ASA Journal 05/58

THEMES 

44 

36 

36 SCG 100th Year Building 

44 King Power Srivaree 

Complex 

52 Mk-Ck5 Production 

Office 

60 Zonic Vision Office 

68 QTC Energy 

52 

60 

68 

4 ASA CONTENTS วารสารอาษา

SECTIONS 

NEWS 

14 ASA-CAN Workshop: 

Reborn - Chatchai Market 

18 The Vann Molyvann Project: 

Summer School 2015 

WORK IN PROGRESS 

22 Ramkhamhaeng 30 Office 

26 Sukhumvit 91 House 

30 Speed Office 

ASEAN 

76 ASEAN ARCHITEC TS. 01 

Singapore – Formwerkz 

22 

Chisagarn Rojanasoonthon 

SPECIAL REPORT 

84 Milan Expo 2015 

PROFESSIONAL 

94 Tokyo Green Offices 

102 DETAILS 

104 ASA CARTOON 

84 

6 ASA CONTENTS วารสารอาษา

FOREWORD 

ADVISORS 

PICHAI WONGWAISAYAWAN 

SMITH OBAYAWAT 

PONGKWAN LASSUS 

ASSOC. PROF. TONKAO PANIN, PH.D. 

ANEK THONGPIYAPOOM 

ASSOC. PROF. M.L. PIYALADA 

THAVEEPRUNGSRIPORN, PH.D. 

WIRAT PANTAPATKUL 

MAADDI THUNGPANICH 

MONGKON PONGANUTREE 

EDITOR IN CHIEF 

SUPITCHA TOVIVICH 

CONTRIBUTORS 

CHISAGARN ROJANASOONTHON 

DARREN YIO 

JAKSIN NOIRAIPHOOM 

JIRAWIT YAMKLEEB 

MEK SAYASEVI 

PAPHOP KERDSUP 

PATTARANAN TAKKANON 

SORAVIS NA NAGARA 

SUPITCHA TOVIVICH 

WARUT DUANGKAEWKART 

WORARAT PATUMNAKUL 

XAROJ PHRAWONG 

SPECIAL THANKS TO 

AGALIGO STUDIO 

ARCHIMONTAGE DESIGN FIELDS 

SOPHISTICATED 

ARCHITECTS 49 

DESIGN 103 INTERNATIONAL 

HYPOTHESIS 

MAINCOURSE ARCHITECT 

PLAN ASSOCIATES 

STU/D/O ARCHITECTS 

THE OFFICE OF BANGKOK ARCHITECTS 

ENGLISH TRANSLATOR 

TANAKANYA CHANGCHAITUM 

GRAPHIC DESIGNERS 

WILAPA KASVISET 

MANUSSANIT SRIRAJONGDEE 

VANICHA SRATHONGOIL 

CO-ORDINATOR 

KETSIREE WONGWAN 

THE ASSOCIATION OF SIAMESE 

ARCHITECTS UNDER ROYAL 

PATRONAGE ORGANIZES 

248/1 SOI SOONVIJAI 4 (SOI 17) 

RAMA IX RD., BANGKAPI, 

HUAYKWANG, BANGKOK 10310 

T : +66 2319 6555 

F : +66 2319 6419 

W : asa.or.th 

E : asaisaoffice@gmail.com 

PRINT 

FOCAL IMAGE 

248/1 SOI SANTINARUEMAN RD. 

SUKHUMVIT RD. BANGKOK 10230 

T : +66 2259 1523 

E : ASAJOURNAL@GMAIL.COM 

ADVERTISING DEPARTMENT 

T : +66 2397 0582-3 

F : +66 2747 6627 

SUBSCRIBE TO ASA JOURNAL 

T : +66 2319 6555 

อาคารที่ต้องแสดงออกทางสัญลักษณ์ของการเป็นองค์กรหรือบริษัทต่างๆ มีความน่าสนใจ 

เพราะบริษัททางธุรกิจต่างๆ ย่อมมีภาพลักษณ์องค์กรและแนวคิดของการทำาการค้าที่ต้องการ 

แสดงออกเพื่อสื่อสารกับลูกค้าของตนให้ชัดเจน วารสารอาษาฉบับนี้เป็นการนำาเสนอตัวอย่าง 

ของสถาปัตยกรรมที่ออกแบบมาเพื่อสื่อถึงแนวคิด หลักการบริหาร หรือกลุ่มลูกค้าหลักของ 

บริษัทนั้นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ อาคาร SCG 100 ปี ออกแบบโดย Design 103 International 

โครงการคิง เพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ ออกแบบโดย Architects 49 อาคาร Mk-Ck5 Production 

Office ออกแบบโดย Agaligo Studio อาคาร Zonic Vision Office ออกแบบโดย 

Stu/D/O Architects และอาคาร QTC Energy ออกแบบโดย Plan Associates นอกจากนี้ 

ภายในเล่มยังมีรายงานพิเศษงานมิลานเอ็กซ์โป 2015 ซึ่งในปีนี้มีผู้เข้าร่วมงานจาก 145 ประเทศ 

20 องค์กรสากล และ 6 กลุ่มบริษัท ภายใต้หัวข้องาน ‘Feeding the Planet, Energy for Life’ 

สำาหรับ Pavilion ของไทยนั้นออกแบบโดย บริษัท สำานักงานสถาปนิกกรุงเทพ จำากัด (OBA) 

Architectures which contain the capacity to represent a company’s image are 

very attractive, as each company always has their own identity or business concept 

that they wish to present to customers. Inside this issue of ASA, we present works 

of architecture designed to represent a company ‘s concept, management principle 

or even their main target customer group such as the SCG 100 th Year Building designed 

by Design 103 International, the King Power Srivaree Complex by Architects 49, 

Mk-Ck5 Production Office by Agaligo Studio, Zonic Vision Office by Stu/D/O 

Architects and QTC Energy by Plan Associates. Moreover, this edition also features 

a special report from the Milan Expo 2015 where 145 countries, 20 international 

organizations and 6 companies participated under the topic ‘Feeding the Planet, 

Energy for Life’ with the Thai Pavilion being designed by The Office of Bangkok 

Architects (OBA). 

8 ASA EDITORIAL วารสารอาษา

สารจากนายกสมาคม 

คณะกรรมการบริหารสมาคมสถาปนิกสยาม 

ในพระบรมราชูปถัมภ์ปี 2557 - 2559 

ที่ปรึกษา 

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรพล วิรุฬห์รักษ์ 

นาย สิน พงษ์หาญยุทธ 

นาย สถิรัตร์ ตัณฑนันทน์ 

นาย ประภากร วทานยกุล 

นายกสมาคม 

นาย พิชัย วงศ์ไวศยวรรณ 

อุปนายก 

พันตำารวจโท ดร.บัณฑิต ประดับสุข 

นาย อนุชา ยูสานนท์ 

นาย ประดิชญา สิงหราช 

ดร. วสุ โปษยะนันทน์ 

รศ.ดร. ต้นข้าว ปาณินท์ 

นาย นิธิศ สถาปิตานนท์ 

เลขาธิการ 

นาย ประกิต พนานุรัตน์ 

นายทะเบียน 

นาวาเอกหญิง อรอุสาห์ เชียงกูล 

เหรัญญิก 

นาย ครรชิต ปุณยกนก 

ปฏิคม 

นาย ปรีชา นวประภากุล 

ประชาสัมพันธ์ 

นางสาว สุรัสดา นิปริยาย 

กรรมการกลาง 

นาย ชวลิต ต้ังมิตรเจริญ 

นาย สุนันทพัฒน์ เฉลิมพันธ์ 

นาวาอากาศเอก อดิสร บุญขจาย 

นาง วินีตา กัลยาณมิตร 

รศ.ดร.ม.ล. ปิยลดา ทวีปรังษีพร 

ดร.พร วิรุฬห์รักษ์ 

ประธานกรรมาธิการสถาปนิกล้านนา 

นาย อดุลย์ เหรัญญะ 

ประธานกรรมาธิการสถาปนิกอีสาน 

ผศ. สุรศักดิ์ โล่ห์วนิชชัย 

ประธานกรรมาธิการสถาปนิกทักษิณ 

นาย วิวัฒน์ จิตนวล 

ในวันที่10 -16 พฤศจิกายนที่จะถึงนี้สมาคมสถาปนิกสยามในพระบรมราชูปถัมภ์จะเป็นเจ้าภาพ 

งานประชุม ARCASIA Council Meeting 36 & ARCASIA Forum18 ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา 

ถ้าจำากันได้สมาคมฯ เคยเป็นเจ้าภาพเมื่อ 10 ปีที่แล้ว โดยจัดที่จังหวัดเชียงใหม่ กิจกรรมในงานจะ 

มีการประกวด Student Competition และการประกวด ARCASIA Awards for Architecture 

ซึ่งมีการส่งผลงานมากมาย การประชุม Council Meeting ของนายกสมาคมและผู้แทนของ 19 

ประเทศสมาชิก การจัดสัมมนาเชิงปฏิบัติการ(Professional Workshop, Technical Workshop) 

การสัมมนา Design Analysis Forum และ Design Research Lecture Series และ ACSR 

Symposium ซึ่งได้เปิดให้ลงทะเบียนเข้าร่วมสัมมนาได้โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายสำาหรับสมาชิกประเภท 

บุคคลและนักศึกษา สมาชิกประเภทนิติบุคคลสามารถลงทะเบียนส่งผู้เข้าร่วมสัมมนาได้ 2 ท่าน 

โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย โปรดติดตามรายละเอียดได้ในสื่อประชาสัมพันธ์และเว็บไซต์ http://www. 

arcasiaayutthaya2015.com 

ตอนนี้สมาคมฯ ได้ตั้งกรรมการเพื่อเตรียมการเข้าร่วมแสดงนิทรรศการ Venice Biennale 

2016 ที่จะจัดขึ้นวันที่28 พฤษภาคม ถึง 27 พฤศจิกายน 2559 ‘Reporting From The Front’ 

โดย Alejandro Aravena สถาปนิกชาวชิลีเป็นผู้กำาหนดแนวคิดในการจัดนิทรรศการนี้ คณะ- 

กรรมการได้พิจารณาเลือก ‘โรงเรียนพอดีพอดี’ ที่จังหวัดเชียงรายซึ่งมีลักษณะโครงการสอดคล้อง 

กับแนวคิดของงานโดยสถาปนิกทั้ง 9 บริษัทเข้าร่วมจัดและออกแบบนิทรรศการครั้งนี้ 

ประเด็นโครงการพัฒนาริมฝั่งแม่นำ้าเจ้าพระยา 14 กิโลเมตร หรือทางจักรยานเลียบแม่นำ้าของรัฐบาล 

ที่ได้มีการลงบทสัมภาษณ์ในฉบับที่แล้ว ตอนนี้มาถึงจุดที่ทางกทม. ได้ประกาศหาที่ปรึกษาผู้สนใจ 

เข้าร่วมเสนองานและมีผู้ร่วมเสนอชื่อ 3 กลุ่ม ทั้งนี้เงื่อนไขและขอบเขตของงานที่ทางกทม. ประกาศ 

ออกไปไม่ได้มีการปรับตามแนวทางที่ภาคี วิชาชีพวิชาการได้เสนอเพื่อให้กระบวนการเป็นไปอย่าง 

เหมาะสมและมีส่วนร่วม กลุ่มภาคีจึงได้เข้าพบประธานคณะอนุกรรมการออกแบบและภูมิสถาปัตย์ 

เพื่อชี้แจงถึงประเด็นปัญหาหากปล่อยให้ดำาเนินการไปตามที่เป็นอยู่ ท่านประธานฯ รับปากที่จะนัด 

ให้กลุ่มเข้าพบกับรองนายกประวิตร วงษ์สุวรรณ ประธานโครงการเพื่อนำาเสนอประเด็นปัญหาเพื่อให้ 

มีการปรับเปลี่ยนแนวทางการดำาเนินโครงการ หากไม่สำาเร็จคงจำาเป็นจะต้องออกมาต่อต้านโครงการ 

อย่างเต็มรูปแบบเช่นที่ทางกลุ่ม Friends of the River และ Change.org ตลอดจนที่กลุ่มประชา- 

สังคมอื่นๆ ได้ดำาเนินการอยู่ 

ในวารสารอาษาฉบับนี้ได้เน้นนำางานที่เกี่ยวกับ Corporate มาเสนอให้เห็นงานที่หลากหลาย 

ตามลักษณะของแต่ละโครงการ มีข้อน่าสังเกตว่างานอาคารสำานักงานหรือพื้นที่ทำางานได้มีการ 

เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม อาจจะเนื่องจากการให้ความสำาคัญกับลักษณะเฉพาะตัวของแต่ละองค์กร 

ที่มีผลต่อเนื่องจาก Branding หรือแม้กระทั่งความต้องการพื้นที่ทำางานที่มีบรรยากาศสร้างสรรค์ 

ตอบสนองกับการใช้ชีวิตและการทำางานของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไป 

นาย พิชัย วงศ์ไวศยวรรณ 

นายกสมาคมสถาปนิกสยามฯ 

ปี 2557-2559 


Retractable Pergola System 

Rain or shine... Day or night... 

Enjoy your lives with no limit... 

Complete your outdoor activities with pleasure and style ! 

Kesini Ville Size 13.0 X 8.0 M.

MESSAGE 

FROM 

THE PRESIDENT 

EXECUTIVE COMMITTEE 

THE ASSOCIATION OF 

SIAMESE ARCHITECTS 

UNDER ROYAL PATRONAGE 

2014—2016 

CONSULTANTS 

PROFESSOR SURAPON VIRULRAK, PH.D. 

SINN PHONGHANYUDH 

SATHIRUT TANDANAND 

PRABHAKORN VADANYAKUL 

PRESIDENT 


VICE PRESIDENT 

POL.LT.COL. BUNDIT PRADUBSUK, PH.D. 

ANUCHAR YUSANANDA 

PRADITCHYA SINGHARAJ 

VASU POSHYANANDANA, PH.D. 

ASSOC. PROF. TONKAO PANIN, PH.D. 

NITIS STHAPITANONDA 

SECRETARY GENERAL 

PRAKIT PHANANURATANA 

HONORARY REGISTRAR 

CAPT.ON-USAH CHIENGKUL 

HONORARY TREASURER 

KARNCHIT PUNYAKANOK 

SOCIAL EVENT DIRECTOR 

PREECHA NAVAPRAPAKUL 

PUBLIC RELATIONS DIRECTOR 

SURASSADA NIPARIYAI 

EXECUTIVE COMMITTEE 

CHAVALIT TANGMITJAROEN 

SUNANTAPAT CHALERMPANTH 

GP. CAPT. ADISORN BUNKHACHAI 

VINEETA KALYANAMITRA 

ASSOC. PROF. M.L. PIYALADA 

THAVEEPRUNGSRIPORN, PH.D. 

PONN VIRULRAK, PH.D. 

CHAIRMAN OF NORTHERN REGION (LANNA) 

ADUL HERANYA 

CHAIRMAN OF NORTHEASTERN REGION 

(ESAN) 

ASST. PROF. SURASAK LOHWANICHAI 

CHAIRMAN OF SOUTHERN REGION (TAKSIN) 

WIWAT JITNUAN 

From the 10 th to the 16 th of November 2015, the Association of Siamese Architects 

under Royal Patronage will be hosting the ARCASIA Council Meeting 36 & ARCASIA 

Forum 18 in Ayutthaya province. As some of you might remember, the association 

had taken on this role once before some ten years ago when the event was held in 

Chiang Mai. The featured activities for this year’s programming will include the Student 

Competition and ARCASIA Awards for Architecture and have so far welcomed the 

submission of a great number of works. We will also be holding the Council Meeting, 

which will be participated in by presidents and representatives from the 19 member 

countries. The Design Analysis Forum, Design Research Lecture Series and ACSR 

Symposium are also open for registration and students and individual members are 

exempt from all charges. As for each juristic member, two persons can register for 

the seminars for free as well. Further information about the event is available from 

the media and website: http://www.arcasiaayutthaya2015.com 

The next exciting news is our participation in the Venice Biennale 2016, which 

will take place from the 28 th of May to the 27 th of November 2016 under the theme 

‘Reporting From The Front,’ proposed by Alejandro Aravena, the eminent architect 

appointed as this year’s artistic director. The association has already formed a committee 

to oversee the selection of the works that will be featured in the event and ultimately, 

the ‘Por Dee Por Dee Schools’ project in Chiang Rai has been chosen due mainly to 

the fact that the concept and execution of the works answer rightly to the essence 

of the event’s vision. The 9 architecture firms who are behind the success of the 

project will take part in the design and organization of the exhibition as well. 

As for the 14-kilometer promenade project or the Government’s riverside bicycle 

lane that I discussed in the previous issue of ASA, the Bangkok Metropolitan Administration 

has now called for interested parties who will be contributing as the project’s 

consultants and 3 groups have currently been nominated. Nevertheless, the announced 

conditions and scope show that the BMA has neglected to follow the approach proposed 

by the professional and academic network, which calls for a more appropriate 

and participatory process. The network has met with the Chairman of the Design 

and Landscape Architecture Subcommittee to discuss the issue and prospective 

dilemmas if this were to be the trajectory where the process would be undertaken. 

The Chairman promised to organize a meeting between the network and Deputy 

Prime Minister Prawit Wongsuwan, the project’s Chairman, in which the network’s 

representatives can address and explain the issues in order for substantial changes 

to be made. If the attempt fell through, the next step for us would be to participate 

in the proactive opposition, which is the measure currently taken by Friends of the 

River, Change.org and other civic groups. 

Many interesting corporate projects are featured in this issue of ASA as we notice 

certain changes in the design of our office building and space. Such transformation 

happens, possibly, as a result of an organization’s branding strategy and formation 

of corporate identity. In the meantime, there are growing trends and preferences for 

the creative working space designed to better suit the changing lifestyle and work 

habits of the new generation workforce. 


ASA PRESIDENT 2014-2016 


Detail 

ทางเข้าหลัก 

ของบ้านใช้ 

ชายคายื่นเลย 

ออกมากว่า 

4 เมตร ด้วย 

โครงสร้างเหล็ก 

จึงทำาให้ดูบาง 

ไม่ใหญ่เทอะทะ 

Tin Home Toy 

Owner : คุณสุรัฐชัย และคุณนุตร์ เชนยะวณิช 

Designer : คุณนุตร์ เชนยะวณิช และ คุณจิรายุทธ ชัยจำารูญผล 

ที่มำ และแนวคิดในกำรออกแบบ 

คุณนุตร์ เชนยะวณิช เจ้าของผลิตภัณฑ์ตกแต่งบ้านทำาจากสังกะสี แบรนด์ Tin 

Home Toy ที่มีรูปแบบเป็นเอกลักษณ์ คือ สวย ดิบ เท่ ต้องการทำ าบ้านหลังใหม่ 

ติดกับสำานักงานหลังเดิมให้แสดงออกถึงตัวตน และสอดคล้องกับสไตล์ของ 

ผลิตภัณฑ์ที่ตัวเองได้ออกแบบ จึงได้เกิดบ้านสวยที่ผสมผสานวัสดุได้อย่างลงตัว 

หลังนี้ 

กำรใช้โครงสร้ำงเหล็กรูปพรรณรีดร้อน 

บ้านโมเดิร์นหลังนี้นอกจากต้องการให้มีการผสมผสานวัสดุได้อย่างน่าสนใจแล้ว 

เจ้าของยังตั้งใจให้มีกลิ่นอายของสถาปัตยกรรมทรอปิคอลด้วย เพื่อให้บ้านไม่ 

แข็งเกร็งและน่าเบื่อ ซึ่งจะเห็นได้จากหลังคาทรงจั่วสูง ชายคาที่ยื่นยาว และพื้นที่ 

โปร่งสบายแบบไทยๆ การเลือกใช้โครงสร้างเหล็กในส่วนการยื่นยาวของชายคา 

และโครงสร้างเสาลอย ช่วยส่งเสริมให้บ้านสอดคล้องกับแนวคิดทรอปิคอลยิ่งขึ้น 

นอกจากนี้การใช้โครงสร้างเหล็กรูปพรรณรีดร้อนยังช่วยให้การก่อสร้างสะอาด 

รวดเร็ว ไม่รบกวนอาคารสำานักงานเดิมที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ใกล้เคียงด้วย 

Tip : กำรใช้เหล็กโครงสร้ำงรูปพรรณรีดร้อนที่เจือสำรอัลลอย 

เช่น โบรอน อำจส่งผลต่อคุณสมบัติของเหล็กในขณะที่ 

ทำกำรเชื่อมเหล็ก 

ทำาให้รอบๆรอยเชื่อมมีโอกาสแตกและร้าวได้ง่าย ซึ่งก่อให้เกิดความไม่ปลอดภัย 

ในโครงสร้างอาคาร หรือที่อยู่อาศัย ดังนั้นการเลือกใช้เหล็กโครงสร้างรูปพรรณ 

รีดร้อน ควรเลือกเหล็กที่ไม่เจือสำรอัลลอย เช่น โบรอน เพื่อความปลอดภัย 

ในงานเชื่อม เเละเหล็กทุกท่อนมีเครื่องหมายที่สามารถตรวจสอบและติดตาม 

ได้อย่างชัดเจน 

ร่วมสนุกกับ SYS เพียงตอบคำถำมว่ำ 

เหล็กที่เหมาะกับงานเชื่อม ไม่ทำาให้ชิ้นงานแตกร้าวได้ง่าย คือเหล็กประเภทใด 

กด AS31 ไม่เจือสารอัลลอย เช่น โบรอน 

กด AS32 เจือสารอัลลอย เช่น โบรอน 

ส่ง SMS โดยพิมพ์ AS31 หรือ AS32 แล้วส่งมาที่ 4535300 

( ผู้ร่วมสนุกเป็นผู้เสียค่าใช้จ่ายในการส่ง ครั้งละ 3 บาท ) หมดเขต 30 พฤศจิกายน 2558 

ประกาศรายชื่อผู้โชคดีทาง www.syssteel.com ในวันอังคารที่ 8 ธันวาคม 2558 

บริษัทขอสงวนสิทธิ์สำาหรับท่านที่ยังไม่เคยร่วมกิจกรรม campaign นี้ ในนิตยสารใดๆ มาก่อน 

ผู้ที่ส่งคำาตอบที่ถูกต้องเข้ามา 10 ท่านแรก รับไปเลย บัตรเติมนมัน ปตท. PTT GIFT CARD 

มูลค่า 500 บาท ( ผู้ร่วมสนุกทุกท่านรับฟรี เสื้อยืด SYS )

NEWS 

ASA-CAN 

01 

WORKSHOP 

REBORN 

01 

นับเป็นปีที่สองแล้วสำหรับ ASA-CAN เวิร์คชอป จัด 

โดยกรรมำธิกำรฝ่ำยสถำปนิกชุมชน (ASA Community 

Architect Network Committee) จำกปีที่แล้วที่ได้มีกำร 

ออกแบบศูนย์ชุมชนและสนำมเด็กเล่นที่ชุมชนคลองตำก๊ก 

จังหวัดสมุทรปรำกำร มำในปีนี้พื้นที่สำหรับกำรจัดเวิร์คชอป 

คือ ตลำดฉัตรไชย อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ 

ภำยใต้ธีม ‘Reborn’ โดยตลำดฉัตรไชยหรือเรียกอีกชื่อหนึ่งว่ ำ 

‘ตลำดเจ็ดโค้ง’ (เนื่องจำกมีหลังคำโค้ง ติดกันเจ็ดชุด) ถูก 

สร้ำงขึ้นในสมัยรัชกำลที่ 7 และถูกใช้สอยมำจนถึงปัจจุบัน 

บริเวณด้ำนล่ำงของอำคำรเป็นพื้นที่ขำยของสด เครื่องแกง 

ผัก ผลไม้ ในขณะที่พื้นที่เช่ำชั้นสองของตลำดฉัตรไชยถูก 

ทิ้งร้ำง เหลือผู้ใช้งำนจริงน้อยรำย โจทย์สำคัญที่ได้รับจำก 

เทศบำลหัวหินคือกำรออกแบบพื้นที่ชั้นสองเพื่อฟื้นฟูตลำด 

ฉัตรไชยและอำเภอหัวหินพร้อมๆ กัน โดยใช้ยุทธวิธีกำร 

ออกแบบ วิธีเก็บข้อมูล วิธีพูดคุยกับผู้คน และกำรสร้ำง 

เครื่องมือทำงำนร่วมกับชุมชน ซึ่งครั้งนี้มีอำสำสมัครนักศึกษำ 

สถำปัตยกรรม 12 คนจำก 8 สถำบันกำรศึกษำ เข้ำร่วม 

ฝังตัวในพื้นที่ทั้งสิ้น 10 วัน ตั้งแต่วันที่ 6-15 พฤษภำคม 

ที่ผ่ำนมำ โดยในปีนี้มีทีมสถำปนิกจำก Openspace, 

OpenBox และ Apostrophy’S เป็นพี่เลี้ยงคอยให้คำแนะนำ 

14 ASA NEWS วารสารอาษา

ในช่วงแรกนักศึกษำผู้เข้ำร่วมเวิร์คชอปได้ทัศนศึกษำ 

สถำนที่สำคัญในบริเวณเทศบำลหัวหิน ได้แก่ สถำนีรถไฟ 

โครงกำรเพลินวำน และสะพำนปลำ เพื่อให้เกิดควำมเข้ำใจ 

บริบทในเบื้องต้น จำกนั้นทีมนักศึกษำมีเวลำทำงำน 3 วัน 

เพื่อเตรียมนำเสนอข้อมูล ประเด็นสำคัญ และทิศทำงของ 

โครงกำรต่อกรรมกำรตลำด โดยแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม 

ทีมแรกลงพื้นที่พูดคุยกับพ่อค้ ำแม่ค้ำในตลำด สำรวจพื้นที่ 

โดยรอบรังวัดพื้นที่ชั้น 2 เพิ่มเติม และสำรวจเส้นทำง 

กำรจรำจรซึ่งมีผลต่อกำรเข้ำถึงพื้นที่ตลำดฉัตรไชย ส่วนทีม 

ที่สองรวบรวมข้อมูลพื้นฐำนอำเภอหัวหินจำกแหล่งข้อมูล 

ต่ำงๆ ในช่วงนี้ยุทธวิธีกำรออกแบบเครื่องมือสร้ำงกำรมี 

ส่วนร่วมเป็นสิ่งสำคัญซึ่งกษมำ แย้มตรีจำก Openspace 

ได้ช่วยบรรยำย ยกตัวอย่ำงกรณีศึกษำต่ำงๆ ที่น่ำสนใจให้ 

ทีมนักศึกษำสำมำรถนำไปประยุกต์และปรับใช้เพื่อนำ 

เสนองำนต่อพ่อค้ำแม่ค้ำ กำรนำเสนอครั้งแรกจัดขึ้นบน 

พื้นที่ชั้น 2 ของตลำด โดยมีกรรมกำรตลำด ตัวแทน 

เทศบำล และตัวแทนพ่อค้ำแม่ค้ำเข้ำร่วมรับฟังทีมนักศึกษำ 

เน้นกำรเสนอข้อมูลภำพรวมและให้ควำมสำคัญกับผังที่ 

จอดรถ โดยให้ผู้เข้ำร่วมสำมำรถเขียนควำมเห็นลงในผังได้ 

กำรเริ่มเรียนรู้กำรจัดกำรเครื่องมือกำรนำเสนอคือหัวใจ 

สำคัญ โดยมีทีม Openspace, OpenBox และ Apostrophy’S 

คอยให้คำแนะนำ กำรนำเสนอรูปแบบศูนย์เรียนรู้ตลำด 

ฉัตรไชยต่อนำยกเทศบำลหัวหินจัดขึ้นที่ห้องประชุมใหญ่ 

ของเทศบำลโดยมีกรรมกำรตลำดและตัวแทนพ่อค้ำแม่ค้ำ 

เข้ำมำร่วมรับฟัง ซึ่งทำงเทศบำลกล่ำวว่ำจะนำข้อเสนอ 

ของทีมนักศึกษำไปหำรือกับผู้เช่ำในรำยละเอียดต่อไป 

ติดตำมกำรทำงำนของอำสำสมัครสถำปนิกรุ่นใหม่กับ 

โครงกำรฟื้นฟูตลำดเจ็ดโค้งได้ที่ www.facebook.com/ 

CommunityActNetwork 

01 หุ่นจำลองรูปแบบกรปรับปรุง 

ตลดฉัตรไชยเสนอโดยผู้เข้ร่วม 

เวิร์คชอป 

02 บรรยกศของกระบวนกร 

ออกแบบอย่งมีส่วนร่วม 

TEXT AND PHOTOS 

Mek Sayasevi 

02 

Held for the second consecutive year, ASA-CAN, 

the workshop organized by ASA Community Architect 

Network Committee continues its journey from the 

previous year that featured the design of a community 

center and playground for the Klong Takok Community 

in Samutprakarn province to this year’s event where 

the Chatchai Market in Hua Hin, Prachuap Khiri Khan 

was designated as a space for a workshop held under 

the theme ‘Reborn.’ Chatchai Market, known by the locals 

as ‘Jed Kong Market’ (or the seven curves market, a 

name which is derived from its structure of a series of 7 

consecutive curved roofs) was built during the reign of 

King Rama VII and has remained open up until today. 

The ground floor is occupied with stalls selling fresh 

produce including chili pastes, vegetables and fruits, 

etc. whereas the space on the second floor is mostly 

left unused with only a few merchants opening their 

shops. To revive both the market and the Hua Hin 

district at the same time, the team employed a design 

strategy that included data collection, interviews and 

the creation of tools to facilitate the community’s 

participation in the process. The workshop was joined 

in force by 12 architecture students from 8 institutions 

who worked in the area for 10 days (6-15 May 2015) 

with teams of architects from Openspace, OpenBox 

and Apostrophy’S as their mentors. 

In the beginning, the students went on a fieldtrip to 

see all of Hua Hin’s landmarks such as the Hua Hin Train 

Station, Plern Wan Market and Hua Hin Jetty in order to 

have a better understanding of the basic context of the 

site. The students then had 3 days to work before the 

presentation of important data and issues as well as 

direction of the project were made in front of the Market’s 

committee. Divided into two teams of six, the first team 

interviewed the merchants, explored the market and the 

surrounding area and made additional measurements 

of the second floor space including studying the traffic 

that affects the market’s accessibility. The second team 

collected basic information about Hua Hin from different 

sources. For this stage, design strategies and tools that 

could enhance the public’s participation were the key to 

success. Kasama Yamtree of Openspace gave a lecture 

regarding interesting case studies for students to learn 

from, apply and use when they had to present their ideas 

to the merchants. The first presentation was organized 

on the second floor of the market in front of the market 

committee, representatives from the municipal office 

and merchants. The students presented general information 

highlighting the importance of the parking lot’s 

plan while participants were encouraged to write down 

their opinions regarding the plan. Learning to work with 

presentational tools was a key element of this process 

and the folks of Openspace, OpenBox and Apostrophy’S 

offered their guidance. 

The second presentation of Chatchai Market Learning 

Center was held at the conference room of the municipal 

office and was participated in by the market’s committee 

and representatives of the merchants. The municipal 

office has confirmed that the students’ proposal 

will be discussed further and in more detail with the 

tenants in the future. 

For more stories and updates regarding these new 

generation architects and their volunteering spirits in the 

Chatchai Market project, please visit www.facebook. 

com/CommunityActNetwork 


THE VANN 02 

MOLYVANN 

PROJECT 

01 

02 

เมื่อวันที่13 มิถุนายน ที่ผ่านมา ได้มีการจัดงานเปิดตัว 

โครงการ The Vann Molyvann Project: Summer School 

2015 ขึ้นที่ SA SA BASSAC Gallery กรุงพนมเปญ 

ประเทศกัมพูชา ซึ่งเป็นโปรแกรมการศึกษาที่เกิดขึ้นเพื่อ 

ต่อยอดการวิจัยทางสถาปัตยกรรมภายใต้ชื่อ The Vann 

Molyvann Project นาโดยสถาปนิกชาวแคนาดา Bill Greaves 

และสถาปนิกและนักผังเมืองชาวกัมพูชา Pen SereyPagna 

The Vann Molyvann Project เป็นโครงการที่เกิดขึ้น 

จากการรวมตัวกันของสถาปนิกชาวกัมพูชาและนานาชาติ 

โดยมีจุดประสงค์เพื่อสารวจและบันทึกข้อมูลผลงานการ 

ออกแบบของสถาปนิกคนสาคัญของประเทศกัมพูชาอย่าง 

Vann Molyvann ที่นับวันยิ่งค่อยๆ เลือนหายไปจากหน้า 

ประวัติศาสตร์มากขึ้นทุกที โครงการนี้เริ่มดาเนินการมา 

ตั้งแต่ปี 2009 หรือหนึ่งปีให้หลังจากการรื้อถอนโรงละคร 

แห่งชาติพระสุรมฤต ซึ่งนับเป็นผลงานการออกแบบที่ส าคัญ 

ที่สุดชิ้นหนึ่งของสถาปนิกคนดังกล่าว รวมทั้งยังถือเป็น 

เครื่องหมายที่ส าคัญของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในประเทศ 

กัมพูชาที่ถูกสร้างขึ้นในช่วงปี 1950 ถึง 1960 ก่อนหน้า 

การยึดครองอานาจของกลุ่มกองกาลังลัทธิคอมมิวนิสต์ 

เขมรแดงอีกด้วย 


ภำยใต้กำรสนับสนุนของสถำนเอกอัครรำชทูตสหัรฐฯ 

ประจำประเทศกัมพูชำ และ Parsons the New School 

for Design จำกนครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ โครงกำร 

Summer School ในปี 2015 นี้ จึงถือกำเนิดขึ้น เพื่อเป็น 

อีกหนึ่งควำมพยำยำมในกำรต่อยอดจุดประสงค์ของโครงกำร 

The Vann Molyvann Project ให้เข้ำถึงกลุ่มผู้สนใจที่หลำก- 

หลำยมำกขึ้น ผ่ำนกำรจัดเวิร์กชอปทำงสถำปัตยกรรมร่วมกัน 

ระหว่ำงนักศึกษำกัมพูชำจำกมหำวิทยำลัยภูมินทร์วิจิตรศิลป์ 

(Royal University of Fine Arts) และมหำวิทยำลัยนอร์ตัน 

(Norton University) และนักศึกษำอเมริกันจำก Parsons 

The New School for Design โดยมีนำย Pen SereyPagna 

มำรับหน้ำที่เป็นผู้อำนวยกำรวิจัยประจำโครงกำร ในเวิร์กชอป 

นี้ นักศึกษำจะได้ลงพื้นที่สำรวจรังวัด และเก็บบันทึกข้อมูล 

ผลงำนกำรออกแบบของ Vann Molyvann ถึง 4 ผลงำนด้วย 

กัน อันได้แก่ 1.) สถำบันปำสเตอร์ประจำกรุงพนมเปญ 

2.) พระรำชวังสีหนุวิลล์ 3.) ธนำคำรแห่งชำติประจำกรุง 

สีหนุวิลล์และ 4.) มหำวิทยำลัยภูมินทร์พนมเปญ วิทยำเขต 

พนมเปญ พร้อมกันนี้ผลสัมฤทธิ์ที่ได้จำกเวิร์กชอป ทั้งใน 

รูปของแบบรังวัดและแบบจำลอง ยังถูกนำมำจัดแสดงผ่ำน 

นิทรรศกำรและเว็บไซต์ เพื่อให้ผู้ที่สนใจสำมำรถเข้ำชมได้ 

ตลอดโดยไม่ต้องเสียค่ำใช้จ่ำยใดๆ นอกจำกนี้ The Vann 

Molyvann Project: Summer School 2015 ยังเปิดให้บุคคล 

ทั่วไปที่สัญจรผ่ำนไปผ่ำนมำ ได้เข้ำไปสังเกตกำรณ์และมี 

ส่วนร่วมกับกิจกรรม กำรเสวนำ และเวิร์กชอปต่ำงๆ ของ 

นักศึกษำที่เกิดขึ้นตลอด 3 เดือนอีกด้วย โครงกำรเปิดให้ 

เข้ำชมถึงวันที่ 5 กันยำยน ที่ SA SA BASSAC Gallery 

กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชำ รำยละเอียดเพิ่มเติมดูได้ที่ 

เว็บไซต์vannmolyvannproject.org หรือที่sasabassac.com/ 

exhibition.htm 

TEXT 

Paphop Kerdsup 

PHOTOS 

Courtesy of The Vann 

Molyvann Project 

03 

04 

01-02 แบบจำลองสถบันภษ 

ต่งประเทศ 

03 แบบศูนย์ประชุมจตุมุข 

(Chatomuk Conference 

Hall) 

04 ภพสถบันภษต่งประเทศ 

05 ภพบรรยกศของเวิร์กชอป 

ที่จัดร่วมกันระหว่งมหวิทยลัย 

ในกัมพูชและ Parsons the 

New School for Design 

On the 13 th of June, the Vann Molyvann Summer 

School Project 2015 was launched at the SA SA BASSAC 

Gallery in Phnom Penh, Cambodia. This is an educational 

program intending to develop architectural research under 

the name of The Vann Molyvann Project. The project is 

led by Canadian architect, Bill Greaves and Cambodian 

architect and city planner, Pen SereyPagna. 

The Vann Molyvann Project was formed jointly by 

Cambodian and international architects with an aim to 

explore and record information on the design work of an 

important architect working in Cambodia, Vann Molyvann 

whose works have been gradually disappearing from 

history. This project began in 2009, one year after the 

demolition of the Preah Suramarit National Theatre, the 

major and most important work designed by the 

architect. This building was also a hallmark of modern 

architecture in Cambodia built from 1950-1960, and 

before the occupation of the Communist Khmer 

Rouge Forces. 

With the support of the American Embassy in Cambodia 

and Parsons The New School for Design, New York, the 

2015 Summer School Project was held as an attempt 

to expand the purpose of The Vann Molyvann Project. 

In essence, the efforts aim to engage a wider audience 

of interested persons including students from the Royal 

University of Fine Arts, Norton University and Parsons The 

New School for Design. Pen SereyPagna is the director 

of research for this project. In this workshop, students 

will survey and record information of works designed 

by Vann Molyvann including four sites: 1) the Pasteur 

Institute, Phnom Penh, 2) the Royal Residence Sihanoukville, 

3) The National Bank of Cambodia, Sihanoukville, and 

4) Phumin Phnom Penh University, Phnom Penh Campus. 

Furthermore, the findings from the workshop gained 

through the surveying and modeling will be presented 

in an exhibition and a website to enable those interested 

to visit and access the information free of fee. Moreover, 

The Vann Molyvann Summer School 2015 Project is also 

open for passersby to observe and participate in other 

activities, talks and student workshops taking place over 

a 3-month period. The project is on view until the 5 th of 

September at SA SA BASSAC Gallery, Phnom Penh, 

Cambodia. For more information, please visit their websites: 

www.vannmolyvannproject.org or at www. 

sasabassac.com/exhibition.htm 

05 


WORK IN PROGRESS 

RAMKHAMHAENG 30 

OFFICE 

HYPOTHESIS 

02 

จากอาคารสูง 7 ชั้น ภายในซอยรามคาแหง 30 ซึ่ง 

เดิมถูกใช้เป็นโรงเรียนสอนพิเศษและเป็นโบสถ์ขนาดเล็ก 

ถูกปรับเปลี่ยนใหม่ให้กลายเป็นอาคารส านักงานสาหรับเช่า 

และมีบริเวณดาดฟ้าที่ประกอบด้วยสวนหย่อม รวมถึง 

พื้นที่สาหรับจัดงานปาร์ตี้ สถาปนิกได้ออกแบบอาคาร 

ให้มีลักษณะเปิดเผยด้วยการแสดงผิวของวัสดุทั้งภายนอก 

และภายในอาคารอย่างตรงไปตรงมา เช่น การแสดงให้ 

เห็นถึงท่อน้าที่อยู่บริเวณด้านหน้าอาคารที่มีรูปแบบหลาก 

สีสันผสมผสานกับท่อเดิม อาคารมีความโดดเด่นหากแต่ 

ยังคงความกลมกลืนกับบริบทโดยรอบ เนื่องจากอาคาร 

ตั้งอยู่ภายในซอยรามค าแหง 30 ที่มีเสาไฟฟ้าสูง 6 เมตร 

และหม้อแปลงขนาดใหญ่ ซึ่งมีผลต่อการมองเห็นจาก 

มุมมองของผู้คนที่เดินผ่านไปมา สถาปนิกตั้งใจออกแบบ 

ให้ตัวอาคารมีความสอดคล้องกับลักษณะของเสาไฟ 

นอกจากนี้ยังมีกลไกต่างๆ เพิ่มเติมภายในอาคาร เช่น 

หน้าต่างที่ถูกออกแบบให้เป็นระบบรอกมือหมุนในการเปิด 

คล้ายคลึงกับกลไกการหมุนของเครื่องจักร ซึ่งสอดคล้อง 

กับการใช้งานภายในโครงการที่ส่วนใหญ่เป็นสานักงาน 

เกี่ยวกับงานด้าน IT (Information Technology) 

01-02 อาคารแสดงผิววัสดุตาม 

จริงและแสดงท่อน้ำาที่อยู่บริเวณ 

ด้านหน้าอาคารอย่างหลากสีสัน 

ผสมผสานกับท่อเดิม 

01 

22 ASA WORK IN PROGRESS วารสารอาษา

This 7 storey building located on Soi Ramkhamhaeng 

30 previously served as a school for tutoring 

and a church prior to the owner’s recent decision to 

renovate the space into a rental office. The architect 

purposefully revealed materials of both the interior 

and exterior, such as the now memorable piping, and 

emphasized their presence by painting them in bright 

and surprising colors different from the original design. 

The architect took the context of the site into account, 

in which electrical posts and other elements affect the 

perspective of the building, and designed the structure 

to fit harmoniously within the surroundings. Moreover, 

the windows were designed with mechanisms fit to the 

function of the building, an IT (Information Technology) 

office. 

03 ลักษณะอาคารภายนอก 

03 

LOCATION 

Soi Ramkhamhaeng 30 

ARCHITECT 

Hypothesis 

MEMBER ID 

12573 

INTERIOR DESIGNER 

Hypothesis 

LANDSCAPE DESIGNER 

Hypothesis 

STRUCTURAL ENGINEER 

PowerPlus 

SYSTEM ENGINEER 

PowerPlus 

BUILDING AREA 

2,500 sq.m. 

CONSTRUCTION COST 

40 Million Baht 

1.3 M 

2.4 M 

24 ASA WORK IN PROGRESS วารสารอาษา 

1.3 M

SUKHUMVIT 91 HOUSE 

ARCHIMONTAGE DESIGN FIELDS SOPHISTICATED 

01 

01 ลักษณะอาคารภายนอก 

02 มุมมองจากภายในอาคาร 

02 

โครงการบ้านพักอาศัยขนาด 2 ชั้น ที่เจ้าของโครงการ 

ต้องการความเป็นส่วนตัวท่ามกลางบริบทอันแออัด ด้วย 

พื้นที่รอบข้างทั้งด้านข้างและด้านหลังซึ่งติดกับอาคาร 

พักอาศัยสูง 8 ชั้น ทาให้บดบังมุมมองและลมจากทาง 

ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ สถาปนิกจึงแก้ปัญหาโดยการ 

ออกแบบผังพื้นที่ภายในอาคารให้เป็นรูปตัวU ที่มีลักษณะ 

เกือบเป็นตัว O เพื่อให้เกิดพื้นที่ว่างตรงกลางและกลาย- 

เป็นใจกลางของบ้าน โดยออกแบบให้พื้นที่บริเวณดังกล่าว 

เป็นสระว่ายน้าและสวนดาดฟ้าที่อยู่ตาแหน่งด้านบนของ 

โรงจอดรถ นอกจากนี้สวนดาดฟ้ายังเชื่อมต่อกับผนัง 

น้าตกที่ทาหน้าที่เป็นผนังกันตกด้วย ซึ่งน้าตกจะไหลลง 

สู่สระว่ายน้ าซึ่งอยู่ในระดับที่ต่ ากว่า ช่วยสร้างบรรยากาศ 

ของเสียงน้าและแสงธรรมชาติที่ลอดเข้าสู่ภายในตัวอาคาร 

อย่างไรก็ตามบ้านยังคงความเป็นส่วนตัวด้วยระแนงไม้- 

เทียมตีตามนอนบริเวณด้านหน้าอาคาร ซึ่งช่วยพราง 

สายตาจากผู้คนที่พลุกพล่านภายนอก และคนที่อยู่ชั้น 

บนของอาคารพักอาศัยสูง 8 ชั้น ในเวลากลางวัน และ 

เผยความมีชีวิตชีวาในเวลากลางคืน เมื่อแสงสว่างจาก 

การใช้งานภายใน ลอดผ่านผนังระแนงบังตา ให้คน 

ภายนอกได้เห็นอย่างสลัว 


03 

1ST FLOOR 

1 Parking 

2 Entrance 

3 Swimming pool 

4 Terrace pool 

5 Bedroom 

6 Working area 

7 Drawing room 

8 Dining room 

9 Toilet 

10 Kichen 

11 Maid room 

12 Storage 

13 Garden 

9 

6 7 8 

4 

5 

3 

10 

03 มุมมองจากภายในอาคาร 

2 

13 

1 

11 

12 

An intense context and an adjacent 8-storey high 

building surround the site of this 2-storey residential 

project. The height of the neighboring building hides the 

perspective of the house as well as restricts ventilation; 

therefore, the architect decided to create a ‘U’ shaped 

circulation plan for the house allowing for an open space 

to emerge in the middle of the house. Furthermore, this 

core space was designed to support a swimming pool 

and a deck while the lower floor of the same position 

hosts the garage. A partition on the deck connects the 

swimming pool to a waterfall wall, allowing for the sound 

of water and natural light to pass into the house. The 

horizontal lath facade further aids in making the house 

feel private and camouflaged from the chaotic outside. 

OWNER 

Mr.Dumrong Tintamusik 

LOCATION 

Sukhumvit 91 Bangkok 

ARCHITECT 

archimontage design 

fields sophisticated 

MEMBER ID 

07415 








SMCL Construction 


SMCL Construction 

BUILDING AREA 

750 sq.m. 



1.5 M 


Hunter Douglas 

“The world leading supplier of 

architectural product solutions” 

“อย่าปิดกั้นไอเดียดีๆของคุณด้วยเงื่อนไขของวัสดุแบบเดิมๆ 

Hunter Douglas ดีไซน์ได้มากกว่าที่คุณคิด” 

Hunter Douglas บริษัทชั้นนำจกประเทศเนเธอร์แลนด์ ซึ่งเป็นผู้คิดค้นและผลิต 

อลูมิเนียมแผ่นรยแรกของโลก ทำให้ Hunter Douglas เป็นผู้นำทงด้นผลิตภัณฑ์ 

Architectural Products ระดับโลก ภยใต้แบรนด์ LUXALON ® ที่มุ่งมั่นในกร 

สร้งสรรค์นวัตกรรมในกรตอบสนองควมต้องกรของผู้ออกแบบเพื่อนำมสู่ 

กรสร้งสรรค์งนด้นสถปัตยกรรมกรตกแต่งทั้งภยในและภยนอกอคร 

ไม่ว่จะเป็น Ceilings, Claddings, FaÇade หรือ Sun Louvers ล้วนผลิตจก 

Aluminum Alloy เกรดสูงตมมตรฐนยุโรปและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยมี 

กรพัฒนรูปแบบกรใช้งนที่หลกหลย และมุ่งเน้นเทคโนโลยีที่ทันสมัยสำหรับกร 

ตกแต่งอครในรูปแบบต่งๆ LUXALON ® จึงเป็นที่ยอมรับแพร่หลยจกโครงกร 

ชั้นนำทั้งในและต่งประเทศ 

ทั่วโลกต่งให้ควมเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์คุณภพพร้อมด้วยทีมงนที่มีประสิทธิภพ 

ภยใต้ชื่อ Hunter Douglas ที่มีประสบกรณ์ยวนนกว่ 90 ปี 

วันนี้ Hunter Douglas Thailand กลับมยืนยันควมสำเร็จอีกครั้ง เพื่อร่วมสร้ง 

นวัตกรรมใหม่ๆ ในทุกรูปแบบให้กับคุณ “เพียงแค่คุณคิด เรสรรสร้งให้” 

Hunter Douglas Thailand 

124 Krungthep Kreetha Road, 

Saphansung, Bangkok 10250 

T : 66.2.368.4141 F : 66.2.368.4144 

E : info@hunterdouglas.asia 

w : www.hunterdouglas.asia

SPEED OFFICE 

MAINCOURSE ARCHITECT 

01 

โครงการ Speed Office ถูกสร้างขึ้นจากความต้องการ 

ของบริษัท Speed Computer Co., Ltd. ที่ต้องการรองรับ 

การขยายตัวของบริษัทในอนาคต โดยให้การใช้สอยใน 

อาคารครอบคลุมทั้ง สานักงาน ห้องประชุม พื้นที่เก็บ 

สินค้า ที่พักอาศัย และทาหน้าที่เป็นสานักงานใหญ่ของ 

บริษัทที่ตั้งอยู่ริมถนนบางนา-ตราด ซึ่งง่ายต่อการเข้าถึง 

ด้วยความต้องการใช้สอยพื้นที่จานวนมากแต่พื้นที่สาหรับ 

ก่อสร้างมีอยู่อย่างจากัด ผู้ออกแบบจึงต้องสร้างอาคาร 

ค่อนข้างเต็มพื้นที่ การออกแบบหน้าต่างมีขนาดใหญ่ มี 

ความสูงถึงสองชั้น โดยสถาปนิกเลือกวางตาแหน่งหน้าต่าง 

นี้เพียงเฉพาะบางจุดที่สาคัญอย่างสอดคล้องกับการใช้ 

งานภายในอาคารแทนการเจาะช่องหน้าต่างขนาดเล็ก 

จานวนมาก นอกจากนี้ยังใช้จุดเด่นของหน้าต่างบานใหญ่ 

ให้กลายเป็นพื้นที่ด้านบนของอาคารอย่างเป็นประโยชน์ 

โดยออกแบบผนังเอียงรับกับหน้าต่างและแนวฝ้าเพดาน 

ทาให้ผนังเอียงของพื้นที่ภายในอาคาร สามารถทาหน้าที่ 

เป็นอัฒจรรย์บนดาดฟ้า ใช้จัดประชุมพนักงาน และสังสรรค์ 

ในโอกาสต่างๆ ได้อีกด้วย อีกมุมหนึ่งของอาคารนั้นมี 

ผนังเอียงในลักษณะเดียวกันซึ่งทาหน้าที่บดบังการมอง 

เห็นทางด่วนของผู้ใช้อาคาร สาหรับการเลือกใช้วัสดุ 

สถาปนิกเลือกคอนกรีตสแตมป์ลายเป็นหลัก เพื่อเน้น 

รูปทรงของอาคารและช่องแสงให้มีความชัดเจน 

01 สถาปนิกเลือกวางตำาแหน่ง 

หน้าต่างขนาดใหญ่เฉพาะบาง 

จุดอย่างสอดคล้องกับการใช้ 

งานภายใน 

02 บรรยากาศภายในอาคาร 

02 


The Speed Office was constructed following the 

needs of the owner of Speed Computer Co., Ltd. to 

extend the office building located next to Bangna-Trad 

Road to accommodate more functions. The Speed 

Office was designed to house offices, meeting rooms, 

a stock space and the dwelling and main office of the 

company. Although many functions required support 

within the Speed Office building, the overall area was 

limited. This factor contributed to the design where 

all functions were fit within the building area. The 

architect constructed the building with high windows 

instead of many small windows, some of which were 

set into the leaned ceiling allowing for the opposite 

side of the ceiling to function as a grandstand on the 

rooftop. These elements further created an exterior 

meeting space fit to host various functions. 

1 M. 

3RD FLOOR PLAN 

1 Offices 

2 Meeting Room 

3 Reception Counter 

4 Toilet 

5 Residential Area 

5 

4 

03 

3 

3 

2 

04 

03 บรรยากาศภายในอาคาร 

04 มุมมองจากถนนภายนอก 

OWNER 

Speed Computer 

LOCATION 

Bangna-Trad Rd. 

ARCHITECT 

Maincourse Architect 


Maincourse Architect 


Chittinat 

Wongmaneeprateep 


Chittinat 

Wongmaneeprateep 

THIRD FLOOR PLAN 

BUILDING AREA 

900 sq.m. 



1 

1 

1 M 

1 Offices 

2 Meeting ro 

3 Reception 

4 Toilet 

5 Residentia 


SCG 100TH YEAR 

BUILDING 

TEXT 

Jaksin Noiraiphoom 

PHOTOS 

Tiranar Srihabua 

except as noted 

BANGKOK 

DESIGN 103 INTERNATIONAL 

36 ASA THEME วารสารอาษา

เพราะองค์กรคือหน่วยทางสังคมรูปแบบหนึ่งซึ่ง 

เกิดจากการรวมตัวกันของกลุ่มคนจากหลากหลายที่มา 

แต่ละคนจึงย่อมมีความต้องการที่แตกต่างกันไป ดังนั้น 

ในการออกแบบสถาปัตยกรรมเพื่อเป็นตัวแทนขององค์กร 

ใดก็ตาม ผู้ออกแบบจะต้องเผชิญกับเงื่อนไขต่างๆ ที่มี 

ความสลับซับซ้อนมากกว่าการออกแบบสถาปัตยกรรม 

เพื่อคนเพียงคนเดียวหรือคนจานวนน้อย ความท้าทาย 

ประการสาคัญยังอยู่ที่การพยายามค้นหา ‘อัตลักษณ์’ ที่ 

เป็นตัวแทนร่วมกันของทุกคนในองค์กรและนามาถ่ายทอด 

สู่ตัวสถาปัตยกรรมที่สะท้อนถึงตัวตนและบุคลิกของ 

องค์กรนั้นๆ ซึ่งอาคาร SCG 100 ปี ถือเป็นตัวอย่างที่ดี 

ของสถาปัตยกรรมที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อตอบสนอง 

ต่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว 

เดิมทีนั้นเครือซิเมนต์ไทยหรือSCG ได้มีความต้องการ 

ที่จะก่อสร้างอาคารสานักงานใหญ่หลังที่ 3 ต่อจากอาคาร 

สานักงานใหญ่ 1 และอาคารสานักงานใหญ่ 2 เพื่อรองรับ 

บุคลากรที่เพิ่มขึ้นจากการขยายตัวของธุรกิจตั้งแต่ปี 2538 

โดยได้มอบหมายให้ บริษัท Design 103 International 

ซึ่งเป็นผู้ออกแบบอาคารสานักงานใหญ่สองหลังก่อนหน้า 

มาเป็นผู้ออกแบบอาคารสานักงานหลังใหม่ และหลังจาก 

ที่ออกแบบเป็นที่เรียบร้อยจึงได้เริ่มทาการก่อสร้าง หาก 

แต่ในระหว่างที่ทาการก่อสร้างอยู่นั้น ประเทศไทยต้อง 

ประสบกับวิกฤติเศรษฐกิจในปี 2540 โครงการนี้จึงต้อง 

หยุดชะงักลง ทาได้เพียงก่อสร้างเสาเข็มเจาะไว้ หลังจาก 

ผ่านไป 13 ปี ในปี 2553 ทางผู้บริหารจึงมีนโยบายที่ 

จะนาโครงการนี้กลับมารื้อฟื้นอีกครั้ง โดยตั้งเป้าว่าจะ 

ต้องเสร็จสมบูรณ์ในปี 2556 ซึ่งเป็นปีที่องค์กรแห่งนี้จะมี 

อายุครบ 100 ปี โดยมี บริษัท Design 103 International 

เป็นผู้รับหน้าที่น าโครงการที่ออกแบบไว้เดิมขึ้นมาปรับปรุง 

‘ยกเครื่อง’ ครั้งใหม่ 

ในการรื้อฟื้นโครงการสานักงานใหญ่ครั้งใหม่นี้ ทาง 

ผู้ออกแบบต้องพบกับข้อจ ากัดในการออกแบบหลายๆ ด้าน 

ไม่ว่าจะเป็นความสูงห้ามเกินจากที่เคยขออนุญาตไว้ คือ 

102 เมตร จานวนชั้นต้องเท่าเดิมกรอบอาคารสามารถเกิน 

ได้เล็กน้อย โดยที่พื้นที่อาคารรวมจะต้องเท่าเดิมนอกจากนี้ 

ทางผู้บริหารยังได้มอบหมายโจทย์เพิ่มเติมคือ ต้องการให้ 

อาคารสานักงานแห่งใหม่นี้เป็นตัวแทนของคนรุ่นใหม่อัน 

เป็นภาพลักษณ์ขององค์กรแห่งนี้ จากโจทย์ดังกล่าวซึ่งมี 

ความเป็นนามธรรม ทางผู้ออกแบบจึงได้นามาตีความเพื่อ 

สร้างสรรค์ให้เป็นผลงานออกแบบที่เป็นรูปธรรม 

“จากนโยบายของ SCG ที่ต้องการสร้างให้อาคารหลังนี้ 

เป็นอาคารของคนรุ่นใหม่เราก็มาคิดต่อว่า ในตอนที่อาคาร 

หลังนี้เปิดใช้งานมันคงจะไม่ได้มีเฉพาะแค่คนรุ่นใหม่เท่านั้น 

แต่จะประกอบด้วยคนหลายรุ่น ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่และ 

ไม่ว่าจะเป็นรุ่นไหน มันยังมีวัฒนธรรมไทยที่ครอบอยู่เรา 

ก็เลยตั้งแนวคิดขึ้นมาว่า ‘Respect The Past - Move to 

The Future’” วิญญู วานิชศิริโรจน์ จาก Design 103 

International หัวหน้าทีมออกแบบ กล่าวถึงแนวคิดหลัก 

ในการปรับปรุงครั้งนี้ 

Atischa Changsiripornpagorn 

01 

ARCHITECT 

Design 103 International 

MEMBER ID 

01649 


Interior Architecture 103 

Company 

P49 


Landscape Architects of 

Bangkok 


Arun Chaiseri Consulting 

Engineers 


MITR Technical 

Consultant 

CONTRACTOR 

Christiani & Nielsen 

(Thai) Public Company 

BUILDING AREA 

74,600 sq.m. 

DURATION 

2010-2013 

02 

วารสารอาษา 

THEME ASA 37

38 ASA THEME วารสารอาษา 

03

ในกระบวนการออกแบบ ผู้ออกแบบได้น าองค์ประกอบ 

ของ ‘เส้นนอน’ ที่ปรากฏอยู่บนรูปด้านของอาคารส านักงาน- 

ใหญ่ 1 และอาคารสานักงานใหญ่2 มาใช้ในอาคารสานักงาน 

แห่งใหม่เพื่อสื่อถึงการเคารพผู้อาวุโสที่มาก่อนทาให้เกิด 

ความเชื่อมโยงระหว่างอาคารเก่าและอาคารใหม่ ในขณะ- 

เดียวกันในผังแต่ละชั้นของอาคาร ผู้ออกแบบยังคงรักษา 

แนวตาแหน่งของเสาเข็มเดิมเอาไว้ แต่ได้มีการออกแบบ 

ให้มีความรู้สึกลื่นไหลมากขึ้น โดยใช้เส้นโค้งทาให้เกิด 

เฉลียงที่มีการยืด-หดออกจากแนวกรอบเดิมที่วางเอาไว้ 

เพื่อสื่อถึงความคิดสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ ที่สามารถ 

คิดนอกกรอบได้ 

ผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรมที่ได้คือ อาคาร SCG 100 ปี 

ซึ่งเป็นอาคารสานักงานสูง 21 ชั้น ผังมีสัณฐานค่อนไป 

ทางรูปสี่เหลี่ยม โดยมีพื้นที่บริการ เช่น ช่องลิฟท์ บันได- 

หนีไฟ ห้องผู้บริหาร และห้องน้า อยู่บริเวณส่วนกลาง 

อาคาร (Core) เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ที่ทางานภายในได้ 

สัมผัสแสงธรรมชาติและทิวทัศน์ภายนอกได้อย่างเต็มที่ 

โดยมีพื้นที่ใช้งานในส่วนของสานักงานทั้งหมด 22,250 

ตารางเมตร ในส่วนของเฉลียงอาคารที่มีความโค้งและ 

ยืด-หดในตาแหน่งที่ไม่ตรงกัน ช่วยให้เกิดความเคลื่อนไหว 

ที่มีชีวิตชีวา และมีความโดดเด่น ซึ่งผู้ออกแบบได้เรียก 

สถาปัตยกรรมในลักษณะนี้ว่า ‘Dyconic’ ซึ่งมาจากการ 

ผสมผสานของคุณสมบัติ 2 ประการ ทั้งความ Dynamic 

(เคลื่อนไหว) และความเป็น Iconic (โดดเด่น) เข้าไว้ด้วยกัน 

01 เฉลียงแนวโค้งซึ่งมีการยืด 

หดในตำาแหน่งที่ไม่ตรงกัน สร้าง 

ความรู้สึกเคลื่อนไหวและมี 

ชีวิตชีวา 

02 ตัวอาคารสำานักกงานใหญ่ 

SCG 100 ปี เมื่อมองจากสวน 

ภายนอก 

03 การแยกอาคารจอดรถออก 

จากตัวอาคารสำานักงานหลัก ช่วย 

ให้สามารถควบคุมความปลอดภัย 

ได้ดียิ่งขึ้น 


THEME ASA 39 

5 M 

1M. 

SCG 100

นอกจากอาคารสานักงานที่เป็นอาคารสูงแล้ว บริเวณ 

ด้านข้างยังเป็นที่ตั้งของอาคารจอดรถยนต์สูง 10 ชั้นซึ่ง 

ข้อดีของการแยกสานักงานกับที่จอดรถออกจากกันนี้ 

คือ ทาให้เกิดความปลอดภัย สามารถควบคุมการเข้า-ออก 

สานักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและนอกจากใช้เพื่อจอด- 

รถยนต์แล้ว อาคารหลังนี้ยังประกอบด้วยห้องสัมมนาย่อย 

บริเวณด้านข้าง และห้องประชุมใหญ่ขนาด 1,000 ที่นั่ง 

บริเวณชั้น 10 เพื่อรองรับการใช้งานที่หลากหลาย 

และด้วยความที่ SCG นั้น มีความเป็นผู้นาทางด้าน 

การสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ทาง 

ผู้บริหารจึงมีความต้องการให้อาคาร SCG 100 ปี หลังนี้ 

เป็นอาคารที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างยิ่งยวด เพื่อให้ 

สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ขององค์กร ทาให้ในการออกแบบ 

อาคารหลังนี้ได้มีการคานึงถึงการใช้พลังงานและทรัพยากร 

อย่างคุ้มค่า วัสดุที่ใช้ประกอบอาคารทั้งหมดเป็นวัสดุที่ 

ผลิตในประเทศถึง 68 เปอร์เซ็นต์ เพื่อลดมลภาวะจาก 

การขนส่ง ในส่วนของผนังภายนอกเลือกใช้กระจกสองชั้น 

เพื่อลดความร้อนที่จะเข้ามาสู่พื้นที่ภายใน มีการใช้แผง 

พลังงานแสงอาทิตย์เพื่อผลิตไฟฟ้าขึ้นใช้เองผสานกับสวน 

บนหลังคาบริเวณที่จอดรถช่วยเพิ่มพื้นที่สีเขียวนอกจากนี้ 

ยังมีระบบหมุนเวียนเพื่อนาน้าที่ผ่านการใช้งานแล้วกลับ 

มาใช้ใหม่ และยังมีระบบกักเก็บน้าฝน โดยผลสารวจ 

จากการใช้งานจริงพบว่าอาคารหลังนี้สามารถประหยัด 

พลังงานได้ถึง 30 เปอร์เซ็นต์ และลดการใช้น้าได้ถึง 

74 เปอร์เซ็นต์ ของอาคารทั่วไปที่มีขนาดเดียวกัน ด้วย 

ระบบอาคารที่มีประสิทธิภาพ ทาให้อาคารหลังนี้ได้รับ 

การรับรองอาคารเขียวจาก LEED ในระดับ Platinum 

ซึ่งเป็นระดับสูงสุด 

จุดเด่นประการสาคัญของอาคาร SCG 100 ปี หลังนี้ 

นอกจากจะอยู่ที่รูปลักษณ์ภายนอก ยังอยู่ที่กระบวนการ 

ออกแบบที่ผู้ออกแบบสามารถแปรสิ่งที่เป็นนามธรรมซึ่ง 

เป็นภาพลักษณ์ขององค์กรให้กลายเป็นรูปธรรมที่จับ- 

ต้องได้ และสอดคล้องกับตัวตนภายในผ่านกระบวนการ 

ตีความที่ลุ่มลึก“ผมคิดว่าการที่จะสร้างอาคารเพื่อสื่อไปถึง 

องค์กรใดๆ ก็ตาม เราไม่จาเป็นต้องเอาโลโก้มาคลี่คลาย 

หรือเอาชื่อ เอาสีมาเล่น มันสามารถส่งผ่านทางนามธรรม 

ที่เป็นนัยยะ ที่เป็นเนื้อหาภายในจริงๆ ขององค์กรนั้นๆ 

ที่เขาอยากจะสื่อสารกับสังคม แล้วก็สามารถนาเสนอ 

ตรงนั้นออกมาได้” วิญญูกล่าวแสดงทรรศนะที่สาคัญ 

การจะสร้างสถาปัตยกรรมขององค์กรใดๆ ให้ประสบ- 

ความสาเร็จได้นั้น วัฒนธรรมในองค์กรนั้นๆ ถือเป็นอีก 

หนึ่งปัจจัยสาคัญที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้“เราต้องยอมรับว่า 

การที่จะมีอาคารสวยๆ ได้นั้น มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถาปนิก 

เพียงคนเดียว แต่มันต้องเกิดจากผู้บริหารขององค์กรนั้นๆ 

ที่ได้รับการหล่อหลอมด้วยวัฒนธรรมที่สะสมกันมาใน 

แต่ละองค์กร ซึ่งถือว่าโชคดีที่ผู้บริหารของ SCG เข้าใจ 

ในสิ่งที่เรานาเสนอ ทาให้เกิดชิ้นงานที่ดีขึ้นมาในที่สุด” 

วิญญูกล่าวเสริม 

An organization is a social unit of people from various 

backgrounds, each with their own different needs. 

So in order to design architecture that represents an 

organization, a designer encounters situations more 

complicated than when designing architecture for an 

individual or a small group. The major challenge is still 

about finding an ‘identity’ that represents everyone in 

the organization, and conveying this into architecture 

that reflects the organization’s identity and image. The 

SCG 100 th Year Building is a good architectural example 

that has been designed in response to such a purpose. 

Originally, the Siam Cement Group (SCG) planned to 

build its third Head Office Building in order to accommodate 

the increasing numbers of staff as their business 

has been expanding since 1995. The project to design 

this new building was assigned to Design 103 International 

Company, who had previously designed the first two 

Head Office Buildings. After completing the design they 

began construction, however, while in the process of 

doing so, Thailand faced the 1997 economic crisis. The 

project was halted with only the piles having been driven 

in. Thirteen years later, in 2010, the executives decided 

to revive the project. The project was scheduled for completion 

in 2013, as this would be SCG’s 100 th anniversary, 

and the Design 103 International Company was asked 

to pick up the project once again. 

In reviving this project, the designer faced many 

limitations, such as the restricted height that could not 

be higher than had been approved (102 meters) and the 

number of floors having to remain the same. The frame 

of the building could be slightly wider, but the total space 

occupied by the building had to remain the same as well. 

In addition, the executives also asked that the new office 

building represent the new generation, as SCG wanted 

to project an image that appealed to a new generation 

in society. The designer therefore had to translate this 

abstract requirement into a tangible creation. 

“SCG’s policy wanted to build this structure for a 

new generation, but we thought that when the building 

was in use, it wouldn’t be used by members of the new 

generation only, but by many generations. Either old, or 

new, or whatever generation - there should still be Thai 

culture that can cover the extent of users overall. So we 

thought of the concept ‘Respect The Past – Move to 

The Future,’” described Winyou Wanichsiriroj, head of 

the design team at Design 103 International in regards 

to the main concept behind the improvement. 

In the design process, the designer brought the 

element of the ‘horizontal line’ that appears on the sides 

of Office Buildings 1 and 2 for use in this new building 

as well. This move represents a respect for the elders 

who came before and facilitates a link between the old 

buildings and the new building. The designer retained 

the original orientation of the piles in the layout of each 

floor as well, but designed to bring about a more fluid 

feel by using a curved line to create balconies that bend 

in and out from the original frame line. This reflects the 

creativity of the new generation who can think outside 

of the box, while being based on a framework created 

by the former generation. 

04 บรรยากาศภายในห้องประชุม 

ซึ่งเน้นการออกแบบที่โปร่งโล่ง และ 

รับแสงจากธรรมชาติจากภายนอก 

โดยคำานึงถึงการประหยัดพลังงาน 

ควบคู่กันไป 


04 



1 

2 

3 

5 

4 

2 

LLABORATIVE AREA 

ETING 

ORE 

ILET 

ARE SPACE 

1 2 

6TH FLOOR PLAN 

1 Collaborative Area 

2 Meeting 

3 Store 

4 Toilet 

5 Share Space 

1 M 

1 M. 

SCG 100 Year Building 

The tangible result is the 21-storey SCG 100 th Year 

Building. The layout is shaped rather like a square and 

service areas such as elevator shafts, fire escapes, 

executive rooms and toilets are situated in the core of 

the building allowing for those working inside to be fully 

exposed to natural light and outside views. The building 

has 22,250 square meters of working space. Iconic 

balconies bend in and out unevenly creating vibrancy 

that the architect describes as ‘Dyconic,’ a form of 

architecture derived from the combination of dynamic 

and iconic. 

Apart from high-rise office buildings, the adjacent 

area also houses a 10-storey car park. Separating the 

car park building from the office building ensures personal 

safety and gives effective control for entry to the building. 

Apart from being a car park, the building also houses 

small conference rooms on the side and an auditorium 

of 1,000 seats on the roof. 

The fact that SCG is the leader in creating environmental-friendly 

products influenced the executives’ 

decisions as well. They wanted the new building to be 

totally environmental friendly in order to reflect the corporate 

vision. Therefore, this building was designed to 

be energy and resource efficient. Up to 68 percent of 

the materials used for this building were produced 

domestically, reducing the carbon footprint from transportation. 

The exterior walls use double-glazing to reduce 

heat transfer from the outside, solar cell panels were 

used to generate electricity and the garden in the car 

park roof increases green space. In addition, a water 

recycling system is used to recycle used water as well 

harvest water produced by rainwater. A survey found 

that, compared to a typical building of a similar size, this 

building could save up to 30 percent in terms of energy 

use and reduce water consumption by up to 74 percent. 

With its efficient building system, this building was 

awarded a LEED certification for green buildings at the 

highest level of a Platinum standard. 

Apart from the aesthetics of the external appearance, 

the design process is an important aspect and highlight 

of this SCG 100 th Year Building. The architect successfully 

translated abstract requirements such as the corporate 

image to be tangible and aligned with their inner self 

through a sophisticated interpretation process. As 

Mr. Winyou explains, “I think in creating a building that 

conveys the organization’s image, it’s not necessary to 

unpick their company logo or play with their name or 

corporate color. It can be done through meaningful 

abstraction which is the real internal content of the 

organization that they want to communicate with society. 

Then express it out.” An unavoidable factor to consider 

when successfully accomplishing architecture for any 

organization is the organization’s culture. He continues, 

“We have to accept that in order to have a beautiful 

building, this doesn’t depend entirely on an architect, 

but it has to come from the executives of that organization 

who have been tasked with accumulating their 

organization’s culture. Fortunately, the SCG executives 

understood what we presented, so it finally resulted in 

a quality and fine work,” concluded Winyou. 

จักรสิน น้อยไร่ภูมิ 

จักรสิน น้อยไร่ภูมิ หรือ ‘อ.แมลงภู่’ 

จบการศึกษาด้านสถาปัตยกรรม 

จากคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 

มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบันเป็น 

อาจารย์ประจำาอยู่ที่คณะสถาปัตย- 

กรรมศาสตร์และการออกแบบ 

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล 

รัตนโกสินทร์ ศาลายา ควบคู่ไปกับ 

การเป็นสถาปนิกและนักเขียนอิสระ 

มีผลงานเขียนปรากฏตามนิตยสาร 

วารสาร และเว็บไซต์ทางด้านการ 

ออกแบบอยู่อย่างต่อเนื่อง 


KING POWER 

SRIVAREE 

COMPLEX 

TEXT 

Supitcha Tovivich 

PHOTOS 

Chaovarith Poonphol 

SAMUT PRAKAN 

ARCHITECTS 49 

01 


ARCHITECT 

Architects 49 

MEMBER ID 

04949 


Interior Architects 49 

STRUCTURAL ENGINEERING 

Architectural 

Engineering 49 


M&E Engineering 49 


Landscape Architects 

of Bangkok (LAB) 

LIGHTING DESIGNER 

49 Lighting Design 

Consultants 

GRAPHIC DESIGNER 

G49 

CONTRACTOR 

Ritta Company 

CONSULTING MANAGER 

Consulting & 

Management 49 

BUILDING AREA 

38,800 sq.m. 

DURATION 

2012-2013 

01 รูปด้านอาคารมีลวดลายของ 

พื้นผิวเครื่องจักสานและออกแบบ 

‘Crown’ บนระดับชั้นหลังคาที่มี 

ความสูงถึง 23 เมตร 

โครงการคิง เพาเวอร์ ศรีวารี คอมเพล็กซ์ ตั้งอยู่ที่ 

ถนนศรีวารีน้อย ตาบลบางโฉลง อาเภอบางพลี จังหวัด 

สมุทรปราการ ออกแบบสถาปัตยกรรมโดยบริษัท 

สถาปนิก 49 เป็นโครงการร้านค้าปลอดภาษีในเมืองแห่ง 

ที่สามของบริษัท คิง เพาเวอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จากัด 

โดยหลังจากได้เปิดกิจการร้านค้าปลอดภาษีในเมืองที่ 

สาขารางน้า และสาขาพัทยาเมื่อปี 2548 และ 2554 

ตามลาดับ ในปี 2555 เจ้าของโครงการต้องการขยาย 

สาขาร้านค้าปลอดภาษีในเมืองเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง เพื่อ 

รองรับจานวนลูกค้านักท่องเที่ยวชาวจีนที่เพิ่มขึ้นเป็น 

อย่างมากและเพื่อลดความหนาแน่นของลูกค้าที่ร้านค้า 

ปลอดภาษี สาขาถนนรางน้า โดยได้เลือกพื้นที่โครงการ 

ที่อยู่ใกล้กับสนามบินสุวรรณภูมิ เพื่อความสะดวกใน 

การเดินทางของลูกค้า และเนื่องจากสาขาที่ถนนรางน้ านั้น 

ค่อนข้างแออัดจากปริมาณนักท่องเที่ยวจานวนมากใน 

แต่ละวัน ในการออกแบบสาขาใหม่นี้ จึงต้องการสร้าง 

บรรยากาศของการจับจ่ายสินค้าที่ผ่อนคลาย โอ่โถง 

สะดวกสบาย และดูหรูหรายิ่งขึ้น 

ด้วยพื้นที่ใช้สอยรวมทั้งหมดกว่า38,800 ตารางเมตร 

(ไม่รวมพื้นที่หลังคา) บนพื้นที่ดินกว่า 60 ไร่ อัตราส่วน 

ของพื้นที่ว่างต่อพื้นที่ดิน(Open Space Ratio) ร้อยละ 35 

โครงการประกอบด้วยส่วนประกอบหลักคือ ร้านค้าปลอด- 

ภาษี 11,500 ตารางเมตร ภัตตาคาร 1,500 ที่นั่ง คลัง- 

ทัณฑ์บน (คลังสินค้าซึ่งใช้เป็นที่ตรวจของและเก็บรักษา 

ของที่นาเข้าโดยให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ส่งออกให้ได้รับการ 

งดเว้นการเก็บอากรขาเข้าและขาออกแก่ของที่นาเข้ามา 

จากต่างประเทศ และเก็บในคลังสินค้าทัณฑ์บนเพื่อส่ง 

ออกไปยังนอกประเทศ) สานักงาน และลานจอดรถบัส 

ขนาดใหญ่สาหรับรองรับกลุ่มลูกค้านักท่องเที่ยวที่เป็น 

ลูกค้าหลักของโครงการ 

แนวคิดของการออกแบบมีแกนหลักอยู่ที่การสร้าง 

สัมผัสแบบเอเชียตะวันออก ผู้ออกแบบกล่าวว่า “ตั้งใจที่ 

จะนา motif ที่คุ้นเคยของภูมิภาคแถบนี้มาประยุกต์ใช้ 

เพื่อให้กลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่เป็นชาวเอเชียที่มาใช้สอย 

โครงการได้รับรู้กลิ่นอายวัฒนธรรมแบบเอเชียตะวันออก” 

โดยมีกลุ่มเสากลมสีทองและเงินกระจายตัวอยู่รอบบริเวณ 

โถงทางเข้าด้านหน้า ร่วมกับผนังอาคารที่ใช้ลวดลายพื้นผิว 

ของเครื่องจักสานแนวทแยงสีทอง รวมถึง ‘Crown’ บน 

ระดับชั้นหลังคาที่มีความสูงถึง 23 เมตร และมีรูปลักษณ์ 

เหมือนตะกร้าสีทองขนาดใหญ่ ทาให้ approach ทางเข้า 

ของอาคารมีความชัดเจน และตัดกับความราบเรียบของ 

บริบทโดยรอบทาให้เป็นที่สังเกตได้จากระยะไกล 

The King Power Srivaree complex project in 

Srivareenoi Sub-district, Bangpli District, Samut Prakan, 

was designed by Architects 49 Ltd. It is King Power 

International Limited’s third duty-free complex project in 

the city, following the opening of the duty-free complex 

Rangnam in 2005 and Pattaya branch in 2011. In 2012, 

the company wanted to expand and open another branch 

in the city so as to accommodate the rapidly increasing 

number of Chinese tourists and reduce congestion for 

customers in the duty-free complex Rangnam, which is 

rather crowded every day due to large numbers of tourists. 

The Project is located near Suvarnabhumi Airport for 

the travel convenience of customers and aims to offer 

a more luxurious, comfortable and relaxing ambience 

for shopping. 

With 38,800 square meters of working space 

(excluding the roof space) on a 60-rai plot of land (approximately 

24 acres), the open space ratio is 35 percent. 

The complex consists of duty-free shops occupying 

10,000 square meters, a 1,400-seat restaurant, a bonded 

warehouse (a warehouse to store and secure duty-free 

imported goods that will be re-exported), offices and 

a large coach park to accommodate the increasingly 

large number of tourists who are the main customers 

of the complex. 

The concept of the building was designed to create 

an East Asian touch and the architect described that 

he “intended to apply a motif pattern that was familiar 

to the region into the design in order to allow for the 

primarily Asian target customers to feel the vibe of 

the East Asian culture.” Gold and silver-colored round 

columns are spread around the entrance hall area and 

complemented by a golden crisscrossed wickerwork 

motif wall, as well as a ‘Crown’ on the roof level of the 

23-metre tall space creating a structure not unlike a 

large golden basket in appearance. The design causes 

the entrance of the building to stand out clearly from its 

plain surroundings and can be easily seen from far away. 

The entrance hall was designed to be almost 10 

meters in height and features an exterior wall with a 

12-metre high glass window that reveals movements 

inside. The architect described that, “the area outside 

the entrance hall was surrounded by a line of golden 

columns meant to resemble a bamboo grove and, in 

the entrance area in front of the building, the Chinese 

wickerwork pattern was applied on the wall to filter out 

sunlight as well as create a sense of identity for the 

complex. The pattern was repeated at the ‘Crown’ on 

the top of the building which is designed in the form of 

a lantern and further serves as a landmark for the complex. 

Under the ‘Crown’ sits a court area with a Gurjan 

tree and tropical ground cover of plants creating a lush 

and inviting atmosphere. 



โถงทางเข้าถูกออกแบบให้มีความสูงเกือบ 10 เมตร 

ผนังภายนอกเป็นบานกระจกสูง 12 เมตร เพื่อเปิดให้เห็น 

ความเคลื่อนไหวของกิจกรรมภายใน ผู้ออกแบบกล่าวว่า 

“พื้นที่ด้านนอกโถงทางเข้าโอบล้อมด้วยแนวเสาสีทองที่ 

สื่อถึงแนวทิวไผ่ และผนังบริเวณทางเข้าด้านหน้าอาคาร 

ได้มีการนาลายเครื่องจักสานมาประยุกต์ใช้เป็นผนังที่ใช้ 

กรองแสงแดด และเป็นเอกลักษณ์ให้กับโครงการไปในตัว 

ทั้งนี้ลวดลายดังกล่าวยังได้ถูกนาไปใช้ที่ ‘Crown’ ของ 

ยอดอาคารที่ออกแบบเป็นเหมือนโคมไฟ เพื่อทาหน้าที่ 

เป็นเหมือนจุดหมายตาให้กับคนที่เดินทางมาที่โครงการ 

ใต้ ‘Crown’ นี้เป็นพื้นที่คอร์ทต้นยางนาและพันธ์ุไม้คลุม 

ดินแบบเขตร้อนชื้น ซึ่งทาหน้าที่ช่วยรับแสงธรรมชาติ 

เข้ามาสู่พื้นที่โถงภายใน สร้างบรรยากาศที่เชื้อเชิญและ 

เขียวร่มรื่นสบายตา” 

เนื่องจากกลุ่มลูกค้าหลักคือลูกค้าชาวจีนที่มาเป็น 

กลุ่มใหญ่ ขนาดของทางเดินภายในโครงการจึงมีความ 

กว้างขวางมากเป็นพิเศษ ตาแหน่งของแบรนด์เครื่องส าอาง 

ที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากลูกค้าชาวจีนถูกจัดวางอย่าง 

ตั้งใจให้อยู่ลึกเข้าไปภายในสักเล็กน้อย เพื่อให้บรรยากาศ 

ดูเรียบร้อย และไม่ให้ภาพของการจับจ่ายใช้สอยที่อลหม่าน 

ทาให้บรรยากาศของการจับจ่ายที่หรูหราและน่าผ่อน- 

คลายเสียไป ในขณะเดียวกันแผนกเครื่องสาอางซึ่งเป็น 

แผนกที่ลูกค้าจับจ่ายได้ง่าย ถูกนามาวางอยู่ในโซนแรก 

เมื่อนับจากโถงทางเข้า เพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าสามารถซื้อ 

เครื่องสาอางได้เลยในทันทีเพื่อสร้างบรรยากาศการซื้อ 

ขายที่คึกคักกาลังดี จากนั้นเมื่อเดินต่อไปจะเข้าสู่โซน 

แฟชั่น กระเป๋า เสื้อผ้า นาฬิกา ไปจนถึงอาหาร เครื่องดื่ม 

และของที่ระลึกต่างๆ ซึ่งการออกแบบตกแต่งภายใน 

ในแต่ละโซนนั้นมีลักษณะของการสื่อความหมายผ่าน 

สัญลักษณ์แบบตรงไปตรงมาเพื่อให้ลูกค้าสามารถมีจุด 

หมายตาและรับรู้ประเภทสินค้าได้อย่างรวดเร็วจากการ 

เดินจับจ่าย เช่น ส่วนเสื้อผ้ากีฬาตกแต่งพื้นเป็นลู่วิ่งส่วน 

ชุดชั้นในตกแต่งฝ้าเพดานคล้ายรูปดอกกุหลาบ หรือ 

ส่วนของที่ระลึกจากประเทศไทยตกแต่งฝ้าเพดานด้วย 

ลวดลายเรขาคณิตแบบไทยๆ เป็นต้น ลักษณะทางเดิน 

เป็นแบบทางเดียวที่ไม่ซับซ้อน ลูกค้าสามารถเดินไป 

กลับเพื่อเลือกซื้อของได้อย่างไม่หลงทาง 

กระบวนการก่อสร้างอาคารนับว่ามีความพิเศษ 

เนื่องจากใช้เวลาก่อสร้างเพียง 9 เดือนครึ่งเท่านั้น ซึ่ง 

นับว่ารวดเร็วทีเดียวเมื่อเทียบกับพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ 

ระบบการก่อสร้างถูกกาหนดให้เป็นแบบ Fast-Track 

เช่นเดียวกับที่ร้านค้าปลอดภาษีสาขาพัทยา โครงสร้าง 

เป็นระบบเสา-คานสาเร็จรูป พื้นคอนกรีตเสริมเหล็ก 

หลังคาโครงสร้างเหล็กช่วงกว้างและคอนกรีตเสริมเหล็ก 

ระบบผนังคอนกรีตสาเร็จรูปทั้งภายนอกและภายใน 

ในการออกแบบได้คานึงถึงการใช้ระบบพิกัดทั้งในการวาง 

ระบบโครงสร้างและระยะวัสดุต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับ 

การใช้ระบบชิ้นส่วนส าเร็จรูปให้มากที่สุดทาให้สามารถลด 

ระยะเวลาในการก่อสร้างได้และเปิดดาเนินการได้ทันตาม 

กาหนดการ 


02 พื้นที่คอร์ทต้นยางนาและ 

พันธ์ไม้คลุมดินแบบเขตร้อนชื้น 

ช่วยรับแสงธรรมชาติสู่พื้นที่ 

โถงภายใน 

03 พื้นที่คาเฟ่ข้างคอร์ทภายใน 

5 

2 3 

4 

1 

SITE PLAN 

1 Parking 

2 Restaurant 

3 Duty Free 

4 Lobby 

5 Quarantined 

Storage 

Restaurant 

Duty Free 

Lobby 

Quarantined Storage 

5 M 

02 03 



ELEVATION 

1 M 

ELEVATION 

1 M 



04 

04 โถงทางเข้ามีความโปร่งโล่ง 

และสว่าง 

05 มุมมองที่มองจากคอร์ท 

ภายในขึ้นสู่ด้านบน 

The main customers who tend to visit the shop in 

large groups are Chinese and, for this reason, the walkway 

inside the complex is especially wide. The most 

popular cosmetic brands are intentionally positioned 

a bit inside the space in order to retain the ambience 

and avoid chaotic shopping scenes that may destroy 

the luxurious and relaxed quality of the environment. 

At the same time, cosmetics are something that are 

easy to buy, so the cosmetics section is therefore 

located in the first zone from the entrance hall. This 

placement encourages customers to buy and creates 

a proper bustling atmosphere. Further on are zones 

for fashion, bags, clothes, and watches, followed by 

the zones for food, drink and souvenirs. The interior 

design of each zone is a straightforward indication of 

the types of products offered within the zone, making 

it easy for customers to identify the types of goods 

offered in each zone. This planning also makes it easy 

for customers to shop; i.e. the sports fashion area is 

designed to look like a running track, in the underwear 

section the ceiling is decorated like a rose, and in the 

Thai souvenir section the ceiling is decorated with a 

simple Thai geometric pattern. The walkway is one way 

and is not complicated so customers can easily walk 

back and forth without getting lost. 



06 

07 

The building process was extraordinarily fast, as it 

took only nine and a half months to complete the construction 

which is a very quick timeframe for such a huge 

project. The Fast-Track building system was specified 

like the one used for the duty-free complex in the Pattaya 

branch and utilized prefabricated structural beams and 

columns, a reinforced concrete floor, long span steel 

roof with reinforced concrete and precast concrete wall 

system for both the interior and exterior walls. The design 

takes into account the coordinated system in terms of 

both the structural and material space, in order to coordinate 

the prefabricated and precast components as 

much as possible so as to reduce building time and allow 

for the project to open as scheduled. 

06 การตกแต่งภายในสอดคล้อง 

กับสินค้าที่ขายแต่ละแผนก 

07 บรรยากาศภายนอกอาคาร 

ยามค่ำาคืน 

ผศ.ดร.สุพิชชา โตวิวิชญ์ 

อาจารย์ประจำาคณะสถาปัตยกรรม- 

ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร และ 

Editor-in-Chief วารสารอาษา 


TEXT 

Warut Duangkaewkart 

MK-CK5 

PHOTOS 

Spaceshift Studio 

SAMUT PRAKAN 

AGALIGO STUDIO 


ARCHITECT 

Agaligo Studio 

MEMBER ID 

03523 


Storage Studio 

LANDSCAPE ARCHITECT 

OpenBox 

LIGHTING DESIGN 

Studio Accent 

GRAPHIC DESIGN 

Work In Bangkok 

ENGINEERING 

EEC-IE, A+ Consultants 

BUILDING AREA 

3,023 sq.m. 

YEAR 

2013 

01 

ไม่ว่าจะเป็นเพลงโฆษณาต่างๆ การบริการ หรือการ 

เต้นให้ลูกค้าดูนั้น สิ่งเหล่านี้น่าจะบ่งบอกถึงความจริงใจ 

และเอาใจใส่ของร้าน MK Restaurant ได้เป็นอย่างดี กว่า 

30 ปี ที่แบรนด์นี้ได้เติบโตมาและสร้างภาพลักษณ์ในการ 

ส่งต่อความสุขผ่านทั้งการโฆษณาและบริการ ซึ่งถือว่าเป็น 

เป้าหมายหลักของแบรนด์ จากการขยายกิจการกว่า 400 

สาขาในประเทศและต่างประเทศ และอีกหนึ่งจุดเปลี่ยน 

สาคัญคือการเปลี่ยนเป็นบริษัทมหาชนที่ท าให้ธุรกิจขยาย- 

ตัวมากขึ้นจนเป็นที่มาของโครงการ Mk-Ck5 (MK Central 

Kitchen 5) ครัวกลางที่ 5 สาหรับเตรียมวัตถุดิบเพื่อที่จะ 

กระจายสินค้าไปยังสาขาต่างๆ ที่ร่วมทางานกับ Agaligo 

Studio ในการสร้างโครงการนี้ขึ้นมา 

Mk-Ck5 ตั้งอยู่บน ถนนบางนา-ตราด ซึ่งในที่ดินเดิม 

นั้นมีโกดังเก่าอยู่แล้วเพื่อที่จะรีโนเวทเป็นโรงงานผลิต 

อาหารและมีความต้องการที่จะสร้างสานักงานเพิ่มเติม 

อีกหนึ่งหลัง “ในตอนแรกนั้นความตั้งใจของเจ้าของ 

โครงการคือการนาโกดังเดิมในพื้นที่มาปรับเปลี่ยนเป็น 

ครัวกลางแห่งใหม่ และต้องการสร้างออฟฟิศขึ้นมาอีก 

อาคารหนึ่ง โดยที่ต้องการให้อาคารหลังนี้แสดงถึงวิสัย- 

ทัศน์และมุมมองในการทาธุรกิจของเขา แสดงออกถึง 

ความเป็นแบรด์ของ MK ให้ได้มากที่สุด” ศิษฏ์ และ 

ปรีชญา ธีระโกเมน ผู้ก่อตั้ง Agaligo Studio บอกเล่า 

ให้ฟังถึงจุดเริ่มต้นของโครงการ โครงการนี้จึงประกอบ 

ด้วยอาคารสองหลัง คือโรงงานผลิตอาหารและอาคาร 

สานักงาน โดยที่เดิมทีนั้นยังไม่มีการใช้งานที่ชัดเจน 

หลังจากผู้ออกแบบเดินชมโรงงาน จึงเสนอให้อาคารหลังนี้ 

ทาหน้าที่เป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต ซึ่งเหมาะสมกับ 

การที่ธุรกิจของแบรนด์นั้นขยายตัวออกไปและต้องมี 

การพาลูกค้า ผู้ร่วมลงทุน ตลอดจนผู้ที่สนใจต่างๆ ที่ 

ต้องการมาดูการทางานภายในโรงงานผลิตอาหารแห่งนี้ 



With jingle after jingle, service to the complimentary 

dance routines by the staff, these things reflect the level 

of caring and attentiveness MK Restaurant has proven to 

its patrons over the past three decades. The brand has 

grown and upheld its image as a family restaurant that 

passes on happiness to its clients as we have all seen in 

commercials and through our personal experiences with 

its service, which has become the brand’s main objective. 

From the expansion to over 400 branches nationwide and 

internationally, another turning point of MK arrived when 

the brand officially went public, leading to the substantial 

growth of the corporation that brought about the birth of 

Ck5 (MK Central Kitchen 5) where ingredients are prepared 

before they are distributed to other branches. MK worked together 

with Agaligo Studio in the development of this project. 

Mk-Ck5 is located on Bangna-Trat road. The land was 

originally occupied by an old warehouse, which was later 

renovated into MK’s new central kitchen with the additional 

requirement of a new office building. The new structure 

hoped to be a representation of the brand’s vision and 

business as well as MK’s identity. Sitt and Preechaya 

Therakomen, the founders of Agaligo Studio discussed 

the beginning of the project and how the warehouse and 

office building weren’t exactly given any definite functionality. 

After the designers looked around the factory, 

the proposed idea was for the space to function as a living 

museum, which complemented the brand’s expanding 

business where clients, co-investors and other interested 

parties could visit and see MK’s business operations. 

01 การจัดวางกลุ่มก้อนอาคารได้ 

แรงบันดาลใจมาจากถาดอาหาร 

02 บ่อน้ำาด้านหน้าอาคารถูกจัด- 

วางด้วยกระเบื้องหกเหลี่ยมหลาก 

สีที่ดัดแปลงมาจากรูปหม้อสุกี้ 


5 

4 

2 

1 

3 

6 

7 

2 M 

2 M 

MASTER PLAN 

1 Entrance Hall 

2 Exhibition Hall 

3 Office 

4 Plaza 

5 Central Kitchen 

6 Drop-Off 

7 Featured Pool 

02 



ด้วยความที่เป็นการสร้างอาคารเพื่อให้แสดงออกถึง 

ภาพลักษณ์ของแบรนด์นั้น สิ่งที่ผู้ออกแบบคานึงถึงคือ 

“เราเริ่มจากการศึกษาในตัวองค์กรก่อนว่าภาพลักษณ์ของ 

MK นั้นเป็นอย่างไร จากการศึกษาประวัติหรือคุยกับทาง 

เจ้าของบริษัท เราจึงได้รู้ว่าถาดหรือคอนโดใส่อาหารที่ 

เราพบเห็นในร้านอาหารต่างๆ นั้น MK เป็นเจ้าแรกที่เริ่ม 

ใช้ถาดลักษณะนี้ เราจึงนาจุดนี้มาพัฒนาต่อและนามาใช้ 

ในเชิงสัญลักษณ์ ซึ่งทั้งอาคารจะแบ่งออกเป็นห้าถาดแยก 

ตามการใช้งาน และนาแต่ละถาดนั้นมาจัดวางองค์ประกอบ 

ให้มีความเหมาะสมและน่าสนใจ ส่วนสีแดงที่เราใช้กับ 

อาคารนั้นเราพยายามเลือกโทนที่ใกล้เคียงกับถาดที่ใช้ 

ในร้าน MK มากที่สุด เป็นสีแดงที่หม่นๆ หน่อย ซึ่งก็ผ่าน 

การคิดมาตั้งแต่ที่เขาเลือกใช้มาแล้วว่าถาดใส่อาหารควร 

จะเป็นสีนี้ เพื่อให้อาหารดูน่าทานมากขึ้น” ศิษฏ์ และ 

ปรีชญา บอกเล่าถึงไอเดียต่างๆ ที่ได้หยิบจับมาใช้ในงาน 

ออกแบบ ซึ่งไม่ได้นามาใช้กับตัวอาคารเท่านั้น ยังรวมถึง 

การสัญจรของรถที่เข้ามาขนถ่ายสินค้าต่างๆมีการใช้สีจาก 

ภาชนะของ MK เข้ามาแสดงเป็นลูกศรบนถนน ช่วยใน 

การกาหนดทางสัญจรของรถที่เข้ามาใช้งานต่างกัน ซึ่งมี 

ความแตกต่างจากพื้นที่ภายในที่เน้นใช้สีขาวที่เรียบง่าย 

ในการออกแบบและแสดงถึงความสะอาดของอาคารหลังนี้ 

และสร้างลูกเล่นแบบเรียบง่ายโดยสร้างผนังตามรูปทรง 

ของถาดหรือให้ผนังกระจกนั้นมีความขุ่นไม่เท่ากันไล่ความ 

เข้มอ่อนเสมือนลักษณะของไอน้าที่ลอยออกมาจากหม้อ 

ฟังก์ชั่นหลักของอาคารสานักงานถูกแบ่งออกเป็นสอง 

ส่วนคือ สานักงานที่ประสานร่วมกับโรงงานผลิตอาหารและ 

พื้นที่ในการต้อนรับผู้เข้าชมที่จะมาเตรียมตัวในด้านต่างๆ 

ก่อนที่เข้าชมโรงงาน โดยในชั้นหนึ่งเป็นส่วนของออฟฟิศ 

ที่จะทางานร่วมกับฝ่ายผลิตในโรงงานและโถงนิทรรศการ 

ในส่วนของชั้นสองมีห้องประชุมขนาดใหญ่ ห้องประชุม 

ขนาดเล็กและห้องสมุด รวมถึงเป็นบริเวณสาหรับเตรียม 

ความพร้อมของผู้เข้าชมโรงงาน ซึ่งประกอบด้วยโซนเปลี่ยน 

รองเท้า เปลี่ยนเครื่องแต่งกายและโซนทาความสะอาด 

ฆ่าเชื้อ ก่อนที่จะเชื่อมไปสู่โรงงานที่ตั้งอยู่ด้านหลังต่อไป 

และชั้นบนสุดของอาคารเป็นห้องเรียนขนาดใหญ่ ซึ่ง 

เตรียมไว้สาหรับจัดการอบรมให้กับพนักงานได้ โดยทั้ง 

สามชั้นถูกเชื่อมด้วยโถงบันไดที่ผู้ออกแบบได้นาฝาของ 

หม้อสุกี้ที่ไม่ได้ใช้งานแล้วนั้นมาสร้างเป็นฉากกั้นระหว่าง 

โถงบันไดกับทางเดิน 

03 โถงบันไดภายในอาคาร 

สำานักงานที่นำาฝาหม้อสุกี้เก่ามา 

ใช้เป็นผนังแบ่งพื้นที่ 

04 ห้องประชุมใช้ผนังกระจกฝ้า 

ที่มีความเป็นส่วนตัวและเปิดโล่ง 

ในเวลาเดียวกัน 

05 พื้นที่เตรียมพร้อมและเปลี่ยน 

เครื่องแต่งกายสำาหรับผู้เข้าชม 

โรงงาน 


04 

03 




06 

เรื่องของสีสันยังถูกน ามาใช้ต่อในงานของ Landscape 

Design ที่ได้ทางานร่วมกับ OpenBox ซึ่งถือว่าเป็นส่วน 

สาคัญที่ทาให้โครงการน่าสนใจมากขึ้น สระน้าหน้าอาคาร 

ที่ถูกออกแบบเพื่อรองรับวงเลี้ยวของรถบรรทุกขนาดใหญ่ 

ถูกเปลี่ยนให้เป็นเสมือนหม้อสุกี้ที่ตั้งอยู่กลางโต๊ะ โดย 

ผู้ออกแบบได้นาภาพของหม้อสุกี้มาแสดงออกในเชิงกราฟิก 

ผ่านกระเบื้องหกเหลี่ยมหลากสีที่มองผ่านๆ อาจจะไม่รู้ว่า 

เป็นภาพอะไร แต่แสดงออกถึงความสนุกสนานในทิศทาง 

เดียวกับที่แบรนด์ต้องการเช่นเดียวกับลานพักผ่อนระหว่าง 

ตึก ที่นาเก้าอี้หินมาจัดวางและเล่นกับลวดลายของพื้นให้ 

เสมือนลูกชิ้นที่ลอยอยู่ในหม้อสุกี้ ซึ่งเข้ามาทาให้มุมมอง 

จากภายนอกอาคารมีความน่าสนใจมากขึ้น และเนื่องด้วย 

การขนถ่ายสินค้าและการเข้าชมโรงงานนั้น จะเกิดขึ้นใน 

ช่วงกลางคืนเป็นหลัก การออกแบบแสงสว่างให้กับตัวอาคาร 

จึงเป็นอีกหนึ่งเรื่องที่มีความสาคัญ ผู้ออกแบบต้องการให้ 

ตัวอาคารนั้นมีความโดดเด่นในตอนกลางคืนจึงได้ออกแบบ 

แสงสว่างทั้งภายในและภายนอกอย่างเหมาะสมในการมอง 

เห็นรายละเอียดของอาคารทั้งหมด 

ผู้ออกแบบกล่าวว่าภาพลักษณ์ของ MK นั้นมีความ 

ชัดเจนอยู่แล้วAgaligo Studio ทาหน้าที่หยิบจับและต่อยอด 

นามาออกแบบ อย่างไรก็ตามสิ่งที่ยากที่สุดในการออกแบบ 

corperate identity ไม่ใช่การคิดเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้ 

ชัดเจนที่สุดเพียงอย่างเดียว แต่หากเป็นการหาจุดร่วม 

ของมุมมองที่ต่างกันของเชิงธุรกิจและการออกแบบ 

เพื่อให้ได้รูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่เหมาะสมและมี 

ประสิทธิภาพ 

58 ASA THEME วารสารอาษา

With the task requiring the architects to design 

buildings that embodied the brand’s identity, one of the 

priorities was “studying the brand through its history 

and conversations with the owner. We later found out 

that MK was the first in the business to ever use stackable 

trays, so we used that symbolically as a part of 

the designs conceptual development. We divided the 

building into 5 layers of the stack, each with different 

functionalities. The trays were put together in an interesting 

and practical composition. The rather dark tone 

of red we choose for the buildings is intended to be as 

similar as possible to the red color of the trays used at 

MK’s restaurants. The color was actually chosen because 

it’s the most suitable color that complements the appetizing 

quality of the food,” described Sitt and Preechaya 

regarding the ideas they had picked up on and incorporated 

into the design that encompasses not only the 

architecture but also the signage used for internal roadways. 

The interior, however, was designed using white 

color tones, reflecting both the simplicity and hygienic 

quality of the building. A simple gimmick of geometric 

forms inspired by the shapes of the tray can be found 

at the walls while the transparency of the glass wall that 

ranges from translucent to transparent is reminiscent 

of the steam coming out from MK’s sukiyaki pot. 

06 พื้นที่อเนกประสงค์เชื่อมโยง 

ระหว่างอาคารสำานักงานและโกดัง 

07 มุมมองภายนอกอาคารและ 

เส้นทางสัญจรของรถขนส่งที่ 

ถูกแบ่งแยกด้วยสีต่างๆ ของ 

เส้นลูกศร 

The main functionality of the building is comprised 

of the office and the area where visitors are welcomed 

as they prepare for a tour around the factory. The first 

floor hosts the office space whose operation is to collaborate 

with the production department in the factory 

and an exhibition hall while the second floor includes 

large and small meeting rooms and a library. A preparation 

area is also located here as factory’s visitors are 

required to change their shoes, clothes and go through 

the cleaning and sterilization process before accessing 

the factory zone situated to the back of the compound. 

The top floor accommodates a large classroom for 

employee training and a staircase connects all three 

floors together with partitions made of used pot lids 

separating the stairs from the walkway of each level. 

The collaboration with OpenBox for the project’s 

landscape architecture makes the project even more 

interesting, with the pool in front of the building being 

designed to look like a sukiyaki pot on a table and function 

as a roundabout for trucks to conveniently make 

U-turns. The image of the sukiyaki pot is expressed into 

a graphic piece made of a bunch of colorful hexagonal 

tiles, which may be abstract in terms of the visual format 

but convey MK’s upbeat energy interestingly. The 

recreational ground located between the buildings is 

decorated with a playful installation of stone chairs on 

the patterned floor that looks like a bunch of meatballs 

floating in a sukiyaki pot. All these elements collectively 

contribute their presence to the project’s overall 

appearance, especially when viewed from the outside. 

The loading of goods mostly takes place at night, the 

lighting design of the building being therefore crucial as 

the architects intend for the building to be beautifully 

distinctive even at night. Interior and exterior lighting 

are executed to enhance the building’s structural and 

decorative details. 

From the Agaligo Studio’s point of view, MK’s image is 

already strong, so their job is to pick up on the brand’s 

characteristics and use them in the design creatively. 

The most challenging thing for designing corporate 

identity is, however, not about coming up with the most 

outstanding image of the brand, but to find a mutual point 

of view between the commercial aspect and design 

in order to conceive the most suitable and effective 

architectural style and outcome. 

วรุตร์ ดวงแก้วกาศ 

จบการศึกษาจากคณะสถาปัตย- 

กรรมศาสตร์และการออกแบบ 

จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยี 

พระจอมเกล้าธนบุรี ปัจจุบัน 

ศึกษาปริญญาโทสาขาทัศนศิลป์ 

ที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ 

07 



TEXT 

Xaroj Phrawong 

ZONIC 

PHOTOS 

Krisada Boonchaleow 

Wison Tungthunya & 

W Workspace 

VISION 

BANGKOK 

STU/D/O ARCHITECTS 

01 


เมื่อสถาปัตยกรรมได้ทาหน้าที่คุ้มแดดฝนเป็น 1 ใน 

ปัจจัย 4 ของมนุษย์แล้ว หน้าที่ของสถาปัตยกรรมถูกเพิ่ม 

เป็นผู้เสนอความงามของวิถีชีวิต บอกเรื่องราว คติความ 

เชื่อของสังคม ในบริบทที่ตัวเองถูกก่อรูปขึ้น เรื่องราวที่อยู่ 

เบื้องหลังการก่อรูปถูกแปลความออกมาในองค์ประกอบทาง 

สถาปัตยกรรมต่างๆ ทั้งส่วนประดับและโครงสร้าง ในช่วง 

ศตวรรษที่ 20 โลกตะวันตกเกิดการปฏิวัติอุตสาหกรรม 

ก่อกาเนิดสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ซึ่งสุดท้ายก็ได้กลายเป็น 

สิ่ง ‘น่าเบื่อ’ ที่นาพาตัวเองไปสู่การล่มสลายในยุค 1970s 

ในที่สุดการต่อต้านสถาปัตยกรรมที่ไม่สื่อความหมายได้ 

กลายเป็นแนวทางของสถาปัตยกรรมหลังสมัยใหม่ที่เต็มไป 

ด้วยความซับซ้อน ความขัดแย้ง ความรุ่มรวยด้านความหมาย 

ประเด็นเหล่านี้ทาให้สถาปัตยกรรมหลังสมัยใหม่ ต่างจาก 

งานของสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ที่มุ่งเน้นการตัดขาดจากอดีต 

การไม่แสดงตัวตนและความเป็นจักรกล และเมื่อกล่าวถึง 

การสื่อสารด้านแนวคิดทางสถาปัตยกรรมJames C. Snyder 

ได้เสนอผ่านหนังสือ Introduction to Architecture ว่า 

แนวความคิดในการออกแบบมีอยู่ด้วยกัน 5 รูปแบบดังนี้ 

Programmatic Concepts, Essences, Ideals, Analogy 

และ Metaphor and Similes โดยสองรูปแบบสุดท้ายทั้ง 

Analogy และ Metaphor and Similes เป็นวิธีที่เราจะคุ้นเคย 

มากที่สุดเพราะง่ายต่อการรับรู้ แต่ต่างกันที่ Analogy จะ 

เน้นความเหมือนของสิ่งที่ต้องการสื่อสารในสถาปัตยกรรม 

และมักจะกลายเป็นการขยายสเกลของวัตถุต้นแบบอย่าง 

ตรงไปตรงมาจนบางครั้งถูกมองว่าเป็นงานที่ไม่มีรสนิยม 

ส่วนวิธี Metaphor and Similes หรืออุปมาและอุปมัย จะ 

เป็นการเปรียบเปรยความสัมพันธ์ของสิ่งที่ต้องการสื่อสาร 

ออกมาเป็นสถาปัตยกรรม แต่ความสัมพันธ์ของสิ่งที่อุปมา 

และอุปมัยจะออกมาในรูปแบบที่เป็นนามธรรมมากกว่าจะ 

ใช้วิธีหยิบยกมาอย่างตรงไปตรงมาหรือมีกลิ่นที่คล้ายกับสิ่ง 

ที่ยกขึ้นมา ที่กล่าวมาในข้างต้นนั้น เนื่องจากงานออกแบบ 

สานักงานของบริษัท โซนิค วิชั่น โดย สานักงาน Stu/D/O 

Architects มีความน่าสนใจของการพยายามจะสื่อสัญลักษณ์ 

และความหมายในสถาปัตยกรรม 

Once upon a time, the function of architecture was 

to protect us from sunlight and rain. This was one of 

the four requisites for human beings. Then, another 

function was added – to provide aesthetics to lifestyle. 

This feature was shared with cultural attributes such 

as storytelling and societal beliefs which shaped the 

social context. The history behind architectural design 

was translated into two elements: decoration and structure. 

The 20th century saw the birth of modern architecture. 

This can be traced back to changes brought about 

by the industrial revolution during the nineteenth century 

in western countries. Eventually, so-called ‘modern’ 

architecture lost its way and became ‘boring’ and more 

or less collapsed in the 1970s. Later, new concepts for 

post-modern architecture developed as a counter-movement 

and in opposition to ‘meaningless’ architecture. 

Hallmarks of post-modern architecture were complexity, 

conflict, and richness in multi-layered meanings. These 

aspects made post-modern architecture different from 

modern architecture that had preceded it. Modern architecture 

isolated itself from the past, characterless and 

machine-like. In his book, Introduction to Architecture 

James C. Snyder discusses architectural conceptual 

communication and states that there were five concepts 

in designing: Programmatic Concepts, Essences, Ideals, 

Analogy, and Metaphor and Similes. The concepts Analogy 

and Metaphor and Similes are the most familiar to us 

because they are easy to recognize. The difference is 

that Analogy emphasizes similarities of what we 

want to communicate architecturally. With this concept, 

we invariably end up enlarging the scale of the original 

subject; and that would be considered tasteless. Metaphor 

and Similes are a form of comparison, especially 

in relation to the subject desired to be communicated 

architecturally. But Metaphor and Similes are a more 

abstract and less obvious method. Metaphor and Similes 

more easily relate to the ‘vibe’ of that subject. The above 

is mentioned because the design of Stu/D/O Architects 

is somewhat interested in conveying symbol and meaning 

in architecture. 

ARCHITECT 

Stu/D/O Architects 

MEMBER ID 

08087 


Stu/D/O Architects 


Teerachai 

Tharawongthawat 


Ittipon Konjaisue 


MEE Consultants 

CONTRACTOR 

MKS Engineering 

BUILDING AREA 

2,200 sq.m. 


55 Million Bath 

01 มุมมองหลักจากถนนนนทรี 

ในเวลากลางคืน แสงต่างระดับ 

จากรูปด้านช่วยเน้นให้แนวคิด 

ชัดเจนขึ้น 

3 

GROUND FLOOR 

01 Front Terrace 

02 Hall 

03 Parking 

2 

1 

NONSI NONSRI ROAD 

5 M 


01 FRONT TERRACE 

02 HALL 

03 PARKING 

1 10 30 


ในย่านธุรกิจใหม่ไม่ไกลจากสะพานวงแหวนอุตสาหกรรม 

บนถนนนนทรี สภาพแวดล้อมโดยทั่วไปไม่ได้มีเรื่องราว 

เชิงประวัติศาสตร์ในอดีตที่ชัดเจนบริษัท โซนิค วิชั่น ดาเนิน 

กิจการค้าขายอุปกรณ์จีพีเอสและเครื่องเสียงประกอบรถยนต์ 

อาคารสานักงานของบริษัท โซนิค วิชั่น เป็นอาคารสานักงาน 

ที่มีรูปทรงเป็นกล่องสี่เหลี่ยมแต่มีจุดสนใจที่façade ด้าน 

หน้าที่เป็นกระจกฝ้าใสสลับกันไปมาราวกับต้องการสื่อสาร 

ถึงกิจกรรมภายในตัวอาคาร ทั้งในส่วนของสถาปัตยกรรม 

และสถาปัตยกรรมภายในออกแบบโดยสานักงาน Stu/D/O 

Architects โดยอภิชาติศรีโรจนภิญโญ และชนาสิต ชลศึกษ์ 

สถาปนิกเลือกตีความโดยเริ่มจากโปรแกรมของกิจกรรม 

ภายในซึ่งเป็นสานักงานเกี่ยวกับ ‘เสียง’ โดยการเล่นกับ 

ชื่อสานักงาน ‘Zonic Vision’ ซึ่งสถาปนิกมองว่าเป็นการ 

เล่นคาที่หมายถึงคลื่นเสียงที่มองเห็นได้อภิชาติอธิบายถึง 

งานนี้ว่า “เมื่อนึกถึงการรับรู้ที่ทาให้คนมองเห็นเสียงเป็น 

ภาพนั้น ทาให้นึกถึง diagram ของ equalizer ที่ปกติเราเห็น 

ตามหน้าจอของเครื่องเสียงทั่วไป เป็นการทาให้คนฟังได้ 

รับรู้ถึงความเข้มของเสียงผ่านการมองภาพเคลื่อนไหวที่ 

ขึ้นลงไม่หยุดนิ่ง” แนวคิดที่สถาปนิกเลือกใช้เป็นการสร้าง 

แนวคิดแบบอุปมาและอุปมัย โดยอุปมาจากการทางานของ 

คลื่นเสียงในเครื่องเสียงที่แสดงค่าของเสียงต่างๆที่ผ่านมา 

จาก amplifier ออกมาเป็นกราฟิกที่ตัวปรับความสมดุลเสียง 

ที่เรียกว่า equalizer ซึ่งการแสดงผลของเสียงที่ออกมานั้น 

จะเป็นกราฟิกแสดงเป็นแท่งขึ้นลงในระดับต่างๆ กันไป 

ตามคลื่นความถี่ของแต่ละเฮิร์ซความเคลื่อนไหวของแต่ละ 

คลื่นเสียงที่มีระดับไม่เท่ากันได้อุปมัยกลายเป็นการสร้าง 

พื้นผิวด้านหน้าที่หันไปทางทิศตะวันตกสถาปนิกออกแบบ 

façade ส่วนนี้ให้เป็นผนัง 2 ชั้นมีช่องว่าง 0.80 เมตร 

ผนังชั้นในเป็นส่วนปกปิดการใช้สอยภายในที่ไม่ต้องการ 

แสงสว่างและรับความร้อนมากจึงกลายเป็นผนังทึบส่วนใหญ่ 

ผนังด้านนอกเป็นกระจกที่แบ่งความเข้มจางด้วยกระจกสีขาว 

ขุ่น-ใสออกเป็น 3 ระดับตามการใช้สอยภายใน ส่วนที่ 

กระจกมีความขุ่นมากที่สุดถูกใช้ปกปิดส่วนห้องเก็บสินค้า 

ส่วนที่ขุ่นรองลงมาจะปกปิดส่วนท างาน ส่วนที่ใช้กระจกใส 

จะเป็นพื้นที่แสดงสินค้าผลลัพธ์ของการใช้กระจกที่มีความ 

ขุ่นต่างๆ กันคละไปบน façade ด้านหน้าก่อเกิดความ 

เคลื่อนไหวคล้ายการทางานของ equalizer ที่หยุดนิ่งใน 

เวลาหนึ่ง การรับรู้ถึงระดับความขุ่น-ใสเข้ม-จางแบบกราฟิก 

ของ equalizer จะยิ่งชัดเจนเมื่อถึงเวลากลางคืนที่เปิดไฟ 

หลังผืนกระจกมากกว่าในเวลากลางวัน 


02 ภาพจากห้องพักผ่อนของ 

พนักงาน การเลือกใช้ต้นไม้ตรง 

กลางระเบียงช่วยสร้าง 

บรรยากาศให้กับสำานักงาน 

03 ภาพจากห้องประชุมสู่คอร์ท 

ชั้นบนสุด การเลือกใช้ต้นไม้กลาง- 

แจ้งกระจายในอาคารช่วยเพิ่ม 

การรับรู้ปรากฏการณ์ธรรมชาติ 

04 ไดอะแกรมและหุ่นจำาลอง 

แสดงกระบวนการทำางาน 

03 

02 04 



05 มุมมองจากชั้นลอยของชั้น 6 

การสร้างพื้นที่โล่งช่วยลดความ 

อึดอัดในสเปซของสำานักงาน 

พื้นที่การใช้สอยในชั้นที่5-6 สถาปนิกให้ความสาคัญ 

กับความต้องการของลูกค้าที่ต้องการให้การทางานเป็นไป 

อย่างมีความสุขด้วยการสร้างที่ว่างที่มีคุณภาพดีพื้นที่ว่าง 

ในชั้นที่5-6 ถูกออกแบบให้มีความเลื่อนไหลและเชื่อมโยง 

กันอย่างต่อเนื่องในหลายส่วน ทั้งการเชื่อมโยงกับที่ว่าง 

ภายนอก-กึ่งภายนอก-ภายใน เช่น ในส่วนของสวนที่มี 

การปลูกต้นไม้ที่บริเวณชั้น 5 สถาปนิกเลือกเปิดมุมมอง 

จากสวนเข้ามายัง double volume ที่ชั้น 5-6 เพื่อให้เกิด 

มุมมองที่ดีในเวลาทางานของคนส่วนใหญ่ในสานักงาน 

การเลือกเปิดเอามุมมองจากสวนที่เปิดสู่แม่น้าเจ้าพระยา 

ช่วยนาความเคลื่อนไหวจากภายนอกเข้ามากระตุ้นพื้นที่ 

ภายในให้มีชีวิตชีวายิ่งขึ้น โดยสวนขนาดเล็กนี้ยังเป็นพื้นที่ 

พักผ่อนให้กับพนักงานอีกด้วย นอกจากนี้สวนขนาดเล็ก 

อื่นๆ ได้ถูกเติมเข้าไปในหลายส่วน เช่น ห้องประชุมชั้น 6 

ทาให้ห้องนี้มีความน่าสนใจจากแสงเงาจากต้นน้าเต้าทุก 

ช่วงวัน หรือการเติมสวนที่บริเวณห้องน้าช่วยให้ไม่เกิด 

จุดอับแสงสว่างตามธรรมชาติ การปลูกต้นหมากบริเวณ 

ห้องน้าชายที่ชั้น 5 โดยให้ยอดต้นไม้ทะลุขึ้นไปยังชั้น 6 

ก่อเกิดมิติของแสงธรรมชาติสอดแทรกอยู่ในพื้นที่หลาย 

ส่วน นอกจากนี้การตีความอัตลักษณ์ร่วมของสินค้าไม่ได้ 

จบแค่การตีความผ่านเปลือกภายนอก แต่ยังถูกทาให้มี 

เนื้อหาเดียวกันไปกับงานออกแบบกราฟิกโดยนักออกแบบ 

กราฟิกได้ตีความชื่อโซนิค วิชั่น ด้วยการแปลงตัวอักษร Z 

ที่มีเส้นเฉียงเป็นจุดเด่นและสีแดง-ดาจากโลโก้เดิมเข้ามา 

ประกอบในป้ายส่วนต่างๆ ในสานักงาน และใช้ในพื้นที่ 

ต่างๆ ด้วยอย่างกลมกลืน 


FOURTH FLOOR 

5 

4 

3 

1 2 

5 M 

FIFTH FLOOR 


1 Hall And Meeting Room 

2 Marketing Dept 

3 Account Dept 

4 Executive Rooms 

5 Terrace 

1 

3 


4 

1 2 

5 



2 Landscape 

3 Sale Dept 

4 Sale Dept 

5 Manager Rooms 

SIXTH FLOOR 



สาโรช พระวงค์ 

สถ.บ.มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี 

ราชมงคลธัญบุรี และ สถ.ม. 

มหาวิทยาลัยศิลปากร ปัจจุบันเป็น 

นักเขียนให้กับนิตยสารและเว็บไซต์ 

ด้านการออกแบบ สถาปนิกอิสระ 

ทำางานประจำาเป็นอาจารย์และ 

รองคณบดีฝ่ายพัฒนานักศึกษา 

ของนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรม- 

ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยี 

ราชมงคลธัญบุรี พร้อมกับเป็น 

อาจารย์พิเศษในสถาบันอื่นๆ 

06 

In the new business area on Nonsi Road, not so far 

from the industrial ring, the general surroundings had 

no historical background to the past. The Zonic Vision 

Company sells GPS devices and car audio systems. 

The office building of Zonic Vision was a box-like square 

shape albeit with an interesting façade comprising 

alternate layers of frosted and clear glass, as if the 

company desired to communicate their activities in the 

building. Both architecture and interior were designed 

by Apichart Srirojanapinyo and Chanasit Cholasuek of 

Stu/D/O Architects. The architect chose to interpret the 

company’s internal activity programs, which were about 

‘sound’ by playing with the name of the company 

‘Zonic Vision.’ The architect saw this as a play on words 

that meant visible sound waves. Mr. Apichart described 

that, “when thinking about the perception of how people 

saw sounds, it made me think of the diagram of an 

equalizer that we usually see on an audio screen indicating 

the intensity of sounds through an up and down 

motion.” The idea was used by the architect to create 

a concept through Metaphor and Simile, referencing 

the representation of sound waves showing different 

intensities of sounds being amplified into a graphic image 

on the sound-balance adjuster called an equalizer. The 

emitted sound was displayed in graphic form, as cords 

going up and down at different levels according to the 

frequency of each Hertz. The different movement levels 

of the sound waves became Similes in the creation of 

the west-facing façade. The architect designed this façade 

as a two-layered wall with a gap of 0.80 meters. The 

inner wall, which is mostly a solid wall, will cover the 

internal space and prevent unwanted light and heat from 

entering into the space. The exterior wall includes a 

window constructed in a combination of frosted and 

clear glass, with three levels of intensity shade based 

on internal living use. The most opaque glass was used 

to cover the storage room, the less opaque glass for 

06 สเปซภายในสำานักงานที่ชั้น 5 

อัตลักษณ์ของสถาปัตยกรรมได้ 

ปรากฏยังภายในด้วยเช่นกัน 

the office area, and the clear glass was used for the 

showroom. The results of the mixed use of different 

patterns and shading of glass on the front façade created 

movements similar to the movement of an equalizer that 

is static. The perception of intensity shades similar to the 

graphic on the equalizer can be seen more clearly during 

night hours when the internal lights are switched on. 

For the working space on the 5th-6th floors, the 

architect catered to the needs of the client who wanted 

to generate a happy working office atmosphere by creating 

a high-quality workspace. The space on the 5 th -6 th floors 

was designed to be fluid and flowing, and several parts 

were linked to each other with an outside-in approach 

being used to link the outside and inside spaces. The 

architect created a double volume tree garden on the 

5th floor, opening up to the 5 th -6 th floors. This allowed 

for most of those in the office to be exposed to a great 

view of the garden that opens out to the Chao Phraya 

River while also bringing movement from the outside 

in to activate the space inside. The garden is also utilized 

for staff recreation. In addition, many small gardens 

were added in various spaces such as the meeting room 

on the 6th floor. This made the room to be fascinating, 

with light and shadow from the calabash tree reflecting 

in the space during the daytime. A garden was also added 

in the toilet area to bring in natural light. The reason for 

growing betel palm trees near the men’s room on the 

5 th floor was to allow for their tops to grow through the 

6 th floor and create a dimension of natural light that 

pushes through many parts of the space. Moreover, 

the interpretation of identity does not end simply at 

the outer shell, but the same content also goes into 

the graphic work. The graphic designer interpreted the 

name Zonic Vision by transforming the letter Z, with its 

bias line serving as its strong feature, and the red and 

black color from the original logo being added harmoniously 

to many parts of the office area. 


QTC ENERGY 

OFFICE 

BANGKOK 

TEXT 

Paphop Kerdsup 

PHOTOS 

Spaceshift Studio 


01 


ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมานี้ พิษเศรษฐกิจที่เกิดขึ้น 

ทั่วโลกส่งผลกระทบให้ตลาดการค้าและการผลิตของไทย 

มีการชะลอตัวลงไปพอสมควร แต่ถึงอย่างนั้นก็ปฏิเสธ 

ไม่ได้ว่าอุตสาหกรรมไฟฟ้าและอิเล็กทรอนิกส์ของบ้านเรา 

ยังคงเป็นหนึ่งในกลไกสาคัญที่ช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจ 

และสร้างรายได้ให้กับประเทศมาโดยตลอด แม้การแข่งขัน 

ทางการค้าดูจะยิ่งทวีความเข้มข้นและรุนแรงมากขึ้นทุกๆวัน 

ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติแต่เพื่อที่จะยืนหยัด 

แข่งขันกับผู้อื่นบนเวทีโลกได้อย่างยั่งยืนนั้น องค์กรต่างๆ 

ต่างก็งัดเอาไม้เด็ดของตัวเองออกมาห้ าหั่นกันอย่างไม่ลดรา- 

วาศอกเลยทีเดียว ไม้เด็ดที่ว่ามีตั้งแต่การพัฒนาผลิตภัณฑ์ 

ตัวใหม่ๆ ออกมา ไปจนถึงการปรับเปลี่ยนรูปแบบการให้ 

บริการที่ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายที่หลากหลายขึ้น การ 

ออกแบบและภาษาทางสถาปัตยกรรมเองกลายมาเป็น 

อีกหนึ่งตัวช่วยส าคัญที่ถูกน ามาใช้เพื่อถ่ายทอดภาพลักษณ์ 

ในเชิงนามธรรมขององค์กร ให้เป็นที่เข้าใจได้ในเชิงกายภาพ 

มากขึ้น ดังเช่นที่บริษัท QTC Energy PCL ได้ใช้หลัก- 

การเดียวกันกับอาคารสานักงานใหม่ของตัวเอง เพื่อให้ 

ทั้งผู้ใช้อาคารเองและผู้ที่สัญจรผ่านไปมาสามารถมองเห็น 

ภาพขององค์กรที่ตรงกันได้มากยิ่งขึ้น 

อาคารสานักงานบริษัท QTC Energy ตั้งอยู่ที่ซอย 

กรุงเทพกรีฑา 8 เขตบางกะปิ กรุงเทพมหานคร บนพื้นที่ 

ขนาด 1 ไร่ เป็นโครงการก่อสร้างสานักงานแห่งใหม่ของ 

บริษัท QTC Energy PCL ที่ต้องการขยับขยายส่วนประกอบ 

การธุรกิจออกมาจากพื้นที่เดิมที่ซ้อนทับอยู่กับส่วนโรงงาน 

ผลิตในจังหวัดชลบุรี โจทย์ที่ถูกตั้งขึ้นจากคณะผู้บริหาร 

ภายหลังการตัดสินใจรีแบรนด์ภาพลักษณ์และโครงสร้าง 

ขององค์กรชุดใหญ่ ที่เปลี่ยน QTC หรือ Quality Transformer 

Co., Ltd. จากการเป็นเพียงผู้ผลิตหม้อแปลงไฟฟ้า 

ทั่วไป มาเป็นผู้ประกอบการธุรกิจพลังงานแบบครบวงจร 

ในนาม QTC Energy PCL ที่ต้องการพื้นที่รับรองแขก 

จากต่างชาติในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมถึงเพื่อให้เป็น 

สัญลักษณ์แทนภาพลักษณ์ใหม่แสดงถึงความทันสมัยและ 

สากลขึ้น 

Over the past few years, the current economic 

downturn across the globe has decelerated the trading 

and manufacturing market quite moderately. Nonetheless, 

it cannot be denied that the electrical and electronics 

industry has played an important role in driving economic 

growth and making income for this country. The market 

competition seems to be more and more intense, not 

only in this region but also in the international realm. In 

order to stand sustainably against the others on the 

global stage, many corporations have brought out their 

stratagems to incessantly fight with others, from the 

development and launching of new products to the 

readjustment of corporate services capable of reaching 

a much greater variety of targets. Language and elements 

of architecture have also become one of the protagonists 

in delivering an immaterial corporate identity that is more 

tangible to the public, similar to how QTC Energy PCL 

has allowed for the building’s users and the passersby 

to easily grasp the image of their corporation through 

its design. 

QTC Energy office is located on a 1-rai plot of land in 

the middle of Soi Krungthep Kreetha 8, Bangkapi, Bangkok. 

This new office building project of QTC Energy PCL has 

followed the needs and expansion of the business from 

its former administration area that was overlaid with 

the manufacturing plant in Chonburi. The propositions 

received from the building’s commissioners after the 

decision to rebrand the corporate identity and structure, 

which has changed QTC or Quality Transformer Co., Ltd 

from a general transformer manufacturer to an all-in-one 

energy entrepreneur in the name of QTC Energy PCL, 

include a space to host international business guests 

in Bangkok and also an icon that could refer to the new, 

more modern and universal corporate identity. 

“At the time when we firstly started this project, 

we aimed to make the building to reflect the corporate 

identity as an energy industry,” described Boonrit 

Kordilokrat, architect and project manager of Plan 

Associates, concerning the objectives of the project. 

Even if QTC Energy is just a small-sized office building, 

the concepts behind its creation are not small like its 

size, as they somehow cause us to question our own 

responsibilities to the society and environment. 

ARCHITECT 


MEMBER ID 

10079 


AUGUST DESIGN 

CONSULTANT 




PPL 


OPTIMUM CONSULTING 

CONTRACTOR 

CHO RUNGLERT GROUP 

BUILDING AREA 

1,200 sq.m. 

DURATION 

2011-2012 



01 การผสมผสานของวัสดุอย่าง 

คอนกรีต เหล็ก อะลูมิเนียม และ 

กระจก 

02 canopy บริเวณทางเข้าหลัก 

“ตอนที่เราตั้งเป้าหมายของโปรเจ็คต์นี้ เราตั้งใจให้ 

มันเป็นอาคารที่ต้องสามารถสะท้อนภาพของธุรกิจพลังงาน 

ออกมาได้” บุญฤทธิ์ขอดิลกรัตน์สถาปนิกและผู้อ านวยการ 

โครงการจาก Plan Associates บอกเล่าถึงเป้าหมายของ 

โครงการที่แม้อาคาร QTC Energy เป็นเพียงอาคาร 

สานักงานขนาดเล็ก แต่ทว่าแนวความคิดที่ถูกบรรจุอยู่ 

ภายในกลับไม่ได้เล็กตามขนาดของอาคารเลย เพราะ 

มันชวนให้เรากลับมาตั้งคาถามถึงความรับผิดชอบที่เรา 

ควรมีต่อสังคมและสิ่งแวดล้อมรอบตัว 

“จริงๆ คอนเซ็ปต์หลักของโปรเจ็คต์นี้มีอยู่ 3 เรื่องใหญ่ๆ 

ด้วยกัน อย่างแรกคือ Industrial Business ด้วยความที่ 

ธุรกิจของ QTC Energy นั้นเป็นอุตสาหกรรม เพราะฉะนั้น 

อาคารเองจะต้องสะท้อนภาพลักษณ์ขององค์กรตรงนี้ออก- 

มาให้ได้ ในขณะเดียวกันองค์กรก็ทาเรื่องของพลังงาน 

Green Architecture เลยกลายมาเป็นคอนเซ็ปต์อย่างที่ 

สองของอาคารหลังนี้ ส่วนสุดท้ายคือ Nature Awareness 

คือเวลาที่เราทาเรื่องพวกนี้แล้ว เรื่องของอุตสาหกรรมและ 

พลังงาน เราก็ต้องเข้าใจธรรมชาติเพื่อที่จะสร้างสมดุล 

ระหว่างเทคโนโลยีและสิ่งแวดล้อมที่อยู่รอบๆ ด้วย” 

บุญฤทธิ์แจกแจงถึงแนวความคิดเบื้องหลังโครงการที่ 

ต้องการจะให้สถาปัตยกรรมสะท้อนกลับไปที่ภาพลักษณ์ 

ขององค์กร 

“Actually, there are 3 main concepts behind this 

project,” explained Boonrit regarding the concepts behind 

the project that aims to reflect the corporate identity 

through architecture. “The first one is Industrial Business. 

Due to the business of QTC Energy being an industry, 

the building itself should reflect this corporate identity 

to the public. At the same time, this corporation also 

does business in energy, so this has led to the second 

concept of the office as a Green Architecture. The last 

one is Nature Awareness. While we are working on 

these things—on industry and energy—we have to 

understand the nature so that we will be able to find 

a balance between technology and the surrounding 

environment.” 

The planning of the building is derived accordingly 

from the three concepts that are organized in concentric 

circles. The outermost ring is Green Architecture, where 

selected trees are planted at a corresponding height 

to the building in order to create shade for the site and 

surroundings. Moreover, the trees also function as a 

screen that helps protect the site from sunlight, noise 

and other kinds of pollution. The latter ring is Nature 

Awareness. Due to the U-shape of the building and the 

way the garden was placed at the concave side, the 

architects were not only able to bring about a cool and 

pleasant atmosphere for the user inside, but also find 

means for the nature to be closer to the human beings 

so as to make them feel that nature and the environment 

are a part of their lives, provoking more tangible nature 

awareness in everyone who occupies the building. 

WEST ELEVATION 


02 



72 ASA THEME วารสารอาษา 

03

“This bamboo garden is the heart of the building 

that you can see from wherever you are,” added Boonrit. 

“We want to create the environment that poses 

questions to the users about the difference between 

having and not having this garden. We want them to 

think about: if this nature were to no longer exist, how 

would they actually feel? And while it exists, is it good, 

or not?” 

With a building area of only 1,200 square meters, 

which is not that big, the organization of the interior 

space seems mainly to focus on simplicity and function. 

Circulation systems in the building are arranged to best 

fit into the usability of the inside. All vertical circulations— 

lifts and stairs—are placed at the main entrance in order 

to shorten the circulation of each floor. The 1 st floor 

includes a staff lounge, utility and maintenance room 

and 12 parking lots under the building that people can 

directly access through the garden that is blended together 

with the in-between space. The 2 nd and 3 rd floors consist 

of an administration area including various sizes of workspaces 

and meeting rooms set together with pantries 

and toilets on every floor. This QTC Energy office building 

has August Design Consultant as its interior designer 

who designed the interior space using elements and 

materials giving an industrial look and reflecting the 

identity of the corporation—the use of dark colored 

wallpaper also makes the space to feel deeper and more 

dimensional, while the use of metal sheet and glass as 

inside partitions leads to the harmony of both the exterior 

and interior architectural elements when looking in. 

04 

03 สวนไผ่บริเวณด้านหน้าอาคาร 

04 รายละเอียดการเลือกใช้วัสดุ 

ภายในอาคารบริเวณโถงลิฟต์ 

2 

5 

6 

7 

8 

1 

2 

4 

3 

10 

9 

1ST FLOOR PLAN 

1 Main Entrance 

2 Parking 

3 Lift Hall 

4 Main Stair Hall 

5 Canteen 

6 Service 

7 Staff Room 


9 Stair Hall 

10 Garden 

1 st FLOOR PLAN 

5 M 



การวางผังอาคารเป็นการนาแนวความคิดทั้งสามข้อ 

ข้างต้นมาจัดวางเป็นวงที่ล้อมเข้าไป จากวงนอกสุดที่เป็น 

Green Architecture ซึ่งคือการเลือกปลูกต้นไม้ที่สูงในระดับ 

เดียวกันกับความสูงของอาคารไว้โดยรอบที่ตั้ง เพื่อช่วย 

สร้างความร่มรื่นให้กับพื้นที่โดยรอบ พร้อมกันนั้น ต้นไม้ 

ยังทาหน้าที่เป็นตัวช่วยกรองแสงแดด เสียง และมลภาวะ 

ต่างๆ ที่อยู่โดยรอบโครงการได้อีกด้วย วงถัดเข้ามาคือ 

Nature Awareness ด้วยความที่ผังอาคารมีลักษณะเป็น 

รูปตัวยูและมีการแทรกสวนไว้ตรงกลางในส่วนที่ถูกเว้า 

เข้ามา ทาให้ในส่วนนี้สถาปนิกนอกจากจะสามารถสร้าง 

ความร่มรื่นให้กับผู้ใช้งานภายในอาคารได้แล้ว ยังเป็น 

การดึงเอาธรรมชาติเข้ามาไว้ใกล้ชิดกับมนุษย์มากขึ้น 

ให้มนุษย์ได้รู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันกับสิ่งแวดล้อม 

ภายนอก เพื่อสร้างจิตสานึกทางธรรมชาติที่ผู้ใช้อาคาร 

ทุกคนสามารถจะรู้สึกและรับรู้ได้ตลอดเวลา 

“สวนไผ่ที่คุณเห็นนี้มันเป็นหัวใจหลักของอาคาร ที่ 

ไม่ว่าจะมองจากตรงไหนก็จะเห็น เราต้องการที่จะสร้าง 

ความรู้สึกที่ว่า การมีกับไม่มีสวนนี้มันแตกต่างกันมาก 

เราอยากให้เขารู้สึกว่าถ้าไม่มีธรรมชาติพวกนี้แล้วเขา 

จะรู้สึกอย่างไร แล้วการที่มีมันอยู่ตอนนี้ มันดีอย่างไร” 

บุญฤทธิ์กล่าว 

ด้วยขนาดของพื้นที่ใช้สอยภายในที่มีเพียง 1,200 

ตารางเมตร ซึ่งถือว่าเป็นอาคารมีขนาดไม่ใหญ่มากรูปแบบ 

ของการจัดการกับสเปซภายในจึงเน้นความเรียบง่ายและ 

ประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก ระบบทางสัญจรเองถูกจัดวาง 

ให้ตอบสนองต่อการใช้งานภายในได้อย่างคุ้มค่าที่สุด 

โถงบันไดและโถงลิฟต์โดยสารถูกกาหนดให้อยู่บริเวณ 

ทางเข้าหลักของอาคารเพื่อย่นระยะการใช้พื้นที่ของทาง 

สัญจรในแต่ละชั้นลง บริเวณชั้นที่ 1 ประกอบด้วยส่วน 

รับประทานอาหารของพนักงาน ส่วนบริการและงานระบบ 

ต่างๆ ของอาคาร และที่จอดรถใต้อาคารจานวน 12 คัน 

ที่สามารถเชื่อมเข้าสู่ทางเข้าหลักผ่านสวนไผ่ที่แทรกตัวอยู่ 

ระหว่างอาคาร บริเวณชั้นที่2 และ 3 เป็นพื้นที่ส่วนส านักงาน 

ที่ประกอบไปด้วยห้องทางานและห้องประชุมหลายขนาด 

รวมถึงส่วน pantry ที่อยู่ติดกันกับห้องน้าในแต่ละชั้น 

โดยอาคาร QTC Energy แห่งนี้ได้ทีมมัณฑนากรจาก 

August Design Consultant มาเป็นผู้ออกแบบสเปซ 

ภายในอาคาร ซึ่งมีการใช้องค์ประกอบและวัสดุต่างๆ ที่ 

สะท้อนภาพ Industrial Look ขององค์กรออกมา ทั้งการ 

เลือกใช้วอลเปเปอร์ติดผนังที่มีสีเข้มเพื่อให้สเปซภายในดู 

กลืนหายและมีมิติมากขึ้น หรือการใช้แผ่น metal sheet 

กับกระจกในการกั้นส่วนการใช้งานต่างๆ ทาให้เมื่อมอง 

เข้ามาจากภายนอกอาคารที่เป็นกระจกใสทั้งหมด จะพบ 

ความสอดคล้องกันของทั้งงานสถาปัตยกรรมที่อยู่ภายนอก 

และงานออกแบบตกแต่งที่อยู่ภายใน 

ในแง่ของการแสดงออกทางสถาปัตยกรรม สถาปนิก 

เลือกใช้การสะท้อนภาพความเป็นองค์กรของบริษัท QTC 

Energy ออกมาในสองรูปแบบด้วยกัน รูปแบบแรกคือการ 

สะท้อนถึงความเป็นองค์กรธุรกิจอุตสาหกรรม (Industrial 

Business) ผ่านการใช้ภาษาที่เน้นแสดงถึงความงามของ 

สัจจะของวัสดุ และการผสมผสานกันระหว่างงานสถาปัตย- 

กรรมและงานวิศวกรรม ทั้งการเลือกใช้โครงสร้างเหล็ก 

ให้กับทั้งอาคาร การเปลือยฝ้าเพดานภายในที่แสดงให้ 

เห็นถึงงานระบบต่างๆ ที่ถูกจัดเรียงอย่างเป็นระเบียบและ 

การใช้หลักคากระจกเปลือยที่ยึดกับโครงสร้างspider และ 

ลวดสลิงบริเวณ canopy ทางเข้าหลักของอาคาร รูปแบบ 

ที่สองคือการสะท้อนถึงนวัตกรรมพลังงานซึ่งเป็นธุรกิจ 

หลักขององค์กร ผ่านการเลือกใช้เทคโนโลยีอาคารและ 

วัสดุก่อสร้างต่างๆ ที่ช่วยให้เกิดสภาวะน่าสบายขึ้นกับผู้ใช้ 

งานอาคารได้ อย่างเช่น การใช้กระจก 2 ชั้น บวกกับ 

การติดฟิล์มกันความร้อนเสริมเข้าไป เพื่อลดการแผ่รังสี 

จากแสงแดดลงหรือการใช้ระบบปรับอากาศ ที่แม้ว่าจะ 

เป็นการใช้ระบบ split-type เนื่องจากขนาดของอาคารที่ 

ไม่ใหญ่มาก แต่ก็เป็นการเลือกใช้ระบบcassette ที่สามารถ 

กระจายลมเย็นให้ทั่วถึงส่วนต่างๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

นอกจากการนาเทคโนโลยีอาคารต่างๆ เข้ามาช่วยแล้ว 

การใช้องค์ประกอบสถาปัตยกรรมอย่างครีบบังแดดเข้า 

มาช่วย นอกจากจะช่วยกันแสงแดดที่เข้าได้ส่วนหนึ่งแล้ว 

ยังเพิ่มความสวยงามให้กับอาคารได้อีกส่วนหนึ่งด้วย 

“คนเราเวลาอยู่กับอาคารนั้น ไม่ได้ต้องการแค่ฟังก์ชั่น 

ด้านการใช้สอยอย่างเดียว มันมีเรื่องของฟังก์ชั่นด้าน 

จิตใจเข้ามาด้วย” บุญฤทธิ์ทิ้งท้าย 


In terms of architectural expression, the architects 

have used two methods to reflect the corporate identity 

of QTC Energy. The first one reflects upon the industrial 

business: through the use of language and elements 

of architecture that highlight aesthetics from truth of 

materials and construction. The integration between 

architecture and engineering can be derived from the 

use of a steel structure for the entire building, the bare 

ceiling depicting organized wireways and conduits, and 

the use of a frameless laminated glass with spider fittings 

and tension rods at the canopy of the main entrance. 

The second method reflects the main business of the 

corporation, energy innovation. From the use of building 

technologies and construction materials that help to 

create comfort for the user to the use of a double-layered 

glass window paired with heat insulating film to reduce 

heat radiation or the use of the efficient cassette air 

conditioners that can thoroughly ventilate air and are 

suited for a medium-sized building, a regard for energy 

innovation is present throughout the design and, apart from 

these various building technologies, simple architectural 

elements like vertical shading fins also help to screen 

sunlight and add more aesthetics and value to the building. 

“When we live in architecture, we need not only the 

physical function but also the mental function as well,” 

Boonrit added. 

05 โถงบันไดและบรรยากาศ 

ภายในอาคาร 

06 มุมมองภายนอกอาคารแสดง 

การเลือกใช้วัสดุที่สะท้อนภาพ- 

ลักษณ์องค์กร 

ปภพ เกิดทรัพย์ 

จบการศึกษาจากคณะสถาปัตย- 

กรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์ 

มหาวิทยาลัย ปัจจุบันทำาหน้าที่ 

เป็นกองบรรณาธิการประจำา 

วารสารอาษา นิตยสาร art4d 

และเป็นบล็อกเกอร์ที่สนใจเขียน 

เกี่ยวกับหนังสือและการออกแบบ 


06 



ASEAN 

ASEAN ARCHITECTS. 01 SINGAPORE 

FORMWERKZ ARCHITECTS 

แนวกำแพงซ้อนเหลื่อมกัน 

เพื่อแก้ปัญหของที่ตั้ง 

ในเรื่องของมุมมองจกทง 

ยกระดับ มีลักษณะคล้ย 

ตัวนิ่ม อันเป็นที่มของชื่อ 

Armadillo House 

76 ASA ASEAN วารสารอาษา

TEXT 

Jirawit Yamkleeb 

Darren Yio 

PHOTOS 

Albert Lim 

Jeremy San 

TRANSLATED TO THAI BY 

Tanakanya 

Changchaitum 

THE STUDIO’S ADVOCATING BELIEF – AN INTEREST 

THAT IS KEEN TO DESIGN HAPPENINGS OR MORE 

PRECISELY, CONDITIONS THAT CAN ESPOUSE 

MORE ACTIVE ENGAGEMENT FROM MAN WITH 

HIS ENVIRONMENT. 

การมาถึงของ AEC (ASEAN Economic Community) ทาให้ความเปลี่ยนแปลง 

เป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้อีกต่อไปส าหรับแวดวงวิชาชีพสถาปนิกไทย การขยับขยายและ 

พัฒนาความรู้ที่เราร่วมแบ่งปันกันไม่เพียงแค่เฉพาะในแง่มุมของความสามารถในการ 

ออกแบบเท่านั้น หากแต่ยังรวมไปถึงวัสดุและรายละเอียดในการก่อสร้าง และอีกหลาย 

ต่อหลายอย่างที่กาลังจะเกิดขึ้นภายในภูมิภาค เพื่อการคงไว้ซึ่งแรงผลักดันแห่งการแข่งขัน 

และการเติบโตของตลาด เป็นที่น่าสังเกตว่าสถาปนิกจากกลุ่มประเทศ ASEAN นั้น 

กาลังได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆและในอีกไม่นานพวกเขาก็จะ 

ได้รับอนุญาตให้เข้ามาประกอบวิชาชีพในเมืองไทย บทความนี้คือจุดแรกเริ่มของชุดงาน 

เขียนที่จะบอกเล่าเรื่องราวและผลงานของบริษัทสถาปนิกเลือดใหม่ใน ASEAN โดยมี 

จุดมุ่งหมายคือการเปรียบเทียบแนวคิดและมาตรฐานทางสถาปัตยกรรมของงานจาก 

ทุกประเทศในภูมิภาค ผ่านการวิเคราะห์ผลงานและการเติบโตเปลี่ยนผ่านของการท างานทั้ง 

ในระดับภูมิภาคและนานาชาติของบริษัทสถาปนิกรุ่นใหม่ โดยจุดหมายแรกของการ 

เดินทางนี้คือสิงคโปร์ ประเทศผู้นาด้านเศรษฐกิจและการเงินของ ASEAN 

และเพื่อเป็นการแก้ต่างแนวคิดและความเชื่อเกี่ยวกับชื่อเสียงของสถาปัตยกรรม 

สิงคโปร์ในฐานะของการเป็นผลพลอยได้ของการควบคุมการใช้วัสดุและรายละเอียดเชิง 

ก่อสร้าง Formwerkz Architects ที่เราเลือกมานั้นแตกต่างนับตั้งแต่ปรัชญาของบริษัทที่ 

บอกว่าตนเองนั้น “ไม่มีความสนใจในสถาปัตยกรรมที่ถูกครอบงาด้วยความลุ่มหลงในการ 

มุ่งสร้างผลลัพธ์ของความบริสุทธิ์ผุดผ่องสิ่งละอันพันละน้อย”นาทีมโดย Alan Tay, Berlin 

Lee, Seetoh Kum Loon และ Gwen Tan ที่ตามมาสมทบในปี2002 Formwerkz Architects 

ถูกก่อตั้งขึ้นในปี1998 และก็ได้ผลิตงานที่แม้ไม่ตามขนบแต่ก็เต็มไปด้วยพลังความสดใหม่ 

และน่าติดตามยิ่ง 

สถาปัตยกรรมของ Formwerkz คืออุปมาอุปมัยของความเชื่อที่ทางสตูดิโอสนับสนุน 

มาตลอด นั่นก็คือความสนใจที่จะออกแบบสถานการณ์หรือเงื่อนไขที่จะก่อให้เกิดความ 

ผูกพันหว่างมนุษย์และสิ่งแวดล้อมที่พวกเขาอยู่อาศัย โปรเจ็คต์ที่ผ่านมาของสตูดิโอคือ 

ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมของการเดินทางค้นหาการก่อร่างสร้างตัวของเหตุการณ์และเรื่องราว 

เพื่อที่จะนิยามความสัมพันธ์ที่เกิดกับบริบทที่ล้อมรอบตัวมันอยู่หากพูดให้เฉพาะเจาะจง 

ผลลัพธ์อันหลากหลายของโครงการที่พักอาศัยต่างๆ ที่ FA ได้ทาไว้นั้นแสดงให้เห็นถึง 

การรวบรวมเอาไว้ซึ่งความแตกต่างที่เปี่ยมไปด้วยความคิดและน่าสนใจของการถือก าเนิด 

ของรูปทรงแบบต่างๆ กัน มันปรากฏตัวขึ้นจากเส้นสายที่ถูกควบคุมไปจนถึงรูปทรงและ 

รูปร่างอันเป็นอิสระที่ดึงดูดการรับรู้ได้อย่างน่าประหลาด 

อย่างแรกที่เราอยากกล่าวถึงคือชื่อของสตูดิโอที่ท าให้เรานึกถึงแนวทางการทางานที่ 

นิยามและพึ่งพาการสร้างสรรค์ของตนอยู่กับรูปทรงที่เหมาะสมน่าขันที่เมื่อพูดถึงหรือได้ยิน 

เป็นครั้งแรก ชื่อ Formwerkz Architects ก็เป็นการเท้าความที่นาไปสู่การตั้งคาถามว่า 

อะไรคือสิ่งที่ทาให้ Formwerkz เรียกตัวเองตามคาเรียกเชิงเทคนิคที่ใช้ในการออกแบบ 

สถาปัตยกรรม อะไรคือแนวคิดเบื้องหลังบริษัทสถาปนิกที่วางตัวเองไว้บนการรับรู้อย่างมี 

ปฏิกิริยาต่อสภาพแวดล้อมและเล่นกับทุกสิ่งสะท้อนกลับที่เกิดขึ้นและโต้ตอบกับงานออกแบบ 

ของพวกเขา นี่คือความพยายามที่จะดึงเอาสถานการณ์และเงื่อนไขต่างๆ ที่ปรากฏอยู่ 

ตรงหน้าเข้าไว้ด้วยกันอย่างสร้างสรรค์หรือไม่นับว่าเป็นเรื่องที่ต้องพูดคุยถกเถียงกันต่อไป 

With the upcoming opening of the ASEAN Economic 

Community or AEC, changes are inevitable to 

the architectural community in Thailand. It becomes 

imperative to expand and deepen shared knowledge, 

not only in terms of design capabilities, building materials 

and construction details, but also on the happenings 

within the region in order to remain competitive in a 

growing market. It is noticeable that architects from 

ASEAN nations are gaining international recognition 

and soon will have their hall pass to operate in Thailand. 

This article is the initiating piece in a series of writings 

on selected young ASEAN practices, one that is aimed 

at comparing ideas and standards of work across the 

region. It looks at emerging practices from selected 

ASEAN countries and analyzes how their projects have 

grown with the burgeoning expansion of regional and 

international practice. The first of these destinations 

selected is Singapore, a traditional financial powerhouse 

within ASEAN. 

As antidote to Singapore architecture’s reputation 

of being byproducts in the control of material palettes 

and construction details, the selection here, Formwerkz 

Architects, as noted in the firm’s philosophy, has no 

interest for architecture that is preoccupied with its 

obsessive pursuit of minimal refinement as an end. 

Led by Alan Tay, Berlin Lee, Seetoh Kum Loon and later 

joined by Gwen Tan in 2002, Formwerkz was founded 

in 1998 and has regularly produced a series of unconventional 

yet surprisingly delightful projects. 

The architecture of Formwerkz is a metaphor for 

the studio’s advocating belief – an interest that is keen 

to design happenings or more precisely, conditions that 

can espouse more active engagement from man with 

his environment. The studio’s projects – as noted, are 

visual testaments to this continuing exploration in fabricating 

happenings, in order to define an engagement 

with context. In particular, the diverse outcomes of 

Formwerkz’s numerous residential projects display a 

palette of enlightening and interesting variety of form 

materializations. They prompt from a range of controlled 

lines to a free rein of shapes and figures that draw 

peculiar awareness and attention. 

First and foremost, the studio’s moniker brings to 

mind a practice that defines and perhaps depends on 

forms that work. Ironically, it is also the initial allusion 

when the firm’s name is spoken or heard. This raises 

questions. What prompts the studio to name itself behind 

a critical term (form) in architectural design? What is 


ASEAN ASA 77

รูปตัดแนวกำแพงที่ใช้ช่วย 

แก้ปัญหในกรออกแบบ 

แสดงให้เห็นถึงกรเลื่อนไหล 

ถ่ยเทกันของที่ว่ง กิจกรรม 

แสงสว่ง และกรระบยอกศ 

ตมธรรมชติ 

SECTION A-A 

SECTION B-B 

SECTION C-C 

แนวคิดหรือความเชื่อนี้นั้นในความเป็นจริงเป็นเรื่องยากที่จะให้ค านิยาม หากมีผลลัพธ์ 

มหาศาลที่ขึ้นอยู่กับความเกี่ยวข้องสัมพันธ์ที่ยังส่งผลหรือมีปฏิกิริยาต่อกันอยู่ สิ่งที่จะเกิดขึ้น 

ตามมาก็คือการเกิดขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติและไร้การปั้นแต่งของเหตุการณ์แนวทางหรือ 

แนวความคิดของ Formwerkz คือการปฏิเสธความต้องการที่มีต่อรูปทรงหรือการจัดประเภท 

หรือแม้แต่กระแสความนิยม ในทางตรงกันข้ามพวกเขาพึงพอใจกับความเป็นไปได้ของ 

ปลายเปิดอันไม่มีที่สิ้นสุดและผลกระทบในรูปแบบต่างๆที่จะช่วยถอดสลักของผลลัพธ์และ 

ความหลากหลายที่จะตามมา FA นั้นสนใจความสัมพันธ์ขององค์ประกอบทางพื้นที่และ 

การสัมผัสกับประสบการณ์อะไรบางอย่างด้วยตัวเองพวกเขามองหาเสียงสะท้อนในเสรีภาพ 

และความขี้เล่นของการสารวจอะไรบางอย่างจากการสร้างสรรค์มากกว่าการบังคับตัวเอง 

ให้มุ่งหน้าสร้างรูปทรงหรือคาตอบที่คาดเดาได้ เป็นโอกาสที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์อัน 

หลากหลาย ทั้งสามโปรเจ็คต์ที่เราน าเสนอในบทความนี้นั้นถูกเลือกมาเพื่อช่วยให้เราศึกษา 

และเข้าใจมุมมองดังกล่าวมากขึ้น 

ผลงานแรกที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจของ FA ในความสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์และ 

สิ่งแวดล้อมคือ Armadillo House นับตั้งแต่แรกเริ่ม โครงการนี้ท้าทาย FA ด้วยปัจจัยทาง 

พื้นที่และสภาพแวดล้อมหลายอย่างนับตั้งแต่มลภาวะทางเสียงจากถนนที่ตั้งอยู่เกือบติดกับ 

ตัวบ้าน รวมไปถึงสะพานลอยและทางยกระดับ และประเด็นเรื่องความเป็นส่วนตัวเนื่อง 

มาจากระยะห่างของบ้านจากถนนหลัก ยังไม่นับรวมไปถึงการที่ตัวที่ดินหันด้านยาวของ 

มันไปรับความร้อนจากทิศตะวันตกเข้าเต็มๆ และเพื่อเป็นการรับมือกับสภาพแวดล้อมที่ 

ไม่เป็นมิตรดังกล่าวโดยที่ไม่ต้องลงเอยกับงานออกแบบที่เต็มไปด้วยเครื่องปรับอากาศและ 

กาแพงหนาๆ ห้องใต้ดินขนาดใหญ่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้เป็นส่วนพักอาศัยหลัก อันประกอบ 

ไปด้วยห้องนั่งเล่น ห้องนอนหลัก และสวนส่วนตัวขนาดย่อม เราสามารถมองเห็นความ 

เกี่ยวพันอย่างแรกของบ้านหลังนี้กับตัวนิ่ม(Armadillo) ได้จากส่วนประกอบนี้เอง เมื่อเผชิญ 

หน้ากับศัตรูตัวนิ่มจะขุดหลุมและฝังตัวเองลงใต้ดินเพื่อความปลอดภัยปฏิกิริยาทางสถาปัตย- 

กรรมที่ FA เลือกใช้ก็คือการหลบลงดิน เพื่อหนีจากถนนยกระดับที่มีการจราจรหนาแน่น 

การขุดเพื่อสร้างห้องใต้ดินนั้นช่วยกันพื้นที่หลักของบ้านออกจากความไม่น่าพึงประสงค์ 

ของสภาพแวดล้อม Armadillo House คือสถาปัตยกรรมที่แสดงให้เห็นถึงการผลักดันความ 

ตั้งใจในการออกแบบเพื่อปกป้องมนุษย์และความจ าเป็นในการปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม 

หัวใจของบ้านหลังนี้ถูกดูแลรักษาไว้ที่นี่ และถูกเน้นย้าให้เห็นชัดเจนในฐานะของพื้นที่ๆ 

เป็นจุดศูนย์กลางของอาคารที่พักอาศัยแห่งนี้ 

the thinking behind a studio that sets itself on reactive 

acknowledgements of surroundings and dabbles into 

varied responses on every project it undertakes? Is this 

an attempt to creatively engage each program presented 

before them? These leave much to discuss. 

This theme or belief is in reality difficult to define. 

If there is a multitude of outcomes depending on active 

engagements, there will so often be an end production 

of happenings, as Formwerkz describes it. The studio 

leaves it to an approach and a way of thinking that rejects 

the need for any form of neither classification nor trend, 

instead it favours the possibilities of endless openings 

and influences that can unbolt sequences of derivatives 

and varieties. Formwerkz are interested in the relationship 

of spatial components and active experiences. They 

seek a resonance ironically in freedom and playfulness, 

of creative explorations, and not straight-jacketing the 

studio into particular predictable executions of form or 

response, but as an opportunity in relationships. A selection 

in three of the firm’s projects is presented here 

to explore this perspective. 

The first of which that exhibits this deliberate interest 

in the relationship of man and his environment is found in 

the Armadillo House. At the outset, the project presented 

the studio with multiple site challenges, i.e. noise pollution 

from the nearby road with a traffic crossing and 

a viaduct, privacy issues due to its proximity to main 

thoroughfares and exposure of the longest face of site 

to the heat of the western sun. To address its hostile 

surroundings without resorting to a fully air-conditioned 

and walled-in design, a sizeable basement was first 

created for the main living compound; the living space, 

a master en-suite and a partial private garden. The first 

correlation to an armadillo is found here. When faced 

with adversary, an armadillo digs into ground for safety. 

Similarly, Formwerkz had reactionarily “dug into the 

ground” from the adjacent heavily trafficked viaduct. 


By digging into the ground for a basement, which safeguards 

the main spaces from the harshness of the 

environment, the Armadillo House exhibited the driving 

design intent to protect man and his needs to adapt to 

his surroundings. The hearth of the house is cosseted 

here, and is emphasized as the main constituent at the 

nuclei of the residence. 

Above ground, a series of overlapping walls (akin 

to the bands of an armadillo skin, hence its name) shield 

the house from the unpleasant surroundings. In fact, 

the skin of the house acts as armour to its surrounds, 

an evident reaction that intuitively tackles and adopts 

the traces of its environment. This skin protects and 

screens the inhabitants of the residence from the harsh 

sunlight and noise emanated from the western face 

of the site. Indirect daylight is only allowed to infiltrate 

into the interior spaces through the full height glazing 

contained between the skin walls. To cool the house 

down, stack effect is induced by mechanical fans that 

are installed on the rooftop. Cooler air is drawn in from 

the basement up through an open riser staircase well. 

Simply put, the house is deliberately shied away and 

addressed ‘vertically’ and ‘marginally’ in reaction to its 

surroundings. Formwerkz had conscientiously by design, 

ensured that the first priority of the residence owner is 

addressed; a responsibility to comfort and wellbeing. 

Here, man and his immediate environment encapsulate 

the driving intent behind the development. 

ช่องเปิดที่เปิดรับวิวและแสง 

ธรรมชติทงด้นข้งและ 

ด้นบนเพื่อป้องกันกรมอง 

เข้มในตัวบ้นจกทงยก- 

ระดับที่อยู่ใกล้เคียง 

สิ่งที่ปกคลุมอยู่เหนือชั้นหนึ่งของบ้านคือชุดก าแพงที่ทับซ้อนกัน (คล้ายเปลือกหุ้มของ 

ตัวนิ่มอันเป็นที่มาของชื่อ Armadillo House) ช่วยปกป้องบ้านจากสภาพแวดล้อมที่ไม่ 

น่าพิศมัย ผิวชั้นนอกของตัวบ้านทาหน้าที่เป็นเกราะที่ป้องกันพื้นที่ภายในจากภายนอกซึ่ง 

นับว่าเป็นปฏิกิริยาทางสถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นจากความพยายามในระดับสัญชาตญาณที่ 

จะต่อสู้กับสิ่งแวดล้อม 

‘ผิวหนัง’ นี้ปกป้องผู้พักอาศัยจากแสงแดดและเสียงรบกวนจากทิศตะวันตก แสง 

ธรรมชาติเพียงบางส่วนเท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาในพื้นที่ผ่านแผงกระจกขนาดสูงสุด 

เพดานที่ติดตั้งอยู่ระหว่างส่วนทับซ้อนของโครงสร้างกาแพงด้านนอก และเพื่อเป็นการ 

ทาให้บ้านมีอุณหภูมิที่เย็นขึ้น สถาปนิกติดพัดลมระบายอากาศที่บริเวณด้านบนสุดของ 

หลังคา อากาศเย็นจะพัดเคลื่อนตัวจากชั้นใต้ดิน ผ่านช่องบันไดที่เปิดทะลุยาวถึงหลังคา 

เรียกได้ว่าตัวบ้านจงใจหลีกเลี่ยงและจัดการกับสภาพแวดล้อมของมันผ่านการออกแบบ 

พื้นที่เชิงดิ่งได้อย่างมีชั้นเชิง 

FA ให้ความสาคัญกับความต้องการแรกของลูกค้าเป็นหลักผ่านการออกแบบ นั่นคือ 

การสร้างความสะดวกสบายและมาตรฐานการพักอาศัยที่ดีอย่างมีความรับผิดชอบ ที่นี่ผู ้- 

อยู่อาศัยและสิ่งแวดล้อมคือภาพสะท้อนแรงขับเคลื่อนและความตั้งใจที่อยู่เบื้องหลังการ 

พัฒนาของตัวสถาปัตยกรรมได้อย่างครบถ้วน 

โปรเจ็คต์ต่อมาของ FA คือการศึกษาแนวทางการออกแบบที่ถือกาเนิดขึ้นจากบริบท 

ของที่ตั้ง Park House ตั้งอยู่บนที่ดินที่มีระดับต่ ากว่าระดับพื้นที่ปกติของบริเวณโดยรอบ 

โดยด้านหนึ่งของที่ดินหันหน้าเข้าหาสวนขนาดใหญ่ริมทะเลตัวบ้านมีห้องนอนที่ถูกวางตัว 

ให้อยู่ที่ชั้นล่างสุดของบ้าน และถูกปกคลุมด้วยมวลของคานยื่นขนาดใหญ่ที่ท าหน้าที่เป็น 

ทั้งหลังคาให้กับพื้นที่่จอดรถและแผงกันแดดให้กับห้องนอนในเวลาเดียวกันรวมไปถึงเป็น 

พื้นที่สาหรับสวนยกระดับที่เชื่อมต่อกับพื้นที่พักอาศัยส่วนอื่นๆที่ชั้นบนของบ้าน ห้องนอน 

ที่ฝังตัวอยู่ใต้ดินได้รับร่มเงาและความเป็นส่วนตัวจากมวลอาคารด้านบน ในขณะที่พื้นที่ 

ส่วนกลางวางตัวอยู่ชั้นบนสุดพร้อมการเชื่อมต่อทางสายตากับสวนสาธารณะที่ตั้งอยู่อีกฝั่ง 

ถนน ดังที่ FA ตั้งใจ “บ้านหลังนี้ได้รับการออกแบบเพื่อคู่แต่งงานที่ต้องรับรองแขกเหรื่อ 

บ่อยครั้ง” ความเชื่อมโยงทางการมองเห็นกับสวนฝั่งตรงข้ามกลายเป็นองค์ประกอบส าคัญ 

ระหว่างการพัฒนาแบบ และจัดลาดับพื้นที่ภายใน โดยการวางสวนยกระดับไว้ที่ชั้นสอง 

ของบ้านและเชื่อมโยงสวนภายนอกเข้าเป็นส่วนหนึ่งของบ้าน ความคิดในการหยิบยืม 

ภูมิทัศน์ดังกล่าวจึงถือกาเนิดขึ้น พื้นที่สีเขียวถูกรวมเข้าเป็นหนึ่ง ขอบข่ายของพื้นที่ถูก 

ขยายให้กว้างออกไป ความสวยงามของทัศนวิสัยถูกทาให้เด่นชัดขึ้น 

ด้วยองค์ประกอบที่ว่า Park House หยิบยื่นความรู้สึกของดินแดนไร้ขอบเขตที่น าพา 

ผู้พักอาศัยให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของสภาพแวดล้อมได้อย่างสร้างสรรค์ 

สิ่งหนึ่งที่เห็นชัดเจนคือห้องนอนที่มักถูกวางไว้ด้านบนของบ้านนั้นถูกน ามาวางให้อยู่ 

ในชั้นที่เตี้ยที่สุด อันเป็นแนวคิดที่ตรงกันข้ามกับการจัดการพื้นที่แนวดิ่งทั้งพื้นที่ส่วนตัว 

และส่วนกลางของบ้านพักอาศัยทั่วไปอย่างสิ้นเชิง แนวทางดังกล่าวส่งผลให้ห้องนอนมี 

ความเป็นส่วนตัวเต็มที่และนาเสนอประสบการณ์ทางพื้นที่แบบใหม่ที่ให้ความรู้สึกปกป้อง 

และปลอดภัยจากคานคอนกรีตขนาดใหญ่ที่รับน้าหนักมวลด้านบนของอาคารทั้งหมดอยู่ 

คล้ายกับที่หลบภัยหรือบังเกอร์หากแต่กว้างขวางและสะดวกสบายกว่ามาก พร้อมทางเดิน 

ที่เชื่อมต่อห้องนอนเข้ากับสระว่ายน้าที่อยู่ชั้นเดียวกัน การจัดวางพื้นที่ภายในดังกล่าว 

สะท้อนภาพการตอบสนองของสถาปัตยกรรมต่อที่ตั้งของมัน นั่นคือสวนบนพื้นที่ราบที่ 

ถูกยกระดับขึ้น อันเป็นผลพวงจากความพยายามที่จะผสานความเชื่อมโยงระหว่างผู้อยู่อาศัย 

กับสภาพแวดล้อม การตอบสนองต่อความต้องการของเจ้าของบ้านได้อย่างมีลูกเล่นนี้ 

เน้นย้าให้เห็นถึงความทุ่มเทตั้งใจของFA ในการค้นหาการเกิดขึ้นของปฏิกิริยาและเหตุการณ์ 

ที่ตอบสนองต่อกันอย่างเป็นธรรมชาติที่ถูกขับเคลื่อนโดยเงื่อนไขของที่ตั้งและความต้องการ 

ของลูกค้าอย่างแท้จริง ทุกอย่างถูกอธิบายออกมาอย่างมีชั้นเชิง หาใช่การผลิตขัดเกลา 

รูปทรงที่ปรากฏอยู่ก่อนแล้วแต่อย่างใด 



The second project in the studio’s explorations in 

unearthing design resolutions from site context can 

be found in the Park House. This house, situated on 

a sunken piece of land with a facing to a huge park 

next to the sea, has all bedrooms placed on grade 

covered with a large band of cantilevered slab that not 

only serves as a car porch canopy, but simultaneously 

as sunshades for the bedrooms and as an elevated 

private garden for living spaces on the upper levels. 

The sunken bedrooms receive shade and privacy from 

the building mass of the upper levels while the communal 

space on the top connects with the park across the 

street. As Formwerkz commits, “the house is designed 

for a couple that entertains frequently”. Naturally, the 

connection to the adjacent park becomes the focal point 

while developing the brief and general order of the spaces 

within. By placing the elevated garden on the second 

storey level in visual connection to the park across the 

street, the idea of a borrowed landscape is conceived; 

greens connected, boundaries extended, visuals enhanced. 

Immediately, the house offers the feel of a limitless boundary, 

one that allows the owners to creatively associate with 

their surroundings. 

Evidently, the traditionally located upper level bedrooms 

now occupy the lowest level in the Park House, 

a notion that inverses the typical vertical arrangement 

of public and private spaces within a residence. This 

maneuver however, essentially granted the bedrooms 

a new sense of privacy, one that is securely grounded 

and sheltered under a concrete canopy holding the masses 

above, one similar in feel to a bunker, albeit a generous 

and comfortable one though, well covered and well 

secured with private access to a pool at the same ground 

level. In this instance, the outcome of the arrangements 

within the house illustrates a response to its settings; 

a constituted elevated ground plane of the private garden 

that performs as an intentional endeavour to enhance 

the connection between the couple-owners and their 

direct environment. This playful response to the owners’ 

brief highlights Formwerkz’s active engagements in 

sourcing those reactive happenings, driven by conditions 

of site and brief, and aptly described, not through mere 

productions and refinement of preoccupied forms. 

This affair in man and nature is in no doubt further 

amplified in the recently completed Terrace House. 

An existing semi-detached house was demolished to 

make way for a terrace house planned as a residence 

for a multi-generation family. “They wanted their house 

to be introverted to safeguard their privacy as an reaction 

to the towering neighbour next door where most of the 

rooms overlook their compound”, explains Formwerkz. 

From the street, the concrete façade with a singular 

strip of window appears as a concrete ruin overran by 

a suggestively untamed landscape. The internal spaces 

are organized around an atrium amply filled with natural 

light through generous side openings and a skylight 

over the internally terracing planter boxes. Communal 

spaces around the central atrium and the greenery are 

spatially connected to encourage interactions between 

family members, while the stepping landscape continues 

on the rooftop where the experience is imagined akin 

to walking, sitting and having conversations in a park 

setting. 

แผงบังตด้นหลังกระจก 

ผืนใหญ่นอกจกจะ 

ช่วยกรองแสงสว่งในเวล 

กลงวันแล้วยังส่งผลให้ 

ตัวบ้นมีลักษณะเหมือนโคม 

ส่องสว่งในยมคำ่คืน 

แนวคิดเรื่องมนุษย์และธรรมชาติถูกน ามาขยับขยายและบอกเล่าอีกครั้งผ่านสถาปัตย- 

กรรมของ Terrace House ที่เพิ่งเสร็จสิ้นการก่อสร้างไปได้ไม่นาน บ้านเดี่ยวที่ตั้งอยู่บน 

พื้นที่ก่อนหน้าถูกรื้อถอนเพื่อหลีกทางให้กับบ้านทรงตึกที่ทางเจ้าของวางแผนให้เป็นที่พัก- 

อาศัยของครอบครัวที่ประกอบไปด้วยสมาชิกหลากหลายวัย “พวกเขาอยากได้บ้านที่มี 

ลักษณะปิดตัวเองจากภายนอก และปกป้องความเป็นส่วนตัวเนื่องด้วยบ้านของเพื่อนบ้าน 

ข้างเคียงนั้นสูง นั่นทาให้แทบทุกห้องของบ้านหลังนั้นสามารถมองมาภายในบ้านของพวก 

เขาได้ จากถนน façade คอนกรีตผืนใหญ่พร้อมแนวหน้าต่างปรากฏให้เห็นในสภาพที่ 

คล้ายกับซากปรักหักพังคอนกรีตที่มีต้นไม้และภูมิทัศน์ขึ้นบดบังตามธรรมชาติ พื้นที่ภายใน 

ถูกจัดวางให้อยู่ล้อมรอบโถงที่สว่างสดใสไปด้วยแสงธรรมชาติที่เข้ามาจากช่องเปิดด้านข้าง 

และช่องรับแสงที่วางตัวอยู่เหนือบริเวณปลูกต้นไม้ที่ถูกจัดวางให้ลดหลั่นลงมา พื้นที่ส่วน 

กลางรอบโถงกลางและพื้นที่สีเขียวถูกเชื่อมโยงเข้าด้วยกันเพื่อส่งเสริมปฏิสัมพันธ์ระหว่าง 

สมาชิกในครอบครัว ในขณะที่ภูมิสถาปัตยกรรมถูกออกแบบให้เป็นชั้นลดหลั่นวางตัวยาว 

ต่อเนื่องขึ้นไปยังบริเวณดาดฟ้าหยิบยื่นประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกับการเดินั่ง และพักผ่อน 

พูดคุยโดยมีพื้นหลังเป็นสวนสาธารณะสวยๆ สักแห่ง 


แนวคิดเรื่องการลดหลั่นเป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นเด่นชัดในสถาปัตยกรรมของTerrace 

House ทั้งในเชิงกายภาพและอุปมาอุปมัยโถงกลางที่ถูกซ่อนตัวจากภายในดึงความเชื่อม- 

โยงมากมายเข้าไว้ด้วยกันทั้งในด้านการปฏิสัมพันธ์ การมองเห็น และการใช้พลังงานธรรมชาติ 

แง่มุมของการมีปฏิสัมพันธ์คือการที่ลักษณะของพื้นที่ช่วยเชื่อมโยงสมาชิกในครอบครัว 

จากหลากหลายช่วงอายุเข้าไว้ด้วยกันไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ตรงส่วนไหนของบ้านการมองเห็น 

เกี่ยวพันถึงความโอ่ โถงปลอดโปร่งที่ปรากฏให้เห็นอย่างต่อเนื่องผ่านพื้นที่ส่วนกลางที่วางตัว 

รอบโถงขนาดใหญ่กลางบ้าน และประหยัดพลังงานในแง่ที่ว่าแสงธรรมชาติสามารถผ่าน 

เข้าสู่พื้นที่ภายในได้ในปริมาณที่เหมาะสมและสวยงามผ่านช่องเปิดด้านบนและพื้นที่โล่ง 

ตรงกลาง ทุกอย่างที่กล่าวมาล้วนเป็นคุณสมบัติพื้นฐานที่งานสถาปัตยกรรมหมายมั่นจะมี 

และยึดถือเป็นความสาเร็จ หากวิเคราะห์เชิงอุปมาอุปมัย การคลี่คลายทางสถาปัตยกรรม 

ของ FA ก็คล้ายคลึงกับการเดินทางเข้าสู่พื้นที่ต่างๆผ่านประตูหน้า โดยมีระเบียงบนดาดฟ้า 

เป็นจุดหมาย ทางสัญจรถูกวางเพื่อให้ผู้พักอาศัยได้เดินเล่นพักผ่อนตามเส้นทางที่จะน าไป 

สู่จุดสูงสุดของบ้าน ราวกับว่าบ้านมีZiggurat ล่องหนวางตัวอยู่ณ ใจกลางของบ้านเพื่อดึง 

สมาชิกในครอบครัวขึ้นไปเจอกันที่ด้านบนอย่างเป็นระบบกระบวนการภูมิทัศน์ของดาดฟ้า 

ของบ้านคล้ายคลึงกับสวนสาธารณะอันเป็นความตั้งใจของสถาปนิกที่จะให้พื้นที่นี้เป็น 

จุดหมายของการสังสรรค์และปฏิสัมพันธ์ มันวางตัวอยู่ในฐานะของตัวแทนของแนวคิดที่ 

เติบโตพัฒนาไปจากล่างสู่บนเป็นดังพื้นฐานของความสัมพันธ์ของสมาชิกทุกคนในครอบครัว 

ดังนิยามที่สถาปัตยกรรมของ FA ได้สร้างไว้ มีการผสมผสานที่เป็นรูปธรรมของวิธีการ 

ต่างๆ ที่ FA ได้นามาใช้เมื่อพวกเขาทางานในแต่ละโปรเจ็คต์ ในทางกลับกันมันก็มีเส้นทาง 

ที่งานแต่ละแบบถูกรับรู้และตีความ FA ได้แสดงให้เห็นถึงความเป็นไปได้ที่ชัดเจนในการ 

เชื่อมโยงความต้องการของลูกค้าเข้ากับพื้นที่โดยไม่ต้องมีอย่างใดอย่างหนึ่งถูกบดบังหรือ 

ลดทอนความสาคัญ เราได้เห็นความพิถีพิถันของการตอบสนองความต้องการของลูกค้า 

มันถูกให้ความสาคัญและวางไว้อย่างเหมาะสมถูกที่ถูกทาง นั่นคือมุมมองของผู้อยู่อาศัย 

ความสะดวกสบาย และความรับผิดชอบ บางทีจากจุดเดียวกันที่ FA อธิบายถึงความคิด 

ของพวกเขาต่อการเป็นที่ปรึกษาในโปรเจ็คต์ต่างชาติ (ในบทสัมภาษณ์หน้าถัดไป)คุณสมบัติ 

ที่สาคัญที่สุดที่สตูดิโอสถาปัตยกรรมสามารถและควรจะท าในการทางานข้ามพรมแดนอย่าง 

มีความรับผิดชอบก็คือ การวางตัวเองให้มั่นคงภายใต้บริบทที่งานของพวกเขาถูกสร้างขึ้น 

ไม่ว่าบริบทนั้นจะเต็มไปด้วยสิ่งที่คาดการณ์ไม่ได้ สถานการณ์แวดล้อม หรือลักษณะ 

ความเป็นพื้นถิ่นแบบใดก็ตาม 

The theme of ascendency is visible here in the 

Terrace House, both physical and metaphorical. The 

introvertly driven central atrium draws connectivity in 

many ways; interactively, visually and passively. Interactive 

in the sense that the various members of a multigeneration 

family are encouraged to connect no matter 

where they are in the house, visual in the way that a 

generous feel in the ampleness or excess of space is 

channeled through with all communal areas being planned 

around a central expansive high volume atrium, passive 

in response to bring as much natural daylight in as 

possible through the use of a skylight and a large void 

in the middle - the fundamentals in which successes 

of architecture had traditionally thrived on. Analyzed 

metaphorically, this response from Formwerkz can be 

likened to have drawn or routed a journey from entry 

to all spaces through the house and which accumulates 

at the rooftop terrace. Inhabitants are intentionally 

planned to walk and wind around while mingling on 

their way to the apex of the house, as if a ziggurat had 

invisibly been placed at the heart of the house to draw 

all family members processionally upward. Coincidentally, 

the park-like setting at the rooftop terrace is equated 

to one of a public park, a purpose-planned destination 

for meetings and interactions. It stages itself as a completion 

to the ideology that initiated from ground up, 

as the main basis for invaluable interaction between all 

members of the family. 

As the architecture of Formwerkz defines, there is 

a palpable combination of methodologies adopted by 

the studio while approaching each project it undertakes. 

Conversely, there is also a visible lineage in which the 

diverse range of works had been addressed. To date, 

Formwerkz displayed a clear inclination in engaging the 

requirements of both owner and site, without downplaying 

either. There is an inevitable sense of meticulousness 

in how the briefs have been addressed; focus 

appropriately placed on the intrinsic aspects of habitat, 

comfort and responsibility. Perhaps in a similar position 

on how the studio describes their idea on foreign consultancy 

(in interview following), the paramount quality on 

how architectural studios can and should responsibly 

practice across borders, is to entrench itself (the studio) 

in the context that they operate; be it immediate, contextual 

or even thoroughly vernacular. 

รูปตัดแสดงกรเล่นระดับ 

ของตัวบ้นที่มีจุดเด่นเป็น 

สวนขั้นบันไดและชนพัก- 

ผ่อนบนหลังค 



oof garden บนหลังค 

บ้นและงนภูมิทัศน์ที่มี 

ลักษณะคล้ยงอกเงยมเอง 

ตมธรรมชติ 

Q&A WITH ALAN TAY, FORMWERKZ 

Q&A WITH ALAN TAY, FORMWERKZ 

คุณมองเห็นความสาคัญของแนวความคิดในแต่ละงานของ Formwerkz 

อย่างไร? 

ผมไม่คิดว่าเราจะสามารถออกแบบอะไรได้หากปราศจากความคิดที่จะมาช่วยขับเคลื่อน 

มันนะครับ ไม่ว่างานนั้นจะเป็นการสร้างเฟอร์นิเจอร์ บ้าน มัสยิด หรือเมืองสักเมืองหนึ่ง 

บททดสอบที่แท้จริงก็คือเราจะสามารถทาให้ผลลัพธ์ที่ได้ใกล้เคียงกับความคิดแค่ไหนและ 

ความตั้งใจในแง่มุมของสถาปัตยกรรมจะชัดเจนเพียงไร 

คุณจะอธิบายสถาปัตยกรรมของ Formwerks ว่าเป็นอย่างไร? 

เราเขียนคาประกาศปรัชญาการทางานของเราไว้แล้วในเว็บไซต์ แต่ถึงกระนั้นตอนนี้ผมก็ 

ยังคงค้นหาคานิยามงานของเราที่ดีกว่านั้นอยู่นะครับ 

ใครหรืออะไรที่เป็นอิทธิพลในการทางานของคุณ พวกคุณมีสถาปนิก 

หรือนักออกแบบที่เป็นแรงบันดาลใจบ้างไหม? 

ด้วยหุ้นส่วน 4 คนของเรา มันเป็นเรื่องยากที่จะเห็นพ้องต้องกันโดยเฉพาะเมื่อเป็นเรื่องของ 

แรงบันดาลใจในช่วงเวลาที่แตกต่างกันไป ผมเองมีสถาปนิกหลายท่านที่ชื่นชอบและเป็น 

แรงบันดาลใจมาตลอดชีวิตการทางาน ถ้าจะให้บอกเป็นชื่อก็มีทั้งPeter Zumthor, Geoffrey 

Bawa, Jorn Utzon และ Paulo Mendes da Rocha ถ้าเป็นสถาปนิกที่ร่วมสมัยหน่อยก็ 

Jun Igarashi, Kevin Mark Low, Mansilla & Tunon มีอีกมากมายหลายท่านเลยครับ 

อะไรคือปัจจัยเบื้องหลังการรับว่าจ้างทางานออกแบบ? 

ณ จุดนี้ของการทางาน เราแทบจะไม่ปฏิเสธงานนะ อาจจะเป็นเพราะเรายังเด็กหรือมอง 

โลกในแง่ดีจนโง่เขลาหรือเปล่าก็ไม่รู้เราเชื่อว่าทุกโปรเจ็คต์หยิบยื่นโอกาสในการเข้าค้นหา 

ดินแดนแห่งความรู้ใหม่ๆ หรือศักยภาพที่เราจะได้ลองทาอะไรด้วยแนวทางและวิธีการ 

ที่มีความหมายและมีประโยชน์ได้ 

การเริ่มต้นแต่ละโปรเจ็คต์เกิดขึ้นได้อย่างไร หุ้นส่วนทุกคนมานั่งคุยกันไหม 

โดยเฉพาะในระยะเริ่มแรกของแต่ละงาน? 

ไม่มีกฏอะไรตายตัวนะครับ 

HOW DO YOU SEE THE IMPORTANCE OF IDEAS 

BEHIND EACH PROJECT OF FORMWERKZ? 

I cannot imagine designing a project without any idea 

driving it. Be it a piece of furniture, a house, a mosque 

or a city. The real test is how close we could keep to 

it and how legible the architectural intent is when the 

project is finally completed. 

HOW WOULD YOU DESCRIBE FORMWERKZ’S 

ARCHITECTURE? 

We have a manifesto on our website. But, to this date, 

I am still seeking a better definition of our works. 

WHO/WHAT ARE YOUR INFLUENCES? ARE THERE 

ANY PARTICULAR ARCHITECTS/DESIGNERS THAT 

INSPIRE ALL PARTNERS IN THE OFFICE? 

With four partners, it is difficult to find a common ground 

in this at any given moment in time. Alone, I have a 

pantheon of architects that have greatly intrigued and 

inspired me throughout my career; to name a few; 

Peter Zumthor, Geoffrey Bawa, Jorn Utzon and Paulo 

Mendes da Rocha. The younger contemporaries that I 

look to include Jun Igarashi, Kevin Mark Low, Mansilla 

& Tunon; the list goes on. 

WHAT ARE THE DRIVING FACTORS BEHIND THE 

ACCEPTANCE OF A COMMISSION? 

At this stage of our career, we hardly turn away 

any commission. Perhaps it’s our youthful or foolish 

optimism; we believe that every project presents 

the opportunities for us to unravel a hidden thesis or 

potential for us to contribute in a meaningful way. 

HOW DOES A PROJECT NORMALLY GET INITIATED 

IN THE OFFICE? DO ALL PARTNERS HAVE A SHARE 

OF IDEAS AT THE BEGINNING OF EVERY PROJECT? 

No fixed rules really. 


โปรเจ็คต์ในอุดมคติของพวกคุณเป็นอย่างไร? 

มันเป็นการประกอบกันของหลายๆ สิ่ง แต่ถ้าให้อธิบายคร่าวๆ โปรเจ็คต์ในฝันเลย 

น่าจะเป็น 

1) การได้สร้างงานในบริบทที่มีวัสดุท้องถิ่นหรือธรรมเนียมในการก่อสร้างที่เราต้องตอบสนอง 

2) มีโปรแกรมที่เรียบง่าย 

3) มีภูมิทัศน์ที่กว้างใหญ่ 

4) มีการยอมรับต่อความผิดพลาดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 

WHAT IS THE IDEAL PROJECT THAT THE FIRM 

WOULD LIKE TO UNDERTAKE? 

I came out with a matrix to define, in loose terms, the 

dream project; 

1) To build in a context where you have local materials 

or building traditions to respond. 

2) A simple program. 

3) A vast landscape. 

4) A project with a big tolerance for errors. 

คุณมองเห็นตัวเองอย่างไรในอีกห้าปีข้างหน้า? 

ได้พัฒนาบริษัทและการทางานอย่างจริงจังมุ่งมั่นเพื่อจะแข่งขันในโปรเจ็คต์สาธารณะ 

คุณมีความคิดเห็นอย่างไรต่อ AEC และการที่ในอนาคตสถาปนิกจะ 

สามารถทางานในประเทศสมาชิกได้ง่ายขึ้น? 

ผมสนับสนุนแนวคิดทุกแนวคิดที่มีผลในการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ส่งเสริมความร่วมมือและ 

การแลกเปลี่ยนทางความคิดและประสบการณ์ แต่ที่สาคัญยิ่งกว่าก็คือผมมองว่านี่เป็น 

โอกาสให้สถาปนิกที่ทางานนอกประเทศจะได้ลองเพิ่มเดิมพันกับภูมิภาคอันเป็นพื้นที่ที่ 

พวกเขากาลังสร้างงานกันอยู่ ผมเองมีทัศนคติในแง่ลบมาตลอดเกี่ยวกับการมีที่ปรึกษา 

สถาปนิกต่างชาติถ้าพวกเขาไม่มีความยึดมั่นกับบริบทที่ล้อมรอบงานที่พวกเขาก าลังสร้างขึ้น 

HOW DO YOU POSITION YOURSELF WITHIN THE 

NEXT 5 YEARS? 

We are aggressively shaping our practice to compete 

for public commissions. 

WHAT DO YOU THINK OF AEC AND HOW ARCHI- 

TECTS ARE IN THE FUTURE ABLE TO WORK EASILY 

WITHIN THE MEMBER COUNTRIES OF ASEAN? 

I am supportive of any initiatives that create a collaborative 

environment and promote the exchanges of ideas 

and experiences. But more importantly, I see this as 

an opportunity for architects working outside of their 

country to take a bigger stake in the region that they 

are working in. I have always been a bit skeptic with 

the idea of foreign architecture consultancy if the practice 

do not entrench itself in the context that they operate. 

Jirawit Yamkleeb 

Jirawit Yamkleeb received 

B.Arch from Chulalongkorn 

University and M.Sc. (Urbanism) 

from TU Delft in the 

Netherlands. He spent his life 

after Delft in Singapore for 11 

years and left his previous firm, 

SCDA Architects, as a Senior 

Associate. In 2015, he cofounded 

archi.smith – a multidisciplinary 

design firm, with 

Sukonthip Sa-ngiamvongse. 

Darren Yio 

Darren Yio received his B.Arch 

(Hons.) from The University of 

Melbourne in 2007. Prior to 

the completion of his architecture 

degree, Darren also 

spent time studying at the 

Royal Academy of Arts in 

Copenhagen, Denmark. Upon 

graduation, he spent 8 years 

at SCDA Architects before 

leaving his position as an 

Associate. 

สถปนิกจงใจออกแบบให้ 

หน้บ้นมีลักษณะ หนหนัก 

ทึบตันคล้ยซกอรยธรรม 

ที่ถูกปกคลุมไปด้วยพืชพันธ์ุ 



SPECIAL REPORT 

MILAN 

EXPO 2015 

TEXT 


84 ASA SPECIAL REPORT วารสารอาษา

Chris Singshinsuk 

IN 2010, CHINA HELD THE SHANGHAI EXPO 2010 WITH 

AN EXHIBITION AREA OF 5.2 SQUARE KILOMETERS. VISITORS 

FROM 192 COUNTRIES ATTENDED THIS EVENT AS WELL 

AS REPRESENTATIVES FROM 50 INTERNATIONAL ORGANI- 

ZATIONS. IN 2015, ITALY ORGANIZED THE MILAN EXPO 2015 

IN A SMALLER EXHIBITION SPACE OF 1.1 SQUARE KILOMETERS. 

THIS EVENT RECEIVED PARTICIPANTS FROM 145 COUNTRIES, 

REPRESENTATIVES FROM 20 INTERNATIONAL ORGANIZATIONS 

AND SIX GROUPS OF COMPANIES. THE EXHIBITION THEME, 

‘FEEDING THE PLANET, ENERGY FOR LIFE’ ENCOURAGED 

PARTICIPANTS TO REFLECT ON THE IMBALANCE OF TODAY’S 

WORLD FOOD SHORTAGES, THE PROBLEMS OF EXCESSIVE 

CONSUMPTION, AND THE SIGNIFICANT AMOUNTS OF FOOD 

WASTED ANNUALLY. THE EXHIBITION BROUGHT TOGETHER 

A NUMBER OF INTERRELATED THEMES AND PARTICIPANTS 

WERE ENCOURAGED TO FIND AND OFFER SOLUTIONS TO 

THESE ISSUES TOGETHER. AMONG THE THEMES WERE HOW 

TO STIMULATE POLICY DECISIONS AND RAISE AWARENESS 

IN TERMS OF NUTRITION, FOOD SAFETY AND QUALITY, 

AS WELL AS INNOVATION IN THE FOOD SUPPLY CHAIN, 

CURRENT-DAY TECHNOLOGIES FOR AGRICULTURE, THE 

IMPORTANCE OF MAINTAINING BIODIVERSITY IN AGRICUL- 

TURE AND ECOSYSTEMS AND CREATING SOLIDARITY AND 

COOPERATION IN TERMS OF FOOD IN ORDER TO MAIN- 

TAIN A BALANCED AND SUSTAINABLE AGRICULTURE AND 

ELIMINATE FOOD SHORTAGES FOR FUTURE GENERATIONS. 

ในปี 2010 ประเทศจีนจัดงานเซี่ยงไฮ้เอ็กซ์โป 2010 ด้วยพื้นที่จัดงาน 5.2 ตารางกิโลเมตร 

มีผู้เข้าร่วมถึง 192 ประเทศ และองค์กรสากล 50 องค์กร ในปีนี้อิตาลีใช้พื้นที่เพียง 1.1 

ตารางกิโลเมตร จัดงาน มิลานเอ็กซ์โป 2015 โดยมีผู้เข้าร่วมงาน 145 ประเทศ 20 องค์กร 

สากล และ 6 กลุ่มบริษัท ในหัวข้องาน ‘Feeding the Planet, Energy for Life’ ซึ่งเปิด 

โอกาสให้ผู้เข้าร่วมสะท้อนถึงความไม่สมดุลของโลกในปัจจุบัน ซึ่งมีทั้งความขาดแคลนอาหาร 

ปัญหาการบริโภคมากเกินไป และปริมาณอาหารที่เหลือทิ้งเป็นจานวนมากในแต่ละปี ร่วมกัน 

ค้นหาและนาเสนอแนวทางการแก้ไข เพื่อกระตุ้นให้เกิดการตัดสินใจด้านนโยบาย ให้ความรู้ 

ด้านโภชนาการ บอกเล่าวิทยาการเพื่ออาหารที่ปลอดภัยมีคุณภาพ นวัตกรรมในห่วงโซ่อุปทาน 

อาหาร นาเสนอเทคโนโลยีช่วยในการเกษตรและรักษาความหลากหลายทางระบบนิเวศน์ และ 

ก่อให้เกิดความร่วมมือเรื่องอาหาร เพื่อช่วยให้เกิดสมดุล นาไปสู่การเกษตรที่ยั่งยืนและขจัด 

ปัญหาขาดแคลนอาหารในอนาคต 

01 


SPECIAL REPORT ASA 85


02 

01 Pavilion ประเทศไทย 

02 Pavilion ประเทศอิตาลี ออก- 

แบบด้วยแนวความคิด Urban 

Forest และใช้ Biodynamic 

ซีเมนต์ซึ่งเมื่อโดนแสงจะช่วย 

ดักจับมลภาวะในอากาศและลด 

หมอกควัน 

03 ทางเข้า Pavilion ประเทศ 

ฝรั่งเศส รูปทรง Organic 

ประหยัดพลังงาน ลมสามารถ 

พัดผ่านอาคารได้ 

กลุ่มสถาปนิกและนักผังเมืองที่ได้รับเชิญให้วางผัง 

งานมิลานเอ็กซ์โป ประกอบด้วย Stefano Boeri สถาปนิก 

ชาวมิลาน Herzog & de Meuron สถาปนิกชาวสวิสเจ้าของ 

รางวัล Pritzker Prize, Rickard Burdett ที่ปรึกษาด้าน 

สถาปัตยกรรมและผังเมืองของลอนดอน โอลิมปิกส์,William 

McDonough สถาปนิกผู้คิดค้นทฤษฎีออกแบบ ‘Cradle 

to Cradle’ และกาหนดหลักปฏิบัติสาหรับฮานโนเวอร์ 

เอ็กซ์โป 2000, Joan Busquets สถาปนิกและนักผังเมือง 

ชาวสเปน ผู้มีส่วนร่วมในโอลิมปิกส์ที่บาร์เซโลน่า โดย 

ทีมได้วางผังเป็นกริดอ้างอิงถึงการใช้แนวแกนถนนในแนว 

เหนือใต้ (Cardo) และถนนแนวตะวันตกและตะวันออก 

(Decumanus) ของผังเมืองโรมัน โดยมีความตั้งใจที่จะ 

เสนอผังที่มีแนวคิดสอดคล้องกับหัวข้อของงานโดยต้องการ 

จะเปลี่ยนแปลงแนวความคิดที่ผู้เข้าร่วมงานแข่งขันกัน 

ออกแบบสถาปัตยกรรมที่ใหญ่โตอลังการ เป็นการให้ความ 

สาคัญ มุ่งเน้นการนาเสนอเนื้อหาที่แตกต่างกันของการจัด 

แสดงแนวความคิดของแต่ละประเทศ และได้ตั้งใจวางผัง 

โดยแบ่งที่ดินเป็นชิ้นผอมยาว ขนาดเท่ากันทุกประเทศ 

จัดแสดงสวนเกษตร และให้มีเพียงอาคารง่ายๆ ที่เป็นที่ 

จัด Exhibition ภายใต้หลังคาผ้าใบของงาน ทาให้ไม่มี 

การออกแบบสถาปัตยกรรมที่ใหญ่โตแข่งกัน น่าเสียดาย 

ที่แนวคิดนี้ไม่ได้รับการสนับสนุนในระดับนโยบายเนื่อง 

ด้วยเหตุผลหลายประการ ทาให้ในปี 2011 กลุ่มผู้ออกแบบ 

ได้ถอนตัวจากการทางานให้กับมิลานเอ็กซ์โป 2015 นี้ 

หลังจากเห็นว่าไม่สามารถผลักดันแนวความคิดที่น าเสนอ 

ให้บรรลุผลได้ 

ผังที่เห็นในปัจจุบันนั้นยังคงแนวแกนที่กลุ่มผู้ออกแบบ 

เดิมได้ออกแบบไว้ และยังคงรักษาความกว้างของหน้าที่ 

ดินที่เท่ากัน แต่ผู้จัดงานได้ปรับผังภายหลังจากที่กลุ่ม 

ผู้ออกแบบเดิมถอนตัว โดยได้ยกเลิกแนวความคิดของ 

พื้นที่ดินที่เท่ากัน โดยปรับแปลงที่ดินให้เช่าตั้งแต่ 400- 

6,000 ตารางเมตร สร้างอาคารได้ 30 เปอร์เซ็นต์ของ 

ที่ดิน และปรับเปลี่ยนแนวความคิดของหลังคาผ้าใบที่ 

เคยออกแบบให้คลุมอาคารนิทรรศการของผู้เข้าร่วมใน 

แนวตั้งฉากกับ Decumanus มาเป็นหลังคาผ้าใบใน 

แนวขนานกับ Decumanus ด้านหน้าของ Pavilion แทน 

จึงไม่น่าแปลกใจว่า เหตุใดจึงไม่มีระยะสาหรับการถ่าย 

ภาพด้านหน้าอาคาร มีแต่โครงสร้างหลังคาผ้าใบขวาง 

เต็มไปหมด และเมื่อเดินในแกนก็ไม่สามารถเห็นด้าน 

หน้าของ Pavilion ต่างๆ และภาพรวมของงานได้ ใครที่ 

ต้องการเห็นภาพว่าแนวคิดเรียบง่ายที่วางไว้เดิมเป็นอย่างไร 

สามารถไปดูตัวอย่างได้ที่อาคารของ International Slow 

Food Movement ซึ่ง Herzog & de Meuron ได้รับการ 

ติดต่อให้ออกแบบไว้ในปี 2014 ตั้งอยู่บริเวณปลายด้าน 

ตะวันออกของแกนหลัก 

ในแนวแกนหลัก Decumanus ซึ่งยาว 1.5 กิโลเมตร 

สุดปลายด้านทิศตะวันตกจะเป็น Expo Center ซึ่งเป็น 

สานักงานหลัก Media Center จุดนัดพบและพื้นที่จัดงาน 

ส่วนสุดปลายด้านทิศตะวันออกเป็น Mediterranean Hill 

ซึ่งเป็นงานออกแบบสวนบนเนินที่เกิดจากดินที่มาจากการ 

ขุดดินจากการก่อสร้างในพื้นที่ ส่วนในแนวแกน Cardo 

ยาว 350 เมตร สุดปลายด้านเหนือเป็นแลนด์มาร์คของ 

เอ็กซ์โป The Tree of Life และทางด้านทิศใต้เป็นทางเข้า 

ของผู้ชมที่มาโดยรถบัส และโรงละครกลางแจ้ง จุดตัดกัน 

ของแกนจะเป็น Piazza Italia เป็นที่ตั้งของ Italy Pavilion 

และการจัดแสดงของท้องถิ่นและภูมิภาคต่างๆ ของอิตาลี 


03 


The group of architects and city planners invited 

to design the Milan Expo site included Stefano Boeri, 

a Milan architect, Herzog & de Meuron, a firm of 

Swiss architects (and a winner of the Pritzker Prize 

award), Richard Burdett, a consultant in architecture 

and city planning for the London Olympics, William 

McDonough, an architect who founded the Cradleto-Cradle 

theory and who set the guidelines for the 

Hannover Expo 2000, and Joan Busquets, a Spanish 

architect and city planner who was part of the Barcelona 

Olympics development team. The group designed 

a grid plan reference to supplement the Rome city 

plan – the north-south-oriented streets (Cardo) and the 

east-west-oriented streets (Decumanus), with an intention 

to present a layout corresponding to the theme 

of the event. The intention was to change the perception 

that participating countries competed in designing 

grandeur architecture and to focus on the content of 

the exhibitions that differ from country to country. The 

idea was to provide each participating country with 

equal amounts of a long thin space so that they could 

each create a garden of equal size and a simple building. 

In this way, the participating countries would not compete 

in building any grand architectural structure. 

Unfortunately, and for various reasons, this idea was 

not supported at the policy level. So, in 2011, after 

seeing that they could not push the concept through, 

the design team pulled out from the Milan Expo 2015. 

The layout still remained the main grid that the original 

design team had designed, including maintaining the 

width of land equally, but after the design team pulled 

out, the organizer abandoned the idea of providing equal 

amounts of space to each country and introduced a 

system of renting areas ranging in size from 400-6,000 

square meters, making the building area to fall within 

a ratio of 30 percent being allotted to the rented land 

area. The designers’ idea of tent roofing designed to 

be vertical to the Decumanus was further changed to 

be horizontal, with the Decumanus in the front of the 

Pavilion. For these reasons, there was insufficient space 

to photograph the front of the building and every time 

that one looked up, there were structural tent roofs to 

be seen. When walking along the principal axes it was 

impossible to see the front of the Pavilion and the overall 

view of the event. Those who wanted to see the simple 

concept of the original plan could see an example at 

the International Slow Food Movement Building, which 

was assigned to Herzog & de Meuron to design in 2014 

and located at the edge of the east principle axis. 

The Decumanus axial core was 1.5 kilometers in length. 

At the western end was situated the Expo Center, main 

office, media center, meeting point, and exhibition area. 

While the eastern end featured a Mediterranean Hill 

which was a green hill created out of excavated soil 

from the construction in the area, the Cardo axis of 

350 meters in length set at the end of the north side 

housed The Tree of Life, the Expo’s landmark structure. 

The south side supported the public entrance for people 

who arrived by bus and an open-air amphitheatre. At the 

intersection of the axes was the Piazza Italia and also 

the Italian Pavilion and exhibitions from local Italian regions. 



สาหรับ Pavilion ของไทยนั้น ตั้งอยู่บนที่ดินประมาณ 

3,000 ตารางเมตร ติดกับ Pavilion ของจีน อยู่ระหว่าง 

จุดเข้างานจากรถไฟใต้ดินทางด้านทิศตะวันตกและPiazza 

Italia ออกแบบโดย บริษัท สานักงานสถาปนิกกรุงเทพ 

จากัด (OBA) และออกแบบส่วนนิทรรศการโดย บริษัท 

Work Right ปีนี้เป็นปีแรกก็ว่าได้ที่รูปแบบของสถาปัตย- 

กรรมแตกต่างออกไป ไม่มีศาลาไทยอยู่ด้านหน้าอาคาร 

เหมือนทุกครั้ง ผู้ออกแบบตีความและนาเสนอสัญลักษณ์ 

ความเป็นไทยที่ต่างออกไปจากเดิม โดยนาเสนอสัญลักษณ์ 

3 สัญลักษณ์ ซึ่งแสดงออกถึงความเป็นไทยและสอดคล้อง 

กับหัวข้อของงานเอ็กซ์โป ได้แก่ ‘งอบ’ เป็นสัญลักษณ์แห่ง 

การเกษตรกรรม ซึ่งเป็นภูมิปัญญาไทยในการออกแบบให้ 

มีการระบายอากาศที่ดี มีรูปทรงที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว 

ใช้เป็นส่วนประกอบหลักของงานสถาปัตยกรรม ‘นาค’ 

เป็นสัญลักษณ์ของความเชื่อความสัมพันธ์กับแหล่งน้ าและ 

ความอุดมสมบูรณ์ เป็นตัวนาเข้าสู่อาคาร และ ‘ฐานเจดีย์’ 

เป็นสัญลักษณ์ของความศรัทธา ถูกนามาใช้ในส่วนเปลือก 

อาคาร โดยสัญลักษณ์ทั้งหมดได้ถูกตัดทอนรูปแบบและ 

ใช้วัสดุสมัยใหม่ ยกเว้นเพียงหัวพญานาคด้านหน้าทางเข้า 

ซึ่งเป็นงานศิลปะไทยโบราณ ส่วนงอบเป็นโครงเหล็กและ 

ไม้ซึ่งสามารถนาไปใช้ต่อได้ภายหลังการรื้อถอน ใต้หลังคา 

ทางเดินเข้าคิวสู่ส่วนจัดแสดงห้อยแผ่นเส้นใยปอทอมือ 

จากเมืองไทย ขนาด 0.90 x 2.00 เมตร จานวน 200 

แผ่นเย็บต่อกันเป็นผืน ซึ่งแผ่นเส้นใยนี้ได้ถูกขนส่งไปชุบ 

น้ายาป้องกันการลามไฟในอิตาลี และถูกติดตั้งภายหลัง 

จากเปิดงานไปแล้วพักหนึ่ง ผิวของอาคารส่วนที่เป็นฐาน 

เจดีย์ใช้ Aluminium Composite Cladding ผิวเงา ซึ่ง 

ระหว่างการก่อสร้างหลังติดตั้งเสร็จพบว่าแปลนอาคาร 

ซึ่งมีความโค้งเพียงน้อยสามารถท าให้เกิดภาวะจุดรวมแสง 

ทาให้ส่วนพลาสติกของรถยนต์ที่จอดฝั่งตรงข้ามคลอง 

ละลาย และต้องแก้ปัญหาด้วยการพ่นเคลือบชิ้นที่มีปัญหา 

เพื่อลดการสะท้อน 

การจัดแสดงภายในโถงจัดแสดงงานนาเสนอด้วย 

multimedia สามส่วน ส่วนแรกแนะนาแหล่งธรรมชาติ 

ความอุดมสมบูรณ์ของไทย ส่วนที่สอง แสดงเรื่องอาหารไทย 

ตั้งแต่วัตถุดิบการประกอบอาหาร และกระบวนการอุตสาห- 

กรรมอาหาร ส่วนที่สามแสดงแนวคิดเศรษฐกิจพอเพียง 

และโครงการในพระราชดาริของในหลวง นอกจากนี้ยัง 

มีการแสดงสด ประเพณี การละเล่น บริเวณด้านหน้าอาคาร 

ในช่วงเย็นของทุกวัน น่าเสียดายที่ Pavilion ของไทยไม่มี 

การจาหน่ายอาหารปรุงสุก เหมือนกับประเทศอื่นๆ ที่มี 

ชื่อเสียงด้านอาหารและเครื่องดื่มที่จัดให้มีร้านขายอาหาร 

และเครื่องดื่มทั้ง อิตาลี จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ เยอรมัน 

เนเธอร์แลนด์ โดย Pavilion ของไทยมีเพียงซุปเปอร์มาร์เก็ต 

ขนาดเล็กที่จาหน่ายอาหาร ขนมและเครื่องดื่มที่บรรจุ 

กล่องสาเร็จรูป และน่าเสียดาย Roof Garden ที่ไม่ได้ 

เปิดให้ผู้คนทั่วไปเข้าชมเหมือนหลายประเทศ 




04 

Nattakit Jeerapatmaitree 

นอกจาก Pavilion เดี่ยวๆ ของประเทศต่างๆ แล้ว 

ภายในงานเอ็กซ์โปยังจัดให้มีการจัดแสดงของกลุ่ม(Cluster) 

วัตถุดิบอาหารและเครื่องดื่มต่างๆ อีก 9 กลุ่ม เช่น ข้าว 

กาแฟ ช็อคโกแลต เครื่องเทศ เป็นต้น ซึ่งมีการจัดแสดง 

นิทรรศการตามประเภทของกลุ่ม และเป็นอาคารที่รวม 

การจัดแสดงของประเทศขนาดเล็กที่ไม่ได้สร้างอาคารของ 

ตัวเอง นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดง Thematic Area ต่างๆ 

ทั้ง Children’s Park, Future food district, Arts and 

foods, Biodiversity Park และ Pavilion Zero 

Pavilion Zero ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าจากรถไฟใต้ดิน 

เป็นอาคารที่แนะนาหัวข้อหลักของงานเอ็กซ์โปออกแบบ 

โดย Michele de Lucchi มีแนวความคิดที่จะนาเสนอ 

เปลือกโลก โดยได้รับแรงบันดาลใจรูปทรงของภูเขาและ 

หุบเขาจาก Euganean Hills กลุ่มเนินเขาที่เกิดจากลาวา 

ทางตอนเหนือของอิตาลี ผู้เข้าชมจะได้รับประสบการณ์ 

การเดินผ่านถ้าของเปลือกโลกไปสู่หุบเขากลางแจ้ง โครง- 

สร้างของรูปทรงภูเขาของอาคารใช้เหล็กชุบสังกะสีที่สามารถ 

นากลับไปรีไซเคิลได้ทั้งหมด การจัดแสดงภายในดูแล 

โดย Davide Rampello บอกเล่าถึงหัวข้อของงาน จัดแสดง 

ความสัมพันธ์ของมนุษย์และอาหารจากอดีตจนถึงปัจจุบัน 

ด้วย multimedia ในห้องจัดแสดง 12 ห้อง 


04 ‘งอบ’ องค์ประกอบหลักซึ่ง 

เป็นจุดเด่นและเป็นเอกลักษณ์ 

ของ Pavilion ประเทศไทย 

05 ภายนอกของ Vanke Pavilion 

และบันไดทางขึ้นดาดฟ้า 

06 ผนังทางเดินใน Pavilion 

ประเทศเกาหลี 

The Thailand Pavilion was situated on an exhibition 

space of 3,000 square meters next to the China Pavilion, 

which was between the west side entrance near the 

underground station and Piazza Italia. The Thailand Pavilion 

was designed by The Office of Bangkok Architects 

Co., Ltd. (OBA), and the Thai exhibition was designed 

by Work Right Co., Ltd. The year 2015 was the first year 

that the architectural format was different from previous 

years and there was no Thai Pavilion at the front of the 

building as in previous times. The designer presented a 

different interpretation of the symbol of Thainess, by 

showing three symbols representing Thainess and 

reflecting the Expo theme one of which was a ‘Ngob’ 

(a famer’s palm-leaf hat), symbolizing agriculture and 

Thai wisdom. Thai wisdom of hat making that provides 

good ventilation and a unique shape. It was used as 

the main element of the architectural structure. ‘Naga’ 

is a symbol of beliefs, connecting water resources and 

fertility and was utilized to lead people into the building. 

The ‘Pagoda platform,’ a symbol of faith, was used to 

create a façade. All these symbolic forms were reduced 

in scope and were replaced by new materials, except for 

the Naga’s head in front of the entrance that featured a 

traditional Thai art work. The Ngob structure was made 

of steel and wood that could be re-used after being 

dismantled. Below the hallway hat roof leading to the 

exhibition area was a corridor where 200 hand-woven 

flax-fiber fabrics from Thailand sized 0.90 x 2.00 meters 

each were sewn together and hung. The fabrics were 

imported from Thailand and underwent a fire-protection 

treatment in Italy. These hangings were installed some 

time after the opening of the exhibition. The pagodaplatform 

façade was made of Aluminum Composite 

Cladding, giving the façade a glimmering top. During the 

construction it was found that a slight curvature of the 

building created a focus point that melted the plastic 

of the cars parked in the car park at the opposite side 

of the canal, solution being to coat the problem pieces 

in order to reduce the reflected glare. 

The exhibits in the exhibition hall presented by multimedia 

were in three parts, the first aiming to introduce 

Thailand’s natural resources and fertility. The second 

part displayed Thai food and included ingredients, cooking, 

and industrial processing. The third part presented the 

Self Efficiency Concept and His Majesty the King’s Royal 

Projects. There were also daily live cultural performances 

held in the evenings at the front of the building. Unfortunately, 

the Thai Pavilion did not prepare and sell food 

like other countries that are famous in food and beverages. 

The pavilions of Italy, China, Japan, and South Korea 

sold national foods and beverages while the Thai Pavilion 

had only a tiny supermarket selling pre-packaged readymade 

foods and drinks. And, unfortunately, the Roof 

Garden was not open for the public like those of other 

countries. 

06 



Pavilion อื่นๆ ที่น่าสนใจ ได้แก่ Pavilion จากประเทศ 

เยอรมนี ด้วยแนวคิด ‘Fields of Ideas’ ออกแบบ 

โดย Schmidhuber Architekten (Sabine Heinrichs) 

ดูแลการจัดแสดงโดย Milla & Partner ได้นาเสนองาน 

ออกแบบอาคารที่เชิญชวนผู้คนให้เข้าไปใช้งานทั้งร้าน 

อาหารชั้นล่าง และงานภูมิสถาปัตยกรรมบนหลังคา 

พื้นที่บนหลังคาออกแบบเป็น public space ที่น่าพักผ่อน 

หย่อนใจ สอดแทรกการจัดแสดงอาหารแต่ละภูมิภาค 

ของเยอรมันและพืชพันธุ์เนื้อหาของการจัดแสดงก็น่าสนใจ 

กล่าวถึงดิน น้า สภาพอากาศ ความหลากหลายทางระบบ 

นิเวศ การใช้ทรัพยากรอย่างชาญฉลาดจะเป็นส่วนสาคัญ 

ของอาหารสาหรับอนาคต ใช้ interactive multimedia ที่ 

ตอบสนองกับแผ่นกระดาษแข็งที่แจกให้กับผู้ชมโครงสร้าง 

ทรงกรวยติดแผ่น solar cell บางเฉียบ เชื่อมโยงความ 

สัมพันธ์ของการจัดภายในอาคารและพื้นที่บนหลังคา 

ส่วนจัดแสดงที่ออกจะแปลกอยู่สักหน่อยก็น่าจะมีเพียง 

การแสดงโชว์ใน hall สุดท้าย 

Pavilion จากประเทศจีน ด้วยแนวคิด ‘Land of Hope, 

Food for Life’ ออกแบบโดย Tsinghua University + 

Studio Link-Arc กับรูปทรงของหลังคาที่ผสานรูปทรง 

คลื่นที่เป็นธรรมชาติด้านทิศใต้กับ skyline ของเมืองใน 

ด้านทิศเหนือ การที่เมืองและธรรมชาติอยู่ด้วยกันอย่าง 

กลมกลืนนี้สะท้อนถึงความหวังที่สามารถเป็นจริงได้และ 

ตั้งใจให้หลังคานี้เป็น ‘field of space’ เป็นส่วนหนึ่งของ 

ภูมิสถาปัตยกรรมแทนที่จะเป็น object ที่ตั้งอยู่ในลานจัด 

แสดง การออกแบบโครงหลังคาเหล็กและ cable bracing 

ทาให้สามารถสร้างพื้นที่ปราศจากเสา สาหรับจัดแสดง 

แท่งไฟ LED ซึ่งเป็นไฮไลท์ของการจัดแสดงงาน สถาปนิก 

เลือกปูหลังคาของอาคารด้วยวัสดุกันซึมแผ่นmembrane 

เพื่อความโปร่งแสงและความรวดเร็วในการก่อสร้างเปลือก 

ของอาคารเป็นแผ่นไม้ไผ่สานจานวน 1,052 แผ่น ทาจาก 

ไม้ Glulam ภายหลังจากงานอาคารจะถูกรื้อและนาไป 

สร้างเป็น public facilities ในสวนสาธารณะในเมือง 

ชิงเต่า (Qingdao) 

07 Pavilion ประเทศเยอรมัน 

โครงสร้างทรงกรวยให้แสง 

ธรรมชาติเชื่อมต่อพื้นที่จัด 

แสดงกับพื้นที่สวนบนหลังคา 

และแสดงการใช้ Photovoltaic 

sheet 

08 พื้นที่ Highlight ของการ 

จัดแสดงใน Pavilion ประเทศ 

จีน จัดแสดงทุ่งข้าวสาลีสะท้อน 

แนวคิด Land of Hope ด้วย 

การใช้แท่งไฟ Interactive LED 


Narute Pongchavanakul 


08 

07 

Apart from the pavilions of individual countries, the 

event also featured a cluster of exhibitions. The exhibitions 

were organized by theme and intended to host 

small countries that did not construct their own exhibition 

pavilions. Themes of the cluster exhibitions included food 

ingredients and beverages, rice, coffee, chocolate and 

spices etc. The event featured nine cluster exhibitions 

in total as well as exhibitions under thematic areas, for 

example: a Children’s Park, a Future Food District, Arts 

and Foods, a Biodiversity Park and Pavilion Zero. 

Pavilion Zero was located near the entrance adjacent 

to the underground train station. The building introduced 

visitors to the event’s themes and was designed by 

Michele de Lucchi with the concept of Earth Crust. The 

inspiration came from the Euganean Hills and Valleys 

created from lava flowing from the north of Italy and 

audiences experience a journey through a cave to the 

open-air valley. The structure of the hill-form building 

was made from galvanized steel that could be wholly 

recycled. Davide Rampello was responsible for the overall 

exhibition, the theme of which was the connection of 

human beings and foods from past to present. The exhibition 

was presented through multimedia in 12 exhibition 

rooms. 

Another interesting pavilion was the German Pavilion 

that took on the concept of ‘Fields of Ideas’ and was 

designed by Schmidhuber Architekten (Sabine Heinrichs). 

The firm of Milla & Partner designed the German exhibition 

and the building created an inviting atmosphere for 

visitors, both to the restaurant on the ground floor and 

the landscape on the roof. The space on the roof was 

designed to be a public space suitable for recreation 

and included an exhibition of food and plants from 

various regions of Germany. The exhibition content was 

interesting, as it presented earth, water, climate, and 

the diversity of the ecosystem emphasizing how a wise 

use of resources is important for securing sufficient 

food for the future. Exhibits were presented through 

interactive multimedia engaged through papers provided 

to each visitor. A conical structure was attached with 

a very thin solar cell linking the inside of the building to 

the space on the roof. The final hall contained a rather 

eccentric live performance. 

The Chinese Pavilion presented the concept ‘Land 

of Hope, Food for Life’ and was designed by Tsinghua 

University and Studio Link-Arc. The roof featured the 

merging of natural waves in the south with the city skyline 

in the north. City and Nature were brought together 

harmoniously reflecting the hope that this could be true 

with an intention of utilizing the roof as a ‘field of space’ 

and a part of the landscape instead of an object set 

down in the exhibition area. A steel structure and cable 

bracing were utilized for the construction of the roof, 

allowing for the exhibition space to be free from columns 

and to allow for an LED light exhibit which was the 

highlight of this exhibition. The architect chose to line 

the roof with membrane waterproof materials to retain 

translucency and allow for quick construction. The 

building surface was clad with 1,052 woven bamboo 

panels made from Glulam. After the event, the building 

will be dismantled and rebuilt as a public facility in a 

public park in Qingdao. 



Pavilion จากประเทศญี่ปุ่นเป็น Pavilion ซึ่งมีราย- 

ละเอียดนิทรรศการค่อนข้างมากและต้องใช้เวลาในส่วน 

นิทรรศการไม่น้อยกว่า 50 นาทีไม่รวมเวลาเข้าคิวเปลือก 

อาคารใช้ผนังที่ทาจากชิ้นไม้ขึ้นโครงเป็นกริด 3 มิติ เชื่อม- 

ต่อด้วยเทคนิคงานไม้ของญี่ปุ่นโดยไม่มีตัวยึดโลหะแสดงถึง 

ความเชื่อมโยงจุดกาเนิดของความหลากหลายของประเทศ 

ญี่ปุ่น ได้แก่ ฤดูทั้งสี่ ธรรมชาติ ระบบนิเวศ และอาหาร 

ไม้ที่ใช้เป็นไม้ที่มีการปลูกทดแทน สะท้อนถึงการดูแล 

รักษาป่าไม้ และสื่อถึงการใช้วัสดุอย่างความยั่งยืนซึ่งเป็น 

แนวคิดที่ผู้จัดงานมิลานเอ็กซ์โป 2015 ให้ความสาคัญ 

โครงไม้นี้จะช่วยควบคุมอุณหภูมิอาคารในตอนกลางวัน 

และเป็นส่วนหนึ่งของ lighting feature ในตอนกลางคืน 

ภายในจัดแสดงวัฒนธรรมและภูมิปัญญาด้านอาหาร นา 

เสนอแนวการแก้ไขปัญหาเรื่องการขาดแคลนอาหารของ 

โลก ภาวะอากาศที่ส่งผลต่อเกษตรกรรม การกินอาหาร 

ไม่สมดุล และการกระจายอาหารที่ไม่ทั่วถึง มีการใช้ 

application ในการให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับผู้ชมนิทรรศการ 

ในส่วน Diversity Waterfall เมื่อออกจากส่วนนิทรรศการ 

จะเป็นร้านอาหารและ food court ออกแบบอาคารโดย 

สถาปนิก Atsushi Kitagawara และส่วนจัดแสดงภายใน 

ออกแบบโดย Nendo และ teamLab 

Pavilion ที่น่าจะเป็นงานออกแบบที่สะดุดตามี public 

space ที่เชิญชวนและดึงดูดให้เข้าไปมีปฏิสัมพันธ์กับอาคาร 

มากที่สุดน่าจะเป็น Pavilion จากประเทศบราซิล ออกแบบ 

โดย Studio Arthur Casas และออกแบบนิทรรศการโดย 

Atelier Marko Brajovic นาเสนออาคารที่ให้เป็นจุดหยุดพัก 

เป็น public space ที่ดึงดูดผู้คนให้เข้าไปค้นหา โดยใช้ 

เชือกตาข่ายขึง ด้วย tensile structure สร้างรูปทรงของ 

ทางเดินเชื่อมต่อระหว่างชั้นล่างถึงชั้นบนของอาคารอาคารนี้ 

เป็นตัวอย่างที่ดีของอาคารที่มีจิตวิญญาณบางอย่างที่กระตุ้น 

ความอยากรู้ อยากลองของคนใช้งาน ให้ประสบการณ์ 

ใหม่ๆ หวนนึกถึงความสนุกในวัยเด็กที่อาจจะขาดหายไป 

เมื่อเติบโตขึ้นน่าเสียดายที่การจัดนิทรรศการภายในไม่ค่อย 

มีคนสนใจเท่ากับภายนอก และการจัดสวนพืชดอกและ 

พืชใบด้านใต้ตาข่ายถึงแม้ว่าจะให้เดินชมได้แต่ก็ไม่ค่อย 

มีคนเดินเท่าไรนักเนื่องจากจะต้องเดินอยู่ใต้ฝุ่นจากทาง- 

เดินตาข่ายด้านบน 

นอกจากนี้ยังมี Vanke Pavilion ของกลุ่มบริษัท 

ก่อสร้าง Vanke ซึ่งเป็น 1 ใน 3 ของตัวแทนบริษัทจาก 

ประเทศจีน เป็นอาคารขนาด 950 ตารางเมตร ออกแบบ 

โดยสถาปนิก Daniel Libeskind จากนิวยอร์ก และ Libeskind 

Architettura จากมิลาน รูปทรงอาคารคดเคี้ยวและลื่นไหล 

ต่อเนื่องระหว่างพื้นที่ภายในและภายนอกใช้แผ่นกระเบื้อง 

เคลือบผิวเหลือบสีเป็นวัสดุผิวภายนอกอาคารและทางเดิน 

ภายนอกขึ้นไปยังสวนบนหลังคา 

นอกจากนี้ยังมี Pavilion อื่นๆ ที่น่าสนใจ ที่ไม่ได้ 

กล่าวถึงในคราวนี้อีกหลาย Pavilion รวมถึง Pavilion จาก 

ประเทศเกาหลี และ Pavilion จากประเทศออสเตรีย งาน 

มิลานเอ็กซ์โป 2015 จัดแสดงถึงวันที่31 ตุลาคม 2015 ดู 

รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.expo2015.org 

09 Pavilion ประเทศญี่ปุ่น แสดง 

ทิวทัศน์ชนบทญี่ปุ่นที่อุดมสมบูรณ์ 

ทั้ง 4 ฤดู ให้ประสบการณ์ Interactive 

ใน space ที่ล้อมรอบไป 

ด้วยวิดีโอ 

10 เชือกตาข่ายขึงของ Pavilion 

ประเทศบราซิล ที่ให้ประสบการณ์ 

แปลกใหม่กับผู้เข้าชม 

Narute Pongchavanakul 

09 


ชิสากานต์ โรจนสุนทร 

สถาปนิก บริษัท สานักงาน 

สถาปนิกกรุงเทพ จากัด 

The Office of Bangkok 

Architects Co., Ltd. (OBA) 

10 


The Japan Pavilion featured a very detailed exhibition 

and required at least 50 minutes to view, not including 

queuing time. The outer shell of the building was made 

from pieces of wood created in a three dimensional 

grid, joined together by Japan’s traditional carpentry 

techniques and without any supportive metal connectors 

The exhibition showed the connection of the origins of 

Japan’s diversity, i.e. the four seasons, nature, ecosystem 

and food. The sustainable wood was used to represent 

forest conservation, conveying the concept that the 

organizer of the Milan Expo valued which was to highlight 

the use of sustainable materials. The wooden 

structure also controlled the temperature in the building 

during the daytime and was part of a lighting feature during 

the nighttime hours. Inside, the exhibition presented 

food culture, food knowledge and ideas for solutions 

to the world’s food shortages, climate conditions that 

affect agriculture, imbalances in food consumption, and 

inequalities in food distributions. A smart phone application 

provided additional information for audiences in the 

Diversity Waterfall section. Upon exiting the exhibition, 

one was greeted by restaurants and a food court. The 

building was designed by Atsushi Kitagawara Architects 

and the exhibition was designed by Nendo and teamLab. 

The Brazilian Pavilion was likely the most eye-catching 

design, as it featured an inviting and attractive public 

space that visitors could interact with. Studio Arthur 

Casas designed the building and Atelier Marko Brajovic 

designed the exhibition. The area was comprised of a 

rest area and a public space that attracted people to 

explore the area through the use of a stretched rope 

mesh that created a tensile structure, shaping the 

corridor that linked the ground floor to the apex of the 

building. This building was a good example of a spiritual 

building that stimulated visitors’ curiosity, provided new 

experiences, and reminding them of the good times 

from childhood that are missing from adulthood. 

What a pity that the exhibition inside was not as well 

received as the outside. Although a flower and green 

garden under the mesh allowed for people to walk into 

the space, many people did not want to walk under the 

dust that fell from the mesh over their heads. 

The Venke Pavilion of Venke Construction Group 

Company was 1 of 3 representatives from China. 

The building occupied 950 square meters of space and 

was designed by Architect Daniel Libeskind, New York, 

and Libeskind Architecttura, Milan. The building featured 

a curvy shape that seemed to flow between the inside 

and outside spaces. Sleek glazed tiles were used for 

the façade of the building while a walkway led up to 

the rooftop garden. 

There were many other interesting pavilions apart 

from those mentioned in this article, including those 

from Korea and Australia. The Milan Expo 2015 is 

on view until 31 October 2015. For more information 

please visit http://www.expo2015.org 



PROFESSIONAL 

TEXT 

Assistant Professor 

Dr.Pattaranan Takkanon (TREES-A) 

TOKYO 

GREEN OFFICES 

IF THE AVERAGE TIME PEOPLE 

SPEND IN THEIR OFFICE IS 8 HOURS 

A DAY, OR APPROXIMATELY NO MORE 

THAN 48 HOURS A WEEK, HOW GREAT 

IT MUST BE FOR ONE TO BE ABLE TO 

WORK UNDER A PLEASANT ATMO- 

SPHERE; THE KIND OF PLACE THAT IS 

PHYSICALLY AND MENTALLY HEALTHY, 

FRIENDLY TO THE ENVIRONMENT 

AND USES LESS ENERGY. THE AFORE- 

MENTIONED IS A SIMPLE DEFINITION 

OF A GREEN OFFICE, THE SUBJECT 

OF OUR DISCUSSION FOR THIS ISSUE 

OF ASA. I HAD THE EXPERIENCE OF 

VISITING A GOOD NUMBER OF SUCH 

BUILDINGS WHEN I WAS ORGANIZING 

THE INTERNATIONAL GREEN ARCHI- 

TECTURE FIELDTRIP PROJECT ON 

BEHALF OF THE THAI GREEN BUILDING 

INSTITUTE HELD IN MAY OF 2015. FOR 

THIS ARTICLE, I SELECTED THREE 

OFFICE BUILDINGS; ALL ARE INTERES- 

TING FOR THEIR EXEMPLARY NOTION 

AND EXECUTION OF GREEN ARCHI- 

TECTURE, AND EACH WITH ITS OWN 

UNIQUELY DISTINCTIVE DESIGN. 

เมื่อเราต้องใช้ชีวิตอยู่ในสานักงานเฉลี่ยวันละ 8 ชั่วโมง 

และไม่เกิน 48 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ จะดีแค่ไหนหากเราได้ 

มีโอกาสอยู่ในสถานที่ที่มีบรรยากาศเอื้อต่อการทางาน 

สภาพแวดล้อมภายในอาคารส่งเสริมสุขภาพกายและใจ 

แถมยังประหยัดพลังงานและเป็นมิตรกับสภาพแวดล้อม 

อีกด้วย นั่นคือคาจากัดความง่ายๆ ของ สานักงานเขียว 

(Green Office) ที่ผู้เขียนจะกล่าวถึงในวารสารอาษา 

ฉบับนี้ ซึ่งผู้เขียนมีโอกาสได้ไปเยี่ยมชมเมื่อครั้งเป็น 

ผู้จัดโครงการทัศนศึกษาอาคารเขียวในต่างประเทศ 

ในนามของสถาบันอาคารเขียวไทยช่วงปลายเดือน 

พฤษภาคม 2558 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้เขียนได้คัดเลือก 

เฉพาะอาคารประเภทสานักงานเป็นตัวแทนของอาคารเขียว 

ที่น่าสนใจมากล่าวถึงจานวน 3 อาคาร ซึ่งแต่ละอาคาร 

มีลักษณะโดดเด่นด้านการออกแบบเพื่อ ‘ความเขียว” 

ที่แตกต่างกัน 

01 

94 ASA PROFESSIONAL วารสารอาษา

อาคารแรกคือ NBF Osaki Building เป็นอาคารสูง 

25 ชั้น สาหรับส่วนวิจัยและพัฒนาของบริษัท Sony ได้รับ 

การออกแบบและนาชมโดยสถาปนิก Tomohiko Yamanashi 

แห่ง Nikken Sekkei โดยเป็นอาคารที่มีเอกลักษณ์เห็นได้ 

ชัดจากภายนอกคือเปลือกอาคารที่เรียกว่า ‘BioSkin’ ซึ่ง 

ทาหน้าที่เป็นผนังทาความเย็น (Cooling Façade) ด้วย 

เทคนิคของ Evaporative Cooling หรือการทาความเย็น 

ด้วยการระเหย เริ่มแรกนั้นสถาปนิกมีวัตถุประสงค์ในการ 

ออกแบบผนังชั้นนอกของอาคารให้ทาหน้าที่เพื่อความ 

ปลอดภัยในกรณีมีเหตุเพลิงไหม้ผู้ใช้อาคารสามารถใช้ผนัง 

ส่วนนี้เป็นราวจับระหว่างหนีโดยใช้เส้นทางภายนอกอาคาร 

และยังเป็นการป้องกันผู้อยู่ภายในอาคารกระโดดออกสู่ 

ภายนอกด้วย แต่นอกจากผนังนี้จะมีทั้งความสวยงามและ 

ประโยชน์ใช้สอยด้านความปลอดภัยแล้ว มันยังได้ทาหน้าที่ 

เป็นท่อไหลเวียนน้าเพื่อลดอุณหภูมิของเปลือกอาคาร โดย 

สถาปนิกได้มีแนวคิดจากระบบสเปรย์น้าแบบดั้งเดิมของ 

ญี่ปุ่นที่เรียกว่าUchimizu ซึ่งใช้ร่วมกับไม้ไผ่เมื่อนาแนวคิด 

มาพัฒนา BioSkin สาหรับอาคารนี้จึงเลือกใช้วัสดุอย่าง 

ชาญฉลาดโดยใช้เซรามิคมีรูพรุนจากผู้ผลิตงานสุขภัณฑ์ 

และอาคารได้มีการปล่อยน้าเข้าสู่ระบบจากถังเก็บน้าฝน 

ด้านบนอาคารในช่วงฤดูร้อน ซึ่งตั้งแต่เปิดใช้อาคารเมื่อ 

ปี 2011 เปลือกอาคารเย็นนี้ก็ได้ท าหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ 

ในการลดความร้อนและการใช้พลังงานในอาคารตลอดมา 

โดยผลการทดลองและจาลองทางคอมพิวเตอร์ระบุว่าเปลือก 

อาคารนี้สามารถลดอุณหภูมิผิววัสดุได้สูงสุดถึง12 องศา- 

เซลเซียส และลดอุณหภูมิอากาศโดยรอบได้2 องศาเซลเซียส 

นอกจากระบบการระเหยน้าแล้ว รูปแบบของผนังชั้นนอกนี้ 

ยังช่วยป้องกันแดดให้กับผนังชั้นในของอาคาร เป็นระบบ 

ผนังที่ช่วยลดผลกระทบจากปรากฏการณ์เกาะความร้อน 

ในเมืองได้เป็นอย่างดีจึงทาให้ BioSkin นี้ได้รับรางวัลด้าน 

นวัตกรรมจาก The Council on Tall Buildings and Urban 

Habitat (CTBUH) อีกด้วย ส่วนพื้นที่ภายนอกอาคารนั้น 

ก็ได้รับการออกแบบอย่างเอาใจใส่ให้เป็นสวนในเมืองที่ 

ช่วยปรับสภาวะความร้อนภายนอกอาคาร มีการยกระดับ 

พื้นให้เสมือนอาคารตั้งอยู่บนเขา และพืชพรรณต่างๆ ที่ 

คัดเลือกมานั้นได้ผ่านกระบวนการจาลองสภาพการเจริญ- 

เติบโตและร่มเงาด้วยโปรแกรมคอมพิวเตอร์โดยรวม NBF 

Osaki Building จึงได้รับรางวัลด้านการออกแบบสถาปัตย- 

กรรมจาก The Architectural Institute of Japan 

NBF Osaki Building is a 25-storey high edifice that hosts the research 

and development unit of the Sony Corporation with Tomohiko Yamanashi 

of Nikken Sekkei as the project’s architect. The building’s ‘BioSkin’ 

contributes to both the striking appearance of the overall structure 

and the functionality as the Cooling Façade employs the Evaporative 

Cooling technique. Initially, the architect intended for this particular 

shell to provide additional safety in the case of fire where people 

could actually use the exterior wall’s structure as a handle to get out 

of the building. Its presence was also designed to prevent people 

from jumping off of the building. But aside from the beauty and safety 

features, the water circulation system installed on the façade also helps 

to decrease the building’s temperature. The architect applied the idea 

from the Japanese traditional spraying system called ‘Uchimizu,’ where 

bamboo is the essential component. For the development of BioSkin, 

a perforated ceramic produced by a sanitary ware manufacturer was 

chosen as the material. In the summer, the building releases water 

from the rainwater storage installed on the top floor. Since the building’s 

opening in 2001, this cooling façade has done a magnificent job of 

helping to reduce the heat and energy usage. Data from experiments 

and computer modeling indicate that the façade can reduce the temperature 

of the building’s surface by up to 12° c while the surrounding air 

temperature decreases 2°c. In addition to the evaporative cooling system, 

the design of the façade can also protect the interior wall from being 

directly exposed to the sun. Such a walling system can also efficiently 

relieve the urban heat island phenomenon. All that being said, it 

comes as no surprise why BioSkin was the winner of the Innovative 

Award from The Council on Tall Buildings and Urban Habitat (CTBUH). 

The exterior space is also attentively designed to function as an 

urban garden with its ability to help adjust the outside temperature. 

The floor is elevated to create the hillside landscape that the building 

seemingly stands on. The plants were also carefully selected using a 

computer program simulating the overall growing condition, shapes 

and shades they could potentially provide to the area. NBF Osaki 

Building was also awarded an architectural design award from the 

Architectural Institute of Japan. 

01 NBF Osaki Building 

02 ส่วนขยายของ BioSkin 

02 


PROFESSIONAL ASA 95

03 Mokuzai Kaikan (https:// 

www.flickr.com) 

04 ความลึกของ Façade ด้าน 

ทิศตะวันตกทาหน้าที่บังแดดให้ 

กับพื้นที่ภายในอาคาร 

05 รูปตัดของ Mokuzai Kaikan 

(http://facadesconfidential. 

blogspot.com/2010/11/ 

mokuzai-kaikan-japanesetimber.html) 

03 

อาคารที่สอง คือ Mokuzai Kaikan ออกแบบโดยสถาปนิก 

ท่านเดียวกัน โดยอาคารนี้ได้รับความสนใจเป็นอย่างมาก 

เพราะคุณ Yamanashi ต้องทาหน้าที่เป็นมัคคุเทศก์ให้แก่ 

เพื่อนสนิทมิตรสหายที่ขอไปเยี่ยมชมอยู่บ่อยครั้งเนื่องจาก 

อาคารนี้เป็นสานักงานของบริษัทขายไม้ ตั้งอยู่ในย่านโกดัง 

และอุตสาหกรรมไม้ใน Shinkiba ของโตเกียว สถาปนิก 

จึงเลือกใช้ไม้เป็นวัสดุหลักเพื่อสร้างความโดดเด่นเน้นภาพ- 

ลักษณ์ของธุรกิจ ไม้ถูกนามาใช้เป็นองค์ประกอบหลักของ 

อาคารนับตั้งแต่เปลือกอาคารด้านตะวันตกที่เป็นทางเข้า 

หลักจากลานกว้างเชื่อมต่อไปยังอาคารอื่นโดยรอบไปจน 

ถึงวัสดุภายในอาคาร ผนังด้านตะวันตกของอาคารนี้สื่อ 

ถึงพื้นที่เชื่อมต่อภายนอกและภายในอาคารตามรูปแบบ 

สถาปัตยกรรมญี่ปุ่นที่เรียกว่า Engawa หากแต่งานนี้เป็น 

Modern Engawa ที่ทาหน้าที่เป็นส่วนพักผ่อนของพนักงาน 

ในแต่ละชั้น สร้างพื้นที่ด้านข้างของอาคารให้มีคุณภาพทั้ง 

ในการระบายอากาศและการป้องกันแดดภายนอก ความ 

เปลี่ยนแปลงของสี ไม้และผิวผนังคอนกรีตตามอายุของอาคาร 

เป็นเสน่ห์อีกอย่างหนึ่งที่สถาปนิกตั้งใจให้ปรากฏในอาคารนี้ 

The second building, Mokuzai Kaikan, was designed by the very 

same architect. Mr. Yamanashi himself is constantly given the duty of 

conducting a special guide tour when his close acquaintances stop 

by to visit the building. Used as the head office of a wood trading 

company and located in the warehouse district of Tokyo’s carpentry 

industry, Shinkiba, the architect naturally chooses wood as the key 

architectural element to reflect the company’s business operation 

and identity. Wood is present in several compositions of the structure 

including the westward building’s shell where the main entrance is 

located. This particular wall is an expression of Japanese Architecture’s 

Engawa, which is basically the transitional space that links the interior 

and exterior together. For this project, the Modern Engawa on each floor 

functions as a recreational area for the employees, offering additional 

spaces that can essentially improve the building’s ventilation and heat 

prevention qualities. The changes in the color of the wood and concrete 

surface take place accordingly, as the building ages through time. The 

detail eventually became one of the unique charms that the architect 

intended to have happen within the structure. 

The interior comprises an office space, exhibition room and an 

auditorium. The first space one encounters as entering the building is 

the reception area for greeting and welcoming visitors, following the 

Japanese tradition. The spacious foyer and an expansive elevated floor 

make the space ideal for group briefings while special carpentry details 

can be found on the walls. Every feature and element of Mokuzai Kaikan 

was designed using Building Information Modeling (BIM) while every 

single piece of wood was machine-cut for ultimate precision. It is this 

kind of intricateness that derives from the perfect clash between the 

aesthetics of Japanese culture and the functional ability brought about 

by advanced technology. 


พื้นที่ใช้สอยภายในอาคารประกอบด้วยส่วนส านักงาน 

ห้องนิทรรศการ และห้องประชุม (auditorium) โดยนับ 

ตั้งแต่แรกเข้าสู่อาคารจะมีพื้นที่ให้การต้อนรับตามธรรมเนียม 

ญี่ปุ่น เป็นโถงสูงและมีพื้นยกระดับขนาดใหญ่สาหรับการ 

นั่งอธิบายงานเป็นหมู่คณะผนังห้องแสดงการต่อไม้อันเป็น 

เทคนิคเฉพาะ ทั้งนี้ทุกรายละเอียดของอาคารผ่านกระบวน- 

การออกแบบโดยใช้ระบบ Building Information Modeling 

(BIM) และไม้ทุกชิ้นผ่านการตัดอย่างแม่นย าโดยใช้เครื่อง- 

จักร ความประณีตของโครงการจึงมาจากการผสมผสานทั้ง 

วัฒนธรรมญี่ปุ่นและเทคโนโลยีอันทันสมัยได้เป็นอย่างดี 

อาคารที่สามคือ Kajima Akasaka Annex เป็นอาคาร 

สานักงานใหญ่ของบริษัท Kajima ซึ่งมีชื่อเสียงทางด้าน 

การออกแบบและก่อสร้าง โครงการตั้งอยู่ใจกลางกรุงโตเกียว 

ย่าน Akasaka เขต Minato มีทั้งอาคารเดิมที่ได้รับการ 

ปรับปรุงและอาคารใหม่ที่เป็นส่วนขยาย ลักษณะอาคาร 

เป็นกล่องเรียบๆ แต่มีการออกแบบระบบผนังอาคารอย่าง 

ลงตัวในเรื่องของขนาด สัดส่วนพื้นที่กระจกและกรอบผนัง 

คอนกรีตเสริมเหล็กผิวเปลือยส่วนผนังกระจกใช้เทคโนโลยี 

กระจก multilayered low-E อันทันสมัยเพื่อให้เป็นฉนวน 

ทางความร้อนและมองเห็นทิวทัศน์ได้ดี โดยกระจกชั้น 

นอกเป็นกระจกฉนวนกันความร้อน (heat-absorbing 

glass) หนา 12 มิลลิเมตร และกระจกชั้นในเป็นกระจก 

โฟลตหนา 8 มิลลิเมตร ในส่วน air gap บรรจุก๊าซเพื่อให้ 

มีคุณสมบัติการแผ่รังสีต่า (low emissivity) นอกจากนี้ 

ยังมีระบบการระบายอากาศด้วยวิธีธรรมชาติโดยเมื่อเซ็น- 

เซอร์ตรวจวัดพบว่าอุณหภูมิภายนอกอาคารมีความเหมาะสม 

จะเปิดช่องเปิดให้อากาศไหลเวียนทางตั้งตามหลักของ 

stack effect ซึ่งอาศัยค่าความแตกต่างของอุณหภูมิที่ 

เพียงพอ ภายในอาคารยังมีระบบม่านช่วยควบคุมแสง 

ธรรมชาติและความร้อนที่เข้ามาในอาคารในแต่ละด้าน 

อีกด้วย 

04 

The last but definitely not least of the bunch is Kajima Akasaka 

Annex, the headquarters of the renowned design and construction 

company, Kajima. The project is located in central Tokyo in a neighborhood 

called Akasaka in the Minato district. The entire architectural 

program includes a renovated original building and the new addition. 

The design of the simple box-shaped building is superlative in terms 

of the details of the scale and proportion of the glass opening and the 

frame, which is essentially a reinforced concrete wall with an exposed 

surface. The glass wall employs the smart multilayered low-E technology 

that offers functionality as heat insulation with a transparency that 

does not obstruct any outside view. The exterior layer is comprised 

of heat-absorbing glass with a thickness of 12 millimeters, and the 

8-millimeter thick float glass was used for the inner layer where an air 

gap contains gas with the ability to help maintain the low emissivity. 

The building was also designed to have a natural ventilation system, 

in which once the censor detects the suitable outside temperature, 

openings are automatically opened to enhance the airflow. The operation 

follows the stack effect theory, which relies on the right level of temperature 

differences. Inside the building, a curtain system is also 

incorporated to help control the amount of natural light and heat 

allowed into the building from different sides. 

Even though the office space was designed to be of an open-plan, 

the atmosphere is still very quiet and peaceful, reflecting the true 

Japanese working environment. An economical use of electricity is 

achieved while still maintaining the universal comfort of the building’s 

users through the implementation of a task and ambient air-conditioning 

system. Central air conditioning is used and the working space is 

divided into eco modules to separate the control switches of the air 

conditioning and lighting system. This allows for the user of each module 

to appropriately determine when to open and close the system by 

themselves. 




พื้นที่ภายในอาคารสานักงานได้รับการออกแบบแบบ 

open-plan แต่บรรยากาศเงียบสงบตามลักษณะการทางาน 

ของชาวญี่ปุ่น การประหยัดไฟฟ้าโดยยังคงคานึงถึงสภาวะ 

น่าสบายของผู้ใช้งานอาคารทาได้โดยการใช้ระบบ task 

and ambient air-conditioning system มีการใช้ระบบ 

ปรับอากาศรวมและแบ่งพื้นที่ทางานเป็น eco module 

เพื่อแยกสวิตช์ควบคุมระบบปรับอากาศและไฟฟ้าแสง- 

สว่างเฉพาะจุด เพื่อให้ผู้ใช้งานในแต่ละ module สามารถ 

กาหนดการเปิด-ปิดระบบได้เอง 

และด้วยเล็งเห็นว่าการควบคุมอุณหภูมิของระบบปรับ 

อากาศรวมอาจทาให้ผู้ใช้งานอาคารแต่ละคนรู้สึกสบาย 

แตกต่างกัน จึงมีการใช้ air diffuser เพื่อให้สามารถปรับ 

การกระจายลมแต่ละพื้นที่ได้ตามต้องการ 

โครงการนี้ยังให้ความสาคัญกับคุณภาพชีวิตและ 

บรรยากาศภายนอกห้องทางาน โดยได้จัดพื้นที่ส่วนกลาง 

สาหรับการติดต่อคุยงานกับลูกค้าท่ามกลางสวนภายใน 

อาคารที่ได้รับแสงธรรมชาติจากด้านบน (top light) 

มีการประดับตกแต่งด้วยงานประติมากรรมของนักศึกษา 

และศิลปินในท้องถิ่นหมุนเวียนกันไปและภายนอกอาคาร 

ยังมีสวนหลังคาพร้อมแผงโซล่าเซลล์ที่ช่วยผลิตไฟฟ้า 

ให้กับอาคารอีกส่วนหนึ่ง โดยรวม Kajima Akasaka 

Annex จึงได้รับแต้มคะแนนอยู่ในระดับ S ตามเกณฑ์ 

CASBEE ซึ่งเป็นเกณฑ์การประเมินอาคารเขียวของญี่ปุ่น 

06 

07 

1 Wooden Oak 

(White) Plugs 

2 Japanese 

Traditional Joint 

Method (Tsugite) 

3 Aluminium Ring 

4 Bolt 

5 Japanese 

Cypress 

115X115mm 

1 

3 

4 

5 

2 

08 

06 โถงต้อนรับและอธิบายงาน 

07 สถาปนิก Tomohiko 

Yamanashi อธิบายการต่อไม้ 

ของ Mokuzai Kaikan 

08 ภาพขยายการต่อไม้ของ 

Mokuzai Kaikan (http:// 

facadesconfidential. 

blogspot.com/2010/11/ 

mokuzai-kaikan-japanesetimber.html) 

09 Kajima Akasaka Annex 

10 ช่องเปิดทางตั้งเพื่อการ 

ระบายอากาศด้วยวิธีธรรมชาติ 

และระบบม่านเพื่อควบคุมแสง 

และความร้อน 

11 การจัดพื้นที่ภายในสานักงาน 

แบบ open-plan 

12 การแยกสวิตช์ควบคุมดวงโคม 


10 

09 

The architect foresaw how the temperature control of the central 

air conditioning could affect the users’ level of comfort differently. This 

resulted in the use of an air diffuser in order for the adjustment to be 

made as one pleases. 

The project also highlights the importance of people’s quality of 

life and the atmosphere outside of the working space. A communal 

area is provided in the form of an indoor garden where employees 

converse and consult with clients. This was designed to bring in the 

top light with presences of sculptural pieces by students and local 

artists being shown in turn to showcase their artistic expressions. At 

the rooftop garden, solar cell panels are installed, generating a good 

amount of electricity for the building. Kajima Akasaka Annex is in 

the S level of CASBEE criteria, Japan’s Green building assessment 

standard. 

11 

12 



พัฒนาการด้านอาคารเขียวในแต่ละประเทศนั้นล้วน 

แตกต่างและมีความเฉพาะของตนเอง ประเทศญี่ปุ่นเป็น 

อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความพยายามใส่ใจกับ 

สภาพแวดล้อม พลังงาน และทรัพยากร โดยเฉพาะหลัง 

เหตุการณ์สึนามิในปี 2011 ที่ทาให้ภาครัฐต้องกาหนด 

มาตรการคุมเข้มมากขึ้น หากแต่ภาคการออกแบบอาคาร 

และประชาชนต่างก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีในการปรับ- 

ปรุงอาคาร และปรับพฤติกรรมเพื่อการประหยัดพลังงาน 

สาหรับอาคารเขียวของไทยนั้นแม้อาจยังนับได้ว่าอยู่ใน 

ช่วงเริ่มต้น แต่หากได้มีโอกาสเรียนรู้จากผู้มีประสบการณ์ 

ในหลายประเทศก็เป็นไปได้ที่จะมีพัฒนาการที่รวดเร็วและ 

เข้าใจที่จะประยุกต์ให้เหมาะสม เพื่อเป็นไปในทิศทางที่ 

สอดคล้องกับบริบทสภาพแวดล้อม สภาพภูมิอากาศ และ 

สถานการณ์ด้านพลังงานและทรัพยากรของเราเอง 

13 

The development of Green building differs in each country with its 

own specifics and standards. Japan is one example that manifests a 

very active and dedicated attempt to be more conscious and attentive 

to the environment as well as energy and resource consumption. The 

2011 Tsunami has intensified the measures and controls while the design 

and public sector are keener to facilitate improvement in building 

construction, as they are more willing to readjust their behaviors to 

maximize efficient energy usage. For Thailand, Green building is a 

notion that is in the very beginning stage of formation. But with the 

opportunity to learn from what different countries around the world has 

achieved, there is a great chance that the next steps of the development 

can be accomplished faster, as we learn to understand how to apply 

bodies of knowledge to suit the local environment, climate and our 

own conditions in terms of energy and resources. 

14 

อ้างอิง 

1 http://facadesconfidential.blogspot.com/2010/11/mokuzai-kaikan-japanesetimber.html, 

28กรกฎาคม 2558. 

2 https://www.flickr.com/photos/77597060@N02/11514488025, 28กรกฎาคม 2558. 

3 http://www.ibec.or.jp/jsbd/AN/features.htm, 28กรกฎาคม 2558. 

15 

13 การใช้ air diffuser เพื่อ 

universal comfort (http:// 

www.ibec.or.jp/jsbd/AN/ 

features.htm) 

14 ส่วน atrium ตกแต่งเป็น 

สวนเพื่อการพักผ่อนและคุย 

ธุรกิจ 

15 สวนหลังคาพร้อมแผงโซล่า- 

เซลล์ 

ผศ.ดร.ภัทรนันท์ ทักขนนท์ 

(TREES-A) 

อาจารย์ประจาภาควิชานวัตกรรม 

อาคาร และรองคณบดีฝ่ายวิชาการ 

คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ 

มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ 


MEMBERSHIP 

หนังสือและเอกสาร 

• วารสารอาษา วารสารวิชาการด้านสถาปัตยกรรม 

ราย 2 เดือน 

• จดหมายเหตุ หนังสือข่าวในแวดวงด้านสถาปัตยกรรม 

และเพื่อการประชาสัมพันธ์กิจกรรมต่างๆของสมาคมฯ 

ราย 1 เดือน 

• ห้องสมุด สาหรับบริการเพื่อสมาชิกได้เข้าใช้ศึกษา 

ข้อมูล ค้นคว้า ทางด้านวิชาการ (ณ ศูนย์ 

ประชาสัมพันธ์ asa center สยามดิสคัพเวอร์รี่ ชั้น 5) 

• หนังสือต่างๆ สมาชิกสามารถสั่งซื้อหนังสือ เอกสาร 

และคู่มือต่างๆ ทั้งทางด้านวิชาการและที่เป็นประโยชน์ 

ทางด้านการปฏิบัติวิชาชีพที่สมาคมฯ ได้จัดทาขึ้นใน 

ราคาพิเศษ เฉพาะสมาชิก เช่น กฎหมายอาคาร ฯลฯ 

WEBSITE 

• asa web สมาชิกสามารถเข้าถึงข่าวสารข้อมูลออนไลน์ 

ได้ที่ www.asa.or.th 

• asa webboard ชุมชนออนไลน์ สาหรับการแลกเปลี่ยน 

ข้อมูลของสมาชิก 

กิจกรรมด้านต่างๆ 

• สถาปัตย์สัญจร การจัดทัศนนักศึกษาทางด้านสถาปัตย- 

กรรมทั้งในและต่างประเทศ ปีละประมาณ 2 ครั้ง 

• กิจกรรมด้านวิชาการและวิชาชีพ การจัดอบรม 

โครงการสุดสัปดาห์วิชาการ การจัดสัมมนาด้าน 

วิชาการและวิชาชีพ เพื่อพัฒนาศักยภาพในการ 

ประกอบวิชาชีพปีละประมาณ 10 ครั้ง 

• กิจกรรมด้านสันทนาการเพื่อความสนุกสนานสามัคคี 

ของสมาชิกสมาคมฯ เช่น asa cup (การแข่งขัน 

ฟุตบอลสนามเล็กข้างละ 8 คน), golf asa, 

badmintion asa, asa night ฯลฯ 

• กิจกรรมอื่นๆ ขึ้นอยู่กับการจัดขึ้นมาเป็นครั้งๆ ไป 

เช่น การร่วมประกวดแบบต่างๆ ที่สมาคมฯจัดขึ้น 

หรือรับรอง สนับสนุน การร่วมส่งประกวดงาน 

สถาปัตยกรรมดีเด่นงานอนุรักษ์ดีเด่น บางกิจกรรม 

นั้นจัดเฉพาะสมาชิกเท่านั้นและทุกกิจกรรมจะคิด 

ราคาสมาชิกพิเศษกว่าบุคคลทั่วไป 

งานสถาปนิก 

• asa club สามารถเข้าใช้พื้นที่ asa club เพื่อการ 

พักผ่อน พบปะสังสรรค์ นั่งเล่นในบริเวณงาน 

• asa shop จาหน่ายหนังสือทางด้านสถาปัตกรรม 

ต่างๆ และของที่ระลึกที่ทางสมาคมฯผลิตขึ้นโดย 

จาหน่าย ในราคาพิเศษสาหรับสมาชิกฯ 

หมายเหตุ รายละเอียดอาจเปลี่ยนแปลงได้ตาม 

ความเหมาะสมขึ้นอยู่กับคณะกรรมการบริหาร 

สมาคมในแต่ละสมัย 

ประเภทของสมาชิกและค่าสมัคร (รวม vat 7%) 

สมัครสมาชิกประเภทบุคคล ค่าลงทะเบียน 100 บาท 

ภาคี-ค่าบารุงรายปี ปีละ 400 บาท รวม 535 บาท 

สามัญ-ค่าบารุงราย 5 ปี ครั้งละ 1,800 บาท 

รวม 2,033 บาท 

สมทบ [บุคคลทั่วไป]-ค่าบารุงรายปี ปีละ 900 บาท 

รวม 1,070 บาท 

สมทบ [นักศึกษา]-ค่าบารุงรายปี ปีละ 200 บาท 

รวม 321 บาท 

สมัครสมาชิกประเภทสานักงานนิติบุคคล 

ค่าลงทะเบียน 500 บาท 

ค่าบารุงราย 2 ปีครั้งละ 8,000 บาท รวม 8,500 บาท 

สนใจรายละเอียด ข้อแตกต่างของแต่ละประเภทสมาชิก 

และวิธีการสมัคร ติดต่อที่ สมาคมสถาปนิกสยามฯ 

คุณนพมาส สมใจเพ็ง โทร 02 3196555 ต่อ 109 

E-mail : memberasa@gmail.com 

ใบสมัครสมาชิก วารสารอาษา 

(ถ่ายเอกสารได้) 

ข้าพเจ้า : 

ที่อยู่ (สาหรับการจัดส่งหนังสือ) : 

โทรศัพท์ : โทรสาร : e-mail : 

ต้องการสมัครเป็นสมาชิก ‘วารสารอาษา’ อัตราต่อไปนี้ 

บุคคลทั่วไป สมาชิกรายครึ่งปี (3 เล่ม) 225 บาท สมาชิกรายปี (6 เล่ม) 500 บาท 

นิสิตนักศึกษาคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ สมาชิกรายครึ่งปี (3 เล่ม) 225 บาท สมาชิกรายปี (6 เล่ม) 440 บาท 

รวมค่าส่งทางไปรษณีย์แล้ว (เฉพาะภายในประเทศ) 

ลงชื่อ : วันที่ : 

การชาระเงิน เงินสด ชาระเงินที่ สมาคมสถาปนิกสยามฯ โอนเงิน เข้าในนาม สมาคมสถาปนิกสยามฯ 

ที่อยู่ (สาหรับใบเสร็จรับเงิน) ธนาคารกสิกรไทย สาขาถนนพระราม 9 

บัญชีออมทรัพย์ เลขที่บัญชี 713-2-02232-6 

กรณีการโอนเงิน 

- กรุณาส่งโทรสารใบสมัครและหลักฐานการชาระเงิน และจดหมายรับรองสถานภาพ กรณีเป็นนิสิต-นักศึกษา ลงนามโดยอาจารย์หัวหน้าภาควิชาฯ ที่ฝ่ายการเงิน 

สมาคมสถาปนิกสยามฯ โทรสาร 02-3196419 พร้อมโทรศัพท์ยืนยันการส่งเอกสารที่โทรศัพท์ 0-2319-6555 กด 109 

- สมาคมฯ จะจัดส่งใบเสร็จให้ทางไปรษณีย์ 

หมายเหตุ สามารถซื้อหนังสือวารสารอาษาได้ที่สมาคมสถาปนิกสยามฯ ราคาเล่มละ 90 บาท

DETAILS 

QTC 

ENERGY 


1 

2 

3 

4 

5 

SECTION 

1 อุปกรณ์ยึดจับ Spider 

2 Tension Rod Stainless Steel 

3 กระจก Sky Light Laminated 

4 Fin Aluminium สีดำ 

5 กระจกใส Low-E 

6 คนเหล็ก WF 

ทสี Polyurethane สีดำ 

7 เสเหล็ก WF 


6 

7 

BUILDING TYPE 

Office 

BUILDING AREA 

1,200 sq.m. 

DURATION 

2011-2012 

LOCATION 

Bangkapi, Bangkok 

ARCHITECT 

Plan Associates 


August Design 

Consultant 


Plan Associates 


PPL Engineer 


Optimum Consulting 

CONTRACTOR 

Cho Runglert Group 

QTC Energy PCL เป็นบริษัทที่ขึ้นชื่อในฐานะผู้- 

ประกอบการธุรกิจพลังงานรายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของไทย 

แนวความคิดในการออกแบบอาคารสานักงานแห่งใหม่นี้ 

จึงมุ่งเน้นไปที่การถ่ายทอดภาพลักษณ์เชิงนามธรรมทั้ง 

สามข้อขององค์กรออกมา อันได้แก่ Industrial Business, 

Green Architecture และ Nature Awareness ให้เป็น 

ที่เข้าใจและรับรู้ได้ในเชิงกายภาพ ตัวอาคารมุ่งเน้นออก- 

แบบให้มีเนื้อหาที่แสดงถึงการทางานร่วมกันระหว่างงาน 

สถาปัตยกรรม งานวิศวกรรม และงานสภาพแวดล้อม 

รูปแบบของอาคารจึงเน้นไปที่ประโยชน์ใช้สอยเป็นหลัก 

สร้างความเรียบง่ายของอาคารผ่านการผสมผสานวัสดุ 

ต่างๆ เข้าด้วยกัน โดยที่ยังไม่ลืมที่จะคงเรื่องความงาม 

จากสัจจะของวัสดุเอาไว้ด้วย สถาปนิกเลือกใช้โครงสร้าง 

เหล็กเป็นโครงสร้างหลักของอาคารเพื่อสะท้อนภาพลักษณ์ 

ขององค์กรให้ออกมาได้ชัดเจนที่สุด ส่วน canopy บริเวณ 

ทางเข้าหลักของอาคารเป็นส่วนที่แสดงภาพลักษณ์ความ 

เป็นอุตสาหกรรมของอาคารออกมาได้มากที่สุดส่วนหนึ่ง 

จากการใช้โครงสร้างเหล็ก wide flange ยึดกับโครงสร้าง 

อาคารและการใช้ tension rod สแตนเลสช่วยดึงจาก 

ด้านบน ทาให้ตัว canopy นี้สามารถยื่นออกมาอย่างอิสระ 

โดยไม่ต้องมีเสารองรับ เพื่อช่วยเน้นความสาคัญบริเวณ 

ทางเข้า ในส่วนของหลังคานั้นเลือกใช้กระจกลามิเนตแบบ 

บานเปลือยยึดเข้ากับอุปกรณ์ยึดจับ spider ที่ติดอยู่กับ 

คาน wide flange ด้านล่าง เพื่อให้ดูมีน้าหนักเบา ไร้- 

น้าหนัก และไม่เกิดองค์ประกอบที่จะไปขัดแย้งกับโครงสร้าง 

ของตัวสถาปัตยกรรม และด้วยการที่โครงสร้างเหล็ก 

ทั้งหมดไม่ได้มีวัสดุใดหุ้มปิดจึงทาให้ดูกลมกลืนกันดี 

ในภาพรวม 

102 ASA DETAILS วารสารอาษา

1 

1 

2 

2 

3 

3 

4 

5 

6 

DETAIL 1 




3 เสเหล็ก WF 


DETAIL 2 


2 กระจก Sky Light Laminated 

3 Fin Aluminium สีดำ 

4 อุปกรณ์ยึดจับกระจก Spider 

5 กระจกใส Low-E 



01 canopy บริเวณทงเข้หลัก 

ของอคร 

01 

QTC Energy PCL is known for its position as one of 

the biggest energy entrepreneurs in Thailand’s electrical 

and electronics industries and the concept behind the 

company’s new office design aims to make its immaterial 

corporate identity, including Industrial Business, Green 

Architecture and Nature Awareness, more tangible to 

the public. Intending to show its collaboration between 

architecture, engineering and environmental design; the 

building focuses mainly on the functionality of the space 

inside, allowing for the building to look simple and minimal 

through the combination of different kinds of materials 

while allowing for their pure attributes to remain unc hanged. 

The architect has chosen a steel framed structure as the 

main framework of the building in order to best deliver 

an understanding of the organization’s corporate identity. 

One of the elements that best defines the industrial look 

of the building is the canopy at the main entrance. By 

connecting the wide flange steel beams with the building 

structure and lifting the system from above through the 

use of stainless steel tension rods, a freely cantilevered 

canopy with column-free space has been created beneath, 

highlighting the importance of the entrance. For the canopy’s 

roof, the architects have used frameless laminated glass 

with spider fittings that are pinned against the wide flange 

steel beams below in order to make the canopy appear 

light and weightless. The bare external steel structure 

used for the canopy also causes the system to find harmony 

with the whole building structure, succeeding in 

a design where no elements work against the structure 

of the architecture. 


DETAILS ASA 103

CARTOON 

SRV 

104 ASA ASA CARTOON วารสารอาษา

ASA Journal 05/58

You also want an ePaper? Increase the reach of your titles

Delete template?

Save as template?