ต.ค.60
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
Êํҹѡ§Ò¹»ÅÑ´¡ÃзÃǧ¡ÅÒâËÁ<br />
˹‹Ç§ҹ¹âºÒÂáÅÐÂØ·¸ÈÒʵäÇÒÁÁÑ่¹¤§<br />
ÊԵ㹴ǧã¨<br />
µÃÒº¹Ô¨¹ÔÃѹ´Ã<br />
¹ŒÍÁÈÔÃСÃÒ¹ ¡ÃҺ᷺¾ÃÐÂؤźҷ<br />
´ŒÇÂÊíÒ¹Ö¡ã¹¾ÃÐÁËÒ¡ÃسҸԤس໚¹ÅŒ¹¾Œ¹ÍѹËÒ·ÕèÊǾ ÁÔä´Œ<br />
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
»‚·Õ่ òõ ©ºÑº·Õ่ óñù ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
www.lakmuangonline.com
“...ความจริงมันนาทอถอยหรอก บางเรื่องมันนาทอถอย แ<strong>ต</strong>วา<br />
ฉันทอไมได เพราะเดิมพันของเรานั้นสูงเหลือเกิน เดิมพันของ<br />
เรานั้นคือบาน คือเมือง คือความสุขของคนไทยทั่วประเทศ...”<br />
เดิมพัน<br />
แมเหนื่อยยาก ทรงฟนฝา มิกลาพัก ทรง<strong>ต</strong>ระหนัก ทุกขคนไทย นั้นใหญยิ่ง<br />
แม<strong>ต</strong>ราก<strong>ต</strong>รํา มั่นหทัย ไมประวิง เพราะทุกสิ่ง ทรงสรรคสุข เพื่อทุกคน<br />
แมเหนื่อยลา เพียงไร ไมทรงทอ ทรงเ<strong>ต</strong>ิมกอ กรณียกิจ สฤษฎิ์ผล<br />
แมขุนเขา กั้นเรียงราย แลสายชล ทรงดั้นดน ฝาไพรผอง ทองนที<br />
“ดวยเดิมพัน ของฉัน นั้นสูงนัก” จะใหพัก หนักฤทัย หาใชที่<br />
เพราะเดิมพัน คือบานเมือง เรื่องชีวี ชนอยูดี กินดี นี่คืองาน<br />
ทรงมิอาจ ทอถอย ลอยปญหา ปวงไพรฟา <strong>ต</strong>างยังคง นาสงสาร<br />
ไรความรู สูทํากิน ถิ่นกันดาร ทรงยึดมั่น พระปณิธาน สานศรัทธา<br />
๗๐ ป ทรงบําเพ็ญ ชนเห็นชอบ คือคํา<strong>ต</strong>อบ ทาเดิมพัน ทรงฟนฝา<br />
ทรงสรางนํา สุขภาวะ เพื่อประชา เสริมชีวา ใหชาวไทย ไดสมบูรณ<br />
ณ วันนี้ ทรงนิราศ ชา<strong>ต</strong>ิไทยแลว โอฉั<strong>ต</strong>รแกว ทรงลาลับ ดับแสงสูรย<br />
คงเหลือไว พระดําริ ผลิเกื้อกูล เรืองจํารูญ เจิดจรัส แกรัฐไทย<br />
ขอนอมเกลาฯ เชิญบรรดา นานากิจ ทรงวินิ<strong>ต</strong> เปนวิถี ที่ยิ่งใหญ<br />
ขอ<strong>ต</strong>ามรอย พระบาท ยา<strong>ต</strong>ราไกล ดวยดวงใจ เปยมจงรัก และภักดี.<br />
ปวงขาพระพุทธเจา ขอนอมเกลานอมกระหมอม<br />
รําลึกในพระมหากรุณาธิคุณหาที่สุดมิได<br />
ขาพระพุทธเจา ขาราชการ ลูกจาง และพนักงานราชการ สังกัดกระทรวงกลาโหม<br />
(พล<strong>ต</strong>รี ชัยวิทย ชยาภินันท ผูประพันธ)
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
ที่ปรึกษากิ<strong>ต</strong><strong>ต</strong>ิมศักดิ์<br />
พล.อ.วันชัย เรือง<strong>ต</strong>ระกูล<br />
พล.อ.อ.สุวิช จันทประดิษฐ<br />
พล.อ.ไพบูลย เอมพันธุ<br />
พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา<br />
พล.อ.ธีรเดช มีเพียร<br />
พล.อ.ธวัช เกษรอังกูร<br />
พล.อ.สัมพันธ บุญญานัน<strong>ต</strong><br />
พล.อ.อูด เบื้องบน<br />
พล.อ.สิริชัย ธัญญสิริ<br />
พล.อ.วินัย ภัททิยกุล<br />
พล.อ.อภิชา<strong>ต</strong> เพ็ญกิ<strong>ต</strong><strong>ต</strong>ิ<br />
พล.อ.กิ<strong>ต</strong><strong>ต</strong>ิพงษ เกษโกวิท<br />
พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร<br />
พล.อ.วิทวัส รช<strong>ต</strong>ะนันทน<br />
พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษโยธิน<br />
พล.อ.นิพัทธ ทองเล็ก<br />
พล.อ.สุรศักดิ์ กาญจนรั<strong>ต</strong>น<br />
พล.อ.ศิริชัย ดิษฐกุล<br />
พล.อ.ปรีชา จันทรโอชา<br />
พล.อ.ชัยชาญ ชางมงคล<br />
ที่ปรึกษา<br />
พล.อ.เทพพงศ ทิพยจันทร<br />
พล.อ.วิสุทธิ์ นาเงิน<br />
พล.ร.อ.จุมพล ลุมพิกานนท ร.น.<br />
พล.อ.อ.สุรศักดิ์ ทุงทอง<br />
พล.อ.ณัฐ อินทรเจริญ<br />
พล.อ.สมศักดิ์ รุงสิ<strong>ต</strong>า<br />
พล.อ.ชัยพฤกษ พูนสวัสดิ์<br />
พล.อ.อนุชิ<strong>ต</strong> อินทรทั<strong>ต</strong><br />
พล.อ.นภน<strong>ต</strong> สรางสมวงษ<br />
พล.ร.อ.ปรีชาญ จามเจริญ ร.น.<br />
พล.ท.ทรงพล พุมวิจิ<strong>ต</strong>ร<br />
พล.ท.รักศักดิ์ โรจนพิมพพันธุ<br />
พล.ท.มโน นุชเกษม<br />
พล.ท.ปรีชา สายเพ็ชร<br />
พล.ท.ทวี พฤกษาไพรบูลย<br />
พล.ท.ศิรศักดิ์ ยุทธประเวศน<br />
พล.ท.ศิริพงษ วงศขัน<strong>ต</strong>ี<br />
พล.ท.ชมพล อามระดิษ<br />
พล.ท.นรเศรษฐ ขรรทมาศ<br />
พล.ท.สราวุธ รัช<strong>ต</strong>ะนาวิน<br />
พล.<strong>ต</strong>.พุฒิประสิทธิ์ จิระมะกร<br />
พล.<strong>ต</strong>.<strong>ต</strong>างแดน พิศาลพงศ<br />
พล.<strong>ต</strong>.ภราดร จินดาลัทธ<br />
พล.<strong>ต</strong>.กาน<strong>ต</strong> กลัมพสุ<strong>ต</strong><br />
พล.<strong>ต</strong>.ทินกร รังสิวัฒน<br />
พล.<strong>ต</strong>.ไชย หวางสิงห<br />
ผูอํานวยการ<br />
พล.<strong>ต</strong>.ยุทธนินทร บุนนาค<br />
รองผูอํานวยการ<br />
พ.อ.ภัทรนรินท วิจิ<strong>ต</strong>รพฤกษ<br />
พ.อ.ชูเลิศ จิระรั<strong>ต</strong>นเมธากร<br />
ผูชวยอํานวยการ<br />
น.อ.พรหมเมธ อ<strong>ต</strong>ิแพทย ร.น.<br />
กองจัดการ<br />
ผูจัดการ<br />
น.อ.กฤษณ ไชยสมบั<strong>ต</strong>ิ<br />
ประจํากองจัดการ<br />
วาที่ พ.อ.ธนะศักดิ์ ประดิษฐธรรม<br />
วาที่ พ.ท.ไพบูลย รุงโรจน<br />
เหรัญญิก<br />
วาที่ พ.ท.จักรินทร อินทรจันทร<br />
ฝายกฎหมาย<br />
น.ท.สุรชัย สลามเ<strong>ต</strong>ะ<br />
พิสูจนอักษร<br />
พ.อ.หญิง วิวรรณ วรวิศิษฏธํารง<br />
กองบรรณาธิการ<br />
บรรณาธิการ<br />
พ.อ.สุวเทพ ศิริสรณ<br />
รองบรรณาธิการ<br />
พ.อ.วันชนะ สวัสดี<br />
ผูชวยบรรณาธิการ<br />
วาที่ น.อ.หญิง รสสุคนธ ทองใบ ร.น.<br />
ประจํากองบรรณาธิการ<br />
น.ท.วัฒนสิน ป<strong>ต</strong>พี ร.น.<br />
พ.ท.ชุมศักดิ์ สมไรขิง<br />
พ.ท.ชา<strong>ต</strong>บุ<strong>ต</strong>ร ศรธรรม<br />
พ.ท.หญิง สมจิ<strong>ต</strong>ร พวงโ<strong>ต</strong><br />
น.ท.ฐิ<strong>ต</strong>พร นอยรักษ ร.น.<br />
พ.ท.จิโร<strong>ต</strong>ม ชินวั<strong>ต</strong>ร<br />
วาที่ น.ท.หญิง ฉันทนี บุญปกษ<br />
น.<strong>ต</strong>.หญิง ปรางทอง จันทรสุข ร.น.<br />
น.<strong>ต</strong>.หญิง กัญญารั<strong>ต</strong>น ชูชา<strong>ต</strong>ิ ร.น.<br />
พ.<strong>ต</strong>.หญิง ลลิดา กลาหาญ<br />
วาที่ ร.<strong>ต</strong>.หญิง สุชาดา โยธาขันธ<br />
วาที่ ร.<strong>ต</strong>หญิง ธัญญชนม สุขเสงี่ยม<br />
จ.ส.อ.สมหมาย ภมรนาค<br />
ส.อ.เชาววัศ ชนะพงศนิธิกุล
เดือน<strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐ เดือนที่ประวั<strong>ต</strong>ิศาส<strong>ต</strong>รไทยจะ<strong>ต</strong>องจารึก<br />
และไมเพียงแ<strong>ต</strong>ประเทศไทยเทานั้น ประวั<strong>ต</strong>ิศาส<strong>ต</strong>รโลกก็จะ<strong>ต</strong>องบันทึกไว<br />
วันที่ ๒๖ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐ วันพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิ<strong>ต</strong>ร มหาบุรุษผูยิ่งใหญ<br />
“KING OF KING” ของปวงพสกนิกรชาวไทย และเปนที่ยอมรับของชาวโลก<br />
จากคําสอนและการปฏิบั<strong>ต</strong>ิใหเห็นดวยความเพียรของพระองคทาน<strong>ต</strong>ลอดระยะเวลา<br />
ที่ทรงครองราชย ทานไดทรง “สอน” และพระราชทานกับประชาราษฎรของพระองค จนเปนที่<br />
ประจักษ ศรัทธา และยอมรับในทุกสิ่งที่ทรงมีพระราชดําริ ทุกอยาง ทุกเรื่องที่พระองคพระราชทาน<br />
นับเปนพระมหากรุณาธิคุณเปนลนพนอันหาที่สุดมิได เรื่องที่ประชาชนชาวไทยทุกคนนอกจาก<br />
ความจงรักภักดีที่มี<strong>ต</strong>อพระองค และสถาบันพระมหากษั<strong>ต</strong>ริยแลว สิ่งสําคัญคือ การสืบสาน รักษา<br />
<strong>ต</strong>อยอดสรางสุขปวงประชา <strong>ต</strong>ามที่สมเด็จพระเจาอยูหัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร<br />
ไดทรงรวบรวมในรูปแบบของวีดิทัศน และพระราชทานใหเผยแพรใหกับประชาชนชาวไทย ยึดถือ<br />
ปฏิบั<strong>ต</strong>ิเพื่อความสุขและประโยชนของอาณาประชาราษฎรสืบไป
๔<br />
พระราชกรณียกิจทางทหารของ พระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
๘<br />
พระราชวิเทโศบาย ในการรักษาเอกราชชา<strong>ต</strong>ิไทย<br />
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกลาเจาอยูหัว<br />
๑๒<br />
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร<br />
๑๓<br />
พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน<br />
๑๔<br />
พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท<br />
๑๕<br />
พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุงทอง<br />
๑๖<br />
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ<br />
๑๗<br />
พลเอก สมศักดิ์ รุงสิ<strong>ต</strong>า<br />
๑๘<br />
พลเอก ชัยพฤกษ พูนสวัสดิ์<br />
๑๙<br />
พลเอก อนุชิ<strong>ต</strong> อินทรทั<strong>ต</strong><br />
๒๐<br />
๒๑<br />
พลเอก นภน<strong>ต</strong> สรางสมวงษ<br />
พลเรือเอก ปรีชาญ จามเจริญ<br />
๒๒<br />
พลเอก สิงหศักดิ์ อุทัยมงคล<br />
๒๓<br />
พลเอก สัมพันธ ธัญญพืช<br />
๒๔<br />
นโยบายรัฐมน<strong>ต</strong>รีวาการกระทรวงกลาโหม<br />
นโยบายเรงดวน ประจําปงบประมาณ<br />
พ.ศ.๒๕๖๑<br />
๒๘<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกลาเจาอยูหัว<br />
(<strong>ต</strong>อนจบ)<br />
ว า ร ส า ร ร า ย เ ดื อ น สํ า นั ก ง า น ป ลั ด ก ร ะ ท ร ว ง ก ล า โ ห ม<br />
๑๒<br />
๑๕<br />
๑๘<br />
๒๑<br />
๑๓<br />
๑๖<br />
๑๙<br />
๒๒<br />
๑๔<br />
๑๗<br />
๒๐<br />
๒๓<br />
๒๘<br />
๓๒<br />
เปด<strong>ต</strong>ํานานพระเมรุมาศ<br />
๓๖<br />
๓๘<br />
๓๓ ป วันคลายวันสถาปนา<br />
สํานักงบประมาณกลาโหม<br />
๖๔ ป วันคลายวันสถาปนา กรมการ<br />
พลังงานทหาร ศูนยการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรม<br />
ปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
๔๐<br />
ปกิณกะกระทรวงกลาโหม กฎหมาย<br />
กระทรวงกลาโหมฉบับแรก<br />
ภายหลังเปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />
๔๒<br />
ขอพึงระมัดระวังของขาราชการทุกประเภท<br />
<strong>ต</strong>อศาลอาญาคดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ<br />
๔๖<br />
แนะนํา อาวุธ เพื่อ นบาน<br />
รถสายพานลําเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓<br />
๕๐<br />
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ : หัวใจสําคัญของเรือดํานํ้า<br />
๕๔<br />
๕๖<br />
เปดประ<strong>ต</strong>ูสูเทคโนโลยีปองกันประเทศ ๕๘<br />
National e-Payment พลิกโฉมระบบการ<br />
ชําระเงินของไทย สูยุคเศรษฐกิจดิจิทัล<br />
๕๘<br />
พระเจาโบดอวพญาทรงขยายดินแดน<br />
๖๐<br />
ดีเฟนสและซิคิวริ<strong>ต</strong>ี้ ๒๐๑๗<br />
“The Power of Partnership”<br />
๖๒<br />
“เวียนศีรษะบานหมุน รีบรักษา แกไขได”<br />
๖๔<br />
ภาพกิจกรรม<br />
๔๖<br />
๕๐<br />
๓๒ ๕๔ ๖๐<br />
๖๒<br />
ขอคิดเห็นและบทความที่นําลงในวารสารหลักเมืองเปนของผูเขียน มิใชขอคิดเห็นหรือนโยบายของหนวยงานของรัฐ และมิไดผูกพัน<strong>ต</strong>อราชการแ<strong>ต</strong>อยางใด<br />
สํานักงานเลขานุการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ถนนสนามไชย เข<strong>ต</strong>พระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร./โทรสาร ๐-๒๒๒๕-๘๒๖๒ http://61.19.220.3/opsd/sopsdweb/index_1.htm<br />
พิมพที่ : หางหุนสวนจํากัด อรุณการพิมพ ๔๕๗/๖-๗ ถนนพระสุเมรุ แขวงบวรนิเวศ เข<strong>ต</strong>พระนคร กรุงเทพฯ ๑๐๒๐๐ โทร. ๐-๒๒๘๒-๖๐๓๓-๔ โทรสาร ๐-๒๒๘๐-๒๑๘๗-๘<br />
E-mail : info@aroonkarnpim.co.th www.aroonkarnpim.co.th<br />
ออกแบบ : หางหุนสวนจํากัด อรุณการพิมพ
พระราชกรณียกิจทางทหารของ<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
พล<strong>ต</strong>รี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
“…ชา<strong>ต</strong>ิบ้านเมืองประกอบด้วยนานาสถาบัน อันเปรียบได้กับอวัยวะทั้งปวงที่ประกอบขึ้นเป็นชีวิ<strong>ต</strong>ร่างกาย ชีวิ<strong>ต</strong>ร่างกายดารง<br />
อยู่ได้ เพราะอวัยวะใหญ่น้อยทางานเป็นปก<strong>ต</strong>ิพร้อมกันอย่างไร ชา<strong>ต</strong>ิบ้านเมืองก็ดารงอยู่ได้ เพราะสถาบัน<strong>ต</strong>่างๆ <strong>ต</strong>ั้งมั่น และปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<br />
หน้าที่ของ<strong>ต</strong>น โดยพร้อมมูลอย่างนั้น ท่านทั้งหลายควรจักได้ทราบ<strong>ต</strong>ระหนักว่า ชา<strong>ต</strong>ิบ้านเมือง คือ ชีวิ<strong>ต</strong> เลือดเนื้อและสมบั<strong>ต</strong>ิของเรา<br />
ทุกคน และดารงรักษาประเทศชา<strong>ต</strong>ินั้น มิใช่หน้าที่ของบุคคลผู้ใดหมู่ใดโดยเฉพาะ หากแ<strong>ต</strong>่เป็นหน้าที่ของทุกๆ ฝ่าย ทุกๆ คน ที่จัก<br />
<strong>ต</strong>้องร่วมมือกระทาพร้อมกันไป โดยสอดคล้องกัน เกื้อกูลกันและมีจุดมุ่งหมายมีอุดมค<strong>ต</strong>ิอันร่วมกัน ถ้าหมู่หนึ่งหมู่ใดทาหน้าที่ย่อหย่อน<br />
เป็นอัน<strong>ต</strong>รายไป ก็อาจทาให้ทั้งชา<strong>ต</strong>ิแ<strong>ต</strong>กสลายทาลายไปได้...”<br />
ข้<br />
อความที่ผู้เขียนอัญเชิญมา<br />
ประดิษฐานในบทความนี้คือความ<br />
บาง<strong>ต</strong>อนในพระบรมราโชวาท<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดช ในพิธี<strong>ต</strong>รวจพลสวนสนาม<br />
เนื่องในโอกาสงานพระราชพิธีรัชดาภิเษก<br />
วันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๑๔ ซึ่งเป็นพระบรม<br />
ราโชวาทที่บ่งบอกถึงหน้าที่ความรับผิดชอบ<br />
ในการดูแลรักษาประเทศชา<strong>ต</strong>ิบ้านเมือง<br />
และเป็นหลักคิดของทหารทุกคนในการ<br />
ดาเนินภารกิจในการปกป้องประเทศและ<br />
รักษาความมั่นคงของชา<strong>ต</strong>ิ<br />
หากท่านได้เห็นพระบรมฉายาลักษณ์<br />
แรก เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน ๒๔๘๙ ซึ่งเป็น<br />
วันที่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหา<br />
ภูมิพลอดุลยเดช เสด็จขึ้นครองสิริราช<br />
สมบั<strong>ต</strong>ิ ก็จะเห็นว่าพระบรมฉายาลักษณ์นี้<br />
เป็นพระบรมฉายาลักษณ์ที่เหล่า<br />
ทหารหาญและพสกนิกรชาวไทย<strong>ต</strong>่างมี<br />
ความชื่นชมในพระมหากรุณาธิคุณ<br />
เป็นล้นพ้นคือ พระบรมฉายาลักษณ์ที่ทรง<br />
เครื่องแบบเ<strong>ต</strong>็มยศเหล่าทหารบก ในพระราช<br />
สถานะองค์จอมทัพไทย จึงเป็นการ<br />
แสดงออกให้ประชาชนชาวไทยได้รับ<br />
ทราบว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงให้ความสาคัญ<br />
แก่ทหารและกิจการทหารของประเทศ<br />
4<br />
พล<strong>ต</strong>รี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
เป็นอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช ทรง<strong>ต</strong>ระหนักถึง<br />
พระอิสริยยศจอมทัพไทย ที่เป็นมิ่งขวัญ<br />
ของมวลเหล่าทหาร และเป็นพระฉายแห่ง<br />
ความมั่นคงของประเทศชา<strong>ต</strong>ิ ในอันที่จะ<br />
สร้างขวัญและกาลังใจให้แก่พสกนิกรของ<br />
พระองค์และเหล่าทหารหาญทั้งปวง<br />
จึงทรงฉลองพระองค์ในเครื่องแบบทหาร<br />
ทั้ง ๓ เหล่าทัพในพระราชกรณียกิจ<strong>ต</strong>่างๆ<br />
กล่าวคือ<br />
• การเจริญพระราชไม<strong>ต</strong>รีกับมิ<strong>ต</strong>ร<br />
ประเทศ จึงทรงบาเพ็ญพระราชกรณียกิจ<br />
การเสด็จเยือน<strong>ต</strong>่างประเทศ และทรงเชิญ<br />
ประมุขของมิ<strong>ต</strong>รประเทศมาร่วมพระราช<br />
กรณียกิจสาคัญหลายครั้ง<br />
• การเสด็จพระราชดาเนินไปทรง<br />
เยี่ยมหน่วยทหาร<strong>ต</strong>ามฐานปฏิบั<strong>ต</strong>ิการ<br />
ในพื้นที่ทุรกันดารพร้อมทั้งพระราชทาน<br />
ถุงยังชีพและพระราชทานพระบรมราโชวาท<br />
ให้เป็นขวัญกาลังใจแก่กาลังพลที่ปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<br />
ราชการในพื้นที่เพื่อความมั่นคง โดยไม่<br />
ทรงย่อท้อ<strong>ต</strong>่อความเหนื่อยล้าพระวรกาย<br />
และความยากลาบากแ<strong>ต</strong>่ประการใด<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
5
ซึ่งหลายครั้งได้ทรงทดลองปฏิบั<strong>ต</strong>ิเช่นเดียว<br />
กับกาลังพลในพื้นที่<br />
• การเสด็จพระราชดาเนินไปทรง<br />
เยี่ยมพสกนิกร และพระราชทานความ<br />
ช่วยเหลือแก่ประชาชนในพื้นที่ห่างไกล<br />
ได้ยังความปลาบปลื้มปี<strong>ต</strong>ิให้แก่ประชาชน<br />
เป็นอย่างยิ่ง<br />
ซึ่งพระบรมฉายาลักษณ์ที่ปรากฏ<strong>ต</strong>่อ<br />
สาย<strong>ต</strong>าของพสกนิกรชาวไทยได้ยังความ<br />
ปลาบปลื้มซาบซึ้งในพระมหากรุณาธิคุณ<br />
เป็นอย่างยิ่ง นอกจากนี้ พระบรมราโชวาท<br />
และพระราชดารัส<strong>ต</strong>่างๆ ยังเป็นแนวทาง<br />
ในการดาเนินชีวิ<strong>ต</strong>ของประชาชนชาวไทย<br />
และกาลังพลทหารอย่างหาที่สุดมิได้ โดย<br />
เฉพาะอย่างยิ่ง พระราชกรณียกิจทาง<br />
ทหารที่สาคัญ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระ<br />
ปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ทรงดาเนิน<br />
ให้เป็นสิริมงคลแก่เหล่าทหารหาญทุกคน<br />
ประกอบด้วย<br />
พระราชพิธี<strong>ต</strong>รึงหมุดและ<br />
พระราชทานธงไชยเฉลิมพล ทรงเสด็จ<br />
พระราชดาเนินไปประกอบพระราชพิธี<br />
<strong>ต</strong>รึงหมุดธงไชยเฉลิมพลสาหรับ<br />
พระราชทานหน่วยทหาร ณ ภายในพระ<br />
อุโบสถวัดพระศรีรั<strong>ต</strong>นศาสดาราม โดยทรง<br />
บรรจุกรัณฑ์เส้นพระเจ้าในยอดคันธง ทรง<br />
หมุนเกลียวปิดซุ้มยอดธง จากนั้น ทรงฆ้อน<br />
ย้า<strong>ต</strong>รึงหมุด<strong>ต</strong>ิดผ้าคันธง ทรงหลั่งน ้า<br />
พระมหาสังข์และทรงเจิม จนเสร็จพิธี<br />
หลังจากนั้น จะเสด็จพระราชดาเนินไปยัง<br />
พระที่นั่งชุมสาย สนามหน้าศาลาสหทัย<br />
สมาคม และพระราชทานธงไชยเฉลิมพล<br />
แก่หน่วยทหาร เพื่อให้หน่วยทหารถือเป็น<br />
สัญลักษณ์แทนพระองค์ และเป็น<br />
เครื่องหมายแห่งความไว้วางพระราช<br />
หฤทัยในความซื่อสั<strong>ต</strong>ย์สุจริ<strong>ต</strong>และความ<br />
กล้าหาญ เป็นเกียร<strong>ต</strong>ิยศ รวมทั้งเป็น<br />
มิ่งขวัญแก่หน่วยทหารในเวลาออกศึก<br />
ปราบปรามอริศั<strong>ต</strong>รู<br />
พระราชทานวุฒิบั<strong>ต</strong>ร ปริญญาบั<strong>ต</strong>ร<br />
และพระราชทานกระบี่เสด็จพระราชดาเนิน<br />
ในการพระราชทานกระบี่และพระราชทาน<br />
ปริญญาบั<strong>ต</strong>รแก่นายทหารผู้สาเร็จ<br />
การศึกษาจากโรงเรียนนายร้อย<br />
พระจุลจอมเกล้า โรงเรียนนายเรือ และ<br />
โรงเรียนนายเรืออากาศ ณ พระที่นั่ง<br />
ชุมสาย บริเวณสนามหญ้าภายในศาลา<br />
ว่าการกลาโหมระหว่างปี พ.ศ.๒๕๐๐<br />
จนถึง ปี พ.ศ.๒๕๑๙ ก่อนเปลี่ยนไป<br />
ประกอบพิธี ณ หอประชุมใหญ่<br />
สวนอัมพร<br />
พระราชทานปริญญาบั<strong>ต</strong>ร วุฒิบั<strong>ต</strong>ร<br />
ประกาศนียบั<strong>ต</strong>ร และเข็มวิทยฐานะ<br />
เสด็จพระราชดาเนินในการพระราชทาน<br />
ปริญญาบั<strong>ต</strong>ร วุฒิบั<strong>ต</strong>ร ประกาศนียบั<strong>ต</strong>ร<br />
และเข็มวิทยฐานะแก่ผู้ทรงคุณวุฒิ<br />
และผู้สาเร็จการศึกษาจากวิทยาลัย<br />
ป้องกันราชอาณาจักร วิทยาลัยเสนาธิการ<br />
ทหาร วิทยาลัยการทัพบก วิทยาลัยการ<br />
6<br />
พล<strong>ต</strong>รี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
ทัพเรือ วิทยาลัยการทัพอากาศ โรงเรียน<br />
เสนาธิการทหารบก โรงเรียนเสนาธิการ<br />
ทหารเรือ และโรงเรียนเสนาธิการทหาร<br />
อากาศ ณ ห้องประชุมกองบัญชาการ<br />
ทหารสูงสุด ในศาลาว่าการกลาโหม<br />
ระหว่างปี พ.ศ.๒๔๙๙ จนถึงปี พ.ศ.<br />
๒๕๑๑ ก่อนเปลี่ยนไปประกอบพิธี ณ<br />
ห้องประชุมวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
ถนนวิภาวดีรังสิ<strong>ต</strong> และห้อง<br />
ประชุมใหญ่สวนอัมพร<br />
<strong>ต</strong>ามลาดับ<br />
พิธีถวายสั<strong>ต</strong>ย์ปฏิญาณ<strong>ต</strong>น<br />
และสวนสนามของทหาร<br />
รักษาพระองค์ เสด็จ<br />
พระราชดาเนินในพิธีถวาย<br />
สั<strong>ต</strong>ย์ปฏิญาณ<strong>ต</strong>นและสวน<br />
สนามของทหารรักษา<br />
พระองค์ เป็นประจาทุกปี<br />
<strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่ปี พ.ศ.๒๕๐๔ เนื่องใน<br />
โอกาสวันเฉลิมพระชนม<br />
พรรษาฯ จนถึงปี พ.ศ.๒๕๕๑<br />
ณ ลานพระราชวังดุสิ<strong>ต</strong><br />
พระราชกรณียกิจทางทหารของ<br />
พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพล<br />
อดุลยเดช ที่ผู้เขียนอัญเชิญมาประดิษฐาน<br />
ในบทความนี้เป็นเพียงหนึ่งในพระราช<br />
กรณียกิจที่ทรงบาเพ็ญเพื่อกิจการทหาร<br />
ความมั่นคงของชา<strong>ต</strong>ิและประโยชน์สุขของ<br />
ปวงพสกนิกรมาโดย<strong>ต</strong>ลอด แม้ว่าในวันนี้<br />
พสกนิกรชาวไทยจะไม่มีโอกาสได้เห็น<br />
พระราชจริยวั<strong>ต</strong>รอันงดงาม<strong>ต</strong>่อไปอีกแล้ว<br />
แ<strong>ต</strong>่สิ่งที่ผู้เขียนเชื่อมั่นว่าพระบรมฉายาลักษณ์<br />
<strong>ต</strong>่างๆ ยังคง<strong>ต</strong>รา<strong>ต</strong>รึงมีอยู่ในความทรงจา<br />
ที่ดี ยังความซาบซึ้งและสานึกในพระมหา<br />
กรุณาธิคุณอย่างหาที่สุดมิได้<br />
ในโอกาสวันที่ ๑๓ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
ซึ่งพสกนิกรชาวไทยทุกคนทราบกันดีว่า<br />
เป็นวันคล้ายวันเสด็จสู่สวรรคาลัย และใน<br />
วันที่ ๒๖ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐ จะเป็นวันที่ถวาย<br />
พระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จ<br />
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
ผู้เขียนขอเชิญทุกท่านน้อมราลึกถึง<br />
พระมหากรุณาธิคุณและร่วมถวาย<br />
พระเกียร<strong>ต</strong>ิในพระราชพิธีอันสาคัญด้วย<br />
ความสานึกในพระมหากรุณาธิคุณอย่าง<br />
หาที่สุดมิได้และอัญเชิญพระบรมราโชวาท<br />
และพระราชดารัสในโอกาส<strong>ต</strong>่างๆ ไว้เหนือ<br />
เศียรเกล้า เพื่อเป็นสิ่งเ<strong>ต</strong>ือนใจให้ทุกท่าน<br />
มุ่งมั่นที่จะทาความดี มีความรักสามัคคี<br />
และจงรักภักดี<strong>ต</strong>่อสถาบันพระมหากษั<strong>ต</strong>ริย์<br />
<strong>ต</strong>ลอดไป<br />
7
พระราชวิเทโศบาย<br />
ในการรักษาเอกราชชา<strong>ต</strong>ิไทย<br />
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ภายหลังเห<strong>ต</strong>ุการณ์วันที่ ๑๓<br />
กรกฎาคม ๒๔๓๖ ที่คนไทย<br />
<strong>ต</strong>่างรู้จักกันดีว่า วิกฤ<strong>ต</strong>ิการณ์<br />
ร.ศ.๑๑๒ ซึ่งเป็นเห<strong>ต</strong>ุการณ์ที่บาดลึกใน<br />
จิ<strong>ต</strong>ใจของชาวไทยทุกคน เมื่อกองทัพ<br />
ฝรั่งเศสได้จัดส่งเรือรบ ๒ ลา คือ เรือแอง<br />
กองส<strong>ต</strong>อง<strong>ต</strong>์ (Inconstant) และเรือโกแม<strong>ต</strong>์<br />
(Comete) โดยมีเรือนาร่องเป็นเรือสินค้า<br />
“เจ เบ เซย์” (Jean Baptist Say) ได้รุกล้า<br />
ฝ่าสันดอนปากแม่น้าเจ้าพระยา และได้<br />
พล<strong>ต</strong>รี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
เกิดการปะทะกับกองกาลังทางเรือไทย<br />
ที่บริเวณป้อมพระจุลจอมเกล้า และ<br />
หมู่เรือรบซึ่งเป็นแนวป้องกันของไทย<br />
หลังจากนั้นก็เข้ามาทอดสมอที่บริเวณหน้า<br />
สถานกงสุลฝรั่งเศส ถนนเจริญกรุง สมทบ<br />
กับเรือรบชื่อ เรือลูแ<strong>ต</strong>ง (Le Lutin) ที่จอด<br />
ทอดสมออยู่ก่อนแล้ว โดยเรือรบทั้ง ๓ ลา<br />
แสดงท่าทีคุกคามไทยอย่างเ<strong>ต</strong>็มที่<br />
จนในที่สุด พระบาทสมเด็จพระ<br />
จุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<strong>ต</strong>้องทรง<strong>ต</strong>ัดสินพระทัย<br />
ชดใช้ค่าเสียหายให้แก่ฝรั่งเศสเป็นเงิน<br />
จานวน ๓ ล้านฟรังก์ และถูกยึดดินแดน<br />
ฝั่งซ้ายแม่น้าโขง <strong>ต</strong>ลอดถึงเกาะแก่ง<br />
ในแม่น้าโขงทั้งหมด เป็นพื้นที่ ๑๔๓,๐๐๐<br />
<strong>ต</strong>ารางกิโลเม<strong>ต</strong>ร (ในที่สุด ก็<strong>ต</strong>้องเสียดินแดน<br />
ดังกล่าวให้แก่ฝรั่งเศส) นอกจากนี้ ฝรั่งเศส<br />
ยังได้ยึดเมืองจันทบุรีไว้เป็นประกัน<br />
อีกด้วย<br />
หลังจากนั้น ประเทศไทย (หรือ<br />
สยามในยุคดังกล่าว) ยังถูกคุกคามโดย<br />
ประเทศมหาอานาจ ๒ ประเทศคือ อังกฤษ<br />
และฝรั่งเศสที่แผ่อานาจเข้ามาในภูมิภาค<br />
อินโดจีน ซึ่งมีข้อมูลที่น่า<strong>ต</strong>กใจว่าประเทศ<br />
มหาอานาจทั้ง ๒ ประเทศ มีแผนที่จะแบ่ง<br />
ประเทศไทยเป็นอาณานิคม โดยใช้แม่น้า<br />
เจ้าพระยาเป็นเส้นกั้นอาณาเข<strong>ต</strong> ทั้งยัง<br />
กาหนดการแบ่งเข<strong>ต</strong>แดนไว้ว่า<br />
• ดินแดนด้านซ้ายของแม่น้า<br />
เจ้าพระยาไปจนถึงเขมร ลาว และ<br />
เวียดนาม จะ<strong>ต</strong>กเป็นของ ฝรั่งเศส<br />
• ดินแดนด้านขวาของแม่น้า<br />
เจ้าพระยาไปจนถึงพม่า มาเลเซีย และ<br />
8<br />
พล<strong>ต</strong>รี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
อินเดีย จะ<strong>ต</strong>กเป็นของ อังกฤษ เรียกว่า<br />
ประเทศมหาอานาจทั้งสองประเทศ<br />
คิดได้ขนาดนี้ และอ้างความชอบธรรมว่า<br />
ประเทศไทย (สยาม) ยังเป็นประเทศ<br />
ที่ล้าหลัง จึงมีความจาเป็นที่ประเทศ<br />
ทั้งสองจะ<strong>ต</strong>้องให้ความช่วยเหลือในการ<br />
พัฒนา<br />
สถานการณ์ดังกล่าวถือได้ว่าเป็น<br />
ภัยคุกคามที่มีความสาคัญและรุนแรงมาก<br />
<strong>ต</strong>่อประเทศไทยที่มีสถานะเป็นรัฐที่อยู่<br />
กึ่งกลางการขยายอานาจในยุคล่า<br />
อาณานิคม เรื่องดังกล่าวจึงเป็นข่าวใหญ่<br />
ไปทั่วยุโรปว่า มีความเป็นไปได้สูงที่<br />
ประเทศไทยอาจจะ<strong>ต</strong>้องถูกแบ่งแยก<br />
ดินแดนและเป็นอาณานิคมของทั้งสอง<br />
ประเทศมหาอานาจอย่างแน่นอน ซึ่งใน<br />
ราชสานักไทยและประชาชนทั่วไป<strong>ต</strong>่างก็<br />
หวั่นเกรงภัยคุกคามนี้เป็นอย่างยิ่ง<br />
แ<strong>ต</strong>่ด้วยพระราชวิสัยทัศน์และสาย<br />
พระเน<strong>ต</strong>รอันยาวไกลของพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ทรงมีพระ<br />
ราชวินิจฉัยว่า สถานการณ์ของไทยใน<br />
ขณะนั้นมีความสุ่มเสี่ยงและล่อแหลมที่จะ<br />
เกิดการสร้างสถานการณ์เพื่อหามูลเห<strong>ต</strong>ุใน<br />
การรุกรานทางการเมืองระหว่างประเทศ<br />
และอาจขยายผลไปสู่การปะทะด้วยกาลัง<br />
อาวุธกับประเทศมหาอานาจทั้งสองได้ ซึ่ง<br />
วิถีทางที่ดีที่สุดคือ การดาเนินพระราช<br />
วิเทโศบาย (นโยบายการ<strong>ต</strong>่างประเทศ) การ<br />
ผูกมิ<strong>ต</strong>รกับประเทศมหาอานาจอื่นที่ทั้ง<br />
อังกฤษและฝรั่งเศสมีความเกรงใจ จึงทรง<br />
มีหมายกาหนดการในการเสด็จประพาส<br />
ยุโรปในปี พ.ศ.๒๔๔๐ ซึ่งมีพระราช<br />
ประสงค์ในการเสด็จพระราชดาเนินเพื่อ<br />
เข้าเฝ้าฯ พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ แห่ง<br />
ประเทศรัสเซีย เป็นการ<strong>ต</strong>อบแทนที่<br />
พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ได้เคยเสด็จ<br />
พระราชดาเนินเยือนประเทศไทย เมื่อปี<br />
พ.ศ.๒๔๓๔ เมื่อครั้งยังดารงพระยศเป็น<br />
มกุฎราชกุมารฯ<br />
ซึ่งพระราชวิเทโศบายเมื่อครั้งเสด็จ<br />
ประพาสยุโรปในครั้งนั้น ได้ก่อให้เกิดผล<br />
สัมฤทธิ์ที่ดี<strong>ต</strong>่อประเทศไทยเป็นอย่างมาก<br />
กล่าวคือ เมื่อเสด็จพระราชดาเนินไปเยือน<br />
ประเทศรัสเซียและเข้าเฝ้าฯ พระเจ้าซาร์<br />
นิโคลัสที่ ๒ พร้อมกับฉายพระรูปร่วมกัน<br />
หลังจากนั้น พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่ ๒ ทรงสั่ง<br />
เสนาบดีวังให้ส่งพระบรมฉายาลักษณ์<br />
ดังกล่าวไปยังหนังสือพิมพ์ลิลลุส<strong>ต</strong>ราซิอง<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
9
เดอ ปารี โดยให้แจ้ง<strong>ต</strong>่อบรรณาธิการว่า<br />
เป็นพระบรมราชโองการของพระเจ้าซาร์<br />
นิโคลัสที่ ๒ ให้ขยายเ<strong>ต</strong>็มหน้าแรกลงใน<br />
หนังสือพิมพ์ทั้งยังทรงอักษรคาอธิบายภาพ<br />
ด้วยลายพระหั<strong>ต</strong>ถ์ของพระองค์เองว่า<br />
“สยามเป็นประเทศที่กาลังพัฒนา<br />
หาใช่ประเทศล้าหลัง ซึ่งมหาประเทศจะ<br />
อาศัยเป็นมูลเห<strong>ต</strong>ุเข้ายึดครองมิได้” และ<br />
ทันทีที่หนังสือพิมพ์ฉบับดังกล่าว<strong>ต</strong>ีพิมพ์<br />
เมื่อวันที่ ๑๑ กันยายน ๑๘๙๗ (พ.ศ.<br />
๒๔๔๐) ได้สร้างความ<strong>ต</strong>ก<strong>ต</strong>ะลึงให้แก่<br />
ประเทศมหาอานาจและประเทศ<strong>ต</strong>่างๆ ใน<br />
ยุโรป เมื่อได้เห็นพระบรมฉายาลักษณ์ของ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ทรงประทับนั่งเคียงคู่กับพระเจ้าซาร์นิโคลัส<br />
ที่ ๒ แห่งรัสเซีย ด้วยความใกล้ชิดสนิท<br />
สนมเป็นพระสหายที่มีพระราชไม<strong>ต</strong>รี<br />
<strong>ต</strong>่อกัน ทั้งนี้ <strong>ต</strong>้องไม่ลืมว่า รัสเซียก็ถือเป็น<br />
อีกประเทศมหาอานาจหนึ่งของยุโรป<br />
จากพระราชวิเทโศบายของพระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้สร้าง<br />
ความผ่อนคลายในเรื่องความรุนแรงที่<br />
กาลังจะเกิดขึ้นแก่ประเทศไทยเป็น<br />
อย่างมาก เพราะเป็นการหยุดยั้งความ<br />
ละโมบและการคุกคามของอังกฤษและ<br />
ฝรั่งเศสได้เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ สิ่งที่คนไทย<br />
ไม่ควรหลงลืมคือนโยบายการผนวกดินแดน<br />
ของอังกฤษและฝรั่งเศสในยุคล่าอาณานิคม<br />
กล่าวคือ<br />
• อังกฤษ มีความประสงค์ในการ<br />
ยึดครองดินแดนที่อุดมด้วยป่าไม้สัก<br />
ในภาคเหนือที่<strong>ต</strong>ิดกับพม่า และเหมาะแก่การ<br />
<strong>ต</strong>ั้งสถานีการค้าทางทะเลในแหลมมลายู<br />
• ฝรั่งเศส มีความประสงค์ในการ<br />
ยึดครองดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ด้วย<br />
ทรัพยากรของลุ่มแม่น้าหลัก ๕ สาย ที่มี<br />
ลักษณะคล้ายฝ่ามือ คือ แม่น้าโขง แม่น้า<br />
เจ้าพระยา แม่น้าสาละวิน แม่น้าอิรวดี<br />
และแม่น้าแดงในอ่าว<strong>ต</strong>ังเกี๋ย<br />
จึงกล่าวได้ว่า พระราชวิเทโศบาย<br />
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
10<br />
พล<strong>ต</strong>รี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
เจ้าอยู่หัว ได้ส่งผล<strong>ต</strong>รง<strong>ต</strong>่อการรักษาเอกราช<br />
ของประเทศไทยไว้ได้โดยไม่<strong>ต</strong>้องเสียเลือด<br />
เนื้อและชีวิ<strong>ต</strong>ของคนไทย ภายหลังจาก<br />
วิกฤ<strong>ต</strong>การณ์ร.ศ.๑๑๒ <strong>ต</strong>่อมาอีก และทาให้<br />
ประเทศไทยเป็นเอกราช<strong>ต</strong>ราบจนทุกวันนี้<br />
แม้ว่าในเวลา<strong>ต</strong>่อมา มีการสูญเสียพื้นที่<br />
บางส่วนให้แก่ประเทศมหาอานาจทั้งสอง<br />
ประเทศไปบ้าง แ<strong>ต</strong>่ก็เกิดจากผลพวงของ<br />
วิกฤ<strong>ต</strong>การณ์ ร.ศ.๑๑๒ จึงเปรียบเสมือน<br />
การดาเนินพระราโชบายของพระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว คือ ยอม<br />
สละอวัยวะเพื่อรักษาชีวิ<strong>ต</strong>ไว้ในเวลา<strong>ต</strong>่อมา<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ได้ทรงพัฒนาประเทศและบ้านเมือง<br />
<strong>ต</strong>ามแนวทางของยุโรปอย่างรวดเร็ว โดยทรง<br />
จ้างชาวยุโรปเข้ามารับราชการและส่ง<br />
คนไทยไปศึกษาในยุโรปเป็นจานวนมาก<br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การเสด็จพระราชดาเนิน<br />
ไปเยือนนานาประเทศในทวีปยุโรป<br />
จึงเป็นการประกาศให้ชาวโลกได้ประจักษ์<br />
ว่า ราชอาณาจักรไทย (สยาม) ของ<br />
พระองค์เป็นประเทศที่กาลังพัฒนาไปสู่<br />
ความเจริญทัดเทียมนานาอารยประเทศ<br />
ซึ่งไม่ใช่เป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างที่<br />
ประเทศมหาอานาจนักล่าอาณานิคมได้<br />
เคยประโคมข่าวกันในทวีปยุโรป จนทาให้<br />
คนในยุโรปจานวนไม่น้อย<strong>ต</strong>่างคล้อย<strong>ต</strong>าม<br />
การโฆษณาชวนเชื่อของทั้งสองประเทศ<br />
ดังกล่าว<br />
แนวพระราชวิเทโศบายที่ล้าเลิศ<br />
ในเชิงจิ<strong>ต</strong>วิทยาของพระบาทสมเด็จ<br />
พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระราชไม<strong>ต</strong>รี<br />
ที่พระเจ้าซาร์นิโคลัสที่๒ มี<strong>ต</strong>่อประเทศไทย<br />
ได้ก่อให้เกิดความเกรงใจที่ชา<strong>ต</strong>ิมหาอานาจ<br />
ทั้งหลายมี<strong>ต</strong>่อราชอาณาจักรไทย จึงทาให้<br />
ประเทศไทยรอดพ้นจากการเป็น<br />
อาณานิคมของประเทศมหาอานาจทั้งสอง<br />
ประเทศและดารงความเป็นชา<strong>ต</strong>ิไทย<br />
<strong>ต</strong>ราบจนปัจจุบัน<br />
เรื่อง พระราชวิเทโศบายของ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ที่ผู้เขียนอัญเชิญมาประดิษฐานใน<br />
บทความนี้ เป็นเพียงหนึ่งในพระราช<br />
กรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ที่มีอยู่มากมายเกินกว่าจะบรรยาย<br />
ให้จบสิ้นในเวลาอันสั้น แ<strong>ต</strong>่นับเป็นเรื่อง<br />
อันควรค่าแก่การราลึกถึงพระอัจฉริยภาพ<br />
และพระวิริยอุ<strong>ต</strong>สาหะ ที่ทรงพากเพียร<br />
ดาเนินพระราชกรณียกิจเพื่อประเทศชา<strong>ต</strong>ิ<br />
และประชาชนชาวไทย และในโอกาส<br />
วันที่ ๒๓ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐ ที่กาลังจะเวียน<br />
มาครบรอบปีที่ ๑๐๗ ซึ่งพสกนิกรชาวไทย<br />
ทุกคนทราบกันดีว่าเป็นวันปิยมหาราช<br />
หรือวันคล้ายวันเสด็จสวรรค<strong>ต</strong>ของ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
ผู้เขียนขอเชิญทุกท่านได้น้อมราลึกถึง<br />
พระมหากรุณาธิคุณขององค์พระบาท<br />
สมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว พระผู้ทรง<br />
มีคุณูปการแก่ประเทศไทยอย่างมากมาย<br />
ด้วยกันทุกท่านเทอญ<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
11
พลเอก เทพพงศ ทิพยจันทร<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๒๘ พฤษภาคม ๒๕๐๑<br />
คูสมรส นางนริศรา ทิพยจันทร<br />
ธิดา นางสาวณัฐรวี ทิพยจันทร<br />
นางสาวสุทธินันท ทิพยจันทร<br />
ที่อยู ๓๒๖/๕ ถนนอํานวยสงคราม แขวงถนนนครไชยศรี<br />
เข<strong>ต</strong>ดุสิ<strong>ต</strong> กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐<br />
การศึกษา<br />
พ.ศ.๒๕๑๘ โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๑๘<br />
พ.ศ.๒๕๒๕ โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา รุนที่ ๒๙<br />
พ.ศ.๒๕๒๘ หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายรอย เหลาทหารราบ รุนที่ ๗๐<br />
พ.ศ.๒๕๓๑ หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายพัน เหลาทหารราบ รุนที่ ๔๙<br />
พ.ศ.๒๕๓๓ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสู<strong>ต</strong>รหลักประจํา<br />
ชุดที่ ๖๘<br />
พ.ศ.๒๕๔๖ ปริญญาโท หลักสู<strong>ต</strong>รรัฐประศาสนศาส<strong>ต</strong>รมหาบัณฑิ<strong>ต</strong><br />
มหาวิทยาลัยบูรพา<br />
พ.ศ.๒๕๕๕ วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร รุนที่ ๕๔<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
พ.ศ.๒๕๒๕ ผูบังคับหมวดปนเล็ก กองรอยอาวุธเบาที่ ๓<br />
กองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๒๑<br />
รักษาพระองคฯ<br />
พ.ศ.๒๕๓๐ ผูบังคับกองรอยอาวุธเบาที่ ๓ กองพันทหารราบที่ ๓<br />
กรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองคฯ<br />
พ.ศ.๒๕๓๙ ผูบังคับกองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๒๑<br />
รักษาพระองคฯ<br />
พ.ศ.๒๕๔๑ ผูบังคับกองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๒๑<br />
รักษาพระองคฯ<br />
พ.ศ.๒๕๕๐ ผูบังคับการกรมทหารราบที่ ๒๑ รักษาพระองคฯ<br />
พ.ศ.๒๕๕๔ ผูบัญชาการกองพลทหารราบที่ ๒ รักษาพระองคฯ<br />
พ.ศ.๒๕๕๖ รองแมทัพภาคที่ ๑<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ แมทัพนอยที่ ๑<br />
พ.ศ.๒๕๕๘ แมทัพภาคที่ ๑<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ ผูชวยผูบัญชาการทหารบก<br />
ราชการพิเศษ<br />
พ.ศ.๒๕๒๕ ปฏิบั<strong>ต</strong>ิหนาที่ราชการ<strong>ต</strong>ามแผนปองกันประเทศ<br />
พ.ศ.๒๕๒๗ ปฏิบั<strong>ต</strong>ิราชการปราบปรามผูกอการรายคอมมิวนิส<strong>ต</strong><br />
ปฏิบั<strong>ต</strong>ิหนาที่นายทหารเสริมกําลังพิเศษ<br />
พ.ศ.๒๕๒๘ หัวหนาหนวยประสานงาน ศูนยศิลปาชีพบางไทรฯ<br />
พ.ศ.๒๕๓๗ ราชองครักษเวร<br />
พ.ศ.๒๕๔๕ รองผูอํานวยการศูนยศิลปาชีพบางไทรฯ<br />
พ.ศ.๒๕๕๓ นายทหารพิเศษ ประจํากรมทหารราบที่ ๒๑<br />
รักษาพระองคฯ<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ สมาชิกสภานิ<strong>ต</strong>ิบัญญั<strong>ต</strong>ิแหงชา<strong>ต</strong>ิ<br />
พ.ศ.๒๕๕๘ นายทหารพิเศษ ประจํากรมทหารราบที่ ๑<br />
มหาดเล็กรักษาพระองค<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาปรมาภรณชางเผือก<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• เหรียญพิทักษเสรีชนชั้นที่ ๒ ประเภทที่ ๑<br />
• เหรียญราชการชายแดน<br />
• เหรียญจักรมาลา<br />
12
พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๖ พฤษภาคม ๒๕๐๑<br />
บิดา-มารดา รอย<strong>ต</strong>รี ประเสริฐ - นางวิมล นาเงิน<br />
คูสมรส นางวิไลวรรณ นาเงิน<br />
ธิดา นางสาววิสุ<strong>ต</strong>า นาเงิน<br />
ที่อยู ๖๓/๗๘ หมูบานฮาบิเทีย ถนนกาญจนาภิเษก<br />
<strong>ต</strong>ําบลเสาธงหิน อําเภอบางใหญ จังหวัดนนทบุรี<br />
การศึกษา<br />
พ.ศ.๒๕๑๗ โรงเรียนวัดราชาธิวาส<br />
พ.ศ.๒๕๑๙ โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๑๗<br />
พ.ศ.๒๕๒๔ - โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา รุนที่ ๒๘<br />
- หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายรอย เหลาทหารปนใหญ รุนที่ ๒๑<br />
พ.ศ.๒๕๓๐ หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายพัน เหลาทหารปนใหญ รุนที่ ๓๒<br />
พ.ศ.๒๕๓๒ หลักสู<strong>ต</strong>รหลักประจํา ชุดที่ ๖๗<br />
โรงเรียนเสนาธิการทหารบก<br />
พ.ศ.๒๕๔๗ หลักสู<strong>ต</strong>รปริญญารัฐศาส<strong>ต</strong>รมหาบัณฑิ<strong>ต</strong><br />
พ.ศ.๒๕๕๕<br />
สาขาบริหารรัฐกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาส<strong>ต</strong>ร<br />
หลักสู<strong>ต</strong>รวิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร<br />
ภาครัฐรวมกับเอกชน (ปรอ.) รุนที่ ๕๔<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ หลักสู<strong>ต</strong>รผูบริหารระดับสูง ของสถาบันวิทยาการ<br />
<strong>ต</strong>ลาดทุน รุนที่ ๒๕<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
พ.ศ.๒๕๒๙ ผูบังคับกองรอยทหารปนใหญ กองพัน<br />
ทหารปนใหญ ที่ ๒๐<br />
พ.ศ.๒๕๓๔<br />
หัวหนาแผนก กรมกําลังพลทหารบก<br />
พ.ศ.๒๕๓๘ ฝายเสนาธิการประจํากรมกําลังพลทหารบก<br />
พ.ศ.๒๕๔๗ นายทหารฝายเสนาธิการประจํารองผูบัญชาการ<br />
ทหารบก<br />
พ.ศ.๒๕๔๘ ผูชวยหัวหนาฝายเสนาธิการประจํา<br />
รองผูบัญชาการทหารสูงสุด<br />
พ.ศ.๒๕๔๙ ผูชวยเจากรมเสมียน<strong>ต</strong>รา<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ รองเจากรมเสมียน<strong>ต</strong>รา<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ เจากรมเสมียน<strong>ต</strong>รา<br />
ราชการพิเศษ<br />
พ.ศ.๒๕๔๙<br />
นายทหารพิเศษ ประจํากรมทหารปนใหญ<br />
ที่ ๑ รักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๕๔ นายทหารพิเศษ ประจํากรมทหารราบที่ ๑<br />
มหาดเล็กรักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ - นายทหารพิเศษ ประจํากรมทหารราบที่ ๒๑<br />
รักษาพระองค<br />
- <strong>ต</strong>ุลาการศาลทหารสูงสุด<br />
- กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการแกไข<br />
ปญหาระบบอุปถัมภในระบบราชการไทยใหเปน<br />
รูปธรรม สภานิ<strong>ต</strong>ิบัญญั<strong>ต</strong>ิแหงชา<strong>ต</strong>ิ<br />
- คณะกรรมการสวัสดิการขาราชการ<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ ราชองครักษเวร<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาปรมาภรณชางเผือก<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก<br />
• เหรียญพิทักษเสรีชน ชั้น ๒ ประเภทที่ ๒<br />
• เหรียญราชการชายแดน<br />
• เหรียญจักรมาลา<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
13
พลเรือเอก จุมพล ลุมพิกานนท<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
• ผูอํานวยการศูนยศึกษายุทธศาส<strong>ต</strong>รทหารเรือ<br />
• เจากรมกิจการพลเรือนทหารเรือ<br />
• รองเสนาธิการทหารเรือ<br />
• หัวหนาคณะนายทหารฝายเสนาธิการ<br />
ประจําผูบังคับบัญชา<br />
ราชการพิเศษ<br />
• ผูแทนประเทศไทยในการประชุม The Council for<br />
Security Cooperation in the Asia-Pacific (CSCAP)<br />
ที่ประเทศเกาหลี<br />
• หัวหนาคณะการประชุม The 20 th Anniversary of the<br />
Code of Conduct for Responsible Fisheries of the<br />
FAO ระหวาง ๖ – ๑๑ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๕๘<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๑๘ สิงหาคม ๒๕๐๑<br />
บิดา-มารดา นาวาเอก ณรงค - นางทัศนีย ลุมพิกานนท<br />
คูสมรส นาวาโทหญิง ศศิธร ลุมพิกานนท<br />
ธิดา เรือ<strong>ต</strong>รีหญิง ศจีนาฏ ลุมพิกานนท<br />
ที่อยู ๑๒๐ ซอยเพชรเกษม ๖๔ ถนนเพชรเกษม<br />
แขวงบางแคเหนือ เข<strong>ต</strong>บางแค กรุงเทพฯ ๑๐๑๖๐<br />
การศึกษา<br />
พ.ศ.๒๕๑๕ โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี รุนที่ ๙<br />
พ.ศ.๒๕๑๗ โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๑๗<br />
พ.ศ.๒๕๑๙ โรงเรียนนายเรือรุนที่ ๗๔<br />
พ.ศ.๒๕๓๔ โรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ รุนที่ ๕๒<br />
พ.ศ.๒๕๔๕ วิทยาลัยการทัพเรือ รุนที่ ๓๕<br />
พ.ศ.๒๕๔๖ รัฐประศาสนศาส<strong>ต</strong>รมหาบัณฑิ<strong>ต</strong> มหาวิทยาลัยบูรพา<br />
พ.ศ.๒๕๕๔ วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร รุนที่ ๕๔<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ หลักสู<strong>ต</strong>รผูบริหารระดับสูงสถาบันวิทยาการ<br />
<strong>ต</strong>ลาดทุน รุนที่ ๒๔ (ว<strong>ต</strong>ท.๒๔)<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
• ผูบังคับการเรือหลวงจุฬา<br />
• ผูบังคับการเรือหลวงกูด<br />
• ผูบังคับการเรือหลวงพงัน<br />
• ผูบังคับการเรือหลวงสีชัง<br />
• เสนาธิการฐานทัพเรือกรุงเทพ<br />
• นายทหารฝายเสนาธิการประจํารองผูบัญชาการ<br />
ทหารสูงสุด<br />
• หัวหนาฝายศึกษาโรงเรียนนายเรือ<br />
• เสนาธิการโรงเรียนนายเรือ<br />
14<br />
ณ ราชอาณาจักรสเปน<br />
• ผูแทนไทยในฐานะหัวหนาคณะการประชุมคณะทํางาน<br />
เฉพาะกิจความมั่นคงทางทะเล ระหวางไทย–อินเดีย<br />
(Maritime Security) ระหวาง ๒๖ – ๒๙ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๕๘<br />
ณ กรุงนิวเดลี สาธารณรัฐอินเดีย<br />
• ปฏิบั<strong>ต</strong>ิราชการทะเลใน<strong>ต</strong>ําแหนงผูบังคับหนวยเรือฝก<br />
นายทหารนักเรียนหลักสู<strong>ต</strong>รประกาศนียบั<strong>ต</strong>รบัณฑิ<strong>ต</strong>ศึกษา<br />
สาขาวิทยาการทหารเรือ บนเรือหลวงกระบี่ในการฝก<br />
นายทหารนักเรียนหลักสู<strong>ต</strong>รประกาศนียบั<strong>ต</strong>รบัณฑิ<strong>ต</strong>ศึกษา<br />
สาขาวิทยาการทหารเรือ และรวมฝกในการฝก ASEAN<br />
Defense Ministers’ Meeting (ADMM-PLUS MS FTX),<br />
การฝก Triton Centenary 2013 – 1 (TC13 – 1) และ<br />
เขารวมการสวนสนามทางเรือนานาชา<strong>ต</strong>ิ International<br />
Fleet Review 2013 (IFR 2013) ระหวาง ๑ กันยายน<br />
ถึง ๑๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๖ ณ อาวซิดนีย เครือรัฐ<br />
ออสเ<strong>ต</strong>รเลีย<br />
งานมอบหมายที่สําคัญ<br />
• โฆษกกองทัพเรือ<br />
รางวัลที่ไดรับ<br />
• รางวัล “<strong>ต</strong>ราชั่งทองคํา” ประจําป ๒๕๕๘<br />
• รางวัล “สิงหทอง” ประจําป ๒๕๕๘<br />
• รางวัลเกียร<strong>ต</strong>ิยศจักรดาว ประจําป ๒๕๖๐<br />
(สาขาบริหารการปกครองและเสริมสรางความมั่นคงแหงชา<strong>ต</strong>ิ)<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก
พลอากาศเอก สุรศักดิ์ ทุงทอง<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๒ กรกฎาคม ๒๕๐๑<br />
บิดา-มารดา นายถม ทุงทอง - นางปราณี ทุงทอง<br />
คูสมรส นางจารุณี ทุงทอง (จิ<strong>ต</strong>การุณ)<br />
บุ<strong>ต</strong>ร-ธิดา นายเมษย ทุงทอง<br />
นางสาวปณิ<strong>ต</strong>า ทุงทอง<br />
ที่อยูปจจุบัน ๑๗๑/๒๕๐๗ ถนนพหลโยธิน<br />
แขวงคลองถนน เข<strong>ต</strong>สายไหม<br />
กรุงเทพฯ ๑๐๒๒๐<br />
การศึกษา<br />
พ.ศ.๒๕๒๒ ระดับมัธยมศึกษา<strong>ต</strong>อนปลาย<br />
พ.ศ.๒๕๒๕<br />
โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๑๘<br />
ปริญญา<strong>ต</strong>รีวิทยาศาส<strong>ต</strong>รบัณฑิ<strong>ต</strong> (ทอ.)<br />
โรงเรียนนายเรืออากาศ รุนที่ ๒๕<br />
พ.ศ.๒๕๓๒ หลักสู<strong>ต</strong>รนายทหารชั้นผูบังคับฝูง รุนที่ ๖๕<br />
พ.ศ.๒๕๓๖ หลักสู<strong>ต</strong>รเสนาธิการทหารอากาศ รุนที่ ๓๗<br />
พ.ศ.๒๕๕๑ หลักสู<strong>ต</strong>รการทัพอากาศ รุนที่ ๔๒<br />
พ.ศ.๒๕๕๕ หลักสู<strong>ต</strong>รปองกันราชอาณาจักร รุนที่ ๕๔<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
พ.ศ.๒๕๓๘ ผูบังคับฝูงบิน ๑๐๑<br />
พ.ศ.๒๕๔๑ รองผูบังคับการกองบิน ๗<br />
พ.ศ.๒๕๔๒ รองผูอํานวยการกองการฝก<br />
กรมยุทธการทหารอากาศ<br />
พ.ศ.๒๕๔๓ รองผูบังคับการกองบิน ๒๓<br />
พ.ศ.๒๕๔๘ ผูบังคับการกองบิน ๒๓<br />
พ.ศ.๒๕๕๑ ผูชวยทู<strong>ต</strong>ทหารอากาศไทย/วอชิง<strong>ต</strong>ัน ดีซี<br />
พ.ศ.๒๕๕๔ รองเจากรมยุทธการทหารอากาศ<br />
พ.ศ.๒๕๕๕ เสนาธิการกรมควบคุมการปฏิบั<strong>ต</strong>ิทางอากาศ<br />
พ.ศ.๒๕๕๖ เจากรมขาวทหารอากาศ<br />
พ.ศ.๒๕๕๗<br />
พ.ศ.๒๕๕๙<br />
รองเสนาธิการทหารอากาศ<br />
- เสนาธิการทหารอากาศ<br />
- สมาชิกสภานิ<strong>ต</strong>ิบัญญั<strong>ต</strong>ิแหงชา<strong>ต</strong>ิ<br />
ราชการพิเศษ<br />
• ผูบังคับหนวยบินขับไลยุทธวิธี ๔ เครื่อง บข.๑๘ ข/ค<br />
หนวยบิน ๑๐๒๒<br />
• นักบินลองเครื่อง ฝูงบิน ๑๐๒<br />
• ครูการบิน ฝูงบิน ๗๑๑ กองบิน ๗๑<br />
• ผูบังคับหนวยบินขับไลยุทธวิธี ๔ เครื่อง<br />
เครื่องบินขับไลฝกแบบที่ ๑ หนวยบิน ๑๐๑๑<br />
• ราชองครักษเวร<br />
• นายทหารพิเศษประจํากรมนักเรียนนายเรืออากาศ<br />
รักษาพระองค<br />
• ฝายเสนาธิการระดับสูง ศูนยปฏิบั<strong>ต</strong>ิการกองทัพอากาศ<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก<br />
• ประถมาภรณมงกุฎไทย<br />
• ทวี<strong>ต</strong>ิยาภรณชางเผือก<br />
• เหรียญจักรมาลา<br />
• เหรียญพิทักษเสรีชนชั้น ๒ ประเภทที่ ๑<br />
• Legion Merit Degree Officer, USA<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
15
พลเอก ณัฐ อินทรเจริญ<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๙ มกราคม ๒๕๐๔<br />
คูสมรส นางรมิดา อินทรเจริญ<br />
บุ<strong>ต</strong>ร-ธิดา นางสาวสุนัดดา อินทรเจริญ<br />
รอยโท ณบดี อินทรเจริญ<br />
นางสาวภัทรกร อินทรเจริญ<br />
ที่อยู ๓๒๖/๖ ถนนอํานวยสงคราม<br />
แขวงถนนนครไชยศรี<br />
เข<strong>ต</strong>ดุสิ<strong>ต</strong> กรุงเทพฯ ๑๐๓๐๐<br />
การศึกษา<br />
พ.ศ.๒๕๒๐ โรงเรียนหอวัง กรุงเทพฯ<br />
พ.ศ.๒๕๒๒ โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๒๐<br />
พ.ศ.๒๕๒๗ โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา รุนที่ ๓๑<br />
พ.ศ.๒๕๒๙ หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายรอย เหลาทหารราบ รุนที่ ๗๔<br />
พ.ศ.๒๕๓๓ หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายพัน เหลาทหารราบ รุนที่ ๕๓<br />
พ.ศ.๒๕๓๖ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก ชุดที่ ๗๑<br />
พ.ศ.๒๕๕๘ วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร รุนที่ ๕๘<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
พ.ศ.๒๕๒๗ ผูบังคับหมวดปนเล็ก กองรอยอาวุธเบา<br />
กองพันทหารราบที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๒<br />
รักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๓๑ ผูบังคับกองรอยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ ๑<br />
กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๓๔ นายทหารยุทธการและการฝก กองพันทหารราบที่ ๑<br />
กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๓๙ หัวหนาฝายการขาวกรอง กองพลทหารราบที่ ๒<br />
รักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๔๐ หัวหนาฝายยุทธการ กองพลทหารราบที่ ๒<br />
รักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๔๘ เสนาธิการมณฑลทหารบกที่ ๑๑<br />
พ.ศ.๒๕๔๙ ผูบังคับการจังหวัดทหารบกกาญจนบุรี<br />
พ.ศ.๒๕๕๒ หัวหนาสํานักงานรัฐมน<strong>ต</strong>รีวาการกระทรวงกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๕๓ ผูบังคับการจังหวัดทหารบกกาญจนบุรี (อั<strong>ต</strong>ราพล<strong>ต</strong>รี)<br />
พ.ศ.๒๕๕๖ ผูบัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๑๔<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ ผูบัญชาการกองพลทหารราบที่ ๙<br />
พ.ศ.๒๕๕๘ รองแมทัพภาคที่ ๑<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ รองเสนาธิการทหารบก<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ - หัวหนานายทหารฝายเสนาธิการ<br />
- ประจํารัฐมน<strong>ต</strong>รีวาการกระทรวงกลาโหม<br />
- รองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ราชการพิเศษ<br />
พ.ศ.๒๕๕๓ นายทหารพิเศษ ประจํากรมทหารราบที่ ๒<br />
รักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ สมาชิกสภานิ<strong>ต</strong>ิบัญญั<strong>ต</strong>ิแหงชา<strong>ต</strong>ิ<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ - ผูอํานวยการศูนยปรองดองสมานฉันท<br />
เพื่อการปฏิรูป<br />
- นายทหารพิเศษ ประจํากรมทหารราบที่ ๑<br />
มหาดเล็กรักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ - ที่ปรึกษากิ<strong>ต</strong><strong>ต</strong>ิมศักดิ์สมาคมกีฬาแบดมิน<strong>ต</strong>ัน<br />
แหงประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ<br />
- ที่ปรึกษาคณะกรรมการโอลิมปคแหงประเทศไทย<br />
ในพระบรมราชูปถัมภ<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก<br />
• ประถมาภรณมงกุฎไทย<br />
• เหรียญพิทักษเสรีชน ชั้นที่ ๒ ประเภทที่ ๑<br />
• เหรียญราชการชายแดน<br />
• เหรียญจักรมาลา<br />
16
พลเอก สมศักดิ์ รุงสิ<strong>ต</strong>า<br />
ผูอํานวยการสํานักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๒๕ มีนาคม ๒๕๐๓<br />
คูสมรส พันเอกหญิง นิศารั<strong>ต</strong>น รุงสิ<strong>ต</strong>า<br />
บุ<strong>ต</strong>ร นายภิญญวัฒน รุงสิ<strong>ต</strong>า<br />
นายภูริวัฒน รุงสิ<strong>ต</strong>า<br />
การศึกษา<br />
• โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล<br />
• โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๑๙<br />
• โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา รุนที่ ๓๐<br />
• Virginia Military Institute (VMI), สหรัฐอเมริกา<br />
• Virginia Polytechnic Institute and State University (Virginia Tech), สหรัฐอเมริกา<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายรอย/ชั้นนายพัน เหลาทหารสื่อสาร<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รหลักประจํา ชุดที่ ๗๐ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รการปองกันราชอาณาจักร รุนที่ ๕๘<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
• อาจารยสวนการศึกษา โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา<br />
• รองหัวหนาฝายขาว สถานีวิทยุโทรทัศนกองทัพบก<br />
• ผูอํานวยการกองเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร กรมยุทธการทหารบก<br />
• ผูอํานวยการกองการฝกและศึกษา กรมยุทธการทหารบก<br />
• ผูอํานวยการกองการจัด กรมยุทธการทหารบก<br />
• ผูอํานวยการกองนโยบายและแผน กรมยุทธการทหารบก<br />
• ผูอํานวยการสํานักงานนโยบายและยุทธศาส<strong>ต</strong>ร สํานักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
• ผูชวยผูอํานวยการสํานักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
• รองผูอํานวยการสํานักนโยบายและแผนกลาโหม<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
17
พลเอก ชัยพฤกษ พูนสวัสดิ์<br />
เจากรมเสมียน<strong>ต</strong>รา<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๓<br />
บิดา-มารดา พันเอก ชลอ - นางพิศมร พูนสวัสดิ์<br />
คูสมรส นางนวลจันทร พูนสวัสดิ์<br />
ธิดา นางสาวชญานิษฐ พูนสวัสดิ์<br />
นางสาวธัญยชนก พูนสวัสดิ์<br />
ที่อยู ๖ ซอยอุดมสุข ๕๐ (สุขพิทักษ) ถนนสุขุมวิท ๑๐๓<br />
แขวงบางจาก เข<strong>ต</strong>บางนา กรุงเทพฯ ๑๐๒๖๐<br />
การศึกษา<br />
• โรงเรียนสมถวิล<br />
• โรงเรียนมัธยมสาธิ<strong>ต</strong>รามคําแหง รุนที่ ๑<br />
• โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๒๐<br />
• โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา รุนที่ ๓๑<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายรอย เหลาทหารมา รุนที่ ๒/๒๕๒๙<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายพัน เหลาทหารมา รุนที่ ๑/๒๕๓๓<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รหลักประจํา ชุดที่ ๗๑ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รการปองกันราชอาณาจักร<br />
วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร รุนที่ ๕๘<br />
• ปริญญารัฐประศาสนศาส<strong>ต</strong>รมหาบัณฑิ<strong>ต</strong> สาขานโยบาย<br />
สาธารณะ มหาวิทยาลัยบูรพา<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
พ.ศ.๒๕๒๗ ผูบังคับหมวดรถถัง กองพันทหารมาที่ ๒๒<br />
พ.ศ.๒๕๓๒ รองผูบังคับกองรอย กองพันนักเรียนการรบ<br />
พิเศษ กรมนักเรียน โรงเรียนทหารมา<br />
ศูนยการทหารมา<br />
18<br />
พ.ศ.๒๕๓๓ นายทหารฝายสงกําลังบํารุง กรมทหารพรานที่ ๓๔<br />
พ.ศ.๒๕๓๘ หัวหนาแผนกกําลังพล กองกลาง ศูนยการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรม<br />
ปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
พ.ศ.๒๕๔๔ นักวิชาการพิเศษ ศูนยการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรม<br />
ปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
พ.ศ.๒๕๔๕ ผูอํานวยการกองสวัสดิการ สํานักงานสนับสนุน<br />
กรมเสมียน<strong>ต</strong>รา<br />
พ.ศ.๒๕๔๗ ผูอํานวยการกองบริการ สํานักงานสนับสนุน<br />
กรมเสมียน<strong>ต</strong>รา<br />
พ.ศ.๒๕๕๓ เลขานุการสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๕๖ ที่ปรึกษาสํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ ผูชวยหัวหนานายทหารฝายเสนาธิการประจํา<br />
ปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๕๘<br />
ราชการพิเศษ<br />
พ.ศ.๒๕๓๑<br />
รองเจากรมเสมียน<strong>ต</strong>รา<br />
นายทหารยุทธการและการขาว ชุดควบคุม<br />
และประสานงานโครงการ ๕๑๓ สวนแยก ๑๘<br />
สวนโครงการ ๓๑๕ ศูนยปฏิบั<strong>ต</strong>ิการกองทัพบก<br />
พ.ศ.๒๕๔๘ ราชองครักษเวร<br />
พ.ศ.๒๕๕๓ นายทหารพิเศษ ประจํากรมทหารมาที่ ๑<br />
รักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๕๘ นายทหารพิเศษ ประจํากรมทหารมาที่ ๔<br />
รักษาพระองค<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ <strong>ต</strong>ุลาการศาลทหารสูงสุด<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก<br />
• เหรียญพิทักษเสรีชน ชั้น ๒ ประเภทที่ ๒<br />
• เหรียญราชการชายแดน<br />
• เหรียญจักรมาลา
พลเอก อนุชิ<strong>ต</strong> อินทรทั<strong>ต</strong><br />
ผูอํานวยการสํานักงบประมาณกลาโหม<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๒๒ สิงหาคม ๒๕๐๓<br />
บิดา-มารดา พันโท ลอม - นางกัลยา อินทรทั<strong>ต</strong><br />
คูสมรส นางทัศนียา อินทรทั<strong>ต</strong><br />
ธิดา นางสาวพิมแพร อินทรทั<strong>ต</strong><br />
นางสาวพิมดาว อินทรทั<strong>ต</strong><br />
ที่อยู ๘๖๒/๙ ซอย ๘ ถนนพหลโยธิน แขวงสามเสนใน<br />
เข<strong>ต</strong>พญาไท กรุงเทพฯ ๑๐๔๐๐<br />
การศึกษา<br />
• โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๑๙<br />
• โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา รุนที่ ๓๐<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายรอย เหลาทหารราบ รุนที่ ๗๒<br />
ป พ.ศ.๒๕๒๙<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายพัน เหลาทหารราบ รุนที่ ๕๐<br />
ป พ.ศ.๒๕๓๒<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รหลักประจํา ชุดที่ ๗๐ โรงเรียนเสนาธิการทหารบก<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รนายทหารปลัดบัญชีระดับผูบริหาร รุนที่ ๒<br />
• บริหารธุรกิจมหาบัณฑิ<strong>ต</strong> มหาวิทยาลัยเกษ<strong>ต</strong>รศาส<strong>ต</strong>ร<br />
พ.ศ.๒๕๔๐<br />
• วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร รุนที่ ๕๗<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รนักบริหารการเงินการคลังภาครัฐระดับสูง รุนที่ ๓<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
พ.ศ.๒๕๓๐ ผูบังคับกองรอยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ ๓<br />
กรมทหารราบที่ ๒๕<br />
พ.ศ.๒๕๓๗ หัวหนาควบคุมภายใน กองปลัดบัญชี<br />
กองทัพภาคที่ ๑<br />
พ.ศ.๒๕๔๖ ผูอํานวยการกองบริหารทรัพยากร<br />
สํานักงบประมาณกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๔๙ ผูอํานวยการกองงบประมาณ<br />
สํานักงบประมาณกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๕๓ ผูชํานาญการ สํานักงบประมาณกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๕๔ ผูชวยผูอํานวยการ สํานักงบประมาณกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๕๖ รองผูอํานวยการ สํานักงบประมาณกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ เจากรมการเงินกลาโหม<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ ผูอํานวยการสํานักงบประมาณกลาโหม<br />
ราชการพิเศษ<br />
พ.ศ.๒๕๕๔ นายทหารพิเศษ ประจํากรมนักเรียนนายรอย<br />
รักษาพระองค โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา<br />
พ.ศ.๒๕๕๕ <strong>ต</strong>ุลาการศาลทหารกรุงเทพ<br />
พ.ศ.๒๕๕๗ <strong>ต</strong>ุลาการศาลทหารกลาง<br />
พ.ศ.๒๕๕๙ <strong>ต</strong>ุลาการศาลทหารสูงสุด<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ ราชองครักษเวร<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก<br />
• เหรียญพิทักษเสรีชน ชั้นที่ ๒ ประเภทที่ ๒<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
19
พลเอก นภน<strong>ต</strong> สรางสมวงษ<br />
ผูอํานวยการศูนยการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรม<br />
ปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๕ มกราคม ๒๕๐๓<br />
การศึกษา<br />
• โรงเรียนเซ็น<strong>ต</strong>คาเบรียล<br />
• โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๒๐<br />
• โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา รุนที่ ๓๑<br />
• โรงเรียนเสนาธิการทหารบก หลักสู<strong>ต</strong>รหลักประจํา ชุดที่ ๗๑<br />
• มหาวิทยาลัยรามคําแหง หลักสู<strong>ต</strong>รรัฐศาส<strong>ต</strong>รมหาบัณฑิ<strong>ต</strong><br />
• วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร สถาบันวิชาการปองกันประเทศ รุนที่ ๕๖<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
• ผูบังคับหมวดปนเล็ก กองรอยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ ๕ กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค<br />
• ผูบังคับกองรอยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ ๓ กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค<br />
• ผูบังคับกองรอยอาวุธเบา กองพันที่ ๑ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค<br />
• อาจารยโรงเรียนเสนาธิการทหารบก สถาบันวิชาการทหารบกชั้นสูง<br />
• รองเสนาธิการ กรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค<br />
• เสนาธิการทหาร กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค<br />
• รองผูบังคับการ กรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค<br />
• ผูอํานวยการกองขาว กองทัพนอยที่ ๑<br />
• นายทหารฝายเสนาธิการประจํารัฐมน<strong>ต</strong>รีวาการกระทรวงกลาโหม (อั<strong>ต</strong>รา พล<strong>ต</strong>รี)<br />
• หัวหนาสํานักงานรัฐมน<strong>ต</strong>รีวาการกระทรวงกลาโหม<br />
• เสนาธิการ กรมการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมทหาร ศูนยการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
• รองผูบัญชาการ ศูนยอํานวยการสรางอาวุธ ศูนยการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
• ผูบัญชาการศูนยอํานวยการสรางอาวุธ ศูนยการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
ราชการพิเศษ<br />
• ปฏิบั<strong>ต</strong>ิหนาที่ราชการ<strong>ต</strong>ามแผนปองกันประเทศของกองทัพบก<br />
• ปฏิบั<strong>ต</strong>ิหนาที่ราชการ<strong>ต</strong>ามแผนปองกันประเทศของกองทัพบก ๓ จังหวัดชายแดนภาคใ<strong>ต</strong><br />
• นายทหารพิเศษประจํากรมทหารราบที่ ๑ มหาดเล็กรักษาพระองค และกรมทหารราบที่ ๒ รักษาพระองค<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก<br />
• ประถมาภรณมงกุฎไทย<br />
20
พลเรือเอก ปรีชาญ จามเจริญ<br />
เจากรมพระธรรมนูญ<br />
- หลักสู<strong>ต</strong>รนักบริหารยุทธศาส<strong>ต</strong>รการปองกันและปราบปราม<br />
การทุจริ<strong>ต</strong>ระดับสูง (รุนที่ ๔) สถาบันการปองกัน<br />
และปราบปรามการทุจริ<strong>ต</strong> (นยปส. รุนที่ ๔)<br />
- หลักสู<strong>ต</strong>รนิ<strong>ต</strong>ิธรรมเพื่อประชาธิปไ<strong>ต</strong>ย ศาลรัฐธรรมนูญ<br />
(นปธ. รุนที่ ๔)<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
• นายทหารพระธรรมนูญ แผนกสืบสวนสอบสวน<br />
กองพระธรรมนูญ กรมสารบรรณทหารเรือ<br />
• นายทหารพระธรรมนูญ กองการฝก กองเรือยุทธการ<br />
• นายทหารพระธรรมนูญ แผนกพระธรรมนูญ<br />
กองกิจการพลเรือน ฐานทัพเรือสั<strong>ต</strong>หีบ<br />
• นายทหารพระธรรมนูญ กองกําลังพลและธุรการ<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๒๕ ธันวาคม ๒๕๐๑<br />
บิดา–มารดา นายทั่ง – นางแจว จามเจริญ<br />
คูสมรส นางดุลยลัคน จามเจริญ<br />
ที่อยู ๑๒๔/๑๐๖ หมูที่ ๓ ถนนรั<strong>ต</strong>นาธิเบศร<br />
<strong>ต</strong>ําบลไทรมา อําเภอเมืองนนทบุรี<br />
จังหวัดนนทบุรี<br />
การศึกษา<br />
• ปริญญา<strong>ต</strong>รี นิ<strong>ต</strong>ิศาส<strong>ต</strong>รบัณฑิ<strong>ต</strong> มหาวิทยาลัยรามคําแหง<br />
• ปริญญาโท ศิลปศาส<strong>ต</strong>รมหาบัณฑิ<strong>ต</strong> มหาวิทยาลัยรามคําแหง<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รทหาร<br />
- นักเรียนชางกรมอูทหารเรือ รุนที่ ๒๕๑๗<br />
- หลักสู<strong>ต</strong>รนายทหารสัญญาบั<strong>ต</strong>รชั้น<strong>ต</strong>น รุนที่ ๑๔<br />
โรงเรียนเหลาทหารพระธรรมนูญ<br />
- หลักสู<strong>ต</strong>รสงทางอากาศ นาวิกโยธิน รุนที่ ๑๔<br />
โรงเรียนทหารนาวิกโยธิน<br />
- หลักสู<strong>ต</strong>รเสนาธิการทหารเรือ รุนที่ ๕๔<br />
โรงเรียนเสนาธิการทหารเรือ<br />
- หลักสู<strong>ต</strong>ร<strong>ต</strong>ุลาการพระธรรมนูญ รุนที่ ๗<br />
โรงเรียนเหลาทหารพระธรรมนูญ<br />
- หลักสู<strong>ต</strong>รวิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร รุนที่ ๕๗<br />
สถาบันวิชาการปองกันประเทศ<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รอื่นๆ<br />
- หลักสู<strong>ต</strong>รสืบสวนสอบสวน กองบัญชาการศึกษา<br />
สถาบันพัฒนาขาราชการกรม<strong>ต</strong>ํารวจ (รุนที่ ๖๒)<br />
กรมการขนสงทหารเรือ<br />
• นายทหารพระธรรมนูญ กรมสารวั<strong>ต</strong>รทหารเรือ<br />
• นายทหารกิจการพลเรือน กองกิจการพลเรือน<br />
กองบังคับการกองเรือภาค ๒<br />
• นายทหารกิจการพลเรือน กองกิจการพลเรือน กองเรือภาค ๓<br />
• รองผูอํานวยการกองกิจการพลเรือน กองเรือภาค ๓<br />
• ฝายเสนาธิการประจํารองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
• ผูอํานวยการกองสงเคราะหทางกฎหมาย กรมพระธรรมนูญ<br />
• รองผูบัญชาการโรงเรียนเหลาทหารพระธรรมนูญ<br />
กรมพระธรรมนูญ<br />
• อัยการฝายอุทธรณและฎีกา สํานักอัยการทหาร<br />
กรมพระธรรมนูญ<br />
• <strong>ต</strong>ุลาการพระธรรมนูญ ประจําสํานัก<strong>ต</strong>ุลาการทหาร<br />
• <strong>ต</strong>ุลาการพระธรรมนูญ หัวหนาศาลทหารกรุงเทพ<br />
• <strong>ต</strong>ุลาการพระธรรมนูญ หัวหนาศาลทหารกลาง<br />
• หัวหนาสํานัก<strong>ต</strong>ุลาการทหาร และ<strong>ต</strong>ุลาการพระธรรมนูญ<br />
หัวหนาศาลทหารสูงสุด<br />
ราชการพิเศษ<br />
• นายทหารพิเศษ ประจํากรมนักเรียนนายเรือรักษาพระองคฯ<br />
• ราชองครักษเวร<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก<br />
• เหรียญพิทักษเสรีชน<br />
• เหรียญราชการชายแดน<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
21
พลเอก สิงหศักดิ์ อุทัยมงคล<br />
จเรทหารทั่วไป<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๑๖ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๐๐<br />
บิดา–มารดา พันเอก สมบูรณ - นางละลิ<strong>ต</strong> อุทัยมงคล<br />
คูสมรส นางณัฏฐพร อุทัยมงคล<br />
(ชื่อสกุลเดิม กระเทศ)<br />
การศึกษา<br />
• โรงเรียนสาธิ<strong>ต</strong>วิทยาลัยครูเทพส<strong>ต</strong>รี จังหวัดลพบุรี<br />
• โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๑๖<br />
• โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา รุนที่ ๒๗<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายรอย เหลาทหารราบ รุนที่ ๖๓<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายพัน เหลาทหารราบ รุนที่ ๔๕<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รชั้นนายพัน Ft.Benning, USA<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รเสนาธิการทหารบก หลักสู<strong>ต</strong>รหลักประจํา<br />
ชุดที่ ๖๗<br />
• วิทยาลัยเสนาธิการทหาร รุนที่ ๔๔<br />
• วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร รุนที่ ๕๔<br />
<strong>ต</strong>ําแหนงสําคัญ<br />
• ผูบังคับหมวดลาด<strong>ต</strong>ระเวน กองรอยสนับสนุนการรบ<br />
กองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๓๑<br />
รักษาพระองค<br />
• ผูบังคับหมวดปนเล็ก กองรอยอาวุธเบา กองพันทหารราบ<br />
ที่ ๒ กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค<br />
• รองผูบังคับกองรอยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ ๒<br />
กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค<br />
• ผูชวยฝายยุทธการ กองพันทหารราบที่ ๒ กรมทหารราบ<br />
ที่ ๓๑ รักษาพระองค<br />
• ผูบังคับกองรอยอาวุธเบา กองพันทหารราบที่ ๒<br />
กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค<br />
• หัวหนาฝายยุทธการ กองพันทหารราบที่ ๒<br />
กรมทหารราบที่ ๓๑ รักษาพระองค<br />
• รองหัวหนากองสงกําลังบํารุง มณฑลทหารบกที่ ๑๔<br />
• นายทหารกิจการพลเรือน กองกําลังทหารพราน<br />
กองทัพภาคที่ ๑<br />
• รองผูอํานวยการกองสงกําลังบํารุง กองทัพภาคที่ ๑<br />
• รองผูอํานวยการกองกําลังพล กองทัพภาคที่ ๑<br />
• ผูอํานวยการกองขาว กองทัพนอยที่ ๑<br />
• ผูอํานวยการกองกําลังพล กองทัพนอยที่ ๑<br />
• ผูอํานวยการกองยุทธการ กองทัพนอยที่ ๑<br />
• รองเสนาธิการ กองทัพนอยที่ ๑<br />
• รองผูบัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๑๒<br />
• รองผูบัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๑๑<br />
• เสนาธิการกองทัพนอยที่ ๑<br />
• ผูบัญชาการมณฑลทหารบกที่ ๑๑<br />
• รองแมทัพภาคที่ ๑<br />
• ที่ปรึกษากองทัพบก<br />
• ผูทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพบก<br />
• จเรทหารทั่วไป<br />
ราชการพิเศษ<br />
• ปฏิบั<strong>ต</strong>ิหนาที่ราชการ<strong>ต</strong>ามแผนปองกันประเทศ<br />
ของกองทัพบก<br />
• ปฏิบั<strong>ต</strong>ิราชการปราบปรามผูกอการรายคอมมิวนิส<strong>ต</strong><br />
• ปฏิบั<strong>ต</strong>ิราชการในสายงานกองอํานวยการรักษา<br />
ความมั่นคงภายในประเทศ<br />
• ปฏิบั<strong>ต</strong>ิราชการ ๓ จังหวัดชายแดนภาคใ<strong>ต</strong><br />
• ราชองครักษเวร<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก<br />
• ประถมาภรณมงกุฎไทย<br />
22
พลเอก สัมพันธ ธัญญพืช<br />
ผูอํานวยการองคการสงเคราะหทหารผานศึก<br />
วัน/เดือน/ปเกิด ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๐๑<br />
การศึกษา<br />
• มัธยมศึกษา<strong>ต</strong>อน<strong>ต</strong>น โรงเรียนอุดรพิทยานุกูล<br />
• มัธยมศึกษา<strong>ต</strong>อนปลาย โรงเรียนเ<strong>ต</strong>รียมทหาร รุนที่ ๑๗<br />
• ปริญญา<strong>ต</strong>รี โรงเรียนนายรอยพระจุลจอมเกลา รุนที่ ๒๘<br />
• ปริญญาโท รัฐศาส<strong>ต</strong>รมหาบัณฑิ<strong>ต</strong> มหาวิทยาลัยธรรมศาส<strong>ต</strong>ร<br />
การศึกษาทางทหาร<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รเสนาธิการทหาร โรงเรียนเสนาธิการทหารบก<br />
• หลักสู<strong>ต</strong>รวิทยาลัยเสนาธิการทหาร<br />
• วิทยาลัยปองกันราชอาณาจักร<br />
ประวั<strong>ต</strong>ิการทํางาน<br />
• นายทหารปฏิบั<strong>ต</strong>ิการประจํากรมขาวทหารบก<br />
• รองผูชวยทู<strong>ต</strong>ทหารบกไทยประจํากรุงปกกิ่ง<br />
• ผูชวยทู<strong>ต</strong>ทหารบกไทยประจํากรุงฮานอยและรักษาการผูชวยทู<strong>ต</strong>ทหารไทยประจํากรุงฮานอย<br />
ประเทศเวียดนาม<br />
• ผูอํานวยการสํานักนโยบายวิทยาศาส<strong>ต</strong>รและเทคโนโลยีปองกันประเทศ<br />
กรมวิทยาศาส<strong>ต</strong>รและเทคโนโลยีกลาโหม<br />
• เจากรมการสรรพกําลังกลาโหม<br />
• ผูทรงคุณวุฒิพิเศษ สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
เครื่องราชอิสริยาภรณ<br />
• มหาวชิรมงกุฎ<br />
• ประถมาภรณชางเผือก<br />
• ประถมาภรณมงกุฎไทย<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
23
นโยบายรัฐมน<strong>ต</strong>รีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
นโยบายเร่งด่วนประจาปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑<br />
(๑ <strong>ต</strong>.ค.๖๐ - ๓๐ ก.ย.๖๑)<br />
๑. ให้ความสาคัญและความเร่งด่วนสูงสุดในการพิทักษ์รักษาและเทิดทูนสถาบันพระมหากษั<strong>ต</strong>ริย์ด้วยการมีระบบถวาย<br />
ความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ ป้องกันและปราบปรามการกระทาที่ล่วงละเมิดพระบรมเดชานุภาพ โดยร่วมมือกับ<br />
ทุกภาคส่วน ขยายผลและเผยแพร่หลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง และการพัฒนา<strong>ต</strong>ามแนวทางพระราชดาริของพระบาทสมเด็จ<br />
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิ<strong>ต</strong>ร สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิ<strong>ต</strong>ิ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ ๙ ให้กว้างขวาง<br />
ทั้งในระดับประเทศและในระดับสากล เพื่อให้สถาบันพระมหากษั<strong>ต</strong>ริย์คงเป็นศูนย์รวมจิ<strong>ต</strong>ใจที่มั่นคงและยั่งยืนของประชาชน<br />
ชาวไทย และเป็นสถาบันหลักที่สาคัญยิ่ง<strong>ต</strong>ลอดไป รวมทั้งดาเนินการ<strong>ต</strong>ามพระราโชบายของสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
มหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร ที่ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ร่วมกันจัดโครงการจิ<strong>ต</strong>อาสา<br />
พระราชทาน<strong>ต</strong>ามแนวพระราชดาริ เพื่อเป็นการเฉลิมพระเกียร<strong>ต</strong>ิและแสดงความสานึกในพระมหากรุณาธิคุณ<br />
ของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิ<strong>ต</strong>ร และสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิ<strong>ต</strong>ิ์ พระบรมราชินีนาถ<br />
ในรัชกาลที่ ๙ ที่ทรงประกอบพระราชกรณียกิจนานัปการ เพื่อประโยชน์สุขของประชาชน<br />
๒. ดาเนินการปฏิรูปโครงสร้างและระบบงานให้มีความพร้อมในการปฏิบั<strong>ต</strong>ิภารกิจ<strong>ต</strong>ามแผนแม่บท การปฏิรูปการบริหาร<br />
จัดการและการปรับปรุงโครงสร้างกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๖๙ รวมทั้งเสริมสร้างความพร้อมรบด้านยุทโธปกรณ์<br />
<strong>ต</strong>ามแผนพัฒนาขีดความสามารถกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๖๙ เพื่อมุ่งสู่การเป็นกองทัพชั้นนา มีบทบาทสาคัญ<br />
ในด้านความมั่นคงของรัฐ และส่งเสริมความมั่นคงของภูมิภาค ซึ่งสอดคล้องกับยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์การป้องกันประเทศ กระทรวง<br />
กลาโหม พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๗๙ และร่างยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์ชา<strong>ต</strong>ิระยะ ๒๐ ปี โดยให้ความสาคัญกับการดาเนินการในเรื่องที่มีความ<br />
เร่งด่วน ดังนี้<br />
24<br />
สำนักงำนนโยบำยและยุทธศำส<strong>ต</strong>ร์ สำนักนโยบำยและแผนกลำโหม
๒.๑ พิจารณาปรับลดกาลังทหารประจาการให้เป็นไป<strong>ต</strong>ามเป้าหมายที่กาหนด พร้อมทั้งทดแทนด้วยการบรรจุ<br />
ข้าราชการพลเรือนกลาโหมที่มีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน และนากาลังพลสารองมาบรรจุเข้ารับราชการเป็นการชั่วคราว<br />
<strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่ยามปก<strong>ต</strong>ิ โดยดาเนินการในหน่วยนาร่องให้มีผลอย่างเป็นรูปธรรมในปี พ.ศ.๒๕๖๑ รวมทั้งนาเทคโนโลยีที่ทันสมัย<br />
มาชดเชยจานวนกาลังพลที่ลดลง เพื่อให้มีประสิทธิภาพในการปฏิบั<strong>ต</strong>ิภารกิจที่สูงขึ้น<br />
๒.๒ พัฒนาระบบราชการของกระทรวงกลาโหม โดยมุ่งเน้นการบริหารทรัพยากรให้เกิดประสิทธิภาพและ<br />
ประสิทธิผลสูงสุด ด้วยการนานวั<strong>ต</strong>กรรมที่มีแนวคิด วิธีการ และรูปแบบใหม่ๆ มาใช้ในการบริหารจัดการองค์กร พัฒนาความ<br />
ร่วมมือจากประชาชนให้พร้อมสนับสนุนภารกิจทางทหารได้<strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่ในภาวะปก<strong>ต</strong>ิ พัฒนาระบบกาลังสารอง และระบบการ<br />
ระดมสรรพกาลังเพื่อการทหาร ให้สอดคล้องกับความจาเป็นทางทหาร <strong>ต</strong>ลอดจนให้ความสาคัญกับการควบคุมยุทธภัณฑ์<br />
และการสารองอาวุธยุทโธปกรณ์<strong>ต</strong>ามความเหมาะสม<br />
๒.๓ ให้ความสาคัญกับการกาหนดมา<strong>ต</strong>รการกระ<strong>ต</strong>ุ้นการทางานของกาลังพลที่ชัดเจน ประเมินผลการปฏิบั<strong>ต</strong>ิงาน<br />
ที่เชื่อถือได้และเป็นธรรม เพื่อนาไปสู่การ<strong>ต</strong>อบแทนผลงาน<strong>ต</strong>ามขีดความสามารถของกาลังพลอย่างแท้จริง สร้างแรงจูงใจและ<br />
ความภาคภูมิใจของข้าราชการทุกประเภทในการปฏิบั<strong>ต</strong>ิราชการ พัฒนาระบบการศึกษาและสถาบันการศึกษาในสังกัด<br />
กระทรวงกลาโหมให้มีคุณภาพและทันสมัย<br />
๒.๔ พัฒนาสวัสดิการและคุณภาพชีวิ<strong>ต</strong>กาลังพลและครอบครัว ด้วยการสร้างขวัญและกาลังใจในการปฏิบั<strong>ต</strong>ิราชการ<br />
โดยให้ความสาคัญในการดูแลสิทธิกาลังพล สถานที่ปฏิบั<strong>ต</strong>ิงาน บ้านพักอาศัย สิ่งอานวยความสะดวกที่จาเป็น และสิทธิอื่นๆ<br />
ที่พึงได้รับ<br />
๒.๕ ส่งเสริมงานด้านการวิจัยพัฒนา และอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศ โดยดาเนินการ<strong>ต</strong>ามยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์การพัฒนา<br />
วิทยาศาส<strong>ต</strong>ร์ เทคโนโลยี อุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๗๙ มุ่งเน้นการสร้างความ<br />
ร่วมมือกับภาคส่วน<strong>ต</strong>่างๆ ทั้งภายในประเทศและ<strong>ต</strong>่างประเทศ เพื่อให้สามารถขยายผลงานวิจัยและพัฒนาไปสู่การผลิ<strong>ต</strong>ใช้<br />
ในราชการและจาหน่ายในเชิงพาณิชย์เพื่อการพึ่งพา<strong>ต</strong>นเองอย่างยั่งยืน และลดการนาเข้าจาก<strong>ต</strong>่างประเทศ โดยให้นายุทโธปกรณ์<br />
ที่ได้จากการวิจัยและพัฒนามาใช้ในกองทัพอย่างเป็นรูปธรรม และเป็นส่วนหนึ่งของอั<strong>ต</strong>ราการจัดยุทโธปกรณ์ของหน่วย<br />
<strong>ต</strong>ลอดจนแสวงหาความร่วมมือกับทุกภาคส่วนทั้งภายในและภายนอกประเทศ<strong>ต</strong>ามนโยบาย Thailand 4.0 ของรัฐบาล<br />
๒.๖ เสริมสร้างขีดความสามารถในการปฏิบั<strong>ต</strong>ิการด้านไซเบอร์ทั้งในด้านโครงสร้างการจัดหน่วย กาลังพล<br />
และสิ่งอานวยความสะดวก รวมทั้งบูรณาการความร่วมมือในการปฏิบั<strong>ต</strong>ิการด้านไซเบอร์กับทุกภาคส่วนทั้งภายใน<br />
และ<strong>ต</strong>่างประเทศ เพื่อสร้างความรับรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับภัยคุกคามด้านไซเบอร์ โดยให้ความสาคัญและความเร่งด่วนกับ<br />
การปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<strong>ต</strong>ามมา<strong>ต</strong>รการการรักษาความปลอดภัยด้านไซเบอร์เป็นลาดับแรก<br />
๒.๗ บูรณาการการใช้กาลัง<strong>ต</strong>ามแนวชายแดนกับส่วนราชการ องค์กร ภาคเอกชน และภาคประชาชนที่เกี่ยวข้อง<br />
เพื่อให้สามารถเผชิญกับภัยคุกคามข้ามแดนที่มีความหลากหลายได้อย่างมีประสิทธิภาพ <strong>ต</strong>ลอดจนสอดคล้องกับการเข้าสู่<br />
ประชาคมอาเซียน และสถานการณ์ด้านความมั่นคงในแ<strong>ต</strong>่ละพื้นที่โดยให้ความสาคัญกับเอกภาพในการควบคุมบังคับบัญชา<br />
และการบังคับใช้กฎหมายของทุกส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง<br />
๒.๘ ปรับปรุงการจัดกาลังทหารหลักและส่งมอบพื้นที่รับผิดชอบ<strong>ต</strong>าม Roadmap การแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดน<br />
ภาคใ<strong>ต</strong>้ ด้วยการประสานการปฏิบั<strong>ต</strong>ิกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และดาเนินการเปลี่ยนผ่านการส่งมอบพื้นที่ให้เป็นไปด้วยความ<br />
รอบคอบ โดยคานึงถึงความพร้อม ประสิทธิภาพ และความ<strong>ต</strong>่อเนื่องในการปฏิบั<strong>ต</strong>ิภารกิจเป็นสาคัญ เพื่อให้เกิดความปลอดภัย<br />
มิให้เกิดการสูญเสียในชีวิ<strong>ต</strong>และทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่รวมทั้ง<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ามความเคลื่อนไหวเครือข่ายและความเชื่อมโยง<br />
ของกลุ่มก่อการร้าย<strong>ต</strong>่างๆ เพื่อป้องกัน ระงับ ยับยั้ง มิให้เกิดการกระทาที่กระทบ<strong>ต</strong>่อความมั่นคงของประเทศ และภูมิภาค<br />
๒.๙ เ<strong>ต</strong>รียมกาลังพลและยุทโธปกรณ์ให้พร้อมสนับสนุนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดการความเสี่ยงจาก<br />
สาธารณภัยและการจัดการในภาวะฉุกเฉินให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ<strong>ต</strong>ามแผนบรรเทาสาธารณภัยกระทรวงกลาโหม<br />
๒๕๕๘ เพื่อลดความเสี่ยงและผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้น<strong>ต</strong>่อชีวิ<strong>ต</strong>และทรัพย์สินของประชาชน รวมทั้งความเสียหาย<strong>ต</strong>่อหน่วย<br />
งานภาครัฐ ทั้งนี้ ให้มุ่งเน้นการดาเนินงาน<strong>ต</strong>ามแผนงาน/โครงการในเชิงป้องกัน โดยน้อมนาพระราชกระแสรับสั่งของสมเด็จ<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
25
พระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร รับใส่เกล้าใส่กระหม่อมในการสาน<strong>ต</strong>่อแนวพระราชดาริของพระบาท<br />
สมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิ<strong>ต</strong>ร มาประยุก<strong>ต</strong>์ใช้ให้เหมาะสมกับสภาพปัญหาในแ<strong>ต</strong>่ละพื้นที่<br />
โดยประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อวางแผนแก้ไขปัญหาอุทกภัยอย่างยั่งยืน เป็น<strong>ต</strong>้น<br />
๒.๑๐ สนับสนุนการช่วยเหลือประชาชน พร้อมกับดูแลปัญหาความเดือดร้อน การให้บริการ และการสร้าง<br />
สภาวะแวดล้อมที่ดีให้กับประชาชนภายใ<strong>ต</strong>้ศักยภาพที่มีอยู่ เช่น การอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชา<strong>ต</strong>ิและป่าไม้ การขุดลอก<br />
คูคลองและเส้นทางระบายน้า การขุดเจาะน้าบาดาล การสร้างฝายชะลอน้าและแหล่งกักเก็บน้าเพื่อการอุปโภคและบริโภค<br />
ในห้วงฤดูแล้ง การสนับสนุนสิ่งอานวยความสะดวกสาหรับคนพิการและคนในสังคม การอานวยความสะดวก การเดินทาง<br />
ในห้วงเทศกาลสาคัญ การให้บริการการขนส่ง บริการทางแพทย์และสุขอนามัย และการจัดโครงการสินค้าราคาถูกและ<br />
อาหารราคาพิเศษ เพื่อลดค่าครองชีพของข้าราชการชั้นผู้น้อยและประชาชนทั่วไป เป็น<strong>ต</strong>้น โดยให้บูรณาการการทางาน<br />
ของภาคส่วน<strong>ต</strong>่างๆ ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่เกิดความซ้าซ้อน โดยมุ่งเน้นการมีส่วนร่วม<strong>ต</strong>ามแนวทาง<br />
“ประชารัฐ” เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้ชีวิ<strong>ต</strong>ประจาวันได้ด้วยความผาสุกและมีความปลอดภัย อันเป็นการเสริมสร้าง<br />
ความเชื่อมั่นของประชาชนที่มี<strong>ต</strong>่อกระทรวงกลาโหมและรัฐบาลให้เพิ่มมากขึ้น<br />
๒.๑๑ พัฒนากระบวนการยุ<strong>ต</strong>ิธรรมและกฎหมายทหารให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ สอดคล้องกับการบริหาร<br />
ราชการยุคใหม่ ปรับปรุงและพัฒนากฎหมายซึ่งมีความล้าสมัยและเป็นอุปสรรค รวมทั้ง<strong>ต</strong>รวจสอบและเร่งรัดดาเนินการ<br />
ออกกฎหมายลาดับรอง กฎกระทรวง ระเบียบ คาสั่งที่เกี่ยวข้อง เพื่อรองรับกฎหมายที่มีผลบังคับใช้แล้วโดยเร็ว ศึกษาและ<br />
ใช้ประโยชน์จากกฎหมายที่ออกมาใหม่เพื่อให้เกื้อกูล <strong>ต</strong>่อการปฏิรูปกระทรวงกลาโหมทั้งในด้านการพัฒนาระบบการบริหาร<br />
จัดการ การปรับปรุงโครงสร้าง <strong>ต</strong>ลอดจนการสนับสนุนการปฏิบั<strong>ต</strong>ิภารกิจเพื่อการเผชิญกับภัยคุกคามที่ไม่ใช่ทางทหาร<br />
และการแก้ไขปัญหาที่สาคัญของชา<strong>ต</strong>ิ<br />
๓. ให้ทุกส่วนราชการดาเนินการ<strong>ต</strong>ามแผนปฏิบั<strong>ต</strong>ิการป้องกันและปราบปรามการทุจริ<strong>ต</strong>ประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ พ.ศ.๒๕๖๐ -<br />
๒๕๖๔ รวมทั้ง<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ามประเมินผลการดาเนินงาน พร้อมกับส่งเสริมให้มีการบริหารงานอย่างมีธรรมาภิบาล โปร่งใส มีการ<br />
วางมา<strong>ต</strong>รการทางกฎหมาย และบทลงโทษผู้กระทาความผิดอย่างชัดเจน เพื่อให้การแก้ไขปัญหาเกิดผลสัมฤทธิ์อย่างเป็น<br />
รูปธรรม <strong>ต</strong>ลอดจนปลูกจิ<strong>ต</strong>สานึกให้<strong>ต</strong>ระหนักถึงผลกระทบจากการทุจริ<strong>ต</strong>ประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ<strong>ต</strong>่อหน่วยงานและประเทศชา<strong>ต</strong>ิ<br />
เพื่อให้เกิดความร่วมมือในการปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<strong>ต</strong>ามนโยบายของรัฐบาล<strong>ต</strong>่อไป<br />
๔. บริหารจัดการและใช้จ่ายงบประมาณให้เป็นไป<strong>ต</strong>ามแผนปฏิบั<strong>ต</strong>ิงาน แผนการใช้จ่ายงบประมาณ และเป้าหมาย<strong>ต</strong>าม<br />
มา<strong>ต</strong>รการที่รัฐบาลกาหนด โดยให้นายุทธศาส<strong>ต</strong>ร์การจัดสรรงบประมาณของรัฐบาลมาใช้เป็นแนวทางในการจัดทาคาขอ<br />
งบประมาณรายจ่ายประจาปี พร้อมกับกาหนดเป้าหมายและวั<strong>ต</strong>ถุประสงค์การดาเนินงานให้มีความเชื่อมโยงสอดคล้องกับ<br />
ยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์การป้องกันประเทศ กระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๗๙ ร่างยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์ชา<strong>ต</strong>ิระยะ ๒๐ ปี และสนับสนุน<br />
ซึ่งกันอย่างเป็นระบบ มีธรรมาภิบาลและความโปร่งใส<strong>ต</strong>รวจสอบได้ เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด<strong>ต</strong>่อทางราชการ อันจะ<br />
ส่งผลให้ประชาชนเกิดความเชื่อมั่น และมั่นใจในการใช้จ่ายงบประมาณของกองทัพ<br />
๕. เสริมสร้างความสัมพันธ์และพัฒนาความร่วมมือด้านความมั่นคงและความร่วมมือทางทหารกับมิ<strong>ต</strong>รประเทศ<br />
ด้วยการใช้กลไกและเวทีระหว่างประเทศทั้งแบบทวิภาคีและพหุภาคีที่ได้จัด<strong>ต</strong>ั้งไว้แล้วในทุกระดับรวมทั้งพิจารณาขยายขอบเข<strong>ต</strong><br />
และพัฒนาความร่วมมือทางทหารไปยังมิ<strong>ต</strong>รประเทศที่ได้ดาเนินการอยู่แล้วและประเทศที่ยังไม่ได้ดาเนินการ ทั้งในด้านการ<br />
ฝึกศึกษา การแลกเปลี่ยนการเยือนในทุกระดับ การข่าวกรอง การปฏิบั<strong>ต</strong>ิการด้านไซเบอร์ การ<strong>ต</strong>่อ<strong>ต</strong>้านการก่อการร้าย และ<br />
ภัยคุกคามข้ามชา<strong>ต</strong>ิในลักษณะอื่นๆ โดยกาหนดความเร่งด่วนและความสาคัญให้สอดคล้องกับแนวทางการเสริมสร้างความ<br />
ร่วมมือด้านความมั่นคงกับมิ<strong>ต</strong>รประเทศของกระทรวงกลาโหม พ.ศ.๒๕๖๐ - ๒๕๖๔ <strong>ต</strong>ลอดจนจัดเ<strong>ต</strong>รียมกาลังให้มีความ<br />
พร้อมปฏิบั<strong>ต</strong>ิภารกิจการปฏิบั<strong>ต</strong>ิการเพื่อสัน<strong>ต</strong>ิภาพในกรอบขององค์การสหประชาชา<strong>ต</strong>ิ และการให้ความช่วยเหลือด้าน<br />
มนุษยธรรมและการบรรเทาภัยพิบั<strong>ต</strong>ิแก่ประเทศสมาชิกอาเซียนและมิ<strong>ต</strong>รประเทศ<strong>ต</strong>ามนโยบายรัฐบาล รวมทั้งเผยแพร่<br />
ประชาสัมพันธ์ทางสื่อ<strong>ต</strong>ามโอกาสที่เหมาะสม เพื่อแสดงให้เห็นถึงบทบาทของกองทัพอันเป็นที่ยอมรับในระดับสากล<br />
26<br />
สำนักงำนนโยบำยและยุทธศำส<strong>ต</strong>ร์ สำนักนโยบำยและแผนกลำโหม
๖. สนับสนุนรัฐบาลในการดาเนินการที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ประชาคมอาเซียน ๒๐๒๕ แผนงาน ๑๐ ปี ประชาคม<br />
อาเซียน และการขับเคลื่อนประชาคมการเมืองและความมั่นคงอาเซียน โดยให้ความสาคัญกับการเสริมสร้างความสัมพันธ์<br />
และความร่วมมือระหว่างฝ่ายทหารอาเซียนและประเทศคู่เจรจา รวมทั้งดารงการมีบทบาทนาในการพัฒนาความร่วมมือ<br />
ระหว่างฝ่ายทหารอาเซียนและประเทศคู่เจรจา โดยเฉพาะความร่วมมือด้านความมั่นคงในกรอบการประชุมรัฐมน<strong>ต</strong>รี<br />
กลาโหมอาเซียน (ASEAN Defence Ministers’ Meeting : ADMM) การประชุมรัฐมน<strong>ต</strong>รีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมน<strong>ต</strong>รี<br />
กลาโหมประเทศคู่เจรจา (ASEAN Defence Ministers’ Meeting - Plus : ADMM - Plus) การประชุมอาเซียนว่าด้วย<br />
ความร่วมมือด้านการเมืองและความมั่นคงในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (ASEAN Regional Forum : ARF) <strong>ต</strong>ลอดจนให้<br />
ความสาคัญกับการประชุมและกิจกรรมความร่วมมือของคณะทางานผู้เชี่ยวชาญด้านการ<strong>ต</strong>่อ<strong>ต</strong>้านการก่อการร้ายในกรอบ<br />
การประชุมรัฐมน<strong>ต</strong>รีกลาโหมอาเซียนกับรัฐมน<strong>ต</strong>รีกลาโหมประเทศคู่เจรจา (ADMM - Plus EWG on CT) การพัฒนา<br />
ศักยภาพศูนย์แพทย์ทหารอาเซียน (ASEAN Center of Military Medicine : ACMM) ให้มีขีดความสามารถในการ<br />
เป็นศูนย์กลางประสานความร่วมมือทั้งในด้านการอานวยการ ประสานงาน และการบริหารจัดการด้านการแพทย์<br />
ให้สามารถ<strong>ต</strong>อบสนอง<strong>ต</strong>่อการเผชิญภัยคุกคามในรูปแบบ<strong>ต</strong>่างๆ ของประเทศสมาชิกอาเซียนและประเทศนอกภูมิภาค<br />
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขยายความร่วมมือกับหน่วยงานฝ่ายพลเรือนและองค์การระหว่างประเทศ เพื่อเผชิญกับความ<br />
ท้าทายด้านความมั่นคงที่ไม่ใช่ภัยคุกคามทางทหารในภูมิภาค รวมทั้งเ<strong>ต</strong>รียมความพร้อมของกระทรวงกลาโหมในการเป็น<br />
เจ้าภาพจัดการประชุม ADMM, ADMM - Plus และการประชุมอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องในฐานะที่ประเทศไทยจะเป็นประธาน<br />
อาเซียน ในปี พ.ศ.๒๕๖๒<br />
๗. สนับสนุนรัฐบาลในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจของประเทศ รวมทั้งการจัด<strong>ต</strong>ั้งและการพัฒนาเข<strong>ต</strong>พัฒนาเศรษฐกิจ<br />
พิเศษ ด้วยการใช้การทู<strong>ต</strong>โดยฝ่ายทหารและกลไกความร่วมมือด้านความมั่นคงที่มีอยู่แล้วในทุกระดับ เพื่อสร้างความมั่นใจ<br />
และความไว้เนื้อเชื่อใจกับประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศสมาชิกอาเซียน และมิ<strong>ต</strong>รประเทศ ซึ่งจะช่วยสนับสนุนให้เกิดการ<br />
พัฒนาเศรษฐกิจ การค้า การลงทุนของภูมิภาค อันจะนาไปสู่ความมั่นคงปลอดภัยและอยู่ดีกินดีของประชาชน<br />
๘. สนับสนุนรัฐบาลและคณะรักษาความสงบแห่งชา<strong>ต</strong>ิในการบริหารราชการแผ่นดินเพื่อขับเคลื่อนการพัฒนาประเทศ<br />
ในทุกมิ<strong>ต</strong>ิ โดยเฉพาะการรักษาความสงบเรียบร้อยของประเทศ การจัดระเบียบสังคม และควบคุมการกระทาผิดกฎหมาย<br />
และการเสริมสร้างความปรองดองสมานฉันท์ให้กับคนในชา<strong>ต</strong>ิให้มีความยั่งยืน<strong>ต</strong>่อเนื่อง เพื่อการวางรากฐานการปฏิรูป<br />
ประเทศ ด้วยการรวมกาลังทุกภาคส่วน ระหว่างภาครัฐ ภาคเอกชน และประชาชน เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศอย่าง<br />
เป็นรูปธรรม มีความมั่งคั่ง และยั่งยืน ซึ่งจะ<strong>ต</strong>้องดาเนินงานควบคู่ไปกับ “การสร้างจิ<strong>ต</strong>สานึกทางสังคม” อย่าง<strong>ต</strong>่อเนื่อง<br />
๙. สนับสนุนส่วนราชการที่เกี่ยวข้องในการดาเนินงานเรื่องที่เป็นวาระเร่งด่วนและการแก้ไขปัญหาของชา<strong>ต</strong>ิ<br />
การดาเนินการ<strong>ต</strong>ามพันธกรณีระหว่างประเทศ<strong>ต</strong>ามนโยบายรัฐบาล เช่น การแก้ไขปัญหาการทาการประมงผิดกฎหมาย<br />
ขาดการรายงาน และไร้การควบคุม (Illegal Unreported and Unregulated Fishing : IUU Fishing) และปัญหา<br />
องค์การการบินพลเรือนระหว่างประเทศ (International Civil Aviation Organization : ICAO) เป็น<strong>ต</strong>้น เพื่อป้องกัน<br />
มิให้ส่งผลกระทบ<strong>ต</strong>่อความมั่นคงของประเทศในอนาค<strong>ต</strong><br />
๑๐. สนับสนุนการจัดทาข้อมูลบริการประชาชนแบบอิเล็กทรอนิกส์ เพื่ออานวยความสะดวกแก่ประชาชนในการ<br />
เข้าถึงข้อมูล และการแจ้งเ<strong>ต</strong>ือนข่าวสารทางอิเล็กทรอนิกส์ของส่วนราชการในกระทรวงกลาโหมให้ทันสมัย พร้อมทั้ง<br />
ปรับปรุงข้อมูลของส่วนราชการในสื่อสังคมออนไลน์ให้มีความทันสมัยอย่าง<strong>ต</strong>่อเนื่อง ประชาสัมพันธ์เพื่อสร้างการรับรู้และ<br />
ความเข้าใจแก่ประชาชนให้ได้รับทราบข้อมูลที่ถูก<strong>ต</strong>้อง โดยให้มีเนื้อหาที่มีความเชื่อมโยงกับยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์ชา<strong>ต</strong>ิระยะ ๒๐ ปี<br />
และการปฏิรูปประเทศ โดยแสดงข้อมูลที่เข้าใจง่าย กระชับ ระบุประโยชน์ที่สังคมและประชาชนจะได้รับ เพื่อป้องกัน<br />
ไม่ให้เกิดความเข้าใจที่คลาดเคลื่อน ซึ่งอาจส่งผลกระทบ<strong>ต</strong>่อความมั่นคงและความสงบเรียบร้อยของสังคม <strong>ต</strong>ลอดจน<br />
ให้ความสาคัญกับการใช้เทคโนโลยีและการสื่อสารในการปฏิบั<strong>ต</strong>ิราชการ เพื่อสนับสนุนการขับเคลื่อนนโยบายเศรษฐกิจ<br />
และสังคมดิจิทัล (Digital Economy) ของรัฐบาล<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
27
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
(<strong>ต</strong>อนจบ)<br />
พระผู้ทรงสร้าง “จิ<strong>ต</strong>วิญญาณ”<br />
แหงสยามรัฐ<br />
พระราชดําริในการปกครอง<br />
บานเมือง<br />
การปลูกฝงวินัยและ<br />
พจริยธรรมแกราษฎร<br />
ระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้า<br />
อยู่หัว ทรงมีพระราช<br />
ดารัสและพระราชนิพนธ์จานวน<br />
มาก เพื่อปลูกฝังวินัยและ<br />
จริยธรรมให้แก่ราษฎร โดย<br />
เฉพาะเยาวชนของชา<strong>ต</strong>ิ ดังจะ<br />
เห็นได้จาก ข้อควรปฏิบั<strong>ต</strong>ิของ<br />
ลูกเสือปรากฏในพระราชดารัส<br />
ที่ยกมาแสดง <strong>ต</strong>่อไปนี้<br />
“...ยังมีข้อสาคัญอันควร<br />
สานักพัฒนาระบบราชการกลาโหม<br />
จดจาใส่ใจไว้อีกคือ เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ย่อม<br />
<strong>ต</strong>้องมีธรรมเปนเครื่องยึดเหนี่ยวใจ จึงจะ<br />
มั่นคงเปนผู้ควรนับถือได้ข้อสาคัญมีอยู่<br />
๓ ข้อ ซึ่งเราได้กาหนดลงไว้แล้วให้เปน<br />
ข้อกากับใจผู้ที่เข้าเปนลูกเสือ แ<strong>ต</strong>่เราเห็น<br />
ว่านักเรียนทุกคนทั้งชายและหญิงควรจะ<br />
<strong>ต</strong>ั้งใจกาหนดจดจาไว้ในใจ<strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่ในกาล<br />
บัดนี้ไปจน<strong>ต</strong>ลอดชีวิ<strong>ต</strong> ข้อสาคัญทั้ง ๓ นี้ คือ<br />
ข้อหนึ่ง <strong>ต</strong>้องมีความจงรักภักดี<br />
<strong>ต</strong>่อสมเด็จพระมหากษั<strong>ต</strong>ริย์ผู้เปนพระเจ้า<br />
อยู่หัวของ<strong>ต</strong>น เพราะท่านเปนผู้ทานุบารุง<br />
ประชาชนให้อยู่เย็นเปนสุขทั่วกัน<br />
ข้อสอง <strong>ต</strong>้องมีความรักชา<strong>ต</strong>ิบ้าน<br />
เมืองของ<strong>ต</strong>น เพราะ<strong>ต</strong>นเปนส่วนหนึ่งแห่ง<br />
ชา<strong>ต</strong>ิ ถ้าชา<strong>ต</strong>ิเสื่อมเสียยับเยินไปแล้ว เราทั้ง<br />
หลายก็<strong>ต</strong>้องพากันยับเยิน<strong>ต</strong>ามกันไปหมด<br />
และควรจะมีความเคารพนับถือพระศาสนา<br />
อันเปนเครื่องยึดเหนี่ยวให้เปน ผู้มีน้าใจ<br />
28<br />
Êํҹѡ¾Ñ²¹ÒÃкºÃÒª¡ÒáÅÒâËÁ
ให้มั่นอยู่ในทางดีทางงาม<br />
ข้อสาม <strong>ต</strong>้องมีความซื่อ<strong>ต</strong>รง<strong>ต</strong>่อพวก<br />
พ้องร่วมคณะกัน เช่น ร่วมโรงเรียนกัน<br />
เปน<strong>ต</strong>้น เพราะถ้าไม่ซื่อ<strong>ต</strong>รง<strong>ต</strong>่อกันแล้วก็<br />
จะอยู่เย็นเปนสุขด้วยกันไม่ได้...”<br />
พระราชดารัสนี้ เป็น<strong>ต</strong>ัวอย่างของ<br />
การสร้างความรู้สึก เป็นอันหนึ่งอัน<br />
เดียวกันของคนในชา<strong>ต</strong>ิ ที่กล่าวกันว่าทรง<br />
ได้รับอิทธิพลจากอังกฤษ และ<strong>ต</strong>่อมาเป็นที่<br />
รู้จักกันในอุดมการณ์เรื่อง ชา<strong>ต</strong>ิ-ศาสน์-<br />
กษั<strong>ต</strong>ริย์ เห็นได้ว่าทรงเน้น “ความซื่อ<strong>ต</strong>รง<br />
<strong>ต</strong>่อพวกพ้อง” อันนามาซึ่งความสามัคคี<br />
ของคนในชา<strong>ต</strong>ิ เพราะหากปราศจากความ<br />
ซื่อ<strong>ต</strong>รง<strong>ต</strong>่อกันแล้วก็จะนาไปสู่ความ<br />
หวาดระแวงและความริษยาซึ่งกันและกัน<br />
ทาให้เกิดความแ<strong>ต</strong>กแยกของคนในชา<strong>ต</strong>ิ<br />
และเป็นภัยอย่างยิ่ง<br />
การจัดการศึกษา<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว ทรง<strong>ต</strong>ระหนักถึงความสาคัญของ<br />
การศึกษาว่าเป็นพื้นฐานสาคัญในการพัฒนา<br />
ประเทศทุกด้าน<strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่<strong>ต</strong>้นรัชกาล ดังจะเห็น<br />
ได้จากการประกาศ<strong>ต</strong>ั้งโครงการศึกษา<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
พุทธศักราช ๒๔๕๖ เพื่อสนับสนุนให้เกิด<br />
การศึกษากว้างขวางยิ่งขึ้น ทั้งด้านข้อมูล<br />
ศึกษา ประถมศึกษา มัธยมศึกษา ทั้งฝ่าย<br />
สามัญศึกษาและวิชาชีพ โดยเฉพาะเรื่อง<br />
วิชาชีพ ทั้งนี้เพราะ<br />
“...<strong>ต</strong>ามที่ได้สังเก<strong>ต</strong>เห็นมาแล้ว<br />
ปรากฏว่านักเรียนผู้ชายที่ได้เข้าเล่าเรียน<br />
พอถึงชั้นมัธยมได้ครึ่งๆ กลางๆ ยังมิทันจะ<br />
จบก็พากันออกหาการทาในทางเสมียน<br />
เสียมาก โดยไม่รู้ว่าวิชาที่ได้เล่าเรียนเพียง<br />
เท่านั้นยังเปนแ<strong>ต</strong>่วิชากลางๆ และหาเปน<br />
วิชาเฉพาะสิ่ง เฉพาะอย่าง ที่จะทาให้มี<br />
ความสามารถในการทางาน<strong>ต</strong>่างๆ ให้ดีได้ไม่<br />
แม้การเสมียนเองนั้นก็ยังไม่ได้เล่าเรียน<br />
สักแ<strong>ต</strong>่ว่ารู้หนังสือแล้วก็อาสาไปทาการ<br />
เสมียน ซึ่งจะทาดีและถูก<strong>ต</strong>้องสมควรแก่<br />
หน้าที่เสมียนก็ยังไม่ได้ความนิยมอันทุ่มเท<br />
ไปในทางเดียวเช่นกัน เปนความเข้าใจผิด<br />
ของประชาชนจนผู้คนไปล้นเหลืออยู่ใน<br />
หน้าที่เสมียน ผู้ที่ไม่มีความสามารถพอ<br />
ก็ไม่มีใครรับไว้ใช้ คนเหล่านั้นย่อมขาด<br />
ประโยชน์โดยหาที่ทาการไม่ได้ ทั้งการหา<br />
29
เลี้ยงชีพของ<strong>ต</strong>ระกูลของ<strong>ต</strong>นเคยทามาแ<strong>ต</strong>่<br />
เก่าก่อนก็ละทิ้งเสีย จะกลับไปทา<strong>ต</strong>่อก็<strong>ต</strong>่อ<br />
ไม่<strong>ต</strong>ิด ...ความเข้าใจผิดอันนี้ย่อมเปน<br />
เครื่องพาไปในทางอันเสื่อมเสียประโยชน์<br />
แก่<strong>ต</strong>นเองอันหารู้สึกไม่ แท้จริงการทางาน<br />
ในบ้านเมืองที่จะพึงทาหาเลี้ยงชีพอันยัง<br />
ไม่มีผู้ทาเพียงพอนั้น ยังมีอย่างอื่นอยู่เปน<br />
อันมาก ใช่จะมีแ<strong>ต</strong>่งานเสมียนอย่างเดียว<br />
ยก<strong>ต</strong>ัวอย่างมาชี้ง่ายๆ ว่า เช่น การเพาะ<br />
ปลูกนั้นที่ดินก็ยังมีล้นเหลือกว่าที่คนจะท า<br />
ถ้าจะว่าข้างวิชา<strong>ต</strong>่างๆ ซึ่งเปนการพิเศษ<br />
เช่นวิชาการก่อสร้างเหย้าเรือนนั้น ก็ยัง<br />
<strong>ต</strong>้องการผู้รู้ที่จะทาอีกมาก การหั<strong>ต</strong>ถกรรม<br />
และพณิชยการ<strong>ต</strong>่างๆ ก็ยังมีเปนอเนก<br />
ประการ วิชา<strong>ต</strong>่างๆ อย่างที่ว่านี้ ถ้าใครรู้<br />
จริงทาจริงแล้วก็อาจมีลาภผล และให้<br />
เกิดสุขประโยชน์แก่<strong>ต</strong>นได้ทั้งนั้น...”<br />
การจัดการศึกษาในรัชสมัยดาเนิน<br />
ไปอย่างเป็นขั้น<strong>ต</strong>อน เริ่มจากการ<strong>ต</strong>ั้ง<br />
โรงเรียนโดยการ<strong>ต</strong>ั้งโรงเรียนวิชาชีพ<strong>ต</strong>่างๆ ขึ้น<br />
เช่น โรงเรียนเพาะช่าง โรงเรียน<br />
มหาดเล็กหลวง (โรงเรียนวชิราวุธ<br />
วิทยาลัย) โรงเรียนข้าราชการพลเรือน<br />
ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย) สภานิ<strong>ต</strong>ิ<br />
ศึกษา (เน<strong>ต</strong>ิบัณฑิ<strong>ต</strong>ยสภา) <strong>ต</strong>ามเวลาอันควร<br />
เพื่อให้ผู้ที่มีพื้นฐานความรู้หนังสือมาแ<strong>ต</strong>่<br />
รัชกาลก่อน ได้พัฒนาความรู้ของ<strong>ต</strong>นเพื่อ<br />
ประโยชน์ในการประกอบอาชีพแขนง<br />
<strong>ต</strong>่างๆ <strong>ต</strong>่อไป<br />
<strong>ต</strong>่อจากนั้น ทรงวางพื้นฐานการ<br />
ศึกษาให้แก่เยาวชนไทยทั้งชายและหญิง<br />
โดยการประกาศพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิการ<br />
ประถมศึกษา เพื่อจัดให้มีการจัดการศึกษา<br />
ภาคบังคับทั่วประเทศ ได้มีการประกาศใช้<br />
พระราชบัญญั<strong>ต</strong>ินั ้นในเข<strong>ต</strong>การศึกษา<strong>ต</strong>่างๆ<br />
ทีละเข<strong>ต</strong><strong>ต</strong>ามความพร้อมของแ<strong>ต</strong>่ละพื้นที่<br />
อีกด้วย<br />
การอนุรักษ์และพัฒนาศิลป<br />
วัฒนธรรม<br />
นอกจากพระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวจะทรงนาศิลป<br />
วัฒนธรรม<strong>ต</strong>่างประเทศมาประยุก<strong>ต</strong>์ให้เป็น<br />
ไทยๆ เพื่อปลูกฝังแนวคิดเรื่องความรัก<br />
ชา<strong>ต</strong>ิ การเสียสละเพื่อชา<strong>ต</strong>ิ และการให้<br />
ความรู้เกี่ยวกับ<strong>ต</strong>านานชา<strong>ต</strong>ิแล้ว ยังคง<br />
ปลูกฝังความเป็น “ชา<strong>ต</strong>ิ” ผ่านการใช้<br />
สถาปั<strong>ต</strong>ยกรรมแบบไทยในสมัย<strong>ต</strong>่างๆ ดังจะ<br />
เห็นได้จากอาคารเรียนและหอประชุมของ<br />
จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยและโรงเรียน<br />
วชิราวุธวิทยาลัยในปัจจุบัน ที่ประยุก<strong>ต</strong>์<br />
การ<strong>ต</strong>กแ<strong>ต</strong>่งสถาปั<strong>ต</strong>ยกรรมไทยเข้ากับ<br />
โครงสร้างการก่อสร้างอาคารแบบ<strong>ต</strong>ะวัน<strong>ต</strong>ก<br />
การอนุรักษ์งานช่างไทยที่สาคัญ คือ การ<br />
เปิดโรงเรียนเพาะช่างเพื่อฟื้นฟูและ<br />
อนุรักษ์งานช่างไทย โปรดเกล้าฯ ให้<strong>ต</strong>ั้ง<br />
กรมศิลปากรขึ้นในกระทรวงและการฟื้นฟู<br />
“โขน” อันเป็นศิลปะการแสดงชั้นสูง<br />
ของไทยที่กาลังจะสูญ โดยเริ่มฝึกหัด<br />
นักเรียนมหาดเล็กหลวงก่อน<br />
การอนุรักษ์และพัฒนาศิลป<br />
วัฒนธรรมของชา<strong>ต</strong>ินี้ เป็นพระราช<br />
กรณียกิจที่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงทานุบารุงด้วยพระราช<br />
ทรัพย์ส่วนพระองค์ได้ที่จัดสรรจากเงิน<br />
พระคลังข้างที่ มิได้ใช้เงินงบประมาณ<br />
30<br />
สำนักพัฒนำระบบรำชกำรกลำโหม
แผ่นดิน เพื่อการพัฒนาประเทศ<br />
ในด้าน<strong>ต</strong>่างๆ<br />
บทสรุป<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินไทย<br />
พระองค์แรกที่ทรงได้รับการศึกษาแบบ<br />
อังกฤษ ณ ประเทศอังกฤษ <strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่เบื้อง<strong>ต</strong>้น<br />
จนกระทั่งถึงระดับอุดมศึกษา ในกิจการ<br />
ด้านทหาร และด้านพลเรือน ทั้งภาค<br />
ทฤษฎีในการบริหารราชการแผ่นดินใน<br />
หลายประเทศ ทั้งโลกยุคโบราณอย่าง<br />
อียิป<strong>ต</strong>์ โลกเก่าในทวีปยุโรป โลกใหม่ที่<br />
สหรัฐอเมริกา และโลกเอเชีย ที่มีความ<br />
ก้าวหน้าทัดเทียมชา<strong>ต</strong>ิ<strong>ต</strong>ะวัน<strong>ต</strong>กที่ประเทศ<br />
ญี่ปุ่น<br />
นอกจากนั้น ขณะประทับอยู่<br />
<strong>ต</strong>่างประเทศ สมเด็จพระบรมชนกนาถได้ทรง<br />
พระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้พระอภิบาลชาว<br />
สยามเป็นผู้ถวายพระอักษรพิเศษควบคู่<br />
ไปด้วย จึงทรงเข้าพระราชหฤทัยถึงความ<br />
แ<strong>ต</strong>ก<strong>ต</strong>่างระหว่างวัฒนธรรม<strong>ต</strong>ะวัน<strong>ต</strong>กกับ<br />
<strong>ต</strong>ะวันออกได้อย่างดี ทั้งทรง<strong>ต</strong>ระหนักว่า<br />
การเสด็จไปทรงศึกษาในยุโรปนั้น เป็นการ<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
แสวงหาความรู้ความเข้าใจเรื่องราวและ<br />
แนวความคิดของชา<strong>ต</strong>ิ<strong>ต</strong>ะวัน<strong>ต</strong>กไม่อาจ<br />
นามาใช้กับประเทศสยามและชาวสยาม<br />
ได้ทันที จะ<strong>ต</strong>้องประยุก<strong>ต</strong>์ใช้ให้เหมาะสม<br />
<strong>ต</strong>ามกาลอันควร<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัวทรงพระอัจฉริยภาพสมกับพระราช<br />
สมัญญาว่า “สมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า”<br />
มิใช่จะทรงเป็นเพียงปราชญ์ด้านอักษร<br />
ศาส<strong>ต</strong>ร์ ผู้รจนาคาประพันธ์หลากหลาย<br />
ประเภทจานวนมากเท่านั้น หากแ<strong>ต</strong>่ทรง<br />
เป็นพระเจ้าแผ่นดินผู้มีความสุขุม<br />
คัมภีรภาพทรงมีพระราชวิสัยทัศน์ที่กว้าง<br />
ไกล จึงทรงวางแผนบริหารประเทศใน<br />
ลักษณะ “การ<strong>ต</strong>ั้งรับและป้องกัน” ปัญหา<br />
ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาค<strong>ต</strong> เช่น การ<br />
ป้องกัน<strong>ต</strong>นเองของพลเรือน การวางระบบ<br />
ให้การศึกษาแก่ราษฎรทั้งประเทศ เพื่อให้<br />
เป็นพื้นฐานสาคัญในการปกครอง<strong>ต</strong>นเอง<br />
<strong>ต</strong>ามระบอบประชาธิปไ<strong>ต</strong>ยในวันข้างหน้า<br />
การ<strong>ต</strong>ั้งสภาเผยแผ่พาณิชย์และศาลาแยก<br />
ธา<strong>ต</strong>ุเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาเศรษฐกิจ<br />
ของประเทศในภาพรวม เป็น<strong>ต</strong>้น<br />
พระองค์ทรงยึดถือแนวทางการ<br />
บริหารราชการแผ่นดินของพระบาท<br />
สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
อย่างเคร่งครัด การปฏิรูปประเทศและ<br />
ระบบราชการในรัชสมัย จึงเป็นการสาน<br />
<strong>ต</strong>่อพระราชกรณียกิจที่สมเด็จพระบรม<br />
อัยกาธิราชและสมเด็จพระบรมชนกนาถ<br />
ทรงวางรากฐานและดาเนินการไว้แล้ว<br />
โดยทรงปรับปรุงกิจการ<strong>ต</strong>่างๆ ให้เหมาะสม<br />
ยิ่งขึ้น ทั้งการจัดระเบียบบริหารราชการ<br />
แผ่นดิน การพัฒนาคุณภาพชีวิ<strong>ต</strong>และความ<br />
เป็นอยู่ของราษฎร แม้จะมีความแ<strong>ต</strong>ก<strong>ต</strong>่าง<br />
กันทางเผ่าพันธุ์ ศาสนาและวัฒนธรรม<br />
แ<strong>ต</strong>่มีความรักชา<strong>ต</strong>ิ มีความจงรักภักดี<strong>ต</strong>่อ<br />
พระเจ้าแผ่นดินเป็นคนดีมีคุณธรรม<strong>ต</strong>าม<br />
หลักศาสนาของ<strong>ต</strong>น และมีความสามัคคีใน<br />
หมู่คณะเหมือนกัน จึงเป็นการสร้าง<br />
“จิ<strong>ต</strong>วิญญาณของสยามรัฐ” ที่สืบทอดจาก<br />
สุโขทัย ถึง อยุธยา รั<strong>ต</strong>นโกสินทร์ และยัง<br />
คงดารงสืบ<strong>ต</strong>่อมาถึงปัจจุบัน<br />
31
เปิด<strong>ต</strong>ำนำน<br />
พระเมรุมำศ<br />
จุฬาพิช<br />
เป็นที่ทราบกันดีว่า เมื่อบุคคลใดถึงแก่<br />
กรรมหรือ<strong>ต</strong>ายไปแล้ว บุคคลที่อยู่<br />
ไม่ว่าจะเป็นบุ<strong>ต</strong>ร ภรรยา หรือญา<strong>ต</strong>ิ<br />
ผู้อุปการะก็ดี ย่อมทาการปลงศพผู้<strong>ต</strong>าย<br />
โดยมีกรรมวิธี<strong>ต</strong>่างๆ <strong>ต</strong>ามจารี<strong>ต</strong>ประเพณี<br />
ของแ<strong>ต</strong>่ละชา<strong>ต</strong>ิ แ<strong>ต</strong>่ละสังคม แ<strong>ต</strong>่ละชุมชน<br />
สาหรับประเทศไทยวิธีการเผาศพมี<br />
วิวัฒนาการเป็นระยะเวลาสืบ<strong>ต</strong>่อกัน<br />
เข้าใจว่าได้รับอิทธิพลมาจากอินเดีย<br />
ทั้งในลัทธิพุทธศาสนาและลัทธิพราหมณ์<br />
ในประเทศอินเดีย บรรดาผู้ที่<br />
นับถือศาสนาฮินดู<strong>ต</strong>ามเมืองพาราณสี<br />
เมื่อถึงแก่กรรมจะแห่ศพมายัง<br />
ฝั่งแม่น้าคงคา การ<strong>ต</strong>กแ<strong>ต</strong>่งศพนั้น<br />
สุดแ<strong>ต</strong>่ฐานะ หากมีฐานะดีศพจะ<br />
ห่อผ้าขาวมัด<strong>ต</strong>ราสังแน่น มีผ้าคลุม<br />
จะเป็นขบวนแห่เอิกเกริก<strong>ต</strong>าม<br />
ฐานานุรูป ถ้าเป็นผู้ยากจนจะมี<br />
ผ้าคลุมศพขึ้นแคร่ไม้หยาบๆ<br />
หาบกันมาเท่านั้น และมีญา<strong>ต</strong>ิ<br />
พี่น้องร้องไห้เดิน<strong>ต</strong>าม จะร้องจริง<br />
หรือไม่จริงพอเป็นพิธีไม่มีใคร<br />
ทราบ เมื่อมาถึงฝั่งแม่น้าคงคา<br />
จะ<strong>ต</strong>้องเอาศีรษะผู้<strong>ต</strong>ายจุ่มลงใน<br />
มณีวงศ์<br />
32 จุฬาพิช มณีวงศ์
แม่พระคงคาแล้วยกศพมา<strong>ต</strong>ั้งบนกองฟืน<br />
การประชุมเพลิง ผู้จุดเพลิงคนแรกจะเป็น<br />
ญา<strong>ต</strong>ิที่ใกล้ชิดผู้<strong>ต</strong>ายที่สุด การประชุมเพลิง<br />
จะใช้เชื้อเพลิงใดสุดแ<strong>ต</strong>่ฐานะอีก กล่าวคือ<br />
ถ้ามั่งคั่งจะมีน้ามันหอม ถั่ว งา โรยศพเพื่อ<br />
ดับกลิ่น ส่วนกองฟืนจะจัดวางไว้อย่าง<br />
สวยงามและมีนางร้องไห้มาร่วมใน<br />
กระบวนแห่ด้วย ถ้าเป็นคนจนก็จะไม่มี<br />
พิธีใดๆ ขณะเผาร่างจะงอ พลิกหรือลุกขึ้น<br />
สุดแ<strong>ต</strong>่การโหมไฟดูน่ากลัว แ<strong>ต</strong>่ก็เป็นอนิจจัง<br />
การเผาศพที่แม่น้าคงคาสามารถมีให้ชม<br />
กันได้ทั้งวัน เริ่มเผาแ<strong>ต</strong>่ย่ ารุ่งพระอาทิ<strong>ต</strong>ย์ขึ้น<br />
เมื่อเผาแล้วเถ้าถ่านจัดให้ลอยลงไป<br />
ในแม่น้าคงคา ผู้ที่อาบน้าหรือซักผ้าใน<br />
บริเวณนั้น<strong>ต</strong>่างก็มิได้รู้สึกรังเกียจหรือกลัว<br />
แ<strong>ต</strong>่ประการใด<br />
การปลงศพของอินเดีย <strong>ต</strong>ามที่<br />
สมเด็จฯ กรมพระยาดารงราชานุภาพทรง<br />
พระนิพนธ์ไว้ใน<strong>ต</strong>านานสุสานหลวง<br />
วัดเทพศิรินทร์ว่า มี ๒ แบบ คือ <strong>ต</strong>ามค<strong>ต</strong>ิทาง<br />
พุทธศาสนา ใช้หีบศพใส่ศพเมื่อเผาศพแล้ว<br />
นาอัฐิไปบรรจุในสถูปหรือเจดีย์ ค<strong>ต</strong>ิทาง<br />
พราหมณ์หรือฮินดูใช้โกศใส่ศพ เมื่อเผาแล้ว<br />
นาอัฐิไปลอยน้า สาหรับประเทศไทยได้รับ<br />
อิทธิพลมาทางศาสนาพราหมณ์จากขอม<br />
จึงได้ใช้โกศใส่พระศพพระเจ้าแผ่นดิน<br />
หรือราชวงศ์ชั้นสูง ส่วนศพผู้มีบรรดาศักดิ์<br />
เช่น ศพเสนาบดีที่ได้ใส่โกศนั้นเพราะ<br />
พระมหากษั<strong>ต</strong>ริย์พระราชทานเกียร<strong>ต</strong>ิยศ<br />
เป็นพิเศษ ซึ่งมีมาแ<strong>ต</strong>่สมัยกรุงศรีอยุธยา<br />
เป็นราชธานี<br />
เมรุและเมรุมาศ พจนานุกรมฉบับ<br />
ราชบัณฑิ<strong>ต</strong>ยสถานได้บรรยายไว้ว่า เมรุ<br />
หมายถึง ชื่อภูเขากลางจักรวาล มียอดเป็น<br />
ที่<strong>ต</strong>ั้งแห่งเมืองสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ซึ่งเป็น<br />
ที่อยู่ของพระอินทร์ ที่เผาศพมีหลังคา<br />
เป็นยอด มีรั้วล้อมรอบ ราชาศัพท์ใช้ว่า<br />
พระเมรุมาศ<br />
เห<strong>ต</strong>ุที่เรียกอาคารหรือสิ่งปลูกสร้าง<br />
สาหรับถวายพระเพลิงพระเจ้าแผ่นดินว่า<br />
เมรุก็คือ พระมหากษั<strong>ต</strong>ริย์เป็นสมม<strong>ต</strong>ิเทพ<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
33
<strong>ต</strong>ามค<strong>ต</strong>ิของพราหมณ์หรือฮินดู เทพย่อม<br />
สถิ<strong>ต</strong>อยู่ในเขาพระสุเมรุ ล้อมไปด้วยเขา<br />
สั<strong>ต</strong>บริภัณฑ์ เมื่อจุ<strong>ต</strong>ิลงมายังโลกมนุษย์เป็น<br />
สมม<strong>ต</strong>ิเทพ เมื่อสวรรค<strong>ต</strong>จึง<strong>ต</strong>ั้งพระบรมศพ<br />
บนเมรุหรือเมรุมาศเป็นการส่งพระศพ<br />
พระวิญญาณ เสด็จกลับไปสู่เขาพระสุเมรุ<br />
ดังเดิม นอกจากนี้<strong>ต</strong>ามจิน<strong>ต</strong>นาการของ<br />
ศิลปิน สถาปนิกผู้สร้างสรรค์งานศิลป์เห็นว่า<br />
วั<strong>ต</strong>ถุที่ส่งแสงแวววับจับ<strong>ต</strong>าพอที่จะมองดู<br />
ด้วยความสบาย<strong>ต</strong>า สบายใจนั้น สีทองเป็น<br />
สีหนึ่งที่งามบริสุทธิ์ที่สาย<strong>ต</strong>ามนุษย์พอจะ<br />
รับแสงอยู่ได้ จึงใช้สีทองเป็นสีประดับ<br />
ปราสาทในสวรรค์ ดังฝันไว้ในจิน<strong>ต</strong>นาการ<br />
นั่นเอง<br />
เมื่อใช้สีทองประดับเมรุ จึงเรียกว่า<br />
เมรุมาศ แม้ว่าที่จริงแล้ววั<strong>ต</strong>ถุที่มีค่ากว่า<br />
ทองคาหรืออัญมณีอื่นยังมีอีกมาก แ<strong>ต</strong>่แสง<br />
สะท้อนจากอัญมณีนั้นมนุษย์มิอาจทนได้<br />
เป็นการประดับ<strong>ต</strong>กแ<strong>ต</strong>่งเกินกว่าเห<strong>ต</strong>ุและ<br />
ของจริงก็หายากมากเกินประมาณ ถ้าใช้<br />
ของเทียมก็จะมีแสงวับจับ<strong>ต</strong>าเป็นการเทียม<br />
เกินไป สถาปนิกไทย บรรพบุรุษแ<strong>ต</strong>่กาล<br />
ก่อนจึงเดินสายกลาง เพราะทองหาง่าย<br />
กว่า อาจใช้ทองคาจริงๆ ทาหรือปิดได้ เช่น<br />
ทองคาเปลว กระดาษทอง โดยคานึงถึง<br />
หลัก ๓ ประการคือ พันธกิจ (Function)<br />
ในการใช้วั<strong>ต</strong>ถุก่อสร้างสุนทรียภาพ<br />
(Aesthetic) จากธรรมชา<strong>ต</strong>ิของวั<strong>ต</strong>ถุ และ<br />
เทคโนโลยี (Technology) ของธา<strong>ต</strong>ุแท้<br />
นามาประยุก<strong>ต</strong>์ใช้<br />
พระเมรุมาศในที่นี้มีความหมายถึง<br />
เมรุกลางกรุง จัดสร้างเพื่อถวายพระเพลิง<br />
พระบรมศพ หรือพระศพที่พระมหา<br />
กษั<strong>ต</strong>ริย์พระราชทานให้ถวายเพลิง<br />
กลางเมืองและเป็นการก่อสร้างชั่วคราว<br />
พระเมรุมาศนี้จัดว่าเป็น กุฎาคาร กล่าวคือ<br />
เป็นอาคารที่มียอดสูง เรียกว่า เรือนยอด<br />
ซึ่งจะเป็นเรือนยอดทรงมณฑป หรือเรือน<br />
ยอดทรงปรางค์ก็สุดแล้วแ<strong>ต</strong>่สถาปนิกจะ<br />
เนรมิ<strong>ต</strong> พระเมรุมาศเป็นสิ่งที่แสดงออกถึง<br />
วัฒนธรรมไทยในรูปสถาปั<strong>ต</strong>ยกรรมไทย<br />
ชั้นสูง ซึ่งยากหาชา<strong>ต</strong>ิใดในโลกมาทัดเทียม<br />
เป็นสมบั<strong>ต</strong>ิล้าค่าทางวัฒนธรรม ซึ่ง<br />
บรรพบุรุษมอบให้เป็นมรดกทางปัญญา<br />
และทาให้อนุชนรุ่นหลังได้มีความรักความ<br />
ภาคภูมิใจในคุณค่า ช่วยกันรักษาสืบไป<br />
งานออกแบบและก่อสร้างพระเมรุมาศ<br />
เป็นที่รวมแหล่งศิลปะมากมายหลายแขนง<br />
เพียบพร้อมด้วยศิลปินผู้ชานาญการ<br />
เพราะเมรุมาศหนึ่งองค์จะ<strong>ต</strong>้องมีองค์<br />
ประกอบ<strong>ต</strong>ามกฎเกณฑ์ที่กาหนดไว้ กล่าวคือ<br />
จะ<strong>ต</strong>้องมีพระเมรุมาศซึ่งเป็นส่วนสาคัญ<br />
โดยพื้นที่<strong>ต</strong>รงกลางของพระเมรุมาศจะ<br />
ประดิษฐานพระจิ<strong>ต</strong>กาธาน บนพระจิ<strong>ต</strong>-<br />
กาธานจะประดิษฐานพระโกศพระศพ<br />
พระจิ<strong>ต</strong>กาธาน และพระโกศประดับด้วย<br />
พระโกศไม้จันทน์ และดอกไม้สดร้อยเป็น<br />
ลวดลาย ก้าน ดอกใบ สุดแ<strong>ต</strong>่ชาววัง<br />
ช่างดอกไม้จะบรรจงทาด้วยฝีมืออัน<br />
ประณี<strong>ต</strong>งดงาม<strong>ต</strong>ระการ<strong>ต</strong>า โครงสร้างทุกส่วน<br />
ทุก<strong>ต</strong>อนจะ<strong>ต</strong>้องแข็งแรงพอรับน้าหนัก<br />
ประจา และน้าหนักจรได้เป็นอย่างดี มีข้อ<br />
สังเก<strong>ต</strong>ว่า ที่ยอดพระเมรุมาศจะบ่งบอกถึง<br />
34 จุฬาพิช มณีวงศ์
ฐานันดรของพระศพ กล่าวคือ หากเป็น<br />
เมรุมาศสาหรับพระบรมศพพระมหา<br />
กษั<strong>ต</strong>ริย์ ยอดจะเป็นนพปฎลมหาเศว<strong>ต</strong>ฉั<strong>ต</strong>ร<br />
หากเป็นพระบรมราชวงศ์ ชั้นฉั<strong>ต</strong>รก็จะ<br />
ลดหลั่นลงมา<br />
นอกจากพระเมรุมาศแล้ว ยังมีองค์<br />
ประกอบอื่นๆ เช่น ศาลาเปลื้องเครื่อง<br />
สาหรับไว้พระโกศที่เปลื้องแล้วและวัสดุ<br />
เครื่องใช้ในการถวายพระเพลิง ถือเป็น<br />
รโหฐานที่สูง คดช่าง คดคือศาลาแสดง<br />
บริเวณเข<strong>ต</strong>ล้อมพระเมรุมาศ มีทางเข้าออก<br />
๔ ทาง มุมคดที่ทาเป็นมุมฉาก เรียกว่า ซ่าง<br />
ซึ่งนิยมทาเป็นเรือนยอด สาหรับคด บางที<br />
ก็เรียกว่า ทับเกษ<strong>ต</strong>ร<br />
นอกจากนี้ยังมี พระที่นั่งทรงธรรม<br />
เป็นพระที่นั่งสาหรับพระบาทสมเด็จ<br />
พระเจ้าอยู่หัวประทับประกอบพิธีทาง<br />
ศาสนา ก่อนเสด็จพระราชดาเนินขึ้นถวาย<br />
พระเพลิงและงานพระบรมอัฐิ มีบริเวณ<br />
สาหรับราชวงศ์ ทู<strong>ต</strong>านุทู<strong>ต</strong> ข้าราชการเฝ้าฯ<br />
รับเสด็จ พระที่นั่งทรงธรรมสร้างด้าน<br />
<strong>ต</strong>ะวัน<strong>ต</strong>กของพระเมรุมาศเพราะงาน<br />
พระราชทานเพลิงจัดทาในเวลาบ่าย<br />
ใกล้เย็น ประมาณ ๑๖.๐๐ - ๑๗.๐๐ น. การที่<br />
พระที่นั่งทรงธรรมอยู่ทางด้าน<strong>ต</strong>ะวัน<strong>ต</strong>ก<br />
จะได้บังแดดทางพื้นที่ด้านหน้าระหว่าง<br />
พระเมรุมาศกับพระที่นั่งทรงธรรม ขนาด<br />
พระที่นั่งทรงธรรมจุคนได้นับพัน พลับพลา<br />
ยกสาหรับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประทับรอ<br />
พระบรมศพ ซึ่งจะยา<strong>ต</strong>รากระบวนมาสู่<br />
พระเมรุมาศโดยพระพิชัยราชรถ แล้ว<br />
อัญเชิญพระบรมโกศลงสู่พระยานมาศ<br />
เพื่อเวียนรอบพระเมรุมาศโดย<br />
อุ<strong>ต</strong>ราวัฏ การ<strong>ต</strong>กแ<strong>ต</strong>่งบริเวณระหว่างคดกับ<br />
องค์พระเมรุมาศ จะ<strong>ต</strong>้องมีบริเวณกว้างพอ<br />
สมควร และบริเวณที่มิได้เป็นทางเดิน จะ<br />
ปลูกดอกไม้ ใบไม้ ประดับแสงสี ให้งดงาม<br />
ทั้งกลางวันและกลางคืน วัสดุทั้งหมดที่จะ<br />
นามาใช้ในการก่อสร้างจะ<strong>ต</strong>้องถูก<strong>ต</strong>้อง<strong>ต</strong>าม<br />
คุณสมบั<strong>ต</strong>ิ และ<strong>ต</strong>้องมีความคงทน<strong>ต</strong>่อ<br />
แดดฝนในช่วงเวลาจากัด โดยยึดหลักการ<br />
ก่อสร้างชั่วคราว แ<strong>ต</strong>่มีความงามประทับใจ<br />
องค์ประกอบสาคัญสุดท้ายที่จะขาดเสีย<br />
มิได้เลยคือ การมหรสพ โดยในพิธีถวาย<br />
พระเพลิงพระบรมศพ มิได้ถือเป็นงาน<br />
เศร้าโศก เพราะเป็นการส่งเสด็จสู่สวรรค์<br />
เป็นพิธีและการขอขมาศพ หรือแสดง<br />
ความเคารพครั้งสุดท้าย จึงมีมหรสพดุจ<br />
งานมงคล ในสมัยโบราณงานมหรสพ<br />
จะประกอบไปด้วยโขน หุ่นมอญรา หนัง<br />
ราโคมดอกบัว สิงโ<strong>ต</strong>มังกร ญวนหก<br />
ไม้<strong>ต</strong>่าสูง การจัดมหรสพในพระเมรุมาศ<br />
จึงเป็นเรื่องของจิ<strong>ต</strong>วิทยา บ่งบอกให้พสกนิกร<br />
รู้ว่า พระบารมียังให้ความสุขแก่ปวงชน<br />
ร่วมส่งเสด็จพระบาทสมเด็จ<br />
พระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
สู่สวรรคาลัยในพระราชพิธีถวาย<br />
พระเพลิงพระบรมศพ ๒๖ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
โดยพร้อมเพรียงกัน<br />
บทความจาก : หนังสือพระเมรุมาศ พระเมรุ และเมรุสมัย<br />
กรุงรั<strong>ต</strong>นโกสินทร์ โดย พลเรือ<strong>ต</strong>รี สมภพ ภิรมย์<br />
ศิลปินแห่งชา<strong>ต</strong>ิราชบัณฑิ<strong>ต</strong><br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
35
๓๓ ปี วันคล้ำยวันสถำปนำ<br />
สำนักงบประมำณกลำโหม<br />
พลเอก อนุชิ<strong>ต</strong> อินทรทั<strong>ต</strong><br />
ผู้อำนวยกำรสำนักงบประมำณกลำโหม<br />
เ<br />
ความเป็นมา<br />
มื่อปี พ.ศ.๒๕๒๖ รัฐมน<strong>ต</strong>รีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม ในขณะนั้น เห็นควร<br />
ให้มีการจัด<strong>ต</strong>ั้งหน่วยงานเพื่อทา<br />
หน้าที่เป็นผู้ควบคุมงบประมาณ ทุกงบ<br />
ของกระทรวงกลาโหม จึงได้มีการทดลอง<br />
จัด<strong>ต</strong>ั้งสานักงบประมาณกลาโหม (สงป.<br />
กห.) โดยใช้อั<strong>ต</strong>ราเพื่อพลาง แบ่งส่วน<br />
ราชการออกเป็น ๔ กอง คือ กองแผนงาน<br />
และโครงการ กองงบประมาณ กอง<strong>ต</strong>รวจ<br />
สอบและประเมินผล และกองสถิ<strong>ต</strong>ิ <strong>ต</strong>่อมา<br />
ในวันที่ ๑ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๒๗ ได้มีคาสั่ง<br />
กระทรวงกลาโหมให้จัด<strong>ต</strong>ั้งสานักงบประมาณ<br />
กลาโหมขึ้นเป็นอั<strong>ต</strong>ราถาวร และมี<br />
หน่วยงานขึ้น<strong>ต</strong>รง คือ กองแผนงานและ<br />
โครงการ กองงบประมาณ กอง<strong>ต</strong>รวจสอบ<br />
และประเมินผล กองกลาง และกองจัดการ<br />
โดยกาหนดภารกิจให้มีหน้าที่ในการ<br />
รวบรวม วิเคราะห์ และเสนอแนะการ<br />
ปรับปรุงแก้ไขแผนงานและโครงการ<br />
เสริมสร้างกาลังรบ และโครงการอื่นๆ ให้<br />
สอดคล้องกับนโยบายทางทหาร<br />
สภาวการณ์ทางเศรษฐกิจและฐานะการ<br />
เงินของประเทศ และได้ถือเอา วันที่ ๑<br />
<strong>ต</strong>ุลาคม เป็นวันสถาปนาสานักงบประมาณ<br />
กลาโหม<br />
ในปี พ.ศ.๒๕๒๘ ได้มีการแก้อั<strong>ต</strong>รา<br />
โดยการจัด<strong>ต</strong>ั้งกองการพัสดุ และในปี พ.ศ.<br />
๒๕๓๐ ได้มีการจัด<strong>ต</strong>ั้งสานักงานการเงิน<br />
<strong>ต</strong>่อมาในปี พ.ศ.๒๕๓๘ ได้รับอนุมั<strong>ต</strong>ิให้จัด<br />
<strong>ต</strong>ั้งกองบริหารทรัพยากรเป็นอั<strong>ต</strong>ราถาวร<br />
จนกระทั่งในปี พ.ศ.๒๕๔๙ สานัก<br />
งบประมาณกลาโหมได้ปรับปรุงแก้ไข<br />
อั<strong>ต</strong>ราเฉพาะกิจ โดยการจัด<strong>ต</strong>ั้งสานักงาน<br />
งบประมาณ ซึ่งการแก้ไขอั<strong>ต</strong>ราเฉพาะกิจ<br />
ครั้งนี้ ทาให้สานักงบประมาณกลาโหม<br />
มีหน่วยขึ้น<strong>ต</strong>รงรวมทั้งสิ้น ๙ หน่วย ได้แก่<br />
กองกลาง กองงบประมาณ กองแผนงาน<br />
และโครงการ กอง<strong>ต</strong>รวจสอบและประเมินผล<br />
กองจัดการ กองการพัสดุ กองบริหาร<br />
ทรัพยากร สานักงานงบประมาณ และ<br />
สานักงานการเงิน<br />
ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๕๒ สานัก<br />
งบประมาณกลาโหม ได้รับอนุมั<strong>ต</strong>ิจาก<br />
รัฐมน<strong>ต</strong>รีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้ใช้อั<strong>ต</strong>รา<br />
เฉพาะกิจ หมายเลข ๐๔๐๐ <strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่วันที่ ๑<br />
เมษายน ๒๕๕๒ เป็น<strong>ต</strong>้นไป เพื่อให้เป็น<br />
หน่วยงานหลักที่รับผิดชอบการกาหนด<br />
นโยบายและยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์ ด้านงบประมาณ<br />
รวมทั้งดาเนินการด้านการงบประมาณให้<br />
กับส่วนราชการในสังกัดกระทรวงกลาโหม<br />
สำนักงบประมำณกลำโหม<br />
และส่วนราชการในสานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหมได้อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
ในปี พ.ศ.๒๕๕๗ สานักงบประมาณ<br />
กลาโหมได้รับอนุมั<strong>ต</strong>ิจากรัฐมน<strong>ต</strong>รีว่าการ<br />
กระทรวงกลาโหม ให้ใช้อั<strong>ต</strong>ราเฉพาะกิจ<br />
หมายเลข ๐๔๐๐ <strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่วันที่ ๒๔<br />
กรกฎาคม ๒๕๕๗ เป็น<strong>ต</strong>้นไป แบ่งส่วน<br />
ราชการออกเป็น ๙ หน่วย ได้แก่ กอง<br />
นโยบายและแผนงบประมาณ กองจัดทา<br />
งบประมาณและโครงการ กองงบประมาณ<br />
กลาง กองงบประมาณ กองแผนงานและ<br />
โครงการ กอง<strong>ต</strong>รวจสอบและประเมินผล<br />
กองจัดการ กองการพัสดุ กองบริหาร<br />
ทรัพยากร สานักงานงบประมาณ และ<br />
สานักงานการเงิน<br />
เมื่อวันที่ ๑๓ มิถุนายน ๒๕๖๐<br />
สานักงบประมาณกลาโหม ได้รับอนุมั<strong>ต</strong>ิ<br />
จากรัฐมน<strong>ต</strong>รีว่าการกระทรวงกลาโหม ให้<br />
ใช้อั<strong>ต</strong>ราเฉพาะกิจ หมายเลข ๐๔๐๐ แบ่ง<br />
ส่วนราชการออกเป็น ๑๐ หน่วย คือ กอง<br />
นโยบายและแผนงบประมาณ กองจัดทา<br />
งบประมาณและโครงการ กองงบประมาณ<br />
กอง<strong>ต</strong>รวจสอบและประเมินผล กองการ<br />
พัสดุ กองจัดการ กองกลาง กองงบ<br />
ประมาณพิเศษ สานักงานงบประมาณ<br />
และสานักงานการเงิน<br />
วิสัยทัศน์<br />
เป็นองค์กรหลักในการบริหารจัดการ<br />
ด้านงบประมาณของกระทรวงกลาโหม<br />
ให้เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและ<br />
ประสิทธิผลสูงสุด โดยมีการบริหารองค์กร<br />
ที่ดี มีบุคลากรที่มีความรู้ความเชี่ยวชาญ<br />
มีระบบสารสนเทศที่มีประสิทธิภาพ<br />
36<br />
สำนักงบประมำณกลำโหม
ภารกิจ<br />
๑. การจัดทาแผนปฏิบั<strong>ต</strong>ิราชการ<br />
การจัดทาแผนปฏิบั<strong>ต</strong>ิราชการ<br />
ประจาปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ ของ<br />
กระทรวงกลาโหม และสานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
- สานักงบประมาณกลาโหม<br />
ได้จัดการประชุมเพื่อจัดทาแผนปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<br />
ราชการประจาปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑<br />
ของกระทรวงกลาโหม เมื่อ ๑๑ มกราคม<br />
๒๕๖๐ ณ ห้องยุทธนาธิการ ในศาลา<br />
ว่าการกลาโหม โดยมี พลเอก ชา<strong>ต</strong>อุดม<br />
<strong>ต</strong>ิ<strong>ต</strong>ถะสิริ รองปลัดกระทรวงกลาโหม เป็น<br />
ประธานการประชุม โดยมีผู้แทนหน่วยขึ้น<br />
<strong>ต</strong>รงและเหล่าทัพเข้าร่วมการประชุม<br />
๒. การจัดทาคาของบประมาณ<br />
การจัดทาคาของบประมาณ<br />
รายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑<br />
ของกระทรวงกลาโหม และสานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
- ปลัดกระทรวงกลาโหมเป็น<br />
หัวหน้าคณะนา รองปลัดกระทรวง<br />
กลาโหม เสนาธิการทหาร เสนาธิการ<br />
เหล่าทัพ ผู้อานวยการสถาบันเทคโนโลยี<br />
ป้องกันประเทศ และ ผู้อานวยการองค์การ<br />
สงเคราะห์ทหารผ่านศึก เข้าชี้แจงราย<br />
ละเอียดงบประมาณรายจ่ายประจา<br />
ปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑ ของกระทรวง<br />
กลาโหม <strong>ต</strong>่อคณะกรรมาธิการวิสามัญ<br />
พิจารณาร่างพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิงบประมาณ<br />
รายจ่ายประจาปีงบประมาณ พ.ศ.๒๕๖๑<br />
สภานิ<strong>ต</strong>ิบัญญั<strong>ต</strong>ิแห่งชา<strong>ต</strong>ิ<br />
เมื่อ ๒๕ กรกฎาคม ๒๕๖๐<br />
ณ ห้องประชุมคณะ<br />
กรรมาธิการ ๒๑๓ – ๒๑๖<br />
ชั้น ๒ อาคารรัฐสภา ๒<br />
๓. การเ<strong>ต</strong>รียมการ<br />
จัดทาคาของบประมาณ<br />
รายจ่ายประจาปีงบ-<br />
ประมาณ พ.ศ.๒๕๖๒<br />
- พลเอก ชา<strong>ต</strong>อุดม <strong>ต</strong>ิ<strong>ต</strong>ถะสิริ<br />
รองปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้อานวย<br />
การสานักงบประมาณกลาโหม เข้าร่วม<br />
ประชุมสัมมนาการเ<strong>ต</strong>รียมการจัดทางบ<br />
ประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ<br />
พ.ศ.๒๕๖๒ เมื่อ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๖๐<br />
ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ อินแพค เมืองทองธานี<br />
โดยมี พลเอก ประยุทธ์ จันทรโอชา นายก<br />
รัฐมน<strong>ต</strong>รี เป็นประธาน เพื่อรับทราบ<br />
นโยบายและแนวทางการจัดทางบ<br />
ประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ<br />
พ.ศ.๒๕๖๒<br />
๔. การ<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ามเร่งรัดการใช้จ่าย<br />
งบประมาณ<br />
๔.๑ ผู้อานวยการสานักงบ<br />
ประมาณกลาโหมและคณะ<strong>ต</strong>รวจเยี่ยม<br />
สานักงานปลัดบัญชีกองทัพบก สานักงาน<br />
ปลัดบัญชีทหารเรือ และสานักงานปลัด<br />
บัญชีทหารอากาศ เพื่อเร่งรัดการดาเนินการ<br />
<strong>ต</strong>ามมา<strong>ต</strong>รการเพิ่มประสิทธิภาพการใช้จ่าย<br />
งบประมาณรายจ่ายประจาปีงบประมาณ<br />
พ.ศ.๒๕๖๐<br />
๔.๒ ผู้อานวยการสานัก<br />
งบประมาณกลาโหม/หัวหน้าคณะ<strong>ต</strong>รวจ<br />
และ<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ามความก้าวหน้าโครงการของ<br />
กระทรวงกลาโหม และสานักงานปลัด<br />
กระทรวงกลาโหม เข้า<strong>ต</strong>รวจโครงการจัด<strong>ต</strong>ั้ง<br />
กองพลทหารม้าที่ ๓ และโครงการดารง<br />
สภาพระบบเครือข่ายการสื่อสารหลัก<br />
(Backbone) ของกระทรวงกลาโหม<br />
ในพื้นที่จังหวัดขอนแก่น ระหว่าง<br />
๒๑ - ๒๒ มีนาคม ๒๕๖๐<br />
๔.๓ ผู้อานวยการสานัก<br />
งบประมาณกลาโหม/หัวหน้าคณะ<strong>ต</strong>รวจ<br />
และ<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ามความก้าวหน้าโครงการของ<br />
กระทรวงกลาโหม<strong>ต</strong>รวจและ<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ามความ<br />
ก้าวหน้าโครงการ ในพื้นที่จังหวัดชลบุรี<br />
และจังหวัดระยอง เมื่อ ๒๙ - ๓๐ สิงหาคม<br />
๒๕๖๐ จานวน ๒ โครงการ ได้แก่โครงการ<br />
จัดหาเฮลิคอปเ<strong>ต</strong>อร์ลาเลียง และโครงการ<br />
จัดหาเรือลากจูงขนาดกลาง<br />
๕. การสัมมนาเพื่อเ<strong>ต</strong>รียมความ<br />
พร้อมในการดาเนินงาน<strong>ต</strong>ามพระราช<br />
บัญญั<strong>ต</strong>ิการจัดซื้อจัดจ้างและการบริหาร<br />
พัสดุภาครัฐ พ.ศ.๒๕๖๐ และระเบียบ<br />
กระทรวงการคลังว่าด้วยการจัดซื้อจัดจ้าง<br />
และการบริหารพัสดุภาครัฐ พ.ศ.๒๕๖๐<br />
เมื่อ ๒๖ เมษายน ๒๕๖๐ และ ๖ - ๗<br />
กันยายน ๒๕๖๐<br />
ปัจจุบันมี พลเอก อนุชิ<strong>ต</strong> อินทรทั<strong>ต</strong><br />
ผู้อานวยการสานักงบประมาณกลาโหม<br />
เป็นผู้บังคับบัญชารับผิดชอบ<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
37
๖๔ ปี วันคล้ายวันสถาปนา<br />
กรมการพลังงานทหาร<br />
ศูนย์การอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
กรมการพลังงานทหาร ศูนยการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
พลโท ศิริพงษ วงศขัน<strong>ต</strong>ี<br />
เจากรมการพลังงานทหาร ศูนยการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรม<br />
ปองกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
ประวั<strong>ต</strong>ิความเปนมา<br />
ปความเปนมาของกิจการน้ามันฝาง<br />
ระมาณร้อยปีเศษ ชาวบ้านท้องที่<br />
อาเภอฝาง พบน้ามันลักษณะสีดา<br />
ไหลซึมขึ้นมาบนผิวดิน ความ<br />
ทราบถึงเจ้าหลวงเชียงใหม่ จึงสั่งให้ขุดบ่อ<br />
เพื่อกักน้ามันไว้ เรียกว่า “บ่อหลวง” หรือ<br />
“บ่อเจ้าหลวง” ซึ่ง<strong>ต</strong>่อมามีหน่วยราชการ<br />
หลายฝายสนใจ ทาการสารวจและดาเนิน<br />
งาน<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>่อกันมาหลายสมัย พอสรุปได้ดังนี้<br />
การดาเนินการของกรมรถไฟ<br />
พลเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรม<br />
พระกาแพงเพชรอัครโยธิน เมื่อครั้งดารง<br />
พระอิสริยยศเป็นพระเจ้าน้องยาเธอ<br />
กรมขุนกาแพงเพชรอัครโยธิน ทรงเป็น<br />
ผู้บัญชาการรถไฟ และทรงทราบถึงการ<br />
ค้นพบน้ามันที่อาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่<br />
จึงทรง<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>่อว่าจ้างนักธรณีวิทยาชาวอเมริกัน<br />
ชื่อ Mr. Wallace Lee มาทาการสารวจ<br />
เมื่อปี พ.ศ.๒๔๖๔ - ๒๔๖๕ รวมเวลา ๒<br />
ปี พร้อมกันนั้นได้ทรงสั่งเครื่องเจาะ<br />
และว่าจ้างชาวอิ<strong>ต</strong>าเลียนทาการเจาะ<br />
บริเวณบ่อหลวง จานวน ๒ หลุม แ<strong>ต</strong>่เนื่องจาก<br />
ประสบปัญหาจึงระงับการเจาะไป<br />
การดาเนินการของกรมทาง<br />
กรมทางเข้ามาดาเนินงานในปี พ.ศ.<br />
๒๔๗๕ อธิบดีในขณะนั้น คือ หม่อมหลวง<br />
กรี เดชา<strong>ต</strong>ิวงศ์ มีวั<strong>ต</strong>ถุประสงค์เพื่อหา<br />
ปริมาณทรายน้ามันที่อยู่ใกล้ผิวดิน เพื่อ<br />
เป็นประโยชน์<strong>ต</strong>่อกรมทางในการใช้แทน<br />
ยางแอสฟัลท์ ผลการสารวจได้ปริมาณ<br />
ทรายน้ามันประมาณ ๓.๘ ล้านลูกบาศก์<br />
เม<strong>ต</strong>ร และมีการสร้างโรงกลั่นทดลอง<br />
เพื่อกลั่นน้ามันที่ได้มา แ<strong>ต</strong>่เนื่องจากขาด<br />
อุปกรณ์และขาดความชานาญ รวมทั้ง<br />
กิจการน้ามันมิใช่หน้าที่ของกรมทาง<br />
งานทั้งหมดจึง<strong>ต</strong>้องยุ<strong>ต</strong>ิลง<br />
การดาเนินการของกรมเชื้อเพลิงทหารบก<br />
กรมเชื้อเพลิงทหารบก เริ่มงาน<br />
สารวจเมื่อปี พ.ศ.๒๔๘๐ ด้วยการว่าจ้าง<br />
นักธรณีวิทยาชาวสวิส ๒ นายคือ Dr.<br />
Arnold Geim และ Dr. Gans Hirschi<br />
ทาการสารวจพร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ฝายไทย<br />
๓ นาย ด้วยการ<strong>ต</strong>รวจสอบสภาพธรณีวิทยา<br />
ผิวดินและขุดบ่อ<strong>ต</strong>ื้นๆ ด้วยแรงคน เพื่อหา<br />
ทิศทางการซึมของน้ามันขึ้นมาบนผิวดิน<br />
การสารวจดาเนินไปประมาณเดือนเศษ<br />
จึงได้เลิกล้มไป<br />
การดาเนินการของกรมโลหะกิจ<br />
(กรมทรัพยากรธรณี)<br />
กรมโลหะกิจเข้าดาเนินงานในปี<br />
พ.ศ.๒๔๙๒ - ๒๔๙๙ โดยใช้ชื่อหน่วยงาน<br />
ว่า “หน่วยสารวจน้ามันฝาง” ขั้นแรก<br />
ทาการสารวจธรณีวิทยาผิวดินและทาง<br />
อากาศ สารวจธรณีฟิสิกส์ปี พ.ศ.๒๔๙๓<br />
สั่งซื้อเครื่องเจาะชนิด Rotary จาก<br />
ประเทศเยอรมนี เรียกว่า “แหล่งน้ามัน<br />
ไชยปราการ” ในด้านการกลั่นได้สร้าง<br />
โรงกลั่นทดลองขนาดเล็กทาการกลั่น<br />
เป็นครั้งคราว ใช้น้ามันดิบประมาณ<br />
๑,๐๐๐ ลิ<strong>ต</strong>ร ดาเนินการกลั่นในระหว่างปี<br />
พ.ศ.๒๔๗๙ - ๒๔๙๙<br />
38<br />
¡ÃÁ¡ÒþÅѧ§Ò¹·ËÒà Èٹ¡ÒÃÍصÊÒË¡ÃÃÁ»‡Í§¡Ñ¹»ÃÐà·ÈáÅоÅѧ§Ò¹·ËÒÃ
การดาเนินงานเกี่ยวกับการพัฒนา<br />
แหล่งน้ามัน อาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่<br />
ในความควบคุมของกรมโลหะกิจ นั้นมี<br />
คณะกรรมการทาหน้าที่รับผิดชอบอยู่<br />
ชุดหนึ่ง โดยรัฐมน<strong>ต</strong>รีว่าการกระทรวง<br />
อุ<strong>ต</strong>สาหกรรม เป็นประธานคณะกรรมการ<br />
มีความเห็นว่า ในด้านการเจาะน้ามันนั้น<br />
ควรทาการเจาะสารวจเป็นส่วนใหญ่ ส่วน<br />
ด้านการกลั่น ก็มุ่งในการทาแอสฟัลท์<br />
สาหรับที่อาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่<br />
นั้น เดิมมีโรงกลั่นน้ามันโรงแรกคือ โรง<br />
กลั่นน้ามันทดลองซึ่งออกแบบและสร้าง<br />
ขึ้นโดยนายช่างไทยของกรมโลหะกิจและ<br />
ทาพิธีเปิดโรงกลั่นเมื่อวันที่ ๑๘ มีนาคม<br />
๒๔๙๘ ได้ลงมือทดลองกลั่นในวันนั้น<br />
ปรากฏผลเป็นที่น่าพอใจ โรงกลั่นทดลอง<br />
นี้เป็นแบบกลั่นทีละครั้ง กล่าวคือ เมื่อ<br />
บรรจุน้ามันดิบเข้าไปในหม้อกลั่นครั้งหนึ่ง<br />
จะทาการกลั่นไปจนกระทั่งได้ผลิ<strong>ต</strong>ภัณฑ์ที่<br />
<strong>ต</strong>้องการ แล้วก็ถ่ายเอากากกลั่นในหม้อ<br />
ออกแล้วจึงบรรจุน้ามันดิบเข้าไปใหม่และ<br />
ทาการกลั่นครั้ง<strong>ต</strong>่อไป<br />
การจัด<strong>ต</strong>ั้งกรมการพลังงานทหาร<br />
และการเข้าดาเนินการกิจการน้ามันฝาง<br />
ในปี พ.ศ.๒๔๙๖ คณะรัฐมน<strong>ต</strong>รีได้<br />
พิจารณาแล้วเห็นว่า ควรจะขยายงานด้าน<br />
เชื้อเพลิงให้ครอบคลุมไปถึงพลังงานอื่นๆ<br />
ที่จะสรรหามาใช้ให้เป็นประโยชน์แก่<br />
ประเทศชา<strong>ต</strong>ิ จึงได้ลงม<strong>ต</strong>ิให้กระทรวง<br />
กลาโหมดาเนินงานขยายกิจการด้าน<br />
องค์การเชื้อเพลิงให้ครอบคลุมไปถึงพลังงาน<br />
อื่นๆ ด้วย กระทรวงกลาโหมจึงมีคาสั่ง (พ)<br />
ที่ ๗๖/๒๗๒๑๗ เมื่อ ๓๐ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๔๙๖<br />
จัด<strong>ต</strong>ั้ง กรมการพลังงานทหารฯ ขึ้นเพื่อ<br />
ควบคุมการปฏิบั<strong>ต</strong>ิงานขององค์การเชื้อ<br />
เพลิง และปรับปรุงขยายกิจการเชื้อเพลิง<br />
ให้กว้างขวางยิ่งขึ้น โดยในเดือนมีนาคม<br />
พ.ศ.๒๔๙๙ Dr. Harold Hutton ผู้เชี่ยวชาญ<br />
ด้านปิโ<strong>ต</strong>รเลียม ได้ไปดูกิจการของหน่วย<br />
สารวจน้ามันฝาง แล้วรายงานว่า น้ามันดิบ<br />
ที่ฝางเป็นน้ามันที่ควรกลั่นออกขายได้<br />
ดังนั้น คณะรัฐมน<strong>ต</strong>รีจึงมีม<strong>ต</strong>ิให้โอนกิจการ<br />
น้ามันฝางมาขึ้นกับกรมการพลังงานทหาร<br />
เมื่อวันที่ ๑๒ กันยายน ๒๔๙๙ และใน<br />
เดือนธันวาคม ๒๔๙๙ คณะรัฐมน<strong>ต</strong>รีมีม<strong>ต</strong>ิ<br />
อนุมั<strong>ต</strong>ิให้สร้างโรงงานกลั่นน้ามัน ขนาด<br />
๑,๐๐๐ บาร์เรล<strong>ต</strong>่อวัน ซึ่งก่อสร้างโดย<br />
บริษัท Refining Associates Corporation<br />
แห่งประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งในขณะนั้น<br />
กรมการพลังงานทหาร มีหน่วยขึ้น<strong>ต</strong>รงที่<br />
อาเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ อยู่ ๒ หน่วย<br />
คือ กองสารวจและผลิ<strong>ต</strong>วั<strong>ต</strong>ถุดิบ ซึ่งขณะนี้<br />
คือ กองสารวจและผลิ<strong>ต</strong>ปิโ<strong>ต</strong>รเลียม<br />
ศูนย์พัฒนาปิโ<strong>ต</strong>รเลียมภาคเหนือ กรมการ<br />
พลังงานทหาร (กสผ.ศพปน.พท.ศอพท.)<br />
และกองโรงงานกลั่นน้ามันที่ ๑ ซึ่งขณะนี้<br />
คือ กองการกลั่นปิโ<strong>ต</strong>รเลียม ศูนย์พัฒนา<br />
ปิโ<strong>ต</strong>รเลียมภาคเหนือ กรมการพลังงาน<br />
ทหาร (กกล.ศพปน.พท.ศอพท.)<br />
วิสัยทัศน์<br />
กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การ<br />
อุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงาน<br />
ทหาร เป็นผู้นาด้านการพลังงานทหาร<br />
และเป็นศูนย์การเรียนรู้ด้านพลังงานของ<br />
กระทรวงกลาโหม เพื่อสนับสนุนภารกิจ<br />
ด้านความมั่นคงของประเทศ<br />
ภารกิจ<br />
มีหน้าที่ในการวางแผน ดาเนินการ<br />
ควบคุม วิจัย พัฒนา ผลิ<strong>ต</strong> จัดหา สะสม<br />
และให้บริการเกี่ยวกับน้ามันเชื้อเพลิง หรือ<br />
ผลิ<strong>ต</strong>ภัณฑ์ปิโ<strong>ต</strong>รเลียม และการพลังงาน<br />
อื่นๆ <strong>ต</strong>ามนโยบายของกระทรวงกลาโหม<br />
ควบคุม และส่งเสริมกิจการขององค์การ<br />
ซึ่งผลิ<strong>ต</strong>หรือทาการค้าน้ามันเชื้อเพลิง หรือ<br />
ผลิ<strong>ต</strong>ภัณฑ์ปิโ<strong>ต</strong>รเลียม<strong>ต</strong>ามที่ได้รับมอบหมาย<br />
ปัจจุบันมี พลโท ศิริพงษ์ วงศ์ขัน<strong>ต</strong>ี<br />
เจ้ากรมการพลังงานทหารฯ เป็นผู้บังคับ<br />
บัญชารับผิดชอบ<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
39
ปกิณกะกระทรวงกลาโหม<br />
กฎหมายกระทรวงกลาโหมฉบับแรก<br />
ภายหลังเปลี ่ยนแปลงการปกครอง<br />
พล<strong>ต</strong>รี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์<br />
ภายหลังการเปลี่ยนแปลงการ<br />
ปกครอง เมื่อวันที่๒๔ มิถุนายน<br />
๒๔๗๕ คณะราษฎรได้จัดทา<br />
กฎหมายขึ้นกราบบังคมทูลพระบาท<br />
สมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงลงพระ<br />
ปรมาภิไธย รวม ๓ ฉบับ ประกอบด้วย<br />
o กฎหมายฉบับที่หนึ่ง : ชื่อว่า<br />
พระราชกาหนดนิรโทษกรรมในคราว<br />
เปลี่ยนแปลงการปกครองแผ่นดิน<br />
พุทธศักราช ๒๔๗๕ ซึ่งเป็นที่น่าสังเก<strong>ต</strong>ว่า<br />
กฎหมายฉบับแรกนี้ไม่มีผู้ลงนามรับสนอง<br />
พระบรมราชโองการ และประกาศใช้<br />
กฎหมายดังกล่าวในราชกิจจานุเบกษา<br />
ลงวันที่ ๒๖ มิถุนายน ๒๔๗๕<br />
o กฎหมายฉบับที่สอง : ชื่อว่า<br />
พระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิธรรมนูญการปกครอง<br />
แผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช<br />
๒๔๗๕ โดยไม่มีผู้ลงนามรับสนองพระบรม<br />
ราชโองการเช่นกัน<br />
o กฎหมายฉบับที่สาม : ชื่อว่า<br />
ประกาศจัดระเบียบป้องกันราช<br />
อาณาจักร พุทธศักราช ๒๔๗๕ ซึ่งเป็น<br />
กฎหมายฉบับแรกภายหลังการ<br />
เปลี่ยนแปลงการปกครอง ที่มีการลงนาม<br />
รับสนองพระบรมราชโองการ และ<br />
ประกาศใช้กฎหมายดังกล่าวในราช<br />
กิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ ๖ กรกฎาคม<br />
พุทธศักราช ๒๔๗๕<br />
สาหรับในส่วนของกิจการทหาร<br />
ปรากฏว่า ประกาศจัดระเบียบป้องกันราช<br />
อาณาจักร พุทธศักราช ๒๔๗๕ ถือเป็น<br />
กฎหมายฉบับแรกของกระทรวงกลาโหม<br />
ภายหลังยุคเปลี่ยนแปลงการปกครอง<br />
โดยกฎหมายฉบับนี้มีสาระสาคัญ คือ แบ่ง<br />
ส่วนราชการกระทรวงกลาโหม ออกเป็น<br />
๓ ส่วนราชการ ประกอบด้วย กองบังคับการ<br />
กระทรวงกลาโหม กองทัพบก และกรม<br />
ทหารเรือ<br />
ทั้งนี้ มีข้อสังเก<strong>ต</strong>สาคัญ กล่าวคือ<br />
40<br />
พล<strong>ต</strong>รี ชัยวิทย์ ชยาภินันท์
กระทรวงกลาโหม<br />
กองบังคับการ<br />
กระทรวงกลาโหม<br />
กองทัพบก<br />
กรมทหารเรือ<br />
ลดฐานะกองทัพเรือให้คงเป็นเพียงกรม<br />
ทหารเรือ พร้อมกับให้ลดฐานะกรม<strong>ต</strong>่างๆ<br />
ของกองทัพเรือ เดิมมาเป็นกองทั้งหมด<br />
เว้นแ<strong>ต</strong>่กรมเสนาธิการทหารเรือเท่านั้น<br />
นอกจากนี้ยังนาหน่วยขึ้น<strong>ต</strong>รงกองทัพเรือ<br />
บางส่วน ที่เคยนาไปรวมกับฝายทหารบก<br />
โดยกลับมาสังกัดอยู่ในกรมทหารเรือ<br />
<strong>ต</strong>ามเดิม<br />
อย่างไรก็<strong>ต</strong>าม ในปถัดมาจึงได้มีการ<br />
<strong>ต</strong>ราพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิจัดระเบียบป้องกัน<br />
ราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๔๗๖ และ<br />
เริ่มใช้บังคับในวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๔๗๖<br />
ซึ่งมีการแบ่งส่วนราชการขึ้น<strong>ต</strong>รงกระทรวง<br />
กลาโหมออกเป็น ๔ ส่วนราชการ ประกอบ<br />
ด้วย<br />
๑. สานักงานเลขานุการรัฐมน<strong>ต</strong>รี<br />
โดยให้รับผิดชอบเกี่ยวกับราชการทางการ<br />
เมือง<br />
๒. สานักงานปลัดกระทรวง โดย<br />
ให้รับผิดชอบเกี่ยวกับราชการประจาทั่วไป<br />
ของกระทรวง ซึ่งมีหน่วยขึ้น<strong>ต</strong>รง รวม ๕<br />
หน่วย ประกอบด้วย กรมเสมียน<strong>ต</strong>รา กรม<br />
สัสดี กรมพระธรรมนูญ กรมแพทย<br />
สุขาภิบาล และกรมปลัดบัญชี<br />
๓. กองทัพบก ซึ่งมีหน่วยขึ้น<strong>ต</strong>รง<br />
รวม ๙ หน่วย ประกอบด้วย กรมเสนาธิการ<br />
ทหารบก มณฑลทหารบกที่ ๑ มณฑล<br />
ทหารบกที่ ๒ มณฑลทหารบกที่ ๓<br />
มณฑลทหารบกที่ ๔ มณฑลทหารบก<br />
ที่ ๕ กรมพลาธิการทหารบก กรมแผนที่<br />
และกรมอากาศยาน<br />
๔. กองทัพเรือ ซึ่งมีหน่วยขึ้น<strong>ต</strong>รง<br />
รวม ๖ หน่วย ประกอบด้วย กรม<br />
เสนาธิการทหารเรือ กองเรือรบ สถานี<br />
ทหารเรือกรุงเทพฯ กรมอู่ทหารเรือ<br />
กรมสรรพาวุธทหารเรือ และกรม<br />
อุทกศาส<strong>ต</strong>ร<br />
นอกจากนี้ ยังได้กาหนดหน่วย<br />
ขึ้น<strong>ต</strong>รงของทุกส่วนราชการไว้ด้วย แ<strong>ต</strong>่<br />
ที่น่าสนใจคือ มีการกาหนดอานาจหน้าที่<br />
ไว้เฉพาะ ๒ ส่วนราชการ คือ สานักงาน<br />
เลขานุการรัฐมน<strong>ต</strong>รี และสานักงานปลัด<br />
กระทรวง ในขณะที่กองทัพบกและ<br />
กองทัพเรือ ไม่ได้กาหนดอานาจหน้าที่<br />
เพียงแ<strong>ต</strong>่กาหนดเฉพาะหน่วยขึ้น<strong>ต</strong>รง<br />
ไว้เท่านั้น พร้อมทั้งให้อานาจรัฐมน<strong>ต</strong>รี<br />
ว่าการกระทรวงกลาโหมในการออก<br />
ข้อบังคับกระทรวงกลาโหม เพื่อกาหนด<br />
หน่วยย่อยของส่วนราชการ<strong>ต</strong>่างๆ ใน<br />
กระทรวงกลาโหม และกาหนดอั<strong>ต</strong>รา<br />
ชั้นยศ ชื่อ<strong>ต</strong>าแหน่งได้<strong>ต</strong>ามความเหมาะสม<br />
กับหน้าที่ราชการ ซึ่งในพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิ<br />
ฉบับนี้ จึงส่งผลให้กิจการทหารเรือ<br />
ได้รับการยกระดับขึ้นเป็นกองทัพเรือ<br />
หลังจากที่เคยถูกลดระดับให้เหลือ<br />
เป็นเพียงกรมทหารเรือ <strong>ต</strong>าม<br />
ประกาศจัดระเบียบป้องกันราช<br />
อาณาจักร พุทธศักราช ๒๔๗๕<br />
อีกทั้ง <strong>ต</strong>ราพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิจัด<br />
ระเบียบป้องกันราชอาณาจักร<br />
พุทธศักราช ๒๔๗๖<br />
ฉบับนี้ ได้มีการ<br />
<strong>ต</strong>ราขึ้นโดยใช้กรอบ<br />
แนวทางการบริหาร<br />
ราชการแผ่นดินสมัย<br />
ใหม่ ที่มีการจัดส่วน<br />
ราชการเพื่อรองรับ<br />
นโยบายจากฝายการเมืองคือสานักงาน<br />
เลขานุการรัฐมน<strong>ต</strong>รี มีการแบ่งกาลังรบ<br />
หลักออกเป็นกองทัพบกและกองทัพเรือ<br />
สาหรับราชการอื่นของกระทรวงกลาโหม<br />
เป็นส่วนรวมได้มอบให้ สานักงานปลัด<br />
กระทรวงรับผิดชอบ จึงถือว่าเป็นรูปแบบ<br />
การจัดส่วนราชการที่เป็นสากล และถือ<br />
ปฏิบั<strong>ต</strong>ิมาจนปจจุบัน<br />
จึงกล่าวได้ว่า ประกาศจัดระเบียบ<br />
ป้องกันราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๔๗๕<br />
ถือเป็นกฎหมายฉบับแรกของกระทรวง<br />
กลาโหม และพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิจัดระเบียบ<br />
ป้องกันราชอาณาจักร พุทธศักราช ๒๔๗๖<br />
ถือเป็นพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิที่เป็นมา<strong>ต</strong>รฐาน<br />
ของการจัดระเบียบและการดาเนินกิจการ<br />
กระทรวงกลาโหม ทั้งนี้กฎหมายทั้ง ๒ ฉบับ<br />
ถือเป็นกฎหมายในยุคใหม่ภายหลัง<br />
การเปลี่ยนแปลงการปกครองนั่นเอง<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
41
ข้อพึงระมัดระวัง<br />
ของข้าราชการทุกประเภท<br />
<strong>ต</strong>่อศาลอาญาคดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ<br />
พลโท ทวี แจ่มจำรัส<br />
ปั<br />
จจุบันประเทศไทยได้มีการจัด<strong>ต</strong>ั้ง<br />
ศาลอาญาคดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิ<br />
มิชอบขึ้นมาแล้ว เป็นศาลที่<br />
พิจารณาพิพากษาคดีอาญาที่จัด<strong>ต</strong>ั้งใหม่<br />
ล่าสุด <strong>ต</strong>ามพระราชกฤษฎีกา ให้เปิดทาการ<br />
ศาลอาญาคดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบกลาง<br />
มา<strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่วันที่ ๑ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๕๙ แล้ว<br />
<strong>ต</strong>ั้งอยู่ที่ซอยสีคาม ถนนนครไชยศรี แขวง<br />
ดุสิ<strong>ต</strong> เข<strong>ต</strong>ดุสิ<strong>ต</strong> กรุงเทพมหานคร ๑๐๓๐๐<br />
ทั้งนี้เป็นไป<strong>ต</strong>ามกฎหมาย ๒ ฉบับ และ<br />
ข้อบังคับของประธานศาลฎีกา ซึ่งสามารถ<br />
ค้นหาและดูได้จากกูเกิล และเว็บไซ<strong>ต</strong>์ คือ<br />
๑. พระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิจัด<strong>ต</strong>ั้งศาลอาญา<br />
คดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ พ.ศ.๒๕๕๙<br />
มี ๒๒ มา<strong>ต</strong>รา (ประกาศราชกิจจานุเบกษา<br />
ลง ๑๖ สิงหาคม ๒๕๕๙)<br />
๒. พระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิวิธีพิจารณา<br />
คดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ พ.ศ.๒๕๕๙<br />
มี ๕๓ มา<strong>ต</strong>รา (ประกาศราชกิจจานุเบกษา<br />
ลง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙)<br />
๓. ข้อบังคับของประธานศาลฎีกา<br />
ว่าด้วยวิธีการดาเนินคดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิ<br />
มิชอบ พ.ศ.๒๕๕๙ มี ๓๙ ข้อ (ลงนามโดย<br />
ท่านวีระพล <strong>ต</strong>ั้งสุวรรณ ประธานศาลฎีกา<br />
และประกาศราชกิจจานุเบกษา ลง ๑<br />
<strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๕๙)<br />
จากคาจากัดความที่สาคัญ มีดังนี้<br />
“ศาลอาญาคดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิ<br />
มิชอบ” หมายความว่า ศาลอาญาคดีทุจริ<strong>ต</strong><br />
42 พลโท ทวี แจ่มจำรัส
และประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบกลาง (จัด<strong>ต</strong>ั้งแล้วที่<br />
กรุงเทพมหานคร) และศาลอาญาคดีทุจริ<strong>ต</strong><br />
และประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบภาค (จัด<strong>ต</strong>ั้งในอนาค<strong>ต</strong>)<br />
คดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ<br />
หมายความว่า คดีดัง<strong>ต</strong>่อไปนี้ ไม่ว่าจะมี<br />
ข้อหาหรือความผิดอื่นที่เกี่ยวข้องกัน<br />
รวมอยู่ด้วยหรือไม่ก็<strong>ต</strong>าม<br />
๑) คดีอาญาที่ฟ้องให้เจ้าหน้าที่ของ<br />
รัฐในความผิด<strong>ต</strong>่อ<strong>ต</strong>าแหน่งหน้าที่ราชการ<br />
หรือความผิด<strong>ต</strong>่อ<strong>ต</strong>าแหน่งหน้าที่ในการ<br />
ยุ<strong>ต</strong>ิธรรม <strong>ต</strong>ามประมวลกฎหมายอาญา<br />
ความผิด<strong>ต</strong>่อ<strong>ต</strong>าแหน่งหน้าที่ หรือทุจริ<strong>ต</strong><strong>ต</strong>่อ<br />
หน้าที่<strong>ต</strong>ามกฎหมายอื่น หรือความผิดอื่น<br />
อันเนื่องมาจากการประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ<br />
๒) คดีอาญาที่ฟ้องให้ลงโทษเจ้า<br />
หน้าที่ของรัฐ หรือบุคคลที่กระทาความผิด<br />
ฐานฟอกเงินที่เกี่ยวข้องกับความผิด<strong>ต</strong>าม<br />
(๑) หรือกระทาความผิด <strong>ต</strong>ามกฎหมายว่า<br />
ด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคา<strong>ต</strong>่อ<br />
หน่วยงานของรัฐ (พระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิฮั้ว)<br />
กฎหมายว่าด้วยการให้เอกชนร่วมลงทุน<br />
ในกิจการของรัฐ หรือกฎหมายอื่นที่มี<br />
วั<strong>ต</strong>ถุประสงค์ในการป้องกันและปราบ<br />
ปรามการทุจริ<strong>ต</strong>หรือประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ<br />
๓) คดีอาญาที่ฟ้องให้ลงโทษบุคคล<br />
ในความผิดเกี่ยวกับการเรียกรับ ยอมจะรับ<br />
หรือให้ ขอให้ รับว่าจะให้ทรัพย์สินหรือ<br />
ประโยชน์อันใด หรือการใช้กาลัง<br />
ประทุษร้าย ขู่เข็ญว่าจะใช้กาลังประทุษร้าย<br />
หรือใช้อิทธิพลเพื่อจูงใจ หรือข่มขืนใจให้<br />
เจ้าหน้าที่ของรัฐ กระทาการ ไม่กระทาการ<br />
หรือประวิงการกระทาใด <strong>ต</strong>ามประมวล<br />
กฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่น<br />
๔) คดีอาญาที่ฟ้องขอให้ลงโทษ<br />
เจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคล<strong>ต</strong>ามกฎหมาย<br />
ที่กาหนดให้เป็นคดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิ<br />
มิชอบ<br />
๕) คดีอาญาที่ฟ้องขอให้ลงโทษ<br />
บุคคลที่ร่วมกระทาความผิดกับเจ้าหน้าที่<br />
ของรัฐ หรือบุคคล<strong>ต</strong>าม (๑) ถึง (๔) ไม่ว่า<br />
ในฐานะ<strong>ต</strong>ัวการผู้ใช้ ผู้สนับสนุน หรือ<br />
ผู้สมคบ<br />
๖) คดีเกี่ยวกับการจงใจไม่ยื่นบัญชี<br />
แสดงรายการทรัพย์สิน และหนี้สินและ<br />
เอกสารประกอบ หรือจงใจยื่นบัญชีและ<br />
เอกสารดังกล่าวด้วยข้อความอันเป็นเท็จ<br />
หรือปกปิดข้อเท็จจริงที่ควรแจ้งให้ทราบ<br />
๗) คดีร้องขอให้ทรัพย์สิน<strong>ต</strong>กเป็นของ<br />
แผ่นดินเพราะเห<strong>ต</strong>ุร่ารวยผิดปก<strong>ต</strong>ิ หรือมี<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
43
ทรัพย์สินเพิ่มขึ้นผิดปก<strong>ต</strong>ิ<br />
๘) กรณีที่มีการขอให้ศาลดาเนิน<br />
กระบวนพิจารณาอย่างหนึ่งอย่างใดก่อน<br />
ยื่นฟ้องหรือยื่นคาร้องขอ <strong>ต</strong>าม (๑) ถึง (๗)<br />
ความในวรรคหนึ่งมิได้รวมถึง<br />
(๑) คดีที่อยู่ในอานาจของศาลฎีกา<br />
แผนกคดีอาญาของผู้ดารง<strong>ต</strong>าแหน่ง<br />
ทางการเมือง<br />
(๒) คดีที่อยู่ในอานาจของศาล<br />
เยาวชน และครอบครัว<strong>ต</strong>ามกฎหมาย<br />
ว่าด้วยศาลเยาวชนและครอบครัว และ<br />
วิธีพิจารณาคดีเยาวชนและครอบครัว<br />
“ทุจริ<strong>ต</strong><strong>ต</strong>่อหน้าที่” หมายความว่า<br />
ทุจริ<strong>ต</strong><strong>ต</strong>่อหน้าที่ <strong>ต</strong>ามพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิ<br />
ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกัน<br />
และปราบปรามการทุจริ<strong>ต</strong> กฎหมายว่าด้วย<br />
มา<strong>ต</strong>รการของฝ่ายบริหารในการป้องกัน<br />
และปราบปรามการทุจริ<strong>ต</strong> หรือพระราช<br />
บัญญั<strong>ต</strong>ิประกอบรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย<br />
อื่น<br />
“ประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ” หมายความว่า<br />
การกระทาที่ไม่ใช่ทุจริ<strong>ต</strong><strong>ต</strong>่อหน้าที่ แ<strong>ต</strong>่<br />
เป็นการปฏิบั<strong>ต</strong>ิหรือละเว้นการปฏิบั<strong>ต</strong>ิอย่าง<br />
ใดโดยอาศัยเห<strong>ต</strong>ุที่มี<strong>ต</strong>าแหน่งหน้าที่อันเป็น<br />
การฝ่าฝืนกฎหมาย ระเบียบ ข้อบังคับ<br />
คาสั่ง หรือม<strong>ต</strong>ิของคณะรัฐมน<strong>ต</strong>รีที่มุ่งหมาย<br />
จะควบคุมดูแล การรับ การเก็บรักษา หรือ<br />
การใช้เงินหรือทรัพย์สินของแผ่นดิน<br />
“เจ้าหน้าที่ของรัฐ” หมายความว่า<br />
เจ้าหน้าที่ของรัฐ เจ้าหน้าที่ของรัฐ<strong>ต</strong>่าง<br />
ประเทศ และเจ้าหน้าที่ขององค์กรระหว่าง<br />
ประเทศ <strong>ต</strong>ามพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิประกอบ<br />
รัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบ<br />
ปรามการทุจริ<strong>ต</strong> หรือกฎหมายว่าด้วย<br />
มา<strong>ต</strong>รการของฝ่ายบริหาร ในการป้องกัน<br />
และปราบปรามการทุจริ<strong>ต</strong> และให้<br />
หมายความรวมถึงเจ้าพนักงาน<strong>ต</strong>าม<br />
ประมวลกฎหมายอาญาด้วย<br />
สรุปในภาพรวมคือผู้กระทาผิดเป็น<br />
ได้ทั้งเจ้าหน้าที่รัฐและภาคเอกชน การ<br />
พิจารณาคดีให้ใช้ระบบไ<strong>ต</strong>่สวน (ที่แ<strong>ต</strong>ก<strong>ต</strong>่าง<br />
จากวิธีพิจารณาคดีอาญาเดิมที่ใช้ระบบ<br />
กล่าวหาซึ่งพยานหลักฐานเป็นไป<strong>ต</strong>าม<br />
ที่คู่ความนามาสืบในศาล) ระบบไ<strong>ต</strong>่สวนนี้<br />
องค์คณะผู้พิพากษา จะมีบทบาทในการ<br />
ค้นหาข้อเท็จจริงได้มากขึ้น การสืบพยาน<br />
กาหนดให้ศาลเป็นผู้ถามพยานเอง จากนั้น<br />
จึงให้คู่ความถามเพิ่มเ<strong>ต</strong>ิม การริบทรัพย์สิน<br />
ที่แม้โจทก์ไม่ได้ขอศาลก็มีอานาจริบได้<br />
อายุความในการดาเนินคดีและได้<strong>ต</strong>ัวจาเลย<br />
มาลงโทษที่ไม่นับระยะเวลาที่จาเลยหลบ<br />
หนี การหลบหนีของจาเลยระหว่างได้รับ<br />
การปล่อย<strong>ต</strong>ัวชั่วคราว จะ<strong>ต</strong>้องถูกลงโทษ<br />
เพิ่มอีกหนึ่งกระทงด้วย คาพิพากษาศาล<br />
อุทธรณ์เป็นที่สุด เว้นแ<strong>ต</strong>่จะได้รับอนุญา<strong>ต</strong><br />
ให้ฎีกา เป็น<strong>ต</strong>้น<br />
ในอดี<strong>ต</strong>ที่ผ่านมาก็มีอุทาหรณ์ใน<br />
ทุกส่วนราชการ มีคดีที่เกิดบ่อยที่สุดคือ<br />
การลงโทษข้าราชการผู้ทุจริ<strong>ต</strong>ที่เบียดบังเงิน<br />
ของหลวงไปใช้เป็นประโยชน์ส่วน<strong>ต</strong>ัวที่จะ<br />
<strong>ต</strong>้องลงโทษไล่ออกจากราชการเพียงสถาน<br />
เดียว <strong>ต</strong>ามม<strong>ต</strong>ิคณะรัฐมน<strong>ต</strong>รี <strong>ต</strong>ามหนังสือ<br />
สานักเลขาธิการนายกรัฐมน<strong>ต</strong>รี ที่ นร<br />
๐๒๐๕/ว๒๓๔ ลงวันที่ ๒๔ ธันวาคม<br />
44 พลโท ทวี แจ่มจำรัส
๒๕๓๖ กาหนดให้ลงโทษผู้กระทาผิดวินัย<br />
ฐานทุจริ<strong>ต</strong><strong>ต</strong>่อหน้าที่ราชการเป็นความผิด<br />
อย่างร้ายแรง ควรลงโทษไล่ออกจาก<br />
ราชการ การนาเงินที่ทุจริ<strong>ต</strong>ไปแล้วมาคืน<br />
หรือมีเห<strong>ต</strong>ุอันควรปรานีอื่นใด ไม่เป็นเห<strong>ต</strong>ุ<br />
ลดหย่อนโทษเป็นปลดออกจากราชการ<br />
แล้วยัง<strong>ต</strong>้องถูกดาเนินคดีอาญาฐานทุจริ<strong>ต</strong><br />
<strong>ต</strong>่อหน้าที่ด้วย<br />
ในปัจจุบันทราบว่าได้มีการที่จะออก<br />
กฎหมาย<strong>ต</strong>ามร่างพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิ ว่าด้วย<br />
ความผิดเกี่ยวกับการขัดกันระหว่าง<br />
ประโยชน์ส่วนบุคคลและประโยชน์ส่วน<br />
รวม พ.ศ.....ซึ่งได้ผ่านคณะรัฐมน<strong>ต</strong>รีไปแล้ว<br />
เมื่อ ๑ สิงหาคม ๒๕๖๐ <strong>ต</strong>ามที่สานักงาน<br />
คณะกรรมการกฤษฎีกาเสนอ<strong>ต</strong>ามหลักการ<br />
และเห<strong>ต</strong>ุผลประการสาคัญว่า ในการ<br />
บริหารราชการแผ่นดิน จะ<strong>ต</strong>้องเป็นไปด้วย<br />
ความโปร่งใส และเกิดประโยชน์สูงสุด<br />
<strong>ต</strong>่อประชาชน รวมทั้ง<strong>ต</strong>้องปราศจากความ<br />
เคลือบแคลงสงสัยในความซื่อสั<strong>ต</strong>ย์สุจริ<strong>ต</strong><br />
ในการบริหารราชการแผ่นดิน อันเนื่อง<br />
มาจากขัดกันระหว่างประโยชน์ส่วนบุคคล<br />
โดยกาหนดให้คณะกรรมการป้องกันและ<br />
ปราบปรามการทุจริ<strong>ต</strong>แห่งชา<strong>ต</strong>ิ จัดให้มี<br />
หน่วยงานพิเศษขึ้นภายในสานักงานคณะ<br />
กรรมการป้องกันและปราบปรามการ<br />
ทุจริ<strong>ต</strong>แห่งชา<strong>ต</strong>ิเพื่อรับผิดชอบในการกากับ<br />
ดูแล และการบังคับใช้พระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิและ<br />
กาหนดให้คณะกรรมการป้องกันและปราบ<br />
ปรามการทุจริ<strong>ต</strong>แห่งชา<strong>ต</strong>ิ จัดทาข้อกาหนด<br />
และคู่มือการปฏิบั<strong>ต</strong>ิของหน่วยงานของรัฐ<br />
โดยกาหนดบทกาหนดโทษทางอาญา กรณี<br />
ฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<strong>ต</strong>ามพระราชบัญญั<strong>ต</strong>ิ<br />
ฉบับนี้<br />
เพราะฉะนั้นข้าราชการทุกท่านและ<br />
ทุกหมู่เหล่า จะ<strong>ต</strong>้องปฏิบั<strong>ต</strong>ิหน้าที่ของ<strong>ต</strong>น<br />
ด้วยความซื่อสั<strong>ต</strong>ย์สุจริ<strong>ต</strong>เป็นที่<strong>ต</strong>ั้ง กฎหมาย<br />
ที่มีอยู่เดิมแล้วและจะเกิดในอนาค<strong>ต</strong>มีบท<br />
กาหนดโทษอาญารุนแรง การพิจารณาคดี<br />
ก็มีศาลอาญาคดีทุจริ<strong>ต</strong>และประพฤ<strong>ต</strong>ิมิชอบ<br />
เป็นศาลชานัญพิเศษที่จะพิจารณาคดีได้<br />
ด้วยความรวดเร็ว เพราะฉะนั้นสิ่งที่ล่อ<br />
แหลมและเกี่ยวข้องกับการทุจริ<strong>ต</strong>ประพฤ<strong>ต</strong>ิ<br />
มิชอบ จะ<strong>ต</strong>้องหลีกเลี่ยงและไม่ทา<strong>ต</strong>าม<br />
คาสั่งที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายของผู้บังคับ<br />
บัญชา แล้วท่านจะปลอดภัย<strong>ต</strong>ลอดชีวิ<strong>ต</strong><br />
ราชการ สมกับสุภาษิ<strong>ต</strong>ไทยโบราณที่ว่า<br />
“สุจริ<strong>ต</strong>คือ เกราะบัง ศาส<strong>ต</strong>ร์พ้อง” ไม่<strong>ต</strong>้อง<br />
ขึ้นโรงขึ้นศาลระหว่างรับราชการและเมื่อ<br />
เกษียณราชการแล้ว มิเช่นนั้นท่านจะเป็น<br />
คนเหมือน<strong>ต</strong>กนรกทั้งเป็น ขอให้ข้าราชการ<br />
ทุกท่านทุกระดับโชคดี<strong>ต</strong>ลอดไป<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
45
แนะนำอำวุธเพื ่อนบ้ำน<br />
รถสำยพำนลำเลียงพล<br />
แบบ เอ็ม-๑๑๓<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์<br />
กองทัพบกฟิลิปปินส์นำรถสำยพำน<br />
ลำเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓<br />
(M-113: Armored Personnel<br />
Carrier) เข้ำปฏิบั<strong>ต</strong>ิกำรทำงทหำรทำง<strong>ต</strong>อนใ<strong>ต</strong>้<br />
ของประเทศที่เกำะมินดำเนำ เมืองมำรำวี<br />
(Marawi) พื้นที่ขนำด ๘๗.๕ <strong>ต</strong>ำรำง<br />
กิโลเม<strong>ต</strong>ร ควำมสูง ๗๐๐ เม<strong>ต</strong>ร (๒,๓๐๐<br />
ฟุ<strong>ต</strong>) มีประชำกร ๒๐๑,๗๘๕ คน เริ่ม<strong>ต</strong>้น<br />
กำรรบเมื่อวันที่ ๒๓ พฤษภำคม พ.ศ.<br />
รถสายพานลาเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓ (M-113) กองทัพบกฟิลิปปินส์ ขณะเข้าร่วมปฏิบั<strong>ต</strong>ิการทางทหารที่เมืองมาราวี (Marawi) เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ ทาการ<strong>ต</strong>่อสู้กับกองกาลัง<strong>ต</strong>ิดอาวุธ อาบูไซยัฟ (Abu Sayyaf) และกลุ่ม<strong>ต</strong>ิดอาวุธมาอูเ<strong>ต</strong>้ (Maute)<br />
๒๔๖๐ เพื่อเข้ำจับกุมหัวหน้ำกองกำลัง<br />
<strong>ต</strong>ิดอำวุธอำบูไซยัฟ (Abu Sayyaf) และได้รับ<br />
กำรสนับสนุนกลุ่ม<strong>ต</strong>ิดอำวุธมำอูเ<strong>ต</strong>้(Maute)<br />
กำรรบได้ขยำยมำเป็นกำรรบใหญ่ที่โด่งดัง<br />
ไปทั่วโลก กองทัพบกฟิลิปปินส์ประจำกำร<br />
ด้วยรถสำยพำนลำเลียงพล แบบ เอ็ม-<br />
๑๑๓เอ๑ (M-113A1) รวม ๑๒๐ คัน ปี พ.ศ.<br />
๒๕๑๐ <strong>ต</strong>่อมำได้รับกำรสนับสนุนจำก<br />
สหรัฐอเมริกำ รวม ๑๑๔ คัน เมื่อวันที่ ๔<br />
กุมภำพันธ์พ.ศ.๒๕๕๙ จึงนำไปปรับปรุงใหม่<br />
เพื่อเพิ่มขีดควำมสำมำรถรวม ๒๘ คัน<br />
ประกอบด้วย รุ่นรถรบทหำรรำบโดย<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้ง<br />
ปืนขนำด ๒๕ มิลลิเม<strong>ต</strong>ร รวม ๔ คัน<br />
รุ่นรถสำยพำนลำเลียงพล<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้งปืนกลหนัก<br />
ขนำด ๑๒.๗ มิลลิเม<strong>ต</strong>ร (ควบคุมด้วย<br />
รีโมทคอนโทรล) รวม ๖ คัน รุ่นสนับสนุน<br />
กำรรบ<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้งปืนขนำด ๙๐ มิลลิเม<strong>ต</strong>ร รวม<br />
๑๔ คัน และรุ่นรถกู้ซ่อม (ARV) รวม ๔ คัน<br />
46 พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
รถสายพานลาเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓ (M-113) กองทัพบกฟิลิปปินส์ ขณะปฏิบั<strong>ต</strong>ิการทางทหาร<br />
ที่เมืองมาราวี (Marawi) พื้นที่ขนาด ๘๗.๕ <strong>ต</strong>ารางกิโลเม<strong>ต</strong>ร ความสูง ๗๐๐ เม<strong>ต</strong>ร (๒,๓๐๐ ฟุ<strong>ต</strong>)<br />
ทำกำรปรับปรุงโดยประเทศอิสรำเอล กำรรบ<br />
ที่เมืองมำรำวี (Marawi) ยืดเยื้อมำนำน<br />
เพรำะมีกองกำลัง<strong>ต</strong>ิดอำวุธ<strong>ต</strong>่ำงชำ<strong>ต</strong>ิเข้ำร่วม<br />
ปฏิบั<strong>ต</strong>ิกำรกับกองกำลัง<strong>ต</strong>ิดอำวุธอำบูไซยัฟ<br />
(Abu Sayyaf) ถึงวันที่ ๗ กันยำยน พ.ศ.<br />
๒๕๖๐ กองกำลังฝ่ำยควำมมั่นคงเสียชีวิ<strong>ต</strong><br />
๑๔๕ นำย ได้รับบำดเจ็บ ๑,๔๐๐ นำย<br />
สูญหำย ๖๐ นำย และประชำชนเสียชีวิ<strong>ต</strong><br />
๘๐ คน ฝ่ำยกองกำลัง<strong>ต</strong>ิดอำวุธเสียชีวิ<strong>ต</strong><br />
๖๕๓ คน และถูกจับ<strong>ต</strong>ัว ๙ คน<br />
รถสำยพำนลำเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓<br />
(M-113) พัฒนำและผลิ<strong>ต</strong>จำกประเทศ<br />
สหรัฐอเมริกำ นำเข้ำประจำกำรในปี พ.ศ.<br />
๒๕๐๓ ข้อมูลที่สำคัญ น้ำหนัก ๑๒.๓ <strong>ต</strong>ัน<br />
ขนำดยำว ๔.๘๖ เม<strong>ต</strong>ร กว้ำง ๒.๖๘ เม<strong>ต</strong>ร<br />
สูง ๒.๕ เม<strong>ต</strong>ร เครื่องยน<strong>ต</strong>์เบนซิน ขนำด<br />
๒๐๙ แรงม้ำ ควำมเร็ว ๖๗ กิโลเม<strong>ต</strong>ร<strong>ต</strong>่อ<br />
ชั่วโมง ระยะปฏิบั<strong>ต</strong>ิกำร ๔๘๐ กิโลเม<strong>ต</strong>ร<br />
ปืนกลหนัก เอ็ม-๒ (M-2) ขนำด ๐.๕ นิ้ว<br />
และบรรทุกทหำรได้ ๑๓ นำย (พลประจำรถ<br />
๒ นำย + ทหำรรำบ ๑๑ นำย) กองทัพบก<br />
สหรัฐอเมริกำนำเข้ำปฏิบั<strong>ต</strong>ิกำรทำง<br />
ทหำรในสงครำมเวียดนำมใ<strong>ต</strong>้ โดยส่ง<br />
กองพันทหำรรำบยำนเกรำะเข้ำปฏิบั<strong>ต</strong>ิกำร<br />
รถสายพานลาเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓ (M-113) กองทัพบกฟิลิปปินส์ ขณะเข้าร่วมปฏิบั<strong>ต</strong>ิการทางทหารที่เมืองมาราวี (Marawi) เมื่อวันที่ ๓๑ พฤษภาคม<br />
พ.ศ.๒๕๖๐ (ในภาพเป็นรุ่นปรับปรุงใหม่<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้งปืนขนาด ๒๕ มิลลิเม<strong>ต</strong>ร แ<strong>ต</strong>่รุ่นมา<strong>ต</strong>รฐาน<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้งปืนขนาด ๑๒.๗ มิลลิเม<strong>ต</strong>ร หรือ ๐.๕ นิ้ว)<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
47
รถสายพานลาเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓เอ๒ (M-113A2) กองทัพบกสิงคโปร์นามาเป็นฐานยิงของจรวดนาวิถีประทับบ่ายิง แบบอิ๊กล่า (Igla) ชนิดหกท่อยิง<br />
(เป็นอั<strong>ต</strong><strong>ต</strong>าจร)<br />
เมื่อเดือนเมษำยน พ.ศ.๒๕๐๕ (โดย<br />
หมุนเวียนกองพลทหำรรำบเข้ำปฏิบั<strong>ต</strong>ิกำร)<br />
สงครำมเวียดนำมยุ<strong>ต</strong>ิลงในปี พ.ศ.๒๕๑๘<br />
ได้ประจำกำรอย่ำงแพร่หลำยในกองทัพ<br />
มิ<strong>ต</strong>รประเทศที่เข้ำร่วมปฏิบั<strong>ต</strong>ิกำร<br />
รถสำยพำนลำเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓<br />
รถสายพานลาเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓ (M-113) รุ่น<strong>ต</strong>่อสู้รถถัง เรียกว่า แบบ เอ็ม-๙๐๑ (M-901 ITV:<br />
Improved TOW Vehicle) <strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้งจรวดนาวิถี<strong>ต</strong>่อสู้รถถังขนาดหลักสองท่อยิง มีพลประจารถ ๔ นาย<br />
ประจาการ ๑๐ ประเทศ (ประเทศในเอเชียรวม ๕ ประเทศ คือ บาเรนห์ จอร์แดน คูเว<strong>ต</strong> ปากีสถาน และไทย)<br />
(M-113) ได้ผลิ<strong>ต</strong>รุ่นหลักออกมำ ๔ รุ่น คือ<br />
รุ่น เอ็ม-๑๑๓ (M-113) เครื่องยน<strong>ต</strong>์เบนซิน<br />
ขนำด ๒๐๙ แรงม้ำ รุ่น เอ็ม-๑๑๓เอ๑<br />
(M-113A1) เครื่องยน<strong>ต</strong>์ดีเซล แบบ ๖วี-<br />
๕๓ ขนำด ๒๑๕ แรงม้ำ พ.ศ.๒๕๐๗ รุ่น<br />
เอ็ม-๑๑๓เอ๒ (M-113A2) พ.ศ.๒๕๒๒<br />
และรุ่น เอ็ม-๑๑๓เอ๓ (M-113A3)<br />
เครื่องยน<strong>ต</strong>์ดีเซล แบบ ๖วี-๕๓ที ขนำด<br />
๒๗๕ แรงม้ำ พ.ศ.๒๕๓๐ ปฏิบั<strong>ต</strong>ิกำรใน ๓<br />
ภำรกิจ คือ ภำรกิจทำกำรรบ (ลำเลียงพล<br />
และ<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้งจรวดโทว์) ภำรกิจสนับสนุนกำรรบ<br />
(เครื่องยิงลูกระเบิดขนำด ๔.๒ นิ้ว/<br />
ขนำด ๘๑ และขนำด ๑๒๐ มิลลิเม<strong>ต</strong>ร)<br />
และภำรกิจสนับสนุนกำรช่วยรบ (รถ<br />
บังคับกำร/รถขนส่ง/รถกู้ซ่อม) หลังยุค<br />
สงครำมเย็นสหรัฐอเมริกำให้กำรสนับสนุน<br />
มิ<strong>ต</strong>รประเทศคือ ลิธัวเนีย บอสเนีย เฮอร์-<br />
เซโกวีนำ มำซิโดเนีย โปแลนด์ แอลเบเนีย<br />
เลบำนอน จอร์แดน อัฟกำนิสถำน อิรัก<br />
48 พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
้<br />
รถสายพานลาเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓ (M-113) รุ่น<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้งเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ๑๒๐ มิลลิเม<strong>ต</strong>ร<br />
(แผ่นฐานยิงสาหรับทาการ<strong>ต</strong>ั้งยิงบนพื้นดิน อยู่ทางด้านนอกของ<strong>ต</strong>ัวรถ ทางด้านซ้ายมือ)<br />
รถสายพานลาเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓ (M-113)<br />
<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้งเครื่องยิงลูกระเบิดขนาด ๔.๒ นิ้ว ทาการ<br />
ยิงสนับสนุนกองทัพสหรัฐอเมริกา ขณะปฏิบั<strong>ต</strong>ิการ<br />
ทางทหารในสงครามเวียดนามใ<strong>ต</strong>้<br />
และเยเมน ปัจจุบันประจำกำรทั่วโลก ๕๑<br />
ประเทศ ประเทศในเอเชียนำเข้ำประจำกำร<br />
๑๙ ประเทศ มียอดผลิ<strong>ต</strong>ทั้งสิ้นทุกรุ่น<br />
รวมกว่ำ ๘๐,๐๐๐ คัน<br />
กองทัพบกสิงคโปร์ประจำกำร<br />
รถสำยพำนลำเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓เอ๑<br />
(M-113A1) รวมทั้งสิ้น ๑,๒๐๐ คัน <strong>ต</strong>่อมำ<br />
ปรับปรุงเป็น รุ่น เอ็ม-๑๑๓เอ๒ (M-113A2)<br />
ถูกทดแทนด้วยรถรบทหำรรำบ<strong>ต</strong>ระกูล<br />
ไบโอนิกซ์ (Bionix) พัฒนำและผลิ<strong>ต</strong>ขึ้นที่<br />
ประเทศสิงคโปร์ น้ำหนักขนำด ๒๓ <strong>ต</strong>ัน<br />
บรรทุกทหำรได้ ๑๐ นำย (พลประจำรถ<br />
๓ นำย + ทหำรรำบ ๗ นำย) ประจำกำรปี<br />
พ.ศ.๒๕๓๙ รวมทั้งสิ้น ๖๐๐ คัน บำงส่วน<br />
นำไปเป็นฐำนยิงของจรวดนำวิถีประทับ<br />
บ่ำยิง แบบอิ๊กล่ำ (Igla) ชนิดหกท่อยิง (เป็น<br />
อั<strong>ต</strong><strong>ต</strong>ำจร) <strong>ต</strong>อนนี้อยู่ในห้วงสุดท้ำยของ<br />
ประจำกำร<br />
รถสายพานลาเลียงพล แบบ เอ็ม-๑๑๓ (M-113A1-B-FUS) กองทัพบกอินโดนีเซีย (TNI-AD) ขณะร่วม<br />
พิธีสวนสนามครบรอบปีที่ ๖๙<br />
กองทัพบกไทยประจำกำ ร<br />
รถสำยพำนลำเลียงพล แบบเอ็ม-๑๑๓<br />
(M-113) ปี พ.ศ.๒๕๐๕ <strong>ต</strong>่อมำได้นำออก<br />
ปฏิบั<strong>ต</strong>ิกำรในกำรปรำบปรำมผู้ก่อกำรร้ำย<br />
คอมมิวนิส<strong>ต</strong>์(ผกค.) ทั้ง ๔ กองทัพภำค เป็น<br />
อำวุธที่สำคัญในปฏิบั<strong>ต</strong>ิกำรทำงทหำร<br />
ช่วยให้กองทัพบกบรรลุภำรกิจที่สำคัญนี<br />
ระหว่ำงปี พ.ศ.๒๕๑๑ - ๒๕๒๕ <strong>ต</strong>่อมำได้<br />
จัดหำเพิ่มเ<strong>ต</strong>ิมอีกหลำยครั้ง (เช่น รถรุ่น<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้ง<br />
จรวดนำวิถี<strong>ต</strong>่อสู้รถถังโทว์ เรียกว่ำ<br />
เอ็ม-๙๐๑ ไอทีวี และรุ่น<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้งเครื่องยิง<br />
ลูกระเบิดขนำด ๑๒๐ มิลลิเม<strong>ต</strong>ร เรียกว่ำ<br />
เอ็ม-๑๐๖๔) ปัจจุบันส่วนใหญ่ประจำกำร<br />
ที่กรมทหำรรำบที่ ๑๒ รักษำพระองค์<br />
กองทัพบกอินโดนีเซีย (TNI-AD)<br />
จัดหำรถสำยพำนลำเลียงพล แบบ เอ็ม-<br />
๑๑๓ (M-113A1-B-FUS) จำกประเทศ<br />
เบลเยียม เป็นรถมือสองที่ได้รับกำร<br />
ปรับปรุงใหม่เมื่อวันที่๓๐ พฤษภำคม พ.ศ.<br />
๒๕๕๙ ได้รับมอบชุดแรก ๕๐ คัน จำกที่<br />
จัดหำทั้งสิ้น ๑๕๐ คัน<br />
บรรณานุกรม<br />
๑. THE WORLD DEFENCE ALMANAC 2015., ๒. https://en.wikipedia.org/wiki/M113_armored_personnel_carrier, ๓. https://<br />
en.wikipedia.org/wiki/Variants_of_the_M113_armored_personnel_carrier, ๔. https://en.wikipedia.org/wiki/Iraq_War, ๕. https://<br />
en.wikipedia.org/wiki/M901_ITV, ๖. https://en.wikipedia.org/wiki/Vietnam_War, ๗. https://en.wikipedia.org/wiki/Gulf_War<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
49
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี ่ :<br />
หัวใจสำคัญของเรือดำน ้ำ<br />
เป็นเรื่องที่น่ายินดีที่รัฐบาลอนุมั<strong>ต</strong>ิให้<br />
“กองทัพเรือ” สั่ง<strong>ต</strong>่อเรือดาน้า จานวน<br />
๓ ลา จากสาธารณรัฐประชาชนจีน<br />
วงเงิน ๓๖,๐๐๐ ล้านบาท ในระยะเวลา<br />
การส่งมอบ ๑๐ – ๑๑ ปี โดยเรือดาน้า<br />
ลาแรกจะส่งมอบภายในเดือนพฤษภาคม<br />
๒๕๖๖ หรืออีก ๖ ปีข้างหน้า<br />
เรือดาน้าที่กองทัพเรือสั่ง<strong>ต</strong>่อนั้น เป็น<br />
เรือดาน้าชั้น Yuann Class S26T เป็นเรือ<br />
ดาน้าดีเซล - ไฟฟ้า ลาด<strong>ต</strong>ระเวนเดินสมุทร<br />
ขนาดกลาง มีระวางขับน้าอยู่ที่ ๒,๖๐๐ <strong>ต</strong>ัน<br />
มีการพัฒนา<strong>ต</strong>้นแบบมาจากเรือดาน้าชั้น<br />
KILO Class ของรัสเซีย ใช้เครื่องยน<strong>ต</strong>์<br />
สเ<strong>ต</strong>อร์ลิง (Stirling Engine) ที่จีนซื้อ<br />
<strong>ต</strong>้นแบบมาจากสวีเดน โดยมีขนาดยาว<br />
๗๗.๗ เม<strong>ต</strong>ร กว้าง ๘.๖ เม<strong>ต</strong>ร ความเร็ว<br />
๑๘ น๊อ<strong>ต</strong> สามารถบรรจุลูกเรือได้ ๖๕ นาย<br />
เรือดาน้า Yuan Class S26T มีการ<strong>ต</strong>ิด<br />
อาวุธครบครัน โดย<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้ง<strong>ต</strong>อร์ปิโด ๖ ท่อยิง<br />
ที่สามารถยิงได้ไกลกว่า ๒๕๐ กิโลเม<strong>ต</strong>ร<br />
และมีระบบที่สาคัญๆ คือ ระบบ Air–<br />
Independent Propulsion system:<br />
AIP คือ ระบบเครื่องยน<strong>ต</strong>์ที่ไม่<strong>ต</strong>้องพึ่ง<br />
อากาศจากผิวน้า มีการสันดาปภายในโดยใช้<br />
อากาศหมุนเวียน ทาให้อยู่ใ<strong>ต</strong>้น้า<strong>ต</strong>่อเนื่อง<br />
ได้นานกว่าเรือดาน้าปก<strong>ต</strong>ิถึง ๒ - ๓ เท่า<br />
ซึ่งเรือดาน้าปก<strong>ต</strong>ิจะดาน้าได้นานเพียง<br />
แผนกวิจัยและพัฒนาการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมกองนโยบายและแผน กรมการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมทหาร<br />
ศูนย์การอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
๗ – ๑๐ วันเท่านั้น และระบบ Anti - Ship<br />
Missiles: ASM ซึ่งในปัจจุบันขีปนาวุธ<br />
ดังกล่าวสามารถ<strong>ต</strong>่อ<strong>ต</strong>้านได้ทั้งเรือผิวน้า<br />
เครื่องบินเฮลิคอปเ<strong>ต</strong>อร์ หรือแม้กระทั่ง<br />
ทหารราบบนชายฝั่ง โดยเรือดาน้าดังกล่าว<br />
เป็นเรือรุ่นพิเศษที่จีน<strong>ต</strong>่อขึ้นสาหรับ<br />
ประเทศไทยเท่านั้น ซึ่งมีการพัฒนาจาก<br />
เรือดาน้ารุ่น Yuan Class S26 ธรรมดา<br />
คุณสมบั<strong>ต</strong>ิของเรือดาน้าจีนรุ่นนี้มี<br />
ความเหมาะสมทั้งในด้านยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์และ<br />
ยุทธวิธี กล่าวคือ ในแง่ยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์ การมี<br />
เรือดาน้าเพื่อคุ้มครองเส้นทางการ<br />
คมนาคมทางทะเล และถ่วงดุลอานาจการ<br />
รบกับประเทศเพื่อนบ้านที่มีเรือดาน้า<br />
50 แผนกวิจัยและพัฒนาการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมกองนโยบายและแผน กรมการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมทหาร ศูนย์การอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร
นายทหารประทวน ๑๓๔ นาย การ<br />
เดินทางใช้เวลา ๒๔ วัน รวมระยะทาง<br />
ทั้งสิ้น ๓,๐๐๐ ไมล์ มาถึงฐานทัพเรือ<br />
สั<strong>ต</strong>หีบ เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๘๑<br />
รวมใช้เวลาเดินทางและแวะเมืองท่า<br />
กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ รวม<br />
๒๔ วัน หลังจากมาถึงประเทศไทยก็ได้<br />
ขึ้นระวางประจาการพร้อมกัน เมื่อวันที่<br />
๑๙ กรกฎาคม ๒๔๘๑<br />
จนกระทั่งปี พ.ศ.๒๔๘๓ เมื่อ<br />
สงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้อุบั<strong>ต</strong>ิขึ้น กองทัพเรือ<br />
ได้ส่งเรือดาน้าทั้งสี่ไปทาการลาด<br />
<strong>ต</strong>ระเวนแนวหน้าบริเวณฐานทัพเรือเรียม<br />
เกือบทุกประเทศ ส่วนในแง่ยุทธวิธี เรือดาน้า<br />
รุ่นนี้ก็มีความสามารถในการซ่อนพราง<strong>ต</strong>ัว<br />
ได้นานถึง ๒๑ วัน โดยไม่<strong>ต</strong>้องขึ้นสู่ผิวน้า<br />
ทาให้โอกาสที่จะถูกฝ่าย<strong>ต</strong>รงข้าม<strong>ต</strong>รวจจับ<br />
เป็นไปได้ยากขึ้น<br />
เรือดาน้า Yuan Class S26T<br />
กองทัพเรือไทย ได้ว่าจ้างบริษัท มิ<strong>ต</strong>ซูบิชิ ประเทศญี่ปุ่น<br />
<strong>ต</strong>่อเรือดาน้า ขนาด ๓๗๐ <strong>ต</strong>ัน จานวน ๔ ลา<br />
ในอดี<strong>ต</strong>เมื่อประมาณ ๖๖ ปี ล่วงมาแล้ว<br />
กองทัพเรือไทย เคยมีเรือดาน้าประจาการ<br />
ถึง ๔ ลา ได้แก่ เรือหลวงสินสมุทร เรือ<br />
หลวงพลายชุมพล เรือหลวงมัจฉาณุ และ<br />
เรือหลวงวิรุณและได้มีพิธีส่งมอบเรือสอง<br />
ลาแรกให้แก่กองทัพเรือ คือ<br />
เรือหลวงมัจฉาณุ และเรือหลวง<br />
วิรุณ เมื่อวันที่ ๔ กันยายน<br />
๒๔๘๐ ซึ่ง<strong>ต</strong>่อมาได้ถือว่าวันที่<br />
๔ กันยายนของทุกปี เป็น<br />
“วันที่ระลึกเรือดาน้าไทย”<br />
<strong>ต</strong>่อมาในวันที่ ๓๐ เมษายน<br />
๒๔๘๑ บริษัท มิ<strong>ต</strong>ซูบิชิ ได้ทา<br />
พิธีส่งเรือดาน้าที่เหลืออีก ๒<br />
ลา เมื่อกองทัพเรือได้รับ<br />
เรือดาน้าครบทั้ง ๔ ลา จึงได้<br />
ลงมือฝึกศึกษา<strong>ต</strong>ามหลักสู<strong>ต</strong>ร<br />
เ รื อ ด า น้ า เพิ่มเ<strong>ต</strong>ิมจน<br />
คล่องแคล่วจึงได้ถอนสมอเรือ<br />
จากเมืองท่าโกเบ กลับสู่<br />
ประเทศไทย เมื่อวันที่ ๕<br />
มิถุนายน ๒๔๘๑ โดยกาลังพล<br />
ทั้ง ๔ ลา ประกอบด้วย<br />
นายทหารสัญญาบั<strong>ต</strong>ร ๒๐ นาย<br />
เรือดาน้าของไทยทั้ง ๔ ลา เดินทาง<br />
ออกจากเมืองโกเบ ประเทศญี่ปุ่น<br />
เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน ๒๔๘๑<br />
ของแหลมอินโดจีน เพื่อป้องกันกองทัพ<br />
ฝรั่งเศสที่ลอบเข้ามาโจม<strong>ต</strong>ี โดยเรือทั้งสี่ลา<br />
ใช้เวลาอยู่ใ<strong>ต</strong>้น้าเพื่อสังเก<strong>ต</strong>การณ์ถึงวันละ<br />
๑๒ ชั่วโมง ซึ่งปฏิบั<strong>ต</strong>ิการในครั้งนั้น สร้าง<br />
ความน่าเกรงขาม<strong>ต</strong>่อฝรั่งเศสเป็นอย่างมาก<br />
และเป็นที่กล่าวขานถึงวีรกรรมอัน<br />
ห้าวหาญของราชนาวีไทย เมื่อเทียบกับ<br />
กาลังของมหาอานาจที่มีอยู่เหนือกว่า<br />
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒<br />
กองทัพเรือได้ส่งนายทหารสัญญาบั<strong>ต</strong>รและ<br />
ประทวน (บางท่านเคยประจาเรือดาน้า<br />
มาก่อน) และช่างของกรมอู่ทหารเรือไป<br />
ศึกษาและฝึกงานการสร้างแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่<br />
ในญี่ปุ่น ด้วยความมุ่งหมายที่จะผลิ<strong>ต</strong><br />
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ขึ้นใช้ในราชการเอง โดยเฉพาะ<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
51
ปี พ.ศ.๒๔๘๓ เมื่อสงครามโลกครั้งที่ ๒ ได้อุบั<strong>ต</strong>ิขึ้น กองทัพเรือได้ส่งเรือดาน้า<br />
ทั้งสี่ไปทาการลาด<strong>ต</strong>ระเวนแนวหน้า บริเวณฐานทัพเรือเรียมของแหลมอินโดจีน<br />
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ที่ใช้กับเรือดาน้า เมื่อคณะนาย<br />
ทหารและช่างชุดนี้กลับมาถึงกรุงเทพฯ<br />
แล้ว ก็ได้จัด<strong>ต</strong>ั้งโรงงานแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่และสีขึ้น<br />
ทดลองและพัฒนาการใช้งานจนเป็น<br />
โรงงานที่ใกล้เสร็จสมบูรณ์พร้อมใช้งาน<br />
แ<strong>ต</strong>่เมื่อวันที่ ๒๙ มิถุนายน ๒๔๙๔ เกิด<br />
เห<strong>ต</strong>ุการณ์แมนฮั<strong>ต</strong><strong>ต</strong>ัน หน่วยงานนี้ก็<strong>ต</strong>้องย้าย<br />
ไปสังกัดกระทรวงกลาโหม และแปรสภาพ<br />
เป็นองค์การแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ในเวลา<strong>ต</strong>่อมา เมื่อ<br />
สงครามโลกครั้งที่ ๒ สิ้นสุดลง ญี่ปุ่นเป็น<br />
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ที่ใช้ในเรือดาน้า<br />
ฝ่ายแพ้สงคราม และไม่ได้รับอนุญา<strong>ต</strong>ให้<br />
ผลิ<strong>ต</strong>อาวุธยุทโธปกรณ์ขายอีก กองทัพเรือ<br />
จึงเริ่มขาดแคลนชิ้นส่วนอะไหล่เรือดาน้า<br />
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ประจาเรือ<br />
ซึ่งใช้งานมาถึง ๙ ปี โรงงานแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่และสี<br />
ที่<strong>ต</strong>ั้งขึ้นก็ยังไม่สามารถดาเนินการได้<br />
กองทัพเรือจึงจาเป็น<strong>ต</strong>้องปลดเรือดาน้า<br />
ทั้ง ๔ ลา ออกจากประจาการ ในวันที่ ๓๐<br />
พฤศจิกายน ๒๔๙๔ รวมระยะเวลารับใช้<br />
ชา<strong>ต</strong>ิ ๑๓ ปีเศษ<br />
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่เรือดาน้า อาจกล่าวได้ว่า<br />
เป็นหัวใจสาคัญของเรือดาน้า นอกจาก<br />
เป็นแหล่งจ่ายพลังงานภายใน<strong>ต</strong>ัวเรือ เพื่อ<br />
ใช้ในการดารงชีพใ<strong>ต</strong>้น้า ทั้งการนาทางใ<strong>ต</strong>้น้า<br />
การให้แสงสว่าง การใช้ในการ<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>่อ<br />
สื่อสาร และใช้ในการฟอกอากาศภายใน<br />
<strong>ต</strong>ัวเรือแล้ว ยังมีความสาคัญ<strong>ต</strong>่อเรืออีก ๒<br />
ประการ<br />
ประการแรก พลังงานจากแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่<br />
ใช้ในการดาน้าของเรือ หรือลอยอยู่บน<br />
ผิวน้า โดยใช้กระแสไฟฟ้าจากแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่<br />
ไปขับเคลื่อนอุปกรณ์ในการลด หรือเพิ่ม<br />
ปริมาณน้าและอากาศที่อยู่ในถังอับเฉาให้<br />
เหมาะสม หาก<strong>ต</strong>้องการให้เรือดาใ<strong>ต</strong>้น้า<br />
ก็<strong>ต</strong>้องสูบน้าเข้าไปในถังอับเฉาให้มีปริมาณ<br />
พอเพียงที่<strong>ต</strong>้องการดาอยู่ใ<strong>ต</strong>้น้า หาก<br />
<strong>ต</strong>้องการลอยขึ้นมาก็ปล่อยอากาศที่ถูกอัด<br />
เข้ามาในถังอับเฉาเพื่อดันน้าออกจาก<br />
ถังอับเฉา เรือก็จะลอยขึ้น<br />
ประการ<strong>ต</strong>่อมา ชุดแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่<strong>ต</strong>้องทา<br />
หน้าที่จ่ายพลังงานไฟฟ้าให้กับมอเ<strong>ต</strong>อร์<br />
ไฟฟ้า เพื่อขับเคลื่อนเรือดาน้าที่ระดับ<br />
ความลึก หรือใช้ทางานร่วมกับระบบ AIP<br />
ในการขับเคลื่อนเรือดาน้า ทาให้สามารถ<br />
ปฏิบั<strong>ต</strong>ิงานอยู่ใ<strong>ต</strong>้น้าเป็นระยะเวลายาวนาน<br />
เรือดาน้าโดยทั่วไปมีแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ ๒<br />
ส่วน คือ แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ส่วนหน้า (Forward<br />
Battery) และแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ส่วนหลัง (After<br />
Battery) โดยแ<strong>ต</strong>่ละส่วนประกอบด้วย<br />
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ จานวน ๑๒๖ - ๒๐๐ หม้อ โดย<br />
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ส่วนหน้า จะ<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ั้งอยู่ใ<strong>ต</strong>้ห้อง<br />
ที่พักอาศัยของลูกเรือ และแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ส่วนหลัง<br />
<strong>ต</strong>ั้งอยู่ใกล้กับห้องเครื่อง แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ที่ใช้กัน<br />
โดยทั่วไป คือ แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่แบบ<strong>ต</strong>ะกั่วกรด<br />
(lead - acid battery) หรือเรียกอีกอย่าง<br />
ว่าแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่แบบเซลล์เปียก และ<br />
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ลิเทียม - ไอออน (Lithium – ion<br />
battery) แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่แบบ<strong>ต</strong>ะกั่วกรด<br />
52 แผนกวิจัยและพัฒนาการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมกองนโยบายและแผน กรมการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมทหาร ศูนย์การอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร
มีราคาถูก และมีความปลอดภัยสูงกว่า<br />
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่แบบลิเทียม–ไอออน มีความ<br />
อึดทนในการใช้งาน จึงเป็นที่นิยมใช้ในเรือ<br />
ดาน้าประเภท<strong>ต</strong>่างๆ มากกว่า ซึ่งเรือดาน้า<br />
Yuan Class S26T ก็ใช้แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่แบบ<br />
<strong>ต</strong>ะกั่วกรดด้วยเช่นกัน<br />
สาหรับเรือดาน้าที่เราจัดซื้อมาเป็น<br />
ยุทโธปกรณ์ราคาสูง ถือได้ว่าเป็นอาวุธทาง<br />
ด้านยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์ที่สาคัญของประเทศวันนี้<br />
เรามีความภาคภูมิใจในการมีเรือดาน้า<br />
ผ่าลา ...เรือดาน้า รุ่น Yuan Class S26T<br />
แ<strong>ต</strong>่อีกไม่กี่ปีเราอาจ<strong>ต</strong>้องประสบปัญหากับ<br />
การซ่อมบารุงที่จะ<strong>ต</strong>ามมา กองทัพคง<strong>ต</strong>้อง<br />
มีการเ<strong>ต</strong>รียมการ <strong>ต</strong>รวจสอบ และพัฒนา<br />
ศักยภาพของหน่วยให้มีความพร้อมในการ<br />
แก้ปัญหาในเชิงรุกที่จะเกิดขึ้นในอนาค<strong>ต</strong><br />
เพื่อที่จะดูแล ดารงสภาพยุทโธปกรณ์<br />
ดังกล่าวให้มีความคงทนอยู่นาน<br />
แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ของเรือดาน้า S26T อาจ<br />
มีการใช้งานที่หนักมาก หากปฏิบั<strong>ต</strong>ิการ<br />
ใ<strong>ต</strong>้น้าเป็นเวลานาน ดังนั้นการปรนนิบั<strong>ต</strong>ิบารุง<br />
ลักษณะทางกายภาพของแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่เรือดาน้า ดีเซล – ไฟฟ้า<br />
<strong>ต</strong>่อแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่รวมถึงการเปลี่ยนแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่<br />
จึงมีความจาเป็นและมีความผูกพันกับ<br />
งบประมาณ อาจ<strong>ต</strong>้องใช้จ่ายเงินจานวน<br />
มาก “โรงงานแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ทหาร กรมการ<br />
อุ<strong>ต</strong>สาหกรรมทหาร” มีวั<strong>ต</strong>ถุประสงค์เริ่มแรก<br />
ในการจัด<strong>ต</strong>ั้งเพื่อผลิ<strong>ต</strong>แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่สาหรับ<br />
เรือดาน้า และมีที่<strong>ต</strong>ั้ง<strong>ต</strong>ิดกับแม่น้า<br />
เจ้าพระยา เพื่อง่าย<strong>ต</strong>่อการส่งกาลังบารุง<br />
ปัจจุบันมีภารกิจในการผลิ<strong>ต</strong>แบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ชนิด<br />
<strong>ต</strong>ะกั่วกรดเป็นหลัก หากในอนาค<strong>ต</strong>กองทัพ<br />
เล็งเห็นถึงความจาเป็นในการพึ่งพา<strong>ต</strong>นเอง<br />
ในเรื่องแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่เรือดาน้า สามารถใช้<br />
ศักยภาพของ “โรงงานแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ทหาร”<br />
ในการ<strong>ต</strong>่อยอดเทคโนโลยีการผลิ<strong>ต</strong><br />
โดยรับการถ่ายทอดเทคโนโลยี (Know How)<br />
ที่ทันสมัยมาดาเนินการ เพื่อเป็นหลัก<br />
ประกันของการอยู่รอด และสามารถพึ่งพา<br />
<strong>ต</strong>นเองได้ หากเกิดสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด<br />
“โรงงานแบ<strong>ต</strong>เ<strong>ต</strong>อรี่ทหาร” พร้อมที่ให้<br />
การสนับสนุนในภารกิจดังกล่าว<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
๑. https://hilight.kapook.com/view/152490 สืบค้นเมื่อ ๕ ส.ค.๖๐, ๒. https://pantip.com/topic/34284105 สืบค้นเมื่อ ๕ ส.ค.๖๐,<br />
๓. http://www.nationmultimedia.com/news/national/30314763 สืบค้นเมื่อ ๕ ส.ค.๖๐, ๔. https://writer.dek-d.com/kc_shai/story/<br />
viewlongc.php?id=1359015&chapter=29 สืบค้นเมื่อ ๕ ส.ค.๖๐, ๕. http://www.tnews.co.th/contents/313611 สืบค้นเมื่อ ๕ ส.ค.๖๐,<br />
๖. https://maritime.org/doc/fleetsub/elect/chap5.htm สืบค้นเมื่อ ๕ ส.ค.๖๐, ๗. https://electronics.stackexchange.com/<br />
questions/23621/why-are-lead-acid-batteries-preferable-for-submarines สืบค้นเมื่อ ๕ ส.ค.๖๐<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
53
เปิดประ<strong>ต</strong>ูสู่เทคโนโลยี<br />
ปองกันประเทศ ปองกันประเทศ ปองกันประเทศ ๕๘<br />
งานสัมมนาเชิงปฏิบั<strong>ต</strong>ิการ<br />
สํารวจความ<strong>ต</strong>้องการของหน่วยผู้ใชและการสาธิ<strong>ต</strong>ขีดความสามารถ<br />
ผลงานวิจัยและพัฒนาของ สถาบันเทคโนโลยีปองกันประเทศ<br />
สถาบันเทคโนโลยีปองกันประเทศ (องคการมหาชน)<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
(องค์การมหาชน) งานสัมมนา<br />
เชิงปฏิบั<strong>ต</strong>ิการสารวจความ<br />
<strong>ต</strong>้องการของหน่วยผู้ใช้และการสาธิ<strong>ต</strong><br />
ขีดความสามารถผลงานวิจัยและพัฒนา<br />
ของสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ เมื่อ<br />
วันที่ ๑๙ - ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐ ณ ดี วารี<br />
ชาญวีร์ รีสอร์ท เขาใหญ่ จ.นครราชสีมา<br />
โดยมีวั<strong>ต</strong>ถุประสงค์ เพื่อให้ทุกภาคส่วนได้<br />
ทราบถึงศักยภาพในผลงานการวิจัยและ<br />
พัฒนาด้าน<strong>ต</strong>่าง ๆ ของสถาบันเทคโนโลยี<br />
ป้องกันประเทศ ที่สอดคล้องกับความ<br />
<strong>ต</strong>้องการของหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน<br />
และภาคส่วนที่เกี่ยวข้องทั้งในปัจจุบันและ<br />
อนาค<strong>ต</strong> รวมทั้งเป็นการส่งเสริมการนาผล<br />
งานวิจัยไปสู่สายการผลิ<strong>ต</strong>และการนาไปใช้<br />
งานจริง เพื่อให้เกิดการพัฒนาเทคโนโลยี<br />
ป้องกันประเทศ และอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกัน<br />
ประเทศเพื่อความมั่นคง โดยมี พลเอก<br />
สมพงศ์ มุกดาสกุล ผู้อานวยการสถาบัน<br />
54 ÊҺѹ෤â¹âÅÂÕ»‡Í§¡Ñ¹»ÃÐà·È (ͧ¤¡ÒÃÁËÒª¹)
เทคโนโลยีป้องกันประเทศ กล่าวเปิดงาน<br />
เมื่อวันที่ ๑๙ กรกฎาคม ๒๕๖๐<br />
การสัมมนาฯ เพื่อทราบความ<strong>ต</strong>้องการผลงาน<br />
วิจัยและพัฒนาภายในกระทรวงกลาโหม<br />
และเยี่ยมชมผลงานวิจัยและพัฒนาของ<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
เมื่อวันที่ ๒๐ กรกฎาคม ๒๕๖๐<br />
ช่วงเช้าเป็นพิธีเปิดการสัมมนาฯ และจัดแสดง<br />
การสาธิ<strong>ต</strong>ศักยภาพงานวิจัยและพัฒนาของ<br />
สถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ ได้แก่<br />
เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับขนาดเล็ก<br />
(Mini UAV) และแบบขึ้นลงทางดิ่ง (Multi<br />
Rotors) เทคโนโลยีจาลองยุทธ์และการฝึก<br />
เสมือนจริง (ระบบสนามฝึกยิงปืนเสมือน<br />
จริงชุดเล็ก) เทคโนโลยีสารสนเทศและการ<br />
สื่อสารทางทหาร (สนับสนุนการแก้ปัญหา<br />
๓ จังหวัดชายแดนภาคใ<strong>ต</strong>้) และหุ่นยน<strong>ต</strong>์<br />
เก็บกู้วั<strong>ต</strong>ถุระเบิด (EOD Robot) ในช่วง<br />
บ่าย เป็นการสัมมนา หัวข้อ “การนาเสนอ<br />
ผลงานวิจัยสู่สายการผลิ<strong>ต</strong>และการจับคู่<br />
เจรจา” และจัดเสวนาโดยเปิดโอกาสให้<br />
ท่านผู้เข้าร่วมงาน ได้ร่วมแลกเปลี่ยน<br />
และแสดงความคิดเห็น เสวนาหัวข้อ<br />
“เทคโนโลยีอากาศยานไร้คนขับกับการจัด<br />
ทาแผนที่จาลองภูมิศาส<strong>ต</strong>ร์” และพิธีลงนาม<br />
บันทึกข้อ<strong>ต</strong>กลงความร่วมมือโครงการร่วม<br />
ให้ทุนพัฒนาบุคลากรระดับปริญญาเอก<br />
ระหว่างสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ<br />
และโครงการปริญญาเอกกาญจนาภิเษก<br />
(คปก.) สานักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย<br />
(สกว.) และพิธีลงนามบันทึกความร่วมมือ<br />
โครงการวิจัยและพัฒนาอากาศยานไร้คนขับ<br />
กับ บริษัท เอ็มเอชดี เอวิเอชั่น จากัด<br />
สาธารณรัฐประชาชนจีน<br />
ซึ่งการจัดงานสัมมนาเชิงปฏิบั<strong>ต</strong>ิการ<br />
สารวจความ<strong>ต</strong>้องการของหน่วยผู้ใช้และการ<br />
สาธิ<strong>ต</strong>ขีดความสามารถผลงานวิจัยและ<br />
พัฒนาของ สถาบันเทคโนโลยีป้องกัน<br />
ประเทศ ในครั้งนี้ จะสอดคล้องกับทิศทาง<br />
และแนวนโยบายความมั่นคงของโลกใน<br />
อนาค<strong>ต</strong> เนื่องจากการวิจัยและพัฒนามีส่วน<br />
สาคัญอย่างยิ่ง<strong>ต</strong>่อการพัฒนาประเทศชา<strong>ต</strong>ิ<br />
และการวิจัยและพัฒนาจะนาไปสู่การ<br />
พึ่งพาเทคโนโลยีของ<strong>ต</strong>นเอง จะส่งผลดี<strong>ต</strong>่อ<br />
ความมั่นคงของประเทศอย่างยั่งยืนและนา<br />
ผลงานวิจัยไปใช้ประโยชน์เชิงพาณิชย์ได้<br />
เพื่อให้เป็นไป<strong>ต</strong>ามนโยบายของรัฐบาล<br />
และแผนยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์ และเป็นประโยชน์<br />
กับอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศโดย<strong>ต</strong>รง<br />
<strong>ต</strong>่อไป<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
55
คงปฏิเสธไม่ได้ว่าสังคมโลกหรือ<br />
แม้แ<strong>ต</strong>่ประเทศไทยเราเอง<strong>ต</strong>ลอด<br />
ช่วงเวลาที่ก้าวเข้าสู่ยุคดิจิทัล<br />
รัฐบาลดาเนินนโยบายกระ<strong>ต</strong>ุ้นให้เกิดสังคม<br />
ไร้เงินสด (Cashless Society) ทาธุรกรรม<br />
การเงินผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ภายใ<strong>ต</strong>้<br />
นโยบายไทยแลนด์ ๔.๐ ระบบการชาระ<br />
เงินแบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment) ได้<br />
เข้ามามีบทบาทสาคัญในระบบเศรษฐกิจ<br />
ทาให้เกิดการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ โดยมี<br />
ความก้าวหน้าได้มา<strong>ต</strong>รฐาน สอดคล้องกับ<br />
การใช้งานเทคโนโลยี โดยเฉพาะ<br />
อินเทอร์เน็<strong>ต</strong>และโทรศัพท์มือถือเพื่อ<br />
ประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยรวม<br />
โครงการ National e-Payment<br />
เริ่มเป็นรูปเป็นร่างใช้อย่างชัดเจนเมื่อวันที่<br />
๒๒ ธันวาคม ๒๕๕๘ ซึ่งคณะรัฐมน<strong>ต</strong>รี<br />
มีม<strong>ต</strong>ิเห็นชอบในหลักการแผนยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์<br />
การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบการ<br />
ชาระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชา<strong>ต</strong>ิและ<br />
มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่ง<br />
ดาเนินการ<strong>ต</strong>ามแผนยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์ฯ ซึ่ง<br />
กาหนดให้มีการดาเนินการ ๕ โครงการ<br />
สาคัญคู่ขนานกันไปในห้วงเวลาเดียวกัน<br />
ได้แก่<br />
๑. โครงการพร้อมเพย์ (PromtPay<br />
หรือ Any ID) คือ การชาระเงินผ่าน<br />
โทรศัพท์มือถือหรือระบบอินเทอร์เน็<strong>ต</strong><br />
การโอนเงินระหว่างบุคคล หรือการโอน<br />
National e-Payment<br />
พลิกโฉมระบบการชาระเงินของไทย<br />
สู่ยุคเศรษฐกิจดิจิทัล<br />
กองนโยบายและแผน กรมการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมทหาร<br />
ศูนย์การอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร<br />
ชาระค่าสินค้าและบริการให้กับร้านค้า<br />
เพียงใช้เลขประจา<strong>ต</strong>ัวประชาชนหรือ<br />
หมายเลขโทรศัพท์มือถือ ซึ่งทาได้สะดวก<br />
และลดค่าธรรมเนียมลง เช่น โอนไม่เกิน<br />
๕,๐๐๐ บาท จะไม่เสียค่าธรรมเนียม การ<br />
ได้รับเงินคืนภาษีที่รวดเร็วขึ้น ล่าสุดมีจานวน<br />
ผู้ลงทะเบียนแล้วถึง ๓๒ ล้านเลขหมาย<br />
และมีการโอนสะสมถึง ๑ แสนล้านบาท<br />
แล้ว<br />
๒. การใช้เครดิ<strong>ต</strong>การ์ดหรือเดบิ<strong>ต</strong><br />
การ์ด โครงการนี้เน้นส่งเสริมการขยาย<br />
ฐานบั<strong>ต</strong>รอิเล็กทรอนิกส์ เช่น บั<strong>ต</strong>รเดบิ<strong>ต</strong><br />
รวมทั้งการเพิ่มและกระจายอุปกรณ์รับ<br />
ชาระเงินทางอิเล็กทรอนิกส์ โดยธนาคาร<br />
แห่งประเทศไทยได้ผลักดันให้ปรับเปลี่ยน<br />
บั<strong>ต</strong>ร ATM และบั<strong>ต</strong>รเดบิ<strong>ต</strong> มาเป็นแบบ<br />
chip card ทั้งหมดภายในปี ๒๕๖๒ เพื่อ<br />
เพิ่มระบบความปลอดภัยในการใช้บั<strong>ต</strong>ร<br />
ซึ่งสอดรับกับนโยบายการใช้บั<strong>ต</strong>รสวัสดิการ<br />
ของภาครัฐ เพื่อให้กลุ่มประชาชนที่มี<br />
รายได้น้อยสามารถนามาใช้ซื้อสินค้าและ<br />
บริการได้และระยะ<strong>ต</strong>่อไปจะสามารถเชื่อม<br />
<strong>ต</strong>่อกับระบบ<strong>ต</strong>ั๋วร่วม<br />
๓. ระบบภาษีและเอกสารธุรกรรม<br />
อิเล็กทรอนิกส์ เป็นการพัฒนาการจัดทา<br />
และนาส่งข้อมูลใบกากับภาษีอิเล็กทรอนิกส์<br />
56 กองนโยบายและแผน กรมการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมทหาร ศูนย์การอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร
(e-Tax Invoice) และใบรับอิเล็กทรอนิกส์<br />
(e-Receipt) เพื่ออานวยความสะดวกและ<br />
ลดขั้น<strong>ต</strong>อนในการจัดทา รวมทั้งการนาส่ง<br />
รายงานการทาธุรกรรมทางการเงินและ<br />
การนาส่งภาษีเมื่อมีการชาระเงิน ผ่าน<br />
ระบบ e-Payment เป็นการช่วยลด<strong>ต</strong>้นทุน<br />
ระยะเวลา และขั้น<strong>ต</strong>อนของภาคเอกชน<br />
ในการจัดทาเอกสารและการชาระภาษี<br />
๔. โครงการ e-Payment ภาครัฐ<br />
เป็นการบูรณาการฐานข้อมูลสวัสดิการ<br />
สังคม และพัฒนาระบบการรับจ่ายเงิน<br />
ภาครัฐทางอิเล็กทรอนิกส์โดยส่งเสริมการ<br />
รับจ่ายเงินของหน่วยงานภาครัฐผ่านทาง<br />
อิเล็กทรอนิกส์ ส่งเสริมให้มีฐานข้อมูล<br />
กลางเกี่ยวกับสวัสดิการของภาครัฐ ควบคู่<br />
กับการจ่ายเงินให้แก่ประชาชนโดย<strong>ต</strong>รง<br />
ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งจะช่วยให้<br />
สามารถจ่ายเงินช่วยเหลือและเงิน<br />
สวัสดิการให้แก่ประชาชนได้<strong>ต</strong>รงกลุ่ม<br />
เป้าหมาย ลดความผิดพลาด ความซ้าซ้อน<br />
และโอกาสการทุจริ<strong>ต</strong>จากการจ่ายด้วย<br />
เงินสดหรือเช็ค<br />
๕. ประชาสัมพันธ์ ให้ความรู้และ<br />
มา<strong>ต</strong>รการจูงใจ ส่งเสริมการเข้าสู่ e-<br />
Payment เป็นการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้<br />
ประชาชน เพื่อส่งเสริมให้ใช้ e-Payment<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
และภาครัฐออกมา<strong>ต</strong>รการจูงใจ เพื่อ<br />
กระ<strong>ต</strong>ุ้นการใช้ e-Payment แทนเงินสด<br />
และเช็ค<br />
โครงการ National e-Payment<br />
ดังกล่าว นายอภิศักดิ์ <strong>ต</strong>ัน<strong>ต</strong>ิวรวงศ์รัฐมน<strong>ต</strong>รี<br />
ว่าการกระทรวงการคลัง ได้กล่าวไว้ว่า<br />
โครงการดังกล่าวจะช่วยประหยัด<strong>ต</strong>้นทุน<br />
ระบบเศรษฐกิจของประเทศไทย ประมาณ<br />
๗.๕ หมื่นล้านบาท<strong>ต</strong>่อปี คือ ภาคธนาคาร<br />
ประหยัดประมาณ ๓ หมื่นล้านบาท และ<br />
ภาคธุรกิจหรือร้านค้าอีกประมาณ ๔.๕<br />
หมื่นล้านบาท จากประชาชนที่จะลด<br />
<strong>ต</strong>้นทุนการบริหารจัดการพกพาเงินสดหัน<br />
มาใช้การชาระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์โดย<br />
ภาพรวมระบบ e-Payment เอื้อประโยชน์<br />
<strong>ต</strong>่อประชาชนและภาคธุรกิจ อาทิ<br />
• เพิ่มช่องทางในการ<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>่อชาระ<br />
เงินกับส่วนราชการได้รวดเร็วขึ้น<br />
• เพิ่มประสิทธิภาพและโอกาสใน<br />
การทาธุรกิจ กรณีอยู่ห่างไกลกันสามารถ<br />
ชาระเงินระหว่างกันได้โดยง่าย<br />
• เพิ่มความโปร่งใสในการ รับ–จ่าย<br />
เงิน สามารถ<strong>ต</strong>ิด<strong>ต</strong>ามสถานะและ<strong>ต</strong>รวจสอบ<br />
ได้ง่าย<br />
กรมการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมทหาร ศูนย์<br />
การอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศและ<br />
พลังงานทหาร (อท.ศอพท.)<br />
เป็นหน่วยงานเดียวใน<br />
กระทรวงกลาโหมที่<br />
เกี่ยวข้องกับการควบคุม<br />
ยุทธภัณฑ์ โดยพิจารณาออก<br />
ใบอนุญา<strong>ต</strong>สั่งเข้ามา นาเข้ามา<br />
ผลิ<strong>ต</strong>และมียุทธภัณฑ์<br />
ให้กับหน่วยงานราชการ<br />
นิ<strong>ต</strong>ิบุคคล หรือบุคคลธรรมดา<br />
และมีค่าธรรมเนียมคาขอ<br />
และใบอนุญา<strong>ต</strong> ซึ่งผู้ได้รับใบ<br />
อนุญา<strong>ต</strong>จะ<strong>ต</strong>้องจ่ายด้วย<br />
เงินสดที่กรมการอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมทหารฯ<br />
ซึ่ง<strong>ต</strong>ั้งอยู่ที่แยกเกียกกาย เข<strong>ต</strong>ดุสิ<strong>ต</strong> กรุงเทพฯ<br />
เพียงแห่งเดียวเท่านั้น ทาให้เกิดความ<br />
ไม่สะดวก เสียเวลาและค่าใช้จ่ายในการ<br />
เดินทางมากพอสมควร ทางผู้บริหารหน่วย<br />
จึงได้ริเริ่มพัฒนาระบบอานวยความสะดวก<br />
และเพิ่มประสิทธิภาพของระบบที่มีอยู่ให้<br />
สอดคล้องกับนโยบายของรัฐบาลในเรื่อง<br />
e-Payment ทาให้ในปี ๒๕๖๑ จะมีการ<br />
ดาเนินการพัฒนาระบบรับชาระเงินค่า<br />
ธรรมเนียมทางอิเล็กทรอนิกส์ (e-Payment)<br />
โดยผู้รับใบอนุญา<strong>ต</strong>สามารถชาระ<br />
ค่าธรรมเนียมผ่านทางธนาคารได้ในหลาย<br />
รูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นการหักผ่านบัญชีการ<br />
จ่ายเงินด้วย Bill payment ที่สามารถจ่าย<br />
เงินสดที่เคาน์เ<strong>ต</strong>อร์ธนาคาร <strong>ต</strong>ู้ ATM<br />
โทรศัพท์มือถือ หรือ e-Banking เคาน์เ<strong>ต</strong>อร์<br />
เซอร์วิส โดยมีค่าธรรมเนียมการบริการ<br />
<strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่ ๑๕ – ๒๕ บาท ขึ้นอยู่กับแ<strong>ต</strong>่ละ<br />
ช่องทาง ซึ่งถือเป็นทางเลือกใหม่ในการจ่าย<br />
เงินและยังเป็นการอานวยความสะดวก<br />
ให้กับผู้รับบริการ ลดการใช้เงินสด รวมทั้ง<br />
ส่งเสริมภาพลักษณ์ของส่วนราชการ<br />
โปร่งใส เป็นมิ<strong>ต</strong>ิใหม่ของกระทรวงกลาโหม<br />
ในการพัฒนาองค์กรไปสู่ยุคดิจิทัล<br />
สู่รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ <strong>ต</strong>ามนโยบาย<br />
ไทยแลนด์ ๔.๐<br />
เอกสารอ้างอิง<br />
http://www.bangkokbiznews.com/<br />
advertorial/detail/167<br />
http://www.epayment.go.th<br />
57
พระเจ้าโบดอว์พญา<br />
ทรงขยายดินแดน<br />
พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์<br />
พม่าในยุคที่สาม จากราชวงศ์อลองพญา (Alaungpaya Dynasty) ได้ปกครองอาณาจักรพม่า พ.ศ.๒๒๙๕ เมื่ออาณาจักรมี<br />
ความมั่นคงเริ่ม<strong>ต</strong>้นการขยายอาณาจักร เมือง<strong>ต</strong>่างๆ <strong>ต</strong>ลอดแนวลุ่มน้าอิรวดีอยู่ภายใ<strong>ต</strong>้การปกครองของอาณาจักรพม่าในยุคที่สาม<br />
ได้ขยายอาณาจักรไปยังเพื่อนบ้าน กษั<strong>ต</strong>ริย์<strong>ต</strong>่อมาอีกหลายพระองค์ก็ทรงโปรดการทาสงคราม และมีการแย่งชิงราชสมบั<strong>ต</strong>ิภายใน<br />
ราชวงศ์อลองพญา ด้วยกันเอง ซึ่ง<strong>ต</strong>่างก็อ้างว่ามีสิทธิ์ พระเจ้าโบดอว์พญา (Bodowpaya) เป็นกษั<strong>ต</strong>ริย์ลาดับที่หก ทรงปราบดาภิเษก<br />
ขึ้นเป็นกษั<strong>ต</strong>ริย์เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.๒๓๒๕ หรือราชวงศ์อลองพญา ได้ปกครองพม่ามา ๓๐ ปี.........บทความนี้ กล่าวถึง<br />
พระเจ้าโบดอว์พญา (Bodowpaya) ทรงขยายอาณาจักรให้มีขนาดใหญ่เทียบได้กับในยุคที่สอง ก้าวขึ้นสู่อานาจสูงสุด<br />
ค<br />
๑. กล่าวทั ่วไป<br />
วามวุ่นวายเกิดจากขบถมอญ<br />
เข้ายึดเมืองย่างกุ้งได้สาเร็จ<br />
เป็นผลให้กองทัพพม่าเข้าปราบ<br />
ปรามขบถมอญอย่างรุนแรงและเด็ดขาด<br />
พระเจ้าโบดอว์พญา (Bodowpaya) แห่ง<br />
อาณาจักรพม่าเริ่มมีความมั่นคงมากขึ้น<br />
เป็นลาดับ <strong>ต</strong>่อมาปี พ.ศ.๒๓๒๗ พระองค์<br />
ทรงยกกองทัพใหญ่เข้า<strong>ต</strong>ีเมืองยะไข่<br />
(Arakanese) เป็นดินแดนทางด้านทิศ<strong>ต</strong>ะวัน<strong>ต</strong>ก<br />
ของพม่า จัดกองทัพประกอบด้วยกาลัง<br />
ทางบกและกาลังทางเรือเข้า<strong>ต</strong>ีได้สาเร็จเมื่อ<br />
ปลายปี พ.ศ.๒๓๒๗ กวาด<strong>ต</strong>้อนพระบรม<br />
วงศานุวงศ์และชาวเมืองยะไข่ประมาณ<br />
๒๐,๐๐๐ คน กลับมายังอาณาจักรพม่า<br />
ชาวเมืองยะไข่ส่วนหนึ่งหนีเข้าไปในเข<strong>ต</strong><br />
ปกครองของอังกฤษในอินเดีย (ขณะนั้น<br />
อังกฤษได้ปกครองอินเดีย) ระยะเวลา<br />
ประมาณ ๒ ปี อาณาจักรพม่ามีจานวน<br />
ประชากรเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลให้<br />
อาณาจักรมีกาลังทหารและอาวุธพร้อม<br />
ด้วยเสบียงอาหารเพิ่มมากขึ้นเช่นกัน<br />
นอกจากนี้พระองค์ทรงนาพระพุทธรูป<br />
มหามุนี (Mahamuni Buddha) สร้างขึ้น<br />
โดยพระเจ้าจันทสุริยะ กษั<strong>ต</strong>ริย์แห่งเมือง<br />
พระเจ้าโบดอว์พญา (Bodowpaya) ทรงสร้างเมืองอมรปุระ (Amarapura) ปัจจุบันอยู่ทาง<br />
<strong>ต</strong>อนใ<strong>ต</strong>้ของเมืองมัณฑะเลย์ประมาณ ๑๒ กิโลเม<strong>ต</strong>ร<br />
58 พลเอก ทรงพล ไพนุพงศ์
พระพุทธรูปมหามุนี (Mahamuni Buddha) ปัจจุบันประดิษฐานที่เมืองมัณฑะเลย์ ประเทศเมียนมา<br />
สร้างขึ้นโดยกษั<strong>ต</strong>ริย์แห่งเมืองยะไข่ จากทองสัมฤทธิ์ มีความสูง ๑๒ ฟุ<strong>ต</strong> ๗ นิ้ว และมีน้าหนัก<br />
ขนาด ๖.๕ <strong>ต</strong>ัน<br />
ยะไข่ ในปี พ.ศ.๖๘๘ สร้างจากทอง<br />
สัมฤทธิ์มีความสูงขนาด ๑๒ ฟุ<strong>ต</strong> ๗ นิ้ว<br />
น้าหนัก ๖.๕ <strong>ต</strong>ัน (เป็นพระพุทธรูปทรงเครื่อง<br />
กษั<strong>ต</strong>ริย์ มีขนาดใหญ่มาก) ของชาวเมือง<br />
ยะไข่กลับมายังอาณาจักรพม่า เคลื่อนย้าย<br />
พระพุทธรูปมหามุนี มาทางแม่น้าอิรวดี<br />
มายังเมืองมัณฑะเลย์ (ปัจจุบันอยู่ที่<br />
วัดพระมหามุนี เมืองมัณฑะเลย์)<br />
๒. รัชกาลพระเจ้าโบดอว์พญา (Bodowpaya/Badon<br />
Min พระเจ้าปดุง)<br />
พระเจ้าโบดอว์พญา ขึ้นครอง<br />
ราชสมบั<strong>ต</strong>ิเป็นกษั<strong>ต</strong>ริย์พม่าราชวงศ์<br />
อลองพญา เมื่อวันที่ ๑๑ กุมภาพันธ์ พ.ศ.<br />
๒๓๒๕ ขณะมีพระชนมายุ ๓๗ พรรษา เป็น<br />
พระราชโอรสองค์ที่ ๓ ของพระเจ้าอลองพญา<br />
กับพระนางยูนชาน (Yun San) ประสู<strong>ต</strong>ิ<br />
เมื่อวันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ.๒๒๘๘ ที่<br />
หมู่บ้านมุ<strong>ต</strong>โซโบ (Moksobo) เมื่อพระเจ้า<br />
โบดอว์พญา (Bodowpaya) ปราบดาภิเษก<br />
ขึ้นครองราชสมบั<strong>ต</strong>ิแล้ว แ<strong>ต</strong>่อาณาจักรก็<br />
ไม่สงบโดยที่มีราชวงศ์และขุนนางที่ยัง<br />
สนับสนุนอดี<strong>ต</strong>พระมหากษั<strong>ต</strong>ริย์ (หรือ<br />
รัชทายาท) พระองค์ทรงปราบปรามอย่าง<br />
รุนแรงและเด็ดขาด เป็นผลให้อาณาจักร<br />
เป็นปึกแผ่น พระเจ้าโบดอว์พญา เป็น<br />
กษั<strong>ต</strong>ริย์ที่มีความเข้มแข็งในการรบมาก<br />
ที่สุดพระองค์หนึ่งแห่งราชวงศ์อลองพญา<br />
พระองค์ทรงสร้างเมืองอมรปุระ (Amarapura)<br />
เมื่อพระองค์ทรงครองราชย์มาได้<br />
๓ ปี ทรงรวบรวมเมือง<strong>ต</strong>่างๆ เป็นของพม่า<br />
ในอดี<strong>ต</strong><strong>ต</strong>ลอดแนวลุ่มน้าอิรวดี อาณาจักร<br />
พม่ามีความเข้มแข็ง พระองค์ทรงเ<strong>ต</strong>รียม<br />
กองทัพที่จะเข้า<strong>ต</strong>ีอาณาจักรสยามแห่งกรุง<br />
รั<strong>ต</strong>นโกสินทร์ มีกาลังทหาร ๑๔๔,๐๐๐ นาย<br />
(ใช้กาลังทหารทั้งอาณาจักร) จัดกาลัง<br />
ออกเป็น ๙ กองทัพ แยกเป็นการเข้า<strong>ต</strong>ี<br />
หลัก ๕ กองทัพ และการเข้า<strong>ต</strong>ีรอง ๔<br />
กองทัพ เป็นการเข้า<strong>ต</strong>ี<strong>ต</strong>ลอดแนวชายแดน<br />
ของสองอาณาจักรเพื่อไม่ให้อาณาจักร<br />
สยามมีโอกาสที่จะทาการ<strong>ต</strong>ั้งรับได้ทัน<br />
(ประวั<strong>ต</strong>ิศาส<strong>ต</strong>ร์ไทยจะเรียกว่า สงคราม<br />
ครั้งที่ ๑ คราวพม่ายกกองทัพมา ๙ ทาง<br />
แ<strong>ต</strong>่จะเป็นการรบของสองอาณาจักรเป็น<br />
ครั้งที่ ๓๕ แยกเป็นการรบของอาณาจักร<br />
กรุงศรีอยุธยา ๒๔ ครั้ง และอาณาจักร<br />
กรุงธนบุรี ๑๐ ครั้ง)<br />
๓. บทสรุป<br />
พระเจ้าโบดอว์พญา แห่งราชวงศ์อลอง<br />
พญา พระองค์ทรงดารงความ<strong>ต</strong>ั้งใจของ<br />
พระราชบิดาที่จะเข้า<strong>ต</strong>ีอาณาจักรสยาม<br />
แม้ว่าในอดี<strong>ต</strong>จะสามารถเข้า<strong>ต</strong>ีอาณาจักร<br />
สยามได้สาเร็จในยุคสมัยของพระเจ้า<br />
เซงพยูเซง (Hsinbyushin) ในปี พ.ศ.๒๓๑๐<br />
หรือเมื่อ ๑๘ ปี ที่ผ่านมา พระองค์ทรง<br />
<strong>ต</strong>้องการให้อาณาจักรพม่าก้าวขึ้นสู่อานาจ<br />
สูงสุดอีกครั้งหนึ่งเหมือนกับอาณาจักรพม่า<br />
ในยุคที่สอง หรือเมื่อ ๒๑๖ ปีที่ผ่านมา<br />
จึงเป็นการรบครั้งที่มีความสาคัญยิ่ง<br />
ของทั้งสองอาณาจักร<br />
ภาพวาดเมืองสาคัญ<strong>ต</strong>ามลุ่มแม่น้าอิรวดี ในสมัยราชวงศ์อลองพญา อาณาจักรพม่าในยุคที่สาม(เมือง<br />
อังวะ เมืองอมรปุระ และเมืองมัณฑะเลย์)<br />
บรรณานุกรม<br />
๑. en.wikipedia.org/wiki/Kongbaung_Dynasty<br />
๒. en.wikipedia.org/wiki/Bodawpaya<br />
๓. en.wikipedia.org/wiki/Mahamuni_Buddha_<br />
Temple<br />
๔. en.wikipedia.org/wiki/Singu_Min<br />
๕. en.wikipedia.org/wiki/Bayinnaung<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
59
ดีเฟนส์และซิคิวริ<strong>ต</strong>ี้๒๐๑๗<br />
“The Power of Partnership”<br />
งานนิทรรศการแสดงยุทโธปกรณ์<br />
เทคโนโลยีด้านการทหารและความ<br />
ปลอดภัยระดับเอเชีย หรืองาน<br />
ดีเฟนส์และซิคิวริ<strong>ต</strong>ี้ ๒๐๑๗ (Defense &<br />
Security 2017) ในครั้งนี้จัดขึ้นระหว่าง<br />
วันที่ ๖ - ๙ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๕๖๐<br />
ณ อาคาร ๖ - ๘ อิมแพค เมืองทองธานี<br />
จังหวัดนนทบุรี โดยคาดว่าจะมีผู้เข้าชม<br />
งานมากกว่า ๑๕,๐๐๐ คน จาก ๖๐<br />
ประเทศทั่วโลก ซึ่งประกอบไปด้วย<br />
ผู้บริหารระดับสูง และผู้บัญชาการ<br />
จากกระทรวงกลาโหม หน่วยงานทหาร<br />
สามเหล่าทัพ <strong>ต</strong>ารวจและพลเรือนที่เกี่ยวข้อง<br />
ได้แก่ รัฐมน<strong>ต</strong>รีว่าการกระทรวงกลาโหม<br />
ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการทหารบก<br />
ผู้บัญชาการทหารเรือ ผู้บัญชาการทหาร<br />
อากาศ และผู้แทนระดับสูงอื่นๆ จานวน<br />
กว่า ๒๐๐ คน จาก ๓๕ ประเทศทั่วโลก<br />
เข้าร่วมชมนิทรรศการในครั้งนี้<br />
แนวคิด “ The Power of Partnership”<br />
หรือ “พลังแห่งความร่วมมือ” ถือเป็น<br />
แนวคิดหลักในการจัดงานดีเฟนส์และ<br />
ซิคิวริ<strong>ต</strong>ี้ ๒๐๑๗ โดยเน้นให้เห็นถึงพลัง<br />
ความร่วมมือของภาคอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกัน<br />
ประเทศระหว่างประเทศ<strong>ต</strong>่างๆ ทั่วโลกและ<br />
เปิดโอกาสให้ผู้ผลิ<strong>ต</strong> ผู้ประกอบการจาก<br />
ทั่วทุกมุมโลก ได้พบปะและสร้างเครือข่าย<br />
ความร่วมมือทั้งทางภาคการพัฒนา<br />
ยุทโธปกรณ์ที่ทันสมัยในการป้องกัน<br />
ประเทศและยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์ในการดาเนินงาน<br />
ทางด้านธุรกิจร่วมกับผู้แทนระดับสูงจาก<br />
ภาครัฐ ทั้งในประเทศและ<strong>ต</strong>่างประเทศโดย<br />
ได้รับการสนับสนุนอย่างเป็นทางการ<br />
จากกระทรวงกลาโหมราชอาณาจักรไทย<br />
เป็นเจ้าภาพอย่างเป็นทางการ และมีผู้<br />
ประกอบการและผู้ผลิ<strong>ต</strong>อาวุธยุทโธปกรณ์<br />
ชั้นนา นาอุปกรณ์และเทคโนโลยีมาแสดง<br />
และสาธิ<strong>ต</strong>กว่า ๔๐๐ ราย จาก ๕๐<br />
ประเทศ เช่น Lockheed Martin, Nexter,<br />
Leonardo, Baretta, Thales, Aselsan,<br />
ST Kinetics, RAFAEL, IMI,<br />
UKRSPECEXPORT, FN Herstal, Arsenal<br />
2000, NORINCO, MBDA, DIEHL, Trijicon,<br />
FNSS, YUGOIMPORT, SAAB,<br />
Rheinmettal และบริษัทชั้นนาอื่นๆ<br />
อีกมากมาย เป็น<strong>ต</strong>้น รวมทั้งยังมีการจัด<br />
พาวิลเลี่ยนนานาชา<strong>ต</strong>ิกว่า ๒๕ ประเทศ<br />
ได้แก่ เบลารุส จีน สาธารณรัฐเช็ก ฝรั่งเศส<br />
เยอรมนี อินเดีย อินโดนีเซีย อิสราเอล<br />
อิ<strong>ต</strong>าลี ญี่ปุ่น มาเลเซีย ปากีสถาน รัสเซีย<br />
สิงคโปร์ แอฟริกาใ<strong>ต</strong>้ เกาหลีใ<strong>ต</strong>้ เซอร์เบีย<br />
สวีเดน สวิ<strong>ต</strong>เซอร์แลนด์ <strong>ต</strong>ุรกี ยูเครน<br />
สหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกาและ<br />
ประเทศไทย เป็น<strong>ต</strong>้น<br />
ดังนั้น ขอเชิญชวนข้าราชการทหาร<br />
<strong>ต</strong>ารวจ พลเรือน รวมถึงหน่วยงานที่ปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<br />
หน้าที่ทางด้านการป้องกันประเทศได้มา<br />
พันเอกหญิง ดร.วันดี โ<strong>ต</strong>สุวรรณ<br />
เยี่ยมชมนิทรรศการที่ได้ชื่อว่ายิ่งใหญ่ที่สุด<br />
ในเอเชีย รวมทั้งได้เพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับ<br />
ยุทโธปกรณ์และยุทธภัณฑ์ที่หลากหลาย<br />
เช่น ระบบอาวุธ ขีปนาวุธ รถถัง อาวุธนา<br />
วิถี ยานพาหนะ เรือ ดาวเทียม อุปกรณ์<br />
การสื่อสารและอิเล็กทรอนิกส์ในการ<br />
ป้องกันประเทศ ระบบควบคุมการยิงและ<br />
เครื่องยิง นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยีและ<br />
อุปกรณ์รักษาความปลอดภัยเพื่อกิจการ<br />
ความมั่นคงภายใน เช่น ปืน เสื้อเกราะ<br />
กันกระสุน เครื่องรบกวนและ<strong>ต</strong>ัดสัญญาณ<br />
โทรศัพท์ กล้องวงจรปิด สัญญาณกันขโมย<br />
ระบบควบคุมและระบบรักษาความ<br />
ปลอดภัย<strong>ต</strong>่างๆ อีกด้วย ที่สาคัญยังได้มี<br />
โอกาสได้ศึกษาหาความรู้และแลกเปลี่ยน<br />
ประสบการณ์ ทัศนค<strong>ต</strong>ิกับผู้แทนทางด้าน<br />
อุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศจาก<strong>ต</strong>่าง<br />
ประเทศ เป็นการเปิดมุมมองที่มีคุณค่า<br />
และมีประโยชน์<strong>ต</strong>่องานทางด้านวิจัยและ<br />
พัฒนา<strong>ต</strong>่อไป<br />
จากสารของ พลเอก ชัยชาญ<br />
ช้างมงคล ปลัดกระทรวงกลาโหมได้กล่าวไว้<br />
ดังนี้ (Message from Permanent<br />
Secretary for Defence, Thailand)<br />
60 พันเอกหญิง ดร.วันดี โ<strong>ต</strong>สุวรรณ
Changes in the security environment<br />
of traditional threats have<br />
not only played a key factor in<br />
determining policies and modernization<br />
plans for the Armed Forces<br />
of every nation in its quest to confront<br />
all possible challenges, but<br />
the impact of non-traditional<br />
threats, for example, natural disasters,<br />
environmental degradations,<br />
transnational crimes, terrorism and<br />
cyber security have also influenced<br />
Armed Forces to revise concepts<br />
and plans in preparing their readiness<br />
to assist those affected and<br />
provide support to the concerned<br />
agencies.<br />
(การเปลี่ยนแปลงสถานการณทาง<br />
ดานความมั่นคงที่เคยเปนภัยคุกคามแบบ<br />
ดั้งเดิมนั้นไมไดเปนปจจัยหลัก<strong>ต</strong>อการวาง<br />
นโยบายและการเสริมสรางความทันสมัย<br />
ใหกับกองทัพของทุกชา<strong>ต</strong>ิที่ทาทายอีก<strong>ต</strong>อ<br />
ไปแลว แ<strong>ต</strong>กลับกลายเปนภัยคุกคามแบบ<br />
ใหม อาทิ ภัยพิบั<strong>ต</strong>ิทางธรรมชา<strong>ต</strong>ิ การ<br />
เสื่อมโทรมของคุณภาพสิ่งแวดลอม<br />
อาชญากรรมขามชา<strong>ต</strong>ิ การกอการราย<br />
และความมั่นคงปลอดภัยทางดานไซเบอร<br />
ที่กลายเปนภัยคุกคามแบบใหมที่มีอิทธิพล<br />
<strong>ต</strong>อกองทัพในการทบทวนแผนและ<br />
แนวทางปฏิบั<strong>ต</strong>ิเพื่อเ<strong>ต</strong>รียมความพรอมใน<br />
การใหความชวยเหลือผลกระทบที่เกิดขึ้น<br />
และสนับสนุนหนวยงานที่เกี่ยวของ<br />
ดังกลาว)<br />
Acquiring new technologies<br />
and continuously upgrading existing<br />
equipment and software are an<br />
essential part of maintaining the<br />
readiness of every Armed Forces in<br />
confronting the various forms of<br />
traditional and non-traditional<br />
threats.<br />
(การเขาสูเทคโนโลยีใหมและการ<br />
ปรับปรุงพัฒนาอาวุธยุทโธปกรณและ<br />
ซอฟ<strong>ต</strong>แวรที่มีอยูถือเปนสวนที่สําคัญใน<br />
การดํารงสภาพความพรอมของทุกกองทัพ<br />
เพื่อรองรับ<strong>ต</strong>อการเผชิญหนากับภัยคุกคาม<br />
หลากหลายรูปแบบ)<br />
The Office of the Permanent<br />
Secretary for Defence, the Organising<br />
Committee and those involved,<br />
look forward to your participation<br />
in this biennial event.<br />
(สํานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
คณะกรรมการผูจัดและหนวยงาน<br />
ที่เกี่ยวของ ขอเรียนเชิญทุกทานมาชมงาน<br />
นิทรรศการที่จัดทุกสองปในครั้งนี้)<br />
นอกจากนี้ อย่าลืมแวะมาชมบูธการ<br />
แสดงผลงานวิจัยและพัฒนาการทหาร<br />
โครงการวิจัยทางทหารของกระทรวง<br />
กลาโหม ที่จัดโดยกรมวิทยาศาส<strong>ต</strong>ร์<br />
และเทคโนโลยีกลาโหม ด้วยนะคะ<br />
See you there.<br />
คําศัพทที่นาสนใจเกี่ยวกับการจัดนิทรรศการ Defence & Security 2017 มีดังนี้<br />
ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย<br />
1. security ความมั่นคง 2. environment สิ่งแวดล้อม<br />
3. concern เกี่ยวข้อง 4. determine <strong>ต</strong>ัดสินใจ/มุ่งมั่น<br />
5. terrorism การก่อการร้าย 6. Armed Forces กองทัพ<br />
7. disasters ภัยพิบั<strong>ต</strong>ิ 8. transnational crimes อาชญากรรมข้ามชา<strong>ต</strong>ิ<br />
9. confront เผชิญหน้า 10. degradations การเสื่อมโทรม<br />
11. Acquire เข้าถึง 12. various หลากหลาย<br />
13. readiness ความพร้อม 14. essential สาคัญ/จาเป็น<br />
15. traditional threats ภัยคุกคามแบบดั้งเดิม 16. non-traditional threats ภัยคุกคามแบบใหม่<br />
17. equipment ยุทโธปกรณ์/อุปกรณ์ 18. Committee คณะกรรมการ<br />
19. participation การมีส่วนร่วม 20. biennial event งานทุกๆ สองป<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
61
สาระน่ารู้ทางการแพทย์<br />
“เวียนศีรษะบ้านหมุน<br />
รีบรักษา แก้ไขได้”<br />
อ<br />
สำนักงนแพทย์ สำนักงนสนับสนุนสำนักงนปลัดกระทรวงกลโหม<br />
าการเวียนศีรษะเป็นอาการที่<br />
คนส่วนใหญ่คงเคยประสบพบเจอ<br />
แ<strong>ต</strong>่บางรายอาจมีอาการเวียน<br />
ศีรษะแบบรู้สึกหมุน คือ รู้สึกว่า<br />
สิ่งแวดล้อมรอบ<strong>ต</strong>ัวหรือสิ่งของที่มองเห็น<br />
หมุนไป หรือรู้สึกว่า<strong>ต</strong>ัวเองหมุนไป ทั้งๆ ที่<br />
<strong>ต</strong>นเองอยู่กับที่ ซึ่งอาการเวียนศีรษะ<br />
บ้านหมุนอาจส่งผล<strong>ต</strong>่อการทรง<strong>ต</strong>ัวและทาให้<br />
ผู้ที่มีอาการเสี่ยง<strong>ต</strong>่อการเกิดอุบั<strong>ต</strong>ิเห<strong>ต</strong>ุได้<br />
อย่างไรก็ดี อาการนี้มีสาเห<strong>ต</strong>ุจากหลายโรค<br />
ที่ซับซ้อน การ<strong>ต</strong>รวจวินิจฉัยอย่างถูก<strong>ต</strong>้อง<br />
จึงเป็นสิ่งสาคัญที่จะนาไปสู่การรักษาได้<br />
อย่างมีประสิทธิภาพ<br />
อาการเวียนศีรษะ เป็นคาที่มีความ<br />
หมายค่อนข้างกว้าง อาจหมายรวมถึง<br />
อาการมึนศีรษะ วิงเวียน งง รู้สึกโคลงเคลง<br />
ทรง<strong>ต</strong>ัวไม่ค่อยได้ มีความรู้สึกลอยๆ หวิวๆ<br />
มีอาการ<strong>ต</strong>ื้อในศีรษะ ซึ่งในทางการแพทย์<br />
จะแบ่งอาการนี้ออกเป็น ๒ ลักษณะ คือ<br />
• อาการมึนเวียนศีรษะ (dizziness)<br />
มีความหมายรวม<strong>ต</strong>ั้งแ<strong>ต</strong>่อาการมึน<br />
ศีรษะไปจนถึงอาการวิงเวียนศีรษะ ซึ่งเป็น<br />
อาการไม่เฉพาะเจาะจง เกิดได้จากโรค<br />
<strong>ต</strong>่างๆ เช่น โรคทางระบบไหลเวียนเลือด<br />
โรคทางระบบประสาท ภาวะโลหิ<strong>ต</strong>จาง<br />
เป็น<strong>ต</strong>้น<br />
• อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน<br />
(vertigo) จะหมายถึงเฉพาะอาการเวียน<br />
ศีรษะแบบรู้สึกหมุนหรือโคลงเคลงเท่านั้น<br />
อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน (vertigo)<br />
เป็นอาการที่มีสาเห<strong>ต</strong>ุมาจากความผิดปก<strong>ต</strong>ิ<br />
ของอวัยวะการทรง<strong>ต</strong>ัวในหูชั้นใน ซึ่งเป็น<br />
ส่วนที่ทาหน้าที่คอยรับการทรง<strong>ต</strong>ัวสมดุล<br />
ของร่างกายในท่าทาง<strong>ต</strong>่างๆ เมื่อเกิดความ<br />
ผิดปก<strong>ต</strong>ิขึ้น จึงทาให้มีอาการเวียนศีรษะ<br />
แบบรู้สึกหมุน ผู้ป่วยจะรู้สึกว่าสิ่งแวดล้อม<br />
หมุนรอบ<strong>ต</strong>ัวเองหรือ<strong>ต</strong>ัวเองหมุน รู้สึก<br />
โคลงเคลง ทั้งๆ ที่<strong>ต</strong>ัวเองอยู่กับที่ หรือไม่มี<br />
การเคลื่อนไหว ในรายที่มีอาการรุนแรงมาก<br />
อาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียน มีความรู้สึก<br />
เหมือนจะเป็นลม หูอื้อ การได้ยินลดลง<br />
หรือมีเสียงในหูร่วมด้วยได้ ทั้งนี้ มีหลาย<br />
โรคที่เป็นสาเห<strong>ต</strong>ุให้เกิดอาการเวียนศีรษะ<br />
บ้านหมุนได้ อาทิ<br />
• โรคหินปูนในหูชั้นในเคลื่อน<br />
หรือโรคเวียนศีรษะขณะเปลี่ยนท่า<br />
(benign paroxysmal positioning<br />
vertigo: BPPV) เป็นโรคที่ทาให้เกิดอาการ<br />
เวียนศีรษะบ้านหมุนที่พบได้บ่อยที่สุด<br />
โรคนี้เป็นโรคที่เกิดจากความเสื่อมของหู<br />
ชั้นใน จึงพบมากในผู้สูงอายุอาการเฉพาะ<br />
ของโรคนี้คือ อาการเวียนศีรษะบ้านหมุน<br />
ที่เกิดขึ้นทันทีทันใดในขณะเปลี่ยนท่าทาง<br />
ของศีรษะ เช่น ระหว่างกาลังล้ม<strong>ต</strong>ัวลงนอน<br />
หรือลุกจากที่นอน เงยหน้า ก้มหยิบของ<br />
เป็น<strong>ต</strong>้น อาการมักจะเป็นระยะเวลาสั้นๆ<br />
เป็นแค่ช่วงวินาทีที่ขยับศีรษะ แล้วอาการ<br />
จะค่อยๆ หายไป ผู้ป่วยโรคนี้จะไม่มีอาการ<br />
หูอื้อ ไม่พบการสูญเสียการได้ยินหรือเสียง<br />
ผิดปก<strong>ต</strong>ิในหู (ยกเว้นในรายที่เป็นโรคหูอยู่<br />
ก่อนแล้ว) รวมถึงไม่มีอาการทางระบบ<br />
ประสาท เช่น แขนขาชาหรืออ่อนแรง<br />
• โรคน้าในหูชั้นในผิดปก<strong>ต</strong>ิหรือ<br />
โรคน้าในหูไม่เท่ากัน (Meniere’s disease)<br />
เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปก<strong>ต</strong>ิของหู<br />
ชั้นใน โดยยังไม่ทราบสาเห<strong>ต</strong>ุที่แน่ชัด แ<strong>ต</strong>่พบ<br />
ว่าอาการของโรคเป็นผลจากความผิดปก<strong>ต</strong>ิ<br />
62<br />
สำนักงนแพทย์ สำนักงนสนับสนุนสำนักงนปลัดกระทรวงกลโหม
ของน้าที่อยู่ภายในหูชั้นใน ซึ่งทาให้ผู้ป่วย<br />
เกิดอาการเวียนศีรษะแบบรู้สึกหมุนอย่าง<br />
รุนแรง ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้อาเจียน<br />
และสูญเสียสมดุลของร่างกาย ทาให้เซ<br />
หรือล้มได้ง่าย อาการเวียนศีรษะที่เกิดจาก<br />
โรคนี้อาจนานเป็นนาทีจนถึงหลายชั่วโมง<br />
ซึ่งในระหว่างที่เกิดอาการ ผู้ป่วยควรอยู่<br />
นิ่งๆ ไม่ขยับศีรษะ เพราะอาจทาให้มี<br />
อาการเวียนศีรษะเพิ่มขึ้นได้ นอกจากนี้<br />
ผู้ป่วยยังอาจมีการได้ยินลดลงและมีเสียงดัง<br />
ในหู บางครั้งอาจพบอาการหูอื้อได้ด้วย<br />
• โรคอื่นๆ เช่น<br />
การอักเสบของหูชั้นใน<br />
(labyrinthitis) พบการอักเสบจากเชื้อ<br />
ไวรัสได้บ่อย ซึ่งมักมีประวั<strong>ต</strong>ิการเป็นหวัด<br />
หรือระบบทางเดินหายใจอักเสบนา<br />
มาก่อน ถ้าเชื้อไวรัสลามเข้าสู่หูชั้นในและ<br />
เส้นประสาท จะทาให้เกิดการอักเสบ<br />
ซึ่งทาให้ผู้ป่วยมีอาการเวียนศีรษะรุนแรงและ<br />
เป็นอยู่หลายวัน แ<strong>ต</strong>่ผู้ป่วยมักมีการได้ยิน<br />
ที่ปก<strong>ต</strong>ิแ<strong>ต</strong>่หากเป็นการอักเสบที่เกิดจากเชื้อ<br />
แบคทีเรีย ซึ่งมักพบในผู้ป่วยที่มีประวั<strong>ต</strong>ิโรค<br />
การอักเสบของหูชั้นกลาง โรคหูน้าหนวก<br />
แล้วลุกลามเข้าสู่หูชั้นใน<br />
อาการมักรุนแรงมาก<br />
ผู้ป่วยมักมีอาการสูญเสีย<br />
การได้ยินร่วมด้วย<br />
โรคเนื้องอกของ<br />
ประสาทการทรง<strong>ต</strong>ัว<br />
หรือเส้นประสาทการได้ยิน<br />
(acoustic neuroma)<br />
ผู้ป่วยจะมีอาการเวียน<br />
ศีรษะร่วมกับการได้ยิน<br />
ลดลง บางรายอาจมี<br />
เสียงรบกวนในหู สาหรับรายที่มีเนื้องอก<br />
ขนาดใหญ่และไม่ได้รับการรักษา ผู้ป่วย<br />
อาจมีอาการชาที่ใบหน้าซีกนั้น อัมพา<strong>ต</strong><br />
ของใบหน้า เดินโซเซ หรืออาการทาง<br />
สมองอื่นๆ เนื่องจากก้อนเนื้องอกไปกดทับ<br />
เนื้อสมอง<br />
โรคเส้นประสาทการทรง<strong>ต</strong>ัวในหู<br />
อักเสบ (vestibular neuronitis) ทาให้<br />
เกิดอาการเวียนศีรษะรุนแรงนานหลายวัน<br />
จนถึงสัปดาห์ แ<strong>ต</strong>่ไม่ส่งผล<strong>ต</strong>่อการได้ยิน<br />
ผู้ป่วยยังคงได้ยินเป็นปก<strong>ต</strong>ิ<br />
กระดูกกะโหลกแ<strong>ต</strong>กหัก (temporal<br />
bone fracture)<br />
เลือดไปเลี้ยงสมองไม่เพียงพอ<br />
(vertebra-basilar insufficiency)<br />
จะเห็นได้ว่า อาการเวียนศีรษะ<br />
บ้านหมุนมีสาเห<strong>ต</strong>ุที่ซับซ้อน การวินิจฉัย<br />
โรคอย่างถูก<strong>ต</strong>้อง จึงมีความสาคัญ การ<br />
รักษาในระยะแรกจะได้ผลดีกว่าในระยะ<br />
หลัง ดังนั้น หากมีอาการเวียนศีรษะ<br />
ผิดปก<strong>ต</strong>ิ ควรรีบพบแพทย์เพื่อหาสาเห<strong>ต</strong>ุ<br />
ของอาการและเข้ารับการรักษา โดยแพทย์<br />
จะทาการวินิจฉัยด้วยการซักประวั<strong>ต</strong>ิและ<br />
<strong>ต</strong>รวจร่างกายอย่างละเอียด ทั้งการ<strong>ต</strong>รวจ<br />
หู <strong>ต</strong>รวจระบบประสาทและการทรง<strong>ต</strong>ัว<br />
<strong>ต</strong>รวจการทางานของอวัยวะการทรง<strong>ต</strong>ัว<br />
ในหูชั้นใน <strong>ต</strong>รวจดูการกลอกของลูก<strong>ต</strong>าและ<br />
การเคลื่อนไหวของลูก<strong>ต</strong>าในท่าทาง<strong>ต</strong>่างๆ<br />
ในผู้ป่วยบางรายที่แพทย์สงสัยว่ามีความ<br />
ผิดปก<strong>ต</strong>ิของการทางานในหูชั้นในอาจ<br />
ได้รับการ<strong>ต</strong>รวจพิเศษเพิ่มเ<strong>ต</strong>ิม เช่น<br />
• <strong>ต</strong>รวจการได้ยิน (audiogram)<br />
• <strong>ต</strong>รวจการทางานของอวัยวะ<br />
ทรง<strong>ต</strong>ัวของหูชั้นใน (video electronystagmography:<br />
VNG)<br />
• <strong>ต</strong>รวจวัดแรงดันของน้าในหูชั้นใน<br />
(electrocochleography: ECOG)<br />
• <strong>ต</strong>รวจการทรง<strong>ต</strong>ัว (posturography)<br />
• <strong>ต</strong>รวจการทางานของเส้นประสาท<br />
การได้ยิน (evoke response audiometry)<br />
เป็น<strong>ต</strong>้น<br />
สาหรับการรักษา แพทย์จะพิจารณา<br />
รักษา<strong>ต</strong>ามสาเห<strong>ต</strong>ุที่ก่อให้เกิดอาการเวียน<br />
ศีรษะบ้านหมุน ซึ่งแนวทางการรักษาจะ<br />
แ<strong>ต</strong>ก<strong>ต</strong>่างกันไป โดยแพทย์จะพิจารณา<br />
แนวทางการรักษาที่เหมาะสมสาหรับ<br />
ผู้ป่วยแ<strong>ต</strong>่ละราย อย่างไรก็ดีการดูแล<strong>ต</strong>นเอง<br />
และพยายามหลีกเลี่ยงปัจจัยกระ<strong>ต</strong>ุ้นก็ยัง<br />
คงมีความสาคัญ<strong>ต</strong>่อการรักษาและการ<br />
ป้องกันการเกิดโรคในผู้ที่มีอาการเวียน<br />
ศีรษะบ้านหมุน ควรปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<strong>ต</strong>ัวดังนี้<br />
• หลีกเลี่ยงท่าทางที่ทาให้เกิด<br />
อาการเวียนศีรษะในระหว่างเกิดอาการ<br />
เช่น การหมุนหันศีรษะเร็วๆ การ<br />
เปลี่ยนแปลงท่าทางอิริยาบถอย่างรวดเร็ว<br />
การก้มเงยคอ หรือหันอย่างเ<strong>ต</strong>็มที่<br />
• ลดปริมาณหรืองดการสูบบุหรี่/<br />
ดื่มกาแฟ<br />
• หลีกเลี่ยงปัจจัยกระ<strong>ต</strong>ุ้นที่ทาให้<br />
เกิดอาการเวียนศีรษะ เช่น ความเครียด<br />
ความวิ<strong>ต</strong>กกังวล สารก่อภูมิแพ้<strong>ต</strong>่างๆ และ<br />
การพักผ่อนไม่เพียงพอ<br />
• ไม่ควรอยู่ในสถานการณ์ที่เสี่ยง<br />
<strong>ต</strong>่อการเกิดอุบั<strong>ต</strong>ิเห<strong>ต</strong>ุ เช่น การขับขี่<br />
ยานพาหนะในขณะยังมีอาการ การ<br />
ปีนป่ายที่สูง<br />
ที่มข้อมูลเพิ่มเ<strong>ต</strong>ิม https://www.bumrungrad.<br />
com/healthspot/March-2015/vertigotreatment<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
63
พลเอก ประวิ<strong>ต</strong>ร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมน<strong>ต</strong>รีและรัฐมน<strong>ต</strong>รีว่าการกระทรวงกลาโหม เปนประธานในพิธีอัญเชิญพระบรมสารีริกธา<strong>ต</strong>ุ ๓ แผ่นดิน<br />
ขึ้นประดิษฐานในพระมหาธา<strong>ต</strong>ุเจดีย์ เหนืออาคารปญญานันทานุสรณ์โดยมี พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่<br />
ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมพิธี ณ อาคารปญญานันทานุสรณ์ วัดชลประทานรังสฤษดิ์ พระอารามหลวง เมื่อ ๑๐ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
พลเอก ประวิ<strong>ต</strong>ร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมน<strong>ต</strong>รีและรัฐมน<strong>ต</strong>รีว่าการกระทรวงกลาโหม เปนประธานในพิธีและเปนผู้มอบพระบรมฉายาลักษณ์<br />
“พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิ<strong>ต</strong>ร” และ พระบรมฉายาลักษณ์ “สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทร<br />
เทพยวรางกูร” ให้กับศาลทหารทั่วราชอาณาจักร จานวน ๓๗ แห่ง ณ ห้องสุรศักดิ์มน<strong>ต</strong>รี ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๖ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
64
พลเอก ประวิ<strong>ต</strong>ร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมน<strong>ต</strong>รีและรัฐมน<strong>ต</strong>รีว่าการกระทรวงกลาโหม เปนประธานในการประชุมกองอานวยการร่วมพระราช<br />
พิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิ<strong>ต</strong>ร ครั้งที่ ๒/๒๕๖๐ โดยมี พลเอก อุดมเดช สี<strong>ต</strong>บุ<strong>ต</strong>ร<br />
รัฐมน<strong>ต</strong>รีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ร่วมประชุม ณ ห้องยุทธนาธิการ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๒ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
พลเอก อุดมเดช สี<strong>ต</strong>บุ<strong>ต</strong>ร รัฐมน<strong>ต</strong>รีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม เปนประธานในพิธีมอบรางวัลนวั<strong>ต</strong>กรรมของกระทรวงกลาโหม<br />
ประจาป ๒๕๖๐ ให้กับหน่วยงานภายในเพื่อผลักดันให้เกิดการวิจัยและพัฒนายุทโธปกรณ์ให้<strong>ต</strong>รงความ<strong>ต</strong>้องการของกองทัพและสามารถใช้งาน<br />
ได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยมีนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหมร่วมพิธี ณ ห้องพินิ<strong>ต</strong>ประชานาถ ภายในศาลาว่าการกลาโหม<br />
เมื่อ ๒๕ กันยายน ๒๕๖๐<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
65
66
พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ และ พลเอก ชัยชาญ ช้างมงคล สักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในศาลาว่าการกลาโหม และกระทาพิธีรับ-ส่งหน้าที่<br />
และมอบการบังคับบัญชาปลัดกระทรวงกลาโหม ณ ลานอเนกประสงค์ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
67
พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม เปนประธานในพิธีแสดงความยินดี แก่นายทหารสัญญาบั<strong>ต</strong>รที่ได้รับพระราชทานยศทหาร<br />
ชั้นนายพลประจาปงบประมาณ ๒๕๖๑ ครั้งที่ ๑ (<strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐) และพิธีรายงาน<strong>ต</strong>ัวของนายทหารสัญญาบั<strong>ต</strong>ร ที่ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ<br />
ย้ายเข้ามารับราชการในสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ณ ห้องพินิ<strong>ต</strong>ประชานาถ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๙ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม <strong>ต</strong>รวจเยี่ยมหน่วยขึ้น<strong>ต</strong>รงสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมีรองปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
และนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมคณะ ณ บริเวณอาคารศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๐ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
68
พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน รองปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมแสดงความยินดีกับ พลเอก เทพพงศ์ ทิพยจันทร์ ที่ได้รับพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ<br />
ให้ดารง<strong>ต</strong>าแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม โดยมี รองปลัดกระทรวงกลาโหม และหัวหน้าหน่วยขึ้น<strong>ต</strong>รงสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมแสดง<br />
ความยินดี ณ ห้องสนามไชย เมื่อ ๙ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
พลเอก วิสุทธิ์ นาเงิน รองปลัดกระทรวงกลาโหม เปนประธานในพิธีทาบุญ<strong>ต</strong>ักบา<strong>ต</strong>รพระสงฆ์ สามเณร จานวน ๘๙ รูป และเจริญพระพุทธมน<strong>ต</strong>์<br />
เพื่อถวายเปนพระราชกุศล ครบรอบ ๑ ป วันสวรรค<strong>ต</strong>พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิ<strong>ต</strong>ร โดยมีนายทหาร<br />
ชั้นผู้ใหญ่ของสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม ร่วมพิธี ณ ลานอเนกประสงค์ ภายในศาลาว่าการกลาโหม เมื่อ ๑๓ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
ËÅÑ¡àÁ×ͧ µØÅÒ¤Á òõöð<br />
69
70<br />
กิจกรรมสมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม
สมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม จัดพิธี รับ-ส่งหน้าที่ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม<br />
ระหว่าง นางวิภาพร ช้างมงคล และ นางนริศรา ทิพยจันทร์ โดยมีอุปนายกสมาคมฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการสมาคมฯ เข้าร่วมพิธี ณ ห้องไชยปราการ<br />
กรมการพลังงานทหาร ศูนย์การอุ<strong>ต</strong>สาหกรรมป้องกันประเทศและพลังงานทหาร เมื่อ ๒๙ กันยายน ๒๕๖๐<br />
หลักเมือง <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
71
นางนริศรา ทิพยจันทร์ นายกสมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม นาอุปนายกสมาคมฯ พร้อมด้วยคณะกรรมการ<br />
สมาคมฯ บวงสรวงสิ่งศักดิ์สิทธิ์ฯ ณ ที่ทาการสมาคมภริยาข้าราชการสานักงานปลัดกระทรวงกลาโหม (<strong>ต</strong>ึกโดม) และสักการะศาลหลักเมือง<br />
และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลาว่าการกลาโหม ในโอกาสเข้ารับ<strong>ต</strong>าแหน่งใหม่ เมื่อ ๓ <strong>ต</strong>ุลาคม ๒๕๖๐<br />
72
BY<br />
สัญญาประชาคม<br />
สัญญาใจ<br />
ไทยทั้งชา<strong>ต</strong>ิ<br />
ขจัดการทุจริ<strong>ต</strong><br />
ดําเนินชีวิ<strong>ต</strong> ดวยหลักคุณธรรม<br />
จริยธรรม และศีลธรรม มีความ<br />
ซื่อสั<strong>ต</strong>ย รวมกัน<strong>ต</strong>อ<strong>ต</strong>านการทุจริ<strong>ต</strong><br />
ทุกรูปแบบ<br />
อนุรักษ์ทรัพยากร<br />
ธรรมชา<strong>ต</strong>ิ<br />
รวมแบงปน ใชทรัพยากร<br />
ธรรมชา<strong>ต</strong>ิอยางทั่วถึงและเปนธรรม<br />
คํานึงถึงความสมดุลและยั่งยืน<br />
ของสิ่งแวดลอม<br />
รู้เท่าทันข่าวสาร<br />
รับรูขาวสารอยาง<br />
รอบคอบ ไมเสนอขอมูล<br />
ที่บิดเบือน ยั่วยุ กอให<br />
เกิดความขัดแยง<br />
ยึดมั ่นศาส<strong>ต</strong>ร์พระราชา<br />
พัฒนาและปฏิรูปประเทศ<br />
รับรู รวมคิด รวมทํา ดวยพลัง<br />
ประชารัฐ สูการเปลี่ยนแปลง<br />
ประเทศอยางเปนระบบ<br />
และครบวงจร<br />
พัฒนา<strong>ต</strong>นเอง นําปรัชญาของเศรษฐกิจ<br />
พอเพียงมาปรับใช ประกอบอาชีพสุจริ<strong>ต</strong><br />
มีไม<strong>ต</strong>รีจิ<strong>ต</strong><strong>ต</strong>อกัน<br />
7<br />
4<br />
9<br />
3<br />
6<br />
Thailand<br />
2<br />
8<br />
10<br />
1<br />
ดูแลคุณภาพชีวิ<strong>ต</strong><br />
5<br />
รู้รักสามัคคี<br />
รวมกันสรางสามัคคีปรองดอง<br />
ใชสิทธิ เสรีภาพ <strong>ต</strong>ามกรอบของ<br />
กฎหมาย ยอมรับความคิด<strong>ต</strong>าง<br />
เขาใจประชาธิปไ<strong>ต</strong>ย แกไขปญหา<br />
ดวยระบบรัฐสภา<br />
รวมมือกันสนับสนุน<br />
ดูแลคุณภาพชีวิ<strong>ต</strong>ดาน<br />
สาธารณสุขและการศึกษา<br />
อยางเทาเทียม<br />
เคารพกฎหมาย<br />
เชื่อมั่น และ<strong>ต</strong>องปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<strong>ต</strong>ามกฎหมาย<br />
โดยกระบวนการยุ<strong>ต</strong>ิธรรม<strong>ต</strong>องทํางาน<br />
อยางอิสระ เปนกลาง ไมเลือกปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<br />
ยึดมั ่นก<strong>ต</strong>ิกาสากล<br />
ปฏิบั<strong>ต</strong>ิ<strong>ต</strong>ามกฎก<strong>ต</strong>ิกาสากลระหวาง<br />
ประเทศ โดยยึดถือผลประโยชน<br />
ของชา<strong>ต</strong>ิเปนสําคัญ<br />
เดินหน้า<br />
ยุทธศาส<strong>ต</strong>ร์ชา<strong>ต</strong>ิ<br />
เรียนรู รวมมือ และสนับสนุน<br />
ขับเคลื่อนประเทศ<strong>ต</strong>าม<br />
ยุทธศาส<strong>ต</strong>รชา<strong>ต</strong>ิใหเปน<br />
รูปธรรมอยางยั่งยืน
กระทรวงกลาโหม กําหนดนําผาพระกฐินพระราชทานไปถวายแดพระสงฆที่จําพรรษา ณ วัดอาวุธวิกสิ<strong>ต</strong>าราม<br />
เข<strong>ต</strong>บางพลัด กรุงเทพฯ ในวันพฤหัสบดีที่ ๒ พฤศจิกายน ๒๕๖๐ เวลา ๑๔.๐๐ น. โดยมี พลเอก ประวิ<strong>ต</strong>ร วงษสุวรรณ<br />
รองนายกรัฐมน<strong>ต</strong>รีและรัฐมน<strong>ต</strong>รีวาการกระทรวงกลาโหม เปนประธานในพิธี<br />
ในการนี้ จึงขอเชิญชวนขาราชการ พนักงานราชการพรอมดวยครอบครัว และประชาชนทั่วไป รวมทําบุญ<br />
ไดที่ ธนาคารทหารไทย จํากัด (มหาชน) สาขากระทรวงกลาโหม บัญชีออมทรัพย เลขที่ ๐๓๙-๒-๗๗๘๒๑-๓<br />
ชื่อบัญชี “การถวายผาพระกฐินพระราชทานของ กห. ประจําป ๒๕๖๐”<br />
ISSN 0858 - 3803<br />
9 770858 380005