cache
cache
cache
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
วิทยานิพนธ<br />
เรื่อง<br />
ผลของเบทาอีนตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม,อุณหภูมิ<br />
และ ความเปนพิษเฉียบพลันของแอมโมเนียในกุงกุลาดําวัยรุน<br />
Effect of Betaine on Stress Tolerance from Salinity,Temperature Change and<br />
Acute Ammonia Toxicity in Black Tiger Shrimp, Penaeus monodon (Fabricius)<br />
Juvenile<br />
โดย<br />
นายอดิษฐ ศุภไพบูลย<br />
เสนอ<br />
บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร<br />
เพื่อความสมบูรณแหงปริญญาวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต<br />
(เพาะเลี้ยงสัตวน้ํา)<br />
พ.ศ. 2549<br />
ISBN 974-16-1628-7
กิตติกรรมประกาศ<br />
ขาพเจาขอขอบพระคุณผูชวยศาสตราจารย<br />
ดร. อรพินท จินตสถาพร ประธานกรรมการที่<br />
ปรึกษา รองศาสตราจารย ดร. ประทักษ ตาบทิพยวรรณ รองศาสตราจารยสงศรี มหาสวัสดิ์<br />
รอง<br />
ศาสตราจารยบพิธ จารุพันธุ<br />
ผูแทนบัณฑิตวิทยาลัย<br />
เปนอยางสูง ที่กรุณาใหคําปรึกษา<br />
แนะนํา และ<br />
รวมแกไขวิทยานิพนธฉบับนี้ใหสมบูรณยิ่งขึ้น<br />
ขอขอบคุณ คุณสุทิน สุขสมบูรณ คุณจริยา สนิทชน คุณมิถิลา ปรานศิลป<br />
คุณเกษฏา มณีรอด พี่<br />
ๆ นอง ๆ ในหองปฏิบัติการคุณภาพน้ํา<br />
และอาหาร ที่ชวยเหลือในการวิจัยเปน<br />
อยางดี<br />
สุดทายขอขอบคุณพอ พี่สาวทั้งสอง<br />
ที่ใหกําลังใจชวยเหลืออยูตลอดเวลาในการศึกษาครั้งนี้<br />
อดิษฐ ศุภไพบูลย<br />
พฤษภาคม 2549
สารบาญ<br />
หนา<br />
สารบาญ (1)<br />
สารบาญตาราง (2)<br />
สารบาญภาพ (6)<br />
คํานํา 1<br />
วัตถุประสงค 3<br />
ตรวจเอกสาร 4<br />
กุงกุลาดํา<br />
4<br />
เบทาอีน (Betaine) 7<br />
ความเครียด 14<br />
ระบบ osmoreguration 18<br />
พิษของแอมโมเนียตอสัตวน้ํา<br />
22<br />
อัตราการใชออกซิเจน 24<br />
ภาวะเครียดจากออกซิเดชัน (oxidative stress) 26<br />
ความสําคัญของอนุมูลอิสระในรางกาย 27<br />
แคทาเลส (Catalase) 28<br />
อุปกรณและวิธีการ 31<br />
อุปกรณ 31<br />
วิธีการ 31<br />
ผลและวิจารณ 45<br />
สรุป 89<br />
ขอเสนอแนะ 91<br />
เอกสารและสิ่งอางอิง<br />
92<br />
ภาคผนวก 105<br />
(1)
สารบาญตาราง<br />
ตารางที่<br />
หนา<br />
1 การเปรียบเทียบพารามิเตอรทางสรีรวิทยา ที่อธิบายระบบ<br />
สมดุลของแรงดัน (osmotic) และ สมดุลไอออน (ionic balance)<br />
ในปลาแอตแลนติกซัลมอน ชินุกซัลมอน และเรนโบเทราที่ไดรับ<br />
เบทาอีนปริมาณ 1-1.5% เปนเวลา 6-8 สัปดาหกอนการเคลื่อน<br />
ยายไปในน้ําทะเล<br />
12<br />
2 ความเขมขนของไอออนตาง ๆ ในสายละลายภายนอกเซลล<br />
(Extracellular fluid) ที่พบในสัตวทะเลที่ไมมีกระดูกสันหลัง<br />
และใน Myxine 20<br />
3 สวนประกอบอาหารกุงกุลาดําที่ใชเบทาอีนระดับตาง<br />
ๆ 33<br />
4 ผลวิเคราะหอาหารกุงกุลาดําทดลอง<br />
3 สูตร ที่ระดับการใชเบทาอีนตาง<br />
ๆ 34<br />
5 แผนการวิจัย (Timetable) 43<br />
6 การเจริญเติบโตและอัตรารอดของกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีน<br />
ที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 46<br />
7 การเจริญเติบโตและอัตรารอดของกุงกุลาดําหลังจากหยุดอาหารผสมเบทาอีน<br />
เปนระยะเวลา 15 วัน ในการเลี้ยง<br />
(คาเฉลี่ย+<br />
SD) 49<br />
8 อาหารที่ใหและประสิทธิภาพของอาหาร<br />
ในกุงกุลาดําที่ไดรับอาหาร<br />
ที่มีสวนผสมของเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 52<br />
9 อาหารที่ใหและประสิทธิภาพของอาหาร<br />
ในกุงกุลาดําหลังจากหยุดอาหาร<br />
ผสมเบทาอีนเปนเวลา 15 วัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 55<br />
10 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีทีเปน<br />
40 พีพีที อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับ<br />
ตาง ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 58<br />
11 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีที<br />
เปน 40 พีพีที อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดํา<br />
หลังจากเปลี่ยนอาหารเปน<br />
ไมมีสวนผสมของเบทาอีน เปนเวลา 15 วัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 61<br />
(2)
สารบาญตาราง (ตอ)<br />
ตารางที่<br />
หนา<br />
12 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีที<br />
เปน 0 พีพีที อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ<br />
(คาเฉลี่ย+<br />
SD) 63<br />
13 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีที<br />
เปน 0 พีพีที อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดํา<br />
หลังจากเปลี่ยน<br />
อาหารเปนไมมีสวนผสมของเบทาอีน เปนเวลา 15 วัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 67<br />
14 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติ<br />
เปน 35 องศาเซสเซียส อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับ<br />
เบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 69<br />
15 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติ<br />
เปน 35 องศาเซสเซียส อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําหลังจาก<br />
เปลี่ยนอาหารเปนไมมีสวนผสมของเบทาอีน<br />
เปนเวลา 15 วัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 72<br />
16 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติ<br />
เปน 15 องศาเซสเซียส อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับ<br />
เบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 74<br />
17 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติ<br />
เปน 15 องศาเซสเซียส อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําหลังจาก<br />
เปลี่ยนอาหารเปนไมมีสวนผสมของเบทาอีน<br />
เปนเวลา 15 วัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 77<br />
18 ปริมาณเอนไซมแคทาเลสหลังจากไดรับการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน<br />
ที่ระยะเวลา<br />
45 วัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 79<br />
19 ปริมาณเอนไซมแคทาเลสหลังจากไดรับการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน ที่<br />
ระยะเวลา 60 วัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD) 80<br />
(3)
สารบาญตาราง (ตอ)<br />
ตารางที่<br />
หนา<br />
20 อัตราการตายของกุ งกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ ในการ<br />
ทดลองหาคา LC50 ของสารแอมโมเนีย ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง<br />
(10 ตัว/ซ้ํา)<br />
82<br />
21 คา LC50 และคาฟงคชั่นความลาดเอียง<br />
(Slope function) ที่ระดับ<br />
ความเชื่อมั่น<br />
95% ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง<br />
ของสารแอมโมเนีย<br />
สําหรับกุ งกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ 87<br />
22 อัตราการใชออกซิเจนเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลัน<br />
ของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน ที่ระยะเวลา<br />
45 วัน<br />
(คาเฉลี่ย+<br />
SD) 88<br />
23 ระดับออกซิเจนเริ่มตน<br />
และสิ้นสุดเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน<br />
ที่ระยะเวลา<br />
45 วัน 88<br />
(4)
สารบาญตาราง (ตอ)<br />
ตารางผนวกที่<br />
หนา<br />
1 อัตราการตายของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ<br />
ในการทดลองหาคา LC50 ของสารแอมโมเนีย ภายในระยะ<br />
เวลา 24 ชั่วโมง<br />
106<br />
2 การคํานวณหาคา LC50 ที่ระดับเบทาอีน<br />
0% 108<br />
3 การคํานวณหาคา LC50 ที่ระดับเบทาอีน<br />
0.75% 110<br />
4 การคํานวณหาคา LC50 ที่ระดับเบทาอีน<br />
1.5% 113<br />
5 คุณภาพน้ําในชุดไมเสริมเบทาอีน<br />
ที่ระยะทุก<br />
ๆ 2 สัปดาหในการเลี้ยง<br />
115<br />
6 คุณภาพน้ําในชุดเสริมเบทาอีน<br />
0.75% ที่ระยะทุก<br />
ๆ 2 สัปดาหในการเลี้ยง<br />
115<br />
7 คุณภาพน้ําในชุดเสริมเบทาอีน<br />
1.5% ที่ระยะทุก<br />
ๆ 2 สัปดาหในการเลี้ยง<br />
115<br />
(5)
สารบาญภาพ<br />
ภาพที่<br />
หนา<br />
1 สูตรโครงสรางทางเคมีของเบทาอีน (Betaine) 7<br />
2 วัฎจักรของโฮโมซีสทีนที่มีเบทาอีนเกี่ยวของ<br />
9<br />
3 เมื่อเกิดสภาวะไฮเปอรออสโมติก<br />
(hyperosmotic stress) น้ํา<br />
จะแพรออกจากเซลลทําใหสารละลายภายในเซลลมีความเขมขน<br />
สูงขึ้นทําใหเอนไซมไมทํางาน<br />
เมื่อมีเบทาอีนจะชวยรักษาสมดุลไว<br />
จะเก็บน้ําไวและขับเกลือออกจากเซลล<br />
10<br />
4 เบทาอีนจะชวยปองกัน ฟงกชันการทํางานของเอนไซม ในสภาวะ<br />
ที่มีการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ<br />
และความเค็มซึ่งจะทําใหโครงสราง<br />
ของเอนไซมเปลี่ยนไปสงผลไมทํางาน<br />
โดยเบทาอีนจะปองกัน<br />
เอนไซมจากการเปลี่ยนแปลงโครงสราง<br />
และเก็บไวในรูปที่ทํางานได<br />
11<br />
5 ความสัมพันธของเมตาบอลิซึมระหวางโคลีน เบทาอีนและเมไธโอนีน 14<br />
6 แสดงการดูดซึมโซเดียมและการขับถายแอมโมเนียบริเวณเหงือกสัตว<br />
ประเภท Crustacean 24<br />
7 อัตราการเจริญเติบโตของกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนระดับตาง<br />
ๆ 50<br />
8 อัตรารอดเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยงของกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสม<br />
เบทาอีนระดับตาง ๆ 50<br />
9 อัตราการเปลี่ยนอาหารเปนเนื้อเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยงของกุงกุลาดํา<br />
ที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนระดับตาง<br />
ๆ 56<br />
10 ความสัมพันธระหวางอัตราการตายสะสมและความเขนขนของแอมโมเนีย<br />
ในชุดไมเสริมเบทาอีน ที่ใชในการประเมินคา<br />
24 hr-LC50 ของกุงที่<br />
ระยะเวลา 45 วัน 83<br />
11 ความสัมพันธระหวางอัตราการตายสะสมและความเขนขนของแอมโมเนีย<br />
ในชุดเสริมเบทาอีน 0.75% ที่ใชในการประเมินคาา<br />
24 hr-LC50 ของกุงที่<br />
ระยะเวลา 45 วัน 84<br />
12 ความสัมพันธระหวางอัตราการตายสะสมและความเขนขนของแอมโมเนีย<br />
ในชุดเสริมเบทาอีน 1.5% ที่ใชในการประเมินคาา<br />
24 hr-LC50 ของกุงที่<br />
ระยะเวลา 45 วัน 85<br />
(6)
ผลของเบทาอีนตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม,อุณหภูมิ<br />
และ ความเปนพิษเฉียบพลันของแอมโมเนียในกุงกุลาดําวัยรุน<br />
Effect of Betaine on Stress Tolerance from Salinity,Temperature Change and<br />
Acute Ammonia Toxicity in Black Tiger Shrimp, Penaeus monodon (Fabricius)<br />
Juvenile<br />
คํานํา<br />
กุงกุลาดําจัดเปนสัตวนํ้าเศรษฐกิจที่สําคัญมากชนิดหนึ่ง<br />
เนื่องจากเปนสัตวนํ้าที่มีมูลคาสูง<br />
สามารถทํากําไรใหกับเกษตรกรอยางมากในระยะเวลาอันสั้น<br />
และยังเปนธุรกิจที่สามารถพัฒนาไป<br />
สูอุตสาหกรรมการสงออกที่ทํารายไดเขาสูประเทศเปนมูลคามหาศาล<br />
ดังนั้นการเลี้ยงกุงกุลาดําจึงได<br />
รับความสนใจและพัฒนาไปอยางรวดเร็ว แตในระบบการเลี้ยงแบบหนาแนน<br />
ในปจจุบันกอให<br />
เกิดปญหาตาง ๆ ตามมาหลายประการ เชน ปริมาณออกซิเจนในน้ําลดลง,ปริมาณของเสีย<br />
ที่เกิดจาก<br />
การขับถายมีมากทําใหเกิดกาซพิษตาง ๆ เชน แอมโมเนีย,ไฮโดรเจนซัลไฟด ปจจัยเหลานี้ลวนแต<br />
เปนสาเหตุที่ทําใหสัตวน้ํามีความเครียดซึ่งจะทําใหการเจริญเติบโตลดลง<br />
สุขภาพออนแอ อัตรารอด<br />
ต่ํา<br />
ซึ่งการแกไขอาจทําไดโดยเสริมสารตาง<br />
ๆ เชน วิตามินซี ที่มีผลไปยับยั้งการสรางสารสเตอรอยด<br />
ที่ทําใหเกิดความเครียด<br />
(Gower, 1984) หรือการเสริมสารอื่น<br />
ๆ เชน แอสตาแซนทิน กรดไขมัน<br />
โอเมกา 3,ซิลิเนียม และสารในกลุมเบตากลูแคนเปนตน<br />
นอกจากนี้<br />
สารในกลุมวิตามินอื่น<br />
ๆ เชน<br />
วิตามินอี วิตามินเอ และกรดอะมิโนบางชนิด ก็มีผลตอการลดความเครียด และกระตุนภูมิคุมกันโรค<br />
ซึ่งสงผลใหสัตวน้ํามีการเติบโตสูงขึ้น<br />
เบทาอีนเปนสารประกอบของกรดอะมิโนจากธรรมชาติ จึงไมเปนพิษ สามารถทนอุณหภูมิ<br />
ไดในระดับสูงที่มีคุณสมบัติทั้งในแงกลิ่นและรสชาติ<br />
อยูสามประการคือ<br />
1. เปนสารรักษาความ<br />
สมดุลของไอออนในรางกาย 2. เปนสารดึงดูดการกินอาหาร จึงชวยใหสัตวน้ํามากินอาหารมากขึ้น<br />
โดย พบในปลากลุมซัลโมนิด<br />
(Salmonids) (Marui et al., 1983) 3. เปนสารใหหมูเมธิลเบทาอีนโดย<br />
เปนสารที่ใหหมูเมธิลในปฏิกิริยาการกระตุนการทํางานของเอนไซมหลายชนิด<br />
จึงมีความจําเปนใน<br />
การสังเคราะหโปรตีนและการเผาผลาญพลังงาน (energy metabolism)<br />
1
การศึกษาในครั้งนี้จึงศึกษาคุณสมบัติของเบทาอีนในการรักษาความสมดุลไอออน<br />
ที่จะชวย<br />
ในความทนทานจากความเครียด ที่เกิดจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
อีกทั้งยังมีการศึกษาผล<br />
ของเบทาอีนตอความทนทานความเครียดจากการปรับเปลี่ยนอุณหภูมิ<br />
และ ความเปนพิษเฉียบพลัน<br />
ของแอมโมเนีย<br />
2
วัตถุประสงค<br />
1. เพื่อศึกษาผลการเสริมเบทาอีนระดับตาง<br />
ๆ ในอาหารกุง<br />
ตอการลดความเครียดจากการ<br />
เปลี่ยนแปลงสภาวะแวดลอม<br />
เชน อุณหภูมิและความเค็ม เมื่อประเมินจากอัตราการตาย<br />
และ<br />
ปริมาณเอนไซมแคทาเลส<br />
2. เพื่อศึกษาผลการเสริมเบทาอีนระดับตาง<br />
ๆ ในอาหารกุง<br />
ตอความทนทานความเครียด<br />
จากการเปลี่ยนแปลงความเค็มเมื่อประเมินจากความตองการออกซิเจนของกุงกุลาดําวัยรุน<br />
3. เพื่อศึกษาผลการเสริมเบทาอีนระดับตาง<br />
ๆ ในอาหารกุง<br />
ตอความเปนพิษเฉียบพลันของ<br />
แอมโมเนียที่<br />
24 ชั่วโมง<br />
(LC50) ในกุงกุลาดําวัยรุน<br />
3
ขอมูลโดยทั่วไป<br />
ตรวจเอกสาร<br />
กุงกุลาดํา<br />
กุงกุลาดํา<br />
(Penaeus monodon Fabricus) เปนสัตวน้ําที่นิยมเลี้ยงกันมากในแถบประเทศ<br />
เอเชียตะวันออกเฉียงใต (Kungvankij et al., 1986) ดวยคุณลักษณะที่เปนกุงทะเลที่มีขนาดใหญ<br />
มี<br />
ความอดทนสูง สามารถปรับตัวใหเขากับการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดลอมไดเร็ว<br />
สามารถทนอยู<br />
ไดในน้ําที่มีความเค็มในชวงกวาง<br />
(euryhaline species) ตั้งแต<br />
0.2-70 สวนในพัน (ppt) แตจะ<br />
เจริญเติบโตไดดีในชวงความเค็มระหวาง 10-20 ppt และยังทนตอการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิในชวง<br />
ระหวาง 12-37.5 O C เปนสัตวที่ชอบกินอาหารตามพื้นกนบอกินอาหารไดทุกเวลา<br />
สามารถกิน<br />
อาหารไดทั้งพืชและสัตว<br />
ทนตอการลําเลียงขนสง (บรรจง, 2523) สามารถเลี้ยงไดในบอเลี้ยง<br />
โดยใช<br />
อาหารสําเร็จรูป ใชเวลาเลี้ยง<br />
4-5 เดือน ใหผลผลิตสูงถึง 500-1,000 กก./ไร เปนผลิตผลทาง<br />
การเกษตรที่มีความสําคัญ<br />
ใหผลตอบแทนตอหนวยการลงทุนสูงและมีศักยภาพ ทั้งทางดาน<br />
การตลาดและการผลิตสูงสุด เมื่อเปรียบเทียบกับผลผลิตทางการเกษตรหลักอื<br />
่น ๆ เชน ขาว มัน<br />
สําปะหลังและยางพารา (ทวี, 2539)<br />
ลักษณะภายนอก<br />
กุงกุลาดําเปนสัตวไมมีกระดูกสันหลังที่มีลําตัวเปนปลอง<br />
แบงเปน 3 สวนใหญ ๆ ดังนี้สวน<br />
หัว (head) 5 ปลอง สวนอก (thorax) 8 ปลอง และสวนลําตัว (abdomen) 6 ปลอง รวมทั้งหมด<br />
19<br />
ปลอง สวนหัวและสวนอกเชื่อมรวมติดกันเรียกวา<br />
cephalothorax มีเปลือกคลุมหัวเกลี้ยง<br />
ไมมีขน<br />
เรียกวา carapace ซึ่งคลุมสวนของหัว–อก<br />
รวมทั้งบริเวณเหงือกทั<br />
้ง 2 ขาง สวนหนาของ carapace จะ<br />
ยื่นแหลมออกมาเรียกวากรี<br />
(rostrum) มีฟนกรีดานบน 7-8 ซี่<br />
ดานลาง 3 ซี่<br />
สันสวนหลังของกรี<br />
(postrostral ridge) ไมมีรองกลาง รองขางกรีทั้งสองดานมีลักษณะแคบและยาวไมถึงฟนกรีอัน<br />
สุดทาย ใตกรีลงมามีตาหนึ่งคู<br />
ปากกุ งอยูระหวางขากรรไกรบน–ลาง<br />
สวนลําตัวมีเปลือกคลุมแต<br />
ละปลองเรียงทับกันตามลําดับ เปลือกปลองทองอันที่สองไมทับปลองแรก<br />
(บรรจง, 2521; ประจวบ,<br />
2527; วัลลภ, 2532) ปลองทั้ง<br />
19 ปลองของกุงจะมีรยางคยื่นออกมาปลองละ<br />
1 คู<br />
รยางคแตละคูมี<br />
หนาที่แตกตางกันดังนี้<br />
4
2.1 รยางคสวนหัว (Cephalic appendages) มี 5 คู รยางคคูที่<br />
1-2 เปนรยางคกอนถึงปาก<br />
(preoral appendages) มีลักษณะเปนหนวดไมแยกเปน 2 แฉก ทําหนาที่รับความรูสึกในระยะวัยออน<br />
เรียกวา antennules และ antenna ตามลําดับ สวนรยางคคูที่<br />
3-5 เปนรยางคสวนปาก (oral<br />
appendages) มี 2 แฉก ทําหนาที่ชวยในการกินอาหาร<br />
โดยรยางคคูที่<br />
3 เปนขากรรไกรลาง เรียกวา<br />
mandible รยางคคูที่<br />
4 และ 5 เปนขากรรไกรบน เรียกวา maxillulae และ maxillae ตามลําดับ<br />
(บรรจง, 2521; ประจวบ, 2527)<br />
2.2 รยางคสวนอก (thoracic appendages) มี 8 คู<br />
รยางค 3 คูแรก<br />
(รยางคคูที่<br />
6-8) มี<br />
ลักษณะเฉพาะพิเศษ ทําหนาที่ชวยในการกินอาหารเรียกวา<br />
maxillipeds สวนรยางค 5 คูหลัง<br />
(รยางค<br />
คูที่9-13)<br />
เรียกวา pereiopods แบงเปน รยางคคูที่<br />
9-11 มีลักษณะเปนกาม (chelate) ทําหนาที่ชวยใน<br />
การจับอาหารเขาปากหรือปองกันตัวเมื่อมีภัย<br />
โดยกามแตละอันจะมีขนาดและความยาวเทากันซึ่ง<br />
เปนลักษณะเฉพาะของกุ งทะเลในวงศ Penaeidae และรยางคคูที่<br />
12-13 ทําหนาที่เปนขาชวยในการ<br />
เคลื่อนที่และทําความสะอาดลําตัว<br />
โดยรยางคคูที่<br />
13 จะไมมีแขนงดานนอกที่เรียกวา<br />
exopodite<br />
นอกจากนี้ยังมีรยางคที่มีลักษณะคลายเหงือกอีกอันหนึ่ง<br />
คือ epipodites หรือเรียกอีกชื่อหนึ่งวา<br />
mastigobranchia เปนแขนงเล็ก ๆ ที่มีหนาที่ชวยทําความสะอาดเหงือก<br />
(บรรจง, 2521; ประจวบ,<br />
2527; วัลลภ, 2532)<br />
2.3 รยางคสวนลําตัว (abdominal appendages) มี 6 คู<br />
รยางคคูที่<br />
14-18 เปนรยางควายนํ้า<br />
(swimmerets) หรือเรียกวา pleopods สวนรยางคคูสุดทายเปลี่ยนสภาพไปเปนแพนหาง<br />
(uropod) มี<br />
ลักษณะเปนแผนแบนบางคลายใบพาย อยู สองขางของปลายหาง (telson) ทําหนาที่เหมือนหางเสือ<br />
ชวยในการเคลื่อนที่ไปตามทิศทางที่ตองการ<br />
(ประจวบ, 2527)<br />
กุงกุลาดําที่โตเต็มวัยขณะมีชีวิตลําตัวจะมีสีเขม<br />
(นํ้าตาลเขม)<br />
สวนของเปลือกคลุมหัวและ<br />
ลําตัวดานบนมีแถบสีนํ้าตาลออนพาดขวางสลับกับแถบสีนํ้าตาลเขมเกือบดําตลอดตัว<br />
ในกุ งวัยรุ นที่<br />
ยังไมโตเต็มที่อาจเปนสีฟาอมนํ้าเงิน<br />
หรือลายขวางตลอดลําตัว โดยลายพาดขวางตลอดตัวกุ งจะมี<br />
ประมาณ 9 ลาย ที่ขอบหางและขาวายนํ้ามีขนสีนํ้าตาลอมแดง<br />
โคนขาวายนํ้า<br />
มีแถบสีเหลืองเปน<br />
ปลอง ๆ ปลายขาเดินคู ที่<br />
1 และ 2 มีสีนํ้าตาลเขม<br />
(สุวิทย, 2531; วัลลภ, 2532; ประจวบ, 2543)<br />
5
วงจรชีวิต<br />
กุงทะเลมีวัยเจริญพันธุ<br />
(mature) เมื่ออายุประมาณ<br />
18-24 เดือน โดยวางไขบริเวณใกลกับ<br />
พื้นดินในทะเลที่มีระดับน้ําลึก<br />
เมื่อไขไดรับการผสมและฟกออกเปนตัว<br />
กระแสน้ําและคลื่นเปนตัว<br />
พัดพาเอาลูกกุงวัยออนเขาสูชายฝงบริเวณปาชายเลน<br />
ปากแมน้ํา<br />
เกิดการพัฒนาเปลี่ยนแปลงรูปราง<br />
จนกลายเปนลูกกุงกุลาดําตัวเล็ก<br />
ๆ ดํารงชีวิตโดยการกินแพลงกตอนขนาดเล็ก เมื่อมีการเจริญเติบโต<br />
จนมีขนาดใหญ และมีอายุมากขึ้นจนเปนกุงวัยรุน<br />
(juvenile) จะอพยพออกสูทะเลลึกพรอมกับการ<br />
เจริญเติบโตเปนกุงวัยเจริญพันธุ<br />
และผสมพันธุวางไขตอไป<br />
ชวงอายุ (life span) ของกุงกุลาดํา<br />
พบวา<br />
เพศเมียมีอายุประมาณ 2 ป และเพศผูประมาณ<br />
1.5 ป (Motoh, 1984)<br />
พฤติกรรมการกินอาหาร<br />
นิสัยการกินอาหารของกุงมีดังนี้<br />
คือ<br />
1. กุงกุลาดํากินอาหารทุกอยางแตชอบเนื้อสัตว<br />
(มะลิ , 2531) ชอบอาหารที่มีกลิ่นคาวมาก<br />
โดยเฉพาะอาหารสด เชน หอย ปลา ปลาหมึก (วีรพงศ , 2531) เพราะกุงรับความรูสึกและหาอาหาร<br />
โดยมีประสาทรับความรูสึกทางกลิ่นหนวด<br />
บริเวณปาก ที่ขาเดิน<br />
ที่หัว<br />
เหงือก ลําตัวและแพนหาง<br />
ดังนั้นอาหารกุงจึงจําเปนตองมีสารดึงดูดใหกุงเขาหาอาหารเปนกลุ<br />
มของกรดอะมิโน เชน ไกลซีน<br />
(glycine) , กลูตาเมท (glutamate) และ เบทาอีน (betaine) แทนที่จะเปนกรดไขมันเหมือนในอาหาร<br />
ปลา (มะลิ, 2531)<br />
2. ลักษณะการจับกินอาหารของกุงกุลาดําจะใชขาเดินคูที่<br />
1 และ 2 ในการจับอาหารแลวถือ<br />
แทะ ฉะนั้นอาหารจึงควรมีลักษณะเล็กและยาว<br />
และไมแตกตัวงายเมื่อจับถือ<br />
3. หลังกุงคว่ําตัวและมีสภาพเหมือนพอแมแลวจะกินอาหารสวนใหญบริเวณหนาผิวดิน<br />
ฉะนั้นอาหารจะตองจมน้ําไดเร็ว<br />
4. กินอาหารเวลากลางคืน เพราะในธรรมชาติกุงกุลาดําจะหากินในเวลากลางคืนแตผูเลี้ยง<br />
สามารถฝกใหกุงกินอาหารเวลากลางวันได<br />
มักจะฝกใหกุงกินอาหารวันละ<br />
3-4 มื้อ<br />
เพื่อใหผลผลิต<br />
สูงสุด (วีรพงศ, 2531)<br />
6
5. กุงไมใชสัตวสังคม<br />
จะอยูแยกกัน<br />
กินแยกกัน และมีลักษณะยึดครอง ดังนั้น<br />
การให<br />
อาหารจึงตองหวานใหทั่วบอ<br />
กุงทุกตัวที่กระจายอยูกนบอจะไดมีโอกาสกินอาหารเทากัน<br />
6. มีลําไสตรงและสั้น<br />
ดังนั้นวัตถุดิบอาหารที่ใชเลี้ยงกุงควรจะบดใหละเอียดเพื่อชวยให<br />
ยอยไดงายขึ้น<br />
2531)<br />
7. จะกินอาหารมากหลังลอกคราบเสร็จใหม ๆ และไมกินอาหารขณะลอกคราบ (มะลิ,<br />
เบทาอีน (Betaine)<br />
เบทาอีน (betaine) มีชื่อทางเคมีวาไตรเมธิลไกลซีน<br />
(trimethylglycine) เปนสารประกอบ<br />
ของหมูเมธิลรวมกับกรดอะมิโนไกลซีน<br />
(amino acid glycine) มีความจําเปนในปฏิกิริยาชีวเคมีของ<br />
เมไธโอนีน (methionine) และ โฮโมซีสทีน (homocysteine) เนื่องจากมีคุณสมบัติเปนผูใหหมูเมธิล<br />
(CH3) (methyl donor) เชน ลดระดับ โฮโมซีสทีน (homocysteine) ในพลาสมา และชวยการการ<br />
ทํางานของตับที่เกี่ยวของกับไขมันใหดีขึ้น<br />
อีกทั้งยังชวยรักษาความสมดุลภายในเซลล<br />
(osmoprotectant) และปองกันโปรตีนถูกทําลาย (Schwahn et al., 2003)<br />
ภาพที่<br />
1 สูตรโครงสรางทางเคมีของเบทาอีน (Betaine)<br />
7
แหลงที่มา<br />
เบทาอีนมีแหลงกําเนิดมาจากผักบีท ที่นําไปใชในกระบวนการผลิตน้ําตาลในโรงงาน<br />
โดย<br />
บีทจะถูกลางและหั่นบาง<br />
ๆ และนําไปสกัดดวยน้ํา<br />
สารละลายตาง ๆ ที่ละลายออกมาจากบีทในน้ําจะ<br />
ถูกเรียกวา crude juice ซึ่งจะถูกนําไปทําใหบริสุทธิ์โดยการเติมปูนและ<br />
คารบอนไดออกไซด ใน<br />
กระบวนการ carbonation process โดยจะทําใหบริสุทธิ์จนเหลือ<br />
juice เพียงเล็กนอยเปน syrup ที่<br />
เหนียว และ น้ําตาลที่จะตกตะกอนออกมา<br />
และทายที่สุดก็จะไมมีน้ําตาลตกตะกอนออกมาจาก<br />
syrup ซึ่งก็จะได<br />
molass โดย molass นี้ก็ยังคงประกอบไปดวยน้ําตาลประมาณ<br />
50% และเปนตน<br />
กําเนิดของเบทาอีน<br />
molass จะถูกนําไปแยกตอโดยกระบวนการ chromatographic separation process เพื่อใหได<br />
น้ําตาลและเบทาอีนตอไป<br />
คุณสมบัติของเบทาอีน<br />
เปนสารประกอบธรรมชาติ ไมเปนพิษ สามารถทนความรอนไดถึง 200 องศาเซลเซียส<br />
แหลงที่พบเบทาอีน<br />
(Betaine) เชน บีท ตับ ไข ปลา ถั่วตาง<br />
ๆ และธัญพืช เปนตน และยังพบ<br />
ปริมาณสูงในสัตวไมมีกระดูกสันหลังในทะเลซึ่งเปนอาหารของปลา<br />
(Meyers, 1987)<br />
ชีวเคมีของเบทาอีน<br />
เบทาอีนถูกสรางขึ้นในรางกายโดยขบวนการออกซิเดชั่นของโคลีน(oxidation<br />
of chlorine)<br />
ไตรเมธิลเลท (trimethylated) และสารประกอบที่ใหหมูเมธิล<br />
เบทาอีนจะมีการใหหมูเมธิลอยาง<br />
จํากัดเพียงหนึ่งปฏิกิริยาชีวเคมีเทานั้นของการเปลี่ยนโฮโมซีสทีนไปเปนมไธโอนีน<br />
หลังจากที่มี<br />
การใหหมูเมธิลแลว<br />
เบทาอีนจะเปลี่ยนไปเปนไดเมธิลไกลซีน<br />
(dimethylglycine : DMG) ใน<br />
วัฎจักรเมไธโอนีน-โฮโมซีสทีน ซัลเฟอรที่อยูในโครงสรางโมเลกุลของกรดอะมิโนเมไธโอนีนจะ<br />
ถูกเปลี่ยน<br />
เปนเอส-อะดีโนซิลเมไธโอนีน (S-adenosylmethionine : SAMe) การใหเมธิลครั้งแรก<br />
สําหรับปฏิกิริยาทางชีวเคมีจะเกิดขึ้นที่ตับและถูกสงมาที่เนื้อเยื่อ<br />
การสูญเสียหมูเมธิล<br />
เอส-อะดีโน<br />
ซิลเมไธโอนีน (adenosylmethionine : SAMe) จะถูกเปลี่ยนไปเปน<br />
เอส-อะดีโนซิลโฮโมซิสทีน (Sadenosylhomocysteine)<br />
และสูญเสีย อะดีโนซีน (adenosine) แลวจะถูกเปลี่ยนเปนโฮโมซีสทีน<br />
8
(homocysteine) หลังจากนั้นจะถูกเมตาบอไลซไปเปนกรดอะมิโนซีสทีน<br />
(cysteine) และ ทอรีน<br />
(taurine) ซึ่งเปน<br />
trans-sulfuration หรือเปลี่ยนกลับมาเปนเมไธโอนีนจากการรับหมูเมธิล<br />
ใน<br />
ปฏิกิริยาเมธิลเลชัน (methylation) การเพิ่มหมูเมธิลในโฮโมซิสทีนมีสองทาง<br />
(pathway) คือ การ<br />
ใหหมูเมธิลของวิตามินบี<br />
12 (methylmocabalamin) ซึ่งเปนโคเอนไซม<br />
(coenzyme) ในปฏิกิริยาของ<br />
เอนไซมที่สังเคราะหเมไธโอนีน<br />
หรืออีกทางหนึ่งคือการใหหมูเมธิลของเบทาอีนแกโฮโมซีสทีน<br />
โดย เอนไซมเบทาอีน-โฮโมซิสทีน เมธิลทรานซเฟอเรส (betaine-homocysteine methyltransferase :<br />
BHMT) ดังภาพที่<br />
2 (Miller, 2003 )<br />
THF<br />
5MTHF<br />
Involvement of Betaine in Homocysteine Recycling<br />
Methyl B12<br />
B12<br />
TFM - tetrahydrofolate<br />
5MTHF - 5-methyl tetrahydrofolate<br />
MS - methionine synthase<br />
SAMe - S-adenosylmethionine<br />
BHMT - betaine-homocysteine methyltransferase<br />
ภาพที่<br />
2 วัฎจักรของโฮโมซีสทีนที่มีเบทาอีนเกี่ยวของ<br />
ที่มา<br />
: Miller (2003)<br />
Homocysteine<br />
MS Betaine/BHMT SAMe<br />
Methionine<br />
เบทาอีนสามารถถูกดูดซึมและแพรกระจายไดดีในรางกาย พบความเขมขนที่ระดับสูงสุด<br />
ไมเกินหนึ่งชั่วโมง<br />
การศึกษาถึงความสามารถในการขับเบทาอีนออกจากรางกายของผูชายจํานวน<br />
12 คน ที่ไดรับเบทาอีนโดยตรง<br />
พบวาครึ่งหนึ่งของความเขมขนที่ไดรับจะถูกขับออกประมาณ<br />
14<br />
ชั่วโมง<br />
และจะเพิ่มขึ้นเปน<br />
41 ชั่วโมงหลังจากที่มีการไดรับซ้ําอีก<br />
5 วัน ความเขมขน ไดเมธิล<br />
ไกลซีน (dimethylglycine : DMG) ในพลาสมาจะเพิ่มขึ้นดวยหลังจากไดรับเบทาอีน<br />
มีเพียง 4 %<br />
ของ<br />
9
เบทาอีนเทานั้นที่จะถูกขับออกทางไต<br />
เนื่องจากจะเปลี่ยนเปนสารประกอบอื่น<br />
ในขบวนการเมตา<br />
บอลิซึมในรางกาย (Schwahn et al., 2003)<br />
กลไกการเกิดปฏิกิริยาของการใหหมูเมธิลของเบทาอีนพบเพียง<br />
การใหโฮโมซีสทีนเทานั้น<br />
โดยเอนไซมเบทาอีนโฮโมซิสทีนเมธิลทรานซเฟอเรส (betaine-homocysteine methyltransferase :<br />
BHMT) จะไมพบในขบวนการหมูเมธิลในปฏิกิริยาอื่น<br />
(methylation)<br />
ความสําคัญของเบทาอีน (Betaine)<br />
1. ชวยรักษาสมดุลในรางกาย (Osmoprotectant)<br />
เบทาอีนที่พบในพืช<br />
จุลินทรีย และสัตวบางชนิดนั้นมีประโยชนที่จะชวยใหเซลล<br />
สามารถในการรักษาสมดุลได ในกรณีที่สิ่งแวดลอมมีการเปลี่ยนแปลงเชน<br />
เกิดความแหงแลง มี<br />
ความเค็มสูง จะทําใหเกิดการสังเคราะหเบทาอีนในไมโตคอนเดรีย แลวนําไปสะสมที่ในเซลล<br />
เบทาอีนจะชวยรักษาความสมดุลนั้นไว<br />
โดยจะเก็บรักษาน้ําในเซลลมากขึ้นและขับเกลือออกจาก<br />
เซลลดังภาพที่<br />
3 เมื่ออุณหภูมิหรือความเค็มเปลี่ยนไปชวยทําใหเอนไซมภายในเซลลยังคงทํางาน<br />
ไดปกติดังภาพที่<br />
4 (Yancey et al., 1982) ซึ่งจะคลายกับการทํางานของเบทาอีนในไตของสัตว<br />
ชั้นสูง<br />
Drought<br />
High<br />
salinity/osmolality<br />
Water<br />
Increased salt levels<br />
Metabolic rate reduced<br />
Water Betaine<br />
Metabolic rate normal<br />
ภาพที่<br />
3 เมื่อเกิดสภาวะไฮเปอรออสโมติก<br />
(hyperosmotic stress) น้ําจะแพรออกจากเซลลทําให<br />
สารละลายภายในเซลลมีความเขมขนสูงขึ้น<br />
ทําใหเอนไซมไมทํางาน เมื่อมีเบทาอีนจะ<br />
ชวยรักษาสมดุลไว จะเก็บน้ําไวและขับเกลือออกจากเซลล<br />
Salts<br />
10
Temperature<br />
Active enzyme<br />
Betaine protected Unprotected<br />
Active enzyme<br />
(Inactive enzyme)<br />
ภาพที่<br />
4 เบทาอีนจะชวยปองกัน ฟงกชันการทํางานของเอนไซม ในสภาวะที่มีการเปลี่ยน<br />
แปลงอุณหภูมิ และความเค็มซึ่งจะทําใหโครงสรางของเอนไซมเปลี่ยนไปสงผล<br />
ไมทํางาน โดยเบทาอีนจะปองกันเอนไซมจากการเปลี่ยนแปลงโครงสรางและเก็บ<br />
ไวในรูปที่ทํางานได<br />
ในสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กหลายชนิด<br />
สามารถเพิ่มอัตราการสังเคราะหเบทาอีนได<br />
เมื่อมี<br />
ความเครียดจากการปรับสมดุล (osmotic stress) ซึ่งโดยสวนมากจะสามารถสังเคราะหไดอยาง<br />
พอเพียง หรือ อาจตองใชบางสวนจากภายนอก เพื่อเปนการรักษาสมดุล<br />
ตัวอยางเชน ในการแยกไม<br />
โทคอนเดรียจากตับในปลาแซลมอนในขณะที่มีความเครียดจากการปรับสมดุล<br />
(osmotic stress) จะ<br />
มีการลดการสรางเบทาอีนลง ในขณะที่การดูดซึมของเบทาอีนในไมโทคอนเดรียจะถูกกระตุนอยาง<br />
รุนแรง และความเครียดที่เกิดจากการปรับสมดุล<br />
ในไมโทคอนเดรียจะแสดงใหเห็นวามีผลกระตุน<br />
กิจกรรมการหายใจ(respiratory activity) นอย<br />
ปลาไดที่รับเบทาอีนจากการเสริมในอาหารซึ่งจะถูกเก็บสะสมไวในเนื้อเยื่อ<br />
เมื่อเกิด<br />
สภาวะของสิ่งแวดลอมมีการเปลี่ยนแปลงไป<br />
จะชวยรักษาความสมดุลของไอออนภายในเซลล<br />
และอัตราเมตาบอลิซึมใหเปนปกติ เชน ในปลาซัลมอนที่มีการอพยพจากน้ําจืดไปยังทะเล<br />
ดัง<br />
ตารางที่<br />
1<br />
Salts<br />
11
ตารางที่<br />
1 การเปรียบเทียบพารามิเตอรทางสรีรวิทยา ที่อธิบายระบบสมดุลของแรงดัน<br />
(osmotic)<br />
และ สมดุลไอออน (ionic balance) ในปลาแอตแลนติกซัลมอน ,ชินุกซัลมอน และเรน<br />
โบเทราที่ไดรับเบทาอีนปริมาณ<br />
1-1.5% เปนเวลา 6-8 สัปดาหกอนการเคลื่อนยายไปใน<br />
น้ําทะเล<br />
ชนิด ระยะเวลา พารามิเตอร เปรียบเทียบปริมาณ<br />
ที่อยูใน<br />
ไอออน<br />
ทะเล ไมมีเบทาอีน มีเบทาอีน<br />
แอตแลนติกซัลมอน 2 Na<br />
แอตแลนติกซัลมอน 2<br />
แอตแลนติกซัลมอน 2<br />
แอตแลนติกซัลมอน 60<br />
แอตแลนติกซัลมอน 1<br />
แอตแลนติกซัลมอน 8<br />
เรนโบเทราห<br />
1<br />
+ ในพลาสมา<br />
(มิลลิโมล/ลิตร)<br />
Mg 2+ ในพลาสมา<br />
(มิลลิโมล/ลิตร)<br />
น้ําในกลามเนื้อ<br />
(%)<br />
Na-K-ATPase ใน<br />
เหงือก<br />
(umol P/mg pro/h)<br />
K + ในพลาสมา<br />
(มิลลิโมล/ลิตร)<br />
K + ในพลาสมา<br />
(มิลลิโมล/ลิตร)<br />
K + /Na + 182.4**<br />
3.19**<br />
72.5***<br />
4.21***<br />
149.5**<br />
156.9<br />
ใน<br />
กลามเนื้อ<br />
ns<br />
163.1**<br />
1.40**<br />
75.4***<br />
6.68***<br />
137.8**<br />
149.9<br />
10.7**<br />
ns<br />
8.5**<br />
หมายเหตุ เครื่องหมาย<br />
* แสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
อางอิง<br />
12<br />
(Virtamen<br />
et al., 1989)<br />
(Virtamen<br />
et al., 1989)<br />
(Virtamen<br />
et al., 1989)<br />
(Virtamen<br />
et al., 1989)<br />
(Virtamen<br />
et al., 1992)<br />
(Virtamen<br />
et al., 1992)<br />
(Virtamen<br />
et al., 1994)
2. ชวยดึงดูดการกิน (attractant)<br />
เนื่องจากเบทาอีนมีคุณสมบัติในการละลายน้ําไดดี<br />
จึงชวยในการดึงดูดใหสัตวน้ํามา<br />
กินอาหารทั้งในแงกลิ่นและรสชาติ<br />
เชน พบในปลากลุมซัลโมนิด<br />
(Salmonids) (Marui et al., 1983)<br />
, ซีบรีม (Sea bream) (Goh and Tamura, 1980), โดเวอรโซล (Dover sole) (Mackie et al., 1980;<br />
Mackie and Mitchell, 1982),ปลาไหล(eel) (Mackie and Mitchell, 1983) และกุง<br />
(Carr, 1978)<br />
การเสริมเบทาอีนเปนแหลงของ chemoattractant ชวยเพิ่มน้ําหนักของกุงระยะวัยออน<br />
Penaeus monodon (Penaflorida and Virtanen, 1996) และ P. indicus อยางมีนัยสําคัญ (Jasmine et<br />
al., 1993; Elamparithy, 1995)<br />
มีรายงานวาการเสริมเบทาอีนรวมกับกรดอะมิโนมีประสิทธิภาพเสริมกัน (synesgistic)<br />
ในปลาหลาย ๆ ชนิด Carr (1978); Goh and Tamura (1980) พบวาการใชเบทาอีนรวมกับกรดอะมิ<br />
โนมีผลในการเปนตัวดึงดูด (attractant) มากกวาการใชเพียงอยางใดอยางหนึ่ง<br />
Mackie et al. (1980)<br />
พบวาการใชเบทาอีนที่ผสมในอาหารเมื่อใหอาหาร<br />
Dover sole จะเปนสาเหตุใหมีการตอบสนองตอ<br />
การใหอาหารลดลงเมื่อเทียบกับกลุมควบคุมที่ไมผสมเบทาอีน<br />
อยางไรก็ตามการใชเบทาอีนรวมกัน<br />
กรดอะมิโนหลาย ๆ ชนิดจะมีผลเปนตัวกระตุนการกินมากกวา<br />
การใชกรดอะมิโนเพียงอยางเดียว<br />
3. เปนผูใหหมูเมธิล<br />
(methyl donor)<br />
เบทาอีนเปนผูใหหมูเมธิลในปฏิกิริยาการกระตุนการทํางานของเอนไซมหลายชนิด<br />
ซึ่ง<br />
มีความจําเปนในการสังเคราะหโปรตีนและการเผาผลาญพลังงาน (energy metabolism) การ<br />
สังเคราะหเมไธโอนีนจากโฮโมซีสทีน การสังเคราะหคารนิทีน (carnitine) ครีเอทีน (creatine) และ<br />
ฟอสฟาติดิลโคลีน (phosphatidylcholine)<br />
เบทาอีนสามารถถูกสังเคราะหโดยปฏิกิริยาออกซิเดชันของโคลีนในไมโตคอนเดรีย<br />
แตประสิทธิภาพของการเปลี่ยนแปลงจากโคลีนมาเปนเบทาอีน<br />
มักพบวาไมเพียงพอตอการนํามา<br />
ทําหนาที่เปนผูใหหมูเมธิล<br />
(methyl donor) (Stekol et al., 1953) หรือการรักษาความสมดุลของ<br />
13
ไอออนในเซลล ความสัมพันธระหวางโคลีน เบทาอีน และเมไธโอนีน แสดงดังภาพที่<br />
5 เชน<br />
พบวาเบทาอีนสามารถทดแทนความตองการของโคลีนและเมไธโอนีนบางสวนในปลาเทรา (trout)<br />
และไก (chicks) (Rumsey, 1991; Virtanen and Rosi, 1995) คุณสมบัติที่เปนผูใหหมูเมธิล<br />
(methyl<br />
donor) จะมีผลตอประสิทธิภาพ lipotrope ชวยลดไขมันของซากสัตวหลายชนิด เชน สุกร<br />
(Virtanen and Campbell, 1994) ,ไก (Saunderson and McKinley, 1989)<br />
Acetylcholine<br />
Choline<br />
Mitochondrion<br />
S-adenosyl-homocysteine<br />
Phosphatidyl choline<br />
Phosphatidyl serine<br />
CH 3<br />
Choline Betaine Betaine<br />
S-adenosyl-methionine -<br />
ภาพที่<br />
5 ความสัมพันธของเมตาบอลิซึมระหวางโคลีน เบทาอีนและเมไธโอนีน<br />
ความเครียด<br />
Homocysteine<br />
Proteinis<br />
Methionine<br />
ความเครียด หมายถึง การที่สัตวตอบสนองตอสิ่งกระตุน<br />
(stimulus) แลวมีปฏิกิริยาตอบโต<br />
ตอสิ่งกระตุนนั้น<br />
จึงทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงสภาวะสมดุลของรางกาย<br />
(homeostasis) (Pickering,<br />
1981) ซึ่งสัตวจะมีการตอบสนองทั้งทางกายภาพ<br />
และทางสรีรวิทยาตอสภาวะการเกิดความเครียด<br />
โดยการหลั่งฮอรโมน<br />
catecholamine และ corticosteroid ซึ่งจะสงผลใหเกิดการเปลี่ยนแปลง<br />
metabolic rate ของ รางกาย เชน ระดับกลูโคส และกรดไขมันในเลือดสูงขึ้น<br />
สมดุลยแรธาตุและ<br />
เกลือแรในรางกายเปลี่ยนแปลงไป<br />
นอกจากนี้ยังมีผลทําใหเกิดการกดระบบภูมิคุมกัน<br />
CH 3<br />
14
(immunosupression) ของรางกาย ซึ่งทําใหสัตวน้ําออนแอ<br />
มีภูมิตานทานโรคต่ํา<br />
เกิดการติดเชื้อได<br />
งายรวมถึงทําใหเกิดการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมตาง<br />
ๆ อีกดวย<br />
Selye (1973) อธิบายทฤษฎีการตอบสนองตอความเครียดของสิ่งมีชีวิตที่เรียกวา<br />
General<br />
Adaptation Syndrome (GAS) โดยแบงออกเปน 3 ขั้นตอน<br />
ดังนี้<br />
ขั้นตอนที่<br />
1 เปนการตอบสนองโดยการหลั่งฮอรโมนที่กอใหเกิดความเครียด<br />
คือ<br />
catecholamine และ corticosteroid<br />
ขั้นตอนที่<br />
2 เปนขั้นตอนการปรับตัว<br />
เพื่อตอตานความเครียดที่เกิดขึ้น<br />
ขั้นตอนที่<br />
3 เปนขั้นตอนสุดทายของการปรับตัว<br />
ถาหากสัตวน้ําสามารถปรับตัวไดก็จะ<br />
กลับคืนสูสภาพปกติ<br />
แตถาหากปรับตัวไมไดอาจทําใหรางกายเกิดความผิดปกติ และอาจตายไดใน<br />
ที่สุด<br />
Mazeaud et al. (1977) แบงขั้นตอนการตอบสนองตอความเครียดของสัตวน้ําได<br />
3 ขั้นตอน<br />
ไดแก<br />
1. Primary effect เปนการเปลี่ยนแปลงระดับฮอรโมนในรางกาย<br />
เมื่อรางกายไดรับสิ่ง<br />
กระตุนที่กอใหเกิดความเครียด<br />
รางกายจะมีการตอบสนอง โดยการหลั่งสาร<br />
catecholamine และ<br />
corticosteroid ในพลาสมา รวมถึงปริมาณของ adrenaline และ noradenaline หลังจากนั้น<br />
2-3 นาที<br />
จะกิดอาการขาดออกซิเจนในเลือด มีอาการกระวนกระวายในปลาปากกลม ปลากระดูกออน และ<br />
ปลากระดูกแข็ง<br />
ระดับของ adrenaline หรือ noradrenaline จะขึ้นอยูกับชนิดของสัตวน้ํา<br />
เชน ในปลาคารฟ<br />
(Cyprinus carpio) จะพบ noradrenaline สูงสุดเมื่อรางกายมีบาดแผล<br />
และเมื่อปลาถูกยายจากน้ําเย็น<br />
ไปสูนําอุน<br />
เชนเดียวกัน หากปลาคารฟเกิดอาการเครียดจะพบการไหลเวียนของ corticosteroid ใน<br />
เลือดสูงขึ้น<br />
รวมถึงปลาในกลุม<br />
Pacific salmon จะพบ catecholamine ในเลือด<br />
2. Secondary effect เปนการเปลี่ยนแปลงของสรีระ<br />
เพื่อตอบสนองกับปริมาณของ<br />
ฮอรโมนที่เพิ่มขึ้นในรางกาย<br />
โดยจะมีผลตอกระบวนการเมทาบอลิซึม ตาง ๆ ของรางกาย เชน มีการ<br />
15
สลายไกลโคเจนที่ตับ<br />
ทําใหมีระดับกลูโคสในเลือดสูง มีการสลายไขมันในรางกาย และมีผลตอ<br />
ระบบสมดุลเกลือแรในรางกาย นอกจากนี้<br />
corticosteroid ยังมีผลตอการกดการทํางานของระบบ<br />
ภูมิคุมกัน<br />
(immunosuppression) ทําใหปลาออนแอเกิดการติดเชื้อไดงาย<br />
3. Tertiary effect เปนการเปลี่ยนแปลงของรางกายที่เปนผลจาก<br />
Secondary effect เชน เกิด<br />
การตายของเนื้อเยื่อ<br />
หรือรางกายออนแอจนเกิดการติดเชื้อ<br />
Tertiary effect ที่มีความสัมพันธกับการเลี้ยงสัตวน้ํา<br />
คือ ทําใหความตานทานโรคของสัตว<br />
น้ําลดลง<br />
และมีผลตอระบบภูมิคุมกัน<br />
เมื่อระดับของ<br />
cortisol ซึ่งเปนสารที่พบสวนใหญเมื่อ<br />
corticosteroid เพิ่มขึ้น<br />
(Pickering, 1989) การเพิ่มขึ้นของ<br />
cortisol ในระบบหมุนเวียนเลือด มีผลตอ<br />
ระบบภูมิคุมกันของปลากระดูกแข็ง<br />
โดยจะทําใหจะนวนเม็ดเลือดขาวลดลง (Pickering and<br />
Pottinger, 1987) มีผลตอระบบภูมิคุมกันแบบไมจําเพาะเจาะจง<br />
(non-specific immune responses)<br />
คือ ยับยั้งกิจกรรม<br />
respiratory burst (Stave and Robertson, 1985) ยับยั้งกระบวนการ<br />
phagocytosis<br />
(Ainsworth et al., 1991) ทําใหการเคลื่อนที่ของเม็ดเลือดขาวชาลง<br />
เมื่อมีการฉีด<br />
cortisol เขาสู<br />
รางกาย (MacArthur and Flecther, 1985) นอกจากนี้<br />
cortisol ยังมีผลตอระบบภูมิคุมกันแบบจําเพาะ<br />
เจาะจง (specific immune responses) คือ มีผลตอการตอบสนองสิ่งแปลกปลอม<br />
โดยการสราง<br />
แอนติบอดีของรางกายลดลงเมื่อปลาอยูในภาวะเกิดความเครียด<br />
(Ellsaesser and Clem, 1986)<br />
ผลกระทบจากการยับยั้งการทํางานของเม็ดเลือดขาว<br />
จะมีผลตอการใหวัคซีนแกปลา โดยปลาที่ให<br />
วัคซีนอยางเดียวจะมีอัตราการตายนอยกวาปลากลุมที่ใหวัคซีนและทําใหเกิดความเครียด<br />
(Houghton<br />
and Matthews, 1986) Strange et al. (1977) พบวาปลา chinook salmon ที่ถูกกักขังในกระชังขนาด<br />
เล็กเปนเวลา 24 ชั่วโมง<br />
จะมีฮอรโมน cortisol เพิ่มขึ้น<br />
และในปลา cutthroat trout ที่ถูกยายจาก<br />
อุณหภูมิ 13 องศาเซสเซียส ไปอยูที่อุณหภูมิ<br />
26 องศาเซสเซียส อยางเฉียบพลันจะทําใหระดับ<br />
ฮอรโมน cortisol เพิ่มขึ้นเชนกัน<br />
16
การวัดการตอบสนองตอความเครียด<br />
การวัดการตอบสนองตอความเครียดเปนการวัดการตอบสนองตอ การเปลี่ยนแปลงทางสรี<br />
รวิทยาของสัตวน้ํา<br />
สามารถทําไดโดยการ challenge (Mason, 1975) โดยการเปรียบเทียบการ<br />
ตอบสนองในสภาวะปกติตอสิ่งกระตุนหลาย<br />
ๆ แบบ ซึ่งสามารถวัดไดจาก<br />
1. การเปลี่ยนแปลงของระดับฮอรโมนที่กอใหเกิดความเครียด<br />
ไดแก ฮอรโมน<br />
catecholamine และ corticosteroid ซึ่งสามารถวัดในรูปของฮอรโมน<br />
cortisol และ cortisone<br />
(Donalson, 1981) adrenalin และ noradrenalin (Mazeaud and Mazeaud, 1981) นอกจากนี้ยัง<br />
สามารถวัดปริมาณฮอรโมน adenocorticotropic (ACTH) ที่หลั่งมาจาก<br />
adenohypophysis ซึ่งเปน<br />
ตัวกระตุน<br />
hypothalamus ใหหลั่งฮอรโมนที<br />
่กอใหเกิดความเครียดออกมา<br />
2. การเปลี่ยนแปลงในทางสรีรวิทยาของสัตวน้ํา<br />
ไดแก<br />
- การเปลี่ยนแปลงองคประกอบทางเคมีของเลือด<br />
เชน ภาวะการเกิด hyperglycemia,<br />
hyperlacticemia, hypochloremia, leucopenia และการแข็งตัวของเลือดชา<br />
- การเปลี่ยนแปลงในระดับของเนื้อเยื่อ<br />
เชน ปริมาณไกลโคเจนในตับลดลง และปริมาณ<br />
วิตามินซีในไตลดลง<br />
- การเปลี่ยนแปลงของ<br />
metabolic ตาง ๆ ในรางกาย เชน สมดุลยของไนโตรเจน และความ<br />
ตองการออกซิเจนเพิ่มขึ้น<br />
รวมถึงการเปลี่ยนแปลงปริมาณไอออนในเลือด<br />
3. การเปลี่ยนแปลงที่เกิดกับพฤติกรรมของสัตวน้ํา<br />
เชน การเจริญเติบโต การพัฒนารูปราง<br />
ความสามารถในการสืบพันธุลดลง<br />
และความตานทานโรคลดลง ตลอดจนทําใหอัตราการรอดตาย<br />
ต่ํา<br />
17
ระบบ osmoreguration<br />
ออสโมติก เรกิวเลชั่น<br />
ของสารเหลวภายในตัว หมายถึง การปรับสมดุล ความเขมขนของ<br />
อนุภาคทั้งหมดของสารเหลวที่ตางจากสภาพแวดลอมภายนอก<br />
สัตวน้ําที่อาศัยในน้ําจืดเกือบทุกชนิด<br />
และพวกน้ํากรอยสวนมากจะอยูในภาวะไฮเปอรออสโมติค<br />
ความเขมขนของเกลือในเลือดสูงกวาน้ํา<br />
ที่อาศัย<br />
สวนชนิดอาศัยในทะเล และ ทะเลสาบน้ําเค็มจะไฮโปออสโมติค<br />
ความเขมขนของเกลือใน<br />
เลือดสูงกวาน้ําที่อาศัยสวนชนิดที่อาศัยในทะเล<br />
และ ทะเลสาบน้ําเค็ม<br />
จะไฮโปออสโมติคความ<br />
เขมขนของเกลือในเลือดต่ํากวาน้ําที่อาศัยการปรับสมดุลตองใชพลังงานเขามาชวย<br />
ไอออนที่เปนสวนประกอบในสัตวที่มีกระดูกสันหลังในทะเล<br />
2-<br />
ความเขมขนของ SO4 ในของเหลวที่อยูภายนอกเซลลจะมีคานอยมากกวาน้ําทะเลอยูมาก<br />
Crustacean มีแนวโนมที่จะมีปริมาณ<br />
Mg 2+ ในน้ําเลือด<br />
ในขณะที่สัตวอื่น<br />
ๆ จะมีการสะสมของ Mg 2+<br />
อยู<br />
ดังตารางที่<br />
2 การที่ปริมาณไอออนไมสมดุลก็เนื่องมาจาก<br />
การขาดแคลนไอออนในน้ําทะเล<br />
สัตว<br />
เหลานี้จึงจําเปนที่จะตองขับออก<br />
โดยการใชกระบวนการ active transport หรือ โดยการที่เปน<br />
isoosmotic<br />
โดยการขับออกในรูปของ urine โดยผานทางไต หรือผานทางอวัยวะที่มีโครงสรางคลายไต<br />
การขับurine ออกเปนผลใหสูญเสียของเหลวภายในรางกายจํานวนมาก ดังนั้นจึงจําเปนที่จะตองมี<br />
ระบบการควบคุมเขามาเกี่ยวของ<br />
จากตารางที่<br />
2 จะเห็นวา ในสัตวกลุม<br />
echinoderm คือ<br />
Marthasterias glacialis จะมีความเขนขนไอออนในของเหลวในรางกายใกลเคียงกับน้ําทะเล<br />
อยางไรก็ตามในสัตวจําพวกนี้จะพบของเหลวที่มี<br />
K + อยูในชองวางระหวางตัวที่อยูใน<br />
ambulacral<br />
groove ที่อยูระหวาง<br />
tube feet สาเหตุที่พบเชื่อวาเนื่องมาจากการเคลื่อนที่ของกลามเนื้อ<br />
ในสัตว<br />
กลุมพวก<br />
mollusk ปริมาณไอออนและการควบคุม osmotic จะเกี่ยวกับการลอยตัว<br />
ความเขาใจ<br />
เกี่ยวกับปริมาณ<br />
Mg 2+ ในสัตวกลุมกุงและปู<br />
ถูกชี้แจงโดย<br />
Robertson (1957) ที่ศึกษาเกี่ยวกับปริมาณ<br />
Mg 2+ ในเลือดพบวาในสัตวกลุมกุงและปูกลุม<br />
portunid ที่มีการเคลื่อนไหวเร็วจะพบจะมีปริมาณ<br />
Mg 2+ ต่ํากวาพวกกุง<br />
lobster และ Maia squinado (spider crab) Robertson แสดงใหเห็นในสัตวกลุม<br />
crustacean มีการสื่อสัญญาณประสาทในกลามเนื้อมีอิทธิพลมาจาก<br />
Mg 2+ โดยที่ความเขมขนที่สูงจะ<br />
ยับยั้ง<br />
สวนความเขมขนที่ต่ําจะกระตุน<br />
ในตารางที่<br />
2 จะเห็นวา Sepia offcinalis (cuttlefish) ที่<br />
ถึงแมวาจะมีการเคลื่อนที่ไหวมากแตจะมีปริมาณ<br />
Mg 2+ ในเลือดใกลเคียงกับในน้ําทะเล<br />
18
แมวาของเหลวที่อยูภายนอกเซลล<br />
(extracellar fluid) จะมีสวนประกอบคลายคลึงกับน้ํา<br />
ทะเล แตของเหลวที่อยูภายในเซลล<br />
(intracellular fluid) ในพวกสัตวทะเลทั้งหมดจะมีความแตกตาง<br />
กับน้ําทะเลโดยจะมี<br />
K + มากกวาในน้ําทะเล<br />
และมี Na + กับ Cl - ในปริมาณที่นอยกวาน้ําทะเล<br />
สารลาย<br />
อินทรีย (organic solute) จะชวยทําใหใหเกิดความสมดุลถภายในเซลล จึงจะเปนที่จะตองพิจารณา<br />
ความหลากหลายของ สารอินทรียที่อยูในเซลลที่มีผลตอแรงดันออสโมติก<br />
โดยที่กรดอะมิโน<br />
(amino acid) จะเปนตัวการที่สําคัญ<br />
แตสารประกอบอื่น<br />
ๆ เชน trimethylamine oxide,betaine,<br />
organic phosphate และ กรดอินทรีย อื่น<br />
ๆ ก็อาจจะเกี่ยวของดวย<br />
19
ตารางที่<br />
2 ความเขมขนของไอออนตาง ๆ ในสายละลายภายนอกเซลล (Extracellular fluid) ที่พบ<br />
ในสัตวทะเลที่ไมมีกระดูกสันหลัง<br />
และใน Myxine<br />
กลุม<br />
1. Coelenterates<br />
Aurelia aurita<br />
2. Echinoderms<br />
Marthasterias glacialis<br />
3. Tunicates<br />
Salpha maxima<br />
4. Annelids<br />
Arenicola marina<br />
5. Crustaceans<br />
Maia squinado<br />
Carcinus maenas<br />
Nephrops norvegicus<br />
6. Molluscs<br />
Pecten maximus<br />
Sepia offcinalis<br />
7. Vertebrate<br />
Myxine glutinosa<br />
ความเขมขนของไอออนที่เปนเปอรเซ็นตของ<br />
ความเขนขนไอออนในทะเล<br />
Na + K + Ca 2+ Mg 2+ Cl - 2-<br />
SO4 99<br />
100<br />
100<br />
100<br />
100<br />
110<br />
113<br />
100<br />
93<br />
117<br />
106<br />
111<br />
113<br />
104<br />
125<br />
118<br />
77<br />
130<br />
205<br />
ที่มา<br />
: Robertson (1957) ,Bellamy and Chester (1961)<br />
91<br />
96<br />
101<br />
96<br />
100<br />
122<br />
108<br />
124<br />
103<br />
91<br />
61<br />
97<br />
98<br />
95<br />
100<br />
81<br />
34<br />
17<br />
97<br />
98<br />
38<br />
104<br />
101<br />
102<br />
100<br />
102<br />
104<br />
99<br />
100<br />
105<br />
102<br />
47<br />
100<br />
65<br />
92<br />
66<br />
61<br />
69<br />
97<br />
22<br />
-<br />
20
osmoregulation ในสัตวกลุมครัสเตเซียน<br />
กุงน้ําจืด<br />
(prawns) กุงทะเล<br />
(Caridea และ Penaeidea) ปู (Grapsoid) และ Xanthid รวมทั้ง<br />
ชนิดอื่น<br />
ๆ ที่อยูในน้ํากรอยเลือดไฮโปออสโมติคกับน้ําทะเลปกติและจะปรับเปนไฮเปอรออสโมติค<br />
เมื่อเลี้ยงในน้ําเค็มที่เจือจาง<br />
กลไกการปรับสมดุล การสูญเสียน้ําเกลือและการขับยูรีนนั้น<br />
แอนเทนนอลแกลนดจะเปน<br />
ตัวการสําคัญในการขับออกภายนอก จากการแพรเขามาทางเหงือกและผิวหนัง เพื่อใหไดสภาพ<br />
ไอโซออสโมติคกับเลือด<br />
การรักษาระดับไฮโปออสโมติค ในสภาพปกติของปู (graspsoid) กุงบางชนิด<br />
แอมควิพอด<br />
ทําได 2 ทางคือ ทางแรก การดูดซึมจะคอยเปนคอยไป ทางที่<br />
2 การดื่มน้ําทะเลเขาไปโดยตรง<br />
เหมือนกับปลากระดูกแข็งขับเกลือที่มากเกินพอดีออกทางเหงือก<br />
เชื่อวาเหงือกเปนจุดที่มีการดูดซึม<br />
ไอออนของสัตว การซึมซับผานลําไส (gut) ควบคุมไดยากอาจจะทดสอบไดดวยสารเคมี เชน วัด<br />
ความเขนขนเลือดของสัตว Carcinus มีจุดเยือกแข็ง 0.89 O C หรือความเขมขนของเลือดระหวาง<br />
1.20-1.42 O C ถายายปูไปอยูในสภาพที่เขมขนมากขึ้น<br />
ความเขมขนของเลือดจะอยูระหวาง<br />
1.48-1.73<br />
O<br />
C ในเวลา 24 ชั่วโมง<br />
จํานวนคลอไรด เพิ่มขึ้นแตไมมีการเพิ่มน้ําหนักตัว<br />
การรับเกลือจะเปนไป<br />
อยางชา ๆ ผานเหงือก แตจะไมผานทางโครงราง เพราะประกอบดวยแคลเซียมกุง<br />
Carcinus ที่อยูใน<br />
น้ําเค็มเจือจาง<br />
มีจุดเยือกแข็งประมาณ 0.1 O C สามารถดูดซึม โซเดียม โปแตสเซียม และคลอไรด<br />
ไอออนจากสารละลายได (Schmidt-Nielsen, 1941)<br />
ระบบออสโมติก เรกิวเลชั่น<br />
ในกุง<br />
L. vanamei จะพบวาระหวางชวง subadult หรือ adult กุง<br />
ที่ขนาดเล็กกวาจะมีระบบออสโมติก<br />
เรกิวเลชั่น<br />
ที่ดีกวา<br />
(Vargas-Albores and Ochoa, 1992) กุง<br />
L.<br />
stylirostris,Penaeus monodon และ L. vannamei ระยะ juvenile ในชวง ระยะ intermoult และ<br />
premoult ของวงจรการลอกคราบ จะอยูในระบบสมดุลของสภาวะ<br />
Hyper-osmoregulatory และ<br />
ทันทีทันใดหลังจากเกิดการลอกคราบ กุงจะปรับสภาพสู<br />
iso-osmotic กอนและหลังการในชวง<br />
ecdysis (ชวงที่มีการสลัดเปลือกเกาทิ้ง)<br />
ของการลอกคราบ (Ferraris et al., 1987; Charmantier et<br />
al., 1994; Lignot et al.,1999)<br />
21
พิษของแอมโมเนียตอสัตวน้ํา<br />
แอมโมเนียเปนพิษตอปลาในทางออม กลาวคือ ทําใหปลาไมสามารถขับถายแอมโมเนีย<br />
ออกจากกระแสเลือด ถาแอมโมเนีย ในน้ํามีปริมาณสูงเกินไป<br />
ในขณะที่ระดับแอมโมเนียในน้ํา<br />
เพิ่มขึ้น<br />
ปลาขับถายแอมโมเนียไดนอยลงและระดับแอมโมเนียในเลือด และในเนื้อเยื่อเพิ่มขึ้น<br />
เปน<br />
ผลทําให pH ของเลือดมีคาสูงขึ้น<br />
และเปนผลเสียตอปฏิกิริยา ชีวเคมีตาง ๆ ทําใหมีความตองการ<br />
ออกซิเจนเพิ ่มขึ้น<br />
ทําอันตรายตอเหงือกและลดความสามารถของเลือดในการขนถายออกซิเจน<br />
ปลาที่เลี้ยงอยูในน้ําที่มีแอมโมเนียสูงถึงระดับ<br />
Sublithal มักออนแอและติดโรคไดงาย คา LC50 ของแอมโมเนียอิสระ สูงประมาณ 0.5 มิลลิกรัมตอลิตร (มั่นสิน<br />
และไพพรรณ, 2538)ในสัตว<br />
จําพวกครัสเตเซียน แอมโมเนียเปนของเสียที่เกิดจากการขับถายที่มีมากที่สุดในระดับ<br />
60-70% สวน<br />
ที่เหลือเพียงเล็กนอยนั้นจะเปนกรดอะมิโน<br />
ยูเรีย และ ยูริก แอซิก (Regnault, 1987)<br />
ประจวบ (2527) รายงานวา ความทนทานของสัตวน้ําตอแอมโมเนีย<br />
แตกตางกันตามชนิด<br />
ความสามารถทางสรีระของสัตวเอง และปจจัยทางสิ่งแวดลอม<br />
ปริมาณที่ทําใหเกิดการตายได<br />
ในชวงสั้น<br />
(24-72 ชั่วโมง)<br />
อยูระหวาง<br />
0.2-0.4 มิลลิกรัมตอลิตร<br />
Cold and Amstrong (1979) พบวาความเขมขนของแอมโมเนียที่ต่ําถึง<br />
0.09 mg/l จะทําให<br />
การเจริญเติบโตของกุง<br />
Macrobrachium rosenbergii ลดลง และ ที่<br />
0.45 mg/l จะทําใหอัตราการ<br />
เจริญเติบโตของกุงตระกูล<br />
Peneaus ลดลง 50 %<br />
Chin and Chen (1987) รายงานวา 24 hr LC50 และ 96 hr LC50 ของ Peneaus monodon ใน<br />
ระยะ postlarvae คือ 5 mg/l และ 1.26 mg/l และพบวาในบอเลี้ยงสัตวน้ําไมควรมีแอมโมเนีย<br />
มากกวา 0.13 mg/l<br />
Liu (1989) รายงานวา ในบอเลี้ยงกุงกุลาดําไมควรมีแอมโมเนียและไนไตรทเกิน<br />
0.1<br />
และ 0.25 ppm ตามลําดับ และไมควรมีไฮโดรเจนซัลไฟดเกิน 0.02 ppm<br />
Wasbort et al. (1989) พบวา แอมโมเนียเปนสารประกอบไนโตรเจนที่สําคัญตัวหนึ่ง<br />
ที่<br />
ขับถายออกมาจากกุงทะเลภายใน<br />
4 และ 8 ชั่วโมง<br />
ภายหลังจากกินอาหาร<br />
22
Wickens (1985) รายงานวา กุงกุลาดําขนาดน้ําหนัก<br />
1.6-2.7 กรัม มีการขับถาย<br />
แอมโมเนียในระดับ 0.03-0.3 มิลลิกรัม แอมโมเนีย-ไนโตรเจนตอกรัมตอวัน นอกจากนี้ยังไดทํา<br />
การทดลองเกี่ยวกับ<br />
สารประกอบไนโตรเจน ในกุงทะเลที่มีน้ําหนักประมาณ<br />
50-200 มิลลิกรัม<br />
พบวาแอมโมเนีย ไนไตรท และไนเตรท ที่ระดับความเขมขน<br />
1.29, 170 และ 3,400 มิลลิกรัมตอ<br />
ลิตร ตามลําดับ มีผลทําใหกุงตาย<br />
รอยละ 50 ภายในเวลา 48 ชั่วโมง<br />
ของกุง<br />
Chen et al. (1990) พบวา แอมโมเนียในระดับต่ํากวา<br />
LD50 จะมีผลตอการเจริญเติบโต<br />
โชติ (2533) ไดรายงานวาแอมโมเนียที่ระดับความเขมขนต่ํากวา<br />
0.01 มิลลิกรัม/ลิตร ไมมี<br />
ผลตอการเจริญเติบโตของ penaeid และยังพบวาปริมาณแอมโมเนียที่มีผลทําใหอัตราการ<br />
เจริญเติบโต ลดลงรอยละ 50 ในกุง<br />
P. semisulcatus, P. japonicus, P. occidentalis, P. setiferus<br />
และ P. schmitti คือที่ระดับความเขมขน<br />
0.22, 0.37, 0.40, 0.59 และ 0.69 มิลลิกรัม/ลิตร<br />
ตามลําดับ<br />
Colt and Tchobanogblous (1976) สรุปวาทุก ๆ ความเขมขนของแอมโมเนียจะมีผลตอการ<br />
เจริญเติบโตซึ่งเปนผลมาจาก<br />
1) ลดความสามารถในการแลกเปลี่ยนกาซออกซิเจนเนื่องจากเหงือก<br />
ถูกทําลาย 2) ทําใหความตองการพลังงานเพิ่มขึ้น<br />
เนื่องจากกระบวนการ<br />
Detoxification Pathway 3)<br />
รบกวนระบบความดัน Osmotic reguration และ 4) ทําความเสียหายทางกายภาพตอเนื้อเยื่อตาง<br />
ๆ<br />
แตนักวิชาการบางสวนชี้วาการที่เหงือกถูกทําลายระหวางทดลองนาจะมาจากสาเหตุ<br />
ของคลอรามีน<br />
(Chloramine) มากกวาแอมโมเนีย และการเจริญเติบโตที่ลดลงนั้นนาจะมาจากการที่แอมโมเนียลด<br />
ความสามารถในการตานทานเชื้อโรคของสัตวน้ําลดลง<br />
23
Ext. Cell Blood<br />
+<br />
NH4 Na +<br />
ATPase<br />
+<br />
NH4 Na +<br />
ภาพที่<br />
6 แสดงการดูดซึมโซเดียมและการขับถายแอมโมเนียบริเวณเหงือกสัตวประเภท<br />
Crustacean<br />
H +<br />
NH 3<br />
อัตราการใชออกซิเจน<br />
อัตราการใชออกซิเจนเปนคาแสดงปริมาณออกซิเจนที่ถูกใชไป<br />
ในกระบวนการออกซิ<br />
เดชั่น<br />
ซึ่งเปนตัวกําหนดอัตราเมตาบอลิซึม<br />
(Schmidt-Nielsen,1975) การศึกษาอัตราการใชออกซิเจน<br />
ภายใตสภาวะใดสภาวะหนึ่งของสัตว<br />
เชน สภาวะพัก เคลื่อนที่<br />
เปนตน เปนการศึกษาภายใตสภาวะ<br />
ที่มีออกซิเจนอยูในสิ่งแวดลอมภายนอก<br />
โดยมีความผันแปรของอุณหภูมิ และความเขมขนของ<br />
ออกซิเจน การวัดคาอัตราการใชออกซิเจนนี้เปนการวัดปริมาณออกซิเจนที่หายไปจากสิ่งแวดลอม<br />
ซึ่งไมสามารถบอกคาการใชประโยชนของออกซิเจน<br />
อัตราการใชออกซิเจนโดยทั่วไปอธิบายไดใน<br />
หนวยของมิลลิกรัม หรือ มิลลิลิตรตอกรัม หรือ กิโลกรัมตอชั่วโมง<br />
หรือวินาที ในสัตวพบวาไม<br />
สามารถรับออกซิเจนไดมากกวาที่จะนําไปใชประโยชนในเมตาบอลิซึมของรางกาย<br />
โดยมีปจจัย<br />
กําหนดอัตราเมตาบอลิซึม คือ การใชประโยชนออกซิเจนในเซลล (Florey, 1969)<br />
ปจจัยควบคุมอัตราการใชออกซิเจน<br />
1. อัตราออกซิเดทีฟ เมตาบอลิซึม (oxidative metabolism) เพราะ ถาเมตาบอลิซึมถูก<br />
กระตุน<br />
การใชประโยชนออกซิเจนในเนื้อเยื่อจะลดลง<br />
ออกซิเจนจากเลือดแพรผานของเหลว<br />
?<br />
NH 3<br />
Na +<br />
24
ระหวางเซลลเขาสูภานในเซลล<br />
ออกซิเจนในเลือดลดลง ออกซิเจนจากสิ่งแวดลอมจะแพรผานผนัง<br />
เนื้อเยื่อหายใจอัตราการใชออกซิเจนจึงเพิ่ม<br />
2. การเพิ่มอัตราการถายเทออกซิเจนจากสิ่งแวดลอมทําใหอัตราการใชออกซิเจนเพิ่มขึ้น<br />
เนื่องจากการขาดออกซิเจนภายนอกผนังเนื้อเยื่อหายใจอยางรวดเร็ว<br />
เพราะความเขมขนออกซิเจน<br />
ภายนอกลดลง อัตราการใชออกซิเจนจะคงที่อยูไดโดยการเพิ่มอัตราการไหลเวียนของเลือด<br />
3. ผลกระทบจากการเพิ่มการถายเทออกซิเจนกับสิ่งแวดลอม<br />
ทําใหเพิ่มความเร็วในการ<br />
ไหลของเลือด และปริมาณเลือดที ่ไปสูผนังเนื้อเยื่อหายใจ<br />
ทําใหอัตราการเตนของหัวใจสูงขึ้น<br />
4. การควบคุมอัตราการใชออกซิเจนในระยะสั้นมีความแตกตางจากการควบคุมอัตราการ<br />
ใชออกซิเจนเมื่อสิ่งแวดลอมมีการเปลี่ยนแปลงเปนเวลานาน<br />
พบวาในสัตวชั้นสูง<br />
การปรับตัวเมื่อ<br />
ความเขมขนออกซิเจนในน้ําสูงขึ้นหรือต่ําลงนั้น<br />
ทําไดโดยเพิ่มขนาดของผนังเซลลแลกเปลี่ยนกาซ<br />
และเพิ่มประสิทธิภาพในการรับออกซิเจนของเม็ดเลือด<br />
การเปลี่ยนแปลงความเค็มกับการใชออกซิเจนของกุง<br />
ทางดานความเค็มกับการใชออกซิเจนนั้น<br />
อิทธิพลของความเค็มที่มีตอการใชออกซิเจนของ<br />
สัตวทะเลนั้นมีความสัมพันธกับอิทธิพลของกิจกรรม<br />
และ ปจจัยในรางกายที่มีอิทธิพลรวมกับ<br />
สิ่งแวดลอมภายนอก<br />
เชน อุณหภูมิ (Newell, 1979) การเพิ่มอัตราการใชออกซิเจนเกิดภายใตสภาวะ<br />
ที่มีความเครียดจากความเค็มทําใหกิจกรรมของรางกายเพิ่มขึ้นมากกวา<br />
จะเปนการเพิ่มการใช<br />
พลังงานใน osmoregulation (Loft, 1956; Newell, 1979)<br />
Kutty et al. (1971) ทําการศึกษาในกุงแชบวย<br />
พบวา ในกุงขนาด<br />
0.1 และ 1-3 กรัมนั้น<br />
ไมมี<br />
อิทธิพลของความเค็มตออัตราการใชออกซิเจนของกุง<br />
หากกุงนั้นมีการปรับตัวใหคุนเคยกับความ<br />
เค็มมาเปนเวลามากกวา 10 วัน และในกุงขนาด<br />
1-3 กรัม จะมีผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงความ<br />
เค็มตออัตราการใชออกซิเจน ในกุงที่อยูในน้ําความเค็ม<br />
2-6 สวนในพัน แมมีการปรับใหคุนเคยกับ<br />
ความเค็มมากอนแลวเปนเวลา 24 ชั่วโมง<br />
และพบวา อัตราเมตาบอลิซึมไมสัมพันธกับระบบ<br />
ออสโมติคมากนัก<br />
25
Ting (1970) รายงานวาการลดความเค็มจาก 40 ไปเปน 10 p.s.u. จะเพิ่มอัตราการใช<br />
ออกซิเจนใน P. monodon และ Metapenaeus monoceros Dalla Via (1986) รายงานวาอัตราการใช<br />
ออกซิเจนใน P. japonicus ระยะ juvenile (272+119 มิลลิกรัม) จะมีคาเพิ่มขึ้นจาก<br />
0.2 ไปเปน 0.6<br />
มิลลิกรัม/กรัม/ชั่วโมง<br />
เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
37 ไปเปน 10 p.s.u. P. japonicus มี<br />
แนวโนมวาจะเพิ่มอัตราการใชออกซิเจนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
30 ไปเปน 15 p.s.u.<br />
(Chen and Lai, 1993)<br />
ภาวะเครียดจากออกซิเดชัน (oxidative stress)<br />
ภาวะเครียดจากออกซิเดชัน หรือ oxidative stress ทําใหโมเลกุลของไขมัน โปรตีน กรด<br />
นิวคลีอิก และคารโบไฮเดรต ทั้งที่เปนอิสระหรือองคประกอบของเซลลและเยื่อหุมเซลล<br />
(plasma<br />
membrane) ถูกทําลายหรือเกิดความผิดปกติ สงผลใหเซลลถูกทําลายหรือเกิดการบาดเจ็บของเซลล<br />
(cell injury) ขึ้นได<br />
Oxidative Stess ในเซลลเกิดจากความเปนพิษของอนุพันธของออกซิเจนที่<br />
วองไว หรือ สารอนุมูลอิสระ ที่รวมเรียกวา<br />
สารออกซิแดนท (oxidants) ไดแก superoxide anion<br />
• •<br />
(O2 ), hydroxyl radical (OH ) และ hydrogen peroxide (H2O2) เปนตน ในสภาวะปกติรางกายมี<br />
กระบวนการที่จะทําลายหรือยับยั้งความเปนพิษของสาร<br />
oxidants เหลานี้ใหอยูในระดับที่เหมาะสม<br />
ไมเกิดอันตรายตอเซลล โดยอาศัย สารตานอนุมูลอิสระ หรือ สารกําจัดอนุมูลอิสระ (ROS<br />
scavenger) ซึ่งมีอยูภายในเซลล<br />
หรือไดรับมาจากภายนอก (อาหาร) แตในภาวะที่เกิดพยาธิสภาพ<br />
ของเซลลหรือเกิดโรคบางชนิด หนาที่ที่จะปองกันเหลานี้จะสูญเสียไป<br />
เปนผลให oxidants ดังกลาว<br />
มีมากกอใหเกิดอันตรายตอโมเลกุลปกติของเซลล ทําหนาที่ตามปกติไมได<br />
นําไปสูการเสียหนาที่<br />
ของเซลลและอวัยวะ เรียกสภาวะที่มี<br />
oxidants มากเกินกวาสาร antioxidant จะปองกัน ทําใหเกิด<br />
อันตรายตอโมเลกุลของเซลลนี้วา<br />
ภาวะเครียดจากออกซิเดชัน (oxidative stress)<br />
ระบบการปองกันออกซิเดชัน (antioxidant defense system) จะประกอบดวยกลุมของ<br />
เอนไซม เชน superoxide dismutase ,glutathione peroxidase, catalase,glutathione<br />
reductase,glutathione-S-transferase และสารในกลุมที่มีน้ําหนักโมเลกุลนอย<br />
เชน glutathione,<br />
ascorbate,vitamin E , β-carotene และ โปรตีนที่อยูในของเหลวที่อยูในเซลล<br />
กับในเซลลเมมเบรน<br />
หรืออยูในของเหลวที่อยูนอกเซลล<br />
(Freeman and Crapo, 1982; Frei,1999; Hogg and<br />
Kalyanaraman, 1999) โดยที่เอนไซมจะพบอยูในทุกเนื้อเยื่อของสัตวที่มีกระดูกสันหลัง<br />
แตจะ<br />
พบวาโดยปกติโดยทั่วไปแลวจะพบวาจะมีกิจกรรมมากที่สุดในตับซึ่งเปนอวัยวะหลัก<br />
สําหรับการ<br />
26
enobiotic uptake และ enzymatic transformation แกพวกสารออกซิแดนท (Zakharov and Clarke,<br />
1993; Lemaire et al., 1994)<br />
ความสําคัญของอนุมูลอิสระในรางกาย<br />
อนุมูลอิสระ คือ สารประกอบดวยอิเล็คตรอนที่ขาดคูทําใหไมคงตัว<br />
สามารถเกิดปฏิกิริยา<br />
ออกซิเดชั่นกับสารอื่นไดอยางวองไว<br />
จึงสามารถทําลายกรดไขมัน โปรตีนที่มีหมูไทออล<br />
(SH) และ<br />
ทําลาย DNA ซึ่งเปนสารพันธุกรรม<br />
ทําใหเกิดความเสื่อม<br />
หรือการตายของเซลลเนื้อเยื่อ<br />
และระบบ<br />
อวัยวะตามมา<br />
โดยปกติรางกายตองการสารอาหารทั้ง<br />
คารโบไฮเดรต โปรตีน และไขมัน เพื่อเผาผลาญ<br />
สรางเปนพลังงานในรูป ATP สําหรับการดํารงชีวิต กระบวนการเผาผลาญดังกลาวนอกจากจะใช<br />
สารอาหารแลวยังตองการใชออกซิเจน ปริมาณออกซิเจนสวนหนึ่ง<br />
คือ ประมาณรอยละ 1-3 ที่<br />
รางกายใชในกระบวนการเมทาบอลิซึมและออกซิเดชั่นตามปกติของเซลลจะถูกเปลี่ยนเปน<br />
H2O2 แทนที่จะเปนน้ํา<br />
หรือเกิดเปน ROS/oxidants หลายชนิดตามมา ROS/oxidant ยังสามารถถูกสรางได<br />
โดยตรงจากเอนไซม NADPH oxidase ที่เยื่อหุมเซลล<br />
จากเอนไซม oxidase ตาง ๆ ที่อยูในออร<br />
แกแนลล เชน amino acid oxidase urate oxidase จาก xanthine oxidase ในไซโทพลาสซึม และ<br />
cytochrome P450 ใน endoplasmic reticulum เปนตน ทําใหมีการสราง ROS ออกมาตลอดเวลา การ<br />
สราง ROS จะเพิ่มมากขึ้น<br />
ในรางกายในภาวะที่ไดรับสารพิษ<br />
และในเซลลเม็ดเลือดขาวเมื่อมีการ<br />
ทําลายเชื้อโรค<br />
และสิ่งแปลกปลอม<br />
้<br />
กระบวนการกระตุนใหเกิด<br />
ROS ในเซลล ขณะที่มีการใชออกซิเจน<br />
(O2) นั้นเริ่มจากมีการ<br />
-•<br />
สราง superoxide anion (O2 ) ขึ้นซึ่งเกิดขึ้นในขั้นตอนหนึ่งของการเปลี่ยน<br />
(reduce) O2 ไปเปนน้ํา<br />
(H2O) ในขั้นตอนทั้งหมดตองมีการใหอิเล็คตรอนแกอะตอมของออกซิเจน<br />
ดังสมการดังนี<br />
e - e - e - e -<br />
O2 •<br />
O2( • 0-0:) H2O2 (H:0-0:H)<br />
• •<br />
OH(H:O ) H2O<br />
+2H + -OH - +H +<br />
27
โครงสราง<br />
แคทาเลส (Catalase)<br />
แคทาเลสเปนเอนไซมที่พบทั่วไปไดในสัตว<br />
พืช และ จุลินทรีย มีมวลโมเลกุลประมาณ<br />
240,000 โดยที่แคทาเลสแตละโมเลกุลประกอบดวย<br />
4 หนวยยอย (subunits) และแตละหนวยยอย มี<br />
โพรโทเฮมิน protohemin 1 หมู<br />
นอกจากนี้หมูโพรสเทติก<br />
(prodthetic group) เปนโพรโทเฮมิน<br />
แคทาเลสเปนเอนไซมที่ไมทนความรอน<br />
แคทาเลสจะสูญเสียแอกทิวิตีอยางรวดเร็วที่อุณหภูมิ<br />
35 O C,pH สูงกวา 9<br />
ปฏิกิริยา<br />
แคทาเลสจะทําปฏิกิริยาในการกําจัด H2O2 ที่ไดจากปฏิกิริยาของเอนไซม<br />
Super oxide<br />
dismutase โดยจะเปลี่ยน<br />
H2O2 2 โมเลกุล ไปสูในสภาวะ<br />
oxidation ที่ต่ํากวา<br />
ดังสมการที่<br />
1(Chance<br />
et al., 1979) โดยปฏิกิริยานี้จะเกิดขึ้นใน<br />
2 ขั้นตอน<br />
H 2O 2 + H 2O 2 2H 2O+O 2 (1)<br />
CAT-Fe(ΙΙΙ) + H 2O 2 Complex (Ι) (2)<br />
Complex (Ι) + H 2O 2 CAT-Fe(ΙΙΙ)+2 H 2O+ O 2 (3)<br />
Complex (Ι) +DH 2 CAT- Fe(ΙΙΙ)+2 H 2O+ D (4)<br />
จัดอยูในกลุมพวก<br />
hydroperoxidase แคทาเลส จะแสดงปฏิกริยา 2 ปฏิกิริยา<br />
1.catalatic โดยที่<br />
H2O2 โมเลกุลแรกจะเปนตัว oxidize กอนแลว H2O2 โมเลกุลที่<br />
2 จะเปน<br />
ตัว reduce (ให H) ดังสมการที่<br />
2 และ 3<br />
2.peroxidative โดยที่<br />
DH2 จะเปนตัว reduce คือเปนตัวให H ตัวอยาง DH2 เชน<br />
methanol,ethanol,formic acid,phenol และ amine ดังสมการที่<br />
4 (Chance et al. ,1979; Aebi, 1984)<br />
28
ในปฏิกิริยาทั้งหมดจะมี<br />
active enzyme- H2O2 intermediate ที่เรียกวา<br />
Complex Ι ซึ่ง<br />
โดยทั่วไปแลวปฏิกิริยาระหวาง<br />
Complex Ι กับโมเลกุลของ H2O2 ในปฏิกิริยา catalatic จะเกิดขึ้น<br />
อยางรวดเร็วมีคา rate constant K เทากับ 10 7 liters mol -1 sec -1 ในสมการที่<br />
3 สวนปฏิกิริยา<br />
peroxidative ในสมการที่<br />
4 จะเกิดขึ้นคอนขางชาโดยมีคา<br />
rate constant K เทากับ 10 2 - 10 3 liters mol -<br />
1 -1<br />
sec (Aebi, 1984)<br />
แคทาเลสเปนเอนไซมที่ไมปกติ<br />
โดยจะไมเปนไปตาม Michelis-Menton kinetic โดย<br />
เอนไซมนี้จะแสดงถึง<br />
non-saturation kinetic และ enzyme activity จะเพิ่มมากขึ้นเมื่อมี<br />
H2O2 มาก<br />
ขึ้นในชวงกวาง<br />
ดังนั้นจึงทําใหไมสามารถกําหนดคา<br />
Km ไดในการอิ่มตัวของความเขมขนของ<br />
เอนไซมในการยอยสลาย H2O2 ในปฏิกิริยาแรก ดังนั้นจะตองหลีกเลี่ยงการลดลงในชวงเริ่มตน<br />
ปฏิกิริยา Aebi (1984) แนะนําวาการตรวจสอบเอนไซมจะมีความสัมพันธกับปริมาณความเขนขนที่<br />
ต่ําของ<br />
substrate เชน 10 mM H2O2 อุณหภูมิและ pH จะมีผลตอกิจกรรมของเอนไซม โดยปกติ<br />
เอนไซมชนิดนี้จะควบคุมใหมีpH<br />
7.0 และ20-25 O C แลวประเมินปริมาณออกมาเปนความชัน (0-30<br />
วินาที) ในปฏิกิริยาแรก ความเขมขนของ H2O2 ที่มากกวา<br />
0.1 M เอนไซมจะไมทํางาน (เรียกวา<br />
autoinactivation) โดยจะทําการเปลี่ยน<br />
Complex Ι ใหไปอยูในรูปที่ไมทํางานคือ<br />
Complex ΙΙ และ<br />
Complex ΙΙΙ (Aebi, 1984)<br />
หนาที่หลักของแคทาเลส<br />
คือการยอยสลาย H2O2 แมวาอาจเกิดการยอยสลาย methyl- และ<br />
ethyl hydroperoxide บาง catalase จะพบอยูในมากในเซลลพวก<br />
eucaryotic cell และ จุดเริ่มตนจะ<br />
อยูใน<br />
peroxisome แตการสรางนั้นจะถูกสรางโดย<br />
precursor หลาย ๆ ตัวที่อยูนอก<br />
peroxisome<br />
peroxisome หรือ microbodie of Rouiller จะมีตนกําเนิดมาจาก golgi-endoplasmic reticulumlysosome<br />
(GERL) (Ross and Reith, 1985) peroxisome จะเปนที่อยูของแคทาเลส<br />
ในการกําจัด H2O2 ที่ผลิตจากเอนไซมอื่น<br />
ๆ ที่อยูในนี้เชนกัน<br />
โดยเอนไซมเหลานี้จะทําการใหอิเล็คตรอนใน<br />
O2 จํานวน<br />
2 ตัว โดยที่จะไมผานขั้นของ<br />
superoxide anion ตัวอยางเอนไซมเชน urate oxidase,glucose oxidase<br />
และ D-amino acid oxidase<br />
peroxisome จะสลายอยางรวดเร็วประมาณ 1.5-2 วัน แตก็ยังคงมีแคทาเลส ที่พบอยู<br />
ภายนอก peroxisome (Chance et al., 1979) ซึ่งถัดมาก็มีผลยืนยันจาก<br />
Nohl and Jordan (1980) กลาว<br />
ยืนยันใน mitochondria ที่พบในหัวใจของหนู<br />
วา 85% ของ H2O2 จะถูกทําลายโดย catalase ในขณะ<br />
ที่<br />
15 % จะถูกทําลายโดย glutathione peroxidase มีรายงานความคืบหนาในการศึกษาของ<br />
29
Jone et al. (1981) แสดงใหเห็นวาแคทาเลสที่อยูใน<br />
endoplasmic reticulum มีความสําคัญมากกวา<br />
glutathione peroxidase เมื่อมีความเขมขนของ<br />
H2O2 มากเกิน nM<br />
แคทาเลสในสัตวน้ํา<br />
Barja de Quiroga et al. (1989a) พบวามีการเพิ่มขึ้นของเอนไซมcatalase,superoxide<br />
dismutase,glutathione peroxidase ระหวางที่มีกระบวนการmetamorphosis<br />
ขั้นสุดทายของพวกลูก<br />
ออดเพื่อไปสูบนบก<br />
ปริมาณของแคทาเลสที่พบภายใตสภาวะออกซิเจนต่ําในปลา<br />
spot จะพบมีคาอยูประมาณ<br />
5000-8500 U/mg protein (Ross et al., 2001) ,ปลา freshwater catfish จะมีคาประมาณ 0.2 U/mg<br />
protein (Ahmad et al., 2000) , ปลา lake sturgeon จะมีคาประมาณ 1300-1400 U/mg protein<br />
(Palace et al., 1996) Oruc and Uner (2000) พบวาปริมาณแคทาเลสไมเปลี่ยนแปลงหลังจากไดรับ<br />
สารกําจัดวัชพืชและสารกําจัดแมลงเปนเวลา 96 ชั่วโมง<br />
ปริมาณแคทาเลส และซุปเปอรออกไซด ดีส<br />
มิวเตส ที่พบในปลาหลาย<br />
ๆ ชนิดพบวาจะมีปริมาณมากในเลือดในกลุมปลาพวกปลาผิวน้ํา<br />
(pelagic<br />
fish) (Filho et al., 1993; Filho, 1996; Rudeva, 1997) Redeva (1997) พบวาโดยทั่วไปแลวปลา<br />
ดั้งเดิม<br />
และ ปลาตามแนวหิน จะไมพบแคทาเลสในเลือด สวนปลากระดูกแข็งที่พัฒนาจะพบแค<br />
ทาเลสมีปริมาณแตกตางกันตามชนิด<br />
Edurrdo et al. (2004) รายงานวาปริมาณของแคทาเลสที่พบใน<br />
hepatopancreas กุง<br />
Farfantepenaeus paulensis ระหวางกุงที่จับมาวัดปริมาณแคทาเลสเลยเปรียบเทียบกับกุงที่จับแลว<br />
และกุงที่จับมาตัดตา<br />
นํามาเลี้ยงในที่กักขังที่ระยะเวลา<br />
45 วัน จะพบวาปริมาณ แคทาเลสที่พบในกุง<br />
ที่นําไปเลี้ยงตอในที่กักขังทั้งที่ตัดตาและไมตัดตาจะมีปริมาณแคทาเลส<br />
(2.19+0.90 U/mg protein)<br />
ซึ่งพบวาไมมีความแตกตางกัน<br />
และมีคามากกวากุงที่จับมาวัดแคทาเลสตั้งแตตนเลย<br />
(0.74+0.24<br />
U/mg protein)<br />
30
อุปกรณและวิธีการ<br />
อุปกรณ<br />
1. น้ําทะเลจากนาเกลือความเค็ม<br />
80 ppt<br />
2. กุงกุลาดําระยะโพสทลารวา<br />
15<br />
3. ตูกระจกขนาด<br />
24x18 x18 นิ้ว<br />
จํานวน 64 ตู<br />
4. ถังน้ําแข็ง<br />
สําหรับทดลองการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ<br />
5. บอซีเมนตปริมาตร 10 ตัน สําหรับเก็บน้ําเค็มกอนการเจือจาง<br />
6. ถังไฟเบอรปริมาตร 2 ตัน สําหรับเก็บน้ําจืดไวสําหรับปรับความเค็ม<br />
7. โหลแกวรูปทรงกระบอกปริมาตร 13 ลิตร และ ปริมาตร 1.5 ลิตร<br />
8. ตู<br />
cooler<br />
9. ตัวทําความรอน (Heater)<br />
10. สารแอมโมเนียมคลอไรด (NH4Cl) 11. อาหารกุงกุลาดําเบอร<br />
1,2 และ3<br />
12. Oxygen meter<br />
13. pH meter<br />
14. Thermometer<br />
15. สารเคมี ,เครื่องมือ<br />
และ อุปกรณในการวิเคราะหเอนไซม<br />
16. สารเคมี ,เครื่องมือ<br />
และ อุปกรณในการวิเคราะหคุณภาพนํ้า<br />
17. อุปกรณในการใหอากาศ<br />
การวางแผนการทดลอง<br />
วิธีการ<br />
การทดลองเปนแบบสุมตลอด<br />
(Completely Randommized Design) เพื่อศึกษาผลการใช<br />
เบทาอีนในระดับตางๆ ตอความทนทานความเครียด และความเปนพิษเฉียบพลันของแอมโมเนีย<br />
การทดลองแบงออกเปน 3 ชุดการทดลอง (Treatment) แตละชุดการทดลองมี 6 ซ้ํา<br />
(Replication)<br />
ดังนี้<br />
31
1. ชุดการทดลองที่<br />
1 ชุดควบคุม ไมมีการเสริมเบทาอีนในอาหาร<br />
2. ชุดการทดลองที่<br />
2 เสริมเบทาอีนในอาหารในอัตรา 0.75 %<br />
3. ชุดการทดลองที่<br />
3 เสริมเบทาอีนในอาหารในอัตรา 1.5 %<br />
การเตรียมการทดลอง<br />
1. การเตรียมน้ํา<br />
นําน้ําเค็มจากนาเกลือมาผสมนํ้าจืดใหไดความเค็มประมาณ<br />
20 ppt (part per thousand)<br />
กรองผานถุงกรองแพลงคตอนลงในบอซีเมนตขนาดความจุ 10 ตัน ทําการฆาเชื้อดวยคลอรีนผง<br />
โดยการละลายคลอรีนผงหรือแคลเซียมไฮโปคลอไรท (Ca(OCl) 2) ที่มีความเขมขนของคลอรีน<br />
ประมาณ 60% ลงในนํ้าใหมีความเขมขนประมาณ<br />
20-30 ppm พรอมทั้งใหอากาศเปนเวลา<br />
2-3 วัน<br />
เพื่อใหคลอรีนสลายตัว<br />
ทดสอบการตกคางคลอรีนดวย Potassium Iodine (KI) โดยตักนํ้ามาหยด<br />
สารละลาย KI ประมาณ 1-2 หยด ถานํ้าใสเปนปกติแสดงวาคลอรีนสลายตัวหมด<br />
แลวสามารถนํานํ้า<br />
มาใชทดลองได แตถานํ้าเปลี่ยนเปนสีเหลือง<br />
แสดงวาคลอรีนในนํ้ายังสลายตัวไมหมด<br />
ใหพักนํ้า<br />
ตอไปอีก หรือถาจําเปนตองใชนํ้าทันทีสามารถใช<br />
Sodium Thiosulfate ชวยเรงสลายคลอรีนได<br />
ปริมาณที่ใชขึ้นอยู<br />
กับปริมาณคลอรีนที่เหลืออยู<br />
2. การเตรียมสัตวทดลอง<br />
นํากุ งกุลาดําระยะ PL 12-13 มาอนุบาลในตูกระจกขนาด<br />
24x18 x18 นิ้ว<br />
ที่จะใชทดลอง<br />
เปนเวลา 3-4 วัน เพื่อปรับสภาพของสัตวทดลองใหเคยชินกับสภาพแวดลอมตูทดลอง<br />
โดยให<br />
อาหาร วันละ 6 มื้อ<br />
คือ 06.00 น. 9.00 น. 12.00 น. 15.00 น. 18.00 น. และ 22.00 น. โดยใหอารทีเมีย<br />
และอาหารสําเร็จรูปเบอร 1 ผสมกัน พรอมทั้งมีการใหอากาศอยางทั่วถึงตลอดเวลา<br />
3. การเตรียมอาหารทดลอง<br />
อาหารกุงกุลาดําทดลองผลิตจากโรงงานอุตสาหกรรมผลิตอาหารกุง<br />
ที่ผานกระบวนการ<br />
อัดเม็ดแลวจึงผานการขบเม็ด (crumbles) ใหมีลักษณะเปนเกล็ดที่ใช<br />
คือ เบอร 1 ขนาดเสนผาน<br />
ศูนยกลางประมาณ 0.4-0.8 มิลลิเมตร, เบอร 2 ขนาดเสนผาศูนยกลางประมาณ 0.8-1.3 มิลลิเมตร<br />
32
และ เบอร 3 ขนาดเสนผานศูนยกลางประมาณ 1.3-1.7 มิลลิเมตร มีความคงตัวในน้ํา<br />
4-6 ชั่วโมง<br />
โดยมีสวนประกอบวัตถุดิบเหมือนกันดังตารางที่<br />
3<br />
ตารางที่<br />
3 สวนประกอบอาหารกุงกุลาดําที่ใชเบทาอีนระดับตางๆ<br />
สวนประกอบวัตถุดิบ ระดับการใชเบทาอีน (%)<br />
(%) 0 0.75 1.5<br />
ปลายขาว<br />
3.0<br />
3.0<br />
3.0<br />
กากกุงปน<br />
10.0<br />
10.0<br />
10.0<br />
ปลาปน<br />
33.0<br />
33.0<br />
33.0<br />
กากถั่วเหลือง<br />
20.0<br />
20.0<br />
20.0<br />
แปงสาลี<br />
30.0<br />
30.0<br />
30.0<br />
โมโนแคลเซียมฟอสเฟต<br />
0.5<br />
0.5<br />
0.5<br />
เลซิทิน<br />
1.0<br />
1.0<br />
1.0<br />
สารเหนียว<br />
0.2<br />
0.2<br />
0.2<br />
สารกันหืน<br />
0.015<br />
0.015<br />
0.015<br />
สารกันเชื้อรา<br />
0.1<br />
0.1<br />
0.1<br />
วิตามินและพรีมิกซรวม<br />
2.0<br />
2.0<br />
2.0<br />
เบทาอีน<br />
0<br />
0.75<br />
1.5<br />
อาหารที่ผลิตไดนํามาวิเคราะหหาคุณคาโภชนาการทางเคมีเชน<br />
โปรตีนดวยวิธี Kjeldahl<br />
method เครื่องยอยรุน<br />
Foss Tecator รุน<br />
2020 และเครื่องกลั่น<br />
Foss Tecator รุน<br />
2200 ไขมันดวย<br />
วิธี Ether extraction แบบ Soxhlet ดวยเครื่องรุน<br />
Tecator 1043 ความชื้นดวยวิธี<br />
Drying method<br />
เถาดวย Muffle furnace เยื่อใยดวยเครื่อง<br />
Fibertec (AOAC., 2000) แคลเซียมฟอสฟอรัสและเกลือ<br />
ดวยวิธีไตเตรท (AOAC., 1990) พลังงานรวมดวยวิธี Bomb calory meter และ Nitrogen free extract<br />
(NFE) สามารถคํานวณไดโดย สมการตอไปนี้<br />
%NFE = 100 – (%โปรตีน + %ไขมัน + %เถา + %เยื่อใย<br />
+ %ความชื้น)<br />
33
สวนพลังงานที่ยอยไดสามารถคํานวณโดยสมการ<br />
(NRC, 1983) ดังตอไปนี้<br />
พลังงานที่ยอยได<br />
= (% โปรตีนx 4) + (%ไขมัน x 8.5) + (%คารโบไฮเดรต x 2.5)<br />
ตารางที่<br />
4 ผลวิเคราะหอาหารกุงกุลาดําทดลอง<br />
3 สูตร ที่ระดับการใชเบทาอีนตางๆ<br />
สวนประกอบของโภชนะ ระดับการใชเบทาอีน (%)<br />
(%) 0 0.75 1.5<br />
ความชื้น<br />
9.0<br />
9.0<br />
9.0<br />
โปรตีน<br />
38.0<br />
38.0<br />
38.0<br />
ไขมัน<br />
6.0<br />
6.0<br />
6.0<br />
เยื่อใย<br />
3.0<br />
3.0<br />
3.0<br />
เถา<br />
12.0<br />
12.0<br />
12.0<br />
แคลเซียม<br />
2.5<br />
2.5<br />
2.5<br />
ฟอสฟอรัส<br />
1.4<br />
1.4<br />
1.4<br />
เกลือ<br />
1.8<br />
1.8<br />
1.8<br />
Nitrogen free extract (%)<br />
32<br />
32<br />
32<br />
พลังงานรวม (cal/g)<br />
283<br />
283<br />
283<br />
สภาวะการทดลอง<br />
1. การเลี้ยง<br />
ใชกุงกุลาดําระยะ<br />
PL 15 เลี้ยงในตูกระจกขนาด<br />
24x18x18 นิ้ว<br />
เติมน้ําเค็ม<br />
20 พีพีทีที่<br />
ระดับ 35 ซม. คิดเปนปริมาตร 73.5 ลิตร ปลอยลูกกุงที่อัตราปลอย<br />
240 ตัวตอตารางเมตร ตูละ<br />
70<br />
ตัว ทําการเลี้ยงเปนระยะเวลา<br />
2 เดือน โดยใหอาหารที่มีการผสมเบทาอีนที่ระดับ<br />
0, 0.75 และ 1.5%<br />
โดยในสัปดาหที่<br />
1-6 กุงจะไดรับอาหารทดลองแตละสูตรตามที่กําหนดสวนในสัปดาหที่<br />
7-8 ในชุด<br />
การทดลองที่<br />
2 ,3 จะเปลี่ยนไปใหอาหารที่ไมมีเบทาอีนเปนสวนประกอบ<br />
เพื่อศึกษาผลตอบสนอง<br />
หลังการหยุดเบทาอีน<br />
34
2. การใหอาหาร<br />
ใหอาหารกุงที่ผสมตามสูตรอาหารทุกวัน<br />
สัปดาห 1-2 ของการเลี้ยง<br />
ใหอาหารวันละ 6<br />
มื้อ<br />
คือ เวลา 6.00 น. 9.00 น. 12.00 น. 15.00 น. 18.00 น. และ 22.00 น. สัปดาหที่<br />
3-4 ใหอาหาร 4<br />
มื้อ<br />
คือ เวลา 8.00 น. 13.00 น. 16.00 น. และ 22.00 น. สัปดาหที่<br />
5-6 ใหอาหาร 4 มื้อ<br />
คือ เวลา<br />
8.00 น. 13.00 น. 16.00 น. และ 22.00 น. สัปดาหที่<br />
7-8 ใหอาหารไมมีเบทาอีน 3 มื้อ<br />
คือ เวลา<br />
8.00 น. 14.00 น. และ 21.00 น. อัตราการใหอาหาร 15% ของน้ําหนักตัวตอวัน<br />
บันทึกปริมาณ<br />
อาหารที่กินตลอดการทดลอง<br />
3. การจัดการคุณภาพน้ํา<br />
มีการใหออกซิเจนตลอดเวลาและถายเทน้ํา<br />
2 ครั้งตอสัปดาห<br />
ตรวจสอบคุณภาพน้ํา<br />
ระหวางการเลี้ยง<br />
ทุก 2 สัปดาห ทําการวิเคราะหคุณภาพน้ําตามวิธีดังนี้<br />
การเก็บขอมูล<br />
- ปริมาณออกซิเจนที่ละลายน้ํา<br />
โดยใช DO meter รุน<br />
YSI Model 65<br />
- คาพีเอช โดยใช pH meter รุน<br />
YSI Model 65<br />
- ปริมาณแอมโมเนียทั้งหมดในน้ําดวยวิธี<br />
Koroleff’s Indophenol Blue Method<br />
- ปริมาณไนไตรทดวยวิธี Colorimetric Method<br />
- ปริมาณไนเตรตดวยวิธี Cadmium Reduction Method<br />
- ความเค็ม โดยใช Salinometer<br />
- อุณหภูมิของน้ําโดยใช<br />
Thermometer<br />
- ความเปนดางของน้ํา<br />
ดวยวิธี Titration Method<br />
- บีโอดี ( 5-Day BOD test)<br />
1. การศึกษาการเจริญเติบโตและปริมาณอาหารที่ไดรับ<br />
บันทึกขอมูลการเจริญเติบโตโดยชั่งนํ้าหนักกุงกอนเริ่มทําการทดลอง<br />
และทําการบันทึก<br />
การเปลี่ยนแปลงนํ้าหนักทุก<br />
2 สัปดาหระหวางทําการทดลอง โดยทําการชั่งนํ้าหนักรวมในแตละชุด<br />
35
การทดลอง รวมทั้งบันทึกปริมาณอาหารที่กินเพื่อศึกษา<br />
1.1 การเจริญเติบโตของกุง<br />
จากคาดังตอไปนี้<br />
น้ําหนักเฉลี่ย<br />
,นํ้าหนักที่เพิ่มขึ้น<br />
(weight<br />
gain:WG) ,นํ้าหนักที่เพิ่มขึ้นตอตัวตอวัน<br />
(average daily gain:ADG) และอัตราการเจริญเติบโต<br />
จําเพาะ (specific growth rate:SGR)<br />
1.2 อัตรารอด (survival rate:SR)<br />
1.3 ปริมาณอาหารที่กิน<br />
จากคาดังตอไปนี้<br />
อัตราการกินอาหารตอวัน (feed intake:FI) ,<br />
เปอรเซ็นตอาหารที่กิน<br />
(percent feed intake:%FI) และอัตราการเปลี่ยนอาหารเปนเนื้อ<br />
(feed<br />
conversion ratio:FCR)<br />
2. การศึกษาความทนทานตอการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลันของลูกกุงกุลาดําที่<br />
ไดรับอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีนในระดับตาง<br />
ๆ กัน<br />
การศึกษาความทนทานความเครียด เมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มโดยประเมินจาก<br />
อัตราการตาย เนื่องจากสภาพปกติในการเลี้ยงจะมีคาความเค็มอยูที่ระดับหนึ่ง<br />
การเปลี่ยนความเค็ม<br />
อยางกะทันหันอาจทําใหกุงไมสามารถปรับตัวไดทันเปนผลทําใหเกิดความเครียดจนเกิดการตายได<br />
2.1 การศึกษาผลของเบทาอีนตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
ของลูกกุง<br />
หลังจากไดรับอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
ที่ระยะเวลา<br />
0,15,30 และ45 วัน<br />
การเตรียมการทดลอง<br />
นําโหลแกวที่มีความจุ<br />
13 ลิตร ใสน้ําเค็มที่ไดผานการเจือจางใหมีความเค็มที่<br />
0 และ 40<br />
ppt ในปริมาตร 6 ลิตร พรอมใหอากาศตลอดเวลา<br />
การดําเนินการทดลอง<br />
สุมกุงที่จํานวน<br />
10 ตัว/ซ้ํา<br />
ของแตละทรีทเมนตที่ระยะเวลาตามกําหนด<br />
ของการเลี้ยงมา<br />
ใสโหลแกวที่เตรียมไว<br />
36
ที่ระดับความเค็ม<br />
0 ppt และ 40 ppt ทําการบันทึกผลการทดลอง โดยการสังเกต<br />
พฤติกรรม และนับจํานวนลูกกุงที่ตายที่ระยะเวลา<br />
5,15,30,60,90,120,180 นาที และ6,12,24 ชั่วโมง<br />
แลวนําขอมูลไปเปรียบเทียบอัตราการตายในแตละชุดทดลอง<br />
2.2 การศึกษาผลของเบทาอีนตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
ของลูกกุงเมื่อหยุดใหอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
เปนระยะเวลา 15 วัน (หลังจากกุงกินอาหาร<br />
ผสมเบทาอีน 45 วัน แลวหยุดใหอาหารเปนระยะเวลา 15 วัน)<br />
ดําเนินการทดลองเชนเดียวกับขอ 2.1 ที่ความเค็ม<br />
0 และ 40 ppt<br />
3. การศึกษาความทนทานตอการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอยางเฉียบพลันของของลูกกุง<br />
กุลาดําที่ไดรับอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีนในระดับตาง<br />
ๆ กัน<br />
การศึกษาความทนทานตอความเครียดโดยการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ<br />
เนื่องจากสภาพ<br />
ปกติในการเลี้ยงจะมีคาอุณหภูมิเหมาะสมอยูที่ระดับหนึ่ง<br />
การเปลี่ยนอุณหภูมิอยางกะทันหันอาจทํา<br />
ใหกุงไมสามารถปรับตัวไดทันเปนผลทําใหเกิดความเครียดจนเกิดการตายได<br />
3.1 การศึกษาผลของเบทาอีนที่ตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ<br />
ของลูกกุง<br />
หลังจากไดรับอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
ที่ระยะเวลา<br />
0,15,30 และ45 วัน<br />
การเตรียมการทดลอง<br />
นําโหลแกวที่มีความจุ<br />
1.5 ลิตร ใสน้ําเค็มที่ไดผานการเจือจางใหมีความเค็มที่<br />
20 ppt<br />
ในปริมาตร 1 ลิตร พรอมใหอากาศตลอดเวลา ในถังที่มีการปรับอุณหภูมิโดยใชน้ําแข็ง<br />
และ เครื่อง<br />
หลอเย็นชวยใหไดอุณหภูมิที่<br />
15 O C และในถังที่มีการปรับอุณหภูมิโดยใชตัวทําความรอน<br />
ใหได<br />
อุณหภูมิที่<br />
35 O C<br />
37
การดําเนินการทดลอง<br />
สุมกุงที่จํานวน<br />
10 ตัว/ซ้ํา<br />
ของแตละทรีทเมนตตามระยะเวลาที่กําหนด<br />
ของการเลี้ยงมา<br />
ดําเนินการทดลอง นํามาใสโหลแกวที่เตรียมไว<br />
ที่อุณหภูมิ<br />
15 O C และ 35 O C ทําการบันทึกผลการทดลอง โดยการสังเกตพฤติกรรม<br />
และนับจํานวนลูกกุงที่ตายที่ระยะเวลา<br />
5,15,30,60,90,120,180 นาที และ6,12,24 ชั่วโมง<br />
ตามลําดับ<br />
แลวนําขอมูลไปเปรียบเทียบอัตราการตายในแตละชุดทดลอง<br />
3.2 การศึกษาผลของเบทาอีนที่ตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ<br />
ของลูกกุงเมื่อหยุดใหอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
เปนระยะเวลา 15 วัน (หลังจากกุงกินอาหาร<br />
ผสมเบทาอีน 45 วัน แลวหยุดใหอาหารเปนระยะเวลา 15 วัน)<br />
ดําเนินการทดลองเชนเดียวกับขอ 3.1 ที่อุณหภูมิ<br />
15 O C และ 35 O C<br />
4. การศึกษาการเปลี่ยนแปลงระดับเอนไซมแคทาเลสในลูกกุงกุลาดําที่ใหอาหารที่มี<br />
สวนผสมของเบทาอีนในระดับตาง ๆ กันเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลัน<br />
การศึกษาปริมาณเอนไซมแคทาเลสซึ่งเปนเอนไซมที่กําจัดอนุมูลอิสระ<br />
H2O2ที่อาจเปน อัตราตอเซลล โดยพวกอนุมูลอิสระนี้สามารถที่จะเกิดไดมากในสภาวะที่มีความเครียด<br />
4.1 การศึกษาผลของเบทาอีนตอระดับเอนไซมแคทาเลสในลูกกุงหลังจากไดรับ<br />
ความเครียดหลังจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
(ลูกกุงไดรับอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
ที่<br />
ระยะเวลา 45 วัน)<br />
การเตรียมการทดลอง<br />
นําโหลแกวที่มีความจุ<br />
13 ลิตร ใสน้ําเค็ม<br />
40 ppt และ 20 ppt ในปริมาตร 6 ลิตร พรอม<br />
ใหอากาศตลอดเวลา<br />
38
การดําเนินการทดลอง<br />
สุมกุงที่จํานวน<br />
10 ตัว/ซ้ํา<br />
ของแตละทรีทเมนตตามระยะเวลาที่กําหนด<br />
ของการเลี้ยงมา<br />
ใสโหลแกวที่เตรียมไว<br />
ที่ระดับความเค็ม<br />
20 ppt และ 40 ppt ทําการสุมกุงไปทําการตรวจวิเคราะหปริมาณ<br />
เอนไซมแคทาเลสตามวิธีการของ Claiborne,1985 ที่ระยะเวลา<br />
6 ชั่วโมง<br />
แลวนําขอมูลไป<br />
เปรียบเทียบปริมาณเอมไซมในแตละชุดทดลอง<br />
การเตรียม PMS<br />
บดเนื้อเยื่อใน<br />
phosphate buffer (0.1M,pH 7.4) (KCl 1.17%) โดยใชเครื่อง<br />
homogenizer<br />
วิธีการวิเคราะหแคทาเลส (Claiborne, 1985)<br />
นํามา centrifuge ที่<br />
10,000 rpm 30 นาที ที่<br />
4 O C<br />
Post-mitochondrial supernatant (PMS)<br />
1.95 ml phosphate buffer (0.05 M pH 7)+1 ml H 2O 2 (0.019 M) และ 0.05 ml ของ 10% PMS<br />
วิธีการวิเคราะหปริมาณโปรตีน (Lowry,1951)<br />
วัดคาการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น<br />
240 nm<br />
PMS 1 ml+Alkali-copper solution 3 ml ตั้งทิ้งไว<br />
10 นาที<br />
เติม Folin Ciocalteau reagent 0.3 ml ตั้งทิ้งไว<br />
30 นาที<br />
วัดคาการดูดกลืนแสงที่ความยาวคลื่น<br />
750 nm<br />
39
การคํานวณปริมาณเอมไซม<br />
นําคาที่ไดไปคํานวณหาปริมาณโปรตีนจากกราฟมาตรฐาน<br />
specific activity (units/mg protein/min) = ( A 240 nm (1 min) × 1000)/43.6 × (mg of protein/<br />
ml Reaction Mix)<br />
4.2 การศึกษาผลของเบทาอีนตอระดับเอนไซมแคทาเลสในลูกกุง<br />
หลังจากไดรับ<br />
ความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
เมื่อหยุดใหอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
เปน<br />
ระยะเวลา 15 วัน (หลังจากกุงกินอาหารผสมเบทาอีน<br />
45 วัน แลวหยุดใหอาหารเปนระยะเวลา 15<br />
วัน)<br />
ดําเนินการทดลองเชนเดียวกับขอ 4.1<br />
5. การศึกษาความเปนพิษเฉียบพลันของแอมโมเนียที่เวลา<br />
24 ชั่วโมง<br />
(LC50) ตอลูกกุง<br />
กุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนในระดับตาง<br />
ๆ<br />
การประเมินความเปนพิษแบบเฉียบพลันของแอมโมเนีย (ในรูปสารประกอบ<br />
แอมโมเนียมคลอไรด) ที่ทําใหกุงทดลองตาย<br />
50 เปอรเซ็นต โดยการหาคา Median Lethal<br />
Concentration หรือ Lethal Concentration (LC50) ที่เวลา<br />
24 ชั่วโมง<br />
โดยวิธีชีววิเคราะหแบบนํ้านิ่ง<br />
(Static Bioassay) ของ American Public Health Association (APHA) (1992)<br />
5.1 การศึกษาความเปนพิษเฉียบพลันของแอมโมเนีย หลังจากไดรับอาหารที่มีสวนผสม<br />
ของเบทาอีน ที่ระยะเวลา<br />
45 วัน<br />
การเตรียมการทดลอง<br />
1. การเตรียมสารเคมี<br />
นําแอมโมเนียมคลอไรดมาชั่งทําเปนสารลายที่มีความเขมขน<br />
1,000 ppm ในน้ํากลั่นที่<br />
ปราศจากแอมโมเนีย<br />
40
2. การเตรียมชุดทดลอง<br />
นําโหลแกวที่มีความจุ<br />
13 ลิตร ใสน้ําเค็ม<br />
20 ppt ที่ไดผานการผสมสารละลาย<br />
แอมโมเนียมคลอไรดที่เตรียมใหมีความเขมขนตาง<br />
ๆ ที่จะใชทดลอง<br />
เปนจํานวนโหลละ 6 ลิตร<br />
พรอมใหอากาศตลอดเวลา<br />
การดําเนินการทดลอง<br />
สุมกุงที่จํานวน<br />
10 ตัว/ซ้ํา<br />
ของแตละทรีทเมนตตามระยะเวลาที่กําหนด<br />
ของการเลี้ยงมา<br />
ใสโหลแกวที่เตรียมไว<br />
ทดลอง 2 ขั้นตอนดังนี้<br />
1. การทดลองขั้นตน<br />
(preliminary test หรือ range finding test) เปนการทดลองเพื่อ<br />
หาระดับความเขมขนตํ่าสุดของแอมโมเนียที่ทําใหลูกกุงกุลาดําตาย<br />
100% และความเขมขนสูงสุดที่<br />
ลูกกุงกุลาดํามีชีวิตรอด<br />
100% ภายในเวลา 24 ชั่วโมง<br />
โดยจัดระดับความเขมขนเปน 6 ระดับ แตละ<br />
ระดับมี 3 ซํ้า<br />
ทําการสังเกตลักษณะการตาย และบันทึกอัตราการตายที่<br />
24 ชั่วโมง<br />
แลวนําขอมูลที่ได<br />
ไปจัดระดับความเขมขนที่เหมาะสมในการทดลองขั้นละเอียดตอไป<br />
2. การทดลองขั้นละเอียด<br />
(full-scale test) เปนการทดลองโดยจัดระดับความเขมขน<br />
ซึ่งอยูในชวงที่ลูกกุงตาย<br />
100% และมีชีวิตรอด 100% จากการทดลองในขอ 1. เพื่อหาระดับความ<br />
เขมขน ของแอมโมเนียที่ทําใหลูกกุงตาย<br />
50% ภายในเวลา 24 ชั่วโมง<br />
โดยนําผลการทดลองจากการ<br />
ทดลองขั้นตนมาจัดระดับความเขมขนแอมโมเนียใหมตามสัดสวนลอกการิทึม<br />
โดยแบงระดับความ<br />
เขมขนเปน 7 ระดับ และกลุ มควบคุมที่ไมเติมสารเคมี<br />
3. การวิเคราะหขอมูล นําขอมูลอัตราการตายสะสมของลูกกุงที่<br />
24 ชั่วโมง<br />
วิเคราะห<br />
หาคา 24 hr-LC50 และคาฟงกชันความลาดเอียง (slope function) ที่ระดับความเชื่อมั่น<br />
95% ตามวิธี<br />
ของ Litchfield and Wilcoxon (1949)<br />
41
6. การศึกษาอัตราการใชออกซิเจนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลัน<br />
ของลูก<br />
กุงกุลาดํา<br />
ที่ไดรับอาหารที่ผสมเบทาอีนในระดับตาง<br />
ๆ กัน<br />
การศึกษาผลของการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลัน<br />
ซึ่งอาจจะทําใหลูกกุงเกิด<br />
ความเครียดโดยเมื่อเกิดความเครียดแลวจะทําใหอัตราเมทาบอลิซึมของรางกายสูงขึ้น<br />
ซึ่งสงผลให<br />
อัตราการหายใจมากขึ้นเพื่อนําออกซิเจนไปใชในกระบวนการเผาผลาญพลังงานในรางกาย<br />
6.1 การศึกษาผลของเบทาอีนตออัตราการใชออกซิเจนของลูกกุงหลังจากไดรับ<br />
อาหารที่มี<br />
สวนผสมของเบทาอีน ที่ระยะเวลา<br />
45 วัน<br />
การเตรียมการทดลอง<br />
นําขวดบีโอดีที่มีขนาด<br />
300 ซีซี ใสน้ําเค็มที่<br />
40 ppt และ 20 ppt ซึ่งผานการใหอากาศใน<br />
น้ําจนอิ่มตัวดวยออกซิเจน<br />
แลวนําไปคํานวณหาปริมาณออกซิเจนดวยวิธี Azidemodification<br />
Method<br />
การดําเนินการทดลอง<br />
สุมกุงตามระยะเวลาที่กําหนดของแตละทรีทเมนต<br />
เปนจํานวน 5 ตัว/ซ้ํา<br />
แลวนําไปชั่ง<br />
น้ําหนักรวม<br />
โดยคัดเลือกกุงที่มีขนาดใกลเคียงกัน<br />
เพื่อขจัดปญหาจากน้ําหนักตัวที่ไมเทากันซึ่งจะมี<br />
ผลตออัตราการใชออกซิเจน เสร็จแลวนํามาใสขวดบีโอดี<br />
ที่ความเค็ม<br />
20 ppt และ 40 ppt ทําการวิเคราะหออกซิเจนที่ระยะเวลา<br />
1 ชั่วโมงครึ่ง<br />
ดวยวิธี Azidemodification Winker Method แลวนําขอมูลไปเปรียบเทียบอัตราการใชออกซิเจนใน<br />
แตละชุดทดลอง<br />
42
การวิเคราะหขอมูลทางสถิติ<br />
การวิเคราะหผลการทดลองของอาหารทั้ง<br />
3 สูตร โดยวิเคราะหความแปรปรวน (Analysis<br />
of variance : ANOVA) และเปรียบเทียบความแตกตางของคาเฉลี่ยโดยวิธี<br />
Duncan’ New Multiple<br />
Range Test ที่ระดับความเชื่อมั่น<br />
95% (อนันตชัย, 2542)<br />
ตารางที่<br />
5 แผนการวิจัย (Timetable)<br />
แผนการดําเนินการ<br />
1. จัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ<br />
ในการเลี้ยง<br />
2. จัดเตรียมเครื่องมือในการทํา<br />
วิเคราะหตาง ๆ<br />
3. การเตรียมน้ําและตรวจสอบ<br />
คุณภาพน้ําเพื่อการเลี้ยงกุง<br />
4. อนุบาลลูกกุงกอนลงทดลอง<br />
5. ลงกุงทดลอง<br />
แลวดําเนินการ<br />
เลี้ยงเปนระยะเวลา<br />
2 เดือน<br />
6. นําขอมูลที่ไดไปวิเคราะห<br />
ทางสถิติ<br />
7. สรุปผลและวิจารณผล<br />
มีนาคม เมษายน พฤษภาคม มิถุนายน กรกฏาคม<br />
43
สถานที่ทําการทดลอง<br />
ภาควิชาเพาะเลี้ยงสัตวน้ํา<br />
คณะประมง มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร<br />
ระยะเวลาในการทดลอง<br />
มีนาคม 2548 – พฤษภาคม 2548 รวมระยะเวลาทดลอง 60 วัน<br />
44
ผลและวิจารณ<br />
1. การศึกษาการเจริญเติบโตและปริมาณอาหารที่ไดรับ<br />
1.1 การเจริญเติบโตและอัตรารอด<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
2 สัปดาหพบวาคา น้ําหนักเฉลี่ย,น้ําหนักเพิ่ม,น้ําหนักเพิ่ม<br />
เฉลี่ยตอวัน,อัตราการเจริญเติบโตจําเพาะมีคาไมแตกตางกันทางสถิติ<br />
(p>0.05) โดยมีคาอยูในชวง<br />
0.027-0.036 กรัม/ตัว ,0.586-0.968 กรัม/ตัว ,0.0007-0.0012 กรัม/ตัว/วัน และ 0.032-0.052<br />
เปอรเซ็นต/วันตามลําดับ สวนคาอัตรารอดมีคาแตกตางกันทางสถิติ (p0.05) ที่<br />
ระยะเวลา 4 สัปดาห มีคาอยูในชวง<br />
0.066-0.068 กรัม/ตัว ,2.888-2.992 กรัม/ตัว ,0.0017-0.0018<br />
กรัม/ตัว/วัน,0.048-0.049 เปอรเซ็นต/วัน และ 73.429-79.286 เปอรเซ็นตตามลําดับ ที่ระยะเวลา<br />
6<br />
สัปดาห มีคาอยูในชวง<br />
0.148-0.184 กรัม/ตัว ,7.703-9.841 กรัม/ตัว ,0.0038-0.0048 กรัม/ตัว/วัน<br />
,0.061-0.067 เปอรเซ็นต/วัน และ 77.381-80.952 เปอรเซ็นตตามลําดับ ดังตารางที่<br />
6<br />
45
ตารางที่<br />
6 การเจริญเติบโตและอัตรารอดของกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ<br />
กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
การ<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
เจริญเติบโต 0 % 0.75% 1.5%<br />
น้ําหนักเริ่มตน<br />
(กรัม/ตัว)<br />
2 สัปดาห<br />
0.017+0.003 -<br />
น้ําหนักเฉลี่ย<br />
(กรัม/ตัว)<br />
0.033+0.004 a 0.036+0.010 a 0.027+0.007 a 0.079<br />
น้ําหนักเพิ่ม<br />
(กรัม/ตัว)<br />
0.968+0.257 a 1.120+0.583 a 0.586+0.280 a 0.083<br />
น้ําหนักเพิ่ม<br />
เฉลี่ยตอวัน<br />
(กรัม/ตัว/วัน)<br />
0.0012+0.0003 a 0.0009+0.0000 a 0.0007+0.0003 a 0.067<br />
อัตราการ<br />
เจริญเติบโต<br />
จําเพาะ<br />
(เปอรเซ็นต/<br />
วัน)<br />
0.048+0.009 a 0.052+0.018 a 0.032+0.012 a 0.062<br />
อัตรารอด<br />
(เปอรเซ็นต)<br />
88.571+2.555 c 78.571+3.780 b 95.238+2.660 a 4 สัปดาห<br />
0.000<br />
น้ําหนักเฉลี่ย<br />
(กรัม/ตัว)<br />
0.066+0.014 a 0.068+0.013 a 0.066+0.016 a 0.973<br />
น้ําหนักเพิ่ม<br />
(กรัม/ตัว)<br />
2.888+0.853 a 2.992+0.755 a 2.894+0.918 a 0.973<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
6 (ตอ) การเจริญเติบโตและอัตรารอดของกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนที่ระดับ<br />
ตาง ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
การ<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
เจริญเติบโต<br />
4 สัปดาห<br />
0 % 0.75% 1.5%<br />
น้ําหนักเพิ่ม<br />
เฉลี่ยตอวัน<br />
(กรัม/ตัว/วัน)<br />
0.0018+0.0005 a 0.0018+0.0004 a 0.0017+0.0005 a 0.971<br />
อัตราการ<br />
เจริญเติบโต<br />
จําเพาะ<br />
(เปอรเซ็นต/<br />
วัน)<br />
0.048+0.008 a 0.049+0.007 a 0.048+0.007 a 0.930<br />
อัตรารอด<br />
(เปอรเซ็นต)<br />
73.429+5.402 a 77.619+6.303 a 79.286+10.488 a 6 สัปดาห<br />
0.474<br />
น้ําหนักเฉลี่ย<br />
(กรัม/ตัว)<br />
0.148+0.034 a 0.175+0.012 a 0.184+0.053 a 0.244<br />
น้ําหนักเพิ่ม<br />
(กรัม/ตัว)<br />
7.703+2.026 a 9.275+0.681 a 9.841+3.107 a 0.244<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที<br />
่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
6 (ตอ) การเจริญเติบโตและอัตรารอดของกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนที่ระดับ<br />
ตาง ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
การ<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
เจริญเติบโต<br />
6 สัปดาห<br />
0 % 0.75% 1.5%<br />
น้ําหนักเพิ่ม<br />
เฉลี่ยตอวัน<br />
(กรัม/ตัว/วัน)<br />
0.0038+0.0010 a 0.0045+0.0003 a 0.0048+0.0015 a 0.249<br />
อัตราการ<br />
เจริญเติบโต<br />
จําเพาะ<br />
(เปอรเซ็นต/<br />
วัน)<br />
0.061+0.006 a 0.067+0.002 a 0.067+0.008 a 0.195<br />
อัตรารอด<br />
(เปอรเซ็นต)<br />
80.952+10.562 a 77.381+10.078 a 79.762+15.344 a 0.877<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p0.05) มีคาอยูในชวง<br />
0.317-0.385 กรัม/ตัว ,17.665-21.640 กรัม/ตัว ,0.0072-0.0088 กรัม/ตัว/วัน,0.070-0.074 เปอรเซ็นต/<br />
วัน และ 67.000-77.250 เปอรเซ็นตตามลําดับ ดังตารางที่<br />
7<br />
48
ตารางที่<br />
7 การเจริญเติบโตและอัตรารอดของกุงกุลาดําหลังจากหยุดอาหารผสมเบทาอีน<br />
เปน<br />
ระยะเวลา 15 วัน ในการเลี้ยง<br />
(คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
การ ระดับเบทาอีนในอาหารที่ไดรับกอนการศึกษา<br />
p-value<br />
เจริญเติบโต 0 % 0.75% 1.5%<br />
น้ําหนักเฉลี่ย<br />
(กรัม/ตัว)<br />
0.317+0.032 a 0.320+0.065 a 0.385+0.037 a 0.187<br />
น้ําหนักเพิ่ม<br />
(กรัม/ตัว)<br />
17.665+1.903 a 17.802+3.843 a 21.640+2.169 a 0.189<br />
น้ําหนักเพิ่ม<br />
เฉลี่ยตอวัน<br />
(กรัม/ตัว/วัน)<br />
0.0072+0.0008 a 0.0072+0.0016 a 0.0088+0.0009 a 0.189<br />
อัตราการ<br />
เจริญเติบโต<br />
จําเพาะ<br />
(เปอรเซ็นต/<br />
วัน)<br />
0.070+0.002 a 0.070+0.005 a 0.074+0.002 a 0.248<br />
อัตรารอด<br />
(เปอรเซ็นต)<br />
77.250+8.578 a 68.250+10.532 a 67.000+23.516 a 0.590<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที<br />
่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
กรัม<br />
0.45<br />
0.4<br />
0.35<br />
0.3<br />
0.25<br />
0.2<br />
0.15<br />
0.1<br />
0.05<br />
0<br />
หยุดใหอาหารเสริมเบทาอีน<br />
0 2 4 6 8<br />
สัปดาห<br />
ภาพที่<br />
7 อัตราการเจริญเติบโตของกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนระดับตาง<br />
ๆ<br />
100<br />
80<br />
60<br />
อัตรารอด<br />
40<br />
20<br />
0<br />
ไมเสริมเบทาอีน เบทาอีน 0.75% เบทาอีน 1.5%<br />
ไมเสริมเบทาอีน<br />
เบทาอีน 0.75%<br />
เบทาอีน 1.5%<br />
ภาพที่<br />
8 อัตรารอดเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยงของกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนระดับตาง<br />
ๆ<br />
จากผลการศึกษาพบวาการเจริญเติบโต จะมีคาไมแตกตางกันระหวางชุดทดลอง โดย<br />
ในการศึกษาของ Penaflorida and Virtanen (1996) ที่ทําการเสริมเบทาอีนที่ระดับ<br />
0.5,1.5 และ 2.0<br />
% ในกุงกุลาดําระยะจูเวนไนล<br />
พบวาอัตรารอด ,อัตราการเจริญเติบโตจําเพาะ มีคาไมแตกตางกัน<br />
ทางสถิติ (p>0.05) แตน้ําหนักที่เพิ่มขึ้นมีคาแตกตางกันทางสถิติ<br />
(p
6-8 สัปดาหกุงจะมีอัตราการเจริญเติบโตสูงสุดดังภาพที่<br />
7 กุงเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยงจะมีอัตรารอดไม<br />
แตกตางกัน ดังภาพที่<br />
8<br />
1.2 ประสิทธิภาพการใชประโยชนอาหาร<br />
จากการศึกษาประสิทธิภาพการใชประโยชนอาหารของกุงที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีน<br />
0,0.75 และ 1.5% ที่ระยะเวลา<br />
2 สัปดาหซึ่งใหอาหารตอวัน<br />
0.180 กรัม และปริมาณอาหารสะสม<br />
ทั้งหมดเปน<br />
2.520 กรัม พบวาคาอัตราการกินอาหารตอวัน มีคาแตกตางกันทางสถิติ(p0.05) โดยมีคาอยูในชวง<br />
11.605-12.560<br />
เปอรเซ็นต/วัน และ3.176-4.991 ตามลําดับ ดังตารางที่<br />
8<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
4,6 สัปดาหซึ่งใหอาหารตอวัน<br />
0.300 และ0.720 กรัม<br />
ตามลําดับ และปริมาณอาหารสะสมทั้งหมดเปน<br />
6.720 และ16.800 กรัม ตามลําดับ พบวาคา อัตรา<br />
การกินอาหารตอวัน, อัตราการกินอาหาร และอัตราการเปลี่ยนอาหารเปนเนื้อมีคาไมแตกตางกันทาง<br />
สถิติ (p>0.05) ที่ระยะเวลา<br />
4 สัปดาหมีคาอยูในชวง<br />
0.0043-0.0046 กรัม/ตัว/วัน ,10.714-11.480<br />
เปอรเซ็นต/วัน และ 2.968-3.284 ตามลําดับ ที่ระยะเวลา<br />
6 สัปดาหมีคาอยูในชวง<br />
0.0086-0.0090<br />
กรัม/ตัว/วัน ,9.218-10.637 เปอรเซ็นต/วัน และ 2.065-2.465 ตามลําดับ ดังตารางที่<br />
8<br />
51
ตารางที่<br />
8 อาหารที่ใหและประสิทธิภาพของอาหาร<br />
ในกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนที่<br />
ระดับตาง ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ประสิทธิภาพ<br />
การใช<br />
ประโยชน<br />
อาหาร<br />
2 สัปดาห<br />
ปริมาณอาหาร<br />
ที่ใหตอวัน<br />
(กรัม)<br />
ปริมาณอาหาร<br />
สะสม (กรัม)<br />
อัตราการกิน<br />
อาหารตอวัน<br />
(กรัม/ตัว/วัน)<br />
อัตราการกิน<br />
อาหาร<br />
(เปอรเซ็นต/<br />
วัน)<br />
อัตราการ<br />
เปลี่ยนอาหาร<br />
เปนเนื้อ<br />
0 %<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
0.75% 1.5%<br />
p-value<br />
0.180 0.180 0.180 -<br />
2.520 2.520 2.520 -<br />
0.0029+0.0000 b 0.0033+0.0001 a 0.0027+0.0000 c 0.000<br />
11.605+1.265 a 12.560+1.610 a 12.402+1.248 a 0.490<br />
3.176+1.192 a 3.905+1.760 a 4.991+1.980 a 0.205<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที<br />
่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
8 (ตอ) อาหารที่ใหและประสิทธิภาพของอาหาร<br />
ในกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนที่<br />
ระดับตาง ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ประสิทธิภาพ<br />
การใช<br />
ประโยชน<br />
อาหาร<br />
4 สัปดาห<br />
ปริมาณอาหาร<br />
ที่ใหตอวัน<br />
(กรัม)<br />
ปริมาณอาหาร<br />
สะสม (กรัม)<br />
อัตราการกิน<br />
อาหารตอวัน<br />
(กรัม/ตัว/วัน)<br />
อัตราการกิน<br />
อาหาร<br />
(เปอรเซ็นต/<br />
วัน)<br />
อัตราการ<br />
เปลี่ยนอาหาร<br />
เปนเนื้อ<br />
0 %<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
0.75% 1.5%<br />
p-value<br />
0.300 0.300 0.300 -<br />
6.720 6.720 6.720 -<br />
0.0046+0.0003 a 0.0044+0.0004 a 0.0043+0.0005 a 0.516<br />
11.480+1.475 a 10.714+2.168 a 10.840+2.415 a 0.817<br />
3.284+0.908 a 2.968+1.107 a 3.071+1.149 a 0.886<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที<br />
่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
8 (ตอ) อาหารที่ใหและประสิทธิภาพของอาหาร<br />
ในกุงกุลาดําที่ไดรับอาหารผสมเบทาอีนที่<br />
ระดับตาง ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ประสิทธิภาพ<br />
การใช<br />
ประโยชน<br />
อาหาร<br />
6 สัปดาห<br />
ปริมาณอาหาร<br />
ที่ใหตอวัน<br />
(กรัม)<br />
ปริมาณอาหาร<br />
สะสม (กรัม)<br />
อัตราการกิน<br />
อาหารตอวัน<br />
(กรัม/ตัว/วัน)<br />
อัตราการกิน<br />
อาหาร<br />
(เปอรเซ็นต/<br />
วัน)<br />
อัตราการ<br />
เปลี่ยนอาหาร<br />
เปนเนื้อ<br />
0 %<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
0.75% 1.5%<br />
p-value<br />
0.720 0.720 0.720 -<br />
16.800 16.800 16.800 -<br />
0.0086+0.0012 a 0.0090+0.0011 a 0.0089+0.0017 a 0.899<br />
10.637+1.731 a 9.427+1.520 a 9.218+2.780 a 0.463<br />
2.465+0.520 a 2.087+0.398 a 2.065+0.777 a 0.435<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
การเปลี่ยนอาหารเปนเนื้อมีคาไมแตกตางกันทางสถิติ<br />
(p>0.05) มีคาอยูในชวง<br />
0.0118-0.0147 กรัม/<br />
ตัว/วัน ,7.128-8.273 เปอรเซ็นต/วัน และ 1.664-1.957 ตามลําดับ ดังตารางที่<br />
9<br />
ตารางที่<br />
9 อาหารที่ใหและประสิทธิภาพของอาหาร<br />
ในกุงกุลาดําหลังจากหยุดอาหารผสมเบทาอีน<br />
เปนเวลา 15 วัน(คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ประสิทธิภาพ<br />
การใช<br />
ประโยชน<br />
อาหาร<br />
ปริมาณอาหาร<br />
ที่ใหตอวัน<br />
(กรัม)<br />
ปริมาณอาหาร<br />
สะสม (กรัม)<br />
อัตราการกิน<br />
อาหารตอวัน<br />
(กรัม/ตัว/วัน)<br />
อัตราการกิน<br />
อาหาร<br />
(เปอรเซ็นต/<br />
วัน)<br />
อัตราการ<br />
เปลี่ยนอาหาร<br />
เปนเนื้อ<br />
ระดับเบทาอีนในอาหารที่ไดรับกอนการศึกษา<br />
0 % 0.75% 1.5%<br />
p-value<br />
1.500 1.500 1.500 -<br />
37.800 37.800 37.800 -<br />
0.0118+0.0014 a 0.0134+0.0018 a 0.0147+0.0056 a 0.496<br />
7.128+1.415 a 8.273+2.292 a 7.488+3.467 a 0.794<br />
1.664+0.357 a 1.957+0.589 a 1.748+0.865 a 0.787<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
อัตราการเปลี่ยน<br />
อาหารเปนเนื้อ<br />
2<br />
1.9<br />
1.8<br />
1.7<br />
1.6<br />
1.5<br />
ไมเสริมเบทาอีน เบทาอีน 0.75% เบทาอีน 1.5%<br />
ภาพที่<br />
9 อัตราการเปลี่ยนอาหารเปนเนื้อเมื่อสิ้นสุดการเลี้ยงของกุงกุลาดําที่ไดรับอาหาร<br />
ผสมเบทาอีนระดับตาง ๆ<br />
จากผลที่ไดจะเห็นไดวาที่คาตาง<br />
ๆ จะมีคาไมแตกตางกันระหวางชุดทดลอง กุงเมื่อ<br />
สิ้นสุดการเลี้ยงจะมีอัตราการเปลี่ยนอาหารเปนเนื้อไมแตกตางกัน<br />
โดยจะมีแนวโนมอัตราการ<br />
เปลี่ยนอาหารเปนเนื้อนอยที่สุดในชุดไมเสริมเบทาอีน<br />
ดังภาพที่<br />
9<br />
2. การศึกษาความทนทานตอการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลันของลูกกุงกุลาดําที่ไดรับ<br />
อาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีนในระดับตาง<br />
ๆ กัน<br />
2.1 การศึกษาผลของเบทาอีนตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
ของลูกกุง<br />
หลังจากไดรับอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
ที่ระยะเวลา<br />
0,15,30 และ45 วัน (จาก 20<br />
พีพีทีเปน 40 พีพีที)<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
0 สัปดาห (ยังไมไดรับอาหารทดลอง) พบวาหลังจากยายกุง<br />
ที่เลี้ยงที่ความเค็ม<br />
20 พีพีทีมานั้น<br />
ที่ระยะเวลาภายใน<br />
30 นาทีจะไมมีการตายเกิดขึ้น<br />
จนเมื่อเวลาผาน<br />
ไปที่<br />
60 นาทีจะเริ่มมีอัตราการตายเกิดขึ้นที่<br />
8.89+10.54 เปอรเซ็นต และจะเพิ่มขึ้นอยางรวดเร็วเปน<br />
24.44+15.09 เปอรเซ็นต จากนั้นจะคอยเพิ่มขึ้นจนถึงที่ระยะเวลา<br />
6 ชั่วโมงอัตราการตายจะคอยคงที่<br />
จนถึงที่<br />
24 ชั่วโมงจะมีอัตราการตายสูงสุดคือ<br />
52.22+14.81 เปอรเซ็นต ดังตารางที่<br />
10<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
2 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่ความเค็ม<br />
20 พีพีทีมา<br />
นั้นภายในระยะเวลา<br />
15 นาที จะไมมีการตายของกุงเกิดขึ้น<br />
ที่ระยะเวลา<br />
30 นาทีจะเริ่มมีการตายของ<br />
56
กุงเกิดขึ้นเล็กนอยในชุดควบคุม<br />
และชุดที่เสริมเบทาอีนที่ระดับ<br />
1.5 % ที่ระยะเวลา<br />
60 นาที จะเริ่มมี<br />
การตายเกิดขึ้นเล็กนอยในชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0.75% ที่ระยะเวลา<br />
30 ถึง 90 นาที จะมีไมมีความ<br />
แตกตางกันทางสถิติ (p>0.05) ของการตาย ที่ระยะเวลา<br />
120 และ 180 นาที การตายจะมีความ<br />
แตกตางทางสถิติ (p0.05) ดังตารางที่<br />
10<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
4 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่ความเค็ม<br />
20 พีพีทีมา<br />
นั้นภายในระยะเวลา<br />
30 นาที จะไมมีการตายของกุงเกิดขึ้น<br />
ระยะเวลา 60 นาทีจะเริ่มมีอัตราการตาย<br />
เกิดขึ้น<br />
ชวงระยะเวลา 60 นาทีถึง 24 ชั่วโมงอัตราการตายไมมีความแตกตางกันทางสถิติ<br />
(p>0.05)<br />
ดังตารางที่<br />
10<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
6 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่ความเค็ม<br />
20 พีพีทีมา<br />
นั้นภายในระยะเวลา<br />
30 นาที จะไมมีการตายของกุงเกิดขึ้น<br />
ระยะเวลา 60 นาทีจะเริ่มมีอัตราการตาย<br />
เกิดขึ้น<br />
ในชุดควบคุม สวนชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0.75% จะเริ่มตายที่ระยะเวลา<br />
90 นาที สวนชุดที่<br />
เสริมเบทาอีนจะไมมีการตายเกิดเลยทุกชวงเวลา โดยชวงระยะเวลา 60 นาที ถึง 180 อัตราการตาย<br />
ไมมีความแตกตางกันทางสถิติ (p>0.05) สวนที่ระยะเวลา<br />
6 ถึง 24 ชั่วโมง<br />
มีความแตกตางกันอยางมี<br />
นัยสําคัญทางสถิติระหวางชุดควบคุมกับชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
1.5% โดยคาที่ไดชุดควบคุม,ชุดเสริม<br />
เบทาอีน 0.75% และชุดเสริมเบทาอีน 1.5% ที่ระยะเวลา<br />
6 ชั่วโมงมีคา<br />
11.67+ 11.69,3.33+5.16 และ<br />
0.00+0.00 เปอรเซ็นต ตามลําดับ ที่ระยะเวลา<br />
12,24 ชั่วโมงมีคา<br />
20.00+ 20.98,5.00+5.48 และ<br />
0.00+0.00 เปอรเซ็นต ตามลําดับ ดังตารางที่<br />
10<br />
57
ตารางที่<br />
10 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีทีเปน 40 พีพีที อยางเฉียบพลัน<br />
ของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
0 สัปดาห<br />
(ยังไมไดรับ<br />
อาหารทดลอง)<br />
5 นาที 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 -<br />
30 นาที 0.00 -<br />
60 นาที 8.89+10.54 -<br />
90 นาที 24.44+15.09 -<br />
120 นาที 31.11+14.53 -<br />
180 นาที 36.67+15.00 -<br />
6 ชั่วโมง<br />
46.67+20.62 -<br />
12 ชั่วโมง<br />
50.00+16.58 -<br />
24 ชั่วโมง<br />
2 สัปดาห<br />
52.22+14.81 -<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
30 นาที 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.616<br />
60 นาที 1.67+4.08 a 3.33+5.16 a 1.67+4.08 a 0.761<br />
90 นาที 1.67+4.08 a 5.00+5.48 a 6.67+5.16 a 0.236<br />
120 นาที 1.67+4.08 b 6.67+5.16 ab 13.33+8.17 a 0.015<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
10 (ตอ) อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีทีเปน 40 พีพีที อยาง<br />
เฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
2 สัปดาห<br />
180 นาที 6.67+5.16 b 8.33+7.53 ab 16.67+5.16 a 0.026<br />
6 ชั่วโมง<br />
18.33+13.29 a 18.33+9.83 a 23.33+8.17 a 0.651<br />
12 ชั่วโมง<br />
18.33+13.29 a 18.33+9.83 a 23.33+8.17 a 0.651<br />
24 ชั่วโมง<br />
30.00+10.95 a 30.00+6.33 a 36.67+12.11 a 4 สัปดาห<br />
0.439<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
30 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
60 นาที 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 0.391<br />
90 นาที 3.33+5.16 a 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 0.116<br />
120 นาที 3.33+5.16 a 1.67+4.08 a 5.00+8.37 a 0.651<br />
180 นาที 6.67+5.16 a 3.33+5.16 a 8.33+11.69 a 0.554<br />
6 ชั่วโมง<br />
8.33+7.53 a 6.67+5.16 a 8.33+11.69 a 0.927<br />
12 ชั่วโมง<br />
10.00+6.33 a 13.33+8.17 a 10.00+12.65 a 0.782<br />
24 ชั่วโมง<br />
15.00+8.37 a 13.33+8.17 a 11.67+13.29 a 6 สัปดาห<br />
0.854<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
30 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที<br />
่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
10 (ตอ) อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีทีเปน 40 พีพีที อยาง<br />
เฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
6 สัปดาห<br />
60 นาที 3.33+8.17 a 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 0.391<br />
90 นาที 3.33+8.17 a 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 0.561<br />
120 นาที 3.33+8.17 a 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 0.561<br />
180 นาที 10.00+10.96 a 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 0.047<br />
6 ชั่วโมง<br />
11.67+11.69 a 3.33+5.16 ab 0.00+0.00 b 0.041<br />
12 ชั่วโมง<br />
20.00+20.98 a 5.00+5.48 ab 0.00+0.00 b 0.037<br />
24 ชั่วโมง<br />
20.00+20.98 a 5.00+5.48 ab 0.00+0.00 b 0.037<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p0.05) ดัง<br />
ตารางที่<br />
11<br />
60
ตารางที่<br />
11 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีทีเปน 40 พีพีที อยางเฉียบพลัน<br />
ของกุงกุลาดํา<br />
หลังจากเปลี่ยนอาหารเปนไมมีสวนผสมของเบทาอีน<br />
เปนเวลา 15 วัน<br />
(คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา ระดับเบทาอีนในอาหารที่ไดรับกอนการศึกษา<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
5 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
15 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 3.33+5.16 a 0.116<br />
30 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 3.33+5.16 a 0.116<br />
60 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 3.33+5.16 a 0.116<br />
90 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 3.33+5.16 a 0.116<br />
120 นาที 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 5.00+8.37 a 0.290<br />
180 นาที 1.67+4.08 a 3.33+5.16 a 5.00+8.37 a 0.651<br />
6 ชั่วโมง<br />
3.33+5.16 a 3.33+5.16 a 8.33+11.69 a 0.472<br />
12 ชั่วโมง<br />
3.33+5.16 a 5.00+5.48 a 8.33+11.69 a 0.560<br />
24 ชั่วโมง<br />
5.00+5.48 a 5.00+5.48 a 8.33+11.69 a 0.718<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
หยุดใหเบทาอีนที่ระยะเวลา<br />
8 สัปดาห จะทําใหอัตราการตายไมมีคาแตกตางกันระหวางชุดการ<br />
ทดลอง แสดงใหเห็นวาการใหเบทาอีนนั้นจะตองใหอยางตอเนื่อง<br />
2.3 การศึกษาผลของเบทาอีนตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
ของลูกกุง<br />
หลังจากไดรับอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
ที่ระยะเวลา<br />
0,15,30 และ45 วัน (จาก 20<br />
พีพีทีเปน 0 พีพีที)<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
0 สัปดาห (ยังไมไดรับอาหารทดลอง) พบวาหลังจากยายกุง<br />
ที่เลี้ยงที่ความเค็ม<br />
20 พีพีทีมานั้น<br />
ที่ระยะเวลาภายใน<br />
15 นาทีจะไมมีการตายเกิดขึ้น<br />
แตจะเริ่มตายที่<br />
ระยะเวลา 30 นาที และตาย 100 % ที่ระยะเวลา<br />
60 นาที ดังตารางที่<br />
12<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
2 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่ความเค็ม<br />
20 พีพีทีมา<br />
นั้น<br />
ที่ระยะเวลาภายใน<br />
5 นาทีจะไมมีการตายเกิดขึ้น<br />
แตจะเริ่มตายที่ระยะเวลา<br />
15 นาที ในชุด<br />
ควบคุม สวนชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0.75% และ 1.5% จะเริ่มตายที่ระยะเวลา<br />
30 นาที ที่ระยะเวลา<br />
15<br />
และ 30 นาที อัตราการตายไมมีความแตกตางกันทางสถิติ ที่ระยะเวลา<br />
60 นาที อัตราการตายจะมี<br />
ความแตกตางทางสถิติ (p0.05) ที่<br />
ระยะเวลา 120 นาทีอัตราการตายมีความแตกตางกันทางสถิติ (p0.05) ดังตารางที่<br />
12<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
4 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่ความเค็ม<br />
20 พีพีทีมา<br />
นั้น<br />
ที่ระยะเวลาภายใน<br />
5 นาทีจะไมมีการตายเกิดขึ้นในชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0.75% สวนชุดควบคุม<br />
และชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
1.5% จะมีการตายเริ่มที่<br />
5 นาทีแรก โดยที่ระยะเวลา<br />
5 นาทีถึง 60 นาทีอัตรา<br />
การตายไมมีความแตกตางกันทางสถิติ (p>0.05) ระยะเวลา 90 นาทีอัตราการตายจะมีความแตกตาง<br />
กันทางสถิติ (p
เปอรเซ็นต ตามลําดับ ระยะเวลา 120 นาทีถึง 24 ชั่วโมงอัตราการตายไมมีความแตกตางกันทางสถิติ<br />
(p>0.05) ดังตารางที่<br />
12<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
6 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่ความเค็ม<br />
20 พีพีทีมา<br />
นั้น<br />
ที่ระยะเวลาภายใน<br />
15 นาทีจะไมมีการตายเกิดขึ้นทุกชุดการทดลอง<br />
ที่ระยะเวลา<br />
30 นาที จะเริ่ม<br />
มีอัตราการตายของชุดควบคุม และอัตราการตายมีความแตกตางกันทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
12 (ตอ) อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีทีเปน 0 พีพีที อยาง<br />
เฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
0 สัปดาห<br />
(ยังไมไดรับ<br />
อาหารทดลอง)<br />
90 นาที 100.00+0.00 -<br />
120 นาที 100.00+0.00 -<br />
180 นาที 100.00+0.00 -<br />
6 ชั่วโมง<br />
100.00+0.00 -<br />
12 ชั่วโมง<br />
100.00+0.00 -<br />
24 ชั่วโมง<br />
2 สัปดาห<br />
100.00+0.00 -<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 3.33+5.16 a 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 0.116<br />
30 นาที 8.33+7.53 a 3.33+5.16 a 3.33+5.16 a 0.286<br />
60 นาที 20.00+6.33 a 6.67+8.17 b 6.67+5.16 b 0.004<br />
90 นาที 36.67+10.33 a 23.33+5.16 a 30.00+10.96 a 0.072<br />
120 นาที 73.33+10.33 a 43.33+12.11 b 40.00+22.80 b 0.050<br />
180 นาที 80.00+10.96 a 75.00+18.71 a 75.00+24.29 a 0.869<br />
6 ชั่วโมง<br />
85.00+8.37 a 83.33+19.66 a 78.33+24.01 a 0.813<br />
12 ชั่วโมง<br />
86.67+10.33 a 85.00+19.75 a 78.33+24.01 a 0.727<br />
24 ชั่วโมง<br />
90.00+8.94 a 86.67+17.51 a 81.67+22.29 a 0.705<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที<br />
่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
12 (ตอ) อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีทีเปน 0 พีพีที อยาง<br />
เฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
4 สัปดาห<br />
5 นาที 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.616<br />
15 นาที 1.67+4.08 a 1.67+4.08 a 1.67+4.08 a 1.000<br />
30 นาที 10.00+8.94 a 6.67+8.17 a 8.33+11.69 a 0.840<br />
60 นาที 33.33+10.33 a 16.67+10.33 a 28.33+21.37 a 0.175<br />
90 นาที 55.00+10.49 a 38.33+14.72 ab 30.00+20.00 b 0.040<br />
120 นาที 66.67+10.33 a 46.67+20.66 a 38.33+24.83 a 0.064<br />
180 นาที 81.67+13.29 a 65.00+25.88 a 56.67+20.66 a 0.135<br />
6 ชั่วโมง<br />
90.00+10.96 a 75.00+28.81 a 70.00+27.57 a 0.346<br />
12 ชั่วโมง<br />
93.33+8.17 a 81.67+21.37 a 75.00+24.29 a 0.279<br />
24 ชั่วโมง<br />
93.33+10.33 a 83.33+22.51 a 76.67+22.51 a 6 สัปดาห<br />
0.349<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
30 นาที 5.00+5.48 a 0.00+0.00 b 0.00+0.00 b 0.022<br />
60 นาที 13.33+12.11 a 13.33+12.11 a 5.00+8.37 a 0.344<br />
90 นาที 33.33+30.77 a 21.67+17.22 a 15.00+15.17 a 0.374<br />
120 นาที 38.33+27.14 a 31.68+14.72 a 23.33+21.60 a 0.505<br />
180 นาที 83.33+19.66 a 63.33+18.62 a 63.33+25.03 a 0.205<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที<br />
่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
12 (ตอ) อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีทีเปน 0 พีพีที อยาง<br />
เฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
6 สัปดาห<br />
6 ชั่วโมง<br />
100.00+0.00 a 93.33+12.11 a 86.67+15.07 a 0.152<br />
12 ชั่วโมง<br />
100.00+0.00 a 93.33+12.11 a 90.00+12.65 a 0.250<br />
24 ชั่วโมง<br />
100.00+0.00 a 93.33+12.11 a 93.33+12.11 a 0.424<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p0.05) ดังตารางที่<br />
13<br />
66
ตารางที่<br />
13 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20 พีพีทีเปน 0 พีพีที อยาง<br />
เฉียบพลันของกุงกุลาดํา<br />
หลังจากเปลี่ยนอาหารเปนไมมีสวนผสมของเบทาอีน<br />
เปน<br />
เวลา 15 วัน(คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา ระดับเบทาอีนในอาหารที่ไดรับกอนการศึกษา<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 3.33+5.16 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.342<br />
30 นาที 8.33+7.53 a 8.33+4.08 a 6.67+5.16 a 0.848<br />
60 นาที 15.00+13.78 a 20.00+15.49 a 15.00+13.78 a 0.788<br />
90 นาที 25.00+20.74 a 26.67+18.62 a 20.00+14.14 a 0.804<br />
120 นาที 28.33+21.37 a 31.67+14.72 a 26.67+17.51 a 0.889<br />
180 นาที 56.67+24.22 a 55.00+17.61 a 55.00+16.43 a 0.986<br />
6 ชั่วโมง<br />
86.67+17.51 a 71.67+18.35 a 78.33+11.69 a 0.301<br />
12 ชั่วโมง<br />
88.33+18.35 a 76.67+23.38 a 83.33+15.06 a 0.585<br />
24 ชั่วโมง<br />
90.00+15.49 a 81.67+21.37 a 85.00+16.43 a 0.726<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ไอออน จะทําใหตัวพองและน้ําหนักตัวเพิ่มขึ้น<br />
ซึ่งจะทําใหการทํางานของกระบวนการเมตาบอลิซึม<br />
ผิดปกติ (Cattaert et al., 1994) หรือเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของความเขมขนของสารละลาย<br />
ภายนอกที่มีความเจือจางกวาภายในรางกาย<br />
ซึ่งสัตวน้ําจะตอบสนองดวยการลดการแพรออกของ<br />
โซเดียมไอออน และคลอไรดไอออน ที่จะทําใหปริมาณไอออนในน้ําเลือด<br />
และคลอไรดไอออน<br />
ลดลง ทําใหสัตวน้ําตายได<br />
(Eddy, 1981; Chen and Lin, 1994)<br />
3. การศึกษาความทนทานตอการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิอยางเฉียบพลันของของลูกกุงกุลาดําที่ไดรับ<br />
อาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีนในระดับตาง<br />
ๆ กัน<br />
3.1 การศึกษาผลของเบทาอีนที่ตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ<br />
ของลูกกุง<br />
หลังจากไดรับอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
ที่ระยะเวลา<br />
0,15,30 และ45 วัน (อุณหภูมิ<br />
ปกติไปเปน 35 องศาเซสเซียส)<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
0 สัปดาห (ยังไมไดรับอาหารทดลอง) พบวาหลังจากยายกุง<br />
ที่เลี้ยงที่อุณหภูมิปกติมานั้น<br />
ทุกระยะเวลาไมมีอัตราการตายของกุงเกิดขึ้น<br />
ดังตารางที่<br />
14<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
2 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่อุณหภูมิปกติมานั้น<br />
ชุดความคุมและชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0.75% จะไมมีอัตราการตายทุกชวงเวลา สวนชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
1.5% จะมีอัตราการตายเกิดขึ้น ที่ระยะเวลา<br />
5 นาที หลังจากนั้นไมมีการตายเกิดเพิ่มขึ้น<br />
ทุก<br />
ระยะเวลาไมมีความแตกตางกันทางสถิติ (p>0.05) ดังตารางที่<br />
14<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
4 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่อุณหภูมิปกติมานั้น<br />
ระยะเวลา 5 ถึง 30 นาทีจะไมมีการตายเกิดขึ้นทุกชุดการทดลอง<br />
ที่ระยะเวลา<br />
60 นาที จะเริ่มมีการ<br />
ตายของชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
1.5% ที่ระยะเวลา<br />
90 นาทีจะเริ่มมีการตายของชุดควบคุม<br />
สวนชุดที่<br />
เสริมเบทาอีนไมมีการตายเกิดขึ้นทุกชวงเวลา<br />
ที่ระยะเวลา<br />
60 นาทีถึง 24 ชั่วโมงอัตราการตายไมมี<br />
ความแตกตางกันทางสถิติ (p>0.05) ดังตารางที่<br />
14<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
6 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่อุณหภูมิปกติมานั้น<br />
ระยะเวลา 5 ถึง 90 นาทีจะไมมีการตายเกิดขึ้นทุกชุดการทดลอง<br />
ที่ระยะเวลา<br />
120 นาที จึงจะเริ่มมี<br />
68
การตายของทุกชุดการทดลอง ที่ระยะเวลา<br />
120 นาทีถึง 24 ชั่วโมงอัตราการตายไมมีความแตกตาง<br />
กันทางสถิติ (p>0.05) ดังตารางที่<br />
14<br />
ตารางที่<br />
14 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติเปน<br />
35 องศาเซสเซียส<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
0 สัปดาห<br />
(ยังไมไดรับ<br />
อาหารทดลอง)<br />
5 นาที 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 -<br />
30 นาที 0.00 -<br />
60 นาที 0.00 -<br />
90 นาที 0.00 -<br />
120 นาที 0.00 -<br />
180 นาที 0.00 -<br />
6 ชั่วโมง<br />
0.00 -<br />
12 ชั่วโมง<br />
0.00 -<br />
24 ชั่วโมง<br />
2 สัปดาห<br />
0.00 -<br />
5 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
15 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
30 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
14 (ตอ) อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติเปน<br />
35 องศาเซสเซียส<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
2 สัปดาห<br />
60 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
90 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
120 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
180 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
6 ชั่วโมง<br />
0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
12 ชั่วโมง<br />
0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
24 ชั่วโมง<br />
0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 4 สัปดาห<br />
0.391<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
30 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
60 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
90 นาที 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.616<br />
120 นาที 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.616<br />
180 นาที 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.616<br />
6 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.616<br />
12 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.616<br />
24 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.616<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที<br />
่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
14 (ตอ) อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติเปน<br />
35 องศาเซสเซียส<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
6 สัปดาห<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
30 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
60 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
90 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
120 นาที 3.33+5.16 a 1.67+4.08 a 3.33+5.16 a 0.791<br />
180 นาที 3.33+5.16 a 1.67+4.08 a 8.33+16.02 a 0.502<br />
6 ชั่วโมง<br />
6.67+8.16 a 3.33+8.17 a 8.33+16.02 a 0.746<br />
12 ชั่วโมง<br />
10.00+15.49 a 3.33+8.17 a 10.00+15.49 a 0.623<br />
24 ชั่วโมง<br />
18.33+18.35 a 10.00+12.65 a 20.00+22.80 a 0.612<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p0.05) ดังตารางที่<br />
15<br />
71
ตารางที่<br />
15 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติเปน<br />
35 องศาเซสเซียส<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําหลังจากเปลี่ยนอาหารเปนไมมีสวนผสมของเบทาอีน<br />
เปนเวลา 15 วัน(คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา ระดับเบทาอีนในอาหารที่ไดรับกอนการศึกษา<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
30 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
60 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
90 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
120 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
180 นาที 3.33+5.77 a 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 0.422<br />
6 ชั่วโมง<br />
3.33+5.77 a 0.00+0.00 a 3.33+5.77 a 0.630<br />
12 ชั่วโมง<br />
3.33+5.77 a 0.00+0.00 a 6.67+5.77 a<br />
0.296<br />
24 ชั่วโมง<br />
3.33+5.77 a 0.00+0.00 a 6.67+5.77 a<br />
0.296<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
จะสรางฮอรโมนเพื่อยับยั้งการสรางฮีโมไซยานิน<br />
มีผลทําใหกุงมีอาการออนเพลีย<br />
กินอาหารนอยลง<br />
(ประจวบ, 2537)<br />
3.3 การศึกษาผลของเบทาอีนที่ตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิ<br />
ของลูกกุง<br />
หลังจากไดรับอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
ที่ระยะเวลา<br />
0,15,30 และ45 วัน (อุณหภูมิ<br />
ปกติไปเปน 15 องศาเซสเซียส)<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
0 สัปดาห (ยังไมไดรับอาหารทดลอง) พบวาหลังจากยายกุง<br />
ที่เลี้ยงที่อุณหภูมิปกติมานั้น<br />
ระยะเวลา 5 ถึง 6 ชั่วโมง<br />
จะไมมีการตายเกิดขึ้นทุกชุดการทดลอง<br />
ที่<br />
ระยะเวลา 12 ชั่วโมง<br />
จึงจะเริ่มมีการตายของทุกชุดการทดลอง<br />
ดังตารางที่<br />
16<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
2 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่อุณหภูมิปกติมานั้น<br />
ระยะเวลา 5 นาที จะไมมีการตายเกิดขึ้นทุกชุดการทดลอง<br />
ที่ระยะเวลา<br />
15 นาที ชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
1.5% จะมีการตายเกิดขึ้น<br />
ที่ระยะเวลา<br />
180 นาทีชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0.75% จะเริ่มมีการตายเกิดขึ้น<br />
ที่<br />
ระยะเวลา 6 ชั่วโมง<br />
ชุดควบคุม จะเริ่มมีการตายเกิดขึ้น<br />
ที่ระยะเวลา<br />
15 นาทีถึง24 ชั่วโมงอัตราการ<br />
ตายไมมีความแตกตางกันทางสถิติ (p>0.05) ดังตารางที่<br />
16<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
4 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่อุณหภูมิปกติมานั้น<br />
ระยะเวลา 5 ถึง 180 นาที จะไมมีการตายเกิดขึ้นทุกชุดการทดลอง<br />
ที่ระยะเวลา<br />
6 ชั่วโมง<br />
ชุดที่<br />
เสริมเบทาอีน 0.75% จะมีการตายเกิดขึ้น<br />
ที่ระยะเวลา<br />
12 ชั่วโมง<br />
ชุดควบคุม จะเริ่มมีการตายเกิดขึ้น<br />
สวนชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
1.5% จะไมมีการตายเกิดขึ้นทุดชวงเวลา<br />
ที่ระยะเวลา<br />
6 ชั่วโมง<br />
ถึง24 ชั่วโมง<br />
อัตราการตายไมมีความแตกตางกันทางสถิติ (p>0.05) ดังตารางที่<br />
16<br />
จากการศึกษาที่ระยะเวลา<br />
6 สัปดาห พบวาหลังจากยายกุงที่เลี้ยงที่อุณหภูมิปกติมานั้น<br />
ระยะเวลา 5 นาที จะไมมีการตายเกิดขึ้นทุกชุดการทดลอง<br />
ที่ระยะเวลา<br />
15 นาที ชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0.75 และ 1.5 % จะมีการตายเกิดขึ้น<br />
ที่ระยะเวลา<br />
30 นาที ชุดควบคุม จะเริ่มมีการตายเกิดขึ้น<br />
ที่<br />
ระยะเวลา 15 นาที ถึง 24 ชั่วโมงอัตราการตายไมมีความแตกตางกันทางสถิติ<br />
(p>0.05) ดังตารางที่<br />
16<br />
73
ตารางที่<br />
16 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติเปน<br />
15 องศาเซสเซียส<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
0 สัปดาห<br />
(ยังไมไดรับ<br />
อาหารทดลอง)<br />
5 นาที 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 -<br />
30 นาที 0.00 -<br />
60 นาที 0.00 -<br />
90 นาที 0.00 -<br />
120 นาที 0.00 -<br />
180 นาที 0.00 -<br />
6 ชั่วโมง<br />
0.00 -<br />
12 ชั่วโมง<br />
6.67+11.18 -<br />
24 ชั่วโมง<br />
13.33+15.81 -<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
16 (ตอ) อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติเปน<br />
15 องศาเซสเซียส<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
2 สัปดาห<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
30 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
60 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
90 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
120 นาที 0.00+0.00 a 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.391<br />
180 นาที 0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 1.67+4.08 a 0.616<br />
6 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 1.67+4.08 a 3.33+5.16 a 0.761<br />
12 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 1.67+4.08 a 3.33+5.16 a 0.761<br />
24 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 3.33+5.16 a 3.33+5.16 a 4 สัปดาห<br />
0.791<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
30 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
60 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
90 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
120 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
180 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
6 ชั่วโมง<br />
0.00+0.00 a 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 0.391<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที<br />
่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
16 (ตอ) อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติเปน<br />
15 องศาเซสเซียส<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
4 สัปดาห<br />
12 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 0.616<br />
24 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 1.67+4.08 a 0.00+0.00 a 6 สัปดาห<br />
0.616<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00+0.00 3.33+8.17 a 1.67+4.08 a 0.561<br />
30 นาที 1.67+4.08 a 3.33+8.17 a 1.67+4.08 a 0.848<br />
60 นาที 1.67+4.08 a 3.33+8.17 a 1.67+4.08 a 0.848<br />
90 นาที 1.67+4.08 a 3.33+8.17 a 3.33+8.17 a 0.896<br />
120 นาที 1.67+4.08 a 3.33+8.17 a 3.33+8.17 a 0.896<br />
180 นาที 1.67+4.08 a 10.00+16.73 a 8.33+20.41 a 0.622<br />
6 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 20.00+40.00 a 11.67+28.58 a 0.550<br />
12 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 20.00+40.00 a 15.00+36.74 a 0.591<br />
24 ชั่วโมง<br />
1.67+4.08 a 20.00+40.00 a 20.00+40.00 a 0.548<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
เสริมเบทาอีน 0.75 จะมีการตายเกิดขึ้น<br />
ที่ระยะเวลา<br />
6 ชั่วโมง<br />
ชุดควบคุม จะเริ่มมีการตายเกิดขึ้น<br />
สวนชุดเสริมเบทาอีน 1.5 % ไมมีการตายเกิดขึ้นทุกเวลา<br />
ที่ระยะเวลา<br />
120 นาที ถึง 24 ชั่วโมงอัตรา<br />
การตายไมมีความแตกตางกันทางสถิติ (p>0.05) ดังตารางที่<br />
17<br />
ตารางที่<br />
17 อัตราการตายเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความอุณหภูมิจากปกติเปน<br />
15 องศาเซสเซียส<br />
อยางเฉียบพลันของกุงกุลาดําหลังจากเปลี่ยนอาหารเปนไมมีสวนผสมของเบทาอีน<br />
เปนเวลา 15 วัน(คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ระยะเวลา ระดับเบทาอีนในอาหารที่ไดรับกอนการศึกษา<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
5 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
15 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
30 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
60 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
90 นาที 0.00 0.00 0.00 -<br />
120 นาที 0.00+0.00 a 5.00+10.00 a 0.00+0.00 a 0.463<br />
180 นาที 0.00+0.00 a 5.00+10.00 a 0.00+0.00 a 0.463<br />
6 ชั่วโมง<br />
5.00+5.77 a 7.50+15.00 a 0.00+0.00 a 0.622<br />
12 ชั่วโมง<br />
5.00+5.77 a 7.50+15.00 a 0.00+0.00 a 0.622<br />
24 ชั่วโมง<br />
5.00+5.77 a 7.50+15.00 a 0.00+0.00 a 0.622<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
4. การศึกษาการเปลี่ยนแปลงระดับเอนไซมแคทาเลสในลูกกุงกุลาดําที่ใหอาหารที่มีสวนผสมของ<br />
เบทาอีนในระดับตาง ๆ กันเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลัน<br />
4.1 การศึกษาผลของเบทาอีนตอระดับเอนไซมแคทาเลสในลูกกุงหลังจากไดรับ<br />
ความเครียดหลังจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
(ลูกกุงไดรับอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
ที่<br />
ระยะเวลา 45 วัน)<br />
จากการศึกษาปริมาณเอนไซมแคทาเลส พบวา ระดับความเค็ม 20 พีพีที คาปริมาณ<br />
เอนไซมแคทาเลสมีคาไมแตกตางกันทางสถิติ (p>0.05) ระดับความเค็ม 40 พีพีที คาปริมาณเอนไซม<br />
แคทาเลสมีคาแตกตางกันทางสถิติ (p
ตารางที่<br />
18 ปริมาณเอนไซมแคทาเลสหลังจากไดรับการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลัน<br />
ของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน ที่ระยะเวลา<br />
45 วัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ปริมาณเอนไซมแค<br />
ทาเลส (units/mg<br />
protein/min)<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
ความเค็ม 0% 0.75% 1.5%<br />
20 ppt 0.278+0.108 a 0.165+0.007 a 0.163+0.090 a 0.265<br />
40 ppt 0.737+0.206 a 0.130+0.030 b 0.440+0.272 ab 0.026<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p0.05) ระดับความเค็ม 40 พีพีที คาปริมาณเอนไซม<br />
แคทาเลสมีคาแตกตางกันทางสถิติ (p
อุณหภูมิหรือความเค็มเปลี่ยนไปชวยทําใหเอนไซมภายในเซลลยังคงทํางานไดปกติ<br />
(Yancey et al.,<br />
1982) โดยจากผลจะเห็นไดวากุงที่ไดรับเบทาอีนในระดับ<br />
1.5% จะมีปริมาณเอมไซมนอยสุด โดยมี<br />
คาแตกตางกันอยางมีนัยสําคัญกับชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0% และ เสริมเบทาอีน 0.75 % ซึ่งจะเห็นวาที่<br />
ระดับเบทาอีน 1.5 % จะมีปริมาณเอนไซมต่ําสุด<br />
นาจะมาจากการที่หยุดใหเบทาอีนเปนระยะเวลา<br />
2<br />
สัปดาห แตการใหเบทาอีนในระดับที่มาก<br />
จะยังคงมีผลในการรักษาสมดุลไอออน<br />
ตารางที่<br />
19 ปริมาณเอนไซมแคทาเลสหลังจากไดรับการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลัน<br />
ของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน ที่ระยะเวลา<br />
60 วัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ปริมาณเอนไซมแค<br />
ทาเลส (units/mg<br />
protein/min)<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
ความเค็ม 0% 0.75% 1.5%<br />
20 ppt 0.175+0.053 a 0.247+0.125 a 0.120+0.061 a 0.233<br />
40 ppt 0.603+0.078 a 0.413+0.091 b 0.230+0.026 c 0.001<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
พีพีเอ็ม จะเริ่มตั้งแตใสไปที่ระยะเวลาประมาณ<br />
1 ชั่วโมง<br />
จะมีอาการเหมือนกันใน 3 ชุดการทดลอง<br />
ตั้งแตเริ่มการทดลองโดยวายนํ้าอยางกระวนกระวายไปรอบ<br />
ๆ โหล และดีดตัวไปมาในนํ้า<br />
บางครั้ง<br />
จะดีดตัวขึ้นจากผิวนํ้าโดยกุ<br />
งเกือบทุกตัวจะพยายามวายขึ้นสูผิวนํ้าอยู<br />
ตลอดเวลา เมื่อเวลาผานไป<br />
กุงจะเริ่มวายนํ้าชาลง<br />
ความสามารถในการดีดตัวขึ้นสูผิวนํ้าลดลง<br />
จากนั้นกุ<br />
งจะจมตัวลงไปอยู นิ่ง<br />
ๆ<br />
ที่พื้นโหล<br />
และคอย ๆ ตายไปในที่สุด<br />
สวนกุ งในกลุ มที่ไดรับสารเคมีที่ความเขมขน<br />
48.87-65.92<br />
พีพีเอ็ม จะมีอาการเหมือนกันใน 3 ชุดการทดลอง สวนมากจะเริ่มตายที่ระยะเวลาประมาณ<br />
6 ชั่วโมง<br />
โดยเริ่มตนจะมีอาการปกติ<br />
วายนํ้าอยู<br />
บริเวณพื้นโหล<br />
มีบางตัวที่มีอาการเหมือนกุ<br />
งใน<br />
กลุมที่ไดรับสารเคมีที่ความเขมขน<br />
88.92-120 พีพีเอ็ม แตเมื่อเวลาผานไปกุ<br />
งบางสวนจะคลื่อนไหว<br />
นอยลง และตายลงอยางชา ๆ ลักษณะของกุงที่ตายคือกุ<br />
งที่ไมมีการตอบสนองเมื่อถูกเขี่ยดวยแทง<br />
แกว ตัวจะขุ นและเริ่มเปลี่ยนเปนสีชมพู<br />
สวนที่ไดรับสารเคมีที่ระดับ<br />
20.00-36.22 พีพีเอ็ม จะไม<br />
แสดงอาการใหเห็นแตจะเริ่มตายที่ระยะเวลาคอนขางชา<br />
คือ ประมาณ 12 ชั่วโมง<br />
เปนตนไป ซึ่ง<br />
การที่กุงตายในการทดลองนี้ก็นาจะมากจากวาแอมโมเนียมีผลตอสรีรวิทยาสัตวน้ําที่สําคัญ<br />
คือ<br />
เหงือกจะเพิ่มจํานวนเซลลและเชื่อมติดกัน<br />
ทําใหการแลกเปลี่ยนอากาศเปนไปไดยาก<br />
และ<br />
อิพิทีเลียม ของเซลลเหงือกถูกทําลาย เซลลมีการบวมน้ํามีผลทําใหผนังเซลลยอมใหน้ําผานมากขึ้น<br />
มีการหยุดชะงักของกระบวนการเมทาบอลิซึม ทําใหสัตวน้ําตายได<br />
(Lloyd and Orr, 1969) อัตรา<br />
การตายของกุ งกุลาดําวัยรุน<br />
ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง<br />
ไดแสดงไวใน ตารางที่<br />
20<br />
81
ตารางที่<br />
20 อัตราการตายของกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ ในการทดลองหาคา LC50 ของสารแอมโมเนีย ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง<br />
(10 ตัว/ซ้ํา)<br />
ความเขมขนของ<br />
การตายเฉลี่ยของกุง<br />
(ตัว)<br />
แอมโมเนีย<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
(พีพีเอ็ม) ตัว เปอรเซ็นต ตัว เปอรเซ็นต ตัว เปอรเซ็นต<br />
0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00<br />
20.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00 0.00<br />
26.85 0.67 6.67 0.00 0.00 0.33 3.33<br />
36.22 1.33 13.33 0.67 6.67 1.00 10.00<br />
48.87 4.67 46.67 3.00 30.00 4.67 46.67<br />
65.92 7.00 70.00 7.00 70.00 8.00 80.00<br />
88.92 9.00 90.00 9.00 90.00 9.67 96.67<br />
120.00 10.00 100.00 9.67 96.67 10.00 100.00<br />
82
อัตราการตาย<br />
สะสม<br />
(เปอรเซ็นต)<br />
ตามมาตรา<br />
สวนโปรบิท<br />
ความเขมขนของแอมโมเนีย (ppm) ตามมาตราสวนลอการิทึม<br />
ภาพที่<br />
10 ความสัมพันธระหวางอัตราการตายสะสมและความเขนขมของแอมโมเนียในชุดไมเสริมเบทาอีน<br />
ที่ใชในการประเมินคา<br />
24 hr-LC50 ของกุงที่ระยะเวลา<br />
45 วัน<br />
83
อัตราการตาย<br />
สะสม<br />
(เปอรเซ็นต)<br />
ตามมาตรา<br />
สวนโปรบิท<br />
ความเขมขนของแอมโมเนีย (ppm) ตามมาตราสวนลอการิทึม<br />
ภาพที่<br />
11 ความสัมพันธระหวางอัตราการตายสะสมและความเขนขมของแอมโมเนียในชุดเสริมเบทาอีน 0.75%<br />
ที่ใชในการประเมินคา<br />
24 hr-LC50 ของกุงที่ระยะเวลา<br />
45 วัน<br />
84
อัตราการตาย<br />
สะสม<br />
(เปอรเซ็นต)<br />
ตามมาตรา<br />
สวนโปรบิท<br />
ความเขมขนของแอมโมเนีย (ppm) ตามมาตราสวนลอการิทึม<br />
ภาพที่<br />
12 ความสัมพันธระหวางอัตราการตายสะสมและความเขนขมของแอมโมเนียในชุดเสริมเบทาอีน 1.5%<br />
ที่ใชในการประเมินคา<br />
24 hr-LC50 ของกุงที่ระยะเวลา<br />
45 วัน<br />
85
เมื่อนําอัตราการตายของกุงในตารางที่<br />
20 มาวิเคราะหหาคาความเขมขนของสาร<br />
แอมโมเนีย ที่ทําใหกุงกุลาดําวัยรุนตาย<br />
50 เปอรเซ็นต ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง<br />
ตามวิธีของ<br />
Litchfield และ Wilcoxon (1949) โดยการนําคา X 2 ของเสนที่ลากบน<br />
Logarithmic probability paper<br />
ภาพที่<br />
10,11,12 ที่ไดจากการคํานวณมาเปรียบเทียบกับคา<br />
X 2 ที่เปดไดจากตาราง<br />
พบวา คา X 2 ที่ได<br />
จากการคํานวณมีคานอยกวาคา X 2 ที่เปดจากตาราง<br />
แสดงวา ขอมูลที่<br />
plot ไดมีการกระจายของจุด<br />
เบี่ยงเบนไปจากเสนตรงที่ลาก<br />
เพื่อใชในการประเมินคา<br />
LC50 อยางไมมีนัยสําคัญทางสถิติ จึง<br />
สามารถใชเสนตรงมาประเมินคา LC50 ไดดังนี้<br />
คา LC50 ของสารแอมโมเนีย สําหรับกุงกุลาดําวัยรุน<br />
ชุดควบคุมมีคาเทากับ 54.000<br />
(45.724-63.774) พีพีเอ็ม และคาฟงคชั่นความลาดเอียง<br />
(Slope function) ที่ระดับความเชื่อมั่น<br />
95%<br />
มีคาเทากับ 1.309 (1.200-1.427) ชุดเสริมเบทาอีน 0.75% มีคาเทากับ 60.000 (49.669-72.480)<br />
พีพีเอ็ม และคาฟงคชั่นความลาดเอียง<br />
(Slope function) ที่ระดับความเชื่อมั่น<br />
95% มีคาเทากับ 1.357<br />
(1.216-1.514) ชุดเสริมเบทาอีน 1.5% มีคาเทากับ 48.000 (38.217-60.288) พีพีเอ็ม และคาฟงคชั่น<br />
ความลาดเอียง (Slope function) ที่ระดับความเชื่อมั่น<br />
95% มีคาเทากับ1.682 (1.342-2.108) ดังแสดง<br />
ในตารางที่<br />
3 ซึ่งคา<br />
LC50 ที่ไดทุกชุดการทดลองมีคาอยูใกลเคียงกับ<br />
Chin and Chen (1987) ทําการ<br />
หาคา LC50ในกุงกุลาดําระยะโพสตลารวามีคา 52.11 พีพีเอ็ม ,ปกปอง (2543) โดยทําการเสริม<br />
HUFA ที่มีอัตราสวนของ<br />
EPA:DHA ในระดับ 1:1, 1:2 และ 1:5 ในกุงกุลาดําระยะโพสตลารวา<br />
พบวามีคา LC50 เทากับ 56.00, 53.00 และ 53.50 พีพีเอ็ม และ สมศักดิ์<br />
(2540) ที่ทําการหาคา<br />
LC50 ในกุงกุลาดําระยะโพสตลารวา<br />
15 พบวามีคาเทากับ 53.50 พีพีเอ็ม โดยคาที่ไดจากการทดลองจะมี<br />
คาสูงสุดในชุดที่มีการเสริมเบทาอีนที่ระดับ<br />
0.75% ซึ่งหมายความวากุงชุดที่เสริมเบทาอีนระดับนี้<br />
มีความทนทานตอพิษของแอมโมเนียไดดีที่สุด<br />
สวนชุดที่เสริมเบทาอีนที่ระดับ<br />
1.5% จะมีระดับ<br />
ความทนทานตอพิษของแอมโมเนียต่ํากวาชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0.75% ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากกุงจะ<br />
สังเคราะหโปรตีนไดมากเพราะเบทาอีนเปนผูใหหมูเมธิลในการสรางเมทไธโอนีน<br />
และไปเปน<br />
โปรตีน ตามลําดับ ซึ่งจะยอยสลายออกมาเปนแอมโมเนียในรางกาย<br />
และขับออกซึ่งเมื่อรวมกับ<br />
แอมโมเนียในน้ําที่ได<br />
จากการเติมลงไปจะทํามีแอมโมเนียในปริมาณที่มากขึ้น<br />
ซึ่งจะทําใหเปนพิษ<br />
ตอตัวกุงในอัตราที่มากขึ้น<br />
86
ตารางที่<br />
21 คา LC50 และคาฟงคชั่นความลาดเอียง<br />
(Slope function) ที่ระดับความเชื่อมั่น<br />
95%<br />
ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง<br />
ของสารแอมโมเนีย สําหรับกุงกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่<br />
ระดับตาง ๆ<br />
ชุดการ<br />
ทดลอง<br />
เบทาอีน<br />
0%<br />
เบทาอีน<br />
0.75%<br />
เบทาอีน<br />
1.5%<br />
x 2 ที่คํานวณไดของเสนที่<br />
ลาก< x 2 คา 24 hrs- LC50 (ppm)<br />
จากตาราง(n=5)<br />
= 11.07<br />
3.343
ในรางกายจะใชไปเพื่อการดํารงชีวิตเพียงอยางเดียว<br />
โดยอยูกอนจุดที่เรียกวา<br />
ระดับออกซิเจนละลาย<br />
น้ําที่กอใหเกิดการตาย<br />
(incipient lethal level) สวนชุดเสริมเบทาอีนที่ระดับ<br />
0.75 และ1.5% จะยังมี<br />
อัตราการหายใจสูงกวาเนื่องจากมีเบทาอีนชวยปกปองรักษาสมดุลไอออน<br />
ตารางที่<br />
22 อัตราการใชออกซิเจนเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลันของกุงกุลาดํา<br />
ที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ กัน ที่ระยะเวลา<br />
45 วัน (คาเฉลี่ย+<br />
SD)<br />
ความเค็ม<br />
ระดับเบทาอีนในอาหาร<br />
p-value<br />
0% 0.75% 1.5%<br />
อัตราการใชออกซิเจน (มิลลิกรัม/กรัม/ชั่วโมง)<br />
20 พีพีที 1.22+0.18 a 1.16+0.15 a 1.33+0.27 a 0.567<br />
40 พีพีที 0.89+0.07 b 1.20+0.11 a 1.24+0.01 a 0.001<br />
หมายเหตุ a,b,c อักษรที่แตกตางกันในแนวนอนเดียวกันแสดงถึงความแตกตางอยางมีนัยสําคัญ<br />
ทางสถิติ (p
สรุป<br />
ผลของเบทาอีนตอความทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม,<br />
อุณหภูมิ และ<br />
ความเปนพิษเพียบพลันของแอมโมเนียในกุงกุลาดําวัยรุน<br />
ที่<br />
3 ระดับ คือ 0, 0.75 และ 1.5 เปอรเซ็นต<br />
ของเบทาอีน โดยทําการทดลองกุงกุลาดําระยะวัยรุน<br />
ซึ่งแบงการทดลองเปน<br />
2 ชวง คือ ชวง<br />
ระยะเวลาในการเลี้ยง<br />
0-6 สัปดาห ใหอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
และ ระยะเวลาในการเลี้ยง<br />
6-8 สัปดาห หยุดใหอาหารที่มีสวนผสมของเบทาอีน<br />
ผลที่ไดตอการเจริญเติบโตและประสิทธิภาพ<br />
ของอาหาร,อัตรารอด เมื่อไดรับการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลัน,อุณหภูมิอยางเฉียบพลัน,<br />
ระดับเอนไซมแคทาเลสเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลัน<br />
,ความเปนพิษเฉียบพลัน<br />
ของแอมโมเนีย และ อัตราการใชออกซิเจนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความเค็มอยางเฉียบพลัน<br />
ดังนี้<br />
1. การเสริมเบทาอีนในอาหารที่ระดับตาง<br />
ๆ ไมมีผลตอ น้ําหนักเพิ่ม,น้ําหนักเพิ<br />
่มเฉลี่ยตอ<br />
วัน,อัตราการเจริญเติบโตจําเพาะ,อัตรารอด,อัตราการการกินอาหารตอวัน, อัตราการกินอาหาร และ<br />
อัตราการเปลี่ยนอาหารเปนเนื้อ<br />
ที่ระยะเวลา<br />
2,4,6,8 สัปดาห จะมีเฉพาะอัตรารอดที่ระยะเวลา<br />
2<br />
สัปดาห จะสูงสุดในชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
1.5 เปอรเซ็นต<br />
2. การเสริมเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ ตอการเปลี่ยนแปลงจากความเค็ม<br />
20 พีพีทีไปเปน 40<br />
พีพีที จะมีผลตออัตราการตายที่ระยะเวลา<br />
6 สัปดาหเทานั้น<br />
โดยจะมีผลในชวงเวลาหลังจากการ<br />
เปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
ในชวงระยะเวลา 6 ,12, 24 ชั่วโมง<br />
สวนการเปลี่ยนแปลงความเค็มจาก<br />
20<br />
พีพีทีไปเปน 0 พีพีที จะไมมีผลอยางชัดเจนเปนชวงเวลา<br />
3. การเสริมเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ ตอการเปลี่ยนแปลงจากอุณหภูมิปกติไปเปน<br />
35 องศา<br />
เซสเซียส และจากอุณหภูมิปกติไปเปน 15 องศาเซสเซียส ไมมีผลตออัตราการตายทุกสัปดาหในการ<br />
เลี้ยง<br />
4. การเสริมเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ ตอปริมาณเอนไซมแคทาเลสที่ระยะเวลา<br />
6 สัปดาห<br />
พบวา เบทาอีนที่ระดับ<br />
0.75 เปอรเซ็นตจะมีผลตอการลดปริมาณเอนไซมแคทาเลสไดดีที่สุด<br />
สวนที่<br />
ระยะเวลา 8 สัปดาห เบทาอีนที่ระดับ<br />
1.5 เปอรเซ็นตจะมีผลตอการลดปริมาณเอนไซมแคทาเลส<br />
ไดดี่ที่สุด<br />
5. การเสริมเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ ตอความเปนพิษเฉียบพลันของแอมโมเนีย (LC50) จะมี<br />
คาดีที่สุดในชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0.75 เปอรเซ็นต<br />
89
6. การเสริมเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ ตออัตราการใชออกซิเจนเมื่อมีการเปลี่ยนแปลงความ<br />
เค็มอยางเฉียบพลัน ชุดที่เสริมเบทาอีน<br />
0.75,1.5 เปอรเซ็นต ที่ระดับความเค็ม<br />
40 พีพีที จะมีคา<br />
ใกลเคียงกับชุดที่ไมเสริมเบทาอีน<br />
0,0.75 และ 1.5 เปอรเซ็นต ที่ระดับความเค็ม<br />
20 พีพีที สวนชุดที่<br />
เสริมเบทาอีนที่ระดับ<br />
0 เปอรเซ็นต จะมีคาอัตราการใชออกซิเจนต่ําที่สุด<br />
การเสริมเบทาอีนในระดับ 0.75 % เปนระดับที่เหมาะสมมีผลทําใหกุงกุลาดําวัยออนมีความ<br />
ทนทานความเครียดจากการเปลี่ยนแปลงความเค็ม<br />
เมื่อพิจารณาจากอัตราการตาย,ระดับเอนไซม<br />
แคทาเลส ,ความทนทานแอมโมเนีย และอัตราการใชออกซิเจน<br />
90
ขอเสนอแนะ<br />
1. ควรมีการศึกษาวัดพารามิเตอรอื่น<br />
ๆ ที่เปนตัวชี้ถึงความเครียดของสัตว<br />
เชน เอนไซมใน<br />
กลุมแอนติออกซิแดนทอื่น<br />
ๆ เชน ซุเปอรออกไซดดีสมิวเตส,คาดัชนีระบบภูมิคุมกัน<br />
เชน ปริมาณ<br />
เม็ดเลือดขาว,ปริมาณไกลโคเจนในตับ เปนตน<br />
2. ควรมีการศึกษาอัตราการใชออกซิเจน โดยทําใหระยะเวลาถี่มากขึ้น<br />
เพื่อจะไดนําไปทํา<br />
กราฟเพื่อบอกถึงอัตราเมทาบอลิซึมในแตละชวง<br />
รวมทั้งระดับออกซิเจนที่วิกฤต<br />
และที่กอใหเกิด<br />
การตายขึ้น<br />
91
เอกสารและสิ่งอางอิง<br />
โชติ สหกิจรุงเรือง.<br />
2533. ผลของการใชอาหารชนิดตาง ๆ ที่มีตอคุณสมบัติบางประการของ<br />
น้ําและอัตราของลูกกุงกุลาดํา<br />
(Penaeus monodon Fabricus). วิทยานิพนธปริญญา<br />
โท. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ.<br />
ทวี จินตธรรม. 2539. ปญหาการสงออกผลิตภัณฑกุงทะเล.<br />
วารสารการประมง 49 (6) : 557- 565.<br />
บรรจง เทียนสงรัศมี. 2521. หลักการเลี้ยงกุงทะเล.<br />
ภาควิชาวิทยาศาสตรทางทะเล, คณะประมง<br />
,มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร. 115 น.<br />
_____ . 2523. หลักการเลี้ยงกุงทะเล.<br />
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ. 164 น.<br />
_____. 2543. อดีต-อนาคตกุงไทย,<br />
น. 1-66. ใน เสวนาวิชาการเรื่องกุง.<br />
ภาควิชาวิทยาศาสตร<br />
ทางทะเล, คณะประมง, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ.<br />
บุญรัตน ประทุมชาติ. 2545. ความสําคัญของแรธาตุกับการเลี้ยงกุง.<br />
เอกสารเผยแพรทาง<br />
วิชาการ บริษัทซิสเคมอครีคัลเจอรรัล จํากัด, กรุงเทพฯ.<br />
ปกปอง อุมอยู.<br />
2543. ผลของกรดไขมันชนิดไมอิ่มตัว<br />
(กลุมโอเมกา<br />
3) ที่มีอัตราสวนของ<br />
กรด Eicosapentaenoic (EPA) และกรด Docosahexaenoic (DHA) ตางกัน ตอ<br />
ความเครียดและความตานทานโรคของกุงกุลาดํา<br />
(Peneaus monodon Fabricius)<br />
โดยการใหผานอารทีเมีย. วิทยานิพนธปริญญาโท. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร,<br />
กรุงเทพฯ.<br />
มะลิ บุณยรัตผลิน. 2531. อาหารและการใหอาหารกุงกุลาดํา,<br />
น. 108-141. ใน การเพาะเลี้ยง<br />
กุงกุลาดํา.<br />
ภาควิชาวิทยาศาสตรทางทะเล, คณะประมง, มหาวิทยาลัยเกษตรศาตร,<br />
กรุงเทพฯ.<br />
92
มั่นสิน<br />
ตัณฑุลเวศน และไพพรรณ พรประภา. 2538. การจัดการคุณภาพน้ําและการบําบัดน้ํา<br />
เสียในบอเลี้ยงปลาและสัตวน้ําอื่น<br />
ๆ : เลม 1 การจัดการคุณภาพน้ํา.<br />
ภาควิชา<br />
วิศวกรรมสิ่งแวดลอม,คณะวิศวกรรมศาสตร,จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย,กรุงเทพฯ.<br />
319 น.<br />
วีรพงศ วุฒิพันธุชัย.<br />
2531. การเพาะเลี้ยงกุงกุลาดํา.<br />
ภาควิชาวาริชศาสตร คณะวิทยาศาสตร<br />
มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ บางแสน, ชลบุรี. 23 น.<br />
วัลลภ คงเพิ่มพูน.<br />
2532. กุงกุลาดํา.<br />
โครงการหนังสือเกษตรชุมชน, กรุงเทพฯ. 135 น.<br />
สมศักดิ์<br />
ระยัน. 2540. ผลของวิตามินซีตอความเครียดและการเจริญเติบโตของลูกกุง<br />
กุลาดํา. วิทยานิพนธปริญญาโท. มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ.<br />
สุธีวัฒน สมสืบ, พิสมัย สมสืบ, มะลิ บุณยรัตผลิน และ อมรรัตน เสริมวัฒนากุล. 2539. การ<br />
ทดสอบปจจัยสภาพแวดลอมที่มีผลตอกุงกุลาดํา,<br />
น. 354-366. ใน รายงานการประชุมทาง<br />
วิชาการของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร ครั้งที่<br />
35 สาขาประมง, กรุงเทพฯ.<br />
สุวิทย ชื่นสินธุ.<br />
2531. การเลี้ยงกุงแชบวยและกุงกุลาดํา.<br />
สํานักพิมพศูนยหนังสือเกษตร,<br />
กรุงเทพฯ. 63 น.<br />
อนันตชัย เขื่อนธรรม.<br />
2542. หลักการวางแผนการทดลอง . ภาควิชาสถิติ, คณะวิทยาศาสตร,<br />
มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร , กรุงเทพฯ . 348 น.<br />
อรพินท จินตสถาพร 2530. การใชออกซิเจนของกุงทะเลชนิดที่พบในนากุงธรรมชาติของ<br />
ประเทศไทย.วิทยานิพนธปริญญาโท, มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร, กรุงเทพฯ.<br />
Aebi, H. 1984 Catalase in vitro. Methods Enzymol. 105: 121-126.<br />
93
Ahmad, I., T. Hamid, M. Fatima, H.S. Chand, S.K. Jain, M. Athar and S. Raisuddin.<br />
2000. Induction of hepatic antioxidants in freshwater catfish (Channa punctuates<br />
Bloch) is a biomarker of paper mill effluent exposure. Biochem. Biophys. Acta<br />
1519, 37-48.<br />
Ainsworth, J. A., C. Dexiang and P. R. Waterstrat. 1991. High physiological concentrations of<br />
cortisol in vivo can initiate phagocyte suppression. J. Aquat. Anim. Health. 3:41-47.<br />
AOAC. 1990. Officail methods of analysis. 15 th ed ., Asscociation of official analytical<br />
chemist, Inc., Virginia . 1360 p.<br />
AOAC. 2000. Official Methods of Analysis of the Association of Official Analysis Chemists.<br />
17 th ed. Vol 1, Association of Official Analysis Chemists , Ch4, p1-54.<br />
Barja de Quiroga, G., M. Lopez-Torres and P.Gil. 1989a. Hypoxia decreases lung size<br />
of amphibian tafdpoles without changing GSH-peroxidases or tissue peroxidation. Comp.<br />
Biochem. Physiol. 92A, 581-588.<br />
Bellamy, D. and I. J. Chester 1961. Studies on Myxine glutinosa-1. The chemical composition of<br />
the tissues. Comp. Biochem. Physiol.,3, 175-183.<br />
Bouaricha, N., P.Thuet, M. Charmantier-Daures and J.P. Trilles 1991. Na–K ATPase and<br />
carbonic anhydrase activities in larvae, postlarvae and adults of the shrimp<br />
Penaeus japonicus (Decapoda, Penaeidae). Comp. Biochem. Physiol. 100A,<br />
433– 437.<br />
Carr, W. E. S. 1978. Chemoreception in the shrimp, Palaemonetes pugio: the role of amino acid<br />
and betaine in the elicitation of a feeding response by extracts Comp. Biochem. Physiol.,<br />
61A,127-132.<br />
94
Cattaert, D.,A. Araque. W. Buno and F. Clarac. 1994. Mortor neurons of the crayfish walking<br />
system posses TEA + reavealed regenerative electrical properties. J. exp. Biol. 188:339-<br />
345.<br />
Chance, B., H. Sies and A. Boveris. 1979. Hydroperoxide metabolism in mammalian organs.<br />
Physiol. Rev. 59,527-605.<br />
Charmantier, G., C. Soyez, & Aquacop 1994. Effect of molt stage and hypoxia on<br />
osmoregulatory capacity in the peneid shrimp Penaeus vannamei. J. Exp. Mar. Biol.<br />
Ecol., 178, 233–246.<br />
Charmantier, G., M. Charmantier-Daures, N. Bouaricha, P. Thuet, D.E. Aiken, J.P. Trilles<br />
1988. Ontogeny of osmoregulation and salinity tolerance in two decapod<br />
crustaceans: Homarus americanus and Penaeus japonicus. Biol. Bull. 175, 102–<br />
110.<br />
Chen, J.C. and Lai, S.H., 1993. Effects of temperature and salinity on oxygen<br />
consumption and ammonia-N excretion of juvenile Penaeus japonicus Bate. J.<br />
Exp. Mar.Biol. Ecol., 165:161-170.<br />
Chen, J.C. and J. L. Lin. 1994. Osmolality and chloride concentration in the haemolymph<br />
of subadult Penaeus chinenesis subjected to different salinity levels. Aquaculture<br />
125 :167-174.<br />
Chen, J.C.,P.C. Liu and S.C. Lei. 1990. Toxicities of ammonia and nitrite of Penaeus<br />
monodon adolescents. Aquaculture 89: 127-137.<br />
Chin, T.C. and J.C. Chen. 1987. Acute toxicity of ammonia to larvae of the tiger prawn,<br />
Penaeus monodon. Aquaculture 66: 247-253.<br />
95
Colt, J. and D. Armstrong. 1979. Nitrogen Toxicity of fish, Crustaceans and Molluscs.<br />
Dept. Cilvil Eng., Univ. California, Davis. 30 p.<br />
Colt, J. and G. Tchobanoblous. 1976. Evaluation of the short-term toxicity of nitrogen compound<br />
to channel catfish, Ictalurus Punctatus. Aquaculture 8:209-224.<br />
Claiborne A: Catalase activity. In: Handbook of Methods for Oxygen Radical Research.<br />
Greenwald RA (ed). CRC Press Inc.,pp283-284, 1985.<br />
Dalla Via, G.J., 1986. Salinity response of the juvenile penaeid shrimp Penaeus<br />
Japonicus Ι. Oxygen consumption and estimation of productivity. Aquaculture,<br />
55:297-306.<br />
Eddy, F.B. 1981. Effect of stress on osmotic and ionic regulation in fish, pp. 77-102. In<br />
A.D. Pickering (ed.). Stress and fish. Academic Press, London.<br />
Eduardo, A.A.,P. L.Rodolfo,A. R. Edemar and B.C.D. Afonso. 2004. Effect of captivity<br />
and eyestalk ablation on antioxidant status of shrimps (Farfantepenaeus paulensis)<br />
Aquaculture 238:523-528.<br />
Elamparithy, R. 1995. Influence of selected additives on pellet quality and biogrowth<br />
parameters of Penaeid shrimp juveniles. MFSc thesis, Tanuvas, 75 pp.<br />
Ellsaesser, C.E. and L.W. Clem. 1986. Haematological and immunological changes in channel<br />
catfish stressed by hand ling and transport. J. Fish. Biol. 288:511-521.<br />
Ferraris, R.P., E.G. Parado-Estepa, E.G. De Jesus and J.M. Ladja. 1987. Osmotic and<br />
chloride regulation in the hemolymph of the tiger prawn Penaeus monodon<br />
during molting in various salinity. Mar. Biol., 95, 377–385.<br />
96
Filho, D.W.,1996. Fish antioxidant defenses-a comparative approach. Braz. J. Med. Biol.<br />
Res. 29,1735-1742.<br />
Filho, D.W.,C. Giulivi and A. Boveris. 1993. Antioxidant defenses in marine fish: Ι. Teleosts.<br />
Comp. Biochem. Physiol. 106C, 409-413.<br />
Florey, E. 1969. An Introduction to General and Comparative Animal Physiology. W.B.<br />
Saunders Company, Philadelphia. 713 p.<br />
Freeman, B.A. and J.D. Crapo. 1982. Biology of disease: free radicals and tissue injury.<br />
Lab Invest 47, 412-426.<br />
Frei, B., 1999. Molecular and biological mechanisms of antioxidant action. FASEB J. 13, 963-<br />
964.<br />
Goh, Y. and T. Tamura. 1980. Olfactory and gustatory responses to amino acids in two arine<br />
teleosts – red sea bream and mullet. Comp. Biochem. Physiol.,66C:217-224.<br />
Gower, D.B. 1984. Regulation of steroidogenesis, pp. 293-384. In H.L.J. Makin (ed.).<br />
Biochemistry of Steroid Hormones. Blackwell, Oxford.<br />
Houghton, G. and R.A. Matthews. 1986. Immunosuppression of carp (Cyprinus carpio L.) to<br />
icthyophthiriasis using the corticosteroid triaminolone acetonide. Vet. Immunol.<br />
Immunopathol. 12:413-419.<br />
Jasmine, G.I.,S.P. Pillai and S. Athithan. 1993. Effect of feeding stimulants on the<br />
biochemical composition and growth of Indian white prawn Penaeus indicus. In: From<br />
Discovery to Commercialization,Vol. 19 (Carrillo, M., Dahle, L., Morales, J.,<br />
Sorgeloos, P., Svennevig, N. & Wyban, J. eds), p. 139. Oostende Beligium European-<br />
Aquaculture Society, Torremolinos, Spain.<br />
97
Jones, D.P., L. Eklow, H. Thor and S. Orrennius. 1981. Metabolism of hydrogenperoxide in<br />
isolated hepatocytes: Relative contributions of catalase and glutathione peroxidase in<br />
decomposition of endogenously generated H 2O 2.Arch. Biochem. Biophys. 210,505-516.<br />
Kungvankij, P., T. E. Chua, J. Pudadera, G. Corre, T. B. Tirno, I. O. Potestas, G. A.<br />
Taleon and J. N. Paw. 1986. Shrimp culture : pond design, operation and<br />
management. NACA Training Manual Series No. 2. Network of Aquaculture Centres in<br />
Asia. Bangkok, Thailand.<br />
Kutty, M.N., G. Muragapoopathy and T.S. Krishnan. 1971. Influence of Salinity and Temperature<br />
on the oxygen Consumption in Young Juveniles of the Indian Prawn, Penaeus indicus.<br />
Mar. Biol. (Ber.) 11:125-131.<br />
Lemaire, P.,A. Matthews, L. Forlin , D.R. Livingstone. 1994. Stimulation of oxyradical<br />
production of hepatic microsomes of flounder (Platichthys flesus) and perch<br />
(Perca fluvialis) by model and pollutant xenobiotic. Arch. Environ. Contam.<br />
Toxicol. 26, 191-200.<br />
Lignot, J.-H., J.-C. Cochard, C. Soyez, P. Lemaire and G.Charmantier. 1999. Haemolymph<br />
osmolality according to nutritional status,molting stage and body weight of Penaeus<br />
stylirostris. Aquaculture,170, 79–92.<br />
Liu, C.I. 1989. Shrimp diseases, prevention and treatment, pp. 64-74. In D.M. Akiyama<br />
(ed.). Proceedings of the Southeast Asia Shrimp Farm Management Workshop.<br />
American Soybean Association, Singapore.<br />
Litchfield, J.T. and F.W. Wilcoxon. 1949. A simplified method of evaluating of dose-effect<br />
experiments. J. Pharmacol. Exp. Ther. 96: 99-115.<br />
98
Lofts, B. 1956. The effects of salinity changes on the respiratory rate of the prawn<br />
Palemonetes varians (Leach). J. Exp. Biol. 33:730-736.<br />
Lowry, O.H., N.J. Rosenbrough, A.L. Farr and R.J. Randell. 1951. Protein measurement<br />
with the Folin phenol reagent. J. Biol. Chem. 193:265-275.<br />
Lloyd, R. and L.D. Orr. 1969. The diuretic response by rainbow trout to sub-lethal concentration<br />
of ammonia Water Res. 3:335-344.<br />
MacArthur, J.I. and T.C. Fletcher. 1985. Phagocytosis in fish, pp. 29-46. In M.J. Manning and<br />
M.F. Tatner (eds.). Fish Immonology. Academic Press, London.<br />
Mackie, A.M., J.W. Adron and P.T. Grant, 1980. Chemical nature of feeding stimulants for the<br />
Dover sole, Solea solea L. J. Fish Biol. 16, 701– 708.<br />
Mackie, A.M. and A.I. Mitchell. 1982. Further studies on the chemical control of feeding<br />
behavior in the Dover sole, Solea solea. Biochem. Phtsiol. 73A:89-93.<br />
Mackie, A.M. and A.I. Mitchell. 1983. Studies on the chemical nature of feeding stimulants for<br />
the juvenile European eel, Anguilla Anguilla (L.). J. Fish. Boil. 22:425-430.<br />
Mason, J.W. 1975. A historical view of the stress field. Part I. J. Human Stress 1:6-12.<br />
Marui, T., R.E. Evans, B. Zielinski and T.J. Hara. 1983. Gustatory responses of the rainbow trout<br />
(Salmo gairdneri) palate to amino acids and derivatives J. Comp. Physiol. 153:423-433.<br />
Mazeaud, M.M. and F. Mazeaud. 1981. Adrenergic response to stress in fish, pp. 49-75.<br />
In A.D. Pickering (ed.) Stress and fish. Academic Press Inc., London.<br />
99
Mazeaud, M.M., F. Mazeaud and E.M. Donaldson. 1977. Primary and secondary effect of stress<br />
in fish : some new data with a general review. Trans. Am. Fish. Soc. 160:201-202.<br />
Motoh, H. 1984. Biology and Ecology of Penaeus monodon Proceeding of the First<br />
International Conference on the Culture of Penaid Prawn shrimps. lloilo City,<br />
Philippines.<br />
Miller, A.L. 2003. The methionine-homocysteine cycle and as affects on cognitive disesses.<br />
Altern Med Rev 8:7-19.<br />
Nohl,H. and W. Jordan. 1980. The metabolic fate of mitochondrial hydrogen peroxide. Eur. J.<br />
Biochem. 111, 203-210.<br />
Newell, R.C. 1979. Biology of intertidal Animals. Marine Ecology Surveys Ltd, Faversham,<br />
Kent. 781 p.<br />
NRC. 1983. Nutrient requirement of warmwater fishes and shell fish. National academy<br />
press, Washington D.C. 102 p.<br />
Oruc, E.O., N. Uner. 2000. Combine effects of 2,4-D and azinphosmethyl on antioxidant enzymes<br />
and lipid peroxidation in liver of Oreochromis niloticus. Comp. Biochem. Physiol.<br />
127C, 291-296.<br />
Palace, V.P., T.A. Dick, S.B. Brown, C.L. Baron and J.F. Klaverkamp. 1996. Oxidative stress in<br />
Lake Sturgeon (Acipenser fulvescens) orally exposed to 2,3,7,8-tetrachlorodibenzofuran.<br />
Aquat. Toxicol. 35,79-92.<br />
Penaflorida, V. and E. Virtanen. 1996. Growth, survival and feed conversion of juvenile shrimp<br />
(Penaeus monodon) fed a betaine/aminoacid additive. Bamidegh, 48, 3–9.<br />
100
Pickering, A. D. 1981. Introduction : the concept of biological stress, pp. 1-9. In A.D. Pickering<br />
(ed.) Stress and Fish. Academic Press Inc., London.<br />
_____. 1989. Stress responses and disease resistance in formed fish, pp. 35-49. In Aqua Nor<br />
87, Conference 2 and 3, Trondheim, Norway.<br />
Pickering, A.D. and T.G. Pottinger. 1985. Cortisol can increase the susceptibility of brown trout,<br />
(Salmo trutta L.) to disease without reducing the white blood cell count. J. Fish Biol.<br />
27:611-619.<br />
Regnault, M., 1987. Nitrogen excretion in marine and freshwater crustacean. Biol. Rev.62, 1-24.<br />
Robertson, J.D. 1957. Osmotic and ionic regulation in aquatic invertebrate in Recent Advances<br />
in Invertebrate Physiology (ed. Scheer, B. T.), University of Oregon,Eugene, 229-246<br />
Ross, M.J. and E.J. Reith. 1985. Histology: A textbook and atlas. Harper and Row, New york.<br />
Ross, S.W., D.A. Dalton, S. Kramer and B.L. Christensen. 2001. Physiological (antioxidant)<br />
responses of estuarine fishes to variability in dissolved oxygen. Comp. Biochem.<br />
Physiol. 130C, 289-303.<br />
Rudeva, I.I., 1997. Blood antioxidant system of Black Sea elasmobranch and teleosts. Comp.<br />
Biochem. Physiol. 118C, 255-260.<br />
Rumsey, G.L., 1991. Choline-betaine requirements of rainbow trout. Aquaculture,95:105-116.<br />
Saunderson, C.L. and J. McKinley. 1990. Changes in body-weight. Composition and hepatic<br />
enzyme activities in response to dietary methionine, betaine and choline levels in growing<br />
chicks. British Journal of Nutrition, 63:339-349.<br />
101
Schwhn BC, Hatner D. Hohlfeld T. et al. Pharmacokinetics of oral bataine in healthy subjects and<br />
patients with homocystinuria. Br J Clin Pharmacol 2003:55:6-13.<br />
Schmidt-Nielson, K. 1941. Aktiv ionoptagales hos flodkreps of strandkrabbe In: The Physiology<br />
of Crustacea.<br />
_____. 1975. Animal Physiology : Adaptation and Environment. Cambridge University Press,<br />
London. 699 p.<br />
Selye, H. 1973. The evolution of the stress concept. Am. Sci. 61:692-699.<br />
Stave, J.W. and B.S. Robertson. 1985. Hydrocortisone suppresses the chemiluminescent<br />
response of stripped bass phagocytes. Dev. Comp. Immunol. 9:77-84.<br />
Stekol, J.A., P.T. Hsu, S. Weiss, and P. Smith. 1953. Labile methyl group and its synthesis de<br />
novo in relation to growth in chicks. Journal of Biological Chemistry, 203:763-773.<br />
Strange, R.J., C.B. Schreck and J.T. Golden. 1977. Corticoid stress responses to handling and<br />
tempera ture in salmonids. Trans. Am. Fish. Soc. 106:213-218.<br />
Vargas-Albores, F. and J.L. Ochoa. 1992. The variation of pH osmolality sodium and<br />
potassium concentrations in the haemolymph of sub-adult blue shrimp Penaeus<br />
stylirostris according to size. Comp. Biochem. Physiol., 102, 1–5.<br />
Virtanen, E., and R. Campbell. 1994. Reduzierung der Ruckenspeckdicke durch<br />
Einsaltz von Betaine bei Mastschweinen (Reduction of Backfat thickness through betaine<br />
supplementation of diets for fattening pigs). Handbuch der tierischen Verdlung.<br />
Verlag H. Kamlage, Osnabruek, Deutschland, 19: 145-150.<br />
102
Virtanen, E. and L. Rosi. 1995. Effect of betaine on methoinine requirement of broilers<br />
under various environmental conditions. Proc. Aust. Poult. Sci. Sym.,7:88-92.<br />
Virtanen, E. and A. Soivio. 1985. The patterns T3, T4,contisol and Na-K-ATP base during<br />
smoltification of hatchery-reared Samol salar and comparison with wild smolts.<br />
Aquaculture, 45:97-109.<br />
Virtanen, E.,R. Hole, J.W. Risink, K-E. Slinning and M. Junnila. 1994. Betaine/amino<br />
acid additive enhances the seawater performance of rainbow trout (Oncorhynchus mykiss)<br />
fed standard fish-meal-based diets. Aquaculture, 124: 219-222. Abstract only.<br />
Virtanen, E., M. Junnila and A. Soivio. 1989. Effect of Food containing betaine/amino<br />
acid additive on the osmotic adaptation of young Atlantic salmon, Samol salar L.<br />
Aquaculture, 83: 109-122.<br />
Virtanen, E., M. Junnila, K-E. Slinning and R. Hole. 1992. Betaine Suplementation of<br />
physiological condition and smoltification of salmon, Presented at the Cultivition of<br />
atlantic salmon Symposiom, 16-20 August 1992, Bergen,Norway, 20 pp.<br />
Wasbort, N., M.D. Krom, A. Gasith, and T. Samocha, 1989. Ammonia excretion of green<br />
tiger prawn Penaeus semisulcatus as a possible limit on the biomass density in shrimp<br />
ponds. The Israeli Journal of Aquaculture. Bamidgeh 41 (4): 159-164.<br />
Wickens, J.F. 1985. Ammonia production and oxidation during the culture of marine<br />
prawns and lobsters in labolatory recirculation systems. Aquacultural.<br />
Thuet, P., M. Charmantier-Daures, G. Charmantier G. 1988. Relation entre smoregulation<br />
et activites d’ATPase Na + -K+ et d’anhydrase carbonique chez larves et postlarves de<br />
Homarus gammarus (L.) (Crustacea: Decapoda).J. Exp. Mar. Biol.<br />
Ecol. 115, 249–261.<br />
103
Ting, Y.Y., 1970. Study on the oxygen consumption of grass shrimp, Penaeus monodon<br />
and sand shrimp, Metapenaeus monoceros. Bull. Taiwan Fish. Res. Inst.,<br />
16:111-118.<br />
Yancey, P.H., 1992. Compatible and counteracting aspects of organic osmolytes in<br />
mammalian kidney cells in vivo and vitro, In: G.N. Somero, C.B. Osmond and Bolis,<br />
C.L. (eds): Water and Lift, pp 33-51, Springer – Verlag, Berlin/Heidelberg<br />
Zakharov, V.M. and G.M. Clarke. 1993. BIOTEST. A new integrated biological approach for<br />
assessing the condition of natural environments. Moscow Affliate of the International<br />
Biotest Foundation, Moscow, 58 p.<br />
104
ภาคผนวก<br />
105
ตารางผนวกที่<br />
1 อัตราการตายของกุ งกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ ในการทดลองหาคา<br />
LC50 ของสารแอมโมเนีย ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง<br />
่ ่ ่<br />
ความเขมขนของแอมโมเนีย (ppm) จํานวนกุงที่ตาย(ตัว)<br />
เปอรเซ็นต<br />
ซ้ําที<br />
1 ซ้ําที<br />
2 ซ้ําที<br />
3 เฉลี่ย<br />
การตาย<br />
เบทาอีน 0%<br />
0.00 0 0 0 0.00 0.00<br />
20.00 0 0 0 0.00 0.00<br />
26.85 0 0 2 0.67 6.67<br />
36.22 0 0 4 1.33 13.33<br />
48.87 5 6 3 4.67 46.67<br />
65.92 9 8 4 7.00 70.00<br />
88.92 10 9 8 9.00 90.00<br />
120.00<br />
เบทาอีน 0.75%<br />
10 10 10 10.00 100.00<br />
0.00 0 0 0 0.00 0.00<br />
20.00 0 0 0 0.00 0.00<br />
26.85 0 0 0 0.00 0.00<br />
36.22 0 2 0 0.67 6.67<br />
48.87 3 3 3 3.00 30.00<br />
65.92 6 9 6 7.00 70.00<br />
88.92 9 9 9 9.00 90.00<br />
120.00 9 10 10 9.67 96.67<br />
106
ตารางผนวกที่<br />
1 (ตอ) อัตราการตายของกุ งกุลาดําที่ไดรับเบทาอีนที่ระดับตาง<br />
ๆ ในการทดลอง<br />
หาคา LC50 ของสารแอมโมเนีย ภายในระยะเวลา 24 ชั่วโมง<br />
่ ่ ่<br />
ความเขมขนของแอมโมเนีย (ppm) จํานวนกุงที่ตาย(ตัว)<br />
เปอรเซ็นต<br />
ซ้ําที<br />
1 ซ้ําที<br />
2 ซ้ําที<br />
3 เฉลี่ย<br />
การตาย<br />
เบทาอีน 1.5%<br />
0.00 0 0 0 0.00 0.00<br />
20.00 0 0 0 0.00 0.00<br />
26.85 0 0 1 0.33 3.33<br />
36.22 0 0 3 1.00 10.00<br />
48.87 6 5 3 4.67 46.67<br />
65.92 9 6 9 8.00 80.00<br />
88.92 10 9 10 9.67 96.67<br />
120.00 10 10 10 10.00 100.00<br />
การหาคา LC50 ที่ระดับเบทาอีน<br />
0%<br />
การวิเคราะหขอมูลเพื่อหาคา<br />
LC50 ตามวิธีของ Litchfield and Wilcoxon (1949) สัญลักษณ ที่ใชมี<br />
ดังนี้<br />
K = จํานวนระดับความเขมขนที่ใช<br />
N = Degree of freedom ของคา X 2 ของเสนที่ลาก<br />
หาไดจาก n = K-2<br />
S = คาฟงกชั่นความลาดเอียง<br />
(Slope function)<br />
f LC50 = คาแฟคเตอรของ LC50 fs = คาแฟคเตอรของ S<br />
N = จํานวนสัตวทดลองที่ใชซึ่งอยู<br />
ระหวางคา LC16 และ LC84 R = อัตราสวนระหวางความเขมขนสูงสุดและความเขมขนตํ่าสุด<br />
A = คาที่ไดจากการคํานวณโดยใชคา<br />
S และ R<br />
สามารถคํานวณหาคา LC50 ไดโดยประเมินจากอัตราการตาย ระดับความเขมขน และคาที่ไดจาก<br />
เสนที่ลากบน<br />
Logarithmic probability paper ไดดังนี้<br />
107
ตารางผนวกที่<br />
2 การคํานวณหาคา LC50 ที่ระดับเบทาอีน<br />
0%<br />
Concentration Dead/Test % Observed<br />
mortality (O)<br />
% Expected<br />
mortality (E)<br />
O-E X 2 = (O-E) 2<br />
E(100-E)<br />
20.00 0.00/10 0.00 0.00 0.00 0.0000<br />
26.85 0.67/10 6.67 1.20 5.47 0.2524<br />
36.22 1.33/10 13.33 12.00 1.33 0.0017<br />
48.87 4.67/10 46.67 44.00 2.67 0.0029<br />
65.92 7.00/10 70.00 72.00 2.00 0.0020<br />
88.92 9.00/10 90.00 95.50 5.50 0.0704<br />
120.00 10.00/10 100.00 99.50 0.50 0.0050<br />
Total 0.3340<br />
คา X 2 ที่คํานวณไดของเสนที่ลาก<br />
= (ΣX 2 × จํานวนสัตวทดลอง) / จํานวนระดับความเขมขน<br />
= (0.3340 × 70) / 7 = 3.343<br />
Degree of freedom , n = K-2 = 7-2 = 5<br />
คา X 2 ที่เปดจากตาราง<br />
เมื่อ<br />
n เทากับ 5 มีคา = 11.07<br />
จากการนําคา X 2 ของเสนที่ลากบน<br />
Logarithmic probability paper ที่ไดจากการคํานวณมา<br />
เปรียบเทียบกับคา X 2 ที่เปดไดจากตาราง<br />
พบวา คา X 2 ที่ไดจากการคํานวณ<br />
มีคานอยกวาคา X 2 ที่<br />
เปดจากตาราง แสดงวา ขอมูลที่<br />
plot ไดมีการกระจายของจุดเบี่ยงเบนไป<br />
จากเสนตรงที่ลากเพื่อใช<br />
ในการประเมินคา LC50 อยางไมมีนัยสําคัญทางสถิติ จึงสามารถใชเสนตรงมาประเมินคา LC50 ได<br />
และสามารถคํานวณคาตาง ๆ ไดดังนี้<br />
คาความเขมขนบนเสนตรง ที<br />
่เปอรเซ็นตการตายเทากับ 16 50 และ 84 เปอรเซ็นต ไดคา<br />
LC 16 = 42.00<br />
LC 50 = 54.00<br />
LC 84 = 72.00<br />
108
S = [(LC84 / LC50) + (LC50 / LC16)] / 2<br />
= [(72.00 /54.00 ) + (54.00 /42.00 )] / 2 =1.309<br />
เมื่อ<br />
N = 20<br />
f LC 50 = S 2.77/ √ N = (1.309) 2.77/ √ 20 = 1.181<br />
ขีดจํากัดบนของ LC50 ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % มีคาเทากับ<br />
ขีดจํากัดบนของคา LC50 = LC50 × f LC50 = 54.000 × 1.181 = 63.774<br />
ขีดจํากัดลางของคา LC50 = LC50 / f LC50 = 54.000 / 1.181 = 45.724<br />
ดังนั้นคา<br />
LC50 ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % จึงมีคาเทากับ 54.00 (45.724-63.774)<br />
R = ความเขมขนสูงสุด / ความเขมขนตํ่าสุด<br />
= 120 / 20 = 6<br />
A = antilog 1.1 (log S) 2 / log R = antilog 1.1 (log 1.309) 2 / log 6 = 1.046<br />
fs = A 10(K-1) / K√ N = 1.046 10(7-1) / 7√ 20 = 1.090<br />
ขีดจํากัดบนของ S ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % มีคาเทากับ<br />
ขีดจํากัดบนของคา S = S × fs = 1.309×1.090 = 1.427<br />
ขีดจํากัดลางของคา S = S / fs = 1.309/1.090 = 1.200<br />
ดังนั้นคา<br />
S ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % จึงมีคาเทากับ 1.309 (1.200-1.427)<br />
การหาคา LC50 ที่ระดับเบทาอีน<br />
0.75%<br />
การวิเคราะหขอมูลเพื่อหาคา<br />
LC50 ตามวิธีของ Litchfield and Wilcoxon (1949) สัญลักษณ ที่ใชมี<br />
ดังนี้<br />
K = จํานวนระดับความเขมขนที่ใช<br />
N = Degree of freedom ของคา X 2 ของเสนที่ลาก<br />
หาไดจาก n = K-2<br />
S = คาฟงกชั่นความลาดเอียง<br />
(Slope function)<br />
109
f LC50 = คาแฟคเตอรของ LC50 fs = คาแฟคเตอรของ S<br />
N = จํานวนสัตวทดลองที่ใชซึ่งอยู<br />
ระหวางคา LC16 และ LC84 R = อัตราสวนระหวางความเขมขนสูงสุดและความเขมขนตํ่าสุด<br />
A = คาที่ไดจากการคํานวณโดยใชคา<br />
S และ R<br />
สามารถคํานวณหาคา LC50 ไดโดยประเมินจากอัตราการตาย ระดับความเขมขน และคาที่ไดจาก<br />
เสนที่ลากบน<br />
Logarithmic probability paper ไดดังนี้<br />
ตารางผนวกที่<br />
3 การคํานวณหาคา LC50 ที่ระดับเบทาอีน<br />
0.75%<br />
Concentration Dead/Test % Observed<br />
mortality (O)<br />
% Expected<br />
mortality (E)<br />
O-E X 2 = (O-E) 2<br />
E(100-E)<br />
20.00 0.00/10 0.00 0.35 -0.35 0.0035<br />
26.85 0.00/10 0.00 1.40 -1.40 0.0142<br />
36.22 0.67/10 6.67 8.00 -1.33 0.0024<br />
48.87 3.00/10 30.00 28.00 2.00 0.0020<br />
65.92 7.00/10 70.00 60.00 10.00 0.0417<br />
88.92 9.00/10 90.00 87.00 3.00 0.0080<br />
120.00 9.67/10 96.67 96.50 0.17 0.0001<br />
Total 0.0718<br />
คา X 2 ที่คํานวณไดของเสนที่ลาก<br />
= (ΣX 2 × จํานวนสัตวทดลอง) / จํานวนระดับความเขมขน<br />
= (0.0718 × 70) / 7 = 0.7180<br />
Degree of freedom , n = K-2 = 7-2 = 5<br />
คา X 2 ที่เปดจากตาราง<br />
เมื่อ<br />
n เทากับ 5 มีคา = 11.07<br />
110
จากการนําคา X 2 ของเสนที่ลากบน<br />
Logarithmic probability paper ที่ไดจากการคํานวณมา<br />
เปรียบเทียบกับคา X 2 ที่เปดไดจากตาราง<br />
พบวา คา X 2 ที่ไดจากการคํานวณ<br />
มีคานอยกวาคา X 2 ที่<br />
เปดจากตาราง แสดงวา ขอมูลที่<br />
plot ไดมีการกระจายของจุดเบี่ยงเบนไป<br />
จากเสนตรงที่ลากเพื่อใช<br />
ในการประเมินคา LC50 อยางไมมีนัยสําคัญทางสถิติ จึงสามารถใชเสนตรงมาประเมินคา LC50 ได<br />
และสามารถคํานวณคาตาง ๆ ไดดังนี้<br />
คาความเขมขนบนเสนตรง ที่เปอรเซ็นตการตายเทากับ<br />
16 50 และ 84 เปอรเซ็นต ไดคา<br />
LC 16 = 44.50<br />
LC 50 = 60.00<br />
LC 84 = 82.00<br />
S = [(LC84 / LC50) + (LC50 / LC16)] / 2<br />
= [(82.00 /60.00 ) + (60.00 /44.50 )] / 2 = 1.357<br />
เมื่อ<br />
N = 20<br />
f LC 50 = S 2.77/ √ N = (1.357) 2.77/ √ 20 = 1.208<br />
ขีดจํากัดบนของ LC50 ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % มีคาเทากับ<br />
ขีดจํากัดบนของคา LC50 = LC50 × f LC50 = 60.000 × 1.208 = 72.480<br />
ขีดจํากัดลางของคา LC50 = LC50 / f LC50 = 60.000 / 1.208 = 49.669<br />
ดังนั้นคา<br />
LC50 ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % จึงมีคาเทากับ 60.000 (49.669-72.480)<br />
R = ความเขมขนสูงสุด / ความเขมขนตํ่าสุด<br />
= 120 / 20 = 6<br />
A = antilog 1.1 (log S) 2 / log R = antilog 1.1 (log 1.357) 2 / log 6 = 1.059<br />
fs = A 10(K-1) / K√ N = 1.059 10(7-1) / 7√ 20 = 1.116<br />
ขีดจํากัดบนของ S ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % มีคาเทากับ<br />
111
ขีดจํากัดบนของคา S = S × f s = 1.357×1.116 = 1.514<br />
ขีดจํากัดลางของคา S = S / f s = 1.357/1.116 = 1.216<br />
ดังนั้นคา<br />
S ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % จึงมีคาเทากับ 1.357 (1.216-1.514)<br />
การหาคา LC50 ที่ระดับเบทาอีน<br />
1.5%<br />
การวิเคราะหขอมูลเพื่อหาคา<br />
LC50 ตามวิธีของ Litchfield and Wilcoxon (1949) สัญลักษณ ที่ใชมี<br />
ดังนี้<br />
K = จํานวนระดับความเขมขนที่ใช<br />
N = Degree of freedom ของคา X 2 ของเสนที่ลาก<br />
หาไดจาก n = K-2<br />
S = คาฟงกชั่นความลาดเอียง<br />
(Slope function)<br />
f LC50 = คาแฟคเตอรของ LC50 fs = คาแฟคเตอรของ S<br />
N = จํานวนสัตวทดลองที่ใชซึ่งอยู<br />
ระหวางคา LC16 และ LC84 R = อัตราสวนระหวางความเขมขนสูงสุดและความเขมขนตํ่าสุด<br />
A = คาที่ไดจากการคํานวณโดยใชคา<br />
S และ R<br />
สามารถคํานวณหาคา LC50 ไดโดยประเมินจากอัตราการตาย ระดับความเขมขน และคาที่ไดจาก<br />
เสนที่ลากบน<br />
Logarithmic probability paper ไดดังนี้<br />
112
ตารางผนวกที่<br />
4 การคํานวณหาคา LC50 ที่ระดับเบทาอีน<br />
1.5%<br />
Concentration Dead/Test % Observed<br />
mortality (O)<br />
% Expected<br />
mortality (E)<br />
O-E X 2 = (O-E) 2<br />
E(100-E)<br />
20.00 0.00/10 0.00 0.00 0.00 0.0000<br />
26.85 0.33/10 3.33 1.40 1.93 0.0270<br />
36.22 1.00/10 10.00 15.00 -5.00 0.0196<br />
48.87 4.67/10 46.67 48.00 -1.33 0.0007<br />
65.92 8.00/10 80.00 84.00 -4.00 0.0119<br />
88.92 9.67/10 96.67 98.40 -1.73 0.0190<br />
120.00 10.00/10 100.00 100.00 0.00 0.0000<br />
Total 0.0782<br />
คา X 2 ที่คํานวณไดของเสนที่ลาก<br />
= (ΣX 2 × จํานวนสัตวทดลอง) / จํานวนระดับความเขมขน<br />
= (0.0782 × 70) / 7 = 0.7822<br />
Degree of freedom , n = K-2 = 7-2 = 5<br />
คา X 2 ที่เปดจากตาราง<br />
เมื่อ<br />
n เทากับ 5 มีคา = 11.07<br />
จากการนําคา X 2 ของเสนที่ลากบน<br />
Logarithmic probability paper ที่ไดจากการคํานวณมา<br />
เปรียบเทียบกับคา X 2 ที่เปดไดจากตาราง<br />
พบวา คา X 2 ที่ไดจากการคํานวณ<br />
มีคานอยกวาคา X 2 ที่<br />
เปดจากตาราง แสดงวา ขอมูลที่<br />
plot ไดมีการกระจายของจุดเบี่ยงเบนไป<br />
จากเสนตรงที่ลากเพื่อใช<br />
ในการประเมินคา LC50 อยางไมมีนัยสําคัญทางสถิติ จึงสามารถใชเสนตรงมาประเมินคา LC50 ได<br />
และสามารถคํานวณคาตาง ๆ ไดดังนี้<br />
คาความเขมขนบนเสนตรง ที่เปอรเซ็นตการตายเทากับ<br />
16 50 และ 84 เปอรเซ็นต ไดคา<br />
LC 16 = 36.00<br />
LC 50 = 48.00<br />
113
LC 84 = 97.50<br />
S = [(LC84 / LC50) + (LC50 / LC16)] / 2<br />
= [( 97.50/48.00 ) + ( 48.00/36.00 )] /2 = 1.682<br />
เมื่อ<br />
N = 40<br />
f LC 50 = S 2.77/ √ N = (1.682) 2.77/ √ 40 = 1.256<br />
ขีดจํากัดบนของ LC50 ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % มีคาเทากับ<br />
ขีดจํากัดบนของคา LC50 = LC50 × f LC50 = 48.000 × 1.256 = 60.288<br />
ขีดจํากัดลางของคา LC50 = LC50 / f LC50 = 48.000 / 1.256 = 38.217<br />
ดังนั้นคา<br />
LC50 ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % จึงมีคาเทากับ 48.000 (38.217-60.288)<br />
R = ความเขมขนสูงสุด / ความเขมขนตํ่าสุด<br />
= 120 / 20 = 6<br />
A = antilog 1.1 (log S) 2 / log R = antilog 1.1 (log 1.682) 2 / log 6 = 1.181<br />
fs = A 10(K-1) / K√ N = 1.181 10(7-1) / 7√ 40 = 1.253<br />
ขีดจํากัดบนของ S ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % มีคาเทากับ<br />
ขีดจํากัดบนของคา S = S × fs = 1.682×1.253 = 2.108<br />
ขีดจํากัดลางของคา S = S / fs = 1.682/ 1.253= 1.342<br />
ดังนั้นคา<br />
S ที่ชวงความเชื่อมั่น<br />
95 % จึงมีคาเทากับ 1.682 (1.342-2.108)<br />
114
ตารางผนวกที่<br />
5 คุณภาพน้ําในชุดไมเสริมเบทาอีน<br />
ที่ระยะทุก<br />
ๆ 2 สัปดาหในการเลี้ยง<br />
พารามิเตอร ระยะเวลา (สัปดาห)<br />
0 2 4 6<br />
ออกซิเจน<br />
mg/l<br />
6.79 6.92 7.02 6.86<br />
พีเอช 8.7 8.5 8.6 8.4<br />
อุณหภูมิ<br />
O<br />
C<br />
29 28 29 30<br />
ความเค็ม<br />
ppt<br />
20 22 22 23<br />
แอมโมเนีย<br />
mg/l<br />
0.30 1.51 1.61 1.31<br />
ไนไตรท<br />
mg/l<br />
0.01 0.15 0.22 0.17<br />
ไนเตรต<br />
mg/l<br />
0.18 0.46 0.48 0.37<br />
อัลคาไลน<br />
mg/l<br />
100 104 101 102<br />
บีโอดี<br />
mg/l<br />
1.51 2.55 3.24 2.20<br />
115
ตารางผนวกที่<br />
6 คุณภาพน้ําในชุดเสริมเบทาอีน<br />
0.75% ที่ระยะทุก<br />
ๆ 2 สัปดาหในการเลี้ยง<br />
พารามิเตอร ระยะเวลา (สัปดาห)<br />
0 2 4 6<br />
ออกซิเจน<br />
mg/l<br />
7.01 6.85 6.98 6.77<br />
พีเอช 8.6 8.7 8.7 8.5<br />
อุณหภูมิ<br />
O<br />
C<br />
28 29 29 29<br />
ความเค็ม<br />
ppt<br />
20 21 22 22<br />
แอมโมเนีย<br />
mg/l<br />
0.21 1.58 1.53 1.45<br />
ไนไตรท<br />
mg/l<br />
0.02 0.21 0.30 0.16<br />
ไนเตรต<br />
mg/l<br />
0.19 0.39 0.40 0.38<br />
อัลคาไลน<br />
mg/l<br />
101 105 101 99<br />
บีโอดี<br />
mg/l<br />
1.05 2.10 3.10 2.22<br />
116
ตารางผนวกที่<br />
7 คุณภาพน้ําในชุดเสริมเบทาอีน<br />
1.5% ที่ระยะทุก<br />
ๆ 2 สัปดาหในการเลี้ยง<br />
พารามิเตอร ระยะเวลา (สัปดาห)<br />
0 2 4 6<br />
ออกซิเจน<br />
mg/l<br />
6.99 6.91 7.12 6.88<br />
พีเอช 8.6 8.4 8.3 8.5<br />
อุณหภูมิ<br />
O<br />
C<br />
28 29 29 28<br />
ความเค็ม<br />
ppt<br />
20 22 22 23<br />
แอมโมเนีย<br />
mg/l<br />
0.21 1.61 1.40 1.30<br />
ไนไตรท<br />
mg/l<br />
0.02 0.16 0.31 0.15<br />
ไนเตรต<br />
mg/l<br />
0.19 0.45 0.43 0.38<br />
อัลคาไลน<br />
mg/l<br />
106 104 103 100<br />
บีโอดี<br />
mg/l<br />
1.21 2.06 3.10 2.20<br />
117