Fusarium oxysporum F. - ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร
Fusarium oxysporum F. - ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร
Fusarium oxysporum F. - ศูนย์เทคโนโลยีชีวภาพเกษตร
You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
การพัฒนา SCAR primers สําหรับตรวจสอบเชื้อราสาเหตุโรคเหี่ยวเหลืองของ<br />
มะเขือเทศ (<strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici)<br />
Development of SCAR Primers for Detection of <strong>Fusarium</strong> Wilt Pathogen of<br />
Tomato (<strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici)<br />
มนัสวี สุริยวนากุล 1 2<br />
วีระศักดิ์ ศักดิ์ศิริรัตน1,3<br />
และ ปยะดา ธีระกุลพิศุทธิ์<br />
Manatsawee Suriyawanakul 1 , Weerasak Saksirirat 1,3 and Piyada Theerakulpisut 2<br />
1<br />
สาขาโรคพืชวิทยา ภาควิชาพืชศาสตรและทรัพยากรการเกษตร คณะเกษตรศาสตร<br />
มหาวิทยาลัยขอนแกน ขอนแกน 40002<br />
1<br />
Plant Pathology Section, Department of Plant Science and Agricultural Resources, Faculty of<br />
Agriculture, Khon Kaen University, Khon Kaen 40002<br />
2<br />
ภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร มหาวิทยาลัยขอนแกน ขอนแกน 40002<br />
2<br />
Department of Biology, Faculty of Science, Khon Kaen University, Khon Kaen 40002<br />
3<br />
ศูนยเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร และศูนยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร เพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืน<br />
มหาวิทยาลัยขอนแกน ขอนแกน 40002<br />
3<br />
Center of Agricultural Biotechnology (AgBiotec-PERDO-CHE) and Agricultural Biotechnology<br />
Research Center for Sustainable Economy, Khon Kaen University, Khon Kaen 40002<br />
ABSTRACT<br />
Fifteen isolates of <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F. sp. lycopersici (Fol) were collected in<br />
Thailand, three isolates from the Netherlands and one isolate from the United States of America,<br />
were tested on pathogenicity using tomato seedlings (Sida variety). Fourteen isolates of Fol<br />
caused <strong>Fusarium</strong> wilt symptom on tomato plants but five isolates did not infect the host plant.<br />
DNA of nineteen isolates of Fol was studied on DNA finger print using randomly amplified<br />
polymorphic DNA polymerase chain reaction (RAPD-PCR) technique. DNA fingerprint of Fol was<br />
performed using Operon Kit C (OPC 20 primers) and (OPE 10 primers). The primer OPC-04 and<br />
OPE-09 generated DNA fragments about 500 bp and 800 bp, respectively. Moreover, those<br />
fragments were found only on isolates causing <strong>Fusarium</strong> wilt disease. The DNA fragments were<br />
subjected to design SCAR primers, which tested for Fol detection, compared to DNA pattern of<br />
other <strong>Fusarium</strong> spp. (F. <strong>oxysporum</strong> F.sp. melonis, F. <strong>oxysporum</strong> F.sp. cucumerinum, F.<br />
moniliforme, F. poae, F. solani and <strong>Fusarium</strong> spp.). Using SCAR primer from primer OPE-09<br />
provided a PCR product of 378 bp which occurred only on isolates causing <strong>Fusarium</strong> wilt<br />
การประชุมวิชาการอารักขาพืชแหงชาติ ครั้งที่ 9<br />
24-26 พฤศจิกายน 2552 โรงแรมสุนีย แกรนด อําเภอเมือง จังหวัดอุบลราชธานี
disease. This result suggests the development efficacy of this SCAR primer for PCR detection<br />
technique of Fol.<br />
Key words: <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici, <strong>Fusarium</strong> wilt, RAPD, SCAR primer<br />
บทคัดยอ<br />
เชื้อรา <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici (Fol) สาเหตุโรคเหี่ยวเหลืองของมะเขือเทศ<br />
จํานวน 15 ไอโซเลต ที่แยกไดในประเทศไทย 3 ไอโซเลต จากเนเธอรแลนด และ 1 ไอโซเลตจาก<br />
สหรัฐอเมริกา รวม 19 ไอโซเลต ไดนํามาทดสอบความสามารถในการเกิดโรคกับมะเขือเทศ (พันธุสีดา)<br />
พบวา 14 ไอโซเลต ทําใหมะเขือเทศเปนโรคเหี่ยวเหลือง 5 ไอโซเลต ไมทําใหมะเขือเทศเปนโรคเหี่ยว<br />
เหลือง นําเชื้อรา Fol ทั้งหมดจํานวน 19 ไอโซเลต นั้นมาศึกษารูปแบบลายพิมพดีเอ็นเอ (DNA<br />
fingerprint) ดวยเทคนิค random amplified polymorphic DNA (RAPD) โดยใชไพรเมอร Operon Kit C<br />
(OPC) จํานวน 20 ชุด และ OPE จํานวน 10 ชุด พบวาไดแถบ DNA ขนาดประมาณ 500 bp ที่ไดจาก<br />
ไพรเมอร OPC-04 และ 800 bp ที่ไดจากไพรเมอร OPE-09 ซึ่งเปนแถบ DNA ที่พบเฉพาะในเชื้อรา<br />
Fol ไอโซเลต ที่ทําใหเกิดโรคเหี่ยวเหลืองกับมะเขือเทศ แถบ DNA ดังกลาวไดนําไปออกแบบไพรเมอร<br />
(SCAR primer) ที่มีความจําเพาะเจาะจงกับเชื้อรา Fol ไอโซเลตที่เปนสาเหตุโรคเหี่ยวเหลืองของมะเขือ<br />
เทศ และเมื่อนํา SCAR primer นั้นมาทดสอบกับเชื้อรา Fol ทั้งหมด และเชื้อรา <strong>Fusarium</strong> ชนิดอื่น<br />
ไดแก F. <strong>oxysporum</strong> F.sp. melonis, F. <strong>oxysporum</strong> F.sp. cucumerinum, F. moniliforme, F. poae,<br />
F. solani และ <strong>Fusarium</strong> spp. พบวา SCAR primer ที่ไดจากไพรเมอร OPE-09 มีความจําเพาะเจาะจง<br />
กับเชื้อรา Fol ไอโซเลตที่ทําใหเกิดโรคกับมะเขือเทศ โดยจะพบแถบ DNA ขนาดประมาณ 378 bp ซึ่งจะ<br />
ปรากฏเฉพาะในเชื้อรา Fol ไอโซเลต ที่ทําใหเกิดโรคในมะเขือเทศเทานั้น การศึกษานี้ชี้ใหเห็นถึง<br />
ประสิทธิภาพของ SCAR primer ที่สามารถนําไปพัฒนาการตรวจสอบเชื้อรา Fol ที่แมนยําดวยเทคนิค<br />
PCR<br />
คําหลัก: <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici, โรคเหี่ยวเหลือง, RAPD, SCAR primer<br />
บทนํา<br />
มะเขือเทศ (Lycopersicon esculentum Mill.) เปนพืชที่นิยมปลูกและบริโภคกันอยาง<br />
แพรหลายทั่วโลก เนื่องจากมะเขือเทศมีคุณคาทางโภชนาการสูง เปนแหลงวิตามิน และแรธาตุที่จําเปน<br />
สําหรับมนุษย นอกจากนี้มะเขือเทศยังเปนพืชเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศไทยดวย เนื่องจากมี<br />
เกษตรกรผูผลิตเมล็ดพันธุมีมากถึงประมาณ 37,500 ครอบครัว รวมทั้งมีบริษัทเมล็ดพันธุที่ดําเนิน<br />
กิจการประมาณ 70 บริษัท ซึ่งปริมาณการใชเมล็ดพันธุภายในประเทศคาดวาจะมีมูลคามากกวา 20,000<br />
ลานบาท/ป และในป 2548 มีการสงออกเมล็ดพันธุเปนมูลคา 1,153.4 ลานบาท (วัชริน, 2548) ประเทศ<br />
ไทยโดยเฉพาะภาคตะวันออกเฉียงเหนือมีสภาพภูมิอากาศที่เหมาะสมแกการผลิตเมล็ดพันธุมะเขือเทศ<br />
เปนอยางมาก มีพื้นที่ปลูกมะเขือเทศมากในเขตจังหวัดหนองคาย สกลนคร นครพนม กาฬสินธุ และ<br />
296 24-26 พฤศจิกายน 2552 โรงแรมสุนีย แกรนด จังหวัดอุบลราชธานี
ขอนแกน โดยเปนแหลงผลิตมะเขือเทศผลสดสําหรับบริโภค สงโรงงานอุตสาหกรรม และเปนแหลงผลิต<br />
เมล็ดพันธุที่ใหญที่สุดในประเทศไทย (เกียรติเกษตร, 2541) ในกระบวนการผลิตเมล็ดพันธุเพื่อการ<br />
สงออกนั้น จะตองมีใบรับรองปลอดโรคพืช (phytosanitary certificate) ที่ระบุการปลอดโรคบางชนิดทั้ง<br />
ในสภาพแปลงปลูกและโรคที่ติดไปกับเมล็ดพันธุ ซึ่งโรคเหี่ยวเหลือง (<strong>Fusarium</strong> wilt) ของมะเขือเทศที่<br />
เกิดจากเชื้อรา <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici (Fol) นั้นเปนโรคตองหามโรคหนึ่งที่มี<br />
ความสําคัญโดยเฉพาะเชื้อรา Fol race 3 มีความสําคัญตอการปลูกและการผลิตเมล็ดพันธุมะเขือเทศ<br />
เพื่อการสงออกเปนอยางมาก เพราะสามารถเขาทําลายมะเขือเทศไดรุนแรงและอาจถายทอดทางเมล็ด<br />
พันธุได ทําใหประเทศผูนําเขาเมล็ดพันธุมะเขือเทศหลายประเทศ ระบุการปลอดเชื้อรา Fol race 3 จาก<br />
ประเทศผูผลิตเมล็ดพันธุตนทาง<br />
เชื้อรา Fol เปนสาเหตุของโรคเหี่ยวเหลืองของมะเขือเทศ ซึ่งเปนโรคที่ทําความเสียหายอยาง<br />
มากตอมะเขือเทศทั่วโลก เชื้อราชนิดนี้มีแหลงอาศัยทั่วไปในดิน สามารถเขาทําลายตนมะเขือเทศได<br />
ตั้งแตระยะตนกลาจนถึงระยะใหผลผลิต เนื่องจากเชื้อรา Fol เปนเชื้อราที่อาศัยอยูในดิน อีกทั้งยัง<br />
สามารถสรางสปอรแบบไมอาศัยเพศเพื่อใชในการแพรกระจายไดถึง 3 แบบ ไดแก microconidia,<br />
macroconidia และ chlamydospores (Agrios, 2005) จึงทําใหเกิดการแพรระบาดไดดีและยากในการ<br />
ปองกันกําจัด อุณหภูมิในดินที่เหมาะสมในการแพรกระจายของเชื้อคือ อุณหภูมิระหวาง 20-34 ° ซ ซึ่ง<br />
ประเทศไทยตั้งอยูในเขตรอนชื้น จึงมักพบการระบาดของเชื้อรา Fol อยูเสมอ ในตางประเทศมีรายงาน<br />
วาพบเชื้อรา Fol จํานวน 3 race ดวยกันคือ race 1, race 2 และ race 3 เชื้อรา Fol race 1 พบครั้งแรก<br />
เมื่อ ป ค.ศ. 1886 ในรัฐ Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา (Booth, 1971; Marlatt et al., 1996) สําหรับ<br />
Fol race 2 พบครั้งแรกเมื่อป ค.ศ. 1945 ในรัฐ Ohio ประเทศสหรัฐอเมริกา (Alexander and Tucker,<br />
1945) สวน Fol race 3 พบครั้งแรกเมื่อป ค.ศ. 1978 ในประเทศออสเตรเลีย (Grattidge and O’Brien,<br />
1982) ภายหลังพบวามีรายงานการแพรระบาดของเชื้อรา Fol race 3 อยางกวางขวางเชน ที่ Florida<br />
(Volin and Jones.,1982), California (Davis et al., 1988; Cai et al., 2003), Georgia (Chellemi et al.,<br />
1992), Arkansas, North Carolina (Marlatt et al., 1996), ประเทศเม็กซิโก (Valenzuela-Ureta et al.,<br />
1996), Tennessee (Bost, 2001) ตอมาไดรายงานวาพบเชื้อรา Fol race 3 ในประเทศบราซิล (Reis et<br />
al., 2005) ซึ่งการเกิด race ตางๆ ของเชื้อรา Fol อาจเปนผลมาจากความผันแปรทางพันธุกรรม<br />
(genetic variation) ทําใหเกิดสายพันธุใหมๆ สงผลใหการศึกษาเกี่ยวกับเชื้อรา Fol มีความสําคัญมากใน<br />
ปจจุบัน<br />
การตรวจวินิจฉัยเชื้อสาเหตุเชื้อรา Fol ที่ผานมาใชวิธีตรวจสอบลักษณะทางสัณฐานวิทยาของ<br />
โคนิเดีย (conidia) คลามิโดสปอร (chlamydospore) และความสามารถในการทําใหเกิดโรคในมะเขือเทศ<br />
(pathogenicity) เปนตน ปจจุบันเทคนิคดานเทคโนโลยีชีวภาพเชน การเพิ่มปริมาณชิ้นสวน DNA ใน<br />
หลอดทดลอง (polymerase chain reaction, PCR) มีความกาวหนามากขึ้น และไดนํามาใชในการ<br />
ตรวจสอบเชื้อรา <strong>Fusarium</strong> spp. หลายชนิด เชน F. <strong>oxysporum</strong> F.sp. melonis, F. <strong>oxysporum</strong> F.sp.<br />
cucumerinum, F. moniliforme, F. poae, F. solani รวมถึงเชื้อรา Fol นอกจากนี้ มนัสวี และคณะ<br />
การประชุมวิชาการอารักขาพืชแหงชาติ ครั้งที่ 9 297
(2548) Bunyatratchata et al. (2005) ไดศึกษาการใชเทคนิค PCR ตรวจสอบ race ของเชื้อรา Fol แต<br />
ยังไมไดพัฒนาถึงการตรวจสอบเชื้อรา Fol ในทุก race จุดประสงคของการศึกษานี้เพื่อหาไพรเมอรที่<br />
เหมาะสมในการบงชี้เชื้อรา Fol ที่มีความสามารถในการทําใหเกิดโรคเหี่ยวเหลืองของมะเขือเทศ ออก<br />
จากเชื้อรา Fol ที่ไมสามารถทําใหเกิดโรค และจําแนกความแตกตางของเชื้อรา Fol จากเชื้อ <strong>Fusarium</strong><br />
ชนิดอื่นๆ เพื่อใชเปนไพรเมอรในการตรวจสอบยืนยันเชื้อรา Fol กอนที่จะใชไพรเมอรในการจําแนก<br />
race ตอไป<br />
วิธีการวิจัย<br />
1. เชื้อรา <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici (Fol) จํานวน 19 ไอโซเลต และเชื้อ<br />
<strong>Fusarium</strong> spp. อื่นที่นํามาศึกษาจํานวน 9 ไอโซเลต ไดมาจากแหลงตางๆ ดังแสดงในTable 1<br />
Table 1 Isolates of <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici and <strong>Fusarium</strong> spp. Used in this study<br />
<strong>Fusarium</strong> Isolates Origin<br />
Fol 1, Fol 2, Fol 3N<br />
Fol 3A<br />
KK1, KK2, KK3, KK4, KK5,<br />
KK6<br />
KS<br />
CM1, CM2, CM3<br />
PP1<br />
NK1, NK2<br />
SN1, SN2<br />
Fom<br />
Foc<br />
F. monoliforme<br />
F. poae<br />
F. solani<br />
Fu1<br />
Fu5<br />
Fu6<br />
Fu13<br />
<strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F. sp.<br />
lycopersici<br />
F.<strong>oxysporum</strong> F.sp. melonis<br />
F.<strong>oxysporum</strong> F.sp. cucumerinum<br />
F.moniliforme<br />
F.poae<br />
F.solani<br />
<strong>Fusarium</strong> spp.<br />
The Netherlands<br />
The United tates of America<br />
Khon Kaen University<br />
Kalasin<br />
Chiang Mai University<br />
Department of Agriculture<br />
Nong Khai<br />
Sakonnakhon<br />
Kanchanaburi<br />
Thailand Institute of Scientific and<br />
Technological Research (TISTR)<br />
Mukdahan<br />
Mahasarakham<br />
Khon Kaen<br />
Sakonnakhon<br />
2. การทดสอบความสามารถในการทําใหพืชเกิดโรคของเชื้อรา Fol<br />
นําเชื้อรา Fol จํานวน 19 ไอโซเลต ไดแก Fol 1, Fol 2, Fol 3N, Fol 3A, KK1, KK2, KK3,<br />
KK4, KK5, KK6, CM1, CM2, CM3, KS, PP1 NK1, NK2, SN1 และ SN2 ไปเพาะเลี้ยงบนอาหาร<br />
potato dextrose agar (PDA) ที่อุณหภูมิหอง (30 ± 4 o ซ) เปนเวลา 7 วัน เตรียมสารแขวนลอยสปอร<br />
(spore suspension) ใหมีปริมาณสปอรเทากับ 10 6 สปอร/มล. นําไปปลูกเชื้อกับตนกลามะเขือเทศพันธุสี<br />
ดา อายุ 20 วัน โดยวิธีการตัดรากตนกลามะเขือเทศออกประมาณ 1 ซม. จากปลายราก แลวจุมลงในสาร<br />
298 24-26 พฤศจิกายน 2552 โรงแรมสุนีย แกรนด จังหวัดอุบลราชธานี
แขวนลอยสปอร (root dip) เปนเวลา 20 นาที โดยประยุกตตามวิธีการของ Marlatt et al. (1996) และ<br />
Bunyatratchata, et al. (2005) จากนั้นนําตนกลามะเขือเทศไปปลูกในดินปลูกผสมวัสดุปลูก (พีทมอส)<br />
ที่ผานการนึ่งฆาเชื้อแลว อัตราสวนดินปลูกตอพีทมอสเทากับ 5:2 ในกระถางขนาดเสนผานศูนยกลาง<br />
12 ซม. จํานวน 1 ตน/กระถาง ไอโซเลตละ 12 กระถาง ตรวจสอบอาการของตนกลามะเขือเทศทุกวัน<br />
เปนเวลา 20 วันหลังจากปลูกเชื้อ<br />
3.การพัฒนา SCAR primers สําหรับตรวจสอบเชื้อราสาเหตุโรคเหี่ยวเหลืองของมะเขือเทศ<br />
(<strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici)<br />
3.1 การศึกษารูปแบบลายพิมพ DNA ของเชื้อรา ดวยเทคนิค RAPD-PCR<br />
การเตรียม Genomic DNA<br />
สกัด DNA ของเชื้อราทั้งหมด 28 ไอโซเลต ที่นํามาศึกษา ไดดัดแปลงมาจากวิธีการของ<br />
Doyle and Doyle (1987) โดยเลี้ยงเชื้อรา ในอาหารเลี้ยงเชื้อ potato dextrose broth (PDB) เขยาที่<br />
ความเร็วรอบ 125 รอบ/นาที ที่อุณหภูมิหองเปนเวลา 7 วัน กรองเอาสวนที่เปนเสนปใยลางเสนใยดวย<br />
น้ํากลั่นนึ่งฆาเชื้อ นําเสนใยประมาณ 0.5-1.0 กรัม มาบดในไนโตรเจนเหลวใหละเอียด แลวเติม<br />
สารละลาย extraction buffer [2% CTAB (hexadecylammonium bromide), 100 mM Tris-base, 20<br />
mM EDTA, 1.42 mM NaCl, 1% PVP-40, pH 8.0] ปริมาตร 700 µl และ 2-mercaptonethanol จํานวน<br />
3 µl ดูดใสในหลอด microcentrifuge ขนาด 1.5 มล. บมที่อุณหภูมิ 60 ๐ ซ เปนเวลา 60 นาที โดยพลิก<br />
หลอดกลับไปมาเปนครั้งคราว เติมสารละลาย chloroform : isoamyl alcohol, (24:1, v/v) ปริมาตร 500<br />
µl พลิกหลอดกลับไปมาเบาๆ จากนั้นนําไปปนเหวี่ยงที่ความเร็ว 13,000 รอบตอนาที ที่อุณหภูมิ 10 ๐ ซ<br />
เปนเวลา 10 นาที ดูดสารละลายสวนบน (supernatant) ไปใสในหลอด microcentrifuge หลอดใหม เติม<br />
ไอโซโพรพานอล (isopropanol) ที่เย็นจัด ปริมาตร 0.7 เทา พลิกหลอดกลับไปมาเบาๆ เพื่อให DNA<br />
ตกตะกอน ทิ้งไวที่อุณหภูมิ –20 ๐ ซ เปนเวลา 20 นาที นําไปปนเหวี่ยงที่ความเร็วรอบ 13,000 รอบ/นาที<br />
ที่อุณหภูมิ 10 ๐ ซ เปนเวลา 10 นาที เพื่อให DNA ตกตะกอนสูกนหลอด เทสวนใสที่เปนสารละลายทิ้ง<br />
ลางตะกอน DNA ดวยสวนผสมระหวางเอธานอล ความเขมขน 76% และแอมโมเนียมอะซิเตต ความ<br />
เขมขน 10 mM [76% ethanol:10 mM ammonium acetate, 1:1] ปริมาตร 500 µl พลิกหลอดกลับไปมา<br />
เบาๆ เทสวนใสที่เปนสารละลายทิ้งใหเหลือแตเฉพาะตะกอน DNA ที่กนหลอด ทิ้งไวใหแหงที่อุณหภูมิ<br />
ประมาณ 30-60 นาที ละลายตะกอน DNA ดวยสารละลาย TE buffer [10 mM Tris-base pH 8.0, 1 mM<br />
EDTA] ปริมาตร 40 µl และกําจัด RNA ดวยเอนไซม RNase A ความเขมขน 10 มิลลิกรัมตอมล.<br />
(mg/ml) บมที่อุณหภูมิหอง เปนเวลา 30 นาที เก็บสารละลายดีเอ็นเอไวที่อุณหภูมิ –20 ๐ ซ จนกวาจะ<br />
นําไปใช<br />
การเพิ่มปริมาณ DNA ดวยเทคนิค PCR<br />
นําเอา genomic DNA เชื้อรา 15 ไอโซเลต (Fol 1, Fol 2, Fol 3N, Fol 3A, KK1, KK2, KK3,<br />
KK4, KK5, KK6, CM1, CM2, CM3, KS, PP1) มาเพิ่มปริมาณ DNA ดวยเทคนิค RAPD ตามวิธีการ<br />
การประชุมวิชาการอารักขาพืชแหงชาติ ครั้งที่ 9 299
ของ มนัสวี และคณะ (2548) โดยใชไพรเมอร Operon Kit C (OPC) จํานวน 20 ชุด และ OPE จํานวน<br />
10 ชุด ในปฏิกิริยา PCR ทั้งหมด 25 µl ประกอบไปดวย Taq polymerase (Promega) (5 unit/µl)<br />
จํานวน 1 µl, 10 X Taq buffer 2.5 µl, dNTPs (0.25 mM) จํานวน 2 µl, ไพรเมอร (100 ρMol/µl)<br />
จํานวน 2 µl, MgCl 2 (25 mM) จํานวน 2 µl และ genomic DNA (100 ng/µl) จํานวน 5 µl ปรับปริมาตร<br />
ใหได 25 µl ดวยน้ํากลั่นนึ่งฆาเชื้อ นําไปเขาเครื่อง Thermal cycle โดยใชชวงอุณหภูมิ ดังนี้ ขั้นที่ 1<br />
pre-denatured อุณหภูมิ 94 ๐ ซ เปนเวลา 1 นาที จํานวน 1 รอบ, ขั้นที่ 2 denatured อุณหภูมิ 94 ๐ ซ เปน<br />
เวลา 1 นาที, annealing อุณหภูมิ 36 ๐ ซ เปนเวลา 1 นาที, extension อุณหภูมิ 72 ๐ ซ เปนเวลา 1 นาที<br />
จํานวน 40 รอบ และ ขั้นที่ 3 extension อุณหภูมิ 72 ๐ ซ เปนเวลา 2 นาที จํานวน 1 รอบ<br />
ตรวจวิเคราะหผลการเพิ่มปริมาณชิ้นสวน DNA โดยการนํา PCR product ปริมาตร 5 µl ผสม<br />
กับ loading dye 2 µl นํามาแยกขนาดบน 2% agarose gel electrophoresis ภายใตสภาพ 0.5 X TBE<br />
[1X TBE: 89 mM Tris-base, 89 boric acid และ 2 mM EDTA] ที่กระแสไฟฟา 100 โวลต เปนเวลา 50<br />
นาที แลวจึงนํา gel ไปยอมดวย ethidium bromide (EtBr) นาน 10 นาที นําไปลาง EtBr โดยการแชใน<br />
น้ําสะอาด 2 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที หลังจากนั้นนํา gel ไปตรวจสอบชิ้นสวน DNA ดวยเครื่อง Gel<br />
documentation (GENE GENIUS bio imaging system)<br />
3.2 การสกัด DNA ออกจาก gel โดยการละลาย<br />
เลือกแถบ DNA ที่ไดจากการเพิ่มปริมาณดวยเทคนิค RAPD โดยเลือกแถบที่ปรากฏเฉพาะใน<br />
ไอโซเลตที่ทําใหเกิดโรคเหี่ยวเหลืองในมะเขือเทศเทานั้น จากนั้นทําการตัดแถบ DNA ที่เลือก และ<br />
ละลาย ออกจาก gel โดยใช QIAquick Gel Extracton Kit (QIAGEN) นํา DNA ที่ไดไปตรวสอบใน<br />
agarose gel electrophoresis เพื่อยืนยันวาได DNA เปาหมาย แลวนําไปวัดคา OD เพื่อหาความเขมขน<br />
สง DNA ที่ไดไปหาลําดับนิวคลีโอไทด โดยใชบริการจากหนวยบริการชีวภาพ (BSU) ศูนยพันธุ<br />
วิศวกรรม และเทคโนโลยีชีวภาพแหงชาติ<br />
3.3 การออกแบบไพรเมอรและการสังเคราะหไพรเมอร<br />
นําขอมูลลําดับนิวคลีโอไทดที่ไดมาออกแบบไพรเมอรโดยใชโปรแกรม CLC Genomics<br />
Workbench 3 โดยกําหนดคาความยาวเบส 18-20 เบส แลวสังเคราะหไพรเมอรตามลําดับลําดับนิวคลี<br />
โอไทดที่ออกแบบโดยใชบริการจากบริษัท BioDesign Co., Ltd<br />
3.4 การทดสอบความจําเพาะเจาะจงของ SCAR primer<br />
นํา DNA ของเชื้อราทั้งหมด 28 ไอโซเลต จากTable 1 มาเพิ่มปริมาณ DNA ดวย SCAR<br />
primers ที่ไดออกแบบไว ในปฏิกิริยา PCR ทั้งหมด 25 µl ประกอบไปดวย Taq polymerase<br />
(Promega) (5 unit/µl) จํานวน 0.4 µl, 10 X Taq buffer 2.5 µl, dNTPs (0.25 mM) จํานวน 2 µl, ไพร<br />
เมอร (100 ρMol/µl) จํานวน 1 µl, MgCl 2 (25 mM) จํานวน 0.75 µl และ genomic DNA (100 ng/µl)<br />
จํานวน 5 µl ปรับปริมาตรใหได 25 µl ดวยน้ํากลั่นนึ่งฆาเชื้อ นําไปเขาเครื่อง Thermal cycle<br />
(Biometra ® รุน Tpersonal) โดยใชชวงอุณหภูมิ ดังนี้ ขั้นที่ 1 pre-denatured อุณหภูมิ 94 ๐ ซ เปนเวลา<br />
300 24-26 พฤศจิกายน 2552 โรงแรมสุนีย แกรนด จังหวัดอุบลราชธานี
3 นาที จํานวน 1 รอบ, ขั้นที่ 2 denatured อุณหภูมิ 94 ๐ ซ เปนเวลา 1 นาที, annealing อุณหภูมิ 56 ๐ ซ<br />
เปนเวลา 1 นาที, extension อุณหภูมิ 72 ๐ ซ เปนเวลา 1 นาที จํานวน 30 รอบ และ ขั้นที่ 3 extension<br />
อุณหภูมิ 72 ๐ ซ เปนเวลา 10 นาที จํานวน 1 รอบ<br />
ตรวจวิเคราะหผลการเพิ่มปริมาณชิ้นสวน DNA โดยการนํา PCR product ปริมาตร 5 µl ผสม<br />
กับ loading dye 2 µl นํามาแยกขนาดบน 2% agarose gel electrophoresis ภายใตสภาพ 0.5 X TBE<br />
[1X TBE: 89 mM Tris-base, 89 boric acid และ 2 mM EDTA] ที่กระแสไฟฟา 100 โวลต เปนเวลา 50<br />
นาที แลวจึงนํา gel ไปยอมดวย ethidium bromide (EtBr) นาน 10 นาที นําไปลาง EtBr โดยการแชใน<br />
น้ําสะอาด 2 ครั้ง ครั้งละ 5 นาที หลังจากนั้นนํา gel ไปตรวจสอบ DNA ดวยเครื่อง Gel documentation<br />
(Gene Genius Imaging System)<br />
ผลการวิจัย<br />
1. ความสามารถในการทําใหพืชเกิดโรคของเชื้อรา Fol<br />
เชื้อรา Fol 19 ไอโซเลต ที่นํามาทดสอบ คือ ไอโซเลต Fol 1, Fol 2, Fol 3N, Fol 3A, KK1,<br />
KK2, KK3, KK4, KK6, CM2, NK1, NK2, SN1 และ SN2 ที่ทําใหเกิดโรคกับมะเขือเทศพันธุสีดา และที่<br />
เหลืออีก 5 ไอโซเลต คือ KK5, CM1, CM3, KS และ PP1 ไมทําใหเกิดโรคกับมะเขือเทศพันธุสีดา (Fig.<br />
1) เมื่อเปรียบเทียบกับกรรมวิธีควบคุม (ตนมะเขือเทศที่ไมปลูกเชื้อรา Fol)<br />
Control Fol 1 Control Fol 2 Control Fol 3N<br />
Control KK1 Control KK2 Control KK6<br />
Control CM 1 Control CM 2 Control CM 3<br />
Fig. 1 Wilt symptoms of tomato (Sida cultivar) after 15 days of inoculation with <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp.<br />
lycopersici isolates Fol 1, Fol 2, Fol 3N, KK1, KK2, KK6, CM1, CM2 and CM3 (right) compared with no<br />
inoculation (left).<br />
การประชุมวิชาการอารักขาพืชแหงชาติ ครั้งที่ 9 301
2. การศึกษารูปแบบลายพิมพ DNA ของเชื้อรา ดวยเทคนิค RAPD-PCR<br />
จากการเพิ่มปริมาณ DNA ของเชื้อรา Fol 15 ไอโซเลต ดวยไพรเมอร OPC และ OPE นั้น<br />
พบวาการเพิ่มปริมาณ DNA ดวยไพรเมอร OPC-04 และ OPE-09 จะพบแถบ DNA ขนาด 520 bp (Fig.<br />
2A) และ 800 bp (Fig. 2B) ตามลําดับ ซึ่งเปนแถบ DNA ที่พบเฉพาะในเชื้อรา Fol ไอโซเลตที่ทําใหเกิด<br />
โรคเหี่ยวเหลืองในมะเขือเทศเทานั้น<br />
3000 bp<br />
1500 bp<br />
1000 bp<br />
800 bp<br />
500 bp<br />
300 bp<br />
M 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 C<br />
500<br />
A<br />
3000 bp<br />
1500 bp<br />
1000 bp<br />
800 bp<br />
500 bp<br />
300 bp<br />
M 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 4 15 C<br />
800<br />
Fig. 2 DNA fingerprints of <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici amplified with primers OPC-04<br />
(A) and OPE-09 (B), lane M, 100 bp ladder, lane 1-28 are Fol 1, Fol 2, Fol 3N, Fol 3A,<br />
KK1, KK2, KK3, KK4, KK5, KK6, CM1, CM2, CM3, KS, and PP1, respectively, lane C, negative control.<br />
3. การทดสอบความจําเพาะเจาะจงของ SCAR primer<br />
จากเลือกแถบ DNA ขนาด 500 bp และ 800 bp จากไพรเมอร OPC-04 และ OPE-09<br />
ตามลําดับ นําไปหาลําดับนิวคลีโอไทด และออกแบบไพรเมอร แลวนําไพรเมอรที่ไดนั้นมาทดสอบความ<br />
เจาะจงกับเชื้อรา Fol 19 ไอโซเลต (Fol 1, Fol 2, Fol 3N, Fol 3A, KK1, KK2, KK3, KK4, KK5, KK6,<br />
CM1, CM2, CM3, KS, PP1, NK1, NK2, SN1 และ SN2) และ <strong>Fusarium</strong> spp. ชนิดอื่นอีก 9 ไอโซเลต<br />
(F. <strong>oxysporum</strong> F.sp. melonis, F. <strong>oxysporum</strong> F.sp. cucumerinum, F. moniliforme, F. poae, F.<br />
solani, Fu1, Fu5, Fu6 และ Fu13) พบวาไพรเมอรที่ออกแบบจาก DNA ขนาด 800 bp คือไพรเมอร<br />
FolPF (Forward primer) 5’-GCG-AAC-CCG-AAG-CTA-CAA-3’ FolPR (Reverse primer) 5’-CGT-<br />
302 24-26 พฤศจิกายน 2552 โรงแรมสุนีย แกรนด จังหวัดอุบลราชธานี<br />
B
CAG-TGG-GAT-AGG-TCT-3’ มีความจําเพาะจงกับเชื้อรา Fol ไอโซเลตที่เกิดโรคเหี่ยวเหลืองกับมะเขือ<br />
เทศ โดยจะพบแถบ DNA เพียงแถบเดียวขนาดประมาณ 378 bp ในเฉพาะไอโซเลตที่เกิดโรคเหี่ยว<br />
เหลืองกับมะเขือเทศเทานั้น (Fig. 3)<br />
M 1 2 3 4 5 6 7 8 9 10 11 12 13 14 15 M 16 17 18 19 20 21 22 23<br />
1000 bp<br />
700 bp<br />
500 bp<br />
400 bp<br />
300 bp<br />
378<br />
Fig. 3 DNA fingerprints of <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici amplified with primers FolPF and<br />
FolPR, lane M, 100 bp ladder, lane 1-28 are Fol 1, Fol 2, Fol 3N, Fol 3A, KK1, KK2, KK3,<br />
KK4, KK5, KK6, CM1, CM2, CM3, KS, PP1 NK1, NK2, SN1, SN2, F. <strong>oxysporum</strong> F.sp. melonis,<br />
F. <strong>oxysporum</strong> F.sp. cucumerinum, F. moniliforme, F. poae, F. solani, Fu1, Fu5, Fu6<br />
and Fu13, respectively, lane C, negative control.<br />
สรุปและวิจารณ<br />
จากการทดสอบความสามารถในการทําใหพืชเกิดโรคของเชื้อรา Fol โดยการนําสารแขวนลอย<br />
สปอรของเชื้อรา Fol ปริมาณสปอรเทากับ 1X10 6 สปอร/มล. ไปปลูกเชื้อกับตนกลามะเขือเทศพันธุสีดา<br />
อายุ 20 วัน พบวาเชื้อรา Fol ที่นํามาทดสอบมี 14 ไอโซเลต คือ Fol 1, Fol 2, Fol 3N, Fol 3A, KK1,<br />
KK2, KK3, KK4, KK6, CM2, SN1, SN2, NK1 และ NK2 ทําใหเกิดโรคเหี่ยวเหลืองในมะเขือเทศพันธุสี<br />
ดา และที่เหลืออีก 5 ไอโซเลต คือ KK5, CM1, CM3, KS และ PP1 ไมทําใหเกิดโรคเหี่ยวเหลืองใน<br />
มะเขือเทศพันธุสีดา เมื่อเปรียบเทียบกับกรรมวิธีควบคุม (control treatment) ซึ่งผลการทดลองในครั้งนี้<br />
ใหผลตรงกันกับการทดลองของ Bunyatratchata et al. (2005) ซึ่งเปนการยืนยันผลของความสามารถใน<br />
การทําใหเกิดโรคเหี่ยวเหลืองในมะเขือเทศของเชื้อที่นํามาทดสอบครั้งนี้<br />
สําหรับการพัฒนา SCAR primer สําหรับตรวจสอบเชื้อรา <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp.<br />
lycopersici (Fol) สาเหตุโรคเหี่ยวเหลืองของมะเขือเทศนั้น พบวาไพรเมอร FolPF และ FolPR ที่ได<br />
ออกแบบจากลําดับนิวคลีโอไทดของ DNA ขนาด 800 bp ซึ่งไดจากการเพิ่มปริมาณ DNA ดวยไพร<br />
เมอร OPE-09 นั้น มีความจําเพาะเจาะจงกับเชื้อรา Fol ไอโซเลตที่เกิดโรคเหี่ยวเหลืองกับมะเขือเทศ<br />
โดยเมื่อนําไพรเมอร FolPF และ FolPR เพิ่มปริมาณ DNA ของเชื้อรา Fol 19 ไอโซเลต และเชื้อรา<br />
<strong>Fusarium</strong> spp. 9 ไอโซเลต พบวาไพรเมอรดังกลาวสามารถเพิ่มปริมาณไดเฉพาะกับ DNA ของเชื้อรา<br />
Fol ไอโซเลตที่เกิดโรคเหี่ยวเหลืองในมะเขือเทศเทานั้น โดยพบแถบ DNA ขนาดประมาณ 378 bp ผล<br />
การศึกษาครั้งนี้ไดผลที่สามารถนําไปใชในการตรวจสอบเชื้อสาเหตุโรคเหี่ยวเหลืองในมะเขือเทศที่มี<br />
ความแมนยําสอดคลองกับการตรวจสอบกับพืชอาศัย โดยที่ SCAR primer สําหรับตรวจสอบเชื้อรา Fol<br />
การประชุมวิชาการอารักขาพืชแหงชาติ ครั้งที่ 9 303
นี้เปนวิธีที่มีความแมนยําสูงเชนเดียวกันมีรายงานการใช SCAR marker ในการตรวจสอบเชื้อราสาเหตุ<br />
โรคเหี่ยว เชนการ ตรวจสอบเชื้อ <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. phaseoi (Alves-Santos et al., 2002)<br />
กิตติกรรมประกาศ<br />
ขอขอบคุณศูนยเทคโนโลยีชีวภาพเกษตร มหาวิทยาลัยรวม มหาวิทยาลัยขอนแกน และ<br />
ศูนยวิจัยเทคโนโลยีชีวภาพทางการเกษตร เพื่อเศรษฐกิจที่ยั่งยืน รวมทั้งศูนยพันธุวิศวกรรมและ<br />
เทคโนโลยีชีวภาพที่ใหทุนสนับสนุนในการทําวิจัย และคุณรภีพร หีบแกว ที่ไดใหความอนุเคราะหเชื้อรา<br />
Fol ไอโซเลต NK1 และ NK2<br />
เอกสารอางอิง<br />
เกียรติเกษตร กาญจนพิสุทธิ์. 2541. มะเขือเทศ. ฐานเกษตรกรรม. กรุงเทพฯ.<br />
วัชริน มีรอด. 2548. สหภาพยุโรปยักษใหญแหงวงการเมล็ดพันธุ. คนเมื่อ 28 พฤษภาคม 2551, จาก<br />
http://www.biotec.or.th/policy/home/european.asp<br />
มนัสวี ฉายผาด, วีระศักดิ์ ศักดิ์ศิริรัตน, และ พรเทพ ถนนแกว. 2548. การพัฒนาวิธีการทางชีวโมเลกุล<br />
เพื่อบงชี้ race ของเชื้อ <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F. sp. lycopersici สาเหตุโรคเหี่ยวเหลืองของ<br />
มะเขือเทศ. แกนเกษตร 33 (2): 108-123.<br />
Agrios, G. N. 2005. Plant pathology 5 th ed. Academic Press, Inc., New York.<br />
Alexander, L. J. and C. M. Tucker, 1945. Physiologic specialization in the tomato wilt fungus<br />
<strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici. J. Agric. Res. 70: 303 – 313.<br />
Booth, C. 1971. The genus <strong>Fusarium</strong>. Commonwealth Mycological Institute, Kew, Surrey,<br />
England.<br />
Bost, S. C. 2001. First report of <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici race 3 on tomato in<br />
Tennessee. Plant Disease 85: 802.<br />
Bunyatratchata, W., W. Saksirirat, P. Sirithorn and P. Teerakupisut 2005. Race identification of<br />
<strong>Fusarium</strong> with pathogen of tomato, <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F. sp. lycopersici by<br />
pathogenic reaction on standard differential host and development of Thai differential<br />
host. Khon Kaen Agri. J. 33: 95 – 107.<br />
Cai, G., L. R. Gale, R. W. Schneider, H. C. Kistler, R. M. Davis, K. S. Elias and E. M. Miyao.<br />
2003. Origin of race 3 of <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici at a single site in<br />
California. Phytopathology 93: 1014 – 1022.<br />
Chellemi, D. O., H. A. Dankers, and B. Crosier 1992. First report of <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F. sp.<br />
lycopersici race 3 on tomato in northwest Florida and Georgia. Pl. Dis. 76: 861.<br />
Davis, R. M., K. A. Kimble, and J. J. Farrar, 1988. A third race of <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F. sp.<br />
lycopersici identified in California. Pl. Dis. 72: 453.<br />
304 24-26 พฤศจิกายน 2552 โรงแรมสุนีย แกรนด จังหวัดอุบลราชธานี
Doyle, J. J. and J. L. Doyle, 1987. A rapid DNA isolation procedure for small quantities of fresh<br />
leaf tissue. Phytochemical Bulletin 19:11 – 15.<br />
Grattidge, R. and R. G. O’Brien, 1982. Occurrence of a third race of <strong>Fusarium</strong> wilt of tomatoes<br />
in Queensland. Pl. Dis. 66 :165 – 166.<br />
Marlatt, M. L., J. C. Correll, P. Kaufmann and P. E. Cooper, 1996. Two genetically distinct<br />
population of <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici race 3 in the United States. Pl.<br />
Dis. 80:1336 – 1342.<br />
Reis, A., H. Costa, , L.S. Boiteux and C.A. Lopes, 2005. First report of <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.<br />
sp. lycopersici race 3 on tomato in Brazil. Fitopatol. Brasil. 30:426-428.<br />
Valenzuela-Ureta, J. G., D. A.Lawn, R. F. Heisey, and V. Zamudio-Guzman, 1996. First report<br />
of <strong>Fusarium</strong> wilt race 3, caused by <strong>Fusarium</strong> <strong>oxysporum</strong> F.sp. lycopersici, of tomato<br />
in Mexico. Pl. Dis. 80: 105.<br />
Volin, R. B. and J. P. Jones, 1982. A new race of <strong>Fusarium</strong> wilt of tomato in Florida and<br />
sources of resistance. Proc. Fla. State Hortic. Soc. 95: 268 – 270.<br />
Windels, C.E. 1992. <strong>Fusarium</strong>. In: Methods for research on soil borne phytopathogenic fungi.<br />
L.L. Singleton, I.D. Mihail and C.M. Rush (Eds.) APS Press, St. Paul, Minnesota.<br />
การประชุมวิชาการอารักขาพืชแหงชาติ ครั้งที่ 9 305