว่า<br />
๏ เอกราชคงคู่ฟ้า เมืองไทย มั่นเอย<br />
มีสีหนาทปืนไฟ ต่อสู้<br />
จารึกเกียรติเกริกไกร คงมั่นเคียงด้าว<br />
ขานเพื่อชนไทยรู้ ก่อเกื้อศรัทธาฯ<br />
64
เรื่องเล่าที่ ๔๑<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๓ ปืนใหญ่โบราณที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้น<br />
ปืนใหญ่โบราณที่มีความสำคัญ มีขนาดใหญ่ มีความสวยงามและ<br />
จัดสร้างขึ้นในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ ซึ่งเป็นปืนใหญ่ที่พระบาท<br />
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้จัดสร้างขึ้นและทรงกำกับดูแลการจัดสร้าง รวมจำนวน ๗ กระบอก<br />
ประกอบด้วย<br />
๑. นารายณ์สังหาร เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๘ ศอกคืบ ๖ นิ้ว (๔.๕๐ เมตร) แต่เส้นผ่านศูนย์กลางของกระบอกปืน<br />
๔๕.๕๐ เซนติเมตร โดยมีเส้นผ่านศูนย์กลางกระบอกกว้าง ๑๓ นิ้ว (๒๙.๐๐<br />
เซนติเมตร) และความหนาของปากกระบอก ๑๖.๕๐ เซนติเมตร ขนาด<br />
กระสุน ๑๓ นิ้ว ดินปืน ๓๗ ชั่ง มีวงแหวนใหญ่สำหรับจับยก ๔ วง<br />
ท้ายลำกล้องมีเครื่องประกอบยาวยื่นออกไป ทำเป็นรูปสังข์หรือ<br />
เขางอนเกลี้ยงไม่มีลวดลายประดับ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า<br />
จุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นโดยหล่อที่หน้า<br />
โรงละครใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๒๙<br />
กินรี รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นโดยหล่อที่หน้าโรงละครใหญ่<br />
ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๐<br />
๓. พระกาลผลาญโลกย์ เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๗ ศอกคืบ ๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๙ นิ้ว ขนาดกระสุน ๙ นิ้ว ดินปืน<br />
๘ ชั่ง มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลายหน้าสิงห์ประกอบกนกสวยงามมาก เพลามีรูป<br />
กินรี รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>กจับกนก พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นโดยหล่อที่หน้าโรงละคร<br />
ใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๐ โดยหล่อเป็นปืน<br />
คู่แฝดกับปืนพระอิศวรปราบจักรวาล<br />
๒. พระอิศวรปราบจักรวาล เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความ<br />
ยาว ๗ ศอกคืบ ๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๙ นิ้ว ขนาดกระสุน ๙ นิ้ว<br />
ดินปืน ๘ ชั่ง มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลายกนกหน้าสิงห์งดงามมาก ที่เพลามีรูป<br />
65
๔. มารประไลย เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๑๐<br />
ศอกคืบ ๑ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๘ นิ้ว ขนาดกระสุน ๘ นิ้ว ดินปืน<br />
๗ ชั่ง มีห่วงสำหรับยก ๔ ห่วง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคนมีลวดลาย<br />
และรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก เพลามีรูปดอกไม้ รูชนวนมีฝาปิดเปิด มีรูปหนุมาน<br />
ท้ายลำกล้องทำเป็นรูปสังข์หรือเขางอน มีลวดลายกระจัง ซึ่งทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นโดยหล่อที่หน้าโรงละครใหญ่ ริมถนนประตู<br />
วิเศษไชยศรี ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๐<br />
๖. พระพิรุณแสนห่า เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๖ ศอกคืบ ๓ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๑๙ นิ้ว ขนาดกระสุน ๑๙ นิ้ว ดินปืน<br />
๒๐ ชั่ง มีลวดลายประดับมีห่วงสำหรับจับยก ๔ ห่วง มีรูปราชสีห์เผ่นผงาด<br />
ที่เพลา รูชนวนมีรูปกนกหน้าสิงห์ขบท้ายรูปลูกฟัก สมเด็จพระเจ้าตากสิน<br />
มหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้าง โดยหล่อ ณ สวนมังคุด<br />
บริเวณโรงพยาบาลวังหลัง คือ ศิริราชพยาบาล ในพระราชพงศาวดาร<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ฉบับ<br />
ของเจ้าพระยาทิพากรวงศ์ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราช ทรงสร้าง ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๒๐ ที่สร้างนั้นยังเป็นรัชกาลของสมเด็จ<br />
พระเจ้าตากสินมหาราช<br />
๕. ไหวอรนพ เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๑๐ ศอก<br />
๙ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๘ นิ้ว ขนาดกระสุน ๘ นิ้ว ดินปืน ๘ ชั่ง ไม่มี<br />
หูจับยก มีลวดลายประดับ เพลามีรูปดอกไม้ รูชนวนธรรมดา พระบาท<br />
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัด<br />
สร้างขึ้นโดยหล่อที่หน้าโรงละครใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี ประมาณ<br />
<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๐<br />
๗. พลิกพสุธาหงาย เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๖ ศอกคืบ ๓ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๑๙ นิ้ว ขนาดกระสุน ๑๙ นิ้ว<br />
ดินปืน ๒๐ ชั่ง มีห่วงสำหรับจับยก ๔ ห่วง มีลวดลายประดับประดา<br />
เพลามีรูปคชสีห์ รูชนวนมีรูปกนก ท้ายรูปลูกฟัก ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้จัดสร้างขึ้นโดยหล่อที่หน้าโรงละครใหญ่ ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี<br />
ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๐<br />
66
เรื่องเล่าที่ ๔๒<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๔ ปืนใหญ่โบราณที่สร้างในต่างประเทศ<br />
ปืนใหญ่โบราณที่จัดสร้างขึ้นในต่างประเทศในยุคต่างๆ ซึ่ง<br />
ประเทศไทยได้นำเข้ามาใช้ประโยชน์ในราชการสงครามและจัดแสดงที่หน้า<br />
ศาลาว่าการกลาโหม รวมจำนวน ๒๐ กระบอก ประกอบด้วย<br />
๑. อัคนิรุท เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้วกึ่ง ขนาดกระสุน ๔ นิ้วกึ่ง ดินปืน ๑ ชั่ง ๑๐<br />
ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีรูป<strong>ปี</strong>กและดาว ๑ ดวง มีรูปเครื่องหมายชาติสเปน<br />
สร้างที่ประเทศสเปน เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๑๖๗ (ค.ศ.๑๖๒๔)<br />
๓. มังกรใจกล้า เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๕ นิ้ว ขนาดกระสุน ๕ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง<br />
มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีรูปกนกและรูปมงกุฎ รูชนวนธรรมดา สันนิษฐานว่า<br />
คนเชื้อสายโปรตุเกส ผู้เข้าไปอยู่ในราชสำนักพระเจ้าแผ่นดิน ชื่อว่า LOAO<br />
DA CRUS หรือที่เรียกกันว่ายาน เดอะ ล่าครัวกซ์ เป็นนายช่างผู้สร้าง หรือ<br />
ควบคุมการสร้างเมื่อ พ.ศ.๒๒๑๓ (ค.ศ.๑๖๗๐)<br />
๒. SMICVEL 1625 เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้วกึ่ง ขนาดกระสุน ๔ นิ้วกึ่ง ดินปืน<br />
๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีรูป<strong>ปี</strong>กและดาว ๑ ดวง มีรูปเครื่องหมาย<br />
ชาติสเปน สันนิษฐานว่า สร้างในประเทศสเปน เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๑๖๘ (ค.ศ.<br />
๑๖๒๕)<br />
๔. เหราใจร้าย เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๕ นิ้ว ขนาดกระสุน ๕ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง<br />
มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีรูปกนกและรูปมงกุฎ รูชนวนธรรมดา สันนิษฐานว่า<br />
คนเชื้อสายโปรตุเกส ผู้เข้าไปอยู่ในราชสำนักพระเจ้าแผ่นดิน ชื่อว่า LOAO<br />
DA CRUS หรือที่เรียกกันว่ายาน เดอะ ล่าครัวกซ์ เป็นนายช่างผู้สร้าง หรือ<br />
ควบคุมการสร้าง เมื่อ พ.ศ.๒๒๑๓ (ค.ศ.๑๖๗๐) เช่นเดียวกับปืนมังกรใจกล้า<br />
67
๕. มักกะสันแหกค่าย เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้ว ขนาดกระสุน ๔ นิ้ว ดินปืน ๑ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลายดอกไม้ใบไม้ประดับ ตอนท้ายลำกล้อง<br />
มีรูปคนมี<strong>ปี</strong>กจับกนก เพลามีรูปกินรี รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก สันนิษฐานว่า<br />
น่าจะสร้าง ณ โรงงานที่เมืองดูเอย์ ประเทศฝรั่งเศส โดยรัฐบาลไทยสั่งทำ<br />
จึงไม่มีจารึกภาษาต่างประเทศ หรือมิฉะนั้น สร้างในประเทศไทยตามแบบ<br />
ของ เจ.เบรังเยร์<br />
๘. พรหมมาศปราบมาร เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๖ นิ้ว ขนาดกระสุน ๖ นิ้ว ดินปืน<br />
๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>กจับกนก<br />
รูปมงกุฎกนกรูชนวนรูปดอกไม้ สร้าง ณ โรงงานที่เมืองดูเอย์ ประเทศ<br />
ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๓๑๑ โดยนายช่างชื่อ เจ.เบรังเยร์<br />
๖. ลมประลัยกัลป เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๖ นิ้ว ขนาดกระสุน ๖ นิ้ว ดินปืน<br />
๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปดอกไม้ใบไม้<br />
มีรูปมงกุฎบนกนก รูชนวนรูปใบไม้ สร้าง ณ โรงงานที่เมืองดูเอย์ ประเทศ<br />
ฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน พ.ศ.๒๓๑๑ โดยนายช่างชื่อ เจ.เบรังเยร์<br />
๙. จีนสาวไส้ เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้ว ขนาดกระสุน ๔ นิ้ว ดินปืน ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง<br />
มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลายดอกไม้ใบไม้ประดับ ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก<br />
จับกนก เพลามีรูปกินรี รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างที่โรงงาน<br />
ที่เมืองดูเอย์ ประเทศฝรั่งเศส โดยรัฐบาลไทยสั่งทำ จึงไม่มีจารึกภาษา<br />
ต่างประเทศ หรือมิฉะนั้น สร้างในประเทศไทยตามแบบของ เจ.เบรังเยร์<br />
๗. คนธรรพแผลงฤทธิ์ เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๖ นิ้ว ขนาดกระสุน ๖ นิ้ว ดินปืน<br />
๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้อง มีรูปมงกุฎและดอกไม้<br />
ใบไม้ รูชนวนมีรูปใบไม้ สร้าง ณ โรงงานที่เมืองดูเอย์ ประเทศฝรั่งเศส<br />
โดยนายช่างชื่อ เจ.เบรังเยร์<br />
๑๐. ไทยใหญ่เล่นหน้า เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้ว ขนาดกระสุน ๔ นิ้ว ดินปืน ๑ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>กจับกนก รอบท้าย<br />
ลำกล้องมีลายดอกไม้ใบไม้ ที ่เพลามีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก ยังไม่พบหลักฐานว่า<br />
ผู้ใดสร้าง เมื่อไร หรือได้มาจากใคร<br />
68
๑๑. ฝรั่งร้ายปืนแม่น เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้ว ขนาดกระสุน ๔ นิ้ว ดินปืน ๑ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>กจับกนก รอบท้าย<br />
ลำกล้องมีลายดอกไม้ใบไม้ รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>กสันนิษฐานว่า น่าจะสร้าง<br />
ที่โรงงานที่ดูเอย์ ประเทศฝรั่งเศส โดยรัฐบาลไทยสั่งทำ จึงไม่มีจารึกภาษา<br />
ต่างประเทศ ตามแบบของนายช่างชื่อ เจ.เบรังเยร์<br />
๑๔. ยวนง่าง้าว เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้ว ขนาดกระสุน ๔ นิ้ว ดินปืน ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง<br />
มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลวดลายดอกไม้ใบไม้ ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก<br />
จับกนกเพลา มีรูปกินรี รูชนวนมีรูปกินรี สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างที่โรงงาน<br />
ที่เมืองดูเอย์ ประเทศฝรั่งเศส<br />
๑๒. ขอมดําดิน เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้ว ขนาดกระสุน ๔ นิ้ว ดินปืน ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง<br />
มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>กจับกนก รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก<br />
สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างที่โรงงานที่เมืองดูเอย์ ประเทศฝรั่งเศส โดย<br />
รัฐบาลไทยสั่งทำ จึงไม่มีจารึกภาษาต่างประเทศ ตามแบบของนายช่างชื่อ<br />
เจ.เบรังเยร์<br />
๑๕. มุงิดทลวงฟัน เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้ว ขนาดกระสุน ๔ นิ้ว ดินปืน ๑ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>กจับกนก เพลามีรูป<br />
กินรี มีลวดลายประดับ รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก สันนิษฐานว่า น่าจะสร้าง<br />
ที่โรงงานที่ดูเอย์ ประเทศฝรั่งเศส โดยรัฐบาลไทยสั่งทำ จึงไม่มีจารึกภาษา<br />
ต่างประเทศหรือมิฉะนั้น ก็สร้างในประเทศไทยตามแบบของ เจ.เบรังเยร์<br />
๑๓. แมนแทงทวน เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้ว ขนาดกระสุน ๔ นิ้ว ดินปืน ๑ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>กจับกนก เพลามี<br />
รูปกินรี รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก สันนิษฐานว่า น่าจะสร้างที่โรงงานที่เมืองดูเอย์<br />
ประเทศฝรั่งเศส โดยรัฐบาลไทยสั่งทำ จึงไม่มีจารึกภาษาต่างประเทศ หรือ<br />
มิฉะนั้น ก็สร้างในประเทศไทยตามแบบของ เจ.เบรังเยร์<br />
๑๖. นิลนนแทงแขน เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๖ นิ้ว ขนาดกระสุน ๖ นิ้ว ดินปืน<br />
๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลวดลายประดับ ตอนท้ายลำกล้องมีรูป<br />
คล้ายดอกบัว รูชนวนธรรมดา สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นปืนของญวน ซึ่งเก็บ<br />
มาเป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะในสงครามครั้งใดครั้งหนึ่ง<br />
69
๑๗. ไวยราพฟาดรถ เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๕ ศอกคืบ ปากกระบอกปืนกว้าง ๕ นิ้ว ขนาดกระสุน ๕ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลวดลายประดับ ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคล้าย<br />
ดอกบัว รูชนวนธรรมดา สันนิษฐานว่า น่าจะเป็นปืนของญวน ซึ่งเก็บมา<br />
เป็นเครื่องหมายแห่งชัยชนะในสงครามครั้งใดครั้งหนึ่ง<br />
๑๙. P 1009 1860 เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๑.๖๔ เมตร ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้ว ขนาดกระสุน ๔ นิ้ว ดินปืน<br />
๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ไม่มีหูจับยก ไม่มีชื่อภาษาไทย มีรูปมงกุฎที่กระบอก<br />
ยังไม่พบหลักฐานว่าผู้ใดสร้าง หรือได้มาอย่างไร เมื่อไร<br />
๑๘. มหาจักรกรด เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๖ นิ้ว ขนาดกระสุน ๖ นิ้ว ดินปืน<br />
๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปดอกไม้ใบไม้<br />
รูปมงกุฎบนลายกนก รูชนวนมีรูปกนก สร้าง ณ โรงงานที่เมืองดูเอย์<br />
ประเทศฝรั่งเศส เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๓๑๑ โดยนายช่างชื่อ เจ.เบรังเยร์<br />
๒๐. P 1010 1860 เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๑.๖๔ เมตร ปากกระบอกปืนกว้าง ๔ นิ้ว ขนาดกระสุน ๔ นิ้ว ดินปืน ๑ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง ไม่มีหูจับยก ไม่มีชื่อภาษาไทย มีรูปมงกุฎที่กระบอก ยังไม่พบ<br />
หลักฐานว่าผู้ใดสร้าง หรือได้มาอย่างไร เมื่อไร<br />
70
เรื่องเล่าที่ ๔๓<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๕ ปืนใหญ่โบราณที่ได้จากการไปราชการสงคราม<br />
ปืนใหญ่โบราณที่ประเทศไทยเคยไปทำศึกสงครามและสามารถมีชัย<br />
ต่อข้าศึก จึงได้นำปืนใหญ่โบราณกลับมายังประเทศไทยเพื่อเป็นหลัก<br />
ประกันว่าข้าศึกจะได้ไม่ใช้ปืนใหญ่กระบอกดังกล่าวทำร้ายกองกำลัง<br />
ของไทยในโอกาสต่อไปและจัดแสดงที่หน้าศาลาว่าการกลาโหม รวมจำนวน<br />
๓ กระบอก ประกอบด้วย<br />
๑. พญาตานี เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ ์ มีความยาว ๓ วา<br />
ศอกคืบ ๒ นิ้ว (๖.๘๒ เมตร) ปากกระบอกปืนกว้าง ๑๑ นิ้ว ขนาดกระสุน ๑๑ นิ้ว<br />
ดินปืน ๑๕ ชั่ง มีห่วงใหญ่สำหรับจับยก ๔ ห่วง ตอนท้ายลำกล้องมีเครื่อง<br />
ประกอบยาวยื่นออกไป ทำเป็นรูปสังข์ หรือเขางอน ที่เพลามีรูปราชสีห์สลัก<br />
งดงาม เกลี้ยงไม่มีลวดลายประดับ มีความยาวที่สุด ในบรรดาปืนโบราณ<br />
ที่ตั้งไว้หน้ากระทรวงกลาโหม วันเดือน<strong>ปี</strong>ที่หล่อไม่ปรากฏ ในหลักฐานสมเด็จ<br />
พระบรมราชจักรีวงศ์ ได้รับพระบรมราชโองการให้เป็นแม่ทัพ เสด็จยกทัพ<br />
ไปรบพม่าข้าศึก ซึ่งยกมาตีหัวเมืองภาคใต้ของไทย ครั้งทรงชนะข้าศึกแล้ว<br />
ได้ทรงปราบปรามหัวเมืองภาคใต้ ซึ่งมักคอยจะเอาใจออกห่างจากไทย<br />
ไปอื่น ทรงมีชัยชนะราบคาบ แล้วได้ปืนกระบอกนี้มาจากเมืองปัตตานี<br />
เมื่อ<strong>ปี</strong>มะเส็ง สัปตศก จ.ศ.๑๑๔๗ (พ.ศ.๒๓๒๙) และนำมาทูลถวายพระบาท<br />
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๓๒๙<br />
รูชนวนมีรูปใบไม้ สร้างที่โรงงานที่เมืองดูเอย์ ประเทศฝรั่งเศส โดยนายช่าง<br />
ชื่อ เจ.เบรังเยร์ สันนิษฐานว่า น่าจะได้โดยเสด็จไปในราชการสงคราม<br />
คราวพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เสด็จเป็นแม่ทัพ<br />
ยกไปรบพม่า ครั้งได้เมืองทวาย เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๕ (จ.ศ.๑๑๕๔) พระราชทาน<br />
ชื่อภายหลัง เพื่อเป็นที่ระลึกในชัยชนะ เช่นเดียวกับปืนชะนะหงษา<br />
๓. ชะนะหงษา เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๖ นิ้ว ขนาดกระสุน ๖ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปดอกไม้ ใบไม้ รูชนวน<br />
มีรูปใบไม้ จัดสร้าง ณ โรงงานที่เมืองดูเอย์ ประเทศฝรั่งเศส โดย นายช่าง<br />
ชื่อ เจ.เบรังเยร์ เมื่อวันที่ ๒๔ กรกฎาคม ๒๓๑๐ ปืนกระบอกนี้น่าจะได้โดย<br />
เสด็จไปในกองทัพ เพื่อใช้งานในราชการสงคราม คราวที่ได้ชัยชนะพวกพม่า<br />
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงดำรงตำแหน่ง<br />
เป็นจอมทัพเสด็จกรีธาทัพข้ามทิวเขาเตนเนสเซอริม เข้ายึดเมืองทวายได้<br />
เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๕<br />
๒. ปราบอังวะ เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๖ นิ้ว ขนาดกระสุน ๖ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปมงกุฎ และลายกนกใบไม้<br />
71
เรื่องเล่าที่ ๔๔<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๖ ปืนใหญ่โบราณที่สร้างในประเทศไทย โดย หลวงบรรจงรจนา (J.BERENGER)<br />
ปืนใหญ่โบราณที่ประเทศไทยนำเข้ามาจากต่างประเทศและปืนใหญ่<br />
ที่จัดสร้างขึ้นในประเทศไทยโดยมีนายช่างผู้ควบคุมการจัดสร้างคือ<br />
เจ.เบรังเยร์ (J.BERENGER) วิศวกรชาวฝรั่งเศส ต่อมาได้เข้ามารับราชการ<br />
ในประเทศไทยจนได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์ที่ หลวงบรรจงรจนา และ<br />
จัดแสดงที่หน้าศาลาว่าการกลาโหม รวมจำนวน ๖ กระบอก ประกอบด้วย<br />
๑. <strong>ปี</strong>ศาจเชือดฉีกกิน เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ปากกระบอกปืนกว้าง ๕ นิ้ว ขนาดกระสุน ๕ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลวดลายเครื่องประดับ ตอนท้ายลำกล้องมีรูป<br />
อาทิตย์ส่องแสง เพลามีรูปพญานาค รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก โดย หลวงบรรจง<br />
รจนา เป็นนายช่างผู้อำนวยการหล่อปืน เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๕<br />
๓. ธรณีไหว เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
ปากกระบอกปืนกว้าง ๕ นิ้ว ขนาดกระสุน ๕ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง<br />
มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลวดลายประดับ ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคล้ายรูปอาทิตย์<br />
ส่องแสง รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก ที่เพลามีรูปสิงโต โดย หลวงบรรจงรจนา<br />
เป็นนายช่างผู้อำนวยการหล่อปืน เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๕<br />
๒. ศิลป์นารายณ์ เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ปากกระบอกปืนกว้าง ๕ นิ้ว ขนาดกระสุน ๕ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคล้ายอาทิตย์ส่องแสง<br />
เพลามีรูปราชสีห์ รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก โดย หลวงบรรจงรจนา เป็นนายช่าง<br />
ผู้อำนวยการหล่อปืน เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๕<br />
72
๔. ไฟมหากาล เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
ปากกระบอกปืนกว้าง ๕ นิ้ว ขนาดกระสุน ๕ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง<br />
มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลวดลายประดับ ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคล้ายรูปอาทิตย์<br />
ส่องแสง รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก โดย หลวงบรรจงรจนา เป็นนายช่าง<br />
ผู้อำนวยการหล่อปืน เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๕<br />
๖. ปล้องตันหักคอเสือ เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๔ ศอกคืบ ปากกระบอกปืนกว้าง ๕ นิ้ว ขนาดกระสุน ๕ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลวดลายประดับ ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคล้าย<br />
รูปอาทิตย์ส่องแสง ที่เพลามีรูปสิงโต รูชนวนชำรุด โดย หลวงบรรจงรจนา<br />
เป็นนายช่างผู้อำนวยการหล่อปืน เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๕<br />
๕. มารกระบิล เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๔ ศอกคืบ<br />
ปากกระบอกปืนกว้าง ๕ นิ้ว ขนาดกระสุน ๕ นิ้ว ดินปืน ๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง<br />
มีหูจับยกคู่หนึ่ง มีลวดลายประดับ ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคล้ายรูปอาทิตย์<br />
ส่องแสง รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก โดย หลวงบรรจงรจนา เป็นนายช่าง<br />
ผู้อำนวยการหล่อปืน เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๕<br />
73
เรื่องเล่าที่ ๔๕<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๗ ปืนใหญ่โบราณที่ไม่ปรากฏหลักฐานการสร้างหรือการได้มา<br />
ปืนใหญ่โบราณที่ไม่สามารถสืบค้นหาหลักฐานการจัดสร้างหรือ<br />
การได้มา และจัดแสดงที่หน้าศาลาว่าการกลาโหม รวมจำนวน ๔ กระบอก<br />
ประกอบด้วย<br />
๑. ถอนพระสุเมรุ เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๕ ศอกคืบ ๑๑ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๑๒ นิ้ว ขนาดกระสุน ๑๒ นิ้ว ดินปืน<br />
๖ ชั่ง มีหูจับยก ๒ คู่ มีลวดลายประดับ เพลามีรูปดอกไม้ รูชนวนมีรูปคน<br />
ท้ายรูปลูกฟัก ผู้ใดสร้าง ณ ที่ใด เมื่อไร ใช้ราชการครั้งใดบ้าง ยังไม่พบหลักฐาน<br />
๓. เสือร้ายเผ่นทยาน เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๖ ศอกคืบ ๔ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๖ นิ้ว ขนาดกระสุน ๖ นิ้ว ดินปืน<br />
๒ ชั่ง ๑๐ ตำลึง ไม่มีจับยกคู่หนึ่ง เกลี้ยงไม่มีลวดลายประดับ ยังไม่พบ<br />
หลักฐานว่าผู้ใดสร้างหรือได้มาอย่างไร เมื่อไร<br />
๒. ไตรภพพ่าย เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว ๕ ศอกคืบ<br />
๒ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๗ นิ้ว ขนาดกระสุน ๗ นิ้ว ดินปืน ๔ ชั่ง<br />
๑๐ ตำลึง ไม่มีหูจับยก เกลี้ยงไม่มีลวดลาย เพลามีรูปดอกไม้ รูชนวนธรรมดา<br />
ผู้ใดสร้าง ณ ที่ใดหรือได้มาอย่างไร ใช้ราชการครั้งใดบ้าง ยังไม่พบหลักฐาน<br />
๔. สายอสุนีแผ้วราตรี เป็นปืนที่หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ มีความยาว<br />
๖ ศอกคืบ ๖ นิ้ว ปากกระบอกปืนกว้าง ๕ นิ้ว ขนาดกระสุน ๕ นิ้ว ดินปืน<br />
๒ ชั่ง ไม่มีจับยกคู่หนึ่ง เกลี้ยงไม่มีลวดลายประดับ ยังไม่พบหลักฐานว่า<br />
ผู้ใดสร้างหรือได้มาอย่างไร เมื่อไร<br />
74
เรื่องเล่าที่ ๔๖<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๘ ปืนใหญ่ที่มีคุณลักษณะเป็นพิเศษ<br />
หากท่านใดได้มาชมปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม อาจไม่<br />
สามารถชมได้ทั้ง ๔๐ กระบอกอย่างละเอียด อีกทั้ง ปืนใหญ่หลายกระบอก<br />
มีรูปลักษณ์ที่ใกล้เคียงกัน ดังนั้น หากมีโอกาสเยี่ยมชมท่านต้องไม่ควรพลาด<br />
ปืนใหญ่โบราณ จำนวน ๕ กระบอก ที่มีคุณลักษณะพิเศษ ประกอบด้วย<br />
๑. อัคนิรุท ปืนใหญ่โบราณกระบอกที่เก่าแก่ที่สุด ถูกสร้างขึ้นโดย<br />
ประเทศสเปน มีการจารึก<strong>ปี</strong>ที่สร้างไว้บนกระบอกปืนที่ปรากฏว่าถูกสร้าง<br />
ขึ้นใน<strong>ปี</strong> ค.ศ.๑๖๒๔ หรือ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๑๖๗ ตรงกับรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้า<br />
ทรงธรรม พระมหากษัตริย์พระองค์ที่ ๒๑ แห่งกรุงศรีอยุธยา จึงถือได้ว่า<br />
เป็นปืนใหญ่โบราณที่เก่าแก่ที่สุดเพราะมีอายุมากที่สุดในบรรดาปืนใหญ่<br />
ทั้ง ๔๐ กระบอก ที่จัดวางไว้บริเวณพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลา<br />
ว่าการกลาโหม ซึ่งสิ่งที่เป็นจุดเด่นของปืนใหญ่โบราณกระบอกนี้ คือ<br />
มีสัญลักษณ์รูปธงชาติสเปนประดับอยู่บนกระบอกปืน ปัจจุบันปืนใหญ่<br />
อัคนิรุท มีอายุรวมแล้ว ๓๙๕ <strong>ปี</strong> (<strong>ปี</strong> ๒๕๖๒)<br />
๒. มารประไลย ปืนใหญ่โบราณกระบอกที่มีความวิจิตรมากที่สุด<br />
เป็นปืนใหญ่โบราณที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นโดยหล่อที่หน้าโรงละครใหญ่<br />
ริมถนนประตูวิเศษไชยศรี ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๓๐ โดยหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์<br />
มีห่วงสำหรับยก ๔ ห่วง เรียกว่า หูระวิง ความงดงามวิจิตรของปืนใหญ่<br />
มารประไลยนี้ มีความงดงามตั้งแต่ปากกระบอกปืนที่เป็นรูปกลีบดอกไม้<br />
และบนกระบอกปืนมีการสลักลวดลายไว้อย่างงดงาม ประกอบด้วย ลายกนก<br />
ลายประจำยาม ลายประจัง ผสมผสานไปกับลวดลายรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก รูปพระพักตร์<br />
เทพเจ้าตามศาสนาพราหมณ์ รูปอัปสรา เพลาปืนมีรูปดอกไม้ รูชนวนมี<br />
ฝาปิดเปิดตกแต่งด้วยมีรูปหนุมาน ท้ายลำกล้องทำเป็นรูปสังข์หรือเขางอน<br />
มีลวดลายกนก กล่าวได้ว่า ปืนใหญ่มารประไลย เป็นศาสตราวุธที่ประดับ<br />
ประดาด้วยความวิจิตรบรรจงที่ลงตัวมากที่สุด<br />
75
๓. นารายน์สังหาร ปืนใหญ่โบราณกระบอกที่มีขนาดใหญ่ที่สุด<br />
จุดเด่นของปืนใหญ่โบราณกระบอกนี้ คือ มีขนาดความยาว ๔.๕๐ เมตร<br />
ปากลำกล้องกว้าง ๒๙.๐๐ เซนติเมตร มีขนาดเส้นผ่านศูนย์กลางของ<br />
กระบอกปืน ๔๕.๔๐ เซนติเมตร กล่าวได้ว่าเป็นปืนใหญ่โบราณที่มีความ<br />
อลังการมาก ลักษณะของปืนมีวงแหวนขนาดใหญ่สำหรับจับยก ๔ วง<br />
ตอนท้ายลำกล้องมีเครื่องประกอบยาวทำเป็นรูปสังข์ ตัวปืนเกลี้ยงไม่มี<br />
ลวดลายประดับ หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ ซึ่งหากสังเกตให้ดีจะพบเห็นร่องรอย<br />
จากการหล่อปืนที่ยังเก็บรายละเอียดไม่หมดเรียกว่า ทอย พระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้น<br />
เพื่อเป็นปืนใหญ่ประจำพระนครมหาราชคู่กับปืนใหญ่พญาตานี ใน<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๓๓๐<br />
๔. พญาตานี ปืนใหญ่โบราณกระบอกที่มีความยาวมากที่สุด จุดเด่น<br />
ของปืนใหญ่โบราณกระบอกนี้คือ ขนาดความยาว ๖.๘๒ เมตร มีห่วงใหญ่<br />
สำหรับจับยก ๔ ห่วง ตอนท้ายลำกล้องมีเครื่องประกอบยาวยื่นออกไป<br />
ทำเป็นรูปสังข์ ที่เพลาปืนมีรูปสิงโตจีนถือลูกแก้วสลักงดงาม ตัวปืนเกลี้ยง<br />
ไม่มีลวดลายประดับ มีประวัติการสร้างว่า นายช่างชาวจีนฮกเกี้ยน แซ่หลิม<br />
ชื่อเคียม ซึ ่งชาวมลายู เรียกกันว่า หลิมโต๊ะเคียม เป็นผู้สร้าง ต่อมา<br />
ในสมัยสงคราม ๙ ทัพ สมเด็จพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาท ได้รับพระบรม<br />
ราชโองการให้เป็นแม่ทัพเสด็จไปชำระความเมืองในภาคใต้ จึงได้นำปืน<br />
กระบอกนี้ขึ้นนำมาทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า<br />
จุฬาโลกมหาราช เมื่อเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๓๒๙<br />
๕. พระพิรุณแสนห่า ปืนใหญ่โบราณลูกปราย จุดเด่นของปืนใหญ่<br />
โบราณกระบอกนี้คือ มีปากกระบอกค่อนข้างกว้าง เพื่อบรรจุกระสุนปืน<br />
ชนิดลูกปราย ซึ่งมีลักษณะเป็นลูกกระสุนขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก ดังนั้น<br />
เมื่อยิงไปแล้วลูกปืนขนาดเล็กก็จะกระจายออกไป สามารถสร้างความเสียหาย<br />
ให้แก่ข้าศึกเป็นจำนวนมากในลักษณะเช่นเดียวกับกระสุนปืนลูกซอง<br />
ตัวปืนมีลวดลายประดับมีห่วงสำหรับจับยก ๔ ห่วง มีรูปราชสีห์เผ่นผงาด<br />
ที่เพลา รูชนวนมีรูปกนกหน้าสิงห์ขบท้ายรูปลูกฟัก มีการบันทึกว่า พระบาท<br />
สมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชทรงสร้าง ตั้งแต่ พ.ศ.๒๓๒๐<br />
ในรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช โดยหล่อ ณ สวนมังคุด บริเวณ<br />
โรงพยาบาลวังหลัง คือ โรงพยาบาลศิริราชพยาบาล (ในปัจจุบัน) ปัจจุบัน<br />
ปืนใหญ่ลูกปรายที่จัดแสดงอยู่ที่พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณ<br />
หน้าศาลาว่าการกลาโหม มีจำนวน ๓ กระบอก ประกอบด้วย พระพิรุณแสนห่า<br />
พลิกพสุธาหงาย และถอนพระสุเมรุ<br />
พระพิรุณแสนห่า<br />
76
พลิกพสุธาหงาย<br />
ข้าศึกด้วยการหันปากกระบอกเพื่อยิงใส่ข้าศึก แต่เมื่อจะเคลื่อนย้ายในเส้น<br />
ทางไกลก็จะเคลื่อนที่โดยให้ท้ายกระบอกปืนเคลื่อนที่ไป โดยใช้แรงงานสัตว์<br />
ประเภทช้าง ม้า วัว ควายหรือลา ลากจูงไปในลักษณะการเทียมเกวียน<br />
จึงเป็นที่มาของชื่อเรียกว่า ปืนใหญ่รางเกวียน ซึ่งเกวียนที่ใช้ลากจูงมักจะ<br />
เรียกกันว่าเกวียนรางปืน โดยปืนใหญ่จีนสาวไส้ จะมีจุดเด่นคือ มีหูจับยก<br />
คู่หนึ่ง มีลายดอกไม้ใบไม้ประดับ ตอนท้ายลำกล้องมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>กจับกนก<br />
เพลามีรูปกินรี รูชนวนมีรูปคนมี<strong>ปี</strong>ก ปัจจุบัน ปืนใหญ่รางเกวียนที่จัดแสดงอยู่ที่<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม มีจำนวน<br />
๘ กระบอก ประกอบด้วย ฝรั่งร้ายปืนแม่น แมนแทงทวน ยวนง่าง้าว จีนสาวไส้<br />
ไทยใหญ่เล่นหน้า ขอมดำดิน มุงิดทะลวงฟัน และมักกะสันแหกค่าย<br />
ถอนพระสุเมรุ<br />
๖. จีนสาวไส้ ปืนใหญ่โบราณรางเกวียน เป็นปืนใหญ่โบราณชนิดที่<br />
พร้อมเคลื่อนที่ไปในสถานที่ต่างๆ จนถึงบริเวณหน้าแนวรบ โดยมีลักษณะ<br />
ของฐานปืนที่เห็นได้ชัดเจน กล่าวคือ มีล้อขนาดใหญ่ ๒ ข้าง ข้างละหนึ่งล้อ<br />
เพื่อใช้สำหรับเคลื่อนที่ โดยปกติเมื่อหันเข้าหาแนวรบที่ประจันหน้ากับ<br />
77
เรื่องเล่าที่ ๔๗<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๙ กระสุนดินดํา<br />
ปืนใหญ่โบราณเป็นอาวุธที่มีอานุภาพมากในการรบ การสงคราม<br />
ยุคโบราณเพราะสามารถสกัดกั้นการเคลื่อนทัพของข้าศึก สามารถทำลาย<br />
ขวัญและสร้างความเสียหายให้แก่ข้าศึก โดยที่สิ่งสำคัญที่สุดที่ช่วยให้<br />
ปืนใหญ่โบราณมีอานุภาพได้นั้นคือ กระสุนปืนและดินส่งกระสุนหรือ<br />
ดินปัศตันหรือดินดำ ซึ่งทั้ง ๒ สิ่งมีสาระสำคัญ กล่าวคือ<br />
๑. กระสุนปืน เป็นสิ่งที่ช่วยให้เกิดความเสียหายแก่ข้าศึกมาก<br />
ถึงมากที่สุด โดยสร้างความเสียหายทั้งชีวิต ร่างกาย และทรัพย์สิน รวมไปถึง<br />
ทำลายขวัญข้าศึกเป็นอย่างมาก โดยที่กระสุนปืนใหญ่โบราณประกอบด้วย<br />
ลูกกระสุนปืนใหญ่ รวม ๓ ประเภทคือ<br />
๑.๑ กระสุนลูกโดด เป็นกระสุนที่ทำจากลูกเหล็กกลมตัน<br />
เวลายิงออกไปจะไปทั้งลูก สามารถทำลายกำแพง สิ่งกีดขวาง สังหารบุคคล<br />
และสัตว์พาหนะของข้าศึก<br />
๑.๒ กระสุนลูกปราย เป็นกระสุนที่ทำจากลูกเหล็กขนาดเล็ก<br />
หลายสิบลูก เมื่อเวลายิงออกไปจะกระจายคล้ายห่าฝน มีลักษณะบรรจุใน<br />
ภาชนะอัดแน่น หรือผูกกันเป็นพวง ซึ่งคล้ายกระสุนปืนลูกซองในปัจจุบัน<br />
78
๑.๓ กระสุนลูกแตก เป็นกระสุนที่สามารถแตกกระจายไปภาย<br />
หลังจากยิงออกไปแล้ว ลักษณะของลูกกระสุนจะเป็นลักษณะภายในกลวง<br />
มีรู ๑ รู ไว้สำหรับบรรจุดินปืนและหลอดชนวนไฟที่จุดเหนือลูกกระสุน<br />
ทั้งนี้ ดินดำจะมีปริมาณที่ใช้แตกต่างกันไปของปืนใหญ่โบราณ ดังนั้น<br />
จึงมีการกำหนดปริมาณของดินดำและบันทึกบนตัวปืนเพื่อป้องกันความ<br />
ผิดพลาดในการบรรจุดินปืน ซึ่งในรูปปืนขอมดำดิน บอกให้ทราบว่าปืนใหญ่<br />
โบราณกระบอกนี้บรรจุดินดำน้ำหนัก ๑ ชั่ง ๑๐ ตำลึง โดยมีการชี้บ่งไว้ตาม<br />
รูปแบบของอัตราส่วนการชั่งน้ำหนักแบบไทยโบราณคือ<br />
๒. ดินดําหรือดินปัศตัน (Black Powder หรือ Gun Powder)<br />
เป็นดินที่ทำหน้าที่ส่งกระสุนให้พุ่งออกไปจากกระบอกปืน ซึ่งวิธีใช้คือ<br />
การบรรจุดินปืนทางปากกระบอกแล้วใช้ไม้กระทุ้งให้แน่นก่อนบรรจุกระสุน<br />
หลังจากนั้นจะจุดชนวนที่รูชนวนท้ายปืน เมื่อเกิดการสันดาปของดินปืน<br />
ก็จะช่วยส่งให้กระสุนลอยออกจากปากกระบอกปืน ทั้งนี้ดินปืนเป็นสารที่<br />
เกิดจากการผสมของสารตั้งต้น ๓ ประการคือ<br />
๒.๑ ดินประสิว (Saltpetre) ในอัตราส่วน ๔๑ ส่วน ใน ๑๐๐<br />
ส่วน (ร้อยละ ๔๑)<br />
๒.๒ กำมะถัน (Sulphur) ในอัตราส่วน ๓๐ ส่วน ใน ๑๐๐ ส่วน<br />
(ร้อยละ ๓๐)<br />
๒.๓ ผงถ่าน (Charcoal) ในอัตราส่วน ๒๙ ส่วน ใน ๑๐๐ ส่วน<br />
(ร้อยละ ๒๙)<br />
79
เรื่องเล่าที่ ๔๘<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๑๐ การจารึกชื่อผู้ประดิษฐ์บนกระบอกปืนใหญ่โบราณ<br />
ในต่างประเทศ การจัดสร้างปืนใหญ่หรือหล่อปืนใหญ่ มักจะให้<br />
เกียรติแก่วิศวกรหรือนายช่างผู้ทำหน้าที่อำนวยการหรือควบคุมการหล่อปืน<br />
โดยการให้จารึกนามของท่านผู้นั้นลงบนปืนบริเวณส่วนท้ายของปืน<br />
ซึ่งปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหมก็มีการจารึกชื่อผู้อำนวยการ<br />
หล่อปืนไว้ด้วย กล่าวคือ<br />
๑. ปืนใหญ่โบราณที่ชื่อว่า ลมประลัยกัลป มีการจารึกชื่อนายช่าง<br />
ผู้อำนวยการหล่อปืนว่า เจ.เบรังเยร์ (J.BERENGER) ลงด้านบนตัวปืน<br />
๒. ปืนใหญ่โบราณที่ชื่อว่า <strong>ปี</strong>ศาจเชือดฉีกกิน มีการจารึกชื่อนายช่าง<br />
ผู้อำนวยการหล่อปืนว่า บรรจงรจนา (BANCHONGROJANA) ลงด้านล่าง<br />
ของตัวปืน<br />
ทั้งนี้ จากการสืบค้นทราบว่า ชาวฝรั่งเศสที่ชื่อว่า เจ.เบรังเยร์<br />
(J.BERENGER) ได้เข้ามารับราชการในประเทศไทยและได้รับพระราชทาน<br />
บรรดาศักดิ์เป็น หลวง โดยมีราชทินนามว่า หลวงบรรจงรจนา<br />
80
เรื่องเล่าที่ ๔๙<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๑๑ เครื่องหมายแสดงเกียรติภูมิประเทศเจ้าของปืนใหญ่โบราณ<br />
สำหรับปืนใหญ่โบราณ นอกจากการให้เกียรติแก่ผู้อำนวยการ<br />
หล่อปืนให้ได้รับการจารึกชื่อบนตัวปืนแล้ว สิ่งที่เป็นเกียรติแก่ประเทศ<br />
เจ้าของปืนหรือประเทศผู้ผลิตปืนยังได้มีการทำสัญลักษณ์ไว้ที่กระบอกปืน<br />
ซึ่งปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม ก็ปรากฏสัญลักษณ์ไว้หลาย<br />
กระบอกและมีรูปลักษณ์ที่เป็นพิเศษ กล่าวคือ<br />
๑. รูปศาลาไทย ที่ปรากฏบริเวณส่วนท้ายของปืนที่เป็นรูชนวน<br />
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศไทยที่เป็นเจ้าของปืนใหญ่โบราณกระบอกนั้น<br />
อาทิ พระอิศวรปราบจักรวาล ไหวอรนพ<br />
๓. รูปตราประเทศ ที่ปรากฏบริเวณส่วนกลางด้านบนของปืน<br />
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศสเปนที่เป็นประเทศผู้ผลิตหรือสถานที่ผลิต<br />
ปืนใหญ่โบราณกระบอกนั้น อาทิ อัคนิรุท SMICVEL 1625<br />
๒. รูปขวดนํ้ำหอม ที่ปรากฏบริเวณส่วนท้ายของปืนที่เป็นรูชนวน<br />
ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของประเทศฝรั่งเศสที่เป็นประเทศผู้ผลิตหรือสถานที่ผลิต<br />
ปืนใหญ่โบราณกระบอกนั้น อาทิ ลมประลัยกัลป คนธรรพแผลงฤทธิ์<br />
๔. รูปสิงโตจีนจับลูกแก้ว ที่ปรากฏบริเวณเพลาของปืน ซึ่งเป็น<br />
สัญลักษณ์ของประเทศจีนที่เป็นประเทศสัญชาติของผู้ผลิตปืน คือ<br />
พญาตานี เพราะผู้อำนวยการหล่อปืนคือ นายช่างชาวจีนฮกเกี้ยน แซ่หลิม<br />
ชื่อเคียม ซึ่งชาวมลายู เรียกกันว่า หลิมโต๊ะเคียม<br />
81
เรื่องเล่าที่ ๕๐<br />
พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ตอนที่ ๑๒ ตราสัญลักษณ์ปิดปากกระบอกปืนใหญ่โบราณ<br />
ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหมทั้ง ๔๐ กระบอก ได้ตั้ง<br />
ตระหง่านเคียงคู่ศาลาว่าการกลาโหม วัดพระศรีรัตนศาสดาราม และ<br />
พระบรมมหาราชวัง ที่เป็นสัญลักษณ์บ่งบอกให้ทราบว่า ทหารและปืนใหญ่<br />
โบราณพร้อมที่ปกป้องประเทศชาติ พระพุทธศาสนา และพระราชวงศ์จักรี<br />
ด้วยความมุ่งมั่น แม้ว่าจะต้องตั้งตระหง่านท้าทายลม แดด ฝน มาเป็นเวลา<br />
ประมาณ ๑๐๐ <strong>ปี</strong> ก็ตาม แต่หน้าที่และความรับผิดชอบยังคงเป็นคำตอบ<br />
ต่อประชาชนและสังคมไทยอยู่อย่างไม่มีที่สิ้นสุด และจะดำเนินภารกิจนี้<br />
ต่อไปนานเท่าที่ประชาชนและผืนแผ่นดินผืนนี้ยังเห็นความสำคัญของ<br />
ปืนใหญ่โบราณ<br />
ในวาระแห่งการสถาปนากระทรวงกลาโหม ๑๓๐ <strong>ปี</strong> จึงมีดำริของ<br />
ผู้บังคับบัญชาคือ พลเอก ปรีชา จันทร์โอชา อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ในการอัญเชิญตราแผ่นดินมาสถิตและปิดปากกระบอกปืนใหญ่โบราณ<br />
เพื่อป้องกันน้ำฝนที่จะเข้าไปทำลายลำกล้องปืน และป้องกันนกที่เคยมา<br />
ทำรังในลำกล้องปืนทั้งจะนำมาซึ่งสิ่งปฏิกูลและความสกปรก อันเป็นตัวเร่ง<br />
การกัดกร่อนผิวโลหะในลำกล้องปืนใหญ่โบราณเหล่านั้น โดยกระทำพิธี<br />
ปิดปากกระบอกปืนใหญ่โบราณ พิธีผูกผ้าสามสีและคล้องพวงมาลัยปืนใหญ่<br />
โบราณ ในวันที่ ๒๑ กันยายน ๒๕๕๙ เวลา ๐๗.๒๙ น. จึงเป็นสัญลักษณ์<br />
สำคัญที่เคียงคู่กับปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหมนับแต่นั้นมา<br />
82
เรื่องเล่าที่ ๕๑<br />
การจัดภูมิทัศน์พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
กว่าที่จะมาเป็น พิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณหน้าศาลา<br />
ว่าการกลาโหม ที่ปรากฏให้เห็นอยู่ทุกวันนี้ กระทรวงกลาโหม ได้ดำเนิน<br />
การจัดภูมิทัศน์ในการจัดวางปืนใหญ่โบราณที่หน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
มาแล้ว รวม ๖ ครั้ง ตามลำดับ ดังนี้<br />
๑. การจัดวางปืนใหญ่โบราณ ครั้งที่ ๑ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๖๐ พระบาท<br />
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่จะนำปืนใหญ่โบราณ ซึ่งมี<br />
เกียรติประวัติร่วมทำสงครามในกองทัพสยาม มาจัดแสดงให้สาธารณชน<br />
ได้ชมตามแบบอย่างชาติมหาอำนาจการทหารตะวันตก ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้นำปืนใหญ่โบราณที่เก็บรักษาไว้ในพระบรมมหาราชวัง<br />
และวังหน้า มาจัดวางบริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม สันนิษฐานว่า<br />
การจัดวางปืนใหญ่นี้เป็นไปตามพระราชนิยมครั้งที่ทรงศึกษาวิชาทหาร<br />
ณ โรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ (Sandhurst Military Academy)<br />
ประเทศอังกฤษ ที่มีการจัดวางปืนใหญ่บริเวณด้านหน้าอาคาร College<br />
Chapel ของสถาบันทหารแห่งนี้ โดยจัดวางปืนใหญ่ที่มีเกียรติประวัติ<br />
ในการสงคราม จำนวน ๖ กระบอก ซึ่งเป็นปืนใหญ่ที่ ดยุค ออฟ เวลลิงตัน<br />
(Duke of Wellington) ใช้ในสงครามที่ วอลเตอร์ลู (Waterloo) ซึ่งสงคราม<br />
ครั้งนั้นเป็นสงครามที่อังกฤษสามารถเอาชนะกองทัพฝรั่งเศสอันเกรียงไกร<br />
ของกษัตริย์นโปเลียน (Napoleaon)<br />
โรงเรียนนายร้อยแซนด์เฮิร์สต์ (Sandhurst Military Academy) ประเทศอังกฤษ<br />
โดยในการนี้ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ นายพลเอก สมเด็จพระ<br />
อนุชาธิราชเจ้า เจ้าฟ้าจักรพงษ์ภูวนารถ กรมหลวงพิษณุโลกประชานาถ<br />
(พระยศในขณะนั้น) ซึ่งดำรงตำแหน่ง เสนาธิการทหารบก ให้ทรงดำเนิน<br />
การจัดวางปืนใหญ่และจัดภูมิทัศน์ จึงเป็นการจัดวางปืนใหญ่โบราณหน้า<br />
ศาลาว่าการกลาโหมและเป็นการจัดทำพิพิธภัณฑ์การทหารกลางแจ้งเป็น<br />
ครั้งแรก ซึ่งในครั้งนี้ปืนใหญ่พญาตานีได้จัดวางด้านถนนกัลยาณไมตรี<br />
ภาพการจัดวางปืนใหญ่ครั้งแรกใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๖๐<br />
๒. การจัดวางปืนใหญ่โบราณ ครั้งที่ ๒ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๖๔<br />
นายพลเอก เจ้าพระยาบดินทรเดชานุชิต (แย้ม ณ นคร) ปลัดทูลฉลอง<br />
และรั้งตำแหน่งเสนาบดีกระทรวงกลาโหม ได้รับพระบรมราชานุญาตให้<br />
ปรับแผนการจัดวางและนำปืนใหญ่โบราณจากโรงปืนใหญ่ในพระบรม<br />
มหาราชวังและวังหน้า จำนวน ๖๓ กระบอก มาจัดวาง ณ สนามหญ้า<br />
หน้าศาลาว่าการกลาโหม พร้อมจัดทำประวัติปืนใหญ่โบราณเป็นครั้งแรก<br />
โดย นายพลตรี พระยาอินทรวิชิต (รัตน วิชิตอาวุธ) เจ้ากรมตำราทหารบก<br />
ได้มอบหมายให้ นายพันโท หม่อมเจ้าสมบูรณ์ศักดิ์ เป็นผู้แปลและเรียบเรียง<br />
ประวัติปืนใหญ่โบราณเหล่านั้น การปรับการจัดวางปืนใหญ่โบราณครั้งนี้<br />
ถือได้ว่า เป็นการจัดทำพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่กลางแจ้งหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ที่สมบูรณ์แบบเป็นครั้งแรก<br />
๓. การจัดวางปืนใหญ่โบราณ ครั้งที่ ๓ ระหว่าง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๑ –<br />
๒๔๘๓ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม และนายพลโท พระยาศักดิ์ดาดุลยฤทธิ์ ปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม ได้ปรับการจัดวางปืนใหญ่โบราณและปรับปรุงภูมิทัศน์หน้าศาลา<br />
ว่าการกลาโหม ด้วยการดำเนินการ ดังนี้<br />
83
๓.๑ นำปืนใหญ่โบราณบางส่วนย้ายไปตั้งแสดง ณ หน่วยทหาร<br />
ที่จังหวัดลพบุรี<br />
๓.๒ นำปืนใหญ่โบราณบางส่วนย้ายไปตั้งแสดง ณ ทำเนียบ<br />
รัฐบาล ทำให้คงเหลือปืนใหญ่โบราณที่หน้าศาลาว่าการกลาโหม จำนวน<br />
๔๐ กระบอก ทั้งนี้ ได้คงปืนใหญ่โบราณ ที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า<br />
จุฬาโลกมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้นทั้ง ๗ กระบอก<br />
และปืนใหญ่พญาตานีไว้ กับคงรูปแบบพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่กลางแจ้ง<br />
หน้าศาลาว่าการกลาโหมไว้เช่นเดิม<br />
๔. การจัดวางปืนใหญ่โบราณ ครั้งที่ ๔ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๗<br />
พลเอก วิจิตร สุขมาก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ<br />
พลอากาศเอก สุวิช จันทประดิษฐ์ ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้จัดให้มีการ<br />
ปรับภูมิทัศน์และจัดวางปืนใหญ่โบราณให้เกิดความสง่างามมากยิ่งขึ้น<br />
โดยการรื้อรั้วเหล็กเดิมออกและทำเป็นเสาปูนมีโซ่ร้อยเรียงกัน และปรับพื้น<br />
โดยยกพื้นให้สูงขึ้น<br />
๕. การจัดวางปืนใหญ่โบราณ ครั้งที่ ๕ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๘<br />
พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพลเอก<br />
ประเสริฐ สารฤทธิ์ ปลัดกระทรวงกลาโหม (ตุลาคม ๒๕๓๗ - กันยายน<br />
๒๕๓๘) พร้อมด้วย พลเอก ไพบูลย์ เอมพันธุ์ ปลัดกระทรวงกลาโหม (ตุลาคม<br />
๒๕๓๘ - กันยายน ๒๕๓๙) ได้มอบหมายให้ สำนักโยธาธิการกลาโหม<br />
ปรับภูมิทัศน์บริเวณสนามหญ้าหน้าศาลาว่าการกลาโหม โดยการเรียง<br />
ปืนใหญ่โบราณในลักษณะอุตราวรรต คือการจัดเรียงตามลำดับ<strong>ปี</strong>ที่สร้าง<br />
เวียนไปทางซ้ายและนำแผ่นทองเหลืองบันทึกชื่อและประวัติปืนใหญ่<br />
โบราณทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ติดตั้งไว้บริเวณฐานปืนใหญ่โบราณ<br />
ทุกกระบอก<br />
๖. การจัดวางปืนใหญ่โบราณ ครั้งที่ ๖ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๗<br />
พลเอก เชษฐา ฐานะจาโร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ<br />
พลเอก อู้ด เบื ้องบน ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้พิจารณาปรับภูมิทัศน์<br />
ให้สอดรับกับการท่องเที่ยวเกาะรัตนโกสินทร์เชิงประวัติศาสตร์ โดยปรับการ<br />
จัดวางปืนใหญ่โบราณ ตามประเพณีนิยมของกองทัพไทยในสมัยโบราณ<br />
จึงได้ประสานงานกับผู้เชี่ยวชาญจากกรมศิลปากรในประเด็นหลักการ<br />
สากลของการจัดพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง หลักสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม<br />
ซึ่งปรากฏว่ามีแนวคิดในการจัดวางปืนใหญ่โบราณ ๒ แนวทาง กล่าวคือ<br />
๖.๑ ทักษิณาวรรต ด้วยการจัดวางแบบเวียนขวา โดยจัดวาง<br />
ปืนใหญ่โบราณเรียง<strong>ปี</strong>และยุคที่สร้าง โดยเริ่มต้นจากถนนกัลยาณไมตรี<br />
ไปทางถนนหลักเมือง<br />
๖.๒ อุตราวรรต ด้วยการจัดวางแบบเวียนซ้าย โดยจากถนน<br />
หลักเมืองไปทางถนนกัลยาณไมตรี ตามลำดับ<strong>ปี</strong>ที่สร้างซึ่งจากการพิจารณา<br />
แล้ว เห็นว่า แบบอุตราวรรต มีความเหมาะสมกับการปรับภูมิทัศน์และการ<br />
เที่ยวชมของนักท่องเที่ยว โดยเริ่มต้นจากถนนหลักเมืองเวียนซ้ายไปยังถนน<br />
กัลยาณไมตรี โดยเริ่มจากยุคกรุงศรีอยุธยา กรุงธนบุรี กรุงรัตนโกสินทร์<br />
จนถึงปืนใหญ่โบราณที่ไม่สามารถระบุ<strong>ปี</strong>ที่สร้างได้ โดยแผ่นทองเหลือง<br />
บันทึกชื่อและประวัติปืนใหญ่โบราณทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ ติดตั้ง<br />
ไว้บริเวณฐานปืนใหญ่โบราณทุกกระบอก<br />
ภาพการจัดวางพิพิธภัณฑ์ปืนใหญ่โบราณในปัจจุบัน<br />
84
เรื่องเล่าที่ ๕๒<br />
ศาลากระโจมแตร<br />
เป็นศาลาทรงกลมประกอบภายในสนามหญ้าด้านหน้าศาลาว่าการ<br />
กลาโหม ใกล้ประตูทางเข้าและออก โดยมีการสร้างศาลาทรงกลมภายใน<br />
ลักษณะโปร่งมีเสาข้างใน ๘ เสา จำนวน ๒ หลัง ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๖๕<br />
โดยให้เป็นที่ฝึกซ้อมและบรรเลงแตรฝรั่งหรือวงโยธวาทิต (Military Band)<br />
ซึ่งจากการสืบค้นทราบว่า เพื่อใช้ศาลาดังกล่าวให้หมู่ทหารเป่าแตรถวาย<br />
ความเคารพและถวายพระเกียรติในขณะเสด็จพระราชดำเนินเข้าและออก<br />
จากพระบรมมหาราชวัง ซึ่งการจัดสร้างศาลากระโจมแตรกระทรวงกลาโหม<br />
มีลักษณะเช่นเดียวกันกับที่ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ จัดสร้างที่<br />
พระราชวังสราญรมย์ (ปัจจุบันคือ สวนสราญรมย์) โดยสร้างเป็นศาลา<br />
๘ เหลี่ยมใช้สำหรับเป็นที่ฝึกซ้อมและบรรเลงแตรฝรั่ง นอกจากนี้ ยังปรากฏ<br />
ศาลากระโจมแตรสำหรับบรรเลงแตรฝรั่งที่พระราชวังบางปะอิน และ<br />
ศาลาแตรของวังบางขุนพรหม<br />
ต่อมา ในช่วงปลาย<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๕๖ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ได้จัดทำน้ำพุประดับไฟแสงสีและการบรรเลงดนตรีเพื่อจัดแสดงต่อ<br />
สาธารณชน รวม ๒ แห่ง โดยมีที่ตั้งของลานน้ำพุในบริเวณที่เคยจัดสร้าง<br />
ศาลากระโจมแตร โดยดำริของ พลเอก นิพัทธ์ ทองเล็ก อดีตปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม<br />
85
เรื่องเล่าที่ ๕๓<br />
การต่อเติมอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
ในระยะเวลา ๑๓๐ <strong>ปี</strong>เศษที่ผ่านมา ภายหลังจากการใช้ประโยชน์<br />
ของโรงทหารหน้าและพัฒนามาเป็นอาคารศาลาว่าการกลาโหม ปรากฏ<br />
เหตุการณ์จากการบันทึกมีการก่อสร้างเพิ่มเติมที่สำคัญ จำนวน ๖ ครั้ง<br />
กล่าวคือ<br />
๑. อัญเชิญโคลง “สยามานุสสติ” ประดิษฐานเหนือซุ้มประตูทาง<br />
เข้าและออก เพื่อปลุกจิตสำนึกความรักชาติในห้วงเหตุการณ์สงครามโลก<br />
ครั้งที่ ๑ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
๒. จัดสร้างศาลากระโจมแตร มีลักษณะเป็นศาลาทรงกลม<br />
ประกอบภายในสนามหญ้าด้านหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม ในรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
๓.๑ จัดทําเครื่องหมายสัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็น<br />
รูปจักร สมอ <strong>ปี</strong>ก สอดขัดภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎบนผืนผ้าทิพย์ที่จัดท ำขึ้น<br />
เป็นรูปสี่เหลี่ยมสีทองมีวงกลมซ้อนอยู่ภายในแกะสลักประดับด้วยลวดลาย<br />
ทรงพุ่มข้าวบิณฑ์บริเวณด้านหน้าอาคาร (ทั้งนี้ มีการก ำหนดเป็นตราประจำ<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตามพระราชบัญญัติเครื่องหมายราชการ<br />
พ.ศ.๒๔๘๒ ลงวันที่ ๑๐ กุมภาพันธ์ ๒๔๘๒)<br />
๓.๒ อัญเชิญโคลง “สยามานุสสติ” ประดิษฐานเบื้องหน้ามุข<br />
ที่ด้านซ้ายและขวาของเครื่องหมายสัญลักษณ์ของกระทรวงกลาโหม<br />
๓. การต่อเติมมุขหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม ทำขึ้นในสมัย<br />
จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหม ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๑ – ๒๔๘๒ โดยดำเนินการต่อเติม คือ<br />
ขยายหน้ามุขโดยการต่อเติมยื่นออกมา มีความสูงเท่ากับตึกสองชั้น มีเสา<br />
กลมขนาดใหญ่เช่นเดียวกับในอดีตอีก ๖ เสา ทำให้ชั้นสองของหน้ามุขใหม่<br />
มีลักษณะเป็นระเบียงสามารถใช้ประโยชน์ได้ โดยมีการจัดท ำในรายละเอียด<br />
เพิ่มเติม กล่าวคือ<br />
๔. การสร้างอาคารกองบัญชาการทหารสูงสุด สร้างขึ้นในสมัย<br />
จอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหม ภายหลังเกิดเหตุการณ์กรณีพิพาทอินโดจีนและสงครามเกาหลี<br />
โดยเริ่มต้นสร้างประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๖ - ๒๕๐๓ และสร้างอาคารบริเวณ<br />
ด้านหลังอาคารศาลาว่าการกลาโหม ด้านถนนราชินี ริมคลองหลอด (เดิมที<br />
เป็นอาคารชั้นเดียว ๗ หลังและมีบ่อน้ำ) ซึ่งมีอาคารที่ทำการของวิทยาลัย<br />
ป้องกันราชอาณาจักร กองบัญชาการทหารสูงสุด และหน่วยขึ้นตรง<br />
86
กองบัญชาการทหารสูงสุด ที่สูง ๓ ชั้น พร้อมทั้งห้องประชุมและห้องสโมสร<br />
นายทหารสัญญาบัตร และมีการสร้างอาคารเพิ่มเติมอีกหลายครั้งรวมเป็น<br />
๔ อาคาร<br />
๕. การก่อสร้างอาคารสํานักงบประมาณกลาโหม สร้างขึ้นใน<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๕๒๘ ซึ่งเดิมทีเป็นอาคารสองชั้นมีสภาพทรุดโทรมและไม่เพียงพอ<br />
ต่อการใช้สอย จึงได้รื้อถอนและสร้างขึ้นใหม่เป็นอาคาร ๓ ชั้น โดยภายนอก<br />
ให้คงแบบเดิมไว้ทั้งหมด และใช้เป็นอาคารสำนักงบประมาณกลาโหม<br />
ด้วยการออกแบบ การวางแผน และอำนวยการสร้างของ พลอากาศเอก<br />
สรรเสริญ วานิชย์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
๖. การก่อสร้างอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันออก<br />
สร้างขึ้นใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๕๕ ในที่ตั้งของอาคารกองบัญชาการทหารสูงสุดเดิม<br />
(ปัจจุบันคือ กองบัญชาการกองทัพไทย) ทั้งนี้เพราะกองบัญชาการกองทัพไทย<br />
ได้ย้ายเข้าที่ตั้งใหม่บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๔ แต่เนื่องจาก<br />
อาคารเดิมมีอายุมากกว่า ๕๐ <strong>ปี</strong> และมีสภาพทรุดโทรมมากไม่เหมาะ<br />
แก่การใช้ประโยชน์ จึงมีโครงการที่จะรื้อถอนและก่อสร้างอาคารหลังใหม่<br />
ซึ่งเป็นการดำเนินการต่อเติมเป็นรายการล่าสุด<br />
ก่อนปรับปรุง<br />
ภาพเปรียบเทียบกระทรวงกลาโหม<br />
หลังปรับปรุง<br />
87
เรื่องเล่าที่ ๕๔<br />
โคลงสยามานุสสติหน้าศาลาว่าการกลาโหมในยุครัฐนิยม<br />
หากท่านสังเกตตัวอักษรของ<br />
โคลงสยามานุสสติ บริเวณมุขหน้า<br />
ของระเบียงบริเวณชั้นสอง ด้าน<br />
ประตูทางเข้า จะเห็นว่า มีตัวอักษร<br />
ของคำว่า “พินาส” และเคยมีผู้ใหญ่<br />
และประชาชนหลายท่านตั้งข้อสงสัย<br />
ต่อตัวอักษรดังกล่าว ซึ่งจากการ<br />
ค้นคว้า ทราบว่า พระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว พระราช<br />
นิพนธ์โคลงสยามานุสสติ และมี<br />
พระราชหัตถเลขาที่ชัดเจนว่าใช้คำว่า<br />
“พินาศ”<br />
แต่ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๕ ประเทศไทยในยุคสมัยที่เรียกว่ารัฐนิยม<br />
(ประกาศครั้งแรกใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๒) โดยการนำของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม<br />
อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ลงนามใน ประกาสสํานักนายกรัถมนตรี เรื่องการ<br />
ปรับปรุงอักสรไทย เมื่อวันที่ ๒๙ พฤษภาคม ๒๔๘๕ โดยให้เหตุผลว่า<br />
“...ด้วยรัถบาลพิจารณาเห็นว่า ภาสาไทยย่อมเป็นเครื่องหมายสแดง<br />
วัธนธรรมของชาติไทย สมควนได้รับการบำรุงส่งเสิมไห้แพร่หลายออกไป<br />
กว้างขวางยิ่งขึ้น ไห้สมกับความจเรินก้าวหน้าของชาติ ซึ่งกำลังขยายตัว<br />
ออกไปไนปัจจุบันคนะหนึ่ง ดังมีรายชื่อแจ้งอยู่ไนประกาสตั้งกรรมการ<br />
ส่งเสิมวัธนธรรมภาสาไทยนั้นแล้ว เพื่อร่วมกันพิจารนาหาทางปรับปรุงและ<br />
ส่งเสิมภาสาไทยไห้มีความจเรินก้าวหน้ายิ่งขึ้น อันที่จริงภาสาไทยก็เป็นภาสา<br />
ที่มีสำเนียงไพเราะสละสลวยและมีความกว้างขวางของภาสาสมกับเป็น<br />
สมบัติของชาติไทยที่มีวัธนธรรมสูงอยู่แล้ว ยังขาดอยู่ก็แต่การส่งเสิมไห้<br />
แพร่หลาย สมควนแก่ความสำคันของภาสาเท่านั้น<br />
กรรมการส่งเสิมวัธนธรรมภาสาไทยได้มีการประชุมกันเป็นครั้งแรก<br />
เมื่อวันที่ ๒๓ พรึสภาคม ๒๔๘๕ มีความเห็นไนชั้นต้นว่า สมควนจะปรับปรุง<br />
ตัวอักสรไทยไห้กระทัดรัดเพื่อได้เล่าเรียนกันได้ง่ายยิ่งขึ้น ได้พิจารนาเห็นว่า<br />
ตัวสระและพยัญชนะของภาสาไทยมีอยู่หลายตัวที่ซ้ำเสียงกันโดยไม่จำเป็น<br />
ถ้าได้งดไช้เสียบ้างก็จะเป็นความสดวกไนการสึกสาเล่าเรียกภาสาไทย<br />
ไห้เป็นที่นิยมยิ่งขึ้น...”<br />
หลังจากนั้นมา ประเทศไทยจึงไม่ใช้ตัวอักษรไทยบางตัว เช่น ฆ ฌ ญ<br />
ฒ ศ และ รร เป็นต้น และมีการแก้ไขตัวอักษรไทยในสถานที่ต่างๆ ให้เป็น<br />
ไปตามประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีฉบับดังกล่าว ซึ่งศาลาว่าการกลาโหม<br />
ก็ได้ดำเนินการตามแนวทางดังกล่าว คือ เปลี่ยนตัวอักษรของคำว่า “พินาศ”<br />
ไปเป็น “พินาส” ด้วย อย่างไรก็ตาม เมื่อจอมพล ป. พิบูลสงคราม พ้นจาก<br />
ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๔๘๗ ท ำให้ นายควง อภัยวงศ์<br />
นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ได้ออกประกาศยกเลิกการใช้อักขรวิธีดังกล่าว<br />
และการใช้เลขสากล รวมระยะเวลาการบังคับใช้อักขรวิธีของคณะกรรมการ<br />
ส่งเสริมวัฒนธรรมภาษาไทยประมาณ ๒ <strong>ปี</strong> ๓ เดือน ส่งผลให้กลับไปใช้<br />
อักขรวิธีไทยแบบเดิมอีกครั้งหนึ่งและใช้ต่อมาจวบจนถึงปัจจุบัน<br />
เมื่อเป็นเช่นนี้ ตัวอักษรของคำว่า “พินาส” ดังปรากฏอยู่หน้า<br />
ศาลาว่าการกลาโหมในปัจจุบัน จึงเป็นเสมือนภาพสะท้อนให้เห็นถึง<br />
ประวัติศาสตร์ไทยในช่วงระยะเวลาหนึ่งที่ปรากฏอย่างเป็นรูปธรรม<br />
ให้อนุชนรุ่นหลังได้เห็นถึงความคิดและการกระทำของคนในอดีต จึงเก็บ<br />
รักษาไว้เพื่อเป็นบทเรียนทางประวัติศาสตร์ของประเทศไทย เช่นเดียวกันกับ<br />
สถานที่บางแห่งที่ปรากฏให้เห็นในปัจจุบันเช่นกัน อาทิ สะพานเฉลิมวันชาติ<br />
ที่ใช้ปรากฏข้อความว่า “สพานเฉลิมวันชาติ พ.ส.๒๔๘๓”<br />
88
เรื่องเล่าที่ ๕๕<br />
ระเบียงและผนังอาคารด้านในของศาลาว่าการกลาโหม<br />
ดังที่ทราบมาแล้วว่าอาคารโรงทหารหน้าหรืออาคารศาลาว่าการ<br />
กลาโหมด้านนอกเป็นอาคารก่ออิฐถือปูนและตกแต่งอาคารในศิลปะแบบ<br />
พาลลาเดียน หากแต่อาคารด้านในเมื่อแรกสร้างนั้น ได้มีการออกแบบ<br />
เป็นพิเศษคือทำทางเดินเชื่อมต่อกันได้ทุกด้านอาคารและระเบียงไม้โปร่ง<br />
รอบในอาคารทั้งสามชั้น โดยชั้นล่างทำเป็นรั้วไม้ซี่ขนาดสูงประมาณระดับ<br />
หน้าอก แต่สำหรับในชั้นที่สองและชั้นที่สามทำราวระเบียงเป็นรูปไม้ขัดกัน<br />
ในลักษณะกากบาทซึ่งในทางทหารเครื่องหมายรูปกากบาทเป็นสัญลักษณ์<br />
ของหน่วยทหารเหล่าราบ หากพิจารณาแล้วกำลังพลของกรมทหารหน้า<br />
ส่วนใหญ่เป็นทหารที่ปฏิบัติหน้าที่ทางภาคพื้นดินจึงเป็นทหารเหล่าราบ<br />
นอกจากนี้ เสาที่รับน้ำหนักมีลักษณะเป็นเสาปูนเกลี้ยงรูปสี่เหลี่ยมสำหรับ<br />
รับน้ำหนักพื้นอาคารชั้นบน<br />
ทั้งนี้ สาเหตุสำคัญที่ด้านในต้องทำเป็นระเบียงทางเดินไม้เพราะ<br />
ช่วยให้ปลอดโปร่งและอากาศถ่ายเทได้สะดวก ทั้งนี้เพราะประเทศไทย<br />
เป็นประเทศที่มีอากาศร้อนชื้น จึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีการระบาย<br />
อากาศเพื่อไม่ให้เกิดปัญหาด้านสุขอนามัย อีกทั้งหากจัดสร้างผนังอาคาร<br />
เป็นลักษณะก่ออิฐถือปูนย่อมนำมาสู่ความร้อนอบอ้าวภายในอาคาร ซึ่งต่าง<br />
จากยุโรปที่มีอากาศหนาวเย็นจึงมีความจำเป็นที่จะต้องจัดสร้างเป็นอาคาร<br />
ก่ออิฐถือปูนเพื่อป้องกันความหนาวเย็น นอกจากนี้ การที่ใช้พื้นอาคาร<br />
ชั้นที่สองและชั้นที่สามทำเป็นพื้นไม้จึงทำให้อาคารชั้นบนมีน้ำหนักเบา<br />
และยังช่วยให้อาคารมีพื้นที่ใช้สอยมากขึ้น จึงสามารถเดินติดต่องานหรือ<br />
ประสานงานได้ทั้งสามชั้นโดยไม่ต้องเดินลงมาชั้นล่างและเดินขึ้นไปใหม่<br />
ในระหว่างอาคาร จึงกล่าวได้ว่าอาคารโรงทหารหน้า มีการออกแบบ<br />
ให้สวยงามทั้งด้านสถาปัตยกรรมและคำนึงถึงประโยชน์ใช้สอย โดยมีพื้นฐาน<br />
จากภูมิอากาศ ภารกิจ และการติดต่อประสานงานระหว่างหน่วยงานภายใน<br />
อาคารที่มีความสะดวกและรวดเร็ว<br />
อย่างไรก็ตาม ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๕ อาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
เคยประสบปัญหาน้ำฝนสาดและความชื้นหลายครั้ง โดยเฉพาะในกรณีที่<br />
ฝนตกหนักผสมกับลมกระโชกแรง ทำให้มีปริมาณน้ำฝนซัดสาดเข้ามาบริเวณ<br />
ระเบียง ซึ่งก็มีหลายครั้งที่ปริมาณน้ำฝนมาขังบริเวณพื้นไม้และรั่วซึมลงมา<br />
ชั้นที่สองและชั้นล่าง<br />
ระเบียงและผนังอาคารด้านในของศาลาว่าการกลาโหม (อดีต)<br />
ระเบียงและผนังอาคารด้านในของศาลาว่าการกลาโหม (ปัจจุบัน)<br />
โดยเหตุการณ์ดังกล่าวได้ทำความเสียหายแก่ทรัพย์สินของทาง<br />
ราชการเป็นอันมาก รวมถึง ทำให้ผนังอาคารเกิดความชื้นมีคราบตะไคร่น้ำ<br />
และแตกล่อนเป็นประจำ เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักโยธาธิการกลาโหม จึง<br />
พิจารณาออกแบบทำผนังอาคารบริเวณระเบียงโดยผลิตจากไม้และประดับ<br />
บานหน้าต่างเพื่อปิดเปิดตามความเหมาะสม ทั้งนี้ รั ้วไม้โปร่งเป็นรูปไม้<br />
ขัดกันที่ยังสภาพใช้งานได้ในชั้นที่สามจึงยังคงเก็บรักษาไว้ โดยทำผนังไม้<br />
ปิดล้อมไว้ด้านนอก และยังคงอนุรักษ์รั้วไม้โปร่งแบบโบราณไว้ด้านในเพื่อ<br />
ให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาต่อไป ส่งผลให้บริเวณผนังอาคารในชั้นที่สองและ<br />
ชั้นที่สาม จึงสามารถรอดพ้นจากความเสี่ยงภัยจากปริมาณน้ำฝนที่ซัดสาด<br />
จนทำให้เกิดความเสียหายได้ดังปรากฏในปัจจุบัน<br />
แต่สำหรับผนังอาคารที่ฉาบปูนในชั้นล่างที่ต้องเผชิญกับความชื้น<br />
และน้ำฝนสาด จึงได้แก้ไขปัญหาโดยการเจาะผนังและใส่ท่อระบายอากาศ<br />
ทำให้ระบายความชื้นออกมาจากภายในของผนังอาคาร หากผ่านไปอาจเห็น<br />
ผนังอาคารมีท่อขนาดเล็กติดกับตัวอาคาร นั่นคือวิธีการระบายอากาศและ<br />
ระบายความชื้นของอาคาร<br />
89
เรื่องเล่าที่ ๕๖<br />
ช่องลอดด้านทิศตะวันออก<br />
ภายในอาคารโรงทหารหน้าด้านทิศตะวันออก ได้มีการจัดทำ<br />
ช่องลอดภายใต้อาคารชั้นที่สองขึ้นและสันนิษฐานว่าจัดสร้างขึ้นพร้อม<br />
โรงทหารหน้า เพื ่อให้ทหารสามารถที่จะเดินลอดผ่านออกไปนอกอาคาร<br />
เพื่อไปสู่ที่พักทหารเพื่อพักผ่อน ไปสู่สระน้ำเพื่อเข้าห้องน้ำ เพื่อฝึกว่ายน้ำ<br />
และเพื่ออาบน้ำ รวมถึงไปเข้าโรงครัวเพื่อรับประทานอาหาร ในพื้นที่บริเวณ<br />
ทิศตะวันออกที่กล่าวมาแล้ว<br />
ดังนั้น การจัดทำช่องลอดดังกล่าวหากพิจารณาแล้วก็คล้ายประตู<br />
หลังบ้านของอาคารโรงทหารหน้าเพื่อสะดวกในการสัญจรเข้าและออก<br />
อย่างไม่เป็นทางการ ซึ่งจะไม่ให้เกิดความรุ่มร่าม หรือวุ่นวายต่อการสัญจร<br />
ผ่านประตูใหญ่ด้านหน้าหรือด้านทิศตะวันตก ต่อมามีการเรียกขานกันว่า<br />
“อุโมงค์” และเรียกกันติดปากในหมู่กำลังพลที่ปฏิบัติราชการในอาคาร<br />
ศาลาว่าการกลาโหม<br />
ในราว<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๕ มีการปรับปรุงอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
ครั้งใหญ่ครั้งหนึ่ง จึงได้มีการขยายช่องลอดให้กว้างขึ้นเพื่อให้ยานพาหนะ<br />
สามารถผ่านเข้าออกอาคารศาลาว่าการกลาโหม พร้อมกับปรับปรุงและ<br />
เสริมเพื่อความแข็งแรง จนปรากฏให้เห็นเป็นช่องลอดดังปัจจุบัน<br />
90
หมวดที่ ๓<br />
ปัจจุบัน<br />
ทันสมัย เกียรติยศ<br />
91
เรื่องเล่าที่ ๕๗<br />
พญาคชสีห์ อธิบดีแห่งหมู่มวลกำลังพล<br />
บริเวณหน้าประตูใหญ่ริมถนนสนามไชย ได้ปรากฏว่ามีรูปหล่อโลหะ<br />
องค์พญาคชสีห์ ๒ องค์ ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ที่แสดงออกถึงความเป็นใหญ่<br />
ในหมู่คชสีห์ ซึ่งหมู่คชสีห์เปรียบได้กับเหล่าทหารหาญทั้งปวงที่ปฏิบัติหน้าที่<br />
รับใช้ชาติและราชบัลลังก์ สำหรับ องค์พญาคชสีห์ จึงถือเสมือนอธิบดีหรือ<br />
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดของเหล่าคชสีห์ และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ปกป้องแผ่นดินและ<br />
ปกป้องทหารหาญ ซึ่งองค์พญาคชสีห์ทั้ง ๒ องค์ คือ<br />
๑. พญาคชสีห์สยามปฐพีพิทักษ์หรือ พญาคชสีห์ผู้ปกป้องแผ่นดิน<br />
สยาม ประดิษฐาน ณ ประตูทางเข้าด้านทิศใต้ (ประตูทางเข้า) ของกระทรวง<br />
กลาโหม<br />
๒. พญาคชสีห์ราชเสนีพิทักษ์ หรือ พญาคชสีห์ผู้ปกป้องดูแล<br />
กำลังพลและหมู่ทหาร ประดิษฐาน ณ ประตูทางออกด้านทิศเหนือ (ประตู<br />
ทางออก) ของกระทรวงกลาโหม<br />
โดยองค์พญาคชสีห์ทั้ง ๒ องค์ ได้ประดิษฐ์ขึ้นเพื่อร่วมเฉลิมฉลอง<br />
เนื่องในมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงครองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ <strong>ปี</strong> ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.<br />
๒๕๔๙ และกระทรวงกลาโหมครบ ๑๒๐ <strong>ปี</strong> ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๕๐ ดังนั้น<br />
พลเอก สิริชัย ธัญญสิริ ปลัดกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น จึงมีแนวคิดที่จะ<br />
จัดสร้างประติมากรรมพญาคชสีห์หล่อด้วยโลหะสำริด เพื่อเป็นสัญลักษณ์<br />
ทางประวัติศาสตร์การทหารไทย ซึ่งแสดงถึงความจงรักภักดี และถวาย<br />
การปกป้องพระราชจักรีวงศ์ โดยอาราธนาพระพรหมวชิรญาณ กรรมการ<br />
มหาเถรสมาคมและเจ้าอาวาสวัดยานนาวา ได้เมตตานุเคราะห์ ขนานนาม<br />
ประติมากรรมพญาคชสีห์ทั้งสององค์ข้างต้น และได้มอบหมายให้ บริษัท<br />
เอเชีย ไฟน์ อาร์ท จำกัด ดำเนินการหล่อประติมากรรมพญาคชสีห์ทั้งสอง<br />
องค์ โดยมีกิจกรรมตามลำดับดังนี้<br />
๑. พิธีเททอง ในวันศุกร์ที่ ๑๔ เมษายน ๒๕๔๙ ณ โรงหล่อบริษัท<br />
เอเชีย ไฟน์ อาร์ท จำกัด อำเภอบางปะหัน จังหวัดพระนครศรีอยุธยา<br />
โดย พระพรหมวชิรญาณ เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ พลเอก สิริชัย<br />
ธัญญสิริ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฝ่ายฆราวาส<br />
๒. พิธีมังคลาภิเษก ในวันศุกร์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๔๙ ณ ลานอเนก<br />
ประสงค์ ในศาลาว่าการกลาโหม โดย สมเด็จพระพุฒาจารย์ ประธาน<br />
คณะผู้ปฏิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราช และประธานกรรมการ<br />
มหาเถรสมาคม วัดสระเกศราชวรมหาวิหาร เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และ<br />
พลเอก สิริชัย ธัญญสิริ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานฆราวาส<br />
๓. พิธีสมโภชเปิดผ้าแพรพญาคชสีห์ ในวันอาทิตย์ที่ ๔ มิถุนายน<br />
๒๕๔๙ ณ ด้านหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม โดย ฯพณฯ พลเอก เปรม<br />
ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานในพิธี<br />
ทั้งนี้ พญาคชสีห์ทั้งสององค์มีขนาดเท่ากันคือ ความสูงจากเท้า<br />
ถึงหัวไหล่ ๑.๒๐ เมตร ความสูงจากเท้าถึงปลายยอดมงกุฎ ๓.๒๐ เมตร<br />
ความสูงของฐาน ๑.๓๐ เมตร เมื่อรวมความสูงจากฐานถึงปลายยอดมงกุฎ<br />
๔.๕๐ เมตร<br />
92
เรื่องเล่าที่ ๕๘<br />
ป้ายกระทรวงกลาโหม<br />
เดิมทีศาลาว่าการกลาโหมมีป้ายบ่งบอกว่าเป็นกระทรวงกลาโหม<br />
ประดิษฐานอยู่ที่บริเวณใต้หน้าบันมุขกลางของอาคารว่าการกลาโหม<br />
ซึ่งเป็นอักษรปูนปั้นนูนต่ำข้อความว่า “กระทรวงกลาโหม” สันนิษฐานว่า<br />
จัดสร้างขึ้นในคราวที่ปรับปรุงและต่อเติมระเบียงมุขหน้าของกระทรวง<br />
กลาโหม ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๑ – ๒๔๘๒<br />
ในเวลาต่อมา เมื่อมีการส่งเสริมการท่องเที่ยวในเกาะรัตนโกสินทร์<br />
ทำให้มีนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศมาเยี่ยมชมอาคาร<br />
ศาลาว่าการกลาโหมด้านหน้าและพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งหมู่ปืนใหญ่โบราณ<br />
หน้าศาลาว่าการกลาโหมเป็นจำนวนมาก ทำให้มักจะมีคำถามจาก<br />
นักท่องเที่ยวต่างชาติว่าสถานที่นี้คือหน่วยงานราชการใดของรัฐบาลไทย<br />
แม้ว่าจะมีป้ายบอกสถานที่ของกรุงเทพมหานครก็ตาม แต่เนื่องจาก<br />
การตากแดดตากฝนเป็นเวลานานทำให้ตัวหนังสือบนป้ายดังกล่าวลบเลือน<br />
จนไม่สามารถอ่านได้อย่างสะดวก<br />
เรื่องดังกล่าวจึงทำให้ พลเอก ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน อดีตปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม มีดำริในการสร้างป้ายบอกนามสถานที่ โดยจัดสร้าง<br />
เป็นแท่นประดับหินสีเขียวและติดตั้งตัวอักษรสีทองข้อความ “กระทรวง<br />
กลาโหม Ministry of Defence” โดยจัดสร้างแล้วเสร็จก่อนงาน<br />
วันสถาปนากระทรวงกลาโหมครบรอบ ๑๒๖ <strong>ปี</strong> วันที่ ๘ เมษายน ๒๕๕๖<br />
93
เรื่องเล่าที่ ๕๙<br />
เสาธงชาติ<br />
เสาธงชาติที่ประดิษฐานหน้าศาลาว่าการกลาโหม เป็นเสาธงชาติ<br />
ที่มีความสูงและอลังการมากในยุคปัจจุบัน ท่านทราบหรือไม่ว่าในอดีต<br />
ในยุคของโรงทหารหน้า หรือศาลายุทธนาธิการ หรือศาลาว่าการกลาโหม<br />
ในยุคก่อนหน้า <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๐๐ นั้น มิได้ประดิษฐานหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
แต่อย่างใด หากแต่เสาธงชาติจะประดิษฐานหน้าป้อมเผด็จดัสกร พระบรม<br />
มหาราชวัง ฝั่งตรงข้ามศาลาว่าการกลาโหม<br />
ต่อมา เมื่อรื้อเสาธงชาติบนป้อมเผด็จดัสกรออก จึงได้ประดิษฐาน<br />
เสาธงชาติภายในกล่าวคือ อยู่บริเวณสนามภายในศาลาว่าการกลาโหม<br />
บริเวณทิศตะวันตกหรืออยู่หลังมุขกลาง และใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๐๐ ได้มีการ<br />
ขยับเสาธงชาติย้ายมาประดิษฐานอยู่ที่หน้าศาลาว่าการกลาโหม โดยมีสาระ<br />
สำคัญของการดำเนินการ ดังนี้<br />
๑. จัดสร้างครั้งแรก เพื่อสนองนโยบายรัฐบาลในการร่วม<br />
เฉลิมฉลองในโอกาสฉลอง ๒๕ พุทธศตวรรษ (พ.ศ.๒๕๐๐) และเพื่อ<br />
ความเป็นสิริมงคลแก่อาคารศาลาว่าการกลาโหมและข้าราชการในสังกัด<br />
จึงกำหนดสร้างเสาธงชาติที่มีความสูง ๒๕ เมตร ตามจำนวนครบรอบ<br />
พุทธศาสนา ๒๕ พุทธศตวรรษ โดยกำหนดฤกษ์สร้าง ในวันพฤหัสบดีที่<br />
๒ ธันวาคม ๒๔๙๗ (วันขึ้น ๗ ค่ำ เดือนอ้าย <strong>ปี</strong>มะเมีย จุลศักราช ๑๓๑๖)<br />
เวลา ๑๒.๓๐ น. ซึ่งหน่วยงานที่รับผิดชอบในการจัดสร้างคือ กรมยุทธโยธา<br />
ทหารเรือ (กรมอู่ทหารเรือ ในปัจจุบัน) ทำการออกแบบและจัดสร้างโดย<br />
พลเรือตรี สมภพ ภิรมย์ (อดีตอธิบดีกรมศิลปากรและศิลปินแห่งชาติ)<br />
อดีตสถาปนิกประจำกรมยุทธโยธาทหารเรือ และได้ประกอบพิธีเชิญธง<br />
ขึ้นสู่ยอดเสาเป็นครั้งแรกในวันที่ ๒ มกราคม ๒๔๙๘ เวลา ๐๘.๐๐ น.<br />
โดย พลโท หลวงสถิตยุทธการ (ยศในขณะนั้น) อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
๒. จัดสร้างครั้งที่สอง เพื่อปรับปรุงให้เกิดความทันสมัย สวยงาม<br />
และโดดเด่น บ่งบอกถึงความสง่างามของศาลาว่าการกลาโหม ด้วยการ<br />
ปรับความสูงของเสาธงชาติเพิ่มอีก ๕ เมตร รวมเป็น ๓๐ เมตร และใช้<br />
วิธีชักธงชาติด้วยไฟฟ้า และนำเส้นลวดสลิง ที่เคยผูกโยงกับเสาธงชาติ<br />
เดิมออก โดยดำเนินการตามแนวดำริของ พลเอก ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน<br />
อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ซึ่งทำพิธีตอกเสาเข็มเพื่อเป็นมงคลในการ<br />
ก่อสร้างในวันศุกร์ที่ ๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๖ เวลา ๑๒.๓๙ น. และได้<br />
ประกอบพิธีเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสาเป็นครั้งแรก ในวันที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๖<br />
เวลา ๐๘.๐๐ น.<br />
94
เรื่องเล่าที่ ๖๐<br />
รั้วเหล็กรอบสนามหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ในระหว่างการปรับภูมิทัศน์และในการจัดวางปืนใหญ่โบราณ<br />
ครั้งที่ ๔ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๗ ได้มีการรื้อรั้วเหล็กเดิมออกและทำเป็นเสาปูน<br />
มีโซ่ร้อยเรียงกันขึ้นทดแทน ซึ่งจากการค้นคว้า ทราบว่ารั้วเหล็กดังกล่าว<br />
ได้ถูกสร้างขึ้นและใช้งานมาในช่วงสงครามมหาเอเชียบูรพา (สงครามโลก<br />
ครั้งที่ ๒) มีลักษณะเป็นเหล็กดัดรูปสี่เหลี่ยมสองชั้นบริเวณมุมทั้งสี่ย่อมุม<br />
เข้าหาศูนย์กลางทาสีขาวนวล ติดอยู่กับเสาสี่เหลี่ยมย่อมุม ด้านบนเป็นทรง<br />
ฉัตรเหลี่ยมไล่ระดับ<br />
อย่างไรก็ตาม ในระหว่างการก่อสร้างมิได้รื้อถอนออกทั้งหมด<br />
แต่ยังคงเหลือรั้วไว้บางส่วน รวม ๒ จุด จุดละ ๒ ช่อง รวมเป็น ๔ ช่อง<br />
ซึ่งอยู่ติดกับหัวเสาข้างป้อมยามรักษาการณ์ คือ<br />
๑. บริเวณทางออกถนนด้านข้างถนนหลักเมืองตรงข้าม<br />
ศาลหลักเมือง<br />
๒. บริเวณทางออกถนนด้านข้างถนนกัลยาณไมตรีตรงข้ามประตู<br />
วังสราญรมย์<br />
ทั้งนี้ เป็นการอนุรักษ์โบราณวัตถุไว้ เพื่อให้เห็นเป็นต้นแบบในกรณี<br />
ที่จะทบทวนจัดทำขึ้นใหม่หรือเก็บไว้ให้อนุชนรุ่นต่อไปได้ศึกษาเรียนรู้ถึง<br />
ศิลปกรรมของบรรพบุรุษที่ได้ออกแบบและจัดทำขึ้นในอดีต<br />
95
เรื่องเล่าที่ ๖๑<br />
ลิฟต์โดยสารภายในอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
ในอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันตกเฉียงใต้ บริเวณ<br />
ใกล้กับห้องทำงานรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีการจัดทำเป็น<br />
ลิฟต์โดยสาร (Elevator) สำหรับอำนวยประโยชน์ให้แก่ผู้บังคับบัญชา<br />
ชั้นสูงในการขึ้นลงอาคารทั้ง ๓ ชั้น ซึ่งเป็นลิฟต์โดยสารแบบมีประตูบาน<br />
เปิดปิดด้านหน้า และด้านในจะมีประตูเหล็กรูดปิดด้านหน้า ซึ่งจะต้อง<br />
รูดประตูเหล็กให้สนิทมิฉะนั้นลิฟต์โดยสารจะไม่เคลื่อนที่ ซึ่งเป็นรุ่นนิยม<br />
ของกิจการลิฟต์ที่มีชื่อทางการค้าว่า Otis Brothers นอกจากการสร้าง<br />
ลิฟต์โดยสารแล้ว ยังได้มีการจัดสรรพื้นที่ทำส่วนประกอบของลิฟต์โดยสาร<br />
ประกอบด้วย ช่องสำหรับให้ลิฟต์ขึ้นลง, ช่องประตูเข้าและออกทั้ง<br />
๓ ชั้น ในลักษณะคอนกรีตเสริมเหล็กครอบตัวลิฟต์และส่วนประกอบอย่าง<br />
เป็นมาตรฐาน ซึ่งในยุคแรกมีการทำเป็นกล่องสี่เหลี่ยมคอนกรีตลวดลาย<br />
กากบาทโปร่งครอบแท่งคอนกรีตอีกชั้น ก่อนรื ้อกล่องครอบออกจนเห็น<br />
เป็นแท่งคอนกรีตในปัจจุบัน<br />
จากการศึกษาประวัติการใช้ลิฟต์โดยสารของประเทศไทย ทราบว่า<br />
เริ่มมีการนำลิฟต์โดยสารมาติดตั้งครั้งแรกประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๕๕ รัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยการนำเข้าลิฟต์ที่ขับเคลื่อน<br />
ด้วยเครื่องจักรจากประเทศอิตาลีมาติดตั้ง ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม และ<br />
ติดตั้งลิฟต์ที่ขับเคลื่อนโดยแรงคนที่พระที่นั่งวโรภาสพิมาน ในพระราชวัง<br />
บางปะอิน ต่อมา เมื่อมีไฟฟ้าใช้จึงได้เริ่มนำเข้าลิฟต์จากต่างประเทศ<br />
เพื่อใช้ติดตั้งตามหน่วยงานราชการสำคัญ พร้อมให้การดูแลบำรุงรักษา<br />
อันเป็นที่มาเริ่มแรกของการใช้ลิฟต์ในประเทศ ประกอบกับอาคาร<br />
ศาลาว่าการกลาโหมเป็นอาคารขนาดใหญ่และมีความทันสมัย ทั้งนี้<br />
ยังมีพระบรมวงศานุวงศ์ชั้นสูง ที่ดำรงพระยศและดำรงตำแหน่งสำคัญ<br />
ในกระทรวงกลาโหมคือเสนาบดีกระทรวงกลาโหมหลายพระองค์ และ<br />
เมื่อพิจารณาจากรูปลักษณ์ของการสร้างช่องขึ้นลงลิฟต์แล้วคาดว่า<br />
เป็นฝีมือช่างโบราณจึงมีความเป็นไปได้สูงว่า เป็นการสร้างในรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
อย่างไรก็ตาม เมื ่อพิจารณาจากวิวัฒนาการของลิฟต์โดยสาร<br />
ในประเทศไทย ทราบว่ามีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และจากการศึกษา<br />
ลักษณะทางกายภาพของลิฟต์โดยสารก่อนเปลี่ยนแปลงมาใช้ในระบบ<br />
ปัจจุบัน จะเห็นได้ว่า ลักษณะลิฟต์โดยสารของอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
และช่วงเวลาของการสร้าง ประมาณว่า ลิฟต์โดยสารที่ปรับปรุงมาใช้งาน<br />
ครั้งหลังสุดน่าจะจัดทำในห้วงการต่อเติมอาคารกองบัญชาการทหารสูงสุด<br />
ทางทิศตะวันออกริมคลองคูเมืองเดิม ประมาณระหว่าง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๖ -<br />
๒๕๐๓ ทั้งนี้เพราะอาคารกองบัญชาการทหารสูงสุดเดิมก็เคยติดตั้ง<br />
ลิฟต์โดยสารที่มีลักษณะคล้ายกับในอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้วยเช่นกัน<br />
96
เรื่องเล่าที่ ๖๒<br />
ศาลเจ้าพ่อหอกลองในศาลาว่าการกลาโหม<br />
เมื่อเข้ามาภายในศาลาว่าการกลาโหมบริเวณริมลานจอดรถและ<br />
สนามภายในศาลาว่าการกลาโหม จะพบเห็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที ่กำลังพล<br />
ในศาลาว่าการกลาโหมต่างให้ความเคารพนับถืออย่างสูงกันโดยตลอดคือ<br />
ศาลเจ้าพ่อหอกลอง<br />
ศาลเจ้าพ่อหอกลอง เป็นสถานที่ประดิษฐานของรูปเหมือนของ<br />
เจ้าพระยาสีห์สุรศักดิ์ (จัน) ซึ่งมีบรรดาศักดิ์และราชทินนาม ในรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช และได้มีการบันทึก<br />
ประวัติว่า ท่านเกิดที่กรุงศรีอยุธยา เคยเป็นทหารเอกในพระเจ้ากรุงธนบุรี<br />
และดำรงตำแหน่งพลรบฝ่ายซ้าย โดยเจ้าพระยาสีห์สุรศักดิ์ ได้เคยติดตาม<br />
พระเจ้ากรุงธนบุรีปฏิบัติการรบมาโดยตลอด มีความเชี่ยวชาญในทางหอก<br />
และชอบให้ทหารตีกลองศึกในเวลาออกรบกับจัดหากลองรบมาเอง จึงทำให้<br />
ทหารทั้งหลายในสังกัด ต่างพร้อมใจกันตั้งชื่อว่า “เจ้าพ่อหอกลอง” ทั้งนี้<br />
ท่านได้สร้างกลองส่วนตัวขึ้นหนึ่งใบหอบหิ้วติดตัวไปในทุกสมรภูมิ และใช้<br />
ตีบอกสัญญาณการรบจนได้ชัยชนะเหนือข้าศึกในทุกครั้ง จากเกียรติประวัติ<br />
ของท่านจึงกล่าวได้ว่าท่านเป็นกำลังสำคัญในการกอบกู้เอกราชของ<br />
ชาติไทย ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ได้เลื่อนเป็นพลรบฝ่ายขวาแทนเจ้าพระยาพิชัยดาบหัก (นายทองดี<br />
ฟันขาว) และรับราชการในหน่วยกำลังรบมาโดยตลอด ต่อมาท่านได้<br />
ล้มป่วยเป็นโรคลำไส้ และได้ถึงแก่อนิจกรรมที่พระราชวังเดิม จังหวัดธนบุรี<br />
เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๓๔๑ อายุ ๕๘ <strong>ปี</strong><br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อมีการขยาย<br />
ถนนสนามไชยจึงทำให้ต้องรื้อหอกลองเดิม จึงต้องเชิญกลองประจ ำพระนคร<br />
จำนวน ๓ ใบ จากหอกลองที่บริเวณสวนเจ้าเชตุ มาเก็บรักษาไว้ที่ชั้น ๔ ของ<br />
หอคอยโรงทหารหน้าทางทิศตะวันออก ใกล้สะพานช้างโรงสี และต่อมาได้<br />
เชิญกลองประจำพระนครทั้ง ๓ ใบ ไปเก็บรักษาไว้ ณ พระบรมมหาราชวัง<br />
ก่อนนำไปเก็บรักษาที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตามลำดับ<br />
แม้ว่าจะได้เชิญกลองประจำพระนครไปเก็บรักษาไว้ที่พระบรม<br />
มหาราชวังแล้ว กระทรวงกลาโหม ก็ยังคงตั้งศาลเจ้าพ่อหอกลองไว้บริเวณ<br />
ชั้น ๔ ของหอคอยโรงทหารหน้าเพื่อให้กำลังพลสักการะเรื่อยมา จนเมื่อ<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๕๐๐ อาคารศาลาว่าการกลาโหมเกิดการแตกร้าว จึงได้ทำการรื้อ<br />
เจ้าพ่อหอกลองหรือเจ้าพระยาสีห์สุรศักดิ์ (จัน)<br />
ศาลหลังเก่า<br />
97
ศาลหลังปัจจุบัน<br />
หอคอยและศาลเจ้าพ่อหอกลองเดิมออก จึงต้องทำการสร้างศาลเจ้าพ่อ<br />
หอกลองขึ้นใหม่ พร้อมทั้งหล่อรูปจำลองเจ้าพระยาสีห์สุรศักดิ์ (จัน)<br />
เท่าตัวจริง ประดิษฐาน ณ บริเวณสนามภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ<br />
วันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๐๒ โดยหันหลังศาลเจ้าพ่อหอกลองไปทาง<br />
ทิศตะวันออก (คือหันหน้าศาลไปทางหน้าศาลาว่าการกลาโหมทางทิศ<br />
ตะวันตกนั่นเอง)<br />
นับแต่นั้นมา กล่าวกันว่ามักปรากฏเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวกับ<br />
เจ้าพ่อหอกลอง ให้ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงที่มาปฏิบัติงานพบเห็นและสัมผัส<br />
อยู่เป็นประจำ ผู้บังคับบัญชาสมัยนั้นคือ นายพลเอก หลวงสถิตยุทธการ<br />
อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม จึงดำริที่จะจัดสร้างและประดิษฐานศาลเจ้าพ่อ<br />
หอกลองจำลองไว้บริเวณชั้น ๓ หรือใต้บริเวณที่เคยตั้งหอกลองเดิม โดยมี<br />
ลักษณะหอกลองในรูปแบบหอประจำเชิงเทินบนกำแพงเมือง พร้อมกับ<br />
อัญเชิญดวงวิญญาณของเจ้าพ่อหอกลอง (เจ้าพระยาสีห์สุรศักดิ์ (จัน) ขึ้น<br />
ศาลเจ้าพ่อหอกลองจำลอง<br />
ประทับยังศาลจำลองบริเวณชั้นที่ ๓ (ที่ตั้งของสำนักงานอนุศาสนาจารย์<br />
กรมเสมียนตรา) มาจวบจนปัจจุบัน<br />
ต่อมา ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๐ ที่มีการปรับปรุงอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
จึงได้ทำการปรับปรุงศาลเจ้าพ่อหอกลองขึ้นมาใหม่แทนศาลเดิมที ่รื้อออก<br />
บริเวณด้านทิศตะวันออกของสนามภายในศาลาว่าการกลาโหมหรือในที่เดิม<br />
โดยมีรูปแบบเป็นสถาปัตยกรรมทรงไทยทรงจัตุรมุข มียอดมณฑปขนาด<br />
ประมาณ ๖ เมตร โครงสร้างคอนกรีตเสริมเหล็ก พื้นปูหินอ่อน ประดับ<br />
ลวดลายปูนปั้นลายไทย หน้าบันทั้ง ๔ ด้าน จัดทำเป็นรูปปูนปั้นนูนต่ำรูป<br />
กลองโบราณ รอบนอกศาลปูหินแกรนิต มีการติดตั้งปืนคาร์โรเน็ต หุ้มปาก<br />
กระบอกปืนลงดินและท้ายกระบอกปืนชี้ขึ้นฟ้าบริเวณด้านหลังศาลจำนวน<br />
๒ กระบอก ประกอบพิธีอัญเชิญเจ้าพ่อหอกลองขึ้นประทับศาล เมื่อวันที่<br />
๓ เมษายน ๒๕๔๑ โดย พลเอก ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีตปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม เป็นประธานในการประกอบพิธี<br />
98
เรื่องเล่าที่ ๖๓<br />
กลองประจำพระนคร<br />
เมื่อกล่าวถึงศาลเจ้าพ่อหอกลองแล้ว ขอใช้โอกาสนี้นำเสนอข้อมูล<br />
เรื่องกลองประจำพระนคร และความเกี ่ยวข้องกับศาลาว่าการกลาโหม<br />
เพื่อให้ทุกท่านได้กรุณาทราบว่า มีการบันทึกเรื่องกลองประจำพระนครไว้<br />
ดังนี้<br />
๑. สมัยกรุงศรีอยุธยา ได้มีการสร้างหอกลองประจำเมือง โดยให้<br />
อยู่ในความควบคุมดูแลของกรมพระนครบาล โดยลักษณะของหอกลอง<br />
เป็นหอสูงสามชั้น สร้างด้วยไม้ สูง ๑ เส้น ๑๐ วา หลังคาเป็นทรงยอดสูง<br />
ซึ่งแต่ละชั้นจะมีกลองอยู่ประจำชั้น ดังนี้<br />
๑.๑ ชั้นบน เป็นที่ตั้งของกลองขนาดเล็ก มีชื่อว่า “มหาฤกษ์”<br />
ซึ่งจะใช้ตีก็ต่อเมื่อมีข้าศึกยกทัพเข้ามาเข้ามาประชิดพระนคร<br />
๑.๒ ชั้นกลาง เป็นที่ตั้งของกลองขนาดกลาง มีชื่อว่า<br />
“พระมหาระงับดับเพลิง” ซึ่งจะใช้ตีเมื่อเกิดเหตุอัคคีภัยบริเวณภายในหรือ<br />
รอบพระนคร โดยมีจังหวะของการตีกลองนี้ ๓ จังหวะ คือ ถ้าเกิดเหตุ<br />
เพลิงไหม้บริเวณเชิงกำแพงเมืองหรือบริเวณกำแพงเมือง เจ้าหน้าที่จะ<br />
ตีกลองนี้ตลอดเวลาจนกว่าเพลิงจะดับ<br />
๑.๓ ชั้นล่าง หรือเรียกอีกอย่างว่า ชั้นต้น จะเป็นที่ตั้งของกลอง<br />
ขนาดใหญ่ มีชื่อว่า “พระทิวาราตรี” ซึ่งจะใช้ตีบอกเวลา เริ่มตั้งแต่ เวลาเช้า<br />
เวลาเที่ยง และเมื่อตะวันยอแสงเวลาพลบค่ำ อีกทั้งอาจก็จะตีในโอกาส<br />
ที่จะมีการประชุม เรียกว่า ย่ำสันนิบาต<br />
๒. สมัยกรุงรัตนโกสินทร์พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราช ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างหอกลองประจำเมือง<br />
ตามคติที่ใช้กันมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ให้สร้างหอกลองขึ้นที่บริเวณใกล้<br />
คุกเก่าที่เรียกว่า หับเผย ตั้งอยู่หน้าวัดโพธาราม (ปัจจุบันคือวัดพระเชตุพน<br />
วิมลมังคลารามราชวรวิหาร) สำหรับที่ดินที่ใช้สร้างหอกลองเรียกว่า สวน<br />
เจ้าเชตุ (ปัจจุบันคือบริเวณที่ตั้ง หน่วยบัญชาการรักษาดินแดน) ทั้งนี้<br />
หอกลองนี้มีลักษณะเช่นเดียวกับหอกลองในสมัยกรุงศรีอยุธยา คือเป็น<br />
อาคารทำด้วยไม้สูง ๓ ชั้น ไม่มีฝากั้น รูปทรงสูงชะลูดขึ้นไป หลังคาทำเป็น<br />
รูปมณฑป และภายในประดิษฐานกลองขนาดใหญ่ รวม ๓ ใบ มีชื่อ ขนาด<br />
และวัตถุประสงค์ในการใช้กล่าวคือ<br />
ภาพหอกลองเดิม (บริเวณสวนเจ้าเชตุ)<br />
๒.๑ ชั้นล่าง ประดิษฐานกลองชื่อว่า “กลองย่ำพระสุริย์ศรี”<br />
มีขนาดหน้ากว้าง ๘๒ เซนติเมตร ยาว ๘๒ เซนติเมตร ใช้สำหรับตีบอกเวลา<br />
๒.๒ ชั้นที่สอง ประดิษฐานกลองชื่อว่า “กลองอัคคีพินาศ”<br />
มีขนาดหน้ากว้าง ๖๐ เซนติเมตร ยาว ๖๑ เซนติเมตร ใช้สำหรับตีในกรณี<br />
เกิดอัคคีภัย<br />
๒.๓ ชั้นบนสุด ประดิษฐานกลองชื่อว่า “กลองพิฆาตไพรี”<br />
มีขนาดกว้าง ๔๔ เซนติเมตร ยาว ๔๖ เซนติเมตร สำหรับตีเมื่อเกิด<br />
ศึกสงครามในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และรัชสมัย<br />
พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้<br />
ซ่อมแซมและปรับปรุงอาคารหอกลองนี้ ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้รื้อหอกลองและ<br />
นำกลองทั้ง ๓ ใบ ไปเก็บรักษาชั่วคราวไว้ที่ชั้น ๔ ของหอคอยโรงทหารหน้า<br />
เนื่องจากต้องการใช้พื้นที่ในการสร้างและขยายถนนสนามไชยก่อนย้ายไป<br />
เก็บรักษาเป็นการถาวรที่หอริมประตูเทวาพิทักษ์ ในพระบรมมหาราชวัง<br />
และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้นำกลองทั้ง<br />
๓ ใบ มาจัดแสดงในพิพิธภัณฑสถานสำหรับพระนคร (ปัจจุบันคือ<br />
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร)<br />
99
ภาพกลองประจำพระนคร<br />
(ปัจจุบันตั้งแสดงที่พระที่นั่งปฤษฎางคภิมุข พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร)<br />
(๒) กลองอินทเภรี เป็นกลองศึกที่ใช้บอกสัญญาณในการ<br />
ทำศึกสงคราม ซึ่งถือว่าเป็นกลองของพระอินทร์ใช้บอกสัญญาณในการ<br />
เคลื่อนทัพ การเข้าสัประยุทธ์ ซึ่งในบางตำราอาจเรียกว่ากลองสะบัดชัย<br />
นอกจากนี้ ในบางท้องถิ่นอาจใช้ชื่อกลองอินทเภรีเป็นการตีบอกเวลา<br />
ด้วยเช่นกัน (ในจังหวัดพิษณุโลก) ปัจจุบัน กลองอินทเภรี ได้จัดแสดง<br />
ไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร<br />
อย่างไรก็ตาม นอกจากกลองทั้งสามใบประจำหอกลองแล้ว ยัง<br />
ปรากฏว่ามีกลองที่สำคัญของประเทศ หรือกลองประจำพระนครอีก ๒ ใบ<br />
และมีประวัติสำคัญ กล่าวคือ<br />
(๑) กลองวินิจฉัยเภรี หรือ “กลองร้องทุกข์” ในรัชสมัยพระบาท<br />
สมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระราชดำริการบำบัดทุกข์ของราษฎร<br />
จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อกลองสำหรับตีกลอง<br />
ร้องฎีกา ว่า “กลองวินิจฉัยเภรี” ตั ้งไว้ ณ ทิมดาบกรมวัง (ศาลาแถว<br />
พวกขุนนางคอยเฝ้าฟังกระแสราชการ) ในบริเวณพระบรมมหาราชวัง<br />
ให้กรมวังลั่นกุญแจไว้ เมื่อผู้ใดจะไปร้องถวายฎีกา กรมวังก็จะไปไขกุญแจให้<br />
เมื่อตีกลองแล้วตำรวจเวรก็ไปรับตัวและเรื่องราวของผู้ตีมาแล้วจึงนำ<br />
ความขึ้นกราบบังคมทูล เพื่อมีพระบรมราชโองการตรัสสั่งให้ผู้ใดต้อง<br />
ชำระความ ก็ให้ส่งเรื่องที่ถวายฎีกาไปตามรับสั่งนั้น พระองค์จะตรัสถาม<br />
ในเรื่องที่มีผู้ร้องฎีกาเสมอ ซึ่งตระลาการผู้ต้องชำระความก็ต้องชำระความ<br />
ไปตามกฎหมายด้วยความถูกต้องให้ความยุติธรรมแก่ผู้ร้องถวายฎีกา<br />
ปัจจุบัน กลองวินิจฉัยเภรี ได้จัดแสดงไว้ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร<br />
100
เรื่องเล่าที่ ๖๔<br />
ตราสัญลักษณ์สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ในปัจจุบัน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถือเป็นส่วนราชการ<br />
สำคัญที่มีที่ตั้งอยู่ในอาคารศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งได้มีการจัดทำตรา<br />
สัญลักษณ์ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นรูปปูนปั้นนูนต่ำ<br />
รูปจักรสมอ<strong>ปี</strong>กเรียงสอดไว้ด้วยกัน ประดิษฐานอยู่ที่บริเวณหน้าจั่วของ<br />
อาคารมุขกลางภายในอาคารศาลว่าการกลาโหม โดยที่ จักรสมอ<strong>ปี</strong>ก<br />
ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ทางความมั่นคงของประเทศ และเป็นตราสัญลักษณ์<br />
ของส่วนราชการที่มีหน้าที่เตรียมกำลังและใช้กำลังตามภารกิจของกำลัง<br />
ทางบก กำลังทางน้ำ และกำลังทางอากาศ กล่าวคือ<br />
l จักร หมายถึง สัญลักษณ์ของทหารบก<br />
l สมอ หมายถึง สัญลักษณ์ของทหารเรือ<br />
l <strong>ปี</strong>ก หมายถึง สัญลักษณ์ของทหารอากาศ<br />
ทั้งนี้ เพราะสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นส่วนราชการ<br />
ขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีภารกิจสำคัญตามพระราชบัญญัติจัดระเบียบ<br />
ราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๑๓ กล่าวคือ<br />
“มาตรา ๑๓ สำนักงานปลัดกระทรวงมีหน้าที่เกี่ยวกับงานนโยบาย<br />
และยุทธศาสตร์งานราชการประจำทั่วไปของกระทรวง และราชการส่วน<br />
หนึ่งส่วนใดของกระทรวง ซึ่งมิได้กำหนดให้เป็นหน้าที่ของส่วนราชการ<br />
อื่นใด มีปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ”<br />
เมื่อเป็นเช่นนี้ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จึงมีหน้าที่ในการ<br />
ประสานงานด้านนโยบายและยุทธศาสตร์กับทั้ง ๓ เหล่าทัพ จึงมีกำลังพล<br />
ที่กำเนิดมาจากทหารบก ทหารเรือ และทหารอากาศ รวมถึงกำลังพล<br />
ที่ต้องปฏิบัติราชการกับ ๓ เหล่าทัพ นอกจากนี้ กำลังพลในสังกัดสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ยังมีกำลังพลที่แต่งกายเหล่าทหารบก ทหารเรือ<br />
และทหารอากาศ ปฏิบัติหน้าที่ในหน่วยขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหมอีกด้วย<br />
ต่อมาใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๕๕ มีการต่อเติมอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
ทางทิศตะวันออกขึ้นใหม่ จึงได้ทำการจัดทำตราสัญลักษณ์ของสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหมขึ้นที่หน้าจั่วของอาคารด้านทิศตะวันออกหันหน้า<br />
เข้าหาคลองคูเมืองเดิม<br />
101
เรื่องเล่าที่ ๖๕<br />
เกียรติภูมิของสนามภายในอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
๒.๑ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จ<br />
พระราชดำเนินมาทอดพระเนตรและพระราชทานรางวัลแก่นักกีฬา<br />
ผู้ชนะเลิศการแข่งขันกีฬาภายในศาลาว่าการกลาโหม โดยประทับ<br />
ณ พระที่นั่งชุมสาย บริเวณสนามหญ้า ภายในศาลาว่าการกลาโหม บริเวณ<br />
ใกล้บันไดทางขึ้นลงด้านหลังมุขกลาง<br />
๒.๒ เมื่อวันที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๔๖๐ มีการประกอบพิธี<br />
ตรียัมปวาย (โล้ชิงช้า) โดยมีการตั ้งขบวนแห่พระยาโล้ชิงช้า เริ่มต้นจาก<br />
สนามภายในศาลาว่าการกลาโหม<br />
สนามภายในศาลาว่าการกลาโหมนี้ มีเกียรติภูมิและเกียรติประวัติ<br />
ทางการทหารและประเทศไทยมากมาย โดยมีเหตุการณ์สำคัญ กล่าวคือ<br />
๑. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ใช้ประกอบ<br />
พระราชพิธีสำคัญ ดังนี้<br />
๑.๑ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวในพิธี<br />
ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา เมื่อวันเสาร์ที่ ๙ เมษายน ๒๔๓๐<br />
๑.๒ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ในพระราชพิธีรัชดาภิเษกพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๓๖<br />
๑.๓ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ในพระราชพิธีสมโภชเมื่อเสด็จพระราชดำเนินกลับจากการประพาสยุโรป<br />
คราวแรก เมื่อวันที่ ๕ มกราคม ๒๔๔๐<br />
๑.๔ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ในพิธีถวายพระคทาจอมพลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน ๒๔๔๖<br />
๑.๕ พิธีพระราชทานธงชัยเฉลิมพล สมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานธงชัยเฉลิมพล<br />
ณ สนามหญ้า ภายในศาลายุทธนาธิการ เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๕๑<br />
๒. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเหตุการณ์<br />
สำคัญ ดังนี้<br />
ภาพขบวนพิธีแห่พระยาโล้ชิงช้าบริเวณถนนสนามไชยและถนนเฟื่องนครเดิม<br />
(ถนนกัลยาณไมตรี)<br />
๒.๓ ภายหลังที่พระบาท<br />
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงตัดสินพระราชหฤทัยนำ<br />
ประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลก<br />
ครั้งที่ ๑ เมื่อวันที่ ๒๒ กรกฎาคม<br />
๒๔๖๐ โดยประกาศสงครามกับ<br />
กลุ่มประเทศฝ่ายอักษะ มีการทำพิธี<br />
มหาพิชัยยุทธ และในวันที่ ๑๙<br />
มิถุนายน ๒๔๖๑ พระราชทาน<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีศักดิ์<br />
รามาธิบดี ประดับธงชัยเฉลิมพล<br />
ให้เป็นเกียรติแก่กองทหารอาสา ณ<br />
พระที่นั่งชุมสาย ภายในศาลาว่าการ<br />
กลาโหม<br />
102
๓. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มีเหตุการณ์<br />
สำคัญ ดังนี้<br />
๓.๑ รับเสด็จพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และ<br />
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ที่ทรงพระกรุณาเสด็จ<br />
พระราชดำเนินมาตรวจแถวและเสวยพระกระยาหารค่ำ ณ ศาลาว่าการ<br />
กลาโหม ในโอกาสเสด็จนิวัตพระนคร เมื่อเดือนตุลาคม ๒๔๗๔<br />
จอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต<br />
เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นองค์ประธานการแข่งขันกีฬาภายในกระทรวงกลาโหม<br />
๓.๒ มีการจัดแข่งกีฬาภายในกระทรวงกลาโหม โดยเสนาบดี<br />
ในสมัยนั้น ๒ พระองค์เสด็จมาเป็นประธาน คือ นายพลเอก พระเจ้า<br />
บรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัคร<br />
โยธิน และจอมพล สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์<br />
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต<br />
๔. รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
บรมนาถบพิตร มีเหตุการณ์สำคัญ ดังนี้<br />
๔.๑ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
บรมนาถบพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานกระบี่และ<br />
พระราชทานปริญญาบัตรแก่นายทหารผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน<br />
นายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ<br />
ระหว่าง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๐๐ จนถึง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๑๙ ก่อนเปลี่ยนไปประกอบพิธี<br />
ณ หอประชุมใหญ่ สวนอัมพร<br />
นายพลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพ็ชรอัครโยธิน<br />
ฉายภาพกับกำลังพลในกระทรวงกลาโหม<br />
103
๔.๒ สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙<br />
เป็นผู้แทนพระองค์ เสด็จพระราชดำเนินมาพระราชทานกระบี่และ<br />
พระราชทานปริญญาบัตรแก่นายทหารผู้สำเร็จการศึกษาจากโรงเรียน<br />
นายร้อยพระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และโรงเรียนนายเรืออากาศ<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๑๗ และ <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๑๘<br />
๔.๓ เมื่อวันที่ ๑๗ ตุลาคม ๒๔๙๘ ประกอบพิธีเลี้ยงสังสรรค์<br />
เจ้าหน้าที่ไทย - อเมริกัน ในวาระครบรอบ ๕ <strong>ปี</strong> แห่งสนธิสัญญาว่าด้วย<br />
การช่วยเหลือทางการทหารระหว่างประเทศไทยและสหรัฐอเมริกา<br />
๔.๕ ปลาย<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๑๒ ประกอบพิธีประดับเหรียญชัยสมรภูมิ<br />
กรณีสงครามเวียดนามแก่ทหารและทายาทของผู้ที่เสียชีวิต<br />
๔.๔ เมื่อวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๕๑๒ ประกอบพิธีสวนสนาม<br />
อำลาผู้บังคับบัญชา เพื่อไปปฏิบัติราชการในสงครามเวียดนาม<br />
104
เรื่องเล่าที่ ๖๖<br />
เกียรติประวัติของสนามหญ้าด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
นอกจากเกียรติภูมิของสนามภายในศาลาว่าการกลาโหมแล้ว<br />
สนามหญ้าด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหมยังเคยจารึกประวัติศาสตร์สำคัญ<br />
ระดับชาติของประเทศไทยไว้เมื่อวันอังคารที่ ๘ ตุลาคม ๒๔๘๓ กล่าวคือ<br />
ในวันดังกล่าว มีขบวนการเรียกร้องดินแดนไทยคืนจากฝรั่งเศสที่ใช้<br />
อำนาจไม่เป็นธรรมยึดดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขงไปใน กรณี ร.ศ.๑๑๒<br />
(พ.ศ.๒๔๓๖) ประกอบด้วย ยุวชนทหารและยุวนารีซึ่งเป็นนิสิตและ<br />
นักศึกษาจากจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์<br />
และการเมือง สมทบกับประชาชนผู้รักชาติรวมตัวกันใช้ชื่อ “เลือดไทย”<br />
พากันมาจากทุกสารทิศ นัดหมายมาพบกันที่จังหวัดพระนคร และเริ่ม<br />
เดินขบวนจากอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยใช้เส้นทางถนนราชดำเนินเคลื่อน<br />
เข้าสู่ท้องสนามหลวงและมีประชาชนและนักศึกษาบางส่วนเดินทาง<br />
มาทางถนนหน้าพระลาน และถนนสายต่างๆ เคลื่อนที่มาหยุดชุมนุมกัน<br />
ที่หน้าศาลาว่าการกลาโหม โดยผู้ร่วมชุมนุมในครั้งนี้ มีเจตนาเดียวกัน<br />
ที่จะแสดงพลังของประชาชนเพื่อสนับสนุนให้รัฐบาลใช้กำลังทหารเข้าต่อสู้<br />
กับฝรั่งเศส<br />
นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหม กับ นายพันเอก หลวงเกรียงศักดิ์พิชิต อดีต<br />
รองผู้บัญชาการทหารบก เจ้ากรมยุวชนทหารและรองอธิการบดีจุฬาลงกรณ์<br />
มหาวิทยาลัย ได้ให้การต้อนรับคณะยุวชนทหาร ยุวนารี และประชาชน<br />
ที่หน้าศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งผู้แทนของนิสิตและนักศึกษามหาวิทยาลัย<br />
ทั้งสองสถาบันในเครื่องแบบยุวชนทหารและยุวนารี ได้เสนอการเรียกร้อง<br />
ดินแดนคืนต่อ นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม พร้อมกับขอให้เป็นผู้น ำกองทัพ<br />
ของชาติเข้ายึดเอาดินแดนของไทยกลับคืนมาจากฝรั่งเศส เพื่อให้พี่น้อง<br />
105
ชาวไทยที่อยู่ในดินแดนดังกล่าว ได้กลับมาร่วมเป็นบ้านพี่เมืองน้องของไทย<br />
ตามเดิม พร้อมกันนี้ ยุวชนทหารและยุวนารีทั้งสองมหาวิทยาลัยได้แสดง<br />
เจตนารมณ์อย่างแน่วแน่ว่าจะมอบชีวิตไว้เป็นชาติพลี<br />
นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม ได้กล่าวปราศรัยต้อนรับ และ<br />
สรรเสริญสดุดีในความรักชาติ ความสามัคคี และความเสียสละเพื่อประเทศ<br />
ชาติของประชาชนชาวไทยทั้งมวล และขอมติสนับสนุนการเรียกร้อง<br />
ดินแดนในอินโดจีนกลับคืน พร้อมกับได้เชิญชวนให้ประชาชนร่วมกัน<br />
กล่าวปฏิญาณตนหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม จบแล้วได้กล่าวอวยชัย<br />
ให้พร ไชโยสามครั้ง เป็นภาพประวัติศาสตร์ที่ซาบซึ้งตรึงใจเป็นที่สุด<br />
หลังจากนั้น คณะประชาชน ยุวชนนายทหารได้เคลื่อนขบวนจากหน้า<br />
ศาลาว่าการกลาโหม มุ่งหน้าไปยังทำเนียบนายกรัฐมนตรี เพื่อเสนอมติ<br />
ของประชาชนในอันที่จะขอให้รัฐบาลใช้กำลังบังคับแก่รัฐบาลอินโดจีน<br />
ฝรั่งเศส ให้คืนดินแดนที่ไทยเสียไปอย่างยุติธรรม<br />
ซึ่งมีบทร้อยกรองเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ในหนังสือ เกียรติภูมิ...<br />
กระทรวงกลาโหม ภาคลิลิตคืนดินแดน ว่า<br />
โคลงสองสุภาพ<br />
๏ ยามเพลาเยี่ยงนี้ หมายบ่งบอกความชี้<br />
พี่น้องชาวไทย ฯ<br />
๏ เดินทางไกลมุ่งเน้น บอกต่อทวยหาญเฟ้น<br />
อย่ายั้งรีรอ ฯ<br />
๏ ยืนขอมิเคลื่อนย้าย เสียงกู่อีกชูป้าย<br />
ดั่งคล้ายหมายปอง ฯ<br />
๏ ทำนองหมายเร่งเร้า จงก่อกองทัพเข้า<br />
ต่อสู้ไพรี ฯ<br />
จากนั้นเป็นต้นมา การเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนของประชาชน<br />
ก็เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องมากมาย ทั้งในจังหวัดพระนครและแพร่ขยาย<br />
ออกไปทั่วประเทศ ซึ่งการเดินขบวนครั้งนี้เป็นการเดินขบวนเพื่อการ<br />
มีส่วนร่วมทางการเมืองของประชาชนหรือเป็นสงครามภาคประชาชน<br />
เป็นครั้งแรกในประเทศไทย และนำไปสู่สงครามอินโดจีน ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๔<br />
ในเวลาต่อมา<br />
106
เรื่องเล่าที่ ๖๗<br />
การฉลองชัยชนะที่มีต่อฝรั่งเศสในสงครามอินโดจีน<br />
ภายหลังจากที่รัฐบาลไทยได้พยายามดำเนินการทางการทูตในการ<br />
เจรจากับผู้แทนรัฐบาลฝรั่งเศสเรื่องดินแดนฝั่งซ้ายของแม่น้ำโขงหลายครั้ง<br />
แต่ฝ่ายฝรั่งเศสไม่มีท่าทียินยอม จนเกิดการปะทะกันบ่อยครั้ง ทั้งทางบก<br />
และทางอากาศ และมีการเคลื่อนกำลังทหารไทยพร้อมประกาศสงคราม<br />
กับฝรั่งเศสในวันที่ ๗ มกราคม ๒๔๘๔ และในที่สุดญี่ปุ่นได้เข้ามาไกล่เกลี่ย<br />
กรณีพิพาทดังกล่าว โดยมีการประกาศหยุดยิงในเวลา ๑๘.๐๐ นาฬิกา<br />
ของวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๔๘๔ พร้อมกับจัดประชุมเพื่อยุติข้อพิพาทที่<br />
กรุงโตเกียว ระหว่างวันที่ ๗ กุมภาพันธ์ ถึง ๑๑ มีนาคม ๒๔๘๔<br />
ผลจากการประชุม ปรากฏว่า รัฐบาลฝรั่งเศสยอมยกดินแดน แคว้น<br />
หลวงพระบางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แคว้นจำปาศักดิ์ และแคว้นเขมรบางส่วนให้<br />
แก่ไทย ซึ่งข้อตกลงดังกล่าวเป็นที่พอใจของฝ่ายไทย โดยเฉพาะประชาชน<br />
โดยรายละเอียดนั้น กระทรวงกลาโหมได้มีการจัดทำเป็นรูปเล่มพร้อมทั้ง<br />
บทร้อยกรองและร้อยแก้ว ในหนังสือ เกียรติภูมิ...กระทรวงกลาโหม<br />
ภาค ลิลิตคืนดินแดน<br />
ดังนั้น กระทรวงกลาโหมจึงได้จัดให้มีพิธีสวนสนามฉลอง<br />
ชัยชนะขึ้นที่พระนคร เมื่อวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๔๘๔ หน้าศาลาว่าการ<br />
กลาโหม โดยมีการจัดทำประตูชัยประกอบพิธีด้วยเพื่อให้ขบวนทหาร<br />
เดินผ่าน เช่นเดียวกันกับสมัยสงครามโลก ครั้งที่ ๑ การสวนสนามครั้งนั้น<br />
ประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ ทหารอากาศ และตำรวจสนาม รวมทั้ง<br />
มีเครื่องบินกองทัพทหารอากาศเข้าร่วมพิธีด้วย ซึ่งประธานในพิธีคือ<br />
จอมพล ป.พิบูลสงคราม (ได้รับพระราชทานยศจอมพล หลังจากเสร็จสิ้น<br />
สงครามอินโดจีน) อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหม ผู้บัญชาการเหล่าทัพ แม่ทัพสนาม และพลเอก หลวงสวัสดิ์รณรงค์<br />
อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมพิธีด้วย<br />
107
เรื่องเล่าที่ ๖๘<br />
กิจการทหารไทยกับการใช้ประโยชน์ภายในตัวอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงลงพระปรมาภิไธย<br />
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕<br />
การจัดสร้างอาคารโรงทหารหน้าอย่างมโหฬารในอดีตนั้น ในช่วงแรก<br />
มีการใช้ประโยชน์ในกิจการทหาร กล่าวคือ สามารถบรรจุกำลังทหารได้ถึง<br />
๑ กองพล พร้อมอาวุธยุทโธปกรณ์ สัตว์พาหนะ เสบียงอาหาร ยานพาหนะ<br />
โรงครัว และโรงพยาบาลไว้อย่างครบครัน สำหรับกำลังทหาร สามารถ<br />
รองรับทหารเหล่าต่างๆ ประกอบด้วย ทหารราบ ทหารปืนใหญ่ ทหารช่าง<br />
ทหารม้า ทหารเสนารักษ์ ทหารพลาธิการและทหารดุริยางค์ โดยการ<br />
ประกอบกำลังจากนายทหารชั้นสัญญาบัตร นายทหารชั้นประทวน และ<br />
พลทหาร ทั้งยังเป็นต้นกำเนิดของเหล่าทหารดังกล่าวอีกด้วย<br />
ในยุคต่อมา อาคารศาลาว่าการกลาโหม ได้เคยใช้เป็นที่ทำการ<br />
สำคัญของหน่วยทหาร อาทิ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก กองบัญชาการ<br />
กองทัพบก หน่วยงานของกองทัพบก และหน่วยงานของสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
เนื่องจากมีการขยายหน่วยใหม่เป็นจำนวนมากเพื่อรองรับ<br />
วิวัฒนาการทางทหารของประเทศ ทำให้ต้องบรรจุกำลังพลมากขึ้น และ<br />
ต้องใช้พื้นที่ในการปฏิบัติราชการเป็นจำนวนมาก จึงทำให้เกิดความแออัด<br />
ประกอบกับ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก และกองบัญชาการกองทัพบก<br />
ได้ปรับปรุงพื้นที่ปฏิบัติราชการ จึงทำให้มีการย้ายหน่วยออกจาก<br />
ศาลาว่าการกลาโหมไปตั้งในพื้นที่ต่างๆ<br />
ปัจจุบัน ศาลาว่าการกลาโหมจึงใช้ประโยชน์ทางทหารในส่วนที่<br />
สำคัญ กล่าวคือ<br />
๑. เป็นที่ทำการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
๒. เป็นที่ทำการของปลัดกระทรวงกลาโหม และรองปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม<br />
๓. เป็นที่ทำการของจเรทหารทั่วไป และผู้บังคับบัญชาชั้นสูงอื่น<br />
ตามความเหมาะสม<br />
๔. เป็นสถานที่จัดการประชุมในระดับนโยบายชั้นสูงของ<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
๕. เป็นสถานที่ประกอบพิธีทางการทูตด้านการทหารกับผู้แทน<br />
กระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ<br />
๖. เป็นสถานที่ทำงานของส่วนราชการขึ้นตรงสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม ที่ต้องปฏิบัติงานใกล้ชิดกับผู้บังคับบัญชาชั้นสูง<br />
๗. เป็นสถานที่จัดแสดงทางประวัติศาสตร์ เกียรติประวัติของ<br />
กระทรวงกลาโหม ทั้งพิพิธภัณฑ์ในอาคารและพิพิธภัณฑ์กลางแจ้ง<br />
108
เรื่องเล่าที่ ๖๙<br />
ศาลาว่าการกลาโหมกับการเมืองการปกครองของไทย<br />
พระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕<br />
ภารกิจสำคัญของอาคารศาลาว่าการกลาโหม นอกจากเป็นสถานที่<br />
ปฏิบัติภารกิจการถวายงานสนองพระเดชพระคุณพระมหากษัตริย์ เป็น<br />
สถานที่ประกอบกิจกรรมทางทหารที่เคยใช้ประโยชน์จากโรงทหารหน้า<br />
และกระทรวงกลาโหมแล้ว ศาลาว่าการกลาโหม ยังเคยใช้เป็นสถานที่<br />
ในการรักษาความมั่นคงของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และความมั่นคง<br />
ทางการเมืองการปกครองของไทย และการรักษาความสงบสุขให้เกิดขึ้น<br />
ในสังคมไทย ดังนี้<br />
๑. วันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๔๗๕ คณะราษฎร์ ได้นำ พระราชบัญญัติ<br />
ธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช ๒๔๗๕ (ถือว่า<br />
เป็นรัฐธรรมนูญฉบับแรกแห่งราชอาณาจักรไทย) ซึ่งพระบาทสมเด็จ<br />
พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระปรมาภิไธย มาเก็บรักษาไว้ที่ศาลา<br />
ว่าการกลาโหม จนกระทั่ง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๒๖ กระทรวงกลาโหม โดย พลเอก<br />
ทวนทอง สุวรรณทัต อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ได้นำพระราชบัญญัติฯ<br />
ฉบับดังกล่าวไปมอบให้กับ พลอากาศเอก หะริน หงสกุล ประธานรัฐสภา<br />
เพื่อนำไปเก็บรักษาที่รัฐสภา<br />
๒. วันที่ ๘ ตุลาคม ๒๔๘๓ นายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม<br />
นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ใช้สนามหญ้า<br />
หน้าศาลาว่าการกลาโหมเป็นที่ให้การต้อนรับคณะยุวชนทหาร ยุวนารี<br />
และประชาชนต่อกรณีการเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศส<br />
๓. วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๔๙๐ พลโท ผิน ชุณหะวัน (ยศใน<br />
ขณะนั้น) เป็นหัวหน้าคณะรัฐประหาร ได้ใช้อาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
เป็นที่ทำการประชุมวางแผน เพื่อเตรียมยึดอำนาจจากรัฐบาล พลเรือตรี<br />
ถวัลย์ ธำรงนาวาสวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ซึ่งสืบอำนาจต่อจากรัฐบาล<br />
นายปรีดี พนมยงค์ ที่ไม่สามารถจัดการกับปัญหาความขัดแย้งกันในชาติได้<br />
อันมีสาเหตุหลักจากเหตุการณ์สวรรคตของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
อานันทมหิดล ประกอบกับมีการทุจริตคอร์รัปชันในวงราชการ และประเทศ<br />
กำลังประสบปัญหาเศรษฐกิจ<br />
๔. เมื่อวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๑๔ จอมพล ถนอม กิตติขจร<br />
ได้ทำการปฏิวัติยึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน และได้ใช้ห้องประชุม<br />
กระทรวงกลาโหม (ห้องทำงาน พลเอก จิตติ นาวีเสถียร ผู้ช่วยผู้บัญชาการ<br />
ทหารสูงสุด) เป็นห้องประชุมและเป็นกองบัญชาการของคณะปฏิวัติ<br />
เพื่อการปฏิบัติงานในฝ่ายรักษาความมั่นคงแห่งชาติ ให้ดำเนินไป<br />
ด้วยความเรียบร้อย ตามนโยบายของคณะปฏิวัติ<br />
เหตุการณ์ดังกล่าวมานี้คือ เหตุการณ์สำคัญทางการเมืองการ<br />
ปกครอง ที่มีการบันทึกถึงความเกี่ยวข้องกับศาลาว่าการกลาโหม<br />
109
เรื่องเล่าที่ ๗๐<br />
กองบัญชาการกองทัพบกยุคเริ่มแรก<br />
ในยุคแรกของโรงทหารหน้ามีการบรรจุกำลังทหารของทหาร<br />
เหล่าต่างๆ ซึ่งรวมถึง หน่วยทหารราบด้วย ต่อมาเมื่อมีการประกาศ<br />
พระบรมราชโองการ ชื่อว่า ประกาศจัดการทหาร เมื่อวันที่ ๘ เมษายน<br />
๒๔๓๐ โดยให้รวบรวมทหารบกและทหารเรือ ตั้งเป็นกรมใหม่ เรียกว่า<br />
กรมยุทธนาธิการ ก็มีการบัญญัติตำแหน่งผู้ช่วยผู้บังคับบัญชาการ<br />
ทหารบก และเมื่อมีการยกฐานะกรมยุทธนาธิการ ขึ้นเป็นกระทรวง<br />
ยุทธนาธิการ เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๔๓๓ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ให้ นายพันเอก พระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสง-ชูโต) เป็น ผู้บัญชาการ<br />
ทหารบก<br />
ต่อมาใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๕ เมื่อลดฐานะกระทรวงยุทธนาธิการ เป็น<br />
กรมยุทธนาธิการ มีหน้าที่ปกครองบังคับบัญชาทหารบก ก็มีการแบ่ง<br />
ส่วนราชการกรมยุทธนาธิการ เป็น ๑๔ หน่วย ซึ่งมี กรมทหารบกใหญ่<br />
เป็นส่วนราชการขึ้นตรงด้วย และใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๗ เมื่อโอนกรมยุทธนาธิการ<br />
มาเป็นส่วนราชการขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม ก็มีการบัญญัติให้มี<br />
หน่วยงานทหารบกหลายหน่วยเป็นส่วนราชการขึ้นตรงกรมยุทธนาธิการ<br />
อาทิ กรมปลัดทัพบก กรมจเรทัพบก กรมยกกระบัตรทัพบก<br />
ภายหลังเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ ได้มี<br />
การจัดตั้งกองทัพบกขึ้น โดยให้หน่วยงานที่เคยขึ้นตรงกรมยุทธนาธิการ<br />
เป็นหน่วยงานของกองทัพบก และใช้สำนักงานของส่วนบังคับบัญชา<br />
ส่วนใหญ่ที่ศาลาว่าการกลาโหม พร้อมกับย้ายที่ทำการกองทัพบกมาอยู่ที่<br />
ตึกกลางของศาลาว่าการกลาโหม จึงมีการถือกำเนิดหน่วยขึ้นตรง<br />
กองทัพบกเกิดขึ้นและจัดตั้งหน่วยในอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
แม้ว่าในเดือนกันยายน ๒๕๓๖ หน่วยงานต่างๆ ในกองทัพบก<br />
ได้ย้ายเข้าสู่ที่ตั้งใหม่ ณ กองบัญชาการกองทัพบกปัจจุบัน (โรงเรียนนายร้อย<br />
พระจุลจอมเกล้าเดิม) ก็ยังกล่าวได้ว่า ศาลาว่าการกลาโหม คือ ที่ทำการ<br />
กองบัญชาการกองทัพบกในยุคเริ่มแรก<br />
วารสารยุทธโกษที่จัดทำที่ศาลาว่าการกลาโหม<br />
ส่วนราชการบางส่วนของกองทัพบกที่เคยมีที่ตั้งในศาลาว่าการกลาโหม<br />
110
เรื่องเล่าที่ ๗๑<br />
โรงเรียนเสนาธิการทหารบกแห่งแรก<br />
ในช่วงปลายรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
กระทรวงกลาโหมได้จัดให้มีหลักสูตรเสนาธิการทหารบก เพื่อให้นายทหาร<br />
ที่ผ่านการคัดเลือกเข้ารับการศึกษา โดยเริ่มต้นตั้งโรงเรียนเสนาธิการ<br />
ทหารบกภายในอาคารศาลาว่าการกลาโหม บริเวณชั้นที่ ๒ ของอาคาร<br />
ด้านทิศเหนือ โดยเริ่มแรกเมื่อวันที่ ๒๖ เมษายน ๒๔๔๑ ได้มีการเปิดการ<br />
ศึกษาและฝึกหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการทหารบกขึ้นให้นายทหารเข้ามาทดลอง<br />
ศึกษา<br />
ต่อมาใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๔๖ จอมพล สมเด็จพระเจ้าพี่ยาเธอ เจ้าฟ้า<br />
กรมพระนครสวรรค์วรพินิต (ยังดำรงพระยศเป็น พลตรี ทรงดำรงตำแหน่ง<br />
เสนาธิการทหารบก) ได้ทรงสั่งการให้ทำการคัดเลือกนายทหารจาก<br />
กรมกองต่างๆ เข้ามาสำรองราชการในกรมเสนาธิการทหารบก เพื่อ<br />
เข้ามาศึกษาทดลองทำงานในหน้าที่ฝ่ายเสนาธิการ เมื่อครบกำหนดแล้ว<br />
ก็มีการพิจารณาคัดเลือกผู้มีความเหมาะสม ให้เข้ารับราชการประจำ<br />
ในกรมเสนาธิการทหารบกต่อไป<br />
เมื่อวันที่ ๓ เมษายน ๒๔๕๒ ได้เปิดการเรียนการสอนวิชาฝ่าย<br />
เสนาธิการเป็นครั้งแรก และใช้อาคารศาลาว่าการกลาโหมเป็นที่ตั้งโรงเรียน<br />
เสนาธิการทหารบก จนถึง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๖๗ จึงย้ายโรงเรียนเสนาธิการ<br />
ทหารบก จากศาลาว่าการกลาโหม ไปอยู่ในบริเวณกรมแผนที่ทหาร และ<br />
วังบางขุนพรหม ตามลำดับ<br />
ในระหว่าง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๓ - ๒๕๐๑ ได้ย้ายกลับมาใช้สถานที่<br />
ศึกษาในศาลาว่าการกลาโหมอีกครั้ง ก่อนที่จะย้ายไปที่สวนสนประดิพัทธ์<br />
และโรงเรียนยานเกราะตามลำดับ หลังจากนั้น วันที่ ๓ เมษายน ๒๕๑๓<br />
จึงย้ายเข้าสู่อาคารประภาสโยธิน ถนนเทอดดำริ แขวงถนนนครไชยศรี<br />
เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร เป็นการถาวรตราบจนถึงปัจจุบัน<br />
จึงกล่าวได้ว่า ศาลาว่าการกลาโหม คือ ที่ทำการของโรงเรียน<br />
เสนาธิการทหารบกแห่งแรก และยังให้ใช้เป็นสถานที่เรียนในยุค<br />
ต่อมา ทั้งยังเป็นสถานที่สำหรับผลิตอดีตผู้บังคับบัญชา และอดีต<br />
นายทหารฝ่ายเสนาธิการ (ซึ่งเป็นมันสมองของกองทัพ) อันทรงคุณค่า<br />
ให้แก่กองทัพไทยสืบมา<br />
จอมพล ป. พิบูลสงคราม กับ คณะนักเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ ๒๖<br />
ในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๖<br />
111
เรื่องเล่าที่ ๗๒<br />
ที่ทำการจเรทหาร ที่ปรึกษาทางทหาร และจเรทหารทั่วไป<br />
ภาพห้องปฏิบัติราชการและการประชุมที่สำคัญของคณะที่ปรึกษาทางทหาร<br />
ศาลาว่าการกลาโหม ยังมีเกียรติประวัติในเรื่องของการเป็นที่ทำการ<br />
สำคัญทางทหารอีก ๒ สำนักงาน ซึ่งในปัจจุบันอาจไม่คุ้นเคยกับบางต ำแหน่ง<br />
เท่าใดนัก จึงขอเรียน ดังนี้<br />
๑. ที่ทำการจเรทัพบก เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม ๒๔๕๓ พระบาท<br />
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดตั้ง<br />
กระทรวงกลาโหม รับผิดชอบในการดำเนินกิจการทหารบก และกระทรวง<br />
ทหารเรือ รับผิดชอบในการดำเนินกิจการทหารเรือ พร้อมกับแต่งตั้งให้<br />
นายพลเอก สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์<br />
กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงดำรงพระยศจอมพล ในตำแหน่ง<br />
จเรทัพบก ซึ่งมีที่ทำการจเรทัพบกอยู่ในศาลาว่าการกลาโหม<br />
๒. ที่ทำการจเรทหารทั่วไป เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๕๖ พระบาท<br />
สมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้<br />
จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์<br />
กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ทรงเป็นจเรทหารทั่วไป โดยให้มีหน้าที่<br />
เป็นผู้ตรวจและแนะนำตักเตือนหน่วยทหารทั่วไปให้ปฏิบัติตามระเบียบ<br />
ข้อบังคับ ซึ่งกระทรวงกลาโหมได้ออกไว้ ทั้งดำริการแก้ไขเพิ่มเติมในสิ่งใด<br />
สิ่งหนึ่ง ซึ่งทรงเห็นยังบกพร่องอยู่ในหน่วยทหารทั่วไป ซึ่งมีที่ทำการ<br />
จเรทหารอยู่ในศาลาว่าการกลาโหม บริเวณมุขกลางด้านหน้า<br />
๓. ที่ทำการจเรทหารทั่วไปและที่ปรึกษาทางทหาร ในสมัยที่<br />
จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม (ระหว่าง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๒ - ๒๕๐๐) ได้มีการแต่งตั้ง<br />
ตำแหน่งจเรทหารทั่วไป และที่ปรึกษาทางทหารของรัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหมขึ้น โดยให้มีที่ทำการอยู่ที่ชั้น ๓ ตึกกลางมุขหน้าศาลา<br />
ว่าการกลาโหม<br />
ซึ่งในเวลาต่อมา ได้มีการยกเลิกตำแหน่งที่ปรึกษาทางทหารของ<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และงดการแต่งตั้งข้าราชการทหาร<br />
ลงในตำแหน่งจเรทหารทั่วไปมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง และใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๒๙<br />
มีการแต่งตั้งจเรทหารทั่วไปเป็นต้นมา<br />
ภาพห้องปฏิบัติราชการของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
ห้องรับรองแขกในราชการทหาร<br />
112
เรื่องเล่าที่ ๗๓<br />
อาคารวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร<br />
ในอดีตวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร หรือ วปอ. ได้เคยเปิดทำการ<br />
ศึกษาที่ศาลาว่าการกลาโหม เป็นรุ่นแรกๆ โดยมีความเป็นมาและสาระ<br />
สำคัญ กล่าวคือ<br />
๑. ภายหลังกองทัพไทยได้ส่งกองกำลังเข้าร่วมปฏิบัติการรักษา<br />
สันติภาพที่เกาหลีใต้ ที่รู้จักกันว่า สงครามเกาหลี ภายใต้การนำของ<br />
สหรัฐอเมริกา เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๓ รัฐบาลสหรัฐอเมริกาและกองทัพ<br />
สหรัฐอเมริกาได้ให้ความช่วยเหลือทางทหารแก่กองทัพไทยเพื่อการป้องกัน<br />
และรุกรานเผยแพร่ลัทธิคอมมิวนิสต์ โดยกำหนดให้มีการจัดการศึกษา<br />
ซึ่งหลักสูตรการป้องกันราชอาณาจักรของสหรัฐอเมริกาก็เป็นหนึ่งในจ ำนวน<br />
ของความช่วยเหลือทางทหารที่กองทัพไทยมีความประสงค์ให้จัดตั้งขึ้น<br />
๒. จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการ<br />
กลาโหม (ในขณะนั้น) ได้นำเรื่องจัดตั้งวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร<br />
นำเสนอต่อสภากลาโหม ซึ่งสภากลาโหมมีมติอนุมัติให้เปิดหลักสูตร<br />
กับให้กรมเสนาธิการกลาโหม (ปัจจุบันคือ กองบัญชาการกองทัพไทย)<br />
เป็นหน่วยดำเนินการพิจารณาสรรหาที่ตั้งของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร<br />
๓. ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๖ พลเอก เดช เดชประดิยุทธ เสนาธิการกลาโหม<br />
ตกลงใจเลือกบริเวณด้านหลังอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันออก<br />
เป็นที่ก่อสร้างวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เป็นผลให้กระทรวงกลาโหม<br />
อนุมัติให้รื้อถอนอาคารที่พักทหาร เรือนจำทหาร (ตะรางกลาโหม) และ<br />
ปรับพื้นที่ด้านทิศตะวันออกของศาลาว่าการกลาโหมเพื่อจัดสร้างวิทยาลัย<br />
ป้องกันราชอาณาจักร<br />
๔. พิธีวางศิลาฤกษ์จัดขึ้นในวันอาทิตย์ที่ ๕ สิงหาคม ๒๔๙๖ บริเวณ<br />
ด้านทิศเหนือริมถนนหลักเมือง มี พลเอก หลวงวิชิตสงคราม ที่ปรึกษาทาง<br />
ทหาร (อดีตรัฐมนตรีและปลัดกระทรวงกลาโหม) เป็นประธานในพิธีวาง<br />
ศิลาฤกษ์ โดยกำหนดให้มีที่ทำการอยู่ด้านหลังของอาคารศาลาว่าการ<br />
กลาโหม ริมคูเมืองชั้นใน ซึ่งเรียกกันว่า คลองโรงไหม (คลองเตยหรือ<br />
คลองหลอด) ดำเนินการก่อสร้างในวงเงินงบประมาณ ๗,๔๙๓,๐๐๐.- บาท<br />
๕. ลักษณะอาคารเป็นอาคารคอนกรีตเสริมเหล็ก ๓ ชั้น โดย<br />
เป็นสถาปัตยกรรมร่วมสมัยในขณะนั้น เช่นเดียวกันกับอาคารกระทรวง<br />
คมนาคม อาคารที่ทำการองค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ ได้สร้างเชื่อมเป็น<br />
ภาพในกรอบสี่เหลี่ยมคือ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร<br />
(หอคอยกระทรวงกลาโหม ได้รื้อถอนออกใน<strong>ปี</strong> พ.ศ. ๒๕๐๐)<br />
ส่วนหนึ่งของอาคารด้านหลังของกระทรวงกลาโหม มีทางเดินติดต่อกัน ๓ ชั้น<br />
คือ (๑) ชั้นบน เป็นห้องบรรยาย (๒) ชั้นกลาง เป็นห้องประชุม และ<br />
(๓) ชั้นล่าง เป็นห้องรับรอง ซึ่งใช้เป็นห้องประกอบพิธีพระราชทาน<br />
ปริญญาบัตรแก่นักศึกษาวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร<br />
๖. ด้าน<strong>ปี</strong>กของอาคารซึ่งต่อออกมาในทางทิศใต้นั้น มีการจัดสรร<br />
พื้นที่การใช้ประโยชน์ออกเป็นที่ทำการหน่วยงาน รวม ๓ หน่วย คือ<br />
หนึ่ง เป็นที่ทำการของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร สอง เป็นที่ตั้งของ<br />
กรมเสนาธิการกลาโหม และ สาม เป็นที่ประชุมขององค์การสนธิสัญญา<br />
ป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (Southeast Asia Treaty<br />
Organization: SEATO)<br />
๗. วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ก่อสร้างแล้วเสร็จใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.<br />
๒๔๙๗ จึงได้ทำพิธีเปิดอาคารพร้อมกับพิธีเปิดการศึกษาหลักสูตร<br />
การป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) รุ่นที่ ๑ ในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม ๒๔๙๘<br />
โดยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นประธานในพิธี<br />
๘. ต่อมาใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๑๐ วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ได้ย้าย<br />
ที่ทำการไปอยู่ที่อาคารใหม่ ถนนวิภาวดีรังสิต เขตพญาไท กรุงเทพฯ<br />
จึงกล่าวได้ว่า อาคารศาลาว่าการกลาโหม ได้บันทึกประวัติศาสตร์<br />
ทางทหารอีกหนึ่งหน้า ด้านวิชาการ และการศึกษา ทั้งยังเป็นการวาง<br />
รากฐานของสถาบันวิชาการป้องกันประเทศในปัจจุบัน<br />
113
เรื่องเล่าที่ ๗๔<br />
ห้องประชุมกองบัญชาการทหารสูงสุด<br />
เมื่อวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรย้ายไปสู่ที่ตั้งใหม่ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.<br />
๒๕๑๐ ทำให้ห้องประชุมของวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักรเดิมไม่ได้<br />
ใช้งาน จึงปรับมาเป็นห้องประชุมกองบัญชาการทหารสูงสุด ซึ่งมีที่ตั้ง<br />
บริเวณหัวมุมถนนราชินีตัดกับถนนหลักเมือง เป็นห้องประชุมและห้อง<br />
จัดเลี้ยงขนาดบรรจุคนได้ไม่ต่ำกว่า ๓๐๐ คน โดยในระยะเวลาที่ผ่านมา<br />
ทางราชการทหารได้เคยใช้ประโยชน์หลายครั้ง ทั้งยังเคยใช้เป็นห้อง<br />
จัดพิธีสำคัญทางทหารด้วย กล่าวคือ<br />
๑. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถ<br />
บพิตร ได้เสด็จพระราชดำเนินในการพระราชทานปริญญาบัตร วุฒิบัตร<br />
ประกาศนียบัตร และเข็มวิทยฐานะ แก่ผู้ทรงคุณวุฒิและผู้สำเร็จการศึกษา<br />
จากวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยเสนาธิการทหาร วิทยาลัยการ<br />
ทัพบก วิทยาลัยการทัพเรือ วิทยาลัยการทัพอากาศ โรงเรียนเสนาธิการ<br />
ทหารบก โรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ และโรงเรียนเสนาธิการทหารอากาศ<br />
ระหว่าง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๙ จนถึง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๑๑ ก่อนเปลี่ยนไปประกอบพิธี<br />
ณ ห้องประชุมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ถนนวิภาวดีรังสิต และห้อง<br />
ประชุมใหญ่สวนอัมพร ตามลำดับ<br />
๒. เคยใช้เป็นห้องเลี้ยงรับรองในงานพิธีสำคัญของทางราชการ<br />
ทหาร อาทิ งานวันกองทัพไทย งานวันสถาปนาหน่วยขึ้นตรงกองบัญชาการ<br />
ทหารสูงสุดในอดีต<br />
๓. เคยใช้เป็นห้องเลี้ยงรับรองในงานรับรองผู้แทนทางทหาร<br />
มิตรประเทศ<br />
๔. ใช้เป็นห้องประกอบพิธีทางศาสนา และให้กำลังพลร่วมฟังเทศน์<br />
และปฏิบัติธรรม<br />
๕. กรมการเงินกลาโหม เคยใช้เป็นห้องสำหรับให้ผู้รับเบี้ยหวัด<br />
บำเหน็จ บำนาญ แสดงตนประจำ<strong>ปี</strong> เพื่อรับสิทธิจากทางราชการ<br />
๖. เคยใช้เป็นห้องจัดงานเลี้ยงของหน่วยขึ้นตรงสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม และหน่วยขึ้นตรงกองบัญชาการทหารสูงสุด<br />
๗. งานพิธีอื่นๆ<br />
114
เรื่องเล่าที่ ๗๕<br />
อาคารกองบัญชาการทหารสูงสุด<br />
กองบัญชาการทหารสูงสุด เคยมีที่ตั้งอาคารกองบัญชาการทหาร<br />
สูงสุด และอาคารที่ทำการหน่วยขึ้นตรงกองบัญชาการทหารสูงสุด<br />
ในบริเวณศาลาว่าการกลาโหม ด้านทิศตะวันออก โดยมีสาระสำคัญ ดังนี้<br />
๑. อาคารที่ทำการหน่วยขึ้นตรงกองบัญชาการทหารสูงสุด เริ่มต้น<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๐๓ ซึ่งเป็น<strong>ปี</strong>ที่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติจัดระเบียบ<br />
ราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๐๓ ซึ่งบัญญัติให้มีกองบัญชาการทหาร<br />
สูงสุด และได้มีพระราชกฤษฎีกากำหนดส่วนราชการขึ้นตรงกองบัญชาการ<br />
ทหารสูงสุดขึ้นเป็นครั้งแรก ในการนี้ จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี<br />
และผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้มีดำริและอนุมัติให้มีการจัดสร้างตึกที่ท ำการ<br />
หน่วยขึ้นตรงกองบัญชาการทหารสูงสุด และตึกโทรคมนาคมบริเวณ<br />
พื้นที่ระหว่างอาคารวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร กับด้านหลังอาคาร<br />
ทิศตะวันออกของศาลาว่าการกลาโหม จำนวน ๓ หลัง<br />
๒. ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๑๐ เมื่อวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ได้ย้าย<br />
ที่ทำการไปอยู่ที่อาคารใหม่ ถนนวิภาวดีรังสิต จึงได้ทำพิธีจัดตั้งอาคาร<br />
กองบัญชาการทหารสูงสุด ในวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๑๐ โดยใช้อาคาร<br />
จำนวน ๔ หลัง ด้านทิศตะวันออกของศาลาว่าการกลาโหมเป็นที่ทำการ<br />
ของกองบัญชาการทหารสูงสุด<br />
๓. ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๖ กองบัญชาการทหารสูงสุด ได้ย้ายที่ทำการ<br />
หน่วยขึ้นตรง ไปอยู่ ณ ที่ทำการใหม่ บริเวณถนนแจ้งวัฒนะ และส่งมอบ<br />
อาคาร จำนวน ๔ หลัง ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมดูแล<br />
๔. เมื่อแรกรับมอบอาคาร สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ได้ใช้ประโยชน์ของอาคารวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร เป็นที่ทำการของ<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม แต่เนื่องจากอาคาร<br />
ทั้ง ๔ หลัง เป็นอาคารที่มีอายุการใช้งานมานาน ประกอบกับสภาพภายใน<br />
อาคารชำรุดทรุดโทรม จึงมิได้มีการปรับปรุงเพื่อใช้ประโยชน์<br />
ภาพอาคารกองบัญชาการทหารสูงสุด (เดิม) ถนนราชินี ริมคลองคูเมืองเดิม (คลองหลอด)<br />
<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๕<br />
115
เรื่องเล่าที่ ๗๖<br />
แนวความคิดในการต่อเติมอาคารศาลาว่าการกลาโหมอันเนื่องมาจากพระราชดำริ<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร<br />
ฉลองพระองค์เครื่องแบบทหารบกเต็มยศ ทรงพระคทาจอมทัพภูมิพล<br />
ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของกระทรวงกลาโหม เคยมีดำริที่จะใช้พื้นที่<br />
อาคารกองบัญชาการทหารสูงสุดเดิม เพื่อก่อสร้างที่ทำการกระทรวง<br />
กลาโหมแห่งใหม่ ที่รวบรวมหน่วยงานที่กระจัดกระจายหลายแห่งไว้ใน<br />
ที่เดียวกัน โดยคำนึงถึงความสมดุลของสถาปัตยกรรม และการใช้งาน<br />
แต่เมื่อผู้บังคับบัญชาชั้นสูงได้อัญเชิญกระแสพระบรมราโชวาทในพระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร เมื่อครั้งเสด็จ<br />
พระราชดำเนินทรงเปิดพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ เจ้าสามพระยา เมื่อวันที่<br />
๒๖ ธันวาคม ๒๕๐๔ มีความบางตอนว่า<br />
“…การสร้างอาคารสมัยใหม่นี้ คงจะเป็นเกียรติสำหรับผู้สร้าง<br />
คนเดียว แต่เรื่องโบราณสถานนั้น เป็นเกียรติของชาติ อิฐเก่าแผ่นเดียว<br />
ก็มีค่าควรจะช่วยกันรักษาไว้...<br />
...ไม่ควรจะเอาของใหม่ไปปนกับของเก่า ควรจะรักษาของเก่าไว้<br />
เพราะเป็นเรื่องเกี่ยวกับจิตใจของพลเมือง และสิ่งเหล่านี้เป็นมรดกตกทอด<br />
มาจากบรรพบุรุษ จึงควรรักษาไว้...<br />
...โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุ และ โบราณสถานทั้งหลายนั้น ล้วนเป็น<br />
ของมีคุณค่าและจำเป็นแก่การศึกษาค้นคว้าในทางประวัติศาสตร์...<br />
...เป็นเครื่องแสดงถึงความเจริญรุ่งเรืองของชาติไทย ที่มีมาแต่<br />
อดีตกาล สมควรจะสงวนรักษาไว้ให้คงทน...<br />
...ควรจะได้มีพิพิธภัณฑ์สถานเก็บรักษาและตั้งแสดง...<br />
...เป็นที่ทราบกันอยู่ว่าหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของประเทศเรา<br />
ที่เป็นเอกสารที่มีอยู่โดยจำกัด...<br />
...ผู้มีหน้าที่รับผิดชอบจะต้องระวังรักษาอย่างดีที่สุดตลอดไป...”<br />
116
จึงมีความคิดที่จะอัญเชิญพระบรมราโชวาทไว้เหนือเกล้าฯ และ<br />
ปฏิบัติให้เกิดผลเป็นรูปธรรม เมื่อเป็นเช่นนี้ วันที่ ๑๗ พฤษภาคม ๒๕๔๙<br />
พลเอก ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหม จึงได้อนุมัติให้ชะลอโครงการก่อสร้างที่ทำการกระทรวงกลาโหม<br />
แห่งใหม่ และอนุมัติงบประมาณการต่อเติมอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
ด้านทิศตะวันออก เพื่อให้เป็นสถานที่ทำการของสำนักนายกรัฐมนตรี และ<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมต่อไปในอนาคต<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดย พลเอก สิริชัย ธัญญสิริ<br />
อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ได้บรรจุการก่อสร้างอาคารศาลาว่าการ<br />
กลาโหมด้านทิศตะวันออก ไว้ในแผนแม่บทการพัฒนาและปรับปรุงอาคาร<br />
สถานที่ และสิ่งอำนวยความสะดวกของสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม โดยทำการออกแบบอาคารส่วนต่อเติมด้านทิศตะวันออกของ<br />
ศาลาว่าการกลาโหมตามแบบอย่างอาคารศาลาว่าการกลาโหมเดิม<br />
ในวันที่ ๕ กันยายน ๒๕๕๐ พลเอก บุญรอด สมทัศน์ อดีตรัฐมนตรี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหม ได้อนุมัติโครงการก่อสร้างอาคารหลังใหม่ และ<br />
ในวันจันทร์ที่ ๘ กันยายน ๒๕๕๑ ได้มีการประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์<br />
โดย พลเอก วินัย ภัททิยกุล อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธี<br />
การดำเนินการ เป็นการจัดสร้างโดยรื้อถอนอาคารกองบัญชาการ<br />
ทหารสูงสุด และก่อสร้างอาคารหลังใหม่ทดแทนตามแบบรูปที่มีลักษณะ<br />
ทางสถาปัตยกรรมกลมกลืนกับอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านหน้า<br />
(หลังเดิมที่ใช้การอยู่จนถึงปัจจุบัน) โดยให้มีความต่อเนื่องจากอาคารเดิม<br />
และคงรูปแบบภายนอกอาคารในลักษณะเดิม แต่เพิ่มประโยชน์ใช้สอย<br />
เป็นอาคารสำนักงานบนพื้นที่ ๓ ไร่ ๒ งาน และ ๕๙ ตารางวา หรือ ๑,๔๕๙<br />
ตารางวา ซึ่งองค์ประกอบของอาคาร มีดังนี้<br />
๑. ชั้นที่ ๑ เป็นส่วนสำนักงาน ส่วนบริหารกลาง ส่วนงานระบบ<br />
ภายในอาคาร และส่วนอื่นๆ ประกอบด้วย โถงบันได ลิฟต์โดยสารและ<br />
ลิฟต์ขนย้าย นอกจากนี้ บริเวณชั้นล่าง ยังจัดทำเป็นลานโล่งภายในสำหรับ<br />
ใช้ประโยชน์และจอดรถยนต์<br />
๒. ชั้นที่ ๒ เป็นห้องประชุมขนาด ๓๐๐ ที่นั่ง และขนาด ๑๘๐<br />
ที่นั่ง ส่วนบริหารกลาง ส่วนงานระบบภายในอาคาร ลิฟต์โดยสารและ<br />
ลิฟต์ขนย้าย โดยที่ห้องประชุมในชั้นที่ ๒ นี้ ประกอบด้วย<br />
๒.๑ ห้องพินิตประชานาถ เป็นห้องประชุมขนาดใหญ่ ๓๐๐<br />
ที่นั่ง<br />
๒.๒ ห้องยุทธนาธิการ เป็นห้องประชุมขนาด ๑๘๐ ที่นั่ง<br />
๓. ชั้นที่ ๓ เป็นส่วนสำนักงานผู้บังคับบัญชาระดับสูง และห้อง<br />
ศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงกลาโหม ซึ่งเป็นห้องประชุมขนาด ๘๐ ที่นั่ง<br />
ต่อมา เมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๕ เมษายน ๒๕๕๕ ได้ประกอบพิธีเปิด<br />
อาคาร โดย พลอากาศเอก สุกำพล สุวรรณทัต อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวง<br />
กลาโหม เป็นประธานในพิธี สำหรับงบประมาณที่ใช้ในการจัดสร้างอาคาร<br />
ศาลาว่าการกลาโหมทิศตะวันออก มีจำนวนรวม ๔๒๐,๖๒๙,๐๐๐.- บาท<br />
ประกอบด้วย ค่าก่อสร้างจำนวน ๒๕๒,๔๘๙,๐๐๐.- บาท และค่าตกแต่ง<br />
ภายในอาคาร จำนวน ๑๖๘,๑๔๐,๐๐๐.- บาท<br />
117
เรื่องเล่าที่ ๗๗<br />
ห้องอารักขเทวสถาน<br />
ห้องอารักขเทวสถานตั้งอยู่บริเวณชั้นล่างอาคารศาลาว่าการ<br />
กลาโหมด้านทิศเหนือ เป็นที่ประดิษฐานเสาไม้สักทรงกลมที่ตั้งตระหง่าน<br />
อยู่บริเวณกลางห้อง ซึ่งเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ และเป็นที่สักการบูชาของ<br />
กำลังพลที่ปฏิบัติราชการในศาลาว่าการกลาโหมและผู้ติดต่อราชการ<br />
เดิมทีห้องอารักขเทวสถานแห่งนี้ ได้เคยจัดทำเป็นห้องคลัง<br />
และจัดเก็บครุภัณฑ์และยุทธภัณฑ์ของหน่วยกรมทหารหน้ามาตั้งแต่<br />
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีลักษณะเป็นห้อง<br />
ชั้นล่างของอาคารตึกสามชั้นด้านทิศเหนือของโรงทหารหน้า ที่ทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างขึ้น โดยมีลักษณะเป็นอาคารก่ออิฐ<br />
ถือปูนภายใต้ตัวอาคารประกอบด้วย เสาไม้สักทรงกลมก่ออิฐถือปูนหุ้มทับ<br />
เสาไว้เป็นส่วนใหญ่ แต่มีเสาไม้สักบางต้นก็ไม่ได้ก่ออิฐถือปูนทับเสา อาทิ<br />
เสาไม้สักทรงกลมกลางห้องอารักขเทวสถานแห่งนี้<br />
ภายหลังเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๗๕<br />
กรมยุทธโยธาทหารบก ได้ใช้ห้องอารักขเทวาสถานแห่งนี้ จัดทำเป็น<br />
กองคลังยุทธศาสตร์ สำหรับเก็บอาวุธยุทธสัมภาระ ในเวลาต่อมา<br />
กรมพลาธิการทหารบก ได้ใช้เป็นที่ทำการคลังเก็บสิ่งอุปกรณ์เหล่าทหาร<br />
พลาธิการเป็นเวลาหลาย<strong>ปี</strong> และหน่วยสุดท้ายที่ใช้ห้องนี้เป็นที่ทำการหน่วย<br />
คือ กองประวัติศาสตร์ทหาร กรมยุทธการทหารบก<br />
ซึ่งประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๐๘ ได้เกิดเหตุการณ์ประหลาด ปรากฏว่า<br />
มีน้ำมันไหลออกจากเสาไม้สักกลางห้องบริเวณหัวเสาด้านบนสุด ซึ่งตาม<br />
โบราณเชื่อกันว่าเสาตกน้ำมันเป็นเสาต้นที่มีรุกขเทวดานางไม้สิงสถิตอยู่<br />
ข้าราชการในสังกัดกองประวัติศาสตร์ที่มีความเลื่อมใสศรัทธาและเชื่อว่า<br />
มีรุกขเทวดาสิงสถิตที่เสาไม้สัก จึงได้นำผ้าสีมงคลมาผูกและปิดทองโดยรอบ<br />
เสา พร้อมทั้งกราบไว้อธิษฐานขอพรและขอโชคลาภ โดยที่ผู้มาสักการะ<br />
ดังกล่าวมักประสบความสำเร็จตามความปรารถนาที่ได้อธิษฐานหรือ<br />
บนบานไว้ ทำให้ห้องอารักขเทวสถาน ได้รับการกล่าวขานและนับถือว่า<br />
เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งหนึ่งในศาลาว่าการกลาโหม ควรแก่การเคารพ<br />
กราบไหว้บูชา และเป็นที่พึ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของกำลังพลในกระทรวง<br />
กลาโหม<br />
ภายหลังจากที่กองประวัติศาสตร์ทหาร กรมยุทธการทหารบก<br />
ได้ย้ายที่ทำการหน่วยไปเข้าที่ตั้งแห่งใหม่ บริเวณกองบัญชาการ<br />
กองทัพบก ถนนราชดำเนินนอกแล้ว สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ได้ปรับปรุงและจัดห้องใหม่ให้เหมาะสม กับได้มอบให้ กองอนุศาสนาจารย์<br />
กรมเสมียนตรา เป็นหน่วยรับผิดชอบดูแลรักษา<br />
118
เรื่องเล่าที่ ๗๘<br />
โครงสร้างอาคารภายในศาลาว่าการกลาโหม<br />
คำถามที่ข้าราชการสังกัดกระทรวงกลาโหมและประชาชนทั่วไป<br />
มักจะสอบถามมาเป็นประจำคือ โครงสร้างอาคารที่อยู่ภายในตัวอาคาร<br />
ศาลาว่าการกลาโหมที่ก่ออิฐถือปูน ซึ่งมีวัสดุก่อสร้างคือ อิฐ กระเบื้องดินเผา<br />
รากกาบกล้วย ทราย ปูนซีเมนต์ ดินเหนียว ปูนขาว และน้ำอ้อย ที่ทำ<br />
เป็นโครงสร้างภายในที่มีลักษณะโบราณ ทั้งนี้ จากการสืบค้นจากบันทึก<br />
ทราบว่า การก่อสร้างอาคารใช้เทคนิคการก่ออิฐถือปูนแบบไทยโบราณ<br />
ที่ใช้ก่อสร้างพระบรมมหาราชวังที่รับการถ่ายทอดกรรมวิธีมาจากสมัย<br />
อยุธยาผสมผสานกับเทคโนโลยีสมัยใหม่ในยุคนั้น โดยที่ก้อนอิฐสำหรับ<br />
การจัดทำโครงสร้างภายในที่ทำเป็นลักษณะอิฐมอญที่มีขนาดใหญ่และ<br />
ก่อด้วยปูนซีเมนต์ผสมดินเหนียว ปูนขาว และน้ำอ้อย ก่อนที่จะฉาบ<br />
ปูนซีเมนต์ผสมปูนขาวเคลือบผิวอีกชั้น ดังนั้น การที่ฉาบปูนทับจึงไม่สามารถ<br />
มองเห็นโครงสร้างภายในอาคารได้<br />
ต่อมา ในช่วงเวลาที่มีการก่อสร้างอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้าน<br />
ทิศตะวันออก จึงได้มีการปรับปรุงอาคารภายในศาลาว่าการกลาโหม<br />
ควบคู่กันไปด้วย ซึ่งสิ่งที่น่าสังเกตในการปรับปรุงอาคารชั้นล่างด้าน<br />
ทิศเหนือปรากฏว่า มีบางห้องที่มีการเจาะทะลุถึงกันได้ และมีการจัดทำ<br />
เป็นบานประตูเปิดและปิด พร้อมกับซ่อมแซมผิวของผนังอาคารไปพร้อม<br />
กัน ทำให้สถาปนิกของสำนักโยธาธิการกลาโหม ได้ความคิดที่จะจัดแสดง<br />
โครงสร้างภายในอาคารให้เห็นเพื่อเป็นประวัติศาสตร์ให้อนุชนรุ่นหลัง<br />
ได้รับทราบถึงสถาปัตยกรรมโครงสร้างภายในอาคาร จึงขออนุญาต พลเอก<br />
อภิชาต เพ็ญกิตติ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม เพื่อจัดแสดงโครงสร้าง<br />
ภายในอาคารศาลาว่าการกลาโหม ที่เรียกกันว่า ปูนเปลือยไว้ ๒ ช่อง<br />
ภายในห้องอารักขเทวสถาน พร้อมกับประดับกระจกแสดงเรื่องราว<br />
ของอาคารศาลาว่าการกลาโหมไว้ในลักษณะของนิทรรศการอีกด้วย<br />
119
เรื่องเล่าที่ ๗๙<br />
ภาพจิตรกรรมการจัดทัพของกองทัพไทยในสมัยโบราณ<br />
ภายในห้องอารักขเทวสถาน ยังได้มีการประดับภาพวาดสีน้ำมัน<br />
ขนาดใหญ่ เป็นรูปการเคลื่อนทัพของทหารไทยโบราณ วาดโดย พันเอก<br />
ชวลิต อ่วมศิริ ที่บันทึกในภาพวาด เมื่อวันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๔๖<br />
ซึ่งเป็นภาพวาดสีน้ำมันกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค สมัยสมเด็จ<br />
พระนารายณ์มหาราช ที่ทำการจำลองมาจากต้นฉบับหนังสือสมุดไทย<br />
ของหอสมุดแห่งชาติ รวมจำนวน ๒ ภาพ ซึ่งเป็นภาพที่จำลองมาอย่าง<br />
ใกล้เคียงของจริงมากที่สุดใน Collection หนึ่ง ที่ควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้<br />
พร้อมกับการจัดแสดงเพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้ศึกษาและตระหนักถึงคุณค่า<br />
ทางประวัติศาสตร์ อันนำมาสู่ความภาคภูมิใจของประชาชนชาวไทย และ<br />
เรียนรู้ถึงศิลปกรรมของไทยที่เป็นเอกลักษณ์และความงดงามอันบ่งบอก<br />
ถึงภูมิปัญญาและองค์ความรู้ทางด้านงานศิลปะที่มีการก้าวเดินและพัฒนา<br />
ฝ่าวันเวลาที่เคลื่อนไปพร้อมกับเคียงคู่กับภูมิประวัติศาสตร์ เกียรติประวัติ<br />
ที่สั่งสมมาเป็นเวลาอันยาวนานของประเทศไทยที่จะส่งมอบไปสู่อนุชน<br />
และประชาชนรุ่นต่อไปที่จะช่วยกันเก็บรักษาความงดงามของภูมิปัญญา<br />
ของบรรพบุรุษไทยที่เคยประณีตบรรจงร้อยเรียงมาจนเป็นมรดกทาง<br />
วัฒนธรรมเคียงคู่ประเทศไทยสืบเนื่องมา<br />
ทั้งนี้ ท่านที่สนใจสามารถเยี่ยมชมความงดงามของภาพ<br />
จิตรกรรมการจัดทัพของกองทัพไทยในสมัยโบราณ สามารถชมได้ที่ห้อง<br />
อารักขเทวสถานได้ทุกวัน<br />
120
เรื่องเล่าที่ ๘๐<br />
พุทธศาสนสถานของกระทรวงกลาโหม<br />
บริเวณมุมสุดของอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันออก<br />
เฉียงใต้ ชั้นที่สาม ซึ่งเป็นมุมสุดของอาคาร ได้จัดท ำเป็นห้องพุทธศาสนสถาน<br />
ของกระทรวงกลาโหมเพื่อให้กำลังพลสามารถปฏิบัติธรรมตามโอกาส<br />
อันสมควร พร้อมทั้งประดิษฐานพระประธานประจำพุทธศาสนสถาน<br />
ของกระทรวงกลาโหม เป็นพระพุทธรูปศิลปะเชียงแสน ปางมารวิชัย<br />
นั่งขัดสมาธิเพชร ขนาดหน้าตักกว้าง ๓๙ นิ้ว มีพระนามว่า พระพุทธ<br />
นวราชตรีโลกนาถศาสดากลาโหมพิทักษ์ มีความหมายว่า พระพุทธรูป<br />
ที่สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ ผู้เป็นพระศาสดา ผู้เป็นที่พึ่งในโลก<br />
ทั้งสาม ผู้พิทักษ์รักษาปวงทหารกระทรวงกลาโหม<br />
บริเวณเบื้องหลังองค์พระประธาน ได้จัดทำเป็นซุ้มเล็ก รวม ๙ ซุ้ม<br />
แต่ละซุ้มเป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุเพื่อเป็นที่<br />
สักการะของกำลังพล โดยห้องพุทธศาสนสถานใช้เป็นที่ประกอบพิธีสงฆ์<br />
ประจำทุกวันธรรมสวนะ หรือทุกวันพระนั่นเอง<br />
นอกจากนี้ บริเวณมุมสุดของห้องยังได้ประดิษฐานหอกลองจำลอง<br />
ที่พลเอก หลวงสถิตยุทธการ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ได้จัดสร้างขึ้น<br />
เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๐๒ อีกด้วย สำหรับห้องพุทธศาสนสถานของกระทรวง<br />
กลาโหม ในปัจจุบันยังได้จัดเป็นห้องทำงานและสำนักงานของกอง<br />
อนุศาสนาจารย์ กรมเสมียนตราอีกด้วย<br />
121
เรื่องเล่าที่ ๘๑<br />
วิมานท้าวเวสสุวัณณ์<br />
วิมานท้าวเวสสุวัณณ์ ประดิษฐานบริเวณดาดฟ้าชั้นบนของอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันออก<br />
สิ่งศักดิ์สิทธิ์ของกระทรวงกลาโหมอีกแห่งหนึ่ง ที่ตั้งตระหง่านบริเวณ<br />
ดาดฟ้าชั้นบนของอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันออก และเป็นที่<br />
สักการะของกำลังพลที่ปฏิบัติราชการในศาลาว่าการกลาโหมเป็นอย่างมาก<br />
คือ ท้าวเวสสุวัณณ์ ซึ่งเป็นมหาราชหนึ่งในสี่แห่งบรรดามหาราชบน<br />
สวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกา หรือที่รู้จักกันดีในนามว่า ท้าวจตุโลกบาล โดย<br />
ท้าวเวสสุวัณณ์เป็นอธิบดีแห่งอสูร หรือยักษ์ หรือเป็นเจ้าแห่งภูตผี<strong>ปี</strong>ศาจ<br />
ผู้คุ้มครองและดูแลโลกมนุษย์ทางทิศเหนือ สถิตอยู่บนสวรรค์ชั้น<br />
จาตุมหาราชิกา ถือเป็นท้าวจตุโลกบาลที่ทรงฤทธานุภาพมากที่สุด<br />
เมื่อวันที่ ๑๔ ธันวาคม ๒๕๕๕ พลเอก ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน<br />
อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ได้กรุณาดำริให้สำนักปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
(สน.ปล.กห.) ดำเนินการจัดตั้งวิมานท้าวเวสสุวัณณ์ เพื่อประดิษฐาน<br />
องค์ท้าวเวสสุวัณณ์ สร้างด้วยโลหะเคลือบผิวสีทอง บริเวณดาดฟ้าชั้น<br />
บนของอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันออก เพื่อความเป็น<br />
สิริมงคลกับประเทศและกระทรวงกลาโหม<br />
วันพฤหัสบดีที่ ๒๐ ธันวาคม ๒๕๕๕ เวลา ๐๙.๐๙ น. สำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ได้จัดทำพิธีอัญเชิญท้าวเวสสุวัณณ์ประดิษฐาน<br />
ที่วิมาน โดย พลเรือเอก ดำรงศักดิ์ ห้าวเจริญ อดีตรองปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม เป็นประธานในพิธี<br />
122
เรื่องเล่าที่ ๘๒<br />
แผ่นยันต์ประจำกระทรวงกลาโหม<br />
สิ่งที่สถิตคู่กับโรงทหารหน้ามาตั้งแต่อดีตเมื่อแรกสร้างอีกสิ่งหนึ่ง<br />
ซึ่งกำลังพลของกระทรวงกลาโหมจำนวนน้อยที่จะทราบและเคยพบเห็น<br />
ก็คือ แผ่นยันต์ประจำอาคารโรงทหารหน้า มีลักษณะเป็นแผ่นหนังสีดำ<br />
ประดับลวดลายสีทองเป็นภาพยันต์และอักขระโบราณ จำนวน ๔ แผ่น<br />
มีลักษณะที่เหมือนกันเป็นคู่ รวม ๒ คู่ โดยจากการศึกษา ทราบว่า ในอดีต<br />
แผ่นยันต์ดังกล่าวได้ประดิษฐานไว้กับอาคารศาลาว่าการกลาโหมชั้นสอง<br />
ทางด้านทิศตะวันตก (หลังห้องสุรศักดิ์มนตรี) โดยประดิษฐานระหว่าง<br />
ช่องหน้าต่าง ในเวลาต่อมาเมื่อมีการปรับปรุงอาคารและปรับปรุงห้อง<br />
สุรศักดิ์มนตรี จึงได้ทำการบูรณะและเคลื่อนย้ายมาประดิษฐานไว้ภายใน<br />
ห้องสุรศักดิ์มนตรี<br />
ซึ่งจากการศึกษาเลขยันต์และอักขระที่ปรากฏบนแผ่นยันต์ สามารถ<br />
อธิบายในสาระสำคัญ กล่าวคือ<br />
๑. ลักษณะของเส้นยันต์ทั้ง ๔ แผ่น เป็นลักษณะของยันต์ ๘ ทิศ<br />
ความหมายคือการคุ้มครองทั้ง ๘ ทิศ<br />
๒. อักขระที่ปรากฏบนแผ่นยันต์ทั้ง ๔ แผ่น เป็นยันต์ชื่อ ปฐมัง<br />
หรือหัวใจธาตุทั้งสี่ ประกอบด้วย นะ มะ พะ ทะ หรือ ดิน น้ำ ลม ไฟ<br />
เพื่อเป็นการตั้งธาตุหรือเป็นพื้นฐานของความสุกสว่างและเจริญรุ่งเรือง<br />
ในกิจการทหาร<br />
๓. อักษรเบื้องกลางแผ่นยันต์ มี ๒ ตัวอักษรคือ<br />
๓.๑ ลักษณะเลขเก้าไทย เรียกว่า อุณาโลม เพื่อความเจริญ<br />
รุ่งเรืองของกิจการทหาร โดยเฉพาะอักขระอุณาโลมนี้ เป็นหนึ่งในพระราช<br />
ลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราชอีกด้วย<br />
๓.๒ ลักษณะคล้าย ร-ร เรียกว่า อะ ย่อมาจาก อาโลโก หรือ<br />
แสงสว่าง เพื่อความสุกสว่างของกิจการทหาร<br />
123
เรื่องเล่าที่ ๘๓<br />
พระบวรฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
พระบวรฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ประดิษฐานบริเวณสำนักงานผู้บังคับบัญชา กรมเสมียนตรา ชั้นที่สอง อาคาร<br />
ศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศใต้ ซึ่งเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของกระทรวงกลาโหม<br />
อีกแห่ง และเป็นที่สักการะของกำลังพลที ่ปฏิบัติราชการในศาลา<br />
ว่าการกลาโหม โดยที่พระบวรฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จ<br />
พระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว พระบิดาทหารปืนใหญ่ เป็นพระบวรฉายา<br />
สาทิสลักษณ์ที่จัดทำขึ้นเป็นองค์ที่สอง ทั้งนี้เพราะในอดีต สำนักงาน<br />
ผู้บังคับบัญชา กรมเสมียนตรา คือ ที่ทำการของกองการกำลังพล และใน<br />
ห้องผู้อำนวยการกอง มีประวัติว่าเคยเป็นที ่ประดิษฐานพระบวรฉายา<br />
สาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้รับพระราชทาน<br />
จาก พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แต่เนื่องจากอาคาร<br />
ศาลาว่าการกลาโหมได้มีการปรับปรุงหลายครั้ง จึงทำให้พระบวรฉายา<br />
สาทิสลักษณ์เดิมสูญหายไป คงเหลือไว้แต่กรอบรูปไม้สักเก่าสีขาว<br />
แตกลายงา ขนาดความสูง ๑๖๐ เซนติเมตร กว้าง ๙๐ เซนติเมตร<br />
ในสมัยที่ พันเอก ระวิ พรหมสาขา ณ สกลนคร (ยศในขณะนั้น)<br />
ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการกองการกำลังพล จึงมีดำริที่จะนำภาพเขียน<br />
สีน้ำมันมาประดิษฐานที่เดิม จึงมอบให้ นายจุมพล กาญจนินทุ (บิดาของ<br />
พลโท จุมภฏ กาญจนินทุ) เป็นผู้วาด โดยใช้ลักษณะการเขียนภาพสีน้ำมัน<br />
บนผืนผ้าใบ (canvas) มีรูปแบบเป็นพระอิริยาบถนั่ง ฉลองพระองค์<br />
จอมทัพเรือเต็มพระองค์ โดยมีระยะเวลาวาดประมาณ ๒ เดือน แล้วจึงได้<br />
นำมามอบให้กระทรวงกลาโหมไว้ประดิษฐานแทนที่เดิม โดยมีพิธีบวงสรวง<br />
การประดิษฐานพระบวรฉายาสาทิสลักษณ์ ในวันที่ ๑๓ กันยายน ๒๕๓๓<br />
เวลา ๐๙.๐๙ น. โดยมี พลเอก วันชัย เรืองตระกูล อดีตปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม เป็นประธานในพิธี<br />
ต่อมาเมื่อกรมเสมียนตรา ได้ทำการปรับปรุงสำนักงาน โดยย้าย<br />
กองการกำลังพลไปอยู่ที่ชั้นที่สามและย้ายส ำนักงานผู้บังคับบัญชามาแทนที่<br />
จึงได้มอบหมายให้สำนักโยธาธิการกลาโหม เป็นผู้ออกแบบและตกแต่ง<br />
ห้องประดิษฐานพระบวรฉายาสาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว และในสมัยที่ พลเอก ประกิต ศิริพันธ์ ดำรงตำแหน่งเจ้ากรม<br />
เสมียนตรา ได้ดำริให้มีการปรับภูมิทัศน์บริเวณผนังข้างบริเวณที่สักการะ<br />
เพื่อให้สวยงามและสมพระเกียรติพระราชสมัญญา พระบิดาทหาร<br />
ปืนใหญ่ จึงให้ พันเอก ชวลิต อ่วมศิริ เป็นผู้วาดสีน้ำมันแสดงให้ทราบถึง<br />
พระราชประวัติ พระราชกรณียกิจ และพระบรมอนุสรณ์ของพระองค์ท่าน<br />
และพระราชโอรส ตลอดจนเครื่องราชสักการะอย่างสมพระเกียรติ<br />
124
เรื่องเล่าที่ ๘๔<br />
ห้องสำหรับจัดการประชุมที่สำคัญของกระทรวงกลาโหม<br />
การประชุมสภากลาโหมในอดีต<br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีการจัดการประชุมในเรื่องเกี่ยวกับกิจการทหารและ<br />
เรื่องต่างๆ อาทิ ระเบียบ ข้อบังคับ สิทธิกำลังพล โดยมีผู้บัญชาการกรม<br />
ยุทธนาธิการ เป็นประธาน ซึ่งผู้เข้าร่วมการประชุม ประกอบด้วย นายทหาร<br />
ชั้นผู้ใหญ่ในกรมยุทธนาธิการ กล่าวคือ จเรทัพบก เสนาธิการทหารบก<br />
ปลัดทัพบก เจ้ากรมพระธรรมนูญ ผู้บัญชาการมณฑล โดยใช้สถานที่จัดการ<br />
ประชุมคือ ห้องประชุมชั้นที่ ๒ ของตึกกลาง ด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
ซึ่งมีการบันทึกไว้ว่าได้มีการจัดทำเป็นบันทึกการประชุมครั้งแรกจัดขึ้นใน<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๔๔๘ และได้เก็บรักษาบันทึกการประชุมไว้ที่ห้องพิพิธภัณฑ์กระทรวง<br />
กลาโหม โดยเอกสารฉบับดังกล่าวเป็นรายงานการประชุมผู้บัญชาการ<br />
ทหารบกมณฑล ที่มีการจดและเรียบเรียงพร้อมจัดพิมพ์เป็นรูปเล่ม<br />
ในโรงพิมพ์กรมยุทธนาธิการ<br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระบรมราชโองการ ชื่อว่า ประกาศตั้ง<br />
กระทรวงทหารบก ทหารเรือ รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม<br />
๒๔๕๓ จัดตั้ง สภาป้องกันพระราชอาณาจักร ทำหน้าที่ประสานงานระหว่าง<br />
กระทรวงกลาโหมและกระทรวงการทหารเรือ จึงได้มีการจัดการประชุมสภา<br />
ป้องกันพระราชอาณาจักร ณ ศาลาว่าการกลาโหมอยู่หลายครั้ง นอกจากนี้<br />
กระทรวงกลาโหม ก็ได้จัดให้มีการประชุมในเรื่องเกี่ยวกับกิจการทหารและ<br />
เรื่องต่างๆ โดยมี เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน ผู้เข้าร่วมการ<br />
ประชุม ประกอบด้วย จเรทหารทั่วไป เสนาธิการทหารบก ปลัดทูลฉลอง<br />
สมุหราชองครักษ์ ผู้บัญชาการกองพล และมีเลขานุการในการประชุม<br />
กับมีผู้จดรวบรวมจัดพิมพ์ ซึ่งในการประชุมสมัยดังกล่าวเรียกว่า<br />
การประชุมใหญ่ของกระทรวงกลาโหม<br />
ต่อมา ในรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรี<br />
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้จัดให้มีการประชุมปรึกษา<br />
เกี่ยวกับกิจการทหาร ที่เรียกว่า การประชุมสภากลาโหม (ซึ่งมีการบัญญัติ<br />
เรื่องสภากลาโหม ไว้ในพระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร<br />
พ.ศ.๒๔๙๑ เป็นครั้งแรก) อยู่เป็นประจำ ณ ห้องประชุมชั้นที่สอง<br />
ของมุขกลางด้านหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
ปัจจุบัน การประชุมสภากลาโหม ได้จัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกเดือน<br />
และเป็นการประชุมที่สำคัญที่สุดของกระทรวงกลาโหม โดยจัดการประชุม<br />
ณ ห้องภาณุรังษี ชั้นที่สาม มุขกลางของอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
125
เรื่องเล่าที่ ๘๕<br />
ห้องภาณุรังษี<br />
ห้องภาณุรังษี ตั้งอยู่ที่ชั้นที่สาม มุขกลางของอาคารศาลาว่าการ<br />
กลาโหม เมื่อแรกสร้างโรงทหารหน้า โดยใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๒๗ ได้ใช้ห้องนี้เป็น<br />
ห้องเก็บศาสตราวุธและพิพิธภัณฑ์ทหาร<br />
ต่อมาในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จอมพล<br />
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์<br />
วรพินิต เสนาบดีกระทรวงกลาโหม ได้โปรดให้นำศาสตราวุธไปเก็บรักษาไว้ที่<br />
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร และโปรดให้ใช้ห้องดังกล่าวเป็นที่ท ำการ<br />
กองทัพบก ในยุคต่อมา สมัยที่ จอมพล ป. พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่ง<br />
นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ใช้ห้องนี้เป็น<br />
ที่ทำการคณะที่ปรึกษาทางทหารของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
และใช้เป็นห้องประชุมสภากลาโหม ตามลำดับ<br />
ในวันที่ ๓ ธันวาคม ๒๕๑๔ จอมพล ถนอม กิตติขจร หัวหน้าคณะ<br />
ปฏิวัติ ได้ทำการยึดอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน ได้ใช้พื้นที่ห้องนี้<br />
เป็นกองบัญชาการคณะปฏิวัติ กับสั่งให้ใช้พื้นที่บริเวณตอนหน้าห้องนี้<br />
จัดตั้งเป็นสำนักนโยบายและแผนกลาโหม และเตรียมการจัดหาบรรจุ<br />
กำลังพล ในอัตราเจ้าหน้าที่สำนักนโยบายและแผนกลาโหม กับให้แนวทาง<br />
การปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งกองบัญชาการคณะปฏิวัติ โดยในวันที่ ๒๙<br />
ธันวาคม ๒๕๑๔ เวลา ๑๔.๐๐ น. ได้มีการจัดประชุมคณะที่ปรึกษาฝ่าย<br />
นโยบายและแผนกลาโหมขึ้นเป็นครั้งแรก โดยมี พลเอก จิตติ นาวีเสถียร<br />
เป็นประธานการประชุม โดยใช้ห้องประชุมสภากลาโหม ซึ่งการจัดประชุม<br />
ดังกล่าวดำเนินการอย่างต่อเนื ่องจนถึงเมื่อมีพระบรมราชโองการโปรด<br />
เกล้าฯ พระราชทานธรรมนูญการปกครองราชอาณาจักร พ.ศ.๒๕๑๕<br />
หลังจากนั้น จอมพล ถนอม กิตติขจร ได้สั่งการให้สำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม ตั้งชื่อห้องนี้ว่า ห้องภาณุรังษี เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่<br />
จอมพล สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์<br />
กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
ในอดีต ห้องภาณุรังษี มีประตูเข้าที่เป็นทางการประตูเพียงประตู<br />
เดียวคือประตูช่องกลาง แต่เมื่อทำการปรับปรุงครั้งหลังสุด ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๖<br />
จึงได้จัดทำเป็นประตูเข้าและออก ๒ ช่องด้านข้าง สำหรับประตูด้านข้าง<br />
ของห้องจัดทำขึ้นในอดีตเพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้ประโยชน์ในการเข้าและออก<br />
สำหรับดูแลการประชุม นอกจากนี้ ห้องภาณุรังษี ยังได้จารึกรายพระนาม<br />
รายนาม และประดับภาพถ่ายของอดีตสมุหกลาโหม เสนาบดีกระทรวง<br />
กลาโหม และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน<br />
126
เรื่องเล่าที่ ๘๖<br />
พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ และพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ก่อนที่จะเข้าไปภายในห้องภาณุรังษี ผู้เข้าร่วมการประชุม<br />
ผู้ที่เกี่ยวข้องมักจะถวายราชสักการะ พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ และ<br />
พระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว องค์พระราชทาน<br />
กำเนิดศาลาว่าการกลาโหม<br />
ซึ่งเดิมทีบริเวณหน้าห้องภาณุรังษีแห่งนี้ มิได้มีการประดิษฐาน<br />
พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์ หรือพระบรมรูปของพระองค์ใด แต่เป็น<br />
ดำริของ พลเอก สัมพันธ์ บุญญานันต์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ว่า<br />
ควรประดิษฐานพระบรมรูปพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
องค์พระราชทานกำเนิดศาลาว่าการกลาโหม เพื่อให้ก ำลังพลถวายราชสักการะ<br />
และเพื่อให้สมาชิกสภากลาโหมถวายราชสักการะเพื่อเป็นสิริมงคลก่อน<br />
ที่จะเข้าประชุมสภากลาโหม กอปรกับได้มีการรับมอบพระบรมฉายา<br />
สาทิสลักษณ์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ฉลองพระองค์<br />
จอมทัพไทยทรงครุย และพระบรมรูปหล่อลอยองค์ ผลิตจากโลหะ<br />
ทองเหลืองรมดำ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวครึ่งพระองค์<br />
ฉลองพระองค์จอมทัพไทยตั้งอยู่บนแท่นรอง จึงได้ให้มีการปรับปรุง<br />
ภูมิทัศน์หน้าห้องภาณุรังษี และเมื่อวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ได้จัดให้มี<br />
พิธีบวงสรวงและอัญเชิญพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์และพระบรมรูปหล่อ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ขึ้นประดิษฐานบนแท่นที่ประทับ<br />
บริเวณหน้าห้องภาณุรังษี<br />
ซึ่งการถวายราชสักการะพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ถือว่าเป็นประเพณีและวัฒนธรรมของ<br />
สังคมไทยทุกหมู่เหล่า ที่มักถือปฏิบัติสืบทอดกันมา เพื่อมุ่งเน้นการน้อม<br />
รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์ และเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่<br />
ผู้ถวายราชสักการะ<br />
127
เรื่องเล่าที่ ๘๗<br />
พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์หินอ่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์หินอ่อน พระบาทสมเด็จพระ<br />
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่สลักจากหินอ่อนในฉลองพระองค์จอมทัพไทย<br />
ครึ่งพระองค์ ซึ่งมีลักษณะรูปแกะสลักนูนต่ำ ได้รับการอัญเชิญประดิษฐาน<br />
บริเวณกำแพงด้านในของห้องภาณุรังษี มาเป็นเวลานานมากแล้ว จึงไม่มี<br />
ผู้ใดทราบประวัติที่ชัดเจน กล่าวกันว่าเป็นพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์<br />
หินอ่อนที่มีผู้ถวายในระหว่างเสด็จประพาสยุโรป และนำกลับมาทาง<br />
เรือ ซึ่งอาจเก็บรักษาระหว่างเดินทางไม่ดีเท่าที่ควรจึงทำให้เกิดรอยร้าว<br />
แต่ก็มีการซ่อมแซมไว้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ พระบรมฉายาสาทิสลักษณ์หินอ่อน<br />
มีขนาดใหญ่และมีน้ำหนักค่อนข้างมาก<br />
จากการสันนิษฐานของผู้ใหญ่หลายท่าน ต่างลงความเห็นว่าเป็น<br />
การสลักจากต่างประเทศแน่นอน เพราะเมื่อพิจารณาจากฝีมือและ<br />
ความประณีตของช่างผู้แกะสลัก ซึ่งในยุคนั้นประเทศไทยไม่มีช่างฝีมือ<br />
ในการแกะสลักหินอ่อน และจากการคาดคะเนพบว่า อาจแกะสลัก<br />
จากต้นแบบที่เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ส่งไปให้ช่าง เพราะมีพระบรม<br />
ฉายาลักษณ์ในพระราชอิริยาบถเช่นเดียวกับพระบรมฉายาสาทิสลักษณ์<br />
หินอ่อนที่พสกนิกรชาวไทยได้เห็นหลายภาพ อย่างไรก็ตาม พระบรม<br />
ฉายาสาทิสลักษณ์หินอ่อนพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวนี้<br />
ถือว่าเป็นสมบัติล้ำค่าที่กระทรวงกลาโหมหวงแหน และถวายราชสักการะ<br />
เป็นประจำทุกครั้งที่พบเห็น<br />
128
เรื่องเล่าที่ ๘๘<br />
พระรูปจอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์<br />
กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
ภายในห้องภาณุรังษีด้านทิศตะวันออก หน้าซุ้ม ใต้พระบรมฉายา<br />
สาทิสลักษณ์หินอ่อน พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้<br />
ประดิษฐานพระรูปแกะสลักหินอ่อนของ จอมพล จอมพลเรือ สมเด็จ<br />
พระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยา<br />
ภาณุพันธุวงศ์วรเดช โดยมีลักษณะเป็นพระรูปหินอ่อนแกะสลักลอยองค์<br />
ในลักษณะครึ่งองค์<br />
ทั้งนี้ เพราะจอมพล จอมพลเรือ สมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศา<br />
ภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช เป็นพระ<br />
อนุชาของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ได้รับพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่ง ผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ ผู้บัญชาการ<br />
กรมทหารบก ผู้บัญชาการกรมทหารเรือ เสนาบดีกระทรวงกลาโหม<br />
จเรทัพบก และจเรทหารทั่วไป ซึ่งพระองค์มีคุณูปการแก่กิจการทหารไทย<br />
ในยุคเริ่มแรก และทรงขับเคลื่อนให้กระทรวงกลาโหม ทหารบก ทหารเรือ<br />
ให้มีทิศทางที่แน่ชัดและก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคง<br />
ดังนั้น การถวายสักการะพระรูปของพระองค์ เพื่อเป็นการน้อม<br />
รำลึกถึงพระกรุณาธิคุณที่ทรงกำกับดูแลกิจการทหารไทยให้วัฒนาถาวร<br />
ตราบจนทุกวันนี้<br />
129
เรื่องเล่าที่ ๘๙<br />
ห้องกัลยาณไมตรี<br />
ห้องประตูกระจกขนาดเล็กที่อยู่ตรงข้ามห้องภาณุรังษีนี้ มีชื่อว่า<br />
ห้องกัลยาณไมตรี จัดทำขึ้นเพื่อใช้เป็นห้องรับรองที่สำคัญอีกหนึ่งห้อง<br />
ในศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งเดิมทีเป็นห้องที่พักคอยหรือห้องรับรอง<br />
ผู้เข้าร่วมประชุมก่อนเวลาประชุม ซึ่งมีหลายครั้งเป็นห้องรับรองผู้แทน<br />
กระทรวงกลาโหมมิตรประเทศก่อนเข้าเยี่ยมคารวะรัฐมนตรีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม ซึ่งในอดีตห้องนี้เคยใช้เป็นห้องเก็บศาสตราวุธ และ<br />
มาปรับปรุงใช้ประโยชน์หลัง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๒๐ เพื่อเป็นห้องรับรองแขก<br />
เรียกว่า ห้องรับรอง ชั้น ๓<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๖ ที่มีการปรับปรุงภูมิทัศน์หน้าห้องภาณุรังษี<br />
จึงใช้โอกาสเดียวกันนี้ปรับปรุงห้องและตั้งชื่อว่า ห้องกัลยาณไมตรี<br />
ตามชื่อถนน และตามวัตถุประสงค์ที่ใช้รับรองแขกนอกกระทรวงกลาโหม<br />
ทั้งชาวไทยและมิตรประเทศ<br />
ในยุคปัจจุบัน ใช้เป็นห้องที่ผู ้แทนรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
ใช้พบปะสนทนากับแขกนอกกระทรวงกลาโหม และผู้แทนกระทรวง<br />
กลาโหมมิตรประเทศ และที่สำคัญยังใช้เป็นห้องลงนามในหนังสือรับส่ง<br />
หน้าที่และการบังคับบัญชาของปลัดกระทรวงกลาโหมอีกด้วย<br />
ซึ่งภายในมีภาพเขียนสีน้ำมันที่สวยงาม โดยเฉพาะพระบรม<br />
ฉายาลักษณ์ในเกียรติประวัติยุทธหัตถีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช และ<br />
ภาพการรบของพระยาพิชัยดาบหักในยุทธการการรบที่เมืองพิชัยครั้งที่ ๒<br />
ซึ่งมีความงดงาม และมีชีวิตชีวามาก<br />
ภาพสงครามยุทธหัตถี<br />
ภาพการทำศึกของพระยาพิชัยดาบหัก<br />
130
เรื่องเล่าที่ ๙๐<br />
ห้องสุรศักดิ์มนตรี<br />
ห้องประชุมที่สำคัญอีกห้องหนึ่งของกระทรวงกลาโหม ตั้งอยู่ชั้นที่สอง<br />
มุขกลางของอาคารศาลาว่าการกลาโหม โดยเมื่อแรกสร้างโรงทหารหน้า<br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ใช้ห้องประชุม<br />
ชั้นที่สองของตึกกลาง ด้านหน้าโรงทหารหน้าเป็นที่จัดการประชุมในเรื่อง<br />
เกี่ยวกับกิจการทหารและเรื่องต่างๆ โดยมีผู้บัญชาการกรมยุทธนาธิการ<br />
เป็นประธาน<br />
ต่อมา ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้มีการ<br />
จัดการประชุมในเรื่องเกี่ยวกับกิจการทหารและเรื่องต่างๆ ณ ห้องประชุม<br />
ชั้นที่สองของตึกกลาง ด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหมอย่างต่อเนื่อง และใน<br />
สมัยรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหม ก็ได้จัดให้มีการประชุมสภากลาโหม ณ ห้อง<br />
ประชุม ชั้นที่สองของตึกกลางด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหมด้วยเช่นกัน<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๑๔ สมัยรัฐบาลของ จอมพล ถนอม กิตติขจร ได้สั่งการ<br />
ให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตั้งชื่อห้องนี้ว่า ห้องสุรศักดิ์มนตรี<br />
เพื่อเป็นอนุสรณ์แด่ จอมพล มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี<br />
(เจิม แสงชูโต) อดีตผู้ควบคุมการก่อสร้างศาลาว่าการกลาโหม<br />
ปัจจุบัน ห้องสุรศักดิ์มนตรีใช้เป็นห้องประชุมหัวหน้าหน่วย<br />
ขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และการประชุมที ่ปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม หรือรองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธาน และยังใช้เป็นห้อง<br />
อเนกประสงค์ กล่าวคือ<br />
l เป็นสถานที่ประกอบพิธีการทางทหาร อาทิ การประดับ<br />
เครื่องหมายยศ พิธีประกาศเกียรติคุณ<br />
l เป็นสถานที่ประกอบพิธีสงฆ์ต่างๆ อาทิ การปฏิบัติธรรม<br />
l เป็นสถานที่ประกอบพิธีวันคล้ายวันสถาปนาหน่วยขึ้นตรง<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
l เป็นสถานที่ประกอบพิธีการทางการทูตของทหาร<br />
l เป็นสถานที่ประกอบพิธีการต่างๆ ตามที่ได้รับมอบหมาย<br />
เดิมทีห้องสุรศักดิ์มนตรีมีประตูเข้าและออกหลักด้านหน้าห้อง<br />
รวม ๓ ประตู โดยประธานการประชุมจะเข้าและออกทางประตูช่องกลาง<br />
แต่เมื่อทำการปรับปรุงครั้งหลังสุด ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๖ จึงได้ปิดประตู<br />
ช่องกลาง และให้ใช้ประตูเข้าและออก ๒ ช่องด้านข้าง สำหรับประตู<br />
ด้านข้างของห้องจัดทำขึ้นในอดีตเพื่อให้เจ้าหน้าที่ใช้ประโยชน์ในการ<br />
เข้าและออกสำหรับดูแลการประชุม นอกจากนี้ ห้องสุรศักดิ์มนตรี<br />
ยังได้จารึกรายนามและประดับภาพถ่ายของอดีตปลัดทูลฉลอง และ<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน<br />
131
เรื่องเล่าที่ ๙๑<br />
อนุสรณ์จอมพล มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม แสงชูโต)<br />
มีลักษณะเป็นรูปหล่อโลหะทองเหลืองรมดำครึ่งตัวและภาพวาด<br />
เหมือนของจอมพล มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี (เจิม<br />
แสงชูโต) แต่งกายในเครื่องแบบจอมพล จัดตั้งที่หน้าห้องสุรศักดิ์มนตรี<br />
บริเวณชั้นที่สอง ของมุขกลางภายในศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งจัดแสดง<br />
เพื่อเป็นอนุสรณ์ จอมพล มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี<br />
(เจิม แสงชูโต) ทั้งนี้เพราะท่านนี้ถือเป็นอภิบุคคล ผู้กราบบังคมทูล<br />
ขอพระราชทานที่ดิน พระราชทรัพย์ และควบคุมการก่อสร้างโรงทหาร<br />
หน้าหรือศาลาว่าการกลาโหม ผู้มีคุณูปการแก่กิจการทหารยุคใหม่ ผู้ริเริ่ม<br />
การผลิตและใช้ไฟฟ้าในประเทศไทย และอดีตแม่ทัพผู้มีความสามารถ<br />
ในการยุทธ์หลายสมรภูมิ<br />
การสักการะอนุสรณ์ทำมาเพื่อรำลึกถึงที่ท่านเป็นผู้สร้างคุณูปการ<br />
แก่โรงทหารหน้า บ่งบอกถึงวิสัยทัศน์การนำหน่วย และเกิดเป็นอาคาร<br />
ที่ใหญ่โตและสวยงาม เป็นมาตรฐานทางทหาร และเป็นที่เชิดหน้าชูตา<br />
ประเทศจนถึงปัจจุบัน<br />
นอกจาก อนุสรณ์จอมพล มหาอำมาตย์เอก เจ้าพระยาสุรศักดิ์มนตรี<br />
(เจิม แสงชูโต) ที่จัดแสดงบริเวณหน้าห้องสุรศักดิ์มนตรีนี้แล้ว ยังมีอนุสรณ์<br />
ของท่านเป็นรูปปูนปั้นลอยตัวขนาดเท่าตัวจริงครึ่งตัว แต่งกายสากล<br />
เขียนสีอีกรูปหนึ่ง ซึ่งเป็นรูปหล่อปูนปั้น ในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่งจมื่น<br />
สราภัยสฤษดิการ อุปทูตสยามเดินทางเจรจาความเมือง ณ ประเทศ<br />
อังกฤษ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๒๑ ขณะนี้เก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์ของกระทรวง<br />
กลาโหม ซึ่งรูปหล่อปูนปั้นนี้ ได้รับมอบจาก พลตรี สิทธา พิบูลรัชต์<br />
เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๖<br />
<strong>132</strong>
เรื่องเล่าที่ ๙๒<br />
พระบรมฉายาลักษณ์พระราชทาน<br />
สิ่งสำคัญของกระทรวงกลาโหมอีกประการหนึ่งที่นับว่าเป็น<br />
เกียรติภูมิของกระทรวงกลาโหมคือ พระบรมฉายาลักษณ์พระราชทาน<br />
ของบุรพกษัตริย์แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ๒ พระองค์ กล่าวคือ<br />
๑. พระบรมฉายาลักษณ์พระราชทานจากพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์จอมทัพไทยครึ่งพระองค์<br />
ทรงพระคทา ลงพระปรมาภิไธย และมีพระราชหัตถเลขาต่อกรมทหารบก<br />
ณ ศาลายุทธนาธิการ<br />
๒. พระบรมฉายาลักษณ์พระราชทานจากพระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์จอมทัพเรือ ในพระอิริยาบถ<br />
ยืนเต็มพระองค์ ลงพระปรมาภิไธย และมีพระราชหัตถเลขาว่า<br />
“พ.ศ.๒๔๕๗ ให้ไว้สำหรับศาลากระทรวงกลาโหม”<br />
ปัจจุบัน พระบรมฉายาลักษณ์พระราชทานทั้ง ๒ องค์ ได้อัญเชิญ<br />
ประดับในกรอบไม้ที่สวยงาม และประดิษฐานไว้ที่สำนักงานของรัฐมนตรี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
133
่<br />
เรื่องเล่าที่ ๙๓<br />
ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
ห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งอยู่ด้านทิศตะวันตก<br />
ของอาคารศาลาว่าการกลาโหม ปัจจุบันใช้เป็นห้องรับการเยี่ยมคำนับ<br />
และการเยี่ยมคารวะของผู้แทนกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ ผู้แทน<br />
ส่วนราชการ และแขกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ทั้งใน<br />
พิธีการทูต หรือพิธีการทั่วไป รวมถึงการพบปะตามอัธยาศัยของรัฐมนตรี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
จากการตรวจสอบพบว่าไม่มีการบันทึกรายละเอียดไว้แต่อย่างไร<br />
แต่ทราบว่า ในช่วงที่ประเทศไทยประสบปัญหาความมั่นคงในยุค<br />
สงครามเย็น ระหว่าง<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๓ - ๒๕๓๕ เคยใช้ห้องนี้เป็นที่พบปะของ<br />
ผู้แทนองค์การสนธิสัญญาป้องกันภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (สปอ.<br />
หรือ Southeast Asia Treaty Organization: SEATO) และเป็นที<br />
สนทนาและรับการเยี่ยมคำนับของผู้แทนกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ<br />
มาโดยตลอด<br />
ซึ่งการจัดห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม มีรูปแบบ<br />
เป็นห้องรับแขกที่เป็นทั้งพิธีการและไม่เป็นพิธีการ มีการประดับประดา<br />
ด้วยสิ่งของโบราณ อาทิ รูปปั้นลอยตัวของอดีตผู้บังคับบัญชาชั้นสูง<br />
ของกระทรวงกลาโหม และมีการจารึกรายพระนาม รายนาม และประดับ<br />
ภาพถ่ายของอดีตสมุหพระกลาโหม เสนาบดีกระทรวงกลาโหม และ<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน<br />
ทั้งนี้ ทราบว่าเคยมีความพยายามตั้งชื่อห้องของอดีตผู้บังคับ<br />
บัญชาและอดีตนายทหารฝ่ายเสนาธิการของอดีตผู้บังคับบัญชาว่า จะใช้ชื่อ<br />
ห้องว่า ห้องสวัสดิโสภา เพราะห้องอยู่เกือบจะตรงข้ามกับประตูสวัสดิโสภา<br />
ซึ่งเป็นประตูใหญ่ชั้นนอกของพระบรมมหาราชวัง แต่มีผู้ทักท้วงว่า ชื่อนี้<br />
เป็นชื่อประตูใหญ่มีเทพรักษาอยู่จึงไม่เหมาะที่จะนำมาเป็นชื่อห้อง จึงได้<br />
ยุติความคิดไป<br />
134
เรื่องเล่าที่ ๙๔<br />
ห้องยุทธนาธิการ<br />
ห้องประชุมชั้นที่สอง ของอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศ<br />
ตะวันออกคือ ห้องยุทธนาธิการ ซึ่งจัดสร้างเป็นห้องประชุมขนาด ๑๘๐<br />
ที่นั่ง พร้อมอุปกรณ์การประชุมที่ทันสมัย ใช้จัดการประชุมที่มีปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม และรองปลัดกระทรวงกลาโหมเป็นประธานการประชุม ซึ่ง<br />
ช่วยให้สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมมีทางเลือกในการจัดการประชุม<br />
ขนาดใหญ่ได้อีก โดยไม่ต้องใช้เพียงห้องสุรศักดิ์มนตรี<br />
ในส่วนการตั้งชื่อห้องประชุมนั้น สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เคยให้มีการระดมความคิดและให้กำลังพลร่วมส่งชื่อห้องเข้าพิจารณา<br />
ปรากฏผลว่าคณะกรรมการคัดเลือกนามห้องประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์<br />
ให้เลือกใช้ชื่อว่า ห้องยุทธนาธิการ เนื่องจากเป็นการบ่งบอกให้ทราบว่า<br />
ห้องประชุมแห่งนี้เป็นห้องประชุมที่อยู่ในศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งใน<br />
สมัยหนึ่งเรียกว่า ศาลายุทธนาธิการ และเคยเป็นที่ทำการกระทรวง<br />
ยุทธนาธิการ และกรมยุทธนาธิการมาแล้ว<br />
ทั้งนี้ คำว่า ยุทธนาธิการ หากแปลความหมายแล้วคือ ภารกิจ<br />
ที่ยิ่งใหญ่ต่อการศึกสงคราม เรียกได้ว่าเป็นคำที่มีความหมายถึงความ<br />
สง่างามของสถานที่ และสื่อถึงความงดงามของภาษาไทยเป็นอย่างยิ่ง<br />
135
เรื่องเล่าที่ ๙๕<br />
ห้องพินิตประชานาถ<br />
พระฉายาลักษณ์ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ<br />
136
ห้องประชุมขนาดใหญ่ที่สุดของศาลาว่าการกลาโหม ที่ตั้งอยู่<br />
ชั้นที่สอง ของอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันออก จัดสร้างขึ้น<br />
ในคราวที่จัดสร้างอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันออก ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.<br />
๒๕๕๕ พร้อมกับห้องยุทธนาธิการ ในช่วงแรกสร้างยังไม่มีชื่อห้องที่ชัดเจน<br />
เรียกกันว่า ห้องประชุม ๓๐๐ ที่นั่ง มีวัตถุประสงค์ใช้สำหรับจัดการประชุม<br />
ขนาดใหญ่ จัดเลี้ยง จัดงานหรือนิทรรศการได้<br />
ในส่วนการตั้งชื่อห้องประชุมนั้น ได้ระดมความคิดและให้กำลังพล<br />
ร่วมส่งชื่อห้องเข้าพิจารณา ปรากฏผลว่าคณะกรรมการคัดเลือกนามห้อง<br />
ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์ให้เลือกใช้ชื่อว่า ห้องพินิตประชานาถ ซึ่งเป็น<br />
พระนามเดิมของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรง<br />
เป็นหลักชัยและมีพระราชกรณียกิจอันเป็นคุณูปการแก่กิจการทหารไทย<br />
ในยุคใหม่ ทั้งยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดสร้างโรงทหารหน้า<br />
จนพัฒนามาเป็นศาลาว่าการกลาโหมตราบทุกวันนี้<br />
ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระนามเดิมว่า<br />
สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ ดังนั้น<br />
การอัญเชิญพระนามของพระองค์มาสถิตเป็นนามห้องจึงถือว่าเป็นสิริมงคล<br />
แก่ผู้เข้าร่วมกิจกรรมในห้องนี้เป็นอย่างยิ่ง<br />
อย่างไรก็ตาม การอัญเชิญพระนามขององค์พระมหากษัตริย์<br />
มาใช้เป็นชื่อห้อง จึงต้องนำความกราบบังคมทูลทราบฝ่าละอองธุลี<br />
พระบาท เพื่อขอพระราชทานจากองค์พระประมุขของชาติ และได้รับ<br />
พระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้<br />
ชื่อห้องว่า ห้องพินิตประชานาถ<br />
ห้องประชุมนี้มีเกียรติประวัติที่สำคัญในการใช้เป็นสถานที่ตรวจ<br />
กองทหารเกียรติยศของผู้นำสูงสุดทางทหารของมิตรประเทศมาแล้ว<br />
หลายครั้ง เป็นห้องประชุมในการมอบนโยบายของปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ใช้ในการจัดกิจกรรมบรรยายที่สำคัญ และเคยใช้ในการประชุมสัมมนา<br />
การจัดทำกรอบการปฏิรูปประเทศ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๕๗ อีกด้วย<br />
137
เรื่องเล่าที่ ๙๖<br />
ห้องหลักเมือง<br />
เป็นชื่อของห้องประชุมที่ตั้งอยู่บริเวณชั้นที่สาม ด้านมุมทิศเหนือ<br />
ตัดกับทิศตะวันออกของอาคารศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งก่อนจะถึงทาง<br />
เชื่อมอาคารใหม่ด้านทิศตะวันออก มีห้องประชุม ๒ ห้อง ที่ใช้ชื่อว่า<br />
ห้องหลักเมือง ๑ และหลักเมือง ๒<br />
เดิมทีบริเวณที่ตั้งห้องประชุมทั้ง ๒ ห้อง เคยเป็นที่ทำการของสำนัก<br />
ตรวจสอบภายในกลาโหม (เดิมเรียกว่า สำนักตรวจบัญชีกลาโหม) และ<br />
บริเวณดังกล่าวมีพื้นที่เหลือขนาดหนึ่งห้องทำงาน ประกอบกับในขณะนั้น<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มีข้อจำกัดในการใช้ห้องเพื่อทำการประชุม<br />
กล่าวคือ มีเพียงห้องภาณุรังษี และห้องสุรศักดิ์มนตรีเท่านั้น<br />
ดังนั้น กองการประชุม สำนักนโยบายและแผนกลาโหม จึงได้จัด<br />
ระเบียบห้องดังกล่าวทำเป็นห้องประชุมขนาดความจุประมาณ ๔๐ คน<br />
เพื่อใช้ประโยชน์ในการประชุมหน่วย ซึ่งในเวลาต่อมา มีหน่วยขึ้นตรง<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมใช้จัดการประชุมเป็นประจำ จึงมีการ<br />
ตั้งชื ่อว่าห้องหลักเมือง เพราะอยู่ด้านทิศเหนือใกล้กับศาลหลักเมือง<br />
อันเป็นที่สักการะของกำลังพลและประชาชนทั่วไป<br />
ต่อมาเมื่อ สำนักตรวจสอบภายในกลาโหม ย้ายที่ทำการไปที่ตั้งใหม่<br />
ณ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (แจ้งวัฒนะ) ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๒<br />
จึงได้จัดสรรพื้นที่ทำห้องประชุมและปรับปรุงห้องประชุมหลักเมืองเดิม<br />
จนเกิดเป็นห้องประชุม ๒ ห้อง กล่าวคือ<br />
๑. ห้องหลักเมือง ๑ เป็นห้องประชุมขนาดความจุประมาณ ๔๐ คน<br />
๒. ห้องหลักเมือง ๒ เป็นห้องประชุมขนาดความจุประมาณ ๘๐ คน<br />
ห้องหลักเมือง ๑<br />
ห้องหลักเมือง ๒<br />
138
เรื่องเล่าที่ ๙๗<br />
ห้องศูนย์ปฏิบัติการกระทรวงกลาโหม<br />
เป็นห้องประชุมที่ตั้งอยู่ชั้นที่สาม ของอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
ด้านทิศตะวันออก ซึ่งเป็นห้องประชุมขนาด ๘๐ ที่นั่ง สำหรับใช้ประชุม<br />
ในเรื่องงานยุทธการสำคัญและการปฏิบัติการร่วมในระดับส่วนราชการ<br />
ระดับกระทรวง ซึ่งในปัจจุบันยังใช้เป็นห้องบรรยายสรุปข่าวประจำวัน<br />
(Morning Brief) ให้แก่ผู้บังคับบัญชาชั้นสูงในสังกัดสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม เป็นประจำ<br />
นอกจากนี้ ยังใช้เป็นห้องประชุมของหน่วยขึ้นตรงสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหมตามความเหมาะสม ทั้งนี้ ถือได้ว่าห้องศูนย์ปฏิบัติการ<br />
กระทรวงกลาโหม เป็นห้องประชุมที ่มีมาตรฐานการประชุมที ่ดีที่สุด<br />
ห้องหนึ่งของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เพราะมีอุปกรณ์อำนวย<br />
ความสะดวกและอุปกรณ์สายสื่อสารในการประชุมทางไกล (VDO<br />
Conference) ที่สมบูรณ์แบบ<br />
139
เรื่องเล่าที่ ๙๘<br />
ห้องพระบารมีปกเกล้า<br />
ห้องพระบารมีปกเกล้า เดิมชื่อว่า ห้องสนามไชย ตั้งอยู่ชั้นที่สอง<br />
ของอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านหัวมุมทิศเหนือตัดกับทิศตะวันตก<br />
ติดกับห้องทำงานของปลัดกระทรวงกลาโหม เดิมเรียกว่า ห้องรับรอง<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม ต่อมาได้ทำการปรับปรุงเพื่อจัดเป็นห้องรับการ<br />
เยี่ยมคำนับและการเยี่ยมคารวะของผู้แทนกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ<br />
ผู้แทนส่วนราชการ และแขกของปลัดกระทรวงกลาโหม ทั้งในพิธีการทูต<br />
หรือพิธีการทั่วไป รวมถึงการพบปะตามอัธยาศัยของปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เช่นเดียวกับห้องรับรองรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
ห้องพระบารมีปกเกล้า ได้รับการปรับปรุงและตั้งชื่อห้องให้<br />
สอดรับกับชื่อถนนที่อยู่ด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม โดยจัดทำในสมัย<br />
พลเอก สัมพันธ์ บุญญานันต์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม ด้วยการปรับ<br />
ขนาดและพื้นที่ใช้สอยให้กว้างขวางมากขึ้น และตกแต่งให้เหมาะสม<br />
แก่การรับรองผู้แทนกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ ผู้แทนส่วนราชการ<br />
และแขกของปลัดกระทรวงกลาโหม รวมทั้งประกอบพิธีการสำหรับ<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหมที่ใช้ผู้เข้าร่วมพิธีจำนวนไม่มาก นอกจากนี้<br />
ห้องนี้ยังใช้เป็นที่ประดิษฐานธงปลัดทูลฉลอง ที่มีรูปคชสีห์ ซึ่งเป็น<br />
ธงประจำตำแหน่งปลัดทูลฉลอง หรือปลัดกระทรวงกลาโหมอีกด้วย<br />
ต่อมาใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๖๒ ได้มีการปรับปรุงและตั้งชื่อห้องใหม่ ในสมัย<br />
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ ดำรงตำแหน่ง ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
140
เรื่องเล่าที่ ๙๙<br />
ห้องริมวัง<br />
ห้องริมวัง เป็นห้องที่ตั้งอยู่ชั้นที่สอง ของอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
ด้านทิศเหนือ บริเวณสำนักงานของปลัดกระทรวงกลาโหม โดยจัดสร้างขึ้น<br />
เพื่อเป็นห้องอเนกประสงค์ของปลัดกระทรวงกลาโหม สำหรับใช้ในการ<br />
รับรองแขกที่เข้าพบหรือเยี่ยมคารวะอย่างไม่เป็นทางการ บางโอกาส<br />
ใช้จัดการประชุมอย่างไม่เป็นทางการ หรือเป็นการประชุมส่วนตัวของ<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม รวมทั้งเป็นห้องรับประทานอาหารอย่างเป็น<br />
หมู่คณะของปลัดกระทรวงกลาโหม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติหน้าที่<br />
ในสำนักงานของปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ความโดดเด่นของห้องนี้คือ มีหน้าต่างรวม ๒ ช่อง เมื่อชมทิวทัศน์<br />
จากภายในห้องจะเห็นความงดงามของพระบรมมหาราชวังตั้งแต่<br />
ป้อมเผด็จดัสกร ผ่านหน้าประตูสวัสดิโสภา ไปจนถึงป้อมสัญจรใจวิง<br />
ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันตก<br />
หรือด้านหน้าอาคาร จึงเปรียบเสมือนการชมทัศนียภาพอันงดงามของ<br />
พระบรมมหาราชวัง ที่มองเห็นปราสาทพระเทพบิดรวัดพระศรีรัตน<br />
ศาสดาราม พระศรีรัตนเจดีย์ หอพระมณเฑียรธรรม (หอพระไตรปิฎก<br />
ของวัดพระศรีรัตนศาสดาราม) พระอัษฎามหาเจดีย์ (พระปรางค์แปดองค์)<br />
ห้องริมวังนี้ เป็นการดำริให้ปรับปรุงและขนานนามโดย พลเอก<br />
ณัฐ อินทรเจริญ ปลัดกระทรวงกลาโหมท่านปัจจุบัน และได้ใช้ประโยชน์<br />
ในภารกิจสำคัญมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งเป็นเกียรติประวัติอันน่าภาคภูมิใจ<br />
ของสถานที่แห่งนี้<br />
141
เรื่องเล่าที่ ๑๐๐<br />
ห้องสราญรมย์<br />
ห้องสราญรมย์ เป็นห้องที่ตั้งอยู่ชั้นที่สอง ของอาคารศาลาว่าการ<br />
กลาโหมด้านทิศเหนือ ใกล้กับทางเชื่อมชั้นที่ ๒ เป็นห้องที่จัดทำขึ้นในสมัย<br />
พลเอก วินัย ภัททิยกุล อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ห้องสราญรมย์นี้ จัดสร้างขึ ้นโดยมีวัตถุประสงค์ใช้รับรองแขกของ<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม และรองปลัดกระทรวงกลาโหม โดยจัดผังห้อง<br />
ออกเป็น ๔ ส่วน กล่าวคือ<br />
๑. ส่วนที่ ๑ เป็นห้องประชุมขนาดความจุประมาณ ๒๐ คน และ<br />
สามารถใช้เป็นห้องรับประทานอาหารได้<br />
๒. ส่วนที่ ๒ เป็นห้องรับแขก สามารถรองรับแขกได้ประมาณ<br />
๑๕ – ๒๐ คน<br />
๓. ส่วนที่ ๓ เป็นที่รับรองและพักคอยบริเวณก่อนถึงห้องรับแขก<br />
๔. ส่วนที่ ๔ เป็นห้องจัดเตรียมอาหารและเครื่องดื่ม<br />
ในอดีต ห้องสราญรมย์นี้ เคยใช้รับรองและเลี้ยงอาหารสำหรับผู้นำ<br />
ประเทศที่เคยเป็นแขกของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมมาหลายครั้ง<br />
และเคยเป็นที่พบปะหารือและรับประทานอาหารกลางวันของอดีตผู้บังคับ<br />
บัญชาชั้นสูงอยู่สมัยหนึ่ง<br />
ปัจจุบัน ยังคงใช้เป็นสำหรับรับรองแขกของปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
และรองปลัดกระทรวงกลาโหม ทั้งยังมีการตกแต่งห้องให้สามารถรองรับ<br />
แขกระดับประเทศได้อีกด้วย<br />
142
เรื่องเล่าที่ ๑๐๑<br />
ห้องขวัญเมือง<br />
ห้องประชุมขนาดเล็ก ตั้งอยู่บริเวณชั้นที่สอง ของอาคารศาลาว่า<br />
การกลาโหมเดิมด้านทิศตะวันออก บริเวณหัวมุมทางขึ้นลงบันไดด้าน<br />
ทิศใต้มีชื่อว่า ห้องขวัญเมือง ซึ่งชื่อเดิมของห้องนี้เรียกว่า ห้องอเนกประสงค์<br />
สำนักนโยบายและแผนกลาโหม เคยเป็นสำนักงานการเงินและหน่วยงานที่<br />
เกี่ยวข้องกับส่วนบังคับบัญชาของสำนักนโยบายและแผนกลาโหมมาก่อน<br />
ต่อมา สำนักนโยบายและแผนกลาโหม ได้ใช้ห้องนี้เป็นห้องสำหรับ<br />
ภารกิจพิเศษ อาทิ การประกอบพิธีประดับเครื่องหมายยศให้แก่กำลังพล<br />
เป็นห้องประชุมขนาดเล็กของหน่วย เป็นห้องรับการเยี่ยมคารวะของ<br />
ผู้แทนทางทหารมิตรประเทศที่เข้าพบผู้อำนวยการสำนักนโยบายและแผน<br />
กลาโหม<br />
ในสมัย พลเอก วิทวัส รชตะนันทน์ ดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการสำนัก<br />
นโยบายและแผนกลาโหม ได้ดำริให้ปรับปรุงภูมิทัศน์และสภาพภายในของ<br />
ห้องให้เป็นห้องประชุมขนาด ๓๐ ที่นั่ง พร้อมกับให้กำลังพลเสนอชื่อห้อง<br />
จนได้ข้อยุติว่าชื่อ ห้องขวัญเมือง<br />
ปัจจุบัน ห้องขวัญเมืองนี้ใช้เป็นห้องประชุมสำหรับหน่วยขึ้นตรง<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมที่มีที่ตั้งในอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
และใช้เป็นที่ต้อนรับและจัดการประชุมหารือกับผู้แทนทางทหารของ<br />
มิตรประเทศกับใช้ประกอบพิธีการของสำนักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
143
เรื่องเล่าที่ ๑๐๒<br />
ห้องกำปั่นเก็บเงินกระทรวงกลาโหม<br />
คำว่า “กำปั่น” ตามพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.<br />
๒๕๔๒ ได้ให้ความหมายของคำว่า กำปั่น หมายถึง หีบทำด้วยเหล็กหนา<br />
สำหรับใส่เงินและของต่างๆ รูปค่อนข้างเป็นสี่เหลี่ยมจัตุรัส กว้างยาวสูง<br />
เท่ากัน ฝามีหูยาวตรงกลาง ตอนปลายทำเป็นช่องเล็กเพื่อปิดลงมาสวม<br />
ขอเหล็กโค้งที่ตัวหีบสำหรับใส่กุญแจ เดิมทำเป็นหีบฝังตะปูหัวเห็ดทั่วตัว<br />
ซึ่งมีรากศัพท์มาจากภาษาจีนที่เรียกว่า กั๊บบ้วง หรือ กั๊บบั้ง ซึ่งแปลว่า<br />
ตู้เหล็กเก็บทรัพย์สินมีค่าของคหบดี และยังพบว่า คำว่า กำปั่น มีมาตั้งแต่<br />
สมัยอยุธยาจนต้นรัตนโกสินทร์<br />
สำหรับในทางราชการทหารนั้น กำปั่นเก็บเงิน ถือเป็นตู้นิรภัยที่ใช้<br />
สำหรับบรรจุเงินของทางราชการที่เก็บรักษาไว้ตามหน่วยทหาร ตาม<br />
ข้อบังคับกระทรวงกลาโหมว่าด้วยการเงิน ซึ่งจะต้องมีห้องนิรภัยที่เก็บก ำปั่น<br />
เก็บเงิน สามารถบรรจุกำปั่นเก็บเงินไว้ข้างในห้องนิรภัยนั้น และในแต่ละ<br />
วันทำการจะต้องมีนายทหารชั้นสัญญาบัตร ๓ คนทำหน้าที่นำเงินออก<br />
จากกำปั่นเก็บเงินในเวลาเช้า และเก็บเงินพร้อมสอบทานการเก็บเงินเข้าสู่<br />
กำปั่นเก็บเงินในเวลาเย็นก็ทำการ ประกอบด้วย (๑) ผู้ถือลูกกุญแจที่เก็บ<br />
กำปั่นเก็บเงิน ซึ่งเป็นห้องหรือกรงเหล็กที่ทำไว้ โดยมั่นคงเป็นพิเศษสำหรับ<br />
เก็บกำปั่นเก็บเงิน (๒) ผู้ถือลูกกุญแจกำปั่นเก็บเงิน ซึ ่งเป็นตู้นิรภัยหรือ<br />
ตู้เหล็กหรือหีบเหล็กอันมั่นคงสำหรับเก็บเงิน บรรจุภายในห้องกำปั่น<br />
อีกชั้นหนึ่ง และ (๓) พยานประจำวัน อีกทั้ง การปฏิบัติที่สำคัญอีก<br />
ประการหนึ่งคือเมื่อปิดกำปั่นเก็บเงินหรือที่เก็บกำปั่นเก็บเงินแล้วจะต้อง<br />
ทำการผูกเชือกพร้อมประทับตราที่ครั่งหรือดินเหนียวเป็นเครื่องหมาย<br />
ของผู้ถือลูกกุญแจดังกล่าวด้วยเพื่อความปลอดภัยของการนิรภัย<br />
ในการเก็บรักษาเงินของทางราชการ กระทรวงกลาโหมเองก็มีห้องที่<br />
เก็บกำปั่นเก็บเงินและห้องกำปั่นเก็บเงิน ซึ่งมีเกียรติภูมิเคียงคู่ความ<br />
สง่างามของศาลาว่าการกลาโหมด้วยเช่นกัน โดยที ่กำลังพลที่เคยปฏิบัติ<br />
หน้าที่ในศาลาว่าการกลาโหมในช่วงก่อน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๒ หลายท่านคง<br />
รู้จักกันดีว่า ชั้นล่างของอาคารศาลาว่าการกลาโหมทิศใต้มีห้องอยู่ห้องหนึ่ง<br />
ที่เรียกกันว่า ห้องกำปั่นเก็บเงิน และตั้งอยู่ชั้นล่างใต้ห้องกองการเงิน<br />
กรมการเงินกลาโหม ในห้วงเวลาดังกล่าวจะต้องมีการจัดเวรยามติดอาวุธ<br />
รักษาความปลอดภัยเพื่อดูแลทางขึ้นและลงตลอด ๒๔ ชั่วโมง<br />
ทั้งนี้ มีการสันนิษฐานว่ามีการกำหนดให้ใช้พื้นที่บริเวณดังกล่าวทำ<br />
ที่เก็บกำปั่นเก็บเงินมาตั้งแต่รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเจ้าอยู่หัว<br />
ในราว<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๗ ซึ่งมีการตั้ง กรมคลังเงินทหารบก (ต่อมา ได้เปลี่ยน<br />
มาเป็น กรมการเงินกลาโหม) ซึ่งเป็นส่วนราชการขึ้นตรง กรมยุทธนาธิการ<br />
และสาเหตุที่ต้องใช้บริเวณชั้นล่างอาคาร ก็เนื่องจากกำปั่นเก็บเงินเป็น<br />
ตู้เหล็กขนาดใหญ่ มีน้ำหนักมาก หากตั้งไว้ชั้นบนอาจทำให้ต้องรับ<br />
น้ำหนักมาก และอาจส่งผลต่อโครงสร้างอาคาร<br />
แต่เป็นที่น่าเสียดายที่ในปัจจุบันกระทรวงกลาโหมไม่ได้ใช้ประโยชน์<br />
จากห้องกำปั่นเก็บเงินอีกต่อไป เพราะการเบิกจ่ายเงินของทางราชการ<br />
ส่วนใหญ่ใช้ผ่านธนาคาร และมีการย้ายห้องทำงานของกองการเงิน<br />
กรมการเงินกลาโหม ไปอยู่ที่ชั้น ๓ ของอาคารสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม (ศรีสมาน) จึงปล่อยให้ห้องกำปั่นเก็บเงินถูกทิ้งร้าง ไม่ได้ใช้งาน<br />
และในอนาคตก็อาจถูกหลงลืมไปในที่สุด<br />
ในอดีต ห้องกำปั่นเก็บเงินนี้ ได้รับใช้ราชการกระทรวงกลาโหม<br />
มาเป็นเวลาต่อเนื่องถึงเกือบจะหนึ่งร้อย<strong>ปี</strong> และคาดว่ามีกำลังพลของ<br />
กระทรวงกลาโหมหลายหน่วย หลายรุ่น และหลายชั่วอายุ ใช้บริการ<br />
ห้องกำปั่นเก็บเงินด้วยการรับเงินเดือน และเงินตามสิทธิกำลังพล<br />
เป็นจำนวนมากและวันนี้เสมือนการปลดระวางการใช้ประโยชน์แล้ว<br />
ซึ่งปัจจุบันได้พัฒนาห้องกำปั่นเก็บเงินเพื่อใช้เป็นห้องทำงานของหน่วย<br />
ขึ้นตรงกรมเสมียนตรา<br />
144
เรื่องเล่าที่ ๑๐๓<br />
ห้องพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม<br />
ในอดีต ห้องพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งใช้เป็นที่เก็บรวบรวม<br />
สิ่งของที่เกี่ยวกับทหารมาจัดแสดงไว้ในลักษณะของพิพิธภัณฑ์ภายในอาคาร<br />
ซึ่งตั้งอยู่บริเวณชั้นที่หนึ่ง ของอาคารศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศตะวันออก<br />
โดยจัดแสดงสิ่งของโบราณทางการทหาร ประกอบด้วย<br />
๑. ศาสตราวุธโบราณ ตั้งแต่ยุคสุโขทัย อยุธยา และต้นรัตนโกสินทร์<br />
๒. อาวุธและสิ่งของเครื่องใช้ทางทหารในยุคที่ประเทศไทยปรับ<br />
กิจการทหารมาเป็นกิจการทหารสมัยใหม่<br />
๓. เอกสารโบราณหลายรายการ เป็นสิ่งที่หาชมได้ยากและ<br />
สามารถใช้สืบค้นและค้นคว้าหาความรู้ในเชิงประวัติศาสตร์ของชาติและ<br />
ประวัติศาสตร์ทางทหาร กล่าวคือ<br />
๓.๑ หนังสือราชการในยุคตั้งแต่เริ่มจัดสร้างโรงทหารหน้า<br />
๓.๒ หนังสือโบราณ ประเภท สมุดพับ บันทึกเรื่องราวทางทหาร<br />
และตำราพิชัยสงคราม<br />
ต่อมา พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
มีดำริที่จะปรับปรุงพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม เพื่อใช้เป็นแหล่งรวบรวม<br />
เอกสารที่สำคัญ และวัตถุพิพิธภัณฑ์โบราณที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์<br />
ของกระทรวงกลาโหม โดยเปิดโอกาสให้ข้าราชการและประชาชนทั่วไป<br />
เข้าชมเพื่อให้รับรู้เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ทางการทหาร สร้างความ<br />
ภาคภูมิใจในความเป็นชาติไทย โดยทำการย้ายพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการ<br />
กลาโหมมาอยู่ชั้นที่หนึ่ง อาคารศาลาว่าการกลาโหมทิศตะวันตก มีพื้นที่<br />
ประมาณ ๓๑๒ ตารางเมตร กำหนดรูปแบบพื้นที่จัดแสดงออกเป็น ๘ พื้นที่<br />
ประกอบด้วย<br />
๑. ห้องประวัติจากโรงทหารหน้าสู่ศาลาว่าการกลาโหม<br />
๒. ผังพิพิธภัณฑ์กลางแจ้งปืนใหญ่โบราณหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
๓. สมุดรายชื่อทหารไทยกองอาสาไปสงครามโลกครั้งที่ ๑ ที่ทวีป<br />
ยุโรป จำนวน ๑,๔๒๔ นาย<br />
๔. สมุดไทยดำบันทึกยอดไพร่พล<br />
๕. ประวัติพญาคชสีห์ด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหม<br />
๖. แบบเรียนตำราแบบฝึกทางการทหารสมัยพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
๗. ภาพประวัติศาสตร์ศาลาว่าการกลาโหม<br />
๘. หัวเสาธงชาติ<br />
โดยทำพิธีเปิดพิพิธภัณฑ์ศาลาว่าการกลาโหม เมื่อวันที่ ๒๘ กันยายน<br />
๒๕๖๑ โดย พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ อดีตปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เป็นประธานในพิธี<br />
145
เรื่องเล่าที่ ๑๐๔<br />
ห้องสมุดกระทรวงกลาโหม<br />
กระทรวงกลาโหม ตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนาองค์ความรู้<br />
ของกำลังพล ซึ่งประกอบด้วย ข้าราชการทหาร ทั้งนายทหารชั้นสัญญา<br />
บัตรและนายทหารชั้นประทวน ลูกจ้างประจำ และพนักงานราชการที่<br />
ปฏิบัติหน้าที่ในศาลาว่าการกลาโหม จึงได้จัดทำห้องสมุดกระทรวงกลาโหม<br />
เพื่อให้กำลังพลได้ศึกษาค้นคว้าเรื่องราวข่าวสารอันเป็นประโยชน์ในการ<br />
พัฒนาความรู้และติดตามข่าวสารของประเทศชาติบ้านเมือง โดยมีที่ตั้ง<br />
ของห้องสมุดกระทรวงกลาโหมบริเวณชั้นล่าง ของอาคารศาลาว่าการ<br />
กลาโหมหลังเดิมด้านทิศตะวันออก<br />
โดยหนังสือที่จัดแสดงไว้นั้น เป็นการรวบรวมหนังสือที่เกี่ยวข้อง<br />
กับกิจการทหารในยุคโบราณ ตั้งแต่แรกตั้งกระทรวงกลาโหมต่อเนื่อง<br />
มาจนปัจจุบัน หนังสือในศาสตร์ต่างๆ วารสารที ่สำคัญของทหาร อาทิ<br />
วารสารหลักเมือง รัฏฐาธิปัตย์ เสนาธิปัตย์ นาวิกศาสตร์ ทั้งนี้ หนังสือ<br />
ที่น่าสนใจที่เก็บรักษาในห้องสมุดมีหนังสือที่จัดทำเมื่อกระทรวงกลาโหม<br />
ครบ ๖๐ <strong>ปี</strong> ซึ่งบรรจุประกาศพระบรมราชโองการที่ชื่อว่า ประกาศจัดการ<br />
ทหาร (ก่อตั้งกรมยุทธนาธิการ) และเอกสารโบราณเกี่ยวกับกิจการทหาร<br />
ไว้อีกด้วย<br />
ปัจจุบัน ห้องสมุดกระทรวงกลาโหม อยู่ในความรับผิดชอบของ<br />
กรมเสมียนตรา และเปิดให้บริการในเวลาราชการโดยไม่พักเที่ยง ทำให้<br />
กำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในศาลาว่าการกลาโหมสามารถใช้บริการได้อย่าง<br />
สะดวกเสมอมา<br />
146
เรื่องเล่าที่ ๑๐๕<br />
ไม้กั้นหน้าประตูใหญ่<br />
บริเวณด้านหน้าศาลาว่าการกลาโหมบริเวณริมถนนสนามไชย<br />
จะพบเห็นถนนที่เข้าสู่ประตูและออกจากประตูใหญ่หน้าศาลาว่าการ<br />
กลาโหมด้านทิศตะวันตก รวมทั้งบริเวณทางออกถนนหลักเมืองและถนน<br />
กัลยาณไมตรี แต่สิ่งที่ขอนำเสนอคือ สิ่งกีดขวางหน้าประตูที่ทำจากเหล็ก<br />
และเสาที่ยึดตรงกับสิ่งกีดขวางนั้น โดยกำลังพลที่ปฏิบัติหน้าที่ในศาลา<br />
ว่าการกลาโหมมักจะเรียกกันว่าไม้กั้นหน้าประตูใหญ่ หากแต่เมื่อพิจารณา<br />
รูปลักษณ์แล้วจะเห็นรูปทรงเป็นแท่งเหล็กยาวทางสีขาวแดงบริเวณส่วนหัว<br />
เป็นทองเหลืองคล้ายเสาธงและมีเหล็กยึดเสา พร้อมเหล็กห้อยเพื่อแสดง<br />
ความเป็นเขตหวงห้าม โดยการเปิดเข้าด้านในจากถนนสนามไชย<br />
การจัดทำไม้กั้นหน้าประตูใหญ่นี้ไม่ปรากฏว่าจัดทำเมื่อไร แต่เมื่อ<br />
สืบค้นและสอบถามอดีตกำลังพลที่เคยปฏิบัติราชการตั้งแต่ประมาณ<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๕๑๐ ได้รับการยืนยันว่า เมื่อเริ่มมาปฏิบัติหน้าที่ก็เห็นไม้กั้นหน้า<br />
ประตูใหญ่ใช้งานอยู่ก่อนหน้านั้นแล้ว และเมื่อพิจารณาจากหัวเสา<br />
และหัวไม้กั้นที่เป็นทองเหลืองหล่อพบว่ามีลักษณะคล้ายกับหัวเสาธงชาติ<br />
หน้าศาลาว่าการกลาโหม ที่สร้างขึ้นเมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๐๐ จึงมีความเป็นไปได้<br />
ที่จัดสร้างขึ้นในยุคเดียวกัน<br />
กล่าวได้ว่า ไม้กั้นหน้าประตูใหญ่ได้ยืนหยัดทำหน้าที่กีดขวางการ<br />
เข้าและออกของบุคคลและยานพาหนะที ่ไม่ได้รับการอนุญาตด้วย<br />
ความเข้มแข็ง ต่อเนื่องมาไม่น้อยกว่า ๕๐ <strong>ปี</strong> และจะคงทำหน้าที่<br />
อันสำคัญนี้ต่อไป<br />
147
เรื่องเล่าที่ ๑๐๖<br />
กองรักษาการณ์และป้อมทหารยาม<br />
ความสง่างามของหน่วยทหารทุกหน่วยย่อมปรากฏชัด ตั้งแต่<br />
ทางเข้ามาสู่หน่วยทหาร ซึ่งหน่วยทหารของไทยทุกหน่วยจะปรากฏ<br />
กองรักษาการณ์ และการจัดเวรยามของทหารในการรักษาความปลอดภัย<br />
ของอาคาร กระทรวงกลาโหมก็ได้จัดให้มีกองรักษาการณ์มีที่ตั้งอยู่บริเวณ<br />
ด้านหน้าอาคารศาลาว่าการกลาโหม ภายใต้ระเบียงมุขกลางของอาคาร<br />
โดยจัดกำลังทหารจากมณฑลทหารบกที่ ๑๑ มาปฏิบัติหน้าที่รักษา<br />
ความปลอดภัย รวมทั้งจัดเวรยามประจำจุดต่างๆ รอบอาคารศาลาว่าการ<br />
กลาโหม ตลอด ๒๔ ชั่วโมง<br />
สำหรับการยืนเวรยามตามจุดต่างๆ ได้จัดให้มีสิ่งอ ำนวยความสะดวก<br />
ในการยืนเวรยามเป็นป้อมทหารยามรอบอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
รวม ๘ จุด โดยจัดรูปแบบของป้อมทหารยามไว้ตามลักษณะของป้อมยาม<br />
โบราณที่ปรากฏหลักฐานจากภาพถ่ายในอดีตมาพัฒนาเพื่อการใช้ประโยชน์<br />
ในปัจจุบัน ซึ่งป้อมทหารยามของศาลาว่าการกลาโหมเป็นที่สนใจของ<br />
นักท่องเที่ยว ทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติเป็นอันมาก จึงขอบันทึกภาพ<br />
พร้อมทหารที่เข้าเวรยามในผลัดต่างๆ อยู่เสมอ<br />
148
เรื่องเล่าที่ ๑๐๗<br />
รางรถรางข้างกระทรวงกลาโหม<br />
หากท่านใดที่สัญจรผ่านศาลาว่าการกลาโหมด้านทิศเหนือบริเวณ<br />
ถนนหลักเมือง คงจะเห็นรางคล้ายรางรถไฟอยู่บนพื้นผิวถนน ซึ่งราง<br />
ดังกล่าวคือรางรถราง และบริเวณข้างกระทรวงกลาโหมเคยเป็นท่ารถราง<br />
อีกด้วย โดยรถรางที่ว่านี้ เริ่มมีการบริการในประเทศไทย โดยเริ่มกิจการที่<br />
กรุงเทพมหานครเป็นครั้งแรก ในวันที่ ๒๒ กันยายน ๒๔๓๑ โดยเริ่มต้นจาก<br />
บางคอแหลม ถนนตก มาตามถนนเจริญกรุง สุดปลายทางที่ศาลหลักเมือง<br />
ข้างศาลายุทธนาธิการ หรือกระทรวงกลาโหมในปัจจุบัน เป็นระยะทาง<br />
๖ ไมล์ (ประมาณ ๑๐ - ๑๒ กิโลเมตร) ใช้รถเล็ก ๔ ล้อ เทียมด้วยม้า ๒ คู่<br />
และมีสถานีเปลี่ยนม้าเป็นระยะ เพื่อให้ม้าได้พัก ซึ่งกิจการที่เปิดให้บริการ<br />
รถรางคือ บริษัท บางกอกแตรมเวย์ จำกัด จึงทำให้คนไทยรถรางในยุคแรก<br />
เรียกว่า รถแตรม ต่อมาใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๕ จึงเปลี่ยนมาใช้ไฟฟ้าในการ<br />
ขับเคลื่อนรถราง และให้บริการจนถึงวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๕๑๑ ซึ่งเหตุที่<br />
ต้องเลิกกิจการเพราะรถรางแล่นช้าและถูกมองว่าทำให้การจราจรติดขัด<br />
สำหรับรถรางที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมคือ รถรางสาย<br />
บางคอแหลม ซึ ่งมีเส้นทางวิ่งตามถนนเจริญกรุง เข้าเมืองไปยังสี่กั๊ก<br />
พระยาศรี แล้วเลี้ยวขวาไปตามถนนเฟื่องนคร ไปยังสี่กั๊กเสาชิงช้า<br />
ก่อนจะเลี้ยวซ้ายเข้าถนนบำรุงเมือง แล้วเลี้ยวขวาเข้าถนนอัษฎางค์<br />
ก่อนข้ามสะพานหกที่คลองคูเมืองเดิม ไปยังศาลหลักเมืองแล้วไปสุดสาย<br />
ที่แถวกระทรวงกลาโหม ต่อมา ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๗๐ รถรางสายนี้ถูกยกเลิก<br />
ไปเพื่อนำพื้นที่แถวนั้นมาสร้างเป็นถนน คงเหลือไว้เพียงรางรถรางให้เห็น<br />
เป็นอนุสรณ์ว่า บริเวณนี้เคยมีรถรางแล่นผ่านมาก่อน<br />
149
เรื่องเล่าที่ ๑๐๘<br />
สะพานหก<br />
สะพานหก เป็นชื่อสะพานที่อยู่บริเวณด้านหลังศาลาว่าการกลาโหม<br />
ข้ามคลองคูเมืองเดิม ปัจจุบันเป็นสะพานคอนกรีตสำหรับคนเดินข้าม<br />
ซึ่งมีประวัติการสร้าง กล่าวคือ เดิมเมื่อโรงทหารหน้านี้ยังสร้างไม่แล้วเสร็จ<br />
ที่ว่าการของกรมทหารหน้ายังตั้งอยู่ที่บริเวณหอบิลเลียด ณ วังสราญรมย์<br />
กับโรงครัวที่เลี้ยงทหาร ซึ่งตั้งอยู่ริมถนนเฟื่องนครนั้นก็รวมอยู่ด้วย ต่อมา<br />
ได้ปรับปรุงด้วยการรื้อถอนโรงครัวเพื่อสร้างเป็นโรงเรียนนายร้อย (Cadet<br />
School) บริเวณหน้าวัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรมหาวิหาร<br />
โดยสร้างเป็นโรงใหญ่สำหรับฝึกกายกรรม (โรงยิมเนเซียม)<br />
ต่อมาเมื่อกรมทหารหน้าได้ย้ายมาอยู่ที่โรงทหารหน้า ซึ่งสร้าง<br />
ขึ้นใหม่นั้น ก็ยังคงโรงครัวเก่าเลี้ยงพลทหารหน้าต่อไปอีก เมื่อพลทหาร<br />
ที่จะมารับประทานอาหารต้องเดินไกล ผู้บัญชาการจึงสั่งการให้ทำเป็น<br />
สะพานหก ข้ามมาจากยุทธนาธิการจนถึงโรงครัว เพื่อตัดทอนหนทาง<br />
ให้สั้นลง สะพานหกนี้ได้เปิดให้ทหารเดินแต่ขณะที่จะมารับประทานอาหาร<br />
เท่านั้น ว่ากันว่า สะพานนี้ได้ใช้งานในระหว่างที่ นายพันเอก เจ้าหมื่นไวย<br />
วรนารถ ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บังคับการกรมทหารหน้าเท่านั ้น ครั้นเมื่อตั้ง<br />
กรมยุทธนาธิการ เป็นระเบียบเรียบร้อยดีแล้ว จึงได้รื้อโรงครัวนั้นสร้าง<br />
เป็นโรงเรียนนายร้อย<br />
สำหรับสะพานหก มีการสร้างขึ้นเพื่อให้สามารถยกตัวสะพานขึ้น<br />
เพื่อให้เรือแล่นผ่านได้ (หากต้องการเห็นลักษณะของสะพาน ได้มีการ<br />
สร้างสะพานหกขึ้นบริเวณวัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรมหาวิหาร)<br />
ซึ่งในอดีตเคยเป็นสะพานรถรางที่ให้รถรางสายบางคอแหลม – กระทรวง<br />
กลาโหมข้ามจากถนนหลักเมือง แต่ได้ยกเลิกรถรางสายดังกล่าวใน<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๔๗๐ ส่วนสะพานหกเดิมได้สร้างเป็นสะพานคอนกรีตถาวรดังที่เห็น<br />
ในปัจจุบัน<br />
ภาพสะพานหกหลังอาคารโรงทหารหน้า ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๓๑<br />
ภาพรถรางกำลังแล่นผ่านสะพานหก (เดิม)<br />
สะพานหกในปัจจุบัน (พ.ศ.๒๕๖๒)<br />
ภาพรถรางกำลังแล่นผ่าน<br />
สะพานหก (คอนกรีต)<br />
150
เรื่องเล่าที่ ๑๐๙<br />
ถนนสนามไชย<br />
ถนนสนามไชย ถือเป็นถนนสำคัญที่อยู่เคียงคู่โรงทหารหน้าและ<br />
ศาลาว่าการกลาโหม มานับร้อย<strong>ปี</strong> และมีความสำคัญมากเพราะเป็นที่อยู่<br />
ของศาลาว่าการกลาโหม ซึ่งหนังสือราชการทุกฉบับจะต้องเขียนที่อยู่ของ<br />
กระทรวงกลาโหมว่า ในศาลาว่าการกลาโหม ถนนสนามไชย เขตพระนคร<br />
กรุงเทพฯ เพราะหากไม่กล่าวถึงถนนเส้นนี้แล้ว การกล่าวถึงศาลาว่าการ<br />
กลาโหม คงขาดอรรถรสสำคัญเป็นอย่างมาก<br />
ถนนสนามไชยนี้ คือ ถนนที่เป็นทางสัญจรของรถยนต์และคน<br />
มาตั้งแต่สร้างกรุงรัตนโกสินทร์ มีชื่อเดิมว่า ถนนหน้าจักรวรรดิวังหลวง<br />
มีความยาว ๑.๑ กิโลเมตร จุดเริ่มต้นอยู่บริเวณเชิงสะพานเจริญรัช ๓๑<br />
(บริเวณปากคลองตลาด) หน้าสถานีตำรวจนครบาลพระราชวัง ผ่านวัด<br />
พระเชตุพนวิมลมงคลารามราชวรมหาวิหาร พระบรมมหาราชวัง บริเวณ<br />
ด้านหน้าพระที่นั่งสุทไธสวรรย์ปราสาท และศาลาว่าการกลาโหม มาจรด<br />
ถนนราชดำเนิน ในบริเวณหน้าศาลหลักเมืองและป้อมเผด็จดัสกร<br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้ขนานนามใหม่จากถนนหน้าจักรวรรดิวังหลวง เป็นถนน<br />
สนามไชย ดังนั้น ตั้งแต่อดีตจึงเป็นสถานที่ที่นำมาใช้ประกอบพระราชพิธี<br />
และพิธีการต่างๆ ที่เป็นมงคลและต้องการชัยชนะ อาทิ การเสด็จออก<br />
ณ พระที่นั่งสุทไธสวรรย์ ในพิธีอภิเษกสมรส ให้ประชาชนเฝ้าถวายพระพร<br />
การส่งทหารไปราชการสงคราม และเคยใช้ในเหตุการณ์การชุมนุมเรียกร้อง<br />
ดินแดนคืนในยุคสงครามอินโดจีน พ.ศ.๒๔๘๓<br />
ความสำคัญในอดีต ถนนสนามไชยนี้ เคยใช้เป็นพื้นที่ฝึกหัด<br />
ทหารไทยตามแบบอย่างทหารยุโรปในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ซึ่งในวโรกาสนั้น สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์<br />
ทอดพระเนตรการฝึกทหารด้วย นอกจากนี้ ถนนสนามไชยยังเป็นเส้น<br />
ทางการประกอบพระราชพิธี รัฐพิธี และพิธีการทางทหารในอดีต ตั้งแต่<br />
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นต้นมา<br />
151
เรื่องเล่าที่ ๑๑๐<br />
อาคารกรมพระธรรมนูญ<br />
อาคารกรมพระธรรมนูญ คือ อาคารสำนักงานของกรมพระธรรมนูญ<br />
ซึ่งเป็นหน่วยขึ้นตรงสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม มีที่ตั้งอยู่ข้างศาลา<br />
ว่าการกลาโหมด้านทิศเหนือ ริมถนนหลักเมือง ถือได้ว่าเป็นสถานที่สำคัญ<br />
ที่อยู่ใกล้เคียงศาลาว่าการกลาโหมอีกแห่งหนึ่ง<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๔๙ กรมพระธรรมนูญ ถือกำเนิดครั้งแรกโดยเป็น<br />
หน่วยขึ้นตรงกรมยุทธนาธิการ ซึ่งในขณะนั้นเรียกว่า กรมพระธรรมนูญ<br />
ทหารบก โดยมีที่ตั้งอยู่ในศาลาว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
ต่อมาใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๕๑ ได้มีการตั้งกรมพระธรรมนูญทหารเรือ<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๗๔ ได้รวมกรมพระธรรมนูญทหารบกและกรมพระธรรมนูญ<br />
ทหารเรือ และตั้งเป็นกรมพระธรรมนูญทหาร ซึ่งใน<strong>ปี</strong>ถัดมา คือ พ.ศ.๒๔๗๕<br />
ได้โอนกรมพระธรรมนูญ ขึ้นสังกัดกระทรวงกลาโหม ใช้ชื่อว่า กรม<br />
พระธรรมนูญ โดยใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๑ ได้ย้ายที่ทำการใหม่มาอยู่บริเวณ<br />
ชั้นที่ ๒ ด้านทิศใต้ติดคลองคูเมืองเดิม<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๒๕ ได้ย้ายที่ทำการบางส่วนมาอยู่ในพื้นที่ขององค์การ<br />
เชื้อเพลิงที่ได้ยุบไปด้านทิศเหนือของศาลาว่าการกลาโหม และใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.<br />
๒๕๒๙ ได้ย้ายเข้าสู่ที่ตั้งปัจจุบัน คือ อาคารที่ทำการกรมพระธรรมนูญ<br />
ตึกใหม่ริมถนนหลักเมืองทางด้านทิศเหนือของศาลาว่าการกลาโหม<br />
152
เรื่องเล่าที่ ๑๑๑<br />
การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๑ สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน)<br />
ในปัจจุบัน ภารกิจของกระทรวงกลาโหม นอกเหนือไปจากการ<br />
พิทักษ์รักษาเอกราชอธิปไตยของประเทศ ปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
และสนับสนุนภารกิจของสถาบันพระมหากษัตริย์ รักษาความมั่นคง<br />
แห่งชาติ รักษาผลประโยชน์แห่งชาติ พิทักษ์รักษาการปกครองระบอบ<br />
ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข การพัฒนาประเทศ<br />
การป้องกันและแก้ไขปัญหาจากภัยพิบัติและการช่วยเหลือประชาชนแล้ว<br />
สิ่งที่กระทรวงกลาโหมจะต้องกระทำอย่างต่อเนื่องอีกประการคือการ<br />
สร้างและพัฒนาความพร้อมรบเพื่อตระเตรียมกำลังพลและยุทโธปกรณ์<br />
ให้สามารถปฏิบัติการตามภารกิจได้อย่างทันท่วงที<br />
จากภารกิจที่ได้กำหนดไว้ตามบทบัญญัติตามพระราชบัญญัติ<br />
จัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ มาตรา ๘ (๔) ที่บัญญัติไว้<br />
อย่างชัดเจนในเรื่องการศึกษา วิจัย พัฒนา และดำเนินการด้านอุตสาหกรรม<br />
ป้องกันประเทศและพลังงานทหาร ด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกัน<br />
ประเทศ และด้านกิจการอวกาศเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อ<br />
สนับสนุนภารกิจของกระทรวงกลาโหมและความมั่นคงของประเทศ จึงนำ<br />
มาสู่การจัดตั้งหน่วยงานเพื ่อรองรับการดำเนินการในเรื่องของเทคโนโลยี<br />
ป้องกันประเทศที่เป็นรูปธรรม กล่าวคือ<br />
๑. กระทรวงกลาโหมตระหนักถึงความสำคัญของการพัฒนา<br />
เทคโนโลยีเพื่อการป้องกันประเทศ จึงได้นำเรื่องดังกล่าวเข้าพิจารณา<br />
ในที่ประชุมสภากลาโหม เมื่อวันที่ ๓๐ เมษายน ๒๕๕๐ ซึ่งที่ประชุมสภา<br />
กลาโหม มีมติเห็นชอบให้ สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมดำเนินความ<br />
ร่วมมือวิจัยและรับถ่ายทอดเทคโนโลยีจากมิตรประเทศ และให้เหล่าทัพ<br />
นำผลงานไปทดลองใช้งาน เมื่อได้มาตรฐานให้กระทรวงกลาโหมผลิตเพื่อ<br />
นำไปประจำการในกองทัพต่อไป หลังจากนั้นมาจึงได้พิจารณาจัดหน่วย<br />
งานเพื่อรองรับการดำเนินการและได้จัดทำเป็นแนวทางการจัดตั้ง สถาบัน<br />
เทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) นำเสนอต่อคณะรัฐมนตรี<br />
และนำความกราบบังคมทูลต่อไป<br />
153
๒. วันที่ ๒๗ ธันวาคม ๒๕๕๑ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร ทรงพระกรุณาลงพระปรมาภิไธย<br />
ในพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การ<br />
มหาชน) และในวันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๑ รัฐบาลจึงได้ลงประกาศ<br />
พระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน)<br />
ในราชกิจจานุเบกษา<br />
๓. สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ในชื่อ<br />
ย่อว่า สทป. จึงมีฐานะเป็นองค์การมหาชนแห่งแรกของกระทรวงกลาโหม<br />
ซึ่งมีวิสัยทัศน์ และพันธกิจที่สำคัญ กล่าวคือ<br />
๓.๑ วิสัยทัศน์<br />
เป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศในภูมิภาค<br />
ตอบสนองความต้องการของกองทัพไทย และพันธมิตรอาเซียน<br />
๓.๒ พันธกิจ<br />
(๑) วิจัยและพัฒนาโครงการขนาดใหญ่ ตามที่สภา<br />
กลาโหมกำหนดและอนุมัติให้มีแผนแม่บทในการดำเนินโครงการ<br />
(๒) ศึกษา ค้นคว้า วิจัย และดำเนินการอื่นที่เกี่ยวข้อง<br />
หรือต่อเนื่องกับการพัฒนาเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
(๓) เป็นศูนย์ข้อมูลความรู้ด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
ให้แก่กระทรวงกลาโหม เพื่อใช้ในการกำหนดนโยบายและแผนการพัฒนา<br />
วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
(๔) ประสานความร่วมมือด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
กับหน่วยงานอื่นของรัฐ สถาบันการศึกษาอื่นที ่เกี่ยวข้อง และภาคเอกชน<br />
ทั้งในและต่างประเทศ<br />
(๕) ส่งเสริมและสนับสนุนการฝึกอบรม การค้นคว้าวิจัย<br />
และการพัฒนาบุคลากรด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
(๖) เป็นศูนย์กลางในการให้บริการข้อมูลและสารสนเทศ<br />
ทางด้านเทคโนโลยีป้องกันประเทศ และส่งเสริมให้เกิดกิจกรรมทางวิชาการ<br />
เพื่อเผยแพร่ความรู้เกี่ยวกับเทคโนโลยีป้องกันประเทศไปสู่สาธารณชน<br />
ปัจจุบัน สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ได้<br />
พัฒนารูปแบบการดำเนินการเพื่อรองรับภารกิจตามที่ได้รับมอบหมาย<br />
อย่างต่อเนื่อง โดยมุ่งเน้นในการบรรลุผลสัมฤทธิ์เพื่อผลประโยชน์ของชาติ<br />
และมีที่ตั้งหน่วยงานอยู่ที่ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
(แจ้งวัฒนะ) ชั้นที่ ๔ เลขที่ ๔๗/๔๓๓ หมู่ที่ ๓ ถนนแจ้งวัฒนะ ต ำบลบ้านใหม่<br />
อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ ๑๑๑๒๐ หมายเลขโทรศัพท์<br />
๐ ๒๙๘๐ ๖๖๘๘ โทรสาร ๐ ๒๙๘๐ ๖๖๘๘ ต่อ ๓๐๐<br />
154
เรื่องเล่าที่ ๑๑๒<br />
การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๒ กิจการอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า ภารกิจสำคัญของกระทรวงกลาโหมที่จะ<br />
ต้องกระทำอย่างต่อเนื่องอีกประการคือ การสร้างและพัฒนาความ<br />
พร้อมรบเพื่อตระเตรียมกำลังพลและยุทโธปกรณ์ให้สามารถปฏิบัติการ<br />
ตามภารกิจได้อย่างทันท่วงที ดังนั้น สิ่งที่กระทรวงกลาโหมจะต้องให้<br />
ความสำคัญเป็นอย่างมากคือ การพัฒนาทรัพยากรทางทหารบนพื้นฐาน<br />
ของการพึ่งพาตนเองด้วยการดำเนินกิจการด้านอุตสาหกรรมป้องกัน<br />
ประเทศและพลังงานทหาร ให้มีความเข้มแข็ง สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่าง<br />
คุ้มค่าและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง<br />
ในอดีต กระทรวงกลาโหมได้ให้ความสำคัญของภารกิจด้าน<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร จึงได้ดำเนินการในเรื่อง<br />
สำคัญ ดังนี้<br />
๑. ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๖ ได้จัดตั้งกรมการพลังงานทหารขึ้น เพื่อ<br />
รับผิดชอบในเรื่องกิจการปิโตรเลียมทางการทหาร<br />
๒. ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๗ ได้จัดตั้งกรมการอุตสาหกรรมทหารขึ้น<br />
เพื ่อรับผิดชอบในเรื่องของการสร้างฐานการผลิตเพื่อประโยชน์ในการ<br />
ระดมสรรพกำลังทางอุตสาหกรรมเพื่อการทหาร<br />
155
๓. ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๓ ได้จัดตั้ง ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
และพลังงานทหารขึ้น เพื่อดำเนินการและกำกับดูแลกิจการอุตสาหกรรม<br />
เพื่อการทหารและกิจการปิโตรเลียมทางการทหารให้มีเทคโนโลยีล้ำหน้า<br />
และทันสมัยมาใช้ให้เกิดประโยชน์มากที่สุด<br />
ปัจจุบัน ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
มีหน่วยขึ้นตรงรวม ๔ หน่วยคือ<br />
(๑) กรมการพลังงานทหาร (๒) กรมการอุตสาหกรรมทหาร<br />
(๓) ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ และ (๔) โรงงานเภสัชกรรมทหาร และ<br />
มีที่ตั้งหน่วยงานอยู่ที่ ๑๒๗ หมู่ที่ ๓ อาคารสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม (ศรีสมาน) ชั้นที่ ๘ ถนนศรีสมาน ตำบลบ้านใหม่ อำเภอ<br />
ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ ๑๑๑๒๐ หมายเลขโทรศัพท์<br />
๐ ๒๕๐๑ ๖๖๖๐ ต่อ ๕๓๐๑<br />
156
เรื่องเล่าที่ ๑๑๓<br />
การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๓ กิจการวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
ภารกิจที่สำคัญของกระทรวงกลาโหมที่จะต้องกระทำอย่าง<br />
ต่อเนื่องอีกประการคือ การสร้างและพัฒนาองค์ความรู้ในด้านการวิจัยและ<br />
พัฒนาการทหาร และต่อยอดในการใช้ประโยชน์ของกิจการวิทยาศาสตร์<br />
และเทคโนโลยีทางการทหารเพื่อเตรียมความพร้อมในการป้องกันประเทศ<br />
อย่างต่อเนื่อง ซึ่งในอดีตกระทรวงกลาโหมได้ให้ความสำคัญต่อการวิจัย<br />
และพัฒนาการทหารมาตั้งแต่<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๒๙ ซึ่ง พลเอก เปรม ติณสูลานนท์<br />
อดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ให้วิสัยทัศน์<br />
ในเรื่องนี้ว่า<br />
“วันหนึ่งข้างหน้า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมอาจมาจาก<br />
พลเรือนไม่ต้องเป็นทหาร ดั่งเช่นประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย กระทรวง<br />
กลาโหม จำเป็นต้องมีกรมฝ่ายอำนวยการด้านการวิจัยและพัฒนาการ<br />
ทหารของกองทัพ เพื่อให้ความรู้ความเข้าใจเรื่องต่างๆ ของทหารด้านนี้<br />
ได้มากพอที่จะนำไปชี้แจงในสภาหรือเจรจากับต่างประเทศได้เป็น<br />
อย่างดี” จึงนำมาสู่การจัดตั้งคณะกรรมการวิจัยและพัฒนาการทหาร<br />
กระทรวงกลาโหม เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย ให้ความเห็นชอบโครงการ<br />
กำกับดูแลการดำเนินงานวิจัย เมื่อวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๓๑ และ<br />
ได้ดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ โดยได้รวบรวมทรัพยากร<br />
ทางการวิจัยที่มีอยู่อย่างจำกัดเข้าด้วยกัน เพื่อสนองนโยบายรวมการ<br />
ด้านการวิจัยและงบประมาณการวิจัยของกระทรวงกลาโหม จนเมื่อ<br />
วันที่ ๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๓๔ จึงได้จัดตั้งหน่วยงานรับผิดชอบงานวิจัยและ<br />
พัฒนาการทหารขึ้นชื่อว่า สำนักงานวิจัยและพัฒนาการทหารกลาโหม<br />
และมีการพัฒนาหน่วยอย่างต่อเนื่องจนจัดตั้งเป็น กรมวิทยาศาสตร์และ<br />
เทคโนโลยีกลาโหม เมื่อวันที่ ๑ เมษายน ๒๕๕๒<br />
สำหรับภารกิจที่สำคัญของกรมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีกลาโหม<br />
คือ การพิจารณาเสนอความเห็น วางแผน อำนวยการ ประสานงาน<br />
กำกับการ และดำเนินการเกี่ยวกับกิจการด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
ป้องกันประเทศของกระทรวงกลาโหม และปฏิบัติงานอื่นตามที่ได้รับ<br />
มอบหมาย โดยมีหน่วยขึ้นตรงที่สำคัญ ประกอบด้วย<br />
๑. สำนักนโยบายวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
๒. สำนักมาตรฐานทางทหาร<br />
๓. ศูนย์วิจัยและพัฒนาการทหาร<br />
ปัจจุบันมีที่ตั้งหน่วยงานอยู่ที่ ๑๒๗ หมู่ที่ ๓ อาคารสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) ชั้นที่ ๓ ถนนศรีสมาน ตำบลบ้านใหม่ อำเภอ<br />
ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ ๑๑๑๒๐ หมายเลขโทรศัพท์<br />
๐ ๒๕๐๑ ๖๖๖๐ ต่อ ๕๖๐๗<br />
157
เรื่องเล่าที่ ๑๑๔<br />
การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๔ กิจการอวกาศเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร<br />
เรื่องสำคัญที่กระทรวงกลาโหมต้องเชิญหน้าในปัจจุบัน คือการ<br />
ประยุกต์ใช้ประโยชน์จากพัฒนาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี<br />
ที่ทำให้หน่วยปฏิบัติการทางทหารสามารถค้นหา ตรวจพบ กำหนดที่ตั้ง<br />
และติดตามการเคลื่อนไหวของเป้าหมายทางทหารได้อย่างชัดเจน ด้วย<br />
ระบบอาวุธมีขนาดเล็กลงและพิสัยทำการไกลมากขึ้น มีระบบการกระจาย<br />
ข่าวสาร สั่งการควบคุมการยุทธ์ได้อย่างรวดเร็วและทั่วถึงจากระยะไกลโดย<br />
การใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้งานฝ่ายอำนวยการทุกสายงานเป็นไป<br />
อย่างรวดเร็ว สามารถใช้กำลังพลน้อยลงแต่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้<br />
เพราะปัจจัยสำคัญที่สุดอีกประการหนึ่งในการปฏิบัติการทางทหาร<br />
ในยุคปัจจุบันคือการครอบครองเทคโนโลยีทางทหารที่เหนือกว่า ด้วยเหตุ<br />
นี้เองจึงทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปฏิบัติการจนสามารถกดดัน<br />
คู่ต่อสู้ให้ยอมแพ้ในระยะเวลาอันสั้น ลดความสูญเสียให้น้อยลง นอกจากนี้<br />
ยังมีการพัฒนาเทคโนโลยีในการตรวจจับ ค้นหา และติดตามเป้าหมาย<br />
อย่างรวดเร็วและแม่นยำ สามารถมองเห็นภาพการรบได้ในเวลาใกล้เคียงกับ<br />
158
เวลาจริง (Real Time) ซึ่งจะทำให้การตัดสินใจในการใช้กำลังทหารเป็นไป<br />
ด้วยความถูกต้องชัดเจนยิ่งขึ้น หรืออาจกล่าวได้ว่าการครอบครองเทคโนโลยี<br />
ทางยุทโธปกรณ์และทางทหารที ่เหนือกว่าย่อมช่วยให้เกิดความได้เปรียบ<br />
ในการปฏิบัติการทางทหารหรืออาจใช้ประโยชน์ในการป้องปราม<br />
มิให้ฝ่ายตรงข้ามกำหนดนโยบายรุกรานฝ่ายเราได้ตามความต้องการ<br />
กระทรวงกลาโหม ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการใช้เทคโนโลยี<br />
ที่ทันสมัยเพื่อการป้องกันประเทศและรักษาความมั่นคงของรัฐ จึงได้<br />
พัฒนาระบบเทคโนโลยีด้านการสื่อสารและสารสนเทศ (ICT) เพื่อการ<br />
ป้องกันประเทศขึ้นอย่างต่อเนื่อง และมีแนวคิดจัดทำโครงการดาวเทียม<br />
เพื่อความมั่นคง (Star of Siam) ซึ่งเป็นโครงการในระดับกระทรวง<br />
ที่จะอำนวยประโยชน์ให้แก่หน่วยงานด้านความมั่นคงในการติดต่อสื่อสาร<br />
ได้อย่างรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ทันเวลา นอกจากนี้ ยังได้จัดตั้งให้มี<br />
หน่วยงานเพื่อรองรับแนวทางการดำเนินงานของโครงการดาวเทียม<br />
เพื่อความมั่นคงดังกล่าว ให้ชื่อว่า ศูนย์เทคโนโลยีและสื่อสารโทรคมนาคม<br />
ป้องกันประเทศ จัดตั้งขึ้นเมื่อวันที่ ๔ กันยายน ๒๕๓๘ ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อ<br />
หน่วยเป็น ศูนย์พัฒนากิจการอวกาศกลาโหม โดยมีภารกิจสำคัญที่<br />
ดำเนินการอยู่ในปัจจุบัน คือ เป็นฝ่ายอำนวยการระดับสูงของกระทรวง<br />
กลาโหมในการพิจารณา เสนอความเห็น วางแผน กำหนดยุทธศาสตร์<br />
ของกระทรวงกลาโหมที่เกี่ยวกับงานสำคัญ ๔ งาน คือ งานด้านเทคโนโลยี<br />
สารสนเทศ งานด้านการสื่อสาร งานด้านคลื่นความถี่ และงานด้านกิจการ<br />
อวกาศและภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อความมั่นคง<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๕๑ ได้มีการพัฒนากิจการด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ<br />
และกิจการอวกาศของกระทรวงกลาโหมเป็นอย่างมาก จึงได้มีการจัดตั้ง<br />
กรมเทคโนโลยีสารสนเทศและกิจการอวกาศกลาโหมขึ้น เพื่อปฏิบัติ<br />
การในภารกิจการพิจารณาเสนอความเห็น วางแผน อำนวยการ ประสาน<br />
งาน กำกับการ และดำเนินการเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ การสื่อสาร<br />
คลื่นความถี่ กิจการอวกาศและภาพถ่ายดาวเทียมเพื่อความมั่นคง รวมทั้ง<br />
ปฏิบัติงานอื่นตามที่ได้รับมอบหมาย โดยมีหน่วยขึ้นตรงที่สำคัญ ประกอบ<br />
ด้วย (๑) ศูนย์ไซเบอร์ (๒) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง<br />
กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมกระทรวงกลาโหม (๓) กองแผน<br />
และวิศวกรรม (๔) กองการสื่อสาร (๕) กองเทคโนโลยีสารสนเทศ และ<br />
(๖) กองกิจการอวกาศ<br />
ปัจจุบันมีที่ตั้งหน่วยงานอยู่ที่ ๑๒๗ หมู่ที่ ๓ อาคารสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) ชั้นที่ ๖ ถนนศรีสมาน ตำบลบ้านใหม่ อำเภอ<br />
ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ ๑๑๑๒๐ หมายเลขโทรศัพท์<br />
๐ ๒๕๐๑ ๖๖๖๐<br />
159
เรื่องเล่าที่ ๑๑๕<br />
การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๕ กิจการระดมสรรพกำลัง<br />
การเตรียมความพร้อมในการป้องกันประเทศ มีความจำเป็น<br />
อย่างยิ่งที่จะต้องมีการระดมสรรพกำลังไว้อย่างเป็นระบบ ทั้งนี้เพราะ<br />
หากในยามเกิดภาวะไม่ปกติ กองทัพจำเป็นจะต้องใช้ทรัพยากรที่มีอยู่<br />
ทั้งด้านกำลังคน สิ่งอุปกรณ์ ยุทโธปกรณ์ สิ่งอำนวยความสะดวก การ<br />
บริการเครื่องมือเครื่องใช้ในกิจการทหารเป็นจำนวนมาก แต่สิ่งอุปกรณ์<br />
เครื่องมือเครื่องใช้ดังกล่าวมีจำนวนจำกัด จัดหายากและมีราคาแพง<br />
ซึ่งอาจเกิดการสิ้นเปลืองหรือชำรุดเสียหายแล้ว การจัดหามาทดแทนจะใช้<br />
เวลาและงบประมาณเป็นจำนวนมาก กองทัพจึงจำเป็นต้องมีการจัดเตรียม<br />
การรับสถานการณ์ไว้ตั้งแต่ในยามปกติและต้องมีหน่วยงานรับผิดชอบ<br />
เกี่ยวกับการกำหนดนโยบาย วางแผนอำนวยการ และประสานงานกับ<br />
ส่วนราชการ รัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องในการระดมสรรพกำลัง<br />
นอกจากนี้ ตามบทบัญญัติตามมาตรา ๒๖ ของพระราชบัญญัติจัดระเบียบ<br />
ราชการกระทรวงกลาโหมพ.ศ. ๒๕๕๑ ได้บัญญัติให้กระทรวงกลาโหม<br />
จัดให้มีกำลังสำรองเพื่อสนับสนุนการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
อีกด้วย<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๓๐ ได้มีการจัดตั้งกรมการสรรพกําลังทหาร<br />
กองบัญชาการทหารสูงสุด (กองทัพไทย) เพื่อรับผิดชอบในกิจการระดม<br />
สรรพกำลังของกระทรวงกลาโหม ต่อมาเมื่อวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๕๐<br />
ได้มีการโอนกรมการสรรพกำลังทหาร มาเป็นหน่วยในสังกัด สำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมีหน้าที่พิจารณา เสนอความเห็น วางแผน<br />
อำนวยการ กำกับการ ดำเนินการ และประสานงานกับกองทัพไทย<br />
ส่วนราชการรัฐวิสาหกิจ และภาคเอกชน เกี่ยวกับการระดมสรรพกำลัง<br />
และการกำลังสำรองของกระทรวงกลาโหม ตลอดจนประสานความ<br />
ร่วมมือกับต่างประเทศในเรื่องเกี่ยวกับการระดมสรรพกำลังด้านการ<br />
ทหาร โดยมีหน่วยขึ้นตรงที่สำคัญ ประกอบด้วย (๑) สำนักงานเลขานุการ<br />
คณะกรรมการกำลังพลสำรอง (๒) กองนโยบายและแผน (๓) กองกลาง<br />
(๔) กองทรัพยากร (๕) กองสารสนเทศ (๖) กองการสัสดี และ (๗) กองการ<br />
พัฒนาการระดมสรรพกำลัง<br />
ปัจจุบันมีที่ตั้งหน่วยงานอยู่ที่ ๑๒๗ หมู่ที่ ๔ อาคารสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม (ศรีสมาน) ชั้นที่ ๖ ถนนศรีสมาน ตำบลบ้านใหม่ อำเภอ<br />
ปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี รหัสไปรษณีย์ ๑๑๑๒๐ หมายเลขโทรศัพท์<br />
๐ ๒๕๐๑ ๖๗๙๐<br />
160
เรื่องเล่าที่ ๑๑๖<br />
การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๖ กิจการเภสัชกรรมทหาร<br />
ผลกระทบที่เกิดขึ้นจากสงครามโลกครั้งที่ ๒ (ระหว่าง<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๔๘๔ - ๒๔๘๘) ได้ส่งผลให้ประเทศไทยประสบปัญหาขาดแคลนยา<br />
และเวชภัณฑ์อย่างหนัก ซึ่งจากวิกฤติการณ์ดังกล่าวเป็นผลให้ทางรัฐบาล<br />
กำหนดนโยบายให้หน่วยแพทย์ของสามเหล่าทัพดำเนินการแก้ปัญหา<br />
เฉพาะหน้า โดยให้ทุกเหล่าทัพผลิตยาและเวชภัณฑ์ขึ้นใช้ภายในหน่วย<br />
ของตนเอง<br />
ครั้นเมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง กระทรวงกลาโหมได้รับ<br />
ความช่วยเหลือจากสหรัฐอเมริกา โดยการส่งที่ปรึกษาทางการแพทย์<br />
มาประจำหน่วยแพทย์ทั้ง ๓ เหล่าทัพ โดยมี นายพันโท เภสัชกร ปอล เอฟ<br />
ออสติน ปรึกษาประจำกรมแพทย์ทหารบก ได้ให้ข้อเสนอแนะกระทรวง<br />
กลาโหมให้ผลิตยาและจัดหายา รวมทั้งเวชภัณฑ์ของเหล่าทัพไว้ด้วยกัน<br />
เพื่อให้การผลิตยาของกองทัพมีประสิทธิภาพและเป็นการประหยัด<br />
โดยให้ข้อเสนอแนะว่าควรจัดตั้งหน่วยสิ่งอุปกรณ์การแพทย์และ<br />
ผลิตภัณฑ์ร่วม (Joint Medical Supply and Pharmaceutical<br />
Manufacturing Agency) ซึ่งกระทรวงกลาโหมได้พิจารณาแล้วจึงได้<br />
แต่งตั้งคณะกรรมการพิจารณาการซื้อและผลิตยาของกองทัพไทยขึ้น<br />
โดยมีเป้าหมายเพื่อให้การซื้อและผลิตยาของกองทัพไทยได้ดำเนินไป<br />
โดยรัดกุม เหมาะสม ประหยัดและมีประสิทธิภาพดียิ่งขึ้น<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๐๔ กระทรวงกลาโหม จึงได้จัดตั้งโรงงานเภสัชกรรม<br />
ทหารขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มพูนความรู้ ความช ำนาญให้กับบุคลากร<br />
ในยามปกติและให้เป็นคลังสำรองระดมยาและเวชภัณฑ์ยามฉุกเฉิน แต่การ<br />
บริหารงานระยะแรกยังไม่สามารถดำเนินการผลิตยาได้ทันทีเพราะมีความ<br />
จำเป็นเกี่ยวกับการสร้างอาคาร การโอนกำลังพลและเครื่องจักรมาจากสาม<br />
เหล่าทัพ ซึ่งในเวลาต่อมา ได้มีการพัฒนาหน่วยหลายครั้งอย่างต่อเนื่อง<br />
จนในที่สุดโรงงานเภสัชกรรมทหาร เป็นส่วนราชการขึ้นตรงต่อศูนย์การ<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม เมื่อวันที่ ๒ ตุลาคม ๒๕๓๗ โดยมีภารกิจที่สำคัญคือ ดำเนินการ<br />
ศึกษาค้นคว้า วิจัยพัฒนา เตรียมการผลิตยาและเวชภัณฑ์ทางการทหาร<br />
ที่จำเป็นในภาวะฉุกเฉิน และผลิต รับจ้างผลิต จำหน่าย จัดหา วิจัยวิเคราะห์<br />
ยาและเวชภัณฑ์สนับสนุนกองทัพ และส่วนราชการสังกัดกระทรวงกลาโหม<br />
หน่วยงานอื่น ทั้งหน่วยงานราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การบริหารส่วนท้องถิ่น<br />
ภาคเอกชน ประชาชนทั่วไป ทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมทั้ง<br />
ดำเนินงานเทคโนโลยีสารสนเทศด้านเภสัชกรรม<br />
ปัจจุบันมีที่ตั้งหน่วยงานอยู่ที่ ๑๘๓ ซอยตรีมิตร ถนนพระราม ๔<br />
แขวงพระโขนง เขตคลองเตย กรุงเทพฯ ๑๐๑๑๐ หมายเลขโทรศัพท์<br />
๐ ๒๓๙๒ ๒๐๙๐ - ๓<br />
161
เรื่องเล่าที่ ๑๑๗<br />
การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๗ กิจการผลิตวัตถุระเบิดทหาร<br />
ประมาณ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๑๘ ในช่วงปลายสงครามเวียดนาม รัฐบาล<br />
สหรัฐอเมริกาได้ลดความช่วยเหลือด้านการทหารแก่ประเทศไทยลงตาม<br />
ลำดับ แต่สถานการณ์ชายแดนอันเป็นภัยคุกคามความมั่นคงของชาติ<br />
กลับทวีความรุนแรงขึ้น รวมทั้งภัยจากผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในประเทศ<br />
ก็เพิ่มทวีขึ้น รัฐบาลไทยต้องใช้งบประมาณป้องกันประเทศสูงในการจัดหา<br />
อาวุธยุทโธปกรณ์จากต่างประเทศมาใช้ในกองทัพ กระทรวงกลาโหมเห็น<br />
ความจำเป็นในการพึ่งพาตนเอง ด้วยการมีโรงงานผลิตอาวุธและกระสุน<br />
วัตถุระเบิดขึ้นใช้ในประเทศ จึงได้เร่งงานวิจัยและพัฒนา และสร้างโรงงาน<br />
ผลิตอาวุธและกระสุนต่างๆ เท่าที่งบประมาณของกระทรวงกลาโหมจะมี<br />
สนับสนุนเพื่อเป็นการประหยัดงบประมาณ<br />
ใน<strong>ปี</strong> ๒๕๑๙ ได้มีคำสั่งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดิน ฉบับ<br />
ที่ ๓๗ อนุญาตให้เอกชนลงทุนตั้งโรงงานผลิตอาวุธและกระสุนวัตถุระเบิด<br />
ซึ่งให้อยู่ในความควบคุมของกระทรวงกลาโหม (โดยกรมการอุตสาหกรรม<br />
ทหาร) จึงได้มีบริษัทเอกชนขออนุญาตตั้งโรงงานผลิตอาวุธและกระสุน<br />
วัตถุระเบิดต่างๆ ขึ้น แต่อย่างไรก็ตาม สำหรับโรงงานผลิตดินส่งกระสุน<br />
เพื่อสนับสนุนโรงงานผลิตกระสุนของเหล่าทัพนั้น ไม่มีบริษัทเอกชนใด<br />
สามารถจัดตั้งโรงงานขึ้นได้ ดังนั้น ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๒๔ กระทรวงกลาโหม<br />
ได้จัดตั้งโรงงานวัตถุระเบิดของกระทรวงกลาโหม โดยดำเนินการเปิดประมูล<br />
หาบริษัทต่างประเทศมาดำเนินการก่อสร้างโรงงานผลิตดินส่งกระสุน<br />
ในระบบ TURNKEY BASIS และจัดตั้งเป็น โรงงานวัตถุระเบิดทหาร<br />
กรมการอุตสาหกรรมทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและ<br />
พลังงานทหาร ทำหน้าที่ผลิตดินส่งกระสุนเพื่อใช้ประโยชน์ในกิจการทหาร<br />
โดยมีภารกิจคือ ดำเนินการผลิตวัตถุระเบิดและกระสุน วิจัยและพัฒนา<br />
เพื่อจำหน่ายผลิตภัณฑ์ที่ผลิตได้ให้แก่ส่วนราชการกระทรวงกลาโหม<br />
ส่วนราชการอื่นและเอกชน ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ตามที่กระทรวง<br />
กลาโหมกำหนด<br />
ปัจจุบันมีที่ตั้งหน่วยงานอยู่ที่ ๑๙๙ หมู่ที่ ๔ บ้านบางปราบ ตำบล<br />
ย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ ๖๐๑๓๐ หมายเลขโทรศัพท์<br />
๐ ๕๖๒๗ ๘๐๕๖<br />
162
เรื่องเล่าที่ ๑๑๘<br />
การพัฒนาความพร้อมสำหรับรองรับการปฏิบัติงานของกระทรวงกลาโหม<br />
ตอนที่ ๘ กิจการผลิตยุทโธปกรณ์<br />
เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๑๘ กองทัพบกประสบปัญหาการขาดแคลนอาวุธ<br />
และกระสุนเป็นอย่างมาก เนื่องจากสหรัฐอเมริกาลดการช่วยเหลือทาง<br />
ทหาร ประกอบกับกองทัพมีภารกิจสำคัญในการปราบปรามผู้ก่อการร้าย<br />
คอมมิวนิสต์ ดังนั้น พลตรี สัมผัส พาสนยงภิญโญ ผู้บัญชาการศูนย์การ<br />
ทหารปืนใหญ่ในขณะนั้น จึงได้ริเริ่มออกแบบและสร้างต้นแบบปืนใหญ่<br />
ขนาด ๑๐๕ มิลลิเมตรและเครื่องยิงลูกระเบิดขนาดต่างๆ ขึ้นใช้เองจนได้<br />
มาตรฐานและเป็นที่ยอมรับของผู้บังคับบัญชาชั้นสูง กองทัพบกจึงได้อนุมัติ<br />
งบประมาณทำการก่อสร้างอาคารโรงงาน พร้อมทั้งจัดหาเครื่องจักรกลและ<br />
เครื่องมือสำหรับการสร้างต้นแบบที่สมบูรณ์ เพื่อนำเข้าสู่สายการผลิตใน<strong>ปี</strong><br />
พ.ศ.๒๕๒๑ เรียกว่า โรงงานต้นแบบการวิจัยพัฒนาอาวุธ โดยฝากการบังคับ<br />
บัญชาไว้กับศูนย์การทหารปืนใหญ่<br />
ต่อมา กองทัพบกเห็นความสำคัญในการผลิตอาวุธขึ้นใช้เอง<br />
จึงอนุมัติให้จัดตั้งโรงงานสร้างปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิด และโรงงาน<br />
ผลิตกระสุนปืนใหญ่และลูกระเบิดยิงขึ้นตามลำดับ ด้วยวัตถุประสงค์<br />
หลัก ๓ ประการ คือ<br />
(๑) เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงด้านการทหารที่สามารถ<br />
พึ่งพาตนเองได้ในภาวะไม่ปกติ<br />
163
(๒) เพื่อลดการสูญเสียงบประมาณให้แก่ต่างประเทศให้มากที่สุด<br />
ในการจัดหาอาวุธยุทโธปกรณ์ที่มีราคาแพงจากต่างประเทศ<br />
(๓) เพื่อเป็นแหล่งหารายได้เข้าประเทศอีกทางหนึ ่ง หาก<br />
อุตสาหกรรมป้องกันประเทศมีความเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้น<br />
ต่อมาได้มีพัฒนาการอย่างต่อเนื่องและจัดตั้งหน่วยเป็นศูนย์อำนวย<br />
การสร้างอาวุธ พร้อมกับพัฒนาขีดความสามารถในการวิจัยพัฒนาและผลิต<br />
อาวุธยุทโธปกรณ์ จนใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๓ ศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธ ได้รับการ<br />
รับรองระบบคุณภาพ ISO 9001 จากสถาบัน RWTUV ประเทศเยอรมนี<br />
ซึ่งเป็นการรับรองในเรื่องการออกแบบ การวิจัย การผลิต การติดตั้ง และ<br />
การให้บริการ โดยมีนโยบายคุณภาพ ดังนี้ “เทคโนโลยีทันสมัย พัฒนา<br />
ก้าวไกล วิจัยสร้างสรรค์ บริหารเป็นระบบ”<br />
ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๕ ได้มีการโอนศูนย์อำนวยการสร้างอาวุธจาก<br />
หน่วยขึ้นตรงกองทัพบก มาเป็น หน่วยขึ้นตรงศูนย์การอุตสาหกรรม<br />
ป้องกันประเทศและพลังงานทหาร สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ตาม<br />
แผนการปฏิรูปกระทรวงกลาโหม และการปรับปรุงโครงสร้างกองทัพไทย<br />
ทั้งนี้ มีภารกิจหลักในการวิจัยพัฒนา และผลิตยุทโธปกรณ์สนับสนุนให้กับ<br />
กองทัพ องค์กรอื่นและเอกชน ทั้งภายในและต่างประเทศ ตามนโยบายของ<br />
กระทรวงกลาโหม โดยมีหน่วยขึ้นตรงที่สำคัญ ประกอบด้วย (๑) กองวิจัย<br />
พัฒนาอาวุธ (๒) กองเทคโนโลยี (๓) โรงงานต้นแบบการวิจัยพัฒนาอาวุธ<br />
(๔) โรงงานสร้างปืนใหญ่และเครื่องยิงลูกระเบิด และ (๕) โรงงานผลิต<br />
กระสุนปืนใหญ่และลูกระเบิดยิง<br />
ปัจจุบันมีที่ตั้งหน่วยงานอยู่ที่ค่ายจิรวิชิตสงคราม เลขที่ ๑๔ ถนน<br />
พระยาพิชัยดาบหัก ตำบลเขาสามยอด อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี<br />
๑๕๐๐๐ หมายเลขโทรศัพท์ ๐ ๓๖๗๘ ๕๙๗๐ – ๙<br />
164
เรื่องเล่าที่ ๑๑๙<br />
กระทรวงกลาโหมกับการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ<br />
นอกเหนือจากบทบาทหน้าที่ในการปกป้องและรักษาอธิปไตยของ<br />
ชาติ รักษาความมั่นคงของชาติ การรักษาผลประโยชน์ของชาติและการ<br />
พัฒนาประเทศ ตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฯ<br />
แล้ว พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑<br />
มาตรา ๘ (๕) ยังได้บัญญัติถึงภารกิจของกระทรวงกลาโหม ในเรื่องของการ<br />
ปฏิบัติการทางทหารนอกเหนือจากสงครามไว้อีกประการหนึ่ง ซึ่งภารกิจนี้<br />
มีการปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม คือการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพในกรอบ<br />
ของสหประชาชาติ และมีการให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก<br />
องค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) ได้ถูกจัดตั้งขึ้นตั้งแต่<br />
พ.ศ.๒๔๘๘ โดยมีวัตถุประสงค์หลักคือ เพื ่อการธำรงรักษาไว้ซึ่งสันติภาพ<br />
และความมั่นคงแห่งประชาคมโลก ได้รับการยอมรับให้มีบทบาทในการ<br />
ยุติความขัดแย้งด้วยการส่งกองกำลังรักษาสันติภาพเข้าปฏิบัติการ เพื่อ<br />
สันติภาพในภูมิภาคต่างๆ ของโลกอย่างกว้างขวาง การที่ประเทศไทยได้เข้า<br />
ร่วมเป็นสมาชิกสหประชาชาติใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๘๙ จึงมีความรับผิดชอบตาม<br />
พันธกรณีในฐานะชาติสมาชิกที่จะต้องให้ความร่วมมือและสนับสนุนภารกิจ<br />
ของสหประชาชาติตามขีดความสามารถ นอกจากนี้เพื่อเป็นการแสดง<br />
พันธสัญญา ในการสนับสนุนการดำเนินการดังกล่าว ซึ่งได้มีบทบาทในการ<br />
ปฏิบัติการเพื่อสันติภาพทั้งภายใต้กรอบสหประชาชาติ และกรอบภาคีร่วม<br />
กับประเทศพันธมิตรมาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งมีส่วนร่วมในการช่วยเหลือ<br />
ด้านมนุษยธรรมแก่ผู้ประสบภัยในหลายประเทศ โดยการปฏิบัติต่างๆ<br />
เหล่านี้มีความสำคัญและได้ถูกจัดให้เป็นส่วนหนึ่งในหน้าที่ของกระทรวง<br />
กลาโหม ลงมาจนถึงระดับกองทัพไทย<br />
ปัจจุบันนี้ กระทรวงกลาโหม โดย กองบัญชาการกองทัพไทย ได้มี<br />
บทบาทสำคัญในการเข้าร่วม และการส่งกำลังพลเข้าปฏิบัติหน้าที่ในภารกิจ<br />
การปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ และการช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม โดยเข้าร่วม<br />
ในภารกิจภายใต้อาณัติของสหประชาชาติ จำนวน ๑๖ ภารกิจ ประกอบด้วย<br />
เลบานอน นามิเบีย บริเวณชายแดนอิรัก-คูเวต อิรัก กัมพูชา แอฟริกาใต้<br />
บอสเนียและเฮอร์เซโกวีนา เซียร์ราลีโอน ฟิจิ ติมอร์เลสเต บุรุนดี<br />
เนปาล ซูดาน ไลบีเรีย เฮติ และบริเวณชายแดนอินเดีย - ปากีสถาน รวมทั้ง<br />
การเข้าร่วมภารกิจเพื่อสันติภาพผสมระหว่างสหภาพแอฟริกากับ<br />
สหประชาชาติในดาร์ฟูร์ (สถานะ ณ วันที่ ๒๘ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๒)<br />
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังได้เข้าเป็นสมาชิกในระบบกองกำลังเตรียมพร้อม<br />
ของสหประชาชาติ (United Nations Standby Arrangement System :<br />
UNSAS) ตั้งแต่<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๔๑ เป็นต้นมา<br />
ทั้งนี้ จากสถานการณ์ความขัดแย้งขนาดเล็กในพื้นที่ต่างๆ ทั่วโลก<br />
ที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น ทำให้ความต้องการในการปฏิบัติการเพื่อ<br />
สันติภาพนับวันจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งกระทรวงกลาโหมได้ตระหนักใน<br />
เรื่องนี้ จึงได้มอบหมายให้กองบัญชาการกองทัพไทย จัดตั้งหน่วยงาน<br />
รักษาสันติภาพขึ้นชื่อว่า ศูนย์ปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ กรมยุทธการทหาร<br />
(ศสภ.ยก.ทหาร) ในกองบัญชาการกองทัพไทย เมื่อวันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๔๙<br />
ซึ่งมีบทบาทหน้าที่และภารกิจหลัก ๔ ประการ ดังนี้<br />
๑. เป็นศูนย์ฝึกการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพนานาชาติของ<br />
กองทัพไทยและในระดับภูมิภาค<br />
๒. เป็นฝ่ายอำนวยการด้านการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพ<br />
๓. เป็นศูนย์กลางวิทยาการด้านการปฏิบัติการรักษาสันติภาพ<br />
๔. เป็นศูนย์การบังคับบัญชาในสายการบังคับบัญชาของชาติ<br />
(chain of national command) ให้แก่กำลังที่เข้าปฏิบัติภารกิจการปฏิบัติ<br />
การเพื่อสันติภาพในภูมิภาคต่างๆ<br />
165
เรื่องเล่าที่ ๑๒๐<br />
สภากลาโหม<br />
พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑<br />
ได้บัญญัติหมวด ๕ คณะผู้บริหารไว้ว่า กระทรวงกลาโหมมีคณะผู้บริหารที่<br />
สำคัญที่สุดคือ สภากลาโหม ซึ่งมีความเป็นมาตามลำดับ กล่าวคือ<br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้ทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกาศพระบรมราชโองการ ชื่อว่า ประกาศตั้ง<br />
กระทรวงทหารบก ทหารเรือ รัตนโกสินทรศก ๑๒๙ เมื่อวันที่ ๑๑ ธันวาคม<br />
๒๔๕๓ ซึ่งมีสาระสำคัญคือ<br />
๑. เปลี่ยนชื่อกรมยุทธนาธิการเป็น กระทรวงกลาโหม มีหน้าที่ดูแล<br />
การปกครองเฉพาะกิจการทหารบก<br />
๒. ยกฐานะกรมทหารเรือขึ้นเป็น กระทรวงทหารเรือ มีหน้าที่ดูแล<br />
การปกครองเฉพาะกิจการทหารเรือ<br />
๓. จัดตั้ง สภาเกี่ยวกับการป้องกันพระราชอาณาจักร ทำหน้าที่<br />
ประสานงานระหว่างกระทรวงกลาโหมและกระทรวงการทหารเรือ ทั้งนี้<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็น<br />
ประธานเกี่ยวกับการสภาป้องกันพระราชอาณาจักร มีสมาชิกสภา<br />
ประกอบด้วย เสนาบดีกระทรวงกลาโหม เสนาบดีกระทรวงการทหารเรือ<br />
จอมพลทหารบก จอมพลทหารเรือ ทั้งที่ประจำการและมิได้ประจำการ<br />
และมีเสนาธิการทหารบก เป็น เลขานุการประจำสภา จึงเป็นที่มาการจัดตั้ง<br />
สภาเพื่อความมั่นคงทางทหารเป็นครั้งแรกของประเทศไทย ที่มีสมาชิก<br />
เป็นหัวหน้าส่วนราชการของหน่วยทหาร ต่อมาเมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๗๐<br />
ได้มีการแก้ไขปรับปรุงทั้งในด้านองค์ประกอบและอำนาจหน้าที่ และ<br />
เรียกชื่อใหม่ว่า สภาป้องกันพระราชอาณาจักร<br />
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงดำรง<br />
พระอิสริยยศเป็นประธานสภาเกี่ยวกับการป้องกันพระราชอาณาจักร<br />
เช่นกัน หลังจากมีการเปลี่ยนแปลงอีกมากมาย กล่าวคือ<br />
๑. ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕<br />
โดยในเดือนกรกฎาคม ๒๔๗๕ ได้มีการประกาศพระบรมราชโองการ<br />
ประกาศจัดระเบียบป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ.๒๔๗๕ ทำให้มีการยกเลิก<br />
สภาป้องกันพระราชอาณาจักร<br />
พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
๒. เมื่อวันที่ ๑๑ มกราคม ๒๔๘๗ ได้มีการประกาศใช้ พระราช<br />
บัญญัติชื่อว่า พระราชบัญญัติสภาการสงคราม พ.ศ.๒๔๘๗ จัดตั้ง สภา<br />
การสงคราม โดยกำหนดให้สภาการสงครามมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการ<br />
ดำเนินสงครามทั้งในทางทหาร ทางเศรษฐกิจ และการเมือง ตลอดจน<br />
สวัสดิภาพของประชาชน และมีนายกรัฐมนตรีดำรงตำแหน่งประธาน<br />
สภาการสงคราม<br />
๓. เมื ่อวันที่ ๑๐ กันยายน ๒๔๘๗ ได้มีการประกาศใช้ พระราช<br />
บัญญัติสภาป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ.๒๔๘๗ ได้มีการจัดตั้ง สภาป้องกัน<br />
ราชอาณาจักร<br />
๔. เมื่อวันที่ ๓๑ มกราคม ๒๔๙๙ มีการตราพระราชบัญญัติ<br />
สภาป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ.๒๔๙๙ ขึ้นใหม่ โดยตราพระราชบัญญัติ<br />
สภาป้องกันราชอาณาจักรใหม่ และยกเลิกพระราชบัญญัติฉบับเดิม<br />
๕. ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๐๒ ได้มีประกาศใช้พระราชบัญญัติสภาความมั่นคง<br />
แห่งชาติ พ.ศ.๒๕๐๒ เปลี่ยนแปลงจาก สภาป้องกันราชอาณาจักร เป็น<br />
สภาความมั่นคงแห่งชาติ และใช้มาจนปัจจุบัน<br />
166
ความเป็นมาของสภาเกี่ยวกับการป้องกันราชอาณาจักรนั้น เป็น<br />
พระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมี<br />
พระราชวินิจฉัยว่า จะให้หัวหน้าส่วนราชการระดับกระทรวงของทหาร<br />
มาประชุมกันในเรื่องของทหาร แต่ต่อมาเมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองของ<br />
ประเทศเปลี่ยนแปลงไป จึงทำให้สภาป้องกันราชอาณาจักร ซึ่งแต่เดิมเป็น<br />
องค์กรสูงสุดทางทหารถูกเปลี่ยนมือและเปลี่ยนแปลงไปจนไม่เหลือเค้าเดิม<br />
ต่อมาในรัฐบาลของ จอมพล ป. พิบูลสงคราม อดีตนายกรัฐมนตรีและ<br />
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบ<br />
ป้องกันราชอาณาจักร พ.ศ.๒๔๙๑ โดยจัดให้มีการประชุมปรึกษาเกี่ยวกับ<br />
กิจการทหาร ที่เรียกว่า การประชุมสภากลาโหม<br />
ปัจจุบัน การประชุมสภากลาโหม ได้จัดให้มีขึ้นเป็นประจำทุกเดือน<br />
และเป็นการประชุมที ่สำคัญที่สุดของกระทรวงกลาโหมตามเจตนารมณ์<br />
ของ พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑<br />
โดยพิจารณาในเรื่องนโยบายการทหาร นโยบายการระดมสรรพกำลังเพื่อ<br />
การทหาร นโยบายการปกครองและการบังคับบัญชาภายในกระทรวง<br />
กลาโหม การพิจารณางบประมาณการทหาร และการแบ่งสรรงบประมาณ<br />
ของกระทรวงกลาโหม การพิจารณาร่างกฎหมายที่เกี่ยวกับการทหารและ<br />
เรื่องที่กฎหมายหรือรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมกำหนดให้เสนอ<br />
สภากลาโหม ทั้งนี้ จัดการประชุม ณ ห้องภาณุรังษี ชั้นที่สาม มุขกลาง<br />
ของอาคารศาลาว่าการกลาโหม<br />
167
เรื่องเล่าที่ ๑๒๑<br />
คณะผู้บัญชาการทหาร<br />
การจัดตั้งสภากลาโหม ที่เป็นต้นแบบและใช้กันมาจนปัจจุบันเกิดขึ้น<br />
โดยอำนาจของกฎหมายที่ชื่อว่า พระราชบัญญัติจัดระเบียบป้องกัน<br />
ราชอาณาจักร พ.ศ.๒๔๙๑ โดยกำหนดให้มี สภากลาโหม เพื่อให้เป็น<br />
ที่ปรึกษาหารือของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยมีหัวหน้า<br />
ส่วนราชการขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม เสนาธิการเหล่าทัพ ร่วมเป็นสมาชิก<br />
แต่งตั้งจำนวนไม่เกิน ๕ นาย จะได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ นอกจากนี้<br />
ยังจัดให้มีคณะเสนาธิการผสม เพื่อพิจารณาเรื่องที่เลขาธิการสภากลาโหม<br />
ได้รับไว้ก่อนนำเสนอเข้าปรึกษา หารือในที่ประชุมสภากลาโหม และมี<br />
สภากองทัพเป็นที่ปรึกษาหารือของผู้บัญชาการแต่ละเหล่าทัพ<br />
จึงกล่าวได้ว่าในเวลานั้น รัฐบาลมีสภาป้องกันราชอาณาจักร ทหาร<br />
จึงต้องมีสภากลาโหม และยังมี คณะเสนาธิการผสม มีสภากองทัพบก<br />
สภากองทัพเรือ และสภากองทัพอากาศ เพื่อดำเนินกิจการด้านความ<br />
มั่นคงทางทหารอีกด้วย จึงทำให้มีองค์กรทางทหารเพิ่มขึ้นหลายองค์กร<br />
ลดหลั่นตามอำนาจหน้าที่และลำดับชั้น ต่อมาเพื่อมีการพัฒนากิจการทหาร<br />
จึงทำให้คณะเสนาธิการผสมสิ้นสุดไป รวมทั้งสภากองทัพบก สภา<br />
กองทัพเรือ และสภากองทัพอากาศ ก็ยุบไปตามลำดับ<br />
168
ต่อมา เมื่อมีการตราพระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวง<br />
กลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑ จึงได้มีบทบัญญัติในมาตรา ๔๗ ได้บัญญัติให้มี<br />
คณะผู้บริหารอีกคณะหนึ่งเรียกว่า คณะผู้บัญชาการทหาร ประกอบด้วย<br />
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก ผู้บัญชาการทหารเรือ<br />
ผู้บัญชาการทหารอากาศ และเสนาธิการทหาร โดยมีผู้บัญชาการทหาร<br />
สูงสุด เป็นประธานคณะผู้บัญชาการทหาร มีหน้าที่สำคัญคือ เสนอแนะ<br />
และให้คำปรึกษาต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในเรื่องการ<br />
เตรียมกำลัง การสั่งการใช้กำลัง การเคลื่อนกำลังทหาร การเตรียมพร้อม<br />
การควบคุมอำนวยการยุทธ์ในภาพรวม รวมทั้งควบคุมบังคับบัญชา<br />
กองกำลังเฉพาะกิจร่วมที่จัดตั้งขึ้นในกรณีที่มีสถานการณ์ที่กระทบต่อ<br />
ความสงบเรียบร้อยและความมั่นคงของประเทศ ตลอดจนการควบคุม<br />
อำนวยการยุทธ์ และการควบคุมบังคับบัญชากองกำลังเฉพาะกิจร่วมที่<br />
จัดตั้งขึ้นตามวรรคหนึ่งให้เป็นไปตามข้อบังคับ แผนและคำสั่งปฏิบัติการ<br />
ทางทหารที่กระทรวงกลาโหมกำหนด จึงนับได้ว่า คณะผู้บัญชาการทหาร<br />
คือคณะผู้บริหารที่สำคัญของกระทรวงกลาโหมอีกคณะหนึ่ง ที่ดำรงภารกิจ<br />
ในส่วนการยุทธ์<br />
169
เรื่องเล่าที่ ๑๒๒<br />
องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก ในพระบรมราชูปถัมภ์<br />
เหตุการณ์สงครามเป็นสิ่งที่เลวร้ายเป็นอย่างมาก เพราะเป็นการ<br />
คร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก ทำให้เกิดการบ้านแตกสาแหรกขาด<br />
เดือดร้อนไปทุกหย่อมหญ้า แต่สิ่งที่ตามมานั้นกลับให้ผลที่ร้ายแรงกว่า คือ<br />
ความทุกข์ของครอบครัวที่สูญเสียผู้นำครอบครัวไปทำให้ต้องอยู่กับความ<br />
ทุกข์ทรมาน ความอดอยาก และทหารบางรายที่เป็นทหารผ่านศึก แม้ว่าจะ<br />
ไม่เสียชีวิตแต่ต้องพิกลพิการจากภัยสงคราม และต้องดำรงชีวิตบนความ<br />
ไม่สมบูรณ์ของร่างกาย ไม่สามารถหาเลี ้ยงชีพได้อย่างแต่ก่อน นับว่าเป็น<br />
ความทุกข์ทรมานใจอย่างเหลือคณานับ<br />
ภายหลังสงครามมหาเอเชียบูรพาหรือสงครามโลกครั้งที่ ๒<br />
มีทหารไทยจำนวนมากที่ถูกปลดจากการเป็นทหาร ในขณะที่ยังไม่มีความ<br />
พร้อมทั้งทางร่างกายหรือทางเศรษฐกิจ จึงส่งผลต่อความยากลำบาก<br />
ในการดำรงชีวิต จึงได้เกิดกระแสเรียกร้องขอให้ทางราชการพิจารณาให้<br />
ความช่วยเหลือในการดำรงชีพและด้วยความตระหนักถึงคุณความดีของ<br />
ทหารหาญที่เป็นกองกำลังหลักในการปกป้องเอกราชรักษาอธิปไตยของ<br />
ประเทศ โดยพร้อมเผชิญหน้ากับอริราชศัตรูอย่างไม่หวั่นเกรงต่อภยันตราย<br />
ใดๆ ทั้งนี้ ทหารทุกคนต่างยอมเสียสละได้ทุกสิ่ง แม้แต่ชีวิตและร่างกาย<br />
รัฐบาลในสมัยนั้น จึงได้หาหนทางที่จะให้ความช่วยเหลือ โดยมอบหมาย<br />
ให้กระทรวงกลาโหมเป็นผู้พิจารณาดำเนินการช่วยเหลือ ซึ่ง พลโท ชิต<br />
มั่นศิลป์ สินาดโยธารักษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในขณะนั้น<br />
จึงได้แต่งตั้งกรรมการขึ้นมาคณะหนึ่ง เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๒๔๘๘<br />
โดยเรียกชื่อว่า “คณะกรรมการพิจารณา หาทางช่วยเหลือทหารกองทุน”<br />
เพื่อให้ความช่วยเหลือแก่เหล่าทหารที่สิ้นสุดปฏิบัติการรบและกลับคืน<br />
สู่สังคม รวมถึงให้การช่วยเหลือครอบครัวทหารที่ต้องสูญเสียหัวหน้า<br />
ครอบครัวจากการปฏิบัติการรบ ซึ่งในชั ้นต้นยังเป็นเพียงหน่วยงานช่วย<br />
เหลือที่ยังไม่เป็นทางการ<br />
ในเวลาต่อมา จำนวนของทหารผ่านศึกและครอบครัวทหารผ่านศึก<br />
มีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก กอปรกับการดำเนินงานโดยคณะกรรมการ<br />
จะขาดความรัดกุมและความเหมาะสม ดังนั้น ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๔๙๐<br />
กระทรวงกลาโหมจึงได้มีดำริที่จะจัดตั้งหน่วยงานขึ้น โดยได้เสนอเป็น<br />
พระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกขึ้น โดยได้ผ่าน<br />
การเห็นชอบจากรัฐบาล และได้มีการประกาศไว้ในราชกิจจานุเบกษา<br />
เมื่อวันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๑ โดยกระทรวงกลาโหมได้ทำการแต่งตั้ง<br />
170
พลโท ชมะบูรณ์ ไพรีระย่อเดช เป็นผู้อำนวยการองค์การสงเคราะห์<br />
ทหารผ่านศึกคนแรก โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการให้ความช่วยเหลือแก่<br />
ทหารผ่านศึกและครอบครัวในเบื้องต้น ดังนั้น ทางราชการจึงได้ยึดเอา<br />
วันที่ ๓ กุมภาพันธ์ ของทุก<strong>ปี</strong> เป็น “วันทหารผ่านศึก”<br />
ต่อมาใน<strong>ปี</strong>พุทธศักราช ๒๕๑๐ องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก<br />
ได้ปรับเปลี่ยนฐานะจากหน่วยราชการมาเป็นองค์การเพื ่อการกุศลของ<br />
รัฐและมีสถานะเป็นนิติบุคคลตามกฎหมาย ด้วยการตราพระราชบัญญัติ<br />
องค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึก พ.ศ.๒๕๑๐ ขึ้นใหม่ โดยมีการขยายงาน<br />
ให้กว้างขวางมากขึ้น และได้รับการสนับสนุนเงินทุนที่ชัดเจน ด้วยเงิน<br />
อุดหนุนจากกระทรวงกลาโหมและเงินที่รัฐบาลกำหนดให้เป็นครั้งคราว<br />
หลังจากนั้น สภาทหารผ่านศึก สภากลาโหมและรัฐบาลได้ปรับปรุง<br />
แก้ไขพระราชบัญญัติจัดตั้งองค์การสงเคราะห์ทหารผ่านศึกเพื่อขยาย<br />
การสงเคราะห์ให้ครอบคลุมไปถึงทหาร ตำรวจ ข้าราชการพลเรือนและ<br />
พลเรือนที่ปฏิบัติหน้าที่ในการป้องกันหรือปราบปรามการกระทำอันเป็น<br />
ภัยต่อความมั่นคงหรือความปลอดภัยแห่งราชอาณาจักร ทั้งภายในและ<br />
ภายนอกประเทศตามที่กระทรวงกลาโหมกำหนด กับทั้งให้รวมมูลนิธิ<br />
ช่วยทหารและครอบครัวทหารที่ไปช่วยสหประชาชาติทำการรบ ด้วยการ<br />
ให้การสงเคราะห์ในด้านต่างๆ กล่าวคือ (๑) การสงเคราะห์ด้านการเกษตร<br />
(๒) การสงเคราะห์ด้านอาชีพ (๓) การสงเคราะห์ด้านสวัสดิการและการ<br />
ศึกษา (๔) การสงเคราะห์ด้านการรักษาพยาบาล โดยจัดตั้งโรงพยาบาล<br />
ทหารผ่านศึกในส่วนกลาง (๕) การสงเคราะห์ด้านการให้สินเชื่อ และ<br />
(๖) การสงเคราะห์ด้านการส่งเสริมสิทธิและเกียรติ<br />
จึงขอให้สังคมไทยได้ตระหนักว่า บรรดาทหารผ่านศึกคือ ผู้ที่<br />
ยอมลำบากตรากตรำเพื่อให้พวกท่านมีกิน มีใช้ มีอยู่อย่างสบาย<br />
โดยปราศจากภัยคุกคามด้านความมั่นคงจากภายในและภายนอกประเทศ<br />
วันนี้เขาเหล่านั้นอาจใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก หรือครอบครัวอาจต้อง<br />
เผชิญปัญหาสารพัดจากผลพวงจากการปฏิบัติหน้าที่ราชการของหัวหน้า<br />
ครอบครัว ซึ่งเขาเหล่านั้นอาจไม่ส่งเสียงร้องขอจากสังคมเพราะเขารัก<br />
ในศักดิ์ศรี และภาคภูมิใจในเกียรติของเขา จึงไม่อาจทำอะไรให้เป็นการ<br />
ทำลายเกียรติภูมิ หากแต่เป็นหน้าที ่ของประชาชนชาวไทยที่จะต้อง<br />
หวนรำลึกถึงความเสียสละของพวกเขาเหล่านั้นแล้วหยิบยื่นความรัก<br />
ความปรารถนาดีแก่พวกเขา หรืออย่างน้อยก็ขอให้หวนคิดบ้างว่ายังมี<br />
พวกเขาอยู่ร่วมสังคมกับท่าน ซึ่งจะทำให้ทหารผ่านศึกเหล่านั้นอาจมีความ<br />
ภาคภูมิใจมากยิ่งขึ ้น หากสังคมไทยคิดถึงพวกเขา ในวันที่ ๓ กุมภาพันธ์<br />
คงจะช่วยให้เห็นรอยยิ้มที่เป็นสุขจากเขาเหล่านั้นที่คิดว่า สังคมไทยยังนึกถึง<br />
เขาอยู่ เพียง<strong>ปี</strong>ละหนึ่งวันก็คงพอ<br />
171
หมวดที่ ๔<br />
อนาคต<br />
รังสรรค์ ความมั่นคง<br />
172
เรื่องเล่าที่ ๑๒๓<br />
ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๑ การพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย<br />
รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช ๒๕๖๐ ได้บัญญัติ<br />
ภารกิจของกระทรวงกลาโหมและภารกิจของทหารไว้ใน มาตรา ๕๒ ไว้ว่า<br />
“มาตรา ๕๒ รัฐต้องพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหากษัตริย์<br />
เอกราช อธิปไตย บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิ<br />
อธิปไตย เกียรติภูมิและผลประโยชน์ของชาติ ความมั่นคงของรัฐ และ<br />
ความสงบเรียบร้อยของประชาชน เพื่อประโยชน์แห่งการนี้ รัฐต้องจัดให้<br />
มีการทหาร การทูต และการข่าวกรองที่มีประสิทธิภาพ กำลังทหารให้ใช้<br />
ประโยชน์ในการพัฒนาประเทศด้วย”<br />
รัฐธรรมนูญฯ ได้บัญญัติถึงบทบาทหน้าที่ของรัฐในการพิทักษ์<br />
รักษาบูรณภาพแห่งเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตยอย่างชัดเจน โดยที่เขต<br />
พื้นที่ทางทะเลนั้น ได้มีการกำหนดไว้ค่อนข้างชัดเจนในกฎหมายระหว่าง<br />
ประเทศ ตามอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล ค.ศ.๑๙๘๒<br />
(United Nations Convention on the Law Of the Sea : UNCLOS<br />
1982) ที่ประเทศไทยได้ยื่นสัตยาบันสารสำหรับการเข้าเป็นภาคีอนุสัญญา<br />
สหประชาชาติฯ ต่อสหประชาชาติ เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๕๔ ทั้งนี้<br />
การกำหนดพื้นที่ทางทะเลตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ กล่าวคือ<br />
(๑) น่านน้ำภายใน (๒) ทะเลอาณาเขต (๓) เขตต่อเนื่อง (๔) เขตเศรษฐกิจ<br />
จำเพาะ (๕) ไหล่ทวีป และ (๖) ทะเลหลวง ทั้งนี้ หลักกฎหมายดังกล่าว<br />
ได้ระบุให้รัฐชายฝั่งมีสิทธิอธิปไตยเพื่อความมุ่งประสงค์ในการควบคุมมิให้<br />
มีการฝ่าฝืนกฎหมาย การแสวงประโยชน์ และการสำรวจทางเศรษฐกิจ<br />
173
ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะ ที่มีบริเวณประชิดและอยู่เลยไปจากทะเลอาณาเขต<br />
ทั้งนี้ เขตเศรษฐกิจจำเพาะจะอยู่ห่างออกไป ๒๐๐ ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน<br />
ที่อยู่บริเวณชายฝั่ง ดังนั้น จึงกล่าวได้ว่าประเทศไทยมีอำนาจอธิปไตยและ<br />
สิทธิอธิปไตยในพื้นที่ทางทะเล กล่าวคือ<br />
๑. อำนาจอธิปไตย (sovereignty) เหนือน่านน้ำภายในและ<br />
ทะเลอาณาเขต ในระยะทาง ๑๒ ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน<br />
๒. สิทธิอธิปไตย (sovereignty rights) เหนือเขตต่อเนื่อง เขต<br />
เศรษฐกิจจำเพาะและไหล่ทวีป ในระยะทาง ๒๐๐ ไมล์ทะเลจากเส้นฐาน<br />
ส่งผลทำให้ประเทศไทยมีพื้นที่ที่เป็นอาณาเขตทางทะเลซึ่งมีอำนาจ<br />
อธิปไตยอันประกอบด้วยอำนาจอธิปไตยและเขตสิทธิอธิปไตยลงไปในทะเล<br />
ไม่น้อยกว่า ๓๒๓,๔๘๘.๓๒ ตารางกิโลเมตร เพิ่มขึ้นจากเดิมที่เป็นพื้นที่<br />
ทางบก จำนวนไม่น้อยกว่า ๕๑๓,๑๒๐ ตารางกิโลเมตร หรือกล่าวได้ว่า<br />
มีพื้นที่ทางทะเลอีกประมาณ ๒ ใน ๓ ของพื้นที่ทางบก จึงเป็นหน้าที่<br />
ของกระทรวงกลาโหมจะต้องดำเนินภารกิจพิทักษ์รักษาไว้ซึ ่งอธิปไตย<br />
บูรณภาพแห่งอาณาเขตและเขตที่ประเทศไทยมีสิทธิอธิปไตย รวมทั้ง<br />
การดำเนินการรองรับเจตนารมณ์ตามบทบัญญัติของพระราชบัญญัติ<br />
การรักษาผลประโยชน์ของชาติทางทะเล พ.ศ.๒๕๖๒ ให้เกิดประสิทธิภาพ<br />
ต่อไป<br />
174
เรื่องเล่าที่ ๑๒๔<br />
ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๒ การพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งเกียรติภูมิของชาติ<br />
บทบัญญัติตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช<br />
๒๕๖๐ มาตรา ๕๒ ได้บัญญัติภารกิจใหม่ คือบทบาทหน้าที่ของรัฐในการ<br />
พิทักษ์รักษาเกียรติภูมิของชาติ ซึ่งจากการสืบค้นจาก พจนานุกรมฉบับ<br />
ราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.๒๕๕๔ พบว่า เกียรติภูมิ มีความหมายว่า เกียรติ<br />
เพราะความนิยม ซึ่งหากอธิบายความแล้ว “ความนิยม” มีความหมาย<br />
ในทางกว้างว่าเป็นสิ่งที่สังคมส่วนใหญ่ให้การยอมรับ ไม่ว่าจะเป็นสังคม<br />
ในระดับพื้นที่ หรือสังคมในระดับประเทศ หรือสังคมในระดับนานาชาติ หรือ<br />
สังคมในระดับสากล ทั้งนี้ การยอมรับนั้นย่อมนำมาสู่ความภาคภูมิใจ<br />
ของคนในสังคมอย่างมีเกียรติและมีศักดิ์ศรี จึงกล่าวได้ว่า เกียรติภูมิของชาติ<br />
คือ เกียรติยศและศักดิ์ศรีที่สังคมทั่วไปทั้งสังคมในหมู่มวลมิตรประเทศ<br />
หรือระดับนานาชาติ หรือสากลที ่สังคมโลกให้การยอมรับในความเป็น<br />
ชาติไทย และถือเป็นศักดิ์ศรีที่ประชาชนชาวไทยทุกคนมีความภูมิใจ<br />
ต่อเกียรติยศดังกล่าว<br />
เมื่อเป็นเช่นนี้ กระทรวงกลาโหมและทหารทุกคน จึงมีภารกิจสำคัญ<br />
ที่จะต้องธำรงเกียรติภูมิของประเทศให้เป็นที่ยอมรับของประชาชนชาวไทย<br />
และได้รับการยอมรับกล่าวขานของนานาประเทศและประชาคมระหว่าง<br />
ประเทศถึงเกียรติยศในทุกภูมิภาค ซึ่งจะต้องเป็นเรื่องของความมีระเบียบ<br />
วินัย ความสามารถในการปฏิบัติการทางทหารในทุกภารกิจและทุกมิติ<br />
ทั้งภายในประเทศและการปฏิบัติการร่วมกับมิตรประเทศภายนอกประเทศ<br />
การสร้างความสัมพันธ์ทางทหารที่ดีกับกระทรวงกลาโหมมิตรประเทศ<br />
โดยเฉพาะการดำรงบทบาทการทูตทหารอย่างมีศักดิ์ศรี<br />
ในปัจจุบัน กระทรวงกลาโหมได้ดำรงเกียรติภูมิของชาติในการส่ง<br />
กำลังเข้าร่วมฝึกผสมกับมิตรประเทศในรหัสต่างๆ ทั้งการผสมสองประเทศ<br />
(ทวิภาคี) และการฝึกผสมหลายประเทศ (พหุภาคี) ซึ่งจัดการฝึกเป็นประจำ<br />
ทุก<strong>ปี</strong> หรือทุกๆ ๒ <strong>ปี</strong> โดยมีการฝึกที่สำคัญ กล่าวคือ (๑) การจัดการฝึกร่วม/<br />
ผสม Cobra Gold (๒) การฝึกผสม COPE TIGER (๓) การเข้าร่วมโครงการ<br />
Pacific Partnership (๔) การฝึกร่วม/ผสมด้านการรักษาสันติภาพ (พิราบ-<br />
จาบิรู) และมีโครงการที่จะส่งกองกำลังเข้าร่วมในการฝึกเพื่อเป็นการนำ<br />
ธงชาติไทยไปตั้งสถิตในกิจกรรมระหว่างประเทศอีกหลายโครงการ<br />
175
เรื่องเล่าที่ ๑๒๕<br />
ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๓ การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Ministers’ Meeting : ADMM)<br />
ในปัจจุบัน ประเทศไทยได้เข้าร่วมการเป็นประชาคมอาเซียน หรือ<br />
ASEAN Community และมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ ๓๑ ธันวาคม ๒๕๕๘<br />
(ค.ศ.๒๐๑๕) เป็นต้นมา ได้ส่งผลต่อการสร้างเกียรติภูมิและผลประโยชน์<br />
ของประเทศไทยในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เป็นอย่างมาก อีกทั้ง<br />
การจัดตั้งประชาคมอาเซียนได้มุ่งเน้นในการสร้างสันติภาพในภูมิภาค<br />
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อันนำมาซึ่งเสถียรภาพทางการเมือง และความ<br />
เจริญก้าวหน้าทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม และเมื่อการค้าระหว่าง<br />
ประเทศในโลกมีแนวโน้มกีดกันทางการค้ารุนแรงขึ้น ทำให้อาเซียนได้หันมา<br />
มุ่งเน้นกระชับและขยายความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าระหว่างกัน<br />
มากขึ้น ซึ่งวัตถุประสงค์หลักที่กำหนดไว้ใน ปฏิญญาอาเซียน (The<br />
ASEAN Declaration) รวม ๗ ประการ คือ (๑) ส่งเสริมความเจริญ<br />
เติบโตทางเศรษฐกิจ ความก้าวหน้าทางสังคมและวัฒนธรรม (๒) ส่งเสริม<br />
การมีเสถียรภาพ สันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค (๓) ส่งเสริมความ<br />
ร่วมมือทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม วิชาการ วิทยาศาสตร์ และด้าน<br />
การบริหาร (๔) ส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกันในการฝึกอบรมและ<br />
การวิจัย (๕) ส่งเสริมความร่วมมือในด้านเกษตรกรรมและอุตสาหกรรม<br />
การค้า การคมนาคม การสื่อสาร และปรับปรุงมาตรฐานการดำรงชีวิต<br />
(๖) ส่งเสริมการมีหลักสูตรการศึกษาเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และ<br />
(๗) ส่งเสริมความร่วมมือกับองค์กรระดับภูมิภาคและองค์กรระหว่าง<br />
ประเทศ ทั้งนี้ ประเทศสมาชิกได้กำหนดให้มีกฎกติการ่วมกันมากขึ้น<br />
ภายใต้ ๓ เสาหลัก คือ<br />
เสาหลักที่ ๑ : ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน<br />
(ASEAN Political Security Community) หรือ APSC<br />
เสาหลักที่ ๒ : ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic<br />
Community) หรือ AEC<br />
เสาหลักที่ ๓ : ประชาคมสังคมและวัฒนธรรมอาเซียน (ASEAN<br />
Socio Cultural Community) หรือ ASCC<br />
โดยเสาหลักที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหมคือ เสาหลักที่ ๑ :<br />
ประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน (APSC) มีวัตถุประสงค์<br />
เพื่อเสริมสร้างและดำรงไว้ซึ่งสันติภาพและความมั่นคงของภูมิภาค เพื่อ<br />
ให้ประเทศในภูมิภาคอยู่ร่วมกันอย่างสันติสุข และสามารถแก้ไขปัญหา<br />
และความขัดแย้งโดยสันติวิธี โดยเน้นใน ๓ ประการ คือ ๑) การมีกฎ<br />
เกณฑ์และค่านิยมร่วมกัน ๒) ส่งเสริมความสงบสุขและรับผิดชอบร่วมกัน<br />
ในการรักษาความมั่นคงสำหรับประชาชนที่ครอบคลุมในทุกด้าน และ<br />
๓) ให้มีปฏิสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและสร้างสรรค์กับประชาคมโลก ซึ่งมีกลไก<br />
สำคัญทางทหารคือ การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียน หรือ ADMM<br />
ที่มีจุดมุ่งหมายหลักคือ การเป็นเวทีหารือและสร้างความร่วมมือในการ<br />
เสริมสร้างสันติภาพและความมั่นคงในภูมิภาคผ่านกลไกการหารือ<br />
ของเจ้าหน้าที่ระดับสูงภายในกลุ่มประเทศอาเซียน และระหว่างกลุ่ม<br />
ประเทศอาเซียนกับประเทศอื่นๆ เพื่อสนับสนุนความไว้วางใจระหว่างกัน<br />
และสร้างความเชื่อมั่นบนความโปร่งใสและเปิดเผย โดยในการประชุม<br />
ADMM ในครั้งที่ผ่านมา จะมีกิจกรรมสำคัญ ๒ กิจกรรมคือ ๑) การหารือ<br />
ในประเด็นความมั่นคงร่วม และ ๒) การรับรองและร่วมลงนามในปฏิญญา<br />
ร่วมในเรื่องต่างๆ ทั้งนี้ ADMM ยังมีกลไกย่อยสำหรับการทำงานในอีกหลาย<br />
ระดับ กล่าวคือ<br />
๑. การประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ<br />
(ADMM Retreat) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อให้รัฐมนตรีกลาโหมประเทศ<br />
สมาชิกอาเซียน มีโอกาสได้หารือแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในบรรยากาศที่<br />
ผ่อนคลาย เพื่อสร้างความคุ้นเคยระหว่างกัน รวมทั้งพิจารณากำหนดวาระ<br />
การประชุม ADMM ในครั้งต่อไป<br />
176
๒. การประชุมระหว่างรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรี<br />
กลาโหมของประเทศคู่เจรจา (ADMM Plus) มีวัตถุประสงค์หลักเพื่อเป็น<br />
เวทีให้ประเทศสมาชิกอาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ ได้มีโอกาสเจรจาหารือหรือ<br />
ร่วมกิจกรรมที่เป็นประโยชน์ต่อภูมิภาค โดยมีประเทศคู่เจรจา ๘ ประเทศ<br />
คือ ออสเตรเลีย จีน อินเดีย ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ นิวซีแลนด์ รัสเซีย และ<br />
สหรัฐอเมริกา ทั้งนี้ มีการจัดตั้งองค์กรที่รับผิดชอบการดำเนินงานภายใต้<br />
กรอบ ADMM Plus เป็นคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน (Expert’s<br />
Working Group : EWG) จำนวน ๕ ด้าน คือ ด้านความมั่นคงทางทะเล<br />
(Maritime Security : MS) ด้านการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม<br />
และการบรรเทาภัยพิบัติ (Humanitarian Assistance and Disaster<br />
Relief : HADR) ด้านการปฏิบัติการรักษาสันติภาพ (Peacekeeping<br />
Operations : PKO) ด้านการต่อต้านการก่อการร้าย (Counter - Terrorism :<br />
CT) และ ด้านการแพทย์ทางทหาร (Military Medicine : MM)<br />
๓. การประชุมเจ้าหน้าที่อาวุโสกลาโหมอาเซียน (ASEAN<br />
Defence Senior Officials’ Meeting : ADSOM) ซึ่งเป็นการประชุม<br />
ของเจ้าหน้าที่อาวุโสในระดับปลัดกระทรวงกลาโหมหรือเทียบเท่า<br />
โดยมีหน้าที่หลักคือ เตรียมการสำหรับการประชุม ADMM ซึ่งจะพิจารณา<br />
ความเหมาะสมของหัวข้อการหารือและพิจารณาแก้ไขร่างเอกสารต่างๆ<br />
ที่จะให้รัฐมนตรีกลาโหมของประเทศสมาชิกอาเซียนรับรองในระหว่าง<br />
การประชุม ADMM อย่างไรก็ตาม ก่อนจะมีการประชุม ADSOM นั้น<br />
จะจัดให้มีการประชุมคณะทำงานเจ้าหน้าที่อาวุโสกลาโหมอาเซียน<br />
(ADSOM Working Group) เพื่อเตรียมการด้านสารัตถะและธุรการสำหรับ<br />
การประชุม ADMM และ ADSOM โดยจะร่วมกันกำหนดหัวข้อการหารือ<br />
เตรียมการด้านเอกสารที่เกี่ยวกับการประชุมและด้านธุรการอื่นๆ<br />
๔. การประชุมผู้บัญชาการเหล่าทัพอาเซียน เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนา<br />
ความร่วมมือทางทหารของผู้นำทหารทั้ง ๓ เหล่าทัพ ให้เกิดความใกล้ชิด<br />
มากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเป็นเวทีการหารือด้านความมั่นคงเฉพาะกิจการทาง<br />
ทหารของแต่ละเหล่าทัพได้อย่างชัดเจน โดยมีการจัดการประชุมในแต่ละ<br />
เหล่าทัพ กล่าวคือ<br />
๔.๑ การประชุมผู้บัญชาการทหารบกอาเซียน (ASEAN Chief<br />
of Armies Multi Lateral Meeting) หรือ ACAMM<br />
๔.๒ การประชุมผู้บัญชาการทหารเรืออาเซียน (ASEAN Navy<br />
Chiefs' Meeting) หรือ ANCM<br />
๔.๓ การประชุมผู้บัญชาการทหารอากาศอาเซียน (ASEAN<br />
Air Chiefs Conference) หรือ AACC<br />
นอกจากนี้ ประเทศไทยยังริเริ่มจัดการประชุมผู้บัญชาการทหาร<br />
สูงสุดอาเซียน (ASEAN Chief of Defence Forces Conference)<br />
โดยกำหนดจัดขึ้นประมาณเดือนมีนาคม ๒๕๖๒ ณ ประเทศไทย<br />
ในโอกาสที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ADMM<br />
อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยเคยได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพจัดการ<br />
ประชุม ADMM ครั ้งที่ ๓ เมื่อ<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๕๒ และจะเป็นเจ้าภาพในการ<br />
ประชุม ADMM ครั้งที่ ๑๓ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๖๒<br />
177
เรื่องเล่าที่ ๑๒๖<br />
ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๔ หน่วยงานประสานงานด้านการแพทย์ทหารระดับอาเซียน<br />
กระทรวงกลาโหม ได้ริเริ่มการจัดตั้ง ศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน<br />
(ASEAN Center of Military Medicine : ACMM) เพื่อเป็นองค์กรหลัก<br />
ในการประสานงานด้านการแพทย์ทหารของภูมิภาค ทั้งในยามปกติและ<br />
เมื่อเกิดภัยพิบัติ และการทดสอบการปฏิบัติงานด้วยการจัดการฝึกร่วม<br />
ระหว่างคณะทำงานผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ทหารกับคณะทำงาน<br />
ผู้เชี่ยวชาญด้านการให้ความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมและการบรรเทา<br />
ภัยพิบัติ (ADMM - Plus Military Medicine - Humanitarian<br />
Assistance and Disaster Relief Joint Exercise : AM - Hex 2016)<br />
ตั้งขึ้น ณ ประเทศไทย<br />
เมื่อวันที่ ๗ เมษายน ๒๕๕๙ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ<br />
รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมเป็นประธาน<br />
ในพิธีเปิดศูนย์แพทย์ทหารอาเซียนอย่างเป็นทางการ และในวันที่ ๕<br />
กันยายน ๒๕๕๙ กระทรวงกลาโหมได้เป็นเจ้าภาพจัดการฝึกร่วมการปฏิบัติ<br />
การด้านการแพทย์ทหารของอาเซียน ณ ค่ายนวมินทราชินี จังหวัดชลบุรี<br />
ในการฝึกครั้งนี้ มีกำลังทหารจากประเทศสมาชิกอาเซียน และประเทศ<br />
คู่เจรจา จำนวน ๑๘ ประเทศ และผู้แทนองค์การระหว่างประเทศ<br />
ที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งสิ้น ๒,๐๔๙ นาย พร้อมทั้งเรือ เครื่องบิน เฮลิคอปเตอร์<br />
และยุทโธปกรณ์สำหรับการค้นหาและช่วยเหลือจำนวนมาก เข้าร่วมการฝึก<br />
178
179<br />
โดยในส่วนของกระทรวงกลาโหมจัดกำลังพลจากสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพ<br />
อากาศ เข้าร่วมเป็นการสร้างความเชื่อมั่นถึงขีดความสามารถ และศักยภาพ<br />
ทางทหารของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจา ในการปฏิบัติ<br />
การด้านการแพทย์ทหารและการช่วยเหลือประชาชนอย่างมีประสิทธิภาพ<br />
และทันเวลาเมื่อเกิดสถานการณ์ภัยพิบัติ นอกจากนั้น ยังเป็นการสะท้อน<br />
ภาพลักษณ์ที่โดดเด่นของประเทศไทยในฐานะที่เป็นเจ้าภาพจัดการฝึก<br />
ขนาดใหญ่ในระดับภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก รวมทั้งสอดคล้องกับเจตนารมณ์<br />
ของนายกรัฐมนตรีในการเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างประเทศต่างๆ<br />
ในภูมิภาคอย่างครอบคลุมในทุกมิติ เพื่อความมั่นคง มั่งคั่งและยั่งยืนของ<br />
ประชาคมอาเซียน และความผาสุกของประชาชนชาวไทย<br />
นอกจากนี้ ยังได้มีการทดสอบโครงสร้างและการปฏิบัติงานของศูนย์<br />
แพทย์ทหารอาเซียน และศูนย์ประสานงานนานาชาติ ซึ่งจะได้รับการจัดตั้ง<br />
ขึ้นในประเทศที่ประสบภัยพิบัติ กระทรวงกลาโหมจึงได้ร่วมมือกับประเทศ<br />
สมาชิกอาเซียนและประเทศคู่เจรจา จัดการฝึกร่วมด้านการแพทย์ทหารกับ<br />
ด้านการให้ความช่วยเหลือเพื่อมนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบัติ ภายใต้<br />
รหัสการฝึก AM - Hex 2016 ขึ้น และจัดอย่างต่อเนื่องเสมอมา
เรื่องเล่าที่ ๑๒๗<br />
ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๕ การเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ<br />
กระทรวงกลาโหม ได้ยึดถือแนวทางการเสริมสร้างความร่วมมือด้าน<br />
ความมั่นคงกับมิตรประเทศของกระทรวงกลาโหม <strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๖๔<br />
ซึ่งจัดทำขึ้น ให้หน่วยงานของกระทรวงกลาโหมใช้เป็นกรอบแนวทางในการ<br />
จัดทำแผนงานการเสริมสร้างความร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิตรประเทศ<br />
โดยมีการจัดลำดับความสำคัญเพื่อลดความซ้ำซ้อน และสามารถนำไปสู่การ<br />
ปฏิบัติที่เป็นรูปธรรม และเกิดประโยชน์สูงสุด<br />
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมได้ให้ความสำคัญกับความร่วมมือในกรอบ<br />
ประชาคมอาเซียน ให้เป็นภูมิภาคแห่งความสันติสุข โดยมีทิศทางในการ<br />
แสดงบทบาทอย่างสร้างสรรค์ในมิติการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม<br />
และการบรรเทาภัยพิบัติ และการปฏิบัติการเพื่อสันติภาพนอกจากนี้<br />
ยังให้การสนับสนุนในการพัฒนากรอบความร่วมมือในกรอบรัฐมนตรี<br />
กลาโหมอาเซียน และรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา ตลอดจน<br />
การรักษาความสัมพันธ์และดุลยภาพกับประเทศที่มีบทบาทสำคัญ<br />
มิตรประเทศและองค์การระหว่างประเทศ โดยแนวทางการเสริมสร้าง<br />
ความร่วมมือฯ ได้กำหนดความเร่งด่วนในการเสริมสร้างความสัมพันธ์ทาง<br />
ทหารกับประเทศเป้าหมาย โดยแบ่งเป็น ๓ กลุ่มประเทศ ประกอบด้วย<br />
๑. ประเทศรอบบ้านและประเทศสมาชิกอาเซียน<br />
๒. ประเทศมหาอำนาจและประเทศคู่เจรจาในกรอบการประชุม<br />
รัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมนตรีกลาโหมประเทศคู่เจรจา<br />
๓. มิตรประเทศอื่นๆ ได้แก่ มิตรประเทศที่มีความสัมพันธ์ที่ดีอยู่แล้ว<br />
มิตรประเทศที่เป็นสมาชิกองค์การความร่วมมืออิสลาม และมิตรประเทศ<br />
ที่มีขีดความสามารถด้านอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ<br />
180
เรื่องเล่าที่ ๑๒๘<br />
ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๖ ความพร้อมเผชิญภัยคุกคามที่ไม่ใช่ทางทหาร<br />
ในอนาคตภัยคุกคามที่ไม่ใช่ทางทหารจะส่งผลกระทบต่อความ<br />
มั่นคงของโลก ภูมิภาค และแต่ละประเทศเหมือนกันโดยไม่อาจหลีกเลี่ยงได้<br />
อาทิ อาชญากรรมข้ามชาติประเภทต่างๆ การค้ามนุษย์และการ<br />
โยกย้ายถิ่นฐานแบบไม่ปกติ การก่อการร้ายสากล ภัยพิบัติขนาดใหญ่<br />
การเปลี่ยนแปลงสภาวะแวดล้อมโลก และโรคระบาด นอกจากนี้ การรายงาน<br />
ข้อมูลและนำเสนอบทวิเคราะห์ของสื่อต่างประเทศ และการเรียกร้องของ<br />
องค์การระหว่างประเทศต่อสถานการณ์ที่อยู่ในความสนใจของนานาชาติ<br />
อาจส่งผลกระทบต่อความพยายามของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้น<br />
ในขณะที่ภัยคุกคามตามที่กล่าวมาจะยังคงอยู่ และอาจส่งผลต่อความมั่นคง<br />
มากขึ้นในอนาคต<br />
กระทรวงกลาโหม จึงได้จัดทำยุทธศาสตร์และแผนต่างๆ สำหรับ<br />
ใช้เป็นกรอบแนวทางในการพัฒนาศักยภาพของส่วนราชการกระทรวง<br />
กลาโหมที่สำคัญ อาทิ ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศกระทรวงกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๗๙ ซึ่งจะเป็นกรอบแนวทางในการจัดเตรียมกำลัง<br />
การใช้กำลัง และเป็นทิศทางการพัฒนาในภาพรวมของกระทรวงกลาโหม<br />
โดยในระยะยาวกระทรวงกลาโหมจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนดไว้<br />
กล่าวคือ<br />
“มีโครงสร้างที่กะทัดรัด จำนวนกำลังพลที่เหมาะสม ยุทโธปกรณ์<br />
และเทคโนโลยีที่ทันสมัย มีขีดความสามารถในการปฏิบัติภารกิจ<br />
ได้อย่างหลากหลาย”<br />
ซึ่งเป็นแนวทางการดำเนินงานที่สอดคล้องกับยุทธศาสตร์ชาติระยะ<br />
๒๐ <strong>ปี</strong>ของรัฐบาล และจะเป็นส่วนหนึ่งของการบรรลุเป้าหมายตามวิสัยทัศน์<br />
ประเทศไทยในมิติด้านความมั่นคงต่อไป<br />
181
เรื่องเล่าที่ ๑๒๙<br />
ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๗ ความพร้อมเผชิญภัยคุกคามด้านไซเบอร์ (Cyber Threat)<br />
ในปัจจุบัน ภัยคุกคามด้านไซเบอร์ (Cyber Threat) ถือเป็น<br />
ภัยคุกคามรูปแบบใหม่ในปัจจุบันและในอนาคต เนื่องจากภัยคุกคาม<br />
ดังกล่าวสามารถส่งผลกระทบที่รุนแรงได้ในหลายมิติ ทั้งการเมือง เศรษฐกิจ<br />
ความมั่นคง และการทหาร รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะทวีความรุนแรงมาก<br />
ยิ่งขึ้นในอนาคต และเป็นความท้าทายต่อการปฏิบัติการทางทหารโดยตรง<br />
กอปรกับ ใน<strong>ปี</strong> พ.ศ.๒๕๖๑ เป็น<strong>ปี</strong>ที่ประเทศไทยประกาศใช้แผนการปฏิรูป<br />
ประเทศในด้านต่างๆ เพื่อเป็นห้วงเวลาเริ่มต้นของการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์<br />
ชาติ ๒๐ <strong>ปี</strong> ดังนั้น กระทรวงกลาโหม จึงตระหนักถึงความสำคัญในการ<br />
รักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์ว่า เป็นภัยคุกคามต่อความมั่นคงของชาติ<br />
ในมิติต่างๆ จึงได้จัดทำร่างแผนแม่บทไซเบอร์เพื่อการป้องกันประเทศ<br />
กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๖๐ – ๒๕๖๔ และผ่านความเห็นชอบของสภา<br />
กลาโหม เมื่อวันที่ ๒๒ สิงหาคม ๒๕๕๙ โดยมีสาระสำคัญ คือร่างแผน<br />
แม่บทฯ นี้ จะครอบคลุมแผนงานหลัก ๖ แผนงาน กล่าวคือ<br />
๑. แผนการจัดองค์กรด้านไซเบอร์ โดย กระทรวงกลาโหม กอง<br />
บัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ จะดำเนิน<br />
การจัดตั้งหน่วยงานไซเบอร์/ศูนย์ไซเบอร์ ขึ้นมารองรับภารกิจด้านไซเบอร์<br />
โดยตรง<br />
๒. แผนการป้องกันระบบโครงสร้างพื้นฐาน โดย กระทรวงกลาโหม<br />
กองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ<br />
เตรียมจัดตั้งศูนย์ปฏิบัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ (Cyber<br />
Security Operation Center: CSOC) ของแต่ละส่วนราชการขึ้นมา<br />
เพื่อรองรับภัยคุกคามด้านไซเบอร์ที่จะมาโจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐาน<br />
ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร รวมทั้งจัดทำระบบฐานข้อมูล<br />
นอกจากนี้ ยังจะมีการจัดตั้งทีมจัดการปัญหาฉุกเฉินด้านความมั่นคง<br />
ปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cyber Security Incident Response Team/<br />
Computer Security Incident Response Team : CSIRT) เพื่อตอบ<br />
สนองการแก้ไขปัญหาฉุกเฉินด้านความปลอดภัยไซเบอร์ ได้อย่างรวดเร็ว<br />
และทันเวลา<br />
๓. แผนการพัฒนาความพร้อมการปฏิบัติการไซเบอร์เชิงรุกและ<br />
การปฏิบัติการสงครามไซเบอร์ เป็นการพัฒนาบุคลากรของกองทัพ<br />
ให้มีขีดความสามารถด้านการปฏิบัติการไซเบอร์ ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ เพื่อ<br />
การป้องกัน สกัดกั้น ยับยั้งการโจมตี และการตอบโต้ฝ่ายตรงข้ามที่มี<br />
ผลกระทบต่อความมั่นคงของชาติ และความมั่นคงด้านการทหาร โดย<br />
การพัฒนา เสริมสร้างขีดความสามารถกำลังพล เครื่องมือ และเทคโนโลยี<br />
ต่างๆ รวมถึงการจัดให้มีการแข่งขันทักษะการปฏิบัติการไซเบอร์ (Cyber<br />
Contest) ทั้งนี้ มิได้มุ่งหมายเพื่อสร้างนักรบไซเบอร์ (Cyber Warrior)<br />
หรือใช้เจ้าหน้าที่ดังกล่าวไปโจมตีข้อมูลส่วนบุคคล ซึ่งเป็นการละเมิด<br />
กฎหมาย ทั้งนี้ ทุกภารกิจจะกระทำภายใต้กรอบของกฎหมาย<br />
182
๔. แผนการดำรงและพัฒนาศักยภาพด้านไซเบอร์ เพื่อดำรงความ<br />
ต่อเนื่องและยั่งยืนอย่างเป็นรูปธรรม รวมทั้งการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยี<br />
ด้านไซเบอร์ (R&D) เพื่อวิจัยพัฒนา และติดตามความเจริญก้าวหน้าของ<br />
เทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เพราะภัยคุกคามด้านไซเบอร์<br />
นับวันจะทวีความรุนแรง ส่งผลกระทบและความเสียหายในวงกว้างอย่าง<br />
รวดเร็ว<br />
๕. แผนการสนับสนุนศักยภาพทางไซเบอร์ระดับชาติ เนื่องจาก<br />
กองทัพเป็นหน่วยงานหลักด้านความมั่นคงของชาติ จึงต้องมีความพร้อมใน<br />
การสนับสนุนและเป็นเครื่องมือให้กับรัฐบาล เพื่อเสริมสร้างศักยภาพด้าน<br />
ไซเบอร์ของชาติ ในด้านการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ เพื่อป้องกัน<br />
ภัยคุกคามในระดับชาติด้านไซเบอร์โดเมน (Cyber Domain)<br />
๖. แผนงานความร่วมมือและผนึกกำลังด้านไซเบอร์ เป็นการ<br />
ประสานความร่วมมือทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐ ธุรกิจเอกชน และประชาชน<br />
ทั่วไป ในการผนึกกำลังด้านไซเบอร์ ซึ่งเป็นกำลังอำนาจที่ไม่มีตัวตน<br />
และนำไปสู่การระดมสรรพกำลังของประเทศด้านไซเบอร์ที่มีพลังอำนาจ<br />
ที่ยิ่งใหญ่<br />
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินการจัดตั้ง ศูนย์ไซเบอร์ในระดับ<br />
กระทรวงกลาโหม โดยสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดย กรมเทคโนโลยี<br />
สารสนเทศและอวกาศกลาโหม ซึ่งจะเชื่อมโยงกับการจัดตั้งศูนย์ Cyber<br />
ของกองบัญชาการกองทัพไทย กองทัพบก กองทัพเรือ และกองทัพอากาศ<br />
ที่มีขอบเขตอำนาจหน้าที่ในการประสานนโยบายไซเบอร์กับระดับชาติ รวม<br />
ทั้งรับผิดชอบด้านนโยบาย ยุทธศาสตร์ และปฏิบัติงานด้านไซเบอร์ในระดับ<br />
ยุทธศาสตร์ของกระทรวงกลาโหมในภาพรวม<br />
อย่างไรก็ตาม เมื่อร่างพระราชบัญญัติการรักษาความมั่นคงปลอดภัย<br />
ไซเบอร์ พ.ศ. .... ประกาศใช้แล้ว ย่อมจะมีผลต่อการดำเนินการของ<br />
กระทรวงกลาโหม โดยเฉพาะในบทบัญญัติ ดังนี้<br />
(๑) มาตรา ๑๒ การจัดตั้งคณะกรรรมการการรักษาความมั่นคง<br />
ปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ ซึ่งมีผู้บัญชาการทหารสูงสุด ร่วมเป็นกรรมการ<br />
โดยตำแหน่ง<br />
(๒) มาตรา ๑๔ การมอบอำนาจให้ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในการ<br />
ควบคุมและกำกับดูแลหน่วยงานโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ<br />
(๓) มาตรา ๔๘ และ ๔๙ ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของรัฐ<br />
และความมั่นคงทางทหาร<br />
(๔) มาตรา ๖๐ ในเรื่องภัยคุกคามทางไซเบอร์ที่ส่งผลกระทบต่อ<br />
การป้องกันประเทศ การรักษาความสงบเรียบร้อยของประชาชนและความ<br />
มั่นคงของรัฐ ที่มีความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการ<br />
183
เรื่องเล่าที่ ๑๓๐<br />
ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๘ ความพร้อมในการบรรเทาสาธารณภัย<br />
กระทรวงกลาโหม ได้จัดตั้งศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกระทรวง<br />
กลาโหม เพื่อทำหน้าที่กำหนดนโยบาย และแนวทางของกระทรวงกลาโหม<br />
เกี่ยวกับการป้องกัน แก้ไข บรรเทาภัยพิบัติที่เกิดจากสาธารณภัย และ<br />
อุบัติภัย รวมทั้งแนวทางการช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติ และเป็นศูนย์กลาง<br />
ในการประสานงานกับรัฐบาล และหน่วยงานฝ่ายพลเรือน รวมทั้งภาค<br />
เอกชน ภาคประชาสังคม และองค์การระหว่างประเทศ ในการอำนวยการ<br />
ป้องกัน แก้ไข บรรเทาภัยพิบัติ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกระทรวงกลาโหม<br />
นอกจากนี้ ยังมีหน้าที่ติดตามสถานการณ์ อำนวยการ ประสานงานใน<br />
การให้ความช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติให้ทันต่อเหตุการณ์ รวมถึงการ<br />
อำนวยการประชาสัมพันธ์ซึ่งใช้เครื่องมือของส่วนราชการในกระทรวง<br />
กลาโหม โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ดำรงตำแหน่งเป็น<br />
ผู้อำนวยการศูนย์บรรเทาสาธารณภัยกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้เพื่อให้<br />
ผู้ประสบภัยพิบัติได้รับความช่วยเหลืออย่างทันต่อสถานการณ์ จึงได้มอบ<br />
นโยบายและเน้นย้ำให้<br />
“ทหารจะต้องเป็นหน่วยงานแรกในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือ<br />
บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ”<br />
โดยได้นำศักยภาพและขีดความสามารถของหน่วยทหารมาใช้ในการ<br />
ดำเนินการใน ๔ ลักษณะ ได้แก่<br />
๑. การเตรียมความพร้อม ประกอบด้วย การจัดทำแผนบรรเทา<br />
สาธารณภัยกระทรวงกลาโหม และแผนบรรเทาสาธารณภัยกองทัพไทย<br />
และเหล่าทัพ การฝึกซ้อมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยร่วมกับทุกภาค<br />
ส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในระดับนานาชาติ ระดับประเทศ จนถึงระดับท้องถิ่น<br />
การพัฒนาและเสริมสร้างความร่วมมือระหว่างพลเรือนกับทหาร เพื่อให้<br />
พร้อมรับมือกับภัยพิบัติ และการตรวจความพร้อมของกำลังพลและ<br />
ยุทโธปกรณ์ร่วมกับหน่วยงานในพื้นที่<br />
๒. การช่วยเหลือเชิงป้องกัน ประกอบด้วย การขุดลอกคูคลอง<br />
และกำจัดผักตบชวา รวมทั้งสิ่งกีดขวางทางน้ำ การพัฒนาแหล่งน้ำและ<br />
สร้างแก้มลิง การสร้างฝายต้นน้ำ การปลูกป่า การรณรงค์ป้องกันและ<br />
ประชาสัมพันธ์เพื่อลดอุบัติเหตุทางถนนช่วงเทศกาลสำคัญ และแก้ไขปัญหา<br />
ไฟป่าและหมอกควัน<br />
๓. การช่วยเหลือเฉพาะหน้า ประกอบด้วย การผลิตและแจกจ่าย<br />
น้ำอุปโภคบริโภค การอพยพประชาชนและเคลื่อนย้ายสิ่งของเครื่องใช้<br />
ไปยังพื้นที่ปลอดภัย การลำเลียงและแจกจ่ายสิ่งของบรรเทาทุกข์และ<br />
ถุงยังชีพ การบริการทางการแพทย์ การผลักดันน้ำและเร่งระบายน้ำจาก<br />
พื้นที่ท่วมขัง การประกอบอาหารปรุงสุกเพื่อแจกจ่ายให้แก่ผู้ประสบภัย<br />
การแจกจ่ายผ้าห่มกันหนาว การซ่อมแซมถนนและสร้างสะพานชั่วคราว<br />
การซ่อมแซมบ้านเรือนประชาชน และการทำความสะอาดภายหลังน้ำลด<br />
๔. การฟื้นฟู ซึ่งเป็นการดำเนินการตามนโยบายรัฐบาล อาทิ<br />
การสร้างบ้านใหม่ให้แก่ผู้ประสบอุทกภัย และการสร้างถนนที่ได้รับความ<br />
เสียหายจากน้ำกัดเซาะ พร้อมกันนี้ ได้มีการพัฒนาขีดความสามารถด้าน<br />
การบรรเทาสาธารณภัย เพื่อสร้างความเชื่อมั่นศรัทธาให้กับประชาชน<br />
โดยการพัฒนาขีดความสามารถของกำลังพลและยุทโธปกรณ์ มีการวาง<br />
กำลังครอบคลุมทุกภูมิภาค เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือประชาชนได้อย่าง<br />
รวดเร็ว ทันเวลา นอกจากนี้จะมุ่งมั่นพัฒนาศูนย์ฝึกบรรเทาสาธารณภัย<br />
ของหน่วยต่างๆ อาทิ หน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองทัพบก กองทัพเรือ<br />
และกองทัพอากาศ เพื ่อให้มีความพร้อมในการฝึกอบรมครอบคลุม<br />
ทุกภัยพิบัติ มีความเป็นมาตรฐานระดับสากล มีเป้าหมายเป็นศูนย์กลาง<br />
ในการฝึกอบรมด้านการบรรเทาภัยพิบัติของไทย และภูมิภาคอาเซียน<br />
184
เรื่องเล่าที่ ๑๓๑<br />
ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๙ ข้าราชการกลาโหมพลเรือน<br />
พระราชบัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๕๑<br />
ได้บัญญัติถึง ข้าราชการพลเรือนกลาโหม ซึ่งเป็นข้าราชการกระทรวง<br />
กลาโหมอีกประเภทหนึ่งไว้ สรุปว่า<br />
๑. ข้าราชการพลเรือนกลาโหม หมายความว่า ข้าราชการที่ได้รับ<br />
การบรรจุและแต่งตั้งให้รับราชการในกระทรวงกลาโหมในตำแหน่งที่มิใช่<br />
อัตราทหารและไม่มีชั้นยศเพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องใช้ความช ำนาญเฉพาะทาง<br />
๒. ข้าราชการกระทรวงกลาโหม แบ่งออกเป็นสองประเภท ได้แก่<br />
ข้าราชการทหาร และข้าราชการพลเรือนกลาโหม<br />
๓. การกำหนดตำแหน่ง การบรรจุ การแต่งตั้ง การปรับตำแหน่ง<br />
การเลื่อนขั้นเงินเดือน การบังคับบัญชา วินัยและการรักษาวินัย การดำเนิน<br />
การทางวินัย การออกจากราชการ การอุทธรณ์ การร้องทุกข์ และการอื่น<br />
ใดตามที่จำเป็นเกี่ยวกับข้าราชการพลเรือนกลาโหมให้ตราเป็นพระราช<br />
กฤษฎีกา<br />
๔. อัตราเงินเดือน อัตราเงินประจำตำแหน่ง การให้ได้รับเงินเดือน<br />
และการให้ได้รับเงินประจำตำแหน่ง ของข้าราชการพลเรือนกลาโหม ให้นำ<br />
บทบัญญัติที่ใช้บังคับแก่ข้าราชการพลเรือนสามัญตามกฎหมายว่าด้วย<br />
เงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งหรือตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น<br />
มาใช้บังคับโดยอนุโลมไปพลางก่อนจนกว่าจะได้มีการกำหนดให้มีอัตรา<br />
เงินเดือนและอัตราเงินประจำตำแหน่งของข้าราชการพลเรือนกลาโหม<br />
เป็นการเฉพาะตามกฎหมายว่าด้วยเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่ง<br />
๕. การจ่ายเงินเดือนและเงินประจำตำแหน่งให้แก่ข้าราชการ<br />
พลเรือนกลาโหมให้เป็นไปตามกฎหมายว่าด้วยการนั้น<br />
๖. ให้ข้าราชการพลเรือนกลาโหมเป็นข้าราชการตามกฎหมายว่า<br />
ด้วยกองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการและกฎหมายว่าด้วยบำเหน็จบำนาญ<br />
ข้าราชการ แล้วแต่กรณี<br />
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหม มีเจตนารมณ์ที่ทำการบรรจุและแต่งตั้ง<br />
ให้พลเรือน สามารถรับราชการในตำแหน่งมิใช่อัตราทหารและไม่มีชั ้นยศ<br />
เพื่อปฏิบัติหน้าที่ที่ต้องใช้ความชำนาญเฉพาะทาง โดยกำหนดลักษณะงาน<br />
ด้านต่างๆ และเป็นการลดอัตราทหารคุณสมบัติทั่วไปและค่าตอบแทนของ<br />
ข้าราชการพลเรือนกลาโหม สอดคล้องกับข้าราชการทหารและข้าราชการ<br />
พลเรือนสามัญ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในการย้ายโอนระหว่างกันในอนาคต<br />
ตำแหน่งข้าราชการพลเรือนกลาโหม แบ่งเป็น ๕ ประเภท คือ (๑) ประเภท<br />
ทั่วไป (๒) ประเภทวิชาการ (๓) ประเภทอำนวยการ (๔) ประเภทบริหาร<br />
และ (๕) ประเภทการสอนหรือวิจัย ซึ่งจะทำการบรรจุโดยการสอบแข่งขัน<br />
และการคัดเลือก โดยเมื่อข้าราชการพลเรือนกลาโหมอายุครบ ๖๐ <strong>ปี</strong><br />
บริบูรณ์แล้ว หากทางราชการเห็นว่าจำเป็นต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัว<br />
จะสามารถรับราชการต่อไปได้อีกไม่เกิน ๑๐ <strong>ปี</strong> จึงนับว่าให้มีข้าราชการ<br />
พลเรือนกลาโหมขึ้น เพื่อความอ่อนตัวของโครงสร้างอัตรากำลังและความ<br />
คล่องตัวของการปฏิบัติงานที่ไม่ใช่กำลังรบ อาทิ งานด้านวิชาการ วิจัย งาน<br />
ทางการแพทย์ การพยาบาล งานทางการเงิน งบประมาณ งานธุรการอื่นๆ<br />
เมื่อวันที่ ๓๐ มกราคม ๒๕๖๐ ที่ประชุมสภากลาโหมเห็นชอบร่าง<br />
พระราชกฤษฎีการะเบียบข้าราชการพลเรือนกลาโหม เพื่อรองรับพระราช<br />
บัญญัติจัดระเบียบราชการกระทรวงกลาโหม พ.ศ. ๒๕๕๑ ซึ่ง ร่างพระราช<br />
กฤษฎีกาดังกล่าวเป็นส่วนหนึ่งของการปฏิรูประบบงานก ำลังพลของกองทัพ<br />
หลังจากนี้ ตั้งแต่<strong>ปี</strong>งบประมาณ ๒๕๖๒ เป็นต้นไป กระทรวงกลาโหมจะได้<br />
เร่งดำเนินการจัดทำกฎหมายและอนุบัญญัติที่เกี่ยวข้องกับพระราชบัญญัติ<br />
สำหรับกรอบระยะเวลาในการจัดทำกฎหมายและอนุบัญญัติดังกล่าว<br />
ข้างต้น คาดว่าจะดำเนินการให้แล้วเสร็จและคาดว่าจะพร้อมบรรจุ<br />
ข้าราชการพลเรือนกลาโหมได้ใน<strong>ปี</strong>งบประมาณ ๒๕๖๓ เป็นต้นไป ทั้งนี้<br />
ในส่วนของงานการแก้ไขอัตราของหน่วย ซึ่งอยู่ในการรับผิดชอบของ<br />
สำนักนโยบายและแผนกลาโหม เพื่อเริ่มการบรรจุในหน่วยงานนำร่อง<br />
ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมนั้น ได้กำหนดให้โรงงานเภสัชกรรม<br />
ทหาร ศูนย์การอุตสาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหารเป็นหน่วย<br />
นำร่องในลำดับแรก ก่อนที่จะขยายผลไปยังหน่วยงานอื่นของกระทรวง<br />
กลาโหมต่อไป<br />
185
เรื่องเล่าที่ ๑๓๒<br />
ภารกิจกระทรวงกลาโหมในยุคใหม่<br />
ตอนที่ ๑๐ การช่วยเหลือประชาชนและการพัฒนาประเทศ<br />
กระทรวงกลาโหม มีภารกิจสำคัญในการสนับสนุนการพัฒนา<br />
ประเทศและช่วยเหลือประชาชน ตามนโยบายของรัฐบาล โดยบูรณาการ<br />
กำลังทหาร ตำรวจ และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง โดยมุ่งเน้นจัดระเบียบ<br />
และควบคุมการกระทำผิดกฎหมาย ซึ่งผลที่ได้รับคือ การสร้างความ<br />
เป็นธรรมในสังคม ประชาชนมีความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน<br />
ไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบจากการประกอบอาชีพสุจริต และมีชีวิตความ<br />
เป็นอยู่ที่ดีขึ้น อาทิ การจัดการกับผู้มีอิทธิพล การเรียกรับผลประโยชน์<br />
วินมอเตอร์ไซค์ผิดกฎหมาย การจำหน่ายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา<br />
การค้ายาเสพติด บ่อนการพนันและแหล่งอบายมุขในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ<br />
ปราบปรามการค้ามนุษย์ จัดระเบียบการค้าขายบนทางเท้า ชายหาด<br />
แก้ไขปัญหารถสาธารณะ/รถแท็กซี่ และการแข่งรถในที่สาธารณะ<br />
กระทรวงกลาโหมและทหารหาญ ยังมีหน้าที่ติดตามสถานการณ์<br />
อำนวยการ ประสานงาน ในการให้ความช่วยเหลือประชาชนทุกเหตุการณ์<br />
ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์สาธารณภัยและภัยพิบัติให้ทันต่อเหตุการณ์<br />
รวมถึงการอำนวยการการประชาสัมพันธ์ โดยใช้เครื่องมือของส่วนราชการ<br />
ในกระทรวงกลาโหม ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนผู้ประสบภัยได้รับความ<br />
ช่วยเหลืออย่างทันต่อสถานการณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
จึงได้มอบนโยบายและเน้นย้ำให้กำลังพลถือปฏิบัติว่า<br />
ทหารจะต้องเป็นหน่วยงานแรกในการเข้าไปให้ความช่วยเหลือ<br />
บรรเทาความเดือดร้อนให้กับประชาชนเมื่อเกิดภัยพิบัติ<br />
ทั้งนี้ กระทรวงกลาโหมมุ่งเน้นการปฏิบัติการทางทหารเพื่อ<br />
ประชาชนและประเทศชาติให้เกิดความผาสุก สมบูรณ์ด้วยสภาพแวดล้อม<br />
ทั้งทางร่างกายและจิตใจ โดยการดำเนินการ กล่าวคือ<br />
๑. การช่วยเหลือและบริการประชาชน โดยยึดมั่นในเจตนารมณ์<br />
ของ ฯพณฯ พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะ<br />
รักษาความสงบแห่งชาติ ที่กล่าวว่า<br />
เราจะไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง<br />
๒. การพัฒนาประเทศ โดยมุ่งเน้นการสร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้<br />
แก่ประชาชน และจัดการสภาพแวดล้อมของประเทศให้เหมาะสมกับการ<br />
พัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติให้เกิดความยั่งยืน<br />
186
จึงนำมาสู่ภารกิจของกระทรวงกลาโหมและทหารหาญอย่างเป็น<br />
รูปธรรม อาทิ การแก้ไขปัญหาความยากจนด้วยการจัดตั้งศูนย์การเรียนรู้<br />
ตามหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียง การดำเนินการโครงการยกระดับ<br />
การฝึกอาชีพให้แก่ผู้รับการสงเคราะห์เพื่อเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน<br />
การขจัดทุกข์และบำรุงสุขประชาชนในสถานการณ์ที่ต้องเผชิญกับภัยพิบัติ<br />
การปรับภูมิทัศน์ตามแนวลำน้ำและลำคลองให้สวยงาม การแก้ไขปัญหา<br />
ความแห้งแล้งให้แก่พี่น้องประชาชน การช่วยกันลดมลภาวะที่เป็นพิษ<br />
สร้างความสะอาดเรียบร้อยให้กับชุมชน สังคม และประเทศ นอกจากนี้<br />
ยังมีภารกิจที่กระทรวงกลาโหมและทหารหาญปฏิบัติด้วยความมุ่งมั่น<br />
มากมายและจะต้องปฏิบัติสืบเนื่องไปอย่างไม่มีวันหยุดเพื่อประโยชน์<br />
ของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนชาวไทย<br />
187
เอกสารอ้างอิง<br />
ศิลปวัฒนธรรม. “กลาโหม” แปลว่า “สถานบูชาไฟ” ทำไมมาเป็นชื่อกระทรวง. บทความวารสารศิลปวัฒนธรรมฉบับเดือนมีนาคม ๒๕๓๖, มติชน,<br />
กรุงเทพฯ, ๒๕๓๖.<br />
ศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์การมหาชน). ความเห็นเกี่ยวกับความหมายและที่มาของคำ “กระลาโหม” บทความ, กรุงเทพฯ, ๒๕๓๕.<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม. ๑๒๐ <strong>ปี</strong> ศาลาว่าการกลาโหม. อรุณการพิมพ์, กรุงเทพฯ, ๒๕๔๗.<br />
เพิ่มศักดิ์ วรรลยางกูล. เมืองไทยในอดีต ตอน “ประวัติรถราง”, วัฒนาพานิช, พระนคร, ๒๕๐๓.<br />
ส.พลายน้อย. เกร็ดโบราณคดีประเพณีไทย. รวมสาส์น, กรุงเทพฯ, ๒๕๔๔.<br />
อรณี แน่นหนา. นามนี้มีที่มา. ประพันธ์สาส์น, กรุงเทพฯ, ๒๕๔๕.<br />
Website ที่เกี่ยวข้อง<br />
www.khaosod.co.th<br />
www.mgronline.com<br />
www.pantip.com<br />
www.reunthai.com<br />
www.Thaiheritage.net<br />
http//th.wikipedia.org<br />
พิมพ์ที่ : หจก. อรุณการพิมพ์<br />
โทร. ๐ ๒๒๘๒ ๖๐๓๓-๔<br />
188
เรื่องเล่า ศาลาว่าการ กลาโหม<br />
เปิดโฉม ภาพอดีต เคยขีดเขียน<br />
ปัจจุบัน คงมองเห็น เป็นบทเรียน<br />
เพื่อพากเพียร เรียนรู้ สู่ทางไกล<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
ถนนสนามไชย แขวงพระบรมมหาราชวัง<br />
เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐<br />
http://opsd.mod.go.th