สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย โดย ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม
- No tags were found...
Create successful ePaper yourself
Turn your PDF publications into a flip-book with our unique Google optimized e-Paper software.
ข้อมูลทางบรรณานุกรม<br />
ชื่อหนังสือ <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี<br />
ผู้เขียน<br />
พีระพัฒน์ สำราญ<br />
ปีที ่พิมพ์ 2563<br />
เลขมาตรฐานสากล 978-616-7384-40-5<br />
ประจำหนังสืออิเล็กทรอนิกส์<br />
จัดพิมพ์<br />
สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์<br />
248/1 ซอยศูนย์วิจัย 4 (ซอย 17) ถนนพระรามที่ 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ 10310<br />
รูปเล่ม<br />
บริษัท บานาน่า สตูดิโอ จำกัด<br />
408/16 ถนนพระรามที่ 5 แขวงถนนนครไชยศรี เขตดุสิต กรุงเทพฯ 10300<br />
ลิขสิทธิ์ ลิขสิทธิ์เนื้อหา ©ประเวศ ลิมปรังษี และพีระพัฒน์ สำราญ 2563<br />
ลิขสิทธิ์รูปเล่ม ©สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ 2563<br />
สงวนลิขสิทธิ์ตามพระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2537 การคัดลอกหรือเผยแพร่ส่วนใดส่วนหนึ่งของหนังสือเล่มนี้<br />
ต้องได้รับอนุญาตเป็นลายลักษณ์อักษรจากทางผู้เขียนและสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์เท่านั้น<br />
Cataloguing in Publication<br />
Title<br />
Thai Architecture and Decorative Pattern by Buddhist Art&Architecture Disciple Pravet Limparungsri<br />
Author<br />
Peerapat Sumran<br />
Year 2020<br />
ISBN (e-book) 978-616-7384-40-5<br />
Publisher<br />
The Association of Siamese Architects under Royal Patronage<br />
248/1 Soi Soonvijai 4 (Soi 17) Rama 9 Road, Bangkapi, Huaykwang, Bangkok 10310<br />
Production<br />
Banana Studio Co.,tld<br />
408/16 Rama 5 Road, Thanon Nakhon Chai Si, Dusit, Bangkok 10300<br />
Copyrights Copyrights text © Pravet Limparungsri &Peerapat Sumran 2020<br />
Copyrights artwork ©ASA 2020<br />
All right reserved. No part of this publication may be reproduced or transmitted in any form or by any means,<br />
electronic or mechanical, including photocopy, recording or any other information storage and retrieval system,<br />
without prior permission in writing from the publisher
สารนายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์<br />
เนื่องในโอกาสมหามงคลสมัยที่พระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อพุทธศักราช 2559<br />
สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ รู้สึกสำานึกในพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงมีต่อปวงชนชาวไทย ประกอบกับ<br />
เนื่องในวาระครบรอบ 84 ปี สมาคมสถาปนิกสยามฯ เมื่อพุทธศักราช 2561 ที่ผ่านมา สมาคมสถาปนิกสยามฯ จึงได้<br />
จัดทำาโครงการ “The Ten Books on Architecture by ASA: หนังสือชุดองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรม 10 เล่ม <strong>โดย</strong>สมาคม<br />
สถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์” ขึ้น เพื่อร่วมเฉลิมฉลองในโอกาสอันเป็นมงคลดังกล่าว<br />
หนังสือชุดองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรม 10 เล่มที่จัดทำาขึ้นในรูปเล่มขนาด 10 นิ้ว x 10 นิ้วและเผยแพร่<br />
ในรูปแบบ e-book นี้ เป็นการรวบรวมผลงานการศึกษาสถาปัตยกรรมในสาขาวิชาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสถาปัตยกรรมไทย<br />
สถาปัตยกรรมพื้นถิ่น สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ ภูมิสถาปัตยกรรม และการอนุรักษ์สถาปัตยกรรม ให้แก่ผู้ที่สนใจทั้งใน<br />
และนอกวงการสถาปัตยกรรมได้อ่านและค้นคว้าอย่างแพร่หลาย<strong>โดย</strong>ไม่คิดมูลค่า <strong>โดย</strong>มีผู้เขียนเป็นคณาจารย์ที่มีความรู้<br />
ความเชี่ยวชาญในสาขาวิชาเหล่านั้นจากสถาบันการศึกษาทางสถาปัตยกรรมชั้นนำาของประเทศ ได้แก่<br />
1. ว่าด้วยภูมิสถาปัตยกรรม บทความคัดสรรในรอบ 3 ทศวรรษ <strong>โดย</strong> ศาสตราจารย์กิตติคุณ เดชา บุญค้ำา<br />
2. สารัตถะการพัฒนาสถาปัตยกรรม และชุมชนเมือง เอกลักษณ์ วิชาชีพ การศึกษา การวิจัยออกแบบ และ<br />
สภาพแวดล้อม <strong>โดย</strong> ศาสตราจารย์ ดร. วิมลสิทธิ์ หรยางกูร<br />
3. สถาปัตยกรรมพื้นถิ่นไทย <strong>โดย</strong> ศาสตราจารย์ ดร. วีระ อินพันทัง และคณะ<br />
4. สถาปัตยกรรมศิวิไลซ์แห่งชาติ เส้นทางโหยหาของญี่ปุ่นและสยาม ช่วงกลางศตวรรษที่ 19 ถึง<br />
กลางศตวรรษที่ 20 <strong>โดย</strong> ศาสตราจารย์ สมชาติ จึงสิริอารักษ์<br />
5. งานสถาปัตยกรรมไทย ฝีพระหัตถ์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
<strong>โดย</strong> ศาสตราจารย์ สมคิด จิระทัศนกุล<br />
6. หลักคิดด้านคุณค่าของการอนุรักษ์สถาปัตยกรรมในประเทศไทย <strong>โดย</strong> รองศาสตราจารย์ ดร. ยงธนิศร์ พิมลเสถียร<br />
7. อาษามหากาฬ: จากเริ่มต้นจนอวสาน <strong>โดย</strong> ผู้ช่วยศาสตราจารย์ สุดจิต (เศวตจินดา) สนั่นไหว<br />
8. <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี<br />
<strong>โดย</strong> ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พีระพัฒน์ สำาราญ<br />
9. เปิดคลังเอกสาร อมร ศรีวงศ์ <strong>โดย</strong> ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร. พินัย สิริเกียรติกุล<br />
10. หลากทันสมัย: สถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในประเทศไทย บรรณาธิการ<strong>โดย</strong> ดร. วิญญู อาจรักษา<br />
สมาคมสถาปนิกสยามฯ หวังเป็นอย่างยิ่งว่า หนังสือชุดองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรมทั้ง 10 เล่มนี้ จะเป็น<br />
ประโยชน์ในการค้นคว้าวิจัยทางวิชาชีพและวิชาการสถาปัตยกรรม ตลอดจนใช้เป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ หรือใช้<br />
เป็นข้อมูลเชิงลึกต่าง ๆ ในการอ้างอิง เพื่อต่อยอดองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรม และสร้างสรรค์ผลงานที่มีความหมาย<br />
และคุณค่าให้แก่สังคมต่อไป<br />
(ดร. อัชชพล ดุสิตนานนท์)<br />
นายกสมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำาปี 2561 - 2563
สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้ร่วมมือกับสมาคมสถาปนิกสยาม<br />
ในพระบรมราชูปถัมภ์ ในการจัดพิมพ์หนังสือชุดองค์ความรู้ทางสถาปัตยกรรม 10 เล่ม ในวาระครบรอบ 84 ปี<br />
สมาคมสถาปนิกสยาม ในพระบรมราชูปถัมภ์ <strong>โดย</strong>ที่หนังสือเรื่อง “<strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong>ศิษย์<br />
พุทธศิลปสถาปัตยกรรม ประเวศ ลิมปรังษี” เป็นหนึ่งในหนังสือวิชาการชุดนี้<br />
หนังสือเล่มนี้เกิดขึ้นจากความประสงค์ของผู้รวบรวมในฐานะลูกศิษย์ ซึ่งได้มีโอกาสศึกษาเรียนรู้และรับ<br />
การอบรมจากอาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี เมื่อครั้งที่อาจารย์ประเวศ ได้กลับมาสอนหลักสูตรสถาปัตยกรรมไทย<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร ภายหลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว อาจารย์ได้ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์จาก<br />
การทำงานให้แก่นักศึกษาอย่างต่อเนื่องมาหลายสิบปีจนกระทั่งถึงแก่วาระสุดท้ายของชีวิต นอกจากความรู้ที่ได้รับ<br />
จากการบรรยายในห้องเรียนแล้ว อาจารย์ยังได้รวบรวมค้นคว้าจัดทำเอกสารประกอบการศึกษาเพื่อใช้ในการเรียน<br />
การสอนไว้เป็นจำนวนมาก และยังแนะนำให้ผู้เรียนสำเนาแบบเก็บไว้สำหรับการศึกษาเพื่อออกแบบอย่างเข้าใจ<br />
<strong>โดย</strong>ที่อาจารย์มักกล่าวแนะนำอยู่เสมอๆ ว่า “ให้เก็บไว้ศึกษาและเป็นทางเดินของความคิดที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า<br />
ได้<strong>โดย</strong>ไม่หลงทาง...”<br />
เอกสารการสอนต่างๆ ที่อาจารย์ประเวศ จัดทำไว้แล้วนั้นเป็นสมุดปกอ่อนเย็บเล่มอย่างง่ายๆ พอสำหรับ<br />
การใช้สอนตามหัวข้อบรรยายแต่ละเรื่องๆ <strong>โดย</strong>เขียนคำอธิบายหัวเรื่องและภาพถ่ายประกอบแบบสถาปัตยกรรม<br />
ด้วยลายมือเขียนข้อความสั้นๆ เพื ่อประกอบความเข้าใจ<br />
เอกสารการสอนเหล่านี้จึงเป็นการจัดระบบความรู้ความคิดของอาจารย์ประเวศ ด้วยวิธีการเรียบเรียงที่อาจารย์<br />
สามารถทำได้ด้วยตนเองเป็นหลัก คือการรวบรวมข้อมูล ประมวลความรู้ และนำเสนอตัวอย่างเป็นแนวทางสำหรับ<br />
การนำไปใช้ออกแบบศิลปสถาปัตยกรรมไทยตามแนวทางปรัชญาศาสตร์ศิลปสถาปัตยกรรมไทย ตามแต่ละเรื่อง<br />
เพื่อให้เข้าใจถึงต้นกำเนิด ที่มา และการนำไปใช้ในการออกแบบต่อไป<br />
4
เอกสารประกอบการสอนด้านสถาปัตยกรรมไทยทั้งหมด ซึ่งมีจำนวนมากมายหลายร้อยเล่มได้มอบไว้ให้แก่<br />
สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร พร้อมด้วยผลงานออกแบบ แบบพิมพ์เขียว<br />
ที่เก็บสะสมไว้อีกเป็นจำนวนมาก <strong>โดย</strong>ความประสงค์ของอาจารย์ที่ต้องการมอบให้แก่สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยฯ<br />
ดูแลจัดเก็บรักษาและนำไปใช้ประโยชน์เพื่อการเผยแพร่และสืบทอดความรู้ด้านสถาปัตยกรรมไทยที่อาจารย์<br />
ประเวศ ได้อุทิศตัวมุ่งมั่นศึกษาพัฒนาต่อยอดจากครูบาอาจารย์จนเป็นผลสำเร็จมาแล้ว ด้วยผลงานออกแบบ<br />
พุทธศิลปสถาปัตยกรรมในแนวทางสร้างสรรค์จำนวนมากซึ่งเป็นผลงานสำคัญระดับชาติ ตลอดจนงานในหน้าที่<br />
ราชการกรมศิลปากรซึ่งท่านเองมีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างและบูรณปฏิสังขรณ์สถาปัตยรรมไทยทั่วประเทศ<br />
แนวคิดในการจัดทำหนังสือเล่มนี้ ผู้รวบรวมมีความประสงค์ที่จะรักษาต้นฉบับเอกสารการสอนลายมือเขียน<br />
หรือเอกสารพิมพ์ดีดอัดสำเนาของอาจารย์ประเวศ และบทสัมภาษณ์ในวารสารและสื่อสิ ่งพิมพ์ต่างๆ เป็นหลัก<br />
ทั้งนี้เพื่อให้ผู้อ่านได้ศึกษาจากความคิดของอาจารย์ประเวศอย่างแท้จริง ส่วนการเรียบเรียงเนื้อหา ภาพถ่ายประกอบ<br />
แบบลายเส้นสถาปัตยกรรม เป็นการคัดสรรจากคลังข้อมูลของสถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ<br />
<strong>โดย</strong>ผู้รวบรวมเอง<br />
“<strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong>” เป็นชื่อที่ปรากฏอยู่บนหน้าปกเอกสาร<br />
การสอนที่อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี เขียนไว้ด้วยลายมือตัวท่านเอง ผู้รวบรวมพิจารณาเห็นว่าเพื่อเป็นการรักษา<br />
ต้นฉบับเดิมของท่านอาจารย์ จึงได้นำชื่อดังกล่าวมาเป็นชื่อของหนังสือเล่มนี้<br />
ผู้ช่วยศาสตราจารย์ พีระพัฒน์ สำราญ<br />
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
รวบรวมและเรียบเรียง
สารบัญ<br />
บทที่<br />
1 แบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ 8<br />
บทที่<br />
2 เรื่องทรงหลังคาไทย 32<br />
บทที่<br />
3 เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย 60<br />
บทที่<br />
4 เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง 124<br />
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี 171<br />
บรรณานุกรม 210<br />
ที่มาภาพ 212<br />
ประวัติผู้เขียน 213
1แบบตัวอักษรสำนักสมเด็จฯ<br />
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
8 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชื่อบท<br />
9
อักษรจารึก เย ธมฺมาฯ หลักธรรมสำคัญที่เป็นหัวใจย่อของพระพุทธศาสนา ประดับอยู่ที่ผนังด้านหลังพระอุโบสถ พระปฐมเจดีย์<br />
ออกแบบอักษร<strong>โดย</strong>สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
10 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องแบบอักษรสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
อักษรลายมือและอักษรประดิษฐ์ <strong>โดย</strong>สมเด็จฯ เจ้าฟ้า<br />
กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ หรือสมเด็จครูนั้น ถือได้ว่า<br />
เป็นผลงานออกแบบฝีพระหัตถ์ที่มีความงดงามอย่างยิ่ง ซึ่ง<br />
ปรากฏอยู่ร่วมกับผลงานออกแบบสร้างสรรค์สถาปัตยกรรม<br />
จิตรกรรม และประณีตศิลปกรรม เป็นต้น กล่าวได้ว่าผลงาน<br />
ออกแบบและแบบร่างฝีพระหัตถ์ของพระองค์ท่าน <strong>โดย</strong>เฉพาะ<br />
ด้านสถาปัตยกรรมสะท้อนให้เห็นถึงแนวทางใหม่ในการ<br />
สร้างสรรค์ศิลปสถาปัตยกรรมไทยในช่วงเวลาขณะนั้น ซึ่ง<br />
ระยะต่อมายังได้ส่งอิทธิพลต่อแนวคิด ตลอดจนแนวทาง<br />
สร้างสรรค์สืบเนื่องต่อมาอีกด้วย <strong>โดย</strong>เฉพาะภายในหน่วยงาน<br />
ที่มีบทบาทสำคัญเกี่ยวข้องกับงานช่างของแผ่นดิน ได้แก่<br />
กรมศิลปากร ราชบัณฑิตยสภาแผนกช่าง และโรงเรียนเตรียม<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งต่อมาได้พัฒนาเป็นมหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร ในปัจจุบัน<br />
ทั้งนี้ คณาจารย์ผู้สอนสั่งวิชาความรู้ต่างๆ ด้านศาสตร์<br />
ศิลป์ให้แก่นักเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร ส่วนมากเป็น<br />
ช่างที่ปฏิบัติงานสนองงานให้แก่หน่วยงานราชการสืบต่อกัน<br />
มาเป็นลำดับ จึงปลูกฝังถ่ายทอดความรู้และแนวทางปฏิบัติ<br />
งานจริงไปพร้อมๆ กัน จนเกิดความชำนาญสั่งสมประสบการณ์<br />
ทำงานเป็นความเชี่ยวชาญที่จะเป็นครูช่างสืบต่อไป<br />
คณาจารย์ที่สอนวิชาช่างในโรงเรียนเตรียมศิลปากร<br />
ช่วงเวลาที่อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี เข้าศึกษาอยู่นั้น ส่วนใหญ่<br />
เป็นอาจารย์อาวุโสของกรมศิลปากร ซึ่งเป็นผู้ที่เคยถวาย<br />
งานรับใช้ใกล้ชิดสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
ตั้งแต่เมื่อครั้งยังทรงงานออกแบบด้วยพระองค์เอง อาทิ<br />
ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี อาจารย์พระพรหมพิจิตร อาจารย์<br />
พระเทวาภินิมิตร เป็นต้น <strong>โดย</strong>ทรงก ำหนดแนวทาง (ความคิด)<br />
ในการทำงานและมอบหมายให้ดำเนินงานตามพระประสงค์<br />
จนสำเร็จลุล่วงได้ผลงานเป็นที่พอพระทัย ทั้งยังเป็นที่ชื่นชม<br />
แก่ผู้ได้พบเห็นทุกคราวไป<br />
ผลงานสร้างสรรค์ของสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา<br />
นริศรานุวัดติวงศ์ เป็นที่ประจักษ์ถึงพระปรีชาสามารถในงาน<br />
ช่างศิลปะทุกแขนง จึงทรงได้รับการถวายพระเกียรติคุณ<br />
ด้วยสมัญญานาม “นายช่างใหญ่แห่งกรุงสยาม” และทรงได้รับ<br />
การเทิดทูนเป็น “สมเด็จครู” ของเหล่าศิษย์ที่ประกอบงาน<br />
ช่างศิลปะซึ่งร่วมกันถวายพระเกียรติ ยกย่องพระปรีชาสามารถ<br />
ของพระองค์ท่านสืบต่อมาจนถึงทุกวันนี้<br />
อาจารย์พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) คณบดี<br />
ท่านแรกของคณะสถาปัตยกรรมไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
และเป็นผู้เขียนตำราพุทธศิลปสถาปัตยกรรม ภาคต้น เล่าถึง<br />
สมเด็จครูไว้ดังนี้<br />
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ<br />
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
11
ลายพระหัตถ์ของ สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรม<br />
พระยานริศรานุวัดติวงศ์ ที่ปรากฏใน<br />
กระดาษร่างและแบบสถาปัตยกรรมที่<br />
ทรงออกแบบ<br />
12 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
“ต่อมาไม่นานเท่าใดนัก ก็ได้พบและได้เฝ้าสมเด็จครู<br />
คือวันเสด็จเยี่ยมกรมศิลปากรในวันต่อมา ได้ทอดพระเนตร<br />
การทำงานในห้องช่าง<strong>โดย</strong>ทั่วแล้ว ได้ทรงถามข้าพเจ้าว่า<br />
ชื่ออะไร และรับสั ่งว่าเลิกงานวันนี้ให้ไปเฝ้าท่านที่วังท่าพระ<br />
ข้าพเจ้าได้ไปเฝ้าตามพระประสงค์ ได้ประทานรูปพระ<br />
ฉายาลักษณ์ลงพระนามนริศให้ขุนบรรจงเลขา ในนามของ<br />
ข้าพเจ้าเป็นพระรูปครึ่งพระองค์ขนาดโปสการ์ดใส่กรอบ<br />
กระจกตั้ง กับได้ทรงถามบางอย่างตามสมควร วันรุ่งขึ้นจึง<br />
ได้นำดอกไม้ธูปเทียนไปกราบถวายตัว ครั้งต่อๆ มาก็ได้เฝ้า<br />
<strong>โดย</strong>รับสั่งหา และบางครั้งท่านก็เสด็จไปหาที่บ้านเมื่อยู่บ้าน<br />
ตึกดิน ตรอกกรมศิลปากร ถนนดินสอ<br />
…ต่อมาก็เริ่มใช้งานที่ท่านทรงเขียนให้ช่วยลอกและ<br />
ต่อๆ ไปเป็นงานชิ้นเล็กบ้างชิ้นใหญ่บ้าง และทรงรับสั่งวิธีการ<br />
ให้ทราบไปในตัวและสิ่งใดที่ทรงถาม ถ้าตอบได้ก็พอพระทัย….<br />
อันพระเกียรติคุณของสมเด็จครูของสมเด็จครูนั้น เมื่อผู้ใด<br />
ได้เห็นหรือรับใช้สอยอยู่ใกล้ชิด จึงจะรู้น้ำพระทัยและ<br />
พระอัธยาศัยยากที่จะหาได้ มีพระสติปัญญาสุขุม ถ้าพูดถึง<br />
คำสามัญก็เรียกว่ามีความรู้ในด้านต่างๆ รอบตัว แต่ความ<br />
สำคัญที่ทรงพอพระทัยอย่างยิ่งก็คือ “ศิลป” และคำว่าศิลปนี้<br />
เมื่อทรงออกแบบออกมาทีไรใครได้เห็นเป็นต้องชอบ มักจะ<br />
ขโมยลอกและล้อเลียนตามแบบของท่านเอาไปใช้<strong>โดย</strong>ตรงบ้าง<br />
ดัดแปลงบ้าง แต่ก็หนีในทำนองของท่านไม่พ้น…”<br />
ความสืบเนื่องทางความคิดและแนวทางการทำงาน<br />
สถาปัตยกรรมไทยแนวใหม่ ซึ่งสมเด็จครูเป็นผู้ริเริ่มขึ้นยัง<br />
ส่งต่อมาถึงอาจารย์พระพรหมพิจิตร ผู้เป็นศิษย์ที่ถวายงาน<br />
อย่างใกล้ชิดและสืบทอดงานในหน้าที่<strong>โดย</strong>ตรง<br />
นอกจากนั้น อาจารย์ประเวศ บรรยายการสอนและ<br />
เขียนเอกสารประกอบการสอนเกี่ยวกับ แบบอักษรสำนัก<br />
สมเด็จครู ไว้ว่า<br />
“สำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
นี้สืบทอดมา ๓ ชั่วคน เช่นเดียวกับ สำนักอื่นๆ ที่ผ่านมา<br />
ของยุคสมัยรัตนโกสินทร์ ศิษย์สำนักนี้ที่ปรากฏเอกลักษณ์<br />
สืบทอดในผลงานและเอกสารเฉพาะมีดังนี้<br />
๑. พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์)<br />
ศิษย์สมเด็จกรมพระยานริศฯ<br />
๒. อาจารย์ศิลป พีระศรี<br />
ศิษย์สมเด็จกรมพระยานริศฯ<br />
๓. นายทองอยู่ เรียงเนตร<br />
๔. นายปรุง เปรมโรจน์<br />
๕. นายปลิว จั่นแก้ว<br />
๖. หม่อมราชวงศ์มิตรารุณ เกษมศรี<br />
๗. นายประเวศ ลิมปรังษี (คนสุดท้ายของสำนัก)”<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี เป็นศิษย์ที่ได้รับการศึกษา<br />
จากอาจารย์พระพรหมพิจิตรและอาจารย์ศิลป์ พีระศรี <strong>โดย</strong>ตรง<br />
ทั้งสองท่าน ได้รับการอบรมสั่งสอน ฝึกฝนฝีมือช่างตั้งแต่<br />
ศึกษาที่โรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร และเมื่อเข้ามา<br />
ศึกษาต่อที่คณะสถาปัตยกรรมไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
ตั้งแต่พุทธศักราช 2489 จนสำเร็จอนุปริญญาสถาปัตยกรรม<br />
ไทย<br />
อาจารย์ประเวศ จึงมีโอกาสได้เรียนรู้การทำงานช่าง<br />
ทั้งทางด้านสถาปัตยกรรมไทย ศิลปะไทย และประติมากรรมไทย<br />
จากบรรดาครูบาอาจารย์หลายท่านที่สืบทอดแนวทางการ<br />
ทำงานสายสำนักสมเด็จฯกรมพระยานริศฯ ซึ่งมาเป็นครูสอน<br />
ที่คณะสถาปัตยกรรมไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร และต่อมา<br />
ภายหลังเมื่อทำงานรับราชการที่กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร<br />
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
13
ฝีพระหัตถ์สมเด็จครู ทรงออกแบบ<br />
อักษรไทยประดิษฐ์ ลักษณะตัวอักษร<br />
หนาปลายตัดเฉียง เพื่อเขียนประกอบ<br />
แบบร่างลงเส้นระบายสี พัดพระวิมาน<br />
ไพชยนต์ ขอพระราชทานทูลเกล้าฯ<br />
ถวาย ในงานพระเมรุมาศ สมเด็จพระ<br />
ศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถพระบรม<br />
ราชชนนีพันปีหลวง<br />
14 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบร่างพัดดำรงธรรม สมเด็จครูทรง<br />
ออกแบบ (ผูกแบบ) ถวายกรมพระดำรง<br />
ราชานุภาพ สำหรับงานเจริญพระชันษา<br />
60 ปี แบบอักษรภาษาบาลี ลักษณะ<br />
เป็นอักษรตัวหนารูปทรงสูง ส่วนหัว<br />
โค้งมนและเน้นปลายหางโค้งแหลม<br />
อย่างงดงาม ส่วนปีพุทธศักราชที่เป็น<br />
เลขไทยนั้นสอดแทรกอยู่ภายในกรอบ<br />
พื้นที่อย่างลงตัว<br />
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
15
ฝีพระหัตถ์สมเด็จครู ทรงออกแบบพัด<br />
อักษรพระนาม สมเด็จพระเจ้าบรม<br />
วงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรม<br />
พระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช ด้วยตัว<br />
อักษรหนาที ่มีหัวและปลายหางตัดเฉียง<br />
ลักษณะตัวอักษรเหลี่ยมและเชื่อมต่อ<br />
กับสระอย่างงดงาม แบบอักษรนี้ได้ถูก<br />
นำไปใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน<br />
16 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปด้านหลัง พระอุโบสถ วัดพระปฐม<br />
เจดีย์ สมเด็จครูทรงวางแนวคิดการ<br />
ออกแบบ และมอบให้พระพรหมพิจิตร<br />
เป็นผู้เขียนคัดลายเส้นดินสอบนกระดาษ<br />
กราฟ จะสังเกตเห็นลักษณะรูปแบบอักษร<br />
ที่ใช้เขียนชื่องาน มาตราส่วน ชื่อแบบ<br />
พร้อมทั้งตราสัญลักษณ์แทนพระองค์<br />
คือ น. ในดวงใจ<br />
ในการร่างแบบหรือเขียนแบบสถาปัตยกรรมต่างๆ<br />
เพื่อใช้สำหรับการก่อสร้างอาคาร จำเป็นต้องมีการเขียนอักษร<br />
เพื่ออธิบายรายการประกอบแบบ รวมทั้งชื่อผลงานพร้อมด้วย<br />
มาตราส่วน ตลอดจนลายมือผู้เขียนแบบ ตรวจแบบ หน่วยงาน<br />
และวัน เดือน ปี ที่เขียนแบบแล้วเสร็จอย่างเป็นระบบ ซึ่งเป็น<br />
ระบบการทำงานเขียนแบบที่ได้รับการถ่ายทอดจากวิธีเขียน<br />
แบบของชาวตะวันตกที่เข้ามาทำงานออกแบบเขียนแบบให้<br />
แก่หน่วยงานราชการของสยาม<br />
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
แบบตัวอักษรสมเด็จครูในผลงานฝีพระหัตถ์ต่างๆ นั้น<br />
อาจสังเกตได้ถึงเอกลักษณ์เฉพาะของตัวอักรษรที่คลี่คลาย<br />
มาจากการเขียนอักษรขอมด้วยปากกาไม้ ดังเช่น ตรา<br />
สัญลักษณ์พระนามย่อ “น. ในดวงใจ” ซึ่งแฝงอยู่ในงาน<br />
ออกแบบฝีพระหัตถ์<br />
สำหรับแบบอักษรประดิษฐ์ ฝีพระหัตถ์สมเด็จครู นั้นมี<br />
หลากหลายรูปแบบที่ทรงสร้างสรรค์รูปแบบขึ้นเฉพาะใน<br />
งานแต่ละชิ้น ดังตัวอย่างเช่น อักษรจารึก พระอุโบสถ พระ<br />
ปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม, อักษรจารึก ปฐมบรมราชานุสรณ์<br />
สะพานพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช, อักษรจารึกพระ<br />
อุโบสถวัดศรีมหาราชา จังหวัดชลบุรี เป็นต้น<br />
17
ศิลาจารึกประดับผนังด้านหลังของพระ<br />
ปฐมบรมราชานุสรณ์เฉลิมพระเกียรติ<br />
พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก<br />
มหาราช<br />
18 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ตัวอักษรในแบบรูปด้าน พระเมรุพระบรมศพ<br />
รัชกาลที่ 6 ออกแบบ<strong>โดย</strong>สมเด็จครู เขียน<br />
ลงเส้น<strong>โดย</strong>หลวงสมิทธิเลขา (ต่อมาได้รับ<br />
พระราชทานเลื่อนเป็นพระพรหมพิจิตร)<br />
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
19
แบบอักษรประดิษฐ์ชื่อประตูสวัสดิโสภา<br />
ผลงานออกแบบของพระพรหมพิจิตร<br />
ซึ่งได้รับอิทธิพลทางด้านรูปแบบ<br />
สถาปัตยกรรมและศิลปกรรมประดับ<br />
ตกแต่งจากซุ้มประตูด้านข้างพระที่นั่ง<br />
จักรีมหาปราสาท<br />
20 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ประตูสวัสดิโสภา ตั้งอยู่แนวกำแพง<br />
พระบรมมหาราชวัง ทางทิศตะวันออก<br />
ด้านหน้าวัดพระศรีรัตนศาสดาราม<br />
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
21
การฝึกหัดเขียนแบบตัวอักษรอย่างเป็นระเบียบ<br />
งดงาม เพื่อประกอบแบบทางสถาปัตยกรรมเป็นแบบแผน<br />
ของสำนักแห่งนี้ ซึ่งปรากฏอยู่ในแบบสถาปัตยกรรมที่อาจารย์<br />
ประเวศ ลิมปรังษีรวบรวมไว้ประกอบการศึกษา เรื่องแบบ<br />
อักษรสำนักสมเด็จครู ดังตัวอย่างที่นำมาแสดงนี้<br />
22 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
23
24 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
25
26 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
27
28 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
อักษรประดิษฐ์ตัวหนาตกแต่งอยู่เหนือ<br />
ช่องประตูทางเข้าด้านหน้าของมณฑป<br />
“เทสรังษี รำลึก” “พ.ศ. ๒๕๒๔” ผลงาน<br />
ออกแบบ<strong>โดย</strong>อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
ใช้ลักษณะตัวอักษรสำนักสมเด็จฯ และ<br />
อาจารย์พระพรหมพิจิตร<br />
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
29
รวบรวมแบบอักษรสำนักสมเด็จครู พระพรหมพิจิตร และกรมศิลปากร<br />
30 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ข้อดีการศึกษาศิลปะคือ<br />
“...เราเรียนมาจากบรมครูกับผู้เชี่ยวชาญ แล้วเราไม่มีทางติดขัด<br />
เพราะการสืบทอดบรมครู หาทางติดขัดไม่ได้<br />
เรียกว่าเรียนแล้วมีปรัชญา ใช้ได้ เอาไปเขียนได้ เอาไปฝึกได้<br />
แต่เราเรียนกันเดี๋ยวนี้ เราไม่ฝึก...เท็จจริงแล้วต้องฝึกทั้งชีวิต...”<br />
เรื่องแบบอักษรสำนักสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
31
2<br />
ทรงหลังคาไทย<br />
32 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชื่อบท<br />
33
34 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
รูปทรงหลังคาในงานสถาปัตยกรรมไทยนั้นมี<br />
หลากหลายรูปแบบแตกต่างกัน เกิดจากการนำเส้นสายของ<br />
รูปทรงในธรรมชาติมาปรับใช้ หรืออาจกล่าวได้ว่า “รูปทรงที่<br />
มีธรรมชาติเป็นแดนเกิด” ซึ่งสามารถศึกษาที่มาของทรง<br />
หลังคาไทย แบ่งออกเป็น 7 ลักษณะดังนี้<br />
1. รูปทรงจั่วของเรือนเครื่องผูก<br />
มาจากการก่อสร้างเรือนอยู่อาศัยด้วยวัสดุไม้ไผ่ใน<br />
สมัยเริ่มแรกๆ คือ เกิดจากน้ำหนักของวัสดุประกอบอยู่บน<br />
หลังคา ถ่ายน้ำหนักลงบนจันทัน (จันทันไม้ไผ่) <strong>โดย</strong>หลักการ<br />
ก่อสร้างคือ เอาส่วนของช่วงโคนลำไม้ไผ่พาดหลังอกไก่<br />
ส่วนปลายห้อยลงพาดทับแปหัวเสา ทิ้งปลายจันทันลงห่าง<br />
แปหัวเสาประมาณ 1 ช่วงของระยะช่วงแป<br />
น้ำหนักที่ถ่ายจากแป กลอน และวัสดุเครื่องมุงหลังคา<br />
เช่น จาก ฯลฯ เป็นต้น น้ ำหนักที่จันทันรับแรงกดดังกล่าว ท ำให้<br />
จันทันอ่อนตัวลงที่ตรงช่วงล่างจันทันไกลๆ แปหัวเสา และ<br />
ส่วนปลายของจันทัน ทำให้จันทันเป็นทรงจั่วของหลังคา<br />
เกิดความอ่อนตัว เกิดเป็นทรงงามประทับใจของช่างและผู้<br />
พบเห็นตลอดมายึดถือเอาแบบอย่างของทรงหลังคา แม้จะท ำ<br />
โครงสร้างอย่างไม้จริงเรียกว่า เรือนเครื่องสับแล้ว ก็ยังยึดถือ<br />
ทรงจั่วเครื่องผูกอยู่ แม้จันทันเป็นโครงหลังคาไม้จริงแล้วก็ยัง<br />
ถากไม้ เสริมไม้ให้ได้ทรงจันทันทรงอ่อนอย่างทรงจันทันไม้ไผ่<br />
เครื่องผูกอยู่ ได้แก่ จั่วเรือนเครื่องสับ จั่วหลังคาพระอุโบสถ<br />
และจั่วหลังคาพระวิหาร เป็นต้น ฯลฯ ดังภาพรูปจั่วอาคาร<br />
ทรงไทยที่นำมาแสดงไว้<br />
เรือนเครื่องผูกภาคกลาง สร้างด้วยไม้ไผ่<br />
มุงหลังคาจาก ยกพื้น มีใต้ถุน เป็น<br />
รูปแบบเรือนพักอาศัยอย่างสามัญชน<br />
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
35
36 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบเรือนเครื่องผูก แสดงรูปลักษณะ<br />
และชื่อองค์ประกอบส่วนต่างๆ ของเรือน<br />
ดังปรากฏในรูปตัดซึ่งจะเห็นโครงสร้าง<br />
หลังคาไม้ไผ่ รองรับไม้กลอนและตับจาก<br />
ที่มุงปิดทับโครงสร้างทั้งส่วนเรือนและ<br />
ระเบียงเป็นทรงหลังคาอ่อนตัวตาม<br />
ธรรมชาติ<br />
ชื่อบท<br />
37
2. จั่วทรงเครื่องถ่วง<br />
รูปทรงนี้เกิดขึ้นจากความประทับใจของทรงอ่อนโค้ง<br />
ของจั่วเรือนเครื่องผูก เมื่อมีการสร้างเรือนให้มีความมั่นคง<br />
แข็งแรงกว่าเดิมที่เรียกว่า “เรือนไม้จริง” หรือ “เรือนเครื่องสับ”<br />
ขึ้นนั้น จึงได้นำเอาลักษณะของเส้นสายที่อ่อนโค้งของจั่วนั้น<br />
มาใช้เป็นทรงหลังคา <strong>โดย</strong>อาศัย “เครื่องถ่วง” น ำมาคิดน้ำหนัก<br />
ของโครงสร้างที่จะวางอยู่บนจันทัน อันได้แก่ แป กลอน<br />
และวัสดุมุง โดนคิดเฉลี่ยออกตามพื้นที่ เช่น คิดเป็น<br />
ตารางเมตร นำมาทดสอบกับโครงจั่วหลังคาจำลองเท่าจริง<br />
ที่วางแนบชิดผนังเป็นฉากหลัง จากนั้นจึงนำแผ่นไม้ที่ได้ถาก<br />
ส่วนปลายข้างหนึ่งออกแล้วขึ้นวางพาดบนอกไก่เหนือใบดั้ง<br />
แล้วจึงนำเครื่องถ่วงที่เตรียมไว้ขึ้นแขวนในตำแหน่งที่<br />
กำหนดไว้เพื่อให้สัมพันธ์กับการคำนวณน้ำหนักข้างต้น<br />
ไม้ที่ใช้ทำแบบทรงจันทันนั้นจะเกิดการอ่อนโค้ง<br />
อันเกิดจากการรับแรง จากนั้นจึงทำการเขียนแนวเส้นโค้งที่<br />
เกิดขึ้นนั้นบนพื้นฉากหลังติดผนัง และใช้เส้นโค้งดังกล่าว<br />
เป็นแบบในการปรุงส่วนโครงจั่วหลังคาเรือนต่อไป<br />
เรือนขนาดเล็กอย่างกุฏิ ที่สร้างให้มั่นคง<br />
แข็งแรงขึ้นเป็นเรือนไม้จริงทรงหลังคา<br />
เครื่องถ่วง ลักษณะทรงหลังคานี้กำกับ<br />
ด้วยเส้นโค้งของทรงจันทันเมื่อรับแรง<br />
แล้วอ่อนตัวลงเป็นเส้นโค้ง ซึ่งจะใช้เป็น<br />
แบบทรงหลังคาจั่ว<br />
38 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรือนเครื่องสับ ถือเป็นเอกลักษณ์ของ<br />
สถาปัตยกรรมไทยประเภทเรือนพัก<br />
อาศัยภาคกลางที่ก่อสร้างด้วยไม้จริง มี<br />
ความคงทนถาวรและสืบทอดแบบแผน<br />
การปลูกสร้างด้วยภูมิปัญญาเชิงช่าง<br />
<strong>โดย</strong>ช่างไม้จะปรุงเรือนขึ้นจากสัดส่วน<br />
แผนผัง รูปทรง โครงสร้าง และองค์<br />
ประกอบที่มีความสัมพันธ์สอดคล้อง<br />
กับพื้นที่ใช้สอยเพื่อการอยู่อาศัยใน<br />
บริบทสภาพแวดล้อมอย่างสงบสุข<br />
รูปทรงหลังคาเรือนไทยที่มีความ<br />
งดงามนี ้เป็นลักษณะของจั่วทรงเครื่อง<br />
ถ่วง ซึ่งช่างไม้จะกำหนดรูปทรง<strong>โดย</strong>ใช้<br />
องค์ประกอบโครงสร้างส่วนสำคัญคือ<br />
จันทันไม้แต่งรูปล้อไปตามเส้นนอก<br />
ของทรงหลังคาเครื่องถ่วง ใช้เป็นแบบ<br />
ในการปรุงเรือน<br />
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
39
3. จั่วทรงฟันปลา<br />
มาจากการก่อสร้างโครงสร้างหลังคาอาคารไทยด้วย<br />
วัสดุไม้จริงหรือไม้แปรรูปเป็นตัวไม้ทำจันทันที่มีกำลังรับ<br />
ต้านน้ำหนักเครื่องบนได้<strong>โดย</strong>จันทันไม่อ่อนตัวเมื่อตั้งแป<br />
กลอน ตลอดจนเครื่องมุงหลังคาแล้ว หากจะทำให้หลังคา<br />
อ่อนบ้างก็สามารถใช้ไม้เสริมตรงเชิงจันทัน แล้วถากไม้<br />
เสริมให้ได้ทรงอ่อนลงมาจนสุดตรงเชิงชาย เส้นทรงอ่อนได้<br />
เฉพาะส่วนเหนือแปหัวเสาขึ้นไปไม่ได้มากนัก<br />
ทรงจั่วฟันปลาจะดูแข็งเพราะจันทันเป็นไม้แปรรูป<br />
ทรงเส้นตรงทั้งแผ่น ส่วนใหญ่ใช้ไม้แปรรูปทำโครงสร้าง<br />
ทั้งหมด ทรงจึงไม่อ่อนหวานและนิ่มนวลเหมือนอย่างทรง<br />
จั่วเรือนหลังคาเครื่องผูก ดังตัวอย่างในแบบที่นำมาแสดง<br />
“ทรงจั่วฟันปลา”<br />
บน กระจังฟันปลา ในตำราพุทธศิลป<br />
สถาปัตยกรรม ภาคต้น <strong>โดย</strong>พระพรหม<br />
พิจิตร แสดงลักษณะฟันปลา 3 แบบ<br />
คือ ฟัน 1 , ฟัน 3 และฟัน 5 ซึ่งจัดวาง<br />
อยู่ในรูปทรงสามเหลี่ยม<br />
ล่าง ทรงจั่วฟันปลา ซึ่งน ำมาเป็นตัวอย่าง<br />
ในการออกแบบสถาปัตยกรรมไทย<br />
จากแบบสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร<br />
40 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ศาลาไทย วัดโพธิ์เก้าต้น จังหวัดสิงห์บุรี<br />
ผลงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทย<strong>โดย</strong><br />
ประเวศ ลิมปรังษี ที ่ใช้ลักษณะหลังคา<br />
ทรงฟันปลา<br />
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
41
ศาลสมเด็จพระนเรศวรมหาราช<br />
จังหวัดหนองบัวลำภู ผลงานออกแบบ<br />
สถาปัตยกรรมไทย<strong>โดย</strong> ประเวศ ลิมปรังษี<br />
เป็นอาคารเครื่องไม้ขนาดเล็กที่ใช้<br />
ลักษณะจั่วทรงฟันปลา หลังคาซ้อนชั้น<br />
มีชายคาปีกนกรอบทั้งสี่ด้าน รวยระกา<br />
ป้านลมประดับตกแต่ง หน้าจั่วทำด้วย<br />
ไม้แกะสลักลวดลายประณีตงดงาม<br />
42 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
43
บน รูปทรงดอกบัว<strong>โดย</strong>ธรรมชาติและ<br />
แปลงเป็นตัวเทศในศิลปไทย จากตำรา<br />
พุทธศิลปสถาปัตยกรรม ภาคต้น <strong>โดย</strong><br />
พระพรหมพิจิตร อธิบายความสำคัญ<br />
ของดอกบัวที่เป็นบ่อเกิดของศิลปไทย<br />
อาทิ การแปลงลายเทศ (ตัวเทศและ<br />
ใบเทศ) ซึ่งยังสามารถดัดแปลงเข้าหา<br />
รูปทรงใหม่ๆ ได้อีกมาก อาทิ ทรงพุ่ม<br />
ข้าวบิณฑ์ใบเทศ เป็นต้น<br />
ล่าง ใบระกาและหน้าจั่ว จากตำราพุทธ<br />
ศิลปสถาปัตยกรรม ภาคต้น <strong>โดย</strong>พระ<br />
พรหมพิจิตร เป็นแบบอย่างของการ<br />
ดัดแปลงทรงดอกบัวเข้าหารูปทรงจั่ว<br />
ในงานสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งแสดงออก<br />
ด้วยองค์ประกอบชุดเครื่องบนประดับ<br />
ตกแต่งหน้าจั่ว ด้วยรูปทรง ลักษณะและ<br />
จังหวะของเส้นสายที่แฝงไว้ด้วยทรงบัว<br />
4. จั่วทรงบัว<br />
มาจากการก่อสร้างทรงโคมหลังคาปราสาทหินเมื่อ<br />
ถ่ายน้ำหนักลงผนังในทรงโค้ง <strong>โดย</strong>ไม่ใช้โครงสร้างอื่นๆ รับ<br />
น้ำหนักโครงหลังคา เมื่อช่างไทยทำหลังคาโค้งด้วยไม้ ทรงจั่ว<br />
ก็ต้องโค้งตามหลังคาทรงจั่วเช่นนี ้ ช่างไทยเห็นว่ามาจาก<br />
ลักษณะของทรงดอกบัวชนิดหนึ่งที่มีทรงดอกป้อมๆ<br />
ไม่แหลมนัก ช่างไทยจึงทำปั้นลมทรงจั่วเป็นทรงดอกบัว<br />
เรียกว่า “จั่วทรงบัว”<br />
การทำโครงสร้างหลังคาทรงบัวด้วยคอนกรีต<br />
เสริมเหล็กก็เป็นแบบที่ง่าย เพราะสามารถหล่อเป็นทรงโค้ง<br />
ได้อย่างสะดวก แต่ถ้าเป็นโครงหลังคาทำด้วยไม้ก็ต้องเสริม<br />
หลังจันทัน ถากหรือเลื่อยเข้าประกอบเสริมเป็นทรงหลังคา<br />
โค้งตามรูปจั่วทรงบัว ดังแสดงแบบประกอบการศึกษาวิธีทำ<br />
โครงสร้างหลังคาจั่วทรงบัว 2 รูปแบบ คือแบบไม้ และ<br />
แบบคอนกรีตเสริมเหล็ก ดังรูปที่นำมาแสดงไว้<br />
44 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบลายเส้นรูปตั้งด้านหน้าและด้านข้างหอเปลื้องเครื่อง ประกอบพระเมรุมาศ<br />
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ออกแบบ<strong>โดย</strong><br />
ประเวศ ลิมปรังษี เป็นอาคารชั่วคราวสำหรับใช้ในงานพระราชพิธี ก่อสร้างด้วย<br />
ไม้อัด ฉลุลาย ซ้อนไม้ตกแต่งองค์ประกอบและลวดลายศิลปไทย สำหรับหน้าจั่ว<br />
และเครื่องบนชุด ใบระกา ผู้ออกแบบใช้ลักษณะทรงบัว ให้มีจังหวะเส้นสาย<br />
อ่อนหวานนิ่มนวล<br />
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
45
วชิราวุธวิทยาลัย สถาปัตยกรรมไทย<br />
คอนกรีตยุคแรก สร้างขึ้นในสมัยรัชกาล<br />
ที่ 6 เป็นแบบอย่างของสถาปัตยกรรม<br />
ไทยที่มีหลังคาทรงบัว ซึ่งช่างไทย<br />
สามารถดัดแปลงทรงหลังคาไทยให้<br />
สอดรับกับการก่อสร้างอาคารโครงสร้าง<br />
คอนกรีตเสริมเหล็กประดับ ตกแต่ง<br />
ลวดลายถอดพิมพ์ปูนซีเมนต์ด้วยลาย<br />
ไทยได้อย่างประสานกลมกลืน<br />
46 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
47
5. จั่วทรงทิ้งเส้นเชือก (ทรงตกท้องช้าง)<br />
มาจากการทิ้งเส้นเชือก คือ เมื่อจะทำการก่อสร้าง<br />
ขนาดขื่อกว้างเท่าไร ก็ให้แบ่งกลางขื่อแล้วตั้งไม้ใบดั้งให้ตั้ง<br />
ฉากดูสมส่วนกับความกว้างของตัวอาคาร เหนือใบดั้งให้<br />
ตัดไม้ประกอบเป็นรูปทรงอกไก่ แล้วตอกตะปูบนหลังตัวสัน<br />
อกไก่ ผูกเชือกยาว 2 เท่า ความกว้างของตัวเรือน แล้วดึง<br />
เชือกไปทางด้านข้างตรงแนวจันทันให้สุดปลายเชือกตึงชิด<br />
ปลายแปหัวเสาและเชิงชาย แล้วทิ้งเส้นเชือกไป เมื่อเชือก<br />
ทรงอ่อนหยุดนิ่ง ให้กดเชือกไว้กับหลังสะพานหนู ตอกตะปู<br />
จับไว้ไม่ให้เคลื่อน แล้วแบ่งขื่อจากเชิงใบดั้งถึงหลังข้างแป<br />
หัวเสาออกเป็น 5 ส่วน ตรงจุดภายในช่วงที่แบ่งตั้งตุ๊กตา<br />
เป็นไม้ตั ้งฉากขึ้นไปจดเส้นเชือก แล้วดัดปลายตุ๊กตาจาก<br />
ด้านข้างส่วนหลังที่แตะเชือกทุกๆ ต้น จุดที่ตุ๊กตาแตะเชือก<br />
ทั้งหมดเป็นแนวหลังจันทัน <strong>โดย</strong>หลังจันทันเป็นแนวทรง<br />
หลังคา หรือแนวของจั่วทรงทิ้งเส้นเชือก ตามกรรมวิธี<br />
ดังรูปทรงที่แสดง<br />
แบบลายเส้นรูปตั้งด้านหน้าและรูปตัด<br />
ทรงหลังคาพระระเบียง วัดเบญจมบพิตร<br />
ดุสิตวราราม เป็นตัวอย่างลักษณะหลังคา<br />
จั่วทรงทิ้งเส้นเชือก โครงสร้างหลังคา<br />
เครื่องประดุ<br />
48 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
พระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม<br />
ผลงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทย<br />
<strong>โดย</strong> สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา<br />
นุวัดติวงศ์ ทรงออกแบบแผนผังและ<br />
รูปทรงหลังคาของพระอุโบสถและ<br />
พระระเบียงเชื่อมต่อเข้าด้วยกันอย่าง<br />
งดงาม กล่าวได้ว่า พระอุโบสถแห่งนี้<br />
เป็นงานสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมไทย<br />
แนวใหม่ซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในอดีต<br />
หลังคาจตุรมุขและมุขทางเข้าด้านหน้า<br />
มีลักษณะรูปทรงจั ่วเปิด ก่อสร้างด้วย<br />
ระบบโครงสร้างไม้แบบโครงเครื่องประดุ<br />
เผยให้เห็นไขราหน้าจั่วซึ่งมีแปสี ่เหลี ่ยม<br />
รองรับกลอน ระแนง มุงกระเบื้องหลังคา<br />
กาบกล้วย ปรากฏผลสัมฤทธิ์ด้านความ<br />
งดงามของรูปทรงหลังคาเครื่องไม้<br />
ที่สมเด็จครูทรงสร้างสรรค์ออกแบบ<br />
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
49
50 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบลายเส้นรูปตั้งและรูปตัดโครงสร้างหลังคาจั่วทรงทิ้งเส้นเชือก<br />
ที่มีเส้นรูปนอกอ่อนโค้งเป็นจังหวะงดงามจากเส้นร่างดินสอ <strong>โดย</strong><br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ผสานความงามของรูปทรงจั่วทรงตก<br />
ท้องช้างและชายคาปีกนกแผ่กว้างและคันทวยแนบข้างเสาที่รองรับ<br />
จังหวะต่อเนื่องเป็นลำดับของเส้นรูปนอกสถาปัตยกรรม<br />
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
51
6. จั่วทรงภควัม<br />
มาจากทรงเรือนรัศมีขององค์ภควัมตามที่ช่าง<br />
สถาปนิกผู้เชี่ยวชาญในสถาปัตยกรรมไทย ได้กำหนดรูปแบบ<br />
ของทรงจั่วไว้ คือ คล้ายๆ ทรงหลังคาแบบทรงเครื่องผูกและ<br />
ทรงฟันปลา แต่จัดปั้นลมเป็น 3 ช่วง ตามจังหวะรูปทรงรัศมี<br />
ของพระภควัม จึงเรียกว่า “จั่วทรงภควัม” “ปั้นลมจั่วภควัม”<br />
บน หน้าจั ่วทรงภควัม ประดับตกแต่ง<br />
เครื่องบนแบบปั้นลมและแบบเครื่อง<br />
ลำยอง ภาพลายเส้นจากตำราพุทธศิลป<br />
สถาปัตยกรรม ภาคต้น <strong>โดย</strong>พระพรหม<br />
พิจิตร<br />
ล่าง แบบรูปตั้งพระเมรุมาศสมเด็จ<br />
พระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี<br />
ในรัชกาลที่ 7 ออกแบบ<strong>โดย</strong> ประเวศ<br />
ลิมปรังษี เป็นงานสถาปัตยกรรมไทย<br />
เฉพาะกิจ สำหรับงานพระราชพิธีถวาย<br />
พระเพลิงพระศพ ลักษณะเป็นอาคาร<br />
ทรงปราสาทยอดมุขทิศทั้งส่ี่ด้านมี<br />
ลักษณะจั่วทรงภควัมในเส้นรูปนอก<br />
ของทรงบัว<br />
52 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
พระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 ออกแบบ<strong>โดย</strong> ประเวศ<br />
ลิมปรังษี เป็นอาคารชั่วคราวสำหรับใช้ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ รูปทรงจั่วและ<br />
เครื่องบนประดับตกแต่งด้วยงานซ้อนไม้ปิดกระดาษทองย่น ผู้ออกแบบใช้ลักษณะพระเมรุมาศทรงยอด<br />
ปราสาทซ้อนชั้น ยื่นมุขอาคารออกมาจากเรือนธาตุทั้งสี่ทิศ เครื่องบนตกแต่งหน้าจั่วรูปทรงภควัม<br />
ที่มีจังหวะเส้นสายอ่อนหวานนิ่มนวล<br />
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
53
พระอุโบสถ วัดอรัญวาสี อำเภอศรีเชียงใหม่<br />
จังหวัดหนองคาย ออกแบบ<strong>โดย</strong> ประเวศ<br />
ลิมปรังษี เป็นอาคารสถาปัตยกรรมไทย<br />
อีสานด้วยเอกลักษณ์ของสถาปัตยกรรม<br />
ล้านช้าง ซึ่งผู้ออกแบบให้ความสำคัญกับ<br />
การสร้างสรรค์สถาปัตยกรรมที่มีรากฐาน<br />
ทางประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรมของ<br />
ท้องถิ่น มาเป็นแนวทางในการออกแบบได้<br />
อย่างงดงาม เรียบง่ายและกลมกลืนกับ<br />
สภาพแวดล้อมของที่ตั้ง<br />
54 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
55
7. หลังคาทรงจอมแห<br />
ที่มาของหลังคาทรงมณฑปหรือหลังคาเครื่องยอด<br />
มาจากทรงของการตากแหอย่างหนึ่ง และมาจากทรวดทรง<br />
พีระมิดหรือทรงแสงอาทิตย์ ทรงมณฑปหลังคาเหลี่ยม<br />
ทั้งหมดที่กล่าวก็เข้ารูปทรงหลังคาจอมแหทั้งสิ้น คือ การ<br />
ตัดส่วนหรือการรวมแหเอาทรงที่ต้องการ ดังรูปตัวอย่าง<br />
อาคารที่แสดงไว้<br />
แบบรูปด้านและรูปตัด พระมณฑป<br />
แปดเหลี่ยมที่มีหลังคาเครื่องยอดทรง<br />
จอมแห ร่างแบบ<strong>โดย</strong> อาจารย์ประเวศ<br />
ลิมปรังษี<br />
56 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
พระอุโบสถ วัดโสธรวรารามฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา<br />
ผลงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทย<strong>โดย</strong> ประเวศ<br />
ลิมปรังษี ที่มีหลังคาทรงจอมแห อันเป็นลักษณะ<br />
หนึ่งของรูปทรงอาคารเครื่องยอด แต่ผู้ออกแบบ<br />
ดัดแปลงแผนผังหลังคาแปดเหลี่ยมด้านไม่เท่า<br />
(หรือสี่เหลี่ยมปาดมุม) เข้าประสานอยู่ภายใต้<br />
รูปทรงจอมแหได้อย่างงดงาม<br />
เรื่องทรงหลังคาไทย<br />
57
พระอุโบสถ วัดโสธรวรารามฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา ผลงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทย<strong>โดย</strong> ประเวศ ลิมปรังษี<br />
เพื่อสนองแนวพระราชดำริพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร<br />
มีพระราชดำรัสเมื่อคราวเสด็จพระราชดำเนินมาทรงประกอบพิธีทางศาสนาเนื่องในวันวิสาขบูชา เมื่อวันที่ 3<br />
มิถุนายน พ.ศ. 2509 ความว่า “...ตั้งใจมานมัสการหลวงพ่อพุทธโสธรนานแล้ว ทำไมสร้างพระอุโบสถแบบนี้<br />
ไม่สมเกียรติหลวงพ่อพุทธโสธร ให้ปรับปรุงแก้ไขเสียใหม่...” ซึ่งสถาปนิกผู้ออกแบบวางแนวคิดด้านประโยชน์<br />
ใช้สอยรูปแบบสถาปัตยกรรม โครงสร้างและวัสดุ ตลอดจนรายละเอียดการประดับตกแต่งตามหลักปรัชญา<br />
การสร้างงานพุทธศิลปสถาปัตยกรรมแนวใหม่ในสมัยรัชกาลที่ 9<br />
58 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
การเรียน การออกแบบงานศิลปะเปรียบเสมือนกับ<br />
“...คนกินอาหารเข้าไปแล้วตกเป็นเหงื่อ ให้มีประโยชน์ ไม่ใช่การกินแล้วคายหรืออาเจียน<br />
คนก็จะเห็นว่าแบบเดิมเป็นอะไร เหมือนกับการลอกแบบ<br />
แต่ถ้ากลืนแล้วย่อยออกเป็นเหงื่อ เหมือนกับว่าเรากินเข้าไปในปัญญา<br />
เราสามารถขัดเกลา แก้ไข พลิกแพลง ไม่ให้ของเก่าเหลืออยู่และเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้น<br />
เท่ากับการสร้างสรรค์งานแบบใหม่ ชาติก็ได้รับสิ่งใหม่...”<br />
ชื่อบท<br />
59
3<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
60 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชื่อบท<br />
61
การนิวัติแห่งสิ่งส้าง <strong>โดย</strong>พระเทวาภินิมมิต (ฉาย เทียมสินไชย) เอกสารประกอบการสอนเรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย ของอาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
ความเป็นมาของอาคารเครื่องยอด<br />
คำว่า “เครื่อง” หมายถึง องค์ประกอบหลายสิ่ง<br />
หลายอย่างมารวมประกอบกันให้เกิดผลตามที่ต้องการ เช่น<br />
เครื่องจักร เครื่องยนต์ เครื่องยา เครื่องแกง เครื่องทองของหมั้น<br />
ตลอดจนเครื่องเรือน เป็นต้น คำว่า “เครื่องยอดอาคาร”<br />
ทำนองเดียวกันคือต้องมีองค์ประกอบหลายสิ่งหลายอย่าง<br />
อันประกอบขึ้นเป็นโครงสร้างและประกอบการตกแต่งให้เกิด<br />
ผลตามต้องการ<br />
ทุกๆ ชาติในโลกที่เจริญแล้วด้วยพฤติกรรมทางปัญญา<br />
ย่อมมองเห็นองค์ประกอบของธรรมชาติที่เกิดขึ้นด้วยการ<br />
ปรุงแต่งให้มีทรวดทรงที่งดงามตามธรรมชาติมาสร้างสรรค์<br />
สิ่งที่มียอดเกือบทั้งสิ้น จึงอาศัยปรัชญาในธรรมชาติมาสร้าง<br />
สรรค์สิ่งที่ดีงามด้วยการใช้เครื่องยอดที่สำคัญอยู่ทั่วไป<br />
เครื่องยอดอาคารเหล่านี้ย่อมแตกต่างกันไปตามปรัชญา<br />
ที่เหมาะสมกับอาคารและการใช้สอยอาคารตามยศศักดิ์และ<br />
ความสำคัญต่างกัน เป็นตัวหลักของวิชาออกแบบเพื ่อ<br />
กาลเทศะที่เหมาะสมกับเรื่องแต่ละประเภทที่ใช้เป็นประการ<br />
สำคัญที่ต้องศึกษา <strong>โดย</strong>เฉพาะในสถาปัตยกรรมศิลปะไทย<br />
ตามโอกาสนั้นๆ ที่จะสร้างหรือที่จะก่อสร้างอาคารขึ้นใช้สอย<br />
ตามหลักวัฒนธรรมและประเพณีของไทยที่นิยมสืบทอด<br />
กันมาในทางที่ดี เหมาะสมที่สามารถใช้สอยกับผลที่แสดงออก<br />
ถึงความเจริญที่อวดทางปรัชญาของตนได้ อันเป็นที่ชื่นชม<br />
ของมนุษยชาติต่อไปได้เป็นประการสำคัญ<br />
การใช้เครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทยมีหลากหลาย<br />
รูปแบบ เท่าที่ปรากฏหลักฐานแห่งรูปแบบสามารถประมวล<br />
เข้าหลักวิชาที่จะศึกษาได้มีดังนี้<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
แบบรูปตั้งพระเมรุที่พระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระมหาสมณเจ้า กรมพระยาวชิรญาณวโรรส<br />
ฝีพระหัตถ์สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ แสดงสัดส่วนรูปทรงยอดมณฑปย่อมุมไม้สิบสอง<br />
และร่างผังพื้นของชั้นหลังคาเครื่องยอด<br />
63
1 เครื่องยอดของอาคารที่มาจากฉัตร หรือมาจากแบบรูปทรง<br />
ของฉัตร<br />
ฉัตรคือร่มนั่นเอง เรามักเรียกว่า เจดีย์ มักมีฉัตรปัก<br />
เพราะว่าฉัตรนั้นมีลักษณะเหมือนกับร่มซ้อนกันหลายๆ ชั้น<br />
เหมือนนำร่มมาเสียบตามเถา ตามลักษณะของการซ้อนกัน<br />
ฉัตรจึงเหมือนกับร่มหรือพระกลดซ้อนกันเป็นชั้นๆ เพียงแต่<br />
ขนาดย่อยลงเท่านั้น แต่ก็เอาทรงตามรูปแบบตัวอย่างนี้<br />
เรียกว่า ทรงฉัตร เพราะนำฉัตรมาทำเครื่องยอด<br />
การนำมาใช้สอยมักใช้ในการประกอบพิธีที่เป็นงาน<br />
ชั่วคราวและเร่งรัด เพราะฉัตรทำด้วยผ้าขาวแล้วเดินเส้นทอง<br />
ติดขอบ<strong>โดย</strong>รอบ<br />
การใช้สอยเครื่องฉัตรสามารถใช้ทำเมรุก็ได้ เช่น ใน<br />
อดีตใช้สร้างเมรุของเจ้าฟ้าเจ้าแผ่นดินที่เกิดเหตุสวรรคตลง<br />
กลางทาง <strong>โดย</strong>ใช้เป็นยอดของปะรำ ตัวอาคารนั้นเราเรียกว่า<br />
“ปะรำ” แต่ปะรำลักษณะนี้นั้นเพิ่มฉัตรขึ้นเป็นเครื่องยอด<br />
ซึ่งเราจะเห็นว่าเป็นอาคารที่ปลูกสร้างได้ง่ายทั้งฉัตรและปะร ำ<br />
หรือสร้างเป็นเครื่องยอดประกอบพลับพลายกที่ประทับของ<br />
พระเจ้าแผ่นดินก็ได้<br />
รูปแบบของยอดฉัตรขึ้นอยู่กับจำนวนชั้นของฉัตรที่<br />
เหมาะสมกับศักดิ์ของอาคาร เช่น พระเจ้าแผ่นดินใช้ฉัตร<br />
จำนวน 9 ชั้น พระราชินีและเจ้านายฝ่ายในใช้ฉัตรจำนวน<br />
7 ชั้น ระดับเจ้าฟ้าใช้ฉัตร 5 ชั้น และพระสังฆราช พระสงฆ์<br />
ใช้ฉัตรจำนวน 3 ชั้น เป็นต้น<br />
เครื่องยอดฉัตรและเส้นกำกับรูปทรง<br />
ฉัตรแขวนและฉัตรปัก<br />
64 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ฉัตรปักประดับฐานพระเมรุมาศ ถวาย<br />
พระเพลิงพระบรมศพ พระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ผลงานออกแบบ<br />
<strong>โดย</strong> สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรา<br />
นุวัดติวงศ์<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
65
ปะรำยอดฉัตร 9 ชั้น ใช้ประกอบพิธีบวงสรวงอดีตบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า<br />
สมโภชพระนคร ครบ 200 ปี ออกแบบ<strong>โดย</strong> อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
66 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปตั้งพลับพลาและปะรำบวงสรวง<br />
อดีตบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้า ในงาน<br />
พระราชพิธี ณ ท้องสนามหลวง<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
67
เบญจาสมโภชพระบรมสารีริกธาตุ<br />
วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร สร้างเป็น<br />
อาคารชั่วคราวทรงยอดฉัตรในแผนผัง<br />
สี่เหลี่ยมที่มีลักษณะแบบศิลปะล้านช้าง<br />
68 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปด้านและรูปตัด<br />
เบญจาสมโภชพระบรม<br />
สารีริกธาตุ วัดพระธาตุพนม<br />
วรมหาวิหาร<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
69
70 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบปะรำประกอบพิธียอดฉัตร<br />
ประเภทงานเฉพาะกิจ พระราชพิธี<br />
ถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จ<br />
พระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี<br />
ในรัชกาลที่ 7<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
71
2 เครื่องยอดของอาคารที่มาจากบุษบก หรือมาจากรูปแบบ<br />
ของทรงบุษบก<br />
บุษบก คือ อาคารที่ไม่มีฝา ใช้ทำบัลลังก์ เป็นอาคาร<br />
โถง ถ้ามีฝาจะเรียกว่า มณฑป ดังนั้น ลักษณะของบุษบก<br />
จึงเป็นเครื่องยอดโถงแต่สามารถนำไปใช้กับอาคารก็ได้<br />
รูปแบบจะมีชั้นเชิงกลอน 3 หรือ 5 ชั้น ขึ้นอยู่กับ<br />
ลักษณะของอาคาร แต่จะไม่ถึง 7 ชั้น อาจเปรียบเทียบ<br />
ความต่างระหว่างมณฑปกับบุษบกได้ว่า มณฑปมีฝา เป็น<br />
อาคารซึ่งมีผนัง แต่บุษบกนั้นจะไม่มีฝา สำหรับส่วนยอดจะ<br />
เป็นหลังคาเหลี่ยมหรือหลังคาซ้อนหลายชั้นหรือย่อไม้ก็ได้<br />
ทั้งสองแบบ<br />
การนำไปใช้สอยนั้นสามารถออกแบบเป็นหอพระ<br />
ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นอาคารที่มีพระพุทธรูปนั่งอยู่ภายใน<br />
บุษบก หรือหอระฆังซึ่งสามารถออกแบบเป็นเรือนยกพื้นสูง<br />
และมีขนาดเล็ก<br />
ตัวอย่างของอาคารเครื่องยอดบุษบก คือ พระเมรุมาศ<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเปลี่ยนมาตั้ง<br />
จิตกาธานข้างใน แต่เดิมนั้นอยู่ภายในปราสาท เพราะว่าเมรุ<br />
เดิมเป็นบัลลังก์ ซึ่งบัลลังก์ก็คือบุษบกที่อยู่ภายในปราสาท<br />
เช่น พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท แต่มาใช้กันในสมัยอยุธยา<br />
เราเรียกว่าสร้างปราสาทแล้วเอาบุษบกไว้ในปราสาท แล้ว<br />
ตั้งจิตกาธานในบุษบกแล้วจึงเผา คือ เผาบนบัลลังก์ เหมือนกับ<br />
ท่านนั่งอยู่ภายในบุษบกคือบัลลังก์ของท่าน แต่ตัวอาคารนั้น<br />
เป็นปราสาททึบ ใช้ปราสาทเป็นเมรุ แต่พอตอนหลังใน<br />
สมัยรัชกาลที่ 5 จึงเลิก เพราะว่าสิ้นเปลือง<br />
ซ้าย แบบทรงยอดบุษบก มณฑป หรือ<br />
ปราสาท<br />
ขวา ชื่อองค์ประกอบส่วนต่างๆ ของบุษบก<br />
บัลลังก์ <strong>โดย</strong> อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
72 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
พระเมรุมาศ พระบาทสมเด็จพระจุลจอม<br />
เกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
73
พระเมรุมาศ พระบรมศพพระบาทสมเด็จ<br />
พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6<br />
74 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปด้านพระเมรุมาศ พระบรมศพ<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
รัชกาลที่ 6 ผลงานออกแบบ<strong>โดย</strong> สมเด็จฯ<br />
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
75
แบบผังหลังคาเครื่องยอดทรงบุษบก<br />
และรูปด้านชั้นหลังคา พระเมรุมาศ<br />
พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว<br />
76 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบร่างซุ้มประตูยอดทรงบุษบกที่<br />
ออกแบบให้มีขนาดต่างกันจึงใช้<br />
องค์ประกอบชั้น เชิงกลอนหลังคา 5 ชั้น<br />
และ 3 ชั้นตามลำดับ ออกแบบ<strong>โดย</strong><br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
77
3 เครื่องยอดของอาคารที่มาจากมณฑป หรือมาจากรูปแบบ<br />
ของทรงมณฑป<br />
มณฑป เป็นอาคารมีฝา หลังคาเหลี่ยมทรงเหลี่ยม<br />
แบบพีระมิด และมีพัฒนาการต่อมาในสมัยหลังด้วยการ<br />
เพิ่มชั้นซ้อนให้มากขึ้น เช่น มณฑปในสมัยอยุธยาและ<br />
รัตนโกสินทร์ คือ มณฑปพระพุทธบาท สระบุรี และมณฑป<br />
วัดพระแก้ว ต่อมาภายหลังยังมีการพลิกแพลงรูปแบบแผนผัง<br />
เป็นมณฑปหกเหลี่ยมหรือมณฑปแปดเหลี่ยม<br />
ลักษณะของยอดทรงมณฑปนั้นมีหลายทาง เช่น<br />
มณฑปตามรูปที่แสดงมานี้เป็นยอดมณฑปที่มาจากทรง<br />
จอมแห ซึ่งพัฒนามาเป็นทฤษฎีทางไทยแล้ว มีที่มาจาก<br />
การตากแห คือ หลังจากทอดแหเสร็จแล้วก็ได้นำไม้ไผ่<br />
มาเสียบปากแห แล้วเอาไม้กระทุ้งกางไว้ให้แห้ง จึงกลายเป็น<br />
รูปทรงที่สวยงาม<br />
ยอดมณฑปเราถือว่าเป็นของสูงศักดิ์ ไม่เหมาะที่จะ<br />
นำไปใช้กับงาน<strong>โดย</strong>ทั่วไป นอกจากเป็นอาคารที่เกี่ยวข้องกับ<br />
ระดับพระมหากษัตริย์ เช่น การนำมาใช้เป็นยอดปราสาท<br />
และพระมหาปราสาทในพระบรมมหาราชวัง หรือที่เกี่ยวข้อง<br />
กับพระพุทธศาสนา เช่น มณฑปพระพุทธบาทหรือมณฑป<br />
หอพระไตรปิฎก เป็นต้น<br />
ลายเส้นพระมณฑป ร่างแบบ<strong>โดย</strong> อาจารย์พระพรหมพิจิตร<br />
78 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปด้านพระมณฑป พระพุทธบาท<br />
จังหวัดสระบุรี สร้างขึ้นในสมัยอยุธยา<br />
เดิมเป็นหลังคาทรงมณฑปโครงสร้างไม้<br />
ต่อมาซ่อมแปลงทรงยอดคอนกรีต<strong>โดย</strong><br />
อาจารย์พระพรหมพิจิตร<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
79
แบบเครื่องยอดมณฑปพระพุทธบาท<br />
จังหวัดสระบุรี เขียน<strong>โดย</strong> อาจารย์<br />
พระพรหมพิจิตร เพื่อใช้เป็นแบบซ่อม<br />
แปลงรูปทรง โครงสร้าง และองค์ประกอบ<br />
เป็นเครื่องยอดคอนกรีต ซึ่งจะสังเกต<br />
เห็นถึงวิธีการเขียนแบบอย่างถูกต้อง<br />
ประณีตงดงาม อันเป็นแนวทางการ<br />
ทำงานที่อาจารย์พระพรหมพิจิตรได้รับ<br />
การอบรมสืบทอดมาจากสมเด็จครู<br />
80 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
81
82 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบร่างพระที่นั่งชัยมังคลาภิเษก ณ<br />
มณฑลพิธีท้องสนามหลวง เป็นงาน<br />
สถาปัตยกรรมไทยเฉพาะกิจ ในงาน<br />
พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษามหา<br />
มงคล 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระบรม<br />
ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
มหาราช บรมนาถบพิตร<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
83
ระบบโครงสร้างเครื่องไม้ในการขึ้น<br />
รูปทรงปราสาทจตุรมุขและทรงมณฑป<br />
ย่อไม้สิบสอง<br />
84 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบขยายรูปทรงหลังคาทรงจตุรมุขเชื่อมต่อหลังคายอดปราสาท<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
85
มณฑปเทศรังษีรำลึก วัดหินหมากเป้ง<br />
อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย<br />
สร้างริมตลิ่งแม่น้ำโขง ผลงานออกแบบ<br />
<strong>โดย</strong> อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
แบบรูปด้านมณฑปเทศรังษีรำลึก วัดหินหมากเป้ง อำเภอศรีเชียงใหม่<br />
จังหวัดหนองคาย ลักษณะอาคารเครื่องยอดทรงมณฑปศิลปะล้านช้าง<br />
86 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
87
88 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบแผนผังและรูปด้านพระมหา<br />
มณฑป (ไม่ได้สร้าง) ซึ่งอาจารย์ประเวศ<br />
ลิมปรังษี ร่างแบบแนวคิดเครื่องยอด<br />
เป็นทรงมณฑปเครื่องยอด 2 รัศมี แยก<br />
ผืนหลังคาเป็น สองส่วน<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
89
แบบรูปด้านพระมหามณฑป (ไม่ได้<br />
สร้าง) ซึ่งอาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
ออกแบบแนวคิดเป็นอาคารขนาดใหญ่<br />
สูงหลายชั้นภายใต้รูปทรงมณฑป 5 ยอด<br />
ประกอบชั้นฐานและโถงทางเข้า<br />
90 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
91
4 เครื่องยอดของอาคารที่มาจากสถูปเจดีย์ หรือมาจาก<br />
รูปแบบของทรงสถูปเจดีย์<br />
คำว่า สถูปเจดีย์ นั้นมีที่มาคือ ไทยเรียกว่า เจดีย์ แต่<br />
อินเดียเรียกว่า สถูป จึงทำให้ไขว้เขวอยู่เหมือนกัน เราต้อง<br />
เข้าใจก่อนว่าสถูปเป็นสถาปัตยกรรม ส่วนเจดีย์เป็นนามธรรม<br />
ไม่มีตัวตน คือสิ่งที่เคารพ สิ่งที่บูชา สิ่งที่นับถือ ฉะนั้นเจดีย์<br />
จึงเป็นนามธรรมเหมือนกับอนุสาวรีย์คือหมายถึงที ่ระลึกถึง<br />
แต่สถูปนั้นหมายถึงสถาปัตยกรรม เป็นสิ่งปลูกสร้างสิ่งก่อสร้าง<br />
ไม่ใช่นามธรรม จึงแตกต่างกันตรงนี้ ถ้าจะเรียกให้ถูกควร<br />
เรียกว่า สถูปเจดีย์<br />
สถูปเจดีย์นั้นมีประวัติความเป็นมาดังนี้ พระอานนท์<br />
ได้ทูลถามต่อพระพุทธเจ้าเมื่อเห็นว่าพระพุทธเจ้าถึงเวลาจะ<br />
ปรินิพพานดับขันธ์แล้ว ท่านก็เลยเข้านั่งสมาธิ พระอานนท์<br />
เห็นดังนั้นก็จึงซักถามพระพุทธเจ้า “...เรียนถามพระตถาคต<br />
ว่า พระสรีระของพระองค์ท่านเมื่อสิ้นแล้วจะทำอย่างไร<br />
พระพุทธเจ้าตอบว่าให้ถวายพระเพลิงอย่างจักรพรรดิทั้ง<br />
หลาย เพราะท่านเป็นคนสั่งถวายพระเพลิงบิดา แล้วสถานที่<br />
ถวายพระเพลิงนั้นก็ให้ก่อเป็นสถูปไว้ พระอานนท์เข้าใจดีว่า<br />
การถวายพระเพลิงอย่างพระจักรพรรดินั้นท ำอย่างไร แต่คำว่า<br />
สถูปนั้นไม่เคยได้ยินชื่อ ก็จึงซักถามพระตถาคตต่อไปว่า<br />
คำว่าสถูปนี้รูปสัณฐานเป็นอย่างไร พระพุทธเจ้าจึงหยิบผ้า<br />
สังฆาฏิมาพับเป็นสี่เหลี่ยม แล้วยกบาตรมาคว่ ำลงบนสังฆาฏิ<br />
แล้วเอาตีนบาตรมาตั้งข้างบน แล้วจึงนำพระกลดตั้งขึ้น<br />
บนนั้น แล้วจึงตอบพระอานนท์ว่า นี่อานนท์...สถูป” เราจึง<br />
ได้รู้ว่าบาตร คือ ต้นแบบของสถูปของพระพุทธเจ้าที่ทรง<br />
สร้างแบบขึ้น<br />
หลังจากพระพุทธเจ้าปรินิพพานแล้ว จึงได้สร้างสถูป<br />
ขึ้น<strong>โดย</strong>เริ่มขุดแกนเป็นสี่เหลี่ยมแล้วเอาผ้าจีวรของ<br />
พระพุทธเจ้ารอง เอาบาตรวางลง แล้วเอาตีนบาตรวางคว่ำลง<br />
แล้วจึงก่อถมดินเป็นสถูปใหญ่ทรงบาตร แต่ตัวบาตรจึงอยู่<br />
ภายใน ส่วนยอดปักฉัตรหรือกลด เพราะเดิมคงใช้กลด แต่ไทย<br />
เรามาใช้ฉัตรจึงเป็นปล้องไฉนหลายชั้นเกิดขึ้นมา แต่เมื่อก่อน<br />
นั้นคงจะปักพระกลดเฉยๆ<br />
สำหรับเครื่องยอดที่มาจากเจดีย์ สามารถนำไปใช้<br />
เป็นยอดของมณฑป หอระฆัง ซุ้มเสมา ฯลฯ เราจึงเห็นว่า<br />
เดิมนั้นสถูปอยู่บนพื้นดิน พอนำไปอยู่บนยอดอาคารก็กลาย<br />
เป็นเครื่องยอดของอาคารได้<br />
แบบเรือนของสถูปเจดีย์ นำมาใช้เป็น<br />
เครื่องยอดหอระฆังหรือใช้เป็นยอด<br />
ซุ้มเสมา<br />
92 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปด้านและรูปตัด หอระฆังทรง<br />
ยอดเจดีย์ วัดยานนาวา ผลงานออกแบบ<br />
<strong>โดย</strong> อาจารย์พระพรหมพิจิตร<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
93
94 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปด้านและรูปตัดเจดีย์ วัดหิน<br />
หมากเป้ง (ไม่ได้สร้าง) ออกแบบ<strong>โดย</strong><br />
อาจารย์ ประเวศ ลิมปรังษี รูปแบบ<br />
ผสมผสานของเจดีย์และทรงเครื่องยอด<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
95
96
แบบรูปตั้งด้านหน้าและด้านข้าง หอพระ<br />
ประจำเมือง จังหวัดสมุทรสาคร (ไม่ได้<br />
สร้าง) ออกแบบ<strong>โดย</strong> อาจารย์ประเวศ<br />
ลิมปรังษี ทรงยอดเจดีย์ย่อเหลี่ยมไม้<br />
สิบสอง<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
97
5 เครื่องยอดของอาคารที่มาจากปรางค์ หรือมาจากรูปแบบ<br />
ของทรงปรางค์<br />
ปรางค์ซึ่งเราใช้เป็นเครื่องยอดในศิลปไทยที ่ปรากฏ<br />
ในประเทศไทยมี 3 ชนิด<br />
ชนิดที่ 1 คือ ปรางค์ทรงจอมภูเขาหรือทรงศิขร เป็น<br />
ปรางค์สมัยลพบุรีและสมัยสุโขทัย สืบเนื่องจากเขมรได้เคย<br />
ปกครองประเทศไทยมาก่อน จึงได้มีการสร้างปรางค์เป็น<br />
เทวสถานของเทพ แต่มาภายหลังเรานำมาใช้ในทางพุทธ<br />
เราจึงเอาเทวรูปออกแล้วนำพระพุทธรูปเข้าไปใส่แทน<br />
ชนิดที่ 2 คือ ปรางค์ทรงงาเนียมหรืองาช้างหนุ่ม เป็น<br />
ปรางค์สมัยอยุธยา<br />
ชนิดที่ 3 คือ ปรางค์ทรงฝักข้าวโพด เป็นปรางค์สมัย<br />
รัตนโกสินทร์<br />
ปรางค์ในสมัยสุโขทัยนั้นเป็นเครื่องยอดที่แท้จริง คือ<br />
ใช้เป็นยอดอาคารของสถูปเจดีย์ แต่ปรางค์ของรัตนโกสินทร์<br />
ถูกนำมาใช้เป็นเครื่องยอดปราสาท เช่น ปราสาทพระเทพ<br />
บิดรเป็นปรางค์ทรงฝักข้าวโพด หรือพระปรางค์วัดอรุณ<br />
ราชวรารามก็เป็นทรงฝักข้าวโพด เป็นความคิดของสมัย<br />
รัตนโกสินทร์ มีลักษณะคือทรงยาวต่างจากทรงงาเนียมสมัย<br />
อยุธยาที่จะเป็นทรงสั้น แต่ปลายป้อม เป็นทรงงาช้างหนุ่ม<br />
ฉะนั้นเราจึงมีเครื่องยอดทรงปรางค์อยู่ 3 ชนิด<br />
สามารถนำมาใช้สอยเป็นสถูปเจดีย์หรือนำมาเป็นเครื่อง<br />
ยอดของอาคารสถาปัตยกรรมไทยได้<br />
การนำเครื่องยอดทรงปรางค์ไปใช้เป็นยอดอาคาร<br />
จะต้องศึกษาให้เข้าทรง เข้าแบบไม่ใช่การตัดเฉพาะส่วนยอด<br />
มาเสียบลงบนหลังคา ต้องศึกษาและออกแบบให้ประสาน<br />
เสียงในศาสตร์ศิลป์เพื่อความงาม รูปแบบนี้เป็นเพียงทาง<br />
เดินของความคิด แต่เราจะเลือกแบบมาใช้ได้ตามปรัชญา<br />
ความคิดของแบบนั้น เราต้องดูความเหมาะสมด้วย<br />
แบบทรงยอดปรางค์และ<br />
ทรงยอดนพศูล<br />
98 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ตามรูปแบบที่แสดงมานี้ ส่วนยอดเหนือจอมโมฬี<br />
เราเรียกว่า อิศวรวัชระ คืออาวุธของพระอิศวรมาปักลงยอด<br />
เพราะว่าปรางค์เป็นเทวสถานของฮินดู พระอิศวรเป็นผู้สร้างโลก<br />
เพราะฉะนั้นอาวุธของท่านจึงเรียกว่า อิศวรวัชระ คือเมื่อ<br />
ยกขึ้นแล้วมีอำนาจ แสดงถึงผู้มีอำนาจ ถ้าตรีศูลอันนั้นเป็น<br />
ของหนุมานคือมีสามง่าม จึงต้องเรียกตามฐานะของผู้ใช้<br />
ซ้าย แบบร่างซุ้มประตูยอดปรางค์ ลาย<br />
เส้นของอาจารย์พระพรหมพิจิตร<br />
ขวา แบบรูปด้านประตูสวัสดิโสภา<br />
เครื่องยอดคอนกรีตทรงปรางค์สมัย<br />
รัตนโกสินทร์ ออกแบบ<strong>โดย</strong> อาจารย์<br />
พระพรหมพิจิตร<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
99
แบบรูปด้านประตูสวัสดิโสภา<br />
พระบรมมหาราชวัง<br />
100 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบแผนผังเครื่องยอดปรางค์ประตู<br />
สวัสดิโสภา พระบรมมหาราชวัง<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
101
แบบรูปด้านและรูปตัด ศาลหลักเมือง<br />
ทรงปรางค์ยอดจตุรภักตร์ (ไม่ได้สร้าง)<br />
ออกแบบ<strong>โดย</strong> อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
102 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปด้านศาลหลักเมืองทรงปรางค์<br />
ประจำจังหวัดพระนครศรีอยุธยา<br />
ออกแบบ<strong>โดย</strong> อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
103
แบบลายเส้นเหรียญรางวัล สยามรัฐ<br />
พิพิธภัณฑ์ ฝีพระหัตถ์ออกแบบสมเด็จฯ<br />
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์<br />
6 เครื่องยอดของอาคารที่มาจากมงกุฎ หรือมาจากรูปแบบ<br />
ของทรงมงกุฎ<br />
ตามรูปแบบที่แสดงมานี้เป็นลักษณะของมงกุฎ รูปแบบ<br />
ทรงมงกุฎประกอบด้วยพระเกี้ยว 3 ชั้น ทรงมงกุฎเราถือว่า<br />
เป็นของสูง พระเจ้าแผ่นดินทรงมงกุฎเป็นเครื่องสวมศีรษะ<br />
เต็มยศ ฉะนั้นมงกุฎจึงใช้กับพระเจ้าแผ่นดินองค์เดียวไม่ใช้<br />
กับคนอื่น<br />
104 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ซุ้มประตูยอดมงกุฎ วัดอรุณราชวราราม<br />
กรุงเทพมหานคร<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
105
พระเมรุ สมเด็จพระราชปิตุลาบรม<br />
พงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์<br />
กรมพระยา ภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
106 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปด้านพระเมรุ สมเด็จพระราช<br />
ปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษี<br />
สว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
107
แบบรูปตัดพระเมรุ สมเด็จพระราช<br />
ปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษี<br />
สว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์<br />
วรเดช<br />
108 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
109
บน แบบเครื่องยอดชฎา ชฎายอดบัด<br />
และลอมพอก<br />
ล่าง ซุ้มประตูวัดพระเชตุพนวิมล<br />
มังคลาราม กรุงเทพมหานคร<br />
7 เครื่องยอดของอาคารที่มาจากชฎา ลอมพอก หรือมา<br />
จากรูปแบบของทรง ชฎา และลอมพอก<br />
พระชฎา ประกอบไปด้วยพระเกี้ยว 2 ชั้น บางครั้งมี<br />
ยอดบัดหรือยอดเดินหนปัดไปข้างหลัง ใช้เดินทางแล้วเสียบ<br />
ขนนกเหมือนกับลมพัด เช่น พระชฎาใส่เมื่อแปรพระราชฐาน<br />
ขึ้นเสลี่ยงคานหาม พระเจ้าแผ่นดินจะใส่เครื่องประดับพระชฎา<br />
พระชฎาสามารถนำมาใช้เป็นเครื่องยอดได้เพราะอยู่<br />
ในกลุ่มเดียวกับเครื่องสวมศีรษะเช่นกัน ดังเช่น ซุ้มประตู<br />
วัดโพธิ์ เป็นต้น<br />
110 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปด้านพระเมรุ สมเด็จพระปิตุฉาเจ้า<br />
สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
111
แบบรูปตัดพระเมรุ สมเด็จพระปิตุฉาเจ้า<br />
สุขุมาลมารศรี พระอัครราชเทวี<br />
112 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
113
ซ้าย มณฑปพระพุทธบาท ทรงยอดเกี้ยว<br />
วัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร<br />
ขวา หอระฆัง ทรงยอดเกี้ยว วัดราชบพิธ<br />
สถิตมหาสีมาราม กรุงเทพมหานคร<br />
8 เครื่องยอดของอาคารที่มาจากพระเกี้ยว หรือมาจาก<br />
รูปแบบของทรง พระเกี้ยว (จุลมงกุฎ)<br />
พระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎตามรูปแบบที ่แสดงมานี้ใช้<br />
เมื่อครั้งรัชกาลที่ 5 ทรงพระเยาว์ ลักษณะของจุลมงกุฎ คือ<br />
มีเกี้ยว 2 ชั้น ต่างกับทรงมงกุฎที่มีเกี้ยว 3 ชั้น แต่ตรงปลาย<br />
มีระบายสวมผมถ้าเป็นพระเกี้ยวจะมีหมอนรอง เช่น ลาย<br />
หน้าบันของหอประชุมจุฬาฯ ที่พระพรหมพิจิตรออกแบบ<br />
เป็นต้น<br />
เมื่อรัชกาลที่ 5 เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติเป็น<br />
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงทรงมี<br />
เครื่องหมายทั้งมงกุฎของพระเจ้าแผ่นดินและพระเกี้ยวหรือ<br />
จุลมงกุฎ เครื่องยอดทรงเกี้ยวสามารถนำไปใช้ออกแบบ<br />
สร้างเป็นยอดของหอระฆัง ตัวอย่างเช่น หอระฆัง วัดราชบพิธ<br />
สถิตมหาสีมาราม<br />
เราจึงเห็นว่า เครื่องยอดที่มาจากมงกุฎ ชฎา และ<br />
พระเกี้ยวหรือจุลมงกุฎนั้นส่วนมากจะใช้กับอาคารขนาด<br />
ไม่ใหญ่ เพราะว่ามีลักษณะเป็นเครื่องสวมศีรษะ ส่วนยอด<br />
จึงไม่ยาว ไม่เหมือนกับยอดชนิดอื่น เช่น ยอดเจดีย์หรือ<br />
ยอดมณฑป ซึ่งเป็นเครื่องยอดที่สูงใหญ่ ก็จะเหมาะสมกับ<br />
อาคารใหญ่ ดังนั้นในการนำไปใช้สอยเราจะเห็นว่าพวก<br />
เครื่องสวมหัวนั้นจะไม่ค่อยนำไปใช้กับของใหญ่ของสูงจะใช้<br />
กับของที่เรียกว่าเล็กๆ อันนี้คือปรัชญาที่เราสามารถน ำไปใช้<br />
กับการออกแบบได้ ขึ้นอยู่กับการใช้ที่เหมาะสมกับเรื่องของ<br />
สถาปัตยกรรม<br />
114 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบลายเส้นพระเกี้ยว จุฬาลงกรณ์<br />
มหาวิทยาลัย<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
115
9 เครื่องยอดของอาคารที่มาจากใบเสมา หรือมาจากรูปแบบ<br />
ของทรงใบเสมา<br />
เครื่องยอดทรงเสมามีที่มาจากใบเสมา เพราะเรานำ<br />
เอาเสมาไปเป็นเครื่องยอดเสีย เช่น เป็นยอดของอาคาร เป็น<br />
ยอดอันหนึ ่งของพนักกำแพง เป็นเสมายอดกำแพง เป็นต้น<br />
เครื่องยอดทรงเสมาใช้กับของไม่โต เช่น ศาลพระภูมิหรือ<br />
เทวาลัย จึงเรียกว่า อาคารเครื่องยอดทรงเสมาเป็นความคิด<br />
ของสมัยรัตนโกสินทร์ที่ต่อความคิดมาจากเดิมเพื่อจะได้<br />
เดินต่อไปข้างหน้า<br />
ซ้าย ประตูวังท่าพระ ปัจจุบันคือ<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร วังท่าพระ กรุงเทพ<br />
มหานคร<br />
ขวา แบบรูปด้านและแบบขยายราย<br />
ละเอียดประตูวังท่าพระ<br />
116 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ซ้าย แบบศาลพระภูมิทรงยอดเสมา<br />
จากตำราพุทธศิลปสถาปัตยกรรม<br />
ภาคต้นของพระพรหมพิจิตร<br />
ขวา แบบร่างรูปด้านศาลพระพรหม<br />
ออกแบบ<strong>โดย</strong>อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
117
แบบรูปด้านเทวาลัยพระพิฆเณศวร<br />
ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขต<br />
สารสนเทศเพชรบุรี ออกแบบ<strong>โดย</strong><br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
118 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปตัด เทวาลัยพระพิฆเณศวร<br />
ประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร วิทยาเขต<br />
สารสนเทศเพชรบุรี ออกแบบ<strong>โดย</strong><br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
119
เทวาลัยพระพิฆเณศวร ประจำมหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี<br />
ออกแบบเป็นปราสาทจตุรมุขประดับ<br />
ยอดเสมา<br />
120 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องเครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
121
เครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทยที่อาจารย์ได้อธิบาย<br />
มานี้เป็นข้อมูลที่อาจารย์ใช้นำมาศึกษา ซึ่งเป็นแต่เพียงทรง<br />
เครื่องยอด ยังมีเรื่องที่จะต้องศึกษาเพิ่มเติมต่อไปอีกใน<br />
ทฤษฎีต่างๆ เช่น ทรงอาคาร ทรงหลังคาไทย องค์ประกอบ<br />
อาคาร อีกมากมาย รูปแบบที่แสดงมานี้เรียกว่าเป็นทรง<br />
เครื่องยอดที่เคยสอนกันมาว่าเครื่องยอดเป็นอย่างไร แต่ว่า<br />
ไม่ได้นำเอารูปอาคารมาแสดง จึงเห็นเพียงรูปแบบทรงมงกุฎ<br />
ทรงเสมา ทรงฉัตร ฯลฯ เป็นแต่ที่มาของทรง แต่ไม่เห็นตัว<br />
สถาปัตยกรรม ซึ ่งอาจารย์มาเรียนต่อด้วยตนเองทีหลังว่า<br />
ทฤษฎีเหล่านี้เคยมีอาคารไหม อาจารย์เป็นคนที่ตั้งคำถาม<br />
จึงพบว่ามี แล้วก็รู้แน่นอนว่ามีและมีมาก<br />
อาจารย์จึงเห็นว่า เราเรียนเพราะเราได้ใช้เป็นข้อมูลใน<br />
การออกแบบของตนเอง เป็นเครื่องยอดที่เราควรออกแบบได้<br />
แต่ไม่ได้เพื่อไปใช้สอนใคร สะสมเพื่อตัวเองในด้านความคิด<br />
ต่างๆ ที่ได้ออกแบบไปแล้ว และอาจารย์ก็คิดไว้เพื่อใช้ใน<br />
การออกแบบของตัวเอง เพื่อเราจะเดินต่อไปข้างหน้า รูปแบบนี้<br />
เป็นเพียงทางเดินของความคิด แต่เราจะเลือกแบบมาใช้ได้<br />
ตามปรัชญาความคิดของแบบนั้น เราก็ต้องดูตามความ<br />
เหมาะสมด้วย แต่ต้องยึดแม่บท จึงจะรู้ที่มารู้ต้นกำเนิดและ<br />
ทางเดินของสถาปัตยกรรม แล้วจึงจะเดินไปข้างหน้าได้<strong>โดย</strong><br />
ไม่ผิดหลักเกณฑ์ เพราะถึงจะเปลี่ยนแปลงลักษณะรูปแบบได้<br />
แต่แม่บทเปลี่ยนไม่ได้<br />
ศาลาไทยเครื่องยอด นำไปจัดแสดง<br />
ในงาน Paris Exposition 1937 ณ<br />
กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส<br />
122 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
“...อาจารย์จึงได้รวบรวมรูปแบบที่อาจารย์ได้ออกแบบไปแล้ว<br />
รวมถึงแบบชั้นครูที่ผ่านมาที่เขามีเครื่องยอดชนิดต่างๆ เหล่านี้<br />
เพียงเพื่อนำมาใช้ในการออกแบบ เหมือนดังที่สมเด็จครูได้กล่าวว่า<br />
การจะคิดการอะไรไปข้างหน้าให้เหลียวดูศิลปะในบ้านของตนเองก่อน<br />
แล้วจะเดินได้ไม่ผิด ไม่หลงทาง…”<br />
เครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย<br />
123
4<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
124 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชื่อบท<br />
125
126 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องศิลปะการขยายแบบ<br />
เท่าขนาดจริง<br />
หน้าซ้าย แบบขยายขนาดเท่าจริง<br />
ประทีปทรงพุ่มข้าวบิณฑ์<br />
“…เรื่องของการสร้างพระเมรุนี้ ข้าพเจ้าได้ใกล้ชิด<br />
ตามเคย คือ เรื่องลอกแบบเขียนขยายแบบขนาดจริงและ<br />
รับคำสั่งติดต่อในด้านงานก็ได้เป็นนายด้านและเป็นผู้กำกับ<br />
การตลอดมา”<br />
“…เมื่อครั้งที่ทรงใช้ให้ไปพระปฐมเจดีย์ จังหวัด<br />
นครปฐมคราวนั้น ให้ไปสเก็ตช์รูปพระอุโบสถเก่าบนลาน<br />
พระปฐม มีความชำรุดจะทรงออกแบบสร้างขึ้นใหม่…<br />
ต่อเมื่อแบบพระอุโบสถที่ได้วัดสอบมาได้ทำกะส่วน 1 : 100<br />
ตามผังบริเวณสูงต่ำกว้างยาวถวาย ต่อจากนั้นท่านก็ได้ปรุง<br />
แบบพระอุโบสถเป็นแบบก่อสร้างขึ้นใหม่ ประทานให้ข้าพเจ้า<br />
ลอกแบบสำหรับพิมพ์ เมื่อเสร็จการพิมพ์แล้วก็ให้ลงมือ<br />
ขยายแบบต่างๆ เท่าตัวจริงให้ช่างผู้รับเหมาไปลงมือสร้าง<br />
ข้าพเจ้าเป็นผู้ตรวจการสร้างและรายงานทุกระยะ…”<br />
“…ทีนี้กลับมาทางงานซ่อมใหญ่ทั้งภายในและ<br />
ภายนอกพระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในรัชกาลที่ 7 สมเด็จได้<br />
ให้ข้าพเจ้าปรุงแบบยอดและหน้าบันที่จะเปลี่ยนขึ้นใหม่<br />
เมื่อทรงตรวจแก้ไขเห็นชอบแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของศิลปากร<br />
ราชบัณฑิตยสภาจัดการประมูล และข้าพเจ้าได้เป็นผู้ขยาย<br />
แบบและตรวจการสร้างและรายงานทุกระยะจนเสร็จงาน<br />
ตามด้านที่กล่าวนี้”<br />
อาจารย์พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์)<br />
อาจารย์พระพรหมพิจิตร ได้อธิบายหลักวิชา<br />
“พุทธศิลป” กล่าวว่า มีแบบแผนการก่อสร้างและกฎเกณฑ์<br />
มาตรฐานเป็นระเบียบ 8 ประการ คือ 1. มาตราส่วน<br />
2. ผังสถานที่ 3. ผังพื้น 4. รูปตั้งด้านขื่อ 5. รูปตั้งด้านแป<br />
6. รูปโครงผ่าตัด 7. สัญญาและรายการ 8. ขยายแบบ<br />
เท่าตัวจริงและตรวจการก่อสร้าง ดังจะเห็นว่าเป็นการแสดง<br />
หลักวิชาที่มีหลักการและระเบียบขั้นตอนการปฏิบัติซึ่ง<br />
เกี่ยวเนื่องกันตามลำดับ และขั้นตอนสุดท้ายของหลักวิชา<br />
คือ “การขยายแบบเท่าจริงและตรวจการก่อสร้าง” ถือเป็น<br />
ความสำคัญที่ขาดไม่ได้ในแนวทาง “พุทธศิลปสถาปัตยกรรม”<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
127
การดำเนินงานออกแบบเขียนแบบก่อสร้าง<br />
สถาปัตยกรรมไทย ตามแนวทางปรัชญาศาสตร์ศิลป<br />
สถาปัตยกรรมไทยถือเป็นขั้นตอนสำคัญส่วนหนึ่งของการ<br />
ก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งสถาปนิกอย่างอาจารย์<br />
ประเวศ ลิมปรังษี ให้ความสำคัญและถือปฏิบัติลงมือด้วย<br />
ตนเองตลอดมา <strong>โดย</strong>เฉพาะงานสร้างสรรค์สถาปัตยกรรม<br />
เครื่องยอดซึ่งจำเป็นต้องเขียนขยายแบบเท่าจริงเพื่อปรับ<br />
สัดส่วนทรวดทรงแก้ไขทัศนมิติลวงตา ซึ่งช่างไทยมีค ำเรียกว่า<br />
“อากาศกิน” เช่น งานออกแบบก่อสร้างพระเมรุมาศ สมเด็จ<br />
พระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7, พระที่นั่ง<br />
ชัยมังคลาภิเษก มณฑลพิธีท้องสนามหลวง, พระอุโบสถ<br />
วัดโสธรวรารามวรวิหาร ฯลฯ ความสำคัญของการเขียน<br />
ขยายแบบเท่าจริงยังมีผลส่งไปถึงลวดลายประดับตกแต่ง<br />
ทางสถาปัตยกรรมซึ่งมีมูลฐานมาจากเส้นที่งดงามประสาน<br />
สัมพันธ์กับรูปทรงทางสถาปัตยกรรมนั้นเอง<br />
หลักวิชาการเขียนขยายแบบเท่าขนาดจริงจึงเป็น<br />
ขั้นตอนสำคัญของการออกแบบ การถ่ายทอดความคิดและ<br />
ฝีมือเพื่อค้นหา “ความสำคัญของเส้นและรูปทรง” ที่ปรากฏ<br />
แก่สายตาเท่าสัดส่วนจริง <strong>โดย</strong>เฉพาะเส้นนั้นมีความสำคัญ<br />
อย่างยิ่งในการเขียนแบบ อาจารย์พระพรหมพิจิตรเคยกล่าว<br />
ถึงฝีพระหัตถ์การออกแบบของสมเด็จครู จากการพิจารณา<br />
ลายเส้นด้วยความเคยชินบ่อยๆ จนกระทั่งได้รับความรู้สึกว่า<br />
เส้นนั้นมีหัวใจแฝงอยู่ เมื่อประกอบเข้าเป็นรูปทรง<strong>โดย</strong><br />
ถูกต้องแท้ จะมีลักษณะและจังหวะคอยส่งเสริมให้ทรวดทรงนั้น<br />
งามวิจิตรพิสดารเป็นที่แปลกหูแปลกตาอย่างไม่จืดจาง…<br />
แบบลายเส้นจึงเป็นทั้งตัวแทนความคิดและฝีมือของ<br />
ผู้ออกแบบ<strong>โดย</strong>แท้ ดังคำโบราณของไทยที่เปรียบเปรย<br />
ความสามารถของช่าง <strong>โดย</strong>ดูได้จาก “ฝีไม้ลายมือ”<br />
แบบรูปด้านบุษบกประดิษฐานพระไตรปิฎก<br />
วัดโสธรวราราม ปรากฏเส้นตีตารางสี่เหลี่ยม<br />
จัตุรัส ขนาด 10 เซนติเมตร เพื่อใช้ร่างกำกับ<br />
สัดส่วนในการเขียนแบบขยายเท่าจริง<br />
128 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบขยายเท่าจริง 1 : 1 พนักลูกกรง<br />
ศาลาไทย ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศ<br />
ไทย ออกแบบและเขียนแบบ<strong>โดย</strong>อาจารย์<br />
ประเวศ ลิมปรังษี<br />
การเขียนแบบขยายแบบเท่าขนาดจริง หรือที่เรียก<br />
<strong>โดย</strong>ทั่วไปว่า “การขยายแบบ 1 : 1” นั้น ถือเป็นความสำคัญ<br />
ของสถาปนิกด้านสถาปัตยกรรมไทยที่จะต้องได้รับการ<br />
ศึกษาเรียนรู้ ลงมือปฏิบัติ และฝึกฝนด้วยการทำงานจริง<br />
จึงจะทำให้การออกแบบนั้นสมบูรณ์พร้อมทั้งความคิด<br />
สร้างสรรค์และผลงานสถาปัตยกรรมประสานศิลปกรรมตาม<br />
หลักวิชาที่ดี ดังความหมายของวิชาสถาปัตยกรรมที่เป็นทั้ง<br />
ศาสตร์และศิลป์ อันเป็นคำที ่อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
กล่าวอธิบายแก่ลูกศิษย์เสมอๆ ว่า “สถาปัตยกรรม คือ<br />
ศิลปะและวิทยาแห่งการก่อสร้าง”<br />
ครั้งหนึ่งในการสัมภาษณ์ อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
กล่าวอธิบายถึงความจำเป็นในการทำงานเขียนแบบขยาย<br />
เท่าจริงไว้อย่างชัดเจนว่า “อาจารย์ศิลป์ พีระศรี บอกว่า…<br />
ถ้างานศิลปะไม่เขียน 1 : 1 อย่าทำเลย เพราะว่าจะออกมา<br />
แล้วเสียเงินมาก แล้วทุบทิ้งอีก เพราะว่าเราไม่ทำ 1 : 1<br />
นี่มันบริสุทธิ์ แต่เราไปทำงานในสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ เขาเรียกว่า<br />
ผิดศิลปะ แบบที่ยังไม่บริสุทธิ์ไปสร้างแล้ว อันนี้มีแต่เสียหาย<br />
ถ้าใช้ไม่ได้ก็ต้องทุบทิ้ง อาคารก็เสียความมั่นคง เห็นมั้นว่า<br />
เรื่องมันเยอะ ถ้าคนไม่คิดให้ดี”<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
129
แบบผังพื้นพระเมรุมาศ ในงานพระราช<br />
พิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จ<br />
พระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี<br />
ในรัชกาลที่ 7 มาตราส่วน 1 : 50<br />
การทำงานเขียนแบบขยายแบบเท่าจริงในงาน<br />
ออกแบบสถาปัตยกรรมไทย ซึ่งอาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
เป็นผู้รื้อฟื้นหลักการและวางแนวทางการทำงานอย่าง<br />
เป็นรูปธรรมที่สำคัญคือ อาจารย์ประเวศเป็นผู้รับพระบรม<br />
ราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ออกแบบพระเมรุมาศ เขียนแบบ<br />
ขยายแบบ และควบคุมการก่อสร้างในพระราชพิธีพระราชทาน<br />
เพลิงสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีใน<br />
รัชกาลที่ 7 ณ ท้องสนามหลวง เมื่อปีพุทธศักราช 2528<br />
ซึ่งกล่าวได้ว่าการพระราชพิธีต่างๆ อันละเอียดซับซ้อนนั้น<br />
ได้ถูกลืมเลือนไปเสียมากแล้ว เพราะงานพระราชพิธีครั้ง<br />
หลังสุดนั้นล่วงผ่านมากว่า 30 ปี<br />
การก่อสร้างพระเมรุมาศ สมเด็จพระนางเจ้าร ำไพพรรณี<br />
ถือได้ว่าเป็นงานพระราชพิธีที่สำคัญระดับชาติ ในฐานะ<br />
ผู้ออกแบบ เขียนแบบ และควบคุมการก่อสร้างสถาปัตยกรรม<br />
เฉพาะกิจในพระราชพิธีครั้งนี ้ อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
ทุ่มเทความสามารถและกำลังกายใจให้แก่การทำงานอย่าง<br />
เต็มที่ ภายใต้เงื่อนไขกำหนดเวลาแล้วเสร็จภายใน 7 เดือน<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี เล่าถึงการทำงานเขียนแบบ<br />
ขยายแบบพระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ไว้ว่า<br />
“…การทำพระเมรุนั้น ถือเป็นการรวมศิลปะไทยทุกสาขาวิชา<br />
ต้องรู้ทั้งงานสถาปัตย์ จิตรกรรม ประติมากรรม ประณีตศิลป์<br />
มัณฑนศิลป์ และวิศวกรรม อาจารย์ท่านต่างๆ เคยพูดไว้ว่า<br />
คนที่เรียนสถาปัตยกรรมหากไม่ได้ทำพระเมรุถือว่าเรียนไม่จบ<br />
นอกจากพระเมรุแล้วยังต้องออกแบบอาคารใช้สอยหลัง<br />
อื่นๆ ด้วย เช่น พลับพลาเปลื้องเครื่อง ฯลฯ<br />
130 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
วัสดุที่ใช้ในการก่อสร้างเป็นวัสดุชั่วคราว เพราะ<br />
ต้องการความรวดเร็วและเมื่อเสร็จพิธีแล้วต้องรื้อทิ้ง ทองย่น<br />
ที่นำมาประดับตกแต่งให้เป็นสีทองดูมลังเมลืองนั้น ในอดีต<br />
ไทยเคยซื้อจากจีน ปัจจุบันหมู่บ้านจีนที่เคยเป็นผู้ผลิตเลิก<br />
ทำไปแล้ว แต่เมื่อประเทศจีนรู้ถึงพระราชประสงค์ของสมเด็จ<br />
พระเทพรัตน์ฯ ก็ยินดีผลิตส่งมาให้ บางส่วนของพระเมรุ<br />
ที่ทำอย่างถาวรก็มี เช่น ฉากบังเพลิงเป็นงานไม้ซึ่งออกแบบ<br />
แกะสลักอย่างประณีต ปัจจุบันเก็บอยู่ในพิพิธภัณฑ์เพื่อให้<br />
ประชาชนได้ชม”<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
ซ้าย แบบขยายฐานปัทม์และเสาเม็ด<br />
พนักบันได มาตราส่วน 1 : 10<br />
ล่าง แบบขยายฐานหน้ากระดาน หอ<br />
เปลื้องเครื่อง มาตราส่วน 1 : 1<br />
ขวา แบบรูปด้านพระเมรุมาศ ในงาน<br />
พระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ<br />
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรม<br />
ราชินี ในรัชกาลที่ 7<br />
131
แบบรูปด้านปริมณฑลพระเมรุมาศ<br />
สมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรม<br />
ราชินีนาถในรัชกาลที่ 5 ฝีพระหัตถ์<br />
ออกแบบสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยา<br />
นริศรานุวัดติวงศ์<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี เขียนอธิบายแนวทางการ<br />
ออกแบบพระเมรุมาศ สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ไว้ดังนี้<br />
“ผู้ออกแบบอาศัยลักษณะของแบบพระเมรุ สมเด็จพระศรี<br />
พัชรินทรา พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 5 มาเป็นแนว<br />
ความคิดสร้างแบบพระเมรุสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี<br />
ในรัชกาลที่ 7 มุ่งประสงค์ให้สมพระเกียรติ ต้องตามพระราช<br />
ประเพณีและวัฒนธรรมไทยในรัชสมัยรัชกาลปัจจุบัน<br />
ผู้ออกแบบได้ศึกษาสถาปัตยกรรมไทย, ศิลปกรรมไทย<br />
สืบทอดจากสายสมเด็จครู (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า<br />
กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) และพระอาจารย์ (พระพรหม<br />
พิจิตร) มาเป็นเวลากว่า 30 ปี พอเห็นทางปรัชญาศิลปไทย<br />
ดังที่เห็นและปรากฏในงานสร้างพระเมรุถวายพระเพลิง<br />
พระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี ในรัชกาลที่ 7<br />
ณ ท้องสนามหลวงที่ผ่านมา เมื่อ พ.ศ. 2528 และพระเมรุ<br />
หลังนี้ได้ส่งผลทางวิชาการและทางการช่างสืบต่อมาถึง<br />
พระเมรุสมเด็จย่าเป็นอย่างดี ที่มีการก่อสร้างไม่ห่างไกล<br />
กันนัก ยังมีรูปแบบเมรุและองค์ประกอบ ตลอดวิธีการใช้<br />
ลวดลายซึ่งมีแบบแผนอยู่ครบถ้วนที่จะใช้เป็นแนวทาง<br />
ดำเนินการก่อสร้างอย่างถูกต้องได้ และช่างที่ดำเนินการ<br />
ก่อสร้างก็ยังมีชีวิตและความรู้ความเข้าใจในเชิงปฏิบัติการ<br />
อยู่เป็นอย่างดี<br />
ดังนั้นการศึกษาวิชาสถาปัตยกรรมไทยชนิดนี้จะ<br />
สืบทอดใกล้ชิดอยู่กับครู จนกว่าจะปฏิบัติงานเองใช้จริงได้<br />
แต่ต้องฝึกฝนเรียนรู้อยู่ตลอดชีวิตของผู้สืบทอด การศึกษา<br />
ปฏิบัติเรื่องพระเมรุต้องเรียนในศาสตร์ศิลปของไทยทุกๆ<br />
สาขาที่ใช้ประกอบอยู่กับพระเมรุแต่ละประเภท และต้องรู้<br />
ครบถ้วนในสิ่งที่จะต้องสร้างทำขึ้นใช้<strong>โดย</strong>ไม่ขาดตกบกพร่อง<br />
ในงานพระราชพิธีทางวัฒนธรรมไทยที่ดีงามมาแต่สมัย<br />
อยุธยาเป็นต้นมา<br />
ด้วยเหตุผลดังกล่าว ช่างหลวงจึงคัดเลือกผู้รักงานการ<br />
ช่างมาฝึกอบรมให้ความรู้ไว้ใช้งาน คนใดมีฝีมือก็มอบงาน<br />
ให้ปฏิบัติงานระดับสูงขึ้นและยากขึ้นตามลำดับ จนครูเห็นว่า<br />
พอจะรับผิดชอบงานที่ให้ปฏิบัติได้ดี ก็แต่งตั้งให้เป็นผู้ควบคุม<br />
ดูแลงานที่พระเจ้าแผ่นดินประสงค์ที่จะให้สร้างหรือบูรณะ<br />
อาคารในพระราชฐานหรือวัดหลวงที่พระเจ้าแผ่นดินในอดีต<br />
ทรงสร้างไว้ หรือให้ปลูกสร้างอาคารภายในวัดหลวงเพิ่มเติม<br />
ตามที่ปฏิบัติสืบกันมาทางวัฒนธรรมไทยหรือประเพณีไทย<br />
ที่ปฏิบัติกันมา ดังจะเห็นปรากฏอยู่ทุกยุคทุกสมัยด้วยสิ่งดี<br />
สิ่งงามเกิดขึ้นในแผ่นดินไทยทั่วทั้งประเทศ<br />
ถึงปัจจุบันนี้ ศิลปไทยเกี่ยวกับพระเมรุก็เริ่มเรียวลง<br />
และเล็กลงมาเรื่อยๆ ตลอด ขาดผู้ปฏิบัติและขาดผู้มีความรู้<br />
ลดลงตามไปด้วย ตลอดจนหมดองค์กรของช่างไทย<br />
ตามไปด้วย ในระยะหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา<br />
เป็นระบอบประชาธิปไตย ประชาชนปกครองประเทศ<br />
ช่างหลวงก็ถูกยุบหมดไป.”<br />
132 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
133
พระเมรุมาศถวายพระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระศรีพัชรินทรา พระบรมราชินีนาถในรัชกาลที่ 5 ฝีพระหัตถ์ออกแบบ<br />
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ต้นแบบความคิด ซึ่งอาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี นำมาเป็นแนวทางในการออกแบบ<br />
134 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
พระเมรุมาศ ในงานพระราชพิธีถวาย<br />
พระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนางเจ้า<br />
รำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ศิษย์ผู้สืบทอดวิชาพุทธศิลป<br />
สถาปัตยกรรม ต่อจากอาจารย์พระพรหมพิจิตร ได้แสดง<br />
ความรู้ความสามารถอย่างเต็มที่ทางการออกแบบพระ<br />
เมรุมาศซึ่งเป็นงานสถาปัตยกรรมไทยประเพณีชั้นสูง ตามที่<br />
ได้รับพระราชทานพระบรมราชานุมัติแบบก่อสร้าง ทั ้งยัง<br />
สนองแนวพระราชดำริเพิ่มเติมให้ดำเนินการ<strong>โดย</strong>ประหยัด<br />
แต่ครบถ้วนตามขัตติยราชประเพณีและสมพระเกียรติ<br />
พระบรมศพ <strong>โดย</strong>ศึกษาแบบแผนพระราชประเพณีเมื่อครั้ง<br />
งานถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรม<br />
ราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า นำมาเป็นแบบอย่างใน<br />
การจัดงานถวายพระเกียรติยศและถวายพระเพลิงพระบรมศพ<br />
แต่สำหรับการออกแบบสถาปัตยกรรมได้นำแนวทางการ<br />
ออกแบบพระเมรุมาศสมเด็จพระศรีพัชรินทรา บรมราชินีนาถ<br />
มาเป็นแนวทางการออกแบบสำหรับงานพระราชพิธีครั้งนี้<br />
แต่ได้ประพันธ์ลวดลายและการตกแต่งขึ้นใหม่ทั้งหมด <strong>โดย</strong><br />
คำนึงถึงพระราชจริยาวัตรในสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี<br />
ที่แสดงออกถึงความสง่างาม สมพระบารมีของพระบรม<br />
ราชินีในรัชกาลที่ 7 และสื่อถึงพระสิริโฉมที่งดงามอ่อนหวาน<br />
พระราชจริยวัตรอันนุ่มนวลเปี่ยมไปด้วยพระเมตตาที่มีต่อ<br />
ประชาชน<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
135
การทำงานออกแบบ เขียนแบบและขยายแบบเท่าจริงพระเมรุมาศ<br />
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ 7 ภายใน<br />
โรงเรือนชั่วคราวที่ปลูกสร้างขึ้น ณ ท้องสนามหลวง<br />
ขั้นตอนการทำงานเขียนแบบและขยายแบบ<br />
พระเมรุมาศนั้นใช้พื้นที่อาคารสำนักงานออกแบบเขียนแบบ<br />
ชั่วคราว ที่มีลักษณะอย่างโรงเรือนยาวชั้นเดียวมีพื้นที่<br />
กว้างขวาง ปูพื้นไม้อัดสำหรับรองรับการนั่งเขียนร่างแบบ<br />
กับพื้น ส่วนผนังด้านข้างมีช่องหน้าต่างบานกระทุ้งและช่อง<br />
ระบายอากาศคอสอง หลังคาจั่วโครงสร้างไม้มุงสังกะสี<br />
อาคารหลังนี้เป็นห้องทำงานที่ปลูกสร้างอยู่ภายในบริเวณ<br />
ท้องสนามหลวง เพื่อเตรียมรองรับการทำงานเขียนแบบ<br />
ขยายแบบเท่าจริงทุกๆ ส่วนของพระเมรุมาศ <strong>โดย</strong>เฉพาะ<br />
การออกแบบองค์ประกอบและลวดลายประดับพระเมรุมาศ<br />
ซึ่งจะต้องเขียนแบบขยายเท่าจริงเพื่อให้ช่างนำไปสร้างสรรค์<br />
งานประณีตศิลปกรรมตามลักษณะงานประเภทต่างๆ เพราะ<br />
การทำพระเมรุเป็นงานที่รวมทุกสาขาวิชา <strong>โดย</strong>อาจารย์ประเวศ<br />
ลิมปรังษี และผู้ร่วมงานที่เป็นข้าราชการของกรมศิลปากร<br />
ทุกๆ ฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ได้ร่วมแรงร่วมใจกันทำงานครั้งนี้<br />
อย่างเต็มที่สุดความสามารถ อาจารย์ประเวศ เล่าว่า “งานนี้<br />
ทำด้วยความตกใจ กลัวเสร็จไม่ทันเวลา ระหว่างทำงาน<br />
เกือบจะล้มหลายครั้ง ต้องตั้งสติให้ดี ล้มไม่ได้ แต่เมื่อสำเร็จ<br />
ผลก็พอหายเหนื ่อย เพราะได้นำวิชามาสนองชาติ สนอง<br />
พระเจ้าแผ่นดิน เราเรียนมาแล้วเหมือนกับได้ใช้วิชาประลอง<br />
ยุทธ คนเราจะรู้ว่าชนะหรือไม่อยู่ที่ได้ประลองยุทธ”<br />
136 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ซ้าย พระโกศไม้จันทน์ฉลุลายซ้อนไม้<br />
อย่างประณีตงดงาม ประดิษฐานภายใน<br />
พระจิตกาธานซึ่งประดับตกแต่งด้วย<br />
งานดอกไม้สด<br />
ขวา สถาปัตยกรรมไทยเฉพาะกิจซึ่ง<br />
สร้างขึ้นในบริเวณปริมณฑลพระเมรุมาศ<br />
ในงานพระราชพิธีถวายพระเพลิง<br />
พระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพ<br />
พรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7<br />
พระเมรุหรือพระเมรุมาศเป็นงานสถาปัตยกรรมไทย<br />
เฉพาะกิจ หมายถึง สถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นชั่วคราวเพื่อใช้<br />
ในพระราชพิธี เมื่อเสร็จสิ้นงานหรือหมดหน้าที่ใช้สอยอาคาร<br />
แล้วจึงรื้อถอนลง ดังนั้นการทำงานตามแนวทางดังกล่าวจึง<br />
ถือเป็นหลักปรัชญาของการสร้างงานสถาปัตยกรรมประเภทนี้<br />
ซึ่งสะท้อนให้ทั้งการทำงานเขียนแบบขยายแบบเท่าจริง<br />
ตลอดจนการก่อสร้างสถาปัตยกรรมอีกด้วย<br />
เมื่ออาจารย์ประเวศ รับมอบหมายหน้าที่สถาปนิก<br />
ผู้ออกแบบและควบคุมกำกับการปลูกสร้างพระเมรุครั้งนี้<br />
ท่านจึงได้รื้อฟื้นวิธีการทำงานต่างๆ ที่เคยได้ศึกษาเรียนรู้<br />
และปรับปรุงให้เหมาะสมกับช่วงเวลาทำงานสถาปัตยกรรม<br />
เฉพาะกิจครั้งนี้ ตามขั้นตอนการเขียนแบบ ขยายแบบ ส ำหรับ<br />
งานปลูกสร้างพระเมรุ ซึ่งได้รับการฝึกฝนผ่านการเรียนรู้<br />
ปฏิบัติงานจริง มาตั้งแต่เมื่อยังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร จากการสร้างพระเมรุมาศ ณ ท้องสนามหลวง ซึ่ง<br />
อาจารย์พระพรหมพิจิตรเป็นสถาปนิกผู้ออกแบบ “…อาจารย์<br />
พระพรหมฯ มอบให้อาจารย์ประเวศ ขยายลายฉัตรและ<br />
ขยายลายเครื่องประกอบบางส่วนของพระเมรุมาศ ซึ่งการ<br />
ดำเนินการเขียนและตอกกระดาษทองอยู่ที่บริเวณกลางลาน<br />
ต้นจันทน์ งานนี้ถือได้ว่าเป็นการฝึกขยายลายของอาจารย์<br />
ประเวศ”<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
137
บน แบบร่างศาลหลักเมือง ซึ่งเขียน<br />
ขยายมาตราส่วนละเอียดตรวจสอบ<br />
โครงสร้าง ทรงหลังคามุขและลวดลาย<br />
ประดับเครื่องบนกรอบหน้าจั่วให้<br />
สัมพันธ์กัน<br />
ล่าง แบบร่างกรอบซุ้มคูหาซึ่งออกแบบ<br />
ให้สัมพันธ์กับระยะ ขนาดองค์ประกอบ<br />
และตำแหน่งที่ติดตั้ง ซึ่งสถาปนิกผู้<br />
ออกแบบจะต้องเป็นผู้กำหนดรูปทรง<br />
ลักษณะ จังหวะในการเขียนแบบ<br />
ออกแบบสถาปัตยกรรมให้ประสานไป<br />
ในทิศทางเดียวกันทั้งหมด<br />
วิธีการเขียนแบบขยายแบบเท่าจริง เป็นการทำงานที่<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ให้ความสำคัญอย่างมาก เนื่องจาก<br />
เป็นแนวทางการทำงานที่มุ่งให้เกิดสัมฤทธิผลได้ดังความ<br />
ตั้งใจของสถาปนิกผู้ออกแบบได้เป็นอย่างดี จากขั้นตอน<br />
การเขียนแบบในมาตราส่วนย่อเพื่อกำหนดรูปแบบและ<br />
ลักษณะของอาคารที่ลงตัวแล้ว จึงขยายมาตราส่วนใหญ่ขึ้น<br />
เป็นลำดับเพื ่อออกแบบรายละเอียดของลวดลายตามหลัก<br />
การตกแต่งทางประณีตศิลปกรรมไทย ซึ่งสถาปนิกหรือ<br />
ผู้ออกแบบจะเป็นผู้วางแนวทางการออกแบบลวดลายให้<br />
ประสานสอดคล้องกันอย่างงดงาม หรือที ่มีคำเรียกในหมู่<br />
ช่างว่า “กระบวนลาย” นั่นเอง อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
กล่าวเปรียบเทียบการทำงานด้านสถาปัตย์ศิลป์กับวงดนตรีว่า<br />
“…ผู้ทำต้องรู้ทุกกระบวนการ เพราะศิลปะนั้นเหมือนการ<br />
ประสานเสียงดนตรี โทนเสียง ลีลา ต้องประสานเข้ากันได้<br />
การทำต้องกำกับเองทุกอย่างเพราะรู้ลีลา เหมือนรู้โน้ตดนตรี<br />
พอเล่นยกวง เสียงนี้ขึ้น เสียงนั้นขึ้น ชี้ได้เลย เพราะมี<br />
ตัวโน้ตอยู่พร้อม…ขึ้นเป็นเสียงดนตรีประสานเสียงอย่าง<br />
ไพเราะ”<br />
ขั้นตอนการเขียนแบบขยายแบบเท่าจริง ทำให้การ<br />
ออกแบบนั้นสมบูรณ์พร้อมทั้งความคิดและผลงาน<br />
สถาปัตยกรรมประสานศิลปกรรมตามหลักวิชาที่ดี ดังเช่น<br />
กรณีการสร้างสถาปัตยกรรมพระเมรุมาศที่มีปรัชญาการ<br />
ออกแบบสถาปัตยกรรมไทยชั่วคราวเป็นแนวคิดหลักของ<br />
การสร้างสรรค์งาน ผู้ออกแบบต้องมีความรอบรู้ทางด้าน<br />
สถาปัตยกรรมไทยเครื่องยอดที่มีความซับซ้อนในการ<br />
ออกแบบรูปทรงให้ผสานประโยชน์ใช้สอยที่ดี รวมไปถึง<br />
ลวดลายประดับตกแต่งทั้งภายนอกและภายในพระเมรุมาศ<br />
ซึ่งมีความประณีตงดงามทุกๆ ส่วนตั้งแต่ฐานจนถึงส่วนยอด<br />
พระเมรุ ตลอดจนประณีตศิลปกรรมเกี่ยวเนื่องกับงานพระ<br />
ราชพิธีต่างๆ อาทิ พระจิตกาธาน และฉากบังเพลิง เป็นต้น<br />
138 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบรูปด้านและรูปตัดทรงจั่วของ<br />
พลับพลายก ณ ปริมณฑลพระเมรุมาศ<br />
เขียนแบบด้วยมาตราส่วน 1 : 10 เพื่อ<br />
ตรวจสอบองค์ประกอบสถาปัตยกรรม<br />
กับลักษณะโครงสร้างและวัสดุก่อสร้าง<br />
พร้อมทั้งร่างแบบรายละเอียดของ<br />
ลวดลายประดับตกแต่งให้มีสัดส่วน<br />
สัมพันธ์กับองค์ประกอบทาง<br />
สถาปัตยกรรมไทยให้ลงตัว ก่อนจะนำ<br />
แบบร่างไปใช้เพื่อขยายแบบขนาดเท่า<br />
จริงต่อไป<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
139
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ขณะทำงาน<br />
เขียนแบบขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
ภายใน โรงเรือนชั่วคราวที่ปลูกสร้างขึ้น<br />
ณ ท้องสนามหลวง<br />
เบื ้องต้นจากแบบผังบริเวณปริมณฑล มาตราส่วน<br />
1 : 200 และแบบสถาปัตยกรรมพระเมรุมาศ มาตราส่วน<br />
1 : 50 อาจารย์ประเวศยังใช้เวลาทำงานบนโต๊ะเขียนแบบ<br />
ออกแบบลงรายละเอียดของงานสถาปัตยกรรม โครงสร้าง<br />
และองค์ประกอบงานประดับตกแต่ง ด้วยวิธีขยายมาตราส่วน<br />
ใหญ่ขึ้นตามลำดับ จนถึงมาตราส่วน 1 : 20 ซึ่งจะใช้เป็น<br />
แบบ กำหนดสัดส่วน รูปทรง ลักษณะ และลวดลายประดับ<br />
ตกแต่งสถาปัตยกรรม เพื่อขยายแบบเท่าจริงต่อไป<br />
การเขียนแบบขยายเท่าจริง สถาปนิกบรรจงร่างลาย<br />
เส้นด้วยชอล์กขาวลงบนกระดาษน้ำตาลที่ต่อกันเป็นผืนใหญ่<br />
ปูอยู่บนพื้น ตรงตามตารางสเกลของแบบร่างซึ่งสถาปนิกได้<br />
คิดออกแบบไว้ก่อนแล้ว <strong>โดย</strong>ใช้เส้นราบ เส้นดิ่ง เส้นฉาก<br />
เส้นเฉียง เส้นโค้งวงกลม และเส้นทรง ในการร่างแบบเพื่อ<br />
ขยายสัดส่วนขึ้นเท่าจริงทุกๆ ส่วน (มาตราส่วน 1 : 1)<br />
จนปรากฏขึ้นแก่สายตา จากนั้นจึงพิจารณาดูเส้นร่างอย่าง<br />
ละเอียดถี่ถ้วน เพื่อค้นหาเส้นรูปทรงและลวดลายที่ขยาย<br />
เท่าจริงกับความสัมพันธ์ของระยะมุมมองที่จะเห็นได้อย่าง<br />
ชัดเจน ซึ่งจะต้องอาศัยประสบการณ์ทำงานอย่างสูงในการ<br />
ตรวจสอบเพื่อแก้ไขระยะซ้น (ทัศนมิติลวงตา) และอากาศกิน<br />
(ห้วงที่ว่าง)<br />
ในขณะเดียวกัน การเขียนแบบขยายเท่าจริงนี้ยังเป็น<br />
ขั้นตอนสำคัญซึ่งผู้ออกแบบใช้ร่างแบบลวดลายประดับ<br />
ตกแต่งตามชนิดหรือประเภทของวัสดุให้สอดคล้องกับ<br />
กระบวนงานช่างประเภทต่างๆ ได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ดังเช่น<br />
กรณีศึกษางานก่อสร้างพระเมรุมาศและอาคารประกอบใน<br />
มณฑลพิธี ซึ่งถือเป็นงานสถาปัตยกรรมชั่วคราว ปลูกสร้าง<br />
และรื้อถอนได้ง่าย รวดเร็ว ใช้วัสดุไม่ถาวรนำมาประดับ<br />
ตกแต่งองค์ประกอบและลวดลายสถาปัตยกรรม อาทิ ไม้อัด<br />
ฉลุลายซ้อนไม้ปิดทับด้วยลายฉลุกระดาษทองย่นสาบสี<br />
เป็นต้น<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี เขียนขยายลวดลายตกแต่ง<br />
พระเมรุมาศ ตามหลักวิชาการใช้ลายไทยสำหรับงาน<br />
สถาปัตยกรรมไทยเฉพาะกิจ ที่มีลักษณะเฉพาะแตกต่าง<br />
จากลายไทยในงานสถาปัตยกรรมแบบถาวร ซึ ่งกระบวน<br />
งานช่างไทยในอดีตใช้ลักษณะลายซ้อนตัว (ลายซ้อนไม้)<br />
เป็นแม่ลายในการออกแบบองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม<br />
ทั้งส่วนฐาน ส่วนเรือน และส่วนยอด <strong>โดย</strong>วิธีการนำแผ่น<br />
ไม้อัดมาฉลุลายซ้อนทับกันหลายชั้น ให้ได้ขนาดรูปร่างและ<br />
รูปทรงอย่างสถาปัตยกรรมถาวร แต่เมื่อพิจารณาดูระยะใกล้<br />
จะเห็นได้ว่าเกิดจากการฉลุร่องลายและซ้อนทับกันหลายชั้น<br />
เพื่อให้เห็นมิตินูนต่ำของลายหรือภาพด้วยระยะหน้า-หลัง<br />
ของแผ่นไม้อัด การออกแบบลายซ้อนไม้จึงถือเป็นวิชาหนึ่ง<br />
ที่สำคัญในงานสถาปัตยกรรมไทย มีลักษณะลายและการ<br />
เขียนลายเฉพาะตัว ผู้ออกแบบจะต้องเขียนร่างลายให้<br />
เหมาะสมกับวิธีการดังกล่าวด้วย ดังที่อาจารย์พระพรหม<br />
พิจิตรอธิบายหลักวิชาการผูกลวดลายมีความหมายและหลัก<br />
วิชา 2 วิธีคือ วิธีที่ 1 วางรูปและระเบียบตัวลาย วิธีที่ 2 จัด<br />
จังหวะช่องไฟให้เหมาะสมนั่นเอง<br />
140 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ซ้าย ลวดลายและสีสันที่เกิดขึ้นจาก<br />
กระดาษทองย่นฉลุสาบสีนำมาปิดทับ<br />
บนองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมไทย<br />
ขวา แบบขยายเท่าขนาดจริง 1 : 1 ของ<br />
ซุ้มบันแถลงประดับส่วนเรือนยอด<br />
พระเมรุมาศ<br />
ลายฉลุกระดาษทองย่นและลายฉลุสาบสี เป็นงาน<br />
ช่างอีกแขนงหนึ่งซึ่งปรากฏให้เห็นในงานสถาปัตยกรรมไทย<br />
เฉพาะกิจ สำหรับปิดทับบนระนาบพื้นผนังหรือองค์ประกอบ<br />
ทางสถาปัตยกรรมให้งดงาม <strong>โดย</strong>ใช้ลักษณะลายสัมพันธ์<br />
กับพื้นที่ในการตกแต่ง เช่น ลายฐาน ลายหน้ากระดาน<br />
ลายขาสิงห์ ลายท้องไม้ ลายเสา ลายผนัง ลายซุ้ม ลายบัว<br />
หัวเสา ลายซุ้มบันแถลง ลายนาคปัก ลายกระเบื้องหลังคา<br />
เป็นต้น ทั้งนี้สถาปนิกหรือช่างสามารถออกแบบผูกลายได้<br />
อย่างอิสระ<strong>โดย</strong>นำกระดาษทองย่นฉลุลายสาบกระดาษสีรอง<br />
พื้นหลังส่งเสริมให้ลายทองดูเด่นชัดยิ่งขึ้น<br />
ทั้งนี้ลายซ้อนไม้ ยังนำมาใช้ร่วมกับลายฉลุกระดาษ<br />
ทองย่นสำหรับตกแต่งส่วนต่างๆ ของพระเมรุมาศได้เป็น<br />
อย่างดี ซึ่งเป็นการใช้สีทองตกแต่งอาคารให้มีความประณีต<br />
งดงาม สร้างเสริมจินตลักษณ์ของพระเมรุมาศให้สง่างาม<br />
ประดุจทิพยวิมานบนสรวงสวรรค์ในอุดมคติได้อย่างเป็น<br />
รูปธรรม<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
141
ลายไทยประดับตกแต่งด้วยกระดาษ<br />
ทองย่น ปิดทับผิวไม้อัดที่เป็นโครงสร้าง<br />
ชั่วคราวของพระเมรุมาศในงานพระ<br />
ราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ<br />
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี<br />
พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7<br />
142 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
พระเมรุมาศ ในงานพระราชพิธีถวาย<br />
พระเพลิงพระบรมศพ สมเด็จพระนาง<br />
เจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีใน<br />
รัชกาลที่ 7<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
143
พระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา<br />
144 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
การออกแบบเขียนแบบพระอุโบสถ วัดโสธรวราราม<br />
วรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่<br />
ที่มีความสำคัญระดับชาติ อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ใน<br />
วัยหลังเกษียณอายุราชการ มีความตั้งใจเป็นอย่างยิ่งที่<br />
จะทุ่มเทความคิดสร้างสรรค์งานสถาปัตยศิลป์ชั้นสูงเพื่อ<br />
ฝากไว้แก่แผ่นดิน และอุทิศตนอย่างมุ่งมั่นให้แก่การทำงาน<br />
ออกแบบเขียนแบบทุกขั้นตอนตามหลักวิชาปรัชญาการ<br />
ทำงานขยายแบบเท่าจริง<br />
การออกแบบพระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร<br />
หลังใหม่ อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี คิดหาแนวทางออกแบบ<br />
ให้รวมประโยชน์ใช้สอยประสานกันหลายๆ หน้าที่ใช้สอย<br />
ตามหลักพระพุทธศาสนา คือ พระอุโบสถอยู่ส่วนกลาง<br />
วิหารหอพระไตรปิฎกอยู่ส่วนหน้า พระอุโบสถอยู่ทางด้าน<br />
ทิศตะวันออก วิหารพระเดิมอยู่ส่วนหลังพระอุโบสถด้านทิศ<br />
ตะวันตก ส่วนที่ประดิษฐานพระอุทิศอยู่ต่อจากวิหารพระเดิม<br />
ด้านทิศตะวันตก สำหรับส่วนที่เหนืออาคารพระอุโบสถขึ้นไป<br />
(พื้นที่ส่วนกลาง) เป็นอาคารทรงมณฑป ทำแทนพระสถูป<br />
เจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ให้เป็นหลักแห่ง<br />
พุทธาวาสตามหลักการสร้างวัดแต่โบราณ มีรายละเอียดดังนี้<br />
ความเป็นมาและแนวทางที่ใช้ประกอบในการ<br />
ออกแบบพระอุโบสถหลังใหม่ วัดโสธรวรารามวรวิหาร<br />
จังหวัดฉะเชิงเทรา<br />
เนื่องด้วยเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2509 พระบาท<br />
สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าพระบรม<br />
ราชินีนาถและพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าอุบลรัตน์ราชกัญญา<br />
ได้เสด็จพระราชดำเนินมายังวัดโสธรวรารามวรวิหาร เพื่อทรง<br />
กระทำพิธีวิสาขบูชา ตามขัตติยราชประเพณี เมื่อประกอบ<br />
พระราชภารกิจเสร็จเรียบร้อยแล้ว ได้เสด็จออกจากพระอุโบสถ<br />
แล้วมีพระราชดำรัสว่า “ตั้งใจมานมัสการหลวงพ่อพุทธโสธร<br />
นานแล้ว ทำไมสร้างพระอุโบสถแบบนี้ ไม่สมเกียรติหลวง<br />
พ่อพุทธโสธร ให้ปรับปรุงแก้ไขเสียใหม่” และมีพระราชดำรัส<br />
ถึงโรงเรียนและแหล่งเสื่อมโทรงหน้าพระอุโบสถ ให้แก้ไขให้<br />
สมเกียรติกับหลวงพ่อพุทธโสธร<br />
หลังจากนั้นทางวัดก็ได้ดำเนินการปรับปรุงแก้ไข<br />
บริเวณหน้าวัดและแหล่งเสื่อมโทรมให้เกิดเป็นระเบียบ<br />
เรียบร้อย ตลอดจนดำเนินการสร้างอาคารเรียน โรงเรียน<br />
วัดโสธรวรารามวรวิหาร ตามพระราชดำริ ใช้เวลาล่วงมาถึง<br />
20 ปี จึงได้เริ่มการที่จะทำการก่อสร้างพระอุโบสถ (เนื่องจาก<br />
เหตุที่ต้องโยกย้ายบ้านเรือนและตลาดหน้าวัดออก ใช้เวลา<br />
ยาวนานพอสมควร)<br />
เมื่อข้าพเจ้า (นายประเวศ ลิมปรังษี) ได้รับมอบ<br />
หมายให้เป็นสถาปนิกออกแบบพระอุโบสถ วัดโสธรวราราม<br />
วรวิหาร ข้าพเจ้าก็รีบทำการสำรวจตรวจพระอุโบสถเดิม<br />
บริเวณสถานที่และสิ่งแวดล้อมของวัดโสธรวรารามวรวิหาร<br />
<strong>โดย</strong>ทั่วไปเสร็จก็เริ่มพิจารณาข้อมูลและพิจารณาหลักการใช้<br />
ในการออกแบบเป็นขั้นตอน ดังนี้<br />
หลวงพ่อโสธร พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์<br />
คู่บ้านคู่เมือง เป็นที่เคารพสักการะของ<br />
พุทธศาสนิกชนอย่างยิ่ง<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
145
ผังบริเวณวัดโสธรวรารามวรวิหาร<br />
ซึ่งสถาปนิกออกแบบวางผังใหม่ให้มี<br />
ความเป็นระเบียบเรียบร้อย <strong>โดย</strong>กำหนด<br />
ขอบเขตพุทธาวาสให้เหมาะสมแก่การ<br />
สร้างพุทธสถานและสอดคล้องกับ<br />
ประเพณีนิยมที่ปฏิบัติกันสืบมา<br />
ขั้นตอนที่ 1 พิจารณาสภาพวัด เห็นว่าวัดโสธรวราราม<br />
วรวิหาร มิได้เป็นวัดที่สร้างขึ้นตามหลักการสร้างวัดทาง<br />
พุทธศาสนาแต่โบราณ และมิได้วางผังวัดแต่อย่างใด<br />
ขั้นตอนที่ 2 พิจารณาด้านพื้นที่เห็นว่าวัดโสธรวราราม<br />
วรวิหาร มีพื้นที่ดินน้อย ไม่สามารถที่จะขยับขยายได้<br />
ขั้นตอนที่ 3 พิจารณาถึงองค์พระพุทธโสธรและ<br />
ลักษณะการเคารพบูชา ตลอดจนวิธีการนมัสการ<strong>โดย</strong>การ<br />
ปิดทองและการขอพรและโชคลาภ <strong>โดย</strong>วิธีแตะต้ององค์<br />
หลวงพ่อพุทธโสธร <strong>โดย</strong>ให้หลวงพ่อพระพุทธโสธรรับรู้เจตนา<br />
ความประสงค์ของผู้มานมัสการ<br />
ขั้นตอนที่ 4 พิจารณาถึงขนาดของพระอุโบสถเดิม<br />
ขั้นตอนที่ 5 พิจารณาถึงวัตถุประสงค์ ตามพระราชดำริ<br />
ที่ให้ปรับปรุงพระอุโบสถเดิม ให้สมเกียรติกับหลวงพ่อพุทธโสธร<br />
บรรยายผลการพิจารณาของขั้นตอนที่ 1 ดังนี้<br />
พิจารณาขั้นตอนที่ 1 แล้ว ควรแก้ไขให้ถูกต้องตาม<br />
หลักการจัดผังวัดคือ ให้พระอุโบสถที่จะสร้างใหม่เป็นส่วน<br />
ของพุทธาวาส อันเป็นหลักของวัดสืบไป ถือเป็นเขตศักดิ์สิทธิ์<br />
ใช้ประกอบสังฆกรรมตามที่บัญญัติไว้ในการสร้างวัดตาม<br />
ประเพณีที่ปฏิบัติกันมาแต่เดิม<br />
บรรยายผลการพิจารณาของขั้นตอนที่ 2 ดังนี้<br />
พิจารณาขั้นตอนที่ 2 แล้ว บนที่ดินของวัดคับแคบไม่<br />
สามารถขยายเป็นเขตหรือบริเวณพุทธาวาสได้ จึงหาทางออก<br />
แบบพระอุโบสถหลังใหม่ ให้มีองค์ประกอบใช้สอยของตัว<br />
อาคารในเขตพุทธาวาสให้อยู่ร่วมกันในที่เดียวกันคือ อยู่<br />
ต่อเนื่องในแบบรูปเดียวกัน <strong>โดย</strong>มีแนวรั้วล้อมเป็นเขตพุทธาวาส<br />
ตามหลักประเพณีการสร้างวัดสืบต่อกันมา<br />
146 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
รูปด้านตั้งพระอุโบสถ วัดโสธรวราราม<br />
วรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา ออกแบบ<br />
<strong>โดย</strong> อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ศิลปิน<br />
แห่งชาติ<br />
บรรยายผลการพิจารณาของขั้นตอนที่ 3 ดังนี้<br />
พิจารณาขั้นตอนที่ 3 แล้ว เห็นว่าองค์หลวงพ่อพุทธโสธร<br />
เป็นพระประธานที่มีเอกลักษณ์แตกต่างจากพระประธาน<br />
ภายในพระอุโบสถ<strong>โดย</strong>ทั่วไปของประเทศไทย คือ เป็นพระประธาน<br />
ที่มีแท่นชุกชีเตี้ย สามารถเดินขึ้นไปนมัสการปิดทองและสัมผัส<br />
องค์หลวงพ่อพุทธโสธรได้ หลวงพ่อพุทธโสธรมีความเมตตา<br />
กรุณา ให้ความสุข ความสำเร็จแก่ผู้มานมัสการขอพรในทาง<br />
ที่ชอบตามความประสงค์ได้แทบทุกราย พิจารณาแล้วหลวง<br />
พ่อพุทธโสธรเป็นของประชาชนจริงๆ <strong>โดย</strong>เอกลักษณ์ และ<br />
จำต้องอยู่อย่างที่เป็นอยู่เดิมสืบไป ไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลง<br />
ได้ หากเปลี่ยนแปลงก็จะเสียเอกลักษณ์และหมดความส ำคัญไป<br />
การออกแบบพระอุโบสถใหม่จำต้องอนุรักษ์ฐานชุกชีเดิมไว้<br />
ไม่เปลี่ยนแปลง<br />
บรรยายผลการพิจารณาของขั้นตอนที่ 4 ดังนี้<br />
พิจารณาขั้นตอนที่ 4 แล้ว เห็นว่าขนาดของพระอุโบสถ<br />
เดิมมีขนาดเล็กและคับแคบไม่สามารถที่จะบรรจุบุคคลที่มา<br />
นมัสการเป็นจำนวนมากได้ จำต้องออกแบบพระอุโบสถใหม่<br />
ให้กว้างและสามารถระบายคนเข้าออกได้สะดวก และออกแบบ<br />
ให้มีขั้นตอนในการสักการบูชาเพื่อความไม่แออัด เมื่อมีผู้มา<br />
สักการบูชาเป็นจำนวนมากๆ และให้อาคารโปร่งมีทาง<br />
เข้าออก 4 ทาง ยกเพดานของอาคารสูงเพื่อไม่ให้อบอ้าว<br />
อึดอัด เมื่อเวลาอยู่ภายในอาคาร มีความสุข ปลอดโปร่งโล่งใจ<br />
เมื่อมานมัสการหลวงพ่อพุทธโสธร ถือเป็นข้อมูลส ำคัญในการ<br />
ออกแบบพระอุโบสถหลังใหม่<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
147
บนซ้าย พระบาทสมเด็จพระบรม<br />
ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
มหาราช บรมนาถบพิตร ทรงประกอบ<br />
พิธีวางศิลาฤกษ์การก่อสร้างพระอุโบสถ<br />
วัดโสธรวรารามหลังใหม่ ภายหลังจาก<br />
ทรงมีพระราชดำริและพระบรมราช<br />
วินิจฉัยเห็นชอบตามที่ สถาปนิกผู้<br />
ออกแบบนำเสนอแบบก่อสร้างพระ<br />
อุโบสถหลังใหม่<br />
ล่างซ้าย แบบทัศนียภาพพระอุโบสถ<br />
วัดโสธรหลังใหม่<br />
ล่างขวา พระอุโบสถประดิษฐานหลวง<br />
พ่อโสธรหลังเดิม<br />
บรรยายผลการพิจารณาของขั้นตอนที่ 5 ดังนี้<br />
เนื่องด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู ่หัวมีพระราชดำริ<br />
ให้ปรับปรุงแก้ไขพระอุโบสถเสียใหม่ให้สมเกียรติกับองค์<br />
หลวงพ่อพุทธโสธร ตลอดจนให้ปรับปรุงบริเวณแหล่ง<br />
เสื่อมโทรมหน้าวัด ให้เกิดเป็นระเบียบเรียบร้อย<br />
เมื่อได้ผลการพิจารณาตามหลักการใหญ่ทั้ง 5 ประการ<br />
นี้แล้ว ข้าพเจ้าจึงหาทางออกแบบให้รวมประโยชน์และ<br />
ความมุ่งหมายตามประสงค์ทั้ง 5 ประการนั้น ให้ครบถ้วนใน<br />
การออกแบบพระอุโบสถหลังนี้ คือ ให้เป็นอาคารประสาน<br />
กันหลายๆ หน้าที่ใช้สอยตามหลักพระพุทธศาสนา คือ<br />
พระอุโบสถอยู่ส่วนกลาง วิหารหอพระไตรปิฎกอยู่ส่วนหน้า<br />
พระอุโบสถด้านทิศตะวันออก วิหารพระเดิมอยู่ส่วนหลัง<br />
พระอุโบสถด้านทิศตะวันตก ที่ประดิษฐานพระอุทิศอยู่<br />
ต่อจากวิหารพระเดิมด้านทิศตะวันตก ส่วนที่เหนืออาคาร<br />
พระอุโบสถขึ้นไป (ส่วนกลาง) เป็นอาคารทรงมณฑป<br />
ทำแทนพระสถูปเจดีย์เป็นที่ประดิษฐานพระสารีริกธาตุ<br />
ให้เป็นหลักแห่งพุทธาวาส ตามหลักการสร้างวัดแต่โบราณ<br />
ความสำคัญอีกประการหนึ่งในการออกแบบพระอุโบสถ<br />
วัดโสธรวรารามวรวิหารหลังใหม่นี้ คือประสงค์ที่จะให้เป็น<br />
สถาปัตยกรรมแนวใหม่ยุครัชกาลที่ 9 มีคุณลักษณะตาม<br />
พระราชดำริ คือ ให้เป็นอาคารสมเกียรติกับองค์หลวงพ่อ<br />
พุทธโสธร ให้มีความสง่างาม มีคุณค่าทางศิลปกรรมเหมาะสม<br />
ที่จะเป็นพุทธสถาน เป็นถาวรวัตถุคู่บ้านคู่เมือง และให้เป็น<br />
สมบัติของชาติอันมีค่าในอนาคตต่อไป<br />
148 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
พระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร เมื่อสร้างแล้วเสร็จพร้อมทั้งปรับปรุงภูมิทัศน์ สภาพแวดล้อม<strong>โดย</strong>รอบให้มี<br />
ความเป็นระเบียบเรียบร้อยและส่งเสริมความสง่างามให้เกิดพุทธาวาสอันเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์สำคัญสูงสุดภายในวัด<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
149
ที่ตั้งและสภาพแวดล้อมของวัดโสธร<br />
อยู่ติดกับแม่น้ำบางปะกงและชุมชน<br />
เมืองฉะเชิงเทรา อาจารย์ประเวศ<br />
สถาปนิกผู้ออกแบบกำหนดให้อาคาร<br />
ทั้งหลังตั้งวางขนานไปตามสายน้ำ<br />
อย่างกลมกลืน และสอดคล้องกับ<br />
แบบแผนคตินิยมในการวาง ผังอาคาร<br />
สัมพันธ์กับแนวแกนทิศอย่างประเพณี<br />
ไทย<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ศิลปินแห่งชาติ สถาปนิก<br />
ผู้รับหน้าที่การออกแบบพระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร<br />
ได้พิจารณาหลักการและวัตถุประสงค์ของการสร้างพระ<br />
อุโบสถแล้ว จึงกำหนดแนวความคิดในการออกแบบไว้ดังนี้<br />
การออกแบบแปลนพื้นพระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร<br />
หลังใหม่ เป็นไปตามแนวความคิดที่สถาปนิกวางไว้แล้ว คือ<br />
พื้นเตี้ยราบคล้ายพื้นพระอุโบสถฝรั่ง ภายนอกยกฐานอาคาร<br />
สูงแบบไทยทั่วไป จัดแปลนตามหน้าที่การใช้สอยถูกต้องตาม<br />
หลักการในพระพุทธศาสนา แบ่งรูปแปลนออกเป็นส่วนต่างๆ<br />
ดังนี้<br />
ส่วนที่ 1 เป็นส่วนของมุขด้านหน้าสุด (ทิศตะวันออก)<br />
ใช้เป็นส่วนนมัสการสักการบูชา ประดิษฐานหลวงพ่อพุทธ<br />
โสธรจำลอง ฯลฯ ตั้งโต๊ะหมู่บูชา ตั้งแท่นเชิงเทียนกระถางธูป<br />
และจัดที่วางดอกไม้ที่นำมานมัสการ ตลอดจนตั้งแท่นที่กราบ<br />
ส่วนนี้เป็นมุขอาคารโถง ไม่มีผนัง เพื่อให้โปร่งระบายควัน<br />
ธูปเทียนได้อย่างสะดวก ยึดหลักการที่เป็นมาแต่เดิม แก้ไข<br />
เปลี่ยนแปลงรูปแบบอาคารใหม่เพื่อความเหมาะสม<br />
ส่วนที่ 2 เป็นส่วนของวิหารพระไตรปิฎก หรือวิหาร<br />
ประดิษฐานพระธรรม อยู่ถัดมุขด้านหน้าเข้าไปเป็นวิหาร<br />
ส่วนหน้าพระอุโบสถสุดพื้นด้านหน้าเป็นชุกชีพระยืน สุดพื้น<br />
ด้านหลังวิหารเป็นชุกชีตั้งบุษบกประดิษฐานคัมภีร์พระไตรปิฎก<br />
(พระธรรม)<br />
ส่วนที่ 3 เป็นพื้นที่อยู่ระหว่างวิหารพระไตรปิฎก<br />
กับพระอุโบสถ ใช้เป็นทางผ่านเข้า-ออก และใช้เป็นทาง<br />
ประทักษิณา เมื่อมีการเวียนเทียนหรือแห่บวชนาค ก่อน<br />
เข้า-ออกพระอุโบสถ และใช้เป็นทางลัดเข้าพระอุโบสถระยะสั้น<br />
เข้าออกได้รวดเร็ว ไม่เกี่ยวข้องกับส่วนอื่น<br />
ส่วนที่ 4 เป็นส่วนของพระอุโบสถ มีชุกชีอาสนะหลวง<br />
พ่อพุทธโสธร อันเป็นพระประธานของพระอุโบสถเดิมไว้<br />
แต่ขยายพื้นที่ให้กว้างออกไป รับผู้คนที่มานมัสการปิดทอง<br />
ได้สะดวก ไม่แออัด และมีทางเข้าออกพระอุโบสถ 4 ทิศทาง<br />
คือ เข้า-ออกได้ทั้งสี่ด้าน มีความคล่องตัวเมื่อมีความประสงค์<br />
จะเข้าออกอย่างรวดเร็วได้ ส่วนกลางของตัวพระอุโบสถเป็น<br />
โถงใหญ่ เพดานสูงโล่ง เป็นเพดานรูปโดมคล้ายแบบฝรั่ง<br />
ทำให้อากาศภายในพระอุโบสถไม่ร้อนอบอ้าว เมื่อเวลาเข้าไป<br />
ภายในอาคาร เหนือฝ้าเพดานพระอุโบสถรูปโดมขึ้นไปเป็น<br />
อาคารรูปมณฑป ประดิษฐานพระสถูปเจดีย์บรรจุพระบรม<br />
สารีริกธาตุไว้สำหรับสักการบูชา<br />
150 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ส่วนที่ 5 เป็นพื้นที ่อยู่ระหว่างพระอุโบสถกับวิหาร<br />
พระเดิมด้านทิศตะวันตกของพระอุโบสถ ทำรูปแบบพื้นและ<br />
มีการใช้สอยอย่างเดียวกันกับส่วนที่ 3<br />
ส่วนที่ 6 เป็นพื้นที่วิหารพระเดิม คือ ส่วนที่ก่อสร้าง<br />
แทนพระวิหารของเดิมที่รื้อถอนไป ปรับปรุงวิหารพระเดิมนี้<br />
ตั้งพระพุทธรูปองค์เดิม <strong>โดย</strong>การสร้างฐานชุกชีใหม่ให้สวยงาม<br />
สง่ามากยิ่งขึ้น พื้นที่ส่วนหน้าวิหารพระเดิมตั้งมหาธรรมาสน์<br />
สำหรับแสดงธรรมในพิธีต่างๆ ของวัดที่เห็นสมควรให้มีขึ้น<br />
ส่วนที่ 7 เป็นพื้นที่อาคารมุขหลัง อยู่ต่อเชื่อมกับวิหาร<br />
พระเดิมด้านหลัง (ทิศตะวันตก) เป็นวิหารหอพระอุทิศ ท ำตาม<br />
อย่างที่มีมาแต่สมัยโบราณ เช่น ที่วัดพระบรมธาตุ<br />
นครศรีธรรมราชทำพระหรือสร้างพระอุทิศให้แก่นางเหม<br />
ชาลา และสร้างพระอุทิศให้แก่พระธนกุมาร ผู้นำพระธาตุ<br />
เขี้ยวแก้วมาจากอินเดียเพื ่อให้ศรีลังกา แต่เกิดเหตุเรือนำ<br />
พระธาตุมาแตกที่หาดนครศรีธรรมราช พระธาตุเลยมาตก<br />
อยู่ที่เมืองนี้ ส่วนที่วัดพระแก้ว (วัดพระศรีรัตนศาสดาราม)<br />
ในพระอุโบสถสร้างพระอุทิศให้รัชกาลที่ 1 รัชกาลที่ 2<br />
เป็นต้น ฯลฯ เพื่อรักษาความดีงามไว้ไม่ให้เสื่อมคลาย<br />
ตามราชประเพณีทางพุทธศาสนาในอดีต สิ่งก่อสร้างเหล่านี้<br />
เป็นถาวรวัตถุอยู่ในเขตพุทธาวาส อันพึงจะมีตามความ<br />
จำเป็นที่สำคัญไว้อย่างพร้อมมูล<br />
แบบรูปตัดตามยาวของพระอุโบสถ<br />
วัดโสธรวราราม แสดงแนวคิดการออกแบบ<br />
สถาปัตยกรรมไทยเครื่องยอดเพื่อ<br />
ผสานประโยชน์ใช้สอยส่วนต่างๆ ในเขต<br />
พุทธาวาสเข้ากับการสร้างสรรค์รูปทรง<br />
อาคารทางราบและทางดิ่งต่อเนื่องกัน<br />
อย่างเป็นเอกภาพ<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
151
152 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ทางเข้าด้านหน้าพระอุโบสถ ออกแบบ<br />
เป็นหน้าบันมุขประเจิด ผูกลายหน้าบัน<br />
สัญลักษณ์องค์พระพุทธโสธรประทับอยู่<br />
บนพุทธอาสน์ ภายในซุ้มคูหาเรือนแก้ว<br />
ประกอบลายไทยที่เป็นการผูกลายใน<br />
ศิลปะชั้นสูง<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
153
ความสำคัญอีกประการหนึ่งในการออกแบบพระอุโบสถ<br />
วัดโสธรวรารามวรวิหารหลังใหม่นี้ คือ ประสงค์ที่จะให้เป็น<br />
สถาปัตยกรรมแนวใหม่ยุครัชกาลที่ 9 มีคุณลักษณะตาม<br />
พระราชดำริ คือ ให้เป็นอาคารสมเกียรติกับองค์หลวงพ่อ<br />
พุทธโสธร ให้มีความสง่างาม มีคุณค่าทางศิลปกรรมเหมาะสม<br />
ที่จะเป็นพุทธสถาน เป็นถาวรวัตถุคู่บ้านคู่เมือง และให้เป็น<br />
สมบัติของชาติอันมีค่าในอนาคตต่อไป<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี จึงได้จัดตั้ง “สำนักงาน<br />
เฉพาะกิจออกแบบเขียนแบบก่อสร้างพระอุโบสถวัดโสธร<br />
วรารามวรวิหาร” ขึ้นที่บริเวณโรงเรียนวัดโสธรฯ ด้วยความ<br />
มุ่งมั่นและจริงจังในการทำงานดำเนินตามปรัชญาการ<br />
ออกแบบเขียนแบบศิลปสถาปัตยกรรมชั้นสูงและด้วย<br />
จิตศรัทธาที่จะอุทิศตนให้แก่การงานถวายเป็นพุทธบูชา<br />
ท่านจึงทำงานต่อเนื่องกันทุกวันมิได้มีเวลาพักผ่อนส่วนตัว<br />
ทั้งยังบอกแก่ผู้ร่วมงานด้วยกำลังใจมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมว่า “งานนี้<br />
ตั้งใจมากจะให้เป็นวัดสำหรับรัชกาลที่ 9”<br />
ณ สำนักงานเฉพาะกิจแห่งนั้นยังมีพื้นที่ส่วนหนึ่ง<br />
สำหรับจัดแสดงนิทรรศการแบบสถาปัตยกรรมสำคัญของ<br />
ประเทศ เช่น แบบพิมพ์เขียวของพระที่นั่งอนันตสมาคม<br />
เป็นต้น เพื่อแสดงให้ผู้มาเยี่ยมชมได้เห็นถึงแนวทางการ<br />
ทำงานออกแบบเขียนแบบอย่างประณีตงดงาม และมีความ<br />
ละเอียดทุกขั้นตอนในการเขียนแบบด้วยมาตราส่วนต่างๆ<br />
ได้แก่ แบบสถาปัตยกรรม แบบโครงสร้าง ตลอดจนถึงแบบ<br />
ขยายลวดลายศิลปกรรมประดับตกแต่งอาคาร เป็นต้น<br />
ภายในห้องจัดแสดงนิทรรศการส่วนหนึ่ง จัดเตรียม<br />
ไว้สำหรับจัดแสดงขั้นตอนการออกแบบเขียนแบบ<br />
พระอุโบสถ วัดโสธรวราราม ที่อยู่ระหว่างด ำเนินการเขียนแบบ<br />
อยู่ด้วย อาจารย์ประเวศได้วางหลักการและวิธีการทำงาน<br />
เขียนแบบ ขยายแบบเท่าจริงให้เป็นไปตามหลักปรัชญาการ<br />
ทำงานด้านสถาปัตยกรรมไทยอย่างเคร่งครัด <strong>โดย</strong>กำหนด<br />
ขั้นตอนการทำงานไว้ในเอกสารอัดสำเนาที่พิมพ์ขึ้นไว้ดังนี้<br />
สำนักงานเฉพาะกิจออกแบบเขียนแบบ<br />
ก่อสร้างพระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร<br />
ฝ่ายสถาปัตยกรรมได้ดำเนินงานออกแบบเขียนแบบ<br />
ก่อสร้างพระอุโบสถฯ ตามขั้นตอนดังนี้<br />
1. งานออกแบบ 1 : 200 เพิื่อหาแนวทางของรูปแบบ<br />
พระอุโบสถให้มีลักษณะสถาปัตยกรรมที่เหมาะสมตาม<br />
ยุคสมัย ถูกต้องตามประเพณีและหน้าที่ใช้สอยทางพระพุทธ<br />
ศาสนาเป็นสำคัญ<br />
2. งานออกแบบ,เขียนแบบ 1 : 100 เพื่อหาแนวทาง<br />
ปรับแบบ 1 : 200 ให้มีลักษณะแบบได้ทรวดทรงและมี<br />
สัดส่วนพอที่จะออกแบบเขียนแบบส่วนประกอบเพิ่มเติม<br />
ตามรายละเอียดขึ้น เกี่ยวกับการร่างแบบของโครงสร้าง<br />
และส่วนตกแต่งอันเป็นหลักใหญ่ๆ ที่ต้องการ เช่น ออกแบบ<br />
ชุกชี ซุ้มพระ ประตู หน้าต่าง<br />
3. งานออกแบบเขียนแบบ 1 : 50 เพื่อปรับปรุงแบบ<br />
ให้มีส่วนละเอียดเพิ่มขึ้น ให้มีสัดส่วนที่แน่นอนยิ่งขึ้น ตลอด<br />
การออกแบบจุดตำแหน่งของการตกแต่งจามความประสงค์<br />
ในงานสถาปัตยกรรมได้มากยิ่งขึ้น ตลอดกำหนดรูปแบบ<br />
ของโครงสร้างที่แน่นอนเป็นแบบพร้อมที่วิศวกรใช้เป็นแบบ<br />
คิดน้ำหนักและคำนวณกำลังของตัวอาคาร<strong>โดย</strong>ทั่วไปได้<br />
4. งานออกแบบเขียนแบบ 1 : 20 เพื่อออกแบบ<br />
เขียนแบบรูปของอาคาร กำหนดสัดส่วนอย่างละเอียดทุก<br />
ส่วนของอาคารไว้ครบถ้วนพร้อมที่จะนำไปใช้ประกอบการ<br />
เสริมเหล็กโครงสร้าง การขยายแบบเท่าของจริงใช้เป็นแบบ<br />
คิดราคา ประมาณราคาก่อสร้างได้<strong>โดย</strong>บริบูรณ์ และใช้เป็น<br />
แบบก่อสร้างได้อย่างถูกต้องตามสัดส่วนระยะที่กำหนดไว้<br />
5. งานขยายแบบเท่าของจริง 1 : 1 เพื่อแสดงรูปแบบ<br />
ที่เป็นจริงของอาคารที่จะก่อสร้างทุกๆ ส่วนที่จะนำไปใช้<br />
ปฏิบัติงาน ทั้งด้านโครงสร้างและใช้ปฏิบัติงาน ปฏิบัติการ<br />
ปั้นหล่อสร้างชิ้นส่วนของการตกแต่งได้ถูกต้องดังประสงค์<br />
(งานขยายแบบเท่าของจริงจะต้องทำพร้อมกับการปฏิบัติ<br />
การก่อสร้างควบคู่กันไป)<br />
154 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
หุ่นจำลองพระอุโบสถวัดโสธรวราราม<br />
จัดทำขึ้นเพื่อนำเสนอรูปแบบ<br />
สถาปัตยกรรม และใช้ในการศึกษา<br />
โครงสร้างอาคารที่มีความซับซ้อนให้<br />
ผู้ปฏิบัติงานส่วนต่างๆ ได้เข้าใจตรงกัน<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
155
แบบขยายรูปด้านส่วนยอดมณฑป<br />
บริเวณพื้นที่ใช้งานชั้นสูงสุด ซึ่งภายใน<br />
ประดิษฐานพระสถูปเจดีย์บรรจุ<br />
พระบรมสารีริกธาตุไว้สำหรับสักการบูชา<br />
156 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบขยายรูปตัดโครงสร้าง และผังคาน<br />
เครื่องยอดมณฑป วัดโสธรวราราม<br />
ออกแบบโครงสร้าง<strong>โดย</strong> อาจารย์<br />
ดร.พิบูลย์ จินาวัฒน์ วิศวกร<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
157
นิทรรศการแสดงลำดับขั้นตอน การออกแบบเขียนแบบ<br />
ก่อสร้างพระอุโบสถและพระวิหาร วัดโสธรวรารามวรวิหาร<br />
ที่จะก่อสร้างใหม่แทนของเดิม<br />
งานออกแบบเขียนแบบสถาปัตยศิลป มีหลักการ<br />
เขียนแบบเป็นขั้นตอนตามลำดับ ดังนี้<br />
ขั้นตอนลำดับที่ 1 งานร่างแบบสมมุติฐาน 1 : 200<br />
แสดงรูปอาคารพระอุโบสถและพระวิหาร ให้เป็นไปตาม<br />
ความประสงค์ ตลอดทั้งประเพณีการใช้สอยของพระอุโบสถ<br />
นี้เป็นสำคัญ ตามวิชาการออกแบบ ได้ปรับปรุงเพิ่มเติมจาก<br />
ของเดิมในส่วนที่จำเป็นให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รูปแบบและรูปทรง<br />
ของพระอุโบสถได้ออกแบบเพิ่มเติมจากของเดิมในส่วนที่<br />
จำเป็นให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น รูปแบบและรูปทรงของพระอุโบสถ<br />
ได้ออกแบบวิวัฒนาการลักษณะยุคใหม่ ไม่ซ้ำจากที่เป็นมา<br />
แต่เดิมในอดีต ประสงค์ให้เป็นยุคสมัยรัชกาลที่ 9 ดังแบบ<br />
ที่แสดง<br />
ขั้นตอนลำดับที่ 2 งานออกแบบตัวอาคารพระอุโบสถ,<br />
พระวิหาร, รูปตัดอาคารพระอุโบสถ, พระวิหาร ตลอดแสดง<br />
แนวโครงสร้าง, แสดงแนวอาคารการตกแต่งภายใน<strong>โดย</strong>ทั่วไป<br />
<strong>โดย</strong>สังเขป 1 : 100 ดังแบบแสดง<br />
ขั้นตอนลำดับที่ 3 งานออกแบบรายละเอียดของ<br />
อาคารพระอุโบสถ, พระวิหาร <strong>โดย</strong>กำหนดจุดตำแหน่งของ<br />
แบบ ทุกๆ ส่วน 1 : 50 แสดงแบบรูปแปลน, แบบรูปด้าน<br />
(รูปตั้ง), แบบรูปตัดทุกๆ ส่วน ภายในที่มีรูปแบบต่างๆ กัน<br />
<strong>โดย</strong>ทั่วไป (งานออกแบบเขียนแบบ 1 : 50 ใช้เป็นแบบ<br />
คำนวณกำลังโครงสร้างได้<strong>โดย</strong>กำหนดรายการวัสดุที่ใช้<br />
ก่อสร้างประกอบไว้) ดังแบบแสดง<br />
ขั้นตอนลำดับที่ 4งานออกแบบพระอุโบสถพระวิหาร<br />
1 : 20 แสดงรูปแบบของอาคารที่กำหนดสัดส่วนอย่าง<br />
ละเอียดทุกๆ ส่วนไว้ในแบบอย่างครบถ้วน พร้อมที่จะนำไป<br />
ใช้ประกอบการเขียนแบบเสริมเหล็กโครงสร้าง เขียนแบบ<br />
รายละเอียกเท่าของจริง ใช้เป็นแบบประกอบการคิดประมาณ<br />
ราคาค่าก่อสร้างในส่วนต่างๆ ได้<strong>โดย</strong>สมบูรณ์ ตลอดใช้เป็น<br />
แบบก่อสร้างอาคารพระอุโบสถ, พระวิหาร ได้อย่างถูกต้อง<br />
ตามสัดส่วนที่กำหนดไว้ ดังแบบแสดง<br />
ขั้นตอนลำดับที่ 5 งานขยายรายละเอียดเท่าของจริง<br />
1 : 1 ส่วนต่างๆ ของอาคาร เป็นแบบแสดงรายละเอียดเท่า<br />
ของจริง แสดงโครงสร้างส่วนละเอียดอย่างของจริงทุกๆ ส่วน<br />
เพื่อความถูกต้องของแบบ ตลอดความสวยงามของฟอร์ม<br />
และรูปทรงที่ต้องการก่อนนำแบบไปใช้ก่อสร้าง ดังแบบแสดง<br />
นอกจากนั้นอาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี พร้อมด้วย<br />
อาจารย์ ดร.พิบูลย์ จินาวัฒน์ วิศวกร ยังเห็นตรงกันถึง<br />
ความจำเป็นในการจัดสร้างหุ่นจำลองแบบโครงสร้างและ<br />
สถาปัตยกรรมเพื่อสร้างความเข้าใจตรงกันระหว่างการ<br />
ปฏิบัติงานออกแบบเขียนแบบโครงสร้างให้ประสานกับงาน<br />
สถาปัตยกรรมไทยได้อย่างถูกต้องงดงามสอดคล้องตาม<br />
รูปแบบที่สถาปนิกกำหนดไว้<br />
หุ่นจำลองพระอุโบสถ พระวิหาร วัดโสธรวราราม ซึ่ง<br />
จัดทำขึ้นในมาตราส่วนขนาดใหญ่ มีความงดงามและใหญ่โต<br />
แสดงรูปทรง รายละเอียดของการประสานแบบโครงสร้าง<br />
และแบบสถาปัตยกรรมที่สร้างสรรค์รูปทรงขึ้นใหม่ได้อย่าง<br />
งดงาม และสร้างความเข้าใจได้อย่างสมบูรณ์ถึงพื้นที่ใช้สอย<br />
ส่วนต่างๆ ทางแนวดิ่งของส่วนยอดตรงกลางเหนือตำแหน่ง<br />
ฐานชุกชีประดิษฐานหลวงพ่อพระพุทธโสธรฯ ซึ่งเป็นการ<br />
ออกแบบใช้พื้นที่ว่างต่างจากแบบแผนทางประเพณี ทั้งยัง<br />
เปิดเผยให้เห็นแนวความคิดในการออกแบบของโครงสร้าง<br />
สำหรับสถาปัตยกรรมไทยขนาดใหญ่ได้อย่างงดงาม<br />
158 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
หุ่นจำลองโครงสร้างขนาดใหญ่ของ<br />
พระอุโบสถ วัดโสธรวราราม จัดทำ<br />
ขนาดย่อส่วนเหมือนของจริง เพื่อ<br />
แสดงลักษณะโครงสร้างและที่ว่าง<br />
ภายในของส่วน อาคารทางราบและ<br />
อาคารทางดิ่งคือส่วนยอดทรงมณฑป<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
159
ซ้าย สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรม<br />
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรม<br />
ราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยังวัด<br />
โสธรเพื่อทอดพระเนตร และติดตาม<br />
การดำเนิน งานออกแบบเขียนแบบของ<br />
ทีมสถาปนิก วิศวกร และคณะทำงาน<br />
ขวา สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรม<br />
สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยาม<br />
บรมราชกุมารี เสด็จนมัสการหลวงพ่อ<br />
โสธร ทรงรับเป็นองค์ประธานการ<br />
ก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่ ตามแนว<br />
พระราชดำริของพระบาทสมเด็จ<br />
พระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพล<br />
อดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร<br />
ณ สำนักงานเฉพาะกิจออกแบบ เขียนแบบ ก่อสร้าง<br />
พระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร แห่งนี้จึงเป็นสถานที่<br />
สำหรับการปฏิบัติงานและให้ความรู้ตามหลักปรัชญาการทำ<br />
งานด้านสถาปัตย์ศิลป์ ดังความตั้งใจที่อาจารย์ประเวศ มุ่งมั่น<br />
ที่จะสร้างงานออกแบบชิ้นนี้ให้เป็นพุทธศิลปสถาปัตยกรรม<br />
อันสมบูรณ์พร้อมทุกประการ เป็นศิลปะคู่บ้านคู่เมืองสืบต่อไป<br />
ในอนาคต<br />
ทั้งนี้สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพ<br />
รัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินมา<br />
ติดตามการดำเนินงานออกแบบเขียนแบบก่อสร้างพระอุโบสถ<br />
วัดโสธรวรารามวรวิหาร พระมหากรุณาธิคุณในครั้งนั้นนำ<br />
ความปลาบปลื้มใจและกำลังใจมาสู่อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
และคณะทำงานทุกๆ ฝ่ายที่ทุ่มเทการทำงานอย่างเต็มกำลัง<br />
ความสามารถ เพื่อสนองงานให้สำเร็จตามพระราชประสงค์<br />
ของพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
มหาราช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า<br />
กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี<br />
องค์ประธานการก่อสร้าง ทั้งยังอุทิศตนด้วยความมุ่งมั่นทุ่มเท<br />
แรงกายแรงใจอย่างจริงจังเพื ่อถวายเป็นพุทธบูชาแก่องค์<br />
หลวงพ่อโสธร<br />
160 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
การทำงานเขียนแบบขยายแบบเท่าจริง ยังถือเป็น<br />
กระบวนการทำงานที่สำคัญต่อการออกแบบองค์ประกอบ<br />
สถาปัตยกรรมซึ่งมีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายศิลปไทย<br />
<strong>โดย</strong>ความสำคัญนี้ยังเกี่ยวข้องกับการพิจารณาเลือกใช้วัสดุ<br />
และประเภทงานช่างที่จะสัมพันธ์กับการออกแบบลวดลาย<br />
ตกแต่งนั้นๆ ด้วย อาทิ งานปูนปั้น งานแกะสลัก หรืองานปั้น<br />
หล่อพิมพ์ซีเมนต์ เป็นต้น ทั้งนี้ขั้นตอนการออกแบบเขียนแบบ<br />
ลวดลายตกแต่งนั้น จะถูกออกแบบตามมาตราส่วนเท่าจริง<br />
เพื่อให้เข้าใจความสัมพันธ์ของลวดลายกับมิติของพื้นที่และ<br />
การนำไปใช้ตกแต่งซึ่งมีคุณลักษณะแตกต่างกันตามประเภท<br />
ของลวดลายและการนำไปใช้ตกแต่งสถาปัตยกรรมไทย ซึ่ง<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ได้กำหนดหลักการออกแบบให้<br />
สอดคล้องกับแนวทางการพิจารณาใช้วัสดุในการก่อสร้าง<br />
พระอุโบสถหลวงพ่อพระพุทธโสธรหลังใหม่ ไว้ดังนี้<br />
“…การออกแบบพระอุโบสถ วัดโสธรวรารามวรวิหาร<br />
เน้นถึงการประหยัดในการออกแบบ การใช้วัสดุประกอบการ<br />
ก่อสร้างพระอุโบสถหลวงพ่อพระพุทธโสธรหลังใหม่ เน้นหนักให้<br />
เป็นวัสดุอันมีคุณภาพเป็นถาวรวัตถุ เพื่อให้มีอายุยืนยาวอย่าง<br />
ประหยัด ซึ่งไม่ต้องท ำการซ่อมกันบ่อยๆ อย่างที่เป็นในปัจจุบัน<br />
วัสดุที่น ำมาประกอบใช้ก่อสร้างคือ จะต้องผลิตขึ้นเกือบทั้งหมด<br />
<strong>โดย</strong>ไม่มีขายในงานอุตสาหกรรมในตลาด<strong>โดย</strong>ทั่วไป ดังนี้<br />
1. กระเบื้องมุงหลังคา เป็นกระเบื้องที่ออกแบบขึ้น<br />
มาใหม่ ตามรูปแบบและขนาดตามมาตราส่วนของแบบตาม<br />
ประสงค์ของงานศิลป ทำเผาเป็นเซรามิค อายุของกระเบื้อง<br />
เมื่อผลิตขึ้นแล้วมีอายุไม่น้อยกว่า 1 พันปี<br />
2. ช่อฟ้าใบระกา หัวนาคปั้นลม และคันทวย ใช้วัสดุ<br />
เป็นเซรามิค ซึ่งสมัยสุโขทัยได้เคยทำมาแล้ว มีอายุไม่น้อย<br />
กว่า 1 พันปี<br />
3. ลายหน้าบัน ลานกระจังฐานพระ และลายตกแต่ง<br />
<strong>โดย</strong>ทั่วไป ทำแบบเผาเคลือบเป็นเซรามิคประกอบตกแต่ง<br />
ซึ่งเป็นวัสดุที่มีอายุยืนยาวไม่น้อยกว่า 1 พันปี ตามอย่างที่<br />
ทำมาแล้วในสมัยสุโขทัย<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
แบบขยายรายละเอียดเท่าจริงของกระจังซึ่งอาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ออกแบบสร้างสรรค์ใหม่ให้มีรูปแบบต่างๆ กัน<br />
ตามขนาดสัดส่วนสัมพันธ์กับคิ้วบัวอย่างฝรั่ง สำหรับตกแต่งภายในพระอุโบสถ<br />
161
4. พื้นอาคารพระอุโบสถ ตลอดบันได ปูหินแกรนิต<br />
5. ซุ้มประตู ภายนอกและภายในทั้งหมดทำด้วย<br />
หินอ่อน หินแกรนิต หรือเป็นเซรามิค อันมีอายุยืนยาวเป็น<br />
พันๆ ปีทั้งสิ้น<br />
6. กรองวงประตู กรอบบานประตูและหน้าต่าง<br />
หล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ กรุแผ่นหินแกรนิต เป็นต้น บานประตู<br />
แบบลูกฟักเซาะบัวคิ้ว ซึ่งมีอายุไม่น้อยกว่าพันๆ ปีทั้งสิ้น<br />
7. ลวดบัว ท้องคาน และกรอบแว่นต่างๆ ที่ใช้ตกแต่ง<br />
ทำชนิดปั้นแบบถอดแบบ ทำแบบตีซีเมนต์ ตามหลักช่างและ<br />
อย่างคุณภาพประกอบตกแต่งตามรูปแบบที่ได้กำหนดให้<br />
8. ลายตกแต่งอื่นๆ ที่จำเป็นต้องใช้ความมั่นคงและ<br />
เป็นงานถาวร ก็ต้องทำหล่อด้วยทองสัมฤทธิ์ เช่น ลายบาน<br />
ประตู ลายช่อระบายอากาศ หัวเสาเม็ด บันไดเวียน กรอบ<br />
ช่องแสงต่างๆ ที่กรุกระจก พระพุทธรูปภายในซุ้มทิศ ประกอบ<br />
เรือนธาตุชั้นยอดหลังคาพระอุโบสถ ฯลฯ<br />
9. ฉัตรยอดมณฑปและฉัตรเครื่องสูงเหนือเสาเม็ด<br />
รอบระเบียงเรือนยอดพระอุโบสถ อันเป็นสถูปเจดีย์ประดิษฐาน<br />
พระบรมสารีริกธาตุ ทำด้วยทองแดงเพื่อความคงทนต่อ<br />
ดินฟ้าอากาศ<br />
ตัวอย่างงานเขียนแบบออกแบบกระเบื้องหลังคา<br />
พระอุโบสถ วัดโสธรวราราม ซึ่งอาจารย์ประเวศ คิดแก้ไข<br />
ปัญหาเรื่องสัดส่วนขององค์ประกอบไปพร้อมๆ กับลวดลาย<br />
ตกแต่ง เป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจกล่าวคือ การก่อสร้าง<br />
พระอุโบสถหลังนี้มีส่วนองค์ประกอบหลักของหลังคามุง<br />
กระเบื้องเคลือบที่ตั้งใจออกแบบทำขึ้นเป็นพิเศษ เนื่องจาก<br />
ปริมาตรพื้นที่หลังคาของอาคารมีขนาดสูงใหญ่ทั้งส่วนที่<br />
เป็นหลังคาจั่วซ้อนชั้นและหลังคายอดมณฑปจึงถือเป็น<br />
ความสำคัญของการออกแบบให้มีศิลปลักษณะอันงดงาม<br />
และมีอายุยาวนาน<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ออกแบบกระเบื้องหลังคา<br />
ที่มีลักษณะปลายโค้งเน้นขอบเส้นทองต่อเนื่องทั้งผืนหลังคา<br />
เพื่อให้เกิดประกายแสงทองเจิดจรัสงดงามของหลังคา<br />
เครื่องยอด ซึ ่งพระอุโบสถวัดโสธรฯ หลังนี ้มีการออกแบบ<br />
เครื ่องยอดหลังคาและมุขทิศลดหลั่นต่อเนื่องกันเป็นลำดับ<br />
ด้วยจังหวะลีลาอันงดงามเฉพาะตัวของผู้ออกแบบอย่างยาก<br />
จะหาใครเปรียบเทียบ<br />
สถาปนิกเล็งเห็นถึงปัญหาของการออกแบบกระเบื้อง<br />
มุงหลังคาซึ่งตกแต่งลวดลายทองในมิติของงานก่อสร้างจริง<br />
ล่วงหน้าเป็นอย่างดียิ่ง ทั้งยังเข้าใจแน่ชัดว่าการผลิตแผ่น<br />
กระเบื้องเพียงขนาดเดียวนำมาใช้มุงหลังคาทั ้งอาคารนั้น<br />
ไม่สามารถตอบสนองวัตถุประสงค์ในการออกแบบและ<br />
ความงามได้อย่างสมบูรณ์ เพราะว่ากระเบื้องมุงหลังคาในที่สูง<br />
เช่น ส่วนยอดมณฑปนั้นมองเห็นได้เพียงระยะไกล จึงมี<br />
ความจำเป็นต้องเขียนแบบขยายแบบเท่าจริงเพื ่อผลิต<br />
กระเบื้องที่มีขนาดใหญ่ขึ้นหลายขนาดตามระยะลวงตาใน<br />
ทัศนมิติที่มองเห็นจากเบื้องล่าง ทั้งนี้เพื่อให้ปรากฏเห็น<br />
ความงามของลายขลิบทองบนกระเบื้องที่มุงเป็นผืนหลังคา<br />
ตั้งแต่ระยะใกล้ต่อเนื่องไปยังผืนหลังคายอดมณฑปทุกๆ ชั้น<br />
อย่างประสานลงตัว<br />
ด้วยความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ผลงานอย่างถึงที่สุด<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี จึงเขียนแบบกระเบื้องมุงหลังคา<br />
พระอุโบสถวัดโสธรฯ ไว้ในขั้นตอนการทำงานขยายแบบเท่า<br />
จริงถึง 5 รูปแบบ ซึ่งมีรายละเอียดรูปแบบ สัดส่วน ลวดลาย<br />
ตกแต่ง วัสดุ และวิธีการก่อสร้างอย่างครบถ้วน เพื่อส่งมอบ<br />
ให้ช่างนำไปผลิตงานต้นแบบจำลองเท่าขนาดจริงให้ได้หุ่น<br />
จำลองรูปแบบที่สวยงาม ตรงตามความประสงค์ของแนวคิด<br />
การออกแบบซึ่งแฝงอยู่ในการตกแต่งด้านสถาปัตย์ศิลป์<br />
และตอบสนองต่อความประสงค์ในการใช้วัสดุเฉพาะที่มี<br />
คุณภาพสูงอายุยืนยาวอย่างประหยัด<br />
162 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
แบบขยายเท่าจริงกระเบื้องหลังคาและ<br />
กระเบื้องเชิงชายซึ่งจะผลิตขึ้นเฉพาะ<br />
สำหรับ มุงหลังคาพระอุโบสถวัดโสธรฯ<br />
<strong>โดย</strong>สถาปนิกเป็นผู้ออกแบบและ<br />
กำหนดสัดส่วน ขึ้นตามหลักวิชา<br />
ปรัชญาการออกแบบในศาสตร์ศิลป<br />
สถาปัตยกรรมไทย<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
163
เครื่องบนและกระเบื้องหลังคาเครื่องยอด<br />
ซึ่งสถาปนิกจะต้องออกแบบ เขียนแบบ<br />
ขยายแบบเท่าจริงทุกๆ ส่วนตามสเกล<br />
และความสูงเพื่อแก้ไขอากาศกิน<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี เล่าถึงการทำงานเขียนแบบ<br />
ขยายแบบพระอุโบสถ วัดโสธรฯ ว่า “...งานนี้ตั้งใจมาก<br />
เขียนแบบถึง 5 ปี ประมาณพันกว่าแผ่น ต้องเขียนทุกจุด<br />
ต้องเขียนเท่าจริงหมด อาจารย์จำลองทุกจุดก่อนที่จะเขียน<br />
รายการ คือเราทำได้จึงจะเขียนรายการ…งานเขียนแบบ<br />
เหลือแต่องค์ใหญ่ เพราะจะต้องดีไซน์ตกแต่งก่อนจึงจะเขียน<br />
ต้องรอโครงสร้างก่อน…การคิดลายก็ยาก เพราะจะต้องคิด<br />
ว่าลายตรงนั ้นจะเป็นอย่างไร ตรงนี้จะเป็นยังไง เราจะไป<br />
เขียนให้เสร็จทั้งหมดเลยไม่ได้ คือต้องลองเอาไปใส่ใน<br />
สถาปัตยกรรม…คือวิธีการทำงานศิลปะ เราจะไปเขียนให้<br />
เสร็จเลยไม่ได้ เพราะต้องเขียนออกแบบลายที่จะไปใส่ดูว่า<br />
เป็นลายแบบไหนจึงจะขึ้น 1 : 1 แล้วขยายลงไป มิอย่างนั้น<br />
เรายังไม่มีอุปกรณ์ในความคิด แล้วจะไปขยายกับอะไรถ้า<br />
ความคิดยังไม่จบ…<br />
…อย่างการสร้างกระเบื้องมุงหลังคา แต่ละชั้นต้อง<br />
สร้างไม่เท่ากันอีก กระเบื้องต้องออกแบบตามสเกลและ<br />
ความสูง มองดูแล้วกลมกลืนกัน ถ้าไปใช้เท่ากันหมดแล้ว<br />
ข้างบนมองแล้วไม่เห็นอะไร ดูเป็นพืดไปหมด ตกลงกระเบื้อง<br />
เห็นแต่ข้างล่างเชิงชายเท่านั้น นี่คือการออกแบบที่ไม่ถูกสเกล<br />
คือต้องสเกลทั้งอากาศด้วยไม่ใช่สเกลเลขในแบบ สูงเท่านี้<br />
ลายต้องโตเท่าไหร่ เมื่อมองดูใกล้แล้วหยาบ แต่ไปติดแล้ว<br />
ดูละเอียด…”<br />
164 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ทัศนียภาพพระอุโบสถ วัดโสธรวราราม<br />
วรวิหารเมื่อสร้างแล้วเสร็จ สถาปัตยกรรม<br />
แนวใหม่ยุครัชกาลที่ 9 มีคุณลักษณะ<br />
ตามพระราชดำริ คือ เป็นอาคาร<br />
สมเกียรติกับ องค์หลวงพ่อพุทธโสธร<br />
มีความสง่างาม มีคุณค่าทางศิลป<br />
สถาปัตยกรรมเหมาะสมที ่จะเป็นพุทธ<br />
ศิลปสถาปัตยกรรม เป็นถาวรวัตถุ<br />
คู่บ้านคู่เมืองและเป็นสมบัติของชาติ<br />
ในอนาคตสืบไป<br />
นอกจากอาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี สถาปนิกออกแบบ<br />
พระอุโบสถแล้ว ยังมีคณะทำงานฝ่ายออกแบบเขียนแบบฯ<br />
ส่วนหนึ่งซึ่งเคยเป็นผู้ร่วมงานเมื่อครั้งรับราชการอยู่ในกอง<br />
หัตถศิลป์และกองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ครั้นเมื่อ<br />
เกษียณอายุราชการแล้ว จึงได้มาทำงานเป็นลูกมือช่วยแบ่ง<br />
เบาหน้าที่ในงานเขียนแบบและคัดลอกลงเส้นจากแบบร่างที่<br />
สถาปนิกเป็นผู้ออกแบบไว้เสร็จแล้ว ซึ่งเป็นวิธีการบริหาร<br />
จัดการหน้าที่ตามความรับผิดชอบแต่ละบุคคลในคณะ<br />
ทำงานอย่างชัดเจน ทั้งยังเป็นผลดีของการเรียนรู้จากการ<br />
ถ่ายทอดประสบการณ์ทำงานในสำนักระหว่างครูและศิษย์<br />
ซึ่งทำงานร่วมกัน การปฏิบัติงานเขียนแบบขยายแบบเท่าจริง<br />
จึงสำเร็จลงได้ก็ด้วยการทำงานเป็นหมู่คณะอย่างสำนักฯ<br />
นั่นเอง<br />
เรื่องศิลปะการขยายแบบเท่าขนาดจริง<br />
165
ลายหน้าบันมุขทิศ พระอุโบสถวัดโสธร<br />
ผูกลายหน้าบัน<strong>โดย</strong>ใช้ตราสัญลักษณ์<br />
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ 9<br />
ภายในกรอบซุ้มวิมาน ประกอบลายไทย<br />
ที่เป็นการผูก ลายในศิลปะชั้นสูง เพื่อ<br />
เทิดพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรม<br />
ชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
มหาราช บรมนาถบพิตร<br />
166 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี สรุปใจความสำคัญของ “งานขยายแบบ” และ “งานจำลองแบบเท่าของจริง”<br />
จากประสบการณ์ทำงานด้านสถาปัตยกรรมไทยตลอดช่วงชีวิตไว้อย่างชัดเจน ดังนี้<br />
“ งานขยายแบบ<br />
งานขยายแบบก่อสร้างเท่าของจริง ถือเป็นความสำคัญสูงสุดในการก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมศิลป<br />
การเขียนแบบเท่าของจริงเป็นการเขียนแบบครั้งสุดท้ายของงานศิลปประเภทคลาสสิก เขียนเพื่อให้ได้มาซึ่ง<br />
ความงามบริสุทธิ์ของแบบให้สิ้นสุดในรูปทรงของสัดส่วนที่สวยงามในองค์ประกอบที่กลมกลืนกัน ประสาน<br />
กันในทุกๆ ส่วนอย่างมีสเกลเป็นข้อยุติแห่งความงาม อันได้กลั่นกรองเป็นที่เรียบร้อยแล้วอย่างไม่ผิดพลาด<br />
ที่จะเกิดขึ้นได้ เป็นข้อมูลสำคัญในการตรวจงานก่อสร้างประเภทงานสถาปัตยกรรมศิลป<br />
ซึ่งขาดงานขั้นตอนนี้เสียมิได้เป็นอันขาด<br />
งานจำลองแบบเท่าของจริง<br />
งานทำหุ่นจำลองแบบเท่าของจริง ถือเป็นความสำคัญสูงสุดทัดเทียมกับการขยายแบบเท่าของจริงอีก<br />
ประการหนึ่งในการก่อสร้างงานศิลปประเภทงานสถาปัตยกรรมศิลป การขยายแบบเท่าของจริงเป็นแต่เพียง<br />
กำหนดเส้นให้ได้รูปทรง ลักษณะ รูปแบบและสัดส่วนที่ต้องการอย่างแม่นยำตามที่ต้องการแล้ว<br />
แต่ไม่สามารถมองเห็นความบริสุทธิ์ของความที่เป็นจริง<strong>โดย</strong>รวมได้ จึงจำเป็นต้องทำหุ่นจำลองแบบขึ้นเป็น<br />
รูป 3 มิติ ด้วยความเป็นจริงอีกขั้นตอนหนึ่ง ด้วยการกลึงแบบ, ปั้นแบบ, ถอดแบบ, ทำพิมพ์<br />
ตลอดการหล่อแบบประกอบแบบขึ้นเป็นหุ่นจำลองเท่าของจริง<br />
การจะได้มาซึ่งแบบหุ่นจำลองเท่าของจริงที่สวยงามอย่างที่ประสงค์นั้น จำเป็นต้องใช้บุคคลากรที่เป็น<br />
ช่างด้านศิลป มีความชำนาญงานมาดำเนินการทำและผลิตขึ้นให้ได้ตรงกับหน้าที่ของงานประเภทนั้นๆ<br />
ที่จำเป็นต้องใช้วิชาและเทคนิคในงานส่วนนั้นๆ ให้ถูกต้องตามแบบ ดังที่สถาปนิกก ำหนดให้เป็นประการสำคัญ<br />
ซึ่งจะขาดขั้นตอนนี้เสียมิได้เป็นอันขาดอีกขั้นตอนหนึ่ง<br />
เมื่อได้งานของหุ่นจำลองเท่าของจริงแต่ละอย่างของแต่ละแบบเป็นตัวอย่างแล้ว จึงจะดำเนินการ<br />
ว่าจ้างหรือประมูลหาผู้รับจ้างทำการผลิตชิ้นส่วนต่างๆ <strong>โดย</strong>ยึดหุ่นแบบตัวอย่างเป็นคู่สัญญา และใช้เป็น<br />
ข้อมูลมาตรฐานในการตรวจการจ้างรับงานก่อสร้างได้อย่างถูกต้องตรงตามความประสงค์ และเป็น<br />
การยุติธรรมต่อการสร้างงานศิลป”<br />
167
168 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชื่อบท<br />
169
170 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน<br />
ประเวศ ลิมปรังษี <strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong><br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี เกิดเมื่อวันที่ 17 กันยายน<br />
พุทธศักราช 2473 ที่ตำบลท่าพยา อำเภอปากพนัง จังหวัด<br />
นครศรีธรรมราช เป็นบุตรของนายเชื่อง ลิมปรังษี และ<br />
นางสีลิ่ม ลิมปรังษี ซึ่งประกอบอาชีพค้าขาย เมื่อวัยเยาว์ได้<br />
เริ่มเข้าศึกษาชั้นประถมศึกษาที่โรงเรียนเทศบาล 7 วัดท่าโพธิ์<br />
จังหวัดนครศรีธรรมราช ต่อมาถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาได้<br />
เข้าเรียนที่วัดจันทร์หรือโรงเรียนวัดจันทาราม ในจังหวัด<br />
นครศรีธรรมราช ณ สถานศึกษาแห่งนี้เองเป็นสถานที่แรก<br />
ที่ท่านได้ซึมซับวิชาศิลปะจากศิลปกรรมอันงดงามของ<br />
วัดจันทาราม <strong>โดย</strong>พบเห็นการทำงานของช่างพื้นบ้าน<br />
ที่ทำการก่อสร้างและบูรณะซ่อมแซมอาคารภายในวัด เมื่อมี<br />
เวลาว่างก็จะอาสาเป็นลูกมือช่างซึ่งเป็นพระในวัดนั่นเอง<br />
ทำให้ได้คลุกคลีอยู่กับงานช่างเป็นประจำ<br />
ตอนเช้าก่อนเข้าเรียนซึ่งเป็นช่วงเวลาว่างจึงได้ฝึก<br />
เขียนทรายที่สนามเป็นรูปร่างพระอุโบสถ หน้าบันและ<br />
ลวดลายไทยต่างๆ ทำเช่นนี้อยู่สม่ำเสมอจนเป็นอุปนิสัย<br />
เมื่อเรียนจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 แล้วจึงเดินทางเข้ามา<br />
กรุงเทพฯ เพื่อจะสอบเข้าศึกษาต่อที่โรงเรียนอำนวยศิลป์<br />
ธนบุรี ในระดับมัธยมศึกษาปีที่ 5 และปีที่ 6<br />
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
171
เตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
แม้ว่าอาจารย์ประเวศจะมีโอกาสสัมผัสและฝึกฝน<br />
การวาดภาพตั้งแต่เมื่อครั้งยังศึกษาชั้นมัธยมแต่ความตั้งใจ<br />
แรกเริ่มที่มุ่งจะศึกษาวิชาช่างเครื่องยนต์ยังคงอยู่ ด้วยเห็นว่า<br />
ในเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 2 เครื่องยนต์ เครื่องบิน อาวุธ<br />
ยุทโธปกรณ์ต่างๆ มีอำนาจมาก สามารถใช้ป้องกันชาติได้<br />
จากเหตุนี ้เองเมื่อจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 ท่านจึงทำตาม<br />
ความฝันด้วยการสอบเข้าโรงเรียนช่างกลปทุมวัน ในการสอบ<br />
ท่านเลือกทำข้อสอบวิชาคำนวณข้อที่พิจารณาแล้วว่ายาก<br />
ที่สุดและไม่คุ้นเคยเป็นอันดับแรก จึงใช้เวลาที่มีทั้งหมดไปกับ<br />
ข้อสอบข้อนั้นจนทำข้ออื่นไม่ทันทำให้ท่านไม่สามารถสอบ<br />
เข้าเรียนที่โรงเรียนช่างกลปทุมวันได้ที่ตั้งใจไว้ได้<br />
อาจารย์ประเวศเล่าถึงเหตุการณ์เมื่อพลาดหวังจาก<br />
โรงเรียนช่างกลว่า ท่านได้เดินเท้าจากย่านปทุมวันบริเวณ<br />
สนามกีฬาแห่งชาติเรื่อยไปจนมาถึงท้องสนามหลวง ขณะ<br />
เดินอยู่นั้นก็มองเห็นพระที่นั่งจักรีมหาปราสาทในพระบรม<br />
มหาราชวัง รู้สึกประทับใจในความงดงามของพระที่นั่งแห่งนี้<br />
จึงเข้าไปดูให้ใกล้ขึ้นเพื่อให้เห็นรายละเอียดของอาคาร และ<br />
ขึ้นไปถึงหน้ามุข<strong>โดย</strong>ไม่รู้ว่าเป็นเขตหวงห้าม ทหารยามที่<br />
เฝ้ารักษาการณ์อยู่ในบริเวณใกล้กันเพิ่งสังเกตเห็นจึงวิ่งมา<br />
ไล่และเอ็ดว่าผ่านเข้ามาได้อย่างไร ท่านคิดว่าคงเป็นเพราะ<br />
ดวงวิญญาณของบรรดาครูอาจารย์ต้องการประสิทธิประสาท<br />
วิชาให้ จึงกำบังตาทหารยาม และทำให้ท่านมีโอกาสชื่นชม<br />
ความงดงามของงานสถาปัตยกรรมช่างหลวงอย่างใกล้ชิด<br />
ช่วงเวลาเดียวกันนั้นมีการประกาศรับสมัครนักเรียน<br />
เข้าศึกษาหลักสูตรวิชาช่างไทยที่โรงเรียนศิลปศึกษา (โรงเรียน<br />
เตรียมมหาวิทยาลัยศิลปากร) แผนกช่างสิบหมู่เป็นรุ่นแรก<br />
ตามนโยบายของจอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี<br />
ในขณะนั้น ที่ต้องการผลิตช่างฝีมือของแผ่นดินเพื่อรักษา<br />
สืบทอดงานศิลปกรรมและโบราณสถานที่กำลังชำรุดทรุด<br />
โทรมอยู่ทั่วประเทศ อาจารย์ประเวศได้เห็นใบประกาศรับ<br />
สมัครดังกล่าวติดอยู่ด้านหน้ากรมศิลปากรจึงสมัครเรียน<br />
ทั้งที่ยังผิดหวังอยู่ แต่กลับปรากฏว่าสามารถทำข้อสอบเข้า<br />
ได้เป็นอย่างดีเพราะผ่านประสบการณ์งานด้านศิลปะเมื่อ<br />
ครั้งเรียนอยู่ที่โรงเรียนวัดจันทราราม<br />
เข้าศึกษาที ่มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
อาจารย์ประเวศศึกษาอยู่ที่โรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร เป็นเวลา 2 ปี จึงจบหลักสูตรวิชาช่างไทย ขณะนั้น<br />
เองได้ก่อตั้งคณะสถาปัตยกรรมไทยขึ้นที่มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากรในพุทธศักราช 2498 เพื่อรองรับนักเรียนช่างหลวง<br />
ให้มีโอกาสศึกษาต่อในระดับมหาวิทยาลัยและมีคุณวุฒิ<br />
ทางการศึกษา สามารถนำไปใช้รับรองเข้ารับราชการได้<br />
อาจารย์ประเวศจึงได้เข้าศึกษาต่อเป็นนักศึกษารุ่นแรกของ<br />
172 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
คณะสถาปัตยกรรมไทย และเป็นศิษย์ของศาสตราจารย์<br />
พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) ผู้สืบทอดความรู้ทาง<br />
สถาปัตยกรรมไทยต่อจากสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้า<br />
กรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ ผู้ทรงสร้างสรรค์แนวทางใหม่<br />
ให้กับงานสถาปัตยกรรมไทยของพระองค์เอง จึงนับได้ว่า<br />
อาจารย์ประเวศศึกษามาทางสายปรัชญาของสมเด็จครูฯ<br />
<strong>โดย</strong>ตรงและเป็นการนำสถาปัตยกรรมไทยเข้าสู่ยุคสมัยใหม่<br />
ผ่านสำนักของศาสตราจารย์พระพรหมพิจิตร วิชา<br />
สถาปัตยกรรมไทยในสำนักนี้มีคำศัพท์เฉพาะของสำนัก<br />
เรียกว่า “พุทธศิลปสถาปัตย์” ซึ่งมีความหมายในเบื้องต้นว่า<br />
ทางปัญญาความรู้ในทางศิลปสถาปัตยกรรม และมีความ<br />
หมายเบื้องปลายว่า ความรู้แจ้งในศาสตร์ศิลปสถาปัตยกรรม<br />
ขณะศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากร อาจารย์ประเวศ<br />
มีโอกาสเล่าเรียนวิชาสถาปัตยกรรมไทยจากบรมครูหลาย<br />
ท่านด้วยกัน <strong>โดย</strong>เฉพาะอย่างยิ่งการเรียนจากศาสตราจารย์<br />
พระพรหมพิจิตร ทั้งด้านการออกแบบไทย ปรัชญาไทย<br />
องค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม ซึ่งสอนตั้งแต่กำเนิดของ<br />
สถาปัตยกรรมไทยเพื่อให้เข้าใจพื้นฐานของการสร้างสรรค์<br />
งานศิลปกรรม และนำความรู้เหล่านี้มาประกอบกันแล้ว<br />
ผลิตผลงานให้ออกมาได้งดงามและเหมาะสม นอกจากนี้แล้ว<br />
ศาสตราจารย์พระพรหมพิจิตรยังสอนให้ฝึกการออกแบบ<br />
อาคารทางสถาปัตยกรรมไทยทุกชนิด อาทิ เครื่องยอด<br />
หอระฆัง หอกลอง พระอุโบสถ และกุฏิ มีหลักการในการ<br />
ออกแบบคือความเข้าใจในประวัติอาคาร หน้าที่ใช้สอยด้าน<br />
พื้นที่และการตกแต่งซึ่งเป็นหน้าที่ใช้สอยทางจิตวิญญาณ<br />
สิ่งสำคัญที่อาจารย์ประเวศเน้นย้ำในการเรียน<br />
สถาปัตยกรรมคือการฝึกฝนหลังจากที่ร่ำเรียนไปแล้วใน<br />
แต่ละวัน สิ่งที่เรียนผ่านกระดานดำในวันหนึ่งๆ เมื่อจบวัน<br />
แล้วเหล่านั้นคือ การบ้านที่ต้องนำกลับมาทำซ้ำๆ ทั้งหมด<br />
เป็นประจำจนเกิดความเข้าใจและความชำนาญ<br />
อาจารย์ประเวศนับได้ว่าเป็นลูกศิษย์ด้านงานช่าง<br />
สถาปัตยกรรมไทยของศาสตราจารย์พระพรหมพิจิตรรุ่น<br />
แรกๆ นับตั้งแต่มีการตั้งโรงเรียนเตรียมมหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากรและคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ไทย มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร ทั้งยังเป็นลูกศิษย์รุ่นสุดท้ายไปในคราวเดียวกันด้วย<br />
เป็นนักเรียนคนสุดท้ายที่ได้มีโอกาสครอบครูจากศาสตราจารย์<br />
พระพรหมพิจิตร เพราะเห็นถึงความตั้งใจและความพากเพียร<br />
พยายามในการเล่าเรียนของท่าน ซึ่งยังคงปรากฏให้เห็น<br />
หลังจากสำเร็จการศึกษาและตลอดช่วงชีวิตการทำงาน<br />
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
173
ชีวิตการทำงาน<br />
เมื่ออาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี สำเร็จการศึกษาระดับ<br />
อนุปริญญาด้านสถาปัตยกรรมไทยจากมหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร ในปีพุทธศักราช 2501 ได้เข้ารับราชการตำแหน่ง<br />
ครูตรีที่คณะสถาปัตยกรรมไทย มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
ระหว่างนี้ได้สอนวิชาสถาปัตยกรรมไทยให้แก่นักศึกษาทั้งใน<br />
คณะที่ตนสังกัดและคณะอื่นๆ เช่น คณะโบราณคดี ท่าน<br />
เป็นที่เคารพนับถือของนักศึกษา ตลอดจนผู้ที่ได้มีโอกาส<br />
ใกล้ชิด เนื่องด้วยมีบุคลิกอันเป็นเอกลักษณ์ที่ลูกศิษย์ต่าง<br />
กล่าวถึงเหมือนกันคือ เสียงดัง ใจดี มีหลักการ อีกทั้งยัง<br />
เป็นผู้ที่มีเมตตา ไม่ถือตัว และตั้งใจอย่างเต็มที่ที่จะถ่ายทอด<br />
วิชาความรู้ที่ตนได้ศึกษามา<br />
ปีพุทธศักราช 2508 อาจารย์ประเวศได้โอนย้ายมา<br />
สังกัดกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร ตำแหน่งช่างศิลป์ตรี และ<br />
ดำรงตำแหน่งหัวหน้าแผนกช่างสิบหมู่ในเวลาต่อมา ผลงาน<br />
สำคัญชิ้นแรกๆ ที่สร้างสรรค์เมื่อเข้ารับราชการอยู่ในกรม<br />
ศิลปากร<strong>โดย</strong>มากเป็นการออกแบบสถาปัตยกรรมเพื่อ<br />
ประกอบพระราชพิธีและพิธีซึ่งจัดทั้งในกรุงเทพมหานคร<br />
และต่างจังหวัด การออกแบบพุทธสถาน อาทิ พระอุโบสถ<br />
พระวิหาร และศาลาการเปรียญ ที่สำคัญเช่นงานออกแบบ<br />
พระอุโบสถ วัดพุทธประทีป ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ<br />
งานออกแบบแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์และอนุสาวรีย์<br />
ต่อมาได้เป็นสถาปนิกเอกในปีพุทธศักราช 2518 และเลื่อน<br />
ตำแหน่งนายช่างศิลปกรรมในปีพุทธศักราช 2520<br />
อาจารย์ประเวศได้ดำรงตำแหน่งผู้อำนวยกอง<br />
หัตถศิลป์ กรมศิลปากร ตั้งแต่ปีพุทธศักราช 2521 เป็นต้นมา<br />
จนถึงปีพุทธศักราช 2530 ก็ได้รับตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการ<br />
กองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร ในระหว่างนี้เองเป็นช่วงเวลา<br />
ที่อาจารย์ได้มีโอกาสออกแบบและควบคุมงานก่อสร้างชิ้น<br />
สำคัญของประเทศจำนวนมาก เป็นต้นว่าสถาปัตยกรรมที่ใช้<br />
เพื่อประกอบพระราชพิธีและพิธีสำคัญ ได้แก่ ออกแบบและ<br />
ก่อสร้างพระเบญจาบวงสรวงสมเด็จพระบูรพมหากษัตริยา<br />
ธิราชเจ้า ณ ท้องสนามหลวง, งานออกแบบพลับพลา<br />
พระราชพิธีจรดพระนังคัลแรกนาขวัญ, งานออกแบบและ<br />
ก่อสร้างพระที่นั่งชัยมังคลาภิเษก ในพระราชพิธีมหามงคล<br />
เฉลิมพระชนมพรรษา 5 รอบ พระบาทสมเด็จพระปรมินทร<br />
มหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร, งานออกแบบพลับพลา<br />
รับเสด็จถาวรที่จังหวัดต่างๆ และผลงานชิ้นสำคัญคือการ<br />
ออกแบบและควบคุมการก่อสร้างพระเมรุมาศและสิ่งก่อสร้าง<br />
ประกอบพระเมรุมาศในพระราชพิธีถวายพระเพลิงพระบรมศพ<br />
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7,<br />
งานออกแบบประเภทพุทธสถาน,อาคารหลักเมือง, ศาลาไทย,<br />
ออกแบบแท่นฐานพระบรมราชานุสาวรีย์และอนุสาวรีย์<br />
หลายแห่งรวมไปถึงงานออกแบบอาคารปฏิบัติงานราชการ<br />
เช่น หอวชิราวุธานุสรณ์ กรุงเทพมหานคร เป็นต้น<br />
นอกเหนือไปจากงานออกแบบและควบคุมการ<br />
ก่อสร้างอาคารสถาปัตยกรรมไทยประเภทต่างๆ แล้ว<br />
อาจารย์ประเวศยังมีโอกาสได้ดำเนินงานด้านการอนุรักษ์<br />
โบราณสถานหลายแห่งในประเทศไทย เป็นต้นว่า การบูรณ<br />
ปฏิสังขรณ์พระธาตุพนม จังหวัดนครพนม, การบูรณ<br />
ปฏิสังขรณ์พระปรางวัดอรุณราชวราราม กรุงเทพมหานคร,<br />
การบูรณปฏิสังขรณ์วัดพระศรีรัตนศาสดารามและพระบรม<br />
มหาราชวัง ทำให้ท่านมีประสบการณ์ในงานอนุรักษ์โบราณ<br />
สถานเป็นอย่างมาก ส่งเสริมให้ท่านมีความสามารถในทาง<br />
ศิลปสถาปัตยกรรมตลอดจนงานประณีตศิลป์ที่ใช้ประดับ<br />
ตกแต่งยิ่งขึ้นและนำไปปรับใช้ในการสร้างสรรค์งาน<br />
ออกแบบของตนเองได้ จนในพุทธศักราช 2531 จึงได้ดำรง<br />
ตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญพิเศษ (สถาปนิก 9) ด้านการบูรณ<br />
ปฏิสังขรณ์ของกองสถาปัตยกรรม กรมศิลปากร อันเป็น<br />
ตำแหน่งสูงสุดในชีวิตราชการ<br />
174 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
175
176 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ตลอดช่วงชีวิตที่อาจารย์ประเวศได้ปฏิบัติงานราชการ<br />
ที่กองหัตถศิลปและกองสถาปัตยกรรมด้วยความรักใน<br />
วิชาชีพและความรับผิดชอบต่อหน้าที่อยู่เสมอ ท่านได้สัมผัส<br />
กับงานช่างศิลป์ไทยทุกแขนง ปฏิบัติงานในด้านออกแบบ<br />
สร้างสรรค์ผลงานด้วยตนเอง และด้านการบริหารงานราชการ<br />
ทั้งควบคุม สั่งการ ตรวจสอบ และติดตามงาน ผนวกกับ<br />
ความตั้งใจที่จะรักษาสมบัติวัฒนธรรมของชาติ ดังนั้น ท่าน<br />
จึงมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการทำงานสถาปัตยกรรมไทย<br />
ทั้งหลักการรูปแบบ และปรัชญาที่ใช้การออกแบบก่อสร้าง<br />
ขณะเดียวกันก็สามารถบริหารและดำเนินงานที่ได้รับ<br />
มอบหมายให้สำเร็จลุล่วงได้เป็นอย่างดีทุกครั้ง<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี เกษียณอายุราชการจาก<br />
กรมศิลปากรในปีพุทธศักราช 2533 แต่ท่านยังคงอุทิศตนให้<br />
กับการสร้างสรรค์งานสถาปัตยกรรมไทยอย่างต่อเนื่อง อาทิ<br />
งานออกแบบพระอุโบสถวัดโสธรวราราม จังหวัดฉะเชิงเทรา<br />
ซึ่งท่านได้ออกแบบ เขียนแบบ และวางแนวทางในการ<br />
ออกแบบก่อสร้าง จนถึงรายละเอียดงานประดับตกแต่งเพื่อให้<br />
มีคุณค่าทางศิลปกรรมเหมาะสมที่จะเป็นพุทธสถานคู่บ้าน<br />
คู่เมืองสืบต่อไป นอกจากนี้ ท่านยังเป็นที่ปรึกษาให้แก่<br />
กรมศิลปากรและหน่วยงานราชการต่างๆ สม่ำเสมอ และได้<br />
รับเชิญให้เป็นอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิถ่ายทอดความรู้ทางด้าน<br />
สถาปัตยกรรมไทย ณ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร และสถาบันการศึกษาอื่นๆ เรื่อยมาจนบั้นปลาย<br />
แห่งชีวิต<br />
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
177
สืบสานงานสถาปัตยกรรมไทย<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี มีหลักปรัชญาในการ<br />
ออกแบบงานสถาปัตยกรรมไทยที่ได้เรียนรู้จากครูเมื่อครั้ง<br />
ยังศึกษาอยู่ที่มหาวิทยาลัยศิลปากรคือการเรียนการออกแบบ<br />
งานศิลปะเปรียบเหมือนกับ “คนกินอาหารเข้าไปแล้วตก<br />
เป็นเหงื่อ ให้มีประโยชน์ ไม่ใช่การกินแล้วคายหรืออาเจียน<br />
คนก็จะเห็นว่าแบบเดิมเป็นอะไร เหมือนกับการลอกแบบ<br />
แต่ถ้ากลืนแล้วย่อยออกเป็นเหงื่อ เหมือนกับว่าเรากินเข้าไป<br />
ในปัญญา เราสามารถขัดเกลาแก้ไขพลิกแพลงไม่ให้ของเก่า<br />
เหลืออยู่ และเกิดเป็นสิ่งใหม่ขึ้น เท่ากับการสร้างสรรค์งาน<br />
แบบใหม่ ชาติก็ได้รับสิ่งใหม่” ฉะนั้นผลงานออกแบบของ<br />
ท่านที่ได้สืบทอดปรัชญามาจากครูจึงเป็นการออกแบบ<br />
สถาปัตยกรรมไทยที่มีความสวยงามถูกต้องตามหลักการ<br />
และมีการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ผ่านการคิดวิเคราะห์มาอย่าง<br />
ละเอียดถี่ถ้วน<br />
ในการออกแบบก่อสร้างงานสถาปัตยกรรม อาจารย์<br />
ประเวศได้ถ่ายทอดแนวคิดและอธิบายถึงที่มาหรือความ<br />
หมายของรูปแบบที่ใช้ในการออกแบบได้อย่างชัดเจน<br />
นอกจากนี้ยังคำนึงถึงส่วนประกอบอื่นสัมพันธ์กับงาน<br />
ออกแบบนั้นๆ ได้แก่ บุคคลที่เกี่ยวข้อง ภูมิทัศน์ สภาพ<br />
แวดล้อม ประวัติของสถานที่ตั้งอาคารที่จะทำการออกแบบ<br />
ก่อสร้าง ยกตัวอย่างเช่น การออกแบบศาลประดิษฐาน<br />
พระบรมราชานุสาวรีย์ ต้องให้มีรูปแบบที่สมพระราชอิสริยยศ<br />
และสอดคล้องกับลักษณะศิลปกรรมของท้องถิ่นนั้นๆ<br />
เช่น งานออกแบบก่อสร้างศาลพระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จ<br />
พระนเรศวรมหาราช จังหวัดอุดรธานี<br />
การออกแบบงานสถาปัตยกรรมเพื่อประกอบพระ<br />
ราชพิธีและพิธีก็ใช้แนวทางในการออกแบบเดียวกัน เช่น<br />
งานออกแบบพระที่นั่งชัยมังคลาภิเษก ที่มีการจัดสร้างขึ้น<br />
เพื่อใช้ในพระราชพิธีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษาครบ<br />
5 รอบ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช<br />
บรมนาถบพิตร ซึ่งไม่เคยปรากฏสถาปัตยกรรมในพระราชพิธี<br />
นี้มาก่อน และเป็นอาคารที่ใช้ประกอบพระราชพิธีนอก<br />
พระบรมมหาราชวังเพื่อให้ประชาชนมาเฝ้าถวายความจงรัก<br />
ภักดีได้ การออกแบบจึงต้องคำนึงถึงพระเกียรติยศของ<br />
พระมหากษัตริย์ แต่ในขณะเดียวกันก็ต้องเป็นอาคารที่เหมาะ<br />
สมกลมกลืนไปกับพื้นที่ตั้ง ณ ท้องสนามหลวง<strong>โดย</strong>มีฉากหลัง<br />
คือพระบรมมหาราชวัง นอกจากนี้แล้ว อาจารย์ประเวศยัง<br />
เล่าว่า ท่านได้เลือกใช้รูปปั้นกระต่ายสีขาวซึ่งเป็นสัตว์ประจำ<br />
ปีพระราชสมภพของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาเป็น<br />
สัตว์เฝ้าบันไดทางขึ้นสู่พระที่นั่งแทนการใช้สัตว์ตามประเพณี<br />
ดังเช่นสิงห์<br />
178 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
179
180 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
181
ผลงานชิ้นสำคัญที่ต้องใช้องค์ความรู้ทุกแขนงของ<br />
งานศิลปกรรมไทยในการสร้างสรรค์อีกชิ้นหนึ่งของอาจารย์<br />
ประเวศ ลิมปรังษี คือ งานออกแบบและควบคุมการก่อสร้าง<br />
พระเมรุมาศสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีใน<br />
รัชกาลที่ 7 พระเมรุมาศและสิ่งก่อสร้างประกอบพระเมรุมาศ<br />
จะต้องสมกับพระอิสริยยศ ถ่ายทอดพระบุคลิกภาพและ<br />
ลักษณะของเจ้านายแต่ละพระองค์ผู้เสด็จสู่สวรรคาลัย อีกทั้ง<br />
ต้องคำนึงประโยชน์ใช้สอยของอาคารด้วย จึงได้กำหนดให้<br />
พระเมรุมาศเป็นพระเมรุบุษบกบัลลังก์ที่มีความประณีตและ<br />
สง่างามตามลักษณะของกษัตรีย์ เลือกใช้สีชมพูอันเป็นสีวัน<br />
พระราชสมภพและดูมีความอ่อนหวาน มีการประดับประดา<br />
ด้วยรายละเอียดที่เหมือนเครื่องประดับของสตรี<br />
182 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
183
184 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
185
นอกจากนี้ อาจารย์ประเวศยังมีศรัทธายึดมั่นใน<br />
พระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง เมื่อคราวที่ได้รับมอบหมายให้<br />
เป็นสถาปนิกในโครงการบูรณปฏิสังขรณ์องค์พระธาตุพนม<br />
ที่พังทลายและออกแบบก่อสร้างเบญจาสมโภชพระบรม<br />
สารีริกธาตุ ท่านเล่าว่าเป็นงานที่เร่งด่วนมาก มีความเป็นไป<br />
ได้ที่งานจะเสร็จไม่ทันตามกำหนดเวลา ทำให้ท่านรู้สึก<br />
ท้อแท้ใจ แต่มารดาของท่านได้ให้กำลังใจและกล่าวว่าเป็น<br />
บุญอย่างยิ่งที่ได้รับหน้าที่สร้างอาคารฉลองพระธาตุของ<br />
พระพุทธเจ้า ซึ่งมีไม่กี่คนเท่านั้นที่จะได้ท ำ เป็นการทำนุบำรุง<br />
พระศาสนาให้ยืนยาวต่อไปอีกด้วย ขอให้ตั้งใจทำงานอย่าง<br />
เต็มที่อย่าท้อถอย ท่านจึงกลับมาทำงานครั้งนั้นจนสำเร็จไป<br />
ด้วยดี ด้วยเหตุนี้เอง เมื่อท่านได้ทำงานออกแบบพุทธสถาน<br />
ก็จะกระทำด้วยความศรัทธาในพระพุทธศาสนา อย่างมีความ<br />
ตั้งใจ วิริยะอุตสาหะ และใส่ใจในรายละเอียดทุกขั้นตอน<br />
นอกเหนือไปจากสถาปัตยกรรมเพื่อใช้ประกอบ<br />
พระราชพิธีและรัฐพิธี รวมถึงอาคารในพุทธสถานแล้ว อาจารย์<br />
ประเวศยังได้ใช้ความรู้ความสามารถทางสถาปัตยกรรมไทย<br />
ในงานออกแบบอาคารและงานสถาปัตยกรรมประเภทอื่นๆ<br />
อีกจำนวนมากในระหว่างที่รับราชการในกรมศิลปากร ได้แก่<br />
แท่นฐานประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์พระมหากษัตริย์<br />
อาคารศาลหลักเมือง และศาลาไทยทั้งในและต่างประเทศ เช่น<br />
ศาลาไทยเครื่องยอดกลางสระน้ำ มหาวิทยาลัยรามคำแหง<br />
ศาลาไทยศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร<br />
และศาลาไทยในสวนสาธารณะซุรุมิ เรียวคุชิ ณ นครโอซากา<br />
ประเทศญี่ปุ่น<br />
186 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
187
188 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
189
แนวทางการทำงานของอาจารย์ประเวศ เริ่มจากการ<br />
เขียนแบบตั้งแต่มาตราส่วน 1 : 200 เพื่อให้เห็นภาพรวม<br />
ทั้งหมดของงานออกแบบ จากนั้นจึงเขียนขยายในมาตราส่วน<br />
ใหญ่ขึ้น ในขั้นสุดท้ายทุกครั้งก่อนสร้างจริงคือการเขียนแบบ<br />
ขนาดมาตรา 1 : 1 ที่จะแสดงทุกรายละเอียดของงานทั้ง<br />
องค์ประกอบและสัดส่วนทางสถาปัตยกรรมที่ตรงตามความ<br />
ต้องการ ส่งผลให้งานที่สร้างสรรค์ออกมามีความประณีต<br />
งดงาม และมีความแม่นยำในการก่อสร้าง ท่านยังกล่าวอีกว่า<br />
หากไม่เขียนแบบ 1 : 1 จะทำให้งานที่ออกมาไม่สมบูรณ์<br />
ไม่เห็นความจริงที่ปรากฏในงานออกแบบชิ้นนั้นๆ ซึ่งอาจ<br />
จะนำไปสู่ความผิดพลาด ต้องมีการปรับแก้ไข และเป็นเหตุ<br />
ให้เสียเวลาและทรัพย์เป็นอย่างมาก<br />
อาจารย์ประเวศมีความแน่วแน่ที่จะสืบสานวิชาช่าง<br />
สถาปัตยกรรมไทยตามแบบอย่างของบรรพชน และยึดหลัก<br />
การทำงานของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรม<br />
พระยานริศรานุวัดติวงศ์ และศาสตราจารย์พระพรหมพิจิตร<br />
คือ “ศิลปะต้องไปข้างหน้า ไม่มีถอยหลังนั่นคือ การทำงาน<br />
ศิลปะต้องปฏิบัติ จะต้องทำให้เกิดความคิดริเริ่มสร้างสรรค์<br />
ถ้าจะสอนจะต้องสอนด้วยความพร้อมด้วยความรู้ ไม่ใช่เพียง<br />
สอนตามตำรา ตำราเป็นเพียงคู่มือเท่านั้น ถ้าเรียนตาม<br />
ตำราจะกลายเป็นวัวพันหลัก ความคิดสร้างสรรค์ก็จะไม่เกิด<br />
จึงถือตามอาจารย์ที่ว่า ถ้าเปิดตำราสอนเมื่อใดก็ฆ่าศิษย์<br />
เมื่อนั้น” การถ่ายทอดความรู้ทางด้านสถาปัตยกรรมไทย<br />
ในฐานะอาจารย์ผู้ทรงคุณวุฒิที ่มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
การช่วยเหลืองานราชการและงานสาธารณะประโยชน์อย่าง<br />
สม่ำเสมอภายหลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว แสดงให้<br />
เห็นถึงปณิธานของท่านในวันที่จะสืบสานและส่งทอดวิชา<br />
สถาปัตยกรรมไทยให้ดำรงต่อไป<br />
190 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
191
เกียรติยศที่ได้รับ<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี อุทิศตนปฏิบัติหน้าที่ใน<br />
ทางราชการอย่างเต็มกำลังความสามารถ ตลอดทั้งชีวิต<br />
กระทำคุณงามความดี เกิดประโยชน์ในทางส่งเสริมสร้างสรรค์<br />
งานศิลปกรรมให้แก่ประเทศชาติตลอดมา ในปีพุทธศักราช<br />
2532 ท่านจึงได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์อันมีเกียรติยศยิ่ง<br />
มงกุฎไทย ชั้นที่ 1 ประถมาภรณ์มงกุฎไทย (ป.ม.) และในปี<br />
พุทธศักราช 2542 ท่านได้รับพระราชทานเหรียญดุษฎีมาลา<br />
เข็มศิลปวิทยา ซึ่งผู้ที่ได้รับพระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์<br />
นี้จะต้องเป็นผู้ปฏิบัติงานในทางศิลปวิทยาที่มีฝีมืออันเอกอุ<br />
ยากที่จะมีผู้ใดทัดเทียมเสมอเหมือน และมีผลงานที่แสดงให้<br />
ประจักษ์เป็นพิเศษว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อประเทศชาติ<br />
ผลงานสถาปัตยกรรมที่อาจารย์ประเวศได้สร้างสรรค์<br />
มาตลอดช่วงชีวิตแสดงให้เห็นเป็นที่ประจักษ์แล้วถึงความรู้<br />
ความสามารถในวิชาสถาปัตยกรรมไทยอย่างลึกซึ้ง เป็นที่<br />
ยอมรับทั้งในประเทศและระดับนานาชาติ และยังถ่ายทอด<br />
ให้แก่ผู้อื่นด้วยเจตนาที่ต้องการอนุรักษ์มรดกทางวัฒนธรรม<br />
และงานศิลปกรรมไทยให้คงอยู่สืบไป ด้วยเหตุนี้เอง<br />
มหาวิทยาลัยเคลตัน (Clayton University) สหรัฐอเมริกา<br />
ได้จัดพิธีมอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ ด้านปรัชญา<br />
สาขาวิจิตรศิลป์ให้แก่ท่านในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2529 ต่อมา<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากรได้มอบปริญญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์<br />
ด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ ให้แก่ท่านเมื่อวันที่ 4 มิถุนายน<br />
2534<br />
ด้านเกียรติคุณที่ได้รับจากสังคม คณะกรรมการ<br />
วัฒนธรรมแห่งชาติประกาศยกย่องเชิดชูเกียรติให้อาจารย์<br />
ประเวศ ลิมปรังษี เป็นศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์<br />
(สถาปัตยกรรม) ประจำปีพุทธศักราช 2532 และคณะกรรมการ<br />
อำนวยการวันอนุรักษ์มรดกไทยได้ประกาศเกียรติคุณ<br />
ยกย่องให้เป็นปูชนียบุคคลดีเด่นด้านสถาปัตยกรรมไทย<br />
ประจำปีพุทธศักราช 2538<br />
192 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
193
ชีวิตและผลงานออกแบบช่วงสุดท้าย<br />
หลังจากเกษียณอายุราชการแล้ว ท่านได้อุทิศตนให้<br />
แก่การทำงานออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถ วัดโสธรวราราม<br />
วรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา อย่างเต็มที่ สุดกำลังความ<br />
สามารถ ร่วมกับคณะทำงานซึ่งมีทั้งวิศวกรและช่างศิลปกรรม<br />
เพื่อให้บรรลุซึ่งพุทธศิลป์สถาปัตยกรรมแนวใหม่ อาจารย์<br />
ประเวศ ลิมปรังษี ปรารถนาให้งานออกแบบสถาปัตยกรรม<br />
แห่งนี้เป็นสถาปัตยกรรมแนวใหม่ยุครัชกาลที่ 9 มีคุณลักษณะ<br />
ตามพระราชดำริ คือให้เป็นอาคารสมเกียรติกับหลวงพ่อ<br />
พุทธโสธร มีความสง่างามพร้อมด้วยคุณค่าทางศิลปกรรม<br />
เหมาะสมที ่จะเป็นพุทธสถาน เป็นถาวรวัตถุคู่บ้านคู่เมือง<br />
และให้เป็นสมบัติอันมีค่าของชาติและพระพุทธศาสนาใน<br />
อนาคตต่อไป จึงถือได้ว่าเป็นผลงานออกแบบสำคัญที่สุด<br />
ชิ้นหนึ่งในชีวิตการทำงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทยของ<br />
ท่านที ่ได้ทุ่มเทเวลาและกำลังอุทิศตนเพื่อการทำงานชิ้นนี้<br />
อย่างมุ่งมั่นต่อเนื่องกันหลายปี ปรากฏผลงานเขียนแบบ<br />
หลายพันแผ่นและหุ่นจำลองขนาดใหญ่ที่มีความงดงามจาก<br />
ความคิดสร้างสรรค์ที่แปลกใหม่และนับเป็นก้าวสำคัญของ<br />
พัฒนาการด้านงานสถาปัตยกรรมไทยสืบต่อมา<br />
อาจารย์ประเวศ จึงตั้ง “สำนักงานเฉพาะกิจออกแบบ<br />
เขียนแบบก่อสร้างพระอุโบสถวัดโสธรวรารามวรวิหาร” ขึ้นที่<br />
บริเวณโรงเรียนวัดโสธรฯ จังหวัดฉะเชิงเทรา ด้วยความมุ่งมั่น<br />
และจริงจังดำเนินตามปรัชญาการทำงานศิลปสถาปัตยกรรม<br />
ชั้นสูงและจิตศรัทธาที่จะอุทิศตนให้แก่การงานถวายเป็น<br />
พุทธบูชา ท่านจึงทำงานต่อเนื่องกันทุกวันมิได้มีเวลาพักผ่อน<br />
ส่วนตัว ทั้งยังบอกแก่ผู้ร่วมงานด้วยก ำลังใจมุ่งมั่นเต็มเปี่ยมว่า<br />
“งานนี้ตั้งใจมากจะให้เป็นวัดสำหรับรัชกาลที่ 9”<br />
เมื่อการก่อสร้างดำเนินงานไปได้เพียงส่วนฐานราก<br />
และหล่อเสาอาคารช่วงแรก ได้เกิดอุปสรรคขัดแย้งขึ้นระหว่าง<br />
คณะกรรมการตัวแทนของวัดและอาจารย์ประเวศ ฝ่าย<br />
ผู้ออกแบบ ท่านจึงจำต้องยุติบทบาทหน้าที่ลง และถอนตัว<br />
ออกมาให้คณะบุคคลอื่นเข้ามาทำงานแทนต่อไป<br />
194 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
195
196 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
197
198 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
199
จนกระทั่งถึงปีพุทธศักราช 2538 อาจารย์ประเวศได้<br />
รับเชิญให้กลับมาช่วยสอนสถาปัตยกรรมไทย ที่คณะ<br />
สถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ซึ่งเป็นสถานที่<br />
ที่ท่านได้ศึกษาร่ำเรียน ทำงานและเคยเป็นอาจารย์สอนอยู่<br />
คราวหนึ่ง ในระยะก่อตั้งคณะสถาปัตยกรรมไทย มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี อุทิศตนเพื่อถ่ายทอดความรู้<br />
ให้แก่บรรดาเหล่าศิษย์ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ นับตั้งแต่นั้น<br />
ต่อเนื่องมาอีก 20 ปี <strong>โดย</strong>เดินทางออกจากบ้านมาทำงานที่<br />
คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ อันเป็นสถานที่ที่ท่านรักและเคารพ<br />
ทุกๆ วันมิได้ขาด ทุกๆ เช้าเมื่อเดินทางมาถึงมหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร ท่านจะเดินเข้าสู่ตึกคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์เข้าไป<br />
กราบสักการะรูปปั้นพระอาจารย์พระพรหมพิจิตร (อู๋ ลาภานนท์)<br />
ด้วยอาการสงบนิ่ง ส ำรวมจิตน้อมระลึกถึงพระคุณครูบาอาจารย์<br />
ด้วยความเคารพกตัญญูรู้คุณ อาจารย์ประเวศ มีความรัก<br />
ความผูกพันกับมหาวิทยาลัยศิลปากรมาก ท่านมีความสุขที่<br />
ได้พบปะพูดคุยกับบรรดาเพื่อนคณาจารย์ ลูกศิษย์ และ<br />
ผู้ร่วมงานอย่างเป็นกันเอง<br />
อาจารย์ประเวศเตรียมการสอนด้วยตัวท่านเองจาก<br />
การค้นคว้าข้อมูล หนังสือ และประสบการณ์ท ำงานในวิชาชีพ<br />
ด้านสถาปัตยกรรมไทยมาตลอดทั้งชีวิต ทั้งยังพานักศึกษา<br />
ออกไปเรียนรู้นอกสถานที่เพื่อให้เข้าใจจากการทำงานจริง<br />
<strong>โดย</strong>อาจารย์มักพูดบ่อยครั้งว่า “...การศึกษาต้องเรียนให้ลึก<br />
ซึ้งถึงปรัชญาของสถาปัตยกรรม ให้รู้แม่บท เข้าใจถึงต้น<br />
กำเนิดและที่มา จึงจะเดินต่อไปข้างหน้าได้” อาจารย์ประเวศ<br />
มักกล่าวยกคำของสมเด็จครู (สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ<br />
เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์) ที่ท่านยึดถือเป็นปรัชญา<br />
ของสำนักสมเด็จครูถ่ายทอดลงมาสู่พระอาจารย์พระพรหม<br />
พิจิตร (อู๋ ลาภานนท์) ของท่านว่า “...ช่างคนใดที่ทำแต่การ<br />
ถ่ายถอนแล้ว จะลือชื่อไม่ได้ คนที่ลือนั้นเปรียบว่า เขากิน<br />
แบบที่ทำแล้วเข้าไปจนตกออกมาเป็นเหงื่อนั่นจึงลือ…”<br />
และ “เดาน้อยที่สุด คือต้องดูของจริงในบ้านเรา ถ้าไม่เช่นนั้น<br />
ก็หลง” อีกทั้ง “ต้องเห็นมากกับทั้งสังเกตด้วย จึงจะเป็น<br />
เครื่องเรืองปัญญา ถ้าได้เห็นน้อยหรือไม่จ ำ ก็ไม่ช่วยตัวเองได้ ”<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี จึงเป็นสถาปนิกด้าน<br />
สถาปัตยกรรมไทยที่ใฝ่หาความรู้อยู่ตลอดเวลา ท่านเป็นคน<br />
ใฝ่รู้ ชอบอ่าน ชอบเก็บสะสมรูป งานศิลปะแบบต่างๆ ที่<br />
เป็นงานสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม ทั้งในและต่างประเทศ<br />
ด้วยวิธีการเก็บรวมคัดสรรแยกออกเป็นเล่มเฉพาะเรื่อง มีทั้ง<br />
เอกสารแบบต้นฉบับ แบบถ่ายสำเนา และลายมือเขียน<br />
200 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
อธิบายเรื่องและภาพประกอบแล้วนำมาเย็บเล่มไว้เป็น<br />
จำนวนมาก <strong>โดย</strong>ท่านจะเขียนหน้าปกหัวเรื่องไว้อย่างชัดเจน<br />
แล้วเขียนลงท้ายด้วยข้อความเหมือนกันทุกเล่มว่า<br />
“...รวบรวมไว้เพื่อประกอบการศึกษา <strong>โดย</strong> ศิษย์พุทธ<br />
ศิลปสถาปัตยกรรม ประเวศ ลิมปรังษี”<br />
ห้องทำงานส่วนตัวของท่านจึงแวดล้อมไปด้วยแบบ<br />
พิมพ์เขียวและแบบร่างงานสถาปัตยกรรมชิ้นเยี่ยมที่ท่านใช้<br />
ศึกษาเป็นแนวทางการทำงานออกแบบเขียนแบบ และติด<br />
แสดงผลงานไปด้วยในตัว พื้นที่รอบๆ โต๊ะทำงานมีทั้ง<br />
เครื่องมือเขียนแบบออกแบบ และวัสดุอุปกรณ์ที่ใช้ซ่อม<br />
ปะติดกระดาษแบบพิมพ์เขียวที่มีสภาพเก่าแก่ชำรุดผ่าน<br />
การใช้งานมาแล้วในอดีต อาจารย์ประเวศเป็นผู้ที่เห็นคุณค่า<br />
ของแบบสถาปัตยกรรมเหล่านี้ เพราะผลงานออกแบบเหล่านี้<br />
เองเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนของฝีมือครูบาอาจารย์ที่ท่าน<br />
เคารพรักเทิดทูน จึงสั่งสมและเก็บรักษาไว้ด้วยความรัก<br />
หวงแหนอย่างยิ่ง<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี จึงเป็นทั้งอาจารย์ผู้มี<br />
ความรู้ความสามารถ สถาปนิกที่ผ่านประสบการณ์ทำงาน<br />
ออกแบบก่อสร้างงานสถาปัตยกรรมไทยสำคัญระดับชาติ<br />
ทั้งยังเป็นนักอนุรักษ์บูรณะปฏิสังขรณ์โบราณสถานที่สำคัญๆ<br />
ของชาติอีกด้วย องค์ความรู้ที่สั่งสมในตัวท่านนั้น ได้ถ่ายทอด<br />
มาสู่สถาบันการศึกษาที่มีการเรียนการสอนสถาปัตยกรรม<br />
ไทยเป็นหลักคือ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร และจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย<br />
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
201
สำหรับคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร หลักสูตรสถาปัตยกรรมศาสตรบัณฑิต สาขา<br />
สถาปัตยกรรมไทย อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ได้รับ<br />
มอบหมายให้เตรียมการสอนเกี่ยวกับวิชาการออกแบบ<br />
สถาปัตยกรรมไทย วิชาลายไทย วิชาประณีตศิลป์ วิชาการ<br />
เขียนขยายแบบเท่าจริงงานสถาปัตยกรรมไทย วิชาวิทยานิพนธ์<br />
เป็นต้น ซึ่งอาจารย์จะเตรียมการสอนด้วยตนเองตามหัวเรื่อง<br />
บรรยายที่กำหนดไว้แต่ละสัปดาห์ทั้งภาคบรรยายและปฏิบัติ<br />
<strong>โดย</strong>มีอาจารย์รุ่นลูกศิษย์คอยติดตามเรียนรู้จากการเรียน<br />
การสอนไปด้วยในตัว ซึ่งอาจารย์ประเวศจะมอบความไว้<br />
วางใจให้ช่วยเหลือในการเตรียมเอกสารที่ใช้ประกอบการ<br />
สอนอยู่บ่อยครั้ง<br />
หากมีข้อสงสัยใฝ่รู้ในเรื่องใดเป็นพิเศษ อาจารย์ประเวศ<br />
จะเปิดโอกาสให้ซักถาม พูดคุยและอธิบายให้ฟังจนเข้าใจ<br />
อย่างถ่องแท้ ศิษย์บางคนที่มีความสนใจใฝ่หาความรู้เป็น<br />
พิเศษ หากพบปะพูดคุยจนคุ้นเคยและได้รับความไว้วางใจ<br />
จะได้รับโอกาสไปพบท่านในเวลาส่วนตัวได้ที่บ้านพักหรือ<br />
สถานที่ทำงานที่บ้านเป็นครั้งคราว ณ สถานที่แห่งนั้น<br />
เปรียบดังขุมทรัพย์ความรู้ด้านสถาปัตยกรรมไทยอัน<br />
ประเมินค่ามิได้ เพราะเป็นสถานที่ทำงานและเก็บผลงานซึ่ง<br />
ได้รวบรวมสั่งสมมาตลอดทั้งชีวิต อันประกอบไปด้วยพื้นที่<br />
ห้องทำงาน ห้องแสดงแบบสถาปัตยกรรมและภาพถ่าย<br />
ห้องคลังเก็บแบบก่อสร้างกระดาษพิมพ์เขียว และต้นแบบ<br />
งานศิลปกรรมที่เป็นผลงานสำคัญระดับชาติ ฯลฯ จัดเก็บอยู่<br />
ในพื้นที่อันจำกัดอย่างแออัด แม้ว่าอาจารย์ประเวศจะ<br />
พยายามนำเสนอต่อหน่วยงานต่างๆ ให้เห็นความสำคัญ<br />
ของการเก็บรักษาแบบผลงานเหล่านี้ไว้เพื่อเป็นองค์ความรู้<br />
ของชาติทางด้านสถาปัตยกรรม แต่กลับไม่เป็นผลที่น่าพอใจ<br />
สุดท้ายอาจารย์ประเวศ จึงได้มอบไว้ให้แก่สถาบันศิลป<br />
สถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
ดำเนินการเก็บรักษาไว้เพื่อเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาใน<br />
อนาคตสืบต่อไป<br />
202 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
203
ผลงานออกแบบสถาปัตยกรรมไทยช่วงสุดท้าย<br />
(พุทธศักราช 2539-2550) ระหว่างที่อาจารย์ประเวศ<br />
ลิมปรังษี ทำการสอนอยู่ที ่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้แก่ งานออกแบบเมรุและฌาปนสถาน<br />
อาคารกุฏิสงฆ์คณะ 7 วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพมหานคร,<br />
เทวาลัยพระพิฆเณศวรประจำมหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
วิทยาเขตสารสนเทศเพชรบุรี ผลงานทั้งสองชิ้นนี้ท่านร่างแบบ<br />
เขียนแบบขึ้นเองจนเสร็จเรียบร้อยแล้วจึงมอบหมายให้<br />
อาจารย์ที่เป็นลูกศิษย์ในคณะฯ ไปดำเนินการเขียนแบบ<br />
ด้วยคอมพิวเตอร์เพื่อนำไปใช้สำหรับการก่อสร้างต่อไป<br />
204 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
205
206 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
วาระสุดท้ายแห่งชีวิต<br />
ในช่วงปีท้ายๆ อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษีมีปัญหาด้าน<br />
สุขภาพมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นไปตามธรรมชาติจากความชราภาพ<br />
มีผลให้ร่างกายและจิตใจเปลี่ยนแปลงไปอย่างเห็นได้ชัดเจน<br />
ประกอบกับการนอนหลับพักผ่อนไม่เพียงพอเพราะยังคง<br />
ห่วงเรื่องการทำงานอยู่ตลอดเวลา ส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลีย<br />
ขาดกำลัง ครั้นร่างกายเหนื่อยล้าสะสมมากขึ้นจึงค่อย ๆ หลับ<br />
ได้เป็นครั้งคราว แม้ในขณะนอนหลับยังยกมือขึ้นวาดเขียนไป<br />
ในอากาศตามจิตคิดฝัน<br />
ปลายปีพุทธศักราช 2560 อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี<br />
จึงขอลาออกจากการสอน เพื่อพักผ่อนอยู่ในความดูแลของ<br />
ครอบครัว <strong>โดย</strong>มิได้กลับมาที่คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากรอีกเลยนับแต่นั้นมา จนกระทั่งกลางปี<br />
ต่อมา เช้าวันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พุทธศักราช 2561<br />
ขณะนั่งพักผ่อนอยู่ในบ้านรอรับประทานอาหาร ท่านหลับไป<br />
เป็นเวลายาวนานกว่าปกติ และถอดดวงจิตจากร่างไปอย่าง<br />
สงบ นำความเศร้าโศกเสียใจมาสู่ครอบครัวและผู้เป็นที่รัก<br />
ตลอดจนลูกศิษย์ทั้งหลายที่ได้ทราบ<strong>โดย</strong>ทั่วไป<br />
เมื่อวาระสุดท้ายแห่งชีวิตมาถึง อาจารย์ประเวศ<br />
ลิมปรังษี ได้รับพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานน้ำหลวง<br />
อาบศพ พร้อมด้วยเครื่องเกียรติยศประกอบศพ ในการ<br />
บำเพ็ญกุศลศพ ณ ศาลาวัดมกุฏกษัตริยาราม และเมื่อถึง<br />
กำหนดการพิธี ในวันพฤหัสบดีที่ 8 พฤศจิกายน พุทธศักราช<br />
2561 เวลา 17.30 น. สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาฯ<br />
พระราชทานพระราชานุเคราะห์ในการพระราชทานเพลิงศพ<br />
<strong>โดย</strong>สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จ<br />
พระราชดำเนินไปในการพระราชทานเพลิงศพ นายประเวศ<br />
ลิมปรังษี ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม)<br />
ณ เมรุวัดมกุฏกษัตริยาราม เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร<br />
ซึ่งนับเป็นพระมหากรุณาธิคุณล้นเกล้าล้นกระหม่อม เป็นเกียรติ<br />
อันสูงสุดแก่ผู้วายชนม์และวงศ์ตระกูลอย่างหาที่สุดมิได้<br />
ชีวประวัติและผลงาน ประเวศ ลิมปรังษี<br />
207
ครั้งหนึ่ง อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี ได้เคยปรารภกับผู้เขียนถึงการสืบทอดวิชาระหว่างครูกับศิษย์ไว้ว่า<br />
“…การทำงานเมื่อสมัยก่อน พระพรหมพิจิตรท่านถือเป็นบรมครู<br />
พอทำงานอะไรลูกศิษย์ก็ช่วยกันทำ ช่วยกันเขียน เพราะว่าครูแก่มากแล้ว<br />
ศิษย์ก็ช่วยเหลือกัน เป็นคนลงไม้ลงมือ เป็นเรี่ยวแรงแทนท่าน<br />
คือเป็นลูกมือ เพราะฉะนั้นจึงได้วิชาความรู้จากครูติดตัวมามาก<br />
สมัยก่อนก็ทำกันอยู่อย่างนี้ ครูและศิษย์ใกล้ชิดกันมาก<br />
ช่วนกันทำแทนครู สงสัยอะไรก็ไปสอบถามครู<br />
จึงได้รับความรู้เอามาอยู่ในตัวเราเสียหมด เพราะอาศัยครู<br />
ช่วยเหลืองานครูจึงได้รับวิชาเอามาติดตัว<br />
วิชาก็ตกมาอยู่แก่คนช่วย และเป็นความเชี่ยวชาญต่อไป<br />
วิชาจึงจะสืบทอดลงมาจากครูบาอาจารย์ไปสู่ลูกศิษย์…<br />
วิชาจึงจะถ่ายให้กัน…จากการทำงานร่วมกัน<br />
แล้วคนๆ นั้นก็จะกลายเป็นครูต่อไป สืบต่อกันมาอย่างนี้<br />
เพราะคนอยู่กับวิชา มีตัวตายก็มีตัวแทน มันเป็นธรรมชาติอย่างนี้ล่ะ<br />
วิชาจึงตกอยู่แก่การช่วยเหลืองานกัน สืบทอดกัน...จนตัวตายนั่นแหล่ะ<br />
วิชาจึงจะตกไปอยู่แก่คนที่ยังมีชีวิต คนที่ตายไปแล้วก็หมดเรื่อง...<br />
หน้าที่ของเราก็คือใส่ใจสืบทอด พาวิชาเป็นลำดับต่อไป...อันนี้เป็นธรรมชาติ”
บรรณานุกรม<br />
เอกสารประกอบการสอน<br />
ประเวศ ลิมปรังษี. เอกสารประกอบการสอนเรื่อง<br />
เครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย.<br />
. เอกสารประกอบการสอนเรื่องทรงหลังคาไทย.<br />
ม.ป.ป. (อัดสำเนา)<br />
. เอกสารประกอบการสอนเรื่องแบบอักษรสำนัก<br />
สมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัติวงศ์. ม.ป.ป.<br />
(อัดสำเนา)<br />
. เอกสารประกอบการสอนเรื่องศิลปลายไทย. ม.ป.ป.<br />
(อัดสำเนา)<br />
. เอกสารรวบรวมประวัติและผลงาน. ม.ป.ป.<br />
(อัดสำเนา)<br />
หนังสือ<br />
กรมศิลปากร. จดหมายเหตุการบูรณะปฏิสังขรณ์องค์<br />
พระธาตุพนม ณ วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร<br />
อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนม พ.ศ. 2518-2522.<br />
กรุงเทพฯ: คณะกรรมการดำเนินงานบรรจุพระบรม<br />
สารีริกธาตุในองค์พระธาตุพนม, 2522.<br />
. จดหมายเหตุการสร้างพระพุทธรูปพระประธาน<br />
พุทธมณฑล. คณะกรรมการอำนวยการจัดสร้าง<br />
พุทธมณฑล และกรมศิลปากร จัดพิมพ์เป็นที่ระลึก<br />
ในพิธีสมโภชพระพุทธรูปพระประธานพุทธมณฑล,<br />
กรุงเทพฯ, 2525.<br />
กองจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร. จดหมายเหตุ<br />
งานพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี<br />
พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7 เล่ม 1. กรุงเทพฯ:<br />
กรมศิลปากร, 2529.<br />
กองวรรณกรรมและประวัติศาสตร์ กรมศิลปากร.<br />
อนุสาวรีย์ในประเทศไทย เล่ม 1. กรุงเทพฯ: กอง<br />
วรรณกรรมและประวัติศาสตร์, 2539-2541.<br />
. อนุสาวรีย์ในประเทศไทย เล่ม 2. กรุงเทพฯ: กอง<br />
วรรณกรรมและประวัติศาสตร์, 2539-2541.<br />
คณะอนุกรรมการจัดทำจดหมายเหตุและจัดพิมพ์<br />
หนังสือที่ระลึก พระราชพิธีถวายพระเพลิง<br />
พระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี<br />
พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7. สมุดภาพพระราชพิธี<br />
ถวายพระเพลิงพระบรมศพสมเด็จพระนางเจ้า<br />
รำไพพรรณี พระบรมราชินีในรัชกาลที่ 7. กรุงเทพฯ:<br />
คณะอนุกรรมการฯ, 2528.<br />
ความเป็นมาและแนวทางที่ใช้ประกอบในการออกแบบ<br />
พระอุโบสถหลังใหม่ วัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัด<br />
ฉะเชิงเทรา. กรุงเทพฯ: สำนักราชเลขาธิการ, 2536.<br />
นภัส ขวัญเมือง. “อุโบสถเจดีย์: พุทธศิลป์สถาปัตยกรรม<br />
รูปแบบใหม่ สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้า<br />
เจ้าอยู่หัว.” วารสารไทยศึกษา 9, 2 (สิงหาคม 2556<br />
- มกราคม 2557) : 51-71.<br />
ประกิจ ลัคนผจง และคณะ. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว<br />
กับสถาปัตยกรรมไทย. กรุงเทพฯ: อมรินทร์พริ้นติ้ง<br />
แอนด์ พับลิชชิ่ง, 2548.<br />
ประติมา นิ่มเสมอ. “พุทธศิลป์สถาปนิก.” ใน สถาปัตยกรรม<br />
ไทยเฉลิมพระเกียรติ. พิมพ์ครั้งที่ 2. กรุงเทพฯ:<br />
อมรินทร์พริ้นติ้ง แอนด์ พับลิชชิ่ง, 2549.<br />
ประเวศ ลิมปรังษี. ความเป็นมาและแนวทางที่ใช้ประกอบ<br />
ในการออกแบบพระอุโบสถหลังใหม่ วัดโสธรวราราม<br />
วรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา. กรุงเทพฯ: สำนักราช<br />
เลขาธิการ, 2536.<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร. คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์<br />
ประวัติและผลงานสำคัญ ของพระพรหมพิจิตร<br />
พิมพ์เนื่องในโอกาสครบรอบ 100 ปี อาจารย์<br />
พระพรหมพิจิตร. กรุงเทพฯ, 2533.<br />
. “บทสัมภาษณ์ ศิลปินแห่งชาติ อ.ดร.ประเวศ<br />
ลิมปรังษี.”วารสารหน้าจั่ว ว่าด้วยประวัติศาสตร์<br />
สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรมไทย 1, (มกราคม<br />
2547): 118-127.<br />
. 5 ศิลปินแห่งชาติ : สถาปัตย์-ปริวรรต 15 กันยายน<br />
2545 คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร. กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2545.<br />
. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับสถาปัตยกรรมไทย.<br />
กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2548.<br />
. สี่ทศวรรษสถาปัตย์ ศิลปากร. กรุงเทพฯ :<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2538.<br />
. สูจิบัตรนิทรรศการสถาปัตยกรรมไทยเฉลิม<br />
พระเกียรติ.กรุงเทพฯ: มหาวิทยาลัยศิลปากร, 2548.<br />
สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร. ที่ระลึกในงานพระราชทาน<br />
เพลิงศพอาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี . นครปฐม: รุ่งศิลป์<br />
การพิมพ์ (1977), 2561.<br />
. 9 สถาปัตย์ศิลป์ พระภูมินทร์อัครศิลปินสยาม.<br />
กรุงเทพฯ: กรมส่งเสริมวัฒนธรรม, 2555.<br />
สมาคมนักศึกษาเก่าคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร. สามทศวรรษสมาคม<br />
นักศึกษาเก่า สถาปัตย์ ศิลปากร. กรุงเทพฯ:<br />
สมาคม, 2548.<br />
210 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ. ศิลปิน<br />
แห่งชาติ พุทธศักราช 2532. กรุงเทพฯ: สำนักงาน<br />
คณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ, 2533.<br />
หม่อมราชวงศ์แน่งน้อย ศักดิ์ศรีและคณะ. “พระเมรุมาศ<br />
สมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินีใน<br />
รัชกาลที่ 7.” ใน สถาปัตยกรรมพระเมรุในสยาม.<br />
กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์กรุงเทพฯ (1984), 2555.<br />
อภิญญา ทวนทอง. “อาคารทรงปราสาทกับการ<br />
เปลี่ยนแปลงแนวความคิดและความหมาย : กรณี<br />
ศึกษาอุโบสถหลังใหม่ วัดโธรวรารามวรวิหาร.”<br />
วิทยานิพนธ์ปริญญามหาบัณฑิต สาขาวิชา<br />
ประวัติศาสตร์ศิลปะ บัณฑิตวิทยาลัย มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร 2552.<br />
เอกสารประวัติและผลงาน (แฟ้มส่วนบุคคล) ของ<br />
อาจารย์ประเวศ ลิมปรังษี.<br />
บทความในวารสาร<br />
“นายประเวศ ลิมปรังษี.” อาษา, (สิงหาคม 2537): 44-47.<br />
“ศิลปินแห่งชาติ สาขาทัศนศิลป์ (สถาปัตยกรรม)<br />
คุณประเวศ ลิมปรังษี.” อาษา, (มกราคม-กุมภาพันธ์<br />
2533): 11.<br />
“ศิลปินแห่งชาติ อ.ดร.ประเวศ ลิมปรังษี.” วารสารหน้าจั่ว<br />
ฉบับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรม<br />
ไทย 1, 1 (มกราคม 2547): 118-127.<br />
“สัมภาษณ์พิเศษ ดร.ประเวศ ลิมปรังษี ผู้อำนวยการ<br />
กองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร ศิลปกรรมและช่างศิลป<br />
ของไทย.” บ้านและสวน 10, 120 (สิงหาคม 2529):<br />
144-149.<br />
ฉวีงาม มาเจริญ. “ศิลปิน-ศิลปากร ประเวศ ลิมปรังษี.”<br />
ศิลปากร 40, 1 (มกราคม-กุมภาพันธ์ 2540): 108-117.<br />
บุญเยี่ยม บุญยกะลิน และชิน ประสงค์. “ประติมากรรม<br />
ของไทย.” ศิลปากร 26, 3 (กรกฎาคม 2525): 15-34.<br />
vศิลปากร 26, 3 (กรกฎาคม 2525): 1-14.<br />
. “เครื่องยอดในสถาปัตยกรรมไทย.” วารสารหน้าจั่ว<br />
ฉบับประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมและสถาปัตยกรรม<br />
ไทย 5, 5 (กันยายน 2550): 14-25.<br />
. “ประวัติพระคเณศ.” หน้าจั่ว, 18 (2544): 11-16.<br />
ภิญโญ ศรีจำลอง “สมองศิลปะ.” คลังสมอง 4, 45<br />
(ธันวาคม 2528): 82-85.<br />
วิบูลย์ ลี้สุวรรณ. “ประเวศ ลิมปรังษี ผู้สืบสานงาน<br />
สถาปัตยกรรมไทย.” ไฮคลาส 10, 119 (มีนาคม<br />
2537): 115-118.<br />
“สัมภาษณ์ประเวศ ลิมปรังษี.” อาษา, (มีนาคม 2539):<br />
84-85.<br />
สุดารา สุจฉายา. “ประเวศ ลิมปรังษี ผู้สรรค์สร้างพระเมรุ<br />
กลางเมือง.” สารคดี1, 4 (พฤษภาคม 2528): 22-32.<br />
บรรณานุกรม<br />
211
ที่มาภาพประกอบ<br />
หน้า 8-12 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 14-20 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 21 วราภรณ์ ไทยานันท์<br />
หน้า 22-45 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 46-47 อันเยลา ศรีสมวงศ์วัฒนา<br />
หน้า 48 บน-ล่างซ้าย: สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
ขวา: ศรีรัฏฐ์ สมสวัสดิ์<br />
หน้า 49 ศรีรัฏฐ์ สมสวัสดิ์<br />
หน้า 50-52 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 53 ล่างซ้าย: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />
หน้า 54-56 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 57 ซ้าย: Suksan Phaseeda / Shutterstock.com<br />
ขวา: PixHound / Shutterstock.com<br />
หน้า 58 Suwirote p / Shutterstock.com<br />
หน้า 59-64 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 65 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />
หน้า 66-72 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 73-74 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />
หน้า 75-98 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 99 ซ้าย: สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร<br />
ขวา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />
หน้า 100-104 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 105-106 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />
หน้า 107-109 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 110 บน: สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร<br />
ล่างซ้าย: ประชุมจารึกวัดพระเชตุพน<br />
หน้า 111-126 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 128-133 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 134 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />
หน้า 135-136 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 137 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />
หน้า 138-148 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 149-150 Panwasin seemala / Shutterstock.com<br />
หน้า 151-153 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 155-157 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 159-161 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 163 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 164 Borirak / Shutterstock.com<br />
หน้า 165 PixHound / Shutterstock.com<br />
หน้า 166 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 168-169 MOLPIX / Shutterstock.com<br />
หน้า 170 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 172 ศรีรัฏฐ์ สมสวัสดิ์<br />
หน้า 173-182 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 183 หอจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร<br />
หน้า 184-202 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
หน้า 203 ซ้าย: ศรีรัฏฐ์ สมสวัสดิ์<br />
ขวา: สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัย<br />
ศิลปากร<br />
หน้า 204-208 สถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
212 <strong>สถาปัตยกรรมไทยและศิลปลายไทย</strong> <strong>โดย</strong><strong>ศิษย์พุทธศิลปสถาปัตยกรรม</strong> ประเวศ ลิมปรังษี
ประวัติผู้เขียน<br />
พีระพัฒน์ สำราญ<br />
ผู้ช่วยศาตราจารย์ พีระพัฒน์ สำราญ สำเร็จการศึกษาปริญญาสถาปัตยกรรมศาสตร<br />
บัณฑิต (สถาปัตยกรรมไทย) จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ<br />
ปริญญาศิลปศาสตรมหาบัณฑิต (ประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม) มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
ปัจจุบันเป็นอาจารย์ประจำภาควิชาศิลปสถาปัตยกรรม คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร และผู้อำนวยการสถาบันศิลปสถาปัตยกรรมไทยเฉลิมพระเกียรติ<br />
มหาวิทยาลัยศิลปากร<br />
ผลงานทางวิชาการด้านหนังสือ อาทิ สถาปัตยกรรมวัดโพธิ์ (พ.ศ. 2552) ต ำหนักวาสุกรี<br />
วัดโพธิ์ (พ.ศ. 2559) พระอุโบสถวัดโพธิ์ (พ.ศ. 2562) จัดพิมพ์<strong>โดย</strong> วัดพระเชตุพน<br />
วิมลมังคลาราม กรุงเทพมหานคร, สถาปัตยกรรมวัดสุทัศนเทพวราราม เล่ม 1 พระวิหาร<br />
หลวงและพระระเบียงคด (พ.ศ. 2551) สถาปัตยกรรมวัดสุทัศนเทพวราราม เล่ม 2<br />
พระอุโบสถและสัตตมหาสถาน (พ.ศ. 2558) จิตรกรรมภาพสัตว์หิมพานต์ พระวิหาร<br />
หลวงวัดสุทัศนเทพวราราม (พ.ศ. 2559) จัดพิมพ์<strong>โดย</strong> วัดสุทัศนเทพวราราม<br />
กรุงเทพมหานคร, พัฒนาการพระปรางค์ในสยามประเทศ ชุดอัศจรรย์วัดอรุณ เล่ม 1,<br />
แบบสำรวจรังวัดสถาปัตยกรรมวัดอรุณราชวราราม ชุดอัศจรรย์วัดอรุณ เล่ม 4 ฯลฯ<br />
ผลงานทางวิชาการประเภทโครงการวิจัย ได้แก่ “ลายพุดตานในศิลปะและสถาปัตยกรรม<br />
ไทย” ทุนสนับสนุนจากสถาบันวิจัยและพัฒนา มหาวิทยาลัยศิลปากร, “ตำราภาพจับ<br />
รามเกียรติ์” สู่การสร้างสรรค์จิตรกรรม “ภาพจับรามเกียรติ์ วัดสุทัศนเทพวราราม”<br />
ทุนสนับสนุนจากสำนักงานคณะกรรมการวิจัยแห่งชาติ<br />
ปัจจุบันผู้ช่วยศาสตราจารย์ พีระพัฒน์ สำราญ ศึกษาต่อด้านการอนุรักษ์ศิลปกรรม<br />
และร่วมดำเนินงานโครงการสำรวจและบันทึกสภาพจิตรกรรมภาพจับรามเกียรติ์ใน<br />
กรอบกระจก พระอุโบสถ วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร และโครงการอนุรักษ์<br />
จิตรกรรมภาพสัตว์หิมพานต์ พระวิหารหลวง วัดสุทัศนเทพวราราม กรุงเทพมหานคร<br />
ฯลฯ<br />
ประวัติผู้เขียน<br />
213