You also want an ePaper? Increase the reach of your titles
YUMPU automatically turns print PDFs into web optimized ePapers that Google loves.
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
หน่วยงานนโยบายและยุทธศาสตร์ความมั่นคง<br />
ทรงพระเจริญ<br />
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น ส ำ นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
ปีที่ ๒๓ ฉบับที่ ๒๘๕ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗<br />
www.<strong>lakmuang</strong>online.com
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น ข อ ง ส ำ นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
ที่ปรึกษากิตติมศักดิ์<br />
พล.อ.วันชัย เรืองตระกูล<br />
พล.อ.อ.สุวิช จันทประดิษฐ์<br />
พล.อ.ไพบูลย์ เอมพันธุ์<br />
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา<br />
พล.อ.ธีรเดช มีเพียร<br />
พล.อ.ธวัช เกษร์อังกูร<br />
พล.อ.สัมพันธ์ บุญญานันต์<br />
พล.อ.อู้ด เบื้องบน<br />
พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ<br />
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล<br />
พล.อ.อภิชาต เพ็ญกิตติ<br />
พล.อ.กิตติพงษ์ เกษโกวิท<br />
พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์<br />
พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์<br />
พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน<br />
พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก<br />
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรัตน์<br />
ที่ปรึกษา<br />
พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล<br />
พล.อ.อ.ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์<br />
พล.อ.ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ<br />
พล.ร.อ.ชุมนุม อาจวงษ์ ร.น.<br />
พล.อ.วิชิต ศรีประเสริฐ<br />
พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล<br />
พล.อ.นพดล ฟักอังกูร<br />
พล.อ.อดุลยเดช อินทะพงษ์<br />
พล.อ.ชัชวาลย์ ขำเกษม<br />
พล.อ.นิวัติ ศรีเพ็ญ<br />
พล.ท.สุวโรจน์ ทิพย์มงคล<br />
พล.ท.พฤษภะ สุวรรณทัต<br />
พล.ท.ดำรงศักดิ์ วรรณกลาง<br />
พล.ท.ชุติกรณ์ สีตบุตร<br />
พล.ท.นเรศรักษ์ ฐิตะฐาน<br />
พล.ท.ถเกิงกานต์ ศรีอำไพ<br />
พล.ท.อดุลย์ศักดิ์ บุญวัฒนะกุล<br />
พล.ท.พรรณนพ ศักดิ์วงศ์<br />
พล.ท.เดชา บุญญปาล<br />
พล.ท.นภนต์ สร้างสมวงษ์<br />
พล.ต.ภราดร จินดาลัทธ<br />
พล.ต.ชวลิต สาลีติ๊ด<br />
ผู้อำนวยการ<br />
พล.ต.ณภัทร สุขจิตต์<br />
รองผู้อำนวยการ<br />
พ.อ.ณัฐวุฒิ คล้ายโอภาส<br />
พ.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์<br />
ผู้ช่วยผู้อำนวยการ<br />
พ.อ.ปณิธาน กาญจนวิโรจน์<br />
กองจัดการ<br />
ผู้จัดการ<br />
น.อ.ธวัชชัย รักประยูร<br />
ประจำกองจัดการ<br />
น.อ.กฤษณ์ ไชยสมบัติ<br />
น.ท.วิษุวัตร์ แสนคำ ร.น.<br />
พ.ต.ไพบูลย์ รุ่งโรจน์<br />
เหรัญญิก<br />
พ.ท.พลพัฒน์ อาขวานนท์<br />
ผู้ช่วยเหรัญญิก<br />
ร.ท.เวช บุญหล้า<br />
ฝ่ายกฎหมาย<br />
น.ท.สุรชัย สลามเต๊ะ<br />
ฝ่ายพิสูจน์อักษร<br />
พ.อ.หญิง วิวรรณ วรวิศิษฏ์ธำรง<br />
ร.อ.หญิง กัญญารัตน์ ชูชาติ ร.น.<br />
ร.ท.หญิง ประภาพันธ์ มูลละ<br />
กองบรรณาธิการ<br />
บรรณาธิการ<br />
น.อ.พรหมเมธ อติแพทย์ ร.น.<br />
รองบรรณาธิการ<br />
พ.อ.ทวี สุดจิตร์<br />
พ.อ.สุวเทพ ศิริสรณ์<br />
ผู้ช่วยบรรณาธิการ<br />
พ.อ.หญิง ใจทิพย์ อุไพพานิช<br />
ประจำกองบรรณาธิการ<br />
น.ท.ณัทวรรษ พรเลิศ<br />
น.ท.วัฒนสิน ปัตพี ร.น.<br />
พ.ท.ชาตบุตร ศรธรรม<br />
พ.ต.หญิง สิริณี ศรประทุม<br />
พ.ต.หญิง สมจิตร พวงโต<br />
ร.อ.หญิง อัญชลีพร ชัยชาญกุล<br />
ร.อ.หญิง ลลิดา ดรุนัยธร<br />
ร.ต.หญิง พัชรี ชาญชัยพิชิต<br />
ร.ต.วัชรเทพย์ ปีตะนีละผลิน<br />
จ.ส.อ.หญิง ปาลดา สมพงษ์ผึ้ง<br />
ส.อ.ธีร์นริศวร์ ขอพึ่งธรรม<br />
น.ท.หญิง รสสุคนธ์ ทองใบ ร.น.<br />
พ.ท.ชุมศักดิ์ สมไร่ขิง<br />
น.ต.ฐิตพร น้อยรักษ์ ร.น.<br />
พ.ต.หญิง ณิชาภา กุหลาบเพ็ชร์<br />
ร.อ.ยอดเยี่ยม สงวนสุข<br />
ร.ต.ศุภกิจ ภาวิไล<br />
ร.ต.จิรวัฒน์ ถนอมธรรม<br />
ร.ต.หญิง กันยารัตน์ พุกพัก<br />
จ.ส.อ.สมหมาย ภมรนาค<br />
ส.อ.หญิง ศิริพิมพ์มา กาญจนโรจน์
บทบรรณาธิการ<br />
เดือนธันวาคมนับเป็นเดือนมหามงคลของปวงชนชาวไทยเนื่องจากในวันที่ ๕ ธันวาคม<br />
๒๕๕๗ เป็นวันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งรัฐบาลได้เชิญชวน<br />
ให้ข้าราชการ และประชาชนทุกหมู่เหล่าพร้อมใจกันแต่งกายด้วยเสื้อสีเหลือง ซึ่งเป็นสีประจำวัน<br />
พระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตลอดเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ โดยพร้อมเพรียงกัน<br />
ทั้งนี ้ในภาพรวมของกระทรวงกลาโหม ได้จัดกิจกรรมเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๗ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
โดยจะมีกิจกรรมของทหารรักษาพระองค์เฉลิมพระเกียรติฯ โครงการอุปสมบทเฉลิมพระเกียรติ<br />
ถวายเป็นพระราชกุศลฯ และโครงการแพทย์ทหารห่วงใยใส่ใจสุขภาพประชาชนถวายเป็น<br />
พระราชกุศลฯ<br />
วารสารหลักเมืองฉบับเดือนธันวาคม ๒๕๕๗ มีบทความที่น่าสนใจ อาทิ ๙ แผ่นดินของการ<br />
ปฏิรูประบบราชการ, แผนที่เส้นประ ๙ เส้น ที่ลากขึ้นเพื่อกำหนดอาณาเขตของจีนในทะเลจีนใต้<br />
ซึ่งส่งผลให้จีนเกิดความขัดแย้งกับประเทศต่าง ๆ ในทะเลจีนใต้ถึง ๖ ประเทศ และติดตามอ่าน<br />
ถึงผลการประชุมรัฐมนตรีกลาโหมอาเซียนอย่างไม่เป็นทางการ ณ นครพุกาม สาธารณรัฐ<br />
แห่งสหภาพเมียนมา และสุดท้าย...ติดตามอ่านตอนจบของ “หลักการของนายพลแพตตัน”<br />
ในฉบับหน้ากันครับ<br />
2
ปีที่ ๒๓ ฉบับที่ ๒๘๕ เดือนธันวาคม พ.ศ. ๒๕๕๗<br />
๔<br />
น้ำพระราชหฤทัย<br />
พระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัว<br />
ในการแก้ไขปัญหาความ<br />
ยากจนในประเทศ<br />
๘<br />
สงครามในสมัย<br />
สมเด็จพระเจ้าตากสิน<br />
มหาราช<br />
๑๒<br />
๙ แผ่นดินของการ<br />
ปฏิรูประบบราชการ<br />
(ตอนที่ ๑)<br />
๑๘<br />
ผลการประชุมรัฐมนตรี<br />
กลาโหมอาเซียน<br />
อย่างไม่เป็นทางการ<br />
ASEAN Defence<br />
Minister’s Meeting<br />
Retreat (ADMM<br />
Retreat)<br />
๒๒<br />
เจาะลึกอาเซียน<br />
๒๖<br />
แผนที่ "เส้นประ ๙ เส้น"<br />
(nine-dash-line)<br />
๓๐<br />
Ukrain crisis 2014 :<br />
Is Crimea gone?<br />
“ไครเมีย...<br />
ที่ต้องแย่งยื้อ ถือครอง”<br />
๘<br />
๒๖<br />
๓๘<br />
๕๐<br />
๑๒<br />
๓๐<br />
๔๒<br />
๕๔<br />
๔<br />
๑๘<br />
๓๔<br />
๔๖<br />
๓๔<br />
เครื่องบินขนส่งทาง<br />
ทหาร ซี-๒๙๕<br />
๓๘<br />
เปิดประตูสู่เทคโนโลยี<br />
ป้องกันประเทศ<br />
(ตอนที่ ๒๓)<br />
จรวด DTI-2 กับความ<br />
สำเร็จด้วยฝีมือคนไทย<br />
๔๒<br />
หลักการของนายพล<br />
แพตตัน (ตอนที่ ๒๘)<br />
๔๖<br />
พระบรมราโชบาย<br />
ในการปกครองระบอบ<br />
ประชาธิปไตย<br />
ในรัชกาลที่ ๗<br />
๕๐<br />
อาณาจักรตองอูกับ<br />
การก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด<br />
ของอำนาจ<br />
๕๒<br />
;-) Winking smile<br />
๕๔<br />
โรคอ้วน (Obesity)<br />
๖๓<br />
กิจกรรมสมาคมภริยา<br />
ข้าราชการสำนักงาน<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ข้อคิดเห็นและบทความที่นำลงในวารสารหลักเมืองเป็นของผู้เขียน มิใช่ข้อคิดเห็นหรือนโยบายของหน่วยงานของรัฐ และมิได้ผูกพันต่อทางราชการแต่อย่างใด<br />
สำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย เขตพระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร./โทรสาร ๐-๒๒๒๕-๘๒๖๒ http://61.19.220.3/opsd/sopsdweb/index_1.htm<br />
พิมพ์ที่ : แผนกโรงพิมพ์ กองบริการ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ออกแบบ : บริษัท รุ่งศิลป์การพิมพ์ (๑๙๗๗) จำกัด<br />
๖๓<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
3
น้ำพระราชหฤทัย<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
ในการแก้ไขปัญหา<br />
ความยากจนในประเทศ<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
4<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
“…พระองค์ท่านทรงริเริ่มทั้งหมด<br />
ในการดูแลประเทศไทย ผมถึง<br />
บอกว่าประเทศไทยเรามีพระมหา<br />
กษัตริย์ที่มีพระคุณอันประเสริฐ<br />
ต่อประเทศไทยมาโดยตลอด ทุก<br />
พระองค์ทำเพื่อประเทศชาติมา<br />
ตลอด และในวันนี้พระองค์ทรงเป็น<br />
พระมหากษัตริย์สมัยใหม่ คือไม่ได้<br />
สู้รบกับข้าศึก แต่สู้กับความยากจน<br />
และรบกับธรรมชาติเพื่อให้คนไทย<br />
อยู่รอดปลอดภัย ฉะนั้นรัฐบาลต้อง<br />
สนองพระราชดำรินี ้ และดำเนิน<br />
งานต่อตามที่พระองค์ท่านเริ่มไว้<br />
ไม่ใช่พระองค์ท่านเริ่มไว้แล้วต้องทำ<br />
เองจนจบ คงไม่ใช่…”<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
5
คำกล่าวข้างต้นคือข้อความบางตอนที่ท่าน<br />
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี<br />
ได้กรุณาให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ ๓ พฤศจิกายน<br />
๒๕๕๔ ในขณะที่ท่านดำรงตำแหน่ง<br />
ผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเนื้อความที่ท่าน<br />
กล่าวในวันนั้นเป็นการแสดงให้เห็นถึงความ<br />
สำนึกในพระมหากรุณาธิคุณขององค์พระบาท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่ทรงมีต่อพสกนิกร<br />
ชาวไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในเรื่องการ<br />
แก้ไขปัญหาความยากจนให้แก่คนในชาติ<br />
อันเป็นพระราชปณิธานที่ต้องทรงดำเนิน<br />
พระราชกรณียกิจตามคำกราบบังคมทูล<br />
ของคนไทยทั้งชาติ และเป็นการแสดงออก<br />
ว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะมิได้<br />
ทรงทอดทิ้งประชาชนของพระองค์ท่าน<br />
ดังพระราชดำรัสพระราชทาน เมื่อวันที่ ๑๙<br />
สิงหาคม ๒๔๘๙<br />
หากทุกท่านมองย้อนไปในอดีต ภาพที่<br />
ทุกท่านเห็นเป็นประจำจนชินตาคือพระราช<br />
กรณียกิจองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
6<br />
ที่ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรใน<br />
ท้องถิ ่นต่าง ๆ โดยเฉพาะพื้นที่ทุรกันดารและ<br />
พื้นที่ป่าเขาในทุกภูมิภาคของประเทศอย่าง<br />
สม่ำเสมอนับตั้งแต่เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ<br />
ภาพในอดีตคงเป็นประจักษ์พยานที่ช่วยยืนยัน<br />
ให้สังคมไทยได้เห็นถึงน ้ำพระราชหฤทัยที่ทรง<br />
มีต่อพสกนิกรชาวไทยโดยพระราชกรณียกิจที่<br />
ทรงบำเพ็ญส่วนใหญ่คือการพัฒนาประเทศ ทั้ง<br />
ยังได้พระราชทานพระราชดำรัสหรือแนวพระ<br />
ราชดำริแก่ส่วนราชการหรือหน่วยงานต่าง ๆ<br />
เพื่อน้อมนำไปปฏิบัติจนสำเร็จลุล่วงและบังเกิด<br />
ประโยชน์สูงสุดยังความร่มเย็นและบังเกิด<br />
ความผาสุกแก่ปวงเหล่าพสกนิกรเสมอมา<br />
ตลอดระยะเวลาที่พระองค์ท่านดำเนิน<br />
พระราชกรณียกิจในลักษณะที่ใกล้ชิดกับ<br />
ประชาชนทั่วทุกพื้นที่ทุกภูมิภาคของประเทศ<br />
ทุกครั้งที่เสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียน<br />
ราษฎร พระองค์มิได้ทรงคำนึงถึงเส้นทางเสด็จ<br />
พระราชดำเนินหรือภยันตรายใด ๆ เลยแม้แต่<br />
น้อย แม้ว่าจะมีระยะทางหลายกิโลเมตร บน<br />
เส้นทางที่ขรุขระ บางกรณีต้องขึ้นเขาลงห้วย<br />
ต้องบุกป่าฝ่าดงไปในเส้นทางที่ถนนเข้าไปไม่<br />
ถึง แม้ฝนจะตกหนักเต็มไปด้วยน้ำขังและโคลน<br />
ตม หรืออากาศจะหนาวเหน็บหรือร้อนอบอ้าว<br />
เพียงใด ก็ไม่เป็นอุปสรรคหรือสิ่งกีดขวางการ<br />
เสด็จพระราชดำเนินไปให้ถึงตัวราษฎรที่ทรง<br />
ห่วงใย<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงทราบถึง<br />
ปัญหาความเดือดร้อนของพสกนิกรส่วนใหญ่<br />
ที่ประกอบอาชีพเกษตรกรรมและได้รับความ<br />
เดือดร้อนจากการขาดแคลนน้ำ ขาดแคลน<br />
เครื่องไม้เครื่องมือ และขาดแคลนองค์ความรู้<br />
อันเป็นปัจจัยสำคัญเพื่อการดำเนินการทางการ<br />
เกษตรกรรมและการดำรงชีวิต โดยเฉพาะ<br />
อย่างยิ่งพสกนิกรในท้องถิ่นชนบท พื้นที่<br />
ทุรกันดารจนเป็นเหตุให้เกิดปัญหาความ<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
ยากจน ขาดเสถียรภาพในการดำเนินชีวิต และ<br />
อ่อนด้อยในด้านคุณภาพชีวิต จึงทรงกำหนด<br />
โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริต่าง ๆ<br />
ขึ้นและพระราชทานให้ส่วนราชการหรือ<br />
หน่วยงานที่รับผิดชอบรับไปพิจารณาดำเนิน<br />
การให้เหมาะสมและถูกต้องในเชิงวิชาการ<br />
ทั้งในเรื่องการพัฒนาแหล่งน้ำ การบำรุงและ<br />
พัฒนาความอุดมสมบูรณ์ของดิน การพัฒนา<br />
ผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรกรรม พร้อมทั้ง<br />
พระราชทานแนวปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง<br />
เพื่อเป็นแนวทางหลักในการดำเนินชีวิตและ<br />
ใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างไม่เดือดร้อน<br />
แนวทางและโครงการอันเนื่องมาจาก<br />
พระราชดำริต่าง ๆ ล้วนแล้วแต่เป็นการแก้ไข<br />
ปัญหาความยากจนของประชาชนในชนบท<br />
ให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตัวเองและ<br />
ครอบครัวให้มีความสุขตามอัตภาพ และยังเป็น<br />
หลักคิดในการดำเนินชีวิตทั ้งของคนในชนบท<br />
และในเมืองให้รู้จักการดำเนินชีวิตบนทาง<br />
สายกลางโดยไม่ใช้ชีวิตจนเกินสุข และไม่ต้อง<br />
ใช้ชีวิตอย่างทุกข์ยากลำเค็ญจนเกินควร หาก<br />
ทุกท่านรู้จักกับคำว่า พอเพียง สิ่งที ่ผู้เขียนได้<br />
เรียบเรียงข้างต้นนี้คือ กล่องวิเศษพระราชทาน<br />
ที่จะช่วยดลบันดาลให้ชีวิตของปวงพสกนิกร<br />
ชาวไทยภายใต้พระบรมโพธิสมภารขององค์<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่จะสามารถ<br />
ประสบสิ่งสมหวังได้ดังใจปรารถนา ทั้งนี้ ส่วน<br />
ราชการหรือหน่วยงาน หรือประชาชน พึงจะ<br />
ต้องน้อมนำไปประพฤติปฏิบัติ และดำเนิน<br />
การให้ประสบผลสำเร็จตามความเหมาะ<br />
สมด้วยองค์กรเอง หรือตัวเอง เพราะกล่อง<br />
วิเศษนี้จะบังเกิดผล ก็ต่อเมื่อท่านได้อธิษฐาน<br />
และให้สัจจะกับตนเองว่าจะปฏิบัติตาม<br />
ที่ท่านปรารถนาตามแนวทางอันถูกต้อง<br />
ชอบธรรม แล้วผลที่เกิดขึ้นจะเป็นผลสำเร็จ<br />
ตามใจอธิษฐาน โดยทุกสิ่งทุกอย่างจะสำเร็จ<br />
ด้วยการกระทำ ด้วยความมานะ อดทน<br />
มีความวิริยะ อุตสาหะ ด้วยตนเอง เมื่อเป็น<br />
เช่นนี้ ปัญหาความยากจน หรือปัญหาต่าง ๆ<br />
ก็จะคลี่คลายและลุล่วงไปด้วยดีสมดังความ<br />
ปรารถนา และเรื่องที่สำคัญคือขอให้ทุกท่าน<br />
พึงตระหนักคือการทำงานและดำเนินชีวิตบน<br />
พื้นฐานของความรัก ความสามัคคี ปรารถนา<br />
ดี และปันน้ำใจต่อกัน แล้ววันนั้นปัญหาความ<br />
ยากจนและปัญหาต่าง ๆ จะจางหายไปจาก<br />
สังคมไทย<br />
ในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ซึ่งเป็นวัน<br />
คล้ายวันพระราชสมภพ ๘๗ พรรษา ขององค์<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผู้เขียนใคร่ขอ<br />
เรียนเชิญทุกท่านร่วมกันปฏิบัติหน้าที่และ<br />
ดำเนินชีวิตตามความรับผิดชอบบนพื้นฐาน<br />
ของคุณธรรมและความพอเพียง เพื่อถวาย<br />
เป็นพระราชกุศลและถวายพระเกียรติแด่องค์<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงพระเกษม<br />
สำราญ มีพระพลานามัยที่สมบูรณ์ แข็งแรง<br />
เป็นมิ ่งขวัญ เป็นร่มโพธิ์ทองของพสกนิกรชาว<br />
ไทยตลอดกาลนานเทอญ<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
7
สงครามในสมัย<br />
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
ภ<br />
ายหลังจากที่ กรุงอโยธยาศรีราม<br />
เทพนครหรือกรุงศรีอยุธยา ต้อง<br />
เสียทีให้แก่พม่าข้าศึกในช่วงค่ำ<br />
ของวันที่ ๗ เมษายน ๒๓๑๐ ทำให้เอกราช<br />
ของชาติในเวลานั้นต้องสูญสิ้นไป กล่าวได้ว่า<br />
สถานการณ์บ้านเมืองในเวลานั้นอยู่ในช่วง<br />
การจลาจลครั้งใหญ่ ผู้คนหลายครอบครัว<br />
และประชาชนในเมืองต่างต้องกระจัดกระจาย<br />
พลัดพรากจากกัน บ้างก็ถูกข้าศึกกวาดต้อนไป<br />
เป็นเชลยสำหรับใช้แรงงานหรืออื่น ๆ จิปาถะ<br />
8<br />
บ้างก็ต้องหลบหนีกันหัวซุกหัวซุนเพื่อหลบภัย<br />
สงคราม เรียกได้ว่าบ้านเมืองสมัยนั้นอยู่ใน<br />
สภาพบ้านแตกสาแหรกขาด ราชอาณาจักร<br />
อยุธยานั้นจึงถูกแบ่งออกเป็นก๊ก เป็นชุมนุม<br />
ที่นำโดยผู้มีอำนาจในพื้นที่ต่าง ๆ และมีความ<br />
เป็นอิสระต่อกันสุดแล้วแต่ว่าชุมนุมใดจะมี<br />
แสนยานุภาพมากกว่ากัน แต่ที่น่าสนใจเป็น<br />
อย่างยิ่งคือชุมนุมต่าง ๆ (ยกเว้นชุมนุมพระยา<br />
ตาก) กลับมิได้มีความสนใจที่จะกอบกู้บ้าน<br />
เมืองอย่างแท้จริง เพียงแต่รักษาฐานอำนาจ<br />
และผลประโยชน์ของตนไว้กับการมองเพียงว่า<br />
ข้าศึกมีความเข้มแข็งมากยังไม่ควรเข้าไปต่อสู้<br />
เพราะในเวลานั้นคนไทยต่างเกรงกลัวความ<br />
ดุร้ายและดุดันของข้าศึกเป็นอย่างยิ่ง<br />
ซึ่งก็มีเพียงชุมนุมของพระยาตากหรือ<br />
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเท่านั้น ที่ยังมี<br />
อุดมการณ์อย่างแรงกล้าในอันที่จะรวบรวม<br />
กองกำลังเพื่อขับไล่กองกำลังข้าศึกที่ยังคง<br />
หลงเหลืออยู่ในกรุงศรีอยุธยาพร้อมกับกอบกู้<br />
เอกราชของชาติ ด้วยการประกาศตนเป็นผู้นำ<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
ในการที่จะฟื้นฟูพระพุทธศาสนา และกอบกู้<br />
กรุงศรีอยุธยาให้กลับรุ่งเรืองดังเดิม ดังปรากฏ<br />
ในข้อความบางตอนตามพระราชพงศาวดาร<br />
ฉบับพระราชหัตถเลขา กล่าวถึงคำพูดของ<br />
พระยาตากไว้ตอนหนึ่งว่า<br />
“...ตัวเราคิดจะซ่องสุมประชาราษฎรใน<br />
แขวงหัวเมืองให้ได้มาก แล้วจะยกกลับไป<br />
กู้กรุงให้คงคืนเป็นราชธานีดังเก่า แล้วจัด<br />
ทำนุบำรุงสมณพราหมณาประชาราษฎร ซึ่ง<br />
อนาถาหาที่พำนักมิได้ให้ร่มเย็นเป็นสุขานุสุข<br />
แล้วจะยอยกพระบวรพุทธศาสนาให้โชตนา<br />
การขึ้นเหมือนอย่างแต่ก่อน เราจะตั้งตัวเป็น<br />
เจ้าขึ้นให้คนทั้งหลายยำเกรงจงมาก ซึ่งจะก่อ<br />
กู้แผ่นดินจึงจะสำเร็จโดยง่าย ท่านทั้งหลาย<br />
จะเห็นประการใด...”<br />
ทั้งนี้พระยาตากได้มีการซ่องสุมกำลังและ<br />
เตรียมการระดมสรรพกำลังสำหรับบุกจู่โจม<br />
ข้าศึกโดยตั้งแหล่งชุมนุมที่เมืองจันทบุรี ด้วย<br />
การฝึกไพร่พลให้พร้อมที่จะปฏิบัติการรบ<br />
กอบกู้กรุงศรีอยุธยาคืนจากข้าศึก พร้อมกับ<br />
สั่งให้ต่อเรือรบกับรวบรวมเครื่องศัตราวุธและ<br />
ยุทธภัณฑ์ภายในเวลา ๓ เดือน<br />
ในราวเดือนตุลาคม ๒๓๑๐ ภายหลังจาก<br />
สิ้นฤดูมรสุม พระยาตากได้ยกกองทัพเรือจาก<br />
จันทบุรีเดินทางเลียบอ่าวไทยและเคลื่อนกำลัง<br />
พลพร้อมยุทโธปกรณ์เข้ามาทางปากแม่น้ำ<br />
เจ้าพระยา แล้วเข้าโจมตีข้าศึกที่เมืองธนบุรี<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
เป็นที่แรก และเมื่อยึดเมืองธนบุรีและปราบ<br />
นายทองอินผู้ดูแลเมืองได้แล้ว จึงได้เคลื่อนทัพ<br />
ทั้งทางบกและทางเรือเข้ายึดค่ายโพธิ์สามต้น<br />
ซึ่งข้าศึกได้ตั้งเป็นฐานที่มั่นในขณะนั้น ซึ่ง<br />
จากการรบอย่างดุเดือดถึงขั้นตะลุมบอนและ<br />
ปะทะกันด้วยอาวุธสั้น ในที่สุดกองกำลังของ<br />
พระยาตากสามารถปราบข้าศึกจนราบคาบ<br />
และสามารถกอบกู้กรุงศรีอยุธยากลับคืนมา<br />
เมื่อวันศุกร์ ขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ จุลศักราช<br />
๑๑๒๙ ปีกุน นพศก เวลาบ่ายโมงเศษ ซึ่ง<br />
ตรงกับวันศุกร์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๓๑๐ รวม<br />
เวลาประมาณ ๗ เดือน ภายหลังจากเสียกรุง<br />
ศรีอยุธยา<br />
ต่อมา พระยาตากได้ปราบดาภิเษก เป็น<br />
พระมหากษัตริย์ ณ วันจันทร์ ขึ้น ๘ ค ่ำ เดือนยี่<br />
ปีกุน จุลศักราช ๑๑๒๙ ซึ่งตรงกับวันที่ ๒๘<br />
ธันวาคม ๒๓๑๐ ทรงพระนามว่า พระศรีสรร<br />
เพชญ์ หรือ สมเด็จพระบรมราชาที่ ๔ แต่เรียก<br />
ขานพระนามของพระองค์ติดปากว่า สมเด็จ<br />
พระเจ้าตากสิน หรือ สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี<br />
หลังจากนั้นระหว่างปีพุทธศักราช ๒๓๑๑ –<br />
๒๓๑๓ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ได้ทรง<br />
9
ปราบปรามบรรดาผู้ที่ตั้งตนเป็นใหญ่ในชุมนุม<br />
ต่าง ๆ รวม ๔ ชุมนุมให้ราบคาบ เพื่อคง<br />
ความเป็นปึกแผ่นอันหนึ่งอันเดียวกันของราช<br />
อาณาจักรสยาม สำหรับการปราบปรามชุมนุม<br />
นั้นเป็นการดำเนินการกับกลุ่มคนไทยผู้มีความ<br />
เห็นต่างกันซึ่งผู้เขียนไม่ขอนำมาบรรยายใน<br />
ครั้งนี้<br />
สิ่งสำคัญที่ผู้เขียนใคร่ขอนำเสนอคือ<br />
ราชการสงครามกับข้าศึกภายหลังที่สมเด็จ<br />
พระเจ้าตากสินมหาราชทรงกอบกู้เอกราชแล้ว<br />
ซึ่งจากการสืบค้นทราบว่ามีราชการศึกในการ<br />
ป้องกันราชอาณาจักรสยามกับพม่าข้าศึก รวม<br />
๙ ครั้งด้วยกัน กล่าวคือ<br />
สงครามครั้งที่ ๑ : รบพม่าที่บางกุ้ง ปลาย<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๐ พระเจ้ามังระกษัตริย์<br />
พม่า ทราบข่าวการตั้งตัวเป็นใหญ่ของสมเด็จ<br />
พระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงสั่งให้เจ้า<br />
เมืองทวาย คุมกำลังมาตรวจตราแผ่นดินไทย<br />
มีหน้าที่ปราบปรามผู้ที่กำเริบตั้งตนเป็นใหญ่<br />
ให้ราบคาบโดยมีการรบกันที่เมืองไทรโยค และ<br />
เมืองสมุทรสงคราม การรบครั้งนั้นฝ่ายสยาม<br />
ชนะศึก สามารถยึดเรือรบ เครื่องศัตราวุธ และ<br />
เสบียงอาหารได้เป็นจำนวนมาก<br />
สงครามครั้งที่ ๒ : พม่าตีเมืองสวรรคโลก<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๓ รบกับพม่าครั้งพม่าตีเมือง<br />
สวรรคโลก ทัพสยามสามารถตีแตกไปได้<br />
สงครามครั้งที่ ๓ : ตีเมืองเชียงใหม่ครั้งแรก<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๔ เป็นการรบกับพม่าเมื่อ<br />
ฝ่ายสยามยกกองทัพไปตีนครเชียงใหม่ (ซึ่ง<br />
พม่ายึดครองอยู่) เป็นครั้งแรก แต่ไม่สำเร็จ<br />
เนื่องจากเสบียงฝ่ายสยามไม่เพียงพอ<br />
สงครามครั้งที่ ๔ : พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๑<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๕ ทัพพม่ายกไปช่วยเมือง<br />
เวียงจันทน์รบกับหลวงพระบาง โดยขากลับ<br />
ผ่านเมืองพิชัย และยกเข้าตีเมืองแต่ก็ไม่สำเร็จ<br />
ปรากฏว่าฝ่ายสยามเป็นฝ่ายชนะ<br />
สงครามครั้งที่ ๕ : พม่าตีเมืองพิชัยครั้งที่ ๒<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๖ พม่ายกมาตีเมืองพิชัย เป็น<br />
ครั้งที่ ๒ แต่พม่าตีไม่สำเร็จ และได้เกิดวีรกรรม<br />
พระยาพิชัยดาบหักขึ้น<br />
สงครามครั้งที่ ๖ : ตีเมืองเชียงใหม่ครั้งที่ ๒<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๗ กองทัพสยามชนะสงคราม<br />
สามารถ ยึดนครเชียงใหม่คืนกลับจากพม่าได้<br />
พร้อมกับได้เมือง ลำปาง ลำพูน และน่าน กลับ<br />
คืนมาเป็นของสยาม<br />
สงครามครั้งที่ ๗ : รบพม่าที่บางแก้วเมือง<br />
ราชบุรี พุทธศักราช ๒๓๑๗ พม่ายกพลตาม<br />
พวกมอญที่หนีเข้ามาในเขตไทย จึงทรงพระ<br />
กรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกทัพไปยังเมืองราชบุรี<br />
ทรงบัญชาการทัพด้วยพระองค์เองโดยตั้งค่าย<br />
ล้อมค่ายพม่าและลอบตีตัดทางลำเลียงเสบียง<br />
อาหาร จนในที่สุดข้าศึกขอยอมแพ้ ชัยชนะ<br />
ในครั้งนี้ส่งผลให้ชาวสยามที่หลบซ่อนตาม<br />
พื้นที่ต่าง ๆ เข้ามาสวามิภักดิ์เป็นจำนวนมาก<br />
เนื่องจากหมดความกลัวเกรงพม่า<br />
สงครามครั้งที่ ๘ : อะแซหวุ่นกี้ตีหัวเมือง<br />
เหนือ พุทธศักราช ๒๓๑๘ นับเป็นสงคราม<br />
ครั้งใหญ่ที่สุดโดย อะแซหวุ่นกี้เป็นผู้นำที่<br />
เชี่ยวชาญศึก ในครั้งนั้น พม่ายกพลมาประมาณ<br />
๓๕,๐๐๐ คน เข้าล้อมเมืองพิษณุโลก และล้อม<br />
เมืองสุโขทัย ส่วนเมืองพิษณุโลกมีพลประมาณ<br />
๑๐,๐๐๐ คน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช<br />
ทรงยกทัพไปช่วย ในที่สุด อะแซหวุ่นกี้ต้องยก<br />
ทัพกลับ เนื่องจากพระเจ้าแผ่นดินพม่าสวรรคต<br />
กองทัพพม่าส่วนที่กลับไปไม่ทันจึงถูกกองทัพ<br />
สยามจับได้บางส่วน<br />
สงครามครั้งสุดท้าย : พม่าตีเมืองเชียงใหม่<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๙ ทัพพม่าและมอญประมาณ<br />
๖,๐๐๐ คน ยกมาตีเชียงใหม่ ในห้วงแรก<br />
เชียงใหม่ไม่มีกำลังพลพอป้องกันเมืองได้ จึง<br />
ได้อพยพลงมาอยู่ที่เมืองสวรรคโลก สมเด็จ<br />
พระเจ้าตากสินมหาราช จึงทรงพระกรุณา<br />
โปรดเกล้าฯ ให้พระยาสุรสีห์คุมกองทัพเมือง<br />
เหนือขึ้นไปสมทบกองกำลังนครลำปาง ยกไป<br />
ตีเมืองเชียงใหม่คืนสำเร็จ<br />
นอกจากนี้ ยังมีพระบรมราชโองการโปรด<br />
เกล้า ฯ ให้จัดทัพไปราชการที่เขมรและในบาง<br />
พื้นที่ ซึ่งฝ่ายสยามก็สามารถเอาชนะศึกได้เป็น<br />
ส่วนใหญ่ แต่ส่วนใหญ่มิได้เป็นราชการสงคราม<br />
เพื่อการป้องกันประเทศหรือรักษาเอกราชของ<br />
ชาติเหมือนดังที่กล่าวมาแล้วข้างต้น<br />
สิ่งที่ผู้เขียนใคร่ขอกล่าวถึงต่อไปนี้คือ พระ<br />
ราชนโยบายในการปรับปรุงกิจการทหารให้<br />
เข้มแข็ง ด้วยทรงกำหนดวางมาตรการทาง<br />
ทหารที่สำคัญไว้ ๓ แนวทาง ดังนี้<br />
๑. การรวบรวมแม่ทัพนายกอง โดยทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้า ฯ ให้รวบรวมผู้ที่มีความ<br />
สามารถในการรบและกิจการทหารมาร่วมกัน<br />
ต่อสู้ศึกและกอบกู้สถานการณ์ โดยทรงแต่งตั้ง<br />
ผู้มีความรู้ความสามารถเป็นแม่ทัพสนอง<br />
ราชการสงครามทั้งภายในและภายนอกราช<br />
อาณาจักรสยาม ซึ่งบุคคลสำคัญในราชการ<br />
สงครามอาทิ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก<br />
เจ้าพระยาสุรสีห์ (บุญมา) พระยาพิชัย (ทองดี)<br />
หรือพระยาพิชัยดาบหัก<br />
๒. การบริหารจัดการกำลังพล โดยทรง<br />
กำหนดให้ชายฉกรรจ์ไทยทุกคนต้องเป็นทหาร<br />
และเข้ารับราชการทหารตามระยะเวลาที่<br />
กำหนด ด้วยการสำรวจกำลังพลและทำการ<br />
10<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
และการยกกองกำลังทางเรือไปตีเขมรเมื่อ<br />
ปีพุทธศักราช ๒๓๑๔<br />
ข้อความข้างต้นเป็นเพียงเนื้อหาบางส่วน<br />
ของพระราชกรณียกิจสมเด็จพระเจ้าตากสิน<br />
มหาราชในการกอบกู้เอกราชและสร้างความ<br />
เป็นปึกแผ่นให้แก่สยามประเทศและรวบรวม<br />
ความเป็นชาติให้แก่สยาม ด้วยพระราชวิริย-<br />
ภาพ และพระอัจฉริยภาพเพราะหากพระองค์<br />
มิได้กอบกู้เอกราชได้ในเวลาอันเหมาะสมแล้ว<br />
จะมีใครที่จะล่วงรู้ได้ว่าเราจะมีความเป็นชาติ<br />
ไทยได้ในปัจจุบัน ทั้งนี้เพราะ กลุ่มชนผู้เคย<br />
พ่ายแพ้สงครามกับพม่าในอดีตส่วนใหญ่แตก<br />
กระจัดพลัดพรายเป็นชนกลุ่มน้อยให้ทุกท่าน<br />
เห็นกันอยู่ในปัจจุบัน โดยเฉพาะในเวลานั้นมี<br />
การตั้งก๊ก ตั้งชุมนุมกันหลายชุมนุมและต่างก็<br />
มีความเกรงกลัวข้าศึกอยู่ด้วยแล้ว ความสุ่ม<br />
เสี่ยงที่ชาวสยามจะแตกฉานซ่านเซ็นเป็นชนก<br />
ลุ่มน้อยจึงมีความเป็นไปได้สูงมากในเวลานั้น<br />
สักข้อมือพวกไพร่และทาสทุกคน เพื่อให้<br />
ทราบต้นสังกัดกับชื่อผู้บังคับบัญชา เพื่อให้<br />
ทราบจำนวนที ่แน่นอนและง่ายต่อการควบคุม<br />
บังคับบัญชา<br />
๓. ด้านอาวุธยุทโธปกรณ์ ได้มีการแสวงหา<br />
อาวุธที่มีอานุภาพสูงมาใช้ในกองทัพเป็น<br />
จำนวนมาก ได้รับอาวุธปืนชนิดต่าง ๆ จากต่าง<br />
ประเทศ อาทิ ปืนใหญ่ ปืนคาบศิลา ปืนนกสับ<br />
และปืนจ่ารงค์ โดยเฉพาะปืนใหญ่นอกจากที่<br />
ได้รับจากต่างประเทศแล้ว ยังได้หล่อขึ้นใช้เอง<br />
สำหรับป้องกันพระนครอีกด้วย<br />
๔. ด้านยุทธศาสตร์ทหาร ได้มีการกำหนด<br />
เขตสงคราม ออกเป็นเขตหน้าและเขตหลัง<br />
เพื่อประโยชน์ในการรบและการส่งกำลัง<br />
บำรุง และใช้วิธียกกำลังไปสกัดยับยั้งข้าศึก<br />
ที่มารุกรานที่บริเวณชายแดนเพื่อป้องกัน<br />
ดินแดนภายในราชอาณาจักรไม่ให้เสียหายจาก<br />
ภัยสงครามและไม่เป็นภัยต่อราชธานี<br />
๕. การระดมสรรพกำลังด้านยุทโธปกรณ์<br />
เนื่องจากปืนใหญ่เป็นยุทโธปกรณ์ที่ทรง<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
อานุภาพและเพื่อเพิ่มอำนาจกำลังรบอย่างได้<br />
ผล แต่ในเวลานั้น ปืนใหญ่มีอยู่อย่างจำกัดจึง<br />
ทรงกำหนดนโยบายการใช้ปืนใหญ่ช่วยส่วน<br />
รวม ดังปรากฏในพระราชพงศาวดารพระราช<br />
หัตถเลขา ตอนศึกอะแซหวุ่นกี้ในตอนหนึ่งว่า<br />
“...ครั้นถึงวันอังคาร ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๓<br />
อะแซหวุ่นกี้ก็ให้กองทัพพม่ากองหนึ่ง มาตั้ง<br />
ค่ายตรงวัดจุฬามณีข้างฝั่งตะวันตกสามค่าย<br />
แล้วให้อีกกองหนึ่ง ยกลงมาลาดตระเวนทาง<br />
ฝั่งตะวันตก ได้รบกับไทยตั ้งแต่ค่ายระยะที่<br />
สาม ที่บ้านกระดาษลงมา จนถึงค่ายระยะที่<br />
หนึ่งที่บางทราย ให้กองเกณฑ์หัดคุมปืนใหญ่<br />
รางเกวียน ๓๐ กระบอก ขึ้นไปช่วยรักษา<br />
ค่ายที่บางทราย พม่ารบพุ่งอยู่จนค่ำจึงถอย<br />
กลับไป...”<br />
๖. ตั้งกองกำลังทางเรือ โดยใช้กำลัง<br />
ทางเรือ ในการยกกองทัพไปปฏิบัติราชการ<br />
สงครามในดินแดนที่อยู่ห่างไกลออกไปมาก<br />
อาทิ การยกกองกำลังทางเรือไปตีเมือง<br />
นครศรีธรรมราช เมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๑๒<br />
จึงถือว่าสยามประเทศโชคดีเป็นอย่างยิ่งที่<br />
มีพระมหากษัตริย์พระองค์หนึ่งที่มีพระราช<br />
สมัญญาว่า สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช<br />
ในวันที่ ๒๘ ธันวาคม ๒๕๕๗ นี้ ทาง<br />
ราชการได้จัดพิธีถวายราชสักการะในพระมหา<br />
กรุณาธิคุณขององค์สมเด็จพระเจ้าตากสิน<br />
มหาราชที่ทรงมีคุณูปการต่อประเทศชาติและ<br />
ประชาชนชาวไทย ผู้เขียนใคร่ขอเรียนเชิญ<br />
ทุกท่านได้กรุณาน้อมรำลึกถึงพระมหา<br />
กรุณาธิคุณของพระองค์ท่านและร่วมกันถวาย<br />
ราชสักการะโดยพร้อมเพรียงกัน<br />
11
แผ่นดิน<br />
ของการปฏิรูประบบราชการ<br />
พระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
พระราชประวัติ พระปรีชาสามารถ<br />
ในการบริหารราชการแผ่นดิน<br />
(ตอนที่ ๑)<br />
สำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหม<br />
12<br />
สำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหม
บทนำ<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราชพระปฐมบรมราชจักรีวงศ์ ทรง<br />
สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี เมื่อ<br />
พุทธศักราช ๒๓๓๕ เจริญรุ่งเรื่องสืบมาถึงพระ<br />
มหากษัตริย์ พระองค์ที่ ๙ รัชสมัยแห่งพระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช มหิ<br />
ตลาธิเบศรรามาธิบดี จักรีนฤบดินทร์สยามินท<br />
ราธิราชบรมนาถบพิตรซึ่งดำรงสิริราชสมบัติ<br />
ครบ ๖๐ ปี ในพุทธศักราช ๒๕๔๙ รวมเวลา<br />
ได้ ๒๒๔ ปี<br />
กล่าวได้ว่า ชาวไทยสมัยกรุงรัตนโกสินทร์<br />
ล้วนโชคดี ที่ได้อยู่ในร่มพระบารมีของพระมหา<br />
กษัตริย์ที่ทรงตั้งอยู่ในทศพิธราชธรรม สมบูรณ์<br />
ด้วยธรรมราชา อันประกอบด้วย จักรวรรดิวัตร<br />
และสังคหวัตถุ ถ้วนทุกพระองค์<br />
พิจารณาประวัติศาสตร์กรุงรัตนโกสินทร์<br />
ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลปัจจุบันจะเห็นได้<br />
ว่าพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล ทรงปฏิบัติ<br />
บำเพ็ญพระราชภารกิจอันเป็นนโยบายหลัก<br />
สำคัญของบ้านเมือง ในลักษณะสืบสานพระ<br />
ราชปณิธานจากรัชกาลหนึ่งสู่รัชกาลหนึ่งอย่าง<br />
ต่อเนื่องตลอดมา และเป็นความมหัศจรรย์<br />
ประการหนึ่งที่ทุกพระองค์ทรงเหมาะกับยุค<br />
สมัยที่ทรงดำรงสิริราชสมบัติ เสมือนกำหนด<br />
ให้ทรงจุติมาประจำรัชกาลนั้น ๆ เพราะ<br />
แต่ละพระองค์ทรงมีพระราชบุคลิกลักษณะ<br />
และพระอัจฉริยภาพปรีชาญาณในการแก้ไข<br />
เหตุการณ์บ้านเมืองที่เกิดขึ้นในรัชสมัยให้<br />
ลุล่วงปลอดภัยอย่างเป็นคุณประโยชน์ รวมทั้ง<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
ปกป้องวิกฤตการณ์อันล่อแหลมต่อการสูญ<br />
เสียอธิปไตยหลายครั้ง เป็นเกียรติภูมิแก่ชาว<br />
ไทยสุดประมาณ ที่ชาติไทยเป็นชาติเดียวใน<br />
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สามารถธำรงรักษา<br />
เอกราชไว้ได้<br />
การจัดระบบบริหารราชการแผ่นดิน หลัง<br />
จากกรุงศรีอยุธยาล่มสลาย เมื่อพุทธศักราช<br />
๒๓๑๐ มีขึ้นอย่างจริงจังเมื่อพระบาทสมเด็จ<br />
พระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ<br />
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ปฐมบรม<br />
ราชจักรีวงศ์ เสด็จปราบดาภิเษก สถาปนา<br />
กรุงรัตนโกสินทร์เป็นราชธานี เมื่อพุทธศักราช<br />
๒๓๒๕<br />
ทั้งนี้ สืบเนื่องจากรัชสมัยของสมเด็จ<br />
พระเจ้าตากสินมหาราช (พุทธศักราช ๒๓๑๐<br />
ถึง ๒๓๒๕ รวม ๑๕ ปี) หลักจากทรงกู้ชาติ<br />
สถาปนากรุงธนบุรีศรีมหาสมุทรเป็นศูนย์กลาง<br />
บริหารราชการแผ่นดินแทนกรุงศรีอยุธยาที่<br />
ยั่งยืนมานานกว่า ๔ ศตวรรษ นั้น มีเหตุปัจจัย<br />
ยุ่งยากซับซ้อนหลายประการ ที่เป็นอุปสรรค<br />
จึงไม่มีโอกาสจัดระบบการบริหารราชการ<br />
ได้เต็มที่ สมัยกรุงธนบุรีคงยึดระบบบริหาร<br />
ราชการแผ่นดินแบบเดียวกับกรุงศรีอยุธยา<br />
ต่างแต่ลดขนาดขอบข่าย และจำนวนบุคลากร<br />
การที่ศูนย์กลางอำนาจและการบริหารราชการ<br />
แผ่นดินซึ่งเคยรวมอยู่ที่พระนครศรีอยุธยา<br />
กระจายตัวออกเป็นศูนย์อำนาจอิสระย่อย ๆ<br />
ตามภูมิภาค ทำให้ระยะแรกไม่มีการยอมรับ<br />
การรวมศูนย์อำนาจของสมเด็จพระเจ้าตากสิน<br />
มหาราช จึงทรงใช้เวลาปราบปรามหลายปี<br />
เพื่อรวมศูนย์อำนาจและการบริหารราชการ<br />
แผ่นดินกลับมาที่กรุงธนบุรี นอกจากนั้น<br />
ภายหลังจากการรุกรานของพม่ายังมีอย่างต่อ<br />
เนื่องพระราชภารกิจส่วนใหญ่จึงหมดไปกับ<br />
การป้องกันและสร้างความเป็นปึกแผ่นในราช<br />
อาณาจักร อีกทั้งข้าราชการในกรุงศรีอยุธยา<br />
จำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตจากภัยสงคราม<br />
และถูกกวาดต้อนไปกรุงอังวะ ที่เหลือรอด<br />
ต่างกระจัดกระจายไปสังกัดอยู่ในศูนย์กลาง<br />
อำนาจที่แตกตัวออกจากรุงศรีอยุธยา กว่าที่<br />
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จะทรงรวบรวม<br />
ข้าราชการให้เพียงพอต่อระบบบริหารราชการ<br />
แผ่นดินในกรุงธนบุรีได้ก็เป็นเวลานานมาก<br />
กระบวนในการสร้างและพัฒนาประสิทธิภาพ<br />
บุคลากรใหม่ จึงไม่อาจกระทำได้เต็มที่<br />
การที่พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬา<br />
โลกมหาราชเสด็จปราบดาภิเษกนั้นกล่าวได้ว่า<br />
เป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับการวางรากฐาน<br />
และพัฒนาระบบบริหารราชการแผ่นดินตลอด<br />
ทั้งการสร้างประสิทธิภาพข้าราชการอย่าง<br />
จริงจัง การศึกษากระบวนการดังกล่าว จำต้อง<br />
ศึกษาภูมิหลัง คือ พระราชประวัติเบื้องต้นที่<br />
เป็นพื้นฐานอันส่งผลมาสู่การเป็นนักบริหาร<br />
และบทบาทผู้นำในการกำหนดนโยบาย การ<br />
วางรากฐานพัฒนาระบบบริหารราชการ<br />
แผ่นดินและการสร้างประสิทธิภาพให้<br />
ข้าราชการในยุคสร้างบ้านแปงเมืองใหม่<br />
13
พระราชประวัติ<br />
พระปรีชาสามารถในการ<br />
บริหารราชการแผ่นดิน<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราช พระนามเดิม ทองด้วง เสด็จพระราช<br />
สมภพ ณ กรุงศรีอยุธยา ในตระกูลขุนนางฝ่าย<br />
พลเรือน เมื่อวันพุธที่ ๒๐ มีนาคม พุทธศักราช<br />
๒๒๗๙ แผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ<br />
ราชวงศ์บ้านพลูหลวง พระชนกคือ หลวงพินิจ<br />
อักษร (ทองดี) “รับราชการเป็นเสมียนตรา<br />
กรมมหาดไทย เทียบได้กับนักบริหารระดับ<br />
กลางในระบบบริหารราชการแผ่นดินปัจจุบัน<br />
พระมารดาคือ ท่านหยก เป็นครอบครัว<br />
ข้าราชการพลเรือน “ผู้มีอันจะกิน”มีฐานะ<br />
มั่นคงมั่งคั่งครอบครัวหนึ่ง ได้สร้างวัดประจำ<br />
ตระกูล คือวัดทอง ตรงบริเวณใกล้บ้านในกรุง<br />
ศรีอยุธยา และทรงอุปถัมภ์ตลอดมา”<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราชทรงผนวชเมื่อพุทธศักราช ๒๓๐๐<br />
ณ วัดมหาทลายในกรุงศรีอยุธยาเมื่อทรงลา<br />
ผนวชแล้วเข้ารับราชการตามพระชนก อันเป็น<br />
รูปแบบของการคัดสรรบุคคลเข้ารับราชการ<br />
ในสมัยนั้นโดยถวายตัวเริ่มเข้ารับราชการใน<br />
ตำแหน่งมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้าอุทุมพร<br />
กรมขุนพรพินิตพระราชโอรสของสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ ช่วงเวลา ๔ ปีนับตั้งแต่<br />
เป็นหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี ขณะเมื่อ<br />
พระชนมายุ ๒๕ พรรษา ได้ทรงสมรสกับท่าน<br />
นาค ธิดาในตระกูลคหบดี แห่งบ้านอัมพวา<br />
แขวงเมืองสมุทรสงคราม เมื่อพม่ารุกรานไทย<br />
ครั้งสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาพุทธศักราช<br />
๒๓๑๐ กรมการเมืองราชบุรีไม่อาจต้านทาน<br />
กองทัพพม่าได้ หลวงยกกระบัตรจำต้องอพยพ<br />
ครอบครัวจากราชบุรีไปซุ่มซ่อนอยู่ในระแวก<br />
บ้านของท่านนาคผู้เป็นภริยา ซึ่งพื้นที่บ้าน<br />
อัมพวาเป็นสวนผลไม้ที่มีอาณาเขตกว้างขวาง<br />
หลังเสียกรุงศรีอยุธยา สมเด็จพระเจ้าตากสิน<br />
มหาราชทรงตั้งชุมนุมไพร่พลอยู่ที่เมืองจันทบุรี<br />
หลวงยกบัตรเมืองราชบุรีได้แนะนำให้นาย<br />
สุจินดา (บุญมา) ผู้เป็นน้องให้นำพระราชชนนี<br />
ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งอพยพ<br />
หนีพม่าไปอยู่แขวงเมืองเพชรบุรีไปส่งที่ชุมนุม<br />
สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชที่จันทบุรี ได้<br />
เข้าร่วมภารกิจกอบกู้บ้านเมืองกับสมเด็จ<br />
พระเจ้าตากสินมหาราชด้วย เมื่อรวบรวม<br />
บ้านเมืองเป็นปึกแผ่นสถาปนากรุงธนบุรีเป็น<br />
ศูนย์อำนาจแห่งใหม่และปราบดาภิเษกเป็น<br />
กษัตริย์หลวงยกกระบัตรได้รับการชักชวนจาก<br />
นายสุจินดาให้นำครอบครัวย้ายเข้ามาพำนัก<br />
ยังกรุงธนบุรีและถวายตัวเข้ารับราชการ ทรง<br />
เป็นกำลังสำคัญในการบริหารราชการแผ่นดิน<br />
14<br />
ของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ในระยะ<br />
เวลาไม่ถึง ๑๐ ปีได้รับพระราชทานบรรดาศักดิ์<br />
เจริญก้าวหน้า อย่างรวดเร็ว พระยศเทียบ<br />
เสมอเจ้าต่างกรมเริ่มตั้งแต่เป็นพระราชวรินทร์<br />
พระยาอภัยรณฤทธิ์ พระยายมราช เจ้าพระยา<br />
จักรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกการรับ<br />
ราชการของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้า<br />
จุฬาโลกมหาราช สรุปได้ดังนี้<br />
พุทธศักราช ๒๓๐๔ พระชนมายุ ๒๕ ปี ได้<br />
เป็นหลวงยกกระบัตร เมืองราชบุรี ออกไปรับ<br />
ราชการส่วนภูมิภาคจนถึงเสียกรุงศรีอยุธยา<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๑ ถวายตัวกลับเข้ารับ<br />
ราชการในสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี ได้รับ<br />
พระราชทานบรรดาศักดิ์เป็นพระราชวรินทร์<br />
กำกับราชการกรมพระตำรวจ ในปีเดียวกันนี้<br />
ได้โดยเสด็จราชการทัพไปปราบเจ้าพิมาย ทรง<br />
ตีด่านขุนทดและด่านกระโทก<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๒ เสร็จศึกเจ้าพิมาย<br />
แล้วได้รับพระราชทานเลื่อนเป็นพระยาอภัย<br />
รณฤทธิ์ เป็นแม่ทัพไปตีกรุงกัมพูชาอีกครั้ง ได้<br />
เมืองพระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ เมืองบริบูรณ์<br />
และเมืองบันทายเพชร์<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๓ ได้รับพระราชทาน<br />
เลื่อนเป็นพระยายมราช บัญชาการกรมหมาด<br />
ไทย แทนสมุหนายก ต่อมาเมื่อเจ้าพระยา<br />
จักรี (แขก) ถึงอสัญกรรม จึงได้รับแต่งตั้งเป็น<br />
เจ้าพระยาจักรี ไปตีกรุงกัมพูชาอีกครั้ง ได้เมือง<br />
พระตะบอง เมืองโพธิสัตว์ เมืองบริบูรณ์ และ<br />
เมืองบันทายเพชร์<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๓ เจ้าพระยาจักรี เป็น<br />
แม่ทัพตีเมืองเชียงใหม่กับเจ้าพระยาสุรสีห์<br />
ผู้น้องต่อมามีทัพพม่ามาตั้งมั่นที่บางแก้วอัน<br />
เป็นเขตต่อระหว่างราชบุรีและสมุทรสงคราม<br />
เจ้าพระยาจักรีกลับมาบัญชาการรบอีก<br />
พุทธศักราช ๒๓๑๘ พม่ายกทัพมาตีเมือง<br />
เชียงใหม่ เจ้าพระยาจักรีนำทัพขึ้นไป พอได้<br />
ยินข่าวทัพพม่าก็ย้ายไปตั้งอยู่ที่เมืองเชียงแสน<br />
บังเอิญเป็นเวลาที่อะแซหวุ่นกี้ยกกองทัพเข้าตี<br />
เมืองพิษณุโลกทางด่านแม่ละเมา เจ้าพระยา<br />
จักรีจึงถอยทัพมาตั้งรับพร้อมด้วยพระยาสุรสีห์<br />
ศึกอะแซหวุ่นกี้ครั้งนี้นับว่าสำคัญมาก พม่า<br />
ล้อมเมืองพิษณุโลกไว้หลายด้าน เข้าตีเมือง<br />
หลายครั้งไม่สามารถตีได้ อะแซหวุ่นกี้สรรเสริญ<br />
ว่า “ท่านนี้รูปก็งาม ฝีมือก็เข้มแข็งอาจสู้รบเรา<br />
ผู้เฒ่าได้ จงอุตสาห์รักษาตัวไว้ ภายหน้าจะได้<br />
เป็นกษัตริย์แท้”<br />
สำนักพัฒนาระบบราชการกลาโหม
พุทธศักราช ๒๓๑๙ เจ้าพระยาจักรี เป็น<br />
แม่ทัพไปตีหัวเมืองทางตะวันออก เมือง<br />
นางรอง จำปาศักดิ์ อัตปือ โขงเจียม สุรินทร์<br />
สังขะและขุขันธ์ เสร็จราชการทัพครั้งนี้ได้เลื่อน<br />
ยศเป็นสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก รับ<br />
พระราชทานเครื่องยศอย่างเจ้าต่างกรม<br />
พุทธศักราช ๒๓๒๑ สมเด็จเจ้าพระยามหา<br />
กษัตริย์ศึก เป็นแม่ทัพไปตีเมืองเวียงจันทน์ใน<br />
สงครามระหว่างกรุงธนบุรีและกรุงศรีสัตนา<br />
คนหุต หลวงพระบางและหัวเมืองขึ้น ได้อัญเชิญ<br />
พระแก้วมรกตกับพระบาง ซึ่งอยู่ที่เวียงจันทน์<br />
ลงมายังกรุงธนบุรี<br />
พุทธศักราช ๒๓๒๓ สมเด็จเจ้าพระยา<br />
มหากษัตริย์ศึก เป็นทัพไปปราบจลาจลที่กรุง<br />
กัมพูชายังไม่ทันเสร็จ เกิดจลาจลในกรุงธนบุรี<br />
จึงต้องยกทัพกลับ และปราบดาภิเษกเป็นพระ<br />
มหากษัตริย์<br />
จะเห็นได้ว่าราชการที่ทรงรับผิดชอบส่วน<br />
ใหญ่คือราชการทัพ แต่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า<br />
ทรงมีประสบการณ์การบริหารราชการฝ่าย<br />
พลเรือนอย่างดี ในช่วงปฏิบัติราชการในหน้าที่<br />
หลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรีต้องควบคุมดูแล<br />
ข้าราชการฝ่ายพลเรือนด้วยเมื่อแรกถวาย<br />
ตัวเข้ารับราชการในสมเด็จพระเจ้าตากสิน<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
มหาราช ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้า ฯ<br />
ให้กำกับราชการกรมพระตำรวจดูแลความ<br />
สงบเรียบร้อยในพระนครซึ่งเป็นราชการฝ่าย<br />
พลเรือน<br />
ความสามารถในการบริหารราชการแผ่นดิน<br />
และการรบทัพจับศึก เป็นปัจจัยสำคัญที่<br />
สนับสนุนความเจริญรุ่งเรืองในราชการของ<br />
สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นสิ่งที่มิได้<br />
สะสมขึ้นได้ในเวลาอันสั้นในรัชสมัยกรุงธนบุรี<br />
เท่านั้น ยังประกอบด้วยพัฒนาการที่สั่งสม<br />
ขึ้นมาจากกระบวนการขัดเกลาทางสังคม ซึ่ง<br />
มีพื้นฐานมาจากครอบครัว ทำให้สามารถมี<br />
พัฒนาการสั่งสมความรู้ ความถนัดและความ<br />
สามารถมาตั้งแต่วัยเยาว์<br />
เมื่อพิจารณาพระราชประวัติการรับราชการ<br />
ของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราช จะเห็นว่าลักษณะหน้าที่ราชการ<br />
ของพระองค์ท่านในแต่ละช่วง อยู่กึ่งกลาง<br />
ระหว่างราชการทหารและพลเรือนมาตลอด<br />
ตั้งแต่ตำแหน่งหลวงยกกระบัตรเมืองราชบุรี<br />
เป็นตำแหน่งนักบริหารระดับกลาง ที่มีหน้าที่<br />
จัดระเบียบและตรวจตราบัญชีกำลังพลของ<br />
ข้าราชการทั้งฝ่ายทหารและพลเรือนในเมือง<br />
นั้น เมื่อรับราชการในสมเด็จพระเจ้าตากสิน<br />
มหาราชทรงได้รับแต่งตั้งเป็นพระราชวรินทร์<br />
กำกับราชการกรมพระตำรวจเป็นงานกึ่ง ๆ<br />
ระหว่างทหารและพลเรือนเช่นกัน อย่างไรก็<br />
ดี กล่าวได้ว่าพระปรีชาสามารถทางการทหาร<br />
ของพระองค์มีความโดดเด่นกว่าพระปรีชา<br />
สามารถด้านพลเรือน ดังจะเห็นได้จากช่วงที่<br />
ได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์เป็นพระยา<br />
อภัยรณฤทธิ์เมื่อเสร็จศึกปราบชุมนุมเจ้าพิมาย<br />
เป็นการก้าวหน้าในราชการจากพระปรีชา<br />
สามารถด้านการสงครามเป็นลำดับ จนถึง<br />
ระดับสูงสุดที่สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก<br />
ครั้นเมื่อเสด็จปราบดาภิเษกเป็นพระมหา<br />
กษัตริย์แล้ว จึงปรากฏชัดเจนว่าพระปรีชา<br />
สามารถในราชการฝ่ายพลเรือนนั้น มิได้แตก<br />
ต่างกันเลย เพราะในฐานะพระมหากษัตริยาธิ<br />
ราชทรงผสานพระปรีชาสามารถทั้งพลเรือน<br />
และทหารเข้าด้วยกัน ราชการฝ่ายพลเรือน<br />
นั้นดูจะมากกว่าราชการฝ่ายทหารซึ่งมีเฉพาะ<br />
ช่วงบ้านเมืองมีศึกสงครามพระปรีชาสามารถ<br />
ในราชการฝ่ายพลเรือนเป็นพื้นฐานให้กับพระ<br />
ราชกรณียกิจในการวางรากฐานระบบบริหาร<br />
ราชการแผ่นดิน และการพัฒนาประสิทธิภาพ<br />
ข้าราชการแห่งกรุงรัตนโกสินทร์ กล่าวคือพระ<br />
ราชกรณียกิจในฐานะพระปฐมบรมราชจักรี<br />
วงศ์ หรือที่ทรงได้รับการสดุดีพระเกียรติคุณ<br />
ในฐานะ“พระผู้สร้าง” คือ การสถาปนาของ<br />
15
การบริหารราชการแผ่นดินและศูนย์รวม<br />
ความจงรักภักดีของข้าราชการและอาณา<br />
ประชาราษฎร์ การสถาปนาพระมหานคร<br />
แห่งใหม่ให้เป็นศูนย์กลางการบริหารพระราช<br />
อาณาจักรให้ละม้ายศูนย์กลางเดิมอันรุ่งเรือง<br />
มายาวนาน ๔ ศตวรรษ คือ กรุงศรีอยุธยา<br />
การสถาปนาพระบรมมหาราชวังและวัดพระ<br />
ศรีรัตนศาสดารามเป็นที่ประทับของพระ<br />
มหากษัตริย์และศูนย์กลางการบริหารทั้งฝ่าย<br />
พุทธจักรและอาณาจักรซึ่งพระราชกรณียกิจ<br />
ต่อไปในฐานะ “พระผู้สร้าง” เป็นรากฐาน<br />
สำคัญในพระราชกรณียกิจต่อไปในฐานะ<br />
“พระผู้ทรงวางรากฐาน” การบริหารราชการ<br />
แผ่นดินและการพัฒนาประสิทธิภาพของ<br />
ข้าราชการ<br />
พระบาทสมเด็จ<br />
พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราชในฐานะ<br />
“พระผู้สร้าง”<br />
การสถาปนาพระบรมราชจักรีวงศ์พระราช<br />
นิพนธ์วรรณคดีไทย บทละครเรื่องรามเกียรติ์<br />
ในพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราช ความตอนหนึ่งว่า<br />
“....อันพระนครทั้งหลาย<br />
ก็เหมือนกับกายสังขาร<br />
กษัตริย์คือจิตวิญญาณ<br />
เป็นประธานแก่ร่างอินทรีย์...”<br />
พระราชนิพนธ์นี้แสดงถึงแนวทางพระดำริ<br />
สถานภาพพระมหากษัตริย์ ที่มีความสำคัญ<br />
ประดุจจิตวิญญาณของมนุษย์ เพราะ “แม้จิต<br />
จากกายก็บรรลัย” พระมหากษัตริย์จึงเป็น<br />
เสมือนศูนย์กลางของการบริหารการปกครอง<br />
ราชอาณาจักรทรงเป็นประธานในระบบ<br />
บริหารราชการแผ่นดิน มีพระราชอำนาจ<br />
กำหนดนโยบายสาธารณะและการตัดสินใจ<br />
พระราชหฤทัยในกระบวนการบริหารราชการ<br />
แผ่นดิน พระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขของ<br />
รัฐสืบทอดพระราชอำนาจโดยราชสันตติวงศ์<br />
เสด็จขึ้นสู่อำนาจเพียงพระองค์เดียว โดย<br />
ไม่มีการสถาปนาพระราชวงศ์ไม่ได้ เพราะ<br />
การสถาปนาราชวงศ์มีความจำเป็นในการ<br />
สร้างฐานแห่งความชอบธรรมในการปกครอง<br />
อาณาจักร เพื่อแสดงให้ปรากฏกับสาธารณชน<br />
ว่า พระมหากษัตริย์พระองค์ใหม่เป็นบุคคล<br />
ผู้มีตระกูลวงศ์ ประกอบด้วยเครือญาติร่วม<br />
สายโลหิตที่พร้อมจะสนับสนุนและสืบทอด<br />
การปกครองบ้านเมืองของพระองค์ให้สถาวร<br />
นอกจากนั้นยังเป็นการกำหนดบทบาทและ<br />
หน้าที่ของบุคคลที่เป็นสมาชิกในราชสกุล<br />
16<br />
พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
ผู้ร่วมสายโลหิตของพระมหากษัตริย์ให้ชัดเจน<br />
บทบาทของสมาชิกในราชสกุลทุกคนล้วน<br />
สำคัญในการค้ำคูณเกื้อหนุนช่วยราชการให้<br />
บ้านเมืองเจริญมั่นคงไพบูลย์ ในความมั่นคง<br />
ของราชสกุลของพระมหากษัตริย์ หมายถึง<br />
ความมั่นคงและความอยู่รอดของบ้านเมือง<br />
ด้วย<br />
ยุคที่พระมหากษัตริย์ทรงเป็นศูนย์กลาง<br />
และประธานการปกครองและการบริหาร<br />
ราชการแผ่นดินนั้น ราชสกุลของพระองค์<br />
ต้องรับราชการด้วย เป็นระบบบริหารราชการ<br />
แผ่นดินที่พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช<br />
ทรงสืบธรรมเนียมการสถาปนาพระราชวงศ์<br />
ตามแบบแผนกษัตริย์ไทยครั้งโบราณพระบรม<br />
ราชจักรีวงศ์ จึงได้รับการสถาปนาขึ้นเป็น<br />
ราชวงศ์ของ “พระผู้สร้าง” ราชสกุลรุ่นแรก<br />
คือ พระเชษฐภคินี พระอนุชาธิราชร่วมสาย<br />
พระโลหิต และบรรดาลูกหลานของท่าน<br />
เหล่านี้ เมื่อได้รับพระราชทานสถาปนาเป็น<br />
พระราชวงศ์แล้ว หลายพระองค์ก็ได้รับความไว้<br />
วางพระราชหฤทัยให้รับราชการสนองพระเดช<br />
พระคุณในระบบบริหารราชการแผ่นดินของ<br />
กรุงรัตนโกสินทร์ ได้กำหนดสถานะ บทบาทที่<br />
ชัดเจนของเจ้านายแต่ละพระองค์ทั้งฝ่ายชาย<br />
และฝ่ายหญิง<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
17
ผลการประชุมรัฐมนตรี<br />
กลาโหมอาเซียน<br />
อย่างไม่เป็นทางการ<br />
ASEAN Defence<br />
Minister’s Meeting Retreat<br />
(ADMM Retreat)<br />
ระหว่างวันที่ ๑๘ - ๑๙ พฤศจิกายน<br />
๒๕๕๗ ณ นครพุกาม สาธารณรัฐ<br />
แห่งสหภาพเมียนมา<br />
สำนักงานโฆษก กระทรวงกลาโหม<br />
18<br />
สำนักงานโฆษก กระทรวงกลาโหม
ก<br />
ารประชุม รมว.กห. อาเซียน อย่าง<br />
ไม่เป็นทางการที่จัดขึ้นระหว่างวันที่<br />
๑๘ - ๑๙ พ.ย.๕๗ ณ นครพุกาม<br />
สาธารณรัฐสหภาพเมียนมา ที่ผ่านมานี้ มี<br />
วัตถุประสงค์เพื่อรับทราบพัฒนาการและความ<br />
คืบหน้าความร่วมมือระหว่าง กห.ประเทศ<br />
สมาชิกอาเซียน และ ระหว่าง กห. ประเทศ<br />
สมาชิกอาเซียนกับ กห. ประเทศคู่เจรจา รวม<br />
ทั้งเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นและมุม<br />
มองเกี่ยวกับสถานการณ์ความมั่นคงและความ<br />
ท้าทายด้านความมั ่นคงของภูมิภาคร่วมกัน<br />
โดยการประชุม รมว.กห.อาเซียนของทั้ง<br />
๑๐ ประเทศสมาชิก ได้มีการพูดคุยถึงปัญหา<br />
ความซับซ้อนของสถานการณ์โลก ที่มีความ<br />
ท้าทายต่ออาเซียนมากขึ้น ซึ่งทุกประเทศ<br />
สมาชิกต้องมีความร่วมมือกันทุกระดับอย่าง<br />
ใกล้ชิด ขณะเดียวกันความร่วมมือนอกอาเซียน<br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประเทศมหาอำนาจ<br />
ถือว่ามีความสำคัญ ที่อาเซียนสามารถใช้<br />
โอกาสดังกล่าวเป็นเครื่องมือถ่วงดุลประเทศ<br />
มหาอำนาจ เพื่อสร้างเสถียรภาพความมั่นคง<br />
ในภูมิภาค และพัฒนาศักยภาพของอาเซียน<br />
ในการเผชิญกับความท้าทายของภูมิภาคที่<br />
เกิดขึ้น เช่น ความมั่นคงทางทะเล ภัยพิบัติ<br />
โรคระบาด การก่อการร้าย ภัยจากสงคราม<br />
ไซเบอร์ เป็นต้น ที่ประชุมได้ประณามและ<br />
ปฏิเสธการสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรงและกลุ่ม<br />
ก่อการร้าย ISIS และเห็นว่าเป็นการบิดเบือน<br />
คำสอนศาสนา ซึ่งอาเซียนควรต่อต้านแนว<br />
ความคิดการสร้างรัฐอิสลามในพื้นที่ต่าง ๆ<br />
ของโลกด้วย ขณะเดียวกันก็ได้เรียนรู้บทเรียน<br />
ที่สำคัญ จากพายุไต้ฝุ่นไห่เยียน ที่ภูมิภาคนี้<br />
สามารถนำไปใช้ประโยชน์ในการพัฒนากลไก<br />
และแนวทางในการสร้างความร่วมมือในการ<br />
บริหารจัดการบรรเทาภัยพิบัติ และการฟื้นฟู<br />
ร่วมกัน นอกจากนั้นยังเห็นตรงกันว่าช่องแคบ<br />
มะละกาและทะเลจีนใต้เป็นเส้นทางเดินเรือ<br />
ที่สำคัญของภูมิภาคและของโลก จึงควรร่วม<br />
มือกันลดปัญหาความขัดแย้ง สนับสนุนให้ทุก<br />
ฝ่ายใช้ความยับยั้งชั่งใจ ปฏิบัติตามกฎหมาย<br />
ระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดเสรีภาพในการ<br />
เดินเรือ รวมทั้งยังเห็นว่าความมั่นคงในพื้นที่<br />
ชายแดนนั้นเกิดได้จากการแลกเปลี่ยนข้อมูล<br />
ข่าวสาร การฝึกร่วม/ผสม และการพัฒนา<br />
ความสัมพันธ์ในทุกระดับ นอกจากนั้น ยังได้<br />
เสนอกลไกและแนวทางร่วมมือด้านความ<br />
มั่นคง เช่น การจัดตั้ง Hot Line ระหว่าง<br />
กห.อาเซียน จัดทำเอกสารแนวความคิดด้าน<br />
การจัดตั้งการประชุม ADMM และ ADMM<br />
Plus แผนปฏิบัติงาน ๓ ปีของ ADMM การ<br />
ปฏิสัมพันธ์ระหว่างนายทหารระดับล่าง ความ<br />
ร่วมมือในอุตสาหกรรมป้องกันประเทศ รวมทั้ง<br />
ความร่วมมือระหว่าง กห. กับภาคประชาสังคม<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
19
ท้าทายร่วมกัน โดยญี่ปุ่นให้ความสำคัญต่อ<br />
ความมั่นคงทางทะเลและเห็นควรยึดหลัก ๓<br />
ประการ คือ ๑. ยึดกฎระหว่างประเทศ ๒. ไม่<br />
ใช้กำลังในการแก้ปัญหา และ ๓. แก้ไขความ<br />
ขัดแย้งโดยสันติวิธี โดยทั้ง ๒ ฝ่ายควรร่วม<br />
กันกำหนดประเด็นความร่วมมือในอนาคตที่<br />
ชัดเจนขึ้นผ่านกลไกความร่วมมือต่าง ๆ<br />
นอกจากนี้เป็นโอกาสดีที่ พล.อ.ประวิตร<br />
วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้มี<br />
โอกาสหารือทวิภาคีระหว่าง รมว.กห.ประเทศ<br />
ต่างๆ อันประกอบด้วย สาธารณรัฐสิงคโปร์<br />
สาธารณรัฐสังคมเวียดนาม สาธารณรัฐ<br />
แห่งสหภาพเมียนมา และ มาเลเซีย ซึ่ง<br />
พล.อ.ประวิตร ฯ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้<br />
ใช้โอกาสนี้สร้างความเข้าใจถึงสถานการณ์ใน<br />
ไทย และความจำเป็นต่อการเข้ามาแก้ปัญหา<br />
ภายในประเทศของ คสช. และรัฐบาล รวมทั้ง<br />
แผนการดำเนินงานตาม Road Map ที่จะ<br />
ร่วมกันนำพาประเทศไทยไปสู่การปฏิรูป<br />
ที่ประชุมได้ตระหนักถึงความท้าทายจาก<br />
โรคระบาด เช่น อีโบล่า ซึ่งเป็นความกังวลของ<br />
อาเซียนร่วมกัน โดยในโอกาสนี้ พล.อ.ประวิตร<br />
วงษ์สุวรรณ รอง นรม.และ รมว.กห. ได้เสนอ<br />
การจัดตั้งศูนย์การแพทย์ทหารอาเซียนขึ้นใน<br />
ประเทศไทย ในปี ๒๕๕๘ พร้อมทั้งทำการฝึก<br />
ร่วมด้านการแพทย์ทหารกับด้านการให้ความ<br />
ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมและการบรรเทาภัย<br />
พิบัติ เพื่อทดสอบศูนย์ฝึกดังกล่าวในปี ๒๕๕๙<br />
ซึ่งได้การตอบรับจากทุกชาติสมาชิกด้วยดี<br />
พร้อมกับได้ใช้โอกาสนี้ นำเสนอนโยบายของ<br />
รัฐบาลในการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษบริเวณ<br />
ชายแดน จำนวน ๕ พื้นที่ และเชิญชวนประเทศ<br />
สมาชิกที่มีชายแดนติดกัน และประเทศสมาชิก<br />
อื่น ได้ร่วมพัฒนาเศรษฐกิจ การค้าและการ<br />
ลงทุน และการสร้างความมั่นคงแนวชายแดน<br />
ร่วมกัน ซึ่งทุกประเทศสมาชิกเห็นประโยชน์ที่<br />
จะได้รับร่วมกัน<br />
การประชุมครั้งนี้ยังเป็นโอกาสสำคัญที่<br />
รมว.อาเซียนทั้ง ๑๐ ประเทศ ได้ร่วมประชุมกับ<br />
รมว.กห.ญี่ปุ่น นาย Akinori Eto ซึ่งถือเป็นการ<br />
เปิดศักราชใหม่ของความสัมพันธ์ระหว่าง<br />
กห.อาเซียน กับ กห.ญี ่ปุ่น โดย นรม.ญี่ปุ่นได้<br />
ประกาศนโยบายเสริมสร้างสันติภาพเชิงรุกใน<br />
ภูมิภาคอาเซียน (Proactive Contribution<br />
To Peace) ซึ ่งญี่ปุ่นสามารถมีบทบาทและ<br />
ความร่วมมือด้านความมั่นคงมากขึ้นในอนาคต<br />
เช่น การรักษาสันติภาพ การสนับสนุนด้านการ<br />
ส่งกำลังบำรุง การช่วยเหลือประชาคมระหว่าง<br />
ประเทศ เป็นต้น ทั้งนี้ ญี่ปุ่นจะยังคงเป็นชาติ<br />
ที่รักสันติภาพและจะร่วมมือกับประเทศอื่นๆ<br />
ในการแสวงหาผลประโยชน์และเผชิญความ<br />
20<br />
สำนักงานโฆษก กระทรวงกลาโหม
และการเลือกตั้งได้ตามกำหนดเวลา ซึ่งทุก<br />
ประเทศมีความเข้าใจเราเป็นอย่างดี เพราะ<br />
ได้ติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งของไทยมา<br />
เกือบ ๑๐ ปี โดยปัญหาของไทย มีผลกระทบ<br />
เชื่อมโยงต่อภูมิภาคร่วมกัน ทุกประเทศได้<br />
แสดงความยินดีต่อการเข้ามาแก้ปัญหาของ<br />
รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นรม.<br />
พร้อมทั้งให้กำลังใจและเวลาในการดำเนิน<br />
งานกับเรา และยินดีให้การสนับสนุนทุกเรื่อง<br />
เพื่อให้ประเทศไทยสามารถสร้างเสถียรภาพ<br />
และความมั่นคงได้โดยเร็ว โดยเฉพาะ รมว.<br />
กห.สิงคโปร์ ได้ใช้โอกาสการจัดประชุม<br />
Shangri-La Dialogue ซึ่งเป็นการพูดคุยกับ<br />
รมว.กห.หลายประเทศ รวมถึงสหรัฐอเมริกา<br />
และสหราชอาณาจักร โดยแสดงความเห็นว่า<br />
ไทยต้องการเวลาในการสร้างเสถียรภาพและ<br />
ความมั่นคง รัฐบาลไทยต้องการการสนับสนุน<br />
มิใช่การถูกคว่ำบาตร ขณะเดียวกันทุกประเทศ<br />
ก็พร้อมที่จะร่วมกันพัฒนาพื้นที่เศรษฐกิจ<br />
ชายแดนที่ติดกัน เพื่อความมั่นคงและความ<br />
เป็นอยู่ที่ดีของประชาชนที่มีชายแดนติดกัน<br />
อย่างยั่งยืนต่อไป<br />
การแสดงความเข้าใจและจริงใจของทุก<br />
ประเทศสมาชิกต่อไทยครั้งนี้ แสดงให้เห็น<br />
ถึงความใกล้ชิดและความเป็นหนึ่งเดียวของ<br />
รมว.กห.อาเซียน และกองทัพ ที่ทำงานร่วม<br />
กันมาด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจกันอย่างต่อเนื่อง<br />
ในการที่จะดำเนินการพัฒนาภูมิภาคอาเซียน<br />
โดยมุ่งเน้นความเป็นหนึ่งเดียว ความเป็น<br />
ศูนย์กลางของความร่วมมือในภูมิภาค การเน้น<br />
ที่ประชาชนเป็นศูนย์กลาง และความเชื่อมโยง<br />
ระหว่างประชาชน เพื่อนำพาภูมิภาคอาเซียน<br />
ไปสู่ความสงบมั่นคงร่วมกันอย่างยั่งยืน<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
21
22<br />
พันเอก อภิสิทธิ์ บุศยารัศมี
เจาะลึกอาเซียน<br />
พันเอก อภิสิทธิ์ บุศยารัศมี<br />
๑. ย้อนรอยอาเซียน<br />
จากอดีตในดินแดนแห่งคาบสมุทรของ<br />
เอเชียอาคเนย์ ซึ่งขนาบด้วยทะเลจีนใต้และ<br />
มหาสมุทรอินเดีย แหล่งอารยธรรมที่สมบูรณ์<br />
ทรัพยากรธรรมชาติปริมาณมหาศาลทั้งบน<br />
แผ่นดิน และในทะเล<br />
ทุกประเทศล้วนผ่านบทเรียนในอดีตที่เจ็บ<br />
ปวดจากการยึดครองของชาติตะวันตก การ<br />
มีประวัติศาสตร์ที่ร่วมกันและความสัมพันธ์<br />
ระหว่างประเทศที่ผันเปลี่ยนไป มาสู่ยุคของ<br />
การรวมกลุ่มของประเทศเพื่อการต่อรองทาง<br />
เศรษฐกิจของแต่ละประเทศในภูมิภาคต่าง ๆ<br />
ทั่วโลก ทำให้เกิดแนวคิดการรวมดินแดนใน<br />
แถบนี้เข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ที่เรารู้จักกัน<br />
ในชื่อ “อาเซียน”<br />
ประวัติของอาเซียนเริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๑๐<br />
โดยเมื ่อวันที่ ๘ สิงหาคม พ.ศ.๒๕๑๐ ไทย<br />
อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ และสิงคโปร์ได้<br />
ร่วมก่อตั้งสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวัน<br />
ออกเฉียงใต้ (ASEAN : The Association of<br />
South East Asian Nations)<br />
ปี พ.ศ.๒๕๒๗ บรูไน ดารุสซาลาม ได้เข้า<br />
มาเป็นสมาชิก<br />
ปี พ.ศ.๒๕๓๘ เวียดนามได้เข้ามาเป็น<br />
สมาชิก<br />
ปี พ.ศ.๒๕๔๐ พม่าและลาวเข้ามาเป็น<br />
สมาชิก<br />
และปี พ.ศ.๒๕๔๒ ประเทศสุดท้ายคือ<br />
กัมพูชาเข้าเป็นสมาชิก ปัจจุบันอาเซียนมี<br />
ประเทศสมาชิกทั้งหมด ๑๐ ประเทศ<br />
๒. ความแตกต่าง<br />
ในภูมิภาคนี้มีอะไร?<br />
สิ่งที่แตกต่างของประเทศในอาเซียน คือ<br />
จำนวนประชากร ขนาดของพื้นที่ ศาสนาและ<br />
ภาษา แยกเป็นแต่ละประเทศได้ดังนี้<br />
รัฐบรูไนดารุสซาลาม (State of Brunei<br />
Darussalam) มีประชากร ประมาณ ๔ แสนคน<br />
ขนาดพื้นที่ ๕,๐๐๐ ตารางกิโลเมตรส่วนใหญ่<br />
นับถือศาสนาอิสลาม ภาษาที่ใช้คือบาซาร์<br />
มาเลย์<br />
ราชอาณาจักรกัมพูชา (Kingdom of<br />
Cambodia) มีประชากร ประมาณ ๑๔ ล้านคน<br />
ขนาดพื้นที่ ๑๘๑,๐๐๐ ตารางกิโลเมตรส่วน<br />
ใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ภาษาที่ใช้คือเขมร<br />
สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of<br />
Indonesia) มีประชากร ประมาณ ๒๔๐<br />
ล้านคน ขนาดพื้นที่ ๒๔๐,๐๐๐,๐๐๐ ตาราง<br />
กิโลเมตร ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม ภาษา<br />
ที่ใช้คือบาซาร์อินโดนีเซีย<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
23
่<br />
่<br />
สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว<br />
(Lao People's Democratic Republic)<br />
มีประชากร ประมาณ ๖ ล้านคน ขนาดพื้นที<br />
๑๓๖,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่นับถือ<br />
ศาสนาพุทธ ภาษาที่ใช้คือลาว<br />
มาเลเซีย (Malaysia) มีประชากร<br />
ประมาณ ๒๘ ล้านคน ขนาดพื้นที่ ๓๒๙,๐๐๐<br />
ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่นับถือศาสนาอิสลาม<br />
ภาษาที่ใช้คือบาร์ซามาเลย์<br />
สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ (The<br />
Republic of the Union of Myanmar)<br />
หรือที่เราเรียกว่า พม่า มีประชากร ประมาณ<br />
๕๔ ล้านคน ขนาดพื้นที่ ๖๗๘,๐๐๐ ตาราง<br />
กิโลเมตรส่วนใหญ่นับถือศาสนาพุทธ ภาษาที่<br />
ใช้คือพม่า<br />
สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the<br />
Philippines) มีประชากร ประมาณ ๙๕ ล้าน<br />
คนขนาดพื้นที่ ๒๙๘,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร<br />
ส่วนใหญ่นับถือศาสนาคริสต์ ภาษาที่ใช้คือ<br />
ตากาล็อกและอังกฤษ<br />
สาธารณรัฐสิงคโปร์ (Republic of<br />
Singapore) มีประชากร ประมาณ ๕ ล้าน<br />
คนขนาดพื้นที่ ๗,๐๐๐ ตารางกิโลเมตรภาษา<br />
ที่ใช้คือ อังกฤษและบาร์ซามาเลย์<br />
ราชอาณาจักรไทย (Thailand)<br />
มีประชากร ประมาณ ๖๔ ล้านคน ขนาดพื้นที่<br />
๕๐๐,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่นับถือ<br />
ศาสนาพุทธ ภาษาที่ใช้คือไทย<br />
สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม<br />
(Socialist Republic of Vietnam)<br />
มีประชากรประมาณ ๘๘ ล้านคน ขนาดพื้นที<br />
๓๓๑,๐๐๐ ตารางกิโลเมตร ส่วนใหญ่นับถือ<br />
ศาสนาพุทธ ภาษาที่ใช้คือเวียดนาม<br />
ความแตกต่างของอาเซียนไม่ได้เป็น<br />
อุปสรรคสำคัญในการรวมกลุ่ม แต่กลับเป็น<br />
จุดแข็งของอาเซียนซึ่งทำให้เกิดจุดแข็งสำหรับ<br />
การเป็นกลุ่มประเทศที่หลายประเทศรวมทั้ง<br />
ประเทศมหาอำนาจสนใจ<br />
๓. ประเทศมหาอำนาจ<br />
มองอาเซียนอย่างไร?<br />
ประเทศมหาอำนาจที่เราจะพูดถึงใน<br />
ปัจจุบัน นอกจากสหรัฐอเมริกาแล้ว ประเทศ<br />
จีนก็เป็นประเทศที่กำลังจะก้าวขึ้นสู่ความเป็น<br />
มหาอำนาจในอนาคตอันใกล้นี้ สองประเทศนี้<br />
มองอาเซียนอย่างไร<br />
๓.๑ สหรัฐอเมริกา<br />
ภายหลังสหภาพโซเวียตล่มสลาย<br />
สหรัฐอเมริกาก็เป็นมหาอำนาจเพียงประเทศ<br />
เดียวในโลกและแน่นอนที่สุดความเป็น<br />
24<br />
มหาอำนาจสำคัญคืออำนาจด้านการทหาร<br />
สหรัฐอเมริกามีพันธมิตรทางทหารทั่วโลก<br />
และมีบทบาททางทหารทั่วโลก โดยเฉพาะใน<br />
ภูมิภาคเอเชียตะวันออก สหรัฐฯ มีพันธมิตร<br />
หลัก ๆ คือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ พันธมิตรในเอเชีย<br />
ตะวันออกเฉียงใต้ คือ ไทย ฟิลิปปินส์ และใน<br />
ออสเตรเลีย รัฐบาลสหรัฐฯ ที่มองว่า จีนจะ<br />
ขยายอิทธิพลออกไปเรื่อย ๆ ซึ่งภูมิภาคสำคัญ<br />
ที่อเมริกาห่วงว่าจีนจะขยายอิทธิพลเข้าครอบง ำ<br />
คืออาเซียน สหรัฐอเมริกาจึงเริ่มปรับนโยบาย<br />
ใหม่ทั้งหมด<br />
การประชุมสุดยอดกับอาเซียนครั้งแรก<br />
ในปี ๒๐๐๙<br />
การส่งทูตมาประจำที่อาเซียน เข้าร่วม<br />
ประชุม ADMM + ๘<br />
เปลี่ยนท่าทีเรื่อง SEANWFZ หรือ เขต<br />
ปลอดอาวุธนิวเคลียร์<br />
เปลี่ยนนโยบายต่อพม่าใหม่หมด<br />
๓.๒ จีน<br />
การก้าวขึ้นมาทางเศรษฐกิจของจีน เป็นสิ่ง<br />
ที่ส่งผลกระทบต่อภูมิภาคเป็นอย่างมาก ขนาด<br />
เศรษฐกิจจีนกำลังจะทำให้จีนเป็นประเทศที่มี<br />
ขนาดเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลก และด้วยเหตุที่<br />
ประเทศจีนอยู่ใกล้กับภูมิภาคอาเซียนมากกว่า<br />
สหรัฐอเมริกา ทำให้จีนรุกคืบเข้าหาอาเซียนได้<br />
เป็นอย่างมาก<br />
จีนเจรจา FTA กับอาเซียนมาตั้งแต่ปี<br />
๒๐๐๑ เป็น Strategic Partner ของอาเซียน<br />
ลงนามรับรอง TAC ของอาเซียน<br />
แถลงจุดยื่นเรื่อง SEANWFZ หรือ เขต<br />
ปลอดอาวุธนิวเคลียร์<br />
ลงนามข้อตกลงด้านการลงทุนกับ<br />
อาเซียน และตั้งกองทุนช่วยเหลืออาเซียน<br />
วงเงิน ๒ หมื ่นล้านเหรียญ<br />
เมื่ออยู่ท่ามกลางการขยายอิทธิพลของ<br />
สองอภิมหาอำนาจ อาเซียนจึงต้องวางแนวทาง<br />
ความสมดุลแห่งสองอำนาจให้ได้ สิ่งที่ทำให้<br />
อาเซียนเนื้อหอมขนาดนี้ แน่นอนที่สุด อาเซียน<br />
มีข้อได้เปรียบกลุ่มประเทศอื่น ๆ ที่เรียกว่า<br />
“จุดแข็ง”<br />
๔.จุดแข็งของอาเซียน<br />
ทางกลุ่มประเทศอาเซียนนั้นจุดแข็งต่าง ๆ<br />
ที่ทำให้เราได้เปรียบกลุ่มประเทศอื่น ๆ ซึ่ง<br />
ประกอบด้วย<br />
๔.๑ คมนาคมสะดวก ไม่ว่าคุณจะเป็น<br />
คนประเทศไหน จากส่วนไหนของโลกที่ต้อง<br />
เดินทางไปมาหาสู่กันในกลุ่มประเทศอาเซียน<br />
หรือติดต่อค้าขาย ขนส่งสินค้าภายในกลุ่ม<br />
ก็ตาม สามารถเดินทางไปได้ด้วยหลายเส้นทาง<br />
ที่เชื่อมถึงกันทั้งทางอากาศที่มีสนามบิน<br />
นานาชาติหลากหลายแห่งในประเทศเฉพาะ<br />
ในประเทศไทยประเทศเดียวก็มีถึง ๑๑ ท่า<br />
อากาศยานแล้ว ทางบกที่สามารถเดินทาง<br />
ได้หลายรูปแบบ รถไฟที่มีเส้นทางระหว่าง<br />
ประเทศที่สะดวกสบาย หรือทางน้ำที่ทั้ง ๙<br />
ประเทศสมาชิกมีพื้นที่ติดทะเล และมีท่าเรือ<br />
ที่สามารถขนส่งโดยสารและสินค้าได้ ยกเว้น<br />
ประเทศลาวประเทศเดียวที่ไม่มีพื้นที่ติดทะเล<br />
เลย แต่สามารถออกสู่ทะเลได้ทางแม่น้ำโขงที่<br />
ไหลผ่านเวียดนามและกัมพูชา<br />
๔.๒ แรงงานราคาถูก ค่าจ้างแรงงานถือ<br />
เป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกลงทุน อาเซียน<br />
ถือเป็นกลุ่มประเทศที่มีแรงงานราคาถูกและ<br />
มีคุณภาพแรงงานที่มีความสามารถสูง ตอบ<br />
สนองความต้องการแรงงานได้ดีพอสมควร<br />
ประชาชนในอาเซียนเป็นแรงงานที่มีความ<br />
สามารถอันหลากหลาย และยังมีฝีมือในเรื่อง<br />
เทคโนโลยีที่ทันสมัย ทักษะเรื่องภาษาอังกฤษที่<br />
มีคนใช้ภาษาอังกฤษได้มากกว่าด้วย ดังนั้นการ<br />
จะได้แรงงานที่มีคุณภาพนั้นอาเซียนถือเป็น<br />
ตัวเลือกที่น่าสนใจอันดับแรก ๆ ก็ว่าได้<br />
๔.๓ แหล่งรวมทรัพยากรธรรมชาติที่หลาก<br />
หลาย เนื่องจากสภาพภูมิประเทศอยู่ในเขต<br />
ร้อน ดังนั้นทรัพยากรธรรมชาติจึงมีอยู่หลาก<br />
หลายให้สามารถนำไปใช้งานได้มาก และพื้นที่<br />
ในเขตร้อนนี่เองเป็นแหล่งรวมของความหลาก<br />
หลายทั ้งพันธ์ุพืชและสัตว์มากมาย ความอุดม<br />
สมบูรณ์ของดินและน้ำที่มากเพียงพอสำหรับ<br />
การเพาะปลูกเพื่อให้ได้ผลผลิตทางการเกษตร<br />
ที่มากขึ้น จากองค์ความรู้ทางวิทยาศาสตร์<br />
พันเอก อภิสิทธิ์ บุศยารัศมี
่<br />
ดังนั้นอาเซียนจึงกลายเป็นผู้ผลิตอาหาร<br />
สำหรับโลกไปโดยปริยาย<br />
๔.๔ สถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก มีสถานที<br />
ท่องเที่ยวที่สวยงาม น่าเทียวมากมาย ทั้งทะเล<br />
ภูเขา น้ำตก สถานที่ท่องเที่ยวเชิงวัฒนธรรม<br />
โบราณสถาน สถานที่ท่องเที่ยวเชิงเกษตร และ<br />
เชิงอนุรักษ์ที่กำลังได้รับความนิยม ทั้งหมดที่<br />
กล่าวมานั้น ล้วนมีอยู่ในหลายประเทศอาเซียน<br />
เช่น ประเทศไทย ลาว กัมพูชา เวียดนาม พม่า<br />
มาเลเซีย อินโดนีเซีย เรียกได้ว่าทุกประเทศ<br />
ในอาเซียนนั้นมีสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจ<br />
และน่าท่องเที่ยวอย่างยิ่งอากาศในภูมิภาค<br />
นี้ค่อนข้างอบอุ่น ผู้คนจากซีกโลกเหนือที่มี<br />
อากาศหนาวเย็นจึงนิยมมาเที่ยวกันที่นี่ รัฐบาล<br />
ของประเทศอาเซียนนั้นส่งเสริมธุรกิจและ<br />
อุตสาหกรรมเกี่ยวกับการท่องเที่ยว ทั้งยังให้<br />
ชาวต่างชาติลงทุนในธุรกิจท่องเที่ยวได้ด้วย<br />
ดังนั้นจึงเป็นข้อดี และจุดแข็งของประเทศ<br />
อาเซียน ในเรื่องสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยม<br />
ของผู้คนทั่วโลก<br />
๔.๕ แหล่งรวมศิลปวัฒนธรรม ประวัติ-<br />
ศาสตร์ของประเทศต่าง ๆ ในอาเซียนนั้นมีมา<br />
ยาวนานหลายร้อยปี คนรุ่นเก่าได้ทิ้งมรดกทาง<br />
วัฒนธรรมเอาไว้แก่คนรุ่นหลังได้เรียนรู้และ<br />
คงรักษาเอาไว้ แต่ละประเทศของอาเซียนนั้น<br />
มีวัฒนธรรมที่แตกต่างกันแม้จะอยู่ในภูมิภาค<br />
เดียวกันก็ตามที ทำให้เกิดการแลกเปลี่ยน<br />
วัฒนธรรมซึ่งกันและกัน ประยุกต์ข้อดีของ<br />
แต่ละประเทศมาใช่เพื่อการพัฒนาศิลปะที่<br />
สามารถเผยแพร่สู่สาธารณะให้ได้เข้าถึง และ<br />
เข้าใจมากขึ้น นอกจากนั้นก็ยังมีการท่องเที่ยว<br />
เชิงวัฒนธรรมในแต่ละท้องถิ่นด้วยสามารถ<br />
สร้างรายได้จากความแตกต่างนี้ได้ด้วย<br />
๔.๖ สถาบันการเงินมั่นคง ระบบการเงิน<br />
และธนาคารในหลายประเทศค่อนข้างมีความ<br />
มั่นคงและรัฐบาลส่งเสริมให้ชาวต่างชาติ<br />
สามารถหาแหล่งเงินในการระดมทุนได้โดย<br />
มีนโยบายลดดอกเบี้ยสำหรับนักลงทุนที่<br />
ต้องการเงินทุนเพื่อทำธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศ<br />
ในอาเซียน และรัฐบาลในแต่ละประเทศก็<br />
สนับสนุนการลงทุนต่าง ๆ อยู่แล้ว ข้อดีแบบ<br />
นี้จึงเป็นเหตุผลทำให้สามารถดึงดูดเงินทุนจาก<br />
ทั่วโลกมาลงในอาเซียน<br />
๔.๗ ผู้คนเป็นมิตร ในอาเซียนนั้นมี<br />
ประชากรอยู่มากมายและแตกต่างในเรื่อง<br />
ภาษา วัฒนธรรม การแต่งกาย ดนตรี อาชีพ<br />
หรืออื่น ๆ แต่มีสิ่งเดียวที่คนในอาเซียนนั้นมี<br />
คล้าย ๆ กันนั่นก็คือ ความมีน้ำใจและมิตรไมตรี<br />
ต้อนรับผู้คนที่หลั่งไหลมาทำธุรกิจ นักท่อง<br />
เที่ยวที่หอบเงินมาใช้ในภูมิภาคนี ้ หรือคนที่<br />
เดินทางมาเพื่อจุดประสงค์อื่น ๆ ต่างชื่นชมใน<br />
ความเป็นมิตรของผู้คนในหลากหลายประเทศ<br />
ในกลุ่มอาเซียนนี้<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
๔.๘ เทคโนโลยีล้ำสมัย หลายประเทศ<br />
ในอาเซียนนั้นมีบุคลากร สถาบันการศึกษา<br />
และองค์ความรู้มากมายที่สามารถคิดค้น<br />
สร้างสรรค์เทคโนโลยีต่าง ๆ มาเพื่อตอบสนอง<br />
ผู้คนในประเทศที่ไม่มีสินค้า หรือเทคโนโลยีที่<br />
ทันสมัยเอาไว้ใช้งาน โดยเฉพาะประเทศไทย<br />
สิงค์โปร์ ฟิลิปปินส์ เป็นต้น<br />
๔.๙ แหล่งกระจายสินค้า ท่าเรือน้ำลึก<br />
หลาย ๆ แห่ง สนามบินนานาชาติ และเส้นทาง<br />
ติดต่อค้าขายที่สำคัญของโลกก็ผ่านอาเซียน<br />
ด้วยเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าภายในกลุ่มต้องการ<br />
กระจายสินค้าออกไปนอกภูมิภาคนี้ก็สามารถ<br />
ทำได้ง่าย และยิ่งมีความสะดวกมากขึ้นเมื่อการ<br />
ร่วมมือกัน เอื้ออำนวยกัน หรือกลุ่มประเทศ<br />
อื่น ๆ ต้องการเอาสินค้ามาขายในอาเซียนก็<br />
สามารถกระจายสินค้าของตัวเองสู่ประเทศ<br />
ต่าง ๆ ในอาเซียนได้สะดวกยิ่งขึ้น<br />
๔.๑๐ ฐานการผลิตที่สำคัญ ในประเทศ<br />
อาเซียนนอกจากสินค้าเกษตรกรรมที่มี<br />
มากแล้ว สินค้าต่าง ๆ ที่มีชื่อเสียงในโลกนี้ก็<br />
มาตั้งฐานการผลิตในหลายประเทศในอาเซียน<br />
ไม่ว่าจะเป็น รถยนต์ อุปกรณ์คอมพิวเตอร์และ<br />
อิเล็กทรอนิกส์<br />
และถ้าเป็นไปตามแผนที่อาเซียนวาง<br />
ไว้ ภายหลังปี ๒๐๑๕ เมื่อมีการรวมตัวทาง<br />
เศรษฐกิจอย่างแข็งแกร่ง การพัฒนาเป็นไป<br />
อย่างรวดเร็ว การพัฒนาด้านความร่วมมือด้าน<br />
การเมือง ความมั่นคงและสังคมของอาเซียน<br />
จะทำให้อาเซียนมีการพัฒนาอย่างมั่นคง เป็น<br />
ปึกแผ่นเทียบเท่าหรือเหนือกว่า การรวมกลุ่ม<br />
ของประเทศใดในโลก<br />
ที่มาของแหล่งข้อมูล : ๑. รศ.ดร.ประภัสสร์ เทพชาตรี<br />
๒. http://bps.ops.moph.go.th/Statistic/<br />
๓. www.ประเทศอาเซียน.com<br />
เครดิตภาพจาก : ๑. เกร็ดความรู้ .net<br />
๒. www.ประเทศอาเซียน.com<br />
25
แผนที่ "เส้นประ ๙ เส้น"<br />
(nine-dash-line)<br />
ต้นกำเนิดความขัดแย้ง<br />
ในทะเลจีนใต้<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ<br />
26<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
แ<br />
ผนที่ "เส้นประ ๙ เส้น" (ninedash-line)<br />
หรือที่บางครั้งเรียกว่า<br />
"เส้น ๙ จุด" (nine-dotted-line)<br />
คือเส้นที่ลากขึ้นเพื่อกำหนดอาณาเขตของจีน<br />
ในทะเลจีนใต้ ถือกำเนิดขึ้นครั้งแรกในปี พ.ศ.<br />
๒๔๙๐ หรือตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่สองยุติลง<br />
ได้เพียง ๒ ปี จัดทำโดยรัฐบาลพรรค "ก๊กมินตั๋ง"<br />
ของจีนคณะชาติซึ่งยังครอบครองจีนแผ่นดิน<br />
ใหญ่อยู่ในขณะนั้น เส้นดังกล่าวเป็นแนวเส้น<br />
ที่ลากลงมาจากเกาะไหหนาน หรือ "ไหหลำ"<br />
ของจีนบริเวณอ่าวตั๋งเกี๋ย ขนานกับชายฝั่ง<br />
เวียดนามมาจนถึงเกาะบอร์เนียวบริเวณรัฐ<br />
ซาราวักของมาเลเซีย แล้ววนกลับเลียบชายฝั่ง<br />
บรูไน ผ่านรัฐซาบาห์ ตัดตรงเข้าไปในน่านน้ำ<br />
ของฟิลิปปินส์ เลาะชายฝั่งของจังหวัดปาลาวัน<br />
เรื่อยไปจนถึงเกาะลูซอน แล้วขึ้นไปสิ้นสุดที่<br />
เกาะไต้หวัน<br />
แนวเส้นประ ๙ เส้นนี้ ก่อให้เกิดพื้นที่ที ่มี<br />
ลักษณะเป็นถุงขนาดใหญ่ ครอบคลุมท้องน้ำ<br />
ของทะเลจีนใต้อันกว้างใหญ่ไพศาล รัฐบาล<br />
ก๊กมินตั๋งของจีนในขณะนั้นประกาศว่า พื้นที่<br />
ภายในเส้นประ ๙ เส้นทั้งหมดคืออาณาเขต<br />
ของจีน โดยมีการส่งหน่วยสำรวจแผนที่เดิน<br />
ทางเข้าไปในทะเลจีนใต้ พร้อมกับจัดทำเส้น<br />
เขตแดนลงไปในแผนที่ฉบับใหม่ของตน แต่ก็<br />
ไม่มีประเทศใดหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นสร้าง<br />
ความขัดแย้ง เนื่องจากในขณะนั้นสงครามโลก<br />
ครั ้งที่สองเพิ่งสิ้นสุดลง แต่ละประเทศอยู่<br />
ในสภาวะบอบช้ำ บ้านแตกสาแหรกจากมหา<br />
สงครามที่ยืดเยื้อยาวนาน ประกอบกับรัฐบาล<br />
ก๊กมินตั๋งเองก็กำลังสู้รบติดพันในลักษณะ<br />
"เจียนอยู่ เจียนไป" กับพรรคคอมมิวนิสต์<br />
ของเหมาเจ๋อตุง จนในที่สุดพรรคคอมมิวนิสต์<br />
ก็สามารถยึดจีนแผ่นดินใหญ่ได้ในปีต่อมา<br />
ทำให้รัฐบาลก๊กมินตั๋งต้องถอยไปปักหลักอยู่ที่<br />
ไต้หวันมาจนถึงทุกวันนี้<br />
เมื่อพรรคคอมมิวนิสต์ก่อตั้งสาธารณรัฐ<br />
ประชาชนจีนขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๙๑ เหมาเจ๋อตุง<br />
ก็ประกาศใช้แผนที่ที่มีเส้นประ ๙ เส้นนี้ พร้อม<br />
กับประกาศว่า ดินแดนต่าง ๆ ในอาณาเขต<br />
ทะเลจีนใต้ที่เป็นถุงขนาดใหญ่นี้่คืออาณาเขต<br />
ของจีน โดยควบรวมดินแดนทั้งหมู่เกาะพารา<br />
เซลและหมู่เกาะสแปรตลีอันอุดมสมบูรณ์ไป<br />
ด้วยก๊าซธรรมชาติและน้ำมันจำนวนมหาศาล<br />
เข้าไปด้วย การประกาศดังกล่าวเริ่มกลายเป็น<br />
ประเด็นร้อนขึ้นมา เมื่อเวียดนาม มาเลเซีย<br />
ฟิลิปปินส์ บรูไนและไต้หวัน ซึ่งมีพื้นที่เขต<br />
เศรษฐกิจจำเพาะของตนอยู่ในทะเลจีนใต้<br />
ต่างก็ออกมาคัดค้าน ยิ่งไปกว่านั้นยังทำให้<br />
อินโดนีเซียซึ่งแต่ก่อนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใน<br />
พื้นที่พิพาทเหนือหมู่เกาะสแปรตลีแต่อย่าง<br />
ใด ต้องพลอยฟ้าพลอยฝนติดร่างแหไปด้วย<br />
เนื่องจากบริเวณตอนล่างสุดของเส้นประ ๙<br />
เส้นนั้น ลากมาจนเกือบจะถึงเกาะ "นาทูน่า"<br />
(Natuna) ของตน ส่งผลให้พื้นที่ส่วนล่างของ<br />
เส้นดังกล่าวอยู่ในเขตเศรษฐกิจจำเพาะของ<br />
อินโดนีเซียไปด้วยโดยปริยาย<br />
นอกจากนี้จีนยังตอกย้ำความขัดแย้งดัง<br />
กล่าวด้วยการใช้แผนที่เส้นประ ๙ เส้นเป็น<br />
ส่วนประกอบในการร่างแนวปราการป้องกัน<br />
อาณาเขตทางทะเลของตนที่เรียกว่า "แนวห่วง<br />
โซ่ปราการของเกาะชั้นแรก" (First Islands<br />
Chain) ที่ลากเส้นประ ๙ เส้นให้ต่อยาวเป็น<br />
เส้นทึบ พร้อมกับลากให้ยาวขึ้นไปครอบคลุม<br />
จนถึงประเทศญี่ปุ่น โดยจีนประกาศว่าในปี<br />
พ.ศ.๒๕๖๓ หรือ ค.ศ.๒๐๒๐ ตนจะสามารถ<br />
ใช้ "แนวห่วงโซ่ปราการของเกาะชั้นแรก" นี้<br />
เป็นแนวปราการสกัดกั้นอิทธิพลของสหรัฐฯ<br />
ในทะเลเหลือง ทะเลจีนใต้และทะเลจีนตะวัน<br />
ออก ซึ่งจะทำให้พื้นที่ชายฝั่งทะเลของจีน<br />
บริเวณด้านที่ติดกับมหาสมุทรแปซิฟิคมีความ<br />
มั่นคงอย่างมาก<br />
จีนไม่เพียงแต่กำหนดยุทธศาสตร์ลงบน<br />
แผนที่เท่านั้น หากแต่ยังลงมือเสริมสร้างกำลัง<br />
ทางเรืออย่างขนานใหญ่ พร้อมส่งกำลังทางเรือ<br />
คืบคลานเข้ามาในพื้นที่เหล่านี้อย่างต่อเนื่อง<br />
เพื่อเตรียมการปิดล้อมทะเลต่าง ๆ ตามแนว<br />
เส้นประ ๙ เส้นและตามแนวห่วงโซ่ปราการ<br />
ของเกาะชั้นแรกดังที่กล่าวมาข้างต้น เป็นการ<br />
ป้องกันมิให้สหรัฐฯ ส่งกำลังทางเรือรุกล้ำเข้า<br />
มา จนทำให้เกิดการกระทบกระทั่งกับประเทศ<br />
ต่าง ๆ ที่อยู่ในแนวเส้นเหล่านี้อย่างต่อเนื่อง<br />
อาจกล่าวได้ว่าแผนที่ "เส้นประ ๙ เส้น"<br />
ได้ส่งผลให้จีนเกิดความขัดแย้งกับประเทศ<br />
ต่าง ๆ ในทะเลจีนใต้ถึง ๖ ประเทศด้วย<br />
กัน คือ เวียดนาม อินโดนีเซีย มาเลเซีย<br />
บรูไน ฟิลิปปินส์และไต้หวัน รวมทั้งยังสร้าง<br />
ความกังวลอย่างมากต่อสิงคโปร์ ที ่อาศัย<br />
ทะเลจีนใต้เป็นเส้นทางหลักในการขนส่งสินค้า<br />
ผ่านช่องแคบมะละกา ความขัดแย้งดังกล่าวส่ง<br />
ผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางยุทธศาสตร์การ<br />
ป้องกันประเทศของกลุ่มประเทศอาเซียนอย่าง<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
27
ขนานใหญ่ในห้วงทศวรรษที่ผ่านมา ทั้งนี้เพื่อ<br />
รับมือกับภัยคุกคามจากการแผ่ขยายอาณาเขต<br />
ของจีนในครั้งนี้<br />
การปรับยุทธศาสตร์ประการแรกคือ การ<br />
เสริมสร้างกำลังทางเรือ เพื่อรักษาน่านน้ำ<br />
และผลประโยชน์ในพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล<br />
ของตนเองแทนการเสริมสร้างแสนยานุภาพ<br />
ทางบกที่ดำเนินมาเป็นเวลาช้านาน ส่วนการ<br />
ปรับยุทธศาสตร์ประการที่สองนั้น สืบเนื่อง<br />
มาจากสงครามในอิรักทั้งสองครั้งและสงคราม<br />
ในอัฟกานิสถาน ได้แสดงให้เห็นถึงศักยภาพ<br />
ของกำลังทางอากาศ ที่มีขีดความสามารถใน<br />
การทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำและเด็ด<br />
ขาด ทำให้ขนาดความใหญ่โตและจำนวนของ<br />
เรือรบไม่ใช่ปัจจัยหลักในการกำหนดชัยชนะ<br />
อีกต่อไป หากแต่เป็นเทคโนโลยีระดับสูงและ<br />
ระบบเรดาห์ที่มีความสลับซับซ้อน ซึ่งเป็นตัว<br />
ชี้นำอาวุธปล่อยนำวิถีและขีปนาวุธทั้งจากพื้น<br />
สู่พื้น พื้นสู่อากาศ อากาศสู่อากาศและอากาศ<br />
สู่พื้น ให้พุ่งเข้าทำลายเป้าหมายได้อย่างแม่นยำ<br />
ส่งผลให้ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคนี้มีการเสริม<br />
สร้างแสนยานุภาพทางอากาศควบคู่ไปกับ<br />
แสนยานุภาพทางเรือเป็นหลัก<br />
เวียดนามเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของ<br />
ประเทศสมาชิกอาเซียน ซึ่งมีการปรับเปลี ่ยน<br />
ยุทธศาสตร์การป้องกันประเทศอย่างขนาน<br />
ใหญ่ โดยแต่เดิมในช่วงสงครามเย็นนั้น<br />
เวียดนามมีการเสริมสร้างแสนยานุภาพทาง<br />
บกจนมีกำลังพลและอาวุธยุทโธปกรณ์ติด<br />
อันดับต้น ๆ ของโลก เนื่องจากมีภัยคุกคามทาง<br />
บกจากทิศด้านตะวันตกของประเทศ ซึ่งเป็น<br />
กลุ่มประเทศโลกเสรีที่เผชิญหน้ากับเวียดนาม<br />
มาอย่างยาวนาน แต่เมื่อสงครามเย็นยุติลง<br />
ประกอบกับการหันไปพัฒนาเศรษฐกิจของตน<br />
ตามนโยบาย "โด๋ย เหม่ย" ก็ทำให้เวียดนามว่าง<br />
เว้นจากการสร้างแสนยานุภาพมาเป็นระยะ<br />
28<br />
เวลาหนึ่ง จนกระทั่งจีนได้เคลื่อนตัวเข้ามาและ<br />
มีท่าทีที่เป็นภัยคุกคามในการครอบครองพื้นที่<br />
ต่าง ๆ ตามแนวเส้นประ ๙ เส้นดังกล่าว อัน<br />
เป็นพื ้นที่ที่เวียดนามกล่าวอ้างกรรมสิทธิเหนือ<br />
ดินแดนเหล่านั้นด้วยเช่นกัน<br />
เมื่อภัยคุกคามของเวียดนามได้เปลี่ยน<br />
จากภัยคุกคามทางบกด้านตะวันตก มาเป็น<br />
ภัยคุกคามทางทะเลด้านตะวันออก โลกจึง<br />
ได้เห็นการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ทางทะเล<br />
อย่างขนานใหญ่ของเวียดนาม มีการสั่งซื้อเรือ<br />
ดำน้ำพลังงานดีเซลชั้น "กิโล" (Kilo) จำนวน ๖<br />
ลำ มูลค่ากว่า ๑,๘๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ จาก<br />
รัสเซีย เรือดำน้ำดังกล่าวนับเป็นเรือดำน้ำที่ทัน<br />
สมัยที่สุดชนิดหนึ่ง มีขีดความสามารถในการ<br />
เป็น "เพชฌฆาตเงียบใต้ท้องทะเล" ที่สามารถ<br />
ทำลายเรือผิวน้ำ เรือดำน้ำและอากาศยาน<br />
เหนือน่านฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ เรือดำน้ำ<br />
สองลำแรกคือเรือ "ฮานอย" และ "โฮ จิ มินห์<br />
ซิตี้" ได้มีการส่งมอบให้กับกองทัพเรือเวียดนาม<br />
ไปแล้วเมื่อปลายปี พ.ศ.๒๕๕๖ และต้นปี พ.ศ.<br />
๒๕๕๗ ตามลำดับ รวมทั้งมีกำหนดส่งมอบลำ<br />
ที่สามคือ "ไฮ ฟอง" ในปลายปีนี้ และจะส่ง<br />
มอบส่วนที่เหลือให้ครบภายในห้วงเวลา ๒ ปี<br />
ข้างหน้า โดยเรือดำน้ำทั้งหมดจะประจำการที่<br />
ฐานทัพเรืออ่าวคัมรานห์ ซึ่งทำให้มีพื้นที่ปฏิบัติ<br />
การครอบคลุมแนวเส้นประที่ ๑ – ๓<br />
สำหรับการเสริมสร้างแสนยานุภาพทาง<br />
อากาศนั้น กองทัพเวียดนามได้จัดหาเครื่องบิน<br />
ขับไล่ประสิทธิภาพสูง ๒ ที่นั่งและ ๒<br />
เครื่องยนต์แบบ ซู-๓๐ เอ็มเค ๒ เพิ่มขึ้นอีก<br />
จำนวน ๑๒ ลำจากรัสเซีย คิดเป็นมูลค่า ๖๐๐<br />
ล้านเหรียญสหรัฐฯ จากเดิมที่เวียดนามเคยสั่ง<br />
ซื้อมาแล้วสองครั้งจำนวน ๒๐ ลำในปี พ.ศ.<br />
๒๕๕๒ และ ๒๕๕๓ ซึ่งทำให้เวียดนามมีฝูงบิน<br />
ซู-๓๐ ถึง ๓ ฝูงด้วยกัน เครื่องบินที่สั่งซื้อครั้ง<br />
ล่าสุดจะมีการส่งมอบในปี พ.ศ.๒๕๕๗ และ<br />
๒๕๕๘ เครื่องบินรุ่นนี้ติดตั้งอาวุธปล่อยนำวิถี<br />
แบบอากาศสู่พื้นเพื่อมุ่งทำลายเรือผิวน้ำเป็น<br />
หลัก โดยเวียดนามได้จัดซื้ออาวุธปล่อยนำวิถี<br />
ต่อต้านเรือแบบ เอเอส-๑๗ คริปตอน รุ่น เค<br />
เอช-๓๕เอ จากรัสเซียจำนวน ๑๐๐ ลูกและ<br />
แบบ เอเอส-๑๔ รุ่น เคเอช-๒๙ ที เพื่อนำมา<br />
ใช้กับเครื่องบินขับไล่แบบ ซู-๓๐ และซู-๒๗ ที่<br />
มีอยู่เดิมอีกด้วย<br />
สำหรับอินโดนีเซียนั้นเป็นอีกประเทศ<br />
หนึ่งที่มีการปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ในการ<br />
ป้องกันประเทศ โดยจากอดีตที่ผ่านมาตั้งแต่<br />
ได้รับเอกราชในปี พ.ศ.๒๔๘๘ ภัยคุกคาม<br />
ของอินโดนีเซียร้อยละ ๖๗ เป็นภัยคุกคาม<br />
ในประเทศอันเกิดจากกลุ่มศาสนาหัวรุนแรง<br />
และกลุ่มเชื้อชาติต่าง ๆ ที่พยายามแยกตัว<br />
ออกเป็นอิสระ เช่น ติมอร์ตะวันออก ปาปัว<br />
ตะวันตก อาเจะห์และอิเรียนจายา แต่เมื่อ<br />
ปัญหาเหล่านี้เบาบางลงภายหลังจากการ<br />
แยกตัวเป็นเอกราชของติมอร์ เลสเต ตลอด<br />
จนการล่มสลายของกลุ่มต่อต้านในอาเจะห์<br />
อินโดนีเซียก็ต้องเผชิญหน้ากับ "แนวเส้นประ<br />
๙ เส้น" ของจีนที่ผนวกพื้นที่เศรษฐกิจจำเพาะ<br />
บริเวณเกาะนาทูน่าของตนเข้าไปด้วย ทำให้มี<br />
การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์หันมารับมือกับภัย<br />
คุกคามในทะเลจีนใต้ โดยมีการเสริมสร้างกำลัง<br />
ทางเรืออย่างยิ่งใหญ่ เช่น การตั้งเป้าที่จะเพิ่ม<br />
จำนวนเรือรบให้มีถึง ๒๕๐ ลำในปี พ.ศ.๒๕๖๗<br />
หรือภายในสิบปีข้างหน้า ปัจจุบันกองทัพเรือ<br />
อินโดนีเซียมีกองเรือจำนวน ๒ กองเรือคือ กอง<br />
เรือภาคตะวันออกอยู่ที่เมืองสุราบายา และ<br />
กองเรือภาคตะวันตกอยู่ที่กรุงจาการ์ต้า เมือง<br />
หลวงของอินโดนีเซีย ซึ่งอินโดนีเซียมีแผนที่จะ<br />
เพิ่มกองเรือขึ้นอีก ๓ กองเรือ โดยจะขยายกอง<br />
เรือภาคตะวันออกขึ้นอีก ๑ กองเรือ มีฐานทัพ<br />
อยู่ที่เมืองอัมบอน เมืองเมอเรากิและเมืองคูปัง<br />
ตลอดจนขยายกองเรือภาคตะวันตกเพิ่มขึ้นอีก<br />
๑ กองเรือ มีฐานทัพอยู่ที่เมืองตันจุงปีนัง เมือง<br />
นาตันและเมืองเบลาวัน รวมทั้งตั้งกองเรือภาค<br />
กลางขึ้นมาใหม่อีก ๑ กองเรือ มีฐานทัพอยู่ที่<br />
เมืองมากัสซ่าร์และเมืองเทรากัน<br />
นอกจากนี้ในปี พ.ศ.๒๕๕๕ อินโดนีเซียได้<br />
สั่งต่อเรือดำน้ำชั้น "ชาง โบโก แบบ ๒๐๙”<br />
ระวางขับน้ำ ๑,๘๐๐ ตันจากบริษัทแดวูของ<br />
เกาหลีใต้จำนวน ๓ ลำ จากเดิมที่มีประจำ<br />
การอยู่แล้ว ๒ ลำคือเรือดำน้ำชั้น "จักกรา"<br />
(Chakkra) จากประเทศเยอรมัน ซึ่งเรือดำน้ำ<br />
"ชาง โบโก" จำนวนสองลำจะต่อที่อู่ต่อเรือ<br />
ในเกาหลีใต้ โดยความร่วมมือระหว่างบริษัท<br />
แดวูและรัฐวิสาหกิจการต่อเรือของอินโดนีเซีย<br />
ส่วนเรือดำน้ำลำที่สามจะต่อในอินโดนีเซีย<br />
ล่าสุดประธานาธิบดีโจโก วิโดโด ซึ่งเพิ่งเข้า<br />
รับตำแหน่งเมื่อปลายเดือนตุลาคมที่ผ่าน<br />
มา ได้เปิดเผยว่าอินโดนีเซียกำลังพิจารณา<br />
พันเอก ศนิโรจน์ ธรรมยศ
จัดซื้อเรือดำน้ำชั้น "กิโล" รุ่นปรับปรุงใหม่จาก<br />
โครงการ ๖๓๖ (Project 636) ของรัสเซีย ซึ่ง<br />
เป็นโครงการเดียวกับเรือดำน้ำของเวียดนาม<br />
เนื่องจากมีขีดความสามารถในการครองน่าน<br />
น้ำและครองอากาศครบถ้วน ยิ่งไปกว่านั้น<br />
เรือดำน้ำรุ่นที่อินโดนีเซียสนใจนั้น จะมีระบบ<br />
โซน่าร์ที่ทันสมัยกว่าของเวียดนาม โดยเป็นการ<br />
พัฒนาจากแบบ เอ็มจีเค-๔๐๐ อี เป็นรุ่น เอ็ม<br />
จีเค-๔๐๐ อีเอ็ม คาดว่าอินโดนีเซียจะสั ่งซื้อ<br />
เป็นจำนวนถึง ๑๐ ลำเลยทีเดียว<br />
ส่วนกำลังทางอากาศนั้น ในปี พ.ศ.๒๕๕๖<br />
กองทัพบกอินโดนีเซียได้สั่งซื้อเฮลิคอปเตอร์<br />
โจมตีแบบ เอเอช-๖๔ อี "อาปาเช่" จำนวน<br />
๘ ลำจากสหรัฐฯ มูลค่ากว่า ๕๐๐ ล้าน<br />
เหรียญสหรัฐฯ ซึ่งเป็นเฮลิคอปเตอร์โจมตีติด<br />
อาวุธปล่อยนำวิถีแบบอากาศสู่พื้น ที่ประสบ<br />
ความสำเร็จอย่างมากจากการรบในอิรักและ<br />
อัฟกานิสถาน โดยคาดว่าอินโดนีเซียจะได้รับ<br />
เฮลิคอปเตอร์ทั้งหมดในปี พ.ศ.๒๕๖๐ การสั ่ง<br />
ซื้อครั้งนี้ทำให้อินโดนีเซียเป็นประเทศที่สอง<br />
ในกลุ่มประเทศอาเซียน รองจากสิงคโปร์ที่มี<br />
เฮลิคอปเตอร์โจมตีชั้นสุดยอดของโลกชนิด<br />
นี้อยู่ในประจำการ กองทัพบกอินโดนีเซีย<br />
วางแผนที่จะนำเฮลิคอปเตอร์อาปาเช่จำนวน<br />
๔ ลำ เข้าประจำการที่เกาะ "นาทูน่า" เพื่อ<br />
คุ้มครองเขตเศรษฐกิจจำเพาะของตนจาก<br />
แนวเส้นประ ๙ เส้นของจีนนั่นเอง นอกจากนี้<br />
อินโดนีเซียยังเสริมสร้างกำลังทางอากาศด้วย<br />
การสั่งซื้อเครื่องบินขับไล่แบบซุคคอย ซู-๓๐<br />
จากรัสเซียเป็นจำนวนถึง ๖๔ ลำและเครื่อง<br />
แบบขับไล่แบบเอฟ-๑๖ จากสหรัฐฯ จำนวน<br />
๓๒ ลำ ในจำนวนนี้เป็นเครื่องบินมือสองจำนวน<br />
๒๔ ลำที่ได้รับการ "ให้เปล่าโดยไม่คิดมูลค่า"<br />
จากสหรัฐฯ เมื่อครั้งประธานาธิบดี บารัก<br />
โอบาม่า เดินทางเยือนอินโดนีเซียในปี พ.ศ.<br />
๒๕๕๓ แต่อินโดนีเซียต้องออกค่าใช้จ่ายใน<br />
การปรับปรุงสมรรถนะมูลค่ากว่า ๗๕๐ ล้าน<br />
เหรียญเอง<br />
ทางด้านมาเลเซียนั้น ก็มีการปรับ<br />
ยุทธศาสตร์ให้มีความพร้อมในการรับมือกับ<br />
ภัยคุกคามในทะเลจีนใต้ แทนการรับมือภัย<br />
คุกคามทางบกจากประเทศเพื่อนบ้านทาง<br />
ทิศเหนือและทิศใต้ดังเช่นในอดีต เนื่องจาก<br />
มาเลเซียมีพื้นที่ทับซ้อนอยู่ในแนวเส้นประ ๙<br />
เส้นของจีนด้วยเช่นกัน มาเลเซียเป็นประเทศ<br />
แรก ๆ ที่สั่งซื้อเรือดำน้ำสกอร์ปีเน่ จำนวน<br />
๒ ลำจากการร่วมผลิตของประเทศฝรั่งเศส<br />
และสเปน โดยเรือดำน้ำลำแรกคือ เรือดำน้ำ<br />
"ตุนกู อับดุล ราห์มาน" ได้เข้าประจำการ<br />
ตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๕๒ ส่วนเรือดำน้ำอีกลำหนึ่ง<br />
คือเรือดำน้ำ "ตุนกู อับดุล ราซัก" เข้าประจำ<br />
การในปีถัดมา เรือดำน้ำทั้งสองลำนี้เป็นเรือ<br />
ดำน้ำพลังงานดีเซล มีระวางขับน้ำ ๑,๖๐๐<br />
ตัน ความยาว ๖๖.๔ เมตร ความเร็วขณะ<br />
ดำน้ำ ๒๐ น๊อตหรือ ๓๘ กิโลเมตรต่อชั่วโมง<br />
ดำน้ำได้ลึกกว่า ๓๐๐ เมตร ติดตั้งตอร์ปิโด<br />
นำวิถีแบบ "แบล็คชาร์ค" (Blackshark)<br />
ขนาด ๒๑ นิ้ว (๕๓๓ มิลลิเมตร) จำนวน ๖<br />
ท่อยิง และอาวุธปล่อยนำวิถีจากใต้น้ำต่อ<br />
ต้านเรือผิวน้ำแบบ เอกโซเซต์ เอสเอ็ม ๓๙<br />
ของฝรั่งเศส ซึ่งอาวุธปล่อยนำวิถีเอกโซเซต์<br />
รุ่นนี้คล้ายกับรุ่นเอ็มเอ็ม ๔๐ (MM40) ซึ่งเป็น<br />
อาวุธปล่อยนำวิถีต่อต้านเรือหรือแบบพื้นสู่<br />
พื้นที่ติดตั้งบนเรือเร็วโจมตีชั้น "เปอร์ดานา"<br />
จำนวน ๔ ลำซึ่งมาเลเซียสั่งต่อจากฝรั่งเศส<br />
และชั้น "ฮันดาลัน" จำนวน ๔ ลำที่สั่งต่อจาก<br />
สวีเดน เพียงแต่ถูกออกแบบให้ยิงจากท่อส่งที่<br />
อยู่ภายในเรือดำน้ำเท่านั้น มาเลเซียได้นำเรือ<br />
ดำน้ำทั้งสองลำเข้าประจำการที่ฐานทัพเรือ<br />
"เซปังการ์" (Sepanggar) ในรัฐซาบาห์ ซึ่งเป็น<br />
ที่ตั้งกองบัญชาการกองเรือภาคที่ ๒ หรือ<br />
"มาวิลล่า ดัว" ฐานทัพนี้ตั้งอยู่ทางตอนเหนือ<br />
ของเกาะบอร์เนียว ทอดตัวขนานไปกับแนว<br />
เส้นประเส้นที่ ๔ และ ๕ ของจีน ส่งให้เรือดำ<br />
น้ำดังกล่าวมีพื ้นที ่ปฏิบัติการครอบคลุมพื้นที่<br />
พิพาททั้งหมด<br />
ทางด้านฟิลิปปินส์นั้นก็เช่นเดียวกับ<br />
ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนทั้งสามที่กล่าวมา<br />
ข้างต้น ที่ปรับยุทธศาสตร์จากการเสริมสร้าง<br />
แสนยานุภาพทางบก ซึ่งมุ่งเน้นการรับมือ<br />
กับภัยคุกคามภายในประเทศอันเกิดจากการ<br />
ก่อการร้ายของกลุ่มต่างๆ เช่น กลุ่มแนวร่วม<br />
ปลดปล่อยอิสลามโมโร ซึ่งอาศัยอยู่ในพื้นที่<br />
เกาะมินดาเนาแห่งนี้มาตั้งแต่คริสตศตวรรษ<br />
ที่ ๑๖ แต่เมื่อมีการลงนามครั้งประวัติศาสตร์<br />
กับกลุ่มดังกล่าวเพื่อยุติสงครามกลางเมืองที่<br />
ยาวนานที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เมื่อ<br />
วันที่ ๒๗ มีนาคม พ.ศ.๒๕๕๗ ที่ผ่านมา ก็ทำให้<br />
ภัยคุกคามภายในประเทศของฟิลิปปินส์มีแนว<br />
โน้มลดลง ในทางกลับกันภัยคุกคามจากจีน<br />
ในทะเลจีนใต้กลับทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น<br />
เรื่อย ๆ ส่งผลให้ฟิลิปปินส์ต้องปรับยุทธศาสตร์<br />
มาเสริมสร้างแสนยานุภาพทางทะเลและ<br />
ทางอากาศ แม้จะต้องประสบกับภาวะการ<br />
ขาดแคลนงบประมาณอย่างมากก็ตาม<br />
ก่อนหน้านี้กองทัพเรือฟิลิปปินส์มีเรือ<br />
ฟริเกตเพียงลำเดียวคือ เรือ "ราชา ฮัมอาบอน"<br />
ซึ่งเป็นเรือชั้นเดียวกับเรือหลวง "ปิ่นเกล้า" ของ<br />
ราชนาวีไทยที่มีอายุกว่า ๕๐ ปีและปลดประจำ<br />
การไปแล้วเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๑ แต่เนื ่องจาก<br />
ความขาดแคลนทำให้ฟิลิปปินส์ต้องใช้เรือ<br />
ดังกล่าวต่อไป การปรับยุทธศาสตร์เพื่อรับมือ<br />
ภัยคุกคามทางทะเลทำให้ฟิลิปปินส์จัดหา<br />
เรือตรวจการณ์ชายฝั่ง "มือสอง" ชั้น "แฮมิล<br />
ตัน" จากหน่วยป้องกันและรักษาฝั่งสหรัฐฯ<br />
จำนวน ๒ ลำ เพื่อเข้าประจำการในฐานะเรือ<br />
ฟริเกต ประกอบด้วยเรือ "เกรโกริโอ เดล พิลาร์"<br />
เข้าประจำการเมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๔ และเรือ<br />
"รามอน อัลคาราซ" เข้าประจำการในปี พ.ศ.<br />
๒๕๕๖ ที่ผ่านมา รวมทั้งจัดซื้อเครื่องบินขับไล่<br />
อเนกประสงค์แบบ เอฟ/เอ-๕๐ ซึ่งพัฒนามา<br />
จากเครื่องบินฝึกความเร็วเหนือเสียงแบบ ที-<br />
๕๐ โกลเด้น อีเกิ้ล ผลิตโดยบริษัทอุตสาหกรรม<br />
การบินของเกาหลีใต้ จำนวน ๑๒ ลำมูลค่ากว่า<br />
๔๒๐ ล้านเหรียญสหรัฐฯ นับเป็นการสั่งซื้อ<br />
ยุทโธปกรณ์ครั้งสำคัญและมีมูลค่าสูงที่สุดอีก<br />
ครั้งหนึ่งของฟิลิปปินส์ โดยเครื่องบินดังกล่าว<br />
๒ ลำแรกจะส่งมอบให้กับฟิลิปปินส์ภายใน<br />
สิ้นปี พ.ศ.๒๕๕๗ นี้ เพื่อใช้เป็นเครื่องบินฝึก<br />
สำหรับที่เหลืออีก ๑๐ ลำ จะทยอยส่งมอบ<br />
ครั้งละ ๒ ลำในทุก ๆ ๒ เดือน<br />
จากที่กล่าวมาข้างต้นเป็นเพียงตัวอย่างการ<br />
ปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของประเทศในภูมิภาค<br />
เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อเตรียมรับมือกับ<br />
ยุทธศาสตร์การแผ่ขยายอาณาเขตของจีนตาม<br />
แนวทาง "เส้นประ ๙ เส้น" ซึ่งนับแต่นี้ต่อไป<br />
ความเคลื่อนไหวในทะเลจีนใต้ จะยิ่งทวีความ<br />
เข้มข้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะเมื่อประเทศต่าง ๆ<br />
ได้รับอาวุธยุทโธปรณ์ที่สั่งซื้อครบถ้วนแล้ว ก็<br />
จะส่งผลให้ "การเผชิญหน้ากับจีน" กลายเป็น<br />
สิ่งที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้อีกต่อไป<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
29
Ukrain crisis 2014 :<br />
Is Crimea gone?<br />
“ไครเมีย...<br />
ที่ต้องแย่งยื้อ ถือครอง”<br />
นาวาอากาศเอก ปิยะพันธ์ ขันถม<br />
บ<br />
นคาบสมุทรบอลข่าน ประเทศใน<br />
แถบทะเลดำ ที่เต็มไปด้วยปัญหา<br />
สารพัดทั้งเรื่องศาสนา ดินแดน<br />
ลัทธิทางการเมืองและเชื้อชาติ เรื่องราวเหล่านี้<br />
ล้วนแต่เขย่าความมั่นคงของสังคมโลก<br />
มาแล้วทั้งสิ้น เอาแค่ใกล้ตัวในเรื่องราวที่พอ<br />
จะจำกันได้ ในช่วงเกิดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง<br />
ในปี ๑๙๑๔ นั้น ความน่ากลัวและโหดร้าย<br />
ของเหตุการณ์ที่มีชนวนมาจากประเทศใน<br />
คาบสมุทรนี้ ก็สร้างความพินาศต่อระบบสังคม<br />
30<br />
ไปทั่วทั้งโลก รวมถึงการสูญเสียชีวิตพลเรือน<br />
และทหารทั้งสองฝ่ายอีกนับล้าน<br />
การสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ก็เป็น<br />
เพียงการสิ้นสุดเนื่องจากอ่อนเปลี้ยกำลังกัน<br />
เท่านั้น แต่ความแค้นจากรอยแผลเดิม ๆ<br />
สาเหตุเดิม ๆ ก็ยังอยู่ในใจของชาติที่เป็นอริกัน<br />
อยู่ พร้อมกับสร้างเสริมกำลังกันอย่างเงียบ ๆ<br />
ไปพร้อมกับการฟื้นฟูประเทศ จนกระทั่งมา<br />
แตกหักรบกันอีกรอบในสงครามโลกครั้งที่<br />
สอง ซึ่งเริ่มในปี ๑๙๓๙ และสงครามโลกครั ้ง<br />
ที่สองนี้ น่าจะจบบทบาทของสงครามโลก<br />
อย่างชัดเจน ไม่น่าจะเกิดขึ้นเป็นครั้งที่สามอีก<br />
แล้ว เนื่องจากทุกประเทศซาบซึ้งถึงหายนะ<br />
หลังสงครามที่ร้ายกาจกันอย่างเจ็บปวด อีก<br />
ทั้งประชาคมโลกก็มีความเข้มแข็งขึ้นในรูป<br />
ขององค์การสหประชาชาติ อันเป็นองค์กรที่<br />
เกิดขึ้นหลังสงครามสงบ คอยประคับประคอง<br />
ประชาชาติไปในทางที่เป็นมิตรและสร้างสรรค์<br />
สงครามโลกครั้งที่สองปิดฉากลง จากการ<br />
เกิดขึ้นของระเบิดนิวเคลียร์ ชาติที่ช้ำใจที่สุด<br />
นาวาอากาศเอก ปิยะพันธ์ ขันถม
ก็คือญี่ปุ่น ซึ่งรับไปเต็ม ๆ ถึงสองลูกในเดือน<br />
สิงหาคม ๑๙๔๕ คือ Little Boy และ Fat<br />
Man จักวรรดิ์ญี่ปุ่นถึงกับจุกเสียดแน่นไปหมด<br />
จักรพรรดิญี่ปุ่นต้องประกาศยอมแพ้ ก่อนที่<br />
ชาติจะยับเยินมากกว่านี้<br />
เมื่อโลกสงบจากสงครามโลกครั้งที่สอง<br />
ประมาณปี ๑๙๔๕ มีประเทศเกิดใหม่และ<br />
ประเทศที่ถูกผนวกเข้าไปเป็นสาธารณรัฐอยู่<br />
มากโดยเฉพาะในยุโรปและบริเวณคาบสมุทร<br />
บอลข่าน ความขัดแย้งตรงหน้าได้ลดระดับลง<br />
ไปใต้ดินเป็นสงครามเย็นที่เผชิญหน้ากันของ<br />
สองค่ายลัทธิการปกครองคือประชาธิปไตย<br />
อันมีประเทศสหรัฐฯ เป็นหัวเรือใหญ่ และฝ่าย<br />
ลัทธิคอมมิวนิสต์ที่มีสหภาพโซเวียตเป็นแกนนำ<br />
กาลเวลาผ่านไปพร้อมกับแนวความคิดในการ<br />
เผชิญหน้าก็ลดลงไป ต่างฝ่ายต่างหันมามอง<br />
ความผาสุกและความเป็นอยู่ในทางเศรษฐกิจ<br />
ของตนเองมากขึ้น<br />
สิ่งบอกเหตุอันแรกของการสิ้นสุดสงคราม<br />
เย็นคือ ในปี ๑๙๘๙ เกิดการทลายกำแพง<br />
เบอร์ลิน เพื่อการรวมกันอย่างสันติของคนเชื้อ<br />
ชาติเดียวกันคือเยอรมันตะวันออกและตะวัน<br />
ตก จนกระทั่งถึงปี ๑๙๙๑ ซึ่งถือว่าเป็นปีที่สิ้น<br />
สุดสงครามเย็นอย่างแท้จริง สหภาพโซเวียตที่<br />
ยิ่งใหญ่โดยผู้นำชื่อ มิคาอิล กอร์บาชอฟ ภายใต้<br />
นโยบายปฎิรูปการเมืองและเศรษฐกิจ ได้<br />
ปล่อยให้ชาติดั่งเดิมในการผนวกภายใต้การ<br />
ปกครองเป็นอิสระ ส่วนใหญ่จะเป็นประเทศใน<br />
ยุโรปตะวันออก ซึ่งหนึ่งในนั้นคือยูเครน เมือง<br />
หลวงคือกรุงเคียฟ (Kieve)และสาธารณรัฐ<br />
ปกครองตนเองไครเมีย (Crimea) เมืองหลวง<br />
คือกรุงซิมฟัสโตปอล (Savastopol) หากแต่<br />
ในขณะนั้นไครเมียอยู่ภายใต้ร่มธงของยูเครน<br />
เนื่องจากมีการปกครองแบบสาธารณรัฐ ผู้คน<br />
ส่วนใหญ่ในไครเมียเป็นคนรัสเซีย ส่วนใน<br />
ยูเครนก็เป็นคนยูเครน และยังมีพวกไครเมีย-<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
ตาตาร์ เป็นชาวมุสลิมซุนหนี่ ชื่อดูแปลก ๆ<br />
เจือปนอยู่บ้าง<br />
สรุปแล้วในดินแดนแถบนี้พวกเขามีความ<br />
แตกต่างกันในเรื่องเชื้อชาติกันอยู่แล้ว ซึ่ง<br />
เป็นที่แน่นอนทางด้านภูมิศาสตร์และเชื้อชาติ<br />
คนยูเครนก็ต้องการที่จะเป็นแบบยุโรปตะวัน<br />
ตก คือมีแนวคิดการปกครองและสถานะทาง<br />
เศรษฐกิจที่ไปในทางที่เจริญกว่า และมีความ<br />
พยายามที่จะผูกตนเองเข้ากับกลุ่มเศรษฐกิจ<br />
EU สำหรับไครเมียและบางส่วนของยูเครน<br />
ตะวันออก ที่ผู้คนส่วนใหญ่เป็นคนรัสเซีย<br />
ก็ยังมีความต้องการลึกๆที่จะอยู่กับรัสเซีย<br />
ก็เพื่อความมั่นคงของพวกเขานั่นเอง ขืนอยู่ใน<br />
ยูเครนต่อไป สถานะตนเองจะเป็นแค่ชนกลุ่ม<br />
น้อยไปโดยปริยาย<br />
ในที่สุดแรงแค้นภายในยูเครนและไคร<br />
เมียก็เดินทางมาถึงจุดจบหรือจุดที่ควรจะ<br />
เป็น ความตึงเครียดถึงขั้นแตกหักเกิดขึ้นใน<br />
๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๐๑๔ ซึ่งเป็นวันสุดท้าย<br />
ที่รัฐบาลแห่งกรุงเคียฟของยูเครน โดยนาย<br />
วิคเตอร์ ยูโนโควิช ประธานาธิบดีจะต้อง<br />
ลงนามกับ EU (Europian Union) ตาม<br />
ข้อตกลงที่ให้ไว้กับประชาชน ที่จะนำพา<br />
ประเทศเข้าร่วมในกลุ่มประเทศ EU แต่ผู้นำ<br />
รัฐบาลยูเครนกลับไม่ใส่ใจเอาดื้อ ๆ โดยได้<br />
แสดงที่ท่าอย่างชัดเจนไม่ลงนามในการเข้า<br />
ร่วมเป็นกลุ่มสมาชิก EU ตามความต้องการ<br />
ของคนยูเครนส่วนใหญ่ รวมถึงไม่ใส่ใจในข้อ<br />
เรียกร้องของประชาชนที่ต้องการให้รัฐบาล<br />
ยูเครนปฏิรูปรัฐธรรมนูญพร้อมกับจัดให้มีการ<br />
เลือกตั้งภายใต้รัฐธรรมนูญใหม่ เมื่อผิดคำมั่น<br />
สัญญาและเสียงเรียกร้องที่ไม่ได้รับการตอบ<br />
สนอง กระแสความไม่พอใจถูกปลุกเร้าขึ้น<br />
เรื่อย ๆ ประชาชนแห่กันออกมาประท้วงสร้าง<br />
ความวุ่นวายและเกิดความเสียหายต่อชีวิตและ<br />
ทรัพย์สินทั้งของรัฐและของเอกชนอย่างหนัก<br />
ความวุ่นวายในระดับที่น่ากลัวเหล่านี้กระจาย<br />
ไปทั่วทุกหนแห่งในเคียฟรวมไปถึงเมืองใหญ่ ๆ<br />
อีกหลายเมืองที่นิยมยุโรปตะวันตก<br />
เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมีความต่อเนื่องและ<br />
จะเลวร้ายลงทุกที นายวิกเตอร์ ยานูโควิช<br />
ประธานาธิบดียูเครน ผู้นำที่อยู่ในคาถาของ<br />
รัสเซียต้องหนีไปตั้งหลักในรัสเซีย พร้อมกับ<br />
ขอความช่วยเหลือทางทหารให้เข้าไปช่วย<br />
รักษาความสงบหรือทวงคืนอำนาจของเขา<br />
กลับมา รัสเซียซึ่งรอทีท่าอยู่แล้วได้ส่งกำลัง<br />
ทหารนับหมื่นนายเข้าไปในแหลมไครเมีย โดย<br />
อ้างแบบหรู ๆ ตามเชิงทางการทูตว่า เพื่อการ<br />
ปกป้องคนรัสเซียไม่ถูกกดขี่ข่มเหง อีกทั้งยัง<br />
เสริมกำลังทหารจ่อประชิดชายแดนด้านติด<br />
กับยูเครน พร้อมบุกเมื่อสั่ง และเพื่อเป็นการ<br />
ข่มขู่ด้วย และในขณะเดียวกันนั้นยูเครนได้ตั้ง<br />
31
รัฐบาลรักษาการณ์ซึ่งนิยมยุโรปตะวันตกขึ้น<br />
บริหารประเทศ<br />
แต่อย่างไรก็ตาม เหตุการณ์ที่หลายฝ่าย<br />
หวาดวิตกกันมากว่า สถานการณ์จะไปถึง<br />
ขั้นนองเลือดรบกันแตกหักนั้น ก็ไม่ได้เกิดขึ้น<br />
เนื่องจากผู้นำมหาอำนาจทั้งอเมริกาและยุโรป<br />
เข้าช่วยไกล่เกลี่ยกับนายปูติน ประธานาธิบดี<br />
รัสเซีย แต่ในที่สุดเรื่องของการคับที่อยู่ได้คับใจ<br />
อยู่ยากก็เกิดขึ้นของชาวไครเมีย<br />
สาธารณรัฐปกครองตนเองไครเมียได้จัด<br />
ทำประชามติในเดือนมีนาคมให้ประชาชนใน<br />
แหลมไครเมียเลือกที่จะเป็นอิสระจากยูเครน<br />
และเข้าไปอยู่กับรัสเซีย ผลก็เป็นไปตามคาด<br />
หมายคือ ประชาชนส่วนใหญ่ต้องการที่จะไป<br />
อยู่กับรัสเซีย ยิ่งตรงใจรัสเซียมาก เพราะรัสเซีย<br />
เองมีความต้องการที่จะรื้อฟื้นสหภาพยูเรเซีย<br />
(Eurosia Union) หรือโซเวียต II ให้กลับมา<br />
ยิ่งใหญ่อีกครั้ง เมื่อผลออกมาเป็นเช่นนี้ รัฐสภา<br />
ดูมาของรัสเซียถึงกับรีบประกาศผนวกแหลม<br />
ไครเมียเข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัสเซียทันที<br />
จากข้อมูลตามประวัติศาสตร์ของแหลมไคร<br />
เมียนั้น แหลมทองของบอลข่านแห่งทะเลดำนี้<br />
เคยเป็นของรัสเซีย แต่ในยุคของนิกิต้า ครุสชอฟ<br />
ผู้นำสหภาพโซเวียต ได้ยกเป็นรางวัลให้<br />
สาธารณรัฐสังคมนิยมโซเวียตยูเครน ในปี ค.ศ.<br />
๑๙๕๔ ด้วยความผูกพันซื่อสัตย์กันดี ที่ยูเครน<br />
ยอมอยู่ใต้ธงกับรัสเซียมายาวนานถึงสามร้อยปี<br />
การได้แหลมไครเมียอยู่ในการปกครองของ<br />
รัสเซีย ทำให้รัสเซียมีความมั่นใจในยุทธศาสตร์<br />
ตนเองมากขึ้น เนื่องจากรัสเซียมีกองเรือขนาด<br />
ใหญ่ในทะเลดำ มีฐานปฏิบัติการที่เมืองซิมฟัส<br />
โตปอล (Savastopol) ทำให้ไม่ต้องกังวล<br />
การปิดล้อมของนาโตในภูมิภาคนี้ รัสเซีย<br />
สามารถที่จะครองความเป็นเจ้าอากาศและเจ้า<br />
ทะเลเหนือคาบสมุทรบอลข่านได้อย่างสบายๆ<br />
อย่างไรก็ตามทั้งรัสเซียและยุโรปก็ซดกัน<br />
ได้ไม่เต็มที่นัก เนื่องจากผลประโยชน์ที่เอื ้อกัน<br />
มหาศาลของท่อก๊าซจากรัสเซียผ่านดินแดน<br />
ยูเครนไปยังยุโรป สำหรับศักดิ์ทางด้าน<br />
เศรษฐกิจของแหลมไครเมียนั้น ไครเมียเป็น<br />
แหล่งเกษตรกรรมและอุตสาหกรรมขนาด<br />
ใหญ่ รวมถึงผลิตกระแสไฟฟ้าเลี้ยงรัสเซียด้วย<br />
และที่สำคัญในเรื่องของเชื้อชาติ รัสเซียเชื่อมั่น<br />
ว่าการผนวกดินแดนครั้งนี้ คงไม่สร้างปัญหา<br />
ภายในรบกวนรัสเซียอย่างแน่นอน เนื่องจาก<br />
เป็นประชามติของประชาชนชาวไครเมียที่ผู้คน<br />
ส่วนใหญ่เป็นชาวรัสเซีย<br />
เรื่องน่าเศร้าของความขัดแย้งที่สร้างความ<br />
หดหู่ให้กับชาวโลกคือ ในวันที่ ๑๗ กรกฎาคม<br />
ตามเวลาท้องถิ่น ๑๒๑๕ เครื่องบินแบบ<br />
Boeing 777-200ER ของ Malaysia Airline<br />
พร้อมโดยสารและลูกเรือรวมกัน ๒๘๕ คน<br />
เดินทางจากกรุงอัมสเตอร์ดัม เนเธอร์แลนด์<br />
32<br />
ไปกรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย ถูกขีปนาวุธ<br />
แบบ BUK ผลิตโดยรัสเซีย ยิงตกขณะบิน<br />
เหนือน่านฟ้าบนแผ่นดินที่เป็นกรณีพิพาท<br />
ของรัฐบาลยูเครนและกลุ่มแบ่งแยกดินแดน<br />
โดยเครื่องบินอยู่สูงถึง ๓๓,๐๐๐ ฟุต หรือ<br />
๑๐ กิโลเมตรซึ่งเป็นระยะสูงที่สายการบิน<br />
พลเรือนทำการบินเป็นปกติ ผู้โดยสารและ<br />
ลูกเรือทั้งหมดต้องพลัดพรากจากผู้เป็นเป็น<br />
ที่รัก ทั้งที่ยังไม่ได้สั่งเสีย<br />
เศษซากของเครื่องบินกระจายเป็นบริเวณ<br />
กว้างถึง ๑๕ กิโลเมตรในเขต โดเนตสค์<br />
ทางภาคตะวันออกของยูเครน ติดพรมแดน<br />
รัสเซีย และนิยมรัสเซีย สาเหตุที่แท้จริง<br />
กำลังสอบสวน แต่ที่แท้จริงยิ่งกว่าคือ ไม่มี<br />
ฝ่ายใดออกมาแสดงความรับผิดชอบ ซึ่ง<br />
ก่อนหน้านี้ในวันที่ ๑๔ กรกฎาคม เครื่องบิน<br />
ของกองทัพยูเครนแบบ แอนโตนอฟ-๒๖ ก็ถูก<br />
ฝ่ายแบ่งแยกดินแดนยิงตกมาแล้ว ผล<br />
ความผิดพลาดต่อเป้าหมายพลเรือนครั้งนี้<br />
ทำให้สายการบินพานิชย์หลายสัญชาติ<br />
ทบทวนหรือหลีกเลี่ยงการบินผ่านน่านฟ้า<br />
มหาภัยนี้ทันที<br />
Ukrain Crisis 2014 คงเป็นเรื่องที่ต้องใช้<br />
เวลาในการเจรจากันอีกยาวนาน เนื่องจาก<br />
ความซับซ้อนของปัญหาไปพัวพันกันไว้มาก<br />
เช่น เชื้อชาติ, ศาสนา, ดินแดน, ผลประโยชน์<br />
และทรัพยากร โดยมีคู่เจรจาหลัก ๆ ตอนนี้<br />
คือ สหรัฐฯ ซึ่งมีลูกคู่คือ EU แต่ออกตัวแรงไม่<br />
ได้มากนัก เนื่องจากมีผลประโยชน์แฝงอยู่มาก<br />
หรืออีกนัยยะหนึ่งกลุ่มแรกนี้สามารถเรียกได้<br />
ว่าเป็นกลุ่ม องค์สนธิสัญญาแอตแลนติคเหนือ<br />
หรือนาโต (NATO) ก็ได้ อีกสองชาติคือรัสเซีย<br />
และยูเครน ซึ่งประเทศหลังนี้ต้องเข้าข้าง EU<br />
แน่นอนอยู่แล้ว อีกทั้งผู้นำรัฐบาลรักษาการณ์<br />
ของยูเครนเองก็ประกาศชัดเจนว่า ยินดีเจรจา<br />
ทุกเรื่องราวแต่จะอยู่บนพื้นฐานที่ไม่ยอมรับ<br />
การผนวกดินแดนแหลมไครเมีย ซึ่งย่อมทำให้<br />
ปัญหายุ่งยากเข้าไปอีก<br />
อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ให้สัญญากันว่า<br />
ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นข้อขัดแย้งกัน จะใช้<br />
วิถีทางเจรจาทางการทูตเป็นหลัก แม้ว่า<br />
ขณะนี้ยังมีการสู้รบในเขตยูเครนตะวัน<br />
ออกของกลุ่มแบ่งแยกดินแดนที่ได้รับ<br />
การสนับสนุนจากรัสเซียอย่างไม่เปิดเผย<br />
ก็ตาม สำหรับการต่อสู้ในระดับรัฐสภาราดา<br />
(RADA) ของยูเครนนั้น ประธานาธิบดี<br />
เปโตร โปโรเซนโก ได้ประกาศยุบสภาและ<br />
เรียกร้องให้จัดการเลือกตั้งใหม่ ในวันที่ ๒๖<br />
ตุลาคม เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการของ<br />
ประชาชน และเพื่อสกัดออกสมาชิกรัฐสภาอีก<br />
จำนวนมากที่เห็นดีเห็นงามกับกลุ่มกบฏแบ่ง<br />
แยกดินแดน ส่วนเรื่องการ Sanstions ของ<br />
สหรัฐฯ และ EU ต่อรัสเซียนั้น ก็เป็นเพียงแค่<br />
ยาอ่อนๆ เท่านั้น และต้องระมัดระวังการตอบ<br />
กลับของรัสเซียด้วยเช่นเดียวกัน “หยิกเล็บ<br />
ก็เจ็บเนื้อ”<br />
การต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายคือรัฐบาลยูเครน<br />
และกลุ่มกบฏแบ่งแยกดินแดน ที่มีฐานที่มั่นคง<br />
อยู่ที่เมืองโดเนตสก์และลูฮานสก์ ทางตะวัน<br />
ออก ยังเหลือเป้าหมายสำคัญที่ยังเผด็จไม่ได้<br />
คือเมืองมาริอูโปลเมืองยุทธศาสตร์สำคัญทาง<br />
ทะเลอาซอฟ การต่อสู้ของพวกเขาทั้งสอง<br />
ฝ่ายนั ้น ยังไม่ใส่กันเต็มที่นักเพราะว่ายังห่วง<br />
ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับประชาชนและ<br />
อยู่ข้อตกลงทางการทูตกันอยู่ ในระหว่างที่<br />
คุมเชิงกันนี้ ตามภาพข่าวต่างประเทศจะเห็น<br />
นาวาอากาศเอก ปิยะพันธ์ ขันถม
รถถังยานเกราะรัสเซียกระจายอยู่ทั่วไปใกล้<br />
แนวชายแดนทั้ง MD-BTR,T-42 BM และ T-80<br />
กลุ่มนาโตเองก็ไม่ได้เพิกเฉยต่อพันธะ<br />
สัญญาที่มีต่อกัน ประกาศเสริมความแข็งแกร่ง<br />
ของกองกำลังเพื่อช่วยยูเครน แต่ก็ทำได้เพียง<br />
แค่ขีดจำกัดอันหนึ่งคือ ไม่สามารถตั้งทัพถาวร<br />
ตามแนวชายแดนได้ตามข้อตกลง NATO-<br />
RUSSIA FOUUDING ACT 1997 ก่อนหน้า<br />
นี้นาโตก็เผชิญหน้ากับรัสเซียมาหมาด ๆ คือ<br />
ศึกโคโซโวปี ๑๙๘๘ และสงครามจอร์เจีย<br />
ปี ๒๐๐๘<br />
ครั ้นเมื่อการต่อสู้ยืดเยื้อกันมาห้าเดือน มี<br />
ประชาชนทั้งสองฝ่ายต้องอยู่ในสถานะพลัดถิ่น<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
เป็นล้านคน ทั้งคนยูเครนเองที่หนีเข้ามาตอน<br />
ในและคนยูเครนเชื้อสายรัสเซียที่หนีเข้าไปใน<br />
รัสเซีย ยอดผู้เสียชีวิตรวมกันสูงถึง ๒.๖ พันราย<br />
เข้าไปแล้ว ก่อนจะสาหัสไปมากกว่านี้ ข้อตกลง<br />
หยุดยิงอย่างเป็นทางการครั้งแรกก็เกิดขึ้นเมื่อ<br />
๕ กันยายน ๑๕๐๐ ตามเวลา UTC ที่กรุงมินสก์<br />
ประเทศเบลารุส โดยมีสักขีพยานคือ องค์กร<br />
สนับสนุนความมั่นคงและความร่วมมือในยุโรป<br />
(OSCE), EU และรัสเซีย แต่ฝ่ายกบฏยังรักษา<br />
จุดยืนเดิมคือ จะต้องปลดปล่อยพื้นที่ตะวัน<br />
ออกของยูเครนให้เป็นอิสระให้ได้ ในระหว่างนี้<br />
EU ยังห้ามผู้นำกบฏเดินทางเข้าออก EU ส่วน<br />
การ Sanction รัสเซียแบบหยอก ๆ ของ EU<br />
และสหรัฐฯ ก็ยังมีผลอยู่ และรัสเซียเองก็<br />
โต้ตอบด้วยขนาดที ่พอ ๆ กัน คือสั่งห้ามสินค้า<br />
หลายประเภทของ EU เข้ารัสเซีย<br />
การประกาศหยุดยิงครั้งนี้นั้น มีผลมา<br />
จากการประชุมกลุ่มประเทศนาโตเมื่อ ๔-๕<br />
กันยายน ที ่เวลส์ ประเทศสหราชอาณาจักร<br />
(อังกฤษ) ซึ่งนาโตมีข้อเรียกร้องต่อรัสเซีย<br />
ด้วยว่า ให้ถอนกำลังออกจากภาคตะวันออก<br />
ของยูเครนและยุติการครอบครองไครเมีย<br />
ซึ่งประธานาธิบดี วลาดิเมียร์ ปูติน ของรัสเซีย<br />
คงไม่ยินดียินร้ายมากนัก<br />
33
ดุลยภาพทางการทหารของประเทศอาเซียน<br />
เครื่องบินขนส่งทางทหาร<br />
ซี-๒๙๕<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์<br />
ก<br />
องทัพอากาศฟิลิปปินส์ (PAF)<br />
จัดซื้อเครื่องบินขนส่งทางทหาร<br />
รุ่นใหม่แบบซี-๒๙๕ (C-295) รวม<br />
๓ เครื่อง จากประเทศสเปน เมื่อวันที่ ๑๘<br />
กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๕๕๗ เพื่อจะเพิ่มขีดความ<br />
สามารถในการขนส่งทางอากาศ เนื่องจาก<br />
ประเทศฟิลิปปินส์เป็นประเทศเกาะมีเกาะ<br />
รวมทั้งสิ้น ๗,๑๐๗ เกาะ ชายฝั่งทะเลยาว<br />
๓๖,๒๘๙ กิโลเมตร ที่ตั้งทางทหารสำคัญอยู่<br />
ห่างไกลกันมากดังนั้นการขนส่งทางอากาศ<br />
จึงมีความสำคัญยิ่ง เครื่องบินขนส่งขนาด<br />
กลางใช้เครื่องยนต์ใบพัดจะมีค่าใช้จ่ายต่ำกว่า<br />
เครื่องยนต์แบบไอพ่น ทั้งค่าใช้จ่ายทำการบิน<br />
ต่อชั่วโมงบินและค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุง<br />
ตลอดห้วงระยะเวลาอายุการใช้งาน กองทัพ<br />
อากาศฟิลิปปินส์ (PAF) จะได้รับมอบเครื่องบิน<br />
เครื่องแรก เดือนสิงหาคม พ.ศ.๒๕๕๘ จะรับ<br />
มอบเครื่องบินเครื่องที่สอง เดือนมีนาคม พ.ศ.<br />
34<br />
กองทัพอากาศอินโดนีเซียรับมอบเครื่องบินขนส่งทางทหารแบบซี-๒๙๕ (C-295)<br />
ชุดแรกรวม ๒ เครื่อง เมื่อวันที่ ๑๙ กันยายนพ.ศ.๒๕๕๕ ประจำการฝูงบิน ๒ ฐานทัพ<br />
อากาศฮาลิม (Halim Perdanakusuma International Airport) จังหวัดชวา<br />
ตะวันออก<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
กองทัพอากาศอินโดนีเซียรับมอบเครื่องบินชุดแรกรวม ๒ เครื่อง เมื่อวันที่ ๑๙<br />
กันยายน พ.ศ.๒๕๕๕ ประจำการที่ฝูงบิน ๒ ฐานทัพอากาศฮาลิม จังหวัดชวาตะวันออก<br />
จะทดแทนเครื่องบินขนส่งทางทหารรุ่นเก่าที่กำลังจะหมดอายุการใช้งานแบบ เอฟ-๒๗<br />
ฟอร์คเกอร์ (F-27 Fokker) ประจำการ ๖ เครื่อง กองทัพอากาศอินโดนีเซียจัดซื้อตาม<br />
โครงการรวม ๙ เครื่อง<br />
และส่งกลับสายแพทย์ เนื่องจากสนามรบใน<br />
อัฟกานิสถานส่วนใหญ่เป็นทะเลทรายขนาด<br />
ใหญ่ที่แห้งแล้ง พร้อมทั้งที่ตั้งของประเทศสูง<br />
กว่าระดับน้ำทะเลกว่า ๔,๐๐๐ เมตร และ<br />
ไม่มีถนนสายหลักที่จะใช้ขนส่งได้ การขนส่ง<br />
ทางอากาศจึงมีความสำคัญยิ่ง กองทัพอากาศ<br />
โปแลนด์ประจำการด้วยเครื่องบินขนส่งทาง<br />
ทหารซี-๒๙๕ (C-295) ในปี พ.ศ.๒๕๔๖-<br />
๒๕๕๑ รวม ๘ เครื่อง ต่อมาได้จัดซื้อเพิ่มเติม<br />
อีกและได้รับมอบเครื่องบินชุดสุดท้าย เมื่อวัน<br />
ที่ ๒ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๕๖ รวมประจำการ<br />
ทั้งสิ้น ๑๗ เครื่อง<br />
กองทัพอากาศอินโดนีเซีย (TNI-AU) จัด<br />
ซื้อเครื่องบินขนส่งทางทหารรุ่นใหม่แบบ<br />
ซี-๒๙๕ (C-295) รวม ๙ เครื่อง ราคา ๓๒๕<br />
๒๕๕๙ และรับมอบเครื่องบินเครื่องที่สามหรือ<br />
เครื่องสุดท้าย เดือนกันยายน พ.ศ.๒๕๕๙ นำ<br />
เข้าประจำการกองบิน ๒๒๐ ฐานทัพอากาศ<br />
เซบู<br />
เครื่องบินขนส่งทางทหารขนาดกลางแบบ<br />
ซี-๒๙๕ (C-295) ทำการวิจัยพัฒนาจาก<br />
ประเทศสเปน ขึ้นบินครั้งแรกเมื่อวันที่ ๒๘<br />
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๐ ใช้ในภารกิจขนส่ง<br />
ทางทหาร ทำการผลิตในปี พ.ศ.๒๕๔๔ มี<br />
ข้อมูลที่สำคัญคือนักบิน ๒ นาย บรรทุกผู้<br />
โดยสารได้ ๗๑ ที ่นั่ง (พลร่มพร้อมสัมภาระ ๔๘<br />
นาย) ขนาดยาว ๒๔.๕๐ เมตร ช่วงปีก ๒๕.๘๑<br />
เมตร พื้นที่ปีก ๕๙ ตารางเมตร สูง ๘.๖๐ เมตร<br />
น้ำหนักบินขึ้นสูงสุด ๒๓,๒๐๐ กิโลกรัม น้ำหนัก<br />
บรรทุก ๙,๒๕๐ กิโลกรัม เครื่องยนต์ เทอร์โบ<br />
พรอพ ขนาด ๒,๖๔๕ แรงม้า (รวม ๒ เครื่อง)<br />
ใบพัดชนิดหกกลีบ (เส้นผ่าศูนย์กลางขนาด<br />
๓.๘๙ เมตร) ความจุเชื้อเพลิง ๗,๗๐๐ ลิตร<br />
ความเร็วสูงสุด ๕๗๖ กิโลเมตรต่อชั่วโมง พิสัย<br />
บิน ๑,๓๐๐ กิโลเมตร (น้ำหนักบรรทุก ๙,๒๕๐<br />
กิโลกรัม) เพดานบินสูง ๙,๑๐๐ เมตร ระยะ<br />
ทางบินขึ้นยาว ๖๗๐ เมตร และระยะทางบิน<br />
ลงยาว ๓๒๐ เมตร จึงมีความเหมาะสมที่จะ<br />
ใช้ปฏิบัติการ ที่สนามบินในเขตหน้าของพื ้นที่<br />
การรบ ประจำการกองทัพอากาศสเปนเดือน<br />
พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๔๔ รวม ๑๓ เครื่อง<br />
ปัจจุบันเป็นเครื่องบินขนส่งทางทหารขนาด<br />
กลางรุ่นใหม่ของโลก<br />
เครื่องบินขนส่งทางทหารแบบซี-๒๙๕<br />
(C-295) มีการผลิตรวม ๕ รุ่น ประกอบด้วย<br />
รุ่นซี-๒๙๕ เอ็ม (C-295M), รุ่นเอ็นซี-๒๙๕<br />
(NC-295/CN-295) ซื้อลิขสิทธิ์สำหรับผลิต<br />
ในประเทศอินโดนีเซีย, รุ่นซี-๒๙๕เอ็มพี<br />
(C-295MP) ภารกิจตรวจการณ์ทางทะเลและ<br />
ปราบเรือดำน้ำ ติดตั้งอาวุธภายนอกลำตัวได้<br />
หกจุด (ตอร์ปิโด, จรวดนำวิถีต่อต้านเรือผิวน้ำ,<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
เครื่องบินขนส่งทางทหารแบบซี-๒๙๕ เอ็มพีเอ (C-295MPA) รุ่นลาดตระเวนทาง<br />
ทะเลติดตั้งอาวุธได้ ๖ จุด ประจำการกองทัพอากาศโปรตุเกส ๕ เครื่อง และกองทัพ<br />
อากาศโอมาน ๕ เครื่อง<br />
ทุ่นระเบิด และระเบิดน้ำลึก), รุ่นซี-๒๙๕ เอ<br />
อีดับเบิ้ลยู (C-295 AEW) ภารกิจใช้เตือนภัย<br />
ทางอากาศ ในขณะนี้ยังเป็นเครื ่องบินต้นแบบ<br />
และรุ่นซี-๒๙๕ ดับเบิ้ลยู (C-295W) ทำการ<br />
ปรับปรุงใหม่ทางด้านเครื่องยนต์ และระบบปีก<br />
ปี พ.ศ.๒๕๕๖ เครื่องบิน ซี-๒๙๕ (C-295) มี<br />
ยอดการผลิตรวม ๑๑๔ เครื่อง ขณะนี้ประจำ<br />
การรวม ๑๗ ประเทศ<br />
กองทัพอากาศโปแลนด์นำเครื่องบินขนส่ง<br />
ทางทหารแบบซี-๒๙๕ (C-295) ปฏิบัติการ<br />
สนับสนุนกำลังทหารโปแลนด์ในกองกำลัง<br />
ไอซาฟ (ISAF) ประเทศอัฟกานิสถาน ที่จังหวัด<br />
กาซ์นี (Ghazni) มีกำลังทหาร ๑,๑๓๐ คน<br />
ภารกิจขนส่งสัมภาระ ทิ้งสัมภาระทางอากาศ<br />
ล้านเหรียญสหรัฐ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.<br />
๒๕๕๕ ที่งานแสดงการบินประเทศสิงคโปร์ รับ<br />
มอบเครื่องบินชุดแรกรวม ๒ เครื่อง เมื่อวันที่<br />
๑๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๕๕ ต่อมานำเข้าประจำ<br />
การฝูงบิน ๒ ฐานทัพอากาศฮาลิม(Halim<br />
Perdanakusuma International Airport)<br />
จังหวัดชวาตะวันออก เพื่อจะทดแทนเครื่องบิน<br />
ขนส่งทางทหารรุ่นเก่าที่ได้ประจำการมานาน<br />
รวม ๓๕ ปี กำลังจะหมดอายุการใช้งานแบบ<br />
เอฟ-๒๗ ฟอร์คเกอร์ (F-27 Fokker) ประจำ<br />
การ ๖ เครื่อง เครื่องบินซี-๒๙๕ (C-295) ส่วน<br />
หนึ่งจะทำการประกอบที่โรงงานผลิตเครื่อง<br />
บินในประเทศ (PT Dirgantara Indonesia)<br />
รวม ๓ เครื่อง ที่ตั้งโรงงานที่เมืองบันดุง<br />
35
เครื่องบินขนส่งทางทหารแบบซี-๒๙๕ (C-295) ภารกิจขนส่งทางทหาร สามารถจะ<br />
บรรทุกพลร่มพร้อมสัมภาระได้ ๔๘ นาย<br />
เครื่องบินขนส่งทางทหารแบบซี-๒๙๕ (C-295) ขณะทำการทิ้งสัมภาระโดยการใช้<br />
ร่มในระดับต่ำสำหรับยุทโธปกรณ์ขนาดหนักที่ส่งลงเพื่อสนับสนุนกองกำลังภาคพื้นดิน<br />
(มีเจ้าหน้าที่ ๓,๗๒๐ คน ปี พ.ศ.๒๕๔๗)<br />
จังหวัดชวาตะวันตก เป็นโรงงานผลิตเครื่องบิน<br />
ใหญ่ที่สุดของประเทศกลุ่มอาเซียน จะช่วยเพิ่ม<br />
ขีดความสามารถในการขนส่งทางอากาศให้มี<br />
ความรวดเร็วมากยิ่งขึ้น<br />
เนื่องจากประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศ<br />
หมู่เกาะ มีเกาะรวม ๑๗,๕๐๘ เกาะ ชายฝั่ง<br />
ทะเลยาว ๕๔,๗๑๖ กิโลเมตร พื้นที่ขนาด<br />
ใหญ่ ๑,๘๙๐,๗๕๔ ตารางกิโลเมตร อาณาเขต<br />
จาก ตะวันออก-ตะวันตก มีความยาว ๕,๑๐๐<br />
กิโลเมตร จาก เหนือ-ใต้ ขนาดยาว ๑,๘๐๐<br />
กิโลเมตร แบ่งโซนเวลาเป็น ๓ โซน นับว่า<br />
ประเทศอินโดนีเซียเป็นประเทศขนาดใหญ่ ที่<br />
ตั้งทางทหารอยู่ห่างไกลกันมากภายในประเทศ<br />
และอินโดนีเซียยังควบคุมจุดยุทธศาสตร์<br />
ทางทหารที่สำคัญยิ่งของโลกคือช่องแคบ<br />
มะละกา ที่เรือสินค้าขนาดใหญ่จะต้องแล่น<br />
เลียบชายฝั่งทะเลของเกาะสุมาตราเป็นระยะ<br />
ทางยาว จึงจะผ่านช่องแคบมะละกาและเข้าสู่<br />
ทะเลจีนใต้ และช่องแคบซุนดาที่เชื่อมระหว่าง<br />
เกาะชวากับเกาะสุมาตรา ที่เชื่อมทะเลชวา<br />
กับมหาสมุทรอินเดีย (ถ้าจำเป็นจะต้องเลี่ยง<br />
ช่องแคบมะละกา) ดังนั้นการขนส่งสัมภาระ<br />
ทางอากาศจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อประเทศ<br />
อินโดนีเซีย<br />
กองทัพอากาศเวียดนามจัดซื ้อเครื่องบิน<br />
ขนส่งทางทหารรุ่นใหม่แบบซี-๒๙๕ (C-295)<br />
รวม ๓ เครื่อง ราคา ๑๐๐ ล้านเหรียญสหรัฐ<br />
เมื่อปี พ.ศ.๒๕๕๖ กองทัพอากาศเวียดนาม<br />
จะรับมอบเครื่องบินชุดแรกในปี พ.ศ.๒๕๕๘<br />
จะช่วยเพิ่มขีดความสามารถในการขนส่ง<br />
ทางอากาศให้มีความรวดเร็วยิ่งขึ้น เนื่องจาก<br />
เวียดนามมีชายฝั่งทะเลยาว ๓,๔๔๔ กิโลเมตร<br />
พร้อมทั้งใช้ในการขนส่งทางอากาศที่เชื่อมกับ<br />
เกาะในทะเลจีนใต้ของเวียดนาม<br />
เครื่องยนต์ แพร็ตแอนวิทนีย์ (Pratt & Whitney PW 127G) เท<br />
อร์โบพรอพ ขนาด ๒,๖๔๕ แรงม้า รวม ๒ เครื่อง ใบพัดชนิดหก<br />
กลีบ มีเส้นผ่าศูนย์กลาง ๓.๘๙ เมตร<br />
36<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
เครื่องบินขนส่งทางทหารซี-๒๙๕ (C-295) ผลิตรวม ๕ รุ่น มียอดการผลิตรวม ๑๑๔ เครื่อง ขณะนี้ประจำการรวม ๑๗ ประเทศ<br />
ที่สำคัญคือ สเปน (๑๓), บราซิล (๑๒), เม็กซิโก (๑๔), โปแลนด์ (๑๗), โปรตุเกส (๑๒), อินโดนีเซีย (๙), เวียดนาม (๓) และ<br />
ฟิลิปปินส์ (๓)<br />
ภายในห้องเคบินของเครื่องบินขนส่งทางทหารแบบซี-๒๙๕ (C-295) มีพื้นที่ ๕๗ ตารางเมตร โดยสามารถบรรทุกพลร่มพร้อม<br />
สัมภาระได้ ๔๘ นาย หรือบรรทุกทหารได้ ๗๑ ที่นั่ง<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
37
38<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน)
เปิดประตูสู่เทคโนโลยีป้องกันประเทศ (ตอนที่ ๒๓)<br />
จรวด DTI-2 กับความสำเร็จ<br />
ด้วยฝีมือคนไทย<br />
เ<br />
มื่อวันที่ ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๗<br />
ที่ผ่านมา ถือเป็นอีกหน้าประวัติศาสตร์<br />
หนึ่งของสถาบันเทคโนโลยีป้องกัน<br />
ประเทศ (องค์การมหาชน) หรือ สทป. และ<br />
แวดวงอุตสาหกรรมป้องกันประเทศของ<br />
ไทย เนื่องจากทาง สทป. ได้ทำการทดสอบ<br />
และสาธิตการยิงจรวด DTI-2 ขนาด ๑๒๒<br />
มิลลิเมตรให้กับนายทหารและนักศึกษาจาก<br />
หลักสูตรต่าง ๆ ของกองทัพได้ชมเป็นผลสำเร็จ<br />
ในวันรวมอำนาจการยิงของศูนย์การทหาร<br />
ปืนใหญ่ ที่สนามยิงปืนใหญ่เขาพุโลน ศูนย์การ<br />
ทหารปืนใหญ่ จังหวัดลพบุรี<br />
DTI-2 เป็นจรวดที่ทำขึ้นด้วยฝีมือของคน<br />
ไทย ๑๐๐% โดยใช้เทคโนโลยีส่วนหนึ่งที่ได้<br />
รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีในโครงการ DTI-1<br />
รวมเข้ากับประสบการณ์และเทคโนโลยีของ<br />
นักวิจัย สทป. ที่สั่งสมขึ้นมาใช้ในการออกแบบ<br />
และทดสอบผลิตจรวด DTI-2 ซึ่งนำมาสู่การ<br />
ทดสอบการยิงดังกล่าว โดยการยิงนั้นทำการ<br />
ยิงจากเครื่องยิงแบบลากจูงซึ่งสามารถติด<br />
กระเปาะหรือ Pod ที่บรรจุจรวด DTI-2 ได้<br />
หลายนัด แต่ในวันนั้นบรรจุจำนวน ๒ นัด และ<br />
อีกส่วนหนึ่งทำการยิงจากรถยิง DTI-1 ที่ติดตั้ง<br />
ท่อรองในเพื่อทำให้สามารถยิงจรวด DTI-2 ที่มี<br />
ขนาดเล็กกว่าได้ โดยทำการยิง ๔ นัดแบบซัลโว<br />
การติดตั้งท่อรองในบนรถยิง DTI-1 จะ<br />
ทำให้รถยิง DTI-1 ที่ปรกติจะใช้ยิงจรวดขนาด<br />
๓๐๒ มม. ทำการยิงจรวด DTI-2 ขนาด ๑๒๒<br />
มม. เพื่อใช้ในการฝึก เนื่องจากจรวด DTI-1 นั้น<br />
มีระยะยิงที่ไกลมากและมีราคาแพงกว่า แต่ถ้า<br />
ใช้จรวด DTI-2 ที่มีราคาถูกกว่ามากและมีระยะ<br />
ยิงที่ใกล้กว่าก็จะทำให้กำลังพลสามารถฝึกได้<br />
อย่างต่อเนื่องและสมจริงตามวงรอบการฝึก<br />
ของกองทัพบก<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
39
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว จรวด DTI-1 ซึ่ง<br />
เป็นจรวดขนาดใหญ่ที่มีระยะยิงถึง ๑๘๐<br />
กิโลเมตรจะถูกใช้งานในระดับยุทธการ ส่วน<br />
จรวด DTI-1 ที่มีระยะยิงสั้นกว่าคือ ๔๐<br />
กิโลเมตรจะถูกใช้งานในระดับยุทธวิถี ซึ่ง<br />
การพัฒนาจรวดทั้งสองแบบนี้นอกจากจะ<br />
เป็นการใช้ประโยชน์จากองค์ความรู้และความ<br />
เชี่ยวชาญที่นักวิจัยและนักพัฒนาของ สทป.<br />
มีให้เกิดประโยชน์สูงสุดแล้ว ยังทำให้ สทป.<br />
สามารถสนับสนุนกองทัพบกให้มีจรวดทั้งใน<br />
ระดับยุทธวิธีและระดับยุทธการที่สอดคล้อง<br />
กับภัยคุกคามที่มีอยู่ในปัจจุบันและในอนาคต<br />
ได้อีกด้วย<br />
ในส่วนของเครื่องยิงแบบลากจูงนั้น ก็<br />
เป็นการพัฒนาโดยนักวิจัยของ สถาบัน<br />
เทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน)<br />
กระทรวงกลาโหม เองเช่นกัน ซึ่งแท่นยิงดัง<br />
กล่าวสามารถติดตั้งกระเปาะบรรจุจรวด DTI-<br />
2 จำนวน ๒๐ ลำกล้องได้ ๒ กระเปาะ ทำให้<br />
รวมแล้วสามารถยิงจรวดได้ถึง ๔๐ ลูกทีเดียว<br />
DTI-2 นั้นจะมีระยะยิงทั้งหมด ๓ ระยะ<br />
คือ ๑๐ กิโลเมตร ๓๐ กิโลเมตร และ ๔๐<br />
กิโลเมตร ซึ่ง สทป. ได้ทำการพัฒนาทั้งใน<br />
ส่วนของดินขับ หัวรบ และชุดพวงหาง และ<br />
40<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน)
ทำการผลิตองค์ประกอบของจรวดในประเทศ<br />
ทั้งหมด ซึ่งในวันรวมอำนาจการยิงที่ผ่านมา<br />
จรวดทั ้ง ๖ ลูกสามารถทำลายเป้าหมายเป็น<br />
พื้นที่ที่อยู่ห่างออกไป ๔ กิโลเมตรได้ถูกต้อง<br />
ตามที่คำนวณเอาไว้<br />
โดยในอนาคต สทป. กับกองทัพบกกำลังจะ<br />
ลงนามในบันทึกความเข้าใจร่วมกันเพื่อพัฒนา<br />
จรวด DTI-2 และนำส่งให้กองทัพบกไปทดลอง<br />
ใช้ ซึ่งรวมถึงการส่งมอบท่อรองในที่ใช้งานใน<br />
การยิงครั้งนี ้ให้กองทัพบกนำไปทดลองใช้ การ<br />
พัฒนาจรวดระยะยิง ๔๐ กิโลเมตรเพื่อใช้งาน<br />
กับจรวดหลายลำกล้อง SR-4 ที่กองทัพบกจัด<br />
ซื้อจากต่างประเทศ และการติดตั้ง DTI-2 บน<br />
รถสายพานลำเลียงพล Type-85 ทดแทนจรวด<br />
หลายลำกล้องขนาด ๑๓๐ มม. ที่มีระยะยิงสั้น<br />
กว่าอีกด้วย<br />
หลังจากนี้ สทป. จะทำการทดสอบและ<br />
ปรับปรุงจรวด DTI-2 ให้ดียิ่งขึ ้น ซึ่งยังต้อง<br />
ทำการยิงทดสอบอีกเป็นจำนวนมากก่อนที่<br />
จะพร้อมผลิตเข้าประจำการต่อไป แต่ผลลัพธ์<br />
ที่ได้จากการพัฒนา DTI-2 ด้วยฝีมือคนไทย<br />
นั้นเริ่มแสดงให้เห็นแล้วว่า ในวันที่คนไทย<br />
สามารถพัฒนาอาวุธเพื่อใช้งานได้เอง ก็จะ<br />
ทำให้ประเทศลดการพึ่งพาเทคโนโลยีจากต่าง<br />
ประเทศ ทำให้กองทัพสามารถใช้งานจรวดที่<br />
ผลิตขึ้นได้ในประเทศโดยไม่ติดข้อจำกัดการนำ<br />
เข้าอาวุธ สามารถประหยัดงบประมาณที่ต้อง<br />
ใช้ในการจัดซื้ออาวุธ และรวมถึงเป็นการสร้าง<br />
เทคโนโลยีซึ่งสามารถต่อยอดไปยังการพัฒนา<br />
จรวดแบบอื่น ๆ ได้ต่อไป<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
41
หลักการของ<br />
นายพลแพตตัน<br />
(ตอนที่ ๒๘)<br />
พลโท เด่นดวง ทิมวัฒนา<br />
42<br />
พลโท เด่นดวง ทิมวัฒนา
อย่าให้ความตายมาเยือนถึงเตียง<br />
“คนส่วนมากตายบนเตียง มากกว่าตายใน<br />
สงคราม!”<br />
นายพลแพตตันอธิบาย “การนอนก็เหมือน<br />
กับการขุดหลุมบุคคล มันง่ายที่ความตายจะ<br />
จับตัวคุณได้ขณะกำลังหลับ พระผู้เป็นเจ้าทรง<br />
กล่าวไว้ว่า “จงเก็บที่นอน แล้วเดิน!” การอยู่<br />
บนเตียงนอนก็เหมือนกับการนั่งบนเก้าอี้หมุน<br />
นาน ๆ สมองจะอุดตันและร่างกายจะเจ็บไข้<br />
ต่อมาคุณก็คงทราบดีว่าจะมีหมอนำยามาให้<br />
คุณกิน จนกว่าคุณจะอยู่ในสภาพปกติ เพียง<br />
แต่คุณเคลื่อนไหวไปโน่นมานี่ ผมว่ามันจะดี<br />
กว่าการที่คุณจะกินยาเป็นกำมือ”<br />
บรรดากำลังพลได้หัวเราะขึ้น พวกเราที่<br />
เป็นฝ่ายเสนาธิการคิดกันว่านายพลแพตตัน<br />
ได้ผลักดันกำลังพลจนเกินไป นั่นเป็นปี พ.ศ.<br />
๒๔๘๕ (ค.ศ.๑๙๔๒) หลายปีต่อมาบรรดา<br />
นายแพทย์ก็เริ่มที่จะใช้วิธีให้คนไข้ผ่าตัดของ<br />
ตน “เก็บที่นอน แล้วก็เดิน” ในวันหรือสอง<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
43
44<br />
พลโท เด่นดวง ทิมวัฒนา
วันหลังการผ่าตัด ด้วยความรู้ของท่านที่ได้<br />
จากคัมภีร์ไบเบิ้ล นายพลแพตตันได้สั่งสอน<br />
ข้อปฏิบัติเช่นนี้มามากกว่าสามสิบปี ก่อนที่ผู้<br />
เชี่ยวชาญทางการแพทย์จะเริ่มใช้วิธีการเดิน<br />
เป็นส่วนหนึ่งในการรักษาพยาบาล<br />
ผมไม่เคยพอใจผลกระทบจากความ<br />
คิดของนายพลแพตตันจนกระทั่งผมได้ไป<br />
เยี่ยมเยียนสถานพยาบาลภายหลังสงคราม<br />
สถานพยาบาลเหล่านี้ทำให้ผมนึกถึงคำพูดของ<br />
นายพลแพตตัน “จงตะลุยไปข้างหน้า และ<br />
เผชิญกับความตายในแบบที่คุณต้องการ!”<br />
มันใช้เวลาหลายปีทีเดียวก่อนที่สังคมจะคิด<br />
กันว่า บางทีประชาชนน่าจะมีสิทธิ์ตายในแบบ<br />
ที่พวกเขาต้องการ แทนที่จะถูกรักษาพยาบาล<br />
แบบจะตายมิตายแหล่เป็นเวลายี่สิบปีเหมือน<br />
กับผักหญ้าต้นหนึ่ง ยานอนหลับปริมาณมาก ๆ<br />
จะทำให้พวกคนแก่เหล่านั้นเคลื่อนไหวไม่ได้ยัง<br />
กับเป็นต้นไม้ที่ปลูกอยู่ในกระถาง<br />
ผมจำคำกล่าวของนายพลแพตตันได้<br />
“คนส่วนมากจะตายที่อายุสี่สิบ แต่ยังไม่ถูก<br />
ฝังจนกระทั่งอีกสามสิบปีต่อมา ผู้คนส่วนมาก<br />
ป่วยในระยะสั้น ๆ แต่ยอมแพ้ และตายไปขณะ<br />
มีอายุอยู่ในช่วงต้น ๆ แห่งชีวิต พวกเขาไปหา<br />
หมอคนโน้นบ้างคนนี้บ้าง จนกระทั่งความตาย<br />
มาจับตัวพวกเขาถึงเตียงนอน”<br />
นายพลแพตตันมักจะสั่งสอนอยู่เสมอว่า<br />
ถ้าคุณไม่เคลื่อนไหวไปมาเลือดลมของคุณจะ<br />
ไหลเวียนได้ไม่ดี การตายของนายพลแพตตัน<br />
ไม่ได้เกิดจากการที่คอของท่านหัก ซึ่งเป็นผล<br />
จากการเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ท่านตายจาก<br />
การที่มีเลือดคั่งในปอด และหัวใจ เลือดลมของ<br />
ท่านไหลเวียนไม่ถูกต้อง พระเจ้ามีความคิดเห็น<br />
พ้องกับผมที่ว่า นายพลแพตตันต้องโมโหแน่ ๆ<br />
หากให้ท่านตายบนเตียงนอน<br />
วิทยาศาสตร์การแพทย์เจริญก้าวหน้าอย่าง<br />
รวดเร็ว แต่ยังไม่มียาขนานใดที่แรงเท่ากับคำ<br />
แนะนำของนายพลแพตตัน “จงตายในแบบ<br />
ที่คุณต้องการ!” ประชาชนจำนวนมากตาย<br />
ขณะยังหนุ่ม และถูกฝังตอนแก่ พวกเรา<br />
หลายคนกลัวมากกับความตายซึ่งเรายัง<br />
ไม่เคยพบพาน<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
45
พระบรมราโชบายใน<br />
การปกครองระบอบ<br />
ประชาธิปไตยในรัชกาลที่ ๗<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์<br />
46<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์
ก<br />
ารปกครองระบอบประชาธิปไตย<br />
มิใช่ผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปที่ประเทศ<br />
ใดประเทศหนึ่งจะสถาปนาขึ้นมา<br />
ได้ภายในระยะเวลาอันสั้น หรือเป็นสิ่งที่จะ<br />
หยิบยกเอารูปแบบจากประเทศอื่นมาใช้ แต่<br />
ต้องเป็นกระบวนการที่พัฒนามายาวนาน<br />
เพราะนอกจากปัจจัยในการพัฒนาสถาบัน<br />
การเมืองอันเป็นเรื่องที่มีปัญหาในการพิจารณา<br />
อยู่มิใช่น้อย แล้วประชาชนซึ่งเป็นรากฐาน<br />
ของการปกครองระบอบนี้จะต้องได้รับการ<br />
ศึกษา และมีความสำนึกทางการเมืองอัน<br />
เป็นประชาธิปไตยด้วย มิฉะนั้นหลักการของ<br />
ประชาธิปไตยที่ว่าด้วยอำนาจอธิปไตยเป็นของ<br />
ปวงชนก็จะเป็นเพียงในนาม เป็นประชาธิปไตย<br />
แบบไทยมาจน ๘๐ กว่าปีแล้ว<br />
ด้วยเหตุที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้า<br />
อยู่หัว ทรงตระหนักถึงความยากลำบากใน<br />
การหยั่งรากของประชาธิปไตยให้ฝังลึกลงไป<br />
อย่างมั่นคง จึงได้มีพระบรมราโชบายเตรียม<br />
การที่จะเปลี่ยนแปลงการปกครองไปสู่ระบอบ<br />
ประชาธิปไตยอย่างค่อยเป็นค่อยไปเป็นลำดับ<br />
โดยเริ่มจากสร้างความสำนึกทางการเมือง<br />
ให้กับประชาชนผ่านกระบวนการของการ<br />
ปกครองท้องถิ่น ก่อนที่จะเข้าไปมีส่วนร่วม<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
47
ในการปกครองระดับชาติ เพื่อเป็นการฝึกหัด<br />
ให้องคมนตรีรู้จักวิธีการประชุมปรึกษาแบบ<br />
รัฐสภา มีดำริให้ปรับปรุงสภาองคมนตรีใหม่<br />
เรียกว่า กรรมการสภาองคมนตรี ให้ยกร่าง<br />
รัฐธรรมนูญขึ้นมาพิจารณาถึง ๒ ฉบับ ในตอน<br />
ต้นรัชกาลฉบับหนึ่ง และก่อนการเปลี่ยนแปลง<br />
การปกครอง พ.ศ.๒๔๗๕ เล็กน้อยอีกฉบับ<br />
ทรงมีพระราชดำริว่า "ถ้ามีการยอมรับกัน<br />
ว่า วันใดวันหนึ่งเราอาจจะต้องถูกบังคับให้<br />
มีประชาธิปไตยแบบใดแบบหนึ่งในประเทศ<br />
สยาม เราจะต้องเตรียมตัวของเราเองอย่าง<br />
ค่อยเป็นค่อยไป เราจะต้องเรียนรู้และจะ<br />
ต้องให้การศึกษาแก่ตัวของเราเอง เราจะต้อง<br />
เรียนและทดลอง เพื่อที่จะได้รู้ว่า ระบอบการ<br />
ปกครองแบบรัฐสภาจะดำเนินไปได้อย่างไรใน<br />
ประเทศสยาม เราต้องพยายามให้การศึกษาแก่<br />
ประชาชนเพื่อที่จะให้ประชาชนมีความสำนึก<br />
ทางการเมือง ที่จะตระหนักถึงผลประโยชน์<br />
ที่แท้จริงเหล่านี้ เพื ่อที่ประชาชนจะได้ไม่ถูก<br />
ชักนำไปโดยพวกนักปลุกระดมหรือพวกนักฝัน<br />
หวานถึงพระศรีอารย์ ถ้าเราจะต้องมีรัฐสภา<br />
เราจะต้องสอนประชาชนว่าจะออกเสียง<br />
อย่างไร และจะเลือกผู้แทนที่จะมีจิตใจฝักใฝ่<br />
กับประโยชน์ของพวกเขาอย่างแท้จริงอย่างไร"<br />
แนวความคิดที่จะให้มีรัฐธรรมนูญเป็นหลัก<br />
ในการปกครองประเทศได้มีขึ้นเป็นครั้งแรก<br />
ในสมัยรัชกาลที่ ๕ ดังจะเห็นได้จากคำกราบ<br />
บังคมทูลความเห็นของเจ้านายและข้าราชการ<br />
เมื่อ ร.ศ.๑๐๓ แต่เนื่องจากพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชดำริว่า<br />
สิ่งที่จำเป็นจะต้องทำก่อนอื่นมีอยู่ ๒ ประการ<br />
คือ การปฏิรูปการบริหาร เพื่อที่จะให้ข้าราชการ<br />
ทุกกรมมีงานทำอย่างเต็มที่ มีความรับผิดชอบ<br />
ในหน้าที่การงานของตน และมีการประสาน<br />
งานระหว่างกัน อีกประการก็คือ ทรงเห็นว่า<br />
จำเป็นจะต้องมีผู้ร่างกฎหมาย ซึ่งจะต้องเป็น<br />
ผู้ตริตรอง ตรวจการทุกสิ่งทุกอย่าง รวมทั้งเป็น<br />
ผู้พิจารณาแก้ไขข้อขัดข้องด้วย โดยทรงพระ<br />
ราชดำริว่า ถ้าการเรื่องนี้ยังไม่เป็นที่เรียบร้อย<br />
การอื่น ๆ ยากนักที่จะตลอดไปได้ ดังนั้น<br />
คำกราบบังคมทูลความเห็นของเจ้านายและ<br />
ข้าราชการเมื่อ ร.ศ.๑๐๓ จึงยังไม่ได้รับการ<br />
สนองตอบ<br />
ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว คณะผู้ก่อการ ร.ศ.๑๓๐ ได้คิด<br />
ทำการปฏิวัติเพื่อเปลี่ยนแปลงระบอบการ<br />
ปกครอง และสถาปนาให้มีรัฐธรรมนูญเป็น<br />
หลักในการปกครองประเทศ แต่คณะผู้ก่อการ<br />
ได้ถูกจับกุมเสียก่อน สำหรับพระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชดำริที่<br />
จะพระราชทานรัฐธรรมนูญแก่พสกนิกรของ<br />
พระองค์ตั้งแต่ต้นรัชกาล แต่ทรงเห็นว่าคนไทย<br />
เราโดยทั่วไปพร้อมอยู่หรือยังที่จะใช้อำนาจ<br />
เลือกผู้แทนของตัวเองทำการปกครอง มีความ<br />
เสียใจที่ยังแลไม่เห็นว่าจะทำการเช่นนั ้นสำเร็จ<br />
ได้ เพราะแม้แต่การเลือกกรรมการสุขาภิบาล<br />
ประจำตำบลซึ่งเป็นขั้นแรกแห่งการเลือกผู้<br />
ปกครองตนเองก็ยังทำไม่ได้จริงจัง เจ้าหน้าที่<br />
ฝ่ายเทศาภิบาลต้องคอยเสี้ยมสอนอยู่ทุก<br />
แห่งไป การเลือกกำนันผู้ใหญ่บ้านซึ่งต่ำลงไป<br />
กว่านั้น และทำได้ง่ายกว่าก็ยังทำกันเหมือน<br />
เล่นละครตลก ด้วยเหตุนี้พระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงได้ทรงระงับพระ<br />
ราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญไว้ก่อน<br />
48<br />
จุฬาพิช มณีวงศ์
ครั้นถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยก<br />
ร่างรัฐธรรมนูญขึ้น ๒ ฉบับ เพื่อจะได้ศึกษา<br />
พิจารณาว่าจะเหมาะสมกับประเทศไทยหรือ<br />
ไม่เพียงใด ซึ่งเป็นครั้งแรกของประเทศไทย<br />
ที่พระมหากษัตริย์เป็นผู้ดำริที่จะให้มีการ<br />
ปกครองระบอบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้<br />
รัฐธรรมนูญ โดยร่างรัฐธรรมนูญฉบับแรกเป็น<br />
ร่างของพระยากัลยาณไมตรี หรือ ดร.ฟราน<br />
ซิสบีแซร์ ซึ่งยกร่างขึ้นในปี พ.ศ.๒๔๖๗ ส่วน<br />
ร่างรัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒ ยกร่างโดย นาย<br />
เรมอนด์ บีสตีเวนส์ ที่ปรึกษากระทรวงการ<br />
ต่างประเทศ และพระยาศรีวิสารวาจา ปลัด<br />
ทูลฉลองกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งร่างขึ้น<br />
ในปี พ.ศ.๒๔๗๔<br />
อนึ่งเป็นที่น่าสังเกตว่า ทั้งนายเรมอนด์<br />
บีสตีเวนส์ และพระยาศรีวิสารวาจา ต่างไม่เห็น<br />
ด้วยที่จะให้มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญ โดย<br />
อ้างเหตุผลว่ายังไม่ถึงเวลา เพราะคนไทยส่วน<br />
ใหญ่ยังไม่เหมาะสมที่จะมีส่วนในการปกครอง<br />
เพื่อที่จะให้แน่ใจว่าสภานิติบัญญัติจะทำงาน<br />
ได้อย่างน่าพอใจ กรรมการทั้ง ๒ ท่านมีความ<br />
เห็นว่า จะต้องให้ประชาชนได้มีประสบการณ์<br />
ในการปกครองตนเองก่อน ต่อมาทรงทำ<br />
หนังสือเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญไปถึงที่ประชุม<br />
อภิรัฐมนตรี ในวันที่ ๑๒ มีนาคม ๒๔๗๔ เพื่อ<br />
จะได้ปรึกษากันในที่ประชุมอภิรัฐมนตรี<br />
ทรงตั้งพระราชหฤทัยที่จะพระราชทาน<br />
รัฐธรรมนูญแก่ปวงชนชาวไทย ในวันที่ ๖<br />
เมษายน ๒๔๗๕ อันเป็นวันสถาปนาราชวงศ์<br />
จักรีครบ ๑๕๐ ปี แต่เมื่อถึงวันดังกล่าวก็มิได้<br />
มีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญแต่อย่างใด ต่อ<br />
จากนั้นไม่ถึง ๓ เดือน คณะราษฎร์ก็ได้ทำการ<br />
เปลี่ยนแปลงการปกครอง แม้จะยังไม่พบ<br />
หลักฐานแน่ชัด แต่จากคำบอกเล่าของบุคคล<br />
ต่าง ๆ ในสมัยนั้น ต่างได้ความตรงกันว่าการ<br />
งดประกาศใช้รัฐธรรมนูญในวันที่ ๖ เมษายน<br />
๒๔๗๔ เป็นเพราะอภิรัฐมนตรีสภาไม่เห็นด้วย<br />
อย่างไรก็ตามพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวยังทรงยืนยันที่จะให้มีการปกครอง<br />
ระบอบพระมหากษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ<br />
ในการเตรียมประชาชนให้มีความพร้อม<br />
สำหรับการปกครองระบอบประชาธิปไตยแบบ<br />
รัฐสภา มีพระบรมราโชวาทในงานประจำปีของ<br />
วชิราวุธวิทยาลัย เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน<br />
๒๔๗๕ ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />
๓ เดือน ความตอนหนึ่งว่า<br />
“การปกครองที่จะดีนั้นยิ่งเป็นแบบรัฐสภา<br />
หรือแบบปาลิเมนต์ด้วยแล้ว ถ้าจะดีได้ก็<br />
ต้องอาศัยความดีของประชาชน ต้องอาศัย<br />
น้ำใจ และนิสัยประชาชนเป็นส่วนใหญ่ ถ้า<br />
ประเทศใดมีประชาชนมีน้ำใจดี รู้จักวิธีการที่<br />
จะปกครองตนเองโดยแบบมีรัฐสภาจริง ๆ แล้ว<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
การปกครองนั้นก็จะเป็นประโยชน์แก่ประเทศ<br />
เป็นอันมาก”<br />
ทรงอธิบายถึงแนวทางที่จะให้ประชาชนมี<br />
น้ำใจดี โดยทรงยกตัวอย่างประเทศอังกฤษว่า<br />
อยู่ที่การฝึกฝนตามแบบอย่างโรงเรียนราษฎร<br />
ที่เป็นโรงเรียนประจำที่เรียกว่า พับลิกสกูล ซึ่ง<br />
มีวิธีการสอนสรุปได้ ๓ ประการคือ ประการ<br />
แรก พับลิกสกูลจะสอนให้รักขนบธรรมเนียม<br />
ของโรงเรียน และของประเทศ ขนบธรรมเนียม<br />
ใดที่มีมาแต่เดิม แม้จะคร่ำครึไม่มีประโยชน์ แต่<br />
ถ้าหากไม่เสียหายก็ควรรักษาไว้เพื่อให้นักเรียน<br />
ภาคภูมิใจ ให้นึกถึงความรุ่งเรืองของโรงเรียนที่<br />
มีมาแล้วตั้งแต่ในอดีต เมื่อเด็กอังกฤษเติบโต<br />
ขึ้นก็จะมีน้ำใจรักขนบธรรมเนียมของบ้านเมือง<br />
เป็นอย่างยิ่ง การรักขนบธรรมเนียมไม่ได้ทำให้<br />
ประเทศอังกฤษมีความเจริญล้าหลังประเทศ<br />
อื่น ๆ เลย แต่ทำให้ประเทศอังกฤษสามารถ<br />
เปลี่ยนแปลงแบบแผนการปกครองได้อย่าง<br />
เรียบร้อย ประการที่สอง ในโรงเรียนพับลิก<br />
สกูลของอังกฤษมีการปกครองกันเป็นลำดับ<br />
ชั้น มีการปกครองที่เข้มงวดมากเป็นลำดับ<br />
ชั้น ตั้งแต่ครู เด็กชั้นผู้ใหญ่ เด็กชั้นเล็ก จะให้<br />
ปกครองกันเป็นลำดับชั้น และมีวินัยเคร่งครัด<br />
ทั้งนี้เพื่อฝึกหัดให้รู้จักปกครองกันเองตาม<br />
ลำดับชั้น ถ้าไม่มีก็ย่อมปกครองกันไม่ได้ ทรง<br />
เห็นว่า ถ้าจะให้ประเทศไทยมีการปกครอง<br />
ที่ดีงามต่อไป เราต้องฝึกหัดเด็กของเราให้<br />
รู้จักเคารพนับถือผู้ใหญ่ และให้รู้จักรับผิด<br />
ชอบที่จะปกครองผู้น้อยต่อไปโดยยุติธรรม<br />
ประการที่สาม ต้องฝึกหัดให้นักเรียนมีน้ำใจ<br />
เป็นนักกีฬาแท้ มีพระราชดำริว่า การฝึกหัด<br />
น้ำใจนั้นเป็นของสำคัญยิ่ง เราจะปกครองใน<br />
ระบอบประชาธิปไตยก็ยิ่งสำคัญมากขึ้น ทรงให้<br />
อรรถาธิบายคำว่านักกีฬาว่า จะเล่นเกมอะไรก็<br />
ต้องเล่นให้ถูกต้องตามกฎข้อบังคับของเกมนั้น<br />
ไม่ใช้วิธีโกงเล็กโกงน้อย ถ้าเกมนั้นเล่นกันหลาย<br />
คนก็ต้องเล่นเพื่อชัยชนะของฝ่ายตน ไม่ใช่เล่น<br />
เพื่อแสดงความเก่งของคนคนเดียว ข้อสำคัญ<br />
คือนักกีฬาแท้ต้องรู้แพ้รู้ชนะ ทรงเห็นว่า หลัก<br />
การของความเป็นนักกีฬาแท้นี้เป็นประโยชน์<br />
ทางด้านการเมืองด้วย โดยเฉพาะเมื่อประเทศ<br />
ของเราจะปกครองในระบอบรัฐสภา<br />
มีพระราชดำรัสว่า “การปกครองแบเดโม<br />
คราซีนั้น ผู้ที่ชนะแล้วได้เข้ามาปกครองบ้าน<br />
เมือง ก็ควรจะต้องนึกถึงน้ำใจของฝ่ายน้อย<br />
ที่แพ้เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าเราชนะแล้วก็หาวิธี<br />
กดขี่ข่มเหงผู้ที่เป็นฝ่ายแพ้ต่าง ๆ นานาหาได้<br />
ไม่ ย่อมต้องมุ่งปกครองเพื่อประโยชน์ของคณะ<br />
ต่าง ๆ ทั้งหมด ส่วนผู้ที่แพ้ก็เหมือนกัน เมื่อแพ้<br />
แล้วถ้าตั้งกองวิวาทเรื่อย บอกว่าถึงแม้คะแนน<br />
โหวตแพ้ กำหมัดยังไม่แพ้เช่นนั้นแล้ว ความ<br />
เรียบร้อยจะมีไม่ได้ คงได้เกิดตีกันหัวแตกเต็ม<br />
ไป ฝ่ายผู้แพ้ควรต้องนึกว่าคราวนี้เราแพ้แล้ว<br />
ต้องไม่ขัดขวางหรือขัดคอพวกที่ชนะอย่างใด<br />
เลย ต้องปล่อยให้เขาดำเนินการตามความเห็น<br />
ของเขาต่อไป ภายหน้าเราอาจเป็นฝ่ายที่ชนะ<br />
ได้เหมือนกัน”<br />
จึงเห็นได้ว่า ประเทศไทยกำลังจะมี<br />
รัฐธรรมนูญฉบับที่ ๒๐ ภายใต้การร่างของ<br />
คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ซึ่งมี ศ.ดร.<br />
บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เป็นประธาน คงไม่อาจ<br />
นำพาประชาธิปไตยกลับมาสู่ประเทศไทยตาม<br />
ความวาดหวังได้ หากตราบใดหัวใจของคนเล่น<br />
กติกายังขาดความมีน้ำใจนักกีฬาเป็นสำคัญ<br />
แล้วประชาธิปไตยแบบไทยไทยที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ<br />
ตลอดเวลา ๘๒ ปี ก็คงเสียของเหมือนเดิมอย่าง<br />
แน่นอน<br />
49
อาณาจักรตองอูกับการก้าว<br />
ขึ้นสู่จุดสูงสุดของอำนาจ<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์<br />
อาณาจักรพม่าแห่งพุกามเป็นอาณาจักร<br />
พม่ายุคแรกก้าวขึ้นสู่อำนาจสูงสุดเหนือแม่น้ำอิ<br />
ระวดี มีอาณาจักรที่กว้างใหญ่ในสมัยของพระ<br />
เจ้าอโนรธามังช่อ (Anawrahta Minsaw) ทรง<br />
ครองราชสมบัติระหว่างปี พ.ศ.๑๕๘๗ - ๑๖๒๐<br />
ครองราชสมบัตินาน ๓๓ ปี ต่อมาอาณาจักรก็<br />
เริ่มอ่อนแอลง ในที่สุดก็ถูกกองทัพมองโกลจาก<br />
ทางตอนเหนือโจมตีในปี พ.ศ.๑๘๒๗ กองทัพ<br />
พม่าไม่สามารถจะต้านทานกองทัพมองโกลที่<br />
ยิ่งใหญ่ได้ ต่อมาก็พ่ายแพ้ในการรบ และใน<br />
ที่สุดอาณาจักรได้ล่มสลายในปี พ.ศ.๑๘๓๐<br />
อาณาจักรพม่าในยุคที่หนึ่งมีอายุยืนนานถึง<br />
๒๔๓ ปี...........บทความนี้ กล่าวถึงอาณาจักร<br />
พม่าแห่งกรุงหงสาวดีในยุคที่สองได้ก้าวขึ้น<br />
สู่จุดสูงสุดของอำนาจของพระเจ้าบุเรงนอง<br />
(Bayinnaung)<br />
พระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ (Shwemawdaw Paya) มีอายุกว่า ๒,๐๐๐ ปี สร้างขึ้น<br />
ในยุคที่มอญเรืองอำนาจได้รับการปฏิสังขรณ์หลายครั้ง พระเจ้าบุเรงนองได้สร้างฉัตร<br />
ถวายเพิ่มเติมอีกหลายครั้ง (ชาวสยามรู้จักในชื่อเจดีย์ชเวมอดอว่าพระธาตุมุเตา)<br />
การรบที่สำคัญที่รู้จักในชื่อการรบ<br />
นองโย (Battle of Naungyo) ปี พ.ศ.<br />
๒๐๘๑ พื้นที่การรบอยู่ที่บริเวณที่ราบลุ่ม<br />
ปากแม่น้ำอิระวดีก่อนจะถึงเมืองแปร<br />
๑. สถานการณ์ทั่วไป<br />
ราชวงศ์ตองอู (Toungoo Dynasty) แห่ง<br />
กรุงหงสาวดีเป็นอาณาจักรพม่าในยุคที่สอง<br />
จึงเริ่มต้นการขยายดินแดนไปยังอาณาจักร<br />
ของเพื่อนบ้านที่อ่อนแอกว่าทีละอาณาจักร<br />
จนอาณาจักรเริ่มมีอาณาเขตกว้างใหญ่ขึ้น<br />
50<br />
อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนในอดีตที่ผ่านมา จาก<br />
อาณาจักรต่าง ๆ มีที่ตั้งตามแนวของลุ่มแม่น้ำ<br />
อิระวดี ลุ่มแม่น้ำเจ้าพระยา และลุ่มแม่น้ำโขง<br />
ประกอบด้วยเมืองที่สำคัญคือพุกาม ไทใหญ่<br />
ล้านนา อยุธยา ล้านช้าง และมณีปุระ จึงเป็น<br />
มหาอำนาจทางทหารแห่งอุษาคเนย์<br />
๒. ราชวงศ์ตองอูก้าวขึ้นสู่<br />
จุดสูงสุดของอำนาจ<br />
๒.๑ อาณาจักรตองอู<br />
ราชวงศ์ตองอูก่อตั้งขึ้นโดยพระเจ้าเมงจีโย<br />
(Mingyinyo) เมืองตองอู พระองค์ทรงครอง<br />
ราชย์ระหว่างปี พ.ศ.๒๐๕๓ - ๒๐๗๓ เป็นเวลา<br />
นาน ๒๐ ปี พระราชโอรสคือพระเจ้าตะเบ็ง<br />
ชะเวตี้ (Tabishwehti) ทรงดำรงความมุ่งหมาย<br />
จะรวมอาณาจักรพม่าให้เป็นหนึ่งเดียว แม่ทัพ<br />
ใหญ่คู่พระทัยคือแม่ทัพบุเรงนองที่ได้สร้างชื่อ<br />
จากศึกนองโย (Nauagyo Battle) ปัจจุบัน<br />
อยู่บริเวณที่ราบลุ่มปากแม่น้ำอิระวดีก่อนจะ<br />
อาณาจักรหงสาวดีแห่งราชวงศ์ตองอู<br />
มีอาณาเขตที่กว้างขวางครอบครองเมือง<br />
ที่สำคัญตามแนวแม่น้ำอิระวดี, แม่น้ำ<br />
เจ้าพระยา และแม่น้ำโขง มีอาณาเขตที่<br />
กว้างใหญ่ จึงเป็นมหาอำนาจทางทหาร<br />
แห่งอุษาคเนย์ (ลูกศรชี้คือเมืองตองอู<br />
จุดเริ่มต้นของราชวงศ์ตองอู)<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
พระราชวังของพระเจ้าบุเรงนองที่รัฐบาลพม่าสร้างจำลองขึ้นใหม่เมื่อปี พ.ศ.๒๕๓๓<br />
ที่แสดงถึงความยิ่งใหญ่ของอาณาจักรพม่าในยุคที่สอง อยู่ที่เมืองหงสาวดี<br />
ถึงเมืองแปร แต่ความมุ่งหมายของพระองค์<br />
ไม่สำเร็จโดยพระองค์ทรงสวรรคตเสียก่อน<br />
พระเจ้าบุเรงนองทรงขึ้นครองราชย์ปี พ.ศ.๒๐๙๔<br />
โดยการปราบดาภิเษก เป็นกษัตริย์ลำดับที่<br />
สามแห่งราชวงศ์ตองอู มีชื่อว่าบะยิ ่นเหน่าว<br />
มีความหมายว่าพระเชษฐาธิราช มีพระนาม<br />
เต็มว่าบะยิ่นเหน่าวจ่อถิ่นหน่อยะถ่า ชาวสยาม<br />
จะเรียกว่าบุเรงนองกะยอดินนรธา โดยมีความ<br />
หมายว่าพระเชษฐาธิราชผู้ทรงกฤษดาภินิหาร<br />
แต่ชาวยุโรปจะรู้จักพระองค์ในนามชื่อ บราจิ<br />
โนโค (Braginoco) พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์<br />
ในวันที่ ๑๐ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๑๒๔ ขณะ<br />
พระองค์ทรงยกกองทัพพม่าแห่งหงสาวดีไปตี<br />
เมืองทางด้านตะวันตกคือเมืองยะไข่ (อาระกัน)<br />
๒.๒ พระราชวังกัมโพชธานี (Kamboza<br />
Thadi Palace)<br />
พระเจ้าบุเรงนองทรงสร้างพระราชวัง<br />
กัมโพชธานีขึ้นในปี พ.ศ.๒๑๐๙ ตั้งอยู่ทางตอน<br />
ใต้ของพระมหาธาตุเจดีย์ชเวมอดอ (พระธาตุ<br />
มุเตา) หลังจากทรงขึ้นครองราชย์สมบัติมานาน<br />
๑๕ ปี เป็นห้วงที่พระองค์ก้าวขึ้นสู่จุดสูงสุด<br />
ของอำนาจ โดยใช้แรงงานมาจากประเทศราช<br />
ต่าง ๆ ที่ขึ้นกับอาณาจักรตองอูแห่งหงสาวดี<br />
พระองค์ทรงใช้ชื่อประตูเมืองตามชื่อของ<br />
แรงงานของเมืองที่สร้างขึ้น เป็นพระราชวัง<br />
ที่มีขนาดใหญ่โตสมพระเกียรติ หลังจากที่<br />
พระเจ้าบุเรงนองสวรรคตลงในปี พ.ศ.๒๑๒๔<br />
ขณะที่พระองค์มีพระชนมายุได้ ๖๕ พรรษา<br />
(ครองราชย์ พ.ศ.๒๐๙๔ - ๒๑๒๔ ขณะที่ทรง<br />
มีพระชนมายุได้ ๓๕ พรรษา) อาณาจักรตองอู<br />
แห่งหงสาวดีก็เริ่มอ่อนแอลงเพราะขาดความ<br />
เข้มแข็ง ประกอบกับเมืองขึ้นหลายเมืองไม่<br />
ยอมรับอำนาจจากศูนย์กลางคือกรุงหงสาวดี<br />
การรบใหญ่จึงเกิดขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
ต่อมาถูกกองทัพเมืองยะไข่เข้าโจมตีกรุง<br />
หงสาวดีและพระราชวังกัมโพชธานีก็ถูกเผา<br />
ทำลายในปี พ.ศ.๒๑๔๒<br />
พ.ศ.๒๕๓๓ รัฐบาลประเทศพม่าได้สร้าง<br />
พระราชวังกัมโพชธานีจำลองขึ้นใหม่ โดย<br />
พระราชวังของเดิมคงเหลือเพียงตอไม้ที่อยู่<br />
บริเวณแนวพื้นดิน บริเวณพระราชวังเดิมมี<br />
การขุดพบโบราณวัตถุมากมายและซากไม้ที่<br />
ใช้สร้างพระราชวังในอดีต ไม้แต่ละท่อนมีตัว<br />
อักษรจารึกอยู่ว่าเป็นไม้ที่มาจากเมืองใด และ<br />
ส่วนที่สองคือบัลลังก์หรือเป็นพระราชฐาน<br />
ชั้นใน<br />
๒.๓ ราชวงศ์ตองอู<br />
พระเจ้าบุเรงนอง ทรงมีพระราชโอรส<br />
และพระราชธิดารวม ๖๘ พระองค์ ประกอบ<br />
ด้วยพระราชโอรส ๓๓ พระองค์ และพระราช<br />
ธิดา ๓๕ พระองค์ พระมเหสีประกอบด้วย<br />
พระอัครมเหสีตำหนักใต้ (พระนามเดิมตะขิ่นจี<br />
พระพี่นางในพระเจ้าตะเบ็งชะเวตี้), พระ<br />
อัครมเหสีตำหนักเหนือ (พระนามเดิมสิริโพง<br />
ทุต พระธิดาพระเจ้ากรุงอังวะ), พระอัครมเหสี<br />
ตำหนักกลาง (พระนามเดิมฉิ่นเทวละหรือเซง<br />
ทะเว พระธิดาพระเจ้ากรุงพะโค) และพระ<br />
มเหสีเล็ก (พระสุพรรณกัลยา พระธิดาพระ<br />
มหาธรรมราชา กรุงศรีอยุธยา ที่ชาวพม่าเรียก<br />
ว่าอะเมี้ยวโยง) พร้อมทั้งทรงมีพระสนมรวม<br />
๓๐ พระองค์ พระราชโอรสและพระราชธิดา<br />
ที่สำคัญคือ<br />
เจ้าชายงาสู่ด่ายะก่ามิน (เจ้าวังหน้า) หรือ<br />
เจ้าชายนันทบุเรง พระราชโอรสองค์โต ของ<br />
พระนางตะขิ่นจี ต่อมาได้ขึ้นครองราชสมบัติ<br />
สืบต่อจากพระราชบิดาคือพระเจ้าบุเรงนอง<br />
มีพระนามว่าพระเจ้านันทบุเรง (โนนเตี๊ยะ<br />
บาเยง)<br />
พระอนุสาวรีย์พระเจ้าบุเรงนองแห่ง<br />
อาณาจักรพม่ากรุงหงสาวดี เป็น<br />
มหาราช (หนึ่งในสามของอาณาจักร<br />
พม่า) ที่มีอยู่หลายแห่งในประเทศ<br />
เมียนมาร์<br />
พระนางเมงกอสอ พระราชธิดาพระองค์<br />
ใหญ่ของพระนางตะเกงจี ต่อมาทรงอภิเษก<br />
กับพระเจ้าตองอู เป็นพระราชมารดาของนัด<br />
จินหน่อง (Natshinnaung) หรือพระสังขทัต<br />
(ชาวสยามจะรู้จักในชื่อนี้) มีความรอบรู้ทาง<br />
ด้านบทกวีและพระไตรปิฎก<br />
เจ้าชายมังนรธาสอ พระโอรสของพระมเหสี<br />
ราชเทวี พระตำหนักกลาง ต่อมาพระเจ้า<br />
บุเรงนองส่งมาปกครองอาณาจักรล้านนา<br />
ปี พ.ศ.๒๑๒๑ รู้จักในชื่ออโนรธาเมงสอ<br />
และเป็นแม่ทัพที่ยกกองทัพพม่าแห่งล้านนา<br />
ลงมาตีอยุธยา พ.ศ.๒๑๒๘ หลังจากที่อยุธยา<br />
ได้ประกาศอิสรภาพที่เมืองแครง พ.ศ.๒๑๒๗<br />
๓. บทสรุป<br />
อาณาจักรพม่าแห่งตองอูเริ่มต้นการขยาย<br />
อำนาจจากอาณาจักรขนาดเล็กสู่อาณาจักร<br />
ใกล้เคียง เนื่องจากมีอาวุธใหม่คือปืนคาบศิลา<br />
และปืนใหญ่จากโปรตุเกส พระเจ้าบุเรงนอง<br />
กษัตริย์นักรบที่มีความเชี่ยวชาญในกลศึก<br />
และทำการรบเข้มแข็ง พร้อมทั้งทรงเป็นนัก<br />
ปกครองและนักบริหาร ทรงนำกองทัพพม่า<br />
ในการเข้าตีเมืองต่าง ๆ ที่ไม่ยอมสวามิภักดิ์<br />
อาณาจักรพม่าแห่งกรุงหงสาวดีจึงเป็นจุดเริ่ม<br />
ต้นของอาณาจักรพม่าในยุคที่สองเริ่มต้นสู่<br />
ความยิ่งใหญ่<br />
51
;-) Winking smile<br />
พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ<br />
ด้<br />
วยอิทธิพลของเทคโนโลยีการ<br />
สื่อสารของระบบเครือข่าย<br />
(Social network) เช่น SMS,<br />
Twitter Facebook หรือ Line จนกลาย<br />
เป็นภาพชินตาในสังคมไทยไปแล้ว เราคุยกัน<br />
น้อยลง และนั่งตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์ส่งข้อความ<br />
กันทั้งวัน หลายคนเสียมารยาทมากในการส่ง<br />
ข้อความในที่ประชุม แถมยังมีเสียงดัง ปริ้ง<br />
ปริ ้ง ตลอดเวลาโดยผู้ใช้โทรศัพท์ไม่คำนึงถึง<br />
มารยาททางสังคมเอาเสียเลย ที่ต้องเขียนใน<br />
นี้เพราะทนไม่ไหวจริง ๆ เพราะเห็นหลาย ๆ<br />
คนทั้งที่แต่งเครื่องแบบทหาร นั ่งประชุม ก็ยัง<br />
Chat ไม่หยุด บางคนอ้างว่ามีงานด่วนที่จะต้อง<br />
ติดตาม ทุกคนก็นั่งก้มหน้าไม่ฟังการบรรยาย<br />
หรือการประชุม อาจารย์วันดีก็ยอมรับว่าเป็น<br />
คนหนึ่งที่ติด Chat เช่นกัน แต่พยายามที่จะ<br />
ไม่นำโทรศัพท์เข้าไปห้องประชุมเพื่อทำให้เรา<br />
ไม่มีสมาธิ เคยมีเหตุการณ์ที่ดูแล้วน่าอายมาก<br />
เมื่อนำนักเรียนทหารไปเข้าฟังการบรรยายที่<br />
เมืองพัทยา ในขณะที่มีการบรรยายต้อนรับ<br />
คณะอยู่นั้น นายทหารนักเรียนจำนวนมาก<br />
ก้มหน้าเล่น Line กัน จนเราในฐานะเป็นผู้นำ<br />
คณะรู้สึกอาย แต่จะห้ามตอนนั้นก็ห้ามไม่ได้<br />
เลยต้องใช้วิธีเขียนไปใน Line กลุ่มว่า “ทุกคน<br />
คะ เลิกเล่น Line ค่ะ” หลังจากนั้นปฏิกิริยา<br />
ที่เห็นก็คือ ทุกคนเก็บโทรศัพท์มือถือทันที<br />
ดังนั้นจะพูดว่าระบบการสื่อสารเครือข่าย<br />
นั้นไม่มีประโยชน์ก็ไม่ได้ ขึ้นอยู่กับว่าเราใช้<br />
เทคโนโลยีให้ถูกกาลเทศะแค่ไหน ฉบับนี้<br />
ขอเอาใจผู้สูงอายุทั้งหลายที่มีไฟในการส่ง<br />
ข้อความ SMS ที่จะได้เข้าใจภาษา SMS พร้อม<br />
กันกับผู้เขียนนะคะ หรือจะส่ง line มาคุยกัน<br />
ก็ได้ค่ะ เช่น ภาษาอารมณ์ ต่อไปนี ้<br />
$-( I spent too much money<br />
ใช้เงินเยอะเกินไป<br />
%-( Confuse and sad<br />
งงและเสียใจ<br />
%-} Intoxicated<br />
มึนเมา<br />
:-) Smile<br />
ยิ้ม<br />
'-) Winking<br />
ขยิบตา<br />
*:-) Clown<br />
ตัวตลก<br />
;-) Winking smile<br />
ยิ้มขยิบตา<br />
:-( Sad face<br />
หน้าเศร้า<br />
:'-(<br />
Crying<br />
ร้องไห้<br />
:-(o) Shouting<br />
ตะโกน<br />
:) Small smile<br />
ยิ้มน้อย ๆ<br />
:'-) Tear of joy<br />
น้ำตาแห่งความสุข<br />
:- ) Big smile<br />
ยิ้มเต็มที่<br />
:- )) Really happy<br />
มีความสุขจริง ๆ<br />
8-) Drunk laughter<br />
ขำ<br />
:@<br />
:-@<br />
Pig<br />
หมู<br />
Screaming<br />
กรี๊ดร้อง<br />
:-/ Skeptical<br />
สงสัย<br />
:{) I've got a moustache<br />
ไว้หนวด<br />
:-~) Having a cold<br />
เป็นหวัด<br />
$-) A surprise smile<br />
ยิ้มแปลก ๆ<br />
:-7 Cynical laugh<br />
หัวเราะแบบเยาะเย้ย<br />
:-c<br />
:-d<br />
Unhappy<br />
ไม่มีความสุข<br />
Delighted smile<br />
ยิ้มแบบดีใจ<br />
:p Stick tongue out<br />
แลบลิ้นออกมา<br />
:-D Laughing<br />
หัวเราะ<br />
:-o Kiss from me<br />
ส่งจูบ<br />
:-o zz Bored<br />
เบื่อ<br />
:-v Talking<br />
กำลังคุย<br />
:-X Kiss<br />
จูบ<br />
@ At<br />
อยู่ที่<br />
@->;- A rose<br />
ดอกกุหลาบ<br />
[ ] Hug<br />
กอด<br />
=:) Bunny<br />
กระต่าย<br />
52<br />
พันเอกหญิง วันดี โตสุวรรณ
:-( Very angry<br />
โกรธมาก<br />
_
สาระน่ารู้ทางการแพทย์<br />
โรคอ้วน (Obesity)<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
โ<br />
รคอ้วนจัดเป็นปัญหาหลักทาง<br />
สาธารณสุขที่พบมากขึ้นโดยเฉพาะ<br />
ในกำลังพลสำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม พบว่ากำลังพลที่มีอาหารการกิน<br />
อุดมสมบูรณ์มีปัญหาเกี่ยวกับโรคอ้วน อีกทั้ง<br />
ยังมีปัญหาการเจ็บป่วยต่าง ๆ มากมายสืบ<br />
เนื่องมาจากโรคอ้วน มีคนจำนวนมากที่เข้าใจ<br />
ผิดว่าการมีไขมันส่วนเกินเพียงเล็กน้อยที่หน้า<br />
ท้อง ต้นแขน ต้นขา ก็ถือว่า "อ้วน" ซึ่งถือว่า<br />
เป็นความเข้าใจผิดอย่างยิ ่งเนื่องจากคำว่า<br />
"อ้วน" ในความหมายของคนทั่วไป กับความ<br />
หมายทางวิชาการมีความแตกต่างกันและควร<br />
ที่จะมีความเข้าใจที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่เกิด<br />
ปัญหาว่ามีความคิดวิตกกังวลว่าตนเอง "อ้วน"<br />
ทั้งที่จริง ๆ แล้วน้ำหนักยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ<br />
ในทางวิชาการมีเกณฑ์ที่ใช้ในการวินิจฉัยว่า<br />
เป็นโรคอ้วนหรือไม่ ขององค์การอนามัยโลก<br />
โดยใช้ดัชนีมวลกายหรือ Body Mass Index<br />
(BMI) ค่าที่ได้ดังกล่าวได้มาจากการคำนวณ<br />
ค่าน้ำหนักตัวปกติซึ่งควรอยู่ในช่วง ๑๘.๕<br />
– ๒๔.๙ และจะถือว่าเป็นโรคอ้วนเมื่อมีค่า<br />
BMI มากกว่า ๓๐ ขึ้นไป ในบทความนี้จะมีวิธี<br />
คำนวณค่า BMI เพื่อให้ผู้ที่สนใจลองคำนวณ<br />
หาค่า BMI ของตนเอง และจะได้ประเมินว่า<br />
ร่างกายของท่านอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมหรือ<br />
ไม่ ร่วมกับการพิจารณาประกอบว่าควรจะลด<br />
น้ำหนักลงมากน้อยเพียงใดและเมื่อท่าน "อ้วน"<br />
มีปัจจัยเสี่ยงของโรคใดบ้าง และท่านควร<br />
ปฏิบัติตนอย่างไรในการลดน ้ำหนัก เพื่อช่วย<br />
ให้ท่านสามารถลดน้ำหนักได้ และมีสุขภาพ<br />
ทั้งร่างกายและจิตใจสมบูรณ์ดีสามารถปฏิบัติ<br />
กิจกรรมต่าง ๆ ในชีวิตประจำวันได้ และมี<br />
น้ำหนักเหมาะสมกับส่วนสูงและอายุของ<br />
ตนเองหรือไม่<br />
ดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index<br />
(BMI) คือค่าที่ได้จากการนำน้ำหนักตัวและ<br />
ส่วนสูงมาคำนวณ เพื่อประเมินหาส่วนไขมัน<br />
ในร่างกาย ซึ่งค่าดังกล่าวนิยมใช้ในการคำนวณ<br />
อย่างแพร่หลาย เนื่องจากคำนวณง่าย และ<br />
สามารถใช้ได้กับทุกเพศ ทุกวัยและทุกเชื้อชาติ<br />
ดัชนีมวลกาย (BMI)<br />
= น้ำหนักตัว (หน่วยกิโลกรัม)<br />
ความสูง ๒ (หน่วยเมตร ๒)<br />
54<br />
เมื่อคำนวณแล้วท่านมีค่า BMI มากกว่า<br />
๒๕ ถือว่ามีน้ำหนักตัวมากเกิน (overweight)<br />
และถ้ามีค่า BMI มากกว่า ๓๐ ถือว่า<br />
"อ้วน" (obesity) นอกจากนี้มีการจำแนก<br />
ประเภทดัชนีมวลกาย (BMI) ตามเกณฑ์ของ<br />
International Obesity Task Force (IOTF)<br />
ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความเสี่ยงต่อการเกิดการ<br />
เจ็บป่วยเมื่อมีค่า BMI ในระดับต่าง ๆ ดังตาราง<br />
จากตารางข้างต้นจะพบว่าผู้มีน้ำหนักตัว<br />
เกิน (ค่า BMI มากกว่า ๒๕) และผู้ที่เป็นโรค<br />
อ้วน (ค่า BMI มากกว่า ๓๐) จะมีความเสี่ยงต่อ<br />
การเกิดการเจ็บป่วยอย่างมาก หรือกล่าวอีกนัย<br />
หนึ่งได้ว่าการที่มีน้ำหนักตัวเกินหรือความอ้วน<br />
นั้นสัมพันธ์กับการเกิดโรคหลายชนิด และมีผล<br />
ต่อระบบการทำงานในร่างกายหลายระบบด้วย<br />
กัน ได้แก่<br />
ประเภท ดัชนีมวลกาย (BMI) ความเสี ่ยงต่อการเกิดการเจ็บป่วย (BMI)<br />
น้ำหนักตัวต่ำกว่าเกณฑ์ น้อยกว่า ๑๘.๕ ต่ำ (เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ)<br />
น้ำหนักตัวปกติ ๑๘.๕ – ๒๔.๙ ปกติ<br />
น้ำหนักตัวเกิน ๒๕ – ๒๙.๙ เพิ่มกว่าปกติ<br />
โรคอ้วนขั้นที่ ๑ ๓๐ – ๓๔.๙ เพิ่มขึ้นอย่างมาก<br />
โรคอ้วนขั้นที่ ๒ ๓๕ – ๓๙.๙ ต่ำ (เสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนอื่น ๆ)<br />
โรคอ้วนขั้นที่ ๓ ๔๐ ขึ้นไป เพิ่มขึ้นถึงขั้นรุนแรง<br />
สำนักงานแพทย์ สำนักงานสนับสนุน สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
ปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ ซึ่งได้แก่ โรคหลอด<br />
เลือดและหัวใจ เช่น ความดันโลหิตสูง ไขมันใน<br />
เลือดสูง โรคหลอดเลือดโคโรนารี<br />
โรคเกี่ยวกับถุงน้ำดี (gallbladder<br />
disease)<br />
โรคเกี่ยวกับตับ เช่น ตับแข็ง (cirrhosis)<br />
มะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ ปากมดลูก<br />
เยื่อบุมดลูก ต่อมลูกหมาก มดลูกรังไข่ เต้านม<br />
ถุงน้ำดีตับอ่อน<br />
โรคทางเดินหายใจและปอดหายใจ<br />
ลำบากขณะนอนหลับนอนกรน (snoring)<br />
เพราะทางเดินหายใจเริ่มตีบตัน ร่างกายจะ<br />
ขาดออกซิเจน ทำให้ร่างกายพักผ่อนไม่เต็มที่<br />
ส่งผลให้ง่วงนอนในเวลากลางวัน บางคน<br />
อาจเป็นมากขนาดหลับในขณะขับรถจนเกิด<br />
อุบัติเหตุได้<br />
โรคเกี่ยวกับไต เช่น นิ่ว ไตวายจากความ<br />
ดันโลหิตสูง<br />
โรคกระดูกและข้อต่อ โรคข้อต่อเสื่อม<br />
(Os-teoarthritis in joints) โดยเฉพาะบริเวณ<br />
สะโพกหัวเข่าข้อศอก<br />
โรคเก๊าท์ (gout)<br />
โรคเบาหวาน (diabetes mellitus)<br />
เส้นเลือดในสมองแตกหรืออุดตัน<br />
(stroke)<br />
ซึมเศร้า (depression)<br />
เส้นเลือดขอด (varicose vein)<br />
เหงื ่อออกมาก (sweating)<br />
การเป็นหมัน (infertility)<br />
จากการเสี่ยงต่อสุขภาพของโรคอ้วนที่กล่าว<br />
ถึงข้างต้นอันมีมากมายหลายประการ จึงมี<br />
การศึกษาถึงอันตรายของโรคอ้วนถึงขนาดว่า<br />
คนอ้วนมีอัตราการเสียชีวิตแตกต่างจากคน<br />
รูปร่างปกติหรือไม่ ซึ่งจากการศึกษาก็พบว่า<br />
อัตราการเสียชีวิตของคนที่อ้วนมากมีสูงขึ้นถึง<br />
๒ – ๑๒ เท่า ขึ้นกับอายุของแต่ละบุคคลแต่ถ้า<br />
กลุ่มประชากรที่อ้วนหรือน้ำหนักเกินสามารถ<br />
ลดน้ำหนักได้เพียง ๕ – ๑๐% ของน้ำหนักตัว<br />
เริ่มต้นก็จะสามารถลดอัตราการพิการ และ<br />
อัตราการตาย (morbidity and mortality<br />
rate) ได้ระดับหนึ่งทุกสิ่งทุกอย่างย่อมต้องมี<br />
ความพอดี การมากหรือน้อยเกินไปอาจเกิด<br />
ผลเสียได้มากกว่าผลดี "น้ำหนัก" ก็เช่นกัน ถ้า<br />
มากเกินไป "อ้วน" ก็เสี่ยงต่อการเกิดโรคต่าง ๆ<br />
มากมาย แต่ถ้าสามารถลดความอ้วนลงมาให้<br />
ใกล้พอดีได้ก็จะเกิดการลดอัตราการเสี่ยงที่จะ<br />
เกิดขึ้นได้ แล้วคนที่มี "น้ำหนักเกิน" หรือ "อ้วน"<br />
สามารถรู้สาเหตุว่าเพราะอะไรจึงเกิดความ<br />
อ้วนมากเกินไปได้ โดยทั่วไปสาเหตุของ "อ้วน"<br />
มีหลายสาเหตุ บางคนอาจเกิดจากสาเหตุเดียว<br />
อ้วนหรือหลายสาเหตุประกอบกันก็ได้<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
สาเหตุของโรคอ้วน<br />
๑. พันธุกรรม ถ้าพ่อแม่เป็นโรคอ้วน ลูกที่<br />
เกิดมาก็มีโอกาสเป็นโรคอ้วนสูง<br />
๒. รับประทานอาหารมากเกินไป แล้วไม่มี<br />
เวลาออกกำลังกาย กล่าวคือ พลังงานที่ได้รับ<br />
จากการรับประทานมากกว่าพลังงานที่ใช้ไปใน<br />
การออกกำลังกาย เช่น ชอบรับประทานอาหาร<br />
ที่มีไขมันและแคลอรี่สูง เช่น หนังไก่ทอด มัน<br />
หมู หมูสามชั ้น ขาหมู ครีม เค้ก ฯลฯ แล้วไม่<br />
ยอมหาเวลาว่างออกกำลังกายเพื่อให้มีการใช้<br />
พลังงานที่ได้รับเข้ามา<br />
๓. พฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวันที่ไม่<br />
เหมาะสมทำให้มีการใช้พลังงานต่ำ และทำให้<br />
เสียโอกาสในการทำกิจกรรมหรือออกกำลัง<br />
กายที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เช่น การจราจร<br />
ติดขัดในกรุงเทพ ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องนั่ง<br />
เฉยบนรถยนต์หลายชั่วโมงต่อวัน ลักษณะงาน<br />
ที่ต้องนั่งทำงานตลอดเวลา พฤติกรรมชอบรับ<br />
ประทานอาหารจุกจิก เป็นต้น<br />
๔. โรคบางชนิด เช่น Cushings Syndrome<br />
ซึ่งจะทำให้ร่างกายของผู้ที่ป่วยเป็นโรคนี้อ้วน<br />
โดยสาเหตุของโรคนี้เกิดจากความผิดปกติ<br />
ของฮอร์โมนในร่างกาย จนทำให้อ้วนบริเวณ<br />
ใบหน้า ลำตัว ต้นคอด้านหลัง แต่แขนขาจะ<br />
เล็ก และไม่มีแรง ในกรณีนี้จะต้องรักษาที่<br />
ต้นเหตุคือ ฮอร์โมนที่มีความผิดปกติจึงจะ<br />
สามารถหายอ้วนได้ สำหรับการรักษาโรคอ้วน<br />
นี้ วิธีการรักษาที่ดีควรต้องมีการผสมผสานการ<br />
รักษาหลายวิธีร่วมกันคือ การควบคุมอาหาร<br />
การออกกำลังกายเพิ่มขึ้น การเปลี่ยนแปลง<br />
พฤติกรรมที่ไม่เหมาะสม ส่วนการรักษาโดย<br />
ใช้ยานั้นต้องใช้ในกรณีจำเป็นต่อการรักษาโรค<br />
อ้วนจริง ๆ และมักต้องอาศัยการรักษาด้วยยา<br />
ร่วมกับวิธีอื่น ๆ หรือถึงแม้ไม่ได้รับการรักษา<br />
ด้วยยาถ้าต้องการลดน้ำหนักก็ต้องอาศัยทั้ง<br />
๓ วิธีข้างต้นร่วมกันในการรักษาและควบคุม<br />
น้ำหนัก การควบคุมอาหาร (diet) ในการลด<br />
น้ำหนักคนอ้วน คือ ให้พลังงานจากอาหาร<br />
น้อยกว่าพลังงานที่ร่างกายต้องใช้ ร่างกายจึง<br />
สลายพลังงานที่เก็บสะสมในร่างกายออกมา<br />
ใช้แทน น้ำหนักก็จะลดลง การควบคุมอาหาร<br />
เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนัก<br />
ได้หรือไม่ขึ้นอยู่กับความแน่วแน่ของตัวท่าน<br />
เองเพราะถ้าท่านยังไม่สามารถตัดใจในเรื่อง<br />
อาหารได้ ความสำเร็จในการลดน ้ำหนักก็จะ<br />
ลดลงด้วย ลองตั้งใจเต็ม ๑๐๐% ในการควบคุม<br />
อาหาร แล้วท่านก็จะประสบความสำเร็จ แต่มี<br />
ข้อแนะนำว่าท่านไม่ควรงดอาหารชนิดใดชนิด<br />
หนึ่งอย่างเด็ดขาด หรือไม่ยอมรับประทาน<br />
อาหารในมื้อนั้น ๆ เพื่อจะลดน้ำหนักแต่ควร<br />
มีการควบคุมปริมาณอาหารที่ได้รับแต่ละมื้อ<br />
มากกว่า เพราะถ้างดอาหารชนิดใดชนิดหนึ่ง<br />
อย่างเด็ดขาดอาจทำให้ท่านขาดสารอาหาร<br />
ที่จำเป็นต่อร่างกายได้และถ้าท่านไม่ยอมรับ<br />
ประทานอาหารในมื้อใดมื้อหนึ่งอย่างเด็ด<br />
ขาด ก็อาจทำให้ท่านเป็นโรคกระเพาะอาหาร<br />
อักเสบได้เช่นกัน<br />
การออกกำลังกาย (exercise) เป็นวิธีที่<br />
สำคัญในการลดน้ำหนัก กล่าวคือเป็นส่วนของ<br />
การใช้พลังงานที่ถูกสะสมไว้ในรูปของไขมันซึ่ง<br />
ถ้าสัดส่วนของการใช้พลังงานมากกว่าสัดส่วน<br />
ของพลังงานที่ได้รับเข้าไปก็จะสามารถลด<br />
น้ำหนักได้ และวิธีการออกกำลังกายนี้สามารถ<br />
ลดน้ำหนักได้ในระยะยาว นอกจากมีผลดีใน<br />
การลดน้ำหนักแล้วยังมีข้อดีอีกหลายประการ<br />
ไม่ว่าจะผลดีต่อระบบหายใจทำให้การทำงาน<br />
ของหัวใจและปอดดีขึ้น แล้วยังลดปัญหาด้าน<br />
ภูมิแพ้ โดยจะเพิ่มความต้านทานแก่ร่างกาย<br />
ด้วย นอกจากนี้ยังส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดีทั้ง<br />
ทางด้านร่างกายและจิตใจ โดยทั่วไปมักใช้วิธี<br />
ออกกำลังกายนี้ควบคู่กับการควบคุมอาหาร<br />
การออกกำลังกายที่เหมาะสมควรใช้เวลา<br />
ประมาณ ๓๐ – ๖๐นาทีต่อครั้งสัปดาห์ละ<br />
๓ – ๕ ครั้ง แค่นี้เราก็จะไม่อ้วนกันอีกต่อไป<br />
แล้ว<br />
55
พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ เป็นประธานในพิธีมอบทุนและประมูลจัดหาทุนส่งเสริมการศึกษาการสร้างสรรค์<br />
ศิลปะ ประจำปี ๒๕๕๗ แก่นิสิตนักศึกษาที่มีประวัติการศึกษาดีและความประพฤติดี โดยมี พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี<br />
และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก พลเอก ศิริชัย<br />
ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ ห้องนภาลัย โรงแรมดุสิตธานี เมื่อ ๑๙ พ.ย.๕๗<br />
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายก<br />
รัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก<br />
พร้อมด้วย พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัด<br />
กระทรวงกลาโหมและผู้นำเหล่าทัพ ร่วม<br />
บันทึกเทปโทรทัศน์ถวายพระพรชัยมงคล<br />
เนื ่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ๘๗ พรรษา ๕<br />
ธันวาคม ๒๕๕๗ ในนามกระทรวงกลาโหม ณ<br />
สถานีโทรทัศน์กองทัพบก เมื่อ ๖ พ.ย.๕๗<br />
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการศึกษาหลักสูตรวิทยาลัย<br />
ป้องกันราชอาณาจักร รุ่นที่ ๕๗ ประจำปีการศึกษา ๒๕๕๗ - ๒๕๕๘ โดยมี พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและ<br />
ผู้บัญชาการทหารบก พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ ห้องบรรยายรวม วิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร ถ.วิภาวดีรังสิต<br />
เมื่อ ๒๐ พ.ย.๕๗<br />
56
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และคณะ ตรวจเยี่ยมหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม<br />
เมื่อ ๑๐ พ.ย.๕๗<br />
กองบัญชาการกองทัพไทย<br />
กองทัพอากาศ<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
57
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พร้อมด้วย พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม และคณะ ตรวจเยี่ยมหน่วยขึ้นตรงกระทรวงกลาโหม<br />
เมื่อ ๑๗ พ.ย.๕๗<br />
กองทัพบก<br />
กองทัพเรือ<br />
58
พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ พลเอก<br />
ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก อุดมเดช<br />
สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วย พลเอก ศิริชัย<br />
ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหมและผู้บังคับบัญชาชั้นสูงของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องในวันกองทัพเรือ ประจำปี ๒๕๕๗ ณ หอประชุมกองทัพเรือ<br />
เมื่อ ๒๐ พ.ย.๕๗<br />
พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก อุดมเดช สีตบุตร รัฐมนตรีช่วยว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหมและผู้บัญชาการทหารบก พร้อมด้วย พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมงานวันราชวัลลภ ประจำปี ๒๕๕๗<br />
ณ กองบังคับการกรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค์ฯ เขตพญาไท เมื่อ ๑๑ พ.ย.๕๗<br />
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวงกลาโหม วางพวงมาลาในนามกระทรวงกลาโหมเนื่องในวันที่ระลึกทหารอาสาสงครามโลกครั้งที่ ๑ ประจำปี<br />
๒๕๕๗ โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ อนุสาวรีย์ทหารอาสาฯ บริเวณท้องสนามหลวง เมื่อ ๑๑ พ.ย.๕๗<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
59
พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดโครงการ<br />
สร้างเสริมคุณภาพชีวิตกำลังพล<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมี<br />
นายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ ห้องพินิต<br />
ประชานาถ ภายในศาลาว่าการกลาโหม<br />
เมื่อ ๑๗ พ.ย.๕๗<br />
พลเอก บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์<br />
ประธานคณะกรรมาธิการบริหารราชการ<br />
แผ่นดิน สภานิติบัญญัติแห่งชาติ รับฟัง<br />
การบรรยายสรุปแนวนโยบายและ<br />
ยุทธศาสตร์ของกระทรวงกลาโหม<br />
โดยมี พลเอก ศิริชัย ดิษฐกุล ปลัดกระทรวง<br />
กลาโหมและนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของ<br />
สำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วม<br />
ให้การต้อนรับ ณ ห้องภาณุรังษี ภายใน<br />
ศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๒๔ พ.ย.๕๗<br />
60
พลเอก ไพชยนต์ ค้าทันเจริญ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ให้การต้อนรับ นายอาเมียร์ คายน์ (Amir kain) รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
และเจ้ากรมรักษาความปลอดภัยหน่วยงานด้านการป้องกันประเทศกลาโหมรัฐอิสราเอล ในโอกาสเข้าเยี่ยมคำนับและหารือข้อราชการ<br />
ณ ห้องกัลยาณไมตรี เมื่อ ๑๓ พ.ย.๕๗<br />
พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล ผู้อำนวยการสำนักนโยบาย<br />
และแผนกลาโหม ให้การต้อนรับ พ.อ.Desmond<br />
D. Walton เจ้าหน้าที่อาวุโสกลาโหมสหรัฐอเมริกา ใน<br />
โอกาสเข้าเยี่ยมคำนับและหารือข้อราชการ ณ ห้อง<br />
ขวัญเมือง ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๔ พ.ย.๕๗<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
61
พลเอก นพดล ฟักอังกูร เจ้ากรมเสมียนตรา เป็นประธานในพิธีรับมอบเงินบริจาคสมทบ "กองทุนกรมเสมียนตรา ๔๐/๕๗" โดยมีนายทหาร<br />
ชั้นผู้ใหญ่ของสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ ห้องสุรศักดิ์มนตรี ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๔ พ.ย.๕๗<br />
พลตรี ณภัทร สุขจิตต์ เลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีรับมอบทุนการศึกษาประจำปี ๒๕๕๗ จากวัดมหาธาตุ<br />
ยุวราชรังสฤษฎิ์ ให้กับบุตรกำลังพลในสังกัดสำนักงานเลขานุการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ณ พระอุโบสถวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์<br />
เขตพระนคร เมื่อ ๑๒ พ.ย.๕๗<br />
62
กิจกรรมสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
นางพรวิมล ดิษฐกุล นายกสมาคมภริยา<br />
ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม และ<br />
อุปนายกสมาคม ฯ ร่วมงานเลี้ยงรับรองเนื่องใน<br />
วันกองทัพเรือ ประจำปี ๒๕๕๗ ณ ห้องเจ้าพระยา<br />
หอประชุมกองทัพเรือ เมื่อ ๒๐ พ.ย.๕๗<br />
นางธัญรัศม์ อาจวงษ์ อุปนายกสมาคมฯ และคณะกรรมการสมาคมฯ ร่วมงานสร้างเสริมคุณภาพชีวิตกำลังพล สำนักงานปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม ณ ห้องพินิตประชานาถ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๗ พ.ย.๕๗<br />
หลักเมือง ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
63
คณะกรรมการสมาคมภริยาข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมงานปฏิบัติธรรมเฉลิมพระเกียรติ ถวายเป็นพระราชกุศลแด่<br />
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๗ ณ วัดพิชยญาติการาม วรวิหาร เขตคลองสาน<br />
เมื่อ ๒๔ พ.ย.๕๗<br />
นางพรวิมล ดิษฐกุล นายกสมาคมภริยา<br />
ข้าราชการสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เป็นประธานในการประชุมใหญ่สามัญ<br />
ประจำปี ๒๕๕๘ ณ ห้องประชุม ชั้น ๖<br />
อาคารสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
(ศรีสมาน) เมื่อ ๒๘ ต.ค.๕๗<br />
64
พลอากาศเอก ทรงธรรม โชคคณาพิทักษ์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็นประธานในพิธีเปิดการอบรมสัมมนาสถานีวิทยุกระจายเสียงสาธารณะ<br />
ด้านความมั่นคงเครือข่ายสำนักงานปลัดกระทรวงกลาโหม รุ่นที่ ๑ ประจำปีงบประมาณ ๒๕๕๘ ณ โรงแรมรอยัลริเวอร์ กรุงเทพฯ ระหว่าง<br />
วันที่ ๑๙ - ๒๑ พ.ย.๕๗<br />
บทอาเศียรวาท<br />
วันเฉลิมพระชนมพรรษาพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
๕ ธันวาคม ๒๕๕๗<br />
ธ ทรงเป็น เช่นตะวัน ขวัญแห่งชาติ รอยพระบาท จาริกไกล เพื่อไทยสุข<br />
ธ ทรงงาน เพื่อชนชาติ บำราศทุกข์ ปีติปลุก ทั่วถิ่น แผ่นดินไทย<br />
พระดำริ ผลิสาน งานบังเกิด แสนล้ำเลิศ ทั่วพิภพ สบสมัย<br />
พระดำรัส รัฐราษฎร์รอด และปลอดภัย น้ำพระทัย ล้นเยี่ยม เปี่ยมเมตตา<br />
พฤกษ์พันธ์ุแล เขียวชอุ่ม และชุ่มชื้น ต้นน้ำฟื้น ทรงปกปัก ทรงรักษา<br />
ทรงดำริ ความพอเพียง เลี้ยงชีวา ภูมิปัญญา วิถีไทย จึงได้คง<br />
ยามแห้งแล้ง มีฝนหลวง ทรงห่วงหา ป้องมหา ชลาหลั่ง ดั่งประสงค์<br />
อุทกพัฒน์ แก้เหตุ สมเจตน์จง<br />
อีกธำรง ชัยพัฒนา พาชีวี<br />
พระดำรัส การปรองดอง เพื่อผองราษฎร์ ลดพิพาท ลดห้ำหั่น สรรสุขี<br />
สมานฉันท์ นำประชา สามัคคี ยื่นไมตรี ปันน้ำใจ ให้แก่กัน<br />
คุณธรรม พระราชทาน สานคุณค่า เพื่อประชา ประสบ พบสุขสันต์<br />
ใต้ร่มฉัตร สยามสุข ทุกคืนวัน ธ มุ่งมั่น ขับเคลื่อนไทย ให้รุ่งเรือง<br />
ปวงข้าบาท อัญเชิญพร บวรกวิน เทพทั่วถิ่น ประสิทธิ์ ฤทธิ์ลือเลื่อง<br />
เทิดถวาย พระพรชัย ไท้เมลือง พระเกียรติเฟื่อง พราวเพริศ เลิศนิรันดร์.<br />
ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ<br />
ข้าพระพุทธเจ้า กำลังพลสังกัดกระทรวงกลาโหม<br />
(พลตรี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์ ผู้ประพันธ์)